วาสนาบันดาลรัก 206

ตอนที่ 206

นางเจี่ยงมีสติมากที่สุดจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า น้องสะใภ้สาม เยี่ยนเอ๋อร์เพียงตกเลือด มิได้บอกว่ารักษาเด็กเอาไว้มิได้เสียหน่อย ยามนี้เราควรรีบไปดูจะดีกว่า น้องสะใภ้สามข้าจะไปกับเจ้าเอง” 

 

 

สาวใช้ประคองนางเวินไว้ เดิมก็ซูบซีดอยู่แล้ว เมื่อมองดูยามนี้ยิ่งเหมือนบุปผาที่ร่วงโรยมานานวัน ซีดเซียวไร้สีสันยิ่ง 

 

 

มือของนางสั่นไม่หยุด ทุกวาจาที่เอ่ยล้วนต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง “ไม่ต้องดอก…พี่สะใภ้ ในจวนมีเรื่องมากมายที่ท่านต้องดูแล อย่าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเหนื่อยเลย เรื่องของเยี่ยนเอ๋อร์ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว” 

 

 

นางเจี่ยงจึงมิได้ดึงดันอันใดอีก 

 

 

ผู้มีฐานะเป็นสะใภ้นั้นมิอาจกระทำตามใจ การที่คนของตระกูลมารดาจะมาเยี่ยมจึงเป็นเรื่องปกติยิ่ง หากนางเวินจะไปพักสักหลายวันก็ไม่มีผู้ใดว่าอันใด แต่นางอยู่ในฐานะผู้ดูแลจวน หากนางไปด้วยเกรงว่าทางนั้นจะรู้สึกว่าพวกตนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว 

 

 

ตัวนางนั้นมิเป็นไรดอก แต่เยี่ยนเอ๋อร์ยังต้องอยู่กับตระกูลนั้นไปอีกนาน หากมีวาจาซุบซิบเกิดขึ้นก็มิทราบต้องทนรับกับโทสะของผู้ใดบ้าง 

 

 

เดิมกลัวว่านางเวินจะทนรับเรื่องร้ายติดต่อกันสองครานี้ไม่ไหวจึงคิดไปเป็นเพื่อนนาง แต่กลับลืมไปว่านางเวินนั้นมีความแข็งกร้าวอย่างหนึ่งที่สตรีทั่วไปไม่มี 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเวิน เจ้ากลับไปเก็บของแล้วออกเดินทางเถิด นางเจี่ยงให้คนเปิดห้องเก็บทรัพย์สินแล้วนำเอารังนกโลหิตที่ไท่โฮ่วพระราชทานให้ครานั้นให้นางเวินด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ มีสติกลับมา แล้วทอดถอนใจอยู่ในอกว่าเหตุใดเรื่องร้ายๆ จึงเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้นเสียที! 

 

 

ได้ยินคำว่ารังนกโลหิต นางหลี่ก็คิ้วกระตุกทันที ใจเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว 

 

 

นี่เป็นของล้ำค่ายิ่ง ปีนั้นนางคลอดบุตรแฝดจนร่างกายอ่อนแอลงมายังไม่มีโอกาสได้กินรังนกชนิดนี้เลย 

 

 

ระยะนี้เจินปิงเจินอวี้กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยเรื่องหมั้นหมาย แต่ที่ทำให้คนประหลาดใจและยินดียิ่งคือ ตระกูลหวังอันเก่าแก่แสดงเจตนาคล้ายสนใจในตัวเจินอวี้ 

 

 

นางหลี่ทราบดีว่าที่บุตรสาวทั้งสองสามารถแต่งเข้าตระกูลใหญ่ได้นั้นย่อมมีสาเหตุจากพี่สาวทั้งสองที่ออกเรือนไปก่อนหน้าไม่มากก็น้อย 

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีเหตุจากความสัมพันธ์ดุจผ้าผืนเดียวของพี่น้องนั้นเอง 

 

 

เพื่อสิ่งนี้…แม้นนางหลี่จะไม่พอใจเท่าใด นางก็มิอาจแสดงออกมาได้ ทำเพียงลอบแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งเท่านั้น 

 

 

นางเจี่ยงตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนที่คนทั้งหลายกำลังจะแยกย้าย ม่านประตูกลับถูกแหวกออก บุรุษรูปร่างสูงโปร่งสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวขุ่นเดินเข้ามาพอดี 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่าแปลกใจยิ่ง “เจ้ารอง เหตุใดจึงกลับมาในเวลานี้เล่า?” 

 

 

แล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที “หรือมีข่าวจากเป่ยเหอ?” 

 

 

ผู้ที่มาคือนายท่านรองสกุลเจิน 

 

 

นายท่านรองสกุลเจินอายุเกือบสี่สิบแล้ว แต่เพราะรูปงามดุจเทพเซียน ดูอย่างไรก็คล้ายอายุเพียงสามสิบต้น แต่กลับไร้ท่าทีดุจเด็กหนุ่ม ชุดคลุมตัวยาวสีขาวขุ่นนั้นเรียบกริบไร้รอยยับใดๆ เมื่อยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงแดดจากด้านนอกลอดส่องเข้ามาสะท้อนให้เห็นแสงเรืองรองวงหนึ่งขึ้นรอบผมสีดำขลับนั้น ทำให้คนมิอาจเบนสายตาหนีไปได้ 

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านรองสกุลเจินจึงเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกขอลากลับเองขอรับ เพราะอยากจะไปตามหาคนกับน้องสามที่เป่ยเหอด้วยตนเอง” 

 

 

เป่ยเหอนั้นส่งสารมาแจ้งจริงๆ ในสารกล่าวว่าพบศพของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว แต่ข่าวนี้มีเพียงจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนเจี้ยนอานปั๋วเท่านั้นที่ทราบ 

 

 

ทว่าข่าวนี้เขาจะไม่บอกฮูหยินผู้เฒ่าเด็ดขาด มิเช่นนั้นเมื่อได้ฟังว่าคุณชายผู้สืบทอดต้องพบกับเหตุอันไม่คาดฝัน แล้วเมี่ยวเอ๋อร์จะพบมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร 

 

 

เมื่อคิดถึงหลานสาวที่รูปร่างหน้าตาคล้ายตนเหลือเกินผู้นั้น นายท่านรองสกุลเจินก็เจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ 

 

 

“ไม่มีก็ดีแล้ว…ไม่มีก็ดี” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบหอบเอาใจที่ร่วงหล่นของตนกลับคืนมา 

 

 

บุตรชายผู้นี้ของนางมิเคยกล่าวคำปด 

 

 

เวลานี้นางหวังจะได้ยินข่าวจากเหอเป่ยยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะมีข่าวอันใดแจ้งมา 

 

 

นายท่านรองสกุลเจินหลุบม่านตาต่ำ มุมปากหยักโค้งเกิดเป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน “ท่านแม่วางใจเถิด ลูกจะไปจัดการเองขอรับ” 

 

 

เขามิได้พูดปดเพียงแต่หลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยจุดสำคัญของเรื่องไปก่อนเท่านั้น 

 

 

นางหลี่กลับอดมิได้ “ท่านพี่ น้องสามมิใช่ไปแล้วหรือ หากท่านไปอีกคงเหลือแต่พี่ใหญ่ที่คอยดูแลจวนแล้ว” 

 

 

คนผู้นั้นกล้ากระทั่งยิงธนูดอกนั้นออกมาต่อหน้าพระพักตร์เชียว ผู้ใดจะทราบว่าจะมีคนร้ายหลบซ่อนอยู่มากมายเท่าใด หากลงมือทำร้ายท่านพี่เข้าจะทำฉันใด! 

 

 

คิดถึงตรงนี้ก็ลอบด่าทออยู่ในใจอีกคำรบ 

 

 

เด็กสาวอัปรีย์นั้นสร้างความเดือดร้อนให้บ้านนางตั้งแต่อยู่ในจวนแล้ว ยามนี้ออกเรือนไปแล้ว แต่เหตุใดยังกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้บ้านนางได้อีก! 

 

 

เวลานี้นางหลี่กลับลืมเรื่องที่บุตรสาวตนสามารถแต่งเข้าตระกูลใหญ่ๆ ได้นั้นล้วนมาจากบารมีของพี่สาวไปเสียสิ้น 

 

 

นายท่านรองสกุลเจินมองนางหลี่คราหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฮูหยินวางใจเถิด ก่อนหน้านี้ข้ารับราชการอยู่ต่างเมืองอยู่หลายปี พี่ใหญ่ก็ดูแลจวนของเราให้รุ่งเรืองมาได้กระทั่งบัดนี้ แต่น้องสามมิเคยออกไปต่างเมือง เจินฮ่วนก็อายุยังน้อย ข้ารู้สึกไม่วางใจจริงๆ” 

 

 

นางหลี่คิดจะพูดอันใดอีกครา แต่เจินอวี้กลับกระตุกดึงอาภรณ์นางไว้ 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วรู้สึกมีเหตุผลยิ่งจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าลาแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถิด เจ้าสามออกไปจัดการเรื่องเองเช่นนี้ทำให้คนเป็นห่วงจริงๆ ทั้งข้ายังได้ยินมาอีกว่าจวนกั๋วกงส่งหลานชายสองคนไปแทน เกรงว่าคงมีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องราวไม่มากเท่าใดนัก” 

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ก็พลันหยุดไปแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “ที่ข้ากลัวคือหลัวซื่อจื่อกับเมี่ยวเอ๋อร์มิได้เป็นอันใดแต่กลับถูกคนใจคดคิดทำร้ายเอาก่อนเสียมากกว่า เจ้ารอง เจ้าพาคนไปมากหน่อยเถิด” 

 

 

นายท่านรองสกุลเจินเลิกขึ้นช้าๆ 

 

 

ท่านแม่ช่างเป็นผู้มองทะลุปรุโปร่งยิ่ง มิน่าเล่าเมื่อสมัยยังสาวถึงได้พยุงจวนปั๋วที่แทบจะล้มลงอยู่รอมร่อนี้ให้กลับคืนมาสู่สภาวะปกติได้ 

 

 

“ขอรับ ลูกทราบแล้ว” นายท่านรองสกุลเจินหมุนกายไปมองนางเวิน “น้องสะใภ้สาม เจ้าวางใจ ข้าจักต้องพาเมี่ยวเอ๋อร์กลับมาให้ได้” 

 

 

“ขอบพระคุณพี่รองมากเจ้าค่ะ” นางเวินย่อกายคารวะ 

 

 

นางไม่วางใจจริงๆ ที่จะให้คนไม่ได้เรื่องนั้นไปตามหาบุตรสาว และในเวลาสำคัญเช่นนี้เองนางถึงต้องยอมรับอย่างจนใจว่า นอกจากสามีแล้วก็มีเพียงบุตรชายเท่านั้นที่นางสามารถพึ่งได้ นางไม่สามารถออกไปตามหาคนด้วยตนเองได้ 

 

 

นายท่านรองสกุลเจินมิใช่คนอืดอาด เมื่อแจ้งแก่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็รีบเก็บข้าวของออกเดินทางทันที แม้นนางหลี่อยากเอ่ยสิ่งใดก็ไม่มีแม้แต่โอกาสด้วยซ้ำ 

 

 

ครั้นกลับถึงสวนฟางเฟย นางหลี่ก็เอ่ยขึ้นด้วยโทสะว่า “การหมั้นหมายของบุตรสาวมิเคยใส่แต่กลับไปมองบุตรคนอื่นเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าเสียแล้ว!” 

 

 

เจินปิงและเจินอวี้ฟังวาจานี้แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน 

 

 

เจินปิงอุปนิสัยอ่อนโยนจึงมิได้เอ่ยอันใด แต่เจินอวี้กลับเป็นคนปากไวเถรตรงจึงเอ่ยสวนกลับไปทันทีว่า “ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน ตอนนี้ยังมิทราบด้วยซ้ำว่าพี่สี่เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง หากลูกเป็นบุรุษคงตามอาสามออกไปตามหากแล้ว แต่ท่านกลับเอาการหมั้นหมายของลูกมาเปรียบกับความเป็นความตายของพี่สี่ หากวาจานี้แพร่ออกไป ข้ากับพี่หาคงมิต้องออกเรือนแล้ว คงต้องกินเจสวดมนต์อยู่วัดเพื่อขอพรให้ทุกคนญาติพี่น้องของเราปลอดภัยกลับมาแทน!” 

 

 

นางหลี่โมโหจนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ “เจ้า เจ้าลูกคนนี้ แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้ารู้หรือไม่!” 

 

 

หากท่านพี่เป็นอันใดไป พวกนางจะอยู่อย่างไร แต่วาจาอัปมงคลเช่นนี้นางจะพูดออกมาได้อย่างไร 

 

 

น้ำเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านแม่คงเคยได้ยินเรื่องรังนกตกร่วง ย่อมมิอาจฟักไข่กระมัง ข้าว่าท่านแม่คิดถึงจวนเราก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

นางหลี่แทบบไม่อยากจะเชื่อ “ปิงเอ๋อร์ แม้แต่เจ้าก็พูดเช่นนี้หรือ?” 

 

 

เจินปิงก้มหน้าต่ำมิกล้าส่งเสียง 

 

 

บุตรสาวที่เชื่อฟังมาตลอดก็ยังเป็นเช่นนี้ทำให้นางหลี่ร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “พวกเจ้าสองคนช่างโง่นัก ถูกขายไปแล้วยังต้องช่วยผู้อื่นนับเงินอีก ได้…เราจะไม่พูดเรื่องของเมี่ยวเอ๋อร์ก็ได้ แต่เหยียนเอ๋อร์ตกเลือดแล้ว พวกเจ้ามิเห็นหรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับนำรังนกโลหิตไปให้นาง ตอนที่แม่คลอดพวกเจ้า ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่งก็ยังมิเคยได้กิน! เป็นเพราะท่านย่าพวกเจ้าลำเอียงรักแต่บ้านใหญ่และบ้านสาม หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงคราพวกเจ้าออกเรือนก็คงไม่เหลืออันใดแล้ว” 

 

 

นางหลี่ยิ่งคิดยิ่งโมโห หากมิใช่เพราะร่างกายนางอ่อนแอลงเหตุใดจึงไม่มีบุตรชายเสียทีเล่า 

 

 

สองพี่น้องอึ้งงันไปกับวาจาของนางหลี่ 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งเจินปิงจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ท่านแม่กล่าวผิดแล้ว ลูกได้ยินมาว่าตอนนั้นจวนของเราลำบากยิ่ง ท่านยังถึงกับเคยขายสินเดิมที่ติดตัวมาเพื่อเชิญท่านหมอมารักษาท่าน คิดดูแล้วหากยามนั้นมีรังนกโลหิตชั้นดี ท่านย่าก็ต้องให้ท่านแน่เจ้าค่ะ” 

 

 

เจินอวี้กลับเอ่ยตรงยิ่งกว่า “ท่านแม่ รังนกนั้นมิใช่ได้รับพระราชทานมาเมื่อคราพี่สี่ออกเรือนหรือ? พี่สี่มอบให้ท่านย่าเพื่อแสดงความกตัญญู หากท่านย่าจะมอบให้พี่รองก็มิเห็นแปลกอันใด?” 

 

 

นางหลี่ถูกบุตรสาวทั้งสองเอ่ยขัดจนพูดสิ่งใดไม่ออกแล้ว 

 

 

เดิมเจินอวี้ก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อถูกยั่วอารมณ์มากเข้าจึงเอ่ยวาจาเถรตรงออกมาอีกประโยค “อีกอย่างพี่รองกินของที่ได้จากตระกูลมารดาตน มิใช่ตระกูลสามีมอบให้เสียหน่อย เรื่องนี้จะเปรียบกันได้เสียที่ไหน?” 

 

 

ครานี้กลับแทงถูกจุดตายของนางหลี่เข้าอย่างจัง 

 

 

นางเป็นบุตรอนุที่ไม่ได้รับความเอ็นดูอันใด หลังจากคลอดบุตร ตระกูลบ้านมารดาก็เพียงส่งของขวัญมาเป็นพิธีเท่านั้น การติดต่อสัมพันธ์กันเป็นเช่นนี้มาตลอด 

 

 

“พวกเจ้าสองคน ออกไปเดี๋ยวนี่!” 

 

 

เจินปิงยังคิดจะชี้แจงอีกสักหน่อยแต่ถูกเจินอวี้ลากออกไปก่อน 

 

 

เมื่อถึงบริเวณลับตาคนในสวนดอกไม้ เจินปิงจึงเอ่ยว่า “น้องหก เหตุใดเจ้าต้องพูดเช่นนั้น เกรงว่าครานี้ท่านแม่คงจะโกรธจริงๆ แล้ว” 

 

 

คนทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไฮ่ถัง 

 

 

เวลานี้ใบไฮ่ถังได้ร่วงหล่นจนหมดต้นแล้ว เหลือเพียงผลของมันที่เกาะอยู่เต็มยอดไม้ทำให้กิ่งของมันโน้มลงต่ำยิ่ง 

 

 

เจินอวี้เอื้อมมือไปเด็ดลูกไฮ่ถังแล้วกำเล่นอยู่ในมือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว “พี่ห้า ฟ้าย่อมมีฝน คนย่อมมีภัย หากท่านแม่ยังคิดไม่ได้ ข้าเกรงว่าสักวันคงต้องทำความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่มิอาจแก้ไขได้เป็นแน่” 

 

 

เจินปิงก็คว้ากิ่งไฮ่ถังไว้แล้วกัดฟันเอ่ยด้วยความโกรธเคืองเช่นกัน “ข้าไม่เข้าใจ ท่านพ่อเป็นบุรุษที่ดีถึงเพียงนั้น เหตุใดท่านแม่ถึงได้เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นด้วยเล่า?” 

 

 

หากนางพบบุรุษเช่นบิดาเกรงว่าหลงใหลในเวลาอันรวดเร็ว แม้นคิดจะหาเรื่องยังคิดไม่ออกว่าจะเอาสิ่งใดมากล่าวตำหนิ 

 

 

เจินอวี้โยนลูกไฮ่ถังลงพื้น เอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นมัว “ข้าคิดถึงสาเหตุนี้มาตั้งแต่เล็ก กระทั่งตอนนี้ยังไม่เข้าใจเลย!” 

 

 

นางเวินรีบไปยังจวนเสนาบดีทันที เมื่อทำความเคารพต่อเหล่าไท่จวินจวนเสนาบดีแล้วจึงเดินตามสะใภ้ใหญ่สกุลจู้ไปเยี่ยมเจินเหยียน 

 

 

สีหน้าของเจินเหยียนมินับว่าแย่นัก แต่เมื่อเห็นนางเวินขอบตากลับแดงก่ำขึ้น แต่เพราะนางจู้ผู้เป็นมารดาของสามีอยู่ด้วย นางจึงมิกล้าพูดอันใดมาก 

 

 

นางจู้กลับคล้ายเข้าใจจึงเอ่ยปลอบใจครู่หนึ่งแล้วหลบออกไป 

 

 

นางเวินคว้าตัวเจินเหยียนมาพิจารณาอย่างละเอียดคราหนึ่ง “เหยียนเอ๋อร์ เจ้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่ แม่ตกใจแทบตาย” 

 

 

“ข้ามิเป็นอันใด” เจินเหยียนเบ้ริมฝีปากตน “ท่านแม่ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับน้องสี่ พวกท่านกลับปิดบังข้าไว้ ข้าเสียใจยิ่ง!” 

 

 

“เจ้าตั้งครรภ์อยู่ แม้นรู้เข้าก็ไม่มีอันใดนอกจากกังวลใจเท่านั้น” 

 

 

ทั้งสองต่างมองตากันแล้ว ต่างเป็นห่วงเจินเมี่ยวจึงมีวาพูดคุยกันมากมา แต่เจินเหยียนมิได้เป็นอันใดมาก หากนางเวินค้างแรมที่นี่คงไม่เหมาะนัก 

 

 

เจินเหยียนกำชับอยู่หลายคราว่าหากมีข่าวคราวใดมาจักต้องบอกนาง นางเวินก็รับปาก แต่กลับถอนหายใจอยู่ในอก 

 

 

กระทั่งนางเวินจากไป เจินเหยียนจึงเผยสีหน้าขรึมขึ้น แล้วก้มหน้าซบกับหมอนร้องไห้ออกมา 

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนเดินเข้ามาปลอบ เจินเหยียนจึงเช็ดน้ำตา แล้วแค่นหัวเราะอยู่ในใจ 

 

 

น้องสี่เกิดเรื่อง ทุกคนพยายามที่จะปิดบังนาง แต่เพราะญาติผู้น้องแสนดีของสามีนางถึงได้ทราบข่าวนี้อย่างไรเล่า! 

 

 

ช่างเป็นบุคคลที่ฉลาดล้ำเกินผู้ใดเสียจริงๆ! 

 

 

“อาเหยียน ไม่สบายอีกหรือไม่?” 

 

 

เจินเหยียนเผยรอยยิ้มบางเบา “ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ในที่สุดนายท่านสามสกุลเจินและขบวนที่รีบเร่งเดินทางอยู่นั้นก็ถึงเป่ยเหอเสียที ผู้บัญชาการกู่เข้ามาเชิญพวกเขาไปดูศพด้วยตนเอง 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset