วาสนาบันดาลรัก 221

ตอนที่ 221

ข่าวเรื่องการนำศพของคุณชายผู้สืบทอดกลับมาแพร่กระจายไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว 

 

 

ยังมิถึงลานกลางเรือนด้วยซ้ำ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถือไม้เท้าออกมาต้อนรับเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังเดินอย่างคล่องแคล่วยิ่ง กระทั่งทิ้งห่างผู้อื่นไปหลายก้าว 

 

 

“อยู่ที่ใด?” 

 

 

คุณชายสามเห็นท่านย่าดูเข้มแข็งกว่าที่ตนคิดไว้ก็ยกนิ้วขึ้นชี้ “ท่านย่า นั้นขอรับ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นโลงศพสีดำทะมึนหลังหนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป 

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่า…” นางเถียนประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้ “ให้ท่านพี่ไปดูเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองนายท่านรองสกุลหลัว 

 

 

“ท่านแม่ ให้ลูกไปดูเถิด” 

 

 

“ได้ เจ้ารอง เจ้าต้องตรวจดูให้ละเอียดว่านั้นเป็นศพของต้าหลังหรือไม่” มือที่กำไม้เท้าของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นเทาเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสริมอีกว่า “เจ้าสาม เจ้าก็ไปดูด้วยเถิด” 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวหรี่ตาเล็กน้อย ใจเต้นรัวเร็วขึ้นมา 

 

 

ฝาโลงที่ปิดอยู่นั้นค่อยๆ ถูกเลื่อนเปิดออก นายท่านรองและนายท่านสามสกุลหลัวเข้าไปดูพร้อมกัน 

 

 

แม้นอากาศจะเย็นแล้วทั้งยังมีน้ำแข็งถมไว้อีกชั้น แต่ศพที่นอนนิ่งอยู่ข้างในก็ยังคงเปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อย ทั้งยังส่งกลิ่นอันยากจะทานทนไหวออกมาอีกด้วย 

 

 

นายท่านสามสกุลหลัวเดินกลับมารวดเร็วดุจลมพายุ เขาคลึงดวงตาอันแดงก่ำของตนคราหนึ่ง “ท่านแม่ ข้างในนั้นไม่ใช่ต้าหลังขอรับ!” 

 

 

“จริงหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเผยสีหน้าตกใจระคนยินดีออกมา 

 

 

คนทั้งหลายในจวนกั๋วกงต่างเงียบไร้วาจา 

 

 

มุมปากของนายท่านรองสกุลหลัวหยักยกขึ้นสูง 

 

 

เจ้าสามช่างเหลวไหลนัก หากสามารถแยกออกได้ว่าข้างในเป็นบุรุษหรือสตรีด้วยเวลาอันรวดเร็วเพียงนั้นได้ ตนคงต้องคุกเข่าให้เขาแล้ว! 

 

 

เขาอดกลั้นมิสูดกลิ่นเหม็นที่ทำให้คนต้องกลั้นหายใจเอาไว้ แล้วจ้องมองอย่างละเอียดคราหนึ่งพลางเอ่ยว่า “น้องสาม เจ้าดูยังไม่ละเอียดด้วยซ้ำ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคล้ายยิ่ง” 

 

 

“จริงหรือ?” นายท่านสามสกุลหลัวเดินเข้าไปอย่างลังเล เขาเพียงชำเลืองมองเข้าไปในโลงครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าโดยแรง “ไม่มีทาง นี่มิใช่ต้าหลังอย่างแน่นอน” 

 

 

“เจ้าสาม เจ้าดูดีแล้วหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่ากำไม้เท้าแน่น อารมณ์ที่ประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลงทำให้ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกแบกรับไม่ไหวแล้ว 

 

 

นายท่านสามสกุลหลัวพุ่งเข้ามาประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้เบียดให้นางเถียนหลบไป “ลูกคิดว่าไม่ใช่ขอรับ ต้าหลังไหนเลยจะอัปลักษณ์เพียงนี้!” 

 

 

‘เปรี๊ยะ’ หน้ากากอันเศร้าสลดของนายท่านรองสกุลหลัวแตกละเอียดออกมาทันที เขาแหกปากคำรามร้อง “น้องสาม เจ้ากำลังเล่นตลกอันใดกัน!” 

 

 

นางเถียนบิดเบ้ปากคราหนึ่ง “น้องสาม ฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจทนการล้อเล่นเช่นนี้ของท่านได้ดอก นี่มิใช่เวลาที่จะมาพูดจาเหลวไหลรู้หรือไม่” 

 

 

นายท่านสามสกุลหลัวกลอกตาไปมา แล้วหันไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านแม่ ลูกดูอย่างไรข้างในนั้นก็มิใช่ต้าหลังอย่างแน่นอน แต่พี่รองกับพี่สะใภ้กลับบอกว่าลูกพูดเหลวไหล พวกเขาหมายความว่าเช่นไรกัน?” 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกสำลักจนเกือบขาดใจตาย ได้แต่ถลึงตาใส่นายท่านสามสกุลหลัว 

 

 

นางเถียนโกรธจนมุมปากบิดเบี้ยว “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านฟังเอาเถิด น้องสามพูดเช่นนี้ได้อย่างไร หรือคิดว่าท่านพี่อยากจะให้คนที่นอนอยู่ในนั้นเป็นต้าหลัง? เจ้าสามเดินทางนับพันลี้นำศพของพี่ใหญ่เขากลับมา แต่น้องสามมองเพียงครู่เดียวก็บอกว่าไม่ใช่ นี่มิใช่กำลังทำให้ท่านเลอะเลือนหรือ!” 

 

 

นายท่านสามสกุลหลัวมองนางเถียนด้วยสายตาประหลาดคราหนึ่ง “พี่สะใภ้รองจะตื่นเต้นไปไย ข้าก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้น” 

 

 

นางเถียนกล้ำกลืนโลหิตไว้ในลำคอ 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับชำเลืองมองนางเถียนด้วยแววตาดุดัน แล้วจึงเอ่ยถามนายท่านสามสกุลหลัวว่า “เจ้าสาม เหตุใดเจ้าจึงคิดว่านั้นมิใช่ต้าหลัง?” 

 

 

นางเถียนได้แต่ข่มกลั้นไว้ 

 

 

ปกติฮูหยินผู้เฒ่าฉลาดหลักแหลมนักมิใช่หรือ ทั้งที่วันนี้น้องสามเอ่ยวาจาเหลวไหลยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงไม่ตำหนิ แต่ยังชักสีหน้าใส่นางอีก? 

 

 

ความจริงเป็นเพราะนางเถียนนั้นมิเข้าใจหัวใจคน 

 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตายของคนที่รัก ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดเพียงใดก็คงอยากจะให้มี ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แม้นจะรู้ว่าปกตินายท่านสามสกุลหลัวจะมีอุปนิสัยเลื่อนลอยอยู่บ้าง แต่จิตใต้สำนึกภายในก็ยังเลือกที่จะเชื่อเขา กลับกันคำพูดที่ว่าศพในโลงนั้นเป็นต้าหลังต่างหากที่ฟังแล้ว หากไม่รู้สึกปวดใจจึงจะแปลก 

 

 

“ลูกเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพคน แม้นเห็นรูปหน้าคนที่นอนอยู่ในนั้นไม่ชัดเจน ทว่าแค่เพียงมองก็รู้สึกว่ามิใช่แล้ว ไม่เหมือน ไม่เหมือนจริงๆ ต้าหลังรูปงามปานนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ได้” 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวกับนางเถียนโกรธแทบตายแล้ว 

 

 

นี้มันเป็นคำอันประหลาดใดกันเล่า เพราะใบหน้าเสียโฉมและศพเปลี่ยนรูปร่าง ดูอัปลักษณ์จึงมิใช่ต้าหลังแล้วเช่นนั้นหรือ? 

 

 

เขาสามารถหาศพที่มีสภาพเช่นนี้แต่ยังรูปงามอยู่ได้กระนั้นหรือ! 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน เจ้ารอง เจ้าต้องดูให้ละเอียดล่ะ ข้าจำได้ว่าบนหัวเข่าด้านซ้ายของต้าหลังมีแผลเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่” 

 

 

นางเถียนเกือบจะพ่นโลหิตออกมาแล้ว นางลอบกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อถึงสามารถควบคุมท่าทีของตนเอาไว้ได้ 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวลอบสูดลมหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์ตน “เช่นนั้นลูกจะดูให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุดขอรับ” 

 

 

เขาฝืนทนกับกลิ่นเหม็น ยื่นมือออกไปดึงขากางเกงของศพขึ้น จ้องมองอย่างจริงจังอยู่นาน แล้วลุกขึ้นข่มความรู้สึกอยากจะตัดมือตนทิ้งไปไว้ “ท่านแม่ ศพนี้มีแผลเป็นหัวเข่า…” 

 

 

เมื่อเห็นร่างฮูหยินผู้เฒ่าโงนเงน ก็รู้สึกห่วงใยอยู่หลายส่วน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือความยินดีจนต้องถอนหายใจโล่งอก แต่ทำได้เพียงข่มกลั้นอาการอยากหัวเราะของตนไว้แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านต้องรักษาสุขภาพตนให้ดี อย่างไรต้าหลังก็นับว่ากลับมาแล้ว เด็กคนนี้กตัญญูต่อท่านมาตลอด หากรู้ว่าท่านต้องเสียสุขภาพเพราะเขาคงไม่อาจสงบใจได้แน่” 

 

 

“เป็นต้าหลัง เป็นต้าหลังจริงๆ หรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าถอดสีไปนานแล้ว พริบตาจึงดูชราไปอีกหลายปี 

 

 

ครั้งแรกที่ทราบข่าวการตายของต้าหลังกระทั่งถึงวันนี้ก็เป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับฝืนทนมาตลอด นางคิดในใจว่าหากไม่เห็นกับตาจะไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด 

 

 

“ข้า ข้าจักต้องไปดูด้วยตาตนเองสักหน่อย” 

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ เมื่อครู่ท่านพี่ก็ดูอย่างละเอียดแล้ว ท่านอย่าดูเลย ท่านพี่พูดถูก หากท่านไม่สบายขึ้นมา ต้าหลังทราบเข้าคงมิอาจสงบใจได้” นางเถียนเอ่ยเตือนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ 

 

 

นางซ่งเดินขึ้นหน้าเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่า ให้สะใภ้เข้าไปดูดีหรือไม่ อย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่ควรทำอย่างสะเพร่า” 

 

 

นางเถียนไม่พอใจขึ้นมา “น้องสะใภ้สาม วาจานี้คงมิใคร่ถูกนัก ท่านพี่ตรวจดูนานปานนั้นแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่าสะเพร่า? อีกอย่างอาสะใภ้เช่นเจ้าจะรู้จักต้าหลังได้ดีเพียงใดกัน?” 

 

 

วาจานี้ที่พูดมาช่างแทงใจยิ่งนัก นางซ่งเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง นางเม้มริมฝีปากแน่น 

 

 

“เอาล่ะ ข้าจะไปดูเอง!” ฮูหยินผู้เฒ่ายกไม้เท้าในมือเคาะพื้นสองสามครา 

 

 

นางเถียนโกรธจนมุมปากบิดเบี้ยว 

 

 

นางนับว่าดูออกแล้ว นอกจากคนที่ตรวจดูศพจะบอกว่าผู้ที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ต้าหลัง หญิงชราผู้นี้ถึงจะไม่ดู มิใช่นั้นก็ยังแข็งใจดูสักคราให้ได้ 

 

 

นี้มันเรื่องอันใดกัน ทำดั่งตนและสามีมิใช่คนกระนั้น ดูไม่ออกจริงๆ ว่าภรรยาของน้องสามจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้! 

 

 

นางเถียนเพิ่งจะรู้ความจริงวันนี้นี่เอง 

 

 

หากน้องสามพูดถูก เช่นนั้นพวกเขาสองสามีภรรยาก็ลำบากแล้ว แต่หากบอกว่าไม่ใช่ ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่มีทางกล่าวตำหนิเป็นแน่ 

 

 

หญิงชราแทบอยากจะให้ทุกคนบอกว่าต้าหลังยังมีชีวิตด้วยซ้ำกระมัง! 

 

 

ไปดูเถิด ดูเถิด อย่าดูจนตาบอดไปแล้วกัน! 

 

 

“ท่านย่า หลานจะไปดูเองว่าเป็นพี่ใหญ่หรือไม่!” หลัวจือหยาพลันเดินออกมา ขอบตามีน้ำตาเอ่อล้น 

 

 

นางเถียนรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา 

 

 

บุตรอัปรีย์ นางเพิ่งจะพูดวาจาเช่นนั้นต่อนางซ่งไป แต่หลัวจือหยากลับโผเข้ามา นี้มิใช่ต้องการตบหน้านางหรือไร! 

 

 

นางดึงหลัวจือหยาไว้ แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “เจ้าเป็นเพียงสตรี จะมาร่วมสนุกอันใดด้วย!” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับคิ้วกระตุก 

 

 

ร่วมสนุก? 

 

 

ต้าหลังของนางกลับมา เรียกว่าการมาดู มาร่วมสนุกงั้นหรือ? 

 

 

หรือนางเถียนคิดเช่นนี้มาตลอด? 

 

 

สายตาจับผิดมองไปยังนางเถียน นางเถียนตื่นเต้นขึ้นมาจึงเริ่มแสร้งทำสีหน้าเศร้าใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า หากท่านจะดู เช่นนั้นสะใภ้จะประคองท่านไปดูเองเจ้าค่ะ สะใภ้เลี้ยงเด็กคนนี้มาตั้งแต่เยาว์ ในใจของสะใภ้เขาก็ไม่ต่างอันใดกับเจ้ารอง เจ้าสาม หากไม่ดูให้แน่ใจ สะใภ้เองก็ยากจะวางใจได้” 

 

 

ครั้นได้ยินนางเถียนเอ่ยถึงตน คุณชายสามก็มองไปที่มารดาตน ความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ 

 

 

หากศพที่นอนอยู่ในโลงนั้นเป็นตนเอง ท่านแม่ยังจะพูดจาเอ่ยเตือนท่านย่าอย่างเป็นเหตุเป็นผลเช่นนี้อยู่หรือไม่? 

 

 

เหตุใดจึงมิพุ่งเข้าไปร้องห่มร้องไห้ข้างโลงศพเล่า? 

 

 

คุณชายสามมิใช่คนละเอียดอันใด จึงเพียงรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ให้บอกว่าผิดแปลกที่ตรงใดกลับบอกไม่ถูก 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเดินทีละก้าวๆ ไปที่โลงศพ พลันได้ยินเสียงดังชัดยิ่งว่า “ท่านย่า…” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดชะงักทันที 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวกลับถอยหลังห่างออกไปจากโลงศพอย่างรวดเร็ว และเพราะความรีบร้อนเกินไป ขาจึงไปเกี่ยวเอาสิ่งใดมิทราบจนล้มลง 

 

 

“เสียงคุณชายผู้สืบทอดมิใช่หรือ!” บ่าวผู้มีไหวพริบผู้หนึ่งร้องขึ้น 

 

 

ทุกคนที่อยู่ใกล้โลงศพต่างถอยกรูออกมาเสียงดังพึ่บพั่บ 

 

 

เดิมมีคนคิดจะยื่นมือเข้าไปประคองนายท่านรองสกุลหลัวไว้ แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ก็หดมือกลับและถอยหลังไปตามสัญชาตญาณทันที นายท่านรองสกุลหลัวจึงล้มลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิได้ใส่ใจเลย เอาแต่หันมองไปรอบทิศ “ต้าหลัง ต้าหลัง เป็นเจ้าหรือไม่?” 

 

 

คนทั้งคนที่ยืนอยู่ข้างประตูซึ่งถูกคนทั้งหลายยืนบดบังไว้มาตลอดเดินออกมาโดยพลัน 

 

 

หลัวเทียนเฉิงจูงมือเจินเมี่ยวเดินเข้ามา คุกเข่าลงดังพลั่ก “ท่านย่า หลานกลับมาแล้ว ทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วง หลานต้องขออภัยอย่างยิ่งขอรับ” 

 

 

เสียงโขกศีรษะดังโป๊กๆ ติดกันสามครั้ง แล้วค่อยยืนขึ้น 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองอย่างละเอียด 

 

 

คนทั้งสองแต่งกายเป็นคนขับรถลาก บนศีรษะยังมีงอบบังแดดกันฝนสวมอยู่ 

 

 

“เจ้าคือต้าหลังจริงๆ หรือ?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงดึงงอบออก “ท่านย่า อาสามพูดไม่ผิด บุคคลที่อยู่ในนั้นอัปลักษณ์ยิ่ง จะเป็นหลานได้อย่างไร” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องหลัวเทียนเฉิงนิ่งดั่งถูกสาปก็มิปาน 

 

 

หลัวเทียนเฉิงก็มิขยับเคลื่อนไหว ปล่อยให้นางจ้องต่อไป 

 

 

ขณะเดียวกันคนทั้งหลายในจวนต่างก็ร้องโห่ด้วยความยินดี 

 

 

มีเพียงนายท่านรองสกุลหลัวและนางเถียนที่มีสีหน้าย่ำแย่ดุจเมฆทะมึน เคราะห์ดีที่เวลานี้ไม่มีผู้ใดหันมองพวกเขาแม้แต่น้อย 

 

 

“ต้าหลัง?” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพลันยกไม้เท้าขึ้นฟาดใส่ร่างหลัวเทียนเฉิง นางตีไปพลางด่าทอไปพลาง “เจ้าเด็กชั่วช้า เหตุใดจึงมิรีบปรากฏตัวออกมา แต่กลับแอบซ่อนคอยขบขัน หรือว่าปีกกล้าขาแข็งแล้ว? วันนี้ย่าจะตีเจ้าให้ตาย แล้วเอาโลงนี้ใส่ศพเจ้าเสีย” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงรีบหลบเป็นพัลวัน “โอ๊ะ ท่านย่า อย่าตีโดนหน้า อย่าโดนหน้าขอรับ” 

 

 

คนทั้งหลายต่างหัวเราะออกมา 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตีไปพลางร้องไห้ไปพลาง 

 

 

เจินเมี่ยวดึงงอบออกแล้วหันไปมองดูด้วยรอยยิ้มตาหยี 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าระบายโทสะไปพอสมควรแล้วจึงวิ่งไปหลบข้างหลังเจินเมี่ยว 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดตีทันที “หลานสะใภ้?” 

 

 

“ท่านย่า หลานสะใภ้น้อมคารวะท่านเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา “ผอมลงไปมาก กลับมาก็ดีแล้วๆ” 

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก แล้วร้องไห้ออกมาเช่นกัน “ผอมจริงๆ เจ้าค่ะ อยู่ข้างนอกไม่มีของดีๆ ให้กินเลย” 

 

 

สีหน้าหลัวเทียนเฉิงบิดเบี้ยวขึ้นมาครู่หนึ่ง เอ่ยตามตรงเพียงนี้ จะดีจริงๆ หรือ? 

 

 

“นางเถียน อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้ให้จัดเช่นยามเราฉลองวันตรุษ!” 

 

 

นางเถียนตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 

 

 

“หลานสะใภ้อยากกินอันใดหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม 

 

 

“อยากกินขาหมูเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าหงึกหงัก “กินขาหมูนั้นดียิ่ง กินขาหมูนั้นดียิ่ง” 

 

 

นางเถียนอดกลอกตาไปมามิได้จริงๆ 

 

 

เหลือเกินจริงๆ อันใดที่เรียกว่ากินขาหมูดียิ่ง? 

 

 

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะกลับดังขึ้น “ผู้ใดก็ได้มาพยุงข้าขึ้นเดี๋ยวนี้” 

 

 

คนทั้งหลายได้ยินก็หันไปมอง จึงเห็นนายท่านรองสกุลหลัวล้มคว่ำอยู่บนพื้น 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดียิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “พวกเจ้าช่างไร้ตานัก รีบเข้าไปพยุงนายท่านรองขึ้นมาเร็ว เอาล่ะ กลับเข้าเรือนกันเถิด อย่ามัวแต่ยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้เลย” 

 

 

มุมปากหลัวเทียนเฉิงเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า หลานยังพาคนผู้หนึ่งมาด้วยขอรับ” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset