วาสนาบันดาลรัก 245 เจ็บปวด

ตอนที่ 245 เจ็บปวด

วันต่อมา เจินเมี่ยวยังมิทันตื่นนอน ไป๋เสาก็เข้าไปลูบที่หน้าผากนาง แล้วถอนหายใจโล่งอกออกมา

 

 

เคราะห์ดีที่ปกติต้าไหน่ไหน่กินแต่อาหารดีๆ ทั้งยังชอบออกกำลัง พื้นฐานสุขภาพจึงดี การไม่มีไข้นับเป็นโชคอันใหญ่หลวงยิ่ง

 

 

อาหลวนออกไปตรวจสอบที่นอกหน้าต่างตั้งแต่เช้าแล้ว

 

 

เมื่อคืนหิมะตกหนัก จึงไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่เลย คิดว่าคงไม่มีผู้ใดพบเห็นความผิดปรกติใดแน่

 

 

นางส่งสายตาให้ไป๋เสาคราหนึ่งแล้วเอ่ยกับไป่หลิงว่า “วันนี้ให้ข้าดูแลปรนนิบัติต้าไหน่ไหน่เถิด”

 

 

สาวใช้ใหญ่สองคนที่ดูแลเรื่องภายในเรือนคืออาหลวนและไป่หลิง สาวใช้ขั้นสองทั้งสองจะผลัดเปลี่ยนกันปรนนิบัติเจินเมี่ยว และวันนี้เป็นหน้าที่ของไป่หลิง

 

 

เมื่อได้ยินอาหลวนกล่าวเช่นนี้ ไป่หลิงก็อึ้งงันไปจึงอดหันไปสบตาไป๋เสามิได้

 

 

สาวใช้ที่มีตำแหน่งเท่าเทียบกัน แม้นจะมาจากจวนเจี้ยนอานปั๋วเหมือนกัน แต่ก็อดแข่งขันกันอยู่ในทีมิได้

 

 

คิดไม่ถึงว่าไป๋เสากลับพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไป่หลิง ต้าไหน่ไหน่มิใคร่สบายนัก วันนี้ให้อาหลวนปรนนิบัติเถิด เจ้าไปเรียนที่เรือนอี๋อานสักหน่อยเถิด หากมีคนมาขอเยี่ยมอาการเจ้าก็รับรองด้วย”

 

 

ไป่หลิงฉลาดปราดเปรื่องดั่งนามตน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันใดกับผู้อื่นมาตลอด เมื่อได้ยินไป๋เสาเอ่ยเช่นนี้ก็มิพูดมากความ พยักหน้ารับแล้วถอยออกไปทันที

 

 

จื่อซูกลับมิใช่คนที่จะปิดบังอันใดได้โดยง่าย นางมิได้เอ่ยอันใดต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย แต่เมื่อภายในห้องเหลือเพียงไป๋เสาและอาหลวนก็หันไปมองพวกนางสองคนทันที

 

 

ไป๋เสาจูงมือนางไปที่ห้องเล็กด้านข้าง แล้วเล่าเรื่องอันคลุมเครือนั้นให้นางฟัง ทั้งเอ่ยเสริมว่า “เรื่องของต้าไหน่ไหน่นี้ ตามความเห็นข้า แม้นจะเป็นสาวใช้ในเรือนเราเอง แต่คนรู้น้อยเท่าใดก็ดีเท่านั้น ท่านว่าอย่างไร พี่จื่อซู?”

 

 

หากเป็นไปได้ เรื่องที่ยากจะเอ่ยปากเช่นนี้ แม้แต่จื่อซูก็ไม่ควรบอกด้วยซ้ำ

 

 

ทว่านางล้วนเป็นสาวใช้ใหญ่ หากภายหน้าจื่อซูทราบเข้า ก็อาจเกิดความระแวงในใจได้ ถึงตอนนั้นหากทั้งสองมิลงรอยกัน ต้าไหน่ไหน่คงลำบากแน่

 

 

ทั้งไป๋เสายังมีความคิดอีกอย่างแฝงอยู่ด้วย

 

 

แม้นนางจะเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ทั้งตั้งใจว่าจะไม่ออกเรือนเด็ดขาด แม่นมหวังผู้ใกล้ชิดของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงอบรมนางในหลายๆ เรื่องรวมไปถึงการปฏิบัติดูแลนายผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วด้วย

 

 

เมื่อวานต้าไหน่ไหน่ต้องพบเจอเรื่องเช่นนั้น หากเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา…

 

 

ถึงตอนนั้นก็มิใช่เรื่องที่นางและอาหลวนจะปิดบังได้อีกต่อไป อย่างไรจื่อซูที่เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งก็ต้องถูกลากมาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มิสู้ให้นางรู้ตัวเร็วหน่อยจะดีกว่า

 

 

จื่อซูฟังแล้วก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่เพราะมิชอบแสดงสีหน้ามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อมองดูแล้วก็นับว่ายังสุขุมอยู่เช่นเดิม แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

ไป๋เสาจึงเอ่ยปรึกษาต่อว่า “”อย่างไรข้าก็ยังรู้สึกว่าข่าวคราวในเรือนชิงเฟิงของเราแพร่ออกไปเร็วไม่น้อย

 

 

ดวงตาของจื่อซูเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง “หรือในเรือนของเราจะมีคนของผู้อื่นอยู่?”“คนเก่าที่อยู่ในเรือนชิงเฟิง นอกจากอวิ๋นเยี่ยน อวิ๋นหลิ่วที่พอมีบทบาทอยู่บ้าง ผู้อื่นก็ล้วนมิอาจเข้ามาในเรือนหลักได้ เมื่อมีข่าวใดแพร่ออกไป หากมิใช่อวิ๋นเยี่ยนกับอวิ๋นหลิ่ว ก็คงต้องเป็นคนของเรานั้นแลที่ปากมากเกินไป ”

 

 

จื่อซูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อวิ๋นหลิ่ว อวิ๋นเยี่ยนเดิมเป็นสาวใช้ขั้นสองหากเราแสดงออกชัดเจนเกินไปดั่งป้องกันโจรผู้ร้ายคงน่าเกลียดเกินไป เช่นนั้นก็คอยระมัดระวังอยู่เงียบๆ เถิดส่วนคนของเราจะตักเตือนให้มาก ให้พวกนางอย่าลืมสิ่งที่ควรปฏิบัติ หากว่างนักก็คิดถึงจุดจบของเสี่ยวฉานให้มากๆ!”

 

 

“อืม” ไป๋เสาพยักหน้าหงึกหงัก

 

 

เมื่อไป่หลิงไปถึงเรือนอี๋อาน หงฝูเข้ามารับเข้าไปภายในเรือน

 

 

นางใช้หางตากวาดมองอย่างรวดเร็วคราหนึ่งจึงพบว่าภายในห้องมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเพียงคนเดียว จึงได้แต่โล่งอกอยู่ในใจ นางคุกเข่าทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “บ่าว ไป่หลิง สาวใช้ขั้นสองของต้าไหน่ไหน่คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

 

 

เห็นชัดว่าฮูหยินมิได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีคนมาหาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เมื่อมองดูไป่หลิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วก็เอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด พื้นเย็นยิ่ง”

 

 

ไป่หลิงลังเลเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นแต่กลับไม่กล้าเงยหน้ามากนัก ได้แต่ก้มหน้าเอ่ยว่า “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้ต้าไหน่ไหน่มิใคร่สบายนักจึงสั่งให้บ่าวมาเรียนต่อท่านเพื่อขอรับคำตำหนิเจ้าค่ะ”

 

 

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น นางเถียนก็พาหลัวจือหยาเดินเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย “เมื่อวานยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงไม่สบายได้ เชิญท่านหมอแล้วหรือไม่?”

 

 

ไป่หลิงขบริมฝีปากตน “ต้าไหน่ไหน่เพียงรับไอเย็นมากเกินไป ทำให้รู้สึกไม่สบาย ดื่มน้ำขิงแล้วก็บอกว่า…”

 

 

นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างระมัดระวังคราหนึ่งจึงเอ่ยต่อว่า “ต้าไหน่ไหน่บอกว่ามิต้องเรียกท่านหมอเจ้าค่ะ”

 

 

นางเถียนขมวดคิ้ว “ต้าไหน่ไหน่ทำตัวเป็นเด็ก พวกเจ้าเป็นบ่าวไพร่ เหตุใดจึงปล่อยให้นางทำตามใจ ป่วยก็ต้องเชิญท่านหมอมาตรวจ มีเรื่องใดต้องพูดกันอีกเล่า”

 

 

ไป่หลิงพลันร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

นางเถียนกับเม้มริมฝีปากเผยยิ้มเอ่ยต่อฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า อย่างไรก็ให้หมอในจวนไปตรวจหลานสะใภ้ดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากละเลยไป อาการป่วยเล็กน้อยอาจลุกลามจนอาการหนักคงมิคุ้มแน่”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าฟฟังแล้วก็พยักหน้า กำลังจะเอ่ยปากขึ้น ไป่หลิงก็กัดฟันคุกเข่าลงอีกครา “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ความจริงต้าไหน่ไหน่ ระดูของต้าไหน่ไหน่มาเจ้าค่ะ…”

 

 

นางไม่รู้จริงๆ เหตุใดพี่ไป๋เสาจึงให้นางเรียนเช่นนี้ เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป แม้แต่นางก็รู้สึกเขินอายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

 

 

ครั้นได้ฟังวาจานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าและนางเถียนก็อึ้งงันไปพร้อมกัน

 

 

มิถูก นางเถียนลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ

 

 

ระดูของนางเจินผ่านไปยังมิถึงเดือนมิใช่หรือ แล้วจะมาอีกได้อย่างไร?

 

 

เมื่อใคร่ครวญดูอีกทีก็ต้องยิ้มออกมา

 

 

เด็กสาวที่ระดูมาได้เพียงปีสองปี บางคนก็จะมีการมาที่คลาดเคลื่อน ดูท่านางเจินจะเป็นเช่นนั้นแล ร่างกายคงมิอาจปรับตัวได้

 

 

หากเป็นเช่นนี้ แม้นคิดจะตั้งครรภ์ในเวลาอันใกล้นี้ก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งแล้ว

 

 

นางเถียนผลิยิ้มที่ไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตเห็นออกมา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าก็เบิกตากว้างเอ่ยสิ่งใดไม่ออกเช่นกัน จึงอ้าปากพูดได้เพียง “นาง…” เมื่อเห็นไป่หลิงหน้าแดงมากขึ้นทุกทีจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หงฝู ไปอาเจียวมาให้ไป่หลิงนำกลับไปด้วย”

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

ไป่หลิงรีบเอ่ยขอบพระคุณทันที “บ่าวขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่าแทนต้าไหน่ไหน่ด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองไป่หลิงอยู่นาน

 

 

สาวใช้ผู้นี้ช่างฉลาดมีไหวพริบนัก ฮูหยินผู้เฒ่าอดยกมุมปากหยักโค้งขึ้นมิได้

 

 

อาการตื่นเต้นของนางเมื่อครู่นั้นเป็นเพราะเหตุผลในการไม่มาน้อมทักทายของหลานสะใภ้นั้นช่างน่าเขินอายเช่นนี้เอง

 

 

นางกลับไพล่คิดไปว่าเมื่อวานหลานสะใภ้ถูกตำหนิ วันนี้จึงได้เล่นแง่กับนางเสียอีก

 

 

ปมในใจของฮูหยินผู้เฒ่าพลันคลายหายไปทันที

 

 

ไป่หลิงรับอาเจียวกลับไป อาหลวนเป็นผู้นำไปเคี่ยว ส่วนไป๋เสานั้นแยกตัวออกจากทุกคนไปคอยเฝ้าเจินเมี่ยวอยู่เงียบๆ

 

 

เจินเมี่ยวนั่งพิงหมอนอิงสีทองปักลายกุหลาบแดงอย่างเหม่อลอยไร้วาจา

 

 

มิทราบผ่านไปนานเท่าใดจึงมีสติคืนมา นางเลียริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ไป๋เสา ข้ากระหาย อยากจะดื่มน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดง”

 

 

ไป๋เสากลับมิได้เคลื่อนไหวใดๆ เพียงร้องเสียงสูงว่า “อาหลวน…”

 

 

อาหลวนที่กำลังเคี่ยวอาเจียวอยู่ห้องด้านข้างจึงเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา

 

 

“เจ้าไปบอกชิงเกอว่าต้าไหน่ไหน่อยากกินน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดง ให้นางทำแล้วยกเข้ามาที”

 

 

“เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นแววตาเจินเมี่ยวกลับมากระจ่างใสอีกครา อาหลวนก็มีสีหน้าดีใจแล้วรีบถอยออกไปทันที

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาไปมาแล้วมองไป๋เสา “ไป๋เสา เจ้าไม่ยอมอยู่ห่างข้าเพียงก้าว เพราะกลัวข้าจะคิดสั้นหรือ? ”

 

 

ยามนี้นางช่างรู้สึกลำบากใจจริงๆ

 

 

หากบอกไปตามความจริงแล้วจะให้เหล่าสาวใช้มองซื่อจื่ออย่างไร แล้วจะมองนางอย่างไร?

 

 

ทว่าหากมิพูดปล่อยให้ไป๋เสากับอาหลวนเข้าใจผิดไปเช่นนี้แล้วพวกนางจะมองตนเช่นไรเล่า?

 

 

เอ๊ะ คล้ายว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่ง แล้วก็เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน

 

 

พูดความจริง นางและซื่อจื่อก็จะถูกดูแคลนด้วยกันทั้งสองคน แต่หากไม่พูดความจริงผู้ที่ถูกเหยียดหยามคงมีแค่นางคนเดียว

 

 

ทั้งที่คนที่ทำเรื่องชั่วช้านี้คือคนเลวผู้นั้น แล้วเหตุใดนางต้องยอมถูกเหยียดหยามแต่เพียงผู้เดียวเล่า

 

 

คนบางคนที่มิเคยที่ว่าตนจะเป็นสตรีผู้เพียบพร้อมงดงามมีคุณธรรมจึงได้เอ่ยขายหลัวเทียนเฉิงออกไปทันที “ผู้ที่กระทำเรื่องเมื่อวานคือซื่อจื่อ”

 

 

นางจักต้องให้เหล่าสาวใช้ดูแคลนเขาไปเช่นเดียวกันนาง!

 

 

ไป๋เสาถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถอนหายใจเสร็จแล้ว โทสะและความสงสารกลับประเดประดังเข้ามา

 

 

ความจริงความรู้สึกเหล่านี้ที่ไป๋เสามีนั้นไม่ยากเลยที่จะเข้าใจ

 

 

สำหรับสตรีผู้หนึ่งแล้ว ความบริสุทธิ์นั้นสำคัญที่สุด หากเมื่อวานเป็นบุรุษอื่น แค่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ต้าไหน่ไหน่ก็มีเพียงตายทางเดียวเท่านั้น ทั้งยังทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วต้องอับอายไปด้วย และแม้นจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่หากเรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับต้าไหน่ไหน่แล้ว ก็ไม่ต่างอันใดกับอยู่ไม่สู้ตาย

 

 

หากคนผู้นั้นเป็นซื่อจื่อ…

 

 

ไป๋เสาสลัดก้อนหินอันหนักอึ้งที่สุดซึ่งกดทับหัวใจนางออกไป มิเช่นนั้นคงได้เผลอเผยความรู้สึกของตนออกมาอย่างง่ายดายเป็นแน่ นางประคองแขนเจินเมี่ยวด้วยตาแดงก่ำ “ซื่อจื่อช่างมิรู้จักถนอมต้าไหน่ไหน่เอาเสียเลย”

 

 

นางคิดถูกยิ่งที่ตัดสินใจไม่ออกเรือนไปชั่วชีวิตว่าหรือไม่ ติดตามต้าไหน่ไหน่ ทั้งกินดีอยู่ดี มิต้องกังวลว่าจะถูกบุรุษทารุณด้วย

 

 

ทว่าเหตุใดต้าไหน่ไหน่ถึงได้น่าสงสารถึงเพียงนี้เล่า!

 

 

ซื่อจื่อช่างนั้นเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์โดยแท้! ไป๋เสาคิดอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

เมื่อเห็นว่ามีคนโกรธแค้นแทนนางเช่นนี้ เจินเมี่ยวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา แม้นเนื้อตัวจะฟกช้ำแต่คล้ายว่าหัวใจกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า ความรู้สึกมึนชาไร้วิญญาณนั้นกลับมลายหายไป นางโผเข้าสู่อ้อมอกไป๋เสาแล้วร้องไห้ออกมา

 

 

จะแสร้งเข้มแข็งไปไย อย่าได้ล้อเล่นเลย นางทำมิได้เสียหรอก!

 

 

ตอนที่ชิงเกอยกน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดงเข้ามาก็ว่าเจินเมี่ยวกำลังร้องไห้อย่างหนัก จึงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง กระทั่งอาหลวนเดินออกมาจากห้องด้านข้างแล้วรับถ้วยน้ำแกงไป ทั้งส่งสายตาให้นางออกไปได้ นางจึงมีสติขึ้นมาในทันที

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ ผู้ใดรังแกท่าน บอกบ่าวมา บ่าวจะไปจัดการมันเจ้าค่ะ!”

 

 

“นี่ๆ ชิงเกอ เจ้ารีบออกไปเถิด” อาหลวนผลักนางคราหนึ่ง

 

 

น่าเสียดายที่ชิงเกอตัวใหญ่กว่านางเป็นสองเท่า เมื่อนางแน่วแน่ว่าจะไม่ไป ผู้ใดผลักนางก็มิเคลื่อนไหว อาหลวนผลักอาหลวนให้หลบไปอีกทางแล้วเข้าไปจับตัวเจินเมี่ยวออกมาจากอกไป๋เสา

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ ท่านบอกบ่าว บอกบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะ!”

 

 

เจินเมี่ยวถูกนางเขย่าจนเวียนหัวจนแทบจะหมดสติไป นางกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยว่า “หยุดเดี๋ยวนี้”

 

 

รอจนชิงเกอหยุดเขย่า นางจึงเอ่ยว่า “ข้าแค่ปวดท้องนิดหน่อย รู้สึกไม่สบายเท่าใดจึงร้องไห้ออกมาเท่านั้น ผู้ใดจะกล้ารังแกข้ากันเล่า ชิงเกอ อาหลวนพูดถูก เจ้าออกไปเล่นสักประเดี๋ยวเถิด ข้าดื่มน้ำแกงร้อนๆ นี้แล้วก็คงดีขึ้น”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงเกอเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ นางคิดแล้วคิดอีกจึงเดินมุ่งหน้าไปหาปั้นซย่า

 

 

“พี่ชิงเกอ มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” ปั้นซย่ากลัวสาวใช้ทึ่มทื่อผู้นี้มาก คราแรกก็เอาซาลาเปาไส้เนื้อมาติดสินบนเขา หึๆ เขายอมตายดีกว่าทำเช่นนั้น

 

 

ชิงเกอเป็นคนซื่อตรง เมื่อใจคิดเช่นไร ปากก็พูดไปเช่นนั้น “ต้าไหน่ไหน่ปวดท้องจนร้องไห้ เจ้าไปเรียนซื่อจื่อที่ศาลาว่าการสักหน่อยได้หรือไม่?”

 

 

“คือ…” ปั้นซย่าอยากจะดึงทิ้งศีรษะตนนักจะไปหาซื่อจื่อด้วยเหตุผลเช่นนี้ เขาจะมิถูกตีตายหรอกหรือ?

 

 

“เจ้าจะไปหรือไม่ไป?” ชิงเกอผลักเขาคราหนึ่ง

 

 

ปั้นซย่าเซถลาล้มลงไปบนพื้น แล้วตะกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล “ไป ข้าจะกล้าไม่ไปหรือ!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset