ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 619 เรื่องบังเอิญที่แสนงดงาม

ตอนที่ 619 เรื่องบังเอิญที่แสนงดงาม

เพียงแต่ยามนี้เรื่องราวเกี่ยวพันถึงภาพรวมของสองแคว้นและชีวิตของคนจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้มีความรู้สึกมากมายเพียงใดก็ทำได้เพียงฝังลงไปในส่วนลึกขอจิตใจเท่านั้น หายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง สงบสติอารมณ์อันพลุ่งพล่าน มองดูดวงหน้าอันงดงามดั่งบุปผาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นพร้อมยื่นมือออกไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข่านใหญ่ เชิญ!”  

 

 

อวี้เจียหน้าซีด ผ่านไปเนิ่นนานถึงกัดฟันกรอดพร้อมยื่นมือออกไป “แม่ทัพหลิน เชิญ!”  

 

 

ทั้งสองฝ่ายต่างประจำตำแหน่งคนละฟาก เดินกรูกันเข้าไป ปะรำในวันนี้ต่างจากวันก่อนเล็กน้อย บริเวณกึ่งกลางโต๊ะตัวนั้นปักบุปผาสีชมพูเอาไว้หลายกิ่ง กลิ่นหอมจางๆ ลอยเตะจมูก สีสันงดงามตระการตา เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับสถานที่อันโกโรโกโสแห่งนี้ขึ้นมาอีกหลายส่วน   

 

 

“เชิญนั่ง!” หลินหว่านหรงเอ่ยปากก่อน ค่อยๆ นั่งลงตรงตำแหน่งประธานของฝั่งต้าหัว สวีจื่อฉิงนั่งข้างกายเขา พวกเกาฉิวยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยท่าทีดุร้าย  

 

 

อวี้เจียยกกระโปรงยาวเบาๆ นั่งฝั่งตรงข้ามเขาอย่างเงียบงัน นางไม่มองหน้าเขา สายตากลับเคลื่อนไปที่ร่างสวีจื่อฉิงอย่างแช่มช้า มองประเมินนางอยู่นาง ข่านใหญ่ถอนหายใจแผ่วเบา เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “คุณหนูสวี เจ้างามมาก!”  

 

 

เดิมทีสวีจื่อฉิงก็ตั้งใจแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อมาประชันกับนางอยู่แล้ว ครั้งได้ยินคู่ต่อสู้เอ่ยปากชมเชย ในความยินดีกลับระคนด้วยความเขินอายอยู่บ้าง นางรีบจับมือหลินหว่านหรง ถึงกระนั้นกลับรู้สึกว่าฝ่ามือเขาเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม  

 

 

ข่านใหญ่มองเขาคราหนึ่ง ขมกรามแน่น หรุบตาลงต่ำอย่างเงียบๆ “ราชครู เริ่มกันเถิด!”  

 

 

ลู่ตงจ้านรับคำ เดินออกมาจากด้านหลังข่านใหญ่ ประสานมือพร้อมพูดว่า “ใต้เท้าหลิน ไม่ทราบข้อเสนอที่ทูเจวี๋ยเราเสนอไป ทางแคว้นท่านพิจารณาเป็นเช่นไรแล้ว?!”  

 

 

“เงื่อนไข เงื่อนไขอะไร?!” หลินหว่านหรงเลิกคิ้ว เอ่ยถามไม่เร็วไม่ช้า  

 

 

ราชครูทูเจวี๋ยย่อมรู้ว่าเขาแสร้งไขสือ ถึงกระนั้นก็มิอาจมิตอบได้ “ขอเพียงต้าหัวปล่อยตัวท่านข่านน้อยกับอ๋องขวาเราทันที ภายในห้าปีทูเจวี๋ยเราจะพักรบ ไม่รุกรานชายแดนต้าหัวแม้แต่ก้าวเดียว ขณะเดียวกันก็ยินดีมอบวัวและแพะหนึ่งพันตัว สาวงามหนึ่งร้อยคน ม้าเหงื่อโลหิตสิบตัวเป็นบรรณาการแก่ต้าหัว เพื่อแสดงเจตนาในการคืนดีของสองแคว้น”  

 

 

หลินหว่านหรงผงกศีรษะช้าๆ กล่าวระคนยิ้มออกมาว่า “ที่แท้ที่พี่ลู่เอ่ยถึงก็คือเรื่องนี้นี่เอง! นี่คือความจริงใจของพวกท่าน? หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว ทุกคนกลับไปลับดาบเตรียมทำศึกกันดีกว่า!”  

 

 

ต้าหัวปฏิเสธทันควันกลับไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย ลู่ตงจ้านมองอวี้เจียแวบหนึ่ง คล้ายขอความเห็นจากนาง  

 

 

สายตาของข่านใหญ่ดาบทองประดุจสายฟ้า จ้องมองเขาเขม็ง กล่าวเสียงแผ่วเบาและเลื่อนลอยออกมาว่า “คุยกับคนฉลาดไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม แม่ทัพหลิน ข้ารู้ว่าต้าหัวของเจ้าไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ให้เจ้าเสนอเงื่อนไขออกมาเถอะ! เหมาะก็คุย ไม่เหมาะก็ไม่คุย!”  

 

 

“ข่านใหญ่เป็นคนเร็วใจถึง ชัดเจนยิ่งนัก!” หลินหว่านหรงมองนางพลางยิ้มแย้ม ทว่าสายตากลับเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอพูดตามตรง ขอเพียงทูเจวี๋ยทำตามความต้องการสี่ประการของต้าหัวเราครบถ้วน ทุกอย่างก็ไร้ปัญหา!”  

 

 

ความต้องการสี่ประการ? อวี้เจียครุ่นคิดเล็กน้อย ใจแอบรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย “เชิญว่ามา!”  

 

 

หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “ประการแรก สองแคว้นลงนามข้อตกลงสงบศึก ภายในห้าสิบปีทูเจวี๋ยมิอาจเข้ามารุกรานต้าหัว หากตระบัดสัตย์ ขอให้ทูเจวี๋ยรับการลงทัณฑ์จากเทพแห่งทุ่งหญ้าไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน! ขอข่านใหญ่โปรดเขียนเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษร ป่าวประกาศทั่วหล้า!”  

 

 

ข้อนี้กลับไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนัก อวี้เจียเอ่ยอย่างแช่มช้า “สองแคว้นหยุดรบ ข้าไม่คัดค้าน! เพียงแต่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ป่าวประกาศทั่วหล้า ทูเจวี๋ยเราไม่เคยมีมาก่อน ขออภัยที่ยากจะยอมรับได้!”  

 

 

หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ไม่ยอมรับก็ต้องยอมรับ! ความจริงแล้วเรื่องป่าวประกาศทั่วหล้านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์จริงจังมากนัก ก็แค่เป็นข้อผูกมัดเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเจ้าเท่านั้น หากในอนาคตผิดคำ จะได้ให้ชาวโลกรู้ว่าคำพูดของชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าเชื่อถือไม่ได้ก็เท่านี้เอง! หากแม้แต่เรื่องนี้ก็รับไม่ได้ ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง ข่านใหญ่ ที่ตามมาหลังจากนี้ก็คุยกันไม่ได้แล้ว!”  

 

 

เมื่อเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจเปี่ยมล้นของเขา ผีสางถึงจะรู้ว่าหลังจากนี้เขาจะเสนอเงื่อนไขอะไรอีก อวี้เจียสายตาเรียบเฉย “เงื่อนไขข้อนี้ขอให้ข้าพิจารณา! ประการที่สองล่ะ?”  

 

 

“ประการที่สอง ที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร” หลินหว่านหรงเดินย่ำเท้าช้าๆ หัวเราะพร้อมพูดว่า “ให้เพิ่มจำนวนของชดเชยที่พี่ลู่กล่าวเมื่อครู่เหล่านั้นเป็นห้าเท่า ส่งมาให้ทุกปี ส่งเป็นเวลายี่สิบปี!”  

 

 

“เจ้าฝันไปเถอะ!” อวี้เจียยังไม่ทันพูด อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยปาเต๋อหลู่ที่อยู่ทางนั้นกลับเต้นเป็นเจ้าเข้าแล้ว “ให้ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้าชดเชยให้พวกเรายังพอว่า!”  

 

 

“ข้าฝันหรือ?!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนยิ้ม “ใต้เท้าปาเต๋อหลู่ ใช้วัวใช้แพะไม่กี่ตัวก็เอามาแลกผู้ปกครองทุ่งหญ้ากับอ๋องขวาของเจ้าได้แล้ว การค้านี้ใครเป็นผู้คิด? เหตุใดใต้เท้าถึงไม่ยินดี? หรือว่าตัวเจ้าคิดจะเป็นผู้ปกครองทุ่งหญ้า?!”  

 

 

“เจ้าพูดเหลวไหล!” ปาเต๋อหลู่ตวาดด้วยโทสะกำลังจะโผเข้าหา เหล่าเกาพุ่งปราดเข้ามาขวางหน้ามันไว้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะลงมือ บรรยากาศตึงเครียดทันที  

 

 

ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าเมื่อเทียบกับข้อที่สอง เงื่อนไขข้อแรกของเขาไม่ถือเป็นเงื่อนไขแม้แต่น้อย! อวี้เจียสูดลมหายใจยาวๆ จ้องดวงตาของเขาอย่างดุดัน ขบกรามแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา  

 

 

หลินหว่านหรงเงยหน้าเงียบๆ มองนางอย่างเงียบงัน ใบหน้าไร้ความรู้สึก  

 

 

สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน ภายในดวงตาแต่ละฝ่ายต่างเย็นเยียบ ปราศจากความอบอุ่นโดยสิ้นเชิง! การตระกองกอดอันแสนจะอบอุ่นท่ามกลางพิรุณกุหลาบปลาสนาการไปสิ้นราวกับเมฆาที่ลอยล่องอยู่ริมขอบฟ้า!  

 

 

บนโต๊ะเจรจาปราศจากอัวเหล่ากงและเยวี่ยหยาเอ๋อร์ มีแค่แม่ทัพหลินกับข่านใหญ่ นี่คือความจริงที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้!  

 

 

นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดข่านใหญ่ดาบทองก็ก้มหน้าลงอย่างหมดแรง ไม่ให้เขามองเห็นำอน้ำบางที่เอ่อขึ้นในดวงตาตน “ชาวต้าหัว พูดเงื่อนไขข้อที่สามของพวกเจ้ามาเถอะ!”  

 

 

หลินหว่านหรงส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ “ข่านใหญ่ เจ้ามั่นใจว่าเจ้าอยากฟังเงื่อนไขข้อที่สามจริงหรือ?”  

 

 

อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมา พลันคำรามด้วยโทสะราวกับเสียสติออกมา “เจ้ากล้าพูดต่อหน้าข้า แล้วเหตุใดข้าถึงไม่กล้าฟังต่อหน้าเจ้า?! เจ้าพูด เจ้าพูดมาเร็ว!”  

 

 

หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด “ได้! ประการที่สาม ทูเจวี๋ยถอยกลับไปทางเหนือของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ! ทางใต้ของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อให้ต้าหัวเราดูแล!”  

 

 

“อะไรนะ? เจ้าจะบังคับยึดปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ แถมยังมีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลแลอุดมสมบูรณ์หลายร้อยลี้นั่นอีก?” ครานี้ราชครูทูเจวี๋ยซึ่งมีท่าทีเคารพนบนอบมาตลอดก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ตวาดออกมาด้วยโทสะใบหน้าแดงก่ำ “ใต้เท้าหลิน เจ้าช่างทำเกินไปแล้วจริงๆ!”  

 

 

“เกินไปหรือ?” หลินหว่านหรงเบือนหน้าไปพร้อมกล่าวเรียบๆ “เรื่องการเจรจาเดิมทีเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างยินยอม แล้วพูดว่าเกินไปได้อย่างไร?!”  

 

 

อวี้เจียร่างสั่นระริกอย่างรุนแรง หน้าขาวซีดไปหมด นางจ้องเงาหลังหลินหว่านหรงอย่างดุดัน กัดฟันพร้อมเค้นออกมาทีละคำ “แม่ทัพหลิน เจ้ามองข้าแล้วพูดได้หรือไม่?!”  

 

 

แม่ทัพหลินพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ถึงกระนั้นกลับยืนกรานที่จะยืนนิ่ง “ข่านใหญ่เกิดมางดงามยิ่งนัก ดังนั้นข้าไม่อาจมองเจ้า!”  

 

 

อวี้เจียจับที่พักแขนของเก้าอี้อย่างหมดแรง นิ้วเรียวยาวทั้งสิบต่างไร้สีเลือด แทบจะจมลงไปในเนื้อไม้ นางหลับตาทั้งสองข้างช้าๆ สะกดกลั้นน้ำตาที่จะทะลักออกมาจากเบ้าตาอย่างเต็มที่ มองแผ่นหลังเขาพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ครั้งนี้เป็นเจ้าบีบบังคับข้าอีกแล้ว!”  

 

 

ร่างของหลินหว่านหรงนิ่งชะงัก ถอนหายใจออกมายาวๆ “ก็ยังเป็นคำพูดเดิม ข้าบีบบังคับตัวเองเท่านั้น!”  

 

 

คำพูดแฝงความนัยนี้มีแค่พวกเขาสองคนที่รู้ ข่านใหญ่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองเห็นภาพนอกเมืองเค่อจือเอ่อร์ในกาลก่อนอย่างเลือนราง มองเห็นธนูอันแสนสะเทือนเลื่อนลั่นดอกนั้น มองเห็นเขาล้มลงตรงหน้าตนอย่างแช่มช้า โลหิตท่วมร่างนั้นย้อมทุ่งหญ้าจนชุ่มโชก ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ยังมีเงื่อนไขข้อที่สี่อีก ลองพูดมาให้หมดเลยก็สิ!”  

 

 

หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน “จะต้องฟังให้ได้หรือ?!”  

 

 

“ต้อง!”  

 

 

“ได้!” หลินหว่านหรงหันกลับมาอย่างแช่มช้า “ตกลงเงื่อนไขสามข้อแรก ข้าจะคืนซาเอ่อร์มู่ให้เจ้า! เวลาก็คือสิบปีหลังจากนี้!”  

 

 

“ไร้ยางอาย!” อวี้เจียทนไม่ไหวอีกต่อไป ตวาดด้วยโทสะคราหนึ่ง ผุดลุกขึ้นมา ดึงกิ่งบุปผาที่อยู่กลางโต๊ะแล้วปากระแทกใส่เขาอย่างหนักหน่วง  

 

 

หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดถูกมาก ข้าก็เป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้ล่ะ!”  

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์นั่งลงทันที เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่หน้าตาบึ้งตึง ไม่เปล่งวาจา การเจรจาตกอยู่ในสภาพชะงักงันทันที  

 

 

คุณหนูสวีฟังอยู่ด้านข้างมานาน อดเดินไปข้างกายเขาไม่ได้ นางกุมมือเขาพร้อมส่งเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ “เจ้าคนนี้นี่นะ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหักใจอำมหิตได้? ยื่นข้อเสนอราคาสูงลิ่วขนาดนี้ เจ้ากำลังจะบีบนางให้เสียสติไปแล้วนะ!”  

 

 

อำมหิตหรือ? เขายิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “หากข้าไม่ยื่นข้อเสนอราคาสูงลิ่ว แล้วนางจะต่อรองราคากลับมาอย่างแรงได้อย่างไรกัน การเจรจาคือการพูดออกมา นางมีกำหนดไว้ในใจอยู่แล้ว!”  

 

 

สัมผัสถึงอาการสั่นเทาเล็กน้อยจากกลางฝ่ามือเขาได้ สวีจื่อฉิงเข้าใจขึ้นมาทันที แม้เขากำลังบีบคั้นเยวี่ยหยาเอ๋อร์อยู่ แต่นั่นไม่เท่ากับว่ากำลังบีบคั้นตนเองด้วยหรอกหรือ? คุณหนูสวีอดส่ายหน้าไม่ได้ “ถือว่าข้ารู้เสียที เจ้าโหดเ**้ยมกับตัวเองมากกว่าที่ทำกับนางเสียอีก!”  

 

 

หลินหว่านหรงกุมมือนางอย่างเงียบงัน ถือว่าให้คำตอบแล้ว  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทันใดนั้นอวี้เจียก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “ราชครู อ๋องซ้าย พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ข้าต้องการคุยกับแม่ทัพหลินเพียงลำพัง!”  

 

 

ลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ถอยออกไปเงียบๆ พวกหูปู้กุยเองก็จากไปอย่างรู้ความ  

 

 

เห็นหลินหว่านหรงจับมือกุนซือสวีไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว อวี้เจียจึงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “แม่ทัพหลิน ข้าคิดจะคุยกับเจ้าเพียงลำพัง!”  

 

 

“ไม่ต้องแล้ว!” หลินหว่านหรงส่ายหน้ายืนกราน “บนโต๊ะเจรจา ข้าจะไม่ปิดบังเรื่องใดกับคุณหนูสวีเด็ดขาด!”  

 

 

“แต่ข้าอยากเชิญคุณหนูสวีให้จากไปชั่วคราว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลุกยืนขึ้น เสียงดังขึ้นมากทันที   

 

 

“ข้าบอกว่าไม่ต้อง!” หลินหว่านหรงถลึงตาดุร้าย จับมือสวีจื่อฉิงแน่นมากยิ่งขึ้น  

 

 

เจ้าคนนี้ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ข่านใหญ่ดาบทองโมโหจนอกงามสะท้อนอย่างเร็วรี่ ขบกรามแน่น จ้องมองเขาอย่างดุร้าย สองตามีไอน้ำบางรื้นขึ้นมา  

 

 

สวีจื่อฉิงรีบดิ้นหลุดจากมือเขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ในเมื่อข่านใหญ่มีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าเพียงลำพัง อีกทั้งยังเกี่ยวพันถึงความลับของสองแว่นแคว้น ข้ารั้งอยู่ไปก็จะไม่สะดวกมากจริงๆ ข่านใหญ่ เจ้ากับเขาค่อยๆ คุยกัน! จื่อฉิงขอลา!”  

 

 

คุณหนูสวีหมุนกายแล้วจากไป หลินหว่านหรงดึงแขนเสื้อนางอย่างเร็วรี่ แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ  

 

 

ข่านใหญ่ดาบทองมองเขาพลางยิ้มหยันอย่างเงียบงัน “ทำไม เจ้ากลัวข้ามากหรือ? ก่อนหน้านี้แม่ทัพหลินยังพูดจาฉอดๆ หยุดรบ ชดใช้ แบ่งดินแดน ตัวประกันอยู่เลย วิธีการอันแสนจะทารุณโหดร้ายทั้งหมดที่เจ้าคิดได้ก็เอามาใช้กับข้าจนหมดสิ้น ไม่ใช่น่าเกรงขามมากหรืออย่างไร? แล้วเหตุใดตอนนี้กลับมากลัวได้?!”  

 

 

ความเฉลียวฉลาดของเยวี่ยหยาเอ๋อร์นั้นไร้ข้อกังขา เงื่อนไขทั้งหลายที่หลินหว่านหรงเสนอมาก็เพื่ออ้อมประเด็นทั้งสี่นี้ แม้จะไม่แพร่งพราย ทว่ากลับถูกสตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้มองออกเพียงแวบเดียว  

 

 

“ข้ากลัวอะไร?” ภายในปะรำอันกว้างใหญ่เวิ้งว้างว่างเปล่า เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หลินหว่านหรงแค่นเสียงหนักๆ ออกมา เมื่อมองดวงตาที่เปียกชื้นเล็กน้อยของอวี้เจีย กลับอดหงุดหงิดจิตใจว้าวุ่นไม่ได้ เขาโบกมือด้วยความโมโห “ห้ามร้อง ร้องแล้วก็ไม่งามเท่าคุณหนูสวี!”  

 

 

อวี้เจียตบโต๊ะดังปัง ร่ำไห้อย่างเร็วรี่ “แต่ข้าจะร้อง ต่อให้ข้าเป็นสตรีที่อัปลักษณ์มากที่สุดบนโลกใบนี้ เจ้าก็ไม่มีวันยุ่งได้!”  

 

 

เมื่อเห็นจอนผมสีขาวราวหิมะนั้นของนาง หลินหว่านหรงก็ส่ายหน้าอย่างหมดแรงอยู่บ้าง “ขอเจ้าจงจำเอาไว้ เจ้าคือข่านใหญ่ดาบทองที่ผู้คนบนทุ่งหญ้าต่างเคารพและเกรงกลัว อย่าเอะอะอะไรก็หลั่งน้ำตา จะเป็นที่หัวเราะเยาะของคนเอาได้!”  

 

 

“ข่านใหญ่ดาบทองแล้วจะทำไม?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวอย่างมีน้ำโห “ชีวิตนี้ของข้าเคยร้องไห้ต่อหน้าคนเพียงผู้เดียว! แต่เจ้าคนผู้นี้กลับชอบหลอกลวงนางมากที่สุด ชอบทำร้ายนางมากที่สุด!”  

 

 

“หรือว่าเจ้าไม่เคยหลอกข้า?!” หลินหว่านหรงอดส่งเสียงหงุดหงิดออกมาไม่ได้ พูดด้วยความเดือดดาล “ใครที่จงใจออกจากเมืองซิงชิ่งไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ แล้วไปโผล่ตรงหน้าข้าโดยเฉพาะ จงใจเป็นเชลยของข้าโดยเฉพาะ กระทั่งว่ายังคิดจะจับตัวข้าอีก?! หากไม่ใช่ว่าข้าฉลาดหลักแหลม คงตกอยู่ในเงื้อมมือมารเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว!”  

 

 

“เจ้าก็ชอบคิดเองเออเอง! นึกว่าเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากหรืออย่างไร” อวี้เจียค้านหัวชนฝา ยิ้มหยันเย็นชา “ข้าไปปรากฏตัวที่เมืองซิงชิ่งเพราะข้าชอบรวบรวมข่าวสารของต้าหัวด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าน่ะหรือ เป็นเพราะท่านอาจารย์ลู่ตงจ้านเอ่ยถึงต่อหน้าข้าอยู่หลายครั้ง ส่วนที่ต้าหัวก็มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับตัวเจ้าแพร่หลายอยู่ไม่น้อย ข้าถึงได้สนใจบ้าง! ที่เมืองซิงชิ่ง การลอบสังหารหลี่ไท่กับเจ้าเป็นแผนของข้าจริง! แต่ว่าที่ข้าไปปรากฏตัวที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อก็เพราะข้าต้องการรีบกลับเค่อจือเอ่อร์ ถึงได้พลาดพลั้งตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า นั่นถือเป็นเรื่องบังเอิญทั้งสิ้น เจ้านึกว่าข้าจะใช้เกียรติของข่านใหญ่ดาบทองไปล่อลวงเจ้าโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ? น่าหัวร่อ! หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าอยู่ที่นั่น ทัพใหญ่หลายแสนของข้าคงฆ่าพวกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้ว!”  

 

 

ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง นี่ข้าเข้าใจผิดแล้วจริงๆ! เขาหงุดหงิดและอายจนกลายเป็นโมโห “ถ้าอย่างนั้นหลังจากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้วล่ะ? คิดหาวิธีการมาต่อกรกับข้าสารพัดอย่าง คิดเพ้อเจ้อว่าจะทำให้ข้ายอมสยบ นี่ก็เป็นเรื่องเท็จด้วยหรือ?”  

 

 

อวี้เจียใบหน้าซับสีชมพูบางๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “บางทีอาจมีแบบนั้นอยู่บ้าง! แต่ข้าตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า ยังจะมีวิธีหลุดพ้นที่ดียิ่งกว่านี้อีกหรือ? ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนนั้นข้าดูแคลนเจ้าไป! น่าแค้นใจที่ข้ากลับลืมคำโบราณที่ว่าสังหารศัตรูไปสามพัน ตนเองสูญเสียไปแปดร้อย!”  

 

 

“พูดแบบนี้คือเรื่องบังเอิญทั้งนั้น?”  

 

 

“อืม เรื่องบังเอิญ เรื่องบังเอิญที่แสนจะงดงามมากที่สุด!” อวี้เจียถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง รอยยิ้มและคราบน้ำตาผลิบานพร้อมกัน ทำให้คนรู้สึกรวดร้าวใจ  

 

ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ

ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 691.2 อ่านนิยาย

(จบ)


เพราะอุบัติเหตุระหว่างทริปท่องเที่ยวของบริษัท

ทำให้ผู้จัดการแผนกการตลาดฝีมือดีอย่าง ‘หลินหว่านหรง’

จับพลัดจับผลูไปอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย โลกที่ยกย่องบัณฑิตเหนือสิ่งอื่นใด

ทำให้ไอ้บ้านนอกจากศตวรรษที่ 21 อย่างเขาจำต้องเข้าไปเป็นคนรับใช้ของตระกูลเซียวตามคำขอของผู้มีพระคุณอย่างเสียมิได้

แต่มารดามันสิ!

คิดว่าหลินหว่านหรงผู้นี้จะยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ เหรอไง

ไหนๆ ก็ต้องยอมรับชะตากรรมนี้แล้ว คนรับใช้ก็คนรับใช้สิ

เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Options

not work with dark mode
Reset