วาสนาบันดาลรัก 248 เมื่อป่วยต้องรักษา

ตอนที่ 248 เมื่อป่วยต้องรักษา

 

 

 

เมื่อถึงวันที่มีงานเลี้ยงฉลองจึงมิได้กินหม้อไฟ 

 

 

เจินเมี่ยวฝืนทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้เมื่อมานั่งรวมกันบนโต๊ะ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามนางอย่างห่วงใยอยู่หลายประโยค 

 

 

นางเถียนจับมือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า มิใช่สะใภ้จะต่อว่า แต่แม้นต้าหลังจะยุ่งเพียงใด วันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงฉลองของจวนเรา ทั้งหลานสะใภ้ก็ไม่สบายอยู่ ควรกลับมาดูสักหน่อย หรือจะให้ข้าส่งคนไปเรียกเขาสักครา?” 

 

 

เจินเมี่ยวทำทีเป็นลูบผมทัดหูเพื่อถอนมือออกจากการจับกุม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาว่า “ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้รองมากเจ้าค่ะที่ใส่ใจ แต่ท่านพี่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้น ทั้งมีเรื่องมากมายต้องสะสาง อีกอย่างข้าก็ไม่สบายเพียงเล็กน้อย มิได้ร้ายแรงอันใด” 

 

 

พูดพลางกวาดตามองไปบนโต๊ะของบุรุษคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ท่านอารองก็ไม่อยู่ ดูท่าช่วงนี้คงจะยุ่งมากกระมังเจ้าคะ” 

 

 

นางเถียนถึงกับสะอึกจนหายใจไม่ออกเพราะวาจานี้ 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวเป็นขุนนางเล็กๆ ในศาลหงหลู มิได้เป็นขุนนางใหญ่ใกล้ชิดจักรพรรดิเช่นต้าหลัง และมิได้ไปคอยเฝ้าฝึกทหารที่ชานเมืองเช่นนายท่านสี่สกุลหลัว เขามีงานยุ่งที่ใดกัน! 

 

 

เห็นชัดว่าวาจานี้ต้องการตอกย้ำคน แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าไร้เดียงสาเช่นนั้น จึงมิอาจไปโกรธแค้นต่อว่าได้ 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับขมวดคิ้ว “ระยะนี้ต้าหลังยุ่งยากนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุใดเจ้ารองจึงจนไม่มีเวลากลับมากินข้าวเล่า? วันนี้เป็นวันพักผ่อนมิใช่หรือ?” 

 

 

นางเถียนเผยอปากขึ้น แล้วเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “อาจเพราะใกล้วันตรุษแล้ว คงมีแขกต่างเมืองเข้ามาในเมืองหลวงไม่ขาดสายกระมังเจ้าคะ เรื่องอื่นๆ นั้นสะใภ้ก็มิได้ถามอันใดมาก” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงเลิกคิ้วขึ้นแต่มิได้ถามอันใดอีก 

 

 

นางเถียนรู้สึกเสียหน้ายิ่ง นางกลอกตาไปมาแล้วมองไปที่ปกคอเสื้อที่ตั้งสูงยิ่งของเจินเมี่ยว แล้วระบายยิ้มล้ำลึก “รูปแบบตัดเย็บเสื้อผ้าของหลานสะใภ้ช่างพิเศษนัก สีก็ขับผิวเจ้ายิ่ง ให้ร้านใดทำให้หรือ ข้าจะได้ไปทำให้หยวนเหนียงบ้าง” 

 

 

วันนี้เจินเมี่ยวใส่เสื้อตุ้ยจินคอตั้งสูงสีแดงอ่อน 

 

 

สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ไม่นิยมใส่เสื้อคอตั้งสูงในยามเหมันต์ หากออกไปข้างนอกก็เพียงพันขนจิ้งจอกหิมะยิ่งดูสง่างาม เมื่อเข้าไปในห้องที่มีเตาไฟให้ความอบอุ่นก็แค่ปลดออก เช่นนี้จึงไม่รู้สึกอบอ้าวแล้ว 

 

 

แต่เจินเมี่ยวอยู่ในวัยสาว ทั้งหน้าตางดงาม แม้นใส่เสื้อผ้าที่มิเป็นที่นิยม แต่กระดุมทรงดอกเหมยอันประณีตที่เรียงยาวไปกระทั่งถึงลำคอปกปิดลำคออันขาวผ่องไว้อย่างมิดชิดนั้น มองดูแล้วช่างอ่อนช้อยน่าทะนุถนอมยิ่ง 

 

 

จากวาจานี้ของนางเถียน ผู้อื่นอาจมิเข้าใจว่าหมายความเช่นไร แต่เมื่อเจินเมี่ยวได้ฟัง แววตากลับสาดประกายกล้าคราหนึ่ง 

 

 

หากเป็นในอดีตนางก็คงมิคิดอันใดลึกซึ้ง แต่วันนี้ที่นางเลือกหาเสื้อผ้าที่คอตั้งสูงออกมาพบผู้คนก็เพราะต้องการปกปิดรอยเขียวช้ำบนลำคอพวก และเมื่อคิดถึงเรื่องที่ท่านหมอในจวนมิเคยบอกนางว่านางเป็นโรคส่วนภายในของสตรีเย็นนั้นเลย ต่อให้เป็นคนโง่เขลาก็คงทราบแล้วว่านางเถียนคงมิได้แสนดีปานนั้น เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ก็คงเจตนาให้ตนอึดอัดใจเป็นแน่ 

 

 

เจินเมี่ยวมีข้อดีอยู่อย่างคือนางไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะหากมีความแค้น นางจะแก้แค้น ณ ตอนนั้นเลยทันที 

 

 

ในเมื่อนางเถียนเอาเรื่องของบุตรสาวมาพูด เช่นนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว นางเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม “ก่อนข้าจะออกเรือน ท่านแม่พาข้าไปทำที่ร้านซิ่วลี่ น้องสาวเองก็ควรต้องไปตัดแล้วกระมัง” 

 

 

เมื่อวาจานี้กล่าวออกไป สีหน้าของนางเถียนก็เปลี่ยนทันที หลัวจือหยานั้นตัวแข็งทื่อไปหมดจนแทบจะจับถ้วยชาในมือไว้ไม่อยู่แล้ว 

 

 

เจินเมี่ยวมองกลับสายตาแค้นเคืองนั้นของหลัวจือหยา แล้วยกถ้วยชาขึ้น ก้มหน้าลงชิมมัน ขนตาเป็นแพหนาดุจพัดเล็กๆ ช่วยปิดปังหมอกควันที่ปรากฏขึ้นมาในดวงตาอย่างกะทันหันนั้นไว้ 

 

 

คนชั่วช้านั้นรู้บ้างหรือไม่ว่าทิ้งความลำบากไว้ให้นางมากมายเพียงใด? 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองทุกคนคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ กินข้าวเถิด” 

 

 

เหล่าสาวใช้ที่สวมใส่เสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าต่างเดินเรียงแถวกันเข้ามาจัดอาหารวางบนโต๊ะ 

 

 

เมื่อเริ่มกินข้าว ทั้งยังเป็นงานเลี้ยงฉลองในจวนอีก กฎที่ว่ากินข้าวห้ามสนทนานั้นจึงต้องพิถีพิถันสักหน่อย ช่วงเวลานั้นจึงได้ยินเพียงเสียงถ้วยจานกระทบกันเบาๆ เท่านั้น 

 

 

ผ้าม่านหน้าประตูห้องอาหารพลันถูกแหวกออก ตามติดด้วยสายลมเหน็บหนาววูบหนึ่งที่มาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิง 

 

 

เขามองที่สีหน้าของเจินเมี่ยวเป็นคนแรกแต่เพียงครู่เดียวก็เบี่ยงสายตาหนีไป พลางเอ่ยขออภัยขึ้นว่า “ท่านย่า หลานมาสายแล้ว” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตรวจสอบหลานชายตนอย่างละเอียดคราหนึ่ง เมื่อดวงตาอันแดงก่ำ ทั้งอาภรณ์ยังดูขาดเก่า กระทั่งหนวดเคราก็มิได้โกนให้สะอาด แค่สองวันที่มิได้พบหน้ากลับผ่ายผอมไปไม่น้อยจึงอดห่วงใจมิได้ นางเอ่ยตำหนิขึ้นว่า “ในเมื่องานยุ่งเพียงนั้นจะกลับมาทำไมกัน?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่งอย่างอดมิได้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้ยุ่งเพียงใดก็ต้องมากินข้าวกับท่านย่าให้ได้ขอรับ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเบิกบานยิ่งจึงเอ่ยเย้าเขาอย่างนึกสนุกว่า “เจ้าเด็กคนนี้ อายุมากแล้วยังรู้จักพูดเอาใจคน ข้าว่าเจ้าคิดถึงภรรยามากกว่ากระมัง?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มโดยไม่มองเจินเมี่ยวสักน้อยนิด “หากไม่มีอันใด กินข้าวเสร็จแล้วหลานก็จะกลับศาลาว่าการขอรับ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองเจินเมี่ยวที่นั่งหลังตรงดุจพู่กันคราหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็พักที่เรือนสักคืนเถิด” 

 

 

ไม่ทราบว่าหลัวเทียนเฉิงลำบากใจหรือโล่งใจ แต่ครู่ก็พยักหน้ารับแล้วไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะด้านข้าง 

 

 

เจินเมี่ยวหยิบตะเกียบขึ้นมา ลอบคิดในใจว่าอาหารในถ้วยล้วนเป็นคนชั่วช้าผู้นั้น นางจึงจิ้มลงไปโดยแรงแล้วกัดกินคำใหญ่ แล้วกลืนกินมันลงไปพร้อมกับโทสะที่มี พริบตาก็กินหมดไปหนึ่งถ้วยใหญ่แล้ว 

 

 

กระทั่งเห็นก้นถ้วยจึงรู้ตัวว่าตนเอาแต่โกรธจนลืมตัวกินอาหารไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ครั้นเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองก็เห็นว่าในถ้วยของผู้อื่นนั้นยังมีข้าวกองพูนอยู่เลยจึงอึ้งงันไปเล็กน้อย 

 

 

หลัวเทียนเฉิงที่ใช้หางตาลอบมองนางอยู่ตลอดเวลาเห็นเช่นนั้นก็อดยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้ แต่ต่อมาก็เริ่มรู้สึกหดหู่อยู่ในใจอีกครั้ง 

 

 

เขาต้องถูกมนต์ดำอันใดเป็นแน่ เห็นชัดว่าทุกกระทำของนางทำให้เขาเบิกบานยิ่ง แต่เพราะความเบิกบานนี้เองทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวและแค้นเคือง คล้ายกับได้เข้าไปอยู่ในฝันอันแสนสวยงามอย่างที่สุด แต่หากเขาจมจ่อมอยู่กับมัน บางทีอาจจะต้องเสียใจมากกว่าชาติที่แล้วก็เป็นได้ 

 

 

อาหารมื้อที่ไร้รสชาติที่สุดได้ผ่านไป ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับเรือน 

 

 

ยามเหมันต์ฟ้ามักมืดเร็วสักหน่อย เจินเมี่ยวถือโคมอันหนึ่งเดินเคียงไปกับหลัวเทียนเฉิง 

 

 

แสงไฟขมุกขมัว ส่องให้เห็นเพียงทางเดินตรงหน้า แต่มิอาจเห็นสีหน้าของคนได้ชัดนัก 

 

 

ภายใต้ความเงียบงันอันน่าอึดอัดนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าถนนเส้นนี้ช่างยาวไกลและยากลำบากยิ่ง 

 

 

เมื่อสายตามองเห็นเรือนชิงเฟิงแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็อดเอ่ยขึ้นมามิได้ว่า “อาซื่อ ยังเจ็บอยู่หรือไม่?” 

 

 

เจินเมี่ยวพลันชะงักฝีเท้า นางเม้มริมฝีปากแน่นมิเอ่ยวาจา 

 

 

“อาซื่อ…คืนนั้น…ข้าขอโทษ…” 

 

 

เจินเมี่ยวเงียบอยู่นาน นานกระทั่งหลัวเทียนเฉิงคิดว่านางคงมิไยดีแล้ว ในขณะที่กำลังก้าวเท้าไปข้างหน้านางก็พลันถามออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพราะเหตุใด?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตามุ่งมั่น ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสยิ่งกว่าดาวดวงใดในท้องนภา ทั้งยังแวววาวไม่ต่างอันใดกับดวงดารา “จิ่นเหยียน ท่านต้องบอกข้าว่าเพราะเหตุใด?” 

 

 

ครานี้กลับเป็นหลัวเทียนเฉิงแล้วที่พูดไม่ออก 

 

 

เจินเมี่ยวหันหลังกลับไป เสียงที่เอ่ยคล้ายลอยมาจากที่แสนไกล “จิ่นหมิง เรื่องคืนนั้น ข้าแค้นท่านจริงๆ คิดว่าชาตินี้จะไม่สนใจท่านอีกเด็ดขาด แต่สองวันนี้ข้าคงเสียใจมากเกินไป ทำให้หวนคิดถึงเรื่องมากมาย ข้าจึงสรุปได้ว่าท่านน่าจะป่วย” 

 

 

“ป่วยหรือ?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าน่าขันทั้งรู้สึกเป็นห่วงนาง 

 

 

นางคิดเรื่องเหลวไหลเรื่อยเปื่อยอันใดกัน? 

 

 

เจินเมี่ยวมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านป่วย ไม่รู้ว่าท่านเคยได้ยินหรือไม่ คนเราไม่เพียงแต่ร่างกายป่วยได้ แต่ใจก็ป่วยได้เช่นกัน” 

 

 

“ป่วยที่ใจหรือ?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น 

 

 

เจินเมี่ยวเผยท่าทีดุจอาจารย์ส่วนศิษย์ นางพยายามใช้ภาษาที่คิดว่าเขาจะเข้าใจมาอธิบาย “หรืออาจกล่าวได้ว่าใจของเรานั้นมีหลุมดำที่มิอาจกระโดดข้ามไปได้ เมื่อมีปมในใจ มันก็คืออาการป่วยอย่างหนึ่ง” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา เสียงที่เปล่งออกจะแห้งผาก “เจ้าพูดมาอีกเถิด” 

 

 

“ปมในใจนี้จะทำให้คนเรามิอาจควบคุมอารมณ์ตนได้ และอาจทำเรื่องที่ผิดจากคนทั่วไป” 

 

 

ในหัวของหลัวเทียนเฉิงคล้ายมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาคราหนึ่งทำให้ตื่นรู้ขึ้นมา 

 

 

ปมในใจ ปมในใจ! 

 

 

อาซื่อพูดถูก หลุมดำในใจเขาก็คือปมในใจที่นางกล่าว! 

 

 

เขาตื่นเต้นจนโผเข้าไปกอดเจินเมี่ยวอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ 

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในสถานการณ์ที่มิได้พูดคุยกันให้ชัดเจนนี้นางกลับเข้าใจในตัวเขา ความเข้าใจนี้คล้ายได้กระโจนพ้นออกมาจากหมอกควันอันร้ายกาจภายในพริบตา ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวกลับผลักหลัวเทียนเฉิงออกไป แล้วถอยหลังหนึ่งก้าวให้คนทั้งสองมีระยะต่อกัน นางเอ่ยขึ้นเนิบนาบว่า “เมื่อป่วยก็ต้องรักษา” 

 

 

“รักษา?” ท่าทีตื่นเต้นดีใจนั้นค่อยๆ หายไปจากใบหน้าหล่อเหลา “รักษาอย่างไร?” 

 

 

“ท่านต้องบอกข้า ว่าหลุมดำในใจของท่านเกิดขึ้นได้อย่างไร” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับเงียบขึ้นมาอีกครา 

 

 

มุมปากเจินเมี่ยวเคลือบไปด้วยรอยยิ้มที่คล้ายว่ามันจะหายไปได้ทุกเมื่อกระนั้น “จิ่นหมิง ตอนนี้ท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่าทีประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายที่ท่านมีต่อข้านั้นเกิดจากสาเหตุใด?” 

 

 

รออยู่นาน รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปในราตรีอันเหน็บหนาว 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบากว่า “หากข้ามิได้ป่วยเล่า?” 

 

 

เจินเมี่ยวเอียงคอระบายยิ้ม “หากท่านทำเรื่องเช่นนั้นเพราะเป็นอุปนิสัยของท่าน ข้าเองก็คงมิอาจก้าวข้ามหลุมดำในใจตนได้เช่นกัน เราคงต้องจบกันเท่านี้…” 

 

 

กล่าวตามตรง นางเองก็ยังมิได้รักเขาอย่างลึกซึ้งเพียงนั้น นางได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้วเพื่อความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ในเมื่อมิอาจสำเร็จก็ถอยกลับมาเป็นเพียงคนแปลกหน้า แล้วใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปเถิด 

 

 

วาจานี้คล้ายธนูอันแหลมคมปักลงไปในใจหลัวเทียนเฉิง แล้วกระชากดึงกระชากเลือดและเนื้อออกมาโดยแรง 

 

 

เขาซวนเซเล็กน้อยจนเกือบยืนไม่อยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยอมรับออกมาในที่สุด “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพูดถูก ข้าป่วย” 

 

 

“แต่…” ปากของเขากลับขยับขึ้นด้วยความยากลำบากอีกครา “หากข้าบอกสาเหตุไม่ได้เล่า?” 

 

 

จะให้บอกว่าเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมางั้นหรือ? นางมิมองเขาเป็นปีศาจหรอกหรือ? 

 

 

เจินเมี่ยวจ้องเขาเขม็ง บนใบหน้าแทบไม่มีความรู้สึกใด “มิใช่สตรีทุกคนจะมีความอดทนที่จะเอาแต่เฝ้ารอฟังเหตุผล” 

 

 

กล่าวจบก็ถือโคมไฟเดินเข้าไปในเรือนอย่างมิรั้งรอเขาอีก 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยืนพิงต้นเหมยเก่าแก่อยู่นาน แม้แต่แผ่นหลังเปียกชื้นไปหมดเพราะหิมะที่เกาะตามต้นไม้นั้นเขาก็ยังมิรู้สึกตัว ยังคงเอาแต่จ้องมองแสงไฟอันริบหรี่ภายในห้องที่พวกเขาเคยอยู่ร่วมกัน 

 

 

เขาทราบดีว่านางยังคงรอเขาอยู่ แต่เมื่อดวงไฟนั้นมืดดับลงก็เกรงว่าความอดทนของนางก็คงจะหมดสิ้นแล้วเช่นกัน 

 

 

ราตรีค่อยๆ มืดลง แม้แต่พระจันทร์เสี้ยวก็ยังเข้าไปหลบซ่อนในกลีบเมฆ ลานในเรือนจึงยิ่งมืดดำมากขึ้น แสงไฟดวงน้อยๆ นั้นกลับยิ่งส่องให้ภายในห้องสว่างแจ้งขึ้นมาเป็นพิเศษ คล้ายต้องการนำทางให้คนมิต้องหลงทางอยู่ในราตรีอันเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนี้เพียงลำพัง 

 

 

เปลวไฟกะพริบไหวหลายครา แสงที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างกระดาษไขพลันวูบไปไหวมา เป็นสัญญาณเตือนว่าเทียนเล่มนั้นใกล้มอดดับแล้ว 

 

 

เมื่อถึงเวลานี้แล้ว ทางเลือกอันยากลำบากนั้นกลับพลันหายไปจนหมด หลัวเทียนเฉิงพุ่งเข้าไปด้านในประดุจธนูดอกหนึ่ง แล้วปีนข้ามหน้าต่างไปอย่างชำนาญ 

 

 

เจินเมี่ยวหันหน้าไปมอง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามาหา เขาจ้องตานาง เสียงที่เอ่ยนั้นเรียบนิ่งกระทั่งตนเองยังแปลกใจ “อาซื่อ ข้าเคย…เคยฝันว่า…” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset