ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 648 รับมือ (2)

บทที่ 648 รับมือ (2)

บทที่ 648 รับมือ (2)

บุรุษอาภรณ์ดำหันกลับมามองคนทั้งสองและหัวเราะเบาๆ

“ถ้าเขาไม่กลับมา พวกเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ถ้าเขากลับมา ข้ายังพิจารณาปล่อยพวกเจ้าไปสักครั้งหนึ่งได้อยู่”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าลู่เยวี่ยล่วงเกินท่านอย่างไร แต่ว่า ใต้เท้าท่านนี้ ที่นี่คือนครตราชั่ง ถ้าหากท่านก่อความวุ่นวายที่นี่และฝ่าฝืนกฎเหล็ก ระดับสูงกับนครหลวงของเขตที่สี่ไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่!” วาจาของถูจินแฝงความคุกคาม

“ไม่มีทางปล่อยข้าอย่างนั้นหรือ เหอะ…” บุรุษอาภรณ์ดำแค่นเสียง “ข้าไม่ได้เพิ่งมานครตราชั่งเป็นครั้งแรก ในความเป็นจริงเขตที่สี่ไม่ได้ถูกนับอยู่ในนครหลวงด้วยซ้ำ”

เขาเดินทางไกลมาจากระบบดาวปรภพ โดยใช้สายเลือดบ่งชี้สะกดรอย ใช้เวลาไปไม่น้อย ถึงค่อยเจอที่อยู่ของตระกูลถู

นอกจากเขาแล้ว ยังมีมือสังหารเงาแยกย้ายไปยังสถานที่อื่นๆ อีก ขอบเขตลวงตาห้าคนเช่นพวกเขามุ่งหน้าไปตรวจสอบตามสถานที่ต่างๆ ตามทิศทางที่สายเลือดบ่งชี้

อีกสามคนที่เหลือเจอต้นกำเนิดสายเลือดแล้ว น่าเสียดายที่ต่างไปผิดทาง มีแต่เขาเท่านั้นที่ไม่คิดว่ามารสวรรค์น้อยนั่นจะหนีมาทางนครตราชั่ง จึงมาตรวจสอบโดยมีความคิดว่าจะแวะมาเดินเล่นสักหน่อย

มิคาดว่าจะคว้าเบาะแสได้จริงๆ

วาบ!

อยู่ๆ เส้นสายสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากร่างถูจิน ด้ายกระตุ้นวิญญาณจำนวนมากกัดกร่อนไปตามเชือกที่รัดพันเขาอยู่ หมายจะสะบั้นเชือกให้ขาด

แต่ก็ไร้ประโยชน์ ด้ายกระตุ้นวิญญาณพากันพังทลาย เชือกยังคงไม่เสียหายแม้แต่น้อย

บุรุษสวมอาภรณ์ดำมองยังไม่มองการเคลื่อนไหวด้านหลัง เพียงยกฝ่ามือขึ้นมาดู จุดแสงสีแดงชาดสามจุดกำลังหมุนวนอยู่กลางฝ่ามือ

‘หมุนเร็วขึ้นแล้ว ดูเหมือนจดหมายฉบับนั้นจะได้ผล’ เขาอดยิ้มไม่ได้”

‘ดูเหมือนครั้งนี้ข้าเป็นฝ่ายทำสำเร็จก่อน’

ชายแดนของข่ายเขามังกร กลางทะเลต้นไม้สีเขียวเข้มที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกคลื่น เงาที่พร่ามัวอยู่บ้างสายหนึ่งกำลังบินต่ำๆ เหนือยอดไม้ด้วยความเร็วสูง

อาทิตย์งามสาดแสง ลมอุ่นสดชื่น เป็นทัศนียภาพที่อ่อนโยนและน่ารื่นรมย์

แต่พอเงาลวงกะพริบทีหนึ่ง สถานที่ที่พุ่งผ่านต่างมีใบไม้กระจายเวียนว่อน กิ่งไม้แตกหัก สัตว์เล็กๆ ถูกพัดจนล้มกับพื้นเพราะตั้งตัวไม่ทัน ก่อนจะเตลิดหนีด้วยความตกใจ

จากชายแดนของข่ายเขามังกรถึงตระกูลถู เงาลวงใช้เวลาแค่สิบกว่านาทีสั้นๆ ก็เห็นเค้าโครงพร่ามัวของคฤหาสน์ตระกูลถูแล้ว

พอมาถึงที่นี่ เงาถึงค่อยพุ่งลงด้านล่าง แล้วหยุดลง ปรากฏเป็นบุรุษร่างกำยำคนหนึ่ง

เขาสวมชุดคลุมสีเขียว เหน็บถุงใส่เข็มไว้ที่เอว ทั้งยังติดเกราะผลึกสีเงินกึ่งโปร่งแสงไว้บนบ่าสองข้างด้วย

ปลายของเกราะแหลมและยาวมาก ให้ความรู้สึกแหลมคมอยู่บ้าง

‘ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย มาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ ปกติอย่างน้อยต้องมีเสียงคนที่อยู่ด้านในดังมาสิ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีคนจากหมู่บ้านและเมืองด้านนอกมาตรวจพอดีด้วย’ คนผู้นี้ก็คือลู่เซิ่งที่เพิ่งกลับมาจากนครหลวงนั่นเอง

เงินเดือนและรางวัลที่เขาได้มาจากการทำภารกิจและได้มาจากตระกูลจ้าวในช่วงนี้มีทั้งหมดแปดสิบหมื่นเงินน้ำแข็ง ทั้งยังได้สะสมค่าความดีความชอบถึงเก้าสิบหมื่นคะแนนแล้ว

ทุกสิ่งราบรื่นเป็นพิเศษ เพียงรอเวลามาถึง ก็จะดำเนินการตามแผนการเดิมได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เพียงแต่ความกระวนกระวายที่ซ่อนอยู่ในจดหมายจากถูจินกลับสร้างความไม่สบายใจให้แก่เขาอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงมาตรวจสอบสถานการณ์ในเขตที่สี่ก่อนกำหนด

‘เกิดอะไรขึ้นกัน คนหายไปไหนหมด’ ลู่เซิ่งปลดปล่อยกลิ่นอายพร้อมกับค่อยๆ เข้าใกล้เนินที่ลานเรือนตั้งอยู่

ขณะเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในตัวเรือนไม่มีเสียงใครสักคน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงแมลงเสียงนกหรือเสียงหนูด้วยซ้ำ

ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึม เงาด้านหลังกระจายออกไปอย่างฉับพลัน แบ่งจากหนึ่งเป็นเก้า แล้วกระโจนไปยังเงามืดรอบๆ อย่างไร้สุ้มเสียง

ขณะเดียวกันเขาบีบก้อนสี่เหลี่ยมสีดำที่เหมือนสร้างขึ้นจากเครื่องจักรเอาไว้ แสงสีเหลืองขมุกขมัวกะพริบอย่างเลือนรางอยู่กลางก้อนสี่เหลี่ยม

เขาออกแรงเบาๆ เกิดเสียงดังโพละ ก้อนสี่เหลี่ยมระเบิดเป็นผุยผงแล้วโปรยปรายไปบนพื้นรอบๆ

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ลู่เซิ่จึงค่อยเดินไปยังคฤหาสน์ของตระกูลถู

เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ เขายกมือขึ้น แต่ยังไม่ทันได้เคาะประตู

แอ๊ด

ประตูเรือนเปิดเข้าไปด้านในโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นภายใน

เงาคนสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงกลางลานด้านหน้าเขา

ด้านหลังเงาคนคือถูจิน เต๋ออวิ๋น และเซินเซินที่โดนมัดติดกับขอนไม้ สามคนต่างก็คอตก ยังมีลมหายใจ แต่ดวงจิตเหมือนจะสลบไสลไม่ฟื้นตื่น

“ข้าตามหาเจ้ามานานมากแล้ว” คนสวมชุดคลุมสีดำมองลู่เซิ่งพลางกล่าวเบาๆ

“ใต้เท้ามีคำเรียกหาว่าอะไร” ลู่เซิ่งกวาดตามองถูจิน พบว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บหลงเหลือ อีกสองคนก็เป็นเหมือนกัน บนตัวไม่มีบาดแผล เพียงแต่สลบไปเพราะสาเหตุบางอย่างเท่านั้น

“เจ้าเรียกข้าว่าจวี้เหยี่ยก็ได้” คนสวมชุดคลุมดำหัวเราะ “ถ้าเจ้าไม่ถาม ข้าคงลืมชื่อจริงของตัวเองไปแล้ว”

“อย่างนั้นใต้เท้ามาหาข้าเพราะเรื่องอะไรหรือ เรื่องใดที่จำเป็นต้องทำถึงขั้นจับตัวอาจารย์กับพวกศิษย์พี่ของข้ามามัดไว้” ลู่เซิ่งถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“มัดคนอาจเป็นเพราะความเคยชิน” จวี้เหยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เจ้าจงบอกมาว่าเหตุใดเจ้าจึงเลือกหนีจากเส้นทางการทดสอบที่หอฟ้าเมฆาในวันนั้น ตามเหตุผล เจ้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ หากว่าทดสอบผ่าน ก็จะกลายเป็นศิษย์สำนักนทีครามอย่างเป็นทางการ อย่างไรเจ้าก็ติดสินบนทางนั้นไว้เรียบร้อยแล้วนี่”

ลู่เซิ่งจิตใจหนักอึ้ง มาเพื่อเรื่องนี้เหรอเนี่ย ตอนแรกเขานึกว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเกิดช่องโหว่จนได้

“ท่านพูดอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นอยู่ๆ ก็มีสัตว์ตัวน้อยแสนประหลาดกระโดดออกมาคำรามใส่ข้าและถามคำถามที่แปลกประหลาดส่วนหนึ่งกับข้า หลังจากข้าตอบคำถามเรียบร้อย มันก็สร้างร่องแยกสีเทาขึ้นแล้วให้ข้าเข้าไป ข้านึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ ก็เลยกระโดดเข้าไป”

ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าจนปัญญาและคลางแคลงใจอย่างเห็นได้ชัด

“ใครจะไปนึกว่า พอกระโดดเข้าไปเสร็จ ก็ดันมาโผล่ที่นครตราชั่ง ในเมื่อท่านมาถึงนี่แล้ว ก็คงทราบว่าจากหอฟ้าเมฆามาถึงที่นี่ต้องใช้ค่ายกลส่งตัวระดับดาวมากขนาดไหน คิดจะกลับไปยังสถานที่เดิม ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสุดที่จะจินตนาการได้ทีเดียว ตอนนั้นข้าสิ้นเนื้อประดาตัว แถมยังต้องป้องกันภัยพิบัติฟ้าตายตัวที่จะเกิดขึ้นทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งอีก ดังนั้นจึงหมดหนทาง ได้แต่ไปเร่ร่อนในนครหลวง ตอนนี้พอเห็นหนทางบ้างแล้ว มีเรือนเล็กๆ อยู่ในนครหลวงที่ถือเป็นบ้านได้ เพียงแต่เวลาที่ว่างๆ ก็ยังนึกถึงบ้านเกิดมาก ในเมื่อใต้เท้าท่านมาพอดี ไม่ทราบว่าพาข้าน้อยกลับดาวปรภพได้หรือไม่…”

“พอแล้ว วาจาไร้สาระไม่ต้องพูดหรอก ไหนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบที่เจ้าได้เจอในเส้นทางทดสอบมาซิ” จวี้เหยี่ยตัดบทอย่างหงุดหงิด

ลู่เซิ่งรีบพยักหน้า

“ขอรับๆ ข้าน้อยจะเล่าตั้งแต่ต้นเอง เรื่องนี้ต้องเกริ่นตั้งแต่ตอนแรกสุดที่ข้าน้อยได้ยินชื่อของสำนักนทีคราม ตอนนั้นข้าเป็นเจ้าสำนักเล็กๆ ที่อยู่ว่างเกินไป จึงนึกอยากจะพัฒนาตัวเอง ทว่าตอนนั้นติดที่ทัศนวิสัย กอปรกับได้ฝึกฝนวิชาถึงจุดสูงสุดจนไม่อาจยกระดับได้อีก เลยจนปัญญาและหมดหนทาง ต่อมาเนื่องจากโอกาสบังเอิญครั้งหนึ่ง ข้าน้อยได้จุติไปยังโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง และเจอกับใต้เท้าจวงจิ้วราชามาสวรรค์แห่งโลกสรรพวิญญาณพอดี ตอนนั้นข้าไม่ทราบถึงสถานะของใต้เท้าจวงจิ้ว เพียงแต่นึกว่าเป็นขอบเขตชูศัสตราธรรมดาเหมือนกับข้าเท่านั้น…”

“ถูกต้อง ใต้เท้าจวงจิ้วชื่นชอบการจุติมากที่สุดจริงๆ แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดเขาจึงมีงานอดิเรกเช่นนี้ แต่เขามักจะตระเวนไปยังโลกใบเล็กๆ ตลอดเวลา” จวี้เหยี่ยว่า “เจ้าเล่าต่อเถอะ”

“ขอรับ ตอนนั้นข้าฝึกฝนถึงขอบเขตสำคัญพอดี และเป็นเพราะซุ่มฝึกฝนอยู่ในโลกใบเล็กๆ นั่นอยู่นาน กอปรกับสถานะที่จุติมีความพิเศษ จึงได้พบปะกับใต้เท้าจวงจิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ” ลู่เซิ่งเผยสีหน้าใคร่ครวญทบทวน

“ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากใต้เท้าจวงจิ้วสนทนากับข้าหลายครั้ง ก็แสดงน้ำใจและความใกล้ชิดกับข้ามากกว่าเดิม ใต้เท้าเองก็ทราบว่า ระหว่างมารสวรรค์ที่จุติด้วยกันเองอย่างพวกเรามีแต่ความกริ่งเกรงเท่านั้น แต่ใต้เท้าจวงจิ้วกลับดีต่อข้าเป็นพิเศษโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่เพียงมอบความรู้ด้านเทวลักษณ์ให้แก่ข้าเท่านั้น ยังมอบผลึกลี้ลับให้ข้าด้วย แต่ว่าตอนนั้นข้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรได้ปฏิเสธไป”

ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“เล่าถึงตรงนี้แล้ว ใต้เท้าอาจจะไม่ทราบ จริงๆ ข้าน้อยไม่ใช่คนของดาวปรภพ หากแต่กลับชาติไปเกิดจากที่อื่น”

“หือ เจ้ายังมีความทรงจำจากชาติเดิมหรือ” จวี้เหยี่ยพลันสนใจ

“เรื่องอื่นๆ จำไม่ได้แล้วขอรับ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “เพียงจำได้ว่าดาวเคราะห์ที่ข้าอยู่ถูกดาบสีดำขนาดยักษ์ที่แยกท้องฟ้าได้เล่มหนึ่งทำลาย พี่น้อง พ่อแม่ ภรรยาและลูกชายของข้า ล้วนกลายเป็นผลึกม่วงที่จับตัวกันภายใต้ดาบสีดำ เวลานั้น…เวลานั้น…” ลู่เซิ่งพูดถึงตรงนี้ สายตาก็อึมครึมเล็กน้อย ทั้งยังมีความเจ็บปวดรวดร้าวถึงไขกระดูกฉายวาบออกมา

“รอประเดี๋ยว! ผลึกม่วง ดาบดำหรือ” จวี้เหยี่ยพลันตกตะลึง เหมือนนึกฉุกใจอะไรได้ สายตาที่เขามองไปยังลู่เซิ่งพลันเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดใต้เท้าจวงจิ้วถึงได้ถูกชะตากับเจ้าขนาดนี้…”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ “หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับชาติก่อนของข้าน้อย”

จวี้เหยี่ยพยักหน้าอย่างระมัดระวัง

“กล่าวไปมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าอาจไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่ว่าเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เป็นสิ่งที่เจ้าจินตนาการไม่ออกแน่…เจ้าเล่าต่อเถอะ”

ลู่เซิ่งพยักหน้าและเล่าต่อ “หลังจากนั้น ใต้เท้าจวงจิ้วก็ทิ้งวิธีการติดต่อให้แก่ข้าเพื่อให้ข้าติดต่อกับเขาข้ามโลก บอกว่าหากมีปัญหาอะไรให้ขอความช่วยเหลือจากเขาได้เต็มที่…”

“แบบนี้ก็อธิบายได้แล้ว…มิน่าๆ…” จวี้เหยี่ยผุดสีหน้ากระจ่างแจ้ง

“…การเข้าไปทดสอบที่สำนักนทีครามต่อจากนั้น ความจริงเป็นใต้เท้าจวงจิ้วช่วยเดินเรื่องให้ข้า มีหลายอย่างที่ข้าไม่รู้และไม่เข้าใจ”

จวี้เหยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือปล่อยแสงสีเทาสายหนึ่งออกมา แสงจับตัวเป็นภาพม่านน้ำด้านหน้าลู่เซิ่งเหมือนสายฟ้าแลบ

“เจ้าลองแยกแยะดูว่านี่คือใคร” แสงดาวสีเงินหลายจุดปรากฏขึ้นด้านหน้าจวี้เหยี่ยก่อนจะระเบิดออก จุดแสงโปรยปรายและพุ่งเข้าไปในม่านน้ำดุจห่าฝน

บนภาพพลันปรากฏสตรีผู้มีสง่าราศีสีหน้าเรียบเฉยคนหนึ่ง นางสวมผ้าคลุมหน้าสีดำ ใส่กระโปรงยาวที่ฝังผลึกไว้ทั่ว ใต้ชายกระโปรงคือหลังเท้าของเท้าสิบกว่าคู่ที่เปลือยเปล่า

ลู่เซิ่งกวาดตามองสีหน้าของจวี้เหยี่ยอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพ่งมองภาพอย่างละเอียด

“ข้า…จำไม่ค่อยได้แล้ว…แต่…ข้ารู้สึกใกล้ชิดกับนางมาก…ดูคุ้นตายิ่ง…เหมือนกับผู้อาวุโสที่เข้มงวด…”

ครั้งนี้สีหน้าของจวี้เหยี่ยเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

เขารีบปิดภาพขณะมองลู่เซิ่งราวกับเห็นผี

เวลานี้วิชาจิตโน้มนำระดับมากกว่าพันสำแดงผลระดับเทพ

ลู่เซิ่งฉุกนึกได้โดยพลัน

“ท่านแม่!” เขาอ้าปากร้องเรียก

จวี้เหยี่ยสะดุ้งโหยง โซเซถอยหลังไปหลายก้าวขณะมองลู่เซิ่งอย่างงุนงง ไม่พูดอะไรอยู่ชั่วขณะ เพียงมองเงียบๆ เช่นนี้

ผ่านไปหนึ่งนาทีกว่าๆ เขาจึงค่อยๆ ระบายลมหายใจ

“ถูกต้อง…นางก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของใต้เท้าจวงจิ้ว…มิหนำซ้ำ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บางทีเจ้าอาจจะเป็นน้องชายที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ผู้ที่ใต้เท้าจวงจิ้วพูดถึงอยู่เสมอ…!”

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset