ลำนำสตรียอดเซียน 131 ความโกลาหล

ตอนที่ 131 ความโกลาหล

ภายในความเงียบของห้องโถงหลัก ได้ยินเพียงแต่เสียงกระแทกกันของขวดและเหยือกจากการปรุงยาขี้ผึ้งของค่วงจู๋ 

 

 

โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินยืนอยู่ด้านหน้าของจ้านไป๋ มองดูผู้ฝึกตนของสำนักกู่เจี้ยนด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองคนดูสงบนิ่งแต่เป็นความนิ่งเงียบที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน 

 

 

วั่นหงอันเป็นประจักษ์พยานในความสามารถของทั้งสองคนด้วยตัวเอง นอกเหนือไปจากนั้นยังคงมีค่วงจู๋ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังในหมู่พวกเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกกังวลอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

เขาหันกลับไปมองที่สหายศิษย์แห่งสำนักกู่เจี้ยน แววตาของความก้าวร้าวฉายออกมาทันที หลังจากนั้นเขาจึงก้าวออกมาด้านหน้าและพูดด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์พี่ค่วง สองคนนี้คือคนที่ซุ่มโจมตีและฆ่าสหายศิษย์ของข้า! โปรดให้คำอธิบายแก่พวกเราศิษย์สำนักกู่เจี้ยนด้วย!”  

 

 

เมื่อค่วงจู๋ได้ยินเสียงเขา ค่วงจู๋จ้องไปที่เขาและในทันทีเขาก็ก้มลงและทำการปรุงส่วนผสมของยาต่ออีกครั้ง 

 

 

เมื่อเห็นการตอบสนองนั้น ในที่สุดวั่นหงอันก็ไม่สามารถเสแสร้งทำเป็นสงบนิ่งบนสีหน้าของเขาได้อีกต่อไป เขาตะโกนด้วยความโกรธ “ค่วงจู๋! นี่เจ้าหมายความว่าอะไร!?”  

 

 

“พวกเราหมายความว่าอะไร?” คนที่พูดคือจ้านไป๋ผู้ที่ปกติมักเงียบขรึม เขากวาดสายตามองกลุ่มศิษย์แห่งสำนักกู่เจี้ยนอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเขานั้นชัดเจนและไร้ซึ่งอารมณ์ “เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าต้องการให้พวกข้าตะโกนอธิบายทุกอย่างเพื่อให้พวกเจ้าขายหน้าน่ะหรือ”  

 

 

จ้านไป๋ขวานผ่าซากอย่างที่สุด โดยไร้ความละอาย วั่นหงอันหงุดหงิดขึ้นมาในทันที “เจ้า!!!”  

 

 

โม่เทียนเกอมองขึ้นมาอย่างนุ่มนวลด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของนาง นี่มันช่างงี่เง่าสิ้นดี ทุกคนต่างรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาเลิกพูดจาอ้อมค้อม สุดท้ายแล้วก็ต้องจบด้วยการต่อสู้กันอยู่ดี พวกเขาจะต้องการเสแสร้งไปเพื่ออะไร! ”  

 

 

วั่นหงอันมองกลับไปยังสหายศิษย์สำนักกู่เจี้ยน ความโหดเ**้ยมเผยออกมาที่ใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เพียงเสี้ยววินาที ผู้ฝึกตนในชุดคลุมดำแห่งสำนักกู่เจี้ยนทั้งห้าชักกระบี่ของตัวเองออกมาและเปลี่ยนตำแหน่งยืน เตรียมตัวที่จะวางม่านพลัง 

 

 

จังหวะที่พวกเขาเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินใช้เครื่องมือเวทของตัวเองในการขัดขวางไม่ให้พวกเขายืนในตำแหน่งที่ต้องการ 

 

 

โม่เทียนเกอควบคุมกระสวยอัปสราของนางอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งพุ่งตรงไปยังหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นต้นของระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ในขณะเดียวกัน นางก็ขว้างเข็มบินได้ไปข้างหน้า อีกฝั่งหนึ่ง กระบี่บินของเยี่ยจิ่งเหวินก็พุ่งตรงเข้าไปหาวั่นหงอัน 

 

 

ภายใต้การโจมตีของสองคนนี้ ตำแหน่งการยืนของผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนทั้งห้านั้นก็สับสนวุ่นวาย เมื่อเห็นเช่นนั้นโม่เทียนเกอแกว่งมือของนางอีกครั้ง ส่งเข็มบินได้หลายเล่มไปสู่คู่ต่อสู้ของนาง 

 

 

น่าเสียดายที่สถานที่นั้นเล็กไปหน่อย พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เครื่องรางได้ ปัญหานี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้ฝึกตนสายกระบี่นัก แต่สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปเช่นพวกนาง ข้อเสียนี้ทำให้ความสามารถของพวกนางลดน้อยลง 

 

 

“ประจำตำแหน่งให้เรียบร้อย! ข้าจะสกัดพวกมันเอง!” วั่นหงอันตะโกน 

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มเยาะ “เจ้ามีอะไรที่จะมาสกัดพวกข้าได้”  

 

 

ศิษย์ของสำนักเสวียนชิงไม่มีใครที่เป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่อย่างเดียว รวมถึงเยี่ยจิ่งเหวินด้วย ขณะที่เขาควบคุมกระบี่บินได้ ในอีกมือเขาก็ถือเครื่องมือเวทอีกอย่างหนึ่งซึ่งพุ่งตรงเข้าหาวั่นหงอันด้วยเช่นกัน 

 

 

เขาถูกซุ่มโจมตีจากวั่นหงอันก่อน แต่ตอนนี้โจรก็ยังคงเป็นโจร เยี่ยจิ่งเหวินแค้นใจต่อวั่นหงอันนัก ดังนั้นทุกการโจมตีของเขาจึงมุ่งไปที่วั่นหงอันโดยตรง 

 

 

โม่เทียนเกอจ้องมองที่เขา นางเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงรวบรวมพลังวิญญาณของนางและขัดขวางการยืนของคนอื่นๆ ต่อไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่สามารถวางม่านพลังดาวพันร่างได้ 

 

 

การต่อสู้ของพวกเขานั้นวุ่นวายไปทั่ว จ้านไป๋ยืนอยู่ด้านหน้าเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ย ทำหน้าที่ปกป้องพวกเขาจากการโจมตีที่อาจบังเอิญพุ่งมาทางพวกเขา ค่วงจู๋ยังคงวุ่นวายอยู่กับสิ่งต่างๆ บนโต๊ะ จัดการกับขวดและเหยือกต่างๆ เหมือนกับเขาไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้านหน้าของเขา 

 

 

โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินต่างแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นกลางแห่งการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กับคนห้าคน พวกเขาก็ไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย ไม่ช้าผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนก็เริ่มสูญเสียอารณ์ที่สงบนิ่ง เมื่อเห็นว่าเสี่ยวกูจือและเสี่ยวจุ้ยได้ล่าถอยไปจนมุม หนึ่งในนั้นตะโกน “จัดการเด็กการหลอมรวมพลังวิญญาณเหลือขอสองคนนั้นก่อน!”  

 

 

ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินต่างขมวดคิ้ว จ้านไป๋เงยหน้าและมองไปที่ค่วงจู๋ผู้ซึ่งหยุดจัดการกับขี้ผึ้งของเขา 

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินถอนกระบี่บินได้ของเขาและใส่พลังวิญญาณลงไปที่ใบมีด พลังวิญญาณมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยอยู่บนผิวของใบมีดในทันที ทีละเล็กทีละน้อย พลังวิญญาณก็ครอบคลุมใบมีดทั้งสองด้านอย่างช้าๆ มันแทบจะดูเหมือนกับกระแสน้ำวน ตั้งแต่ที่พลังวิญญาณเคลื่อนที่ออกมาจนถึงเสร็จสิ้นการคงรูป ทั้งกระบวนการใช้เวลาเพียงครู่เดียว เยี่ยจิ่งเหวินเหวี่ยงแขนของเขาอีกครั้ง ส่งผลให้กระแสน้ำวนของพลังวิญญาณขยายออกเป็นขนาดสิบฟุต แผ่ปกคลุมพวกเขาทั้งหมด 

 

 

ทุกการโจมตีที่มาจากผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนนั้นถูกดูดกลืนโดยกระแสน้ำวน พลังวิญญาณของพวกเขาก็ถูกสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน เมื่อกระแสน้ำวนหายไป การโจมตีนับไม่ถ้วนนั้นล้มเหลวอย่างไม่เป็นผล 

 

 

ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนหน้าซีดเผือด อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เรียกกระบี่บินได้ของตัวเองกลับมาและเริ่มโจมตีต่อ 

 

 

โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง ทันใดนั้น ก้อนอิฐนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาจากอากาศ ต่อกันขึ้นจนเป็นกำแพงอิฐอยู่ด้านหน้าของโม่เทียนเกอและคนอื่นๆ อีกครั้งที่ทุกการโจมตีถูกสกัดกั้นไว้ 

 

 

จนถึงตอนนี้ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนต่างแตกตื่น ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนสายกระบี่ผู้ซึ่งควรที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปที่ต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาคงจะพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

วั่นหงอันตะโกน “พลังกระบี่! ใช้พลังกระบี่ของพวกเจ้า!”  

 

 

หลังจากที่เขาตะโกนเสร็จ ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเปลี่ยนพลังกระบี่ของพวกเขา ทีละคน ทีละคน พลังกระบี่นั้นท่วมท้นโถงอาคารหลักทันที 

 

 

พลังกระบี่เหล่านี้ไม่ได้อยู่ใกล้ตัวพวกเขา แต่สามารถรับรู้ความน่ากลัวที่ลอยอยู่ในอากาศ เพียงแค่พลังกระบี่เหล่านี้เฉียดผ่าน ก้อนหินและก้อนอิฐหยกภายในโถงหลักก็มีรอยแตกมากมายเกิดขึ้นทันที 

 

 

โม่เทียนเกอใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพลังกระบี่นั้นท่วมไปทั้งห้องโถง ไม่ว่านางจะกั้นทางไหน พลังก็ยังคงแทรกซึมผ่านมาได้ 

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน สำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเช่นพวกเขา พลังกระบี่เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเกรงกลัว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญซึ่งๆ หน้า พลังกระบี่เหล่านี้ก็ไม่สามารถผ่านพลังวิญญาณป้องกันเข้าสู่ร่างกายพวกเขาได้ แต่สำหรับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ พลังกระบี่เหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถึงแม้ว่าจ้านไป๋จะพยายามปกป้องพวกเขาอย่างเต็มที่แล้ว รอยแผลบากก็ยังเกิดขึ้นบนร่างกายของเสี่ยวกูจือและเสี่ยวจุ้ย 

 

 

โม่เทียนเกอเจ็บแค้นอย่างช่วยไม่ได้ นางถอนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกระสวยอัปสราและปลดปล่อยจิตสัมผัสของนาง นางพร้อมที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ของนางแล้ว!  

 

 

ในเวลานี้ ชุดคลุมกระพือผ่านตานาง แวบเดียวค่วงจู๋ก็กำลังยืนอยู่ด้านหน้าพวกนาง สลัดแขนเสื้อ ผงแป้งจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขาและค่อยๆ สานเข้าด้วยกันจนมีรูปร่างของตาข่าย มันดูเหมือนกับหมอกบางเบาสีขาว แต่มันสามารถขัดขวางกระบี่บินได้ของคู่ต่อสู้สำเร็จ 

 

 

เมื่อหมอกขาวจางลง วั่นหงอันผู้ที่ร่างกายเต็มไปด้วยผงแป้งสีขาวตะโกนออกมาด้วยความโกรธจัด “ค่วงจู๋!”  

 

 

ค่วงจู๋เพียงแค่ยิ้มอย่างเฉยเมย ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธ แต่เขาก็ยังคงวางท่าอย่างอ่อนช้อย “เจ้าควรที่จะรีบไปซะ! ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างพวกเจ้า!”  

 

 

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่วั่นหงอันแต่ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนคนอื่นต่างโกรธไปด้วย บางคนตะโกน “ค่วงจู๋! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาไล่พวกข้าออกไป!?”  

 

 

ค่วงจู๋ “ฮึ่ม” ไม่พยายามที่จะปกปิดความรู้สึกรังเกียจของเขา “เพียงเพราะข้าสามารถเอาชีวิตพวกเจ้าได้! มันคงไม่เป็นอะไรถ้าเจ้าต่อสู้กันเอง ข้าก็แค่ทำเป็นตาบอดซะ! แต่นี่เจ้าทำให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอย่างโจ่งแจ้งวุ่นวาย! กรณีนี้ก็เลิกเสแสร้งทำตัวเป็นมิตรได้แล้ว! พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องมาเล่นเกมเช่นนี้ต่อไปอีก!”  

 

 

“เจ้า!!!” หน้าของวั่นหงอันบูดเบี้ยว “เลิกหยิ่งผยองในตัวเองที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังเสียที! มีคนอยู่ฝั่งพวกข้ามากมาย พวกข้าไม่มีวันแพ้พวกเจ้าแน่นอน!”  

 

 

ค่วงจู๋หัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าเจ้าพูดอีกเพียงแค่ประโยคเดียว ข้าจะปลิดชีพเจ้าซะ!”  

 

 

นี่ฟังเหมือนเป็นคำขู่ง่ายๆ ซึ่งผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนก็มองเช่นนั้น อย่างไรก็ตามความมุ่งมั่นในการที่จะสังหารที่แสดงออกมาจากท่าทางแสนเย็นชาของค่วงจู๋ทำให้พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก 

 

 

คนที่ทำลายความเงียบคือเยี่ยจิ่งเหวิน เขาก้าวไปด้านหน้าและพูด “ศิษย์พี่ค่วงจู๋ ท่านมีเจตนาที่ดี และด้วยเหตุนั้นข้าควรที่จะฟังท่าน อย่างไรก็ตามข้าอยากให้พวกนั้นทั้งหมดอยู่ที่นี่”  

 

 

สีหน้าของวั่นหงอันโกรธจัดอีกครั้งแต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นกลัวซ่อนอยู่ ความจริงแล้วเขารู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าเขาสามารถเหนือกว่าด้วยความแข็งแกร่งของสำนักกู่เจี้ยนในการต่อสู้ด้วยพลังเวทแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดคิดว่าคนเหล่านี้จะกล้าแข็งเช่นนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าค่วงจู๋และเยี่ยจิ่งเหวินนั้นแข็งแรงน่ากลัวขนาดไหน แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าหญิงที่มาใหม่ของสำนักเสวียนชิงจะต่อกรได้ยากขนาดนี้ อีกอย่างทั้งสามคนต่างอยู่ในดินแดนที่สูงกว่าพวกเขา ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนสายกระบี่จะเก่งมากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แต่ความเป็นไปได้ที่จะชนะของพวกเขานั้นยังคงน้อยจนน่าสงสาร 

 

 

ค่วงจู๋ชำเลืองมองที่เยี่ยจิ่งเหวิน “ฆ่าพวกมันซะถ้าเจ้าต้องการ เผื่อเจ้าจะช่วยพวกเราให้ไม่ต้องรู้สึกรำคาญเวลาที่เจอพวกมัน!”  

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและประกบมือให้เขา หลังจากนั้นจึงหันกลับมามองที่โม่เทียนเกอ 

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มกลับ ทั้งสองคนเรียกกระบี่บินได้และเครื่องมือเวทกลับคืน พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องซ่อนเจตนาฆ่าอีกต่อไป 

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset