วาสนาบันดาลรัก 237 ไก่ฟ้า

ตอนที่ 237 ไก่ฟ้า

ขันทีผู้อยู่หน้าเดินเข้าไปกระซิบไท่โฮ่วสองสามประโยค ผู้คนภายในตำหนักชะงักตะเกียบอย่างอดมิได้ 

 

 

เจินเมี่ยวกำลังคีบเนื้อนกกระทาขึ้นมาพอดี 

 

 

อาหารชนิดนี้ มีวุ้นใสๆ ห่อหุ้มเนื้อนกกระทาไว้ มองดูแล้วช่างดูเย็นสดชื่น 

 

 

แม้นยามนี้ด้านนอกจะมีหิมะพัดโปรยปราย แต่ภายในกลับอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู เจินเมี่ยวจึงอดลงมือกินมันมิได้ 

 

 

แต่เมื่อลอบชำเลืองไปด้านข้างกลับเห็นว่าไม่มีผู้ใดใส่ใจกับอาหารบนโต๊ะเลย เจินเมี่ยวจึงวางใจ และเริ่มลงมือกินอย่างเงียบๆ นางคีบเนื้อกวางตุ๋นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง 

 

 

ใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อยของไท่โฮ่ว ทำให้คนทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวนตามไปด้วย 

 

 

เมื่อไท่โฮ่วลุกยืนขึ้น ฮูหยินผู้หนึ่งที่มัวแต่จดจ้องจนเกินไปจึงตกใจลืมกระทั่งตะเกียบในมือตน 

 

 

ตะเกียบร่วงตกกระทบจานเกิดเสียงเคร้งคร้างดังขึ้นภายในตำหนักที่เงียบกระทั่งเข็มตกยังได้ยิน สายตาของคนทั้งหลายจึงอดหันไปมองมิได้ 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาโดยพลัน 

 

 

หรือตะเกียบที่ร่วงจะเป็นของนาง? 

 

 

เมื่อก้มลงมอง ไม่ใช่เสียหน่อย ตะเกียบยังคงอยู่ 

 

 

“เจินฮูหยิน ขออภัยยิ่ง ข้าทำให้อาภรณ์ของท่านเปื้อนเสียแล้ว ” ภายใต้การจับจ้องของคนทั้งหลาย ฮูหยินผู้นั้นก็ได้แต่หันไปขออภัยต่อเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าแดงก่ำ 

 

 

เจินเมี่ยวจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแขนเสื้อด้านขวาของนางเปื้อนน้ำแกงเสียแล้ว แต่เพราะเมื่อครู่นางมัวแต่เสพสุขกับรสชาติอันเลิศล้ำของเนื้อกวางตุ๋น ทั้งกำลังขบคิดถึงเครื่องปรุงที่ใช้ในการทำเนื้อกวางตุ๋นอยู่จึงมิได้รู้สึกตัวตั้งแต่คราแรก 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างมองอยู่ เจินเมี่ยวเองก็มิอยากจะเสียหน้า จึงวางตะเกียบลงอย่างสง่างามแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดริมฝีปาก ค่อยคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “มิเป็นไร” 

 

 

การกระทำทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาคนทั้งหลาย คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ต่อคนทั้งสองก็เกิดขึ้นทันที 

 

 

โถ่เอ๊ย ดูฮูหยินสกุลเฉียวแห่งจวนหย่งจยาโหวเถิด คิดไม่ถึงว่าจะมิรู้จักเก็บอาการเช่นนี้ ถึงกับกล้าเสียกริยาในงานเลี้ยงเช่นนี้ ทั้งยังทำอาภรณ์ผู้อื่นเปื้อนอีก ช่างน่าขายหน้าจริงๆ เชียว 

 

 

แต่ฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเล่า ดูเอาเถิดว่านางสุขุมนุ่มลึกเพียงใด แม้นอาภรณ์เปื้อนแล้วก็ไม่ขยับแม้เปลือกตา กระทั่งอีกฝ่ายกล่าวขออภัยจึงตอบกลับอย่างเกรงอกเกรงใจ 

 

 

เกรงว่าหากนางเฉียวมิกล่าวขออภัย นางก็คงทำดั่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่กระมัง 

 

 

นี่จึงเรียกว่าแม้นเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยอย่างไรเล่า! 

 

 

ต่างเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดด้วยกันทั้งสิ้นแต่เหตุใดท่าทีจึงต่างกันลิบลับ ดังคำที่ว่าหากนำคนมาเปรียบกันคนคงต้องตาย หากนำของมาเทียบกันคงต้องทิ้งของ! 

 

 

“นางกำนัล นำทางฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงไปเปลี่ยนอาภรณ์” จ้าวหวงโหวเห็นคนทั้งหลายจับจ้องอยู่เช่นนั้นจนเกินงามจึงเอ่ยปากขึ้น 

 

 

นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามา “เชิญเจินฮูหยินเจ้าค่ะ” 

 

 

การสวมอาภรณ์ที่แปดเปื้อนแล้วอยู่ในงานเลี้ยงเช่นนี้นั้นเป็นการเสียมารยาทยิ่ง เจินเมี่ยวเพิ่งจะลุกยืนขึ้น ไท่โฮ่วก็เอ่ยปากว่า “งานเลี้ยงในวันนี้ สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถิด” 

 

 

กล่าวจบ แม่นมผู้หนึ่งก็ประคองไท่โฮ่วออกไป 

 

 

งานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทเพิ่งดำเนินมาได้เพียงครึ่งเท่านั้น แต่ไท่โฮ่วกลับเสด็จออกไปแล้ว หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ? 

 

 

หรือ…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝ่าบาท? 

 

 

เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้แม้นพระองค์จะมิใคร่แข็งแรงนักแต่ก็ทรงพระอาการดีขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ? 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวหวงโฮ่วก็มิอาจทนอยู่ได้อีกต่อไป นางกล่าววาจาประโยคหนึ่งแล้วก็จากไป 

 

 

เหลือไว้เพียงคนทั้งหลายที่หันมาสบตากัน ตามติดด้วยการสนทนาอันเซ็งแซ่ ส่วนผู้ที่ไม่อยากวิจารณ์อันใดก็ลุกขึ้นจากไปอย่างเงียบๆ 

 

 

ไท่จื่อเฟยมิได้ขยับลุกไปไหน นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวอย่างแนบเนียน 

 

 

“เจินฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยขึ้น 

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มิต้องแล้ว ในเมื่องานเลี้ยงเลิกแล้ว ข้ากลับไปเปลี่ยนที่จวนก็ได้” 

 

 

นางกำนัลฐานะต่ำต้อย เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ จึงได้แต่เผยปากขึ้นคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่ก็มิเอ่ยออกมา เพราะมิกล้ากล่าวเตือนอันใดอีก 

 

 

ทว่าฮูหยินสกุลเฉียนจวนหย่งจยาโหวที่มีสีหน้าประหม่าอยู่ตลอดเวลากลับเอ่ยว่า “เจินฮูหยิน จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านกลับไปเช่นนี้ หลัวซื่อจื่อคงเป็นกังวลแน่ อีกอย่างระหว่างทางหากถูกผู้คนพบเข้า คงถูกขบขันเป็นแน่” 

 

 

เจินเมี่ยวก้มลงมองรอยเปื้อนสองสามจุดบนแขนเสื้อตน ยามนี้นางสวมอาภรณ์สีสันฉูดฉาด จึงมิได้เห็นชัดนัก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เฉียวฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว แค่เปื้อนเล็กน้อยเท่านั้น ซื่อจื่อคงมิเป็นกังวลอันใดดอก รอยเปื้อนนี้ก็มิได้เด่นชัดเพียงนั้น เมื่อออกจากวังขึ้นรถม้าก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว อีกอย่าง เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ หากผู้อื่นจะขบขันข้าก็มิสนใจดอก” 

 

 

นางกล่าวในใจว่าสตรีผู้นี้กังวลเกินไปแล้ว เมื่อนางขึ้นรถม้าก็เปลี่ยนอาภรณ์ที่เตรียมไว้เสีย เกรงว่าแม้แต่สามีนางก็คงไม่มีทราบเป็นแน่ 

 

 

นางเฉียวยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ 

 

 

สตรีผู้หนึ่งเข้ามาร่วมงานเลี้ยงในวังแต่กลับสวมอาภรณ์เปื้อนคราบสกปรกกลับไป แต่กลับไม่กลัวคนหัวเราะเยาะ? 

 

 

ควรต้องทราบว่าที่นี่เป็นวังหลวง แค่เกิดเรื่องผิดปรกติแม้นเพียงเล็กน้อยขึ้นก็มิอาจทราบได้ว่าจะถูกผู้คนคาดเดาจนเกิดข่าวลือเช่นใดออกไปบ้าง! 

 

 

การเอ่ยเตือนอันอ้อมค้อมนี้ทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจไม่น้อย “เฉียวฮูหยิน ฮูหยินทั้งหลายต่างเห็นแล้วว่าเหตุใดอาภรณ์ข้าจึงเปื้อน แม้นจะเปลี่ยนตัวใหม่พวกนางก็ยังคงไม่ลืมดอก แต่ท่านวางใจเถิด เมื่อกลับไปข้าจะมิเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน” 

 

 

มีแต่วังหลวงหรือไรที่สามารถปล่อยข่าวทั้งหลายได้ นางเฉียวผู้นี้ช่างน่าสงสารจริงๆ! 

 

 

นางเฉียวแทบจะพ่นโลหิตออกมาแล้ว นางเพิ่งจะนึกได้ ใช่แล้ว ผู้คนที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในวังหลวงต่างอยู่ที่นี่กันทั้งสิ้น! 

 

 

หากไท่โฮ่วมีเสด็จออกไปจากงานอย่างกะทันหัน นางเจินก็คงถูกพาไปเปลี่ยนอาภรณ์ หากเกิดเหตุอันใดที่ดึงดูดความสนใจผู้คนขึ้น เรื่องของนางก็จะถูกลบลืมไป 

 

 

แต่ช่างบังเอิญเหลือเกินที่งานเลี้ยงกลับเลิกราไปเช่นนี้ นางเจินจึงมีเหตุผลที่จะไม่เปลี่ยนอาภรณ์แล้วจากไปได้ในทันที เกรงว่าเรื่องที่นางมิอาจเก็บอาการได้ในวันนี้คงถูกลือไปทั่วก่อนจะถึงพรุ่งนี้ และกลายเป็นเรื่องขบขันในวังหลวงอย่างแน่นอน! 

 

 

ตะเกียบคู่นั้นก่อเรื่องใหญ่แล้ว! นางเฉียวได้แต่โมโหอยู่ในใจ 

 

 

เจินเมี่ยวมองนางเฉียนด้วยสายตาเห็นใจ แล้วค่อยๆ เดินจากไป 

 

 

ไท่จื่อเฟยเก็บสายตาตนทันที เล็บยาวนั้นค่อยๆ จิกลงบนฝ่ามือ 

 

 

น่าตายนัก นางหลบพ้นไปจนได้! 

 

 

เมื่อคิดได้ว่ายังทำสิ่งที่ไท่จื่อกำชับไม่สำเร็จ ไท่จื่อเฟยก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมา 

 

 

ถึงตอนนั้นไท่จื่อคงต้องตำหนินางแน่ 

 

 

ไท่จื่อเฟยจากได้วยใจอันหนักอึ้ง เมื่อคิดถึงความเย็นชาที่ไท่จื่อมีต่อนาง ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดในหัวใจ 

 

 

“ไปสืบมาว่าเกิดอันใดขึ้นในตำหนักหลวง” 

 

 

ตอนที่เจินเมี่ยวออกจากวังก็พบว่าหลัวเทียนเฉิงได้นั่งรออยู่ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว 

 

 

เวลานี้หิมะยังคงโปรยปรายอยู่เช่นเดิม ปุยหิมะถูกสายลมหอบเข้าไปในคอเสื้อของผู้คน 

 

 

เมื่อออกมาจากตำหนักที่อบอุ่นดุจวสันต์ฤดูก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา แม้แต่เตาอุ่นมือก็แทบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว 

 

 

“ระวังลื่นด้วย” หลัวเทียนเฉิงดึงเจินเมี่ยวขึ้นบนรถม้า คนทั้งสองมุดเข้าไปพร้อมกัน เมื่อม่านอันหน้าใหญ่ของรถม้าถูกปิดลง ความอบอุ่นก็เข้ามาแทนที่โดยพลัน 

 

 

“เหตุใดอาภรณ์จึงเปื้อนเล่า?” สายตาหลัวเทียนเฉิงจ้องมองบนแขนข้างขวาของเจินเมี่ยว 

 

 

เจินเมี่ยวทอดถอนใจด้วยความนับถือ 

 

 

เขาเป็นบุรุษแท้ๆ เหตุใดจึงช่างสังเกตถึงเพียงนี้! 

 

 

นางมิทราบว่าเรื่องในตำหนักหลวงนั้นหลัวเทียนเฉิงได้วางแผนไว้หมดแล้ว มีเพียงตำหนักในเท่านั้นที่เขามิอาจวางใจและมิอาจความคุมอันใดได้ เมื่อได้พบนางจึงตรวจสอบอย่างละเอียดคราหนึ่ง หากสามารถมองทะลุได้เขาคงตรวจสอบไปถึงด้านในด้วยซ้ำจึงจะวางใจได้ 

 

 

“มีคนทำตะเกียบร่วง ทำให้น้ำแกงกระเด็นมาโดนข้าเท่านั้น” 

 

 

“ผู้ใด” หลัวเทียนเฉิงหน้าขรึมลง 

 

 

“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนหย่งจยาโหว” 

 

 

นางเพียงบอกว่าจะมิพูดขึ้นก่อนเท่านั้น แต่หากสามีถามนางก็ยังคงต้องพูด 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วแค่นหัวเราะออกมา 

 

 

ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น แต่นกขมิ้นกลับตามติดอยู่ด้านหลัง ผู้ใดเป็นตั๊กแตน ผู้ใดเป็นนกขมิ้น ปริศนานี้ช่างน่าสนใจนัก 

 

 

น่าเสียดายที่รัชทายาทยังมิได้ทันแสดงฝีมือก็ถูกจับตัวออกไปก่อนแล้ว 

 

 

“งานเลี้ยงฉลองเพิ่งดำเนินไปเพียงครึ่งไท่โฮ่วก็ตรัสว่างานเลี้ยงเลิกแล้ว หรือมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ตำหนักหลวง?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกกาที่วางอยู่บนเตาสีเงินอันเล็กนั้นขึ้นรินน้ำชาส่งให้นาง “เพิ่งตากลมมา ดื่มชาร้อนขับไล่ความเย็นสักหน่อยเถิด” 

 

 

เจินเมี่ยวรับถ้วยชามา แล้วตั้งท่ารอฟังเรื่องที่เขาจะเล่า 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เมื่อถึงพิธีถวายของขวัญนั้น ไท่จื่อทรงถวายไก่ฟ้า” 

 

 

“ไก่ฟ้า?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “ได้ยินว่าไก่ฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและเป็นสิริมงคลยิ่ง แต่พบได้น้อยนัก” 

 

 

“ใช่ เป็นของล้ำค่าที่หายากยิ่ง” 

 

 

“หรือไก่ฟ้านั้นปัญหาที่ตรงใด? หรือว่ามันตายแล้ว?” 

 

 

เจินเมี่ยวมิใช่คนที่ไร้ตาเสียหน่อย เมื่อเห็นท่าทีของไท่โฮ่วก็ทราบทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ทั้งซื่อจื่อยังเอ่ยถึงไก่ฟ้าขึ้นมาอีก เห็นชัดว่าปัญหาอยู่ที่ไก่ฟ้านั้นแล 

 

 

วันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแต่กลับถวายไก่ฟ้าตาย นั้นย่อมเป็นอัปมงคลอย่างที่สุด 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหยักยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “มันยังคงมีชีวิตอยู่ดี แต่ไก่ฟ้าสีกลับสีตก กลายเป็นไก่หลากสีแทน!” 

 

 

ไก่หลากสี… 

 

 

ในยุคนี้ก็นิยมทำของปลอมเลียนแบบแล้วหรือ? ทั้งยังต่อหน้าพระพักตร์อีก ช่างใจกล้าเหลือเกิน 

 

 

“เช่นนั้นไท่จื่อเป็นอย่างไรเล่า?” 

 

 

“ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนัก รับสั่งให้รัชทายาทปิดประตูทบทวนความผิด แล้วทรงเสด็จออกจากตำหนักหลวงทันที” 

 

 

ผู้มีตำแหน่งถึงรัชทายาทแต่กลับถูกตำหนิต่อหน้าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เช่นนี้ ย่อมมิใช่แค่เรื่องการเสียเกียรติและศักดิ์เท่านั้น 

 

 

ตำแหน่งของรัชทายาทในตอนนี้ช่างสุ่มเสี่ยงนัก 

 

 

รัชทายาทเป็นฐากของแผ่นดิน ทางตะวันออกมีโจรสลัดก่อความวุ่นวาย ทางตะวันตกมีชนเผ่าข้างเคียงเข้ามาก่อกวนราษฎร ทางเหนือมีลี่อ๋องที่คอยจดจ้องหาโอกาส หากมีการเปลี่ยนแปลงรัชทายาท ใต้หล้าย่อมได้รับผลกระทบ 

 

 

ฝ่าบาทกลับมิได้เลอะเลือน ต่อให้ทรงไม่พอพระทัยต่อรัชทายาทอย่างที่สุดก็ไม่มีทางปลดออกจากตำแหน่งภายในเร็ววันนี้แน่ 

 

 

ทว่ามีวาจาเก่าแก่ประโยคหนึ่งกล่าวว่าผู้ที่อยู่ในสถานการณ์มักมองไม่ขาด ที่เขาต้องการมิใช่ให้ฝ่าบาทลงมือ แต่เป็นการทำให้รัชทายาทกระทำการอันเลอะเลือน 

 

 

เมื่อทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งรัชทายาทนั้นเริ่มคลอนแคลน รัชทายาทที่สูญเสียความมั่นคงทางจิตใจไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป่ยเหอ ไหนเลยจะสามารถอยู่นิ่งได้ 

 

 

เมื่อจิตใจไม่มั่นคง เพียงผลักเบาๆ สักครา รัชทายาทก็ย่อมกระโดดข้ามกำแพง วิ่งเข้าไปหาความตายด้วยตนเองแล้ว 

 

 

เรื่องไก่ฟ้าเปลี่ยนเป็นไก่หลากสีนั้นก็เป็นเพียงการติดปีกให้เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วอีกสักหน่อยเท่านั้น ทุกคนย่อมมีวิจารณญาณของตนทั้งสิ้น 

 

 

หลังจากนางเจี่ยงกลับถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ไปพูดคุยกับนายท่านผู้สืบทอดเรื่องฮูหยินของขุนนางสกุลเมิ่งทันที 

 

 

เจินเจี้ยนเวินได้ฟังก็หน้านิ่ว “เหตุใดนางหลี่จึงปฏิเสธเล่า? ไม่มีทาง…นี่จักต้องเป็นความคิดของน้องรองแน่!” 

 

 

นางเจี่ยงขมวดคิ้ว “ท่านพี่ ปฏิเสธไปมิใช่เป็นเรื่องดีหรือ? ขุนนางสกุลเมิ่งเป็นพ่อตาขององค์ชายสาม จิ้งเอ๋อร์เป็นอนุองค์ชายหก ภายหน้าหากมีอันใดเกิดขึ้น พวกเราตระกูลปั๋วกลับถูกบีบให้อยู่ตรงกลาง เช่นนี้การจะเลือกซ้ายหรือขวาก็เป็นเรื่องยากแล้ว” 

 

 

“สตรีเช่นเจ้าจะรู้อันใด!” เจินเจี้ยนเหวินหน้าบึ้งไปทันที 

 

 

หากรัชทายาทถูกถอดจากตำแหน่ง องค์ชายสามนั้นมีโอกาสได้ขึ้นแทนมากที่สุด หากจวนปั๋วเลือกได้ถูกข้าง ภายหน้าจักต้องไปได้ไกลอย่างมิอาจคาดถึงแน่ 

 

 

ส่วนจิ้งเอ๋อร์ อย่างไรก็เป็นแค่บุตรที่เกิดจากอนุ หากองค์ชายหกยืนอยู่คนละข้างกับองค์ชายสาม เขาก็เพียงพูดว่าบุตรของจวนปั๋วมิรักดียอมไปเป็นอนุ จวนปั๋วจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับนางนานแล้ว 

 

 

เป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน นางเจี่ยงแค่มองก็เข้าใจทันทีว่าเขาคิดอันใด ในใจพลันเกิดความเหน็บหนาวขึ้นมาสายหนึ่ง 

 

 

ภาพความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อหลานอี๋เหนียงของคนตรงหน้าเพิ่งผ่านตาไปไม่นานนี่เอง แต่พริบตาที่อนุรักจากไป เขากลับสามารถละทิ้งบุตรสาวตนได้ทุกเมื่อ 

 

 

บุรุษผู้นี้ ช่างเลือดเย็นนัก! 

 

 

นางเจี่ยงยิ้มเยาะออกมา “ท่านพี่ ข้าเป็นสตรีมิเข้าใจเรื่องราวพวกนี้จริงๆ หากท่านมีแผนการก็มิสู้ไปปรึกษากับน้องรองเถิด” 

 

 

บิดาของเจ้าห้ายังอยู่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะไปเจ้ากี้เจ้าการได้ 

 

 

“ฮูหยินพูดถูก เย็นนี้มิต้องรอข้ากินข้าวล่ะ ข้าจะไปดื่มกับน้องรองสักหน่อย” 

 

 

เจินเจี้ยนเหวินรีบร้อนออกไปในทันที 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset