ลำนำสตรียอดเซียน 190 เมืองหลินไห่

ตอนที่ 190 เมืองหลินไห่

​​​​​​​เมื่อเขาได้ยินว่าโม่เทียนเกอต้องการที่จะออกจากหมู่บ้านชาวประมง เสี่ยวเป่าไม่เต็มใจอย่างมาก นอกจากนั้น โม่เทียนเกอได้ให้ของขวัญที่แสนอร่อยกับเขา ซึ่งเขาไม่เคยทานผลไม้ที่หวานขนาดนั้นมาก่อนเลยในชีวิตนี้

 

 

คู่สามีภรรยาสุ่ยไม่ต้องการให้ลูกๆ ของพวกเขาทำลายบรรยากาศ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามปลอบเขาในทันที โม่เทียนเกอให้ยาวิเศษที่นางพลาดจากการปรุงยาและไม่เป็นอันตรายแทนขนมแก่เสี่ยวเป่าเพื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมเขา

 

 

“เอาละ” โม่เทียนเกอพูดขณะมองไปยังสมาชิกครอบครัวสุ่ยทั้งสี่คน “ท่านควรบอกข้าก่อนว่าข้าควรใช้เส้นทางไหนในการไปที่เมืองหลินไห่”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของนาง สุ่ยซานตอบอย่างรวดเร็ว “ท่านเทพธิดาเพียงแค่ต้องตรงไปทางทิศเหนือ หลังจากเดินทางอยู่ครึ่งวัน ท่านเทพธิดาก็จะถึงเมืองหลินไห่ขอรับ”

 

 

สิ่งที่มนุษย์พิจารณาว่าเป็นการเดินทางครึ่งวันสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นนางน่าจะใช้เวลาเพียงแค่สิบนาที โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมกล่าว “ขอบคุณท่านมาก”

 

 

นางกำลังจะออกเดินทาง แต่สุ่ยซานรีบเรียกนาง “ท่านเทพธิดา ท่านเทพธิดา กรุณารอก่อน”

 

 

โม่เทียนเกอหยุดชะงักหลังจากนั้นจึงหันมองด้านข้างขณะที่ถาม “มีอะไรอย่างอื่นอีกหรือ”

 

 

ถึงแม้นางจะมีลักษณะท่าทางที่อ่อนโยน แต่นางก็เป็นถึงผู้ฝึกตน นางมีสถานะที่ชัดเจนเมื่อต้องรับมือกับมนุษย์ ดังนั้นสุ่ยซานจึงรู้สึกค่อนข้างกลัวตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากภรรยาของสุ่ยซานถองศอกเข้าที่หลัง เขาก็รวบรวมความกล้าขึ้นอีกครั้ง “ชายผู้ต่ำต้อยผู้นี้มีเรื่องจะร้องขอขอรับ ข้าน้อยหวังว่าท่านเทพธิดาจะยอมรับมัน!”

 

 

“โอ้ อะไรรึ ไหนลองพูดมาก่อนสิ”

 

 

สุ่ยซานดีใจที่โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขา เขาจึงหันมองที่นานนานและพูด “ท่านเทพธิดา นานนานของครอบครัวข้าครอบครองรากวิญญาณ แต่ท่านเทพธิดาจากสภาปี้เซวียนพูดว่ารากวิญญาณของนานนานนั้นค่อนข้างต่ำต้อย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่รอหากมีตำแหน่งว่างในการเข้าร่วมสภาปี้เซวียน ครอบครัวสุ่ยของข้าในที่สุดก็มีเด็กที่ครอบครองรากวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงเป็นกังวล คิดว่าถ้านานนานของข้าจะสามารถ…”

 

 

เขาสาธยายไปอีกยืดยาว ภรรยาของสุ่ยซานผู้ซึ่งรับรู้ได้ว่าโม่เทียนเกอขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย รีบกระทุ้งสามีของนางหลังจากนั้นจึงพูดแทรกด้วยรอยยิ้ม “ท่านเทพธิดา สามีของข้าน้อยพูดไม่ตรงประเด็นเสียเลย ดังนั้นข้าน้อยจะขอพูดกับท่านตรงๆ นานนานของข้าน้อยบอกว่าถ้านางได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎแห่งเซียน นางอาจจะได้รับเลือกเป็นคนแรกสำหรับการคัดเลือกครั้งหน้า ตำรากฎแห่งเซียนนั้นสามารถหาซื้อได้ในเมือง แต่มันจะต้องใช้วิญญาณ… ศิลาวิญญาณหรืออะไรบางอย่าง แล้วครอบครัวของข้าน้อยจะมีสิ่งนั้นได้อย่างไร หลังจากที่ได้ช่วยท่านเทพธิดาจัดการกับธุระต่างๆ ในช่วงวันที่ผ่านมา ท่านเทพธิดาได้มอบทองให้กับพวกข้าน้อยมากมาย ดังนั้นพวกข้าน้อยเองก็ไม่ควรที่จะร้องขออะไรเพิ่มเติม แต่…”

 

 

“พวกเจ้าต้องการตำรากฎแห่งเซียนอย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอพูดตัดบท

 

 

นายหญิงพยักหน้าอยู่หลายครั้งและพูดเพิ่มเติมว่า “ท่านเทพธิดา พวกข้าน้อยไม่ได้ขอทองจากท่านเพิ่มเติม มันเพียงพอกับพวกข้าน้อยแล้วหากท่านจะมอบตำรากฎแห่งเซียน ถ้านั่นยังไม่เพียงพอ ท่านเทพธิดาสามารถนำสิ่งที่ท่านชอบอะไรไปจากพวกข้าน้อยก็ได้เจ้าค่ะ…”

 

 

ชาวประมงที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรจะมีสิ่งที่นางต้องการได้อย่างไร

 

 

โม่เทียนเกอหันมองที่นานนาน ผู้ซึ่งมองนางอย่างประหม่าอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นโม่เทียนเกอจึงยกมือขึ้นเพื่อหยุดการพูดพร่ำเพรื่อของนายหญิง “ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”

 

 

หลังจากนั้นนางหยิบหยกบันทึกหลายอันออกมาจากกระเป๋าเอกภพของนาง แต่หลังจากคิดอีกครั้ง นางก็เก็บพวกมันกลับเข้าไปแล้วหยิบหนังสือออกมาแทน นานนานนั้นยังคงเป็นมนุษย์อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นนางก็ไม่สามารถใช้จิตสัมผัสที่จำเป็นสำหรับการอ่านหยกบันทึกได้

 

 

“ทองนั้นไร้ประโยชน์สำหรับข้า นานนานและข้าพบกันด้วยโชคชะตา ดังนั้นจงเอาตำราเล่มนี้ไปถือว่าเป็นของขวัญแล้วกัน”

 

 

นานนานรับหนังสือเล่มบางเอาไว้ รู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าของนางเป็นสีแดงก่ำ คู่สามีภรรยาสุ่ยดึงนางให้คุกเข่าลงเพื่อก้มคำนับแก่โม่เทียนเกอ “ขอบพระคุณท่านเทพธิดาเจ้าค่ะ! ขอบพระคุณท่านเทพธิดาเจ้าค่ะ!”

 

 

โม่เทียนเกอโบกมือแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่การสะบัดแขนเสื้อของนาง นางก็เหาะขึ้นไปพร้อมกับสายลม

 

 

จากครอบครัวสุ่ยไปจนถึงทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงไร้นามนี้ต่างมุ่งความสนใจไปทางนางแทบทุกคน

 

 

โม่เทียนเกอเห็นนานนานผู้ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองนางอยู่มีสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความชื่นชมต่อนาง

 

 

นางยิ้มเล็กน้อยให้กับนานนานหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแสงเหินพุ่งหายไปยังเส้นขอบฟ้า

 

 

การครอบครองวิชาการฝึกตนขั้นพื้นฐานเช่นนี้เป็นสิ่งที่ง่ายเหมือนกับการกระดิกนิ้วสำหรับนาง แต่สำหรับเด็กตัวน้อยๆ ที่หวังจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนนั้นคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก โม่เทียนเกอไม่ได้รังเกียจที่จะทำตัวใจกว้างสักครั้งหนึ่ง ความจริงแล้วอาจจะสามารถพูดได้ว่าเป็นเพราะนางเกิดในฐานะมนุษย์ นางจึงมีความใจดีต่อมนุษย์มากกว่าผู้ฝึกตน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นจะสามารถเดินสู่เส้นทางแห่งเซียนได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของนางเอง

 

 

นางส่ายหัว โยนความคิดต่างๆ เหล่านี้ไว้เบื้องหลังและมุ่งมั่นต่อการเดินทางของนาง

 

 

เมืองหลินไห่นั้นไม่ได้อยู่ไกลนัก เพียงแค่สิบนาที โม่เทียนเกอก็มองเห็นกำแพงเมืองได้จากระยะไกลแล้ว

 

 

แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้นางต้องประหลาดใจ ตอนแรกนางคิดว่าในเมื่อเมืองหลินไห่นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เล็กและห่างไกล มันก็น่าจะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คาดคิดว่ากำแพงเมืองนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่แพ้เมืองขนาดกลางที่อยู่ดินแดนใจกลางแม้แต่น้อย

 

 

บางอย่างทำให้นางประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อนางเข้าไปใกล้ถึงเมืองหลินไห่ โดยไม่คาดคิดรองเท้าย่ำเมฆาของนางก็ไม่สามารถควบคุมได้ มันเหมือนกับว่า… มีการวางขอบข่ายพื้นที่ห้ามบินอยู่ในเมืองนี้

 

 

หลังจากพิจารณาถึงเรื่องนี้เล็กน้อย โม่เทียนเกอจึงเหาะลงทางด้านนอกเมืองหลังจากนั้นจึงเดินเท้าต่อไปยังเมืองหลินไห่

 

 

มันเป็นช่วงเวลากลางวันในตอนนั้น แต่ประตูเมืองก็ดูเหมือนถูกทิ้งร้างไว้ มีเพียงแค่คนไม่กี่คนเดินผ่าน ถึงแม้ว่าประตูนั้นจะถูกป้องกันโดยทหารยามเพียงหนึ่งคน ตอนนี้เขาก็ทำเพียงแค่ยืนพิงกำแพงที่อยู่ใกล้กับประตูและงีบหลับโดยไม่ได้สนใจคนเดินผ่านประตูเลยแม้แต่น้อย

 

 

โม่เทียนเกองุนงง นี่เมืองหลินไห่ไม่ได้เป็นของแคว้นใดเลยหรือ มีทหารได้อย่างไร

 

 

แต่เรื่องที่น่างุนงงยิ่งกว่ากำลังรอนางอยู่ ขณะที่นางกำลังจะเดินเข้าไปในเมือง ทหารยามที่กำลังงีบหลับเหลือบมองนางในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ในทันทีเขาก็ตื่นขึ้น ขยี้ตาและรีบวิ่งไปขวางนาง เขาคำนับนางด้วยความเคารพพร้อมพูด “ท่านเทพธิดา ได้โปรดหยุดก่อน”

 

 

โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นผู้ฝึกตน”

 

 

หลังจากที่นางถามเช่นนั้น ทหารยามแปลกใจและตกใจอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงพูดโพล่งออกมา “นี่ท่านเทพธิดาไม่ได้เป็นท่านเซียนจากพื้นที่ของหลินไห่อย่างนั้นหรือขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและไม่ตอบ ความวิตกกังวลภายในใจของนางยิ่งทวีคูณมากขึ้น

 

 

เมื่อรับรู้ได้ว่าท่าทางของนางดูเปลี่ยนไป ทหารยามรีบพูดออกมา “ท่านเทพธิดาได้โปรดระงับความโกรธของท่านก่อน ท่านเซียนจากพื้นที่บริเวณเมืองหลินไห่รู้ว่าพวกข้าสามารถแยกแยะความแตกต่างของเซียนกับมนุษย์ได้ ข้ารู้สึกว่าท่านเทพธิดาไม่ทราบถึงสิ่งนี้ ดังนั้นข้าจึงคาดเดาว่าท่านเทพธิดาไม่ได้มาจากพื้นที่ของเมืองหลินไห่ขอรับ”

 

 

“โอ้” โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่บังเอิญผ่านมาที่นี่ แล้วนี่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าหยุดข้าหรือ หรือว่าที่เมืองหลินไห่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป”

 

 

ทหารยามโบกมือไปมา “ท่านเทพธิดาเข้าใจข้าน้อยผิดไปแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกขอรับ เมืองหลินไห่ของพวกเรามีอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนจากท่านเทพเซียนและเหล่าเทพธิดา พวกเราจะห้ามไม่ให้พวกท่านเข้าไปได้อย่างไร

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพยายามที่จะ…”

 

 

ทหารยามอธิบาย “ผู้ฝึกตนเดี่ยวของพื้นที่เมืองหลินไห่จำเป็นที่จะต้องลงนามในการเข้าเมืองขอรับ ดังนั้นท่านเทพธิดาช่วยลงนามของท่านที่นี่ก่อนได้หรือไม่ขอรับ”

 

 

“โอ้” โม่เทียนเกอรู้สึกรำคาญ กฎข้อนี้ของเมืองหลินไห่นั้นเกินไป นางเคยไปมาหลายที่และไม่มีที่ไหนเลยที่กล้าออกกฎเช่นนี้กับผู้ฝึกตน มันเป็นที่รู้กันว่าผู้ฝึกตนนั้นไม่ชอบที่จะถูกคนอื่นควบคุมมากที่สุด การที่จะต้องลงนามเพื่อเข้าไปในเมืองนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอในตอนนี้ทำให้ทหารยามต้องรีบอธิบายเพิ่มเติม “ท่านเทพธิดา นี่เป็นกฎที่ตั้งขึ้นมาจากท่านเทพธิดาของสภาปี้เซวียน ข้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ผู้ที่ต้องทำตามคำสั่ง…”

 

 

“หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าข้าไม่ลงนามของข้าไว้ ข้าก็จะไม่สามารถเข้าไปในเมื่องได้สินะ” โม่เทียนเกอชำเลืองมองเขาด้วยความเย็นชา

 

 

ถึงแม้ว่านางไม่ได้ตัวสูง แต่ทหารยามก็ต้องรู้สึกตัวเล็กอย่างช่วยไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันที่นางปล่อยออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงพูดยืนกรานว่า “อภัยให้ข้าน้อยด้วยท่านเทพธิดา แต่นี่เป็นกฎ…”

 

 

ภายในใจของนาง โม่เทียนเกอมั่นใจในทันทีว่าขอบข่ายพื้นที่ห้ามบินเหนือเมืองหลินไห่นั้นคงจะวางโดยสภาปี้เซวียนด้วยเช่นกัน มันดูเหมือนกับ… อำนาจของสภาปี้เซวียนที่ปกครองแคว้นริมน้ำนี้นั้นจะยิ่งใหญ่มหาศาล ไม่เพียงแต่ควบคุมเมืองเท่านั้น แต่ยังคงควบคุมไปถึงผู้ฝึกตนจากบริเวณใกล้เคียงด้วย

 

 

โม่เทียนเกอครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางจะทำก่อนที่จะพูดด้วยท่าทางที่เย็นชาว่า “เจ้าต้องการให้ข้าลงนามที่ไหน”

 

 

ทหารยามกลัวว่าจะทำให้เทพธิดานางนี้โกรธ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานให้กับสภาปี้เซวียน มนุษย์เช่นเขาก็ไม่กล้าที่จะทำให้เซียนขุ่นเคือง ไม่ว่าจะเป็นเซียนผู้ใดก็ตาม และเพราะเหตุนั้นเมื่อเขาได้ยินที่โม่เทียนเกอพูด เขาจึงรู้สึกยินดีมาก เขารีบหยิบหนังสือลงนามออกมาจากด้านข้างและส่งให้โม่เทียนเกอ “ท่านเทพธิดา โปรดลงนามของท่านที่นี่ขอรับ”

 

 

เมื่อเปิดหนังสือลงนาม โม่เทียนเกอเห็นชื่อหลายคนถูกเขียนเอาไว้ เวลาที่พวกเขาเข้าไปและออกจากเมืองก็ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน

 

 

นางไม่ได้หยุดนิ่งแม้แต่น้อยหลังจากรับพู่กันมาจากทหารยาม นางเขียน “เยี่ยเสี่ยวเทียน” ลงบนพื้นที่ว่างในทันที

 

 

หลังจากนั้นนางจึงโยนพู่กันกลับไปยังทหารยามและพูด “แค่นี้พอแล้วใช่ไหม”

 

 

ทหารยามพยักหน้าซ้ำๆ “เพียงพอ เพียงพอแล้วขอรับ ท่านเทพธิดา เชิญด้านในขอรับ”

 

 

โดยที่ไม่พูดอะไรต่อ โม่เทียนเกอเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในเมือง

 

 

เมื่อนางเข้าไปในเมือง ทหารยามเขียนต่อท้ายชื่อของนาง “เยี่ยเสี่ยวเทียน ผู้หญิง ไม่รู้ระดับการฝึกตน เข้าเมืองวันที่ยี่สิบของเดือนที่แปด”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกไม่ค่อยมีความสุข ความประทับใจของนางต่อสภาปี้เซวียนแย่อยู่แล้วจากศิษย์หญิงสามคนของสภาปี้เซวียนที่นางพบในถ้ำเซียนของจื่อเวย แต่ตอนนี้ความประทับใจของนางยิ่งแย่ไปมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าสภาปี้เซวียนจะเป็นกลุ่มการฝึกตนกลุ่มเดียวในบริเวณนี้ การกระทำที่ควบคุมผู้ฝึกตนจากที่อื่นนั้นดูเผด็จการเกินไป!

 

 

ในคุนอู๋ แม้กระทั่งกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างสำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิงก็ยังไม่เคยบังคับให้ผู้ฝึกตนที่มาเยี่ยมเยียนเมืองของพวกเขาต้องลงนาม นับประสาอะไรกับกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ อย่างสภาปี้เซวียน แม้กระทั่งในเมืองที่เป็นเมืองส่วนตัว อย่างมากที่พวกเขาจะทำคือการถามถึงที่มาของผู้ฝึกตนหลังจากนั้นจึงออกเอกสารยืนยันตัวตนให้ พวกเขาจะไม่อนุญาตให้มนุษย์มาจดบันทึกถึงการมาและไปของผู้ฝึกตนแบบไม่ไตร่ตรองเช่นนี้

 

 

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าสภาปี้เซวียนกล้าทำเช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีอำนาจมากแค่ไหนในพื้นที่แห่งนี้ มันคงจะไม่ได้เป็นเรื่องราวอะไรไม่ว่านางจะเข้าไปในเมืองหรือไม่ถ้านางอยู่ที่คุนอู๋ แต่ที่นี่ นี่เป็นเพียงเมืองใหญ่เมืองเดียวในบริเวณนี้ และยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่ได้ต้องการที่จะแตกหักกับสภาปี้เซวียน ดังนั้นนางจึงต้องลงนามไว้

 

 

ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกและเข้าเมืองไป ในกรณีใดก็ตาม ชื่อที่แท้จริงของนางไม่ได้ถูกบันทึกไว้ และเยี่ยเสี่ยวเทียนก็ไม่ได้เป็นชื่อที่โด่งดังนัก มันไม่เป็นปัญหาที่จะเปิดเผยออกไป

 

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้นางนึกถึงบางสิ่ง เมื่อพิจารณาถึงความเผด็จการที่สภาปี้เซวียนเป็น นางควรทำอย่างไรถ้านางหาทางหนีด้วยตัวเองเมื่อนางถามถึงเส้นทางกลับไปยังคุนอู๋จากพวกเขา นางอยู่ด้วยตัวคนเดียวในตอนนี้ และไม่ว่าสภาปี้เซวียนจะแย่แค่ไหน พวกเขาก็คงจะต้องมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่บ้างไม่น้อย

 

 

หากเป็นเช่นนั้น นางควรที่จะรวบรวมข้อมูลเสียก่อน และถามคนอื่นว่าเอกลักษณ์ของสภาปี้เซวียนเป็นอย่างไรบ้างทางฝั่งทะเลตะวันออกนี้

 

 

เมื่อนางมีแผนการเช่นนี้ โม่เทียนเกอจึงเริ่มสำรวจสถานการณ์ของเมืองหลินไห่

 

 

ถ้านางไม่รู้เรื่องมาก่อน นางคงไม่เคยคิดว่าเมืองหลินไห่นี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างชายฝั่งทะเลตะวันออกจริงๆ มันมีถนนที่กว้างขวางและอาคารสองชั้นหรือมากกว่านั้นมากมาย ไม่ได้ดูด้อยกว่าเมืองในดินแดนใจกลางแม้แต่น้อย

 

 

อย่างไรก็ตาม คนเมืองของที่นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่น มีผู้คนมากมายแต่งตัวเหมือนชาวประมงที่นี่ แม้กระทั่งแขกเหรื่อในร้านอาหารก็ยังแต่งกายในเสื้อผ้าลักษณะที่เรียบธรรมดา คาดว่าพื้นที่นี้ไม่ได้มีทรัพยากรที่มีค่านัก ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่สามารถมีผ้าปักดอกที่สวยงามไว้สวมใส่ได้

 

 

หลังจากไตร่ตรองถึงลำดับขั้นต่อไปของนาง โม่เทียนเกอหันไปทางร้านอาหารที่อึกทึกเป็นพิเศษและตรงเข้าไปหาเถ้าแก่ร้าน

 

 

เพียงแค่นางกำลังจะพูด เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นมาพอดีและในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เขาก็แสดงท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพ “ท่านเทพธิดา เชิญด้านใน เชิญด้านในขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนเล็กน้อย ทหารยามเฝ้าประตูนั้นไม่ได้ผิดปกติ สุดท้ายแล้ว ในเมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้เฝ้าประตูเมือง เขาต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเซียนแตกต่างจากมนุษย์อย่างไร อย่างไรก็ตาม ทำไมเถ้าแก่ร้านทั่วไปเช่นนี้ถึงสามารถรับรู้ถึงตัวตนของนางได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนด้วยเพียงแค่การชำเลืองมอง

 

 

“เถ้าแก่” โม่เทียนเกอไม่ได้ขยับ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือผู้ฝึกตน”

 

 

เถ้าแก่ร้านประหลาดใจ “ท่านเทพธิดา ท่านไม่ได้มาจากบริเวณนี้หรือ”

 

 

“อือ”

 

 

เถ้าแก่ร้านรูปร่างอ้วนท้วมลูบมือของเขาขณะที่อธิบายด้วยรอยยิ้ม “ท่านเซียนในเมืองหลินไห่ของพวกข้าดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ หลังจากที่ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันมานาน พวกข้าก็สามารถแยกแยะได้ในทันที ท่านเทพธิดา ท่านมีความสงบสุขุม และท่านก็สง่างามดุจดั่งเทพ ดังนั้นท่านจึงเป็นท่านเซียนเป็นแน่ขอรับ!”

 

 

“โอ้ เจ้ารู้อย่างนั้นเองสินะ” โม่เทียนเกอพยักหน้า “แต่ข้าไม่ได้มาจากบริเวณนี้จริง”

 

 

“ไอ้หยา ผู้ฝึกตนต่างถิ่นยากที่จะพบเจอนัก! ท่านเทพธิดา ท่านอยากจะทานหรือดื่มอะไรในวันนี้ขอรับ พวกเราขอมอบให้ท่านโดยไม่คิดเงินขอรับ!”

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหัวของนางเบาๆ “ข้าไม่ได้มาทานอะไร ข้าเพียงแค่ต้องการข้อมูลข่าวบางอย่างจากเถ้าแก่เท่านั้น”

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset