ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 624 หยั่งเชิง (2)

บทที่ 624 หยั่งเชิง (2)

บทที่ 624 หยั่งเชิง (2)

ไม่นานนัก หลังจากเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนักก็เลื่อนจากช่วงหนึ่ง ถึงช่วงสอง ช่วงสาม และช่วงสี่…

กายเนื้อใกล้จะรองรับการยกระดับเพิ่มความแข็งแกร่งที่รวดเร็วไม่ไหวแล้ว แต่ลู่เซิ่งก็ได้ใช้แก่นหยางร่วมกับกายเนื้อในการซ่อมแซมกายเนื้อในชั้นที่ละเอียดอ่อนทันที

บวกกับมีด้ายกระตุ้นวิญญาณจากวิชารักษาที่มีแบบแผนคอยช่วยเหลือ จึงทำให้พอจะรับภาระไว้ได้ วิชาแพทย์ของเขาในตอนนี้เกือบจะสมบูรณ์แล้ว ถ้าปลอมตัวเป็นหมอคงไม่มีใครไม่เชื่อ

หลังจากจำนวนช่วงขีดจำกัดสูงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดร่างกายของลู่เซิ่งก็ขยายใหญ่กว่าเดิม แต่เขาก็ฝึกฝึกฝนวิถีหยินโชติช่วงที่เชี่ยวชาญเพื่อใช้ย่อขนาดตัวทันที

จำนวนช่วงยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังอาวรณ์สิ้นเปลืองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทะลุจากหนึ่งหน่วยในตอนแรกถึงสามหน่วยและห้าหน่วยอย่างรวดเร็ว

หลังจำนวนช่วงที่ทะลุทะลวงสูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นก็เริ่มปรากฏแสงโลหะที่ขมุกขมัวหลายจุดในความมืดอย่างเลือนราง

สิบห้าช่วง

ขีดจำกัดสิบห้าช่วงเป็นขีดจำกัดที่พลังฟื้นฟูกายเนื้อของลู่เซิ่งที่ใช้แก่นหยางกับด้ายกระตุ้นวิญญาณร่วมกันสามารถรับได้

หากยังเพิ่มระดับอีก กายเนื้อของเขาจะพังทลาย

‘ต้องปรับตัวอีกหลายวัน…’ เขาลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วกวาดมองสภาพของกรอบในเวลานี้

ตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านไปแล้ว ท้องฟ้านอกหน้ต่างขาวราวท้องปลา ลู่เซิ่งจึงค่อยๆ ออกจากสมาธิ

[วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนัก: ขีดจำกัดสิบห้าช่วง (คุณสมบัติพิเศษ: ทะลวงขีดจำกัดกายเนื้อระดับเจ็ด, ปราณโซ่ภายในระดับเจ็ด, การดูแลแห่งแม่ธรณี )]

‘แม่ธรณีหรือ’ ลู่เซิ่งงุนงง เพิ่งจะถึงช่วงที่สิบห้า จู่ๆ ก็มีของแบบนี้โผล่มา

เขาสัมผัสได้ว่ามีพลังที่เหี้ยมหาญถึงขีดสุดกำลังไหลไปทั่วร่าง

วิชาต่อสู้หลังเรียนรู้มีความเร็วที่สม่ำเสมอมาโดยตลอด แต่ละช่วงในสิบห้าช่วงยกระดับพละกำลังหรือพลังระเบิดขึ้นสองร้อยกิโลกรัมและการเสริมความแข็งแกร่งแบบเฉลี่ยในด้านอื่นๆ อย่างเท่าๆ กัน

จนถึงตอนนี้ เขามีพลังระเบิดสามพันกิโลกรัมหรือพละกำลังถึงสามตันแล้ว

นี่อยู่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว ตามบันทึกพละกำลังขีดจำกัดบนอินเทอร์เน็ต พวกมนุษย์ประหลาดส่วนหนึ่งสามารถระเบิดพลังสองตันกว่าๆ ออกมาได้ในพริบตา

ลู่เซิ่งที่ทะลวงขีดจำกัดกายเนื้อของมนุษย์ขั้นแรกลุกขึ้น ร่างยังคงสูงหนึ่งเมตรเก้าสิบกว่าๆ แต่ว่ากล้ามเนื้อบนร่างกลับแข็งแกร่งเหมือนกับก้อนหิน ขนาดร่างกายใหญ่กว่าเดิมอย่างน้อยสองเท่า

เขายกมือขึ้น ตอนนี้แขนท่อนปลายของเขาใหญ่เท่ากับท่อนขาเมื่อก่อนหน้านี้ของตู้สยงแล้ว

‘การดูแลแห่งแม่ธรณีหรือ สิ่งนี้คืออะไรกัน…’ ลู่เซิ่งนิ่วหน้าขณะยกมือขึ้นเพื่อยืดไหล่ขวาของตัวเอง บนไหล่เกิดความเจ็บปวดทิ่มแทงแสบร้อนน้อยๆ อยู่จุดหนึ่ง

เขาเดินไปถึงหน้ากระจกแต่งตัว ก่อนจะเห็นว่าบนไหล่ของตัวเองมีตราประทับสีเขียวเข้มที่เหมือนกับรอยสักโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

เขายื่นมือไปลูบๆ ดู ตราประทับเย็นยะเยือกเสียดกระดูก แต่กลับสัมผัสอุณหภูมิใดๆ บนไหล่ไม่ได้เลย ตราประทับเป็นสัญลักษณ์คล้ายตัวหมี่ (米) ทว่าเส้นในแนวตั้งตรงกลางยาวและคมมาก ให้ความรู้สึกแหลมคมเย็นเยียบ

‘ไม่รู้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่วิชามวยพวกนี้กระตุ้นขึ้นมาเองหลังจากพัฒนาถึงระดับหนึ่ง หรือเป็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติบนโลกใบนี้หลังจากร่างกายแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง’ ลู่เซิ่งสงสัยอยู่บ้าง

เพิ่งจะทะลวงขีดจำกัดของมนุษย์ ก็เจอคำถามที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจทันที ต่อให้จะใช้จิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ก็สัมผัสปัญหาใดๆ จากตราประทับนี้ไม่ได้ เหมือนกับเป็นรอยสักธรรมดาๆ เท่านั้น

‘ช่างเหอะ วันนี้พักผ่อนก่อนก็แล้วกัน หลังปรับตัวแล้ววันมะรืนค่อยต่อกันใหม่’ ลู่เซิ่งคร้านจะคิดมากความ

การเพิ่มความแข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในทีเดียว จำเป็นต้องใช้ความอดทนและการสั่งสมในระยะยาว การกินเยอะหนึ่งวันไม่มีทางทำให้กลายเป็นคนอ้วน ต้องค่อยเป็นค่อยไป ภายหลังย่อมสำเร็จได้เอง

เกิดเสียงดังกร๊อบๆ เบาๆ ลู่เซิ่งหดร่างด้วยความเร็วสูง กระดูกจำนวนมากในร่างกายถึงขั้นทับซ้อนกัน ระหว่างกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้อปรากฏการบิดเบี้ยวอันแปลกประหลาด อวัยวะภายในทั้งหมดในร่างกายร่นระยะมาอยู่ใกล้กันหนึ่งเท่ากว่าๆ

ตัวเขาเตี้ยลงช่วงตัวหนึ่ง กลับมาสูงเท่าเดิมในพริบตา ส่วนกล้ามเนื้อปิดบังไม่ได้ แต่สามารถสวมเสื้อสีเข้มเพื่ออำพรางได้

‘จากนี้ค่อยฝึกทักษะสำหรับปกปิดกลิ่นอายเพิ่ม…’ พอลู่เซิ่งยิ้มให้กระจก ก็กลับมาเป็นนักเรียนมัธยมปลายผู้เอาจริงเอาจังอีกครั้ง

ใครจะนึกออกว่านักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งจะเป็นตัวประหลาดที่ต่อยหมัดด้วยพละกำลังที่น่ากลัวได้ถึงสามตันกว่าๆ ยิ่งอย่าว่าแต่พลังที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดอย่างปราณโซ่ภายใน

‘ตอนนี้ถึงเวลาไปโรงยิมแล้ว แถมวันนี้ยังเป็นวันเปิดรับสมัครการทดสอบระดับอาชีพด้วย’ ลู่เซิ่งคำนวณเวลา จากนั้นก็สวมเสื้อนอกพร้อมกับออกจากบ้าน

แม้จะไม่ได้หลับตลอดคืน แต่เขาก็ยังคงกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าตรู่อยู่ดี ไม่นานก็มาถึงโรงยิม ก่อนจะสนทนากับเจ้าของยิมสักพัก

นักมวยระดับอาชีพที่มาทดสอบมาถึงในเวลาไม่นานนัก

นักมวยระดับอาชีพรู้สึกสนใจในตัวอัจฉริยะที่สามารถเลื่อนขึ้นมาจากระดับมือสมัครเล่นในเวลาไม่กี่สัปดาห์มากเช่นกัน

ลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปยังสนามมวยใต้ดินที่ลึกลับอีกแห่งหนึ่งเพื่อดำเนินการทดสอบด้วยการต่อสู้จริง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่เซิ่งก็ถือหนังสือรับรองอันดับเก้าซึ่งเป็นอันดับสูงสุดที่จะมอบให้ได้ในระดับอาชีพออกมาจากโงมวย แล้วมุ่งหน้าไปยังโรงฝึกที่สอง

ในเวลาหนึ่งวัน ลู่เซิ่งทดสอบอันดับระดับอาชีพของสิบกว่าสำนักได้ถึงอันดับเก้า ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดที่พวกเขาจะมอบให้ได้

อันดับที่สูงกว่านี้จะต้องไปยังต้นกำเนิดสำนัก เพื่อเข้าทดสอบรับหนังสือรับรองระดับชาติ

ด้วยเหตุฉะนี้ ลู่เซิ่งจึงกลายเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งที่มีหนึ่งไม่มีสองของระดับอาชีพในคราวเดียว

หลังจากที่เอาชนะราชามวยระดับอาชีพหลายคนที่ว่ากันว่าร้ายกาจที่สุดในเมืองต้นบุปผาได้อย่างง่ายดาย ลู่เซิ่งก็ได้รับเหรียญรางวัลราชามวยเบอร์ชขาวที่สมาคมวิชามวย สมาคมมรรคายุทธ์ หน่วยงานระดับอาชีพ และหน่วยงานระดับประเทศมอบให้ร่วมกัน

จากนั้นก็กลายเป็นนักมวยอันดับสูงระดับอาชีพคนใหม่ที่รับตำแหน่งเร็วที่สุดตั้งแต่ประวัติศาสตร์เคยมีมา

เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเวลาพลบค่ำ ลู่เซิ่งอาศัยแสงไฟริมถนนเดินกลับที่พักของตัวเอง

ในเวลาหนึ่งวันเขาถล่มสำนักมามากมายโดยไม่มีใครสู้ได้ ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร ขอแค่เขาต่อยใส่ ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น

หลังจากแน่ใจในพลังของตัวเอง ลู่เซิ่งกลับผิดหวังอยู่บ้าง

เขาไม่สามารถบีบบังคับให้ยอดฝีมือตัวจริงในตำนานออกมาได้ ในหมู่คู่ต่อสู้ที่สู้ด้วย นอกจากนักมวยอาชีพสองสามคนสุดท้ายที่นับว่าพอใช้ได้แล้ว ที่เหลือล้วนอ่อนแอหมด

พลังระเบิดสามตัน ไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้คนไหน การเข้าไปลองต่อยใส่สักหมัดก็ถือว่าไม่เลว

หากหนึ่งหมัดจัดการไม่ได้ อย่างนั้นก็ใช้สองหมัด

ตุบๆๆ…

เสียงฝีเท้าที่ชัดเจนดังขึ้นบนถนนที่โล่งกว้างอย่างต่อเนื่อง

ลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปตามแสงไฟริมถนนสีเหลืองอ่อน เดินทอดน่องโดยไม่แสดงอาการตกใจ

ที่นี่เป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากบ้านไม่ไกล เป็นทางลัด คนก็เลยมีน้อย ทั้งยังวังเวง

อยู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้า

“หนุ่มน้อย ดึกขนาดนี้แล้ว เดินอยู่ด้านนอกคนเดียวมันอันตรายนะ…” ชายในเสื้อสีขาวที่สวมหน้ากากผีสีแดงโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

อีกฝ่ายมีร่างผอมสูงถึงสองเมตร ดังนั้นพอมองลู่เซิ่งในตอนนี้ จึงให้ความรู้สึกกดดันจากการก้มมอง

ลู่เซิ่งเงยหน้ามองอีกฝ่าย

“คุณเป็นใคร” เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูนิ่งสงบเยือกเย็นเป็นพิเศษในเวลากลางคืน

ไป๋เฉาอันหัวเราะ

“เจ้าหนู ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอไปหาเรื่องคนใหญ่คนโตคนไหนเข้าจนถึงขนาดฉันต้องมาจัดการด้วยตัวเอง น่าเสียดายจริงๆ…คนที่ฉันฆ่าตายไปมีอยู่น้อยมากที่ยังหนุ่มแน่นเหมือนกับเธอ”

“ฆ่าฉันหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง เหมือนกับประมวลผลไม่ทัน

ตอนนี้เขายังคงใส่เสื้อกล้ามรัดรูปของโรงยิมอยู่ จึงเห็นเส้นโค้งเว้าของกล้ามเนื้อที่กำยำได้หมด เพียงแค่มองจากเปลือกนอก ก็สัมผัสความแข็งแกร่งทรงพลังที่แฝงอยู่บนร่างเขาได้แล้ว

“ใช่แล้ว…” ไป๋เฉาอันถอนใจ “เธออายุเท่าน้องชายฉันเลย…น่าเสียดายจริงๆ”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรเลย

ไป๋เฉาอันรู้สึกเหนือคาดเล็กน้อย

“ตอนแรกนึกว่าเธอจะกลัว หรือไม่ก็หนี หรือแจ้งตำรวจอะไรเสียอีก”

ลู่เซิ่งค่อยๆ แกะเชือกที่พันบนท่อนแขนออก

ฟ้าว!

ประกายเย็นเยียบสายหนึ่งวาดผ่านด้านขวาของเขาในทันที

ลู่เซิ่งเบี่ยงศีรษะเล้กน้อย หลบพ้นมีดสั้นแหลมคมที่พุ่งเฉียดไปได้พอดี

ไป๋เฉาอันที่เมื่อครู่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ตอนนี้มาโผล่อยู่ใกล้ๆ เขาไม่ถึงหนึ่งเมตรตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

ไป๋เฉาอันถือมีดสั้นที่ใช้ลงมือเล่มเมื่อครู่ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ข้อมือหายไปจากที่เดิมในพริบตา แล้วโผล่ขึ้นที่เสื้อกล้ามด้านหลังลู่เซิ่ง

ฟ้าว

ปลายมีดสั้นแทงใส่เสื้อกล้าม แต่ลู่เซิ่งกลับหลบได้อย่างหวุดหวิด

โดยที่ย่อตัวลงด้านล่างเท่านั้น

ทั้งสองสู้กันในระยะประชิดอย่างดุเดือด ในเวลาสามวินาที ไป๋เฉาอันเคลื่อนย้ายในพริบตาไปถึงห้าครั้ง ลงมือมากถึงสิบครั้ง

ทุกครั้งลู่เซิ่งจะหลบได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด

ทั้งสองไม่ได้ส่งเสียง ประมือกันอย่างรุนแรงโดยไม่ได้พูดอะไร สิ่งที่แตกต่างก็คือ ตอนแรกเริ่มไป๋เฉาอันยังผ่อนคลาย แต่หลังจากลงมือไม่โดน ความแตกตื่นตกตะลึงในใจก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มีดสั้นสาดแสงเย็นเยียบสีเหลืองอมเงินออกมาใต้แสงไฟ แสงเย็นเยียบหลายสายบางครั้งก็เจิดจ้าแยงตา แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ แม้แต่น้อย

ฟ้าว!

ผ่านไปห้าวินาที ไป๋เฉาอันก็ดีดตัวถอยหลังอย่างฉับพลัน ร่างกายพร่ามัว แล้วไปนั่งยองๆ ลงบนเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร

“เธอ…!?” เขาจ้องมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านล่าง ความตกตะลึงในใจฉายบนใบหน้า

เขาคือผู้ไล่ตามดวงดาว เป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่มีความสามารถกะพริบแสง ทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่เก๋อซาถ่ายทอดพลังให้เชียวนะ!

ระดับแบบนี้ เขากลับทำอะไรคนธรรมดาไม่ได้หรือ

เขาสัมผัสได้ว่าในตัวอีกฝ่ายไม่มีพลังของเก๋อซาที่มีเฉพาะในหมู่ผู้ไล่ตามดวงดาวอยู่แม้แต่น้อย อีกฝ่ายใช้พละกำลังของคนธรรมดาสู้กับตนเองเท่านั้น

แต่เพราะแบบนี้นี่เองที่ทำให้เขาตกตะลึง

“เธอเป็นใครกัน…!?” ไป๋เฉาอันพูดยังไม่ทันจบก็ถูกขัดเสียก่อน

“จะให้โอกาสแกอีกสักครั้ง” ลู่เซิ่งแยกนิ้วพร้อมกับหมุนกำปั้น “ถ้าหากอ่อนแอแบบนี้อีก ฉันจะฆ่าแก”

“ปากดีนักนะ!”

ไป๋เฉาอันเกิดโทสะ ร่างกายกะพริบไปโผล่ด้านหลังลู่เซิ่งอีกรอบ ก่อนจะฟันมีดใส่ท้ายทอย

เคร้ง!

มีดถูกหยุดไว้…ด้วยหมัด!

เพล้ง!

มีดสั้นระเบิดออก ละอองเลือดสายกระจายเต็มพื้น ไป๋เฉาอันกระเด็นหมุนออกไปเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ แล้วหล่นเข้าไปในถุงขยะกองใหญ่ตรงมุมหนึ่งของกำแพง

“แกอ่อนแอเกินไป…” ลู่เซิ่งเดินเข้าไป “ฉันแสดงช่องโหว่ให้แกเห็นสิบสามครั้งเชียวนะ”

“ผู้ไล่ตามดวงดาวคนใหม่หรือ” อยู่ๆ ทางขวามือก็มีเสียงผู้ชายที่เย็นชาลอยมา

ฟิ้ว!

เสียงแหวกลมเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูง ลู่เซิ่งยกมือขวาขึ้นป้องกันด้านหน้าอย่างฉับพลัน

เปรี้ยง!

แสงไฟสีแดงสายหนึ่งระเบิดขึ้นบนมือลู่เซิ่ง พลังระเบิดที่รุนแรงพัดเศษหินและสิ่งของทั้งหมดรอบๆ ออกไป แต่ลู่เซิ่งที่อยู่ใต้แสงไฟกลับไม่เป็นอะไรเลย

เขาสะบัดประกายไฟบนมือทิ้ง แล้วมองไปยังพื้นที่ไป๋เฉาอันเคยอยู่อย่างสงบ ตรงนั้นไม่เหลือใครแล้ว

เมื่อครู่นี้เอง เขาคิดออกแล้วว่าตนเองควรดำดิ่งเข้าไปในโลกใบนี้ด้วยบทบาทแบบไหน

ส่วนมือลอบสังหารคนนั้น ต่อให้ถูกคนพาตัวไปก็ไม่เป็นไร ถ้าหากคอหักแล้วยังรอด ก็ถือว่าเขาโชคดีแล้วกัน

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset