ลำนำสตรียอดเซียน 139-1 เด็กๆ แห่งโถงเหมิงเสวีย

ตอนที่ 139-1 เด็กๆ แห่งโถงเหมิงเสวีย

ผู้ฝึกตนในโถงเหมิงเสวียไม่ยอมปล่อยให้นางนั่งว่างๆ อยู่ถึงสองชั่วยาม ผู้ฝึกตนคนที่ต้อนรับนางแจ้งเรื่องไปทางผู้จัดการของโถงเหมิงเสวีย เมื่อผู้จัดการซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นพบว่านางถูกส่งมาโดยท่านผู้มีอำนาจจิ้งเหอ เขาก็มาทักทายโม่เทียนเกอด้วยตัวเองและให้นางดูงานทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จที่โถงเหมิงเสวีย เพื่อนางจะได้ตัดสินใจว่านางจะรับงานไหนดี 

 

 

เมื่อสำรวจเนื้อหาในหยกบันทึก โม่เทียนเกอถึงได้รู้ว่าผู้ฝึกตนคนที่ต้อนรับนางพูดความจริง ศิษย์ใหม่ทั้งหมดมีครูผู้เชี่ยวชาญคอยสอนพวกเขาอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องได้คำสอนเพิ่มมาอีก ส่วนงานจิปาถะอื่นๆ พวกมันก็ไม่เหมาะที่จะให้นางทำให้เสร็จ 

 

 

หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพัก ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เงยหน้ามองผู้จัดการโถงเหมิงเสวีย “ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้ข้าช่วยดูการบ้านของพวกเขาดีไหมล่ะ”  

 

 

เมื่อศิษย์ใหม่ที่ยังอายุน้อยเข้าโรงเรียนมา พวกเขาทุกคนต้องเริ่มเรียนจากคัมภีร์ชาวลัทธิเต๋า และเพื่อศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋า อย่างแรกพวกเขาต้องเรียนวิธีการอ่านก่อน คำศัพท์นับไม่ถ้วนที่พอกพูนมาตั้งแต่ยุคอดีตอันไกลโพ้น วิชาการฝึกตนที่แตกต่างหรือทรัพย์สมบัติต่างๆ อาจจำเป็นต้องใช้ประเภทคำที่ต่างกัน ดังนั้นศิษย์ที่ยังใหม่กับการฝึกตนจึงต้องใช้เวลานานในแต่ละวันเพื่อแค่เรียนรู้วิธีการอ่าน 

 

 

ผู้จัดการไม่มีอะไรจะคัดค้าน หลังจากตอบตกลงซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขาก็แจ้งศิษย์ผู้ดูแลทันที ในอนาคตเมื่อโม่เทียนเกอมา นางจะมาแค่สอนการบ้านควบคู่ไปกับพวกศิษย์ที่รับผิดชอบเรื่องนี้เท่านั้น 

 

 

จากการสังเกตวิธีการสอนทั้งหมดในโถงเหมิงเสวีย โม่เทียนเกอถอนใจอยู่ภายใน เมื่อนางเริ่มเดินบนเส้นทางการฝึกตนตอนแรก นางรู้จักวิชาการฝึกตนเพียงวิชาเดียว ย้อนกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลโม่ แม้แต่ท่านอาจารย์เฒ่าก็ไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับการฝึกตน ดังนั้นนางจึงต้องค่อยๆ งมไปด้วยตัวเองช้าๆ เพียงหลังจากที่นางได้เจอท่านอาที่สองแล้วเท่านั้นนางถึงมีใครสักคนค่อยสอนนางเป็นการส่วนตัว 

 

 

แต่ท่านอาที่สองก็มักจะออกร่อนเร่ไปทั่ว แล้วเขาจะสอนนางทุกอย่างได้อย่างไร อีกอย่างท่านอาที่สองก็ไม่ใช่อาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการสอน เรื่องส่วนใหญ่ที่นางรู้และได้เรียนคือสิ่งที่นางเจอมาจังๆ กับตัวเองก่อนที่ท่านอาที่สองจะจำได้ว่าต้องสอนนาง 

 

 

ที่โรงเรียนเสวียนชิง บทเรียนสำหรับแต่ละชั้นเรียนถูกแบ่งอย่างชัดเจนและสอนโดยผู้ฝึกตนแตกต่างกัน หากโม่เทียนเกอได้รับการศึกษาเช่นนี้ในปีนั้น นางคงไม่ต้องมีเวลาที่ยากลำบากบนเส้นทางของนางหรอก 

 

 

ถึงอย่างนั้นนางก็เพียงแค่ถอนใจ นางยังถือว่าโชคดีแล้วที่ได้ก้าวหน้ามาถึงจุดที่นางอยู่ทุกวันนี้ ด้วยท่านอาที่สองคอยสั่งสอนอยู่ข้างกายนาง นางยังทำได้ดีกว่าพวกผู้ฝึกตนเดี่ยวที่ต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอดหลายเท่าตัวนัก 

 

 

หลังจากตามผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ดูแลไปในโถงเรียน โม่เทียนเกอพบว่าโถงนี้เต็มไปด้วยเด็กๆ อายุประมาณหกถึงสิบเจ็ดปีกำลังนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ ส่วนระดับการฝึกตนของพวกเขาก็มีตั้งแต่ระดับแรกจนถึงระดับสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ 

 

 

นาทีที่นางเข้าไปในโถง สายตาของเด็กๆ ก็มาจับจ้องอยู่ที่ตัวนางทันที นางไม่ได้ซ่อนลมปราณหรือพลังวิญญาณ สำหรับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นต้นพวกนี้ แรงเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังจึงแรงมากเป็นธรรมดา 

 

 

ผู้ฝึกตนผู้ดูแลส่งเสียงกระแอม เด็กพวกนี้รีบยืนขึ้นและทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที “ศิษย์ขอคารวะคุณครู” แม้ว่าผู้ดูแลจะอยู่ในดินแดนเดียวกับพวกเขา แต่เขาก็มีหน้าที่สอนเด็กๆ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่จะเรียกเขาว่าคุณครู 

 

 

จากนั้นผู้ฝึกตนผู้ดูแลนำทางโม่เทียนเกอไปยังกลางโถงและกล่าวว่า “ศิษย์ทั้งหลาย นี่คือท่านปรมาจารย์โม่ ศิษย์แห่งผู้มีอำนาจจิ้งเหอแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างของเรา ความสามารถแต่กำเนิดของท่านปรมาจารย์โม่นั้นโดดเด่น นางยังอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางแล้ว ผู้มีอำนาจจิ้งเหอบอกท่านปรมาจารย์โม่อย่างเจาะจงว่าให้มาที่โถงเหมิงเสวีย จากวันนี้เป็นต้นไป ท่านปรมาจารย์โม่และข้าจะสอนพวกเจ้าด้วยกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้เต็มที่ ดูท่านปรมาจารย์โม่เป็นตัวอย่างและฝึกตนให้ดี”  

 

 

โม่เทียนเกอมองดวงตาของเด็กพวกนี้ที่เต็มไปด้วยความทึ่งและความชื่นชม สำหรับพวกเขา ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็แทบจะเหมือนกับเทพเจ้า นอกจากนั้น การได้เห็นโม่เทียนเกอที่ยังอยู่ในช่วงวัยยี่สิบปีมีระดับการฝึกตนที่สูงเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ความเลื่อมใสของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก 

 

 

ภายใต้สายตาพวกเขา จู่ๆ โม่เทียนเกอก็จำได้ว่านางรู้สึกทึ่งแค่ไหนเมื่อตอนที่ได้เจอเยี่ยจิ่งเหวินเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นนางถึงขนาดคิดว่านางคงโชคดีมากถ้าวันหนึ่งนางได้ครอบครองพละกำลังเช่นนั้น โดยไม่คาดคิด บัดนี้นางกลายเป็นต้นแบบที่น่าชื่นชมให้กับศิษย์อายุน้อยเหล่านี้ที่เพิ่งจะเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน 

 

 

“เอาละ พวกเจ้านั่งลงได้ วันนี้เราจะพูดกันต่อเรื่องหนานหวาหฤทัยสูตร [1] วิชาการฝึกจิตนี้คือวิชาการฝึกจิตพื้นฐานที่โรงเรียนเสวียนชิงของเราดังนั้นจึงห้ามลบหลู่ ถ้ามีอะไรผิดเกี่ยวกับการสอนของข้า ข้าหวังว่าท่านปรมาจารย์โม่จะสามารถชี้แนะและแก้ไขให้ถูกต้องได้” ผู้ดูแลคำนับให้โม่เทียนเกอแล้วจึงเชิญนางมานั่งกับเขาบนเสื่อสวดมนต์ข้างบน 

 

 

“ครั้งที่แล้วข้าพูดว่า ‘หากไม่มีพวกเขา ก็จะไม่มี ‘ข้า’ และหากไม่มี ‘ข้า’ ก็จะไม่มีอะไรให้เข้าใจ ที่จริงแล้วใกล้เคียงกับเรื่องนี้มากแต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้นมา’ [2] เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าประโยคเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

เด็กชายอายุประมาณสิบปียกมือทันที 

 

 

ผู้ดูแลยิ้มและพยักหน้า เขากังวลว่าเด็กพวกนี้จะไม่กล้าตอบต่อหน้าปรมาจารย์โม่ ตอนนี้เมื่อมีใครบางคนยินดีจะพูด เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา 

 

 

หลังจากเด็กคนนั้นยืนขึ้น เขาแอบเหลือบมองโม่เทียนเกอก่อนจะตอบ “หากไม่มีพวกเขา ก็จะไม่มี ‘ข้า’ และหากไม่มี ‘ข้า’ ก็จะไม่มีอะไรให้เข้าใจ ประโยคนี้หมายความว่า ถ้าไม่มีคนอื่นๆ ก็จะไม่มีตัว ‘ข้า’ และถ้าไม่มีตัว ‘ข้า’ ก็จะไม่มีคนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีความดีก็จะไม่มีความเลว และถ้าไม่มีความเลว ความดีก็จะไม่สำคัญ สิ่งตรงข้ามสองสิ่งมักจะต้องการอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของตัวเอง”  

 

 

“อืม ดีมาก” ผู้ฝึกตนผู้ดูแลถามต่อไป “ถ้าอย่างนั้นแล้วประโยคหลังล่ะ เจ้าเข้าใจไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร”  

 

 

“ ‘ที่จริงแล้วใกล้เคียงกับเรื่องนี้มาก’ หมายถึงนี่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิดของสิ่งต่างๆ ‘แต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้นมา’ หมายความว่าเราไม่รู้ว่ามีอำนาจอะไรขับเคลื่อนมันจากเบื้องหลังหรือไม่”  

 

 

“… การตีความนี้… ค่อนข้างใช้ได้” ผู้ดูแลพยักหน้าพร้อมกับเหลือบมองโม่เทียนเกอ พอเห็นว่านางดูเหมือนไม่มีเจตนาจะพูด เขาจึงอธิบายต่อ “สำหรับเส้นทางแห่งการฝึกตน ประโยคเหล่านี้ยังสามารถหมายความได้ว่าถ้าไม่มีความดีก็จะไม่มีความชั่วร้าย ทุกอย่างมีต้นเหตุของมัน พวกเราคนจากโรงเรียนแห่งเต๋าปฏิบัติตามกฎเต๋าแห่งสวรรค์และมนุษย์ เต๋าที่ว่านี้ดูเหมือนจะเป็นแบบแผนของโลก ดูเหมือนจะเป็นกฎที่มีมาแต่กำเนิด เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ยืนกรานว่าต้องเป็นคนดี แต่เราก็ต้องไม่ทำร้ายคนอื่นตามแต่ใจเราปรารถนาเช่นกัน”  

 

 

เมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้ดูแล เด็กคนนั้นพยักหน้าและตอบอย่างเชื่อฟัง “ขอรับ ศิษย์จะศึกษาสิ่งที่คุณครูสอนอย่างตั้งใจ”  

 

 

“เอาล่ะ ต่อกันที่ ‘ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งนี้ จากมุมมองของสิ่งนั้น เรามองไม่เห็น เมื่อเรารู้ตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเราก็จะรู้’ …” ผู้ดูแลคนนี้อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับแปดและจากที่โม่เทียนเกอเห็น เขาอายุมากกว่าสี่สิบปี เขาจึงไม่มีปัญหาในการอธิบายวิชาฝึกจิตขั้นพื้นฐาน เพราะเหตุนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้ขัดเขา นางเพียงแค่นั่งอยู่ข้างเขาและคอยฟัง 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้ชายคนที่ตอบคำถามตอนเริ่มบทเรียนนั้นมีความชำนาญในคัมภีร์แห่งเต๋ามาก จากสิบคำถามที่ผู้ดูแลถาม เขาตอบไปแล้วเจ็ดถึงแปดคำถาม อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอยังรู้อีกว่าคนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขาเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เขาตอบคำถาม หลายคนจะแอบทำหน้าตาล้อเลียนกันลับๆ  

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีปัญหาการกลั่นแกล้งกันที่โรงเรียนนี้เหมือนกัน?  

 

 

สองชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอพบว่าเวลาผ่านไปโดยเร็วเมื่อนางกำลังทำงานนี้ ทั้งหมดที่นางต้องทำก็แค่ตอบไม่กี่คำถามที่ผู้ดูแลมีปัญหาในการตอบ อีกอย่าง คำถามจากศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็ง่ายมากสำหรับนาง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องคิดมากในคำตอบ นางต้องขอบคุณหลัวเฟิงเสวี่ยจริงๆ สำหรับการหางานที่ดีเช่นนี้ให้นางทำ 

 

 

เมื่อเวลาของนางในโถงเหมิงเสวียสิ้นสุดลง โม่เทียนเกอกลับไปยังตำหนักซ่างชิง ตอนนี้ที่นางทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยสำหรับวันนี้ นางต้องรายงานให้ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอฟัง 

 

 

“ท่านอาจารย์”  

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กำลังปอกองุ่นด้วยพลังวิญญาณของเขาตวัดสายตาขึ้นมองนาง “โอ้ เจ้ากลับมาแล้ว”  

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเยาะอยู่ในใจ นี่คือผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ไม่ทำอะไรนอกจากปอกองุ่นทั้งวัน! อย่างไรก็ตาม ภายนอกนางยังคงแสดงความเคารพให้เห็น “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ข้าทำงานของวันนี้เสร็จหมดแล้ว”  

 

 

“เสร็จแล้ว?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอดันตัวขึ้นมาในท่านั่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสนใจ “เล่าให้ข้าฟังหน่อย”  

 

 

“เอ…” โม่เทียนเกอเตรียมใจและเริ่มพูด “โถงคนงานจัดการให้ข้าไปที่โถงเหมิงเสวีย ข้าจึงไปที่นั่นเจ้าค่ะ ส่วนใหญ่ข้าตอบคำถามจากพวกศิษย์ใหม่และยังอายุน้อย”  

 

 

“โถงเหมิงเสวีย?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าอย่างสบายๆ “พอรับได้ แม่หนูเฟิงซูเสวี่ยนั่นเป็นคนจัดให้เจ้าใช่ไหม”  

 

 

“… เจ้าค่ะ”  

 

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้น นอกเหนือจากเด็กคนนั้นแล้วใครจะคิดปล่อยให้เจ้าไปที่โถงเหมิงเสวียอีกล่ะ แต่นี่ก็เยี่ยมเลย ศิษย์ใหม่จะต้องออกจากโถงเหมิงเสวียไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงตอนนั้น…”  

 

 

เอ๋? โม่เทียนเกอเงี่ยหูฟัง เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีจุดประสงค์อย่างอื่นอีกในการจัดการพวกนี้?  

 

 

น่าเสียดาย แทนที่จะพูดต่อ ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับดุนางขึ้นมาอย่างโมโหอีกครั้ง “เจ้าจะยืนงงเพื่ออะไรเล่า รีบไปฝึกตนได้แล้ว!”  

 

 

“… เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอกล้ำกลืนทุกสิ่งที่นางอยากพูดด้วยอารมณ์บึ้งตึง ฮึ่ม! นางไม่จำเป็นต้องเทิดทูนท่านอาจารย์คนนี้! เขาแค่ทิ้งๆ ขว้างๆ นาง!  

 

 

จากวันนั้นเป็นต้นมา โม่เทียนเกอทำกิจวัตรประจำวันของนางซ้ำๆ  

 

 

ทุกวันนางจะเก็บหยดน้ำค้างสวรรค์ ดูแลพืชวิญญาณ เก็บกวาดคอกสัตว์ ไปที่โถงเหมิงเสวีย และฝึกตน 

 

 

ขณะที่แต่ละวันผันผ่านไป นางก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากไปที่โถงเหมิงเสวียมาระยะหนึ่ง นางก็เริ่มชินกับเรื่องต่างๆ ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างด้วย ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วนางจึงพอเข้าใจเจตนาของประมุขเต๋าจิ้งเหอเมื่อเขามอบหมายงานพวกนี้ให้กับนาง 

 

 

เป็นเวลาประมาณเจ็ดปีแล้วตั้งแต่นางเข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง แต่ในเจ็ดปีนั้น นางใช้เวลาสองปีไปกับการสร้างฐานแห่งพลังและอีกสองปีอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน ส่วนสามปีที่เหลือ นางก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดนั้นไปกับการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางแทบจะไม่เคยเอาตัวเองไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่นางต้องจัดการเรื่องต่างๆ ที่ตำหนักซ่างชิงและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากโถงเหมิงเสวียทุกวัน นางค่อยๆ คุ้นเคยกับยอดเขาวสันต์กระจ่างทีละนิด และในขณะเดียวกันนางก็ค่อยๆ กลายเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงอย่างแท้จริง 

 

 

เมื่อนางเข้าใจเรื่องนี้ในที่สุด ความรู้สึกของนางที่มีต่อประมุขเต๋าจิ้งเหอก็เปลี่ยนไป ท่านอาจารย์ผู้นี้แทบจะไม่เคยให้คำแนะนำอะไรนางและไม่ให้ยาวิเศษหรือสมบัติใดๆ แต่เขาใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อปรับปรุงเส้นทางการฝึกตนของนาง 

 

 

ตอนนี้นางอายุเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดปี แต่ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว สิ่งที่นางขาดไปอันที่จริงแล้วไม่ใช่ยาวิเศษหรือทรัพย์สมบัติ สิ่งที่นางขาดไปคือการเติบโตทางด้านจิตใจต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อการพัฒนาจากขั้นต้นไปสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังของนางนั้นสำเร็จได้ด้วยการฝืน นางไม่ได้ผ่านความยากลำบากใดเลยและนิสัยของนางก็ไม่แสดงอารมณ์มากพอ เพราะเหตุนั้น ระดับการฝึกตนของนางถึงค่อนข้างไม่มั่นคงและจะอ่อนไหวง่ายต่อการบ่มเพาะปีศาจในจิตใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่น่ากลัวที่สุดบนเส้นทางสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ 

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่พูดมันออกมา แต่ท่านอาจารย์ขี้งกท่านนี้ก็มีความคาดหวังกับนางไว้สูงทีเดียว 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] หนานหวาหฤทัยสูตร: (南华心经) หมายถึงพระสูตรอันเป็นหัวใจแห่งจีนทางใต้ 

 

 

[2] ประโยคจากหนังสือของชาวลัทธิเต๋าที่รู้จักกันในนามจวงจื่อ 

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset