วาสนาบันดาลรัก 204

ตอนที่ 204

ถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างหยาบใบหนึ่งกลิ้งตกลงพื้น เพราะพื้นเป็นดินถ้วยจึงไม่แตก แต่กลิ้งไปหลายตลบแล้วหยุดลงที่ปลายเท้าของหลัวเทียนเฉิง

 

ถ้วยใบนั้นใส่ไข่ไว้สองฟอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้วยจึงเปื้อนไข่ที่แตกและเศษดิน

 

หลัวเทียนเฉิงกลับไม่รังเกียจ เขาก้มลงไปเก็บแล้วส่งคืนให้ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “ท่านน้า ระวังด้วย”

 

เวลานี้อาทิตย์กำลังร่วงตก น้ำค้างสารทฤดูยังมิทันสิ้น ต้นไม้สูงล้อมแน่นดุจกำแพงนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองร่วงปลิดปลิวดุจภมรที่บินว่อนไปมากกว่าครึ่งแล้ว

 

รูปโฉมของบุรุษผู้นี้เฉิดฉายดุจแสงจันทรา ภาพของคนผู้นั้นในความทรงจำได้ย้อนกลับมาอีกครา

 

สตรีผู้นั้นเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจึงรับถ้วยไว้แล้วเอ่ยว่า “ท่านทั้งสองนั่งรอสักครู่ก่อนเถิด” แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวทันที

 

“ท่าทีของท่านน้าดูแปลกพิกลนัก” เจินเมี่ยวที่คอยระแวดระวังมาตลอดสองวันนั้นอ่อนแรงทั้งใจและกาย นางเริ่มฝืนทนไม่ไหวแล้วจึงพูดพลางอ้าปากหาว

 

“คงตะลึงในรูปโฉมของเจ้ากระมัง” หลัวเทียนเฉิงเก็บสายตากลับมาแล้วมองออกไปด้านนอก

 

เรือนหลังนี้สร้างติดกับภูเขาจึงอยู่ในพื้นที่ที่สูงทำให้มองเห็นหมู่บ้านทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

 

ทั้งสี่ทิศเป็นหุบเขาเขียวขจีล้อมรอบบ้านเรือนหลายสิบหลังไว้ ทางเดินก็แคบและคดเคี้ยว ชาวบ้านหลายคนที่งานเสร็จแล้วต่างทยอยเดินกลับเรือนตน ควันไฟสีขาวลอยคลุ้งขึ้นจนแทบผสมเป็นเนื้อเดียวกับเมฆหมอกบนหุบเขาสูง

 

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ห่างไกลจากโลกภายนอกยิ่ง เกรงว่าแม้แต่นายอำเภอก็ยังลืมพื้นที่แห่งนี้ที่จดบันทึกไว้ด้วยซ้ำ

 

หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง

 

เจินเมี่ยวสะลึมสะลือพึมพำขึ้นว่า “ข้างดงามจนผู้คนต้องตะลึงตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า”

 

หลัวเทียนเฉิงอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ได้ยินนางเอ่ยขึ้นอีกว่า “ใช่แล้ว หากเอ่ยถึงเรื่องรูปโฉมก็ควรจะเป็นเพราะท่านจึงจะถูก”

 

เรื่องเหลวไหลอันใดกันอีกเล่า

 

หลัวเทียนเฉิงคิดจะหัวเราะเยาะแต่กลับเห็นนางสัปหงกดุจไก่จิกข้าวสาร นางถึงกับนั่งหลับเลยทีเดียว

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกจนใจยิ่ง ทั้งรู้สึกปวดใจด้วยเช่นกัน

 

คุณหนูสูงศักดิ์คนอื่นๆ มีชีวิตที่หรูหราสะดวกสบาย มิต้องพูดถึงเรื่องสัปหงกเลย เพียงแค่ขนมที่เข้าปากมิหวานถูกใจก็คงทุกข์ระทมอยู่เป็นนานแล้ว แต่นาง…แบกเขาเดินไปทั่ว กลับไม่ส่งเสียงบ่นเลย ทั้งมิพูดเอาความชอบด้วย คล้ายว่าทุกอย่างควรเป็นเช่นนี้มาแต่แรก

 

นัยน์ตาหลัวเทียนเฉิงเปล่งประกายแวววาวดุจท้องฟ้าอันสดใสหลังถูกสายฝนชะล้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความอ่อนโยนร่วงตกลงบนใบหน้าอันขาวสะอาดของเขาและคงอยู่เช่นนั้นมิหายไปไหน

 

กล่าวไปแล้วก็เป็นเขาเองที่ไร้ความสามารถ ทำให้นางต้องพบกับโชคร้ายเช่นนี้

 

แต่ในใจส่วนลึกกลับเกิดความยินดีอันยากจะเอื้อยเอ่ยขึ้นมาอย่างล้นหลาม

 

หากมิเป็นเช่นนี้เขาคงไม่มีเชื่อแน่ว่าจะถูกสตรีร่างบอบบางแบกตนเดินซวนเซฝ่าฟันอันตรายไปตลอดทางได้

 

สตรีผู้นี้เป็นของเขา

 

ครั้นคิดถึงตรงนี้กลับรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็มิได้มีอันใดเลวร้ายนัก

 

มื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นแบกถังน้ำกลับมา “พวกท่าน พวกท่านเป็นใครกัน”

 

เหตุใดบุคคลรูปงามทั้งสองนี้จึงมาอยู่ที่บ้านเขาได้ เพราะแสงแดดแยงตาทำให้เห็นหน้าตาไม่ชัดนัก แต่กลับรู้สึกว่างดงามเจิดจ้ายิ่งจึงอดตกใจมิได้ “พวกท่านเป็นเซียนหรือ”

 

เขาวางถังน้ำลงแล้ววิ่งเข้าไปใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว สายตาจ้องหลัวเทียนเฉิงไม่กะพริบ “ข้ารู้แล้ว พวกท่านมาจับปีศาจวานรคู่นั้นใช่หรือไม่”

 

หลัวเทียนเฉิงตัวแข็งทื่อไปทันใด

 

“ความจริงท่านเข้าใจผิด พวกเขาไม่ใช่ปีศาจวานร แม้ว่าตอนนั้นข้าจะเข้าใจผิด…”

 

หลัวเทียนเฉิงทนฟังไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจผิดนั้นมิเป็นไร แต่น้องชายอย่าเข้าใจผิดเป็นพอ”

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นเบิกตากว้างขึ้นทันใด เขายกมือขึ้นชี้ “ท่าน ท่าน…”

 

“ใช่ ข้าก็คือปีศาจวานรผู้นั้น” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตัดบททันที แล้วอุ้มเจินเมี่ยวเดินตรงเข้าไปในห้อง

 

เขาบาดเจ็บที่ขาอยู่ เมื่ออุ้มคนไว้จึงยิ่งเดินไม่ถนัดมากขึ้นไปอีก

 

สตรีผู้นั้นถือชามน้ำแกงเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย

 

หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา “ท่านน้า ภรรยาข้าเหนื่อยมากจึงหลับไป ข้าขอให้นางนอนพักตรงนี้ก่อนได้หรือไม่”

 

“เช่นนั้นตามข้ามาทางนี้เถิด” สตรีผู้นั้นวางชามน้ำแกงลงแล้วเดินนำหลัวเทียนเฉิงเข้าไปในห้อง

 

เรือนพักธรรมดาของชาวบ้านมีแค่สามห้องเท่านั้น สตรีผู้นั้นชี้ไปยังเตียงคั่งในห้องตะวันตก “ผ้าห่มและฟูกรองเก่าแล้ว แต่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ หวังว่าคุณชายจะไม่รังเกียจ”

 

หลัวเทียนเฉิงวางเจินเมี่ยวลงอย่างเบามือ เมื่อคลี่ผ้าห่มออกคลุมให้นางแล้วจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านน้าพูดอันใดกัน เราสองคนสามีภรรยามารบกวนแท้ๆ แต่กลับยังมิทันได้เอ่ยขอบคุณในน้ำใจของท่านด้วยซ้ำ”

 

สตรีผู้นั้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ

 

เมื่อได้มองใกล้ๆ เช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่คล้ายกันแล้ว อาจเพราะวาจาท่าทีของเหล่าคุณชายสูงศักดิ์คงคล้ายๆ กันไปหมดกระมัง

 

“คุณชาย ข้าทำอาหารเสร็จแล้ว ท่านกินก่อนเถิด”

 

หลัวเทียนเฉิงเดินตามสตรีผู้นั้นออกไป

 

บนโต๊ะมีผักกาดขาวผัดเส้น ต้มฟักหนึ่งชาม ผัดไก่หนึ่งจานและน้ำแกงผักป่าชามโตแสนธรรมดา

 

ทว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นกลับตื่นเต้นดีใจยิ่ง “ท่านแม่ มีไก่ให้กินด้วยหรือ”

 

เขายื่นตะเกียบออกไปคีบแต่สตรีผู้นั้นกลับตีตะเกียบของเขาคราหนึ่ง

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นดูท่าจะเคารพมารดามากจึงมิกล้ากิน หลัวเทียนเฉิงเองก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย

 

ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะยากจนหรือแปลกพิกลอย่างไร แต่นางกลับปฏิบัติประหนึ่งพวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนก็มิปาน

 

แต่ตอนนี้พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบาก มิได้มีหน้ามีตาหรือเกียรติอันใดปานนั้นแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ทันที

 

คนเช่นเขา ยามสูงศักดิ์ดุจดั่งบุปผาบนเขาสูง ทว่าหากต้องโอนอ่อนประนีประนอม ทุกกริยากลับทำให้คนรู้สึกดั่งสายลมที่พัดหวิวในยามวสันต์ ทุกคนจึงคล้อยตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว

 

การกินข้าวครั้งนี้จึงเป็นไปอย่างมีความสุข

 

เจินเมี่ยวหลับไม่ยอมตื่น หลัวเทียนเฉิงก็มิปลุกนาง เขาอยากให้นางหลับอย่างเต็มอิ่ม

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นแบกขวานไปตัดฟืนตรงลานกลางเรือน

 

ส่วนมารดาเมื่อทำงานบ้านเสร็จก็นั่งเย็บผ้าโดยใช้แสงนวลจากดวงจันทร์

 

หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปหาสตรีผู้นั้น

 

“คุณชาย” นางคล้ายหวาดกลัวหลัวเทียนเฉิงอย่างมาก เมื่อใจพะว้าพะวัง ปลายเข็มจึงทิ่มปลายนิ้ว โลหิตพลันผุดขึ้นมาดุจเม็ดมุก

 

หลัวเทียนเฉิงนั่งลงเอ่ยถามอย่างเถรตรงยิ่ง “ท่านน้า ท่านคิดว่าข้าเหมือนผู้ใดหรือ”

 

สตรีผู้นั้นร่างแข็งทื่อไปทันที ผ่านไปนานจึงมีสติคืนมา แล้วเอ่ยตอบด้วยท่าทีอึดอัด “คุณชายพูดจาขบขันแล้ว ข้าคนต่ำต้อยไหนเลยจะเคยพบบุคคลเช่นคุณชายได้”

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอีกคราอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ท่านน้ามิใช่มารดาแท้ๆ ของน้องชายผู้นั้นกระมัง”

 

วาจานี้ทำให้สตรีผู้นั้นหน้าถอดสี เอ่ยสิ่งใดไม่ได้ดั่งคนเห็นผีก็มิปาน “ท่านทราบได้อย่างไร”

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มแต่มิเอ่ยสิ่งใด

 

สายตาในการมองคนของเขานับว่าแหลมคมไม่น้อย

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุราวสิบสี่สิบห้า แม้สตรีผู้นี้จะดูคล้ายคนอายุสามสิบกว่าแล้วเพราะตรากตรำทำงานมาหลายปี แต่หากสังเกตให้ดีจะทราบว่านางอายุแค่ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดเท่านั้น

 

การมีบุตรในวัยสิบสามสิบสี่มิใช่ไม่มี แต่อย่างไรก็มีไม่มาก โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนาเช่นนี้ สตรีต้องทำงานหนัก แม้รั้งรอจนถึงอายุสิบหกสิบเจ็ดก็ยังถือว่าเร็วเกินไปด้วยซ้ำ

 

แต่วาจาและท่าทีของสตรีผู้นี้กลับแตกต่างกับคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้อย่างยิ่ง

 

ในเมื่อมีข้อสงสัยก็ย่อมต้องหาคำตอบสักหน่อย

 

แม้การบีบคั้นสตรีผู้หนึ่งจะเป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรมแต่เขาก็อยากรู้จริงๆ ว่านางคิดว่าเขาเป็นใคร

 

การสอบปากคำเป็นสิ่งที่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินชำนาญอยู่แล้ว เมื่อถูกคาดคั้นมากเข้า สตรีผู้นั้นก็ทนไม่ได้จึงเอ่ยความจริงออกมาในที่สุด

 

ที่แท้นางเคยเป็นแม่นมให้กับตระกูลร่ำรวยในอำเภอแห่งหนึ่ง แต่เพราะคนกลั่นแกล้ง เด็กน้อยที่ดื่มนมนางจึงเกือบไม่รอดชีวิต นายท่านโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจึงขายนางให้ผู้อื่น นางผ่านเรื่องราวมามากมายสุดท้ายได้แต่งงานเป็นภรรยาใหม่ของนายพรานล่าสัตว์ผู้หนึ่งและตัดสินใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งนี้

 

น่าเสียดายที่นายพรานผู้นั้นอายุสั้นยิ่ง เขาเข้าป่าไปแล้วก็มิได้กลับมาอีกเลยแต่ทิ้งบุตรชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มไว้หนึ่งคน แม้พวกเขาจะมิใช่สายเลือดเดียวกัน ทว่าต่างดูแลซึ่งกันและกันมาตลอดทำให้ความผูกพันลึกซึ้งมากขึ้นตามกาลเวลา

 

“บางทีข้าอาจจะจำผิด มิทราบเหตุใดเห็นคุณชายแล้วถึงรู้สึกว่าคล้ายนายท่านผู้นั้นยิ่ง” เมื่อกล่าวจบนางก็มีท่าทีประหม่า

 

หลัวเทียนเฉิงถามถึงที่อยู่และฐานะของคนในตระกูลนั้นอย่างละเอียด นางก็เอ่ยตอบออกมาจนหมดสิ้น

 

กระทั่งเขาเอ่ยขอบคุณ สตรีผู้นั้นจึงมีสติกลับคืนมา นางรู้สึกกลัดกลุ้มใจยิ่งที่เหตุใดถึงเอ่ยเรื่องนั้นออกมาอย่างมิอาจอดกลั้น นี่มิใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ

 

“ท่านน้าวางใจเถิด เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางเกี่ยวโยงมาถึงท่านแน่ ท่านช่วยเราคนสองสามีภรรยาไว้นับเป็นพระคุณอันหาที่สิ้นสุดมิได้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงพูดพลางคลำหาถุงเงินตามความเคยชินตน ด้วยคิดจะหยิบเงินสักตำลึงให้แต่กลับล้วงได้เพียงความว่างเปล่า จึงนึกได้ว่าเงินในตัวถูกภรรยาเก็บไปหมดแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกร้อนเห่อที่หน้าขึ้นมาเล็กน้อย

 

นางเคยทำงานในตระกูลรวยจึงดูออกอยู่บ้าง เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของหลัวเทียนเฉิงก็เข้าใจเจตนาของเขาทันทีจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายและภรรยาต้องพบกับโจรร้าย เงินทองสูญหายนั้นไม่นับเป็นอันใดได้ เมื่อเรื่องร้ายผ่านไปย่อมต้องพบกับโชคครั้งใหญ่แน่นอน อย่างไรก็พักที่นี่ไปก่อนเถิด”

 

นางคิดว่าเงินทองของสามีภรรยาคู่นี้ล้วนถูกโจรปล้นไปหมดแล้ว และนางก็มิคิดจะขับไล่เขาไปด้วยเหตุผลนี้

 

คุณชายผู้นี้มีฐานะสูงส่ง นางช่วยไว้ก็นับเป็นบุญคุณ หากไล่ไปคงสร้างความโกรธแค้นให้เขาแน่ เช่นนั้นมิใช่โง่เง่ามากหรอกหรือ

 

หลัวเทียนเฉิงกลั้นหายใจเดินเข้าไปในห้องด้วยคิดจะไปเอาเงินในถุงเงินที่ผูกติดกับตัวเจินเมี่ยวไว้ แต่เขาเพิ่งจะแตะถูกตัวนาง สองมือของนางก็จับเขาไว้เสียก่อน

 

หลัวเทียนเฉิงคิดว่าเจินเมี่ยวตื่นแล้ว ทว่าเมื่อมองนางอีกคราก็เห็นสองตาปิดแน่น ลมหายใจสม่ำเสมอ เห็นชัดว่ากำลังหลับสบาย แต่สองมือนั้นกลับกุมถุงเงินไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ท่าทีเช่นนี้คล้ายสุนัขที่หวงกระดูกยิ่ง

 

หลัวเทียนเฉิงทั้งโมโหทั้งขบขันแต่กลับมิกล้าปลุกนาง

 

ในเมื่อทราบสาเหตุความผิดปกติของสตรีผู้นั้นแล้ว เขาก็มิจำเป็นต้องรีบร้อนอันใด อาศัยพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อนดีกว่า

 

การเคลื่อนไหวมิสู้อยู่อย่างสงบ แผนการลอบทำร้ายเหล่านั้น ตอนนี้ยังยากจะคาดเดาว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่

 

พวกเขาเป็นเพียงปลาที่ติดร่างแหไปด้วยหรือเป็นเป้าหมายของคนร้ายโดยตรงก็ยังมิอาจทราบได้

 

เรื่องใดที่เกี่ยวพันกับโอรสสวรรค์ย่อมซับซ้อนจนมิอาจแยกแยะให้กระจ่างได้ทั้งสิ้น

 

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับอารองหรือไม่ เขาก็มิอาจเดินทางกลับเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นปลอดภัยเป็นแน่

 

โอกาสเช่นนี้หายากเหลือเกินมิใช่หรือ

 

หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากขึ้นยิ้มเย็น

 

เพื่อมิให้เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ ขึ้น พวกเขาต้องอยู่ที่นี่ก่อน แค่ให้เงินแก่นางเพื่อซื้อยามารักษาบาดแผลก็พอ

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นนามว่าอาหู่ เขาเป็นนายพรานเช่นบิดา ในเมื่อต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ การบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมารดาเขาไปซื้อยารักษาแผลบ้างย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใด

 

การรักษาตัวครานี้ยาวนานถึงครึ่งเดือน

 

เมืองหลวงวุ่นวายไปหมด

 

เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วอย่างยิ่ง ในสายตาของเขา ธนูดอกนั้นย่อมพุ่งเป้าไปที่ชูสยาจวิ้นจู่แน่นอน

 

ลี่อ๋องคิดก่อกบฏ ความวุ่นวายในชิงเป่ยจักต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนี้แน่ แต่ดินแดนหมานเหว่ยอยู่ติดกับชิงเป่ย แล้วเขาจะยอมให้ชูสยาจวิ้นจู่แต่งออกไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร

 

เจินเมี่ยวช่วยชูสยาจวิ้นจู่ไว้ย่อมมีความชอบใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งมิต้องกล่าวถึงหลัวเทียนเฉิงที่เข้าไปช่วยจักรพรรดิไว้เลย

 

ในใจของจ้าวเฟิงตี้นั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงเป็นขุนนางคนสนิทไปเสียนานแล้ว หากฝึกฝนเขาสักหน่อยก็สามารถเก็บไว้คอยรับใช้จักรพรรดิองค์ต่อไปได้

 

หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับคนทั้งสอง เขาย่อมรู้สึกดั่งถูกหยามเกียรติและเจ็บปวดใจไปในขณะเดียวกัน

 

เจาเฟิงตี้จึงส่งกองกำลังทั้งหมดออกไปตามหา

 

ทั่วทั้งเป่ยเหอจึงพลันคึกคักขึ้นมา

 

ทว่าจวนกั๋วกงกลับดูเหน็บหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนอาการป่วยตนไว้ เพื่ออ่านสารที่ส่งมาจากเป่ยเหอออกมาทีละคำ

 

นางเถียนเดินเข้ามาอย่างร้อนรน

 

นางซ่งเดินเข้าไปหานางทันทีโดยมิรอให้นางพูดก่อน “พี่สะใภ้รองมีเรื่องอันใดหรือ ค่อยๆ พูดจาเถิด”

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจทนรับกับข่าวสารที่หนักหน่วงอันใดได้อีกแน่

 

แต่สตรีเถียนกลับมิไยดีนางซ่ง นางเอ่ยด้วยนัยน์ตาแดงก่ำว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า…ว่าพบศพต้าหลังแล้วเจ้าค่ะ”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset