ลิขิตกลกาล 101 ส่งเทียบเชิญ

ตอนที่ 101 ส่งเทียบเชิญ

หลิวจือกลับมิได้สนใจว่าหลินอั้นมีความคิดเห็นอย่างไรกับเขาหรือว่าจะคิดอะไรในใจ เพราะหากมีอะไรในใจก็มาประลองกันสักตั้งไปเลยดีกว่า?

 

 

แต่ถึงอย่างไรหลินอั้นก็เอาชนะเขาไม่ได้อยู่ดีหรือแม้แต่เถียงกันก็เถียงไม่ชนะ

 

 

“เจ้ามาหาข้าถึงที่มีเรื่องอะไรกันแน่? นายท่านมีงานมอบหมายใหม่หรือ?” เมื่อหลินอั้นเก็บของบนโต๊ะเรียบร้อยก็เอ่ยปากถาม

 

 

เพราะหากตอนนี้ไม่เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย ยากจะรับประกันได้ว่าผู้อื่นจะไม่ใช้ข้ออ้างที่ทำของของเขาตกว่า ไม่ทันระวังมือตัวเอง แค่หยิบดูผ่านๆ เท่านั้น

 

 

“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร” หลิวจือโบกมือและนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง “นายท่านเพียงต้องการถามว่า ช่วงนี้ที่จวนเรามีจดหมายส่งมาบ้างหรือไม่ หากมีเจ้าก็เอามาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะเอาไปให้นายท่าน”

 

 

“จดหมาย? เขียนถึงนายท่านหรือ?” หลินอั้นเลิกคิ้วแล้วย้อนนึกถึงนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงสองสามวันนี้ “เหมือนว่าจะไม่มีจดหมายถึงนายท่านเลยกระมัง? ข้าจำได้ว่าไม่มี อีกอย่างจดหมายถึงนายท่านจะถูกส่งมาทางคนเฝ้าประตูหรือ?”

 

 

หลิวจือพยักหน้า จริงอย่างที่ว่า! หากเป็นเช่นนี้โอกาสที่ความลับจะรั่วไหลมันไม่มากไปหน่อยหรือ?

 

 

ทว่าปัญหาที่นายท่านมอบหมายจะอย่างไรก็ต้องทำให้ถึงที่สุดจึงจะถูก มิฉะนั้นตอนกลับไป เขาไม่รู้ว่าจะรายงานนายท่านว่าอย่างไรดี!

 

 

“เจ้าลองคิดดีๆ” หลิวจือลุกขึ้นยืน สายตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยการอ้อนวอน “ลองคิดดูอีกทีว่าช่วงนี้มีจดหมายอะไรเข้ามาหรือไม่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีสักฉบับเลยกระมัง? บางทีอาจจะไม่ได้ส่งมาในนามของของนายท่าน แต่อาจจะใช้ชื่อจวนของเราก็เป็นได้!”

 

 

หลินอั้นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วไปหยุดอยู่ตรงชั้นวางหนังสือ “หากหมายถึงจดหมายอย่างเดียว ช่วงนี้มีเข้ามาไม่น้อยทีเดียว เช่น งานชมดอกไม้แต่งกวี งานชมทะเลสาบอะไรพวกนี้จะค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าที่นายท่านให้เจ้ามาหาคือจดหมายเหล่านี้?” หลินอันหยิบกองจดหมายลงมา “เจ้าดูเอาเองเถิด ข้ายังแยกไม่เสร็จหรือว่าเจ้าจะเอาไปหมดเลยก็ได้ แต่จำเอาไว้ว่าอย่าลืมเอาไปส่งให้แต่ละคนด้วยล่ะ”

 

 

หลิวจือเกาหัว เอากลับไปหมดเลยหรือ? ช่างมันก็ได้กระมัง จดหมายเยอะแยะขนาดนี้จะให้แยกแล้วส่งให้แต่ละคนด้วยตัวเองงั้นหรือ? เฮ้อ ทำงานหนักตอนนี้เสียเลยดีกว่า เลือกไปให้นายท่านเลยจะดีกว่า

 

 

“นายท่านไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรหน่อยหรือ?” หลินอั้นรวบชุดแล้วนั่งลงบนโต๊ะหนังสือด้านข้าง จากนั้นก็รินน้ำชาให้ตนเองอย่างพอใจพลางเฝ้ามองดูหลิวจือคุ้ยกองจดหมายด้วยความคับข้องใจจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “เจ้าเอากลับไปหมดเลยเถิด ดีกว่าถึงตอนนั้นมารู้ทีหลังว่าตัวเองหยิบผิดไปหรือไม่ก็ไม่ได้หยิบอะไรไปเลย สุดท้ายก็ต้องกลับมาหาข้าอีก”

 

 

“ไม่ได้บอกอะไรเลย…” เมื่อหลิวจือหันหน้ามามองก็เห็นท่าทางสาแก่ใจของหลินอั้นแถมยังนั่งสั่นขาอย่างสบายอกสบายใจ เขาจึงอยากจะเข้าไปชกหน้าสักสองที แต่ว่าตอนนี้ธุระของตนยังจัดการไม่เสร็จ ดังนั้นจึงต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

 

 

“นายท่านบอกเพียงให้ข้ามาหาจดหมาย…ส่วนคำพูดอื่นมากกว่านี้ไม่ได้พูดแล้ว!” หลิวจือไม่สบอารมณ์ นายท่านไม่เอาคนอย่างเจ้าไปไหนมาไหนด้วยหรอก! พูดจาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้!

 

 

หลินอั้นเงียบไป ตอนนี้ในใจของเขากำลังครุ่นคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนหมายความว่าอย่างไร ถึงกับให้หลิวจือมาหาจดหมายด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าความสำคัญของเรื่องนี้คงจะไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

ท่าทางกระสับกระส่ายว้าวุ่นของของหลิวจือทำให้หลินอั้นไม่มีสมาธิในการครุ่นคิด หลินอั้นจึงอดไม่ได้เอ่ยปากขึ้นว่า “เอาล่ะ เจ้ากลับไปรายงานนายท่านเถิด บอกว่าไม่มีจดหมายที่เขียนมาถึงนายท่าน เพราะว่าบางทีจดหมายฉบับนั้นอาจจะยังส่งมาไม่ถึง หากมีเบาะแสใดหรือว่ามีจดหมายมาถึง ตอนนั้นข้าจะนำไปให้นายท่านด้วยตัวเอง”

 

 

“อืม เช่นนั้นก็ได้ เรื่องนี้ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน” หลิวจือพยักหน้า ถึงอย่างไรตัวเขาเองก็มิได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะแม้ว่าหากได้รับจดหมายแล้วจะอย่างไร? ถึงอย่างไรตัวเขาก็ดูไม่ได้อยู่ดี! ทำได้แค่จับซองจดหมายด้านนอกเท่านั้น!

 

 

แต่ตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ลดลงแล้ว หากเป็นเช่นนี้มิสู้ให้เขาไม่รู้เรื่องใดๆ เลยแต่แรกจะดีกว่า!

 

 

……

 

 

ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกไปลูบฝักกระบี่เล่มนั้น ฝักกระบี่เย็นยะเยือกคล้ายน้ำแข็ง ความเย็นเฉียบของกระบี่นี้ราวกับเพิ่งถูกนำออกมาจากห้องเก็บน้ำแข็งก็ไม่ปาน แม้ว่าอากาศในห้องตอนนี้จะไม่ได้ร้อนมากนัก แต่ก็ไม่ได้เย็นมากถึงขั้นนั้นกระมัง?

 

 

เมื่อดึงกระบี่ออกมา ที่ด้ามจับมีตัวอักษรสลักเอาไว้สองตัว

 

 

จิ้งหว่าน

 

 

นี่จึงเป็นกระบี่คู่ใจขององค์หญิงจิ้งหว่านอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังเป็นกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่ง ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของต้วนเฉินเซวียน เขาถึงเกิดความรู้สึกไม่อยากมอบกระบี่เล่มนี้ให้กับซูเหลียนอวิ้นแล้ว

 

 

เหตุผลกลับมิได้เป็นเพราะว่าทำใจให้ไม่ได้หรืออย่างไร แต่เป็นเพราะว่าเขาเกิดความรู้สึกกลัวกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาอย่างยากจะอธิบายได้

 

 

วันแรกที่นำกระบี่เล่มนี้กลับมาเขายังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า กระบี่เล่มนี้ก็ยิ่งเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้เป็นความเย็นโดยเนื้อแท้เพียงเท่านั้น แต่เป็นความเย็นประเภทที่ทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านมาจากข้างใน

 

 

ต้วนเฉินเซวียนสะบัดศีรษะของตนเพื่อพยายามที่จะสลัดความคิดไร้สาระของตนออกไป จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กระบี่เล่มนั้นอย่างดูแคลน ก็เป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น ช่วงนี้ตนคงคิดมากเกินไป

 

 

“นายท่าน!” ครั้งนี้หลิวจือเคาะประตู “นายท่าน ข้ากำลังจะเข้าไปด้านในแล้วนะขอรับ”

 

 

“จะเข้าก็เข้า จะเคาะประตูทำไมกัน” ต้วนเฉินเซวียนน้ำกระบี่เล่มนั้นเก็บไว้ด้านในตู้ใบหนึ่งและไม่สนใจมันอีก จากนั้นจึงหันไปหาหลิวจือแล้วเอ่ยว่า “เจ้าตะเบ็งเสียงดังขนาดนั้น เจ้าคิดว่ายังต้องเคาะประตูอีกหรือ? อีกอย่างที่ข้าให้เจ้าไปหาของเล่า? หาเจอหรือไม่”

 

 

ตอนแรกหลิวจือยืดตัวตรงพยักหน้างกๆ พลางคิดว่า ความคิดของผู้ยิ่งใหญ่ย่อมคล้ายคลึงกัน ถูกต้องแล้ว ยังคงเป็นนายท่านที่เข้าใจตนมากกว่า มีแต่ชายอายุมากพวกนั้นที่วันๆ ไม่รู้เอาแต่เรียนอะไรพวกนั้นไปทำไม

 

 

ทว่าเพียงเสี้ยวนาทีถัดมากลับค้อมตัวลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงอ่อยว่า “นายท่าน…ข้าหาไม่เจอ…จดหมายที่เขียนมาถึงท่านเลย แต่ช่วงนี้จดหมายที่เขียนมาถึงจวนของเรากลับมีไม่น้อย!”

 

 

“เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่านายท่านต้องการฉบับไหน ก็เลยไม่ได้นำกลับมา”

 

 

“เจ้าบอกว่าไม่มีหรือ?” ต้วนเฉินเซวียนได้ยินเพียงครึ่งประโยคแรกก็หรี่ตาลงอย่างร้ายกาจ “ไม่มีจดหมายมาถึงข้าหรือ?”

 

 

เขาคงไม่ได้จำผิดไปเองกระมัง? พิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว ในเวลานี้จดหมายเชิญต่างๆ คงจะถูกแจกจ่ายไปตามจวนต่างๆ หมดแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่า ไม่มีจดหมายเชิญมาถึงเขา?

 

 

ดี ดีมาก ต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้เริ่มควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ไม่อยู่

 

 

มันคู่ควรแล้วหรือกับคนที่อุตส่าห์ลงแรงไปเลือกของขวัญสำหรับพิธีปักปิ่นให้ ผลสุดท้ายของเรื่องทั้งหมดกลับกลายเป็นว่านางไม่ได้เชิญเขา? เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมด เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ?

 

 

“นาย นายท่าน” หลิวจือเริ่มเห็นท่าไม่ดี แต่ยังคงทำใจดีสู้เสือเอ่ยปากออกไปว่า “นายท่านขอรับ แต่หลินอั้นตั้งข้อสังเกตกับข้าไว้ว่า…จดหมายที่นายท่านหาอยู่นั้น นายท่านแน่ใจหรือไม่ว่าเป็นจดหมายที่ระบุชื่อนายท่าน? บางทีอีกฝ่ายอาจจะส่งจดหมายมาในนามของชื่อจวนก็เป็นได้…ดังนั้น…”

 

 

ต้วนเฉินเซวียนเหลือบไปมองหลิวจือ คนรับใช้ที่โง่เขลาเช่นนี้ ตอนนั้นเขาเลือกมาได้อย่างไร? จะพูดให้มันจบๆ ไปทีเดียวเลยไม่ได้หรือ? เขายังนึกว่า…

 

 

“เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปดูจดหมายพวกนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อยกลับมา! หากเจ้าหาจดหมายฉบับที่ข้าต้องการไม่เจอ…หลิวจือ เจ้าคงต้องกลับไปทบทวนความสามารถของเจ้าดูใหม่แล้วล่ะ”

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset