ระบบเจ้าสำนัก 471 : ความบ้าคลั่งครั้งสุดท้าย

ตอนที่ 471 : ความบ้าคลั่งครั้งสุดท้าย

ตอนที่  471 : ความบ้าคลั่งครั้งสุดท้าย

ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง ตอนนี้ทำตัวราวกับเด็กน้อย เขาอ้อนวอนออกมาจนทำให้ผู้คนรู้สึกกระอักกระอ่วน

 

แต่ไม่มีใครสงสารเขา เพราะนี่คือผลที่เขาควรได้รับ

 

ในสายตาของไป่หลิงแล้ว มันมีแค่ความรังเกียจและเคียดแค้น นางพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ตอนที่เจ้าฆ่าคนในเผ่าจิ้งจอก เจ้าเคยคิดถึงวันนี้หรือไม่ ?”

 

เผ่าจิ้งจอกมีคนกว่าสิบล้านคน

 

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เจ้าสังหารข้าได้เลย เจ้าสับข้าเป็นหมื่นๆชิ้นก็ได้ แค่อย่ายุ่งกับลูกของข้าก็พอ!” เซิงเป่ยซิ่วอ้อนวอน

 

โชคชะตานี่ช่างประหลาดจิรงๆ ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเซิงเป่ยซิ่วยังดูสูงส่ง เขาเข่นฆ่าคนในเผ่าจิ้งจอกเป็นสิบล้านคน แม้แต่เฉินกูก็ยังไม่อยู่ในสายตาเขา แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขากลับแสดงตัวเหมือนกับมดปลวก เขายอมแลกชีวิตตัวเองกับลูก สถานการณ์ที่พลิกผันแบบนี้มันรวดเร็วซะยากจะปรับตัวได้ทัน

 

“เจ้าสบายใจได้ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก!” เฉินกูพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม  “อย่างน้อยข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้าจนกว่าจะหาลูกเจ้าเจอ”

 

ศิษย์ถูกรังแก เขาที่เป็นอาจารย์จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้ศิษย์หนักใจ เมื่อฆ่าเซิงเป่ยซิ่วไม่เพียงพอ งั้นเขาจะฆ่าลูกอีกฝ่ายด้วย

 

คนที่ตายด้วยน้ำมือของเฉินกูอาจจะไม่ถึงล้านแต่ก็ถึงหลักแสน จะสนทำไมหากเพิ่มมาอีกสักคนสองคน ?

 

เฉินกูยิ้มออกมาและพูดขึ้น “เจ้าไม่ต้องโทษใครหรอก เจ้าต้องโทษตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ควรรังแกศิษย์ของข้า…” เฉินกูเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ  “บอกมาว่าลูกของเจ้าอยู่ที่ไหน อย่าทดสอบความอดทนของข้า !”

 

ฝางมู่,ลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยนที่อยู่ไม่ไกลนักอดไม่ได้ที่จะลังเล พวกเขาต้องการกล่อมเฉินกูและไป่หลิงแต่สุดท้ายพวกเขาก็ยอมแพ้เพราะไม่มีความกล้ามากพอจะพูดเรื่องนี้

 

“ข้าบอกเจ้าไม่ได้! แม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้า แต่ข้าก็ไม่มีทางบอก!” เซิงเป่ยซิ่วกัดฟันแน่น

 

ไป่หลิงเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์เพราะอาจจะทำให้เซิงเป่ยซิ่วคิดถึงลูกชายของเขา  นางเป็นถึงเจ้าแห่งเขตมืด นางไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป นางฆ่านักผจญภัยไปมากมาย นี่ยังไม่นับรวมกันการที่นางเกลียดเซิงเป่ยซิ่ว แม้ว่าจะฆ่าเซิงเป่ยซิ่วสักสิบรอบแต่ก็ไม่ทำให้ความเกลียดชังนี้หายไป

 

สำหรับคนที่นางแค้นเคืองแล้ว การทำแบบนี้ไม่เกินไปเลยด้วยซ้ำ !

 

“เจ้าไม่บอกจริงๆรึ?” ไป่หลิงมอไงปที่เซิงเป่ยซิ่วพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่าเดิม

 

เซิงเป่ยซิ่วพร้อมที่จะตาย เขาฮึดฮัดออกมาอย่างเย็นชา  “หากมีความสามารถมากพอ เจ้าก็ฆ่าข้าซะ!”

 

เฉินกูพูดด้วยท่าทีเฉยเมย  “ไม่สำคัญว่าเจ้าจะพูดรึไม่ หากให้ข้าลงมือเอง ข้าเชื่อว่าใครก็ตามที่ข้าต้องการจะฆ่าก็ไม่อาจหนีได้!”

 

เขาหันไปหาไป่หลิงและถามขึ้นมา  “ศิษย์ข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกเขาหน้าตาเป็นแบบไหนกัน?”

 

ไป่หลิงพูดขึ้นมาทันที  “ข้าไม่มั่นใจนัก ข้ารู้แค่ว่าลูกเขาน่าจะหน้าตาต่างจากมนุษย์ทั่วไป ไม่งั้นแล้วคนของข้าคงไม่ล้อเลียนลูกเขาว่าเป็นสัตว์ประหลาด…เขาพูดเองก่อนที่ท่านจะมาถึง มันไม่น่าจะผิดพลาด “

 

“งั้นรึ?” เฉินกูคิดตาม  “งั้นเราแค่ต้องหาตัวมนุษย์ที่ไม่เหมือนมนุษย์สินะ?”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น ลั่วซู่หยาง,ชุยเจี่ยนและฝางมู่ ก็มองหน้ากัน พวกเขาพากันเปลี่ยนสีหน้ากันในทันที

 

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของลั่วซู่หยางเปลี่ยนไป เฉินกูก็ถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ  “ทำไม เจ้าเคยเห็นลูกชายหมอนั่นรึ?”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นลั่วซู่หยางก็ลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ  “เราไม่เคยเห็นลูกชายของเขา แต่ตามคำอธิบายของเขาแล้ว มันคล้ายคลึงกับคนที่เราเห็นทางใต้มาไม่นานมานี้ ชายคนนั้นแผ่ปราณของมนุษย์ออกมาแต่รูปร่างกลับเหมือนมนุษย์ในร่างสัตว์อสูร เขามีเขาที่หัวและตัวที่เต็มไปด้วยเกล็ด มันแปลกประหลาด….”

 

เมื่อเป็นเรื่องนี้ ลั่วซู่หยางก็มองไปที่เซิงเป่ยซิ่วและถามขึ้นมา  “นั่นใช่ลูกชายของท่านหรือไม่?”

 

เซิงเป่ยซิ่วหรี่ตาลง เขาช็อกแต่เขาก็รีบหลับตาลงเพื่อปกปิดอารมณ์ของตน

 

“หึหึ มันมีเรื่องในโลกที่ข้าคิดไม่ถึงอยู่ มันกลับมีคนประหลาดแบบนั้นอยู่” เฉินกูพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มนุษย์ที่เหมือนกับสัตว์อสูรแซ่เซิงนั้น ไม่น่าจะอยู่ห่างจากที่นี่มากนัก มันมีเบาะแสมากมาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

 

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเซิงเป่ยซิ่วก็ตัวสั่น เขาลืมตาขึ้นมามองที่เฉินกู “เจ้าอยากทำแบบนี้จริงๆรึ?”

 

เฉินกูพูดด้วยท่าทีเฉยเมย  “ข้าแค่ใช้วิธีทีเจ้าใช้กับเผ่าจิ้งจอก ตอนที่เจ้าลงมือกับเผ่าจิ้งจอก เจ้าเคยคิดถึงผลกระทบของมันรึไม่!”

 

“พอแล้ว ข้าไม่คิดจะเสียเวลากับเจ้าอีก” ก่อนที่เซิงเป่ยซิ่วจะได้ตอบกลับ เฉินกูก็โบกมือพลางพูดขึ้นมา “เจ้าไม่อยากบอกว่าลูกของเจ้าอยู่ไหน ข้าก็ไม่คิดจะถามเจ้าซ้ำ อีกไม่นานข้าก็ต้องหาเขาเจออยู่ดี ระหว่างนี้เจ้ารออยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะฆ่าเจ้าทีหลัง…”

 

คำพูดนี้ฟังดูธรรมดาแต่มันบ่งบอกได้ว่าใครเหนือกว่ากัน

 

นี่คือยอดฝีมือระดับสูงสุดที่แท้จริง หากมองจากทั้งโลกแล้วมีใครบ้างที่กล้าบอกว่าจะฆ่ายอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง?

 

เซิงเป่ยซิ่วโกรธจนกัดฟันแน่น สีหน้าของเขาหม่นลงแต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คู่มือของเฉินกู ดังนั้นเขาได้แต่ทนรับมันไว้

 

“ผู้อาวุโส ท่านบอกข้าได้รึไม่ว่าลูกชายท่านเป็นสัตว์ประหลาดไปได้ยังไง?” ลั่วซู่หยางแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา  “มันเกี่ยวข้องกับการทำลายจักรวรรดิหมิงก่อนหน้านี้รึไม่? พวกเขาทำอะไร? ทำไมจึงได้เกลียดชังราชวงศ์หมิงมากนักและมีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำลายทั้งราชวงศ์หมิง ? การที่ลูกท่านเป็นเช่นนี้เพราะราชวงศ์หมิงรึ ?”

 

ลั่วซู่หยางถามออกมามากมาย โชคร้ายที่ครั้งนั้นเขาได้เจอคนแบบนั้น ซึ่งชายลึกลับเลือกที่จะตายโดยไม่บอกข้อมูลอะไร

 

เขาคิดว่าตู้รั่วหยุนเป็นเบาะแสเดียวที่เขามี แต่เขาไม่คิดว่าลูกของเซิงเป่ยซิ่วเองก็เป็นสัตว์ประหลาดแบบนั้นด้วย

 

“ลูกของยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง ก็ไม่อาจจะหนีรอดจากเรื่องนี้!”

 

เมื่อรู้เรื่องนี้ลั่วซู่หยางก็ช็อกยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกได้ว่าเผ่ามนุษย์ที่สงบมาตลอดในอดีตนั้นมีความลับที่น่าทึ่งและวิกฤตอยู่เบื้องหลัง ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยควบคุมทุกอย่างเอาไว้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางอย่างเซิงเป่ยซิ่วก็ยังถูกควบคุมโดยมือที่มองไม่เห็นนั่น

 

คิดหนัก !

 

หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ลั่วซู่หยางก็คงนอนไม่หลับ

 

ทันทีที่เขาคิดว่ามนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง ลั่วซู่หยางก็ยิ่งขนลุกขึ้นไปอีก

 

มันเหลือเวลาอีกนานแค่ไหนกัน ?

 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นต่ำและกลางถึงสองคน มันยากที่จะคิดได้ว่ามียอดฝีมือระดับสูงสุดอีกกี่คนที่อยู่เบื้องหลังกองกำลังลึกลับ และมันมีตัวตนที่น่ากลัวกว่าเซิงเป่ยซิ่วมากแค่ไหนกัน ?

 

“เจ้าเคยเห็นสัตว์ประหลาดนั่นรึ?” เซิงเป่ยซิ่วมองไปที่ลั่วซู่หยาง “เขาเป็นยังไงบ้าง?”

 

ลั่วซู่หยางพูดขึ้น  “เขาตายแล้ว”

 

เซิงเป่ยซิ่วคิ้วขมวด  “ตาย? ใครกันที่ฆ่าเขา?”

 

“ข้าร่วมมือกับผู้อาวุโสฝางมู่และเซียนโอสถฆ่าเขา” ลั่วซู่หยางไม่ได้ปิดบัง “เราไม่คิดที่จะฆ่าเขาแต่เป็นเขาเองต่างหากที่คิดจะตาย…”

 

เซิงเป่ยซิ่วฮึดฮัดออกมาอย่างเย็นชา  “ขี้ขลาด ! แต่มันก็ฟังดูน่าสนใจกับการทำลายราชวงศ์หมิง..”

 

ลั่วซู่หยางมองไปที่เซิงเป่ยซิ่วและพูดขึ้น  “ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“อย่าคิดว่าข้าจะตอบคำถามเจ้า” เซิงเป่ยซิ่วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นอกซะจากว่าเจ้าจะรับปากว่าจะปล่อยลูกข้าไป ไม่งั้นข้าก็ไม่มีทางจะตอบคำถามเจ้า!”

 

“เรื่องนี้…” ลั่วซู่หยางมองไปที่เฉินกูและพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมา เขาก็พูดขึ้น “ขอโทษด้วย เรื่องนี้ข้าคงช่วยท่านไม่ได้…”

 

“ข้าแนะนำว่าอย่ายุ่งกับพวกเราพ่อลูก ไม่งั้นแล้วพวกเจ้าไม่พบจุดจบที่ดีแน่” ไม่รู้ว่าเซิงเป่ยซิ่วคิดอะไรอยู่แต่อยู่ๆเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สายตาเขาถึงกับแสดงท่าทีเยาะเย้ยออกมา “ข้ายอมรับว่าราชาสัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเขาอาจจะจัดการกับราชาสัตว์อสูรไม่ได้ในตอนนี้ แต่ในอีกไม่ช้า อีกไม่นานโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง รูปแบบของมนุษย์จะถูกเขียนใหม่ พวกแรกก็คือพวกเจ้า..สำหรับเผ่าสัตว์อสูร ฮี่ฮี่ ตอนนั้นเผ่าสัตว์อสูรและเผ่ามังกรก็จะไม่เหลือ..”

 

คำพูดของเซิงเป่ยซิ่วเต็มไปด้วยความลับ แต่เขาก็ยังเผยข้อมูลที่มีประโยชน์ออกมาอยู่บ้าง

 

ไม่ว่าจะเป็นลั่วซู่หยาง,ฝางมู่หรือชุยเจี่ยนต่างก็พากันเปลี่ยนสีหน้าไป

 

เฉินกูพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่สูงส่งแล้ว แผนการใดๆล้วนไร้ค่า…”

 

การที่มีสำนักคังเฉียงคอยหนุนหลังกับความแข็งแกร่งที่เขามีในตอนนี้ เขาใจเย็นกว่าใครอื่น ในสายตาของเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นเซิงเป่ยซิ่วหรือคนที่อยู่เบื้องหลังต่างก็เป็นได้แค่ตัวตลกที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึง

 

“ฮาฮาฮา… !” เซิงเป่ยซิ่วหัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า  “มองข้ามไปเถอะ ! กลุ่มคนที่น่ากลัวแบบนั้นเจ้าจะเข้าใจได้ยังไง ?” เขามองไปที่เฉินกูด้วยสีหน้าสงสาร  “เจ้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแบบไหนอยู่ ข้าจะบอกเจ้าว่าวันนี้ถึงข้ากับลูกต้องตาย แต่พวกเราจะไม่โดดเดี่ยว พวกเจ้าจะตามเราไปในไม่ช้า ! วันนั้นคงมาถึงอีกไม่นาน บางทีอาจจะเป็นวันนี้รึพรุ่งนี้ก็ได้…”

 

บางทีเพราะรู้ว่าตัวเองต้องตาย แม้ว่าจะร้องขอความเมตตา แต่เฉินกูก็คงไม่มีทางปล่อยเขากับลูกไป ดังนั้นเซิงเป่ยซิ่วจึงสลัดความคิดอื่นๆทิ้งไปทันที

 

เฉินกูยิ้มออกมา  “งั้นรึ ? ข้าอยากเห็นจริงๆว่าพวกเจ้าจะจัดการกับข้ายังไง แต่ก่อนหน้านั้น…”

 

เขามองเข้าไปในนัยน์ตาของเซิงเป่ยซิ่ว แล้วสะบัดฝ่ามือกระแทกที่ท้องน้อยของเซิงเป่ยซิ่ว พลังอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือ เข้าไปในตัวเซิงเป่ยซิ่ว ไม่นานวังวนในตันเถียนของเซิงเป่ยซิ่วก็รับพลังภายนอกเข้าไป ปราณภายในรวมตัวกับพลังภายนอกไหลตามเส้นชีพจรไป

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าแค่ทำลายการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าไม่ตายหรอก” เฉินกูยิ้มออกมา “เชื่อข้าเถอะ เจ้าจะรอดจนกว่าเจ้าจะได้พบกับลูกชาย….สำหรับที่ว่าเจ้าจะอยู่จนถึงตอนที่พวกตัวตลกมาจัดการกับข้าหรือไม่นั้น ข้าไม่รู้”

 

เซิงเป่ยซิ่วที่ถูกทำลายการบ่มเพาะนั้นพลังชีวิตลดลงไปอย่างรวดเร็ว มันลดเร็วยิ่งกว่าของโอวเสินเฟิง

 

ใบหน้าของเซิงเป่ยซิ่วเกิดรอยเหี่ยวย่นขึ้นมา ด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ผมสีดำกลับกลายเป็นสีขาว ในพริบตาเขาก็กลายเป็นชายแก่ที่ดูไร้เรี่ยวแรง

 

“เจ้า เจ้า…” เซิงเป่ยซิ่วเสียงสั่นเพราะความกลัว

 

ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆเห็นแบบนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไป เฉินกูรวดเร็วเกินจนพวกเขาหยุดไม่ทัน

 

แน่นอนแม้ว่าจะหยุดทันแต่ก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะมีความกล้ามากพอที่จะทำแบบนั้น

 

เมื่อมองไปที่เซิงเป่ยซิ่วและคิดตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อตะกี้ ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา “ราชาสัตว์อสูร เจ้าไม่กลัว แต่พวกเรากลัว ! ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ระดับเดียวกับเจ้า…”  หากกลุ่มยอดฝีมือะระดับสูงสุดล้อมพวกเขาไว้ แม้ว่าพวกนั้นจะอยู่แค่ขั้นต่ำแต่ก็เพียงพอที่จะฆ่าพวกเขาได้

 

แม้แต่ฝางมู่ก็ยังรู้สึกสับสนในใจ  “ทวีปป่าแห่งนี้เกิดอะไรขึ้นกัน ?  ทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำได้สร้างยอดฝีมือระดับสูงสุดขึ้นมาหลายสิบคน และตอนนี้ก็ยังมีกองกำลังลึกลับอีก…”

 

เขาอยากจะรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับทวีปป่าระหว่างที่เขาเก็บตัวมาหลายพันปี

ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1-1579 อ่านนิยาย

ระบบเจ้าสำนัก … เรื่องย่อ

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร

มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ

ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์

หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”

เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ

ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้

ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

Options

not work with dark mode
Reset