ลำนำสตรียอดเซียน 164 หินจันทราเวทมนตร์

ตอนที่ 164 หินจันทราเวทมนตร์

หลังจากที่โม่เทียนเกอผ่านพ้นประตูซึ่งอยู่ลึกสุดของห้องโถงบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง นางก็มองไปรอบๆ นี่เป็นช่องหินแคบๆ อีกซอกหนึ่งที่คล้ายกับที่พวกนางผ่านมาตอนมาถึงที่นี่ อย่างไรก็ตาม กำแพงที่นี่มีหินจันทราฝังรวมอยู่ด้วย ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องจุดไฟอย่างที่นางเคยทำตอนที่เข้ามาในสถานที่นี้

 

 

ความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องค่อนข้างแปลก หินจันทรานั้นแทบจะไม่สามารถคงอยู่ได้นานกว่าหลายพันปี ด้วยเหตุผลนั้นถ้ำเซียนจากเมื่อหลายพันปีก่อนจึงมักจะมืดสนิท เช่นเดียวกับเส้นทางที่พวกนางผ่านเข้ามาในช่วงแรก หินจันทรายังคงทำงานอยู่ในสถานที่นี้ได้อย่างไร

 

 

นักพรตฟางเจิ้งคิดเช่นเดียวกันกับนาง ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าทางกำแพง แต่ละคนงัดหินจันทราออกมา

 

 

“นี่…” หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด นักพรตฟางเจิ้งก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าจะเป็นราชินีหินจันทรา!”

 

 

โม่เทียนเกอตะลึงงัน

 

 

นักพรตฟางเจิ้งพิจารณามันต่ออีกครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วเข้าจึงพยักหน้าพร้อมพูด “จริงด้วย! ที่นี่คือเหมืองหินจันทรา และทั้งหมดนี้คือราชินีหินจันทรา นี่คือเหตุผลที่พวกมันคงอยู่มาได้นานเช่นนี้”

 

 

เมื่อเกี่ยวเนื่องกับประสบการณ์ นักพรตฟางเจิ้งนั้นได้ท่องอยู่ทั้งโลกแห่งการฝึกตนและโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ดังนั้นประสบการณ์ของเขาจึงค่อนข้างกว้างขวาง นางโยนราชินีหินจันทราเข้าไปในกระเป๋าเอกภพและเดินต่อไป

 

 

ถึงแม้ว่าเหมืองหินจันทรานั้นจะหาได้ยาก กระนั้นหินจันทราเองนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกเสียจากการให้แสงสว่างในโลกแห่งการฝึกตน ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีค่าอะไรนัก

 

 

ทั้งสองคนก้าวย่างไปตามเส้นทางก้อนหินอย่างระมัดระวังในขณะที่พวกเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

 

 

ตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอมาคุนอู๋ นางได้เผชิญกับสถานการณ์อันตรายหลากหลายจนนับไม่ถ้วน ดังนั้นนางจึงคอยระมัดระวังในทุกอย่างที่นางทำ สำหรับนักพรตฟางเจิ้ง จากสิ่งที่โม่เทียนเกอเห็น พฤติกรรมของเขาดูคล้ายกับท่านอาที่สองของนาง วิถีที่นางจัดการสิ่งต่างๆ นั้นพัฒนาขึ้นมาจากการติดตามท่านอาที่สอง ดังนั้นนางและนักพรตฟางเจิ้งจึงสามารถเข้าขากันได้ดี

 

 

ครั้งนี้ นักพรตฟางเจิ้งปล่อยนกสัตว์วิเศษระดับแรกของเขาให้บินนำไปด้านหน้าเพื่อหาเส้นทางให้พวกเขา ในขณะที่พวกเขาเดินทางเข้าไปเรื่อยๆ พวกเขาก็พบเจอกับอันตรายต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บตัว พวกเขาเดินเข้าไปเจอกับดักต่างๆ ระหว่างทาง แต่หลายพันปีที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นเวลาที่นานมาก ดังนั้นพลังงานทางจิตวิญญาณที่คงอยู่ในกับดักนั้นจึงอ่อนกำลังลง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีนกคอยนำทางอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหลบเลี่ยงกับดักต่างๆ ได้เรื่อยๆ

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้พบซากศพคนอยู่บนพื้นด้วย

 

 

ซากศพเหล่านั้นเกาะเกี่ยวกันอยู่ เหลือเพียงแค่โครงกระดูก เสื้อผ้าล้วนย่อยสลายไปหมดสิ้น มีเพียงแค่เครื่องมือเวทที่เสียหายและกระเป๋าเอกภพที่ยังใช้งานได้ปกติถูกทิ้งไว้เบื้องหลังซึ่งมีสมบัติอยู่บ้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือเวทกระจัดกระจายอยู่ระหว่างกองกระดูกเหล่านั้น

 

 

ชั่วขณะที่นักพรตฟางเจิ้งเห็นดังนั้น เขาก็ก้มลงต่ำและเริ่มเก็บของเหล่านั้นด้วยท่าทางยินดีบนใบหน้า

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอเห็นสิ่งที่เขาทำ นางรีบตะโกนออกไปในทันที “สหายนักพรตฟางเจิ้งรอก่อน!”

 

 

นักพรตฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองที่นางด้วยท่าทางระแวงในสายตา แก่ชราขนาดนี้ เขาผ่านการผจญภัยมามากมายและเห็นมิตรสหายแตกคอกันเองและต่อสู้กันเพื่อสิ่งต่างๆ มานับไม่ถ้วน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินโม่เทียนเกอตะโกนหมายจะหยุดเขา เขาจึงระมัดระวังตัวขึ้นมาในทันที

 

 

โม่เทียนเกอจะไม่รู้ถึงความคิดของเขาได้อย่างไรเมื่อนางเห็นท่าทางของเขา อย่างไรก็ตาม นางเพียงแค่พูดอย่างเฉยเมย “มีโครงกระดูกหลายกองที่นี่… แสดงว่าไม่ได้มีแค่คนกลุ่มเดียว แต่ทั้งหมดต่างตายอยู่ที่นี่ บางทีสถานที่นี้อาจจะมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็นก็เป็นได้”

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด นักพรตฟางเจิ้งจึงคลายความตึงเครียดลงบ้างและเริ่มที่จะมองไปโดยรอบด้วยความระมัดระวังมากขึ้น

 

 

แน่นอนว่าซอกทางเดินนี้ยาวมากกว่าแค่สิบจั้ง แต่ก็มีซากศพคนประมาณยี่สิบคนที่นี่ โครงกระดูกเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ใกล้กัน แทบจะไม่มีพื้นที่ว่างเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของพวกเขายังแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นพัวพันกันอยู่ในกลุ่มไม่สองก็สามคน มันเหมือนกับพวกเขาดึงกันและกันเพื่อตายไปพร้อมๆ กัน

 

 

นักพรตฟางเจิ้งตื่นกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อเขารับรู้ถึงสิ่งนี้จนทั้งร่างของเขานั้นเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากท่าทางของกองกระดูกนั้น คนเหล่านี้ตายเพราะต่อสู้กันเอง อีกอย่างโครงกระดูกเหล่านี้น่าจะอยู่ที่นี่มานานพอสมควร โครงกระดูกที่ใหม่ที่สุดยังคงขาวดั่งหิมะในขณะที่โครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว

 

 

ร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นไร้ซึ่งสิ่งสกปรกเจือปน ดังนั้นแทนที่จะย่อยสลาย พวกมันจะเปลี่ยนเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณและกระจายหายไปเมื่อพวกเขาตาย อย่างไรก็ตาม กระดูกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน และสีของมันนั้นสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาได้ว่าผู้ฝึกตนผู้นั้นตายมานานแค่ไหนแล้ว

 

 

โครงกระดูกด้านหน้าพวกเขานั้นมีมากมายแตกต่างกันไป ในกลุ่มนั้น กระดูกที่ดำที่สุดได้กลายเป็นกองขี้เถ้าสีดำ บ่งบอกได้ว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นได้ตายมาเป็นเวลาหลายพันปีก่อนแล้ว ทว่ายังคงมีโครงกระดูกสีขาวดั่งหิมะอยู่ท่ามกลางพวกมัน ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะต้องตายมาน้อยกว่าพันปีก่อนอย่างแน่นอน

 

 

ทั้งสองคนต่างเคยประสบกับตัวเองแล้วว่าม่านพลังมายาภายนอกนั้นน่ากลัวอย่างไร จากคนเก้าคน พวกเขานั้นเป็นเพียงสองคนที่เก่งพอที่มาจนถึงสถานที่นี้ ยิ่งไปกว่านั้น คงเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่การผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณภายนอกหุบเขานี้จะอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงต้องเคยได้ยินถึงมันมาก่อน ในทางกลับกัน ไม่ได้มีคนมากมายนักที่มาที่นี่ในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา แต่จำนวนของอาวุธเวท เครื่องมือเวทและสิ่งของมีค่ามากมายด้านหน้าพวกเขาบ่งบอกว่าไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะหยิบสมบัติเหล่านี้ไปได้ตามใจชอบได้อย่างไร

 

 

เมื่อเขาเข้าใจในจุดนี้ นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกละอายในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนแรก เขาไม่ได้เคารพโม่เทียนเกอมากนัก เขารู้สึกว่านางไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนผู้ซึ่งออกจากกลุ่มเพื่อเดินทางท่องไปเรื่อยเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของนางค่อนข้างสูง แต่ความสามารถของนางก็คงจะไม่มีอะไรที่พิเศษนัก เหมือนกับสองคนที่แซ่ลู่และแซ่หวังจากโรงเรียนกุ่ยกู่ เขาไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะตาสว่างจากเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของนางภายในม่านพลังมายานั้น และนางก็ยังคงใจเย็นมากกว่าเขาในตอนนี้อีก เมื่อนึกไปถึงสองเรื่องนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะประเมินนางต่ำอีกต่อไป

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย ตามที่ท่านพูด นี่คือ…”

 

 

“เส้นทางนี้มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ” โม่เทียนเกอพูดอย่างช้าๆ “เหมือนกับ… มันสามารถล่อลวงจิตใจคนได้” ในตอนที่นางอยู่ในม่านพลังมายา จี้ซ่อนวิญญาณของนางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเพราะแทนที่จะกัดกินจิตใต้สำนึกของผู้คน ม่านพลังมายากลับเพียงแค่ทดสอบนิสัยและความต้องการของคนที่เข้าไปอยู่ข้างในนั้น เมื่อนางเข้ามาสู่เส้นทางนี้ อย่างไรก็ตามจี้ซ่อนวิญญาณของนางกลับเย็นเฉียบในทันใดเมื่อกับว่ามันกำลังเตือนนางถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

 

นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ การที่สามารถเข้ามาถึงพื้นที่นี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกตนได้ผ่านม่านพลังมายาที่อยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า เมื่อดูถึงหลักเหตุผล พวกเขานั้นดูเหมือนเป็นผู้ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ นอกเหนือไปจากปัญหาเกี่ยวกับอำนาจจิตของพวกเขา จะมีอะไรอีกบ้างที่อาจทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างไร้เหตุผลที่จะตายไปด้วยกันเมื่อพวกเขาเป็นคนที่เข้าใจว่าต้องมีชีวิตอยู่รอดเพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น

 

 

“สหายนักพรตรู้ได้อย่างไร”

 

 

โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “ข้ามีเครื่องมือเวทที่สามารถตรวจสอบสิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจ” นางเพียงแค่ให้คำตอบพอเป็นพิธีและไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม การมีสมบัติที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูดรายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก

 

 

นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนที่ฉลาดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ถามต่อ

 

 

ทั้งสองคนสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวังเพื่อสังเกตสิ่งที่ผิดปกติ

 

 

ทางเดินหินนี้ไม่ได้แตกต่างจากทางเดินแรกมากนัก ทั้งสองเป็นทางที่ตัดลึกเขาไปในภูเขา มีข้อแตกต่างเดียวนั่นคือทางนี้ดูมีระดับมากกว่าและกำแพงหินนั้นมีหินจันทราฝังอยู่ในนั้น

 

 

“โอ้!” ชั่วขณะที่นางเข้ามาใกล้กำแพงหิน ความรู้สึกเย็นของจี้ซ่อนวิญญาณของนางก็ยิ่งมีมากขึ้น บางทีอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติในกำแพงหินนี้

 

 

โม่เทียนเกอคิดครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางจึงหยิบกระบี่บินได้ออกมาและงัดหินจันทราออกมาจากกำแพงหินก้อนหนึ่ง

 

 

ก้อนหินนั้นส่องแสงวิบวับสีขาว เฉกเช่นหินจันทราก่อนหน้านี้ ทว่าพลังงานทางจิตวิญญาณเจือจางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกับนาง

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย!” นักพรตฟางเจิ้งตะโกนออกมาในทันที “พวกนี้ไม่ใช่หินจันทรา!” หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น เขารีบหยิบเครื่องรางสงบจิตใจออกมาแปะลงบนตัวเองและให้โม่เทียนเกออีกหนึ่งชิ้น

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย ภายในม่านพลังมายา มันเป็นที่จิตใจของนางเองที่ไม่มั่นคง ดังนั้นจี้ซ่อนวิญญาณของนางจึงไร้ประโยชน์ แต่ที่นี่ นางเผชิญกับปัจจัยภายนอก โชคดีที่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถส่งผลกระทบต่อนางได้เพราะจี้ซ่อนวิญญาณ

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดอย่างรอบคอบ นางก็รับเครื่องรางสงบจิตใจมาและแปะลงบนตัวของนาง นางยกหินจันทราขึ้นมาและถาม “สหายนักพรตบอกว่านี่ไม่ใช่หินจันทรา? หากเป็นเช่นนั้นแล้วมันคืออะไร”

 

 

“นี่คือหินจันทราเวทมนตร์” นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้ดูผ่อนคลายเท่านาง หลังจากที่เขาบังคับจิตใจตัวเองให้สงบลงได้เขาจึงพูดต่อ “เหมืองหินจันทราจะให้กำเนิดหินจันทราเวทมนตร์ นี่ส่งผลให้คนเกิดภาพหลอน และเป็นวัสดุที่เยี่ยมยอดในการสร้างม่านพลังมายา แต่ถึงแม้ว่าเหมืองหินจันทราจะไม่ได้หายากนัก แต่หินจันทราเวทมนตร์นั้นหาได้ยากยิ่ง มีคนไม่กี่คนที่จะรู้ว่ายังคงหลงเหลืออยู่ สำหรับตัวข้าเองเคยบังเอิญได้เจออยู่ก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งในร้านลับๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน หินก้อนเล็กๆ ก้อนนั้นได้ขายออกไปที่ราคากว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณในงานประมูล!” จุดนี้ ใบหน้านักพรตฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าของถ้ำเซียนนี้กลับสามารถหาหินจันทราเวทมนตร์มาได้มากมายเช่นนี้ ถ้าพวกเราสามารถเอาออกไปได้หมด…”

 

 

ในขณะที่โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงพลังงานทางจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาเล็กน้อยจากหินจันทราเวทมนตร์ ความคิดชั่วครู่ก็โผล่เข้ามาในจิตใจของนาง นางนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับสิ่งนี้ นางยื่นมือของนางออกไปและค้นกระเป๋าเอกภพจนกระจุยกระจายไปทั่ว หยิบส่วนหนึ่งของหินหยกที่แตกหลังจากนั้นจึงเปรียบเทียบมันกับหินจันทราเวทมนตร์ เป็นที่แน่นอน พวกมันทำมาจากวัสดุเดียวกัน เพียงแค่เศษหินหยกนั้นมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่อ่อนและแตกกระจายไปหมดแล้ว

 

 

ตอนที่นางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว เว่ยจยาซือกับนางบังเอิญเผชิญเข้ากับปีศาจสองโสมมในช่วงการจลาจลสัตว์ปีศาจ ปีศาจหมาป่าขาสั้นนั้นมีปัญญาที่เฉียบแหลมแต่กำเนิด ดังนั้นมันจึงสามารถสร้างม่านพลังมายาซึ่งเกือบทำให้ทั้งสองคนต้องฆ่ากันเอง เศษของหินหยกชิ้นนี้นางเป็นคนที่หยิบขึ้นมาหลังจากชนะการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจนั้น ในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเศษหินนี้คือหินจันทราเวทมนตร์จริงๆ

 

 

ตอนนี้เมื่อนางรู้ถึงสิ่งนี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกกลัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นกำแพงเหล่านี้เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น แค่ม่านพลังที่มีเศษเล็กน้อยของหินจันทราเวทมนตร์ก็ได้ล่อลวงนางและเว่ยจยาซือผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งคู่ได้แล้ว ในตอนนี้ มันมีหินจันทราเวทมนตร์อยู่มากมายที่นี่ หากทั้งหมดใช้ในการวางม่านพลัง ม่านพลังนั้นจะไม่มีพลังมากพอจนแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ยังหลุดจากมันได้อย่างยากลำบากหรือ

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอนึกมาถึงจุดนี้ สายตาของนางก็เปล่งประกายเหมือนกันกับนักพรตฟางเจิ้ง

 

 

ทั้งสองคนหยุดคุยในทันที พวกเขาหยิบกระบี่บินได้ของตัวเองออกมาและงัดหินจันทราเวทมนตร์ออกมาจากกำแพงหินอย่างระมัดระวัง

 

 

อย่างไรก็ตาม หากทางแก้ไขในสถานการณ์ปัจจุบันของทั้งสองคนจะง่ายดายขนาดนี้ พวกผู้ฝึกตนก็คงไม่ได้ทิ้งชีวิตของพวกเขาเอาไว้ที่นี่ หลังจากที่งัดแงะหินจันทราเวทมนตร์อยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โม่เทียนเกอก็รู้สึกตัวว่าจิตใจของนางนั้นเริ่มไม่ชัดเจน โชคดีที่นางมีจี้ซ่อนวิญญาณ ดังนั้นนางจึงสามารถรับรู้และรีบออกห่างจากมัน

 

 

นางต้องการที่จะเตือนนักพรตฟางเจิ้ง ทว่าในชั่วขณะที่นางหันไปทางเขา นางก็ต้องเจอเข้ากับแสงของกระบี่ นักพรตฟางเจิ้งนั้นแทงกระบี่บินได้ของเขาที่ใช้งัดหินจันทราเข้าหานาง! สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยแววตาที่มีแต่ความมุ่งร้าย

 

 

โม่เทียนเกอยกมือขึ้น สร้างกำแพงพลังงานทางจิตวิญญาณเพื่อป้องกันการโจมตีของเขา หลังจากนั้นนางจึงดึงกลับและยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อปล่อยกระสวยอัปสราออกไป

 

 

ไร้ซึ่งคำพูด นักพรตฟางเจิ้งเก็บกระบี่บินได้เล่มเล็กของเขากลับไปหลังจากนั้นจึงหยิบแส้หางม้าออกมาแทน ด้วยการปัดแส้นั้นทำให้เข็มเล็กๆ ที่ดูเหมือนทำจากเหล็กจำนวนมากพุ่งเข้าหานาง

 

 

ถึงแม้ว่าคุณภาพเครื่องมือเวทที่มีรูปร่างเหมือนแส้หางม้าจะด้อยกว่ากระสวยอัปสราของนาง แต่โม่เทียนเกอก็ไม่กล้าปรามาส พลังงานทางจิตวิญญาณของนักพรตฟางเจิ้งนั้นมีมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าเครื่องมือเวทของเขาจะไม่ได้ดีมากมายนัก แต่พลังของมันก็ไม่ใช่เล่นๆ นางสะบัดแขนเสื้อ เขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกไปซึ่งมันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกำแพงและป้องกันการโจมตีของเขา

 

 

ใช้ความได้เปรียบจากการเริ่มนี้ โม่เทียนเกอตะโกน “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ตื่นได้แล้ว!”

 

 

นักพรตฟางเจิ้งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ และยังคงพุ่งตรงเข้าหานางอย่างหน้ามืด

 

 

ไร้ซึ่งทางเลือก โม่เทียนเกอล่าถอยในขณะที่ใช้กระสวยอัปสราเพื่อหยุดเขา

 

 

นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้อ่อนแอ แต่เมื่อเทียบกับศิษย์ระดับหัวกะทิจากโรงเรียนเสวียนชิง เขาไม่สามารถเทียบได้ โม่เทียนเกอเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะทำให้เขาบาดเจ็บ ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นผู้ร่วมเดินทางเพียงคนเดียวที่นางยังคงมีเหลืออยู่ และเจ้าของสถานที่นี้ก็เป็นผู้ที่เก่งในเรื่องของวิชามายา ใครจะรู้ว่านางจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไปอีก? การที่มีใครสักคนเป็นสหายร่วมเดินทางที่สามารถทำให้นางอยู่กับร่องกับรอยไปได้ตลอดก็ย่อมดีกว่าการที่ต้องอยู่คนเดียว

 

 

แต่นักพรตฟางเจิ้งในตอนนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่จะตื่นขึ้นเลยและยังคงโจมตีนางอย่างไม่ปรานี

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกไร้หนทางช่วยเหลือ นางเพียงแค่ล่าถอยและปัดป้องการโจมตีของเขา

 

 

สุดท้ายแล้วพวกนางยังคงอยู่ใกล้กับหินจันทราเวทมนตร์มากเกินไป ถ้าพวกนางสามารถถอยห่างออกไปจากมันได้อีกนิด บางทีผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะอ่อนลงบ้างเล็กน้อย

 

 

นางค่อยๆ ล่าถอยอย่างช้าๆ เมื่อนางถอยออกมาได้ประมาณสิบจั้ง สายตานักพรตฟางเจิ้งก็เริ่มกลับคืนสู่ความกระจ่างขึ้น เขาหยุดการโจมตีและพูดอย่างประหลาดใจ “สหายนักพรตเยี่ย นี่…”

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเขากลับคืนสู่สติ “ดีแล้วที่ท่านสหายนักพรตตื่นขึ้น แต่เจ้าหินจันทราเวทมนตร์เหล่านี้นั้นช่างน่ากลัวเสียจริงๆ …”

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset