ลำนำสตรียอดเซียน 92

ตอนที่ 92

เดินทางกลับ

เวลาโพล้เพล้มาถึง ใครบางคนกำลังนั่งอยู่บนเนินเขา จ้องมองไปบนท้องฟ้า

 

 

ในขณะที่ ฉินซีกำลังนั่งพิงประตูของบ้านเก่าทรุดโทรมหลังนั้น จ้องมองใครคนนั้นไม่ให้ห่างสายตา

 

 

วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าสดใสสีน้ำเงินเข้มโปร่งโล่งไปด้วยก้อนเมฆน้อยเบาบางกับลมที่พัดโชยอย่างอ่อนโยน วันที่ดีๆ แบบนี้ในโลกมนุษย์นั้นเป็นวันที่เหล่านักปราชญ์ผู้บริสุทธิ์มักจะเริ่มต้นออกเดินทางท่องไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนไม่ค่อยได้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นวันที่แดดออกหรือพายุฝนฟ้าคะนอง ทุกวันก็เหมือนกันในสายตาของพวกเขา

 

 

เพราะเหตุนั้น เขารู้ว่าคนที่กำลังจ้องมองท้องฟ้าอยู่นั้นไม่ได้จ้องมองทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างแน่นอน

 

 

หลังจากที่มองคนผู้นั้นอยู่นานเขาก็ถอนใจกับตัวเองอย่างแรง เขารู้สึกว่าเขาอาจจะนำปัญหามาสู่ตัวเองเสียแล้ว

 

 

ผู้ฝึกตนที่ยึดถือในอารมณ์มากเกินไป… เขาไม่ได้คิดว่าผู้ฝึกตนเช่นนั้นจะมีอนาคตนัก แต่ในเมื่อเขาได้ตกลงแล้ว เขาก็ไม่อาจถอยได้

 

 

ความจริง สิ่งที่เยี่ยเจียงบอกไว้ถูกต้องแล้ว เขาได้คาดหวังเอาไว้สูงกับเด็กคนนี้และรู้สึกเสียดายในต้นทุนธรรมชาติที่ด้อยของนาง นางมีทุกองค์ประกอบสำคัญที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงได้ ตัวอย่างเช่น นางสามารถเผชิญกับความโดดเดี่ยว และไม่กลัวที่จะต้องทุ่มเทอย่างหนักในการฝึกตน นางไม่โลภแต่มีความทะเยอทะยาน นางมีความคิดสร้างสรรค์และฉลาด และนางรู้ว่าควรใช้วิชาให้เหมาะสมอย่างไรในเวลาที่ถูกต้อง อีกอย่าง เมื่อนางจำเป็นที่จะต้องโหดเ**้ยม นางไม่เคยปรานีและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ถ้าผู้ฝึกตนครอบครองคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาขาดไปก็คือชะตาลิขิต

 

 

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่านางจะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวพอสมควรทีเดียว!

 

 

การฝึกตน… ไม่ได้จำกัดแค่เพียงระดับการพัฒนาแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งเพื่อเป็นคนที่มีพละกำลังมากพอ มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกตนที่ยอมปล่อยให้อารมณ์นำพาในการที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ

 

 

ดังนั้น เขาจึงรู้สึกยุ่งยากใจอยู่ในตอนนี้ เขาจะรับมือกับคนผู้นี้อย่างไร ถ้าเขาปล่อยให้นางเป็นไป มันก็น่าสงสาร แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะต้องมาคอยสอนนางเช่นกัน

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น โม่เทียนเกอหันหลังกลับและเห็นฉินซีกำลังเดินมาหานาง

 

 

“ศิษย์พี่ฉิน มีอะไรอย่างนั้นหรือ” นางถาม น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง นิ่งเสียจนฉินซีประหลาดใจ

 

 

ฉินซีจ้องนางด้วยสายตาที่เฉียบคม หลังจากที่เขาพบว่านางไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติไปเขาจึงพูดว่า “พวกเราควรไปกันได้แล้ว”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า นางยืนขึ้นปัดฝุ่นออกจากแขนเสื้อ

 

 

อย่างไรก็ตาม ฉินซียืนนิ่งอยู่กับที่และถามนางอีกหนึ่งคำถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

โม่เทียนเกอหันไปทางด้านข้างเพื่อดูพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มุมปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อยในขณะที่พูด “ข้าไม่เป็นไร”

 

 

ลักษณะของนางในตอนนี้ดูไม่เหมือนคนที่กำลังเศร้าแต่อย่างใด ในเมื่อนางไม่ได้ร้องไห้อีกหลังจากวันแห่งความตายนั้น ลักษณะที่เข้มแข็งของนางในตอนนี้น่าจะมาจากความเป็นจริงมากกว่าที่จะแสร้งทำเป็นแข็งแรง

 

 

เขาถามต่อ “เจ้าต้องเตรียมตัวอะไรไหม”

 

 

โม่เทียนเกอเงียบครู่หนึ่งและดูเหมือนคิดเกี่ยวกับเรื่องหลายอย่าง จนในที่สุดนางแค่ถอนใจเบาๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าไม่ต้องการอะไร ทิ้งมันไว้ข้างหลังนี่ล่ะ”

 

 

สิ่งที่นางพูดดูเหมือนจะมีความหมายอะไรบางอย่าง ฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลเมื่อครู่นั้นไม่มีมูลความจริงเสียเลย ผู้หญิงคนนี้… มีเหตุผลมากเกินกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้

 

 

เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าปล่อยทิ้งไปได้”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะ ครั้งนี้เสียงหัวเราะของนางไม่ได้เสแสร้งหรือฝืน เมื่อหยุดหัวเราะนางพูดอย่างอ่อนโยน “ท่านอารองครั้งหนึ่งเคยพูดเอาไว้ว่าการสูญเสียทำให้คนเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน ข้าก็คิดว่าประสบการณ์นั้นทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”

 

 

ประสบการณ์… ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้น… ฉินซีค่อยๆ ทวนคำพูดในใจ เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้วในตอนนี้

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกสงบนิ่งโดยแท้จริง

 

 

ถ้านางในขณะที่ยังเด็กสามารถผ่านความเศร้าโศกจากการเสียแม่ของนางตั้งแต่เมื่อสิบสามปีก่อน นางก็คงไม่ได้มีความรู้สึกสิ้นหวังในตอนนี้แน่นอน

 

 

ท่านอารองพูดเสมอว่านางจะต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งในการที่จะบรรลุถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ท่านอารองไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่นางจะทำให้เขาผิดหวังได้อย่างไร

 

 

นางคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่านางจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีและฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อท่านอารอง แต่เพื่อตัวของนางเอง

 

 

ถึงแม้ว่านางไม่ได้มีเจตนาที่จะเดินในเส้นทางของผู้ฝึกตนตั้งแต่ต้น แต่การฝึกตนทำให้นางมีความสุข การได้เรียนรู้คาถาต่างๆ การผ่านเข้าถึงในแต่ละดินแดน การที่แข็งแกร่งขึ้น และสามารถล้มศัตรูได้มากมาย ทั้งหมดนี้ทำให้นางรู้สึกมีความสุข

 

 

นั่นเป็นสาเหตุ นางจะยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ทำในสิ่งที่นางชอบและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างกล้าหาญ

 

 

นางตามฉินซีไปที่กระบี่บินได้ของเขา หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็อยู่บนกระบี่บิน ล่องไปตามกระแสลม และเริ่มต้นการเดินทางของพวกเขา

 

 

กระบี่บินได้นี้เป็นอีกหนึ่งอาวุธวิเศษ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรือริษยาอีกต่อไป ในเมื่อศิษย์พี่ฉินเป็นผู้ที่มีอิทธิพล เขาก็ต้องมีสมบัติมากมายอยู่ในครอบครองตามคาด

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เหาะมาได้ระยะหนึ่งโม่เทียนเกอถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ฉิน ทำไมพวกเราถึงไปในทางทิศตะวันออก” ทิศตะวันออกคือทางกลับไปที่เขาอวิ๋นอู้

 

 

ฉินซีผู้ที่กำลังควบคุมกระบี่บินได้ชำเลืองมองนางพร้อมกับตอบ “ข้ายังมีเรื่องที่ข้าจะต้องเข้าไปจัดการอยู่”

 

 

“โอ้…” บางทีเขาอาจจะมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย โม่เทียนเกอคิดเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วนางค่อนข้างเป็นกังวล ฉินซียังไม่ได้อธิบายกับนางให้ชัดเจนว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกว่าสิบสองคนนั้นถอยกลับไปได้อย่างไรในวันนั้น ดังนั้นนางจึงยังไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง แต่ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหล่านั้นยกเลิกกลับไป แล้วเขาจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเขาอวิ๋นอู้ได้หรือ

 

 

นางรู้ตัวดีอยู่แล้วว่านางได้กลายเป็นศัตรูกับหัวหน้าสำนักย่อยเจียง เจียงเฉิงเสียนไม่เพียงแต่เป็นผู้สืบทอดโดยตรงของหัวหน้าสำนักย่อย แต่เขายังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของหัวหน้าสำนักย่อย ดังนั้นการที่ฆ่าเขา นางได้ตัดสายเลือดของหัวหน้าสำนักย่อยไป อีกทั้งตอนนี้สำนักอวิ๋นอู้ได้ตกเป็นของสำนักจื่อซย่า และสำนักจื่อซย่าก็มีผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่! ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ฉินจะมีผู้อาวุโสหนุนหลัง แต่เหล่าผู้อาวุโสนั้นก็อยู่ห่างไกลออกไป

 

 

ในขณะที่นางกำลังเป็นกังวลอย่างซับซ้อนมากมาย นางก็ได้ยินฉินซีพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากำลังกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด”

 

 

โม่เทียนเกอเรียกสติและความคิดต่างๆ ของนางกลับมา และตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้ากังวลว่าพวกเราคงจะถูกจับได้เมื่อกลับเข้าไป” ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง เขาก็ยังคงเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ถ้าศัตรูของนางจะกังวลเกี่ยวกับผู้อาวุโสที่หนุนหลังฉินซีอยู่ พวกเขาก็เพียงแค่ต้องจับเขาทั้งเป็น… สำหรับนาง ในทางตรงกันข้าม มันไม่มีอะไรที่สามารถรับประกันชีวิตนางได้เลย

 

 

ฉินซีเพียงแค่ยิ้มเบาๆ และพูด “วางใจเถอะ พวกเราไม่ถูกจับได้หรอก”

 

 

นางเพียงแค่ทำเสียงฮึดฮัดแทนคำตอบ แต่นางจำเกี่ยวกับเรื่องอื่นได้จึงพูดว่า “ศิษย์พี่ฉิน ในเมื่อท่านอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ข้าก็ไม่ควรที่จะต้องเรียกท่านเช่นนี้อีกต่อไป” ปกติแล้วหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนขั้นถัดไป นางควรที่จะเรียกเขาว่า “อาจารย์ลุง”

 

 

ฉินซีสายหัว “มันเป็นเพราะข้าเริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิก่อนเจ้าเพียงขั้นเดียว ตอนนี้เจ้าก็มีทุกอย่างที่เจ้าต้องการแล้ว ดังนั้นการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าก็เพียงขึ้นอยู่กับระยะเวลาเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ยุ่งยากมีแบบแผนกันขนาดนั้น”

 

 

อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้มั่นใจเช่นเขาและพูดด้วยความขัดข้องใจ “ท่านอารองสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้เพราะพ่อของข้าให้ยาวิเศษกับเขามากมาย ท่านอารองบอกว่าเขาต้องใช้ยาสร้างฐานแห่งพลังมากถึงห้าเม็ดก่อนที่เขาจะสามารถสร้างฐานของเขาได้ ต้นทุนพื้นฐานทางธรรมชาติของข้าก็ไม่ได้ดีนักเหมือนท่านอารอง ข้าเกรงว่า… การสร้างฐานแห่งพลังของข้าคงจะไม่สำเร็จได้ในหนึ่งหรือสองปีแน่นอน”

 

 

ความจริงแล้ว ถึงแม้จะผิดพลาดนางก็พร้อมในการเตรียมตัวต่อสู้เพื่อยาสร้างฐานแห่งพลังในอีกสิบหรือยี่สิบปี จนกว่านางจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางได้

 

 

“วางใจเถอะ เมื่อเจ้าไปถึงที่โรงเรียนเสวียนชิง เจ้าจะได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสของโรงเรียน ดังนั้นการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด อีกอย่างพวกเราทั้งสองได้เป็นสหายศิษย์กันมาสามปี และพวกเราก็คุ้นเคยกับการเรียกของพวกเรากันเองดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปหรอก”

 

 

ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกเขินอายที่จะตอบโต้และตัดสินใจเลิกพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป แต่…

 

 

นางพูดด้วยความลังเลใจ “ศิษย์พี่ฉิน ความจริงแล้ว… เยี่ยเสี่ยวเทียนไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของข้า”

 

 

ฉินซียิ้มและพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าใช้แซ่ของแม่เจ้า คือแซ่โม่และชื่อของเจ้าคือเทียนเกอ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องซ่อนตัวตนของเจ้าอีกต่อไป จงใช้ชื่อจริงของเจ้าที่โรงเรียนเสวียนชิง อย่างไรก็ตาม ข้าคุ้นเคยกับการเรียกเจ้าว่าศิษย์น้องเยี่ยไปเสียแล้ว ดังนั้นข้าก็จะไม่เปลี่ยนมันนะ”

 

 

ฉินซีมักจะรักษาระยะห่างระหว่างตัวเขากับผู้อื่นและไม่ค่อยแสดงให้เห็นในมุมนี้ มุมที่ดูสบายๆ ธรรมดาๆ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและบอก “แล้วแต่ที่ศิษย์พี่ปรารถนา”

 

 

ในครั้งนี้หัวหน้าสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้ที่โม่เทียนเกอเป็นกังวลไม่ได้อยู่ที่เขาอวิ๋นอู้

 

 

ประตูหินของถ้ำเซียนเปิดอยู่ หญิงสาวระดับการสร้างฐานแห่งพลังเดินออกมาคำนับเพื่อทักทายหัวหน้าสำนักย่อยเจียงผู้ซึ่งรออยู่ด้านนอก นางพูด “ท่านปรมาจารย์เชิญหัวหน้าสำนักย่อยเจียงเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงผู้ซึ่งหงุดหงิดใจจากการรอรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เขาโค้งคำนับกลับไปที่หญิงสาวก่อนที่จะตามนางเข้าไปในถ้ำ

 

 

ชายนักพรตรูปร่างผอมเต็มไปด้วยริ้วรอยนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ตรงกลางถ้ำ เมื่อหัวหน้าสำนักย่อยเจียงเห็น เขารีบโค้งคำนับเพื่อทักทาย “คารวะท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”

 

 

หลังจากผ่านไปนาน ชายนักพรตผู้นี้จึงตอบกลับด้วยคำว่า “อือ” พร้อมกับลืมตาและพูด “นั่งลง”

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงคำนับเพื่อแสดงความนับถือก่อนที่จะนั่งลง

 

 

“พูดมา มีเหตุอันใด”

 

 

ถึงแม้ว่าท่าทางของนักพรตเต๋าผู้นี้จะดูสุขุม แต่หัวหน้าสำนักย่อยเจียงนั้นก็ไม่กล้าที่จะดูหมิ่น เพราะชาวเต๋าที่ดูเหมือนจะธรรมดาผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่!

 

 

“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ศิษย์มาสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โปรดให้ความยุติธรรมแก่ศิษย์ด้วย”

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงมองอย่างร้อนรนไปที่นักพรตเต๋าตรงหน้า อย่างไรก็ตาม ชายผู้นี้ไม่ได้มองมาที่หัวหน้าสำนักย่อยเจียงแม้แต่น้อย เขาหยิบชาพลังวิญญาณที่ศิษย์ผู้เข้าร่วมยื่นให้ พร้อมกับใช้เวลาของเขาที่มีจิบชาก่อนที่จะพูดว่า “ให้ความยุติธรรมแก่เจ้ารึ เจ้าจะให้ข้าให้ความยุติธรรมกับเจ้าอย่างไร ด้วยการแก้แค้นให้กับเหลนที่ไร้ค่าของเจ้าน่ะหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าเจ้าให้กำเนิดคนใหม่เสีย นั่นคงจะเร็วกว่า!”

 

 

นักพรตเต๋าผู้นี้อาจดูใจดีแต่คำพูดของเขานั้นเกรี้ยวกราด แข็งกร้าวจนทำให้ใบหน้าของหัวหน้าสำนักย่อยเจียงแดงฝาดขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าสำนักย่อยเจียงเข้าใจอยู่แล้วว่าเหลนของเขานั้นไร้ค่า แต่ถึงจะไร้ค่าก็ยังคงเป็นผู้สืบทอดของเขา!

 

 

“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” หัวหน้าสำนักย่อยเจียงระงับความโกรธของเขาและกระซิบ “ศิษย์มิได้ขอให้ท่านทำเป็นการส่วนตัว ศิษย์เพียงประสงค์ให้ท่านอนุญาตให้ข้าได้แก้แค้น ศิษย์มีเหลนเพียงแค่คนเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่องมากกว่าหมื่นเรื่อง แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องราวภายในครอบครัวของข้า ข้าจะปล่อยให้คนนอกฆ่าเขาได้อย่างไร”

 

 

น่าเสียดายที่คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้ชายเต๋าผู้นี้ซาบซึ้งแม้แต่น้อย ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” และพูดว่า “ดูเหมือนว่าตาเจ้าจะยังไม่สว่างเสียที สำหรับเราชาวผู้ฝึกตน การตายของผู้สืบทอดไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองคนหมายความว่าอย่างไร สำหรับผู้สืบทอดที่เอาแต่ก่อปัญหาและไม่ได้มีทักษะแม้แต่น้อยเช่นนั้น เขาสมควรที่จะตายแล้ว! กลับไปและอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป!”

 

 

“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”

 

 

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าสำนักย่อยไม่ฟังที่เขาพูด นักพรตเต๋าผู้นี้พูดด้วยความเข้มงวดขึ้น “อะไร นี่เจ้ากำลังจะหาว่าข้าไม่ช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงรีบก้มหน้าลงแต่ไม่ได้พูดปฏิเสธในคำถามนั้น

 

 

นักพรตเต๋าส่งเสียง “ฮึ่ม” พร้อมพูด “ดี งั้นข้าจะอธิบายเพิ่มให้ เจ้าฉินโส่วจิ้งที่เจ้าพูดถึง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั่วๆ ไป เขามีผู้อาวุโสระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่คอยหนุนหลังอยู่”

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน “ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด คนผู้นั้นมีเบื้องหลังเช่นนั้นเชียวหรือ”

 

 

นักพรตเต๋าคำรามออกมา “เจ้าคิดว่าทำไมเขาจึงกล้าอวดดีในดินแดนคุณอู๋ตะวันออกที่ห่างจากบ้านของเขากว่าหนึ่งพันลี้ ข้าจะบอกเจ้าให้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉินโส่วจิ้งผู้นี้คือฉินจิ้งเหอ ชายแก่ที่ชอบทำตัวแปลกๆ คนนั้น เจ้าอาจจะไม่เข้าใจฉินจิ้งเหอแต่ข้ารู้จักเขาดี เขาเป็นพวกกระหายเลือดและชอบที่จะปกปิดจุดอ่อนเอาไว้ เพราะเขาถูกขัดขวางด้วยข้อบังคับของโรงเรียนเสวียนชิง เขามักจะวางตัวดีและไม่ค่อยออกตัวบ่อยนัก อย่างไรก็ตาม หากเจ้าทำร้ายคนของเขา มันจะไม่แปลกเลยที่เขาจะเดินทางกว่าพันลี้มาที่นี่เพื่อแก้แค้น! ข้ายังเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นและไม่สามารถที่จะต่อกรกับเขาได้ ดังนั้นเจ้าจงลืมความคิดของเจ้าไปซะ”

 

 

“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด การฆ่าอย่างไร้กฎเกณฑ์ควรที่จะเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่มิใช่หรือ”

 

 

“ตามที่เจ้าว่า” นักพรตเต๋าหลับตาและอธิบายอย่างช้าๆ “การที่จะเลี่ยงการเกิดของมารภายในที่จะมาขัดขวางความก้าวหน้าในการฝึกตน ผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ต้องไม่ฆ่าเรื่อยเปื่อย อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเหตุผลที่แข็งมากพอ พวกเขาก็จะทำไปโดยธรรมชาติ”

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงก้มหัวลงและนิ่งเงียบ ตามที่ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดบอกมา ข้าไม่สามารถทำอะไรกับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณผู้นั้นได้เลย!

 

 

นักพรตเต๋าพูด “อีกอย่าง เจ้าควรที่จะกลับไปและดูว่าฉินโส่วจิ้งมีเจตนาที่จะทำอะไร อยู่ที่เขาอวิ๋นอู้ของเจ้าน่ะหรือ โรงเรียนเสวียนชิงของเขานับได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ของขั้วแห่งท้องฟ้า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาไม่มี แต่ทั้งที่ขัดกับเหตุผลทั้งหลาย เขากลับแอบเข้ามาในสำนักผู้ฝึกตนเล็กๆ และอยู่มาจนถึงสามปี ข้าเกรงว่าเป้าหมายของเขาจะต้องเป็นอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย…”

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset