วาสนาบันดาลรัก 223

ตอนที่ 223

เพราะกุญแจยังถูกผนึกอยู่ในหยก หลัวเทียนเฉิงจึงได้ข่มอาการหัวจใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งนั้นไว้ แล้วยัดมันใส่ในแขนเสื้อตน เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย “ประเดี๋ยวกลับไปหลานจะลองเปิดดูขอรับ” 

 

 

ความจริงมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว หยกที่เจิ้นกั๋วกงมอบให้กับมือ ด้านในมีกุญแจซ่อนอยู่ หากมันมิอาจเปิดกล่องใบนี้ได้ก็คงต้องกล่าวขออภัยแก่คนทั้งหลายแล้ว 

 

 

เปลวไฟสองดวงถูกจุดขึ้นในดวงตาของหลัวเทียนเฉิง เขามองเจินเมี่ยวด้วยแววล้ำลึกคล้ายจะหลอมละลายคนตรงหน้าให้กลายเป็นสายธารอันอ่อนโยนไหลแทรกซึมเข้าไปในใจของเขากระนั้น 

 

 

เจินเมี่ยวถูกมองจนใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างประหลาด นางอดกดหน้าอกตนเอาไว้มิได้ 

 

 

เป็นความรู้สึกที่ประหลาดยิ่ง 

 

 

สายตาหลัวเทียนเฉิงเลื่อนลงตามมือนาง สายตาที่มองกลับล้ำลึกมากยิ่งขึ้น 

 

 

คล้ายว่าเติบโตขึ้นมากแล้ว? 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมไอเสียงหนึ่ง 

 

 

นางได้แต่เอ่ยในใจว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ล้วนใจกล้าเช่นนี้หมดแล้วหรือ หากยังคงจ้องต่อไป แม้แต่หญิงชราเช่นนางก็ยังต้องหน้าแดง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเบนสายตาหนีด้วยเขินอาย ใบหูแดงก่ำ 

 

 

สีหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกนั้นถูกท่านย่าเห็นเข้าเต็มตา เขาอยากจะมุดลงพื้นเสียจริง! 

 

 

“ท่านย่า?” เจินเมี่ยวรู้สึกว่าความรู้สึกประหลาดนั้นได้ผ่านแล้ว จึงเผยรอยยิ้มหวานล้ำออกมา 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ชอบใจยิ่งจึงลูบศีรษะนางไปมาอย่างไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใดดี 

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้…เจ้าเด็กคนนี้…” 

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ” หงสี่ยืนรายงานอยู่หน้าประตู 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าส่งสายตาให้หลัวเทียนเฉิงเก็บกล่องนั้นไว้ให้ดี แล้วเอ่ยเสียงสูงขึ้นว่า “รีบเชิญฮูหยินสี่เข้ามาเร็ว” 

 

 

ม่านผ้าฝ้ายวาดลายสาลิกาเคียงดอกเหมยถูกแหวกออก นางชีเดินจูงคุณชายหกเข้ามา 

 

 

นางชีใส่เสื้อตุ้ยจินตัวยาวสีเขียวอ่อนแซมบุปผาสีเข้ม กระโปรงขลิบเงิน เส้นผมเกล้าอย่างเป็นระเบียบ บนศีรษะปักปิ่นเงินเพียงเล่มเดียวเท่านั้น การแต่งกายของนางเรียบง่ายยิ่งไม่เหมือนฮูหยินในจวนสูงศักดิ์สักนิด ทั้งดูมีอายุมากกว่านางซ่งเสียอีก 

 

 

“สะใภ้น้อมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” นางชีย่อกายคารวะ แล้วสะกิดคุณชายหกคราหนึ่ง 

 

 

คุณชายหกเม้มริมฝีปากตนแล้วโค้งกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเงียบๆ 

 

 

“ต้าหลังกับหลานสะใภ้กลับมาแล้วหรือ?” นางชีเงยหน้าขึ้นเห็นหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว ดวงตาก็เผยแววยินดีออกมาแต่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบเหงาเย็นชาอย่างรวดเร็วคล้ายถ่ายที่ถูกเผาจนมอดดับ ความร้อนที่มีจึงค่อยๆ ลดลง 

 

 

“อาสะใภ้สี่” หลัวเทียนเฉิงหันไปทักทายนางชีด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เจินเมี่ยวกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่า “อาสะใภ้สี่ วันนี้ท่านแต่งตัวได้พิเศษนัก งดงามยิ่งเจ้าค่ะ” 

 

 

นางชีเม้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มบาง “จริงหรือ หากเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” 

 

 

วันที่น่ายินดีเช่นนี้ ผู้อื่นจะได้มิมองนางแล้วรู้สึกอัปมงคล 

 

 

นางชีกุมมือคุณชายหกแน่น แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ให้เจ้าหกกับต้าหลังอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับท่านเถิด สะใภ้ขอตัวกลับก่อน เพราะมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “เรื่องอันใดหรือ? นางชี ต่อไป เจ้ามิต้องคอยเลือกถั่วพวกนั้นอีกแล้ว” 

 

 

หลัวจากที่นายท่านสี่สกุลหลัวหายตัวไป ผู้คนทั้งหลายต่างคิดอยู่ในใจว่าเขาตายแล้ว เมื่อยามนางชีรู้สึกสิ้นหวัง นางจะจะเอาถั่วชนิดต่างๆ มาเทใส่ด้วยกันแล้วค่อยๆ เลือกมันออกมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา 

 

 

นอกจากเวลาที่ต้องดูแลคุณชายหกแล้ว เวลาที่เหลือนางก็ใช้ไปกับการเลือกถั่ว ทุกอย่างก็จะผ่านไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ดีแต่ก็มิเคยเอ่ยถึงสักครั้ง 

 

 

การต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว หากเดินพลาดแม้เพียงก้าวก็ต้องถูกผู้คนตำหนิต่อว่า นางชีอยากจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนตน นางไหนเลยจะไปบังคับลากดึงผู้อื่นให้ออกมาเล่า 

 

 

จะดึงนางออกมาด้วยเหตุใดเล่า มาดูผู้อื่นสวมใส่เสื้อผ้างดงาม มีชีวิตอย่างสดใส ครื้นเครงหรือ? 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงปล่อยให้นางทำตามใจ 

 

 

นางชีก้มหน้าลง “เจ้าค่ะ สะใภ้จะเชื่อฟังฮูหยินผู้เฒ่า ต่อไปจะไม่เลือกถั่วแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

เวลานี้เองหงฝูก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เมื่อกำลังจะเอ่ยรายงาน ฮูหยินผู้เฒ่ากลับส่ายหน้าให้นางเงียบๆ 

 

 

หงฝูเข้าใจทันที นางจึงเบี่ยงตัวเชิญคุณชายสี่สกุลหลัวที่จัดการตนจนกลายเป็นคนใหม่ให้เดินเข้ามา 

 

 

เจินเมี่ยวเบิกตาถลนจนแทบจะกระเด็นไปติดบนร่างนายท่านสี่สกุลหลัวแล้ว 

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านสี่สกุลหลัวโกนหนวดเคราแล้วจะน่ามองถึงเพียงนี้! 

 

 

สง่า สุขุม เจิดจรัส คล้ายพระอาทิตย์ที่แขวนอยู่กลางอากาศมิอาจทำให้คนเบนสายตาหนีไปจากเขาได้ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากขึ้นด้วยโทสะ ครู่หนึ่งจึงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา แล้วลอบจับที่บั้นท้ายเจินเมี่ยวคราหนึ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวหันกลับไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งแต่มิมองหน้านาง ทั้งยังบีบบั้นท้ายนางอย่างแรงคราหนึ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวเกือบจะกรีดร้องออกมา ได้แต่กัดริมฝีปากตนไว้แน่น 

 

 

เหลือเกินจริงๆ ชีวิตนางช่างรันทดอันใดเพียงนี้ ต้องมาเจอสามีที่จิตวิปริต ท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย ผู้อาวุโสอยู่กันเต็มห้อง ทั้งยังเป็นช่วงเวลาอันแสนซาบซึ้งที่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าได้พบกัน แต่เขากลับ…กลับมาจับบั้นท้ายนาง? 

 

 

บางทีอาจเพราะนางชีรับรู้ได้ถึงสายตาอันไม่ปกติของทุกคน นางจึงหันหลังกลับไปมอง แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไป 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวเดินเข้ามาก้าวใหญ่ แล้วจับมือของนางชีไว้ “ซีเหนียง…” 

 

 

นางชีกะพริบตาปริบๆ นางดิ้นรนอย่างแรง แล้วยกมือสองข้างขึ้นปิดปากตนไว้ น้ำตาค่อยรินไหลร่วงหล่น 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจยิ่งหนัก จึงดึงนางชีเข้ามากอดไว้โดยมิสนว่ายังมีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย “ซีเหนียง ข้ากลับมาแล้ว ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” 

 

 

“ท่านพี่…” ในที่สุดนางชีก็มีสติกลับมา นางตะโกนเรียกเขาปานจะขาดใจคราหนึ่ง ครั้นหลับตาลงก็หน้ามืดหมดสติไป 

 

 

“ซีเหนียง!” นายท่านสี่สกุลหลัวอุ้มนางชีขึ้น แล้วก้มหน้ามองคุณชายหก 

 

 

คุณชายหกยังเด็กนักทั้งร่างผอม รูปโฉมคล้ายนางชีมากหน่อย ทว่านายท่านสี่สกุลหลัวมองแค่ปราดเดียวก็มั่นใจว่านี้คือบุตรชายของเขา! 

 

 

“เจ้าหก ข้าคือพ่อของเจ้า” นายท่านสี่สกุลหลัวคุกเข่าลงทั้งที่ยังอุ้มนางชีอยู่ แล้วก้มลงหอมที่แก้มคุณชายหกโดยแรงคราหนึ่ง 

 

 

“แค่กๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าพลันกระแอมไอขึ้นสองสามครา 

 

 

คนในยุคสมัยนี้ต่างให้ความสำคัญกับเรื่อง กอดหลานไม่กอดลูก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้อื่นคงเอาไปนินทาเป็นแน่ 

 

 

เช่นนั้น เช่นนั้นนางคงทั้งกอดทั้งหอมบุตรชายไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าคิดอย่างเจ็บปวดใจ 

 

 

“ท่านแม่ ให้นางชีนอนที่เก้าอี้หลัวฮั่นสักครู่เถิด จะได้รีบเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการนาง”ฮูหยินผู้ทำหน้าพยัคฆ์ “นอนอันใดกัน อยากนอนเจ้าก็อุ้มภรรยาเจ้ากลับไปนอนที่เรือนตนเองเถิด รีบไปเร็ว ส่วนท่านหมอก็ค่อยเชิญมาพรุ่งนี้!” 

 

 

นางชีเพียงแค่ดีใจมากไปเท่านั้น ประเดี๋ยวก็คงฟื้น สองสามีภรรยาคงมีเรื่องมากมายให้ซักถาม นางเองก็มิได้เลอะเลือนไปแล้วเสียหน่อย จะเชิญหมอมาทำอันใด 

 

 

แต่อย่างไรพรุ่งนี้ก็คงต้องเชิญท่านหมอมาตรวจดูลูกหลานทั้งหลายที่จากบ้านไปไกลเหล่านี้สักหน่อย อยู่ข้างนอกนานเช่นนี้ หากเจ็บป่วยเป็นอันใดคงไม่ดีแน่ 

 

 

“เช่นนั้น เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อนแล้วขอรับ” นายท่านสี่สกุลหลัวอุ้มภรรยาทั้งจูงมือบุตรชายเดินออกไปอย่างมึนงง โดยมิรู้สึกถึงการมีอยู่ของหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวอีกสองคนอยู่เลยตั้งแต่แรกกระทั่งจากไป! 

 

 

“ต้าหลัง พวกเจ้าก็รีบกลับไปพักเถิด ถึงเวลากินเข้าแล้วค่อยมา ส่วนเรื่องของจวนอื่นๆ ข้าจะให้คนนำจดหมายไปแจ้ง เรื่องในวังอีก ภายในสองวันนี้พวกเจ้าจักต้องได้เข้าวังไปกล่าวขอบพระทัยเป็นแน่” 

 

 

“ขอรับ/เจ้าค่ะ” คนทั้งสองรับคำแล้วกลับเรือนชิงเฟิงไป 

 

 

ครั้นไปถึงเรือนก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที สาวใช้หน้าตาสะสวยทั้งหลายต่างพุ่งเข้ามาหาเจินเมี่ยว พวกนางต่างกอดเจินเมี่ยวไว้ด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา เบียดเอาหลัวเทียนเฉิงให้อยู่ในวงนอกทันที 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยืนกอดหน้าอกด้วยใบหน้าดำคล้ำพลางกลอกตาไปมา 

 

 

ชีวิตเขาช่างไร้หนทางจะไปต่อได้ ภรรยามิเห็นเขามีตัวตน นัยน์ตานั้นแทบจะแนบติดไปกับร่างท่านอาสี่แล้ว ครั้นกลับมาถึงเรือนตน สาวใช้รูปงามทั้งหลายก็ยังเห็นเขาไม่มีตัวตนเช่นกัน 

 

 

เขารู้สึกว่ามีบบางอย่างไม่ถูกต้อง สาวใช้ทงฝังเล่า เขาต้องการสาวใช้ทงฝัง! 

 

 

ครั้นเห็นสาวน้อยที่งดงามดุจหยกดั่งบุปผาซึ่งยืนแอบอยู่ตรงประตูจันทราที่เชื่อมระหว่างเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกอย่างขลาดกลัว หลัวเทียนเฉิงก็ยิ้มอย่างภาคภูมิแล้วกวักมือเรียก 

 

 

สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างมีสีหน้ายินดี แล้วทะยานเข้ามาหา สายตาที่มองหลัวเทียนเฉิงนั้นเรียกได้ว่าเป็นลึกซึ้งดุจความลึกของมหาสมุทร 

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมา เขาหันไปมองเจินเมี่ยวที่ถูกสาวใช้กลุ่มใหญ่รุมล้อมด้วยท่าทีอวดเบ่ง แล้วกระแอมไอสองครา 

 

 

สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างหน้าเจื่อนไป แล้วหันสบตากันเลิกลัก 

 

 

แย่แล้ว ซื่อจื่อกำลังตำหนิว่าพวกนางไม่รู้จักรักษากฎระเบียบใช่หรือไม่ 

 

 

ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่ายามนี้ ดาวแห่งโชคของฮูหยินนั้นส่องสว่างมากเพียงใด นางเป็นดั่งดวงใจของคุณชายผู้สืบทอดเชียวล่ะ 

 

 

หากฮูหยินเห็นว่าพวกนางปฏิบัติตัวดีก็อาจจะให้พวกนางได้ปรนนิบัติคุณชายสักวันสองวัน! 

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ ท่านกลับมาแล้ว อนุคิดถึงท่านเหลือเกิน” สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามกระโจนเข้าไปหาเจินเมี่ยวทันที 

 

 

รอยยิ้มที่มุมปากของหลัวเทียนเฉิงแข็งค้างทันที เขายกเท้าก้าวเข้าไปในเรือนด้วยความโกรธกรุ่น 

 

 

เขาไม่มีหน้าอยู่อีกต่อแล้ว แม้แต่สาวใช้ทงฝังของเขาก็เป็นของนางงั้นหรือ? 

 

 

ในขณะที่อารมณ์กำลังขุ่นมัว ก็มีวัตถุสีดำพุ่งเข้ามา ครั้นเบี่ยงหน้าไปมองก็เห็นนกเอี้ยงก้นลายตัวหนึ่งบินเข้ามา เพราะมันบินเร็วเกินไป ขนของมันยิ่งปลิวว่อนแล้วค่อยๆ ร่วงลงตรงหน้าเขา 

 

 

เมื่อเห็นนกเอี้ยงก้นลายที่บินแหวกสาวใช้ทั้งหลายและสาวใช้ทงฝังเข้าไปตกอยู่ในอ้อมอกของเจินเมี่ยว ความรู้สึกย่ำแย่ก็แพร่ไปทั่วร่างหลัวเทียนเฉิง 

 

 

เขาเดินฝีเท้าหนักเข้าไปในห้อง แล้วอาบน้ำคนเดียวเงียบๆ 

 

 

ส่วนเจินเมี่ยวก็ถูกสาวใช้เชิญไปที่ห้องอาบน้ำ ทั้งขัดตัวแช่น้ำอบ ทั้งบีบนวด ทั้งหวีผมให้ ใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งชั่วยามจึงกลับถึงห้องได้ 

 

 

“ตัดใจกลับมาได้แล้วหรือ?” หลัวเทียนเฉิงที่นั่งอ่านตำราอยู่ข้างหน้าต่างโยนตำราทิ้งไปเสียงดังปังสถานการณ์คล้ายเพิ่งกลับมาจากหอฉู่เซียว แล้วถูกภรรยาสอบถามเอาความนี้คือเรื่องราวใดกัน? 

 

 

เจินเมี่ยวลูบจมูกตนไปมา 

 

 

เจินเมี่ยวเดินทางมาหลายวัน ประเดี๋ยวก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็นอีก นางรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน จึงให้สาวใช้ออกไปให้หมด ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียง แล้วนอนหันหลังให้กับหลัวเทียนเฉิง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงพลิกตัวเจินเมี่ยวขึ้นมาแล้วถลึงตาใส่นางนิ่ง 

 

 

“มองอันใด อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะอภัยให้ท่าน ที่ท่านลูบคลำสะเปะสะปะ” 

 

 

“ข้าลูบคลำสะเปะสะปะ หากข้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าก็คงยังเอาแต่จ้องท่านอาสี่นิ่งกระมัง?” 

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาไปมา “ท่านอาสี่น่ามอง เหมือนท่านอย่างไรเล่า ข้ามองนานสักหน่อยแล้วมีอันใดหรือ?” 

 

 

น่ามอง? เหมือนเขา? 

 

 

มุมปากหลัวเทียนเฉิงหยักยกขึ้น แต่ฉับพลันก็แข็งค้างไป “ไม่ถูก ในเมื่อเหมือนข้า เช่นนั้นเจ้าแค่มองข้าทุกๆ วันก็พอแล้วมิใช่หรือ?” 

 

 

“เลิกทำตัวเหลวไหลได้แล้ว!” เจินเมี่ยวปัดมืออีกฝ่ายออก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่นหมิง ท่านหึงหรือ?” 

 

 

“ผู้ใดหึงกัน?” หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เจ้าเป็นภรรยาข้า ก็ต้องมองแต่ข้า ไม่อนุญาตให้มองผู้อื่น แม้แต่ท่านอาสี่ก็มิได้!” 

 

 

“อืม ได้ ข้าจะมองแต่ท่าน” เจินเมี่ยวรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงรับปากคำหนึ่งแต่เมื่อกำลังจะปิดตาลง หนังตาก็ถูกคนใช้นิ้วมือถ่างให้เปิดขึ้น 

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตามองบนทันที 

 

 

สามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางทำตัวโง่งมเช่นนี้ นางควรทำอย่างไรดี? 

 

 

“มิใช่จะมองแต่ข้าหรือ?ร” 

 

 

“ได้ มองแต่ท่าน!” เจินเมี่ยวก็เริ่มหงุดหงิดแล้ว นางจึงลุกขึ้นมาจ้องหลัวเทียนเฉิง ใบหน้านั้นแทบแนบติดกัน สายตามองจ้องอีกฝ่าย 

 

 

เมื่อสายตาของคนทั้งสองประสานกันก็คล้ายวิ่งเข้าชนกับดอกไม้ไฟ แล้วดอกไม้ไฟนั้นก็มุดทะลุเข้ามาในกายตน ยิ่งแผดเผายิ่งสว่างไสว 

 

 

ฟ้ายังคงสว่างอยู่ แต่ภายในผ้าม่านผืนบางนั้นกลับค่อยๆ มืดลง กลิ่นหอมหลังจากการอาบน้ำเสร็จนั้นกระจายไปทั่ว โอบล้อมพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้นไว้ 

 

 

“ข้า…ข้านอนดีกว่า” เจินเมี่ยวรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา จึงรีบนอนราบลงกับพื้นเตียง แล้วหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้าตนไว้ แต่จู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างทับลงบนร่างตน 

 

 

“ทำเหมือนครั้งที่แล้วได้หรือไม่?” เสียงอันแหบพร่านั้นดังขึ้นที่ข้างหู แม้นมิได้กังวานชัดดั่งเช่นยามปกติแต่กลับทำให้คนหวั่นไหวยิ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวพลันเป็นใบ้ขึ้นมาทันที 

 

 

จุมพิตแผ่วเบาดุจเม็ดฝนที่ร่วงกระทบใบหน้านั้น ทำให้ร่างอันนุ่มนิ่มขาวกระจ่างนั้นสั่นสะท้านเป็นระลอก 

 

 

อาภรณ์ที่สวมใส่มิทราบถูกถอดออกไปตั้งแต่เมื่อใด เหลือเพียงร่างสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่เท่านั้น 

 

 

ทว่าหลัวเทียนเฉิงกลับพลิกตัวขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อย 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset