ลำนำสตรียอดเซียน 219 ออกจากเจดีย์

ตอนที่ 219 ออกจากเจดีย์

ดังนั้นเจดีย์บรรลุเต๋าจึงเต็มไปด้วยความเร่งรีบและคึกคักอีกครั้ง

 

 

ผู้อาวุโสทั้งสองยังคงเก็บตัวเงียบ พยายามชำระล้างอาวุธเวท ในทางกลับกัน ศิษย์ทั้งสี่ต่างยุ่งอยู่กับการปรุงยา ฟื้นตัว และวาดเครื่องราง

 

 

เพราะอาการบาดเจ็บของเว่ยเฮ่าหลานนั้นยังไม่หายสนิท และซย่าชิงเองก็ไม่ได้เก่งในด้านใดเลย โม่เทียนเกอจึงบอกซย่าชิงเกี่ยวกับวิธีในการชำระล้างยาวิเศษบางตัว หลังจากนั้นนางจึงจัดการเรื่องเกี่ยวกับการสร้างเครื่องรางกับถังเซิ่น

 

 

ตอนนี้เมื่อพวกเขามีจุดประสงค์ที่ชัดเจน บรรยากาศภายในเจดีย์บรรลุเต๋านั้นเคร่งเครียดอย่างมาก แต่ก็ล้วนเต็มไปด้วยความหวัง

 

 

เครื่องรางที่ผู้อาวุโสทั้งสองคนพูดถึงนั้นเป็นเครื่องรางระดับสูง ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานจะสามารถวาดมันขึ้นมาได้ ก็ต้องใช้เวลาในการฝึกอย่างมากก่อนที่จะวาดได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม กระดาษเครื่องรางและหมึกที่ต้องใช้ในการสร้างเครื่องรางนี้จำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นจากวัตถุดิบพิเศษ และเพราะเหตุนั้น เพื่อเป็นการลดความสิ้นเปลืองของวัตถุดิบ ทั้งโม่เทียนเกอและถังเซิ่นเริ่มที่จะฝึกจากเครื่องรางระดับต่ำก่อน

 

 

โม่เทียนเกอไม่มีความสามารถในการวาดเครื่องรางมาก่อน ในพวกศาสตร์ไม่กี่อย่าง ความสามารถของนางเหนือกว่าคนอื่นเพียงแค่เรื่องม่านพลัง ขณะที่ทักษะในการปรุงยานั้นแค่กลางๆ ในการวาดเครื่องราง อย่างไรก็ตาม นางไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น เครื่องรางนี้จำเป็นต้องวาดไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่บังคับตัวเองให้ฝึกฝนเท่านั้น

 

 

โชคดี ทักษะของถังเซิ่นในการวาดเครื่องรางนั้นดีอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นจึงช่วยลดความกดดันไปจากโม่เทียนเกอได้

 

 

ชั้นสี่ของเจดีย์บรรลุเต๋านั้นถูกปิดลงอีกครั้ง ผู้อาวุโสทั้งสองจดจ่ออยู่กับการชำระล้างอาวุธเวท เว่ยเฮ่าหลานนั้นอยู่ในการทำสมาธิอย่างลึกซึ้งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ซย่าชิงนั้นหมกมุ่นอยู่กับการปรุงยาวิเศษ และโม่เทียนเกอกับถังเซิ่นนั้นมุ่งเน้นแต่เรื่องการวาดเครื่องราง

 

 

การเตรียมตัวของพวกเขาคงอยู่ต่อไปอีกสี่ปี

 

 

ความจริงแล้วอาการบาดเจ็บของเว่ยเฮ่าหลานนั้นหายสนิทตั้งแต่ปีแรกของการเตรียมการ และซย่าชิงก็เข้าร่วมกับพวกนางในการสร้างเครื่องรางภายในปีที่สอง หลังจากสามปีผ่านไป ในที่สุดถังเซิ่นก็สามารถสร้างเครื่องรางต้านพิษสำเร็จ

 

 

สำหรับผู้อาวุโสทั้งสอง พวกนางออกมาจากการเข้าฌานหลังจากผ่านไปสี่ปี

 

 

ทั้งหกคนรวมตัวกันอีกครั้ง

 

 

“ท่านผู้อาวุโส หรือท่านอาจจะประสบความสำเร็จในการชำระล้างอาวุธเวทเรียบร้อยแล้ว”

 

 

“ถูกต้องแล้ว” มีความยินดีแอบแฝงอยู่ในน้ำเสียงแหบห้าวของผู้อาวุโสชิงอี้ “หลังจากที่ล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดพวกข้าก็จัดการชำระล้างอาวุธเวทในการต่อกรกับมารผู้ฝึกตนคนนั้นสำเร็จ!”

 

 

ศิษย์น้องทั้งสี่ต่างยิ้มอย่างตื่นเต้นขึ้นพร้อมกัน

 

 

พวกเขาติดอยู่ในเจดีย์บรรลุเต๋านี้มาทั้งหมดยี่สิบปี แต่ตอนนี้ พวกเขาก็จะได้ออกไปเสียที

 

 

ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่ได้ดูตื่นเต้นมากนัก แต่นางเองก็รู้สึกมีความสุขอยู่ภายใน ครั้งนี้นางออกเดินทางเพื่อสะสมประสบการณ์เพื่อพัฒนาสถานะทางจิตใจนาง ทว่านางไม่เคยคาดคิดว่านางจะใช้เวลามากกว่ายี่สิบปีในกระบวนการทั้งหมด หลังจากที่ออกมากว่ายี่สิบปี นางก็เริ่มสงสัยว่าสถานการณ์ที่โรงเรียนเสวียนชิงจะเป็นอย่างไรแล้วบ้างในตอนนี้ อาจารย์ขี้งกของนางจะยังคงเป็นชายแก่ที่น่าขายหน้าเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ เจินจีนั้นสร้างฐานแห่งพลังงานหรือยัง ทุกอย่างในถ้ำเซียนเล็กๆ ของนางนั้นยังดีอยู่ไหม

 

 

คิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้นางอยากจะรีบสยายปีกให้โตขึ้น เพื่อที่นางจะได้สามารถบินข้ามเขตเทือกเขามารกลับไปยังโรงเรียนเสวียนชิงได้ทันที

 

 

เจดีย์บรรลุเต๋าซึ่งถูกปิดมาเป็นระยะเวลายี่สิบปี ในที่สุดก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ศิษย์สองคนของสำนักที่ถูกเรียกว่าเป็นสำนักเทพมังกรที่ยืนเฝ้าเจดีย์อยู่นั้นกำลังพูดคุยกันอย่างเกียจคร้านเป็นปกติ ตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้คอยเฝ้าเจดีย์บรรลุเต๋า กว่าสิบสองปีผ่านไปโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาต่างลืมคำสั่งของเริ่นอวี่เฟิงไปแล้ว พวกเขาเพียงแค่พูดคุยเรื่องไร้สาระ เมาสุราและเล่นการพนันไปเรื่อยๆ ในทุกวัน

 

 

เมื่อพวกเขามาถึงด้านใต้ของเจดีย์บรรลุเต๋าและม่านพลังเคลื่อนย้ายดั้งเดิมระเบิดลำแสงสว่างจ้าออกมา นักพนันสองคนยังคงโยนลูกเต๋า เล่นพนันด้วยศิลาวิญญาณของพวกเขาสำหรับเดือนนั้น

 

 

ทันทีหลังจากที่ทั้งหกคนปรากฏตัวจากม่านพลังเคลื่อนย้าย ผู้อาวุโสทั้งก็สองยิ้มเยาะ หลังจากนั้นอย่างรวดเร็วผู้อาวุโสชิงเมี่ยวโบกมือ ก่อเกิดเป็นแรงกดดันของพลังวิญญาณรุนแรงจับพวกเขาไว้

 

 

ผู้ฝึกตนระดับต่ำสองคนเหลือบตาขึ้นมองด้วยความสับสน ในที่สุดก็เห็นทั้งหกคนบนม่านพลังเคลื่อนย้าย ทั้งคู่อ้าปากค้างและดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งความสามารถในการพูดไปในชั่วขณะหนึ่ง

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้มีโอกาสพูดอะไรภายใต้แรงกดดันของพลังวิญญาณ ในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง เลือดเริ่มไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ไม่นานพวกเขาก็ล้มลงหัวกระแทกลงพื้นอยู่ตรงนั้น

 

 

“ฮึ่ม” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูด “สั่งให้คนประเภทนี้มาเฝ้าอย่างนั้นหรือ ช่างน่าละอายนัก!”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้พูด “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ทำในสิ่งที่พวกเราต้องทำก็พอ! ซย่าชิง เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าสองคนไปตามหาศิษย์ดั้งเดิมของสภาปี้เซวียน บอกพวกเขาว่าพวกเราออกมาแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนเดี่ยวคนอื่น อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากถ้าพวกเขายอมจำนน แต่ถ้าพวกเขาต่อต้าน ฆ่าทิ้งได้ทันที!”

 

 

“เจ้าค่ะ/ขอรับ” ซย่าชิงและถังเซิ่นตอบพร้อมรับคำสั่ง

 

 

“เฮ่าหลาน เทียนเกอ เจ้าทั้งสองคนจงไปเปิดม่านพลังป้องกันขุนเขา พวกเราจะต้องไม่ให้ไอ้มารผู้ฝึกตนหนีไปไหนได้”

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้โบกมืออีกครั้ง “ตกลง แยกย้ายกันได้ เมื่อเสร็จแล้วไปรวมกันที่โถงประชุม”

 

 

ศิษย์น้องทั้งสี่แยกเป็นสองกลุ่มเพื่อทำภารกิจของพวกเขา

 

 

ม่านพลังป้องกันขุนเขาอันยิ่งใหญ่ของสภาปี้เซวียนนั้นสร้างขึ้นโดยโม่เหยาชิงเช่นกัน ด้วยความฉลาดและทรัพยากรที่นางมี ม่านพลังป้องกันขุนเขานี้มีพลังมหาศาล อย่างไรก็ตาม ยี่สิบปีก่อนหน้านี้ ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่ามีเจตนาชั่วร้ายในจิตใจและร่วมมือกับเริ่นอวี่เฟิงปิดการทำงานของม่านพลังป้องกันขุนเขาส่งผลให้ม่านพลังนี้ทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

 

 

ผู้อาวุโสทั้งสองได้วางแผนมานานเป็นอย่างดี ในทางหนึ่งพวกเขาจะไปตามหาศิษย์ดั้งเดิม กำจัดลิ่วล้อของเริ่นอวี่เฟิงระหว่างทางไปด้วย ในอีกทางหนึ่งพวกเขาจะเปิดการทำงานของม่านพลังป้องกันขุนเขาอีกครั้งเพื่อสกัดไม่ให้เริ่นอวี่เฟิงหนีไปได้ ด้วยการทำทั้งสองอย่างนี้ ความเป็นไปได้ที่จะฆ่าเริ่นอวี่เฟิงสำเร็จนั้นมีมากกว่าแปดส่วนทีเดียว

 

 

โม่เทียนเกอเหาะไปที่ม่านพลังป้องกันขุนเขากับเว่ยเฮ่าหลาน ระหว่างทาง พวกนางมองเห็นผู้ฝึกตนระดับต่ำหลายคน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นเลยก็ตาม

 

 

หลังจากที่พวกนางออกห่างจากศาลาและเจดีย์มากมายของสภาปี้เซวียนและเห็นหอคอยเฝ้าระวังเท่านั้น เว่ยเฮ่าหลานก็พลันหยุดลงในทันใด “ผู้อาวุโสโม่ ช่วยข้าที”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า ม่านพลังป้องกันขุนเขาซึ่งมีขนาดที่ใหญ่โตมหาศาลนั้นยากที่จะเปิดได้ด้วยคนเดียว

 

 

เริ่นอวี่เฟิงนั้นได้กลายเป็นมารผู้ฝึกตนมาเป็นระยะเวลานาน ถึงแม้ว่าเขาจะสร้างสำนักที่เรียกว่าสำนักเทพมังกรขึ้นมา ทว่าสำนักนั้นก็เหมือนเป็นเพียงแค่กลุ่มโจรในโลกมนุษย์ ทำให้ภูเขาเป็นเหมือนรังกบดานของเขาก็เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนที่ดูคล้ายกับสำนักผู้ฝึกตนแม้แต่น้อย เขาไม่เข้าใจรูปแบบการทำงานของม่านพลังป้องกันขุนเขานี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะเฝ้าอยู่ที่หอคอยเฝ้าระวังในตอนนี้

 

 

ความเชี่ยวชาญทางด้านม่านพลังของโม่เทียนเกอนั้นเหนือว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดินแดนเดียวกัน หลังจากเว่ยเฮ่าหลานหยิบผังของม่านพลังออกมา ทั้งสองคนก็เริ่มซ่อมแซมทีละส่วนตามผัง พวกนางใช้เวลาอยู่นานก่อนในที่สุดก็สามารถซ่อมแซมทุกส่วนที่พังได้ทั้งหมด

 

 

ในขณะนั้น พวกนางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณมาจากด้านในของสภาปี้เซวียน ผู้อาวุโสทั้งสองและเริ่นอวี่เฟิงคงเริ่มต่อสู้กันแล้วแน่นอน

 

 

ทั้งสองคนเริ่มเป็นกังวล พวกนางใช้เวลาอีกครู่หนึ่งเพื่อสัมผัสถึงความผันผวนของพลังวิญญาณนั้น แต่ในที่สุดโม่เทียนเกอก็พูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านน่าจะไม่เป็นอะไร ในการผันผวนของพลังวิญญาณนี้ พลังมรณะไม่ได้รุนแรงมากนัก คาดว่ามันอยู่ภายใต้แรงกดดันของผู้อาวุโสทั้งสอง”

 

 

รู้สึกประหลาดใจ เว่ยเฮ่าหลานจ้องมองที่โม่เทียนเกอก่อนที่นางจะพยักหน้า ขนาดของสภาปี้เซวียนนั้นกว้างกว่าหลายสิบตารางกิโลเมตร และพวกนางก็ยังอยู่ห่างออกมาจากจุดกึ่งกลางถึงห้ากิโลเมตรเป็นอย่างต่ำ แต่โม่เทียนเกอสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณได้อย่างชัดเจนโดยที่นางไม่คาดคิด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจิตสัมผัสของนางนั้นกล้าแข็งมาก ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้เว่ยเฮ่าหลานประหลาดใจ ผู้อาวุโสทั้งสองนั้นมีการมองการณ์ไกลที่ยอดเยี่ยม ผู้อาวุโสโม่อายุยังน้อย ทว่านางมีทักษะถึงขั้นนี้ คาดว่านางน่าจะสามารถก้าวสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในไม่ช้า หากเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสโม่จะไม่อยู่ที่สภาปี้เซวียนได้นาน นางจะต้องแสดงถึงความห่วงใยต่อสภาปี้เซวียนเมื่อนางแข็งแกร่งมากพอได้เป็นแน่

 

 

ทั้งสองคนมุ่งมั่นอยู่กับการวางศิลาวิญญาณ แต่ละคนต่างหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง ม่านพลังป้องกันขุนเขานี้จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากเพื่อเปิดใช้งาน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ม่านพลังนี้อยู่ในสถานะที่เสียเปล่าไปครึ่งหนึ่ง ศิลาวิญญาณของมันได้ถูกขโมยไปแล้ว โม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าเดิมก่อนที่พวกนางจะสามารถเติมศิลาวิญญาณได้จนหมด

 

 

หลังจากที่พวกนางทำเสร็จแล้วไม่นาน เว่ยเฮ่าหลานก็เปิดการทำงานของม่านพลังป้องกันขุนเขา เสียงที่ดังจนทำให้หูอื้อดังออกมาจากภายในหอเฝ้าระวังและพร้อมกันกับแรงระเบิดลำแสงสีขาว ส่องสว่างไปทั่วหอคอยเฝ้าระวังในทันที

 

 

ตามจากเสียงนั้น ชั้นของหมอกขาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสภาปี้เซวียน หมอกนี้ขยายความเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็กลายเป็นเกราะป้องกัน

 

 

ตอนนี้ม่านพลังป้องกันขุนเขาของสภาปี้เซวียนได้ทำงานแล้ว ทุกคนที่อยู่ภายในม่านพลังนั้นถูกปกป้องไว้และในขณะเดียวกันถนนทุกสายที่เข้าและออกได้ถูกปิดลง

 

 

เมื่อเห็นม่านพลังทำงานเรียบร้อยแล้ว เว่ยเฮ่าหลานพูด “ผู้อาวุโสโม่ เราไปช่วยคนอื่นกันเถอะ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า นอกเหนือไปจากการฆ่าเริ่นอวี่เฟิงแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องทำ อีกอย่างถึงแม้ซย่าชิงและถังเซิ่นนั้นจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาเคยเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่เหตุบังเอิญอาจเกิดขึ้นได้

 

 

ทั้งสองคนขึ้นยืนบนอาวุธเวทของตัวเองหลังจากนั้นจึงเหาะมายังจุดกึ่งกลางของสภาปี้เซวียน

 

 

ในขณะนั้น สถานการณ์ในสภาปี้เซวียนโกลาหลไปหมดแล้ว

 

 

ความผันผวนของพลังวิญญาณนั้นทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าผู้อาวุโสทั้งสองนั้นกำลังต่อสู้กับเริ่นอวี่เฟิงอย่างเต็มกำลัง สำหรับศิษย์ของสำนักที่เรียกว่าสำนักเทพมังกรที่เริ่นอวี่เฟิงนั้นรวบรวมมา ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นศิษย์ดั้งเดิมของสภาปี้เซวียน มีบางคนที่เป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว และบางคนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยพลังมรณะเช่นเดียวกับเริ่นอวี่เฟิง ถึงแม้ว่าพลังมรณะของพวกเขานั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเริ่นอวี่เฟิงมากก็ตาม

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานเห็นศิษย์เหล่านั้น ทั้งสองคนแปะเครื่องรางต้านพิษที่เตรียมไว้บนร่างของพวกนางทันที พวกนางใช้จิตสัมผัสเพื่อตามหาตำแหน่งของซย่าชิงและถังเซิ่นและเหาะไปพร้อมกัน

 

 

พวกนางสามารถเห็นร่างของซย่าชิงและถังเซิ่นจากในระยะไกล ซย่าชิงและถังเซิ่นกำลังต่อสู้ด้วยพลังเวทกับคนกลุ่มหนึ่ง ศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสองคนและกว่าสิบสองคนของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นต่างปกคลุมไปด้วยพลังมรณะ คนเหล่านี้ดูเหมือนเป็นศิษย์ของเริ่นอวี่เฟิงซะเป็นส่วนใหญ่

 

 

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ศิษย์พี่โม่!” ซย่าชิงตะโกนออกมาเมื่อเห็นพวกนาง

 

 

นางและถังเซิ่นต่างมีเครื่องรางต้านพิษแปะอยู่บนร่างกาย ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนั้นไม่ได้เก่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาจึงไม่สามารถปราบคนกลุ่มนี้ลงได้

 

 

ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานต่างเคลื่อนไหวเพื่อโจมตี

 

 

เว่ยเฮ่าหลานเรียกกระจกน้ำแข็งเย็นเยือกซึ่งก่อให้เกิดลำแสงเวทน้ำแข็งออกมา

 

 

ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอยกมือของนางขึ้นอย่างง่ายๆ กระสวยอัปสราเคลื่อนไหวด้วยความเร็วและรุนแรง นางศึกษาบันทึกส่วนตัวของโม่เหยาชิงตลอดหลายปีที่อยู่ภายในเจดีย์บรรลุเต๋า และนางก็ได้ศึกษาเคล็ดลับสำหรับการต่อสู้ด้วยพลังเวทจำนวนมาก ดังนั้นในตอนนี้ พละกำลังของนางในการควบคุมกระสวยอัปสราจึงเฉียบคมขึ้นอย่างมาก

 

 

ศพล้มตายไปทุกที่ที่กระสวยอัปสราพุ่งผ่าน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานสองคนต่างสับสนวุ่นวาย พวกเขาต้องต่อสู้กับเวทน้ำแข็งของเว่ยเฮ่าหลานและต้องคอยหลบหลีกกระสวยอัปสราไปด้วยในขณะเดียวกัน คนทั้งสี่คนต่างแปะเครื่องรางต้านพิษกันไว้ทั้งหมด ซึ่งพลังมรณะไม่สามารถแทรกซึมผ่านการป้องกันเข้ามาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้อีกต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นทั้งสองคน ทั้งซย่าชิงและถังเซิ่นก็ไม่ลังเลที่จะหยิบเครื่องมือเวทของตัวเองออกมาเพื่อโจมตีแม้แต่น้อย ไม่นานทั้งสองคนก็สามารถกำจัดศัตรูของพวกเขาลงได้

 

 

ซย่าชิงเก็บเครื่องมือเวทของนางหลังจากนั้นจึงเข้ามาทักทายพวกเขา “ศิษย์พี่ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“พวกข้าไม่เป็นอะไร” เว่ยเฮ่าหลานพูดขณะที่มองไปโดยรอบ นอกเหนือไปจากมารผู้ฝึกตนประมาณสิบคนที่พวกเขาฆ่าก็ไม่มีใครที่อยู่ในบริเวณนั้นอีก “ทุกคนไปไหนกันหมด นี่เจ้าได้แจ้งข่าวไปแล้วหรือยัง”

 

 

ซย่าชิงตอบอย่างผิดหวัง “ไอ้มารผู้ฝึกตนนั่น… มันทรมานหลายคนอย่างหนักจนพวกเขากลายเป็นอย่างมัน จิตใจพวกเขาได้เปลี่ยนไปกันแล้ว พวกเขาไม่ฟังคำแนะนำของพวกข้า พวกข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฆ่าพวกเขา… ยังคงมีบางคนที่มีเหตุผลแต่พวกเขานั้นอ่อนแอเกินไปดังนั้นพวกข้าจึงให้ซ่อนตัวไปก่อน”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานขมวดคิ้ว “บอกให้พวกเขาทั้งหมดออกมา พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ภายในกลุ่มดีที่สุด ให้พวกเขาชี้แนะพวกเราในการกำจัดมารผู้ฝึกตน”

 

 

“ตกลง”

 

 

พวกเขาเจอผู้ฝึกตนที่เป็นทาสของเริ่นอวี่เฟิงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากต่างเป็นศิษย์ดั้งเดิมของสภาปี้เซวียน หลายคนร้องไห้โฮออกมาเมื่อเห็นเว่ยเฮ่าหลาน คนเหล่านั้นต่างถูกรังแกโดยเริ่นอวี่เฟิงมาเป็นเวลายี่สิบปี ตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่จะแก้แค้นได้ในที่สุด พวกเขาต่างรู้สึกยินดีและเต็มใจที่จะนำทั้งสี่คนไปทั่วทุกที่เพื่อกวาดล้างกลุ่มคนของเริ่นอวี่เฟิงที่ได้กลายเป็นมารผู้ฝึกตนไปแล้ว

 

 

ทั้งสี่คนแยกออกเป็นสามกลุ่ม ซย่าชิงกับถังเซิ่นไปทางหนึ่ง เว่ยเฮ่าหลานไปอีกทางหนึ่ง และโม่เทียนเกอไปอีกเส้นทางหนึ่งในการกำจัดเหล่ามารผู้ฝึกตนในสภาปี้เซวียนให้หมด พลังมรณะของพวกเขาเหล่านั้นอ่อนแอกว่าของเริ่นอวี่เฟิงนัก และทั้งสี่คนก็ยังมีเครื่องรางต้านพิษติดอยู่บนร่างกายอีกด้วย ดังนั้นเพียงแค่เวลาชั่วครู่เดียว พวกเขาก็สามารถกำจัดเหล่ามารผู้ฝึกตนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วสภาปี้เซวียนได้จนหมดสิ้น

 

 

สุดท้าย จุดสนใจของทุกคนก็มุ่งไปยังพื้นที่แกนกลางของสภาปี้เซวียน ตรงนั้นคือจุดที่โถงประชุมตั้งอยู่

 

 

ท้องฟ้าเหนือโถงนั้นถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังป้องกันขุนเขาอย่างแน่นหนา ภายใต้เกราะป้องกัน เริ่นอวี่เฟิงผู้ซึ่งปกคลุมด้วยพลังสีดำมืดกำลังต่อสู้อยู่กับผู้อาวุโสทั้งสอง​​​​​​​

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset