วาสนาบันดาลรัก 227

ตอนที่ 227

องค์ชายหกเสด็จ องค์ชายหกเสด็จ องค์ชายหกเสด็จ…

 

 

เจินเมี่ยวเมี่ยวคล้ายถูกสกัดจุด ได้แต่นั่งนิ่งเป็นดินเหนียวปั้นอยู่บนเก้าอี้

 

 

เจินไท่เฟยเป็นคนละเอียด เมื่ออากาศหนาวเย็นเช่นนี้ บนเก้าอี้จึงปูด้วยขนเตียวขาวที่ตัดทรงสวยงามเป็นรูปดอกเหมย

 

 

ขนเตียวขาวอันน่าตาย!

 

 

หลังจากนางได้ย้อมสีดอกเหมยลงบนขนเตียวทรงดอกเหมยนั้นก็ให้องค์ชายหกได้ชมดอกเหมยงั้นหรือ?

 

 

แค่เจินเมี่ยวคิดว่าตนต้องลุกขึ้นถวายพระพรองค์ชายหก ความหวาดหวั่นก็กระจายไปทั่วร่างๆ

 

 

ดังนั้นองค์ชายหกที่สวมอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างเดินเข้ามาด้วยมุมปากเคลือบรอยยิ้มจึงเห็นท่าทีเหม่อลอยอึ้งงันของนางเข้าพอดี

 

 

เจินไท่เฟยกลับลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าหก เหตุใดวันนี้จึงมาที่นี่ได้เล่า?”

 

 

องค์ชายหกปิดบังรอยขมขื่นนั้นไว้ในดวงตาแล้วเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเบิกบาน “ไท่เฟยกำลังจะไล่หม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

เจินไท่เฟยมองเขาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”

 

 

เจินเมี่ยวมือเท้าแข็งไปหมด จึงเป็นธรรมดาที่นางจะมิเห็นบรรยากาศอันแปลกไประหว่างเจินไท่เฟยและองค์ชายหก

 

 

เจินไท่เฟยกำลังรู้สึกหวาดกลัวต่อองค์ชายหกอยู่ แต่เมื่อหันไปเห็นเจินเมี่ยวที่นั่งนิ่งไม่ขยับก็ขมวดคิ้วทันที

 

 

เด็กโง่งมผู้นี้…นี้มิใช่ยิ่งเป็นการดึงดูดความสนใจคนมากกว่าเดิมอีกหรือ

 

 

บางคราการคิดจะให้ผู้อื่นมองข้ามตนนั้นไม่ยาก แค่ทำตัวปกติอย่างคนส่วนใหญ่ก็พอแล้ว

 

 

ดังคาด องค์ชายหกจึงเดินเข้าไปหาแล้วมองเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม น้ำเสียงไม่เบาไม่ดังไม่เร็วไม่ช้า “คุณหนูสี่สกุลเจิน เห็นข้าแล้ว เจ้าควรทักทายสักหน่อยหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวยังคงนั่งแสร้งโง่งมต่อไป “ถวายพระพรองค์ชายหกเพคะ”

 

 

องค์ชายหกลูบคางตน “อืม กฎระเบียบเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อใดทำไมข้าไม่รู้เล่า? ตอนนี้ต่างพากันนั่งทักทายหมดแล้วหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวลอบกัดฟันตน

 

 

จะไม่ให้นางผ่านด่านนี้ไปง่ายๆ เลยใช่หรือไม่!

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นองค์ชายหกมองมาพอดี ดวงตาเรียวนั้นหยักโค้งลงเป็นเส้นโค้งอันน่าหลงใหล มุมปากห้อยแขวนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันทรงเสน่ห์

 

 

เจินเมี่ยวอยากจะพูดเหลือเกินว่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้มันตกยุคไปแล้ว ท่านทราบหรือไม่?

 

 

แน่นอนว่าเจินเมี่ยวมิกล้าพูดออกไป ภายใต้สายตาอันบีบคั้นนั้นขององค์ชายหกนางก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงยื่นมือที่ทาเล็บเรียบร้อยแล้วนั้นออกไปพลางเอ่ยว่า “ไท่เฟยทาเล็บให้หม่อมฉัน ทรงตรัสว่าให้อยู่นิ่งๆ เพคะ”

 

 

กล่าวจบก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความยินดี นางช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง

 

 

นางดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าองค์ชายหกทรงให้ความเคารพต่อไท่เฟยเป็นอย่างยิ่ง

 

 

เจินไท่เฟยอดกุมขมับไม่ได้

 

 

เด็กสาวผู้นี้อยู่กับชาวบ้านจนโง่เขลาไปแล้วหรือ เขลาเสียจนนางมิอาจทนดูได้

 

 

“เช่นนั้นหรือ…” องค์ชายหกหัวเราะแผ่วเบา “เช่นนั้นข้าคงมาไม่ถูกเวลาเอง ไท่เฟยท่านทาเล็บให้นางต่อเถิด”

 

 

ไท่เฟยชำเลืองมององค์ชายหกคราหนึ่งแต่มิเอ่ยวาจาใด แล้วหยิบแปรงเล็กๆ ขึ้นมาทำต่อ

 

 

“เจ้าหกหากไม่มีอันใดก็กลับไปก่อนเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวดีใจยิ่ง

 

 

องค์ชายหกคอยสังเกตสีหน้านางอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทีของหน้าก็มิได้รู้สึกเสียใจกับการออกปากไล่ตนของไท่เฟยถึงเพียงนั้นแล้ว ทั้งยังเอ่ยเว้าวอนด้วยรอยยิ้มว่า “ไท่เฟย อย่างไรก็ให้หม่อมฉันดื่มชาสักถ้วยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ยกชามา” เจินไท่เฟยเอ่ยกำชับนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง

 

 

อย่างไรก็เป็นเด็กที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ แม้นนางจะล่วงรู้ความคิดอันวิปริตนั้นของเขาแล้วแต่ก็ยากจะทำเย็นชาต่อเขาได้

 

 

องค์ชายหกมาที่นี่ประจำ นางกำนัลจึงทราบดีว่าเขาชอบชาชนิดใด ไม่นานก็ยกชาบุปผาเข้ามาถ้วยหนึ่ง

 

 

องค์ชายหกค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

 

 

รอกระทั่งเจินไท่เฟยทาเล็บจนเสร็จจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “นางเจิน เรามาทำการทักทายกันใหม่อีกสักรอบเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวเกือบจะร่วงตกจากเก้าอี้ไปทันใด

 

 

องค์ชายหกเห็นท่าทีของเจินเมี่ยวแล้วก็พาให้เบิกบานใจยิ่ง “คุณหนูสี่สกุลเจิน เหตุใดต้องทำท่าดั่งแม้ตายก็ไม่ยอมเช่นนั้นด้วยเล่า ข้ามิได้คิดจะบังคับอันใดเจ้าสักหน่อย”

 

 

“เจ้าหก!” เจินไท่เฟยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ชาก็ดื่มแล้ว ควรกลับได้แล้ว”

 

 

องค์ชายหกถอนหายใจแผ่วเบาแล้วลุกขึ้น “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา”

 

 

ขณะที่เอ่ยวาจาสายตาก็มองไปที่เจินเมี่ยว แล้วจึงค่อยๆ เดินจากไป

 

 

เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมาโดยแรง มือที่กำกระโปรงอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก

 

 

ทุกคราที่เห็นเขามักไม่มีเรื่องดี ต่อไปนางคงต้องดูฤกษ์ยามก่อนค่อยออกจากเรือนจะได้มิพบองค์ชายหกอีก!

 

 

“เจ้าสี่ ที่แท้แล้วมีเรื่องอันใดกันแน่? ”

 

 

เจินเมี่ยวมองบรรดานางกำนัลที่อยู่ในตำหนัก

 

 

นางเองก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเช่นกัน!

 

 

เจินไท่เฟยเข้าใจจึงโบกมือให้นางกำนัลและขันทีออกไป แล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “พูดมาเถิด ที่แท้เจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่?”

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นที่เป่ยเหอต่างแพร่กระจายไปทั่วแล้ว แผนการร้ายต่างๆ ในเรื่องนี้อาจมิได้มีแต่คนนอก หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้าหก?

 

 

หรือในช่วงที่เจินเมี่ยวหายตัวไปนั้นนางพบหลักฐานอะไรบางอย่างเข้า?

 

 

เจินไท่เฟยเกิดหวาดหวั่นใจขึ้นมา

 

 

นางเข้าใจเจ้าหก

 

 

เด็กคนนั้นแม้นภายนอกจะดูไร้แก่นสารไม่ยี่หระสิ่งใด แต่จริงๆ แล้วเขามีความทะเยอทะยานซ่อนอยู่

 

 

รัชทายาทค่อนข้างอ่อนแอ ยากจะทำการใหญ่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคิดการใหญ่โดยสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ฝ่าบาทรังเกียจรัชทายาทก็เป็นได้

 

 

กล่าวเช่นนี้ เรื่องพยัคฆ์ดุร้ายนั้นก็อาจมีคนเจตนาล่อมันเข้ามา

 

 

เจินไท่เฟยผู้ฉลาดปราดเปรื่องคิดไปสารพัดนับพันนับร้อยแผนการที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาชั่วขณะนี้

 

 

พลันได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “ไท่เฟย ระดูหม่อมฉันมา ตอนนี้คงเปื้อน…”

 

 

“ข้า…” เจินไท่เฟยแทบหายใจไม่ทันไปชั่วขณะ มุมปากยกขยับร้องเรียกให้นางกำนัลเข้ามา แล้วชี้ไปที่เจินเมี่ยว “ไปหาอาภรณ์สีใกล้เคียงกับฮูหยินผู้สืบทอดสวมอยู่มา อืม…เอาผ้าซับระดูผืนใหม่มาด้วยแล้วประคองฮูหยินผู้สืบทอดไปที่ห้องอาบน้ำ”

 

 

นางกำนัลใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจกระทำเรื่องใดล้วนมิแตกตื่นนั้น เมื่อได้ยินคำกำชับที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้ก็ยังต้องอึ้งงันไปเล็กน้อยแล้วหมุนตัวออกไป

 

 

“ไท่เฟย…” สีหน้าเจินเมี่ยวเต็มไปด้วยการฟ้องร้อง

 

 

เจินไท่เฟยกลอกตาคราหนึ่ง “ข้าอายุปูนนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะมีผ้าซับระดูหรือ? เจ้าควรจะดีใจที่ย่าเจ้าเป็นคนรอบคอบ และนางกำนัลพวกนั้นคล่องแคล่วว่องไว มิเช่นนั้นเจ้าคงได้ใช้ของผู้อื่นที่ซักสะอาดแล้วเท่านั้น”

 

 

เจินเมี่ยวคล้ายถูกฟันเข้าให้ในพริบตา

 

 

ไท่เฟย จำต้องพูดเรื่องที่น่าขนหัวลุกเช่นนั้นออกมาให้เลยหรือไร?

 

 

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากวังไปอย่างรีบร้อน

 

 

คนในวังได้ยินลมก็บอกเป็นฝน เมื่อเห็นสีหน้ามิใคร่สู้ดีของเจินเมี่ยวก็อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

 

 

“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักไท่เฟยนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”

 

 

“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักหวงโฮ่วนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”

 

 

“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักไท่โฮ่วนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”

 

 

“ที่แท้แล้วเป็นหวงโฮ่วหรือไท่โฮ่วกันแน่?”

 

 

“หลังจากที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงออกมาจากตำหนักหวงโฮ่วและไท่โฮ่วก็มีสี่หน้าย่ำแย่ยิ่ง ได้ยินมาถูกตำหนิเพราะทำตัวมิเหมาะสม”

 

 

เกี้ยวของเจินเมี่ยวยังมิทันถึงจวนกั๋วกงด้วยซ้ำ เสียงเล่าลือกลับแพร่ออกไปดั่งพายุพัดไฟให้ลุกลามก็มิปาน

 

 

 เมื่อถึงยามบ่ายก็มีราชโองการประกาศให้คุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ขุนนางขั้นสาม ทั้งปูนบำเหน็จทองสองร้อยชั่ง เงินหนึ่งพันตำลึง ที่นาอีกห้าร้อยฉิ่ง[1]…

 

 

เงินทองนั้นมิต้องพูดถึง แต่ที่นานั้นเป็นสิ่งที่พระราชทานให้แก่หลัวเทียนเฉิง อนาคตหากแยกเรือนไปก็มิจำเป็นต้องแบ่งให้ผู้ใด

 

 

มิต้องกล่าวถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปของคนทั้งหลายในจวน

 

 

กระทั่งสุดท้ายแม้แต่นายท่านสี่สกุลหลังก็ถูกย้ายไปฝึกทหารที่ห้าค่าย แต่กลับมิเอ่ยถึงรางวัลปูนบำเหน็จของเจินเมี่ยวแม้แต่น้อย

 

 

เจินเมี่ยวช่วยชีวิตองค์หญิงไว้จึงออกจะแปลกผิดปรกติอยู่บ้าง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้คนไปสอบถามข่าวลือต่างๆ แล้วจึงเรียกเจินเมี่ยวมาถามว่า “หลานสะใภ้ มีอันใดไม่เหมาะสมเกิดขึ้นที่ตำหนักไท่โฮ่วและหวงโฮ่วหรือไม่?”

 

 

“ไม่มีเจ้าค่ะ”

 

 

“แล้วไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วทรงมีพระอารมณ์เช่นใดบ้างหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “พระอารมณ์ดียิ่ง ไท่โฮ่วยังตรังว่ารอให้องค์หญิงชูสยาเสด็จกลับมาก่อนจะทรงรับสั่งให้ข้าเข้าวังอีกครา”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคิดไม่ตกได้แต่โบกมือให้นางออกไปได้ แล้วครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกครา

 

 

เจินเมี่ยวกลับมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจสักนิด

 

 

ความคิดของบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนยากจะคาดเดา หากต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ก็มิสู้เอาทำเรื่องที่ควรต้องทำจะดีกว่า

 

 

ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่ง หลัวเทียนเฉิงก็ยุ่งขึ้นมาอีก จึงเพียงหาเวลาว่างกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดากับเจินเมี่ยวเท่านั้น นอกจากนั้นก็มิได้เห็นแม้แต่เงาเขาตลอดทั้งวัน

 

 

เจินเมี่ยวพลิกดูเทียบเชิญทั้งหลาย

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ส่งเทียบขอเยี่ยม ส่วนคุณหนูใหญ่เจินหนิงส่งเป็นเทียบเชิญ นางคิดว่าควรต้องไปพบเจาอวิ๋นจังกงจู่สักหน่อยจึงเขียนเทียบขอเยี่ยมเพื่อพบหน้าตามเวลาที่เขียนไว้สักครา

 

 

เจินเหยียนตั้งครรภ์ ทั้งครรภ์ของนางยังมิใคร่ปลอดภัยนักจึงเขียนเทียบเชิญให้เจินเมี่ยวไปเยี่ยมแทน

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกเป็นห่วงจึงตัดสินใจไปที่นั่นก่อน

 

 

เมื่อไปถึงจวนรองเสนาบดีก็ย่อมต้องไปพบกับนางจู้ผู้ดูแลจวนและเป็นแม่สามีของเจินเหยียนก่อนเป็นอันดับแรก

 

 

หากนับตามอายุ เจินเมี่ยวเป็นผู้น้อย แต่หากนับตามยศศักดิ์ สามีของนางจู้เป็นเพียงขุนนางขั้นห้า เจินเมี่ยวนั้นทิ้งนางห่างไกลเป็นถนนเส้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

 

 

นางจู้ให้ความเกรงใจต่อเจินเมี่ยวอย่างยิ่ง นางพาเจินเมี่ยวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อน

 

 

ครั้นเข้าห้องไปก็เห็นสตรีชราที่มีผมสีเงินยวงเต็มศีรษะกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัวฮั่น มีหญิงสาววัยกำดัดกำลังคุกเข่านวดขาให้นางอยู่

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนรองเสนาบดีนั้น เมื่อยามยังสาวนั้นต้องลำบากลำบนยิ่ง นางคอยจัดการดูแลทุกอย่างทั้งในและนอกเรือนเพื่อให้สามีได้ศึกษาตำราอย่างเต็มที่กระทั่งสามีสอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง ความทุกข์ทนนั้นจึงสิ้นสุดลง

 

 

หลายสิบปีมานี้บัณฑิตชั้นสูงที่ฐานะยากจนกลับสามารถไต่เต้าจนกลายเป็นรองเสนาบดีแห่งกรมพระคลัง ตระกูลเมิ่งเองก็นับเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวงยิ่ง เพียงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้เคยลำบากตรากตรำมามากกว่าสตรีสูงศักดิ์ในวัยเดียวกันทำให้ดูชรากว่าผู้อื่นอยู่บ้าง

 

 

เจินเมี่ยวคารวะผู้อาวุโสเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบเอ่ยว่า “รีบยกน้ำชามาให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดเร็ว”

 

 

สาวใช้น้อยผู้หนึ่งจึงยกน้ำชาเข้ามา หญิงสาวที่นวดขาอยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นไปรับถ้วยชามาส่งให้เจินเมี่ยว พร้อมทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานล้ำว่า “ฮูหยิน เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวมองหญิงสาวผู้นั้นอยู่หลายครา

 

 

สาวใช้ผู้นี้ช่างโดดเด่นกว่าผู้อื่นอยู่บ้างจริงๆ รอยยิ้มหวานล้ำนั้นทำให้คนชมชอบนัก เพียงแต่กระทำตัวมิใคร่จะเป็นไปตามระเบียบสักเท่าใด

 

 

การก้มหน้าก้มตายกชามาให้ต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สาวใช้พึงกระทำ

 

 

หรืออาจเพราะเป็นตระกูลบัณฑิตจึงมิเหมือนกับตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป?

 

 

ได้ยินมาว่าบัณฑิตมักมีจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่ง หากนางพิธีรีตองมากเกินไป เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าถูกดูแคลน จนทำให้เกิดความยุ่งยากแก่พี่รองคงไม่ดีเป็นแน่

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้เจินเมี่ยวจึงเผยยิ้มออกมา “ขอบคุณพี่สาวมาก” พูดพลางดึงปิ่นปักผมออกมาส่งให้ไป “ฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้จวนท่านล้วนฉลาดคล่องแคล่วกว่าจวนข้ายิ่ง ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบนัก”

 

 

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไปก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งงัน หญิงสาวผู้นั้นก็หน้าแดงหูแดงมองจ้องที่ปิ่นนั้นคล้ายจะรับแต่ก็มิรับ

 

 

นางจู้โมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด ได้แต่ถลึงตามองหญิงสาวผู้นั้น

 

 

ในใจก็เอ่ยตำหนิว่าสมแล้วที่ตระกูลตกต่ำ เพราะช่างเป็นผู้ไม่รู้ความยิ่ง เจ้าเป็นแขกที่มาพักที่จวนแท้ๆ แต่กลับยกน้ำชาให้ผู้อื่นดุจตนเป็นสาวใช้ ยามนี้ถูกตบหน้าเข้าแล้วอย่างไรเล่า?

 

 

เพราะเห็นแก่หน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิได้เอ่ยอันใดให้มากความ ผู้ใดให้นางเรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านย่าเล่า

 

 

แต่ยามนี้เกียรติและศักดิ์ศรีของจวนรองเสนาบดีกลับถูกนางทำลายไปสิ้นแล้ว!

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ สงบสติอารมณ์ตน โทสะที่มีต่อเจินเมี่ยวได้แต่เก็บไว้ในมิกล้าเผยออกมา จึงหันไปพูดกับหญิงสาวผู้นั้นว่า “ยังไม่รีบรับไว้อีก!”

 

 

เดิมคิดจะแนะนำเด็กสาวผู้นี้ให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงได้รู้จัก แต่เกิดความเข้าใจผิดกันเช่นนี้แล้ว จะเอ่ยอันใดอีกได้อย่างไร!

 

 

หญิงสาวรับปิ่นที่ตกเป็นรางวัลนั้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า นางปิดหน้าแล้วเดินออกไป

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกว่าบรรยากาศมิใคร่จะดีนักจึงขอตัวไปในเวลาอันรวดเร็ว

 

 

รอจนพบกับเจินเหยียนแล้วจึงเอ่ยบ่นว่า “พี่รอง สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าที่คอยปรนนิบัติในห้องช่างใจกล้านัก ข้าตกรางวัลเป็นปิ่นปักผมให้นาง นางกลับร้องไห้เดินออกไป”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฉิ่ง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน หนึ่งฉิ่งเท่ากับหนึ่งร้อยหมู่ หนึ่งหมู่เท่ากับสิบหกเอเคอร์โดยประมาณ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset