ลำนำสตรียอดเซียน 107 ออกศึกสงคราม

ตอนที่ 107 ออกศึกสงคราม

ในไม่ช้า ศิษย์กลุ่มที่สองก็เริ่มการเดินทางและออกจากเขาไปเพื่อสังหารพวกปีศาจ ท่ามกลางคนเหล่านี้คือศิษย์พี่เว่ย

 

 

พวกเขาจากไปอย่างเงียบเชียบ โม่เทียนเกอเพิ่งจะรู้เรื่องนี้เพราะนางได้รับเครื่องรางกระจายเสียงที่ส่งมาให้ทางประตูทางเข้าของนาง

 

 

เครื่องรางถูกส่งมาโดยฉินซีเพื่อบอกนางว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มศิษย์กลุ่มที่สองเช่นกัน แต่เนื่องจากไม่มีเวลามากพอเขาจึงไม่สามารถมาบอกลากับนางได้

 

 

ถึงแม้โม่เทียนเกอจะอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานนักนางก็ทำการฝึกตนและปรุงยาต่อไปได้ตามปกติ

 

 

นางไม่สามาถเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ได้ แต่ในกรณีที่นางต้องออกจากเขาไปในท้ายที่สุดและต้องปกป้องตัวเองในสนามรบอันดุเดือด นางก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้ดีเสียก่อน

 

 

กลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนเสวียนชิงมีศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังประมาณห้าร้อยคน ทั้งสองกลุ่มของศิษย์ที่ถูกส่งออกไปรวมแล้วประมาณสองร้อยคน เกือบจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดที่โรงเรียนมี ตามข่าวที่ส่งกลับมาที่โรงเรียน ผู้บาดเจ็บล้มตายในคนกลุ่มแรกอยู่ที่ราวๆ สามในสิบส่วน ซึ่งนับได้ว่าประมาณสามสิบหรือสี่สิบคน…

 

 

สำหรับกลุ่มการฝึกตนขนาดกลาง การที่มีศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังประมาณสามสิบถึงสี่สิบคนต้องตายไปเป็นความเสียหายใหญ่หลวงเหลือคณานับ แม้แต่กลุ่มการฝึกตนใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิง ความสูญเสียเช่นนั้นก็ไม่ได้จัดว่าเล็กน้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น สงครามเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น หากการต่อสู้ยังคงดุเดือดต่อไป บางทีหลังจากการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้จบลง โรงเรียนเสวียนชิงอาจต้องสูญเสียศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังถึงหนึ่งร้อยคนเป็นอย่างต่ำ การสูญเสียจำนวนคนมากเช่นนั้นก็สามารถทำลายล้างกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางไปได้แล้ว

 

 

หากเรื่องนั้นเกิดขึ้น เป็นไปได้มากว่าจะไม่มีศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังของโรงเรียนคนไหนสามารถหลีกหนีความทุกข์ทรมานนี้ไปได้ ดังนั้นโม่เทียนเกอต้องเตรียมการไว้ให้ดีนางจะได้ไม่ไร้ทางสู้เมื่อนางถูกส่งออกไปสู่สนามรบ

 

 

วันแล้ววันเล่าผ่านไป บรรยากาศตึงเครียดค่อยๆ ปกคลุมไปทั่วโรงเรียนเสวียนชิง

 

 

โม่เทียนเกอได้รู้จากหลัวเฟิงเสวี่ยว่าทั่วทั้งคุนอู๋ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องในการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้ ถ้าโรงเรียนเสวียนชิงไม่ปิดผนึกภูเขาและเปิดใช้ม่านพลังป้องกันขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่แรกเริ่ม ศิษย์ทั้งหมดอาจต้องร่วมลงสู่สนามรบด้วย ในกรณีนั้น ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็คงไม่ได้รับการยกเว้นเป็นแน่แท้

 

 

โชคยังดีที่ถึงแม้ว่าผู้บาดเจ็บล้มตายในหมู่ศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจะมีจำนวนมาก แต่ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร ด้วยการมีอยู่ของศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ ต่อให้โรงเรียนเสวียนชิงต้องทนกับความสูญเสียย่อยยับ พวกเขาก็ยังคงสามารถฟื้นพลังชีพของพวกเขาได้ภายในหนึ่งร้อยถึงสองร้อยปี พละกำลังของโรงเรียนจึงไม่น่าจะลดลงแต่อย่างใด

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอได้รู้เรื่องทั้งหมดพวกนี้ นางก็อดที่จะถอนใจไม่ได้ ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดร้อนฉันใด คนยิ่งแก่ก็ยิ่งฉลาดขึ้นฉันนั้น… ท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ที่จริงแล้วได้ทำนายไว้ตั้งแต่ต้นว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรและได้ป้องกันความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดต่อโรงเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะเขา โรงเรียนเสวียนชิงก็คงไม่สามารถหลีกหนีจากชะตากรรมแสนสาหัสนี้ได้เช่นกัน

 

 

ช่วงหลังมานี้ หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้ยุ่งมากนัก ตามที่นางว่าไว้ ด้วยว่าเรื่องนี้สำคัญมากเหลือเกินในช่วงหลังๆ นี้ ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากรุ่นเดียวกับท่านประมุขของโรงเรียนได้เข้ามาควบคุมดูแลแทน ดังนั้นคนงานระดับการสร้างฐานแห่งพลังอย่างนางจึงต้องทำงานแค่บางครั้งคราวเท่านั้น พอตอนนี้ที่หลัวเฟิงเสวี่ยว่าง นางจึงได้มาหามาพูดคุยกับโม่เทียนเกอทุกวัน

 

 

โม่เทียนเกอกระตือรือร้นที่จะฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ แต่นางก็รู้ว่าต้องไม่เร่งรีบเกินไป เพราะอย่างนั้นนางจึงฝึกไปทีละขั้นทีละตอนในทุกวันและพูดคุยซุบซิบกับหลัวเฟิงเสวี่ยบ้างเล็กน้อย

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ย คนผู้นี้… ที่จริงแล้วนางเป็นคนที่ชอบทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ยุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต้นทุนธรรมชาติของนางนั้นจัดว่าดีแต่นางก็ไม่ได้ชื่นชอบการฝึกตนมากนัก ในทางตรงกันข้าม นางชอบที่จะจัดการกับงานจุกจิกต่างๆ ในโรงเรียน ในทั้งหมดของยอดเขาวสันต์กระจ่าง แทบจะไม่มีเรื่องอะไรเลยที่นางไม่รู้ นางถึงขั้นรู้เกี่ยวกับข่าวซุบซิบมากมายของยอดเขาอื่นๆ ด้วยซ้ำ การทำตัวเกียจคร้านและพูดนินทาเช่นนี้ทำให้ชีวิตของพวกนางมีความสุขขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ

 

 

โม่เทียนเกอไม่เคยสนิทกับใครเหมือนอย่างหลัวเฟิงเสวี่ยมาก่อน แต่ความร่าเริงของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ทำให้นางนึกถึงมู่หรงเยียนและก็นึกสงสัยว่านางสร้างฐานแห่งพลังของนางไปแล้วหรือยัง

 

 

“นี่ นี่! เทียนเกอ! เพ้อฝันอะไรอยู่น่ะ”

 

 

ขณะที่นางได้สติกลับคืน โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก… ข้าแค่รู้สึกว่าศิษย์พี่หลัวช่วงนี้ว่างเกินไปแล้ว ข้าค่อนข้างคิดถึงวันที่ท่านไม่ว่างน่ะ”

 

 

คำพูดของโม่เทียนเกอสื่อเป็นนัยๆ ว่านางรู้สึกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยน่ารำคาญ หลัวเฟิงเสวี่ยถลึงตามองนางและบ่นอุบ “ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่ที่นี่ ข้าคงไม่มารบกวนเจ้าหรอก! ทุกวันนี้แถวนี้มีแค่พวกเราสองคนเหลืออยู่ ถ้าข้าไม่มาคุยกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะคุยกับพวกสัตว์วิเศษหรือไง”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ก็จริง… ถ้าข้าปล่อยให้ท่านเบื่อจนต้องไปคุยกับสัตว์วิเศษ ข้าคงได้ทำบาปหนักมากแน่”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยมองค้อนโม่เทียนเกอ แต่หลังจากนั้นจู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างออก นางพูดว่า “จริงสิ! เทียนเกอ เจ้าอายุเท่าไหร่รึ”

 

 

“เอ๋” โม่เทียนเกอคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบพร้อมกับถอนใจ “ยี่สิบสี่ เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน เกือบจะสี่ปีแล้วตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง” เวลาสี่ปีที่ผ่านมานั้นช่างง่ายดายสำหรับนาง นางจึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมาก

 

 

“อ้อ ถ้าข้าจำอายุของข้าได้ไม่ผิด เจ้าน่าจะอ่อนกว่าข้าประมาณหนึ่งปี เจ้ากำลังฝึกวิชาการฝึกตนที่ช่วยคงรูปลักษณ์ของเจ้าเอาไว้หรือเปล่า หน้าตาเจ้าตอนนี้กับหน้าตาตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาที่นี่ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร”

 

 

“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น…”

 

 

“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้นรึ!” หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกน “เจ้านี่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตแสนสุขที่คนอื่นๆ ใฝ่ฝันเลยนะ! วิชาการฝึกตนที่สามารถคงรูปของคนผู้นั้นไว้ได้… พวกเราผู้ฝึกตนหญิงส่วนใหญ่ฝึกตนก็เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์เอาไว้ตลอดกาล การที่มีวิชาฝึกตนที่เหมาะสมซึ่งช่วยสงวนความอ่อนเยาว์เอาไว้จะทำให้ประหยัดยาคงรูปไปได้มาก หน้าตาเจ้าจะทำให้คนนับไม่ถ้วนอิจฉา แต่เจ้ากลับกล้าพูดว่า ‘ข้าก็ว่าอย่างนั้น’ !”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกผิดเล็กน้อย นางได้วิชาการฝึกตนมาอย่างง่ายดายเกินไป เพราะอย่างนั้นนางจึงลืมใส่ใจมันอยู่เรื่อย

 

 

“เจ้านี่นะ…” หลัวเฟิงเสวี่ยส่ายหน้าและพูดพร้อมถอนใจ “ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าฉลาดมากหรือที่จริงเจ้าทึ่มมากกันแน่ ไม่รู้ว่าเจ้าโง่หรือว่าเจ้ามีความเข้าใจดีในสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ… ข้าบอกไม่ได้จริงๆ ว่าเจ้าอยู่ในกลุ่มคนแบบไหน…”

 

 

โม่เทียนเกอถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่หลัว ท่านแบ่งคนไว้กี่ประเภทหรือ”

 

 

“อืม…” หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิดกับตัวเองแล้วจึงพูดว่า “ที่จริงก็ง่ายมาก ลองดูศิษย์พี่สองคนที่อยู่ที่นี่และเปรียบเทียบพวกเขากับตัวข้า พวกเราแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ศิษย์พี่ใหญ่เป็นประเภทที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากที่สุด นางมีทั้งความเอาใจใส่อย่างผู้หญิงและความกล้าหาญอย่างผู้ชาย ส่วนศิษย์พี่รองเป็นประเภทที่ไม่ได้น่าดึงดูดแต่ก็ไม่ได้น่ารังเกียจ นางไม่สนใจคนอื่นแต่นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องใครเช่นกัน ส่วนตัวข้า ข้าเป็นประเภทที่คนส่วนใหญ่ชอบและคนส่วนน้อยเกลียด ลองดูเครือข่ายคนรู้จักของข้าสิ ในหมู่ศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ข้ากล้าพูดว่าเลยว่าข้าสามารถจำคนได้มากที่สุด”

 

 

เมื่อนางโอ้อวดเกี่ยวกับตนเองจนจบ หลัวเฟิงเสวี่ยก็พูดต่อไป “ยังมีคนประเภทที่คนส่วนน้อยชอบและคนส่วนมากเกลียด เป็นคนที่มีนิสัยไม่ได้ดีนักแต่ก็ไม่ได้ใจแคบ ประเภทสุดท้ายคือคนประเภทที่โดนคนอื่นเกลียดชังโดยแท้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของคนประเภทนี้คือศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นที่ถูกเนรเทศออกจากเขาไท่กังไงล่ะ นางไม่มีความตระหนักรู้ในตัวเอง จิตใจของนางคิดถึงแต่ตัวเอง และนางก็มักจะคิดเสมอว่าทุกสิ่งต้องขึ้นอยู่กับนาง ฮึ่ม! คนประเภทนี้… ทุกคนที่ได้เจอนางจะต้องเกลียดนางกันทั้งนั้น”

 

 

พอได้ยินสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูด โม่เทียนเกอจึงถามว่า “ศิษย์พี่คนนี้ไม่มีเสน่ห์อะไรเลยอย่างนั้นหรือ”

 

 

“อือ… ข้าก็จำไม่ค่อยได้ มันเกิดขึ้นนานมาแล้ว ในตอนนั้นข้าอายุประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปี ข้าจำได้เพียงว่ามันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งกลับมาจากภูเขามาร ระดับการฝึกตนของเขาลดลงอย่างมาก เขาเกือบจะแค่มีชีวิตกลับมาเท่านั้น”

 

 

“งานที่ศิษย์พี่รองได้รับคือการดูแลถ้ำเซียนของเขาตอนที่เขาอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ แต่ใครจะคิดล่ะว่าศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นจะไม่พอใจที่ศิษย์พี่รองได้มีโอกาสเข้าใกล้อาจารย์ลุงโส่วจิ้งและได้ดูแลเขา นางก่อเรื่องอาละวาดและถึงขนาดลงไม้ลงมือกับศิษย์พี่รอง ลองคิดดูสิ ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเกือบจะไม่มีชีวิตรอด แต่ศิษย์พี่คนนั้นกลับหมกมุ่นอยู่แต่ในความหึงหวง เป็นธรรมดาที่ทั้งท่านอาจารย์ลุงและท่านปรมาจารย์จะโมโห อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่พ่อของศิษย์พี่คนนั้น ท่านปรมาจารย์จึงไม่ได้ทำโทษนางและแค่ให้นางออกจากโรงเรียนเสวียนชิงไปอยู่ในสนามส่วนที่แยกออกไปและสำนึกกับความผิดของนางเป็นสิบๆ ปี เอ้ย… อย่างไรก็เถอะ ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครชอบนาง”

 

 

“อ้อ…” คนประเภทนี้ที่ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกว่าอะไรควรไม่ควรก็ไม่น่าชื่นชอบจริงๆ ด้วยนั่นละ

 

 

“พูดถึงศิษย์พี่ใหญ่ ข้าสงสัยว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ค่อยเป็นห่วงศิษย์พี่รองมากนัก อย่างไรเสีย นางก็อยู่กับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง” หลัวเฟิงเสวี่ยเงยหน้ามองฟ้าและถอนหายใจยาว

 

 

“ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับศิษย์พี่หันอีกหรือ”

 

 

“มีข่าวบางอย่าง…” หลัวเฟิงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “มีข่าวส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนบอกว่าพวกเขาเจอเครื่องหมายลับที่ศิษย์พี่ทิ้งไว้ แต่พวกเขายังไม่เจอตัวคน ข้าคิดว่าโอกาสที่ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปได้มาก”

 

 

“เช่นนั้นก็ดีสิ! ไม่มีข่าวร้ายก็ถือเป็นข่าวดี!”

 

 

หลังจากครุ่นคิดอีกนิดหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยตบมือและบอกว่า “จริงแท้แน่นอน!”

 

 

ทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันต่อไป หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งคู่ต่างได้รับเครื่องรากเรียกขานโดยพร้อมกัน

 

 

“เอ๋ มันมาจากท่านอาจารย์”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดว่า “ของข้าก็มาจากท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเหมือนกัน ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกเรียกไปด้วยเหตุผลเดียวกัน ไปกันเถอะ”

 

 

“อืม” ทั้งสองจัดระเบียบให้เรียบร้อยและรีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำของอาจารย์เต๋าเสวียนอินด้วยกัน

 

 

“ท่านอาจารย์”

 

 

“ท่านอาจารย์ลุง”

 

 

ครั้งนี้ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินไม่ได้กำลังนั่งสมาธิอยู่ เขากำลังเดินกลับไปกลับมาพร้อมกับเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องโถง เมื่อเขาเห็นทั้งสองคนเข้ามา เขาจึงหยุดและพูดว่า “ดีละ ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว มาสิ”

 

 

อาจารย์เต๋าเสวียนอินหันไปและกลับไปนั่งบนที่นั่งของอาจารย์ เขาจ้องมองเหล่าศิษย์ของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและพูดว่า “ข้าขอให้พวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ก็เพราะสงครามนั้นรุนแรงขึ้น พวกเจ้าอาจจะเป็นรายต่อไปที่ถูกส่งไปเพื่อร่วมสู้ในศึก”

 

 

โม่เทียนเกอตกใจ นางและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างเหลือบมองหน้ากัน ทั้งคู่ดูงุนงงอย่างแรง โรงเรียนได้ส่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังออกไปรวมๆ แล้วถึงสิบสองคน ถึงแม้อาจารย์ลุงหันอวี้ตายไป ก็ยังมีผู้ฝึกตนเหลืออีกสิบเอ็ดคน โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังรวมแล้วประมาณสี่สิบคนและพวกเขาส่งคนออกไปถึงหนึ่งในสี่ส่วนแล้ว นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจบชีวิตลงอีกคน

 

 

“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง…”

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินส่ายหน้าและกล่าวว่า “พบตัวชิงอวี้แล้ว นางไม่เป็นอะไร แต่กับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ พวกเขาจะกลับมาได้หรือไม่นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ข้าตัดสินใจว่าจะออกจากภูเขาและไปช่วยคนอื่นๆ ในสงครามนี้ด้วย ในหมู่พวกเจ้า คนที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและสูงกว่าจะต้องตามข้าไปสู่ยุทธภูมิ”

 

 

ถึงแม้ว่าทุกคนจะตกตะลึง แต่ไม่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน พวกคนที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและสูงกว่าต่างตอบกันอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้าค่ะ/ขอรับท่านอาจารย์”

 

 

“สำหรับพวกเจ้า…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินหันเหสายตามองมาทางโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ย “พวกเจ้าศิษย์ขั้นต้นของระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็อย่าได้วางใจนัก ตามการคาดการณ์ของข้า ในไม่ช้าพวกเจ้าก็จะต้องถูกส่งออกไปร่วมในการสังหารปีศาจด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนั้น ข้าจะมอบเครื่องมือเวทและเครื่องรางวิญญาณบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า พวกเจ้าแต่ละคนจะได้รับของบางอย่างไป”

 

 

“เจ้าค่ะท่านอาจารย์”

 

 

โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างมองหน้ากัน จากนั้นแต่ละคนจึงรับเครื่องมือวิญญาณและเครื่องรางจากอาจารย์เต๋าเสวียนอิน พวกนางยังได้ฟังคำสั่งสอนสั้นๆ จากอาจารย์เต๋าเสวียนอินก่อนที่จะออกจากถ้ำของเขาไปในที่สุด

 

 

ทั้งสองคนเดินอยู่ในความเงียบจนกระทั่งโม่เทียนเกอพูดขึ้นมาอย่างลังเลในท้ายที่สุด “ศิษย์พี่หลัว ท่านพอจะมีลู่ทางให้ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้หรือไม่”

 

 

“อืม?” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบอย่างใจลอย “ข่าวแบบไหนที่เจ้าต้องการรู้”

 

 

“ข่าวแรกเกี่ยวกับพี่ใหญ่เยี่ย ท่านก็รู้จักเขา ส่วนอีกข่าวนั้นเกี่ยวกับศิษย์พี่ฉิน… ครั้งล่าสุดเขาบอกว่าเขาจะต้องออกไปสู่ยุทธภูมิเหมือนกัน และข้ายังไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาเลย”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ฉินของเจ้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ของศิษย์พี่เย่นั่นล่ะที่พูดยาก… แต่วางใจเถิด หลังจากเรากลับไป ข้าจะไปที่โถงคนงานและถามพวกศิษย์พี่คนอื่นๆ เกี่ยวกับเขาให้”

 

 

“ทำไมท่านถึงมั่นใจนัก”

 

 

“แน่นอน” สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยหลุกหลิกขณะที่นางพูด “สถานะของศิษย์พี่ฉินนั้นพิเศษ พวกเขาไม่ปล่อยให้เขาต้องรับมือกับเรื่องเสี่ยงตายอย่างแน่นอน อีกอย่างท่านอาจารย์โส่วจิ้งก็อยู่ที่นั่นด้วย”

 

 

“อืม… นั่นก็จริง”

 

 

ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็ยังคงวิตกกังวล ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เยี่ยจิ่งเหวินได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังมาหลายปีแล้วและตอนนี้ก็อยู่ในขั้นกลางแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉินซี ในทางกลับกัน เพิ่งจะเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเมื่อไม่กี่ปีก่อนเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงวิธีการและพลังศักดิ์สิทธิ์เลย นางเป็นห่วงว่าดินแดนของเขานั้นยังไม่เสถียรพอ ต่อให้เขามีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด แต่มันก็คงจะไร้ค่าถ้าระดับการฝึกตนของเขาไม่มั่นคงพอ

 

 

อย่างไรก็ตาม นางไม่ต้องเป็นกังวลนานนักเพราะไม่นานหลังจากที่ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินออกจากภูเขาไป นางก็ได้รับแจ้งว่าให้ออกจากภูเขาไปกับหลัวเฟิงเสวี่ยและให้ไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset