รักสุดหัวใจ 12 หนูอยากย้ายออกค่ะ

ตอนที่ 12 หนูอยากย้ายออกค่ะ

"เรื่องอะไรงั้นเหรอ์" เย่ซู่เฉิงถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงอ่อนโยน

"หนูอยากย้ายออกค่ะ"

สีหน้าของคนบนโต๊ะอาหารแตกต่างกันไป เย่เจิงที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็เงยหน้าขึ้นมอง ทำไมจู่ๆ ถึงอยากย้ายออกไป

เย่จิ่นถังเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ไม่ส่งเสียงอะไร ยวี่หลานกับเย่ซู่เฉิงที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็วางมีดและส้อมลงแล้วมองไปที่เธอ

"เฉียวเฉียว ลูกเป็นอะไรไป?" ยวี่หลานเปิดปากถาม ท่าทางผิดปกติของเย่เฉียว เธอเองกังวลเล็กน้อยอยู่แล้ว

เย่เฉียวขดริมฝีปากและยิ้มอย่างอ่อนโยน: "หนูแค่คิดว่าหนูโตแล้ว แล้วก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวน่ะค่ะ"

เย่ซู่เฉิงไม่ได้พูดอะไรเพื่อหยุดเธอ ในเมื่อตัดสินใจเช่นนั้นก็แสดงว่าเธอไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว

ยวี่หลานอยากจะพูดบางอย่างแต่เย่ซู่เฉิงก็พยักหน้าตกลง: "ในเมื่อลูกเป็นคนพูดเอง พ่อก็จะไม่ขัด เพียงแต่ลูกเป็นผู้หญิงและที่นี่ก็คือสหรัฐอเมริกา จะไปอาศัยอยู่ที่ไหนหรือมีเพื่อนบ้านเป็นอย่างไรก็ต้องบอกแม่ไว้ด้วยล่ะ"

เย่ซู่เฉิงพูดแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายินยอมแล้ว ยวี่หลานเหลือบมองสามี อันที่จริงตระกูลก็ต้องการให้พี่น้องคนใดคนหนึ่งออกไป แล้วเย่เฉียวก็พูดขึ้นมาพอดี

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ยวี่หลานถึงรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าตระกูลเย่จงใจบีบให้เธอออก

อันเยว่ก็ผสมปนเปไปด้วย สิ่งที่น่ายินดีคือในที่สุดผู้หญิงที่ขัดตาคนนี้ก็ย้ายออกไป สิ่งที่น่ากังวลคือถ้าเธอย้ายออก เย่เจิงยังจะสนใจไปยังบ้านใหม่ของเธอหรือเปล่า

สีหน้าของเธอที่ไม่ค่อยดีเมื่อกี้ก็ค่อยๆ คลายลง เย่เฉียวไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เลยไม่รู้ว่าเธอแสดงสีหน้าอะไรบ้าง

"เฉียวเฉียว จะออกเมื่อไรล่ะแม่จะให้คนมาช่วย"

"แม่คะ หนูไม่ได้มีของอะไรเยอะแยะคงไม่ได้เอาอะไรไปมาก หนูทำคนเดียวได้ค่ะ" เย่เฉียวเม้มริมฝีปาก

แค่ไม่เจอกัน เธอก็คงไม่คิดอะไรมากมาย

ท่าทีปฏิเสธของเธอหนักแน่น ยวี่หลายก็ไม่พูดอะไรอีก อาจเป็นเพราะเธอตระหนักถึงการจากลา หัวใจของยวี่หลานก็ค่อยๆดิ่งลง

เย่จิ่นถังมองไปที่เย่เฉียว เธอเอามันออกไปได้ไม่ได้แน่ แต่เธอยังคงกล้าหาญมาก และไม่รู้ว่ากำลังพยายามยั่วยุหรือกระตุ้นใคร

เย่จิ่นถังรู้สึกท่าทางเย้ยหยันของอันเยว่ได้ตั้งแต่แรก

หลังอาหารเย็น เย่เฉียวก็ได้รับคำสั่งให้ไปส่งเย่จิ่นถัง จนมาส่งถึงหน้ารถ เย่เฉียวก็ไม่พูดอะไรสักคำ

เย่จิ่นถังหันมามองเธอก่อนจะขึ้นรถ: "เธอเป็นใบ้?"

"คืนนี้คุณยังไม่พอใจอะไรกับการแสดงออกของฉันอีก?" เย่เฉียวยิ้ม ยิ้มแบบนั้น แต่กลับไม่ใช่แบบที่เย่จิ่นถังชอบ

เสียงหัวเราะนี้ ทิ่มแทง เย้ยหยันและดูจอมปลอมมาก

เย่จิ่นถังไม่ได้โกรธ และยกมือขึ้นจับหลังคารถ: "เฉียวเฉียว นี่อยู่ตรงประตูบ้านตระกูลเย่ หาเรื่องตายเหรอ?"

เย่เฉียวที่ขมวดคิ้ว แต่เพราะเขาพูดแบบนี้ก็ผ่อนคลายลงทันที: "อาสามอย่าโกรธเลย ฉันก็ยังเด็ก ปากมันเร็วกว่าสมองน่ะ"

"เฉียวเฉียว เธอน่าจะรู้ไว้นะ หลังจากที่อาเจิงแต่งงานไปก็ต้องมีคนใดคนหนึ่งย้ายออก และคนนั้นก็ต้องเป็นเธอเท่านั้น"

เย่จิ่นถังมักจะโหดร้าย ต้องเป็นเธอเท่านั้น เธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของตระกูลเย่ เพราะงั้นย้ายออกมาก็ถูกแล้ว

เป็นเวลาหลายปีที่เธอนึกถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้อยู่เสมอ เธอจึงระมัดระวังในทุกๆ อย่าง ไม่พูดไร้สาระ หรือไม่ทำเรื่องให้วุ่นวาย แค่อยากจะอยู่ในบ้านหลังนี้ไปนานๆ

"ขอบคุณอาสามที่เตือน"

"คราวหน้าอย่าให้ฉันได้ยินว่าเธอเรียกฉันแบบนี้อีก" เย่จิ่นถังดูไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับไปขึ้นรถ

เย่เฉียวยืนอยู่ข้างถนนอย่างว่างเปล่า ลมพัดในตอนกลางคืนจนทำให้เธอเย็นไปทั้งตัว

ไม่รู้ว่ายวี่หลานมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไร พอเย่เฉียวรู้ ยวี่หลานก็เปิดปากพูด

"แม่?" เธอได้สติก็หันไปมองยวี่หลาน

"รู้สึกผิดใช่ไหม?"

"แม่ กำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ?"

"อาเจิงเป็นลูกของเรา ลูกเองก็ด้วย แต่ลูกก็แยกกำเราชัดเจนตั้งแต่เด็ก เฉียวเฉียว ลูกไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นสมาชิกในตระกูลเย่เลยนะ"

พฤติกรรมยวี่หลานต่างจากคืนนั้นที่อารมณ์รุนแรง ยวี่หลานคืนนี้เศร้ามาก เย่เฉียวเฝ้มองาดูเธออย่างเงียบๆ เธอไม่เคยรู้สึกว่า ยวี่หลานปฏิบัติต่อเธอไม่ดีหรือตระกูลเย่ปฏิบัติต่อเธอไม่ดี

"แม่คะ แม่พูดอะไรกัน หนูก็นิสัยแบบนี้แหละ ไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ แม่ก็อย่าเข้าใจหนูผิดเลย" เย่เฉียวพูดเสียงเรียบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูเฉยเมย

ยวี่หลานมองใบหน้าที่บอบบางของเธอ ตอนเด็กเธอไม่ได้ดูดีขนาดนี้ แต่พอโตขึ้น ก็ยิ่งสวย ตอนที่เรียนมัธยมก็มีผู้ชายไม่น้อยคอยตามจีบเธอ

แต่เธอก็เป็นคนหัวสูงและไม่เคยสนใจใครเลย

แต่ในฐานะแม่ เธอรู้ดีว่าไม่ใช่เย่เฉียวไม่ได้หัวสูง แต่คนพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเธอ

"ใช่ที่เคยบอกว่าลูกเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเราหรือเปล่า ลูกเลยคิดว่าเป็นจริง เฉียวเฉียว ตอนนั้นแม่แค่พูดเล่น" ยวี่หลานกำลังโทษตัวเองในใจ

เย่เฉียวตกตะลึง และในที่สุดก็รู้ว่าแม่ของเธอรู้เรื่องทั้งหมดนี้ พวกเขาเลยไม่หยุดที่เย่เจิงรับอันเยว่เข้ามา ดังนั้นพวกเขาก็เลยสนับสนุนให้เธอย้ายออก

เย่เฉียวขมวดคิ้วอย่างเดือดพล่าน ความเจ็บในใจเปลี่ยนเป็นปวดหนึบ ทำไม? เธอไม่เข้าใจจริงๆ

ในที่สุดยวี่หลานก็เห็นอารมณ์อื่นในดวงตาของลูกสาว และยกมือขึ้นเพื่อลูบไล้ใบหน้าที่เรียบเนียนของเธอ: "เฉียวเฉียว บางเรื่องก็ถูกกำหนดไว้แล้ว มันยากที่แม่กับลูกจะเปลี่ยนมัน"

เย่เฉียวมองยวี่หลานด้วยดวงตาที่พร่าเลือน และเริ่มเบลอ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นในฝ่ามือของยวี่หลาน เธอคือลูกสาวของตระกูลเย่ การเสียสละเป็นเรื่องจำเป็น

เธอกับเย่เจิงไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือหลบๆซ่อนๆ ยวี่หลานคือแม่และเป็นนายหญิงของตระกูลเย่ ก็ต้องทำตามเธอ

สุดท้ายเธอก็จับมือแม่ของเธอด้วยแรงที่เล็กน้อย: "หนูรู้แล้วค่ะแม่"

แค่ประโยคเดียว เธอก็กระจ่าง ยวี่หลานพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก แม่ลูกยืนอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ต่อมาก็เป็นเย่เฉียวที่พยุงเธอกลับเข้าบ้าน

วันรุ่งขึ้น เย่เฉียวล้มป่วย เดิมทีเธอวางแผนจะย้ายวันนี้ แต่เธอกลับป่วย แถมป่วยหนักจนเธอลุกจากเตียงไม่ได้และมีไข้สูง

ผู้ชายในบ้านต่างก็ไปทำงานกันหมดแล้ว เหลือเพียงยวี่หลาน อันเยว่ และคนรับใช้กลุ่มหนึ่ง

"ถ้าไข้ยังไม่ลดก็ต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ" ยวี่หลานเหลือบมองอันเยว่ บ่งบอกให้เธอรีบเตรียมการให้เร็ว

อันเยว่ค่อนข้างไม่เต็มใจ แต่เธอก็ไม่กล้าแสดงให้แม่สามีเห็น

"แม่คะ เมื่อกี้หมอก็มาแล้ว ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่หรอกค่ะ"

ยวี่หลานเหลือบมองอันเยว่อย่างไร้อารมณ์ ตระกูลอันเอาออกหน้าออกตาไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้วิธีให้การศึกษากับตระกูลตัวเอง

นั่นเป็นเหตุผลที่คนไม่ชอบกัน

เย่เฉียวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างงุนงง นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยกลิ่นของยาฆ่าเชื้อ ยังคงเบลอๆและกำลังฝัน

Options

not work with dark mode
Reset