ภรรยาคั่นเวลา ชุด Sweet temptations 56

ตอนที่ 56

สามเดือนผ่านไปแล้วสินะกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในโกดังร้างที่หัวหิน แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านเลยไปนานสักเท่าไหร่ สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา

ภาพของกฤติชัย ที่หล่อนเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงที่ชายหนุ่มรักมาโดยตลอดก็คือนารีรัตน์พี่สาวฝาแฝดนอนจมกองเลือดและสิ้นใจตายไปต่อหน้าต่อตา ภาพกระบอกปืนในมือของพี่สาวที่เล็งมายังร่างของหล่อน น้ำเสียงเหี้ยมโหด รอยยิ้มเลือดเย็นของนารีรัตน์ที่ดังลั่นขึ้นภายในโกดังร้าง คำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อหล่อน ทุกอย่างมันยังฝังลึกอยู่ในใจเสมอมา ไม่อาจจะลบเลือนได้

หล่อนยังจำได้ดีว่าบิดามารดาร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจมากแค่ไหน เมื่อเห็นนารีรัตน์กรีดร้องลั่นตลอดเวลาภายในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งหล่อนเองก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

“คิดอะไรอยู่หรือ ที่รัก” เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนอบอุ่นที่สวมกอดมาจากทางด้านหลัง ทำให้อลินดาอดที่จะระบายยิ้มสุขใจออกมาไม่ได้

“เลิกงานแล้วเหรอคะ”

หล่อนหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับแซคคารีย์ที่ตอนนี้กลายเป็นสามีของหล่อนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และก็กำลังจะกลายเป็นคุณพ่อคนใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้วเช่นกัน

“ความจริงยังไม่ถึงเวลาเลิกงานหรอก แต่ฉันคิดถึงเมียน่ะก็เลยแอบหนีกลับบ้านมาก่อน”

แล้วแก้มสาวก็ถูกจูบฟอดใหญ่

อลินดาระบายยิ้มก่อนจะย่นจมูกใส่สามีอย่างหมั่นเขี้ยว “โดดงานบ่อยแบบนี้ เดี๋ยวโรงแรมก็เจ๊งกันพอดีหรอกค่ะ”

“มันสมองระดับฉัน ไม่มีทางปล่อยให้เจ๊งง่ายๆ หรอกน่ะ”

แซคคารีย์อมยิ้มขณะประคองร่างอวบอิ่มขึ้นผิดหูผิดตาของภรรยาให้ไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง

“วันนี้แพ้ท้องไหมทูนหัว”

“วันนี้ยังไม่อ้วกเลยค่ะ แค่อยากกินของเปรี้ยวๆ บ่อยขึ้น”

“แล้วผลไม้ดองที่ฉันซื้อมาให้ล่ะ กินหมดหรือยัง”

อลินดาระบายยิ้มขัดเขิน

“ลินดากินหมดไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะค่ะ”

แซคคารีย์ได้ยินก็หัวเราะร่วน ยกมือขึ้นยีเส้นผมของภรรยาอย่างแสนรัก

“กินเก่งน่ะเราน่ะ”

“ก็มันอร่อยนี่คะ”

ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วดวงหน้างามของภรรยา ก่อนจะก้มลงจูบปากอิ่มอย่างเอ็นดู

“เดี๋ยวฉันให้คนออกไปซื้อมาให้ใหม่ เธอจะได้หายเปรี้ยวปากดีไหม”

“จริงเหรอคะ”

“จริงสิ ฉันจะหลอกเมียทำไมกันล่ะ”

อลินดาหัวเราะเอียงอาย แก้มนวลแดงระเรื่อ พลางยกมือขึ้นทาบบนแผงอกกำยำที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าเราสองคนจะมีวันนี้ด้วย”

“ทำไมล่ะ”

“ก็…”

หล่อนช้อนตาขึ้นมองคนตัวโตที่ตอนนี้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา

“เมื่อก่อนคุณแซคเกลียดชังลินดาจะตายไป เจอหน้าก็ด่าก็ว่า ลินดาก็เลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราสองคนจะรักกัน”

แซคคารีย์ดึงมือเล็กมากุมเอาไว้ พลางยกขึ้นจูบแผ่วเบา จากนั้นก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตางดงามของภรรยา

“ก็เธอน่ารักนี่ แล้วเธอก็เป็นคนดีด้วย อย่างนี้ฉันจะไม่รักเธอได้ยังไงกัน อลินดา”

น้ำเสียงของแซคคารีย์นุ่มนวลอ่อนหวาน จนคนฟังอดที่จะน้ำตาปริ่มขอบตาไม่ได้

“ลินดาก็รักคุณแซคนะคะ”

“ถึงเธอไม่บอกฉันก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเธอต้องรักฉัน ก็ในเมื่อฉันออกจะหล่อเหลาขนาดนี้”

“คนบ้า… คนหลงตัวเอง” อลินดาอดไม่ได้ที่จะย่นจมูกใส่สามีตัวโตอย่างหมั่นไส้

“แล้วเธอรักฉันจริงไหมล่ะ”

“ก็… รักค่ะ”

อลินดาอ้อมแอ้มตอบออกไปอย่างขัดเขิน

“แต่ลินดาไม่ได้รักคุณแซคที่รูปร่างหน้าตานะคะ แต่ลินดาตกหลุมรักคุณแซคเพราะว่า… ข้างในของลินดาสั่งให้รักค่ะ”

“อะไรคือข้างในหรือ”

คนตัวโตดันร่างอวบอิ่มของอลินดาให้ล้มนอนหงายลงกับเตียง ก่อนที่ตัวเองจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง และสวมกอดเอาไว้แนบแน่น

“ก็หัวใจของลินดายังไงล่ะคะ มันบอกว่าให้ตกหลุมรักคุณแซคตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นหน้าน่ะค่ะ”

แซคคารีย์ให้รางวัลคนพูดจาไพเราะเสนาะหูด้วยจุมพิตหวานล้ำ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหิวกระหายเร้าอารมณ์ในที่สุด

“ข้างในของฉันก็สั่งให้รักเธอเหมือนกันลินดา”

ทั้งคำพูดและสายตาของแซคคารีย์ช่างหวานล้ำไม่ต่างจากจุมพิตเมื่อครู่นี้เลยแม้แต่น้อย แค่เขามองหล่อนก็ระทดระทวยร้อนฉ่าไปหมดแล้ว

“คุณแซค…”

หญิงสาวตื้นตันจนน้ำตาไหลไม่หยุด

“แต่ถึงอย่างไรซะ เราก็ต้องขอบคุณโชคชะตาด้วย โชคชะตาจับเธอโยนเข้ามาในชีวิตของฉัน เพราะถ้าวันนั้นเธอไม่ได้มาเป็นเจ้าสาวแก้ขัดแทนนารี เราสองคนก็คงไม่มีวันนี้หรอก จริงไหม”

“จริงค่ะ” อลินดาตอบรับอย่างตื้นตันใจ

แซคคารีย์กอดกระชับร่างอวบอัดของภรรยาเอาไว้แนบอกอย่างหวงแหน

“เราผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันมากมาย ดังนั้นอย่าทอดทิ้งฉันไปไหนเด็ดขาดนะ เข้าใจไหม ลินดา…”

หล่อนช้อนตามองเขาผ่านม่านน้ำตา และก็มอบรอยยิ้มหวานที่มันมาจากหัวใจให้กับเขา

“คุณแซคทำลินดาท้องโย้แบบนี้ ลินดาจะไปไหนรอดล่ะคะ”

แซคคารีย์จุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากเนียนอย่างแสนรัก

“โอเค งั้นฉันจะทำให้เธอท้องโย้ทุกปีเลย ฉันจะได้มั่นใจว่าเธอจะไม่หนีฉันไปไหนอีกแล้ว”

“คุณแซคน่ะ ลินดาไม่ใช่แม่วัวนะคะที่จะตั้งท้องได้ทุกปีน่ะ”

หล่อนพ้อขัดเขิน แก้มนวลก็แดงก่ำ

“แต่ฉันอยากเป็นพ่อวัวนี่น่า อยากมีลูกเยอะๆ เอาแบบตั้งทีมฟุตบอลเองได้เลยยิ่งดี”

“ไม่เอานะคะ ลินดาตั้งท้องเยอะขนาดนั้นไม่ไหวหรอกค่ะ”

อลินดาบ่นกระปอดกระแปด

“ไหวสิ แล้วเรามาดูกัน”

“งั้นเอาแค่ทีมฟุตซอลได้ไหมคะ น้อยลงมาหน่อย”

คำวิงวอนของภรรยาหน้าหวานทำให้แซคคารีย์ต้องยกมือขึ้นขยี้เส้นผมนุ่มของเจ้าหล่อนอย่างหมั่นไส้ระคนเอ็นดู

“ยัยบ๊อง”

“แน่ะ มาว่าลินดาทำไมกันคะ”

นิ้วยาวของแซคคารีย์สอดกระชับเข้ามาในกลุ่มเส้นผมนุ่มของอลินดา และเขาก็พลิกตัวขึ้นทาบทับเอาไว้

“ไม่ว่าก็ได้ แต่จะทำเลย”

“คุณแซคจะทำอะไรคะ”

อลินดายิ้มหวานรู้ดีว่าสามีจะทำอะไร แต่ก็ถามแกล้งขัดเขินไปอย่างนั้นเอง

“ฉันจะเข้าไปเยี่ยมเยียนลูกของเราในท้องของเธอไง”

“คุณแซคน่ะ”

“เธอไม่ต้องการหรือ”

อลินดายิ้มหวานอีกครั้ง ยกมือขึ้นกอดรัดรอบเรือนกายทรงพลังของแซคคารีย์เอาไว้อย่างแสนรัก

“ไม่ปฏิเสธต่างหากค่ะ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มกว้างอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนจะจัดการทำให้แม่ภรรยาสาวแสนสวยครางสะท้านต่อเนื่องหลายชั่วโมงติด และแน่นอนว่าหล่อนจะต้องครางด้วยความสุขสมใต้ร่างของเขาแบบนี้ ไปชั่วนิรันดร์

อวสาน

“พี่นารีอย่านะ อย่าฆ่าเขาเลย พี่นารี…” อลินดาพยายามอ้อนวอนให้พี่สาวเปลี่ยนใจ

นารีรัตน์ตวัดตามองน้องสาวเขม็ง ก่อนจะแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม “มึงน่ะคิวต่อไป นังลินดา”

เปรี้ยง!

เสียงปืนดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ร่างของกฤติชัยก็ล้มหงายลงไปกับพื้น เลือดสีแดงสดไหลรินออกมามากกว่าเดิม อลินดากรีดร้องด้วยความตกใจ ในขณะที่นารีรัตน์หัวเราะออกมาราวกับคนบ้า

“มึงสมควรตายแล้วไอ้กฤติชัย”

“พี่นารี… พี่ฆ่าเขาทำไม… เขารักพี่มากนะ”

นารีรัตน์หันกลับมามองอลินดา และย่างสามขุมเข้ามาหา

“แต่กูเกลียดมัน มึงเข้าใจไหม กูเกลียดมันพอๆ กับที่กูเกลียดมึงนั่นแหละ”

“โอ๊ย พี่นารี ฉันเจ็บนะ”

เส้นผมนุ่มของอลินดาถูกพี่สาวขยุ้มอีกครั้งแรงๆ “เอาไว้แกไปปลอบใจไอ้กฤติชัยในนรกก็แล้วกันนะ อีลินดา”

ปลายกระบอกปืนในมือของนารีรัตน์ถูกหมุนมาจ่อที่ขมับของอลินดาอีกครั้ง

“พี่นารี… อย่าทำบาปอีกเลยนะจ๊ะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

“มึงต้องตายสถานเดียว อีลินดา!”

รอยยิ้มหยันบนใบหน้าของนารีรัตน์บิดเบี้ยวน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน และนิ้วเรียวของพี่สาวก็กำลังขยับเหนี่ยวไกปืน นี่หล่อนกำลังจะตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม

“แล้วฉันจะทำบุญไปให้นะ น้องสาวที่รัก”

“อย่า…”

อลินดาหลับตาแน่นและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เมื่อรับรู้ว่าสมองของตัวเองกำลังจะกระจุยในเสี้ยววินาทีนั้น แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักลง พร้อมๆ กับเสียงร้องลั่นของนารีรัตน์ดังขึ้นมาแทน หล่อนรีบลืมตาขึ้น ก็พบว่าตอนนี้ภายในโกดังร้างไม่ได้มีแค่หล่อนกับนารีรัตน์ และร่างไร้ลมหายใจของกฤติชัยเท่านั้น แต่ยังมีแซคคารีย์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนายด้วย

“คุณแซค…”

หล่อนครางออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด

“ฉันมาช่วยเธอแล้ว ลินดา”

แซคคารีย์ละสายตาจากร่างของภรรยาที่ถูกมัดตึงเอาไว้กับเก้าอี้ และหันไปกระชากคอเสื้อของนารีรัตน์ที่ล้มกองอยู่กับพื้นติดมือขึ้นมา จากนั้นก็เหวี่ยงร่างเล็กของนารีรัตน์ไปชนกับผนังโกดังร้างเต็มแรง ร่างของนารีรัตน์ร่วงหล่นลงกับพื้นราวกับเศษขยะ

ชายหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้า และยื่นมือไปบีบปลายคางของนารีรัตน์แน่น ใบหน้าหล่อเหลาดุดันเหี้ยมเกรียม และเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น

“กล้าดียังไงมาแตะต้องเมียของฉัน นารีรัตน์!”

“คุณแซค… นารีขอโทษ”

นารีรัตน์บีบน้ำตาพ่ายแพ้ออกมาท่วมใบหน้า

“ให้อภัยนารีนะคะ ที่นารีทำไปทุกอย่างก็เพราะนารีรักคุณ นารีไม่อยากเสียคุณไป”

“แต่ผมไม่ได้รักคุณ ผมรักอลินดา น้องสาวของคุณ!”

นารีรัตน์ส่ายหน้าไปมาราวกับคนบ้า และกรีดร้องลั่น

“ไม่จริง คุณรักนารี คุณเคยบอกว่ารักนารีคนเดียว และคุณก็บอกว่าคุณเกลียดนังลินดา แต่ที่คุณต้องรับมันเป็นเมียก็เพราะคุณพลาดไปมีอะไรกับมันเข้าต่างหากล่ะ ความจริงแล้วคุณรักนารี… ใช่ไหมคะคุณแซค คุณรักนารีคนเดียว…”

ตอนนี้นารีรัตน์พูดออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง

“ถ้าไม่มีนังลินดา คุณก็จะกลับมาหานารี… ใช่ไหมคะ ใช่ไหมคะคุณแซค”

“ฟังให้ดีนะ นารีรัตน์ ผู้หญิงที่ผมรักคือผู้หญิงที่คอยเอาใจใส่ผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ผู้หญิงที่ทิ้งผมไปมีผู้ชายคนอื่นอย่างที่คุณทำนารีรัตน์”

“ไม่นะคะคุณแซค… นารีอธิบายได้…”

“หยุดเถอะ และยอมรับกับสิ่งที่คุณทำลงไปซะ”

แซคคารีย์ผลักร่างของนารีรัตน์ออกห่างอย่างรังเกียจ และกำลังจะเดินเข้าไปหาอลินดา แต่นารีรัตน์ตามมาคว้าขาเอาไว้เสียก่อน

“อย่าทิ้งนารีไปนะคะคุณแซค นารีรักคุณ”

แซคคารีย์หยุดเดิน และก้มลงแกะมือของนารีรัตน์ออกจากท่อนขาของตัวเอง

“คุณไม่เคยรักใครมากกว่าตัวเองหรอก นารีรัตน์”

“คุณแซค!” นารีรัตน์กรีดร้องเสียงดังลั่น ก่อนจะล้มพับหมดสติไปในที่สุด

“พี่นารี… คุณแซค… พี่นารีเป็นอะไรไปคะ” อลินดามองพี่สาวด้วยความเป็นห่วง แซคคารีย์ที่กำลังแกะเชือกที่พันธนาการมือของอลินดาให้อยู่ เค้นเสียงตอบออกมาอย่างหงุดหงิด

“เธอยังจะไปสนในนารีรัตน์อีกทำไม นี่แม่นั่นกำลังจะฆ่าเธอนะ แล้วถ้าฉันมาไม่ทัน อะไรจะเกิดขึ้น แม่คุ๊ณ”

ชายหนุ่มคำรามเสียงเดือดดาล มองหน้าภรรยาด้วยสายตาโล่งอกระคนโมโห

“คือลินดา…”

“ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมให้ระวังตัว เคยเชื่อกันบ้างไหม”

อลินดาช้อนตามองแซคคารีย์ที่กำลังหน้าบูดเบี้ยวด้วยความรู้สึกละอายใจ

“ลินดาขอโทษที่ทำให้คุณแซคต้องลำบาก…”

“มันไม่ใช่แค่ความลำบาก แต่เธอทำให้ฉันกลัว อลินดา”

“คุณแซค… กลัวอะไรเหรอคะ” หล่อนถามออกมาน้ำตาคลอสองหน่วยตา

แซคคารีย์มองจ้องหน้าอลินดาอย่างโมโห “ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือว่าฉันกลัวอะไร”

“ก็ลินดาไม่ทราบนี่คะ” สาวน้อยน้ำตาร่วงเมื่อถูกตะคอกจนขวัญเสียแล้วเสียอีก

“ฉันก็กลัวเธอจะตายน่ะสิ ยัยโง่เอ้ย”

แล้วแซคคารีย์ก็รั้งร่างสั่นเทาของภรรยาเข้าไปกอดแนบอก ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบประโลม

“รู้ไหมว่าฉันแทบบ้า ตอนที่แม่ของเธอโทรมาบอกว่าเธอหายไปพร้อมกับนารี”

“แม่… แม่โทรบอกคุณแซคเหรอคะ”

หล่อนดันตัวออกจากอ้อมอกของของเขา และเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

“ใช่ แม่ของเธอโทรบอกฉัน ให้ฉันรีบมาห้ามนารีไม่ให้ทำอะไรเธอ แม่ของเธอกลัวว่านารีจะติดคุก”

อลินดาเม้มปากแน่น น้ำตาไหลรินไม่หยุด แซคคารีย์รั้งร่างเล็กที่สั่นเทาเพราะแรงสะอื้นเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง อย่างเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว

“อย่าคิดมากนะ ถึงแม่ของเธอจะรักนารีมากกว่าเธอ แต่ฉันคนนี้ก็จะรักเธอมากที่สุดในโลก”

“คุณแซค… อย่ามาปลอบใจลินดาด้วยคำโกหกเลยค่ะ”

“ฉันไม่ได้โกหกนะ ฉันรักเธอจริงๆ อลินดา…”

แซคคารีย์ไม่ลังเลขัดเขินใดๆ อีกแล้วในการบอกรัก เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มันทำให้เขากลัว กลัวว่าอาจจะเสีย อลินดาไปชั่วชีวิต

“ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองรักเธอมากแค่ไหน จนกระทั่งตอนที่ฉันรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย และอาจจะตายจากฉันไปได้ทุกเมื่อ หัวใจของฉันก็เจ็บปวดเหลือเกิน… กลัวว่าจะต้องเสียเธอไป”

อลินดาดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม ช้อนตาที่ฉ่ำไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองเขา

“คุณแซคก็แค่รักผู้หญิงคนที่ถักผ้าพันคอให้คนนั้นต่างหากล่ะคะ”

“ไม่ใช่…”

แซคคารีย์ส่ายหน้าไปมา ทั้งสายตาและน้ำเสียงที่เปล่งออกมาหนักแน่นและมั่นคงจนหัวใจของอลินดาสั่นสะเทือน

“ฉันรักเธอก็เพราะเธอคืออลินดาต่างหาก”

“แล้วถ้าลินดาไม่ใช่ผู้หญิงคนที่ถักผ้าพันคอส่งให้คุณแซคล่ะคะ คุณแซคยังจะรักอยู่อีกไหม”

ศีรษะทุยทระนงของแซคคารีย์ผงกรับในทันที และยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ฉันรักเธอก็เพราะเธอเป็นเธอ อลินดา ได้โปรดอย่าสงสัยในความรักของฉันอีกเลยนะ”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการวิงวอนเป็นครั้งแรกในชีวิต

“รู้ไหมว่าฉันทรมานแค่ไหน ตอนที่ฉันคิดว่านารีอาจจะฆ่าเธอตายไปแล้ว”

“นี่คุณแซค… ตัวจริงใช่ไหมคะ”

ในที่สุดคนตัวเล็กที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ก็ยกมือขึ้นลูบๆ คลำๆ ร่างกายสูงใหญ่ของแซคคารีย์ “ไม่ใช่เทวดาใจดีที่ไหนใช่ไหมคะ”

“ฉันตัวจริงเสียจริงเลยล่ะ”

“แต่… คุณแซคตัวจริงไม่ได้ใจดีแบบนี้นี่คะ” อลินดายังคงไม่อยากจะเชื่อ

“งั้นจะพิสูจน์ให้ดูว่าฉันตัวจริงเสียงจริงแค่ไหน”

“อุ๊บบบบ อื้อ…”

อลินดาระบายยิ้มออกมาพร้อมๆ กับหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ เมื่อจุมพิตร้อนฉ่าที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนกลีบปากของหล่อนมันแสนจะคุ้นเคย

“คุณแซคตัวจริง จริงๆ ด้วย”

แซคคารีย์หรี่ตาแคบมองภรรยาด้วยความเสน่หาและแสนห่วงใย

“เรากลับกันเถอะ”

“แล้วพี่นารีล่ะคะ”

“ตำรวจจะจัดการเองนั่นแหละ เราอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

อลินดาหันไปมองร่างของพี่สาวฝาแฝดที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้นโกดังด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่มีตำรวจหลายนายกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่

“ไปเถอะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะพาไปให้ปากคำที่โรงพัก”

“ค่ะ”

แซคคารีย์โอบประคองร่างของอลินดาเดินออกไปจากโกดังร้าง ทิ้งคราบเลือดและรอยน้ำตาเอาไว้เบื้องหลัง รถคันงามพุ่งทะยานออกไปจากความมืดมิด มุ่งหน้าขึ้นสู่ท้องถนนด้วยความเร็วสูง

อลินดามองออกไปนอกกระจกรถ ความรู้สึกหดหู่เศร้าหมองยังคงเกาะกินอยู่ภายในหัวใจมากมาย หล่อนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้มันจะเป็นเรื่องจริง

“คิดอะไรอยู่หรือ ลินดา”

“ลินดาสงสารพี่นารีน่ะค่ะ”

“ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลของการกระทำนั้น ซึ่งนารีทำกรรมชั่ว ดังนั้นก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย เธอหรือแม้แต่แม่ของเธอก็ไม่มีใครสามารถช่วยเหลืออะไรได้”

อลินดารู้ดีว่าสิ่งที่แซคคารีย์พูดมันคือเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“แม่กับพ่อคงจะเสียใจมาก”

“พวกท่านเองก็มีส่วนผิดที่รักลูกลำเอียง ตามใจนารีจนเสียคนแพ้ไม่เป็นแบบนี้ และนี่ก็คือบทเรียนราคาแพงที่พวกท่านจะต้องก้มหน้ายอมรับมันเช่นกัน”

อลินดานั่งนิ่งเงียบด้วยความทุกข์ใจ จนกระทั่งคนตัวโตยื่นมือมากุมมือเล็กเอาไว้ และบีบเบาๆ ให้กำลังใจ

“จำเอาไว้นะ ว่าเธอจะมีฉันไปชั่วชีวิต”

หญิงสาวเอียงหน้ามองเสี้ยวหน้าคมสันของแซคคารีย์ด้วยความซาบซึ้งใจ ผู้ชายที่เคยบอกว่าเกลียดหล่อน ขยะแขยงหล่อน และทำให้หล่อนเสียใจมาตลอด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนเดียวที่รักและห่วงใยหล่อนอย่างจริงใจ

“ขอบคุณนะคะคุณแซค…”

“ขอบคุณฉันด้วยการมีลูกให้ฉันหลายๆ คนก็พอ”

คนตัวโตหัวเราะร่วน ในขณะที่อลินดาระบายยิ้มขัดเขินออกมา และนั่งแก้มแดงก่ำไปตลอดเส้นทาง

“มึงไม่มีสิทธิ์มาคาดเดาอะไรทั้งนั้นนังลินดา มึงคอยดูกูมีความสุขอยู่ในนรกก็แล้วกัน”

“พี่นารี… อย่าฆ่าฉันเลยนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

“มันสายเกินไปแล้วล่ะ กูถอยหลังไม่ได้แล้ว”

นารีรัตน์ขยับตัวถอยออกห่างร่างของอลินดา และเล็งปืนในมือไปที่ศีรษะของน้องสาว

“มึงอย่าอยู่แย่งความสุขของกูไปอีกเลย อีลินดา”

“อย่าพี่นารี… อย่าทำฉัน!”

อลินดาพยายามอ้อนวอนขอชีวิต แต่พี่สาวที่หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะใจร้ายแบบนี้ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจ นิ้วของนารีรัตน์กำลังจะเหนี่ยวไกปืน แต่แล้วก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน

“เจ้… ไอ้ผู้ชายที่เจ้ให้ผมยิงมันน่ะ มันหนีไปได้”

ไอ้ต้นวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขัดจังหวะนารีรัตน์”

“มึงเป็นมือปืนประสาอะไรวะไอ้ต้น แค่ผู้ชายความจำเสื่อมคนเดียว มึงฆ่ามันไม่ได้ นี่มันครั้งที่สองแล้วนะที่มึงทำพลาดน่ะ”

นารีรัตน์ตวาดใส่มือปืนที่ตัวเองจ้างมาให้ยิงกฤติชัยด้วยความหงุดหงิด

“ผมก็กำลังจะยิงมันแล้วเจ้ แต่มันสู้ผมน่ะ แล้วมันก็ตัวใหญ่กว่าผมด้วย ดูสิมันต่อยผมซะปากแตกเลย นี่กว่าผมจะหนีลูกกระสุนของมันมาได้ ผมก็แทบตายนะเจ้”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”

“ผมไม่รู้ครับ ผมหนีรอดมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

นารีรัตน์มองไอ้ต้นอย่างโมโห

“มึงรีบไปตามหามันให้เจอ ถ้ามันไปแจ้งตำรวจ พวกเราก็จบเห่กันพอดีน่ะสิ”

“แต่มันมืดน่ะเจ้ ผมจะไปตามหามันเจอได้ยังไงล่ะ”

“งั้นมึงก็เลือกเอาว่าจะติดคุกหรือจะตามไปยิงมันให้หัวกระจุย ไอ้ต้น!”

อลินดามองพี่สาวของตัวเองที่สั่งฆ่าผู้ชายอีกคนด้วยความตื่นกลัว หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่สาวจะมีจิตใจเหี้ยมโหดได้มากขนาดนี้

“พี่นารีพอเถอะ อย่าฆ่าใครอีกเลย”

นารีรัตน์หันมามองน้องสาว มองด้วยความเกลียดชัง

“มึงยังเอาตัวเองไม่รอดเลยอีลินดา อย่าริอ่านขอร้องแทนคนอื่น อีน้องระยำ!”

“ถ้าพี่ฆ่าฉันแล้ว พี่จะมีความสุข พี่ก็ทำเถอะ แต่อย่าไปฆ่าคนอื่นอีกเลย”

นารีรัตน์หัวเราะชั่วร้าย เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าน้องสาว และเอามือขยุ้มเส้นผมนุ่มของอลินดาแรงๆ

“เป็นคนดีเหลือเกินนะมึงน่ะ งั้นไปทำดีต่อในนรกก็แล้วกันนะ”

อลินดาไม่ได้โต้ตอบพี่สาวอีก หล่อนหลับตาลงและก้มหน้าก้มตายอมรับความตายที่พี่สาวกำลังหยิบยื่นให้ ปากกระบอกปืนจ่อที่ขยับของหล่อน และอีกไม่กี่วินาทีหล่อนก็คงจะถูกพี่สาวแท้ๆ ระเบิดจนสมองกระจุย แต่เสียงปืนที่ไม่ใช่จากกระบอกของพี่สาวดังขึ้นเสียก่อน

อลินดาลืมตาขึ้น และก็เห็นว่านารีรัตน์เองก็หันไปมองตามเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นเช่นกัน

“คุณกฤติชัย…?”

อลินดาครางชื่อของกฤติชัยออกมาด้วยความตกใจและสงสัย เมื่อเห็นชายหนุ่มที่หายหน้าหายตาไปนานเดินถือปืนเล็งมายังร่างของนารีรัตน์

นารีรัตน์ช็อกมาก เมื่อเห็นไอ้ต้นมือปืนที่ตัวเองจ้างให้มาฆ่ากฤติชัยถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา และกฤติชัยผู้ชายที่หล่อนสั่งฆ่ากำลังถือปืนและเล็งมาที่ร่างของหล่อน

“คุณกฤติชัย… จะทำอะไรคะ”

สีหน้าของกฤติชัยราบเรียบไร้ความรู้สึก สายตาของเขาจ้องมอง นารีรัตน์ตลอดเวลา

“คุณนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ นะนารีรัตน์”

นารีรัตน์ตกใจหน้าซีดเผือด พยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ตกเป็นรองของตัวเอง

“คุณกฤติชัยวางปืนลงก่อนนะคะ มีอะไรเราค่อยๆ พูดกันค่ะ”

“ผมไม่โง่อีกแล้วล่ะนารี… สองครั้งแล้วที่คุณสั่งฆ่าผม”

“คุณ… รู้ได้ยังไงคะ ไหนคุณบอกว่าความจำเสื่อม” นารีรัตน์ตกใจช็อกแทบสิ้นสติ

คราวนี้กฤติชัยระบายยิ้มเลือดเย็นออกมา “ก็ถ้าผมไม่บอกคุณว่าผมความจำเสื่อม จำความชั่วที่คุณทำกับผมเอาไว้ไม่ได้ คุณจะหลงกลผมเหรอ นารี”

“อะไรกัน… นี่อย่าบอกนะว่าคุณหลอกฉัน”

“ใช่ ผมรู้ทุกอย่างที่คุณกำลังจะทำนั่นแหละ รู้แม้กระทั่งว่าคุณจ้างคนมาเก็บผม หลังจากที่ใช้ประโยชน์จากผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงไม่ตายตามที่คุณต้องการ”

นารีรัตน์ตัวเย็นเฉียบ เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหลอก “ไอ้เลว… นี่มึงหลอกกูเหรอ”

“ผู้หญิงอย่างคุณไม่ควรจะอยู่ก่อความวุ่นวายให้คนดีๆ บนโลกนี้อีกแล้วล่ะ นารีรัตน์”

“แก… แกหมายความว่ายังไง ไอ้กฤติชัย” นารีรัตน์เดินถอยหลังหนี เมื่อกฤติชัยสาวเท้าเข้ามาหา

“ในเมื่อคุณอยากให้ผมตายนัก ผมก็จะตาย แต่เราจะต้องตายไปพร้อมกัน”

นารีรัตน์หน้าซีดเผือด “ไอ้บ้า กูไม่ยอมตายหรอก มึงก็ตายไปคนเดียวสิ นี่อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นกูยิงจริงๆ ด้วย ออกไป ออกไปสิ ไอ้กฤติชัย มึงออกไปนะ”

ทั้งนารีรัตน์และกฤติชัยต่างเล็งปลายกระบอกปืนเข้าใส่กัน ในขณะที่อลินดามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตื่นตกใจ และคาดไม่ถึง

“คุณกฤติชัยคะ ลินดาว่าค่อยๆ คุยกันเถอะนะคะ พี่นารีคงไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคุณหรอกค่ะ”

กฤติชัยหันมองอลินดา ก่อนจะระบายยิ้มหยันออกมา

“ถ้านารีเป็นคนดีได้สักเสี้ยวหนึ่งของคุณก็ดีสิ ลินดา”

“พี่นารีคงจะมีเหตุผลน่ะค่ะ คุณกฤติชัยอย่าทำร้ายพี่นารีเลยนะคะ เลิกแล้วต่อกันเถอะค่ะ”

อลินดาพยายามที่จะช่วยพูดให้กฤติชัยใจอ่อน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเลย

“คุณรู้ไหมลินดา ว่านารีเกลียดคุณมากแค่ไหน เธอวางแผนจะฆ่าคุณให้ตายอย่างทรมาน เธอพร่ำบอกกับผมว่าเธอเกลียดคุณยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือนเสียอีก แล้วแบบนี้คุณยังจะช่วยพูดให้กับพี่สาวสารเลวคนนี้อีกเหรอ ลินดา”

อลินดาน้ำตาร่วง กัดปากแน่นจนเจ็บระบม หล่อนมองพี่สาวผ่านม่านน้ำตา

“ถึงพี่นารีจะเกลียดลินดาแค่ไหน แต่ลินดาก็ไม่เคยที่จะคิดร้ายกับพี่นารีเลย แม้แค่ครั้งเดียว”

“แต่มึงก็แย่งคุณแซคไปจากกู อีลินดา!”

นารีรัตน์เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างอาฆาตมาดร้าย

“ถ้าไม่มีมึงสักคน ชีวิตของกูก็จะมีความสุขกว่านี้”

“พี่นารี…”

“ให้กูจัดการกับไอ้ระยำนี้เสร็จก่อนเถอะ แล้วมึงจะเป็นรายต่อไป อีน้องเฮงซวย”

กฤติชัยหัวเราะออกมา จ้องมองนารีรัตน์ด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งคลั่งแค้น

“คุณนี่ชั่วช้าจริงๆ นารี”

“เออ กูเลว พอใจหรือยัง”

นารีรัตน์ยังคงเล็งปืนไปที่ร่างของกฤติชัยตลอดเวลา

“ถ้ามึงเดินเข้ามาหากูอีก กูยิงมึงแน่ ถอยออกไป ไอ้สารเลว”

แต่กฤติชัยไม่ยอมถอย เขาก้าวไปข้างหน้า และกำลังจะถึงร่างของนารีรัตน์ในไม่ช้า

“กูบอกให้หยุดไง”

เมื่อกฤติชัยไม่ยอมหยุดเดิน ลูกกระสุนก็พุ่งออกจากกระบอกปืนด้ามที่นารีรัตน์ถืออยู่ มันพุ่งเข้าใส่หน้าอกของกฤติชัยอย่างแม่นยำ

ปัง!

“คุณกฤติชัย…!”

อลินดาตะโกนออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นร่างของกฤติชัยร่วงลงจมกองเลือดอยู่ที่พื้น

“พี่นารี… พี่นารียิงเขาทำไม”

นารีรัตน์ตกใจไม่น้อย แต่ก็ยังหัวเราะออกมา

“มัน… มันลนหาที่ตายเองต่างหาก มันสมควรตาย”

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย… ว่าคุณจะกล้ายิงผมจริงๆ นารี…”

กฤติชัยกระอักออกมาเป็นลิ่มเลือด แต่ก็ยังพยายามที่จะพูดความในใจออกมา

“แกก็คิดจะฆ่าฉันเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

“ในปืนของผมไม่มีลูกกระสุนหรอก เพราะผมไม่สามารถฆ่าคนที่ตัวเองรักได้…”

นารีรัตน์หยิบปืนของกฤติชัยขึ้นมาดูก็พบว่าไม่มีลูกกระสุน อย่างที่กฤติชัยบอกจริงๆ หัวใจของหล่อนแกว่งเล็กน้อย แต่ไม่ช้าความชั่วก็เข้ามาปิดทับจนมืดดำเหมือนเดิม

“แกมันสมควรตายแล้วล่ะ เพราะแกคือมารชีวิตของฉัน”

นารีรัตน์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างโชกเลือดของกฤติชัย

“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะแกฉุดฉันไปจากงานแต่งงาน ป่านนี้ชีวิตของฉันก็คงจะสุขสบายไปแล้ว ไม่ต้องมาทำเรื่องเลวๆ แบบนี้หรอก”

“คุณไม่เคยรักผมเลยเหรอ นารี… ไม่เคยรักผมอย่างที่คุณ… พูดเลยใช่ไหม…”

“กูไม่เคยรักมึง กูก็แค่หลอกมึงไปวันๆ เท่านั้นแหละ ก็ใครใช้ให้มึงเกิดมาโง่ล่ะ”

นารีรัตน์เงยหน้าหัวเราะร่วน และจ่อปลายกระบอกปืนในมือเล็งไปที่หน้าอกของกฤติชัยอีกครั้ง

“นัดเดียวมึงยังไม่ตาย งั้นจ่อยิงใกล้ๆ แบบนี้ ดูสิว่ามึงจะยังหนังเหนียวอยู่อีกไหม ไอ้กฤติชัย”

แซคคารีย์ดีดตัวขึ้นจากเตียง มือใหญ่ยื่นไปกระตุกโคมไฟให้สว่างไสวขึ้น

“อะไรนะครับ?!”

หัวใจหล่นวูบลงไปกระแทกพื้นเต็มแรง

“นารี… นารีจับตัวลินดาไปค่ะคุณแซค”

ร่างของแซคคารีย์เย็นเฉียบราวกับถูกจับแช่ลงในถังน้ำแข็ง ความห่วงใยที่มีต่ออลินดากำลังทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว นี่ลางสังหรณ์ของเขามันแม่นยำขนาดนี้เชียวหรือ

อลินดากำลังตกอยู่ในอันตราย เมียของเขากำลังมีอันตราย!

“แล้วนารีจับลินดาไปที่ไหนครับ”

“น้าไม่รู้ค่ะ นี่น้าก็พยายามโทรหานารี แต่นารีไม่ยอมรับสายเลย คุณแซคต้องช่วยลินดาให้ได้นะคะ น้าไม่อยากให้นารีต้องติดคุกเพราะฆ่าน้องสาวของตัวเอง”

“คุณน้าก็ห่วงแค่นารีคนเดียวเหมือนเดิมนั่นแหละ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ลินดาจะมีแม่แบบนี้”

“คุณแซคคะ น้า…”

อุบลที่ร้องไห้คร่ำครวญพยายามจะแก้ตัว แต่แซคคารีย์ตัดสายไปเสียก่อน

ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาด้วยความเคร่งเครียด ความห่วงใยที่มีต่ออลินดาทำให้ท้องไส้ของเขาบิดเป็นเกรียวทรมาน

“ลินดา… ฉันไม่ควรปล่อยเธอให้ห่างตัวเลย ฉันขอโทษ”

แล้วนี่เขาจะทำยังไงดี จะทำยังไงดีถึงจะสามารถช่วยให้ อลินดารอดพ้นจากน้ำมือของพี่สาวสุดชั่วอย่างนารีรัตน์ได้

แซคคารีย์ร้อนรนด้วยความวิตกกังวล เขากำลังต่อสู้กับความรู้สึกห่วงใยที่มีต่ออลินดามากล้น ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกเลย มันมืดแปดด้านไปหมด

“ฉันจะตามหาเธอได้ที่ไหนกัน อลินดา…”

ความหวาดกลัวไม่เคยได้เข้ามากล้ำกลายหัวใจกระด้างของเขามาก่อนเลยตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนมาก่อน ตลอดชีวิตมีแต่เขาที่เอาชนะได้ทุกสิ่ง แต่ตอนนี้เขากำลังหวาดกลัว กำลังขวัญกระเจิง เมื่อผู้หญิงที่รักหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ผู้หญิงที่รัก…?

เขารู้ตัวมานานแล้วล่ะว่าเขารักอลินดา และก็ไม่ได้รักเพราะหล่อนเป็นเจ้าของผ้าพันคอผืนนั้นรวมถึงโปสการ์ดอวยพรหลายสิบใบนั้น แต่รัก… รักเพราะหล่อนคืออลินดา

“ฉันจะทำยังไงดี… ลินดา… เธออยู่ที่ไหน…”

น้ำตาที่ไม่เคยคิดว่าจะไหลรินออกมา มันไหลซึมออกมาจนได้ เขาเป็นห่วง และหวาดกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะเสียอลินดาไป กลัวว่าหล่อนจะจากไปตลอดกาล

มือใหญ่รีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนตำรวจ และแจ้งเบอร์โทรศัพท์ของนารีรัตน์ให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับสัญญาณจีพีเอส จากนั้นเขาก็รีบโทรหานารีรัตน์ทันที

“คุณแซคโทรหานารีดึกดื่นแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

นารีรัตน์ตอบเสียงอ่อนหวานมาตามสาย

“คุณอยู่ไหนน่ะนารี”

“จู่ๆ ก็มาถามนารีแบบนี้ คุณแซคคิดอะไรกับนารีหรือเปล่าคะ”

“นารี ผมถามว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”

แซคคารีย์พยายามถ่วงเวลาคุยกับนารีรัตน์ให้นานที่สุด เพื่อให้ตำรวจจับสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือของนารีรัตน์ให้เจอ

“จะมาหานารีเหรอคะ”

“ใช่ ผมอยากไปหาคุณ คุณอยู่ไหนล่ะตอนนี้”

นารีรัตน์เอี้ยวตัวไปด้านหลังของรถที่มีกฤติชัยขับอยู่เพื่อมองร่างไร้สติของอลินดา และอมยิ้มร้ายกาจ

“ตอนนี้นารีไม่ว่างน่ะค่ะ เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้นะคะ”

“นารี… อย่าเพิ่งวางนะ นารี…”

แซคคารีย์พยายามเรียกเอาไว้ แต่นารีรัตน์ตัดสายสนทนาไปเสียแล้ว

“บ้าชิบ”

ชายหนุ่มสบถอย่างโมโห ก่อนจะโทรหานายตำรวจที่เป็นเพื่อนของตัวเองด้วยความกระวนกระวายใจเป็นที่สุด

“จับสัญญาณจีพีเอสได้ไหม”

“ได้แล้วล่ะ ตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์มือถือกำลังมุ่งหน้าไปแถวๆ สนามบินหัวหิน ทางบ่อฝ้ายน่ะ”

“นารีพาลินดาไปแถวนั้นทำไมกัน”

“แถวนั้นมีโกดังร้างอยู่ครับ”

คำพูดของเพื่อนที่เป็นนายตำรวจยศนายพันทำให้ แซคคารีย์หน้าซีดเผือด

“นายส่งตำรวจมาช่วยฉันด้วยนะ ฉันจะนำหน้าไปก่อน”

“ได้ นายระวังตัวด้วยล่ะแซค”

“ขอบใจ”

แซคคารีย์กล่าวขอบคุณเพื่อน ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องพักมุ่งหน้าไปยังรถสปอร์ตของตัวเอง เขาขับรถออกไปด้วยความเร็วสูง แต่กระนั้นก็ยังช้าไม่ทันใจเสียเลย กรามแกร่งขบกันแน่นจนแทบแหลกละเอียด ความห่วงใยที่มีต่ออลินดาทำให้เขาร้อนราวกับถูกไฟเผาใจ

“เธอต้องปลอดภัย… ลินดา… เธอต้องปลอดภัยนะ”

เขาภาวนาให้ตัวเองไปช่วยอลินดาได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

“เธอต้องรอฉันนะ ลินดา…”

 

ความเปียกชุ่มบนใบหน้าทำให้อลินดาค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หญิงสาวพยายามจะยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำจากใบหน้า แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เพราะสองมือถูกมัดไพล่หลังติดกับเก้าอี้ไม้เอาไว้ หล่อนพยายามดิ้นแต่ก็ไม่หลุด

“ตื่นแล้วหรือน้องรัก”

อลินดาหันไปมองที่ต้นเสียง และก็แทบช็อกสิ้นสติ หัวใจเย็นเฉียบราวกับถูกจับแช่ในถังน้ำแข็ง

“พี่นารี…”

หล่อนช็อกพูดแทบไม่เป็นคำ

“นี่มัน… อะไรกันคะ แล้ว… ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้”

นารีรัตน์ขยับเข้ามาหา สีหน้าและแววตาน่ากลัวจน อลินดาตัวสั่นเทา และเริ่มมองเห็นหายนะของตัวเองชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“ฉันจับแกมาเองนั่นแหละ”

อลินดาแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง

“พี่นารี… จับฉันมาทำไมคะ แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”

หล่อนพยายามดิ้นรน แต่ก็มือถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาจึงไม่อาจจะขยับไปไหนได้

“อีโง่ ยังจะมีหน้ามาถามอีก กูจับมึงมานี่ ก็เพราะกูจะฆ่ามึงยังไงล่ะ”

“พี่นารี…!”

อลินดาช็อกค้าง

“พี่นารี… พูดอะไรคะ ทำไมถึงพูดจาน่ากลัวแบบนั้น”

“หึ กูพูดในสิ่งที่กูจะทำยังไงล่ะ กูจะฆ่ามึง”

“โอ๊ย…”

อลินดาเจ็บไปทั้งศีรษะ เมื่อถูกอุ้งมือของนารีรัตน์ขยุ้มเส้นผมเอาไว้เต็มแรง หล่อนน้ำตาไหลพราก แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ หล่อนไม่เคยคิดเลยว่านารีรัตน์ พี่สาวแท้ๆ ของตนเองจะมาคิดฆ่าแกงกันแบบนี้

“พี่นารี… เราเป็นพี่น้องกันนะคะ อย่าทำแบบนี้เลย”

“พี่น้องหรือ”

นารีรัตน์หัวเราะเสียงเหี้ยมเกรียม

“กูไม่เคยมีความสุขเลยที่มีมึงตามกูมาเกิดด้วย”

“พี่นารี…”

อลินดาครางด้วยความเสียใจ

“มึงรู้ไหมว่ากูต้องลำบากยังไงบ้าง เมื่อมีมึงเกิดตามกูมาด้วยน่ะ”

นารีรัตน์ขยุ้มเส้นผมนุ่มของน้องสาวแรงยิ่งขึ้น จ้องหน้าที่เปียกชุ่มคราบน้ำตาของอลินดาด้วยความคลั่งแค้น

“มึงแย่งความสุขทุกอย่างไปจากกู อีลินดา!”

“ฉัน… ฉันไม่ได้ทำเลยนะพี่นารี”

อลินดาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจและหวาดกลัว เนื้อตัวของหล่อนสั่นเทา พยายามอ้อนวอนพี่สาวให้เห็นใจ

“ทำไมมึงจะไมได้ทำ! ตั้งแต่เล็กจนโต กูต้องลำบากเพื่อที่จะถีบตัวเองให้ได้ดีกว่ามึง ต้องขยัน ต้องอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ เพื่อจะสอบให้ได้คะแนนที่สูงกว่ามึง กูทรมานมากที่ต้องทำตัวเป็นคนเก่งคนดีเพื่อให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ ถ้าไม่มีมึงมาเป็นตัวเปรียบเทียบสักคน กูก็คงจะใช้ชีวิตได้ตามใจของกู ไม่ต้องเรียนหนักจนหัวแทบระเบิดอย่างที่ผ่านมาแบบนี้หรอก!”

“ฉัน… ฉันไม่เคยคิดจะแข่งอะไรกับพี่นารีเลยนะจ๊ะ”

“กูรู้ว่าคนโง่ๆ อย่างมึงไม่เคยคิดจะแข่งอะไรกับกู แต่ถ้ากูไม่เด่นกว่ามึง ตอนนี้กูก็คงจะเป็นลูกชังที่พ่อแม่ไม่รัก เหมือนกับที่มึงเป็นอยู่ในตอนนี้แหละ นังลินดา”

อลินดาร้องไห้ด้วยความเสียใจ “พี่นารี… ฉันขอโทษนะถ้าฉันเคยทำอะไรไม่ดีเอาไว้กับพี่”

“มันสายไปแล้วล่ะนังลินดา เพราะกูไม่มีวันปล่อยให้มึงมาแย่งลมหายใจของกูไปอีกแล้ว หลังจากที่มึงแย่งคุณแซคไปจากกู”

“ฉัน… ฉันไม่เคยคิดจะแย่งคุณแซคไปจากพี่นารีเลยนะจ๊ะ”

“อย่ามาตอแหล มึงรักเขา มึงรักผู้ชายของกู และมึงก็แย่งเขาไปได้สำเร็จ ถ้าไม่มีมึงสักคน คุณแซคก็ต้องหันกลับมาเลือกกู และกูกับเขาก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข”

“ถึงไม่มีฉัน คุณแซคก็ไม่มีทางกลับไปรักพี่อีกแล้วล่ะพี่นารี เพราะพี่ไม่เคยรักใครจริงๆ พี่รักแต่ตัวเอง โอ๊ย…!”

ใบหน้าของอลินดาสะบัดไปตามแรงจากด้ามปืนในมือของนารีรัตน์ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากหน้าผากของหญิงสาว

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เหยื่อของหล่อนก็ก้าวเข้ามาภายในห้องพัก นารีรัตน์ระบายยิ้มทันที

“คุณแซคกลับไปแล้วเหรอลินดา”

อลินดาเดินมาทรุดตัวนั่งบนโซฟาตัวยาวที่พี่สาวนั่งจิบไวน์รออยู่

“ใช่ค่ะ เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง”

“ดูท่าทางแล้วคุณแซคจะรักแกมากเลยนะลินดา”

“เอ่อ…”

อลินดาอึกอักเพราะเห็นแววตาไม่พอใจในดวงตาของพี่สาวแวบหนึ่ง แต่เมื่อมองอีกครั้งมันก็หายไปราวกับว่าหล่อนตาฝาดมองเห็นไปเอง

“ไม่ใช่อย่างที่พี่นารีคิดหรอกค่ะ คุณแซคไม่ได้รักลินดาหรอก เขาก็แค่…”

อลินดายังพูดไม่จบ แต่นารีรัตน์แทรกขึ้นเสียก่อน

“ถ้าคุณแซคไม่รักแก แล้วเขาจะเลือกแกแทนฉันได้ยังไงกันล่ะ เขาต้องรักแกสิ”

“ก็เพราะ… คุณแซคเป็นสุภาพบุรุษน่ะจ้ะ พอพลาดมีอะไรกับฉันแล้ว เขาก็เลย… ต้องรับผิดชอบ”

นารีรัตน์แทบจะซ่อนความริษยาเอาไว้ไม่อยู่

“ก็เพราะแกยั่วยวนจนคุณแซคพลาดยังไงล่ะ”

“พี่นารี…”

“เอ่อ… ฉันหมายถึงเพราะจริงๆ แล้วคุณแซคน่าจะรักแกนั่นแหละ เขาก็เลยยับยั้งชั่งใจเอาไว้ไม่ได้น่ะ”

นารีรัตน์หัวเราะกลบเกลื่อนความเดือดดาลของตัวเอง

“แต่ยังไงซะ ฉันก็ยินดีกับแกด้วยนะ ที่แกได้คุณแซคไปครอบครองสมใจ”

“คือฉันไม่เคยคิดจะแย่งพี่นารีเลยนะจ๊ะ”

“เอาน่า ไม่ต้องมาแก้ตัวหรอก เพราะถึงยังไงซะ ฉันก็พลาดเองที่ละเลยต่อเขา”

นารีรัตน์พยายามยิ้มให้เป็นปกติที่สุด พลางยื่นแก้วไวน์ให้น้องสาว

“ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

“ฉันดื่มไม่เป็นหรอกพี่นารี”

อลินดาส่ายหน้าไปมาน้อยๆ และนั่นก็ทำให้นารีรัตน์หัวเราะร่วนออกมา

“ฉันลืมไปว่าแกมันเด็กดี ดื่มเป็นแต่นมกับน้ำผลไม้เท่านั้น เอาอย่างนี้ แกรอแปบนะ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำผลไม้มาให้”

“ไม่รบกวนพี่นารีหรอกจ้ะ ฉันไปหยิบเองดีกว่า”

อลินดาจะลุกขึ้น แต่นารีรัตน์คว้าแขนเอาไว้ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ให้ฉันได้ทำอะไรให้แกบ้างเถอะลินดา ฉันทำผิดกับแกมาเยอะ แกก็รู้นี่”

“แต่ฉันไม่เคยโกรธเคืองพี่นารีเลยนะจ๊ะ”

“ก็เพราะแกเป็นคนดีแบบนี้ไง ฉันถึงละอายใจแบบนี้ รอตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำผลไม้มาให้” นารีรัตน์ลุกขึ้นยืน ในขณะที่อลินดาทำได้แค่ตอบตกลง

“จ้ะพี่นารี”

อลินดามองตามร่างของพี่สาวฝาแฝดไปทั้งน้ำตา รอยยิ้มแห่งความสุขเกลื่อนใบหน้า หล่อนรอคอยวันนี้มาตลอด วันที่หล่อนกับพี่สาวปรับความเข้าใจกัน

ไม่นานนารีรัตน์ก็เดินกลับมา พร้อมกับแก้วน้ำส้มเย็นฉ่ำในมือ

อลินดารีบยื่นมือไปรับน้ำส้มมาดื่มเมื่อพี่สาวยื่นมาให้

“ขอบคุณจ้ะพี่นารี”

“ไม่เป็นไร ดื่มสิ กำลังเย็นเชียว” นารีรัตน์ทรุดตัวลงนั่ง และหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง

อลินดามองพี่สาวอย่างขอบคุณ หัวใจกำลังอัดแน่นไปด้วยละอองแห่งความสุข ขณะยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ

“อร่อยไหม”

“อร่อยจ้ะพี่นารี”

“ถ้าอร่อยก็ดื่มให้หมดแก้วเลย”

อลินดารีบยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่มอีกครั้งตามคำคะยั้นคะยอของพี่สาว และในที่สุดก็หมดแก้ว

“หมดแก้วแล้วจ้ะพี่นารี”

นารีรัตน์หัวเราะออกมาเสียงดังกังวาน ขณะมองน้องสาวด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป

“แกไม่รอดแน่นังลินดา”

อลินดามองพี่สาวด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมศีรษะเอาไว้ เมื่อรู้สึกมึนงงขึ้นมากะทันหัน

“ลินดา… ปวดหัวจังเลยพี่นารี… พี่เอาอะไรให้ลินดาดื่มเหรอเปล่าจ๊ะ”

ไม่มีคำตอบใดหลุดลอดออกมาจากปากของพี่สาวฝาแฝด นอกจากเสียงหัวเราะที่ดังกึกก้อง และไม่ช้าสติสัมปชัญญะของหล่อนก็ดับวูบไปในที่สุด

นารีรัตน์เขย่าตัวของน้องสาวแรงๆ และเมื่อพบว่าสิ้นสติไปแล้วหล่อนจึงรีบโทรหากฤติชัย

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณกฤติชัย”

เมื่อวางสายจากกฤติชัยแล้ว นารีรัตน์ก็รีบโทรหามือปืนที่ตัวเองจ้างวานเอาไว้นอกรอบทันที

“ไอ้ต้น มึงเตรียมตัวให้พร้อมนะ ตอนนี้เหยื่อกำลังติดเบ็ดแล้ว”

เมื่อคนปลายสายตอบตกลง นารีรัตน์ก็กดตัดสายสนทนา และหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ

“ตอนนี้ใครก็ช่วยมึงไม่ได้แล้วล่ะ นังลินดา”

ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ นารีรัตน์จึงรีบวิ่งไปดึงเปิด เพราะรู้ดีว่าคือกฤติชัย

“เข้ามาค่ะ นังลินดามันสลบไปแล้ว”

กฤติชัยก้าวเข้ามาข้างในห้องพักของนารีรัตน์ และก็เห็นว่าอลินดานอนสลบไสลอยู่บนโซฟาตัวยาว

“แล้วแม่ของคุณล่ะ นารี”

“ท่านหลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะค่ะ”

กฤติชัยหรี่ตาแคบมองนารีรัตน์อย่างรู้ทัน “ท่านคงไม่ได้หลับเองตามธรรมชาติใช่ไหมครับ”

“แหม นารีก็แค่ใส่ยานอนหลับให้แม่ไปนิดเดียวเองค่ะ พอทำให้ท่านหลับสบายเท่านั้นเอง”

กฤติชัยเงียบไปไม่ได้ตอบอะไรออกมา นารีรัตน์จึงรีบเร่งให้ชายหนุ่มทำตามแผนการของตัวเอง

“รีบพานังลินดาไปที่รถเถอะค่ะ เราจะได้เอามันไปกำจัดให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเสียที”

“ครับ”

นารีรัตน์เดินตามร่างของกฤติชัยที่อุ้มอลินดาที่สลบไสลออกไปจากห้องพักอย่างเงียบเชียบ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ด้วยความตื่นตกใจ

อุบลเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็น

“นารี… ทำไมลูกใจคอโหดเหี้ยมแบบนี้”

ถึงแม้หล่อนจะรักนารีรัตน์มากกว่าอลินดา แต่หล่อนก็ไม่เคยคิดจะให้ลูกสาวฆ่ากันเอง แล้วนี่หล่อนจะทำยังไงดี จะทำยังไงดีถึงจะสามารถช่วยชีวิตลูกสาวคนเล็กเอาไว้ได้

“จะทำยังไงดี…”

อุบลเดินกลับไปกลับมาด้วยความกระวนกระวายใจ ก่อนจะนึกถึงแซคคารีย์

“คุณแซค…”

หญิงวัยกลางคนรีบวิ่งไปที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง และพยายามค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของแซคคารีย์ แต่ก็หาไม่พบ

“นี่เราไม่ได้บันทึกเบอร์คุณแซคเอาไว้เลยเหรอนี่”

อุบลเต็มไปด้วยความร้อนใจ หล่อนจึงโทรกลับไปหาสามี แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้รับสาย

“หายหัวไปไหน รับสายสิ รับสาย…”

อุบลยังไม่ละความพยายาม หล่อนโทรหาสามีนับครั้งไม่ถ้วน และก็ภาวนาให้ทุกอย่างไม่สายเกินไปด้วยเถอะ

หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว แซคคารีย์ก็พา อลินดาออกมาเดินเล่นที่ริมชายหาด ในใจของชายหนุ่มยังคงร้อนรุ่มโดยไร้สาเหตุเช่นเดิม

“แน่ใจนะว่าคืนนี้จะนอนค้างกับนารีน่ะ”

แซคคารีย์หยุดเดินและรั้งให้หญิงสาวข้างกายหยุดเดินด้วย เขาหรี่ตากวาดมองดวงหน้านวลของอลินดาด้วยความเป็นห่วง

“แน่ใจค่ะ ลินดาอยากนอนค้างกับแม่”

“แต่ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่อยากให้เธออยู่ห่างเลย”

คำพูดของแซคคารีย์ทำให้อลินดาแก้มแดงก่ำ ตั้งแต่ แซคคารีย์รู้ว่าหล่อนคือเจ้าของของขวัญมากมายที่ส่งไปให้ที่กรีซ ปฏิกิริยาของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยชิงชังหล่อน ตอนนี้กลับแสดงความห่วงใยออกหน้าออกตา ซึ่งหล่อนมีความสุขมากที่แซคคารีย์เอาอกเอาใจ แต่กระนั้นก็อดละอายใจต่อนารีรัตน์ไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้วแซคคารีย์เป็นของพี่สาวไม่ใช่ของตัวเอง

“ลินดาไม่ได้ไปสู้รบกับใครนะคะ แค่ไปนอนค้างกับแม่เองค่ะ”

“แต่ฉันไม่ไว้ใจนารีเลย ฉันว่าพี่สาวของเธอต้องมีแผนการอะไรแน่ๆ เลย”

“คุณแซคคิดมากไปแล้วล่ะค่ะ พี่นารีไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้นหรอกค่ะ”

“ถ้าคนที่เอาชื่อเสียงของน้องสาวไปทำปู้ยี้ปู้ยำไม่ใช่คนร้ายกาจ ในโลกนี้ก็คงจะมีแต่คนดีแล้วล่ะ”

อลินดารู้ดีว่าแซคคารีย์ประชดประชัน แต่กระนั้นหล่อนก็ไม่อยากจะทำให้แม่และพี่สาวผิดหวัง เพราะหล่อนรับปากกับพวกเขาไปแล้ว

“ลินดารู้ค่ะว่าคุณแซคเป็นห่วง ลินดาสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ”

แซคคารีย์ถอนใจออกมาแรงๆ และดึงร่างอรชรเข้ามากอดแนบอก

“รู้ก็ดีแล้ว และห้ามปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายล่ะ”

“เจ้าค่ะ” อลินดายิ้มหวาน

“แล้วมือถือน่ะเก็บเอาไว้ใกล้ๆ ตัว ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดเวลา เข้าใจไหม”

อลินดาช้อนตาขึ้นสบประสานกับดวงตาสีสนิมของแซคคารีย์ แล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมา มันเป็นหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ เพราะหล่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แซคคารีย์จะเป็นห่วงเป็นใยผู้หญิงคั่นเวลาอย่างหล่อน

“ขอบคุณที่เป็นห่วงลินดานะคะ”

“ฉันก็ต้องเป็นห่วงสิ ในเมื่อฉันพลาดได้เธอมาเป็นเมียแล้วนี่”

แซคคารีย์แกล้งพูด และหัวเราะร่วน

“จำเอาไว้นะ ฉันโชคร้ายได้เธอมาเป็นเมียแล้ว ดังนั้นอย่าทำให้ฉันโชคร้ายยิ่งขึ้นด้วยการหายตัวไปจากฉันอีก เข้าใจไหม”

อลินดาย่นจมูกใส่แซคคารีย์อย่างหมั่นไส้

“ความจริงคุณแซคน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอคะ หากตัวนำโชคร้ายอย่างลินดาหายไป อุ๊ย…”

อลินดาอุทานตกใจ เมื่อปากอิ่มที่กำลังจำนรรจาถูกริมฝีปากกระด้างกระแทกลงมาหาแรงๆ อย่างต้องการทำโทษ

“อย่าพูดจาแบบนี้อีก เข้าใจไหม”

เขากระซิบชิดปากอิ่ม

“และถ้าขืนขัดคำสั่ง จะกัดปากให้ขาดเชียว”

“คุณแซคน่ะ”

“เข้าใจไหม”

เขาย้ำคำสั่งอีกครั้งอย่างต้องการคำตอบ

“ค่ะ เข้าใจค่ะ”

ชายหนุ่มระบายยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะคว้ามือเล็กไปกุมเอาไว้ และรั้งให้ออกเดินไปตามชายหาด

“เมื่อตอนบ่ายๆ ฉันเจอกับคุณกฤติชัยด้วยนะ”

“เจอที่ไหนเหรอคะ”

“เจอที่นี่แหละ เห็นว่ามาพักผ่อนน่ะ”

แซคคารีย์เล่า ในขณะที่อลินดายังคงเต็มไปด้วยความแคลงใจ

“แล้วคุณกฤติชัยบอกไหมคะว่าหายไปไหนมาตั้งนาน”

“เห็นบอกว่าป่วยน่ะก็เลยไปพักรักษาตัว”

“ป่วยเหรอคะ”

อลินดาทวนคำพูดของแซคคารีย์

“เสียดายจังนะคะที่ลินดาไม่ได้เจอ”

“จะอยากเจอผู้ชายคนอื่นไปทำไมแม่คุณ ผัวยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคน”

น้ำเสียงหงุดหงิดของแซคคารีย์ทำให้อลินดาต้องถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ

“ทำไมคุณแซคจะต้องทำเสียงเล็กเสียงน้อยเสมอเลยล่ะคะ เวลาที่ลินดาพูดถึงผู้ชายคนอื่น ตั้งแต่คุณแฮรี่ ลุงยามที่โรงแรม หรือแม้แต่คนขับรถแก่ๆ แล้วนี่ยังจะคุณกฤติชัยอีก”

แซคคารีย์ย่นจมูก และเบะปาก

“ก็เวลาเธอพูดถึงผู้ชายคนอื่น เธอชอบทำเสียงอ่อนเสียงหวานนี่ แต่พอพูดกับฉันทีไร เสียงเฉยเมยทุกทีเลย”

“อย่าบอกนะคะว่าหึงลินดา”

“บ้า ใครจะไปหึงเธอกันล่ะ”

แซคคารีย์ปล่อยมือจากแขนกลมกลึงของอลินดา และก้าวเดินไปข้างหน้า อลินดาหัวเราะเบาๆ และรีบวิ่งตามไป คว้าแขนทรงพลังเอาไว้

“ไม่หึงก็ดีแล้วค่ะ ลินดาจะได้คุยกับผู้ชายคนอื่นโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับคุณแซค”

คนที่เดินอยู่ชะงักเท้ากึก พร้อมกับหันขวับมามอง ดวงตาทอประกายดุกระด้าง

“ก็ลองทำดูสิ ฉันจะจับเธอขังลืมแน่ อลินดา!”

“ล้อเล่นค่ะ ไม่เห็นต้องทำหน้าดุแบบนี้เลยนะคะ”

หล่อนอมยิ้มและเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มสากของสามีอย่างเอาใจ

“ไม่เอาไม่หึงนะคะ ลินดาเป็นของคุณแซคคนเดียวค่ะ”

แซคคารีย์หยุดทำหน้าบูด และหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้า

“แน่ใจนะว่าจะเป็นของฉันคนเดียว”

“สัญญาค่ะ”

ชายหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ก่อนจะรวบร่างอรชรเข้าไปกอดแนบอก จากนั้นก็พรมจูบไปทั่วดวงหน้างาม ก่อนจะมาหยุดอิ่ง อ้อยที่กลีบปากอิ่มเต็มแสนหวาน

ภาพสองร่างที่กอดจูบกันอย่างดูดดื่มทำให้นารีรัตน์ที่ออกมาเดินเล่นพร้อมกับกฤติชัยชะงักกึก ความริษยาทำให้หล่อนแทบจะเก็บโทสะร้ายเอาไว้ไม่มิด

กฤติชัยหรี่ตามองดวงหน้าของนารีรัตน์อยู่อึดใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“ผมหวังว่าคุณคงไม่รู้สึกอะไรกับภาพของน้องสาวและสามีของเธอนะครับ”

นารีรัตน์รีบกลบเกลื่อนความริษยาไว้ใต้รอยยิ้มหวานของตัวเอง จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมองกฤติชัย

“รู้สึกสิคะ รู้สึกอยากให้พวกมันเป็นทุกข์”

“แต่ผมว่าน้องสาวของคุณก็แลดูไม่มีพิษมีภัยอะไรนะครับ คุณน่าจะเปลี่ยนใจ…”

“ไม่ค่ะ นารีไม่มีทางเปลี่ยนใจ ยังไงซะคืนนี้คุณกฤติชัยก็ต้องจัดการตามแผนเดิมของเรา”

ดวงตาของนารีรัตน์เป็นจุดเดียวที่ซ่อนความริษยาเอาไว้ไม่มิด

“นารีจะไม่ยอมให้มันมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้อีก นารีเกลียดมัน นารีไม่อยากมีฝาแฝด”

กฤติชัยไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากยืนฟังนารีรัตน์พรั่งพรูความคลั่งแค้นที่มีต่ออลินดาออกมาเงียบๆ

“ลมแรงมากเลย สงสัยฝนจะตก นารีว่าเราเข้าไปข้างใน รีสอร์ทกันเถอะนะคะ”

“ครับ”

ทั้งคู่เดินกลับเข้ามาภายในรีสอร์ท ก่อนที่นารีรัตน์จะมาหยุดที่หน้าห้องพักของกฤติชัยที่จองเอาไว้อยู่ข้างๆ กัน

“รอรับข้อความจากนารีนะคะ”

“ครับ”

“เมื่องานสำเร็จ เราสองคนจะแต่งงานกันค่ะ”

รอยยิ้มของกฤติชัยที่มอบมาให้หล่อน ก่อนที่เขาจะเดินหายเข้าไปในห้องพัก ยิ่งทำให้นารีรัตน์สมเพชเวทนาเป็นที่สุด

“ตอนมึงความจำดี มึงก็หลงกูจนโงหัวไม่ขึ้น พอมึงความจำเสื่อม มึงก็ยังรักกูหลงกูเหมือนเดิม ไอ้โง่เอ้ย คราวนี้กูจะไม่ยอมให้มึงรอดจากนรกอีกแล้วล่ะ”

นารีรัตน์เค้นเสียงแผ่วเบาราวกับลมหายใจออกมา ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเองที่มีมารดารออยู่

“พ่อเอ็งไม่มาหรอก ไปงานบวชเพื่อนที่ต่างจังหวัดอีกแล้ว” คราวนี้เป็นอุบลพูดขึ้นแทน

อลินดาพยักหน้ารับน้อยๆ “เอ่อ ว่าแต่พี่นารีจองห้องเอาไว้เผื่อคุณแซคหรือเปล่าคะ”

“พี่ไม่ได้จองเผื่อน่ะ เพราะไม่คิดว่าคุณแซคจะมาด้วย ยังไงขอโทษด้วยนะคะคุณแซค” นารีรัตน์มองไปหาแซคคารีย์ด้วยสายตาละอายใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเปลี่ยนใจปุบปับเอง”

“งั้นเดี๋ยวนารีไปจองห้องให้ก่อนนะคะ รอแปบนึง”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจองเองก็ได้” แซคคารีย์ปฏิเสธ แต่นารีรัตน์ไม่ยอม

“คุณแซคขับรถมาเหนื่อยนั่งรอตรงนี้กับลินดาเถอะค่ะ เดี๋ยวนารีไปจองห้องพักให้นะคะ”

แม้จะรู้สึกแปลกใจกับความมีน้ำใจของนารีรัตน์ที่มาพุ่งสูงปี๊ดเอาตอนนี้ แต่แซคคารีย์ก็ตัดความรำคาญด้วยการตอบรับ

“งั้นรบกวนด้วยครับ”

นารีรัตน์ฉีกยิ้มกว้างอย่างสมใจ “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวนารีมาค่ะ”

“แม่ไปด้วยนารี”

“แม่รออยู่ตรงนี้แหละจ้ะ เดี๋ยวฉันมา แปบเดียว”

อุบลจำต้องยืนอยู่ที่เดิม และมองลูกสาวคนโตที่เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์โรงแรมเงียบๆ

“แม่นั่งรถมาไกลเมื่อยไหมจ๊ะ”

อลินดาเดินเข้ามาจับแขนของมารดา ก่อนจะประคองไปนั่งบนโซฟาอย่างนุ่มนวล

“เอ็งไม่ต้องมาห่วงข้าหรอก ข้ายังแข็งแรงอยู่”

“ฉันรู้ว่าแม่ยังแข็งแรงมาก แต่ฉันเป็นลูก ฉันก็ต้องอยากดูแลแม่สิจ๊ะ”

อุบลสบประสานสายตากับลูกสาวคนเล็ก ก่อนจะเมินหน้าหนีไปมองทางอื่นอย่างละอายใจ

“แล้วนี่แม่ได้ไปเดินเล่นที่ชายหาดหรือยังจ๊ะ”

“ยัง เพิ่งมาถึงเอง”

อุบลตอบสั้นๆ

“งั้นเดี๋ยวฉันเก็บของเสร็จแล้ว เราไปเดินเล่นน้ำทะเลกันนะแม่ ฉันไม่ได้มาทะเลนานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตอนเล็กๆ นู้น แม่จำได้ไหมจ๊ะ”

อุบลนิ่งเงียบไป ยิ่งอลินดาทำดีด้วยเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งเสียใจที่รักลูกลำเอียง

“เอ็งอยู่กับคุณแซคไปเถอะ อย่ามายุ่งกับข้าเลย ข้ามันแก่แล้ว เดินเล่นคนเดียวได้”

“คุณแซคไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ ถ้าฉันจะพาแม่ไปเล่นน้ำทะเลน่ะ จริงไหมคะคุณแซค” อลินดาหันไปถามแซคคารีย์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆ อยู่

“ครับ ตามสบายครับ”

อลินดาฉีกยิ้มกว้าง

“เห็นไหมจ๊ะแม่ คุณแซคไม่ว่าอะไรสักหน่อย งั้นเดี๋ยวเราไปเล่นน้ำทะเลกันนะจ๊ะ”

อุบลอยากจะปฏิเสธ แต่พอเห็นแววตายิ้มแย้มและอ้อนวอนของอลินดาแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้

“ก็ได้ แต่ต้องรอนารีก่อนนะ”

“จ้ะแม่”

อลินดาระบายยิ้มอย่างดีใจที่มารดายอมไปเล่นน้ำทะเลด้วย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่นารีรัตน์เดินกลับมาพอดี

“ห้องเต็มน่ะค่ะคุณแซค”

แซคคารีย์วางหนังสือพิมพ์ในมือลงกับโต๊ะกระจกทันที คิ้วเข้มหนาดกเลิกสูง

“รีสอร์ทใหญ่ขนาดนี้ ห้องเต็มหรือครับ”

“ใช่ค่ะ เต็มทุกห้องเลย”

“ไม่น่าเชื่อนะครับ นี่ก็ไม่ใช่ช่วงไฮท์ซีซั่นด้วย”

“จริงๆ ค่ะคุณแซค ไม่เชื่อไปถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ได้เลยค่ะ”

นารีรัตน์ยืนยันหน้าตาจริงจัง

“เอาอย่างนี้ไหมคะ คุณแซคก็พักที่รีสอร์ทใกล้ๆ ก่อน แล้วพอพรุ่งนี้ถ้ามีห้องว่าง นารีจะรีบจองเอาไว้ให้คุณแซคเลยค่ะ”

“ผมพักที่ไหนก็ได้ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

นารีรัตน์ลอบยิ้มพึงพอใจ แต่ก็กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรทันทียามที่มีสายตาของคนอื่นจ้องมา

“นารีต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

แซคคารีย์ลุกขึ้นยืน พร้อมกับคว้าแขนอลินดาให้ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย

“งั้นผมกับอลินดาขอตัวไปพักรีสอร์ทใกล้ๆ ก่อนนะครับ แล้วช่วงค่ำจะมารับประทานอาหารค่ำด้วยครับ”

“ไม่ได้นะคะ คืนนี้ลินดาจะต้องค้างกับนารีกับแม่ด้วย” นารีรัตน์แย้งขึ้น “จริงไหมลินดา บอกคุณแซคไปสิ”

อลินดารู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย “คุณแซคคะ คืนนี้ลินดาขอค้างกับแม่และพี่นารีนะคะ”

“เอาไว้พรุ่งนี้รอฉันได้ห้องพักที่นี่ก่อน เธอค่อยไปค้างกับครอบครัวก็ได้นี่”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกเป็นห่วงอลินดาจับใจแบบนี้

“นี่คุณแซคคิดว่าพวกเราจะทำร้ายลินดาเหรอคะ” นารีรัตน์พูดขึ้นแทงใจดำของแซคคารีย์ยิ่งนัก

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ผมเป็นห่วงลินดาครับ”

“งั้นก็ให้ลินดามันไปค้างกับคุณแซคเถอะนารี แม่จะได้นอนกับนารีสองคนไง”

อุบลพูดออกมา เพราะไม่อยากให้นารีรัตน์ผิดใจกับ แซคคารีย์

“ไม่ได้นะแม่ เอ่อ… ฉันหมายถึงเราอุตส่าห์มาเที่ยวทั้งที เราก็ควรจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาสิ จริงไหมลินดา”

อลินดาระบายยิ้มออกมา น้ำตาซึม เมื่อนารีรัตน์พูดให้รู้สึกว่าหล่อนคือคนในครอบครัวคนหนึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ค่ะ ฉันจะค้างกับพี่กับแม่คืนนี้”

“อลินดา…”

แซคคารีย์ไม่พอใจ

อลินดาช้อนตามองสามี วางมือบนท่อนแขนของเขา ก่อนจะขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ให้ลินดาค้างกับแม่สักคืนนะคะคุณแซค ลินดาสัญญาว่า พรุ่งนี้จะรีบตื่นมากินข้าวเช้ากับคุณแซคค่ะ”

“แต่ฉัน…”

“นะคะคุณแซค… นะคะ…”

แซคคารีย์ถอนใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ก็ต้องยอมตกลงในที่สุด

“ก็ได้ แต่ต้องระวังตัวนะ เข้าใจไหม”

“รับทราบค่ะ”

นารีรัตน์มองภาพที่แซคคารีย์แสดงความห่วงใยอลินดาออกหน้าออกตาด้วยความคลั่งแค้น หล่อนแทบจะระเบิดมันออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ก่อน

‘มึงไม่รอดแน่ อีลินดา!’

“ล่ำลากันเสร็จหรือยังคะ ถ้าเสร็จแล้ว นารีจะได้พาน้องสาวขึ้นไปห้องพักค่ะ”

อลินดาหันไปยิ้มให้กับนารีรัตน์ ก่อนจะพูดกับแซคคารีย์ “แล้วตอนเย็นเจอกันนะคะคุณแซค”

“อืม”

แซคคารีย์ยืนมองตามร่างของอลินดาที่เดินไปพร้อมกับนารีรัตน์และอุบลด้วยความไม่สบายใจเลย

“ทำไมวันนี้ฉันเป็นห่วงเธอมากแบบนี้นะอลินดา”

ชายหนุ่มถอนใจออกมา และก้าวเท้ากำลังจะเดินออกไปจากตัวรีสอร์ทหรู แต่ก็ชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งเสียก่อน และพอมองหน้าชัดๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร

“คุณกฤติชัย…”

“อ้าว คุณแซคคารีย์นี่เอง ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่นะครับ”

“ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องพูดคำนี้ คุณกฤติชัยหายไปไหนมาครับเนี่ย”

กฤติชัยระบายยิ้มบางๆ

“ผมป่วยน่ะครับ ก็เลยไปพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมา แต่ตอนนี้หายดีแล้วครับ”

“ยินดีด้วยครับที่หายป่วยแล้ว ว่าแต่คุณกฤติชัยมาพักผ่อนที่นี่เหมือนกันหรือครับ”

“ใช่ครับ และก็มาทำธุระสำคัญบางอย่างด้วย”

กฤติชัยพูดคุยอยู่กับแซคคารีย์สักพักก็ขอตัวมาพักผ่อน ซึ่งพอขึ้นมาถึงห้องพักก็พบว่านารีรัตน์มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“หายไปไหนมานะคุณกฤติชัย นารีมานั่งรอตั้งหลายนาทีแล้วนะคะ”

“ผมก็ไปเตรียมการณ์ตามที่คุณต้องการยังไงล่ะครับนารี”

นารีรัตน์ฉีกยิ้มกว้าง และลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้ามากอดแขนของกฤติชัยอย่างประจบเอาใจ

“น่ารักที่สุดเลยค่ะ”

“ผมน่ารัก แล้วคุณเคยรักผมจริงๆ สักครั้งไหมครับ”

คำถามสวนกลับมาของกฤติชัยทำให้นารีรัตน์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่หญิงสาวจะฉีกยิ้มกลบเกลื่อน

“รักสิคะ รักมากที่สุดด้วยล่ะค่ะ”

“ถ้าคุณรักผม แล้วคุณจะให้ผมไปฆ่าน้องสาวของคุณทำไมล่ะครับ เจตนาของคุณคือต้องการแย่งสามีของน้องสาวฝาแฝดกลับคืนมาใช่ไหมครับ”

ทำไมไอ้กฤติชัยมันถามได้จี้ใจดำแบบนี้นะ

นารีรัตน์หงุดหงิดงุ่นง่านในใจ แต่ก็จำต้องฉีกยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อหลอกให้เหยื่อตายใจ

“นารีก็แค่อยากจะทำให้พวกมันทุกข์ทรมานเท่านั้นเองค่ะ นารีไม่ได้คิดจะกลับไปยุ่งอะไรกับคุณแซคอีกแล้วล่ะค่ะ”

“แน่ใจหรือครับ”

“แน่ใจค่ะ นารีรักคุณคนเดียวค่ะคุณกฤติชัย” หล่อนออดอ้อนด้วยการซบหน้ากับแผงอกของกฤติชัย และพร่ำเพ้อคำว่ารักออกมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน

“หลังจากคุณแก้แค้นให้นารีสำเร็จแล้ว เราสองคนก็จะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข”

ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของกฤติชัย นอกจากการยืนกอดร่างของหล่อนเงียบๆ

นารีรัตน์ยืนยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจ และก็ก่นด่า กฤติชัยในอกด้วยความเกลียดชัง เพราะหากกฤติชัยไม่ชิงตัวหล่อนมาจากงานแต่งงาน ป่านนี้หล่อนก็คงจะมีความสุขกับ แซคคารีย์ไปแล้ว ไม่ต้องให้อลินดามาชุบมือเปิบแบบนี้หรอก

‘ทั้งมึงทั้งอีลินดานั้นแหละที่ต้องลงไปในนรก หึหึ’

นารีรัตน์นอนซบหน้ากับแผงอกของกฤติชัย รอยยิ้มร้ายกาจยังคงเกลื่อนใบหน้างาม

“พรุ่งนี้นารีจะหลอกนังลินดาไปหัวหินด้วยกัน คุณกฤติชัยเตรียมมือปืนเอาไว้พร้อมหรือยังคะ”

“คุณแน่ใจเหรอนารีว่าจะฆ่าน้องสาวแท้ๆ ของคุณจริงๆ”

“แน่ใจสิคะ หรือว่าคุณจะไม่ช่วยคะ”

นารีรัตน์ลุกขึ้นนั่ง และมองกฤติชัยด้วยสายตาไม่พอใจ

ไม่ว่าไอ้หมอนี่มันจะความจำดีหรือความจำเสื่อม มันก็ชอบทำให้หล่อนโมโหอยู่เสมอ เพราะอย่างนี้ไง หล่อนถึงไม่เคยคิดจะจริงจังกับมัน

“ผมก็แค่ถามอีกครั้งนะครับเพื่อความมั่นใจ เพราะเกรงว่าคุณจะเปลี่ยนใจน่ะ”

สีหน้าของนารีรัตน์บิดเบี้ยวน่ากลัว

“นารีไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ นารีจะฆ่ามัน เพราะมันคนเดียว ชีวิตของนารีถึงต้องพบกับความผิดหวังแบบนี้”

“ในเมื่อคุณไม่เปลี่ยนใจ ผมก็จะจัดการกับมารชีวิตให้กับคุณเอง”

“ขอบคุณค่ะคุณกฤติชัย”

นารีรัตน์โผลงไปซบอกของกฤติชัยอีกครั้งอย่างออดอ้อน พลางคิดในใจอย่างชั่วร้าย

‘มึงก็ไม่รอดเหมือนกันนั่นแหละไอ้กฤติชัย’

ถึงแม้กฤติชัยจะความจำเสื่อม แต่ถ้าวันดีคืนดีมันเกิดจำทุกอย่างได้ขึ้นมา หล่อนไม่จบเห่เหรอ

“ผมยินดีทำเพื่อคุณทุกอย่างครับ”

‘ไอ้หน้าโง่!’

“ขอบคุณมากค่ะที่รัก”

นารีรัตน์ระบายยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะเฝ้ารอจนกฤติชัยลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ตัวเองจึงโทรหามือปืนที่คุ้นเคยกันดี

“ไอ้ต้น ฉันมีงานให้ทำ พรุ่งนี้แกสแตนบายรอฉันเลยนะ”

“งานอะไรเหรอเจ้”

“ฆ่าคน”

“อีกแล้วเหรอเจ้”

“ฉันจ่ายเงินมากกว่าครั้งที่แล้วสองเท่า จะรับไหม ถ้าไม่รับฉันจะไปจ้างคนอื่น” นารีรัตน์รู้ดีว่าคู่สนทนาเห็นแก่เงินแค่ไหน

“รับๆ สิเจ้ แหมว่าแต่จะให้ทำยังไงครับ”

นารีรัตน์ระบายยิ้มเลือดเย็น ก่อนจะเล่าแผนการของตัวเองให้กับคนปลายสายฟังด้วยทีท่าไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว

“คุยกับใครเหรอครับ”

เสียงของกฤติชัยดังขึ้นก่อนที่หล่อนจะทันวางสายจากมือปืน นารีรัตน์หันไปฉีกยิ้มกลบเกลื่อน และตัดสายทันที

“พ่อน่ะค่ะ โทรมาถามว่าจะกลับบ้านเมื่อไหร่”

รอยยิ้มบางๆ ของกฤติชัยทำให้นารีรัตน์ต้องลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

“งั้นนารีขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ เอาไว้พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่หัวหินตามแผนที่นัดกันเอาไว้”

“ครับ”

นารีรัตน์ก้าวลงจากเตียง และรีบสวมเสื้อผ้า พอแต่งตัวเสร็จแล้วก็คว้ากระเป๋าขึ้นมาคล้องไหล่ พร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดกฤติชัยอย่างประจบประแจง

“พรุ่งนี้เจอกันนะคะที่รัก”

“แน่นอนครับ เราสองคนจะต้องเจอกันแน่ และที่สำคัญเราสองคนจะอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล”

นารีรัตน์ไม่ชอบใจที่กฤติชัยพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากจะโต้แย้งเพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะไม่ช่วยเหลือ

“ค่ะ นารีจะอยู่กับคุณไปตลอดกาลค่ะ”

“คุณสัญญาแล้วนะ”

“ค่ะสัญญาค่ะ”

นารีรัตน์ทำเป็นยกมือขึ้นเกี่ยวก้อยกับกฤติชัย ก่อนจะจูบแก้มสากเป็นครั้งสุดท้าย และเดินออกไปจากห้องทันที

“ไอ้บ้า ใครจะอยู่กับมึงไปตลอดชีวิต”

หญิงสาวแสดงท่าทางขยะแขยง

“รอให้ฉันกำจัดนังลินดาได้ก่อนเถอะ แกก็จะเป็นรายต่อไปไอ้กฤติชัย”

 

อลินดาแปลกใจเมื่อเดินลงมาจากบันได แล้วเห็น แซคคารีย์ยังคงนั่งจิบกาแฟอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ คิ้วเรียวเลิกสูง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาเขา

“ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอคะคุณแซค”

แซคคารีย์หันมาทางเสียงเรียกหวานฉ่ำของอลินดา ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลงกับโต๊ะกระจก และระบายยิ้มน้อยๆ

“วันนี้ไม่ได้ไปทำงานหรอก”

“อ้าว ทำไมล่ะคะ วันนี้คุณแซคมีประชุมไม่ใช่เหรอคะ”

สีหน้าของอลินดาเต็มไปด้วยความแปลกใจ

“ใช่ แต่ฉันอยากไปเที่ยวทะเลมากกว่านี่น่า”

“งั้นก็แสดงว่าคุณแซค… เกเรงานเหรอคะ”

แซคคารีย์พยักหน้ารับน้อยๆ และยิ้มกว้าง

“ไม่ต้องทำหน้าตื่นแบบนั้นหรอก ฉันให้วาเนสซ่าส่งอีเมลแจ้งเลื่อนประชุมตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเธอจะต้องไปหัวหินกับครอบครัวแล้วล่ะ”

“คุณแซคไม่เห็นบอกลินดาเลยล่ะคะ”

“ก็ฉันอยากเซอร์ไพรส์เธอไงล่ะ”

อลินดามองค้อนคนตัวโต ก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วคุณแซคเตรียมกระเป๋าเดินทางแล้วเหรอคะ”

“ยังเลย” แซคคารีย์ส่ายหน้าไปมา

“งั้นเดี๋ยวลินดาขึ้นไปจัดกระเป๋าเดินทางให้นะคะ”

“มันหน้าที่ของเมียอย่างเธออยู่แล้วนี่ อลินดา”

คำพูดของแซคคารีย์ทำให้หล่อนอดที่จะย่นจมูกใส่ไม่ได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวลินดามา”

แซคคารีย์มองตามร่างภรรยาไปจนลับสายตา ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาจากปากเบาๆ ความวิตกกังวลกระจ่างชัดอยู่ในดวงตาสีสนิมมากมาย

เขาไม่อยากจะเชื่อว่าการไปหัวหินในครั้งนี้มันจะเป็นแค่การพักผ่อนอย่างเดียว มันจะต้องมีอะไรแน่ๆ แต่เขาไม่รู้เท่านั้นเองว่านารีรัตน์กำลังคิดจะทำอะไรอยู่

และนี่คือเหตุผลที่เขาตัดสินใจส่งอีเมลขอเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นโรงแรมออกไปเป็นอาทิตย์หน้า เพราะเขาเป็นห่วงอลินดาขึ้นมาจับใจ ครั้นจะบอกหล่อนว่าให้ระวังตัวจากพี่สาวของตัวเอง หล่อนก็คงจะไม่ยอมทำตามแน่ๆ ดีไม่ดีจะหาว่าเขาใส่ร้ายนารีรัตน์เสียอีก

 

ขับรถจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้ามาหัวหินใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น หล่อนกับแซคคารีย์เดินทางกันมาเพียงลำพังแค่สองคน และก็นัดเจอกับครอบครัวที่รีสอร์ทที่นารีรัตน์จองเอาไว้

“สีหน้าคุณแซคดูเครียดๆ นะคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

เมื่อเห็นผู้ชายข้างตัวทำหน้าเครียดมาตลอดทาง อลินดาก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

แซคคารีย์ที่เพิ่งปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวหันมามองคนตั้งคำถาม ก่อนจะพูดออกมา

“ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ น่ะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”

“ลินดาว่าคุณแซคคงเครียดเรื่องงานมากกว่าค่ะ ก็ตั้งแต่คุณกฤติชัยส่งหลานชายมาดีลงานแทน ระบบงานก็ค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายไม่เหมือนตอนที่คุณกฤติชัยมาดีลงานเอง”

แซคคารีย์หันมาจ้องหน้าอลินดา เขาคว้ามือเล็กมากุมเอาไว้ สีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียดเหมือนเดิม

“ไม่ใช่เรื่องงานหรอกที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ”

“แล้วเรื่องอะไรคะ”

“เรื่องเธอไง”

คำตอบจากปากหยักสวยของแซคคารีย์ทำให้อลินดาแก้มแดงระเรื่อ

“ลินดาทำอะไรให้คุณแซคไม่พอใจเหรอคะ”

คนตัวโตถอนใจออกมา ยื่นมือมาเชยคางมนให้อลินดาช้อนตาขึ้นสบประสาน

“เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ฉันแค่เป็นห่วงเธอน่ะ”

“เป็นห่วงลินดา?”

“ใช่ ฉันเป็นห่วงเธอ”

คำตอบของเขาทำเอาอลินดาแก้มแดงก่ำ หัวใจของหล่อนแช่มชื่นเหลือเกิน

“ไม่ต้องห่วงลินดาหรอกค่ะ ที่นี่มีแต่คนในครอบครัวของลินดาทั้งนั้น”

“เธอแน่ใจนะว่าพวกเขามองเธอเป็นคนในครอบครัว”

หล่อนอึ้งไปกับคำถามกลับมาของแซคคารีย์ เพราะเอาจริงๆ แล้วหล่อนก็ไม่เคยมั่นใจเหมือนกัน

“คุณแซคหมายถึง…”

“ฉันอยากให้เธอระวังตัวทุกฝีก้าวน่ะ ถึงแม้ฉันจะอยู่ด้วยก็ตาม”

อลินดามองแซคคารีย์ที่สีหน้ายังคงเคร่งเครียดด้วยความซาบซึ้งใจ แม้เขาจะไม่เคยบอกว่ารักหล่อนตรงๆ แต่แค่เขาแสดงออกว่าห่วงใย หล่อนก็มีความสุขแล้ว

“ค่ะ ลินดาจะระวังตัวค่ะ”

“ดีมาก งั้นเราลงไปสมทบกับครอบครัวของเธอกันเถอะ”

แซคคารีย์ปลดเข็มขัดนิรภัยให้กับหล่อน และก็ก้าวลงไปจากรถ ไม่นานเขาก็เดินอ้อมตัวรถมาดึงประตูเปิดให้

“ขอบคุณค่ะ”

หล่อนกล่าวขอบคุณและก้าวตามลงไป ก่อนจะระบายยิ้มกว้างเมื่อเห็นบรรยากาศแสนสวยเบื้องหน้า

“สวยจังค่ะ”

“ชอบทะเลหรือ”

แซคคารีย์เอ่ยถาม

“ค่ะ ลินดาชอบทะเล แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยๆ อย่างที่ใจต้องการเสียที”

แซคคารีย์หันมองหน้าภรรยา และคว้ามือเล็กมากุมเอาไว้

“เอาเป็นว่าถ้าเสาร์อาทิตย์ไหนฉันไม่เพลียจนเกินไป เราจะมาทะเลด้วยกัน โอเค๊”

อลินดาหันขวับมองหน้าคนตัวโต และฉีกยิ้มจนตายีเป็นเส้นตรงเลยทีเดียว

“คุณแซค… พูดจริงนะคะ”

“จริงสิ จะโกหกทำไม”

ภาพที่อลินดากระโดดตัวลอยอย่างดีใจทำเอาแซคคารีย์ซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจเอาไว้ไม่อยู่ อลินดาน่ารัก สดใส เขาไม่น่าโง่มองหล่อนเลวมาตั้งนานเลย

“เข้าที่พักกันเถอะ”

“ค่ะ”

แซคคารีย์เดินโอบเอวของอลินดามุ่งหน้าตรงเข้าไปในรีสอร์ท แต่ก็เจอนารีรัตน์และอุบลที่ล็อบบี้เสียก่อน

“มาแล้วเหรอลินดา”

นารีรัตน์ฉีกยิ้มกว้างเดินเข้ามาทักทายน้องสาว ก่อนจะเอียงหน้าพูดกับแซคคารีย์ด้วยความแปลกใจ

“ไม่น่าเชื่อว่าคุณแซคจะลางานมาด้วยนะคะเนี่ย”

“พอดีช่วงนี้งานไม่ค่อยยุ่งน่ะครับ”

นารีรัตน์ยิ้มให้กับแซคคารีย์ ก่อนจะคว้ามือของอลินดาไปกุมเอาไว้

“หน้าตาอิ่มเอิบดีนะ คงมีความสุขมากใช่ไหมลินดา”

“ก็… ตามอัตภาพน่ะค่ะ

อลินดายกมือไหว้มารดาแล้ว ก็หันมาถามพี่สาวถึงบิดาด้วยความแปลกใจ

นารีรัตน์โบกมือให้กับกฤติชัย และเดินเข้ามาในบ้าน ซึ่งก็เจอกับมารดาที่นั่งรออยู่

อุบลเต็มไปด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นบุตรสาวคนโตกลับมาบ้าน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้วก็ตาม

“นารี… ลูกหายไปไหนมา”

นารีรัตน์ระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ ห้องรับแขก

“พ่อไม่อยู่อีกแล้วเหรอแม่”

“พ่อออกไปหาเพื่อนน่ะ น่าจะกลับค่ำๆ ว่าแต่นารีเถอะ ไปไหนมา เมื่อคืนก็ไม่ยอมกลับบ้าน”

คนถูกถามไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่แยแสอะไร “ฉันก็ไม่เที่ยวตามประสาของฉันน่ะแม่”

“แต่แม่นอนไม่หลับทั้งคืนเลยนะ แม่เป็นห่วงลูกมากนะ”

นารีรัตน์มองมารดาอย่างรำคาญ ตอนนี้หล่อนไม่ต้องการเล่นละครเป็นลูกสาวที่ดีอีกแล้ว

“ฉันโตแล้วนะแม่ จะห่วงทำไมล่ะ”

“ก็แม่รักลูกมากนี่ แม่ก็ต้องเป็นห่วงสิ”

อุบลพูดออกมาทั้งน้ำตา นารีรัตน์เต็มไปด้วยความรำคาญ แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ เพราะยังมีเรื่องที่ต้องให้มารดาช่วยอยู่

“ฉันขอโทษก็แล้วกันแม่ คราวหลังฉันจะโทรบอกแม่ก็แล้วกันถ้าจะไม่กลับบ้านน่ะ”

อุบลระบายยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

“ขอบใจมากลูก แล้วนี่กินข้าวกินปลามาหรือยัง ถ้ายังแม่จะไปทำกับข้าวให้กิน”

“ไม่ต้องหรอกแม่ ฉันกินข้าวมาแล้ว”

“งั้นเอาน้ำผลไม้ไหม แม่จะไปทำมาให้”

อุบลที่รักนารีรัตน์มากพยายามเอาใจ แต่ก็ถูกลูกสาวสุดที่รักปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกแม่ ฉันไม่หิวไม่กระหายอะไรทั้งนั้นแหละ”

“งั้นเหรอ” น้ำเสียงของอุบลเต็มไปด้วยความผิดหวัง

นารีรัตน์ถอนใจแรงๆ ก่อนจะพูดออกมา “แม่เราไปเที่ยวหัวหินกันไหม ฉันอยากไปพักผ่อนสมองน่ะ”

“ไปสิ ลูกจะได้หายเศร้าด้วย” อุบลเห็นด้วยเป็นที่สุด “แล้วเราจะไปกันเมื่อไหร่ดีล่ะ นารี”

นารีรัตน์นั่งนิ่งเงียบ แววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แต่อุบลไม่ทันได้มองเห็น

“ฉันอยากให้แม่โทรไปชวนลินดาไปด้วยน่ะแม่”

“ทำไมล่ะลูก” อุบลแปลกใจ

“ฉันอยากจะปรับความเข้าใจกับน้องน่ะแม่ ตอนนี้ฉันคิดได้แล้วล่ะว่า คนที่ผิดมาตลอดก็คือฉันเอง ไม่ใช่ลินดา”

อุบลมองลูกสาวคนโตอย่างเหลือเชื่อ “ทำไมลูกถึงเปลี่ยนความคิดล่ะนารี”

นารีรัตน์แสร้งบีบน้ำตา และมองมารดา “ก็ถ้าฉันมั่นคงกับความรักของคุณแซค ไม่วอกแวกไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่น จนลืมเขาไปตั้งสามปี ลินดาก็คงไม่มีโอกาสสวมรอยเป็นฉันและไปติดต่อกับคุณแซคเองหรอกแม่ เห็นไหมว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะฉัน”

อุบลจับมือลูกสาวเอาไว้ และพูดปลอบใจ “ลูกไม่ผิดหรอกนารี ไม่มีใครผิดหรอก ลูกของแม่เป็นคนดีเสมอ”

“ฉันอยากคุยกับลินดาให้รู้เรื่อง แม่ช่วยโทรนัดให้ลินดาไปเที่ยวกับฉันที่หัวหินด้วยนะจ๊ะ”

อุบลพยักหน้ารับโดยไม่ได้เอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

“ได้สิลูก แม่จะโทรไปบอกน้องให้”

“ขอบคุณจ้ะแม่ ขอบคุณแม่มากนะจ๊ะ”

นารีรัตน์ซบหน้ากับอกของมารดาและแสร้งร้องห่มร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิดต่อไปจนมารดาเชื่อสนิทใจ

“ใครโทรมาหาหรือ ถึงต้องไปคุยนอกห้อง คงไม่ใช่นายแฮรี่ หรือคุณกฤติชัยใช่ไหม”

คนที่นอนเอกเขนกรออยู่บนเตียงกว้าง เอ่ยถามทันทีที่หญิงสาวเดินเข้ามาภายในห้องนอน หลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงนอกห้อง

“แม่โทรมาค่ะ”

คำตอบของอลินดาทำให้ใบหน้าของแซคคารีย์คลายความหงิกลงได้เล็กน้อย

“ไหนเอาเบอร์มาดูสิว่าใช่แม่เธอจริงหรือเปล่า”

อลินดาเดินเข้าไปหยุดที่เตียง และยื่นโทรศัพท์ให้ชายหนุ่มดูหมายเลขโทรเข้าล่าสุด

“เชื่อหรือยังคะ”

“อืม เชื่อแล้ว”

แซคคารีย์เห็นว่าเป็นเบอร์ของอุบลจริงๆ ก็คลายความสงสัย และก็ดึงร่างของภรรยาเข้ามากอดแนบอก

“ปล่อยก่อนค่ะ ลินดายังไม่ได้อาบน้ำเลยนะคะ”

“ไม่ปล่อย จนกว่าจะบอกว่าแม่เธอโทรมาทำไม ปกติไม่เห็นเคยพิศวาสอะไรเธอเลยนี่น่า”

แซคคารีย์พูดได้ตรงกับความเป็นจริงทุกประการ แต่หล่อนก็น้อยใจจนชาชินไปเสียแล้ว

“แม่ชวนไปเที่ยวหัวหินน่ะค่ะ”

คิ้วเข้มของแซคคารีย์เลิกสูง แววตาสีสนิมที่มองมายังหล่อนเต็มไปด้วยความแคลงใจ

“ทำไมจู่ๆ มาชวนไปหัวหินล่ะ”

“เห็นแม่บอกว่าพี่นารีอยากไปน่ะค่ะ แม่ก็เลยอยากให้ลินดาไปด้วย พี่น้องจะได้ปรับความเข้าใจกัน”

“เรื่องฉันใช่ไหม”

คนตัวเล็กตวัดตามองค้อนเจ้าของคำถาม “รู้ตัวด้วยเหรอคะว่าเป็นต้นเหตุน่ะ”

“รู้สิ แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะฉันไม่มีทางกลับไปหานารีได้อีกแล้ว ฉันหมดรักนารีไปแล้ว”

“แล้วตอนนี้คุณแซครักใครล่ะคะ”

อลินดาถามไปอย่างนั้นแหละ แต่กลับถูกเขาพลิกตัวขึ้นทาบทับเอาไว้ พร้อมกับก้มหน้าลงมาจูบปากแรงๆ ราวกับหล่อนพูดอะไรผิดอย่างนั้นแหละ

“ฉันรักผู้หญิงที่ถักผ้าพันคอให้น่ะ แล้วก็ผู้หญิงที่ขยันส่งโปสการ์ดไปให้ฉันทุกๆ เดือน แต่ว่า… ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะ เธอรู้ไหมอลินดา”

แก้มนวลแดงระเรื่อ เสหลบสายตาคมกริบพัลวัน แต่ แซคคารีย์ก็ยังถามย้ำอีกครั้ง

“ทำไมไม่ตอบล่ะ”

“ก็… ลินดาไม่รู้จะตอบว่าอะไรนี่คะ”

“ก็พูดความจริงยังไงล่ะ ความจริงที่ฉันรู้หมดแล้วออกมา”

เขาไม่ได้พูดเปล่า แต่ยังหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ อลินดารู้สึกสั่นไหววาบหวามไปทั้งตัว เสหลบสายตาคมพัลวัน

“คุณแซค… รู้แล้วเหรอคะ”

“หึ ฉันรู้นานแล้วต่างหาก”

คราวนี้คนตัวเล็กเผยอช้อนตามองด้วยความแคลงใจ

“คุณแซครู้นานแล้ว…”

“ใช่”

“แล้ว… รู้ได้ยังไงคะ หรือว่าพี่นารีบอก…”

แซคคารีย์ส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ดวงตาไม่คลาดไปจากดวงหน้างามของอลินดาแม้แต่วินาทีเดียว

“ก็ตั้งแต่ที่ฉันรู้ว่าผู้หญิงชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างเธอกลายเป็นสาวบริสุทธิ์ ฉันก็ต้องทนอยู่กับความสงสัยทุกวินาที จนกระทั่งฉันทนไม่ไหวและสืบหาความจริง และฉันก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอถูกใส่ร้าย”

อลินดาน้ำตาซึม หลบสายตาของแซคคารีย์

“และคนที่ใส่ร้ายเธอก็คือนารีรัตน์”

หญิงสาวพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้เงียบๆ

“ฉันเคยถามเธอหลายครั้งแล้วเรื่องคลิปโป๊นั่น แต่เธอก็ไม่เคยให้คำตอบฉันเลย ตอนนี้ตอบฉันมาตามความจริงนะ ว่าทำไมถึงได้ยอมรับว่าเป็นตัวเอง ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นคือนารี” นิ้วแกร่งเชยคางมน และบังคบให้หล่อนสบประสานสายตา

“ตอบฉันตามความจริงนะลินดา… อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว”

อลินดาสะอื้นน้อยๆ ก่อนจะตอบออกไปเพราะไม่รู้ว่าจะทนเก็บเอาไว้ทำไมอีก ในเมื่อแซคคารีย์ก็รู้ทุกอย่างแล้ว

“ลินดาไม่อยากให้คุณกับพี่นารีมีปัญหากันค่ะ”

“แค่นี้หรือ”

“และก็… เพื่อแลกกับการที่พี่นารีจะไม่เอาชื่อของลินดาไปทำเรื่องเสื่อมเสียอีกค่ะ”

แซคคารีย์ถอนใจออกมาแรงๆ และรู้สึกผิดหวังในตัวของนารีรัตน์ยิ่งนัก เขากอดร่างของอลินดาเอาไว้แน่น จูบซับน้ำตาให้กับหล่อนด้วยความสงสาร

“ฉันขอโทษนะที่เคยร้ายกับเธอเอาไว้มาก แต่นั่นเพราะฉันเข้าใจเธอผิดไป”

หล่อนส่ายหน้าไปมา สะอื้นไห้แผ่วเบา

“คุณแซคไม่ผิดหรอกค่ะ อย่าโทษตัวเองเลย”

“แล้วใครผิดล่ะ”

เขาย้อนถามกลับมา

“เอ่อ… ไม่มีหรอกค่ะ”

ชายหนุ่มระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกระซิบชิดปากอิ่ม

“ผู้หญิงที่แอบรักฉันใช่ไหมที่ผิด”

หน้านวลแดงก่ำและเสหลบสายตาคมกริบพัลวัน แต่เขาก็ยังเอ่ยถามไม่เลิก

“ทำไมไม่ตอบล่ะ ลินดา”

“เอ่อ…”

“ไหนบอกมาสิว่าหลงรักฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

อลินดาขัดเขินจนตัวแทบแตกปริ

“คุณแซคน่ะ ถามอะไรคะ ลินดาจะไปอาบน้ำแล้วค่ะ”

“ไม่ให้ไป จนกว่าจะตอบก่อน ไหนบอกมาสิว่ารักฉันเมื่อไหร่”

“คุณแซคน่ะ…”

ชายหนุ่มหัวเราะหึหึ ก่อนจะก้มลงดูดปากล่างอวบอิ่มแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

“ถ้าไม่พูด ฉันจะหาคำตอบเองนะ”

“คุณแซค… จะหาคำตอบยังไงเหรอคะ”

รอยยิ้มหื่นกระหายบนใบหน้าหล่อเหลาของแซคคารีย์ทำให้อลินดารู้คำตอบในที่สุด แต่มันก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะหล่อนห้ามปรามการหาคำตอบแสนวาบหวามของชายหนุ่มไม่ทัน

“อื้อ… อ๊า… คุณแซค…”

ร่างสาวถูกจับเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่า และเขาก็ลูบไล้โลมเลียกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความหิวกระหายตะกละตะกลาม แต่ภายใต้ความดิบเถื่อนของแซคคารีย์ก็เต็มไปด้วยความเสียวกระสันน่าลุ่มหลง

หล่อนดิ้นพล่านอยู่ใต้ร่างทรงพลังที่ไม่เคยแรงตกของแซคคารีย์ยาวนาน ดื่มด่ำไปกับรสกำซาบของไอสวาทจนยากที่จะถอนตัวถอนใจออกมาได้ เวลาผ่านพ้นไปนานหลายชั่วโมง แต่เขาก็ยังคงเดินหน้ามอบความหฤหรรษ์ให้อย่างต่อเนื่อง

กี่ครั้งกันนะ? ที่หล่อนสุขสมทั้งบนร่าง ใต้ร่าง หรือกับลิ้นสากของแซคคารีย์

อลินดาพยายามคิดหาจำนวนที่แท้จริง แต่นิ้วมือกลับไม่พอนับเอาเสียนี่ ช่างเถอะ เอาไว้ค่อยนับพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน หญิงสาวหลับตาพริ้ม และปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอยไปในกระแสธารสวาทตลอดทั้งค่ำคืน

“ฉันปวดบ่า มานวดให้หน่อยสิ”

จู่ๆ คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานก็เอ่ยขึ้น และก็ทำให้ อลินดาต้องช้อนตาขึ้นมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“แต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ลินดาเพิ่งจะนวดบ่าให้เองนะคะ ทำไมเมื่อยไวนักล่ะคะ”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ มานวดเถอะน่ะ”

แซคคารีย์กวักมือเรียกหยอยๆ และหล่อนก็จำต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินไปหยุดข้างตัวของเขา

“ตรงบ่าใช่ไหมคะ”

หล่อนเอ่ยถามและกำลังมองหาตำแหน่งที่เขาบอกว่าปวดเมื่อย แต่แล้วก็ต้องอุทานตกใจ เมื่อจู่ๆ เขาก็คว้าร่างของหล่อนให้ขึ้นไปนั่งซ้อนตัก และซุกไซ้ร่องอกอวบโดยไม่ให้ตั้งตัว

“อุ๊ย… ปล่อยค่ะ คุณแซค”

“อย่าร้องดังสิ เดี๋ยวคุณวาเนสซ่าก็ได้ยินพอดี ชูว์ เบาเข้าไว้ โอเคไหม” เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้หล่อนเงียบๆ สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย

“ไหนคุณแซคบอกว่าเมื่อยไงคะ”

“หายเมื่อยแล้ว” เขาตอบหน้าตาเฉย “แต่อยากจูบเธอแทน”

“คุณแซคไม่ได้นะคะ ที่นี่… ห้องทำงานนะคะ” หล่อนพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะยิ่งดิ้นบั้นท้ายอวบก็ยิ่งสัมผัสกับความแข็งชันที่เป้ากางเกงแนบแน่น

“อ๊ะ…” หล่อนเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนขัดเขิน

แซคคารีย์ระบายยิ้มกริ่ม “มันตื่นแล้ว”

“คุณ… แซค…”

“รับผิดชอบด้วยนะ เพราะเธอทำให้มันตื่น”

น้ำเสียงของแซคคารีย์กระเส่าเหลือเกิน และมันก็มีผลทำให้เลือดสาวร้อนฉ่าจนน่าละอาย

“อย่าค่ะ อย่าทำที่นี่”

“แล้วจะให้ทำที่ไหน ถ้าจะให้ไปเปิดห้องบนโรงแรม พนักงานของฉันก็จะยิ่งรู้น่ะสิว่าเราหายไปทำอะไรกันในห้องสวีท” เขาอมยิ้ม น้ำเสียงไม่มีวี่แววสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

“ก็… รอไปทำที่บ้านไงคะ”

ศีรษะทุยสวยของแซคคารีย์ส่ายไปมาน้อยๆ “ฉันรอไม่ไหวหรอก อยากจะเข้าไปในตัวของเธอตั้งแต่ที่ห้องแผนกบัญชีแล้ว นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันอดทนมาได้ถึงตอนนี้น่ะ”

“คุณแซคน่ะ… ทำไมบ้ากามแบบนี้ ปล่อยลินดานะคะ” หล่อนเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง

“ฉันก็เพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าตัวเองหื่นกามระดับเลเวลสิบ” เขาหัวเราะร่วน และยกมือขึ้นประคองใบหน้านวลของหล่อนเอาไว้ จากนั้นก็จ้องมองประสานสายตา

“เธอทำให้ระดับการควบคุมตัวเองของฉันลดต่ำลงมากนะ อลินดา ตั้งแต่มีเธอ ฉันก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เลย ในหัวคิดแต่จะฟัดเธอ…”

“คุณแซค…” หล่อนสั่นเทาไปทั้งร่าง พยายามบอกตัวเองให้เข้มแข็ง แต่ความหวามไหวจากความใกล้ชิดทำให้กายสาวระทดระทวยมากขึ้นทุกขณะ

“ฉันก็ไม่เคยชอบใจเลยนะที่ตัวเองหื่นง่ายแบบนี้ แต่ก็ไม่อาจจะควบคุมมันได้ ซึ่งเธอเป็นคนทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ดังนั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ร่างกายของฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่ เข้าใจไหม อลินดา”

“แต่มันไม่เกี่ยวกับลินดานะคะ”

“เกี่ยวสิ เกี่ยวที่สุดเลยล่ะ”

“อ๊ะ… อย่าค่ะ…”

ร่างของหล่อนถูกจับยกขึ้นไปวางบนโต๊ะทำงานไม้ แฟ้มเอกสารถูกมือใหญ่ปัดทิ้งลงไปกองเละเทะกับพื้นห้อง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนดันเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปจนพ้นทาง และแทรกตัวเข้าไปอยู่ในระหว่างต้นขาอวบที่กำลังพยายามหนีบเข้าหากัน แต่เขาก็ชนะอีกตามเคย

“เธอเองก็ต้องการมัน อลินดา”

แล้วเขาก็พิสูจน์คำพูดโอหังของตัวเองด้วยการตลบชายกระโปรงบานขึ้นไปไว้ที่เอวคอด กลีบเนื้ออวบอูมดันกางเกงในลูกไม้สีขาวขึ้นมาเป็นรูปรอยชัดเจน คนตัวโตครางด้วยความกระหาย ก่อนจะวางมือลงบนเนินฉ่ำ และขยำแรงๆ

“อ๊ะ… อ๊า… คุณแซค… อา…”

กางเกงในลูกไม้ที่สวมใส่อยู่ไม่อาจจะขวางกั้นความร้อนจัดจากนิ้วยาวของแซคคารีย์ได้เลย ความร้อนฉ่าถูกส่งผ่านเข้ามายังกลีบนางอย่างต่อเนื่อง และไม่ช้านิ้วยาวก็สัมผัสกับกลีบเนื้อแท้เมื่อกางเกงชั้นในถูกรูดเลื่อนผ่านสะโพกลงไปยังข้อเท้า

“อืมมมม…”

แซคคารีย์คำรามด้วยความพึงพอใจ เขาแยกแย้มกลีบสาวที่ปิดสนิทออกจากกัน ดื่มด่ำกับสีสันอ่อนใสของกลีบสวาทผ่านทางสายตา ก่อนที่นิ้วยาวจะแตะลงไปในแอ่งลึก

“อ๊ะ… อา…”

นิ้วยาวไล้หยอกเย้ากับความลื่นฉ่ำ ก่อนจะเลื่อนไปบี้คลึงเกสรอ่อนไหวจนสาวน้อยกรีดร้องด้วยความเสียวกระสันทรมาน สะโพกอวบยกร่อนขึ้นสูง ตามติดนิ้วยาวด้วยความโหยหารวดร้าว

“คุณแซค… อา… ได้โปรด…”

ชายหนุ่มระบายยิ้ม ยังสนุกกับการหยอกเย้าให้สาวน้อยเสียวกระสันด้วยนิ้วมือ และยังไม่คิดจะมอบความสัมพันธ์ขั้นสุดท้ายให้ในตอนนี้

“ได้โปรด… คุณแซคขา…”

“อีกนิด อลินดา… ให้ฉันเฝ้ามองดูความร่านร้อนของเธออีกนิด… อืมมมมม…”

“อ๊า… อา…”

ชายหนุ่มตลบชายเสื้อตัวสวยขึ้นไปกองไว้เหนือหน้าอกอวบ จากนั้นก็เอื้อมมือไปด้านหลังปลดตะขอบราเซียร์ และไม่ช้าเต้านมเต่งตึงก็ดีดเด้งโชว์สายตา

“นมสวยเหลือเกิน อลินดา… ใหญ่เต็มมือด้วย”

ฝ่ามือใหญ่ทาบลงบนก้อนเนื้อนุ่ม และบีบแรงๆ อย่างเมามัน ก่อนจะก้มหน้าลงไปแลบลิ้นเลียยอดถันสีชมพูหวาน เลียจนเจ้าของเต้าทรวงแทบขาดใจ ก็ดูดอมเม็ดเต่งเข้าไปโรมรันในช่องปาก เขาทั้งดูดทั้งกัดเลียด้วยลิ้นด้วยลีลาที่ทำให้อลินดาต้องหยัดยกร่างขึ้นหาเร่าๆ

“อ๊า… ได้โปรด… คุณแซค… ลินดาไม่ไหวแล้ว… ได้โปรด…”

เขาคลายยอดถันออกจากปากแต่ยังไม่หยุดมือที่กำลังคุกคามเกสรสวาทของหล่อน

“อยากได้อะไรทูนหัว…”

คนที่หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ปรารถนาครางอย่างสิ้นความละอาย “ต้องการ… ลินดาต้องการคุณค่ะ คุณแซค… เข้ามา… เข้ามาเถอะค่ะ ลินดาขอร้อง…”

หล่อนได้ยินเสียงคำรามด้วยความพึงพอใจออกมาจากลำคอแกร่งเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะมอบความใหญ่โตที่หล่อนปรารถนาให้อย่างดุดัน

“อ๊ะ… อา…”

หล่อนครางอย่างมีความสุขเมื่อได้กลืนกินความแข็งชันของแซคคารีย์เอาไว้ทั้งตัวตน และก็ไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียวที่กำลังคลุ้มคลั่งเพราะแรงปรารถนา แต่แซคคารีย์เองก็ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากที่เขาสอดใส่เข้ามาจนสุดทาง การเคลื่อนไหวของเขาก็เริ่มต้นด้วยความป่าเถื่อนทันที เขาโยกคลึงเร่าร้อนรุนแรง สะโพกเพรียวสั่นไหวส่ายวน และกระแทกกระทั้นไม่หยุด หล่อนยกขาขึ้นตวัดรวบรัดเอวแกร่งเอาไว้ ยกร่อนสะโพกขึ้นหา เพื่อให้เขาได้สอดใส่ล้ำลึกให้มากที่สุด เสียงครวญครางเสียวกระสันดังกระหึ่มห้อง และก่อนที่หล่อนจะสุขสมแรงกล้า ปากร้อนจัดก็ทาบประกบลงมาหา เขาดูดกลืนเสียงกรีดร้องสุขสมของหล่อนหายลงไปในลำคอแกร่ง ในขณะที่เขายังคงอัดกระหน่ำเข้าใส่ไม่หยุด

“โอ้ว… โอ้ว… อืมมมม… ลินดา… รัดแน่นมาก…”

เขาสูดปากแรงๆ และแรงกระชั้นของเขาก็รัวระทึกน่ากลัวมาก เสียงโต๊ะไม้ครางประท้วง แต่ร่างทรงพลังที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อทั้งๆ ที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำยังกระแทกไม่หยุด ไม่น่าเชื่อเลยว่าบั้นเอวของ แซคคารีย์จะเคลื่อนไหวได้ระรัวเร็วแบบนี้ เร็วแรง และหนักแน่นจนหล่อนแตกระเบิดออกมาอีกครั้ง แถมยังรุนแรงมากกว่าครั้งก่อนหน้าเสียอีก

หล่อนเกร็งกระตุกยกร่อนร่างอยู่ใต้ความทรงพลังของแซคคารีย์ไม่นานนัก เขาก็แตกระเบิดตามมาติดๆ หล่อนช้อนตามองใบหน้าหล่อจัดก็เห็นว่ามันแดงก่ำ และบิดเบี้ยวราวกับไม่ใช่ใบหน้าของมนุษย์ เสียงคำรามที่ดังออกมาจากริมฝีปากหยักสวยคู่นั้น ราวกับเสียงร้องเจ็บปวดของสัตว์เจ้าป่า และร่างกายทรงพลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดงามก็เกร็งกระตุกราวกับถูกเขย่า หยาดสวาทร้อนจัดของเขาพุ่งเข้าใส่ภายในของหล่อนอย่างล้ำลึก ก่อนที่เขาจะซบลงมาหาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

“เธอทำให้ฉันเป็นผู้ชายติดเซ็กซ์อลินดา…” เขาครางแผ่วเบาราวกับเสียงของลมหายใจที่ข้างหู “ดังนั้นห้ามหนีไปไหนอีกนะ เธอต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำให้ฉันเป็นไปตลอดชีวิต”

เขายกตัวขึ้นมองจ้องหน้าของหล่อน สองดวงตาสบประสานกันนิ่งนาน

“เข้าใจไหม”

เมื่อหล่อนไม่ยอมตอบ และเอาแต่เสหลบสายตา จึงถูกลงโทษลงด้วยรอยจูบอีกครั้งเนิ่นนาน

“ปล่อยมือลินดาก่อนเถอะค่ะคุณแซค คนมองกันหมดแล้วค่ะ”

หล่อนพยายามดึงมือเล็กออกจากอุ้งมืออบอุ่น เมื่อทั้งเขาและหล่อนเดินเข้ามาในที่ทำงาน ความไม่สบายใจของหล่อนเกิดขึ้นมากมาย เมื่อสายตาของพนักงานร่วมบริษัทมองมาด้วยความแปลกประหลาดใจ

“ใครจะมองก็ช่างสิ” เขาไม่สนใจความเดือดเนื้อร้อนใจของหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังเปลี่ยนจากการกุมมือมาเป็นโอบรอบเอวคอดแทน “ฉันไม่เห็นสนใจเลย”

“แต่ลินดาอายนะคะ”

คนตัวโตหยุดเดิน และประสานสายตากับหล่อน คำพูดของเขา ยียวนชวนให้หมั่นไส้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ทำไมต้องอายด้วย ฉันไม่หล่อหรือไง ถึงต้องอายเวลาคนอื่นมอง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ”

“แล้วมันอย่างไหนล่ะ ทำไมฉันถึงจะเดินจูงมือเมียตัวเองไม่ได้”

“ก็…” อลินดาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

“ก็อะไร หึ” แซคคารีย์คาดคั้นคู่สนทนาทั้งทางน้ำเสียงและสายตา

“ก็พนักงานที่นี่ทุกคนรู้แค่เพียงว่าลินดาเป็นน้องเมียของคุณแซคนี่คะ แล้วพี่เขยกับน้องเมียมาโอบประคองกันแบบนี้ คุณแซคไม่กลัวถูกนินทาหรือไงคะ”

ศีรษะทุยสวยของแซคคารีย์ส่ายน้อยๆ พลางโน้มใบหน้าหล่อจัดเข้ามาหาใกล้ๆ “เรื่องแค่นี้เอง ฉันจัดการได้”

“คุณแซค… จะทำอะไรเหรอคะ”

ชายหนุ่มยืดตัวตรง ปล่อยมือจากเอวคอด เลื่อนไปกุมมือเล็กเอาไว้ตามเดิม

“เดี๋ยวเธอก็รู้เองนั่นแหละ”

อลินดาช้อนตาขึ้นมองคนตัวโตข้างกายด้วยความแปลกประหลาดใจ และก็ไม่สบายใจไปพร้อมๆ กัน

 

อลินดาที่นั่งลงบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานต้องรีบเงยหน้าขึ้นจากตัวเลขทันที เมื่อเสียงกระหืดกระหอบของหทัยชนกดังขึ้นข้างๆ ตัว แต่หล่อนฟังไม่ถนัดนัก

“พี่นกพูดว่าอะไรนะคะ”

“แหม ยังจะทำมาเป็นไม่เข้าใจอีก”

สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกริ่มของหทัยชนกยิ่งทำให้ อลินดาแปลกใจ

“คือลินดาไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะ”

หทัยชนกก้มหน้าลงมาหา และพูดออกมาอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่เพื่อนๆ ที่ทำงานอยู่ในแผนกบัญชีเดินมารุมล้อมรอบโต๊ะทำงานของหล่อน

“เธอเป็นภรรยาของท่านประธานตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย ทำไมไม่เห็นบอกให้พวกพี่รู้บ้างเลย”

อลินดาเบิกตากว้าง หน้าแดงก่ำสลับซีดขาว

“พี่นก… รู้ได้ยังไงคะ”

“ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวหรอกที่รู้เรื่องนี้ แต่พนักงานทุกคนในโรงแรมรู้กันหมดแล้วล่ะจ้ะ”

อลินดาช็อกพูดไม่ออก และเป็นครั้งแรกที่ค้นหาเสียงของตัวเองไม่เจอ

“พี่ก็ว่าแล้วเชียวว่าทำไมพักนี้ท่านประธานดอดมาเยี่ยมเยียนแผนกบัญชีบ่อยจัง ที่แท้ก็…”

หทัยชนกหยุดพูดเล็กน้อย และหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนๆ “ว่าแต่บอกได้ไหมว่าทำไมเธอถึงแต่งงานแทนพี่สาวล่ะ”

“เอ่อ… คือว่า…”

อลินดาไม่รู้จะอธิบายยังไงจึงอึกอักตะกุกตะกัก ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่แซคคารีย์ปรากฏตัวขึ้นพอดี

“พวกคุณทำอะไรกันน่ะ ไม่มีงานทำหรือไง”

เสียงห้าวกระด้างทรงอำนาจของแซคคารีย์ทำให้พนักงานที่กำลังรุมล้อมโต๊ะทำงานของอลินดาอยู่แตกฮือ

“มีค่ะท่านประธาน”

“นึกว่าไม่มี จะได้ให้กลับไปอยู่บ้านกันเฉยๆ” แซคคารีย์เค้นเสียงไม่พอใจออกมา

“พวกเรากำลังจะกลับไปทำงานน่ะค่ะ ไปพวกเรา”

แล้วพนักงานทุกคนที่อยู่รอบตัวของอลินดาก็พากันกลับไปทำงานอย่างว่องไว

แซคคารีย์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของอลินดา พร้อมกับอิงสะโพกกับขอบโต๊ะไม้

“ทำอะไรอยู่”

อลินดาช้อนตาขึ้นมองคนตัวโตที่ทำให้หล่อนลำบากใจอย่างโมโห

“คุณแซคบอกทุกคนว่าลินดาเป็น… เอ่อ… ภรรยาเหรอคะ”

“ใช่ ฉันส่งเมลบอกทุกคนเองแหละ”

อลินดาเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงตามความเคยชินแต่ก็ถูกแซคคารีย์ดุเหมือนเช่นทุกครั้ง

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากัดปาก เดี๋ยวช้ำหมด”

หล่อนมองค้อนคนเจ้ากี้เจ้าการ

“แต่นี่มันร่างกายของลินดานะคะ คุณแซคไม่มีสิทธิ์มาบังคับสักหน่อย”

“แน่ใจหรือ”

คนตัวโตโน้มศีรษะต่ำลงมาหา ต่ำมากจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

“ต้องให้แสดงให้ดูไหมว่าฉันมีสิทธิ์อะไรในตัวของเธอบ้าง อลินดา”

แก้มนวลแดงก่ำ และเสหลบสายตาคมกริบด้วยความเอียงอายขัดเขิน

“เอ่อ… คุณแซคมาที่นี่มีอะไรเหรอคะ” หล่อนชวนเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน

แซคคารีย์ไหวไหล่กว้างน้อยๆ ก่อนจะหันไปลากเก้าอี้ที่ว่างอยู่มานั่งข้างๆ อลินดา

“ก็เธอไม่ยอมย้ายขึ้นไปนั่งทำงานบนห้องของฉันนี่ ฉันก็เลยต้องย้ายตัวเองมานั่งกับเธอในแผนกบัญชีแทน”

“คุณแซค…” หล่อนเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนี้สิคะ”

“ฉันทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”

ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ ในขณะที่หล่อนอดเกรงใจเพื่อนพนักงานที่ทำงานร่วมกันในแผนกไม่ได้ เพราะทุกคนคงอึดอัดมากแน่ๆ หากแซคคารีย์จะเดินเข้าเดินออกที่นี่บ่อยๆ เช่นนี้

“คุณแซคเป็นประธานกรรมการนะคะ ไม่ควรจะมาอยู่ในห้องของแผนกบัญชี”

“ก็เมียฉันอยู่ที่นี่นี่น่า” เขายังคงยียวน “อ้อ ฉันลืมบอกเธอไป ฉันกำลังให้คนไปย้ายโต๊ะทำงานของฉันมาประจำที่นี่แล้วล่ะ”

“คะ?” อลินดาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “คุณแซค… พูดเล่นใช่ไหม”

ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาน้อยๆ และหัวเราะ “คนอย่างฉันพูดเล่นเป็นที่ไหนกันล่ะ นั่นไง มาพอดี…”

อลินดาหันไปมองประตูห้องของแผนกบัญชีที่เปิดกว้างออก พร้อมๆ กับพนักงานผู้ชายแผนกซ่อมบำรุงสองคนที่ยกโต๊ะไม้ขนาดใหญ่เข้ามา

นี่แซคคารีย์พูดจริงทำจริงเหรอเนี่ย!

“ท่านประธานจะให้เอาโต๊ะตั้งไว้ตรงไหนครับ”

แซคคารีย์ลุกขึ้น และมองไปรอบๆ ก่อนจะชี้มือชี้ไม้

“เอาโต๊ะของคุณสกุณาย้ายไปชิดกำแพงก่อน แล้วเอาโต๊ะทำงานของผมมาตั้งเอาไว้ข้างๆ กับโต๊ะทำงานของคุณอลินดา”

“ครับ ท่านประธาน”

อลินดามองหน้าของแซคคารีย์สลับกับโต๊ะทำงานที่กำลังถูกเคลื่อนย้ายด้วยความมึนงง ซึ่งก็ไม่ใช่หล่อนคนเดียวหรอกที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเท่าที่เห็นสายตาของเพื่อนร่วมแผนกที่มองมายังหล่อน ก็เต็มไปด้วยความสับสนงงงวยไม่ต่างกัน

“คุณแซคคะ… อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”

“อยู่เฉยๆ เถอะน่ะอลินดา”

แน่ะ เขายังมีหน้ามาดุหล่อน ให้หล่อนอยู่เฉยๆ อีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เขากำลังทำให้แผนกบัญชีของหล่อนปั่นป่วน

“แต่คุณแซคกำลังทำให้แผนกบัญชีวุ่นวายนะคะ”

“วุ่นวาย? ฉันเนี่ยนะทำให้แผนกบัญชีวุ่นวาย” ชายหนุ่มทำหน้า ยียวน ก่อนจะหันมองไปรอบๆ ห้อง “ไหนใครคิดว่าผมทำให้แผนกบัญชีวุ่นวายบ้าง ยกมือขึ้น”

แซคคารีย์ไหวไหล่น้อยๆ เมื่อไม่เห็นมีพนักงานบัญชีคนไหนแสดงความคิดเห็นแย้งออกมาเลย

“เห็นไหมว่าทุกคนยินดีต้อนรับฉัน”

“ก็ใครจะกล้าขัดใจท่านประธานกันล่ะคะ” อลินดาถอนใจออกมา

“ก็เธอไง ทั้งชอบขัดใจ และชอบหนีอีกต่างหาก” เขาเอียงหน้าเข้ามาใกล้ “ดังนั้นการเฝ้ามองเธอทุกฝีก้าวมันคือทางแก้ปัญหาที่ฉันคิดว่าดีที่สุด”

อลินดาช้อนตาขึ้นมองคนพูด หล่อนมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ นี่แซคคารีย์กำลังจะเล่นสนุกอะไรกันแน่

“คุณแซคทำแบบนี้ทำไมคะ ลินดาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคุณมากถึงขนาดต้องมานั่งเฝ้าหรอกค่ะ” หล่อนพูดออกไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“ก็ฉันยังไม่เบื่อของเล่นอย่างเธอนี่ ฉันก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”

แล้วเขาก็เดินออกห่างจากหล่อน ไปหยุดใกล้ๆ กับพนักงานซ่อมบำรุงที่กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายโต๊ะทำงาน หล่อนจ้องมองเขาน้ำตาเอ่อล้นสองขอบตาด้วยความน้อยใจ แต่แล้วก็ต้องรีบกะพริบไล่เมื่อเสียงของหัวหน้างานดังขึ้นเบาๆ ด้านหลัง

“พี่ว่าลินดาย้ายขึ้นไปทำงานบนห้องของท่านประธานเถอะนะ พี่ขอร้องล่ะ”

“แต่ว่า…”

“ลินดาไม่สงสารพวกเพื่อนๆ เหรอที่จะต้องมานั่งก้มหน้างุดลงบัญชีผิดบัญชีถูก เพราะมีท่านประธานมานั่งเป็นพระประทานอยู่กลางห้องน่ะ”

สีหน้าของหัวหน้างานเคร่งเครียด และมองหล่อนด้วยสายตาขอความเห็นใจ

“คิดว่าสงสารพวกพี่เถอะ”

อลินดาหันไปมองเพื่อนร่วมงานรอบๆ ตัว และก็ได้เห็นสายตาน่าสงสารของทุกคน

“ค่ะ ลินดาจะย้ายขึ้นไปทำงานห้องคุณแซคเองค่ะ”

รอยยิ้มโล่งใจระบายเต็มใบหน้าของหัวหน้างานและเพื่อนพนักงาน

“ขอบใจมากนะลินดา”

อลินดาฝืนยิ้มให้กับหัวหน้างานที่ตอนนี้ย่องกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานตามเดิมแล้ว ก่อนจะหันมามองแซคคารีย์ที่กำลังชี้มือชี้ไม้สั่งลูกน้องด้วยสายอ่อนอกอ่อนใจ

และในที่สุดหล่อนก็ต้องยอมแพ้ หญิงสาวก้าวเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่ “ตกลงค่ะคุณแซค ลินดาจะย้ายขึ้นไปนั่งทำงานในห้องของคุณแซคค่ะ”

คนตัวโตเอียงหน้ามามอง ก่อนจะระบายยิ้ม “ทำไมเปลี่ยนใจง่ายนักล่ะ เมื่อเช้ายังยืนกรานว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ยอมขึ้นไปนั่งให้ฉันจ้องในห้องทำงานอยู่เลย”

ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ… อลินดาค่อนขอดผู้ชายจอมบงการตรงหน้าอย่างหมั่นไส้

“ก็ถ้าลินดาไม่ยอมขึ้นไป แผนกบัญชีก็คงจะระส่ำระสายน่ะค่ะ”

เสียงหัวเราะพึงพอใจดังออกมาจากลำคอแกร่ง เขามองหล่อนด้วยรอยยิ้มกริ่ม พร้อมกับโน้มศีรษะต่ำลงมาหา

“ก็ถ้าไม่ดื้อตั้งแต่เช้า คนอื่นก็ไม่เดือดร้อนหรอก” เขายังหัวเราะไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยสั่งพนักงานซ่อมบำรุง “คุณสองคนยกโต๊ะทำงานของผมกลับไปไว้ที่เดิมนะ”

สีหน้าของพนักงานซ่อมบำรุงมีความแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามออกมา

“ครับท่านประธาน”

แซคคารีย์ดึงมือเล็กของอลินดามากุมเอาไว้แน่น และไม่ยอมปล่อยไม่ว่าเจ้าของมือจะพยายามดึงหนีแค่ไหนก็ตาม

“พวกคุณทำงานกันต่อเถอะ ขอโทษด้วยนะครับที่ลงมาทำให้วุ่นวายแต่เช้า”

“เอ่อ… พวกเราไม่ได้วุ่นวายเลยค่ะ ท่านประธานทำดีทำถูกต้องแล้วค่ะ”

หัวหน้างานของหล่อนรีบตอบกลับอย่างเอาอกเอาใจ และนั่นก็ทำให้แซคคารีย์ยิ่งยิ้มกว้าง ในขณะที่หล่อนอับอายจนหน้าแดงก่ำไปหมด

“เห็นไหม ทุกคนยังมีสมาธิในการทำงานดีเหมือนเดิม”

แซคคารีย์เอียงหน้ามากระซิบกระซาบที่ข้างหู

“เก็บของซะ แล้วก็ตามฉันขึ้นไปที่ห้องทำงาน โอเคนะ”

“เจ้าค่ะ”

หล่อนตอบรับเสียงกระแทกกระทั้นอย่างขัดใจ แต่คนตัวโตกลับไม่สะทกสะท้านอะไร

“ให้ฉันอยู่ช่วยเก็บของไหม”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ลินดาเก็บของเองได้”

เขาไหวไหล่กว้างน้อยๆ “งั้นให้เวลาสิบห้านาทีนะ ถ้าเกินกว่านี้ ฉันจะลงมาตาม”

“ขอครึ่งชั่วโมงไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้”

แล้วคนเผด็จการก็ผิวปากเดินออกจากประตูห้องทำงานของแผนกบัญชีไปในที่สุด ท่ามกลางเสียงเป่าปากถอนใจของพนักงานบัญชีทุกคนที่ดังขึ้น

อลินดาหันขอโทษขอโพยทุกคน ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของๆ ตัวเอง

“พี่ทำงานที่โรงแรมนี้มานานมากแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นท่านประธานจะเกเรแบบนี้มาก่อนเลย”

คำพูดของหัวหน้างานทำให้อลินดาหน้าแดงร้อนผ่าว

“ท่านประธานคงจะหวงลินดาจริงๆ นั่นแหละ”

“เอ่อ… คงไม่ใช่หรอกค่ะ”

“จะไม่ใช่ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อลินดาเป็นภรรยาของท่านประธานนี่น่า จริงไหมพวกเรา”

หัวหน้างานของหล่อนหันไปถามเพื่อนร่วมแผนกอย่างหาพวก และทุกคนก็สนับสนุนความคิดนั้นเป็นเสียงเดียวกัน

“จริงค่ะพี่แป้ง”

“เอ่อ…”

หล่อนพูดตะกุกตะกัก ทั้งรู้สึกขัดเขิน ทั้งรู้สึกอับอาย จนไม่รู้จะวางตัวยังไงดี

“พวกเราขออวยพรให้ลินดามีความสุขมากๆ นะ แล้วก็อย่าลืมบอกให้ท่านประธานจ่ายโบนัสให้พวกเราหลายๆ เดือนด้วย”

เพื่อนๆ ร่วมแผนกทุกคนต่างยินดีกับหล่อน แต่หล่อนยังมีความรู้สึกค้างคาบางอย่างติดหนึบอยู่ภายในใจ ทำให้ไม่อาจจะมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เต็มที่นัก

“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ”

อลินดาเก็บข้าวของของตัวเองใส่กล่อง โดยมีเพื่อนๆ ช่วยกันคนละไม้ละมือ จากนั้นก็ย้ายตัวเองขึ้นมานั่งทำงานอยู่ภายในห้องของแซคคารีย์ตามคำบัญชาของเขาอย่างไร้ทางเลือ

นารีรัตน์ออกมานั่งดื่มเหล้าในผับชื่อดังแห่งหนึ่งกลางเมืองหลวง ในหัวกำลังคิดหาหนทางที่จะกำจัดอลินดาให้ได้เร็วที่สุด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที

“ฉันจะกำจัดแกยังไงดี นังลินดา” หล่อนเค้นเสียงคลั่งแค้นออกมาแผ่วเบา พร้อมกับกระดกแก้วเหล้าเทหายเข้าไปในลำคออีกครั้งจนหมดแก้ว รสชาติของแอลกอฮอล์บาดคอเหลือเกินจนใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยว

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”

หล่อนหันขวับไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะตกใจจนแทบช็อก เมื่อเห็นว่าผู้ชายเจ้าของเสียงคือใคร

“คุณ… กฤติชัย…?” นารีรัตน์ช็อกตาตั้ง และจะลุกหนี แต่แขนถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน

“คุณรู้จักผมด้วยหรือครับ” คนที่กำลังบิดแขนเพื่อให้หลุดจากอุ้งมือใหญ่อยู่ชะงักงัน

“คะ?”

“ผมถามว่าคุณรู้จักผมมาก่อนด้วยหรือครับ”

นารีรัตน์เบิกตากว้าง มองผู้ชายตรงหน้าอย่างพิจารณา และก็พบว่าคู่สนทนาคือกฤติชัยตัวจริงเสียงจริง ผู้ชายที่น่าจะตายไปตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเขามาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ แถมยัง… ทำท่าเหมือนไม่เคยรู้จักหล่อนมาก่อนเสียด้วย

“คุณ… จำฉันไม่ได้เหรอคะ”

ผู้ชายตรงหน้าของหล่อนเอียงคอไปมา ทำท่าเหมือนพยายามจะนึก แต่แล้วเขาก็ร้องออกมาคล้ายกับกำลังเจ็บปวดรุนแรง แถมยังยกมือขึ้นมากุมศีรษะอีกต่างหาก

“คุณเป็นอะไรไปคะ”

“ผมปวดหัวน่ะครับ เวลาพยายามจะนึกเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ผมก็จะปวดหัวทุกครั้ง”

“คุณหมายถึง…”

“ผมจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลยครับ”

นารีรัตน์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก แต่สายตาของกฤติชัยที่มองมายังหล่อนนั้นมันว่างเปล่าไม่ได้มีแววลุ่มหลงเหมือนเมื่อก่อนนี้เลยแม้แต่น้อย

กฤติชัยความจำเสื่อมจริงๆ เหรอ…?

“คุณ… จำอดีตไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”

“ครับ”

“แล้วทำไมคุณถึงเดินเข้ามาทักฉันล่ะ” หล่อนถามอย่างสงสัย และผู้ชายตรงหน้าก็ระบายยิ้มให้ พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้า หล่อนทรุดตัวนั่งตามไป

“ก็คุณสวยเตะตาผมนี่ครับ ผมก็เลยอยากรู้จัก”

“จริงเหรอคะ”

“จริงสิครับ”

นารีรัตน์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องบ้าบอคอแตกมันจะเกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้จริงๆ

หล่อนวางยากฤติชัยและสั่งให้คนเอาไปฆ่าให้ตาย แต่เขากลับรอดตายมาได้ แต่ความจำเสื่อม

“แล้วคุณมาเที่ยวคนเดียวเหรอคะคุณกฤติชัย”

“ผมมากับคนขับรถน่ะครับ เขารออยู่ข้างนอก” ผู้ชายข้างตัวตอบเสียงเรียบไร้พิรุธ ก่อนจะหันมาถามหล่อนอีกครั้ง “ว่าแต่คุณเถอะรู้จักชื่อผมได้ยังไง”

นารีรัตน์นิ่งไปสักพักก็ตัดสินใจพูดออกไป “เราเคยเป็นคนรักกันน่ะค่ะ และคุณก็รักฉันมาก”

“จริงเหรอครับ”

“จริงค่ะ”

“แล้วตอนนี้คุณกับผมเราเลิกกันหรือยังครับ”

นารีรัตน์ที่กำลังเหงาจึงคิดจะใช้กฤติชัยเป็นเครื่องมือคลายเหงาขึ้นมาอีกครั้ง

“เราเลิกกันไปแล้วค่ะ เพราะว่าคุณทำงานยุ่งมากไม่มีเวลาให้กับนารี”

“คุณชื่อนารีหรือครับ”

“ฉันชื่อนารีรัตน์ค่ะ”

“ชื่อเพราะจังนะครับ ผมคิดว่าเมื่อก่อน เราคงจะต้องรักกันมากแน่ๆ เลย”

นารีรัตน์ลอบเบ้ปากอย่างสมเพช แต่เพราะตอนนี้ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่ากฤติชัย หล่อนจึงต้องแสดงละครต่อไป

“ใช่ค่ะ เรารักกันมาก”

“งั้นเราก็กลับมาคบกันอีกครั้งหนึ่งดีไหมครับ เห็นคุณบ่อยๆ ผมจะได้จำอะไรในอดีตได้บ้าง”

นารีรัตน์ระบายยิ้มหวาน “ขอเวลานารีคิดก่อนได้ไหม”

กฤติชัยยื่นมือมากุมมือของนารีรัตน์ และยกขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวล

“ทำไมต้องคิดอะไรให้มากเรื่องด้วยล่ะครับ ในเมื่อยังไงซะ เราสองคนก็ต้องได้อยู่ด้วยกัน”

ทำไมหล่อนถึงรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังแปลกประหลาดแบบนี้นะ แต่คงเป็นเพราะในผับเปิดเครื่องปรับอากาศแรงเกินไปล่ะมั้ง

“งั้นคุณกฤติชัยต้องตามใจนารีนะคะ”

“ได้ครับ ผมจะตามใจคุณทุกอย่าง ไม่ว่าคุณจะอยากได้อะไร ผมก็จะหามาให้ ไม่เว้นแม้แต่ดาวกับเดือนครับ”

นารีรัตน์ระบายยิ้มพึงพอใจ เมื่อสมองนึกแผนการยืมมือฆ่าคนขึ้นมาได้

“ขอให้จริงนะคะ”

“จริงสิครับ ผมเป็นคนที่รักษาสัญญาครับ”

แล้วค่ำคืนนั้น นารีรัตน์ก็ยอมไปนอนค้างคืนกับกฤติชัยที่ความจำเสื่อมจำอะไรในอดีตไม่ได้เลยอย่างง่ายดาย

นารีรัตน์ตื่นขึ้นมาก่อนในตอนเช้า หล่อนหันไปมองข้างตัวก็เห็นว่ากฤติชัยยังนอนหลับอยู่ หล่อนจึงก้าวลงจากเตียง แต่ก็ต้องอุทานด้วยความเจ็บลึกภายในจุดสงวน เพราะถูกกฤติชัยเล่นงานหนักตลอดทั้งค่ำคืน

“ไอ้บ้า ไปตายอดตายอยากที่ไหนมานะถึงกินมูมมามนัก” หญิงสาวก่นด่าเบาๆ อย่างหงุดหงิด แต่ก็สามารถลงมายืนบนพื้นห้องได้ในที่สุด หล่อนหันไปมองหาโทรศัพท์มือถือ พอเจอก็รีบคว้ามันมาถือเอาไว้ และเดินออกไปนอกระเบียง

“ไอ้ต้น คนที่กูสั่งให้เอาไปฆ่าน่ะ มึงฆ่าหรือเปล่า”

“ผมก็ยิงมันแล้วนะเจ้ แล้วก็เอาไปโยนทิ้งลงน้ำด้วย” ไอ้ต้นตอบมาตามสาย “ทำไมล่ะเจ้ มีอะไรหรือเปล่า”

“ก็มันยังไม่ตายน่ะสิ”

“ว่าไงนะเจ้!” ไอ้ต้นที่อยู่ปลายสายอุทานตกใจ แต่นารีรัตน์ตัดบทอย่างโมโหเสียก่อน

“มึงไม่ต้องมาทำสุ่มเสียงตกใจเลย มึงนี่กูใช้อะไรไม่เคยทำสำเร็จสักอย่าง ไอ้ระยำ”

“ก็ผมจะรู้เหรอเจ้ว่ามันจะไม่ตายอ่ะ แม่งหนังเหนียวชิบหาย”

“มึงไม่ต้องพูดมาก ฉันก็แค่โทรมาบอกว่ามึงทำพลาดแค่นั้นแหละ”

“แล้วเจ้จะให้ผมลากมันไปฆ่าอีกไหม”

“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ มันความจำเสื่อม” นารีรัตน์เค้นเสียงตอบไปตามสาย

“แสดงว่าตอนที่ผมโยนมันลงไปในน้ำ หัวมันต้องไปกระแทกกับอะไรเข้านั่นแหละ มันถึงความจำเสื่อม” ไอ้ต้นครุ่นคิด แต่นารีรัตน์ตัดบทอย่างรำคาญ

“ช่างมันเถอะ เอ็งก็ปิดปากให้เงียบก็แล้วกัน อย่าไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด”

“ครับเจ้”

นารีรัตน์หันไปมองภายในห้องนอน ก็เห็นว่ากฤติชัยตื่นนอนแล้วจึงรีบตัดบทกับคู่สนทนา

“แค่นี้นะ แล้วแกห้ามโทรมาหาฉันเด็ดขาด เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับเจ้”

นารีรัตน์ตัดสายสนทนาทิ้ง ก่อนจะรีบเปิดประตูกระจกเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

“ตื่นแล้วเหรอคะที่รัก”

นารีรัตน์เดินเข้าไปกอดร่างของกฤติชัย และจูบแก้มสากอย่างออดอ้อน

“ตื่นแล้วครับ ว่าแต่คุณเถอะนารี ทำไมตื่นเร็วนักล่ะ”

“เอ่อ… พอดีพ่อโทรมาน่ะค่ะ”

กฤติชัยพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถาม “ไหนมีเรื่องอะไรจะให้ผมช่วยเหลือครับ”

“คุณกฤติชัยน่ารักจังเลยค่ะ ยังอุตส่าห์จำได้อีก” นารีรัตน์ฉีกยิ้มกว้าง และจูบแก้มสากอีกครั้งอย่างเอาใจ

“เรื่องของคุณผมไม่เคยลืมหรอกครับ ไหนว่ามาสิว่าจะให้ผมช่วยเรื่องอะไร ใช่เรื่องเงินไหม”

นารีรัตน์ส่ายหน้าไปมา สายตามีความร้ายกาจ “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องเงิน”

“แล้วเรื่องอะไรเหรอครับ”

นารีรัตน์ช้อนตาขึ้นสบประสานกับดวงตาของกฤติชัย

“ฆ่าคนค่ะ”

“ฆ่าคน?!”

“คุณกฤติชัยทำสีหน้าท่าทางแบบนี้ แสดงว่าจะไม่ช่วยกำจัดศัตรูให้กับนารีใช่ไหมคะ”

คู่สนทนาของหล่อนส่ายหน้าไปมา

“ผมยินดีจะช่วยคุณทุกเรื่องนั่นแหละครับนารี แต่ผมคิดว่าการฆ่าคนมันไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“แต่ถ้ามันยังมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้ นารีก็จะไม่มีวันมีความสุขค่ะ”

“แต่มันไม่ดีนะครับนารี”

นารีรัตน์ทำหน้าหงุดหงิดใส่กฤติชัย ก่อนจะดิ้นรนออกจากอ้อมแขนอย่างแง่งอน

“ถ้าคุณไม่ช่วยนารี นารีจัดการเองก็ได้ค่ะ แล้วถ้านารีติดคุกไป คุณก็เอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปเยี่ยมนารีด้วยก็แล้วกันนะคะ”

กฤติชัยคว้าแขนเรียวของนารีรัตน์เอาไว้ และดึงเข้ามากอด “ผมก็แค่รู้สึกไม่ดีเท่านั้นน่ะครับที่ต้องฆ่ามนุษย์ด้วยกัน แต่ผมก็ยังไม่ได้บอกคุณนี่ว่าจะไม่ยอมทำ”

นารีรัตน์ยิ้มกว้างอย่างดีใจทันที “คุณกฤติชัยจะยอมช่วยนารีเหรอคะ”

“เพื่อคุณ ผมทำได้ทุกอย่างนั่นแหละนารี”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่สุดเลยค่ะ”

นารีรัตน์ซบหน้าลงกับบ่าของกฤติชัย นัยน์ตาของหล่อนเต็มไปด้วยความสะใจเป็นที่สุด

‘มึงไม่รอดแน่ อีลินดา’

นารีรัตน์มาหาแซคคารีย์ตอนสายๆ และเมื่อมองไม่เห็นชายหนุ่มอยู่ที่ห้องรับแขก ก็หันไปถามสาวใช้

“คุณแซคตื่นหรือยัง”

“หนูไม่ทราบค่ะ”

“อะไร ไม่ทราบ นี่แกเป็นคนใช้ประสาอะไร เดี๋ยวฉันจะให้คุณแซค ไล่ออกให้หมดเชียว”

นารีรัตน์ตวาดใส่อย่างโมโห ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดขึ้นบันไดไป

หญิงสาวมาหยุดที่หน้าห้องนอนของชายหนุ่ม เคาะอยู่หลายครั้งไม่มีเสียงตอบ จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาของแซคคารีย์

“ขาเดี้ยงแบบนั้น ยังจะไปไหนอีก”

หล่อนบ่นกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ เดินออกไปจากห้องนอนของแซคคารีย์ กำลังจะเดินลงบันได แต่หางตาก็หันไปเห็นแซคคารีย์เสียก่อน ซึ่งเขาออกมาจากอีกห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องนอน และที่สำคัญเขาเดินออกมาโดยไม่ได้นั่งรถเข็น

“คุณแซค…?!”

แซคคารีย์หันมามองตามเสียงเรียก และเมื่อเห็นว่าเป็นนารีรัตน์ก็เอ่ยทักทายตามมารยาท

“สวัสดีครับนารี”

นารีรัตน์ทำหน้ายุ่ง ขณะเดินเข้าไปหยุดข้างๆ ตัวของ แซคคารีย์ และมองเข้าไปในห้องที่ประตูยังเปิดกว้างอยู่ เตียงกว้างยับเยินราวกับเกิดสงครามกลางเมืองบนนั้นไม่มีผิด

“คุณแซคเข้าไปทำอะไรในห้องนี้คะ”

“เข้าไปนอนครับ”

“เข้าไปนอน?” ยิ่งฟังนารีรัตน์ก็ยิ่งแคลงใจ “แต่ห้องนอนของคุณแซคไม่ใช่ห้องนี้นี่คะ”

เจ้าของชื่อไหวไหล่กว้างน้อยๆ “เมียผมนอนในห้องนี้น่ะครับ ผมก็เลยต้องมานอนกับเมีย”

“เมีย?!”

เป็นอีกครั้งที่นารีรัตน์เบิกตากว้างจนลูกกะตาดำแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

“ครับ”

“นี่คุณแซคไปคว้าผู้หญิงต่ำๆ คนไหนมาเป็นเมียอีกล่ะคะ” นารีรัตน์เค้นเสียงถามออกไปอย่างโมโห

“ก็คนเดิมนั่นแหละครับ”

“คนเดิม…”

ในขณะที่นารีรัตน์กำลังมึนงงระคนไม่พอใจ ร่างของ อลินดาก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี และแน่นอนว่านารีรัตน์เห็นเข้าอย่างจัง

“นังลินดา!”

อลินดาหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นว่าพี่สาวของตัวเองอยู่หน้าประตูห้อง

“พี่นารี…”

นารีรัตน์ก้าวเข้าไปในห้อง และจ้องหน้าน้องสาวเขม็ง “นี่แกมาได้ยังไง แกหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“คือลินดา…” อลินดาร้องไห้ออกมา เพราะรู้สึกละอายใจต่อพี่สาวยิ่งนัก

“อย่าบอกนะว่าอีพยาบาลหน้าดำเมื่อวานก็คือแก…”

อลินดาก้มหน้าร้องไห้ ในขณะที่นารีรัตน์โกรธจนแทบบ้า หล่อนกำมือแน่น อยากจะฆ่าอลินดาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทำไมได้ เพราะมีแซคคารีย์อยู่ด้วย

หล่อนต้องใจเย็นๆ ต้องใจเย็นที่สุด เหยื่อจะได้ตายใจ และคราวนี้อย่าหวังเลยว่าหล่อนจะปรานีนังน้องทรยศคนนี้

“เอาล่ะ… ไม่ต้องร้องไห้นะลินดา”

อลินดาแปลกใจกับคำพูดของพี่สาวยิ่งนัก จึงเงยหน้าที่ฉ่ำไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมอง และก็ได้เห็นว่ารอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าของนารีรัตน์ หล่อนแทบไม่เชื่อสายตาเลยทีเดียว

“พี่ยอมแพ้แล้วล่ะ”

“พี่นารี…”

แซคคารีย์เดินเข้ามาหา และดึงร่างของอลินดาเข้าไปกอดแนบอก ก่อนจะพูดขึ้นเสียเอง

“ตอนนี้ผู้หญิงคนเดียวที่ผมต้องการในฐานะภรรยาก็คือ อลินดา ผมขอโทษนะนารี ที่ผมกลับไปรักคุณเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว และถ้าคุณจะโกรธจะเกลียดใครสักคนที่ทำให้คุณผิดหวัง ก็มาโกรธผม เกลียดผมเถอะ อลินดาไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย”

ยิ่งแซคคารีย์กางปีกปกป้องนังน้องทรยศมากเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งคลั่งแค้นแทบบ้า แต่ก็ต้องซ่อนความแค้นนั้นเอาไว้ใต้ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม

“นารี… ยอมรับความจริงแล้วล่ะค่ะ ว่าต่อให้สู้ยังไง ก็ไม่มีทางได้คุณกลับคืนมา”

“พี่นารี… ลินดาขอโทษ”

“พี่ไม่โกรธเธอแล้วล่ะลินดา ในเมื่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะตัวพี่เอง ดังนั้นคนที่สมควรไปก็ต้องเป็นพี่”

“ลินดาขอโทษ…”

ยิ่งพี่สาวพูดแบบนี้ อลินดาก็ยิ่งรู้สึกผิดบาปมากยิ่งขึ้น หล่อนร้องไห้ด้วยเสียใจเป็นที่สุด

“ไม่ต้องร้องไห้นะลินดา”

นารีรัตน์ดึงร่างของน้องสาวเข้ามากอดแนบอก

“พี่ขออวยพรให้เธอมีความสุขนะ และกลับไปเยี่ยมพี่ เยี่ยมแม่เยี่ยมพ่อที่บ้านบ้างล่ะ”

“พี่นารี…”

นารีรัตน์แสร้งบีบน้ำตาออกมา ขณะดันร่างของน้องสาวออกห่าง และปั้นยิ้มละไม

“ขอให้มีความสุขมากๆ นะลินดาน้องพี่”

จากนั้นหล่อนก็หันไปมองหน้าแซคคารีย์

“ฝากน้องสาวของนารีด้วยนะคะคุณแซค ลินดาเป็นคนดี”

“ขอบคุณครับนารี ผมสัญญาว่าจะดูแลลินดาให้ดีที่สุด ให้สมกับความรักที่เธอมีให้ผม”

แซคคารีย์ดึงร่างของภรรยาเข้ามากอดแนบอก ลูบไหล่ลูบหลังของหญิงสาวแผ่วเบา

“และผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยที่ผมโกหกคุณเรื่องเดินไม่ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ นารีรู้ว่าคุณน่าจะมีเหตุผลของตัวเอง”

นารีรัตน์ต้องใช้ความพยายามมากล้นกว่าจะสามารถทำให้ตัวเองยิ้มออกไปได้ ทั้งๆ ที่ภายในกำลังคลั่งแค้นอย่างหนัก

“งั้นนารีกลับก่อนนะคะ เอาไว้ถ้าว่างจะแวะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ”

“ลินดาไปส่งนะคะพี่นารี”

“อืม”

แซคคารีย์มองตามร่างของอลินดาที่เดินจับมือของนารีรัตน์ลงบันไดไปด้วยสายตาแคลงใจไม่น้อย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านารีรัตน์จะเข้าใจอะไรได้ง่ายดายแบบนี้

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!”

เสียงกรีดร้องของนารีรัตน์ดังลั่นบ้าน ทำให้อุบลต้องรีบวิ่งออกมาหาด้วยความเป็นห่วง และก็ได้เห็นว่าลูกสาวคนโตที่ตัวเองชื่นชมมาตลอดกำลังกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่ภายในห้องรับแขก

“นารี… เป็นอะไรไปลูก”

นารีรัตน์หันใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความแค้นมองมารดา ก่อนจะพรั่งพรูความคับอกคับใจออกมา

“ก็นังลินดาไงแม่ มันกลับมาอีกแล้ว!”

“ลินดากลับมาเหรอ กลับมาที่ไหนล่ะ แม่ไม่เห็นเลย”

“มันจะมาที่นี่ทำไมล่ะแม่ มันก็ไปหาคุณแซคนู้น และตอนนี้มันก็แย่งคุณแซคไปจากฉันได้สำเร็จแล้วนะแม่” นารีรัตน์คำรามออกมาอย่างคลั่งแค้น “ถ้าไม่มีมันสักคน ฉันก็คงไม่ต้องทรมานแบบนี้”

“อย่าพูดแบบนี้สินารี ยังไงลินดามันก็น้องของลูกนะ”

“น้อง… น้องทรยศต่างหากล่ะแม่!”

อุบลถอนใจออกมาด้วยความเป็นกังวล ขณะเดินเข้าไปกุมมือลูกสาวคนโตเอาไว้ และพยายามพูดให้ใจเย็นลง

“ก็อย่างที่แม่บอกไงล่ะนารี ตัดใจจากคุณแซคเถอะ แม่ไม่เห็นเขาจะมีเยื่อใยอะไรกับลูกเลยสักนิด”

“ก็เพราะว่าเขามีนังลินดายังไงล่ะแม่ เขาถึงได้ทำเย็นชา และไม่สนใจฉันแบบนี้น่ะ”

แม้จะส่งสารลูกสาวสุดที่รักแค่ไหน แต่ก็มองไม่เห็นทางที่จะช่วยเหลือได้เลย

“ใจเย็นๆ นะนารี…”

“ฉันจะใจเย็นได้ยังไงแม่ ในเมื่อฉันกำลังแพ้มัน กำลังจะแพ้นังน้องฝาแฝดที่ไม่เคยมีอะไรดีสู้ฉันได้สักอย่าง แต่มันกำลังจะชนะฉันเรื่องผู้ชาย”

อุบลได้ยินคำพูดของนารีรัตน์ก็รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก เพราะการแสดงออกของลูกสาวคนโตมันสะท้อนให้เห็นถึงการเลี้ยงดูที่หล่อนกับสามีหยิบยื่นให้ตั้งแต่เล็ก

หล่อนกับสามีรักและตามใจนารีรัตน์ทุกอย่าง ไม่ว่านารีรัตน์อยากจะได้อะไร อยากจะทำอะไร ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ลูกสาวต้องการ ตรงกันข้ามกับอลินดาที่จะเป็นฝ่ายถูกเอารัดเอาเปรียบเสมอ ทุกอย่างที่พี่สาวอยากได้ อลินดาก็ต้องหยิบยื่นให้โดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งจากการอบรมเลี้ยงดูแบบผิดๆ ของหล่อนและสามีก็ทำให้นารีรัตน์กลายเป็นคนที่ต้องเอาชนะทุกอย่าง พ่ายแพ้ไม่เป็น และไม่เคยรักใครมากกว่ารักตัวเอง

“ผู้ชายดีๆ ยังมีอีกทั้งเยอะลูก ปล่อยคุณแซคไปเถอะนะนารี ยังไงเขาก็ไม่ได้รักลูกแล้ว”

นารีรัตน์ตวัดตามองหน้ามารดา มองด้วยสายตาที่ทำให้อุบลถึงกับกลัวใจเลยทีเดียว

“ถ้าฉันไม่มีความสุข ใครก็อย่าหวังว่าจะมีความสุข”

“นารี ลูกอย่าทำอะไรไม่ดีนะลูก”

อุบลพยายามห้ามปรามลูกสาวคนโต แต่ไม่ได้ผล แถมยังถูกหยอกย้อนอีกต่างหาก

“แม่กับพ่อเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าให้ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องคดโกงบ้างก็ไม่ผิดอะไร”

“นารี… แม่ขอโทษที่สอนลูกแบบนั้น” อุบลร้องไห้ออกมา แต่นารีรัตน์ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรด้วยแล้ว

“ฉันจะออกไปข้างนอก คงจะกลับดึกๆ แม่ไม่ต้องโทรตามล่ะ”

“นารี… ให้แม่ขับรถให้เถอะนะ ลูกกำลังอารมณ์ไม่ดี แม่กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ”

อุบลวิ่งตามลูกสาวคนโตออกมานอกบ้าน แต่นารีรัตน์ยืนกรานเสียงแข็ง

“ฉันขับเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่มีทางยอมตายก่อนนังลินดาหรอก”

“นารี… ลูกพูดอะไรน่ะ” อุบลครางออกมาอย่างใจคอไม่ดี

“ไม่มีอะไรหรอก แม่เข้าบ้านไปเถอะ และถ้าพ่อกลับมาก็บอกด้วยว่าฉันออกไปหาเพื่อนข้างนอก พ่อจะได้ไม่ต้องโทรตามให้ฉันรำคาญใจ”

แล้วลูกสาวที่หล่อนกับสามีรักนักรักหนาก็ก้าวขึ้นรถ และขับออกไปด้วยความเร็ว อุบลน้ำตาไหลริน มองตามท้ายรถของนารีรัตน์ไปด้วยความเสียใจ

“แม่ขอโทษ… ที่เลี้ยงหนูมาให้เป็นคนแบบนี้ นารี… แม่ขอโทษ… แม่ขอโทษนะลูก…”

อลินดานอนไม่หลับพลิกตัวไปมากระสับกระส่ายทั้งค่ำคืน เพราะรู้สึกระแวงแซคคารีย์ ที่ชายหนุ่มทำท่าทำทางเหมือนรู้ว่าหล่อนเป็นใคร แต่อีกใจก็แย้งว่าแซคคารีย์จะรู้ได้ยังไงกัน ในเมื่อหล่อนแต่งหน้าดำอัปลักษณ์แบบนี้

หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง สีหน้าอิดโรยไม่สดใสเลยแม้แต่น้อย หล่อนมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก ก็เห็นแสงเงินยวงแต้มแต่งที่ขอบฟ้าไกล บอกให้รู้ว่าตอนนี้ใกล้จะเช้าแล้ว

เท้าบอบบางสีขาวสะอาดก้าวลงจากเตียง เดินตรงไปยังหน้าต่างห้องนอน พื้นห้องยังคงเย็นเฉียบ และทำให้หล่อนรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ

“ถ้าคุณแซคหายดีเป็นปกติเมื่อไหร่ ลินดาจะได้เดินจากไปอย่างหมดห่วง”

หยาดน้ำตาร่วงรินออกมาตามร่องแก้ม หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้ง แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งร่วงหล่นออกมาไม่ขาดสาย กลีบปากอิ่มสั่นระริกด้วยแรงสะอื้น

หล่อนยืนเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าต่างยาวนาน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงอะไรบางอย่างดังที่ประตูห้อง หล่อนรีบเปิดไฟ และกำลังจะขานเรียกออกไป แต่บานประตูไม้ก็ถูกผลักให้เปิดเข้ามาเสียก่อน พร้อมๆ กับผู้ชายที่นั่งในรถเข็น

อลินดาช็อกตาค้าง เพราะตัวเองยังไม่ได้ทาหน้าดำ และยังไม่ได้ติดไฝบนหน้าผากอีกด้วย

“คุณแซค…!”

“คุณมาทำอะไรในห้องของแก้วหรือนารี”

คำพูดจากปากของแซคคารีย์ทำให้คนที่ยืนหน้าซีดเผือดราวกับไก่ต้มต้องเป่าปากออกมาอย่างโล่งอก

นี่แซคคารีย์คิดว่าหล่อนเป็นนารีรัตน์อย่างนั้นเหรอ

“เอ่อ… คือว่า…”

“แล้วทำมาเช้าจัง” แซคคารีย์ยังคงถามต่ออีก สีหน้าของเขาราบเรียบไม่มีร่องรอยของความสงสัยใดๆ อยู่เลย

อลินดาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับสมอ้างตามที่ แซคคารีย์กำลังเข้าใจ

“คือนารี… จะมาคุยกับแก้วน่ะค่ะ จะกำชับให้ดูแลคุณแซคให้ดีๆ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มให้กับหล่อน และเข็นรถเข็นเข้ามาหยุดตรงหน้า พร้อมกับดึงมือของหล่อนไปกุมเอาไว้

“บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมนารี แค่คุณแวะมาเยี่ยมผมบ่อยๆ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว”

อลินดาควรจะยินดีกับพี่สาวสิที่แซคคารีย์พูดแบบนี้ออกมา แต่ทำไมนะ หัวใจถึงจุกแบบนี้

“ค่ะ… งั้นนารีขอตัวก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวสิ จะไปไหนล่ะครับ”

จู่ๆ แซคคารีย์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ลุกขึ้นยืน และคว้าร่างของหล่อนเข้าไปกอดแนบอก

“คุณแซค… จะทำอะไรคะ” หล่อนตกใจหน้าตาซีดเผือด “ปล่อยนารีก่อนนะคะ”

เขาไม่ปล่อยแถมยังก้มหน้าลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอของหล่อนอย่างหนักหน่วงหิวกระหาย

“ไม่ปล่อย…”

“คุณแซคคะ แต่ว่า… นารีต้องรีบกลับบ้าน”

เขาเงยหน้าขึ้นจากลำคอระหงของอลินดา และหรี่ตาแคบมอง สายตาของเขามีแต่ความหื่นกระหายจนหล่อนตกใจ

“ไม่เอา ผมไม่ยอม นอนกับผมก่อน”

“คุณแซค… อุ๊ยยย… ว๊ายยย”

ร่างของอลินดาถูกแซคคารีย์จับเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียงนอน และเขาก็ทาบทับลงมาหาทั้งตัว

“ไม่คิดถึงกันบ้างหรือ”

“คุณแซค… อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”

“คุณบอกว่ารักผมนี่นารี ถ้ารักผมก็ต้องนอนกับผมสิ ผมอยากเข้าไปในตัวของคุณจะแย่อยู่แล้ว”

อลินดาเจ็บไปทั้งหัวใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมันคือความจริงที่ต้องยอมรับ

“แต่นารีไม่สะดวกตอนนี้ค่ะ ปล่อยเถอะนะคะ”

“ผมจะทำให้คุณสะดวกเอง…”

ไม่ใช่แค่น้ำเสียงของแซคคารีย์หรอกที่เต็มไปด้วยความโอหัง แต่สายตาและท่าทางของเขาก็แสนจะทระนงจนน่าหมั่นไส้ หล่อนส่ายหน้าไปมายืนยันความไม่เต็มใจของตัวเอง แต่เขาก็ไม่สนใจเลย เพราะไม่ช้าปากร้อนจัดที่บอกว่ารักนารีรัตน์ก็ทาบประกบลงมาหา ดูดกลืนคำปฏิเสธอ่อนแรงของหล่อนเข้าไปในลำคอแกร่งจนหมดสิ้น

อลินดาพยายามเม้มปากแน่น พยายามไม่ให้ความร่วมมือกับคนตัวโต แต่เขาช่ำชองและเชี่ยวชาญนัก แค่เพียงมือใหญ่เลื่อนต่ำลงไปกอบกุมที่ซอกขาอูมฉ่ำ สติของหล่อนก็แตกซ่านไม่เหลือชิ้นดี ปากที่เคยเม้มสนิท ตอนนี้เผยอกว้างจูบตอบ สองแขนที่ผลักไส ตอนนี้กระชากจิกทึ้งเส้นผมหนาดกให้แนบชิดลงมาหาสุดแรง

เสียงครางคำรามด้วยความพึงพอใจของแซคคารีย์ยิ่งทำให้หล่อนเดินหน้าทะลุเข้าไปในอีกมิติหนึ่งที่มีแต่ความหวามรัญจวนมากยิ่งขึ้น ยิ่งเขาจูบเรียกร้องมากเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งตอบสนองด้วยอารมณ์เดียวกันมากเท่านั้น

“อ๊า… อา…”

เขาถอนจุมพิตออกจากปากอิ่มบวมเจ่อ เลื่อนใบหน้าต่ำลงมาดูดกัดที่ซอกคอระหง ดูดแรงๆ จนเกิดรอยแดงช้ำ ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามสัดส่วนอวบอัดทุกตารางนิ้ว ก่อนจะมาหยุดอิ่งอ้อยอยู่ที่กลีบสาวฉ่ำร้อน นิ้วยาวบี้คลึงเม็ดสวาทจนมันบวมเป่ง จากนั้นก็ดันนิ้วแกร่งลึกลงไปในซอกแคบ

“อ๊ะ…”

แซคคารีย์เคลื่อนไหวนิ้วแกร่งของตัวเองภายในร่องสวาทด้วยจังหวะร้อนฉ่า ในขณะที่ใบหน้าหล่อจัดเลื่อนต่ำลงมาคลุกเคล้าที่ร่องอกอวบอิ่ม เขาหยอกเย้ากับปลายถันชูชันด้วยลิ้นสาก โลมเลียจนยอดทรวงบวมเป่ง ก่อนจะอ้าปากดูดกลืนเม็ดปทุมเข้าไปในอุ้งปาก เขาโรมรันเม็ดเต่งด้วยปลายลิ้วและฟันคมกริบ ดูดเลียแรงๆ จนเจ้าของร่างกรีดร้องด้วยความเสียวซ่านทรมาน

“อา… คุณแซค… อ๊า…”

“ยังอยากให้ฉันหยุดอีกไหม”

หล่อนที่ถูกไฟสวาทครอบงำจนไหม้เกรียมปรือตาขึ้นมองคนตัวโต ก่อนจะวิงวอนไร้อย่างอาย

“อย่าหยุด… ได้โปรด… คุณแซค…”

แซคคารีย์หัวเราะพึงพอใจ เมื่ออลินดากระชากศีรษะของเขาให้ลงไปดูดอมปลายถันเต่งอีกครั้ง เขาดูดเลียด้วยลีลาที่ทำให้หล่อนต้องหยัดกายขึ้น ในขณะที่นิ้วยาวก็ยังคงเคลื่อนไหวที่ซอกขาอวบอย่างต่อเนื่อง

“ไม่ไหวแล้ว… คุณแซค… อ๊า…”

เขาเฝ้ามองแม่สาวน้อยคนสวยเกร็งกระตุกด้วยความพึงพอใจ หล่อนถึงสวรรค์อย่างร้อนแรงเลยทีเดียว

แซคคารีย์พยายามฉุดรั้งตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็จับท่อนชายใหญ่ยาวจดจ่อดุนดัน

“เธอเป็นของฉัน จำเอาไว้… อืมมมม โอ้ว…”

“อ๊ะ… อ๊า…”

ความเป็นชายถูกดันลึกเข้าไปในร่างอวบที่คับแน่นจนน่าอัศจรรย์ แซคคารีย์สูดปากแรงๆ พยายามควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว แต่กระแสสวาทที่เกิดจากการบีบรัดของกลีบสาวภายในทำให้เขาสติแตก ความนุ่มนวลจึงหาไม่ได้จากการเคลื่อนไหวของเขาเลย ทุกจังหวะสอดใส่รุนแรงตะกรุมตะกราม กระแทกกระทั้นบดอัดราวกับมันคือสิ่งเดียวที่จะยื้อชีวิตต่อไปได้

เสียงกรีดร้องครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาวใต้ร่างดังระงมขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังคงกระหน่ำเข้าใส่ความเป็นหญิงอย่างต่อเนื่อง รุนแรง ป่าเถื่อน และรัวระทึก

“โอ้ว… อืมมมม… ฟิตมาก”

ใบหน้าหล่อจัดแดงก่ำและบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน ปากกระด้างเผยอกว้างส่งเสียงครางตลอดเวลา ยิ่งสะโพกเปลือยกลมกลึงยกร่อนขึ้นหาเร่าร้อนเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของบั้นเอวแกร่งก็ร้อนแรงมากขึ้นเท่านั้น

เขาใส่ไม่ยั้ง สอดใส่ด้วยความตะกละตะกลาม ดื่มด่ำซึมซับกับความเสียวกระสันที่ไม่เคยมีหญิงใดมอบให้มาก่อนนอกจากผู้หญิงคนนี้อย่างหื่นกระหาย และไม่ช้าเขาก็แตกระส่ำออกมา

“อ๊ากกกก… โอ้ว… อืมมมมมม…”

กระแสธารสวาทฉีดพุ่งเข้าใส่ซอกลึกของร่างอวบสุดแรง เขาเกร็งกระตุกอยู่เหนือหล่อนอยู่นานเกือบนาที ก่อนจะซวบซบลงไปหาทั้งตัว

พายุสวาทแสนหฤหรรษ์ผ่านพ้นไปเกือบนานหลายที แต่อลินดาก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ใต้ร่างทรงพลังของแซคคารีย์เช่นเดิม สองแขนกอดรัดเขาเอาไว้แน่น ความอิ่มเอมแทรกซึมอยู่ในเนื้อหัวใจมากล้น

หล่อนมีความสุขเหลือเกิน กับการได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนของ แซคคารีย์อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่เขาเสพสมด้วยเมื่อครู่นี้คือ อลินดา ไม่ใช่นารีรัตน์

หัวใจของหล่อนมันอ่อนไหว และไม่เคยเข้มแข็งได้เลย หากคู่ต่อกรคือผู้ชายคนนี้

น้ำตาแห่งความอัปยศอดสูไหลรินออกมาจนได้ และนั่นก็ทำให้ผู้ชายที่นอนทาบทับอยู่บนร่างขยับตัวขึ้นชะโงกมอง

“ร้องไห้ทำไม ฉันทำเจ็บหรือ”

หล่อนเสหลบสายตาคมกริบของแซคคารีย์ “ปละ เปล่าค่ะ นารีไม่ได้เจ็บ อ๊ะ…”

หล่อนถูกเขาก้มลงกัดยอดอกแรงๆ จนเจ็บร้าว “คุณแซคกัดนารีทำไมคะ อ๊ะ…” เขากัดอีกครั้งและคราวนี้แรงกว่าเดิม หล่อนเจ็บจนน้ำตาไหลริน

“ก็ถ้าแทนตัวเองว่านารีอีก ฉันจะกัดหัวนมเธอให้ขาดเชียว”

“คุณแซค?!”

นี่เขา… เขาพูดเหมือนรู้ว่าหล่อนคืออลินดา!

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาตื่นเลย คิดว่าฉันโง่นักหรือไง”

เขากำลังพูดอะไรเนี่ย อลินดาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว

“คุณแซค… หมายความว่าอะไรคะ”

“หึ”

หล่อนได้ยินเสียงห้าวคำรามในลำคอ ก่อนที่เขาจะเค้นเสียงดุกระด้างออกมาเสียงดังลั่น

“คิดว่าฉันโง่มากหรือไง อลินดา”

หล่อนหน้าซีดเผือด และรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “คุณแซค… เข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่ใช่… อลินดา… อ๊ะ…” ยอดถันของหล่อนถูกเขากัดอีกครั้งแต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นอีกข้าง

“ฉันรู้ทุกอย่าง เธอไม่มีวันตบตาฉันได้หรอกอลินดา”

“เอ่อ…”

“และไม่ต้องมาปฏิเสธ เพราะต่อให้เธอกลายเป็นเพียงแค่เถ้าธุลี ฉันก็จำเธอได้” แซคคารีย์ก้มหน้าลงมากระซิบชิดปากอิ่มที่กำลังสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น “เพราะเธอเป็นเมียของฉัน”

“คุณแซค…”

“ต่อจากนี้เป็นต้นไป ฉันจะจับเธอมัดมือติดเอาไว้กับฉันตลอดเวลา”

“ไม่ได้นะคะคุณแซค…”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อวิธีนี้มันเป็นทางเดียวที่จะล่ามเธอเอาไว้ให้อยู่กับฉันทั้งชีวิต”

อลินดาสะอื้นเสียงดังด้วยความทรมาน “คุณแซคก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เรื่องของเรามันจบลงแล้ว และพี่นารีก็กลับมาแล้วด้วย”

“งั้นเธอกลับมาหาฉันอีกทำไม”

คำถามตรงไปตรงมาของแซคคารีย์ทำให้อลินดาต้องหันหน้าหนี หัวใจปวดร้าวทรมาน

“ฉันถาม ตอบมาสิ กลับมาทำไม ถ้าคิดว่าจะจบเรื่องของเราแล้วน่ะ”

“ลินดา… เป็นห่วงคุณแซคน่ะค่ะ”

“ฉันมีเรื่องให้เธอเป็นห่วงทั้งชีวิตนั่นแหละ ดังนั้นห้ามเธอหนีฉันไปไหนอีก เข้าใจไหม”

หล่อนหันหน้ามาสบประสานสายตากับเขา “ไม่ได้หรอกค่ะ ลินดาต้องไป ลินดาไม่ต้องการแย่งผู้ชายของพี่นารี”

“ฉันกับนารีเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว เพราะถึงไม่มีเธอ ฉันก็ไม่คิดจะกลับไปสานต่อความสัมพันธ์กับนารี”

“แต่พี่นารีรักคุณแซคมากนะคะ”

“แล้วเธอล่ะ รักฉันน้อยกว่าที่นารีรักหรือเปล่า”

“เอ่อ…” หล่อนพูดไม่ออก เสหลบสายตาคมกริบพัลวัน

“แต่ถ้าให้ฉันเดา เธอน่าจะรักฉันมาก เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่กลับมาหาฉันหรอก จริงไหม”

“ลินดาไม่ได้…”

“อย่าบอกนะว่าไม่ได้รักฉัน เพราะฉันไม่มีทางเชื่อ อืมมมม…”

ชายหนุ่มขยับตัวเคลื่อนไหวเบาๆ อย่างหยอกเย้า แต่แค่นั้นก็ทำให้คนตัวเล็กถึงกับครางฮือด้วยความเสียวกระสันเลยทีเดียว

“อ๊า… คุณแซค…”

แซคคารีย์ระบายยิ้มกว้าง ก้มลงจูบปากอิ่มหนักหน่วงอีกครั้งและแสนยาวนาน จนอลินดาแทบสำลักความสุขสมตายเลยทีเดียว และเมื่อถอนจูบ เขาก็กระซิบเสียงแหบพร่า

“มันทรมานเหลือเกิน ในค่ำคืนที่ไม่มีเธอ อลินดา…”

“คุณแซค…”

“ฉันจะไม่มีวันยอมให้เธอหายไปไหนอีกแล้ว เธอเป็นของฉันนะ อลินดา… เป็นเมียของฉัน…”

แล้วแซคคารีย์ก็นำพาให้หล่อนท่องสรวงสวรรค์ต่ออีกครั้งและอีกครั้ง จนหล่อนหมดเรี่ยวหมดแรงหลับใหลไปในที่สุด

ขณะที่นารีรัตน์นั่งรับประทานอาหารอยู่กับแซคคารีย์นั้น หญิงสาวก็ตาดีมองไปเห็นที่ฝ่ามือของชายหนุ่มมีสีดำจางๆ ติดอยู่

“ตายแล้ว นั่นมือของคุณแซคไปจับของดำอะไรมาคะ ถึงได้มีสีลอกติดมือมาด้วยแบบนั้นน่ะค่ะ”

แซคคารีย์หงายฝ่ามือขึ้นมอง และตีหน้าเรียบเฉย “คงเป็นแฟ้มงานของแฮรี่มั้ง ผมจับแล้วไม่ได้ล้างมือ”

“แหวะ ทำไมลูกน้องของคุณถึงได้สกปรกแบบนี้ล่ะคะ ถ้านารีเป็นคุณนะคะ นารีจะไล่ออกให้หมดเชียว”

“ช่างเถอะ ผมไม่เคยถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หรอก”

เมื่อถูกตัดบทนารีรัตน์ก็อึ้งไปพักใหญ่ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกมา จึงเป็นแซคคารีย์ที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง

“ได้ข่าวลินดาบ้างไหมครับ นารี”

สีหน้าของนารีรัตน์กระตุกไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะสวมหน้ากากเสแสร้งทับเอาไว้

“ไม่ได้ข่าวเลยค่ะ ป่านนี้คงไประเริงอยู่กับชู้รักมั้งคะ ดีไม่ดีป่านนี้อาจจะท้องโตแล้วก็ได้ค่ะ นี่นารีแทบไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าน้องสาว ฝาแฝดของตัวเองจะมีนิสัยสำส่อนแบบนี้”

“ผมว่าเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่จิตสำนึกมากกว่ากรรมพันธุ์นะครับ”

แซคคารีย์จ้องหน้านารีรัตน์ “ก็เหมือนกับในคลิปโป๊นั่นไงครับ”

นารีรัตน์หน้าร้อนฉ่าด้วยความอับอาย ถึงแม้แซคคารีย์จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่หล่อนก็รู้ดีว่าเขากำลังด่า

“เอ่อ… งั้นวันนี้นารีขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีเย็นนี้จะไปสวดมนต์ที่วัดกับคุณแม่น่ะค่ะ”

“เชิญครับ ผมคงไม่สะดวกออกไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ นารีรู้ว่าคุณยังเดินไม่ถนัด ขอตัวนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้นารีจะแวะมาเยี่ยมใหม่”

“ขอบคุณครับ”

นารีรัตน์เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปแล้ว แซคคารีย์ก็ถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเข็นรถเข็นออกจากห้องอาหารและก็เจอเข้ากับสาวใช้พอดี

“เรียบร้อยดีไหม”

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณแซค”

สาวใช้คนที่พาอลินดาในคราบของพยาบาลแก้วไปห้องพักรีบมารายงานเจ้านายของตัวเอง

“ดีมาก เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”

“ค่ะ”

เมื่อสาวใช้เดินจากไปแล้ว แต่แซคคารีย์ยังคงหยุดรถเข็นเอาไว้ที่เดิม และสายตาของเขาก็เลื่อนกลับไปมองชั้นบนอีกครั้ง มองด้วยสายตามืดดำอ่านความรู้สึกไม่ออก

เสียงเคาะประตูห้องหลายครั้งติดทำให้อลินดาที่กำลังจะเช็ดสีดำออกจากใบหน้าและตามเนื้อตัวชะงัก หล่อนหันไปมองที่บานประตูไม้ คิ้วโก่งสวยเลิกสูง

“เอ่อ… ใครคะ” หล่อนดัดเสียงถามออกไป

“ฉันเอง”

อลินดาสะดุ้งตัวเย็นเฉียบเมื่อรู้ว่าคนที่อยู่หลังบานประตูห้องคือ แซคคารีย์

“เอ่อ… คุณแซคมีอะไรกับแก้วเหรอคะ”

“เปิดประตูให้ฉันก่อน” แซคคารีย์ยังคงชอบออกคำสั่งเหมือนเดิม และหล่อนก็ไม่มีทางเลือก จำต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้สตูลที่นั่งอยู่เดินไปดึงประตูให้เปิดออก

แซคคารีย์นั่งอยู่บนรถเข็นตรงหน้า และจ้องมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา

“คุณแซค… มีอะไรจะใช้แก้วเหรอคะ”

“ฉันเหนียวตัว อยากอาบน้ำ”

“คะ?” หล่อนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“ทำไมต้องทำหน้าตกอกตกใจด้วยล่ะ ในเมื่อฉันไม่ได้บอกว่ากำลังจะไปตายสักหน่อย แค่อยากอาบน้ำแค่นั้นเอง” น้ำเสียงของแซคคารีย์มีความยียวนอยู่ในที

“แล้ว… ปกติใครอาบน้ำให้คุณแซคคะ”

ไหล่กว้างของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนรถเข็นไหวน้อยๆ

“ฉันอาบเอง” เขาตอบออกมาหน้าตาเฉย ในขณะที่หล่อนรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด

“แล้วทำไมวันนี้คุณแซคถึง… ไม่อาบเองล่ะคะ” หล่อนทำใจกล้าพูดออกไป

คู่สนทนาที่มีใบหน้าหล่อราวกับเทพเจ้าปั้นแต่งเหยียดยิ้มหยันเกลื่อนใบหน้า

“วันนี้ฉันขี้เกียจ อยากให้เธออาบให้นี่ หรือว่าเธอมีปัญหาล่ะ ฉันจะได้โทรให้แฮรี่มารับตัวเธอกลับไป”

อลินดาส่ายหน้าดิก “ไม่… ไม่มีปัญหาค่ะ แก้ว… ทำได้ค่ะ”

“งั้นก็ตามฉันมาที่ห้อง”

แล้วผู้ชายเอาแต่ใจก็เข็นรถออกไปจากห้องพักของหล่อน มุ่งหน้าตรงไปยังห้องนอนของเขา

อลินดาถอนใจยาวเหยียด ขณะเดินตามเขามาติดๆ

ไม่ว่าแซคคารีย์จะอยู่ในสภาพไหน เขาก็เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วนี่หล่อนทำถูกต้องแล้วใช่ไหมที่เป็นห่วงเขาจนต้องแฝงตัวเข้ามาแบบนี้

“ใจลอยอะไรอยู่ล่ะ เข้ามาสิ”

เสียงเรียกไม่พอใจของแซคคารีย์ทำให้อลินดาที่ใจลอยอยู่สะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้อง

แซคคารีย์ใช้มือเข็นรถเข็นไปยังหน้าประตูห้องน้ำ จากนั้นก็หันมามองหล่อนที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้อง

“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะ มาช่วยประคองฉันเข้าไปในห้องน้ำสิ”

“เอ่อ… ค่ะ”

อลินดารีบถลาเข้าไปช่วยพยุงให้แซคคารีย์ลุกขึ้นจากรถเข็น แต่ตัวของเขาหนักมาก หลายครั้งที่เขาเอนจะล้มลงมาทับร่างของหล่อน

“อุ๊ย… ระวังค่ะ”

ตอนนี้หล่อนใช้สองแขนกอดรัดเรือนกายทรงพลังเอาไว้แน่น กลิ่นหอมประจำตัวของเขากำลังทำให้เลือดสาวปั่นป่วน หล่อนหน้าแดงก่ำ พยายามบอกตัวเองให้เย็นเข้าไว้ แต่ความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในช่องท้องมันค่อยๆ แผ่ขยายไปตามกระแสเลือด จนตอนนี้มันกระจายอยู่เต็มร่างของหล่อนแล้ว

“กอดฉันแน่นไปหรือเปล่า”

“เอ่อ…”

หญิงสาวรีบคลายอ้อมแขน และจะถอยห่าง แต่ร่างของแซคคารีย์ก็เอนจะล้มมาทับ จึงต้องรีบประคองเอาไว้อีกครั้ง

“อย่าปล่อยมือจากฉันเด็ดขาดนะ เข้าใจไหม”

สายตาคมกริบสีสนิมที่จ้องมองประสานมานั้น ทำให้หัวใจสาวเต้นโครมคราม

“คุณแซคหมายถึง…”

“ฉันหมายความว่า ถ้าเธอปล่อยมือจากฉัน ฉันก็อาจจะร่วงลงไปกองกับพื้นห้องน้ำยังไงล่ะ”

หล่อนพยักหน้ารับน้อยๆ และเสหลบสายตา ขณะกัดฟันประคองร่างใหญ่โตของแซคคารีย์เข้าไปใกล้อ่างน้ำสีขาวขนาดใหญ่ให้ได้มากที่สุด

“คุณแซคนั่งลงบนขอบอ่างก่อนนะคะ เดี๋ยวแก้วจะผสมน้ำอุ่นให้ค่ะ”

แซคคารีย์ทรุดตัวลงนั่งบนขอบอ่างตามที่หญิงสาวต้องการ สายตาจับจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าทุกอิริยาบถ จนเจ้าหล่อนต้องหันมามองอย่างประหม่า

“แก้วมีอะไรผิดปกติเหรอคะ”

“หน้าเธอดำมาตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า”

อลินดาชะงักกึกไป ก่อนจะแก้ตัว “ก็ดำมาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ”

“แล้วไอ้ไฝเม็ดเป้งบนหน้าผากเธอล่ะ เพิ่งมีหรือว่ามีตั้งแต่เกิด”

ทำไมหล่อนรู้สึกว่าน้ำเสียงของแซคคารีย์เจือความขบขันอยู่นะ ทั้งๆ ที่สีหน้าของเขาเรียบเฉย หรือวาหล่อนจะคิดมากไปเอง

“ก็… มีมาตั้งแต่เกิดแล้วน่ะค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอ”

แซคคารีย์พยักหน้ารับน้อยๆ และเฝ้ามองแม่พยาบาลหน้าดำผสมน้ำอุ่นในอ่างน้ำหรูจนเสร็จ

“น้ำอุ่นพร้อมแล้วค่ะ คุณแซคลงได้เลยค่ะ”

“ให้ฉันลงทั้งที่มีเสื้อผ้าแบบนี้น่ะหรือ”

อลินดามองคนตัวโตก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ

“เอ่อ คุณแซคก็ถอดเสื้อผ้าออกก่อนนะคะ เสร็จแล้วเรียกแก้วก็แล้วกันค่ะ แก้วจะมาประคองลงอ่าง”

ดวงหน้าของอลินดาแดงก่ำ ความร้อนระอุวิ่งพล่านจนน่าตกใจ หล่อนพยายามเสหลบสายตาคมกริบของเขาตลอดเวลา

“เธอนั่นแหละต้องถอดเสื้อผ้าให้ฉัน”

“คะ?”

“ทำหน้าตื่นอีกแล้ว ถามจริงๆ เถอะ เธอไม่ใช่พยาบาลจริงๆ ใช่ไหม แต่เธอแค่ปลอมตัวเข้ามาที่นี่ ด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง”

“ไม่ใช่นะคะ” อลินดารีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

“ถ้าไม่ใช่ก็มาถอดเสื้อถอดกางเกงให้ฉันสิ ฉันเหนียวตัวเต็มทีแล้ว อยากจะนอนแช่น้ำ”

“เอ่อ… ก็ได้ค่ะ”

หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากขยับตัวเข้าไปใกล้เขา และเริ่มต้นเปลื้องผ้า

“มือสั่นเชียวนะ”

น้ำเสียงขบขันของแซคคารีย์ทำให้อลินดาถึงกับต้องรีบตั้งสติ และปฏิเสธ

“แก้ว… ขี้หนาวน่ะค่ะ”

คนตัวโตงึมงำตอบรับในลำคอ ขณะนั่งนิ่งให้หล่อนปลดกระดุมเสื้อให้ทีละเม็ดทีละเม็ด แต่ให้ตายเถอะ นี่แกะกระดุมมาเกือบห้านาทีแล้ว แต่กระดุมเพียงแค่หกเม็ดบนสาบเสื้อเชิ้ตก็ยังไม่หลุดออกจากกันทั้งหมดเสียที

“อุ๊ย…” อลินดาตกใจหน้าซีด เมื่อมือใหญ่ยกขึ้นกุมมือของหล่อนเอาไว้ และสายตาคมกริบก็จ้องเขม็ง

“เธอไม่ชำนาญเลยนะ”

“คือว่า…”

หล่อนกำลังจะหาคำพูดมาแก้ต่าง แต่เขากระชากสาบเสื้อเพียงครั้งเดียว กระดุมเสื้อที่หล่อนแกะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุดก็กระเด็นหวือลอยหายไปต่อหน้าต่อตา แล้วแผงอกกว้างกำยำที่มีไรขนขึ้นหนาดกก็ปรากฏแก่สายตา

น้ำลายในลำคอเหนียวหนึบเป็นยาง ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปที่กล้ามเนื้องดงามตรงหน้า ลิ้นเล็กแลบออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผากอย่างลืมตัว

“หิวหรือ…”

“หิว… อะไรคะ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มบางๆ “ไม่รู้สิ เห็นเธอเลียปาก”

“เอ่อ… แก้วก็แค่รู้สึกปากแห้งน่ะค่ะ” หล่อนเสหลบสายตาของเขาพัลวัน แซคคารีย์แสดงออกเหมือนรู้ว่าหล่อนเป็นใคร แต่เขาจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อหล่อนทาตัวทาหน้าซะดำปี๋ขนาดนี้

“อืม” เขาพยักหน้ารับน้อยๆ “ถอดกางเกงให้ฉันสิ ฉันจะได้ลงไปในอ่างน้ำเสียที เดี๋ยวน้ำจะเย็นหมด”

“คุณแซค… ถอดเองไม่ได้เหรอคะ”

“มันหน้าที่เธอไม่ใช่หรือ”

สายตาดุๆ ของแซคคารีย์ทำให้อลินดาไม่มีทางเลือก หล่อนจำต้องคุกเข่าตรงหน้าของเขา และยื่นมือสั่นๆ มาที่ขอบกางเกงลำลองขายาว

“เร็วสิ”

“ค่ะ” หล่อนหลับตาลง ใช้มือเล็กปลดตะขอกางเกง พร้อมกับรูดซิปลงจนสุด จากนั้นก็รีบชักมือออก

“เสร็จแล้วค่ะ”

“เสร็จตรงไหน ฉันยังใส่กางเกงอยู่เลย”

ทำไมหล่อนถึงรู้สึกว่าแซคคารีย์กำลังกลั่นแกล้งหล่อนอยู่นะ

“งั้นคุณแซคยกก้นขึ้นนิดนะคะ แก้วจะดึงกางเกงออกค่ะ”

เขาทำตามที่หล่อนบอกอย่างว่าง่าย ไม่ช้ากางเกงลำลองขายาวก็หลุดออกไปจากตัวของแซคคารีย์

หล่อนถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ไม่นานก็ต้องหน้าซีดสลับแดงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะคำพูดของแซคคารีย์

“บ็อกเซอร์ด้วย”

หล่อนจ้องมองเขาด้วยสายตาตื่นตกใจ “คุณแซค… จะถอดหมดเลยเหรอคะ”

“ใช่” เขาตอบรับ และส่งสัญญาณให้หล่อนทำตามคำสั่ง อลินดาหน้าแดงแล้วแดงอีก ภาวนาให้ตัวเองสามารถทานทนต่อสิ่งเร้าตรงหน้าได้ให้นานที่สุด

“เร็วสิ โอ้เอ้อยู่ได้”

“ค่ะ…”

หล่อนเอียงหน้าหนี และหลับตาปี๋อีกครั้ง ขณะค่อยๆ สอดนิ้วเรียวเข้าไปในขอบกางเกงในบ็อกเซอร์อย่างระมัดระวัง เพราะถ้าจับพลาด หล่อนอาจจะเจอกับงูใหญ่ของเขาเข้า แต่..

“อุ๊ยยย…”

“นี่เธอจับอะไรฉันเนี่ย”

หล่อนรีบชักมือออกอย่างไว เมื่อมือไปสัมผัสเข้ากับท่อนชายแข็งชันเข้าอย่างจัง

“ขอ… ขอโทษค่ะคุณแซค” หล่อนรีบลุกขึ้น และหันหลังให้ ตอนนี้หัวใจของหล่อนเต้นแรงเหลือเกิน “แก้ว… ขอตัวก่อนนะคะ” และหล่อนก็ไม่คิดจะอยู่รอให้เขาคัดค้าน สองเท้าบอบบางรีบซอยหนีออกมาจากห้องน้ำทันที

แซคคารีย์หรี่ตาแคบมองตามไปด้วยเงียบๆ กรามแกร่งขบกันแน่นจนเป็นสันนูนเป่ง ขณะลุกขึ้นยืน สลัดบ็อกเซอร์ออกจากตัว และก้าวลงไปในอ่างน้ำกว้างด้วยท่วงท่าสง่างาม

แซคคารีย์ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสนทนากันภายในห้องพักฟื้นของตัวเอง ภาพแรกที่เขาเห็นก็คือใบหน้าของอลินดา ทำให้เขาเผลอครางชื่อของหล่อนออกไป แต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง ภาพนั้นก็จางหายไป เหลือไว้แต่ใบหน้าของนารีรัตน์ที่กำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ไม่ห่าง

“นารีเองค่ะ ไม่ใช่ลินดา…”

“นี่ลูกยังจะไปนึกถึงผู้หญิงที่หนีตามชู้ไป และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องมาบาดเจ็บเกือบตายแบบนี้อีกเหรอ”

แซคคารีย์ไม่ได้ตอบมารดา แต่เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบ นารีรัตน์จึงเอ่ยถามอย่างเอาใจ

“คุณแซคหิวไหมคะ นารีจะไปปลอกส้มมาให้ค่ะ”

“ผมไม่ชอบกินส้ม”

“เอ่อ… นารีลืมไปค่ะ”

นารีรัตน์หน้าเจื่อนเมื่อถูกแซคคารีย์ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“คุณแม่ครับ เมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้านครับ”

“คงอีกสองสามวันนี้แหละพ่อแซค รอให้อาการภายนอกหายสนิทก่อน” คนเป็นแม่อธิบาย

“แต่ผมอยากกลับบ้านวันนี้หรืออย่างช้าก็พรุ่งนี้เลยครับ ผมไม่อยากอยู่โรงพยาบาลแล้ว ผมเบื่อ”

“แต่คุณแซคยังเดินไม่ได้นะคะ จะกลับไปได้ยังไงกัน แล้วถ้ากลับไปใครจะดูแลคะ” นารีรัตน์เอ่ยแย้งขึ้น

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ นารี”

“พ่อแซคดูแลตัวเองไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าแม่จะให้หนูนารีไปดูแลในช่วงที่พ่อแซคยังต้องนั่งรถเข็นก็แล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”

“แต่แม่เป็นห่วงนี่น่า ถ้าไม่ให้หนูนารีไปดูแล แม่ก็จะไปดูแลพ่อ แซคเอง”

เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้มารดาต้องมาลำบากลำบนด้วย ทำให้แซคคารีย์ไม่มีทางเลือก

“งั้นก็แล้วแต่คุณแม่เถอะครับ”

ทั้งแคทเธอรีนและนารีรัตน์ต่างยิ้มกริ่มอย่างถูกอกถูกใจ ตรงกันข้ามกับแซคคารีย์ที่นั่งหน้าบูดเต็มไปด้วยความหงุดหงิด คนที่เขาอยากเจอกลับไม่โผล่หน้ามาหาแม้แต่นิดเดียว

‘ฉันหายดีเมื่อไหร่ จะไปตามลากคอเธอกลับมา อลินดา’

สามวันต่อมา แซคคารีย์กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านของตัวเอง ชายหนุ่มยังคงนั่งรถเข็นเพราะว่าแม้จะถอดเฝือกอ่อนออกไปจากขาแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่ถนัดเหมือนเมื่อก่อน และงานที่ต้องได้รับการเซ็นอนุมัติจากประธานกรรมการจะถูกส่งมาให้แซคคารีย์พิจารณาที่บ้านทั้งหมด และวันนี้แฮรี่ก็ขันอาสาจากวาเนสซ่าถือแฟ้มเอกสารมาหาแซคคารีย์ด้วยตัวเอง

“ทำไมเป็นคุณล่ะ แฮรี่”

แซคคารีย์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นแฮรี่มาแทนวาเนสซ่าเลขาของตัวเอง

“พอดีผมอยากมาเยี่ยมท่านประธานด้วยน่ะครับ ก็เลยขอคุณ วาเนสซ่ามาน่ะครับ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะเชื้อเชิญ

“นั่งสิ”

“ขอบคุณครับ”

แฮรี่ทรุดตัวลงนั่งและมองไปรอบๆ ห้องทำงานของ แซคคารีย์และเอ่ยถาม

“ใครดูแลท่านประธานเหรอครับ”

“ผมดูแลตัวเองได้”

“แต่ท่านประธานยังนั่งรถเข็นอยู่เลยนะครับ” แฮรี่เต็มไปด้วยความสงสัย

“ถึงผมจะนั่งรถเข็นอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นง่อยนี่น่า”

แฮรี่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเอ่ยออกไป

“คือผมแค่เป็นห่วงท่านประธานนะครับ เกรงว่าจะไม่มีใครดูแล”

แซคคารีย์หรี่ตาแคบมองคู่สนทนาอย่างคาดคั้น

“มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะคุณแฮรี่ อ้อมค้อมแบบนี้ น่ารำคาญ”

“เอ่อ…”

“และอย่าบอกว่าไม่มีล่ะ เพราะผมมั่นใจว่าคุณไม่มีทางตั้งใจมาเยี่ยมเยียนผมอย่างเดียวหรอก จริงไหม”

แฮรี่มองหน้าแซคคารีย์อย่างทึ่งในไหวพริบและความช่างสังเกตของชายหนุ่ม

“คือผม… มีญาติห่างๆ อยู่คนหนึ่งน่ะครับ เธอจบพยาบาลมา และตอนนี้ก็ตกงาน ผมก็เลยอยากจะฝากให้มาทำงานกับคุณแซคน่ะครับ”

“จะให้ญาติของคุณมาดูแลผมอย่างนั้นหรือ”

“ก็ประมาณนั่นแหละครับ” แฮรี่พยักหน้าหงึกๆ “ผมอยากให้เธอมีประสบการณ์จริงในการดูแลคนป่วยน่ะครับ”

“แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะ”

แซคคารีย์ถามเสียงเยือกเย็น

“ถ้าท่านประธานปฏิเสธ ผมก็คงจะต้องให้ญาติของผมคนนี้ตกงานต่อไปเรื่อยๆ น่ะครับ”

สายตาของแฮรี่คล้ายกับจะบอกอะไรเขาสักอย่าง แต่เขากลับเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร

“แล้ววันนี้คุณพาเธอมาด้วยหรือเปล่า”

“เธอรอผมอยู่ในรถครับ”

“ไปพามาพบผม”

“งั้นก็แสดงว่าญาติของผมได้งานใช่ไหมครับ” แฮรี่ตอบเสียงมีความหวัง

“ผมยังให้คำตอบไม่ได้ จนกว่าจะได้เห็นหน้าญาติของคุณ”

“ครับ งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”

แฮรี่ลุกเดินออกไปจากห้องทำงานกว้างแล้ว ผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินอย่างสง่างามตรงไปหยุดที่ขอบหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงาน ดวงตาสีสนิมจ้องมองออกไปยังรถเก๋งราคาแพงของ แฮรี่ที่จอดอยู่ลานหน้าตึกใหญ่ กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง

 

เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินตามหลังแฮรี่เข้ามาภายในห้องทำงานของแซคคารีย์อีกครั้ง

“ผมพาญาติของผมมาแล้วครับท่านประธาน”

คำพูดของแฮรี่ทำให้ผู้ชายเจ้าของดวงตาสีสนิมเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงาน และจ้องไปยังร่างอรชรของผู้หญิงคนหนึ่งที่หลบอยู่ด้านหลังของแฮรี่

“ไหน มายืนใกล้ๆ ฉันหน่อยสิ”

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังไม่ยอมขยับเขยื้อน แฮรี่ที่กลัวความลับจะแตกก็รีบพูดเร่งเร้าขึ้น

“ท่านประธานเรียกให้ไปยืนใกล้ๆ น่ะแก้ว ไปสิครับ”

“เอ่อ… ค่ะ…”

อลินดาในคราบของแก้วตาก้าวออกมาจากด้านหลังของแฮรี่ ก่อนจะเงยหน้าอัปลักษณ์ของตัวเองขึ้นมองแซคคารีย์ หล่อนคาดคิดว่าจะได้เห็นความตกใจบนใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับไม่เห็นมันเลยสักนิด หรือว่าหล่อนแต่งหน้าให้อัปลักษณ์ยังไม่พอนะ

“ชื่อแก้วหรือ”

“ค่ะ”

อลินดาจำต้องดัดเสียงให้แตกต่างจากสุ่มเสียงเดิมของตัวเอง

“แล้วเธอทำอะไรเป็นบ้างล่ะ จบพยาบาลมาใช่ไหม”

“เอ่อ… แก้วทำได้ทุกอย่างค่ะ”

ริมฝีปากหยักสวยของแซคคารีย์เหยียดยิ้มหยัน “ทำได้ทุกอย่างก็ดีแล้ว จะได้ใช้ง่ายๆ”

แฮรี่เห็นแซคคารีย์เอาแต่จ้องหน้าอลินดาคล้ายกับจับผิดก็พยายามจะแก้ไขสถานการณ์

“งั้นผมจะให้แก้วมาทำงานพรุ่งนี้นะครับท่านประธาน”

“ไม่จำเป็นต้องพรุ่งนี้หรอก เริ่มงานวันนี้เลยดีกว่า”

ทั้งแฮรี่และอลินดาหันหน้าไปมองกันด้วยความตื่นตกใจเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า

“แต่แก้วยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่ของเธอเลยครับ ผมว่า…”

“คุณก็ไปบอกแทนสิ ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่ จริงไหมแก้ว”

แซคคารีย์จ้องมองผู้หญิงที่ทาหน้าซะดำเป็นถ่าน แถมยังมีไฝเม็ดโตติดอยู่กลางหน้าผากอีกสามเม็ดด้วยสายตาที่อ่านความรู้สึกไม่ออก

“เอ่อ… ค่ะ”

“งั้นก็ตามนี้แหละ เอานี่คุณแฮรี่ ผมเซ็นเอกสารเสร็จแล้ว เอากลับไปให้คุณวาเนสซ่าด้วย”

แฮรี่รีบยื่นมือไปรับแฟ้มเอกสารจากมือของแซคคารีย์ และก็อดที่จะหันไปมองอลินดาอย่างเป็นห่วงไม่ได้ แต่หญิงสาวส่งสัญญาณทางสายตามาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เขาจึงเบาใจขึ้นเล็กน้อย

“งั้นผมฝากแก้วด้วยนะครับ”

“สบายใจได้คุณแฮรี่ ผมจะดูแลญาติของคุณเป็นอย่างดี”

ทำไมน้ำเสียงของแซคคารีย์ฟังดูดุกระด้างแปลกๆ แบบนี้นะ อลินดารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

แซคคารีย์รอจนแฮรี่เดินออกไปแล้ว จึงเรียกให้อลินดาในคราบของหญิงอัปลักษณ์ที่ชื่อแก้วให้เข้ามาประคองตัวเอง

“ฉันจะไปห้องน้ำ”

“เอ่อ… ค่ะ” อลินดาจำต้องเดินเข้าไปช่วยประคองให้แซคคารีย์ลุกขึ้นจากรถเข็น และพยุงผู้ชายตัวใหญ่ให้เดินตรงไปยังห้องน้ำอย่างทุลักทุเลเป็นที่สุด ระหว่างทางก็เซจะล้มนับครั้งไม่ถ้วน

“เอ่อ… แก้วรอข้างนอกนะคะ”

“นี่เธอจะปล่อยฉันให้อยู่ในห้องน้ำคนเดียวได้ยังไงกัน ฉันขาไม่ดี เธอก็รู้นี่”

“แต่… คุณแซคจะทำธุระส่วนตัวนี่คะ” อลินดาหน้าแดงก่ำ แต่เขามองไม่เห็นมันหรอก เพราะหล่อนเอาสีดำทาเอาไว้จนมืดมิด

“เธอเป็นพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงอายกับเรื่องแบบนี้ หรือว่าแฮรี่โกหกฉัน แท้จริงแล้วเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ”

“เอ่อ… ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่ค่ะ”

“ถ้าไม่ใช่ก็มาช่วยฉันสิ ฉันกำลังจะฉี่”

“แต่…”

“แต่อะไรอีกล่ะ”

อลินดาไม่มีทางเลือก จำต้องเดินเข้าไปหาเขา และโน้มตัวลงดึงขอบกางเกงขายาวผ้ายืดของแซคคารีย์ลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็จับความเป็นชายของเขาที่หล่อนคุ้นเคยเป็นอย่างดีออกมาทำธุระจนเสร็จ

“ล้างให้ด้วย”

“คะ?”

“อ้าว ฉันฉี่เสร็จแล้วก็ต้องล้าง ฉันเป็นคนรักความสะอาด”

“ตะ แต่… มือของคุณแซคยังใช้ได้นี่คะ” อลินดาลืมตัวเถียงออกไป ก่อนจะถูกตอกกลับมา

“นี่เป็นคำสั่งของฉัน หรือว่าเธอจะไม่ทำตาม”

“ทะ ทำค่ะ”

อลินดาหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีก ที่ต้องจับท่อนชายของแซคคารีย์ครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ แต่พ่อเจ้าประคุณสิ ดูจะมีความสุขเหลือเกิน ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย คงชอบให้ผู้หญิงจับสิท่า นี่ขนาดหล่อนทาหน้าเสียดำปี๊ดปี๋นะ

พอหล่อนทำความสะอาดให้กับท่อนชายชาตรีที่ใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงของแซคคารีย์เสร็จ หล่อนก็ต้องพยุงคนตัวโตออกมาจากห้องน้ำ และพาไปนั่งบนรถเข็นตามเดิม แต่ละหว่างทางเขาทิ้งตัวมาที่หล่อนหนักเกินไป ทำให้ร่างของหล่อนเสียหลักล้มหงายลงไปบนพื้นห้อง โดยมีเขาทาบทับลงมาทั้งตัว

จังหวะนั้นราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ดวงตาสีสนิมที่สบประสานมานั้นราวกับมีเวทมนต์ขลัง มันทำให้หล่อนอ่อนระทดระทวยทั้งตัว หัวใจก็เต้นแรงโครมคราม แต่แล้วมนต์ขลังก็ถูกทำลายจนหมดเกลี้ยงเมื่อประตูห้องทำงานของแซคคารีย์ถูกกระชากเปิดออก พร้อมๆ กับเสียงกรีดตกใจของ นารีรัตน์

“ว๊ายยย ทำอะไรกันน่ะ”

อลินดาได้สติรีบพลิกตัวลุกขึ้นและพยุงร่างหนักอึ้งของแซคคารีย์ขึ้นจากพื้น พาไปนั่งบนรถเข็นได้สำเร็จ แต่กระนั้นก็หอบแฮ่กเลยทีเดียว

“คุณแซคคะ นังหน้าดำนี่มันเป็นใครคะ” นารีรัตน์จ้องหน้าอลินดาที่ทาหน้าดำด้วยความไม่พอใจ

“พยาบาลของผมเอง” แซคคารีย์ตอบเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจกับความโมโหของอีกฝ่ายเลย

“คุณแซคไปแอบจ้างมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วทำไมต้องไปจ้างมันด้วย ในเมื่อนารีก็คอยดูแลคุณอยู่ทั้งคน”

“ผมไม่เคยทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ ผมทำทุกอย่างเปิดเผยเสมอ”

“นารีหมายถึง… เมื่อวานนารียังไม่เห็นมันน่ะค่ะ”

“ผมเพิ่งจ้างแก้วมาวันนี้” แซคคารีย์ปรายตามองหน้านารีรัตน์ด้วยสายตาห่างเหิน “ต่อไปนี้คุณก็ไม่ต้องลำบากมาคอยดูแลผมแล้วนะนารี เพราะผมมีคนดูแลแล้ว”

“นังหน้าดำเนี่ยนะคะ ยี้ ขยะแขยง” นารีรัตน์ทำหน้าจะอ้วกกับความอัปลักษณ์ของผู้หญิงหน้าดำที่ตัวเองเห็น

อลินดาก้มหน้างุดไม่พูดจาโต้ตอบ

“ใช่ครับ ยังไงผมก็ขอบคุณคุณมากที่คอยแวะมาดูแลผม”

“ก็ที่นารีทำลงไปทุกอย่างก็เพราะนารีรักคุณนี่คุณแซค”

แซคคารีย์ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากระบายยิ้ม และนั่นก็ทำให้ นารีรัตน์หันมาพูดกับหญิงหน้าดำ

“แกดูแลคุณแซคให้ดีนะ แล้วอย่าเอาความดำมืดของแกไปทำให้คุณแซคแปดเปื้อนล่ะ”

“ค่ะ” อลินดาตอบรับสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้นารีรัตน์ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ฉันว่าเสียงแกคุ้นหูนะ นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน”

“เสียงคนเหมือนกันเยอะแยะไปนารี” แซคคารีย์แย้งขึ้น “ว่าแต่คุณกินข้าวมาหรือยังล่ะ”

“ยังเลยค่ะคุณแซค” นารีรัตน์ดีใจที่แซคคารีย์เอ่ยถาม เพราะก่อนหน้านี้เขาจะไม่สนใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย

“ผมหิวพอดี งั้นเราไปกินข้าวกัน”

“ค่ะ คุณแซค” นารีรัตน์ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “งั้นนารีจะพาคุณแซคไปห้องอาหารเองนะคะ”

เมื่อแซคคารีย์พยักหน้ารับ นารีรัตน์ที่ลิงโลดด้วยความดีใจก็เข็นรถเข็นของแซคคารีย์ออกไปจากห้องทำงานทันที

อลินดามองตามไปด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้า แต่แล้วก็ต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ เมื่อมีเสียงคนเดินมาหยุดด้านหลัง หล่อนหันไปมองก็พบว่าเป็นสาวใช้

“คุณแซคให้มาพาคุณไปที่ห้องพักค่ะ”

“เอ่อ ค่ะ…”

อลินดาเดินตามร่างสาวใช้ออกไปจากห้องทำงานของแซคคารีย์ คิดว่าสาวใช้จะพาไปที่เรือนคนรับใช้ แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น

“ให้ฉัน… พักที่ห้องนี้เหรอจ๊ะ”

สาวใช้พาหล่อนมาหยุดที่หน้าประตูห้องพักที่อยู่ติดกับห้องนอนของแซคคารีย์

“ใช่ค่ะ นี่เป็นคำสั่งของคุณแซค”

“แต่ว่า…”

อลินดารู้สึกหวาดหวั่น หรือว่าแซคคารีย์จะจำหล่อนได้ แต่ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้หรอก ในเมื่อนารีรัตน์พี่สาวแท้ๆ ยังจำหล่อนไม่ได้เลย

“คุณแซคคงคิดว่าถ้าคุณพยาบาลอยู่ใกล้ๆ น่าจะเรียกใช้ได้สะดวกมากกว่าอยู่ไกลๆ น่ะค่ะ”

คำพูดของสาวใช้ทำให้อลินดาคล้อยตาม หล่อนพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในห้องกว้างนั้น

“ถ้าขาดเหลืออะไร เรียกดิฉันได้ทุกเวลาเลยนะคะ”

“ขอบใจจ้ะ”

สาวใช้เดินออกไปแล้ว อลินดาจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ตัว ก่อนจะร้องไห้ออกมา

“ทำไมฉันถึงตัดใจจากคุณไปไม่ได้สักทีนะคุณแซค ทั้งๆ ที่เราไม่ควรที่จะพบกันอีก…”

มือเล็กยกขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ ร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมานปิ่มจะขาดใจ

เรือนร่างสั่นเทาของอลินดาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีฟ้าหน้าห้องไอซียูที่ด้านในนั้นมีแซคคารีย์ที่บาดเจ็บสาหัสนอนพักรักษาตัวอยู่ หัวใจของหล่อนแทบจะขาดรอนๆ หยาดน้ำตาพรางพรูออกมาเป็นทางยาวตามร่องแก้ม

“คุณแซค… ทำไมคุณถึงได้ขับรถไวนักคะ ทำไมถึงได้… ทำให้ตัวเองได้รับอุบัติเหตุแบบนี้ ทำไมไม่รักตัวเองเลย…”

หล่อนคร่ำครวญด้วยความเสียใจ ร้องไห้อย่างไม่คิดจะอับอายสายตาของใครอีก จนกระทั่งนางพยาบาลเดินเข้ามาถามไถ่

“ญาติคนไข้เตียงไหนเหรอคะ”

“เอ่อ…”

อลินดาเงยหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองนางพยาบาลเจ้าของคำพูด

“คุณแซคคารีย์… เป็นยังไงบ้างคะ เขา… ปลอดภัยหรือยังคะ”

“คุณแซคคารีย์อาการยังหนักอยู่เลยค่ะ ตอนนี้คุณหมอให้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด และก็ยังงดเยี่ยมนะคะ”

หัวใจของคนฟังปวดหนึบ

“แล้ว… เขาจะตายไหมคะ”

และถามออกไปด้วยความหวาดกลัว

“คุณหมอจะรักษาคนไข้ทุกคนอย่างสุดความสามารถค่ะ”

นางพยาบาลเดินไปแล้ว พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของญาติพี่น้องของแซคคารีย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีนารีรัตน์พี่สาวฝาแฝดของหล่อนด้วย อลินดาต้องรีบก้มหน้าก้มหน้า และเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่น่าเชื่อว่าพ่อแซคจะขับรถเร็วตอนที่ฝนตกแบบนี้ ทั้งๆ ที่พ่อแซคเป็นคนที่มีสติเสมอตอนขับรถ”

มารดาของแซคคารีย์ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาและพยายามคิดหาสาเหตุที่ลูกชายรถคว่ำ

“มันอาจจะเป็นคราวเคราะห์ของลูกชายเราก็ได้คุณ”

บิดาของแซคคารีย์พยายามมองโลกในแง่ดี

“โชคดีแค่ไหนแล้วที่ลูกชายของเรายังมีชีวิตอยู่”

“แต่มันต้องมีสาเหตุสิคะ”

คนเป็นภรรยาหันไปเถียงสามีทั้งน้ำตา จนนารีรัตน์อดที่จะสอดแทรกขึ้นมาไม่ได้

“ไม่รู้ว่าถ้านารีพูดไป คุณป้าจะโกรธหรือเปล่า”

“หนูนารีมีอะไรก็บอกป้ามาเถอะ”

นารีรัตน์แสดงท่าทางกระอักกระอ่วนใจ แต่ความเป็นจริงแล้วภายในเต็มไปด้วยความสะใจอย่างที่สุด

“คืออย่างที่คุณป้าทราบนั่นแหละค่ะว่าคุณแซคกับลินดาน้องสาวของนารี…”

นารีรัตน์แสร้งบีบน้ำตา

“ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว แต่… เมื่อช่วงเช้าคุณแซคจับได้ว่าลินดาแอบหนีตามชู้รักไปน่ะค่ะ คุณแซคที่ยังลุ่มหลงลินดาอยู่ก็เลยขับรถออกไปตามหา นารีว่านี้อาจจะเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คุณแซคขับรถเร็วท่ามกลางฝนตกก็ได้นะคะ”

นารีรัตน์ลอบยิ้มสะใจเมื่อเห็นสีหน้าของมารดาของ แซคคารีย์เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ แต่บิดาของชายหนุ่มกลับไม่ได้คิดไปในทางเดียวกับภรรยา

“ลุงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะหนูนารี เพราะเท่าที่ลุงรู้จักหนูลินดามา เด็กคนนี้เป็นคนดีนะ”

“คุณจะไปรู้อะไรล่ะคะ ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนกันจะแย่งสามีของพี่สาวน่ะ”

“คุณก็อย่าลืมสิว่าที่หนูลินดาต้องแต่งงานกับแซคคารีย์ก็เพราะหนูนารีหายตัวไปไม่ใช่เหรอ จริงไหมหนูนารี”

เมื่อถูกบิดาของแซคคารีย์จ้องมองและคาดคั้น นารีรัตน์ก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้าซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เท่านั้น

“ก็หนูนารีบอกแล้วนี่ว่าถูกลักพาตัวไป ดังนั้นตัวสำรองอย่างแม่ลินดาก็ควรจะหลีกทางให้เจ้าสาวตัวจริงสิ ไม่ใช่ชุบมือเปิบจับพ่อแซคทำสามีเสียเอง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า นารีผิดเองค่ะ นารีไม่ดีเอง อย่าไปโทษ ลินดาเลยค่ะ”

นารีรัตน์บีบน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นและนั่นก็ทำให้มารดาของแซคคารีย์ยิ่งเวทนา

“พ่อแซคหายดีเมื่อไหร่ ป้าจะให้แต่งงานกับหนูนารีอีกครั้ง”

แม้จะดีใจจนเนื้อเต้น แต่นารีรัตน์ก็จำต้องตีเศร้าเรียกคะแนนสงสารต่อไป

“อย่าเลยค่ะ นารีไม่อยากฝืนใจใครค่ะ”

“ห้ามปฏิเสธนะ เพราะผู้หญิงคนเดียวที่ป้าต้องการมาเป็นลูกสะใภ้ก็คือหนูนารี”

“ขอบพระคุณมากค่ะคุณป้า”

นารีรัตน์สวมกอดร่างของแคทเธอรีนมารดาของแซคคารีย์เอาไว้แน่น และก็ลอบยิ้มด้วยความพึงพอใจ

ตลอดระยะเวลาสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่อลินดาจะไม่ได้แวะมาเยี่ยมเยียนแซคคารีย์ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูแข็งแรงขึ้นมากแล้วก็ตาม แต่หล่อนก็ยังอดที่จะเป็นห่วงเขาไม่ได้

หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม เมื่อจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่เคยสวมกอดหล่อนเอาไว้ทั้งค่ำคืน แต่ตอนนี้กลับนอนนิ่งในสภาพคนป่วยอยู่บนเตียง

“หายเร็วๆ นะคะคุณแซค”

หล่อนก้มลงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเขา และก็ทำให้เจ้าของร่างขยับเขยื้อน อลินดาตกใจ รีบคว้ากระเป๋า และวิ่งออกไปจากห้องพักฟื้นของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว และด้วยความรีบร้อนนั่นก็ทำให้ชนเข้ากับร่างของแฮรี่เข้าโดยบังเอิญ

“ลินดา… คุณหายไปไหนมาครับ”

แฮรี่ที่แวะมาเยี่ยมเจ้านายของตัวเองอุทานด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ เมื่อเจอเข้ากับอลินดาโดยไม่คาดคิดมาก่อน

“คุณแฮรี่”

“รู้ไหมครับว่าทุกคนที่บริษัทเป็นห่วงคุณมาก”

อลินดากำลังจะอธิบาย แต่ก็ได้ยินเสียงสนทนาคุ้นหูดังใกล้เข้ามาเสียก่อน หล่อนจึงคว้าแขนของแฮรี่และลากให้เขาเดินตามมายังทางบันไดหนีไฟ

“ทำไมลินดาทำเหมือนกำลังหลบหน้าคนอื่นอยู่ล่ะครับ”

แฮรี่แปลกใจมาก เพราะลินดาเดินหนีหายเข้ามาทางบันไดหนีไฟด้วยความรีบร้อนทันที เมื่อเห็นนารีรัตน์พี่สาวฝาแฝดกับมารดาของแซคคารีย์กำลังเดินใกล้เข้ามา

“คือลินดา… มีเรื่องจะขอร้องคุณแฮรี่ค่ะ”

“ผมจะทำตามคำขอร้องของคุณนะลินดา จะทำทุกอย่างเลย แต่คุณต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ผมฟังก่อน” น้ำเสียงของแฮรี่จริงจังมาก ทำให้ อลินดาไม่มีทางเลือก

“ก็ได้ค่ะ แต่คุณแฮรี่จะต้องรับปากลินดานะคะว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

“ผมสัญญาครับ”

อลินดามองหน้าแฮรี่อย่างชั่งใจ แต่ในที่สุดก็เริ่มต้นเล่าความจริงทุกอย่างให้กับแฮรี่ฟังทุกอย่าง

“นี่มันเรื่องจริงหรือครับ ที่ลินดากับท่านประธานเป็น…” สีหน้าของแฮรี่เต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาเองก็แอบรักอลินดามาช้านาน

อลินดาพยักหน้ารับน้อยๆ “ค่ะ ทั้งหมดก็เป็นอย่างที่ลินดาเล่าให้คุณแฮรี่ฟังนั่นแหละค่ะ”

“ลินดารักท่านประธานใช่ไหมครับ”

เมื่อเห็นหญิงสาวก้มหน้าหลบสายตา ชายหนุ่มก็ได้คำตอบในทันที เขาเสียใจ แต่ก็จำต้องยอมรับความจริง

“แล้วทำไมลินดาต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ด้วยล่ะครับ ทำไมถึงไม่กลับไปบ้าน คุณเป็นภรรยาของคุณท่านประธานนะครับ”

อลินดาร้องไห้และส่ายหน้าไปมา กลีบปากอิ่มสั่นระริก หัวใจปวดหนึบทรมาน “ลินดาคือตัวปัญหา ถ้าไม่มีลินดาสักคน ทุกคนก็จะมีแต่ความสุข พี่นารีก็จะได้กลับมาเป็นภรรยาของคุณแซคเหมือนเดิม”

“ทำไมต้องเสียสละด้วยล่ะครับ ในเมื่อลินดารักท่านประธาน และผมก็คิดว่าท่านประธานก็น่าจะมีใจให้กับลินดาเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ขับรถตามหาลินดาจนประสบอุบัติเหตุแบบนี้หรอกครับ”

อลินดาสะอื้นไห้ ส่ายหน้าน้อยๆ “คุณแซคก็แค่รับผิดชอบในสิ่งที่พลาดพลั้งทำลงไปเท่านั้นเองค่ะ และที่สำคัญลินดา อยากให้คุณแซคกับพี่นารีกลับมาคืนดีกัน…”

“นี่ไม่ใช่นิยายหรือละครหลังข่าวนะครับลินดาที่คุณจะต้องสวมบทบาทนางเอกผู้เสียสละน่ะ ชีวิตจริงเราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราสมควรจะได้สิครับ”

“ลินดา… แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นเองค่ะ”

แฮรี่ถอนใจออกมาแผ่วเบา “ถ้าลินดาคิดแบบนี้ คุณก็ไม่ควรจะแวะมาเยี่ยมท่านประธานอีก เพราะถ้าคนอื่นรู้เข้า เรื่องมันจะไม่จบ และปัญหาใหญ่จะตามมา”

หล่อนก็อยากทำตามคำแนะนำของแฮรี่หรอก แต่หล่อนตัดใจจากแซคคารีย์ไปในตอนนี้ไม่ได้

“ลินดาอยากจะอยู่ดูแลคุณแซคก่อนค่ะ จนกว่าเขาจะหายดี แล้วเมื่อนั้นลินดาจะไปค่ะ จะจากไปเงียบๆ”

“ลินดาหมายความว่ายังไงครับ”

หญิงสาวช้อนตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองคู่สนทนา

“ลินดา… มีบางอย่างที่จะขอร้องให้คุณแฮรี่ช่วยเหลือน่ะค่ะ”

ความหวังของแซคคารีย์พังทลายลงในพริบตา เมื่อเขาได้ยินคำพูดจากปากของอุบลซึ่งเป็นมารดาของนารีรัตน์และอลินดาเต็มสองหู

“คุณน้า… ว่ายังไงนะครับ”

“ลินดามันหนีตามผู้ชายไปแล้วล่ะ”

“ไม่จริงครับ” เขาจำได้ว่าตัวเองแย้งไปเสียงเบาหวิว ในขณะที่อุบลย้ำชัดอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม

“ทำไมจะไม่จริงล่ะ ก็น้าเห็นกับตา คุณแซคอย่าไปยุ่งกับนังลูกไม่รักดีคนนี้อีกเลย”

“ผมไม่เชื่อครับ ยังไงก็ไม่เชื่อ”

เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าอลินดาจะทำแบบนี้กับเขา หล่อนจะต้องถูกครอบครัวบังคับให้ทำอย่างแน่นอน เพราะเขารู้ว่าอลินดาคือลูกชังของคนในครอบครัวนี้

“งั้นก็อ่านจดหมายนี่ซะ คุณแซคจะได้ตายสว่างเสียที”

กระดาษสีขาวขนาดครึ่งเอสี่ถูกยื่นมาตรงหน้าของเขา และรายมือของอลินดาที่เขาจำได้ดี เพราะมันเป็นรายมือเดียวกันกับรายมือบนโปสการ์ดที่ส่งให้เขาในทุกๆ ปีไม่เคยขาด ซึ่งความจริงนี้เขาก็เพิ่งได้รู้เมื่อไม่นานมานี้เอง

แซคคารีย์ยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ และไล่สายตาไปตามตัวหนังสือแสนคุ้นตาทีละตัว ซึมซับกับคำร่ำลาของอลินดาด้วยหัวใจที่ปวดร้าวทรมาน

นี่เขา… รักอลินดาอย่างนั้นหรือ…

เมื่อถูกพรากจาก ความจริงที่หัวใจพยายามซ่อนเร้นมานานก็ระเบิดขึ้น

“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าลินดาจะทำแบบนี้กับคุณแซคได้ ช่างเป็นผู้หญิงที่จิตใจชั่วร้ายจริงๆ เลย” นารีรัตน์ได้ทีก็รีบเหยียบขยี้น้องสาวด้วยคำพูดร้ายกาจทันที พลางขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม และวางมือลงบนท่อนแขนกำยำ และปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะคะคุณแซค ปล่อยผู้หญิงไม่รู้จักพอคนนั้นไปเถอะ ยังไงคุณก็ยังมีนารีอยู่ทั้งคน…”

แซคคารีย์สะบัดแขนของตัวเองออกจากมือของนารีรัตน์แรงๆ ก่อนจะเค้นเสียงกระด้างลอดไรฟันออกมา

“ผมไม่มีทางเชื่อว่าอลินดาจะทำแบบนี้กับผม”

“แต่คุณแซคก็เห็นแล้วนี่คะว่ามันเขียนจดหมายลาคุณเอาไว้จริงๆ แถมยังบอกอีกว่าไปกับชู้รัก”

แซคคารีย์ตวัดตาจ้องมองนารีรัตน์ สายตาของเขากระด้างดุดันจนนารีรัตน์เสียวสันหลังวาบ

“ผมรู้ว่าอลินดาเขียนจดหมายใบนี้จริง เพราะผมจำลายมือของเธอได้”

“คุณแซคหมายถึง…”

“โปสการ์ดที่ส่งหาผมทุกปี ปีละหลายๆ ครั้ง ก็ถูกเขียนด้วยลายมือนี้แหละ”

แซคคารีย์จ้องหน้านารีรัตน์เขม็ง “ซึ่งมันเป็นลายมือของอลินดา ไม่ใช่คุณ นารีรัตน์”

“เอ่อ…” นารีรัตน์หน้าซีดเผือด “คือว่านารี…”

“เอาเป็นว่าไม่ต้องแก้ตัวแล้วล่ะ ผมรู้ทุกความลับของคุณทั้งหมดแล้ว แต่ที่ผมไม่พูดอะไรออกมาก็เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ดังนั้นได้โปรดอย่ามายุ่งกับผมอีกเลย นารี ผมขอร้องล่ะ”

นั่นไง หล่อนคิดเอาไว้อยู่แล้วเชียวว่าที่แซคคารีย์หมดรักในตัวของหล่อนเร็วแบบนี้ ก็เพราะเขารู้ความจริงทุกอย่างแล้วนั่นเอง ซึ่งคนเปิดเผยความลับนี้ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อลินดา นังน้องสาวทรยศนั่นเอง

นารีรัตน์กำมือทั้งสองข้องที่ทิ้งอยู่ข้างตัวแน่น ดวงตามีน้ำตาแห่งความคลั่งแค้นเอ่อล้น

“ถึงไม่มีนารี แต่คุณแซคก็ไม่มีทางได้สมหวังกับนังลินดาหรอก เพราะมันหนีตามชู้ไปแล้ว”

แซคคารีย์ไม่พูดอะไรออกมาอีก เขาหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถ และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

นารีรัตน์มองตามไปด้วยความแค้นเคือง

“ถ้ากูไม่มีความสุข ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะมีความสุข”

“นารี… ลูกพูดอะไรน่ะ”

อุบลผู้เป็นมารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล

“อย่าทำอะไรไม่ดีนะลูก นี่แม่ก็ช่วยไล่ลินดามันไปแล้ว ใจเย็นๆ นะลูกรักของแม่”

อุบลดึงร่างของนารีรัตน์ที่สั่นเกร็งเพราะความแค้นเข้าไปกอด หวังว่าอ้อมอกของตัวเองจะช่วยดับไฟริษยาในใจของลูกสาวคนโตให้มอดลงได้ แต่กลับไม่ใช่เลยสักนิด เพราะสมองของนารีรัตน์กำลังวางแผนขั้นต่อไปอยู่เงียบๆ

 

หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้ม หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้งอย่างต่อเนื่อง ความทรงจำที่มีร่วมกันกับแซคคารีย์มันคือผีบ้าที่ตามหลอกหลอนจนปวดร้าวทรมาน ความเสียใจแล่นพล่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ความจริงที่ไม่เคยปฏิเสธได้ก็คือหล่อนตกหลุมรักแซคคารีย์จนหมดหัวใจ และยิ่งตกเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว หัวใจก็ยิ่งถลำลึกลงไปในบ่วงเสน่หาจนยากที่จะถอนตัวถอนใจ

อลินดายกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งอีกครั้ง เมื่อใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อเดินทางไกล แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นเดินไป จอโทรทัศน์ในสถานีขนส่งก็มีข่าวด่วนขึ้นมาเสียก่อน

‘รถสปอร์ตหรูของนักธุรกิจหนุ่มสัญชาติกรีซเสียหลักพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง อาการของคนขับสาหัส ตอนนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่สันนิฐานว่าน่าจะเกิดจากการขับรถเร็วและถนนที่ลื่นเพราะฝนตกหนัก ความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบอีกในข่าวภาคเที่ยงค่ะ’

แม้ในข่าวจะไม่ได้บอกชื่อว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร แต่หล่อนจำรถได้ดี รถสปอร์ตคันนี้เป็นคนเดียวกับรถสปอร์ตคู่ใจที่แซคคารีย์ขับไปไหนมาไหนเป็นประจำ

ร่างอรชรทรุดฮวบลงกองกับพื้นด้วยความตกใจ หล่อนพูดไม่ออก น้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา กลีบปากสั่นระริก ภาวนา… ภาวนาให้แซคคารีย์ปลอดภัย

“คุณแซค… คุณต้องไม่เป็นอะไรนะคะ”

“น้องสาว รถจะออกแล้วนะครับ”

เสียงของพนักงานรถโดยสารดังขึ้น หล่อนรีบป้ายน้ำตาทิ้ง และลุกขึ้นยืน

“ไม่ไปแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ”

หล่อนตอบไปเสียงเบาหวิว ก่อนจะเดินออกจากสถานีขนส่งด้วยสภาพของคนที่ไร้วิญญาณ

 

นารีรัตน์ที่กำลังจะโทรติดต่อหามือปืนเพื่อให้ตามไปฆ่า อลินดาชะงักเล็กน้อย เมื่อประตูห้องนอนถูกทุบเสียงดัง พร้อมกับเสียงตื่นตกใจของมารดาที่ดังขึ้น

“มีอะไรแม่”

นารีรัตน์เดินไปกระชากประตูให้เปิดออก และถามมารดาออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“นี่ลูกรู้ข่าวคุณแซคหรือยัง”

นารีรัตน์ที่กำลังโกรธแซคคารีย์กระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเบ้หน้า

“ไม่รู้หรอกแม่”

“คุณแซคประสบอุบัติเหตุรถคว่ำน่ะ ตอนนี้อาการสาหัสเลยทีเดียว”

“ว่าไงนะแม่ คุณแซครถคว่ำ”

“ใช่ เห็นว่าพุ่งชนต้นไม้ รถพังยับเลยล่ะ โชคดีที่ยังไม่ตาย”

นารีรัตน์หน้าซีดเผือด

“แล้วตอนนี้คุณแซคอยู่โรงพยาบาลไหนแม่ ฉันจะเยี่ยม”

“แกจะไปทำไม ในเมื่อเขาก็บอกแล้วนี่ว่าไม่ได้รักแกแล้ว”

คำเตือนสติของมารดาทำให้นารีรัตน์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ

“ก็ถ้าฉันไปดูแลเอาใจใส่ คุณแซคก็อาจจะกลับมารักฉันเหมือนเดิมก็ได้นี่แม่”

“ที่เขารักลูกก็เพราะเขาคิดว่าลูกคือคนที่ส่งข้าวของ ส่งคำอวยพรไปให้เขาตอนที่เขาอยู่ที่กรีซไม่ใช่เหรอ”

สิ่งที่มารดาพูดมันคือความจริง แต่นารีรัตน์ไม่เคยคิดจะยอมรับมันแม้แต่น้อย

“แต่ถ้าฉันไปดูแลตอนที่เขาป่วย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คุณแซคก็จะหันมามองฉันเหมือนเดิมนั่นแหละแม่ ถ่านไฟเก่าน่ะมันคุง่ายจะตายไป”

เมื่อลูกสาวสุดที่รักพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ อุบลก็ไม่อยากจะขัดขวาง

“ก็ตามใจเถอะ แม่ก็ขอให้ลูกสมหวังสักที อย่าได้มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้ต้องผิดหวังอีกเลย”

คำพูดของมารดาทำให้นารีรัตน์อดแค้นเคืองไปถึงกฤติชัยไม่ได้ เพราะถ้ามันไม่จับตัวหล่อนไป ป่านนี้หล่อนกับ แซคคารีย์ก็คงจะมีความสุขกันมากมายแล้ว

“แม่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ไอ้คนเลวนั่นมันไม่ได้อยู่รกโลกนี้แล้วล่ะ”

“นารี ลูกพูดอะไรน่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ฉันขอตัวไปหาคุณแซคก่อนนะ”

อุบลมองตามร่างของลูกสาวที่รีบร้อนเดินออกไปด้วยความไม่สบายใจ

นี่หล่อนกับสามีเลี้ยงลูกมาแบบผิดๆ หรือเปล่านะ นารีรัตน์ถึงได้แพ้ไม่เป็นแบบนี้

เช้าวันต่อมา นารีรัตน์ที่สวมรอยอยู่ในคราบของอลินดาน้องสาว ฝาแฝดของตัวเองนั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ในห้องรับแขก เฝ้ารอการกลับมาของแซคคารีย์ที่หายหน้าไปตลอดทั้งค่ำคืน

“คุณแซคหายไปไหนมาทั้งคืนคะ”

เมื่อเห็นแซคคารีย์เดินผิวปากกลับเข้ามา นารีรัตน์ก็รีบพุ่งตัวไปขวางหน้าเอาไว้ และมองเขาอย่างโมโห

“ผมไปหาอลินดามา”

นารีรัตน์ช็อกหน้าซีด ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน

“คุณแซคจะไปหาลินดาทำไมล่ะคะ ในเมื่อลินดาก็อยู่นี่แล้ว”

รอยยิ้มเหยียดหยันบนใบหน้าของแซคคารีย์ทำให้นารีรัตน์หน้าซีดเผือดขึ้นอีกครั้ง

“ต้องให้ผมพูดออกมาจริงๆ หรือ”

“เอ่อ…” นารีรัตน์อึกอักพูดไม่ออก

แซคคารีย์หันไปโบกมือไล่คนใช้ของตัวเองให้ออกไปจากห้องรับแขก จากนั้นก็เปิดฉากพูดความจริงกับผู้หญิงตรงหน้า

“ผมไม่ได้โง่นะนารี”

“เอ่อ… ทำไม… คุณแซคเรียกลินดาว่าพี่นารีล่ะคะ” นารีรัตน์ยังคงดิ้นรนหาทางออกจนเฮือกสุดท้าย

แซคคารีย์เดินเข้ามาหาหยุดตรงหน้า คว้าต้นแขนของคู่สนทนาเอาไว้ และบีบแน่น

“เลิกพูดแบบนี้เถอะนารี มันตลก”

“คุณแซค”

“ผมรู้แล้วจริงๆ ว่าคุณคือนารีรัตน์ ไม่ใช่อลินดา”

ดวงตาของนารีรัตน์เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ หล่อนพยายามที่จะยืนกรานว่าเขาเข้าใจผิด แต่แซคคารีย์ก็ยังยืนยันหนักแน่นเช่นเดิม

“อย่าโกหกเลย คุณกับอลินดาไม่ได้เหมือนกันจนผมแยกไม่ออกหรอก”

“คุณแซค คือว่า…”

“ผมรู้ว่าคุณทำลงไปเพราะรักผม แต่ผมก็มีเหตุผลของผมที่ไม่สามารถกลับไปหาคุณได้อีก ผมขอโทษนะนารี”

นารีรัตน์เจ็บใจมากที่แผนพังลงไม่เป็นท่า แถมยังถูกจับได้ในเวลาอันรวดเร็วด้วย แต่หล่อนไม่มีทางเป็นฝ่ายเดือดร้อนเพียงแค่คนเดียวหรอก

“นารีของโทษค่ะคุณแซค” ในที่สุดหล่อนก็แสร้งบีบน้ำตาออกมาท่วมใบหน้า และสวมกอดแซคคารีย์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “นารีไม่มีทางเลือกค่ะ ลินดาบังคับให้นารีทำแบบนี้”

แซคคารีย์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะดันร่างของนารีรัตน์ออกห่าง และเอ่ยถาม

“อลินดาขอร้องให้คุณทำหรือนารี”

“ใช่ค่ะ ลินดาบอกว่าไม่อยากอยู่กับคุณแซค เธออยากได้อิสระ แต่คุณแซคไม่ยอมปล่อยเธอไป เธอก็เลย… ต้องใช้วิธีนี้ค่ะ”

แซคคารีย์ได้ฟังก็รู้สึกโมโห แต่ก็ยังแปลกใจอยู่ “ไหนคุณเคยบอกว่าอลินดาแอบรักผมยังไงล่ะ แล้วถ้าเธอแอบรักผม ทำไมเธอจะต้องอยากไปจากผมด้วยล่ะ”

“ก็…” นารีรัตน์อึ้งนึกคำพูดโต้แย้งไม่ออก

“ผมควรเชื่อคำพูดของคุณหรือเปล่านารี”

“เอ่อ… ก็… นารีก็บอกคุณไปตามที่ได้ยินมาน่ะค่ะ ส่วนเรื่องจะจริงหรือไม่จริง นารีไม่ทราบหรอกค่ะ”

แซคคารีย์ขบกรามแน่น ก่อนจะก้าวถอยหลังออกห่างจากร่างของนารีรัตน์เพียงเล็กน้อย

“ผมจะไปส่งคุณที่บ้าน”

“ให้นารีอยู่ที่นี่อีกสักคืนสองคืนไม่ได้เหรอคะ” นารีรัตน์พยายามวิงวอน แต่แซคคารีย์ส่ายหน้าปฏิเสธ

“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่อยากให้อลินดาเข้าใจผิด”

ความริษยาทำให้นารีรัตน์เจ็บลึกในอก แต่ภายนอกจำต้องระบายยิ้มเอาไว้ “ก็ได้ค่ะ งั้นนารีขอตัวขึ้นไปเอากระเป๋าก่อนนะคะ”

“ครับ”

นารีรัตน์หมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป ทุกย่างก้าวที่แตะพื้นไม่ต่างจากการเดินบนกองไฟ หัวใจของหล่อนร้อนรุ่ม และเต็มไปด้วยความอาฆาต

ใช่ หล่อนพอจะมองออกแล้วล่ะว่าแซคคารีย์หมดรักในตัวของหล่อนไปแล้ว และที่มากกว่านั้นก็คือ เขาน่าจะรู้เกี่ยวกับสิ่งที่หล่อนกระทำเอาไว้กับอลินดาหมดแล้วด้วยเช่นกัน ทั้งเรื่องคลิปโป๊นั่น และก็เรื่องที่หล่อนเอาชื่อของอลินดาไปทำจนเสียหาย แต่ที่แซคคารีย์ไม่พูดออกมาตรงๆ ก็คงเพราะยังมีเมตตาต่อหล่อนอยู่บ้าง

แต่คนอย่างหล่อนไม่มีทางยอมแพ้หรอก ในเมื่อการมีฝาแฝดมันคือหายนะสำหรับหล่อน การทำให้แฝดอีกคนหายไปคือการแก้ปัญหา หล่อนก็อยากจะรู้นักว่าหากไม่มีอลินดาแล้ว แซคคารีย์จะยังทำเย็นชาแบบนี้ใส่หล่อนอีกหรือเปล่า

นารีรัตน์กดล็อกประตูห้อง ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมากดต่อสายหาอลินดา

“ลินดา… คุณแซคเขารู้แล้วนะว่าพี่ปลอมตัวมาเป็นเธอ” นารีรัตน์แกล้งบีบน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ “และคุณแซคก็ยังบอกอีกว่าจะพาพี่ไปส่งที่บ้านและรับเธอกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม คุณแซคไม่รักพี่อีกต่อไปแล้ว” หล่อนยังคงเล่นบทโศกได้อย่างแนบเนียนเหมือนเช่นทุกครั้ง “พี่อยากตาย… พี่ไม่รู้อยู่ต่อไปทำไมแล้ว”

“พี่นารี… อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะ”

“ถ้าไม่มีคุณแซค… พี่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ต่อไปทำไม ลาก่อนนะลินดา ฝากลาพ่อกับแม่ด้วย”

“อย่านะพี่นารี อย่า… อย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะ นั่นมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเลย พี่นารี… เชื่อลินดานะคะ”

น้ำเสียงละล่ำละลักที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจและแสนเป็นห่วงของอลินดาไม่ได้ทำให้จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของนารีรัตน์ทำงานมากขึ้นเลย เพราะหล่อนยังคงคลั่งแค้นเหมือนเดิม

“แล้วมันมีทางไหนแก้ปัญหานี้ได้ล่ะ ในเมื่อ… คุณแซคเขากำลังหลงเธอ เขาบอกว่าเขาชอบเซ็กซ์ของเธอมาก และก็จะไม่มีวันกลับมามองพี่อีกแล้ว…”

“ลินดาจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดค่ะ… ถ้าไม่มีลินดาสักคน พี่นารีก็จะสมหวัง”

ใบหน้าของนารีรัตน์เต็มไปด้วยความสะใจ แต่ก็ยังบีบน้ำเสียงให้สั่นพร่าเช่นเดิม “เธอจะไปไหนได้ลินดา คุณแซคตามหาเธอเจออยู่แล้วล่ะ และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็จะไปรับเธอที่บ้านแล้ว”

“ลินดาจะรีบเดินทางภายในสิบนาทีนี้ค่ะ ลินดาสัญญาว่าจะไปให้ไกลที่สุด…”

“นี่พี่ทำให้เธอลำบากหรือเปล่า ลินดา”

นารีรัตน์เต็มไปด้วยความสะใจ พึงพอใจ ในขณะที่น้องสาวฝาแฝดที่อยู่ภายในสายกำลังสะอื้นไห้

“คุณแซคเป็นของพี่นารีมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นลินดาไม่มีสิทธิ์ในตัวของเขาหรอกค่ะ ลินดาขออวยพรให้พี่นารีโชคดี”

“ขอบใจนะลินดา”

“พี่นารีต้องสัญญานะคะว่าจะไม่ทำร้ายตัวเอง”

แม้ความห่วงใยของน้องสาวฝาแฝดจะส่งผ่านมามากมายแค่ไหน แต่นารีรัตน์ก็ไม่มีวี่แววที่จะซาบซึ้งแต่อย่างใด แถมเจ้าหล่อนยังเหยียดยิ้มอย่างสะใจอีกต่างหาก

“ขอบใจจ้ะลินดา…”

เมื่อน้องสาววางสายไปแล้ว คำผรุสวาทหยาบคายก็ดังออกมาจากปากของนารีรัตน์ ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่นห้อง

“อีโง่ มึงโง่แบบนี้ไง มึงถึงต้องเสียเปรียบกูวันยังค่ำ”

นารีรัตน์นั่งหน้าเปื้อนรอยยิ้มสะใจอยู่บนเตียง พยายามถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้อลินดาเดินทางออกจากบ้านไปให้ไกล ก่อนที่ แซคคารีย์จะพาหล่อนกลับไปส่งที่บ้าน

หลังกลับมาจากบ้านครอบครัวอลินดาก็ไม่ค่อยพูดค่อยจา นั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง เขาถามคำก็ตอบคำจนน่าแปลกใจ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้ ตอนที่เขาก้าวออกมาจากห้องน้ำ และเห็นอลินดานอนเปลือยกายรออยู่เตียง

“เธอทำอะไรน่ะอลินดา”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มหวาน ค่อยๆ แยกแย้มสองเรียวขานวลออกจากกัน และผงกศีรษะขึ้นมาส่งสายตาเชิญชวน กลีบปากที่ดูอิ่มเต็มน้อยไปกว่าทุกวันเผยอน้อยๆ

“มาสิคะคุณแซคขา…”

แซคคารีย์รู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เพราะตั้งแต่อยู่กับอลินดามาแม้จะไม่ได้นานนัก แต่เจ้าหล่อนก็ไม่เคยใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้มาก่อน

“ทำไมหิวเร็วนักล่ะ เราเพิ่งกินกันไปตอนกลางวันเองนะ”

“อ๋อ… ก็คุณแซคน่ากินนี่คะ นารี… เอ่อ… ลินดาอดใจไม่ไหวหรอกค่ะ ยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งอยากกิน”

นารีรัตน์ในคราบของอลินดายกร่างเปลือยหมดจดขึ้นนั่ง และยื่นมือไปข้างหน้า เพื่อสัมผัสกับผิวแน่นตรึงที่ยังมีหยาดน้ำเกาะพราวอยู่ของแซคคารีย์

“ดูสิคะ ผิวแน่นแบบนี้ น่ากินเหลือเกิน”

“เธอดูแปลกไปนะ อลินดา”

“ลินดาก็แค่รักคุณแซคมาจนจุกอกเท่านั้นเองล่ะค่ะ”

“รักฉัน?”

“ก็ใช่น่ะสิคะ ลินดารักคุณแซค รักมาก”

นารีรัตน์ย้ำเสียงสูง และก็กระชากขอบผ้าขนหนูที่แซคคารีย์พันไว้รอบกายจนร่วงไปกองกับพื้น จากนั้นหญิงสาวก็ห่อปากครางอุทานด้วยความถูกใจในขนาดเครื่องเพศที่เห็น

“ใหญ่ยาวดีจังค่ะ”

“เธอพูดเหมือนไม่เคยเห็น”

“เอ่อ…” นารีรัตน์อึกอักเล็กน้อย ก่อนจะคว้าท่อนชายยาวใหญ่ของแซคคารีย์มาไว้ในอุ้งมือ

“เธอจะทำอะไรหรือลินดา”

“แหม ยังจะถามอีก เราก็จะ… สนุกกันไงล่ะคะ”

ก่อนที่นารีรัตน์จะกลืนกินท่อนชายเข้าไปในอุ้งปาก แซคคารีย์ก็ผลักศีรษะของหญิงสาวออกห่างเสียก่อน จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าถอยหลังไปสองก้าว

“ฉันยังไม่มีอารมณ์ เธอนอนเถอะ”

“คุณแซคคะ ทำไมถึง…”

“พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระต้องออกไปนอกบ้าน เธอนอนเถอะ”

แล้วแซคคารีย์ก็เดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัว ก่อนจะกลับออกมาด้วยชุดลำลองเรียบหรู นารีรัตน์ที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่บนเตียงรีบตะโกนเรียก

“ให้ลินดาไปด้วยได้ไหมคะ”

“อย่าเลย เธอนอนเถอะ ฉันไปไม่นานหรอก”

แล้วผู้ชายตัวโตก็ก้าวหายออกไปจากห้องนอน ท่ามกลางความไม่พอใจของนารีรัตน์ที่อยู่ในคราบของอลินดา

“คนบ้า แก้ผ้าให้ขนาดนี้ยังจะมีกระจิตกระใจออกไปนอกบ้านอีก โธ่เว๊ย!”

หญิงสาวล้มตัวลงนอนแรงๆ และก็กระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดนับครั้งไม่ถ้วน

 

คนที่นั่งเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไปด้วยร้องไห้ไปด้วยสะดุ้งน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังที่หน้ารั้วบ้าน หล่อนชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ความมืดสลัวทำให้มองเห็นรายละเอียดไม่ชัดนัก แต่ก็พอจะรู้ว่ามีใครบางคนมาเยือนที่หน้าบ้าน

“ใครนะมาดึกๆ” หล่อนพึมพำออกมาด้วยความสงสัย “หรือว่าพ่อจะกลับมาแล้ว” อลินดาเช็ดน้ำตาจนแห้งก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องนอนตรงไปยังประตูรั้ว “รอเดี๋ยวนะจ๊ะพ่อ”

หญิงสาวไขกุญแจด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันได้มองว่าคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่นอกรั้วคือใคร จนกระทั่งหล่อนเปิดประตูรั้วและเขาก้าวเข้ามานั่นแหละ จึงรู้ว่าไม่ใช่บิดา

“คุณ… แซค…”

อลินดาหน้าซีดตัวสั่นเทา รีบถอยหลังหนี แต่แซคคารีย์ก้าวเพียงครั้งเดียวก็สามารถคว้าเอวคอดเอาไว้ได้ เขากระชากเข้าไปกอดรัดแน่น

“ปล่อย… ปล่อยนะคะ”

ชายหนุ่มระบายยิ้มเดือดดาล ก่อนจะก้มลงกัดเนื้อนุ่มที่ลำคอระหงแรงๆ จนเจ้าของร่างถึงกับร้องอุทานด้วยความเจ็บระบม จากนั้นน้ำเสียงดุดันก็ดังขึ้น

“คิดว่าฉันโง่หรือไง อลินดา”

“ไม่… ไม่ใช่ค่ะ ฉัน… นารี… นารีรัตน์”

อลินดาหน้าซีดเผือด รีบแก้ตัว แต่ดูเหมือนว่าแซคคารีย์จะไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย

“ก็ได้อยากจะเล่นละครเป็นอะไรก็ตามใจ แต่ในสายตาของฉัน เธอก็คือเมีย เป็นเมียฉันเพียงคนเดียว”

“คุณ… แซคพูดแบบนี้ได้ยังไงคะ เดี๋ยวพี่… เอ่อ ลินดาจะว่าเอา ปล่อยนารีเถอะค่ะ”

หล่อนได้ยินเสียงเขาคำรามหงุดหงิดในลำคอ ก่อนที่เขาจะจับกระชากหล่อนติดมือออกไปจากรั้วบ้าน และถูกจับยัดเข้าไปในรถสปอร์ตคันงาม

“อย่าลงมาเชียว”

เขาชี้หน้าหล่อน ก่อนจะวิ่งอ้อมรถและก้าวขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยรถคันงาม จากนั้นเขาก็หันมาจ้องหน้า หล่อนพยายามเขยิบตัวหนีไปจนแทบจะสิงเข้าไปในประตูรถอยู่แล้ว แต่ก็หนีอุ้งมือของแซคคารีย์ไม่รอด

“คุณแซค… จะทำอะไรนารีคะ”

“จะเอาเธอ” แซคคารีย์เลื่อนเบาะรถไปด้านหลังจนสุด และกระชากร่างอวบอัดให้ขึ้นมานั่งคร่อมบนตักแกร่ง “บนรถนี่แหละ”

“ว๊ายยย ไม่นะคะ คุณแซคทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ” หล่อนกรีดร้องด้วยความตกใจ และก็ต้องหน้าซีดเผือด เมื่อกางเกงนอนถูกกระชากออกไปพร้อมๆ กับกางเกงชั้นใน

“อย่าค่ะ”

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ในเมื่อเธอเป็นเมียของฉัน”

ชายหนุ่มคำรามเสียงดุกระด้าง ขณะจับร่างอวบอัดให้กดทับลงบนท่อนชายที่ชูชันพร้อมใช้งาน ความเป็นหญิงค่อยๆ กลืนกินความแข็งชันเข้าไปทีละนิด จนในที่สุดก็ฝังลึกเข้าไปในได้ทั้งหมด

“อ๊า…”

หญิงสาวครวญคราง เมื่อความใหญ่ยาวของแซคคารีย์ปักลึกคาอยู่ภายในร่องสวาท ในขณะที่ใบหน้าของคนตัวโตก็บิดเบี้ยวเหยเกไม่แพ้กันเมื่อความคับแคบบีบรัดรุนแรง

“โอ้ว… อืมมมม”

แล้วแซคคารีย์ก็ระเบิดบทพิศวาสขึ้นอย่างเร่าร้อนภายในรถสปอร์ตคันงามคู่ใจ ร่างอวบอัดถูกควบคุมด้วยแรงปรารถนาบ้าคลั่งที่มีแซคคารีย์เป็นผู้นำ หล่อนขยับสะโพกโยกวนขย่มลงกับความเป็นชายครั้งแล้วครั้งเล่า สองดวงตาสบประสาน สองเรือนร่างเปลือยชุ่มเหงื่อ ร่ายทำนองเสน่หาสอดประสานกันยาวนาน

เสียงกรีดร้องกรี๊ดกร๊าดดังลั่นบ้าน ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องรีบวิ่งเข้ามาหาลูกสาวสุดที่รัก และพยายามปลอบประโลม

“นารีลูกแม่…”

นารีรัตน์หันไปมองหน้ามารดา ก่อนจะกรี๊ดพร้อมกับกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความคลั่งแค้น

“ก็จะไม่ให้ฉันเป็นแบบนี้ได้ยังไงล่ะแม่ ในเมื่อนังลินดามันขโมยคุณแซคไปจากฉันเรียบร้อยแล้ว”

คนเป็นแม่ถอนใจออกมาแผ่วเบาอย่างจนปัญญา “แม่ก็ไม่รู้จะช่วยแก้ไขยังไง ในเมื่อนี่มันเป็นความต้องการของคุณแซค เองทั้งหมด”

“แต่เมื่อก่อนคุณแซคเกลียดมันจะตายไป”

เพราะหล่อนคอยยุแยงให้เขาเกลียดชังน้องสาวฝาแฝดของตัวเองด้วยความริษยานั่นเอง

“ก็ตอนนี้ข้าวสารมันกลายเป็นข้าวสุกไปแล้วนี่นารี แม่กับพ่อก็จนปัญญาที่จะแก้ไข หนูก็อย่าคิดมากเลยนะ ถือว่าลูกไม่ใช่เนื้อคู่กับคุณแซค เอาไว้แม่จะหาผู้ชายดีๆ มาให้เลือกใหม่นะลูก”

“ไม่ค่ะ ยังไงนารีก็จะต้องแย่งคุณแซคกลับมาให้ได้” นารีรัตน์ยืนกรานเสียงแข็ง “คุณแซคเป็นของนารี ที่เขาต้องเลือกนังลินดา ก็เพราะมันอ่อยจนเขาพลาดพลั้งเอามันทำเมียต่างหากล่ะคะ”

“ถึงลินดามันจะทำอย่างนั้นจริงๆ แต่เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนี่ลูก เพราะคุณแซคเขาตัดสินใจว่าจะรับผิดชอบลินดามันแล้ว”

“แต่ถ้าไม่มีนังลินดาสักคน คุณแซคก็จะกลับมารักฉันคนเดียว เหมือนเดิม”

“นารี… ลูกพูดอะไรน่ะ” แม้จะรักลูกลำเอียงแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่ใจร้ายพอที่จะวางแผนทำร้ายลูกในไส้ของตัวเองได้ “อย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ นะนารี”

“แม่รักนารีหรือว่านังลินดามากกว่ากันล่ะคะ”

“นารี… แม่รักลูกที่สุด แต่แม่ก็ทำร้ายลินดาไม่ได้ เพราะยังไงนั่นก็ลูกแม่ และก็น้องสาวของนารีนะ น้องสาวแท้ๆ ด้วย”

เมื่อเห็นว่ามารดาไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง นารีรัตน์จึงต้องซ่อนแผนร้ายกาจเอาไว้

“ใช่ค่ะ ลินดาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉัน”

“อย่าทำอะไรน้องเลยนะนารี”

มารดาของหล่อนเข้ามาเกาะแขนเอาไว้ และขอร้อง

“ค่ะ นารีจะไม่ทำอะไรลินดา”

“ตัดอกตัดใจนะลูก สักวันผู้ชายดีๆ ก็เข้ามาในชีวิตของลูกเอง นารี”

“ถ้าฉันไม่ได้อยู่กับคุณแซค ฉันก็จะไม่ยอมมีชีวิตอยู่หรอกแม่”

“นารี!”

นารีรัตน์จ้องหน้ามารดาด้วยสายตาจริงจัง

“ฉันต้องได้คุณแซคกลับคืนมา และแม่ก็ต้องช่วยเหลือฉันด้วย”

คนเป็นแม่มีสีหน้าไม่สบายใจนัก แต่ก็ไม่มีทางเลือก การช่วยให้ นารีรัตน์ได้สมรักกับแซคคารีย์ก็ยังดีเสียกว่าให้ลูกสาวทั้งสองมาฆ่าแกงกันเองเพื่อแย่งผู้ชาย

“แล้วจะให้แม่ทำยังไงล่ะนารี”

นารีรัตน์ยิ้มอย่างสมใจ ก่อนจะพูดออกมา

“ฉันจะสลับตัวกับนังลินดา”

“นารี?”

“ฉันจะทำจริงๆ แม่ และจะทำให้เร็วที่สุดด้วย”

“แต่คุณแซคไม่ใช่คนโง่ ลูกจะถูกคุณแซคจับได้ในที่สุดเชื่อแม่สิ”

นารีรัตน์ไหวไหล่น้อยๆ “กว่าจะจับได้ นังลินดามันก็ไปไกลแสนไกลแล้วล่ะแม่ เขาตามหามันไม่เจอหรอก และในเมื่อหามันไม่เจอ คุณแซคก็จะเหลือแค่ฉัน นารีรัตน์เพียงคนเดียว”

คนเป็นแม่ไม่สบายในเลยที่ได้ยินแผนการของลูกสาวคนโตเช่นนี้ แต่กระนั้นหล่อนก็ไร้ทางเลือก

“แล้วลูกจะให้เริ่มแผนการนี้เมื่อไหร่ล่ะ”

“เย็นนี้คุณแซคจะพานังลินดามาหาแม่ แม่ก็หาโอกาสอยู่กับมันตามลำพัง และก็พูดให้มันยอมเปลี่ยนตัวกับฉัน”

นารีรัตน์นั่งหัวเราะกับแผนการแยบยลของตัวเอง ในขณะที่คนเป็นแม่นั่งถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ

“ความจริงคุณแซคไม่ต้องรอลินดาก็ได้ค่ะ ลินดาคิดว่าจะค้างกับแม่สักคืน” อลินดาช้อนตามองผู้ชายที่เปิดประตูรถให้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ

“ก็เพราะฉันเกรงว่าเธอจะค้างที่นี่ยังไงล่ะ ฉันก็เลยต้องมาด้วย”

คนพูดโน้มหน้าลงมาหา และจูบแผ่วเบาที่แก้มนวลอย่างฉวยโอกาส อลินดาสะดุ้งน้อยๆ กับความร้อนระอุจากริมฝีปากที่ส่งผ่านมายังผิวแก้มเนียนนุ่ม

“คุณแซค…”

เจ้าของชื่ออมยิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะพูดให้หญิงสาวขัดเขินขึ้นอีกระลอก

“เธอก็รู้นี่ว่าเราต้องทำกิจกรรมกันก่อนหลับทุกคืน”

คนตัวเล็กหน้าแดงก่ำ

“คุณแซคน่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้”

“อ้าว ฉันพูดผิดตรงไหนเนี่ย ฉันพูดความจริงต่างหาก”

อลินดาขัดเขินจนเนื้อตัวแทบปริ จึงเดินหนีเข้าไปในบ้าน โดยมีแซคคารีย์อมยิ้ม และเดินตามหลังเข้าไปติดๆ ท่ามกลางสายตาคลั่งแค้นของนารีรัตน์ที่มองเขม็งลงมาจากหน้าต่างห้องนอน

“ความสุขของแกมันใกล้จบลงแล้ว นังลินดา”

นารีรัตน์หยิบแป้งเด็กยี่ห้อที่อลินดาใช้ทาตัวเป็นประจำมาลูบไล้เรือนร่างของตัวเอง เพื่อให้เนื้อตัวมีกลิ่นคล้ายกับน้องสาวฝาแฝดมากที่สุด

ในขณะที่นารีรัตน์กำลังดำเนินแผนการอยู่นั้น อลินดาก็ยกมือไหว้มารดาของตัวเอง และก็อดที่จะเอ่ยถามถึงบิดาไม่ได้

“พ่อไปไหนล่ะคะแม่”

“ไปต่างจังหวัด อีกสามวันกว่าจะกลับ”

อลินดายิ้มตอบมารดา

“แล้วแม่สบายดีไหมคะ”

“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ แต่แกคงจะสบายดีมากเลยใช่ไหม หน้าตาถึงดูอิ่มเอิบมีน้ำมีนวลขึ้นแบบนี้”

“เอ่อ…” อลินดาหันไปสบตากับแซคคารีย์โดยบังเอิญ ก่อนจะรีบเสหลบสายตาด้วยความขัดเขิน “ก็… ไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ ฉันก็มีความสุขตามอรรถภาพนั่นแหละ”

“แล้วนารีไปไหนแล้วล่ะครับ” แซคคารีย์ที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยถาม เมื่อไม่เห็นนารีรัตน์

“ไม่ค่อยสบายน่ะคุณแซค นอนซมอยู่บนบ้านแน่ะ”

“นารีเป็นอะไรหรือครับ”

“เห็นบ่นว่าปวดหัวน่ะค่ะ แต่กินยาไปแล้วล่ะ ป่านนี้ก็คงจะหลับอยู่นั่นแหละ”

คำพูดของมารดายิ่งทำให้อลินดาไม่สบายใจ “แล้วพี่นารี ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะแม่”

“ก็ไม่ได้มากหรอก แต่ว่าแกจะขึ้นไปเยี่ยมพี่เขาหน่อยไหมล่ะ”

“ไปจ้ะแม่”

“ฉันไปด้วย”

แซคคารีย์รีบพูดขึ้นเพราะไม่ต้องการให้อลินดาอยู่กับคนในครอบครัวตามลำพัง

“คุณแซครออยู่ที่นี่เถอะค่ะ เดี๋ยวน้าพาลินดามาส่งคืนให้ค่ะ”

“แต่ว่า…” แซคคารีย์ไม่เห็นด้วยกำลังจะแย้ง แต่อลินดาก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวลินดามาค่ะ”

แซคคารีย์ถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบรับด้วยการพยักหน้ารับ และคำพูดสั้นๆ

“อืม”

อลินดาลุกขึ้นยืนเดินตามมารดาออกไปจากห้องรับแขก มุ่งหน้าขึ้นไปยังห้องพักของพี่สาว แต่เมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นนารีรัตน์นั่งรออยู่บนเตียง ด้วยเสื้อผ้าที่น่าจะค้นมาจากตู้เสื้อผ้าของหล่อน

“พี่นารี… ไม่ได้ป่วยเหรอคะ”

“ฉันสบายดี”

คำตอบของนารีรัตน์ทำให้อลินดาต้องหันกลับไปมองมารดาด้วยความสายตาแคลงใจ แต่มารดายังไม่ทันอธิบาย คนเป็นพี่สาวก็พูดออกมาเสียก่อน

“แกรู้สึกผิดบ้างไหมที่แย่งคุณแซคไปจากฉัน”

“เอ่อ…”

“ถ้าแกรู้สึกผิด แกก็ต้องยกเขาคืนให้กับฉัน”

อลินดาน้ำตาไหลริน “ฉันรู้ดีว่าตัวเองแย่งคนรักของพี่นารีมา แต่ฉันพยายามจะไปแล้วนะ แต่คุณแซค…”

“แกไม่ต้องพูด ฉันรู้แล้วว่าคุณแซคไม่ยอมให้แกไป แต่นั่นก็เพราะเขากลัวว่าแกจะอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ยังไงล่ะ เขาไม่ได้รักแก แต่เขารักฉัน อย่าลืมสิ”

หล่อนไม่เคยลืมหรอก ไม่เคยลืมความจริงข้อนี้ ความจริงที่ว่า แซคคารีย์รักนารีรัตน์ไม่ใช่หล่อน

“แล้วพี่นารีจะให้ฉันทำยังไง” อลินดาถามกลับออกไปทั้งน้ำตา “ถ้าจะให้ฉันหนี ฉันขอเวลาสักหน่อยนะ เพราะตอนนี้คุณแซคเฝ้าฉันทุกฝีก้าวเลย ฉันไปไหนไม่ได้…”

นารีรัตน์ลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้าน้องสาว “แกไม่ต้องหนีไปไหนทั้งนั้นแหละ แค่สลับตัวกับฉันก็พอ”

“สลับตัว?!” อลินดาทวนคำพูดของพี่สาวด้วยความตื่นตกใจ กลีบปากอิ่มเผยอค้าง

“ใช่ สลับตัวกัน แกมาเป็นฉัน และฉันก็ไปเป็นแก”

อลินดาส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย “แต่ทำแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการหลอกลวงคุณแซคนะคะพี่นารี…”

“หลอกลวงอะไรกัน ในเมื่อเราคือฝาแฝดกัน คุณแซคแยกไม่ออกหรอกน่า”

ความสงสัยที่เห็นพี่สาวเอาเสื้อผ้าเชยๆ ของหล่อนมาสวมใส่กระจ่างในทันที ที่แท้ก็เพราะนารีรัตน์กำลังจะสวมรอยเป็นหล่อนนั่นเอง

“และถ้าแกรู้สึกผิดที่แย่งชิงผู้ชายของฉันไปจริง แกก็ต้องยอมสลับตัวกับฉัน” นารีรัตน์ย้ำเสียงกระด้าง

“แต่ฉัน…”

“หรือว่าที่แกบอกว่ารู้สึกผิดกับฉัน แท้จริงแล้วแกโกหก แกดีใจที่แย่งคุณแซคไปจากฉันใช่ไหม นังน้องทรยศ!”

“ไม่ใช่นะพี่นารี ฉันไม่ได้ดีใจ แต่ฉัน…” อลินดาอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่หล่อนไม่ได้รู้สึกยินดีเลยที่จะต้องสลับตัวกับนารีรัตน์เพื่อหลอกลวงแซคคารีย์แบบนี้

“ทำตามที่นารีบอกเถอะลินดา แกจะได้ไม่ต้องทำบาปอีกต่อไป”

มารดาที่ยืนนิ่งอยู่นานพูดเข้าข้างนารีรัตน์ออกมาอีกครั้ง และก็ทำให้หล่อนปล่อยโฮออกมาอย่างไม่มีทางเลือก

“หลังจากที่ฉันสวมรอยเป็นแกไปบ้านคุณแซคคืนนี้แล้ว แกก็รีบเก็บข้าวเก็บของไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และอย่ากลับมาให้คุณแซคเจอหน้าอีก จำเอาไว้”

“พี่นารี… ฉัน…”

“ฉันรู้ว่าแกรักผู้ชายของฉัน แต่แกก็ต้องเจียมตัวสิว่าแกไม่มีสิทธิ์ คุณแซคเป็นของฉัน”

ใช่… หล่อนไม่มีสิทธิ์ แค่ได้ใกล้ชิดกับแซคคารีย์ในช่วงที่นารีรัตน์ไม่อยู่ก็ถือว่าเป็นบุญมากพอแล้ว แต่หล่อน… ยังไม่ได้ล่ำลาแซคคารีย์เลย

“ขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมคะพี่นารี”

“ไม่ได้ คืนนี้น่ะเหมาะที่สุดแล้ว”

คำตอบของพี่สาวทำให้น้ำตาของหล่อนไหลแล้วไหลอีก หัวใจปวดร้าวทรมาน

“เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วขึ้นไปนอนบนเตียง ส่วนฉันก็จะสวมรอยเป็นแกลงไปหาคุณแซค เดี๋ยวนี้แหละ”

เวลาของเมียคั่นเวลา มันจบลงแล้วสินะ

อลินดาไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากทำตามคำสั่งของพี่สาวที่มีมารดาของสนับสนุนอย่างปวดร้าวทรมาน

เช้าวันต่อมา อลินดาที่อ่อนเพลียเพราะถูกแซคคารีย์คุกคามแทบทั้งคืนถูกลากลงมายังห้องอาหาร แต่แล้วทั้งหล่อนและทั้งแซคคารีย์ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่านารีรัตน์นั่งยิ้มหวานรออยู่

นารีรัตน์เห็นภาพที่น้องสาวฝาแฝดของตัวเองถูกแซคคารีย์ฉุดกระชากด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา ก่อนจะซ่อนเอาไว้ภายในรอยยิ้มหวาน

“นารีผ่านมาแถวนี้พอดีน่ะค่ะ และก็จำได้ว่าคุณแซคชอบกินกระเพาะปลาร้านนี้มาก นารีก็เลยถือโอกาสซื้อมาฝากน่ะค่ะ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มขอบคุณ ก่อนจะดันร่างของอลินดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายของตัวเอง

“กินข้าวด้วยกัน อย่าดื้อเชียว”

อลินดาจำต้องนั่งก้มหน้ามองจานข้าวของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก หล่อนรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก

“แหม ไม่ยักกะรู้นะว่าเดี๋ยวนี้เวลาจะกินข้าวต้องให้คนอื่นบังคับด้วย ลินดา”

แม้น้ำเสียงของพี่สาวจะอ่อนหวานและนุ่มนวล แต่หล่อนรู้ดีว่านารีรัตน์กำลังไม่พอใจอย่างรุนแรง

“ฉันไม่ค่อยหิวน่ะพี่นารี”

หล่อนตอบพี่สาว และนารีรัตน์ยังไม่ทันพูดอะไรออกมา แซคคารีย์ก็แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ เสียก่อน

“ไม่หิวก็ต้องกิน อาหารเช้าสำคัญ ไม่รู้หรือไง”

สายตาที่แซคคารีย์มองน้องสาวฝาแฝดของตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างชัดเจน และมันก็ทำให้นารีรัตน์เต็มไปด้วยความริษยาแน่นอก หล่อนกำมือที่วางอยู่บนตักแน่น จนเล็บจิกลงบนฝ่ามือแรงๆ และเจ็บระบม แต่ความเจ็บนั้นยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกเจ็บร้าวที่กำลังระเบิดอยู่ในหัวใจตอนนี้เลย

“นี่นารีมาเป็นกอขอคอหรือเปล่าคะเนี่ย”

“อย่าคิดอย่างนั้นสิครับนารี คุณไม่ใช่กอขอคอหรอก และที่สำคัญที่นี่ก็ยินดีต้อนรับคุณเสมอ”

นารีรัตน์รู้ดีว่าแซคคารีย์พูดแบบนี้ก็เพราะยังรู้สึกผิดต่อหล่อนนั่นเอง แต่เขาไม่ได้เหลือเยื่อใยใดๆ กับหล่อนอีกแล้ว หล่อนเจ็บปวด และคลั่งแค้น จ้องมองอลินดาอย่างต้องการเอาคืน

“ขอบคุณค่ะที่ยังให้เกียรตินารี”

แซคคารีย์ระบายยิ้มให้กับหล่อนอีกครั้ง และก็ไม่ได้สนใจหล่อนหรือแม้แต่กระเพาะปลาที่หล่อนอุตส่าห์ซื้อมาฝากแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ทั้งสายตา และการเอาใจใส่ของแซคคารีย์ถูกเปลี่ยนถ่ายไปยังอลินดาจนหมดสิ้นแล้ว หล่อนทำได้แค่มองภาพบาดตาบาดใจนั้นอย่างทรมาน

“เอ่อ… ลินดาแม่ให้ไปหาน่ะ ว่างเมื่อไหร่ล่ะ”

“วันนี้ก็ว่างค่ะ”

อลินดาตอบ แต่แซคคารีย์แย้ง

“เอาไว้ตอนเย็น ผมจะพาลินดาไปเยี่ยมพวกท่านที่บ้านเองครับ”

“แต่ว่า…”

อลินดาจะคัดค้าน แต่สายตาดุๆ ของแซคคารีย์ทำให้หล่อนต้องสงบปากสงบคำ

“เธอต้องไปทำงานกับฉันไม่ใช่หรือ อย่าคิดว่าเป็นเมียฉันแล้วจะหยุดเมื่อไหร่ก็ได้นะ อลินดา”

“นั่นสิ คุณแซคพูดถูก”

นารีรัตน์ยิ้มเกลื่อนใบหน้า และก็พยายามชวนแซคคารีย์คุย แต่ชายหนุ่มกลับสนใจอลินดาที่นั่งก้มหน้ากินอาหารเช้าเงียบๆ มากกว่าจนน่าเจ็บใจ

หล่อนจะต้องกำจัดอลินดาให้ได้ ให้เหมือนกับที่หล่อนกำจัดกฤติชัยไปจากโลกนี้

“เอ่อ งั้นนารีขอตัวกลับก่อนนะคะ ไม่อยากรบกวนแล้ว”

“พี่นารีจะไปไหนเหรอคะ” อลินดาอดที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงละอายใจไม่ได้

“ฉันมีธุระน่ะ ขอตัวก่อนนะคะคุณแซค”

“ผมเดินไปส่งที่รถครับ”

แซคคารีย์รวบช้อน ก่อนจะลุกขึ้นยืน และเดินเคียงคู่ออกไปกับนารีรัตน์ อลินดามองตามไปด้วยสายตาเศร้าหมอง รู้ดีว่าตัวเองคือส่วนเกินของเรื่องนี้

แซคคารีย์เดินมาส่งนารีรัตน์ที่รถ และก็อดที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่สบายใจขึ้นไม่ได้

“นารีครับ”

“คะ”

“ผมพอจะรู้ว่าพ่อกับแม่ของคุณไม่พอใจที่ผมกับลินดามีความสัมพันธ์เกินเลยกันแบบนี้ แต่ลินดาไม่ใช่คนผิด คนที่ผิดเต็มประตูก็คือผมคนเดียว ดังนั้นผมอยากจะขอร้องให้คุณช่วยพูดกับท่านทั้งสองคนให้หน่อย คือผมไม่อยากให้ท่านทั้งสองคนพูดจารุนแรงกับลินดา ผมไม่อยากเห็นเธอร้องไห้น่ะครับ”

ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของนารีรัตน์จางหายไปในทันที เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วแซคคารีย์ไม่ได้ตั้งใจเดินออกมาส่งหล่อนอย่างที่นึกดีใจ แต่เขาต้องการขอร้องหล่อนเกี่ยวกับนังน้องทรยศต่างหาก

“แลดูคุณแซคจะรักลินดามากนะคะ”

“ผมแค่สงสารลินดา เพราะเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากผม ผมเป็นคนทำให้เรื่องนี้มันวุ่นวายจนแก้ไม่ได้ ไม่ใช่ลินดา…”

นารีรัตน์ต้องใช้ความพยายามมากมายที่จะสะกดกลั้นโทสะร้ายเอาไว้ ภายในรอยยิ้มหวานบนใบหน้า

“นารีต่างหากค่ะที่เป็นต้นเรื่องทุกอย่าง ถ้านารีไม่ถูกจับตัวไป เรื่องผิดฝาผิดตัวแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น และคุณก็คงไม่พลาดพลั้งมีอะไรกับลินดาจนต้องรับผิดชอบเธอด้วยความกล้ำกลืนฝืนทนแบบนี้”

กล้ำกลืนฝืนทนหรือ…

แซคคารีย์ทวนคำพูดของนารีรัตน์ภายในใจ ก่อนจะพบว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่ออลินดามันอยู่ห่างไกลจากคำว่ากล้ำกลืนฝืนทนมากมายนัก

“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

นารีรัตน์ระบายยิ้ม ยื่นมือมากุมมือใหญ่เอาไว้ และบีบอย่างให้กำลังใจ “นารีขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องตกนรก”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับนารี ผมว่า…”

แซคคารีย์ยังคงพูดไม่ทันจบ นารีรัตน์ที่เห็นว่าอลินดาเดินออกมาพอดี และอยู่ในระยะทางที่จะได้ยินคำสนทนาได้ไม่ยากเย็นนักจึงรีบแทรกขึ้น

“ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ นารีรู้ดีว่าคุณกำลังรู้สึกยังไง”

นารีรัตน์สวมกอดแซคคารีย์เอาไว้โดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตั้งตัว

“นารีขออวยพรให้คุณแซคก้าวผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนี้ไปให้ได้นะคะ อดทนนะคะ สักวันคุณจะมีความสุขค่ะ”

แซคคารีย์ดันร่างของนารีรัตน์ออกห่าง “ขอบคุณครับนารี ผมเองก็ขออวยพรให้คุณเจอคนที่ดี และรักคุณนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ งั้นนารีไปก่อนนะคะ แล้วถ้าว่างจะแวะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ”

แซคคารีย์ระบายยิ้ม และโบกมือให้ พอรถของนารีรัตน์แล่นออกไปแล้ว เขาก็หมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอลินดายืนอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อลินดา”

“เพิ่งมาค่ะ” หล่อนตอบเสียงเบาหวิว และกำลังจะหมุนตัวเดินหนี แต่แซคคารีย์คว้าแขนเรียวเอาไว้ และกระชากเข้ามาสวมกอด

“ปล่อยนะคะ”

“ตอบมาก่อนว่าจะไปไหน”

คนตัวเล็กดิ้นรน และช้อนตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนทรงพลังผ่านม่านน้ำตา

“ลินดาจะกลับไปหาแม่กับพ่อค่ะ”

“ฉันบอกแล้วไงว่าจะเป็นคนพาไปเอง เย็นนี้”

“แต่ลินดาไม่อยากรบกวนคุณแซค ปล่อยค่ะ ลินดาอึดอัด”

แทนที่เขาจะปล่อย กลับยิ่งกอดรัดแน่น แถมยังฝังปลายจมูกโด่งลงมาที่แก้มนวลฟอดใหญ่

“อุ๊ย… ปล่อยค่ะ”

“ดิ้นเข้าไป ดิ้นมากๆ จะได้กลับขึ้นไปบนเตียงอีกรอบนะ อลินดา”

คนตัวเล็กชะงักกึกในทันที ความแข็งชันที่ดุนดันอยู่บริเวณหน้าท้องยืนยันให้รู้ได้เป็นอย่างดีว่า แซคคารีย์ไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลยแม้แต่นิดเดียว แก้มนวลแดงระเรื่อ ใจกลางลำตัวร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างน่าละอาย

“คุณแซคยังต้องการอะไรอีกคะ พี่นารีก็กลับมาแล้ว”

“นารีกลับมาแล้วยังไง มันเปลี่ยนแปลงอะไรของเราได้หรือ”

“ก็…”

“ถ้าเธอคิดว่าฉันจะสลัดเธอทิ้ง แล้วกลับไปสวีตหวานกับพี่สาวของเธอ…” เขาแสยะยิ้มหยัน “เสียใจด้วยนะ เธอคิดผิด”

“คุณแซค…”

“อย่าฝันว่าเธอจะหนีฉันพ้น ในเมื่อเธอตกลงมาในนรกแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะหนีฉันขึ้นไปได้ เธอจะต้องอยู่เป็นทาสบำเรอให้ฉันไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็จนกว่าฉันจะเบื่อหน่ายเธอ”

หล่อนกัดปากแน่นอย่างน้อยใจ มองเขาทั้งน้ำตา “คุณแซคใจร้าย ผู้ชายใจดำ…”

“ด่าอีกสิ” เขาก้มหน้าลงมากระซิบยั่วโทสะชิดกลีบปากอิ่มที่กำลังสั่นระริก

“ผู้ชายเห็นแก่ตัว ผู้ชาย… อุ๊บบบบบ…”

แล้วแซคคารีย์ก็หยุดคำด่าทอของหล่อนด้วยจุมพิตดุดัน ปากกระด้างขยับบดขยี้ จากหนึ่งจูบกลายเป็นร้อยจูบ และจากที่เคยต่อต้านตอนนี้ก็เผยอปากจูบตอบเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ สองแขนเรียวไต่ขึ้นไปโอบรอบลำคอแกร่ง ปลายเท้าเล็กเขย่งขึ้นสูง และเริงร่าอยู่ใต้ริมฝีปากร้อนกระด้างของแซคคารีย์อย่างสุขลั้น หลงลืมไปเลยว่าตอนนี้ตนเองกับแซคคารีย์กำลังยืนอยู่หน้าตึกใหญ่ และแน่นอนว่าสายตาของคนงานและสาวใช้จะมองมาเห็นได้อย่างง่ายดาย แต่ความปรารถนามันห้ามไม่ไหว และก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ทั้งนั้น แม้แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

“แต่ลินดา… เป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นคนสำส่อน มั่วไม่เลือกหน้า…”

“เธอก็รู้อยู่เต็มอกเหมือนๆ กับฉันนั่นแหละอลินดา ว่าสิ่งที่เธอพยายามพูดออกมานั้นมันไม่มีความจริงปนอยู่เลย”

“คุณแซค…” หล่อนอุทานออกมาอย่างตกใจ

“ต้องให้ฉันพูดออกมาอีกไหมว่าฉันรู้ได้ยังไง”

ร่างอรชรถูกผลักให้ล้มลงนอนหงายกับเตียงกว้าง กระเป๋าเดินทางถูกแซคคารีย์จับเหวี่ยงลงไปจากเตียงอย่างไม่ไยดี และเขาก็ตามขึ้นมาทาบทับเอาไว้ทั้งตัว

“คุณแซค… จะทำอะไรคะ”

ผู้ชายที่ทาบทับอยู่บนกายสาวระบายยิ้มหื่นกระหาย ขณะปลดกระดุมเสื้อของหล่อนออกด้วยความรีบร้อน แม้หล่อนจะปัดป้อง แต่ก็ไม่รอดพ้น

“ก็ทำให้เธอท้องไงล่ะ จะได้เลิกพล่ามเลิกพูดว่าจะไปจากฉันเสียที”

“ไม่นะคุณแซค…” หล่อนส่ายหน้าไปมา ดวงหน้าซีดเผือด “อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้เลยค่ะ”

“ฉันจะทำ จะทำให้เธอท้องลูกแฝดสามแฝดสี่เลย คอยดู”

“คุณแซค… อื้อ… ไม่นะคะ อื้อ…”

หล่อนอุทานด้วยความตกใจเมื่อเขากระชากเสื้อผ้าของหล่อนออกไปจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ชุดชั้นในสีขาวที่สวมใส่อยู่ จากนั้นมือใหญ่ก็เลื่อนต่ำลงไปกอบกุมที่ซอกขาในทันที

“อ๊ะ… คุณแซค…”

“หยุดเรียกชื่อฉันแบบนี้ได้แล้ว ครางอย่างเดียวพอ” เขาออกคำสั่งอย่างรำคาญ ก่อนจะก้มลงจูบหล่อนแรงๆ ขยี้ปากอิ่มอย่างหนักหน่วง ลิ้นใหญ่แทรกลึกเข้ามาหา สำรวจตรวจตราหาความหวานฉ่ำอย่างหื่นกระหาย หยิบยื่นไฟสวาทให้จนหล่อนมึนเมา และไร้แรงต้านทานใดๆ อีก

“อ๊า…”

คนตัวโตที่จูบจนพออกพอใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองหล่อน ดวงตาสีสนิมของเขายามนี้เต็มไปด้วยความหิวกระหายร้อนแรง เขากวาดตามองใบหน้าของหล่อนจนทั่ว ก่อนจะเลื่อนสายตาต่ำลงไปจับจ้องที่ก้อนเนื้ออวบใหญ่ขาวเนียน

“เธอเป็นของฉัน อลินดา…”

“อ๊ะ… อ๊า… อา… อา…”

เขาก้มหน้าลงมาจูบปลายยอดปทุมถันสีชมพูระเรื่อ ซุกไซ้ใบหน้ากับความเต่งตึงด้วยความหลงใหล ก่อนจะใช้ลิ้นสากชุ่มชื้นตวัดเลียยั่วเย้าจนยอดถันขยายเบ่งบานแข็งเป็นไต จากนั้นก็ดูดอมเข้ามาไว้ในอุ้งปาก และเลียลิ้มด้วยลีลาที่ทำให้อลินดาต้องกรีดร้องด้วยความเสียวกระสัน ศีรษะทุยสวยส่ายระริกไปกับที่นอนอย่างหลงละเมอ

“อ๊า… อา… คุณแซค…”

“หึ… ว่าไงคนสวย…” เขาเงยหน้าขึ้นจากเต้าอวบ และถามหล่อนอย่างยั่วยวน

หล่อนมองเขาด้วยสายตาวิงวอน ใบหน้าสาวแดงก่ำไปด้วยแรงปรารถนามากล้น

“ได้โปรด… เถอะนะคะ…”

แซคคารีย์ข่มความต้องการสอดใส่เอาไว้สุดกำลัง เพราะตอนนี้เขาต้องการจะทำให้อลินดารู้ตัวเสียก่อนว่า หล่อนไม่มีวันขาดผู้ชายที่ชื่อ แซคคารีย์ได้

“เธอต้องการอะไรล่ะ อลินดา… ไหนบอกฉันสิ” เขาไม่ได้เลียยอดถันของหล่อนแล้วก็จริง แต่นิ้วยาวของเขายังคงรุกรานที่อิสตรีเพศตลอดเวลา และนั่นมันก็มากพอที่จะทำให้ร่างกายของหล่อนลุกโชนไปด้วยไฟปรารถนา

หล่อนครวญคราง ดิ้นพล่าน มองเขาอย่างเว้าวอน ไม่สนใจอีกแล้วว่าตัวเองจะถูกมองว่าร่านร้อนแค่ไหน เพราะตอนนี้เพลิงปรารถนาที่ลุกโหมอยู่ภายในกายสาวมันแผดเผาจนจิตวิญญาณแทบไหม้เกรียม หล่อนต้องการให้เขา… ต้องการให้แซคคารีย์สอดใส่เข้ามา ต้องการให้เขาเคลื่อนไหวอยู่ในร่างสาวเหมือนกับที่เคยทำในทุกค่ำคืน

“คุณ… ลินดาต้องการคุณ… คุณแซค…”

หล่อนครางออกมาในที่สุด ยกมือขึ้นขยุ้มเส้นผมหนาดกของเขา และกระชากให้เขาซบหน้าลงมายังหน้าอกที่กำลังเบ่งบานรอคอยของตัวเองอีกครั้ง

“ได้โปรด… คุณแซคขา…”

แซคคารีย์คำรามด้วยความพึงพอใจกระหึ่มลำคอ เมื่อสาวน้อยใต้ร่างครวญครางเป็นชื่อของเขาตลอดเวลา พร้อมกับแสดงกิริยาเชิญชวนอย่างเปิดเผย เขาดูดดื่มกับยอดถันและปทุมถันอวบเต่งตึงจนอิ่มหนำ จึงเลื่อนใบหน้าต่ำลงมายังเนินอวบอูมฉ่ำแฉะที่ฝ่ามือคุกคามรอคอย เขาค่อยๆ แยกแย้มกลีบเนื้อนวลออกจากกัน สีชมพูอ่อนใสทำให้เขาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย หยาดน้ำใสที่เขารู้เต็มอกว่าหวานฉ่ำลิ้นแค่ไหนไหลคลอเคลียออกมาตลอดเวลา ลิ้นสากค่อยๆ แลบและเลียเชื่องช้า ก่อนจะพบว่าหล่อนช่างร้อนจัด และฉ่ำเยิ้มพร้อมพรักรอคอย

“อ๊า… อ๊า… คุณแซคขา… ได้โปรด…”

ความตั้งใจเดิมที่จะโลมเลียกลืนกินความเป็นหญิงให้หล่อนแตกระเบิดคาปากต้องพับเก็บใส่ลิ้นชักไปกะทันหัน เมื่อคลื่นความปรารถนาที่ไม่อาจจะรับมือได้ระเบิดตูมใส่ร่างหนุ่ม แซคคารีย์สั่นเทาไปทั้งตัว เขารีบสลัดเสื้อผ้าออกจากร่างอย่างลนลานไร้ความอดทน จากนั้นก็ดันสองขานวลขึ้นชิดกับเต้าอวบ และจดจ่อ

“อ๊ะ… อ๊า… อา…”

“เจ็บหรือ ลินดา…” ชายหนุ่มกัดฟันหยุดเคลื่อนไหว และเอ่ยถามหญิงสาวเจ้าของร่องคับแคบแสนร้อนฉ่าด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่พอเจ้าหล่อนส่ายหน้า และยกดันสะโพกผายกลมกลึงขึ้นหาเท่านั้นแหละ สติที่เคยรั้งๆ เอาไว้ก็แตกซ่าน การเคลื่อนไหวที่เรียกได้ว่าเร็วยิ่งกว่าพายุคลั่งก็ระเบิดขึ้น

“อ๊า… อ๊า… คุณแซค… อ๊า…”

คนที่ถูกกระแทกกระทั้นครางด้วยความตื่นตกใจระคนเสียวกระสัน หล่อนดิ้นพล่านส่ายสะบัดด้วยความซ่านเสียวทรมาน สองมือลูบไล้ผิวหนังเรียบตึงที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ และก็ยิ่งกรีดร้องดังลั่นเมื่อจู่ๆ คนที่เคลื่อนไหวบั้นเอวถี่ระรัวก้มลงครอบครองยอดอกอีกครั้ง พร้อมกับดูดแรงระรัว

หล่อนดิ้นพล่านราวกับคนกำลังจะตายดับ ความเสียวกระสันที่ได้รับจากลีลาสวาทแสนมหัศจรรย์ของแซคคารีย์ทำให้หล่อนคล้ายกับกำลังจะหยุดหายใจ หล่อนบิดสะโพกเร่าๆ ตอบรับการโยกคลึงของผู้ชายกายใหญ่โตมหึมา และไม่ช้าหล่อนก็แตกระเบิดออกมาสุดแรง ความสุขสมระลอกแรกแผ่ซ่านจากอุ้งเชิงกรานกระจายไปทั่วทั้งเรือนกาย หล่อนสั่นเกร็ง กระตุกราวกับคนที่กำลังจะตาย

“อ๊ายยยย… อา…”

อลินดาหอบหายใจระรัว ลมหายใจของหล่อนขาดช่วงเป็นระยะ เมื่อคนตัวโตยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ตอนนี้แซคคารีย์คลายยอดถันออกจากปากแล้ว และเขาก็ตั้งหน้าตั้งตากระแทกความเป็นชายเข้าใส่หล่อนอย่างป่าเถื่อน ทุกจังหวะที่อัดกระหน่ำเข้ามา ทำให้หล่อนร้อนฉ่าขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย

เขาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างดุดัน เอวแกร่งเคลื่อนไหวเร็วระรัว สอดใส่แทรกความใหญ่โตเข้ามาหานับครั้งไม่ถ้วนอย่างไร้ความเหน็ดเหนื่อย เตียงนอนโยกไหว ในขณะที่ร่างอวบที่ถูกกระแทกหนักหน่วงแทบจมหายลงไปในที่นอน แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าขยับบั้นเอวถี่ระรัวอย่างต่อเนื่อง

“โอ้ว… โอ้ว…” คนตัวโตครางกระหึ่ม เมื่อกล้ามเนื้อภายในที่ผ่านการสุขสมบีบรัดรุนแรงจนเขาต้องนิ่วหน้าด้วยความเสียวทรมาน เขากัดฟันแน่น ไอรักร้อนฉ่าอาบไล้จนเขาไม่อาจจะควบคุมจังหวะกระแทกกระทั้นได้อีก ในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายที่พยายามยื้อเอาไว้ก็ขาดสะบั้นลง เลือดหนุ่มร้อนฉ่า และการอัดกระหน่ำก็รุนแรงขึ้นจนน่ากลัวว่าร่างสาวจะแตกหัก แต่เขาก็หยุดไม่ได้

“โอ้ว… โอ้ว… บีบแน่น… มาก… โอ้ว…” คนที่กำลังกระแทกความเป็นชายเข้าใส่ครางไม่หยุด ร่างหนุ่มร้อนฉ่าเพราะถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟสวาท ความอ่อนนุ่มร้อนจัดภายในของอลินดาทำให้เขาคลุ้มคลั่งทรมาน และเพียงโยกคลึงต่อเนื่องอีกไม่กี่ครั้งกระแสสวาทก็แตกซ่าน ความสุขสมร้อนฉ่าระเบิดตูม จนเขาที่โจนจ้วงอยู่ต้องคำรามร้องลั่น ธารสวาทร้อนจัดทะลักทลายเข้าสู่ซอกลึกของสาวน้อยทุกหยาดหยด

และคนตัวโตที่เกร็งกระตุกด้วยความสุขสมอยู่เหนือร่างอวบอิ่มชุ่มเหงื่อก็ซวนซบลงมาหาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ใบหน้าหล่อจัดซุกซบอยู่ที่ซอกคอระหง ความเป็นชายยังคงฝังคาอยู่ในร่างสาวไม่ยอมถอนถอดออกไป

“เราสองคนเข้ากันได้ดีขนาดนี้… เธอยังจะไปจากฉันอีกหรือ อลินดา”

เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบ แต่นอนหลับตาพริ้ม ไอแห่งความสุขยังคงเกาะเกี่ยวอยู่รอบตัว และทำให้มโนสำนึกหยุดทำงาน

หล่อนรักแซคคารีย์…

นี่คือความรู้สึกเดียวที่วิ่งพล่านอยู่ในจิตวิญญาณตอนนี้…

นารีรัตน์เดินเข้ามาหาแซคคารีย์ที่ยืนหันหลังมองออกไปนอกระเบียงไม้ หญิงสาวแกล้งปั้นหน้าให้ดูเศร้าหมอง ก่อนจะเอ่ยทักทายออกไป

“คุณแซค… กังวลเรื่องลินดาใช่ไหมคะ”

แซคคารีย์หันมามองคนพูด ก่อนจะระบายยิ้มบางๆ “คุณนั่นเองนารี”

นารีรัตน์ระบายยิ้มเศร้าๆ ก้าวมายืนริมระเบียงไม้ข้างๆ กับร่างทรงพลังของแซคคารีย์

“ไม่ต้องกังวลนะคะ นารีจะช่วยพูดกับลินดาให้ค่ะ ยังไงซะ คุณกับลินดาก็จะเข้าใจกัน”

“ผมรู้สึกผิดกับคุณนะนารี แต่ตอนนี้ผม… ทิ้งลินดาไม่ได้ เธอเป็นภรรยาของผมแล้ว”

“นารีเข้าใจค่ะ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดเลย นอกจากนารีคนเดียว เพราะถ้านารีไม่หายตัวไป เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” นารีรัตน์แสดงบทบาทของนางเอกละครหลังข่าวได้อย่างยอดเยี่ยม หล่อนวางมือลงบนท่อนแขนกำยำของแซคคารีย์ “แต่เมื่อกี้ที่นารีเข้าไปคุยมา ลินดายังยืนกรานว่าจะไปจากที่นี่ค่ะ”

สีหน้าของแซคคารีย์ที่มีแต่ความเป็นกังวลทำให้นารีรัตน์เต็มไปด้วยความคลั่งแค้น หล่อนแทบไม่เชื่อเลยว่าแซคคารีย์จะเปลี่ยนใจได้รวดเร็วเพียงนี้

“ผมยอมปล่อยลินดาไปไม่ได้หรอก คุณก็รู้นี่นารี”

“นารีเข้าใจค่ะ แต่ลินดาบอกว่า… เธอไม่อยากอยู่กับคุณค่ะ”

“ทำไมครับ”

“เห็นลินดาหลุดพูดออกมาว่า เธอรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้รักคุณแซคอย่างที่เคยเข้าใจน่ะค่ะ”

นารีรัตน์แทบซ่อนความสะใจเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็น แซคคารีย์ขบสันกรามแน่นจนเป็นสันนูนเป่ง บอกให้รู้ว่าเขากำลังเดือดดาลอลินดาไม่น้อยเลยทีเดียว

“แถมยังบอกว่าตอนนี้มีผู้ชายมาติดพันตั้งหลายคน และเลือกไม่ถูก ดังนั้นคุณแซคก็เป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งเท่านั้นค่ะ”

“อ-ลิน-ดา”

แซคคารีย์เค้นชื่อของอลินดาออกมาอย่างโมโห ท่ามกลางความพึงพอใจของนารีรัตน์ที่สร้างความร้าวฉานให้กับคนทั้งคู่ได้

“แต่คุณแซคอย่าไปถือสาอะไรลินดาเลยนะคะ ลินดาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะ มั่วไม่เลือก”

“ไม่จริง”

คำค้านเสียงหนักแน่นของแซคคารีย์ทำให้นารีรัตน์หน้าถอดสีด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าแซคคารีย์จะแก้ตัวแทนอลินดาด้วยน้ำเสียงราวกับรู้ความจริงทั้งหมดแล้วแบบนี้

“ทำไม… คุณแซคถึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริงล่ะค่ะ ในเมื่อข่าวฉาวของลินดาก็ดังกระฉ่อนไปทั้งเมืองแบบนั้น แถมยังคลิปนั่นอีก…”

“ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อผมเป็นผู้ชายคนแรกของลินดา” น้ำเสียงของแซคคารีย์หนักแน่น บอกให้รู้ว่าเขามั่นใจในคำพูดของตนเองมากมายแค่ไหน

“แต่คุณแซค… อาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะคะ”

ดวงตาสีสนิมตวัดมองหน้าคู่สนทนาเขม็ง “ผมไม่ใช่ไก่อ่อนที่จะไม่รู้ว่านอนกับผู้หญิงประเภทไหน”

“เอ่อ…”

“และตอนนี้ผมก็กำลังสืบอยู่ว่าคลิปโป๊พวกนั้นมันถูกตัดต่อมาหรือเปล่า”

นารีรัตน์หน้าถอดสี รีบเสหลบสายตาของแซคคารีย์ “เอ่อ… งั้นนารีขอตัวกลับไปหาแม่กับพ่อก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้นารีจะแวะมาที่นี่อีกครั้งค่ะ”

“คุณไม่ต้องมาหรอกครับ เดี๋ยวผมจะไปรับคุณที่บ้านเอง”

“จริงเหรอคะ” นารีรัตน์ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจเพราะคิดว่า แซคคารีย์ยังคงมีเยื่อใยให้กับตัวเอง

“เราจะไปสถานีตำรวจด้วยกัน ผมจะช่วยคุณตามหาไอ้โม่งที่จับคุณไปขังเอาไว้ให้ได้”

คราวนี้หน้าของนารีรัตน์ซีดไร้สีเลือด ก่อนจะรีบปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ไม่… ไม่ต้องหรอกค่ะ นารี… ไม่อยากจะเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้แล้ว”

“แต่คนชั่วยังไงก็ต้องได้รับโทษนะครับนารี ถึงมันจะไม่ได้ทำร้ายอะไรคุณก็ตาม”

“ไม่ค่ะคุณแซค นารีจะไม่ไปแจ้งตำรวจ ให้เรื่องมันจบแค่นี้เถอะค่ะ นะคะนารีขอร้อง”

หล่อนวางมือลงบนต้นแขนของแซคคารีย์อีกครั้ง และวิงวอน

“แค่นี้นารีก็ตกอยู่ในฝันร้ายมากพอแล้วค่ะ”

แซคคารีย์ไม่เห็นด้วย แต่ก็เพราะสงสารนารีรัตน์จึงไม่ขัดแล้วแต่ความต้องการของหล่อน

“งั้นก็แล้วแต่คุณครับนารี”

“ขอบคุณนะคะคุณแซค” นารีรัตน์แสร้งบีบน้ำตา และโผเข้ากอดร่างของแซคคารีย์เอาไว้แนบแน่น ซบหน้าลงกับแผงอกกว้างไม่ยอมปล่อย ในหัวก็คิดไปถึงกฤติชัยที่ตอนนี้น่าจะตายดับไปแล้ว

‘นารีจัดการกับไอ้สัตว์นรกตัวนั้นไปเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ’

หญิงสาวลอบยิ้มด้วยความสะใจอยู่กับแผ่นอกกว้างของแซคคารีย์นั่นเอง

แซคคารีย์เปิดประตูห้องนอนเข้ามา ก็พบว่าอลินดากำลังรูดซิปกระเป๋าเดินทางพอดี เขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา กระชากประตูติดลงตามหลัง ก่อนจะเดินมาหยุดที่ข้างเตียง และเจ้าของกระเป๋าเดินทางอย่างหาเรื่อง

“จะไปไหน”

อลินดาเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองแซคคารีย์ หล่อนต้องใช้ความพยายามมากมายนัก กว่าจะสามารถบังคับให้ตัวเองทำสีหน้าเย็นชาแทนการร้องไห้คร่ำครวญได้

“ก็หมดหน้าที่ของลินดาแล้วนี่คะ”

“เธอหมายความว่ายังไง”

ทุกพยางค์ที่ดังออกมาจากริมฝีปากของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความเดือดดาล เขาจ้องมองหล่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง

หล่อนกลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงไปในลำคอ ก่อนจะกลั้นใจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนบังคับไม่ได้

“พี่นารีกลับมาแล้ว ผู้หญิงคั่นเวลาอย่างลินดาก็ต้องไปค่ะ โอ๊ย… เจ็บนะคะ”

แขนเรียวถูกมือใหญ่กระชากไปกุมเอาไว้ และบีบแรงๆ จนเจ้าของท่อนแขนถึงกับต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บระบม

“อย่ามางี่เง่าปัญญาอ่อน เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”

“ลินดาไม่ได้งี่เง่าค่ะ แต่ลินดากำลังจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

“ถูกต้องกะผีอะไร” แซคคารีย์ตวาดลั่น “เธอคิดว่าการไปจากฉันมันคือทางออกหรือไง”

“ค่ะ มันคือทางออกที่ดีที่สุด” คนตอบกลับไปเสียงสั่นเครือ และพยายามบิดแขนของตัวเองให้หลุดจากอุ้งมือแกร่ง แต่ก็ไม่สำเร็จ

“มันเป็นทางออกที่งี่เง่าที่สุดต่างหากล่ะ” เขาก้มหน้าลงมาหาและคำรามใส่อย่างดุดัน “เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เธอเป็นเมียของฉันแล้ว”

อลินดาเงยหน้าขึ้นมองแซคคารีย์ มองเขาผ่านม่านน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำ

“ถ้าสาเหตุที่ทำให้คุณแซคไม่ยอมปล่อยให้ลินดาไป ก็เพราะกลัว ลินดาจะท้องล่ะก็…” หล่อนสะอึกสะอื้นจนไม่อาจจะพูดจนจบประโยคได้ในครั้งเดียว แต่ก็พยายามพูดต่อจนจบ “สบายใจเถอะค่ะ ลินดาไม่โชคร้ายแบบนั้นหรอก”

“อลินดา… นี่เธอคิดว่าการตั้งท้องลูกของฉันคือความโชคร้ายอย่างนั้นหรือ” เขาบีบแขนเรียวแน่นขึ้นอย่างลืมตัว “หรือคิดว่าตอนนี้ตัวเองเนื้อหอม มีผู้ชายรุมตอมมากมาย ก็เลยคิดจะชิงหนีฉันไป” เขาคำรามออกมาอย่างคลั่งแค้น “แต่ฝันไปเถอะ ฉันไม่มีวันปล่อยของเล่นที่ฉันยังไม่เบื่ออย่างเธอหลุดมือไปหรอก”

นี่หล่อน… เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งของแซคคารีย์สินะ

อลินดาเจ็บช้ำแสนสาหัส “อย่ามาสนใจของเล่นไร้ค่าไร้ราคาอย่างลินดาอีกเลยค่ะ ตัวจริงของคุณกลับมาแล้ว คุณแซค กลับไปหาพี่นารีเถอะ อย่าทำให้พวกเราพี่น้องต้องทะเลาะกันเลย” หล่อนพยายามวิงวอนเขาด้วยเหตุผล แต่ผู้ชายที่กำลังเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าไม่ยอมรับฟังเลย

“ฉันคุยกับนารีรู้เรื่องแล้ว เราสองคนจะลดความสัมพันธ์เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น แต่สำหรับเธอ…” เขามองหล่อนเขม็ง “เป็นเมียของฉัน อะไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งนั้น”

หล่อนร้องไห้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอึดอัดทรมานใจ “คุณแซคคะ อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ อย่าทำให้ลินดากลายเป็นผู้ร้ายที่แย่งชิงความสุขจากคุณกับพี่นารีเลยค่ะ ปล่อยลินดาไปเถอะ อ๊ะ”

ร่างอรชรถูกกระชากขึ้นมากอดรัดแน่น “ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้น”

“ระวังหน่อยสิ” แซคคารีย์คว้าร่างอวบอิ่มของอลินดาที่ก้าวลงมาจากรถแล้วทำท่าจะร่วงลงไปกระแทกพื้นเอาไว้ได้ทันเวลา “แค่นี้แข้งขาอ่อนเชียวหรือ”

คำถามกลั้วหัวเราะของแซคคารีย์ทำให้อลินดาหน้าตาแดงก่ำ หล่อนช้อนตาขุ่นมองเขา

“ที่ลินดาเป็นแบบนี้ เพราะใครล่ะคะ”

“เพราะฉันหรือ” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ซึ่งมันน่าหมั่นไส้มาก

“ก็ใช่น่ะสิคะ”

หล่อนย่นจมูกใส่คนที่จับหล่อนเสพสวาทในรถสปอร์ตคันงามระหว่างเดินทางกลับบ้านอย่างหมั่นไส้ ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจะเป็นใครไปได้ล่ะ คนตะกละ

แซคคารีย์หัวเราะร่วน พลางย่อตัวลงช้อนร่างของอลินดาขึ้นมาอุ้มในอ้อมแขน

“อุ๊ย ปล่อยลินดานะคะ”

“ก็ฉันทำเธอหมดเรี่ยวหมดแรงนี่น่า ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการอุ้มเธอเข้าบ้านสิ”

“แต่ว่าลินดาเดินเองได้นี่คะ ปล่อยเถอะค่ะ อายคนอื่นเขา”

หล่อนพยายามอ้อนวอน แต่เขาก็ยังคงอุ้มหล่อนเดินเข้าไปในตัวตึกใหญ่อย่างไม่แคร์สายตาของคนรับใช้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ทำไมต้องอาย คนของฉันทั้งนั้น” แซคคารีย์อมยิ้ม และฉวยโอกาสหอมแก้มของอลินดาฟอดใหญ่ พวกเขากำลังจะเดินผ่านห้องรับแขกอยู่แล้ว แต่เสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน ฝ่าเท้าของแซคคารีย์ชะงักกึก และหันไปมองที่ต้นเสียง

“นารี…”

“พี่นารี…”

หล่อนอุทานออกมาด้วยความแปลกใจระคนดีใจที่เห็นพี่สาวฝาแฝดปรากฏตัวขึ้นหลังจากหายไปเกือบสิบวัน แต่ความดีใจของหล่อนคงเทียบไม่ได้กับความดีใจของแซคคารีย์แน่นอน เพราะเขาปล่อยร่างของหล่อนลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว และรีบก้าวเท้าเข้าไปหานารีรัตน์ที่ยืนระบายยิ้มอยู่หน้าประตูห้องรับแขกทันที

อลินดามองภาพของสองคนสวมกอดกันแนบแน่นผ่านม่านน้ำตา หล่อนเกลียดตัวเองนักที่รู้สึกเสียใจกับการกลับมาของพี่สาว ทั้งๆ ที่หล่อนควรจะดีใจต่างหาก

หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม แต่ก็ยิ้มไม่ออก หล่อนทำได้แค่เพียงเดินจากตรงไปนั้นเงียบๆ เท่านั้น

เวลาของหล่อนหมดลงแล้วสินะ…

เมียคั่นเวลา ยังไงก็ไม่มีทางจีรังยั่งยืน…

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้อลินดาต้องรีบยกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตาจากแก้มนวลทั้งสองข้างทิ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจ้องมองไปที่บานประตูไม้ด้วยสายตาเศร้าหมอง

“เอ่อ… ใครคะ”

“ฉันเอง นารี…”

เสียงจากบุคคลที่อยู่หลังบานประตูไม้ทำให้น้ำตาที่เพิ่งเช็ดแห้งไปแทบไหลออกมาอีกครั้ง แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะสะกดกลั้นมันเอาไว้ และฝืนใจก้าวลงจากเตียง ไปดึงบานประตูให้เปิดกว้างออก ผู้หญิงที่มีใบหน้าเหมือนกับหล่อนราวกับแกะจ้องมองมา

“ไม่ได้เจอกันนานนะ ลินดาน้องรัก”

น้ำเสียงของพี่สาวฝาแฝดเต็มไปด้วยความเดือดดาลและไม่พอใจ อลินดาขยับตัวหลบเข้าข้างประตู เพื่อให้พี่สาวได้ก้าวเข้ามาภายในอย่างไม่มีทางเลือก

และทันทีที่นารีรัตน์ก้าวเข้ามาหยุดภายในห้อง คำพูดดูหมิ่นเหยียดหยามก็ดังออกมาจากปากอิ่มของพี่สาวอีกครั้ง

“สมใจแกแล้วสินะ”

“พี่นารี…”

นารีรัตน์แค่นยิ้มหยัน กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะมองไปหยุดที่เตียงกว้างนานหลายอึดใจ จากนั้นก็เลื่อนสายตาดุดันมาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง “แกขโมยคุณแซคไปจากฉันได้สำเร็จแล้วนี่”

“ไม่ใช่นะคะพี่นารี… ฉัน…” หล่อนส่ายหน้าไปมา และพยายามปฏิเสธ “ฉันไม่เคยคิดจะแย่งคุณแซคมาจากพี่นารีเลย แต่ฉัน… ฉันจำเป็นต้องแต่งงานกับคุณแซค เพราะว่าพี่นารีหายไป…”

“หึ แล้วแกไม่ดีใจหรือไงที่ฉันหายไปนะ”

อลินดาเผยอปากค้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจ

“ฉันว่านะ แกน่าจะดีใจจนเนื้อเต้นที่ฉันหายตัวไป และแกก็ได้ขึ้นมานั่งมานอนบนเตียงที่มันเป็นที่ของฉันแทน”

“ไม่ใช่นะคะพี่นารี ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลย”

“อย่ามาตอแหล ฉันรู้นะว่าแกรักคุณแซค”

อลินดาก้มหน้าหลบสายตาพี่สาว เพราะเถียงไม่ออก เนื่องจากสิ่งที่พี่สาวพูดมันคือความจริง

นารีรัตน์ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าของน้องสาว มองด้วยสายตาเกลียดชัง

“แต่ถึงแกจะได้ตัวคุณแซคไปแล้ว หัวใจของเขาแกก็ไม่มีสิทธิ์จะได้ครอบครองหรอก เพราะเขารักฉัน จำใส่กะโหลกเน่าๆ ของแกเอาไว้ด้วยนังลินดา!”

หน้าผากของอลินดาถูกนิ้วเรียวของนารีรัตน์จิ้มแรงๆ จนแทบหงายไปด้านหลัง อลินดาร้องไห้สะอึกสะอื้น รู้สึกสับสนจนอึดอัดไปทั้งหัวใจ

หล่อนดีใจที่พี่สาวกลับมาโดยปลอดภัย แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่เวลาของตัวเองที่จะได้อยู่กับแซคคารีย์ต้องหมดลงอย่างรวดเร็วขนาดนี้

“ฉันรู้ค่ะ ฉันรู้ดีว่าคุณแซครักพี่นารีคนเดียว”

“รู้ก็ดีแล้ว เพราะแกไม่มีสิทธิ์มาแทนที่ฉันในหัวใจของคุณแซคได้ เขารักฉัน คุณแซครักฉันคนเดียว”

นารีรัตน์ตะโกนใส่หน้าน้องสาวฝาแฝดเสียงดังลั่น ก่อนจะผลักร่างของอลินดาให้ล้มหงายลงไปกับพื้นห้อง จากนั้นก็ย่อตัวลงไปนั่งตรงหน้า

“แกอย่าคิดนะว่าจะแย่งคุณแซคไปจากฉันได้”

อลินดาส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา “ฉันไม่เคยคิดจะแย่งคุณแซคไปจากพี่นารีเลย นี่คือความสัตย์จริง” คนเป็นน้องคร่ำครวญออกมา ยกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งด้วยความเจ็บปวดทรมาน “ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด พี่นารีไม่ต้องกังวล”

แทนที่พี่สาวของหล่อนจะดีใจที่หล่อนยินดีที่จะจากไปแต่โดยดี แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะนารีรัตน์กลับเอามือมาจิกทึ้งเส้นผมของหล่อนแรงๆ และคำรามรดหน้าอย่างโกรธจัด

“แกอย่ามาทำเป็นพูดดี ในเมื่อแกก็รู้อยู่แล้วว่าคุณแซคไม่มีทางให้แกไปจากที่นี่”

อลินดาส่ายหน้าไปมา น้ำตาไหลไม่หยุด “คุณแซคไม่ห้ามฉันหรอกจ้ะพี่นารี เพราะพี่กลับมาแล้ว ดังนั้นหน้าที่ตัวแทนอย่างฉันก็หมดลงแล้วเหมือนกัน”

“แต่เขาบอกว่าเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบแก เพราะเขาดันพลาดจิ้มแกไปแล้ว!”

อลินดาหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ฟังคำพูดของพี่สาว “คือว่า… ฉัน…”

“แกอ่อยจนคุณแซคพลาดพลั้งมีอะไรด้วย แล้วแกก็ใช้มารยาหญิงเพื่อให้เขารับผิดชอบแก”

“ไม่จริงนะพี่นารี…”

“มันจะไม่จริงได้ยังไง ในเมื่อคุณแซคบอกกับฉันเองว่าเขาจะต้องรับแกเป็นเมียจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม หรือพูดง่ายๆ ก็คือเขาต้องฝืนใจรับผิดชอบแกยังไงล่ะ นังลินดา!”

ศักดิ์ศรีของหล่อนถูกเหยียบขยี้จนแหลกเหลว หยาดน้ำตาแห่งความปวดร้าวทรมาน ทำให้หล่อนบอบช้ำจนแทบขาดใจ

“พี่นารีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันไม่มีวัน… แย่งคุณแซคมาจากพี่เด็ดขาด แม้ว่าฉันจะเป็นคนติดต่อกับคุณแซคมาตลอดหลายปีในช่วงที่พี่นารีไปติดพันอยู่กับผู้ชายคนอื่นก็ตาม”

เพียะ

ใบหน้าของอลินดาสะบัดไปตามแรงปะทะจากฝ่ามือของพี่สาว

“มึงอย่ามารำเริบบุญคุณกับกูนะอีลินดา!”

อลินดายกมือขึ้นลูบแก้มที่ถูกตบจนเป็นรอยแดงด้วยความเจ็บระบม ก่อนจะมองพี่สาวด้วยความเสียใจ

“หรือว่าที่ฉันพูดมันไม่จริงล่ะพี่นารี”

“อีลินดา!”

นารีรัตน์ยกมือขึ้นจะตบหน้าน้องสาวอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกอลินดายกมือขึ้นกำหมัด และบอกให้รู้ว่าสู้ยิบตาอย่างแน่นอน

“ฉันให้พี่ตบหน้าฉันแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว อย่าทำร้ายฉันอีก ฉันไม่ยอม”

นารีรัตน์จำต้องลดมือของตัวเองลง และลุกขึ้นยืนอย่างขัดใจ เพราะรู้ดีว่าถ้าอลินดาสู้จริงๆ หล่อนไม่มีทางรับมือได้

“มึงก็แค่อีน้องทรยศ แย่งผัวของพี่สาว”

อลินดากัดปากจนแตก ขณะฝืนใจลุกขึ้นยืน “พี่นารีไม่ต้องเป็นกังวลหรอกค่ะ ฉันจะไม่อยู่ทำให้พี่เดือดร้อนหรอก ในเมื่อพี่กลับมาแล้ว ฉันที่เป็นแค่เพียงเจ้าสาวคั่นเวลา ก็จะไป”

“คุณแซคไม่ยอมให้แกไปหรอก”

ลำคอของอลินดาตีบตันจนแทบจะเปล่งคำพูดออกมาไม่ได้

“เขาไม่รั้งฉันเอาไว้หรอกค่ะ เพราะเขาเองก็เกลียดฉันไม่น้อยไปกว่าที่พี่นารีเกลียดชังฉันเหมือนกัน”

นารีรัตน์อึ้งไปเล็กน้อย ในขณะที่อลินดาพูดต่อ “ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด พี่สบายใจได้”

“ถึงแกจะไปแล้ว คุณแซคก็ไปลากตัวแกกลับมาได้อยู่ดีนั่นแหละ แกคิดว่าเขาจะปล่อยแกไปโดยที่ยังไม่มั่นใจว่าแกท้องลูกของเขาหรือเปล่าอย่างนั้นเหรอ”

ท้อง…

หัวใจของอลินดาโหวงเหวงขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวทรมาน

“พี่นารีไม่ต้องเป็นกังวลหรอกค่ะ ถ้าฉันจะไป ใครก็ห้ามฉันไม่ได้”

“ขอให้มันแน่เถอะ ฉันกลัวว่าแกจะเสนอหน้าอยู่แย่งคุณแซคต่อไปน่ะสิ”

“ฉันไม่ใช่คนเลวแบบนั้นหรอก” อลินดาพูดออกมาทั้งน้ำตา “หมดธุระแล้วใช่ไหมคะพี่นารี”

“ทำไม แกกล้าไล่ฉันเหรอ”

อลินดายกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง และกัดฟันพูดเสียงเรียบ “ฉันจะเก็บของค่ะ จะได้รีบไปจากที่นี่ยังไงล่ะคะ”

นารีรัตน์จ้องหน้าน้องสาวอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่แกคิดจะไปจากที่นี่จริงๆ อย่างนั้นเหรอ”

“ค่ะ”

“ทำไมแกถึงยอมไปง่ายนักล่ะ ในเมื่อแกก็รักคุณแซคเหมือนกัน”

คำถามแคลงใจของนารีรัตน์ ทำให้อลินดาชะงักกึก ก่อนที่หล่อนจะตอบออกไปเสียงสั่นเทา

“ความรักของคนเราไม่เหมือนกันหรอกค่ะ และสำหรับฉันแล้ว ความรักของฉันก็คือการเห็นคนที่เรารักมีความสุข ซึ่งฉันรู้ดีว่าคุณแซคจะมีความสุขถ้าได้อยู่กับพี่นารี”

นารีรัตน์หรี่ตาแคบมองหน้าน้องสาว “ฉันหวังว่าแกคงไม่ได้คิดจะเรียกร้องความสนใจจากคุณแซคหรอกนะ”

อลินดาปรายตามองหน้าพี่สาวฝาแฝด “ฉันจะทำอย่างนั้นไปทำไมกัน ในเมื่อฉันก็รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์”

คนเป็นพี่สาวทำหน้าย่นใส่น้องสาวอย่างหมั่นไส้ “ก็ให้มันเป็นอย่างที่แกพูดก็แล้วกัน” จากนั้นนารีรัตน์ก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง อลินดาน้ำตาร่วงลงมาอีกครั้ง พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง หัวใจกรีดร้องด้วยความปวดร้าวทรมาน มือเล็กยกขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ

“หยุดเดินหนีฉันได้แล้ว อลินดา”

เสียงห้าวของแซคคารีย์ดังขึ้นด้านหลัง และแขนเรียวก็ถูกคว้าเอาไว้ในเวลาต่อมา

“ปล่อยค่ะ”

หล่อนดิ้นรน แต่เขาไม่ยอมปล่อย แถมยังกระชากร่างของหล่อนเข้าไปกอดแนบอกอีกครั้ง หล่อนตกใจจนหน้าซีดเผือด เพราะกลัวว่าใครจะเดินผ่านมาเห็นเข้า แต่ก็ยังโชคดีเพราะตรงนี้เป็นมุมอับค่อนข้างลับตาของผู้คน

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปสุงสิงกับแฮรี่”

“แต่มันเป็นสิทธิ์ของลินดานะคะ”

เขากัดฟันอย่างโมโห และจับร่างของหล่อนดันเข้ากับกำแพงด้านหลัง พร้อมกับตามประกบ “แต่ผัวของเธอไม่ชอบ จำใส่หัวเอาไว้ด้วย”

หล่อนมองเขาด้วยความขุ่นเคือง “แต่คุณแซคไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของลินดานะคะ”

เขากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ มองหล่อนด้วยสายตาลุกเป็นไฟ

“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าเธอไม่เข้าใจที่ฉันพูดเลยสักนิด” เขาว่าอย่างโมโห

“ใช่ค่ะ ลินดาไม่เคยเข้าใจคุณแซคเลย ไม่รู้เลยว่าที่คุณแซคตามราวีลินดาอยู่ในตอนนี้ คุณแซคทำเพื่ออะไรกัน”

หล่อนแหวเขากลับมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“ทั้งๆ ที่คุณแซคก็เกลียดชังลินดายังกับอะไรดี”

หล่อนเห็นสีหน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์ของโทสะ “เธอจะคิดบ้าคิดบออะไรก็ช่าง แต่จำเอาไว้เลยนะ ห้ามให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้อีก ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้” ทุกพยางค์ดุดันเล็ดลอดออกมาจากไรฟันขาวสะอาดของแซคคารีย์

“คุณแซคก็ดีแต่ใช้กำลังกับลินดา” หล่อนตัดพ้อน้ำตาไหล ในขณะที่เขาโน้มหน้าเข้ามาหา ใกล้จนกลิ่นลมหายใจอบอุ่นราดรดดวงหน้างาม

“ก็ถ้าเธอไม่ดื้อ ฉันก็จะใจดีกับเธอ” ปากหยักสวยขยับอยู่ชิดกับกลีบปากอิ่มเต็ม “หลับตาซะ ฉันจะจูบเธอ”

“ไม่… ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

หล่อนร้องห้ามเสียงตื่นตระหนก แต่แซคคารีย์ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาทาบปากกระด้างลงมาหา บดขยี้อย่างเมามัน หล่อนพยายามต่อต้าน แต่พอถูกลิ้นฉ่ำแทรกเข้ามาตวัดในอุ้งปากเท่านั้น สติก็กระเจิดกระเจิงหายไป และปากอิ่มก็เผยอจูบตอบเขาอย่างเร่าร้อนทัดเทียมกัน

“อืมมมมม” แซคคารีย์ครางกระหึ่มลำคอด้วยความพึงพอใจ เขาจูบหล่อนไม่หยุด จูบราวกับจะสูบวิญญาณของหล่อนให้หลุดลอยออกไปจากร่างไม่มีผิด

“หวานเหลือเกิน ลินดา…” เขาครางเสียงแหบกระเส่าเต็มไปด้วยความปรารถนาชิดปากอิ่มบวมเจ่อของหล่อน “ฉันอยาก… เข้าไปในตัวของเธออีกแล้ว”

หล่อนหน้าแดงก่ำ ต้องการไม่ต่างจากเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้

“เดี๋ยวใคร… มาเห็นค่ะ…”

“ฉันรู้น่าว่าคงได้แค่จูบเธอ…”

แล้วเขาก็ทาบปากประกบลงมาหาอีกครั้ง ครั้งนี้มือเล็กไต่ขึ้นไปโอบรอบลำคอแกร่ง และทั้งคู่ก็จูบแลกลิ้นกันอย่างเมามันเนิ่นนานเหลือเกิน

นารีรัตน์จ้องมองร่างไม่มีสติของกฤติชัยที่ถูกหล่อนวางยานอนหลับด้วยความสะใจ ดวงตาของหล่อนเต็มไปด้วยไฟแค้น

“ใครก็มาขัดขวางความสุขของฉันไม่ได้ แม้แต่คนอย่างมึง ไอ้กฤติชัย”

นารีรัตน์หัวเราะราวกับคนบ้า หล่อนยืนมองกฤติชัยที่หลับเป็นตายอย่างใช้ความคิด

“แล้วฉันจะทำยังไง คนอย่างมึงถึงจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกนะ”

ตอนแรกนารีรัตน์ตั้งใจจะเอามีดมาเชือดคอของกฤติชัย แต่ก็เพราะหล่อนกลัวเลือดจึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป หล่อนเดินกลับไปกลับมาอยู่นานพอสมควรก็นึกแผนขึ้นมาได้ หล่อนรีบล้วงกระเป๋ากางเกงของกฤติชัย และก็ควักโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นก็โทรหาบิดาของตัวเอง

“พ่อจ๊ะ นี่นารีนะ พ่อช่วยส่งเบอร์ของไอ้ต้นให้นารีหน่อย เร็วนะพ่อ” พ่อของหล่อนที่ตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ยินเสียงของหล่อนก็รีบถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง แต่หล่อนตัดบทอย่างรำคาญ “เดี๋ยวฉันจะกลับไปเล่าให้ฟังเองน่ะพ่อ ส่งเบอร์มาให้ฉันก่อน”

พ่อของหล่อนวางสายไปแล้ว ก่อนจะส่งเบอร์โทรที่หล่อนต้องการมาให้อย่างรวดเร็ว

นารีรัตน์ระบายยิ้มเลือดเย็น ขณะปรายตามองร่างไม่ไหวติงของ กฤติชัย

“มึงสมควรตายได้แล้วล่ะ ไอ้ชาติชั่ว”

แล้วหญิงสาวก็ต่อสายหาบุคคลเป้าหมายทันที ก่อนจะกรอกเสียงไปตามสาย

“นายต้นใช่ไหม ฉันนารีนะ มีงานให้ทำน่ะ มาเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยวจะส่งแผนที่ไปให้ทางข้อความ”

เมื่อคนปลายสายตอบตกลง เสียงหัวเราะของนารีรัตน์ก็ดังกระหึ่มขึ้นลั่นห้อง

หลังจากเลิกงานแล้วแซคคารีย์ก็ไม่ยอมให้หล่อนหนีกลับบ้านไปกับผู้ชายหน้าไหนอีก เพราะเขาลงมาหาหล่อนที่แผนกบัญชีตั้งแต่ก่อนเวลาเลิกงานเกือบครึ่งชั่วโมง ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนพนักงาน

“ผมแค่เข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยของแผนกบัญชีเท่านั้นแหละ ไม่ได้มาจับผิดอะไรพวกคุณหรอก”

แซคคารีย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ หล่อน

“คุณแซคคะ… ลินดาต้องทำงานนะคะ”

“ก็ทำไปสิ ฉันว่าอะไรล่ะ” คนก่อเรื่องให้หล่อนอึดอัดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังเอาหน้ามาใกล้ๆ หล่อนเสียอีก หล่อนต้องขยับตัวออกห่างพัลวัน

“แต่ลินดาทำไม่ถนัดค่ะ”

“งั้นฉันช่วยไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ ลินดาทำเองได้” หล่อนส่ายหน้าดิก และก็มองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นว่าสายตาของเพื่อนร่วมแผนกแอบจ้องมองมาเป็นระยะ หล่อนรู้สึกคล้ายกับกำลังถูกจับไปมัดประจานเอาไว้กลางสี่แยกถนนไม่มีผิด

“งั้นก็ทำไปสิ” เขาไหวไหล่กว้างน้อยๆ และนั่งจ้องมองหล่อนลงบัญชีไม่วางตา

หล่อนถอนใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบขอร้องเขา

“คุณแซคออกไปก่อนนะคะ เลิกงานเมื่อไหร่ ลินดาจะรีบออกไปหาค่ะ”

เขาอมยิ้ม นัยน์ตาแพรวพราว “ก็ถ้าไม่อยากให้ฉันมานั่งเฝ้าที่นี่ เธอก็ยอมย้ายขึ้นไปทำงานบนห้องทำงานของฉันตามที่ฉันสั่งสิ ห้ามดื้ออีก โอเคไหม”

“แต่ลินดาเป็นพนักงานบัญชีนะคะ ไม่ใช่เลขาฯ”

“งั้นเธอก็ทำบัญชีของเธอไป ส่วนฉันถ้าว่างเมื่อไหร่ก็จะมานั่งคุยเป็นเพื่อน หรือดีไม่ดีก็จะย้ายโต๊ะทำงานมาทำข้างๆ เธอไปเลย”

“คุณแซค…”

“ดีใจจนหน้าซีดเชียวนะ อลินดา”

หล่อนกัดปากจนเจ็บเลยทีเดียว และก็มองเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ หล่อนอยากจะเกลียดผู้ชายคนนี้นัก แต่ก็เกลียดไม่ลงเสียที ทั้งๆ ที่เขาก็ทั้งร้ายกาจ ทั้งเอาแต่ใจ

“ตกลงค่ะ”

“ตกลงอะไรหรือ” แซคคารีย์แกล้งย้อนถามยียวน

“ก็ตกลงจะย้ายไปนั่งๆ นอนๆ บนห้องทำงานของคุณแซคตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปยังไงล่ะคะ”

“ฉันคิดว่าเธอน่าจะได้นอนอย่างเดียวนั่นแหละ คงไม่ได้นั่งสักเท่าไหร่หรอก”

คำพูดสองแง่สามง่ามของแซคคารีย์ทำให้หล่อนหน้าแดงก่ำ เขาอมยิ้มพึงพอใจ และเอาหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“คุณแซค… คนอื่นมองกันหมดแล้วค่ะ”

“ไหนใครมอง” แซคคารีย์แกล้งพูดเสียงดัง และหันไปมองรอบๆ ตัว พนักงานบัญชีที่เคยแอบจ้องมองอยู่รีบหลุบสายตาหลบกันพัลวัน “ก็ไม่เห็นมีใครมองสักหน่อยนี่”

“คุณแซค…”

หล่อนเรียกเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ และภาวนาให้ครึ่งชั่วโมงของเวลาการทำงานนี้จบลงโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เพื่อนร่วมแผนกจะสงสัยความสัมพันธ์ของหล่อนกับแซคคารีย์มากไปกว่านี้

นารีรัตน์แสดงละครหลอกลวงกฤติชัยอย่างแนบเนียน จนตอนนี้หล่อนไม่ได้ถูกมัดตรึงเอาไว้บนเตียงอีกแล้ว แถมหล่อนยังมีโอกาสได้ออกมาจากห้องที่เขาขังหล่อนเอาไว้อีกต่างหาก

แผนการของหล่อนกำลังดำเนินไปได้อย่างงดงาม กฤติชัยที่รักหล่อนมากจนโงหัวไม่ขึ้น เริ่มเชื่อทุกคำพูดของหล่อนอีกครั้ง ไม่ต่างจากครั้งในอดีต

“ตื่นแล้วเหรอคะคุณกฤติชัย…” หล่อนวางถ้วยอาหารลงบนโต๊ะไม้ และก็หันไปทักทายกฤติชัยที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ

กฤติชัยระบายยิ้มกว้าง เดินเข้ามาสวมกอดร่างของนารีรัตน์ และจูบปากอิ่มอย่างแสนรัก

“ผมนึกว่าคุณจะหนีไปอีกแล้วซะอีก”

“นารีจะหนีไปไหนได้ล่ะคะ ในเมื่อนารีรักคุณ… คุณเป็นผู้ชายที่นารีรู้แล้วว่าควรจะฝากชีวิตเอาไว้ด้วย” หล่อนดึงร่างของกฤติชัยไปยังโต๊ะอาหาร และทรุดนั่งข้างๆ

“นารีตื่นมาทำให้คุณโดยเฉพาะเลยนะคะ น่ากินไหมคะ”

กฤติชัยละสายตาจากใบหน้าของนารีรัตน์ไปมองจานใส่อาหารหลายจานด้วยความพึงพอใจ

“หน้าตาน่ากินมากครับนารี ขอบคุณนะครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ นารีรักคุณ ถึงอยากทำอาหารอร่อยๆ ให้คุณไงล่ะคะ”

เพราะความรักกลับมาบังตาอีกครั้ง ทำให้กฤติชัยไม่ทันระแวงรอยยิ้มหวานของนารีรัตน์

“ขอบคุณครับที่รัก”

“กินเยอะๆ นะคะ นารีจะได้มีกำลังใจตื่นมาทำให้คุณกินอีกบ่อยๆ”

กฤติชัยระบายยิ้มอย่างมีความสุข ตักอาหารเช้าฝีมือของนารีรัตน์ใส่ปากครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางสายตาพึงพอใจของนารีรัตน์ที่จ้องมองไม่วางตา

 

อลินดาตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ ก็อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อเห็นแซคคารีย์ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ลิ้นชักหัวเตียง ซึ่งเป็นลิ้นชักที่หล่อนเก็บเรื่องราวต่างๆ เอาไว้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ไดอารีที่เขียนบรรยายทุกอย่างในอดีตเอาไว้ หล่อนรีบถลาลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว และไปดันลิ้นชักให้ปิดสนิทลง

“คุณแซคทำอะไรคะ”

คนตัวโตหันมามอง และไหวไหล่น้อยๆ

“เปล่านี่”

“แต่ลินดาเห็น…”

“ก็แค่ดูว่าเธอซ่อนความลับอะไรเอาไว้บ้าง” สายตาของเขาดูลึกลับแปลกประหลาด

“ไม่… ไม่มีความลับอะไรหรอกค่ะ” หล่อนเอาตัวไปยืนขวางลิ้นชักแห่งความลับนั้นเอาไว้

“คุณแซคอาบน้ำหรือยังคะ เดี๋ยวไปทำงานสาย”

แซคคารีย์หรี่ตามองผู้หญิงที่เปลี่ยนเรื่องคุยกะหันทันด้วยความรอยยิ้มขบขัน

“มีพิรุธนะเราน่ะ”

“เปล๊า… ค่ะ…”

เขาอมยิ้มและเดินกลับไปทรุดตัวนั่งบนเตียงอีกครั้ง ดวงตาสีสนิมจับมองมาที่หล่อน

“เธอเรียนถักไหมพรมมาจากใครหรือ”

“เอ่อ…”

หล่อนอึกอัก และไม่ชอบให้เขาถามในเรื่องที่หล่อนต้องโกหกเลย

“พี่นารีสอนมาค่ะ”

หล่อนเห็นเขาอมยิ้มน้อยๆ แต่สายตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลยสักนิด “แต่แม่ของเธอบอกว่านารีถักไหมพรมไม่เป็นนี่”

“เอ่อ… แม่คงจำผิดน่ะค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ”

“เอ่อ ค่ะ อย่างนั้นแหละค่ะ”

หล่อนเสหลบสายตาของแซคคารีย์อย่างลนลาน ภาวนาให้เขาเลิกถามถึงเรื่องพวกนี้เสียที

“งั้นก็แสดงว่าผ้าพันคอที่ส่งให้ฉัน นารีก็ไม่ได้ทำเองน่ะสิ”

“พี่นารีทำเองค่ะ” หล่อนละล่ำละลักตอบออกไป “คือ… ฉันสอนพี่นารีถักค่ะ”

แซคคารีย์เหยียดยิ้มเยาะ “แล้วไหนเมื่อก่อนหน้านี้ เธอบอกว่านารีเป็นคนสอนเธอถักไหมพรมยังไงล่ะ”

“เอ่อ… คือว่า…”

“เลิกพูดเถอะ ยิ่งฉันฟังเธอโกหก ฉันก็ยิ่งปวดหัว”

นี่แซคคารีย์หมายความว่ายังไง เขา… เขาคงไม่ได้สงสัยเรื่องของขวัญพวกนั้นใช่ไหม

“คุณแซค… หมายความว่ายังไงเหรอคะ”

“ฉันไม่อยากพูดแล้ว เธอรีบไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปทำงานพร้อมกัน”

หล่อนมองหน้าเขาสลับกับลิ้นชักแห่งความลับของตัวเองอย่างระแวดระวัง

แซคคารีย์ถอนใจออกมาแรงๆ อย่างรู้ทัน “ฉันจะไปรอข้างนอก ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลว่าฉันจะไปล้วงความลับอะไรของเธอออกมาจากลิ้นชักนั่นอีก”

หล่อนโล่งอกไม่น้อย “งั้น… คุณแซค… ก็ออกไปก่อนสิคะ ลินดาจะได้ไปอาบน้ำ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แต่ก่อนออกไปก็ทิ้งคำคมกริบเอาไว้บาดหัวใจของหล่อนเล่นๆ

“ความลับไม่มีในโลก รู้ใช่ไหม”

แล้วเขาก็ก้าวออกไปจากห้องนอนของหล่อน อลินดารีบวิ่งไปกด ล็อกประตูอย่างแน่นหนา และเป่าปากอย่างโล่งอก

“แต่ความลับบางอย่างก็มีแค่เจ้าของความลับเท่านั้นที่รู้ค่ะ” หล่อนพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเศร้าหมอง

อลินดานั่งรับประทานอาหารกลางวันในโรงอาหารกับหทัยชนกและแฮรี่เหมือนเช่นทุกวัน แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆ แซคคารีย์ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

“นั่งด้วยคนนะ”

“เชิญค่ะท่านประธาน”

ทั้งหทัยชนกกับแฮรี่ต่างเอ่ยเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม ตรงกันข้ามกับหล่อนที่เงียบกริบพูดไม่ออก

“คุณแฮรี่ขยับเข้าไปข้างในหน่อยครับ ผมจะนั่งตรงนี้”

แฮรี่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับอลินดาจำต้องเลื่อนตัวและจานอาหารของตัวเองเข้าไปด้านใน และยอมให้แซคคารีย์นั่งลงแทนที่ของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก

อลินดามองค้อนแซคคารีย์อย่างโมโหที่เขาตามก่อกวนหล่อนตลอดเวลา แทบจะเรียกได้ว่าทุกฝีก้าวเลยก็ว่าได้ แถมยังผลุบเข้าผลุบออกห้องแผนกบัญชีจนพนักงานบัญชีคนอื่นเริ่มสงสัยหล่อนกันแล้ว

“ท่านประธานติดใจรสมือแม่ครัวของโรงอาหารเหรอคะ เห็นช่วงนี้ท่านประธานมารับประทานมื้อกลางวันที่นี่แทบทุกวันเลยค่ะ” หทัยชนกเห็นโต๊ะอาหารที่นั่งรวมกันอยู่ถึงสี่คนเงียบกริบ จึงพยายามสร้างความผ่อนคลาย

“ใช่ครับ”

แซคคารีย์ตอบสั้นๆ ก่อนจะใช้ช้อนตักลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวของอลินดามาใส่ปากหน้าตาเฉย ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดใจของแฮรี่และหทัยชนก แต่สำหรับอลินดาแล้วเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ

“คุณแซค…”

“ลูกชิ้นอร่อยดีนะ ขออีกลูกได้ไหมอลินดา”

เขาทำท่าจะตักลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวของหล่อนอีกครั้ง แต่คราวนี้หล่อนเลื่อนชามหนีได้ทัน และมองเขาตาขุ่น

“คุณแซคอยากกินก็ไปซื้อเองสิคะ มาแย่งของลินดาทำไม”

“หรือว่าจะให้ฉันกินอย่างอื่นของเธอแทนล่ะ”

คนร่วมโต๊ะต่างหันมามองหน้าหล่อนสลับกับใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนของแซคคารีย์เป็นตาเดียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดกล้าถามอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว

อลินดาหน้าร้อนจัด แก้มก็แดงก่ำ หล่อนเลือกที่จะวางตะเกียบและลุกพรวดขึ้นทันที

“ขอตัวนะคะ ลินดาอิ่มแล้ว”

แล้วหล่อนก็รีบก้าวยาวๆ ออกมาจากโรงอาหารทันที แซคคารีย์มองตามร่างอรชรไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นบ้าง

“ท่านประธานอิ่มแล้วเหรอคะ”

หทัยชนกอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

“ยังครับ แต่โมโหจนกินไม่ลง ขอตัวนะครับ”

แล้วแซคคารีย์ก็ก้าวยาวๆ หายไปอีกคน ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของหทัยชนก

“พี่เขยกับน้องสะใภ้เหมือนเขางอนกันเลยนะคะ คุณแฮรี่ว่าไหมคะ”

แฮรี่ไม่ได้ตอบ เขาเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาตักอาหารใส่ปากเงียบๆ เพียงเท่านั้น

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง อลินดาถึงได้มีโอกาสก้าวลงจากเตียง และออกมาจากห้องนอน หล่อนเดินออกมายังห้องรับแขก ก็เห็นว่าพ่อกับแม่นั่งคุยกันอยู่ และทั้งคู่ก็หันมาจ้องมองหล่อนเป็นตาเดียวกัน เมื่อหล่อนปรากฏตัวขึ้น

“แกคงดีใจมากสินะ ที่แย่งคุณแซคไปจากนารีได้”

มารดาเริ่มพูดคำแรกด้วยการสบประมาทน้ำใจของหล่อน ก่อนที่บิดาจะกล่าวสมทบสนับสนุน หล่อนน้ำตาไหลซึมด้วยความเสียใจ

“แกนี่มันเป็นน้องที่ใช้ไม่ได้จริงๆ คนรักของพี่สาวก็แย่งชิงไปครอบครองจนได้

“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะจ๊ะพ่อ แม่…” หล่อนพยายามอธิบาย แต่สายตาเกลียดชังของพ่อกับแม่ ทำให้หล่อนเจ็บปวดทั้งร่าง ราวกับถูกเข็มเป็นล้านเข็มวิ่งเข้าทิ่มแทง

“แกคงไปยั่วยวนคุณแซคใช่ไหมล่ะ เขาถึงได้พลาดพลั้งมีอะไรกับแกแบบนี้ แกนี่มันสารเลวจริงๆ นังลินดา”

แม่ของหล่อนลุกขึ้นยืน และเดินมาหยุดตรงหน้า เอานิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของหล่อนแรงๆ

“แม่จ๋า… ฉันไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ฉัน… ฉันจะไม่มีวันแย่งคุณแซคจากพี่นารีหรอกจ้ะ”

“แกอย่ามาตอแหล คุณแซคเพิ่งเข้าจะมาคุยกับฉันเมื่อกี้นี้เอง ว่าเขาต้องการให้แกเป็นเมียจริงของเขา แกนี่มัน… ฉันจะหาคำไหนมาด่าแกดีนะ ถึงจะสาสมกับความเลวระยำที่แกทำเอาไว้” แม่ของหล่อนแสดงความโกรธแค้นแทนนารีรัตน์อย่างออกหน้าออกตา ซึ่งพ่อที่ไม่ค่อยพูดนัก แต่ก็แสดงออกไม่ต่างกัน

หล่อนเจ็บปวด หล่อนน้อยใจมาตลอดกับความลำเอียงของพวกท่าน แต่เพราะเป็นลูก จึงไม่อาจจะโต้แย้งอะไรออกไปได้

“ฉันขอโทษ… ฉันสัญญาว่าถ้าพี่นารีกลับมา ฉันจะไปจากคุณแซคทันที”

“คุณแซคไม่มีทางปล่อยแกหรอก” พ่อของหล่อนพูดขึ้นเสียงกระด้าง

หล่อนส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา และยืนยัน

“พ่อกับแม่เชื่อใจฉันเถอะจ้ะ ยังไงซะ ฉันก็จะไม่มีทางแย่งผู้ชายของพี่นารีเด็ดขาด ฉันสัญญา”

“แล้วฉันจะคอยดู”

แม่ของหล่อนแค่นยิ้มเยาะหยัน ก่อนจะเดินกลับไปนั่งข้างๆ กับพ่อ และพวกท่านก็ไม่ให้ความสนใจไยดีอะไรกับหล่อนอีกเลย หล่อนไร้ตัวตนเสมอกับพวกท่าน

อลินดายกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้ม ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเงียบๆ มุ่งหน้าตรงไปยังสวนเล็กๆ ข้างบ้าน เพื่อจะหลบซ่อนตัวตรงนั้น แต่พอไปถึงก็ต้องชะงักเท้ากึก เมื่อเห็นแซคคารีย์ยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ตรงนั้น

หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเลย แต่คำสนทนาของเขาดังมาเข้าหูหล่อนเอง

“ตอนนี้คุณตำรวจทราบแล้วใช่ไหมครับว่ารถคันต้องสงสัยคันนั้นเป็นของใคร โอเคครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะเข้าไปที่สถานีตำรวจอีกครั้ง ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล”

แซคคารีย์วางสายสนทนา ก่อนจะหมุนตัวกลับมาด้านหลัง เพราะรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครจ้องอยู่ และก็ได้เห็นว่าเป็นอลินดานั่นเอง

“ฉันนึกว่าเธอจะนอนอีกสักพักเสียอีก”

เขาอมยิ้ม และเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของหญิงสาว ยื่นมือออกไปตั้งใจจะดึงร่างอวบอัดที่ตัวเองเพิ่งจะกัดกินจนอิ่มหนำเข้ามากอด แต่เจ้าหล่อนขยับเท้าถอยหลังหนีซะอย่างนั้น

“หนีทำไม”

“คุณแซค… บอกเรื่องของเราให้พ่อกับแม่รู้ทำไหมคะ”

เขาไหวไหล่กว้างน้อยๆ “แล้วทำไมจะบอกไม่ได้ล่ะ ในเมื่อสิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริง”

“แต่ความจริงนี้กำลังทำให้ลินดากลายเป็นคนเลวนะคะ”

เมื่อก่อนน้ำตาของอลินดาไม่เคยมีผลต่อระบบความรู้สึกของ แซคคารีย์ แต่ตอนนี้มันตรงกันข้ามเหลือเกิน

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าของหญิงสาว และรวบร่างอรชรเข้ามากอดรัดแน่น ไม่สนใจด้วยว่าเจ้าหล่อนจะดิ้นรนเอาเป็นเอาตายแค่ไหน

“เธอไม่ใช่คนเลวหรอก เพราะคนเลวที่แท้จริงคือฉัน”

หล่อนไม่ได้ตอบ แต่ร้องไห้เงียบๆ

“และถึงแม้ฉันจะรู้ว่าเธอจะได้รับผลกระทบไม่น้อยกับสิ่งที่ฉันต้องการ แต่ฉันก็ปล่อยเธอไปไม่ได้” ศีรษะทุยแสนทระนงโน้มต่ำลงมาหา สายตาของเขาล้ำลึกและอ่านไม่ออก “เพราะเธอเป็นเมียของฉัน เมียที่ต้องอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต”

“ความจริงคุณแซคไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้นี่คะ”

“ต้องทำสิ เพราะฉันได้เธอแล้ว” เขาย้ำอีกครั้งหนักแน่น

“ถ้าคุณแซคจะรับผิดชอบผู้หญิงที่ตัวเองมีความสัมพันธ์ด้วยทุกคน เมียของคุณแซคก็คงจะล้นโลกแล้วมั้งคะ” หล่อนประชดประชันเขาทั้งน้ำตา

แซคคารีย์หัวเราะร่วนด้วยความขบขัน “มันเหมือนกันที่ไหนกันล่ะ ผู้หญิงพวกนั้นฉันซื้อมาด้วยเงิน”

หล่อนช้อนตาขึ้นมองแซคคารีย์ “งั้นก็จ่ายเงินลินดามาสิคะ เรื่องของเราจะได้จบ…”

“ก็ฉันไม่อยากจบสักหน่อย ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้วนะ มันน่ารำคาญ เพราะถึงยังไง เธอก็เปลี่ยนใจฉันไม่ได้ ฉันต้องการเธอไปเป็นของเล่นชิ้นใหม่ในชีวิตของฉัน”

ของเล่น…

หล่อนมีค่าแค่นี้เองสินะ

“ของเล่นที่ฉันตั้งใจว่าจะเล่นด้วยทั้งวันทั้งคืน และทุกครั้งที่ฉันต้องการ…” แล้วปลายจมูกโด่งเป็นสันก็ฉกวูบลงบนแก้มนวลอีกครั้ง ร่างอรชรถูกกอดรัดแน่น และหล่อนก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างแข็งชันที่เจ้าของมันจงใจเอาถูไถกับหน้าท้องของหล่อน

“คุณแซค…”

“ว่าไง…” เขาถามและไม่หยุดถูไถอาวุธลับประจำกายกับหล่อนแม้แต่นิดเดียว

“อย่า… ทำแบบนี้สิคะ มันน่าเกลียดค่ะ”

“น่าเกลียดตรงไหน”

“ก็… อื้อ… พอเถอะค่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่มาเห็นเข้า ก็จะหาว่าลินดายั่วคุณแซคอีก”

“พวกท่านว่าเธอแบบนี้หรือ” น้ำเสียงของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “สงสัยต้องเรียกมาปรับทัศนคติสักหน่อย”

“คุณแซค อย่าไปพูดอะไรกับพวกท่านอีกนะคะ”

“ก็ได้ แต่เธอต้องตามใจฉัน”

“ตามใจ?”

“อืม” ดวงตาคมกริบมีรอยยิ้มพราย

“เอ่อ… จะให้ลินดาทำอะไรเหรอคะ”

“เดี๋ยวก็รู้”

“อุ๊ยยย ปล่อยลินดาลงไปนะคะ”

หล่อนตกใจไม่น้อย เมื่อจู่ๆ ร่างของตัวเองก็ถูกแซคคารีย์ช้อนอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน และเขาก็มุ่งหน้ากลับไปยังห้องนอนของหล่อนด้วยความรีบร้อน

“ปล่อยแน่ แต่ปล่อยบนเตียงนะ”

“คุณแซค… เราเพิ่งทำกันไป… เมื่อไม่นานนี้เองนะคะ” หล่อนพ้อหน้าแดงก่ำ

“ฉันแข็งแรง ทำได้ต่อเนื่องทั้งคืนนั้นแหละ”

และถึงแม้ว่าหล่อนจะอ้าปากปฏิเสธยังไง แต่ก็ไม่อาจจะทัดทาน ความหื่นไร้ขีดจำกัดของแซคคารีย์ได้ สุดท้ายผู้ชายที่ปากเคยบอกว่าเกลียดชังหล่อนนักหนา ก็จัดการจับร่างสาวกัดกินไปทั้งตัว และตลอดทั้งค่ำคืน

“พี่กลับบ้านก่อนนะ ลินดา”

“ค่ะพี่นก ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” อลินดายกมือโบกลาให้กับหทัยชนก ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกไปนอกตัวอาคารของโรงแรม แต่ก็เจอแฮรี่เข้าเสียก่อน

“กำลังจะกลับบ้านเหรอครับลินดา”

“ใช่ค่ะ”

คำตอบของอลินดาทำให้แฮรี่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ “งั้นผมไปส่งนะครับ วันนี้ต้องผ่านทางนั้นพอดี” แฮรี่รีบอธิบาย เพราะถ้าไม่บอกกับอลินดาว่าต้องไปทำธุระแถวบ้านของหล่อน ไม่มีทางที่เขาจะได้ไปส่งหล่อนที่บ้านอย่างแน่นอน

“เอ่อ… งั้นก็ต้องรบกวนด้วยนะคะ”

“ลินดาตกลงใช่ไหมครับ”

แฮรี่แสดงท่าทางดีใจยิ่งกว่าได้แก้วเสียอีก เขาฉีกยิ้มจนปากแทบถึงใบหู

อลินดาระบายยิ้มขบขัน ก่อนจะตอบรับ “ใช่ค่ะ ลินดาตกลงจะกลับบ้านกับคุณแฮรี่ค่ะ”

“เย้… ผมดีใจที่สุดเลย” แฮรี่ดีใจจนออกนอกหน้า และก็สร้างความหมั่นไส้ให้กับแซคคารีย์ที่เดินเข้ามาได้ยินพอดีเป็นที่สุด

“แต่คุณคงต้องผิดหวังหน่อยนะคุณแฮรี่ เพราะวันนี้อลินดาต้องกลับบ้านกับผม” แซคคารีย์ก้าวมาหยุดข้างๆ ตัวของอลินดา และคว้าแขนเรียวเอาไว้

“คุณแซค…” อลินดาตกใจเมื่อหันไปเห็นเขา และพยายามจะดึงแขนออกจากอุ้งมือกระด้าง แต่เขาไม่ยอมปล่อย บีบเสียแน่นจนหล่อนเจ็บระบม

“บอกคุณแฮรี่ไปสิอลินดา ว่าเธอจะกลับบ้านกับฉัน”

หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยความแคลงใจ กับการตามติดของ แซคคารีย์

“แต่ลินดาตอบตกลงกับคุณแฮรี่ไปแล้วค่ะ ต้องขอโทษคุณแซคด้วยนะคะ”

“ตอบตกลง ก็ยกเลิกได้นี่” แซคคารีย์แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “จริงไหมครับคุณแฮรี่”

“เอ่อ… ผมแล้วแต่ลินดาเลยครับ ผมไม่อะไรอยู่แล้ว”

คำตอบของแฮรี่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

อลินดาช้อนตาขึ้นมองปลายคางเขียวๆ ของแซคคารีย์อย่างหมั่นไส้ และก็อดที่จะอยากเอาชนะไม่ได้

“แต่ลินดาจะกลับกับคุณแฮรี่ค่ะ ขอโทษคุณแซคอีกครั้งนะคะ”

หญิงสาวบิดแขนของตัวเองออกจากอุ้งมือใหญ่ได้สำเร็จ และอาศัยจังหวะที่แซคคารีย์กำลังยืนตะลึงกับคำปฏิเสธไม่มีเยื่อใยของหล่อน จับแขนของแฮรี่ และเดินจากมาอย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนเรียกของแซคคารีย์ดังตามหลังมา แต่หล่อนไม่คิดจะหันกลับไปสนใจ แซคคารีย์ควรจะได้บทเรียนจากผู้หญิงที่เขาพร่ำบอกว่าเกลียดชังเสียบ้าง

“ลินดาแน่ใจนะครับว่าจะไม่มีปัญหากับท่านประธาน” แฮรี่เอ่ยถาม เมื่อนั่งคู่มาในรถกับหล่อนแล้ว

อลินดาก็ไม่แน่ใจหรอก แต่เพราะอยากเอาชนะแซคคารีย์บ้างก็เท่านั้นเอง

“คุณแซคเป็นแค่พี่เขยของลินดาน่ะค่ะ เขาไม่มีสิทธิ์มาบังคับอะไรลินดาหรอกค่ะ”

“แต่ทำไมผมรู้สึกว่าท่านประธานไม่ได้ปฏิบัติกับลินดาในลักษณะพี่เขยน้องสะใภ้…”

อลินดาหน้าซีดเผือดลง เมื่อความสงสัยของแฮรี่มีความเป็นจริงรวมอยู่ด้วยไม่น้อย

“ทะ… ทำไมคุณแฮรี่คิดแบบนั้นล่ะคะ คุณแซคกับลินดาเป็นแค่พี่เขยกับน้องสะใภ้เท่านั้นค่ะ”

แฮรี่ละสายตาจากท้องถนนมามองหน้าหล่อน “ผมรู้สึกว่าท่านประธานหึงลินดาน่ะครับ”

“หึง?”

“ใช่ครับ แต่ผมคงเข้าใจผิดไปเอง” แฮรี่แก้ความสงสัยให้กับตัวเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหันหน้าไปมองท้องถนนที่ทอดยาวอีกครั้ง

อลินดานั่งก้มหน้ามองฝ่ามือเล็กของตัวเองที่ตอนนี้มีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาจนเปียกชุ่ม และก็เลือกที่จะนั่งนิ่งเงียบไปตลอดทาง จนกระทั่งแฮรี่พูดขึ้นอีกครั้ง

“นั่น… รถท่านประธานใช่ไหมครับ”

“รถคันไหนคะ” อลินดาหันมองออกไปนอกกระจกรถฝั่งที่ตัวเองนั่ง แต่ก็ไม่เห็นรถของแซคคารีย์แม้แต่น้อย

“ที่ขับตามมาข้างหลังน่ะครับ”

อลินดาหันขวับไปมองด้านหลังทันที หล่อนหรี่ตาและจ้องมองรถสปอร์ตคันงามที่วิ่งตามมาติดๆ อย่างตกใจ เพราะรถราคาแพงแบบนี้น่าจะมีไม่กี่คันเท่านั้นในประเทศไทย

“ใช่ จริงๆ ด้วยค่ะ”

“ผมว่าท่านประธานน่าจะไม่พอใจมาก ก็เลยขับตามลินดามา”

อลินดาหันหน้ากลับมานั่งตัวตรงเช่นเดิม ในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

“บางที… คุณแซคอาจจะมีธุระเส้นทางนี้พอดีก็ได้ค่ะ”

“แต่ผมว่าไม่ใช่”

คำสันนิฐานของแฮรี่ทำให้หล่อนใจคอไม่ดี “งั้นคุณแฮรี่จอดส่งลินดาที่ป้ายรถเมล์แถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ”

“ทำไมล่ะครับลินดา”

“ก็ลินดาไม่อยากทำให้คุณแฮรี่เดือดร้อนน่ะค่ะ” หล่อนพูดออกมาอย่างเป็นกังวล แต่แฮรี่ส่ายหน้าไปมา

“ผมจะไปส่งลินดาที่บ้านครับ”

“แต่ว่า…”

“ผมคิดว่าท่านประธานโตแล้วน่าจะแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ และอะไรที่ไม่ควรทำ”

อลินดาลอบถอนใจออกมาแผ่วเบา พลางคิดในใจอย่างแสนวิตก

เมื่อก่อนหล่อนก็คิดแบบแฮรี่นี่แหละ ว่าแซคคารีย์เป็นคนมีเหตุผลแม้ว่าจะเอาแต่ใจและเผด็จการมากแค่ไหนก็ตาม แต่ตั้งแต่ที่หล่อนตกเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว นิสัยของแซคคารีย์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขานิสัยไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านเลยสักนิด แถมยังเอาแต่ใจมากขึ้นระดับล้านอีกต่างหาก

สักพักรถของแฮรี่ก็แล่นมาจอดที่หน้ารั้วบ้านของครอบครัวของหล่อน อลินดายกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะก้าวลงจากรถ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่รถสปอร์ตคันงามของแซคคารีย์พุ่งเข้ามาจอดข้างๆ พอดี

“อุ๊ยยย” หล่อนอุทานด้วยความตกใจ และเบี่ยงตัวหลบรถคันงามจนล้มลงไปกองกับพื้น แฮรี่เห็นเข้าก็รีบเปิดประตูรถลงมาประคองด้วยความเป็นห่วง ตรงกันข้ามกับแซคคารีย์ที่ก้าวลงมาจากรถพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยัน

“สำออยเก่งเสมอเลยนะ อลินดา”

หล่อนเม้มปากแน่น มองเขาอย่างขุ่นเคือง “คุณแซคมาทำไมที่นี่คะ”

“ที่นี่บ้านเมียฉัน ทำไมฉันจะมาไม่ได้”

อลินดาหน้าแดงก่ำ เรือนกายสาวร้อนฉ่า “แต่… เมียคุณแซคยังไม่กลับมาค่ะ”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อแสยะยิ้ม และเดินเข้ามากระชากร่างของหล่อนจนหลุดจากการประคองของแฮรี่

“แน่ใจหรือ”

ใบหน้างามร้อนผะผ่าว สายตาคมกริบสีสนิมบอกให้รู้ว่าเขากำลังโกรธเคืองแค่ไหน

อลินดาไม่กล้าที่จะแหย่โทสะของแซคคารีย์ต่อไป หล่อนจึงหันไปบอกลากับแฮรี่

“ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งลินดาถึงที่บ้าน”

“ด้วยความยินดีครับ”

แฮรี่ระบายยิ้มกว้าง แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันควัน เมื่อได้ยินเสียงดุดันของแซคคารีย์ดังสวนกลับมา

“แต่ครั้งหน้าไม่ต้องนะครับคุณแฮรี่ เพราะผมดูแล… เมีย… ไม่สิ น้องเมียของผมได้”

แซคคารีย์ระบายยิ้มเต็มใบหน้า พร้อมกับเอามือวางบนหัวไหล่มนของอลินดาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

“คุณแซค…”

“ว่าไง”

สีหน้าของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความยียวนกวนโทสะ ในขณะที่แฮรี่สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“งั้นผมกลับก่อนนะครับท่านประธาน ผมกลับก่อนนะครับลินดา”

“ขอบคุณอีกครั้งค่ะคุณแฮรี่”

“พรุ่งนี้ไปพบผมที่ห้องทำงานด้วยนะคุณแฮรี่”

คำพูดสุดท้ายของแซคคารีย์ทำให้สีหน้าของแฮรี่เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“เอ่อ ครับท่านประธาน”

“ไปได้แล้ว”

“ครับ” แฮรี่รีบก้าวขึ้นรถ และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

และเมื่ออยู่ตามลำพังกับแซคคารีย์ อลินดาก็สะบัดตัวออกจากอุ้งมือของเขาทันที

“คุณแซคทำอย่างนี้ทำไมคะ”

“ฉันทำอะไร”

ดูสีหน้าพ่อเจ้าประคุณสิ ไม่มีทีท่าแสดงความทุกข์ร้อนใจอะไรออกมาเลย

“ก็…” อลินดาอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันพูดจนจบ “ก็แตะเนื้อต้องตัวลินดาไงคะ”

เขาแสยะยิ้ม และเอียงคอมองหล่อน ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยไฟโทสะ

“แล้วฉันทำไม่ได้หรือไงล่ะ”

“ทำไม่ได้ค่ะ เพราะคุณแฮรี่จะสงสัยเอาได้”

ไหล่กว้างทรงพลังไหวน้อยๆ อย่างไม่แยแสอะไรในโลกนอกจากความต้องการของตัวเอง

“สงสัยว่าอะไรล่ะ”

ดูสิ เขาจะยังมีหน้ามาย้อนถามอีก

“ก็… เรื่องของเรา…”

แทนที่เขาจะรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนบ้าง แซคคารีย์กลับหัวเราะร่วนเสียงดังลั่น

“ความจริงฉันอยากจะประกาศให้พนักงานที่โรงแรมรู้เลยด้วยซ้ำไป ว่าเราสองคนจิ้มกันแล้ว”

แก้มนวลแดงซ่าน กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง “คุณแซค ทำไมต้องทำแบบนี้คะ”

“ฉันทำผิดตรงไหนล่ะ ในเมื่อเธอเป็นเมียฉัน และฉันก็ไม่อยากปิดบังฐานะนี้ของเธออีกแล้ว มันอึดอัดนะจะบอกให้”

จู่ๆ แซคคารีย์ก็เดินเข้ามาหา และรวบเอวคอดไปกอดเอาไว้ พร้อมกับก้มลงจูบปากอิ่มที่เม้มแน่นของหล่อนแรงๆ จูบจนหล่อนแทบหยุดหายใจ จึงยอมปล่อยให้ปากอิ่มเป็นอิสระ

“ฉันอยากจูบเธอที่โรงแรม โดยที่ไม่ต้องแคร์สายตาของใคร”

“คุณแซค… อย่าทำแบบนี้ค่ะ” หล่อนทั้งหน้าแดง ทั้งอุ่นซ่านไปทั้งตัว เมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนทรงพลังของแซคคารีย์ “ปล่อยลินดานะคะ เดี๋ยวแม่มาเห็นเข้า”

“เห็นก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องอธิบายให้มากความ”

“คุณแซค”

หล่อนขานชื่อเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่เขาเอาแต่อมยิ้ม และฉวยโอกาสลูบไล้เนินสะโพกและบั้นท้ายของหล่อนตลอดเวลา

“เลือกเอาจะกลับไปที่บ้านของฉัน หรือว่าจะนอนค้างที่นี่”

“ลินดาจะค้างที่นี่ค่ะ” หล่อนตอบโดยไม่ต้องหยุดคิดเลยแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าการอยู่ที่นี่จะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากน้ำมือของแซคคารีย์ แต่ผิดคาดไปถนัดตา

“แล้วห้องเธอเก็บเสียงไหม เตียงแข็งแรงหรือเปล่า”

เสียงกระซิบกระซาบแหบพร่าของแซคคารีย์ที่ดังอยู่ข้างหู ทำให้ อลินดาต้องช้อนตาขึ้นมองด้วยความแปลกใจ

“ทำไม… คุณแซคต้องถามแบบนี้ด้วยล่ะคะ”

“อ้าว ก็ต้องถามสิ ฉันไม่อยากทำเตียงเธอหักนี่น่า”

“ห๊ะ? นี่คุณแซคคงไม่ได้หมายความว่าจะค้างที่นี่กับลินดาด้วยหรอกใช่ไหมคะ”

แซคคารีย์จรดปลายจมูกลงกับแก้มนวล จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตแสนหวานของอลินดา ผู้หญิงที่ทำให้เขาเป็นบ้าเพราะคิดถึงทุกเสี้ยวนาที

“เมียอยู่ที่นี่ ผัวก็ต้องอยู่ด้วยสิ”

“คุณแซค… แบบนี้ไม่ได้นะคะ”

“ได้สิ ถ้าฉันต้องการ”

เขาปล่อยมือจากเอวคอดของหล่อน และเปลี่ยนมากุมมือแทน

“ห้องนอนอยู่ไหน พาฉันขึ้นไปหน่อย ตอนนี้อยากนอนพักแล้ว”

อลินดาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าแซคคารีย์จะนอนพักจริงๆ เขาจะต้อง… จะต้องรังแกหล่อนอย่างแน่นอน

“ไม่ค่ะ”

“แน่ใจนะ”

สายตาของแซคคารีย์ที่จ้องมองมาหรี่แคบและเต็มไปด้วยความท้าทาย

อลินดาเสหลบสายตา หัวใจเต้นแรงระรัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนมารอบโลกไม่มีผิด

หล่อนหวั่นไหวเสมอยามอยู่ใกล้กับแซคคารีย์ ผู้ชายที่มีรูปโฉมราวกับเทพบุตร

“คุณแซค… อย่า… ทำอะไรลินดาเลยนะคะ ให้ลินดาพักผ่อนเต็มตาสักคืน…”

หล่อนวิงวอน แต่เขาส่ายหน้าปฏิเสธ

“ถ้าฉันไม่ทำ ฉันก็คลั่งตายน่ะสิ เอาเป็นว่าฉันจะทำให้น้อยครั้งลง โอเคไหม”

“แต่ลินดาคิดว่า…”

“ไม่ต้องมาคิดวงคิดว่าแล้ว ห้องนอนอยู่ไหน”

น้ำเสียงของเขาทั้งดุดันและเด็ดขาด ทำให้หล่อนรู้ดีว่าไม่อาจจะขัดใจคนเผด็จการได้อีก

“ทางนู้นค่ะ”

หล่อนได้ยินเขาหัวเราะหึหึ จากนั้นร่างของหล่อนก็ลอยละลิ่วติดมือหนาไปในที่สุด

หล่อนควรจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แต่… มันทำได้ยากเหลือเกิน เมื่อผู้ชายคนนั้นคือแซคคารีย์

“ทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยล่ะ ก็ฉันบอกเธอแล้วไง ตอนที่ฉันกำลัง…” แซคคารีย์อมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายจ้องมองหล่อนไม่วางตา “อยู่ในตัวของเธอน่ะ”

“คุณแซค… อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ”

“ทำไมจะพูดไม่ได้ ฉันเป็นผัวเธอไม่ใช่หรือไง”

คนตัวโตเริ่มหงุดหงิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายแสดงออกความสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ แถมยังเป็นผู้หญิงที่เขารู้มาว่าตกหลุมรักเขามาตั้งนานแล้วอีกต่างหาก

“หรือว่าต้องให้ย้ำอีกรอบ”

“ไม่… ไม่ต้องค่ะ” อลินดาหน้าแดงก่ำ “แต่คุณแซคก็รู้นี่คะว่าอะไรเป็นอะไร ลินดาว่าเราหยุดความสัมพันธ์ผิดพลาดพวกนี้เอาไว้แค่นี้เถอะค่ะ ลินดาไม่อยากทำผิดกับพี่นารี…”

นิ้วยาวยื่นมาตรึงปลายคางมนเอาไว้แน่นและบังคับให้หล่อนสบประสานสายตา

“เธอทำผิดกับนารีตั้งแต่แอบรักฉันแล้วล่ะ อลินดา”

“เอ่อ…”

“ดังนั้น เธอต้องร่วมกันรับผิดชอบกับฉัน ห้ามตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปคนเดียวเด็ดขาด”

“คุณแซคคะ ทางออกมันง่ายนิดเดียวเองค่ะ แค่คุณแซคปล่อยลินดาไป…”

ใบหน้าหล่อจัดส่ายไปมาน้อยๆ สายตาคมกริบแวววับ “นั่นคือทางเลือกสุดท้ายในโลกที่ฉันจะทำ”

“แต่คุณแซคเกลียดลินดา อย่าลืมสิคะ”

เขากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ และเอียงหน้าเข้าใกล้แม่ผู้หญิงเข้าใจยากตรงหน้าจนปลายจมูกแทบชนกัน

“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้…”

“ตอนนี้ทำไมเหรอคะ” อลินดาเอียงคอรอคอยฟังคำตอบ

“ตอนนี้ก็ยิ่งเกลียดมากกว่าเดิมยังไงล่ะ”

คนฟังน้ำตาริน แต่ก็พยายามที่จะกะพริบตาถี่ๆ เพื่อซ่อนความเสียใจเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“ถ้าเกลียดกันมา ก็อย่ามาแตะต้องตัวของลินดาสิคะ ให้ลินดากลับบ้านไปหาพ่อกับแม่เสียที” หล่อนพูดออกมาเสียงขมขื่น และก็ดิ้นรนสุดแรงแต่ก็ยังไม่ได้รับอิสระ

“ขืนปล่อยไป เธอก็ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเปล่าๆ ดังนั้นฉันจึงต้องเสียสละตัวเอง เพื่อกักขังเธอเอาไว้ยังไงล่ะ” คนพูดยิ้มพราย นัยน์ตาเจ้าเล่ห์

“ลินดาสัญญาค่ะว่าจะไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน”

“หยุดพูดเถอะ ฉันไม่เชื่อเธอหรอก”

“คุณแซค…”

“ตอนนี้ทางเลือกเดียวของเธอก็คืออยู่กับฉัน เป็นเมียของฉันอย่างเปิดเผย”

“แต่ว่า…”

“เดือนหน้าจะมีงานเลี้ยงบริษัทฯ ฉันจะเปิดตัวเธอที่นั่น”

อลินดาได้ยินก็ยิ่งตกใจ “อย่าทำแบบนั้นเลยค่ะ พนักงานจะเอาไปพูดเสียๆ หายๆ แล้วคุณแซคจะเสียชื่อ…”

แซคคารีย์จรดปลายจมูกลงบนแก้มนวลฟอดใหญ่ ก่อนจะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเล็ก

“แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ คนที่เสียชื่อก็จะเป็นเธอนะ อลินดา ซึ่งฉันยอมไม่ได้”

สายตาของแซคคารีย์ที่มองมาทำให้หล่อนสะท้านไปทั้งตัว นี่เขา… เขากำลังพยายามบอกอะไรหล่อนทางสายตาหรือเปล่านะ ทำไมสายตาที่มองมาถึงเปลี่ยนไปมากนัก

“ชื่อเสียงของลินดาเสียหายไปตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”

“นั่นสิ เธอรับสมอ้างเป็นผู้หญิงในคลิปนั่นทำไม”

คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของแซคคารีย์ทำให้ อลินดาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อนตกใจ

“เอ่อ…”

“ตอบฉันมาสิ เธอยอมรับว่าเป็นผู้หญิงในคลิปทำไม ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เธอเลยสักนิด”

หล่อนก้มหน้าเสหลบสายตาคาดคั้นของแซคคารีย์ “ทำ… ทำไมจะไม่ใช่ล่ะคะ นั่นคือ… ลินดาเอง”

“โกหก!” เขาเค้นเสียงดุดันใส่หน้า “เธอคิดว่าหลังจากที่เรานอนด้วยกันแล้ว ฉันจะโง่จนดูไม่ออกหรือว่าเธอเป็นผู้หญิงประเภทไหน”

“คุณ… คุณแซคอาจจะมองผิดไปก็ได้ค่ะ และ… ลินดาก็มีมารยาหญิงตั้งเยอะ คุณแซคตามลินดาไม่ทันหรอกค่ะ โอ๊ย…” ต้นแขนถูกบีบแรงๆ จนเจ็บ

“ฉันไม่ได้กินหญ้านะอลินดา”

คนถูกบีบแขนแรงๆ น้ำตาริน ช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างช้ำใจ “ก็ถ้าไม่ใช่ลินดาแล้วจะเป็นใครล่ะคะ ในเมื่อทั้งหน้าตา และชื่อของผู้หญิงในคลิปก็คือลินดา”

“นั่นสิ ถ้าผู้หญิงในคลิปไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครได้นะ”

น้ำเสียงของแซคคารีย์แผ่วเบาราบเรียบก็จริง แต่หล่อนกลับรู้สึกว่าเขากำลังสงสัยอะไรบางอย่าง

“คุณแซคอย่าพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วเลยค่ะ ลินดาไม่อยากพูดถึงมันอีก” หล่อนตัดบทและเสหลบสายตา

“ก็ตามใจเธอ แต่คนอย่างฉันถ้าอยากรู้อะไรแล้ว ก็ต้องรู้ให้ได้”

หล่อนเผยอตัวเงยหน้าขึ้นสบประสานสายตากับเขาด้วยความตกใจ แต่ก็พูดอะไรออกไปไม่ได้

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ลินดาขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”

“ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

“ทำ… ทำไมล่ะคะ”

รอยยิ้มของแซคคารีย์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหิวกระหาย ใบหน้าคมสันโน้มต่ำลงมาหาเรื่อยๆ แม้หล่อนจะพยายามเอียงหน้าหนี แต่มือใหญ่ก็ตรึงท้ายทอยเอาไว้แน่นหนา

“ก็เพราะว่าฉัน… ยังไม่ได้เริ่มธุระของเราเลยยังไงล่ะ”

“คุณแซค… จะ…”

หนุ่มหล่อยิ้มพราว “อืม…” เขาตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบาน และประเดิมด้วยการบดขยี้กลีบปากอิ่มอย่างร้อนแรง อลินดาพยายามบอกให้ตัวเองดิ้นรนหาทางหนี แต่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง สัมผัสของแซคคารีย์ทำให้หล่อนร้อนฉ่า ยิ่งยามเขาไล้ลิ้นไปตามกลีบปากอิ่ม และกอบกุมเต้าทรวงเอาไว้ใต้ฝ่ามือใหญ่ หล่อนก็ยิ่งร้อนฉ่า จนต้องบิดตัวเข้าหาวิงวอน

ปากของเขาแนบสนิทชิดเชื้อไม่ยอมห่างหาย ลิ้นร้อนลวกไปทั่วผิวสาว ร่างอรชรอ่อนระทวยถูกดันให้นอนราบกับโซฟา กระโปรงตัวสวยถูกตลบขึ้นไปไว้บนเอวคอด ก่อนที่นิ้วยาวจะเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในลูกไม้และรูดมันผ่านสะโพกกลมกลึงลงไป

“คณแซค… อย่า… ทำเลยค่ะ… อื้อ…” สติที่เหลืออยู่น้อยนิดร้องเตือนให้หล่อนขัดขืน แต่มันก็เป็นการขัดขืนที่อ่อนแรงเหลือเกิน “เดี๋ยวใครเข้ามาเห็นนะคะ…”

แต่แซคคารีย์ถูกไฟสวาทครอบงำจนล้ำลึกเสียแล้ว เขาไม่อาจจะยับยั้งชั่งใจได้อีก ในเมื่ออลินดาคือต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่มีสมาธิในการทำงานในวันนี้เลย สมองเอาแต่คิดถึงหล่อน ร่างกายก็แข็งชันปวดร้าวแสนทรมาน

“ฉันหยุดไม่ได้…”

“แต่…”

“ขอร้องล่ะ อย่าขัดใจฉันเลย… อลินดา…” แซคคารีย์ไม่เคยต้องขอร้องใครมาก่อนในชีวิต แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องวิงวอนเพื่อให้ผู้หญิงใต้ร่างให้ความร่วมมือ เขาต้องการหล่อนจนแทบบ้า

“ได้โปรด… ให้ฉันได้เข้าไปในตัวของเธออีกครั้งเถอะนะ”

น้ำเสียงแหบกระเส่าของคนตัวโตเต็มไปด้วยความปรารถนามากล้น และมันก็ทำให้หล่อนที่หลงรักเขาอยู่เต็มหัวใจไม่อาจจะใจแข็งต่อไปได้อีก

ในที่สุดอลินดาก็พยักหน้าตอบรับ และแยกสองขาเรียวออกจากกัน เพื่อเปิดรับความหฤหรรษ์ที่แซคคารีย์เตรียมเอาไว้ให้อย่างเต็มอกเต็มใจ

“โอ้ว… อืมมมมม”

กฤติชัยเลิกคิ้วด้วยความแปลกประหลาดใจ เมื่อหลังจากดึงผ้าปิดปากออกจากใบหน้าของนารีรัตน์แล้ว เขาก็เห็นรอยยิ้มหวานฉ่ำของหล่อน

“นี่ผมคงไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ที่เห็นว่าคุณยิ้มให้ผม”

“คุณไม่ได้ตาฝาดไปหรอกค่ะคุณกฤติชัย นารียิ้มให้กับคุณจริงๆ ค่ะ”

กฤติชัยยังไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น เขาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กับร่างที่ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ของนารีรัตน์ และจ้องหน้าหล่อนเขม็ง

“คิดจะหลอกอะไรผมอีกล่ะ”

ศีรษะของนารีรัตน์ส่ายไปมา ใบหน้าสวยหวานเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มละมุนละไม

“นารีไม่ได้จะหลอกลวงอะไรคุณอีกแล้วล่ะค่ะ”

“แล้วทำไมคุณเปลี่ยนเร็วปุบปับแบบนี้ล่ะ เมื่อคืนยังสาปแช่งให้ผมไปตายอยู่เลย” สายตาของกฤติชัยไม่ละไปจากใบหน้าของนารีรัตน์เลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะเขาต้องการจะหาพิรุธบนดวงหน้างามให้เจอ แต่กลับหาไม่พบเลย

“นารีนอนคิดมาทั้งคืนแล้วค่ะ”

“คุณคิดอะไร”

นารีรัตน์น้ำตาซึม มองหน้ากฤติชัยด้วยสายตาที่อ่อนโยน “นารีรู้แล้วล่ะค่ะว่าใครกันที่นารีควรจะรักและอยู่ด้วยไปชั่วชีวิต”

“ผมไม่เชื่อที่คุณพูดหรอกนารี” กฤติชัยไม่หลงกล เพราะเขารู้ดีว่านารีรัตน์มีมารยาหญิงมากมายแค่ไหน

“นารีไม่ขอให้คุณเชื่อหรอกค่ะ แต่เวลาจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเองว่าทุกคำพูดของนารีคือความจริง”

เพราะความรักที่มีต่อตัวนารีรัตน์ทำให้กฤติชัยเริ่มใจอ่อน แต่ก็พยายามที่จะฝืนเอาไว้

“แน่นอน เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่าง แม้กระทั่งละครฉากใหญ่ที่คุณกำลังแสดงกับผม”

“นารีไม่ได้แสดงละครนะคะ นารี… คิดได้แล้วจริงๆ ค่ะ”

ผู้หญิงตรงหน้าของเขายังคงระบายยิ้มหวานฉ่ำเหมือนเดิม ดวงตาของหล่อนที่จ้องมองมาทำไมถึงได้หวานซึ้งปั่นป่วนหัวใจของเขาแบบนี้นะ

อย่าใจอ่อน!

เสียงหนึ่งในหัวร้องเตือน แต่ก็ไม่อาจจะทัดทานความรักที่มีต่อผู้หญิงตรงหน้าได้ สุดท้ายก็ใจอ่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง

“ผมเชื่อคุณได้แค่ไหนกัน นารี”

“คุณเชื่อใจนารีได้เลยค่ะ ตอนนี้นารีจะมองแค่คุณคนเดียว”

การเห็นรอยยิ้มของผู้หญิงที่ตัวเองรักจนหมดหัวใจมันทำให้เขาอ่อนยวบลงได้อย่างง่ายดาย

“แล้วคุณแซคคารีย์ล่ะ คุณรักเขาไม่ใช่เหรอ”

“เรื่องคุณแซค ความจริงแล้วนารีไม่ได้รักเขาหรอกค่ะ นารีก็แค่อยากเอาชนะลินดา เพราะนารีรู้ว่าลินดาแอบรักคุณแซคมานานแล้ว นารีเป็นพี่ที่ไม่ดี นารีจะปรับปรุงตัวค่ะ”

กฤติชัยดึงร่างของนารีรัตน์เข้ามาสวมกอด “ต่อให้คุณเลวมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เคยหยุดรักคุณได้เสียที นารี”

เจ้าของชื่อที่ซบหน้ากับหน้าอกของกฤติชัยลอบยิ้มสะใจออกมา ก่อนจะปั้นเสียงอ่อนเสียงหวานออกไป

“ขอบคุณนะคะคุณกฤติชัย ก็มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นแหละที่รักนารีจริงๆ”

หล่อนยื่นหน้าไปจูบแก้มสากของกฤติชัย “นารีรักคุณนะคะ นารีสัญญาว่าจะไม่ยอมจากคุณไปไหนอีก เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด เท่าที่คุณจะเตรียมงานทัน”

กฤติชัยฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “คุณจะแต่งงานกับผมจริงๆ เหรอนารี…”

“ค่ะ นารีรักคุณนี่คะ อยากอยู่กับคุณ แต่…”

“แต่อะไรเหรอครับ”

นารีรัตน์มองหน้ากฤติชัยและแสร้งบีบน้ำตาออกมา “แต่ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่านารีเป็นภรรยาของคุณแซค ดังนั้นนารีควรจะต้องกลับไปเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน”

สีหน้าของกฤติชัยมึนตึงขึ้นทันที “ผมไม่ให้คุณไปไหนหรอก เพราะผมรู้ว่าคุณจะไม่กลับมาอีก”

“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้หรอกค่ะ นารีจะไม่มีวันหนีคุณไปไหนอีก และถ้านารีหนีจริงๆ คุณก็ไปลากนารีกลับมาได้นี่คะ คุณทำได้อยู่แล้ว”

“แต่ผมไม่ไว้ใจคุณ”

นารีรัตน์ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของกฤติชัย

“คนรักกัน ก็ต้องเชื่อใจกันไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าคุณไม่ได้รักนารีแล้ว”

“ผมรักคุณเสมอนั่นแหละ แต่ผมกลัวใจคุณ”

“นารีจะไม่มีวันไปไหนค่ะ นารีจะกลับมา เชื่อนารีนะคะ”

ปากของนารีรัตน์ยื่นไปจูบปากของกฤติชัยเอาไว้แน่น หล่อนขยับปากไปตามจังหวะสวาท และก็มั่นใจว่ามันจะทำให้กฤติชัยยอมทำตามความต้องการของหล่อนได้ไม่ยาก

“นารีรักคุณนะคะ คุณกฤติชัย…”

ขณะที่กฤติชัยกำลังเคลื่อนไหวร้อนแรงอยู่ในกายสาว นารีรัตน์ก็เสแสร้งเล่นละครได้อย่างแนบเนียน หล่อนกอดรัดเขาเอาแนบอก ตอบสนองเกมสวาทที่เขาเป็นผู้ควบคุมอย่างเต็มอกเต็มใจ และก็คาดหวังเอาไว้เต็มเปี่ยมว่าตัวเองจะได้รับอิสรภาพในไม่ช้า

“ผมก็รักคุณ… นารี… โอ้ว…”

วันนี้แซคคารีย์โทรกวนหล่อนทั้งวัน จนหล่อนแทบไม่ได้ทำงานทำการ พอหล่อนไม่ยอมรับสาย เขาก็ให้เลขาฯ ลงมาตามหล่อนถึงแผนกบัญชีทีเดียว ไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนหน้าหล่อนก็แทบจะไม่ชายมองด้วยซ้ำ

อลินดาถอนใจอย่างสับสน กำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดกว้างออก แต่ก็ชนเข้ากับคนที่เดินพรวดออกมาพอดีเข้าอย่างจัง ซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนในมือผู้ชายตรงหน้าร่วงลงกับพื้น และสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็ไหลออกมาจนหล่อนมองเห็น

ภาพพวกนั้นมัน….?

แม้จะเห็นแค่เพียงแว่บเดียว แต่หล่อนก็จำได้ติดตาไม่ลืมว่าภาพพวกนั้นมันคือภาพในคลิปหลุดว่อนเน็ตของนารีรัตน์พี่สาวฝาแฝดของตนเอง

“ภาพพวกนี้…”

หล่อนกำลังจะเอ่ยถาม แต่ผู้ชายตรงหน้ารีบก้มลงเก็บภาพที่หลุดออกมาใส่กลับเข้าไปในซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนอย่างรวดเร็ว

“ขอตัวก่อนครับ”

“เดี๋ยวสิคะ”

หล่อนร้องเรียกเพราะยังไม่ได้คำตอบ แต่ผู้ชายคนนั้นก็เดินหายไปไกลเสียแล้ว อลินดาก้าวเข้ามาในลิฟต์ แต่ความสงสัยก็ยังคงแน่นเต็มหัว และก็อดที่จะเอ่ยถามวาเนสซ่าที่นั่งอยู่หน้าห้องทำงานของแซคคารีย์ไม่ได้

“เอ่อ… ผู้ชายตัวสูงๆ ที่ถือซองเอกสารสีน้ำตาล มาพบคุณแซคใช่ไหมคะ”

หล่อนคาดเดา

“ใช่ ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงเหรอ” วาเนสซ่าถามกลับ แต่อลินดาก็ส่ายหน้าไปมา

“ก็แค่เดาเอาน่ะค่ะ”

วาเนสซ่ามองค้อนหล่อน ก่อนจะลุกขึ้นยืน “รีบเข้าไปหาท่านประธานได้แล้ว ท่านรอนานแล้ว”

“ค่ะ”

อลินดาตอบรับ ก่อนจะก้าวเดินไปหยุดที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ และเคาะประตูเบาๆ

“ขออนุญาตค่ะ”

“เข้ามา”

หล่อนดันบานประตูไม้เข้าไปทันที เมื่อได้ยินเสียงตอบอนุญาตจากเจ้าของห้อง

แซคคารีย์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือและมองหล่อน “ทำไมมาช้านัก ฉันให้วาเนสซ่าไปตามตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”

“ก็เพิ่งว่างค่ะ”

คนตัวโตจ้องหน้าหล่อนเขม็ง ก่อนจะวางปากกาในมือ และลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะทำงานออกมาเผชิญหน้ากับหล่อนที่กลางห้อง คนตัวเล็กถดถอยหนีโดยอัตโนมัติ แต่ไปไหนไม่รอด เพราะวินาทีเดียวเอวคอดก็ถูกรวบ และร่างอวบอัดก็ถูกรั้งเข้าไปกอดรัดแน่น

“ปล่อยนะคะ”

เขาไม่ปล่อย แต่กลับก้มหน้าลงมาขยี้ปากอิ่มที่กำลังเผยอเพื่อโต้แย้ง ลิ้นฉ่ำสอดแทรกเข้ามาภายในอุ้งปากสาวด้วยความรวดเร็ว ตวัดรัดรึงลิ้นเล็ก ดูดกินจนสาแก่ใจ จึงยอมให้ปากสาวเป็นอิสระ

อลินดาหอบหายใจระส่ำ แก้มนวลแดงระเรื่อ

“ทำ… ทำแบบนี้ทำไมคะ ปล่อยลินดานะ”

“ถ้าดื้อกับฉันอีก จะจูบต่อหน้าวาเนสซ่าเลยคอยดู”

หล่อนมองเขาอย่างตื่นตกใจ “ไม่ได้นะคะ ถ้าทำแบบนั้นคนที่นี่ก็จะรู้ว่าเรา…”

“รู้แล้วไง ก็มันคือความจริงนี่”

แล้วคนจอมเผด็จการก็รั้งร่างของหล่อนให้เดินตามไปนั่งบนโซฟาริมหน้าต่าง ข้างๆ ร่างของตัวเอง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะสั่งให้คนย้ายโต๊ะของเธอขึ้นมาไว้ในห้องทำงานของฉัน”

“คะ?” หล่อนตกใจมาก

อลินดาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนอันว่างเปล่า ที่นอนข้างกายไม่มีเรือนร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่นอนกกกอดมาตลอดทั้งค่ำคืนอีกแล้ว หล่อนกัดฟันขยับกายลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บแปลบในที่ส่วนกลางลำตัวย้ำเตือนให้ระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืนได้เป็นอย่างดี

หล่อนกับแซคคารีย์นอนด้วยกัน… และมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย แก้มนวลแดงระเรื่อด้วยความขัดเขินแต่ไม่นานความรู้สึกอดสูก็ค่อยๆ แทรกแทนที่เข้ามาจนเต็มเนื้อหัวใจ ความสุขทางกายที่ได้รับจากเขามาตลอดทั้งคืนจนล้นปรี่ตอนนี้จางหายไปจนหมดสิ้น หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจไหลรินออกมา

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนก็จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้ หล่อนยังคงอยู่ในสถานะน้องสะใภ้ของเขา และเขาก็คือพี่เขยของหล่อน ความจริงนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้

หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งด้วยความเสียใจ หล่อนไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าไม่มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หล่อนทั้งพึงพอใจ ทั้งลุ่มหลงกับสัมผัสของแซคคารีย์ แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันเป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ที่เกิดจากความพลั้งเผลอนั้น มันก็แค่การระบายความใคร่ของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ มาเกี่ยวข้อง

อลินดาปวดหนึบไปทั้งหัวใจ หล่อนต้องใช้เวลาอยู่นานหลายนาทีกว่าจะหยุดร้องไห้ และเดินหายเข้าไปในห้องน้ำได้สำเร็จ และหลังจากใช้เวลาในห้องน้ำอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง หล่อนก็รีบก้าวออกมาแต่งเนื้อแต่งตัวเลียนแบบนารีรัตน์พี่สาวของตัวเองอย่างที่เคยทำทุกวัน แปรงขนนุ่มบรรจงปัดลงบนแก้มนวลจนเกิดสีสัน แต่ยังไม่ทันแต่งหน้าเสร็จ ประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดกว้างออกเสียก่อน และร่างของแซคคารีย์ที่อยู่ในชุดทำงานเรียบหรูก็ปรากฏตัวขึ้น

“คุณแซค…”

หล่อนขานชื่อของผู้ชายที่ก้าวเข้ามาภายในห้องนอนด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

เขาเดินเข้ามาหยุดข้างๆ จ้องหน้าหล่อนผ่านกระจกเงาบานใหญ่ด้วยความไม่พอใจ

“แต่งหน้าทำไม”

หล่อนเม้มปากแน่น และก็พยายามที่จะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มันก็สั่นเทาอยู่ดี

“คุณแซคลืมไปแล้วเหรอคะว่าฉัน… เอ่อ… ลินดาอยู่ที่นี่ในคราบของพี่นารี” หล่อนกำลังจะทาลิปสติกสีแดงสดที่ปากอิ่ม แต่ถูกมือใหญ่แย่งไปจากมือเสียก่อน

“ฉันไม่ได้ลืมหรอก แต่ต่อจากนี้ไปเธอไม่ต้องแสดงตัวว่าเป็นนารีอีกแล้ว”

หล่อนน้ำตาซึม เม้มปากอิ่มแน่นจนเป็นเส้นตรง ก็โดนคนตัวโตตำหนิอย่างไม่พอใจ

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเม้มปากแบบนี้ ปากจะช้ำหมด”

เขากระชากร่างของหล่อนให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้สตูล และให้หันมาเผชิญหน้า

“หัดทำตามคำสั่งของฉันเสียบ้าง เข้าใจไหม”

อลินดามองเขาอย่างน้อยใจ ก่อนจะถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมา

“ถ้าไม่ให้ลินดาแต่งหน้าแต่งตัวเหมือนพี่นารี คุณแซคก็จะถูกคนใช้เอาไปนินทาได้นะคะ”

“ไม่มีใครกล้านินทาอะไรฉันกับเธอแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันบอกทุกคนไปแล้วว่าเธอคือลินดาไม่ใช่นารี”

“คุณแซค?” หล่อนเบิกตากว้างตกใจ

“ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นหรอก ฉันก็แค่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไปโดยไม่ทันคิดต่างหากล่ะ” เพราะต้องการกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง ทำให้แซคคารีย์พูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงออกไป

“ก็… ลินดาบอกแล้วนี่คะว่าไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบ”

“ฉันตัดสินใจไปแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนี้”

“แต่คุณแซคจะต้องเสียชื่อเสียงนะคะ หากคนอื่นรู้ว่าเจ้าสาวในงานแต่งงานคือตัวปลอม”

“ตอนนี้เธอเป็นตัวจริงไปแล้วอลินดา”

ถึงหล่อนจะจับพลัดจับพลูได้เป็นตัวจริง แต่ก็เป็นตัวจริงที่แซคคารีย์ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรด้วยเลย

“คุณแม่ของคุณแซคคงไม่พอใจมาก ถ้ารู้เรื่องนี้”

“ท่านรู้เรียบร้อยแล้วล่ะ และเธอก็คิดถูกต้อง เพราะคุณแม่ไม่พอใจมาก…”

อลินดาน้ำตาไหล “ลินดาไม่อยากทำให้คุณแซคเดือดร้อนค่ะ ยังไง… ให้มันเป็นแบบเดิมเถอะนะคะ ลินดาก็แค่อยู่กับคุณคั่นเวลาไปก่อน แล้วถ้าพี่นารีกลับมา ลินดาก็จะไปทันทีค่ะ”

ศีรษะทุยสวยของแซคคารีย์ส่ายไปมาน้อยๆ “แล้วถ้าเกิดเธอท้องขึ้นมาจะทำยังไง”

“ท้อง… ท้องเหรอคะ” หล่อนไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้เลย

“ใช่ เมื่อคืนฉันจัดเธอสดตั้งหลายรอบ”

แก้มนวลแดงก่ำ พูดไม่ออก

“และผู้หญิงอ่อนประสบการณ์อย่างเธอ คงไม่ได้กินยาคุมเตรียมพร้อมเอาไว้หรอก จริงไหม”

“เอ่อ…”

“ดังนั้น สิ่งที่ฉันทำมันคือทางออกที่ดีที่สุด”

“แต่คุณแม่ของคุณแซคไม่พอใจนะคะ แถมยังมีญาติพี่น้องของคุณแซคอีก”

ไหล่กว้างไหวน้อยๆ กอดและรั้งหล่อนเข้ามากอดแนบอก ปากร้อนจัดทาบลงบนกลีบปากอิ่มที่กำลังจะเผยอเปล่งคำพูดอย่างแม่นยำ รอยจุมพิตหวานฉ่ำก่อเกิดขึ้นเนิ่นนานกว่าจะคลายลง

“ไม่มีใครบังคับฉันได้ เธอก็น่าจะรู้นี่”

“แต่…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้ว ฉันไม่ชอบให้เธอแต่งหน้าจัดแบบนี้” อ้อมแขนกำยำคลายออก

อลินดามองเขาอย่างน้อยใจ “คุณแซคกลัวว่าแยกไม่ออกใช่ไหมล่ะคะว่าผู้หญิงตรงหน้าของคุณแซคคือพี่นารีหรือว่าลินดา”

แซคคารีย์หรี่ตาแคบจ้องหน้าหล่อน ศีรษะทุยสวยโน้มต่ำลงมาหาจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

“แค่กลิ่นตัว ฉันก็แยกออกแล้วว่าใครเป็นใคร”

“ก็ใช่น่ะสิคะ กลิ่นเน่าๆ ของลินดามันแรง อ๊ะ… ปล่อยค่ะ” หล่อนอุทานตกใจ เมื่อถูกกระชากเข้าไปกอดรัดแน่นอีกครั้ง

“เลิกเอาคำพูดงี่เง่าของฉันกลับมาโยนใส่หน้าฉันเสียทีเถอะ ฉันไม่อยากฟังแล้ว”

“ก็มันคือความจริงนี่คะ”

“ถ้าเธอเหม็นเน่า แล้วฉันจะกินเธอทั้งคืนไหม อลินดา คิดสิ สมองน่ะมีไหม” แล้วปากร้อนจัดก็ทาบประกบลงมาแรงๆ เคลื่อนไหวอย่างดุดัน จูบจนอลินดาแทบหยุดหายใจ จึงยอมให้อิสรภาพ “จำเอาไว้นะ ห้ามว่าตัวเองอีก”

หล่อนไม่เคยว่าตัวเอง แต่มันเป็นคำด่าทอของเขาที่ขว้างใส่หน้าหล่อนประจำต่างหาก

“ไปล้างหน้าซะ ฉันจะลงไปรอที่รถ”

“ลินดาจะไปเองค่ะ”

“ถ้าดื้อ เดี๋ยวจะกัดปากให้ขาดเชียว”

ไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียวที่แสดงความข่มขู่ แต่สายตาสีสนิมก็เต็มไปด้วยการคาดโทษเช่นกัน ดังนั้นอลินดาจึงต้องก้มหน้าทำตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก

แซคคารีย์มองตามร่างอวบอัดของอลินดาที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา เขาเกลียดตัวเองจังเลย ที่เอาแต่คิดจะจับอลินดาขึ้นเตียงตลอดเวลา

“บ้าชิบ”

เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด ความรู้สึกที่ถูกครอบงำจนมืดมิดไร้แสงสว่าง แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่มีทางดิ้นหนีจากบ่วงสวาทในครั้งนี้ไปไหนได้อีกแล้ว

เขาเกร็งกระตุกอยู่บนร่างอวบอัดของอลินดานานหลายนาที ต้องการจะซึมซับกับความเสียวกระสันขั้นรุนแรงที่สุดในชีวิตให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทำไมมันวิเศษแบบนี้นะ…

เวลาผ่านไปเกือบนาที แซคคารีย์ก็เป็นฝ่ายหลุดออกจากมนต์สวาทก่อน เขาถอนกายออกห่าง และล้มตัวลงนอนข้างๆ อลินดา ผู้หญิงที่เพิ่งทำให้เขาเต็มตื้นไปด้วยความเสียวกระสันร้อนแรง มือใหญ่วาดออกไปรั้งร่างอ่อนปวกเปียกเข้ามาสวมกอด แม้ว่าหล่อนจะพยายามขัดขืนแค่ไหนก็ตาม

“ปล่อย… ค่ะ…”

เขาจูบเบาๆ ที่หัวไหล่มน และเอ่ยขึ้นข้างใบหูเล็กหอมกรุ่นของสาวน้อยในอ้อมแขน

“เธอน่ารักมากนะ อลินดา”

คำชื่นชมของเขาไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นมาเลย ภาพร่านร้อนของตัวเองยังติดตรึงอยู่ในหัว หล่อนยอมให้เขาสอดใส่ กระแทกกระทั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ มันช่างน่าละอายนัก

“ฉัน… จะไปนอนที่อื่นค่ะ”

“ไม่ให้ไป”

“ปล่อยฉันเถอะค่ะ” หล่อนดิ้นรน น้ำตาไหลริน “ในเมื่อคุณแซค… ก็ทำจนเสร็จ… แล้ว…” น้ำเสียงแผ่วเบาแสนตะกุกตะกักเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ

แซคคารีย์พลิกกายขึ้นทาบทับอลินดาเอาไว้ ปิดกั้นทางหลบหนีของหล่อนเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

“ใช่ ฉันทำจนเสร็จไปแล้ว”

“งั้นก็ปล่อยฉันไปสิคะ”

ศีรษะทุยสวยส่ายไปมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มล้อเลียนจนหล่อนที่ถูกมองอดขัดเขินอับอายไม่ได้

“แต่ยังทำไม่พอ”

“คุณแซค… หมายความว่ายังไงคะ”

“ง่ายๆ ก็ฉันยังไม่พอใจกับเซ็กซ์ที่ทำกับเธอไงล่ะ”

เซ็กซ์ของหล่อนคงห่วยมากสินะ ถึงทำให้แซคคารีย์ไม่อิ่มเอม อลินดาเต็มไปด้วยความน้อยใจ

“ค่ะ ฉันรู้ดีว่าตัวเองแย่แค่ไหน”

“ใครว่าเธอแย่กันล่ะ เธอยอดเยี่ยมมาก จนฉันกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มต่างหาก”

แซคคารีย์ก้มลงจูบยอดถันอย่างหยอกเย้า แต่แค่นั้นก็ทำให้เจ้าของร่างถึงกับสะท้านยะเยือกเลยทีเดียว

“อื้อ… อย่า…”

“เป็นเมียฉันต้องอดทนนะ เพราะฉันเป็นผู้ชายติดเซ็กซ์ คืนหนึ่งต้องไม่ต่ำว่าสี่ห้ารอบ”

“อ๊า… คุณแซค… แต่ฉันไม่ได้เป็น… อื้อ… อ๊า…”

หล่อนกำลังจะเถียงเขาว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย แต่ยอดถันที่ถูกลิ้นสากเลียระรัวก็ทำให้สติของหล่อนกระเจิดกระเจิงไปเสียก่อนที่จะทันได้พูดออกมา

แซคคารีย์ทั้งดูดทั้งอมยอดถัน มือก็บีบเค้นคลึงเคล้าประกาศความเป็นเจ้าของร้อนแรง พอเขาโลมเลียดูดกัดยอดถันจนอิ่มเอมแล้ว เขาก็เลื่อนใบหน้าต่ำลงไปจูบหน้าท้องแบนเรียบ มือใหญ่คลี่ดันต้นขากว้างออก และความเป็นหญิงก็ถูกนิ้วยาวบี้คลึงหนักหน่วง เขาหยอกเย้ากับเม็ดสวาทจนมันบวมเป่ง เขี่ยขยี้จนหล่อนหวีดร้องออกมาด้วยความเสียดเสียวรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วน ร่างสาวค่อยๆ ลอยสูงขึ้นราวกับมีปีกโบยยิน และก็แตกระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เมื่อลิ้นสากตวัดโลมเลียเนื้ออ่อนใส

“อ๊ายยยย…”

หล่อนสั่นสะท้านยะเยือก หวีดร้องโหยหวนไม่ต่างจากโสเภณีร้อนรัก แอ่นหยัดเนินฉ่ำขึ้นให้เขาได้โลมเลียอย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้งร่อนทั้งเด้งให้ลิ้นชุ่มฉ่ำกับนิ้วยาวคุกคามอย่างใจต้องการ

“ได้โปรด… คุณแซค… อ๊า…”

หล่อนสั่นระริก ความเสียดเสียวทรมานทิ่มแทงกายสาวอย่างอำมหิต หยาดน้ำหวานที่รินไหลออกมามากมายถึงลิ้นสากตวัดกลืนกินจนแห้งเหือดครั้งแล้วครั้งเล่า ลีลาโลมเลียของแซคคารีย์ช่างแสนวิเศษ มันทำให้หล่อนต้องร่อนตัวขึ้นหาวิงวอน

“ได้โปรด… คุณแซคขา… อ๊า… ได้โปรด…”

เขาคงสงสารหล่อนล่ะมั้ง ถึงได้เงยหน้าขึ้นจากเนิ่นฉ่ำ และเลื่อนตัวขึ้นมาทาบทับเอาไว้ คราวนี้แซคคารีย์ไม่จำเป็นต้องดันต้นขานวลให้แยกกว้างออกเมื่อครั้งที่แล้ว เพราะอลินดาจัดแจงอำนวยความสะดวกให้กับเขาอย่างกระตือรือร้น

แซคคารีย์คำรามด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะก้มลงมาประกบปากจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นสากยังคงมีรสชาติของกลีบสาวติดอยู่จนหล่อนรู้สึกได้ หล่อนจูบตอบเขา แลกปากแลกลิ้นกันพัลวัน ก่อนที่คนตัวโตจะฉวยโอกาสดันท่อนชายเข้ามาสุดแรง

“อ๊ะ… อ๊า…”

หล่อนสะดุ้งครางในปากของเขาในวินาทีแรกที่ถูกสอดใส่ แต่พอปรับตัวรับกับขนาดของสิ่งแปลกปลอมใหญ่ยาวได้แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นตวัดขารวบรัดเรือนกายทรงพลังเอาไว้ และดึงรั้งให้เขากระแทกกระทั้นเข้ามาหา

“โอ้ว… ร้อนแรงเหลือเกิน อลินดา… อืมมมม…”

แซคคารีย์ครางกระหึ่มด้วยความพึงพอใจ  จากนั้นก็เคลื่อนไหวความเป็นชายที่แข็งจนปวดหนึบถี่ยิบหนักขึ้น

“อ๊า… อา… คุณแซค… อา…”

อลินดาคงจะเสียดเสียวมากมาย เพราะหล่อนกรีดร้องไม่หยุด ร่างอวบที่ถูกเขากระแทกสอดใส่ก็ดิ้นพล่านราวกับไส้เดือนถูกราดรดด้วยน้ำร้อนจัด เขาจ้วงโจนเข้าใส่ความแน่นหนั่นของร่องสาวรุนแรงขึ้น กลีบสวาทบีบรัดความเป็นชายแรงมากจนเขาแทบหักเป็นสองท่อน เขากัดฟันชักถอนออกมาและพุ่งทะยานเข้าไปหาใหม่ ขยับบั้นท้ายถี่ระรัว

“โอ้ว… โอ้ว… ไม่ไหวแล้ว… อลินดา… โอ้ว…” แซคคารีย์ครวญครางเสียงดังกระหึ่มและสาวเร็วขึ้น “โอ้ว… โอ้ว…” ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวทรมาน

สะโพกเพรียวขยับเข้าใส่ถี่ระรัวจนน่ากลัวว่าถ้าพลาดพลั้งไปอาจจะมีอะไรแตกหัก แต่ก็ไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะสองร่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกัน การสอดประสานที่เหมาะเจาะเกิดขึ้นท่ามกลางหยาดเสน่หาที่ทะลักออกมาเปียกชุ่มผ้าปูเตียง

“อ๊ากกกกก… โอ้ว…”

ชายหนุ่มเหนือร่างสั่นเทิ้มรุนแรงและแน่นอนว่าเขาคงจะกำลังสุขสม หล่อนจึงรีบหยัดสะโพกขึ้นสูง เพื่อให้เขาฝังท่อนชายลงมาลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองร่างผสานกันแน่น เวลาผ่านเลยไปนานเท่านาน กว่าที่อลินดาจะรู้สึกตัว

แซคคารีย์ยังคงทาบทับหล่อนเอาไว้ทั้งตัว เสียงลมหายใจหอบกระชั้นของเขายังดังอยู่ข้างใบหู หล่อนขยับตัวเล็กน้อย เพื่อจะบอกให้เขารู้ว่าหล่อนต้องการอิสระ

“ไม่เอา… จะกอดทั้งคืน”

คนที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากซอกคอของหล่อนพึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ

“แต่ฉัน…”

“ลินดา… แทนตัวเองว่าลินดากับฉัน” ในที่สุดแซคคารีย์ก็ยกหน้าขึ้นจากซอกคอระหง และจ้องลึกมาในดวงตาที่เต็มไปด้วยความอับอายของหล่อน

“เหมือนกับที่เธอแทนตัวเองว่าลินดากับคนอื่นยังไงล่ะ”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ ห้ามขัดใจฉันสิ” เขาแกล้งทำหน้าดุใส่ “ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นผัวของเธอ” คนตัวโตก้มหน้าลงกัดที่หัวไหล่มนอย่างหยอกเย้า ก่อนจะอมยิ้ม “และถ้าขัดใจ จะทำแบบเมื่อกี้นี้อีก จะทำทั้งคืน ไม่ให้ได้หลับได้นอนเลย”

นี่แซคคารีย์ต้องการอะไรจากหล่อนกันแน่ เขาได้หล่อนไปแล้ว ระบายความใคร่ใส่ร่างของหล่อนไปสองครั้งติด เขาก็ควรจะพอใจได้แล้ว ไม่ใช่มาบังคับฝืนใจหล่อนอีกแบบนี้

“อย่าลืมสิคะ คุณแซคเกลียดฉัน… เอ่อ เกลียดลินดา”

“ถึงฉันจะเกลียดเธอ แต่ตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉันดันพลาดได้เธอเป็นเมียไปแล้ว”

พลาด… นี่เขาใช้คำว่าพลาดกับหล่อนเลยเหรอ

อลินดาก็ยิ่งน้อยใจมากยิ่งขึ้น

“ก็อย่างที่บอกไงคะว่าไม่จำเป็น ถึงเราจะพลาดพลั้งมีอะไรกันแล้ว แต่ลินดาก็จะไม่เรียกร้องอะไรกับคุณ”

“แต่ฉันจะเรียกร้อง เพราะฉันก็เสียหายเหมือนกัน”

หล่อนมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “คุณแซค… พูดอะไรคะ ลินดาไม่เข้าใจ”

“ก็ฉันเสียตัวให้เธอไปแล้วตั้งสองรอบ แล้วจะปล่อยให้เธอลอยนวลไปได้ยังไงกันล่ะ”

หล่อนหน้าแดงก่ำ เพราะรู้แล้วว่าเขาเย้าเล่น “คุณแซค อย่ามาพูดแบบนี้เลยค่ะ มันไม่ตลกนะคะ”

“ฉันก็ไม่ได้จะทำให้เธอตลกสักหน่อย เพราะฉันพูดเรื่องจริงๆ ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน เพราะฉันเสียตัวไปแล้ว”

“คุณแซคน่ะ…” หล่อนเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ไม่ต้องมาทำหน้ายุ่งเลย นอนเถอะ หรือว่าไม่อยากนอนกันล่ะ”

รอยยิ้มพรายบนใบหน้าหล่อจัดของแซคคารีย์เต็มไปหมด นี่หล่อนฝันไปหรือเปล่านะ

“นอน… นอนค่ะ”

“งั้นก็หยุดดิ้นยุกยิกได้แล้ว เพราะยิ่งดิ้น ฉันก็ยิ่งแข็ง”

“คุณแซค…”

“นี่เรื่องจริงนะ” แล้วเขาก็คว้ามือเล็กของหล่อนไปกุมบนท่อนชายของเขาที่มันยังขยายใหญ่โตไม่ยอมสงบ หล่อนอุทานตกใจพยายามจะชักมือหนี แต่เขาไม่ยอมง่ายๆ

“นี่ไง… เห็นไหมว่าฉันไม่ได้โกหก”

“คุณแซคบ้า…”

หล่อนเอียงอายจนเนื้อตัวแทบปริแตก และก็พยายามจะขยับตัวหนีไปนอนสุดขอบเตียง แต่อ้อมแขนของแซคคารีย์ก็ลากร่างเปลือยของหล่อนกลับมากกกอดทุกครั้งไป

“นอนหลับได้แล้ว”

เขาพึมพำแผ่วเบา และต่อจากนั้นไม่นานลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนแปลงเป็นสม่ำเสมอ บอกให้หล่อนรู้ว่าเขาหลับลึกไปแล้ว อลินดาจ้องเสี้ยวหน้าคมสันของแซคคารีย์ผ่านม่านน้ำตา มองเขาด้วยความรัก รักทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้รับความรู้สึกเดียวกันตอบกลับมาอย่างแน่นอน

แซคคารีย์ระบายยิ้มหมายมาด ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงมองเต้าอวบที่ยอดถันบวมเป่งด้วยสายตาลุ่มหลง และจากนั้นเขาก็แลบลิ้นสีแดงสดออกมา ตวัดเลียยอดปทุมด้วยจังหวะเร็วระรัว ก่อนจะดูดอมยอด อกสวยที่เบ่งขยายจนแข็งเป็นไตเข้าไปในอุ้งปาก ดูดอมด้วยปากฟันลิ้นจนอลินดาต้องร้องครวญครางขอชีวิตเลยทีเดียว

“อ๊า… อ๊า… อา… คุณแซค… อา…”

หล่อนดิ้นพล่านกลายเป็นสาวร่านสวาทเต็มเนื้อเต็มตัว นิ้วมือสอดเข้าไปในกลุ่มเส้นผมหนาดกของแซคคารีย์ และกดทึ้งศีรษะทุยสวยของเขาให้แนบชิดกับเต้าทรวงที่พยายามเผยอขึ้นหาตลอดเวลาอย่างสุดความสามารถ

“อ๊า… คุณแซค… อา… ได้โปรด…”

“โอ้ว… เธอร้อนแรงมาก… อลินดา… อืมมมม…”

ร่างสาวที่เบียดกระแซะขึ้นมาหาอย่างวิงวอนให้เขาเดินหน้าลัดขั้นตอนไปสู่จุดไคลแม็กโดยเร็ว ทำให้ผู้ชายช่ำชองในเกมโลกีย์อย่างเขาถึงกับหลุดหลงเลยทีเดียว เขาเงยหน้าขึ้นจากเต้าสวยที่ถูกดูดเลียจนเปียกชุ่ม จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเว้าวอนของอลินดา

“ยังไม่ใช่ตอนนี้…”

เขาตอบเสียงแหบกระเส่า ก่อนจะก้มหน้าลงมาดูดรวบปลายถันสีสวยสดเข้ามาในอุ้งปากอีกครั้ง เขาทั้งดูดทั้งขบกัด เลียด้วยความหิวกระหาย เสียงครางจากปากอิ่มของอลินดายิ่งทำให้เขาเร่าร้อนเกินจะหักห้ามใจ เขาเลียยอดอกทั้งสองข้างจนอิ่มเอม จากนั้นก็จูบไล้ต่ำลงไปยังหน้าท้องแบนเรียบ เจ้าหล่อนเกร็งหดแผ่นท้องแบนเมื่อเขาเลื่อนปากและลิ้นผ่าน

“คุณแซค… อ๊า…”

เขารู้ว่าอลินดาไร้ประสบการณ์ แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความหิวกระหายที่กัดกินจนเขาแทบบ้ามาตั้งแต่เมื่อคืนที่แล้วเอาไว้ได้อีก เขาปล่อย อลินดาไม่ได้ เขาต้องได้หล่อน…

ความต้องการที่มีต่อผู้หญิงร่างอวบอัดใต้ร่างช่างรุนแรงจนน่าสะอิดสะเอียน แต่เขาก็ไม่อาจจะหักห้ามความหื่นกระหายเอาไว้ได้ เมื่อผู้หญิงใต้ร่างช่างเย้ายวนและมีความเป็นอิสตรีเพศไปทั้งเนื้อทั้งตัว หล่อนอวบอัด แต่ก็บอบบาง และน่าทะนุถนอม

แซคคารีย์คิดอะไรไม่ออกอีก เขากระชากสองต้นขาอวบที่เจ้าของพยายามหนีบแน่นเอาไว้ให้แยกกว้างออกจากกัน กลีบสาวสวยงามที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาก่อนเด่นชัดกับสายตา

ไฟในกายแผดเผาจนท่อนชายแข็งชูชัน และมันก็ปวดร้าวเจียนจะระเบิด อย่างต้องการจะสอดใส่เข้าไปในร่างของอลินดาเดี๋ยวนี้ อยากจะโยก อยากจะคลึง อยากจะขย่มให้หล่อนคลุ้มคลั่งด้วยลีลาสวาทของเขา และก็ปลดปล่อยความใคร่ในตัวของหล่อนให้หมดทุกหยาดหยด แต่หล่อนอ่อนเยาว์เหลือเกิน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อคืนนี้ทำให้เขาไม่กล้าใจร้อน เขาควรจะเล้าโลมให้หล่อนพร้อมเสียก่อน แม้ว่าตัวเองจะทรมานแทบขาดใจก็ตาม

“อ๊ะ… อย่า… ไม่ได้นะคะ…”

เพราะของสงวนถูกแตะต้องทำให้คนที่กำลังหลงอยู่ในบ่วงเสน่หาได้สติ หล่อนโต้แย้ง และใช้สองมือดันใบหน้าหล่อจัดของคนที่กำลังจะซบลงไปแนบชิดกับเนินฉ่ำเอาไว้สุดแรง

“อย่านะคะคุณแซค…”

แต่เขาไม่ยอมฟังคำทัดทานของหล่อน ไม่ว่าหล่อนจะพยายามดิ้นหนีแค่ไหนก็ตาม เพราะไม่ช้ากลีบสวาทสีสวยงามก็ถูกนิ้วยาวแยกแย้มออกจากกัน และเขาก็สอดแทรกลิ้นเข้าไปลิ้มรสความอ่อนหวานชุ่มฉ่ำในพริบตา

“อ๊ะ… อย่า… อื้อ… คุณแซค… อ๊า… อ๊า… อย่า…”

มันไม่ควร มันไม่ดี และหล่อนก็ยอมให้เขาเลียแบบนี้ไม่ได้ แต่…

“อ๊า… อ๊า…”

ทั้งนิ้วยาวและลิ้นสากอบอุ่นร่ายมนต์วิเศษกับกลีบกุหลาบอ่อนเดียงสาของหล่อนอย่างเร่าร้อนเชี่ยวชาญ ตวัดปาดดูดตอดไปตามเนื้อนุ่มสีสวยแสดงความเป็นเจ้าของทุกตารางนิ้ว ละเมียดดื่มกินราวกับกลีบสาวของหล่อนคืออาหารจานโปรดที่ต้องดูดต้องเลีย และต้องกินให้หมดไม่ให้เหลือซาก

“อ๊า… คุณแซค… อ๊า…”

ไม่ใช่แค่ปากและลิ้นของแซคคารีย์เท่านั้นที่คุกคามอยู่ในกลีบสาวแสนหวานของหล่อน แต่นิ้วของเขาก็เช่นกัน จากที่มันเคยแค่บี้เขี่ยคลึงอยู่เพียงภายนอก ตอนนี้มันถูกสอดแทรกเข้าไปในร่องลึก

“อ๊ะ…”

“เจ็บหรือ…”

เขาหยุดเลียเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธอย่างขัดเขิน

แซคคารีย์อมยิ้ม ก่อนจะซบหน้าลงไปจัดการโลมเลียกลีบฉ่ำอีกครั้ง ปาดลิ้นละเลงไปจนทั่ว ในขณะที่นิ้วยาวก็ชักถอนด้วยจังหวะเร่าร้อนยั่วยวน

“อ๊า… อา…. คุณแซคขา… ได้โปรด…”

คนถูกโลมเลียบิดกายดิ้นเร่าๆ ด้วยความเสียดเสียวทรมาน ใบหน้าหวานแดงก่ำ กลีบปากอิ่มเผยอกว้างครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ

“ได้โปรด… คุณแซค…”

หล่อนวิงวอนอย่างไร้ยางอาย สะโพกแน่นหนั่นยกร่อนขึ้นหาใบหน้าหล่อเหลาอย่างร่านร้อน มือเล็กจิกทึ้งผ้าปูที่นอนจนมันแทบจะขาดวิ่นติดมือเสียให้ได้

“ได้โปรด… อ๊า… อ๊า… คุณแซค…”

เขายังไม่หยุดใช้ลิ้นพิฆาตหล่อน ทั้งลิ้นทั้งนิ้วยังคงรุกรานคุกคามอย่างต่อเนื่อง กายสาวร้อนฉ่าราวกับกำลังถูกแผดเผา เพลิงราคะโหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา หล่อนกรีดร้องไม่หยุด ครางครวญราวกับหญิงงามเมือง และไม่ช้าดอกไม้ไฟแสนสวยที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ระเบิดตูมในจิตวิญญาณ

หล่อนร้องลั่น เกร็งกระตุกไปทั้งตัวราวกับคนใกล้ตาย ความร้อนฉ่าจากลิ้นและนิ้วมือทำให้ความสุขอาบไล้ไปทั่วทั้งเรือนกายสาว หล่อนเสียวกระสันจนแทบหมดสติ ต้องใช้เวลาอยู่นานเลยทีเดียวกว่าจะสามารถหายใจได้อีกครั้ง

นี่มัน… มันอะไรกัน… หล่อนเป็นอะไรไป ทำไมเมื่อกี้นี้ ถึงได้รู้สึกแสนวิเศษแบบนั้น

แซคคารีย์เงยหน้าขึ้นจากกลางลำตัวของอลินดา และเลื่อนตัวขึ้นมาทาบทับหญิงสาวเอาไว้ เขาก้มลงจูบปากอิ่มเต็มที่พิสูจน์มาแล้วว่าหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งป่าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยเสียงกระเส่า

“ชอบความรู้สึกเมื่อกี้นี้ไหม”

“เอ่อ…”

“ชอบหรือเปล่า”

หล่อนชอบ เพราะมันแสนวิเศษนัก มันทำให้หล่อนผ่อนคลาย และเต็มตื้นไปทั้งหัวใจ แต่… มันเกิดขึ้นเพราะ… เพราะแซคคารีย์เลียตรงนั้น…

“คือ…”

“เอาล่ะ ยังไม่ต้องตอบ เพราะมันยังไม่จบ”

“คะ?” หล่อนเบิกตากว้างจ้องลึกเข้าในดวงตาคมกริบที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย

แซคคารีย์ระบายยิ้ม ขยับทาบทับด้วยท่าทางที่เหมาะสมสำหรับขั้นตอนสวาทสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่คนตัวเล็กพยายามจะถดถอยหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงต้องสอดมือเข้าไปตรึงบั้นท้ายอวบงอนเอาไว้ให้อยู่กับที่

“คุณแซค…” ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ฉันจะระวัง…”

เขาตอบเสียงกระเส่า และดันต้นขาอวบให้แยกกว้างออกจากกันมากขึ้น จากนั้นก็จดจ่อความเป็นชายที่แข็งราวกับหินและก็ร้อนจัดราวกับเพลิงเข้ากับร่องสาวชุ่มฉ่ำ

“จะระวังให้มากที่สุด…”

“แต่… คุณแซคใหญ่มาก… ฉันกลัว…”

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แซคคารีย์นึกเกลียดความใหญ่โตของเครื่องเพศตัวเอง เขาไม่ต้องการทำให้อลินดาเจ็บปวดอีก แต่เขาก็ไม่อาจจะยุติการครอบครองหล่อนได้ เพราะถ้าเขาไม่ได้เข้าไปในตัวของ อลินดา เขาก็คงจะขาดใจตายอย่างแน่นอน

“ฉันจะนุ่มนวล…”

สายตาที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายของแซคคารีย์บอกให้หล่อนรู้ว่าไม่มีอะไรจะหยุดยั้งการสอดใส่ของเขาได้อีกแล้ว

“ได้โปรด… เบามือกับฉัน… นะคะคุณแซค…”

แซคคารีย์มองดวงหน้าหวานฉ่ำที่ตอนนี้ตื่นตระหนกอย่างสงสาร ชายหนุ่มก้มลงจูบปากอิ่มสักพักก็เลื่อนลงมาตวัดลิ้นเลียยอดถันคู่แฝดจนเปียกชุ่ม ส่วนนิ้วยาวก็เลื่อนต่ำผ่านหน้าท้องลงไปยังกลีบสาว สอดแทรกเข้าไปบี้คลึงกระตุ้นเกสรอ่อนไหวของสาวน้อยจนเจ้าหล่อนครวญครางลั่นห้อง

“อ๊า… อ๊า…”

เขาฉวยจังหวะที่หญิงสาวกำลังร้อนฉ่าด้วยการเปรนเปรอของตนเองสอดแทรกความใหญ่ยาวเข้าภายใน ดุนดันความเป็นชายผ่านช่องทางรักคับแคบไปอย่างยากลำบาก สาวน้อยสะดุ้งสุดตัว ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แต่เขาก็จูบปิดปากอิ่มเอาไว้ กลืนเสียงครางต่อต้านอู้อี้ลงไปในลำคอ จากนั้นก็กดท่อนชายลึกลงไปอีกครั้งและอีกครั้ง จนสามารถฝากฝังเข้าไปได้จนหมดทั้งตัวตน

“โอ้ว… อลินดา… อืมมมมม”

ความพึงพอใจฉายชัดในดวงตาของแซคคารีย์ในทันทีที่เขาสามารถครอบครองหล่อนได้ทั้งหมด หล่อนอึดอัดและรู้สึกคับแน่นเหลือเกินที่ถูกบีบบังคับให้เบ่งขยายรับความเป็นชายที่ใหญ่มหึมา แต่กระนั้นก็ไม่ได้เจ็บปวดแทบขาดใจเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว

“เจ็บไหม…”

หล่อนส่ายหน้าไปมา และก็หลับตาลงอย่างเอียงอาย

แซคคารีย์บอกตัวเองให้หยุดนิ่งเฉยสักพักก่อน เพราะต้องการให้เวลาอลินดาปรับตัว แต่ไฟสวาทก็ลุกโชนแผดเผาจนสติไม่เหลือติดกายอีก ในหัวของเขาตอนนี้มีแค่เพียงผู้หญิงคนนี้คนเดียว

อลินดา…

หล่อนคับแน่น คับแคบ และบีบรัดเขาเหลือเกิน

ใบหน้าหล่อจัดบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน เขาพยายามจะหยุดนิ่ง พยายามจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ในอุ้งมือ แต่กลีบสาวที่บีบรัดอยู่รอบท่อนชายช่างทรงอานุภาพมากมายเหลือเกิน และมันก็ทำให้เขาต้องเคลื่อนไหว ใช่… ต้องกระแทกเดี๋ยวนี้

“อ๊ะ… อ๊า… อ๊า…”

เสียงครวญครางของอลินดาดังกังวานขึ้น และเขาก็โล่งใจนักเมื่อหล่อนไม่ได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ ออกมาให้เห็นอีก ดังนั้นการเคลื่อนไหวของเขาจึงหนักหน่วง และเต็มไปด้วยความร้อนแรง เขาชำแรกแทรกลึกไม่หยุด ความเป็นหญิงของอลินดาช่างชุ่มฉ่ำและร้อนระอุเหลือเกิน เขาแทบเป็นบ้า กับสิ่งที่กำลังได้พบเจอ

“โอ้ว… โอ้ว… อืมมมมม โอ้ว…”

แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ไปช้าๆ เคลื่อนไหวให้นุ่มนวลอย่างที่สัญญากับอลินดาเอาไว้ แต่เขาไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้อย่างที่เคยทำ ร่างทรงพลังแทบแตกปริกับความรัดรึงที่ห่อหุ้มอยู่รอบท่อนชาย

“โอ้ว… ไม่ไหวแล้ว… รัดแน่นเหลือเกิน อลินดา… โอ้ว…”

เขารู้สึกรุนแรงเหลือเกิน ต้องการผู้หญิงคนนี้รุนแรงอย่างที่ไม่เคยต้องการหญิงใดมาก่อนในโลก เขาตอกย้ำความเป็นเจ้าของด้วยการกระแทกอัดกระหน่ำ สะโพกเพรียวส่ายวนหยอกเย้า ก่อนจะซัดเข้าใส่สุดแรง ไม่ช้าคนตัวเล็กที่ตอบสนองร้อนแรงไม่ต่างกันก็กรีดร้องโหยหวนดังลั่น บอกให้รู้ว่าเจ้าหล่อนกระโดดขึ้นไปนอนเล่นบนสวรรค์ชั้นฟ้าเรียบร้อยแล้ว แต่เขายังไม่ยอมจบสิ้นง่ายๆ หรอก เขาจะต้องยื้อเวลาแห่งความสุขเอาไว้ให้นานที่สุด

แซคคารีย์ตั้งมั่นแน่วแน่ ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอด เขาก็ชักถอนออก และจับร่างอวบอิ่มเปลี่ยนท่าทางเป็นนอนคว่ำหน้ากับเตียง และยกก้นอวบโด่งสูง

“โอ้ว…”

แซคคารีย์จับจ้องบั้นท้ายอวบงอนที่ส่ายระริกรอคอยอยู่ตรงหน้าด้วยความหิวกระหาย และก็ไม่คิดจะรั้งรอใดๆ อีก เขาสอดใส่ท่อนชายเข้าไปสุดแรง เจ้าหล่อนเด้งร่อนบั้นท้ายรับการกระแทกอย่างเหมาะเจาะ จังหวะการสอดประสานเร่าร้อน และก็มีแค่เขากับอลินดาเท่านั้นที่เข้าใจมัน

“โอ้ว… โอ้ว… อลินดา… โอ้ว…”

เขากัดฟันแน่น พยายามที่จะยื้อเวลาเอาไว้ แต่กลีบสาวทั้งบีบทั้งตอด ทำให้เขาไม่อาจจะต่อสู้ได้อีก ในที่สุดก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ สายพันธุ์สวาทถูกกลีบสาวรีดออกมาจนกระฉูดรุนแรง

“อ๊ากกกก… โอ้ว… โอ้ว…”

“ลินดา… เธอเป็นเมียของฉันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าเราจะทำกันอีก”

“แต่คุณแซคใหญ่ ฉันเจ็บ…”

คนตัวโตหัวเราะร่วน ก่อนจะก้มลงจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน อ่อนโยนชนิดที่เรียกได้ว่าเขาเองก็ยังตกใจ

“และเธอก็ตัวเล็กมาก ทั้งตัวเล็กทั้งบริสุทธิ์…”

น้ำเสียงห้าวที่ได้ยินนั้นคล้ายกับมีความพึงพอใจ แต่หล่อนคงหูฝาดไปเองนั่นแหละ ไม่มีทางที่แซคคารีย์จะมารู้สึกพึงพอใจกับผู้หญิงที่เขาเกลียดชังอย่างหล่อนหรอก

“งั้น… ให้ฉันเตรียมตัวสักอาทิตย์ได้ไหมคะ” หล่อนหวังจะประวิงเวลา แต่คนตัวโตรู้ทัน

“ฉันรอนานแบบนั้นไม่ไหวหรอก”

เขาหมายความว่ายังไงกัน อะไรคือรอไม่ไหว

“ทำไมถึงรอไม่ไหวล่ะคะ ก็…”

แซคคารีย์ก้มหน้าลงจูบหน้าผากมน ร่างกายของเขาเกร็งจนเจ็บปวดที่ต้องอดกลั้นเอาไว้แบบนี้

“ก็เพราะ… ฉันอยากเข้าไปในตัวของเธอแบบเมื่อคืนนี้อีกยังไงล่ะ อยากจนจะคลั่งอยู่แล้ว เข้าใจหรือยัง หึ อลินดา…”

ถ้าอลินดารู้ว่าเขาเอาแต่คิดถึงความรู้สึกยามที่ได้ฝังลึกเข้าไปในกายสาวของหล่อนทั้งวี่ทั้งวัน หล่อนคงจะต้องหัวเราะเยาะเขาอย่างแน่นอน

“เอ่อ…”

“จะมาพูดมากอะไรเอาตอนนี้ ไม่ฟังแล้ว หยุดพูดเถอะ”

เขาใช้นิ้วยาวแตะที่ปากอิ่มของหล่อน ส่งสัญญาณให้รู้ว่ารำคาญที่จะฟังคำทัดทานของหล่อนเต็มทนแล้ว

“ก็… ฉันยังไม่พร้อมนี่คะ”

“แต่ฉันพร้อมจนแข็งไปทั้งตัวแล้วนะ อลินดา”

หล่อนทำได้แค่เบิกตากว้างมองคนตัวโต และก็ไม่มีโอกาสได้เปล่งคำพูดใดออกมาอีก เมื่อริมฝีปากหยักสวยของแซคคารีย์ที่มักจะผรุสวาทด่าทอหล่อนทุกเมื่อเชื่อวันทาบประกบลงมาหา และมันก็ดูดกลืนสติสัมปชัญญะของหล่อนไปเสียจนหมดเกลี้ยง

สัมผัสแรกจากริมฝีปากร้อนอบอุ่นแผ่วเบา แซคคารีย์ค่อยๆ ขยับปากคลึงเคล้นกลีบปากอิ่มเต็มที่พยายามเม้มแน่นไม่ให้ความร่วมมืออย่างนุ่มนวล แต่ต่อจากนั้นเพียงไม่นาน ความนุ่มนวลอ่อนหวานก็แปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน หื่นกระหาย รสชาติจุมพิตเปลี่ยนแปลงเป็นร้อนแรงป่าเถื่อน ทั้งปากทั้งลิ้นของเขาที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นกระชากให้หล่อนร่วงตกลงไปในหลุมมืดดำ และการต่อต้านไร้เรี่ยวแรงก็สลายหายไปในพริบตา

“อ๊า…”

เสียงครางของหล่อนหลุดออกมาจากลำคอระหงโดยที่ไม่อาจจะควบคุมเอาไว้ได้ หล่อนรู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่ แซคคารีย์เป็นปีศาจแห่งเซ็กซ์ เขาช่ำชอง เชี่ยวชาญ ปลุกเร้าจนหล่อนหลุดหลงเข้าไปในโลกแห่งโลกีย์จนหนีไปไหนไม่รอด

“อ๊า… อา… อา…”

ลิ้นลากเลียไปทั่วทั้งดวงหน้านวล ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาซุกไซ้ซอกคอระหง แซคคารีย์ทั้งดูดทั้งกัดจนหล่อนเจ็บระบมไปทุกตารางนิ้วที่เขาลากเลื่อนลิ้นและฟันคมๆ ผ่าน มือใหญ่สอดเข้ามาใต้เสื้อตัวสวย ไต่ขึ้นมากอบกุมปทุมถันอวบอัดเอาไว้เต็มมือ เจ้าของเต้าทรวงแทบหยุดหายใจ หล่อนพยายามที่จะปัดป้องมือใหญ่ให้หลุดพ้นไปจากหน้าอกเต่งตึงของตนเอง แต่กลิ่นหอมจากกายบุรุษมีอานุภาพร้ายกาจยิ่งนัก มันทำให้หล่อนร้อนรุ่มราวกับถูกสุมด้วยไฟสวาท เสียงครวญครางจึงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

“อ๊า… อา…”

หล่อนสะท้านไปทั้งตัว เมื่อแซคคารีย์ดันขอบบราเซียร์ขึ้นไปไว้ด้านบน และกางมือกอบกุมเต้าอิ่มเปลือยเปล่า นิ้วยาวช่ำชองถูไถยอดปทุมจนมันแข็งเป็นไต

อลินดาเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกกับสัมผัสร้ายกาจของผู้ชายตัวโตที่คร่อมทับอยู่บนร่าง หล่อนต้องการขัดขืน สมองสั่งให้ผลักไส แต่รสสวาทกำซาบที่แซคคารีย์หยิบยื่นให้มันช่างน่าลุ่มหลงเหลือเกิน สุดท้ายหล่อนก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง มีแค่เพียงความรู้สึกแสนมหัศจรรย์จากฝ่ามือ และลิ้นของแซคคารีย์เท่านั้นที่หล่อนสัมผัสมันได้

“ชอบไหม…”

จู่ๆ เขาก็ถามเสียงแหบกระเส่าขึ้นมา และเงยหน้าขึ้นจากซอกคอแดงช้ำของหล่อน จ้องลึกเข้ามาในดวงตากลมโตที่ตอนนี้เต็มไปด้วยไฟเสน่หา

หล่อนเสหลบสายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายของ แซคคารีย์ เนื้อตัวสาวสั่นเทาน่าเวทนา

“กลัวหรือ…”

เป็นอีกครั้งที่หล่อนไม่สามารถเปล่งเสียงตอบออกไปได้ ฉันสัญญา…”

หล่อนช้อนตาขึ้นสบประสานกับนัยน์ตาสีสนิมอีกครั้ง และก็ได้เห็นคำสัญญาลูกผู้ชายในดวงตาคมคู่นั้น หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรงตามแบบที่ชอบทำ แต่เขาเอานิ้วชี้มาแตะเอาไว้ และออกคำสั่ง

“เม้มปากบ่อยจัง แบบนี้มันจะช้ำหมดนะ”

เขาก้มหน้าลงมากระซิบชิดปากอิ่ม ในขณะที่หล่อนนอนหน้าแดงก่ำรา

“ถ้าปากเธอจะช้ำ ก็ควรเกิดจากการกระทำของฉัน จริงไหม”

ร่างสาววูบวาบร้อนผะผ่าวขานรับกับคำพูดวาบหวามของผู้ชายบนร่าง หล่อนเสหลบตา แก้มนวลแดงระเรื่อไม่ต่างจากผลของตำลึงสุกเลยแม้แต่น้อย

แล้วปากเรียวอิ่มเต็มของหล่อนก็ถูกจุมพิตอีกครั้ง นิ้วยาวแทรกเข้าในกลุ่มเส้นผมหนานุ่ม ปากกระด้างขยับดูดกลืนร้อนแรง ลิ้นสากชุ่มฉ่ำฉกลึกเข้ามาในอุ้งปากของหล่อน กวาดต้อนไล่หาความหวานฉ่ำปานน้ำผึ้งด้วยความตะกละตะกลาม

“อืมมมม”

เสียงห้าวคำรามด้วยความพึงพอใจดังกระหึ่มมาเข้าหู ปากของ แซคคารีย์ยังคงขยับร้อนแรง มือใหญ่ตวัดรัดรอบร่างอวบ กอดกกเอาไว้ในอ้อมแขนทรงพลังแนบแน่น

หล่อนสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายอ่อนระทวยไม่ต่างจากช็อกโกแลตที่ถูกนำไปวางเอาไว้กลางแสงแดด ยิ่งยามที่ฝ่ามือร้อนจัดไล้ลูบไปตามผิวสาวแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งแทบละลายตายดับ

“อ๊า…”

แม้แต่ในความฝัน หล่อนก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะยินยอมพร้อมใจให้ผู้ชายคนไหนรังแกได้แบบนี้ แต่ทำไมกับแซคคารีย์ หล่อนถึงยอมสยบให้กับเขาอย่างง่ายดาย แค่เขาบอกว่าต้องการหล่อน แค่เขาบอกว่าต้องการครอบครองตีตราความเป็นเจ้าของบนร่างสาวนั้น หล่อนก็ยินยอมพร้อมใจเสียแล้ว

หล่อนควรจะต่อต้าน ควรจะผลักไสเขาไปให้ไกล แต่เพลิงปรารถนาที่แผดเผาจนกายสาวแทบมอดไหม้มันทรงอานุภาพมากมายเหลือเกิน

หล่อนสุดจะต้านทาน…

ไม่ช้าชุดสวยที่สวมใส่อยู่ก็ถูกปลดเปลื้องออกไปพ้นกาย ชุดชั้นในตัวจิ๋วที่เหลืออยู่ไม่อาจจะบรรเทาความร้อนฉ่าจากสายตาคมกริบที่จ้องมองมาได้เลย

สายตาคมกริบบอกให้รู้ว่าเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจกับสิ่งที่ได้เห็น แต่หล่อนก็อับอายเกินกว่าจะสบประสานสายตากับเขาต่อไปได้อีก หล่อนจึงหลับตาลงช้าๆ แก้มนวลยังคงแดงเปล่งปลั่ง

“เธอมีรูปร่างดีเป็นบ้า อลินดา…”

เสียงห้าวครวญครางออกมาแหบและแปร่งพร่า และมันก็ยิ่งทำให้กายสาวเบ่งบานราวกับจะปริแตกมากยิ่งขึ้น

“เอ่อ… เรา… ควรจะหยุด…”

ในที่สุดหล่อนก็เค้นเสียงแย้งออกไป แต่มันแผ่วเบา และไร้พลังยิ่งนัก

เสียงหัวเราะของคนตัวโตที่ตอนนี้สลัดเสื้อผ้าออกไปจากตัวเรียบร้อยแล้วดังก้องขึ้น เขาทาบทับลงมาหาแนบชิดอีกครั้ง และก็เอื้อมมือไปด้านหลัง ปลดตะขอบราเซียร์จนหลุด ก่อนจะโยนมันทิ้งลงไปข้างเตียง

ปทุมถันอวบใหญ่เด้งดึ๋งออกมาทั้งสองเต้า และเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจสุดขีดของแซคคารีย์ก็ดังกระหึ่มขึ้นไม่หยุด จนหล่อนที่หลับตาอยู่ต้องลืมตาขึ้นมองอย่างลืมตัว

“อวบใหญ่เหลือเกิน อลินดา…”

เขาจ้องมองปทุมถันขาวผ่องและก็ใหญ่เกินตัวของหล่อนราวกับไม่เคยเห็นเต้านมของสตรีเพศมาก่อน จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาคลุกเคล้าอย่างสุดจะห้ามใจ เขาซุกไซ้ยอกเย้าที่ร่องอกอวบ ฝ่ามือขยำเต้าสวย และบี้คลึงปลายยอดสีชมพูระเรื่อด้วยจังหวะที่เจ้าของเต้านมต้องแอ่นหยัดขึ้นหาเลยทีเดียว

“อ๊า… อ๊า…”

หล่อนแหงนศีรษะไปด้านหลัง ใบหน้างามแดงจัดด้วยความซ่านกระสัน ทุกจังหวะของปลายนิ้วยาวทำให้หล่อนวาบหวามเสียดเสียวอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน มันทรมานจนเจ็บร้าวไปทั้งอุ้งเชิงกราน

“อา… คุณแซค… อา…”

นี่เขากำลังทำอะไรกับร่างกายของหล่อนนะ ทำไมหล่อนถึงร้อนรุ่มทรมานแบบนี้ ร้อนฉ่าต้องยกสองต้นขาขึ้นเสียดสีกันตลอดเวลา แถมยังมีหยาดน้ำอะไรบางอย่างที่ไหลซึมอยู่ในจุดซ่อนเร้น

ราวกับเขาจะรับรู้ถึงความกระวนกระวายของหล่อน เพราะเขาเงยหน้าขึ้นมาสบประสานสายตาอีกครั้ง ยิ้มให้กับหล่อน แต่นิ้วก็ยังไม่หยุดบี้คลึงเม็ดทรวง

“นี่แค่เริ่มต้น… ฉันยังมีอะไรพิเศษที่จะแสดงให้เธอดูอีกมากมาย และรับรองว่าเธอ…” เขาก้มลงมาขยี้ปากอิ่มอีกครั้ง และคราวนี้หล่อนก็เผยอปากจูบตอบทันควัน ลิ้นของทั้งสองคนตวัดรัดรึงกันอย่างร้อนสวาท “จะต้องวิงวอนให้ฉัน… ทำทุกคืน…”

นี่เขา… กำลังพูดบ้าอะไรเนี่ย

“งั้นก็หยิบหมอน แล้วเดินตามฉันออกมา”

เขาปล่อยมือจากต้นแขนของหล่อน และถอยห่างออกไป อลินดา มองเขา ก่อนจะฉวยจังหวะดันประตูเพื่อให้มันปิดลงอีกครั้ง แต่แซคคารีย์รู้ทันเสียก่อน เขายื่นขาทรงพลังเข้ามาขวางเอาไว้

“สรุปเธอไม่ชอบให้ฉันใจดีกับเธอสินะ”

“ว๊ายยยย… ปล่อยนะ”

ร่างอรชรถูกกระชากจนปลิวติดมือใหญ่ออกไปนอกห้องน้ำ ก่อนจะถูกทุ่มลงบนเตียงอย่างไม่ปรานีปราศรัย

คนที่ถูกโยนลงบนเตียงอุทานด้วยความเจ็บจนน้ำตาริน และก็รีบถดถอยหนีคนใจร้าย

“ทำไมต้องดื้อด้วย ฉันอุตส่าห์ใจดีกับเธอแล้วนะ อลินดา”

แบบนี้เหรอที่เรียกว่าใจดี หล่อนช้อนตามองเขาด้วยความน้อยอกน้อยใจ

“ฉันไม่ชินกับความใจดีของคุณแซคค่ะ ปล่อยดิฉันไปนอนในห้องน้ำเหมือนเดิมเถอะค่ะ”

“อลินดา… เธอเลิกประชดประชันฉันเสียทีได้ไหม”

หล่อนเชิดหน้าสูง น้ำตาไหลเป็นทาง “ฉันไม่ได้ประชดค่ะ แต่ฉันกำลังจะทำตามที่คุณแซคต้องการต่างหาก”

“สิ่งที่ฉันต้องการก็คือให้เธอมานอนบนเตียงกับฉัน”

หล่อนมองเขาน้ำตาไหลพราก “แต่นั่นมันเป็นที่ของพี่นารีนะคะ ฉันไม่อาจเอื้อมไปทับรอยหรอกค่ะ”

หากมีเวทมนต์ใดในโลกใบนี้ที่เป็นจริง พรเดียวที่เขาจะขอก็คือการกลับไปลบล้างคำพูดไร้สติของตัวเองในอดีต เขารู้สึกแย่ไม่น้อยที่ถูกอลินดานำมันมาโยนใส่หน้าไม่หยุดแบบนี้

“ก็เมื่อก่อน ฉันเกลียดเธอนี่ แล้วฉันก็คิดว่าเธอเป็นตัวการทำให้นารีหายไป”

“แล้วตอนนี้เลิกเกลียดแล้วเหรอคะ”

หล่อนย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงหยันเยาะ เพราะรู้ดีว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ความเกลียดชังที่แซคคารีย์มีต่อหล่อนก็ไม่มีวันจางหายไปไหน

“ก็อาจจะ…”

อลินดาสะบัดหน้าหนี “หากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด มันเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกผิดของคุณแซคกับเรื่องเมื่อคืน หยุดเสียเถอะค่ะ เพราะมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลย”

“เรื่องที่ฉันต้องการไถ่โทษที่ทำรุนแรงกับเธอเมื่อคืนมันก็ใช่นั่นแหละ แต่อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ฉันไม่อยากรู้สึกบาปแบบนี้ไปตลอดชีวิต…”

“อย่าคิดมากเลยค่ะ คุณแซคไม่ใช่ผู้ชายคนแรกของฉันหรอกค่ะ” หล่อนเชิดหน้าตอบประชดประชัน ก่อนจะถูกเขาสวนกลับด้วยวาจาดุกระด้าง

“อย่ามาทำเป็นปากดี ฉันไม่ใช่ไอ้ไก่อ่อนที่จะไม่รู้ว่านอนกับผู้หญิงบริสุทธิ์หรือว่าผู้หญิงที่ผ่านผู้ชายมาทั้งหมู่บ้าน”

หล่อนไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเลยกับคำพูดจาตรงไปตรงมาของเขา ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจจนอยากจะหายตัวไปให้พ้นๆ จากตรงนี้

“ฉันจะรับผิดชอบเธอ”

คำพูดของเขาแหวกม่านอากาศมืดดำเข้ามาตีแสกหน้าของหล่อนอย่างจัง อลินดาหันขวับไปมองหน้าคนพูด ดวงตากลมโตเบิกกว้างจนแทบถลน

“คุณแซค… คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ”

“ฉันต้องทำ แม้ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”

นี่เขาไม่คิดจะพูดในสิ่งที่ทำให้หล่อนรู้สึกดีสักหน่อยเลยหรือไง แต่ละคำคมกริบยิ่งกว่าใบมีดโกนเสียอีก

“ฉันก็ไม่เต็มใจค่ะ”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องใส่ใจ”

“คุณแซค” หล่อนเรียกชื่อเขาอย่างโมโห แต่เขาก็ไม่สนใจความรู้สึกของหล่อนตามที่ลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ

“ฉันจะไปสารภาพกับพ่อแม่ของเธอ”

“อย่านะคะ ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด แค่นี้พ่อกับแม่ก็เกลียดฉันเข้าไส้อยู่แล้ว” อลินดาค้านทั้งน้ำตา

“แต่เธอหนีความจริงที่ว่าเธอเป็นเมียของฉันแล้วไม่พ้นหรอกอลินดา ยังไงซะ ฉันก็ต้องจำใจรับเธอมาเป็นเมียออกหน้าออกตาแทนนารี”

“แล้วพี่นารีล่ะคะ คุณแซคจะทำยังไง คุณรักพี่นารีมากไม่ใช่เหรอคะ”

สายตาของแซคคารีย์มืดดำยามตอบคำถามของหล่อน “สำหรับฉันความถูกต้องต้องมาก่อนหัวใจเสมอ”

อลินดาเม้มปากอิ่มแน่นจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะตัดสินใจพูดคำนี้ออกไป

“ฉัน… ไม่ถือสาเรื่องเมื่อคืนหรอกค่ะ”

คนตัวโตที่ยืนตระหง่านค้ำศีรษะทรุดตัวลงบนเตียง และคว้าร่างที่พยายามจะถดถอยหนีเข้ามาใกล้

“ปล่อยค่ะ…” อลินดาดิ้นรน การอยู่ใกล้แซคคารีย์มันทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของหล่อนลดน้อยถอยลงและคงจะหมดเกลี้ยงในไม่ช้า

“ไม่ยักกะรู้นะว่าเธอจะใจกว้างเป็นแม่น้ำแยงซีเกียงแบบนี้เสียด้วย”

เขาเหน็บแนมได้อย่างเจ็บแสบ แต่หล่อนก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้

“ค่ะ ฉันใจกว้างกับเรื่องพวกนี้เสมอ อ๊ะ…”

มือใหญ่ที่จับต้นแขนกลมกลึงเอาไว้เพิ่มแรงกดอย่างจงใจ “ถึงเธอจะใจกว้างเป็นแม่น้ำ แต่ฉันเป็นคนใจแคบเสมอกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นอย่าทำให้ฉันโมโหเด็ดขาด”

หล่อนมองเขาผ่านม่านน้ำตามองด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ถามจริงๆ เถอะค่ะ ทำไมคุณแซคถึงได้เปลี่ยนใจได้รวดเร็วขนาดนี้คะ เมื่อวานยังทำท่าจะฆ่าจะแกงฉันอยู่เลย แต่วันนี้กลับ… อยากจะรับผิดชอบฉันขึ้นมาซะอย่างนั้น”

“ก็เพราะฉันเป็นคนที่รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองเสมอยังไงล่ะ แม้ว่าการกระทำนั้นจะงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม”

“แล้วถ้าพี่นารีกลับมาล่ะคะ คุณแซคจะทำยังไง หรือว่าคุณอยากเห็นพี่น้องฆ่ากันได้เพราะแย่งคุณ”

สีหน้าของแซคคารีย์เคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าวันหนึ่งนารีกลับมา ฉันก็จะรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไปด้วยตัวของฉันเอง จะไม่ให้เธอเดือดร้อนหรอก”

“แต่ผู้หญิงที่คุณแซคควรจะรับผิดชอบคือพี่นารีนะคะ ไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณขยะแขยงอย่างฉัน”

นัยน์ตาของแซคคารย์เลื่อนมาจับจ้องมองดวงหน้าของหล่อน มองอย่างพิจารณาเนิ่นนาน

“ฉันไม่เคยมีอะไรกับนารี แต่เมื่อคืนฉันทำร้ายเธอ แล้วเธอคิดว่าใครที่ฉันควรจะรับผิดชอบล่ะ”

อลินดาแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน นี่แซคคารีย์ไม่เคยแตะต้องนารีรัตน์เลยเหรอ ทั้งๆ ที่หล่อนมั่นใจว่าพี่สาวของตัวเองน่าจะทอดสะพานให้เป็นพันๆ รอบอย่างแน่นอน

“ฉันให้เกียรติผู้หญิงที่ฉันรักเสมอ”

คำพูดต่อมาของแซคคารีย์ทำให้อลินดาถึงกับสะอึก เพราะหล่อนคือคนที่เขาเกลียดสินะ เขาถึงได้ข่มเหงอย่างป่าเถื่อนแบบเมื่อคืน

“ค่ะ”

“ดังนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องขึ้นมานอนบนเตียงกับฉัน และ…” เขาหยุดพูดเล็กน้อยราวกับต้องการให้หล่อนเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับฟังคำพูดต่อมาให้ดี “ทำหน้าที่ภรรยาที่พึงกระทำต่อสามีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”

“หน้า… หน้าที่ภรรยา…?”

เขาหรี่ตาแคบมองแก้มนวลที่แดงระเรื่อด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง

“เข้าใจความหมายของฉันไหม อลินดา”

“เอ่อ…”

“เธอต้องทำหน้าที่ของภรรยาให้ครบถ้วนทุกอย่าง ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว เข้าใจไหม”

หล่อนตัวสั่นเทา และพยายามจะดิ้นหนี แต่เขากระชับแน่นขึ้น และสายตาคมกริบตอนนี้ก็วิบวาบน่ากลัว

“คุณแซค… คงไม่ได้จะ… จะทำอะไรฉันใช่ไหมคะ”

ใบหน้าหล่อจัดโน้มต่ำลงมาหา

“ฉันจะไม่ทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่สามีภรรยาทำกันหรอก ไม่ต้องกลัว”

“อ๊ะ… อุ๊ยยยย”

ร่างของหล่อนถูกผลักให้นอนหงายกับเตียงนอน โดยมีร่างใหญ่โตของเขาทาบทับลงมาหาทั้งตัว ปิดทางหนีของหล่อนจนมืดมิดไร้ทางดิ้นหนี

“เรามาทำที่ค้างกันไว้ให้จบเถอะ”

คำพูดของเขากระเส่าแปร่งหู และมันก็ทำให้เรือนกายสาวร้อนผะผ่าว และสั่นเทา จนเขาสัมผัสได้

“กลัวหรือ…”

“เอ่อ…” ดวงตากลมโตยังคงเต็มไปด้วยความตื่นกลัว “ฉันกลัว… คุณแซค… อย่าทำ… อย่า…”

“ฉันจะระมัดระวังที่สุด เธอจะไม่เจ็บ หรืออย่างน้อยๆ ก็จะเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่ฉันสามารถทำได้”

หล่อนยังคงส่ายหน้าไปมา น้ำตาไหลรินออกมาเพราะทั้งหวาดกลัวทั้งสับสน

“ได้โปรด… ปล่อยฉันเถอะค่ะ”

นารีรัตน์ที่ถูกปิดตาและมัดแขนขาเอาไว้สะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินเสียงบานประตูเปิดและปิดลง หล่อนพยายามดิ้นรนเหมือนเช่นทุกวันที่เคยทำ แต่ก็ไม่เคยได้รับอิสรภาพเลยแม้แต่น้อย

ที่นอนข้างตัวยุบยวบ พร้อมๆ กับผ้าปิดปากของหล่อนที่ถูกกระชากออก

“แก… แกเป็นใคร ปล่อยฉันไปนะ”

ตั้งแต่วันนั้นที่หล่อนถูกลักพาตัวมาจากห้องแต่งตัวเจ้าสาว และถูกข่มเหงร่างกายทุกวันภายในสถานที่นี้ หล่อนก็ยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ไอ้วายร้ายใจโฉดคนนี้เป็นใคร

ทุกครั้งที่มันเข้ามา มันก็จะไม่หลุดคำพูดใดออกจากปากเลยแม้แต่คำเดียว มันกระทำย่ำยีร่างกายของหล่อนอย่างเหี้ยมโหด ทำจนมันพอใจจึงจากไป

“ใครจ้างแกมา มันให้แกเท่าไหร่ ฉันจะจ่ายให้มากกว่ามันร้อยเท่า คนรักของฉันรวยมาก ฉันจ่ายให้แกได้มากกว่าจริงๆ นะ ปล่อยฉันไปนะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ”

“หึหึ”

เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้ยินเสียงจากผู้ชายที่จับตัวหล่อนมากระทำชำเรา ซึ่งมันคุ้นหูเป็นที่สุด แต่ยังไม่ทันจะขานชื่อของเจ้าของเสียงออกไป ผ้าที่ปิดตาของหล่อนอยู่ก็ถูกกระชากออก

“กฤติชัย!”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มเหยียดหยัน มองนารีรัตน์ด้วยสายตาทั้งรักทั้งแค้น

“ตกใจหรือว่าดีใจล่ะ ที่รู้ว่าเป็นผม”

“คุณจับฉันมาทำไม ฉันจะแจ้งตำรวจ”

“ถึงผมจะรวยสู้เจ้าบ่าวของคุณไม่ได้ แต่ผมก็มีเงินนะนารี คุณคิดหรือว่าผมจะถูกจับง่ายๆ น่ะ”

“ไอ้…”

“บอกแล้วไงครับ ว่าคุณเป็นของผม ไม่ว่าคุณจะหนีผมไปแต่งงานกับใคร ก็ไม่มีทางสำเร็จ”

หล่อนเจอกฤติชัยในงานเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อนที่ต่างประเทศตอนที่หล่อนไปเที่ยวกับเพื่อน ตอนนั้นหล่อนหว่านเสน่ห์จนกฤติชัยปรนเปรอให้หล่อนทุกอย่าง เขาลุ่มหลงหล่อนมาก แต่เพียงไม่นานหล่อนก็สลัดเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี และบินกลับมาเมืองไทย ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ลอนดอนมาก่อน

“ฉันจะบอกคุณแซค คุณจะต้องถูกลากเข้าคุกแน่ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”

แทนที่กฤติชัยจะหวาดกลัว กลับหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น และนั่นก็ยิ่งทำให้นารีรัตน์เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“แกจะหัวเราะบ้าอะไรของแก ไอ้คนประสาท!”

กฤติชัยไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากยื่นโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองแอบถ่ายรูปของอลินดากับแซคคารีย์เอาไว้ เมื่อครั้งที่ไปดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหาร ให้กับนารีรัตน์ดู

“น้องสาวของคุณเหมาะสมกับคุณแซคมาก ว่าไหมครับนารี”

นารีรัตน์เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ

“อีน้องระยำ”

“คุณไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าน้องสาวแสนดีของตัวเอง นารี”

“ทำไมฉันจะด่ามันไม่ได้ ในเมื่อมันคิดจะชุบมือเปิบแย่งคุณแซคไปจากฉัน”

กฤติชัยหัวเราะเยาะ

“ผู้หญิงเลวๆ สำส่อนไม่เลือกหน้าอย่างคุณไม่ควรคู่กับผู้ชายเพอร์เฟ็กอย่างคุณแซคคารีย์หรอกครับ คุณต้องเจอผู้ชายร้ายๆ แบบผมถึงจะเหมาะสม”

“ไอ้บ้า! ใครอยากจะคู่ควรกับแก นี่ปล่อยฉันออกไปนะ ไม่อย่างนั้นฉันแหกปากให้ลั่นเชียว”

“ที่นี่บ้านของผม และก็มีแต่คนของผมทั้งนั้น ถ้าอยากจะบริหารเสียงคุณทำได้ แต่หากต้องการจะร้องให้คนมาช่วย เสียเวลาเปล่าน่ะ เพราะคุณจะต้องอยู่ที่นี่ไปกับผมชั่วชีวิต”

นารีรัตน์หน้าตาซีดเผือด และพยายามหาทางรอด “ไม่นะ อย่ามากักขังฉันแบบนี้นะ”

“คุณเป็นเมียของผม”

“ฉันก็เป็นเมียผู้ชายมานับไม่ถ้วนแล้วนั่นแหละ แกอย่ามายุ่งกับผู้หญิงสำส่อนอย่างฉันเลย นู้น… นังลินดานู้น มันไม่เคยเที่ยวกลางคืน ไม่เคยมีแฟนมาก่อนด้วย แกควรจะไปจับตัวมันมาปู้ยี่ปู้ยำแทนฉันไม่ดีกว่าเหรอ”

กฤติชัยมองหน้านารีรัตน์อย่างรังเกียจ แต่ในความรังเกียจก็มีความรักร้อนแรงซ่อนอยู่เต็มแน่น

“แค่เอาชื่อน้องสาวไปทำให้ป่นปี้เสียหายยังไม่พอใจอีกเหรอ นารี นี่ยังจะยุให้ผมไปฉุดน้องสาวของตัวเองมาย่ำยีอีก ผมว่าตัวเองเลวแล้วนะ แต่คุณกลับเลวร้ายกว่าผมเสียอีก”

“ก็ฉัน… อยากให้แกได้ผู้หญิงดีๆ มาเป็นเมียนี่ เชื่อฉันเถอะ ไปจับนังลินดามา มันก็หน้าตาเหมือนฉันนี่แหละ”

“แต่ยังไงก็ไม่ใช่คุณอยู่ดี ผมชอบผู้หญิงชั่วๆ อยู่ใกล้แล้วเลือดลมมันเดินดี”

“ไอ้บ้า นี่แกโง่หรือไงเนี่ย” นารีรัตน์กรีดร้องอย่างโมโห ทนทางหนีไปจากที่นี่มืดมิดลงทันที

“ผมอาจจะโง่ที่ตัดใจจากผู้หญิงเลวๆ อย่างคุณไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้เลวจนถึงขั้นที่จะไปทำร้ายผู้หญิงดีๆ คนอื่นได้”

นารีรัตน์มองหน้ากฤติชัยอย่างเกลียดชัง ความขยะแขยงจากดวงตาของหล่อนทำให้คนถูกมองเคียดแค้น กฤติชัยผลักร่างของนารีรัตน์ให้ล้มลงกับพื้น แก้เชือกที่มัดแขนมัดขาของหล่อนออก ก่อนจะข่มเหงหญิงสาวจนสาแก่ใจ

นารีรัตน์เต็มไปด้วยความคลั่งแค้น หล่อนนอนนิ่งให้กฤติชัยย่ำยีราวกับท่อนไม้ น้ำตาไหลรินออกมาอาบแก้ม และก็พยายามที่จะหาทางหนีไปจากที่นี่ตลอดเวลา

หลังถูกบังคับให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง อลินดาก็หนีแซคคารีย์ขึ้นไปหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือ และแม้แต่เวลาอาหารเย็น หล่อนก็เลือกที่จะไปกินในครัวกับคนใช้ ไม่ยอมไปร่วมโต๊ะกับเขา ความเสียใจ ความน้อยใจ ทำให้หล่อนไม่อยากจะใส่ใจอีกว่าแซคคารีย์รู้สึกยังไง จะโกรธ จะโมโห ก็ช่างเขาเถอะ เพราะแค่นี้มันยังไม่สาสมกับความป่าเถื่อนที่เขากระทำกับหล่อนเมื่อคืนเลย

หญิงสาวดันประตูห้องนอนให้เปิดออก และก็รีบแทรกตัวเข้าไปภายในห้อง ก่อนจะเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก เมื่อไม่เห็นแซคคารีย์ในห้องนอน

หล่อนรีบคว้าหมอนใบใหญ่ของตัวเอง และเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ กดล็อกประตูอย่างแน่นหนา และก็ขังตัวเองอยู่ภายในนั้นเหมือนค่ำคืนก่อนหน้า

แซคคารีย์ที่เพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับนักสืบเอกชนที่ตัวเองจ้างให้ตามหานารีรัตน์อีกทางเสร็จก็เดินเข้ามาในห้องนอน มือใหญ่เอื้อมไปกดสวิตซ์ไฟจนห้องสว่างขึ้น สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของอลินดา

“หรือว่ายังไม่ขึ้นมา”

เขาคิดแบบนั้นได้เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น เมื่อสายตามองไปเห็นว่าหมอนหายไปจากเตียงนอนหนึ่งใบ สายตาคมกริบจ้องไปที่บานประตูห้องน้ำทันที

วินาทีแรกแซคคารีย์ตั้งใจจะเดินเข้าไปเคาะประตูห้องน้ำและเรียกหล่อน แต่พอใช้สติคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ผลหรอก เพราะ อลินดากำลังโกรธเขาอยู่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องเปิดเข้าไปโดยไม่ให้หล่อนตั้งตัว

แซคคารีย์เดินออกไปจากห้องนอนไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับลูกกุญแจในมือ เขาก้าวมาหยุดที่หน้าประตูห้องน้ำ ก่อนจะไขประตูที่ล็อกเอาไว้ และดึงมันออก

คนตัวเล็กนั่งกอดหมอนร้องไห้อยู่กับพื้นห้องน้ำ และหันมามองเขาที่ยืนอยู่ปากประตูด้วยความตื่นตกใจในวินาทีแรก แต่พอเจ้าหล่อนมีสติก็มองเขาอย่างขุ่นเคืองทันที

“ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของฉันค่ะ”

คนตัวโตเอียงคอมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงกระชากร่างอรชรให้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า

“ปล่อยนะคะ”

“ไปนอนด้วยกันบนเตียง”

คนฟังคอแข็ง ความน้อยใจระเบิดไม่ยั้ง “ฉันไม่อยากทำให้เตียงของคุณแซคเปื้อนค่ะ”

“อย่าดื้อได้ไหม” น้ำเสียงของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจอย่างเห็นได้ชัด แต่หล่อนไม่สนใจหรอก

“ฉันไม่ได้ดื้อค่ะ แต่กำลังทำในสิ่งที่คุณแซคต้องการมาตลอด ปล่อยค่ะ”

เขาไม่ยอมปล่อย และถอนใจออกมาอย่างหมดความอดทน “ถ้าไม่ออกไปนอนบนเตียงด้วยกันดีๆ ฉันจะอุ้มไปนะ อลินดา”

“อย่านะคะ”

หล่อนบอกให้กฤติชัยมาส่งหล่อนที่บ้านของครอบครัว แทนการกลับไปที่คฤหาสน์หลังงามของแซคคารีย์ เพราะหล่อนไม่อยากจะเห็นหน้าคนใจร้ายอีก แต่พอก้าวเท้าเข้ามาในบ้านเท่านั้น ก็พบผู้ชายที่ตัวเองอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลสุดขอบโลกยืนท้าวสะเอวรออยู่

อลินดาชะงักเท้ากึก หน้าตาซีดเผือด และก็เต็มไปด้วยความตกใจระคนแปลกใจ

“คุณแซค มาทำไมคะ”

หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง และมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า คนที่ยืนท้าวสะเอวก้าวเข้ามาหา สายตาสีสนิมเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่หล่อนไม่สนใจหรอก เขาไม่ได้เป็นอะไรกับหล่อนสักหน่อย

“แล้วเธอล่ะ ออกไปไหนมากับคุณกฤติชัยแต่เช้า” น้ำเสียงของ แซคคารีย์บอกให้รู้ว่าเขากำลังหาเรื่องหล่อนชัดๆ “แถมยังไม่ยอมบอกเจ้าของบ้านอย่างฉันสักคำ”

หล่อนเห็นความหงุดหงิดไม่พอใจของแซคคารีย์ได้อย่างชัดเจน แต่หล่อนก็ทำเป็นมองไม่เห็น

“ทำไมฉันต้องบอกคุณแซคด้วยคะ ในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” อลินดาแย้งเสียงขุ่น ก่อนจะเดินหนี แต่แขนเรียวถูกอุ้งมือใหญ่ของคนป่าเถื่อนกระชากเอาไว้เสียก่อน “นี่ปล่อยนะ อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ”

เขาไม่ปล่อย แถมยังกระชากร่างที่ดิ้นรนสุดชีวิตของหล่อนเข้าไปกอดรัดแน่น

“ยิ่งกว่าแตะฉันก็ทำมาแล้ว อย่ามาสะดีดสะดิ้งหน่อยเลย”

อลินดาช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยความเสียใจ น้อยใจ “หรือว่ายังทำร้ายกันไม่พอคะ คุณแซค”

สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของอลินดาไม่เคยมีอิทธิพลใดๆ ต่อระบบความรู้สึกของเขามาก่อน แต่ตอนนี้… มันมีผลรุนแรงขึ้นมากะทันหัน และมันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกละอายใจ

“ฉันรู้ว่าทำให้เธอโกรธ”

“ไม่ใช่แค่โกรธหรอกค่ะ แต่ฉันเกลียดคุณแซคต่างหาก”

แม้สุ่มเสียงของอลินดาจะดังแค่ไหน แต่แซคคารีย์ก็หัวเราะออกมาจนได้

“เธอรักฉันต่างหาก อลินดา”

หล่อนหน้าแดงก่ำ เม้มปากแน่น และเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง “ถึงผู้หญิงทั้งโลกจะสยบอยู่แทบเท้าของคุณแซค แต่จะไม่มีวันเป็นฉัน เพราะฉันเกลียดคุณ ปล่อยค่ะ”

แซคคารีย์ยังคงหัวเราะด้วยความยโสเช่นเดิม และจงใจเสียดสีอะไรบางอย่างที่กำลังผงาดกับหน้าท้องของหล่อน อลินดาหน้าตาตื่น แก้มแดงก่ำ

“คุณแซค… ปล่อยฉันนะ”

“ดิ้นสิ ดิ้นเข้าไป” เขาก้มหน้าลงมาหาใกล้ๆ “เวลาตื่นแล้ว มันสงบลำบากนะ”

หล่อนรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร ดังนั้นหล่อนจึงกัดฟันหยุดดิ้น และพยายามใช้เหตุผลคุยกับเขา

“เรื่องเมื่อคืนให้มันจบลงแค่นั้นเถอะค่ะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย และคุณแซคจะได้เอาเวลาไปตามหาพี่นารีน่าจะดีกว่า”

“ฉันไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จิ้มแล้วทิ้งเสียด้วยสิ”

นี่เขา… กำลังจะบอกอะไรหล่อนอย่างนั้นเหรอ

อลินดาเลิกคิ้วสูง มองผู้ชายที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรด้วยความแปลกใจ

“คุณแซค… หมายความว่ายังไงเหรอคะ”

เขาไหวไหล่กว้างเล็กน้อย ก่อนจะโน้มหน้าต่ำลงมาหา มันใกล้มากจนหล่อนได้กลิ่นลมหายใจอบอุ่นเลยทีเดียว หัวใจสาวเต้นระรัว ร่างกายร้อนระอุ

“ฉันก็หมายความว่าเราจะต้องต่อสิ่งที่ทำค้างเอาไว้เมื่อคืนให้จบน่ะสิ”

“สิ่งที่ทำค้างเอาไว้เมื่อคืน…?”

“เธอคงยังไม่ลืมใช่ไหม”

แซคคารีย์ไม่เคยเข้าใกล้หล่อนขนาดนี้มาก่อน และสายตาที่เขามองมาที่หล่อนก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เช่นกัน

“คือว่า…”

“กลับบ้าน ฉันมารับแล้ว” เขาคลายอ้อมแขนออก และเปลี่ยนมาคว้ามือเล็กของหล่อนแทน แต่อลินดาพยายามบิดมือแรงๆ เพื่อให้ได้รับอิสรภาพ แต่ก็ไม่เป็นผลอยู่ดี

“ไม่ค่ะ ฉันจะอยู่ที่นี่”

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าเธอจะต้องอยู่ในฐานะภรรยาของฉันจนกว่าฉันจะตามหานารีพบ”

หล่อนมันก็แค่ตัวแทน ก็แค่ผู้หญิงคั่นเวลาในสายตาของเขาเสมอมา ไม่เคยได้เป็นตัวจริงๆ เลยสักครั้ง

“ฉันจะไม่เล่นละครบทบาทนั้นอีกแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“เธอก็รู้นี่ว่าถ้าเธอขัดใจฉัน ครอบครัวของเธอจะต้องเดือดร้อนแค่ไหน”

อลินดาเม้มปากเป็นเส้นตรง แต่ก็ได้ไม่นานเพราะนิ้วยาวของแซคคารีย์ยื่นมาแตะที่ปากอิ่มเอาไว้เสียก่อน

“ชอบนักนะเม้มปากเนี่ย มันจะช้ำหมดรู้ไว้เสียด้วย”

“มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแซคนี่คะ” หล่อนเชิดหน้าตอบโต้อย่างน้อยอกน้อยใจ

“เมื่อก่อนอาจจะไม่เกี่ยว แต่หลังจากเมื่อคืน เธอกับฉันเกี่ยวข้องกันแนบแน่นเลยทีเดียว”

หญิงสาวหน้าแดงก่ำสลับซีดขาว “คุณแซคกลับไปเถอะค่ะ อย่ามาเสียเวลากับผู้หญิงที่คุณแซคขยะแขยงอย่างฉันเลย” หล่อนสะบัดแขนแรงๆ อีกครั้ง และคราวนี้ก็ได้รับอิสระ

“อย่าให้ต้องฉุดกลับไปเลย อลินดา ฉันไม่อยากเป็นคนใจร้าย”

คนที่หมุนตัวหันหลังจะเดินเข้าบ้าน ชะงักเท้า แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว

“คุณแซค… เคยเป็นคนใจดีกับฉันด้วยเหรอคะ”

ชายหนุ่มโมโห ก้าวเพียงแค่ครั้งเดียวก็คว้าแขนเรียวเอาไว้ได้อีกครั้ง

“เดี๋ยวนี้หัดยอกย้อนนะ อลินดา”

“ปล่อยค่ะ”

“กลับไปด้วยกัน เธอจะต้องไปอยู่กับฉัน อย่างน้อยๆ ก็จนกว่านารีพี่สาวของเธอจะกลับมา”

หล่อนถูกจับให้หมุนกลับมาเผชิญหน้า “ให้ฉันไปอยู่ใกล้ๆ ไม่เหม็นกลิ่นเน่าของฉันแล้วเหรอคะ”

“บางครั้งการกินของเน่าเหม็น ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าลิ้มลองไม่น้อย”

คำตอบโต้ของเขาทำให้หล่อนเจ็บจนจุก พยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่เป็นผล ไม่ช้าร่างของหล่อนก็ถูกลากมายัดใส่รถสปอร์ตคันงามได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางความน้อยอกน้อยใจของหล่อน

แซคคารีย์ก้าวขึ้นมานั่งบนรถ และหันมามองเสี้ยวหน้านวลของหญิงสาวข้างกาย ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออลินดามันค่อยๆ เปลี่ยนไป และเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนเขาตกใจไม่น้อย

หากมองด้วยสติแล้ว อลินดาก็คือผู้หญิงน่าสงสารคนหนึ่ง และข่าวคาวของหล่อนที่เขารับรู้มาก็ไม่มีความเป็นจริงเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย

อลินดาผู้หญิงสำส่อน ผู้หญิงใจง่าย ผู้หญิงที่มั่วผู้ชายไม่เลือกหน้า ผู้หญิงที่รักสนุกจนมีคลิปโป๊หลุดออกมาประจานความแรดร่าน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เข้าใจมาตลอด กลับไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้หญิงที่เขาเคยตราหน้าว่าโสเภณีราคาถูก แท้จริงแล้วหล่อนแสนจะสะอาดสะอ้าน และในลิสบัญชีรายชื่อผู้ชายของหล่อน ก็มีชื่อเขาเพียงคนเดียวในนั้น

แซคคารีย์ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าไม่รู้สึกอะไรกับเยื่อพรหมจารีที่ตัวเองได้ทำลายจนขาดวิ่นไป ความพึงพอใจมันเกิดขึ้นภายในอก แต่กระนั้นก็พยายามที่จะซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เธอชอบถักไหมพรมหรือ”

จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น และก็ทำให้คนที่นั่งน้ำตาซึมอยู่ต้องเม้มปาก และเอ่ยตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ค่ะ”

“เพราะแบบนี้ในห้องนอนของเธอถึงมีแต่สิ่งของที่ถักขึ้นจากไหมพรมใช่ไหม”

หล่อนหันขวับมามองเขาอย่างตกใจ “คุณแซค… เข้าไปในห้องนอนของฉันเหรอคะ”

“อืม”

“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไงคะ นั่นมันห้องส่วนตัวของฉันนะคะ คุณแซคไม่มีสิทธิ์เข้าไปวุ่นวาย”

หล่อนต่อว่าเขาทั้งน้ำตา และก็กลัวว่าความลับมากมายที่ซ่อนเอาไว้จะถูกเปิดเผย

“ก็แม่ของเธออนุญาตแล้วนี่”

“แต่คุณแซคก็ไม่ควรทำค่ะ เพราะห้องนอนเป็นห้องส่วนตัวของฉัน และฉันก็ไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวาย”

คนที่ขับรถอยู่เอียงหน้ามามอง สายตาของเขามืดดำล้ำลึกคล้ายกับซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ในนั้น

“มีความลับเยอะสิท่า”

“ปละ เปล่าค่ะ”

แซคคารีย์ส่งเสียงหึหึในลำคอ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองถนนอีกครั้ง และไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

เขานั่งขับรถเงียบๆ ในขณะที่อลินดามือไม้เย็นเฉียบ ความไม่สบายใจวิ่งวุ่นเต็มอก

อลินดามานั่งเหงาๆ น้ำตาซึมอยู่ในสวนสาธารณะตั้งแต่ช่วงเช้า จนตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว หล่อนก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ความเศร้าหมอง ความเสียใจยังคงรังแกหัวใจไม่หยุดหย่อน และต้นเหตุทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะผู้ชายใจร้ายอย่างแซคคารีย์นั่นเอง

กลีบปากอิ่มเต็มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง แต่แก้มนวลก็ไม่ยอมแห้งเสียที เพราะน้ำตาไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง

ความป่าเถื่อนของแซคคารีย์ยังคงตอกย้ำให้หล่อนเจ็บปวดได้เสมอ เขาสาดซัดความเกลียดชังเข้าใส่หล่อน ข่มเหงน้ำใจของหล่อนเพราะคิดว่าหล่อนเป็นตัวต้นเหตุให้นารีรัตน์หายตัวไป ทั้งๆ ที่หล่อนไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด

“คนใจร้าย…” หล่อนต่อว่าชายหนุ่มออกมาแผ่วเบา หัวใจร้องไห้ไม่ต่างจากสองดวงตา “ลินดาจะไม่กลับไปเจอหน้าคุณอีก ผู้ชายป่าเถื่อน”

“ใครกล้าทำให้คุณลินดาร้องไห้กันครับ” เสียงห้าวคุ้นหูของผู้ชายคนหนึ่ง ทำให้อลินดาต้องรีบตั้งสติ และป้ายน้ำตาทิ้ง ก่อนเอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลัง

“คุณกฤติชัย…?”

หล่อนไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาเจอกฤติชัยลูกค้าคนสำคัญของโรงแรมที่สวนสาธารณะเล็กๆ แห่งนี้

“ทำไมทำหน้าตกใจล่ะครับ หรือว่าไม่อยากเจอผม”

“เอ่อ… เปล่าค่ะ ลินดาแค่… แปลกใจ”

กฤติชัยระบายยิ้มและทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ตัวของอลินดา “แปลกใจที่เจอผมที่นี่หรือครับ”

“ก็… ใช่ค่ะ ไม่คิดว่านักธุรกิจร่ำรวยอย่างคุณกฤติชัยจะมาปรากฏตัวที่สวนสาธารณะได้”

“ผมมาที่นี่ทุกวันครับ มาวิ่งออกกำลังกาย”

อลินดาหันมองกฤติชัยอย่างพิจารณาอีกครั้ง และก็รู้ว่าสิ่งที่กฤติชัยพูดมันคือความจริง เพราะเขายังอยู่ในชุดออกกำลังกายอยู่เลย

“ว่าแต่คุณลินดาเถอะครับ มานั่งทำมิวสิคอะไรตรงนี้ครับ”

“เอ่อ…”

“ใครรังแกหรือครับ บอกมา ผมจะไปจัดการให้”

หล่อนฝืนยิ้มตอบออกไปกับผู้ชายที่พูดจาติดตลกข้างตัว “ไม่มีใครทำอะไรลินดาหรอกค่ะ”

“แล้วทำไมร้องไห้ล่ะครับ”

อลินดาเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“คุณกฤติชัยเห็นด้วยเหรอคะ”

“ก็แก้มของคุณลินดายังมีคราบน้ำตาติดอยู่เลยนี่ครับ”

รอยยิ้มเป็นมิตรของกฤติชัย ทำให้ความเศร้าของอลินดาคลายลงชั่วขณะ

“และอย่าแก้ตัวว่าฝุ่นเข้าตานะครับ เพราะผมไม่เชื่อหรอกครับ”

“คือลินดามีเรื่องทุกข์ใจนิดหน่อยน่ะค่ะ และก็บอกให้ใครฟังไม่ได้ด้วย”

หล่อนเห็นสายตาเห็นใจจากกฤติชัยทอดมองมา ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างรู้ทัน

“เรื่องพี่สาวฝาแฝดของคุณใช่ไหมครับ”

“คุณกฤติชัยรู้ได้ยังไงคะว่าลินดามีพี่สาวฝาแฝด”

ชายหนุ่มระบายยิ้มให้กับความแคลงใจของหล่อน

“ผมยังรู้อีกว่าตอนที่พี่สาวของคุณหายตัวไป คุณก็ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับคุณแซคคารีย์แทนพี่สาวฝาแฝดของตัวเอง”

“คุณกฤติชัย…”

อลินดาช็อกมาก เพราะคาดไม่ถึงว่านอกจากครอบครัวของหล่อนกับแซคคารีย์แล้ว จะยังมีใครอีกคนที่รู้เรื่องความลับนี้

“คุณพักอยู่ที่บ้านของคุณแซคคารีย์ในบทบาทของพี่สาว แต่เวลามาทำงาน คุณก็กลับมาเป็นอลินดาคนเดิม ถูกต้องไหมครับ”

ถูกต้องทุกอย่าง…

“คุณกฤติชัย… ทราบได้ยังไงคะ” หล่อนถามกลับเขาออกไปปากคอสั่น “หรือว่าคุณแซคบอกคะ”

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

ไหนแซคคารีย์บอกให้หล่อนเก็บเรื่องน่าอับอายนี้ให้เป็นความลับยังไงล่ะ แต่ทำไมเขาเที่ยวเอาไปโพนทะนาแบบนี้

“ว่าแต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของคุณลินดากับคุณแซคเป็นยังไงบ้างครับ”

แก้มนวลมีสีระเรื่อขึ้นในทันที ก่อนที่หญิงสาวจะเสหลบสายตาคมกริบของกฤติชัยที่จ้องมองมา

“ก็… ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราเป็นแค่พี่เขยกับน้องสะใภ้กันเท่านั้นเอง”

“แต่ถ้าผมดูไม่พลาด คุณลินดาชอบคุณแซคไม่ใช่หรือครับ”

นี่กฤติชัยเป็นเทพเจ้าอ่านความคิดของคนอื่นหรือไง ถึงได้ล่วงรู้ทุกอย่างที่หล่อนพยายามซ่อนเอาไว้

“คือว่า…”

“มันจะเป็นความลับของเราสองคนครับ ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ไว้ใจผมได้ครับ”

อลินดาน้ำตาซึม ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่มีทางซ่อนเร้นความลับจากกฤติชัยได้ จึงเผลอตัวพรั่งพรูความรู้สึกอึดอัดภายในใจออกมาจนหมดสิ้น

“ลินดาพยายามห้ามใจตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่สามารถหยุดรักคุณแซคได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิด” หล่อนร้องไห้ออกมา ในขณะที่กฤติชัยมองหญิงสาวอย่างเข้าใจ

“ผมเองก็อยู่ในสถานะไม่ต่างอะไรจากคุณลินดาหรอกครับ รัก รักอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เคยรักตอบกลับมาเลย แค่มาหลอกล่อเพื่อความสนุกเท่านั้น”

“คุณกฤติชัย… คงรักเธอมากใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ ผมรักเธอมาก แต่เธอแค่สนุกกับผม และก็ไม่เคยรักผมเลย”

อลินดามองกฤติชัยด้วยความเข้าใจไม่ต่างกัน ก่อนจะพูดให้กำลังใจ “สักวันคุณกฤติชัยจะเจอผู้หญิงคนนั้นค่ะ ผู้หญิงที่มีดวงตาไว้มองแค่คุณกฤติชัยคนเดียว”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้น “ผมไม่ใช่พระรองในนิยายหรอกครับ ที่จะต้องเสียสละผู้หญิงที่ตัวเองรักให้กับพระเอก”

“คุณกฤติชัยหมายถึง…”

“ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองเธอครับ”

“แม้ว่าเธอคนนั้นจะไม่ได้รักคุณกฤติชัยอย่างนั้นเหรอคะ”

คู่สนทนาของหล่อนพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะมองหล่อนด้วยสายตาเป็นมิตร

“ผมก็อยากให้คุณลินดาเข้มแข็งนะครับ ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องแย่งชิงหรอกครับ” กฤติชัยยังคงจ้องดวงหน้านวลของอลินดานิ่ง “แต่ผมรู้ว่าคุณลินดาเป็นคนดีเกินกว่าจะทำแบบนั้น”

อลินดาระบายยิ้มเศร้าๆ แต่ก็ไม่สามารถเปล่งคำพูดใดออกมาได้อีก เพราะก้อนสะอื้นมันกระจุกตัวอยู่ที่ลำคอจนตีบตัน

ความเงียบกลืนกินรอบตัวอยู่นานหลายนาที จนกระทั่งกฤติชัยเอ่ยถามขึ้น

“คุณลินดาจะกลับเลยไหมครับ ผมจะไปส่ง”

หล่อนที่นั่งเหม่อลอยอยู่สะดุ้ง ก่อนจะหันมาฝืนยิ้มให้กับคู่สนทนาข้างกาย

“อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะค่ะ”

“งั้นกลับพร้อมผมไหมครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง”

กฤติชัยมีน้ำใจกับหล่อน แต่หล่อนก็แสนจะเกรงใจเขา ดังนั้นจึงเลือกที่จะปฏิเสธ

“ขอบคุณมากค่ะ แต่ลินดากลับเองสะดวกกว่าค่ะ”

“อย่าเกรงใจผมสิครับ ผมยินดีไปส่ง”

เมื่อกฤติชัยยังคงยืนกรานหยิบยื่นน้ำใจให้กับหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง อลินดาจึงไม่กล้าปฏิเสธอีก

“ก็ได้ค่ะ”

“งั้นไปที่รถของผมกันเถอะครับ จอดอยู่ตรงนู้น”

กฤติชัยลุกขึ้นยืน โดยมีอลินดาลุกขึ้นยืนตาม แล้วทั้งสองคนก็เดินคุยกันไปตลอดทาง

คลิปเสพสวาทของชายหญิงที่มีใบหน้าเหมือนกับอลินดาราวกับแกะถูกแซคคารีย์นั่งจ้องมองนับครั้งไม่ถ้วน ผู้หญิงในคลิปแทนตัวเองว่าลินดา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครได้ดูคลิปสวาทนี้แล้ว ไม่มีทางมองอลินดาในแง่ดีได้ ซึ่งเขาก็เช่นกัน

กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง ทั้งๆ ที่เคยปักใจเชื่อว่าผู้หญิงในคลิปโป๊คืออลินดา แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะหลังจากที่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนแรกของอลินดา ผู้หญิงในคลิปคนนี้ก็ไม่มีทางใช่อลินดาไปได้

แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันล่ะ

นารีรัตน์หรือ

แซคคารีย์เต็มไปด้วยความสับสนมึนงง เขาพยายามที่จะหาจุดสังเกตว่าคลิปนี้คือการตัดต่อ หรือไม่ก็แค่คนหน้าเหมือนนารีรัตน์กับอลินดาเท่านั้น แต่ก็หาไม่เจอ

ชายหนุ่มถอดถอนใจออกมาแรงๆ ความรู้สึกที่มีต่ออลินดาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด และหนึ่งในความรู้สึกที่กำลังทรมานเขาอยู่ในตอนนี้ก็คือ ความละอายใจ

ใช่ เขาละอายใจเหลือเกินที่พร่าผลาญพรหมจรรย์ของหล่อนอย่างป่าเถื่อน

ใบหน้านวลที่บิดเบี้ยวทรมานเพราะความเจ็บปวดของอลินดายังคงไม่ยอมหลุดหายไปจากสมอง หยาดน้ำตาของหล่อนทำให้เขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังตัวเอง และอีกหนึ่งความรู้สึกที่ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นโดยไม่รู้ตัว นั่นก็คือความหวงแหน

บ้าชิบ!

แซคคารีย์สบถออกมาหลายครั้งติด แต่ก็ไม่อาจจะทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของตัวเองสงบลงได้เลย เขาตัดสินใจที่จะลุกขึ้น เพื่อที่จะเดินกลับไปยังห้องพัก แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน

มือใหญ่เอื้อมไปกดรับ ก่อนจะกรอกเสียงทุ้มไปตามสาย เมื่อรู้ว่าใครโทรเข้ามา

“สวัสครับ คุณตำรวจ”

ร้อยเวรเจ้าของคดีทักทายมาตามสาย ก่อนจะเอ่ยถึงสาเหตุที่โทรมาหาเขาแต่เช้า

“สรุปแล้วศพผู้หญิงที่ถูกข่มขืนและตีหน้าจนเละ ไม่ใช่นารีรัตน์หรือครับ”

“ไม่ใช่คุณนารีรัตน์ครับ”

“แล้วสร้อยเส้นนั้นล่ะครับ ทำไมถึงไปอยู่ที่ศพได้”

แซคคารีย์สงสัยมาก เพราะสร้อยเส้นที่เขาซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับนารีรัตน์เป็นแบบพิเศษที่เขาเป็นคนออกแบบเอง และแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นเส้นเดียวในโลกที่มีลายแบบนี้

“ทางญาติของผู้ตายแจ้งว่าผู้ตายเก็บสร้อยเส้นนี้ได้ครับ”

แซคคารีย์นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมา “ขอบคุณคุณตำรวจมากครับ แต่ถ้าได้เบาะแสของนารีรัตน์เมื่อไหร่ รบกวนโทรแจ้งผมด้วยนะครับ”

นายตำรวจเจ้าของคดีตอบรับอย่างสุภาพ ก่อนจะวางสายไป แต่เขายังคงกุมโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น ดวงตาคมกริบสีสนิมเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ

ถึงแม้ว่าเขาจะดีใจมากที่ศพผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่นารีรัตน์ แต่ก็อดรู้สึกผิดบาปต่ออลินดาไม่ได้ เมื่อคืนเขาเสียใจมากเพราะคิดว่าศพผู้หญิงคนนั้นคือนารีรัตน์ จึงกลับมาย่ำยีอลินดา แล้วนี่เขาจะชดเชยความผิดของตัวเองกับหล่อนยังไงดี

ชายหนุ่มถอนใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทำงาน มุ่งหน้าตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง ซึ่งเขามั่นใจว่าอลินดายังคงนอนซมอยู่ในนั้น

แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง กลับพบแต่ความว่างเปล่า คิ้วเข้มหนาดกของแซคคารีย์เลิกสูง เขามองไปรอบๆ ห้องแต่ไม่พบผู้หญิงที่ตัวเองมาตามหา เขาเอ่ยเรียกชื่อของหล่อน แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบรับมาเหมือนเดิม

แซคคารีย์เริ่มหงุดหงิด “หายหัวไปไหนอีกเนี่ย” เขาบ่นด้วยความไม่พอใจ และสายตาก็เหลือบแลไปเห็นถาดใส่อาหารที่เขาเป็นคนสั่งให้สาวใช้ยกขึ้นมาให้หล่อนบนห้องเข้าพอดี อาหารในถาดไม่มีพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว

“ดื้ออีกแล้ว”

ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ออกจากห้องนอน ลงมายังชั้นล่าง และเรียกสาวใช้คนเดิมมาสอบถาม

“คุณลินดา… เอ่อ คุณนารีไปไหน”

“เอ่อ หนูก็ไม่ทราบค่ะ” สาวใช้ตอบเสียงแผ่ว และก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว

แซคคารีย์กระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ “ให้มันได้อย่างนี้สิ เมียฉันหายไปทั้งคน แต่พวกเธอกลับไม่รู้ไม่เห็นกันเลย มันน่าเลี้ยงให้เสียข้าวสุกไหมเนี่ย”

“หนู… หนูขอโทษค่ะ”

“ไปตามรปภ. มาพบฉันเดี๋ยวนี้”

“ค่ะ คุณแซค”

สาวใช้รีบวิ่งหน้าตาตื่นออกไปนอกตัวตึกใหญ่ ในขณะที่แซคคารีย์เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย และก็อดคาดโทษผู้หญิงที่ก่อปัญหาเอาไว้ไม่ได้

“อย่าให้เจอเชียว จะฟาดก้นเสียให้เข็ด”

ไม่ถึงนาทีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้า

“คุณแซคมีอะไรให้พวกผมรับใช้ครับ”

“คุณนารีได้ออกไปจากบ้านหรือเปล่า” แซคคารีย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระด้าง ไม่พอใจ

“ออกไปครับ”

นั่นไง

แซคคารีย์เต็มไปด้วยความหงุดหงิด “แล้วทำไมพวกนายถึงยอมให้เมียฉันออกไปนอกบ้าน โดยที่ฉันไม่รู้ หึ”

“ก็… คุณนารีบอกว่าขออนุญาตคุณแซคแล้วนี่ครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตอบกลับออกมาด้วยสุ่มเสียงสั่นเทา

แซคคารีย์สบถนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องคลุ้มคลั่งขนาดนี้ กับอีแค่เมียคั่นเวลาหายออกไปจากบ้าน แต่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกแบบนี้ มันทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่รู้ตัวว่าเข้าใจอลินดาผิดไป

“ฉันอนุญาตกะผีอะไรล่ะ แล้วคุณนารีบอกไหมว่าจะไปไหน”

“เอ่อ ไม่ได้บอกครับ”

แซคคารีย์หงุดหงิดจนแทบเป็นบ้า ก่อนจะโบกมือขับไล่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างโมโห

“ไสหัวไปได้แล้ว ไปสิ”

“ครับ คุณแซค”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนรีบวิ่งหน้าตั้งกลับออกไป ส่วนเขาก็เดินออกมานอกตัวตึก และตะโกนเรียกหากุญแจรถเสียงดังลั่น

“มาแล้วครับ กุญแจรถมาแล้วครับ”

คนขับรถสูงวัยรีบนำกุญแจรถสปอร์ตคันโปรดมายื่นให้กับแซคคารีย์

ชายหนุ่มคว้ามาไว้ในอุ้งมือ และกำลังจะก้าวขึ้นรถ แต่คนขับรถสูงวัยเอ่ยถามเสียก่อน

“คุณแซคจะไปทำงานหรือครับ”

“วันนี้ฉันหยุด ลืมไปแล้วหรือไง”

“เอ่อ ครับ ครับ”

แล้วแซคคารีย์ที่กำลังหัวเสียสุดๆ ก็ก้าวขึ้นไปบนรถคันงามของตัวเอง และขับออกไปด้วยความเร็วสูง

เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วที่เขาออกมายืนงุ่นง่านอยู่ริมระเบียง สายลมเย็นฉ่ำที่พัดเข้ามาปะทะร่างกาย กลับไม่สามารถลดความหงุดหงิดร้อนระอุในกายหนุ่มได้เลย

เขาข่มขืนอลินดา…!

มันเป็นความจริงที่แสนอัปยศที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชาย

เขาไม่ควรทำแบบนั้น ไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหนก็ตาม แต่เขากับปล่อยให้โทสะมามีอิทธิพลเหนือความถูกต้องจนได้ เขาข่มเหงอลินดาอย่างป่าเถื่อน แต่นั่นยังไม่น่ารังเกียจเท่ากับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้จากการสอดใส่เข้าไปในกายของหญิงสาว

สาวบริสุทธิ์…!

เนื้อตัวของเขาแข็งทื่อ ความขยะแขยงที่มีต่อตัวเองล้นปรี่แน่นอก ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของอลินดามันไม่ใช่การเสแสร้ง กลีบปากสั่นระริกที่ร้องขอความเมตตาตลอดเวลา มันก็คือความรู้สึกที่แท้จริงของหล่อน

แต่เขาทำอะไรลงไป เขาข่มขืนสาวพรหมจรรย์อย่างป่าเถื่อน ไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกเลวร้ายได้เท่ากับเขาอีกแล้ว

มือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าหลายครั้งด้วยความเคร่งเครียด ความขมขื่นที่เกิดจากการเกลียดชังตัวเอง ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก ไม่มีอะไรน่าภูมิใจเลยกับสิ่งที่ทำลงไป

แซคคารีย์แทบเป็นบ้า ตอนนี้ความรู้สึกผิดอัดแน่นเต็มอกจนแทบอยากจะกระโดดฆ่าตัวตาย มือใหญ่กำแน่นเข้าหากัน ก่อนจะตัดสินใจที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง เพื่ออะไรน่ะหรือ ก็เพื่อ… จะขอโทษอลินดายังไงล่ะ

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งกลับมาหยุดหน้าประตูห้องนอน เขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจดันบานประตูให้เปิดกว้างออก และแทรกตัวเข้าไปข้างใน

ที่แรกที่สายตาของเขาจ้องมองก็คือบนเตียง แต่บนนั้นกลับว่างเปล่าไร้ร่างบอบช้ำของอลินดา ชายหนุ่มเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง และเดินมาหยุดที่ขอบเตียง

จุดเลือดเล็กๆ จำนวนห้าหกจุดกระแทกเข้ามาในสายตา มันยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ว่าตัวเองสารเลวมากแค่ไหน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำลงไป

แซคคารีย์ถอนใจออกมาแรงๆ ขณะเลื่อนสายตามองไปที่ประตูห้องน้ำ หากภายในห้องนอนไร้เงาของอลินดา นั่นก็แสดงว่าหญิงสาวหอบหมอนไปนอนในห้องน้ำเหมือนทุกคืน

เขาหยัดกายลุกขึ้นยืน หัวใจเต็มไปด้วยความผิดบาป เขาเดินไปหยุดที่ประตูห้องน้ำ ดึงมันให้เปิดกว้างออกอย่างเบามือ และก็ได้เห็นอลินดานอนหลับอยู่ที่พื้น

หัวใจของเขาเจ็บแปลบราวกับถูกลูกธนูวิ่งเข้ามาทิ่มแทง เขาค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า จ้องมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาที่ตอนนี้มีคราบน้ำตาเปียกชุ่มด้วยความเจ็บร้าวในอก

“ฉัน… ขอโทษ…”

เขาพึมพำออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงของลมหายใจ และแน่นอนว่าคนที่นอนหลับใหลอยู่กับพื้นห้องน้ำไม่มีทางได้ยินมัน

“หากฉันรู้สักนิด… ว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี ฉันคงจะเบามือกับเธอ อลินดา…”

ดวงตาสีสนิมอ่อนแสงจ้องมองเรือนร่างที่เปื้อนราคีจากน้ำมือของเขาแล้วอย่างทุกข์ทรมาน ตอนนี้อลินดาไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกแล้ว และผู้ชายป่าเถื่อนที่พร่าผลาญพรหมจรรย์ของหล่อนไปอย่างเหี้ยมโหดก็คือเขานั่นเอง

“ฉัน… ขอโทษจริงๆ”

แซคคารีย์ย้ำชัดอีกครั้ง ก่อนจะช้อนร่างอวบอิ่มที่งดงามไร้ที่ติของอลินดาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน และอุ้มพาหญิงสาวไปวางบนเตียงนอนด้วยความสุภาพอ่อนโยน

คนที่ร้องไห้จนหลับใหลไปสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตมองเขาด้วยความหวาดกลัว “อย่า… ฉันเจ็บ…” หล่อนพยายามจะถดถอยหนี แต่แซคคารีย์รั้งแขนเรียวเอาไว้

“ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก เธอนอนเถอะ”

อลินดามองเขาอย่างหวาดกลัว ดวงหน้างามซีดขาว กลีบปากอิ่มที่เขายังไม่มีโอกาสสักครั้งที่จะได้ครอบครองสั่นระริก ยิ่งหล่อนแสดงความตื่นตกใจมากเท่าไหร่ แซคคารีย์ก็ยิ่งเกลียดชังตัวเอง

“ฉันสาบาน ว่าจะไม่ทำอะไรเธออีก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ ไว้ใจฉันได้”

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะทะนุถนอมอลินดาให้มากกว่านี้ จะไม่ขืนใจหล่อน และจะไม่ทำให้หล่อนเจ็บปวด

เขายังจดจำความรู้สึกวินาทีที่ท่อนชายถูกโอบรัดด้วยกลีบสาวแสนบริสุทธิ์ของอลินดาได้เป็นอย่างดี เขาเสียวซ่านจนอยากจะเคลื่อนไหวระรัวเร็ว แต่เพราะเจ้าหล่อนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ เขาถึงต้องหยุด และกัดฟันชักถอนออกมา

“นอนซะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

หล่อนมองเขาผ่านม่านน้ำตาด้วยความเสียใจ และก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับผู้ชายใจร้ายอย่างแซคคารีย์อีก เปลือกตาทั้งสองข้าง ค่อยๆ ปรือปิดลง

แซคคารีย์ยืนมองอลินดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารระคนพิศวง ความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในหัวของเขา และแน่นอนว่าพรุ่งนี้จะต้องหาคำตอบให้จงได้

อลินดาไม่สามารถลุกขึ้นและไปทำงานได้ในเช้าของวันนี้ เพราะเหตุการณ์ที่ถูกกระทำชำเราจนบอบช้ำเมื่อคืน ทำให้หล่อนตื่นสายโด่ง หล่อนมองไปรอบๆ ตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า

หญิงสาวหัวเราะเยาะตัวเองทั้งน้ำตา เมื่อค้นพบความจริงว่าตัวเองต้องการจะเห็นแซคคารีย์ภายในห้องนอน อยากเห็นรอยยิ้มของเขา รอยยิ้มที่เขาหยิบยื่นให้กับคนทุกคนบนโลกนี้ และก็มีผู้หญิงโชคร้ายอย่างหล่อนเพียงเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยได้รับมันจากเขาเลย

น้ำตาแห่งความเสียใจน้อยอกน้อยใจไหลรินไม่หยุด แม้จะยกหลังมือขึ้นป้ายทิ้งถี่แค่ไหน แต่มันก็ยังไม่ยอมแห้งเหือดไปจากพวงแก้มทั้งสองข้างอยู่ดี

ดวงตาที่แม้จะพร่าเลือนเพราะมีม่านน้ำตามาขวางกั้นเอาไว้ แต่หยดเลือดจำนวนสี่ห้าหยดบนผ้าปูเตียงก็ยังคงเด่นชัดเต็มความรู้สึก มันตอกย้ำให้รู้ว่าเรื่องเมื่อคืนมันคือเรื่องจริง แซคคารีย์ข่มขืนหล่อนอย่างป่าเถื่อน

ความทรงจำไหลเวียนเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน หล่อนร้องไห้สะอื้น เมื่อคำด่าทอ คำกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริงของแซคคารีย์เต้นเร่าอยู่ในสมอง ไม่ว่าหล่อนจะยืนกรานปฏิเสธยังไง เขาก็ยังคงมองว่าหล่อนสารเลวไม่เปลี่ยนแปลง

อลินดายกสองมือขึ้นปิดหน้าและปล่อยความเสียใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความเสียใจที่ถูกพร่าผลาญพรหมจรรย์อย่างป่าเถื่อนยังเทียบไม่ได้กับความน้อยใจที่หล่อนมีกับการกระทำของแซคคารีย์เลย

หญิงสาวนั่งจมอยู่กับความเจ็บปวดนานเกือบยี่สิบนาที เสียงประตูห้องนอนก็ถูกเคาะดังขึ้น หล่อนรีบป้ายน้ำตาทิ้ง และปั้นเสียงราบเรียบถามออกไป

“ใครคะ”

“หนูเองค่ะคุณนารี”

หล่อนไม่อยากอยู่ในคราบของนารีรัตน์อีกต่อไปแล้ว หญิงสาวคิดอย่างเจ็บปวด

“มีอะไรหรือเปล่า”

“คือหนูยกอาหารเช้ามาให้น่ะค่ะ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้อลินดาถึงกับแปลกใจ “ยกอาหารเช้าขึ้นมาให้ฉันเหรอ”

“ใช่ค่ะ ขอหนูเข้าไปหน่อยนะคะ”

อลินดารีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างเอาไว้ พอเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยอนุญาตให้สาวใช้เข้ามา

“เข้ามาเถอะ”

จบคำอนุญาตของหล่อนบานประตูไม้ก็เปิดกว้างออก พร้อมกับสาวใช้หน้าแฉล้มที่ถือถาดใส่อาหารเดินเข้ามา

“แน่ใจเหรอว่าของฉัน”

“แน่ใจค่ะ เพราะว่าคุณแซคสั่งหนูมา”

ชื่อของผู้ชายคนนั้นทำให้หล่อนน้ำตาแทบร่วง แต่ก็พยายามสะกดกลั้นเอาไว้

“แล้ว… คุณแซคออกไปทำงานแล้วใช่ไหม” หล่อนภาวนาให้เป็นอย่างนั้น แต่กลับไม่ใช่

“วันนี้คุณแซคไม่ได้ไปทำงานค่ะ หนูเห็นหมกตัวอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยค่ะ”

อลินดานิ่งเงียบไม่คิดจะเอ่ยถึงคนใจร้ายอีก จนสาวใช้ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

“งั้นหนูวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะนี้นะคะ”

“เอากลับไปเถอะ ฉันไม่หิวหรอก”

“แต่คุณแซคกำชับหนูมาว่าต้องคะยั้นคะยอให้คุณนารีกินข้าวเช้าให้ได้ค่ะ”

ยิ่งได้ยินชื่อของเขา หล่อนก็ยิ่งปวดร้าวทรมาน “เอากลับไปเถอะ ฉันไม่หิวจริงๆ”

“แต่ว่า…”

“ถ้าหิวฉันจะลงไปหาอะไรกินเอง”

“แต่คุณแซคบอกว่าคุณนารีเดินไม่ค่อยถนัดนี่คะ”

พวงแก้มนวลของอลินดาแดงก่ำเป็นสีระเรื่อขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อสมองตีความหมายคำพูดของแซคคารีย์ออกมาได้อย่างชัดเจน

“เอ่อ… งั้นก็เอาวางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ ส่วนเธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”

“ให้หนูช่วยอาบน้ำให้ไหมคะ”

อลินดาส่ายหน้า มองสาวใช้อย่างขอบคุณ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันช่วยตัวเองได้ เธอไปเถอะ”

“ค่ะ แต่ว่าคุณนารีอย่าลืมกินอาหารเช้านะคะ”

อลินดาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด เพียงแต่ยิ้มให้กับคู่สนทนาเท่านั้น ไม่ช้าสาวใช้ก็เดินหายออกไปจากห้อง ในขณะที่หล่อนกัดฟันก้าวลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเล

หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง หัวใจของหล่อนคงร้าวรานจากการกระทำป่าเถื่อนของแซคคารีย์ หล่อนจะต้องไปจากที่นี่ หล่อนจะไม่อดทนเพื่อคนอื่นอีกแล้ว

ในที่สุดอลินดาก็สามารถพาตัวเองมายืนอยู่ใต้ละอองน้ำฝักบัวสำเร็จ หล่อนปล่อยให้สายน้ำราดรดเนื้อตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หวังลึกๆ ว่าสายน้ำจะช่วยบรรเทาความปวดร้าวทรมานจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้จางลงไปได้บ้าง แต่ไม่ว่าจะยืนอยู่ใต้สายน้ำนานแค่ไหน ความเจ็บปวด ความทรมานก็ยังคงมีปริมาณเท่าเดิม ไม่สิ… น่าจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

มือเล็กยกขึ้นลูบใบหน้า ปาดหยาดน้ำออก และลืมตา ขยับออกจากใต้ฝักบัว เอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูมาพันรอบกาย จากนั้นก็เดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องน้ำ

อลินดาบอกให้กฤติชัยไปส่งที่บ้านบิดากับมารดา เพราะไม่ต้องการให้ชายหนุ่มรู้ว่า หล่อนกำลังสวมบทบาทเป็นนารีรัตน์ และต้องไปนอนค้างคืนที่บ้านของแซคคารีย์

มือเล็กยกโบกให้กับเจ้าของรถคันงามแล่นจากไปแล้วนั่นแหละ หล่อนถึงเดินไปยังวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย และก็โชคดีมากที่ยังมีพี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างยังไม่เลิกงานกลับบ้าน

“ไปไหนครับ คุณผู้หญิง”

หล่อนรีบบอกจุดหมาย และกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายอย่างคล่องแคล่ว ก็จะไม่ให้คล่องแคล่วได้ยังไงล่ะ ในเมื่อหล่อนคุ้นเคยกับการโหนรถเมล์ และนั่งมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ

เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พี่วินมอเตอร์ไซค์ก็พาหล่อนมาถึงหน้ารั้วใหญ่ของคฤหาสน์ แฮซมิลตัน

“นี่ค่ารถค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

หล่อนรีบกล่าวขอบคุณพี่วิน ก่อนจะส่งยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เดินออกจากป้อมมาทักทาย

“วันนี้กลับดึกนะครับคุณนารี”

ทุกคนที่นี่เข้าใจว่าหล่อนคือนารีรัตน์ และแน่นอนว่าหล่อนก็ต้องแสดงตัวเป็นพี่สาวฝาแฝดให้แนบเนียนที่สุด

“พอดีแวะไปหาแม่มาน่ะจ้ะ ว่าแต่คุณแซคกลับมาหรือยังคะ”

“กลับมาได้สักพักหนึ่งแล้วครับ”

หล่อนระบายยิ้มให้กับคู่สนทนาเป็นครั้งสุดท้าย ก็เดินผ่านรั้วใหญ่ มุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์หลังงาม เมื่อเข้ามาภายในบ้านก็อดที่จะเอ่ยถามสาวใช้ถึงแซคคารีย์ไม่ได้

“คุณแซคอยู่ข้างบนหรือเปล่าคะ”

เมื่อสาวใช้ตอบรับด้วยคำพูดและการพยักหน้า ก็ทำให้หล่อนรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีแปลกประหลาด

“งั้นเธอก็ไปพักผ่อนเถอะ”

สาวใช้เดินจากไปแล้ว ในขณะที่หล่อนค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดแสนสวยขึ้นไปช้าๆ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี ราวกับว่าได้กลิ่นหายนะอย่างนั้นแหละ

แล้วหล่อนก็เดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องนอน มือเล็กยกขึ้นค้างอยู่กลางอากาศหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู และผลักบานไม้เข้าไปในเวลาต่อมา

ภายในห้องมืดสลัวจนหล่อนชะงักงัน มือเล็กต้องรีบคว้าหาสวิตซ์ไฟฟ้าแทบไม่ทัน และพอห้องสว่างขึ้นเท่านั้น หล่อนก็เห็นแซคคารีย์นั่งอยู่บนโซฟาริมหน้าต่าง ในมือใหญ่มีขวดเหล้าอยู่

หล่อนรู้สึกแปลกใจระคนหวาดกลัว เพราะสายตาสีสนิมที่เคยมองมาอย่างรังเกียจ ตอนนี้มันดุดัน และเต็มไปด้วยความคลั่งแค้นจนร่างสาวสั่นสะท้าน

“ขอ… ขอโทษที่กลับมาช้าค่ะ”

เขาไม่ได้พ่นคำพูดร้ายกาจออกมาก็จริง แต่สายตาของเขาทำให้หล่อนเสียวสันหลังวาบ

“ขอ… ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” หล่อนตัดสินใจจะหลบหายเข้าไปในห้องน้ำ แต่เขาไวยังกับลิงวอก ลุกพรวดขึ้นมาคว้าแขนเรียว และกระชากเข้าไปหาทันที

“อุ๊ย… ปล่อยค่ะ”

กลิ่นแฮลกอฮอล์จากลมหายใจของแซคคารีย์โชยฟุ้งเข้ามาในจมูกของหล่อน และมันก็ทำให้หล่อนแทบเมาตามไปได้อย่างง่ายดาย หล่อนพยายามดิ้นรน

“คุณแซค เมาแล้วนะคะ”

“หึ” หล่อนเห็นเขาแค่นยิ้มหยัน ใบหน้าหล่อจัดก้มต่ำลงมาหา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง “เธอรู้ไหมว่าในระหว่างที่เธอไประเริงอยู่กับคุณกฤติชัย ฉันไปที่ไหนมา”

หล่อนถอนใจออกมาแผ่วเบา พยายามที่จะใจเย็นอย่างที่สุด “ก็คงจะไปตามหาพี่นารีมั้งคะ”

“ฉันไปโรงพักมา”

“ไปโรงพัก?” หล่อนทวนคำตอบของเขาด้วยความตื่นเต้น “งั้นก็แสดงว่าตำรวจได้ข่าวพี่นารีแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่”

หล่อนยิ้มออกมาด้วยคามดีใจจริงๆ แต่แซคคารีย์กับคิดว่าหล่อน เสแสร้งแกล้งทำ

“อย่ามาแสดงละครว่าเธอดีใจ”

“ฉันไม่ได้แสดงละครนะคะ แต่ฉันดีใจจริงๆ เพราะถ้าพี่นารีกลับมา ฉันก็จะได้กลับบ้านสักที”

ทำไมนิ้วมือของแซคคารีย์ที่ขยุ้มอยู่บนต้นแขนกลมกลึงถึงได้เพิ่มแรงกดมากขึ้นแบบนี้นะ นี่เขาจะรู้ไหมนะว่ากำลังทำให้หล่อนเจ็บร้าวไปจนถึงกระดูกเลยทีเดียว แต่เขาคงไม่สนใจความรู้สึกผู้หญิงที่ตัวเองเกลียดเช่นหล่อนหรอก ยิ่งคิด อลินดาก็ยิ่งน้อยใจนัก

“อย่ามาตอแหลว่าอยากกลับบ้าน ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว เธอต้องการจะครอบครองทุกอย่างของนารี”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วคะ ว่าฉันไม่เคยอิจฉาพี่นารีเลย ไม่เคยต้องการของๆ พี่นารี…”

“หุบปากไปเลย!” เขาแผดเสียงตวาดลั่น “เธอทะเยอทะยานจนถึงขนาดฆ่าพี่สาวของตัวเองได้ลงคอ”

“ฆ่า…?”

“อย่ามาทำหน้าใสซื่อ เธอมันนังฆาตกร!”

นี่แซคคารีย์กำลังพูดบ้าอะไรเนี่ย หล่อนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียว

“คุณแซคคะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นะคะว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

สายตาคมกริบจ้องมองหล่อนอย่างโกรธแค้น

“ตำรวจพบศพผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกฆ่าข่มขืน และรูปพรรณสัณฐานก็คล้ายคลึงกับนารีราวกับแกะ”

“ไม่… ไม่จริงหรอกค่ะ พี่นารีคงไม่โชคร้ายแบบนั้น…” หล่อนเองก็ตกใจไม่น้อย “และอีกอย่างตำรวจก็แค่สันนิษฐานนะคะ อาจจะไม่ใช่พี่นารีก็ได้”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ในเมื่อที่ศพมีสร้อยคอเส้นที่ฉันเป็นคนซื้อให้กับนารีด้วยมือของฉันเอง”

อลินดาส่ายหน้าไปมา น้ำตาไหลรินด้วยความตื่นตกใจ “แต่… แต่ฉันไม่เชื่อหรอกค่ะ พี่นารีคงไม่อายุสั้นแบบนี้ คุณแซครอให้ตำรวจตรวจสอบก่อนเถอะค่ะ บางทีอาจจะไม่ใช่…”

“อย่ามาประวิงเวลาเพื่อหาทางรอดให้กับตัวเองเลย อลินดา เธอมันน้องสาวสารเลว ทำร้ายได้แม้กระทั่งพี่สาวของตัวเอง จิตใจของเธอทำด้วยอะไรหึ อลินดา!”

ร่างอรชรถูกเขย่าแรงๆ จนหัวสั่นคลอน หล่อนน้ำตาไหลรินด้วยความเสียใจไม่แพ้แซคคารีย์ แต่เขากลับมองว่าหล่อนกำลังเสแสร้งแสดงละคร

“ในเมื่อตำรวจไม่สามารถเล่นงานคนเลวๆ อย่างเธอได้ ฉันก็จะเป็นคนมอบบทเรียนนรกให้กับเธอเอง อลินดา!”

“คุณแซค… คุณจะทำอะไรคะ ว๊ายยย!”

หล่อนยังไม่ทันตั้งคำถามได้จบประโยคดีเลย มือหยาบกระด้างของแซคคารีย์ก็ยื่นมากระชากเสื้อผ้าออกจากร่างกายของหล่อน ฉีกทึ้งจนเศษผ้าขาดติดมือไม่เหลือชิ้นดี

“ฉันก็จะทำให้เธอ ลิ้มรสนรกยังไงล่ะ”

“ไม่นะคะ ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแซคกล่าวหา ฉันไม่เคยคิดทำร้ายพี่นารีเลย…”

หล่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เอามือกอดอกเอาไว้แน่นเพื่อปิดปทุมถันอวบใหญ่ของตัวเอง ในขณะที่หัวเข่าก็พยายามหนีบเข้าหากันเพื่อหลบซ่อนของสงวนให้รอดพ้นจากสายตาเหี้ยมเกรียมของผู้ชายตรงหน้า

“เอาไว้แก้ตัวในนรกเถอะ!”

มือใหญ่กระชากร่างของหล่อนให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นกางเกงในสีขาวตัวจิ๋วก็เป็นอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ขาดหลุดติดมือใหญ่แสนกระด้างของเขาไป

“เธอจะได้ฉัน… ได้อย่างที่เธอต้องการมาตลอด”

“ไม่…ไม่นะคะ อย่าทำอะไรฉันเลย”

ร่างของหล่อนถูกจับโยนขึ้นไปบนเตียงอย่างไม่ปรานีปราศรัย และเขาก็เดินมาหยุดที่ขอบเตียง เวลาเพียงแค่เสี้ยวนาทีเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ก็หลุดหายไปจากตัว เผยเรือนร่างทรงพลัง ผิวแทนสวย แก่สายตาของหล่อนอย่างชัดเจน

“ในเมื่ออยากได้ฉันเป็นผัวนัก ฉันก็จะมอบให้ แต่เธอรู้เอาไว้เลยนะว่าเธอมีสิทธิ์แค่เป็นทาสระบายความใคร่ของฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ใดเลยในตัวของฉัน…” เขากระโจนขึ้นมาบนเตียง คว้าข้อเท้าของคนที่กำลังจะถดถอยหนีเอาไว้แน่น จากนั้นก็ลากเข้ามาหา “เพราะผู้หญิงคนเดียวที่ฉันรักก็คือนารีรัตน์ พี่สาวของเธอ ไม่ใช่ผู้หญิงแพศยาอย่างเธอ อลินดา!”

หล่อนเจ็บ หล่อนปวด หล่อนจุก และหล่อนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเหลือเกิน ตอนนี้แซคคารีย์ต่างไปจากทุกครั้งที่หล่อนเคยรู้จัก เขาสำแดงฤทธิ์เดชของจอมมารร้ายออกมาอย่างไม่คิดจะซ่อนเร้นอีก และหล่อนก็คือเหยื่อ… เหยื่อที่เขาจะขย้ำให้จมเขี้ยว

“อย่า… อย่าทำอะไรฉันเลยค่ะ” หล่อนยกมือไหว้เขา มองเขาอย่างหวาดกลัว แต่ก็ไม่ได้ความเมตตาใดจากผู้ชายใจร้ายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“เธอจะต้องทนเป็นทาสรับใช้ของฉัน จนกว่าฉันจะหายแค้นอลินดา”

หล่อนร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตา แต่ชะตากรรมของหล่อนมันเลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว เพราะไม่ช้าผู้ชายป่าเถื่อนก็กระชากเส้นผมของหล่อนเอาไว้แน่น หล่อนเจ็บจนน้ำตาซึม แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

“ฉันจะทรมาน จะทำให้เธอตายทั้งเป็น นังฆาตกร!”

น้ำตาของหล่อนไหลรินแทบเป็นสายเลือด ทางรอดของหล่อนมืดมิดจนหมดหวัง ร่างสาวถูกผลักแรงๆ จนล้มหงายลงกับเตียงนุ่ม และเขาก็ตามลงมากัดกินอย่างป่าเถื่อน

“อื้อ… อย่า… อย่า… คุณแซค… อย่าทำฉัน…”

อลินดามองคนที่คร่อมทับอยู่บนเรือนร่างไร้ราคีของตัวเองผ่านม่านน้ำตา พยายามที่จะมองหาความเมตตาจากดวงตาสีสนิมของผู้ชายที่ตัวเองหลงรักมาช้านาน แต่กลับมองไม่เห็นมันเลย น้ำตาของหญิงสาวไหลพรั่งพรูอาบแก้ม กลีบปากอิ่มสั่นระริก

“ถ้าคุณแซคคิดว่าฉันเป็นต้นเหตุของการหายตัวไปของพี่นารี คุณแซคก็ฆ่าฉันเลยสิคะ แต่ได้โปรดอย่าทำลายศักดิ์ศรีของฉันด้วยวิธีป่าเถื่อนแบบนี้เลย”

“เธอก็หวังมาตลอดไม่ใช่หรือว่าจะได้กินฉันน่ะ”

คำพูดของเขาทำให้หัวใจสาวชาหนึบ และพูดอะไรไม่ออก

“แต่อย่าคาดหวังว่าเธอจะสนุกกับสิ่งที่ฉันจะทำกับเธอ เพราะฉันจะไม่มีทางทำให้เธอมีความสุขกับร่างกายของฉันแม้แต่เพียงนิดเดียว ฉันจะข่มขืนเธอ”

“คุณแซค…”

หล่อนครางเรียกชื่อเขาด้วยความหวาดกลัวระคนเสียใจ ก้อนเนื้อในอกเปียกชุ่มไปด้วยหยาดโลหิต พยายามร้องขอความเมตตานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยได้รับมันเลย

“อ๊ะ… กรี๊ดดดดดด…!!!”

ใช่ เขาไม่ได้แตะต้องส่วนใดของร่างกายของหล่อนเลย นอกจากตรงนั้นที่เขาจับความใหญ่โตของตัวเองทิ่มแทงเข้ามาสุดแรง แค่ครั้งเดียวด้วยแรงมหาศาล ความเป็นชายจึงเข้ามาจนหมดความยาว แต่นั่นก็ต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสของหล่อน

สมองของหล่อนค่อยๆ เลือนราง ร่างกายคล้ายกับถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปคนละทิศละทาง สร้างความเจ็บปวดให้กับหล่อนอย่างแสนสาหัส

หล่อนไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้แซคคารีย์กำลังรู้สึกอะไร และทำไมเขาถึงยังไม่เคลื่อนไหว แต่สิ่งเดียวที่หล่อนรู้ในตอนนี้ก็คือ… หล่อนกำลังจะขาดใจตาย

ดวงตากลมโตที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาปรือขึ้นมองคนใจร้าย ผู้ชายใจดำที่พรากผลาญเยื่อพรหมจรรย์ของหล่อนไปอย่างเหี้ยมโหด มองเขาด้วยความเสียใจ

“พอ… ใจแล้วใช่ไหมคะ”

ผู้ชายที่คร่อมทับอยู่บนร่าง และก็ฝังความเป็นชายคาอยู่กับร่องสาวขบกรามแน่นจนเนื้อข้างแก้มกระตุก สายตาของเขาที่มองมายังหล่อนเต็มไปด้วยความพิศวง และเพราะอะไรหล่อนก็ไม่อาจจะเดาได้ เมื่อจู่ๆ ท่อนชายที่ทั้งใหญ่และยาวก็ถูกชักถอนออกไป

แซคคารีย์ก้าวลงไปจากเตียง และก้มลงหยิบกางเกงขายาวขึ้นมาสวมใส่ ก่อนจะตามด้วยเสื้อ

หล่อนนอนมองคนใจร้ายผ่านม่านน้ำตาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้กายสาวแสนจะบอบช้ำ ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ อย่างเก่งก็ทำได้แค่เพียงขยับสองขาที่ถูกเขากระชากจนกว้างออก ให้แนบชิดกันเท่านั้น

“คืนนี้ฉันอนุญาตให้เธอนอนบนเตียงได้หนึ่งคืน”

หล่อนไม่ตอบคนใจร้าย นอนร้องไห้เงียบๆ ต่อไป จนกระทั่งแซคคารีย์โมโหต้องเดินหนีออกไปจากห้องเสียเอง

ช่วงพักกลางวัน อลินดาก็มารับประทานอาหารกลางวันกับแฮรี่เพียงลำพังสองคน เพราะวันนี้หทัยชนกที่เคยร่วมโต๊ะด้วยประจำลาพักร้อนหนึ่งวัน

“เมื่อเช้าผมเห็นลินดา มาเกือบสายแน่ะ”

“เอ่อ… พอดีลินดาตื่นสายน่ะค่ะ”

หล่อนจำต้องพูดปด เพราะไม่สามารถบอกความจริงใดๆ ออกไปได้

“งั้นพรุ่งนี้ผมไปรับลินดาที่บ้านดีไหมครับ”

“ไม่… ไม่ได้นะคะ”

ถ้าแฮรี่เกิดไปรับหล่อนที่บ้าน ก็คงจะรู้ความจริงทุกอย่างว่าหล่อนไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้น

“ทำไมล่ะครับ ทางผ่านผมพอดีเลยด้วย”

“เอ่อ… คือว่าลินดาอยากมาเองน่ะค่ะ คุณแฮรี่อย่ามาลำบากเพราะลินดาเลยนะคะ”

“กับลินดา ผมยินดีทำให้เสมอครับ” แล้วแฮรี่ก็วางมือลงบนหลังมือเล็กของหล่อน พร้อมกับบีบแผ่วเบา ในขณะที่ดวงตาก็จ้องมองหล่อนอย่างหวานซึ้ง

“เอ่อ…”

หล่อนอึกอักและอึดอัด กำลังจะคิดหาทางจะดึงมือออกให้สุภาพที่สุด แต่เสียงกระแอมของใครบางคนดังขึ้นเสียก่อน หล่อนหันไปมองก็ต้องเบิกตากว้างเลยทีเดียว

“สวัสดีครับท่านประธาน”

แฮรี่เอ่ยทักทายแซคคารีย์อย่างสุภาพ ในขณะที่หล่อนซึ่งเป็นคนที่ถูกแซคคารีย์จ้องเขม็ง กลับเลือกที่จะนั่งนิ่งเฉยไม่พูดไม่จาสักคำ

“สวัสดีคุณแฮรี่”

“วันนี้ท่านประธานมารับประทานอาหารกลางวันที่นี่ด้วยเหรอครับ”

“ใช่ ผมขอนั่งด้วยคนได้ไหม”

อลินดาหันขวับไปจ้องหน้าแซคคารีย์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างแทบจะถลนเลยทีเดียว

“ได้ครับ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มพึงพอใจ ขณะเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับหล่อน

อลินดาอึดอัดราวกับถูกจับยัดเข้าไปในท่อมืด หล่อนรีบรวบช้อนกับส้อม และเอ่ยขอตัว

“ลินดาอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะคุณแฮรี่”

แฮรี่ยังไม่ทันได้ตอบ แซคคารีย์ที่ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มหยันเยาะดูแคลนก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“จะรีบไปไหนล่ะ อลินดา หรือว่ารังเกียจฉัน”

อลินดาปรายตามองคนที่จงใจมาหาเรื่องอย่างขุ่นเคือง “ฉันมีงานต้องรีบกลับไปเคลียร์น่ะค่ะ ขอตัวนะคะ”

แล้วหล่อนก็ไม่รอให้ใครได้ทักท้วงอีก เท้าบอบบางก้าวหนีออกไปจากโรงอาหารทันที

แซคคารีย์มองตามไปด้วยสายตาหมั่นไส้ ก่อนจะหันมาพูดคุยกับ แฮรี่แทน

“คุณจีบอลินดาอยู่หรือ แฮรี่”

“ก็… ประมาณนั่นแหละครับ”

แซคคารีย์รู้สึกไหววูบในอก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดจากสาเหตุอะไร

“แล้วอลินดาชอบคุณไหม”

แฮรี่หัวเราะขัดเขิน

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับท่านประธาน ลินดาไม่เคยบอกอะไรผมเลย แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะพูดคุยกับผมนะครับ ดังนั้นผมก็เลยคิดเองเออเองไปว่าลินดาน่าจะไม่ได้รังเกียจผม และผมก็คงมีโอกาสไม่น้อย”

“อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนี้เลย คุณจะเสียใจเปล่าๆ”

“ครับ?”

“ผมเห็นคุณเป็นคนดีนะถึงได้อยากจะเตือน”

แฮรี่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างแคลงใจ ทำไมแซคคารีย์พูดแบบนี้กับน้องภรรยาตัวเอง

“ผมรู้ว่าคุณคงไม่เชื่อที่ผมพูด แต่สักวันคุณก็จะเห็นเองว่าสิ่งที่ผมพูดมันคือเรื่องจริง”

“เอ่อ ขอบคุณครับท่านประธาน แต่ถ้าจะให้ผมเลิกรักลินดาเพียงเพราะคำพูดของคนอื่น ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ”

“ผมเตือนคุณแล้วนะ”

แซคคารีย์ไหวไหล่ทรงพลังกว้างขวางของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะหยุดการสนทนาลง และกินอาหารกลางวันเงียบเชียบ แฮรี่เองก็นั่งนิ่งเงียบ จมอยู่กับความคิดของตัวเองไม่ต่างกัน

แซคคารีย์วางสายจากกฤติชัย หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เหนือการควบคุมของตนเอง เขากุมกระบอกโทรศัพท์แน่น กรามแกร่งขบกันจนขึ้นสันนูนเป่ง

“เสน่ห์แรงเหลือเกินนะ แม่น้องเมีย”

เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ เมื่อกฤติชัยโทรมาหา และไว่วานให้เขาช่วยนัดอลินดาให้ในเย็นวันนี้ แต่ให้ตายเถอะ เขากลับโมโหขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

“คุณวาเนสซ่า เรียกอลินดามาพบผมที่ห้องทำงานหน่อย”

“ค่ะ ท่านประธาน” เลขาหน้าห้องรีบตอบรับคำสั่งห้วนห้าวของหัวหน้างาน และไม่ช้าคนที่แซคคารีย์ต้องการพบหน้าก็มาถึง

อลินดาเดินมาหยุดยืนห่างจากโต๊ะทำงานของแซคคารีย์พอสมควร และเอ่ยถาม

“คุณแซคมีอะไรด่าฉันอีกล่ะคะ”

เจ้าของชื่อผุดลุกขึ้นยืน และเดินอ้อมโต๊ะออกมาประจันหน้ากับหล่อนในระยะเผาขน หล่อนมัวแต่ตะลึงให้ความหล่อเหลาของเขาจนลืมก้าวถอยหนี

“คุณกฤติชัยต้องการให้เธอไปดินเนอร์กับเขาเย็นนี้”

“คุณกฤติชัยเหรอคะ”

“ใช่” แซคคารีย์ย้ำเสียงกระด้าง และจ้องหน้าหล่อนเขม็งไม่ละสายตาไปไหน “ฉันไม่รู้นะว่าเธออ่อยอีท่าไหน คุณกฤติชัยถึงได้ติดเธอแจแบบนี้ แต่ขอร้องล่ะ อย่าสร้างชื่อเสียงให้ฉาวโฉ่มากกว่าที่เป็นอยู่เลย ฉันอับอายแทนน่ะ”

คนถูกกล่าวหาหน้าร้อนผ่าว กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรงตลอดเวลาที่เจ้าตัวเกิดความไม่พอใจ

“ถึงฉันจะชื่อเสียงไม่สวยหรูอะไร มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณแซคไม่ใช่เหรอคะ”

“ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นน้องเมียของฉัน”

คำตอบของเขาทำให้หล่อนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเชิดหน้าและเอ่ยถาม

“ที่คุณแซคเรียกฉันมาพบ ก็เพื่อจะบอกแจ้งฉันให้ทราบว่าคุณ กฤติชัยต้องการดินเนอร์กับฉันเท่านั้นใช่ไหมคะ”

“ไม่ใช่”

“คะ?”

แล้วเขาก็ยื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เขาใช้อยู่เป็นประจำมาตรงหน้า อลินดาเลิกคิ้วโก่งสวยด้วยความประหลาดใจ

“โทรไปหาคุณกฤติชัย และบอกว่าเย็นนี้เธอไม่ว่าง”

นี่หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแซคคารีย์จะมาวุ่นวายกับชีวิตของหล่อนแบบนี้

“ทำไมฉันต้องทำตามที่คุณแซคสั่งด้วยล่ะคะ”

“ก็เพราะมันเป็นความต้องการของฉันยังไงล่ะ”

“เหตุผลล่ะคะ” อลินดาพยายามใจเย็น

“เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะฉันไม่อยากให้นารีต้องอับอายที่มีน้องสาว สำส่อนอย่างเธอยังไงล่ะ”

“คุณแซค…”

“หรือว่าฉันพูดผิด”

หล่อนมองเขาอย่างน้อยใจ ปากที่เคยเม้มแน่นตอนนี้ถูกกัดด้วยฟันจนเจ็บระบม แต่ถึงแม้จะเจ็บสักแค่ไหน ก็ยังไม่เท่าเสี้ยวหนึ่งภายในหัวใจเลย

“คุณแซคไม่ได้พูดผิดหรอกค่ะ”

หล่อนประชดประชันออกไปอย่างน้อยใจ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มือถือของแซคคารีย์มาต่อสายหากฤติชัยตามที่เขาต้องการ

“สวัสดีค่ะคุณกฤติชัย นี่อลินดาเองค่ะ”

หล่อนกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่หวานมากกว่าปกติ ท่ามกลางสายตาดุดันของแซคคารีย์ที่จ้องมองมา

“บอกคุณกฤติชัยไปสิ ว่าเย็นนี้เธอไม่ว่าง”

เขากระซิบกระซาบออกคำสั่ง แต่เพราะอยากจะเอาชนะเขาสักครั้งทำให้อลินดาเลือกที่จะขัดความต้องการของแซคคารีย์ซึ่งๆ หน้า

“ตกลงค่ะ เย็นนี้เจอกันนะคะคุณกฤติชัย”

หญิงสาวพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้ชายตรงหน้า จากนั้นก็ตัดสายสนทนาของกฤติชัยทิ้ง และยื่นโทรศัพท์คืนให้กับผู้ชายที่ยืนโกรธหน้าดำหน้าแดงทันที

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ หมดธุระแล้ว”

“อลินดา!” ชื่อของหล่อนถูกเค้นออกมาจากลำคอแกร่งแผ่วเบา แต่กระแสเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเดือดดาลยิ่งนัก “กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ”

กลับไปก็โง่น่ะสิ

อลินดาคิดในใจ ก่อนจะรีบกระโจนออกไปจากห้องทำงานกว้างของแซคคารีย์ด้วยความเร็วสูง

แซคคารีย์มองประตูไม้ที่ถูกดันให้ปิดสนิทลงด้วยความเดือดดาลเป็นที่สุด

“คอยดูเถอะ คืนนี้จะให้ไปนอนตากน้ำค้างเสียให้เข็ด”

ขณะที่แซคคารีย์เต็มไปด้วยความหงุดหงิดอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน เขากดรับอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าใครโทรเข้ามาหา

“ครับ คุณตำรวจ ผมจะรีบไปโรงพักเดี๋ยวนี้แหละครับ”

วันนั้นทั้งวันหล่อนนอนซมร้องไห้จนผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว มาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ก็ตอนที่ประตูห้องนอนถูกเขย่าแรงๆ และก็มีเสียงของมารดาดังขึ้น

“ลินดา… นังลินดา เปิดประตูหน่อย”

หล่อนที่ยังงัวเงียและหัวหนักอึ้งรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบตะโกนตอบแม่ออกไป

“แปบจ้ะแม่”

อลินดากัดฟันลุกจากเตียง เดินโซซัดโซเซไปเปิดประตู และทันทีที่ประตูเปิดกว้างออก ก็พบว่ามารดายืนหน้าถมึงทึงอยู่ ดวงตาของแม่ที่มองหล่อนแทบจะถลนออกจากเบ้าเลยทีเดียว

นี่แม่โกรธเคืองอะไรหล่อนอีกนะ

“แม่… มีอะไรกับฉันเหรอจ๊ะ”

“แกจะมาที่นี่ ทำไมไม่บอกคุณแซคให้เรียบร้อย ต้องให้เขาถ่อสังขารมาตามถึงที่นี่ หรือว่าแกเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ หึ นังลินดา”

“คุณแซค… มาเหรอจ๊ะ”

“หึ ดีใจจนออกนอกหน้าเชียวนะ แต่แกลืมอะไรไปหรือเปล่านังลินดา ผู้ชายคนนี้เป็นของนารี ส่วนแกก็เป็นได้แค่เจ้าสาวแก้ขัด หรือไม่ก็เมียคั่นเวลาเท่านั้นแหละ”

คนถูกกล่าวหาหน้าตาร้อนผ่าว ความอัปยศอดสูแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจอย่างอำมหิต

แม่พูดถูกต้องทุกอย่าง จนหล่อนเถียงไม่ออกเลยทีเดียว

“ฉันขอโทษจ้ะแม่ ฉันจะออกไปคุยกับคุณแซคเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”

“เอากระเป๋าสะพายติดมือมาด้วย เพราะคุณแซคมารับแกกลับไปที่บ้านของเขา”

คนเป็นลูกส่ายหน้าไปมา “ฉันอยากจะค้างที่บ้านของเราสักคืนสองคืนน่ะแม่”

“ก็ไปตกลงกับคุณแซคเองก็แล้วกัน”

แล้วแม่ของหล่อนก็สะบัดหน้าเดินจากไป หล่อนทำได้แค่เพียงก้าวออกไปจากห้องนอนเท่านั้น ระหว่างทางก็สวนกับพ่อที่เพิ่งกลับมาจากการตามหานารีรัตน์

“พ่อเพิ่งกลับมาเหรอจ้ะ”

“อืม” บิดาตอบเย็นชามาก

“งั้นเดี๋ยวลินดาไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้นะจ๊ะ”

“ไม่ต้องหรอก แกออกไปพบคุณแซคเถอะ และก็พยายามอย่าสร้างความเดือดร้อนมาให้พวกฉัน เข้าใจไหม”

หล่อนน้ำตาแทบจะไหล แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ “ฉันจะไม่ทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อนหรอกจ้ะ”

พ่อของหล่อนปรายตามองหล่อนซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้า และเดินจากไปอย่างไม่ไยดี

หล่อนเอี้ยวตัวมองตามหลังบิดาไปด้วยความเสียใจ น้ำตาไหลรินมากมายจนต้องยกมือขึ้นป้ายมันทิ้ง

พอตั้งสติอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจออกไปพบแซคคารีย์ที่สนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน

“ฉันอนุญาตให้เธอมาที่นี่อย่างนั้นหรือ!”

พอออกมาถึงเท่านั้นแหละ แซคคารีย์ก็ฟาดฟันหล่อนด้วยโทสะร้ายในทันที

“คือ… ฉันก็แค่คิดถึงบ้านค่ะ”

“คิดถึงแล้วยังไง” เขาก้าวเท้าเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม และก็เป็นหล่อนเองที่ต้องถดถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ

“ก็เพราะคิดถึงบ้านยังไงล่ะคะ ฉันจึงตั้งใจมาค้างคืนที่นี่”

เขาแค่นยิ้มหยัน มองหล่อนด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เธอคือใครในบ้านของฉัน”

หล่อนเชิดหน้าสูง

“ฉันไม่เคยลืมหรอกค่ะว่าตัวเองเป็นใครที่บ้านของคุณแซค แต่ฉันก็ต้องมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างถูกต้องไหมคะ”

“ไม่ถูกต้อง เพราะตราบใดที่เธอยังคงแสดงตัวเป็นนารี เธอก็ต้องอยู่ที่บ้านของฉันทุกคืน ห้ามกระแดะมานอนบ้านของตัวเอง แม้ว่าเธอจะอยากกลับมาแทบขาดใจก็ตาม”

วาจาของแซคคารีย์ไม่เคยอ่อนโยนกับหล่อนเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวหา ด่าทอหล่อนตลอดเวลา ทำทุกครั้งที่มีโอกาส จนบางครั้ง หล่อนก็อยากจะหนีไปให้ไกลแสนไกล ไม่ต้องพบเจอคนใจร้ายเหล่านี้

“สักวันฉันจะเดินเข้าป่าค่ะ”

“พูดบ้าอะไรของเธอ”

หล่อนจ้องหน้าเขม็ง มองผ่านม่านน้ำตา

“ก็จะได้ไม่ต้องเจอคนใจร้ายใจดำไม่ต่างจากอีกาอย่างคุณแซคยังไงล่ะคะ”

หล่อนเห็นเขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ระบายยิ้มหยันเยาะออกมาเกลื่อนใบหน้า

“ไม่ว่าเธอจะอยากเดินเข้าป่า หรืออยากเดินลงทะเล แต่จิตใจสกปรกของเธอก็จะทำให้เธอร้อนรุ่มด้วยความอิจฉาริษยา และไม่มีทางอยู่เป็นสุขได้หรอก อลินดา”

หล่อนอยากจะเกลียดเขานัก เกลียดผู้ชายวาจาร้ายกาจอย่างแซคคารีย์ แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จสักที

เขาร้ายกาจมาก แต่หล่อนก็ยังหลงรัก…

“ด่าพอใจหรือยังคะ ฉันจะได้กลับไปนอน”

“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต้องกลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้”

แซคคารีย์คว้าแขนเรียวของอลินดาเอาไว้แน่น ไออุ่นจากอุ้งมือใหญ่มีผลต่อระบบความรู้สึกของหญิงสาวมหาศาลนัก

“ขอฉันค้างที่บ้านสักคืนเถอะค่ะ ฉันเบื่อที่จะต้องนอนขดตัวอยู่ในห้องน้ำแล้ว”

“เสียใจด้วย เพราะฉันไม่อนุญาต”

อลินดาถอนใจออกมาแรงๆ “ถึงคุณแซคไม่อนุญาต แต่ฉันก็ไม่สนใจหรอกค่ะ นี่มันคือชีวิตของฉัน ลมหายใจของฉัน อย่ามาคุกคามกันดีกว่า” แขนเล็กสะบัดแรงๆ จนหลุด “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

หล่อนก้าวเร็วๆ จะเดินหนีเข้าบ้าน แต่ก็ชนเข้ากับร่างของมารดาที่ในมือถือกระเป๋าสะพายของหล่อนเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย… ขอโทษจ้ะแม่”

อุบลจ้องหน้าลูกสาว ก่อนจะยัดกระเป๋าสะพายใส่มือให้อย่าง เผด็จการ “กลับไปกับคุณแซคได้แล้ว หรือแกอยากให้คนอื่นรู้ว่านารีหายไปจากงานแต่ง และผู้หญิงคนที่แต่งงานในคืนนั้นคือแก นังลินดา”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแม่”

“ถ้าแกไม่ได้คิดร้ายอะไรกับนารี แกก็ต้องกลับไปอยู่กับคุณแซค แสดงละครเป็นนารี จนกว่านารีจะกลับมา”

“แต่ฉัน…”

“ไปได้แล้ว”

มารดาผลักร่างของหล่อนแรงๆ และก็กระชากประตูบ้านปิดใส่หน้า อลินดาน้ำตาร่วง แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าชาชินกับสิ่งที่บิดามารดาแสดงออกแล้ว แต่แท้จริงหล่อนก็ยังอดน้อยใจกับความลำเอียงที่ได้รับไม่ได้

“ได้ยินแม่เธอพูดแล้วใช่ไหม ไปขึ้นรถ” แซคคารีย์เดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ

อลินดารีบยกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตา “ค่ะ” หล่อนตอบรับเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มไปทันที

แซคคารีย์เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นทีท่าของอุบลที่แสดงต่ออลินดา แต่เขาก็ไม่คิดจะค้นหาคำตอบใดๆ นอกจากเดินกลับไปขึ้นรถ และขับออกไป

คืนนั้นหล่อนก็ยังคงถูกขับไสไล่ส่งให้ไปนอนในห้องน้ำเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา หล่อนเคยคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับตัวเองที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องร้ายแบบนี้ แต่พอนานเข้าความรู้สึกชินชาก็เกิดขึ้น และทำให้หล่อนก้มหน้ายอมรับความจริงอย่างปลงตก

หญิงสาวมองตัวเองที่แต่งหน้าจัดตามแบบฉบับของนารีรัตน์ที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาผ่านม่านน้ำตา ก่อนจะรีบยกหลังมือขึ้นเช็ด เมื่อแซคคารีย์เปิดประตูห้องนอนเข้ามา

“แต่งตัวเสร็จหรือยัง ฉันมีงานต้องทำนะ”

“เอ่อ… เสร็จแล้วค่ะ”

หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้สตูลหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องไหล่

แซคคารีย์หรี่ตาแคบมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา และก็ได้บทสรุปว่า ถึงแม้อลินดาจะแต่งหน้า และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามรสนิยมของนารีรัตน์แค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด

สะโพกผาย เอวคอดกิ่ว หน้าอกหน้าใจที่พุ่งดันเสื้อตัวสวยออกมาก็บอกให้รู้ว่าเจ้าหล่อนมีปทุมถันที่ใหญ่น่าดูเลยทีเดียว เจ้าหล่อนมีความเป็นอิสตรีเพศไปทั้งเนื้อทั้งตัว และยวนใจยิ่งนัก ยิ่งพิศก็ยิ่งมองเห็นเสน่ห์ แต่…

หล่อนไม่ใช่นารีรัตน์คนรักของเขา และหล่อนก็อาจจะมีส่วนพัวพันกับการหายตัวไปของนารีรัตน์ก็ได้ แม้ว่าตำรวจจะไม่มีหลักฐานสาวมาถึงก็ตาม

“ฉันแต่งตัวไม่เหมือนพี่นารีเหรอคะ”

อลินดาถามขึ้นเสียงสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นแซคคารีย์ตวัดสายตามองหล่อนเนิ่นนาน

แซคคารีย์สลัดศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาสีสนิมที่เมื่อกี้ อิ่งอ้อยอยู่บริเวณเนินอกอวบของคู่สนทนาสาว ขึ้นมาจ้องตากับเจ้าหล่อนแทน

ไอร้อนบางอย่างระอุขึ้นบริเวณกึ่งกลางลำตัว และมันก็ทำให้เขาเกลียดชังตัวเองเป็นที่สุด

“ภายนอกน่ะเหมือน แต่ภายในฉันมั่นใจว่าเธอกับนารีไม่มีทางเหมือนกัน” เขายิ้มเยาะ “นารีขาวสะอาด ในขณะที่เธอมืดดำน่าขยะแขยง”

“ค่ะ” หล่อนกระแทกเสียงตอบ และตัดสินใจเดินผ่านหน้าเขาออกไปนอกห้องนอน “ฉันจะไปรอที่รถนะคะ ถ้าคุณแซค คิดคำด่าใหม่ๆ ได้แล้วก็เชิญตามมาค่ะ”

“นี่เธอ…”

หล่อนไม่สนใจแล้วล่ะว่าคำพูดของตัวเองจะยั่วโทสะของแซคคารีย์มากมายแค่ไหน เพราะขนาดหล่อนนั่งหายใจอย่างเดียว เขายังมองว่าหล่อนทำผิดเลย

อลินดาก้าวยาวๆ ตรงมาหยุดที่รถสปอร์ต และพยายามนับหนึ่งให้ถึงร้อย เพื่อบรรเทาโทสะของตัวเอง แต่ยังไม่ทันทำได้สำเร็จเลย คนตัวโตก็เดินมาหยุดใกล้ๆ

“ฉันจะจอดให้เธอเปลี่ยนชุดและล้างหน้าล้างตาที่ปั๊มเดิม”

“รับทราบค่ะ”

“และฉันก็จะให้เธอโหนรถเมล์ไปทำงานเอง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

หล่อนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคนพูดและระบายยิ้มบางๆ

“นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอดค่ะ”

อลินดากลั้นใจพูดจนจบก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ โดยมีเขาก้าวตามขึ้นมานั่งค้างๆ หล่อนคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็หันมองออกไปนอกกระจกรถ หยาดน้ำตาคลอสองหน่วยตาตลอดเวลา

แซคคารีย์ลอบมองเสี้ยวหน้าหวานของอลินดาหลายครั้ง และก็ด่าทอตัวเองในอก เมื่อเริ่มรู้สึกถึงอิทธิพลของผู้หญิงข้างกายชัดเจนขึ้นทุกขณะ

บ้าชิบ!

รถทั้งคันเงียบกริบจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกันเลยด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงมันทำให้หล่อนอึดอัดทรมาน ราวกับเนิ่นนานชั่วกัปล์ชั่วกัลป์เลยทีเดียว

“ขอบคุณค่ะ”

หล่อนปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว เมื่อรถคันงามของแซคคารีย์แล่นมาจอดภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งเดิม

“แล้วหวังว่าฉันจะพบเธอที่ทำงานนะ อลินดา”

เจ้าของชื่อที่ถูกหมิ่นประมาทหันมามองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ

“คุณแซคคิดว่าฉันจะไม่ไปทำงานเหรอคะ”

เขาเหยียดยิ้มหยัน

“ก็บางทีเธอจะเจอเหยื่อรวยๆ แถวนี้ และก็เลยลากกันไปกกในโรงแรม”

หล่อนอยากจะตะกุยหน้าหล่อเหลาของแซคคารีย์ให้เลือดสาดนัก ผู้ชายอะไรมโนได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้

“ก็ถ้าเจอที่หล่อ ที่รวยกว่าคุณแซค ฉันก็ควรจะรีบกระโจนงับเอาไว้ไม่ใช่เหรอคะ”

“อลินดา”

“ขอตัวค่ะ”

หล่อนกล่าวตัดบท และรีบก้าวลงไปจากรถอย่างรวดเร็ว

แซคคารีย์โมโหมากจนลืมตัวเอากำปั้นของตัวเองทุบลงบนพวงมาลัยรถ ผลที่ได้ก็คือเสียงแตรแผดร้องดังลั่น และนั่นแหละถึงทำให้เขารู้สึกตัว

“ผู้หญิงบ้า!”

รถสปอร์ตคันงามพุ่งทะยานออกไปจากสถานีบริการน้ำมันด้วยความเร็วสูง คนที่กำลังเดินตรงไปยังห้องน้ำ หยุดการเคลื่อนไหว และเอี้ยวตัวมองตามท้ายรถสปอร์ตไปทั้งน้ำตา

เช้าวันต่อมา แซคคารีย์ก็ลากหล่อนมายังสถานีตำรวจ เพื่อให้ปากคำเรื่องที่นารีรัตน์หายตัวไป หล่อนบอกเล่าเหตุการณ์ไปตามความเป็นจริงโดยไม่คิดจะปิดบัง ดังนั้นจึงไม่มีพิรุธอะไรให้ตำรวจสงสัยในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

และเมื่อสิ้นสุดการให้ปากคำ หล่อนก็เดินออกมาจากสถานีตำรวจ โดยมีแซคคารีย์ก้าวตามหลังมาติดๆ หล่อนรู้ดีว่าเขาตามมาหาเรื่องแน่นอน

“เธอนี่มันแสดงละครเก่งนะ อลินดา”

แขนเรียวของหล่อนตกอยู่ในอุ้งมือกระด้างของแซคคารีย์อีกครั้ง เขากระชากให้หล่อนหยุดเดิน

หล่อนเม้มปากแน่น และหันไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ทำตัวเหมือนเด็กปัญญาอ่อนอย่างแซคคารีย์

“เลิกบ้าเสียทีเถอะค่ะ คุณแซค” หล่อนพูดออกมาอย่างเอือมระอา นี่เขาเป็นบ้าอะไรไป ทำไมถึงได้ยัดเยียดความผิดให้กับหล่อนไม่รู้จักหยุดหย่อน

“เธอว่าฉันบ้าหรือ”

“หรือไม่จริงล่ะคะ คุณเอาแต่กล่าวหาฉัน ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่มีหลักฐานสักนิด”

“ก็เพราะกล้องวงจรปิดถูกถอดออกหมดยังไงล่ะ ฉันถึงไม่มีหลักฐานเอาผิดคนร้ายอย่างเธอ”

“คุณแซคคะ ฉันไม่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้น เพื่อผู้ชายอย่างคุณแซค หรอกค่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย” หล่อนอธิบายอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง

“ทำไมจะไม่มีประโยชน์ล่ะ ก็หากไม่มีนารีสักคน เธอก็จะได้เป็นเมียของฉันยังไงล่ะ แล้วแผนของเธอก็สำเร็จ เธอให้คนมาจับตัวนารีไป และก็รับสมอ้างเป็นเจ้าสาวของฉันแทน”

“อ่านนิยายมากเกินไปนะคะคุณแซค” หล่อนสะบัดแขนแรงๆ จนหลุด “ขอตัวค่ะ จะรีบไปทำงาน” แล้วอลินดาก็รีบก้าวเดินหนี แต่ก็ไม่รอดอีกเช่นเคย แซคคารีย์ตามมากระชากแขนเรียวเอาไว้อีกรอบ

“นี่ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันเบื่อที่จะต้องถูกคุณแซคจับผิดตลอดเวลาแล้วค่ะ”

“เธอต้องไปกับฉัน”

“ไม่ค่ะ ฉันจะนั่งรถเมล์ไปเอง” หล่อนบิดแขนแรงๆ แต่ก็ไม่หลุดเพราะอุ้งมือของแซคคารีย์ใหญ่มาก “ปล่อยสิคะ”

“จะไปทำงาน หรือว่าจะไปถ่ายคลิปโป๊กันแน่”

ใบหน้าหวานของอลินดาเห่อร้อนด้วยความอับอาย หล่อนอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานักว่า ผู้หญิงในคลิปเสพสวาทนั่นมันคือนารีรัตน์ผู้หญิงที่เขามองเห็นว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ แต่ก็รู้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าไม่มีทางเชื่อคำพูดของหล่อนหรอก

หล่อนมันก็แค่ขยะเน่าๆ ในสายตาของเขาเท่านั้น…

อลินดาเจ็บปวด เจ็บจนจุกไปทั้งอก แต่ก็ไม่อาจจะร้องไห้ออกมาให้เขาเห็นได้ “วันนี้จะไปทำงานค่ะ แต่ถ้าวันอื่นไม่แน่ ว่าแต่คุณแซคยินดีจะไปร่วมถ่ายคลิปโป๊ด้วยกันไหมล่ะคะ”

แซคคารีย์ปลดมือจากแขนของหล่อนทันที และมองหล่อนอย่างขยะแขยง “แพศยา”

“ค่ะ ดิฉันทั้งร่าน ทั้งแพศยา จบนะคะ” หล่อนต้องใช้แรงกายแรงใจมากมายเหลือเกินกว่าจะเค้นคำพูดตอบโต้เขาออกไปได้ “แล้วยังจะให้ดิฉันนั่งรถไปด้วยอีกไหมคะ”

“ไสหัวไปให้พ้นเลย” เขาตวาดใส่หน้าหล่อนอย่างโมโห ก่อนจะก้าวยาวๆ กลับไปยังรถคันงาม เพียงแค่เสี้ยวนาที รถสปอร์ตราคาแพงระยับก็แล่นผ่านหน้าไป

เมื่ออยู่ตามลำพัง ใบหน้าอวดดีของอลินดาก็เปลี่ยนแปลงเป็นเศร้าหมอง หยาดน้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้ยามอยู่ต่อหน้าของแซคคารีย์รินไหลออกมาเป็นทาง “พี่นารี… กลับมาเสียทีเถอะ ฉันจะทนความใจร้ายของคนรักพี่ไม่ไหวอยู่แล้วนะ”

ร่างผอมบางที่ถูกผ้าสีดำมัดปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้สะดุ้งลุกขึ้นจากเตียงนอน ศีรษะที่เส้นผมยาวดำขลับเคยนุ่มสลวยตอนนี้ยุ่งเหยิงหันซ้ายขวาอย่างหวาดกลัว เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดและปิดสนิทลงดังกังวานขึ้น

“ปล่อย… ปล่อยฉันไปนะ ปล่อยฉันนะ”

เพราะดวงตาทั้งสองข้างถูกปิดสนิทเอาไว้ ทำให้หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวมาไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของวายร้ายที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหยุดใกล้เตียงนอน

ผู้ชายรูปร่างสูงเพรียวยืนเอียงคอมองผู้หญิงที่ร้องขอความเมตตาอยู่บนเตียงด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน มือหนายกขึ้นแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่จนหมดทุกเม็ด สาบเสื้อเชิ้ตแยกกว้างออกจากกัน ก่อนที่เสื้อราคาแพงจะถูกสลัดออกไปจากเรือนกาย กางเกงขายาวก็เป็นอาภรณ์อีกชิ้นที่ถูกถอดทิ้งไป

เสียงเตียงยุบยวบบอกให้รู้ว่าไอ้วายร้ายที่หล่อนไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากำลังจะคุกคามตัวเอง เหมือนดั่งเช่นที่มันเคยทำมาตลอดทั้งแต่ค่ำคืนแรกที่ลักพาตัวหล่อนมา

“อย่า… อย่านะ…”

หล่อนไม่มีโอกาสได้ปัดป้องใดๆ ร่างกายถูกจับตรึงลงกับเตียงกว้าง และมันก็ทาบทับขึ้นมาเสพสมกับเนื้อหนังมังสาของหล่อนอย่างหื่นกระหาย

มันเป็นใครกัน ทำไมมันจะต้องทำกับหล่อนแบบนี้ด้วย…

นารีรัตน์นอนนิ่งน้ำตาไหล ร่างสาวถูกสอดใส่รุนแรงไร้ความปรานีอย่างต่อเนื่อง และคงอีกหลายชั่วโมงกว่าไอ้โจรห้าร้อยคนนี้จะอิ่มเอม

 

อลินดาตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์กลับไปทำงานที่โรงแรมของแซคคารีย์ แต่เมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก็พบว่าตอนนี้มันเกือบจะเที่ยงวันอยู่แล้ว ดังนั้นหล่อนจึงตัดสินใจที่จะลาพักผ่อนหนึ่งวัน

“พี่วรรณคะ วันนี้ลินดาของลาหยุดหนึ่งวันนะคะ พรุ่งนี้จะเข้าไปทำงานตามปกติค่ะ”

หล่อนต่อสายหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเพื่อขอลางาน หลังจากโทรไปแจ้งให้กับหัวหน้างานโดยตรงรับทราบเรียบร้อย

“ได้สิ ไม่มีปัญหา แล้วพรุ่งนี้มาเขียนใบลาด้วยนะจ๊ะ”

“ค่ะพี่วรรณ ขอบคุณมากค่ะ”

หล่อนกล่าวขอบคุณ ก่อนจะตัดสายการสนทนา และก้าวเดินเข้าไปในซอยลึกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของบ้านตัวเอง ตั้งแต่คืนวันแต่งงาน หล่อนก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่เลย วันนี้หล่อนจึงคิดว่าจะใช้เวลาอยู่บ้าน และค้างที่นี่สักสองสามคืน

“สวัสดีจ้ะแม่”

มารดาของหล่อนไม่ได้มีท่าทางยินดีกับการปรากฏตัวของหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว หล่อนน้อยใจเสมอ แต่ก็ชาชินเสียแล้วล่ะ

“แกมาทำไม”

“ฉันคิดถึงบ้านน่ะจ้ะ” หล่อนเดินเข้าประตูบ้านไป และทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา “ว่าแต่พ่อไปไหนเหรอจ๊ะแม่” เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านไม่เห็นบิดาก็อดที่จะถามถึงไม่ได้

“ก็ออกไปตามหาพี่สาวแกน่ะสิ”

หล่อนรู้ดีว่าแม่กำลังเป็นห่วงนารีรัตน์มาก แต่ก็ไม่อยากให้ท่านเป็นกังวลมากเกินไป

“พี่นารีคงไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะแม่”

“แกพูดอย่างนี้ได้ยังไง หรือว่าแกดีใจที่พี่สาวของแกหายหัวไป หึ นังลินดา”

“ไม่ใช่นะจ๊ะแม่ คือที่ฉันบอกว่าพี่นารีคงไม่เป็นไร ก็เพราะว่าเมื่อเช้าฉันไปคุยกับร้อยเวรที่ทำคดีพี่นารีมาแล้วน่ะจ้ะ แล้วตำรวจก็บอกว่าพี่นารีน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเท่านั้นเองจ้ะ”

ผู้เป็นมารดาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง “อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องการหายตัวไปของนารี ไม่อย่างนั้น ฉันจะเป็นคนจับแกเข้าตะรางด้วยมือของฉันเอง”

หล่อนน้ำตาร่วงเผาะ นี่หล่อนทำผิดอะไร แค่หายใจก็ผิดแล้วใช่ไหม ทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวถึงได้คิดว่าหล่อนเป็นคนสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา ในสายตาของทุกคน หล่อนเลวขนาดนี้เลยเหรอ

หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายน้ำตา ก่อนจะพยายามปั้นยิ้ม “ถึงฉันกับพี่นารีจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ฉันก็ไม่เคยคิดร้ายกับพี่นารีจ้ะแม่ ฉันไม่มีวันทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นได้หรอก”

“ให้มันจริงเถอะ เพราะคนอย่างแกมันสิ้นคิด ขนาดคลิปโป๊ยังยอมให้ไอ้ผู้ชายคนนั้นถ่ายลงประจานได้เลย”

หล่อนหมดปัญญาที่จะอธิบายใดๆ อีก เพราะหล่อนโง่เองนี่ โง่ที่ยอมรับสมอ้างเป็นผู้หญิงในคลิปแทนนารีรัตน์

“ฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะแม่”

“ไปให้ไกลๆ เลย เห็นแล้วขัดลูกหูลูกตา”

อลินดาเดินน้ำตารินขึ้นบันไดบ้าน มุ่งหน้าตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง หากตอนนี้จะหาคำใดที่เหมาะสมกับคนไร้ค่าอย่างหล่อน ก็คงไม่พ้นคำว่าหมาหัวเน่า ไม่สิ… หล่อนมันต้องหมาหัวเน่ายกกำลังร้อยถึงจะคู่ควร

ร่างอรชรทิ้งลงบนเตียงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากออกมาตลอดเวลาด้วยความทุกข์ทรมาน

‘ใครๆ ก็ไม่รัก เข้าใกล้ใครทุกคนก็รังเกียจ’

ทำไมหล่อนเกิดมาอาภัพเช่นนี้นะ

เมื่อรถมาจอดที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์หลังงาม แซคคารีย์ก็รีบไล่หล่อนให้ขึ้นไปบนห้องนอน เพราะหล่อนไม่ได้ใส่ชุดเดิมเหมือนตอนเช้า เกรงว่าพวกคนใช้สังเกตเห็นเอาได้

สักพักเขาก็เดินตามขึ้นมา และหาเรื่องหล่อนเหมือนเช่นเคย แม้ว่าหล่อนจะหลีกเลี่ยงการปะทะคารมณ์ด้วยการเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ เขาก็ยังตามเข้ามาราวีไม่หยุดหย่อน

“ถ้าคุณแซคไม่ออกไป ฉันจะแก้ผ้าเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

หล่อนเห็นชายหนุ่มอึ้งไป และมองหล่อนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะเหยียดยิ้มหยัน

“คิดว่าฉันจะมีความรู้สึกกับร่างกายของเธออย่างนั้นหรือ”

คนถูกปรามาสหน้าร้อนผ่าว แต่ก็พยายามเข้มแข็งเอาไว้ “งั้นก็เตรียมเป็นตากุ้งยิงได้เลยค่ะ” มือเล็กเลื่อนขึ้นมาปลดกระดุมเม็ดแรก แต่เขาก็ยังไม่ขยับ หล่อนจึงกลั้นใจปลดเม็ดที่สอง แต่เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่คิดจะเคลื่อนตัวออกไปแม้แต่น้อย แถมยังท้าทายหล่อนอีกต่างหาก

“เอาสิ แกะกระดุมให้หมด เหลืออีกสามสี่เม็ดเอง หรือว่าอยากให้ฉันช่วย”

คราวนี้คนที่คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าแก้มแดงก่ำขึ้นมาในทันที กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง มองเขาอย่างน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด

“มีอะไรก็พูดมาค่ะ” ในที่สุดสองมือก็ถูกลดลงมาแนบลำตัว ใบหน้างามเศร้าหมองพยายามเชิดสูง “ฉันจะได้อาบน้ำอาบท่าและพักผ่อนเสียที”

“ห้ามเข้าใกล้คุณกฤติชัยอีก”

หล่อนมองเขาอย่างโมโห “ถ้าคุณแซคหัดสังเกตบ้าง คุณแซคก็น่าจะรู้นะคะว่าคนที่เป็นฝ่ายเข้าหาไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคุณกฤติชัยต่างหาก”

“นี่กำลังหาว่าฉันตาบอดอย่างนั้นหรือ” เขาโกรธจัด ก้าวเข้ามาหาอย่างคุกคาม หล่อนถดถอยหลังหนี

“คุณแซคไม่ได้ตาบอดหรอกค่ะ แต่ใจบอดต่างหาก”

“อลินดา!”

“โอ๊ย… นี่ปล่อยฉันนะคะ”

หล่อนเบ้หน้าด้วยความเจ็บ เมื่อถูกอุ้งมือใหญ่ทั้งสองข้างของ แซคคารีย์ขยุ้มลงบนต้นแขนกลมกลึงเต็มแรง พร้อมกับกดนิ้วหนักๆ

“เธอนี่มันต่างจากนารีลิบลับเลยนะ”

การเปรียบเทียบจากปากของผู้ชายที่ตัวเองหลงรัก สร้างบาดแผลบนเนื้อหัวใจของหล่อนได้อย่างสาหัสสากรรจ์

“นารีเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน จิตใจดี ในขณะที่น้องสาวฝาแฝดอย่างเธอหยาบคาย แพศยา ร่านไม่รู้จักอิ่ม!”

หล่อนเจ็บจนจุกไปทั้งหัวใจ น้ำตาเอ่อล้นไหลรินออกมาจากขอบตา แต่ก็ยังคงเชิดหน้าอวดดี แม้ว่าจะเจ็บจนเจียนตายแล้วก็ตาม

“ค่ะ ฉันมันร่าน แรด กินผู้ชายไม่เลือกหน้า” หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง “คุณแซคก็ระวังเอาไว้ให้ดีนะคะ อีกไม่นานคุณจะต้องถูกฉันกิน”

เขาผลักหล่อนออกห่าง มองด้วยสายตาขยะแขยง “ถ้าทั้งโลกมีผู้หญิงเหลือแค่เธอคนเดียว ฉันยินดีจะช่วยตัวเองไปตลอดชีวิต ยังดีกว่าลดตัวไปเกลือกกลั้วกับสิ่งสกปรกที่เน่ายิ่งกว่าขยะในถังเช่นเธอ”

นี่หล่อนไปทำอะไรให้เขากัน หล่อนไปทำอะไรให้กับแซคคารีย์นักหนาเหรอ เขาถึงได้เกลียดชังหล่อนมากมายขนาดนี้

“ค่ะ ฉันจะจำเอาไว้ จะจดจำทุกคำพูดของคุณแซควันนี้เอาไว้”

หล่อนมองเขาด้วยสายตาเจ็บปวด

“ถ้าด่าจบแล้ว ก็เชิญออกไปรอข้างนอกนะคะ เศษขยะชิ้นนี้กำลังจะอาบน้ำค่ะ”

แซคคารีย์มองหล่อนที่ประชดประชันทั้งน้ำตาด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไปทันที เสียงปิดประตูดังสนั่นหวั่นไหว หล่อนรีบถลาไปกดล็อกประตู และทิ้งร่างทรุดฮวบลงกองกับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบในห้องน้ำ หยาดน้ำตาทะลักทลายออกมาราวกับเขื่อนที่ทำนบกั้นแตกหัก

หล่อนเจ็บ… เจ็บเหลือเกิน…

มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้ กลีบปากอิ่มสั่นเทาปลดปล่อยเสียงสะอื้นไห้ออกมาตลอดเวลา

แซคคารีย์เดินออกมารับลมเย็นๆ ยังระเบียงที่ยื่นออกไปนอกตัวบ้าน กำปั้นหนาหนักซัดเข้าใส่ขอบระเบียงสองสามครั้งเต็มแรง ภายในอกของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเกรี้ยวกราด

ความจริงเขาควรจะบีบคอขาวๆ ของอลินดาให้หัก และจับร่างของหล่อนหั่นเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็เอาไปทิ้งในถังขยะเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพราะยิ่งเห็นหน้าหล่อน เขาก็ยิ่งอดคิดถึงผู้หญิงที่แสนดีอย่างนารีรัตน์ไม่ได้

หล่อนทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกัน ลักษณะภายนอกเหมือนกันแทบทุกกระเบียดนิ้ว นารีรัตน์มีหุ่นผอมบางไม่ต่างจากนางแบบบนรันเวย์ ในขณะที่ อลินดามีหุ่นอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลไม่ผอมแห้งจนเกินไป และหุ่นแบบนี้ไง คือหุ่นผู้หญิงที่ผู้ชายทั้งโลกอยากได้มาครอบครอง ไม่เว้นแม้แต่เขา!

ศีรษะทุยสวยสลัดแรงๆ เขากัดฟันกรอด เกรี้ยวกราดหงุดหงิดกับความคิดในสมองของตัวเองยามนี้เป็นที่สุด เขาควรเกลียด เกลียดอลินดาให้ลึกสุดใจสิ ไม่ใช่มาชื่นชมรูปร่างเย้ายวนตาของหล่อนแบบนี้

มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมหนาดกแรงๆ เพื่อหวังจะบรรเทาความหงุดหงิดภายในให้คลายคง แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่ในหัวก็ยังคงคิดวนเวียนถึงอลินดาตลอดเวลา

ใช่… หล่อนมีความเป็นผู้หญิงไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่ศีลธรรมของหล่อนอยู่ต่ำเตี้ยยิ่งกว่ายอดหญ้าเสียอีก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหล่อนยินดีทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ และนั่นก็คือเขา

นารีรัตน์เคยระบายกับเขาหลายต่อหลายครั้งแล้วถึงความน่าสะอิดสะเอียนของอลินดา แต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจ จนกระทั่งมาเกิดเรื่องการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของคนรัก เขาจึงเริ่มคิด และแน่นอนว่าเขามองเห็นสิ่งที่นารีรัตน์เคยเป็นกังวลอย่างชัดเจน

“ผู้หญิงสารเลว”

แซคคารีย์เดือดดาลที่สุดในชีวิต ยิ่งนายตำรวจเจ้าของคดีเอ่ยปากว่าสงสัยอลินดา เขาก็ยิ่งมองเห็นความชั่วร้ายของหล่อนชัดเจนขึ้นอย่างน่าตกใจ

“ฉันจะต้องจับเธอยัดเข้าตะรางให้ได้”

กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง เขาหมุนตัว เดินกลับเข้าไปในห้องนอน และเห็นว่าอลินดาอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนอนเรียบร้อยแล้ว และนั่งลงบนโซฟาริมหน้าต่าง ในมือของหล่อนมีหมอนใบใหญ่ถือเอาไว้

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” หล่อนพูดแผ่วเบา และกำลังจะล้มตัวลงนอน แต่เขากระโจนเข้าไปจับแขนเรียว พร้อมกับกระชากร่างอรชรให้ลุกขึ้นเสียก่อน

“คุณแซคจะทำอะไรคะ”

“ที่นอนของเธอในห้องน้ำไม่ใช่หรือ”

อะไรบางอย่างในดวงตาของหล่อนทำให้แซคคารีย์ใจอ่อนไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็แข็งกระด้างเช่นเดิม

“ไปนอนในห้องน้ำ”

คนตัวเล็กน้ำตาไหลซึม กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรงอีกครั้ง มองเขาอย่างเจ็บปวด

“ถ้ามันจะทำให้คุณแซคสบายใจ ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปนอนในห้องน้ำ”

อลินดาสะบัดแขนของตัวเองแรงๆ จนหลุด ก่อนจะหันไปคว้าหมอนบนโซฟามากอดเอาไว้

“ขอให้คุณแซคมีความสุขกับความใจร้ายนะคะ”

หล่อนประชดประชันเขาทั้งน้ำตา ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

แซคคารีย์กัดฟันกรอด มองบานประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทลงด้วยความหงุดหงิด

“ต่อให้เธอร้องไห้จนน้ำตาท่วมโลก ฉันก็ไม่มีทางสงสารผู้หญิงใจคออำมหิตอย่างเธอหรอก อลินดา”

ทุกพยางค์ที่ดังเล็ดลอดไรฟันขาวสะอาดออกมา ล้วนเต็มไปด้วยโทสะร้าย

แซคคารีย์สบถออกมาอีกหลายครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียงกว้างของตัวเอง ความโดดเดี่ยวแล่นเข้าใส่หัวใจอย่างไม่ปรานี

เขาเป็นผู้ชายที่โลกทั้งใบอยู่แค่ปลายนิ้วเพียงเท่านั้น แต่กลับไม่อาจจะตามหาเจ้าสาวตัวจริงกลับคืนมาได้

“นารี… ยังไงผมก็จะต้องตามหาคุณให้พบ”

“วันนี้เธอกลับบ้านเองนะ ฉันมีนัดสำคัญ”

แซคคารีย์โทรมาบอกหล่อนตอนที่เหลืออีกเพียงแค่หนึ่งนาทีจะเลิกงานตอนเย็นอยู่แล้ว

“ขอบคุณค่ะที่กรุณาเจียดเวลาอันมีค่าโทรมาบอกฉัน แต่คราวหน้าไม่ต้องก็ได้นะคะ เพราะฉันกลับบ้านเองได้ ปกติก็กลับเองทุกวันอยู่แล้วค่ะ” หล่อนทั้งเหน็บทั้งแหนมทั้งประชดประชันออกไป และแน่นอนว่าก่อกวนโทสะของคนปลายสายได้เป็นอย่างดี

“ปากดีนักนะ”

อลินดาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดด้วยจึงเอ่ยตัดบท “แค่นี้ก่อนนะคะ ถึงเวลาเลิกงานแล้วค่ะ”

หล่อนได้ยินเสียงกัดฟันดังกรอดดังมาตามสาย ตอนนี้ใบหน้าของแซคคารีย์คงกำลังแดงก่ำด้วยไฟโทสะเป็นแน่แท้ แต่ช่างเขาประไร มันไม่เกี่ยวกับหล่อนอยู่แล้วนี่

“เธอรู้ใช่ไหมว่าจะต้องกลับไปที่บ้านของฉัน ในฐานะอะไร”

“ทราบค่ะ ทราบดีค่ะว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง” หล่อนประชดประชันอีกครั้ง “แค่นี้นะคะ จะเก็บของกลับบ้านค่ะ” แล้วหล่อนก็ตัดสายสนทนาทิ้งด้วยความกรุ่นโกรธ

“คนบ้า ดีแต่สั่ง ทำไมไม่เห็นใจกันบ้าง”

“ใครบ้าเหรอลินดา”

หทัยชนกที่เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ เพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน ดันหูดีได้ยินซะอย่างนั้น อลินดาจึงต้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับแก้ตัวพัลวัน

“อ๋อ พอดีลินดาด่าพระเอกในนิยายน่ะจ้ะ พระเอกอะไรก็ไม่รู้ทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ กินหญ้ามันทั้งเรื่องเลยค่ะพี่นก”

“ว๊าย ถ้ากินหญ้าทั้งเรื่องแบบนี้ คงไม่ใช่พระเอกแล้วล่ะจ้ะน้อง ลินดา” หทัยชนกออกความคิดเห็น

“นั่นสิคะ น่าจะไปเป็นผู้ร้ายมากกว่า” อลินดาคิดอย่างโมโห ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน “เย็นนี้พี่นกกลับบ้านคนเดียวก่อนนะคะ พอดีลินดามีธุระน่ะจ้ะ”

“แน่ะ… กับคุณแฮรี่ใช่ไหมจ๊ะ”

อลินดารีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่หรอกจ้ะ”

“อ้าว แล้วใครล่ะ”

“เอ่อ… ไม่มีใครหรอกจ้ะพี่นก ลินดาก็แค่จะต้องแวะห้างไปจ่ายค่ามือถือน่ะ”

“แน่เหรอ เห็นปกติจ่ายเซเว่นนี่น่า”

“ก็… พอดีจะแวะไปซื้อของใช้ด้วยน่ะจ้ะ ที่ห้างกำลังลดราคาเลย” อลินดารีบหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องไหล่ หลังจากปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว

“งั้นลินดาขอตัวก่อนนะพี่นก”

“อืม ไปเถอะ พี่ก็จะกลับบ้านเหมือนกัน”

อลินดาเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับหทัยชนก และก็รอให้หทัยชนกเดินออกไปจนลับตาก่อนแล้วนั่นแหละ ตัวเองจึงหมุนตัวเดินไปยังลานจอดรถตามที่กฤติชัยนัดหมายเอาไว้

เมื่อเดินมาถึงเห็นรถหรูติดเครื่องรออยู่ พอเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆ คนขับก็รีบลดกระจกรถลง และเชื้อเชิญ

“เชิญขึ้นรถครับคุณอลินดา”

“เอ่อ… ขอบคุณค่ะ”

อลินดาไม่มีทางเลือกจำต้องก้าวขึ้นมานั่งบนรถคันงามของกฤติชัย มือเล็กรีบดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับลำตัวเอาไว้

“รอลินดานานไหม”

“ไม่นานครับ”

กฤติชัยระบายยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเคลื่อนรถหรูออกไปจากลานจอดรถ มุ่งหน้าแล่นขึ้นไปบนท้องถนน ในระหว่างนั้นก็ชวนหล่อนคุยตลอดเวลาอย่างเป็นกันเอง

“แล้วนี่ทางครอบครัวของคุณอลินดาทราบหรือยังครับว่าพี่สาวของคุณหายไปไหน”

“ยังไม่ทราบเลยค่ะคุณกฤติชัย แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตามสืบหาให้ค่ะ รวมถึงนักสืบที่คุณแซคจ้างเอาไว้ต่างหากด้วยนะคะ ลินดาว่าอีกไม่นานก็คงจะตามพี่นารีพบค่ะ”

รอยยิ้มถูกระบายขึ้นบนใบหน้าของกฤติชัยตลอดเวลา ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นอีก

“คุณกับพี่สาวมีเรื่องหมางใจอะไรกันบ้างไหมครับ”

เมื่อเห็นหล่อนอึกอัก กฤติชัยก็รีบกล่าวขอโทษ “ผมขอโทษที่ถามคำถามนี้ออกไปครับ คิดเสียว่าผมไม่เคยพูดก็แล้วกันนะครับ”

“เอ่อ… ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันไม่ใช่คำถามลึกลับซับซ้อนอะไรสักหน่อย” หล่อนทำเป็นหัวเราะ ทั้งๆ ที่ภายในใจบอบช้ำไม่น้อย “ลินดากับพี่นารี… ก็เหมือนกับพี่น้องทั่วไปนั่นแหละค่ะ มีทะเลาะกันบ้าง แต่ลินดาก็ไม่เคยถือโทษโกรธพี่นารีจริงๆ จังๆ สักครั้ง เพราะเราสองคนเป็นพี่น้องกัน”

“แล้วพี่สาวของคุณคิดเหมือนคุณไหมครับ คุณอลินดา”

คำถามย้อนกลับมาของกฤติชัยทำให้อลินดายิ้มเศร้าหมองออกมาโดยไม่รู้ตัว

“แน่นอนค่ะ พี่นารีก็ต้องคิดเหมือนลินดานั่นแหละค่ะ เพราะเราสองคนเป็นพี่น้องกัน”

“ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้เจอผู้หญิงที่มองโลกในแง่ดีแบบคุณอลินดา คุณเป็นคนดีนะครับ”

“อย่าชมลินดาเลยค่ะ เพราะลินดาไม่ใช่คนดีอะไรเลย”

“แต่คุณอลินดาก็ยังเป็นคนดีกว่าผู้หญิงคนที่ผมรักมากครับ”

“ผู้หญิงคนที่คุณกฤติชัยรักเหรอคะ” หล่อนเอียงคอมองผู้ชายหน้าตาดีที่กำลังขับรถอยู่อย่างสงสัย

“ใช่ครับ ผมรักเธอ แต่เธอไม่ได้รักผม”

“ผู้ชายอย่างคุณกฤติชัยไม่น่าจะมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธนะคะ นี่แกล้งอำลินดาเล่นหรือเปล่าคะ” อลินดาหัวเราะขบขัน ดวงตาของหล่อนสดใสจนกฤติชัยอดอมยิ้มตามไม่ได้

“ผมขออวยพรให้คุณอลินดามีชีวิตที่ดีนะครับ ขอให้คุณมีความสุขมากๆ”

“เอ่อ… ลินดาคงจะมีความสุขมากกว่านี้ค่ะ ถ้าพี่นารีกลับมา”

ไม่มีคำพูดใดดังออกมาจากปากของกฤติชัยอีกเลย จนกระทั่งรถคันงามเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าสถานบันเทิงหรูหราแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจากภายนอกก็พอจะรู้แล้วว่า ต้องระดับผู้มีอันจะกินเท่านั้น ถึงจะสามารถก้าวเข้าไปข้างในได้

“ที่นี่เหรอคะ”

“ครับ”

หล่อนมองออกไปนอกกระจกรถ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่สบายใจนัก

“ไม่ชอบที่นี่หรือครับ” กฤติชัยหันมาเอ่ยถาม

อลินดาหันมาตอบคนถามตามความรู้สึกแท้จริง

“ก็ไม่เชิงไม่ชอบหรอกค่ะ แต่ลินดาไม่เคยมาเที่ยวสถานที่แบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นยังไงบ้าง”

“งั้นก็ลองเข้าไปดูสิครับ ผมอยู่ด้วยทั้งคน ไม่มีอันตรายอะไรหรอกครับ เชื่อผมเถอะ”

กฤติชัยพูดจบก็ก้าวลงไปจากรถ ในขณะที่หล่อนยังคงนั่งนิ่งราวกับกำลังชั่งใจ จนกระทั่งกฤติชัยเดินมาดึงประตูรถเปิดให้ และเชิญชวนอีกครั้งนั่นแหละ หล่อนจึงตัดสินใจก้าวลงไป

“ต้องให้ผมจูงมือไหมครับ” กฤติชัยหันมาถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

อลินดารีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ”

กฤติชัยระบายยิ้มให้กับหล่อนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินนำอลินดาเข้าไปภายในผับแอนด์เรสเตอรองค์ตรงหน้า และทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาด้านใน หล่อนก็ต้องตกตะลึงกับการตกแต่งของที่นี่

หรูหรา มีระดับ และคลาคล่ำไปด้วยเหล่าคนมีเงิน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือแซคคารีย์ที่เดินทางมาถึงก่อนหน้าแล้ว

แข้งขาของหล่อนสั่นเทา ไร้เรี่ยวแรงจนเจียนจะล้ม ร้อนถึงกฤติชัยต้องรีบหันมาประคอง เมื่อสบประสานตากับดวงตากังขาสีสนิมของ แซคคารีย์ที่จ้องมองมาเขม็ง

“ไม่เป็นอะไรนะครับคุณอลินดา”

“มะ… ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะคุณกฤติชัย”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มให้กับหล่อนอีกแล้ว ก่อนจะเดินประคองหล่อนเข้าไปที่โต๊ะที่มีแซคคารีย์นั่งกัดฟันรออยู่ เขามองหล่อนด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ

“เชิญครับคุณอลินดา”

กฤติชัยเลื่อนเก้าอี้ให้กับหล่อนด้วยความสุภาพ ก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และหันไปทักทายแซคคารีย์ที่กัดฟัน ขบกรามไม่หยุด

“ขอโทษที่มาช้าไปสิบห้านาทีนะครับคุณแซค” กฤติชัยขอโทษขอโพย “พอดีผมกับคุณอลินดาคุยกันถูกคอไปหน่อย ก็เลยมัวแต่คุยกันมาตลอดทาง จนลืมเวลาน่ะครับ”

หล่อนทำได้แค่เพียงระบายยิ้มแห้งๆ และก้มหน้าหลบสายตา แซคคารีย์ มือไม้ของหล่อนชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ

“ผมไม่คิดว่าผู้หญิงที่คุณกฤติชัยจะพามาด้วยจะเป็นพนักงานบัญชีที่โรงแรมของผม” น้ำเสียงของแซคคารีย์เยาะหยันอยู่ในที “แต่ความจริงผมว่าระดับคุณกฤษชัยแล้ว น่าจะมีผู้หญิงระดับที่สูงกว่านี้ให้เลือกเยอะแยะนะครับ ไม่น่า…” ถึงแซคคารีย์จะหยุดพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น แต่หล่อนก็รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หล่อนเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความเจ็บปวดและอับอาย

“แต่ถ้าผมไม่ได้เข้าใจผิด คุณอลินดาเป็นน้องภรรยาของคุณแซคไม่ใช่เหรอครับ”

“ครับ”

“ดังนั้นคุณอลินดาก็ไม่ได้อยู่คนละระดับกับผมนี่ครับ เพราะคุณแซค ร่ำรวย น้องภรรยาอย่างคุณอลินดาก็ต้องร่ำรวยด้วย ผมพูดไม่ผิดใช่ไหมครับ”

แซคคารีย์กัดฟันแน่น และก็มองหน้าอลินดาอย่างคาดโทษเอาไว้ในใจ

“ที่คุณกฤติชัยพูดก็ไม่ผิดหรอกครับ” แซคคารีย์ตอบรับออกไปอย่างไม่มีทางเลือก

“งั้นเรามาสั่งอาหารกันเถอะครับ กินเสร็จแล้วเราจะได้พูดถึงงานของเรา” กฤติชัยตัดบท ก่อนจะหันไปถามอลินดา “คุณอลินดาอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ ผมจะสั่งให้”

“เอ่อ… อะไรก็ได้ค่ะ ลินดากินได้หมดค่ะ”

“คุณอลินดากินง่ายจังนะครับ แบบนี้ผู้ชายคนไหนได้คุณอลินดาไปเป็นภรรยาน่าจะมีความสุขน่าดูนะครับ”

คำพูดของกฤติชัย ทำให้หล่อนเหลือบตาไปสบประสานกับดวงตาสีสนิมของแซคคารีย์โดยบังเอิญ และก็ได้เห็นสายตาเหยียดหยามดูแคลนของเขาชัดเจน

“เอ่อ… ขอบคุณค่ะ”

แล้วกฤติชัยก็สั่งอาหารให้กับหล่อน และเขาก็คุยตกลงธุรกิจกับ แซคคารีย์หลังจากนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งมื้อค่ำจบสิ้นลง พร้อมๆ กับการเจรจาธุรกิจที่สร้างความพึงพอใจให้กันทั้งสองฝ่าย

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมขอฝากคุณอลินดากลับพร้อมกับคุณแซคได้ไหมครับ พอดีลูกน้องที่บ้านส่งข้อความมาให้รีบกลับน่ะครับ”

“เอ่อ… ลินดากลับแท็กซี่เองได้ค่ะ ขอบคุณคุณกฤติชัยมากนะคะที่อุตส่าห์พามาเลี้ยงข้าวเย็น”

หล่อนยกมือไหว้กฤติชัยอย่างขอบคุณ ก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายบ่าแน่น

“นี่มันมืดค่ำแล้ว ผมปล่อยให้คุณลินดานั่งรถแท็กซี่กลับคนเดียวไม่ได้หรอกครับ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงเลยนะครับ”

กฤติชัยหยิบยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง และก็ทำให้หล่อนต้องปรายตามองหน้าเรียบเฉยของแซคคารีย์อย่างไม่สบายใจ

“คุณกฤติชัยไม่ต้องกังวลครับ เดี๋ยวผมไปส่งอลินดาเองครับ”

“ขอบคุณมากครับคุณแซค งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

หล่อนเดินตามกฤติชัยและแซคคารีย์ออกมาจากผับกึ่งภัตตาคาร และก็ยืนโบกมือให้กับกฤติชัยจนท้ายรถคันงามของเขาหายไปในความมืด จึงลดมือลงทิ้งไว้ข้างตัว และหันไปหาแซคคารีย์ที่ยืนทำหน้าดุดันอยู่ไม่ไกล

“คุณแซคกลับเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองค่ะ”

คนตัวโตมองหล่อนเขม็ง และก้าวเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคามเอาเรื่อง

“เธอก็ได้ยินคุณกฤติชัยบอกแล้วนี่ว่าให้เธอกลับบ้านกับฉัน”

“ค่ะ ฉันทราบค่ะ แต่นี่คุณกฤติชัยก็กลับไปแล้วนี่คะ เขาไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าฉันนั่งรถกลับบ้านกับคุณแซคหรือเปล่า” หล่อนจะเดินหนีแต่แขนเรียวถูกกระชากเอาไว้

“ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ”

แซคคารีย์ไม่ปล่อย แถมยังเพิ่มแรงกดของนิ้วมือแรงขึ้น จนกระดูกแขนของอลินดาแทบแหลกละเอียด

“ฉันเจ็บนะคะ”

“อย่าดื้อกับฉัน ไปขึ้นรถ”

“ก็บอกแล้วไงคะว่ากลับเองได้ และที่สำคัญคุณแซคก็จะได้ไม่เหม็นกลิ่นความร่านของฉันด้วยยังไงล่ะคะ” หล่อนประชดประชันอย่างน้อยใจ

“ดึกๆ แบบนี้ ปล่อยเธอออกไปร่านโดยไม่ใส่ปลอกคอ มีหวังสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเปล่าๆ ไปขึ้นรถ เราต้องกลับบ้านด้วยกัน เดี๋ยวนี้” เขาใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็ลากหล่อนไปถึงรถสปอร์ตคันงามได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าหล่อนจะขัดขืนมาตลอดทางก็ตาม “และอย่าลงมาเชียว เพราะฉันฆ่าเธอแน่” เขาชี้หน้าข่มขู่หล่อน ก่อนจะเดินอ้อมรถมาก้าวขึ้นนั่งหน้าพวงมาลัยรถอย่างรวดเร็ว

อลินดากัดปากแน่นด้วยความน้อยใจระคนโมโห “คนที่คุณแซคต้องเสียเวลาด้วยคือพี่นารี ไม่ใช่ฉันค่ะ”

“กับนารีน่ะฉันให้เวลาทั้งชีวิตของฉันนั่นแหละ แต่สำหรับเธอ ฉันจำเป็นต้องลากกลับไปล่ามโซ่เอาไว้ ก่อนที่เธอจะออกมาเพ่นพ่านไล่ผสมพันธุ์ไปทั่ว”

ทำไมเขาด่าว่าหล่อนแรงขนาดนี้ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลรินออกมาเป็นทาง และเขาก็ยังไม่คิดจะหยุดวาจาที่ทำให้หล่อนเสียใจแม้แต่น้อย

“ขนาดคุณกฤติชัยเป็นถึงลูกค้าของฉัน เธอยังตามอ่อยจนได้ติดรถมากินข้าวด้วยได้ เธอนี่มันเก่งเรื่องคาวๆ จริงๆ เลยนะ อลินดา และถ้าเมื่อกี้นี้ฉันไม่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย เธอก็คงจะใช้มารยาหญิงสารเลวที่ตัวเองมีลากลูกค้ารายใหญ่ของฉันไปปู้ยี่ปู้ยำแล้วใช่ไหม”

“คุณแซค!” หล่อนเค้นเสียงออกมาด้วยความโมโห “คุณดูถูกฉันมากเกินไปแล้วนะคะ ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดสักนิด”

“ไม่มีโจรที่ไหนยอมรับว่าตัวเองเลวหรอก ซึ่งเธอก็เช่นกัน จริงไหม อลินดา”

ทุกถ้อยคำของเขาช่างทำร้ายจิตใจของหล่อนอย่างเลือดเย็นเป็นที่สุด และไม่ว่าหล่อนจะปฏิเสธแค่ไหน แต่คนที่มองว่าหล่อนเลวสำส่อนไปแล้วอย่างแซคคารีย์ก็ยังคงเกลียดชังหล่อนไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี

“ค่ะ เชิญคิดตามที่คุณแซคต้องการเถอะค่ะ”

หล่อนโต้ตอบเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหน้าหนีมองออกไปนอกกระจกรถ และไม่ว่าเขาจะพูดจะตำหนิอะไรออกมาอีก หล่อนก็ตอบโต้ด้วยการนิ่งเงียบ จนแซคคารีย์หงุดหงิด และหยุดด่าทอหล่อนไปเสียเอง

“ลินดาไม่สบายหรือเปล่าครับ ตาแดงเชียว”

แฮรี่อดเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อมานั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน

“นั่นสิ จมูกก็แดงด้วย เหมือนคนร้องไห้มาอย่างหนักเลย”

หทัยชนกที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นบ้าง และก็ทำให้ อลินดาถึงกับต้องก้มหน้าหลบสายตาสงสัยของทุกคน

“คือ… มาสคาร่าที่ปัดมามันเข้าตาน่ะจ้ะ แล้วลินดาก็ลืมตัวขยี้หนักมือไปหน่อย ตาก็เลยแดง”

หล่อนแก้ตัว แต่ดูเหมือนว่าผู้ร่วมสนทนาจะไม่ค่อยเชื่อนัก โดยเฉพาะหทัยชนก

“แหม อย่ามาพูดดี เธอเคยปัดมาสคาร่าที่ไหนกันยายลินดา เห็นหน้าสดมาทำงานตลอด”

“อ๋อ พอดีเมื่อเช้าลองปัดมาน่ะจ้ะพี่นก” อลินดารีบแก้ตัวขึ้นอีก ระบายยิ้มเจื่อนๆ ออกมา

“ผมว่าเรากินข้าวกันเถอะครับ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”

อลินดากล่าวขอบคุณแฮรี่อยู่ภายในอกเงียบๆ เมื่อเขาช่วยทำให้หล่อนหลุดพ้นจากหัวข้อสนทนานั้นอย่างหวุดหวิด

“ลินดาลองกินนี่สิครับ ไก่ทอดอร่อยมาก ผมกินมาสองสามครั้งแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ คุณแฮรี่”

อลินดาระบายยิ้มหวานให้กับแฮรี่อย่างซาบซึ้งในน้ำใจ และกำลังจะตักอาหารใส่ปาก แต่สายตาไม่รักดีดันมองข้ามศีรษะของแฮรี่ไปยังร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเข้าพอดี

ดวงตาของหล่อนติดแหงกอยู่กับร่างของแซคคารีย์จนขยับไปไหนไม่ได้ หล่อนจ้องมองแซคคารีย์ที่ยืนคุยอยู่กับผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงแรมอยู่นานจนแฮรี่ผิดสังเกต ต้องเอี้ยวตัวไปมองข้างหลังเช่นกัน

“แปลกนะที่ท่านประธานมากินข้าวในโรงอาหารนี้ด้วย เห็นปกติให้คนยกขึ้นไปให้ที่ห้องอาหารชั้นบนตลอด” หทัยชนกพูดขึ้นด้วยความสงสัย

“คงเป็นเพราะมีคุณกฤติชัยมาด้วยมั้งครับ” แฮรี่รู้จักผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ แซคคารีย์

“คุณแฮรี่รู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยเหรอคะ” อลินดาที่สามารถหยุดมองแซคคารีย์ได้แล้ว รีบกลบเกลื่อนด้วยการถามออกไป

“รู้จักสิครับลินดา คุณกฤติชัยนะเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ใหญ่ พาลูกค้ากระเป๋าหนักมาพักโรงแรมของเราเป็นประจำเลย”

“เพราะอย่างนี้ท่านประธานถึงต้องลงมาเทคแคร์ด้วยตัวเองใช่ไหมคะ” คราวนี้หทัยชนกเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง แต่แฮรี่ยังไม่ทันได้ตอบ หทัยชนกก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสงสัย “นี่ถ้านกตาไม่ฝาด นกเห็นคุณกฤติชัยมองมาที่โต๊ะเราตาไม่กะพริบเลยนะคะเนี่ย”

อลินดาก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่คิดว่าที่กฤติชัยมองมาคงเป็นเพราะจำแฮรี่ได้

“คงมองคุณแฮรี่น่ะพี่นก”

อลินดาตอบออกไป ก่อนที่จะก้มหน้าตักข้าวใส่ปากเงียบๆ จิตใจของหล่อนไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย ยามที่สมองรับรู้ว่าแซคคารีย์มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

เมื่อไหร่กันนะ เมื่อไหร่หล่อนถึงจะหลุดพ้นจากบ่วงรักที่แสนทรมานนี้สักที

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หล่อนและแฮรี่ รวมถึงหทัยชนกก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปทำงานของตัวเอง แต่หล่อนเกิดปวดท้องจึงแวะเข้าห้องน้ำระหว่างทาง พอก้าวออกมาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นผู้ชายที่ยืนเคียงข้างกับแซคคารีย์ที่โรงอาหารระบายยิ้มโปรยมาให้

เพราะรู้จักแฮรี่มาว่าเขาคือกฤติชัย เจ้าของทัวร์ใหญ่ที่เป็นลูกค้าคนสำคัญของโรงแรมที่ตัวเองทำงานอยู่ ดังนั้นหล่อนจึงต้องระบายยิ้มตอบกลับไปให้ตามมารยาท

“สวัสดีครับ”

“สะ… สวัสดีค่ะ” หล่อนรีบยกมือไหว้ เมื่อลูกค้าคนสำคัญของโรงแรมกล่าวทักทาย

“ไม่ทราบว่าคุณ… อลินดาใช่ไหมครับ”

“ค่ะ แต่ว่า… คุณรู้ชื่อของฉันได้ยังไงกันคะ”

หล่อนเต็มไปด้วยความแปลกใจ แต่คู่สนทนไม่ยอมตอบ กลับระบายยิ้มให้แทน

“ไปคุยกันสักประเดี๋ยวได้ไหมครับ”

“แต่ว่า… ถึงเวลาทำงานแล้วน่ะค่ะ”

“ผมขออนุญาตคุณแซคแล้วล่ะครับ” คำตอบของผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้าทำให้หล่อนไม่มีทางเลือก

“ก็… ได้ค่ะ”

“งั้นเชิญทางนี้ครับ”

ร่างสูงเพรียวของกฤติชัยนำหน้าหล่อนออกไปยังด้านนอกของตัวโรงแรม และไปหยุดที่สวนหย่อมแสนสวย

“พี่สาวของคุณหายตัวไปเหรอครับ”

ทันทีที่หยุดเดิน คำถามของกฤติชัยก็ดังออกมาจากปากของเขา อลินดามองชายหนุ่มที่น่าจะวัยไล่เลี่ยกับแซคคารีย์ด้วยความประหลาดใจ

“คุณ… ทราบได้ยังไงคะ”

สีหน้าของกฤติชัยยังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “ผมทราบจากคุณแซคน่ะครับ”

หล่อนชะงักไปเล็กน้อย และก็อดโมโหแซคคารีย์ไม่ได้ ไหนเขาบอกว่าเรื่องที่นารีรัตน์หายตัวไปมันคือความลับระหว่างสองครอบครัวยังไงล่ะ แต่ทำไมเขาเอามาบอกกฤติชัย

“ค่ะ” หล่อนจำต้องตอบรับออกไป “แต่ฉันอยากขอร้องให้คุณกฤติชัยเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับได้ไหมคะ คือถ้าเรื่องนี้มันมีคนอื่นที่รู้เพิ่มขึ้นอีก ฉันเกรงว่าชื่อเสียงของคุณแซคจะเสียหาย รวมถึงชื่อเสียงของพี่นารีด้วยน่ะค่ะ”

หล่อนไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มละไมของ กฤติชัยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็รับปากออกมาจนได้ และก็ทำให้หล่อนสบายใจขึ้น

“ไว้ใจผมเถอะครับ คุณอลินดา”

“ขอบคุณมากนะคะ คุณกฤติชัย”

อลินดายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณบุรุษตรงหน้าอย่างซาบซึ้งในน้ำใจของเขา

“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่… เย็นนี้พอจะมีเวลาว่างไปรับประทานมื้อค่ำกับผมสักมื้อได้ไหมครับ”

“คุณกฤติชัยชวน… ฉันเหรอคะ” หล่อนเอานิ้วจิ้มเข้ามาที่ร่างของตัวเอง มองคู่สทนาอย่างแปลกประหลาดใจ

“ใช่ครับ พอดีผมนัดกินข้าวกับคุณแซคเอาไว้นะครับ ก็เลยอยากจะชวนคุณอลินดาไปด้วย”

หล่อนคงตอบตกลงได้ไม่ยากเย็นนัก หากไม่รู้ว่ามี แซคคารีย์รวมอยู่ด้วย

“คือเย็นนี้ฉันต้องรีบกลับบ้านน่ะค่ะ ต้องกราบขออภัยคุณกฤติชัยด้วยนะคะ”

“ถือว่าเห็นกับผมไม่ได้เหรอครับ ผมอยากชวนคุณไปกินข้าวด้วยจริงๆ”

“แต่ว่า… คุณกฤติชัยก็มีคุณแซคไปด้วยแล้วทั้งคนนี่คะ”

“ก็ผมอยากให้คุณอลินดาไปด้วยนี่ครับ”

น้ำเสียงของกฤติชัยแม้จะนุ่มนวลแต่ก็หนักแน่นและจริงจังจนอลินดาอดหวาดหวั่นไม่ได้

“คือว่า…”

“อาทิตย์หน้าจะมีทัวร์จากยุโรปเดินทางมาเมืองไทยอีกหลายสิบชีวิต และผมก็สัญญาว่าจะนำมาลงที่โรงแรมนี้”

กฤติชัยคงกำลังจะบอกหล่อนเป็นนัยๆ ว่าเขาคือลูกค้าใหญ่นะ ห้ามขัดใจเขานะ อย่างแน่นอน

“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวคุณกฤติชัยบอกชื่อร้านมานะคะ เลิกงานแล้วฉันจะรีบนั่งแท็กซี่ไปหาเลยค่ะ”

คำตอบของหล่อนไม่ถูกใจเขาอีกแล้วใช่ไหม เพราะกฤติชัยส่ายศีรษะไปมา

“เดี๋ยวไปพร้อมผมครับ”

“ไปพร้อมคุณกฤติชัยเหรอคะ”

เจ้าของชื่อพยักหน้ารับน้อยๆ

“ใช่ครับ เพราะกว่าผมจะคุยธุระกับคุณแซคเสร็จก็คงอีกหลายชั่วโมง”

“แต่ฉันเลิกงานห้าโมงเย็นนะคะ”

หล่อนยังคงเกรงใจและเป็นกังวล แต่สีหน้าของกฤติชัยไม่มีร่องรอยความทุกข์ร้อนใดๆ เลย

“ผมรอได้ครับ”

หล่อนไม่รู้จะปฏิเสธยังไงก็เลยต้องตอบตกลงออกไป และเดินกลับไปยังแผนกบัญชีด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

มันน่าแปลกใจไม่น้อย ที่จู่ๆ ลูกค้ารายใหญ่ของแซคคารีย์มาตีสนิทกับพนักงานบัญชีต๊อกต๋อยเช่นหล่อน

ทันทีที่หล่อนก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวใหญ่ที่มีเอาไว้สำหรับผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น วาเนสซ่าก็รีบเดินเข้ามาหา และกล่าวเร่งเร้าให้หล่อนรีบเดินตาม

“ท่านประธานรอเธอนานแล้ว เร็วเข้า”

“ค่ะ”

วาเนสซ่าพาหล่อนมาหยุดที่หน้าห้องทำงานของแซคคารีย์ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูไม้หนึ่งครั้ง

“ท่านประธานคะ อลินดาพนักงานบัญชีมาแล้วค่ะ”

“ให้เข้ามา”

“ค่ะ”

เลขาสาวตอบรับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะหันมามองหล่อนที่ยืนหน้าซีดอยู่ใกล้ๆ

“ท่านประธานอนุญาตแล้ว เข้าไปได้”

ประตูห้องทำงานของแซคคารีย์เปิดกว้างออกด้วยมือของวาเนสซ่า

“เข้าไปสิ เร็วเข้า”

“ค่ะ”

หล่อนที่ยืนลังเลอยู่ไม่มีทางเลือก จำต้องก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องทำงานกว้างขวางของแซคคารีย์อย่างไม่มีทางเลือก บานประตูไม้แกะสลักถูกดึงให้ปิดสนิทจากด้านนอก

แซคคารีย์นั่งตระหง่านอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดดุดัน และน่ากลัวยิ่งนัก

หล่อนพยายามตั้งสติ แต่เหงื่อก็ผุดพรายขึ้นมาในอุ้งฝ่ามือจนเปียกชุ่ม

หล่อนไม่อยากเผชิญหน้ากับแซคคารีย์เลย…

“คุณแซค… มีอะไรจะใช้ฉันเหรอคะ”

ดวงตาสีสนิมตวัดจ้องมองมาที่หล่อนเขม็ง และถ้ามองไม่ผิดที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มหยัน

นี่หล่อนทำอะไรผิดไปอีกล่ะ

“ถ้าไม่มี… ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”

เสียงกระด้างดังเล็ดลอดออกมาจากลำคอแกร่ง และแซคคารีย์ก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะทำงานไม้มาหยุดไม่ไกลจากร่างของหล่อนนัก อลินดาถอยหลังออกห่างอีกหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

“คุณแซค… มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ” ทำใจกล้าเอ่ยถามออกไป แต่สุ่มเสียงสั่นระริกจนน่าอับอาย

หล่อนเห็นกรามแกร่งที่มีเงาของไรหนวดและเคราของแซคคารียร์ขบกันแน่น ก่อนที่เขาจะพูดออกมา

“เมื่อเช้าฉันไปสถานีตำรวจมา”

อ๋อ ที่ทิ้งหล่อนเอาไว้ที่ปั๊มน้ำมัน ก็เพราะเขารีบไปสถานีตำรวจนี่เอง และก็ไม่ต้องให้ใครบอกหล่อนก็รู้ว่าแซคคารีย์ไปที่สถานีตำรวจทำไม

“ค่ะ”

เขายิ้มหยัน มองหล่อนด้วยสายตาดุดัน “แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันได้รับรู้อะไรจากตำรวจมาบ้าง”

“ก็คงจะเป็นเบาะแสของพี่นารีมั้งคะ”

“นี่ดูท่าทางเธอไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยนะที่นารีหายตัวไป”

เขาก้าวเข้ามาหากระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หล่อนมั่วแต่ตอบโต้เขาจนลืมถอยหลังหนี มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สองร่างแทบจะไม่เหลือช่องว่างอยู่อีกแล้ว

“หรือว่าทุกอย่างมันเป็นการจัดฉากของเธอ”

“คะ?” หล่อนตกใจกับสิ่งที่ได้ยินมาก นี่แซคคารีย์ดูละครมากไปหรือเปล่า ถึงได้คิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้

“อย่ามาทำหน้าซื่อตาใส ฉันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันอาจจะเป็นเพราะฝีมือของเธอ”

“นี่คุณแซคคิดว่าที่พี่นารีหายตัวไป เป็นเพราะฉันเหรอคะ”

“ใช่”

หล่อนหัวเราะเยาะออกมา มองเขาอย่างเหลือเชื่อ “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าคุณแซคจะคิดอะไรได้ตลกแบบนี้”

“ตลกตรงไหนกัน”

เขาเค้นเสียงเดือดดาลถามกลับมา

“ก็ตรงที่คิดว่าฉันจะให้คนมาลักพาตัวพี่สาวฝาแฝดไปน่ะสิคะ ฉันจะทำแบบนั้นทำไม มันไม่มีเหตุผลสักนิด”

นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่คิดอะไรแบบนี้

“เหตุผลมีแน่นอน”

“เหตุผลอะไรคะ”

ศีรษะทระนงของผู้ชายจอมบงการโน้มต่ำลงมาหา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย

“ก็เพราะว่าเธออยากเป็นเมียของฉันแทนนารียังไงล่ะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เธอรักฉัน”

หล่อนเผยอปากค้างเติ่ง เมื่อคำพูดของแซคคารีย์มันวิ่งเข้าแทงหัวใจของหล่อนอย่างจัง ราวกับลูกธนูเพลิงไม่มีผิด ใช่… หล่อนตกหลุมรักแซคคารีย์จนโงหัวไม่ขึ้น แต่หล่อนไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนารีรัตน์

อลินดาเม้มปากอิ่มแน่นจนเจ็บ รวบรวมสติของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และรีบก้าวเท้าถอยหลังห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณค่ะ คุณแซค”

“ฉันไม่เชื่อ นารีบอกฉันมาตลอดว่าเธอแอบรักฉันอยู่ และก็เคยขอร้องให้นารียกฉันให้กับเธอ”

อลินดาส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวของตัวเองจะเลือกการใส่ร้ายแบบนี้ให้กับหล่อน ทั้งๆ ที่หล่อนก็ยอมเสียสละให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อเสียง

“ไม่จริงค่ะ”

“กล้าๆ หน่อยสิ กล้ายอมรับออกมา”

“ก็บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่รู้เรื่องที่พี่นารีหายไป ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”

หล่อนถดถอยหนีไปจนแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ ในขณะที่แซคคารีย์ย่างสามขุมคุกคามเข้ามาหยุดตรงหน้า หล่อนหมดทางหนี ทำได้แค่ส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่เขากล่าวหาเท่านั้น

“ฉันไม่รู้เรื่องค่ะ ได้โปรดอย่าปรักปรำฉันเลย”

“เอาไว้ไปแก้ตัวกับตำรวจเถอะ”

ดวงหน้าของอลินดาซีดเผือด “หมาย… หมายความว่ายังไงเหรอคะ”

แซคคารีย์ระบายยิ้มเหี้ยมเกรียม “ฉันบอกกับตำรวจไปว่าฉันสงสัยเธอ”

“คุณแซค?”

หล่อนตกใจสุดขีด และก็น้ำตาเอ่อล้นขอบตาด้วยความน้อยใจกับสิ่งที่แซคคารีย์กระทำกับตัวเอง

“พรุ่งนี้ตำรวจคงจะมาเชิญตัวเธอไปสอบปากคำ เตรียมคำพูดแก้ตัวเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน อ้อ… แต่ถ้าไม่อยากไปพบตำรวจ ก็บอกความจริงมาว่าเธอเอาคนรักของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน”

แซคคารีย์เรียกนารีรัตน์ว่าคนรักเต็มปากเต็มคำ หล่อนเจ็บไปทั้งอกทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเขารักพี่สาวของตัวเอง

“ฉันไม่รู้เรื่องค่ะ”

“ถ้าปากแข็งแบบนี้ ก็ไปคุยกับตำรวจก็แล้วกัน”

เขาขยับตัวออกห่างจากร่างที่สั่นเทาของหล่อน สายตาคมกริบที่มองมาเต็มไปด้วยความขยะแขยง

“แต่จำเอาไว้นะว่า หากมีหลักฐานโยงมาถึงเธอเมื่อไหร่ ฉันจะเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุด”

น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ขอบตาตอนนี้ทะลักไหลออกมาโชว์ความอ่อนแออย่างน่าอับอาย มือเล็กรีบยกขึ้นปาดทิ้ง

“ค่ะ”

แซคคารีย์หงุดหงิดที่อลินดาไม่ยอมปริปากบอกอะไรเลย ทั้งๆ ที่เขาก็ข่มขู่หล่อนหนักหนาแบบนี้

“ไสหัวไปได้แล้ว ออกไป!”

ไม่ต้องรอให้เขาไล่ซ้ำอีก หล่อนก็รีบวิ่งหนีออกไปจากห้องทำงานของเขาอย่างรวดเร็ว

ทำไม… ทำไมเขาใจร้ายแบบนี้…

อลินดาหนีเข้ามาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้องน้ำ น้ำตาไหลรินอาบแก้มจนแทบจะท่วมห้องน้ำอยู่แล้ว

แค่เขาไม่รัก แค่เขาไม่ไยดีก็เจ็บปวดทรมานแสนสาหัสแล้ว แต่นี่… เขายังมองหล่อนเลวร้ายแบบนี้อีก หญิงสาวสะอื้นได้ด้วยความทุกข์ทรมานเป็นที่สุด

อลินดาต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยงามของนารีรัตน์วิ่งไปขึ้นรถสปอร์ตคันงามที่แซคคารีย์ติดเครื่องรออยู่ด้วยความรีบร้อน แต่ไม่ว่าหล่อนจะทำดีแค่ไหน เขาก็ยังหาเรื่องตำหนิหล่อนอยู่ดี

“ทำไมต้องแต่งหน้าจัดแบบนี้ด้วย” คนตัวโตหันมามอง และถามเสียงขุ่น “อย่าคิดนะว่าเธอแต่งตัวแต่งหน้าเลียนแบบนารีแล้ว ฉันจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร” เขายังคงใช้วาจาเชือดเฉือนไม่หยุด “ถึงเธอกับนารีจะเป็นฝาแฝดกัน แต่นารีไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นเหมือนกันเธอ รู้เอาไว้เสียด้วย”

อลินดาเจ็บจนจุก แต่ก็จำต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ และก็กลั้นใจหันไปสบประสานสายตากับแซคคารีย์ ผู้ชายปากร้าย และวาจาคมกริบราวกับใบมีดโกน

“เคยดมหรือคะ ถึงรู้ว่าตัวของฉันเน่าเหม็น”

หล่อนเห็นเขาขบกรามแน่น ดวงตาสีสนิมที่จ้องเขม็งมองมาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

“กลิ่นเน่าเหม็น ไม่ต้องดมหรอก แค่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นแล้ว”

“งั้นฉันไปทำงานเองก็ได้ค่ะ” หล่อนโมโหมาก จึงจะลงจากรถ แต่แขนถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน

“เธอเห็นใช่ไหมว่าคนใช้เดินให้พล่าน อย่าทำให้ฉันต้องตกเป็นขี้ปากของคนอื่น นั่งเฉยๆ และคาดเบลล์ซะ”

หล่อนหันไปมองตามสายตาของเขา ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ที่คฤหาสน์ของแซคคารีย์มีคนใช้รวมกันน่าจะเกินร้อยชีวิต และพวกคนใช้ก็กระจายอยู่ทั่วไปหมด

อลินดาเม้มปากอิ่มแน่นจนเป็นเส้นตรง มือเล็กคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถคันงามแล่นทะยานออกไปจากรั้วใหญ่

ความเงียบงันภายในรถสร้างความอึดอัดให้กับหล่อนอยู่นานเกือบยี่สิบนาที ก่อนที่แซคคารีย์จะเค้นเสียงห้วนกระด้างออกมา

“เดี๋ยวฉันจะแวะปั๊ม เพื่อให้เธอล้างหน้าล้างตา”

“ทำไมคะ ทำไมฉันต้องล้างหน้าล้างตาด้วย ในเมื่อฉันก็อาบน้ำมาแล้ว”

รถคันงามเลี้ยวเข้ามาจอดในสถานีบริการน้ำมันที่เป็นทางผ่านอย่างรวดเร็ว

“หรือว่าเธออยากให้เพื่อนร่วมงานแปลกใจที่วันนี้เธอแต่งหน้าไปทำงานล่ะ อ้อ แล้วชุดทำงานของเธออยู่ด้านหลังรถ เอาไปเปลี่ยนเสียด้วย”

นอกจากจะชอบออกคำสั่งแล้ว แซคคารีย์ก็เป็นผู้ชายที่ละเอียดรอบคอบจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว เพราะคำพูดของเขาถูกต้องทุกอย่าง ปกติหล่อนจะหน้าสดไปทำงานเสมอ มีเพียงแค่แป้งฝุ่นและลิปกลอสเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่บนหน้าของหล่อน ตรงกันข้ามกับนารีรัตน์ผู้เป็นพี่สาว เพราะรายนั้นชอบแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะออกไปเที่ยวหรืออยู่บ้าน ใบหน้าก็จะต้องจัดเต็มเสมอ

“ค่ะ”

“รีบด้วย ฉันมีประชุม”

เขาย้ำเสียงกระด้าง

หล่อนไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป นอกจากเอี้ยวตัวไปคว้าถุงกระดาษหลังรถ และถือมันติดมือลงไปทันที

แซคคารีย์มองตามร่างอวบอัดของอลินดาไปด้วยความหงุดหงิด ความจริงเขาไม่อยากจะใกล้ชิดผู้หญิงส่ำส่อนคนนี้นัก แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อสาวคนรักหายตัวไปในคืนแต่งงาน การรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักธุรกิจอย่างเขา

“นารี… คุณหายไปไหน”

ชายหนุ่มถอนใจออกมาแรงๆ ด้วยความสับสน ก่อนจะรีบกดรับโทรศัพท์ เมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น

“ได้เรื่องอะไรหรือยังครับ”

“กล้องวงจรปิดที่ป้อมตำรวจใกล้กับโรงแรมที่เกิดเหตุจับภาพรถยนต์ต้องสงสัยได้คันหนึ่งครับ”

เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจตอบกลับมาตามสาย และมันก็ทำให้แซคคารีย์ระบายยิ้มอย่างมีความหวัง

“ผมจะรีบไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้ครับ”

แซคคารีย์กดวางสาย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อลินดาเดินกลับมาที่รถพอดี และทันทีที่หญิงสาวก้าวขึ้นมานั่งบนรถ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน

“เธอคงต้องไปทำงานเองนะวันนี้ ฉันมีธุระสำคัญ”

อลินดาแปลกใจไม่น้อย เพราะเมื่อสักครู่เขายังบอกว่ามีประชุมอยู่เลยนี่น่า

“ไหนคุณแซคบอกว่ามีประชุมแต่เช้ายังไงล่ะคะ”

“เรื่องของนารีสำคัญที่สุด เธอลงไปจากรถได้แล้ว”

น้ำเสียงของเขาเลือดเย็น ท่าทางและคำพูดของเขาก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย

อลินดาเม้มปากเป็นเส้นตรง น้ำตาซึม แต่ก็จำต้องทำตามความต้องการของเจ้าของรถ

“ลงไปสิ ฉันรีบ”

“ค่ะ”

รถสปอร์ตคันงามแล่นจากไปทันทีเมื่อประตูรถถูกหล่อนดันให้ปิดสนิทลง น้ำตาที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ รินไหลออกมาอาบแก้ม ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจ จนจุกพูดไม่ออก

อลินดามาทำงานสายไปเกือบยี่สิบนาที เหตุเพราะสถานีบริการน้ำมันที่แซคคารีย์ทิ้งหล่อนเอาไว้อยู่ห่างจากป้ายรถเมล์หลายกิโล ดังนั้นหล่อนจึงต้องเดินเท้ากลับไปยังป้ายรถเมล์อย่างไม่มีทางเลือก

“นึกว่าจะไม่มาทำงานเสียอีก”

เพื่อนร่วมงานนามว่าหทัยชนกเดินเข้ามาทักทายที่โต๊ะทำงาน อลินดาจำต้องกล้ำกลืนความเศร้าหมองเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นมา

“ต้องมาทำงานสิพี่นก จะหยุดได้ยังไงกันล่ะ”

“แหม ก็ได้เป็นดองกับเจ้าของบริษัทแล้วนี่น่า เราก็นึกว่าจะหยุดพักอาทิตย์สองอาทิตย์”

หล่อนยิ้มเศร้าๆ ให้กับคู่สนทนา

“ก็เป็นแค่น้องเมียน่ะพี่นก ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรมากจนถึงขั้นจะได้อภิสิทธิ์อะไรเหนือพนักงานคนอื่นหรอกค่ะ”

“แต่ยังไงก็นับญาติกับท่านประธานได้นี่น่า จริงไหม”

หล่อนระบายยิ้มเศร้าหมองออกมาอีกครั้ง

“คุณแซคเขาคงไม่อยากนับญาติกับฉันหรอกจ้ะ” อลินดาถอนใจออกมาก่อนจะตัดบท “ฉันทำงานก่อนนะพี่นก ต้องรีบลงบัญชีน่ะจ้ะ”

“โอเค งั้นเจอกันตอนพักกลางวันนะ”

“จ้ะ”

หทัยชนกเดินห่างออกไปจากโต๊ะของหล่อนแล้ว เสียงถอนใจจึงดังออกมาจากลำคอระหง

หล่อนอึดอัดทรมาน กระอักกระอ่วนน้ำท่วมปาก จนอยากจะหายตัวไปจากโลกนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด

“สวัสดีครับลินดา”

แฮรี่ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โต๊ะทำงานของหล่อน พร้อมกับถุงพลาสติกที่ใส่ขนมข้าวต้มมัดในมือ

“สวัสดีค่ะคุณแฮรี่”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มกว้าง “ผมซื้อขนมมาฝากครับ ความจริงรอจะให้ก่อนเวลาเข้างาน แต่ลินดามาสายซะงั้น”

“เอ่อ… พอดีตื่นสายน่ะค่ะ”

คู่สนทนาก็ยังคงระบายยิ้มกว้างเช่นเดิม “ไม่มีใครว่าอะไรลินดาหรอกครับ เพราะทุกคนก็รู้ดีว่าเมื่อคืนลินดาน่าจะนอนดึก เพราะงานเลี้ยงแต่งงานของพี่สาว”

อลินดาจำต้องเก็บซ่อนความลับมากมายเอาไว้จากทุกคนและก็โกหกอย่างไม่มีทางเลือก

“ขอบคุณที่เข้าใจลินดานะคะ”

“ผมเข้าใจลินดาเสมอครับ” แล้วถุงขนมก็ถูกวางลงบนโต๊ะทำงานของหล่อน

“ขอบคุณมากนะคะคุณแฮรี่ แต่ลินดาเกรงใจจังเลยค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมยินดีซื้อมาฝาก”

“แต่ว่า… คุณแฮรี่ซื้อขนมมาฝากลินดาแทบทุกวันเลยนะคะ ลินดาเกรงใจจริงๆ ค่ะ”

แฮรี่ท้าวแขนทั้งสองข้างกับโต๊ะทำงานของอลินดา และโน้มใบหน้าขาวสะอาดลงมาหา

“ใจมันสั่งมาน่ะครับ”

“เอ่อ…”

“ล้อเล่นน่ะครับ”

เมื่อแฮรี่หัวเราะกลบเกลื่อนคำพูดของตัวเอง อลินดาก็พ่นลมหายใจออกมาจากปากอย่างโล่งอก และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นแทนทันที

“เมื่อคืนลินดาต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับคุณแฮรี่ด้วยตัวเองเลย”

ก็หล่อนจะออกมาต้อนรับขับสู้เขาได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อหล่อนต้องสวมบทบาทของนารีรัตน์และไปยืนเคียงข้างเจ้าบ่าวอย่างแซคคารีย์ตลอดเวลาในงานเลี้ยง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าลินดายุ่งอยู่ แต่แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าลินดากับพี่สาวจะเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวแบบนี้ เมื่อคืนถ้ามีใครบอกผมว่าเป็นงานแต่งของลินดา ผมจะเชื่อสนิทใจเลยครับ”

คนฟังหน้าตาซีดเผือด ก่อนจะรีบหัวเราะกลบเกลื่อน

“จะเป็นงานแต่งของลินดาไปได้ยังไงล่ะคะ นั่นมันเป็นนารีพี่สาว ฝาแฝดของลินดาค่ะ”

“ผมแค่สมมุติน่ะครับ”

อลินดาเสหลบสายตาของแฮรี่

“เอ่อ เมื่ออาทิตย์ก่อนลินดาติดเลี้ยงข้าวคุณแฮรี่อยู่มื้อหนึ่งใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ กำลังจะมาทวงเลยเนี่ย”

อลินดาระบายยิ้มออกมาอย่างขบขัน

“คุณแฮรี่นี่ความจำดีไม่เบานะคะ”

“มันแน่อยู่แล้วล่ะครับ เรื่องของฟรีลืมได้ยังไง”

“งั้นกลางวันนี้ลินดาจะเป็นเจ้ามือเองนะคะ”

“ตกลงครับ”

รอยยิ้มสดใสของผู้หญิงตรงหน้าทำให้แฮรี่มีความสุข อลินดาเป็นผู้หญิงที่มองแล้วเพลินตาเพลินใจยิ่งนัก แม้ข่าวคราวของหล่อนจะออกมาในเชิงที่ไม่ดีนัก แต่เขาก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นว่าผู้หญิงในคลิปที่แชร์กันว่อนเน็ตนั่นจะเป็นหล่อน บางทีอาจจะเป็นการตัดต่อ หรือไม่ก็แค่คนหน้าเหมือนมากกว่า

“งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับข้าวต้มมัดนะคะ”

แฮรี่ระบายยิ้มกว้าง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงานของแผนกบัญชี

“คุณแฮรี่ซื้อขนมมาจีบทุกวัน ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ ลินดา”

เพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ เอ่ยแซวออกมา และก็ทำให้อลินดาระบายยิ้มขัดเขิน

“คุณแฮรี่ไม่ได้จีบลินดาหรอกค่ะพี่เข็ม แค่ซื้อขนมมาฝากเฉยๆ น่ะค่ะ”

“ซื้อมาฝากแทบทุกวันเนี้ยนะ”

“ก็… คงเห็นลินดาชอบขนมร้านนี้มั้งคะ”

อลินดาตอบตัดบท ก่อนจะหันกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป แต่ในหัวก็อดที่จะนึกย้อนไปถึงความใจร้ายของแซคคารีย์ที่กระทำกับตัวเองไม่ได้

ถ้าแซคคารีย์มีน้ำใจกับหล่อนได้สักครึ่งหนึ่งที่แฮรี่มีก็คงจะดีไม่น้อย แต่มันคงเป็นได้แค่เพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้นแหละ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าแซคคารีย์เกลียดชังหล่อน

อลินดาถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า นั่งลงบัญชีผิดบัญชีถูกจนถูกหัวหน้าให้เอากลับมาแก้หลายครั้ง จนกระทั่งมีโทรศัพท์จากวาเนสซ่า เลขาหน้าห้องทำงานของแซคคารีย์ดังขึ้นที่โต๊ะ

“อลินดา พนักงานบัญชีรับสายค่ะ”

“ท่านประธานเรียกเธอให้ขึ้นมาพบที่ห้องทำงานด่วนน่ะ”

สันหลังของอลินดาเย็นวาบราวกับถูกใครเอาก้อนน้ำแข็งเย็นๆ มานาบเอาไว้

“เอ่อ… เรียกลินดาเนี่ยนะคะ”

“ใช่ ขึ้นมาเร็วๆ ด้วย ท่านประธานสั่งมา”

“ค่ะ”

วาเนสซ่าวางสายไปแล้ว แต่หล่อนยังนั่งกุมกระบอกโทรศัพท์เอาไว้เช่นเดิม ความหวาดหวั่นระเบิดขึ้นในอกอย่างมหาศาล หากเป็นไปได้ หล่อนไม่ต้องการพบเจอกับแซคคารีย์อีก หล่อนไม่อยากเห็นสายตาเกลียดชังของเขา เห็นทีไรหล่อนปวดร้าวทรมานทุกครั้ง แล้วไหนจะวาจาร้ายกาจที่เขามักจะพ่นมันใส่หน้าของหล่อนเสมอมา หล่อนไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน แต่ก็ไม่มีทางเลือก… สุดท้ายก็จำต้องผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินคอตกออกไปจากห้องทำงานของแผนกบัญชี

อลินดาก้าวออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนของนารีรัตน์ผู้เป็นเจ้าสาวตัวจริง หล่อนกระชับเสื้อคลุมเนื้อเนียนแน่น ขณะก้าวเท้าเดินกลับมายังเตียงนอน ผู้ชายตัวโตยืนหันหลังอยู่ที่หน้าต่าง หล่อนได้ยินเขาพูดโทรศัพท์กับใครบางคนด้วยน้ำเสียงระรัวเร็ว ไม่นานเขาก็ตัดสายสนทนา และหันขวับมามองหล่อนที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นไปบนเตียง

“เธอจะทำอะไรน่ะ”

คนที่นั่งลงบนเตียงชะงัก หันไปมองคนใจร้ายอย่างไม่เข้าใจ

แซคคารีย์เดินมาหยุดข้างเตียง และกระชากแขนของหล่อนให้ลงมาจากเตียงอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“คุณแซคจะทำอะไรคะ”

ร่างของหล่อนถูกเหวี่ยงแรงๆ จนล้มลงไปกับพื้นพรม หล่อนช้อนตามองเขาด้วยความไม่พอใจ

“เธอไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปนอนบนเตียงกับฉัน” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “ที่ข้างตัวฉันคือที่สำหรับนารีคนเดียวเท่านั้น จำเอาไว้ด้วย”

คนฟังหัวใจปวดร้าวแสนสาหัส แต่ก็พยายามที่จะสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้

“งั้นฉันนอนที่โซฟาก็ได้ค่ะ”

“ไม่ได้”

หล่อนได้ยินคำพูดของเขาก็เม้มปากแน่น ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นยืนแต่ก็โซเซนักเพราะสองขาอ่อนแรงเหลือเกิน

“งั้นฉันนอนกับพื้นห้อง หน้าเตียงของคุณแซคก็ได้”

เขายิ้มเลือดเย็น เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของหล่อน กลิ่นกายที่เต็มไปด้วยความเซ็กซี่ของแซคคารีย์ทำให้หล่อนมึนเมาและลุ่มหลงได้เสมอไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็จำต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้ลึกสุดใจ

“เธอนอนในห้องนอนกับฉันไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่มั่นใจว่าเธอจะหน้าด้านขึ้นมานอนบนเตียงกลางดึกหรือเปล่า”

“ฉันมีศักดิ์ศรีพอค่ะ สาบานว่าจะไม่ทำแบบนั้น”

“ผู้หญิงอย่างเธอเชื่อถือได้ที่ไหนกัน”

เขาย้อนกลับมาอย่างเจ็บแสบ และก็ยิ่งตอกย้ำให้หล่อนทุกข์ทรมานเหลือเกิน

“งั้นฉันจะไปนอนข้างนอกห้องค่ะ”

“ไม่ได้ เดี๋ยวคนใช้เห็น แล้วจะเอาไปนินทา ฉันไม่ชอบเป็นขี้ปากของคนใช้”

อลินดากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ มองเขาอย่างหมดความอดทน

“แล้วสรุปจะให้ฉันนอนตรงไหนคะ หรือว่าจะให้ขึ้นไปนอนบนฝ้าเพดาน”

แซคคารีย์ไม่สนใจคำพูดประชดประชันของหล่อนเลย เขาหัวเราะเหยียดหยัน

“ห้องน้ำ”

“คะ?”

“เธอฟังไม่ผิดหรอก เธอต้องเข้าไปนอนในห้องน้ำ และห้ามออกมาจนกว่าจะเช้า”

อลินดาช็อกอ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน ศักดิ์ศรีของหล่อนยังถูกเขาเหยียบขยี้ด้วยฝ่าเท้าไม่สาแก่ใจอีกหรือไง

“คุณแซคต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ใครจะไปนอนในห้องน้ำได้คะ”

“ก็เธอยังไงล่ะ”

เขายิ้มเยาะ และเดินไปหยิบหมอนโยนหายเข้าไปในห้องน้ำ

“เข้าไปได้แล้ว และอย่าโผล่หน้าออกมาให้ฉันเห็น จนกว่าจะเช้า เข้าใจไหม”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก”

หล่อนปฏิเสธทั้งน้ำตา เกลียดเขานักที่ย่ำยีความเป็นคนของหล่อนแบบนี้ แต่แรงของหล่อนหรือจะสู้ผู้ชายร่างยักษ์อย่างแซคคารีย์ได้ สุดท้าย เขาก็ผลักหล่อนเข้าไปในห้องน้ำได้สำเร็จ

“คุณแซค… ทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”

“อย่าโวยวายน่า ห้องน้ำฉันออกจะสะอาด ความจริงน่าจะสะอาดและกว้างกว่าห้องนอนของเธอที่บ้านเสียอีก”

เขาปิดประตูใส่หน้าหล่อนอย่างเลือดเย็น และเมื่อหล่อนพยายามจะหมุนลูกบิดเปิดประตูก็พบว่าเขาเอาแม่กุญแจมาล็อกประตูด้านนอกเอาไว้เสียแล้ว

“คุณแซค ล็อกประตูทำไมคะ เปิดสิคะ”

“ถ้าฉันไม่ล็อกประตู ผู้หญิงแพศยาอย่างเธอก็จะย่องออกมากลางดึกน่ะสิ อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่เท่าทันเธอนะ อลินดา”

อลินดาทั้งทุบบานประตู ทั้งร้องตะโกนให้เขาเปิด แต่เขาก็ใจดำราวกับอีกา สุดท้ายแล้ว หล่อนก็อ่อนแรง ทรุดกายนั่งลงกับพื้นห้องน้ำ และร่ำไห้เงียบๆ ยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างไร้ทางเลือก

“คนใจร้าย…”

มือเล็กขาวสะอาดยกขึ้นปิดหน้า และก็ปลดปล่อยให้ความโศกเศร้าเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายในหัวใจสำแดงฤทธิ์เดชออกมาอย่างเต็มที่ ร้องไห้ให้สาสมกับความใจร้ายของแซคคารีย์ที่สาดซัดเข้าใส่หล่อนอย่างไร้ความปรานี

 

เช้าวันต่อมา… อลินดารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความเมื่อยขบ เพราะตัวเองนั่งหลับพิงอยู่กับขอบประตูห้องน้ำ ไม่ได้นอนอย่างที่ควรจะเป็น

ร่างเล็กขยับตัวลุกขึ้นยืนด้วยความอ่อนแรง เลื่อนตัวตรงไปที่กระจกเงาเหนืออ่างล้างหน้า มองภาพสะท้อนของผู้หญิงหน้าตาเสื่อมโทรมในนั้นด้วยความเวทนา

ตาบวมเป่ง ใต้ตาก็คล้ำราวกับเป็นญาติสนิทกับหลิงฮุ้ย ช่างน่าเกลียดเหลือเกิน

กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เมื่อคืนที่ผ่านมามันเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายสำหรับหล่อน หล่อนถูกขอร้องแกมบังคับให้สวมรอยเป็นนารีรัตน์ สวมรอยเป็นพี่สาวฝาแฝดของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก และเมื่องานเลี้ยงจบสิ้นลง ก็หวังว่าละครฉากนั้นจะจบลงไปด้วย แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดฝันเอาไว้ เมื่อแซคคารีย์บอกให้หล่อนทนอยู่กับเขาในฐานะเมียคั่นเวลาจนกว่าจะตามหานารีรัตน์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเจอ

หล่อนพยายามที่จะโต้แย้ง พยายามที่จะทัดท้านแล้ว แต่ผู้ชาย เผด็จการอย่างแซคคารีย์ก็เอาเหตุผลของตัวเองเป็นใหญ่เสมอ แต่การสวมรอยเป็นนารีรัตน์ก็ยังไม่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เท่ากับการถูกแซคคารีย์แสดงความเกลียดชังขยะแขยง จนต้องโยนหล่อนเข้าไปนอนในห้องน้ำ

น้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด และหล่อนก็ยังยืนร่ำไห้อยู่หน้ากระจกอีกนาน หากประตูห้องน้ำไม่เปิดออกกะทันหันเสียก่อน พร้อมกับร่างของแซคคารีย์ในชุดทำงานเรียบหรูปรากฏขึ้น

“อาบน้ำแต่งตัว เธอจะต้องไปทำงาน”

“แต่ฉันอยากกลับบ้าน”

หล่อนรีบก้าวเท้าถอยออกห่าง เมื่อแซคคารีย์ก้าวเข้ามาใกล้ มองเขาอย่างขมขื่น

“นะคะ ให้ฉันกลับบ้านเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”

“เราตกลงกันเมื่อคืนแล้วไม่ใช่หรือ อย่าลืมง่ายนักสิ”

“แต่ฉัน… คิดว่าฉันคงสวมรอยเป็นพี่นารีต่อไปไม่ได้ และฉันก็ไม่ต้องการที่จะนอนในห้องน้ำบ้าๆ นี่อีก”

แทนที่เขาจะเห็นใจกลับยิ้มเยาะหยัน

“เธอเลือกไม่ได้หรอกอลินดา หน้าที่ของเธอถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ดังนั้นตราบใดที่ฉันยังตามหานารีไม่เจอ เธอก็ต้องเล่นละครเป็นเมียของฉันไปก่อน”

หล่อนมองหน้าหล่อเหลาของแซคคารีย์ทั้งน้ำตา เกลียดตัวเองนักที่ยังรักเขา รักทั้งๆ ที่เขาแสนจะร้ายกาจ

“ก็ได้ค่ะ แต่ฉันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปทำงานที่โรงแรมแล้ว”

“ถ้าเธอไม่ไปทำงาน แล้วฉันจะตอบเพื่อนร่วมงานของเธอว่ายังไงล่ะ เวลามีคนมาถามหาอลินดาน่ะ”

“ก็บอกว่าหนีตามผู้ชายไปก็ได้ค่ะ”

หล่อนเชิดหน้าสูง

“อย่ามาประชดประชัน เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีทางใส่ร้ายผู้หญิงคนไหนได้ แม้แต่น้องสะใภ้ชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างเธอ”

ในที่สุดหล่อนก็ต้องเจ็บจนจุกเมื่อเขาเอาสิ่งที่หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดมาขว้างใส่หน้า

“ดังนั้นเธอต้องออกไปทำงานพร้อมกับฉัน แสดงตัวเป็นอลินดาเมื่ออยู่ที่ทำงาน ส่วนตอนกลับมาที่บ้าน เธอต้องสวมรอยเป็นนารีภรรยาตัวจริงของฉัน” แซคคารีย์ตวัดตามองหล่อนอย่างไร้ความรู้สึก “หวังว่าเรื่องง่ายๆ แบบนี้ เธอคงทำได้นะ อลินดา”

“แล้วฉันมีทางเลือกเหรอคะ” หล่อนเม้มปากและตอบประชดเขาออกไป

“ใช่ เพราะเธอไม่มีทางเลือก”

เขายิ้มเลือดเย็น

“รีบแต่งตัวได้แล้ว ฉันมีประชุมตอนเช้า”

“ค่ะ”

หล่อนตอบรับ และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากก้าวหายออกไปจากห้องน้ำ พออยู่ตามลำพัง น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลรินออกมาราวกับสายน้ำ

“พี่นารี… พี่หายไปไหนกันนะ”

งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสผ่านพ้นไปอย่างชื่นมื่น ทุกคำอวยพรจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานยังคงดังก้องอยู่ในหูของหล่อนอย่างชัดเจน ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าสาวที่ยืนยิ้มเจื่อนๆ อยู่ข้างเรือนกายสง่างามของเจ้าบ่าวสุดหล่อคือตัวปลอม

ไม่มีใครดูออก!

หล่อนยิ้มเศร้าหมองให้กับโชคชะตาของตัวเอง ขณะนั่งตัวเกร็งอยู่บนเตียงเคียงข้างกับแซคคารีย์ เฝ้ารอคอยการลาจากของแขกผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่กำลังจะก้าวผ่านพ้นประตูห้องหอออกไป

ไม่ช้าบานประตูไม้ก็ปิดสนิทลง ส่งสัญญาณบอกให้หล่อนรู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว

เสียงถอดถอนหายใจของหล่อนดังออกมาจากลำคอ และร่างเล็กก็รีบขยับเหยียดสองขาออกไปข้างหน้าเมื่อนั่งพับเพียบอยู่นานจนเมื่อยขบ

“ฉันกลับได้แล้วใช่ไหมคะ”

หลังจากนั่งบิดตัวไปมาเพราะความเมื่อยขบอยู่นาน ก็หันไปถามผู้ชายที่นั่งนิ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่คืบเดียว แต่สายตาคมเข้มวาววับที่ตวัดจ้องมองมา ทำให้หล่อนต้องรีบเสหลบสายตาอย่างรวดเร็ว

“สมองปลาทองหรือไง จำที่แม่ฉันสั่งไม่ได้หรือไง”

“คะ?”

กระแสความเกรี้ยวกราดจากดวงตาสีสนิมส่งผ่านมายังหล่อนได้อย่างชัดเจน

นี่เขาโกรธบ้าโกรธบออะไรหล่อนอีกล่ะ ทั้งๆ ที่หล่อนก็ช่วยแก้หน้าให้เขาจนจบสิ้นไปแล้ว

“นอกจากจะสมองปลาทองแล้ว เธอยังโง่เหมือนลาอีกใช่ไหม อลินดา”

หล่อนถูกด่ามากๆ ก็อดที่จะโกรธขึ้นบ้างไม่ได้ กลีบปากอิ่มจึงเม้มแน่น

“ใช่ค่ะ ฉันโง่ ก็เพราะถ้าไม่โง่จริง ฉันคงไม่ยอมช่วยปลอมตัวเป็นพี่นารีหรอกค่ะ”

“นี่เธอทวงบุญคุณฉันหรือไง”

“โอ๊ย… เจ็บนะคะ” หล่อนอุทานด้วยความเจ็บปวด เมื่อแขนเรียวเล็กตกอยู่ในอุ้งมือกระด้างของแซคคารีย์ และเขาก็บีบแรงๆ อย่างไม่ปรานีปราศรัย

ก็ใช่สิ หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาจะต้องทะนุถนอมนี่

อลินดาเต็มไปด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลตกในซ้ำแล้วซ้ำเล่า และก็ต้องการออกไปจากห้องหอนี่ให้เร็วที่สุด

“ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

“เอ๊ะ…”

หล่อนมองเขาอย่างไม่พอใจ

“แต่ทุกอย่างมันก็จบลงแล้วนะคะ แขกผู้ใหญ่คนสุดท้ายก็กลับไปแล้วด้วย ดังนั้นฉันก็คงไม่จำเป็นต้องเล่นละครเป็นพี่นารีอีกต่อไป”

แทนที่เขาจะเห็นด้วยกับคำพูดของหล่อน กลับแสยะยิ้มเลือดเย็น และจ้องหน้าหล่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“แขกผู้ใหญ่กลับไปหมดแล้วก็จริง แต่ที่นี่มีคนรับใช้มากมาย และฉันก็คงไม่สามารถตามปิดปากได้ทุกคน”

“คุณแซคหมายถึง…”

“เธอต้องอยู่กับฉัน ต้องแสดงละครเป็นนารีจนกว่าฉันจะตามหาผู้หญิงที่ฉันรักพบ แล้วเมื่อนั้นแหละ เธอถึงจะมีสิทธิ์ย่างเท้าออกไปจากที่นี่ได้”

อลินดาส่ายหน้าไปมาด้วยความตื่นตกใจระคนเหลือเชื่อ นี่หล่อนอ่านนิยายมากไปหรือเปล่านะ ทำไมสิ่งที่ได้ยินจากปากของแซคคารีย์ถึงเหมือนนิยายน้ำเน่าเรื่องล่าสุดที่อ่านเลยล่ะ

“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราตกลงกันไว้นี่คะ”

“หรือว่าเธอจะให้ฉันไปเรียกร้องค่าเสียหายจากพ่อกับแม่ของเธอล่ะ”

เขาข่มขู่ และแน่นอนว่าผู้ชายใจเหี้ยมคนนี้พูดจริงทำจริงเสมอ หล่อนมั่นใจเพราะทำงานกับเขามาได้สักพักแล้ว

“แต่ฉัน… ไม่ใช่ภรรยาของคุณแซคนะคะ จะให้มาอยู่กับคุณแซคได้ยังไงกัน”

“เพื่อรักษาชื่อเสียงของฉันเอาไว้ ยังไงเธอก็ต้องอยู่ให้ได้”

หล่อนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มองเขาอย่างขอความเห็นใจ “แล้วคุณแซคจะให้ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรเหรอคะ”

เขาปล่อยแขนของหล่อนให้เป็นอิสระ และหรี่ตาแคบกวาดมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหล่อน ไม่นานรอยยิ้มเหยียดหยันก็เกลื่อนใบหน้าหล่อจัดของแซคคารีย์

“เมียคั่นเวลายังไงล่ะ”

“เมียคั่นเวลา?”

“ใช่ รอจนกว่าฉันจะพบนารี แล้วเมื่อนั้นหน้าที่นี้ของเธอจะจบสิ้นลง หวังว่าเธอคงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดนะ อลินดา” ทุกพยางค์ที่ออกมาจาก ริมฝีปากหยักสวยของแซคคารีย์ช่างเลือดเย็นและไร้หัวใจยิ่งนัก

หล่อนมองเขาด้วยความน้อยอกน้อยใจแต่ก็ต้องพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้

“แล้วเรื่องนั้น…” หล่อนเอ่ยถามแต่ก็ไม่สามารถกลั้นใจพูดจนจบประโยคได้ แต่แซคคารีย์เข้าใจความหมายของหล่อน จึงพูดแทรกขึ้นมาในทันที

“ถ้าเธอหมายถึงเรื่องบนเตียงระหว่างเรา” น้ำเสียงของเขาเลือดเย็นและเหี้ยมเกรียมตลอดเวลา

“เอ่อ… ค่ะ…”

หล่อนผงกศีรษะตอบรับและเสหลบสายตาของชายหนุ่มที่หล่อเหลาไม่เกรงอกเกรงใจมนุษย์ผู้หญิงลงมองมือเล็กที่ประสานกันอยู่บนตักทันที

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยันเยาะ “ถ้าเธอมโนไปว่าเราจะต้องนอนด้วยกัน เสียใจด้วยนะ เพราะฉันคงทำใจแตะต้องผู้หญิงสกปรกอย่างเธอไม่ลง”

คำพูดจาดูแคลนของแซคคารีย์คมกริบราวกับคมมีดแหลม หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างลืมตัว หยาดน้ำตาแห่งความปวดร้าวทรมานไหลซึม

“ทำไมต้องดูถูกกันแบบนี้คะ คุณแซค”

“แล้วฉันพูดผิดไปตรงไหนล่ะ เธอสำส่อน มั่วไม่เลือก ใช้ผู้ชายเปลืองยิ่งกว่าผ้าอนามัย หึ… แล้วยังจะให้ฉันมองเธอว่าเป็นผู้หญิงแสนดีได้อีกหรือ”

น้ำตาที่ไหลคลอเบ้าตอนนี้กลิ้งหล่นลงมาตามแก้มนวล หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้ง

“ค่ะ ฉันเป็นผู้หญิงสำส่อน พอใจหรือยังคะ”

หล่อนก้าวลงจากเตียง น้ำตายังคงไหลซึม

“ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ และหวังว่าคุณแซคจะไม่ตามเข้ามาแอบดู”

เพราะน้อยใจเสียใจทำให้อดที่จะโต้ตอบกลับไปบ้างไม่ได้

“เพราะถ้าคุณแซคโผล่เข้ามาในห้องน้ำเมื่อไหร่ ฉันจะจับคุณแซคปล้ำ”

แล้วหล่อนก็ยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำทันที

“ผู้หญิงแพศยา”

แซคคารีย์คำรามในลำคอด้วยความเกลียดชัง ก่อนที่เขาจะตวัดขาลงจากเตียง และเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างออก สายลมเย็นฉ่ำพัดเข้ามาปะทะร่างหนุ่มเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรือนกายหนาวเหน็บได้เท่ากับความเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นภายในหัวใจได้เลยแม้แต่น้อย

“นารี… คุณหายไปไหน”

“พี่ลินดาแย่แล้ว”

เสียงตื่นตระหนกของลูกพี่ลูกน้องดังขึ้นด้านหลัง อลินดารีบยกหลังมือขึ้นป้ายหยาดน้ำตาออกจากแก้ม จนแน่ใจแล้วว่าแห้งเหือดจึงค่อยๆ หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนเรียก

“มีอะไรเหรอส้ม”

วิลาวรรณ หรือ ส้ม เป็นลูกสาวคนที่สองของน้าสุนีย์พี่สาวของมารดา และค่อนข้างจะสนิทกับหล่อนมากกว่านารีรัตน์ ยืนหน้าตาตื่นอยู่ด้านหลัง

“พี่นารีหายตัวไปจากห้องแต่งตัวจ้ะพี่ลินดา”

หล่อนไม่ได้ตกใจกับคำพูดตื่นตระหนกของวิลาวรรณนัก เพราะมั่นใจว่างานแต่งในค่ำคืนนี้จะไม่มีทางขาดเจ้าสาวอย่างแน่นอน ในเมื่อ นารีรัตน์รอคอยวันนี้มาตลอด

“พี่นารีคงไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ก็คงออกไปเดินเล่นมั้งส้ม”

“แต่พวกเราหาจนทั่วแล้วนะพี่ลินดา”

วิลาวรรณยังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“แต่ก็หาไม่พบ ไม่รู้เหมือนกันว่าหายตัวไปได้ยังไงจ้ะพี่ลินดา”

แม้จะเริ่มรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่อลินดาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าพี่สาวไม่มีทางหายไปไหนแน่นอน

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปช่วยตามหาก็แล้วกัน”

“ไม่ได้พี่ลินดา พี่ต้องไปกับฉันก่อน”

แขนเรียวของอลินดาถูกมือของส้มคว้าเอาไว้

“จะให้พี่ไปไหนเหรอ” คิ้วเรียวโก่งสวยตามธรรมชาติเลิกสูง กลีบปากที่มีเพียงลิปสีชมพูบางเบาเคลือบทับเม้มแน่นสนิทเป็นเส้นตรงด้วยความแคลงใจ

“ไปห้องแต่งตัวจ้ะพี่ลินดา”

“ไปทำไมเหรอ”

หล่อนยังคงมึนงง แต่ก็ยอมให้วิลาวรรณลากตรงไปยังห้องแต่งตัวได้ง่ายดาย

“เดี๋ยวก็รู้จ้ะพี่ลินดา”

ไม่กี่นาทีอลินดาก็ถูกวิลาวรรณพามาถึงห้องแต่งตัวของเจ้าสาว หล่อนก้าวเข้าไปภายใน ก็พบว่านอกจากบิดามารดาของตัวเองแล้วภายในห้องนี้ก็ยังมีญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวยืนหน้าเคร่งเครียดร่วมอยู่ด้วย

“พี่ลินดามาแล้วจ้ะ”

วิลาวรรณที่ลากหล่อนเข้ามารีบพูดขึ้น ในขณะที่หล่อนยืนนิ่งและเต็มไปด้วยความมึนงง วินาทีต่อมาสายตาทุกคู่ของทุกคนก็จับจ้องมองมาที่หล่อน และมารดาของแซคคารีย์ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“จะทำอะไรก็รีบทำกันเถอะค่ะ อีกแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีงานก็จะเริ่มแล้วนะคะ และฉันจะขายหน้าแขกเหรื่อที่อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมงานไม่ได้”

“งั้นทางออกเดียวในระหว่างที่ยังตามหานารีไม่พบ ก็คงต้องให้ ลินดาแต่งงานแทนไปก่อนนะค่ะ”

คือคำพูดของมารดา และแน่นอนว่าญาติพี่น้องของหล่อนแสดงความเห็นด้วยทุกคน ในขณะที่หล่อนทำได้แค่เพียงยืนตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน

“อะไรกันนะคะ”

“แกไม่ต้องมาทำหน้าตกอกตกใจหรอกลินดา ก็แค่สวมรอยเป็นพี่สาวของแกในงานเลี้ยงนี้เท่านั้นเอง”

ผู้เป็นบิดาตอบออกมาหน้าตาเฉย เหมือนกับว่าสิ่งที่พูดมันคือเรื่องปกติธรรมดา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เลยสักนิด

“ให้… ลินดาแต่งงานกับคุณ… แซคเหรอคะ” น้ำเสียงของหล่อนเบาหวิว ดวงตากลมโตเบิกกว้าง และศีรษะทุยสวยก็ส่ายไปมาน้อยๆ “ลินดา… ทำไม่ได้หรอกค่ะ”

“แต่แกต้องทำ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของคุณแซคคารีย์จะต้องเสียหน้ามาก” มารดาของหล่อนออกคำสั่งเฉียบขาด

“เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะลินดา เพราะทางเราแค่ไม่ต้องการให้งานแต่งล่มโดยไม่มีเจ้าสาวเท่านั้นเอง เมื่อจบงานเลี้ยงแล้ว เธอก็กลับไปใช้ชีวิตปกติของตัวเองได้เหมือนเดิม” น้ำเสียงของคนพูดที่เป็นมารดาของแซคคารีย์เต็มไปด้วยความห่างเหิน จนหล่อนน้ำตาซึม อลินดาเม้มปากอิ่มเป็นเส้นตรง

“ลินดาทราบค่ะคุณป้า แต่ลินดา… ไม่อยากเป็นคนโกหก”

หล่อนยังคงยืนกรานปฏิเสธ

“และหากคุณแซคทราบเรื่องเข้า ก็คงจะโมโหมาก ดังนั้นอย่าให้ ลินดาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยนะคะ”

“หนูลินดา ถือว่าลุงขอร้องเถอะนะ งานแต่งในค่ำคืนนี้จะล่มไม่ได้จริงๆ มันมีผลต่อชื่อเสียงของตระกูลของลุงน่ะ” คนๆ เดียวที่ยังคงเมตตาหล่อนเหมือนเดิมนั่นก็คือบิดาของแซคคารีย์

หล่อนเลื่อนสายตาไปสบประสาน ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เพื่อกล่าวขออภัย

“ลินดากราบขอโทษนะคะคุณลุง ลินดา… คงทำไม่ได้…”

อลินดาหมุนตัวจะวิ่งหนีออกไปจากห้องแต่งตัวของเจ้าสาว แต่ก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของแซคคารีย์ที่หน้าประตูห้องเสียก่อน ร่างของหล่อนเซถลาล้มลงไปกองกับพื้น ในขณะที่เขายืนค้ำตระหง่านอยู่เหนือร่างของหล่อน

“ต้องให้ฉันคุกเข่าขอร้องเธออีกคนหรือเปล่า อลินดา”

ดวงตากลมโตที่ฉาบไปด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองเขา มองผู้ชายที่หล่อเหลาไม่ต่างจากเทพบุตรด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หล่อนกัดฟันลุกขึ้นยืน

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะลินดา… จะไม่ทำเรื่องหลอกลวงแบบนั้นเด็ดขาด ขอโทษนะคะ”

หล่อนจะเดินผ่านเขาออกไปนอกประตูห้อง แต่แขนเรียวถูกคว้าเอาไว้ ไอร้อนอบอุ่นจากฝ่ามือกระด้างที่สัมผัสกับท่อนแขน ทำให้หัวใจสาวเต้นโครมคราม

“ถ้าเธอไม่ตกลงปลอมตัวเป็นนารีในคืนนี้ ก็เท่ากับว่าครอบครัวของเธอทำผิดคำสัญญา ดังนั้นฉันมีสิทธิ์จะเรียกสินสอดทั้งหมดคืนได้จริงไหม”

อลินดาชะงักค้าง ช้อนตาขึ้นมองผู้ชายตัวโตด้วยความตื่นตกใจ เพราะหล่อนรู้ดีว่าเงินสินสอดที่ทางครอบครัวตัวเองได้รับมามันเหลืออยู่ไม่ครบแล้ว เพราะทั้งแม่ทั้งพี่สาวรวมถึงพ่อด้วยเอาไปใช้กันอย่างสนุกมือ

“เอ่อ…”

“ตัดสินใจเดี๋ยวนี้”

หล่อนหันไปมองมารดา และบิดา ก็เห็นว่าท่านทั้งสองคนหน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว

นี่หล่อนควรจะทำยังไงดี

“การเงียบของเธอคือการปฏิเสธ ดังนั้น…” แซคคารีย์ปล่อยมือจากแขนของหล่อน และถอยออกห่าง “ฉันก็จะออกไปบอกกับแขกเหรื่อทุกคนว่าเจ้าสาวไม่อยู่ แน่นอนว่าฉันต้องเสียชื่อเสียง แต่ฉันจะเรียกคืนความเสียหายนี้จากครอบครัวของเธอทั้งหมด”

น้ำเสียงของแซคคารีย์เหี้ยมเกรียมและบอกให้หล่อนรู้ว่าเขาพูดจริงทำจริงแน่นอน

อลินดาพยายามคิดทบทวนกับผลได้ผลเสียที่จะกระทบครอบครัวของตัวเอง และสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากตอบรับทำตามความต้องการของทุกคน

“ค่ะ ลินดาจะเข้าพิธีแต่งงานแทนพี่นารี”

เสียงถอนใจโล่งอกดังออกจากปากของทุกคนในห้องแต่งตัว ยกเว้นเขาเพียงคนเดียว

หล่อนถูกลากให้ไปนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ช่างแต่งหน้าช่างทำผมต่างช่วยกันเร่งมือแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้าของหล่อนด้วยความรีบร้อนแข่งกับเวลา

น้ำตาของหล่อนไหลตกลงไปข้างใน สุดท้ายแล้วหล่อนก็เป็นได้แค่เพียงผู้หญิงคั่นเวลา ผู้หญิงตัวแทน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันมีความหมายว่าไม่ใช่ตัวจริง

ทำเพื่อครอบครัว สวมรอยเป็นเจ้าสาว เพื่อรอให้ แซคคารีย์ตามหานารีรัตน์ให้เจอ

“อย่าร้องไห้สิคะคุณน้อง เมคอัพเปื้อนหมดแล้วเนี่ย”

“ขอ… ขอโทษค่ะ…”

ช่างแต่งหน้าดุหล่อนอย่างไม่พอใจ ขณะที่ใช้กระดาษทิชชูซับขอบตาให้

“ที่ร้องไห้นี่เพราะดีใจใช่ไหม ที่ได้เป็นเจ้าสาวแทนพี่สาวของตัวเองน่ะ”

“นังแจ๋วไปว่าน้องเขาได้ยังไง น้องเขาไม่ได้อิจฉาพี่สาวของตัวเองสักหน่อย”

ช่างทำผมทำเหมือนจะเข้าข้างหล่อน แต่แท้จริงแล้วก็ร่วมมือกับช่างแต่งหน้ากล่าวหาหล่อนอีกคน

“อ้าว จริงเหรอ นึกว่าน้องลินดาแอบชอบพี่เขยของตัวเองเสียอีก”

หล่อนเดาได้ไม่ยากกับสิ่งที่ได้ยิน ช่างสองคนนี้คงจะฟังมาจาก นารีรัตน์นั่นเอง

อลินดาทำได้แค่นั่งเงียบๆ และปล่อยให้โชคชะตาพัดพาตัวเองลงไปสู่นรกอเวจีอย่างไร้ทางดิ้นหนี

ประตูห้องนอนถูกเขย่าแรงๆ ทำให้คนที่นอนซึมเศร้าอยู่บนเตียงต้องรีบป้ายน้ำตา และเอ่ยถาม

“แม่เหรอจ๊ะ”

“ฉันเอง เปิดประตูหน่อย เร็วเข้า”

เสียงของพี่สาวตอบกลับมา และก็ทำให้หล่อนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

“พี่นารีมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ”

“มีสิ แล้วก็รีบเปิดประตูด้วย”

“แต่ฉันนอนแล้วนะ เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

หล่อนตัดบท เพราะไม่อยากจะทะเลาะกับพี่สาวฝาแฝด แต่ดูเหมือนว่านารีรัตน์จะไม่ยอม

“ถ้าแกไม่เปิด ฉันจะร้องโวยวายให้ลั่นเชียว พ่อกับแม่จะได้ตกใจเล่นๆ”

อลินดาถึงกับต้องถอนใจหายยาวเหยียด พี่สาวของหล่อนมักจะเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เสมอ ต้องได้ดั่งใจต้องการทุกอย่าง โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย

“อย่านะพี่นารี ฉันไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้แหละ”

คนเป็นน้องต้องกระโจนลงจากเตียง และวิ่งไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

นารีรัตน์ยืนท้าวสะเอวอยู่หลังบานประตู ก่อนจะเดินแทรกเข้ามาภายในห้อง ทำราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้องไม่มีผิด อลินดาดันบานประตูปิดเบาๆ ก่อนจะเดินตามพี่สาวมา

“ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”

“พี่นารีพูดอะไรคะ”

“อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย”

นิ้วเรียวของนารีรัตน์ยกขึ้นจิ้มหน้าผากของน้องสาวแรงๆ อย่างหมั่นไส้

“สายตาที่แกใช้มองคุณแซคไงล่ะ แกคิดจะแย่งเขาไปจากฉันเหรอ”

อลินดาถอนใจอย่างเหนื่อยล้า หล่อนเม้มปากและเดินหนีไปนั่งบนเตียง

“ถ้าพี่นารีมีเรื่องจะพูดกับฉันแค่นี้ ฉันขอตัวนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”

“แกอย่ามาทำเป็นตัดบท ตอบมาก่อนว่าแกยังตัดใจจากคุณแซคไม่ได้ใช่ไหม”

พี่สาวกระชากแขนของหล่อนแรงๆ ก่อนจะบีบบังคับให้หันกลับไปเผชิญหน้า

อลินดาน้ำตาซึม ยิ่งเห็นสายตาเกลียดชังที่พี่สาวมองมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งเสียใจ

“ความรู้สึกของฉันมันไม่สำคัญหรอกค่ะ สิ่งที่สำคัญก็คือความจริงใจของพี่นารีที่มีต่อคุณแซคต่างหาก”

“นี่แกว่าฉันเหรอ” นารีรัตน์ตวาดลั่นอย่างโมโห จ้องหน้าน้องสาว ฝาแฝดเขม็ง

“หรือมันไม่จริงล่ะพี่นารี พี่ก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าให้ฉันต้องพูดมันออกมาเลย”

“อีน้องปากดี”

เพี๊ยะ

ใบหน้าของอลินดาสะบัดไปตามแรงปะทะจากฝ่ามือของพี่สาว ซีกแก้มที่ถูกตบชาดิกและแดงก่ำ

“มันจะเป็นครั้งสุดท้ายนะคะที่ฉันยอมให้พี่นารีทำร้ายร่างกายฉัน” หล่อนยกมือขึ้นกุมแก้มของตัวเอง และมองหน้านารีรัตน์ด้วยสายตาจริงจัง

“ทำไม แกจะทำไม”

“ฉันยอมพี่มาตลอดทั้งแต่เล็กจนโต แต่ต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่ยอมพี่อีกแล้ว ถ้าแรงมา ฉันจะแรงกลับ และคอยดูนะว่าฉันจะทำจริงๆ”

แทนที่นารีรัตน์จะรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย

“ถ้าแกทำอะไรฉัน ฉันก็จะไปฟ้องพ่อกับแม่ และแกก็คงรู้ใช่ไหมว่าพ่อกับแม่จะเข้าข้างใคร”

อลินดาทั้งเจ็บปวด ทั้งน้อยใจ แต่ก็จำต้องซ่อนน้ำตาเอาไว้อย่างสุดกำลัง

“ถึงพ่อกับแม่จะรักฉันน้อยกว่าพี่นารี แต่ท่านทั้งสองคนก็คงไม่ใจดำกับฉันซึ่งเป็นลูกสาว เหมือนกับที่พี่สาวอย่างพี่ทำกับน้องสาวอย่างฉันหรอก”

“อี… อีลินดา!”

“ฉันจะพักผ่อนแล้ว พี่นารีกลับไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถอะ”

นารีรัตน์ยกมือขึ้นจะตบหน้าน้องสาวอีกครั้ง แต่คราวนี้คู่ต่อสู้ยกมือขึ้นบ้าง ทำให้หล่อนขลาดกลัว และต้องล่าถอย

“ถ้าแกยังไม่เลิกให้ท่าคุณแซค ฉันจะตบแกให้คว่ำ จำเอาไว้”

หล่อนทำได้แต่มองตามร่างของพี่สาวไปด้วยความเสียใจ

หล่อนดีขนาดนี้แล้ว นารีรัตน์ยังไม่พอใจอีกหรือไง

น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ร่วงหล่นออกมาตามแก้มนวล หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้งก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง และซบหน้าลงกับหมอนร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ

ในขณะที่แฝดผู้น้องเสียใจร้องไห้ แต่แฝดผู้พี่ที่เพิ่งเดินออกไปก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ถือติดตัวเอาไว้ขึ้นมากดรับสาย และก็ยิ้มระริกระรี้เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาหาว่าเป็นใคร

“คิดถึงคุณจังค่ะสตีฟ” คนพูดยิ้มหวานกับโทรศัพท์ “ว่าไงนะคะ จะนัดลินดาออกไปเที่ยวคืนนี้เลยเหรอคะ” ถามออกไปด้วยสุ่มเสียงแปลกใจ แต่ใบหน้ากับเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “ได้สิคะ งั้นเจอกันที่ผับเดิมนะคะ ว่าไงนะคะ ให้ไปโรงแรมเลยเหรอคะ โอเคค่ะ ได้ค่ะ ลินดาไม่เกี่ยงอยู่แล้วค่ะ เพราะลินดาคิดถึงคุณ”

นารีรัตน์กดวางสาย ใบหน้าหวานยังคงมีรอยยิ้มมากมาย ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสะใจ

“ฉันจะใช้ชื่อแกคั่วผู้ชายต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เพราะคนที่เสียชื่อเสียงต้องเป็นแกไม่ใช่ฉัน”

งานเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสของนารีรัตน์กับแซคคารีย์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะอภิมหาเศรษฐีของฝ่ายชาย และก็สมกับความรักที่เจ้าบ่าวมีให้กับเจ้าสาวแสนสวย

แขกเหรื่อที่เป็นผู้คนชั้นสูงของวงสังคมทั้งของประเทศไทยและต่างชาติโดยเฉพาะประเทศบ้านเกิดของแซคคารีย์ บินลัดฟ้ามาร่วมงานมงคลนี้กันอย่างล้นหลาม

หล่อนยืนตัวเกร็งอยู่ข้างบิดามารดาที่ยิ้มหน้าบานต้อนรับแขกเหรื่ออยู่หน้างาน เกลียดตัวเองยิ่งนักที่ยังไม่อาจจะยินดีกับพี่สาวฝาแฝดได้อย่างจริงใจ มันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมากที่หล่อนแอบมีใจให้กับพี่เขยของตัวเอง

อลินดาพยายามยิ้มให้เป็นปกติที่สุด แต่มารดาของหล่อนก็ยังจับสังเกตจนได้

“ทำไมหน้าตาไม่สู้ดีเลย อย่าบอกนะว่าอิจฉานารีน่ะ”

คำถามของแม่ทำให้หล่อนยิ่งอดสู น้ำตาพาลจะไหล แต่ก็กลั้นยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธ

“ฉันไม่เคยอิจฉาพี่นารีจ้ะแม่”

“แล้วทำไมทำหน้าเศร้าล่ะ นี่มันงานมงคลของพี่สาวแกนะ”

แม่ยังคงมองหล่อนด้วยสายตาไม่พอใจเช่นเดิม และพ่อก็หันมามองหน้าหล่อนเช่นกัน

“นั่นสิ หน้าตาแกดูเศร้าๆ นะลินดา”

“คือฉัน… แค่ตื่นเต้นแทนพี่นารีน่ะจ้ะพ่อแม่ ไม่มีอะไรจริงๆ”

“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกอิจฉาพี่สาวตัวเอง ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดแม่ตัดลูกกับแกเลย”

แม่ของหล่อนก็ยังคงมองหล่อนในแง่ร้ายเช่นเดิม และก็ยังรัก นารีรัตน์มากกว่าหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง หล่อนน้อยใจมาเสมอกับความรักที่ไม่เท่ากันของพ่อและแม่ แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้ ทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับโชคชะตาเท่านั้น

“ฉันเจียมตัวเองเสมอจ้ะ”

หล่อนตอบออกไปเสียงแผ่วเบา และก้มหน้าเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา พ่อกับแม่ของหล่อนก็ไม่ได้สนใจไยดีหล่อนอีกเลย หันไปกล่าวเชื้อเชิญแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงานต่ออย่างมีความสุข

“เชิญค่ะ เชิญด้านในค่ะ”

กลิ่นไอแห่งความสุขคละคลุ้งจนหล่อนรู้สึกอึดอัด และสุดท้ายก็ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากบิดาและมารดา มาหลบยืนอยู่นอกงานเลี้ยง หล่อนคิดว่าการมายืนรับลมเย็นๆ จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง แต่กลับยิ่งรู้สึกแย่ลง เมื่อสายตามองไปเห็นเจ้าบ่าวตัวโตกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ตัว

หล่อนยืนนิ่ง และบอกให้ตัวเองรีบหันหลังเดินออกไปจากตรงนี้ซะ แต่แซคคารีย์หันมาเห็นหล่อนเข้าเสียก่อน สายตาคมกริบสีสนิมยามนี้มืดลึกยามจับจ้องมาที่หล่อน

เดินออกไปสิ อย่าอยู่ตรงนี้ อลินดา รีบเดินไป!

เสียงในหัวร้องสั่งดังลั่น แต่ขากลับไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินไปไหน มันยังคงยืนติดนึบอยู่ที่เดิม แถมดวงตาก็เบิกกว้าง จับจ้องมองผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาหาตลอดเวลา

“มีอะไรกับฉันหรือ ถึงออกมาหาที่นี่”

น้ำเสียงของเขากระด้าง ห้วน และไม่น่าฟังนัก แต่หล่อนชินชาแล้วล่ะ เพราะแซคคารีย์ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับหล่อนเสมอ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือว่าที่ทำงาน

“ฉัน… ออกมาเดินเล่นค่ะ”

หล่อนกลั้นใจตอบ และก็อดไม่ได้ที่จะตวัดสายตามองเจ้าบ่าวรูปหล่อที่อยู่ในชุดสูทสีขาวเรียบหรูตรงหน้าอย่างพิจารณา

แซคคารีย์หล่อจัดและสง่างามทุกกระเบียดนิ้วเสมอ ยิ่งมาอยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดของเจ้าบ่าว เขาก็ยิ่งเหมือนกับเทพบุตรกรีกไม่มีผิด หัวใจของหล่อนเต้นแรงระรัว เรือนร่างทรงพลังผึ่งผายของเขาทำให้ผู้หญิงมากมายต่างยอมสยบอยู่แทบเท้า ไม่เว้นแม้แต่หล่อน แต่ผู้หญิงที่โชคดีมีเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือนารีรัตน์พี่สาวของหล่อนนั่นเอง

“คิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดของเธอหรือ”

เขาขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น จนหล่อนได้กลิ่นกายเซ็กซี่และอันตรายของชายหนุ่มอย่างชัดเจน หัวใจสาวสั่นระริกแทบกระดอนออกมาจากอก และก็เป็นหล่อนเองที่ถอยหลังหนี

“ก็แล้วแต่คุณแซคจะคิดเถอะค่ะ ขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยว…”

แขนเรียวตกอยู่ในอุ้งมือร้อนอบอุ่น หล่อนมองแขนของตัวเองและเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อจัดของแซคคารีย์

“คุณแซคมีอะไรกับฉันเหรอคะ” หล่อนถามกลับและก็บิดแขนของตัวเองจนได้รับอิสระ

สายตาคมกริบทอดมองมาอย่างดูแคลน และมันก็มีผลทำให้ใบหน้าของหล่อนร้อนฉ่า

“ฉันหวังว่าเธอคงไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย…” เขาหยุดพูดเล็กน้อยคล้ายกับต้องการให้หล่อนฟังให้ชัดๆ “เกี่ยวกับผู้ชาย ในงานแต่งงานของฉันกับนารีหรอกนะ”

หล่อนทำได้แต่เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง มองหน้าเขาอย่างน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรออกมา

“จะพยายามค่ะ”

หล่อนเค้นเสียงเจ็บปวดตอบกลับไป ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีจากไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลรินออกมา จนต้องยกหลังมือขึ้นป้ายทิ้ง

แซคคารีย์ไม่ผิดหรอกที่มองหล่อนสารเลวแบบนี้ เพราะหล่อนใจดีเอง ใจดีกับนารีรัตน์ ยอมรับสมอ้างเป็นผู้หญิงร่านสวาทในคลิปพวกนั้นกับแซคคารีย์ เพื่อแลกกับการที่ให้พี่สาวฝาแฝดหยุดการนำชื่อของหล่อนไปใช้มั่วผู้ชายอีก

“เธอโง่จริงๆ ลินดา”

หล่อนทำได้แค่คร่ำครวญออกมาด้วยความเสียใจเพียงเท่านั้น เพราะไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ร่างอรชรทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว และปล่อยใจให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายยาวนาน

หลังจากลงจากรถเมล์แล้ว อลินดาก็ต้องเดินเข้าซอยมาเกือบสามร้อยเมตร จึงจะถึงบ้านพักของตนเอง บ้านไม้หลังใหญ่สองชั้นที่มีรั้วรอบขอบชิด

รถสปอร์ตราคาแพงสีดำคันคุ้นตาของแซคคารีย์ยังคงจอดอยู่ หล่อนถอนใจแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปหยุดที่ประตูรั้วไม้สีขาว และผลักมันให้เปิดกว้างออก หล่อนแทรกตัวเข้าไปภายในอาณาเขตของบ้าน ก้าวเท้าจะเดินเข้าบ้าน แต่สายตาก็ไปสะดุดที่ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งเสียก่อน

พี่สาวของหล่อนกับแซคคารีย์…

หล่อนระบายยิ้มเล็กน้อย เมื่อพี่สาวฝาแฝดที่มีหน้าตาเหมือนกับหล่อนราวกับคนๆ เดียวกัน จะต่างกันบ้างก็ตรงที่หล่อนจะมีร่างกายที่อวบอัดมากกว่า ซึ่งก็เป็นเพราะหล่อนเป็นผู้หญิงที่มีความสุขกับการกินมาก ในขณะที่นารีรัตน์เป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงาม และรักสุขภาพมาก หุ่นจึงไม่ต่างจากนางแบบแม้แต่น้อย

ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ หล่อนมักจะถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวที่เกิดนำหน้าหล่อนเพียงแค่ไม่กี่นาทีเสมอ ทั้งเรื่องการเรียน และการวางตัว

นารีรัตน์สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวเสมอ ไม่ว่าพี่สาวจะลงมือทำอะไรก็จะสำเร็จทั้งหมด ในขณะที่หล่อนเรียนปานกลาง หัวก็ไม่ดี กว่าจะเรียนจบมาได้ก็แทบแย่ แถมหน้าที่การงานก็เป็นได้แค่พนักงานบัญชีต๊อกต๋อย ส่วนนารีรัตน์เป็นถึงข้าราชการมีหน้ามีตาในสังคม

แต่ถึงแม้หล่อนจะด้อยกว่าพี่สาวฝาแฝดทุกด้าน แต่หล่อนก็ไม่เคย… ไม่เคยเลยจริงๆ ที่จะริษยาในตัวของนารีรัตน์ หล่อนยินดีกับนารีรัตน์เสมอกับความสุขที่พี่สาวได้รับ นั่นก็รวมไปถึงการได้ครอบครองหัวใจของแซคคารีย์

สองเท้าหยุดยืนโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตที่หวานฉ่ำเพราะได้อิทธิพลมาจากแพขนตายาวและงอนจับจ้องไปยังร่างของแซคคารีย์และ นารีรัตน์ไม่วางตา แล้วสมองไม่รักดีก็อดที่จะนึกย้อนไปถึงอดีตไม่ได้ อดีตที่ไม่น่าจดจำนักสำหรับหล่อน

แปดปีที่แล้วครอบครัวของหล่อนกับครอบครัวของแซคคารีย์พบเจอกันโดยบังเอิญ และก็คงจะยังเป็นคนแปลกหน้าไม่รู้จักกันต่อไป หากพี่สาวของหล่อนไม่กระโดดน้ำลงไปช่วยมารดาของแซคคารีย์ที่กำลังเป็นตะคริวอยู่ในสระว่ายน้ำ

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้สองครอบครัวสนิทสนมกัน และบิดามารดาของแซคคารีย์ ก็ได้ทำการสู่ขอนารีรัตน์ให้กับแซคคารีย์ลูกชายของตนเอง และให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้แซคคารีย์มาแต่งงานกับนารีรัตน์ทันที เมื่อเรียนจบ

ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ทั้งสองครอบครัวมีความสุขและติดต่อกันเสมอมา แซคคารีย์กับนารีรัตน์สานความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน ในขณะที่หล่อนก็ยินดีกับพี่สาวและแซคคารีย์มาตลอด จนกระทั่งเมื่อพี่สาวของหล่อนเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

นารีรัตน์ได้เป็นดาวมหาวิทยาลัย และก็มีหนุ่มๆ เข้ามาขายขนมจีบทุกวี่ทุกวัน จนหล่อนต้องคอยกันท่าให้กับนารีรัตน์อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่สามารถเข้าใกล้นารีรัตน์ได้ เพราะผู้ชายคนนี้เป็นสายเปย์ตัวจริง ตอนแรกๆ พี่สาวของหล่อนก็คิดจะแค่หลอกเล่นๆ แต่สุดท้ายก็คบหากันจริงจัง ทั้งๆ ที่มีแซคคารีย์อยู่แล้วทั้งคน

แม้หล่อนจะพยายามเตือนสตินารีรัตน์เท่าไหร่ แต่ความลุ่มหลงในรสเสน่หาทำให้นารีรัตน์เลือกที่จะทรยศแซคคารีย์ โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิด

หล่อนสงสารและเห็นใจแซคคารีย์มาก จึงได้สวมรอยเป็นพี่สาวติดต่อกับเขาเรื่อยมา และก็เป็นหล่อนอีกนั่นแหละที่ส่งของขวัญน่ารักๆ มากมายที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกไปให้เขาในวันพิเศษต่างๆ โดยที่นารีรัตน์ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้เลย

เวลาผ่านไปเกือบห้าปี นารีรัตน์ก็ได้เลิกรากับแฟนหนุ่มสายเปย์ และก็ออกไปเที่ยวผับกลางคืน จนบิดามารดาต้องคอยห้ามปรามเพราะเป็นห่วง และช่วงปลายปีแซคคารีย์ก็บินลัดฟ้ามาเมืองไทยเพื่อมาเปิดโรงแรมสาขาใหม่ในเมืองไทย นารีรัตน์จึงได้มีโอกาสพบกับแซคคารีย์อีกครั้ง หลังจากที่เลิกสนใจไปนาน

ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แนบแน่นขึ้นอีก แซคคารีย์มีความสุขอยู่กับนารีรัตน์พี่สาวของหล่อน ในขณะที่หล่อนผู้อยู่เบื้องหลังก็ยินดีกับความสุขของคนทั้งคู่ไปด้วย

แม้ว่าหล่อนจะตกลงไปในหลุมรักของแซคคารีย์แล้ว แต่หล่อนก็ไม่เคยคิดจะแย่งชิง หรือทำลายความสุขของคนทั้งคู่ ถ้าคนที่หล่อนรักทั้งสองคนมีความสุข หล่อนก็มีความสุขเช่นกัน แม้ว่าจะรู้สึกทรมานไม่น้อยก็ตาม

“ลินดา มานี่หน่อยสิ”

เสียงเรียกของนารีรัตน์ทำให้อลินดาสะดุ้งตื่นจากความหลังในอดีต หล่อนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง

“เอ่อ… พี่นารีมีอะไรกับฉันเหรอ”

นารีรัตน์เดินเข้ามาหาหล่อนเสียเอง และก็มีแซคคารีย์เดินตามติดมาด้วย

หล่อนช้อนตาขึ้นมองหน้าพี่สาว สลับกับจ้องมองใบหน้าเย็นชาของว่าที่พี่เขย

“ทำไมแกไม่กลับมากับคุณแซค”

“เอ่อ…คุณแซคบอกพี่นารีเหรอจ๊ะ”

หล่อนมองหน้าแซคคารีย์อย่างตัดพ้อ เพราะไม่คิดว่าเขาจะเอามาฟ้องพี่สาว

“ไม่ต้องไปโทษคุณแซคเลย เพราะถึงเขาไม่บอก ฉันก็รู้อยู่ดี”

พี่สาวของหล่อนมักจะเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของหล่อนเสมอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

“คือว่าฉันมารถเมล์สะดวกกว่าน่ะพี่นารี”

“แล้วแกจะไปโหนรถเมล์ให้เมื่อยทำไม ยังไงซะคุณแซคก็ต้องมาหาฉันที่บ้านอยู่ดี แกนี่มันดื้อนักนะ”

คนถูกตำหนิน้ำตาซึม พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ “ฉันขอโทษก็แล้วกันค่ะ ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ”

“นี่อย่ามาประชดประชันฉันนะ แกนี่วันๆ ขยันหาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้ฉันเสียจริงๆ”

หล่อนมองหน้าพี่สาว และก็ปรายตามองหน้าผู้ชายอีกคนที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ข้างกายพี่สาวอย่างตัดพ้อ กลีบปากอิ่มที่เม้มแน่นสั่นระริกด้วยความน้อยใจ

“ฉันก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ พี่นารียังไม่ชินอีกเหรอคะ”

อลินดาพูดจบก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา และวิ่งหนีเข้าไปในบ้านทันที

“นังน้องบ้า อย่าเดินหนีฉันนะ” นารีรัตน์จะวิ่งตามไปเอาเรื่อง แต่ถูกแซคคารีย์ห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ช่างเถอะครับ นารี อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเลยครับ”

“แต่ถ้าไม่ดุไม่ว่าบ้างยายลินดาก็จะได้ใจนะคะ นี่นารีกับแม่ก็ปวดหัวกับยายลินดามาตั้งแต่เล็ก โตขึ้นนึกว่านิสัยจะเปลี่ยนดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยิ่งแย่ค่ะ”

แซคคารีย์ไม่ได้ออกความคิดเห็น เพราะเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น และสำคัญเขาขยะแขยงอลินดาราวกับเศษขยะ ชื่อเสียงของเจ้าหล่อนฉาวโฉ่จนเหม็นฟุ้ง นักท่องราตรีน้อยคนนักที่จะไม่เคยขึ้นเตียงกับหล่อน

น่าขยะแขยงที่สุด!

“คุณแซคจำเรื่องคลิปหลุดเมื่อปีก่อนได้ไหมคะ ที่คุณแซค คิดว่าเป็นนารีน่ะค่ะ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเป็นคลิปที่ประจานความสำส่อนของยายลินดา”

ทำไมเขาจะจำไม่ได้ล่ะ คลิปร่วมเพศนั่นถูกแชร์ว่อนภายในโลกอินเตอร์เน็ต และเขาก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน ครั้งแรกเขาคิดว่าเป็นนารีรัตน์ แต่ได้ยินเสียงผู้ชายในคลิปเรียกว่าลินดา เขาจึงรู้ดีว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงร่านคนนั้นก็คืออลินดานั่นเอง

“จำได้ครับ”

“นั่นไม่ใช่คลิปเดียวของยายลินดาที่หลุดนะคะ ยังมีอีกเยอะค่ะ แต่ครอบครัวเราใช้เงินอุดเอาไว้ ไม่งั้นคงอับอายมากกว่านี้แน่ๆ นารีเหนื่อยใจกับยายลินดาเหลือเกินค่ะ”

“ผมเข้าใจคุณนะนารี”

แซคคารีย์ยกมือขึ้นแตะที่แขนกลมกลึงของนารีรัตน์อย่างให้กำลังใจ

นารีรัตน์ระบายยิ้มให้กับแฟนหนุ่ม ก่อนจะเอียงหน้าซบกับแผ่นอกกว้างอย่างประจบประแจง

“ก็มีแต่คุณนี่แหละค่ะที่เข้าใจนารี”

“เรากำลังจะเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว ผมรักคุณนะนารี”

“นารีก็รักคุณค่ะ คุณแซค”

สองหนุ่มสาวที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์หวานในอีกไม่กี่วันข้างหน้าสวมกอดกันด้วยความรัก ในขณะคนที่มองมาจากหน้าต่างและเห็นเข้าพอดีถึงกับเจ็บแปลบในอก

อลินดารีบดึงบานประตูหน้าต่างปิดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนนิ่งเพื่อบอกกับตัวเองว่าหยุดคิดอะไรกับแซคคารีย์ได้แล้ว เขาเป็นของนารีรัตน์ เป็นของพี่สาวของหล่อน แต่มันทำได้ยากนัก เมื่อหล่อนตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น และก็ยิ่งถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้สวมรอยเป็นพี่สาวเมื่อหลายปีก่อน

แต่หล่อนไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์… ท่องเอาไว้นะอลินดา!

“อุ๊ย… ขะ… ขอโทษค่ะ”

อลินดารีบกล่าวขอโทษขอโพยผู้ชายตัวสูงที่ตัวเองเดินเข้าไปชนด้านหลังของเขาอย่างแรงๆ เนื่องจากตัวเองมัวแต่เดินใจลอย

“ไม่เป็นไร แต่คราวหน้าคราวหลัง หัดระมัดระวังให้มากกว่านี้หน่อย เพราะในโลกนี้ไม่ได้มีแต่ผู้ชายใจดีเท่านั้น”

คำพูดเย็นชาและน้ำเสียงคุ้นหูที่ดังขึ้น ทำให้หล่อนที่มัวแต่ก้มหน้าเก็บแฟ้มกระดาษที่ตกลงเกลื่อนกับพื้นต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะห่อปาก เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“คุณแซค…”

แซคคารีย์ แฮซมิลตัน คือชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีสนิม เขาคือหนุ่มกรีก ร่างใหญ่ยักษ์ และสุดเซ็กซี่ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมกว่าพันสาขาทั่วโลก รวมถึงโรงแรมที่หล่อนทำงานอยู่นี่ด้วย

เขาคือนายจ้างของหล่อน แต่นั่นไม่ใช่สถานะเดียวที่เขาเกี่ยวข้องกับหล่อน เพราะอีกสถานะหนึ่งที่สนิทชิดเชื้อมากกว่านี้ก็คือ เขากำลังจะเป็นพี่เขยของหล่อนนั่นเอง

“เอ่อ… ขอประทานโทษค่ะ”

“นอกจากคำว่าขอโทษ ผู้หญิงอย่างเธอ คงพูดคำอื่นไม่เป็นแล้วอย่างนั้นใช่ไหม”

“คือว่า…”

หล่อนไม่รู้ว่าทำไมแซคคารีย์ถึงได้แสดงท่าทางเลือดเย็นใส่หล่อนนัก ทั้งๆ ที่หล่อนก็พยายามเสมอที่จะเป็นว่าที่น้องสะใภ้ที่ดี แม้ว่าแท้จริงแล้ว หล่อนจะตกหลุมรักเขามาแสนนานก็ตาม

เขามองหล่อนด้วยสายตาดุดันอีกครั้ง ก่อนจะก้าวยาวๆ ผ่านหน้าไปอย่างไม่ไยดี หล่อนทำได้แค่เพียงมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขาไปทั้งน้ำตา

“ทำไมถึงใจร้ายนักคะ”

หล่อนพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บแฟ้มที่ตกกระจัดกระจายตรงหน้าอย่างรีบร้อน จนกระทั่งมือเล็กถูกมือใหญ่ของใครบางคนยื่นมากุมเอาไว้

“คุณแฮรี่”

หล่อนยิ้มกว้าง แต่ก็ไม่ลืมดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างสุภาพ

“ผมช่วยครับ”

“ขอบคุณค่ะ แต่ลินดาเก็บเองได้ค่ะ จะเสร็จอยู่แล้วด้วย”

“ช่วยกันสองคนเสร็จเร็วกว่าจริงไหมครับ”

ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าแฮรี่คิดยังไงกับตัวเอง แต่หล่อนไม่ได้ชอบเขาในลักษณะนั้นเลย

“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวกลางวันนี้ลินดาเลี้ยงข้าวนะคะ ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

“แต่ผมกินจุนะครับ”

อลินดาระบายยิ้มกว้าง “กินจุ แต่ก็คงไม่กินจนลินดาไม่มีเงินจ่ายหรอกใช่ไหมคะ”

แฮรี่มองดวงหน้ากระจ่างใสของอลินดาด้วยความพึงพอใจ เขาแอบรักหญิงสาวมาตลอด แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ยอมแสดงทีท่าตอบรับความรักของเขาเสียที

“ผมไม่ทำร้ายลินดาแบบนั้นหรอกครับ”

“คุณแฮรี่ใจดี ไม่เหมือนกับ…” หล่อนเกือบจะหลุดพูดออกไปแต่ก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน

“เหมือนใครเหรอครับ”

“เอ่อ เปล่าหรอกค่ะ”

แฮรี่หรี่ตาแคบมองอลินดาอย่างแคลงใจ แต่ก็เลือกที่จะเก็บเงียบเอาไว้

“เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่แผนกนะครับ”

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”

“ไม่รบกวนเลยครับ ผมยินดี”

เมื่อแฮรี่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น อลินดาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อีก

“ขอบคุณค่ะ”

ขณะที่สองหนุ่มสาวเดินคุยกันนั้น สายตาคมกริบของแซคคารีย์ก็จ้องเขม็งมองมาเห็นพอดี

“เดี๋ยวคุณไปเรียกแฮรี่มาพบผมที่ห้องทำงานหน่อยนะ” เขาเอ่ยขึ้นกับเลขาส่วนตัว

“ค่ะ ท่านประธาน”

กรามแกร่งของแซคคารีย์ขบกันแน่น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินหายเข้าไปในลิฟต์

เลิกงานแล้วอลินดาก็เดินออกมาจากแผนกบัญชีที่ตัวเองทำงานอยู่ ระหว่างทางก็สวนกลับแฮรี่เข้าพอดี

“คุณแฮรี่คะ”

เจ้าของชื่อหยุดเดิน ก่อนจะหันมาหาคนที่วิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้า “ครับ ลินดา”

หญิงสาวหายใจหอบเหนื่อยเพราะวิ่งมาหลายเมตร

“เมื่อกลางวันหายไปไหนมาคะ ลินดาหาไม่เจอเลยค่ะ ไหนว่าจะให้ลินดาเลี้ยงข้าวไง”

“พอดีท่านประธานสั่งให้ผมออกไปทำงานข้างนอกน่ะครับ ก็เลยกลับมาไม่ทัน เอาไว้พรุ่งนี้ดีไหมครับ”

“ได้เลยค่ะ ตามใจคุณแฮรี่เลย” อลินดาระบายยิ้มน้อยๆ ดวงหน้าจึงหวานฉ่ำน่ามอง

“ถ้าตามใจผม ผมอยากเปลี่ยนจากมื้อกลางวัน ไปเป็นดินเนอร์แทน จะได้ไหมครับ”

“ดินเนอร์เหรอคะ?”

“ใช่ครับ เย็นนี้เลย”

อลินดาอึกอักเพราะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง จึงกำลังจะตอบรับ แต่เสียงของแซคคารีย์ดังขึ้นด้านหลังเสียก่อน

“นารีบอกให้ฉันพาเธอติดรถกลับบ้านด้วย”

“คุณแซค…?”

หนุ่มกรีกตัวสูงใหญ่ หน้าตาเย็นชา ไม่เคยมีรอยยิ้มให้กับหล่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียวยืนห่างออกไปเล็กน้อยเพียงเท่านั้น หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง และกัดฟันตอบออกไป

“แต่ลินดากลับเองได้ค่ะ”

“ฉันไม่อยากทำให้นารีไม่พอใจ ดังนั้นเธอห้ามปฏิเสธ”

“แต่ว่า…”

อลินดาพยายามจะปฏิเสธ และแน่นอนว่าแฮรี่ก็ไม่ยอมปล่อยให้หญิงสาวสู้ตามลำพัง

“เรากำลังจะไปดินเนอร์กันนะครับท่านประธาน เดี๋ยวผมไปส่งลินดาที่บ้านเองครับ”

นัยน์ตาสีสนิมเย็นชาละจากใบหน้าของอลินดาไปจ้องหน้าของแฮรี่แทน

“พรุ่งนี้คุณมีประชุมแผนกแต่เช้าไม่ใช่หรือ ผมว่าเอาเวลาไปนั่งเตรียมตัวเสนอแผนงานดีกว่าไหม คุณแฮรี่”

แฮรี่รับรู้ได้ถึงรังสีความอำมหิตจากผู้เป็นเจ้านายได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงไร้ทางเลือก

“ครับ ท่านประธาน” แฮรี่ตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันไปล่ำลา อลินดา

“ลินดาครับ ผมกลับก่อนนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยนัดกันใหม่ ผมไปล่ะ”

“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะคุณแฮรี่”

“ขอบคุณครับ”

แฮรี่เดินจากไปแล้ว ก็เหลือแต่หล่อนเพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้าอยู่กับว่าที่พี่เขยตามลำพัง หล่อนทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นระบายยิ้มให้กับเขา แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจากแซคคารีย์ก็ไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมาสักนิด

เย็นชา…

เขามองหล่อนด้วยสายตาไม่พอใจอยู่ชั่วขณะ ก็หมุนตัวเดินนำหน้าไป หล่อนกัดปาก และก็เดินคอตกตามร่างของเขาไปด้วยความหดหู่เป็นที่สุด

เมื่อขึ้นมานั่งบนรถคันเดียวกัน เขาก็ตวัดตามองหล่อน “ทำไมไม่คาดเบลท์”

“ลินดา… กำลังจะคาดค่ะ”

หล่อนได้ยินเขากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเคลื่อนรถออกจากอาคารที่จอดรถ ขับออกมาสักระยะหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างทุกครั้ง

“เธอควรจะอยู่ให้ห่างแฮรี่”

“คะ?” หล่อนไม่เข้าใจคำสั่งของเขาเลย “เอ่อ ลินดาหมายถึง… ทำไมล่ะคะ”

“ไม่ทำไม ก็แค่ฉันไม่ชอบขี้หน้าไอ้หมอนั่น”

นี่เขาพูดบ้าอะไรเนี่ย

“แต่คุณแฮรี่ก็เป็นคนดีนะคะ”

เขาละสายตาจากถนนมาจ้องหน้าหล่อนชั่วอึดใจ ก่อนจะเค้นเสียงถามอย่างดูแคลน

“คำจำกัดความคนดีของเธอคืออะไร หล่อ คารมดี ป้อเก่ง หรือว่า…”

หล่อนไม่อาจจะทนฟังคำพูดจาหยันเยาะของเขาได้จนจบ จึงแทรกขึ้นอย่างโมโห

“คนดีก็คือผู้ชายที่ไม่เย็นชายังไงล่ะคะ”

รถทั้งคันกระตุกแรงๆ และเขาก็หันมาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง กรามแกร่งขบแน่นเป็นสันนูนเป่ง

“เธอกำลังด่าฉันอย่างนั้นใช่ไหม”

“มิบังอาจหรอกค่ะ ว่าที่พี่เขย” หล่อนข่มความน้อยใจเอาไว้สุดกำลัง และฝืนยิ้ม “รบกวนจอดป้ายรถเมล์ข้างหน้าด้วยค่ะ ลินดาจะกลับเอง” หล่อนแค่ประชด แต่เขากลับหักพวงมาลัยรถจอดข้างทางตามคำประชดของหล่อนอย่างรวดเร็ว

“ลงไป”

หล่อนมองเขาอย่างเสียใจ ก่อนจะเปิดประตู และสองขายังไม่ทันจะแตะพื้นดินดีเลย รถคันงามก็แล่นออกไปทันที

“คนใจร้าย…”

มือเล็กยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งร้องไห้ในป้ายรถเมล์ที่ร้างผู้คนด้วยความช้ำใจ

แค่แอบรักว่าที่พี่เขยของตัวเองก็แย่พอแล้ว แต่นี่เขายังขยันมาทำร้ายหัวใจบอบช้ำของหล่อนไม่ว่างเว้นแบบนี้อีก คนใจร้าย ผู้ชายใจดำ หล่อนร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำ และก็พยายามบอกตัวเองให้ตัดใจจากเขาให้ได้เสียที

Options

not work with dark mode
Reset