มู่หนานจือ บทที่ 121 ตามหา

บทที่ 121 ตามหา

จ้าวเซี่ยวรู้อยู่แก่ใจ ทว่าก็แอบรู้สึกไม่สบายใจ เขามักจะรู้สึกว่าเวลานี้เจียงเซี่ยนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก หากเขาไม่ทำอะไรสักหน่อย ก็เหมือนจะทิ้งความเสียใจที่เห็นคนลำบากแต่ไม่เข้าไปช่วยเอาไว้

เขาเดินวนอยู่ที่เดิมสองรอบ สุดท้ายความรู้สึกในใจยังคงชนะเหตุผล เขาตัดสินใจไปหาเจียงเซี่ยน

ทางเดินแคบที่มุ่งไปยังบึงต้นอ้อและเรือนห้อยขาถูกน้ำแข็งและหิมะแช่แข็งจนแข็งมาก

เด็กสาวสองคนที่เติบโตในวังตั้งแต่เด็กต้องไม่รู้แน่ว่าตอนฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนเส้นทางสายนี้อันตรายแค่ไหน

จ้าวเซี่ยวอดที่จะดีใจไม่ได้ที่ฤดูหนาวปีนี้ยาวนานเป็นพิเศษ

เรือนห้อยขาโดนลมพัดและเปียกหิมะ ผนังโดยรอบที่สานจากต้นอ้อถูกลมหนาวพัดจนกระจัดกระจายไปตั้งนานแล้ว

จ้าวเซี่ยวปีนขึ้นไปตามบันไดที่ทำจากไม้ไผ่อย่างระมัดระวังมาก และตะโกนเสียงเบาว่า “ท่านหญิงเจียหนาน ท่านหญิงชิงฮุ่ย”

เรือนห้อยขาชั้นบนเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงใด

จ้าวเซี่ยวยื่นหน้าออกไป

ชั้นบนว่างเปล่าและไม่มีคนแม้แต่คนเดียว มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ขาหักริมหน้าต่างเท่านั้นที่บ่งบอกว่าที่นี่เคยมีคนอยู่

หัวใจของจ้าวเซี่ยวเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง

เจียงเซี่ยนไปที่ไหน?

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ออกมาจากจุดชมทิวทัศน์แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดีเช่นกัน ทั้งสองคนจึงเดินเล่นข้างทะเลสาบสือช่า เห็นขันทีกลุ่มหนึ่งตะโกนเรียกชื่อพวกนางอยู่และกำลังหาพวกนางอยู่ไกลๆ ทั้งสองคนไม่อยากกลับไป จึงซ่อนตัวจากคนกลุ่มนั้น และกลับไปที่ห้องอุ่น

ถึงอย่างไรในห้องอุ่นก็อุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ใครจะอยากหนาวจนจมูกแดงก่ำอยู่ข้างนอกตอนที่ไม่มีอะไรทำกัน

ทั้งสองคนพิงที่นั่งคนงาม[1]คุยเรื่องส่วนตัวกัน

เจียงเซี่ยนเตือนไป๋ซู่ว่าหากมีโอกาสก็เตือนให้เฉาเซวียนคิดหาทางสนับสนุนให้หลี่เชียนรวบรวมคนก่อตั้งพรรคพวกและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวที่ซานซี “…ทางฝั่งไทเฮาข้าไม่กังวล แค่กลัวว่าหากไทเฮาไม่อยู่แล้วเฉิงเอินกงจะใช้ชีวิตลำบาก หากมีขุนนางระดับสูงในท้องถิ่นสนับสนุน ฝ่าบาทก็จะให้อภัย และหากไม่อับจนหนทางจริงๆ ก็จะไม่ทำอะไรเฉิงเอินกง ดังนั้นหลังจากเจ้าเข้าไปแล้วก็ต้องเตือนให้เฉิงเอินกงแสดงความเมตตากับตระกูลหลี่เป็นหลัก อย่าแตกหักกับพวกเขาเด็ดขาด”

ไป๋ซู่ขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “นี่จะมีประโยชน์อะไร! หากล่วงเกินฝ่าบาท ราชโองการฉบับเดียวของฝ่าบาทก็สามารถย้ายหลี่เชียนกลับเมืองหลวงได้แล้ว…ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็เป็นของฝ่าบาท”

“เจ้าโง่หรือ!” เจียงเซี่ยนเอ่ย “ผู้คนมักจะกล่าวกันว่า ร้านค้าที่เก่าแก่และใหญ่มักจะเย็นชากับลูกค้า ลูกค้าที่มีฐานะร่ำรวยมักจะจงใจกลั่นแกล้งร้านค้า ขอเพียงเจ้ากล้าหาญพอ จับซานซีไว้ในมือให้แน่น ต่อให้ฝ่าบาทอยากโยกย้ายตำแหน่ง ก็ต้องชั่งใจสักหน่อยว่าใครจะรับช่วงต่อได้…”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สองสามปีนี้ท้องพระคลังว่างเปล่า ต่อให้จ้าวอี้คิดจะปรับปรุงด้านการทหาร ภาษีที่นากับภาษีต่างๆ ของเจียงหนานยังจัดการไม่เรียบร้อย เขาก็ไม่มีทั้งกะจิตกะใจและกำลังที่จะปรับปรุง กว่าเขาจะตั้งสติได้ก็อีกหลายปี…เวลานั้นไม่ต้องพูดถึงหลี่เชียน แม้แต่อ๋องเหลียว เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเช่นกัน

ทว่าเรื่องพวกนี้บอกไป๋ซู่เร็วเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบอกไป๋ซู่อย่างไร จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าก็เชื่อข้าเถอะ! ข้าไม่มีทางดูคนผิดหรอก ข้าคิดว่าไม่ว่าจะเป็นหลี่เชียนหรือจ้าวเซี่ยว กระทั่งอ๋องเหลียวก็ล้วนเป็นคนมีความสามารถที่น่าฝึกฝนและไปได้ไกลทั้งนั้น แค่ดูว่าคนไหนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเราที่สุด ใครที่ถูกพวกเราใช้งานแล้ว…”

“ดังนั้นเจ้าถึงเข้าหาหลี่เชียนใช่หรือไม่?” ไป๋ซู่เบิกตาโต เรื่องบางเรื่องที่ถูกนางมองข้ามไปก่อนหน้านี้ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในความทรงจำของนาง

หากนางอยากกำจัดจ้าวอี้ก็มีวิธีมากมาย เพียงแต่สนับสนุนให้หลี่เชียนลงมือมันง่ายกว่าเท่านั้นเอง จะเรียกว่า ‘ใช้เป็นเครื่องมือ’ ได้อย่างไร ต่อให้ ‘ใช้เป็นเครื่องมือ’ นั่นก็เป็นสถานการณ์ที่ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว! ข้าไม่ได้อยากเข้าหาหลี่เชียน แต่เขาอยากเข้าหาข้าต่างหาก!”

ไม่แน่อาจจะเหมือนกับชาติก่อน อาศัยกำลังของนางทำให้ตระกูลหลี่แข็งแกร่ง เพียงแต่ชาติก่อนนางเป็นไทเฮา จึงได้มากกว่า ชาตินี้นางเป็นเพียงท่านหญิงเจียหนานเล็กๆ คนหนึ่ง อยากได้ก็ต้องใช้กำลังมาก

เพียงแค่นางคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกหดหู่และใจร้อน

เจียงเซี่ยนเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เจ้าบอกสิ่งที่ข้าคิดกับเฉิงเอินกงก็พอแล้ว ข้ายังจะทำร้ายเจ้างั้นหรือ?”

ไป๋ซู่พยักหน้าอย่างงุนงง นางรู้ว่าเบื้องหลังเจียงเซี่ยนคือเจียงเจิ้นหยวน บางทีอาจจะได้ยินข่าวอะไรบางอย่างจากที่ไหน หากตนเองแต่งงานกับเฉาเซวียนแล้ว จวนเป่ยติ้งโหวกับจวนเฉิงเอินกงก็กลายเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันแล้ว ทั้งสองตระกูลเหมือนลงเรือลำเดียวกัน ใครก็อย่าได้คิดที่จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับตนเอง งั้นจวนเป่ยติ้งโหวเข้าหาหลี่เชียนก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน นางต้องเตือนบิดาของตนเองสักหน่อยหรือไม่ ก็เห็นม่านของห้องอุ่นถูกคนสะบัดเปิดอย่างแรง จนกระแทกกรอบประตูข้างๆ

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ตกใจ แล้วก็เห็นจ้าวเซี่ยวเดินเข้ามาโดยที่เหงื่อตกเต็มศีรษะ

“ที่แท้ท่านอยู่นี่นี่เอง!” เขาพึมพำ สีหน้าที่ตึงเครียดพลันผ่อนคลายลงในทันใด แล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตัวคนก็เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาเช่นกัน “ท่านหญิง ท่านทำให้พวกเราลำบากตามหาอยู่นานสองนาน”

ความกังวล ความกลัว และความกระวนกระวายที่หามาตลอดทางมาถึงอย่างคาดไม่ถึง จ้าวเซี่ยวพลันอ่อนระโหยโรยแรงในทันใด สองขาของเขาอ่อนแรง จึงพิงอยู่ข้างกรอบประตู

เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก จึงเอ่ยว่า “เจ้าก็ตามหาข้าเหมือนกันหรือ!”

จ้าวเซี่ยวพยักหน้า รู้สึกว่าเรี่ยวแรงกลับคืนสู่ร่างกายของตนเองทีละนิด “ท่านหายไป ใครยังมีกะจิตกะใจไปดูการละเล่นน้ำแข็งพวกนั้น”

เจียงเซี่ยนอดที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อยไม่ได้ และเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ของข้าล่ะ? เขาก็กำลังหาข้าอยู่เหมือนกันหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

ตนเองปลอดภัยดี ก็ควรจะบอกเจียงลวี่สักหน่อยถึงจะถูก

“ไม่ต้องแล้ว” ทางจุดชมทิวทัศน์ที่ฮ่องเต้นั่งนั้นยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จ้าวเซี่ยวยิ้มและเอ่ยว่า “เจียงลวี่ปลีกตัวออกมาไม่ได้ จึงยังคุยเป็นเพื่อนฝ่าบาทอยู่!”

ก็หมายความว่า ไม่ใช่ว่าจ้าวเซี่ยวขัดคำสั่งไม่ได้ แต่เขาอาสามาหานางเอง

เจียงเซี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย

แววตานางเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาก และลุกขึ้นขอบคุณจ้าวเซี่ยว “ขอบคุณซื่อจื่อจิ้งไห่โหวมาก ข้าไม่เป็นไร แค่ตรงจุดชมทิวทัศน์หนาวเกินไป จึงกลับมากับไป๋ซู่ก่อน”

บอกออกไปแบบนี้ดีที่สุดแล้ว

จ้าวเซี่ยวยิ้มพลางพยักหน้า และเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ดี! งั้นข้ากลับไปแล้ว!”

เจียงเซี่ยนส่งจ้าวเซี่ยวออกจากห้องอุ่นด้วยตนเอง ทว่าพอกลับมากลับเห็นไป๋ซู่ถือถ้วยชาอยู่ในมือเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง น้ำชาเกือบเอียงหกลงมาก็ไม่รู้ตัว

“คิดอะไรอยู่น่ะ?” เจียงเซี่ยนยิ้มพลางตบบ่าของไป๋ซู่

ไป๋ซู่เอ่ยว่า “อ้อ” และได้สติกลับมา นางคิดแล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เป่าหนิง เจ้ารู้สึกไหมว่า ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวเป็นห่วงเจ้ามาก!”

ไม่รู้สึก!

เจียงเซี่ยนตอบในใจ

นางจำได้เพียงว่าตอนที่อยู่ในตำหนักจินหลวนจ้าวเซี่ยวดูเงียบขรึมและพูดน้อย

ไป๋ซู่เห็นนางไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว ก็ทำได้เพียงเอ่ยต่อว่า “เป่าหนิง ข้าหวังว่าเจ้าจะหาเจ้าบ่าวที่ถูกใจได้ในเร็ววัน เหมือนข้ากับเฉิงเอินกง อย่างน้อยมีฝ่ายหนึ่งพอใจก็มีน้อยมากแล้ว คู่แต่งงานทั้งสองคนต่างพอใจกันและกัน ตลอดหลายปีมานี้ก็มีเพียงพ่อแม่ของเจ้าเท่านั้น…เป่าหนิง เจ้ายังเคยเตือนข้าเลย! เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า”

เจียงเซี่ยนแปลกใจ

นี่ไป๋ซู่จะให้นางคิดเรื่องแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวหรือ?

“ข้าหมายความตามนั้น” ไป๋ซู่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าคิดว่าแต่งงานกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวเป็นอย่างไร?”

เจียงเซี่ยนไม่เคยคิดถึงจ้าวเซี่ยวด้วยซ้ำ

“ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ!” นางอดที่จะเอ่ยไม่ได้ “คนๆ นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมาก ยิ่งกว่านั้นต่อไปเขาต้องสืบทอดงานของตระกูล ให้ข้าแต่งงานไปอยู่ไกลถึงฝูเจี้ยน เจ้าเนรเทศข้าไปเสฉวนจะดีกว่า อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าตนเองต้องเผชิญกับอะไรกันแน่…แต่งงานกับจ้าวเซี่ยว ไม่แน่วันไหนข้าถูกเขาฆ่าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก!”

ไป๋ซู่สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ไม่ได้จริงๆ หรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าแต่งงานไปอยู่ฝูเจี้ยนก็ไม่เลว สถานที่ห่างไกลจากผู้คน เจ้าอยากทำอะไรก็ทำได้…”

———————————-

[1] ที่นั่งคนงาม ม้านั่งไม้ยาวที่มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปทางด้านหลังคล้ายกับคอห่าน

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset