ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว 175 : การกลับมาครองตำแหน่งของป๊ะป๋า

ตอนที่ 175 : การกลับมาครองตำแหน่งของป๊ะป๋า

เมื่อเห็นรายงานข่าวแล้ว เธอก็รู้ว่าเยี่ยวหวงยังไงก็เป็นเยี่ยหวงอยู่วันยันค่ำ ฝีมือของจิงเฉินมันช่างทำให้คนเดาทางไม่ถูกจริงๆ ทั้งร้ายกาจและน่ากลัว

เวลาสั้นสั้นที่ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนนั้น เขาเหมือนยังไม่ได้ทำอะไรลงไปก็สามารถที่จะเอาเก้าอี้CEOของบริษัทกลับมาอยู่ในกำมือตัวเองที่เขาสูญเสียไปได้แล้ว เหมือนเขาได้มันกลับมาด้วยความง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก นี่มันช่างเก่งกาจเสียจริงๆ

ป๊ะป๋าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเอามาก เป็นคนที่สามารถพลิกสถานการณ์ต่างๆกลับมาได้อย่างง่ายเหมือนดีดนิ้ว

ถ้าเกิดตอนนี้มีคนบอกเธอว่า : ป๊าป๋าน่ะ เป็นฮีโร่ที่ช่วยจักรวาลเอาไว้ เธอก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย

เมื่อเห็นรายงานข่าวนั้น เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าป๊ะป๋าได้ส่งเอ็มเอ็มเอสมาให้เธอแล้วแต่เธอยังไม่ได้เปิดดู

จากนั้นเธอจึงหยิบมือถือของตัวเองออกมา เปิดดูไปที่ข้อความที่ป๊ะป๋าได้ส่งมา มันเป็นภาพๆหนึ่ง

ภาพนี้ เป็นภาพเซลฟี่ อีกอย่างมันยังไม่ได้ผ่านการแต่งในแอพใดๆทั้งสิ้น แต่มันช่างหล่อเหลาเสียจริงๆ

ในรูปนั้นเป็นรูปที่ป๊าป๋าใส่ไว้เสื้อผู้ป่วยของโรงพยาบาล (แน่นอนว่าชุดผู้ป่วยที่เขาใส่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง มีเงินก็ดีแบบนี้แหละ) ใบหน้าเขามีความซีดเซียว แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบถึงความหล่อเหลาของเขาเลย บนหัวมีผ้าพันแผลสีขาว มันดูแปลกตาขึ้นมา

อีกอย่างผ้าพันแผลสีขาวนั้นยังมีคราบเลือดติดอยู่

เธอจำได้ว่าภาพภาพนี้เธอได้รับเมื่อวันที่เธอเดินดุ่มๆออกมาจากโรงพยาบาลนี่นา งั้นก็หมายความว่า……

OMG

นิสัยที่ขี้เหนียวและเจ้าคิดเจ้าแค้นของป๊ะป๋า ถ้าเกิดว่าเธอเป็นคนทำเขาบาดเจ็บจริงๆ งั้นป๊ะป๋าก็ต้องหาหนทางร้อยแปดพันเก้ามาจัดการเธอเป็นแน่ ฝีมือของป๊ะป๋าสูงขนาดนี้ แค่คิด ขาเธอก็สั่นไปหมดแล้ว มันสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายที่ส่งผ่านมายังป่าใหญ่อันมืดมิด

แต่ว่าเวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้วนะ เขาก็ยังไม่ได้มาหาเธอเลย ที่จริงอาจจะเป็นเธอที่เข้าใจผิดป๊ะป๋าไปเองก็ได้

ที่จริงป๊าป๋าเป็นคนที่ใจกว้าง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สามารถที่จะอภัยให้คนอื่นได้ทุกเมื่อ

ที่เธอถีบป๊ะป๋าตกไปนั้น ป๊ะป๋าก็คงจะให้อภัยเธออยู่เหมือนกัน

แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ต้องแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ‘ความมีเมตตา’ คงไม่ถูกบันทึกไว้ในพจนานุกรมชีวิตของเขา

เขาไม่ได้ให้อภัยซินเหยา แต่แค่ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาจัดการเธอเท่านั้น รอให้เขาจัดการเรื่องยิบย่อยต่างๆเสร็จแล้ว จะมาคิดบัญชีกับเธอแน่ๆ

“ท่านประธานคะ ครั้งแล้วที่หุ้นตกฮวบไป มีคนใช้โอกาสนี้ในการซื้อหุ้นไปค่ะ ฉันรวบรวมและคำนวณมาแล้ว หุ้นที่กระจายไป นอกจากหุ้นในมือของท่านประธานใหญ่ ประมาณ 35% และของท่านอีกประมาณ 10% และรวมทั้งหมดยิบย่อยของผู้ถือหุ้นเล็กๆต่างๆอีกประมาณร้อยละ 40 % มันมีประมาณ 15% ที่โดนบริษัทต่างประเทศเหมาซื้อไป” หลี่เวยใส่ชุดสูท แต่งตัวอย่างสะอาด และพูดกับจิงเฉิน และถามหลี่เวยว่า : “เธอหมายความว่าหุ้นร้อยละ 15 ของบริษัทโดนซื้อไปแล้ว?”

“ใช่ค่ะ” เธอพยักหัวและพูดขึ้นอีกว่า : “โดนสองบริษัทที่ชื่อบริษัทซินเหย้าและบริษัทเฉินกวงซื้อไปค่ะ”

จิงเฉินมีความตกใจเล็กน้อย บริษัทนี้ไม่ใช่เติบโตอยู่ที่ต่างประเทศตลอดหรอ? ตอนนี้ไหงยื่นมือเข้ามาในประเทศแล้วล่ะ อีกอย่างยังยื่นมาถึงในหม้อข้าวของเขาอีกด้วย

“ตอนนี้การดำเนินงานต่างๆของบริษัทได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเกือบหมดแล้วค่ะ เพียงแต่เอกสารลับต่างๆที่ยังตามกลับมาไม่ได้หมดค่ะ และสำหรับแฮ็คเกอร์ที่แฮ็คเข้ามานั้นก็ไม่เจอร่องรอยอะไรเลยค่ะ ฉันกลัวว่าฝ่ายนั้นจะคิดไม่ดีต่อบริษัทของเราได้ ฉันคิดว่าเราอาจจะสามารถที่จะตรวจสอบหัวหน้าประธานของบริษัทซินเหย้าและเฉินกวงดูได้ค่ะ” หลี่เวยพูดแนะนำ “เรื่องนี้คุณยังไม่ต้องแทรกเข้ามา ผมจะจัดการเอง”

“ในช่วงเวลานี้ ท่านรองประธานเยี่ยได้หยุดโปรเจคการดำเนินงานต่างๆในบริษัทเยอะมากค่ะ ท่านช่วยดูหน่อยค่ะว่าสามารถที่จะดำเนินต่อไปได้อยู่หรือเปล่า?” หลี่เวยถาม

“อืม นี่เป็นโอกาสทองเลยทีเดียวที่จะสามารถทำให้คนบางคนสามารถจะอัพระดับขึ้นได้ คนที่สามารถใช้งานได้กับคนที่ไม่สามารถใช้งานได้คุณคงจะรู้ดี เอาข้อมูลรายชื่อของคนพวกนี้ให้ผมหน่อย ขอก่อนเข้างานพรุ่งนี้” จิงเฉินวางปากกาในมือลงและพูดชี้แจงให้เธอ

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” หลี่เวยจดรายละเอียดต่างๆลงไปทั้งหมดพร้อมกับพูดขึ้น

เธอเดินออกจากห้องทำงานของเขาและปิดประตูลงอย่างเบาๆ

นิ้วมือที่เรียวยาวของจิงเฉินเคาะไปบนโต๊ะเป็นจังหวะจังหวะ……

บริษัทเฉินกวงเป็นบริษัทของเขา เพราะได้ซื้อหุ้นไว้ประมาณร้อยละ 7% แต่อีก 8% กลับโดนบริษัทซินเหย้าซื้อไปแล้วงั้นหรอ?

ถ้าดูตามอัตราส่วนเปรียบเทียบตอนนี้ บริษัทเฉินกวงและ

ซินเหย้าต่างกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทไปแล้วหรอ

ซินเหย้า ซินเหย้า……น่าสนใจจริงๆ

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนดึงเนื้ออันโอชะในปากของเขาออกมา

ดูดูแล้วหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังของซินเหย้านี้น่าจะจัดการได้ไม่ง่ายเลย สามารถที่จะมีสายตาที่แหลมคมและการกระทำที่ฉลาดเช่นนี้ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับแฮ็คเกอร์คนนั้นหรือเปล่า?

ถึงแม้ว่าเยี่ยวหวงจะเจอกับเหตุการณ์นั้นขึ้น แต่ว่าถ้าจะซื้อหุ้นของเยี่ยหวงมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ง่ายเลย ถ้าเกิดไม่มีเงินทุนที่หนาพอแล้วก็คงไม่สามารถจะคาบเนื้ออันโอชะชิ้นนี้ของเยี่ยหวงไปได้ ในเวลาที่สั้นสั้นแบบนี้แต่สามารถมีเงินทุนเยอะขนาดนี้บวกกับการตัดสินใจที่แน่วแน่ชาญฉลาดแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำกันง่ายง่ายเลย

เพราะงั้นเรื่องนี้มันต้องวางแผนมากันแน่แน่ แฮ็คเกอร์คนนั้นกับบริษัทเหย้ากวงจะต้องเกี่ยวพันกันแน่แน่

แต่มีเงินทุนที่หนาขนาดนี้ บริษัทเหย้ากวงนั้นดูถูกเลยไม่ได้จริงๆ

ถ้ามีโอกาส เขาอยากจะเห็นหน้าคนที่มาทำให้ตัวเองหมุนเป็นบ้าแบบนี้เอามาก

ตอนนี้คนที่บอกว่า’ไม่สามารถดูถูกได้’กำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องและฟังครูถามว่า 5 × 3 เท่ากับเท่าไหร่อยู่

……

ตอนกลางคืนลั่วหลิงและเข่อหลานกลับถึงบ้าน ข้าวยังไม่ทันกิน เขาก็เข้าไปในห้องและเปิดคอมของตัวเองขึ้น พร้อมกับเช็คข้อความอิเล็กทรอนิกส์ของเขา เห็นว่าตอนนี้บริษัทได้ซื้อหุ้นของเยี่ยหวงไปแล้ว 8% ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะทำให้เขาพอใจมาก แต่มันไม่สามารถรีบร้อนได้เลย เพราะเรื่องนี้มันช่างละเอียดมากจริงๆ

ต้องรู้ว่าเยี่ยหวงเป็นเนื้อที่ไม่ได้เคี้ยวง่ายแบบนั้น อีกอย่างจิงเฉินก็เป็นเหมือนกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง ถ้าอยากจะเอาเนื้อที่เขาคาบอยู่ในปากออกมาแล้ว มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

ไม่เป็นไร รอโอกาสอย่างเงียบเงียบ

จากนั้นเขาก็เช็คตลาดหุ้นของไม่กี่วันที่ผ่านมา สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกไปที่หุ้นบางส่วนและให้คนในบริษัทซื้อเข้ามา

ลั่วหลิงรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้มาก เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจจะไปแกล้งจิงเฉินสักหน่อย จึงพิมพ์ส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว

จิงเฉินนั่งอยู่หน้าจอคอมเฝ้าไว้พอดี เขารู้สึกตะหงิดตะหงิดใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าวันนี้แฮ็คเกอร์คนนั้นจะต้องทักเขามาแน่ๆ และเขาก็เดาถูกจริงๆ

หรือว่าแฮ็คเกอร์คนนี้ไม่ได้โกหกเขา แฮ็กเกอร์คนนี้ทำงานในโรงเรียนจริงๆ (เห็นชัดชัดว่าเขาเรียนหนังสือที่นั่นโอเคป่ะ!) หรอ?

“ขอประธานโทษนะคะคุณลู่ ท่านประธานต้องการพักผ่อนอย่างเงียบเงียบ เพราะฉะนั้นคุณค่อยมาเยี่ยมท่านวันหลังนะคะ” นางพยาบาลรั้งเธอไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม

“ฉันเป็นแฟนของเขาก็เข้าไปไม่ได้งั้นหรอคะ?” เธอเก็บสีหน้านั้นลงและแสดงสีหน้าที่อบอุ่นมีรอยยิ้มออกมา

“ขอโทษจริงๆค่ะ” นางพยาบาลยืนหยัดพูด

ที่จริงเธอรู้อยู่แล้วว่าการตัดสินใจต่างๆของจิงเฉินไม่มีใครที่สามารถจะไม่ทำตามได้ และไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

สีหน้าของเธอดูบึ้งตึงขึ้น แต่ยังยิ้มออกมาแบบฝืนๆ และถามว่า : “ชั้นนี้นอกจากจิงเฉินแล้วยังมีคนอื่นอยู่หรือเปล่า?”

“ไม่มีค่ะ มีแค่ท่านประธาน” นางพยาบาลเห็นสีหน้าของเธอแล้วก็รู้สึกสงสารเธออยู่หน่อยๆ นี่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร เพราะฉะนั้นจึงบอกเธอไป

เมื่อเธอได้ยินว่าชั้นVIPนี้มีแต่เขาที่พักอยู่ แววตาของเธอก็ครุ่นคิดขึ้น

“งั้นวันหน้าฉันค่อยมาเยี่ยมเขาใหม่แล้วกัน” เธอยิ้มออกมา หันหลังและเดินจากไป

เธอเดินไปถึงทางเข้าของโรงพยาบาล และเห็นซินเหยากำลังขับรถออกไปพอดี เธออยู่ที่เดิมและมองไปที่รถของซินเหยา สายตาของเธอดูมืดทมิฬมาก

คำพูดที่จิงเฉินพูดไปวันนั้นมันทำให้ซินเหยารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่วันนั้น เธอจึงไม่ได้ไปโรงพยาบาลเยี่ยมไอ้บ้านั้นอีกเลย

เห็นว่าเขาทับไปบนตัวของเธอ และยังกัดเข้าไปอีก น้องชายข้างล่างก็ยังดูดุเดือด เขาคงไม่ป่วยหนักอะไรหรอก

เมื่อกลับถึงบ้าน เธอได้รับเอ็มเอ็มเอสจากเขา

ตอนนั้นเธอยังโกรธอยู่ ถึงแม้ว่าจะดาวน์โหลดมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เปิดดู

ผ่านไปไม่กี่วัน จิงเฉินก็ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปดำรงตำแหน่ง CEO ในบริษัทดังเดิม

เขาใช้กลวิธีในการจัดการปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในบริษัทได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาด เขาใช้เวลาไปเพียงสามวันก็สามารถกู้สถานการณ์ที่ตกต่ำของบริษัทกลับมาได้ดังเดิม ทำให้เยี่ยหวงกลับมาสงบอีกครั้ง รวมถึงหุ้นที่ตกต่ำเหล่านั้นก็ได้พุ่งสูงขึ้น ทำให้ทุกคนเห็นฝีมือชาญฉกาจในการเป็นนักธุรกิจของจิงเฉินมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก

และเมื่อผู้ถือหุ้นต่างๆเห็นเขากลับมาจากการพักฟื้นและสามารถที่จะกู้สถานการณ์กลับมาได้อย่างดีเยี่ยม ผู้ถือหุ้นเหล่านั้นจึงมีความเชื่อใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก

มีคนพูดอยู่มาก ว่าเยี่ยแจว๋คลอดลูกชายคนนี้ออกมาได้ดีจริงๆ เหมือนเป็นบุตรของสวรรค์เอาซะเลย

ตอนที่ซินเหยาเห็นข่าวนี้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจขึ้น เธอรู้สึกแปลกเอามาก ทำไมตัวเองถึงต้องมีความรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ?

จิงเฉินกลับมาบริษัทอีกครั้งและได้นั่งไปที่เก้าอี้CEO เขาสามารถจัดจัดการกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำครั้งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ทำให้ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์ตาและยอมรับนับถือเขาจริงๆ

ตอนนี้จิงซิงโกรธเป็นอย่างมาก โกรธจนตาแดงก่ำไปหมด เขามองไปที่จิงเฉินด้วยความอิจฉาริษยา เหมือนจะฉีกจิงเฉินให้เป็นชิ้นชิ้น สายตานี้มันช่างอาฆาตเหลือเกิน

“ท่านประธานใหญ่ครับ ลูกของท่านนี่เก่งจริงๆ พวกผมอิจฉาท่านมากที่มีลูกชายเก่งแบบนี้”

“ใช่ครับ

“พูดอีกก็ถูกอีก เมื่อบริษัทนี้มีจิงเฉิน พวกเราก็วางใจแล้ว ลุงลุงอาอานับถือในความเก่งของจิงเฉินมากเลยนะ”

ผู้ถือหุ้นหลายคนมองข้ามจิงซิงที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและเยี่ยแจว๋ที่หน้าเจื่อนๆไปเลยหนึ่ง พวกเขาเอาแต่พูดชมจิงเฉิยอย่างไม่หยุดปาก

รอบนี้ที่จิงเฉินได้กลับมาบริษัท ก็เป็นเพราะว่าผู้ถือหุ้นต่างๆร่วมมือกันขอให้เขากลับมา

ถึงแม้ว่าเยี่ยแจว๋จะเป็นท่านประธานใหญ่และถือหุ้นเยอะที่สุด แต่ว่าถ้าผู้ถือหุ้นรายย่อยต่างๆร่วมมือกันขึ้นมา เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างนโยบายต่างๆถ้าผู้ถือหุ้นรายย่อยเห็นพ้องกันแล้ว ก็สามารถที่จะดำเนินการได้เลย

รอบนี้คนที่รับเขากลับบริษัทมาดำรงตำแหน่งCEO ก็เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยต่างๆที่ช่วยกันและร่วมมือกันนั่นแหละ

“พ่อครับ พี่ครับ ช่วงที่ผมลาพักลำบากพ่อและพี่แล้ว ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว พ่อและพี่สามารถอยู่แบบสบายๆได้แล้วนะครับ” จิงเฉินพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

ถ้าเกิดไม่ใช่จิงเฉินเรียกชื่อพวกเขาขึ้นมา (และบอกว่ามีสายเลือดเดียวกัน) เกรงว่าทุกคนในที่ประชุมนี้คงจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว

แววตาของเยี่ยแจว๋มืดลง พร้อมกับยิ้มออกมาแบบเกลื่อนๆและพูดว่า : “กลับมาก็ดีแล้ว ตั้งใจทำงานหล่ะ อย่าทำให้ลุงลุงอาอาผิดหวัง”

จิงซิงอยากเดินขึ้นไป และฉีกจิงเฉินออกเป็นชิ้นชิ้นเอามากตอนนี้

เห็นชัดชัดว่าตอนแรกบริษัทก็เป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับทำให้เขาต้องขายเนื้ออันโอชะในปากนี้ออกมา เป็นเรื่องที่เลวร้ายจริงๆ ถ้าเกิดว่าไม่เคยได้มันมาก่อน ก็คงไม่ต้องเจ็บใจจากการสูญเสียแบบนี้

จิงซิงรู้สึกแค้นใจเอามาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เขาคิดอยู่ในใจว่า ทำไมไอ้บ้าจิงเฉินนี้ถึงไม่ตายๆไปสักที

“จิงเฉินเป็นคนมีความสามารถมาก ไปกันเถอะเพื่อน วันนี้เป็นวันที่โอกาสดีมาก เพราะทุกคนก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เรื่องที่เกิดขึ้นในบริษัทก็จัดการเสร็จแล้ว เราไปดื่มชากันดีกว่า” ประธานต่งทำเป็นไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ จากนั้นก็ตบไปที่บ่าของเยี่ยแจว๋พร้อมพูดขึ้น

ที่จริงประธานต่งและเยี่ยแจว๋เป็นเพื่อนเก่าแก่กันมานานนมแล้ว นี่ถือว่าเป็นการไว้หน้าเขาแล้ว ที่ครั้งก่อนยอมให้เขาเอาจิงซิง ลูกชายที่ไร้ความสามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งCEO

แต่ถ้าเกิดว่าจิงซิงมีความสามารถจริง พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียหายและยอมให้จิงซิงเป็นต่อได้ เพราะผู้ถือหุ้นอย่างพวกเขาที่จะเกษียณและไปพักผ่อนบั้นปลายชีวิตขอแค่ปลายปีนี้ได้ส่วนแบ่งมาพอก็พอใจแล้ว เรื่องของบริษัทที่ว่าใครจะเป็นCEOนั้นพวกเขาก็ไม่ได้สนใจ

แต่ว่าความจริงก็ปรากฏและยืนยันแล้ว ว่าจิงซิงเป็นคนที่ไร้ความสามารถ

เพื่อไม่ให้บริษัทล่มในมือของจิงซิง พวกเขาจึงต้องเรียกจิงเฉินกลับมา

ในส่วนของความสามารถของจิงเฉินนั้นทุกคนก็เห็นเป็นประจักษ์ตาอยู่แล้ว ความจริงปรากฏขึ้น เขาไม่เคยทำให้ทุกคนผิดหวังเลย เขามีพรสวรรค์ด้านการเป็นผู้นำจริงๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นจิงเฉินใช้เวลาเพียงแค่3วันในการจัดการให้กลับมาดีดังเดิม

“ไปกันเถอะ” เยี่ยแจว๋หัวเราะกลบเกลื่อนออกมาเบาเบา จากนั้นก็พาจิงซิงไปด้วย พร้อมกับพูดว่า : ” จิงซิง ลูกก็ไปด้วยกันสิ ลูกเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ยังไม่ได้ดื่มชากับพวกลุงลุงเลย โอกาสที่หายากแบบนี้ก็ไปด้วยกันซะ”

คนที่เยี่ยแจว๋ไม่สามารถวางใจได้ก็คือลูกชายคนนี้นั่นแหละ

ตอนนี้ทำได้เพียงแนะนำให้พวกลุงลุงพวกนั้นรู้จัก และหวังว่าลุงพวกนี้จะสามารถดูแลลูกชายของเขาได้

“ได้ครับ ไปกันเถอะ คุณลุงเดินนำเลยครับ” เขากัดฟันและยิ้มออกมาด้วยความฝืนทน

เรื่องนี้มันทำให้จิงซิงคิดได้ออกมาได้อย่างหนึ่ง

จิงซิงเดินอยู่ข้างหลังเยี่ยแจว๋ ในตอนที่จะเดินผ่านจิงเฉินนั้น เขาหยุดลง และถามจิงเฉินขึ้นว่า : “แผนการครั้งนี้เป็นแผนการของแกใช่ไหม?”

“แล้วแต่จะคิดเลย” จิงเฉินเบื่อที่จะพูดกับเขาแล้ว

“ฉันไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้แน่ และก็ไม่มีวันปล่อยแกไปแบบนี้ง่ายๆด้วย” จิงซิงพูดด้วยความอาฆาตแค้น

 

จิงเฉินไม่ได้ทับไปบนตัวเธออีกแล้ว แต่ว่าเขากลับกัดไปที่คอของเธอแทน เจ็บจนเธอต้องเสียวส้านออกมา พูดได้คำเดียวว่า’เจ็บ’ จิงเฉินเอาฟันของตัวเองออกมา จากนั้นใช้ลิ้นตวัดเลียไปที่รอยที่เขากัดไปเมื่อสักครู่

“ซี๊ดดด……เจ็บ”ซินเหยาขมวดคิ้วขึ้น แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจออกมาและด่าเขาว่า : “คุณเกิดปีหมาหรอ?”

“ช่วงนี้คุณดูสนิทสนมกับซวี่เจ๋อมากนะ” แววตาที่พูดออกมาของเขามันช่างดูโหดร้ายและเย็นยะเยือกเอามาก ทำให้คนไม่กล้ามองไปเลย

เธอจะสนิทสนมกับใครมันเกี่ยวอะไรกับป๊ะป๋าด้วยล่ะ ป๊ะป๋าก็ไม่ใช่ผัวของเธอซะหน่อย อีกอย่างก็ไม่ใช่หัวหน้าของเธอแล้ว จะมายุ่งวุ่นวายว่าเธอจะสนิทสนมกับใครทำเพื่อ

“อีกอย่างคุณยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาต่อว่า : “คุณยังกล้าปิดมือถือใส่ผม”

“งั้นคุณได้รับโทรศัพท์จากฉันหรือเปล่าคะ? เมื่อคืนฉันโทรหาคุณไปเกือบจะ 100 สาย ทำไมคุณถึงไม่รับ?” ซินเหยาหารอยรั่วได้

“งั้นตอนเช้านี้คุณก็ไม่ได้รับโทรศัพท์จากผมเหมือนกัน” จึงเฉินบ่น

“งั้นฉันก็ไม่ได้มาเยี่ยมคุณแล้วหรือคะ ตอนนี้ยังเอาซุปเอาข้าวมาให้คุณอีก” ซินเหยาตอบกลับ

“คุณจำเรื่องที่คุณรับปากผมไม่ได้แล้วหรือไง?” จิงเฉินยื่นมือออกไปและจับไปที่คางของเธออย่างเบาๆ

ซินเหยาสะดุ้งขึ้น รู้สึกว่าตัวเองน่าจะอยู่ในความไม่ปลอดภัยแล้ว

เธอจ้องไปที่จิงเฉินอย่างงงๆ เรื่องอะไร? ไปรับปากตอนไหน?

วันหนึ่งวันเธอก็พูดมากเป็นล้านเรื่อง ใครจะไปจำได้ว่ารับปากเรื่องอะไรไว้?

จิงเฉินเห็นแววตาของเธอมีความมึนงง จึงรู้ว่าเธอจำไม่ได้แล้ว

เขาหรี่ตาเล็กลงอย่างน่ากลัว จากนั้นมือที่จับอยู่ที่คางของเธอก็เริ่มที่จะเคลื่อนลงไปข้างล่าง มันไปหยุดที่คออันขาวนวลของเธอ และพูดว่า : “จำไม่ได้จริงๆหรอ?”

เธอรู้สึกกลัวจึงกลื่นน้ำลายลงไปหนึ่งอึก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เขารู้ว่าเธอจำไม่ได้แล้ว เห็นดวงตาที่เบิกออกใหญ่ขนาดนี้ มันเหมือนแมวที่ทำให้คนทั้งรำคาญทั้งหัวเราะในขณะเดียวกันจริงๆ

เขาก็พูดว่า : ทำไมคุณถึงสอนไม่รู้จักจำเลย? ผมไม่ใช่บอกคุณแล้วหรอว่าห้ามไปสนิทสนมกับซวี่เจ๋อให้มันมาก?”

ในตอนที่เขาพูด มือของเขาก็เริ่มที่จะใช้แรงมากยิ่งขึ้น เธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บนิดๆบริเวณคอของเธอ

แม่เจ้า เขายังจำเรื่องนี้ได้อีกหรอ? ไม่ใช่ผ่านมานานมากแล้วหรอ?

“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อฟังกันเอาซะเลย” เขาบีบไปที่ของของเธอ ให้เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผิวกายเธอได้รับบาดเจ็บใดๆ

เขาควบคุมแรงที่ใช้ได้ดีมาก มันทำให้เธอตกใจมากจริงๆ

ในโลกที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้ ป๊ะป๋าไม่ได้เป็นแค่คนที่หล่อเหลาอย่างเดียว แต่เขายังเป็นคนที่มีเงินอีกมากมายมหาศาล ถึงแม้ว่าป๊ะป๋าจะฆ่าเธอทิ้ง แต่เพราะความหล่อของป๊ะป๋าแล้ว คงมีไม่กี่คนที่จะโทษผู้ชายที่หล่อและรวยขนาดนี้ว่าเป็นฆาตกร “คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ คุณกับว่าที่ภรรยาของคุณยังดูสนิทสนมชิดเชื้อออดอ้อนออเซาะกันอยู่เลย ฉันแค่ออกไปกินข้าวกับเพื่อนด้วยกัน แล้วมันจะทำไม? ทีคุณยังทำได้ และฉันจะทำไม่ได้งี้หรอ?”

เขามองไปที่เธอด้วยสายตาที่มืดทมิฬ ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกเต้นรัวขึ้น

เธอเบี่ยงสายตาออก ไม่ได้มองไปที่แววตาที่ทำให้คนรู้สึกกลัวนั้นอีก

“ผมเตือนคุณอีกครั้ง ครั้งต่อไปอย่าไปสนิทสนมชิดเชื้อกับมันอีก อย่าทำให้ผมโกรธล่ะ” เขาตั้งหัวของเธอให้ตรง จากนั้นก็ขยับหน้าผากของตัวเองเข้าไปใกล้เธอ ปลายจมูกของทั้งสองแนบชิดติดกัน มันได้กลิ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นของฝั่งตรงข้าม

มันทำให้ใจของเธอร้อนรนไปหมดเหมือนมีอะไรวิ่งวนก็ไม่ทราบเหมือนกัน

“ฉัน……” เธอเปิดปากขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ห๊ะ?” เขาใช้จมูกเปล่งเสียงออกมา ลมที่ออกมานั้นมันพัดไปบนหน้าของเธอ เขาพูดขึ้นอีกว่า “พูดสิ”

ในตอนที่เขาพูดอยู่นั้น ริมฝีปากของเขาก็ลากผ่านมาที่ริมฝีปากของเธอ

“แล้วคุณล่ะ?” เธอคิดคำนี้อยู่นานกว่าจะพูดออกมา

คำนี้มันดูจู่จู่ก็พูดขึ้น แต่เธอรู้ว่าเขาต้องเข้าใจแน่นอน

“เรื่องของผม คุณอย่ามายุ่ง” เขาจูบไปที่ปากของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบอยู่หน่อยๆ

เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางที่จะชอบอันหรานได้ ไม่ว่าจะเป็น 5 ปี หรือ 10 ปีก็ไม่มีวัน

ในเมื่อรับปากอันหรานว่าอีกห้าปี ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ครึ่งปีแล้ว เขาก็ไม่อยากที่จะดื้อดึงความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป

การกระทำของเขาในแต่ละอย่าง เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง

หลายปีที่ผ่านมา จิงเฉินไม่มีผู้หญิงคนไหนข้างกายเลย ร่างกายของเขาตอนอยู่กับคนอื่นต่างก็เย็นยะเยือกมาก มีเพียงตอนที่อยู่กับซินเหยาเท่านั้น ร่างกายของเขาถึงจะรู้สึกมีชีวิตชีวาและอารมณ์ขึ้นมา

เรื่องพวกนี้ เขาไม่จำเป็นต้องบอกให้เธอฟัง

เป็นเพราะสีหน้าที่ดูเย็นชาของเขา ทำให้เธอรู้สึกสั่นไปทั้งตัว จากเมื่อกี้ใจที่เต้นร้อนรนอยู่ข้างใน ตอนนี้มันก็รู้สึกเย็นขึ้นลงแล้ว

“เอาล่ะ พอได้แล้ว ตอนนี้ฉันก็ออกมานานมากแล้ว ฉันจะกลับไปแล้ว ที่บ้านยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก” สีหน้าของเธอมันก็ดูเย็นลงมาก แต่ไหนแต่ไรเธอก็เป็นคนที่ชอบเอารอยยิ้มมาปิดบังความรู้สึกของตนเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้อารมณ์ของเธอมันได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย

เมื่อเขาเห็นถึงสีหน้าที่เย็นยะเยือกนั้นของเธอ สติก็หลุดออก เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่เย็นชาแบบนี้ของเธอบ่อยนัก

เธอเห็นเขาไม่ได้ขยับดุกดิกอะไร จึงใช้มือและเท้าผลักเขาออกไปจากตัวเธอ

เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งจะสืบดูว่าผัวนอกใจไหม ความฉลาดของพวกเธอเป็นรองจากไอน์สไตน์

เมื่อพวกเธออกหัก งานเขียนของพวกเธอเป็นรองจากม่อเหยียน (กวีจีน)

และเมื่อพวกเธอโกรธ พลังการต่อสู้ของพวกเธอก็เป็นรองจากอุลตร้าแมน

เพราะงั้นเธอก็ถีบเขาลงไปล่างเตียง ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นและออกมาจากอีกฝั่ง

“คุณรักษาตัวดีๆนะคะ ฉันไปก่อน” จากนั้นก็หยิบปิ่นโตที่อยู่บนโต๊ะและเดินออกไป

จิงเฉินจับไปที่หน้าผากของตัวเอง เจ็บมากจริงๆ

เขาอยากเรียกให้เธอหยุดอยู่ตรงนั้น แต่เห็นเพียงเงาด้านหลังของเธอ

แววตาของเขาดูมืดหม่นลงมาก เขายังมีเรื่องที่จะพูดกับเธออีก แต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งหน้าตอนไหนที่เธอจะมาโรงพยาบาลอีก

ในตอนแบบนี้ เขาก็เริ่มที่จะคิดตริตรองดูตัวเองแล้วว่า ตัวเองทำให้เธอโกรธเรื่องอะไร?

ตอนที่ซินเหยาออกมาจากโรงพยาบาลนั้น เธอไม่ได้สังเกตเห็นอันหราน แต่อันหรานเห็นเธอ

อันหรานไม่ชอบเธอเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นศัตรูตั้งแต่ชาติปางก่อน

แค่ครั้งแรกที่เห็นหน้าเธอ อันหรานก็ไม่ชอบแล้ว นี่คงเรียกว่าไม่ถูกชะตากันสินะ

เธอนำข้าวผัดสีทองใส่ไว้ในปิ่นโตเก็บอุณหภูมิไม่ได้นำออกมา ใช้แต่เพียงช้อน ตักข้าวออกมาหนึ่งถ้วยและพูดว่า : “ดื่มซุปเสร็จก็กินข้าวต่อสิคะ”

เมื่อจิงเฉินดื่มซุปนั้นหมดเรียบร้อย ก็เลียไปที่ริมฝีปากของตัวเอง มันอร่อยมากจริงๆ

“ฝีมือการทำอาหารของคุณพัฒนานะ” เขายื่นถ้วยกลับไปให้เธอและพูดอีกว่า : “ซุปอร่อยมาก”

“อืม คุณชอบก็ดีแล้ว ลองชิมข้าวผัดสีทองนี้หน่อยสิคะ” ซินเหยาผงกหัวอย่างอายๆและรู้สึกผิด ซุปนี้เธอไม่ใช่เป็นคนทำเอง และเธอก็ไม่สามารถทำรสชาติที่อร่อยออกมาแบบนี้ได้แน่

ที่จริงนั่นเป็นแค่ข้าวผัดธรรมดาๆถ้วยหนึ่ง แต่ว่าซินเหยากลัวว่ามันจะไม่เหมาะกับคนที่สูงสง่าและไม่ติดดินอย่างจิงเฉิน และกลัวว่าเขาจะไม่ชอบอาหารบ้านๆแบบนี้

เป็นเพราะว่าข้าวที่ลั่วหลิงผัดมามันเหลืองอร่ามมาก ดูแล้วมันก็เหมือนกับแสงพระอาทิตย์สีเหลืองทองที่กำลังจะลับขอบฟ้าในทางทิศตะวันตก เพราะฉะนั้นเธอจึงตั้งชื่อให้ว่าข้าวผัดสีทอง

ข้าวผัดสีทองของเธอชื่อนี้มันก็ไม่ได้ฟังแล้วรู้สึกว้าวอะไรมากมาย แต่มันก็ดูสูงส่งกว่าชื่อเดิมหน่อย

หลังจากที่เขากินหมดไปหนึ่งถ้วย เธอก็ถามอีกว่า : “เอาอีกไหม”

เขาพยักหน้า จากนั้นเธอจึงเติมให้เขาอีกถ้วย

ฝีมือการทำอาหารของลั่วหลิงมันไม่ธรรมดาจริงๆ

กับข้าวที่ซินเหยาเอามามันเกลี้ยงหมดเลย

เธอนำถ้วยและอุปกรณ์ต่างๆใส่กลับไปในถุงและถามเขาว่า : “อิ่มรึปล่าว?”

จิงเฉินทำตัวสูงสง่าและนำผ้าเช็ดปากออกมาเช็ดไปที่ปากของตัวเองอย่างผู้ดี และบีบไปที่จมูกของเธอพร้อมกับพูดว่า : “วันนี้คุณเป็นเด็กดีเอามาก”

เขาหยิกได้ไม่เจ็บ แต่ว่ากิริยาต่างๆนั้นมันดูกุ๊กกิ๊กมากเกินไป

ซินเหยาโดนบีบจนเธอรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงได้ถอยออกไปสองก้าว พร้อมกับพูดว่า : “ฉันเป็นเด็กดีขนาดนี้ ถ้าเกิดวันไหนคุณตายไป คุณจะเหลือทรัพย์สมบัติตกทอดให้ฉันไหมคะ?”

“ที่แท้ก็ทำเพื่อทรัพย์สมบัติของผมนี่เอง” จิงเฉินโยนผ้าเช็ดปากทิ้งไปบนโต๊ะข้างๆและมองไปที่เธอ

เธอเบี่ยงสายตามองไปทางอื่น พร้อมกับพูดว่า : “ไม่ได้หรอคะ ฉันเห็นว่าช่วงนี้ดวงชะตาของคุณค่อนข้างจะตก คุณมีเงินเยอะขนาดนี้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ยกให้ฉันดีกว่ายกให้ไอ้จิงซิงนั่นเป็นไหนๆ นะคะ ฉันสามารถไปทำความสะอาดสุสานคุณในวันเช็งเม้งได้ เผากระดาษไปให้คุณได้ และทำให้คุณเป็นคนรวยในชาติหน้าได้”

จิงเฉินไม่ได้โกรธ เขาคิดอย่างจริงจังและพูดออกมาว่า : “ที่คุณพูดมามันก็ดูมีเหตุผลนะ ถ้าเกิดวันไหนผมตายไปจริงๆ ทรัพย์สินของผมที่ผมก็ไม่รู้ว่าเหลือเท่าไหร่จะให้คุณไปก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ แต่ต้องดูว่าคุณสามารถให้อะไรกับผมได้”

“คุณอยากได้อะไรล่ะคะ” ซินเหยาเก็บถ้วยข้าวใส่ในถุงและถามออกมา

จิงเฉินยื่นมือไปจับมือเธอที่อยู่บนโต๊ะและลูบไปบนหลังมือของเธอ

“ข้าน้อยขายความสามารถแต่ไม่ขายตัวนะเจ้าคะ” เธอชักมือของตัวเองออกมา

จิงเฉินใช้แรงในการดึงเธอลงมาที่เตียง เขาทับเธอไว้ทั้งตัว จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาและสัมผัสไปบนใบหน้าอันนวลลออของเธอและพูดออกมาว่า : “เป็นเด็กดีสิ”

แม่เจ้า ซินเหยากลัวมาก

นิสัยอย่างป๊ะป๋าแบบนี้ป่วยเล็กป่วยน้อยคงไม่ต้องถึงกับนอนอยู่โรงพยาบาลหรอก แต่ตอนนี้เขานอนอยู่โรงพยาบาล คงน่าจะป่วยหนักน่าดู เพราะงั้นเขาคงจะไม่ค่อยมีแรงอะไรมากมาย เธอจึงไม่ค่อยรู้สึกกลัวและจึงได้แสดงความหยิ่งผยองออกมา

“ตามที่คุณปรารถนา” จิงเฉิยก้มหัวและจูบไปที่ซินเหยา

ริมฝีปากของจิงเฉินมันมีความเย็นเอามาก เมื่อจูบลงบนปากของซินเหยาแล้วมันจึงเย็นไปด้วย เขาค่อยๆใช้ลิ้นในการเปิดช่องปากและฟันของเธอ ปากของเธอมันจักจี้ไปหมด เขาจูบและละเลงลิ้นลงอย่างดุเดือด ทำให้ซินเหยารู้สึกว่าปอดของเธอเหมือนจะขาดออกซิเจนให้จงได้ กลิ่นในปากและปลายจมูกของเธอต่างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย็นของจิงเฉิน

ซินเหยารู้สึกว่าอากาศในปอดเธอมันโดนจิงเฉินดูดไปหมดแล้ว ลิ้นก็โดนจิงเฉินกัดจนชาไปหมด ส่วนตาก็รู้สึกว่ามึนๆ เหมือนขาดออกซิเจน

เธอไม่ได้แต่รู้สึกขาดออกซิเจนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรู้สึกว่ามีแท่งอะไรแข็งๆทับอยู่บนขาเธอ

เธอผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ

ป๊ะป๋าเป็นบุตรของสวรรค์จริงๆ ถึงแม้จะบาดเจ็บขนาดนี้แต่ก็ยังแรงตึงอยู่ สามารถทำกับซินเหยาบนเตียงในโรงพยาบาลได้

“โอ้ย……” ซินเหยางอขาขึ้น แต่มือและเท้าก็ไม่ได้พลักหรือถีบติงเฉินออก ทำให้ตัวของพวกเขาแนบชิดติดกันมาก เธอเบี่ยงหัวออกเล็กน้อยเพื่อหลบจากจูบของจิงเฉิน และจบจูบที่ยาวนานและดุเดือดนี่ฝ่ายเดียวลง

“คุณยังไม่สบายอยู่ อยากตายแล้วหรือไง?” หน้าอกของซินเหยายังดุเดือดอยู่ และถามออกมาแบบโกรธนิดๆ

“แค่แผลนิดเดียวเอง” จิงเฉินลูบจับตัวของซินเหยาต่อ ทำให้ตัวเธอก็สั่นไปพร้อมกับมือเขา ที่ที่โดนเขาจับและลูบไปนั้นมันเหมือนกับโดนไฟแผดเผาปานนั้น มันร้อนเอามากๆ

“กลางวันแสกๆมันไม่ดี” ซินเหยาอดกลั้นกับความชาทั้งตัวของตัวเธอและพูดออกมาแบบแกล้งยิ้ม

มือของเขามันค่อยๆขยับไปบนเอวอันบางเรียวของเธอ เกือบทำใหเธอครางออกมาแล้ว

“งั้นคุณหมายถึงทำตอนกลางคืนก็ได้ใช่ไหม?” มือจิงเฉินชะงักลง และมองไปที่ซินเหยาอย่างจริงจัง

แม่เจ้า เธอหมายความว่าแบบนี้หรอ?

วิชาภาษาจีนของป๊ะป๋าอ่อนจริงๆ ความเข้าใจในการสื่อสารช่างต่ำเหลือเกิน

“คุณวางใจได้ ตอนนี้ผมแค่ลูบๆจับๆ สาบานว่าจะไม่ทำอะไรเกินกว่านี้” มือของจิงเฉินตอนนี้มันอยู่ในเสื้อเธอแล้ว

อุณหภูมิมือของเขามันต่ำกว่าเธอมาก ตอนที่ล้วงเข้าไปมันเย็นๆ เมื่อสัมผัสโดนกับผิวเธอเกือบทำให้เธอร้องออกมาแล้ว ผิวของเธอละเอียดขาวแวววาว ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือป่าว ตอนนี้เหมือนสัมผัสได้ถึงลายมือของเขาและความหยาบบางๆที่อยู่บนมือเขาได้

แม่เจ้า แค่ลูบๆจับๆไม่ทำอย่างอื่นงั้นหรอ

เมื่อได้ยินคำนี้ ขนซินเหยาก็ลุกทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายที่ส่งออกมาจากป่าใหญ่อันมืดมิด

ซินเหยาตอนนี้ถึงคิดได้ เธอจึงไม่สนใจมือที่จะล้วงเข้าไปในตัวเธอแล้ว จึงพูดออกมาอย่างแจ่มแจ้งว่า : “อ๋อ ฉันรู้แล้ว ที่แท้ที่คุณมาอยู่ที่นี่ก็เพราะไม่อยากสนใจกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่บริษัทใช่ไหมคะ? คุณกำลังหนี?”

เมื่อพูดถึงบริษัท จิงเฉินก็หมดอารมณ์ทันที

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไร มือก็หยุดแล้ว เพียงแค่ทับอยู่บนตัวเธอ หน้าเขานิ่งเงียบเอามาก

ซินเหยารู้สึกว่าจึงเฉินหยุดแล้ว วันนี้เธอก็รอดเพราะปากตัวเองอีกแล้วสินะ เธอจึงหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก

เธออยากปรบมือให้กับความฉลาดของตัวเองดังๆจริงๆ

“หลิงๆ วันนี้ลูกอยู่บ้านกับน้องสาวนะ หม่ามี้จะออกบ้านไปเยี่ยมเพื่อนข้างนอกสักหน่อย” เมื่อกินข้าวเสร็จซินเหยาก็เดินเข้าไปในห้องครัวกับลูกชายของเธอและตักซุปกระดูกหมูใส่ไว้ในปิ่นโตเก็บความร้อนพร้อมกับกำชับลูกของเธอ

ลั่วหลิงมองไปที่ปิ่นโตเก็บความร้อนของซินเหยาที่อยู่ในมือพร้อมกับถามว่า : “เพื่อนของหม่ามี้ไม่สบายหรอครับ”

“ใช่ค่ะ เพราะงั้นลูกต้องอยู่บ้านเป็นเด็กดีกับเข่อหลานนะคะ” ซินเหยาพยักหน้า เธอไม่ได้ปิดบังลั่วหลิง พร้อมพูดขึ้นอีกว่า : “เขายังไม่ได้กินข้าว หม่ามี้จึงจะเอาไปให้เขาสักหน่อย”

ลั่วหลิงเข้าใจหม่ามี้ของเขามาก ตั้งแต่ที่พวกเขากลับมาจากเมืองBก็เป็นเวลาประมาณครึ่งปีแล้ว พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงกับที่หม่ามี้ต้องเอาซุปกระดูกหมูไปเยี่ยมเลยหรอ

ในใจเขาก็รู้แล้วว่าคนนั้นเป็นใคร

“หนักหรือเปล่าครับ?” ลั่วหลิงถาม

ซินเหยาถือไว้ปิ่นโตเก็บความร้อนอยู่ที่อกของเธอ ป๊ะป๋าตอนนี้ยังส่งข้อความมาหาเธออยู่ได้หรอ ดูท่าทางแล้วน่าจะไม่ป่วยหนักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าไม่ไปดูเขาสักนิดก็คงไม่วางใจ

“น่าจะไม่ค่อยหนักนะ” ซินเหยาพูด

“กับข้าวในโรงพยาบาลไม่ค่อยอร่อย ผมจะทำอาหารไปให้ด้วย” ลั่วหลิงเดินไปเปิดตู้เย็น เหมือนกำลังคิดว่าจะทำอะไรอยู่ที่ทั้งอุดมไปด้วยสารอาหารและความอร่อย

“ไม่ต้องแล้วๆ” เธอส่ายหัวปฏิเสธทันที เธอสงสารลูกชายของเธอหน่ะ

“ไม่เป็นไรครับ มันทำเร็วมาก” ลั่วหลิงถามขึ้นว่า : “เขาชอบกินอะไรครับ?”

เธอทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกชายของตัวเองลำบากเพื่อคนอื่น ถึงแม้ว่าคนอื่นนั้นจะเป็นป๊ะป๋าของพวกเขาก็ตาม แต่ว่าลั่วหลิงเป็นคนที่ยืนหยัดในความคิดของตัวเองเอามาก จากที่เขาได้บอกว่าจะทำอาหารสักอย่างให้แล้ว เขาก็ต้องทำให้ได้

เธอเห็นลั่วหลิงเปิดตู้เย็นออกมาและเห็นไข่ไก่ที่อยู่ข้างใน และยังมีข้าวเย็นที่เหลือจากตอนเที่ยง

“งั้นก็ผัดข้าวผัดก็ได้ค่ะ ไข่ไก่มีประโยชน์ต่อร่างกาย”

ลั่วหลิงนิ่งคิดไปสักพัก จากนั้นก็พยักหัวตอบตกลง

เขาตีไข่แตกและคนไป จากนั้นก็หั่นแฮมเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็กๆและเอาลงไปผัดด้วยกัน

ใข่ที่ผัดออกมามันเหลืองทองอร่ามมาก เปรียบเสมือนกับแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าในทางทิศตะวันตก

ซินเหยาขับรถออกไป อากาศที่หนาวแบบนี้เห็นชัดชัดว่ามีรถจอดอยู่ แต่ถ้าออกไปนั่งรถบัสแทน ก็คงจะเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี

เธอใส่หูฟังบลูทูธและโทรหาจิงเฉิน ถามเขาว่าอยู่โรงพยาบาลไหน

จากนั้นจึงเปิด GPS และขับไปหาเขา

ก่อนที่เธอจะถึงนั้น จิงเฉินก็ได้บอกพยาบาลแล้วว่าอีกประเดี๋ยวจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่นามสกุลถังมา ถ้าเธอมาก็ให้พาเธอเข้ามาในห้องได้เลย หลังจากนี้ไม่ว่าคุณผู้หญิงที่นามสกุลถังคนนี้จะมาตอนไหนก็อย่าห้ามเธอโดยเด็ดขาด

เพราะงั้นซินเหยาจึงเข้าออกห้องผู้ป่วยของเขาอย่างไม่เปลืองแรงเลย

เธอเดินไปถึงหน้าห้องของเขา ถอนหายใจออกมาและคิดในใจว่า ไม่แปลกเลยที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่แพงที่สุดในเมืองB เทคโนโลยีการแพทย์ต่างๆของที่นี่มันล้ำสมัยเอามาก อีกอย่างสภาพแวดล้อมของการรักษามันก็ดีเอามากจริงๆ

คนที่ไม่รู้คงคิดไม่ถึงว่าตรงนี้เป็นโรงพยาบาล คงคิดว่าเป็นหมู่บ้านพักร้อนมากกว่า

แค่ตำแหน่งที่ตั้งของโรงพยาบาลนี้ก็น่าจะต้องอย่างน้อยกี่แสนล้านแล้ว  สถาปัตยกรรมของที่นี้มีความเป็นยุโรปหน่อยหน่อย ราคาก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว

วันนี้ซินเหยาได้เปิดโลกกว้างของเธอมากจริงๆ สามารถมาเห็นโรงพยาบาลที่หรูหราหมาเห่าขนาดนี้

เธอไม่ได้เคาะประตู เธอดันประตูและเข้าไปเลย

อากาศของวันนี้มันไม่เลวเลย จิงเฉินใส่ไว้ชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลและกำลังนั่งอยู่บนตรงเก้าอี้เอนกายตรงระเบียง

อาจจะเป็นเพราะแสงที่สองกระทบมาจึงทำให้ใบหน้าของเขามันขาวนวลเอามาก แต่ก็มีความโทรมโทรมอยู่หน่อยหน่อย

แต่ว่าไม่เป็นไร เขาเกิดมาหล่อ ถึงแม้ว่าจะป่วยเป็นหมาอยู่แบบนี้ก็ยังหล่ออยู่ดี

ถึงแม้ว่าบนหัวของเขาจะมีผ้าพันแผลสีขาวพันไว้อยู่ แต่มันก็ไม่สามารถทำลายความหล่อบนใบหน้าได้เลย มันหล่อเสียจนล่มบ้านล่มเมืองได้จริงๆ

เมื่อได้ยินเสียงเท้าเดินมา เขาก็หันหลังไปและเห็นซินเหยา สายตาของเขามองไปบนใบหน้าของเธอ สุดท้ายก็ตกกระทบไปที่ปิ่นโตที่เธอถือมาพร้อมกับยิ้มมุมปากขึ้นอย่างพออกพอใจ

ซินเหยายืนอยู่ตรงประตูทางเข้า ในมือถือไว้ปิ่นโตเก็บอุณหภูมิ เธอเห็นจิงเฉินที่ใส่ไว้ชุดผู้ป่วยสีขาวพร้อมกับคุมไว้เสื้อสูทสีดำอยู่ข้างนอกระเบียง บนหัวมีผ้าพันแผลสีขาวที่แปลกตามา เธอหัวเราะออกมาทำให้เห็นถึงฟันที่ขาวใสของเธอ มันสวยมากจริงๆ

ใจของเธอมันทนกับความหล่อเหลาของเขาไม่ได้ เพราะงั้นมันจึงเต้น ตึกตัก…..ตึกตัก…..ดังขึ้น

มันเต้นรัวเอามาก

ตอนนี้เธออยากจะคุกเข่าและMKให้เขามาก โอ้ยยย……

ถึงแม้ว่าป๊าป๋าจะหล่อเหลาเพียงใด แสงอาทิตย์จะอบอุ่นเพียงไหน แต่มันก็ไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นยะเยือกของเมืองBวันนี้ได้เลย

เธอก้าวขาเดินเข้ามาในห้องและวางปิ่นโตเก็บความร้อนนั้นไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงเดินไปที่ระเบียงและพูดกับจิงเฉินด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า : “คุณไม่ได้พูดหรอกหรอว่าไม่สบาย ฉันดูแล้วคุณน่าจะรังเกียจที่ตัวเองไม่ตายเอามากกว่ามั้ง”

อากาศที่หนาวขนาดนี้ แต่เขากลับใส่เสื้อผ้าน้อยขิ้นมากและยังมานั่งอยู่ข้างนอก

ถ้าสบายดี ก็สามารถที่จะทำให้ไม่สบายตอนนี้ได้

ป๊ะป๋าไม่ถนอมรักษาชีวิตของตัวเองแบบนี้ ป๊ะป๋าก็ยังไม่ได้เขียนพินัยกรรมไว้นะ ถ้าเกิดหนาวตายขึ้นมา เธอก็จะไม่ได้เงินสักแดงเดียวจากเขา เพราะงั้นเธอเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเงินของป๊ะป๋าเลย ไม่ได้ชอบเงินของป๊าป๋าเลย

“คุณเป็นห่วงผมหรอ?” จิงเฉินยืนขึ้นมาพร้อมกับถามซินเหยา

“ใช่” เธอพยักหัว

เธอไม่ใช่เป็นคนทำดีแล้วไม่หวังผลนะ ในเมื่อป๊ะป๋าถามว่าเธอเป็นห่วงเขาไหม? ถ้าเธอตอบว่าไม่ เธอคงจะโง่เอามาก

เธอยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ ทำให้จิงเฉินมองมาที่เธออยู่นานพักใหญ่

“เข้าไปนอนข้างในเถอะ อย่าอยู่ข้างนอกนี้เลย มันหนาว

เดี๋ยวจะทำให้เป็นหวัดเอา” เธอเดินออกไปลากเขาเข้ามาในห้องและปิดหน้าต่างลง

เธอลากเขามาถึงบนเตียง จากนั้นก็เอาผ้าห่มห่มไปให้

“ไม่ใช่บอกเหรอว่าอาหารที่โรงพยาบาลไม่อร่อย ฉันเลยเอาซุปกระดูกหมูมาให้คุณทาน และยังมีข้าวผัดสีทองค่ะ” จิงเฉินเห็นเธอพูดเป็นต่อยหอย

จิงเฉินกลั้นขำกับสิ่งที่เธอพูดเกือบไม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอมีความพูดมากเป็นต่อยหอยเหมือนเมียป้าแก่ แต่กลับรู้สึกว่ามันดีอยู่หน่อยหน่อย อีกอย่างในดวงใจเล็กๆของเขาก็รู้สึกมีสายน้ำกระเพื่อมกระเพื่อมขึ้นมา จิงเฉินที่โตขนาดนี้แล้ว เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนมาบ่นเขาแบบนี้ มันรู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ

ซินเหยาเอาอาหารออกมาวางไว้ จากนั้นนำถ้วยสองใบออกมา เธอเทน้ำซุปลงไปก่อนและพูดว่า “อ๊ะ ดื่มซุปก่อน” มุมปากของจิงเฉินมันซ่อนความอยากหัวเราะเอาไว้มากมาย จากนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปรับถ้วยนั้นจากมือของเธอและดื่มมันลงไป

เข่อหลานนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกและเล่นเกมจอยอยู่

เมื่อได้ยินเสียงเท้าเดินมา เธอก็หันหัวขึ้นไปเห็นหม่ามี๊ของเธอ มือของเธอจึงเล่นอย่างเร็วต่อไปเหมือนเดิม และมองไปที่หน้าของหม่ามี๊ของเธอพร้อมกับพูดว่า : “อรุณสวัสดิ์ค่ะหม่ามี๊ พี่ชายได้ทำมื้อเช้าเสร็จแล้ว เอาไว้บนตู้เก็บอาหารรักษาอุณหภูมิ พอหม่ามี๊ตื่นมาก็กินได้แล้วค่ะ”

เธอเอาโจ๊กออกมา ตอนนี้โจ๊กยังอุ่นอุ่นอยู่ เหมาะกับการกินตอนนี้จริงๆ เธอหยิบแตงกวาดองที่ลั่วหลิงได้ดอกเองกับมือ มันกรอบมากจริงๆ กินคู่กันกับโจ๊กช่างฟินเหลือเกิน

มือของเธอก็กินโจ๊กไป ส่วนหน้าอกก็กำลังจับไว้IPAD เธอไถดูข่าวของเยี่ยหวงอีก

ตามข่าวที่รายงาน วันนี้เยี่ยแจว๋ได้เปิดให้นักข่าวสัมภาษณ์ เขาบอกว่าเขาจะกลับมาช่วยลูกชายของเขาเพื่อจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่เป็นเพียงบททดสอบเล็กๆของเยี่ยหวงเท่านั้น กว่าที่เยี่ยหวงจะเจริญเติบใหญ่ถึงขั้นนี้ก็ประสบกับปัญหาต่างๆพายุฝนกระหน่ำมาไม่น้อย เพราะฉะนั้น นี่เป็นเพียงแค่บททดสอบเล็กๆเท่านั้น ไม่สามารถที่จะสั่นคลอนต่อพวกเขาได้ อีกอย่างเรื่องนี้มันก็สามารถทำให้เยี่ยหวงยิ่งจะเติบโตเติบใหญ่ยิ่งขึ้น

อย่างน้อยเยี่ยแจว๋ก็เป็นคนก่อตั้งบริษัทเยี่ยหวงขึ้น หลายปีที่ผ่านมานี้เยี่ยหวงเติบใหญ่ทุกคนก็เห็นเป็นประจักษ์ตา ในฐานะของท่านประธานใหญ่นี้แล้ว ในสายตาผู้ถือหุ้นต่างๆแล้วเขาก็ยังดูมีอำนาจอยู่ ยังสามารถที่จะพอโน้มน้าวได้ ในเมื่อท่านประธานใหญ่ยืนออกมาพูดแบบนี้แล้ว ก็สามารถช่วยได้บ้าง

เพราะงั้นสถานการณ์ของเยี่ยหวงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ก็ไม่ได้แย่ลงและเริ่มมั่นคงขึ้น

พอกินมื้อเช้าเสร็จ เธอก็นำถ้วยไปวางที่ซิงค์ล้างจาน พับแขนเสื้อขึ้นเตรียมตัวที่จะล้าง แต่ในทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น

ซินเหยาเช็ดมือไปที่ผ้ากันเปื้อน จากนั้นนำมือถือออกมา เป็นสายของป๊ะป๋านี่เอง

“หึ” ซินเหยาถอนหายใจออกมาดังดังแหละเอามือถือใส่กลับไปในกระเป๋าดังเดิมและล้างถ้วยต่อ เสียงของมือถือมันดังหยุดและดังขึ้นอยู่เรื่อยเรื่อย เธอล้างถ้วยไปและฟังเสียงที่ส่งออกมาจากมือถือไป หนึ่งครั้ง…..สองครั้ง……สามครั้ง……สี่ครั้ง……ห้าครั้ง……รวมทั้งหมดเก้าครั้ง ก็ไม่ได้ดังแล้ว

มือที่เรียวยาวของจิงเฉินสไลด์ไปบนหน้าจอมือถือ หน้าจอมือถือสว่างขึ้นและมืดลง เขาโทรหาเธอไม่หยุด แต่ก็มีเสียงผู้หญิงเย็นชาส่งออกมาจากในมือถือว่า : “ขออภัยค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ Sorry,The subscriber you dialed cannot beconnected for theter。”

“ขอโทษครับ คุณคือ……”

ซินเหยาฟังเสียงสายที่โทรเข้ามาอย่างมีความสุข และนำถ้วยที่ล้างเสร็จใส่ไปไว้ในตะแกรง

ในตอนที่มือของเธอยังเช็ดไม่ทันแห้ง มือถือก็ไม่ได้ดังอีกแล้ว

ในใจเธอรู้สึกไม่ค่อยจะดีใจนัก เธอเช็ดมือให้แห้ง จากนั้นหยิบมือถือออกมา

หน้าจอมือถือมีการแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับจากจิงเฉินอยู่9สาย

เมื่อเห็นเลขที่มงคลเช่นนี้ ในใจของซินเหยาก็คิดว่าเธอมีค่าแค่9สายเองงั้นหรอ? เมื่อคืนที่เธอโทรไปเกือบ 100 สายให้เขาล่ะมันหมายความว่าอย่างไร?

ถ้าเทียบกันแบบนี้ เธอร้องไห้ตายแล้ว

เธอรู้สึกโกรธอยู่หน่อยๆ จากวันนี้ไปเธอจะไม่โทรหาจิงเฉินอีกแล้ว เธอเปิดโทรศัพท์มือถือออกมาและอยากลบไปที่ชื่อของเขาในบัญชีรายชื่อการโทร

ในตอนที่เธอกำลังสับสนว่าจะลบหรือไม่ลบอยู่นั้น เสียงของมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้มันไม่ใช่สายที่โทรเข้ามา แต่เป็นข้อความ :

ผมป่วยแล้ว กำลังนอนอยู่โรงพยาบาล รู้สึกไม่สบายมาก

นี่เป็นข้อความที่ส่งมาจากจิงเฉิน มันธรรมดาเรียบเรียบ แต่ว่าในใจของซินเหยาทำไมรู้สึกถึงความสงสารขึ้นมาเล็กน้อย เขาเหมือนกับกำลังอ้อนอยู่เล็กๆเหมือนกัน การอ้อนแบบนี้มันหมายความว่าอะไรกันนะ

รู้สึกท่านประธานน่ารักเอามาก หรือว่านี่จะเรียกว่าท่านประธานคิ้วท์คิ้วท์

“เป็นหนักหรือเปล่า?” เธอเดินไปในห้องรับแขก นั่งลงบนโซฟาและพิมพ์ถามกลับ

ครั้งนี้มันด่าเขาชัดๆแบบไม่อ้อมค้อมเลย คนโง่คนนั้นก็คือจิงเฉิน

เขานอนอยู่บนเตียงและเห็นข้อความที่ซินเหยาส่งกลับมา ทำให้เธอหัวเราะจนจะบ้าตายแล้ว

มือข้างหนึ่งของเขาท้าวไว้ที่หัว ส่วนอีกข้างใช้พิมพ์ตอบกลับ

“หนักมาก ไม่รู้ว่าตอนไหนถึงจะได้ออกจากโรงพยาบาล” จิงเฉินตอบ

ไม่รู้ว่าตอนไหนถึงจะได้ออกจากโรงพยาบาล? ระดับความรวยของเขากับระดับเทคโนโลยีของโรงพยาบาลมันไม่สามารถรู้ได้จริงๆหรอ

ป่วยหนักขนาดนี้เลยหรอ? ซินเหยาตกใจไปหมด ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบกลับไปยังไง ข้อความของอีกฝั่งก็ดังขึ้นแล้ว

“อาหารของโรงบาลไม่อร่อย ไม่อยากกิน”

จิงเฉินเมินเฉยต่อพยาบาลที่มาถามเขาว่าจะโทรสั่งอาหารจากโรงแรมมาหรือเปล่า หน้าเขาเย็นชา จากนั้นจึงส่งข้อความให้ซิมเหยา

“ท่านประธานคะ อาหารกลางวันวันนี้ท่านประธานอยากทานอะไรคะ?” นางพยาบาลคนนั้นโดนหน้าตาอันหล่อเหล่าของจิงเฉินทำให้มัวเมาไปหมด แก้มสองข้างของเธอแดงขึ้น อยากจะก้มและอมพร้อมคลอดลูกให้เขาจริงๆ

“ไม่ต้องแล้ว ผมไม่หิว” จิงเฉินหลังจากที่ส่งข้อความเสร็จก็พูดตอบเธอ

“ไม่อยากทานอะไรไม่ได้นะคะ ฉันรู้จักร้านอาหารร้านหนึ่งที่อร่อยมาก ให้ฉันสั่งให้ท่านประธานไหมคะ?”

“ผมไม่ชอบให้คนขัดคำสั่งผม ถ้ายังมีเป็นครั้งที่สอง พรุ่งนี้คุณก็ไม่ต้องมาทำงานแล้ว” จิงเฉินพูดขึ้นอย่างเย็นชา

นางพยาบาลคนนั้นถูกจริงเฉินมองด้วยสายตาที่น่ากลัวจนขาเธอสั่นไปหมด จากนั้นจึงรีบออกไปอย่างรวดเร็ว

เทพบุตรคนนี้ช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน แต่ก็หล่อเหลาเอามาก เธอเกือบจะเป็นแฟนคลับตัวยงของเขาไปแล้ว

“บาดเจ็บตรงไหน?” ซินเหยาพิมพ์ถามส่งไป

“หัวบาดเจ็บ เลือดออก” จิงเฉินตอบกลับ

หัวบาดเจ็บ รู้สึกว่ามันหนักเอามาก

“อ๋อ งั้นก็พักผ่อนดีดีล่ะ อย่าคิดอะไรมาก” ซินเหยาตอบกลับอย่างเย็นชา

“บรรยากาศในโรงพยาบาลมันเย็นยะเยือกมาก ไม่มีคนคุยเป็นเพื่อนเลย” จิงเฉินบ่นขึ้น

ลั่วหลิงถามซินเหยาว่ามื้อเที่ยงอยากทานอะไร ซินเหยาตอบว่า : “หม่ามี๊อยากดื่มซุปกระดูกหมู ต้มเยอะหน่อยแล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เธอจึงนึกได้ว่าถ้าเกิดหัวบาดเจ็บ จะต้องกินซุปกระดูกหมู

ที่จริงเธอชอบซุปกระดูกไก่มากกว่า วันนี้อยากดื่มซุปกระดูกไก่กว่า

“ได้ครับ” ลั่วหลิงพยักหัวตอบว่าเที่ยงนี้จะทำซุปกระดูกหมู

ซินเหยาเลียไปที่ริมฝีปากของตัวเอง น้ำลายเธอจะไหลออกมาแล้ว

เธอคิดไปคิดมา ความจริงเธอก็อยากไปเยี่ยมเขาอยู่ แต่ว่ามันก้าวข้ามผ่านเรื่องในใจเรื่องนั้นไม่ได้

จิงเฉินกับเธอเป็นอะไรกัน เขาป่วยมาเธอจำเป็นต้องไปเยี่ยมเขาด้วยหรอ ยังให้ลูกชายของเธอต้มซุปกระดูกหมูไปให้เขาเพื่อรักษาตัวอีก

ที่เธออยากเอาซุปกระดูกหมูไปให้เขา เธอก็ไม่ได้เป็นห่วงเขานะ

เป็นเพราะว่าเธอเห็นตอนที่ป๊ะป๋าป่วยแบบนี้แล้วตัวเองสามารถที่จะนำความอบอุ่นประดุจดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิมาให้เขาได้ ให้เขาได้สัมผัสถึงความอบอุ่นนี้ พอเขาออกมาจากโรงพยาบาล ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้เงินเธอสักพันล้านก็ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีหรอ?

ที่เธอเป็นห่วงป๊ะป๋าไม่ใช่เป็นห่วงสุขภาพเขาหรอก แต่เป็นห่วงเงินเขาต่างหาก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอจึงเตรียมตัวเลย

“ถ้าแกยังเดินออกไปอีกหนึ่งก้าว ของทั้งหมดของแกมันจะสูญสิ้นไปหมด” เยี่ยแจว๋พูด

จิงเฉินไม่ได้หันกลับหลังมา เหมือนทำเป็นไม่ได้ยิน

พ่อของเขาตอนหนุ่มๆเป็นคนที่มากฝีมือมาก แต่ว่าพ่อแก่มาแล้วก็ยิ่งมึนไปกันใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เอาความคิดเห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางด้วยเหมือนกัน

เขายังคิดว่าตัวเองทรงอิทธิพลแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนที่จะเรียกฟ้าเรียกฝนได้ แค่คำพูดคำเดียวก็คิดว่าจะหยุดจิงเฉินได้ แต่ว่าตอนนี้ชะตาชีวิตของจิงเฉินต่างก็อยู่ในกำมือของตัวเองแล้ว

จิงเฉินไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงงๆในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมจึงต้องมาแสดงละครโง่ๆกับคนพวกนี้อยู่ อีกอย่างทุกครั้งที่มาแสดง ก็แสดงได้ครึ่งเดียวเท่านั้นเอง

เมื่อเยี่ยแจว๋เห็นจิงเฉินเดินออกไป ก็นั่งลงบนโซฟาอย่างไม่มีเรี่ยวมีแรง เหมือนกับตัวเองแก่ลงไปอีก 10 ปี

“พ่อครับ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? พ่อดูสีหน้าที่เย่อหยิ่งของมันนั่นสิ มันไม่สนใจพ่อเลย” จิงซิงทนดูสีหน้าท่าทางการกระทำอันป่าเถื่อนนั้นของจิงเฉินไม่ได้เลย และพูดกับเยี่ยแจว๋ขึ้น

ในสายตาของจิงซิง พ่อของเขายังเป็นคนที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่

“หุบปาก บริษัทเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ แกจะจัดการยังไง?” เยี่ยแจว๋มองไปที่หน้าลูกชายของตัวเอง

สายตานั้นมันดูน่ากลัวมากจริงๆ

“พ่อครับ พ่อให้จิงเฉินกลับมาช่วยงานผมก็ได้แล้ว พ่อก็รู้ว่าเมื่อก่อนเป็นจิงเฉินที่ดูแลจัดการมาตลอด บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ผมยังไม่ค่อยคุ้นชินกับระบบภายในของงานอะไรมากมาย ตอนนี้บริษัทก็เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน เพราะงั้นผมจึงยุ่งไปหมดไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพียงแค่ให้เวลาผมอีกซักหน่อย ให้ผมค่อยค่อยที่จะเรียนรู้การจัดการภายในตลอดจนถึงงานทั้งหมดของบริษัท ผมรับรองว่าผมต้องทำออกมาได้อย่างดีแน่ ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังอีก พ่อเชื่อผมเถอะนะ” จิงซิงยืนอยู่หน้าพ่ออันเป็นที่รักของเขาและพูดขึ้น

สำหรับจิงเฉินแล้ว เยี่ยแจว๋อาจจะไม่ใช่เป็นพ่อที่ดีนัก แต่สำหรับจิงซิงแล้ว เขาเป็นพ่อที่ดีเอามากๆ

“เมื่อไหร่แกจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้จริงๆห๊ะ! เมื่อไหร่ที่จะไม่ทำให้ฉันต้องเป็นห่วงอยู่แบบนี้” เยี่ยแจว๋พูดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

“พ่อครับ ผมขอเวลาอีกซักหน่อย ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังแน่” จิงซิงพูดรับประกัน

“เรื่องนี้ฉันจะไปช่วยแกจัดการเอง” เยี่ยแจว๋พูด

“ขอบคุณครับพ่อ” ใบหน้าที่เหมือนกระดี่ได้น้ำของจิงซิงพูดขึ้น

“เอาล่ะเอาล่ะ เรื่องนี้ก็เป็นอันจัดการเสร็จแล้ว” คุณนายหญิงแห่งตระกูลเยี่ยที่เมื่อกี้หดหัวไม่ยอมออกมาในที่สุดก็พูดออกมาแล้วสินะ เธอยังพูดต่อว่า : “จิงซิง ในใจของพ่อเขาลูกสำคัญที่สุดนะ ลูกต้องพยายามตั้งใจให้มากๆ อย่าทำให้พ่อเขาผิดหวังอีกล่ะ พูดเรื่องซีเรียสมานานขนาดนี้ ทุกคนคงจะหิวแล้วแหละ ให้คนใช้ไปทำกับข้าวที่พ่อของลูกชอบซะหน่อย ถือซะว่าเป็นมื้อดึกแล้วกัน”

“เอาสิ” เยี่ยแจว๋โบกมือ เมื่อได้ยินจิงซิงรับประกันแบบนี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

ในที่สุดพายุโหมกระหน่ำเมื่อกี้ก็จบลงแล้ว หลิวแสว่และจิงซิงสองแม่ลูกก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

ตอนที่กินมื้อดึกนั้น สามารถใช้คำว่า’อบอุ่น’มาบรรยายได้

รถที่จิงเฉินขับเป็นรถแข่งระดับพรีเมี่ยม ไม่ใช่แค่เอาไว้อวดความรวยแต่มันยังเอาไว้ซิ่ง

เป็นเพราะตอนกลางคืน รถบนถนนจึงไม่มากนัก แสงไฟข้างทางส่องกระทบไปบนถนน มันทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวเย็นยะเยือกอยู่หน่อยหน่อยบรรยากาศแบบนี้มันเหมือนกับสภาวะจิตใจของจิงเฉินตอนนี้เอามาก

เห็นได้ชัดว่ารถของจิงเฉินมันวิ่งด้วยความเร็วที่เกินลิมิต แต่ว่าเมื่อเห็นป้ายทะเบียนรถของเขาแล้ว กลับไม่มีตำรวจคนไหนที่จะกล้ามาหยุดรถเขาเลย

ที่เขาบอกเยี่ยแจว๋ว่าจะไปโรงพยาบาลนั้น เขาก็ไปโรงพยาบาลจริงๆ

ที่บอกว่าบริษัทเยี่ยหวงเป็นบริษัทที่ใหญ่ต้นต้นของเมืองBนั้นไม่ได้พูดเล่นเลย เพราะไปที่ไหนต่างก็เป็นหุ้นของเหยื่อหวงหมด

รวมไปถึงโรงพยาบาลเอกชนที่แพงที่สุดในเมืองBนี้ด้วย เยี่ยหวงมีหุ้นอยู่ในนั้นประมาณ 20% เป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่มากจริงๆ

สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่แบบนี้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีห้องVIP

เมื่อจิงเฉินถึงโรงพยาบาล ทันใดนั้นเขาก็ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด มีคุณหมอที่เก่งที่สุดมาตรวจเขาและช่วยเขาทำแผล

“ท่านประธานเยี่ยครับ แผลของท่านไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก ตอนนี้ก็สามารถออกโรงพยาบาลได้แล้ว” คุณหมอพูดกับจิงเฉินอย่างเคารพนอบน้อม

จิงเฉินกึ่งนอนอยู่บนเตียง เอามือสองข้างสอดประสานกันและเอาไว้ข้างหน้าพร้อมพูดกับคุณหมอด้วยสีหน้าที่อมทุกข์ว่า : “ผมรู้สึกว่าผมไม่ค่อยจะรู้สึกดีสักเท่าไหร่ ส่วนหัวเป็นส่วนของมนุษย์ที่มันซับซ้อนมากที่สุด บางครั้งหากเกิดปัญหาขึ้น เทคโนโลยีปัจจุบันก็ยังไม่สามารถที่จะตรวจหาได้ เพราะงั้นผมจึงคิดว่าควรจะรอดูอาการอยู่ที่นี่อีกซักสองสามวัน ไม่ควรที่จะรีบออก หัวหน้าฉี่คิดว่าอย่างไร?

ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว จะให้หัวหน้าฉีตอบว่าอะไรได้

“ใช่ครับ ท่านประธานพูดถูก” หัวหน้าฉีเช็ดไปที่เหงื่อบนหน้าผากของตัวเองที่ไหลออกมาพร้อมกับผงกหัวตอบ

รู้สึกว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงของตัวเองมันสั่นขึ้น จิงเฉินจึงยิ้มไปที่มุมปากและหัวเราะออกมาอย่างบริสุทธิ์เบาเบาพร้อมกับพูดว่า : “เอาล่ะ คนเยอะเกินไปทำให้ผมปวดหัว พวกคุณออกไปได้แล้ว อาการป่วยของผมต้องการรักษาแบบเงียบเงียบ ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน คนที่มาตรวจสอบอาการก็ไม่ต้องให้มารบกวนผมแล้ว”

“ครับ ท่านประธานพักผ่อนเถอะครับ”

รอจนถึงในห้องนั้นมีเขาคนเดียว จิงเฉินจึงหยิบมือถือที่สั่นไม่หยุดออกมา

ตอนที่อยู่บนถนน มือถือนี้มันก็สั่นอยู่เรื่อยเรื่อยแล้ว

อารมณ์เขาไม่ดี จึงได้เปลี่ยนเป็นโหมดสั่น

เมื่อเห็นชื่อสายที่โทรเข้ามา จิงเฉินจึงยิ้มมุมปากขึ้น อารมณ์ไม่เลวเลยนะ

แต่ว่าเขาไม่ได้รับสายนั้น เห็นซินเหยาโทรเข้าอย่างไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าเธอต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ

เขาจำได้ว่าสองวันก่อนที่โทรหาซินเหยา มันสั่นไปประมาณสองรอบแต่ทันใดนั้นเครื่องทางโน้นก็ปิดลง เรื่องนี้เขาจำมันได้อย่างชัดเจน ตอนนี้จึงให้บทเรียนเล็กๆน้อยๆกับซินเหยา ให้เธอได้ลิ้มลองรสชาตินี้หน่อย(ป๊ะป๋าเอาแต่ใจขนาดนี้ซินเหยารู้หรือป่าว?)

จิงเฉินจับไว้มือถือ แต่ก็ไม่ได้รับ

จิงเฉินรู้สึกว่าปัญหาในใจของเขามันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว อีกอย่างเรื่องทางบริษัทเขาก็มีแผนว่าจะจัดการอย่างไรแล้ว ตอนนี้มันก็ง่วงได้แล้ว สามารถที่จะนอนลงอย่างสบายใจได้แล้ว

เช้าวันถัดมา เธอตื่นขึ้น ตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงกว่าๆแล้ว เธอเปิดผ้าม่านออก และบิดขี้เกียจไปหนึ่งกรุบ

จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องนอนของเธอ วันนี้เป็นวันเสาร์ เพราะฉะนั้นโรงเรียนจึงหยุด ลั่วหลิงและเข่อหลานก็อยู่บ้านด้วย

มันได้ยินแต่เพียงเสียงรอสาย ใจของเธอจากที่เต้นแรงมันก็เริ่มจะสงบลง

แม่เจ้า ป๊ะป๋าทำไมไม่รับโทรศัพท์เธอ

ไม่ได้ เธอต้องโทรให้ติดให้ได้ ถึงจะไม่พูดอะไร แต่ก็ต้องกวนเขาให้ได้สักหน่อย

นี่มันไม่ยุติธรรมเลย เธอไม่เคยที่จะไม่รับสายของป๊าป๋าเลยนะ (สองวันก่อนที่เธอไม่รับโทรศัพท์คือเธอเมินเขาเอง เธอไม่มีเหตุผลแบบนี้ ป๊ะป๋ารู้หรือเปล่า?)

ถ้าเกิดคืนนี้เธอยังโทรไม่ติด เธอคงจะนอนไม่หลับแน่ๆ

เธอก็ไม่ได้เป็นคนราศีกันย์นะ ทำไมถึงต้องดื้อดึงย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องพวกนี้ด้วย

รับสิ รับสิ รับสิ เธอไม่รู้ว่าเธอโทรไปกี่สายแล้ว มันโทรติดนะแต่ว่าไม่มีคนรับ

เธอยืนโทร เดินโทร นั่งโทร ลืมตาโทร หลับตาโทร

แต่ว่าเธอโทรไปโทรมาจนหลับ สำหรับที่ว่าเธอโทรไปกี่สายนั้นเธอก็ไม่รู้

สุดท้ายโรคย้ำคิดย้ำทำและโรคนอนไม่หลับของเธอก็รักษาหายแล้ว

แน่นอนว่าจิงเฉินเห็นสายของซินเหยา เพียงแต่ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น

นับตั้งแต่เรื่องเกิดขึ้นถึงสายโทรศัพท์ของเธอ ประมาณเกือบๆ 10 ชั่วโมงได้ ในระหว่างนี้จิงเฉินไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลยสักอย่าง ปล่อยให้คนด่ากราดและปล่อยให้หุ้นของบริษัทร่วงลงไปอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการกระทำนี้ของเขาแล้ว เขาให้คำคุณศัพท์มาบรรยายหนึ่งคำคือ : ล้มเหลว

ตอนกลางคืนประมาณสี่ทุ่ม จิงเฉินถูกเยี่ยแจว๋เรียกกลับบ้าน

จิงเฉินใส่ไว้ชุดสูทสีดำ สีหน้าของเขามันดูไร้อารมย์เย็นชาเปรียบดังรูปแกะสลักของจิตรกร มันไม่มีรอยขีดข่วนอยู่บนนั้น ถึงแม้ว่ามันจะน่าดูน่าชมเอามาก แต่ว่ามันก็ทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในขณะเดียวกัน แววตาที่ดำทมิฬของเขามันช่างไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือเลย

หลังจากที่จิงเฉินกลับมาถึงบ้าน นอกจากจิงซูที่เรียนอยู่ต่างประเทศแล้ว ทุกคนก็พร้อมหน้าพร้อมตากันมาก

“พ่อเรียกผมมามีอะไรหรอครับ?” จิงเฉินเดินเข้ามา ยังไม่ทันนั่งก็ถามพ่อของเขาด้วยสีหน้าที่เย็นชา

สีหน้าของเยี่ยแจว๋ตอนแรกมันมันก็ดูแย่มากแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของลูกชายตัวเองมันก็ยิ่งโกรธไปกันใหญ่

เพิ่งให้ลูกชายไปดูแลบริษัทไม่ถึงครึ่งเดือน สุดท้ายบริษัทก็วุ่นวายไปกันหมด

ตอนแรกเขายังอยู่ต่างประเทศพักร้อน สุดท้ายผู้ถือหุ้นของบริษัทต่างโทรมาหาเขา เขาถึงได้รู้ว่าบริษัทเกิดเรื่องต่างๆพวกนี้ขึ้น

ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ผู้ถือหุ้นคนอื่นเป็นคนบอกเขาหล่ะก็ เรื่องพวกนี้เขาคงไม่รู้แน่

ก่อนที่จิงเฉินจะมา เขาก็ได้สั่งสอนจิงซิงไปแล้ว ตอนนี้จิงซิงไม่ได้มีความอวดเก่งเหมือนตอนแรกแล้ว หน้าซีดเป็นไก่ต้ม แต่เมื่อเห็นจิงเฉินมา ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้ดีขึ้นทันที

“พูดอย่างนี้ได้ไง” สีหน้าของเยี่ยแจว๋ที่ไม่ได้ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเห็นน้ำเสียงสีหน้าของจิงเฉินก็ยิ่งไม่ดีไปกันใหญ่ สมกับที่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ

“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหรอครับถึงเรียกผมกลับมา?” จิงเฉินยิ้มไปที่มุมปากหัวเราะแห้งออกมา

สีหน้าของจิงเฉินมันดูเย็นยะเยือกเอามาก ปากก็เซียวซีด มันทำให้เห็นว่าตอนนี้เขาชักจะทนไม่ไหวแล้ว

เขาจับไปที่ตัวของตัวเอง อยากจะหยิบบุหรี่สักมวนออกมา แต่ว่าลูบจับไปทั้งตัวถึงได้รู้ว่าวันนี้เขาไม่ได้พกบุหรี่มา

เยี่ยแจว๋ตอนนี้รู้สึกโกรธเอามาก เขายกแก้วชาที่วางอยู่ขึ้นมาและใช้แรงโยนใส่ไปที่จิงเฉิน จิงเฉินไม่ได้หลบ ปล่อยให้แก้วชาแก้วนั้นโยนมาที่ตัวเอง น้ำชามันหกใส่ตัวเขาไปหมด

เสื้อบนตัวเขาเป็นเสื้อสูทระดับแพง แต่ตอนนี้มันเปื้อนไปด้วยน้ำชา

เยี่ยแจว๋โยนไปอย่างแรง แก้วนั้นจึงตีถูกบนหน้าผากของจิงเฉิน เลือดค่อยๆไหลออกมาจากหน้าผากลงมา มันทำให้เขาดูไม่ได้จริงๆแต่ก็มีความหล่อแบบดิบๆซ่อนอยู่

โลกนี้เป็นโลกที่ดูรูปลักภายนอกจริงๆ คนที่หน้าตาดีถึงจะเป็นอย่างไรก็หน้าตาดีอยู่วันยันค่ำ

คุณผู้หญิงของตระกูลเยี่ยเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตกใจขึ้น หลบหน้าหนีไม่ยอมพูด

จิงซิงเมื่อเห็นจิงเฉินโดนไปอย่างนั้นในใจก็รู้สึกดีใจอยู่นิดนิด เขารู้สึกโล่งใจไปหน่อยเพราะว่าถ้าไอ้แก่นั่นระบายอารมณ์กับจิงเฉินไปแล้ว ตัวเขาเองก็น่าจะไม่โดนแล้ว

“เรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัทแกรู้ไหม?” เยี่ยแจว๋ถามขึ้นอย่างโกรธ

“ไม่รู้ ผมลางานอยู่” จิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา

“บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แกไม่รู้นี้นะ แกเคยใส่ใจกับบริษัทหรือเปล่า มีความรับผิดชอบหน่อยหรือเปล่า” เยี่ยแจว๋โกรธควันออกหู

“ผมกำลังลาพัก ไม่เหมาะที่จะแทรกมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของบริษัท เรื่องของบริษัทก็ยกให้พี่ใหญ่เป็นคนจัดการแล้ว” จิงเฉินพูดดำน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก

“ยังมาพูดแบบนี้อีก” เยี่ยแจว๋คิดว่าจิงเฉินจะผลักภาระนี้ให้กับคนอื่น

“ถ้าคุณฟันธงแล้วว่าเรื่องนี้มันเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก” จิงเฉินยื่นมือออกไปปัดเศษน้ำบนตัวของตัวเอง และตอบกลับอย่างไม่สนใจ

“ตอนนี้บริษัทเกิดเรื่องนี้ขึ้น ให้แกมาช่วยพี่แกจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสรรพ” เยี่ยแจว๋เมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาบนหน้าผากของจิงเฉินก็อดทนและพูดต่อไปอีกว่า : “ภายภาคหน้าบริษัทก็เป็นของแกและพี่แกสองคน อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”

จิงเฉินมองไปที่ผู้ชายที่นั่งไว้ตรงนั้นด้วยแววตาที่เยาะเย้ยดูถูก

เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแก่มากแล้ว อีกอย่างยังมึนอีกด้วย คำพูดพวกนี้ที่พูดออกมาขนาดจิงซูลูกชายคนเล็กเขาที่อายุน้อยสุดก็น่าจะยังไม่เชื่อเลยมั้ง?

“คงต้องทำให้คุณผิดหวังแล้วแหละ รอบนี้ตอนที่ผมไปสำรวจโปรเจคที่เมืองHก็เกือบจะประสบอุบัติเหตุทางรถแล้ว มันจึงทำให้ผมรู้สึกตกใจขวัญหายเอามาก เพราะงั้นเรื่องของบริษัทต่างๆผมจึงไม่สามารถมาดูแลได้ อีกอย่างตอนนี้ผมยังบาดเจ็บ ผมสงสัยว่าเลือดผมคงจะคลั่งในสมอง ตอนนี้ต้องไปโรงพยาบาลด่วน เรื่องต่างๆในบริษัทก็ยกให้พี่ใหญ่เป็นคนดูแลเลย ผมวางใจเขามาก แค่นี้นะ ถ้าคุณพูดจบแล้วก็แค่นี้” จิงเฉินไม่อยากที่จะสนใจผู้ชายคนนี้อีกต่อไป จากนั้นก็หันหลังและเดินจากไป

“จิงเฉิน แกหยุดอยู่ตรงนั้นนะ ทำไมถึงกล้ามาพูดกับฉันแบบนี้ เมื่อกี้ที่แกพูดมันหมายความว่าอะไร โทษฉันหรอว่าฉันไม่ควรโยนแก้วนั้นใส่แก ตอนนี้แกก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วน่ะสิ คำพูดของฉันก็ไม่ฟังกันแล้วใช่ไหม”

ที่แท้คำพูดที่เขาพูดไปเมื่อกี้ พ่อของเขากลับจับใจความได้แบบนี้หรอ?

“งั้นคุณคงอยากให้เลือดผมออกหมดตัว? ถ้าเกิดว่าผมอยากตายจริงๆก็คงไม่เลือกเวลานี้หรอก เพราะกลัวว่างานศพของผมจะไม่มีคนมาร่วมงาน มันดูโหดร้ายเกินไป” จิงเฉินเมื่อได้ยินที่เยี่ยแจว๋พูดขาที่ก้าวไปก็ชะงักขึ้น และพูดตอบกลับออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังหัวเราะเยาะตัวเองหรือเยาะเย้ยคนอื่น

“ฮะ มันหนักขนาดนั้นเลยหรอคะ?” เธอจับไว้มือถืออย่างแน่น ในใจรู้สึกมีความเป็นห่วงอย่างมาก

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป๊ะป๋ากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้? เรื่องที่เกิดขึ้นในบริษัทก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจัดการได้หรือเปล่า? คงไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรอกมั้ง?

“มันหนักมากจริงๆ” ซวี่เจ๋อผงกหัว และพูดอีกว่า “แต่ว่าคุณก็ไม่ต้องกังวลไปมาก คนอย่างจิงเฉินเขาจัดการได้อยู่แล้ว อย่าดูถูกความสามารถเขาไปหน่อยเลย”

หลังจากที่ซินเหยาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจลง

“ฉันไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย” เธอยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆและพูดเสริมไปอีกว่า : “ฉันก็แค่กังวลว่าโปรเจ็คที่ฉันรับผิดชอบอยู่นั้นมันจะได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ใช่แค่ไม่ได้เงินเดือน แต่นี่ยังเป็นโปรเจคแรกที่ฉันทำตอนเข้ามาในบริษัท ถ้าเกิดว่าโปรเจ็คนี้มันล่ม ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบของใครมันใครมันก็ดูเลวร้ายทั้งนั้น ตำแหน่งของฉันตอนนี้มันก็ดูทะมักทะแมงอยู่แต่ไหนแต่ไรแล้ว มันก็มีคนที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นตำแหน่งหัวหน้าออกแบบของบริษัทCKนี้ฉันคงนั่งไม่ติดแล้วแหละ”

การอธิบายครั้งนี้ของซินเหยามันดูสมเหตุสมผลมาก แต่พอฟังดูแล้วมันเหมือนกับการกลบเกลื่อนความเป็นจริงยังไงยังงั้น

“คุณวางใจได้เลย ความสามารถของคุณนั้นทุกคนก็เห็นเป็นประจักษ์ตาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานของคุณจะไม่ชอบคุณเท่าไหร่ แต่ว่าผมเชื่อว่าคุณสามารถทำให้พวกเขายอมรับในความสามารถในตัวคุณได้อย่างแน่นอน” เขาพูดอย่างอบอุ่นให้เธอฟัง

ซินเหยาหัวเราะออกมา เอามือสองข้างประสานกันและวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับพูดว่า : “คุณเชื่อในตัวฉันมากกว่าฉันเชื่อในตัวเองอีกนะคะ”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว ผลงานการออกแบบของคุณผมก็เคยเห็นผ่านตามา” ซวี่เจ๋อพูด

“เดี๋ยวคุณยังต้องขับรถอยู่ เราจึงไม่ดื่มเหล้า” ซินเหยายกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นและพูดว่า : “งั้นฉันขอเอาชาแก้วนี้แทนเหล้าเป็นการขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณในวันนี้นะคะ

“คุณสมควรได้รับมัน” ซวี่เจ๋อยกแก้วชาของตัวเองขึ้นและชนกับแก้วของซินเหยา

ในตอนที่ซินเหยาและซวี่เจ๋อกำลังคุยกันอยู่นั้น เข่อหลานก็มองไปที่ลั่วหลิงและกระพริบตาขึ้น

เธอกระซิบเข้าไปที่ข้างหูของลั่วหลิงเบาเบาว่า : “พี่คะ ‘จิงเฉิน’คนที่ลุงฟางกำลังพูดถึงคือคุณลุงหล่อๆนั้นหรอคะ

“ชูว์……” ลั่วหลิงเอานิ้วชี้ป้องไปที่ปากของตัวเอง เพื่อเป็นการบอกให้น้องสาวไม่สามารถบอกซินเหยาเรื่องนั้นได้

“ค่ะ” เข่อหลานผยักหัว

ที่แท้หม่ามี๊และคุณลุงฟางต่างก็รู้จักพี่ชายที่หล่อเหลาคนนั้นนี่นา

“พี่คะ เหมือนคุณลุงคนนั้นจะเจอปัญหาเข้าให้” เข่อหลานพูดอย่างกังวลใจ ขมวดคิ้วขึ้นและพูดกับพี่ชายของเธออีกว่า : “ไม่อยากให้คุณลุงคนนั้นเจอกับปัญหาเลยค่ะ พวกเราสามารถช่วยอะไรเขาได้หรือเปล่า?”

“วางใจได้ ไม่เป็นอะไรไปหรอก คุณลุงฟางก็บอกหม่ามี๊แล้วว่าเขาเป็นคนที่ฉลาด สามารถที่จะจัดการเรื่องนี้เองได้” ลั่วหลิงพูด

เข่อหลานนิ่งคิดไปสักพัก ที่พี่ชายของเธอพูดมามันก็มีเหตุผลอยู่นะ

เธอนิ่งคิดไปสักพัก และเอามือป้องปากหัวเราะออกมาเบาเบาและพูดว่า : “พี่ดูสีหน้าของหม่ามี๊ตอนนี้สิคะ ดูเป็นห่วงคุณลุงคุณหล่อคนนั้นเอามาก”

“ถ้าน้องยังพูดไปเรื่อยแบบนี้อีก ระวังก้นจะลายเอานะ” ลั่วหลิงพูดเตือน

“ค่ะ หนูไม่พูดหรอกค่ะ” เข่อหลานพยักหน้าและพูดรับปากกับพี่ชายของเธอ

เมื่อเห็นซินเหยาและซวี่เจ๋อพูดจบแล้วนั้น ในที่สุดเด็กทั้งสองก็สามารถพูดแทรกเข้ามาได้

เข่อหลานเป็นเด็กที่กล้าเอามาก เธอยกแก้วขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงใสใสนุ่มนุ่มว่า : “งั้นเรามาชนแก้วกันหน่อยเถอะค่ะ ทำเอาซิมเหยาไปไม่เป็นจริงๆ เธอบีบไปที่จมูกของลูกสาวตัวแสบของเธอและพูดว่า : “หนูหน่ะ รู้จักคำว่าชนแก้วฉลองแล้วหรอ”

“หนูรู้ค่ะ” เข่อหลานทำปากจู๋และพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจหน่อยหน่อย

“มาเถอะค่ะมาเถอะค่ะ คุณลุงฟางเรามาชนแก้วกันเถอะ” เข่อหลานมองไปที่ซวี่เจ๋อและเริ่มอ้อนเขา

แต่ไหนแต่ไรซวี่เจ๋อก็ชอบเด็กสองคนนี้อยู่แล้ว เขายกแก้วขึ้นและพูดว่า : “วันนี้เข่อหลานและลั่วหลิงได้ที่หนึ่งมา ก็ควรจะฉลองสักหน่อย ยินดีกับพวกหนูด้วยนะ”

“ดูคุณสิ” ซินเหยามองบนใส่ซวี่เจ๋อไปหนึ่งแมตช์และพูดขึ้น

“ได้ มาชนแก้วกัน ฉลองให้พวกหนูที่ได้ที่หนึ่ง พวกหนูเป็นลูกรักที่เยี่ยมยอดกระเทียมดองของหม่ามี๊ที่สุดในโลกเลย” เธอมองไปที่ลูกน้อยของเธอและยกแก้วขึ้น

ทุกคนชนแก้วกัน ลั่วหลิงเหมือนผู้ใหญ่เอามาก เขาพูดด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมจริงจังกับซวี่เจ๋อว่า : “คุณลุงฟางครับ วันนี้ขอบคุณลุงมากที่มาช่วยพวกเรา”

“ไม่เป็นไรครับ ได้ช่วยพวกหนูลุงก็ดีใจมากแล้ว ลุงไม่ได้ดีใจแบบนี้มานานมาก” ซวี่เจ๋อพูด

“ยังขอบคุณคุณลุงฟางที่ปกติได้ช่วยดูแลเรื่องงานของหม่ามี๊ของผม” ลั่วหลิงพูดอย่างจริงจัง

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เป็นเรื่องที่สมควรช่วยอยู่แล้ว” ซวี่เจ๋อไปไม่เป็นทีเดียว เหมือนกับเจ้าเด็กน้อยนี่ไม่อยากให้หม่ามี๊ของตัวเองติดหนี้บุญคุณเขายังไงยังงั้น

ไม่ว่าจะยังไง ผมเป็นผู้ชายในบ้าน ผมต้องขอบคุณแทนหม่ามี๊ ถ้าเกิดครั้งหน้ามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยแล้วก็ ผมช่วยแน่นอนครับ” ลั่วหลิงพูดรับประกัน

“ได้ครับ” ซวี่เจ๋อตอบกลับอย่างจริงจัง

ซินเหยารู้สึกเจ็บจี๊ดไปที่ใจ เธอยื่นมือออกมาและลูบไปที่หัวของลั่วหลิงและพูดพรางด่าเล่นๆว่า “ไอ้ลูกตัวน้อย ทำเป็นเก่งไปได้ ภารกิจของลูกตอนนี้ก็คือเติบโตอย่างไม่ต้องกังวลอะไร เรื่องอื่นลูกก็ไม่ต้องกังวลแทน”

หลังจากที่ซินเหยาอาบน้ำเสร็จ เธอก็นอนลงบนเตียง พลิกตัวไปพลิกตัวมา ทำยังไงก็นอนไม่หลับ

ในใจเธอเป็นห่วงจิงเฉินเอามาก ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าเขาจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้แล้วหรือเปล่า?

ถ้าไม่ได้เอาความรู้สึกเข้ามาเกี่ยว เธอเชื่ออย่างปักใจว่าความสามารถของจิงเฉินนี้ ถึงแม้ว่าจะเจอกับเรื่องที่หนักหนาสาหัสเพียงใด เขาก็จะต้องผ่านมันไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย

แต่ว่าถ้าพูดในมุมมองของความรู้สึกของผู้หญิงแล้ว มันเป็นคนละเรื่องกันเลย เธอวางใจไม่ได้จริงๆ

เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงแต่ก็ยังนอนไม่หลับ เธอหายใจออกมาแรงๆและนั่งขึ้นมาบนเตียงและจับไปที่หัวของตัวเอง

ทำไงดี นอนไม่หลับ

บ้านของเธอก็ไม่ได้อยู่ในทะเลนะ ทำไมถึงเป็นห่วงกว้างขนาดนี้

จะเกิดอะไรขึ้นกับจิงเฉินแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ

ถ้าเกิดว่าสุดท้ายมันไม่สามารถดำเนินโปรเจ็คนี้ต่อไปได้จริงๆ ก็เป็นเยี่ยหวงที่เป็นคนผิดสัญญา เยี่ยหวงจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่ว่าภาพออกแบบต่างๆเหล่านั้นก็ยังใช้ได้อยู่ เธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย

เธอเปิดไปที่ไฟข้างเตียงและจับไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงพร้อมเซิร์ทดูสถานการณ์ตอนนี้ของเยี่ยหวง

สุดท้ายเป็นเพราะว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเยี่ยหวงทำงานได้ไม่ดี ไม่ได้ออกมาประชาสัมพันธ์โดยทันที ทำให้หุ้นของเยี่ยหัวตกลงอย่างหนัก ทำให้ผู้ถือหุ้นต่างๆต่างขาดความเชื่อมั่นและได้สละหุ้นทิ้งเยอะมาก ค่าความเสียหายมันไม่น้อยจริงๆ

ตอนนี้ผู้ถือหุ้นต่างๆของเยี่ยหวงต่างออกมาด่ากราดไปหมด

ซินเหยาเลื่อนดูลงไปตรงที่คอมเม้น ทั้งหมดเป็นคำด่าเยี่ยหวงทั้งสิ้น

เมื่อก่อนแฟนคลับของท่านประธานที่ชอบออกมาออดอ้อนออเซาะอยู่ในเน็ตนั้น ตอนนี้คงจะโดนจับไปบนดาวอังคารหมดแล้ว หายหัวไปหมด

ซินเหยานิ่งคิดไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เธอทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

เธอเปิดไปที่โทรศัพท์ของเธอ ค้นหารายชื่อสามตัว ‘เยี่ยจิงเฉิน’ จากนั้นก็โทรหาเขา

เวลาที่เธอกลับมาบ้านมันก็ใกล้จะครึ่งปีแล้ว เหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอโทรหาเขา

เมื่อได้ยินเสียงเพลง ใจของซินเหยามันเต้นรัวขึ้น……

ทั้งลั่วหลิงและเข่อหลานต่างก็มองตาและรู้ใจโดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เจอจิงเฉินที่โรงเรียนเลย เข่อหลานกลัวโดนตีตูด แต่ลั่วหลิงมีเป้าหมายบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้

ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เรื่องทุกอย่างยังไม่ได้กระจ่างขึ้น และอีกอย่างสินสอดต่างๆที่เขาเตรียมให้หม่ามี๊ของตัวเองก็ยังไม่มากพอ ถ้าตอนนี้แต่งเข้าบ้านจิงเฉินจริงๆ คงจะโดนเรียกว่าเกาะเขากิน มันไม่สามารถเป็นอย่างงี้ได้ ลั่วหลิงหวังว่าถ้าหม่ามี๊ของตัวเองจะแต่งกับจิงเฉินได้นั้น หม่ามี๊ของเขาจะต้องมีความเหมาะสมกับจิงเฉินทุกอย่าง ในส่วนของทรัพย์สินก็ต้องเหมาะสมกันด้วย

หลังจากที่ลั่วหลิงและเข่อหลานเบี้ยวนัดจิงเฉิน เขาก็ไม่ได้อยากเดินวนอยู่ในโรงเรียนอีกแล้ว จึงจากไป

สำหรับเรื่องที่หาแฮกเกอร์คนนั้นก็เหมือนจะไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นแล้ว

งานกิจกรรมตอนบ่ายที่ทางโรงเรียนจัดเป็นงานที่เป็นครอบครัว

นี่เป็นการสร้างเสริมความรักความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูกๆ เพราะเด็กสมัยนี้แทบจะไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่นักหรือมีเวลาใช้ร่วมกัน จึงเป็นเหตุทำให้เด็กสมัยนี้ขาดความอบอุ่นจากครอบครัว บางครั้งคนเป็นพ่อแม่ก็แค่ใช้เงินในการเลี้ยงดูเท่านั้น

ทางโรงเรียนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางผู้ปกครองจะนึกถึงสภาพจิตใจของเด็ก ไม่ใช่แค่ให้แค่กินอิ่มนอนอุ่นหลับสบายแค่นั้น แต่จะต้องแคร์ถึงสภาพจิตใจของเด็กด้วย

ลั่วหลิงและเข่อหลานมีเพียงสามแม่ลูก พวกเขาไม่มีพ่อ

ถึงตอนที่การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้น ลั่วหลิงอยู่ในสถานการณ์แข่งขันแบบนี้จึงคิดได้ว่าพวกเขาไม่มีพ่อ

“หม่ามี๊ เราขาดไปหนึ่งคน” เข่อหลานเบะปากออกข้างๆและทำหน้าไม่ค่อยพอใจ

“เออ……” ซินเหยาจับไปที่จมูกของตัวเอง รู้สึกไปไม่ถูกจึงพูดว่า : “เออ…..ป๊ะป๋าของหนูอยู่ในที่ไกลแสนไกล วันนี้จึงกลับมาไม่ได้ เขาอาจกำลังรับผิดชอบกับภารกิจความปลอดภัยของคนทั่วโลกอยู่ ทำไมถึงเป็นเพราะงานกีฬาสีวันนี้จึงต้องทำแต่ตามใจตัวเองล่ะ ถ้าเกิดไม่มีป๊ะป๋าคอยดูแลโลก มนุษย์ต่างดาวก็ต้องบุกโลกนี้แน่ ยังมีน้องน้องอีกหลายหลายคนที่จะไม่สามารถมีความสุขได้อีกต่อไป

เธอแต่งเรื่องจนแทบจะอ้วกออกมาแล้ว

แต่เธอรู้สึกว่าป๊ะป๋านั้นเยี่ยมมาก ทำเพื่อคนอื่นโดยการสละเวลาของตนเอง มันยิ่งใหญ่เอามากจริงๆ เธอแทบจะร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว

ถ้าเกิดนำพล็อตเรื่องที่เธอพูดแต่งขึ้นนี้ทำเป็นซีรี่ย์หล่ะก็ คงจะดังน่าดู

“สรุปว่า ขาดไปคนเดียวก็ยังสามารถทำให้เราเข้าร่วมการแข่งขันได้นี่นา” ยังดีนะที่นี่มันไม่ใช่เป็นการเล่นไพ่นกกระจอกที่จะขาดคนหนึ่งไปก็เล่นไม่ได้แล้ว

เวอร์ชั่นที่ซวี่เจ๋อได้ยินนั้นคือป๊ะป๋าตายไปแล้ว

เพราะงั้นเห็นซินเหยาดูแลลูกอย่างยากลำบากแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังทำเป็นฝืนยิ้ม (ไม่ใช่) ในการปลอบลูก ในใจของเขาจึงรู้สึกสงสารเธอเป็นอย่างมาก ผู้หญิงแบบนี้เขาอยากจะดึงเข้ามาปกป้องไว้ในอ้อมกอดของตัวเองจริงๆ ปกป้องและดูแลเธอไปตลอดชีวิต ไม่ให้รอยยิ้มอันสวยงามของเธอต้องแปดเปื้อนกับความเจ็บปวด

“เล่นเกมวิ่งสามขาหรอ? ผมก็ไม่ได้เล่นมานานแล้วเหมือนกัน ไม่งั้นก็ลองให้ผมเล่นด้วยคนสิ” ซวี่เจ๋อปรากฏตัวขึ้น สามารถช่วยซินเหยาแก้ปัญหาครั้งนี้ได้จริงๆ

“ดีเลยค่ะๆ” ใบหน้าของเข่อหลานเต็มไปด้วยความยินดีพอใจ

ในเมื่อป๊าป๋าตีปีศาจร้ายอยู่ที่อวกาศและกำลังป้องกันโลกอยู่ งั้นเธอก็ไม่สามารถทำตามใจตัวเองโดยการเรียกป๊าป๋ากลับมาเข้าร่วมกิจกรรมได้หรอกใช่ไหม

เธอมองไปที่ซวี่เจ๋อแว๊บหนึ่ง คิดในใจว่า : ท่านประธานฟาง นี่คุณมาหาเรื่องคึกคักอยู่งั้นหรอ?

เธออุตส่าห์พูดกล่อมลูกได้แล้ว และพวกเขาก็สามารถเล่นด้วยกันสามคนแม่ลูกได้แล้วด้วยเขาจึงพูดอย่างอบอุ่นออกมาว่า : “คุณวางใจได้ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่จะไม่เป็นคนที่คอยดึงห่างพวกคุณแน่นอน พวกเราต้องชนะแน่ๆ”

ซินเหยาถอนหายใจออกมา นี่มันไม่ใช่ประเด็นหรือเปล่า?

แต่ว่าซวี่เจ๋อก็หวังดี เธอก็ไม่สามารถไปทำลายความหวังดีของเขาได้

“งั้นขอบคุณคุณด้วยนะคะ” ซินเหนาพูดออกมาพร้อมหัวเราะ

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ซี่เจ๋อก็จริงใจกับเธอเอามาก เธอไม่อยากที่จะเหยียบย่ำไปบนความจริงใจนี้ของเขาแล้ว เพราะงั้นคำขอบคุณที่เธอเปล่งออกมาเมื่อกี้มันออกมาจากใจเธอจริงๆ

เพราะงั้นคงต้องเปลี่ยนแผนการเล่นเกมครั้งนี้กับลูกของเธออีกครั้ง

มีซวี่เจ๋อเข้ามาแทรก ทำให้การเล่นเกมของพวกเขากลับสู่โหมดปกติเหมือนกับครอบครัวทั่วไป

เด็กทั้งสองคนมีพละกำลังในการออกกำลังกายเป็นอย่างมาก อีกอย่างพวกเขายังฉลาดเป็นกรดอีก เรื่องพวกนี้คงไม่มีปัญหาแน่แนอน และในส่งนของซินเหยา เธอก็เป็นคนเลี้ยงพวกเขามาเองกับมือ เธอก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน ทั้งสามร่วมมือกันแข่งขันได้อย่างไม่มีที่ติ

แต่เป็นเพราะซวี่เจ๋อที่แทรกเข้ามา ทำให้การวิ่งมันสะดุดในตอนแรกสักหน่อย แต่ว่าพอวิ่งผ่านไปประมาณเศษหนึ่งส่วนหกของระยะทางแล้วททั้งสี่คนก็เข้ากันได้เป็นอย่างมาก พวกเขาทำเวลาในการวิ่งได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

ซวี่เจ๋อและซินเหยายืนอยู่ซ้ายขวาชิดขอบ ส่วนลูกทั้งสองยืนอยู่ตรงกลาง

ซวี่เจ๋อจับไว้ลั่วหลิง ซินเหยาจับไปเข่อหลาน และตรงกลางก็เป็นลั่วหลิงและเข่อหลานที่จับมือกัน

ทั้งสี่คนวิ่งได้อย่างเร็วมาก

พอวิ่งไปได้ระยะทางประมาณเศษสี่ส่วนหก พวกเขานำหน้าครอบครัวอื่นไปไกลมาก พวกเขาตีห่างลำดับที่สองที่ตามมาอย่างห่างเป็นที่สุด

สุดท้ายก็เป็นทีมของพวกเขาที่ได้รับรางวัลชนะเลิศไป

ตอนที่ขึ้นไปรับรางวัลนั้น ทั้งสี่คนขึ้นไปพร้อมกัน ดูแล้วมันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมาก

ซวี่เจ๋อและซินเหยายังได้กล่าวความในใจจากการแข่งขันนี้อีก และได้ถ่ายรูปรวมด้วยกันเยอะมากเวอร์

เมื่องานกีฬาจบลง ซินเหยาก็ถอนหายใจออกมาดังดังอย่างสบายใจ

มื้อค่ำแน่นอนว่าเป็นซินเหนาที่เลี้ยงซวี่เจ๋อ เพื่อเป็นการตอบแทนที่เขามาช่วยในวันนี้

แต่ตอนที่เธออยู่ในร้านอาหารและกำลังไถมือถือดูข่าวไปอยู่นั้น เห็นข่าวหนึ่งโผล่ขึ้นมาว่าระบบความปลอดภัยของเยี่ยหวงถูกแฮก เอกสารลับต่างๆต่างโดนขโมยออกไปหมด มันวุ่นวายไปมากจริงๆสถานการณ์ตอนนี้ พร้อมกับหุ้นของบริษัทก็ร่วงลงอย่างน่าแปลกใจ ตอนนี้เธอรู้สึกไปไม่ถูกจริงๆ

……

เรื่องที่เกิดขึ้นใหญ่ขนาดนี้ในเมืองBทำไมเธอถึงเพิ่งรู้เอาป่านนี้ ข่าวเธอมันไม่ได้เรื่องจริงๆเลยนะซินเหยา

“ซวี่เจ๋อ คุณเห็นข่าววันนี้หรือยัง?” ซินเหยายื่นมือถือของเธอให้เขาดูและถามด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ซวี่เจ๋อกวาดไปมองหัวข้อข่าวก็รู้แล้วว่าซินเหยากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ บริษัทเยี่ยหวงเป็นบริษัทที่ใหญ่มากอันดับต้นต้นของเมืองB และบริษัทนี้ก็ได้เซ็นสัญญาร่วมกันกับบริษัทเขาอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นสถานการณ์เล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นของเยี่ยหวงต่างก็ส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่นและบริษัทอื่นก็จับตาดูอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเยี่ยหวงที่ใหญ่ขนาดนี้ เขาเป็นถึงCKหัวหน้าแผนกจัดการของบริษัททำไมถึงจะไม่รู้ล่ะ?

บ่ายวันนี้สายที่โทรเข้ามาในมือถือของเขา ก็เป็นเลขาของเขาเองแหละที่โทรมา

“ผมรู้แล้ว” เขาผงกหัวนิ่มนิ่มและพูดต่ออีกว่า : “เรื่องที่เกิดขึ้นใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ก็คงไม่ได้”

“น่าจะไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ?” ซินเหยาเก็บมือถือกลับมาและถามเขา

“ผมก็ไม่อาจฟันธงได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถ้าเกิดไม่แก้ไขจัดการโดยเร็ว สิ่งที่ตามมามันก็จะหนักหนาสาหัสอยู่เหมือนกัน” เขาพูดด้วยความเป็นมืออาชีพในมุมมองของตัวเองและอธิบายให้เธอฟังอย่างจริงจัง

“คุณลุงเที่ยงแล้วหิวหรือยังคะ หนูขอเลี้ยงข้าวคุณลุงโอเคไหมคะ?” เค่อหลานคว้ามือของเยี่ยจิงเฉินมาจับแล้วมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างคาดหวัง

ในความเป็นจริงเยี่ยจิงเฉินไม่ชอบทานข้าวกับคนแปลกหน้าเลย แต่การมองไปที่ใบหน้าเล็กๆของเค่อหลานนั้นที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขามีความร้ายกาจต่อผู้อื่นมาโดยตลอดแต่เขามีความร้ายกาจต่อตัวเองมากกว่า ประธานใหญ่ผู้ใจแข็งดั่งก้อนหินหัวใจ ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะลังเลในการปฏิเสธผู้อื่น

“โอเคก็ได้ แต่ว่าหนูมีเงินใช่ไหม?” เยี่ยจิงเฉินเงยมือประกบกับมือเล็กๆของเค่อหลาน

แต่เค่อหลานค้นดูกระเป๋าเสื้อของเธอ พบว่าไม่มีเงินสักนิดอยู่ในนั้น

เงินอยู่กับพี่ชายของเธอ เงินที่หม่ามี้เพิ่งให้ก็อยู่กับพี่ชาย

เยี่ยจิงเฉินเห็นว่าเค่อหลานไม่มีเงินจึงยิ้มเบาๆ “ไม่มีเงิน จะเลี้ยงข้าวคุณลุงได้อย่างไร?”

“หม่ามี้ของหนูทำข้าวกล่องมาด้วย งั้นหนูขอเลี้ยงข้าวล่องคุณลุง หม่ามี้ของหนูทำอาหารอร่อยมาก หนูชอบกินฝีมือหม่ามี้มาก” น้ำเสียงของเค่อหลานมีความมั่นใจ เชียร์ฝีมือในการทำอาหารของถังซินเหยาเป็นอย่างมาก

ลั่วหลิงเฝ้าดูน้องสาวของเขาและเยี่ยจิงเฉินกำลังคุยกันเรื่องถังซินเหยา ลั่วหลิงขยับริมฝีปากต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เมื่อมองไปที่สีหน้าแห่งความคาดหวังและความปรารถนาของน้องสาว ปากของเขาขยับอยากจะพูดสิ่งที่เพิ่งคิดไป แต่โทรศัพท์มือถือของเยี่ยจิงเฉินก็ดังขึ้น

“รอลุงแป๊บหนึ่งนะ ลุงขอรับโทรศัพท์ก่อน” เยี่ยจิงเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทรเข้าก็รู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับบริษัท เขาปล่อยมือของเค่อหลาน เขาเดินไปอีกมุมแล้วกดรับสาย

“หม่ามี้ยังไม่อนุญาตก็จะพาเขาไปกินข้าวด้วยแล้ว ทำแบบนี้หม่ามี้ต้องโกรธแน่ๆ ” ลั่วหลิงเดินมาพูดกับเค่อหลาน

เขาคาดเดาว่าเยี่ยจิงเฉินจะมาโรงเรียนในวันนี้และเขาคาดเดาว่าจะได้พบเจอกับเยี่ยจิงเฉิน แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเค่อหลานจะกระตือรือร้นที่ได้เจอเยี่ยจิงเฉินมากขนาดนี้และเธอยังชวนเขาไปทานข้าวด้วย

ตอนนี้ลั่วหลิงยังคงโกรธ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยจิงเฉินจะกล้าพูดว่าไม่ทราบที่มาของเขา

หลังจากถูกพี่ชายของเธอเตือนสติ แล้วนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้รับความยินยอมจากหม่ามี้

ถ้าเธอพาเขาไปทำให้หม่ามี้โกรธ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก

“แล้วจะทำอย่างไรดี?” เค่อหลานเลิกคิ้วและมีสีหน้าที่รู้สึกผิด

ลั่วหลิงครุ่นคิดสักพักแล้วยิ้มออกมาเผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างที่น่ารักของเขา เดิมทีเขามีสีหน้าที่จริงจังแต่เป็นเพราะลักยิ้มทั้งสองข้างทำให้เขาดูน่ารักไร้เดียงสา

“ถ้าหม่ามี้รู้ว่าเธอคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้หม่ามี้ต้องโกรธมากแน่ๆ อยากโดนหม่ามี้ตีก้นเหรอ?” ลั่วหลิงพูดโน้มน้าวน้องสาวโง่ๆของเขา

เขารู้ว่าน้องสาวตััวเองกลัวที่สุดคือการโดนหม่ามี้ตีก้น ดังนั้นใช้วิธีนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรน้องสาวของเขาก็จะไม่ต่อต้าน

แม้ว่าหนุ่มหล่อจะสำคัญ แต่ก้นก็สำคัญยิ่งกว่า

“พี่คะ แล้วฉันจะทำยังไงดีฉันไม่อยากโดนหม่ามี้ตีก้น” เค่อหลานถามอย่างกังวล

เขาไม่ได้ล้อเล่นเรื่องนี้เลยถ้าน้องสาวพาเยี่ยจิงเฉินไปจริงๆ จากนั้นเป็นไปได้ว่าหม่ามี้จะต้องซ่อนตัวตลอดเวลา กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา แม้ว่าหม่ามี้จะรักน้องสาวมากแค่ไหนแต่ก็ต้องสั่งสอนบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้เธอ

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกหกน้องสาว เขาแค่บอกความจริง

ลั่วหลิงช่วยน้องสาวของเขาด้วยเหตุผลที่เต็มเปี่ยม เขาชี้ไปที่เยี่ยจิงเฉินที่กำลังหันหลังให้พวกเขา “เขาไปคุยโทรศัพท์แล้วเขาไม่ได้มองพวกเรา งั้นพวกเรากลับกันก่อนเถอะ”

“แต่หม่ามี้บอกว่ารับปากอะไรใครไปต้องทำให้ได้” เค่อหลานไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนี้

“โอเค ที่เธอพูดก็ถูก หม่ามี้ยังบอกว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ หม่ามี้แค่ตีเธอสองสามครั้งเท่านั้น คงไม่ตีให้ตายหรอก” ลั่วหลิงขู่น้องสาวอย่างใจเย็น

“งั้นไปกันเถอะ รอเจอลุงจิงเฉินอีกครั้งฉันจะใช้เงินค่าขนมเลี้ยงข้าวเขา” เค่อหลานพยักหน้าเห็นด้วยทันที หม่ามี้ตีก้นไม่ใช่แค่เจ็บนะแต่ยังขายขี้หน้าอีกด้วย ทั้งที่เธออายุใกล้จะหกขวบแล้ว

“ไปกันเถอะ” ลั่วหลิงจับมือของเค่อหลานอย่างมีความสุขแล้ววิ่งเหยาะๆออกไป

คนที่โทรมาคือหลี่เวย เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อน “ประธานเยีี่ยคะสถานการณ์ไม่ดีเลยค่ะ ข่าวภายในของเยี่ยหวางได้ถูกเปิดเผยเมื่อเวลาตีห้าของวันนี้ ตอนนี้หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจรายใหญ่ทุกฉบับได้รายงานข้อมูลภายในของบริษัทออกมา ข่าวลือทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตไม่เป็นผลดีต่อบริษัท ตอนนี้หุ้นของบริษัทพังทลายลงหากไม่รีบจัดการให้ทันเวลาบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตอนนี้ควรทำยังไงดีคะ?”

เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้วและยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเยี่ยจิงซิงคนที่ไม่มีประโยชน์จะโง่ขนาดนี้ เรื่องนี้ถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็ว

“คุณไม่ต้องเข้าไปยุ่งนะ”น้ำเสียงของเยี่ยจิงเฉินเย็นชา แม้แต่แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาวก็ไม่สามารถละลายความเย็นได้

“ แต่……” หลี่เวยรู้สึกลำบากใจ

เยี่ยหวางสามารถประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพยายามและการทำงานหนักของเยี่ยจิงเฉินตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลี่เวยรู้ว่าเยี่ยจิงเฉินร่ำรวยมากและไม่สามารถใช้เงินได้หมดในชาตินี้ แต่เธอไม่อยากเห็นความพยายามของเยี่ยจิงเฉินถูกทำลายโดยรุ่นที่สอง

“ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงพักร้อน กิจการของบริษัทไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม แม้ว่าผมต้องการจะจัดการแค่ไหนแต่ผมก็ไม่มีอำนาจ” เยี่ยจิงเฉินพูดตัดบทหลี่เวย “โอเค ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรแต่คุณอย่าเข้ามาแทรกแซงเด็ดขาด ผมจะกลับไปเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไป บริษัทมาจากความพยายามของผม ผมไม่อาจมองดูมันพังทำลายไปต่อหน้าแน่นอน”

“โอเคค่ะ” คำพูดของเยี่ยจิงเฉินเป็นเหมือนความมั่นใจสำหรับหลี่เวย เธอทำงานกับเยี่ยจิงเฉินตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เธอเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้านายของเธอ ในเมื่อเยี่ยจิงเฉินรู้ตัวเองดีแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา เยี่ยจิงเฉินก็สามารถแบกรับมันได้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา

หลังจากวางสายของหลี่เวยแล้ว เยี่ยจิงเฉินก็กดโทรอีกครั้ง

“ฮัลโหล ตอนนี้ต้องการซื้อหุ้นทั้งหมดของเยี่ยหวางโดยไม่คำนึงถึงราคาใดๆ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ก็ไปถอนที่ธนาคารโดยตรง ฉันหวังว่าคราวนี้ฉันจะสามารถครอบครองเยี่ยหวางได้” เยี่ยจิงเฉิินบอกคนทางโทรศัพท์อย่างเด็ดขาด

“โอเคครับ เจ้านายไม่ต้องห่วงผมจะจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี

วุ่นวายใช่ไหมยิ่งวุ่นวายยิ่งดี ความวุ่นวายที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด

เขาไม่ต้องการถูกจำกัดสิทธิของผู้ถือหุ้นโดยชายชราอีกต่อไป เขาต้องการทำให้เยี่ยหวางไม่ใช่สมบัติตระกูลเยี่ยอีกต่อไปแต่กลายเป็นของเยี่ยจิงเฉินคนเดียว

แม้แต่หลี่เวยเองก็ไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของเขาครั้งนี้ เขาซื้อหุ้นของเยี่ยหวาง เพียงต้องการปล่อยให้มันเป็นไปตามสถานการณ์เท่านั้น

เยี่ยจิงเฉินจะเต็มใจที่ถูกคนอื่นควบคุมได้อย่างไร

หลังจากมอบหมายทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็จำได้ว่ายังมีเด็กที่น่ารักอีกสองคนรอเขาอยู่ เขาหันกลับมาแต่ก็ไม่พบเด็กทั้งสองแล้ว เขากลัวเพียงว่าเด็กทั้งสองรอเขาไม่ไหวเลยไปแล้ว หัวใจของเยี่ยจิงเฉินว่างเปล่าเล็กน้อยและมีความผิดหวังอย่างสุดจะบรรยาย

“ประธานเยี่ย เรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี?” หลี่เวยถามด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการให้ทันเวลาก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป หากจัดการไม่ดี บริษัทอาจจะได้รับผลเสีอย่าหนัก

“ไม่ต้องรีบร้อน” สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินไม่สามารถคาดเดาได้ เขาหันไปพูดกับหลี่เวย “อย่ากังวลกับเรื่องนี้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ฉันอยากเห็นว่าเยี่ยจิงซิงจะจัดการเรื่องใหญ่เช่นนี้อย่างไร ถึงเวลาที่จะมีหนังสนุกดูแล้ว”

เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่าแฮกเกอร์คนนั้นลงมือแล้ว ในเมื่อเขาเป็นคนทำงั้นก็ควรสั่งสอนเยี่ยจิงซิงสักหน่อย สำหรับเอกสารลับภายในเยี่ยหวงเขาเชื่อว่าแฮกเกอร์ที่ไม่ทราบที่มานี้จะไม่ทำมันรั่วไหลออกไป

เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่เขาแน่ใจว่าแฮกเกอร์ลึกลับคนนี้จะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของเขา

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าแฮกเกอร์เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ตัวตนของเขาคือใคร และมีจุดประสงค์อะไรในการเข้าหาเขา แต่เขาก็เต็มใจที่จะเชื่อในตัวแฮกเกอร์คนนี้

“แต่……” หลี่เวยรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“พอแค่นี้ก่อน เรื่องนี้คุณอย่าเข้ามาแทรกเด็ดขาด ทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ผมรู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” เยี่ยจิงเฉินขัดจังหวะคำพูดของหลี่เวย

หลี่เวยทำได้เพียงแค่เม้มริมฝีปากของเธอเมื่อเห็นน้ำเสียงที่แข็งกร้าวของเยี่ยจิงเฉิน รู้ว่าถึงจะพูดแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของเยี่ยจิงเฉินได้

ผู้อำนวยการโรงเรียนโทรมาหาเขา ทำให้เยี่ยจิงเฉินนึกถึงงานกีฬาที่แฮกเกอร์เอ่ยขึ้น เขาวางแผนที่จะพบกับแฮกเกอร์ผู้น่าสนใจคนนี้

เขาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับผู้อำนวยการโรงเรียน แต่พูดอย่างคลุมเครือว่า “อืม ผมทราบแล้ว”

ผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่รู้ว่าเยี่ยจิงเฉินหมายถึงอะไรดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ให้โรงเรียนจัดเตรียมกิจกรรมนี้ตามปกติ เพื่อจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนและจะไม่เป็นการละเลยเยี่ยจิงเฉินด้วย

เยี่ยจิงเฉินมาโดยไม่ได้แจ้งให้ใครทราบและตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ผู้ปกครองของนักเรียนก็พานักเรียนไปรับประทานอาหารกลางวันแล้ว

เยี่ยจิงเฉินเดินเข้าไปในโรงเรียนเพียงลำพังด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ทำให้ผู้คนไม่กล้าเดินใกล้ตัวเขา

เขากำลังคิดว่าแฮกเกอร์คนนั้นเป็นคนแบบไหนกันนะ? เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? เป็นผู้ปกครองของนักเรียนหรือครูในโรงเรียน

แต่คิดแบบนี้ก็ไม่ได้ต้นสายปลายเหตุอะไรเลย

แฮกเกอร์ให้ข้อมูลตัวเองแก่เขาน้อยเกินไป เขาคิดว่าอายุของแฮกเกอร์คนนี้ไม่น่าจะเกินสามสิบปี เขาต้องมีไอคิวสูงมากมันยากเกินไปที่จะหาข้อมูลแฮกเกอร์คนนี้ท่ามกลางฝูงชน

เขาเดินด้วยความใจลอยมากจนไม่เห็นลั่วหลิงและเค่อหลานเดินมาปะทะหน้ากับเขา

ในขณะที่ลั่วหลิงเห็นเยี่ยจิงเฉิน มุมปากของเขากระตุกเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นไม่มีความหมายมันเหมือนกับรอยยิ้มทั่วไป แต่มันกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความสนใจและมีแรงจูงใจซ่อนเร้น

สีหน้าของลั่วหลิงไม่สามารถคาดเดาได้ แต่เค่อหลานนั้นแสดงออกอย่างตรงไปตรงมามากกว่า

เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอได้พบเจอคุณลุงหน้าตาดีคนนี้ ครั้งสุดท้ายที่เธอเจอคุณลุงคนนี้คือฤดูร้อนและตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว

ความจำของเด็กๆมักไม่ค่อยดีนัก คนที่ไม่ได้พบเจอบ่อยๆก็จะลืมไปในไม่ช้า

แต่เค่อหลานจำคุณลุงคนนี้ได้แม่น แม้ว่าเธอจะมองมาจากระยะไกลแต่เธอก็รู้ว่าเขาคือคุณลุงหน้าตาดีที่เธอชอบ

เธอดึงพลังของการวิ่งในตอนเช้าออกมา วิ่งเข้าไปกอดที่ต้นขาเรียวตรงของเยี่ยจิงเฉินเหมือนลูกกระสุนปืนที่พุ่งออกมา

พลังของเธอนั้นไม่น้อยเลยจริงๆ ถ้าถังซินเหยาโดนแบบนี้ก็อาจจะล้มลงได้ แต่เยี่ยจิงเฉินยังยืนนิ่งเหมือนหินก้อนใหญ่ เขาไม่แม้แต่ขยับขาออกไปปล่อยให้เด็กสาวกอดขาของเขาแน่น

“คุณลุง จำหนูได้ไหมคะ” เธอเงยหน้าขึ้นดวงตาของเธอเป็นประกายพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนสดใสของเธอเผยให้เห็นฟันขาวเรียงยาวและมีลักยิ้มอยู่บนแก้มทั้งสองข้างของเธอทำให้เค่อหลานดูสวยหวานมากขึ้น

เยี่ยจิงเฉินก้มหน้าลงไปมองเห็นเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังเงยหน้าขึ้นมามองเขาทำให้หัวใจของเขามีความอ่อนโยนมากขึ้น

“จำได้แน่นอน หนูชื่อเค่อหลานใช่ไหม?” น้ำเสียงของเยี่ยจิงเฉินแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและแสดงออกถึงความเอ็นดูอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ใช่ค่ะ ดีใจจัง คุณลุงจำหนูได้ด้วย ” เค่อหลานพยักหน้า เมื่อรู้ว่าคุณลุงหน้าตาดียังจำเธอได้แววตาของเธอก็มีความสุขมากขึ้น

เยี่ยจิงเฉินย่อตัวลงสายตาของเขาอยู่ในระดับเดียวกับเค่อหลานแล้วพูดว่า”เค่อหลานจำคุณลุงได้คุณลุงก็ดีใจมากเช่นกัน”

เค่อหลานหันไปพูดกับพี่ชายของเธอ “พี่คะ ดูสิฉันเจอคุณลุงหน้าตาดีอีกแล้ว”

ลั่วหลิงเม้มริมฝีปากเบาๆแล้วเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

“สวัสดีครับ เป็นเรื่องบังเอิญมากที่พวกเราเจอกันอีกแล้ว” ลั่วหลิงเดินเข้าไปพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยสีหน้าที่จริงจัง

เยี่ยจิงเฉินมองไปที่ร่างของลั่วหลิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง เขาพบว่ามันน่าสนใจมากและเขารู้สึกชอบเด็กทั้งสองมาก ในใจคิดว่าถ้าในอนาคตเขาจะมีลูกต้องมีน่ารักแบบเด็กทั้งสองคนจะดีที่สุด

“ใช่มันเป็นเรื่องบังเอิญมาก ลุงยังไม่รู้เลยว่าหนูชื่ออะไร” เยี่ยจิงเฉินยิ้มกว้างแล้วมองตรงเข้าไปในดวงตาของลั่วหลิงเหมือนกับว่าเขาไม่ได้คุยกับเด็กแต่กำลังคุยกับผู้ใหญ่ “สุภาพบุรุษตัวน้อยคนนี้แนะนำตัวเองได้ไหมครับ”

“ผมชื่อถังลั่วหลิงอายุห้าขวบย่างหกขวบ นี่ถังเค่อหลานเป็นน้องสาวฝาแฝดของผมครับ เราเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งในโรงเรียนนี้” ลั่วหลิงพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง

หากสังเกตดีๆจะเห็นปลายหูของลั่วหลิงเริ่มแดงระเรื่อ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ คุณลุงชื่อเยี่ยจิงเฉินวันนี้อายุยี่สิบหกปี” เยี่ยจิงเฉินตั้งใจแนะนำตัวเอง

“พวกเราก็ดีใจมากที่ได้รู้จักคุณลุงครับ” ลั่วหลิงกล่าวในขณะที่ปลายหูกำลังแดงระเรื่อ

“พวกหนูอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งตั้งแต่อายุยังน้อยเรียนยากไหม?” เยี่ยจิงเฉินไม่ต้องการตามหาแฮกเกอร์อีกต่อไป เขาคิดว่าการสนทนากับเด็กสองคนนี้มีความหมายมากกว่าการพบกับแฮกเกอร์

เฮ้ย……ประธานเยี่ยนายจิตใจไม่แน่วแน่ จะไม่มีปัญหาจริงๆเหรอ?

“หึ…… ” เค่อหลานลูบจมูกเล็กๆของเธอแล้วพูดด้วยท่าทางภูมิใจ”โจทย์พวกนั้นง่ายเกินไปหนูทำได้ทุกข้อเลย ไม่ต้องให้คุณครูสอน”

“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นหนูก็เก่งมากๆเลย” เยี่ยจิงเฉินยิ้มอย่างเอ็นดูพวกเขา

ใครก็ตามที่รู้จักเยี่ยจิงเฉินจะต้องประหลาดใจอย่างมากที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ประธานใหญ่ผู้ซึ่งมีนิสัยเย็นชามาโดยตลอด ได้ทำตัวเป็นมิตรและได้ปฏิบัติต่อเด็กแปลกหน้าสองคนอย่างสนิทสนม

ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับหิ้วกล่องข้าวไปด้วย

ทันทีที่ลงไปถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงแตรรถ

มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอกฟางซวี่เจ๋อเปิดประตูรถลงมาอย่างสง่า เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามาก มองดูแล้วสบายตาที่สุด ถ้ามองหน้าเขาเวลารับประทานอาหารสามารถอิ่มแทนข้าวได้เลย

“ซินเหยา เค่อหลาน ลั่วหลิงสวัสดีตอนเช้าครับ “ฟางซวี่เจ๋อเดินเข้าไปหาพวกเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

“เช่นกันค่ะ” ถังซินเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ซวี่เจ๋อทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้?”

“ผมรู้ว่าวันนี้โรงเรียนของเค่อหลานและลั่วหลิงจัดงานกีฬา ผมมาเพื่อให้กำลังใจพวกเขา” ฟางซวี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

รอยยิ้มของถังซินเหยาหยุดชะงัก ฟางซวี่เจ๋อใจกว้างแบบนี้จนเธอไม่สามารถปฏิเสธได้

“ลั่วหลิงและเค่อหลานต้องสู้ๆ นะลุงฟางจะคอยเป็นกองเชียร์ให้”ฟางซวี่เจ๋อมีท่าทางที่อ่อนโยนและพูดด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดูลั่วหลิงและเค่อหลาน

“ ขอบคุณค่ะลุงฟาง” เค่อหลานยิ้มหวาน

“ขอบคุณครับ” ท่าทีของลั่วหลิงเย็นชาเล็กน้อย

“ซวี่เจ๋อ งานที่บริษัทเดินได้ใช่ไหม วันนี้เป็นวันศุกร์” ถังซินเหยาถาม

“ไม่เป็นไรตอนนี้ผมเป็นใหญ่ที่สุดในบริษัท ผมไม่เข้าไปบริษัทก็ไม่มีใครมาตามหรอก ” ฟางซวี่เจ๋อพูดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง “พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปสายเอา”

ท่านประธานมีเหตุผลเพียงพอที่สามารถพูดได้อย่างเต็มที่กับลูกน้อง ถึงจะไม่มีปัญหาจริงๆ แต่ไม่กลัวคนอื่นในบริษัทจะเลียนแบบเหรอ?

อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจที่อ่อนโยนเสมอมาจู่ๆก็กลายเป็นยกตนข่มท่าน ถูกความหล่อเหลาของเขาครอบงำจนต้องตาบอด

ถังซินเหยาไม่สามารถพูดอะไรได้ ถ้าเธอยังพูดต่อไปอาจจะกลายเป็นเธอที่ดัดจริต

“โอเคค่ะ วันนี้ขอบคุณมากนะคะ” ถังซินเหยาปล่อยวางภาระในใจของเธอและยิ้มผ่อนคลายมากขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบเค่อหลานและลั่วหลิงมาก” ดวงตาของฟางซวี่เจ๋อจับจ้องไปที่ร่างของถังซินเหยา ถ้ารอยยิ้มบนใบหน้าของถังซินเหยาเปลี่ยนไปเขาสามารถดูออกโดยธรรมชาติ

ไม่ช้าก็เร็ว อย่างน้อยในเวลานี้ถังซินเหยาก็ยอมรับเขาจริงๆ

สุภาพบุรุษฟางซวี่เจ๋อเปิดประตูรถให้สามแม่ลูกเข้าไปนั่งในรถ

“งานกีฬาวันนี้ลั่วหลิงกับน้องสาวทำให้ดีที่สุดก็พอแล้วไม่ต้องทุ่มเทจนสุดชีวิตหรอก ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยรู้ไหมคะ” ถังซินเหยานั่งตรงกลางโดยมีนางฟ้าตัวน้อยน่ารักนั่งอยู่ด้านข้างและเธอกำชับพวกเขาด้วยความสุข

“หม่ามี้ไม่ต้องกังวล พวกเราจะระวังให้มากที่สุดและเรายังต้องเป็นที่หนึ่งอีกด้วย” ใบหน้าเล็กๆที่บอบบางของเค่อหลานมีความสดใส มีชีวิตชีวาและมีความมั่นใจ

“อืม” ลั่วหลิงยังคงมีท่าทีที่เย็นชา

“โอเค หม่ามี้เชื่อว่าทั้งสองคนเก่งที่สุดในโลกเลยgivemefive” ถังซินเหยายิ้มและให้กำลังใจลั่วหลิงและเค่อหลานอย่างร่าเริง

รถจอดหยุดรอไฟแดง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในรถผ่านทางหน้าต่างส่องไปที่ตัวถังซินเหยา เธอยิ้มอย่างสดใสท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา รอยยิ้มของเธอเปรียบเสมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคม ทันใดนั้นฟางซวี่เจ๋อก็รู้สึกใจเต้นแรง

ดังนั้นวันนี้ที่โรงเรียนเต็มไปด้วยความคึกคัก ทั่วบริเวณโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คน

เค่อหลานและลั่วหลิงเป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งที่อายุน้อยที่สุด ปกตินักเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุเจ็ดขวบ มีเพียงเค่อหลานและลั่วหลิงเท่านั้นที่อายุหกขวบ

เด็กอายุหกขวบสองคนดูผอมกว่าเด็กเจ็ดขวบมาก

ในความเป็นจริงการแข่งขันระหว่างเด็กหลายคนไม่มีอะไรมาก แต่พ่อแม่ทุกคนเฝ้าดูมันอย่างตั้งใจ

การแข่งขันไปเป็นอย่างคึกคัก ในที่สุดเค่อหลานและลั่วหลิงทั้งคู่ก็ได้รับรางวัลที่หนึ่ง

กีฬาที่เค่อหลานเข้าร่วมคือการวิ่งสั้นระยะห้าสิบเมตร แม้ว่าเค่อหลานจะมีรูปร่างเล็กและดูบอบบาง ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตา แต่พลังในร่างกายของเธอนั้นเยอะมาก

เวลาวิ่งดูเหมือนลูกวัวตัวน้อย ถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ลั่วหลิงเข้าร่วมในการวิ่งเช่นกัน แต่เป็นการแข่งวิ่งยาวระยะสองร้อยห้าสิบเมตร

ครั้งนี้เป็นการสู้กับความอดทน มีเด็กไม่กี่คนที่มีความอดทน

สีหน้าของลั่วหลิงหนักแน่น วิ่งความเร็วคงที่ตั้งแต่ต้นจนจบยังกับใช้เครื่องวัดตรวจสอบ ดูเหมือนชายชราตัวเล็กๆ ที่มีท่าทางนิ่งสุขุม ถังซินเหยาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อมองไปที่ลูกชายของเธอ

แน่นอนว่าผู้ชนะของการวิ่งระยะยาวคือลั่วหลิง

เด็กๆในปัจจุบันล้วนเติบโตมาจากครอบครัวที่ตามใจและถูกประคบประหงม เด็กบางคนวิ่งได้ครึ่งทางก็หยุดวิ่งแล้ว

ถังซินเหยามีความสุขมากที่เห็นว่าทั้งลูกชายและลูกสาวของเธอได้รับรางวัลที่หนึ่ง

นี่เป็นรางวัลแรกที่ลูกชายและลูกสาวได้รับในโรงเรียน ต้องรักษาหวงแหนไว้อย่างดี

เธอยิ้มอย่างมีความสุข ยิ้มจนแก้มปริ

ฟางซวี่เจ๋ออมยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มหวานๆบนใบหน้าของถังซินเหยา

เวลาช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ถังซินเหยารู้สึกว่าตัวเองคาดการณ์ไว้ไม่ผิด เป็นโชคดีที่เธอเตรียมข้าวกล่องมาเอง มีคุณค่าทางโภชนาการและก็ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น

เธอถามผู้รับผิดชอบของโรงเรียนและบอกว่าเธอต้องการใช้เตาไมโครเวฟในตอนเที่ยงผู้รับผิดชอบของโรงเรียนใจดีมากพาพวกเขาไปที่ห้องรับรองแขกของโรงเรียน ถังซินเหยาหยิบอาหารในกล่องเก็บความร้อนออกมาแล้วใส่ในเตาไมโครเวฟ

โทรศัพท์ของฟางซวี่เจ๋อดังขึ้นแล้วเขาก็เดินออกไปรับโทรศัพท์

ถังซินเหยานึกขึ้นได้ว่าไม่คิดว่ามีฟางซวี่เจ๋อจะมาด้วย อาหารเพียงพอแล้วแต่ขาดตะเกียบหนึ่งคู่

เธอต้องการออกไปซื้อ แต่ลั่วหลิงและเค่อหลานกำลังอุ่นอาหารที่นี่เธอกังวลมากกลัวว่าพวกเขาจะโดนความร้อนลวก

ลั่วหลิงเห็นถึงความลำบากใจของถังซินเหยา เขาอาสาและพูดกับถังซินเหยาอย่างกล้าหาญ”หม่ามี้ เดี๋ยวผมกับน้องออกไปซื้อให้”

“โอเค ระวังตัวด้วยนะ รีบไปรีบกลับนะลูก” ถังซินเหยาหยิบเงินออกมาแล้วยื่นให้ลั่วหลิง

เยี่ยจิงเฉินได้รับแจ้งจากผู้อำนวยการเมื่อคืนว่าโรงเรียนจะจัดงานกีฬาในวันนี้ หากไม่จัดขึ้นจะกลายเป็นจัดงานกีฬาฤดูหนาวแทน

ในเวลานั้นหลี่เวยกำลังรายงานสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทให้เขาฟัง ระบบการป้องกันของบริษัทพังทลายอย่างสิ้นเชิง เอกสารลับบางส่วนถูกขโมยไป

อินเทอร์เน็ตของบริษัทถูกแฮ็กและอินเทอร์เน็ตก็เป็นอัมพาต เรื่องนี้ร้ายแรงมากและแทบจะถึงจุดที่ปิดบังต่อไปไม่ไหว

ในความเป็นจริงเยี่ยจิงเฉินได้พยายามระงับข่าวนี้ให้มากที่สุด แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้เขาคนเดียวไม่สามารถทำสำเร็จ ประธานใหญ่ของบริษัทที่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง ตอนนี้มีข่าวออกมาบ้างแล้วและวันมะรืนนี้อย่างช้าที่สุดเรื่องนี้จะไม่สามารถปกปิดไว้ได้ ทุกคนจะรู้ว่าเยี่ยหวงถูกแฮกเกอร์ทำลาย ถ้าเอกสารที่เป็นความลับรั่วไหลออกไปจะเป็นอันตรายต่อบริษัทมาก

เยี่ยจิงเฉินบีบคางของเขาเบาๆคิดว่านี่อาจเป็นกลลวงของแฮกเกอร์

หลังจากที่ลู่อันหรันพยายามพูดคุยกับเขาอยู่นาน ในที่สุดอาหารก็มาเสิร์ฟแล้ว

เยี่ยจิงเฉินมีนิสัยรักความสะอาดเล็กน้อย เธอจึงใช้ช้อนกลางตักอาหารให้เยี่ยจิงเฉิน

พวกเขาสองคนกินอย่างเงียบๆ ลู่อันหรันตักเนื้อท้องปลาให้เยี่ยจิงเฉินและพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆว่า “ฉันมักจะคิดว่าพี่ชายของฉันเป็นคนที่ดื้อรั้นและเขาก็ไม่ยอมเรียนรู้อะไรเลย เขาไม่รู้จักวิธีว่าควรดูแลเอาอกเอาใจผู้หญิงแบบไหน ช่างน่าเสียดายที่เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าที่พี่ชายของฉันไม่รู้จักวิธีดูแลเอาอกเอาใจผู้หญิงเป็นเพราะว่าเขายังไม่เจอคนที่ใช่ต่างหาก คุณดูสิตอนนี้เขาได้พบเจอกับซินเหยาเขาเริ่มมีความอ่อนโยนมากขึ้น ฉันเห็นแล้วยังขนลุกเลยแทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาถึงกับลงทุนขับรถคันโปรดมาเลย ไม่สามารถตัดสินเขาจากภายนอกได้จริงๆ ”

เมื่อฟังคำพูดของลู่อันหรันมือของเยี่ยจิงเฉินก็บีบตะเกียบแน่นรู้สึกว่าอาหารในปากของเขาเริ่มมีรสชาติไม่อร่อยและในขณะเดียวกันก็รู้สึกเบื่อเซ็ง

“แต่พวกเขาไม่ใช่แฟนกัน”เยี่ยจิงเฉินโต้เถียง

เนื่องจากถังซินเหยาได้สัญญากับตัวเองว่าเธอจะไม่คบหากับฟางซวี่เจ๋อ ดังนั้นเมื่อตอนเย็นคงเป็นเรื่องเข้าใจผิด

ลู่อันหรันไม่พอใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยจิงเฉินพูด เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมจะไม่ใช่? ถ้าไม่ใช่พี่ชายของฉันคงจะไม่พาเธอออกมาทานอาหาร ฉันเพิ่งเห็นเธอคุยกับพี่ชายของฉันอย่างมีความสุขมาก ครั้งนั้นที่ทานอาหารร่วมกันฉันก็ดูออกทันทีว่าพี่ชายของฉันสนใจถังซินเหยา และฉันคิดว่าพวกเขาเหมาะสมกันมาก ยิ่งในแง่ของรูปลักษณ์ทั้งสองคนก็เหมาะสมกันมาก

“เวลาทานอาหารอย่าพูดเยอะ” เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง

หลังจากพูดจบเขาก็วางตะเกียบในมือลุกขึ้นและเดินออกไป

“คุณจะไปไหนคะ?” ลู่อันหรันเอื้อมมือไปจับข้อมือของเยี่ยจิงเฉินแล้วถามอย่างกังวล

เยี่ยจิงเฉินสะบัดมือของเธอออกแล้วพูดว่า “ผมจะออกไปสูบบุหรี่”

จนกระทั่งเยี่ยจิงเฉินหันหลังและเดินออกไป ลู่อันหรันมองดูมือที่เพิ่งโดนเขาสะบัดออก เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ มันดูมึนงงเล็กน้อย

เธอบอกตัวเองว่าอย่ารีบร้อน ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปีเธอเชื่อว่าจะได้ครอบครองผู้ชายคนนี้

เพื่อที่จะได้ครอบครองผู้ชายคนนี้เธอไม่ลังเลที่ทุ่มเททุกสิ่ง

ดวงตาของลู่อันหรันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ไฟในใจแทบจะเผาผลาญสติของเธอ

เพื่อให้ได้ครอบครองผู้ชายคนนี้เธอยอมทำทุกอย่าง ดังนั้นเธอจึงต้องประสบผลสำเร็จไม่สามารถล้มเหลวได้เด็ดขาด

เยี่ยจิงเฉินไม่รู้ถึงความหลงใหลและความบ้าคลั่งของลู่อันหรันที่มีต่อเขา ที่เขาออกมาจากห้องมาอย่างกระวนกระวายไม่ใช่เพราะเขาออกมาสูบบุหรี่แต่เป็นเพราะเขาลงไปชั้นล่างและมองไปยังโต๊ะที่ถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง

แต่กลับเห็นว่ามันว่าง พวกเขากลับไปแล้วเหรอ?

หัวใจของเยี่ยจิงเฉินมืดมนผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนี้กล้าดียังไงมาโกหกเขา

รอเวลานั้นเมื่อเขาได้เธอมาไว้ในกำมือ เขาจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆแน่และเขาต้องลงโทษเธออย่างสาสม

ณ สะพานยาวด้านนอกลมหนาวพัดมาทำให้ไฟในใจของเยี่ยจิงเฉินลุกโชนหลังจากที่เขาเห็นถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อ เยี่ยจิงเฉินกลับมาเย็นชาเหมือนกับที่เคยเป็นอีกครั้งและกลายเป็นคนที่แข็งกระด้าง

ลู่อันหรันไม่ต้องการมีปัญหากับเยี่ยจิงเฉินเพียงเพราะผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นเธอจึงหยุดพูดถึงถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อ

แม้ว่าอาหารที่นี่จะอร่อย แต่ทั้งเยี่ยจิงเฉินและลู่อันหรันต่างก็รู้สึกกลืนไม่ลง

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จลู่อันหรันก็หยิบตั๋วหนังสองใบออกมาและขอให้เยี่ยจิงเฉินไปดูหนังกับเธอ

เยี่ยจิงเฉินมองดูใบหน้าที่มีส่วนคล้ายถังซินเหยาอยู่บ้าง และทันใดนั้นอารมณ์สงบของเขาก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง เขาหันหน้าไปหาเธอทำให้เธอรู้สึกดีใจเล็กน้อย”ไม่ไปแล้ว มันดึกมากแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งคุณ”

ลู่อันหรันไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไร? ผิดหวังหรืออะไร?

ตลอดหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเธอเคยชินกับท่าทางที่เย็นชาของเยี่ยจิงเฉิน ปฏิเสธเธออย่างไร้ความปรานีหลายครั้ง

เยี่ยจิงเฉินไปส่งเธอที่ชั้นล่างของอพาร์ทเมนท์ ลู่อันหรันปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหันหน้าไปยิ้ม”ขึ้นไปดื่มน้ำข้างบนสักหน่อยดีไหมคะ?”

นี่เป็นคำใบ้อยู่แล้วซึ่งบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นและสามารถคบหากันได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

“เดี๋ยวผมเฝ้าดูคุณขึ้นไป…… ” เยี่ยจิงเฉินไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าความหมายของลู่อันหรันคืออะไร แต่เขาไม่เคยมีความปรารถนาที่อยากขึ้นไปต่างหาก

……

หลังจากถังซินเหยากลับถึงบ้านตอนเย็นเธอก็ยังคงกระสับกระส่ายหดหู่และกลัดกลุ้มใจ หลายๆความรู้สึกรวมกัน

นั่งอยู่ในห้องสมุดนึกถึงเรื่องราวต่างๆจนหนักอึ้งที่หัว

ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือในมือของเธอก็ดังขึ้น ถังซินเหยาต้องตกใจเมื่อเห็นหมายเลขผู้โทรเข้าเธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เป็นป่ะป๊าที่โทรมา? เขาโทรมาทำไม?

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

“ขอโทษค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้Sorry……” ถังซินเหยาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาฮัมเบา ๆ แล้วกดปิดเครื่องไปทันที

ด้วยนิสัยที่เอาแต่ใจและดื้อรั้นของป่ะป๊า เขารู้ว่าเธอปิดเครื่องใส่แทบจะทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

เมื่อรู้ว่าป่ะป๊าไม่มีความสุขเธอก็รู้สึกสะใจ

ถังซินเหยายังคงเข้าใจเยี่ยจิงเฉินเป็นอย่างดี เมื่อเขาเห็นว่าเธอปิดเครื่องใส่ก็แทบจะทุบโทรศัพท์ในมือของเขาทิ้ง แต่หลังจากได้สติเขาก็พยายามอดทนไว้

คนเก่งที่ปะปนอยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าไม่อดทนอดกลั้นก็ต้องร้ายกาจมาก

เยี่ยจิงเฉินร้ายกาจเมื่อเวลาที่ควรร้ายกาจและเขาจะอดทนในเวลาที่เขาควรจะอดทน

เขาจดจำเรื่องราวของถังซินเหยาในวันนี้ได้แม่น เมื่อถึงเวลาเขาต้องคิดบัญชีกับเธออย่างแน่นอน

สาวน้อยเค่อหลานที่พูดฉอดๆเรื่องงานกีฬามาเป็นเวลานานในที่สุดก็ถึงเวลาที่รอคอยสักที

วันนี้อากาศดีมาก ท้องฟ้าแจ่มใสมีแดดออก เป็นเรื่องยากที่จะมีอากาศดีๆแบบนี้ อากาศแบบนี้เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งมากที่สุด

ถังซินเหยาตื่นเช้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันนี้ที่จะใช้เวลาทั้งวันกับลั่วหลิงและเค่อหลานในโรงเรียน โรงเรียนจะไม่รับผิดชอบอาหารสำหรับผู้ปกครองและนักเรียน ดังนั้นหากกลัวหิววิธีที่ดีที่สุดคือนำข้าวกล่องไปด้วย

แน่นอนว่ามีร้านอาหารอยู่ด้านนอกของโรงเรียน แต่เมื่อพิจารณาถึงผู้คนจำนวนมากแล้วดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการนำข้าวกล่องไปเอง

อาหารที่เธอเตรียมไปคือติ่มซำ ซูชิ ปีกไก่ต้มโคล่าและซี่โครงหมูตุ๋น

นำอาหารใส่ในกล่องเก็บความร้อน พอถึงช่วงเวลากลางวันค่อยไปขอใช้เตาไมโครเวฟเพื่ออุ่นอาหารในร้านสะดวกซื้อ แค่นี้ก็สามารถรับประทานให้อร่อยได้แล้ว

วันนี้เค่อหลานรู้สึกตื่นเต้นมากเป็นพิเศษวันนี้เธอตื่นเช้ากว่าทุกวันโดยไม่ต้องให้ถังซินเหยาปลุกเธอ

เธอลืมไปเลยว่าเคยบอกถังซินเหยาว่างานกีฬาครั้งนี้ต้องพาแฟนมาด้วย ซึ่งทำให้ถังซินเหยาได้แต่ถอนหายใจว่าควรจะเรียกใครมาแก้สถานการณ์นี้ดี

ระหว่างเยี่ยจิงเฉินกับถังซินเหยาพูดได้ว่าเลิกรากับแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินโกรธจนเลือดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินโอบไหล่ลู่อันหรันขึ้นไปที่ห้องวีไอพีชั้นบน

หลังจากที่เยี่ยจิงเฉินกับลู่อันหรันเดินออกไป ถังซินเหยาก็หุบยิ้มและรู้สึกโกรธมาก เธอแสดงความหยิ่งยโสของตัวเองออกมา

ตั้งแต่ต้นจนจบฟางซวี่เจ๋อมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเขาตลอด

แต่ถังซินเหยาไม่ได้สังเกตว่าตอนที่เธอโต้เถียงกับเยี่ยจิงเฉินเขาซ่อนความเศร้าไว้ภายใต้รอยยิ้มที่อ่อนโยน

“อันหรันกับจิงเฉินดูเหมาะสมกันดีนะ” ฟางซวี่เจ๋อถามถังซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนอิจฉาเล็กน้อย

ฟางซวี่เจ๋อเคยถามคำถามนี้กับเธอมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เธอได้ฟังแล้วเธอดูไม่สบายใจเหมือนครั้งนี้ เธอยิ้มและพูดแบบผ่านๆว่า “อืม ใช่เขาดูเหมาะสมกันมากจริงๆ เหมาะกันยังกับกิ่งทองใบหยก เจ้าหญิงที่ควรคู่กับเจ้าชาย ฟ้าดินลิขิตให้พวกเขาเกิดมาคู่กัน

ฟางซวี่เจ๋อได้ยินคำตอบของถังซินเหยาก็ขมวดคิ้วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“หม่ามี้ พวกเราเรียบร้อยแล้ว” เค่อหลานกับลั่วหลิงจูงมือกันเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มหวาน

เมื่อเห็นใบหน้าของลูกชายและลูกสาวของเธอคล้ายกับเยี่ยจิงเฉิน ทำให้ถังซินเหยารู้สึกว่าอาการของเธอไม่ค่อยดี ร่างกายของเธอเย็นฉับพลันราวกับอยู่ในห้องแช่แข็ง ใบหน้าของเธอซีดเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามส่งยิ้มให้กับลั่วหลิงและเค่อหลาน “กินอิ่มหรือยัง? ถ้ากินอิ่มแล้วพวกเราไปกันเถอะ หม่ามี้เพิ่งจำขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องต้องจัดการ”

“แล้วข้าวเหนียวรากบัวล่ะ” เค่อหลานถามด้วยความคาดหวัง

“ไม่เอาแล้ว ไว้ครั้งหน้าหม่ามี้พามากินนะ กินให้หนำใจไปเลย” ถังซินเหยาลุกขึ้นยืนอย่างกระวนกระวายมือจูงลั่วหลิงอีกมือหนึ่งจูงเค่อหลานรีบเดินออกไป

แม้แต่เงินค่าอาหารก็ยังไม่ได้ชำระ ฟางซวี่เจ๋อเดินตามหลังหยิบบัตรเครดิตของเขาออกมาแล้วชำระแทนเธอไป

ฝ่ายห้องครัวได้ทำข้าวเหนียวรากบัวเสร็จแล้ว ฟางซวี่เจ๋อก็ขอให้พนักงานห่อใส่ถุงกลับบ้านให้ จากนั้นก็รีบเดินตามไป

ถังซินเหยานั่งอยู่ในรถมองวิวนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าดูกังวล

“ข้าวเหนียวรากบัวเพิ่งทำเสร็จ ลุงขอให้พนักงานห่อใส่ถุงให้มันยังร้อนอยู่เลย เดี๋ยวสักพักนั่งกินในรถนะ” ฟางซวี่เจ๋อเดินมาแล้วยื่นข้าวเหนียวรากบัวให้กับลั่วหลิงและเค่อหลาน พนักงานห่ออย่างประณีตมาก ” ซินเหยาคุณสีหน้าไม่ค่อยดีเลย มีอะไรให้ผมช่วยไหม?”

“ขอบคุณลุงฟาง” ลั่วหลิงและเค่อหลานกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ

“เป็นเด็กน่ารักมาก ไม่ต้องขอบคุณนะครับ” ฟางซวี่เจ๋อพูดอย่างอ่อนโยนกับเด็กๆ

ถังซินเหยาส่ายหัวและเลียริมฝีปากที่แตกแห้งของเธอ “ไม่…… ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีแรงบันดาลใจแวบหนึ่ง ฉันได้ไอเดียที่ดีฉันกลัวว่าฉันจะลืมมันเลยอยากรีบกลับไปเขียนไอเดียนี้ไว้ ”

ฟางซวี่เจ๋อดูออกว่าถังซินเหยาไม่ได้พูดความจริง แต่เขาก็ไม่ได้คะยั้นคะยออะไร

เขาไม่อยากทำให้เธอลำบากใจ เขาจึงทำได้เพียงเชื่อในเหตุผลที่เธอพูดออกมา”งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณ”

ถังซินเหยานั่งอยู่ในรถมองไปที่วิวด้านนอกเธอยังคงรู้สึกกลัวและในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าแฝงไปด้วยความหวาดผวา

เป็นโชคดีที่ลั่วหลิงและเค่อหลานไปเข้าห้องน้ำไม่เช่นนั้นพวกเขาจะได้พบเจอกับเยี่ยจิงเฉิน อาจจะระแคะระคายบางอย่างเมื่อเห็นถังซินเหยามีสภาพเหงื่อตก

แม้ว่าฟางซวี่เจ๋อจะดูไม่ออกแต่ถังซินเหยาก็ไม่กล้าเสี่ยง ถึงแม้ว่าเยี่ยจิงเฉินจะดูไม่ออก มันน่ากลัวจริงๆตอนนี้เธอรู้สึกหนักใจมาก เรื่องราวของลั่วหลิงและเค่อหลานเกือบถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

ดูเหมือนว่าเธอจะประมาทจริงๆในช่วงนี้และเธอก็ไม่ได้ระมัดระวังอะไรเลย เธอรู้สึกกลัวมาก

เมื่อกลับมาถึงบ้านถังซินเหยารู้สึกเหมือนยกหินออกจากอกแต่เธอก็ยังกังวลเล็กน้อย

ฟางซวี่เจ๋อนั่งอยู่ในรถมองดูไฟในบ้านของถังซินเหยาถูกเปิดขึ้น เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆก่อนเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ออกสูบ สีหน้าของเขาไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

เรื่องราวที่ซับซ้อนต้องจัดการไปทีละเรื่อง

ลู่อันหรันเพลิดเพลินที่ได้ใกล้ชิดกับเยี่ยจิงเฉิน เพราะเธอไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเยี่ยจิงเฉินขนาดนี้มาก่อนมันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าได้กินน้ำผึ้งเข้าไปในหัวใจของเธอและมันช่างหอมหวานจริงๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหวานจนแทบจะกลายเป็นน้ำผึ้ง เธอรู้สึกถึงความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เธอหวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตลอดไปและไม่มีวันหายไป

เวลานั้นก็เหมือนกับทรายในมือแม้ว่าจะจับมันไว้แน่นแค่ไหน แต่มันก็จะหลุดหายไปอย่างช้าๆ

หลังจากเธอถูกพาไปที่ห้องวีไอพีเยี่ยจิงเฉินก็ปล่อยแขนออกจากเอวของเธอทันทีและขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อระยะไม่ให้ใกล้หรือไกลเกินไป

ลู่อันหรันรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจของเธอเล็กน้อยได้ครอบครองแล้วก็ต้องสูญเสียไป มันเจ็บปวดกว่าความรักที่ไม่เคยได้ครอบครองซะอีก

ลู่อันหรันรู้ว่าเยี่ยจิงเฉินไม่ชอบอยู่ใกล้กับคนอื่นมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่นั่งลงข้างๆ ของเยี่ยจิงเฉิน ทำได้เพียงเว้นระยะไว้ที่นั่งหนึ่ง

“จิงเฉิน คุณชอบกินอะไร?”ลู่อันหรันเปิดดูเมนูแล้วหันไปถามเยี่ยจิงเฉิน

ในเวลานี้สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินกลับสู่ความเย็นชาอีกครั้ง ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความไม่สบายใจในเวลานี้

“ตามใจคุณเลยให้คุณเลือก” เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

เมื่อนึกถึงถังซินเหยาตอนที่พูดไปยิ้มไปกับเยี่ยจิงเฉินที่ชั้นล่าง หัวใจของเยี่ยจิงเฉินก็เกิดอาการใจร้อนไม่เป็นสุข

ในใจอยากจะลงไปลากผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาถอดกางเกงแล้วตบหน้าของเธอ

ลู่อันหรันเคยชินกับท่าทางเย็นชาของเยี่ยจิงเฉินเป็นอย่างดี แต่ในใจเธอยังคงเศร้าอยู่เล็กน้อย เธอรวบรวมความกล้าพูดออกมา “งั้นก็สั่งเมนูขึ้นชื่อของที่นี่แล้วกันนะคะ”

“โอเค” เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างไม่แยแส

อาหารมาเสิร์ฟช้าแต่ทั้งลู่อันหรันและเยี่ยจิงเฉินก็ไม่ใช่คนที่ขาดความอดทน

คนสองคนคุยกันระหว่างรอก็ถือว่าไม่น่าเบื่ออะไรมาก

“จิงเฉิน ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้คุณอยู่ในช่วงพักร้อน เรื่องงานที่บริษัทได้ส่งมอบให้กับพี่ชายของคุณดูแลแทน เพราะอะไรเหรอคะ? คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าฉันพอจะช่วยอะไรคุณได้ไหม?” ลู่อันหรันมองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยสีหน้าวิตกกังวล

เธอรู้มานานแล้วว่าเยี่ยจิงเฉินไม่ชอบให้เธอถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา

ดังนั้นลู่อันหรันจึงรอให้เยี่ยจิงเฉินเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาเธอก่อนในช่วงเวลานี้ แต่รอมาครึ่งเดือนแม้แต่คำพูดสักคำของเยี่ยจิงเฉินยังไม่มี และมันก็ยากที่เธอจะติดต่อเขาในแต่ละครั้ง

ใคร ๆ ก็บอกว่าคนที่ตกหลุมรักก่อนจะแพ้ ในเกมนี้กับเยี่ยจิงเฉินเธอแพ้อย่างสิ้นเชิง จะทำยังไงได้ก็เธอเต็มใจที่จะเล่นเกมนี้เอง

“ไม่ต้อง เรื่องเล็กแค่นี้ผมจัดการเองได้” เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างเย็นชา

ลู่อันหรันรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ เธอแค่เป็นห่วงเขา

เมื่อรู้ถึงข้อห้ามของเยี่ยจิงเฉิน เธอจะไม่พูดถึงสิ่งนี้อีกต่อไปสิ่งที่จะทำลายบรรยากาศของวันที่มาออกเดตกัน เธอเปลี่ยนมาคุยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเธอ แม้ว่าเยี่ยจิงเฉินจะยังดูไม่สนใจแต่บรรยากาศก็ยังไม่แย่เกินไป

ฟางซวี่เจ๋อต้องการเอาอกเอาใจใครบางคน และก็ไม่อยากทำอะไรที่ทำให้คนอื่นลำบากใจเช่นกัน อาหารมื้อนี้ถือได้ว่าถูกอกถูกใจทั้งแขกและเจ้าภาพ

“หม่ามี้ หนูอยากกินรากบัวยัดไส้ข้าวเหนียว” หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เค่อหลานก็พูดกับถังซินเหยา

“ลูกยังไม่อิ่มเหรอ?” ถังซินเหยาวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“แต่หนูอยากกิน” เค่อหลานมุ่ยปาก

“เด็กกินน้ำตาลเยอะไม่ได้” ถังซินเหยาปฏิเสธ

“หม่ามี้…” เด็กน้อยทำหน้าออดอ้อน

“อ้อนก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ถังซินเหยาปฏิเสธ

“คุณลุงฟางคะ หนูอยากกินรากบัวยัดไส้ข้าวเหนียว” เค่อหลานทำตาโต มองไปที่ฟางซวี่เจ๋อ

ฟางซวี่เจ๋อใจอ่อนเพราะสายตาของเค่อหลาน “ซินเหยาเถอะน่า กินบ้างก็ไม่เป็นหรอกนะ”

แล้วหันไปพูดอย่างจริงจังกับเค่อหลาน “ทานแค่นิดเดียวเท่านั้นนะจ๊ะ ทานเยอะไม่ได้รู้ใช่ไหม?”

เค่อหลานยิ้มและพยักหน้าให้ฟางซวี่เจ๋อ และพูดอย่างเอาใจ “ค่ะ ลุงฟางใจดีจังเลย หนูชอบลุงฟางที่สุด หนูไม่กินเยอะหรอกค่ะ หนูแค่อยากลองชิมรสชาติมันดูเท่านั้น”

ฟางซวี่เจ๋อสั่งมาให้ลั่วหลิงและเค่อหลานคนละชุด

ถังซินเหยาแอบบ่นความฉลาดเป็นกรดของเค่อหลานอยู่ในใจ

ของหวานมาเสริร์ฟจากนั้นไม่นาน แต่เค่อหลานต้องการไปเข้าห้องน้ำ

ถังซินเหยากำลังจะลุกพาเค่อหลานออกไป ลั่วหลิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้ามาจับมือน้องสาว และพูดกับถังซินเหยาว่า “หม่ามี้เดี๋ยวผมไปกับน้องเองครับ หม่ามี้อยู่คุยกับลุงฟางเถอะ”

“ก็ได้ ลูกๆระวังตัวด้วยนะ” ถังซินเหยาลูบศีรษะลั่วหลิงเบาๆ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อลั่วหลิงและเค่อหลานเดินจากไป ถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องงาน

ตอนที่เยี่ยจิงเฉินและลู่อันหรันมาถึงไฟร้านก็เปิดแล้ว ร้านอาหารร้านนี้เป็นความคิดของลู่อันหรัน ที่เธอเลือกเพราะได้รับการแนะนำจากเพื่อน บอกว่าทิวทัศน์และรสชาติอาหารของที่นี่ดีมาก เธออยากมารับประทานอาหารที่นี่กับเยี่ยจิงเฉินนานแล้ว

พวกเขาจอดรถไว้ด้านนอก เมื่อลู่อันหรันลงจากรถ ก็เห็นว่ารถของฟางซวี่เจ๋อก็อยู่ที่นี่ด้วย

“เฮ้ พี่ชายก็อยู่ที่นี่ด้วยค่ะ” ลู่อันหรันควงแขนเยี่ยจิงเฉิน แล้วชี้ไปที่รถของฟางซวี่เจ๋อ

เยี่ยจิงเฉินตัวแข็งทื่อ เขาอยากผลักลู่อันหรันออก แต่เมื่อนึกถึงข้อตกลงห้าปีที่ให้ไว้กับลู้อันหรัน ประกอบกับการใกล้ชิดกันที่เพิ่มมากขึ้น เยี่ยจิงเฉินต้องอดทนต่อมัน ไม่ผลักไสลู่อันหรันออกให้เธออับอาย แล้วมองไปที่รถของฟางซวี่เจ๋อ

“ปกติพี่ชายจะหวงรถคันนี้มากไม่ค่อยขับออกมาข้างนอก ขนาดฉันยืมเขายังไม่ให้เลย วันนี้อะไรดลใจให้ขับรถคันนี้ออกมาได้?

เยี่ยจิงเฉินเพียงแค่เลิกคิ้ว บทสนทนานี้เขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

ลู่อันหรันเห็นว่าเยี่ยจิงเฉินไม่สนใจ เธอจึงหยุดพูดอย่างเก้อเขิน

“คุณเห็นไหมบรรยากาศที่นี่สวยมากเลยนะ เพื่อนฉันแนะนำให้มาที่นี่ บอกว่ากันว่าอาหารร้านนี้อร่อยมาก พ่อครัวของที่นี่เป็นลูกหลานพ่อครัวในวัง” ลู่อันหรันพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยรอยยิ้ม

“งั้นเหรอ?” เยี่ยจิงเฉินตอบอย่างขอไปที

แม้เป็นแค่การกระทำที่ขอไปที แต่ลู่อันหรันก็พอใจแล้ว

ทั้งสองคนเดินข้ามสะพานเข้ามายังห้องโถง

ลู่อันหรันสายตาแหลมคม เพียงแวบเดียวเธอก็มองเห็นฟางซวี่เจ๋อและคนที่นั่งอยู่กับเขาคือถังซินเหยา

“ที่แท้ก็มีเดท” ลู่อันหรันพูดกระแนะกระแหนหยอกล้อ อย่างไม่รู้ความหมายนั้น

ดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยจิงเฉินก็มองไปเช่นกัน เห็นถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อนั่งอยู่ด้วยกัน หัวเราะยิ้มแย้ม การสนทนาเป็นไปอย่างชื่นมื่น

“ไปเถอะค่ะ อย่าไปรบกวนพี่เลย” ลู่อันหรันควงแขนเยี่ยจิงเฉิน เดินไปห้องส่วนตัวที่อยู่ชั่นบน “เราขึ้นไปห้องชั้นบนกันเถอะค่ะ”

เยี่ยจิงเฉินชะงักฝีเท้า น้ำเสียงเย็นชาราวกับว่ากำลังปฎิบัติต่อคนแปลกหน้า แทนที่จะเป็นแฟนของตนเอง “ไปทักทายพี่ชายคุณกันเถอะ”

ลู่อันหรันที่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ชะงักไปชั่วครู่ และกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เธอเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วมาก จนคนอื่นจับไม่ได้

“ก็ได้ค่ะ หวังว่าพี่ชายจะไม่ตำหนิที่เราไปขัดจังหวะการออกเดทของเขานะคะ” น้ำเสียงของลู่อันหรันแฝงไปด้วยความขี้เล่นของเด็กสาว พูดขึ้นอย่างมีเสน่ห์

“พี่ชาย ซินเหยาก็มาทานอาหารกับเขาด้วยเหรอเนี่ย? พวกคุณสองคนมาเดทกันงั้นเหรอ?” ลู่อันหรันควงแขนเยี่ยจิงเฉินอย่างแนบชิด เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ส่งเสียงทักทายทันที และมองไปยังสองคนนั้นอย่างมีความหมาย พร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

ถังซินเหยาตัวสั่นเล็กน้อย มีความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง เธอจึงหันกลับไปดู คนที่เห็นคือป่าปี้ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาแล้วสามวัน และตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

เธอรู้สึกร้อนใจอยู่ไม่สุข หนังศีรษะเสียวซ่าขึ้นมา ความรู้สึกที่ราวกับว่าถูกสามีจับได้ว่าเล่นชู้อยู่บนเตียง

เมื่อเธอเห็นลู่อันหรันควงแขนเยี่ยจิงเฉิน ถังซินเหยาก็รู้สึกอกหัก แต่ก็หาเหตุผลเพียงพอที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ใจอยู่ไม่เป็นสุขอะไรกันล่ะ?

เขาแค่พาแฟนสาวของเขามารับประทานอาหารค่ำ? ตัวเองไม่ได้รับอนุญาตให้มารับประทานร่วมกับเจ้านายสักหน่อย?

อยากร้องไห้ ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

เมื่อฟางซวี่เจ๋อเห็นลู่อันหรันปรากฎต้วต่อหน้าพวกเขา สีหน้าค่อนข้างลำบากใจ เขามองข้ามคำถามของลู่อันหรันไป แล้วถามกลับไปว่า “พวกเธอมาทานข้าวกันเหรอ? อาหารที่นี่อร่อยมาก โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ของร้าน เธอและจิงเฉินต้องลองชิ้มดูนะ”

เขาไม่ได้ปฏิเสธคำถามของลู่อันหรันราวกับคนที่มีเจตนาแอบแฝง นั้นก็คือการยอมรับไปโดยปริยาย

เยี่ยจิงเฉินที่สีหน้าไม่สบอารมณ์มาแต่ไหนแต่ไร หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างลู่อันหรันและฟางซวี่เจ๋อสองพี่น้อง ใบหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้น

“ค่ะ ไว้เราจะลองชิ้มดูนะคะ” ลู่อันหรันยิ้มอย่างมีความสุข เธอที่ยืนอยู่แนบชิดอยู่กับเยี่ยจิงเฉิน ขยิบตาตาใส่ฟางซวี่เจ๋อ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “งั้นฉันกับจิงเฉินไม่รบกวนการเดทของพวกคุณแล้ว เราไปก่อนนะ จิงเฉิน เราขึ้นไปชั้นบนกันเถอะค่ะ”

เยี่ยจิงเฉินไม่คุ้นชินกับการใกล้ชิดผู้หญฺงคนอื่นมากนัก แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นแฟนของตนเองก็ตาม

แต่เพียงแค่เห็นท่าทีของฟางซวี่เจ๋อและถังซินเหยาที่หัวเราะต่อกระซิบกัน เยี่ยจิงเฉินก็รู้สึกว่ามีเปลวไฟกำลังเผาไหม้ขึ้นในใจของเขา เขาแทบอย่างให้เปลวไฟนี้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่เพียงแต่ไม่ผลักลู่อันหรันที่ควงแขนเขาอยู่อย่างแนบชิดออกไป ซ้ำยังเอื้อมมือไปกอดเอวบางของลู่อันหรันอย่างไม่รู้ตัว

“คุณกำลังเดทกับซวี่เจ๋องั้นเหรอ?” เยี่ยจิงเฉินกัดฟัน เอ่ยถามออกไปอย่างเย็นชา

ไม่รู้ทำไมถังซินเหยาจึงเอาแต่มองไปยังมือปลาหมึกของเยี่ยจิงเฉินที่กอดเอวของลู่อันหรันอยู่ เธอเม้มริมฝีปาก แล้วคลี่ยิ้มออกมา เผยให้เห็นลักยิ้มหวานบนแก้มสองข้าง “เราจะที่นี่เพื่อเดทกันหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับประธานเยี่ยนะคะ ประธานเยี่ยไม่ใช่คนขี้ซุบซิบซะหน่อย ทำไมคุณจึงเรียนรู้การขี้เม้าท์จากพวกเขามาได้ล่ะคะ?”

น้ำเสียงของถังซินเหยาหวานพอๆกับรอยยิ้มของเธอ น้ำเสียงนุ่มนวล ภาษาไพเราะ แต่กลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นดินปืนภายใต้น้ำเสียงนั้น

“เธอ…” ใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“ค่อยๆเดินนะคะ ฉันไม่ไปส่ง” ถังซินเหยายิ้มหวานขึ้น

วันรุ่นขึ้นเวลาประมาณห้าโมงเย็น ถังซินเหยาได้รับโทรศัพท์จากฟางซวี่เจ๋อ ฟางซวี่เจ๋อมารอเธออยู่ด้านล่างแล้ว ถังซินเหยาถึงกับผงะ เดินไปที่ระเบียงชะโงกหน้าลงไปดู แต่กลับไม่เจออะไร เธอบอกให้ฟางซวี่เจ๋อรอสักครู่ แล้วจึงรีบลงไปในทันที

แม้ต้องออกไปข้างนอกเธอก็ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า เพราะผิวพรรณเธอดีอยู่แล้ว

เพียงแค่เขียนคิ้ว ทาลิปกลอสสักหน่อยให้ตัวเองดูดีขึ้นอีกนิด

เธอสวมเสื้อคลุมอย่างลวกๆ สวมรองเท้าส้นสูง แล้วเดินออกมา

ฟางซวี่เจ๋อลงมาจากรถ เมื่อก้าวลงมาถึงพื้น ขาเขารู้สึกชาเล็กน้อย

อันที่จริงเขามาถึงที่นี่ตั้งแต่เที่ยง แม้มองไม่เห็นถังซินเหยา แต่ได้เฝ้าอยู่เงียบๆในเขตชุมชนของเธอ เพียงแค่ได้มองไปยังหน้าต่างบ้านของเธอ เขาก็พอใจแล้ว

เสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้เขาเพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า ลองอยู่หลายสิบชุดกว่าจะเลือกได้

ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ต้องการเปิดเผยด้านสมบูรณ์แบบของตนเองต่อชายที่ชอบ ผู้ชายเมื่อต่อเผชิญหน้ากับหญิงที่ชอบ เขาก็หวังได้แสดงออกถึงเสน่ห์ของตนเองเช่นกัน

เมื่อถังซินเหยาเดินออกมา เขามองเห็นได้อย่างรวดเร็ว

เขาสาวเท้าก้าวไปอย่างรีบร้อน ปรี่เข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น จับจ้องไปที่ถังซินเหยา เขาไม่ได้เจอหน้าเธอมากว่าครึ่งเดือนแล้ว เป็นเวลาครึ่งเดือนแต่ยาวนานราวครึ่งศตวรรษ ความคิดถึงทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด

“ซินเหยา ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เขาหยุดอยู่ห่างถังซินเหยาประมาณสามก้าว ไม่ได้เดินต่อไปข้างหน้า จ้องมองเธอด้วยสายตาเป็นประกาย พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “คุณสวยขึ้นนะ”

ในความเป็นจริงเขาอยากก้าวไปข้างหน้าแล้วสวมกอดเธอ กอดเธอไว้แน่นๆในอ้อมกอด ให้เข้าไปในเลือดในเนื้อ แล้วกระซิบที่ข้างหูเธอว่า: เขาคิดถึงเธอ คิดถึงจนเจ็บปวดลึกเข้ากระดูก

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เขารู้ว่าเวลานี้เธอคงยังไม่ยอมรับเขา เกรงว่าจะทำให้เธอตกใจเสียเปล่าๆ ดังนั้นจึงได้เพียงแค่ระงับอารมณ์ไว้อย่างขมขื่น

“ขอบคุณค่ะ คุณก็หล่อขึ้นนะ” ถังซินเหยาถามกลับด้วยรอยยิ้ม “มานานแล้วเหรอคะ?”

แม้ถังซินเหยาจะชมไปตามมารยาท แต่เมื่อได้ยินคำชมจากปากถังซินเหยา หัวใจของฟางซวี่เจ๋อก็กระพือปีกโบยบิน คุ้มค่ากับที่ช้อปปิ้งมาทั้งเช้าและเปลี่ยนชุดนับครั้งไม่ถ้วน

“ก็ไม่นาน ผมเพิ่งมาถึง” ท่าทีของฟางซวี่เจ๋อเป็นไปอย่างธรรมชาติ

เขาไม่คิดที่จะบอกถังซินเหยาอยู่แล้ว ว่ามาที่นี่โดยที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยงด้วยซ้ำ จนกระทั่งถึงห้าโมงเย็นเขาก็อดที่จะโทรหาเธอไม่ได้ เขาไม่อยากเพิ่มภาระให้เธอ และไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระของเธออีก

“ไปกันเถอะ วันนี้ฉันเลี้ยงเอง” ถังซินเหยาไม่ได้สงสัยในคำตอบของฟางซวี่เจ๋อ เพราะท่าทีของเขาเป็นไปอย่างธรรมชาติ

ฟางซวี่เจ๋อยกแขนขึ้นดูนาฬิการาคาแพงที่ข้อมือ “เราไปรับลั่วหลิงและเค่อหลานที่โรงเรียนกันเถอะ พวกเขาใกล้จะเลิกแล้ว”

แม้จริงๆแล้วเขาอยากมีเวลาอยู่ตามลำพังกับถังซินเหยา แต่ก็ไม่อยากบีบบังคับมากเกินไป และที่บอกว่าต้องการไปรับเด็กทั้งสองเขาพูดด้วยความจริงใจ

เขาเปิดประตูรถ รอให้ถังซินเหยาเข้าไปนั่ง แล้วปิดประตู

เค่อหลานและลั่วหลิงเลิกเรียนแล้ว เมื่อออกมาก็เห็นถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อยืนรออยู่นอกโรงเรียน

หนุ่มหล่อสาวสวย

คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่ไปรับลูกที่โรงเรียน ต่างพากันแอบมองถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อ

“หม่ามี้” เค่อหลานมองเห็นถังซินเหยาได้อย่างรวดเร็ว รีบพุ่งเข้ามาราวกับลูกวัวน้อย เธอพุ้งเข้าไปหาเป็นเวลาที่ถังซินเหยากำลังก้าวถอยหลังไปพอดี ฟางซวี่เจ๋อยื่นมือออกไปเพื่อรับเธอไว้ ทำให้ถังซินเหยาต้องหลบ และปะทะเข้ากับลูกสาวล้มหัวคะมำ

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฟางซวี่เจ๋อกอดถังซินเหยาเอาไว้ได้ เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

ใบหน้าของถังซินเหยาขึ้นสีเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะขายหน้าหรือเขิน เธอจึงส่ายหน้าเบาๆ เมื่อเป็นอิสระจากอ้อมแขนของฟางซวี่เจ๋อ จึงเอื้อมมือเพื่อจะไปบิดหูเค่อหลานเพราะความโกรธ

เค่อหลานเป็นเด็กฉลาด เมื่อมองไปที่ใบหน้าของถังซินเหยาก็รู้แล้วว่าหม่ามี้กำลังโกรธ

ทันใดนั้นเธอก็วิ่งไปหลบหลังพี่ชาย เพื่อขอความคุ้มครอง

“เค่อหลานออกมาหาหม่ามี้นะ” ถังซินเหยาเม้มปาก จ้องเค่อหลานเขม็ง

เค่อหลานมองไปยังท่าทีของถังซินเหยา ชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังพี่ชายอย่างอายๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นมีน้ำตาคลอ เมื่อมองดูแล้วช่างน่าสงสาร “หม่ามี้ หนูผิดไปแล้วค่ะ”

“ออกมา” ถังซินเหยายังคงขึงขัง

เค่อหลานหันไปมองฟางซวี่เจ๋อแล้วพูดว่า “ลุงฟางคะ หม่ามี้จะตีหนู”

ฟางซวี่เจ๋ออดไม่ไหวจึงพูดขึ้น “ซินเหยาช่างมันเถอะ หลานหลานคงดีใจมากไปหน่อยที่ได้เจอคุณ เธอไม่ได้ตั้งใจหรอก ใช่ไหมหลานหลาน?”

“ใช่ค่ะ ใช่ค่ะ” เค่อหลานพยักหน้าราวกับนกจิกกระเทียม

ถังซินเหยามองไปที่เธอ เค่อหลานฉลาดรู้จักมองหาผู้ช่วยชีวิต ทั้งน่าขันและน่าโมโหจริงๆ

“ช่างมันไปเถอะหม่ามี้ พวกเราหิวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะครับ” ลั่วหลิงก็สงสารน้องสาวเช่นกัน จึงรีบออกมาไกล่เกลี่ย

ในเมื่อฟางซวี่เจ๋อและลูกชายพูดขนาดนี้ ถ้าเธอยังดื้อดึง ก็จะทำให้ทุกคนลำบากใจ

เอาล่ะ เธอยอมรับว่า อันที่จริงเธอก็สงสารลูกสาวเช่นกัน แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีใครตักเตือนเธอ

ฟางซวี่เจ๋อรู้ว่าถังซินเหยาไม่ชอบอาหารตะวันตก และชอบกินอาหารจีนมากกว่า ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำตามความต้องการของเธอ

สถานที่ที่ไปรับประทานอาหารเป็นร้านอาหารส่วนตัว บ้านทรงโบราณ ที่ประตูทางเข้ามีพนักงานสวมชุดกี่เพ้าสีแดงคอยยืนต้อนรับ โคมไฟที่แดงแขวนประดับไว้ที่หน้าประตู ดูก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คงไม่ใช่ราคาถูกๆ เพราะมีความเป็นส่วนตัวอย่างมาก

ฟางซวี่เจ๋อจอดรถ และรีบลงรถไปก่อน แล้วช่วยเปิดประตูให้ถังซินเหยา จากนั้นลั่วหลิงและเค่อหลานก็ถูกอุ้มออกมาจากรถ

เขาจูงมือเล็กๆของเค่อหลาน ถังซินเหยาจูงลั่วหลิง จูงกันไปคนละคน ดูเหมือนคู่รักหนุ่มสาวพาเด็กๆมารับประทานอาหาร

ทันทีที่พวกเขาเดินไปถึงพนักงานต้อนรับก็พาเดินเข้าไปทันที เดินข้ามสะพานมาถึงห้องโถง ฟางซวี่เจ๋อรู้ว่าถังซินเหยาไม่ค่อยอินกับอะไรพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องมีห้องส่วนตัว จึงเดินไปที่ริมหน้าต่างของห้องโถง ที่นั่งมีแสงสว่างเพียงพอ และการนั่งที่ริมหน้าต่างยังสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของทะเทสาบและภูเขาด้านนอกได้อีกด้วย

ร้านอาหารส่วนตัวร้านนี้ ถูกสร้างขึ้นระหว่างทะเลสาบ มีทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์

แต่รสชาติอาหารจะเป็นอย่างไร เพียงแค่ได้ชื่นชมบรรยากาศสวยงามของที่นี่ เพียงแค่นี้แขกที่เข้ามาก็ทำให้กิจการรุ่งเรืองมากแล้ว

เนื่องจากการรับประทานอาหารครั้งนี้เป็นการที่ถังซินเหยาเลี้ยงขอบคุณฟางซวี่เจ๋อ จึงอยากสั่งอาหารโปรดของฟางซวี่เจ๋อบ้าง แต่ฟางววี่เจ๋อชอบกินอะไร เธอไม่รู้จริงๆ ดังนั้นเธอจึงยื่นเมนูอาหารให้ฟางซวี่เจ๋ออย่างไม่เกรงใจ ให้เขาเลือกด้วยตัวเอง

ฟางซวี่เจ๋อรู้ว่าถังซินเหยาชอบอาหารรสเผ็ด ดังนั้นเขาจึงสั่งอาหารที่ค่อยข้างเผ็ดมาอีกสองสามอย่าง

ในขณะเดียวกันก็เป็นกังวลเด็กทั้งสอง จึงสั่งอาหารโปรดของเด็กๆมาสองสามอย่างเช่นกัน

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารโปรดของถังซินเหยาและเด็กๆ ถังซินเหยามองไปที่เมนูอาหาร และมองไปยังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยนของฟางซวี่เจ๋อ รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับชายที่เป็นสุภาพบุรุษแบบนี้เลย

อาหารรสชาติดีมาก ไม่เช่นนั้นฟางซวี่เจ๋อคงไม่พาเธอมาที่นี่แน่

ลั่วหลิงยืนถือจานผลไม้อย่างนิ่งเงียบอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องหนังสือ ซ่อนตัวอยู่หน้าประตูที่เปิดอยู่ ลัวหลิ่งได้ยินบทสนทนาทั้งหมดระหว่างถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อไม่พลาดสักประโยค ใบหน้าของเขาหมองลง

หลังจากถังซินเหยาวางสายโทรศัพท์ ลั่วหลิงเม้มริมฝีปากแน่น เคาะประตูห้องหนังสือที่เปิดอยู่เบาๆ

ถังซินเหยาวางโทรศัพท์ของเธอไว้ข้างๆ เงยหน้าขึ้นมองลูกชายตัวเองที่ยืนอยู่นอกประตูราวกับสุภาพบุรุษตัวน้อย เธออดยิ้มไม่ได้ “เข้ามาเร็ว ลูกแม่มาทำไมจ๊ะ?”

“ผมล้างผลไม้มาให้หม่ามี้ทาน” ลั่วหลิงเดินเข้าไปอย่างใจเย็น วางจานผลไม้ไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วพูดเบาๆ

“อ่อ งั้นก็ขอบคุณนะคะลูกที่น่ารักของหม่ามี้” ถังซินเหยาเอื้อมไปหยิบผลไม้เข้าปาก เพราะลูกชายสุดที่รักล้างมาให้กับมือ รสชาติจึงหวานมาก และเธอมีความสุขเป็นพิเศษ ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “อืม แอปเปิ้ลหวานจังเลย”

“หม่ามี้ เมื่อกี้ผมได้ยินที่หม่ามี้คุยกับคุณลุงฟาง” ลั่วหลิงยังไม่ได้เดินออกไป เขาเอื้อมมือไปหยิบภาพออกแบบที่ถังซินเหยาวาดไว้ขึ้นมาดู แล้วพูดออกไปตรงๆ

ถังซินเหยาก็ไม่ได้ต้องการปกปิดลูกชายตั้งแต่แรก เธอพูดอย่างใจกว้าง “อืม ใช่จ้ะ คืนพรุ่งนี้แม่ชวนลุงฟางไปทานอาหารค่ำด้วยกัน ก็เพื่อขอบคุณที่ช่วงนี้เขาช่วยดูแลลูกกับน้อง ตอนที่หม่ามี้ออกไปปฏิบัติงานข้างนอก”

“การออกแบบของหม่ามี้ดูมีจิตวิญญาณขึ้นเรื่อยๆนะครับ” ลั่วหลิงมองไปยังแบบในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองถังซินเหยา

ถังซินเหยามองไปยังแบบร่างที่ลั่วหลิงถืออยู่ในมือ แล้วยิ้ม “หลิงหลิงของแม่ฉลาดมาก เข้าใจแบบของหม่ามี้อย่างแท้จริง ตอนที่หม่ามี้ออกไปทำธุระครั้งนี้ หม่ามี้ได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากมาย เรื่องที่ได้ประสบพบเจอ ทำให้หม่ามี้มีแรงบันดาลใจ และมีความสุขมาก”

การออกแบบชุดนี้สำหรับเธอแล้ว เธอก็พึงพอใจอย่างมากเช่นกัน

ลั่วหลิงกระพริบตา การออกแบบของถังซินเหยาที่เขาเคยเห็นมาเนื้อหาถูกแยกออกจากความรักมาโดยตลอด แม้ว่าเนื้อหาครั้งนี้จะสวยงามตามแบบคราสสิกของจีนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เบี่ยงเบนไปจากสไตล์ของถังซินเหยาเลย การออกแบบของถังซินเหยาครั้งนี้มีจิตวิญญาณอย่างมาก มีความหมายลึกซึ้งจริงๆ

“ครับ หม่ามี้ออกแบบได้สวยมากๆ” ลั่วหลิงวางแบบไว้ที่เดิม แล้วพูดอย่างเป็นเด็กวางนอนสอนง่าย “งั้นผมไม่รบกวนหม่ามี้แล้วดีกว่า ผมออกไปก่อนนะครับ”

ถังซินหยาไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่ลั่วหลิงคิด ครั้งนี้เธอมีแรงบันดาลใจมากมายจริงๆ เมื่อลั่วหลิงออกไป เธอก็จมอยู่ในโลกของตัวเองอีกครั้ง เริ่มวาดแบบอย่างสบายใจ

เค่อหลานกำลังดูการ์ตูนอยู่ในห้องนั่งเล่น ลั่วหลิงหั่นผลไม่ไปให้น้องสาว จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปเล่นคอมพิวเตอร์ในห้อง

เมื่อคอมพิวเตอร์เปิดเครื่อง ก็เข้าสู่ระบบของQQ แล้วคลิกเปิดหน้าต่างแชทสนทนา

“วันนี้คุณลุงฟางโทรหาหม่ามี้ นัดหม่ามี้ออกไปทานอาหารเย็นด้วยกันคืนวันพรุ่งนี้” ลั่วหลิงเปิดหน้าต่างแชทสนทนา เสียงแคะแป้นพิมพ์ดังขึ้น ถังซินเหยาถูกขายไปแล้ว

หน้าต่างแชทสนทนาของเยี่ยจิงเฉินปรากฏขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นข้อความที่แฮ็กเกอร์ตัวน้อยส่งมาให้ เขาก็เลิกคิ้วทันที

“‘งั้นเหรอ?” ข่าวการออกเดตของแม่แฮ็กเกอร์ตัวน้อยสำหรับเขาขาดความน่าสนใจไปแล้ว

“หม่ามี้ของผมก็ชอบคุณเหมือนกัน ถ้าหม่ามี้ปล่อยให้ลุงฟางตามจีบ หลังจากนั้นผมและน้องสาวก็ต้องเรียกลุงฟางว่าป่าปี้ แต่ผมไม่ต้องการ” ลั่วหลิงพูดออกไปอย่างเด็กๆ

“นายมีน้องสาวด้วยเหรอ?”

“ครับ เราเป็นแฝดชายหญิงกัน”

“นายไม่ชอบคุณลุงฟาง? เขาทำแย่ๆกับนายและน้องสาวงั้นเหรอ?”

“เปล่าครับ

“เขาดีขนาดนี้ แล้วทำไมนายไม่อยากเรียกเขาว่าป่าปี้ล่ะ?”

“ก็เพราะว่าคุณเป็นป่าปี้ของผมและน้องสาว”

เยี่ยจิงเฉินรู้สึกว่านี่ช่างเป็นเรื่องน่าขำจริงๆ แฮ็กเกอร์น้อยคนนี้อินมากเกินไปแล้ว และเขาก็จำไม่ได้ด้วยว่ามีลูกชายตัวใหญ่ขนาดนี้

“ถ้าหม่ามี้ของนายหาที่พักพิงดีๆสักที่ได้ ฉันก็ยินดีอวยพรให้เธอ” ใครจะไม่รู้ว่าแม่ของแฮ็กเกอร์น้อยคนนี้จะเป็นคนอย่างไร

“ถ้าหม่ามี้ต้องแต่งงานกับคนอื่นจริงๆ ทั้งชีวิตของผมและน้องสาวก็ไม่ได้รู้จักคุณอีก”

เยี่ยจิงเฉินจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ได้ แฮ็กเกอร์น้อยคนนี้คารมณ์ดีทีเดียว

“เยี่ยมมาก อันที่จริงฉันก็ไม่อยากมีลูกตั้งสองคนที่ไม่รู้จักที่มาที่ไป ถ้าจะให้ฉันพูด ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่ตั้งใจจะให้กำเนิดลูกกับฉันได้” เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างไม่แยแส และเขาก็ไม่ได้คิดว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเขาจริงๆ

ลั่วหลิงเงียบไปชั่วครู่ เขากำลังโกรธ

“เรื่องของคุณที่รับปากไว้ผมทำไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นาน เยี่ยหวางก็คงจะเละไม่เป็นท่า แล้วเมื่อถึงเวลาที่คุณต้องกลับไปเป็นประธาน คุณจะสามารถเรียกคืนสิ่งที่คุณสูญเสียไปได้” หลังจากที่กดส่งประโยคนี้ไป ลั่วหลิงก็กดออก

เยี่ยจิงเฉินมองไปยังรูปภาพขาวดำ นอกเหนือความหมายหมายอยู่หน่อย โกรธงั้นเหรอ?

แต่เขาไม่สนใจอีกต่อไป เพียงแค่แฮ็กเกอร์ตัวเล็กๆที่เขารู้สึกสนใจ เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่สนุกบางเวลา สำหรับที่แฮ็กเกอร์ตัวน้อยบอกว่าจะช่วยเขาชิงเยี่ยหวางกลับมา เขาไม่สนใจเลยสักนิด

แม้จะไม่มีแฮ็กเกอร์คนนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องชิงเยี่ยหวางกลับมา เพราะเยี่ยหวางเป็นของเขาตั้งแต่ต้น ไม่เคยหายไปไหน แล้วจะชิงกลับมาทำไมกัน?

ลั่วหลิงกำลังโกรธจริงๆ จากนี้เขาตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเยี่ยจิงเฉินอีก

ในเมื่อเขาไม่สนใจตัวเองและน้องสาว งั้นตัวเองและน้องสาวก็ไม่ใช่ของหายากสำหรับอีกต่อไป แต่ในใจก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ความโศกเศร้าที่ถูกพ่อของตัวเองไม่ชอบ

แต่เขาฉลาดมาโดยตลอด ทั้งไอคิวและอีคิวก็สูงทั้งคู่ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเองดีมาก จากนั้นไม่นานก็ปรับอารมณ์ได้

คิดจะให้โอกาสเยี่ยจิงเฉินอีกครั้ง ถ้าในอนาคตเยี่ยจิงเฉินได้รู้จักตัวตนของพวกเขาและยังไม่ชอบพวกเขาอีก เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้จักพ่อคนนี้อีกต่อไปเช่นกัน

ข่าวที่เยี่ยจิงเฉินกลับมาไม่ได้มีเจตนาปกปิดใดๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมเหตุอยู่แล้ว ที่ลู่อันหรันจะรู้ว่าเขากลับมาเมือง B แล้ว

ลู่อันหรันโทรนัดเยี่ยจิงเฉินให้ออกไปรับอาหารเย็นด้วยกันกับเธอข้างนอก เยี่ยจิงเฉินเห็นว่าไม่ได้สำคัญอะไร จึงตอบตกลงไป

คิดซะว่าเพื่อชดเชยให้ผู้หญิงคนนี้ ในความสัมพันธ์ของเขาและลู่อันหรัน ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยกันทั้งคู่ ผู้ชนะที่แท้จริงคือตระกูลเจี่ยและตระกูลลู่ เขารู้ว่าลู่อันหรันชอบเขา และลู่อันหรันก็เป็นสเปคเขาเช่นกัน แต่เป็นเวลาห้าปีมาแล้ว เขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปมาโดยตลอด

เขาพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจชอบลู่อันหรันได้จริงๆ

ดังนั้นเขาจึงเย็นชาต่อลู่อันหรันเสมอมา เพราะไม่อยากให้ความหวังกับเธอ แต่ดูเหมือนว่าลู่อันหรันกลับไม่ได้สนใจใยดีสักนิด ราวกับว่ามองไม่ออกว่าตนเองไม่ได้มีความรู้สึกใดๆต่อเธอ

เขาต้องการยกเลิกสัญญาการแต่งการระหว่างพวกเขาสองคน ที่ตระกูลเยี่ยและตระกูลลู่ทำไว้มาโดยตลอด แต่ลู่อันหรันไม่เห็นด้วย

เพื่อชดเชยให้แก่ลู่อันหรัน เขาสัญญาว่าจะให้เวลาตลอดห้าปีนี้กับเธอ ให้เธอต่อสู้ และพยายามทำให้ตัวเขาเองตกหลุมรักเธอ

ผ่านไปแล้วสี่ปี่ครึ่ง สิ่งที่ได้รับมากลับน้อยมาก

ลู่อันหรันชวนเขาไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ เขาคิดแล้วคิดอีก อย่างไรก็ตามยังอีกเวลาอีกครึ่งปี ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธลู่อันหรัน

ออกไปปฏิบัติงานที่เมือง H ครั้งนี้ แม้จะผ่านประสบการณ์มามากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังหวาดกลัวจนแทบไม่อยากกลับมาอีก แต่หลังจากได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง H ได้เห็นผู้คนในชนบท ได้รับรู้ถึงความงดงามของธรรมชาติ ก็รู้สึกคุ้มค่ากับการมาคร้งนี้

ความคิดกำลังไหลลื่นอยู่ในห้อง เธอมีแรงบันดาลใจไม่น้อย

เธอกำลังร่างแบบอยู่ในห้อง วาดอยู่เช่นนั้นอย่างละเอียด รับประกันทั้งความรวดเร็วและมีคุณภาพ

จนกระทั่งเสียงนาฬิกาเที่ยงวันดังขึ้น เธอจึงนึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปเตรียมอาหารกลางวันไว้ใช้ลูกชายและลูกสาว

น้ำซุปไก่ที่เคี่ยวไว้ด้วยไฟอ่อนๆตั้งแต่เช้า เมื่อเปิดฝาหม้อขึ้น กลิ่นหอมของซุปไก่ก็ลอยออกมา ช่างหอมน่ารับประทานจริงๆ

ถังซินเหยาเดินไปดูลั่วหลิงที่ห้อง ลัวหลิ่งกำลังนอนหายใจอยู่อย่างสม่ำเสมอ นอนหลับไม่รู้เรื่อง และเค่อหลานนอนดวงตาเบิกกว้างอยู่ข้างๆพี่ชาย กำลังเล่นนิ้วมือตัวเองอยู่ไม่หยุด เมื่อมองไปยังเด็กทั้งสอง ถังซินเหยารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“หลานหลานตื่นไปทานข้าวได้แล้วลูก” ถังซินเหยาก้มลงอุ้มเค่อหลานอย่างออกจากเตียงอย่างระมัดระวัง พยายามย่องเบาเพื่อไม่ให้ปลุกลูกชายที่กำลังหลับปุ๋ย

เค่อหลานกอดคอถังซินเหยา ให้แม่อุ้มเธอออกจากเตียง

เมื่อออกมาข้างนอกถังซินเหยาหยิบเสื้อคลุมตัวเล็กๆมาคลุมให้เค่อหลาน แม้ว่าในบ้านจะมีแผงความร้อนใต้พื้นบ้าน ถึงในฤดูหนาวที่บ้านจะไม่หนาวมาก แต่ร่างกายเด็กยังอ่อนแอ ถังซินเหยายังคงเป็นกังวล

ในหัวของถังซินเหยาคิดเรื่องการออกแบบอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นอาหารกลางวันวันนี้จึงเรียบง่ายมากๆ

มีเพียงแค่บะหมี่ แล้วราดด้วยซุปไก่หอมๆ และน่องไก่ขนาดใหญ่

แม้จะเรียบง่ายมากเกินไปหน่อย แต่ลูกๆของเธอทั้งสองเป็นคนเลี้ยงง่าย เค่อหลานไม่รังเกียจมัน ต่างหัวเราะชอบใจราวกับหมูน้อยได้อาหาร ยิ่งกินยิ่งน่าอร่อย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ถังซินเหยายกถ้วยไปไว้ในอ่าง ปล่อยให้เค่อหลานดูโทรทัศน์ไป ส่วนเธอเข้าไปในห้องอีกครั้ง เริ่มวาดแบบร่างของตัวเอง

ลั่วหลิงที่เพิ่งตื่นขึ้นมาในตอนเย็น เขาไม่อยากไปรบกวนถังซินเหยา จึงไปที่ห้องครัวและทำความสะอาดถ้วยจานที่ยังไม่ได้ล้างตั้งแต่ตอนเที่ยงตอนที่อยู่ข้างล่างยังช่วยเค่อหลานช่วยทำอารจารเล็กๆ น้องพี่น้องพากันกินบะหมี่กันอย่างเงียบๆ

ในเมื่อตอนนี้ลั่วหลิงตื่นแล้ว ถังซินเหยาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารมื้อค่ำ

ถังซินเหยาไม่ได้ออกมารับประทานอาหารเย็น ลั่วหลิงทำอาหารเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จึงยกไปให้ถังซินเหยาที่ห้องหนังสือ

ถังซินเหยาซาบซึ้งใจ เธอสวมกอดลั่วหลิงและจูบหนักๆที่แก้มเล็กๆบอบเบาของเขา จูบจนคอของลั่วหลิงกลายเป็นสีแดง

หลังจากรับประธานอาหารเสร็จ ถังซินเหยาก็ก้มหน้าก้มตาวาดภาพต่อไป

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอปลายมองพบว่าเป็น ฟางซวี่เจ๋อ

ที่อยู่ชนบทของเมือง H เพราะกลัวว่าคนอื่นจะพบตำแหน่งโทรศัพท์มือถือของเธอและเยี่ยจิงเฉิน ดังนั้นโทรศัพท์มือถือของเธอจึงไม่เคยเปิดเครื่องตลอดที่อยู่ที่นี่ หลังจากที่กลับมาจากเมือง H เธอจึงเปิดเครื่องขึ้นมาพบว่าในกล่องจดหมายของโทรศัพท์เต็มไปด้วยข้อความจากฟางซวี่เจ๋อ ทุกข้อความล้วนมีแต่ความเป็นห่วงเป็นในเธอ

เธอเพียงแค่ตอบข้อความกลับไป บอกฟางซวี่ว่าเธอกลับมาแล้ว ทุกอย่างปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วง

ไม่มีอะไรมาก ตอนที่ฟางซวี่เจ๋อโทรมา ถังซินเหยาลังเลอยู่เล็กน้อย จึงค่อยกดรับสาย

ในช่วงที่เธอไม่ได้อยู่เมือง B ไม่เพียงมีเจ้าเหยียนมาดูแลลั่วหลิงและเค่อหลาน แต่ฟางซวี่เจ๋อมักจะมาเยี่ยมลั่วหลิงและเค่อหลานบ่อยๆ ถังซินเหยาต้องยอมรับในความรักนี้

เธอกดรับโทรศัพท์แล้วแต่ยังไม่ได้พูดอะไร ได้ยินน้ำเสียงเร่งรีบของฟางซวี่เจ๋อดังออกมา “ฮัลโหว ซินเหยา คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“อืม ขอบคุณนะซวี่เจ๋อ ฉันไม่เป็นไร” ถังซินเหยาเลียริมฝีปากตัวเอง ที่มุมปากมีรอยยิ้มที่ซ่อนความรู้สึกเอาไว้

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ช่วงนี้ผมติดต่อคุณไม่ได้เลย ใจร้อนจะตายอยู่แล้วกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ” ฟางซวี่เจ๋อหวาดกลัวอยู่ในใจ

“ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นแค่อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ อยู่ชนบทสัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดี ก็เลยเป็นสาเหตุที่ติดต่อฉันไม่ได้” ถังซินเหยาวางดินสอในมือลง พูดอย่างขาดความเชื่อมั่นในตนเอง แม้เธอและเยี่ยจิงเฉินคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐาน ในครอบครัวของตระกูลเยี่ยนั้น มันอ่อนไหวเกินไปที่จะพูดออกมา ถังซินเหยาจึงเลือกที่จะปกปิดมันไว้

“คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ฟางซวี่เจ๋อไม่อยากต้องตามหาความจริงอะไรอีก

ดังนั้นจึงอยู่ด้วยกันได้ เขาจะไม่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด

“คุณว่างเมื่อไหร่ ผมจะชวนคุณ…ชวนคุณกับลั่วหลิงและเค่อหลานไปกินข้าว” น้ำเสียงของฟางซวี่เจ๋อตื่นเต้นเล็กน้อย

ถังซินเหยาคิดสักพัก ช่วงนี้ฟางซวี่เจ๋อก็ดูแลลั่วหลิงและเค่อหลานเยอะมาก จะเลี้ยงข้าวฟางซวี่เจ๋อสักหน่อยก็ไม่เห็นแปลก แม้ว่าเธอจะไม่อาจยอมรับฟางซวี่เจ๋อได้ แต่ก็ไม่อยากให้ไปถึงจุดที่ไม่อาจพูดคุยกันได้

ฟางซวี่เจ๋อที่ไม่ได้รับคำตอบจากถังซินเหยา ความสดใสในดวงตาทั้งสองคู่ค่อยๆหรี่ลง

ถังซินเหยาไม่รู้ว่าในขณะที่เธอกำลังคิดพิจารณา หัวใจของฟางซวี่เจ๋อทรมานแค่ไหน สิ่งที่จุกอยู่ในหัวใจ คือกลัดกลุ้มทั้งหมดที่ทำให้ฟางซวี่เจ๋อเจ็บปวด

“ก็ได้ ให้ฉันเลี้ยงคุณ ขอบคุณที่ช่วยดูแลลั่วหลิงและเค่อหลานในช่วงนี้” ถังซินเหยาเงียบไปสักพัก จากนั้นตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เมื่อเห็นถังซินเหยายอมรับปาก หัวใจฟางซวี่เจ๋อก็เกิดความความสุขแปลกๆขึ้นมาทันที เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะมีวันนี้วันที่ผู้หญิงคนหนึ่งควบคุมอารมณ์ของเขาได้ เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก

“ได้ แล้วคุณว่างเมื่อไหร่?” ฟางซวี่เจ๋อถามโดยไม่ปกปิดความสุขในน้ำเสียง

ถังซินเหยารู้สึกอึดอัด และปวดหัวเล็กน้อย เธอยกมือขึ้นถูจมูกตัวเอง

“คุณน่ะว่างมีเวลาว่างเมื่อไหร่ สองสามวันนี้ฉันว่าง” ถังซินเหยาคิดอยู่สักพักแล้วพูดออกไป เยี่ยจิงเฉินไม่ได้แจ้งให้เธอกลับบริษัท ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเป็นนอิสระ โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ

“งั้นคืนพรุ่งนี้ไหม” ฟางซวี่เจ๋อรอที่จะพูดออกมาแทบไม่ไหว

“ตกลง” อย่างไรอาหารมื้อนี้ก็ต้องได้รับประทานร่วมกันไม่ช้าก็เร็ว วันพรุ่งนี้ก็วันพรุ่งนี้

“เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ผมไปรับคุณ…เอ่อ พวกคุณ” ฟางซวี่เจ๋อพูดอย่างตื่นเต้น

“อืม ได้” ถังซินเหยาตอบกลับ

จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ในขณะที่ยังอยู่ในสายมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆของคู่

ถังซินเหยารู้สึกอายเล็กน้อย แต่ฟางซวี่เจ๋อกลับมีความสุขแปลกๆกับความเงียบนี้ แม้โทรศัพท์จะสัญญาณหายไปบ้าง เพียงแค่คิดว่าปลายสายนั้นคือถังซินเหยา เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา

“ฉันมีเรื่องที่ต้องไปจัดการต่อ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ตอนเจอกัน” ถังซินเหยาพูดทำลายความเงียบ

แม้ว่าฟางซวี่เจ๋อไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ไม่อยากทำให้ถังซินเหยาต้องลำบากใจ “อืม ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

หลังจากวางสายโทรศัพท์ แม้จะดึกแล้วแต่ฟางซวี่เจ๋อก็โทรหาเลขาของตนเองทันที ให้เลาขาเลื่อนงานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้ออกไป หากเลื่อนไม่ได้จริงๆ ก็ให้เปลี่ยนวันไปเลย

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้ตอบคำถามผู้หญิงคนนั้น ไม่มีการแสดงออกใดๆบนใบหน้า “บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”

“เยี่ยจิงซิงทำให้ฉันดูไร้ค่าไปแล้ว แต่การดำเนินงานขึ้นพื้นฐานของบริษัทยังปกติ ช่วงนี้เยี่ยจิงซิงมีบทบาทในบริษัทอย่างมาก ทุกคนที่ใกล้ชิดใกล้ท่านประธานเยี่ยต่างก็ถูกเยี่ยจิงซิงใช้อำนาจปลดออกมา ทุกคนที่ยอมจำนนต่อเขาต่างพากันได้เลื่อนตำแหน่ง แม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการขึ้นพื้นฐานของบริษัท แต่บุคคลากรในบริษัทตอนนี้วุ่นวายกันไปหมด ประธานกรรมการได้รับค่าตอบแทนจากเยี่ยจิงซิงและภรรยาด้วยการให้เขาไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ ดังนั้นคนเกือบทั้งหมดที่ถูกเยี่ยจิงซิงขับออกไปล้วนคนของเป็นท่านประธาน คนของเราไม่เพียงแต่ถูกไล่ออก เขายังใช้โอกาศนี้เลื่อนตำแหน่ง” ตอนที่หญิงสาวอธิบายเรื่องงาน เธอกลายเป็นคนฉลาดและมีความสามารถขึ้นมาทันที

เยี่ยจิงเฉินที่ได้ฟังรายงานจากหญิงสาว เขาเพียงแค่พยักหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

เขารู้ว่าตาเฒ่ามีอคติต่อเยี่ยจิงซิง ดังนั้นก่อนที่เยี่ยจิงซิงจะกลับมาที่ประเทศจีน เขาก็เริ่มเค้าโครงไว้หมดแล้ว ความลำบากทำให้เราได้เกิด ใครหลงความสบายจึงวอดวาย ควรจะกล่าวได้ว่าตาเฒ่าไม่สนใจต่อความปรารถของเขา เพื่อแลกกับความปลอดภัยของบริษัท เขาจึงเริ่มวางโครงการ

คนที่อยู่ใกล้ชิดกับตาเฒ่าบ่อยๆ คนที่เป็นคนสนิทของเขา ตรงกันข้ามกลับยิ่งห่างเหิน

นี่คือช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอคอย ทายาทของตาเฒ่าเยี่ยเพื่อมากำจัดอุปสรรคทั้งหมดให้แก่เขา เชื่อว่ารอให้เขากลับมาที่บริษัท บริษัทก็จะกลายเป็นถุงใส่ของทุกอย่างที่ใช้ไม่ได้ เมื่อตาเฒ่ากลับมาจากการพักผ่อนที่ต่างประเทศ เชื่อว่าเขาต้องชอบเซอร์ไพรส์นี้แน่

“ท่านประธานเยี่ย คุณจะกลับมาดูแลสถานการณ์ต่างๆที่บริษัทเมื่อไหร่คะ?” หญิงสาวถาม

“ผมกลับไปเองมันจะมีความหมายอะไร ต้องรอดูพวกเขาส่งบริษัทคืนมาด้วยตัวเองสิ” วิสัยทัศน์ของเยี่ยจิงเฉินกว้างไกล ท่าทางที่วางแผนกลยุทธไว้หมดแล้ว

หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นแววตาก็เป็นประกายทันที

แน่นอนว่าเสน่ห์ที่ดึงดูดที่สุดของผู้ชายคือความสามารถและความมั่นใจในตนเอง ที่ทำให้ช่างหล่อเหลา นี่คือความเวลาแห่งการเฉลิมฉลองใช่เหรอไม่? ดูเหมือนว่าจะป่าเถื่อนอยู่หน่อยนะ

“สถานการณ์ของบริษัทในประเทศ M เป็นยังไงบ้าง?” เยี่ยจิงเฉินถาม

หญิงสาวได้สติกลับมา แล้วตอบว่า “ทางนั้นไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ฉันส่งรายงานเรื่องการเงินวันนี้ของบริษัทไปให้คุณทางไปรษณีย์แล้ว สถานการณ์ทางนั้นดีมาก เทคโนโลยีของบริษัทที่เพิ่งซื้อมาเร็วๆนี้มีแนวโน้มว่าจะดี ปัจจุบันเราเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี ในฐานะบริษัทขนาดใหญ่ ฉันเคยอ่านงานวิจัยของพวกเขา ฉันคิดว่ามีโอกาสพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ฉันส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้คุณทางไปรษณีย์เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“อืม ดีมาก ต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ เดือนนี้ผมจะเพิ่มโบนัสให้สองเท่า” เยี่ยจิงเฉินพึงพอใจกับการทำงานอย่างรวดเร็วของเธอ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ให้หญิงสาวอยู่เคียงข้างมานานหลายปีขนาดนี้

“ขอบคุณค่ะท่านประธานเยี่ย” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามซ่อนมันไว้แล้ว แต่ก็ยังดูออกว่าหญิงสาวกำลังอารมณ์ดี

แน่นอนว่าต้องดีมากๆ เวลานี้ม้านั่งเย็นเฉียบที่นั่งมาตลอดในบริษัท ใครจะกล้ามาเหยียบเท้าเธอ ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างที่เธอพูด แต่เพื่อสถานการณ์โดยรวมเธอต้องอดทนกับมันไปก่อน ตอนนี้ผู้มีพระคุณของเธอกลับมาแล้ว ในอนาคตเธอคงหายใจได้อย่างโล่งอกอีกครั้ง มีอำนาจในฐานะเลขาคนแรก

เธอเดินทางไปปฏิบัติงานลับที่ประเทศ M อันที่จริงก็คล้ายกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยโบราณ ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ค่าเดินทางทั้งหมดเป็นบัญชีของทางบริษัท และยังมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ หลังจากกลับมา  และเงินเดือนเท่าเดิม แต่เพียงแค่ช้อปในเถาเป่าได้ทุกวัน ชีวิตก็ยังมีเรื่องดีงามอยู่พอสมควร

เธอคิดว่าเวลานี้เป็นของเธอ เธอเหมาะสมที่จะเป็นผู้ชนะ

ถูกต้อง หญิงสาวหน้าตาดีคนนี้ไม่ใช่ชู่ของเยี่ยจิงเฉิน และก็เป็นเลขาของเขา หลี่เวย

ตอนก่อนหน้านี้ที่หลี่เวยลาไปพักร้อนกับสามีในนาม แต่ความเป็นจริงนั้นเธอไปต่างประเทศเพื่อไปตรวจสอบโครงการแทนเยี่ยจิงเฉินที่ปลีกตัวไปไม่ได้

ก่อนที่เธอจะจากออกไป ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีบางเรื่องที่เธอยังไม่ได้บอกเยี่ยจิงเฉิน

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่เธอคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งโครงงานที่ดีทีเดียว M จู่ก็กลายเป็นม้ามืดขึ้นมา แม้ว่าบริษัทจะไม่ใหญ่มาก แต่กลับไม่เคยพลาด คนแถวนั้นเรียกบริษัทพวกเขาว่า ผู้ชนะเหรียญทอง”

“หึ?” เยี่ยจิงเฉินเลิกคิ้ว เริ่มสนใจขึ้นมา

“บริษัทเพิ่งก่อตั้งช่วงปีสองปีนี้ ทั้งหมดเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสาขาวิชาการเงิน เพราะเพิ่มเริ่ม พวกเขาจึงดำเนินการกันอย่างเงียบๆ จำนวนการซื้อไม่มาก ดังนั้นจึงไม่เป็นที่สนใจของคนอื่นๆ จนกระทั่งครึ่งปีมานี้ การซื้อของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ มีจำนวนมากจนดึงดูดความสนใจของผู้คน จากสติถิในช่วงสองปีมานี้ เงินทุนของบริษัทนี้ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง ตอนนี้ทุกคนต่างสงสัย เจ้านายของพวกเขาเป็นคนลึกลับมาก ฉันยังมาข้อมูลมาไม่ได้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังแท้จริงแล้วเป็นยังไง” หลี่เว่ยรายงานอย่างจริงจัง

เธอสงสัยเกี่ยวกับบริษัทนี่อย่างมาก บริษัทนี้ทำเงินได้มากมายมหาศาลในช่วงสองปีมานี้ ง่ายกว่าการทำโครงการหลายๆโครงการซะอีก

บริษัทเงินทุนมีมากมาย แต่เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ในเมื่อบริษัทจะมีประสิทธิภาพ และเพียงแค่แพ้น้อยลงก็ชนะมากขึ้นแล้ว

ไม่เคยมีบริษัทไหนเหมือนบริษัทนี้มาก่อน ได้กำไรโดยที่ไม่เคยขาดทุน

“น่าสนใจ” เยี่ยจิงเฉินลูบคางเบาๆ แล้วเอ่ยต่อว่า “งั้นคุณไปตรวจสอบดูว่าเจ้าของบริษัทเป็นใคร แล้วหาเวลาติดต่อเขาให้ได้”

เกี่ยวกับความสัมพัทธ์ของบริษัท เยี่ยจิงเฉินสนใจเจ้าของบริษัทเงินทุนนี้มากกว่า

“ได้ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ท่านประธานงั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณก็พักผ่อนเถอะค่ะ” หลี่เวยหยิบเสื้อคลุมตัวเองขึ้นมา ยืนขึ้นตรงข้ามกับเยี่ยจิงเฉิน

“แล้วบริษัทนี้ชื่ออะไร?” เยี่ยจิงเฉินถาม

“บริษัทซินเย่าจินหร่งค่ะ”

……

ลั่วหลิงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วเป็นระวิง รหัสที่อ่านไม่ออกถูกส่งออกไป เพราะไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน วันรุ่งขึ้นจึงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย พลังงานของเด็กนี่แย่จริงๆ

ถังซินเหยามองไปที่รอยคล้ำใต้ดวงตาของลั่วหลิง ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ พูดอย่างไรลั่วหลิงก็ไม่ยอมกลับไปเข้าเรียน

เมื่อคืนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน จริงๆแล้วลั่วหลิงง่วงมาก

การเรียนรู้ในโรงเรียนง่ายเกินไป เขาจะไปไม่ไปมันก็ไม่สำคัญ

เมื่อเค่อหลานเห็นว่าพี่ชายไม่ไปโรงเรียน ตัวเองก็ไม่ไปด้วย อยากอยู่ที่บ้านกับพี่ชาย

ถังซินเหยาไม่ได้กังวลใจ อย่างไรก็ตามไอคิวของลูกชายและลูกสาวเธอก็สูงอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าพวกเด็กๆจะไม่มีวัยเด็ก ถึงพวกเขายังเด็กแต่ก็ไม่มีปัญหาเมื่อไปส่งไปโรงเรียนมัธยม

เธอพูดได้อย่างอวดดีเลยว่า เธอไม่ได้ส่งลูกชายและลูกสาวไปเพื่อเรียนรู้ แต่ส่งไปเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

ลิ่วหลิงกำลังหลับนอน เค่อหลานเอนตัวนอนบนเตียงเป็นเพื่อนพี่ชายอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้รบกวนการนอนของพี่ชาย ถังซินเหยาก็ย่องไปหาที่เงียบๆ เริ่มร่างแบบแบบของเธอ

ลั่วหลิงเปิดจอคอมพิวเตอร์ออกมา ท่าทางที่ชำนาญของเขาพิมพ์ไปบนแป้นพิมพ์ว่า : "คุณกลับมาแล้วหรอ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"

จิงเฉินกำลังประชุมผ่านทางวิดีโออยู่ที่วิลล่าส่วนตัวของตัวเองอยู่

กล่องข้อความทันใดนั้นมันก็เด้งขึ้น ดูจากฟอนต์ตัวอักษรก็รู้ทันทีว่าเป็นแฮกเกอร์คนไหนส่งมา

"ตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง" จิงเฉินพูดไปที่วิดีโอในนั้นที่กำลังประชุมอยู่ คนส่วนใหญ่ในวิดีโอล้วนเป็นผู้ชายที่ยังหนุ่มอยู่มาก

"คุณชายรองครับ มีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าธุรกิจครับ ทุกครั้งก็เป็นคุณที่ขาดประชุม พวกผมรอคุณมานานขนาดนี้แต่วันนี้คุณจู่ๆก็มาทำแบบนี้งั้นหรอ ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก ครั้งหน้าพวกผมไม่เล่นกับคุณจริงด้วย" ผู้ชายคนหนึ่งที่เห็นจิงเฉินพูดเรื่องธุรกิจไปแค่ครึ่งเดียว หน้าเขามันบูดเหมือนหมูเอามาก

"อ้ออออ……" จิงเฉินพูดขึ้นแบบไม่สนใจต่อว่า : "ไม่เป็นไร วันนี้พอแค่นี้ก่อน"

เมื่อพูดจบ เขาก็ปิดวิดีโอประชุมนี้อย่างไม่แยแส

"พวกคุณคิดว่าคุณชายรองตระกูลเยี่ยเป็นอะไรไป ไม่อยากจะหาเงินแล้วหรือไง?"

"ตอนนี้เขาบ้าเอามาก อยากจะต่อยไปหนึ่งหมัดจริงๆ"

"ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่คนโตตระกูลเขาได้ตำแห่งเขาไปหรอ"

"หึ…..คิดไม่ถึงจริงๆว่ายังมีคนที่จะกล้าหาเรื่องนักฆ่าระดับโหดอย่างคุณชายรองแบบนี้ ไม่รู้กว่ากล้าเอามากหรือโง่กันแน่ที่กล้ามาเล่นกับคนอย่างเขา"

เมื่อพูดถึงว่าจิงเฉินเป็นนักฆ่าระดับโหด ทุกคนก็เงียบลงและขนลุกซู่ขึ้น

"ช่วงนี้คุณชายรองไม่ได้ขัดสนเงิน ได้ยินมาว่าเขาได้ซื้อบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังรุ่งในประเทศM ทั้งหุ้นในนั้นต่างก็ไปได้สวยเอามาก ตอนนี้คนที่ไม่ขัดสนเงินที่สุดก็เป็นเขานี่แหละ ทรัพย์สินของเขาเยอะขนาดนี้ เกรงว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีทรัพย์สินแค่ไหน โปรเจคครั้งนี้กำไรเยอะมาก เงินลงทุนระยะแรกก็สูงอีกต่างหาก เขาเป็นคนมีเงินมากจริงๆ ไม่งั้นใครจะเอาเนื้อที่อยู่ในปากของตัวเองแล้วแบ่งให้เขาไปหล่ะ"

"เฮ้อออ……คนมีเงินนี่มันดีจริงๆ"

"เอาหล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ เจ้าของคนรวยที่แท้จริงก็ไม่ได้อยู่แล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้ รออีกสักหน่อยแล้วกัน เรื่องนี้ก็ไม่ได้ด่วนอะไรมาก ค่อยหาเวลาครั้งหน้านัดใหม่ก็ได้"

การประชุมในครั้งนี้เป็นเพราะจิงเฉินออกไปก่อนจึงทำให้มันจบเร็วมาก

ถ้าเกิดคนอื่นมาเห็นคนกลุ่มนี้ล่ะก็ จะต้องอึ้งจนปากค้างแน่ๆ

คนพวกนี้ล้วนถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีที่อยู่ท็อป50ของโลกทั้งนั้น และสามารถที่จะขยับอันดับของตัวเองได้ทุกเมื่อ

จิงเฉินจบการประชุมนี้ที่สามารถทำให้การจัดอันดับเศรษฐีของพวกนั้นสามารถที่จะขยับอันดับจองตัวเองขึ้นอย่างน้อยสองอันดับ

สายตาตอนนี้ของเขามีความรู้สึกสนใจมากที่จะตอบกลับคนที่บอกว่าเป็น'ลูกชาย'ของเขา จึงพูดขึ้นว่า : "ผมกลับมาแล้ว ข่าวคุณก็เร็วดีจริงนะ ตอนบ่ายผมพึ่งกลับมาคุณก็รู้แล้ว"

"อื่ม ผมแค่เป็นห่วงคุณ" ลั่วหลิงพิมพ์คำนี้ส่งกลับไปด้วยความเร็ว

แสงสะลัวๆของหน้าจอมันบังไปที่ดวงตาคู่นั้นของลั่วหลิง ทำให้เห็นถึงความตื่นเต้นบวกความอาย

เมื่อจิงเฉินได้เห็นคำที่เขาส่งมา มันไม่ได้มีวรรณศิลป์อะไรเลย เป็นแค่คำธรรมดาๆประโยคหนึ่งเท่านั้น

แต่เขาสามารถมองจากหน้าจอคอมนี้และเห็นถึงใบหน้าที่จริงจังของแฮกเกอร์คนนั้น เขารู้สึกแปลกๆว่าในใจของเขามันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

"เป็นแค่ฝีมือของไอ้กระจอกที่ไหนสักที่แหละ ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากหรอก" จิงเฉินพูด

เป็นแค่คนที่ไม่มีปัญญาแบบนั้นถึงได้แอบลอบทำร้ายเขา ถ้าเกิดคนพวกนี้สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของจิงเฉินได้จริงคงไม่ต้องหลบๆซ่อนๆแบบนี้หรอก

"งานกีฬาสีที่จะจัดขึ้นคุณจะมาที่โรงเรียนมาดูรึปล่าว?" ลั่วหลิงถามอย่างมีความคาดหวัง

"แน่นอนสิ" จิงเฉินไม่สนใจมองข้ามเรื่องที่เขาคั่งค้างเอกสารจากลูกน้องที่ต้องเซ็นกองเป็นภูเขา เขาไม่สนใจมองข้ามนโยบายต่างๆที่เขาต้องตัดสินใจ เขาตอบตกลงอีกฝั่งอย่างง่ายดาย

"ผมดีใจมากที่คุณสามารถมาได้" ลั่วหลิงพูดอย่างจริงจังอีกว่า : "คุณวางใจได้ ผมจะตั้งใจเอาเยี่ยหวงกลับมาให้คุณให้ได้ หม่ามี๊ผมเรียกให้นอนแล้ว แค่นี้นะ ฝันดี"

จิงเฉินเมื่อได้ยินความจริงจังของแฮกเกอร์คนนั้นแล้วก็กลั้นขำไม่ได้จริงๆ

เหมือนกับว่าเขาจะเป็นเด็กประถมไปจริงๆแล้ว แต่ว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าจะเป็นเด็กประถมที่จะสามารถแฮกคอมเขาได้ และอีกอย่างยังตามสืบรอยไม่เจออีกต่างหาก

ซินเหยาเคาะประตูขึ้น และผลักประตูเข้าไปหาลั่วหลิงที่กำลังอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยกังวลว่าลั่วหลิงจะติดเกมเลย เพราะงั้นเธอจึงให้ช่องว่างกับลั่วหลิงเป็นอย่างมาก เธอยกจานผลไม้จานหนึ่งเข้ามาและพูดว่า : "เอาหล่ะ ถึงเวลาพักผ่อนแล้วค่ะ อย่าดูคอมจนทำให้สายตาตัวเองเสียไปหล่ะ นี่คือผลไม้ที่พึ่งปลอกเปลือกมาใหม่ๆ กินหน่อยสิคะ"

"ครับ ขอบคุณหม่ามี๊มากนะครับ" ลั่วหลิงพูด

ซินเหยาพูดต่อว่า : "เอาหล่ะ หม่ามี๊ก็ไม่รบกวนลูกแล้ว ลูกกินผลไม้เสร็จก็พักผ่อนเช้าๆนะ หม่ามี๊ออกไปก่อน"

ลูกชายตัวน้อยของเธอฉลาด มีวินัย เธอจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเลย

"ครับ"

ลั่วหลิงส่งซินเหยาออกจากห้อง จากนั้นก็เปิดไปที่กล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์

เขาจดไปที่หุ้นที่คาดว่าจะต้องพุ่งสูงขึ้น หุ้นไหนที่ต้องซื้อเข้ามาบ้าง ซื้อเท่าไหร่ หุ้นไหนที่ต้องขายออก และขายออกเท่าไหร่

ถ้าเกิดว่าซินเหยาได้เห็นตัวเลขการซื้อขายนี้ของลั่วหลิงแล้วล่ะก็ คิดว่าตอนที่ตัวเองพูดว่าเป็นคนรวยมากคงพูดได้เต็มปากแล้ว

หัวหน้าฝ่ายดำเนินการของบริษัทเมื่อกินข้าวเสร็จก็เห็นมีกล่องข้อความที่ส่งเข้ามาใหม่

เมื่อเห็นเอกสารจากไฟล์ที่ส่งมาแล้ว มันคือหัวหน้าที่สุดแสนจะลึกลับของพวกเขาที่เขายังไม่เคยจะเห็นหน้าส่งมาเอง ตอนแรกเมื่อเห็นตัวเลขพวกนั้นก็เกือบจะเป็นลม เขาโทรไปหาผู้ที่ควบคุมเรื่องหุ้นต่างๆของบริษัทหลายคนให้กลับมาที่บริษัทด่วนเพื่อซื้อหุ้นเข้าและขายออกตามที่บอกในกล่องข้อความ

พวกเขาไม่เคยสงสัยกับนโยบายการตัดสินใจของหัวหน้าพวกเขาเลย เพราะมันก็แสดงให้เห็นในหลายๆครั้งว่าหัวหน้าผู้ลึกลับคนนี้ของพวกเขามีสายตาที่แหลมคมอย่างเหยี่ยวเอามาก ไม่เคยพลาดมือไปเลยสักครั้ง

……

ตอนที่จิงเฉินกำลังอาบน้ำอยู่ กริ่งประตูบ้านของเขาก็ดังขึ้น จิงเฉินเปิดประตูออก และมองไปที่หญิงสาวที่สวยสดคนนี้พร้อมพูดว่า : "เข้ามาสิ"

เขาเดินเข้าไปก่อน ส่วนหญิงสายคนนั้นก็เดินตามหลังมา

จิงเฉินพึ่งอาบน้ำเสร็จ เพราะงั้นบนตัวเขาจึงมีแค่เสื้อคลุมหลังอาบน้ำผืนเดียว ผมบนหัวก็ยังเปียกๆอยู่ น้ำจากหัวค่อยๆไหลเข้าไปยังคอของเขา เสื้อคลุมของเขาตรงอกมันเปิดออกเล็กน้อย ทำให้เห็นหน้าอกที่แข็งแกร่งของเขา มันเซ็กซี่เย้ายวนใจจริงๆ หญิงสาวคนนั้นมองตาเป็นมันเลย

เธอพาหญิงสาวคนนั้นไปในห้องหนังสือและพูดว่า : "นั่งลงสิ"

หญิงสาวคนนั้นจึงเก็บสายตาตัวเองกลับมา นั่งตัวตรงและพูดว่า : "หัวหน้าคะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?"

ซินเหยา : ……

เธอรู้สึกไปไม่เป็นจริงๆ นี่กำลังแกล้งกันอีกแล้วงั้นหรอ? อีกหน่อยจะเล่นสนุกด้วยกันได้อีกหรือป่าว?

ในอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับเงินดอลล่าตอนนี้ เธอคิดได้ประมาณแปดล้านสี่แสนหยวนกว่าๆ

หึหึ……ซื้อก็ซื้อได้อยู่ แต่คงจะต้องเอาทรัพย์สินทั้งหมดของเธอออกมาแล้วแหละ พอซื้อรถได้ก็คงจะต้องไปขอทานข้างถนนแน่ๆ

"ฉันแค่ล้อเล่นหน่ะ" ซินเหยายิ้มเจื่อนๆ

จิงเฉินหันหัวไปดูซินเหยาและพูดว่า : "ถ้าเกิดว่าคุณชอบรถคันนี้หล่ะก็ ผมสามารถยกมันให้คุณได้ คุณก็รู้ว่าผมไม่ขัดสนเรื่องรถอยู่แล้ว อีกอย่างสีกับสไตล์ของรถคันนี้มันก็ดูเอ้าท์ไปมาก ไม่ใช่Styleที่ผมชอบ"

แม่เจ้า รถคันนี้สามารถยกให้เธอหรอ?

เธอไม่ได้ถามจิงเฉินว่าถ้าไม่ชอบและจะซื้อรถที่คนจนยังไม่มีปัญญาซื้อแบบนี้มาทำไมกัน

"ฉันชอบค่ะ" ซินเหยารีบผงกหัวเห็นด้วย

"แต่ว่าทำไมผมต้องยกมันให้คุณ?" จิงเฉินถาม

ซินเหยา : ……

ป๊ะป๋า ฉันเรียนหนังสือมาน้อยอย่ามาหลอกกันเลย

คุณบอกว่าจะยกรถคันนี้ให้ฉัน ฉันเชื่อจริงๆนะ

"รอถึงวันที่คุณไม่ชอบแล้วขายต่อให้ฉันได้รึปล่าวคะ?" ซินเหยามองไปที่จิงเฉินด้วยแววตาที่น่าสงสาร

รถมือสองราคาคงจะถูกลงหน่อย อีกอย่างครั้งที่ป๊ะป๋าขับรถคันนี้ก็จำกัดมาก

เธอแทบจะเห็นจิงเฉินขับรถไม่ซ้ำแต่ละวัน เหมือนเสื้อผ้าของเขาที่ไม่เคยซ้ำเหมือนกันเลย

นี่มันเป็นชีวิตของคนรวยจริงๆ เห้อออ……

"ไม่ขาย ผมไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน" จิงเฉินพูด

ซินเหยา : ……

……

จากไปเมืองBเกือบจะครึ่งเดือน จิงเฉินยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก เมื่อถึงกลางเมืองแล้วจิงเฉินก็ลงตรงนั้นและให้คนขับรถขับไปส่งซินเหยาที่บ้าน

กลับมาถึงบ้านอันแสนอบอุ่นนี้ของเธออีกครั้ง มันทำให้เธออยากหลั่งน้ำตาออกมาจริงๆ

เพราะว่าวันนี้ไม่ได้เป็นวันอาทิตย์ เพราะงั้นลั่วหลิงและเข่อหลานต่างก็อยู่โรงเรียน

นักแสดงต่างๆในสังกัดของเหยียนฉีตอนนี้ก็ดังเอามาก เพราะงั้นงานของเหยียนฉีจึงไม่ได้หยุดพักเลยช่วงนี้

เมื่อเปิดประตูมาก็เห็นจว๋อเหยียนที่กำลังถูพื้น

จว๋อเหยียนก็คิดไม่ถึงว่าวันนี้ซินเหยาจะกลับมาโดยกะทันหัน เธออึ้งไปหน่อย เมื่อได้สติกลับมาก็มองไปที่ซินเหยาและพูดว่า : "พี่ซินเหยาคะ พี่กลับมาแล้วหรอคะ?"

จว๋อเหยียนมือไม้ชาไปหมด จากนั้นจึงรับกระเป๋าจากมือของเธอมา ซินเหยาส่งของให้เธอหมดและพูดว่า : "เหยียนๆ ช่วงนี้ลำบากหนูแล้วจริงๆ"

"ไม่ลำบากเลยค่ะ ลั่วหลิงกับเข่อหลานต่างก็เป็นเด็กดีเอามาก ปกติหนูก็ไม่ได้ดูแลอะไรพวกเขามาก พวกเขาต่างก็ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี" จว๋อเหยียนเอาของที่ซินเหยาส่งมาวางไว้ ใบหน้าของเธอตอนนี้มันยิ้มแย้มมาจริงๆ

เธอไปเมืองHนานขนาดนี้แต่ลืมซื้อของฝากมาให้จว๋อเหยียนและฉีฉี รู้สึกตัวเองไม่เป็นคนดีเลยจริงๆ

คิดถึงสิ่งที่คุณยายเฟยเอาให้เธอ ซินเหยาจึงยิ้มร่าออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจว่า : "นี่เป็นของฝากสำหรับหนูจ่ะ เป็นของท้องถิ่นที่นั่นเลยนะ เป็นของที่ทางชนบททางโน้นทำเองตากเองเลย ทั้งอุดมไปด้วยสารอาหารและปลอดภัย ไม่ได้ใส่สารกันบูดใดๆทั้งสิ้น จะไปซื้อข้างนอกก็หาซื้อไม่ได้นะจะบอกให้"

ดีนะที่เธอไม่ได้ปฏิเสธของฝากที่คุณยายเฟยให้ ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ

จว๋อเหยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มอย่างน่ารักออกมาและรับเอาไว้

ตอนกลางคืนซินเหยาและจว๋อเหยียนไปรับลั่วหลิงและเข่อหลานจากโรงเรียนด้วยตัวพวกเธอเอง พร้อมไปกินข้าวด้วยกันเพื่อเป็นการตอบแทนจว๋อเหยียนที่สละเวลามาดูแลลั่วหลิงและเข่อหลานตอนที่เธอไม่อยู่ด้วย

จว๋อเหยียนก็ไม่ได้เป็นนักแสดงไร้ชื่อเสียงอะไร แต่ว่าละครที่เธอกำลังแสดงตอนนี้มันกำลังฉาย และเธอก็นับว่าเป็นดาราที่ดังและมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร เพื่อมาดูแลลั่วหลิงและเข่อหลาน เธอจึงปฏิเสธงานต่างๆที่เข้ามาไม่น้อย บุญคุณนี้ของเธอ ซินเหยาจำไว้ขึ้นใจไม่ลืมเลย

จว๋อเหยียนถึงจะเป็นดาราไอดอล แต่กิริยาท่าทางที่เธอมีต่อซินเหยามันไม่ได้แสดงออกมาแบบไม่เหมาะสมเลย เธอวางตัวได้ดีเอามากๆ เป็นดาราที่อ่อมน้อมมากคนหนึ่งเลย ไม่มีมีรัศมีความอวดดีอวดเก่งหยิ่งผยองเหมือนดาราทั่วๆไปเลย

ลั่วหลิงและเข่อหลานเมื่อเดินออกมาจากโรงเรียนก็เห็นซินเหยาทันที

ลั่วหลิงเป็นคนที่ค่อนข้างจะเก็บอารมณ์และความรู้สึกเก่ง เมื่อเห็นซินเหยาเขาก็ไม่ได้ดีใจจนออกนอกหน้าขนาดนั้น มีเพียงแต่แววตาที่มีรอยยิ้มขึ้น

แต่เข่าหลานนี่สิแตกต่างจากพี่ชายเธอจริงๆ เมื่อเห็นซินเหยาที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบจะครึ่งเดือนก็ดีใจเอามากๆ

"หม่ามี๊……" ซินเหยาวิ่งมาหาเธอด้วยสีหน้าที่ดีใจ

ซินเหยาเมื่อเห็นลูกน้อยของเธอก็ยิ้มร่าออกมาดั่งตะวันยามเช้า มันดูอบอุ่นจนทำให้อากาศฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวๆแบบนี้อุ่นไปแล้ว

เธอค่อยๆค้อมตัวลง กอดและอุ้มเข่อหลานขึ้นมาไว้ที่อกของเธอ เธอ จูบไปเข่อหลานไปหลายฟอดเอามาก

จูบจนใบหน้าของเข่อหลานเต็มไปด้วยน้ำลาย ตอนนี้เข่อหลานดีใจจนยิ้มไม่หุบเลยจริงๆ

"หม่ามี๊ ในที่สุดหม่ามี๊ก็กลับมาสักที หนูคิดถึงหม่ามี๊มากๆเลยค่ะ" เข่อหลานกอดไว้ที่คอของซินเหยา และพูดขึ้น

ซินเหยาก็พูดขึ้นว่า : "ค่ะ หม่ามี๊ก็คิดถึงหนูมากเหมือนกัน"

"งั้นอีกหน่อยหม่ามี๊ไม่ต้องออกไปทำงานนอกสถานที่แบบนี้อีกแล้วได้หรือป่าวคะ?" เข่อหลานถาม

ซินเหยาเจ็บจี๊ดไปที่ใจ และพูดว่า : "หม่ามี๊รับปากไม่ได้ค่ะ แต่ว่าหม่ามี๊จะพยายามไม่ไปนะคะ โอเครไหม?"

เข่อหลานเห็นเธอไม่ได้ตอบรับคำขอของตัวเอง จึงรู้สึกไม่พอใจหน่อยๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ ลั่วหลิงเดินเข้ามา ยื่นมือออกและลูบไปบนหัวของเข่อหลานและพูดว่า : "น้องสาว หม่ามี๊พึ่งกลับมา อย่ากวนหม่ามี๊เลย"

หลังจากที่ซินเหยาได้ยินลูกชายสุดที่รักของเธอพูดเช่นนั้นก็รู้ว่าเขากำลังช่วยหม่ามี๊ของตัวเองอยู่ มีลูกชายที่ฉลาดแบบนี้เป็นบุญวาสนาที่เธอสะสมมาสิบภพสิบชาติจริงๆ

เธอยื่นมือออกมาและก็โอบลั่วหลิงเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองด้วย และพูดว่า : "หม่ามี๊ต้องทำงานถึงจะได้มีเงินเยอะๆจึงจะสามารถให้ลั่วหลิงและเข่อหลานอยู่แบบสบายๆได้ ครั้งหน้าหม่ามี๊จะไม่จากพวกหนูไปอีก เราจะอยู่ด้วยกันสามคนแม่ลูกตลอดไป"

ลั่วหลิงยื่นมือออกและกอดไปที่คอของซินเหยา และพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า : "หม่ามี๊วางใจได้ครับ อีกหน่อยผมจะเป็นคนเลี้ยงหม่ามี๊และน้องสาวเอง"

"ได้ค่ะ" ซินเหยารู้สึกประทับใจมากจริงๆหลังจากที่ได้ยินลั่วหลิงพูดเช่นนั้น เพราะว่าเขาเป็นคนที่ถ้าทำไม่ได้จะไม่ให้สัญญาอะไรออกมาง่ายๆ เรื่องที่รับปากเธอ เขาต้องทำได้แน่

แต่ว่าเธอคิดว่า'อีกหน่อย'ของเขาคงจะเป็นตอนที่เขาโตขึ้น

ถ้าเกิดมีวันหนึ่ง ลูกชายที่พึ่งจะครบหกขวบของเธอสีหน้าเคร่งขรึมและเดินมายื่นเช็คเป็นเงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนให้เธอ และพูดอย่างไม่มีอีโหน่อีเหน่ว่า 'เอาไว้ใช้จ่ายในบ้านครับ' เธอน่าจะตกตะลึงหัวฟาดพื้นไปแน่ๆ

ทั้งครอบครัวกำลังแสดงความรักต่อกันหน้าประตูทางเข้าของโรงเรียน มือของซินเหยาจับไว้ลูกน้อยเธอคนละข้าง จากนั้นก็ไปกินข้าวมื้อค่ำกับจว๋อเหยียนด้วยกัน

จว๋อเหยียนดูแลเอาใจใส่ลั่วหลิงและเข่อหลานอย่างเอาใจใส่มากเวอร์ ถึงขนาดตอนที่สั่งอาหารก็สั่งสิ่งที่ลั่วหลิงและเข่อหลานชอบกินมาทั้งนั้น

ถ้าเกิดไม่ได้เอาใจใส่ คงไม่มีทางรู้ว่าเข่อหลานและลั่วหลิงชอบกินอะไร

เข่อหลานสนิทชิดเชื้อกับจว๋อเหยียนมาก แต่ลั่วหลิงก็เฉยๆกับเธอเอามากเหมือนกัน

แต่ว่าจว๋อเหยียนคิดว่าเมล็ดพันธ์ของบ้านนี้เมื่อเติบใหญ่ไปต่างก็ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ตอนนี้เธอก็คิดว่าตัวเองได้มีบุญวาสนาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว

จากกันเกือบจะครึ่งเดือน ตอนกลางคืนใกล้จะนอนเข่อหลานก็พูดงอแงอยากนอนกับซินเหยา ซินเหยาก็คิดถึงลูกเธอมากเหมือนกัน เพราะงั้นจึงตอบตกลงอย่างหน้าระรื่น แต่มีสิ่งเดียวที่ทำให้เธอเสียใจหน่อยๆก็คือ ลูกชายเธอไม่ยอมมานอนกับน้องสาวและหม่ามี๊ของตัวเอง อยากจะนอนคนเดียวมากกว่า

"นี่เป็นเฮลิคอปเตอร์ของคุณหรอ?" หลังจากที่เธอจับจนพอใจแล้วก็ไปนั่งข้างๆจิงเฉินและถามเขาขึ้นด้วยความอยากรู้

"อื่ม" จิงเฉินกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่นั้นก็ได้ยินซินเหยาถามขึ้น จึงยื่นมือออกไปโอบซินเหยาที่เอวและเอนหัวไปอิงที่ไหล่ของเธอและพูดขึ้นอีกว่า : "ถ้าไม่ใช่ของผมแล้วจะให้ไปเช่ามาหรอ?"

คนที่อยู่ข้างๆคนนี้เป็นคนรวยจริงๆ รับฉันไปเลี้ยงด้วยเถอะค่ะ

"คุณไม่ได้บอกว่าคุณล้มละลายแล้วหรอ บริษัทไม่ได้ให้เงินคุณเยอะไม่ใช่หรอ?" ซินเหยาทำตัวให้สบายๆไม่เกร็งเพื่อให้จิงเฉินสามารถเอนนอนมาได้สะดวกขึ้นหน่อย

"เขาไม่ได้ให้เยอะจริงๆ แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาผมลงทุนไปก็ได้เงินค่าขนมมาอยู่หน่อยๆ" จิงเฉินหลับตาและพูดแบบนิ่มๆ

ซินเหยานิ่งคิดไปสามวิ เงินค่าขนมหน่อยๆที่เขาบอกมันเยอะแค่ไหนกันเชียว มันห่างจากเงินค่าขนมสามัญชนอย่างพวกเธอมากรึปล่าวนะ

เธอเงียบไปสักพักและถามขึ้นอีกว่า : "เงินค่าขนมที่หาได้คือเท่าไหร่กัน?"

จิงเฉินเงียบไปสักพัก เหมือนกำลังนับทรัพย์สินของตัวเองอยู่

เขาหาเงินค่าขนมนี้ได้เท่าไหร่กัน ทำไมถึงคิดอยู่นานและจริงจังแบบนี้

"น่าจะประมาณไม่กี่หมื่นล้านมั้ง" จิงเฉินพูดอย่างไม่แน่ใจ

ป๊ะป๋า คุณแน่ใจนะว่าไม่กี่หมื่นล้าน ไม่ใช่ไม่กี่หมื่นนะ?

ไม่กี่หมื่นล้านมันเยอะแค่ไหนกัน เอาเป็นว่ามันเยอะมากๆ ให้เธอนอนสบายๆบนเตียงไม่ทำอะไรสิบชาติก็ยังใช้ไม่หมด

"งั้นทำไมคุณต้องบอกว่าตัวเองล้มละลายด้วย?" ซินเหยาถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

"หลอกคุณเล่นเอง" จิงเฉินพูดกลับอย่างนิ่มๆ

ไอ้จิงเฉิน จะแกล้งกันแรงเกินไปแล้วนะ

IQและEQที่สูงแบบนี้ของจิงเฉินสามารถที่จะก่อร้างสร้างเยี่ยหวงให้กลายมาเป็นแบบนี้ได้ สามารถที่จะกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ท็อป10ระดับโลกได้ คนที่มีความสามารถแบบนี้คิดหรอว่าจะไม่เหลือทางรอดไว้ให้ตนเอง

แต่ว่าเธอไม่ควรโกรธ เจ้านายเธอเป็นคนรวยมันดีกว่าเป็นยากจกไม่ใช่รึไง?

ขามานั่ง business class ส่วนขากลับนั่งเฮลิคอปเตอร์ เหมือนกับว่าโดนช่วยชีวิตจากนรกให้ขึ้นถึงสวรรค์ยังไงยังงั้น

"คือว่า……" ซินเหยารีบตั้งสติตัวเองโดยเร็ว เห็นจิงเฉินหายใจนิ่งแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าเขานอนแล้วรึยัง จึงถามลองเชิงไปว่า : "เราจะยังไปเมืองHอีกรอบไหม ไปหาซือชิงและศาสตร์ตราจารย์สักหน่อย?"

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้มือโอบแน่นขึ้น มิหนำซ้ำยังหยิกไปที่เอวของเธออีก

แรงที่ใช้หยิกมันเจ็บเอามาก เจ็บจนซินเหยาต้องอ้าปากร้องขึ้น

"ไอ้คนเลว แกล้งฉันเป็นอย่างเดียวสินะ" ซินเหยาหันหน้าไปมองจิงเฉิน เขายังคงหลับตาไว้อยู่ และหายใจอย่างสงบ เธอใช้เสียงที่ไม่ดัง แต่ก็พอดีกับที่จะสามารถทำให้จิงเฉินได้ยินบ่นออกมา

จิงเฉินได้ยินซินเหยาบ่นอยู่ข้างหูของเขา มุมปากจึงยิ้มขึ้น

มือที่ใช้โอบซินเหยามันแน่นเอามาก ทำให้ตัวของทั้งสองมันแนบสนิทชิดกันเวอร์

เฮลิคอปเตอร์บินอยู่บนท้องฟ้าอยู่นานเกือบ2ชั่วโมง ถึงจะถึงเมืองB

เมื่อลงจากเครื่อง ซินเหยาที่ใส่แค่เสื้อแขนสั้นสีขาวบวกกับกางเกงยีนต์สีน้ำเงินเข้มก็สั่นขึ้นมาทันที

รู้สึกว่าพึ่งจากเมืองBไปแค่เกือบครึ่งเดือน อากาศของเมืองBก็ลดฮวบลงขนาดนี้แล้วหรอ? รู้สึกกว่าความอบอุ่นและบรรยากาศของที่นี่มันแตกต่างจากเมืองHคนละระดับจริงๆ

"หนาวมากก……" เธอเอาแขนกอดไปที่ตัวเอง พร้อมกับเป่าล้มร้อนจากปากไปที่มือของเธอและถูไปถูมาเพื่อให้ร่างกายตัวเองอบอุ่นขึ้นหน่อย

จิงเฉินจับไปที่มือของเธอและพูดว่า : "ดีขึ้นหน่อยรึยัง?"

แต่ไหนแต่ไรจิงเฉินก็เป็นคนที่เย็นชาเอามาก แต่มาวันนี้เขาจับไปที่มือของซินเหยา ปกป้องเธอไว้แน่นๆ มันทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจริงๆ

อุณหภูมิร่างกายของจิงเฉินเมื่อถึงฤดูหนาวมันจะเพิ่มสูงขึ้นทันที เห็นชัดๆว่าอากาศหนาวขนาดนี้ แต่มือของเขามันอุ่นเอามากทีเดียว เหมือนปล่องไฟเคลื่อนที่

มือของซินเหยาตอนนี้มันอยู่ในมือของจิงเฉิน ในใจของเธอเหมือนมีแผนการอะไรสักอย่างเกิดขึ้น

เธอรู้สึกอยากเก็บป๊ะป๋าใส่กระเป๋าจริงๆ ป๊ะป๋าหล่อขนาดนี้ เอาไปไหนด้วยก็ได้หน้าทั้งนั้น อีกอย่างยังทำกับข้าวเก่งอีก มีเขาอยู่เธอก็เหมือนมีเชฟประจำตัว และที่สำคัญที่สุดคือเขายังรวยอีกต่างหาก เหมือนกับตู้กดเงินเคลื่อนที่ เมื่อถึงฤดูหนาวเขายังอุ่นแบบนี้ โอ้ยยยย ยังมีสิ่งที่จะเทียบกับเขาได้หรือ……

ของมันต้องมีจริงๆนะคะคนแบบนี้

เอามือสอดประสานไปกับจิงเฉิน ตอนนี้พวกเขาอยู่นอกชานเมือง จะเรียกรถยังยากเอามาก

เธอก็ไม่ได้พกเสื้อผ้าสำรองมาอีก หนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว

"หนาวมากกก……" เธอหนาวจนสั่นไปทั้งตัว แม่เจ้าเอ้ยเมืองBทำไมมันหนาวขนาดนี้กันนะ เธอรู้สึกอยากกลับไปอยู่เมืองHยังไงยังงั้น

จิงเฉินเห็นซินเหยาหนาวจนปากสั่นตัวสั่นไปหมด

แต่เขาไม่ได้รู้สึกหนาวอะไรมากเลย นี่มันต้องเกี่ยวกับกายภาพของเขาแน่ๆ

"ผู้หญิงมันยุ่งยากจริงๆ" จิงเฉินถึงแม้จะพูดออกมาแบบนี้ แต่ก็ยื่นมือออกมาและกอดซินเหยาเข้ามาในอ้อมอกของตัวเองและให้ความอบอุ่นแก่เธอ

ซุกอยู่ในอ้อมอกป๊ะป๋าแบบนี้ ซินเหยาไม่เพียงแต่รู้สึกอบอุ่น แต่ยังรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย

"เราจะเข้าไปในตัวเมืองกันยังไงคะ?" จมูกที่หนาวจนแดงของซินเหยาเอาเข้าใกล้ไปที่เสื้อของจิงเฉินและพูดต่ออีกว่า : "ทำไมเมืองBถึงหนาวขนาดนี้คะ เราพึ่งไปแค่ประมาณครึ่งเดือนเอง ทำไมจู่ๆก็เข้าสู่ฤดูหนาวได้เร็วขนาดนี้?"

"พวกเรากลับมาไม่พอดีต่างหากล่ะ เป็นเพราะความกดอากาศสูงจากทิศเหนือแผ่ลงมาปกคลุมถึงทำให้รู้สึกหนาวขนาดนี้ ผ่านไปประมาณสองวันก็ดีขึ้นแล้ว" จิงเฉินจับมือซินเหยาอย่างแน่น

ทั้งสองรออยู่ที่สนามบินเกือบ5นาที ถึงค่อยจะมีรถมารับพวกเขา

รถคันนี้ค่อนข้างจะธรรมดา เป็นรถเบนซ์สีดำคันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างรถ สีของรถ หรือทะเบียนรถเมื่อเทียบกับรถหรูคันก่อนของจิงเฉินแล้วมันเทียบไม่ติดจริงๆ

ในรถเปิดไว้ฮีตเตอร์ รู้สึกว่าตอนนี้ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง

"ดีมากจริงๆ มันอุ่นมาก" สีหน้าที่มีความสุขของซินเหยาพูดขึ้น

ก่อนที่จะเจอกับความเย็นยะเยือก เธอได้สัมผัสกับอ้อมกอดที่อบอุ่นใช่หรือไม่ เธอตัดสินใจตกหลุมรักรถเบนซ์ รอถึงวันที่เธอมีเงินเมื่อไหร่จะต้องซื้อรถเบนซ์ให้จงได้

"ท่านประธานคะ รถคันนี้ของคุณเท่าไหร่คะ?" ซินเหยาถามเขาขึ้น เพื่อกลับไปพิณิจพิจารณาว่าจะซื้อสักคันดีไหม?

เธอไม่อยากที่จะนึกถึงอากาศหนาวแบบนี้และต้องเรียกรถหรือว่าไปเบียดในรถเมย์เลยจริงๆ

อากาศของเมืองBเมื่อถึงฤดูหนาวมันเย็นยะเยือกมากจริงๆ ไม่ได้โกหกเลย

"ประมาณล้านสามล้านสี่มั้ง" จิงเฉินพูด

ซินเหยาถอนหายใจออก คิดดูว่าเงินล้านสามล้านสี่ถึงแม้จะแพงไปหน่อย แต่ว่าเธอก็พอมีบ้าง สามารถรับไว้พิจารณาได้

"ฉันก็อยากซื้อคันหนึ่ง" ซินเหยาพูดให้จิงเฉิน และอธิบายให้เขาด้วยว่าทำไมเธอถึงถามราคารถคันนี้

จิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นและหันไปมองซินเหยาแว๊บหนึ่งพร้อมพูดว่า : "อ๋อ ผมลืมบอกคุณไปว่ามันประมาณล้านสามล้านสี่ดอลล่าสหรัฐ"

เช้าวันต่อมา ซินเหยารู้สึกว่าข้อมือของเธอมันเมื่อยและชาเอามากเนื่องจากการใช้งานที่หนักเกินไป

ลืมตาตื่นขึ้น จิงเฉินก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว

ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองรึปล่าว? รู้สึกว่าตัวของเธอยังมีกลิ่นคาวติดอยู่ แต่เมื่อคืนตอนทำเสร็จก็ไปอาบน้ำล้างตัวในห้องน้ำแล้วนะ

เธอหยิบไว้เสื้อผ้าของตัวเองตั้งใจจะไปอาบน้ำอีกครั้ง

เธอขัดถูสบู่ไปบนตัวเธอ ปากก็ฮัมเพลงออกมาด้วย

จิงเฉินเดินเข้ามาจากข้างนอกก็ได้ยินเสียงอาบน้ำและเสียงฮัมเพลงของซินเหยา มุมปากของเขาจึงยิ้มขึ้น

เขาเดินเข้าไปและเปิดประตูห้องน้ำออก เห็นซินเหยาที่หันหลังไปทางทิศเหนือและยืนอาบน้ำอยู่ล่างฝักบัว

ผิวพรรณของเธอมันอ่อนนุ่มใสสว่างเหมือนเด็กแรกเกิด ไหล่สองข้างที่กระจ่างใสเหมือนแสงพระจันทร์คืนวันเพ็ญ ขาสองข้างที่ขาวนวลละอ่อนเหมือนหิมะแรกตกของฤดูหนาว เอวของเธอบางเรียวพริ้วไสวเหมือนต้นหลิวที่ออกใบเขียวขจีในฤดูไบไม้ผลิ

เมื่อเห็นเบื่องหน้าของเธอที่ไม่มีอะไรปกปิดไว้ แววตาของจิงเฉินก็ดูลึกลับขึ้นเหมือนคิดอะไรสักอย่างอยู่ในใจ

ซินเหยาล้างฟองสบู่บนตัวออกหมด หันหลังกลับไปหยิบเสื้อผ้า แต่กลับเห็นป๊ะป๋าที่สุดแสนจะหล่อเหลากำลังยืนพิงไว้ที่ประตูและมองดูเธออยู่

"ระวังจะเป็นตากุ้งยิงเอานะคะ" ซินเหยาปิดฝักบัวอย่างนิ่มๆ และหยิบไปที่ผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่บนอ่างล่างหน้าและเอามาพันตัวเธอไว้

เมื่อคืนยังชักให้เขาอยู่ เพราะงั้นเธอจึงสามารถทำแบบจิงเฉินที่หน้านิ่งๆถึงแม้จะมีอะไรทะลักถล่มลงต่อหน้าตัวเองได้แล้ว

หูของจิงเฉินมันแดงขึ้นหน่อยๆ ยักคิ้วขึ้นและมองไปที่ซินเหยาพร้อมพูดว่า : "ก็ไม่ได้จะมีอะไรน่าดูเลย ดูครั้งเดียวก็ดูหมดแล้ว"

"หึ……" ซินเหยาเอาผ้าเช็ดตัวมาพันไว้ ยืดหน้าอกตัวเองออกมาแและพูดว่า : "ของจริงไม่พูดมากค่ะ คุณมันเป็นไอ้หมาป่าโรคจิต แอบดูคนอื่นอาบน้ำ"

จิงเฉินยิ้มออกมาหน้าระรื่นสุดหล่อเหลา ทำเอาล่มบ้านล่มเมืองได้จริงๆ

ถึงแม้ว่าซินเหยาจะเห็นจิงเฉินบ่อยขนาดนี้ แต่เธอก็ยังไม่สามารถมีภูมิคุ้มกันต้านทานความหล่อนี้ของเขาสักนิด เห็นเขาทุกครั้งเป็นต้องทำให้เข่าเธอทรุดตลอด

นี่มันแหกกฎกันนี่นา ถ้ายังจะยิ้มออกมาแบบเมื่อกี้อีกล่ะก็ จะกินลงไปจริงๆด้วย

"ผมแค่จะมาบอกคุณว่าให้เก็บของได้แล้ว วันนี้ก็สามารถกลับไปเมืองBได้แล้ว ใครมันจะไปรู้ว่าคุณกำลังอาบน้ำอยู่" จิงเฉินมองดูซินเหยาและยิ้มออกมาด้วยหน้าระรื่น

เขาเห็นสายตาของพวกผู้หญิงที่เจ้าชู้เหล่านั้นจนลำคาญเอามาก แต่เขากลับชอบสายตาของซินเหยาที่หลงเขาหัวปักหัวปำเสียจริง และชอบแกล้งเธออีกด้วย

จริงหรอ……กลับเมืองBได้จริงๆแล้วหรอ?

"กลับเมืองBได้แล้ว?" ซินเหยาถามขึ้นอีกว่า : "กลับยังไง? เดินกลับหรอ? รถของพวกเขาก็ยังซ่อมไม่เสร็จเลย"

"มีคนมารับเราแล้ว" จิงเฉินตอบกลับและพูดต่อว่า : "คุณไม่ได้เป็นคนบอกเองหรอว่าวันนี้จะกลับเมืองB? ผมทำตามคำขอของคุณ"

คุณไม่ได้แกล้งฉันอยู่ใช่ไหม?

เธอใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและวิ่งออกไปดู ก็ไม่ได้เห็นคนที่จะมารับเลย

"คุณโกหกฉัน ไหนล่ะคนที่บอกจะมารับ?" ซินเหยามองไปที่จิงเฉินด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง จากนั้นจิงเฉินจึงยื่นมือออกมาและหยิกไปที่แก้มของเธอจนแดงถึงจะชักมือออกพร้อมพูดว่า : "ผมเหลือเวลาไว้ให้เก็บของ"

ที่จริงก็ไม่ได้มีของอะไรให้เก็บหรอก ตอนที่พวกเขามาก็จับไว้แค่กระเป๋าถือมาใบเดียว

เหลือแค่ไปบอกลาคุณยายเฟยเท่านั้น ซินเหยาจับไปที่หน้าผากของตัวเองและมองไปที่จิงเฉินแว๊บหนึ่ง ถึงรู้ว่าที่เขาเหลือเวลาไว้เพื่อที่จะให้เธอไปบอกลาคุณยายเฟยและหนูซูหยวน

เมื่อย่าหลานทั้งสองได้ทราบว่าพวกเขาจะไปแล้ว ต่างก็ทำใจไม่ได้จริงๆ

คุณยายเฟยเอาของท้องถิ่นที่นี้ให้พวกเขาเป็นของฝากนำกลับไปด้วย เป็นของที่คุณยายทำกันเอง ซินเหยาจึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เธอยิ้มหัวเราะและรับมันไว้

ค่าเช่าที่พวกเขาจ่ายไปเป็นค่าเช่าหนึ่งเดือน แต่พวกเขาอยู่ไปแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น เงินที่เหลือพวกเขาก็ควรจะได้คืน

"ไม่ต้องแล้วค่ะคุณยาย เงินที่เหลือก็คิดว่าให้เป็นของขวัญกับซูหยวนเถอะค่ะ พวกหนูไม่ได้ขันสนเงินจริงๆ น้ำใจเล็กๆน้อยๆนี้คุณยายก็รับไว้เถอะค่ะ ไม่งั้นของพื้นบ้านเหล่านั้นที่คุณยายเอามาให้หนูคงจะไม่กล้ารับเอาไว้จริงๆ" ซินเหยาพูดอย่างจริงจังที่จะไม่รับเงินที่คุณยายเฟยเอามาคืน

ออกมาจากบ้านของคุณยายเฟย ซินเหยาก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่จะมารับ

"คนที่จะมารับเราหล่ะ?" ซินเหยาถามขึ้น

"มาแล้ว" จิงเฉินตอบ

เมื่อเขาพูดจบ ซินเหยาก็ได้ยินเสียงครึกโครมอึกทึกเสียงดังไม่เหมือนเสียงรถเอาซะเลย

เธอรู้สึกว่าเสียงนี้มันกำลังอยู่บนหัวของเธอ เธอจึงเงยหัวขึ้น…..แม่เจ้า เฮลิคอปเตอร์!?

ที่แท้ยานพาหนะที่จะมารับพวกเขาคือเฮลิคอปเตอร์หรอกหรอ?! โลกของคนรวยแบบนี้เธอไม่มีวันเข้าใจจริงๆ

"ไปกันเถอะ" จิงเฉินเดินนำไปข้างหน้าและพูดกับซินเหยา

ซินเหยาหลังจากที่ตื่นเต้นเสร็จ จึงรู้ว่าที่ตรงนี้ไม่มีพื้นที่ว่างที่จะสามารถให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอดได้

"เราจะขึ้นไปยังไง?" เธอดึงไปที่ชายเสื้อของจิงเฉิน และหันหัวขึ้นไปมองเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่บนหัวของพวกเขา

จิงเฉินออกแรงกอดเธออย่างแน่นในตอนที่เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว บนเฮลิคอปเตอร์มีเชือกเส้นหนึ่งห้อยลงมา มือข้างหนึ่งของจิงเฉินโอบเธอไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับไปที่เชือก ทั้งสองโดนดึงขึ้นไปจากบนพื้นขึ้นสู่เฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ข้างบน

เมื่อขาสองข้างลอยขึ้นจากพื้น ซินเหยาก็กอดไปที่จิงเฉินแน่นกว่าเดิม และมุดหน้าเข้าไปในอ้อมอกของจิงเฉิน

มุดหน้าอยู่ที่อ้อมอกของจิงเฉินทำให้ซินเหยารู้สึกปลอดภัยเอามาก เธอไม่กลัวเลยว่าจิงเฉินจะปล่อยมือเธอออกและให้เธอตกลงไปข้างล่าง

"วิวบรรยากาศที่นี่มันดีจริงๆ" จิงเฉินโอบไปที่เอวของเธอและก้มหัวพูดไปที่ข้างหูเธอ

ซินเหยากอดไปที่จิงเฉินอย่างแน่น และเอาหน้ามุดออกมาดู

ยืนอยู่ในจุดที่สูงแบบนี้มองดูลงไปมันสวยมากจริงๆ มันไม่ได้มีโรงงานอุตสาหกรรมที่เยอะแบบนั้น แต่มันกลับมีความงามของธรรมชาติที่เพิ่มเข้ามา สวยมากจริงๆ เป็นเพราะเสียงเฮลิคอปเตอร์ที่อึกทึกแบบนี้ จึงทำให้ชาวบ้านคนอื่นออกมายืนดูเยอะมาก

ซินเหยาตอนนี้โอบไปที่จิงเฉินอย่างแน่น ชื่นชมกับบรรยากาศทิวทัศน์โดยรอบ ในใจก็เปิดกว้างออกและยิ้มออกมาอย่างหวานๆ มันสวยมากจริงๆ

"ฉันไม่รู้ว่าครั้งก่อนที่จะไปอำเภอเซียงถานนั้นสวยเพียงใด แต่บรรยากาศวิวทิวทัศน์ที่นี่มันก็ทำให้คนตกตะลึงได้ไม่แพ้กันเลย ถ้าเกิดว่าคุณจะสร้างที่นี่ให้เป็นหมู่บ้านพักร้อนมันก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยจริงๆ" ซินเหยาเอาคางเกยไปที่ไหล่ของจิงเฉินพร้อมพูดขึ้น

"อื่ม สามารถนำไปพิจารณาได้" จิงเฉินตอบกลับอย่างจริงจัง

จิงเฉินโอบไว้ซินเหยาและใช้แรงโยนเชือกนั้นขึ้น ตอนนี้พวกเขาก็นั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ซินเหยาเห็นเฮลิคอปเตอร์เป็นๆแบบนี้ ว้าว……ราคาของเฮลิคอปเตอร์นี้ขั้นต่ำก็ต้องร้อยล้านแล้วมั้ง อีกอย่างยังมีสนามบินส่วนตัวของตัวเองอีก เฮ้อออ

ในยุคที่ที่ดินแพงแบบนี้ แค่มีที่เป็นของตัวเองสักผืนเดียวก็ยากมากแล้ว แต่นี่คืออะไร สนามบินส่วนตัว? เฮ้ออออ

เธอนั่งอยู่บนนี้ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น จับๆไปโน่น ลูบๆไปนี่ รู้สึกว่าตัวเองก็สูงสง่าขึ้นมาด้วย

เสียงหายใจของเธอไม่ได้หนักมาก แต่ปลายเสียงของเธอมันซี๊ดขึ้น มันน่าเร้าใจจริงๆ

"หึ……" จูบของจิงเฉินค่อยๆตกอยู่บนปลายจมูกของซินเหยา เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่พึ่งได้ของเล่นที่น่าสนใจชิ้นใหม่มา เขาใช้มือเขี่ยไปที่ติ่งหูที่โดนกัดนั้น หัวเราะพร้อมพูดออกมาว่า : "ที่แท้หูคุณก็เป็นจุดเสียวขนาดนี้เลยหรอ"

มือของเขาเขี่ยเล่นไปที่ติ่งหูของซินเหยาอยู่พักใหญ่ แต่จูบก็ค่อยๆที่จะเคลื่อนลงไปทางข้างล่าง จูบผ่านไปที่ริมฝีปากและคางของเธอ แต่มันไม่ได้หยุดแค่ตรงนั้น มันเคลื่อนลงต่อไปข้างล่าง จูบผ่านคอของเธอจนถึงกระดูกไหปาร้าค่อยหยุดลง จากนั้นใช้ฟันค่อยๆกัดและดูดไป

"ซี๊ด……" ตัวของซินเหยากระตุกขึ้นอีกครั้งอย่างเสียวซ่า ตอนนี้จิงเฉินเหมือนแมวตัวหนึ่งที่กำลังเล่นไปที่เหยื่อของตัวเองอยู่ มันช่างซู่ซ่าจริงๆ

"ท่านประธานคะ ฉัน……โอ้ย……ฉันผิด…..ไปแล้วค่ะ……ซี๊ด" ซินเหยาขยับตัวของตัวเองไปมา อยากจะชักขาของตัวเองขึ้นแต่จิงเฉินกลับทับไว้อย่างแน่น ตอนนี้เบ้าตาของเธอมันแดงไปหมดพร้อมพูดขึ้นอีกว่า : "คุณยกโทษให้ฉันเถอะ ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ทำอีกแล้ว"

จิงเฉินไม่ได้หยุด ยังคงใช้มือข้างหนึ่งลากผ่านหน้าอกของเธอและไปหยุดอยู่ที่หน้าท้องที่เพียวบางไม่มีไขมันส่วนเกิน

ท้องของซินเหยาเกร็งกระตุกขึ้น ตอนนี้เธอยิ่งบิดตัวแรงขึ้นไปอีก

"โอ้ยย……ฉันผิด…..ไปแล้ว……จริงๆค่ะ……คุณปล่อยฉันไปเถอะ" แก้มซินเหยาตอนนี้มันแดงไปหมด พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารขอร้องให้จิงเฉินฟัง

"ปล่อยคุณไปได้ แต่ไฟที่คุณก่อขึ้นมาจะดับมันยังไง?" มือของจิงเฉินข้างล่างไม่ได้หยุดลง ใช้แววตาที่เผ็ดร้อนโชกโชนมองไปที่ซินเหยา

ซินเหยาตอนนี้จะบ้าตายอยู่แล้ว ไอ้ป๊ะป๋าโรคจิตเอ้ยยย! เลวสิ้นดี

ตอนที่พูด เขายังตั้งใจใช้แท่งนั้นของเขายิ่งแทงทับไปที่ขาของซินเหยา แทงจนตัวเธอกระตุกขึ้น อยากจะเอาป๊ะป๋าที่โรคจิตเหมือนหมาป่าแบบนี้ทุบไปกับพื้นจริงๆ

"คุณ……" เสียงของซินเหยามันสั่นเครือเอามาก มันแหบหน่อยๆ ฟังแล้วก็ทำให้ได้อารมณ์ขึ้นไปอีก พร้อมพูดขึ้นว่า : "ฉัน……คุณอยากจะให้ฉันดับยังไง"

เธอคิดอยู่ในใจอย่างชั่วร้ายว่า : วิธีที่ดีที่สุดในการดับไฟนั้นก็คือใช้กรรไกรตัด แค่นี้มันก็ได้แล้ว

"คุณไม่อยากจริงๆหรอ?" จิงเฉินยังคงแทงทับไปที่ขาเธออยู่ มันดูแรงขึ้นเรื่อยๆและยิ่งเข้าใกล้จุดนั้นเรื่อยๆ

ซินเหยาตอนนี้พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เพราะได้ยินเสียงโทนต่ำเย้ายวนนั้นของจิงเฉินมันทำให้เธอกลั้นใจไว้ไม่อยู่จริงๆ

แต่ยังดีที่สมองของเธอยังไม่ได้อายจนทำอะไรไม่ถูก เธอส่ายหัวไปมาและพูดว่า : "ไม่ได้จริงๆค่ะ"

หน้าของจิงเฉินดูเหมือนว่าจะมีความเสียใจ ซินเหยาแค่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา คิดว่าที่ตัวเองปฏิเสธป๊ะป๋าไปแบบนั้นมันเกินไปมาก

แม่เจ้า ท่านประธานที่เอาแต่ใจไร้เหตุผลไม่ต้องทำหน้าสงสารแบบนั้นได้รึปล่าว?

"งั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว"จิงเฉินหายใจออกอย่างเสียดายเสียใจ

ซินเหยาหายใจออกอย่างโล่งอก รู้สึกว่าป๊ะป๋าตอนนี้จะเป็นประชาธิปไตยเอามาก มาถามถึงความคิดเห็นของเธอว่าอยากได้รึปล่าว เธอรู้สึกประทับใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

"งั้นคุณ……ลุกขึ้น" ร่างกายซินเหยามันชาไปหมด พร้อมกับกัดฟันพูดขึ้น

"มันจะจบง่ายๆแบบนี้หรอ" จิงเฉินดึงมือของซินเหยาลงไปช่วงล่างของตัวเองและพูดต่อว่า : "ไฟนี้คุณเป็นคนจุดขึ้นมาเอง ถ้าเกิดไม่รับผิดชอบล่ะก็ คืนนี้ผมจะอยู่ที่นี่และ……กินคุณลงไปแน่"

จิงเฉินทำหน้าโหดร้ายน่ารังเกียจออกมา ทำให้ซินเหยาทั้งตลกและโกรธไปพร้อมกัน

มือของจิงเฉินยั่วยวนให้เธอค่อยๆล้วงเข้ามาในชุดนอนของเขา……

เมื่อมือของเธอสัมผัสไปโดนแท่งนั้น มันร้อนจนทำให้คนตกใจจริงๆ ตอนนี้อาวุธแท่งนี้มันได้ตั้งโด่ขึ้น ซินเหยาตกใจจนชักมือออก ตอนนี้มือเธอเหมือนไม่ได้เป็นมือของตัวเองยังไงยังงั้น

ตอนที่เธอจับครั้งก่อนๆคือจับอยู่นอกกางเกง แต่ครั้งนี้ได้ล้วงมือเข้าไปจับโดนจริงๆ ทำให้ซินเหยาไปไม่ถูกเอามากๆ

"ฉัน……ฉันไม่ คุณปล่อยฉันไปเถอะ" ซินเหยาชักมือออก ทำเธอตกใจแทบแย่

ทุกครั้งเธอก็แค่ปากเก่งบอกว่าตัวเก่งชำนาญเรื่องนี้ทำได้อยู่แล้ว แต่ความเป็นประสบการณ์แบบนี้มันมีแค่ครั้งเดี๋ยว แล้วยังเกิดแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก ตอนนี้ทั้งสองต่างได้สติกันท้ังคู่ เธอเอาชนะกับอุปสรรคที่ขัดขวางอยู่ในใจของเธอตอนนี้ได้ยากจริงๆ

"ดูเหมือนว่าคุณชอบวิธีที่ใช้ความรู้สึกในการสัมผัสมากกว่า" จิงเฉินอ้าปากขึ้นและกัดไปที่ริมฝีปากของซินเหยาพร้อมพูดขึ้น

แม่เจ้า สมองวันนี้ของเธอต้องเอาไปให้ควายกินแน่ๆ ถึงได้ทำเรื่องโง่ๆออกมาแบบนี้

ตอนนี้เธอไปไม่ถูกจริงๆ

ถ้าแค่จูบมันคงจะไม่ท้อง แต่ว่าถ้าคืนนี้เกิดทำแล้ว ก็มีโอกาสท้องแน่ อีกอยากตรงนี้ก็ยังไม่มีถุงยางอีก หรือว่าจะคลอดน้องชายหรือน้องสาวให้ลั่วหลิงและเข่อหลานอีกคนงั้นหรอ?

หึหึ……

ที่จริงวันนี้เธอไม่ได้ทำการเลือกเลย ตายก็ตาย เป็นไงเป็นกันว่ะ

"เอาหล่ะๆ ฉันจะใช้มือ" ซินเหยากัดฟันพูดตกลง

จิงเฉินใช้มือสองข้างผสานกันไปหลังหัว นอนลงบนเตียง และมองไปที่ซินเหยาอย่างได้ใจ

ซินเหยาจ้องเขากลับไป แม่เจ้า ให้คุณได้เห็นกับฝีมือลวดลายของฉันสักหน่อย เมื่อกี้ฉันแค่ตกใจ ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย หึ

สำหรับผู้หญิงที่ชำชองโลกอย่างเธอแล้วนั้น เรื่องไหนไม่เคยเจอมาก่อนบ้าง

ตายก็ตายว่ะ เธอตัดสินใจดึงไปที่…..ของจิงเฉิน

เห็นถึงของที่สุดแสนจะแกร่งกล้ากำลังตั้งโด่อยู่ตรงนั้น

แต่ว่าขนาดของมัน……หึหึ……ขนาดของคนเอเชียมันใหญ่ขนาดนี้เลยหรอ? ใครที่กล้าบอกว่าป๊ะป๋าไม่มีเชื่อของคนยุโรปล่ะก็ หึหึ

ตอนนั้นเธอแค่อายุ18ปี ของที่ใหญ่แบบนี้ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำให้เลือดออกอะไรมากมายนะ วันที่สองก็ออกจากโรงแรมไปเองได้ ร่างกายเธอก็ยังรู้สึกกระชับดี

ขนาดของเขามันใหญ่กว่าผู้ชายในหนังคนจนที่ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าแสดงเป็นอย่างมาก อีกอย่างยังดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วย

เพราะงั้นที่บอกว่าป๊ะป๋าเป็นผู้ชนะสิบทิศ ก็คงจะไม่ได้ชนะแค่ภายนอกสินะ ภายในของเขามันก็แรงเอามากๆ

แต่สีของมันดูค่อนข้างจะอ่อน พูดกันว่าผู้ชายที่มีประสบการณ์อย่างว่าน้อย สีก็จะอ่อนตามไปด้วย

ตอนแรกคิดว่าป๊ะป๋าจะเป็นคนที่ผ่านศึกมามาก แต่ดูท่าแล้วป๊ะป๋ะไม่ได้มีประสบการณ์อย่างว่าเยอะเลย

หรือป๊ะป๋าจะเป็นท่านประธานเอาแต่ใจที่ยังบริสุทธ์ผ่องใสอยู่ คิดเช่นนี้แล้วมันก็ทำให้เธอดีใจมีความสุขอยู่ลึกๆ

"คุณเสร็จรึยัง?" ซินเหยาชักอย่างดุดันดุเดือดจนข้อมือเธอเมื่อยไปหมดแล้ว

จิงเฉินเพียงแค่หายใจออกมา ฮึๆ……

ซินเหยามองบนขึ้น สลับไปใช้อีกข้างและพูดว่า : "จะเสร็จแล้วมั้ง คุณจะให้ฉันทำให้คุณทั้งคืนเลยหรือไง?"

"ตั้งใจหน่อย" จิงเฉินพูด

ยังจะมาบอกว่าเธอไม่ตั้งใจอีก นี่มันเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ ยังไม่เสร็จอีก

เธอโกรธนิดๆและบีบไปที่นั่น จิงเฉินหายใจออกมาอย่างแรง จากนั้นก็……เสร็จแล้ว……

ทั้งสองตอนนี้ยืนอยู่ข้างกันและกำลังแปรงฟันอยู่หน้าอ่างล่างหน้า ปากของซินเหยาคาบไว้แปรงสีฟัน และเป่าลมหายใจออกมาทดสอบว่าในปากยังมีกลิ่นของกระเทียมหรือป่าว จึงได้รู้ว่ามันแปรงไม่ออกจริงๆ

เธอแปรงไปอีกสามรอบ ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือป่าว แต่แปรงยังไงก็แปรงไม่ออก

เธอแปรงจนเลือดที่เหงื่อจะออกมาอยู่แล้ว เธอหันหน้าไปถามจิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆว่า : "คุณดมดูหน่อยซิ ปากของฉันยังมีกลิ่นกระเทียมอยู่รึปล่าว?"

พูดเสร็จ เธอก็เป่าลมออกมาให้จิงเฉินดม

จิงเฉินเมื่อดมเสร็จก็พูดว่า : "ไม่มีแล้ว"

เธอขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ จากนั้นเธอจึงเป่าลมออกมาใส่มือของเธออีกครั้งเพื่อดม ทำไมมันยังได้กลิ่นของกระเทียมอยู่?

"คุณหลอกฉัน ยังได้กลิ่นอยู่เลย" เธอยื่นมือไปหยิบแปรงฟันเพื่อทำการแปรงมันอีกรอบ

จิงเฉินยื่นมือไปจับที่มือของเธอและหันเธอมาตรงกับหน้าของเขา และพูดว่า : "มันไม่มีแล้วจริงๆ"

"แต่ฉันยังได้กลิ่นอยู่เลย" ซินเหยาพูด

จิงเฉินกัดไปที่ริมฝีปากของเธอ จากนั้นจึงละเลงลิ้นเข้าไปในปากของเธอทุกซอกทุกมุมไม่มีที่เหลือ เขากวาดไปตั้งแต่เหงือกของเธอจรดฟันซี่สุดท้าย ก่อนที่จูบนี้จะลง เขายังกัดไปที่ลิ้นของซินเหยาเบาๆ

จิงเฉินเอาปากออกจากเธอ แววตาของซินเหยาตอนนี้มันมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาด้วยสติที่ลอยไปบนชั้นฟ้า

"คิดอะไรอยู่หน่ะ?" จิงเฉินยื่นมือออกไปหยิกแก้มเธอ

ซินเหยาจึงได้สติกลับมา โกรธจนยื่นมือไปหยิกแก้มของจิงเฉินคืน แต่หัวของจิงเฉินแค่หลบไปข้างหลังหน่อยๆซินเหยาก็หยิกไม่โดนเสียแล้ว

แม่เจ้า คิดว่าสูง ขายาวแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นหรอ?

เธอเขย่งขาขึ้น แต่ก็ยังสูงไม่เท่ากับหน้าของจิงเฉินอยู่ดี แต่ว่าแก้มของซินเหยา จิงเฉินก็ยังไม่ได้ปล่อยมือออก

"เจ็บจัง​ โอ้ยย……ฉันไม่เล่นแล้ว ยอมแพ้แล้ว" ซินเหยาในที่สุดก็ยอมแพ้ในการแก้แค้นของเธอแล้วสินะ ยกธงขาวให้จิงเฉินไปเลยหนึ่ง

จิงเฉินปล่อยมือที่หยิกอยู่บนแก้มของซินเหยาออก เธอจึงหันไปส่องหน้าของตัวเองที่กระจก

คนในกระจกตอนนี้นัยตาแดงไปหมด มีน้ำตาเล็กน้อย มันดูน่าสงสารเอาอยู่หน่อยๆ ริมฝีปากเธอแดงช้ำ แก้มสองข้างก็แดงชมพูเข้ม เห็นได้เลยว่าโดนไอ้บ้าที่ไหนแกล้งมาแน่ๆ แต่ดูไปดูมาแล้วเธอเหมือนจะต้องโดนเขาแกล้งให้หนักกว่านี้ให้ได้

ซินเหยารู้สึกขนลุกซู่ขึ้น จิงเฉินถามเธอว่า : "ปากยังมีกลิ่นเหม็นอยู่รึปล่าว?"

เธอเป่าลมออกมา ตอนนี้ปากไม่มีกลิ่นเหม็นแล้ว แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมเย็นของจิงเฉินแทน

ตัวเธอเกร็งไปหมด ตอนนี้เธอกำลังชิมอะไรอยู่?

เหมือนเธอกำลังหวนรำพึงถึงจูบเมื่อกี้ยังไงยังงั้น ดูแล้วมันยิ่งหื่นกระหายมากจริงๆ

"ไม่มีแล้ว" มือของซินเหยาที่ขาวซีดจับไปที่ริมฝีปากของตัวเอง ส่ายหัวไปมาพร้อมพูดขึ้น

ตอนนี้ในปากของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย็นของจิงเฉิน กลิ่นนั้นมันไหลคงคอเธอ ส่งผ่านไปยังทางเดินอาหาร และส่งไปถึงหัวใจห้องขวาบนตามลำดับ ทำให้หัวใจทั้งดวงของเธอตอนนี้ต่างเต็มไปด้วยกลิ่นและรสชาติหอมเย็นของจิงเฉิน

"ถ้าไม่มีแล้วก็คงถึงเวลามาสะสางบัญชีเก่าของเราแล้วหล่ะ" จิงเฉินจับไปที่ไหล่ของเธอ และกดเธอติดไว้ที่ฝาผนังห้องน้ำ ร่างกายของเขามันแนบชิดติดไปกับร่างกายของเธอเป็นอย่างมาก

ทั้งสองแนบกันสนิทมาก เหมือนแค่เข็มและด้ายเส้นเดียวก็ไม่อาจจะทะลุผ่านไปได้

"บัญชีเก่าอะไร" ซินเหยาไม่เข้าใจที่จิงเฉินพูด จึงถามออกมาอย่างเจ๋อๆ

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่ใช้การกระทำบอกให้ซินเหยารับรู้เท่านั้น

ร่างกายของทั้งสองแนบสนิทกัน จิงเฉินตั้งใจถูๆไปที่ตัวของซินหยา ร่างกายของพวกเขาตอนนี้มันแนบปานจะเป็นคนเดียวกันไปเสียแล้ว

ซินเหยาสามารถสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อแข็งๆที่กำลังแนบชิดอยู่ที่น้องสาวใต้สะดือของเธอ ไม่นานหน้าเธอก็แดงขึ้นดั่งลูกพีชสีชมพู

"อันธพาน" ซินเหยารู้สึกว่าลิ้นของตัวเองมันจะผูกเงื่อนได้แล้วยังไงยังงั้น

หลายวันที่ผ่านมาจิงเฉินเป็นพ่อพระเอามาก ถึงแม้ว่าจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แต่มากสุดเขาก็แค่จูบเธอเพียงเท่านั้น ไม่ได้เกินเลยอะไรกว่านั้นเลย นี่ทำให้ซินเหยาวางใจและไม่ได้ป้องกันอะไรมาก แต่จู่ๆวันนี้เขาก็เกิดกำเริบขึ้น ทำให้ซินเหยาไปไม่ถูกจริงๆ

"คุณเองนะที่เป็นคนยั่วยวนผมก่อน" จิงเฉินตั้งใจโถมแรงเข้าหาซินเหยาอีก ก้อนเนื้อแข็งๆแท่งนั้นมันก็ชนเข้ากับน้องสาวใต้สะดือของซินเหยาเข้าอย่างจัง

"ฉัน…………ฉัน……ไม่ได้นะคะ" ซินเหยาตื่นเต้นจนลิ้นเธอจะผูกเป็นเงื่อนได้อยู่แล้ว

เธอเป็นถึงอันธพาลหญิงเชียวนะ เมื่อก่อนไม่เคยกลัว นับภาษาอะไรจะมากลัวเอาป่านนี้?

"ฮึ?" จิงเฉินจับไปที่มือของซินเหยา พร้อมกับลูบไล้ไปบนหลังมือของเธอ จากนั้นจึงลากมึงเธอลงมาจับไปที่ก้อนเนื้อแข็งโป๊กใต้สะดือของเขาพร้อมกับพูดว่า "อยากให้เรื่องนี้มันฉายซ้ำรึปล่าว?"

ซินเหยา : ……

แม่เจ้า เธอต้องตายแน่ๆ

ป๊ะป๋าเป็นคนจำฝังแค้นขนาดนี้เชียวหรอ ตอนนี้ยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนกินข้าวครั้งก่อนได้อีกอยู่หรอ?

"ฉัน……" ซินเหยาชักมือของตัวเองกลับ รู้สึกว่ามือนี้มันไม่ใช่ของเธอแล้วยังไงยังงั้น เพราะเหมือนมันโดนบางสิ่งบางอย่างเข้าสิง

"ในเมื่อคุณเป็นคนจุดไฟนี้ขึ้นมาเองคุณก็ต้องดับมันเอง" จิงเฉินก้มตัวลง มือข้างหนึ่งโอบไปที่เอวของซินเหยา ส่วนอีกข้างช้อนตักไปที่ขาอันเรียวเล็กของเธอและอุ้มขึ้นมา

"โอ้ย……ปล่อยฉันลงไปเดี๋ยวนี้นะ ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วยยยย……" ซินเหยาไม่ยอมร่วมมือทำตามจิงเฉิน ดื้อดึงอยู่ที่หน้าอกของเขาอย่างเกรี้ยวกราด

แต่มือสองข้างของจิงเฉินมันแข็งเหมือนเหล็กยังไงยังงั้น ไม่ว่าเธอจะตีขัดขืนไปเท่านั้นไม่ก็ไม่ขยับเลย

เขาอุ้มไว้ซินเหยาเข้าห้องไป เดินถึงระยะห่าง5ก้าวก่อนที่จะถึงเตียง จิงเฉินก็โยนเธอลงไปบนเตียง

ซินเหยาโดนโยนลงบนเตียงด้วยเส้นโคงอย่างสวยงาม เตียงมันยืดหยุ่นมาก บุ๋มลงไปเกือบครึ่ง จึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไหร่ที่โดนโยนลงมา เธอเด้งไปบนเตียงอยู่สองรอบ ยังไม่ทันที่จะมีโอกาสนั่งดีๆและวิ่งหนีไป จึงเฉินก็เหมือนเสื้อดาวตัวหนึ่งที่จับเหยื่อของตัวเองได้และกระโจมเข้าไปหาอย่างหื่นกระหายทับไปบนตัวของเธอ

อากาศของเมืองHเหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดกาล มันไม่ร้อนไม่หนาวมากเกินไป ซินเหยาจึงใส่แค่ชุดนอนฤดูใบไม้ผลิบางๆ ตอนนี้เธอโดนจิงเฉินทับไปทับตัว เสื้อผ้าดูเหวอะหวะไปหมด จึงทำให้เห็นกระดูกภายในที่สวยใสของเธอ เนินบนหน้าอกของเธอก็แว๊บๆขึ้นมาเป็นระยะๆ

จิงเฉินทับไปบนตัวเธอและใช้ขาข้างหนึ่งที่สุดแสนจะเรียวยาวและแข็งแกร่งของเขาสอดแทรกไปอยู่ระหว่างขาสองข้างของเธอ ทำให้เธอขยับดุ๊กดิ๊กไม่ได้แม้แต่น้อยนิด

เขาเริ่มโดยการค่อยๆเลียไปที่ติ่งหูของเธอ เลียจนทำให้ตัวเธอกระตุกตัวขึ้น แรงทั้งหมดในร่างกายเธอเหมือนอ่อนระโรยไปหมด และยังมีความชาที่ค่อยๆแผ่ขยายไปทั่วเรือนร่าง ทำให้เธอต้องจิกขาของตัวเองขึ้นอย่างเสียวซ่า

"อย่า……" ซินเหยาใช้มือปัดไปที่ริมฝีปากที่กำลังระเรงลิ้นเลียที่ติ่งหูของเธออยู่อย่างเผ็ดเดือด

จิงเฉินแค่ใช้มือข้างเดียวของเขาก็สามารถกดมือทั้งสองของเธอลงไปได้

เขาอ้าปากขึ้นและใช้ฟันกัดไปที่ติ่งหูของซินเหยา ค่อยๆใช้ฟันในการกัดแทะไปที่จุดนั้น ไม่แรงไม่เบา ไม่เจ็บไม่คัน ระดับการกัดที่ไม่ได้แรงไม่ได้แบาแบบนี้ก็ทำให้กระแสไฟฟ้าของซินเหยาไหลซ่าไปทั่วตัวของเธอ

"หึ(เสียงหายใจ)" ซินเหยารู้สึกเสียวซ่าไปทั้งตัว ไม่สามารถหยุดยั้งอดกลั้นเสียงหายใจที่สุดแสนจะเสียวซ่าแบบนี้ได้

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไรขึ้น เพียงแค่หลับตาลงเหมือนเขาหลับไปแล้ว

ซินเหยานอนเอียงๆและมองไปที่จิงเฉิน ชื่นชมไปที่เบ้าหน้าและหุ่นอันหล่อเหลาและเพอร์เฟคนี้ของจิงเฉิน

ตอนเที่ยงทั้งสองก็ยังไม่ได้กลับไป เพียงแต่กินซูชิที่จิงเฉินตื่นเช้าขึ้นมาเตรียมเท่านั้น

ซินเหยาใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ซูชิหนึ่งชิ้น คำเดียวเข้าปาก ไม่เหลือภาพลักษณ์อะไรเลย

คุณสามารถที่จะร้องขอภาพลักษณ์จากคนที่ตะกละตะกลามอย่างเธอได้อย่างนั้นหรอ?

"คุณทำซูซิตอนไหน ทำไมฉันถึงไม่รู้?"

ถึงแม้จะใช้มือในการกินซูชิ แต่เขาก็กินด้วยท่วงท่าที่สง่างามเอามากๆ แตกต่างจากซินเหยาอย่างสิ้นเชิง ท่วงท่าการกินของเขามันน่ากินไม่ต่างจากซูชิเลย

ถ้าเทียบกับจิงเฉินหล่ะก็ ซินเหยก็น่าจะเป็นคนป่าไปเลย

จิงเฉินใช้ผ้าเช็ดปากของตัวเองเช็ดไปที่มือที่ไม่ได้มีคราบสกปรกอะไรอยู่เลยพร้อมพูดว่า : "ตอนที่คุณยังนอนขี้เกียจไม่อยากตื่นตอนเช้าไง"

เมื่อได้ยินจิงเฉินพูดเช่นนั้น ซินเหยาก็หน้าแดงขึ้นมาทันที

"หึ……" ซินเหยาแสดงสีหน้าออกมาอย่างอายๆและพูดอย่างหาญกล้ากลับไปว่า : "คุณไม่ได้เป็นคนบอกว่ามาที่นี่ก็เหมือนมาพักร้อนหรอคะ? ในเมื่อมาพักร้อน ทำไมจึงต้องตื่นเช้า? บ้าไปแล้วรึไง"

จิงเฉินมองไปที่ซินเหยาแว้บหนึ่ง ไม่ได้สนใจเธอ คงคิดว่าเธอกำลังโวยวายไร้เหตุผลอยู่สินะ

สีหน้าท่าทางแบบนี้ของเขามันยิ่งทำให้คนเกลียดจริงๆนะไอ้จิงเฉิน

กับข้าวเย็นมื้อนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นปลาที่จิงเฉินตกมาเองกับมือ อาหารวันนี้ล้วนเกี่ยวกับปลาหมด

ซินเหยานำปลาที่ตัวใหญ่ที่สุดไปให้คุณยายเฟยและซูหยวน

กับข้าวมื้อดึกวันนี้มี ปลาราดซอสแดง ผัดพริกแกงหัวปลา ปลานึ่งมะนาว ซุปเต้าหู้ปลา และสุดท้ายยังมีปลาดิบหั่นสไลด์บางอีกด้วย

ซินเหยาซดไปที่น้ำซุปปลาอันขาวขุ่นหอมหวานนั้น และมองไปที่เนื้อปลาดิบบางสไลด์เหมือนแผ่นกระดาษที่วางอยู่

"ไม่ใช่คนป่าสักหน่อย ทำไมต้องกินปลาดิบด้วย น่าขยะแขยง" ซินเหยาซดไปที่น้ำซุปปลาอันโอชะพรางขยะแขยงเนื้อปลาดิบ

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นำเนื้อปลาดิบใส่เข้าปากตัวเอง และเดินไปทางซินเหยา

ซินเหยาจับไว้ถ้วยของตัวเอง มองจิงเฉินอย่างระมัดระวัง เซ้นส์ของเธอบอกว่าต้องเกิดเรื่องอะไรที่ไม่ดีขึ้นแน่ เธอวางถ้วยตัวเองลง อยากจะออกห่างจิงเฉินสักหน่อย แต่ว่ามัน อาจจะ แบบว่า ไม่ทันแล้ว

"คุณออกไปอย่า……โอ้ยย,,,,," จิงเฉินโถมตัวเข้าหาซินเหยา มือข้างหนึ่งโอบไปที่เอวของเธอ อีกข้างจับคอเธอไว้ ไม่ให้เธอหันหน้าหนีและประกบปากของตัวเองลงไป ทำการเปิดช่องปากของซินเหยาออก ใช้ลิ้นที่ทำการบีบปลาดิบจนเละส่งผ่านไปให้ซินเหยาทางปาก

ซินเหยาเมื่อตั้งตัวได้ก็อยากจะคายเนื้อปากดิบเละๆที่จิงเฉินส่งให้เธอทางปากออกทันที แต่ว่าปากของเธอกลับโดนจิงเฉินปิดไปอย่างสนิท ไม่มีทางที่จะคายออกมาได้เลย อีกอย่างเขายังใช้ลิ้นของเขาระเรงไปในช่องปากของเธออีก ทำให้เธอต้องกลืนเนื้อปลาดิบพวกนั้นลงไป

เมื่อเนื้อปลาดิบได้ลงไปอยู่ในท้องของเธอแล้ว จิงเฉินก็ยังระเลงลิ้นต่อไปในปากของเธออยู่ เมื่อผ่านไปสักระยะถึงปล่อยออก

ปากของเธอตอนนี้มันเต็มไปด้วยกลิ่นของจิงเฉิน

"เอาหล่ะ ตอนนี้คุณกับผมก็เป็นคนป่ากันทั้งคู่แล้ว" จิงเฉินปล่อยปากออก และใช้ลิ้นเลียไปที่ริมฝีปากของตัวเอง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความได้ใจ

ซินเหยาบีบไปที่คอของตัวเองอย่างแรง และจ้องจิงเฉินด้วยสายตาที่แรงไม่ต่างจากแรงบีบของตัวเอง

จิงเฉินไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย กินข้าวของตัวเองต่ออย่างสบายใจเฉิ่ม

ซินเหยาตอนนี้หัวร้อนเอามาก อยากจะแก้แค้นเขายิ่งนัก เพราะงั้นเธอจึงคิดวิธี ขึ้นมาได้

เธอวิ่งไปในครัว เห็นกระเทียมที่ปลอกเสร็จแล้วอยู่4กลีบ เธอหลับตาลง เอากระเทียมทั้งหมดเข้าปากและเขี้ยวจนเละ มันเผ็ดเสียจนยิ่งกว่าอยู่ในนรก จากนั้นจึงหันหลังและวิ่งออกไป วิ่งไปถึงข้างๆจิงเฉิน โถมตัวลงไปบนตัวเขาและกอดคอของเขาอย่างแน่นพร้อมกับกัดไปที่ปากของเขา

แต่จิงเฉินไม่ได้จัดการง่ายแบบนั้นหน่ะสิ เขาปิดปากอย่างแน่น ไม่เปิดปากออกสักนิด ซินเหยาป้อนมันลงไปไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าความเผ็ดแสบของกระเทียมในปากเธอน้ันออกฤทธิ์รุนแรงมากทำให้น้ำตาเธอไหลออกมาเอง

เธอโกรธและจ้องไปที่จิงเฉินด้วยตาเขม้น แต่เห็นสายตาคู่นั้นของจิงเฉินที่มีควากวนโอ้ยบวกหัวเราะอยู่ข้างใน

ซินเหยาโดนจิงเฉินทำให้ควันออกหูแบบนี้ จึงยื่นกรงเล็บพิฆาตเธอออกมา

เมื่อย้อนคิดไปล่ะก็ ท้องของซินเหยาที่โดนกระทำไปมันกลับมาสะอาดใสแล้ว

ตอนนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอ ความคิดในสมองแว๊บขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นมือออกมาและจับไปที่น้องชายของจิงเฉิน ยังใช้แรงในมือบีบไปเล็กน้อย

จิงเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะใช้แผนการนี้ ที่ตรงนั้นมันโดนจับไว้แน่นมาก จิงเฉินหายใจออกมาอย่างแรง

ตอนนั้นเธอยังจับสิ่งนั้นไว้อยู่ อยากจะกดไลก์ให้ไอเดียของตัวเองล้านไลก์ ในตอนที่จิงเฉินสติหลุดไป เธอจึงใช้ลิ้นเปิดช่องปากของจิงเฉินที่ขาดการป้องกันให้เปิดออก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชำนาญกับท่านี้สักเท่าไหร่ แต่เธอก็ชำนาญกับการจูบกับเขาเอามากอยู่ เธอเอากระเทียมที่เคี้ยวละเอียดในปากเธอส่งผ่านเข้าไปในปากของจิงเฉินได้สำเร็จ

เมื่อกระเทียมทั้งหมดได้เข้าไปอยู่ในปากของจิงเฉินแล้ว เธอจึงค่อยชักปากออกมา

ตอนนี้ลิ้นเธอเผ็ดเอามาก จึงแลบลิ้นออกมาเพื่อดับความเผ็ด

แต่ไหนแต่ไรเธอก็เป็นคนที่ชอบกินเผ็ดอยู่แล้ว แต่ความเผ็ดของกระเทียมแบบนี้มันเหมือนกับเผ็ดแสบไปถึงใจจริงๆ

จิงเฉินคายกระเทียมออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน สายตาของเขามันดำทมิฬขึ้น มันดำเสียจนเหมือนหลุมดำที่สามารถจะดูดของทุกสิ่งอย่างเข้าไปได้จริงๆ

"ซูดซาด ซูดซาด……" ซินเหยาใช้มือพัดไปตรงปากที่เผ็ดแสบของเธอ และพูดว่า : "เผ็ดมาก เผ็ดมาก"

จิงเฉินเดินมา โอบไปที่เอวอันบางเล็กของเธอ จากนั้นอ้าปากขึ้นและระเรงลิ้นเข้าไปในปากของซินเหยาอีกครั้งอย่างดุเดือนเร่าร้อน ตอนแรกลิ้นของเธอมันก็เผ็ดเอามากอยู่แล้วนะ ลิ้นของจิงเฉินท้ังชื้นทั้งร้อน จึงทำให้ลิ้นของเธอมันยิ่งทรมานไปกันใหญ่

เธอยื่นมือออกมาและดันไปที่หน้าอกของจิงเฉิน แต่มันไม่สามารถดันออกได้จริงๆ

เป็นเพราะกระเทียมนั่น ทำให้จูบครั้งนี้ของพวกเขามันเร่าร้อนเผ็ดแสบเอามาก

เมื่อจูบนี้จบลง ซินเหยาก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากของเธอที่แดงช้ำ มิหนำซ้ำริมฝีปากล่างของเธอยังถลอกอีก ลิ้นก็รู้สึกชาไปหมด มันชาจนไม่มีความรู้สึกหลงเหลืออยู่เลย

ถึงแม้ว่าลิ้นจะชาแล้ว แต่กลิ่นของกระเทียมที่อยู่ในปากมันตีขึ้นจมูกเอามากๆ

"เหม็นมาก" ซินเหยายื่นมือออกและปิดปากของตัวเองไว้อย่างสนิท และมองไปที่จิงเฉิน

ถึงแม้ว่าทั้งปากของเธอจะเต็มไปด้วยกลิ่นกระเทียม แต่ปากของจิงเฉินก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากปากเธอเลย

ป๊ะป๋าที่สูงสง่าแบบนี้ แต่กลับมามีกลิ่นกระเทียมแบบนี้เหมือนกับเธอ เธอก็สมใจปรารถนาแล้ว จากนั้นเธอจึงหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ได้ใจ

จิงเฉินเมื่อเห็นซินเหยาหัวเราะยิ้มอย่างได้ใจนั้น อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาอย่างไม่มีอีโหน่อีเหน่ ถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนหัวเราะยิ้มออกมากับซินเหยาเหมือนกัน ตอนนี้ทั้งสองเหมือนคนซื่อบื่อเจ๋อๆเอามาก มองหน้ากันและหัวเราะอยู่อย่างนั้นนานมากจริงๆ

"ไม่ต้องสนใจรายละเอียดเล็กๆพวกนี้ได้ไหม" ซินเหยาแสดงสีหน้าเจื่อนๆออกมาและพูดต่อว่า : "แต่คุณจะมาหลอกฉันไม่ได้นะ ฉันอยากกลับเมืองBจริงๆ"

เธอคิดถึงลูกชายและลูกสาวเธอแล้ว……

จิงเฉินมองดูซินเหยาอย่างจริงจัง ยื่นมือไปลูบที่ผมของเธอและพูดว่า : "ผมไม่ได้หลอกคุณ ผมพูดจริง"

"ตอนนี้เรากำลังพูดเรื่องซีเรียสกันอยู่นะ ตั้งใจพูดหน่อยได้รึปล่าว" ซินเหยาปัดมือของจิงเฉินออกอย่างไม่พอใจ และพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า : "คุณรู้ไหมว่าอุบัติเหตุเรื่องนั้นมันอาจจะไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ อาจจะมีคนวางแผนอยู่เบื่องหลัง คุณอยากตายรึไง?"

ถ้าเกิดว่าคุณทำให้ฉันซวยไปด้วยจะทำยังไง?

เอาหล่ะ ที่จริงก็กลัวป๊ะป๋าโดนคนคิดแผนการชั่วร้ายทำร้ายเขาแหละดูออก

ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบ (รู้สึกผิด) จิงเฉิน จึงไม่ได้บอกจิงเฉินให้รู้จักกับลั่วหลิงและเข่อหลาน แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นป๊ะป๋าของพวกเขาอยู่ ไม่ควรตายไปแบบนี้

"คุณก็ยังมีสมองอยู่หน่อยๆนะ นั่นไม่ได้เรียกว่าอาจจะ แต่เรียกว่าพุ่งมาหาผมเลยแหละ" จิงเฉินเก็บมือของตัวเองและพูดตอบกลับไป

คุณกำลังชมว่าเธอฉลาดงั้นหรอ? แต่เธอคงไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรมากมาย

"งั้นถ้าคุณกลับไปแบบนี้ก็ไม่ใช่กลับไปติดกับพวกมันแล้วหรอ?" ถ้าเกิดราคาที่จะกลับไปหาลั่วหลิงและเข่อหลานต้องแลกมากับชีวิตของจิงเฉิน เธอคงทำใจไม่ได้แน่ๆ

"ผมไม่เคยมองคนพวกนั้นที่อยากได้ชีวิตผมอยู่ในสายตาอยู่แล้ว อยากได้ชีวิตผมหล่ะก็ ต้องดูว่าฟันของพวกมันแข็งพอที่คิดว่าจะกัดกับคนอย่างผมได้หรือป่าว" จิงเฉินตอบกลับอย่างนิ่มๆ และมองไปบนผิวน้ำอย่างสุขุม

ไม่ได้พูดอวยอวดตัวเองเลย เพียงแค่พูดอย่างนิ่มๆแต่มันสามารถทำให้คนเชื่อใจเขาได้จริงๆ ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อในตัวเขาหรือไม่ แต่ซินเหยาของเราเชื่อเอามาก

"เออ……งั้นเราจะมาอยู่ตรงนี้ทำไม?" ซินเหยาถามอย่างไม่เข้าใจ

ในเมื่อไม่กลัวว่าจะมีคนคิดร้ายกับพวกเขาแล้ว งั้นพวกเขาจะมาหลบอยู่ที่นี่ที่การคมนาคมและโทรคมนาคมไม่สะดวกทำไมกัน?

"คุณไม่ใช่บอกหรอว่าคุณชอบที่นี่เพราะบรรยากาศของที่นี่สวยหรอกหรอ?" จินเฉินถาม

"บรรยากาศของตรงนี้มันไม่เลวเลยจริงๆ ภูเขาสายน้ำต่างๆก็ทำให้คนสงบเอามาก" ซินเหยาพูดชม

"ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คิดว่ากำลังลาพักร้อนอยู่ก็แล้วกัน" จิงเฉินตอบกลับอย่างนิ่มๆ

มือสองข้างของเขาเอามาประสานกันและไปไว้ที่ท้ายทอย ทันใดนั้นก็ล้มลงไปนอนบนหญ้าที่อยู่ข้างทะเลสาบนั้น ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาโดยตลอดของเขาตอนนี้ก็ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น มันดูสบายๆชิลๆไม่กังวลเรื่องนั้นเลย เหมือนคิดจริงๆว่าพวกเขากำลังมาพักร้อนกันอยู่

ซินเหยาใช้มือดันไปที่พื้นและเอนตัวเล็กน้อยมองลงไปดูจิงเฉินพร้อมกับพูดว่า : "งั้นคุณจะกลับเมืองBเมื่อไหร่คะ?"

"แล้วแต่คุณเลย" จิงเฉินหลับตาลงอย่างสบายใจเฉิ่ม กำลังสัมผัสกับสายลมที่พัดโชยมาเบาๆกับแสงแดดอ่อนๆอันอบอุ่นที่กำลังส่องอยู่บนหน้าของเขา

"งั้นเรากลับพรุ่งนี้เลยไหมคะ" ซินเหยาลองถามเขาดู

"อื่ม" จิงเฉินตอบกลับมาและพูดต่อว่า : "ได้ แล้วแต่คุณเลย พรุ่งนี้เรากลับไปกัน"

ซินเหยาโดนใบหน้าที่อะไรก็ได้ของจิงเฉินนี้ทำให้เธอหัวร้อนควันออกหูไปหมด เธอกัดฟันและพูดขึ้นอีกว่า : "ฉันเปลี่ยนใจล่ะ เราอยู่ต่ออีกสักเดือนดีกว่า"

"ได้ แล้วแต่คุณเลย" จิงเฉินก็ยังคงไม่ลืมตาขึ้น พูดออกมาอย่างนิ่มๆเบาๆ

"คุณไม่กลัวว่าคุณจากมานานขนาดนี้แล้วบริษัทของคุณจะโดนจิงซิงแย่งไปจริงๆหรอคะ?" ซินเหยาขมวดคิ้วขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

"คุณกำลังเป็นห่วงผมอยู่หรอ?" จิงเฉินลืมตาขึ้นและมองไปที่ซินเหยา

"ใครเป็นห่วงคุณกันล่ะ" ซินเหยาโดนสายตาจิงเฉินที่เหมือนจะกลืนกินเธอเข้าไปมองมา เธอจึงเบี่ยงสายตาของตัวเองมองไปที่หญ้าที่อยู่ข้างล่างและทำเป็นขรึมพร้อมพูดว่า : "ถ้าบริษัทเกิดโดนจิงซิงแย่งไปแล้ว ระดับความยากของงานฉันก็ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนแรกที่คุณสัญญากับฉันว่าจะให้หุ้น3%ก็คงจะไม่ได้ไปด้วย"

ซินเหยาพูดเหตุผลนี้ขึ้นมา เหมือนกำลังบอกว่าเธอไม่ได้เป็นห่วงจิงเฉิน แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังหลอกตัวเองอยู่

เธอไม่ได้เป็นห่วงกังวลเลยว่าบริษัทและเลือดเนื้อของจิงเฉินจะโดนชิงไป เธอแค่เป็นห่วงตัวเองเท่านั้น และกังวลจิงเฉิน ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินสักนิดนะ

"หึ……" จิงเฉินไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้หัวเราะออกมาและพูดว่า : "เรื่องนี้คุณก็วางใจเถอะ ของของผมไม่สามารถมีใครแย่งมันไปได้แน่ จิงซิงไม่ใช่คู่ต่อกรของผมหรอก บริษัทของผมก็ให้เขายืมเล่นไม่กี่วันก่อน ให้เขาได้สัมผัสความอยากของตัวเอง มิเช่นนั้นชาตินี้เขาคงได้แค่น้ำลายไหลมองดูตำแหน่งประธานอย่างเดียว"

ซินเหยาหลังจากที่ได้ยินคำที่มั่นใจจนไม่มีใครเปรียบได้นี้ของจิงเฉินมันทำให้ใจเธอกระตุกขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่สีหน้าของจิงเฉิน

สีหน้าของจิงเฉินไม่มีอะไรเลย มีเพียงรอยยิ้มบางๆอยู่ที่มุมปากของเขา

"คุณมั่นใจเอามากนะคะ" ซินเหยาเบะปากไปข้างๆ เลียนแบบจิงเฉินในการเอามือมาประสานกันและท้าวไปที่ท้ายทอย นอนลงบนพื้น พลิกตัวเล็กน้อยมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นของเขา

เธอมองเห็นแค่มุมข้าง โดยปกติคนเอเชียถ้าเกิดมองในมุมข้างแล้วคงจะเห็นเป็นแค่เรียบๆ แต่จิงเฉินไม่ใช่ มองมุมข้างก็ยังสามารถเห็นจมูกที่สุดแสนจะโด่งของเขาพุ่งออกมาอย่างชัดเจน

ซินเหยาชื่นชมไปในความหล่อของจิงเฉิน เธอหลับตาและพูดออกมาว่า : "ฉันไม่ได้จะพูดท่านประธานใหญ่นะคะ แต่ดูเหมือนท่านประธานใหญ่จะค่อนข้างลำเอียงไปทางจิงซิงหน่อย โอกาสชนะของคุณอาจจะมีไม่มาก"

"คุณคิดว่าผมเป็นไอ้ไม่ได้เรื่องที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นถึงจะชนะงั้นหรอ? " จิงเฉินถามขึ้นเหมือนไม่พอใจหน่อยๆ

ซินเหยา : …..

ต้องการความช่วยเหลือก็เป็นคนไม่ได้เรื่อง? งั้นถ้าเกิดได้รับความช่วยเหลือจากท่านประธานใหญ่แล้วไม่ชนะก็คงไม่เรียกว่าไม่ได้เรื่องของไม่ได้เรื่องแล้วหรอ?

สีหน้าท่าทางของจิงเฉินที่อวดเก่งแบบนี้ แต่ทำไมในสายตาเธอมันไม่ได้ดูอวดเก่งเลย

"แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นท่านประธานใหญ่ อีกอย่างยังเป็นพ่อคุณอีก" ซินเหยาดึงมือออกมาจากท้ายทอยและท้าวไปที่หัวของเธอ ส่วนอีกข้างก็เอาวางไว้ที่เอวของเธอ และพูดว่า : "คุณก็อย่ามั่นใจเกินไป ถึงเวลานั้นจะมาร้องไห้แงเอา"

"หึ……" จิงเฉินหัวเราะออกมาอีก

รอบนี้ซินเหยาเห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มที่มุมปากของเขาเป็นรอยยิ้มที่กำลังเยาะเย้ย

"ปีนั้นที่เขาบังคับให้ผมไปที่บ้านตระกูลเยี่ยเพื่อเปลี่ยน……"

ซินเหยาหูกางขึ้น อยากได้ยินเรื่องคบกันระหว่างเขาและอันหราน จิงเฉินก็ไม่ได้พูดต่อ

ตอนนี้ในใจเขารู้สึกฝาดและขมขื่นอยู่หน่อยๆ เหมือนกับการกินลูกพลับที่ยังไม่สุก มันฝาดจากปากถึงใจจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แต่มันก็ทำให้เธอทุกข์ทรมานอยู่หน่อยๆ

"วางใจเถอะ ผมทำงานอยู่ที่เยี่ยหวงนี้มาก็หลายปี ถึงแม้ว่าผมจะตายไปเยี่ยหวงก็คงไม่อยู่เหมือนกัน มันไม่มีทางตกไปอยู่ในมือของคนที่คิดไม่ดีกับผมอย่างแน่นอน" จิงเฉินพูดขึ้นต่อว่า : "มีผมถึงมีเยี่ยหวง ถ้าเกิดเยี่ยหวงไม่มีผมอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากเปลือกหอยที่มีแต่ความวางเปล่า เยี่ยหวงก็คงไม่เป็นเยี่ยหวงอีกต่อไป"

ซินเหยามองไปที่จิงเฉิน เกือบจะร้องไห้ออกมาเพราะความหล่อเหลาแกร่งกล้าของป๊ะป๋าซะแล้ว

ถ้าเกิดคนอื่นพูดคำพวกนี้ขึ้น ซินเหยาคงอยากจะอ้วกออกมาเพราะมันมีแต่ความขี้โม้ แต่นี้มันเป็นจิงเฉินพูด ทำให้เธอไม่อยากอ้วกแต่กลับรู้สึกเชื่อในตัวเขาเอามาก อาจจะเป็นเพราะว่าคนนั้นคือจิงเฉิน จึงไม่มีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้

"โอ้ย……" คางของซินเหยาโดนจิงเฉินบีบ จิงเฉินโถมหน้าเข้าใกล้เธอจนจมูกของทั้งสองชนกัน ไอความร้อนจากลมหายใจของจิงเฉินตีไปบนหน้าของซินเหยา ปลายจมูกของเธออบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเย็นผสมกับกลิ่นความมันจากของครัวที่อยู่บนตัวของจิงเฉิน

ทั้งสองกลิ่นนี้ตีตลบอบอวลอยู่ด้วยกันมันควรจะเป็นกลิ่นที่เหม็นมากสิ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันหอมน่าดมเป็นไหนๆ ทำให้หัวใจดวงน้อยๆของเธอเต้นรัวอีกครั้ง

"หิวน้ำ?" ตาที่มืดทมิฬของจิงเฉินจ้องไปที่เธอปานจะเขมือบเธอลงไป

ซินเหยาตอนนี้โดนความหล่อของป๊ะป๋าชกเข้าให้จนเธออยากคุกเข่าขอร้องจริงๆ ตอนนี้เธอรู้สึกกระหายน้ำเป็นไหนๆ

ตอนแรกไม่ได้หิวน้ำเลย แค่อยากจะสัมผัสกับการให้คนรวยมารับใช้และจะได้เล่นบทเป็นนายหญิงเท่านั้น

แต่ว่าตอนนี้ใบหน้าของจิงเฉินมันชิดเธอเอามา เธอโดนแววตาที่มีเสน่ห์ของจิงเฉินทำให้หลงจนไม่รู้จะทำไงต่อแล้ว โอ้ยยย……

"ค่ะ" เธอกระพริบตาวิ้งๆของเธอพร้อมกับผยักหัว

จิงเฉินก้มหัวลง จากนั้นระเรงลิ้นลงบนริมฝีปากของเธอและถามอีกว่า : "ตอนนี้ยังหิวน้ำอยู่รึป่าว?"

แม่เจ้า มันยิ่งหิวสิว๊ะ!

"หิวค่ะ" เธอพูดออกมาด้วยคอที่สั่นเครือหน่อยๆ

จิงเฉินก้มหัวลงอีกครั้ง จากนั้นก็ระเรงฟาดฟันลิ้นของตัวเองเข้าไปในช่องปากของซินเหยาอย่างดุเดือด จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา ในปากของซินเหยาไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่ได้สัมผัสกับลิ้นของจิงเฉิน

หรือว่าวันนี้อาจจะเป็นเพราะว่าป๊ะป๋าทำกับข้าวให้เธอกิน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าป๊ะป๋าอบอุ่นกว่าปกติ เป็นเพราะว่าเหตุผลพวกนี้จึงทำให้เธอไม่ปฏิเสธจูบอันเร้าร้อนดุเดือนนี้ของป๊ะป๋างั้นหรอ แต่เธอกลับยื่นมือออกมาและกอดไปที่คอของป๊ะป๋าพร้อมกับใช้ปากอมชมพูของเธอจูบตอบป๊ะป๋ากลับไปด้วย

ตอนแรกคิดว่าบรรยากาศที่เป็นใจแบบนี้ป๊ะป๋าคงจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆแน่ ทั้งสองคงจะได้สนุกถึงชั้นฟ้า

แต่คืนนี้ป๊ะป๋าแค่กอดเธอและจูบเธอแค่นั้น อุ้มเธอเข้าห้องไป ทับไปบนร่างของเธอละระเรงลิ้นจูบไปที่ริมฝีปากของเธอแค่นั้น ตอนกลางคืนก็นอนเตียงเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เกิดอะไรข้ึนมากไปกว่านั้นเลย เห้ออออ

เพราะว่ามือเธอบาดเจ็บ เรื่องการทำอาหารถึงได้ตกไปอยู่ที่ป๊ะป๋า

บางครั้งสวรรค์ก็ไม่เคยยุติธรรมเอาซะเลย บางคนไม่ได้แค่รวย แต่ยังฉลาด หุ่นดี หล่อ แถมยังทำกับข้าวอร่อยอีกต่างหาก เป็นคนที่เกิดต้านจริงๆ คนแบบนี้ต้องเป็นบุตรของสวรรค์แน่ๆ ไม่งั้นเขาจะมีพรสวรรค์เยอะขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

และบุตรสวรรค์คนนี้ ชื่อของเขาคือ……เยี่ยจิงเฉิน

ตอนเช้าเมื่อจิงเฉินกินข้าวเสร็จ ก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก บนหลังยังสะพายไว้กระเป๋าใบหนึ่งอีกด้วย

ซินเหยาวิ่งตามไปและจับไปที่เสื้อเชิ๊ตที่อยู่บนตัวของจิงเฉินและถามว่า : "คุณจะไปไหนคะ?"

"ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย" จิงเฉินไม่ได้ปัดมือของซินเหยาออก เพียงแค่ตอบกลับเธอไป

"ฉันจะไปกับคุณด้วย ไปคุ้นชินกับทางพวกนี้สักหน่อย" ซินเหยาไม่ใช่แค่ไม่ปล่อยมือของตัวเองจากตัวของจิงเฉิน แต่กลับเลื่อนจับไปที่มือของเขาอีก และพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง

จิงเฉินมองไปที่มือที่กำลังทับกันอยู่ของพวกเขา และมองไปที่ซินเหยาแบบจะหัวเราะก็ไม่หัวเราะ

ซินเหยาไม่ได้ปล่อยมือที่กำลังจับอยู่ที่มือของจิงเฉินออก แต่กลับจับมันแน่นขึ้นไปอีก

"ฉันจะไปกับคุณ" ซินเหยาพูดขึ้นอย่างจริงจัง

จิงเฉินพลิกกลับมาจับมือของซินเหยา มุมปากยิ้มขึ้นพร้อมพูดว่า : "ได้ ไปด้วยกัน"

ตอนแรกคิดว่าที่ป๊ะป๋าสะพายกระเป๋าออกมาแบบนี้ต้องมีแผนอะไรแน่ๆ

แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะออกมา……ตกปลา

จิงเฉินนั่งอยู่ที่ริมสระนิ่งๆดุจดั่งขุนเขา ดูแล้วมันนิ่งมากจริงๆ ส่วนซินเหยานั่งข้างๆเขา เอามือท้าวคางและมองไปที่จิงเฉิน มันไม่ได้รู้สึกน่าเบื่อเลย หน้าตาหล่อเหลาอย่างจิงเฉินให้ดูทั้งชาติก็ไม่มีวันเบื่อ

ภาพบรรยกาศที่สวยงามโดยรอบถ้าเทียบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของจิงเฉินแล้วนั้น เทียบไม่ติดไปเลยค่ะ

"คุณตกปลาเป็นด้วยหรอคะ? "ซินเหยาหันไปมองใบหน้าฟ้าประทานนั้นของจิงเฉินและหาเรื่องคุยกับเขาขึ้น

"ไม่เคยตกมาก่อน" จิงเฉินมองไปในสระ

เมื่อพระอาทิตย์สาดแสงส่องมาบนผิวน้ำ ก็สะท้องแสงสีเหลืองระยับระยับออกมา ลมโชยลำพายพัดมา ผิวน้ำก็กระเพื่อมๆกับแสงสีทองนั้น มันสวยมากจริงๆ

ซินเหยางงไปหนึ่งกรุบพร้อมถามขึ้นว่า : "ตกปลาไม่เป็นแล้วเราจะมาอยู่ที่นี่ทำไม"

แม่เจ้าโว้ยย กำลังล้อฉันเล่นอยู่รึปล่าวนี่ เห็นคุณแบบนั้นก็นึกว่าจะเป็นมือโปรด้านการตกปลาซะอีก ที่ไหนได้……

"แค่ไม่เคยตกมาก่อน ไม่ได้หมายความว่าจะตกไม่เป็น" จิงเฉินหันหัวไปพร้อมแก้คำผิดที่ซินเหยาพูดออกมาเมื่อกี้

อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง จิงเฉินจึงค่อนข้างที่จะอบอุ่นและใจเย็นกับซินเหยามากกว่าปกติ

"มันต่างกันตรงไหน?" ซินเหยาถาม

"ต่างกันตรงที่บนโลกนี้ไม่มีเรื่องไหนที่ผมทำไม่ได้ รวมถึงตกปลา" จิงเฉินพูดออกมาอย่างมั่นใจ

ทันใดนั้นเมื่อเขาพูดจบ ก็รู้สึกว่าเบ็ดในมือมันสั่นขึ้น

จิงเฉินค่อยๆหมุนเบ็ดเก็บสายขึ้นมา ปลาที่ตกได้เป็นปลาคาร์ฟที่หนักสองกิโล

ซินเหยา : …..

แม่เจ้า เห็นปลาคาร์ฟตัวนั้นทำเธออึ้งจนพูดไม่ออกไปเลย

ป๊ะป๋า ปลาตัวนี้ไม่ใช่ป๊ะป๋าซื้อมาเองใช่ไหม พวกเราพึ่งนั่งได้ไม่นานเองนะ อีกอย่างป๊ะป๋าก็เป็นมือใหม่ของการตกปลา

พวกเธอไม่นานก็โดนป๊ะป๋าตกขึ้นมาแล้วหรอ ยังมีความอายของการเกิดเป็นปลาอยู่รึปล่าว? มีรึปล่าว!?

นี่มันเป็นโลกของการดูรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ ขนาดปลาก็ไม่เว้น โดนป๊ะป๋าตกขึ้นมาอย่างง่ายดาย เห้อออ

จิงเฉินเอาปลาตัวนั้นออกจากเบ็ด และใส่ไปในถังที่อยู่ไม่ห่างจากตัวของซินเหยามาก มันดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในถังนั้น ดิ้นจนน้ำในนั้นกระเด็นใส่ซินเหยาไปทั้งตัว

"ปลาตัวนี้เป็นตัวแม่แน่ๆ" ซินเหยาเดา

ตอนแรกอยากจะยื่นมือไปเล่นกับมันอยู่หรอก แต่ว่าเป็นเพราะกลิ่นคาวของมัน ซินเหยาจึงชักมือกลับ

จิงเฉินได้เปลี่ยนเหยื่อที่อยู่ในเบ็ดอันใหม่ จากนั้นก็จุ่มเบ็ดลงไปอีกครั้ง

ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ปลาก็ติดเบ็ดอีกแล้ว

ตอนนี้เธอหมดแรงจะพูดต่อกรกับป๊ะป๋าแล้ว คนที่ทำอะไรก็ชนะไปซะหมดอย่างป๊ะป๋าแบบนี้มันไม่มีที่ติจริงๆ ขนาดการตกปลายังเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับเขาเลย เห้ออ

"อีกนานแค่ไหนกว่าเราจะได้กลับไปเมืองBคะ" ซินเหยาเงียบไปสามนาทีและถามจิงเฉินขึ้น

จิงเฉินวางเบ็ดลงที่พื้น มองไปที่ซินเหยาอย่างตั้งใจและพูดว่า : "ถ้าเกิดว่าคุณอยากไปจากที่นี่และกลับไปเมืองB ตอนนี้ก็กลับได้แล้ว"

ซินเหยา : …..

เอาหล่ะ อย่าพูดเป็นเล่นไปได้ เธอไม่ใช่เด็กอนุบาลสามนะที่จะได้มาหลอกกันง่ายๆแบบนี้

"ฉันเรียนหนังสือมาน้อย คุณอย่ามาหลอกฉันเลย? เพราะฉันจะเชื่อจริงนะ" ซินเหยาโดนป๊ะป๋าเล่นอีกแล้ว อีกหน่อยจะสามารถพูดด้วยกันดีๆได้อีกหรือป่าว

"เรียนหนังสือมาน้อย? ผมจำได้ว่าคุณจบปริญญาเอกจากม.ดังของต่างประเทศไม่ใช่หรอ เพราะงั้นเรซูเม่ที่เขียนมาก็เป็นของปลอมงั้นสิ?" จิงเฉินถาม

ป๊ะป๋าจะอบอุ่นเกินไปแล้วนะ นี่มันก็ดูกุ๊กกิ๊กกันเกินไปด้วย เธอไม่ได้กลัวด้านโหดร้ายเอาแต่ใจของป๊ะป๋า แต่เธอกลัวด้านอบอุ่นอ่อนโยนของเขาต่างหาก

จิงเฉินเอามือของเธอออกมา ในที่สุดเลือดก็หยุดไหลแล้ว

"มือโดนบาดขนาดนี้ยังไม่เชื่อฟังอีก" จิงเฉินตรวจไปที่แผลของซินเหยาอย่างละเอียดพร้อมพูดขึ้นอีกว่า : "แผลลึกมาก ออกไปใส่ยาและฆ่าเชื้อหน่อย"

"ไม่ต้องแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันทำเองได้" ซินเหยาชักมือของตัวเองออกแต่จิงเฉินกลับจับไว้มือเธออย่างแน่น

เป็นเพราะเธอขยับมือจึงทำให้เลือดมันไหลออกมาอีกแล้ว

จิงเฉินแลบลิ้นออกมาและอมไปที่เลือดบนนิ้วชี้ที่ไหลออกมาของซินเหยา จากนั้นได้ถุยทิ้งลงในถังขยะ

"ถ้ายังไม่เชื่อฟังผมอีกเลือดได้ไหลหมดตัวแน่" จิงเฉินพูด

ซินเหยาเอามืออีกข้างจับไปที่หน้าผากและมองไปที่จิงเฉิน ตอนนี้เธอยอมเชื่อฟังเขาโดยการไม่ชักมือออกแล้ว

จิงเฉินจับไว้มือของซินเหยาและเดินออกมาจากห้องครัว

เขาฆ่าเชื้อให้แผลของเธออย่างตั้งใจ เธอเจ็บเสียจนกระตุกขึ้น

"เจ็บมากหรอ?" มือของจิงเฉินหยุดชะงักและหันขึ้นไปถามซินเหยา

"อื่ม" ฟันขาวใสของซินเหยากัดไปที่ริมฝีปากของตัวเองพร้อมพูดขึ้น

"ทนหน่อย ใครให้คุณประมาทแบบนี้เองล่ะ" จิงเฉินพูดอย่างไร้ความปราณี แต่ก็เบามือลงในการเช็ดแผลให้เธอมาก

ติดพลาสเตอร์เสร็จ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ซินเหยายกมือตัวเองขึ้นมาดู ทำแผลได้ไม่เลวนะ

ดูไม่ออกเลยนะว่าชายแท้อย่างป๊ะป๋าจะปราณีตแบบคนอื่นเขาเป็นด้วย

"ขอบคุณค่ะ" ซินเหยาพูดขึ้น

"ทำอะไรก็ระวังหน่อย อย่าทำแบบเซ่อๆซ่าๆ" จิงเฉินเก็บของทำแผลเสร็จพร้อมพูดกับซินเหยา

"ค่าาา….." ซินเหยาผงกหัวและพูดว่า : "งั้นฉันไปทำกับข้าวต่อแล้วนะคะ"

เธอหันหลังกำลังจะเดินไปที่ห้องครัว จิงเฉินยื่นมือออกและดึงไปที่ผมของเธอและพูดว่า : "ผมบอกคุณเมื่อกี้ไม่ได้ยินรึไง?"

"ได้ยินค่า" ซินเหยาหันหัวมาจ้องไปที่จิงเฉิน ป๊ะป๋าทำไมทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ไปได้นะ ท่านประธานที่ทั้งหล่อทั้งสง่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ ป๊ะป๋าคุณเอาท่านประธานที่ทั้งหล่อทั้งสง่าคนเดิมคนนั้นกลับมานะ

"ไม่มีอะไรแล้วงั้นฉันไปทำต่อนะคะ" ซินเหยาพูด

"ไม่ต้องล่ะ" จิงเฉินพูดขึ้นพร้อมปล่อยมือจากผมเธอ

ซินเหยาพูดขึ้นอย่างเศร้าใจว่า : "คุณไม่ใช่จะเบี้ยวฉันนะ ที่บอกว่าจะเพิ่มเงินเดือนกับเงินให้ฉันสิบเท่าคุณจะคืนคำหรอ?"

หึ……ป๊ะป๋าไอ้คนเย็นชา ไร้ความรู้สึก ไร้เหตุผล

"มือคุณเป็นแบบนี้ยังสามารถทำกับข้าวได้อีกหรอ?" จิงเฉินถาม

ซินเหยาสลัดมือของตัวเองไปมาอย่างไม่สนใจและพูดว่า : "ไม่เป็นไร แค่บาดโดนนิดๆ ไกลหัวใจฉันอยู่ และถึงแม้ว่าจะไม่ทำแผลไม่ก็วันก็ดีขึ้นเองได้ คุณหน่ะพูดเกินไป"

จิงเฉินยื่นมือลูบไปที่ผมอันนุ่มสลวยของซินเหยาและพูดว่า : "ในเมื่อมือบาดเจ็บแบบนี้ก็ไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว"

"คุณไม่ได้อยากกินมาม่าหรอกใช่ไหมคะ หรือว่าจะไปกินข้างนอก คุณมีเงินหรอคะ?" ซินเหยาปัดมือจิงเฉินออกและพูดอย่างไม่ค่อยจอยนัก

"ผมทำเอง พอใจรึยัง?"

……

จิงเฉินรับปากซินเหยาว่าเขาจะเป็นคนทำกับข้าวเอง เขาก็ไม่ได้คืนคำซะด้วย

ใส่ผ้ากันเปื่อน รับช่วงต่อจากซินเหยา และเตรียมมื้อค่ำนี้สำหรับพวกเขาสองคน

เห็ดชัดว่าเป็นท่านประธานที่สูงสง่าปกติก็จะอยู่บนฟากฟ้า แต่วันนี้กลับมาใส่ผ้ากันเปื่อนและติดดินแบบนี้ ตอนแรกเธอยังรู้สึกว่าเขาบ้าไปรึปล่าว แต่ว่าพอเธอนั่งลงบนโซฟา เห็นจิงเฉินหันผักล้างผักในครัวอย่างตั้งใจ ความคิดที่ว่าเขาบ้าก็หายไปหมดแล้ว

จิงเฉินเป็นคนที่สูงหุ่นดีแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว หุ่นเพอร์เฟคแบบเขา บวกกับไหล่ที่กว้างและขาที่เรียวยาว มันสามารถที่จะไปเทียบกับนายแบบระดับโลกได้เลย

เขาเป็นคนที่ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีไปหมด อีกอย่างนะ เพราะหน้าเขาหล่อ อยู่ในโลกที่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้ถึงแม้จะใส่แค่เสื้อที่ทำจากถุงกระสอบเขาก็ยังดูหล่ออยู่ดี เห้ออออ

โดยปกติคนเอเชียถ้าเทียบกับคนยุโรปแล้ว ใบหน้ามันไม่สามารถคมหรือเย้ายวนได้มากกว่าคนยุโรปเลย แต่จิงเฉินนี่สิเหมือนลูกครึ่งเอามาก เขามีใบหน้าที่คล้ายกับคนยุโรป ร่างกายที่ดูสูงโปร่ง มันหล่อเอามากจริงๆนะ

ท่าทางการหันผักของจิงเฉินมันดูคล่องแคล่วมาก ไม่เหมือนมือใหม่สักนิด

ตอนผัดก็ผัดได้อย่างเหมือนมืออาชีพจริงๆ

ดูแล้วมันไม่เหมือนกับการทำอาหารเลย เหมือนกับกำลังแสดงโชว์อะไรสักอย่างมากกว่า ท่าทางในการหัดผักผัดผักของเขามันช่างสวยงามดุจดังเทวดากำลังทำกับข้าวอยู่บนชั้นฟ้าปานนั้น ไม่ว่ารสชาติจะออกมาเป็นอย่างไร แค่เห็นกระบวนท่าพวกนี้ของเขาก็ทำให้เธออิ่มแล้ว

โอ้ยย……

ซินเหยาเป็นคนที่ไม่สามารถจะเก็บสีหน้าของตัวเองได้ เธอมองจิงเฉินจนเหม่อลอยตาค้างไปบนชั้นฟ้าแล้ว

เธอนั่งจ้องจิงเฉินอยู่ตรงนี้เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม แต่ไม่ได้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อกับข้าวมื้อค่ำวันนี้ทำเสร็จแล้ว ใจของเธอรู้สึกเสียดายเสียใจอยู่หน่อยๆ เพราะว่ากลัวคนอื่นจะจับตำแหน่งจากมือถือที่พวกเธออยู่ได้ เพราะงั้นจึงปล่อยให้มือถือแบตหมดไม่ได้ชาร์จ จึงไม่สามาถที่จะถ่ายภาพกระบวนท่าสวยงามระหว่างทำอาหารของป๊ะป๋าได้ มันช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เปรียบเหมือนกับรู้ว่าหวยงวดหน้าจะออกอะไร แต่ไม่มีเงินซื้อหวยปานนั้นแล

"เสร็จแล้ว มายกกับข้าวไปหน่อย" จิงเฉินเห็นซินเหยามองเขาจนหลงหน้ามืดตามัวไปหมด มุมปากของเขาก็ยิ้มขึ้นและพูดกับเธอด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะมีความสุข

ซินเหยาใส่ไว้รองเท้าสลิปเปอร์ เดินเข้าไปในครัวและยกจานที่ทำเสร็จออกมาวางไว้บนโต๊ะ

เป็นกับข้าวบ้านๆธรรมดาๆ แต่ดูสีของอาหารในจานเหล่านั้นแล้วมันน่ากินมาก แถมกลิ่นยังโชยหอมเตะจมูกอีกต่างหาก

เธอนั่งลงที่โต๊ะ จากนั้นใช้ตะเกียบหยิบไปที่ผักสลัดต้นจีนที่อยู่ในจานขึ้นมา รสชาติมันนุ่มหอมอร่อยมากจริงๆ สามาถพูดได้เต็มปากว่าเป็นอาหารจานเด็ดรสชาติครบรสสุดเพอร์เฟคเลย

"รสชาติเป็นไง?" จิงเฉินตักข้าวถ้วยหนึ่งและเอาให้ซินเหยาพร้อมพูดขึ้น

ข้าวที่อยู่ถ้วย มันส่งกลิ่นไอความหอมผ่านความร้อนขึ้นมาเตะจมูกเธอเอามาก ข้าวในถ้วยนั้นเปรียบเสมือนกับไข่มุกที่เรียงซ้อนกันขึ้นมา แค่เห็นก็ทำให้ซินเหยารู้สึกน้ำลายไหลแปดศอกจริงๆ

เธอเบะปากไปข้างๆและพูดด้วยสีหน้าที่เฉยๆว่า : "ก็ไม่ได้เท่าไหร่"

ที่จริงรสชาติคือโคตะระจะอร่อยเลิศรสดุจพระอินทร์เสกสรรค์บันดาลให้ คิดไม่ถึงว่าคนอย่างป๊ะป๋าที่เย็นชาเอาแต่ใจแบบนี้ก็จะมีด้านที่อบอุ่นเอาใจใส่แบบนี้เป็นเหมือนกัน

คุณมันเป็นเทพบุตรลงมาเกิดจริงๆ

ถึงแม้ว่าเธอจะบอกจิงเฉินว่า 'ก็ไม่เท่าไหร่' แต่เธอก็ฟาดไปสามถ้วยเต็มๆ เธอฟาดผักทุกอย่างเกลี้ยงจนไม่เหลืออะไร รวมถึงน้ำซุปของไข่ผัดมะเขือเทศก็ซดจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

ถ้วยคืนนี้เป็นจิงเฉินที่เป็นคนล้าง มือเธอบาดเจ็บไงเจ้าคะ อิๆ

"เอออ……" ซินเหยานอนอยู่บนโซฟา มือจับไปที่รีโมททีวี กำลังเลื่อนดูว่ามีหนังอะไรน่าดูหรือป่าว รู้สึกว่าตัวเองอยากกินผลไม้ขึ้นมา เธอจึงพูดอย่างเย่อหยิ่งให้จิงเฉินที่กำลังล้างถ้วยอยู่ในครัวว่า : "จิงเฉิน ล้างผลไม้มาหน่อย ฉันอยากกินผลไม้หลังมื้ออาหาร"

จิงเฉินล้างถ้วยเสร็จ ล้างคราบที่ติดบนมือของตัวเองออกจนสะอาดเกลี้ยง จากนั้นจึงนำผลไม้ในตู้เย็นออกมา ปลอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้ไม้จิ้มฟันเสียบลงไปพร้อมยกไปให้ซินเหยา

ซินเหยายิ้มออกมาอย่างได้ใจ กินผลไม้พวกนั้นอย่างมีความสุข

"ฉันรู้สึกหิวน้ำอ่ะ ไปเทน้ำให้ฉันหน่อย" ซินเหยากลั้นหัวเราะและหันไปพูดกับจิงเฉิน

ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นนายหญิงเอามาก กำลังลิ้มรสกับการให้คนใช้ที่เป็นคนรวยของเธอมาคอยปรนนิบัติ

ฮ่าๆ โปรดเรียกฉันว่านายหญิงซินเหยา

มื้อกลางวันก็ตั้งใจทำขนาดนั้นแต่ก็ทำให้จิงเฉินรังเกียจ เธอยังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง คงไม่แบกหน้าไปทำข้าวเย็นให้เขากินอีกหรอก

ถ้าเธอทำก็แสดงว่าเธอบ้าไปแล้วจริงๆ

ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ชนบท ไม่ได้มีสถานบังเทิงอะไรเยอะขนาดนั้น เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จเธอก็ขึ้นห้องไปนอนกลางวันแล้ว

เธอนอนถึงตอนพลบค่ำจึงตื่นขึ้น รู้สึกหิวมากๆ

เธอตัดสินใจว่าวันนี้เธอจะกินมาม่า ยังไงเธอก็ไม่ยอมไปทำกับข้าวอีกแล้ว

เธอเดินลงมาจากชั้นสอง เห็นจิงเฉินนั่งไว้ที่โซฟา ในมือวาดๆเขียนๆอะไรอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

เธอพึ่งลงมาจากชั้นสอง จิงเฉินก็ไม่ได้หันหน้ามามองเธอเลย แต่ก็เหมือนกับมีตาทิตย์อย่างนั้นจึงพูดกับเธอว่า : "คืนนี้กินอะไร?"

ซินเหยายืนอยู่ทางขึ้นของบันได เธอเอามือจับไปที่ราว มองจิงเฉินอย่างเงียบๆไม่ได้พูดอะไร

"ทำไม? ผมถามคุณอยู่ไม่ได้ยินหรือไง?" ปากกาบนมือของจิงเฉินหยุดชะงักขึ้น หันหัวมาหาซินเหยาและพูดว่า : "ยืนโง่อยู่ตรงนั้นทำไม? นอนมาทั้งบ่ายแล้วยังนอนไม่อิ่มหรอ?"

"คุณกำลังพูดกับฉันอยู่หรอคะ?" ซินเหยาชี้ไปที่ตัวเอง ขมวดคิ้วขึ้นและถามจิงเฉิน

"ผมคงไม่ได้คุยกับผีอยู่มั้ง?" จิงเฉินวางปากกาลง และใช้มือจับไปที่คางของตัวเองพร้อมถามขึ้น

ซินเหยาส่ายหัวไปมา ไม่เข้าใจที่ทำไมกำลังพูดเรื่องนี้อยู่ดีๆก็หลุดไปประเด็นอื่นได้

"ที่นี่ไม่มีผี นอกจากคุณแล้วผมจะคุยกับใครได้?" จิงเฉินพูด

ซินเหยาเดินมาทางโซฟา ลูบไปที่จมูกของตัวเอง หัวเราะแห้งออกมาและพูดว่า : "หึหึ คุณตลกจริงๆนะคะ"

"ตอนนี้ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เวลาอาหารมื้อค่ำใกล้ถึงแล้ว ไปทำสิ ผมหิวมาก" จิงเฉินพูดให้ซินเหยา

"ฉันไม่ทำหรอกค่ะ" ซินเหยานั่งลงบนโซฟา และพูดว่า : "คุณไม่ใช่รังเกียจกับข้าวที่ฉันทำหรอคะ? ฉันไม่ทำแล้วค่ะ เสียแรงเปล่าๆ กินมาม่าดีกว่า ยังไงคุณก็ไม่ชอบฝีมือการทำอาหารของฉันอยู่แล้ว มาม่าก็ไม่ชอบ คุณไม่ชอบอะไรสักอย่าง แต่กินมาม่านั่นแหละดีที่สุด"

จิงเฉินแสดงสีหน้าที่ไร้อารมณ์ออกมาและพูดว่า : "ผมไม่ชอบกินมาม่า"

ซินเหยาถอนหายใจทางจมูกและพูดว่า : "คุณก็ไม่ชอบอาหารที่ฉันทำเหมือนกัน"

"ใครบอกว่าผมไม่ชอบ?" จิงเฉินถามขึ้น

"แล้วใครกันล่ะเรื่องมากกับอาหารที่ฉันทำ สีหน้าคุณแบบนี้หรอคะที่เรียกว่าชอบ?" ซินเหยายักคิ้วขึ้นและถามจิงเฉินกลับไป

มือจิงเฉินที่วางอยู่บนตักของตัวเองขยับขึ้นเล็กน้อยและหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมพูดว่า : "ผมรักไงถึงได้พูด"

"ฮึ……" ซินเหยาหัวเราะแห้งออกมาอีกครั้ง รักถึงได้พูดบ้านแกสิ เธอพูดกลับไปด้วยสีหน้าที่นิ่งขรึมว่า : "สรุปเอาเป็นว่า ไม่ว่าคืนนี้คุณจะพูดอย่างไง มื้อค่ำวันนี้ฉันก็จะไม่รับผิดชอบโดยเด็ดขาด มื้อค่ำวันนี้คือมาม่า ถ้าเกิดคุณอยากกินก็บอกฉันได้นะ จะได้ต้มให้พร้อมกัน ถ้าเกิดคุณไม่อยากกินล่ะก็ คิดซะว่าเป็นการลดน้ำหนักไปในตัวนะ"

"ผมเป็นหัวหน้าของคุณ" จิงเฉินชักจะทนไม่ไหวแล้ว

"ฉันก็แค่เลขาชั่วคราวของคุณ ไม่ได้เป็นเลขาตลอดชีวิตของคุณ ฉันรับผิดชอบแค่เรื่องในบริษัทเท่านั้น เรื่องอย่างอื่นเช่นทำกับข้าวอะไรพวกนี้มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน" เมื่อซินเหยาพูดเสร็จยังผงกหัวส่งให้จิงเฉิน

กดไลก์ให้กับความฉลาดของตัวเอง เธอก็ไม่ได้โง่นะ ทำไมต้องไปทำอาหารให้ตาบ้านั่นด้วย

ตอนนี้ป๊ะป๋าเป็นแค่เป็ดน้อยที่เธอรับมาเลี้ยงไว้ ค่ากินค่าอยู่ทุกอย่างเป็นเงินของเธอทั้งนั้น

ยังมากล้าเหิมเกริมกับผู้มีพระคุณของตัวเองอีกหรอ? อย่างนี้ต้องสั่งสอนซะบ้าง

ป๊ะป๋าควรจะดูเธอเป็นแบบอย่างนะ ก็เหมือนกับที่เมื่อก่อนป๊ะป๋าเป็นราชา แต่ตอนนี้ได้ตกอับไปแล้ว จู่ๆเลขาคนนี้ของป๊ะป๋าก็ไม่ได้ทอดทิ้งเขาไปไหนเลย ยังให้ค่ากินค่าอยู่ต่างๆกับเขาอีก คิดดูแล้ว เธอประทับใจในตนเองจนอยากหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือดจริงๆ

ถ้าเอาเรื่องนี้รายงานถึงสื่อมวลชนระดับประเทศนั้น เธอคงได้รับรางวัล "พนักงานซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้านายแห่งปี" ไปแล้ว

"คุณอยากทรยศหรอ?" จิงเฉินถาม

"ฮึ……" ซินเหยาถอนหายใจออกทางจมูกอย่างแรงแบบไม่พอใจเอามาก

เมื่อกี้เธอแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ป๊ะป๋าคิดจริงๆหรอว่าตัวเองเป็นราชา? ยังจะทรยศ? ทรยศบ้านป้าแกสิ

"ไม่ทำจริงๆ?" จิงเฉินถามซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือก

"ให้ตายก็ไม่ยอม คุณอย่าให้ฉันคอยรับใช้คุณอีกแล้วจะได้ไหม" ซินเหยากอดอกพูด

สิบนาทีให้หลัง ซินเหยาอยู่ในครัวล้างผักแล้ว

ไม่ใช่ว่าปณิธานของเธอไม่แรงกล้านะ แต่ว่าศัตรูฝ่ายตรงข้ามมันเจ้าเล่ห์เกินไปจริงๆ แค่ออกหมัดมาดอกเดียวก็สามารถจัดการไปที่จุดสำคัญของเธอจนหมอบราบคาบแก้วไปแล้ว เธอไม่สามารถที่จะทนต่อสิ่งยั่วยวนพวกนี้ได้จริงๆ

ทั้งชีวิตนี้ของเธอมันแพ้ให้กับอาหาร ชายหล่อและ……เงิน

ตอนนี้ชายหล่อคนหนึ่งกำลังใช้เงินในการยั่วยวนหลอกล่อเธอ เธอไม่สามารถต่อกรกับพลังอำนาจที่รุนแรงมหาศาลแบบนี้ได้เลย

ป๊ะป๋าเป็นคนที่เลวมากจริงๆ กล้าใช้อำนาจของเงินมากำหราบเธองั้นหรอ แต่สิ่งที่ทำให้เธอตายอย่างราบคาบก็คือ ป๊ะป๋าใช้แผนการชายหล่อของเขานี่แหละ

เธอเพียงอยากบอกป๊ะป๋าว่า ยิงเข้ามาแบบไม่ต้องเกรงใจเลย

ใช้แผนชายหล่อกับเงินมากำหราบเธอ มันทำให้เธอแพ้อย่างราบคาบตุยเย่มารูโก๊ะไปเลยหนึ่ง

"โอ้ย……"ซินเหยาวางมีดลง ร้องออกมา

จิงเฉินวางปากกาในมืออย่างรวดเร็ว เดินเข้าไปหาเธอ เห็นมือของซินเหยาโดนมีดบาดเลือดออกไม่น้อย เลือดแดงๆที่ออกมาหยดลงบนพื้น มันตกใจมากจริงๆ

เมื่อเห็นภาพนี้เข้า แววตาของจิงเฉินมันดูเป็นห่วงเธอยังไงยังงั้น เขาเดินเข้าไปหาเธอโดยทันที

เขาจับไปที่มือของซินเหยาที่กำลังบาดเจ็บอยู่และพูดว่า : "เป็นไงบ้าง? แผลลึกรึป่าว?"

มือของเธอถูกจิงเฉินจับไว้ในมือของเขา เธอเงยหัวไปดูจิงเฉิน เห็นเพียงแต่ขนตายาวๆของเขา มันเหมือนกับร่มคันเล็กที่กำลังบดบังตาของเขาอยู่ ป๊ะป๋าก้มหัวไว้ จึงทำให้เธอมองไม่เห็นหน้าของป๊ะป๋า เห็นแต่เพียงขวัญที่อยู่บนหัวของเขาเท่านั้น

พูดกันว่าคนที่มีสองขวัญบนหัวเป็นคนที่ค่อนข้างดุ ป๊ะป๋ามีแค่อันเดียว เพราะงั้นสามารถบอกได้ว่าลึกๆแล้วป๊ะป๋าเป็นคนที่ค่อนข้างจะอบอุ่นหรอ?

"โง่จริงๆ? แค่หันผักก็หันมาโดนมือตัวเอง คุณโง่ขนาดนี้ได้รางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันออกแบบเครื่องประดับได้ไงกัน ภูมิหลังครอบครัวคุณคงจะดีสินะ" จิงเฉินจับที่มือของซินเหยาอยู่พร้อมกับเปิดน้ำที่ก็อกออกเพื่อล้างแผลให้เธอ

มือที่เย็นเฉียบลากผ่านไปที่แผลของเธอ เธอรู้สึกไม่ชินเอามาก จึงหดมือเธอออก แต่มือของจิงเฉินยังจับไว้มือเธออย่างแน่น จะหดออกอย่างไงก็หดไม่ได้

ตอนนี้ก็ล้างเลือดออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงแต่รอยแผลที่อยู่บนนิ้วชี้ของเธอ

แต่แผลมันลึกมาก เมื่อกี้พึ่งล้างเลือดหมดไป แต่เลือดก็ยังออกมาอีก แผลมันลึกเกินไปมาก ไม่สามารถที่จะหยุดเลือดได้เลย

"ใครบอกกัน ที่ฉันได้รางวัลชนะเลิศมาก็เพราะ……เอออ……"

ซินเหยาเบิกตาโตขึ้น มองไปที่จิงเฉินอย่างไม่น่าเชื่อ

จิงเฉินจับมือเธอขึ้น อ้าปากและอมมือเธอเข้าไปในปากของตัวเอง ช่องปากที่อบอุ่น ลิ้นที่นุ่มฉ่ำมันพันไปบนแผลบนนิ้วชี้ของเธอ ความอบอุ่นจากนิ้วของเธอมันแทรกซึมเข้ามาถึงช่องหัวใจของเธอทั้งสี่ห้อง เหมือนกับการใช้น้ำมันราดไปบนหัวใจของเธอและจุดไฟเผาอย่างนั้น มันเต้นรัวและเร่าร้อนไปหมด

ใจของเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเอามากตอนนี้ อยากจะดึงมือออกมาจริงๆ

"ผักโขมผัดนานเกินไป ยังเค็มอีก ไม่ผ่าน !" จิงเฉินชิมไปที่ผักโขมและพูดขึ้น

ซินเหยา : ……

ก็ได้ บางครั้งผักโขมอาจจะผัดนานเกินไปและก็อาจจะใส่เกลือเยอะไปจริงๆ เพราะว่าเธอก็ไม่ได้เข้าครัวนานมากแล้ว ฝีมือปลายจวักของเธอจะถดถอยก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลก ไม่เป็นไรค่ะ ความผิดเธอเอง

"หมูสามชั้นผัดซอสแดงก็ใส่น้ำตาลเยอะไป เวลาที่ใช้ตุ๋นก็น้อยด้วย ดูก็รู้ว่าคุณทำออกมาแบบลวกๆ" จิงเฉินหลังจากที่ชิมก็พูดอย่างไม่ไว้หน้าเธอเลย

ซินเหยา : ……

ไม่เป็นไร ไม่ใช่รสมือเธอไม่ดี แต่เพราะป๊ะป๋าเป็นคนรวยต่างหาก คนรวยก็กินอาหารหรูๆจนเคยชิน พอมากินกับข้าวบ้านๆแบบนี้แล้วเรื่องมากก็ไม่แปลกอะไร ไม่เป็นไร เธอเข้าใจดี!

"ซี่โครงหมูไม่เปื่อย ซุปก็มันเกินไป ไม่ผ่าน" จิงเฉินดื่มไปที่ซุปและพูด

ซินเหยา : ……

ซินเหยาไม่รู้ว่าจะล้างสมองหลอกตัวเองอย่างไรแล้ว เธอตัดสินใจที่จะไม่พูด ไม่เป็นไร ยังมีมะเขือเทศผัดไข่อีกจานหนึ่งอยู่ จานนี้ต้องอร่อยแน่ๆ ถ้ามะเขือเทศผัดไข่จานง่ายๆแบบนี้เธอยังไม่ผ่านก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ไปตายซะเถอะ

"มะเขือเทศเปรี้ยวเกินไป ไข่ก็ผัดนานเกิน ไม่ผ่าน ! " จิงเฉินวางตะเกียบลง ขมวดคิ้วขึ้น และพูดต่อว่า : "น้ำที่เอามาต้มข้าวใส่น้อยไป เพราะงั้นข้าวจึงแข็งไปมาก ไม่ผ่านของไม่ผ่าน ! "

ไอ้บ้าเอ้ย

แม่เจ้า ตอนนี้เธออุตส่าห์เป็นแม่ลูกสองแล้วนะ เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองทำกับข้าวไม่เป็น ซินเหยาอยากจะลงไม้ลงมือจริงๆ !

"กับข้าวที่คุณทำมันกินไม่ได้เลย กลับไปก็อย่าลืมลงครอสทำอาหารหล่ะ ฝึกให้มันดีๆหน่อย" จิงเฉินพูดต่อ

จิงเฉินวิจารย์ฝีมือการทำอาหารของซินเหยาไปจนหมดเปลือก ซินเหยารู้สึกอกจะแตกตายอยู่แล้ว

แม่เจ้า เรื่องที่ตอนเที่ยงที่บอกเธอว่าหื่นกระหายบ้ากามเธอยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ

ตอนนี้ยังมาเลือกมากกับอาหารของเธออีก หึ

"คุณไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกิน คุณคิดว่าฉันชอบทำกับข้าวให้คุณกินหรือไง" ซินเหยาวางตะเกียบและถ้วยในมือลง รู้สึกความดันขึ้นมากะทันหัน ในตอนที่จิงเฉินกำลังหยิบถ้วยและตะเกียบขึ้นมา เธอมีความหวังเล็กๆว่าเธอน่าจะได้รับคำชมที่บอกว่าอาหารเธอผ่านจากปากจิงเฉินสักคำ

แต่ว่า……

เธออยากข่มขืนจิงเฉินจากเมืองBไปเมืองHจริงๆ ไม่ไว้หน้าเธอเป็นไหนๆ

ลูกน้อยของเธอกว่าจะมีโอกาสได้กินฝีมือของเธอก็ยากมากแล้ว

แต่ว่าป๊ะป๋ากลับมาอยู่นี่เลือกมากว่าอย่างโน้นไม่ผ่านอย่างนี้ไม่ผ่าน โกรธเอามากจริงๆ

จิงเฉินหยิบเนื้อสามชั้นผัดซอสแดงมาอีกหนึ่งช้ิน สายตาเหมือนกับดูเด็กประสีประสาอยู่พร้อมพูดว่า : "ผมแค่แสดงความคิดเห็นของผม ไม่ได้รึไง?"

ซินเหยาเพียงแค่รู้ว่าอกจะแตกพร้อมพูดกลับว่า : "ได้ ไม่อร่อยก็ไม่ต้องกิน ฉันกินเองก็ได้"

จิงเฉินไม่ได้สนใจที่ซินเหยาพูดนัก ก้มหน้ากินต่อไป

ซินเหยารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้นอกจากมีเงินแล้ว หล่อแล้ว ฉลาดแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มีเลย

เห็นจิงเฉินจะเอาตะเกียบคีบไปที่ไข่ เธอก็เอาตะเกียบคีบไปชิ้นที่จิงเฉินจะหยิบทันที และพูดว่า : "ไข่นี้มันผัดนานเกินไป คุณอย่ากินเลย เดี๋ยวท้องจะเสียเอาแล้วฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณไม่ไหว"

จิงเฉินไม่ได้มองหรือสนใจซินเหยา เขาละทิ้งไข่ชิ้นนั้น และกำลังจะหันไปหยิบผักโขม

ซินเหยาใช้ตะเกียบของตัวเองตีไปที่ตะเกียบของจิงเฉินและพูดว่า : "อันนี้เค็มเกินไป คุณกินให้มันน้อยๆหน่อย กินเกลือเยอะมันไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม ร่างกายของคุณมันแพงนัก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาฉันจะรับผิดชอบยังไง"

หลังจากนั้นไม่ว่าจิงเฉินจะคีบผักจานไหน ซินเหยาก็พูดข้ออ้างออกมาจนทำให้เขากินไม่ลง

ข้าวมื้อเดียวก็ไม่สามารถที่จะกินอย่างสงบๆได้

"อย่าโวยวายไปหน่อยเลย กินดีๆ" จิงเฉินทำหน้าเย็นชาใส่ซินเหยา

"เป็นฉันที่โวยวายหรอ? เห็นชัดๆว่าคุณรังเกียจกับข้าวที่ฉันทำมา ฉันกลัวว่าคุณจะฝืนใจกินอาการพวกนี้ลงไปเพื่อฉัน เพราะงั้นฉันถึงได้หยุดคุณไว้" หน้าชองซินเหยาที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆพูดกลับ

"คุณไม่ต้องเป็นห่วงไป คุณยังไม่มีสิทธิที่จะสามารถทำให้ผมฝืนใจได้" จากนั้นจิงเฉินจึงคีบหมูสามฉันนั้นใส่ถ้วยตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร และพูดขึ้นว่า : "เรื่องต่างๆผมก็แค่ไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่ สบายๆอยู่แล้ว"

ซินเหยา : ……

ทำไงดี ตอนแรกเธอยังอยากจะสวนกลับจิงเฉินอยู่ แต่ตอนนี้กลายเป็นอกเธอที่จะแตกออกมาอยู่แล้ว

"งั้นคุณก็กินไปอย่างช้าๆนะ ฉันไม่กินแล้ว" ซินเหยาวางตะเกียบลง ลุกขึ้นเดินจากไป

สีหน้าของจิงเฉินไม่ได้สนใจอะไรเลย สามารถกินต่อได้อย่างสะบายใจเฉิ่ม

ซินเหยานั่งอยู่บนโซฟา กอดอกและโกรธอย่างเงียบๆ

จิงเฉินไม่ได้มองซินเหยาเลย จากนั้นท้องก็ร้องขึ้น เธอจึงพึ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้ตอนที่จิงเฉินกินข้าวเธอก็แกล้งวุ่นวายเขา ตัวเองก็ไม่ได้กินข้าวไปเลยสักคำ

ข้าวที่อยู่ในถ้วยของเธอ มันยังไม่ลดลงจากเดิมเลย

เธอคิดไปคิดมา แบบนี้ไม่ได้

เธอยุ่งตลอดทั้งบ่าย กับข้าวทั้งหมดเธอก็เป็นคนทำเอง ทำไมเธอต้องไม่กินข้าวเพราะคำพูดไม่กี่คำของป๊ะป๋าด้วยหล่ะ สุดท้ายกับข้าวทั้งหมดก็ให้ป๊ะป๋ากินงั้นหรอ ฝันไปเถอะ

เธอคิดไปคิดว่า นี่คงต้องเป็นแผนการชั่วร้ายของเขาแน่ๆ เป็นเพราะกับข้าวที่เธอทำมามันอร่อยเกินไป ป๊ะป๋าจึงตั้งใจพูดคำพวกนี้ออกมาเพื่อให้เธอโมโห สุดท้ายกับข้าวพวกนั้นก็จะได้เสร็จเขาคนเดียว

ถึงตอนนี้เธอพึ่งรู้ว่าเธอใช้แผนการรบที่ผิดวิธี หึหึ

เมื่อซินเหยาคิดได้เช่นนี้จึงกลับไปที่โต๊ะอาหาร และนั่งกินอีกครั้ง

"ไม่ใช่ไม่กินแล้วหรอ?" จิงเฉินกินเนื้อชิ้นนั้นลงไปอย่างสง่า และถามซินเหยาขึ้นอย่างช้าๆ

"หึ……" ซินเหยาก็หยิบเนื้อมากินหนึ่งคำ รสชาติมันดีมาก เพราะงั้นนี่มันก็เป็นแผนการชั่วร้ายของป๊ะป๋าสินะ เธอยักคิ้วขึ้นอย่างได้ใจและพูดว่า : "ตอนนี้ฉันเปลี่ยนความคิดแล้ว กับข้าวที่ฉันทำมันอร่อยมาก คุณก็ยังบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบฝืนใจตัวเอง ถ้าเกิดฉันทำได้ไม่อร่อย งั้นคุณก็คงไม่กินมันแล้วสิ"

"คุณนี่มันมองโลกในแง่ดี ให้กำลังใจตัวเองเก่งจริงๆนะ" จิงเฉินพูด

"หึ……" ซินเหยาถอนหายใจออกมาและพูดว่า : "คุณก็พูดความจริงมาเถอะ มันไม่ได้ดูเสียหายอะไรมากมาย"

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ กินข้าวไปอย่างเงียบๆ

ซินเหยาไม่ได้เป็นคนที่จะเงียบตอนกินข้าวและตอนนอนนะ เพราะงั้นจึงพูดว่า : "คุณมันก็เก่งแต่พูดนั่นแหละ มาบอกว่าฉันทำกับข้าวไม่อร่อย เหมือนกับว่าตัวเองทำอร่อยเอามาก"

จิงเฉินวางตะเกียบลง เช็ดไปที่ปากของตัวเองอย่างสง่า และพูดอย่างช้าๆออกมาว่า : "คุณกล้ามากขึ้นทุกวันเลยนะ กล้าพูดแบบนี้กับผม ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหม?"

"คุณขู่ทำให้ฉันกลัว" ซินเหยาพูด

"อื่ม" จิงเฉินพูดยอมรับ

"ซินเหยา จิงเฉิน พวกหนูสองคนไม่ได้เกินเรื่องอะไรกันใช่ไหม? ซูหยวนบอกว่าพวกหนูตีกันหรอ?" คุณยายเฟยเห็นซินเหยากับจิงเฉินยื่นอยู่ด้วยกันดีๆแต่ก็ยังเป็นห่วงพวกเขาอยู่

"เออ……คุณยาย พวกหนูไม่ได้เป็นอะไรค่ะ เมื่อกี้แค่เล่นกันเฉยๆ ทำให้ซูหยวนคิดว่าพวกเรากำลังตีกันอยู่" ซินเหยาจับไปที่จมูกของตัวเอง ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่หวานฉ่ำและถามคุณยายเฟยว่า : "คุณยายทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้คะ? มีเรื่องอะไรรึปล่าวคะ?"

คุณยายเฟยดูไปที่ซินเหยาและจิงเฉิน ทั้งสองดูไม่เหมือนกับคนที่ตีกันเลย จึงได้วางใจลง

"อ๋อ ผักโขมและผักบุ้งที่สวนของยายก็โตได้ที่แล้ว ยายกับซูหยวนสองคนก็กินไม่หมด ถ้าแก่มาก็ไม่อร่อยเสียดายแย่ จึงเก็บมาให้หนูกับจิงเฉินสักหน่อย เพื่อประหยัดเงินพวกหนูที่จะออกไปซื้อผักข้างนอกไปได้บ้าง" คุณยายเฟยพูดกับซินเหยาด้วยน้ำเสียงเมตตากรุณา

ตอนแรกซินเหยาก็กะว่าจะไปเก็บผักที่สวนของคุณยาย แต่ว่าเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน จึงรบกวนให้คุณยายส่งมาถึงที่อีกซะแล้ว

"ขอบคุณคุณยายมากนะคะ" ซินเหยาก็ไม่ได้หยิ่งอะไร รับไว้อย่างหน้าระรื่น แต่เธอก็พูดว่า : "แต่ผักนี้ให้หนูฟรีๆไม่ได้นะคะ คิดซะว่าหนูออกเงินซื้อนะคะ"

"อะไรกันๆ" เมื่อคุณยายเฟยได้ยินซินเหยาพูด ก็พูดกลับทันทีว่า : "นี่เป็นผักที่ยายปลูกเอง ไม่ได้แพงอะไรเลย จะเอาเงินพวกนี้มาให้ทำไมกัน พวกหนูยังเป็นวัยรุ่นกันจึงยังใช้เงินไม่เป็นจริงๆ"

"คุณยายเฟยพูดแบบนี้ไม่ได้นะคะ ถ้าไม่ซื้อที่คุณยาย พวกหนูก็ต้องออกไปซื้อข้างนอกอยู่ดี เสียเงินเหมือนกัน เสียให้คุณยายไม่ดีกว่าหรอคะ"

"เงินนี้ยายไม่เอา"

"ถ้ายายไม่เอาเงินนี้ หนูก็ไม่เอาเหมือนกันค่ะ"

"เด็กคนนี้ทำไมไม่เชื่อฟังแบบนี้นะ ยายจะเอาเงินจากผักเล็กน้อยพวกนี้จากพวกหนูได้อย่างไรกัน ถ้าคนอื่นรู้เข้า คงจะคิดว่ายายหลานบ้านนี้ขีดรูดขูดเนื้อพวกหนูเป็นแน่"

"คุณยาย อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ยายก็รู้ว่าพวกหนูมาจากเมืองใหญ่ ยายคิดว่าผักพวกนี้ไม่ได้แพงอะไร แต่ถ้าอยู่ในเมืองมันแพงเอามากๆเลยนะคะ แพงกว่าเนื้ออีก พวกหนูไม่ได้ขัดสนเงินมากขนาดนั้นค่ะ ซูหยวนก็ยังเล็กอยู่ อีกหน่อยถ้าน้องโตมาก็ต้องใช้เงินมาก เงินนี้ถ้าอยู่ในเมืองพวกหนูยังซื้อพริกหยวกสองลูกไม่ได้เลยค่ะ แต่มันสามารถทำให้คุณยายนำไปเก็บสะสมไว้ให้ซูหยวนไว้ใช้ในอนาคตนะคะ เพราะฉะนั้นเงินนี้ยายต้องรับเอาไว้นะคะ ไม่งั้นหนูไม่รับผักของยายไว้จริงๆด้วย"

คุณยายเฟยหลังจากที่ได้ยินซินเหยาพูดเช่นนี้ก็คิดถึงลูกชายและลูกสะใภ้ขึ้นมาทันที จากนั้นจึงค่อยๆเช็ดเงื่อที่ไหลย้อยลงมา และก็ทำตามที่ซินเหยาบอก พร้อมพาซูหยวนกลับบ้านไปด้วย

ก่อนที่จะเดินกลับไปนั้น ซินเหยาเอาหมูสามชั้นและซี่โครงหมูที่ซื้อมาเมื่อเช้าแบ่งให้คุณยายไป เธอเพียงแค่บอกว่าซื้อมาเยอะเกินไป แช่ไปในตู้เย็นนานไปก็ไม่สดและเธอกับจิงเฉินก็ไม่ค่อยชอบ จึงได้เอาให้คุณยายเพื่อให้ซูหยวนได้เพิ่มสารอารให้กับตัวเอง

เรื่องที่เกี่ยวกับหลานรักของเธอเช่นนี้คุณยายไม่เคยจะปฏิเสธอยู่แล้ว

……

เป็นเพราะผักที่คุณยายเอามาให้ตอนเที่ยง ข้าวมื้อเที่ยงนี้ก็ผ่านไปด้วยดี

ซินเหยาเอาแตงกวาหนึ่งลูกออกมาจากครัว ใช้น้ำล้างไปธรรมดา จากนั้นก็กัดไปหนึ่งคำ แตงกว่านี้ทั้งกรอบทั้งหวาน น้ำยังเยอะฉ่ำๆอีก รสชาติก็ดีเยี่ยม

"มื้อเที่ยงนี้ทำซุปซี่โครงหมู หมูสามชั้นผักซอสแดง มะเขือเทศผัดไข่และผัดผักโขมดีกว่า" ซินเหยาเปิดดูผักที่มีอยู่ในตู้เย็น และหันหัวไปถามความคิดเห็นของจิงเฉิน

"แล้วแต่คุณเลย" จิงเฉินตอบกลับ

แตงกวาของเธอยังคาอยู่ที่ปาก จะทิ้งก็เสียดาย จึงคาบไว้ที่ปากและเตรียมตัวทำมื้อเที่ยง

ปากที่คาบแตงกวาอยู่ของเธอมันเมื่อยไปหมด น้ำลายก็แทบจะย้อยลงมาแล้ว มือก็จัดการกับเนื้อพวกนั้นไป มือไม่ว่างจริงๆ

"อ๋อ……" ซินเหยาหันหัวไปดูจิงเฉินที่ยังดูนิตยสารอยู่ที่ห้องรับแขกและพูดอีกว่า : "อ๋อ……"

จิงเฉินเมื่อได้ยินเสียงของซินเหยาถามขึ้นก็หันไปมองแว๊บหนึ่ง เห็นซินเหยามองมาด้วยแววตาใสกริ๊ง จิงเฉินก็มองไปที่ซินเหยาอย่างงงๆด้วย

ซินเหยาเดินเข้าไปหาจิงเฉิน โถมหน้าเข้าใกล้เขา

จิงเฉินขมวดคิ้วขึ้น มองดูซินเหยาอย่างมึนงง

ซินเหยาใช้มือชี้ไปที่ปากที่กำลังคาบแตงกวาของตัวเอง กำลังบอกว่าเธอต้องการจะเอาแตงกวาออกมา

สายตาของจิงเฉินมองไปที่ปากของซินเหยา ปากเธออ้าออกกว้างและคาบไว้แตงกวาอยู่ แตงกวาลูกเขียวๆมันทำให้ปากของเธอที่อมชมพูยิ่งอมชมพูเข้าไปใหญ่ และแววตาของเธอมันวิ้งเอามากๆ

สายตาของจิงเฉินมองไปที่เธอเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ และหรี่ตาขึ้น

"อ๋อ……" ซินเหยาเห็นจิงเฉินจ้องเธอตาไม่กระพริบ จึงใช้ตาของตัวเองจ้องกลับไป

คุณเอาแตงกวาจากปากฉันออกมา ถึงแม้ว่าคุณจะหล่อ แตงกวาในปากฉันก็ไม่ออกมาหรอก

จิงเฉินยื่นมือไปดึงแตงกวาที่คาอยู่ในปากของซินเหยาออก ปากของซินเหยาหุบไม่ได้เพราะเธอคาบไว้นานเกินไป เธอเงยหน้ามองไปที่จิงเฉิน เห็นว่าถึงแม้สีหน้าเขาจะไม่มีความรู้สึกอะไร แต่หูของเขาก็แดงเอามาก

"ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีก มันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้" จิงเฉินจับไว้แตงกวาและพูดกับซินเหยาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ซินเหยาจับไปที่ปากที่กำลังเกร็งของตัวเองและพูดว่า : "เข้าใจอะไรผิด?"

"เข้าใจผิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่หื่นกระหาย บ้ากาม" จิงเฉินเอาแตงกวาใส่ไปในมือของซินเหยา มองไปที่ซินเหยาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม จากนั้นก็หันหลังและเดินจากไป

ซินเหยาจับไว้แตงกวาและทำหน้างงๆ อะไรกันเนี่ยยยย ! !

เธอก็แค่กินแตงกวาเท่านั้น ทำไมถึงกลายเป็นว่าหื่นกระหายบ้ากามไปได้? เป็นเพราะคุณรวยก็จะสามารถมาหยามกันแบบนี้ได้หรอ?

แตงกวานี้มันทั้งกรอบทั้งหวาน ทิ้งก็เสียดายแย่

เธอเอาแตงกวามาตัดเป็นชิ้นๆใส่จานไว้ พอว่างก็หยิบขึ้นมากิน

หมูสามชั้นผัดซอสแดงยังต้มอยู่ในหม้ออยู่ แต่รสชาติความหอมมันก็ลอยออกมาข้างนอก

"จิงเฉิน ไอ่สัx" ซินเหยาวางผักในมือลง พุ่งเข้าไปที่ห้องรับแขก แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของจิงเฉิน

แม่เจ้า เธอก็แค่กินแตงกวาเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอื่นเลย

ตอนอาหารมื้อเที่ยง จิงเฉินก็ปรากฎตัวที่ห้องรับแขกเอง ซินเหยาเมื่อเห็นจิงเฉิน ก็คิดถึงเรื่องแตงกวา เมื่อคิดถึงแตงกวา ก็คิดถึงเรื่องแตงกวาที่เธอคาบไว้ในปากเรื่องนั้น

ที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อีกหน่อยเธอคงจะไม่อยากเห็นแตงกวาที่ดูบริสุทธิ์แต่แอบแฝงไปด้วยความชั่วร้ายแบบนี้ไปอีกนานมากโข

เธอมองไปที่จิงเฉินด้วยสายตาที่อยากจะคืนความจริงให้ตัวเองและแตงกวาลูกนั้น

แต่เกรงว่าถ้าเธอยิ่งอธิบายก็จะทำให้เรื่องมันยิ่งดูแย่ไปมากกว่าเดิม เพราะงั้นเธอจึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้

"ไม่ต้อง" จิงเฉินพูดปฏิเสธอย่างแข็งทื่อ

"ต้องค่ะ" ซินเหยาทับไว้จิงเฉิน เหมือนกับว่าเธอไม่สะทกสะท้านกับคำปฏิเสธของจิงเฉินสักนิดเลย

ตอนนี้สภาพของจิงเฉินเหมือนเป็นเนื้อบนเขียงที่พร้อมจะโดนเธอสับเข้าให้ เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ

หึหึหึหึหึ

ถ้าตอนนี้ในมือเธอมีแส้สักเส้นล่ะก็ คงก็โบยจิงเฉินไปหลายดอกและให้จิงเฉินร้องออกมาว่า : นายหญิงของข้า โอ้ยย

ซินเหยาตอนนี้กำลังทับไปบนร่างของชายรูปร่างสง่าอยู่ และกำลังลงมือกับเขา……ถุยย……ช่วยเขานวดให้เลือกไหลเวียนต่างหากหล่ะ

รู้สึกว่าน้องชายใต้สะดือมันกำลังลุกเป็นไฟโชกโชนชัชวาลย์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจหรือหมกมุ่นเรื่องทางเพศขนาดนั้น แต่เขาก็เป็นผู้ชายปกติธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อได้ยินกลิ่นหอมเย้ายวนที่ส่งออกมาและผู้หญิงคนนี้ยังคงลูบไล้ไปบนตัวของเขาอยู่ ถ้าเกิดว่าไม่รู้สึกอะไรสักหน่อย คงไม่เรียกว่าเย็นชาเรื่องทางเพศแล้วแหละ แต่มันเรียกว่าหมดสมรรถภาพทางเพศเสียมากกว่า

"ซินเหยา คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังเล่นกับไฟอยู่ ! ! ! " ตาของจิงเฉินมืดดำเหมือนลูกชานมไข่มุก มันไม่ใช่แค่สวยเย้ายวนใจ แต่มันกลับรู้สึกน่าค้นหาขึ้นมาเป็นไฉน ทำให้คนใจเต้น……ตึกตัก……ตึกตัก……ได้ทุกเมื่อจริงๆ

"เออ……" ซินเหยาโดนตามืดทมิฬเย้ายวนดวงนี้จ้องมองอย่างหน้ากลัว เธอพูดขึ้นว่า : "ก็ไม่นะคะ"

แววตาของป๊ะป๋ามันทำให้คนหลงไหลเย้ายวนใจมากจริงๆ ถ้าให้เธอตายคาดวงตาคู่นี้ของป๊ะป๋าเธอก็ยอม

เห้ออ……คนหล่อนี่มันเกินไปจริงๆ!

จิงเฉินเอามือโอบไปที่เอวของซินเหยา พลิกตัวและทับซินเหยาให้เปลี่ยนไปอยู่ข้างล่าง นี่มันเป็นโซฟานะไม่ใช่เตียงนอน ที่จะมีพื้นที่ให้พวกเขาได้พลิกไปพลิกมา ทั้งสองกลิ้งตกไปบนพื้น มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมาก พวกเขากลิ้งไปบนพื้นอยู่สองรอบ ตอนนี้ซินเหยาโดนจิงเฉินทับอยู่ข้างบนอย่างราบคาบ

บทความรักในครั้งนี้มันพลิกแล้ว จิงเฉินพลิกเกมกลับมาได้สำเร็จ

ซินเหยาอยากจะย้อนฉากเมื่อกี้กลับมาใหม่ แต่ว่าแรงเธอสู้จิงเฉินไม่ได้เลย

แม่เจ้า เพราะไม่ได้กินผักโขมจึงทำให้ไม่ได้มีแรงเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ก็ป๊ะป๋าก็ทับไปบนเรือนร่างของเธออย่างราบคาบแล้วสินะ ว้ายยย

ทั้งสองยึกยักโย้เย๊ไปอยู่นาน เธอหายใจหอบอยากแรง เหงื่อหอมๆจากร่างกายที่ไหลโชกออกมาก็ไม่สามารถทำให้ป๊ะป๋าใจอ่อนลงได้เลย

แต่ป๊ะป๋านี่สิ มองดูเธออย่างน่าอนาถได้ใจ เหมือนกำลังดูลูกไก่ในกำมือของตัวเองยังไงยังงั้น ทำให้ซินเหยาหัวร้อนจนหน้าดำหน้าแดงไปหมดแล้ว

"เฮ้อออ……" ซินเหยาสู้แรงของจิงเฉินไม่ได้จึงทำได้แค่ยอมแพ้ เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมใช้สายตาที่น่าสงสารมองไปที่จิงเฉินและพูดว่า : "คุณลุกไปเดี๋ยวนี้ คุณหนักมาก ทับจนฉันเจ็บไปหมด"

"ลุกไม่ขึ้น ขายังเจ็บ" จิงเฉินไม่ได้สะทกสะท้านกับคำขอร้องของซินเหยาเลย พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง

"ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วขายังชาอยู่อีกหรอ" ซินเหยาถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ

แต่ว่า เมื่อคิดถึงที่ป๊ะป๋ายอมขาชาเพื่อให้เธอนอนได้อย่างสบายก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกที่อบอุ่นเช่นนี้เหมือนกับแสงตะวันข้างนอกกำลังสาดเข้ามาส่องถึงหัวใจดวงน้อยๆของเธออย่างนั้นแล

"ชาสิ" จิงเฉินทับไปที่ตัวของซินเหยาและร่างกายของพวกเขาตอนนี้มันแนบชิดติดกันปานจะกลืนกินกันได้ จากนั้นพูดด้วยไอความร้อนที่ส่งออกมาจากภายในว่า : "ไม่ใช่แค่ขานะที่ชา แต่มันชาไปหมดทั้งตัวผมเลย ลุกไม่ขึ้นจริงๆ"

ซินเหยามองไปที่ป๊ะป๋าด้วยความสงสัย แต่ใบหน้าของเขาดูนิ่งเอามาก เหมือนไม่ได้โกหกอยู่อย่างนั้น

ป๊ะป๋าของฉันไม่มีวันโกหกฉันแน่ เพราะงั้นที่เขาบอกว่าเขาชาไปทั้งตัวก็เป็นเรื่องจริง จึงได้ทับไปบนตัวของฉัน ใช่…..เป็นแบบนี้แน่ๆ เธอควรกดไลก์ให้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองสัก32ไลก์ เธอฉลาดจีจีน้าาา……

จิงเฉินทับอยู่บนตัวของซินเหยา ซินเหยามองไปที่จิงเฉิน ความกุ๊กกิ๊กมันได้แผ่ซ่าไหลเวียนไปทั่วร่างกายของพวกเขาทั้งสอง

จิงเฉินค่อยๆก้มหัวต่ำลง มันค่อยๆเข้าใกล้ริมฝีปากของซินเหยามากยิ่งขึ้น ซินเหยาเบิกตากว้างพร้อบกับใจที่เต้นรัวอยู่ภายใน มันเหมือนจะกระเด็นออกมาให้ได้ เห็นชัดๆว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้ร้อน แต่เหงื่อที่ปลายจมูกก็ไหลเป็นหยดน้ำมาหนึ่งหยดใหญ่ๆ

ตอนนี้แค่หายใจเสียงดังเธอยังไม่กล้า มันรอคอยและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

"พี่ซินเหยาพี่จิงเฉินคะ พวกพี่กำลังทำอะไรอยู่หรอคะ?"

เสียงเด็กน้อยแหลมใสได้ผุดขึ้น ทำให้ซินเหยาและจิงเฉินต่างตกใจและกระตุกไปหนึ่งดอก

พวกเขาสองคนหันหัวไปมองซูหยวนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตัวพวกเขาและกำลังมองพวกเขาด้วยใบหน้าที่งุนงง

"พวกพี่กำลังตีกันหรอคะ?" ซูหยวนเดินเข้ามาหาพวกเขาสองก้าว

"ค่ะ พวกพี่กำลังตีกันอยู่" ซินเหยาผงกหัวและพูดตอบกลับไป

เธอสาบานว่าเธอไม่ได้โกหกเด็กน้อยคนนี้อยู่นะ

ถ้าเกิดว่าซูหยวนไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะในบรรยากาศที่โชกโชนแบบนี้ ทั้งสองคงจะฟาดฟันกันขึ้นมาจริงๆ

ซูหยวนหลังจากที่ได้ยินซินเหยาพูด ตาเธอก็เริ่มแดงขึ้น จากนั้นก็ร้องไห้ออกมา ซินเหยายังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซูหยวนก็วิ่งออกไปเสียแล้ว

"คุณย่าคะ คุณย่าคะ……" ซูหยวนตะโกนเรียกออกมาพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย

"ว่าไงหลานย่า?" คุณยายเฟยขานรับ

"คุณย่าคะ พี่ซินเหยากับพี่จิงเฉินตีกันค่ะ คุณย่ารีบไปดูเถอะค่ะ" เสียงเล็กๆของเธอมันมีพลังเปล่งออกมามาก

"ห๊ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ ทำไมถึงตีกันหล่ะ?" คุณยายถามกลับอย่างรวดเร็ว

"หนูก็ไม่รู้ค่ะ" ซูหยวนพูด

จากนั้นเสียงเท้าวิ่งมาก็ดังขึ้น ซินเหยากับจิงเฉินมองหน้ากัน

"ตัวของคุณ……" ซินเหยาอยากถามว่าตัวของคุณยังชาอยู่หรือป่าว

ถ้าเกิดยังชา ก็จะให้คุณยายช่วยพยุงขึ้นมาด้วย

แต่ว่าเธอยังถามไม่ทันจบ จิงเฉินก็คลานขึ้นมาจากพื้นเสียแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นการคลาน แต่ก็ยังดูหล่อเอามากอยู่ดี ยังเย้ายวนน่ารับประทาน

ซินเหยา : ……

ป๊ะป๋า……คุณ…….

คุณนี่มันเลวจริงๆ เมื่อกี้ใครเป็นคนพูดเองว่าชาไปทั้งตัวลุกไม่ขึ้น เมื่อกี้เธอเกือบโดนคุณทับตายแล้วรู้รึปล่าว?

แต่ว่าดูท่าทางที่ลุกขึ้นมาได้อย่างสบายแล้ว ถึงแม้จะหน้าตาดีก็ซ่อนความใจดำอำมหิตของตัวเองไว้ไม่ได้นะ หึหึ ป๊ะป๋านะป๊ะป๋า

ท่าทางของจิงเฉินไม่ใช่ไม่รู้สึกไม่ชาแล้ว แต่ยังสามารถช่วยดึงเธอขึ้นมาได้อีก เพราะงั้นเมื่อกี้คุณแอ๊บหรอ?

ใช้แรงนิดเดียวก็ดึงเธอขึ้นมาได้แล้ว หึหี……

เมื่อคุณยายเฟยมาถึงก็เห็นจิงเฉินและซินเหยายืนอยู่ข้างกันเป็นธรรมดาปกติ เหมือนมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

เพียงแต่ซินเหยาแค่หันไปดูจิงเฉินด้วยสีหน้าที่เหมือนกับว่าเธอเป็นฝ่ายเสียหาย

เยี่ยจิงเฉินเป็นคนแสนเย็นชา ทุกเวลาต่างก็ไร้เหตุผล

เช้าสายบ่ายเย็นค่ำชอบแกล้งคน สุดจะทนกับนิสัยนายจริงๆ

อาจจะเป็นเพราะว่าแววตาของธอมันโชกโชนเกินไป จิงเฉินมองไปที่ตาของเธอโดยการโยกย้ายจุดโฟกัสจากนิตยสารไปมอง แค่ก้มหัวลงก็เห็นสภาพเจ๋อๆของเธอที่แววตาเต็มไปด้วยความเซอร์ไพร์ตกใจ เขาเคยเห็นสายตาแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่ามีเพียงสายตาเธอเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงความภาคภูมิใจ

"คุณมองอะไรอยู่?" จิงเฉินมองไปที่ซินเหยาและถามขึ้น

"ฉันมองคุณอยู่" ซินเหยาตั้งสติกลับมาได้ สบตาไปที่จับเฉินพร้อมพูดขึ้น

จิงเฉินย้ายระดับสายตาไปมองทางอื่น พูดอย่างไร้ความรู้สึกและเย็นชาว่า : "ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมา คุณยังอยากจะหนุนขาผมไปอีกนานแค่ไหน ขาผมชาไปหมดแล้ว"

ซินเหยาไม่ได้พูดอะไร ยังมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของจิงเฉินใบนั้นอยู่

สายตาของเธอเหมือนแสงเอกเรย์มาก มันสแกนไปบนหน้าของจิงเฉินทุกรูขุมขน เหมือนกับว่าตัวเองค้นพบแผ่นดินแผ่นใหญ่เข้าให้ แววตาของเธอมันเปร่งประกายดั่งดาวบนท้องฟ้าพร้อมมองไปที่จิงเฉิน มันหาได้ยากมากโอกาสแบบนี้ คิดไม่ถึงจริงๆ

หลังจากที่จิงเฉินได้ฟังซินเหยาพูดแบบนั้น เธอเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

ใบหน้าของเขาหนักอึ้งเคร่งขรึมขึ้น ซินเหยาก็สัมผัสมันได้ เธอไม่อยากจะทำให้ป๊ะป๋าหัวร้อนอีกนะ

เธอย้ายหัวของตัวเองออกจากขาของจิงเฉิน ยืนขึ้นมา ตอนนี้รู้สึกว่าความเจ็บปวดของตัวเองเมื่อกี้ป๊ะป๋าได้จัดการเอาออกไปหมดแล้ว

ดูไปที่นาฬิกา ตอนนี้ก็เกือบจะ11โมงแล้ว

"ฉันจะไปเก็บผักที่บ้านคุณยายเฟยสักหน่อย คุณจะไปด้วยกันรึปล่าว?" ซินเหยาตอนนี้อารมณ์ดีเอามาก เหมือนแสงแดดที่กำลังสาดส่องอยู่ข้างนอก

เขาเอาหนังสือนิตยสารเล่มนั้นวางไปบนขาของตัวเอง มืออีกข้างจับไปที่โซฟาเพื่อพยุงตัวเองขึ้น ส่วนอีกข้างก็เปิดไปที่นิตยสาร แสงแดดจากนอกหน้าต่างสีเหลืองอร่ามสาดส่องเข้ามากระทบไปที่ใบหน้าของเขา มันหล่อดุจดั่งเทวดาเทพสววรค์จุติลงมาปานนั้น น่ากินจริงๆ

ซินเหยาน้ำลายไหลออกมายาวสามเมตร ป๊ะป๋าเป็นเนื้อชิ้นดีจริงๆ มันทำให้คนอื่นสามารถคุกเข่าขอร้องความหล่อเหลานี้ของป๊ะป๋าได้จริงๆ

"ไม่ไป" จิงเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

"อื่ม" ซินเหยารู้สึกผิดหวังอยู่หน่อยๆ ถ้าเกิดไปเก็บผักกับป๊ะป๋า พอเหนื่อยแล้วก็ยังสามารถที่จะเพิ่มพลังโดยการมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของป๊ะป๋าได้ เฮ้อออ น่าเสียดายจริงๆ

"งั้นฉันไปเก็บผักก่อนนะ คุณอยู่บ้านรอไปก่อนนะคะ" ซินเหยากำชับจิงเฉิน จากนั้นก็พูดขึ้นต่ออีกว่า : "ถ้าเกิดคิดถึงฉัน ก็สามารถไปหาฉันได้ที่บ้านคุณยายเฟยนะคะ ไม่ไกลจากนี่ คุณยืนอยู่ตรงที่ประตูก็น่าจะเห็นฉันได้"

"คุณคิดไปเองแล้วแหละ" มืออีกข้างของจิงเฉินที่กำลังเปิดนิตยสารอยู่นั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็เปิดมันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซินเหยากดไลก์ให้ตัวเองไป32ดอก

เธอนี่มันสุดยอดกระเทียมดองจริงๆ อีกหน่อยก็ไม่ต้องกลัวว่าป๊ะป๋าจะมาแกล้งหรือเสียมารยาทำเรื่องอย่างว่ากับเธออีกแล้วสินะ

อารมณ์ของเธอตอนนี้เหมือนกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งสดใสเป็นหมื่นลี้มากๆ แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เวลาไปเก็บผักก็ต้องมีตระกร้าอะไรหรือป่าว อีกอย่างเมื่อเช้าก็พึ่งไปซื้อเนื้อมา น่าจะเอาไปให้คุณยายเฟยสักหน่อย ซูหยวนก็กำลังอยู่ในวัยเจริญอาหาร ไม่สามารถที่จะขาดผักหรือเนื้อไปได้เลย

เธอหันหลังกลับไป เห็นจิงเฉินกกำลังจับไปที่โซฟาเพื่อพยุงตัว และเดินทีละก้าวอย่างยากลำบาก

ก้าวทุกก้าวของเขา เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นหนึ่งครั้ง ส่วนมือก็ไม่เอาออกจากโซฟาเลย ภาพนั้น……มันทำให้ซินเหยาปวดใจจริงๆ

เธอรีบวิ่งเข้าไปหา ใช้มือข้างหนึ่งพยุงไปที่มือของจิงเฉิน ส่วนมืออีกข้างก็โอบไปที่เอวของเขา และพูดว่า : "ขาคุณเป็นอะไรหน่ะ?"

จิงเฉินรู้สึกถึงแขนที่นุ่มนิ่มแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาสะดุ้งขึ้น และหันหัวไปเห็นใบหน้าอันสะสวยของซินเหยา เขาขยับตัวออกเหมือนไม่ต้องการความช่วยเหลือ ใบหน้าที่เย็นชาตอนนี้ของเขาทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคิดอะไรอยู่

"ขาผมชา" จิงเฉินพูด

ที่แท้ก็ขาชานี่เอง ตอนแรกเธอคิดว่าเขาเขินอะไรรึปล่าวจึงหาข้ออ้างมาบังหน้า

ไม่ผิดค่ะ ตอนที่เธอหนุนไปที่ขาของจิงเฉินและมองขึ้นไปดูเขา เธอเห็นได้ชัดว่าหูเขาแดงไปหมด คิดไม่ถึงจริงๆน้าาา……ป๊ะป๋าก็มีมุมนี้เหมือนกัน ชอบแกล้งคนอื่นไปมา แต่เมื่อโดนเตาะไปสักหน่อยก็เขินเป็นเหมือนกันสินะ อิๆ

เหมือนเรื่องของพี่เทียนสุดท้ายก็รักน้องเมยยังไงยังงั้น เธอยังรู้สึกสงสัยอยู่เลยว่านี่มันเป็นนิยายรักในจินตนาการรึปล่าว

ว้าวซ่า ป๊ะป๋าน่ารักเกินไปแล้ว

ป๊ะป๋า คุณน่ารักขนาดนี้ นอกจากฉันก็อย่าไปบอกใครเชียวหล่ะ

"ฉันนวดให้คุณเอง เลือดจะได้เดินไปเลี้ยงส่วนขาได้ เดี๋ยวก็ดีขึ้น" มือซินเหยาข้างหนึ่งโอบไปที่เอวของจิงเฉิน ส่วนอีกข้างก็กำลังโน้มต่ำไปที่ขาสองข้างที่ดูแข็งแกร่งของเขา

หรือว่าตอนเช้าอาจจะเป็นเพราะว่าซินเหยาทำให้จิงเฉินตกใจกับเรื่องอย่างว่านั้นไปหน่อย เมื่อจิงเฉินเห็นซินเหยาแบบนี้จึงหดถอยไปข้างหลังหลายก้าวทันที ขาของเขาตอนนี้ก็ชาอยู่แล้ว จะออกแรงเดินก็ลำบากไม่น้อย ข้างหลังก็เป็นโซฟา ขาที่ชาของเขาชนเข้ากับโซฟาอย่างจังและล้มลงไป

ซินเหยากอดอยู่ที่เอวของจิงเฉินอย่างแน่น จนกระทั้งเขาล้มลงบนโซฟาเธอก็ยังไม่ได้เอามือออก

ล้มลงไปพร้อมกับจิงเฉิน ตัวของเธอจึงทับไปบนร่างของจิงเฉินอีกครั้ง

ซินเหยาทับอยู่บนร่างของเขา รู้สึกว่าข้างล่างมันแข็งเอามาก ทุกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หุ่นดีจริงๆนะป๊ะป๋า

เธอลุกขึ้นมาจากตัวของจิงเฉิน มือสองข้างวางอยู่บนหน้าอกของเขา ลูบไปลูบมาอยู่หลายดอก โอ้ย……หุ่นดีจริงๆ กล้ามเนื้อแน่นๆของป๊ะป๋ามันทำให้คนน้ำลายไหลแปดศอกจริงๆนะ ><

กล้ามเนื้อของป๊ะป๋าตอนนี้มันอยู่ในจุดที่พอดีมาก โอ้ยยยย

"คุณจับอะไรหน่ะ?" จิงเฉินหน้าบึ้งและมองไปที่ซินเหยาที่กำลังลูบจับไปบนตัวของเขาอยู่ ลูบจนไฟร้อนในตัวของแผ่ซ่าออกมาหมด จิงเฉินจึงจับไปที่มือของซินเหยาอย่างแน่น

ซินเหยามองไปที่หูของจิงเฉินที่ตอนนี้มันแดงเอามาก ป๊ะป๋าเขินจริงๆหรอ!?

"ไม่มีอะไรนี่คะ ฉันแค่ทดสอบตรวจดูให้แน่ชัดว่านอกจากขาคุณแล้วยังมีส่วนไหนที่ชาด้วยรึปล่าว" ซินเหยานอนไว้บนตัวของจิงเฉิน เงยหัวขึ้นพร้อมพูดอย่างจริงจัง

"ไม่มี" จิงเฉินกัดฟันพูด : "นอกจากขาแล้ว ก็ไม่มีส่วนไหนที่ชาแล้ว"

"อ๋อ……" ซินเหยารู้สึกผิดหวังและเสียใจอยู่เล็กน้อย พูดขึ้นอีกว่า : "งั้นฉันช่วยนวดขาให้คุณเองค่ะ"

งือออ ไม่ได้ลูบอีกสักนิดสักหน่อยก็ทำให้เศร้าเสียดายจริงๆ ตอนนี้เธอกระจ่างแล้วว่าทำไมป๊ะป๋าชอบทับอยู่บนตัวเธอและแกล้งเธอนัก ที่แท้ความสนุกของคนที่ทับกับคนที่ถูกทับมันก็ต่างกันแบบนี้นี่เอง

ก็เหมือนกับการที่เราเห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ความรู้สึกของการไม่อยากซื้อกับการมีเงินแต่ไม่อยากซื้อมันต่างกัน

รสชาติของซาลาเปามันดีจริงๆ อารมณ์ของจิงเฉินก็ดีตามไปด้วย

ซินเหยากินซาลาเปาไปสองสามคำก็หมดแล้ว เธอหยิบไข่ต้มใบชาขึ้นมาหนึ่งใบ จากนั้นก็นวดไปที่เปลือกไข่ไปมา ไม่นานเปลือกไข่ก็แตกออก เธอค่อยๆปลอกเปลือกไข่ออกอย่างช้าๆ ไข่กลมๆที่เฟอร์เฟคลูกหนึ่งตอนนี้ก็ได้อยู่ในมือเธอแล้ว

เธอแบ่งไข่ออก ไข่แดงค่อยๆกลิ้งออกมาอยู่ในมือขาวๆของเธอ ตอนนี้มันยิ่งทำให้มือที่ดูขาวใสของเธอจากที่ขาวอยู่แล้วก็ขาวขึ้นไปอีก

เธอนำไข่ขาวเข้าปากตัวเอง และป้อนไข่แดงเข้าไปให้จิงเฉินอย่างเป็นธรรมชาติ

จิงเฉินเมื่อเห็นไข่แดงก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่อ้าปากขึ้นและรับไข่แดงนั้นเข้าไปในปากตัวเอง ซินเหยานำน้ำเต้าหู้ออกมา รอให้จิงเฉินเคี้ยวและกลืนไข่แดงนั้นลงไปเสร็จ เธอก็เสียบหลอดไปที่น้ำเต้าหูจากนั้นก็เอาให้จิงเฉินดูด จิงเฉินดื่มไปหนึ่งกึกเพื่อล้างเศษไข่แดงที่ติดอยู่ที่ลำคอของตัวเอง

"คุณนี่มันฉลาดจริงๆนะ ของที่ไม่อยากกินก็โยนเข้าปากผมหมด" หลังจากที่จิงเฉินดื่มน้ำเต้าหูไปหนึ่งอึกก็หันมาหาซินเหยาและพูดขึ้น

ซินเหยาตอนนี้กำลังปลอกไข่อยู่ หลังจากที่ได้ยินจิงเฉินพูดแล้วมือที่กำลังปลอกเปลือกไข่ก็ชะงักขึ้น พร้อมมองไปที่จิงเฉินด้วยความมึนงงและถามว่า : "คุณอย่ามาเข้าใจฉันผิดนะ เป็นเพราะว่าคุณชอบกินไข่แดงต่างหากฉันเลยป้อนให้คุณไป ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าฉันเอาของที่ฉันไม่ชอบกินโยนเข้าปากคุณซะงั้น ฉันไม่ได้เป็นเหมือนคนบางคนที่ชอบเลือกกินนะ"

เมื่อพูดจบ ก็พูดขึ้นต่อด้วยความโกรธหน่อยๆอีกว่า : "คุณไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร ฉันกินเองก็ได้"

เมื่อพูดจบ ก็นำไข่ที่ปลอกเสร็จกัดไปหนึ่งครึ่ง จากนั้นก็ดูดน้ำเต้าหู้เข้าไปอีกหนึ่งอึก จิงเฉินมองไปที่น้ำเต้าหู้แก้วนั้น นี่มันเป็นแก้วเดียวกับที่เขาดื่มไปเมื่อกี้นี่นา ดื่มแก้วเดียวกันมันก็ดูทำให้สนิทวี๊ดวิ้วมากเกินไปหรือป่าว

"คุณรู้ได้ไงว่าผมชอบกินไข่แดง" จิงเฉินเหล่ตาไปถามเธอ

ซินเหยากินไข่นั้นไปทำให้ติดคอตัวเอง จึงดื่มน้ำเต้าหูไปอีกหนึ่งอึก เกือบจะติดคอตายแล้วไหมหล่ะ

เธอรู้แน่นอนสิว่าป๊ะป๋าชอบกินไข่แดง เพราะลั่วหลิงและเข่อหลานก็ชอบกิน

"เพราะว่า……"

จิงเฉินพูดกับซินเหยาอีกว่า : "อย่าบอกผมว่าหลี่เวยเป็นคนบอกคุณ เพราะเรื่องนี้หลี่เวยก็ไม่รู้"

ซินเหยา : ……

คุณพูดแบบนี้แล้วจะให้เธอไปต่อยังไงหล่ะ

จะให้เธอบอกว่า เป็นเพราะว่าลูกของเราได้รับการถ่ายทอดลักษณะหน้าตากับรสชาติมาจากคุณ อย่างนั้นนะหรอ?

"เออ ที่จริงคือฉันไม่ชอบกินไข่แดงเองแหละจึงให้คุณกิน เมื่อกี้ฉันแค่พูดมั่วๆหน่ะ" ซินเหยานิ่งคิดไปสักพัก จากนั้นจึงพูดอธิบายให้จิงเฉินด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ถ้าเมื่อกี้ซินเหยาพูดว่าเธอชอบกินไข่แดงด้วยน้ำเสียงที่จริงจังตั้งแต่แรกแล้วเขาอาจจะเชื่อเธออยู่หรอก

ตอนนี้เขาเพียงแต่มองไปที่ซินเหยาด้วยตาที่ไม่กระพริบ ขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า : "พูดต่อสิ สร้างเรื่องออกมาอีก"

ซินเหยา : ……

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนไม่ไว้หน้าเธอในการสร้างเรื่อง มันแย่มากจริงๆ

เธอดื่มน้ำเต้าหู้จนหมด เหลือบไปเห็นร้านข้างๆที่ขายเนื้อ จึงพูดขึ้นว่า : "หูย เราไปซื้อเนื้อกันหน่อยดีกว่า ผักสามารถไปเก็บที่คุณยายเฟยได้ และยังสามารถเพิ่มเติมให้ย่าหลานสองคนอีก เพราะบ้านเขาไม่มีเนื้อมากเท่าไหร่ พวกเราก็จะกินผักอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าไม่กินเนื้อด้วยใครมันจะไปทนไหว ยังไงฉันก็ชอบกินเนื้อ"

เธอวิ่งไปที่ร้านนั้นและซื้อหมูสามชั้นมา5โล ซี่โครงหมูและขาหมูก็ซื้อมาด้วยเหมือนกัน

จิงเฉินยืนอยู่ข้างหลังซินเหยา เห็นเธอแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีความเลือนลางเกี่ยวกับเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ก็จำเรื่องอะไรไม่ได้เลย รู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จักเธอมาก่อนยังไงยังงั้น

ถ้าเกิดว่าสามารถหาคำตอบเรื่องนี้ได้ เรื่องต่างๆก็คงจะกระจ่างขึ้นเหมือนกัน

หลังจากที่เธอซื้อเนื้อเสร็จก็มองไปที่จิงเฉินด้วยความหวั่นระแวงนิดๆ เห็นจิงเฉินไม่ได้ถามเรื่องนั้นกับเธอแล้ว เธอก็โล่งอกไปมาก

ถ้าเกิดว่าจิงเฉินถามขึ้นอีก เธอก็จะบอกว่ามีคนเข้าฝันและบอกเธอเอง

ข้าวมื้อเช้านี้สำหรับพวกเขาแล้วมันก็เพียงพอเอามาก อีกอย่างยังเหมือนจะซื้อเยอะเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งสองคนกินไม่หมดแน่ๆ จะทิ้งก็เสียดายของแย่

จะให้จิงเฉินกินอีกเขาก็ไม่ขยับเขยือนอะไรอีกแล้ว เพราะงั้นซินเหยาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียดายของเธอจึงยัดทั้งหมดเข้าไปในท้องเธอ สุดท้ายนั่งพุงกางอยู่บนโซฟาจนไม่สามารถขยับได้ แค่ขยับก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที

นี่มันเป็นการเสียเงินแต่ได้เรื่องกลับมาจริงๆ นั่งอยู่บนโซฟาครวญครางว่าตัวเองเจ็บ

จิงเฉินออกไปซื้อยาย่อยอาหารมาให้เธอโดยเฉพาะ เมื่อคิดถึงเรื่องกิน ก็รู้สึกว่าตัวเองต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ

"นี่คืออะไร? ฉันจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น" ซินเหยาพูดอย่างผะอืดผะอม

"นี่คือยาย่อยอาหาร กินแล้วจะรู้สึกดีขึ้น" จิงเฉินป้อนยาให้ซินเหยาถึงในปาก

"แหวะ……ฉันไม่อยากกิน ทรมาน" ซินเหยาใช้แรงทั้งหมดเบี่ยงหน้าออก เธอไม่อยากกินยาจริงๆ

"กินลงไป" จิงเฉินมองดูเธออย่างไม่ละสายตา มันดูโหดเอามา

ซินเหยาเมื่อเห็นหน้านั้นของจิงเฉินเธอก็กลัวขึ้นมา และกินยานั้นลงไปอย่างทุลักทุเล น้ำก็ยังไม่ได้ดื่มตามลงไปด้วย

กินไปสักพักก็ไม่ได้ช่วยอะไร เธอทรมานจนหน้าซีดไปหมดแล้ว

จิงเฉินนั่งลงข้างเธอ ยกหัวของเธอขึ้นและนำมาหนุนไว้บนขาที่แข็งแรงเรียวยาวของตัวเอง

ซินเหยาตอนแรกรู้สึกไม่สะดวกเอามากๆ อยากบิดตัวออกหนี แต่ติดอยู่ที่ว่าเธอเจ็บจนพูดอะไรออกมาไม่ได้ ทำให้เพียงให้จิงเฉินใช้มือไล่ลมในท้องเธอออกอย่างเจ็บปวดทรมานเท่านั้น แต่ผ่านไปสักพักก็ดีขึ้นมาหน่อย อุณหภูมิความร้อนที่มือของจิงเฉินเหมือนแทรกผ่านเข้าไปยังกระเพาะของเธอ ทำให้กระเพาะตอนแรกที่เจ็บอยู่ก็ได้รับความอบอุ่นแทรกซึมเข้าไปจึงทำให้ค่อยๆสงบลง

หัวของซินเหยาหนุนไปที่ขาของจิงเฉิน ความเจ็บในกระเพาะไม่นานก็โดนจิงเฉินบีบออกมาหมดแล้ว

ตอนนี้ท้องรู้สึกอุ่นๆ ไม่เพียงแต่ไม่เจ็บ แต่มันยังรู้สึกสบายเอามาก สามารถที่จะได้รับความอบอุ่นปกป้องแบบนี้จากจิงเฉินเป็นเรื่องที่หายากเอามาก เพราะงั้นซินเหยาสะลึมสะลืมก็ผล็อยหลับไป

ตอนที่ตื่นมาอีกครั้ง เธอยังหนุนอยู่ตรงขาของจิงเฉินอยู่ เขายืดหลังตรง เอานิตยสารเล่มหนึ่งจากไหนมาไม่รู้วางไปบนตัวเธอ มือข้างหนึ่งเปิดดูนิตยสารไป ส่วนมืออีกข้างก็นวดไปที่ท้องของซินเหยา

ตอนนี้ซินเหยาไม่ได้ปวดท้องแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก500ปี

ตอนที่เธอตื่นขึ้นเธอไม่ได้ลืมตา เพียงแต่เปิดตาออกมาเล็กๆและมองดูจิงเฉินอย่างเงียบๆ

คางของจิงเฉินมันเซ็กซี่ จมูกก็โด่ง เบ้าตาก็มีเสน่ห์ เบ้าหน้าเปรียบเหมือนโดนจิตกรแกะสลักอย่างปราณีตออกมายังงั้น มันหาจุดเสียบกพร่องไม่ได้จริงๆ เป็นเทพบุตรที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ของจริงสินะ ตอนนี้เธอหนุนอยู่ที่ขาของเขาและมองขึ้นไปดู รู้สึกว่าคางของเขามันดูเย้ายวนใจเอามากจริงๆ

ส่วนคอของเขาก็เพอร์เฟคไปหมด มันมีลูกกระเดือกลูกใหญ่ปูดโปนออกมา มันทำให้คนอยากจะกัดไปคำหนึ่งจริงๆ และใช้ฟันแทะไปเบาๆ

เธอมองดูเขาจนสติล่องลอยไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว มันทำให้คนหลงมากจริงๆ

ก็เพราะว่าเขาเป็นผู้ชาย เรื่องแบบนี้ถึงจะไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่แต่มันก็อยู่ในสายเลือด

ลีลาสกิลครั้งแรกของผู้ชายมันปราดเปรื่องมากกว่าครั้งแรกของผู้หญิงเอามาก

ปกติเคยชินกับการที่ตนเองเป็นคนคุมเกม แต่ตอนนี้โดนซินเหยาทับไว้และคุมเกมอย่างสิ้นเชิง จิงเฉินไม่คุ้นกับมันเท่าไหร่เลย

ซินเหยาทับไปบนตัวของจิงเฉินอย่างบ้าคลั่ง กระชากเสื้อของเขาลง จากนั้นก็ฝากรอยของความรักสีแดงสดไว้ที่หน้าอกของจิงเฉิน

เธอลูบจับไปบนกล้ามเนื้อของจิงเฉินอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาและมองไปที่จิงเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "ฮ่าๆ จิงเฉินนายมันเป็นปีศาจที่ชอบยั่วยวนจริงๆนะ เดี๋ยวนายหญิงอย่างข้าจะกลืนนายลงท้องเอง"

เธอแลบลิ้นออกมาและเลียไปที่ริมฝีปากของตัวเอง สีหน้าดูกระหายเอามากๆ

จิงเฉินจับมือข้างหนึ่งที่ไม่เชื่อฟังของซินเหยาไว้ แต่มืออีกข้างของซินเหยาก็ยังมืออยู่ เธอได้ใช้มือข้างนั้นจับไปที่ประตูสู่สวรรค์ของจิงเฉิน รู้สึกว่ามันจะซู่มือเอามากๆ อีกอย่างยังแข็งทื่อขึ้นมาอีก ซินเหยาหัวเราะออกมาเบาๆและพูดว่า : "จิงเฉิน ปีศาจร้ายที่ชอบยั่วยวนอย่างนาย ปากบอกไม่อยากได้ แต่ร่างกายกลับเรียกหาสินะ หึหึ"

จิงเฉินขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นจึงถีบเธอลงไป

"โอ้ย……เจ็บ……เอวของข้า" ซินเหยาตกลงจากเตียง ยังม้วนไว้ผ้าห่มลงไปด้วย แต่ยังดีที่มีผ้าห่มจึงทำให้เธอตกลงไปไม่เจ็บเท่าไหร่ และพูดขึ้นว่า : "ไอ้บ้าที่ไหนมันไม่แหกตาดู กล้ามาถีบนายหญิงอย่างข้าลงมา"

ซินเหยาฝันว่าตัวเองเป็นพระพันปี และกำลังเสพสมอยู่กับของเล่นใหม่ของตนเองอยู่ แต่ของเล่นชิ้นนี้มันคุ้นหน้าคร่าตาเอามาก และของเล่นชิ้นนี้มันหล่อเสียจนทำให้พระพันปีอย่างเธอหลงไปหมด

เธอกำลังอยู่ในจุดพีค แต่จู่ๆก็มีคนเตะลงมา

เธอนั่งตัวตรงขึ้น มองขึ้นไปดูคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ทำไมหน้าตาละม้ายคล้ายกับของเล่นของเธอเป็นอย่างมาก ตอนนี้สีหน้าเธอแสดงออกถึงความกลัวและสั่นเครือไปหมด

ตอนนี้เธอก็ได้ตื่นจากฝันจริงๆแล้ว รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนั้นไม่ใช่ของเล่นของตัวเอง และเธอก็ไม่ได้เป็นพระพันปี

คนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงเป็นเจ้านายเธอ และเธอก็เป็นแค่เลขาตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น

เพียงแต่ว่าวันนี้เจ้านายของเธอดูท่าทางเซ็กซี่ไปซะหน่อย เสื้อผ้าบนตัวทำไมถึงหลุดลุ้ยขนาดนั้น บนหน้าอกก็มีรอยแดงๆประทับไว้ มันแดงสดจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำให้เธอตื่นจากฝันจริงๆ อีกอย่างริมฝีปากนั้นก็ยังแดงและช้ำอีก มันเหมือนกับหนังตรงริมฝีปากจะถลอกออกหน่อยๆด้วย แววตาที่มีน้ำกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายใน และสุดท้ายผมบนหัวที่ยุ่งเหยิงเอามากๆ ดูสภาพนี้ของเขาแล้วเหมือนโดนใครลงโทษมายังไงยังงั้น

สภาพนี้มันไม่ค่อยจะเห็นได้บ่อยจริงๆ ซินเหยาดูจนหลงเอามาก

"โอ้ยยย……เจ็บจะตายอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงตกลงมาจากเตียงมานอนอยู่ที่พื้นได้" ซินเหยานวดไปที่เอวของตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โยนผ้าห่มกลับไปบนเตียง และก็บิดขี้เกียจไปหนึ่งแมตช์พร้อมพูดว่า : "ฟ้าก็สว่างแล้ว คุณหิวรึยัง? ฉันจะออกไปซื้อมื้อเช้า ถ้าคุณนอนอิ่มแล้วก็ลุกขึ้นมา แต่ถ้ายังนอนไม่อิ่มก็นอนอีกสักหน่อยก็ได้"

เธอหยิบเสื้อผ้าที่อยู่บนหัวเตียงและเดินออกไป

ซินเหยาเพียงแค่จ้องไปที่ซินเหยาด้วยสายตาที่ไม่กระพริบ ซินเหยารู้สึกชาขึ้นที่หนังหัวไปหมด จากนั้นจึงวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

แม่เจ้า มันดูอันตรายมากเมื่อกี้

รอยที่แดงก่ำบนหน้าอกของจิงเฉินและริมฝีปากที่แดงช้ำของจิงเฉินต่างก็เป็นฝีมือของเธอหรอกหรอ?

ที่แท้ของเล่นที่หน้าตาคุ้นมากก็เป็นป๊ะป๋าหรอ แม่เจ้า อีกนิดเธอก็จะข่มขืนเขาแล้วงั้นหรอ

คิดถึงสายตาป๊ะป๋าที่เมื่อกี้สามารถที่จะกินคนไปได้ทั้งคนก็น่ากลัวขนหัวลุกซ่าแล้ว

หึหึ…..แต่ว่า……เธอจับไปที่ริมฝีปากของตัวเอง รสชาติก็ไม่เลวนะ ><

ที่แท้รสชาติของเนื้อที่ตนอยากกิน กับรสชาติของเนื้อที่คนอื่นบังคับให้กินมันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ

แต่ว่าเหมือนกับว่าป๊ะป๋าจะไม่ชอบผู้หญิงที่ดุดันสายรุกดูกระหายนะ ไม่งั้นก็คงไม่โดนป๊ะป๋าถีบลงมาจากบนเตียงหรอกมั้ง! หึหึ……อีกหน่อยเธอคงไม่ต้องกลัวว่าป๊ะป๋าจะมารังควานเธออีกแล้วสินะ

เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของจิงเฉิน จากนั้นจึงไปตลาดด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นมาเป็นเท่าตัว

ตลาดในชนบทก็คึกคักเหมือนกัน คนเดินไปเดินมา ถึงแม้จะดูไม่คึกคักเท่าตลาดในเมืองเท่าไหร่ แต่มันก็ดูคึกคักกว่าตอนที่มาใหม่ๆเอามากแล้ว

ข้างถนนต่างก็เต็มไปด้วยคนขายผักขายปลา ยังมีของกินเล่นและข้าวเช้าอีก

ซินเหยาไปร้านที่คนค่อนข้างจะเยอะ เป็นร้านตั้งแผงขายมื้อเช้า เธอซื้อปาท่องโก๋และเต้าฮวยมาสองถ้วย จากนั้นก็เห็นน้ำเต้าหู้ที่ต้มสดๆใหม่ๆจึงได้ซื้อมาอีกสองถุง และยังมีไข่ต้มใบชา เธอซื้อหนึ่งลูกชิมหนึ่งลูก

กลิ่นชาหอมฟุ้งเข้มข้น บวกกับไข่ที่ได้จากไก่ที่เลี้ยงเอง รสชาติของมันสุดยอดมาก

เธอจึงซื้อไข่ต้มใบชาไปหกฟอง และยังมีซาลาเปาไส้เนื้ออีกสิบลูก

เนื้อในซาลาเปาสดใหม่มาก อีกอย่างยังห่อได้สวยอีกด้วย เพราะเถ้าแก่ของร้านเป็นคนห่อเองกับมือ และไม่ได้ใส่ผงฟูที่โอเวอร์เกินเบอร์

ตอนกลับไป มือสองข้างของเธอเต็มไปด้วยของกินต่างๆ

ตอนที่ยังไม่ถึงบ้าน ก็เห็นจากที่ไกลๆว่าจิงเฉินเดินเข้ามาหาเธอแล้ว

ในตลาดเต็มไปด้วยคนที่เดินไปเดินมาคับคั้ง อาจจะเป็นเพราะว่าจิงเฉินมีหน้าตาที่ค่อนข้างจะโดนเด่นไปหน่อย เวลายืนอยู่ในฝูงชนก็เหมือนกับหงส์ในฝูงไก่ เพราะงั้นถึงได้แยกออกได้ง่ายมากว่าเป็นเขา

ซินเหยาก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ จู่ๆก็วิ่งไปหาเขาและเงยหัวขึ้นพร้อมพูดด้วยแววตาที่ใสวิ้งๆว่า : "จิงเฉิน ทำไมนายออกมาแล้วล่ะ?"

จิงเฉินรับของจากซินเหยาไปบางส่วนและมองเธอด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์พร้อมพูดอย่างช้าๆว่า : "โง่จะตายอยู่แล้ว ช้าขนาดนี้ ผมหิวจะแย่อยู่แล้ว เพราะงั้นจึงออกมาดูคุณว่าตั้งใจให้ผมรอจนไส้ขาดรึปล่าว"

ซินเหยาแบ่งมื้อเช้าส่วนหนึ่งไปให้จิงเฉินถือไว้ ส่วนเธอก็ก้มหน้าหาไปในถุงพลาสติกที่อยู่ข้างล่าง จากนั้นก็หยิบซาลาเปาขึ้นมาหนึ่งลูก

ซาลาเปาที่ขาวๆนุ่มๆ ลูกใหญ่มากจริงๆ

ไม่เหมือนซาลาเปาในเมืองBเลย สองลูก1.5หยวน ดูภายนอกก็ใหญ่อยู่หรอก แต่พอกัดลงไปเท่านั้นจึงได้รู้ว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย อีกอย่างเนื้อในนั้นก็แทบจะหาไม่เจอ ถ้าเกิดว่าใช้มือบีบไปคงจะใหญ่เท่าลูกชิ้นหนึ่งลูกกระมั้ง เข้าปากคำเดียวก็หมดแล้ว

เธอใช้มือที่ขาวนุ่มของเธอแบ่งซาลาเปาออกเป็นสองซีก เนื้อข้างในมันได้เยอะมาก อีกอย่างน้ำที่แทรกอยู่ระหว่างเนื้อข้างในก็ทะลักออกมาจะไหลย้อยไปที่มือของซินเหยาอยู่แล้ว

ซินเหยากัดไปหนึ่งคำ โอ้ยย……รสชาติทำไมเยี่ยมแบบนี้

น้ำที่แทรกอยู่ระหว่างเนื้อในนี้ทั้งสดทั้งหวาน เธอหลับตากินด้วยความฟิน

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ยื่นให้จิงเฉิน จิงเฉินเมื่อเห็นซินเหยากินจนปากมันเยิ้มไปหมดก็กลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกและพูดว่า : "มือทั้งสองข้างของผมก็ไม่ได้ว่าง จะให้ผมกินยังไง?"

ซินเหยาคาบซาลาเปาซีกหนึ่งไว้ในปาก จากนั้นค่อยๆเขย่งขาขึ้น และเอาซาลาเปาอีกซีกหนึ่งใส่เข้าไปในปากของจิงเฉิน

ได้กลิ่นถึงความหอมของเนื้อเตะเข้าไปในจมูกผ่านไอร้อนๆที่ส่งออกมาจากซาลาเปา และเห็นใบหน้าที่ยิ้มแยมของซินเหยา จิงเฉินยิ้มมุมปากขึ้นและงับไปที่ซาลาเปาซีกนั้นอย่างมีความสุข

เห็นซินเหยาเงยหัวมองไปที่เขา จิงเฉินก็ยิ้มมุมปากและหัวเราะออกมาพร้อมพูดว่า : "เห็นไหม ผมรู้ว่าคุณกลัวความมืด ยังจะมาปากแข็งอีก ดูสิ เมื่อกี้คุณกลัวจนกรี๊ดร้องออกมาขนาดไหน? ถ้าเกิดผมไม่กลับมาคุณคงจะตกใจแย่มากๆสินะ"

"ฉัน—–ไม่—–กลัว" ซินเหยากัดฟันพูดออกมาทีละตัวทีละตัว

แม่เจ้า ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เสียงเขาที่ตะโกนอย่างดังหลอกเธอเมื่อกี้ เธอคงไม่ตกใจถึงขั้นนี้หรอก

ตอนนี้ยังแอ๊บทำเป็นคนดี คุณหน้าหนาขนาดนี้พ่อคุณรู้รึปล่าว?

จิงเฉินยื่นมือออกมาหยิกที่แก้มของซินเหยาอย่างอ่อนโยนไปมาและพูดว่า : "ยังบอกว่าไม่กลัวอีก ดูคุณตอนนี้สิกลัวจนหน้าซีดไปหมดแล้ว"

ยังจะมาหยิกแก้มฉันอีกนะ มือใหญ่ขนาดนี้ หยิกไปแล้วจะไม่ช้ำหรือไง?

"ฉัน……" ซินเหยายังไม่ทันได้อธิบาย จิงเฉินก็ก้มตัวลงอุ้มเธอขึ้นมาแล้ว ขาของซินเหยามันห่างจากพื้นมากเลยทำให้เธอเสียวสั่นไปหมด จึงทำได้แค่กอดไปที่คอของจิงเฉินเพื่อไม่ให้ตัวเองตกลงไป

"เอาหล่ะ ตอนนี้ผมจะนอนเป็นเพื่อนคุณเอง คุณก็ไม่ต้องกลัวแล้ว นอนไปอย่างเชื่อฟังนะ" จิงเฉินอุ้มซินเหยาและพูดขึ้น และใช้มืออีกข้างปิดประตู จากนั้นจึงวางซินเหยาลงบนเตียง ห่มผ้าห่มให้ ตัวเองก็พลิกตัวลงนอนไปข้างๆซินเหยา

ตอนนี้ซินเหยาอยากร้องไห้ออกมาดังๆจริงๆ

จิงเฉินผายมืออันยาวของตัวเอไปข้างๆทับไปบนตัวของซินเหยาจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก ยังเหมือนกับทับจนหน้าอกเธอแบนไปด้วย

"ฉัน……"

"ชูว์……" จิงเฉินยื่นมือไปปิดปากซินเหยาไว้ หลับตาอยู่พร้อมพูดว่า : "ไม่ง่วงหรอ นอนเถอะ เวลานอนและเวลากินข้าวเราจะไม่พูด"

ซินเหยารู้สึกว่ามือของจิงเฉินที่กำลังปิดปากเธออยู่มันร้อนเอามาก อีกอย่างมันยังปิดไปอย่างสนิท เธอจะอ้าปากออกมายังทำไม่ได้เลย

ตอนแรกเธอคิดว่าสาเหตุที่จิงเฉินปีนขึ้นเตียงเธอแบบนี้ก็เพราะคิดไม่ดีกับเธออะไรหรือป่าว ใจดวงนี้ของเธอมันจึงบูมๆขึ้น แต่สุดท้ายเบิกตารอมาครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่รอถึงตอนที่ลมหายใจของจิงเฉินมันเริ่มจะสงบลงเท่านั้น เธอจึงพลิกตัวหันหน้าไปหาจิงเฉิน มือของจิงเฉินที่ปิดปากเธอไว้ก็ได้ไหลลงไปทับที่ผมของเธอ

จิงเฉินหลับตาหลับไปอย่างสงบเอามาก

ตอนนอนป๊ะป๋าก็หล่อเอามากเหมือนกันนะ แถมยังดูเชื่องๆอีก ริมฝีปากบางเล็กของเขาประกบกันอยู่มันทำให้เธอทรมานใจจริงๆ คิ้วคู่นั้นทั้งดกทั้งดำ จมูกก็ยังโด่งเอามาก เค้าโครงใบหน้าของเขามันเป็นใบหน้าทองคำจริงๆ เหมือนกับมีเลือดผสมของชาวยุโรปอยู่ด้วยยังไงยังงั้น

สายตาที่สุดแสนจะเย็นชาคู่นั้นตอนนี้ก็ได้สงบลง เพราะงั้นตอนนี้รัศมีของเขาที่เย็นยะเยือกก็ลดลงไปมาก ทำให้ตอนนี้เขาดูแล้วก็เหมือนกับผู้ชายที่หล่อธรรมดาทั่วไป มันมองไม่เห็นถึงรัศมีความเย็นยะเยือกเอาแต่ใจโหดร้ายเหมือนตอนอยู่ที่บริษัทเลย

ซินเหยาเอียงตัวเล็กน้อยและมองไปที่จิงเฉิน

ยื่นมือเรียวยาวของตัวเองออกมาและค่อยๆกวาดลากไปบนหน้าผากอันสมบูรณ์ คิ้วที่ดูดำ เบ้าตาที่มีเสน่ห์ จมูกที่สุดแสนจะโด่ง ริมฝีปากที่บางนุ่มเซ็กซี่ ข้างล่างเป็นคางที่ก็เซ็กซี่เย้ายวนไม่แพ้กัน เหมือนยังมีตอเล็กๆของเคราที่ยังไม่ได้ขึ้นมา สากมือเล็กน้อย ข้างล่างกว่านั้นก็เป็นลูกกระเดือกที่แสนจะเซ็กซี่ มือของซินเหยาค่อยๆลูบสัมผัสมันไปอย่างช้าๆ ไม่กล้าทำให้จิงฉินตื่นขึ้น

ถ้าเกิดตอนที่เขาตื่นมาก็เป็นเด็กดีแบบนี้หล่ะก็มันคงจะดีเอามากจริงๆ

เธอโถมหน้าเข้าใกล้ป๊ะป๋า หน้าผากและสันจมูกแนบชิดติดกัน เธอใช้ปากค่อยๆแตะไปที่ริมฝีปากอันเย็นชาของป๊ะป๋า ใจของเธอเต้นแรงขึ้นเหมือนมีกระต่ายน้อยกำลังวิ่งวนอยู่ภายใน จากนั้นจึงรีบปลีกตัวออกมาจากจิงเฉินในทันที

เธอพลิกตัวหันไปอีกข้าง หัวใจตอนนี้ของเธอเต้นเร็วและแรงเอามาก

ที่จริงเธอก็รู้ตั้งนานแล้วว่าป๊ะป๋าอยู่ในใจเธอมาโดยตลอด

แต่ว่าเธอใจกว้าง เธอก็คิดมาโดยตลอดว่าจิงเฉินอยู่ในใจเธอด้วยฐานะอะไรกันแน่

เมื่อกี้ที่ตัวเองจู่โจมไปจูบเขานั้นมันทำให้ใจของเธอรัวไม่เป็นจังหวะ เธอก็แค่อยากจะรู้ว่าตนเองคิดยังไงกับจิงเฉินกันแน่?

ตอนแรกเธอคิดว่าเธอต้องนอนไม่หลับแน่ๆ แต่เธอประเมินตัวเองสูงไป ในความเป็นจริงแล้วห้านาทีหลังจากที่เธอพลิกตัวไปเธอก็หลับปุ๋ยจนจำเรื่องอะไรไม่ได้เลย

……

วันที่สองตอนที่ฝันเธอกำลังไปได้สวยและมันกำลังถึงจุดพีค แต่เธอกลับรู้สึกตัวซะก่อน น่าเสียดายจริงๆ

มันคันๆเหมือนมีอะไรที่จมูก เธอปัดยังไงก็ไม่ออก

"ที่รักให้ฉันนอนต่ออีกนิดนะ" ซินเหยาลูบจับไปที่จมูกคันๆของตัวเอง และห่มผ้าห่มครอบหัวพร้อมพลิกตัวไปอีกข้างเพื่อนอนต่อ

"ตื่นได้แล้ว" จิงเฉินเปิดผ้าห่มออก ไม่ให้ซินเหยานอนต่อ

ซินเหยายังหลับตาอยู่ ใช้ความรู้สึกของตัวเองกอดไปที่คอของคนๆนั้นและจุ๊ปไปหนึ่งทีพร้อมบอกว่า : "อื่ม จุ๊ปให้หนึ่งดอกแล้วก็เชื่อฟังกันนะ ไปทำข้าวเช้าเอง ฉันง่วงมากขอนอนอีกสักหน่อย"

ดูท่าทางอันเชี่ยวชาญนี้ของจิงเฉินบวกกับจูบนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถจะเห็นผลในวันสองวันแน่

จิงเฉินมองดูซินเหยาด้วยใบหน้าที่อันตราย ผู้หญิงคนนี้ซ่อนผู้ชายเถื่อนไว้ในบ้านหรอ?

ซินเหยาที่กำลังอยู่ในฝันรู้สึกว่าหนาวขึ้นมา จึงค่อยๆใช้มือคลำหาผ้าห่ม

จิงเฉินมองไปที่หน้าอันนุ่มละมุนของซินเหยา ริมฝีปากที่อมชมพู จึงใช้สองมือจับไปที่หน้าของซินเหยาและจูบลง

เขาทำการเปิดช่องริมฝีปากของซินเหยาขึ้น ระเรงลิ้นไปมาในช่องปากของเธอจากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา ซินเหยาตอนนี้ไม่ใช่ตายเป็นศพ แต่แค่สะลึมสะลือคิดว่าตัวเองยังกำลังฝันดีอยู่ เพราะงั้นจึงไม่ได้เล่นตัวอะไร เธอจึงกอดไปที่คอของผู้ชายคนนั้น อ้าปากพร้อมรับกับจูบของเขาอย่างเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว

ฝันอันสวยงาม มันฟินและยังไม่ทำให้ท้องอีกด้วย

เป็นสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเธอชอบที่สุด

ถึงยังไงก็อยู่ในฝัน ฝันนี้ฉันเป็นคนกำหนด

เธอใช้สองมือกอดไปที่คอของฝ่ายชาย เงยหัวขึ้นและจูบอย่างดุเดือนตอบกลับไป

ขาเรียวยาวของเธอกำลังพันอยู่บนเอวของเขา ยืมแรงจากอีกฝั่งจากนั้นพลิกตัวขึ้นทับไปที่ตัวของฝ่ายชายให้ไปนอนอยู่ข้างล่าง ทับอยู่ที่ตัวฝ่ายชายและใช้แรงกัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างดุเดือนเผ็ดมัน

แม่เจ้า……จิงเฉินโดนลีลาการฟาดฟันของซินเหยาเล่นงานเข้าให้จนทำให้เขาไปไม่เป็นจริงๆ

เห็นท่านประธานเยี่ยของเราที่ปกติดูสง่าผ่าเผย หล่อเย็นชาไม่มีใครเทียบ มีกลยุทธ์แกล้งซินเหยาอยู่หลายอย่าง ทั้งจับทั้งคลำทั้งจูบทั้งลูบสารพัดวิธี แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วประสบการณ์ด้านนั้นของท่านประธานเยี่ยของเราสามารถที่จะใช้มือข้างเดียวนับก็นับหมดได้……

"อะไรกันคะคุณยาย ซูหยวนน่ารักแถมยังปากหวานขนาดนี้ หนูชอบเด็กคนนี้มากๆค่ะ" ซินเหยายืนขึ้นและพูดต่อว่า : "นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณยายกับซูหยวนก็พักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกหนูกลับไปเองก็ได้แล้ว พวกหนูจำทางกลับได้ค่ะ"

ตั้งแต่ที่ออกมาจากบ้านของคุณยายเฟย จิงเฉินก็เงียบอยู่ข้างหลังซินเหยา และจู่ๆก็ถามขึ้นว่า : "เธอจำทางได้หรอ?"

"ฉันจำไม่ได้คุณจำได้รึไง?" ซินเหยาถามกลับ

จิงเฉินนิ่งเงียบไปสักพัก กัดฟันและพูดขึ้นว่า : "ได้สิซินเหยา อยากทรยศกันใช่ไหม?"

ทรยศบ้าไรกัน? คุณกำลังคิดอยู่หรอว่าตัวเองเป็นราชา ถึงคุณจะเป็นราชาฉันก็ไม่กลัวหรอก

"ไม่ใช่นะ ฉันผิดไปแล้ว" ซินเหยายอมรับผิดพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่หมดเรี่ยวหมดแรง

เธอไม่ได้กลัวถ้าเกิดว่าจิงเฉินเป็นราชา แต่เธอกลัวถ้าเขาเป็นอันธพาลที่เอาแต่ใจไม่ฟังเหตุผลใดๆมากกว่า

ซินเหยาไม่ได้เป็นคนที่คุ้นชินทิศทาง อีกอย่างยังเป็นคนที่แบ่งทิศไม่ได้ สำหรับป๊ะป๋าที่เป็นคนแบ่งทิศไม่เป็นหรือป่าวนั้นเธอก็ไม่กล้าถามเหมือนกัน กลัวจะโดนหวดกลับมา

ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะมืดเอามาก แต่ยังดีที่บ้านของคุณยายกับตึกสามชั้นนั้นห่างกันไม่ไกลมาก พวกเขาจึงสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย

เมื่อซินเหยาเปิดประตูบ้านขึ้นเธอก็พูดกับจิงเฉินว่า : "ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันง่วงมากด้วย มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุย แค่นี้ก่อนนะ ฝันดี"

ตอนที่พูดเธอไม่ได้หันไปดูสีหน้าของจิงฉินเลย และไม่ได้รอให้จิงเฉินตอบกลับ เธอก็ได้วิ่งหายตัวไปอย่างรวดเร็วแล้ว

เมื่อกลับมาถึงห้อง ก็โถมตัวนอนอยู่บนเตียงที่สุดแสนจะนุ่ม ได้กลิ่นของแสงแดดกับผ้าฝ่ายที่ส่งออกมา

แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ รู้สึกว่าสองวันมานี้เหมือนกำลังฝันไปอยู่ ทำไมจู่ๆถึงได้เกิดเรื่องพวกนี้และมาอยู่กับจิงเฉินที่นี่ได้นะ?

ตอนนี้ทั้งสองก็หลบอยู่ที่ชนบทภูเขาเขียวสายน้ำใสแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่เหมือนกัน

ที่จริงตอนแรกไม่น่าเห็นแก่เงินจริงๆในการตอบรับหลี่เวยและมาเป็นเลขาของจิงเฉิน อีกอย่างยังไม่น่ากลัวว่าจิงเฉินจะมารบกวนอะไรเธอจึงเอาลูกให้จว๋อเหยียนและฉีฉีดูแลไปโดยไม่ทันคิดอะไรก่อน

ตอนนี้เป็นไงล่ะ เกือบจะเสียชีวิตไปแล้วยังไม่พูด ยังไม่รู้อีกว่าตอนไหนจะได้กลับไปหาลูกน้อยของตัวเองอีก เฮ้อออ

คิดไปคิดมาก็ทำให้เธอรู้สึกง่วงขึ้นมา ในตอนที่เธอกำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็เหมือนได้ยินเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น

เธอสะลึมสะลืมจริงๆ ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็ใส่รองเท้าแตะไปเปิดประตูเสียแล้ว

เมื่อเปิดประตูมา ก็เห็นคนหล่อดั่งเทพบุตรกำลังยื่นอยู่ต่อหน้าเธอ ซินเหยาดูจนหลงไปหมดแล้ว เออออ……เธอสาบานว่าเธอไม่หลงรักคนอื่นไปทั่วนะ แต่แค่ในใจต่างก็ซ่อนความชอบมองคนหล่อไปอยู่นิดๆ

"หล่อมาก……" ซินเหยามองดูจิงเฉินอย่างเจ๋อๆ

จิงเฉินเห็นสภาพซินเหยาที่หลงแบบนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แววตาก็ดูนุ่มนวลขึ้นมามาก

เขายื่นมือออกมา จากนั้นบีบไปที่หน้านุ่มๆรูปทรงไข่ของซินเหยา ซินเหยาเจ็บจนตื่นทันที

จากนั้นก็เห็นป๊ะป๋ากำลังยืนอยู่หน้าประตูและยังบีบไปที่หน้าของเธอ ความเจ็บบนหน้ารู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของเขา ความคิดทะลึ้งพวกนั้นจึงได้หายไปด้วย

ซินเหยาสบัดมือของจิงเฉินออก และจับไปที่หน้าที่โดนบีบอย่างเจ็บของตัวเอง พร้อมพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะจอยว่า : "ดึกขนาดนี้แล้ว มีเรื่องอะไร?"

"กลัวความมืด" จิงเฉินขมวดคิ้วขึ้น มองไปที่ตาเธอและพูดขึ้นว่า : "เพราะงั้นวันนี้จะมานอนกับคุณ"

ซินเหยาเหมือนกับโดนฟ้าผ่าไปที่กลางศีรษะ เธอกำลังฝันไปอยู่หรอ

ป๊ะป๋าดึกๆดื่นมาเคาะประตูห้องเธอและบอกว่า กลัวความมืด……โอ้ย……ฮ่าๆๆๆ…….ตลกจริงๆ

ป๊ะป๋าแบบนี้มันไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเลยนะ ด้านที่ออกสาวของป๊ะป๋าเธอเห็นมันแล้วล่ะสิ อีกหน่อยจะยังเล่นสนุกด้วยกันได้อยู่หรือป่าว?

นี่คุณกำลังแกล้งฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย?

ซินเหยาทำหน้านิ่งๆที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ว่า 'ที่รัก อย่าโวยวายไปหน่อยเลย' และพูดว่า : "กลัวความมืด? ทำไมฉันไม่รู้ว่าเมื่อก่อนคุณกลัวความมืด งั้นที่ผ่านมาคุณนอนยังไง ให้ตัวเองนอนเป็นเพื่อนตัวเองงั้นหรอ?"

แม่เจ้า ฉันเรียนหนังสือมาน้อย อย่ามาหลอกฉันเลย

จิงเฉินมองไปที่หน้าซินเหยาด้วยความมึนงงและพูดว่า : "ใครบอกว่าผมกลัวความมืด?"

ซินเหยา : ……

คุณไม่กลัวความมืด แต่ดึกๆตื่นๆวิ่งมาหน้าประตูห้องฉัน และพูดว่า 'กลัวความมืด' เพราะงั้นคนที่บอกว่าคืนนี้จะนอนกับฉันไม่ใช่คุณ? โดนผีเข้ารึไง? หึหึ…..

"ไม่กลัวก็ดี ลาก่อน" ซินเหยาหันหลังกลับและปิดประตู

แต่ประตูโดนจิงเฉินกันไว้ ปิดไม่ได้ จิงเฉินพูดอย่างจริงจังว่า : "ไม่ใช่ผมที่กลัวความมืด แต่เป็นคุณต่างหากที่กลัว เพราะงั้นผมจึงมานอนเป็นเพื่อนคุณ"

แม่เจ้า คุณนี่มันหน้าหนามากจริงๆ

แต่ว่า……

"ฉันไม่กลัวความมืด" ซินเหยาพูด

กลัวความมืดอะไรกัน นี่เป็นการหยามเธอชัดๆ ขนาดผีเธอยังไม่กลัวเลย จะให้กลัวความมืดนี่นะ? หึหึ

"คุณกลัว" จิงเฉินมองไปที่ตาของซินเหยาอย่างตั้งใจ

ซินเหยาตอนนี้หมดคำจะพูดจริงๆ

ถ้าหากว่าเธอไม่ได้เป็นคนโง่ล่ะก็ ดูหน้าของป๊ะป๋าแบบนี้เธอคิดจริงๆนะว่าเธอกลัวความมืด แต่ว่า……เธอไม่ได้กลัวความมืดจริงๆ

"ฉันไม่ได้กลัวจริงๆ" ซินเหยาจะบ้าตายรายวันอยู่แล้ว

"เอิ่มมม ไม่กลัวก็ไม่กลัว" จิงเฉินปล่อยแรงที่ไหล่ลง ไม่ดื้อดึงต่อไปแล้ว

ซินเหยารู้สึกว่าคืนนี้จิงเฉินแปลกๆไป ไม่ใช่โดนอะไรสิงเข้าให้นะ จิงเฉินไม่ได้ดื้อดึงที่จะนอนกับเธอแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

"งั้นผมไปก่อนนะ" จิงเฉินพูด

ซินเหยาผงกหัวรับ ไปเร็วๆเถอะ อย่ามาอยู่ตรงนี้ทรมานคนอื่นเปล่าๆ คุณหล่อขนาดนี้ก็ควรจะเป็นชายหล่อที่อยู่เงียบๆสงบๆไป

เมื่อเห็นจิงเฉินหันหลังเดินไปแล้ว ซินเหยาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หันหลังไปกำลังจะเตรียมปิดประตู และหาวออกมา

"หึ (เสียงร้องดัง)……"

เมื่อเสียงลอยออกมา ทำให้ซินเหยากรี๊ดออกมาอย่างตกใจ

เธอไม่ได้กลัวขนาดนั้น แต่ว่าถึงจะเป็นคนที่ใจกล้ามากเพียงใดก็ต้องมีตอนที่ตกใจอยู่บ้าง

ซินเหยาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าทั้งตัวของเธอตอนนี้ก็โถมเข้าใส่อ้อมกอดของใครสักคนสียแล้ว ตอนนี้ปลายจมูกเธอได้กลิ่นของมะละกออ่อนๆบวกกับกลิ่นเย็นๆตลบอบอวลไปหมด

"เอาล่ะๆ ไม่ต้อกลัวนะ ไม่ต้องกลัว" คนที่กำลังกอดเธอยื่นมือออกมาลูบๆไปที่หลังของเธอ น้ำเสียงที่กำลังปลอบมีความอบอุ่นเอามากๆ

ซินเหยาตั้งตัวตรงขึ้นจากอกที่เต็มไปที่ด้วยกลิ่นมะละกอและกลิ่นเย็นๆ พร้อมกับเงยหัวขึ้น จึงทำให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของจิงเฉิน

กับข้าวพวกนี้อร่อยมากๆ โดยเฉพาะซุปไก่ ตุ๋นได้หอมมาก ผักกวางตุ้งก็ไม่ได้ขมอะไรเลย ส่วนหมูแดดเดียวก็เป็นหมูที่คุณยายทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง รสชาติจึงเป็นแบบต้นตำรับของตระกูลนี้ มันอร่อยมากจริงๆ ส่วนไข่ก็ได้จากไก่ที่เลี้ยงไว้เอง รสชาติก็ไม่เลวเลย

ผักที่ใช้ทำกับข้าวเป็นผักที่ปลูกเอง เพราะงั้นจึงไม่ได้ฉีดยาอะไร ไก่ก็เลี้ยงเอง ไม่ได้ไปกินของแปลกปลอมที่ไหน เพราะงั้นเนื้อสัมผัสของมันจึงค่อนข้างจะอร่อยและอุดมไปด้วยสารอาหารโภชนาการ

"คุณยายคะ ฝีมือการทำกับข้าวของคุณยายอร่อยมากเลยค่ะ" ซินเหยากินอย่างพุงกาง แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้ลืมน้องน้อยซูหยวน

ซินเหยาหยิบเนื้อไก่มา จากนั้นฉีกมันเป็นชิ้นๆพร้อมผสมน้ำซุปไปหน่อยเอาให้ซูหยวน

"อะไรกัน หนูกับจิงเฉินมาจากเมืองใหญ่ จะไม่เคยกินของอร่อยๆกว่านี้ก็คงไม่ใช่ นี่มันเป็นเพียงผักที่ยายปลูกเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่หายากอะไรขนาดนั้น"

"ก็เป็นเพราะว่าผักพวกนี้ปลูกเองน่ะสิคะถึงได้หายากเอามากๆ อยู่ในเมืองใหญ่อย่าหวังเลยค่ะว่าจะมีบุญวาสนาได้กินของพวกนี้"

"ถ้าพวกหนูชอบล่ะก็ ครั้งหน้าก็มาบ่อยๆนะ ยายปลูกผักไว้สองแปลงกินก็ยังกินไม่หมดเลย"

"ได้ค่ะ พวกหนูจะมาบ่อยๆเลย" ซินเหยาพูดด้วยใบหน้าที่เต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้ม

ซูหยวนจับไว้ช้อนกินเข้าไปคำโตๆอย่างเอร็ดอร่อย

"ซูหยวนหนูเก่งจังเลยค่ะ อายุแค่นี้ก็กินข้าวเองได้แล้ว ต้องกินเยอะๆนะคะถึงจะได้ตัวสูงๆ" ซินเหยาพรางพูดพรางหยิบส่วนใบของผักกวางตุ้งให้ซูหยวน กลัวว่าส่วนก้านเธอจะเคี้ยวไม่ได้

ลั่วหลิงและเข่อหลานตอนก่อนจะได้สามขวบก็ไม่ได้ทำให้เธอต้องดูแลอะไรมากเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เธอไม่ต้องดูแลพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาดูแลเธอเป็นอย่างดีต่างหาก

แต่ว่าตอนที่ลูกน้อยเธอยังได้หนึ่งถึงสองขวบ เธอไม่ใช่เป็นคนเลี้ยงพวกเขากับมือ

ตอนนี้ถึงแม้ว่าสกิลการเลี้ยงลูกของเธอจะเลือนลางไปบ้าง แต่ก็รู้สึกว่ามันเริ่มกลับมาแล้ว ความเป็นเพศแม่ของเธอค่อยๆที่จะซึมเข้าในสายเลือดอีกครั้ง มันจะหายไปได้อย่างไรกัน

ซูหยวนกินจนปากมันเยิ้มไปหมด ข้างแก้มก็ยังมีเม็ดข้าวติดอยู่ ซูหยวนมองไปในถ้วยที่มีผักกวางตุ้งอยู่ข้างในและพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีใจว่า : "พี่ซินเหยาคะ หยวนหยวนไม่ชอบกินผักกวางตุ้ง ไม่กินค่ะ"

ซินเหยามองไปที่ซูหยวนด้วยความอดทนพร้อมพูดว่า : "ไม่กินผักไม่ได้นะคะ ไม่กินเนื้อก็จะไม่สูง ไม่กินผักก็จะไม่สวย หรือว่าซูหยวนไม่อยากโตขึ้นมาเป็นคนสวยหรอคะ?"

"สวยเหมือนพี่จิงเฉินหรอคะ?" ซูหยวนมองไปที่จิงเฉินและถามขึ้น

สวยเหมือนพี่จิงเฉิน? หึหึ……ใช้คำว่าสวยมาบรรยายผู้ชายเนี่ยนะ ทำไมรู้สึกว่าเหมือนมันไม่เป็นการชมยังไงยังงั้น

ซินเหยามองไปที่จิงเฉิน เห็นเขาชะงักขึ้น จึงพูดตอบกลับในทันทีว่า : "อื่ม สวยเหมือนพี่จิงเฉินเลยค่ะ"

"งั้นหนูก็จะกินค่ะ" ซูหยวนอ้าปากขึ้นและคีบผักเข้าปากเธอไป

เพราะงั้นโลกของเด็กตอนนี้ ก็ได้กลายเป็นโลกที่มองแต่รูปลักษณ์ภายนอกแล้วด้วยสินะ

จิงเฉินเพียงแค่มองดูไปที่ซินเหยาด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก ดูซะจนทำให้ซินเหยารู้สึกเย็นจนหัวหดยังไงยังงั้น

แม่เจ้า……ทำไมเธอต้องไปทำให้พี่ศาจร้ายอย่างป๊ะป๋ะโกรธด้วย แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือไรกัน?

คุณยายเฟยเอาใจใส่พวกเขามาก เติมกับข้าวให้อยู่ตลอด

จิงเฉินคีบตับไก่ออก ซินเหยาขมวดคิ้วขึ้น อดทนค่ะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ

"จิงเฉิน จะเลือกกินแบบนี้ไม่ได้นะ ตับไก่มีประโยชน์มาก" ซินเหยารู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของจิงเฉินที่เลือกกินแบบนี้เอาซะเลย

ลั่วหลิงและเข่อหลานน่าจะได้รับการถ่ายทอดเรื่องการเลือกกินมาจากจิงเฉิน ผักหลายอย่างพวกเขาไม่ชอบกินเลย สำหรับการเลือกกินเธอนั้นไม่สามารถทนดูเฉยๆได้จริงๆ

"ผมไม่ชอบกิน" จิงเฉินยังคงคีบตับไก่ออกอย่างไม่สนใจ

"ทำไมคุณทำตัวเหมือนเด็กอย่างงี้ล่ะ คุณดูซูหยวนเด็กขนาดนั้นยังไม่เลือกกินเหมือนคุณเลย" ซินเหยาไม่สนใจพริกหยวกและกระเทียมที่ซูหยวนหยิบออกมา พร้อมถามด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนว่า : "ซูหยวนคะ ที่พี่ซินเหยาพูดถูกรึปล่าวคะ การเลือกกินเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยใช่ไหมคะ คุณดูซูหยวนยังไม่ได้เลือกกินเหมือนคุณเลย"

ซูหยวนค่อยๆนำพริกหยวกและกระเทียมที่อยู่ในช้อนเอาเข้าปากไป พร้อมผงกหัวขึ้น และพูดอย่างจิงจังว่า : "ใช่ค่ะ พี่ซินเหยาพูดถูก พี่จิงเฉินจะเลือกกินแบบนี้ไม่ได้นะคะ"

ซินเหยามองไปที่จิงเฉินด้วยสีหน้าที่ได้ใจ พร้อมคีบตับไก่อีกหนึ่งชิ้นให้จิงเฉินและพูดว่า : "ดูสิ ซูหยวนที่เล็กขนาดนี้ยังรู้เลยว่าการเลือกกินเป็นสิ่งไม่ดี คุณอย่าทำตัวเป็นแบบอย่างที่แย่กับเธอเลย กินไป อย่าเลือกกินเป็นอันขาด"

เส้นเลือดบนหน้าผากของจิงเฉินกระตุกขึ้น จากนั้นก็กินตับไก่นั้นลงไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน

แต่ใบหน้าที่เขาแสดงออกมามันดูอัศจรรย์มาก อัศจรรย์เสียจนทำให้คนไม่สามารถมองได้จริงๆ

ซินเหยายิ้มหัวเราะอยู่ในใจ หัวเราะจนทำให้หน้าของเธอตอนนี้แดงไปหมด แต่ก็ไม่ได้หัวเราะเป็นเสียงออกมา กลัวว่าจะไปทำให้ปีศาจอย่างจิงเฉินโกรธเข้า (เธอคิดหรอว่าเธอไม่หัวเราะออกมา ปีศาจร้ายอย่างเขาก็จะปล่อยเธอไปง่ายๆ? โง่ไร้เดียงสาสิ้นดี)

หลังจากกินข้าวไปได้สักพัก ซินเหยาก็ได้ห้ามคุณยายเฟยไว้ เธอจะเป็นคนดูแลซูหยวนตอนกินเอง

ซูหยวนยังกินข้าวไม่เสร็จ ซินเหยาก็นั่งไปที่เก้าอี้เล็กๆนั้น ให้ซูหยวนนั่งอยู่บนตักของเธอ มือสองข้างก็โอบไปที่ซูหยวนทั้งตัว มือข้างหนึ่งจับถ้วย ข้างหนึ่งจับช้อน บนตักของซูหยวนยังมีผ้าเช็ดปากของเล็กๆอีกด้วย

ในข้าวมีน้ำซุปไก่ผสมไป ข้างในมีเนื้อไก่ที่ฉีกออกเป็นชิ้นๆ ยังมีไข่และผักกวางตุ้ง ส่วนหมูแดดเดียวซูหยวนเคี้ยวไม่ได้จึงไม่ได้เอาใส่ไปให้

"มาค่าาา……อาาาา……อ้าปากค่าาา" ซินเหยาเป่าข้าวในช้อนให้เย็นลงจึงจะเอาเข้าปากของซูหยวน

ซูหยวนอ้าปากอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับกินข้าวที่เธอป้อนลงไปในปากและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

รอถึงตอนที่ซูหยวนกินใกล้จะเสร็จแล้ว จากนั้นซินเหยาจึงเอาผ้าเช็ดปากที่อยู่บนตักของซูหยวนค่อยๆเช็ดไปบนคาบน้ำมันเยิ้มที่ติดอยู่ข้างปากเธอ ดูภาพนี้แล้วมันสวยมากจริงๆ ภายใต้แสงไฟสะลัวสะลัว ซินเหยาไม่รู้จริงๆว่านี่มันเป็นภาพที่สวยเอามากๆ

จิงเฉินที่กำลังมองดูอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเขาจะดูจนหลงไปหมดแล้ว

ข้าวถ้วยหนึ่งซูหยวนไม่นานก็กินเสร็จ ซินเหยาวางถ้วยลงพร้อมถามซูหยวนว่า : "ซูหยวน กินอิ่มรึยังคะ"

ซูหยวนผงกหัวรับ และพูดว่า : "กินอิ่มแล้วค่ะ"

เธอยื่นมือไปนวดๆที่พุงน้อยๆของซูหยวน กลัวว่าซูหยวนจะกินอิ่มจนท้องอยู่ไม่เป็นสะดวก หรือว่าซูหยวนจะเหนื่อยนะ เพราะซินเหยานวดไปนวดมามันสบายมากจริงๆ ไม่นานซูหยวนก็หลับตาลงและผลอยหลับไป

คุณยายเฟยไม่นานก็จัดการเรื่องต่างๆเสร็จ จากนั้นจึงรับซูหยวนที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่จากซินเหยาไป

"ซินเหยา รบกวนหนูแล้วนะ ส่งหยวนหยวนให้ยายก็ได้แล้ว" คุณยายเฟยรับซูหยวนไปพรางยิ้มพูดกับซินเหยา

"ใช่ค่ะ" รอยยิ้มของซินเหยามันหวานเอามาก แต่ปากของเธอหวานยิ่งกว่า เธอพูดขึ้นว่า : "ฉันไม่เคยสนใจและเอาคุณมาอยู่ในสายตาฉันอยู่แล้ว เพราะฉัน……เอาคุณมาอยู่ในใจตลอด"

แค่คำพูดคำเดียวก็ทำให้จิงเฉินรู้สึกดีขึ้นมาดั่งเวทมนต์ ในใจของจิงเฉินตอนนี้รู้สึกพลิบานไปด้วยดอกซากุระสีชมพู เขาก็รู้อยู่แล้วว่าคำพูดที่ซินเหยาพูดออกมาอาจจะเชื่ออะไรไม่ค่อยได้ แต่เขาก็ชอบฟังคำหวานๆพวกนี้ที่ออกมาจากปากเธอเอามากเหมือนกัน

"เอาหล่ะ ฟังจากเสียงน่าจะเป็นคุณยายเฟย ไม่รู้ว่าว่าแกมีเรื่องอะไรหรือป่าว" ซินเหยาพลักไปที่หน้าอกอันแข็งแกร่งของจิงเฉินออก และพูดอย่างจริงจัง

จิงเฉินก้มหัวลงและกัดไปที่ริมฝีปากของซินเหยา ใช้ฟันกัดไปเบาๆ แต่ไม่ได้ใช้แรงอะไร กัดเสียจนขาของซินเหยาอ่อนระโทยไปหมด

เสียงเท้าเดินค่อยๆใกล้เข้ามา จิงเฉินจึงปล่อยปากของตัวเองออกอย่างรู้สึกน่าเสียดายน่าเสียใจ มือที่กอดอยู่ที่เอวของซินเหยาก็ปล่อยลงพร้อมกัน จากนั้นก็ถอยไปหนึ่งก้าวให้อยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาทั้งสอง

ซินเหยาจับไปที่ปากที่โดนกัดจนชาของตัวเอง และใช้สายตามองไปที่จิงเฉิน

"พี่ซินเหยาคะ" หนูน้อยซูหยวนก็มาด้วย เมื่อเห็นซินเหยาก็เรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หวานใส

ซูหยวนยังเล็กอยู่ เสียงจึงแหลมใสตามประสาเด็ก ตัวของเธอยังมีกลิ่นของน้ำนมติดมาอยู่ด้วย มันน่ารักจนกระแทกเข้าไปในใจของซินเหยาจริงๆ

"ซูหยวนหนูเป็นเด็กดีเอามาก" ซินเหยายื่นมือออกและลูบไปที่ผมอันนุ่มของซูหยวน

ซูหยวนเมื่อเดินเข้ามาก็เห็นจิงเฉินทันที ตาที่เบิกกว้างของเธอมองไปที่จิงเฉิน เขย่าไปที่มือของคุณย่าของเธอและพูดอย่างดีอกดีใจพร้อมชี้ไปที่จิงเฉินว่า : "คุณย่าคะ คุณย่าดูสิคะบ้านของพี่ซินเหยามีผู้ชายที่หล่อมากๆอยู่ด้วยค่ะ"

ตอนนี้ยายเฟยเพิ่งจะเห็นจิงเฉิน แต่ก็รู้สึกว่าเขาก็หล่อเอามากเหมือนกัน เธออายุปูนนี้แล้วก็พึ่งจะเคยเห็นผู้ชายที่หล่อขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันหล่อกว่าดาราในทีวีพวกนั้นเสียอีก เป็นไอเท็มแรมากจริงๆ

"คุณยายคะ นี่คือจิงเฉินคะ เออ….เขาเป็น……เออ……" ซินเหยาไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวเขาในฐานะอะไรดี จะบอกว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายพ่อก็ไม่ใช่ เพราะนามสกุลก็ไม่ได้เหมือนกัน เฮ้ออ

จิงเฉินหยุดคำพูดของจิงเฉินและพูดขึ้นแทนว่า : "ผมเป็นแฟนเธอเองครับ"

ซินเหยา : ……

ป๊ะป๋าคุณบอกว่าคุณเป็นแฟนฉัน แต่ฉันยังไม่รู้เลยนะคะ

สีหน้าของคุณยายเฟยดูอิ่มเอมไปด้วยรอยยิ้ม และดูไปที่จิงเฉินแว้บหนึ่งและพูดขึ้นว่า : "อื่ม ดีดี หนูทั้งสองก็ทั้งสวยทั้งหล่อทั้งคู่ ยืนข้างกันแบบนี้ก็ดูเหมาะกันเอามาก เหมือนกิ่งทองใบหยกจริงๆ คงจะเป็นบุพเพสันนิวาสสินะ"

ซินเหยาหลังจากที่ได้ยินคุณยายเฟยพูดก็ทำเอาเธอไปไม่เป็นเลย เธอจึงได้เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นและพูดว่า : "คุณยายคะ ดึกขนาดนี้แล้วคุณยายมาทำอะไรคะ ทางที่ใช้เดินมาก็ไม่ค่อยจะดี อีกอย่างซูหยวนก็ยังเล็ก คุณยายต้องระวังให้มากๆนะคะ"

"ไม่เป็นไรหรอก ทางนี้ยายคุ้นดี หลับตาเดินมายังได้เลย พวกหนูพึ่งมาถึงคงยังไม่ทันจะได้ทำกับข้าวใช่ไหม ยายทำเผื่อไว้เยอะเลย ไปกินกับยายที่บ้านโน้นนะ" คุณยายเฟยมองไปที่ซินเหยาและพูดขึ้น

เออ……ซินเหยารู้สึกลังเลไปชั่วขณะ เพราะว่าบ้านคุณยายก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย ถ้าเกิดไปกินที่บ้านคุณยายก็รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ

ในขณะที่ซินเหยายังคงครุ่นคิดอยู่นั้น ซูหยวนก็ได้นำมือข้างหนึ่งจับไปที่มือของซินเหยา ส่วนมืออีกข้างก็จับไปที่มือของจิงเฉิน และพูดว่า : "พี่ซินเหยากับพี่จิงเฉินไปกินข้าวบ้านพวกเรานะคะ คุณย่าของหนูทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ"

เธอมองไปที่จิงเฉินและผงกหัวตกลง พร้อมพูดว่า : "ได้ค่ะ งั้นวันนี้พวกพี่จะไปกินข้าวที่บ้านซูหยวนนะคะ รบกวนคุณยายด้วยนะคะ"

"รบกวนอะไรกัน เพิ่มมาสองคนก็เพิ่มตะเกียบมาสองคู่ พวกหนูมากินข้าวเป็นเพื่อนยายกับหนูหยวนหยวนก็ทำให้บรรยากาศมันครึกครื้นขึ้น" คุณยายเฟยพูดขึ้น

หนูน้อยซูหยวนไม่ได้สนใจที่จิงเฉินจะหน้าเย็นชาเลย เธอชอบเล่นกับจิงเฉินเอามาก

อายุน้อยขนาดนี้ก็รู้จักดูคนหล่อแล้วหรอ โลกของเด็กๆตอนนี้ก็กลายเป็นโลกที่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกไปแล้วหรือไงกัน

"พี่จิงเฉินคะ พี่จิงเฉินทำงานอะไรหรอคะ? ร้องเพลงอยู่ในทีวีรึปล่าวคะ?" ซูหยวนลากเก้าอี้เล็กๆตัวหนึ่งมานั่งข้างๆจิงเฉิน เงยหัวขึ้นและถามเขา

ในโลกของเด็กผู้หญิงนั้น คนที่หล่อคนที่สวยต่างก็ต้องไปอยู่ในทีวีหมดแหละ

"ไม่ใช่ครับ" ใบหน้าของจิงเฉินยังมีความเย็นชา แต่แววตาของเขามันดูอบอุ่นขึ้นมากว่าเมื่อกี้

เมื่อเห็นหน้าของซูหยวน ก็ทำให้จิงเฉินคิดถึงเด็กสองคนนั้นที่ตนเจอที่สนามบินและโรงเรียนครั้งก่อน เวลาก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงจริงๆว่าเขายังจำหน้าเด็กสองคนนั้นได้อย่างแม่นยำชัดเจน เมื่อคิดถึงเด็กสองคนนั้นที่คนหนึ่งน่ารัก ส่วนอีกคนนิ่งๆขรึมๆมันก็ทำให้ใจและแววตาของจิงเฉินดูอบอุ่นนุ่มนวลขึ้นมาเอามาก

ถ้าเกิดว่าถึงวันที่โรงเรียนจัดงานกีฬาสีประจำฤดูร่วงก็อาจจะได้เห็นหน้าเด็กที่น่าสนใจสองคนนั้นแล้ว

ซินเหยาช่วยคุณยายเฟยยกอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ เมื่อเธอเหลือบไปเห็นสายตาของจิงเฉินที่มีความนุ่มนวลอบอุ่น ใจเธอก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาชอบซูหยวนขนาดนี้เลยหรอ? ไม่รู้ว่าถ้าเขาเจอลั่วหลิงกับเข่อหลานแล้วจะชอบพวกเขาแบบนี้ด้วยหรือป่าว?

"งั้นพี่จิงเฉินทำงานอะไรคะ?" ซูหยวนถามขึ้น

"หนูซูหยวน หนูเรียกพี่เขาผิดแล้ว หนูต้องเรียกว่าคุณลุงจิงเฉิน ไม่ใช่เรียกพี่"

ตอนที่ซินเหยาเอาอาหารมาวางที่โต๊ะก็ได้แกล้งจิงเฉินไปหนึ่งดอก เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน หรือว่าเธอจะอิจฉาที่จิงเฉินแสดงแววตาที่นุ่มนวลอบอุ่นนั้นกับซูหยวน? แต่สายตาแบบนี้ไม่เคยมีต่อเข่อหลานและลั่วหลิง?

ซินเหยาเธอคิดแบบนี้ไม่ได้นะ จิงเฉินยังไม่รู้เลยว่าลั่วหลิงและเข่อหลานมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เป็นเธอเองหรอกหรอที่ซ่อนปกปิดอย่างสุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้เขารู้?

"ผู้ชายที่แก่แบบนี้ ก็ควรที่จะเรียกว่าคุณลุง" ซินเหยาพูดให้ซูหยวน

"พี่จิงเฉินไม่ได้แก่นะคะ พี่จิงเฉินหนุ่มมาก ซูหยวนชอบค่ะ!" ซูหยวนพูดดื้อดึง

จิงเฉินมองไปที่ซินเหยาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตอนนี้ซินเหยาชาไปทั้งตัว จากนั้นเธอจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆเพื่อแก้สถานการณ์และพูดว่า : "หึหึ พี่ซินเหยาแค่พูดเล่นหน่า พี่จิงเฉินไม่ได้แก่เลย อีกอย่างเขายังเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลกด้วย"

"ใช่ค่ะ" ซูหยวนผงกหัวอันเล็กๆของเธอ แสดงให้เห็นว่าเธอเห็นด้วยกับที่ซินเหยาพูดไปเมื่อตะกี้

ซินเหยาจับไปที่จมูกของตัวเองและลูบไปลูบมา และเดินเข้าครัวไปเพื่อไปช่วยคุณยาย

คุณยายให้ซินเหยาออกไปเล่นกับพวกเขาอยู่ข้างนอก ตรงนี้ไม่ได้ต้องการให้เธอช่วยอะไรเลย แต่ซินเหยาก็ยังขออยู่ต่อในนี้เพื่อที่จะฝึกฝีมือการทำอาหารจากคุณยาย

ใครจะโง่ออกไปข้างนอกให้ไปเจอใบหน้าที่เย็นชาของจิงเฉินล่ะ ใบหน้าที่เหมือนคนอื่นกำลังติดหนี้เขาอยู่แปดล้านยังไงยังงั้น ถ้าออกไปก็เจ็บใจเปล่าๆนะสิ

มื้อค่ำวันนี้มันดูตระการตาและเยอะเป็นพิเศษ แต่วิธีทำก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย ก็เป็นกับข้าวบ้านๆธรรมดาๆทั่วไป

มีซุปไก่ตุ๋นเห็ดหอม เนื้อไก่ผัดพริกหยวก ไข่ทอด หมูแดดเดียว และยังมีผัดผักกวางตุ้ง

ตึกของคุณยายเฟยมีสามชั้น มันเพียงพอที่จะให้จิงเฉินและซินเหยาอยู่มากๆ

คุณยายเฟยได้เก็บกวาดห้องนอนสองห้องที่อยู่ติดกันให้พวกเขา และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้สะอาดใหม่ทั้งหมด ถึงแม้ว่าห้องพวกนี้จะเทียบกับโรงเเรมระดับหกดาวไม่ได้ แต่มันก็รู้สึกอบอุ่นและดูแล้วสบายเอามากๆ ซินเหยาก็รู้สึกพอใจกับบ้านน้อยๆหลังนี้เป็นไหนๆ และจิงเฉินก็ไม้ได้แสดงความไม่พอใจต่างๆออกมาต่อคนแก่เลย

ตอนนี้ก็ถึงช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ฟ้าก็ค่อนข้างที่จะมืดเร็วกว่าปกติ

ร่างกายของเขาอยู่ใต้เงาของความมืดสะลัว เพิ่มความน่าค้นหาเป็นไหนๆ แสงไฟที่ใกล้จะมืดค่ำ มันก็ทำให้เขาหล่อขึ้นไปอีก

ปีศาจร้าย……เป็นปีศาจร้ายจริงๆ

คนธรรมดาที่ถึงแม้จะบำเพ็ญมาตลอดทั้งชีวิตก็ยังสู้ปีศาจร้ายที่หล่อเหลาเหมือนเขาไม่ได้ กระดูกเรียวยาวสวยงามที่แสดงออกมาให้เห็นนั้นเป็นพวกปีศาจจริงๆ ปีศาจที่หล่อมากจริงๆ นี่มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ก็เพราะเป็นแค่ใบหน้าที่หล่อเหลาของจิงเฉินเพียงอย่างเดียว ไม่สนว่าเขาจะมีนิสัยแย่ขนาดไหนก็สามารถที่จะเย้ายวนพวกผู้หญิงให้คุกเข่าขอร้องในความหล่อของเขาได้ ฮีๆ โลกนี้มันไม่ยุติธรรม

อีกอย่างป๊ะป๋าไม่ได้แค่หล่อนะ เขายังรวยอีกต่างหาก ติดอยู่ที่เขาเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย

มันเหมือนกับหนังนิยายรักเรื่อง《ท่านประธานที่เอาแต่ใจตกหลุ่มรักฉัน》ในชีวิตจริงเอามาก การได้กินจิงเฉิน มันเป็นเรื่องที่โชคดีกว่าถูกหวยเป็นล้านเท่า

ซินเหยายืนอยู่ใต้แสงไฟ มองจิงเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยน้ำฉ่ำๆ สายตานี้ไม่อาจละจากเขาออกไปได้จริงๆ

จิงเฉินเหงยหน้าขึ้นแสดงให้เห็นถึงคิ้วที่ขมวดและมีรอยตีนกาบนหน้าผาก เห็นได้ชัดเจนว่าอารมณ์เขาไม่ได้ดีขนาดนั้น พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นๆว่า : "คืนนี้กินอะไร? ตอนนี้2ทุ่มแล้ว"

ซินเหยายกมือเช็ดไปที่ปากของตัวเอง ยังดีที่น้ำลายยังไม่ไหลออกมาจากการดูป๊ะป๋าเมื่อกี้

เธอนำเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้จิงเฉินใส่ไปในตู้เสื้อผ้าของเขาอย่างเป็นระเบียบ และตั้งสติของตัวเองขึ้น

ใจที่เต้นรัวของเธอไม่ใช่เป็นเพราะความหล่อของป๊ะป๋า เเต่เป็นเพราะเธอลืมเรื่องข้าวมื้อค่ำนี้ไปอย่างสนิทต่างหาก เรื่องนี้จะโทษเธอก็ไม่ได้นะ เพราะตั้งแต่ลั่วหลิงและเข่อหลานได้3ขวบ เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องมื้อเย็นอีกเลย บางครั้งก็ออกไปทานข้างนอกถ้าไม่ได้จริงๆ

แต่สองวันมานี้สถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนไปหมด สมองของเธอก็ยังปรับมาไม่ค่อยทัน เพราะงั้น……แม่เจ้า เธอลืมเรื่องข้าวมื้อเย็นไปหรอ?

ไม่รู้ว่าถ้าเธอบอกจิงเฉินว่าเธอลืมเตรียมข้าวมื้อเย็นและให้กินมาม่าอีกหนึ่งมื้อ โอกาสที่เธอจะโดนจิงเฉินตีตายคามือเขามีแค่ไหนกันเชียว?

"หึหึ……" เธอยิ้มไปแบบเจื่อนๆ และปิดตู้เสื้อผ้าลงอย่างเบาๆ หันหลังมาและเดินไปหาจิงเฉิน ดึงไปที่เสื้อของจิงเฉิน รอยยิ้มมีความเขินอายอยู่ภายใน และพูดอย่างติดๆขัดๆไม่เป็นธรรมชาติกับจิงเฉินว่า : "จิงเฉิน วันนี้ฉันยุ่งมากจริงๆ จึงลืมเรื่องมื้อเย็นนี้ไปอย่างสนิท เอางี้ไหม วันนี้เรากินมาม่าอีกหนึ่งมื้อ พรุ่งนี้ฉันจะทำของอร่อยๆให้คุณเลย ถ้าเกิดคุณไม่ชอบรสครั้งก่อน เราสามารถกินรถเผ็ดเปรี้ยวแซ่บได้ หรือจะเป็นรสต้มยำทะเล รสเห็ดหอมก็ยังได้"

จิงเฉินเพียงแค่มองเธออย่างนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรออกมา

รอยยิ้มบนหน้าของเธอมันยิ่งเพิ่มความอายแบบไปไม่ถูกขึ้นอีก จากนั้นจึงเขย่าไปที่แขนของจิงเฉินไปมาและพูดว่า : "จิงเฉิน โอเครไหมมม"

แม่เจ้า เธอพึ่งค้นพบว่าสกิลการแสดงของเธอนี่มันสูงจริงๆ ความแอ๊บแบ๊วเขินอายเมื่อกี้มันเข้ากันมากจริงๆ เป็นสกิลการแสดงที่ไม่อาจมีใครเทียบได้ ตอนนี้เธอรู้สึกขยะแขยงอยากอ้วกกับการแสดงของตัวเองเอามากๆ ถ้าอีกหน่อยเธอไม่มีความอยากจะทำอาชีพออกแบบแล้วล่ะก็ ก็ขอให้ไปหาฉีฉีเพื่อรับบทเป็นนักแสดงเถอะ

แต่ว่าความเขินไปไม่ถูกเมื่อกี้มันมีจริงๆนะ เพราะป๊ะป๋าพึ่งอาบน้ำเสร็จ ตัวเขามีกลิ่นหอมของแชมพูมะละกอลอยมา มันเย้ายวนเอามากๆ บวกกับเสื้อยืดสีขาวท่อนบนที่เธอซื้อให้ ท่อนล่างเป็นการเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มรัดรูปธรรมดา มันยั่วยวนน้ำลายไหลเอามากจริงๆ

ที่แท้ก็ต้องแต่งตัวดี แต่ประเด็นอยู่ที่เบ้าหน้าต้องดีตามด้วย

"ไม่" จิงเฉินแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมา พร้อมสบัดมือของซินเหยาที่จับอยู่ที่แขนตัวเองออก และพูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า : "ถ้าเกิดคืนนี้ผมไม่สามารถกินของที่ผมอยากกินแล้วล่ะก็ ผมก็จะกินคุณแทน"

ป๊ะป๋า ใบหน้าหล่อเหลาของคุณพูดคำที่บ้ากามพวกนี้ออกมา มันดูไม่เหมาะกันเลยนะ

"เกลียดที่สุด ทำไมต้องมาทำให้เค้าตกใจด้วยลาาา" ซินเหยากลืนน้ำลายลงหนึ่งอึก แอ๊บทำเป็นแข็งทื่อและพูดขึ้น

จิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างคิดไม่ซื่อและพูดว่า : "ไม่เชื่อก็ลองดู"

แม่เจ้า ดอกบัวอันบริสุทธ์ขาวใสอย่างเธอยังก็ไม่สามารถที่จะโน้มน้าวป๊ะป๋าได้งั้นหรอ? แสดงว่าป๊ะป๋าไม่ได้ชอบดอกบัวบริสุทธ์แอ๊บแบ้วขาวใสงั้นสิ!?

"แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย" ซินเหยาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแค่ถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นจึงหันหลังและวิ่งออกไป

วิ่งจากชั้นสองถึงสวนหน้าบ้าน เฮ้ออ อยากด่าที่ตัวเองโง่จริงๆ

เธอก็น่าจะวิ่งเข้าห้องข้างๆที่เป็นห้องของตัวเองและล็อกประตูไว้ก็จบเรื่อง แต่นี่เล่นวิ่งลงมาชั้นหนึ่งเลยหรอ เฮ้อออ ไม่ไหวจริงๆ

ขาของเธอก็ไม่ได้ยาวเท่าป๊ะป๋า จะวิ่งหนีเขาทันได้ไง

สุดท้ายป๊ะป๋าก็ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว อีกอย่างยิ่งวิ่งยิ่งเร็ว

แม่เจ้า แรงม้าขนาดนี้ อยากจะบินไปดวงจันทร์หรือไงกัน?

"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย จะฆ่ากันแล้ว ช่วยด้วย มีคนจะข่มขืนฉันค่ะช่วยด้วยยยยย!!!!" ซินเหยาวิ่งไปหลบไปและตะโกนไป

แขนที่สุดแสนจะยาวของจิงเฉินในที่สุดก็จับและลากซินเหยาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองไว้ได้สำเร็จ จิงเฉินที่กำลังใช้มือกอดไปที่เอวของซินเหยาเหมือนจะกินเธอเข้าไปอย่างไงยังงั้น มือของเขาที่กอดเอวเธออยู่ก็ทำให้เธอเจ็บจนตาแดงก่ำไปหมด

จิงเฉินบีบไปที่คางของซินเหยา ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกได้ถามออกมาว่า : "ฆ่าคน? ข่มขืน?"

ซินเหยาใกล้จะร้องไห้ออกมาจริงๆแล้ว เมื่อกี้ทำไมต้องพูดออกไปพล่อยๆแบบนั้นด้วยนะ แววตาเธอตอนนี้ที่มีน้ำใสๆกลิ้งไปกลิ้งมาพูดขึ้นว่า : "เมื่อกี้ฉัน……"

"นังหนูน้อย เธออยู่รึปล่าว?"

เมื่อได้ยินเสียงที่ส่งมาจากข้างนอก เธอดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาทีเดียว

"อยู่ค่ะ……อยู่ค่ะ" ซินเหยาไม่ได้อธิบายให้จิงเฉินฟังต่อ เพียงแค่หันหัวไปตอบเสียงที่ถามเข้ามาจากข้างนอก

"งั้นฉันเข้าไปล่ะนะ"

"ค่ะ ได้ค่ะ เข้ามาเลยค่ะ"

ซินเหยาปัดมือของจิงเฉินที่กำลังจับอยู่ที่คางเธอลง ตอนนี้คางเธอแดงและเจ็บไปหมด เธอสงสัยว่ามันถลอกแล้วหรือป่าว จากนั้นก็ปัดมือจิงเฉินออกห่าง แต่ปัดออกไม่ไหวเพราะสู้แรงเขาไม่ได้

"อย่าเล่นเป็นเด็กไปเลย มีคนมา จะให้เขามาเห็นสภาพนี้ก็คงไม่ดี เดี๋ยวฉันจะโดนเม้าท์" ซินเหยาพูดกับจิงเฉินด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

จิงเฉินไม่ได้ปล่อยมือที่กอดอยู่ที่เอวของซินเหยาออก แต่กลับกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก และพูดว่า : "กล้ามากเลยสินะ คิดว่ามีคนเข้ามาช่วยก็จะไม่สนไม่กลัวผมแล้วหรอ?"

"เอาหล่ะ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เช้า นอนอีกสักนิดเถอะ" ซินเหยาหลบสายตาของตัวเองออกและพูดขึ้น

ทั้งสองต่างไม่ได้พูดอะไร ต่างนอนหลับกะเฝ้าพระอินทร์กันอีกรอบ

ตอนที่ตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว

ซินเหยาตอนนี้ไม่กล้าที่จะออกไปกินข้าวแล้ว เธอจึงซื้อมาม่ามาสองกล่อง ฝืนใจกินมันลงไป

จิงเฉินหลังจากที่เห็นกล่องมาม่าแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นและแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจกับมื้อเที่ยงวันนี้เอาซะเลย

"มื้อเที่ยงกินพวกนี้หรอ?" จิงเฉินมองดูกล่องมาม่าอย่างรังเกียจและพูดกับซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

ซินเหยายืมกาน้ำร้อนจากเถ้าแก่และเทน้ำร้อนลงไป ตามด้วยเครื่องปรุง และมองไปที่จิงเฉินด้วยสีหน้าที่ไม่จอยเหมือนกันพร้อมพูดขึ้นว่า : "ท่านประธานคะ คุณหัดพอใจบ้างเถอะค่ะ ค่าใช้จ่ายที่นี่สูงขนาดนี้ บนตัวคุณก็ไม่มีเงินสดอยู่สักนิด ถ้าเกิดใช้เงินหมด อีกหน่อยเราคงจะต้องยืนอยู่หน้าโรงแรมอ้าปากรับประทานลมแทนแล้วค่ะ"

สรุปคำเดียว : ไม่มีเงินก็เงียบปากไป

ความหอมของมาม่านั้นได้ลอยออกมาเร็วมาก

ซินเหยาเปิดฝาที่ครอบไว้ออก สูดดมกลิ่นเข้าไปอย่างลึกที่สุด มันหอมเอามากๆ

"เสร็จแล้ว ชิมหน่อยสิ มันอร่อยมากนะ" ซินเหยายนำกล่องมาม่ากล่องหนึ่งวางไว้ข้างหน้าของจิงเฉิน และพูดให้เขากินว่า : "นี่เป็นมาม่าศิษย์พี่คังเลยเชียวนะ เป็นรสชาติที่อร่อยถึงระดับนานาชาติทีเดียวเชียว มันคู่ควรกับคนอย่างท่านประธานที่สูงสง่าอยู่ เชื่อฟังหน่อยคะ รีบกินซะ เดี๋ยวเส้นอืดแล้วจะไม่อร่อย"

จิงเฉินหยิบกล่องมาม่านั้นขึ้นมาแบบไม่เต็มใจ และพูดว่า "คืนนี้ผมไม่กินมาม่าอีกแล้วนะ"

ซินเหยาไม่ได้ตอบกลับเขาอะไร ในใจคิดเพียงแต่ว่า : ไม่กินก็ดี จะได้ประหยัดไปอีกนิด

มาม่าศิษย์พี่คังรสนี้ กล่องนึงตั้ง3.5หยวนเชียวนะ

ซินเหยาเป็นหมูตะกละที่ไม่เลือกกินเลย พูดง่ายๆคือเธอเหมือนโถใส่ข้าวมากกว่า

ถึงจะกินมาม่าราคา3.5หยวน เธอก็ยังสามารถที่จะกินได้อย่างเอร็ดอร่อย

ตอนแรกจิงเฉินแค่มองดูอาหารขยะพวกนี้ก็ไม่มีความอยากเเล้ว แต่ว่าเห็นซินเหยากินได้อย่างเอร็ดอร่อยขนาดนั้น น้ำย่อยในกระเพาะของเขาก็เริ่มที่จะทำงาน รู้สึกว่าที่จริงมาม่าก็ไม่ได้กินยากอะไรมากมาย

แต่เมื่อเอาเข้าปาก รสชาติสารกันบูดที่ใส่เข้ามาในมาม่ามันทำให้ไม่สามารถกินได้อย่างอร่อยจริงๆ

เขามองซินเหยาที่กำลังกินได้อย่างอร่อยด้วยความแปลกใจ เขาขยับใกล้ซินเหยามากขึ้น ในตอนที่ซินเหยากำลังคีบเส้นมาม่าขึ้นมากำลังจะเอาเข้าปากอยู่นั้น เขาก็ตะคลุบกินเส้นพวกนั้นที่ข้างปากของซินเหยาอย่างทันที

ซินเหยามองไปที่เขาด้วยความโกรธและลำคาญ

"คุณทำอะไรหน่ะ?" ซินเหยามองไปที่จิงเฉินด้วยความไม่พอใจ เดี๋ยวจะกินคุณลงแทนล่ะนะ

จิงเฉินพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า : "ผมคิดว่ามาม่าของคุณอร่อยกว่าของผม แลกกัน"

ป๊ะป๋า คุณกล้าเอาแต่ใจตัวเองกว่านี้อีกรึปล่าว?

มาม่าที่พวกเขากินก็ราคา3.5หยวนเหมือนกัน น้ำที่ใช้ต้มก็มาจากที่เดียวกัน แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ของเธออร่อยกว่า?

พูดไปเรื่อย ฉันเรียนหนังสือมาน้อย อย่ามาหลอกฉันเล่นเลย

เธอนิ่งคิดไปสักพัก เธอกินไป4คำแล้ว แต่ป๊ะป๋าพึ่งกินไปหนึ่งคำ ถึงจะมีน้ำลายของป๊ะป๋าในนั้นอยู่หน่อยๆ มันก็น่าจะคุ้มกว่าอยู่ดี

เธอเอามาม่าของตัวเองให้จิงเฉิน และเอามาม่าของจิงเฉินมาอยู่ในมือของตัวเองอย่างทันที

จัดการกับเส้นมาม่าพวกนี้อย่างรวดเร็ว อีกอย่างยังซดซุปไปซะหมดเลย

เธอเลียไปที่ริมฝีปากของตัวเอง ไม่ว่าจะกินมาม่าสักกี่ครั้ง เธอก็คิดอยู่เสมอว่าซุปของมาม่าอร่อยกว่าเส้นมาม่าเป็นไหนๆ

จิงเฉินก็กินของตัวเองไป แต่เมื่อเห็นซินเหยาซดซุปมาม่าหมดเกลี้ยง และยังแลบลิ้นออกมาเลียไปที่ริมฝีปากของตัวเอง ดูท่าแล้วเหมือนเธอจะกินไม่อิ่ม เขาจึงเอาน้ำซุปที่เหลือของตนเองให้ซินเหยาและพูดว่า : "อ่ะ น้ำซุปนี้ให้เธอซด"

ซินเหยา : ……

แม่เจ้า คนที่รวยๆทำไมถึงทำตัวไม่เหมือนมนุษย์เอาซะเลย นี่มันหยามกันชัดๆ เธอคงไม่ยอมซดซุปนั้นโดยการแลกกับศักดิ์ศรีของเธอหรอก

ถ้ามีปัญญาก็เอาเงินหมื่นหนึ่งมาบอกให้เธอกินสิ

เธอตัดสินใจยืนอยู่อย่างนิ่งๆ ให้ป๊ะป๋าทำตัวทรามต่อไปไม่สนใจ

เธอกับป๊ะป๋าไม่รู้เลยว่าจะต้องอยู่ที่ชนบทนี้อีกนานเท่าไหร่ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะแกะรอยได้ บัตรเครดิตต่างๆก็ไม่สามารถที่จะใช้ได้ ใช้ได้เพียงแค่เงินสดเท่านั้น

แต่ว่าในยุคนี้ใครออกบ้านก็แทบจะไม่พกเงินสดกันทั้งนั้น แล้วตอนนี้จะให้ทำอย่างไร เห้อออ

ถึงแม้ว่าจิงเฉินจะเป็นคนที่พกบัตรเครดิตเป็นล้านออกมาแต่ตอนนี้มันก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้พวกเขายากจนตกอับมากจริงๆ

เงินสดบนตัวของซินเหยาก็ไม่ได้มีเกิน500 ตอนนี้เงินที่ใช้กินใช้อยู่ต่างก็มาจากเงินที่พวกเขาขายดอกได้ และมีเงินสดส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้เอาไปเข้าธนาคาร ตอนแรกคิดว่าอยู่ที่นี่แบบฟุ่มเฟือยหน่อยๆก็ยังแบกรับค่าใช้จ่ายได้ แต่ว่าถ้านานวันเข้า เธอกับป๊ะป๋าคงจะต้องไปนอนในทุ่งนาจริงๆแล้วมั้งเนี่ย?

ซินเหยาคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือหาห้องสักห้องเช่าอยู่

ถ้าอยู่โรงแรมนี้ต่อ ไม่ใช่แค่พื้นที่คับแคบ แต่วันหนึ่งตั้ง200หยวย หนึ่งเดือนก็ปาไป6000แล้ว อีกอย่างยังนอนเตียงเดียวกับจิงเฉินอีก วันดีคืนนี้เกิดเลือดสัตว์ป่าพุ่งพล่านขึ้นมาอีกคงจะไม่ดีแน่

ถ้าเกิดว่าไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอก ทั้งสองยังจะสามารถทำกับข้าวกินเองได้

ถ้าไปกินข้างนอก ค่าใช้จ่ายมันก็สูงจริงๆ

ก็เหมือนกับครั้งก่อนที่ไปกินร้านเถื่อนนั้น จานหนึ่งที่มีเนื้อก็ปาไปเกือบ150 ส่วนที่เป็นเจก็เกือบ100 ถ้าเกิดพวกเขาทำเอง คงจะไม่โอเวอร์เกินเบอร์ขนาดนี้แน่

สรุปคือ ออกไปเช่าบ้านข้างนอกดีกว่า

หลังจากกินข้าวเสร็จจิงเฉินก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ซินเหยาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขาโตขนาดนี้แล้วคงจะไม่เดินหลงไปที่ไหนมั้ง

เธอคุยกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่นาน ปากหวานๆอย่างเธอก็รู้อะไรจากปากของเถ้าแก่มาไม่น้อย

ก่อนที่ฟ้ายังไม่ทันจะมืด เธอเจอตึกหนึ่งที่อยู่ท้ายซอยเข้า เป็นตึกเล็กๆที่มีสวนอยู่หน้าบ้าน มันไม่ได้ดูทันสมัยเท่าไหร่ แต่มันดีตรงที่มีเนื้อที่กว้างขวางและยังสะอาดอีกด้วย

จากที่เถ้าแก่เนี้ยบอกมาว่าคนที่อยู่บ้านนั้นเป็นยายหลานสองคน เมื่อก่อนลูกชายเขากับภรรยารับจ้างอยู่ข้างนอกและเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ก่อนที่จะจากไปนั้นได้สร้างบ้านหลังนี้ไว้ แต่เงินที่ใช้สร้างยืมคนอื่นมา ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเด็กนั้นจากไป เด็กสาวที่อยู่ในบ้านนั้นก็เป็นเด็กไม่มีพ่อแม่ ถึงแม้จะคืนหนี้ไปได้บางส่วนอย่างทุลักทุเล แต่ก็ยังมีที่ติดคั่งค้างอีกส่วนหนึ่ง พวกเขาใช้ชีวิตอย่างลำบากเอามากจริงๆ

ถ้ามีแค่ยายหลานสองคน งั้นชั้นสามก็ยังจะเช่าไม่เต็มสินะ

ในความคิดของซินเหยาก็คืออยากจะเช่าตึกนี้อยู่ ทั้งสามารถแก้ไขปัญหาไฟที่กำลังลนตูนเธอ และยังสามารถทำให้ชีวิตของสองยายหลานนั้นดีขึ้นมาบ้าง

เด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อเฟยซูหยวน เธอมีใบหน้าที่ใสสะอาด มีปากเล็กๆที่กระจับชมพูและดวงตาที่ค่อนข้างจะใหญ่ ถึงจะไม่ได้สวยอะไรมาก แต่เธอก็ดูน่ารักเอามากๆ ส่วนคุณยายเฟยก็อายุ70กว่าแล้ว แต่ก็ยังดูแข็งแรงร่าเริงดี ทั้งสองยายหลานอยู่ด้วยกันถึงจะรักกันมาก แต่มันก็ดูสงสารเอามากเหมือนกัน

ซินเหยาถึงแม้จะเป็นคนรักเงิน เเต่เธอก็ไม่ได้เป็นคนเลว เธอไม่มีวันไปเอาเปรียบสองยายหลานนี้อย่างแน่นอน

"หม่ามี๊ ผมรบกวนการนอนของหม่ามี๊รึปล่าวครับ?" เสียงที่อ่อนนุ่มแต่สุขุมของลั่วหลิงส่งผ่านออกมาจากมือถือ เสียงในนี้ต่างจะเสียงจริงหน่อย แต่ซินเหยาก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของลั่วหลิง

แน่นอนว่ารบกวนแน่สิ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น

"ลั่วหลิงลูกรัก ทำไมลูกถึงตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะ นี่ยังห่างจากเวลาที่ต้อง

ไปโรงเรียนอยู่มากนะ ทำไมไม่นอนให้อิ่มกว่านี้ล่ะคะ แล้วจะตัวสูงไหมล่ะทีนี้" ซินเหยาปิดประตู และเดินออกไปนอกโรงแรม ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มจะสว่างอรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน เหมือนกำลังแสดงให้เห็นถึงการต้อนรับวันใหม่สินะ

(นี่เป็นประเด็นที่บอกหรอ?)

"ผมมีเรื่องที่จะคุยกับหม่ามี๊ครับ" เสียงของลั่วหลิงที่ดูจริงจังพูดขึ้น

ซินเหยารู้นิสัยของลูกตัวเองดี เขาไม่เคยพูดไปเรื่อยตีไข่ใส่นมใดๆทั้งสิ้น เวลานี้โทรมาไม่ได้โทรมาบอกแค่ว่าพวกเขาคิดถึงหม่ามี๊แน่ๆ

"ฮึ? มีอะไรหรอ? " ซินเหยาถามกลับอย่างจริงจัง

เธอค่อนข้างที่จะเคารพลั่วหลิงมาก ไม่ค่อยแอ๊บกับเขาเหมือนเด็กทั่วไปที่เธอพบ ในเมื่อลูกน้อยของเธอมีเรื่องที่พูด เธอก็จะฟังมันอย่างตั้งใจ

"หม่ามี๊และจิงเฉินอยู่ที่ชนบทนั้นไม่ก่อน ยังไม่รีบกลับมา และไม่ต้องติดต่อกับโลกภายนอกด้วย" ลั่วหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งและดูจริงจังเอามาก

เมื่อได้ยินลูกน้อยของเธอพูดเช่นนี้ซินเหยาก็คิดว่าต้องเกิดเรื่องแปลกๆขึ้นแน่

"ทำไมหรอ?" ซินเหยาถาม

"เพราะคนที่ออกไปสำรวจที่ชนบทกับเราได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ชนกับรถบรรทุกขนาดใหญ่คันหนึ่งเข้า ทำให้มีคนตายในที่เกิดเหตุสองคน และตายตอนช่วยชีวิตอีกหนึ่งคน คนที่เหลือกำลังช่วยชีวิตอยู่ ตอนนี้ข่าวที่เกิดขึ้นโดนปิดเอาไว้หมด" ลั่วหลิงพูด

มือตอนนี้ของซินเหยาจับมือถือไปด้วยความสั่นเครือ เมืองHที่บรรยากาศสวยงาม สายลมแสงแดดแม่น้ำดีขนาดนี้ทำไมตอนนี้จึงทำให้เธอรู้สึกถึงความหนาวสั่นจากท่อนล่างขึ้นบนได้?

ลั่วหลิงเพียงแค่กำลังพูดความจริงให้เธอพัง แต่ว่ากลับเล็ดลอดรายละเอียดต่างๆให้เธอไปมากด้วย

ถ้าเกิดว่าตอนนั้นไม่ได้เกิดเรื่องต่างๆที่เป็นเรื่องบังเอิญพวกนี้ขึ้น คนที่จากไปก่อนคงจะเป็นซินเหยาและจิงเฉินแทนแล้วมั้ง ตอนนี้พวกเขาอาจจะลอยอยู่ในทะเลเเล้ว ไม่ก็นอนอยู่บนเตียงผ่าตัด

แค่คิดก็เสียวจะแย่

"ค่ะ หม่ามี๊รับทราบแล้ว" ซินเหยาตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ

นอกจากซือชิงแล้วเธอก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆเลย เธอกับซือชิงแค่รู้จักกันโดยบังเอิญเท่านั้น เธอคิดไปคิดมา ตอนนี้เหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่ทำลังทับอยู่กลางอกของอก ทับจนเธอรู้สึกหายใจไม่ออกยังไงยังงั้น

"หม่ามี๊ก็อย่ากังวลใจไปครับ เรื่องทุกอย่างจะสามารถดีขึ้นมาได้ ผมกับน้องจะรอหม่ามี๊กลับมาอยู่ที่บ้านนะครับ" ลั่วหลิงพูดปลอบใจซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่เเข็งทื่อแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่มีต่อแม่ของตน

ซินเหยายิ้มมุมปากขึ้นเมื่อได้ยินคำหวานๆที่ออกมาจากปากของลั่วหลิง เธอจึงรู้สึกดีขึ้นจากเมื่อกี้หน่อยๆแล้ว

"อื่ม เอาล่ะลูกรัก ลูกกับเข่อหลานอยู่บ้านรอหม่ามี๊อย่างเชื่อฟังนะ หม่ามี๊รักพวกหนูตลอดนะ" ซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นจากเมื่อกี้

"ผมก็รักหม่ามี๊ครับ งั้นผมวางสายแล้วนะครับ ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นผมจะติดต่อกลับไป" ลั่วหลิงพูดจบก็วางหู

หลังจากที่วางหูจากสายของลั่วหลิงแล้วนั้น ซินเหยาก็จับไว้มือถือของเธออย่างแน่นด้วยความจิตตก

ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้นะ? ทำไมลั่วหลิงถึงบอกให้พวกเขายังไม่ต้องกลับไปและยังไม่ต้องติดต่อกับคนภายนอกนะ ทำไมกันนะ?

นี่อาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เป็นฝีมือของใครสักคนหรอ?

ทางในชนบทแบบนี้ที่มีแต่ดินโคลนยากต่อการขับขี่ บวกกับทางที่ทุรกันดาร แต่เกิดอุบัติเหตุกับรถบรรทุกแบบนี้ได้ยังไงกันนะ?

ถนนสายนั้นปกติคนก็น้อยอยู่แล้ว รถผ่านไปผ่านแทบจะไม่มี บางครั้งอาจจะมีแค่รถซีดานหรือไม่ก็รถมอเตอร์ไซค์ผ่านไปผ่านมาเท่านั้นไม่ใช่หรอ?

ซินเหยารู้สึกว่าตัวเธอสัมผัสถึงความเย็นยะเยือก เหมือนกับใจของเธอเป็นรูโบ๋และลมสามารถที่จะพัดเข้าไปได้อย่างเต็มเหนี่ยว

ตัวเธอสั่น จึงกอดไปที่เสื้อผ้าของเธอและเดินกลับโรงเเรม

เธอคืนมือถือให้เถ้าแก่เนี้ย หน้าของเถ่าแก่ดูไม่ดีเอามาก ซินเหยาแสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจเหตุผลของเถ้าแก่ เพราะทุกคนต่างก็เจอเรื่องแย่ๆมาเหมือนกัน

เธอกลับถึงห้องและนอนไปที่เตียง แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ

เธอพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่นาน ในหัวคิดแต่เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด

จิงเฉินเห็นเธอพลิกไปพลิกมาก็ลำคาญจึงเอามือกอดไปที่เอวของเธอ ดึงเธอให้มาอยู่ในอ้อมกอดตัวเองและพูดว่า : "นอนดีๆ อย่าวุ่นวาย"

ซินเหยายังรู้สึกไม่ดีอยู่ จึงพลิกกลับไปชนกับหน้าของจิงเฉินและดันเขาออกไปพร้อมพูดว่า : "คุณอย่านอนแล้ว มีเรื่องอะไรจะปรึกษาคุณหน่อย"

"เรื่องอะไร? ค่อยคุยกันพรุ่งนี้" จิงเฉินไม่ได้ลืมตาขึ้นและตอบซินเหยาแบบปัดๆไป

"เรื่องที่สำคัญมาก" ซินเหยาพลักไปที่จิงเฉินอีกครั้งและพูดขึ้นต่อว่า : "คุณรู้ไหมว่าระหว่างทางที่ซือชิงพวกเขากำลังไปที่ชนบท อยู่ๆก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้น ตายไปก็หลายคน ส่วนคนที่เหลือก็บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันทำไมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้ คุณว่านี่มันใช่……"

จิงเฉินลืมตาขึ้นอย่างทันที ตาของเขาสว่างขึ้นมาว๊าบ ไม่เหมือนคนที่พึ่งตื่น

สายตาของเขาคมเอามาก เหมือนเยี่ยวที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าเสาะหาเหยื่อ

"คุณพูดว่าไงนะ?" จิงเฉินถามขึ้นและมองไปที่ซินเหยา

ซินเหยาโดนจิงเฉินทำให้ตกใจไปหนึ่งดอก เธอปรับระดับอารมณ์ตัวเองสักพัก นอนอยู่บนเตียงกับจิงเฉินและหันหน้าชนกันพร้อมพูดขึ้นว่า "ฉันพูดว่า คนที่ออกมานอกสถานที่กับเราที่ไปชนบท ระหว่างทางก็ประสบอุบัติเหตุทางรถบนต์ขึ้น ตายไปก็หลายคน ส่วนที่เหลือก็กำลังรักษาตัวอยู่ในห้องICU และเรื่องพวกนี้ก็ถูกปิดไว้ด้วย เพราะงั้นสถานการณ์ตอนนี้เป็นไงก็ไม่อาจรู้ได้"

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไร มีเพียงแค่มือที่ลูบเบาๆอยู่บนเอวของซินเหยา สายตาของเขาที่กำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากที่บอกเรื่องนี้กับจิงเฉินเธอก็รู้สึกเบาขึ้นมาอีกนิด เหมือนกับก้อนหินเมื่อกี้ที่ตัวเองได้แบกไว้มันถูกยกออกยังไงยังงั้น

ป๊ะป๋าไม่ได้ดูถูกเธอหรอกหรอว่าเธอโง่ เรื่องที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเเบบน้ีก็ยกให้ป๊ะป๋าไปปวดหัวคนเดียวดีกว่า อีกอย่างเซ้นส์เธอบอกว่าเรื่องนี้จะต้องพุ่งเป้ามาที่ป๊ะป๋าแน่ๆ

ความคิดของซินเหยาได้หยุดชะงักเมื่อจิงเฉินถามขึ้นว่า : "เมื่อกี้ใครโทรมาหาคุณ?"

"เพื่อนคนหนึ่ง ทำไมหรอ?" ซินเหยาใจเต้นรัวขึ้น แต่สีหน้าเธอยังคงนิ่งๆอยู่

"ไม่มีอะไร"จิงเฉินมองซินเหยาด้วยสายตาที่ครุ่นคิดอะไรสักอย่าง และถามต่อว่า : "เขายังพูดอะไรอีกรึปล่าว?"

"เขาบอกให้เราอยู่ตรงนี้ไปสักพักก่อน ไม่ต้องรีบกลับไป และไม่ต้องติดต่อกับคนภายนอก" ซินเหยาตอบกลับด้วยสติที่เธอหลงเหลืออยู่

"เขารู้ได้ไงว่าเราอยู่ที่นี่? และยังมีเบอร์โทรของเถ้าแก่ที่นี่?" จิงเฉินหรี่ตาถามซินเหยา

ซินเหยากัดไปที่ริมฝีปากของตนเองและจ้องไปที่ป๊ะป๋าพร้อมพูดว่า : "ประเด็นมันไม่ใช่อยู่ตรงนี้ ประเด็นอยู่ที่ฉันเชื่อเขา เขาไม่มีวันทำร้ายฉันแน่นอน"

จิงเฉินนิ่งเงียบไปไม่พูดอะไร เพียงแต่ใช้สายตาที่เหมือนกับเครื่องเอกซเรย์กำลังสแกนไปบนใบหน้าของซินเหยา

นัยตาและหางตาของซินเหยาตอนนี้รู้สึกมันจะแดงหน่อยๆ บวกกับสภาพที่ดูอ่อนระทวยของเธอ มันสามารถที่จะปลุกความเป็นชายและเลือดสัตว์ป่าของผู้ชายได้เป็นอย่างมาก

ผู้ที่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องเพศต่างๆอย่างจิงเฉิน แต่ตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับซินเหยา มันสามารกระตุ้นไฟอันเร้าร้อนโชกโชนในตัวเขาได้ เธอก็แค่หายใจแบบเบาๆเซ็กซี่ๆก็ทำให้น้องน้อยของจิงเฉินรู้สึกอยากปลดปล่อยออกมาผยองเดชเป็นไหนๆ

"หยุดเลยค่ะ" ซินเหยาดันอกของจิงเฉินออกด้วยความอิดโรย ที่จริงในใจเธอรู้สึกอยากปฏิเสธจริงๆ แต่ว่าเพราะด้วยความอิดโรยหมดแรงของเธอทำให้การกระทำของเธอมันยิ่งดูเหมือนเล่นตัวอยู่อย่างไงยังงั้น ยิ่งห้ามยิ่งยั่วยวนเข้ามา

มือของจิงเฉินไม่ได้หยุด พูดเพียงแค่ว่า : "อยู่ดีๆ เชื่อฟังหน่อย"

เชื่อฟังหาปู่ทวดนายหรอ? ถ้าเกิดว่ามีผู้ชายคนหนึ่งทับอยู่บนตัวคุณและพร้อมจะระเบิดถังทองของคุณ คุณจะยังสามารถอยู่นิ่งๆเชื่อฟังๆได้หรอ?

"คุณไม่ได้ชอบฉันไม่ใช่หรอคะ แล้วจะทับฉันไว้ทำไม?" ซินเหยาไม่มีทางต่อกรกับเขาได้เลย เพียงแค่พูดขึ้นเพื่อให้เขาคิดได้และปล่อยเธอออกเอง

จิงเฉินจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ตัวเองได้กินเนื้อคือตอนไหน ตอนนี้เนื้อชิ้นนี้ได้ว่าอยู่ที่ข้างปากของเขาแล้ว สุนัขหมาป่าอย่างเขาคงไม่คายเนื้อนี้ออกมาง่ายๆแน่ เพียงแค่พูดว่า : "ร่างกายของคุณ ผมยังชอบมันอยู่"

ความบ้ากามบนตัวคุณมันทำให้คนไม่สามารที่จะมองได้ด้วยตาเปล่าจริงๆนะป๊ะป๋า

"ฮัลโหล……ฉันปฏิเสธ" ซินเหยาตอนนี้อยากจะลากจิงเฉินออกไประเบิดน้องสาวเธอมาก

"อืม……" ปลายเสียงที่ปล่อยออกมาของจิงเฉินมันขึ้นสูงและดูเซ็กซี่เอามาก และพูดต่อว่า : "คุณไม่มีโอกาสปฏิเสธ"

ตอนที่พูด มืออีกข้างของเขาก็ลากผ่านข้างล่างขาอ่อนของซินเหยา

"ถ้าเกิดคุณยังทำต่อ ฉันจะฟ้องคุณข้อหาข่มขืน" ซินเหยาร้อนใจจนตาเธอแดงก่ำไปหมด น้ำเสียงตอนนี้ของเธอก็เปลี่ยนไปด้วย

มือของจิงเฉิงวางทาบไปที่หน้าอกที่นุ่มของซินเหยา และใช้แรงบีบ ซินเหยาไม่ได้เตรียมใจไว้ จึงร้อยโอ้ยออกมา

"เหมือนคุณก็ฟินดีหนิ นี่มันไม่เรียกว่าข่มขืนแล้วนะ มากสุดก็เรียกว่าสมยอม" จิงเฉินพูดอย่างได้ใจ

สมยอมบ้าไร ไอ้บ้ากามจิงเฉิน ไม่เคยเจอผู้หญิงมา800ปีแล้วหรอ?

"ปล่อยนะ ฉันไม่อยากจริงๆ คุณอย่าฝืนใจฉันเลย" ซินเหยาใช้ขาของเธอเตะจิงเฉินออก พร้อมพูดด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้

จิงเฉินเพียงแค่ใช้น่องขาอันแข็งแกร่งของตนเองทับไปที่ขาที่ไม่เชื่อฟังของซินเหยาไว้ ข้างอีกข้างยัดเบียดเข้าไปในระหว่างช่องขา2ข้างของซินเหยาและพูดว่า : "ตอนนี้คุณยังไม่อยาก แต่รับรองว่าเดี๋ยวสักพักก็อยากเอง"

สำหรับจิงเฉินนั้นเธอหมดคำจะพูดแล้ว

"ตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงไม่ปลอดภัย เกิดท้องมาทำไง?" ซินเหยาเก็บกลั้นความโกรธ และพูดกับจิงเฉินดีๆด้วยเหตุผล

"ท้องก็ดีเลย คลอดลูกชายสักคนให้ผมนะ" จิงเฉินจูบไปที่เนื้ออันอ่อนนุ่มที่คอของซินเหยาและพูดขึ้น

"งั้นคุณจะยอมขอฉันแต่งงานหรือป่าว? ฉันจำได้ว่าคุณเคยบอกว่าคุณเคยมีแฟน" ซินเหยาถาม

จิงเฉินบีบลูบไปที่ทรวงอกของเธอพร้อมกับเสียดสีจุดนั้นไป เมื่อได้ยินซินเหยาพูดเช่นนั้น พละกำลังที่ใช้ก็มากขึ้นไปด้วย ซินเหยาเพียงแค่ขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมาพร้อมพูดว่า : "คุณทำเบาหน่อยไม่เป็นหรือไง เจ็บ"

"รอคุณท้องก่อนแล้วค่อยพูด" จิงเฉินลดระดับความเร็วและความถี่ให้ช้าลง

ดูท่าทางของจิงเฉินวันนี้ เหมือนจะกะให้เธอตายยังไงยังงั้น

เธอยังค้างคาใจอยู่ แต่ว่าจะต่อกรกับจิงเฉินก็คงต่อกรไม่รอด จะด่าเขาเดี๋ยวเขาก็หาว่าโวยวายอีก

วัสดุที่ใช้ทำเตียงของโรงแรมนี้ไม่ค่อยจะดี ห้องที่คับแคบบวกกับลีลาที่ฟาดฟันไปมาของจิงเฉินและเสียงร้องของซินเหยา มันทำให้เตียงส่งเสียดเอี๊ยดๆๆๆออกมาตลอด

"อย่านะ……" ซินเหยาจับไว้มือที่คิดไม่ดีของจิงเฉิน แต่ก็โดนจิงเฉินกัดเข้าให้ ถึงแม้จะไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ซินเหยาไม่ส่งเสียงร้องไปสักพักได้

"คุณผู้ชายและคุณผู้หญิงคะ" รบกวนช่วยเบาเสียงของพวกคุณด้วยค่ะ ตรงนี้เป็นที่ทำมาหาเงินของพวกเรา ช่วงนี้ทางการตรวจค่อนข้างจะเคร่ง อดได้ก็อดหน่อย อีกอย่างห้องนี้ไม่เก็บเสียง ถ้าเกิดว่าทางการสุ่มตรวจมาเจอล่ะก็คงจะไปถึงสน.เลย อย่ามาทำให้ทางเราลำบากไปด้วย"

ตอนนี้จิงเฉินกำลังอยู่ในจุดสุดยอด แต่ก็มีคนมาเคาะประตูห้องเสียก่อน เป็นเจ้าของโรงเเรมที่มาเคาะและขัดจังหวะพวกเขาเอง

ใครหน้าไหนที่มาขัดจังหวะระหว่างภารกิจของเขาก็ทำให้อารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น

จากการที่โดนขัดจังหวะบวกกับสีหน้าของซินเหยาที่ไม่รู้จะโกรธอะไรมากมาย ก็ทำให้จิงเฉินรู้สึกหมดอารมณ์ทันที

เขาจูบไปที่ตำแหน่งไหปาร้าของเธอ ปรับระดับการหายใจของตนเองให้คงที่ และพูดไปที่ข้างหูของซินเหยาว่า : "ครั้งนี้ปล่อยคุณไปก่อน ครั้งหน้าค่อยมาต่อกันใหม่"

ตอนที่จิงเฉินกำลังพูดอยู่นั้น ไอความร้อนก็กระทบไปที่หูของซินเหยา เหมือนทำให้ซินเหยารู้สึกถึงเล็บแมวข่วนผ่านไปในใจเธอ มันไม่ได้เจ็บอะไร แต่ก็ทำให้ซินเหยากระวนกระวายอยู่ภายในใจ

"ไปไกลๆ ลำคาญ" ซินเหยาพลักจิงเฉินออก เบี่ยงหน้าหลบ

จิงเฉินก็ไม่ได้จะฝืนใจซินเหยาต่อ เขาพลิกตัวลงจากตัวของซินเหยา

ซินเหยาจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นระเบียบ จากนั้นจึงพลิกตัวกลับ

จิงเฉินกอดไปที่เอวอันบางคอดของซินเหยา อ้อมกอดเขาซินเหยาสามารถเข้าไปอยู่ได้ทั้งตัว

ซินหลังหันหลังให้จิงเฉินอยู่ ในตอนที่สะลึมสะลือก่อนที่จะหลับไปนั้น เธอถามจิงเฉินขึ้นว่า : "จิงเฉิน คุณทำแบบนี้เห็นฉันเป็นอะไร?"

จิงเฉินไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเธอ ซินเหยาก็ไม่ได้ต้องการให้จิงเฉินต้องตอบคำถามนี้ออกมาขนาดนั้น สุดท้ายทั้งสองก็นอนหลับไป

จากนั้นเธอเหมือนอยู่ในอาการสะลึมสะลืมเหมือนจะได้ยินจึงเฉินพูดอะไรออกมาสักอย่าง เเต่คิดดูแล้ว เขาก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมา

เช้าวันถัดมาตอนที่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่าง เถ้าแก่เนี้ยก็มาเคาะประตูแล้ว

จิงเฉินไม่ได้ขยับตัวอะไร เพียงแค่เอามือออกมาและเขย่าไปที่ตัวของซินเหยาและพูดว่า : "มีคนมาเคาะประตู ไปดูหน่อยซิว่ามีเรื่องอะไร?"

เเม่เจ้า ป๊ะป๋า ความเป็นผู้ชายสุภาพบุรุษของคุณทำไมไม่เอาออกมาให้ทุกคนได้ชมบ้าง? เวลาแบบนี้ก็ออกคำสั่งเป็นอย่างเดียว ถ้าเกิดว่าโลกนี้ไม่ได้ดูรูปลักษณ์ภายนอกล่ะก็ คุณก็เตรียมตัวตุยเย่มารูโก๊ะไปเลยค่ะ

อ๋อ ลืมไป คุณสามารถไปมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันได้อยู่

ซินเหยาทั้งเหนื่อยทั้งง่วง เสียงเคาะประตูก็ทั้งเร็วและเร่ง เพราะงั้นเธอก็ไม่ได้จัดเสื้อผ้าทรงผมอะไรสักอย่าง ออกไปในสภาพแบบนั้นและเปิดประตูขึ้น อารมณ์ที่ไม่จอยมองไปที่คนเคาะประตู หึ ใครอยากให้มาเคาะประตูตอนคนอื่นยังนอนอยู่ มันขัดการเล่นสนุกของพวกเขารู้ไหม

แต่นี้ก็เป็นการช่วยเธอจากเรื่องเมื่อคืนนะ

"มีเรื่องอะไรคะ?" ใบหน้าซินเหยายังมีรอยยิ้ม เพียงแต่แววตาของเธอมันเย็นชา และพูดต่อแบบไม่ค่อยจะจอยว่า : "จะให้เช็คเอ้าท์ อย่างน้อยก็ต้องตอนเที่ยง12โมงรึปล่าวคะ"

สีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยก็ไม่ได้จะดีอะไร ชุดนอนที่ดูยุ่งเหยิงเหมือนจะเพิ่งตื่นเหมือนกัน

คุณมีสิทธิ์มาอารมณ์ไม่ดีหรอ ไม่นอนพักผ่อนดีๆแต่มาเรียกชาวบ้านเช้าขนาดนี้เนี่นนะ?

"มือถือของคุณมีคนโทรมา" เถ้าแก่เนี้ยยื่นมือถือให้เธอ

ซินเหยามีสมองที่เป็นเลิศ แต่ก็คิดไม่ออกว่าคนที่โทรมาจะมีเหตุด่วนอะไรกันแน่?

เธอรับมือถือไป เสียงที่ส่งผ่านมาจากมือถือเป็นเสียงลูกรักลั่วหลิงของเธอเอง

แม่เจ้า ตายแล้ววว……

เมื่อเจ้าของร้านเถื่อนนี้ได้รับเงินจากซินเหยาไปแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเริงร่าหน้าหวานชื่นและพูดว่า : "นังหนูและไอ้หนุ่มน้อย ครั้งหน้ามาใช้บริการอีกนะ ถึงแม้ว่ากับข้าวของทางเราจะแพงไปหน่อย แต่ผักพวกนี้เราก็ปลูกเอง ปลอดสารพิษไว้ใจได้ ทั้งสองก็ไม่ใช่คนจนอะไร คงไม่สนใจเศษเงินพวกนี้หรอก ครั้งหน้ามาอีกนะ"

ถุย……ถึงเธอจะมีเงินล้นฟ้าก็ขอสาบานว่าจะไม่มาร้านแบบนี้อีก

ซินเหยาลากไว้มือของจิงเฉินและเดินออกมานอกร้านทันที

แม่เจ้า โดนขูดรีดขูดเนื้อหลอกจนได้ เศร้าใจจริงๆ

รอให้มีคนมารับเธอจากในเมืองHก่อนนะ เธอจะเอาเงิน800นี้กลับมาให้ได้ คิดจะมาขูดรีดเธอหรอ อย่าหวังไปเลย

"เอาล่ะ อย่าโกรธไปเลย" จิงเฉินเห็นซินเหยาเสียดายเงินพวกนั้นและแสดงสีหน้าที่เศร้าเป็นตูดลิงออกมาจึงพูดปลอบเธอด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเสียงหัวเราะ

"คุณเป็นคนรวยคุณไม่มีทางโกรธหรอก กับข้าวแค่นั้นนะหรอปาไป800 ยังแพงกว่าในเมืองBอีก" ซินเหยาปล่อยมือที่จับจิงเฉินออก และพูดขึ้นต่อว่า : "วันนี้ค่าอาหารเสียไป856หยวน คนละครึ่ง คุณต้องให้ฉัน428"

ซินเหยาจดใส่ในสมุดน้อยของเธอว่าจิงเฉินติดหนี้เธอ428หยวน

"เห็นแก่ที่คุณเป็นหัวหน้าฉัน ฉันจึงไม่คิดดอกเบี้ยให้" ซินเหยาพูดอย่างใจกว้าง

ในสายตาของจิงเฉินเงิน428นี่มันไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ในสายตาเขาเงินที่สามารถที่จะอยู่ได้ต้องอย่างน้อยหลัก10ล้าน แต่ถึงแม้เงิน428จะน้อยเอามาก เขาก็ไม่อยากคืนโดยทำตามความต้องการเธอ

"คุณก็รู้ว่าตอนนี้ผมล้มละลาย ไม่มีเงิน" จิงเฉินพูดด้วยสีหน้าเย็นชา

"คุณไม่ใช่มีเงินเดือนหรอ?" ซินเหยาถามอย่างไม่พอใจ

"คุณรู้จักคำว่าล้มละลายคืออะไรไหม? ก็คือยังติดหนี้อื่นๆอีกเพียบ ทุกเดือนใช้ได้แค่1พันหยวน เงินที่เหลือต้องเอาไปจ่ายหนีในธนาคารหมด" จิงเฉินอธิบายให้ซินเหยาฟัง

แม่เจ้า เดือนหนึ่งใช้แค่พันเดียวหรอ

ชีวิตของป๊ะป๋ามันดูโหดร้ายไปหรือป่าว เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดๆอยู่ภายใน

"แต่ยังไงคุณก็ต้องคืน ฉันให้คุณแบ่งจ่ายเป็นงวดๆได้" ซินเหยาหยวนได้แค่นี้จริงๆแล้วนะ

เธอเกิดรู้สึกสงสารป๊ะป๋าขึ้นมาแล้วจะไม่ให้ป๊ะป๋าจ่ายนี่นะ หึหึ……เธอไม่ได้เป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ใจดีขนาดนั้น ที่จริงเธอเป็นหญิงที่เหี้ยมเอามากๆ เพราะงั้นไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ต้องคืน

หึหึ……ถ้าเกิดป๊ะป๋าเอาตัวเข้าแลก เธอก็จะรับพิจราณาไว้

"ผมเดินไม่ไหวแล้ว" จิงเฉินมองดูซินเหยาและยืนอยู่กับที่พร้อมพูดขึ้น

"งั้นคุณก็ยืนอยู่ตรงนั้นไป รอเดินได้เมื่อไหร่ค่อยเดิน" ตั้งแต่ที่ซินเหยาเดินออกมาจากร้านอาหารนั้นเธอก็ได้ถอดรองเท้าสนสูงเธอมาหิ้วไว้ที่มือแล้ว สำหรับเรื่องที่จิงเฉินเดินไม่ไหวนั้น เธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย

เธอไม่มีวันบอกว่าจะแบกจิงเฉินขึ้นหลังแน่ เพราะจิงเฉินหนักขนาดไหน ไม่มีคนรู้ดีไปกว่าเธอแน่นอน

"งั้นคุณก็จับมือผมด้วยสิ" จิงเฉินยื่นมือที่เรียวสวยดุจดั่งนักจิตรกรได้บรรจงละเอียดแกะสลักออกมาไปให้ซินเหยา พูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำและเซ็กซี่ เมื่อฟังแล้วมันรู้สึกชาไปทั้งใจ

ความรู้สึกนี้มันชาจะสะอิดสะเอียนก็ไม่ใช่ แต่มันทำให้เธอลุ่มหลงได้จริงๆ

ซินเหยาจับไปที่มือของจิงเฉิน แม่เจ้า นี่มันเป็นภาพที่สวยเอามาก

เธอยอมจับมือเขาเดินไปบนท้องถนน

ท้องถนนในชนบทนี้ไม่ได้เหมือนถนนในเมือง ตอนนี้แค่ทุ่มกว่าๆ แต่มันก็ดูมืดไปหมด มีเพียงไฟที่สาดส่องออกมาจากหน้าต่างไม่กี่บาน ไฟบนทางเท้าไม่มีอยู่เลย

จิงเฉินและซินเหยากว่าจะหาโรงเเรมเล็กๆนี้เจอไม่ง่ายเลย

โรงแรมนี้ถ้านอน1คืนราคา200หยวน……แพงจัง

เเต่ถ้าไม่ได้เสียเงิน800นั่นไปเมื่อตะกี้ คงจะยอมรับกับราคาโรงแรมนี้ได้อยู่

"เงินตอนกินข้าว ฉันจ่าย แต่เงินพักโรงแรมนี้ นายจ่าย" ซินเหยาหันหน้าไปคุยกัยจิงเฉินเพื่อให้เขาควักเงินของตัวเองออกมา

จิงเฉินเอากระเป๋าเงินออกมา ข้างในล้วนมีแต่บัตรเครดิต ไม่มีเงินสดเลย

ซินเหยารู้สึกว่าแปลกๆ เธอจึงถามเถ้าแก่เนี้ยว่า : "คือว่า ขอถามหน่อยนะคะ ตรงนี้รูดบัตรได้รึปล่าวคะ?"

"ไม่ได้คะ ได้แค่เงินสดเท่านั้น"

เป็นไงล่ะ เซ็นส์เธอไม่มีวันผิด

ได้แค่เงินสด รูดบัตรไม่ได้ จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ไหม เห้ออ

ซินเหยาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าของเธอและพูดว่า : "พวกเราเช่าหนึ่งห้องค่ะ"

"ค่ามัดจำ100 ค่าห้อง200 รวมเป็น300ค่ะ"

ตอนที่ซินเหยาหยิบเงินสามร้อยให้เถ้าแก่เนี้ย จิงเฉินก็ยิ้มอยู่ข้างๆและพูดว่า : "ฮะ? สองคนหนึ่งห้องหรอ?"

ซินเหยามองบนให้จิงเฉินและพูดว่า : "ห้องเดียวก็พอแล้ว คุณไม่ได้เป็นคนจ่ายคุณไม่รู้สึกหรอก ยังไงก็แค่คืนเดียว นอนเบียดๆเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว อย่าฟุ่มเฟือยไปหน่อยเลย"

มาที่นี่ยังไม่นาน กระเป๋าตังค์เธอก็แบนขนาดนี้เเล้วหรอ?

ตอนที่จิงเฉินให้เงินมันดูยาจกมาก แต่ว่าตอนจ่ายนี่สิ ทำไมทำให้เขาดูรวย หึหึ

โรงเเรมเล็กๆนั้น มัน 'เล็ก' จริงๆนะ

ห้องนอนเล็กๆห้องหนึ่ง อ่างล้างมือที่แค่จะหันหลังหมุนตัวก็ยังลำบาก ในห้องใส่ได้แค่เตียงอันเดียว ไม่มีทีวี ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีแอร์ ที่บอกว่าว่างเปล่า แต่ในห้องกลับแทบจะไม่มีพื้นที่ให้เหลือว่างเลย

ถ้าเทียบกับรูหนูที่ซินเหยาพักในตอนที่เธอลำบากยาจกมากที่สุดในชีวิตยังรู้สึกดีกว่าโรงเเรมนี้เลย

ทั้งสองอาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเดียวกัน

ดีนะที่เตียงนี้เป็นเตียงคู่2เตียงไม่ใช่เตียงเดี่ยว ทั้งสองนอนลง มันไม่มีที่ว่างบนเตียงเหลืออยู่เลย

เหนื่อยมาทั้งวัน ซินเหยาเพียงแค่อยากนอนอยู่บนเตียงไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว

แต่จิงเฉินที่เป็นดั่งสัตว์ป่านี้เห็นได้ชัดว่ายังหลงเหลือแรงอีกอยู่

เขาพลิกตัวไปทับไว้ที่ตัวของซินเหยา ลมหายใจที่แรงขึ้น และน้องน้อยใต้สะดือที่พร้อมจะผยองเดชก็เริ่มจะตื่น

ซินเหยาเพียงแค่อยากจะสบถคำด่าออกมายาวสามเมตร ตอนนี้ร่างกายเธอไม่หลงเหลือแรงอะไรแม้แต่นิด เธอมองไปที่จิงเฉินด้วยความลำคาญและพูดว่า : "วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน คุณไม่เหนื่อยหรอ ลงไป ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"

"เหนื่อยไม่เหนื่อย เดี๋ยวก็รู้" มือของจิงเฉินค่อยๆที่จะเคลื่อนสำรวจไปที่เนินเขาใต้เสื้อยืดสีขาวของเธอ

อุณหภูมิร่างกายของซินเหยาค่อนข้างสูง มือของจิงเฉินค่อนข้างเย็นเล็กน้อย มือที่เย็นลากผ่านบนตัวของซินเหยาที่ร้อน มันทำให้เธอกระตุกขึ้น รู้สึกจะควบคุมตัวเองไม่อยู่โดยการกระตุกหายใจออกมา เสียงหายใจนั้นมันเบาและดูเซ็กซี่เอามาก เธอสงสัยตัวเองว่าเธอโดนปีศาจสุนัขจิ้งจอกสิงร่างหรืออะไรกัน

จิงเฉินฟังเสียงหายใจที่เบาและเซ็กซี่ของเธอ พร้อมกับจังหวะหายใจที่เร็วและถี่ขึ้นของตัวเอง

"เงินของคุณก็เป็นเงินที่ผมจ่ายให้"

"นั่นเป็นเป็นค่าตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานของฉัน"

"ถ้าผมไม่ให้โอกาสคุณเหนื่อย เงินแค่บาทเดียวคุณก็จะไม่ได้"

"หัวหน้าคะ คุณเดินสายสูงส่งสง่ามาตลอดนะคะ แต่ทำไม่คราวคุณถึงเปลี่ยนแนวไปได้ แนวนี้มันไม่เหมาะกับคุณเลย"

เธอยังชอบแนวสูงส่งดูสง่าของป๊ะป๋ามากกว่าอยู่ดี

เพราะระยะห่างที่เทพบุตรสุดหล่อคนนี้ใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้นก็จะยิ่งทำให้หัวใจเต้นกระวนกระวาย

"ผมเตือนคุณให้เก็บน้ำลายคุณไว้ดีกว่า เพราะผมไม่ได้พกน้ำมา"

ซินเหยา : ……

เพราะงั้นถ้าเกิดว่าเทพบุตรไม่เดินสายสูงสง่า มันจะทำให้คนเกลียดและลำคาญเอามากจริงๆ

ทั้งสองเดินไปหลายชั่วโมง ตอนนี้ซินเหยารู้สึกขาล้าเอามาก ท้องก็ร้องออกมาอยู่เรื่อยๆ อีกอย่างยังหิวน้ำจะตายอยู่แล้ว เธออยากจะนั่งพัก ดื่มน้ำ กินข้าว ไม่อยากเดินต่อแล้ว

"หัวหน้าคะ จะเดินต่อไปไม่ได้จริงๆแล้วค่ะ" ซินเหยาดึงไปที่มือของจิงเฉินเพื่อบอกว่าเดินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

เธอเดินต่อไม่ไหวจริงๆ ยังใส่ไว้รองเท้าส้นสูงที่สูง8cm เดินมานานขนาดนี้ รู้สึกว่าขาจะหักให้ได้ยังไงยังงั้น

จิงเดินหยุดเดินและหันมาดูซินเหยาที่อยู่ข้างหลัง เห็นถึงใบหน้าที่ซีดเซียวและความอ่อนล้าอ่อนแรงของเธอมันทำใหเขาอดไม่ได้ที่จะสงสารจริงๆ

"ผมจับมือคุณเดินไปด้วยกัน จะถึงแล้ว" จิงเฉินทั้งเหนื่อยทั้งหิวเหมือนกัน แต่ก็ยื่นมือที่ออกจะใหญ่ของตัวเองไปจับกับของซินเหยา

ซินเหยาเอามือของตัวเองจับไว้ที่มือของจิงเฉิน ให้จิงเฉินจับไว้เธอเพื่อผ่อนแรงของตัวเอง

ทางที่พวกเขาเดินอยู่นี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้เดินสะดวกอยู่แล้ว ซินเหยารู้ดีว่าถึงแม้จิงเฉินจะให้เธอขี่หลังแบกเธอไปก็คงจะไปได้ไม่ไกล ตอนนี้แค่จิงเฉินสามารถจับมือเธอไว้เธอก็พอใจเอามากแล้ว

"ขอบคุณค่ะหัวหน้า" ซินเหยาจับไว้มือของจิงเฉินและเดินไปด้วยกัน

ไม่รู้เป็นเพราะแรงที่ส่งผ่านมาจากจิงเฉินหรือเป็นเพราะแรงที่เกิดขึ้นภายในใจ ซินเหยาถึงรู้สึกว่าตอนนี้ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้นแล้ว

คนๆหนึ่งถ้าจะซวยขึ้นมา คงไม่ซวยซ้ำซวยซาก เพราะว่าสุดท้ายแล้วก็จะสามารถพลิกชะตาตัวเองให้กลับมาดีได้

คำๆนี้ถ้าเอามาบรรยายซินเหยาและจิงเฉินคงจะไม่สามารถเหมาะได้ไปมากกว่านี้แล้ว

ขาทั้งสองตอนนี้เหมือนจะหักเอาให้ได้ ในที่สุดก็เหมือนจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมา อีกอย่างเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆและดังขึ้นเรื่อยๆ

ซินเหยาเมื่อได้ยินเสียงรถก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ในที่สุดก็มีคนแล้ว

ขอบคุณพระเจ้า ซินเหยาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสียงรถมอเตอร์ไซค์มันจะไพเราะเพราะพริ้งได้ถึงเพียงนี้ เปรียบเหมือนกับเสียงสวรรค์ที่ส่งผ่านมาจากพระเจ้าจริงๆ

ซินเหยาและจิงเฉินมองหน้ากัน ทั้งสองหยุดลงพร้อมกัน และมองไปที่รถคันนั้นที่กำลังขับเข้ามาหาพวกเขา

แต่ว่ารถที่ขับมาไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์ แต่เป็นคนแทรกเตอร์

ในที่สุดฟ้าก็เห็นใจ พวกเขาสามารถนั่งบนรถนี้ได้

คนที่ขับรถนี้มาเป็นชาวนาที่อยู่ละแวกนี้ แต่ดูไปบนรถก็ไม่ได้มีของอะไร ไม่รู้ว่าไปไหนมาเหมือนกัน

คนในหมู่บ้านที่ทุรกันดารแบบนี้ค่อนข้างที่จะไร้เดียงสา เมื่อเห็นคนแปลกหน้าที่หน้าตาเหมือนดาราในทีวีก็ตอบรับว่าจะไปส่งพวกเขาที่ตลาด และปล่อยพวกเขาลงตรงนั้น

ตอนที่นั่งอยู่บนรถแทรกเตอร์ค่อนข้างที่จะส่ายไปส่ายมา หนทางขรุขระ แต่สีหน้าของทั้งสองตอนนี้ต่างก็มีความสุขเอามาก

รวมถึงจิงเฉินที่ค่อนข้างจะเลือกมากแบบนั้นก็ไม่ได้บ่นออกมาว่ารถนี้มันLOWมากแต่อย่างไร มันรู้สึกไม่เมคเซ็นส์กับความสูงสง่าเย่อหยิ่งของเขาเลย

คุณลุงคนนี้เมื่อส่งซินเหยาและจิงเฉินถึงที่ตลาดเสร็จก็ปล่อยพวกเขาลง

ซินเหยาเอาเงินออกมาจากกระเป๋า100หยวยเพื่อเป็นสินน้ำใจให้กับคุณลุงคนนั้น แต่คุณลุงได้แต่ปฎิเสธที่จะรับไว้ และบอกพวกเขาว่า ที่มาส่งเพราะเป็นทางผ่านพอดี ไม่ได้ต้องการของตอบเเทนอะไร และอีกอย่างเงิน100หยวนนี้มันก็มากเกินไป

เธอนิ่งคิดไปสักพัก การใช้จ่ายค่าครองชีพต่างๆระหว่างในเมืองกับเขตชนบทนี้ต่างกันจริงๆ เงิน100หยวนนี้ถ้าอยู่ในตัวเมืองBหรือHยังเลี้ยงข้าวเพื่อนไม่ได้มื้อหนึ่งเลย แต่ว่าถ้าอยู่ในเขตชนบทแบบนี้คงจะซื้ออะไรได้มากทีเดียว

เพราะงั้นเธอจึงเก็บเงิน100นี้เข้าไปในกระเป๋า และหยิบเหรียญออกมา20แทน ลุงคนนั้นเป็นเพราะไม่สามารถที่จะปัดอีกต่อไปได้ จึงฝืนใจรับไว้

เขตชนบทแบบนี้ในสายตาของจิงเฉินและซินเหยาที่อยู่ในเมืองใหญ่แล้วนั้นให้ความรู้สึกกับพวกเขาที่เย็นสบายไม่มีชีวิตชีวา คนในตลาดที่จริงใจก็มีไม่เยอะ ถ้าตลลาดนี้เทียบกับในเมืองHและเมืองBที่มีคนพลุกพล่านละก็มันดูเงียบเหงาเอามากๆ

ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ทั้งสองหาร้านอาหารได้ร้านหนึ่งและจัดการความหิวของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ซินเหยากินอย่างมูมมามและรวดเร็ว ตอนนี้เธอไม่เก็บภาพลักษณ์ภายนอกเธอสักอย่างแล้ว กินไป3จานถึงจะอิ่ม และเรอออกมาเสียงดังหนึ่งแมตซ์ ตอนนี้จิงเฉินยังคงกินอยู่ เมื่อท้องอิ่มแล้วเธอก็มีกระจิตกระใจที่จะดูหนุ่มหล่อที่อยู่ข้างหน้าเธอต่อ

เพราะงั้นสภาพแวดล้อมที่ถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน ระดับชั้นที่ต่างกัน มันทำให้นิสัยและลักษณะภายนอกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ก็เหมือนกับการกินข้าว เธอหิวจะตายอยู่แล้วยังจะมาแคร์ภาพลักษณ์อีกหรอ แค่ให้ท้องอิ่มก่อน อย่างอื่นไม่ต้องพูด

แต่ว่าส่วนของจิงเฉินตอนกินนั้น ถึงแม้จะหิวมากเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้กินอย่างมูมมามเหมือนซินเหยาเลย ถึงแม้ว่าจิงเฉินจะกินข้าวเร็ว แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกขัดตาอะไรด้วยซ้ำ แถมยังจำเริญตาอีกต่างหาก

ฉากนี้มันสวยมากจริงๆ ซินเหยาหลงไปหมดแล้ว

รอไปเกือบ10นาที จิงเฉินถึงค่อยปล่อยถ้วยและตะเกียบลงอย่างช้าๆ

ตอนที่เช็คบิล เธอจึงได้รู้ว่าตนเองตัดสินค่าครองชีพของคนที่นี่โดยยึดจากลุงชาวนาคนนั้นเร็วเกินไปเสียแล้ว

ซินเหยาและจิงเฉินได้สั่งกับข้าว6อย่างน้ำซุป1อย่าง เนื้อ3เจ3 และยังมีซุปใสมะเขือเทศอีกด้วย

สุดท้ายเจ้าของร้านเรียกเก็บเงินพวกเขา800หยวน นี่มันขูดรีดขูดเนื้อกันชัดๆ

"ทำไมแพงขนาดนี้คะ?" ใบหน้าที่สะสวยเป็นมิตรของซินเหยาถามขึ้น

"ผักพวกนี้เป็นผักที่พวกเราปลูกเอง ไม่ได้ใส่ยาใส่สารต่างๆ เป็นผักปลอดสารพิษทั้งหมด เห็นพวกคุณมาจากในเมืองก็ต้องรู้แน่ๆว่าผักใบเขียวสดพวกนี้ต้องแพงเอามาก ถ้าเกิดขายออกไปที่อื่น ราคานี้ก็คงจะซื้อไม่ได้" เจ้าของร้านนั้นตอบกลับพวกเขาโดยจะเอากำไรให้ได้มากที่สุด

"ถึงจะเป็นผักปลอดสารพิษใบเขียวก็ไม่ได้แพงขนาดนี้นะคะ" ซินเหยาพูดตอบ

"นังหนูน้อย อยากกินอาหารจานเด็ดของร้านนี้ใช่ไหม? จะบอกให้นะ คนที่กล้าจะกินอาหารจานเด็ดของที่นี่มีแค่พวกเองคนแรก" เจ้าของร้านนั้นมองไปที่ซินเหยาและจิงเฉิงและพูดต่อว่า : "ถ้าเกิดว่านังหนู เองและเจ้าหนุ่มนั่นไม่ยอมจ่ายล่ะก็ อย่าหาว่าไม่เตือนแล้วกัน"

ไอ้ร้านเถื่อน เป็นร้านเถื่อนแบบของจริง

ซินเหยาเกิดในยุดใหม่ เธอไม่เคยเจอเจ้าของร้านที่อันธพาลขนาดนี้มาก่อน

แม่เจ้า หัวร้อนโว้ย

ซินเหยาควักเงิน900ออกมาให้เขาเพื่อให้เขาทอนกลับมา

อยู่ในถ้ำเสื้อแบบนี้ เธอกับจิงเฉินคงไม่เอาชีวิตมาเสี่ยงกับเงิน800กว่าหยวนหรอก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมามันคงจะไม่คุ้มแน่ๆ

นี่เป็นการโดนขูดเงิน800ไปอย่างโจ่งแจ้งเลยนะ เศร้าจริงๆ

เสียงพูดหยุดขึ้น เขาก็ลากไว้มือของซินเหยาขึ้นรถคันหนึ่งไป เขานั่งอยู่ตรงข้างคันขับและให้ซินเหยาเป็นคนขับรถ จากนั้นจึงเลื่อนกระจกลงและพูดกับคนข้างนอกว่า : "ผลกับเลขาถังไปก่อน พวกคุณตามมาทีหลังนะ"

"ขับรถไป" เขาหันหัวไปปบอกซินเหยา

มือของซินเหยาที่โดนเขาจับรู้สึกเจ็บมาก ในใจก็รู้สึกเคืองอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็เหยียบคันเร่งและขับรถออกไป

จิงเฉินไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย รถขับซิ่งกระตุกไปข้างหน้า หัวของเขาก็กระแทกไปโดนกระจกหน้ารถที่อยู่ข้างหน้า โป๊ะ! แค่ได้ยินเสียงก็เจ็บแทน

ได้ยินแค่เสียงนี้ ซินเหยาก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว

ซินเหยายิ้มเบาๆ และเหล่ตาไปมองจิงเฉินและพูดขึ้นว่า : "โอ๊ะ! ท่านประธานระวังหน่อยนะคะ หัวของท่านมันแข็ง อย่าทำกระจกหน้ารถของคนอื่นแตกเชียวนะคะ เพราะนี่มันก็คือเงินทั้งนั้น"

จิงเฉินลูบไปบนหน้าผากที่ชนโดน แต่หลังจากที่ได้ยินซินเหยาพูดแบบนั้นก็รู้สึกเจ็บกว่าเดิมขึ้นมาอีกยังไงยังงั้น

"หึ….." เขาถอนหายใจออกมาเบาๆและพูดด้วยหน้าที่บึ้งตึงว่า : "พูดให้มันดีๆหน่อย ถ้าฟังไม่เข้าหูโยนคุณลงจากรถจริงนะ"

ซินเหยาเบะปากทำเป็นไม่สนใจไอ้บ้าจิงเฉิน

จากนั้นจิงเฉินจึงรัดเข็มขัดนิรภัยของตนให้เรียบร้อย และหันไปหาซินเหยาที่กำลังขับรถอยู่พร้อมพูดว่า : "ทำไม? เจ็บใจหรอ? ผมไม่น่าไปขัดฤกธิ์ยามงามดีของคุณเลยสินะ"

เป็นเพราะซินเหยาต้องตั้งใจขับรถ จึงไม่ได้หันไปดูสีหน้าของจิงเฉิน แต่เมื่อหลังจากได้ยินที่จิงเฉินพูดเมื่อตะกี้จึงได้พูดตอบกลับไปว่า : "คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่"

"ไม่รู้? คุณลืมเรื่องที่กลางวันแสกๆเมื่อกี้เกือบจะโดนผู้ชายคนหนึ่งกดไว้บนรถและใกล้จะจูบคุณเร็วขนาดนี้เลยหรอ "จิงเฉินแซะถาม

"คุณช่วยพูดให้ดีกว่านี้จะได้หรือป่าว?"

"ผมพูดไม่ดีตรงไหน? ผมพูดหรอว่าตั้งแต่ที่คุณมาถึงเมืองHก็ทำให้ผู้ชายคนอื่นต่างหัวปักหัวปำไปหมด?" คำพูดคำนี้ของจิงเฉินมันเจ็บจี๊ดจริงๆ

ทันใดนั้นซินเหยาก็หันหัวไปมองจิงเฉินด้วยความแปลกประหลาดในคำพูดของเขา เห็นเพียงแต่ใบหน้าที่บึ้งตึงของเขาเท่านั้น

"ฮึๆ……" ซินเหยาตอนนี้รู้สึกชาไปหมดรับรสอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่พูดกับจิงเฉินว่า : "ดูที่ท่านประธานพูดมาสินะ กลิ่นหึ่งของความงอนลอยมาแต่ไกล เห็นผู้ชายคนอื่นสารภาพรักกับฉันแล้วงอนหรอคะ? ท่านประธานตกหลุมรักฉันแล้วหรอคะ?"

หลังจากที่จิงเฉินได้ยินที่ซินเหยาพูดก็รู้เหมือนโดนผึ้งต่อยจริงๆ ความชามันแผ่ซ่าไปทั้งตัวและแทรกซึมไปทั้งใจ

"พูดบ้าอะไรของคุณ? ผมจะไปตกหลุมรักคุณได้ไงกัน ผมไม่ชอบผู้หญิงที่โง่" จิงเฉินไม่สนว่าภายในใจของเขาตอนนี้จะวิ่งวนไปด้วยความตื่นเต้นหรือกระวนกระวายมากเพียงใด เขายังสามารถที่จะตอบกลับซินเหยาด้วยใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกออกมาได้อย่างแนบเนียน สมกับเป็นท่านประธานเยี่ยจริงๆ

"ฉันIQ150นะคะ" ซินเหยาตอบกลับอย่างไม่พอใจ

"อ๋อหรอ ให้ผ่านแบบหยวนๆก็ได้" จิงเฉินพูด

ป๊ะป๋าความต้องการของคุณนี่มันสูงจริงๆนะ IQ150ของเธอก็เพียงพอต่อตอนที่เธอยังเรียนหนังสืออยู่เป็นไหนๆ อันดับรายชื่อเธออยู่แถวหน้าโดนเด่นมากว่าใครเลยนะ

"ไม่ได้งอนแล้วคุณโกรธอะไร? ผู้ชายคนอื่นที่หลงฉันหัวปักหัวปำก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฉันมีเสน่ห์ คุณที่เป็นเจ้านายฉันก็พลอยได้หน้าไปด้วย ไม่ดีหรอคะ?" ซินเหยาพูด

"เลขาที่ผมต้องการคือเลขาที่ทำงานเป็น ไม่ใช่เป็นได้แค่แจกันทรงสวยและสามารถยั่วยวนคนอื่นได้"

"อ๋อ! งั้นก็มีความสามารถที่เพิ่มขึ้นนะสิ เกิดมาสวยไม่ใช่จะดีมากหรอกหรอคะ ฉันไม่ใช่คนประเภทนี้หรอ?"

"คุณรู้จักตัวเองซะบ้างนะ" จิงเฉินพูดแซะอีกรอบ

"ขอบคุณที่ชมนะคะ เพราะงั้นท่านประธานยอมรับแล้วว่าชอบฉันใช่ไหมคะ? เรื่องนี้มันก็ไม่ได้ขายหน้าอะไรมากมาย ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่บอกคนอื่นค่ะ"

"ฝันไปเถอะ ถึงแม้ผมจะชอบผู้ชายผมก็ไม่มีวันมาชอบคุณหรอก"

"ว้าวซ่า ที่เมื่อกี้โกรธคือไม่ได้งอนฉันใช่ไหมคะ แต่กลับกลายเป็นว่างอนซือชิง คุณชอบซือชิง? ที่แท้คุณชายรองของตระกูลเยี่ย ประธานบริษัทเยี่ยหวงคนก่อนชอบผู้ชายหรอคะ? นี่เป็นข่าวดังในรอบ50ปีในประวัติศาสตร์เลยนะคะ ถ้าเกิดขายข่าวพวกนี้ให้พวกนักข่าวแล้วล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันต้องรวยเละแน่ๆ" ซินเหยาพูดแกล้งจิงเฉิน

"เหมือนคุณจะลืมเรื่องที่ผมมีแฟนเป็นผู้หญิงนะครับ เวลาผมจะคบกับใครไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้นะครับ" จิงเฉินเน้นหนักไปที่คำว่า 'มีแฟนเป็นผู้หญิง'

ซินเหยา : …….

ความสนุกที่ได้แกล้งจิงเฉินเมื่อกี้เหมือนมันจะหายไปหมดแล้ว ซินเหยารู้สึกเจ็บที่ใจเหมือนมีเข็มกำลังทิ่มแทงอยู่

เธอไม่อยากพูดอะไรออกมาสักคำทันที แค่อยากจะตั้งใจขับรถอย่างเงียบๆแค่นั้น

เมื่อจิงเฉินพูดจบก็ยังรอให้ซินเหยามาพูดโต้กลับอยู่ เพียงแต่รอมาจะครึ่งวันแล้วยังเห็นซินเหยาเงียบปากและต้ังใจขับรถมองไปบนทางข้างหน้าอย่างเดียว ท่าทางไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรสักเท่าไหร่

เขารู้สึกผิดที่ตัวเองพูดคำเมื่อกี้ออกมามาก ในใจแค่อยากจะพูดคำที่มันดีๆออกมา แต่นิสัยของเขาอย่างนั้นมันพูดออกมาไม่ได้จริงๆ

เพราะงั้นทั้งสองก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ บนรถตอนนี้มันเงียบสงัดมาก แตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง

เมื่อซินเหยาเลี้ยวเขาโค้งเป็นครั้งที่เจ็ด สัมผัสที่6ของเธอก็รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ ต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ

"ท่านประธานคะ……." ซินเหยาค่อยๆชะลอความเร็วของรถและเรียกจิงเฉินขึ้น

ตอนนี้จิงเฉินยังกำลังหาวิธีคิดอยู่ว่าจะทำลายความเงียบสงัดระหว่างตัวเองกับซินเหยาตอนนี้อย่างไง แต่ซินเหยากลับเรียกชื่อเขาออกมา ตอนแรกยังรู้สึกว่าตัวเองเพียงแค่คิดไปเองหรือป่าว จึงแค่มองไปที่ซินเหยาอย่างมึนๆ

ซินเหยาตอนนี้ได้ผ่านเวลาของการรักษามาแล้ว กลับมาเป็นปกติดังเดิม

เห็นป๊ะป๋ามึนๆเอ๋อๆแบบนี้ก็น่ารักเอามากๆ ซินเหยารู้สึกอยากจะสลบไปนอนกับพื้นจริงๆ

"ท่านประธานคะ ตรงนี้ยังห่างจากจุดหมายเราอีกไกลไหมคะ?" ซินเหยาถาม

"น่าจะประมาณอีก2ชั่วโมง" จิงเฉินตอบกลับ

แม่เจ้า สองชั่วโมง?

แม่เจ้า ทำไมตอนนี้เธอรู้สึกแปลกๆตะหงิดๆอยู่ภายในใจ

พวกเขาออกจากที่นั่นตอน9โมงเช้า และขับไปประมาณเกือบ1ชั่วโมงครึ่ง ก็ประมาณ10โมงครึ่ง สุดท้ายยางรถแตก เพราะงั้นเธอกับป๊ะป๋าจึงมาก่อน ตอนนั้นน่าจะประมาณ11โมง ระหว่างทางก็ไม่จอดแวะพักที่ไหนเลย แต่ตอนนี้มันบ่าย3แล้วนะ

ถ้าเธอคำนวณไม่ผิดนั้น พวกเขาขับมา1ชั่วโมงครึ่ง บวกกับอีก3ชั่วโมง พวกเขาก็ขับมา4ชั่วโมงครึ่งแล้ว

ถ้าเกิดคำนวณตามที่ป๊ะป๋าบอก เวลาที่ใช้ไปคงจะไป-กลับได้แล้วมั้ง

หึหึ…….

"แต่เราขับมา4ชั่วโมงครึ่งแล้วนะคะ ยังจะขับต่อไปอีกหรอคะ" ซินเหยาชะลอความเร็วรถลงและพูดขึ้น

"เหมือนเราจะมาทางผิดแล้ว" จิงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งๆ

เธอก็รู้แล้วไหมว่ามาทางผิด แต่ปัญหาคือจะเอาไงต่อ?

"งั้นเราทำยังไงต่อดีคะ? ซินเหยาขมวดคิ้วถาม"

"หันหัวรถขับย้อนกลับไปทางเดิม"

"หึหึ…….แต่ว่าเราไม่มีน้ำมันแล้ว"

ถังซินเหยามองเห็นแววตาของซือชีที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอเข้าใจความคิดของซือชี

เธอผลักอกของซือชิงออก คิดว่าไม่นานเขาคงจูบเธอแน่ๆ ความรู้สึกอึดอัดที่ล้มหลามอยู่ในใจ ดวงตาเป็นกังวลจนกลายเป็นสีแดงก่ำ

เพียงแต่พลังกำลังของผู้ชายและผู้หญิง ยังที่แตกต่างกันมาก

เธอไม่สามารถผลักเยี่ยจิงเฉินออกได้ ผลักฟางซวี่เจ๋อออกไม่ได้ และผลักซือชิงออกไม่ได้เช่นกัน

ตอนนี้เธอต้องการความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพื่อผลักผู้ชายอันตรายคนนี้ออกไป

“ซินเหยา ผมชอบคุณจริงๆนะ และหวังอยากให้คุณมาเป็นแฟนผม” ซือชิงมองไปยังใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้ๆ เพียงแค่นี้หัวใจเขาก็ลุ่มหลง

ถังซินเหยาเมื่อเห็นใบหน้าของซือชิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาเธอเบิกกว้าง ใกล้จนแทบเห็นรูขุมขนทุกเม็ดบนใบหน้าของซือชิง กลิ่นหอมเย็นบนร่างกายไม่เหมือนกับของเยี่ยจิงเฉิน กลิ่นโคโลญจ์ดับกลิ่นของซือชิงฉุนเกินไป จนทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้

“ซือ…ซือชิง คุณอย่าทำแบบนี้ ฉันมีอะไรจะพูด คุณลุกออกไปก่อน” ถังซินเหยาผูกปมที่ลิ้นด้วยความกังวล

“คุณรับปากว่าจะเป็นแฟนผม” ซือชิงมองเธอด้วยรอยยิ้ม “ถ้าคุณไม่รับปาก ผมจะจูบคุณ”

พูดแล้ว เขาก็ทำท่าจะจูบเธอจริงๆ

“เยี่ยจิงเฉิน ช่วยฉันด้วย…” ถังซินเหยาหลับตาปี๋ ตะโกนขอความช่วยเหลือจากเยี่ยจิงเฉิน

ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงเยี่ยจิงเฉินที่พึ่งพาได้ นอกนั้นคงไม่มีใครยอมช่วยเธอ

ชื่อของเยี่ยจิงเฉินที่เพิ่งถูกเรียกออกมา ทันใดนั้นร่างกายของเขาที่อยู่ด้านบนก็คลายออก เธอค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นเยี่ยจิงเฉินยืนอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม และซือชิงก็เหวี่ยงออกไปแล้ว ถังซินเหยารู้สึกว่าป่าปี้เป็นฮีโร่ขี่สายรุ้งช่วยเธอจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินถอดเสื้อคลุมออก แล้ววางไว้บนตัวของถังซินเหยา

เนื่องจากการกระทำของเยี่ยจิงเฉิน คนที่เพิ่งถูกเหวี่ยงออกไปเอะอะโวยวาย ใบหน้าไม่สบอารมณ์

“ท่านประธานเยี่ย คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?” ซือชีมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างไม่พอใจ

ใครก็ตามที่ถูกขัดจังหวะโอกาศดีๆเช่นนี้ ล้วนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทั้งนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเจ้านายของเขาก็ตาม

เยี่ยจิงเฉินไม่สนใจต่อความโกรธของซือชี เอื้อมมือไปดึงถังซินเหยาขึ้นมาจากฝากระโปรงรถ ถังซินเหยาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเยี่ยจิงเฉิน แม้ว่าบางครั้งเยี่ยจิงเฉินจะอันตรายกว่าใคร แต่ในเวลานี้ ถังซินเหยาที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเขา กลับรู้สึกอุ่นใจ

“ผู้จัดการซือ เลขาถังคือคนที่ผมพามาด้วย คุณรังแกเธอจะให้ผมนั่งอยู่เฉยๆงั้นเหรอ? คุณใจกล้ามากเลยนะ”

เยี่ยจิงเฉินมองไปที่ซือชิงด้วยสายตากดขี่ รังศรีอำมหิตแพร่กระจายไปทั่ว

สายตาของซือชิงไม่กล้ามองไปยังเยี่ยจิงเฉิน ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย พลังความกล้าหายไปมากกว่าครึ่ง

“ผมชอบซินเหยา ผมอยากให้เธอมาเป็นแฟนผม แม้ท่านประธานเยี่ยจะเป็นเจ้านายพวกเรา ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเรา” ซือชิงยังคงดื้อรั้นต่อไปไม่ยอมก้มหัวให้ เขาจะดื้อหัวชนฝากับความคิดบางอย่างของเยี่ยจิงเฉินที่เขาตั้งใจทำลาย

“งั้นเหรอ? ตอนนี้เป็นเวลางาน เป็นเวลาที่คุณจะมาจัดการเรื่องส่วนตัวงั้นเหรอ? และอีกอย่างผมก็เชื่อมั่นในสายตาของเลขาผม เกรงว่าว่าผู้จัดการจะดีใจเก้อ” เยี่ยจิงเฉินยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ เพียงแค่ลดเสียงพูดให้เบาลง “ดูเหมือนว่าผู้จัดการซือจะจัดการเรื่องต่างๆได้เด็กเกินกว่าตำแหน่งผู้จัดการนะ ลำพองตนเอง หากผู้จัดการซือไม่ฝึกควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ เกรงว่าในอนาคตคงยากที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ผู้จัดการซือเป็นคนมีความสามารถ ผมไม่อยากให้ผู้จัดการซือลำพองขนจนทำลายตัวเอง ทำให้สูญเสียพื้นที่ที่จะก้าวหน้า”

คำพูดของเยี่ยจิงเฉินชัดเจนว่า ตำแหน่งผู้จัดการของซือชิงได้สิ้นสุดลงแล้ว

สำหรับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น เยี่ยจิงเฉินได้พูดมันออกมาแล้วในประโยคสุดท้าย

นี่อาจเป็นความจริง คือการถูกกดขี่ด้วยคนที่อยู่สูงกว่า แม้ซือชิงจะมีความแค้นอยู่สุดหัวใจ เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องระบาย

“หวังว่าในอนาคตผู้จัดการซือจะเรียนรู้และฉลาดขึ้นนะ รู้ว่าใครที่แตะได้ ใครที่แตะต้องไม่ได้” เยี่ยจิงเฉินมองไปที่ซือชิง พูดอย่างมีความหมายบางอย่าง

ซือชิงที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก้าวเข้าไปอย่างไม่ยอมแพ้ มองไปยังถังซินเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยจิงเฉิน แล้วพูดขึ้นว่า “ซินเหยา ผมยอมรับว่าเมื่อสักครู่ผมใจร้อนเกินไป แต่ผมจริงใจกับคุณนะ ตอนนี้ผมต้องการเพียงแค่คำพูดจากปากคุณ ตอนนี้คุณยินดีที่จะมายืนเคียงข้างผมไหม?”

ถังซินเหยาเดินออกมาจากด้านหลังของเยี่ยจิงเฉิน เยี่ยจิงเฉินเอื้อมมือออกไปต้องการจะคว้าตัวถังซินเหยาเอาไว้ แต่ถังซินเหยาเห็นการเคลื่อนไหวของเขา เธอจึงหลบออกมา ทำให้เยี่ยจิงเฉินหมดโอกาสที่จะคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ได้

ใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินไม่พอใจอย่างมาก จ้องเขม็งไปยังถังซินเหยา

ถังซินเหยากลับไม่ได้มองสีหน้าท่าทางของเยี่ยจิงเฉินเลยแม้แต่น้อย แต่ยังรับรู้ได้ถึงความขนพองสยองเกล้า

เธอมองดูเส้นผม ดวงตากลมโต และเบ้าตาลึกที่โดดเด่นออกมา

เธอมองไปยังซือชิงด้วยสีหน้าเย็นชา ใบหน้าของซือชิงเต็มไปด้วยความหวัง เธอเอ่ยขึ้นว่า “ซือชิง ขอโทษนะ ขอบคุณที่ดูแลฉันตอนที่อยู่บริษัท คุณช่วยฉันไว้มาก แต่เรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ คุณจะได้เจอกับคนที่หลงรักคุณ บางคนแม้ว่าคุณจะชอบเธอ แต่เธอไม่ได้ชอบคุณ มันก็เป็นเพียงแค่คนที่ไม่ได้รักกัน ฉันไม่ได้รักคุณ”

เธอปฏิเสธซือชิงต่อหน้าทุกคนอย่างชัดเจน สุดท้ายเรื่องใหญ่โต และน่าเกลียดแบบนี้ ทุกคนก็ต้องมารับผิดชอบด้วย

ซือชิงยังคงมองถังซินเหยาอย่างดื้อดึง ด้วยสีหน้าน่าสงสาร

“ท่านประธานเยี่ยเมื่อกี้เขาแค่คงล้อคุณเล่น คุณอย่าถือเป็นเรื่องจริงจังเลย” ถังซินเหยาไม่อยากให้ซือชิงทำอะไรเพื่อเธอ จึงที่สารภาพความผิดต่อหน้าทุกคน รวมทั้งตำแหน่งผู้จัดการที่จะไม่มีแล้ว

อย่างไรก็ตามซือชิงเคยช่วยเหลือเธอ ส่วนการตัดสินใจของเยี่ยจิงเฉินนั้น เธอก็ไม่ได้อวดดีอะไร บางเรื่องในหัวก็เคยผ่านมันมาหลายครั้งแล้ว

เธอพูดเสมอว่าเยี่ยจิงเฉินเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง จะอยู่ในเมืองเล็กๆอย่างเมืองH ได้อย่างไร สำหรับการประนีประนอมครั้งก่อน ก็ถูกถอนออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ดาดเดาว่าเพราะต้องการประกาศก้าวถึงพลังอำนาจ

เขาคงไม่อยู่เมืองH ไปตลอด โครงสร้างบุคคลกรของสาขาในเมืองH เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งอีก เช่นนั้นหลิวซือหร่งก็จะได้เป็นรองประธานผู้จัดการ

ในเมื่อซือชิงสามารถเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินได้ ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคนไม่มีความสามารถ

ซือชิงเพียงแค่ทำให้เยี่ยจิงเฉินโกรธเยี่ย เยี่ยจิงเฉินจึงที่คิดจะเล่นงานเขาโดยตรง รอให้เยี่ยจิงเฉินหายสงบลง เพียงแค่ผู้จัดการฝ่ายการเงินสาขาเล็กๆคนหนึ่ง เดิมทีก็ไม่อาจขัดขวางเยี่ยจิงเฉินให้ทำเรื่องต่างๆได้อยู่แล้ว เยี่ยจิงเฉินเป็นผู้ดีที่ชอบวางมาดหยิ่งยโส ในระยะเวลาไม่ถึงสองจะซือชิงหรือใครก็ตาม รับประกันเลยว่าเขาคงจำไม่ได้แล้ว

เยี่ยจิงเฉินที่เห็นว่าถังซินเหยายังคงปกป้องซือชิง เขาไม่สบอารมณ์ แต่สุดท้ายใบหน้าของถังซินเหยาก็ไม่ได้มองมา

ใบหน้าเย็นชา และพลังงานที่แพร่ออกไปมองไปยังซือชิง “หลังจากนี้จะทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเรื่องล้อเล่น!”

เยี่ยจิงเฉินแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของถังซินเหยา การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างนุ่มนวล เขาเลียซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เลียริมฝีปากเธออยู่เช่นนั้นจนเธอรู้สึกจั๊กจี้ จึงเผลอแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเช่นกัน แต่มันกลับทำให้ไปสัมผัสเข้ากับลิ้นของเยี่ยจิงเฉิน

เยี่ยจิงเฉินขบลิ้นของเธอไว้ทันที ดูดเม้มอย่างแรง ไม่ยอมปล่อย

เขาจูบอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งถังซินเหยายอมคลายริมฝีปาก

เขาเอื้อมมือไปหยิบลิปสติกที่ถังซินเหยาใส่ไว้ในกระเป๋า สีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์พูดขึ้น “นี่คือของที่นายซืออะไรนั้นให้เธอเหรอ? ฉันจะยึดมันไว้ หลังจากนี้ถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามรับอะไรจากเขาอีก”

ถังซินเหยารู้สึกเจ็บแปลบๆที่แผ่นหลัง ไม่รู้ว่าจะถลอกหรือเปล่า แม้ในใจจะหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากโต้เถียงเยี่ยจิงเฉินให้มากความ

“ซือชิงเห็นว่าปากฉันแตก ฉันเพิ่งใช้มันเอง คุณอย่าไม่มีเหตุผลได้ป่ะ” ถังซินเหยามองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างไม่พอใจ

เธอไม่เข้าใจ ทำไมตอนนี้ป่าปี้ถึงแล้งน้ำใจ ไร้ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ และยังทำตัวไม่มีเหตุผล

เยี่ยจิงเฉินก้มลงเลียริมฝีปากของถังซินเหยาอีกครั้ง “จูบให้ความชุ่มชื้นมากกว่าลิปสติกของเขาอีก”

ถังซินเหยาปลายตามองเยี่ยจิงเฉิน “คุณไม่รู้สึกผิดที่พูดแบบนี้เหรอ? ทำไมริมฝีปากฉันจึงแตกล่ะ ไม่ใช่เพราะใครบางคนทำตัวเหมือนสุนัขชอบกัดปากฉันอยู่เรื่อย ครั้งล่าสุดก็ถูกกัดจนแตกอีกแล้ว ฉันเกรงว่าถ้ามั่วแต่หาความชุ่มชื้นของคุณ ชีวิตนี้ปากฉันก็ไม่มีวันดีขึ้นหรอก”

บ้าเอ้ย! ถ้าไม่ใช่เพราะถูกป่าปี้กัดครั้งที่แล้ว ริมฝีปากของเธอก็คงไม่แตกเพิ่มขึ้นมาอีก

“ฉันทำฉันก็ต้องรับผิดชอบ” เยี่ยจิงเฉินจ้องมองถังซินเหยาอย่างจริงจัง

รับผิดชอบเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ? ลูกชายและลูกสาวของคุณยายคนที่ทำให้เขาเกิดมา ไม่เห็นเขาจะไปรับผิดชอบ มิหน่ำซ้ำคงลืมไปหมดแล้ว จะมารับผิดชอบอะไรกับเรื่องเล็กๆแค่นี้

เขาจูบที่ริมฝีปากของถังซินเหยาแล้วพูดว่า “ฉันจะทำให้ริมฝีปากของเธอนุ่มขึ้น”

“เอ่อ…” ถังซินเหยายื่นมือออกไปเช็ดปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ต้อง ปล่อยให้มันแตกไปถือ ฉันไม่ถือ”

ให้ตายเถอะ! ของของคนอื่นนี่เธอไม่ต้องใช้ชงต้องใช้แล้วมั้ง?

“ไม่ต้อง ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างที่ฉันทำลงไป ฉันทำผิด ฉันจะชดเชยให้เต็มที่” เขาหยุดไปชั่วขณะ แล้วพูดต่อว่า “และอีกอย่างริมฝีปากของเลขาแตกเยอะเกินไป ปากแห้งแตก เป็นอะไรที่น่าอายมากเลยนะ”

ไอ้บ้า! หรือว่าจริงแล้วที่เขาไม่ชอบปากแห้งแตกน่าเกลียดของเธอ เพราะเขากลัวขายหน้า?

ป่าปี้ คุณมันคนใจดำ หลังจากนี้อย่างหวังเลยว่าจะเล่นสนุกได้อย่างมีความสุข

“วางใจเถอะ หลังจากนี้ฉันจะจูบเธอมากขึ้น” เยี่ยจิงเฉินจูบถังซินเหยาซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับคำพูดอบอุ่น

จูบเยอะขึ้นกับผีนะสิ! ป่าปี้ เลิกก่อกวนได้แล้ว

“เอาล่ะๆ ท่านประธานคุณเลิกก่อกวนได้แล้ว ยางเส้นใหม่คงเปลี่ยนเสร็จแล้ว บางทีพวกเขาคงกำลังหาเราอยู่ อย่าทำให้ธุรกิจล่าช้า” ถังซินเหยาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง คลื่นสมองของเธอกับเยี่ยจิงเฉินไม่ใช่คลื่นความถี่เดียวกัน และเธอก็ไม่ได้คาดหวังเชื่อมต่อคลื่นทั้งสองที่แตกต่างกันขนาดนี้

ยังโชคดีที่เยี่ยจิงเฉินยังต้องทำงานต่อ สำหรับเรื่องการจูบเขาเอาจริงเอาจังอย่างมาก

เขาถอยหลังไปสองก้าว ในที่สุดถังซินเหยาก็ได้รับอิสรภาพ และรู้สึกเจ็บที่ด้านหลัง

“ท่านประธานเยี่ย ฉันกลับก่อนนะ” ถังซินเหยาขยับไหล่ตัวเอง

เยี่ยจิงเฉินกำลังเล่นกับลิปสติกที่อยู่ในมือ จากนั้นกำมันแน่น และหยิบลิปสติกที่อยู่ในมือตัวเอง “เอาลิปสติกไว้กับฉัน หลังจากนี้ถ้าปากแตกอีก ก็ค่อยมาหาฉัน จะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน”

เฮ้ย! คนเหลือขออย่างคุณ รู้ด้วยเหรอว่าอะไรที่เรียกว่าเปลืองเงิน?

แม้ว่าในใจจะไม่เห็นด้วย แต่เธอก็พยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย

เยี่ยจิงเฉินพึงพอใจเป็นที่สุด เดินไปข้างๆถังซินเหยา หมุนไหล่เธอหันมาแล้วประจบจูบอีกครั้ง

เดิมทีริมฝีปากของเธอเป็นสีชมพูระเรื่อ แต่ตอนนี้มันบวมและแดง ราวกับว่าทาลิปสติก

ใบหน้าของถังซินเหยาเคร่งขรึม เธออยากจะโยนร่างของเยี่ยจิงเฉินทิ้งไว้ในป่า ฝั่งไว้ในป่านี้ให้รู้แล้วรู้รอด หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาออกไปสร้างหายนะให้คนอื่น

เธอหยิบลิปสติกสีแดงออกมาจากกระเป๋า แล้วทาลงบนริมฝีปาก

เธอไม่อยากให้ใครเห็นว่าเธอและท่านประธานเยี่ยเข้าไปในป่าด้วยกัน แล้วขากลับออกมา ริมฝีปากของเธอก็บวมแดง

เมื่อถึงตอนนั้นในสายตาของทุกคน เธอและเยี่ยจิงเฉินก็จะกลายว่าทั้งคู่กำลังคบชู้กันอยู่

หลังจากซือชิงเห็นถังซินเหยาและเยี่ยจิงเฉินเข้าไปในป่า หัวใจข้างในก็กำลังดิ้นอย่างเจ็บปวด

เขายืนสูบบุหรี่อยู่ข้างถนน ในห่อเหลือบุหรี่เพียงแค่มวนเดียว เยี่ยจิงเฉินออกมาจากป่าอย่างชีวิตชีวา ซือชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเองก็พูดได้ไม่เต็มว่าตอนนั้นภายในใจรู้สึกเช่นไร

เขารอคอยอย่างกระตือรือร้น ถังซินเหยาค่อยๆเดินออกมาจากป่าอย่างช้าๆ

เขาคอยสังเกตอย่างระมัดระวัง ถังซินเหยาใบหน้าเรียบเฉย แม้กระทั่งรอยยิ้มเล็กๆ ก็ดูไม่ออกว่าเธอโกรธหรือดีใจ

เรื่องบางเรื่อง เขาก็ไม่อยากคิดลึกเกินไป

ถังซินเหยามองไม่เห็นเขา เธอเดินตรงไปที่รถ

เขาบีบบุหรี่ในมือแน่น เดินไปหาถังซินเหยาทันที

พื้นถนนราบเรียบแต่ไม่รู้ว่าก้อนหินโผล่มาจากไหน เขาสะดุดหินก้อนนั้นแล้วพุ่งไปข้างหน้า

เมื่อถังซินเหยาเห็นชายหนุ่มกระโจนเข้ามาหาเธอ เธออยากหลบแต่ไม่ทันเสียแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นกระโจนเข้าใส่ ทับเธอแนบเข้ากับกระโปรงหน้ารถ ทั้งสองร่างกายแนบชิดติดกัน และริมฝีปากของเขาก็แนบอยู่บนใบหน้าเธอ

ซือชิงทับถังซินเหยาอยู่บนกระโปรงหน้ารถ หญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างช่างนุ่มนวล ร่างกายบอบบางอ่อนนุ่ม แต่ก็ไม่ได้แบนราบไปซะหมด ชั้นไขมันบางๆที่ติดอยู่บนกระดูกทำให้เธอมีสัดส่วน ดังนั้นเธอจึงหุ่นดีมากๆ ส่วนที่ควรบางก็บาง ส่วนที่ควรใหญ่ก็ใหญ่

กลิ่นน้ำหอมจางๆของถังซินเหยา ทำให้ซือชิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อเกิดความปรารถ ส่วนล่างที่อยู่ใต้ท้องน้อยก็เปลี่ยนไป

ถังซินเหยาที่ใกล้ชิดแนบแน่นกับซือชิงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายของชายหนุ่ม ทันใดนั้นใบหน้าของถังซินเหยาก็เคร่งขรึมขึ้น แม้อาการเจ็บที่หลัง ก็ดูเหมือนว่าจะด้านชาไปแล้ว เมื่อการเสียดที่ได้ลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ

ซือชิงรู้ว่าเรื่องนี้กะทันหันเกินไป แต่กลิ่นหอมที่อยู่ในอ้อมกอด ผู้ชายคนไหนจะเต็มใจปล่อยไปได้

“อือ…ผู้จัดการซือ ดีจังเลยค่ะ”

“ผู้จัดการซือจูบฉันหน่อย”

“ซือชิง ฉันจะใช้โอกาสนี้สารภาพกับคุณ ที่รักของเลขาถัง”

“ผู้จัดการซือ ถ้าเป็นผู้ชายก็คงสายเกินแก้แล้ว เลขาถังคนสวยคนนี้เป็นของคุณแล้ว”

ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อ เวลานี้คือเวลาทั้งหมดที่พวกเขาจะได้ร่วมสนุกกัน

ถังซินเหยาคิดอยากจะตัดขาที่สามของชายหนุ่มทันที ที่เข้าไปใกล้น้องสาวที่เร่าร้อนของเธอ

คำพูดเร่าร้อนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าผุดออกมาจากก้นบึ้งในหัวใจของซือชิง เขามองที่ใบหน้าขาวราวกับหยกของหญิงสาว กลิ่นหอมอ่อนๆที่อยู่ในอ้อมแขน หัวใจของซือชิงกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข

มองไปที่ริมฝีปากแดงตรงหน้า ซือชิงอยากลองลิ้มรสหวานนั้นสักครั้ง…

งานในเมืองเสร็จสิ้นไประดับหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่ตรวจสอบพื้นที่ในชนบทที่จะใช้สร้างรีสอร์ท

และก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและสำนักงานที่ดินมาช่วยตรวจสอบด้วย เพื่อทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาของสถานที่แห่งนั้น ดูว่าสภาพแวดล้อมจะได้รับความเสียหายไหม พื้นที่นี้จะพัฒนาเป็นรีสอร์ทได้หรือไม่

ครั้งนี้หลิวซื่อหรงไม่ได้ไปด้วย เป็นซือชิงที่ได้รับมอบหมายมาเป็นผู้ช่วยเยี่ยจิงเฉิน

ถังซินเหยาคิดว่าควรแยกแยะระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แม้ว่าซือชิงจะแสดงความรู้สึกที่มีต่อเธออย่างชัดเจน และต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ถังซินเหยาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยง

นั่งรถไปกันทั้งหมดสี่คัน ทั้งหมดต่างเป็นรถส่วนตัว

ถังซินเหยาและเยี่ยจิงเฉินแค่มาปฎิบัติงานนอกสถานที่ที่เมืองH ไม่ได้นำรถมาด้วย ดังนั้นทั้งถังซินเหยาและเยี่ยจิงเฉินจึงต้องขึ้นรถไปกับคนอื่น

เยี่ยจิงเฉินถูกผู้เชี่ยวชาญดึงเข้าไปในรถอีกคัน ถังซินเหยาเห็นว่าในรถคันนั้นมีคนนั่งสามคนแล้ว ในฐานะเป็นผู้หญิงจะให้เธอเข้าไปนั่งเบียดด้วยคงไม่เหมาะสม เธอจึงฝืนใจได้แต่มองหารถคันอื่น

ซือชิงที่มองเห็นความต้องการของเธอ เขาเดินไปตรงหน้าถังซินเหยา แล้วพูดว่า “ซินเหยา คุณไปนั่งรถผมสิ เดี๋ยวผมขับให้”

“เอ่อ…” ถังซินเหยาคิดอยู่สักพัก แม้ว่าเธอจะก็กำลังมองหารถ แต่นั่งรถของใครไม่นั่ง ถ้าเพราะการชี้แจงให้ทราบในครั้งนั้นบิดเบี้ยวไป หากปฏิเสธอาจจะไม่ค่อยสุภาพนัก เธอปรับความคิดของตนเอง แล้วพยักหย้า “โอเค ขอบคุณนะซือชิง”

ซือชิงเปิดประตูรถให้ถังซินเหยา แล้วตัวเองก็เข้าไปนั่ง จากนั้นหันกลับมาพูดกับถังซินเหยาว่า “ซินเหยา คุณรู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณ คุณให้โอกาสนี้กับผม ผมควรจะชอบคุณคุณมากกว่า”

“ฉันไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัวเวลาทำงาน” รอยยิ้มบนใบหน้าถังซินเหยาจางหายไป เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ครับ ผมไม่คิดให้ดีเอง รอให้โครงการนี้เสร็จสิ้นลง ผมหวังว่าคุณจะให้คำตอบผมได้” ซือชิงกลับไม่สนใจในคำพูดเย็นชาของถังซินเหยา ยังคงยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

“ถ้าคุณอยากได้คำตอบ อันที่จริงตอนนี้ฉันมีคำตอบให้กับคุณแล้ว” ถังซินเหยาหันไปมองซือชิงอย่างจริงจัง

ซือชิงยิ้ม จัดผมที่ยุ่งเหยิงอยู่ด้านหลังให้แก่ถังซินเหยา “คุณยังมีเวลา ไม่จำเป็นต้องพูดตอนนี้”

การเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดของซือชิง มีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แต่ถังซินเหยาไม่ได้พูดอะไร สำหรับปัญหานี้ ทั้งสองคนมองข้ามมันไปแล้ว

ตอนที่เยี่ยจิงเฉินเห็นว่าถังซินเหยาเข้าไปในรถของซือชิง เขาไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

คิดว่าในฐานะเลขาส่วนตัวถังซินเหยาควรจะติดตามเจ้านายตัวเองอย่างใกล้ชิด ใครจะรู้ว่าเพียงชั่วขณะ จะวิ่งเข้าไปในรถของซือชิงจริงๆ ไม่รู้เหรอว่าซือชิงผู้ชายคนนั้นคิดไม่ซื่อกับเธอ? หรือความคิดของเธอไม่เหมือนกันซือชิง?

ไม่อยากอึดอัดใจ คิดแล้วยิ่งไม่สบายใจ

ตลอดทางซือชิงพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ถังซินเหยาคุยด้วย แต่การแสดงออกของถังซินเหยาบอกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจ คำพูดของซือชิงก็ค่อยๆ จางหายไป

เดินทางมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ รถของเยี่ยจิงเฉินและผู้เชี่ยวชาญก็เกิดยางแตก

โชคดีที่ยังมีอะไหล่และยางเส้นใหม่อยู่ในรถ เพียงแค่เปลี่ยนก็ใช้ได้แล้ว

ซือชิงที่เห็นว่าริมฝีปากของถังซินเหยาแห้งและแตก จึงหยิบขวดน้ำและลิปสติกออกมา “ซินเหยา ดื่มน้ำสักหน่อย ปากคุณแห้งหมดแล้ว และดูเหมือนว่าหนังจะลอกออกมาด้วยนะ ยี่ห้อนี้ลูกพี่ลูกน้องผมใช้มาตลอด ให้ความชุ่มชื้นค่อยข้างดี คุณลองดูสิ”

ถังซินเหยาจิบน้ำ แล้วเลียริมฝีปากของตนเอง ปากแห้งเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งแตก

“อืม ขอบคุณนะ” ถังซินเหยารับเอาลิปสติกมา แล้วถามว่า “เท่าไหร่ แล้วฉันจะจ่ายคืนให้ทีหลัง”

“ไม่ต้องหรอก เป็นความตั้งใจเล็กๆน้อยๆของผม ราคาไม่ได้มากมายอะไร” ซือชิงยิ้ม “ปากคุณไม่แห้งแล้ว สำหรับผมก็ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ดีมากๆ”

ถังซินเหยายิ้ม แต่ไม่ได้ตอบกลับไป

เยี่ยจิงเฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลคอยเฝ้าดูท่าทีของซือชิงที่มีต่อถังซินเหยา แววตาหม่นลงเล็กน้อย โดยเฉพาะถังซินเหยาที่ไม่ได้ปฏิเสธซือชิงแม้แต่น้อย แค่น้ำขวดเดียวกับลิปสติกก็ทำให้ผู้หญิงคนนี้พอใจแล้วงั้นเหรอ?

“ถังซินเหยามานี่” เยี่ยจิงเฉินเจ็บปวดกับสายตามีน้ำใจของถังซินเหยาที่ให้กับซือชิง เขาอดและทน แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว

ถังซินเหยาใส่ลิปสติกเข้าไว้ในกระเป๋า แล้วค่อยๆเดินไปหาเยี่ยจิงเฉิน

“ท่านประธานเยี่ย เรียกหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ?” ถังซินเหยาถามพร้อมกับเลียริมฝีปาก

ตอนที่ซือชิงไม่ได้พูด เธอก็ไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากที่ถูกซือชิงเตือนสติ เธอก็อดเลียริมฝีปากแห้งแตกนั้นไม่ได้

เยี่ยจิงเฉินมองลิ้นเล็กๆของถังซินเหยาที่ยื่นออกมาจากริมฝีปากสีชมพูของเธอ ริมฝีปากสีชมพูนั้น ฟันขาวเรียงกันอย่างน่าดึงดูดและอีกทั้งแววตานุ่มลึกของเขาจ้องมองไปยังริมฝีปากของเธอ ถังซินเหยามองเขาด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ

เอื้อมมือไปลากแขนของถังซินเหยา ให้เดินมาข้างๆ

ทั้งสองข้างทางเป็นป่าไม้ เยี่ยจิงเฉินกำลังลากถังซินเหยาเข้าไปในป่า

ซือชิงที่เห็นการกระทำหยาบคายของเยี่ยจิงเฉิน จึงรีบตามไปทันที เยี่ยจิงเฉินหันมามองเขาอย่างไม่แยแส แววตาที่บ่งบอกได้ถึงคำเตือน

แม้ว่าเยี่ยจิงเฉินจะไม่ได้พูดอะไร ก็ทำให้ซือชิงรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวจนไม่กล้าเดินตามไป ทำได้เพียงแค่เฝ้าดูถังซินเหยาที่ถูกเยี่ยจิงเฉินลากเข้าไปในป่า เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าซีดเผือด

ถังซินเหยาที่ถูกเยี่ยจิงเฉินลากไป เธอกลับไม่ได้ดิ้นรนแม้แต่น้อย

สำหรับอาการป่วยของเยี่ยจิงเฉินที่กำเริบขึ้นเป็นครั้งคราว การแสดงออกของเธอจึงค่อยข้างใจเย็น

เยี่ยจิงเฉินลากเธอเข้าไปในป่าโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขากดเธอลงบนต้นไม้ แล้วประกบจูบลงมา

ถังซินเหยาไม่เข้าใจ เยี่ยจิงเฉินคิดจงใจหาเรื่องอะไรอีก เมื่อถูกเยี่ยจิงเฉินผลักเข้าต้นไม้ หลังของเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมา

ยังไม่ได้พูดอะไรออกไป ก็ถูกเยี่ยจิงเฉินประกบจูบลงมา

ลิ้นของเยี่ยจิงเฉินที่คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี ฟันของเธอถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เขาดันลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเธอ แรงตวาดที่รุนแรง การเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ถูกฝึกซ้อมมาแล้วกว่าสิบรอบ เมื่อไม่มีสติสัปปชัญญะแล้ว ที่อ่อนโยนกลับกลายดิบเถื่อนและหื่นกระหาย

สำหรับจูบนี้ ทั้งสองคนไม่ใช่คนแปลกหน้าของกันและกัน พวกเขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

ถังซินเหยาที่เต็มไปด้วยความโกรธ เธอกัดฟันลง หวังให้คนอ่อนหัดอย่างเยี่ยจิงเฉินได้เห็นเลือด

เยี่ยจิงเฉินดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของเธอ ก่อนที่ฟันจะปิดลง เขาก็ถอยออกมาจากริมฝีปากของเธอเรียบร้อยแล้ว

“เยี่ยจิงเฉิน คุณเป็นบ้าอะไร?” ถังซินเหยาสูดหายใจเข้า ริมฝีปากบวมแดง แต่ใบหน้ากลับหมองคล้ำ แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังโกรธจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินกลับไม่ยอมปล่อยเธอ ยังคงกดร่างของเธอไว้บนต้นไม้…

“ฮ่าๆๆ…”

ในที่สุดเยี่ยจิงเฉินก็อารมณ์ดีขึ้น เขายกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เธอชอบฉันก็พูดมา อยากให้ฉันจูบก็บอกมาตรงๆ อย่าหัวใสหน่อยเลย”

“ฮ่าๆๆ…” เขากำลังพูดอะไร เธอไม่ได้อยากจูบเขาสักหน่อย เพียงแค่ “ฮ่าๆๆๆ…”

เธอหยุดไม่ได้จริงๆ เธออยากอธิบาย แต่อธิบายไม่ได้

เยี่ยจิงเฉินก้มหน้าลง ริมฝีปากเย็นประจบจูบลงไปที่ริมฝีบางเล็กๆของถังซินเหยา

เขาตวัดลิ้นออกมา ดันเข้าไปภายในโพรงปากของเธอ ลิ้นของเขาแข็งกร้าวเช่นเดียวกับคน ห่อหุ้มลิ้นอันอ่อนนุ่มถังซินเหยาเอาไว้ พัวพันกันเบาๆ เขาใช้แรงดูดจนริมฝีปากและฟันกระทบกัน

มือที่อยู่ไม่นิ่งเลื่อนไปตามเอวบางของถังซินเหยา ราวกับว่าร่างของเธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ปล่อยตัวเอนอ่อนไปตามอ้อมกอดของเขา

ทักษะการจูบของเยี่ยจิงเฉินดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจูบนี้จะไม่อ่อนโยน แต่ก็พรากสติของถังซินเหยาไปทั้งหมดให้เธอค่อยๆจมดิ่งไปกับรสจูบนี้ เธอเอื้อมมือไปกอดเอวของเยี่ยจิงเฉินไว้อย่างไม่รู้ตัว เริ่มตอบสนองต่อจูบของเขา

กลางคืนเยื้องกลายมาถึงแล้ว สายลมที่แสนเยือกเย็น

แต่ถังซินเหยาและเยี่ยจิงเฉินกลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย จูบระหว่างทั้งสองคนเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เงาของทั้งสองลากยาวไปโดยแสงไฟริมถนน ลมพัดใบไม้ที่อยู่บนต้นปลิวร่วงลงมา ใบไม้ปลิวไปตามสายลมแกว่งไปมาซ้ายขวา แล้วตกลงบนเงาของพวกเขาทั้งสองคน ร่างกายถูกเย็บเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น ภายใต้สายลมพัดเย็นยะเยือก แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

“อือ…เพื่อน มาโชว์หวานกันจะตายอยู่แล้ว”

จูบของทั้งสองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ จากการแจ้งเตือนเมื่อครู่ทำให้ได้สติกลับมา พวกเขารีบแยกออกจากกันทันที

เป็นถังซินโยวที่ได้สติกลับมา จึงรีบผลักเยี่ยจิงเฉินออก

เยี่ยจิงเฉินยังคงนิ่งสงบเช่นเดิม แม้ภูเขาพังทลายลงมาตรงหน้าเขาก็ยังไม่ไหวติง แต่หากมองดูใกล้ๆ จะเห็นความขุ่นเคืองที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาได้

ใครก็ตามที่บังอาจมาขัดจังหวะ ต้องไม่มีความสุขไปทุกที่

เขาเอื้อมมือขึ้นมาลูบริมฝีปากตนเอง สำหรับจูบเมื่อครู่ เขาพึงพอใจอย่างมาก

และถังซินเหยากำลังสับสน เธอยากตบตัวเองจริงๆ ปล่อยให้ตัวเองไม่รู้จักเรียนรู้บทเรียน เป็นอีกครั้งที่ป่าปี้ทำให้เธอรู้สึกทึ่งกับทักษะการจูบที่ร้อนแรงและงดงามของเขา ดับสิ้นแล้วอนาคตอันสดใน และไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนกับพี่ชายสุดหล่อมาก่อน (หวาดผวา)

“แค่กๆ…” ถังซินเหยาพยายามเพิกเฉยต่อความลำบากใจระหว่างทั้งสองคน เพียงแค่คิดย้อนกลับไปก่อนที่จะช่วยเยี่ยจิงเฉินเช็ดเหงื่อ

เธอเลียริมฝีปาก หลังจากที่คิดได้ว่ามีน้ำลายของป่าปี้ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ก็หยุดลงอย่างเก้อเขิน

“การดำเนินการของคืนนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เราเหลือดอกไม้เพียงแค่สามช่อ” ถังซินเหยาหยิบดอกไม้ออกมาจากรถ ก้มหน้าลงไปเขี่ยกลีบดอกไม้เล่น พูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อืม” เยี่ยจิงเหยียนที่เพิ่งได้ลิ้มรสความหอมหวาน ตอนนี้จึงอารมณ์ดี

“แล้วดอกไม้สามช่อนี้เราจะทำยังไง?” ถังซินเหยาถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

“เธอก็เอากลับไปสิ ดอกไม้พวกนี้พวกเขาก็ต้องการมอบให้เธออยู่แล้ว” สายตาของเยี่ยจิงเฉินจ้องมองไปยังใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของถังซินเหยา แล้วตอบออกไป

“ยังอยากคิดวิธีขายอีก ฉันเอาไว้แล้วช่อหนึ่ง ดอกไม่พวกนี้สวยแต่รูปไม่มีประโยชน์ สี่ห้าวันก็เหี่ยวแล้ว ฉันเอาไปสองสามช่อจะมีประโยชน์อะไร และอีกอย่างกินก็ไม่ได้” ถังซินเหยาเงยหน้าขึ้นแต่ไม่ได้มองไปที่เยี่ยจิงเฉิน เธอแตะที่ปลายจมูก แล้วพูดว่า “เมื่อคืนยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม? ฉันเลี้ยงเอง ดูสิว่าดอกไม้พวกนี้ยังจะมีคนต้องการอยู่รึเปล่า”

“งั้นก็ไปสิ ฉันขนเอง” เยี่ยจิงเฉินไม่คัดค้าน

ในความเป็นจริงแล้วเงินขายดอกไม้เหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาของเยี่ยจิงเฉินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเห็นถังซินเหยาถือไว้ขนาดนี้ เยี่ยจิงเฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ทั้งสองพบร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง สั่งอาหารจานด่วนมาสองอย่างเป็นอาหารเย็นสำหรับคืนนี้

ดอกไม้ทั้งสามช่อ ตอนที่กำลังรับประทานอาหาร ถูกขายในราคาส่วนลดยี่สิบเปอร์เซ็นสำหรับคู่รักที่ไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหาร

ตอนรับประทานอาหาร เมื่อเห็นว่าเยี่ยจิงเฉินสวมหูแมวไว้บนศีรษะโดยไม่รู้ตัว ความอึดอัดก็มลายหายไป เธออดกลั้นการแสดงออกของเธอ อย่าปล่อยตัวเองหัวเราะออกมา สำหรับความลำบากใจกับจูบเมื่อสักครู่ เธอทิ้งไว้เบื้องหลัง

อย่าคิดมาก จูบครั้งสองครั้งก็ไม่ท้องหรอก และอีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้จูบกันแค่ครั้งสองครั้ง

ถ้าในร้านประกาศรับคาวบอยสักคน มีป่าปี้คุณภาพแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เช่นนี้คงประมาณราคาไว้สูงเสียดฟ้า ตอนนี้จะให้เธอเป็นแค่เพื่อนเที่ยวฟรีๆ เธอก็ไม่ขาดทุน

คิดได้เช่นนี้ อันที่จริงที่ได้จูบกับป่าปี้ เธอก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จทั้งสองกลับไปยังโรงแรม ก่อนเข้าห้อง ถังซินเหยากล่าวกับเยี่ยจิงเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จิงเฉิน คืนนี้ฉันมีความสุขมาก ส่วนแบ่งของคุณพรุ่งนี้เช้าฉันจะแบ่งให้นะ”

ริมฝีปากของเยี่ยจิงเฉินยกยิ้มเล็กน้อย กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ฉันก็ความสุข เธอทำให้ฉันพอใจมาก ส่วนแบ่งนั้นควรเป็นรางวัลของเธอ”

ถังซินเหยากัดฟัน รางวัลตอบแทนทวดนายนะสิ!

คิดว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงขายตัวจริงๆสินะ ต้องให้ค่าตอบแทนเธอด้วย

ในเมื่อคิดว่าเธอเป็นโสเภณี พวกคุณป้าหน้าขาวๆ ก็คงเป็นโสภณีเหมือนกัน

แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างไรซะผลรวมของวันนี้ก็ได้ขายความงามของเยี่ยจิงเฉิน ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากคุณค่าของเขาแล้ว ส่วนอื่นก็คุ้มค่า

แต่แค่…ปล่อยให้เยี่ยจิงเฉินค้างคืนด้วย ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่สักหน่อย

“งั้นขอบคุณนะคะท่านประธานเยี่ย” ถังซินเหยายิ้ม “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

ตอนที่ปิดประตู ถังซินเหยาเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอมองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันที่ลืมไม่ลงที่สุดในชีวิต ท่านประธานเยี่ยคืนนี้ จริงๆแล้ว…”

ถังซินเหยาเลียริมฝีปาก เยี่ยจิงเฉินเลิกคิ้วมอง “สวยจนอยากกลืนกิน เฮ้อ…ฉันจะทนไม่ไหวจริงๆแล้วนะ”

หลังจากเยี่ยจิงเฉินได้ฟังคำพูดประโยคหลังของถังซินเหยาด้วยสีหน้าท่าทางขี้เล่น สายตาเขาก็มองต่ำลง

เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ต้องการจะสำเร็จโทษปีศาจสาวถังซินเหยาคนนี้

ถังซินเหยาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าจะยั่วอารมณ์เยี่ยจิงเฉิน สำหรับเขาที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว หลังจากพูดจบ ไม่รอให้เยี่ยจิงเฉินได้ก้าวเข้ามา ก็รีบปิดประตูทันที

เสียงประตูปิดดัง “โครม” จนเกือบชนเข้ากับจมูกของเยี่ยจิงเฉิน

เยี่ยจิงเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนนอก “ถังซินเหยา เปิดประตู ฉันสั่งให้เปิดเธอเปิดประตู”

เปิดให้ตาแก่อย่างคุณ เห็นว่าฉันเป็นยายโง่หรือไง

เรียกอยู่สามครั้ง ถังซินเหยาก็ยังไม่เปิดประตู เยี่ยจิงเฉินรู้ว่าถังซินเหยาจงใจแกล้งเขา

เขากลับไปที่ห้องของตัวเองด้วยสีหน้าท่าทางไม่สบอารมณ์ ตอนที่เดินผ่านหน้ากระจกหน้าห้อง เขามองเห็นใครบางอยู่ด้านในนั้น ท่าทีของเยี่ยจิงเฉินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

คนที่อยู่ในกระจกสวมหูแมวและหางแมว สีหน้าเย็นชา ไอ้โง่คนนั้นที่อยู่สภาพแบบนี้เป็นใครกัน

เขายกมือขึ้น และคนในกระจกก็ยกมือตาม

เอาล่ะ ในที่สุดเขาก็เข้าใจตอนที่ถังซินเหยาหัวเราะเขาจนแทบหายใจไม่ทัน และก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นถึงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

ถังซินเหยารอก่อนเถอะ จะไม่หักโบนัสทั้งหมดชองเธอ แต่ลูกคนต่อไปของเขาต้องใช้นามสกุลกับถังซินเหยา (ที่ไม่ใช่นามสกุลของถังซินเหยาแล้ว)

“คุณเพิ่งทำอะไร?” เยี่ยจิงเฉินถามอย่างเย็นชา

“โอ้ะ อย่าใส่ใจเรื่องรายละเอียดพวกนี้เลยค่ะ สิ่งสำคัญคือเรากำลังจะมีเงินทองไหลมาเทมา” ถังซินเหยาจับมือของเยี่ยจิงเฉิน และพูดว่า “ท่านประธานเยี่ยสู้ๆ วันนี้จะได้เงินมากเท่าไหร่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่คุณแล้ว”

ทันทีที่เสียงพูดเงียบลง สองมือเธอก็อุ้มเอาดอกกุหลาบช่อใหญ่ขึ้นมา พร้อมพูดเสียงดัง “ปล่อยผ่านไปก็ถือว่าพลาดแล้วนะคะ เร่เข้ามา เร่เข้ามาดูเร็ว ดอกไม้สดมีโปรโมชั้นสิบแถมหนึ่ง ซื้อสิบแถมอีกหนึ่ง และด้านในยังมีหนุ่มหล่อ เหล่าสาวๆห้ามพลาดกันเลยนะคะ!”

น้ำเสียงของถังซินเหยาคมชัดและหวานแหวว สำเนียงชัดถ้อยชัดคำกระจุ๋มกระจิ๋ม ราวกับพิธีกร ช่างไพเราะ

เช่นนั้นไม่นานคู่รักจำนวนมากก็มาทยอยกันเข้ามารอชมความน่าตื่นเต้น เหล่าสาวๆเข้ามามุงดูด้านในที่มีหนุ่มหล่อสวมหูและหางแมว จนไม่อาจเดินผ่านเข้าไปได้

เพราะไม่มีกระจก เยี่ยจิงเฉินจึงไม่รู้เรื่องอะไรกับวิธีการของถึงซินเหยา เขาไม่คิดว่าเพื่อเงินถังซินเหยาจะยอมเสียศักดิ์ได้ขนาดนี้ และศักดิ์ศรีของเขาก็ถูกขายไปด้วยเช่นกัน เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

อันที่จริงแล้วเยี่ยจิงเฉินไม่มีจิตวิญญาณของการเป็นแมวเลยสักนิด แข็งทื่อ ไม่สมบทบาทเลยจริงๆ

แต่ก็ไม่อาจต้านทานใบหน้างดงามของเยี่ยจิงเฉินได้ เพียงแค่เขากลอกตาไปมา ผู้คนก็พากันหลั่งไหลเข้ามาซื้อ

“สุดหล่อซื้อดอกไม้สักดอกให้แฟนสิคะ แฟนสวยขนาดนี้” ถังซินเหยาที่ถือกุหลาบช่อใหญ่กำลังโปรโมทการขายด้วยรอยยิ้มแสนหวาน

ชายหนุ่มมองความสวยของถังซินเหยา และแฟนสาวคนสวย ใบหน้าเล็กๆ ขาวๆ ถ้าไม่ซื้อคงเสียหน้าแย่ จึงซื้อไปหนึ่งช่อ

เริ่มต้นได้ดี ขั้นตอนต่อไปคงไปได้สวย

ดอกไม้ของถังซินเหยามีราคาค่อนข้างแพง และผู้ชายบางคนก็ไม่ได้ใจป้ำเหมือนคนเมื่อครู่ บางคนซื้อไปแค่ดอกสองดอกก็มี

“ฉันต้องการดอกไม้สักช่อค่ะ” สาวโสดคนหนึ่งซื้อดอกไม้ไปหนึ่งช่อใหญ่

ถังซินเหยาแทบอยากจะให้เธอซื้อไปทั้งหมด ยื่นช่อดอกกุหลาบให้เธออย่างกระฉับกระเฉง และยังอีกหลายช่อ

สุดท้ายดอกไม้ที่เธอเพิ่งให้หญิงสาวไป ก็ถูกส่งต่อให้เยี่ยจิงเฉินด้วยใบหน้าแดงกล่ำ

สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินเย็นชา เขาไม่ได้ยื่นมือออกมารับแม้แต่นิด

เขาเป็นคนเย็นชาเช่นนี้มาโดยตลอด อย่าหวังจะเข้าถึงได้ง่ายๆ เมื่อชายหนุ่มไม่รับดอกไม้ไป หญิงสาวก็รู้สึกอายขึ้นมา

“ดอกไม้ช่อนี้เดี๋ยวฉันช่วยรับแทนเขาให้นะคะ เขาเป็นคนขี้อาย พอเห็นสาวสวยเข้าหน่อยก็ทำอะไรไม่ถูก” ถังซินเหยารับดอกไม้มาแทนเยี่ยจิงเฉิน และกล่าวกับหญิงสาวอย่างใจดี

หญิงสาวมองไปยังใบหน้างดงามของถังซินเหยา แล้วเอ่ยถามว่า “คุณเป็นอะไรกับเขา ทำไมต้องรับแทน?”

“ฉันเป็นน้องสาวเขาค่ะ” สีหน้าของถังซินเหยาไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่สายตาของเธอมองเห็นสีหน้าของเยี่ยจิงเฉิน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจอยู่เล็กน้อย เธอรีบเอื้อมมือไปจับแขนของเยี่ยจิงเฉินทันที “จิงเฉิน ฉันพูดถูกไหม”

อย่าเพิ่งหมดความอดทนนะ มิฉะนั้นเงินจากดอกไม้ที่อยู่ในมือนี้ปลิวหายไปแน่ๆ

เยี่ยจิงเหยียนเห็นแก่การอ้อนวอนของถังซินเหยา น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “อืม…”

ถังซินเหยาซาบซึ้งใจจนแทบอยากร้องไห้ จริงๆแล้วป่าปี้ก็เป็นคนใจอ่อนคนหนึ่ง

แต่ท่าทางสูดลมหายใจอย่างเย็นชาของป่าปี้ ช่างหล่อเหล่าจริงๆ ยิ่งเหมือนแมวมากขึ้นเรื่อยๆ

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้โกรธถังซินเหยา เขากลับถลึงตาใส่หญิงสาวคนนั้น

หญิงสาวมองป่าปี้ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ใบหน้าแดงระเรื่อ หันหน้าหนีแล้ววิ่งออกไป

ถังซินเหยาวางดอกไม้ไว้ที่เดิม แล้วนำมาขายต่อ

หนึ่งคืน เยี่ยจิงเฉินได้รับดอกมาสิบกว่าห่อ นอกจากนี้ยังมีคนที่ไม่ค่อยมีเงินก็ยังส่งมาให้สองสามดอก ทั้งหมดถูกรับไว้ด้วยน้องสาวคนนี้ ถังซินเหยา สุดท้ายดอกไม้ก็กลับเข้าสู่ที่เดิมและนำมาขายต่อเช่นเคย

เพราะมีป่าปี้น่ารัก ดังนั้นธุรกิจจึงไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะในหมู่สาวๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีป่าปี้และฮอตขนาดนี้ ดอกไม้ที่ขายไปแล้ว ก็คงไม่ถูกส่งกลับมาให้ขายต่ออีกรอบ

ในช่วงที่ไม่มีคน ถังซินเหยาไปซื้อชานมไข่มุกมาสองแก้ว

คืนนี้ถูกสาวๆจ้องตาเป็นมันขนาดนี้ แต่สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษเลยสักนิด เขารับชานมไข่มุกมา ดูดจนแก้มพอง ยิ่งทำให้น่ารักเข้าไปอีก

ถังซินเหยาไม่เคยคิดมาก่อนว่า คำว่าน่ารักจะใช้กับผู้ชายเย็นชาและเยือกเย็นอย่างเยี่ยจิงเฉินได้

ชานมไข่มุกไม่ดื่มไม่หมด ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาว่า “วิ่งเร็ว เทศกิจมา!”

ถังซินเหยาลากเยี่ยจิงเฉินที่กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่ และยังมีดอกไม้สามห่อที่ยังขายไม่หมด เข็นรถสามล้อไปตามถนน

“เราวิ่งทำไม?” เยี่ยจิงเฉินขายาว แม้ไม่ได้วิ่งมาสักพัก แต่เพียงแค่ก้าวไม่กี่ก้าวก็เร็วกว่าแล้ว

“เทศกิจมา ถ้าไม่วิ่งแล้วถูกจับขึ้นมา ทั้งของทั้งเงินก็จะถูกยึดไปหมด” ถังซินเหยาวิ่งเร็วมาก แต่เทียบไม่ติดกับเยี่ยจิงเฉินที่ไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย ถังซินเหยาพูดว่า “ถ้าเทศกิจรู้จักคุณ พรุ่งนี้คุณก็จะถูกรายงาน กล่าวว่าอดีตประธานบริษัทเยี่ยหวง ตกอับถึงขั้นต้องเดินขายดอกไม้ตามตลาดกลางคืนเพื่อประทังชีวิต ช่างน่าเวทนา แค่ได้ยินฉันก็จะร้องไห้แล้ว”

เยี่ยจิงเฉินหน้าเปลี่ยนสี รับรถสามล้อจากถังซินเหยา

ขายาวๆ เข็นสามล้อที่อยู่ด้านหน้า แล้วพูดกับถังซินเหยาว่า “มาเร็วสิ”

ถังซินเหยาจับรถสามล้อ ใช้แรงจากข้อมือ แล้วค่อยๆกระโดดขึ้นไปนั่งเตะขาอยู่บนรถ

ขายาวๆของเยี่ยจิงเฉินเข็นรถสามล้อวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

“เหนื่อยไหม? มาฉันช่วยเช็ดเหงื่อให้” ในที่สุดก็ทิ้งห่างจากผู้คน ถังซินเหยาหยิบทิชชู่ออกมาจากกระเป๋า ช่วยเยี่ยจิงเฉินเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก

เยี่ยจิงเฉินคว้าข้อมือของถังซินเหยา ใช้แรงดึงเธอเข้ามาที่ตรงหน้าอกของตนเองแล้วกักตัวเธอเอาไว้ เขาจับข้อมือของถังซินเหยาไว้ด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือโอบเอวของเธอเอาไว้ จ้องมองไปยังถังซินเหยาด้วยสีหน้าเย็นชา “เธอเป็นน้องสาวของฉันเหรอ? ฉันขี้อายงั้นเหรอ? เมื่อเห็นสาวๆสวยๆแล้วก็จะทำอะไรไม่ถูกงั้นเหรอ?”

ดัชนีความหล่อเหลาของป่าปี้บวกกับอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนักของเขา ยิ่งเพิ่มความดุดันเข้าไปอีก เขายังจำประโยคเหล่านี้ได้ และคิดจะชำระบัญชีกับเธอ น่าแค้นใจจริงๆ

“ฮ่าๆๆๆ…” ถังซินเหยาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

ใบหน้าดุดันของป่าปี้และหูแมวที่ใส่อยู่ช่างน่ารักจริงๆ

ยิ่งไม่เข้ากัน ยิ่งน่ารักมาก เหมือนแมวกำลังโกรธที่โดนแย่งปลาย่างไป นี่อาจจะเป็นสิ่งเรียกว่าน่ารักก็ได้

“หัวเราะอะไร?” เยี่ยจิงเฉินที่เห็นถังซินเหยาหัวเราะ ใบหน้าก็หม่นลง

“ฮ่าๆ..ฮ่าๆ ไม่ๆ ไม่ได้หัวเราะ…” ถังซินเหยาหัวเราะราวกับคนบ้าไม่ยอมหยุด ทั้งๆที่เพิ่งบอกเองว่าตัวเองไม่ได้หัวเราะ “ฮ่าๆ..ก็..ฮ่าๆๆๆ ก็คือ..ฮ่าๆ วันนี้หา…เงิน ฮ่าๆๆ สนุกมาก ฮ่าๆๆๆ…”

คำพูดที่พูดออกมาเป็นระยะๆ ในที่สุดก็พูดออกมาจนจบประโยค

“ไม่อนุญาตให้หัวเราะ” เยี่ยจิงเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ฮ่าๆๆ” ถังซินเหยาหยักหน้า แต่เธอหยุดไม่ได้จริงๆ

“ฉันบอกว่าไม่อนุญาตให้หัวเราะ”

“อืม…ไม่…ฮ่าๆๆ…ไม่หัวเราะแล้ว”

“เธอหัวเราะอีกฉันจะจูบเธอ”

อดกลั้นความอยากแกล้งพิเรนๆป๊ะป๋าเอาไว้ ซินเหยาจึงได้จัดทรงผมให้จิงเฉินอย่างรวดเร็วและพูดว่า : "เสร็จแล้ว เราออกไปกันเถอะ"

เธอให้จิงเฉินขนดอกพวกนี้ไปที่โถงใหญ่ทั้งหมด และเธอก็ไปยืมรถมาหนึ่งคันและให้จิงเฉินรออยู่ที่โถง

อารมณ์วันนี้ของจิงเฉินไม่เลวเลย ผู้ที่หน้าไร้ซึ้งความรู้สึกเย็นชามาโดยตลอดแต่วันนี้กลับอารมณ์ดีกว่าปกติ ใบหน้าเขาเหมือนน้ำแข็งที่โดนแสงอาทิตย์อันแสนจะอบอุ่นละลายเข้าให้ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้เขาไปอีกหลายขุม

ซินเหยาเสียเงินไปประมาณ50หยวนในการไปยืมรถสามล้อมา

"โอเครล่ะ ขนดอกพวกนี้ใส่บนรถได้ วันนี้พวกเราจะขายดอกพวกนี้ให้เกลี้ยง" ซินเหยายืนอยู่ข้างรถสามล้อและอิงไปที่รถ พร้อมพูดกับจิงเฉินด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

รอยยิ้มของเธอมันหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าจริงๆ มันสวยมากกว่าดอกที่ออกตอนฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย

ตอนนี้จิงเฉินอยากจะพูดออกมาว่า เขาไม่ได้ต้องการเงินนี้เลย แต่มันก็ค้างไว้ที่ปากไม่พูดออกมา คิดซะว่ามาสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตนี้กับเธอดีกว่า

ทั้งสองวางดอกกุหลาบลงบนรถด้วยความระมัดระวัง และจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เพื่อที่จะไม่ทำให้ดอกช้ำหรือได้รับความเสียหายใดๆ

ดอกที่เหลืออยู่ซินเหยาก็เอามากอดไว้ที่อกของตัวเองอย่างระวังด้วยเหมือนกัน

เธอนั่งเอียงๆบนรถสามล้อ ส่วนจิงเฉินก็เป็นคนขับ

ถึงแม้ว่ารถสามล้อนี้จะดูLOWเอามาก แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของจิงเฉินก็เพิ่มความหรูหราให้รถทันที

คนบางคนถึงแม้จะขับBMW แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นได้แค่เศรษฐีใหม่ที่ผิดปกติเท่านั้น แต่บางคนที่ถึงแม้จะขับรถสามล้อ แต่ก็สามารถให้ความรู้สึกที่บอกว่าสามล้อนี้ต้องเป็นรุ่นอัลลิมิเต็ดแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยไปจิงเฉินของเราเป็นอย่างที่2

ตอนที่รอไฟแดงอยู่นั้น จิงเฉินจะต้องวางสิ่งนี้ลงไม่ทำเป็นแน่ เธอจึงต้องปรับความเข้าใจของเขาก่อนและสำรวจไปรอบๆถึงจะสามารถทำให้จิงเฉินยอมทำตามได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น จิงเฉินเข้าใจสถานการณ์นี้มากกว่าใครทั้งสิ้น

เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการที่สามารถมาเที่ยวตลาดกลางคืนกับเธอ ที่ตรงนี้พอตกดึกก็จะเป็นที่ที่คึกคักมากที่สุดเลยทีเดียว

แผงที่กำลังวางอยู่นั้นส่วนใหญ่เช่ามาทั้งสิ้น ซินเหยาและจิงเฉินเพียงแค่อยากจะขายดอกในมือพวกเขาให้หมดไป เงินที่ขายดอกได้มาทั้งหมดยังไม่สามารถที่จะเช่าแพงขายได้เลยกระมัง เธอหาที่ที่ค่อยข้างจะไกลหน่อยและนำดอกพวกนั้นออกมาวาง

คนในตลาดนี้เดินไปเดินมามากมาย ไม่มีใครหรอกที่จะมาซื้อดอกไม้

ผ่านไปตั้งครึ่งชั่วโมง แค่ดอกเดียวก็ยังขายไม่ได้

เธอหยิบไว้ฟ็อกกี้ฉีดน้ำให้ดอกไม้ตลอด เพื่อที่จะไม่ให้มันเหี่ยวไป

"จิงเฉิน แบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าเกิดว่าขายดอกพวกนี้ไม่ได้ ไม่ใช่แค่เสียดายเวลาพวกเรา แต่ยังเสียเงินค่าเช่ารถสามล้อไปฟรีๆนะ" ซินเหยาหันไปพูดกับจิงเฉินที่กำลังเงียบโดยตลอด

"ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ขันสนเงิน" จิงเฉินตอบกลับอย่างเบาๆ

ฉันมีเงิน ฉันเป็นคนรวย คำพูดพวกนี้มันหล่อเอามากจริงๆ

"งั้นก็ไม่สามารถที่จะเสียไปเปล่าๆแบบนี้" ซินเหยาลากตัวจิงเฉินมาและพูดต่อว่า : "ธุรกิจนี้คุณก็มีส่วน อย่ายืนเฉยๆอยู่แบบนั้นสิ"

"เงินให้เธอคนเดียวเลย ผมไม่เอา" จิงเฉินไม่ได้โต้แย้งอะไรปล่อยให้ซินเหยาลากเขามา

"ไม่ได้ ฉันเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรอ? ฉันคิดวิธีออกละ วางใจเถอะ ถ้าธุรกิจนี้มันปัง ฉันไม่ให้คุณต้องเป็นฝ่ายเสียแน่" ซินเหยาให้สัญญาจิงเฉยด้วยสีหน้าที่จริงจังและพูดต่อว่า : "วางใจเถอะ อยู่กับฉันได้กินเนื้อแน่"

"งั้นคุณจะให้อะไรผม?" จิงเฉินถาม

ซินเหยาคลำไปที่จมูกของตัวเองและพูดว่า : "ฮืออ……เงินที่ขายได้แบ่งคุณ10%"

จิงเฉินมองดูซินเหยาและพูดว่า : "ผมคิดว่าผมเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากกว่าผมเสียอีก"

"ฮะ….." ซินเหยาแสดงสีหน้าที่ไม่เข้าใจ

"เพราะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมากใจต้องดำมากตามไปด้วย" จิงเฉินตอบ

หึหึ กำลังด่าเธอทางอ้อมล่ะสิ

ขอแค่มีเงิน จะด่าแค่ไหนก็เชิญ

"ท่านประธานคะ ไม่มีใครหรอกคะที่ไม่ชอบมีเงินเยอะ นี่เป็นธุรกิจของเราสองคน คุณจะช่วยกันเรียกลูกค้าใช่ไหมคะ?" ซินเหยาเบิกตาใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะเลียนแบบอ้อนแอ๊บแบ๊วเหมือนลูกสาวเธอ

จิงเฉินยิ้มมุมปากขึ้นและพูดว่า : "ได้"

คำว่า'เราสองคน'ของซินเหยาเมื่อกี้มันได้ไปจี้จุดในใจของจิงเฉินจริงๆ ทำให้จิงเฉินอารมณ์ดีขึ้นมามาก จะคุยเรื่องอะไรก็ง่ายไปหมด

หึหึ รอคำนี้มานานแล้วหล่ะ

ซินเหยาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะคิดดีนัก แล้วให้จิงเฉินเฝ้าไว้ที่นี่ อีก5นาทีเธอจะกลับมา

ที่จริงไม่ถึง5นาที แค่3นาทีเธอก็กลับมาแล้ว

ตอนที่กลับมายังพกไว้ถุงดำมาด้วย ไม่รู้ว่าข้างในใส่อะไรไว้

"หึหึ ท่านประธานคะ สิ่งที่ฉันจะทำต่อไปนี้ก็เพื่อธุรกิจของเรานะคะ คุณสัญญาแล้วว่าจะร่วมมือกับฉัน ไม่สามารถคืนคำได้นะคะ" ซินเหยามองไปที่ใบหน้าของจิงเฉินที่หล่อเหลาถึงขั้นอยากร้องไห้ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะคิดดีนัก

พร็อบตอนนี้ก็พร้อมทุกอย่างแล้ว ภาพที่จะได้เห็นเป็นภาพที่ต้องทำให้ผู้หญิงหลายคนน้ำลายย้อยกลั้นไม่ไหวจริงๆ

"อืม" จิงเฉินรู้สึกถึงพลังงานที่ไม่ดีเข้า แต่ก็ไม่ได้คืนคำ

ซินเหยาลากมือของจิงเฉินวิ่งไปที่ที่แสงส่องไปไม่ถึง ใช้มือของเธอปิดไปที่ตาของจิงเฉิน ขนตาของเขายาวมากแต่ไม่ได้งอน ขนตาที่ยาวบวกกับการขยับตาเป็นจังหวะของจิงเฉินกระทบไปที่มือของซินเหยา และกระทบไปถึงใจที่กำลังเต้นรัวของซินเหยาด้วย

อดกลั้นไว้กับใจที่เต้นรัวผิดปกติของเธอ เธอจึงพูดขึ้นว่า : "หลับตา ถ้าฉันไม่บอกให้ลืมก็ห้ามลืม"

"อืม" จิงเฉินไม่ได้ปัดมือที่ทาบอยู่บนหน้าของตัวเองทิ้ง เพียงแค่ตอบรับออกมาเบาๆ

ซินเหยาอดไม่ได้ที่จะนำของที่เตรียมไว้ในถุงดำออกมา มันคือหูแมวที่น่ารักมากคู่หนึ่งและยังมีหางแมวอีกด้วย

หึหึ……

ซินเหยานำหูแมวและหางแมวที่น่ารักแบ๊วกรุบทั้งสองใส่ให้จิงเฉินหมด

คาดไม่ถึงจริงๆว่าผลลัพธ์จะออกมาดีขนาดนี้ ถึงแม้จะยังไม่ได้ลืมตา แต่ซินเหยาก็ถูกความน่ารักแบ๊วกรุบของป๊ะป๋ากระแทกเข้าให้อย่างจัง ต่อจากนี้ไปความน่ารักอ้อนแอ๊บแบ๊วของเข่อหลานที่อยู่ในใจของเธอคงต้องสละตำแหน่งให้ป๊ะป๋าแล้วหล่ะ

ป๊ะป๋า คุณเป็นปีศาจที่กร้าวใจมาก

ซินเหยาล้วงมือถือของเธอออกมา และถ่ายรูปจิงเฉิน เก็บไว้เป็นความทรงจำ

"เสร็จแล้ว ลืมตาได้" ซินเหยาเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม น้ำเสียงที่พูดออกมามีเสียงหัวเราะปนอยู่ด้วย

เมื่อจิงเฉินลืมตาขึ้น สายตาคู่นั้นของเขาที่ดูเย็นชา ยิ่งดูยิ่งเหมือนแมวต่างดาวที่กำลังทำหยิ่งเพราะเขินอยู่ ><

น่ารักเสียจนจะบ้าตายเอาให้ได้ น่ารักเวอร์ เธอโดนความน่ารักนี้ของป๊ะป๋ากระทบเข้าอย่างจังทำให้อ่อนระโรยอยากไปกองนอนที่พื้นจริงๆ

จิงเฉินยิ้มหัวเราะออกมาแล้ว แต่ซินเหยานี่สิยังหน้าบึ้งตึงอยู่

หัวเราะบ้าอะไร ไม่เข้าใจว่าป๊ะป๋าเส้นตื้นหรืออะไรกันแน่

ถ้าเกิดว่ารอบข้างของคุณมีคนที่เส้นตื้น โปรดรักษาพวกเขาไว้ดีๆล่ะกัน

"ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร" จิงเฉินมองกวาดไปที่หน้าอกของซินเหยาและพูดขึ้น

แม่เจ้า นี่ป๊ะป๋าคุณกำลังดูถูกเธออยู่หรอ?

'ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร' คำนี้มันหมายความว่าอะไรกัน เธอไม่ต้องบีบอะไรก็เห็นเป็นร่องแล้วนะ

ถ้าเกิดว่าเธอฉลาดน้อยกว่านี้หน่อยล่ะก็ คนอื่นคงน่าจะพูดเธอว่าอกใหญ่แต่ไม่มีสมองมั้ง นี่ไม่ใช่เป็นการด่านะ เพียงแค่กำลังพูดความจริง

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ไม่มีสมอง แต่มันอยู่ที่หน้าอกใหญ่ต่างหาก

เพราะงั้นที่ป๊ะป๋าพูดเธอว่า 'ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร' สายตามีปัญหาหรืออะไรกัน?

"หึ……" ซินเหยาเพียงแค่ถอนหายใจออกมาแบบไม่พอใจเบาๆและพูดขึ้นว่า "ฉันมีร่อง คุณมีรึปล่าว?"

ซินเหยามองไปที่จิงเฉินด้วยความไม่ยอมและคิดอยู่ในใจว่า พูดคนอื่นว่าหน้าอกเล็ก ตัวเองหน้าอกใหญ่มากหรือไง?

"มีไม่มีคุณรู้สึกไม่ได้หรอ?" จิงเฉินในใจคิดไม่ดีและทับไปที่หน้าอกอันนุ่มของซินเหยาแรงกว่าเดิม

ถุย……ป๊ะป๋า ไอ้อันธพาล

อีกอย่างหัวข้อเรื่องที่พวกเขากำลังถกกันอยู่นั้นเหมือนจะรู้สึกหลงประเด็นออกไปเยอะอยู่นะ

ซินเหยาโดนการกระทำที่อันธพาลของจิงเฉินเล่นงานเข้าอย่างมากจนหน้าแดงไปหมด อยากจะบีบน้องชายของเขาจริงๆ

"ท่านประธานคะ ท่านกำลังรอแผนออกแบบฉันอยู่ ตอนนี้ฉันจะรีบไปทำให้ใหม่ค่ะ จะได้หรือป่าวคะ?" เพื่อหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่กำลังจะออกทะเลไปเรื่องอื่น เธอจึงลากกลับเข้าเรื่องนี้ หัวข้อที่พวกเขาพูดไปเมื่อกี้มันดูโหดร้ายล่อแหลมไปสักหน่อย

"คุณคิดว่าที่ผมรวยขึ้นมากะทันหันดูผิดปกติงั้นหรอ?" สีหน้าของจิงเฉินจากดีๆกลายเป็นบึ้งตึง และพูดว่า : "คุณคิดว่าผมตั้งใจแกล้งคุณ ไม่เคารพคุณงั้นหรอ?"

ใช่ เธอคิดแบบนี้แหละ ทำไมหรอ? (ปากไม่ตรงกับใจ)

"ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนี้นะคะ" ซินเหยาส่ายหัวและพูดปฏิเสธไป

"แต่ว่าเห็นอยู่ชัดๆว่าเมื่อกี้คุณพูดแบบนี้" จิงเฉินหรี่ตาเล็กลง

"ไม่ใช่จริงๆนะคะ" เธอปฏิเสธอย่างสุดฤทธิ์ คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะยอมรับ

"งั้นความหมายของคุณคือคิดว่าผมเข้าใจคุณผิดงั้นหรอ?" จิงเฉินโถมทับไปที่ร่างของซินเหยาหนักขึ้นและถามเธอ

"ไม่ใช่ค่ะ คุณเป็นคนพูดเองต่างหาก" ที่แท้ก็เป็นคุณที่เข้าใจเธอผิดตลอดแหละ

หึ…..แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่นับว่าเป็นการเข้าใจผิด

"งั้นคุณหมายความว่าไง?" จิงเฉินถาม

ซินเหยา : ……

เธอคิดว่าเธอน่าจะไม่สามารถจะเล่นสนุกกับป๊ะป๋าได้อีกต่อไปแล้ว

"ฉัน……ฉัน……." ซินเหยากำลังเตรียมจะอธิบาย แต่รู้สึกเจ็บที่ริมฝีปากกะทันหันจึงทำให้เธอพูดไม่ออก

ทันใดนั้นจิงเฉินก็ก้มหัวลงไปกัดที่ริมฝีปากเธออย่างเหี้ยมเกรียม ความเจ็บเมื่อกี้ของเธอมันก็ได้รับผลกระทบโดยน้ำเลือดค่อยๆไหลซิบออกมา น้ำในตาก็ไม่ต่างอะไรกัน ตอนนี้ในปากของเธอได้รสชาติเหมือนกลิ่นสนิม แม่เจ้า เลือดออกจริงด้วย

เกิดเป็นผู้หญิงนี่มันน่าสงสารจริงๆ นอกเสียจากการที่ต้องเสียเลือดหนึ่งสัปดาห์ติดแล้ว ยังจะต้องมารอรับชะตากรรมการเสียเลือดที่คาดไม่ถึงแบบนี้อีกด้วย

จิงเฉินระเรงอยู่บนริมฝีปากสีอมชมพูของซินเหยาอยู่นาน ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเธอตอนนี้แดงก่ำไปหมด เลือดก็ซิบๆไหลออกมาด้วย

จิงเฉินปล่อยริมฝีปากออกจากของซินเหยา ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งสองต่างมีกลิ่นเลือดผสมอยู่และมีกลิ่นของความซาดิสต์และเซ็กซี่ปนอยู่ด้วย

"นี่เป็นการลงโทษสำหรับการพูดมั่วของเธอ ถ้าครั้งหน้ายังกล้าจะพูดอีก อย่าคิดว่าจะรอดไปง่ายๆแบบนี้แน่" จิงเฉินแลบลิ้นออกและเลียไปที่คราบเลือดสีแดงที่ติดบนริมฝีปากของตัวเอง

การกระทำนี้ไม่รู้ว่าลามกหรือเซ็กซี่ แต่มันมีความอันตรายแน่ๆ

ซินเหยาตอนนี้เจ็บริมฝีปากไปหมด ไอ้บ้าจิงเฉิน ไอ้หมาป่าโรคจิตยังกล้ามาพูดอีกหรอว่าเธอเป็นคนแต๊ะอั๊ง?

อีกอย่างน้ำเสียงของจิงเฉินที่พูดออกมาเมื่อกี้เหมือนอยากให้เธอขอบคุณซาบซึ้งในจูบเขายังไงยังงั้น

ตอนนี้เธอรู้สึกอยากใช้ฝ่ามืออรหัรต์ตบไปที่หน้าจิงเฉินเข้าให้อย่างจังมาก ตบให้กระเด็นติดไปที่กำแพงเลย และอย่าหวังว่าชาตินี้จะได้ออกมาจากกำแพงอีก

ทน……ได้แค่ทน

ใครบอกให้เธอไม่รวยเท่าจิงเฉินเองหล่ะ บนโลกที่ดูว่ากระเป๋าใครหนักกว่ากันในการใช้ชีวิตนี้มันช่างลำบากจริงๆ

"โอเครค่ะ ถ้าท่านประธานไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ" ซินเหยาปากยิ้มแต่ใจไม่ยิ้มพร้อมพูดขึ้น และปิดประตูกำลังเตรียมจะเดินออกไป

"อย่าไปสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นล่ะ" จิงเฉินพูดขึ้นตอนซินเหยากำลังปิดประตู

ที่จริงพูดออกมายาวเป็นหางว่าวขนานนี้ ประเด็นอยู่ที่ประโยคนี้ประโยคเดียวสินะ

เพียงแต่ซินเหยารู้สึกว่าประโยคนี้ที่จิงเฉินพูดออกมาแค่พูดลอยๆเท่านั้น เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพียงใด

แผนออกแบบนำเสนอโดนจิงเฉินปัดตก เธอต้องเตรียมตัวทำใหม่แล้ว

อย่ามาเล่นตลกเลย เรื่องพวกนี้มีแต่พวกปัญญานิ่มถึงจะเล่นกัน

ถ้าเกิดว่าจิงเฉินได้ดูแผนออกแบบของเธอแล้วบอกว่าไม่ผ่านเธอจะไม่ว่าสักคำ แต่นี่คือยังไม่ทันที่จะเปิดดูสักหน้าก็ปัดตกแล้ว มันใช่เรื่องไหม?

เพราะงั้นซินเหยาจึงตัดสินใจเอาแผนออกแบบที่เธอทำไว้เมื่อวานนำมาใช้อีกครั้ง

ตอนกลางคืนหลังเลิกงาน เธอได้เจอกับซือชิงเข้าที่หน้าบริษัท แต่ว่าสามารถบอกได้ว่าเป็นซือชิงเองแหละที่ตั้งใจมารอเธอ

เขาหอบดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ที่บานสะพรั่งและสวยมาก

"ซินเหยา" ซือชิงเห็นเธอจากที่ไกลๆและเดินเข้าไปหาเธอ

"Hi……ซือชิง" สายตาของซินเหยามองต่ำไปที่ดอกไม้ในมือของซือชิงที่กำลังหอบอยู่และหัวเราะพูดว่า : "ดอกนี่ให้แฟนคุณใช่ไหมล้า? คืนนี้มีเดตกับเธอหรอ?"

ซือชิงยื่นอยู่ในจุดที่แสงอาทิตย์ที่ใกล้ลับฟ้าสามารถสาดมาถึง บวกกับสายตาที่อบอุ่นของเขา มันเพิ่มให้เขาดูเป็นคนที่อบอุ่นเอามากตอนนี้

"ใช่" ซือชิงพงกหัวรับ

"ฮั่นแน่ งั้นฉันไม่รบกวนล่ะนะ ขอตัวก่อนเลยละกัน ขอให้คุณและแฟนคุณมีความสุขมากๆในค่ำคืนนี้นะ" ซินเหยาโบกมือลาซือชิงและพูดขึ้น

ทันใดนั้น ซือชิงก็รั้งเธอไว้ข้างหน้า และพูดกับเธอว่า : "ซินเหยา ดอกพวกนี้ผมนำมาให้คุณเอง"

ซินเหยา : ……

หึหึ นี่คุณกำลังล้อเล่นกับเธออยู่หรอ?

"ดอกช่อนี้ผมซื้อมาให้คุณเป็นพิเศษเลย ผมหวังว่าคุณสามารถที่จะเป็นแฟนผมได้" ซือชิงมองดูซินเหยาด้วยแววตาที่โชกโชน

เธอรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้มันคุ้นมาก แต่ว่ารอบที่แล้วสติอาจจะหลุดไปหน่อย

"เออออ……" ซินเหยาก้าวไปข้างหลังสองก้าวเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างเขาสองคนพร้อมพูดว่า : "ซือชิง อย่ามาล้อเล่นกันน่า นี่มันก็เดือน10แล้ว เราผ่าน April Fools' Day มานานแล้วนะ"

เธอรู้สึกว่าตั้งแต่เธอกลับมาจากต่างประเทศเธอก็เนื้อหอมไม่เบาทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นซวี่เจ๋อ หรือว่าจะเป็นซือชิง แบบนี้จะทำให้เธอไม่รู้สึกเนื้อหอมได้ไง

เมื่อคืนที่ออกไปกินมื้อดึกกับซือชิง ตอนแรกคิดว่าถ้าเธอแสดงกิริยาไม่สำรวม เหมือนผู้ชายออกมาแบบนั้นซือชิงจะรู้สึกไม่ชอบและจะไม่มายุ่งกับเธออีก แต่กลับกันเลย วันนี้เขาทำไมมาสารภาพรักกับเธอแล้วล่ะ?

ตอนที่ซินเหยากินมื้อดึกนี้กับซือชิงเสร็จก็เป็นเวลาเกือบจะตี5แล้ว ทั้งสองต่างก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อย ซินเหยาดื่มจนแก้มทั้งสองข้างแดงเหมือนลูกพีช แต่ว่าตาของเธอก็ยังคงสว่างและได้สติอยู่

ซือชิงเอาแต่จ้องไปที่ใบหน้าอันสะสวยนี้ของซินเหยาจนไม่อาจจะละสายตาได้

"ซือชิง ฉันต้องขอบคุณนายมากจริงๆ นายก็กลับไปพักผ่อนอาบน้ำเช้าๆหน่อยล่ะกัน" ซินเหยาโบกมือลาซือชิงพร้อมพูดขึ้น

"อืม ผมดูคุณเดินเข้าไปในโรงแรมแล้วผมก็จะกลับ" ซือชิงยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นให้ซินเหยาและพูดขึ้น

ซินเหยาก็ไม่ได้คิดอะไร จากนั้นจึงได้หันหลังกลับและเดินเข้าโรงแรมไป

ซือชิงเพียงแต่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เพียงมองแต่ภาพข้างหลังของซินเหยาค่อยๆไกลห่างและหายไป ถึงจะยิ้มออกมา และขับรถจากไป

จิงเฉินตอนนี้กำลังยืนมองอยู่ที่หน้าต่าง ในมือจับไว้แก้วแชมเปญ มองลงไปที่ไฟข้างทางในบรรยากาศที่อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ที่ที่ซินเหยาและซือชองกำลังร่ำลากัน

จิงเฉินดื่มไวน์ในแก้วแชมเปญนั้นจนหมดแก้ว จากนั้นโยนแก้วใบนั้นลงไป เสียงแตกที่ได้ยินมันช่างดังเอามาก ตอนนี้เเก้วแชมเปญก็แตกเป็นเสี่ยงๆกองอยู่บนพื้น

เช้าวันต่อมา ซินเหยาก็นำแผนนำเสอนที่เธอได้ทำทั้งคืนมาส่งให้จิงเฉินดู

มือเรียวยาวของจิงเฉินได้รับแผนนำเสนอนี้ไป แต่ไม่ทันที่จะได้เปิดดูสักหน้า ก็แสดงสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกออกมา หัวเราะเล็กน้อย และหันหัวขึ้นมาพูดกับซินเหยาว่า : "ไม่ผ่าน ไปทำมาใหม่"

ซินเหยาโดนสายตาอันเย็นชาคู่นั้นมองเธอจนทำให้เธอรู้สึกอึดอัด แต่หลังจากที่ได้ยินคำที่จิงเฉินพูด มันก็ยิ่งทำให้เธอโกรธควันออกหูจริงๆ ไม่มีที่ไหนในร่างกายที่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย

ป๊ะป๋านี่คือจ้องจับผิดหาเรื่องคนอื่นตลอด แผนนำเสนอที่เธอทำออกมาอย่างสุดความสามารถป๊ะป๋ากลับยังไม่ทันอ่านสักหน้าก็บอกว่าไม่ผ่านเสียแล้ว

เกิดเป็นคนไม่ต้องคิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง คิดว่าหล่อรวยก็ทำอะไรทุกอย่างได้แล้วสิ?

"คุณยังไม่ได้เปิดดูสักหน้าเลยนะคะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ผ่าน?"ซินเหยาถามกลับอย่างไม่พอใจ

"ไม่ต้องดูหรอก ผมพูดว่าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน" จิงเฉินพูดจบก็โยนแฟ้มเอกสารพวกนั้นทิ้งลงถังขยะทันที

แม่เจ้า นี่มันทำเกินไปหรือป่าว แฟ้มเอกสารนั่นไม่ต้องใช้เงินซื้อหรือไง ไอ้บ้านี่

"ทำไมล่ะคะ?" ซินเหยากัดฟันอย่างแน่นและถามขึ้น อยากจะขุดศพบรรพบุรุษของจิงเฉินทั้งหมดออกมาดูจริงๆ

"ก็เพราะผมเป็นเจ้านายคุณไง ทุกอย่างในบริษัทล้วนเป็นผมที่เป็นคนตัดสินใจ" จิงเฉินพูดตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

"คุณตั้งใจแกล้งฉันก็ไม่ว่า?" ถ้าเธอไม่รู้จริงๆว่าจิงเฉินแกล้งเธอแล้วล่ะก็ เธอคงจะต้องล้มเหลวกับการใช้ชีวิตตลอด20ปีที่ผ่านมาของเธอมากแน่ๆ

จิงเฉินยิ้มมุมปากขึ้น และแสดงร้อยยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า : "ใช่ คุณเพิ่งจะรู้หรอ"

เห้อ……ทำไมป๊ะป๋าหน้าหนายอมรับได้ตรงๆแบบนี้เลยหรอ

"คุณทำเกินไปแล้วนะคะ เอกสารพวกนี้ฉันใช้เวลาทำทั้งคืนเลยนะคะ คุณยังไม่ทันที่จะเปิดอ่านก็บอกว่ามันไม่ผ่านแล้ว นี่มันเป็นการไม่เคารพงานที่ฉันทำออกมาเลยนะคะ ถ้าเกิดว่าคุณยังทำแบบนี้กับแผนออกแบบนำเสนอของฉันล่ะก็ ฉันไม่ยอมจริงๆนะคะ คุณมันเป็นคนเจ้าอารมณ์" ซินเหยาโดนจิงเฉินที่หน้าหนาขนาดนี้ปั่นเสียจนควันออกหูแบบโกรธเอามาก

ความสูงส่งและความเจ้าอารมณ์ที่ส่งออกมาจากภายในของจิงเฉินมันคนละเรื่องกันเลย

"หึ" ตอนนี้ซินเหยาได้แค่โอดร้องอยู่ภายในใจของตัวเองอย่างเจ็บปวดโดยที่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้สักคำเดียว เธอก้าวไปด้านหลัง2ก้าวและพูดขึ้นว่า : "ในเมื่อท่านประธานบอกว่าแผนออกแบบของฉันมีปัญหา งั้นฉันจะไปทำมาใหม่ค่ะ"

พูดยังไม่ทันจบ ซินเหยาก็หันหลังและวิ่งกลับไป

คนอย่างจิงเฉินที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ใจโหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ คนที่อยู่รอบข้างเขาคงจะต้องรู้สึกไม่ดีเอามากแน่ๆ

เธออยากจะวิ่งออกไป แต่มันติดที่ว่าวิ่งออกไปไม่ได้น่ะสิ

เธอยังไม่ทันวิ่งถึงหน้าประตู ก็มีมือคู่หนึ่งลากจับเธอไว้แล้ว

แรงที่ลากเธอกลับมามันเยอะมาก เธอโดนลากกลับมาอยู่ในอ้อมกอดที่มีกลิ่นยอมเย็นอบอวลไปทั่ว ซินเหยาตอนนี้รู้สึกตัวเองงานเข้าเสียแล้ว

จิงเฉินแค่เพียงหันหลังกลับมาก็สามารถกำหราบซินเหยาให้นอนคาอยู่ที่หน้าประตูได้แล้ว

เธอชนโดนประตู เจ็บจนน้ำในตาเธอจะทะลักออกมาเป็นสายฝนที่โหมกระหน่ำอย่างยังอย่างงั้น

ไอ้สัตว์ป่า ไอ้ปีศาจร้าย บอกกันดีๆเป็นรึปล่าว? นี่มันชักจะอันธพาลเกินไปแล้วนะ

"พูดต่อสิ เมื่อกี้เห็นปากดีนัก พูดออกมาต่อเลย" จิงเฉินกดเธอไว้ที่ประตูและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

หึหึ……ป๊ะป๋าคุณเป็นปีศาจร้ายที่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ

ถ้าเกิดว่าเธอพูดแล้ว กลัวว่าป๊ะป๋าจะต้องฆ่าเธอทิ้งทันทีที่ได้ฟังเป็นแน่

"ฉันไม่พูด" ซินเหยาส่ายหน้า แสดงให้ป๊ะป๋าเห็นว่าเธอไม่ยอมทำตามความเอาตัวเองเป็นที่ตั้งของป๊ะป๋าแน่ๆ

ใบหน้าของทั้งสองตอนนี้มันใกล้กันแทบจะชนกันอยู่แล้ว ลมหายใจที่มีความร้อนของจิงเฉินมันไปกระทบเข้าที่หน้าของซินเหยาอย่างจัง ปลายจมูกของทั้งสองแทบจะแนบชิดติดกัน ระยะห่างของพวกเขาตอนนี้มันอยู่ในขั้นที่ไม่ปลอดภัยเอาซะเลย แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่อึดอัดอะไรมากมาย

เพียงแต่ซินเหยาแค่รู้สึกว่าระยะห่างนี้มันจะดูล่อเเหลมเกินไปหรือป่าว?

เธอนำสองมืออันบางเรียวของเธอพลักไปที่หน้าอกอันแข็งแกร่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนักของจิงเฉินออก และพูดขึ้นว่า : "คุณช่วยอยู่ห่างฉันหน่อยจะได้หรือป่าว?"

ซินเหยาตอนนี้รู้สึกตัวเองเหมือนจะหายใจไม่ออกเบอร์นั้น จิงเฉินตอนนี้ได้นำน้ำหนักตัวทั้งหมดของตัวเองทับไปบนตัวของซินเหยา ตอนที่จิงเฉินใส่ไว้เสื้อผ้าแบบนี้ถึงจะดูสูงและดูลีนเอามาก แต่เมื่อถอดเสื้อผ้าออกต้องมีแต่กล้ามเป็นมัดๆแน่ๆ ตอนนี้เธอรู้สึกหนักเอามากจริงๆ

จิงเฉินใช้มือของตัวเองที่ใหญ่กว่าซินเหยาเอามากในการรวบจับมือซินเหยาที่พยายามจะพลักเขาออกได้อย่างไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย เมื่อรวบเสร็จก็นำมือซินเหยาลากขึ้นข้าบน และกดไว้บนหัวที่อยู่บนประตู

"ให้เหตุผลผมสักหน่อย"

จิงเฉินโถมตัวเข้าไปที่คอที่กำลังเปลือยอยู่ของซินเหยา และดมมันอย่างเบาๆ

เหมือนกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายกำลังตรวจสอบเยื่อของตัวเองอยู่ว่ามีกลิ่นที่แปลกไม่พึงประสงค์หรือป่าว มันดูดิบเถื่อนเอามากๆ

แม่เจ้า ให้ออกห่างหน่อยก็ต้องมีเหตุผลให้หรอ?

เพราะงั้น ป๊ะป๋ะเป็นคนราศีกันย์ที่น่ารังเกียจมากๆ คนราศีกันณ์ ชอบหน้าบึ้งตึงแถมยังไม่ชอบอธิบายอะไรอีก

ถ้าเกิดเธอบอกว่าตอนนี้เธอโดนป๊ะป๋าทับจนหายใจจะไม่ออกแล้ว แต่ว่าท่าทีของป๊ะป๋าที่กำลังโกรธควันออกหูแบบนี้คงจะไม่ปล่อยเธอแน่ๆ เเต่กลับกัน คงจะทับเธอให้ตายเสียมากกว่า

"เอ่อออ……" ซินเหยานิ่งไปสักพัก และมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของจิงเฉินและพูดขึ้นว่า : "คุณทับหน้าอกฉันจนมันแบนไปหมดแล้ว!!!"

เกิดเป็นหญิงขาดอะไรก็ได้หมด แต่ไม่ใช่หน้าอกนี้แน่

ทับจนหน้าอกคนอื่นแบน ความแค้นนี้มันเทียบได้กับการฆ่าพ่อแย่งเมียเลยนะ

จิงเฉิน : ……

ดวงตาที่เปร่งประกายวาวของซินเหยา ตอนนี้มันกำลังดูไปที่จิงเฉินอยู่เหมือนมีน้ำกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายใน ในส่วนของจิงเฉิน ตาของเขาตอนนี้เบิกข้ึนและกวาดมองไปที่หน้าอกของซินเหยาอย่างไม่ได้ปิดบังว่ากำลังมองอยู่

ตอนที่จิงเฉินทับไปที่ทรวงอกของซินเหยาคงจะออกเเรงมากไปหน่อย เพราะมันโดนทับจนเปลี่ยนรูปร่างไปหมแล้ว จากมุมองศาของจิงเฉินสามาถมองลงไปที่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่กระดุมเม็ดด้านบนหลุดออกเห็นเป็นเนินเขาที่ซ่อนอยู่ภายในได้ เนินเขานี้บรรยากาศทิวทัศน์ไม่เลวเลยจริงๆ เนินเขาที่สวยงามได้สงบอารมณ์ที่ไม่ดีของจิงเฉินลงไปได้อย่างราบคาบ

"หึ….." ถึงแม้ว่าอารมณ์ตอนนี้ของจิงเฉินไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็โดนนิสัยบ้าบอของซินเหยาทำให้เขาสามารถยิ้มออกจนได้

บางครั้งเยี่ยจิงเฉินก็ดื้อรั้นมากและสิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆเด็ดขาด ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้วว่าถ้าไม่ส่งงานที่มอบหมายให้ในเช้าวันพรุ่งนี้จะหักโบนัสของเธอ ถ้าเขาจะหักจริงๆแม้ว่าเธอจะพยายามเต็มที่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เมื่อนึกถึงกำลังจะโบนัสหายไปจากมือ ถังซินเหยาก็ได้กัดฟันด้วยความเจ็บปวดใจ

เหมือนสิ่งที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด กาลเวลาที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสม และแรงสามัคคี

เธอเสียเปรียบในสิ่งนี้

ชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายตลอดช่วงบ่ายของวัน แต่ผลสำเร็จได้แค่ครึ่งหนึ่งของความพยายามเท่านั้น

ถังซินเหยางานยุ่งมากจนเธอยุ่งเกินกว่าจะรู้สึกเป็นทุกข์กับโบนัสที่กำลังจะหายไป

"ก๊อกก๊อกก๊อก…… " ประตูห้องทำงานชั่วคราวของถังซินเหยาถูกเปิดออก ถังซินเหยาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นเป็นซือชิงที่ยืนสูงตระหง่านอยู่ที่ประตู ช่างเป็นอาหารตาชั้นดีแต่เธอมองแค่แป๊บเดียวจากนั้นก็ก้มศีรษะลงและพูดอย่างผ่านๆว่า "ซือชิง คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า?"

ซือชิงมองร่างที่สง่างามของถังซินเหยากำลังจัดการกับเอกสารมากมายกองใหญ่เท่าบ้าน

"งานมีปัญหาอะไรหรือเปล่าต้องการให้ผมช่วยไหม?" ซือชิงเดินเข้ามาหาถังซินเหยา

"ไม่…… " ถังซินเหยาหยุดพักหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซือชิงด้วยดวงตาที่เป็นประกายราวกับว่าเธอได้เห็นสัตว์เลี้ยงที่หายไปนาน เธอมองไปที่ซือชิงด้วยความดีใจ"ไม่ …… ฉันต้องการความช่วยเหลือของคุณมาก ซือชิงคุณคือฮีโร่ที่ช่วยฉันให้พ้นจากไฟมรสุม"

คำพูดเพียงไม่กี่คำของถังซินเหยาสร้างความพึงพอใจให้กับความเป็นลูกผู้ชายของซือชิง คำยกยอของผู้หญิงสวยอย่างถังซินเหยาทำให้เขาดีใจจนหาทางไปไม่เป็น

ไม่ใช่แค่ความช่วยเหลือนะ ถ้าต้องการทรัพย์สมบัติเขาก็หามาให้ได้ด้วยสองมือของเขา

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อบางครั้งผู้ชายก็มีความโง่เขลา ใช้ความรู้สึกมากกว่าสมอง

"ซือชิง คุณแน่ใจเหรอว่าจะช่วยฉัน?" ถังซินเหยาถามซือชิงด้วยรอยยิ้มหวานและเสียงที่อ่อนโยน

เพื่อรักษาโบนัสสิ้นเดือนนี้ไว้ถังซินเหยายอมทำทุกอย่าง

เพียงแค่แสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาเหมือนดอกบัว ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กๆ

"ซินเหยาไม่ต้องกังวลนะ เรื่องของคุณก็เหมือนเรื่องของผมด้วย ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยคุณจนงานของคุณสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี " แน่นอนว่าผู้ชายชอบผู้หญิงใสซื่อไร้เดียงสา ถังซินเหยาทำเพื่อตัวเองได้สำเร็จจนได้ ซือชิงพึงพอใจในความเป็นลูกผู้ชายของเขาเป็นอย่างมาก ซือชิงแสดงอย่างกล้าหาญว่าเขาจะช่วยทำทุกอย่างเพื่อถังซินเหยา

"ซือชิง ขอบคุณมากนะคะ" ถังซินเหยามองไปที่ซือชิงอย่างซาบซึ้ง

ด้านนอกห้องทำงานเยี่ยจิงเฉินมองเข้าไปในห้องทำงานก็เห็นเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันทันใดนั้นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เขาถอนหายใจแล้วเดินไปจากตรงนี้

เดิมทีสิ่งที่เขาพูดในตอนเที่ยงเป็นเพียงการบอกว่าเขาต้องการสอนบทเรียนเล็กๆน้อยๆ ให้กับถังซินเหยาและให้เธอจดจำเอาไว้แต่ตอนนี้เธอพบผู้ช่วยเหลือแล้ว ถ้างั้นเขาคิดว่าเขาคงไม่ต้องแจ้งให้ถังซินเหยาทราบแล้วว่าแบบแผนโครงการนี้ไม่จำเป็นต้องเขียนใหม่แล้ว

สิ่งที่ถังซินเหยายังไม่รู้ก็คือผู้หญิงที่แสร้งว่าใสซื่อมักจะพบจุดจบไม่ดี

ดังนั้นเธอต้องยอมรับกับหายนะที่กำลังจะมาถึง

แม้ว่าบริษัทในเมืองHจะเป็นเพียงสาขาของเยี่ยหวง แต่ก็ไม่ควรประมาท

ซือชิงสามารถขึ้นเป็นผู้จัดการของบริษัทได้ตอนที่เขาอายุยังไม่ถึงสามสิบปี เป็นเพราะเขามีความสามารถของตัวเองโดยธรรมชาติและไม่ได้ใช้เส้นสายแต่อย่างใด

ได้รับช่วยเหลือจากซือชิง ทำให้ถังซินเหยารู้สึกกดดันน้อยลงมาก

เอกสารที่ข้อมูลไม่ครบหรือหายไป และข้อมูลไม่ชัดเจนเขาก็สามารถหาออกมาได้

ถังซินเหยารู้สึกเหนื่อยและปวดไหล่ปวดเอวเป็นอย่างมากและในที่สุดก็จัดการเขียนแบบแผนโครงการจนเสร็จ

ดูเวลาตอนนี้ก็เป็นเวลาตีสามครึ่งแล้ว

ซือชิงอยู่ทำงานเป็นเพื่อนเธอจนช่วงเวลานี้ทำให้ถังซินเหยารู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องลำบาก

"ซือชิงขอบคุณที่ช่วยฉันในวันนี้ ถ้าไม่ได้คุณฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฉันต้องตายแน่ๆ " ความช่วยเหลือของซือชิงทำให้ถังซินเหยามีรอยยิ้มที่จางลงแต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือความจริงใจบนใบหน้าของเธอ แต่ความจริงใจอันเล็กน้อยทำให้ถังซินเหยาสามารถสัมผัสหัวใจและเปิดใจผู้อื่นได้มากขึ้น

ภายใต้การจ้องมองของถังซินเหยาทำให้หัวใจของซือชิงเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ไม่เป็นไรผมมีความสุขมากที่สามารถช่วยคุณได้" ซือชิงพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นแรงและยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน

"ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอเลี้ยงข้าวคุณเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยฉันในวันนี้" พูดจบถังซินเหยาก็เก็บเอกสารวางไว้ในลิ้นชักแล้วหยิบเสื้อคลุมมาใส่

หัวใจของซือชิงยังคงเต้นเร็ว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจะไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของถังซินเหยา

ถังซินเหยายังคงจดจำวันที่เยี่ยจิงเฉินพาเธอไปที่ตลาดกลางคืนเมื่อครั้งที่แล้ว ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพาซือชิงไปเลี้ยงข้าวที่นั่น

ทั้งสองออกมาจากบริษัทแล้วซือชิงก็ขับรถพาเธอตรงไปที่ตลาดกลางคืนแห่งนั้น

มันเป็นร้านเดียวกันกับครั้งที่แล้ว ถังซินเหยาสั่งผัดหอยโข่ง เนื้อแกะเสียบไม้ย่าง ไตแกะ, มะเขือยาว ปลาซาบะ ปีกไก่ กระดูกไก่กรอบ กุ้งและเหล้า

เหล้าและผัดหอยโข่งได้เร็วที่สุด ถังซินเหยารินเหล้าสองแก้ว แก้วหนึ่งเป็นของเธอเองส่วนอีกแก้วเป็นของซือชิง

เธอหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับซือชิง "ซือชิง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือขอบคุณจริงๆนะฉันจะดื่มแก้วนี้เพื่อเป็นการขอบคุณ"

เธอดื่มรวดเดียว เหล้าได้ลงไปอยู่ในท้องของเธอเรียบร้อยแล้ว

ปากของซือชิงกระตุก รู้สึกว่าฝันหวานได้ดับสูญไป

ซือชิงรู้สึกมาโดยตลอดว่าถังซินเหยาเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและบอบบาง แต่เมื่อเธอดื่มเหล้าภาพลักษณ์นั้นก็หายไปอย่างสมบูรณ์

หลังจากที่ผู้หญิงดื่มแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

ถังซินเหยารินเหล้าอีกแก้วแล้วพูดว่า "ฉันขอดื่มแก้วนี้ให้คุณอีกครั้ง เพื่อเป็นการที่ได้รู้จักกับเพื่อนอย่างคุณ"

ซือชิงดื่มเป็นเพื่อนเธอไปพร้อมกัน

"ไม่มีเหตุผลสำหรับแก้วสุดท้ายนี้ฉันแค่อยากจะดื่มเพื่อขอบคุณ" ถังซินเหยายกแก้วขึ้นมาชนอีกครั้ง

ซือชิงดื่มเป็นเพื่อนเธอจนถึงที่สุด

อาหารที่พวกเขาสั่งถูกเสิร์ฟมาทีละจาน ถังซินเหยาหยิบไตแกะขึ้นมากัดกิน

"คุณรู้ไหมตอนที่คุณและประธานเยี่ยมาถึงเมืองHครั้งแรกผมคิดว่าคุณสวยมากพิเศษ คุณเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก คุณสวยกว่าผู้หญิงในฝันบนเว็บบอร์ดของเหล่าโอตาคุซะอีก" ขวดเหล้าที่วางอยู่บนพื้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของซือชิงก็แดงขึ้นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังพูดได้ชัดเจนเห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เมา "ตอนนั้นผมคิดอยู่นะว่าคุณควรเป็นดอกไม้บอบบางที่เติบโตในเรือนกระจกและต้องการการดูแลอย่างระมัดระวัง เหมาะที่จะปรากฏในร้านกาแฟร้านอาหารฝรั่งและห้องสมุดเท่านั้น ผมรู้สึกว่าคุณควรใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ นะแต่ตอนนี้คุณนั่งอยู่ที่นี่กับผมเพื่อกินปิ้งย่าง "

ถังซินเหยากินไตแกะย่างในมือหมดก็เช็ดปากแล้วพูดว่า "ก่อนหน้านี้มันเป็นภาพลวงตาอันที่จริงฉันคิดว่าตลาดกลางคืนเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฉันแล้ว ไม่ชอบร้านกาแฟและร้านอาหารฝรั่งพวกนั้น ฉันยังคงสบายใจเมื่ออยู่ในสถานที่แบบนี้ "ถังซินเหยาจิบเหล้าเล็กน้อยเมื่อพูดจบ

เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอาหารมื้อดึกในวันนี้ที่เธอได้ออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ ความเป็นจริงกับผลลัพธ์ที่เธอคาดคิดไว้ขัดกันอย่างสิ้นเชิง

"ได้ครับ ซินเหยา" ซือชิงยื่นเมนูให้ถังซินเหยาแล้วพูดว่า "ซินเหยาคุณอยากกินอะไรเลือกดูเลยนะครับ"

ถังซินเหยาไม่รู้จะสั่งอะไรเลยสั่งสเต๊ก เธอไม่ชอบอาหารตะวันตกอยู่แล้ว กินอะไรก็ได้ที่สามารถอิ่มท้องก็พอแล้ว

เธอไม่ชอบกินอาหารตะวันตกจริงๆ หลังจากใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเธอแทบจะกินแฮมเบอร์เกอร์เนื้อทุกวัน กินจนเบื่อ หลังจากที่ลั่วหลิงค้นพบความสามารถในการทำอาหารของเขา ทำให้ทุกวันของถังซินเหยากินแต่แฮมเบอร์เกอร์ สเต๊กเนื้อและมันฝรั่ง

เนื่องจากยังมีงานที่ต้องทำในช่วงบ่ายทั้งสองคนจึงไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์

ถังซินเหยาสั่งน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว ดื่มไปคุยไป

"ซินเหยา คุณทำงานกับประธานเยี่ยเหนื่อยไหม?"ซือชิงถามถังซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่แจ่มชัดขณะรับประทานอาหาร

ถังซินเหยากลืนเนื้อวัวเข้าปากแล้วพูดว่า "เอ่อ ก็พอได้ค่ะ จริงๆแล้วฉันก็เพิ่งมาทำงานกับเขาไม่นาน"

"คุณดูอายุยังน้อย คุณน่าจะเพิ่งเรียนจบมาใช่ไหมครับ คุณน่าจะทุ่มเทมากถึงมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ซือชิงถามอย่างไม่แน่ใจ

"เอ่อ…… " เธอจิบน้ำผลไม้แล้ววางมีดและส้อมในมือลง"ที่จริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันเข้าเรียนเร็วและเรียนจบมหาวิทยาลัยเพียงอายุสิบแปดปี ต่อมามีปัญหาวุ่นวายฉันถูกส่งตัวไปอยู่ต่างประเทศเพื่อเรียน เพิ่งกลับมาในปีนี้นี่เองค่ะ "

"แล้วทำไมคุณถึงเลือกทำงานที่เยี่ยหวง?"ซือชิงถาม

ถังซินเหยาเริ่มรู้สึกว่าซือชิงถามเยอะเกินไป

แม้ว่าเขาจะหล่อ แต่ก็ไม่ใช่จะถามไปซะทุกเรื่อง

แต่เธอดูเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานในสายตาคนอื่น และมักจะมีรอยยิ้มที่อ่อนหวานอยู่บนใบหน้าของเธอเสมอ

"เอ่อเพราะ……" รอยยิ้มของถังซินเหยาจางลง"ฉันทำหน้าที่แทนเลขาหลี่ชั่วคราว จริงๆแล้วฉันเป็นหัวหน้านักออกแบบของบริษัทซีเคของสาขาในเอเชีย เพราะเคยร่วมงานกันหลายครั้งกับเยี่ยหวงและฉันก็สนิทกับเลขาหลี่อยู่บ้างเลยมาช่วยทำแทนเลขาหลี่ไม่กี่วันค่ะ"

นี่ไม่ใช่ความลับอะไรที่ไม่สามารถรู้ได้ เรื่องนี้ถังซินเหยาไม่ได้กังวลที่จะซ่อนมัน

"คุณสามารถเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าให้ฉันเดาต้องมีที่ไปที่มาไม่ธรรมดาแน่เลยใช่ไหมคะ" ถังซินเหยาเช็ดปากของเธอรู้สึกเลี่ยนเล็กน้อย เธอเกลียดการถามแบบนี้แต่เป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายเลยต้องถามออกไป

เธอไม่ชอบที่ต้องวางท่าในขณะรับประทานอาหาร มื้อนี้เป็นมื้อที่แย่มาก

เธอรู้สึกดีต่อความหล่อเหลาของซือชิง แต่หลังจากรับประทานอาหารร่วมกันความรู้สึกนี้มันก็หายไปทันที

"ความจริงผมเตรียมตัวมาดีในสายงานนี้มันไม่มีทางลัดที่จะสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ นอกจากการทุ่มเทมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่าและขยันมากกว่าร้อยเท่า ทุกอย่างต้องพึ่งพาความขยันของตัวเองมาโดยตลอด……บลาบลาบลาๆๆ……"

ถังซินเหยาฟังด้วยความตื่นเต้น แต่อันที่จริงเธอไม่ได้สนใจประวัติความขยันของคนอื่น

ตรงนี้ไม่ใช่รายการเดอะวอยซ์ออฟไชน่าซะหน่อย เธอไม่ต้องการประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง

การรับประทานอาหารมื้อนี้ของถังซินเหยาเธอรู้สึกปวดกระเพาะเป็นอย่างมาก และปวดมากขึ้นเมื่อเธอต้องเผชิญเรื่องราวหลังจากรับประทานอาหาร

แม้ว่าตอนเที่ยงจะไปที่ร้านอาหารตะวันตกซึ่งบรรยากาศดีมากและราคาก็ไม่ถูกอย่างแน่นอน แต่ถังซินเหยากลับรู้สึกว่าเธอไม่ได้กินอิ่มอะไรเลย

เธอสัญญากับตัวเองว่าต้องถามให้ชัดเจนก่อนจะไปทานข้าวกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน อาหารที่เธอกินเข้าไปค่อนข้างย่อยยาก เธอกลัวว่าถ้าเธอไปกินอีกครั้งเธออาจเป็นนิ่วได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การมองคนที่หน้าแต่เป็นการมองด้านจิตใจของคนคนนั้น

เธอซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยที่ร้านสะดวกซื้อแล้วแช่ทิ้งไว้

เพิ่งแช่ไปก็ได้กลิ่นหอมของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว และเธอกำลังจะอ้าปากกินแต่ประตูห้องประชุมก็มีคนผลักเข้ามา

คนที่เข้ามาเป็นเยี่ยจิงเฉิน แม้ว่าเธอจะเคยสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่มองคนที่หน้าตา แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเยี่ยจิงเฉินอดไม่ได้ที่มอง ป่ะป๊าหล่อระดับดาราดัง หล่อเท่ที่สุดในระบบจักรวาลเลย

เยี่ยจิงเฉินกวาดตามองไปที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ตรงหน้าถังซินเหยาและถามด้วยใบหน้าเย็นชา "คุณไปไหนมาตอนเที่ยง?"

ถังซินเหยาวางตะเกียบในมืออย่างไม่เต็มใจ และปิดฝาถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอาไว้ ขออย่าให้มันเย็นเลยเธอยังจะต้องกินต่อในภายหลัง

"อ๋อ ฉันออกไปทานอาหารเที่ยงกับผู้จัดการซือมาค่ะ" ถังซินเหยาลุกขึ้นยืนเดินห่างจากเยี่ยจิงเฉินไปสามก้าวและมองมาที่เยี่ยจิงเฉิน

ดวงตาของเยี่ยจิงเฉินเคร่งขรึมและมีไฟกำลังสุมอยู่ภายใน

"ดีมาก ดูท่าว่าคุณจะว่างมากและคุณยังมีเวลาว่างในการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับคนอื่น สิ่งที่ผมคุยกับประธานหลิวเมื่อตอนเช้าคุณทำสรุปเสร็จหรือยัง? แล้วความคิดเห็นและแนวคิดที่พวกเราคุยกันคุณเขียนแบบแผนแล้วหรือยัง?"เยี่ยจิงเฉินถามอย่างเย็นชาและมีสีหน้าที่เรียบนิ่ง

เริ่มเขียนแบบแผนใหม่?

"นี่เป็นเรื่องของฝ่ายวางแผนไม่ใช่เหรอคะ? ยิ่งไปกว่านั้นต้องขอความร่วมมือของฝ่ายการเงินและฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง" เยี่ยจิงเฉินมองดูถังซินเหยาถามด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก

"คุณได้ติดต่อฝ่ายวางแผนว่าต้องการกำลังคนไหมแล้วหรือยัง?"

"แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องมีการกำหนดแผนโครงการขึ้นมาใหม่ และท่านประธานก็ไม่เคยพูดถึงสิ่งนี้

"นี่คืองานทั้งหมดของคุณ ผมต้องบอกคุณเป็นการส่วนตัวและต้องสอนคุณทุกอย่างเลยเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้เก็บคุณไว้จะมีประโยชน์อะไร?"

ถังซินเหยาหายใจเข้าลึกๆและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ฉันขอโทษนะคะท่านประธาน ฉันยอมรับว่าเป็นความประมาทของฉันทำให้เกิดช่องโหว่มากมายในการทำงานและฉันจะรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุด"

"ก่อนพรุ่งนี้เช้าผมหวังว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ" เยี่ยจิงเฉินทิ้งคำพูดเหล่านี้ไว้และเดินออกไป

บ้าไปแล้วก่อนพรุ่งนี้เช้าเนี่ยนะ?

ป่ะป๊ามองว่าเธอเป็นซูเปอร์แมนหรือยังไง ถ้าเป็นหลี่เวยก็ว่าไปอย่างเชื่อว่าเธอจะทำได้อย่างง่ายดาย

เพียงแค่ว่าเธอไม่ได้เป็นมืออาชีพในด้านนี้ แม้ว่าเธอจะรู้เกี่ยวกับโครงสร้างบุคลากรของ บริษัทแต่เธอก็ไม่ได้รู้ลึกมากพอ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีถึงจะหาคนมาช่วยได้เยอะก็ไม่สะดวกอยู่ดี

สรุปได้ว่าเธอเสียเปรียบเวลาที่เหมาะสมสถานที่ที่เหมาะสมและความสามัคคีของผู้คน

อยากจะส่งกระดาษคำตอบที่น่าพอใจ ดูจะพูดง่ายกว่าทำ

ถังซินเหยาถอนหายใจยาว

"ถ้าคุณไม่สามารถทำงานที่ผมสั่งให้สำเร็จ โบนัสของคุณสำหรับเดือนนี้จะถูกหักออกไป"เยี่ยจิงเฉินพูดกับถังซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

หลังจากพูดจบก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่รอให้ถังซินเหยาแสดงความคิดเห็นอะไร

ถังซินเหยา……

จะบ้าตายจะหักโบนัสงั้นเหรอ? ก่อนหน้านี้ป่ะป๊าขอค่าตอบแทนจากเธอ ให้หักในเงินเดือนของเธอหนึ่งหมื่นให้ป่ะป๊า

งั้นก็เป็นอย่างที่หลี่เวยบอก ถ้าหากไม่มีกำไรเธอต้องชดเชยเงินให้บริษัทใช่ไหม

ไม่ถามความคิดเห็นของเธอเลย เธอไม่เห็นด้วย……

ป่ะป๊าทำแบบนี้ได้ยังไง?

ดูเหมือนว่าคนจนไม่เพียงไร้ศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีสิทธิมนุษยชนด้วยซ้ำ

ถังซินเหยารู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

ตื่นเช้ามาอีกวันก็เกือบเที่ยง

โต๊ะข้างเตียงมีน้ำอุ่นหนึ่งแก้ววางอยู่และมียาแก้โรคกระเพาะวางอยู่ข้างๆ

นอกจากนี้ยังมีโจ๊กผสมยาวางอยู่ในกล่องเก็บความร้อนซึ่งช่วยบำรุงและย่อยได้ดีมาก ถังซินเหยารู้ว่าเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ความฝันมีคนลูบท้องของเธออย่างใส่ใจทั้งคืนจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินและหลิวซื่อหรงเดินนำหน้า ถังซินเหยาและเพื่อนร่วมงานสาขาอื่นเดินมาตามหลัง

"เลขาถัง ตอนพักเที่ยงไม่ทราบว่าคุณพอมีเวลาหรือเปล่า" ซือชิงผู้จัดการฝ่ายการเงินของสาขาย่อยถามเธอ

เขาได้เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินตั้งแต่อายุยังน้อยซึ่งเพียงพอที่จะเห็นความสามารถและทักษะในการสื่อสารของเขา

"หือ?" ถังซินเหยาหันไปมองใบหน้าของซือชิง ช่างเป็นอาหารตาชั้นดี"ผู้จัดการซือเมื่อกี้คุณพูดอะไรนะคะ ขอโทษฉันไม่ทันได้ฟังค่ะ"

ซือชิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า "ตอนเที่ยงพวกเราไปทานข้าวด้วยกันนะครับ"

ถังซินเหยาพยักหน้าและยิ้ม: "โอเคค่ะ"

เมื่อเยี่ยจิงเฉินหันกลับมาเขาเห็นถังซินเหยาและชายคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเขามาจากไหนจ้องมองและพูดคุยกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกล้าที่จะส่งรอยยิ้มหวานให้คนอื่น

สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง แต่ดวงตาของเขากำลังลุกเป็นไฟ

เขาหยุดเดิน และคนอื่นๆก็หยุดตามโดยไม่รู้ตัว

ถังซินเหยามองเยี่ยจิงเฉินด้วยความมึนงงและก็พบว่าเขาจ้องมองมาที่เธอ

หัวใจของเธอเต้นแรงและเธอเห็นได้ว่าป่ะป๊ากำลังโกรธ แต่เขามองเธอมีหมายความว่าอะไรก็ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ

เยี่ยจิงเฉินเห็นถังซินเหยามองกลับมาที่เขาด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาความโกรธของเขายิ่งเพิ่มระดับขึ้นไปอีกสายตาที่โหดเหี้ยมในดวงตาของเขาทำเอาถังซินเหยาถึงกับรู้สึกหวาดกลัว

"ถังซินเหยาในฐานะเลขาของผม นี่คือท่าทีในการทำงานของคุณหรือ?" น้ำเสียงของเยี่ยจิงเฉินเรียบนิ่งแต่ก็สามารถรับรู้ความโกรธจากน้ำเสียงของเขาได้

ถังซินเหยารู้สึกงุนงงเล็กน้อย สรุปว่าเธอทำอะไรผิด?

"ท่านประธานคะฉันขอโทษนะคะ ฉันผิดไปแล้วค่ะ "ถังซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป

คนจนมักจะไม่มีเกียรติ

เงินซื้อได้ทุกอย่าง ทั้งศักดิ์ศรีทั้งความรัก

แม้ว่าถังซินเหยาจะยอมรับผิด แต่เยี่ยจิงเฉินก็โกรธมากที่ถังซินเหยาทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร

"คุณรู้หรือยังว่าคุณผิดตรงไหน?" เยี่ยจิงเฉินถามเธออย่างเย็นชา

ผิดบ้านคุณสิ ถังซินเหยารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร

"คุณรู้ไหมว่าหน้าที่ของคุณในฐานะเลขาคืออะไร?" เยี่ยจิงเฉินถาม

เธอคิดว่าในฐานะเลขาเธอต้องรับผิดชอบบุคลิกภายนอกให้ดูดีและสวยอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น

"คุณรู้ไหมว่าผมพูดอะไรกับประธานหลิว?" เยี่ยจิงเฉินถามด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

เขาโกรธเพราะว่าเธอไม่ได้สนใจ?

"ฉันผิดไปแล้วค่ะประธานเยี่ย" ถังซินเหยายอมรับความผิดของเธออย่างจำยอม

"ตามมาให้ทัน" เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างเย็นชา

ถังซินเหยาหันไปพูดกับซือชิงเบาๆ "ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ"

เยี่ยจิงเฉินหันกลับมาเห็นอีกครั้ง สีหน้าของเขายิ่งเพิ่มความโกรธมากขึ้นไปอีก

เธอรีบเดินไปข้างๆของเยี่ยจิงเฉินอย่างใกล้ชิด เพราะเกรงว่าเธออาจพลาดข้อมูลสำคัญไป การเอาตัวรอดของเธอทำให้เยี่่ยจิงเฉินมีสีหน้าที่ดีขึ้นและน้ำเสียงก็อ่อนโยนลงมากซึ่งทำให้หลิวซื่อหรงและทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในสมัยโบราณมีฮ่องเต้องค์หนึ่งที่โกรธจนเปลี่ยนเลือดให้ไหลเป็นสายน้ำ และความโกรธของเยี่ยจิงเฉินก็เหมือนกันทำให้ทุกคนอึดอัดไปด้วย

หลังจากคุยธุระเสร็จในช่วงเช้าเยี่ยจิงเฉินต้องการที่จะมอบหมายงานให้กับหลิวซื่อหรง แต่กลับพบว่าถังซินเหยาไม่รู้หายไปไหน ในตอนเช้าไอ้หนุ่มหน้าละอ่อนที่จีบถังซินเหยาต่อหน้าทุกคนก็ไม่เจอแล้ว เยี่ยจิงเฉินโกรธจนกำหมัดแน่น

หลิวซื่อหรงมองจากด้านหลังของเขาด้วยความหวาดกลัวและต้องการซ่อนตัวจากเยี่ยจิงเฉิน

เขากำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาถังซินเหยา ก็จำได้ว่าเขาทำมันพังไปแล้ว

เขาโกรธจนต้องการลากตัวถังซินเหยากลับมาทันที อยากจะทำร้ายให้บาดเจ็บและหักโบนัสประจำปีของเธอด้วย เมื่อนึกสภาพถังซินเหยามาอ้อนวอนขอเงินจากเขาเยี่ยจิงเฉินรู้สึกว่าเขาอารมณ์ดีขึ้นมาก หลิวซื่อหรงชวนเขาไปทานอาหารกลางวันด้วยกันและเขาก็ตอบตกลง

เรื่องราวนี้มันซับซ้อนนัก ต้องจัดการไปทีละเรื่อง

ในเวลานี้ถังซินเหยากำลังอยู่กับซือชิง

เธอนั่งรถของซือชิงออกมาจากบริษัท

ซือชิงพาเธอมาที่ร้านอาหารตะวันตกเพื่อรับประทานอาหาร ในร้านบรรยากาศดีมากและสภาพแวดล้อมก็เงียบสงบ มันทำให้ถังซินเหยารู้สึกว่าสถานที่นี้ค่อนข้างแปลกแต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

ทั้งสองเดินเข้าไปด้วยกัน ซือชิงดึงเก้าอี้ให้เธอนั่งลงซึ่งทำให้เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมาก

"เลขาถังคุณอยากกินอะไรครับ" ซือชิงถาม

ถังซินเหยาจิบน้ำมะนาวบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้วมองไปที่ซือชิง"ไม่รอคนอื่นก่อนเหรอคะ?"

ซือชิงมองไปที่ถังซินเหยาอย่างแปลกใจ"ไม่มีคนอื่นมาแล้วครับ"

"อะไรนะ……"

"มาแค่พวกเราสองคนเหรอคะ."

ถังซินเหยาเข้าใจมาตลอดว่าซือชิงจะเป็นคนเลี้ยงอาหารมื้อนี้เพื่อรับประทานอาหารร่วมกับทุกคนในโครงการ

อย่างไรก็ตามยังมีงานอีกมากมายที่ต้องร่วมมือกับเขาในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการดีที่จะติดต่องานกับเขา รู้จักกันไว้ก็ดี

แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอาหารมื้อนี้ซือชิงจะเลี้ยงเธอเป็นการส่วนตัว

ถังซินเหยายิ้มและพูดว่า"อ๋อ ฉันนึกว่าคุณชวนเพื่อนร่วมงานคนอื่นมาด้วย"

"ต้องโทษผมที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจนและทำให้คุณเข้าใจผิด" ซือชิงก็เพิ่งรู้ว่าถังซินเหยาเข้าใจความหมายของอาหารมื้อนี้ผิด

"ถ้าเป็นความเข้าใจผิดมันก็เป็นความเข้าใจผิดที่สวยงาม เป็นเกียรติสำหรับฉันที่ได้รับประทานอาหารร่วมกับประธานซือ ประธานซือได้เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินตั้งแต่อายุยังน้อยซึ่งถือว่ามีความสามารถมากๆเลยค่ะ" ถังซินเหยาส่งยิ้มหวานให้กับซือชิง

เฮ้อ ในเมื่อมาแล้วจะกลับตอนนี้ก็ไม่ได้ มันจะเป็นการขัดความหวังดีของเขา?

ถังซินเหยาไม่มีความบกพร่องในการเข้าสังคม

เธอมีใบหน้าที่ดูสวยหวานแม้แต่คำพูดของเธอก็ยังไพเราะอ่อนหวานซึ่งทำให้ผู้คนที่ใกล้ชิดเธอต่างรู้สึกหลงใหลในคำพูดของเธอ คำพูดหวานๆไม่ได้มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่พูดได้ ผู้หญิงก็สามารถพูดได้เหมือนกัน

แน่นอนว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของซือชิงยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ฟังแค่สองประโยค

"พวกเราสองคนมานั่งทานข้าวด้วยกันนับว่าเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหมครับ?" ซือชิงถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ถังซินเหยาพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ "แน่นอนค่ะ"

ซือชิงถึงกับพูดอย่างนี้แล้วเธอไม่นับได้หรือ?

อย่างไรก็ตามซือชิงก็ถือว่าเป็นคนดีและมีความสามารถ ผูกมิตรกับคนที่มีความสามารถเธอไม่สามารถหาเหตุผลที่จะปฏิเสธได้

อย่าถามเธอว่าทำไมเธอถึงรู้ว่าซือชิงเป็นคนดี ก็เพราะเขาค่อนข้างหล่อยังไงล่ะ

มันเป็นยุคสมัยที่ดูหน้าตาก่อนเป็นอันดับแรก เขาหล่อขนาดนี้คงไม่เป็นคนเลวหรอกมั้ง

"ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ควรเรียกผมว่าประธานซือแล้ว ควรเรียกผมว่าซือชิงดีกว่า"ซือชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

ซือชิงขอให้เธอเรียกเขาแบบนี้ เธอเองก็ไม่ควรให้เขาเรียกเธอว่าเลขาถังแล้ว

"ถ้าอย่างงั้นคุณก็เรียกฉันว่าซินเหยาเถอะค่ะ" ถังซินเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

"โทรศัพท์ผมพังแล้ว……" เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างเฉยเมย

คนขี้โกหกวันนี้ตอนทานข้าวเย็นเธอเห็นได้ชัดเลยว่าป่ะป๊ะใช้โทรศัพท์มือถือเปิดอ่านอีเมล

"ฉันไม่เชื่อคุณหรอก" ถังซินเหยาพูดโต้แย้ง

ป่ะป๊าพูดไม่จริงใจกับเธอแล้วอนาคตจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร?

"มันพังแล้วจริงๆ" เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยความจริงใจ

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยโทรศัพท์มือถือลงพื้นต่อหน้าถังซินเหยา ดูเหมือนว่าป่ะป๊ายังไม่พอใจเขาเหยียดเท้าออกและเหยียบโทรศัพท์มือถือสองสามครั้งจนหน้าจอแตกละเอียด

ป่ะป๊าทำลายมันกับมือจนเธอไม่กล้ามอง

"คุณดูสิ มันพังแล้วจริงๆ" เยี่ยจิงเฉินพูดและมองไปที่ถังซินเหยาด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกผิด

ถังซินเหยา……

เหอะๆ มันก็พังจริงๆ แหละ

ป่ะป๊าคนบ้าคลั่งถึงกับยอมลงทุนพังโทรศัพท์มือถือตัวเอง นั้นมันเปรียบเสมือนไตข้างหนึ่งเลยนะ

"ไปกันเถอะ" ถังซินเหยารู้สึกเจ็บปวดกับความไร้ยางอายของเยี่ยจิงเฉิน หนียังไงก็หนีไม่พ้น วนเวียนมาเจอกันครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเทียบกับการพังของโทรศัพท์มือถือ การเดินจับมือกันในตลาดกลางคืนกับเยี่ยจิงเฉินก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้

จากนั้นถังซินเหยาเปลี่ยนความเศร้าโศกและความโกรธให้กลายเป็นความอยากกินอาหารที่ขายในตลาดกลางคืนทั้งหมด

แม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็น แต่เมื่อทานเข้าไปแล้วก็มีกลิ่นหอมเหมือนเคี้ยวหมากฝรั่งจนหยุดกินไม่ได้ เธอแก้แค้นด้วยการยัดหลายๆชิ้นเข้าไปในปากของเยี่ยจิงเฉิน

ฮ่าฮ่า…..กลิ่นกระเทียมและกุยช่ายผัดไข่ตลบอบอวลในปาก

สั่งชานมรสต้นตำรับ ไอศกรีม แซนด์วิชเนื้อและขนมสายไหม สุดท้ายยังสั่งไตย่างห้าสิบไม้เพื่อบำรุงร่างกาย

ให้ยาบำรุงไตแก่ป่ะป๊าสักหน่อย

ผลสุดท้ายคือเป็นความสุขที่มีความทุกข์——เธอกินเยอะจนจุก

พวกเขาเดินกินจนถึงตีสองแต่ตลาดกลางคืนก็ยังคงคึกคัก

ถังซินเหยากินไตย่างไม้สุดท้ายและสะอึกออกมาด้วยความพึงพอใจ เธอคิดเล่นๆ ว่าอยากมีไตเพิ่มอีกอันเพื่อนำไปขายมาซื้อโทรศัพท์มือถือ

"เรากลับกันเถอะมันดึกแล้ว" เยี่ยจิงเฉินใช้ทิชชูเช็ดมือของเขาด้วยท่าทางที่ดูสง่าและน่าเกรงขาม เขาเด่นสง่ามากเมื่ออยู่ในร้านปิ้งย่างข้างทาง

ถังซินเหยาพยักหน้า "โอเค งั้นก็กลับกันเถอะ ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน"

เยี่ยจิงเฉินหันหลังเดินไปสองสามก้าว จากนั้นก็หันกลับมาและพบว่าถังซินเหยายังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

"เป็นอะไร คุณยังไม่อิ่มเหรอ?" เยี่ยจิงเฉินยืนรอถังซินเหยาเดินตามมา

ถังซินเหยาส่ายหัวแล้วพูดว่า "อิ่มแล้ว"

"แล้วทำไมคุณถึงยังนั่งนิ่งอยู่อีก ไปกันเถอะ"

ถังซินเหยาเม้มริมฝีปากของเธอเหมือนกำลังจะร้องไห้มองไปที่เยี่ยจิงเฉิน ราวกับว่าเป็นสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง ทำเอาหัวใจของเยี่ยจิงเฉินผู้น่าสงสารก็สั่นไหวเล็กน้อย

"เป็นอะไรหรือเปล่า?"เขาไม่ได้สังเกตถึงความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาด้วยซ้ำ

"ฮือ……ฮือ " ถังซินเหยากำลังจะร้องไห้เธอหน้าแดงตั้งแต่ใบหน้าจนถึงลำคอ ไม่ใช่เพราะอายแต่เพราะขายขี้หน้าเกินไป "ฉันกินเยอะจนจุก เดินไม่ไหว"

เยี่ยจิงเฉิน……

ถังซินเหยา……

"ท่านประธานจะไม่รังเกียจลูกน้องตัวเองใช่ไหม" ถังซินเหยาถามเมื่อเห็นเยี่ยจิงเฉินไม่พูดในขณะที่มองดูเธอ

จะรังเกียจได้ยัง เธอเป็นคนที่ขี้หลงทาง จำทางไม่ได้เธอจะหลงทางและก็หลงทางจริงๆ

เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารของถังซินเหยาทำเอาเยี่ยจิงเฉินถึงกับถอนหายใจ

เขาเดินไปตรงหน้าของถังซินเหยาแล้วค่อยๆ นั่งยองๆ"ขึ้นมาเลย"

เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนต่างตกตะลึง

ป่ะป๊าต้องการแบกเธอกลับ?

"คุณจะแบกฉันกลับเหรอ?" ถังซินเหยาถามอย่างไม่แน่ใจ

เยี่ยจิงเฉินเป็นคนหยิ่งผยองที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ตอนนี้เขาย่อตัวลงตรงหน้าของเธอ

"ถ้าคุณไม่รีบคุณจะเสียใจ” เยี่ยจิงเฉินไม่ได้หันกลับไปมองเธอแต่เพียงแค่พูดเบา ๆ

ถังซินเหยายังคงลังเล รู้สึกว่าแค่ให้คนหยิ่งยโสอย่างเยี่ยจิงเฉินแบกเธอกลับไปจะกลายเป็นความโชคดีของเธอ

เธอปีนขึ้นไปบนหลังที่ปลอดภัยของเยี่ยจิงเฉินอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า "เอ่อ…… แบบนี้มันจะดีหรือคะ"

เยี่ยจิงเฉินยืนขึ้นแล้วฟังคำพูดของถังซินเหยา เขาลูบมือของเธอทำให้เธอตกใจจนกอดคอเขาแน่น

"ถ้าอยากกลับไปดีๆ ก็เป็นเด็กดีและอย่าขยับตัวเยอะ" เยี่ยจิงเฉินให้ถังซินเหยาขี่หลังของเขา

ระหว่างทางกลับถังซินเหยาวางแขนของเธอไว้ที่รอบคอของเยี่ยจิงเฉิน และวางหน้าของเธอบนไหล่ของเยี่ยจิงเฉิน เธอยังรู้สึกไม่สบายท้อง

"ขอบคุณนะคะสำหรับวันนี้" ถังซินเหยาหลับตาลงเล็กน้อยรู้สึกได้ถึงลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านแก้มของเธอและอากาศดูเหมือนจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไม่รู้จัก

ไม่ว่าจะเป็นคนที่ให้เธอขี่หลังหรืออากาศและสิ่งแวดล้อมของที่นี่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอจมดิ่ง

เยี่ยจิงเฉินเดินไปทีละก้าวอย่างต่อเนื่อง ถังซินเหยาไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกแม้แต่น้อย

"แค่พูดปากเปล่าว่าขอบคุณจะมีประโยชน์อะไรใครๆ ก็พูดได้" เยี่ยจิงเฉินพูดไปอย่างชิลๆ ไม่ได้คิดอะไร

"อืม……แต่…… " ถังซินเหยาฟังคำพูดของเยี่ยจิงเฉินจึงเอ่ยปากถาม"แล้วท่านประธานต้องการให้ฉันทำอะไรแทนคำขอบคุณคะ?"

"ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก ถึงเวลาจะบอกเองว่าคุณควรทำยังไง" เยี่ยจิงเฉินตอบ

"งั้นก็ให้ฉันมอบทั้งชีวิตให้คุณดีไหม" บางทีบรรยากาศในวันนี้ดีเกินไปทำให้ถังซินเหยาไม่ทันระวังเผลอพูดประโยคนี้ออกมา

"คุณคิดอย่างเพ้อฝัน" เยี่ยจิงเฉินตอบ

แม้ว่าเสียงของเยี่ยจิงเฉินจะดูทุ้มและเซ็กซี่ แต่ถังซินเหยาก็ยังคงชินต่อการได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่แยแสของเยี่ยจิงเฉิน

ถังซินเหยารู้สึกอายเล็กน้อย"ฮ่าฮ่า……ฉันล้อเล่นนะคะท่านประธาน แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเองไม่ได้เหรอคะ ไม่สนุกเลยอะ"

เมื่อกลับไปถึงที่โรงแรมถังซินเหยาก็รู้สึกง่วงนอนสุดๆ แล้ว

แต่ท้องของเธอยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เธอง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น

นอนอยู่บนเตียงนอนด้วยความงุนงง เธอมักจะรู้สึกว่ามีมือที่อ่อนนุ่มมากลูบที่ท้องของเธอ

ถังซินเหยารู้สึกกระสับกระส่ายอย่างมากในคืนนั้นและทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้นมาเธอจะรู้สึกได้ถึงมือที่อ่อนโยนบนหน้าท้องของเธอ

เยี่ยจิงเฉินกำลังจะดึงมือกลับแต่ถังซินเหยาโน้มศีรษะมากินเห็ดเข็มบนตะเกียบของเยี่ยจิงเฉินจึงเผยให้เห็นลำคอขาวผ่องบริสุทธิ์ของเธอ

เยี่ยจิงเฉินเฝ้ามองดูถังซินเหยากำลังกลืนเห็ดเข็มทองด้วยรอยยิ้มจางๆ

ป่าป๋าหว่านล้อมคนอื่นให้หลงกล

"อย่าหัวเราะสิคะ" ถังซินเหยายื่นมือไปปิดปากของเยี่ยจิงเฉิน

ถ้าป่ะป๊ายังหัวเราะต่อไม่เพียงแต่ทำหว่านล้อมเธอแล้ว แต่ยังชักจูงให้คนอื่นก่ออาชญากรรมอีกด้วย

ไม่เห็นผู้หญิงร่างสูงสองสามคนกำลังเกาเท้าที่โต๊ะข้างๆ ด้วยสีหน้าที่อยากมีเรื่องเหรอ?

ถ้าป่ะป๊ายังหัวเราะต่อไปผู้หญิงพวกนั้นอาจจะอยากฆ่าเขาก็ได้ และคาดว่าจะมีข่าวใหญ่ใน เมืองHวันพรุ่งนี้——

##อดีตประธานของเยี่ยหวงกรุ๊ปนอนเสียชีวิตข้างถนน ##

##ทายาทหนุ่มของตระกูลเยี่ยจากไปก่อนวัยอันควร ถูกฆ่าเสียชีวิตข้างถนน ##

##อดีตประธานของเยี่ยหวงกรุ๊ปถูกผู้หญิงฆ่าข่มขืนข้างถนน ##

##อดีตประธานของเยี่ยหวงกรุ๊ปถูกรุมโทรมข้างถนน##

ลองมาคิดดูพาดหัวข่าวนี้จะทำให้ผู้คนมึนงงแค่ไหน

"อย่าหัวเราะมั่วซั่วเวลาอยู่ข้างนอก"ถังซินเหยาปิดปากของเยี่ยจิงเฉินและเตือนเยี่ยจิงเฉินด้วยเสียงเบาๆ

ดวงตาของเยี่ยจิงเฉินเป็นประกายเปรียบได้กับดวงจันทร์ที่สว่างที่สุดในคืนที่มืดมิด

ถังซินเหยารีบดึงมือของเธอกลับอย่างรวดเร็วราวกับว่าถูกไฟลวกที่มือ เธอคิดในใจอยากจะที่จะตบเยี่ยจิงเฉินลงไปในหม้อชาบูหม่าล่าซะเลยทำให้เขาสุกแล้วตักกิน

ในเวลานี้ไอ้ป่ะป๊าคนสารเลวก็ยังไม่ลืมที่จะลวนลามสาว

เมื่อกี้เขา …… คาดไม่ถึง …… เขาเอาลิ้นออกมาเลียที่ฝ่ามือของเธอ ทำเอาหัวใจของเธอถึงกับเต้นจนแทบจะกระเด็นออกมา

"หลังจากนี้ไปผมจะยิ้มให้คุณคนเดียว" เยี่ยจิงเฉินมองไปที่เธอด้วยสายตาที่ลึกล้ำแล้วยิ้มออกมา

เธอคาดไม่ถึงว่าป่ะป๊าจะลวนลามเธอ เธอกำลังจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง

เธอตบโต๊ะหันหลังเดินออกไปด้วยความโกรธ

ดวงตาที่สดใสของเยี่ยจิงเฉินมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ของถังซินเหยาที่กำลังโกรธเขา และสักพักเธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

ดวงตาของหญิงสาวโต๊ะถัดไปเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง นี่คือผู้ชายระดับเทพบุตร ดูแล้วหล่อไม่แพ้ดาราไอดอลในทีวีเลยและมีรสนิยมที่ดีกว่าด้วยซ้ำ

จีบผู้ชายต้องด้านได้อายอด

เมื่อพวกเขาเห็นถังซินเหยาออกไปก่อนแล้ว จึงมีความกล้าที่จะเดินเข้ามาคุย

"สุดหล่ออยู่คนเดียวทำไม ไปร้องเพลงด้วยกันไหม" หญิงสาวร่างสูงเดินเข้ามาพูดคุยกับเยี่ยจิงเฉินอย่างเปิดเผย

เยี่ยจิงเฉินไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มในดวงตาของเขาจางหายไปเล็กน้อย

"พวกเราสนุกเฮฮากันแบบพี่น้อง คนเยอะหน่อยถึงจะสนุกคุณคิดว่าไง?" หญิงสาวร่างสูงไม่สนใจความเฉยเมยของเยี่ยจิงเฉิน เธอเอื้อมมือไปวางมือบนไหล่ของเยี่ยจิงเฉิน

เขาเป็นคนที่หล่อเหลาและร้อนแรง เขามีอารมณ์ร้ายอยู่บ้างซึ่งมันก็น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

"ก็ไม่ยังไง คิดยังไงมายุ่งกับคนมีเจ้าของแล้ว?" ถังซินเหยาปัดมือของหญิงร่างสูงออกจากไหล่เยี่ยจิงเฉินและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปรานี

หึ…… ผู้ชายคนนี้มีแฟนอยู่แล้ว เธอกำลังปกป้องเจ้านายต่างหากและการเป็นเลขานั้นเหนื่อยมาก

ปกติป่ะป๊าเคยสัมผัสแต่สิ่งที่มีความหรูหราและได้รับการทะนุถนอมมาโดยตลอด เขาอาจไม่เคยเห็นหญิงแกร่งที่แท้จริงและไม่รู้ถึงความน่ากลัวของมัน เมื่อมาสถานที่แปลกๆ เขาจึงไม่ได้ระวังตัวต่อคนแปลกหน้าเลย

จะทำยังไงดีรู้สึกกังวลจัง

เธอไม่เพียงแต่ต้องช่วยป่ะป๊าทำงาน แต่เธอยังต้องปกป้องความจงรักภักดีของเธออีกด้วย เธอยังต้องแบกรับความรับผิดชอบในการปกป้องป่ะป๊าจากการถูกคนอื่นเอาเปรียบ

"งั้นก็มาสนุกด้วยกันทั้งหมด" หญิงสาวร่างสูงมองไปที่ถังซินเหยาอย่างยั่วโมโห

ยั่วโมโห? เธอไม่เก็บสิ่งนี้มาให้รกสมองหรอก

"ไม่ล่ะ พวกเรายังต้องไปที่อื่นต่อ" ถังซินเหยาปฏิเสธอย่างไม่ไยดีเธอจับมือของเยี่ยจิงเฉินและรีบหันไปทางซ้าย

“ เฮ้อ คุณยังไม่ได้ …… ”

เมื่อได้ยินใครบางคนเรียกพวกเขาอยู่ข้างหลัง ถังซินเหยาจึงดึงมือของเยี่ยจิงเฉินให้วิ่งเหยาะๆ โดยทิ้งเสียงนั้นไว้ข้างหลัง

เมื่อเดินผ่านฝูงชนมีเสียงลมพัดผ่านหูและกลิ่นหอมของขนมในตลาดกลางคืน หัวใจของถังซินเหยาเต้นไม่เป็นจังหวะ

เมื่อทั้งสองคนวิ่งมาไกลพอสมควร ถังซินเหยาก็หยุดวิ่งแล้วหายใจเหนื่อยหอบ ก้มตัวลงและสูดอากาศให้เต็มปอด

เป็นเวลานานแล้วที่เธอไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายที่บอบบางของเธอแทบรับไม่ไหว

"ทำไมพวกเราถึงต้องวิ่ง?" ถังซินเหยาแทบหมดแรง แต่เยี่ยจิงเฉินไม่ได้ดูเหนื่อยเลยเขาถามด้วยเสียงที่ชัดเจน

"หึ…… " ถังซินเหยาถอนหายใจแม้ว่าลมหายใจของเธอจะยังไม่สม่ำเสมออยู่บ้าง"ถ้าไม่วิ่งคุณก็จะถูกผู้หญิงพวกนั้นเอาเปรียบ คุณไม่เห็นว่าผู้หญิงพวกนั้นเห็นคุณแล้วตาเป็นประกาย?"

เขาฮอตและหล่อมากจนดึงดูดความสนใจจากผู้คน

ถ้ามีคนอื่นมารุมโทรมเขาจริงๆ ก็ต้องให้ป่ะป๊าเป็นคนที่ดึงดูดคนอื่นก่อน

"งั้นหรือ" เยี่ยจิงเฉินพยักหน้าเบาๆ และพูดกับถังซินเหยาว่า"ผมคิดว่าคุณต้องการกินฟรีและไม่ต้องการจ่ายเงินจึงรีบวิ่งออกมา"

ถังซินเหยา……

ฮ่าฮ่า ……เธอมีความคิดที่ซับซ้อนมาก

"พ่อค้าเพิ่งบอกว่าพวกเรายังไม่ได้จ่ายเงิน คุณก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น"

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยจิงเฉินเธอจำได้ว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน

พวกเขาสั่งอาหารชุดใหญ่ เอ้อ ดูเหมือนว่าจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว ประหยัดเงินได้เยอะเลย อารมณ์ดีจัง

ถูกต้องถังซินเหยาเป็นคนที่ไม่มีศีลธรรม

เธอใช้เวลานานมากในการเดินมาที่ตลาดกลางคืนแห่งนี้ มันไม่สมเหตุสมผลที่จะกินชาบูหม่าล่า ยังกินไม่อิ่มก็ต้องกลับแล้ว

เธอตัดสินใจใช้เงินที่ไม่ได้จ่ายค่าชาบูหม่าล่าไปหาซื้อของกินอย่างอื่น

เธอหันหน้าไปมองเยี่ยจิงเฉินที่มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย เขากำมือของเธอแน่น สะบัดยังไงก็สะบัดไม่ออก เขากำมันแน่นขึ้นและแน่นขึ้น

"เยี่ย…… จิงเฉิน ปล่อยมือฉันก่อนได้ไหม?" ถังซินเหยามองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างจำนน

เยี่ยจิงเฉินส่ายหัวด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม

"ทำไมเหรอ?" ถังซินเหยากำลังจะอกแตกตาย

"คนเยอะเกินไป พวกเราจับมือกันแบบนี้ไม่ต้องกลัวเดินหลง" เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างเคร่งขรึมและเป็นธรรมชาติ "ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงพวกนั้นน่ากลัวมาก"

ถังซินเหยา……

วิธีการออกนอกบ้านของป่ะป๊าคืนนี้มีอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่า?

เธอมีความรู้สึกเหมือนโดนป่ะป๊าลวนลามอีกแล้ว ควรทำยังไงดี?

เจ้านายเป็นพวกชอบลวนลามและลามกควรทำยัง?

ถังซินเหยารู้สึกจะบ้าตายแล้วมองไปที่เยี่ยจิงเฉิน "พวกเราหนีผู้หญิงพวกนั้นพ้นแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว ถ้าหลงทางก็โทรหากันเอาก็ได้"

ถังซินเหยาคิดวิเคราะห์ในใจ แน่นอนว่าคนไฮโซชั้นสูงอย่างท่านประธานไม่น่าจะรู้ว่าชาบูหม่าล่ามีความนิยมมากขนาดไหน

"เอ่อ ……จะพูดแบบไหนดีนะ?" ถังซินเหยาครุ่นคิดเป็นเวลานานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา กลิ่นหอมๆของชาบูหม่าล่าลอยมาแตะเข้าที่จมูกของเธอ ทันใดนั้นเธออดใจไม่ไหวจึงจูงมือเยี่ยจิงเฉินเดินไปที่ร้านชาบูหม่าล่าข้างทาง"ฉันจะพาคุณไปกินชาบูหม่าล่า"

เยี่ยจิงเฉินมองไปที่มือของเขาที่กำลังโดนถังซินเหยาจับอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขายิ้มออกมา

ทางด้านถังซินเหยาไม่ได้คิดอะไรเธอจูงมือเยี่ยจิงเฉินเดินไปที่ร้านขายอาหารข้างทางแล้วพูดกับเจ้าของร้านว่า "พ่อค้าคะ เอาผักกาดขาว ผักโขม หัวไชเท้า ลูกชิ้นหมู หมูแดง เต้าหู้ มันฝรั่ง รากบัว สาหร่าย ฟองเต้าหู้ เห็ดเข็ดทองและไข่นกกระทาอย่างละสองไม้ค่ะ เอาแบบเผ็ดสุดๆ ไปเลยค่ะ "

"ได้เลยครับ" เสียงเจ้าของร้านขานรับ

ถังซินเหยาจูงมือของเยี่ยจิงเฉินดินไปที่โต๊ะด้วยรอยยิ้มที่สดใส

เธอหยิบทิชชูออกมาเช็ดโต๊ะและเก้าอี้อย่างสะอาดสะอ้าน ก่อนที่เยี่ยจิงเฉินจะนั่งลงไป

ส่วนตัวเธอยังไงก็ได้เพราะเป็นผู้หญิงแกร่งมาโดยตลอด ของกินเล่นในตลาดกลางคืนอร่อยมากแต่สภาพแวดล้อมจะถูกสุขอนามัยหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่อง กินที่ไหนก็ไม่เหมือนที่นี่ ไปกินที่อื่นมักจะรู้สึกว่ารสชาติมันไม่ถึง

"ฉันไม่ได้กินของพวกนี้มาหลายปีแล้ว ฉันคิดถึงมันมาก" ถังซินเหยาปล่อยมือของเยี่ยจิงเฉินพูดพร้อมกับถอนหายใจ

เมื่อก่อนช่วงที่เธอเรียนอยู่มัธยมปลายเวลาหลังเลิกเรียน เธอมักจะไปซื้อชาบูหม่าล่าใส่ถุงไว้เป็นอาหารมื้อดึกเพื่อเติมเต็มความแข็งแกร่งทางจิตใจและร่างกายของเธอ หลังจากไปต่างประเทศก็ไม่ได้กินอีกเลย หลังจากคิดอยู่นานก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เลิกคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย

เยี่ยจิงเฉินจ้องมองไปที่นิ้วมือสีขาวอันบอบบางของถังซินเหยาและลูบเบาๆ ที่นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเธอ

"ถ้าคุณชอบคุณก็กินเยอะๆ เลย" เยี่ยจิงเฉินพูดแบบจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เจ้าของร้านนำชาบูหม่าล่าหม้อใหญ่ที่ถังซินเหยาสั่งมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว พร้อมกับวางถ้วยเล็กๆ ให้กับถังซินเหยาและเยี่ยจิงเฉิน

ถังซินเหยาใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นเป่าสองครั้งแล้วยัดเข้าปากเธอ มันร้อนจนเธอไม่กล้ากัดจึงปล่อยให้มันกลิ้งไปมาในปาก

"อืม……อันนี้อร่อยมาก" ถังซินเหยาเคี้ยวอาหารด้วยความเพลิดเพลินและพูดด้วยใบหน้าที่แสนจะมีความสุข

เธอคีบหัวไชเท้าที่ต้มจนนุ่มและละลายในปาก ไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอมของน้ำซุปเท่านั้น แต่ยังมีความหวานที่มาจากหัวไชเท้าอีกด้วย ซึ่งเป็นรสชาติที่คุ้นเคยและพิเศษที่มีเพียงไม่กี่คนที่จะปฏิเสธ

"จิงเฉินคุณกินไหม?" ถังซินเหยาถามเยี่ยจิงเฉินที่ยังไม่ได้ขยับตะเกียบของเขา

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้ตอบคำถามของถังซินเหยา เพียงแต่พูดเบาๆ ว่า "คุณกินก่อนเลย"

ในเมื่อเจ้านายพูดแบบนี้เธอมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อฟังเจ้านาย

ถังซินเหยาสั่งแบบใส่พริกจำนวนมากซึ่งมีรสชาติที่เผ็ดมาก เป็นรสชาติที่ถูกปากเธอมาก

เยี่ยจิงเฉินเฝ้ามองดูถังซินเหยากินด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อยและดูเผ็ดร้อน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคอแห้งและต้องการดื่มน้ำ

เขาเห็นถังซินเหยาถือไข่นกกระทาและนั่นคือชิ้นสุดท้าย เยี่ยจิงเฉินพูดขึ้นว่า "ผมอยากกินไข่นกกระทา"

แม้ว่าถังซินเหยาจะไม่เต็มใจ แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้มันแก่เขา

"อ้า…… " เยี่ยจิงเฉินยังคงไม่ใช้ตะเกียบ เพียงแค่อ้าปากค้างเล็กน้อยแล้วมองไปที่ถังซินเหยา

"หือ?" ถังซินเหยามองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก

"ป้อนผมหน่อย" เยี่ยจิงเฉินมองไปที่ถังซินเหยาด้วยดวงตาสีเข้มและรออย่างอดทน

ถังซินเหยา……

พูดก็พูดเถอะแม้แต่ลั่วหลิงและเค่อหลานเธอแทบจะไม่ได้ป้อนข้าวพวกเขาเลยและเด็กทั้งสองก็มีสติสัมปชัญญะดีตั้งแต่พวกเขาจำความได้ ตอนนี้เธอจะมาป้อนผู้ชายคนนี้เนี่ยนะ?

เธอลังเลเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่เยี่ยจิงเฉินที่ยังดึงดันบวกกับว่าเขาหล่อจริงๆ ถังซินเหยาจึงใช้ตะเกียบของเธอคีบไข่นกกระทาเพื่อป้อนเยี่ยจิงเฉิน

เอ่อ……เยี่ยจิงเฉินหล่อเหลาขนาดนี้และเขาไม่ได้รังเกียจเธอเลย เธอเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรังเกียจเขา

แค่ใช้ตะเกียบคู่เดียวกันคงไม่ตั้งท้องหรอกมั้ง

เยี่ยจิงเฉินกินไข่นกกระทาที่เธอป้อน

เธอต้องการจะเอาตะเกียบออกมาจากปากของเยี่ยจิงเฉิน แต่เยี่ยจิงเฉินกลับกัดตะเกียบไว้ เธอออกแรงดึงเล็กน้อยแต่ตะเกียบก็ไม่ขยับเลย

เยี่ยจิงเฉินกัดตะเกียบด้วยฟันของเขาและดวงตาสีเข้มของเขามองไปที่ถังซินเหยาด้วยสายตาที่เร่าร้อนราวกับว่าเขาต้องการจะกลืนกินเธอ สายตาของเขาทำให้เธอแทบต้านทานไม่ไหว

เธอแอบด่าในใจว่าไอ้คนทะลึ่ง

เมื่อโดนเยี่ยจิงเฉินมองด้วยสายตาที่แทบจะกลืนกินทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอจ้องไปที่เยี่ยจิงเฉิน "คุณเกิดปีสุนัขหรือเปล่า?"

ริมฝีปากของถังซินเหยาบวมเป่งเนื่องจากกินของเผ็ด ทันใดนั้นเยี่ยจิงเฉินก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ถังซินเหยาแล้วประทับรอยจูบที่นุ่มนวลลงไป

หัวใจของเธอต้นแรงไม่เป็นจังหวะเลย ดวงตาของเธอเบิกกว้าง

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้หลับตา แต่มองไปที่ถังซินเหยา

ริมฝีปากของคนทั้งสองประกบเข้าด้วยกันและพวกเขากำลังสบตากัน

ดวงตาของเยี่ยจิงเฉินเป็นเหมือนเครื่องดูดขนาดใหญ่ซึ่งสามารถดูดคนเข้าไปในสายตาที่ลึกได้อย่างง่ายดาย

เมื่อถังซินเหยาต้องการผลักเยี่ยจิงเฉินออกไป เยี่ยจิงเฉินก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ของเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้

จูบนั้นไม่ใช่จูบจริงๆ มันเป็นเพียงแค่ริมฝีปากถูกกดลงบนริมฝีปาก แต่มันก็ยังทำให้ถังซินเหยาสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ถังซินเหยาปัดแก้มของเธอแล้วมองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยความโกรธ

ให้ตายเถอะป่าป๊ากำลังเล่นตลกกับเธออีกแล้ว

เยี่ยจิงเฉินหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกินผักในชามอย่างสบายใจ

แม้ว่าจะอยู่ในตลาดกลางคืนที่ผู้คนเดินไปมาอย่างชิลๆ นั่งกินอาหารข้างทางง่ายๆ การรับประทานอาหารที่ราคาถูกทุกท่วงท่าของเยี่ยจิงเฉินยังคงเผยให้เห็นความสง่างามและความสูงส่ง ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้นั่งอยู่ข้างถนนแต่นั่งอยู่ในร้านอาหารตะวันตกที่หรูหราที่สุด เพียงช่วงเวลาทำให้แผงขายของข้างทางทั้งหมดกลายเป็นมีระดับขึ้นมาทันที

เมื่อมองไปที่เยี่ยจิงเฉินที่กำลังกินอาหารด้วยท่าทางที่สง่า ถังซินเหยาที่ยังคงโกรธอยู่ถึงกลับไปไม่เป็น

"กินนี่สิ……" เยี่ยจิงเฉินคีบเห็ดเข็มทองป้อนเข้าที่ปากของถังซินเหยา เธอทำหน้ามุ่ยแล้วมองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยสายตาที่โกรธจัด เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้ว "ถ้าไม่กินมันจะหมดแล้วนะ"

ถังซินเหยายังคงไม่อ้าปากกินของที่เขาป้อน หมดก็หมดไปสิ

เชอะ มันก็แค่ชาบูหม่าล่า อยากกินเท่าไหร่ก็มีเท่านั้น

เยี่ยจิงเฉินมองไปที่ถังซินเหยาสักพักเมื่อเห็นเธอไม่ยอมอ้าปาก เขาก็ยิ้มและพูดว่า "ถ้าคุณไม่กินงั้นผมกินแล้วนะ"

บนทางม้าลายในเมืองHนี้ มีผู้หญิงที่แต่งหน้าอ่อนๆใสๆ ใส่ไว้เสื้อยืดสีขาวธรรมดา ท่อนล่างมีกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม ผมบนหัวเพียงแค่มัดทรงหางม้าปล่อยแบบธรรมดา ดูไปแล้วเหมือนเด็กนักศึกษาที่ยังไม่จบปริญญา มีใบหน้าที่สะอาดสะอ้านสะสวยเหมือนนางฟ้า

และชายที่ยืนอยู่ข้างเธอ ใส่ไว้เสื้อเชิ้ตสีดำ ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกัน เสื้อเชิ๊ตสีดำนั้นใส่เข้าไปในกางเกงแบบหลวมๆ แสดงให้เห็นถึงร่างที่ลีนและขาที่เรียวยาว แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสมาร์ทหล่อเหลาเอาการ ผมที่ยาวและค่อนข้างจะไม่เรียบร้อย ดูแล้วมีความแบดหน่อยๆ แต่ก็มีความเป็นวัยรุ่นในขณะเดียวกันด้วย

ทั้งสองคนเดินข้างกันบนท้องถนน นอกจากใบหน้าที่ดูจะโดนเด่นกว่าคนอื่น ทั้งสองก็เหมือนคู่รักมหาลัยที่เดินบนท้องถนนทั่วไป

ภาพนี้เป็นภาพที่สวยเอามากจริงๆ

"ท่านประธานเยี่ยคะ อีกนานไหมคะกว่าจะถึง?" ซินเหยาหันไปถามจิงเฉิน มือทั้งสองข้างไขว้ไปด้านหลัง เดินสับขาอย่างเร็วและเดินตามหลังเขาไป

แววตาของจิงเฉินประกายขึ้น แต่สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนและพูดขึ้นว่า : "จะถึงแล้ว"

"คุณพูดคำว่าจะถึงแล้วมา3รอบแล้วนะคะ นี่เป็นรอบที่4แล้ว ยังต้องพูดอีกกี่ครั้งกว่าจะถึง?" ซินเหยาพูดอย่างไม่ค่อยจะอารมณ์ดีนัก

อยู่บนท้องถนนที่เงียบสงบเช่นนี้ ฟังไปฟังมาเหมือนกับคู่รักฝ่ายหญิงที่กำลังงอนฝ่ายชายอยู่เล็กน้อย

"คุณอยากกินอาหารที่มันอร่อย แต่คุณกลับไม่ยอมทุ่มเทลงแรงอะไรเลย นี่คุณก็ใช้วิธีแบบนี้ในการทำงานและใช้ชีวิตอย่างนั้นหรอ?" ตาของจิงเฉินมันดำและวาวขึ้น มันวาวส่องประกายมากกว่าดาวบนท้องฟ้าที่ส่องประกายยามราตรีที่มืดมิดเสียอีก

ฮัลโหล……เธอก็แค่ถามว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงแค่นั้น

ต้องถามและสงสัยถึงขั้นที่เธอมีวิธีการใช้ชีวิตและทำงานแบบไหนด้วยหรอ?

ป๊ะป๋า คุณเกินไปมากจริงๆ

ถึงแม้จะเป็นคนจน ก็ยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่ ไม่สามารถให้ใครมาเข้าใจผิดๆแบบนี้ได้นะ

แต่ว่าเพื่อของกิน เธอตัดสินใจที่จะอดทน

ถูกแล้วจ่ะ ดึกๆดื่นๆไม่ยอมนอน ออกมาเดินเที่ยวแบบนี้ก็เป็นซินเหยาและจิงเฉินเอง

ตอนที่ซินเหยาอยู่ที่โรงเเรม เธอเหมือนจะบ้าขนหัวลุกไปหมดแล้ว

ตอนที่มือข้างนั้นกำลังยื่นมาที่เธอนั้น เธอลืมตาทันที กำลังจะใช้เข่าพิฆาตของเธอในการต่อกรกลับไป

แต่ว่ามีกลิ่นหอมและสดชื่นส่งผ่านมากับอากาศ ใต้แสงจันทร์อากาศหนาวเหน็บในราตรีนี้ เธอมองเห็นเค้าโครงใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามที่แค่เห็นเรือนลางก็รู้ว่าต้องหล่อมาก รู้ทันทีว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนและก็ไม่ใช่ผี แต่เป็นเทพบุตรในชีวิตจริงต่างหาก—เยี่ยจิงเฉิน

ตอนนั้นระยะห่างระหว่างมือของจิงเฉินกับหน้าของเธอห่างกันเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น

แต่เป็นเพราะว่าเธอลืมตาขึ้นมากะทะหัน วินาทีนั้นเหมือนโดนกดพอส มันนิ่งไปชั่วขณะ

"ท่านประธานเยี่ยคะ……" ซินเหยาเบิกตาให้กว้างมากที่สุด พยายามที่จะมองใบหน้านั้นให้ชัดภายใต้แสงจันทร์นี้ และสุดท้ายก็มองเห็นจิงเฉินด้วยความตกใจ

จิงเฉินเอามือข้างนั้นของเธอลงด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน เพียงแต่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า 'อืม' คำเดียว

ใบหน้าที่เย็นชาของเขาสาดส่องไปด้วยแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ มันช่างหล่อเหลาดุจดั่งเทพบุตรที่ไม่ใช่คนธรรมดาเดินดินยังไงยังงั้น เหมือนเทพบุตรที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้าจุติลงมายังพื้นโลก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามันไม่สามารถมองอย่างตรงๆได้เลย เพราะมันสามารถทำให้คนตาบอดได้เบอร์นั้น

"ทำไมคุณถึงมาอยู่นี่?" ซินเหยาลุกขึ้นมาจากเตียงและอยู่ในท่านั่ง ทำหน้าเจ๋อๆและกอดไว้ผ้าห่มของตัวเองเหมือนกำลังดูเทพบุตรอยู่

จิงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนว่า : "เมื่อตอนเย็นเห็นคุณไม่ได้กินอะไร กลัวดึกๆดื่นๆคุณจะหิวเอา ได้ยินมาว่าเมืองHนี้มีร้านลับที่รสชาติไม่เลวเลย เพราะงั้นจะมาถามคุณว่าจะไปกินกับผมหรือป่าว"

พอจิงเฉินพูดขึ้นมันก็ทำให้เธอหิวขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

โดยเฉพาะหลังจากนอนมาหนึ่งตื่นก็รู้สึกว่ามีพลังขึ้นมามากแล้ว

สำหรับคนที่บูชาอาหารอย่างซินเหยาไม่สามารถที่จะพลาดโอกาสทองแบบนี้ไปได้แน่

แน่นอนว่าป๊ะป๋าก็น่าจะอร่อย ถ้าเกิดเป็นไปได้ว่าสามารถแบ่งความหล่อของป๊ะป๋ามาไว้ในมื้ออาหาร คงจะทำให้อาหารนี้อร่อยมากน่าดู

เธอผงกหัวรับ แววตาที่ดูใสวาวมองไปที่จิงเฉินและพูดว่า : "ได้สิคะ ขอบคุณท่านประธานมากค่ะ"

"ตอนเลิกงานไม่ต้องเรียกชื่อผมทางการแบบนี้ก็ได้ เรียกชื่อจริงผมก็พอ" เวลาที่จิงเฉินใจดีแบบนี้มันหาได้ยากมากจริงๆ

ซินเหยาเปลี่ยนวิธีการเรียกอย่างเป็นธรรมชาติและพูดขึ้นว่า : "จิงเฉิน"

จิงเฉินนิ่งเงียบไปสักพัก คงจะไม่ได้เสียใจที่ตัวเองบอกให้ซินเหยาเรียกแบบนั้นกระมัง

"เอาล่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ผมรอคุณอยู่ข้างนอก" ตอนที่เธอกำลังเดาว่าสาเหตุที่จิงเฉินเงียบไปคืออะไร จิงเฉินก็ได้พูดขึ้นอีกรอบแล้ว

ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือป่าว รู้สึกว่าจิงเฉินดูนุ่มนวลอบอุ่นขึ้นมายังไงยังงั้น

ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็เดินออกมาข้างนอก แต่สิ่งที่เห็นคือสไตล์การแต่งตัวของป๊ะป๋ามันไม่เหมือนครั้งก่อนๆเลย ตอนนี้เธอไม่อยากจะไปกินข้าวแล้ว อยากจะลากป๊ะป๋าเข้าห้อง จัดให้หนึ่งดอก จัดให้อีกหนึ่งดอกจริงๆ

ระหว่างทางที่เธอถามจิงเฉินว่าถึงยังมาเป็นพันรอบ ในที่สุดจิงเฉินก็เอ่ยปากขึ้นว่า : "ถึงแล้ว"

ซินเหยา : ……

หึหึ……ป๊ะป๋าล้มละลายจริงๆสินะ ครั้งต่อไปเธอก็ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าป๊ะป๋าล้มละลายจริงรึปล่าว

วันที่เธอมา เธอยังคิดกับตัวเองอยู่เลยว่าป๊ะป๋าแกล้งเธอเล่นหรือป่าว เธอยังแสดงทีท่าเป็นเด็กออกมาอีก แต่ป๊ะป๋าก็ไม่ได้โทษอะไรเธอ มิหนำซ้ำยังปลอบเธออีก พร้อมกับบอกเหตุผลที่ว่าทำไมตัวเองถึงล้มละลาย ตอนนี้เธอคิดอยู่ในใจว่าเธอต้องเป็นรักแท้ของป๊ะป๋าแน่ๆ

ถ้าเกิดว่าสิ่งนี้ไม่เรียกว่ารัก งั้นต่อไปเธอคงจะไม่เชื่อเรื่องความรักอีกต่อไปแล้ว

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้คือถนนเส้นหนึ่ง น่าจะเรียกว่าตลาดนัดกลางคืน

ถึงแม้จะดึกมากแล้ว แต่ตลาดกลางคืนนี้ยังคงคึกคัก คนเดินไปเดินมาอยู่

แม่เจ้า เธอรู้สึกไปไม่เป็นจริงๆ จิงเฉินจนถึงขั้นต้องมาเที่ยวตลาดนัดตอนกลางคืนเลยหรอ?

ไม่ใช่ว่าซินเหยาเธอไม่ชอบตลาดกลางคืนนะ แต่กลับกัน เธอชอบมันเอามากๆ แต่ว่าจิงเฉินที่เป็นท่านประธานรวยระดับพันล้านมาเดินในที่แบบนี้คงจะดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ อีกอย่างยังใช้ชีวิตติดดินเหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเขาแบบนี้ในการมาเที่ยวตลาดกลางคืนงั้นหรอ?

นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่เมคเซ้นจริงๆ

"ท่าน……ท่านประธานคะ ที่ที่คุณบอกคือที่นี่หรอคะ?" ซินเหยายังไม่เชื่อกับตาของตัวเองที่เห็น เธอยอมเชื่อว่าจิงเฉินเดินมาผิดทาง

เรื่องเกี่ยวกับท่านประธานที่เธอวาดฝันไว้มันแตกต่างจากเขามาก ท่านประธานทั่วไปก็ควรที่จะนั่งอยู่ในร้านอาหารตะวันตกระดับ5ดาวพร้อมกับกินอาหารที่สดใหม่โดยการขนส่งทางอากาศไม่ใช่หรอ? มันไม่ใช่ที่จะมาเบียดเสียดกินของต่างๆในตลาดแห่งนี้

จิงเฉินกำมือขึ้นและป้องไปที่ปากตัวเองและไอออกมา พร้อมถามด้วยสีหน้าที่ดูนิ่งๆว่า : "ทำไมหรอ คุณรู้สึกไม่ชอบที่นี่หรือยังไง?"

จิงเฉินไม่มีทางบอกเธอหรอกว่าความจริงตัวเองอยากพาเธอไปภัตตาคารที่เป็นส่วนตัว เพียงแต่ไม่คุ้นชินเส้นทางในเมืองHนัก จึงได้หลงมาอยู่ที่นี่

"ไม่ใช่เลยค่ะ" ซินเหยาพูดขึ้นพร้อมส่ายหัวปฏิเสธ

"งั้นเข้าไปกันเถอะ" จิงเฉินเดินนำไปข้างหน้า ซินเหยาก็เดินตามตูดเขาไป

"ท่านประธานเยี่ยคะ ฉันอยากกินซุปหม่าล่าค่ะ" ซินเหยาหายใจเข้าอย่างลึกและได้กลิ่นอาหารที่ลอยมาในอากาศด้วยความหอมที่สามารถทำให้คนน้ำลายย้อยยาวแปดศอก

"อะไรคือซุปหม่าล่า?" จิงเฉินขมวดคิ้วและถามขึ้น

"ไปโรงแรมก่อน" จิงเฉินเห็นรอยยิ้มซินเหยาแข็งทื่อค้างไว้ที่มุมปาก ก็ยิ้มมุมปากของตัวเองขึ้นอ่อนๆแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้ซินเหยาอยากจะข่มขืนจิงเฉินอย่างหนักๆจากปากซอยไปท้ายซ้าย และจากท้ายซ้อยกลับมาปากซอยอีกรั้ง แต่ทำได้แค่พูดว่า "ขอบคุณประธานหลิวมากนะคะที่มารับพวกเรา อีกอย่างยังรบกวนประธานหลิวอีกด้วย เรื่องงานต่างๆก็ต้องฝากประธานหลิวช่วยชี้แจงแนะนำด้วยนะคะ"

"ที่ไหนกันล่ะครับ แค่ท่านประธานเยี่ยมาเมืองHนี้ก็เป็นเกียรติของพวกผมแล้วครับ เพราะท่านสามารถที่นำสาขาของเราก้าวไปได้ไกลมากยิ่งขึ้นแน่นอนครับ" ประธานหลิวกล่าวอย่างจริงใจ

ดูทรงแล้วประธานหลิวคนนี้ค่อนข้างที่จะนับถือจิงเฉินมากเลยนะ เขาไม่ได้ดูถูกจิงเฉินแม้แต่นิดเรื่องที่เขาโดนลากลงมาจากตำแหน่งประธาน แต่กลับกัน เขาให้ความเคารพจิงเฉินเป็นอย่างมาก

ซินเหยารู้สึกเชื่ออย่างมั่นใจว่าระยะเวลาที่ทำงานอยู่ที่เมืองHนี้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นแน่ๆ เพราะไม่มีใครคอยขัดขวางดักขา

ตอนที่นั่งอยู่บนรถ ซินเหยาอยากจะถามจิงเฉินเรื่องต่างๆเอามาก แต่ทำได้แค่เงียบไว้

พอถึงโรงแรม จิงเฉินก็เอามือลูบไปที่หัวของซินเหยา ลูบจนหัวของเธอตอนนี้ยุ่งไปหมดแล้ว

ซินเหยาได้แต่โกรธอยู่ภายในใจ ไม่สามารถแสดงอาการอะไรออกมาได้ ตอนนี้จิงเฉินยังแกล้งเธออีก เธอก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ทันใดนั้นฝ่ามือของเธอก็ตบไปที่มือของจิงเฉินเข้าอย่างจัง ปั๊ว! มันแรงตึงเอามาก ซินเหยาตอนนี้เกร็งไปหมดไม่รู้จะทำไงต่อแล้ว เมื่อกี้เธอไม่ได้ตั้งใจตบแรงขนาดนั้นนะ มือของจิงเฉินเมื่อกี้ที่โดนตีไปก็แดงขึ้นเรื่อยๆ

ภายในใจตอนนี้ของเธอวิ่งวนไปด้วยความกลัว จิงเฉินไอ้หมอนั่นบางคร้ังก็ร้ายกาจใช่เบานะ

"หัวขาดได้ แต่ทรงผมไม่สามารถที่จะยุ่งได้" ซินเหยาหรี่ตาเล็กลงและมองไปที่จิงเฉิน เห็นเพียงแต่มือของเขาที่แดงมาจากแรงตีของเธอเมื่อกี้

จิงเฉินมองไปที่มือของตัวเองที่ยังมีรอยแดง และยื่นมือออกไปจัดทรงผมของซินเหยาพร้อมพูดว่า : "โอเครแล้ว"

ซินเหยา : ……

เธอต้องบ้าอีกแน่ๆ โดนจิงเฉินทำให้บ้าอีกแน่ๆ

เมื่อกี้มองไปที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกของจิงเฉินเห็นแววตาของเขาที่เหมือนจะมีรู้สึกตัวเองเป็นฝ่ายเสียหาย

จิงเฉินรู้สึกตัวเองเสียหาย? อย่าโวยวายไปหน่อยเลย!

นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด

"หึ……" ซินเหยาเอามือออกมาและจัดไปที่ผมของตัวเอง แต่ไม่ได้พูดอะไร

"ยังโกรธอยู่หรอ?" จิงเฉินรั้งซินเหยาก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องไปและพูดขึ้น

"เรื่องความรู้สึกท่านประธานก็ชอบล้อเล่นกับฉัน เห็นฉันเป็นคนโง่ตลอด" ซินเหยาสบัดมือของจิงเฉินที่พาดอยู่บนไหล่ของเธอออก และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความโกรธเล็กน้อย

แม่เจ้า เธอก็เป็นผู้หญิงโง่จริงๆนั่นแหละ เธอเชื่อได้ไงว่าจิงเฉินจะล้มละลายจริงๆ

แม่เจ้าโว้ย เธอเชื่อจิงเฉินจริงๆนะ แล้วเมื่อกี้ปลอบใจเขาไปทำไม

"ผมล้มละลายจริงๆ" จิงเฉินมองไปที่ซินเหยาอย่างเงียบๆและพูดขึ้นว่า : "รถที่มารับวันนี้เป็นรถของบริษัท เป็นทรัพย์สินของส่วนรวม การทำงานของผู้บริหารของเยี่ยหวงดูภายนอกนั้นอาจจะดูแล้วรวยนักหนา แต่ความเป็นจริงแล้วก็รับเงินเดือนเหมือนกันนั่นแหละ อีกอย่างรถหรูและวิลล่าพวกนี้ต่างก็เป็นเงินของบริษัทที่ควักออกมาให้ ความจริงเงินเดือนทั้งปีของผม อาจจะยังสู้ของหลี่เวยไม่ได้เลย"

เงินที่ล

ลบริษัทให้มาน้อยแค่นี้จริงๆ แต่เงินที่เขาหามาจากข้างนอกเองก็น่าจะไม่น้อยกว่าพันล้าน อิอิ

"หึ……คุณคิดว่าฉันโง่หรอ เชื่อคุณก็บ้าล่ะ" ซินเหยาพูด

แต่ภายในใจเธอกลับคิดว่า : ดูแล้วป๊ะป๋าก็น่าสงสาร หรือว่าเธอจะเข้าใจป๊ะป๋าผิดไปจริงๆ

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าป๊ะป๋าไม่ได้เป็นท่านประธานที่เหมือนกับในละครน้ำเน่าพวกนั้นที่สามารถจะเซ็นต์เช็คราคา5ล้านมาฟาดหัวได้? อีกอย่างเวลาออกจากบ้านยังไม่ชอบพกเงินอีกต่างหาก ไม่ใช่ว่าเขาขี้เหนียวหรอกมั้ง เขาอาจจะไม่มีเงินจริงๆก็ได้

เธอเหมือนจะรู้เรื่องที่มันสุดแสนจะไม่น่าเชื่อเข้า!

……

รอบนี้ที่จิงเฉินมาเมืองHมีเป้าหมายเพื่อที่จะสร้างศูนย์กลางเมืองพักผ่อนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

หลายปีที่ผ่านมาการเติบโตของเมืองHก็ไม่ได้เร็วมาก เศรษฐกิจก็ค่อนข้างจะรั้งท้ายเมืองอื่นๆ แต่ว่าเมืองที่ไม่มีภาคอุตสาหกรรมมากแบบนี้แหละถึงจะสามารถหลงเหลือความเป็นธรรมชาติให้ผู้คนที่มาหลงใหลได้ เมื่อมาถึงเมืองH ก็รู้สึกทันทีว่าอากาศที่นี่มันสดชื่นกว่าที่อื่นจริงๆ อีกอย่างท้องฟ้าก็สดใสปลอดโปร่งเอามาก

ไม่ได้ถูกเจือปนด้วยสารพิษต่างๆจากภาคอุตสาหกรรม ธรรมชาติที่นี่อากาศที่นี้ล้วนแล้วแต่บริสุทธิ์ทั้งสิ้น อีกอย่างยังรู้สึกอบอุ่นไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันทำให้ซินเหยารู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

ซินเหยาเมื่อมาถึงเมืองH ก็ตกหลุมรักเมืองที่ไม่ได้เป็นเมืองที่เจริญมากขนาดนั้นโดยทันที

ถึงแม้ความหรูหราโอ่อ่าจะเทียบไม่ได้กับเมืองใหญ่ๆ แต่มันให้ความสงบที่เมืองใหญ่ๆเหล่านั้นให้ไม่ได้ มันสามารถทำให้คนที่มาพักผ่อนที่นี่ละทิ้งความหนักอึ้งภายในจิตใจลงได้อย่างทันที

หลิวซื่อหรงถึงแม้จะมีตำแหน่งแค่เป็นคนที่รับผิดชอบบริษัท แต่งานของเขาก็ไม่น้อยทีเดียว

หลายวันที่ผ่านมาคนที่ไปสำรวจเมืองนี้กับซินเหยาและจิงเฉินก็เป็นคนที่มีคุณภาพโดยผ่านการคัดมาจากซื่อหรงทั้งสิ้น

ตลอดหลายวันตอนเช้าที่วนอยู่ในเมือง คนที่ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างเธอก็ทำให้ขาอันบางเรียวได้รับผลกระทบไปด้วย ถึงแม้เมืองนี้จะมีธรรมชาติที่สุดแสนจะดี แต่คงไม่สามารถช่วยขาที่เจ็บของเธอตอนนี้ให้หายปวดได้

บางครั้ง ตอนเที่ยวมันเหนื่อยกว่าตอนทำงานเสียอีก

สุดท้ายก็ได้กลับมาพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว แต่ตอนนี้ความอยากอาหารกลับไม่มีแล้ว อีกอย่างกับข้าวในโรงแรมนี้สู้ฝีมือลูกชายลั่วหลิงลูกรักของเธอไม่ได้เลย เธอจึงรีบกินไปไม่กี่คำเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น แล้วะจึงกลับห้องไปอาบน้ำและพักผ่อนเช้าๆ

เธอนอนไปได้สักพักก็สดุ้งตื่นขึ้น

เธอขยี้ตาไปมา ได้ยินเสียงเท้าเดินกำลังมุ่งมาทางที่เธออยู่

ตอนนี้ตัวเธอสั่นไปหมด ไม่รู้เป็นเพราะกลัว หรือว่าเป็นเพราะหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดแล้วลมเย็นโชยโบกเข้ามาในยามราตรีแล้วทำให้หนาว

แต่ว่า……ทำไม……

แม่เจ้า……เสียงเดินนี้มันเบาและยังมีจังหวะ……

ตึก……ตึก……ตึก…….ตึก……

เหมือนไม่ได้ฝันไปอยู่……

เสียงเดินมันเหมือนย้ำอยู่ในใจเธอ ดึกๆดื่นๆแบบนี้ เห็นชัดว่าเธออยู่คนเดียวแต่ทำไมกลับมีเสียงเดินเข้ามา นี่มันต้องเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ ทำให้คนขนหัวลุกจริง

ถึงแม้ทุกครั้งซินเหยาจะเป็นเจ้าโง่ที่ใจกล้าตลอด แต่ครั้งนี้มันทำให้เธอกลัวจริงๆ

(เดี๋ยวนะ–ฉันสามารถบอกได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องความรักโดยนำเสนอแบบสยองขวัญ มาสักตอนเลยจ้า)

คนหรือผี?

ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผีเธอก็ไม่สบายใจอยู่ดี

บางครั้งคนยังน่ากลัวกว่าผีเสียอีก

ซินเหยาตอนนี้กลัวจนตัวเกร็งไปหมด เธอนอนอยู่บนเตียงโดยตัวออกเหงื่อเปียกโชก แค่หายใจเธอยังรู้สึกต้องค่อยๆระวัง

ตอนนี้สมองของซินเหยาประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าถ้าเป็นผีอย่างน้อยก็ดีกว่าเป็นคน ตอนที่เธออยู่ที่เมืองHนี้ก็ตามตูดจิงเฉินต้อยๆ ไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครสักหน่อย อีกอย่างเธอไม่เคยได้ยินว่าความปลอดภัยของเมืองนี้ไม่ดีนินา

เธอระวังอย่างมาก แต่เสียงเดินนั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ……

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีสิ่งบางอย่างใกล้ชิดเธอมาก อีกอย่างเหมือนจะยังยื่นมือออกมา

มือจริงๆด้วย……

ทั้งตัวของซินเหยาตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกโชก หนึ่ง……สอง…….สาม……โอกาสมีแค่ครั้งเดียว……

เตรียมตัว……

ฮัลโหลฮัลโหล…..คนที่เมื่อคืนไม่ได้นอนควรจะเป็นเธอหรือป่าว? ทำไมดูไปดูมาจิงเฉินเหนื่อยกว่าเธอเสียอีก

ผู้หญิงสองคนที่นั่งตรงข้ามคะ พวกคุณมองผู้ชายแปลกหน้าอย่างไม่ละสายตาแบบนี้มันจะไม่เป็นไรจริงหรอคะ? ช่วยรบกวนกรุณานำสายตาเก็บเข้าไปด้วยค่ะ ลูกกะตามันจะทะลักออกมากระเด็นใส่ตัวของป๊ะป๋าของเธอแล้วค่ะ ไม่รู้เลยหรอค่ะว่าอะไรคือคำว่ากิริยาสำรวมของผู้หญิง?

ดูๆๆๆ…..ยังจะดูอีกนะ ซื้อบัตรคอนหน้าสุดหรือไงถึงได้จ้องขนาดนี้?

อีกอย่างหน้าของป๊ะป๋านั้นโดนหนังสือพิมพ์บังไว้นะ แล้วผู้หญิงสองคนนี้รู้ได้อย่างไงว่าป๊ะป๋ามีใบหน้าที่หล่อเหลาเอามาก

"เขาต้องมี8แพคแน่ๆ"

คุณผู้หญิงคะ เข้าสวมใส่ไว้เสื้อผ้าอยู่นะคะ คุณมีตาทิพย์หรอคะถึงรู้ว่าเขามี8แพค?

สิ่งที่น่าโมโหก็คือ ผู้หญิงพวกนี้พูดถูกว่าป๊ะป๋ามี8แพคที่เรียงสวยงามจริงๆ

"ฉันรู้ กล้ามตรงหน้าอกเขาก็น่าจะแข็งแกร่งไม่เบา หุ่นเขาแซ่บพริกยกสวนไปเลยจ้า"

ฮัลโหลลล……เธอมีตาทิพย์อีกแล้วหรอถึงรู้ว่ากล้ามหน้าอกของแข็งแกร่งไม่เบา?

จิงเฉินเป็นคนที่ถ้าใส่เสื้อผ้าแล้วดูรู้สึกมีแต่โครงกระดุก แต่ถ้าถอดเสื้อมาแล้วแน่นเนื้อแน่นอก มันดีจีจีน้าาา

ถ้าเกิดว่าเธอไม่เคยเห็นป๊ะป๋าถอดหมดเปลือกครั้งก่อน เธอคงไม่มีวันรู้แน่ว่าหุ่นของป๊ะป๋ามันเพอร์เฟคมากเพียงใด มันแซ่บถึงขั้นสามารถเอาไปเปรียบกับนายแบบพวกนั้นได้เลย แต่รู้สึกว่าป๊ะป๋ายังจะแซ่บกว่านายแบบพวกนั้นเสียอีก

ถึงคุณผู้หญิงพวกนั้นที่กำลังใช้ตาทิตย์ในการมองทะลุเสื้อของป๊ะป๋าอยู่นะคะ พวกคุณรู้หรือป่าวว่าการกระทำของพวกคุณในตอนี้มันไร้คุณธรรมมากเพียงใด หมดคำจะพูดจริงๆ ถ้าเกิดว่าพวกเขายังจะไม่หยุดการกระทำนี้อีก เธอไมสนแน่ว่าเธอจะต้องทำให้คนอื่นเข้าใจผิดมากเพียงใดโดยการลุกขึ้นมาและพูดว่า : "คุณผู้หญิงคะ แบ่งฉันกินด้วยสิคะ กินคนเดียวมันจะอ้วนตายเอาได้นะคะ กินเป็นหมู่มีความสุขกว่าเก็บไว้กินคนเดียวนะคะ"

"ดูขาเขาสิยาวมาก โอปป้ามากเวอร์" พูดออกมาอย่างไม่อายปาก

แม่เจ้า ชั้นBusiness class แคบๆแบบนี้ป๊ะป๋ายังไม่ได้เหยียดขาสุดนะ แล้วเธอรู้ได้ไงว่าตั้งแต่คอลงมาของป๊ะป๋ามันคือขา?

นังตัวดีสองคนนี้ไม่เพียงแต่คิดซกมกภายในหัวสมอง แต่ยังหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเซลฟี่กับป๊ะป๋าอย่างบ้าคลั่งอีก

"คุณผู้หญิงคะ สลับที่กับฉันได้หรือป่าวคะ ฉันอยากถ่ายรูปคู่กับผู้ชายที่นั่งข้างคุณหน่อยอ่ะค่ะ" นังผู้หญิงคนนั้นขอซินเหยาอย่างไม่อายปาก ถึงแม้ว่าจะเป็นการขอ แต่นำ้เสียงของเธอมันไม่มีความเกรงใจกันเลยสักนิด อีกอย่างยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไรด้วย

เธออยากถ่ายก็ถ่ายงั้นหรอ? ป๊ะป๋ายังไม่ได้อนุญาติเลยนะ

พวกหนุษย์โง่เง่าพวกนี้ อยากจะมาทัดเทียมอยู่ในระดับเดียวกับป๊ะป๋า น่าขันสิ้นดี

มีปัญญามาถ่าย แต่มีปัญญาไม่แต่งรูปตัวเองได้หรือป่าวล่ะ? หึหึ

"ไม่ได้ค่ะ" ซินเหยาพูดเลียนแบบน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนจิงเฉิน เธอพูดปฏิเสธได้อย่างฉะฉาน

"ทำไมล่ะ? เธอมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินแทนเขา" ผู้หญิงไม่อายหน้าถามขึ้นอย่างไม่พอใจ

ซินเหยายิ้มเบาๆและพูดขึ้นว่า : "คุณถามว่าทำไมหรอคะ?"

เธอไม่ได้แกล้งผู้หญิงพวกนั้นเล่นนะ เธอแค่คิดเหตุผลที่จะพูดไม่ออก

คำพูดของเธอเมื่อกี้ บวกกับยิ้มเบาๆ มันทำให้คนที่เห็นหมั่นไส้จริงๆ

"งั้นเธอเป็นแฟนเขาหรอ" หญิงไม่อายหน้าถามขึ้นอย่างหัวร้อนเล็กน้อย

ซินเหยานิ่งเงียบไป5วิ เหตุผลที่ผู้หญิงนั่นให้มามันก็ไม่ได้ผิดนะ เธอผงกหัวรับอย่างเย็นชาสูงสง่า : "เขาเป็น……เจ้านายฉัน"

หญิงคนนั้นเมื่อได้ยินก็รู้ว่าหญ้ารสเลิศนี้มีเจ้าของแล้ว รู้สึกหงอยไปหน่อย

"หึ……หน้าตาก็หล่อหน่อยๆแค่นั้น หุ่นก็ดีหน่อยๆแค่นั้น ไม่เห็นจะดีอะไรมากมาย" หญิงคนนั้นแสยะปากเล็กน้อยและพูดกับเพื่อนอีกคนของตน

แม่เจ้า คุณผู้หญิงคะ ตอนนี้มันเป็นโลกที่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกนะคะ

เบ้าหน้าฟ้าประทาน หุ่นและเส้นเลือดที่แสนจะโหดเหี้ยม มันไม่เห็นจะดีอะไรจริงๆหรอคะ?

ผู้หญิงที่ชอบเซลฟี่แต่ต้องผ่านเป็นร้อยแอพอย่างเธอไม่มีสิทธิมาพูดนะคะ

จิงเฉินที่ใบหน้าอันหล่อเหลาถูกปิดไปด้วยหนังสือพิมพ์อยู่ เมื่อได้ยินซินเหยาตอบกลับผู้หญิงพวกน้ัน มุมปากก็โค้งกว้างขึ้น มันทำให้เขาหล่อแบบถึงขั้นต้องคุกเข่าร้องไห้ขอรับประทานจริงๆ

เพียงแต่ซินเหยามัวแต่ต่อกรวาทะกับผู้หญิงพวกนั้น ไม่ทันที่จะเห็นฉากอันหล่อเหลานี้ของเขา

บินอยู่บนท้องฟ้าราวชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

ตอนที่จิงเฉินนำหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนใบหน้าของตัวเองลงมา ผู้หญิงคนที่อยากถ่ายรูปกับเขาก็กำลังจ้องตาเป็นมันอยู่แล้ว น้ำลายเหมือนไหลย้อยยาวแปดศอก เหลือเพียงแต่ไม่ได้พุ่งตัวเข้าใส่จิงเฉินเพียงแค่อย่างเดียว

ซินเหยามองไปที่ผู้หญิงคนนั้นอย่างภาคภูมิ : หึ……ใจสลายเมื่อเห็นความหล่อของป๊ะป๋าที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์มาก่อนล่ะสิ พวกมนุษย์โง่เขลา

ตอนที่ออกมาจากสนามบิน รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบของที่นี่ต่างจากเมืองBเอามาก

ความเจริญหูเจริญตาแตกต่างไป แต่ก็มีบรรยากาศที่เนิบๆสบายๆที่ต่างจากเมืองB จังหวะในการใช้ชีวิตของคนที่นี่เนิบๆกว่าที่เดิมไปเยอะมาก ไม่เหมือนเมืองBที่รถวิ่งไปวิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง คนเดินไปเดินมาอย่างเบียดเสียด ที่นี่ให้ความรู้สึกที่สบายจริงๆ

ตอนนี้ป๊ะป๋าได้ล้มละลายไปแล้ว เธอเตรียมตัวเตรียมใจแล้วแหละว่าจะต้องนั่งรถขนส่งสาธารณะ

แต่ว่าตอนที่เดินออกมาจากสนามบิน รถหรูที่จอดเรียงรายรอยู่หน้าสนามบินอย่างเป็นระเบียบส่องแสงกระทบมาที่ตาซินเหยาเหมือนตาเธอจะบอดให้ได้ยังไงยังงั้น

ซินเหยามองไปที่รถหรูคันนั้น และมองไปที่จิงเฉิน

ตอนนี้จิงเฉินจนเป็นยาจก เห็นภาพที่มีความรวยอยู่ตรงหน้าเหมือนชีวิตคราวก่อนของตัวเองจะรู้สึกเสียใจแค่ไหนกันเชียว?

เทพบุตรคนหนึ่งที่เมื่อก่อนมีทุกอย่างแต่ตอนนี้เหมือนตกสวรรค์ เห็นภาพแบบนี้แสดงอยู่ตรงหน้าของตัวเองคงจะต้องเศร้าและได้รับผลกระทบทางใจแน่ๆ

ซินเหยาคิดตลอดว่านี่เป็นจุดด้อยของเธอ เมื่อเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของป๊ะป๋าก็โกรธเขาไม่ลงตลอด

จากนั้นซินเหยาก็พูดปลอบใจจิงเฉินแบบอบอุ่นว่า : "ท่านประเยี่ยคะ รถพวกนี้เป็นรถที่ตอแหลหมดแหละค่ะ ยุคนี้คนตอแหลก็ต้องโดนฟ้าผ่านะคะ รถหรูเยอะขนาดนี้ จะมารับผู้นำของประเทศหรืออะไรกัน มันโอเวอร์ตอแหลเกินไป ขยะแขยงมาก……อิ้ววว"

"ท่านประธานเยี่ยและเลขาถังสวัสดีครับ ผมชื่อหลิวซื่อหรง เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการสาขาบริษัทเยี่ยหวงที่อยู่เมืองHครับ ผมเป็นตัวแทนของบริษัทในการตอนรับและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านประธานเยี่ยให้เกียรติมาเป็นหัวหน้าในการนำบริษัทของเรา ทางเราได้จัดเตรียมห้องพักโรงเเรมให้ท่านประธานแล้ว ท่านประธานจะไปพักผ่อนก่อน หรือว่าจะไปบริษัทเลยครับ" ชายอายุราว40ปลายๆพูดขึ้นตอนที่ซินเหยากำลังปลอบใจจิงเฉินอยู่ ท่าทางที่ดูเคารพเดินมาและก้มหัวลงเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้น

ซินเหยา : ……

แม่เจ้าเอ้ย! ไอ้จิงฉิงไอ้ทุเรศสารเลว

เพราะงั้นเธอถึงได้เกลียดคนหล่อเอามาก เพราะโลกนี้เป็นโลกที่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอก ด่าคนว่าทุเรศก็เป็นสิ่งที่หยามกันเอามากแล้ว สุดท้ายตอนที่เธออยากด่าจิงเฉินว่าไอ้ทุเรศ ถึงแม้อกจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพียงใดก็พูดคำว่าไอ้ทุเรศคำนี้ออกมาไม่ได้

จว๋อเหยียนไม่ได้คิดร้ายอะไรกับพวกเด็กๆเลย ทำไมเธอถึงต้องกลัวเด็กอายุ6ขวบนั่นด้วยหล่ะ ถึงแม้ว่าถ้าเด็กคนนี้จะมีความสามารถที่ปังปุริเย่มากกว่าพ่อของเขาเองตอนเขาโตขึ้น แต่ตอนนี้เขาก็ยังเล็กอยู่ ยังไม่ได้เป็นราชสีห์ร้ายกาจขนาดนั้น จะกลัวไปทำไม?

"สวัสดีค่ะลั่วหลิง หนูเป็นเด็กที่มหัศจรรย์อย่างที่เขาว่ามาจริงๆด้วยสินะคะ" รอยยิ้มบนใบหน้าของจว๋อเหยียนได้กลบเกลื่อนความเป็นธรรมชาติของเธอไป แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกที่สนิทสนมกันขึ้นมาอีกนิด

ลั่วหลิงมองไปที่จว๋อเหยียนและพูดว่า : "ขอบคุณที่ชมครับ"

อาหารค่ำวันนี้เป็นฝีมือของจว๋อเหยียน เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ปลายจวักไม่น้อยไปกว่าใครเลย อาหารที่ทำออกมามันเลิศรสจริงๆ อีกอย่างเธอยังไม่ใส่วัตถุดิบที่พวกเด็กๆไม่ชอบ เพราะงั้นเข่อหลานตอนนี้แสดงสีหน้าความรู้สึกออกมาว่าชอบพี่สาวนางฟ้าคนนี้จริงๆ อีกอย่างเข่อหลานยังพูดออกมาตรงๆอีกว่าพี่สาวนางฟ้าทำอาหารได้อร่อยมากกว่าหม่ามี๊ของเธออีก

เพราะงั้นเรื่องของอาหารตอนที่ซินเหยาไม่อยู่ เข่อหลานก็ไม่ได้รู้สึกได้รับผลกระทบอะไรมากมาย

มิหนำซ้ำยังรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่มีพี่สาวนางฟ้ามาดูแลเธอ

เป็นเด็กที่ห่วงแต่กินจริงๆ

คืนก่อนที่ซินเหยาจะไป เข่อหลานกับจว๋อเหยียนพูดคุยกันสนุกสนานจนนอนหลับไป

ในส่วนของลั่วหลิงนั้นก็ช่วยซินเหยาจัดกระเป๋าเดินทางต่างๆ นำของที่จำเป็นแยกประเภทจัดไว้ในกระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ พอถึงตอนที่จะใช้ก็จะได้สะดวกตอนหยิบจับ

ของทุกอย่างจัดใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างพอดิบพอดี และน้ำหนักของกระเป๋าที่จะเอาไปโหลดก็ไม่ได้เกินที่สายการบินกำหนดด้วย

ซินเหยาเพียงแค่นั่งเฉยๆและมาร์กหน้าอย่างฉ่ำๆ ปล่อยให้ลูกชายของเธอจัดการเรื่องกระเป๋าไป

ซินเหยาเธอคิดว่าชาติที่แล้วเธอต้องช่วยจักรวาลจากหายนะเอาไว้แน่ ชาตินี้เธอถึงได้มีลูกชายที่เก่งทำเป็นทุกอย่างอย่างลั่วหลิง และลูกสาวที่น่ารักปากหวานอย่างเข่อหลาน

"หม่ามี๊ครับ ของทุกอย่างผมจัดให้หม่ามี๊หมดแล้ว ของทุกอย่างที่หม่ามี๊ต้องการสามารถหาได้จากในกระเป๋านี้นะครับ" ลั่วหลิงพูดพร้อมปิดกระเป๋าเดินทางลง

ของทุกอย่างในกระเป๋าเดินทางใบนี้เป็นลั่วหลิงที่เป็นคนจัดให้เธอเอง รวมถึงเสื้อผ้าที่จะใส่แมตช์กันเขาก็จัดการได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม วางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ตอนจะใส่ก็แค่นำออกมาก็ใส่ได้เลย

"โอเครแล้วครับ พรุ่งนี้หม่ามี๊ต้องตื่นแต่เช้า พักผ่อนเถอะครับ" ลั่วหลิงพูด

ซินเหยาแกะที่มาร์กหน้าออกหนึ่งครึ่งและกอดไปที่ลั่วหลิง

ไอ้เด็กคนนี้ทำไมรักหม่ามี๊แบบนี้

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกตอนนี้ตัวเองจะดราม่ายังไงยังงั้น และพูดกับลั่วหลิงว่า : "ลูกรัก หนูเป็นลูกที่ดีมากๆ หนูกับน้องเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของหม่ามี๊ มันแพงเสียยิ่งกว่าชีวิตของหม่ามี๊เสียอีก ความสุขทั้งชีวิตของหม่ามี๊ก็คือการได้เป็นหม่ามี๊ของพวกหนู หม่ามี๊รักหนูมากๆนะ"

ร่างกายของลั่วหลิงตอนนี้รู้สึกเกร็งๆขึ้น แต่ว่าไม่นานก็อ่อนเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม

ลั่วหลิงรู้สึกเก้ๆกังๆในการยกมือขึ้นและกอดไปที่เอวของซินเหยา และพูดว่า : "ผมก็รักหม่ามี๊และน้องครับ"

หลังจากที่ได้ความรักจากลูกชายเธอ ใจของซินเหยาตอนนี้ก็บานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังส่งกลิ่นหอมอยู่ภายในใจ

ลั่วหลิงค่อยๆควักนาฬิกาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตัวเองออกมา นาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้เป็นแบรดน์อะไร แต่มันทำออกมาค่อนข้างจะสวยประณีตละเอียดมาก และพูดว่า : "นี่คือของขวัญที่ผมซื้อให้เป็นพิเศษ ผมกับน้องต่างก็มีกันคนละเรือนครับ"

ที่แท้ก็เป็นนาฬิกาครอบครัวนี่เอง แม่ลูกลูกต่างมีคนละเรือน มันคูลมากจริงๆ

ซินเหยายื่นมือออกมา จากนั้นลั่วหลิงก็สวมนาฬิกาเรือนนั้นให้เธอ

นาฬิกาสีเงินนี้สวยมาก มันทำให้สีผิวขาวใสของซินเหยาดูโดดเด่นเปร่งประกายขึ้นเอามาก อีกอย่างสีเงินเป็นสีที่คลาสสิค ไม่มีทางจะตกยุคแน่นอน นาฬิกาเรือนนี้มันเหมาะกับซินเหยาทุกอย่าง ยังเข้ากับสไตล์เสื้อผ้าของเธอ ลั่วหลิงต้องเอาใจใส่ในการหาซื้อในครั้งนี้มากแน่ๆ

วันต่อมาตอนที่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่าง ซินเหยาก็ออกไปแล้ว

ก่อนที่เธอจะไป ได้ต้มโจ๊กและทำเครปจีนให้เข่อหลานลั่วหลิงและจว๋อเหยียนอีกด้วย

หลายปีที่ผ่านมาเธอแทบจะไม่เคยจากลูกน้อยของเธอไปไหนไกลๆแบบนี้เลย รอบนี้จำเป็นต้องจากมันทำให้ซินเหยารู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอกลัวมากถ้าเธอเห็นหน้าลูกน้อยของเธอเสียก่อนจะทำให้เธอทำใจไม่ได้ที่จะไป เพราะงั้นจึงต้องชิงออกบ้านเสียก่อนที่ลูกน้อยของเธอจะตื่นมา

ซินเหยาถอนหายใจไปเฮือกใหญ่ ปิดประตูบ้านและเดินจากไป

เธอไม่รู้ว่าตอนที่ประตูบ้านกำลังปิดลง ประตูห้องของลั่วหลิงและเข่อหลานต่างก็เปิดไว้แล้ว

สายตาของเข่อหลานที่เต็มไปด้วยน้ำที่กลิ้งไปกลิ้งมา ลั่วหลิงไม่พูดอะไร แต่ภายในตาเต็มไปด้วยความไม่อยากให้หม่ามี๊ไป

"พี่คะ หนูไม่อยากให้หม่ามี๊ไปค่ะ หนูคิดถึงหม่ามี๊" เข่อหลานจับไว้ปลายเสื้อด้านหลังของลั่วหลิงและพูดขึ้นอย่างเบาๆ

"หม่ามี๊ไปทำงาน ไม่นานก็กลับมาแล้ว" ลั่วหลิงลูบไปบนหัวของเข่อหลาน จากนั้นจับมือเข่อหลานและวิ่งไปที่ระเบียง จากนั้นนำเก้าอี้มาตั้งไว้และปืนขึ้นไปดู สายตาที่ดูละห้อยมองไปที่ข้างล่าง และลั่วหลิงพูดว่า : "พวกเราสามารถที่จะส่งหม่ามี๊ตรงนี้ได้"

ความจริงตรงนี้คือชั้นที่19 มองลงไปข้างล่างก็ไม่เห็นอะไรอยู่ดี

แต่ว่ายืนอยู่ตรงนี้ก็ทำให้พวกเขาสบายใจแล้ว

คนที่ไม่สามารถกลั้นอารมณ์ไว้ได้คงจะเป็นซินเหยามากกว่า

แค่ไม่อยากให้ซินเหยารู้สึกเศร้าไป ลั่วหลิงและเข่อหลานต่างก็ไม่ได้แสดงความรู้สึดอาลัยอาวรออกมา เพียงแต่เก็บซ่อนอยู่ภายในจิตใจ

ซินเหยาเรียกรถมาคันหนึ่ง และมุ่งหน้าไปสนามบิน

ซินเหยาเห็นจิงเฉินที่ใส่ชุดสูทสีดำอย่างหล่อบาดใจ หล่อแบบวัวตายควายล้ม แต่ว่าวันนี้ซินเหยารู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก

เธอคิดกับตัวเองว่าเธอน่าจะไม่ปกติ

ไม่งั้นทำไมถึงเห็นผู้ชายที่หล่อขนาดนี้ถึงไม่กระโดนเข้าใส่หล่ะ?

"ทำไม? เห็นหน้าผมแล้วอารมณ์ไม่ดี?" จิงเฉินเห็นซินเหยาอารมณ์ไม่จอยนัก จึงเหล่ตามองไปถาม

ป๊ะป๋า ตาของคุณมีไว้แค่เพื่อดูหล่อดูน่าดึงดูดคนแค่นั้นหรอ?

เห็นอยู่จะๆว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยจะดีก็ยังจะถาม จะทำงานด้วยกันอย่างมีความสุขได้ไหมทีนี้?

"ไม่ใช่หนิคะ เพียงแค่คิดว่าจะได้ออกไปทำงานนอกสถานที่กับเทพบุตรที่สุดแสนจะหล่ออย่างท่านประธาน เมื่อคืนจึงทำเอาฉันนอนไม่หลับไปทั้งคืน เพราะงั้นสีหน้าคร่าตาวันนั้นถึงได้ดูไม่ค่อยสดชื่นดีนัก" ซินเหยายิ้มมุมปากเห็นลักยิ้มอันมีเสน่ห์ประจำตัวเธอออกมา

"ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม มันดูน่าเกลียด" พูดเสร็จก็ลากกระเป๋าซินเหยาไปและเดินนำไปข้างหน้า

ฮัลโลล……ป๊ะป๋า ถอนคำพูดเมื่อกี้เดี๋ยวนี้นะ ถ้าถอน อีกหน่อยยังนับว่าเป็นเพื่อนกันได้

ซินเหยาได้เชื่อแล้วว่าจิงเฉินล้มละลายจริงๆ แต่ว่าตอนที่ขึ้นไปถึงบนเครื่องบินก็เชื่ออย่างสนิทใจขึ้นไปอีกว่าเขาล้มละลายจริงๆ

ปกติในซีรี่ย์นักธุรกิจพันล้านเวลาออกไปทำงานข้างนอกต่างก็มีเครื่องบินส่วนตัว ถึงแม้จะไม่มี ก็คงจะต้องนั่งชั้นFirsr class แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านประธานและเลขาชั่วคราวของเขาต้องนั่งชั้นBusiness class ไป

นิสัยอย่างท่านประธานเยี่ยคนนี้มันต่างจากคนอื่นเสียจริงๆ

เธอกับเขาคงเป็นท่านประธานและเลขาที่ยาจกมากที่สุดในโลก

ข้อดีของซินเหยานั้นคือสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ตลอด ที่จริงชั้นBusiness classสำรับเธอแล้วนั้นก็พอใจแล้ว

ต้องเข้าใจว่าตอนนี้ท่านประธานของเธอนั้นล้มละลายแล้ว ไม่ให้เธอไปนั่งเบียดบนรถเมล์มันก็ดีแค่ไหนแล้ว

เมื่อจิงเฉินขึ้นไปถึงบนเครื่อง ก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดไปที่หน้าของตัวเองทั้งแผ่น มันรู้สึกเซ็กซี่มาก มันทำให้คนคิดมิดีมิร้ายจริงๆ เหมือนกับว่าเขากำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่

"เข่อหลานกับลั่วหลิงยังเล็กขนาดนี้ เธอไว้วางใจได้หรอว่าจะปล่อยลูกของตัวเองให้คนอื่นดูแล" เหยียนฉีถาม

"อืม เพราะงั้นฉันจึงบอกให้เธอหาคนที่ไว้ใจให้สักคนไงหล่ะ" ซินเหยาพูดขึ้นต่อว่า : "เธอก็รู้ว่าผู้หญิงตัวน้อยๆที่เสียสามีไปอย่างฉันต้องใช้ชีวิตลำบากมากเพียงไหน ถ้าเกิดว่าฉันไม่ทุ่มเทตั้งใจทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงดูลูกน้อยสองคนของฉันล่ะ"

"รู้แล้วหน่า ไปไกลๆได้ล่ะ" เหยียนฉีเมื่อได้ฟังซินเหยาพูดเสร็จก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที และรู้สึกลำไยมากที่ได้ยินเช่นนั้น

"นังแม่มด……"

ทันใดนั้น มีมือที่นุ่มอ่อนเหมือนกับไม่มีกระดูกปานนั้นได้พาดไปที่ไหล่ของเหยียนฉี เหยียนฉีเพียงแค่มองไปด้วยสายตาอันเย็นชา

"พี่เหยียนฉีคะ เมื่อกี้เห็นพี่ดื่มเหล้าไปหลายแก้วแล้ว นี่เป็นเครื่องดื่มส่างเมาที่หนูเตรียมมาให้พี่ค่ะ ดื่มแล้วจะรู้สึกดีขึ้น" เสียงนุ่มนวลจากที่ที่หนึ่งดังขึ้น

เมื่อเหยียนฉีเธอหันหัวไปก็เห็นจว๋อเหยียนยืนอยู่ข้างหลังแล้ว สีหน้าของเหยียนฉีที่ดูไม่ได้เมื่อกี้ก็อบอุ่นขึ้นมาทันตาเห็น

"เธอมาได้ไงเนี่ย?" เหยียนฉียื่นมือรับเครื่องดื่มนั้นไปและดื่มมันไปหนึ่งกึกเพื่อลงไปล้างความสับสนที่แทรกอยู่ในทรวงอกของตัวเอง

"หนูรู้สึกเป็นห่วงพี่ค่ะ" จว๋อเหยียนมองดูเหยียนฉีด้วยความเป็นห่วง

"ไม่เป็นไร วางใจเถอะ เธอเป็นนักแสดงในสังกัดพี่ เรื่องดื่มพวกนี้พี่จัดการเอง เธอรับผิดขชอบแค่ร้องเพลงแสดงละครให้ดีๆก็พอแล้ว" เหยียนฉีพูดกับจว๋อเหยียนด้วยความจริงจัง

จว๋อเหยียนตอนนี้เพียงแค่ยิ้มออกมาแสดงให้เห็นถึงแก้มป๋องอันน่ารักของเธอ และพูดว่า : "ขอบคุณพี่มากนะคะ"

คำว่าพี่คำนี้ที่เธอเรียกออกมานั้นมันมาจากความจริงใจจริงๆของเธอ วงการบันเทิงก็เปรียบเสมือนแจกันสีแดงสด ถ้าเกิดไม่มีคนที่คอยปกป้องล่ะก็ อย่าวังว่าจะหลงเหลือรอดความใสสะอาด โชคดีนะที่ครั้งนี้คนที่เธอเจอคือเหยียนฉี เรื่องที่เกิดเมื่อก่อนก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

"อื่ม เธอเข้าไปก่อนเถอะ" จากนั้นเหยียนฉีจึงหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาและโทรหาผู้ช่วยของเธอ : เจี่ยงๆ เธอช่วยหาป้าแม่บ้านคนหนึ่งที่ไว้ใจได้ให้ฉันได้หรือป่าว ดีที่สุดคือเคยมีประสบการณ์ดูแลเด็กมาก่อน ต้องสามารถดูแลลูกชายและลูกสาวบุญธรรมฉันได้ ต้องไม่ทำให้พวกเขาได้รับอันตรายใดๆเป็นอันขาด

จว๋อเหยียนเมื่อได้ยินที่เหยียนฉีพูด ลูกชายและลูกสาวบุญธรรม?

แววตาของจว๋อเหยียนประกายขึ้น เมื่อรอให้เหยียนฉีวางหูจึงได้ยิ้มขึ้นอ่อนๆพร้อมพูดขึ้นว่า : "พี่เหยียนฉีคะ ถ้าพี่มีเด็กๆให้ต้องดูแลหนูสามารถดูแลให้ได้นะคะ"

"ไม่ต้องหล่ะ" เหยียนฉีส่ายหน้าปฏิเสธ

"พี่เหยียนฉีวางใจได้เลย หนูจะดูแลเด็กๆพวกนั้นอย่างดีเลย เพราะตอนนี้ละครที่ต้องเล่นก็ถ่ายหมดแล้ว ครึ่งเดือนต่อมาก็ไม่มีแพลนอะไร ถ้าเกิดหาคนที่สนิทไม่เจอ ก็ให้หนูไปดูแลแทนดีกว่าค่ะ" จว๋อเหยียนพยายามควบคุมสติของตนเอง พยายามให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ต้องไม่ให้คนอื่นเห็นว่าเธอรีบร้อนมากเพียงใด

เหยียนฉีรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ความจริงเธอก็ค่อนข้างไว้ใจจว๋อเหยียน

จว๋อเหยียนกับเธอพึ่งเซ็นต์สัญญาร่วมงานกันเมื่อปลายปีที่แล้ว ถึงแม้เธออายุจะไม่มาก แต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างควบคุมอารมณ์ให้คงที่ได้ ดูมีวุฒิภาวะมากกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่เคยจะดีใจหรือเสียใจเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นจนเกินไป มันเป็นจุดเด่นในตัวเธอเลยแหละ

"ก่อนที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงหนูเคยเป็นครูดูแลเด็กมาก่อนค่ะ หนูชอบเด็กมากเลยนะคะ พี่เหยียนฉีคะได้โปรดให้โอกาสในการย้อนความทรงจำของหนูอีกสักครั้งนะคะ" จว๋อเหยียนยังยืนยันอีกว่า "หนูรับประกันค่ะว่าหนูจะดูแลเด็กๆอย่างดีให้ขาวใสอุดมสมบูรณ์ ถ้าเกิดขนพวกเขาหายไปแม้แต่เส้นเดียวสามารถมาคิดบัญชีกับหนูได้เลยค่ะ"

"ก็ได้ งั้นก็รบกวนเธอหน่อยนะ" เหยียนฉีหัวเราะขึ้นพร้อมตอบรับ

"หนูยังไม่รู้เลยค่ะว่าเด็กสองคนนี้ชื่ออะไรกัน?" จว๋อเหยียนพยายามเก็บซ่อนความตื่นเต้นของตนเองไว้ในจิตใจ

"อ๋อ พวกเขาเป็นแฝดชายหญิงหน่ะ พี่ชายชื่อลั่วหลิง เป็นเด็กที่ฉลาดและสุขุมมาก; ส่วนน้องสาวชื่อเข่อหลาน เป็นเด็กที่ค่อนข้างสวยและน่ารัก ปากยังหวานอีกต่างหาก เด็กสองคนนี้เวลาไปที่ไหนใครเห็นเป็นต้องรัก และค่อนข้างที่จะเชื่อฟัง" เมื่อเหยียนฉีคิดถึงลั่วหลิงและเข่อหลานแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากก็ดูมีความสุขขึ้นไปหลายเท่า

สำหรับลั่วหลิงและเข่อหลาน เหยียนฉีปลื้มเด็กสองคนนี้เอามาก

"เอาหล่ะ วันนี้เป็นละครบทใหม่ของเธอ ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องคุ้นชินอะไรมากมาย แต่ว่าอย่าลืมว่าตัวเองยังเป็นนักแสดงหลัก ลาตำแหน่งของตัวเองไปนานๆมันจะไม่ดี" เหยียนฉีพูด

ตอนนี้จว๋อเหยียนตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมดแล้ว แต่ว่าตอนที่เหยียนฉีหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตนเองไม่ทันสังเกตว่าจว๋อเหยียนมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม

ตอนที่ซินเหยาเห็นจว๋อเหยียนแว๊บแรกก็รู้สึกดีใจเอามาก

นี่มันเป็นระดับดาราเลยนะ ดาราตัวเป็นๆเลยนะ

ตัวจริงนอกจอของจว๋อเหยียนมันดูละมุนมากกว่าในจอเสียอีก ใบหน้าที่ดูหน้ารักเหมือนตุ๊กตา รอยยิ้มที่หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า อีกอย่างยังค่อนข้างจะร่าเริงและเฟรนลี่ พูดง่ายๆก็คือสาวข้างบ้านสักแห่งที่สวยกว่าผู้หญิงธรรมดาเอามากๆ

ความรู้สึกภาพแรกที่จว๋อเหยียนให้ต่อซินเหยามันดีมากจริงๆ

จว๋อเหยียนไม่มีนิสัยที่ดูเย่อหยิ่งเย็นชาเหมือนดาราดังพวกนั้นเลย แต่กลับดูเป็นคนอ่อนน้อมมีมารยามเอามากแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้ซินเหยารู้สึกลำไยด้วย

"คุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่เหยียนฉีสินะคะ ฉันได้ยินพี่เหยียนฉีพูดถึงคุณบ่อยๆ เมื่อเห็นคุณครั้งแรกฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับคุณอย่างบอกไม่ถูก ฉันสามารถเรียกคุณว่าพี่ซินเหยาได้หรือป่าวคะ?" จว๋อเหยียนยิ้มออกมาอย่างเปิดกว้าง และยังยิ้มแบบหวานฉ่ำดูสนิทสนมอีกด้วย

"ได้สิ" ซินเหยาไม่ได้รู้สึกไม่ชอบจว๋อเหยียนเลย

อีกอย่างยังชอบตัวละครที่จว๋อเหยียนเล่นอีกต่างหาก จึงทำให้เธอก็รู้สึกสนิทสนมกับจว๋อเหยียนบ้าง

"พี่ซินเหยาคะ พี่สามารถเรียกฉันว่าเหยียนๆได้นะคะ" จว๋อเหยียนพูดออกมาอย่างจริงใจ : "พี่เหยียนฉีก็สวยอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเพื่อนของพี่เขาก็สวยเหมือนกัน ปกติหนูไม่กล้าที่จะยืนข้างๆพี่เหยียนฉีเลยค่ะ เพราะคนที่ไม่รู้จักหนูจะคิดไปหมดเลยว่าพี่เหยียนฉีเป็นดารา และหนูเป็นผู้จัดการเขา ตอนนี้หนูอยู่หน้าของพี่ซินเหยาแล้ว หนูคงจะต้องเป็นผู้จัดการจริงๆแล้วล่ะค่ะ รู้สึกว่าไม่มีพื้นที่ให้หนูยืนอีกแล้ว"

ซินเหยาโดนจว๋อเหยียนพูดแกล้งจนหัวเราะออกมาอยู่พักใหญ่

เมื่อเข่อหลานเห็นจว๋อเหยียนแล้วก็รู้สึกดีใจเหมือนกัน พร้อมดึงชายกระโปรงของจว๋อเหยียนแล้วพูดว่า : "พี่สาวนางฟ้าคะ ทำไมพี่ถึงมาอยู่บ้านหนูได้ล่ะคะ"

บทนางฟ้าคือตัวละครที่จว๋อเหยียนเล่นไปครั้งก่อน ถึงแม้บทจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ดูโดดเด่นเอามาก

บทนางฟ้าที่เธอแสดงนั้นมันทำให้เข่อหลานลืมไม่ลงเลยจริงๆ

"ที่พี่สาวนางฟ้ามาหาก็เพราะจะมาดูว่าเข่อหลานอยู่บ้านเชื่อฟังหรือป่าว" จว๋อเหยียนก้มตัวลงและมองไปที่เข่อหลานในระดับสายตาเดียวกัน สายตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ และอมยิ้มพร้อมมองไปที่เข่อหลาน

เข่อหลานรู้สึกตกใจมาก มองไปที่จว๋อเหยียนด้วยดวงตาที่เบิกใหญ่ขึ้นและถามว่า "พี่สาวนางฟ้ารู้ได้ไงคะว่าหนูชื่อเข่อหลาน?"

"เพราะพี่เป็นนางฟ้านะสิ" จว๋อเหยียนพูดขึ้นและกระพริบตาข้างหนึ่งให้เข่อหลาน

เข่อหลานเมื่อเห็นก็ได้ยิ้มหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

จว๋อเหยียนเงยหน้าขึ้น มองไปที่ลั่วหลิงที่สายตาเต็มไปด้วยสีดำและความลึกลับ เหมือนมีสิ่งอันใดซ่อนอยู่ภายใต้สายตาคู่นี้

รอยยิ้มของเธอค่อยๆที่จะเลือนหายไป ตอนนี้เธอรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว มันรู้สึกไม่กล้าที่จะสบตามองไปที่ลั่วหลิงอีก เพราะสายตานั้นมันทำให้เธอรู้สึกกลัวและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

"สวัสดีครับพี่สาวนางฟ้า ผมคือพี่ชายของเข่อหลาน ผมชื่อลั่วหลิง" ลั่วหลิงพูดกับจว๋อเหยียนด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเย็นชาตามสไตล์ของเขา

เสียงอันเย็นชาของลั่วหลิงทำให้เธอนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ทำให้เธอกลับมามีสติอีกครั้ง

"ได้" นี่มันเป็นกฎหมายที่ทำลายสิทธิส่วนบุคคลและทำให้กฎหมายของประเทศดูเสื่อมลงเสียจริงๆ แต่เธอก็ต้องเซ็นต์อยู่ดี

นี่มันเป็นการแกล้งที่ไม่สามารถมีใครเทียบเทียนได้แล้ว ตัวเองรู้อยู่แก่ใจว่าโดนป๊ะป๋าแกล้ง แต่ก็ยังจะทำเป็นใสซื่อและยอสรรเสริญป๊ะป๋าต่อให้เขาแกล้ง มันทำให้หมดแพสชั่นในการใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ

ยังมีเขาป่าไม้อุดมสุข ไม่กลัวทุกข์ฟืนหมดไม่มีเผา

ตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่รวยเหลือล้น จะไปจัดการกับเขา เธอก็เหมือนแมวที่เพิ่งจะถอนฝันน้ำนมทิ้ง เป็นได้แค่เนื้อปลาอันโอชะที่จะรอให้ชาวประมงนำมายำกิน

เธอไม่สามารถที่จะต่อกรกับจิงซิงโดนไร้คนคอยสนับสนุน เธอจะต้องเป็นแม่ของทายาทเศรษฐีรุ่นที่2

พอเป็นเช่นนั้นก็สามารถที่จะโอนเงินสักร้อยล้านมาฟาดหัวป๊ะป๋าให้นอนราบไปกับพื้นได้

เห็นท่าทางที่ไม่เต็มใจของซินเหยาอย่างนั้นแล้ว จิงเฉินรู้สึกสะใจเป็นอันมาก สำหรับเงินหนึ่งหมื่นในสายตาเขามันไม่ได้มีค่าอะไรเลย

เรื่องนี้ก็ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ซินเหยากลับไป ก็คิดได้ว่า……อีกไม่กี่วันโรงเรียนของลั่วหลิงและเข่อหลานจะมีกิจกรรมสานสัมพันธ์กีฬาสี เธอลืมมันไปได้ไง?

เธอเริ่มที่จะสงสัย เข่อหลานกับลั่วหลิงไม่ใช่ลูกแท้ๆเธอหรือไง? เธอเป็นเพียงแม่เลี้ยงหรือ?

เพราะว่าเธอรู้สึกผิด อาหารมื้อเย็นจึงตัดสินใจทำเองเพื่อเป็นการไถ่บาป รอบนี้เธอทำอาหารที่ลูกน้อยทั้งสองเธอชอบและไม่ใส่วัตถุดิบที่พวกเขาไม่ชอบลงไปอีกด้วย

เข่อหลานนั่งดู《หนูน้อยจอมซ่า มารูโก๊ะจัง》อยู่ที่ห้องรับแขก ส่วนลั่วหลิงอยู่ในห้องนอนตนเองไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่เหมือนกัน ซินเหยาก็ไม่ได้ไปรบกวนลูกชายเธอ

"สวัสดีครับ อีกสองวันโรงเรียนพวกเราจะจัดกิจกรรมกีฬาสีประจำฤดูใบร่วง คุณจะมาหรือป่าว?"

ตอนที่ข้อความถูกส่งมา จิงเฉินกำลังดูข่าวรายงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของจังหวัดเซียงถานอยู่ แต่เมื่อเห็นกล่องข้อความบนจอคอมพิวเตอร์เด้งขึ้นมา ก็วางทุกอย่างบนมือลงทุกอย่าง

ฮือ? โรงเรียนยวี่ยิง? น่าสนใจขึ้นมานะ

"คุณเป็นครูจากโรงเรียนนั้นหรอครับ?" จิงเฉินถาม

"ไม่ใช่ ผมเป็นนักเรียนที่นี่"

"งั้นวันนั้นคุณก็จะเข้าร่วมกิจกรรมใช่ไหม?"

"ใช่"

"ผมไป แต่ว่าช่วงนี้ผมมีงานต้องไปต่างจังหวัดนิดหน่อย งานกีฬาสีคงต้องเลื่อนจัดไปอีกประมาณครึ่งเดือน" จิงเฉินตอบกลับอย่างเต็มอกเต็มใจ

เขาจำได้ว่าคณะกรรมการของโรงเรียนยวี่ยิงเคยเชิญเขาไปเข้าร่วม โรงเรียนนั้นจิงเฉินก็ถือหุ่นอยู่ประมาณร้อยละ45 เป็นกิจการที่ค่อนข้างแวววาวโอ่อ่ามากทีเดียว เพียงแต่ว่ากิจกรรมก่อนๆของโรงเรียนเขาไม่เคยออกงานเลย แต่ครั้งนี้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว

"ได้ งั้นผมจะรอคุณ" ลั่วหลิงรู้ว่าฐานะตำแหน่งของจิงเฉินคืออะไร เพราะงั้นเลยไม่คิดสงสัยอะไรที่เขาพูด

"คุณไม่ใช่บอกหรอว่าคุณเป็นลูกชายผม เรียกป๊ะป๋าสักคำดูซิ"

"ป๊ะป๋า"

จิงเฉิน : ……

ตอนแรกอยากจะแกล้งอีกฝั่งสักหน่อย แต่อีกฝั่งกลับไม่ได้ซับซ้อนตรงไปตรงมาแบบนี้ ติดกับง่ายๆ มันไม่ได้ฟีลของการแกล้งจริงๆ

"ใช่แล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยของเยี่ยหวงรัดกุมแน่นหนามาก เพราะงั้นสัญญาที่ให้ไว้กับคุณคงจะต้องลากยาวอีกสักพัก"

หึ……ระบบรักษาความปลอดภัยของเยี่ยหวงเป็นผลงานชิ้นเอกตอนจบหมาลัยของเขาเลยนะ หลายปีมาไม่เคยมีแฮกเกอร์คนไหนที่จะสามารถแฮกเข้ามาได้เลย เพราะงั้นมันเป็นความภาคภูมิใจของจิงเฉินอย่างเหลือล้น

ความจริงจิงเฉินอยากพูดอะไรต่ออีกนิด แต่อีกฝั่งตอบกลับมาว่า : "แม่ผมเรียกไปกินข้าวแล้ว ค่อยคุยกันครั้งหน้า"

จิงเฉิน : ……

ซินเหยาคีบขาไก่ให้ลูกน้อยทั้งสองของเธอคนละน่อง บนโต๊ะมีแต่อาหารที่เด็กทั้งสองชอบ มันไม่เหมือนกับโต๊ะเมื่อก่อนที่มีแต่กับข้าวเพียงสองอย่างที่พวกเขาไม่ชอบกิน

เข่อหลานกินอย่างเอร็ดอร่อยมีความสุข ปากเล็กๆของเธอเต็มไปด้วยความันเยิ้ม

ซินเหยาไม่ได้รู้สึกอยากอาหารขนาดนั้น แค่ข้าวเปล่าถ้วยเดียวก็ไม่ไหวอยู่แล้ว

"พวกหนูสองคนกินให้เยอะๆ เดี๋ยวหม่ามี๊มีเรื่องที่จะคุยกับพวกหนูหน่อย" ซินเหยาคิดตริตรองคำนี้ในสมองอยู่นานมากกว่าจะพูดออกมาว่า : "คือ อีกสองวันก็จะถึงวันกีฬาสีโรงเรียนของพวกหนูแล้วใช่ไหม"

ปากของเข่อหลานที่ยังมีข้าวอยู่เต็มพูดออกมาอย่างไม่ชัดว่า "ช่ายคาา อีกม่ายนานนก็จะ……"

ลั่วหลิงคีบเม็ดบัวให้เข่อหลานเอาเข้าปาก เข่อหลานถึงจะเงียบลงมาได้

"ขอโทษพวกหนูจริงๆนะ คือหม่ามี๊ต้องไปต่างจังหวัดทำงาน" ซินเหยาพูดอย่างรู้สึกผิด

ลั่วหลิงคีบเนื้อปลาให้ซินเหยาอย่างเข้าอกเข้าใจ และยังเอากระดูกปลาออกให้เธออย่างละเอียดใจ และคีบใส่ถ้วยของซินเหยา พร้อมขัดจังหวะที่ซินเหยาพูด : "อ๋อ เมื่อกี้คุณครูพึ่งแจ้งพวกเราว่างานกีฬาสีเลื่อนเวลาจัดออกไป"

ซินเหยา : ……

เธอไม่ได้ฝันไปอยู่ใช่ไหม เทวดาดลบันดาลเธอจริงๆ ถ้าเกิดเธอไปซื้อหวยครบชุดคงจะถูกชุดใหญ่ไปแล้ว

ในเมื่อเรื่องในใจได้ไขออกแล้ว เธอก็มีความอยากอาหารขึ้นมาทันที

เรื่องทุกอย่างไม่สามารถที่จะมาทำลายเวลาอาหารได้

ตอนกลางคืนก่อนที่เข่อหลานและลั่วหลิงจะเข้านอน ซินเหยาก็ได้นำนมอุ่นไปให้ลูกทั้งสองเธอดื่มก่อนเข้านอน

ใบหน้าอันสะสวยของเข่อหลานตอนนี้ไปไม่ถูกจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้หม่ามี๊ของตัวเองถึงได้ดีแปลกๆขนาดนี้ เธอคิดว่าเธอกำลังดื่มยาพิษอยู่หรือป่าว

สีหน้าของลั่วหลิงก็หนักอึ้งเหมือนกัน เพราะเขาก็ไม่ชอบรสชาติของนม

"ดื่มสิคะ ถ้าไม่ดื่มงั้นลูกจะเป็นเด็กแคระไปตลอดนะ" ซินเหยาพูดและดูพวกเขากลืนนมในแก้วลงไปหมดก่อนถึงจะวางใจ

เข่อหลานดื่มไปได้ครึ่งแก้วน้ำตาก็ไหลรินลง มันน่าสงสารจริงๆ

"แอ๊บให้น่าสงสารก็ไม่มีประโยชน์ ดื่มลงไป" ซินเหยาพูดอย่างดุ

ทำไมกิริยาท่าทางของหม่ามี๊มันไม่เหมือนกับตอนกินข้าวเมื้อกี้เลย เอาความอบอุ่นที่ไม่บังคับกินของที่ไม่ชอบเมื่อกี้กลับคืนมาเดี๋ยวนี้นะ

เข่อหลานเห็นว่าแผนแอ๊บแบ๊วอ้อนใสของเธอไม่ได้ผล จึงทำได้แค่ปิดจมูกและดื่มมันลงไป

ส่วนของลั่วหลิงต่างออกไป เมื่อดื่มนมหมดแก้วก็ปิดปากไว้ไม่พูดท่าทางไม่เต็มใจ

ถ้าเกิดรู้ว่าหม่ามี๊จะเป็นแบบนี้ เขาไม่น่าบอกหม่ามี๊เลยว่างานกีฬาสีเลื่อนออกไป

เมื่อเห็นลูกทั้งสองดื่มนมหมดแก้วอย่างเชื่อฟัง ซินเหยาก็ยิ้มออกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ และจูบไปที่ใบหน้าอันอ่อนนุ่มของทั้งสอง และบอกให้เข้านอน

"ฮัลโล ฉีฉีนางฟ้าผู้เลอโฉมตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่คะ เธอไม่ได้ติดต่อกลับมานานแล้วนะ" ซินเหยาโทรหาฉีฉี

เหยียนฉีลำบากลำบนทุลักทุเลในการออกมาจากวงเหล้า ท่าทางดูเย็นชา และเห็นตัวหนังสือที่วิ่งอยู่บนมือถือคือชื่อของซินเหยา รับสายนั้นและพูดว่า : "มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา ฉันยุ่งมากตอนนี้"

เมื่อได้ยินเสียงที่เย็นชาแทบจะเป็นน้ำเเข็งของเหยียนฉีแล้ว จึงรู้ว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยจอยนัก จึงได้พูดว่า : "คือฉันมีงานต้องไปต่างจังหวัดนิดหน่อย เพราะงั้นอยากให้เธอหาป้าแม่บ้านสักคนให้ฉันหน่อยเพื่อจะมาดูแลลูกน้อยของฉันสักระยะตอนฉันไม่อยู่"

ซินเหยาคนนี้หน่ะ ตั้งแต่เด็กแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยจะซับซ้อนอะไรมาก

คนอื่นที่ไม่มีป๊ะป๋าต่างก็ปกปิดไม่ให้ใครรู้ แต่เธอกลับตรงกันข้าม ไม่เคยปฏิเสธมาก่อน

เพราะงั้นตอนเช้าที่ปฏิเสธจิงเฉินไปอย่างมั่นใจว่าจะไม่ไปลำบากกับเขาอย่างโน้นอย่างนี้ พอตกเย็นมาปุ๊ปก็ต้องร้องขอเขาให้พาไปด้วย ถึงขั้นสามารถลงไปคุกเข่าขอร้องได้ถึงขั้นนั้น

ตอนเช้าวันนี้เธอไม่ได้พกกล่องข้าวมา ตอนเที่ยงจึงไปกินที่โรงอาหารแทน

สุดท้ายไปเจอจิงซิงที่โรงอาหารของบริษัท แต่เขาก็ยิ้มให้เธอโดยปราศจากความเลวร้ายที่ซ้อนอยู่

ซินเหยารู้สึกตกใจขนลุกเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดว่าจิงซิงร้ายกับเธอเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะก็เธอจะไม่รู้สึกกลัวเหมือนตอนนี้เลย แต่เธอไม่ได้เป็นพนักงานของCK จิงซิงก็ทำอะไรเธอไม่ได้

ให้เธอเชื่อว่าจิงซิงไม่ได้โกรธแค้นพวกเธอสองคนแล้ว ให้เธอเชื่อว่าตนเองมีเงินมากกว่าพันล้านยังจะน่าเชื่อกว่าเสียอีก

เห้อ

ถ้าเกิดว่าเงินทั้งหมดของเธอเกินพันล้านจริงล่ะก็ คงน่าจะหาคนรู้ใจของตัวเองได้แล้ว เบื่อเมื่อไหร่ก็โยนทิ้ง

เมื่อเห็นรอยยิ้มของจิงซิงที่ส่งมาให้เธอ มันสัมผัสได้ถึงความเลวร้ายที่ส่งออกมาจากป่าใหญ่อันมืดมิดจริงๆ

มันต้องซุกซ่อนความเลวร้ายภายใต้หน้ากากรอยยิ้มนี้เป็นแน่ เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องที่จิงซิงขังเธอไว้ในลิฟต์คราวก่อนที่เกือบตาย

คิดเล่นๆนะ ถ้าเกิดจิงเฉินจากไปแล้ว จิงซิงคงจะเล่นงานกะเอาให้เธอตายเป็นแน่

ให้เธออยู่บริษัทคอยรับใช้จิงซิงหรอ ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่มีวันยอมทำแน่

"ท่านประธานเยี่ยคะ ฉันยอมเป็นทุกอย่างให้คุณค่ะ ไม่ว่าจะเป็นม้าที่ตามคุณอยู่ข้างหลังเพื่อช่วยคุณสร้างอาณาจักรของตัวเองฉันก็ยอม ขอร้องคุณล่ะค่ะช่วยพาฉันไปด้วยที" สายตาของซินเหยาที่มีเหมือนน้ำกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายในได้พูดขอร้องจิงเฉินขึ้น เหมือนจะกอดเข่าขอร้องเขาแล้วยังไงยังงั้น

จิงเฉินเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มมองไปที่ซินเหยาและพูดว่า : "ผมบอกคุณไปแล้ว แต่คุณกลับปฏิเสธผม ผมไม่มีทางให้คุณไปด้วยง่ายๆแน่ อีกอย่าง คุณปฏิเสธผมถึงสองรอบ คุณคิดหรอว่าแค่คำพูดพวกนี้ของคุณจะสามารถทำให้ผมเปลี่ยนความคิดได้"

มันก็แค่ไม่พาเธอไปง่ายๆ ไม่ใช่ไม่พาเธอไปสักหน่อย

"ท่านประธานเยี่ยเป็นคนที่มีจิตใตเมตตากรุณามุฑิตาอุเบกขามาก แถมยังมีใบหน้าอันหล่อเหลาดุจฟ้าประทานให้ ความสามารถก็เป็นเลิศไม่เป็นสองรองใครอื่น คนอย่างคุณแบบนี้คงจะไม่สามารถปฏิเสธผู้หญิงตาดำๆที่รักและเคารพในตัวคุณได้ลงคอใช่ไหมคะ?" ซินเหยาพูดยอจิงเฉินแบบตรงไปตรงมา

เพื่อที่จะสามารถหลบหนีจากความชั่วร้ายของจิงซิงได้ มันมีแค่วิธีนี้วิธีเดียวจริงๆ

"ไม่ใช่" จิงเฉินพูดแบบเบาๆ

ซินเหยา : ……

ป๊ะป๋าคุณใจดำแบบนี้ลั่วหลิงและเข่อหลานไม่รู้เลยนะ

"แต่ว่า……" โทนเสียงคำพูดของซวี่เจ๋อเปลี่ยนไปและพูดต่อว่า : "ถ้าเกิดคุณคิดว่าคุณจะมีประโยชน์กับผม ผมจะพิจาราณาเป็นพิเศษให้"

แม่เจ้า ป๊ะป๋านี่คุณจะให้เธอยอคุณอย่างนั้นหรอ ใช้เงินส่ังให้เธอทำอย่างที่ตนเองหวังอย่างนั้นหรอ?

ประเทศของเรามีวัฒนธรรมอันดีงาม คุณเป็นท่านประธานที่ประสบความสำเร็จและเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก (ตอนนี้ไม่ใช่โดนลากลงมาแล้วหรอ) ความคิดแบบโจ่งแจ้งที่จะใช้เงินสั่งให้เธอทำสิ่งที่ตนอยากได้ยังมีอยู่อีกหรอ ไม่กลัวติดตารางหรืออย่างไรกัน เวลาคุณพูด พูดให้มันมีวรรณศิลป์น่าฟังหน่อยได้หรือป่าว?

พูดมาเยอะขนาดนี้แล้ว เธอก็แค่อยากแสดงความไม่พอใจที่จิงเฉินตรงไปตรงมาเกินไป

ถ้าเกิดว่าคำพูดของป๊ะป๋ามีวรรณศิลป์มากกว่านี้ เธอสามารถที่จะแอ๊บทำเป็นฟังไม่เข้าใจได้

คุณโจ้งแจ้งตรงไปตรงมาขนาดนี้ จะให้เธอปฏิเสธได้ยังไง

"ท่านประธานเยี่ยคะ คุณอยากได้อะไรก็พูดมาตรงๆลยค่ะ" ซินเหยาพูดแบบหมดคำจะพูด

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองไปที่ซินเหยาด้วยสายตาที่ลึกลับ

ฮัลโลลล……ป๊ะป๋า สายตาแบบนี้มันหมายความว่าอะไร อย่าใช้สายตาที่เอาแต่ใจ (ใจแคบ) มามองเธอเลยโอเครป๊ะ?

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนที่ไม่ซับซ้อนอะไรมาก แต่ท่าทางจริงใจเหล่านั้นมันก็โดนทิ้งหายเข้าไปในตัวคุณเมื่อหกปีก่อนแล้วไงหล่ะ แต่เธอก็ยังรักในศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่ เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างหนักแน่น ไม่มีวันยอมแพ้ในอำนาจกิเลสของป๊ะป๋าอย่างแน่นอน

ถ้าเกิดว่าป๊ะป๋าอยากให้เธอจูบสักฟอด นอนด้วยกันสักคืนอะไรทำนองนี้เธอไม่มีวันทำแน่นอน

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าลูกตาเธอใหญ่เกิน มันเหมือนจะทะลักออกมา ทำให้จิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ

เธอแยกไม่ออกว่าหัวเราะนั้นมันใช่หัวเราะที่เยาะเย้ยหรือป่าว

"ฝันไปเถอะ" จิงเฉินพูดออกมาอย่างเย็นชา ไร้ความรู้สึกและไร้ซึ่งเหตุผล

QAQ เธอไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดเลยนะ จริงๆนะ

เธอไม่ได้คิดเลยว่าะถ้าป๊ะป๋าให้เธอจูบหรือหลับนอนด้วยกันแล้วเธอจะปฏิเสธอะไรทำนองนี้เลย

"คือว่า……ท่านประธานจะให้ฉันทำอะไรคะ?" ซินเหยาพูดออกมาอย่างหูแดงเล็กน้อย

"อ๋อ คุณรู้ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ผมไม่ใช่ประธานของเยี่ยหวงอีกแล้ว ไม่ต่างอะไรกับล้มละลาย ถ้าเกิดคุณให้เงินผมสักหมื่น ผมก็จะพาคุณไปด้วย" จิงเฉินพูดหยอกเธอ

เขาไม่มีทางจะล้มละลายแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีเยี่ยหวงแล้ว แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาที่เขาได้ก่อร่างบริษัทขึ้นมามันก็ทำให้เงินที่เขามีอยู่คงไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านแน่นอน ให้ซินเหยาใช้สิบชาติก็ยังใช้ไม่หมด

แม่เจ้า ดูทรงแล้วป๊ะป๋าคงจะล้มละลายจริงสินะ

แค่หมื่นเดียวก็ได้แล้วหรอ? ท่านประธานเยี่ยจนถึงขั้นนี้แล้วหรอ? ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้

ป๊ะป๋าคุณมาขอเงินจากคนจนๆอย่างเธอคุณตาบอดแล้วหรือไง เธอจะเอาเงินหมื่นหนึ่งมาจากไหนกัน

เห็นซินเหยานิ่งเงียบไป จึงได้ถามเธอว่า : "ไม่มีใช่ไหม?"

ซินเหยาคิดกับตัวเองว่าควรตอบว่ามีหรือไม่มีดี?

"เปลี่ยนเป็นตัวเลือกอื่นได้ไหม ฉันไม่มีเงิน" ซินเหยามองไปที่จิงเฉินอย่างน่าสงสาร ให้เธอเอาเงินออกมาก็เหมือนกับเอาชีวิตเธอออกมายังไงยังงั้น

ที่จริง ฉันสามารถที่จะให้กอดกับจิงเฉิน หรือจูบกับเขายังได้ จริงนะ

"ในเมื่อคุณรู้สึกว่ามันไม่เหมาะก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ" สีหน้าที่ไม่บังคับของจิงเฉินพูดขึ้น

ป๊ะป๋า สีหน้าของคุณตอนนี้มันช่างเลวจริงๆ เธออยากจะฟาดด้วยฝ่ามืออรหันต์ของเธอไปบนใบหน้าของคุณจริงๆ

"ฉันไม่มีเงินจริงๆ งั้นเอางี้เราเขียนใบหนี้ไว้ก่อน ค่อยหักออกจากเงินเดือนฉันทีหลัง" ผู้หญิงอย่างเธอที่มีทั้งIQและEQที่ป็นเลิศต้องสามารถที่จะรู้จักสถานการณ์ละเลิกรับปล่อยทุกอย่างได้ ถึงจะสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายอย่างประสบความสำเร็จ

ถึงยังไงเงินก็ยังไม่มาถึงมือของเธอ ให้แล้วก็ให้สิ ไม่ได้รู้สึกเจ็บใจอะไรมากมาย

แม่เจ้า คำพูดเมื่อกี้ก็แค่กำลังปลอบใจตัวเองอยู่ ความจริงเธอเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องพลัดพรากจากเงินเหล่านั้นไป งือ

ให้หักออกจากเงินเดือนเธอภายหลัง ถึงจะบอกว่าเงินยังไม่เข้าในบัญชีของเธอ แต่นั่นมันก็เป็นเงินของเธอนะ

"ต้องมีกำไรนะ" จิงเฉินพูดแบบได้คืบจะเอาศอก

ซินเหยารู้สึกพูดได้แค่หึหึ หน้าหนาแบบคุณคนที่บ้านคุณรู้กันหรือป่าว

หรือว่าถ้าเกิดรอถึงวันที่เงินเดือนออก ท่านประธานก็น่าจะจำเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว?

"อย่ากังวลไปเลย ของที่ผมเอาให้เด็กๆเป็นแค่ของเล่นเล็กๆเท่านั้น มันไม่ได้แพงอะไรเลย" ซวี่เจ๋อพูดอธิบาย

แต่ว่าถ้าพิจารณาจากน้ำเสียงที่ผสมไปด้วยความเศร้าหม่นเล็กน้อยก็สามารถรู้ได้ว่าเขากลัวว่าซินเหยาจะปฏิเสธของขวัญที่ตนเอาให้ลูกน้อยของเธอ

รอบนี้ซินเหยาไม่ได้ปฏิเสธ ถ้ารอบนี้เกิดปฏิเสธอีกครั้งคงจะทำให้คนอื่นมองเธอว่าหยิ่งยโสกระมัง

ผู้อาวุโสกว่าให้ของขวัญตอนพบกันครั้งแรกมันก็ไม่แปลกอะไร อีกอย่างของพวกนี้ให้ลั่วหลิงและเข่อหลาน เธอไม่เคยที่จะไปก้าวก่าย แค่ต้องดูว่าของขวัญพวกนั้นมันโอเวอร์เกินไปหรือป่าว ถ้าไม่ เธอก็คงรับไว้ได้

"ได้ งั้นขอบคุณแทนลั่วหลิงและเข่อหลานด้วยล่ะกันนะคะ"

คิ้วของซวี่เจ๋อโก่งดั่งคันศรและยิ้มออกมาอย่างเปรมปรีดิ์พร้อมพูดขึ้นว่า : "ลั่วหลิงฉลาดและสุขุม เข่อหลานน่ารักและร่าเริง ผมชอบเด็กทั้งสองนี้มาก"

ยอมแพ้ซะเถอะ ถึงแม้ว่าคุณจะชอบลูกเธอขนาดไหน เธอก็ไม่มีวันให้คุณมาเป็นพ่อพวกเขาเป็นของตอบแทนหรอก

"นี่ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว คุณขึ้นบ้านไปพักผ่อนเถอะ" ซวี่เจ๋อพูดอย่างใส่ใจ "ผมยืนอยู่ตรงนี้มองคุณเดินขึ้นไปเอง"

ซินเหยาหดหัวสั่นๆขึ้นลงไปมา เธอรู้สึกหนาวมาสักพักแล้ว และพยักหัวรับ จากนั้นจึงจับของขวัญของลั่วหลิงและเข่อหลานไว้พร้อมเดินจากไป

เดินไปไม่ได้กี่ก้าว ขาเธอก็หยุดชะงักและเดินกลับมาใหม่ เธอเดินไปหาซวี่เจ๋อ ตอนนี้ระห่างเธอกับเขาประมาณสามก้าวเพียงเท่านั้น และเอ่ยปากถามว่า : "เออ……ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนจูเหยียนเคยจีบนาย ทำไมนายถึง……"

หึหึ คำพูดบางคำต้องไม่พูดอ้อมค้อม แบบนี้ทุกคนถึงจะเข้าใจได้ง่าย

"เพราะผมไม่ได้ชอบสไตล์นั้น" ซวี่เจ๋อตอบกลับอย่างเบาๆ

ซินเหยาแค่เพียงรู้สึกอยากหึหึเอามาสองคำ

เป็นเพราะเรื่องเพศหรอถึงไม่ชอบ?

ผู้หญิงอย่างจูเหยียนแบบนั้นที่ใครๆต่างก็อิจฉาในความสวย ผู้หญิงที่ยืนอยู่บนชั้นเมฆแบบนั้นคุณยังไม่สนใจอีกหรอ?

หึหึ อย่ามาแอ๊บหน่อยเลย ทุกคนรู้หมดแล้วว่าคุณชอบผู้ชาย

ถ้าเกิดว่าคุณไม่ได้ชอบผู้ชาย สามารถไปตัดหัวฉีฉีมาทำเก้าอี้ได้เลย

……

เวลาที่สุดแสนจะมีความสุขมันช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก หยุดยาวสามวันเหมือนได้หายไปในพริบตา

มันหายไปในพริบตา

ความรู้สึกตอนไปทำงานมันหนักเสียยิ่งกว่าตอนไปไหว้บรรพบุรุษเสียอีก

อาทิตย์หนึ่งเธอต้องไปไหว้บรรพบุรุษถึงห้าวัน ญาติเธอนี่มันช่างเยอะเสียจริงๆ

เช้านี้ต้องตื่นไปไหว้บรรพบุรุษ ไม่ใช่สิ ต้องตื่นไป……ทำงาน……

เมื่อถึงบริษัทก็เห็นหน้าของจิงซิงที่เหมือนกระดี่ได้น้ำนั่งอยู่ เธอรู้สึกสะเอียนจริงๆ แม่เจ้า เห็นหน้าเขาทีไรมันทำให้เธออยากอ้วกตลอด

ต่อจากนี้ไปสามารถที่จะทำงานในเยี่ยหวงอย่างมีความสุขได้อีกหรือป่าว?

เป็นเพราะเห็นจิงซิง เพราะงั้นถึงรู้สึกว่าถึงแม้จะเห็นหน้าอันเย็นชาของจิงเฉินใบนั้นมันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าจิงเฉินหล่อเอามากเวอร์ สามวันสามคืนไม่ได้เห็นหน้าจิงเฉิน มันหล่อมากเสียทำให้เธออยากสลบไปนอนกับพื้นจริงๆ

ทันใดนั้นจิงเฉินก็เรียกซินเหยาเข้าไปในห้องทำงานของเขาอย่างทันที และพูดขึ้นว่า : "สองวันให้หลังนี้ผมจะไปสำรวจโปรเจคในที่แสนไกลแห่งหนึ่ง คุณจะไปกับผมหรือป่าว"

ซินเหยานิ่งคิดไปสักพัก พรางมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของป๊ะป่า และจึงตัดสินใจว่า……ไม่ไป!

ไปสำรวจโปรเจคในที่แสนไกล แน่ใจนะว่าไม่ได้ถูกไอ้แก่……เอ้ยไม่ใช่……ท่านประธานใหญ่ไล่ออกไป

เพราะงั้นสรุปได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะสามารถที่จะทนต่อความยากลำบากได้เท่าใดนัก ถ้าเธอตัดสินใจไปกับป๊ะป๋าเธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

"เออ……ขอบคุณเมตตาของท่านประธานเยี่ยมากๆนะคะ แต่ว่าฉันยังเป็นคนของCKอยู่ ถ้าเกิดออกไปจากเมืองBคงจะไม่ดีนัก" ซินเหยาหาเหตุผลมาพูดบังหน้า

เธอไม่มีวันบอกคนอื่นหรอกว่าสาเหตุที่เธอไม่ไปเป็นเพราะเธอไม่อยากไปลำบากกับป๊ะป๋านะสิ

"ผมก็แค่ถามๆไปงั้น ถ้าคุณไม่สมัครใจ ผมก็ไม่ฝืนใจคุณ " จิงเฉินพยักหัว ท่าทางเหมือนไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่

ถามไปงั้นๆ……

เธออุตส่าห์หาข้ออ้างร้อยแปดพันเก้ามาปฏิเสธจิงเฉิน ถึงขั้นที่พร้อมจะแตกหักกับจิงเฉินก็ไม่ยอมไปกับเขา สุดท้ายเป็นไงล่ะ จิงเฉินปล่อยเธอไปง่ายๆแบนี้เลยหรอ

ป๊ะป๋าคุณเป็นอะไรไป? นิสัยเอาแต่ใจของคุณมันหายไปไหนหมด คุณปล่อยเธอไปง่ายๆแบบนี้มันใช่คุณจริงๆหรอ?

แต่ว่าไม่ได้ทำให้ป๊ะป๋าโกรธก็ดี บรรพบุรุษเธอกำลังปกป้องเธออยู่หรอเนี่ย?

"ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ" ใบหน้าของซินเหยาที่ดูโล่งอกขึ้นมามากพูดขึ้น

"อื่ม" จิงเฉินพยักหัวรับ

ซินเหยาพึ่งที่หันหลังพร้อมเดินกลับ จิงเฉินก็พูดขึ้นมาว่า "ใช่แล้ว……"

หึหึ ป๊ะป่าที่เป็นปีศาจร้ายแบบนี้คงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆจริงๆสินะ

ป๊ะป๋ายังคงจะเอาแต่ใจเหมือนเดินสินะ

"ไปซื้อกาแฟให้ผมหน่อยสิ" จิงเฉินพูดออกมาอย่างเบาๆ

แค่นี้หรอ? ขอโทษด้วยนะป๊ะป๋าที่เธอเข้าใจผิดป๊ะป๋าอย่างมหันต์อีกแล้ว

เสียงรองเท้าของเธอค่อยๆที่จะก้าวออกจากห้องทำงานของจิงเฉิน และเดินไปซื้อกาแฟร้านที่อยู่ข้างๆบริษัทที่เป็นร้านโปรดของจิงเฉิน

จิงเฉินจับไว้แก้วกาแฟ โลโก้ของร้านนั้นได้หันมาอยู่ตรงข้ามกับใบหน้าของเขา สายตาของเขาจ้องมองไปที่โลโก้นั้น ใบหน้าที่ดูสุขุมเย็นชาก็ถูกกลิ่นอายความร้อนของกาแฟผสมทับไปด้วย

สายตาของซินเหยามันเหมือนจะเจริญเติบโตอยู่บนใบหน้าของจิงเฉินแล้ว

ป๊ะป๋าหล่อแบบหล่อมาก หล่าแบบวัวตายความล้ม ใบหน้านั้นมันทำให้คนเกลียดไม่ลงจริงๆ

หล่อขนาดนี้ คงจะโดนเอาใจมาไม่น้อย

"รอบนี้ไม่ไปกับผมจริงหรอ?" จิงเฉินถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

ซินเหยาถูกคำพูดที่ออกมาจากเสียงอันมีเสน่ห์ของจิงเฉินทำให้นิ่งเหม่อไปพักใหญ่ และได้ตั้งสติขึ้นส่ายหน้าอีกครั้ง : "ฉันไม่ไปจริงๆค่ะ ถึงแม้ฉันจะมาแทนที่ของหลี่เวย แต่ฉันก็ยังเป็นหัวหน้าออกแบบของCKอยู่ ฉันไปไม่ได้จริงๆค่ะ ถ้าเกิดละทิ้งตำแหน่งนี้ ฉันยอมที่จะตามคุณไปทุกที่ค่ะ"

เธอเป็นถึงขั้นนักออกแบบเครื่องประดับที่ได้รางวัลมาแล้วนะ แต่ยังจะต้องมียกยอเพื่อให้ตนเองได้รับความสงบสบายในการใช้ชีวิตแบบนี้อีกอยู่หรอ?

ตอนแรกเป็นใครหล่ะที่บอกว่าอาชีพออกแบบเครื่องประดับนี้ดูดีสง่า คงจะนำเทรดน์น่าดู อีกหน่อยจะสามารถได้เงินเดือนที่สูงขึ้น และได้แต่งกับคนรวยๆ เป็นใครกันนะที่บอก

มันเหมือนเป็นฟีลแบบเลิกรียนแล้วแต่ยังไม่ไปไหน มาคุยเรื่องชีวิตกันก่อนยังไงยังงั้น

อาชีพออกแบบเครื่องประดับนี้ยังต้องดูหน้าตาเพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไปสินะ เพราะงั้นเธอยังจะต้องยกยอคนอื่นอยู่เรื่อยๆ มันแย่กว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

จิงเฉินเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มและมองไปที่ซินเหยาพร้อมพูดว่า : "ได้ ในเมื่อคุณไม่อยากไปผมก็ไม่อยากจะฝืนใจคุณ ถ้าคุณเกิดเปลี่ยนใจทีหลัง ผมคงไม่ยอมพาคุณไปด้วยง่ายๆล่ะนะ"

ลาก่อนค่ะ ไม่ไปก็คือไม่ไป

แต่ทว่ามุมปากที่คุณยิ้มขึ้นมามันหมายความว่าอะไรกัน ดูถูกเธออย่างนั้นหรอ? ถึงแม้จะดูแล้วรู้สึกหล่อรู้สึกเจริญตา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกฟินขนาดนั้น

ถึงแม้ว่าเธออยู่ในสถานการณ์ที่จะตายแล้ว ก็ไม่มีวันที่จะเอ่ยปากขอร้องคนอย่างป๊ะป๋าหรอก

ในตอนเย็น ซินเหยาพึ่งมารู้ว่าตัวเองคิดผิดหมด คิดผิดแบบมหันต์……

"ท่านประธานเยี่ยคะ ขอร้องล่ะค่ะ พาฉันไปด้วยที"

มืออาหารนี้ซินเหยารู้สึกสะอิดสะเอียนแทบจะขาดใจตาย หนุ่มน้อยลั่วหลิงผู้ที่ไม่สามารถที่จะทนดูหม่ามี๊ของตัวเองเจ็บปวดต่อไปได้ก็ได้ช่วยเธอออกมาจากอาหารที่มีพิษทำลายล้างสูงนั่น

พูดกันว่าคนที่เกิดเป็นลูกสาวต่างเป็นหัวแก้วหัวแหวนของคนเป็นแม่ แต่เมื่อมาถึงซินเหยากลับเป็นลูกชายที่เป็นหัวแก้วหัวแหวนแทน

สำหรับลูกสาวเธอแล้วนั้น……หึหึ ทำได้แค่อ้อนทำตาแบ๊วไปวันๆ

เมื่อซวี่เจ๋อขับรถมาถึงเขตบ้านของเธอแล้ว ซินเหยาได้กระซิบข้างหูของเข่อหลานให้พาน้องสาวกลับขึ้นไปก่อน เธอยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับซวี่เจ๋อ ถึงแม้วันนี้ซวี่เจ๋อไม่มาหาเธอเอง เธอก็จะเป็นคนที่ไปหาเขาเองอยู่ดี

เมื่อซวี่เจ๋อเห็นซินเหยาหยุดรอคนเดียวเพื่อที่จะมาพูดกับตนแล้ว ใจของซวี่เจ๋อก็เต้นไม่หยุดจริงๆ อีกอย่างมันยังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกนี้เขาไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน มันทำให้เขาใจหวิวๆแปลกๆ

"ซวี่เจ๋อ วันนี้ขอบคุณนายมากนะ" เสียงของซินเหยาพูดขึ้นแต่เสียงนี้มันกำลังสื่อถึงว่าเธอกำลังรักษาระยะห่างของเธอกับเขาไว้อยู่

"พูดคำว่า 'ขอบคุณ' คำนี้กับผมตลอด" และพูดต่อว่า "ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้กันหรอก"

หึ……เขาเชื่อหรอว่าตัวเองจะเชื่อคำพูดเหล่านี้ได้?

สำหรับผู้หญิงที่EQเป็นเลิศอย่างเธอ ถึงแม้ว่าจะสนิทกับใครขนาดไหน เธอก็ยังรักษาระยะห่างและยังเคารพเหมือนเดิม

ถึงแม้ว่าซวี่เจ๋อจะดีกับเธอมาก แต่เธอคงไม่พลั้งพลาดการกระทำของตนเองในการทำลายฟัดเหวี่ยงความรู้สึกของซวี่เจ๋อหรอกกระมัง

การกระทำของลั่วหลิงเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อได้ยินซินเหยาบอกให้นำกล่องของขวัญสีแดงกล่องนั้นมาเขาก็สามารถเอาลงมาให้ได้อย่างรวดเร็ว และซินเหยาก็บอกให้ลั่วหลิงกลับขึ้นไป เธอไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุจากความรู้สึกส่วนตัวของตนเองจนต้องลากลูกของเธอเข้ามาเกี่ยวพันด้วย อีกอย่างก็ไม่อยากสะสางความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงนี้ต่อหน้าลูกๆของเธอ

"ซวี่เจ๋อ ของขวัญชิ้นนี้ที่นายให้มามันแพงเกินไป ฉันรับเอาไว้ไม่ได้" ซินเหยายื่นกล่องขอขวัญคืนซวี่เจ๋อและพูดอย่างจริงจัง

สายตาของซวี่เจ๋อคล้อยต่ำลง รอยยิ้มที่ตอนนี้กำลังอมความทุกข์ไว้อย่างไม่อาจเปิดเผย และพูดตอบด้วยน้ำเสียงที่เศร้าใจหดหู่ว่า : "ของขวัญชิ้นนี้ผมใช้เวลาหามานานมากกว่าครึ่งเดือนเต็ม ตอนนั้นผมมืดมัวมากไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญอะไรแก่คุณดี ผมแค่อยากจะหาของขวัญชิ้นหนึ่งที่เหมาะกับคุณ ตอนที่ผมกำลังจะถอดใจในการหานั้น ผมก็ได้เจอกับชุดนี้เข้า ความรู้สึกตอนนั้นคือผมตกลงกับตัวเองอย่างหนักแน่นและแน่วแน่มากว่าผมจะต้องนำมันมาให้คุณเป็นของขวัญให้จงได้ ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรก ผมมีความหนักแน่นและแน่วแน่แบบนี้เหมือนกันที่จะใช้เวลาทั้งชีวิตของผมในการที่จะดูแลคุณให้มีความสุขมากที่สุด ความจริงตอนนี้ชุดนี้มันไม่ขายหรอก แต่ผมใช้ทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้มันมา ผมก็แค่อยากจะมอบสิ่งที่ดีให้กับคุณ"

เห้อ…..ความโรแมนติกของซวี่เจ๋อนี้มันเกินต้านจริๆ

คำพูดแค่ประโยคเดียวมันก็ทำให้เข่าทรุดได้จริงๆ

"ถึงแม้มันจะเหมาะกับฉันมากเพียงใด แต่มันก็แพงเกินไปสำหรับคนอย่างฉัน" ถ้าเกิดครั้งนี้เธอรับชุดนี้ไว้ ครั้งหน้าคงไม่มีทางปฏิเสธซวี่เจ๋อได้ง่ายๆแน่

"ชุดนี้มันเหมาะกับคุณเพียงแค่คนเดียว ถ้าเกิดคุณไม่รับไว้ ก็โยนมันทิ้งได้เลย" ซวี่เจ๋อพูดอย่างหนักแน่นและไม่ได้ยื่นมือไปรับกล่องของขวัญคืนมา

แม่เจ้า นี้มันเป็นการคุกคามกันชัดๆ

"ขอโทษจริงๆค่ะ" ซินเหยาพูดพรางหัวเราะกลบเกลื่อน

เธอหัวเราะจริงๆหรอ? มันไม่ควรจะหัวเราะออกมาไหม?

ชุดนี้ถึงแม้จะแพง แต่ก็ไม่ใช่ใช้เงินเธอซื้อมานินา ถึงแม้โยนทิ้งแล้วจะรู้สึกเสียดายหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บใจอะไร เธอหนักแน่นในการที่จะไม่รับของขวัญชิ้นนี้ คิดว่าถ้าไม่รับก็จะติดหนี้ซวี่เจ๋อน้อยลง

เธอพูดตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างใจแข็งหนักแน่น ไม่ใช่เป็นพวกไก่กาอาราเร่เล่นขายของเหมือนเด็กป.3

"นายเอามันไปทิ้งให้หน่อย" ซินเหยาพูดปฏิเสธอย่างใจหินทำลายความรู้สึกที่ซวี่เจ๋อมีให้เธออย่างราบคาบ

ความจริงที่เขาอุตส่าห์แบกของขวัญที่ไม่รู้ว่าเสียเหงื่อไปกี่หยดกลับมาจากต่างประเทศให้ สุดท้ายเธอไม่รับเอา มันก็ทำให้เขาปวดใจมากๆอยู่หรอก

แต่ถ้าหากเธอรับของขวัญชิ้นนี้ไปแล้ว เธอก็คงจะไม่ต่างจากนางเอกแอ๊บแบ๊วใสซื่อละครหลังข่าว อีกอย่างนี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่ในละครน้ำเน่า ยังไงเธอก็ไม่สามารถรับมันไว้ได้อยู่ดี

เธอรู้ดีว่าสิ่งที่ซวี่เจ๋อต้องการมันคืออะไร ถึงแม้จะไม่มีค่าเป็นเงิน แต่เธอก็ไม่สามารถให้มันได้อยู่ดี

ซวี่เจ๋อเหงยหน้าขึ้น มองไปที่ใบหน้าอันสะสวยของซินเหยาด้วยสายตาที่เศร้าหม่นและพูดขึ้นว่า : "ผมคิดว่าถ้าผมหนักแน่นไม่ละเลิก คุณจะยอมอ่อนให้ผม"

ซินเหยา : หึหึ……

ใครบอกคุณว่าวิธีนี้มันจะใช้ได้ผลกับเธอ

บอกให้เอาบุญนะ วิธีนี้โยนทิ้งคูคลองไปได้เลย

"ชุดนี้ตอนนี้เก็บรักษาไว้ที่คุณก่อน มันไม่นับว่าเป็นของขวัญของคุณ รอถึงวันที่โปรเจคออกแบบเครื่องประดับของเยี่ยหวงเสร็จสิ้นก็นับว่าเป็นรางวัลตอบแทนให้คุณ ถึงเวลานั้นมันจะคิดเป็นงบของบริษัทเอง" ซวี่เจ๋อพูดหาวิธีจนได้

เพราะงั้นสุดท้ายเจ้าของชุดนี้ ก็คือเธอ?

ถึงแม้ว่าจะเป็นเธอที่เป็นคนรับชุดนี้ไว้ แต่ว่าชื่อเสียงไม่เหมือน ความหมายมันก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน

ชุดนี้ชนะเลิศที่งานออกแบบชุดเสื้อผ้า เพราะงั้นมันไม่มีทางจะดูไม่ดี

คนที่เกิดเป็นหญิงก็ชอบเสื้อผ้ากันทั้งนั้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่สวยสะดุดตายิ่งไม่สามารถที่จะปล่อยผ่านไปได้ ถึงแม้ว่าเธอบางครั้งจะมีนิสัยเหมือนผู้ชายไปบ้าง แต่ใครจะไปรู้ว่าภายในได้ซ่อนความเป็นผู้หญิงที่อยู่ในสายเลือดไม่รู้เท่าไหร่

งบบริษัท งั้นก็ไม่เกี่ยวกับซวี่เจ๋อล่ะนะ

อย่าให้ได้เม้าท์นะ แค่บริษัทบอกว่าให้เสื้อผ้าราคาเจ็ดหลักกับเธอเธอยังเอา แล้วนับภาษาอะไรกับถ้าบริษัทบอกว่าจะให้เธอเป็นเงินพันล้านแล้วเธอจะไม่เอา เธอสามารถเอาได้อย่างสบายใจไม่คิดอะไรด้วยแหละขอบอก

"ฮืมมม…… งั้นชุดนี้รองานCESAที่ฉันทำอยู่เสร็จก่อนค่อยเอามาให้" ซินเหยาพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวลและพรางยิ้มเบาๆ

"คุณนี่มันไม่สามารถที่จะรู้สึกตนเองเป็นผู้เสียเปรียบจริงๆ" ซวี่เจ๋อพูด

แหง๋อยู่แล้วสิ ถึงแม้เธอจะตระกละ แต่เธอก็เลือกกินนะ

เธอไม่ได้ชอบกินทุกอย่าง รวมถึงรสชาติของการเสียเปรียบ

ถึงแม้จะมีคำโบราณที่บอกไว้ว่า การเสียเปรียบคือโชคอันใหญ่

แต่ว่า……

บอกสวรรค์นั้นดีนัก ใยชิชักไม่ยอมไป

บอกสตรีนั้นคือไฟ ใยตั้งใจก้าวลงหา

บอกพนันนั้นคือผี ใยไม่เกรงเล่นชีวา

บอกยาพิษคือเงินตรา ใยงมหาไม่คลาคลอน

บอกความสูงนั้นหนาวเหน็บ ใยยอมเจ็บปีนไป่หอน

บอกเสียเปรียบคือโชคทอง ใยไม่พ้องยอมทำตาม

"คุณชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ" ซินเหยาพูดอย่างถ่อมตัวพรางยิ้ม

ซวี่เจ๋อคุยกับซินเหยาไปได้สักพัก นภาเริ่มจะคล้อยดับ สกุญญาต่างบินกลับรัง อากาศตอนนี้ก็เริ่มที่จะเย็นขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้จะไม่อยากละทิ้งห้วงเวลาอันมีคุณค่านี้ที่จะได้อยู่กับซินเหยาตามลำพัง แต่ก็ไม่สามารถที่จะทนเห็นเธอหนาวสั่นอยู่ตรงนี้ได้ จึงได้จบการสนทนากับเธอในครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซวี่เจ๋อเปิดประตูรถ สายตามองลงต่ำ เห็นกล่องของขวัญที่ตนให้กับเด็กสองคนนั้นไปวางอยู่บนที่นั่งหลังเบาะ ตอนนี้รู้สึกไปไม่ถูกมาก

ซวี่เจ๋อหยิบกล่องของขวัญออกมา พรางยิ้มกลบเกลื่อนและพูดขึ้นว่า : "ผมเชื่อแล้วแหละว่าลูกสองคนนี้เป็นลูกคุณจริงๆ ของขวัญที่ผมให้พวกเขาต่างเอามาคืนผมหมด"

พูดไปเรื่อย เด็กสองคนนั้นเป็นลูกเธอจริงๆ ทำไมตอนนี้พึ่งจะเชื่อ?

ทั้งซินเหยาและลูกน้อยทั้งสองของเธอนั่งเข้าไปในรถคันอัลลิมิเต็ดนี้ของซวี่เจ๋อ กลิ่นอายของของหรูหราได้พัดกระทบมาที่ใบหน้าของพวกเขาเข้าอย่างจัง

"ลุงฟางคะ ลุงหล่อมากเลยค่ะ" เข่อหลานนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับและหันไปมองซวี่เจ๋อด้วยความกล้าพร้อมพูดขึ้น

มุมปากของซวี่เจ๋อที่อมไว้ความอบอุ่นหลังจากที่ได้ยินเข่อหลานพูดใบหน้าก็เพิ่มความหล่อขึ้นและพูดกลับว่า : "ขอบใจคำชมของเข่อหลานนะครับ หนูก็น่ารักมากเหมือนกัน"

"หนูรู้ค่ะ หม่ามี๊ของหนูกับพี่ชายบอกว่าหนูเป็นเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก" เข่อหลานพูดขึ้นด้วยความภูมิใจในความสวยของตนเอง

นี่เป็นลูกสาวของเธอหรอกหรอ? ทำไมหน้าหนาแบบนี้? เติบโตอยู่ที่ต่างประเทศนานจนลืมความอ่อนน้อมไปแล้วหรือไง

"ใช่เลย เข่อหลานเป็นเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกเลยครับ" ซวี่เจ๋อพูด

"คุณลุงฟางคะ คุณลุงก็เป็นผู้ชายที่หล่อมากๆเหมือกันค่ะ" เข่อหลานพูดปลอบใจซวี่เจ๋อ

"ทำไมถึงไม่เป็นคุณลุงที่หล่อที่สุดในโลกล่ะครับ" ซวี่เจ๋อพูดเหมือนมีความงอนผสมอยู่

"เพราะหนูเคยเห็นลุงคนหนึ่งที่หล่อเหมือนกันกับลุงฟางค่ะ" ที่จริงเข่อหลานรู้สึกว่าลุงคนนั้นหล่อกว่าซวี่เจ๋อเสียอีก อีกอย่างเธอชอบลุงคนนั้นมากกว่าด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเจอลุงคนนั้นเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น เพราะงั้นเธอจึงไม่รู้จักว่าลุงคนนั้นชื่ออะไร แต่อย่างไรเธอก็ชอบ

ซวี่เจ๋อและซินเหยาต่างก็ไปไม่เป็นกันทั้งสองฝ่าย

แม่เจ้า! ลูกสาวเธอ กลายเป็นหญิงเจ้าชู้แบบนี้ไปแล้วหรอ

ความเจ้าชู้นี่มันไม่แบ่งแยกอายุจริๆ

ลั่วหลิงไม่ปริปากอันใดออกมา เขารู้ว่าคนที่น้องสาวของตัวเองกำลังกล่าวถึงนั้นทุกคนบนรถนี้ล้วนรู้จักดี

นั่งอยู่บนรถหรูของซวี่เจ๋อแบบนี้ บวกกับที่ลูกน้อยเธอพูด มันทำให้เธอรู้สึกใจหวิวๆจริงๆ

อีกอย่างบวกกับวันนี้ที่ซวี่เจ๋อได้ช่วยเธอไว้ ถ้าเกิดเธอจากไปดื้อๆมันคงจะดูไม่ดีเอามาก

เพราะงั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะไปกินข้าวกับลูกๆของเธอและชวนซวี่เจ๋อไปด้วยกัน

สถานที่กินข้าวคือร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างเกาหลี เธอเห็นชาวเน็ตแนะนำร้านนี้เอามาก ได้ยินมาว่าเนื้อเกรดดี ราคาน่ารัก อีกอย่างยังสะอาดอีกด้วยมันทำให้เธอไม่ต้องเสียเงินเยอะ และไม่ต้องรู้สึกอึดอัดอีกด้วย

ในส่วนของซวี่เจ๋อไม่ว่าจะกินที่ไหนก็ได้หมด ขอแค่ได้เห็นซินเหยา แม้กระทั้งซินเหยาชวนเขาไปกินหม่าล่าข้างทางเขาก็ยอม และอีกอย่างยังกินได้อย่างเอร็ดอร่อยด้วยนะ สิ่งสำคัญไม่ใช่กินอะไร แต่อยู่ที่ว่ากินกับใครมากกว่า

ซินเหยาคิดมาตลอดว่าอาหารข้างนอกค่อนข้างจะไม่ค่อยสะอาด อีกอย่างยังไม่ค่อยมีโภชนการ เพราะงั้นจึงไม่ค่อยที่จะได้พาลูกน้อยของเธอออกมากินบ่อยนัก เหตุนี้จึงทำให้เข่อหลานรู้สึกดีใจมากที่ได้ออกมากินข้าวด้านนอก

ในส่วนของลั่วหลิงก็ไม่ได้แสดงทีท่าดีใจอะไรออกมา เพราะเขาเป็นคนที่introvertแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

มีหมูสามชั้นสุดโปรด แต่จะมีแค่เนื้อไม่ได้ ซินเหยาจึงหยิบผักมาด้วย

ในจินตนาการมันสวยงามมาก แต่ความเป็นจริงและจินตนาการมันคนละเรื่องกันเลย

เธอมองไปที่เนื้อที่กำลังปิ้งอยู่บนเตาด้วยความสงสัยว่ามันสุกหรือยังไม่สุก?

เครื่องปรุงพวกนี้มันใส่ตอนแรก หรือก่อนจะสุกค่อยใส่กันนะ?

สุดท้ายตัดสินใจเนื้อสุก แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ เนื้อพวกนี้มันไหม้หมดแล้ว พอเอาเข้าปากก็มีแต่กลิ่นไหม้เต็มไปหมด

ขม……จัง……

เธอเป็นคนที่ค่อนข้างมีหัวฉลาดเลยนะ แต่ทำไมกับอีแค่ย่างเนื้อถึงทำไม่ได้?

มันเป็นเพียงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นแน่ๆ

เธอก็ได้ย่างไปอีกหลายชิ้น ถ้าไม่สุกทั่วถึงก็ไหม้เสียก่อน ถ้าไม่เค็มเกินก็ไร้รสชาติ

หึๆๆๆๆ…….คิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้หญิงที่ฉลาดอย่างเธอจะปิ้งเนื้อไม่เป็น

ในส่วนของลั่วหลิงก็ปิ้งสำเร็จไปหลายชิ้นแล้ว แต่ก็ตกไปในท้องของเข่อหลานซะเป็นส่วนใหญ่

ปากเล็กๆของเข่อหลานเต็มไปด้วยเนื้อ มันดูมันเยิ้มไปหมด

แก้มนูนป่องของเข่อหลานตอนนี้มันช่างน่ารักจริงๆ

ลูกชายกำลังปิ้งเนื้อให้ลูกสาว ไม่มีเวลาดูแลเธอ

เพราะงั้นซินเหยาจึงทำได้แค่พึ่งคนที่นั่งข้างๆถัดจากเธอให้มาช่วยแล้วแหละ เธอมองดูซวี่เจ๋อที่กำลังปิ้งเนื้อบนเตาอย่างชำนาญ

มือของเขาเรียวยาว กระดูกดูแข็งแรง ผิวกายที่ขาวเนียน

ลักษณะมือแบบนี้มันเหมาะกับการเล่นเปียโนมากเสียจริง มือที่สวยแบบนี้บวกกับลีลาที่บรรเลงวาดลงบนเปียโนมันช่างน่าหลงไหลเสียจริง ซินเหยารู้สึกเข่าทรุดหมดแล้ว

"เอื๊อก……" ซินเหยามองไปที่เนื้อที่ซวี่เจ๋อกำลังย่างอยู่และกลืนน้ำลายลงและพูดว่า : "เนื้อที่คุณปิ้งมันมันดูน่ากินมาก ไม่ทราบว่าฉันจะมีโอกาสไหมที่จะได้ชิมมัน"

หึ……เธอไม่มีวันพูดหรอกว่าเพราะเธอปิ้งเนื้อไม่เป็นถึงได้มาขอกิน

สีหน้าของซวี่เจ๋อดูตะลึงไปสักพัก แต่ยังรักษาความอบอุ่นที่แสดงออกมาอยู่โดยการผงกหัวรับ

เนื้อที่ซวี่เจ๋อปิ้งมันช่างน่ารับประทานจริงๆ แค่ได้กลิ่นก็ทำให้น้ำลายไหลได้แปดศอก

ซินเหยาใช้ตะเกียบหยิบเนื้อมาและนำมาวางไว้บนผักพร้อมนำเข้าปากของตัวเองด้วยความดีใจ

เนื้อที่ซวี่เจ๋อปิ้งแค่ดูภายนอกก็รู้สึกน่ากินจริงๆ

แค่……ภายนอก……จริงจริง…….

แม่เจ้า นี่มันรสชาติอะไรกันเนี่ย? มันรสาติแย่มากกว่าเนื้อที่เธอปิ้งเองเสียอีก มันรสชาติแย่จนหาคำมาเปรียบเทียบไม่ได้เบอร์นั้น

โดยปกติถ้าจะสรรหาคำมาบรรยายว่าสิ่งนี้ไม่อร่อย วิธีพูดที่ง่ายที่สุดก็คือ 'ให้ฉันตายดีกว่ากินสิ่งนี้เป็นครั้งที่สอง'

ซินเหยาคิดมาตลอดว่าคำว่า 'ให้ฉันตายดีกว่ากินสิ่งนี้เป็นครั้งที่สอง'เป็นแค่คำกล่าวเกินจริง แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้

เนื้อที่ซวี่เจ๋อปิ้งถ้าให้กินอีกเธอยอมตายแทนเสียจะดีกว่า

เพราะงั้นซวี่เจ๋อย่างเนื้อได้ไม่อร่อยขนาดนี้มันก็ทำให้ซินเหยาเข่าทรุดได้อีกเหมือนกัน

เพราะงั้นที่ผ่านมาเธอเข้าใจพระเจ้าผู้สร้างผิดมาโดยตลอด ความจริงพระเจ้าผู้สร้างล้วนมีความยุติธรรมทั้งสิ้น พระเจ้าให้ใบหน้าอันหล่อเหลาวัวตายควายล้มกับเขา แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ได้ยึดพรสวรรค์ด้านอาหารของเขาไป

"รสชาติเป็นไงบ้าง? ซวี่เจ๋อถามด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย"

เธอจะยอมบอกซวี่เจ๋อหรอกหรอว่าเนื้อที่คุณปิ้งมามันเหมือนกับการกินกระเทียมและองุ่นพร้อมกัน? อีกอย่างเนื้อที่ปิ้งมามันยังไม่ค่อยสุก เกลือก็ไม่มีความพอดี คุณย่างเนื้อได้แย่ขนาดนี้ที่บ้านคุณรู้หรือป่าว? ที่ทำงานคุณรู้บ้างไหม?

"หึหึ…..รสชาติค่อนข้าง……ไม่เหมือนใคร"

อืม……มันไม่เหมือนใครจริงๆ……ไม่เหมือนใครตรงที่มันแย่มาก ซินเหยาเพียงพูดอยู่แต่ในใจ

คำทุกคำที่อยู่ข้างหลัง 'หึหึ' มันซ้อนความหมายร้อยแปดพันเก้า

"จริงหรอครับ? สายตาของซวี่เจ๋อกระพริบจ้าขึ้น พร้อมส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา"

ไม่ใช่……เพราะงั้นซวี่เจ๋อนายอย่าคิดว่าฉันพูดเรื่องจริง

นายเป็นคนฉลาด เพราะงั้นคงจะดูออกว่าสิ่งที่เธอพูดมันเหมายความว่าอย่างไร เนื้อที่นายปิ้งมามันมีพลังทำลายล้างสูงมากจริงๆ คนธรรมดาอย่างเธอไม่อาจจะรับไว้ได้

แต่ว่าอิทธิพลพลังความรักของซวี่เจ๋อที่มีต่อซินเหยามันได้กลบมิดความฉลาดของเขาไปหมดแล้ว ซวี่เจ๋อเชื่อจริงๆด้วย

เพราะงั้นความจริงไม่ใช่ว่าผู้หญิงเวลามีความรักจะหน้ามืดตามัว ผู้ชายก็ไม่ต่างอะไรกัน เพราะงั้นในขณะเดียวกันมันก็พิสูจน์แล้วว่าซวี่เจ๋อได้วางมันไว้ในหัวใจของตัวเองอย่างหนักแน่นและถนอมค่าเป็นที่เรียบร้อย.

"ไม่เป็นไรครับ เด็กสองคนนี้มัน……" เฟิงสิงหยุดไปสักพักและพูดต่อว่า : "มีพรสวรรค์ด้านการพูดมากกว่า"

"คุณเฉินคะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ"

"คุณถังอยู่ไหนอ่ะครับ แถวนี้ผมมีคอนโดอยู่ที่หนึ่ง สามห้องนอนสองห้องรับแขก โลเคชั่นก็ดี ห่างจากโรงเรียนไม่ไกลมากด้วย คุณถังสนใจรึปล่าวครับ?"

"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็มีบ้านอยู่แถวนี้เหมือนกัน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ" รอยยิ้มบนใบหน้าของซินเหยาเร่ิมจะหายไป มันถูกแทนที่ด้วยความลำคาญ

เธอจูงมือของลั่วหลิงและเข่อหลานอ้อมรถและตัวของเฟิงสิงไป แสดงให้เห็นว่าไม่อยากจะผัวพันอะไรด้วย

"คุณถังครับ ผมไม่อยากอ้อมค้อมอะไรกับคุณ ผมชอบคุณจริงๆ เสนอราคาสิครับ" เฟิงสิงคว้ามือของซินเหยาไว้ และมองไปที่ซินเหยาอย่างไม่ละสายตา

"พันล้าน คุณให้ได้รึปล่าว"

ตอนนั้นที่เธอจัดการฟาดกับสมบัติของฟางอี้เฉิงกับลูกชายตระกูลเยี่ยสองคนนั้น ไอ้แก่คนนี้ยังไม่ทันจะก่อร้างสร้างตัวอะไรมั้ง ตอนนี้ทำมาเป็นอวดต่อหน้าเธอ น่าขันยิ่งนัก

ทรัพย์สินทั้งหมดของเธอรวมมาคงยังจะมากกว่าไอ้แก่นี้อีกกระมัง

"คุณเชื่อผมเถอะว่าเกิดเป็นผู้หญิงถ้าไม่ลองเรื่องแบบนี้คงอยู่ในสังคมปัจจุบันไม่ได้หรอก" เฟิงสิงพูดด้วยสีหน้าที่ซีดขึ้นกว่าเดิม

นี่มันอะไรกัน?

สีหน้าของลูกน้อยของเธอสองคนเมื่อได้ยินก็ชาเหมือนกัน​ โดนเฉพาะลั่วหลิง ดวงตาคู่นั้นมันยิ่งดำลึกลับขึ้นไปอีก เม้มปากขึ้นเล็กน้อย ใช้สายตาที่เย็นชามองไปที่ไอ้แก่บ้ากามนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

เขาเป็นคนไม่ชอบพูดอยู่แล้ว ค่อนข้างจะเป็นคนที่introvert

คำบางคำเขาไม่ได้พูดออกมาอยู่แล้ว ใช้การกระทำที่เห็นผลมาแสดงให้เห็นเสียมากกว่า

ซินเหยาตอนนี้รู้สึกไม่ไหวจริงๆ เธอปล่อยมือลูกน้อยทั้งสองของเธอและเอาพวกเขาไปหลบอยู่ข้างหลัง

เธอโชว์ลักยิ้มของเธอออกมาแต่รอยยิ้มนั้นมันช่างเย็นชาจริงๆ และพูดข้ึนว่า : "ใครบอกว่าฉันไม่กล้าลองคะ ก็คุณเฉินอยากเลี้ยงดูฉันและบอกให้ฉันเสนอราคา ถ้าคุณให้พันล้านกับฉันได้ ฉันก็จะย้ายเข้าคอนโดคุณทันทีเลยค่ะ"

นี่มันเป็นการฉีกหน้าอย่างสะใจ ในใจของซินเหยาก็ใช่จะรู้สึกดีนัก นี่มันเป็นใครหาเรื่องใครก่อนกันแน่ โอกาสสุดแสนพิเศษแบบนี้ที่ได้มารับลูกด้วยตัวเองก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ แต่ทำไมถึงต้องมาเจอกับไอ้ตาแก่โรคจิตแบบนี้ด้วย

"ในสายตาผมเขาเป็นสิ่งที่มีค่าที่ไม่มีราคาที่อาจจะประเมินได้ ถึงแม้จะพันล้าน สำหรับผมมันก็คุ้มแล้ว" มือข้างหนึ่งที่โผล่มาจากข้างหลังโอบไปที่ไหล่ของซินเหยา พร้อมกับใช้แรงหน่อยในการนำมือของเฟิงสิงออกไปจากมือของซินเหยา บนใบหน้าที่แสดงออกมาแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นแต่สายตานั้นกลับมีความเย็นชาซ่อนอยู่ : "ดูเหมือนว่าสายตาของคุณเฉินจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นะครับ มีตาแต่หามีแววไม่"

แม่เจ้า คำพูดนี้มันช่างทำให้ผู้หญิงเข่าทรุดได้จริงๆ

คุณเทพบุตรมีพรสวรรค์ด้านคำพูดรักหวานมากเลยนะคะ ฟังแล้วอบอุ่นจริงๆ

ซวี่เจ๋อถึงแม้จะเป็นคนที่อบอุ่นไม่ค่อยมีเรื่องกับใครสักเท่าไหร่ แต่อย่าลืมไปว่าเขาก็เป็นนักธุรกิจ ยังมีแสงออร่าของความแบดในการพูดผสมอยู่ในสายเลือด ถึงแม้หน้าตาจะดูนิ่งๆ แต่มันก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความเกรงกลัว มันหล่อมากจริงๆนะคุณเธอ

"คนอย่างคุณนี่นะ……" ตอนแรกเฟิงสิงอยากจะถากถางซวี่เจ๋อยู่หรอก แต่คนอย่างเขาอย่าว่าแต่พันล้านเลย ล้านหนึ่งยังไม่มีเลยกระมัง

แต่หลักจากที่เห็นรถของซวี่เจ๋อรุ่นอัลลิมิเต็ดที่จอดอยู่ นั่นมันเป็นรถที่มีเพียงยี่สิบคันบนโลก ถึงมีเงินแค่ไหนบางครั้งก็ไม่อาจจะได้มันมา เสื้อผ้าที่เขาใส่บนตัวถึงแม้จะไม่ใช้แบรนด์ แต่ดูวัสดุเนื้อผ้าแล้วไม่ธรรมดาทีแล้ว คงไม่ใช่เสื้อผ้าข้างทาง

สรุปคือบนตัวของซวี่เจ๋อเต็มไปด้วยออร่าความรวย

เฟิงสิงยิ้มตอบกลับแบบหน้าเจื่อนไปว่า : "ฮ่าๆ ขอโทษด้วยนะครับคุณถัง เมื่อกี้ผมแค่ล้อเล่นกับคุณ อย่าถือสาเลยนะครับ"

"หึหึ" ซินเหยาหัวเราะขึ้น แต่ภายในใจไม่ได้หัวเราะเลย และพูดขึ้นว่า : "ท่านประธานเฉินมีอารมณ์ขันจริงๆนะคะ แต่ว่าไม่ใช่กับทุกคนที่จะมีอารมณ์ขันมาเล่นด้วย หวังว่าคุณเฉินจะคิดได้และเล่นกับตัวเองไปก่อนนะคะ ไม่ต้องมาเล่นไปเรื่อยกับคนอื่นแบบนี้"

เฟิงสิงผงกหัวรับและเดินจากไป

"ซินเหยา คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?" ซวี่เจ๋อมองไปที่รถที่ขับจากไปของเฟิงสิงและหันกลับมาถามซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

ซินเหยาลูบไปในจุดที่ตัวเองโดนไอ้แก่นั่นบีบ และส่ายหัวตอบกลับว่า : "ไม่เป็นไรค่ะ แต่ขอบคุณคุณเมื่อกี้มากเลยนะคะ ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จะเอาตัวรอดจากไอ้แก่บ้ากามนี้อย่างไงแล้ว ใช่สิ แล้วคุณมาอยู่นี่ได้ไงคะ"

ซวี่เจ๋อรู้สึกเหลิกหลักเล็กน้อยแล้วตอบว่า : "แค่บังเอิญผ่านมาพอดีน่ะครับ"

ปกติที่ที่ซวี่เจ๋ออยู่ห่างจากนี่ร้อยแปดพันโล แต่ยังกล้าบอกว่าผ่านมาพอดีนี่นะ

ซินเหยาไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้เปิดเผยว่าเธอรู้ว่าเขาโกหก เดี๋ยวมันจะทำใหสถานการณ์มันดูอึดอัดไป

ซินเหยานิ่งคิดสักพัก และได้ปลีกตัวของตัวเองออกมาจากอ้อมกอดอันอบอุ่นของซวี่เจ๋อ ใบหน้าดูนิ่งๆไป มันอบอุ่นมากจริงๆ

กลิ่นอันหอมละมุนที่หายจากอกของตัวเอง ซวี่เจ๋อกระตุกขึ้น และขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจมีความผิดหวังเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ความรู้สึกพกวนี้มันก็ถูกปกปิดโดยใบหน้าอันอบอุ่นของเขาไว้ได้ ซวี่เจ๋อนำมือของตัวเองสอดไปที่กระเป๋ากางเกง และยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมถามซินเหยาว่า : "เมื่อกี้โดนแต๊ะอั๋งอะไรหรือป่าว?"

"ก็ไม่เท่าไหร่นะ" ซินเหยาพูด

ถ้าหากว่าไอ้แก่บ้ากามนั่นกล้าจะแต๊ะอั๋งเธอนะ ถ้าสาบานว่าไข่ของมันคงอยู่ไม่สุขแน่

"ให้บทเรียนกับมันหน่อยไหม ผมช่วยคุณแก้แค้น?" ซวี่เจ๋อพูด ซวี่เจ๋อรู้สึกอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวของซินเหยาทันที แต่ว่าพอยื่นมือออกมา ก็เก็บเข้าไปเหมือนเดิม

"แก้แค้นยังไง?" ซินเหยารู้สึกสนใจขึ้นมา

หาเมียที่รวยแต่แก่และทุเรศไปเลี้ยงดูเฟิงสิงงั้นหรอ? หรือหาผู้ชายสักคนมาอมนกเขาให้มันงั้นหรอ?

"ช่วงนี้ตลาดธุรกิจค่อนข้างผันผวน คุณเฉินไม่ใช่นักธุรกิจที่เก่งหรือมองอนาคตอะไรได้" ซวี่เจ๋อพูด

ซินเหยา : ……

นี่จะทำให้ 'บริษัทเฟิงสิง' ล้มลงงั้นหรอ

หึหึ เธอคิดมาตลอดเลยว่าซวี่เจ๋อมีนิสัยที่โอดอ่อน เป็นคนรวยที่นิสัยดี

แต่วันนี้ค้นพบแล้วว่าเขาก็มีความแบดบอยความแมนเอามากของผู้ชายเหมือนกัน ซินเหยาก็รู้สึกเข่าทรุดแล้ว

"ไม่ต้องแล้วแหละ นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้น" ซินเหยาหัวเราะปฏิเสธซวี่เจ๋อไป เธอไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณอะไรซวี่เจ๋ออีกแล้ว

"ให้ผมส่งคุณกลับนะ" ซวี่เจ๋อพูด

ครั้งนี้ซินเหยาไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเมื่อกี้ซวี่เจ๋อเพิ่งช่วยเธอไปหมาดๆ

ในส่วนของลั่วหลิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จำป้ายรถทะเบียนของเฟิงสิงอย่างแม่นยำไว้

หึ! คนที่กล้าจะมารังแกหม่ามี๊ของเขาต้องได้รับบทเรียนกลับไปบ้าง คงไม่ปล่อยไปง่ายๆแบบนี้แน่!

ก่อนที่โรงเรียนที่ลูกๆซินเหยาจะเลิกในตอนเย็นนั้น เธอได้จัดการแต่งหน้าแบบใสๆออกไปรับลูกน้อยทั้งสองของเธอ หลังจากที่กลับมาจากเมืองB โอกาสที่จะได้ไปรับลูกแบบนี้มันช่างน้อยสะเหลือเกิน เพราะงั้นเธอจึงได้รู้สึกเห็นคุณค่าในครั้งนี้มาก

รถที่จอดเรียงรายอยู่หน้าโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นรถที่ค่อนข้างมียี้ห้อกันทั้งนั้น คนที่สามารถที่จะเข้าโรงเรียนนี้ได้ไม่ใช่ลูกเศรษฐีระดับโลกก็ต้องพอมีเงินในระดับหนึ่งเชียวล่ะ

ยังไงก็รวยกว่าซินเหยาก็พอ

ไม่เห็นหรืออย่างไรเธอนั่งรถเมย์สาย11มารับลูกนะ

ตอนที่เธอไปถึงหน้าโรงเรียนนั้นโรงเรียนยังไม่เลิก จึงหยิบมือถือขึ้นมาไถเวยป๋อสักหน่อย

เห็นประโยคหนึ่งที่ขำเวอร์

ผู้หญิง : คุณไม่รักฉัน

ผู้ชาย : ผมไม่รักคุณตรงไหน?

ผู้หญิง : พรุ่งนี้ฉันจะไม่กินข้าวเที่ยง จะไปตบสั่งสอนเลขาพวกคุณสักหน่อย

ผู้ชาย : ทำไมคุณต้องมาตบสั่งสอนเลขาพวกผมด้วย

ผู้หญิง : เห็นไหม! คุณไม่ได้รักฉันเลย คุณไม่ได้ถามฉันเลยสักคำว่าทำไมพรุ่งนี้ฉันไม่กินข้าว

ผู้ชาย : ……

นี่กำลังปั่นฉันอยู่หรอ?

ซินเหยารู้สึกผู้หญิงคนนี้พูดมีหลักการเอามาก อยากจะกดไลก์ให้กับความคิดเธอสามสิบสองนิ้ว

เธอยืนอยู่ที่มุมๆหนึ่งและหัวเราะออกมาคนเดียว

ผู้ชายอายุราวสี่สิบท่าทางดูสุขุมบวกกับบุหรี่ที่ยังคาไว้ที่ปากเดินมาหาเธอและพูดว่า "คุณผู้หญิง คุณมารับลูกหรอครับ"

เป็นใครกัน? เธอจะมารับลูกของเธอมันเกี่ยวอะไรกับคุณ

ไร้สาระ มาโรงเรียนไม่มารับลูกจะให้มาเปิดห้องหรืออย่างไรกัน

"ใช่ค่ะ" ซินเหยาผงกหัวและยิ้มออกมาเล็กน้อย

"ผมก็เหมือนกัน" พร้อมยิ้มออกมาอ่อนๆและพูดว่า "ผมนามสกุลเฉิน นี่คือนามบัตรของผม"

บนนามบัตรเขียนว่า 'เฉินเฟิงสิง ประธานบริษัทเฟิงสิง'

"หึหึ" จะพูดอะไรต่อไม่ได้เลยเพราะไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทเฟิงสิงนี้มาก่อน แต่ว่าชื่อและฐานะของเขามันดูไม่ธรรมดาเลย : "ฉันนามสกุลถังค่ะ แต่ว่าฉันไม่มีนามบัตรนะคะ"

"ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้สึกคุณถัง แต่จะว่าไปคุณว่ารับลูกของเพื่อนคุณหรอครับ?"

"ไม่ใช่ค่ะ ลูกฉันเอง" ซินเหยาพูด

เฟิงสิงตกตะลึกไปหนึ่งช็อตและพูดขึ้นว่า : "ไม่ใช่หรอกมั้งครับ คุณถังออกจะดูอ่อนเยาว์สะสวยขนาดนี้ ไม่เหมือนคนมีลูกเลยนะครับ"

"พวกเขา6ขวบแล้ว"

"พวกเขา?"

"ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง"

หลังจากที่เฟิงสิงได้ยินซินเหยาพูดจบก็มองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ

"คุณผู้หญิงถังวันนี้ว่างหรือป่าวครับผมจะชวนคุณไปกินข้าวสักหน่อย" เฟิงสิงตั้งใจเอากุญแจรถมาออกให้เห็นว่าเป็นรถหรู และพูดว่า : "คุณถังสวยอ่อนเยาว์ขนาดนี้ คงจะไม่ต้องใช้ชีวิตลำบาก ผมเชื่อเลยครับว่าจะมีผู้ชายหลายคนที่พร้อมจะดูแลคุณแน่"

ตาของซินเหยาประกายขึ้น นี่มันเป็นขั้นตอนจังหวะของการนัดเยกันงั้นหรอกหรอ?

คำพูดของเฟิงสิงคือ : คุณผู้หญิง นัดไหม?

ซินเหยากำลังโดนนัดเยยังงั้นนะหรือ?

เธอสวยสะหรั่ง สวยดั่งนางฟ้า ซวดทรงงามตา กิริยาอ่อนช้อย ใครเห็นเป็นต้องรัก ชิชักหวานใจ ซินเหยานั้นไซร้ ลุ่มไหลงามตา

ผู้ชายสมัยนี้มันชอบอะไรแบบนี้แหละ

ตอนแรกเฟิงสิงอยากจะใช้แผนการอ่อนนุ่มในการได้เธอมาอยู่หรอก แต่ว่าหลังจากที่ได้ยินว่าเธอมีลูกสองแล้วก็ต้องเปลี่ยนแผนทันที

ซินเหยาใบหน้าที่ดูอ่อนนุ่มงามใส อีกอย่างอายุเธอก็ยังไม่ได้มากขนาดนั้น ถ้าดูดีๆก็เหมือนกับเด็กมหาลัยที่เพิ่งจบใหม่นั้นแหละ

ผู้หญิงแบบนี้ที่ช่ำชองโลกมานาน รู้ว่าสิ่งไหนที่ตนเองอยากได้ ผู้หญิงแบบนี้สามารถที่จะตรงไปตรงมาได้

"ถ้าคุณอยากล่ะก็ รถคันนี้ก็จะเป็นของคุณ" เฟิงสิงนำกุญแจใส่ไปในมือของซินเหยา และพูดขึ้นอย่างป๋าเปย์มากเวอร์

พระเจ้า วิธีนัดเยครั้งนี้มันช่างไม่อ้อมค้อม รุนแรงเสียจริงๆ

การจะนัดเยไม่รู้จักใช้วิธีที่มันอ่อนนุ่มกว่านี้เลยรึไง? ใช้แค่เงินมันดูโบราณเกินไปแล้วหรือป่าว?

เธอยิ้มมุมปากขึ้น BMWที่ค่อนข้างจะเกรดต่ำหน่อยก็ไม่กี่แสน (หยวน) ยังไม่ถึงล้านเลย อีกอย่างมันยังมือสอง มันจะถึงสักสองแสนหรือ

นัดเยครั้งนึงให้แค่นี้? มันจะขี้เหนียวไปหรือป่าว?

แค่นี้ก็อยากจะนัดเธอ ไปไกลๆเลยจ่ะ

ตอนนี้โรงเรียนเลิกแล้ว เข่อหลานและลั่วหลิงเมื่อออกมาก็เห็นหม่ามี๊ของตัวเองทันที……และเห็นชายแก่อีกคนที่กำลังพัวพันอยู่กับเธอด้วย

ลั่วหลิงถอนหายใจหนึ่งเฮือก หม่ามี๊ของเธอยังคงฮอตเสียจริงๆ

"หม่ามี๊ขาหนูคิดถึงหม่ามี๊จะตายอยู่แล้ววว" เข่อหลานพุ่งเข้ามาและกอดไปที่ขาอันเรียวยาวของซินเหยาและอ้อนขึ้น

"หม่ามี๊" มือสองข้างของลั่วหลิงที่ยังสอดไปที่กระเป๋ากางเกงมันช่างดูคูลจริงๆ

หลังจากที่ได้เห็นลูกน้อยของเธอ รอยยิ้มของเธอก็ดูมีความสุขและจริงใจขึ้นมาเป็นหลายเท่า มันยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอสวยสะพรึงขึ้นไปอีกหลายขุม

เฟิงสิงหลักจากที่ได้เห็นก็กลืนน้ำลายไปหลายอึก และมองไปที่ซินเหยาคิดว่าควรจะลองดูสักตั้ง

"ลูกๆของหม่ามี๊ หม่ามี๊ก็คิดถึงพวกหนูเหมือนกัน" ซินเหยานำกุญแกรถโยนกลับไปที่อกของเฟิงสิง และจูงมือลูกของเธอและพูดว่า "เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ"

"คุณผู้หญิงถังครับ ให้ผมไปส่งคุณเถอะ" เฟิงสิงขับรถตามซินเหยาพยายามยื้มให้เธอหยุด และทำท่าทีอวดคูลออกมา

ซินเหยามองไปที่รถBMWคันนี้ เธอก็รู้สึกอิ้วมากเวอร์

อาจจะเป็นเพราะว่าเธอได้สัมผัมกับรถหรูมานับไม่ถ้วน เห็นรถเก่าๆคันนี้เข้ามันเลยไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านเธอเลย เธอกลับรู้สึกว่านอกจากจะโบราณคร่ำครึก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ขับรถประเภทนี้มาก็อย่ามาทำกิริยาโอ้อวดดีไหม

"ไม่เป็นไรค่ะ บ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากนี้" ซินเหยามองไปที่เฟิงสิงแล้วพูดขึ้น

"ผมขอเดาว่าคุณกำลังจะไปกินข้าวกับเด็กๆสินะ" เฟิงสิงยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

"คุณเฉินคะ คุณอยู่ที่นี่เดี๋ยวลูกของคุณจะหาคุณไม่เจอนะคะ" ซินเหยาพูด

แม่เจ้า นี่มันเป็นหมาป่าบ้ากามบ้านใครเนี่ย เอากลับไปเร็วเข้า! เธอจะทนกับไอ้บ้ากามนี้ไม่ไหวแล้วนะ!

"คนขับรถมารับเขาครับ" เฟิงสิงพูดแบบไม่แยแสลูกของตัวเอง

เพราะงั้น วันนี้ที่คุณมาคือ…..มานัดเยอย่างเดียวใช่ไหม?

ถุย……ไอ้ผู้ชายเลว

"หม่ามี๊ขา คุณปู่คนนี้หม่ามี๊รู้จักหรอคะ" เข่อหลานเงยหัวอันกลมๆของตัวเองขึ้นและมองขึ้นไปถามซินเหยาอย่างหน้าซื่อตาใส

ลั่วหลิงมองไปที่เข่อหลานและยิ้มมุมปากขึ้น บอกเป็นนัยๆว่าเธอทำถูกต้อง

อิ้ววว……คุณปู่…….

ลูกสาวของเธอฉลาดเสียจริงๆ กดไลก์ให้สามสิบสามนิ้ว

ตอนนี้หน้าของเฟิงสิงซืดเซียวขึ้นมาทันที และใช้สายตาที่เย็นชามองไปทีเข่อหลาน

"อืม ไม่รู้จักค่ะ" และพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าว่า : "คุณเฉินอย่าถือสาคำพูดของเด็กเลยนะคะ เด็กมันพูดไม่เป็น อย่าโกรธไปเลยนะคะ"

"เรื่องแบบนี้แค่ไปสืบนิดสืบหน่อยก็รู้แล้ว" และพูดขึ้นต่อว่า "คนในแวดวงบันเทิงอย่างเราเขาก็รู้กันว่าซวี่เจ๋อไม่ได้ชอบผู้หญิง"

QAQ เทพบุตรของฉันชอบผู้ชาย ถ้าผู้หญิงพวกนั้นที่กรี๊ดกร๊าดว่าจะเป็นแม่ของลูกเขารู้เข้าจะเสียใจขนาดไหนล่ะ

"เรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าซิ" ซินเหยารู้สึกเสียดายมากที่คนอย่างซวี่เจ๋อที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้จะไม่ชอบผู้หญิง

ความจริงผู้ชายที่ดีๆบนโลกใบนี้ก็หายากแล้ว คนที่หล่อดั่งเทพบุตรอย่างซวี่เจ๋อถึงจะไม่ชอบผู้หญิงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดว่ามาแย่งอาหารผู้หญิงด้วยกันล่ะจะยังไง

รับไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ชายหลงเหลืออยู่แล้ว

เขาหล่อเขารวยขนาดนี้ คงได้กินหมดแน่ๆ

"เขายอมรับกับปากเองหรอ?"ซินเหยาถามด้วยความสงสัยที่วิ่งวนสับสนอยู่ในใจเธอ

เหยียนฉีเพียงแค่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

"ของตกแต่งบนหัวที่จะให้เหยียนๆใส่วันงานประกาศรางวัลอยู่บนหัวเตียงแล้ว" ซินเหยาพูด

มีเพื่อนแบบนี้ที่ต้องเอาอะไรมากหลอกหล่อนี่มันไม่ไหวจริงๆ

ในละครที่บอกว่าเพื่อนสามารถตายเเทนกันได้นี่มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ฉีฉีไม่ใช่แบบนั้นเลย

"ถ้าซวี่เจ๋อชอบผู้หญิง แล้วทำไมหลายปีนี้ไม่เห็นเขาเคยจะออกเดตกับผู้หญิงสักครั้ง เขาหล่อรวยขนาดนั้น ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนเห็นก็ต้องชอบจริงไหมล่ะ เขาน่ะก็เหมือนพระถังซัมจั๋ง ปีศาจร้ายแม่มดตัวไหนเห็นเข้าเป็นต้องอยากลิ้มลองเนื้ออันโอชะของเขาทั้งสิ้น ผู้หญิงในวงการบันเทิงพวกนั้นก็มีให้เลือกตั้งมากมาย แต่ซวี่เจ๋อก็ไม่ได้ชอบใครทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องปกติของผู้ชายหรืออย่างไรกัน" เหยียนฉีอธิบายแยกแยะให้ซินเหยาฟังอย่างมีหลักการ

"ฉีฉี วงการบันเทิงมันวุ่นวายขนาดนี้เลยหรอ" และพูดต่อว่า "เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากต่างหาก ถ้าฉันเป็นเขา ฉันก็คงจะไม่อยากไปเกลือกกลั่วกับผู้หญิงพวกนั้นหรอก"

เพราะงั้น นี่มันไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าซวี่เจ๋อไม่ชอบผู้หญิง

เหยียนฉีถอนหายใจกับซินเหยาและพูดต่อว่า "เธอรู้จักดาราอันดับต้นๆของประเทศ 'จูเหยียน' ไหม? นั่นมันเป็นเทพธิดาชัดๆ ตอนนั้นนางบุกซวี่เจ๋อหนักมาก ข่าวต่างๆก็ว่อนกันให้แซด แต่สุดท้ายจูเหยียนนั่นก็ต้องนกไป เธอคิดว่าผู้ชายที่ปกติทั่วไปจะเป็นแบบนี้ไหมล่ะ"

ซินเหยาที่ไม่ได้ติดตามวงการบันเทิงมากนักก็ยังรู้จักจูเหยียน นั่นมันเทพธิดาตัวจริงเลยแหละ

ซินเหยาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่สวย ความสามารก็มี หน้าตาก็ได้ หน้าอกก็ได้อยู่ เธอก็ค่อนข้างจะพอใจในตัวเองนะ

แต่ถ้าเทียบกับจูเหยียนล่ะก็ เธอก็เหมือนอึ่งอ่างกับหงส์ฟ้าเบอร์นั้น

ซินเหยาที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังยอมรับเลยว่าจูเหยียนสวยจริงๆ

สุดท้ายเหยียนฉีก็สรุปขึ้นว่า "ซวี่เจ๋อไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง ถึงขนาดมีเทพธิดาที่สวยขนาดจูเหยียนตามจีบยังไม่สนใจใยดีเลย เพราะงั้นซวี่เจ๋อเป็นGayแน่นอน"

ซินเหยา : ……

ที่ฉีฉีพูดมันก็ดูมีเหตุผลนะ

QAQ เพราะงั้นซวี่เจ๋อไม่ชอบผู้หญิงอย่างนั้นหรือ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ

"เพราะงั้นพ่อเลี้ยงของเข่อหลานกับลั่วหลิงต้องหาใหม่แล้วล่ะ" เหยียนฉีหยิบของที่ซินเหยาสัญญาว่าจะให้เธอมา จากนั้นก็เสียบมันไปที่หัว เพชรชิ้นนี้มันระยิบระยับส่องประการกระทบตามาก

ถึงแม้ว่าบางครั้งซินเหยาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยจะพึ่งพาได้เท่าไหร่ อาจจะเบลอๆไปบ้าง แต่ความสามารถที่เธอมีก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าใครเลยนะ

เครื่องประดับที่เธอออกแบบมาก็ถือว่าไม่ได้ไก่กาอาราเล่เลย มันเต็มไปด้วยความปราณีตและรายละเอียดที่เก็บทุกเม็ด คำพูดสามารถที่จะนำมาบรรยายได้คือ สวยและหรูมากค่ะ

"ก็ไม่เลว อาจจะธรรมดานิดนึง แต่ก็กัดฟันให้ผ่านได้" เหยียนฉีพูด

"แล้ว……จิงเฉินล่ะ" คำถามนี้ของซินเหยาไม่ได้ผ่านการกรองจากสมองก่อน แต่จะเก็บคำพูดนั้นกลับมามันก็ไม่ทันเสียแล้ว

จิงเฉินเกี่ยวไรกับเธอ

อยากจะตบหน้าตัวเองเสียจริงๆ แต่เธอก็กลัวเจ็บ

"ชายน้อยตระกูลเยี่ยหรอ ชอบผู้หญิง" เหยียนฉีพูด

ฮึ เธอรู้แน่อยู่แล้วว่าจิงเฉินชอบผู้หญิง งั้นลั่วหลิงกับเข่อหลานคงเกิดมาไม่ได้หรอก อีกอย่างจิงเฉินยังมีแฟนสาว แฟนสาวคนนั้นยังเป็นน้องสาวลูกพ่อเดียวกันแต่ต่างแม่เลย

"ฉันพูดถึงความสัมพันธ์ชายหญิง"

เหยียนฉีหรี่ตาเล็กลง และมองไปที่ซินเหยาและพูดว่า : "ความสัมพันธ์ลุงป้า โกลาหล"

โกลาหล? อยากจะตีตูดเหยียนฉีจริงๆ

"แต่ถ้าเกิดว่าเธอชอบ ก็น่าจะได้อยู่นะ" และพูดต่อว่า นี่มันเป็นยุคของการดูความรวยกันทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมาดูว่าเงินมัมมาได้โดยวิธีไหนหรอก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้น แต่เธอก็สามารถที่จะลองสักตั้งได้นะ อีกอย่าง ถ้าลั่วหลิงและเข่อหลานได้พ่อเลี้ยงที่เป็นลุงเเท้ๆของตนเอง มันก็น่าจะดีกว่าได้คนนอกมาเป็นนะ เธอว่าไหมล่ะ?"

"ไปไกลๆเลย" ซินเหยาพูด

หลังจากที่ได้ฟังคำปลอบใจของเหยียนฉี ไม่รู้ทำไมเธอหนักใจอีกแล้ว

อกอีแป้นจะแตกอยู่แล้ว ฉีฉีไม่ได้อยากแก้แค้นเธอใช่ไหม งืออ

เมื่อได้ของที่ตัวเองต้องการแล้ว เหยียนฉีก็เดินออกจากห้องไปอย่างสง่าสวยงาม

ซินเหยาที่กำลังดูชุดเสื้อผ้าชุดนี้ที่มีราคาน่าจะซื้อเมืองเมืองนึงได้ ครุ่นคิดว่าได้ขายมันทิ้งจะได้สักเท่าไหร่เชียว

เสียเงินเยอะขนาดนี้เพื่อเเลกมากับอีแค่ชุดนี้ มันน่าเสียดายจริงๆ โลกของคนรวยพวกนั้นเธอไม่มีวันที่จะเข้าใจจริงๆ ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนมันเป็นเงิน และเอาเงินทั้งหมดที่แลกมาได้เทไว้บนเตียงนอนทั้งหมด มันคงจะฟินมากกว่าได้ใส่ชุดนี้เป็นร้อยเท่า

ถ้าเธอใส่ชุดนี้ออกไป แล้วเจอโจรขโมยเสื้อผ้าล่ะ นี่คงเป็นเรื่องที่โง่สิ้นดี

หนักใจจริงๆ

ซินเหยาถอนหายใจหนึ่งครั้งและพูดว่า "สิ่งที่ฉันควรพูดฉันก็พูดไปหมดแล้ว ระหว่างเราสองคนมันไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันไม่อยากให้คุณคิดไปเอง และมัวแต่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณยังมีความหวังอยู่"

"คุณไม่รู้สึกอะไรกับผมสักนิดเลยหรอ สักนิดก็ไม่มีหรอ" คิ้วที่ขมวดขึ้นของซวี่เจ๋อสัมผัสได้ถึงความทุกข์

"คุณรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว" ซินเหยาพูด

ซวี่เจ๋อไม่ได้แพ้ เขาก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาสงสาร

"คุณรู้ว่าผมจะไม่มีวันยอมแพ้ การอดทนพยายามเป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจ และผมเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว สำหรับของที่ผมอยากจะได้มา คนที่ผมกำลังไล่ตามหา ผมไม่มีวันที่จะยอมแพ้แน่" สายตาของซวี่เจ๋อที่โชกโชนมากขึ้นและพูดออกมา

……

ของที่ซวี่เจ๋อให้ซินเหยาคือชุดที่เพิ่งชนะการประกวด

ทั้งโลกมีแค่ชุดเดียว ชุดนี้ใส่รายละเอียดและทำออกมาด้วยความปราณีตอย่างมานะ กว่าที่ซวี่เจ๋อจะได้มามันมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เห็นถึงความจริงใจของเขามาก

เหยียนฉีมองไปที่ชุดนี้และพูดว่า : "ซินเหยา ชุดนี้มันเป็นชุดอันลิมิเต็ดจริงๆนะ ทั้งโลกนี้มีแค่ชุดเดียว เธอรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไหร่ นี่มันเป็นชุดที่ชนะการประกวดตัดเย็บเสื้อผ้าในคร้ังนี้เลยนะ อีกอย่างไม่ใช่ว่ามีเงินก็สามารถที่จะซื้อได้ ต้องเป็นคนที่นับหน้าถือตาและมีคอนเน็คชั้นอีกถึงจะได้มันมา"

ซินเหยาถึงจะอยู่ในวงการออกแบบ แต่นี้มันเป็นการออกบบผลงานชิ้นเอกเชียวหล่ะ

ราคาของชุดนี้ถึงแม้เหยียนฉีไม่พูดเธอก็รู้อยู่แก่ใจดี

ตอนแรกเธอก็นึกว่าของที่ซวี่เจ๋อให้จะเป็นของพื้นเมืองประเทศนั้นซะอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้ของที่แพงขนาดนี้กับเธอ ซินเหยารู้สึกว่าชุดนี้มันไม่เหมาะกับเธอจริงๆ

"ให้ฉันยืมใส่ชุดนี้สองสามวันสิ" เหยียนฉีเอาชุดตัวนั้นออกมาจากกล่องและมองดูด้วยสายตาที่เปร่งประกาย

รอถึงวันที่มอบรางวัล ให้เหยียนๆใส่ชุดนี้ขึ้นไป ถึงโล่รางวัลจะส่องประกายแค่ไหน เพียงแค่ใส่ชุดนี้รัศมีก็ไกลเป็นสิบกิโลแล้ว

เหยียนฉีเป็นคนที่มองทุกอย่างเป็นธุรกิจหมด มีหรอที่จะปล่อยให้นักแสดงในสังกัดของเธอพลาดโอกาสทองแบบนี้ไปได้

"ไม่ได้" ซินเหยาหยิบชุดคืนไป พับมันเรียบร้อย และใส่ไว้ในกล่องดังเดิม และพูดว่า "ชุดนี้ต้องเอาไปคืนเขาอยู่ "

เฮ้อแม้เจ้า ชุดนี้แพงขนาดนี้ ถ้าชุดนี้ทำเสียขึ้นมา เธอจะไปทำให้เหมือนกับชุดนี้ได้ที่ไหนกัน อีกอย่างเธอเป็นคนจนจริง ถึงแม้จะทำออกมาได้ แต่จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายล่ะ

เฮ้ออออ

"นี่เขาให้เธอเป็นของขวัญไม่ใช่หรอ" เหยียนฉีถาม

"แต่นี่มันแพงไปไง ฉันไม่ใช่เป็นคนที่เห็นแต่ได้กับได้สักหน่อย" ซินเหยาตอบกลับ

"ในเมื่อเขาให้ของที่แพงขนาดนี้กับเธอ ก็แสดงว่าเธอมีคุณค่าในสายตาเขา ถ้าเธอเอาไปคืนอาจจะทำร้ายจิตใจเขาก็ได้นะ อีกอย่างคนที่จะได้ชุดนี้มาครอง ต้องรวยถึงขนาดไหนกันเชียว สำหรับเธออาจจะคิดว่ามันแพง แต่สำหรับเขาอาจจะแค่ขยับปากสักหน่อยก็ได้มันมาแล้ว ถ้าเอาไปคืน มันจะเป็นการไม่ให้เกียรติเขาหรือป่าว" เหยียนฉีพูด

"ฉันไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไง แต่สำหรับฉันฉันไม่สามารถรับของขวัญที่มีราคาแพงขนาดนี้มาได้ ตอนแรกฉันกับเขายังเท่าเทียมกับอยู่ แต่ถ้าฉันรับไว้ เท่ากับว่าฉันติดหนี้เขาหนึ่งดอกไปแล้ว อีกหน่อยฉันจะปฏิเสธเรื่องที่เขาขอได้หรอ" ซินเหยาพูดขึ้น น้ำเสียงมีความจริงจังที่ต้องคืนชุดนี้กลับไปให้จงได้

สำหรับคำพูดที่เหยียนฉีแนะนำเธอนั้น เธอปัดออกหมด

หลังจากที่เหยียนฉีเห็นซินเหยาพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้จะรั้งเธอแล้ว

"ของขวัญที่แพงขนาดนี้ เศรษฐีที่ไหนให้เธอมาล่ะ" เหยียนฉีถาม

"อยากให้เขาเป็นพ่อเลี้ยงของลั่วหลิงกับเข่อหลานไหม"

"พูดอะไรเรื่อยเปื่อย" ซินเหยามองบนหนึ่งแมตซ์ให้เหยียนฉี "ถ้าฉันหาพ่อเลี้ยงเศรษฐีให้ลูกน้อยของฉันจริงๆ ก็คงจะไม่อยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ยังมีเมนูอีกหลายจานที่ลั่วหลิงยังไม่ได้ทำ เธอแน่ใจนะ"

ถ้าเกิดว่าเธอเป็นแฟนกับซวี่เจ๋อจริง งั้นลูกน้อยของเธอต้องเรียกป๊ะป๋าจิงเฉินว่าคุณลุงงั้นหรอ

นี่มันเจ็บกว่าละครน้ำเน่าหลังสองทุ่มอีกนะเออ

"ได้ อย่าไปเลย ไอ้เศรษฐีนั่นปล่อยมันไปเถอะ" และกัดฟันพูดต่อว่า "ไอ้เศรษฐีนั่นมันไม่ได้จะดีอะไร พุงใหญ่หน้าบาน หูบานหัวใหญ่ ความเลวร้ายทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้มารวมอยู่ที่ตัวเขาหมดแล้ว เธอไม่เหมาะกับผู้ชายแบบนี้หรอก เขาไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อเลี้ยงของลั่วหลิงและเข่อหลานด้วย"

ซินเหยา : ……

ซวี่เจ๋อผู้ที่ความเลวร้ายทุกอย่างมารวมอยู่ที่ตัวเอง : ……

"ไอ้ผู้ชายที่เธอพูดไปเมื่อกี้คือซวี่เจ๋อ CEOบริษัทCKสาขาทวีปASIAเองแหละ"

เหยียนฉี : ……

"ซินเหยา ชาติที่แล้วเธอได้ช่วยจักรวาลไว้แน่" เหยียนฉีหลังจากที่อึ้งไปสักพักก็พูดขึ้น

ซินเหยา : ……

ฉันเดานะ ไอ้ฟางซวี่เจ๋อนั่น ให้ชุดนี้กับเธอ และเหมือนอยากจะเป็นพ่อเลี้ยงของเข่อหลานและลั่วหลิง นี่มันไม่เมคเซนส์เลย" เหยียนฉีพูด

"แปลกมากหรอ?" หลังจากที่ซินเหยาพับเสื้อผ้าใส่กล่องเสร็จ ก็มองไปที่เหยียนฉีที่กำลังแปลกใจ

"แปลกมากสิ" เหยียนฉีพูด

"ทำไม?" ซินเหยาถามด้วยความมึนงง

"ก็เพราะซวี่เจ๋อไม่ได้ชอบผู้หญิง" เหยียนฉีพูด

แม่เจ้า ซวี่เจ๋อไม่ชอบผู้หญิง?

ซินเหยาเหมือนโดนฟ้าผ่ามาที่กลางศีรษะอย่างจัง

"เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ" สีหน้าของซินเหยาที่ไม่เชื่อสิ่งที่เธอได้ยินเมื่อกี้ "ฉันเรียนหนังสือมาน้อย เธออย่ามาหลอกฉันเล่นเลย"

เหยียนฉีถอดหายใจ และพูดขึ้นว่า "นี่เธอหลอกตัวอยู่และกำลังหลอกคนอื่นด้วยหรอ ใครหยุดเธอไม่ได้เลยใช่ไหม?"

"แล้วเธอรู้ได้ไง" ซินเหยาถาม

ช่วงก่อนซวี่เจ๋อยังมาสารภาพรักกับเธออยู่เลย วันนี้ที่ร้านกาแฟยังมีทีท่าว่าจะไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ชอบผู้หญิงได้ไงกัน เขาชอบผู้ชายงั้นหรอ? พูดมั่วหน่า นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ซินเหยาเห็นสีหน้าของซวี่เจ๋อ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเธอมันจะทนไม่ได้นานแล้วนะ

ถ้าเกิดเธอบอกว่าป๊ะป๋าที่ตายไปของลูกทั้งสองว่าหน้าเหมือนจิงเฉิน เขาจะเชื่อป่าว

ถึงยังไงเธอก็มั่นใจว่าเขาต้องเชื่อ

"อะไรนะ?" ลิ้นของซินเหยารู้สึกชาไปชั่วขณะ มือของเธอเหงื่อก็ออกมาไม่หยุด

ถ้าเกิดว่าคุณไม่สงสัยเรื่องเบื่องลึกของเด็กทั้งสอง เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่นะ

"น่ารักมาก ดูไปก็น่าจะฉลาดด้วยนะ" ซวี่เจ๋อพูดอย่างอบอุ่น

แม่เจ้า ซวี่เจ๋อไม่ได้ยอมแพ้ในตัวซินเหยาจริงด้วย เด็กทั้งสองนี้น่ารักมากจริงๆ ซวี่เจ๋อไม่รู้สึกไม่พอใจอะไรเลย

เห็นว่าซวี่เจ๋อไม่ได้นึกถึงว่าหน้าลูกทั้งสองของเธอเหมือนใคร ซินเหยาก็รู้สึกโล่งไปหน่อย แผ่นหลังของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อลมพัดมาเมื่อไหร่ เหมือนมันสามารทำให้เธอหนาวสั่นได้เมื่อนั้น

"นี่ลูกชายฉัน ลั่วหลิง และลูกสาวฉัน เข่อหลาน ส่วนคนนี้คือหม่ามี๊ของพวกเขา……" ซินเหยาพูดขึ้นอีกว่า "เขาเป็นเพื่อนหม่ามี๊เอง ลูกสามารถเรียกเขาว่าลุงฟาง"

"สวัสดีลั่วหลิงกับเข่อหลานครับ นี่คือของวัญที่ลุงเอามาให้พวกหนูครับ" ซวี่เจ๋อเอากล่องของขวัญสองกล่องสุดหรูออกมา

เข่อหลานไม่ได้ยื่นมือไปรับของขวัญ เพียงแค่เบิกตาออกโตเหมือนซินเหยาและถามขึ้นว่า : "คุณลุงคะ คุณลุงเป็นแฟนของหม่ามี๊หรอคะ"

เห็นเด็กผู้หญิงที่มีใบหน้าสะสวยเหมือนผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ซวี่เจ๋อก็ชอบในตัวของเข่อหลานมากไปอีก

"ตอนนี้ยังไม่ใช่ครับ" ใบหน้าของซวี่เจ๋อที่มีรอยยิ้มแสดงออกมา

"คุณลุงมารอหม่ามี๊เป็นพิเศษใช่ไหมคะ รอมานานแล้วด้วยใช่ไหมคะ" เข่อหลานถาม

"ก็ไม่ได้นานนะ พึ่งมาไม่นานนี้เอง" ซวี่เจ๋อตอบ

ลั่วหลิงยื่นมือไปรับของขวัญที่ซวี่เจ๋อให้กับพวกเขาทั้งสองคน และพูดว่า "ขอบคุณครับลุงฟาง"

ลั่วหลิงใช้สายตากวาดไปที่รถที่ดูผ่านๆเหมือนจะธรรมดาของซวี่เจ๋อ แต่คนที่เข้าใจเรื่องรถอย่างลั่วหลิงรู้ว่ารถคันนั้นราคามันไม่ธรรมดาเลย ถึงแม้ว่าจะดูธรรมดาแต่ก็ดูหรูหรา

สายตาของซวี่เจ๋อกวาดมองไปที่ลั่วหลิง มันเร็วและไม่มีใครสามารถจับได้

ซินเหยาก็งงๆอยู่ จู่ๆไปส่งลั่วหลิงและเข่อหลานไปโรงเรียนกับซวี่เจ๋อได้ไงกัน

อีกอย่างยังให้สัญญาว่าถ้าเลิกเรียนจะมารับพวกเขา

เมื่อส่งลูกทั้งสองเสร็จ ตอนนี้ก็เหลือแค่เธอกับประธานฟางที่หล่อเหลาแล้วสิ ซินเหยารู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าอีกเดี๋ยวตัวเองต้องพูดอะไร แต่เหมือนกับว่าตัวเองพูดอะไรออกไปก็ไม่ถูกทั้งนั้น

ผิดกับซวี่เจ๋อที่ไม่ว่าจะได้ยินซินเหยาพูดอะไรผิดๆแปลกๆออกมาก็รู้สึกมีความสุขทั้งสิ้น สำหรับเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่หายากมากโอกาสแบบนี้

แน่นอนว่าซวี่เจ๋อดูออกว่าตอนนี้ซินเหยารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ในใจของเธอน่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง สุดท้ายซวี่เจ๋อก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้และพูดขึ้นว่า "ข้างหน้ามีร้านกาแฟร้านหนึ่ง เดี๋ยวเราลงไปดื่มกันไหม?"

คุณหล่อขนาดนี้ มีหรอที่เธอจะปฏิเสธได้ลงคอ

"อื่ม" ซินเหยาผงกหัวรับ

ซวี่เจ๋อยิ้มหัวเราะขึ้น รอยยิ้มนั้นมันเหมือนกับเด็กที่ได้ลูกอมที่สุดแสนจะมีความสุข

ซินเหยาโดนรอยยิ้มเสน่ห์ของซวี่เจ๋อเล่นงานเข้าให้แล้ว

แค่ตอบรับว่าจะไปกินกาแฟด้วยถึงกับดีใจขนาดนี้เชียวหรือ?

ฮัลโลลลล เธอทำให้คนรวยอย่างเขาพอใจได้ง่ายขนาดนี้ มันทำให้เธอรู้สึกจี๊ดๆนะ

บรรยากาศในร้านกาแฟนี้ดีมาก บวกกับดนตรีที่บรรเลงในนี้ก็กำลังเต้นระบำอยู่กลางอากาศ มันไม่ได้ทำลายบรรยากาศอันสงบของร้านเลย มันกลับทำให้สัมผัสได้ถึงความโรแมนติก ลูกค้าที่มานั่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นคู่หนุ่นสาวทั้งสิ้น มันทำให้ร้านดูโรแมนติกขึ้นไปอีก

"ลาเต้และคาปูชีโน่แก้วหนึ่งครับ" ซวี่เจ๋อสั่งเครื่องดื่มอย่างเสียงอบอุ่น และมองไปที่ซินเหยา สายตาของซวี่เจ๋อไม่สามารถที่จะปิดบังความรู้สึกที่มีต่อเธอได้เลย และพูดว่า "ผู้หญิงดื่มกาแฟไม่ดี ส่วนใหญ่ชอบดื่มคาปูชีโน่มากกว่า รสชาติค่อนข้างอ่อนละมุน ไม่ขม คุณลองชิมดูว่าชอบหรือป่าว"

พนักงานคนนั้นสายตาที่มองมาเหมือนจะเขมือบซวี่เจ๋อลงไปอย่างไงอย่างงั้น

เห็นซวี่เจ๋อหล่อขนาดนี้ อบอุ่นขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่ใส่จะไม่ใช่ของแบรดน์ก็ตาม แต่คนที่มองถ้าไม่ตาบอดแล้วล่ะก็คงจะเห็นนาฬิการุ่นอะลิมิเต็ดสั่งทำที่ขึ้นชื่อว่ามีเพียงสิบเรือนบนโลกเท่านั้น

นี่มันเป็นคนรวยชนชั้นสูงชัดๆ

ถึงแม้จะไม่สามารถครอบครอง แต่แค่ดูมันก็กำไรเกินพอแล้ว

แม้เจ้า ผู้หญิงที่ได้ผู้ชายที่ทั้งรวยทั้งอบอุ่นแบบนี้ไปครองชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรกันนะ

ซินเหยาที่ชาติแล้วช่วยคนทั้งจักรวาล : ……

"โอเครคะ คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายรอสักครู่นะคะ" พนักงานหญิงคนนั้นหน้าแดงไปหมด สุดท้ายมองไปที่ซวี่เจ๋ออีกรอบถึงค่อยเดินจากไป

"เมื่อกี้ฉันเห็นผู้ชายที่โคตรจะรวยและโคตรจะหล่อ มันหล่อมากเสียจนอยากจะถวายตัวให้ได้เลยแหละ เสื้อผ้าที่สบายๆของเขามันเทียบกับเงินเดือนทั้งปีของพวกเราเลยแหละ ฉันอยากคลอดลูกให้กับเทพบุตรแบบนี้บ้างจัง" พนักงานหญิงคนนั้นเดินไปที่เคาน์เตอร์และพูดกับเพื่อนคนอื่น

พนักงานร้านกาแฟนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวสะสวยทั้งสิ้น ต่างมองไปที่ซวี่เจ๋อเป็นระยะๆ

"คุณผู้ชายคะ ยังมีอะไรต้องการอีกไหมคะ" หนักงานหญิงที่หน้าแดงไปหมดถามขึ้น

"คุณผู้ชายคะ วันนี้ร้านเรามีกิจกรรม นี่เป็นของที่ทางเรามอบให้คุณค่ะ"

"คุณผู้ชายคะ กาแฟของคุณต้องการเพิ่มอะไรหรือป่าวคะ"

ซวี่เจ๋อ : ……

ตอนแรกซินเหยายังรู้สึกอึดอัดอยู่ แต่เห็นซวี่เจ๋อฮอตขนาดนี้เธอก็รู้สึกคลายหน่อยแล้ว

ผู้ชายที่เพอร์เฟคอย่างซวี่เจ๋อแบบนี้ ถ้าเธอไม่เอาเธอก็เป็นคนเสียเปรียบเองแหละ

ซวี่เจ๋อทั้งหล่อทั้งรวยนะ

เธอเข้าใจดีว่าที่เธอปฏิเสธซวี่เจ๋อไปเพราะเป็นความคิดเธอเอง ไม่ใข่เป็นเพราะซวี่เจ๋อไม่ดีอะไร เพราะงั้นเธอไม่ได้รู้สึกมีภาระทางใจเลยที่ต้องรู้สึกไม่ผิดกับซวี่เจ๋อ

"ประธานฟางคะ ดูสิคะคุณฮอตขนาดไหน ผู้หญิงพวกนี้หลงคุณหมดแล้ว" ซินเหยาดื่มไปหนึ่งกึกและพรางยิ้มออกมา

ซวี่เจ๋อมองไปที่ซินเหยาด้วยสายตาที่ไม่ปกปิดว่าตนรู้สึกอย่างไรกับเธอ มุมปากยิ้มออก และหัวเราะออกมาอย่างเจื่อนๆว่า "คุณรู้ดี ว่าคนที่ผมสนใจมีเพียงคุณคนเดียว สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือความชอบจากคุณคนเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คนที่หลงผมเป็นคุณคนเดียวก็พอ ผมเพียงแค่รู้สึกว่าเสน่ห์ของผมมันไม่พอ มันดีไม่พอ จึงไม่สามารถทำให้คุณใจเต้นกับผมได้"

ซินเหยารับปากลูกทั้งสองแล้วว่าพรุ่งนี้จะส่งไปโรงเรียน แน่นอนว่าเธอไม่มีวันคืนคำเด็ดขาด เพราะงั้นอีกวันมาเธอจึงตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมมื้อเช้าให้ลูกน้อยของเธอ อีกอย่างเธอไม่ได้ลืมนะว่าครั้งแล้วเธอบอกว่าจะหมั่นทำมื้อเช้าให้ลูกทั้งสองเธอกิน

ได้กินมื้อเช้าฝีมือของหม่าม๊า ลูกทั้งสองก็สุขใจมากแล้ว

"หม่าม๊าทำกับข้าวอร่อยมากเลยคะ" เข่อหลานที่ปากกำลังกัดไว้ไข่ และพูดออกมาอย่างไม่ถนัดปาก

ถึงแม้ว่าฝีมือของหม่าม๊าจะสู้ฝีมือของพี่ชายไม่ได้ แต่เข่อหลานก็ชอบฝีมือของหม่าม๊าเอามาก

แต่ไหนแต่ไรหลิงลั่วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยที่จะแสดงความรู้สึกออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนกับเข่อหลานที่พูดเก่งปากหวานอย่างนั้น แต่เช้านี้เขาก็กินไปแล้วสองถ้วย ใช้การกระทำมาแสดงออกแทนคำพูด ว่าตัวเองก็อยากให้หม่าม๊าทำกับข้าวให้เหมือนกัน

เห็นลูกน้อยของตัวเองมีความสุขแบบนี้ ซินเหยาก็สุขใจตามไปด้วย มันสุขใจมากกว่าการนอนเลทไป40นาทีซะอีก

เหยียนฉียังไม่ตื่น ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอไม่ได้หยุดพักเลย คงจะเหนื่อยน่าดู

ซินเหยานำอาหารเช้าเก็บไว้ให้เหยียนฉีที่ตู้เก็บกับข้าว รอเหยียนฉีตื่นมาก็กินได้เลย

เข่อหลานและลั่วหลิงสะพายไว้กระเป๋าของตัวเอง มืออีกข้างก็จับไปที่มือของซินเหยา

นานมากที่เธอไม่ได้จูงมือลูกไปโรงเรียนแบบนี้

คอนโดของเหยียนฉีอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก ใกล้ๆมีห้างสรรพสินค้า ถัดไปอีกนิดก็มีตลาดสดที่ไม่ถือว่าเล็ก และยังมีโรงเรียนชื่อดังอยู่ใกล้ๆอีก เดินแค่ห้านาทีก็ถึงแล้ว ตอนแรกเพราะซินเหยาเธอเห็นที่ตรงนี้มันดีหรอก เธอถึงตัดสินใจเข้ามาอยู่ด้วย

ซินเหยา……

เดินถึงชั้นล่าง ซินเหยาก็เหมือนได้ยินคนเรียกชื่อเธอ เสียงก็ยังคุ้นๆอีก

เธอไม่ได้ยิน เธอไม่ได้ยินอะไรเลย

จับไว้มือของลูกทั้งสองและเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น

"ซินเหยา……"

ซินเหยาตอนนี้กำลังทำเหมือนว่าตัวเองหูหนวก ไม่ได้ยินที่เรียก

"หม่ามี๊คะ มีคนเรียกชื่อหม่ามี๊ค่ะ" เข่อหลานพูด

"ไม่มีหนิ ลูกหูฝาดไปแล้ว" ซินเหยาโกหกลูกอย่างเนียนๆ เธอไม่อยากที่จะเจอคนที่กำลังเรียกเธออยู่ตอนนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าลูกทั้งสองคนของเธอ

"ไม่ใช่" เข่อหลานพูดขึ้นอย่างมั่นใจ และปล่อยมือซินเหยา หันหลังไปและบอกเธอว่า "หม่ามี๊คะ ลุงคนหล่อคนนั้นกำลังเรียกหม่ามี๊อยู่"

ซินเหยาโดยเจ้าเข่อหลานตัวดีเล่นเข้าให้แล้ว

ตอนนี้เธออยากจะจับเข่อหลานมาตีตูดจริงๆ

ก่อนที่เธอจะหันหลังไป เธอก็ฝืนยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย

"ซวี่เจ๋อ……" ซินหยาเอาลูกทั้งสองของเธอไปไว้ข้างหลัง และพูดกับซวี่เจ๋อด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มว่า "ถ้าลูกไม่เตือนฉัน ก็เกือบจะไม่ได้ยินว่ามีคนเรียกไปแล้ว"

หลังจากที่เธอปฏิเสธเขาไปก็ไม่ได้เจอกันพักใหญ่แล้ว

เมื่อเห็นเธอ ซวี่เจ๋อจึงค่อยลงมาจากรถ

ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันมานาน แต่ซวี่เจ๋อก็ยังคงหล่อไม่เปลี่ยน

ซวี่เจ๋อวันนี้แต่งตัวแบบสบายๆ เสื้อเชิ๊ตสีขาวตัวหนึ่งบวกกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ผมที่ไม่ได้เซ็ตมาดูรกๆหน่อย ซวี่เจ๋อตอนนี้เหมือนกับเป็นชายหนุ่มที่อายุน้อยลงไปห้าปียังไงยังงั้น

นี่มันเป็นการย้อนวัยหรอ ซินเหยาอยากถามเขามากว่ามาจากอดีตเมื่อห้าปีก่อนหรืออย่างไร

เทพบุตรยังหล่อเหมือนเดิม

เข่อหลานดึงไปที่ชายกระโปรงของซินเหยา กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง

ซินเหยาเอามือปิดปากของเข่อหลานโดยทันที และพูดให้เข่อหลานว่า "ผู้ใหญ่กำลังคุนกันอยู่ เป็นเด็กอย่าแทรกนะคะ"

ไอ้เด็กคนนี้ถึงแม้ความฉลาดจะไม่ต่างจากพี่ชาย แต่การจัดการด้านอารมณ์คือติดลบห้าไปเลยจ่ะ ถ้าเธอได้ปริปากเมื่อไหร่ จะต้องพูดเรื่องหายนะเป็นแน่

"หลิงลั่ว คนรู้จักหม่าม๊ามาหาน่ะ ตอนเลิกเรียนเดี๋ยวหม่าม๊าค่อยไปรับ ตอนนี้พวกหนูไปโรงเรียนก่อนเลยนะ"

ต้องหาวิธีให้เด็กพวกนี้ห่างจากซวี่เจ๋อ ไม่งั้นเบื่องลึกของเด็กพวกนี้ได้แตกแน่

เข่อหลานที่หน้าหงอยไป ดูไปที่ซินเหยาและดูไปที่ซวี่เจ๋อที่กำลังเดินเข้ามา และพูดขึ้นว่า "หม่ามี๊คะ ลุงคนหล่อคนนี้เป็นแฟนหม่ามี๊หรอคะ ทำไมหม่ามี๊ไม่พามาให้พวกหนูสองคนรู้จักล่ะคะ"

"ไม่ใช่ค่ะ" ซินเหยาปฏิเสธอย่างเสียงแข็ง

"หม่ามี๊บอกว่าแฟนหม่ามี๊หล่อมาก ลุงคนนี้ก็หล่อนิคะ"

"เขาไม่ได้เป็นแฟนหม่ามี๊ค่ะ"

"ดูไปดูมาน่าจะเป็นคนมีตังค์นะคะ"

"เขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานของหม่ามี๊น่ะ"

"เขายังเรียกหม่ามี๊ว่าซินเหยาเลยค่ะ"

ซินเหยา : ……

หึ ดูเด็กคนนี้พูด

"หม่ามี๊บอกว่าไม่ใช่ไงคะ รีบไปโรงเรียนกับพี่ชายหนูเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย" ลูกเต้าเหล่าใคร อยากจะตีตูดจริงๆ

"หนูไม่ไปค่ะ " เข่อหลานพูดขึ้นแบบไม่พอใจ

ส่วนของหลิงลั่วนั้นไม่ได้พูดอะไร

"ซินเหยา……" ซวี่เจ๋อเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น สายตาที่ดูระยิบระยับมองไปที่ใบหน้าอันสะสวยของซินเหยาและพูดว่า "เป็นไงบ้าง สบายดีหรือป่าว ช่วงที่ผ่านมาผมไปธุระที่ต่างประเทศ ตอนที่ไปผม……."

เขาอยากพูดว่า : ผมคิดถึงคุณมาก

แต่คิดแล้วว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับซินเหยาไม่ได้อยู่ในขั้นนั้น จึงได้พูดว่า "ผมสับสนมากไม่รู้ว่าควรซื้อของอะไรมาฝากคุณ"

มัน……มันไม่ทันแล้ว

"หึหึ ฉันมีความสุขดี" ซินเหยายิ้มขึ้น มีหลายอย่างที่พูดต่อหน้าลูกๆไม่ได้ และถามขึ้นว่า "แล้วคุณกลับมาได้ไงล่ะ"

"ผมพึ่งกลับมาถึงยังรู้สึกเจ็ตแหลกอยู่แต่ก็รีบมาให้ของฝากกับคุณ ให้เซอร์ไพร์กับคุณ" คำพูดของซวี่เจ๋อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น "คุณดูว่าคุณชอบหรือป่าว ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวผมเปลี่ยนให้ ของฝากของคนอื่นยังอยู่ที่ผมอยู่"

ซินเหยาเห็นมือของซวี่เจ๋อถือไว้กล่องของขวัญเล็กๆใบหนึ่ง เธอไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพร์นะ แค่รู้สึกตกใจเท่าน้ัน

"หึหึ" ถ้าเปลี่ยนจากของขวัญเป็นเงินเธอน่าจะชอบมากกว่านี้ "แค่คุณมีน้ำใจให้ฉัน อะไรฉันก็เอา"

"งั้น……." ซินเหยารับของขวัญไป และถามขึ้นอย่างเก้ๆกังๆว่า "ของขวัญฉันก็ได้แล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ ยังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก"

"คุณจะไปไหน เดี๋ยวผมไปส่งเอง" ซวี่เจ๋อพูด

คุณเทพบุตรคะ คุณเป็นแบบนี้อีกแล้วนะคะ

"เออ ความจริงมันไม่ไกลน่ะ เดินแค่ห้านาทีก็ถึงแล้ว" ซินเหยาพูดปฏิเสธ

"นี่คือลูกสองคนที่คุณบอกสินะ น่ารักมาก" ซวี่เจ๋อมองไปที่เด็กสองคนที่อยู่ข้างหลังซินเหยา มองดูด้วยความอยากรู้ เพียงแค่รู้สึกว่าใบหน้าพวกเขาคล้ายใครสักคน ซวี่เจ๋อรู้สึกสงสัยและพูดขึ้นว่า : "เด็กสองคนนี้เหมือน……"

เหยียนฉีอยู่ในแวดวงบันเทิง เรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้เธอไม่มีทางไม่รู้

"ใจของคนมันยากแท้หยั่งถึง ก็เป็นเพราะว่าลูกชายคนโตเกิดเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ขึ้น คนนอกถึงได้จับตาดูยังไงหล่ะ ถ้าเยี่ยแจว๋ไม่ทำอะไรสักอย่าง เยี่ยจิงซิงจะยืนหัวโด่อยู่ในบริษัทได้หรอ คงไม่มีใครมองจิงซิงอยู่ในสายตาหรอก เยี่ยแจว๋ก็เหลี่ยมใช่ย่อย ใช้เรื่องนี้เพื่อที่จะมาแสดงอำนาจของตัวเองให้คนอื่นได้เห็น เพราะงั้นจิงเฉินเลยต้องลงจากตำแหน่ง และเป็นได้แค่ผู้ปิดทองหลังพระอยู่หลังจิงซิงเท่านั้น" ตอนที่ซินเหยาพูดสัมผัสได้ถึงความโศกใจอยู่เล็กน้อย นี่เป็นเรื่องของคนอื่น จะไปยุ่งทำไมขนาดนั้นล่ะ ซินเหยายิ้มกลบเกลื่อนและพูดกับเหยียนฉีว่า : "อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนรวย เล่นบทละครน้ำเน่าไว้เยอะมั้ง เธอก็น่าจะเข้าใจดีหนิ"

เหยียนฉีเพียงแค่มองบน

"นิสัยอย่างจิงเฉินที่จะปล่อยให้พี่ชายได้ตำแหน่งไปงั้นหรอ? มันแปลกไปหน่อยหรือป่าว ฉันกลับคิดว่าเขามีแผนที่จะมาทำให้พี่ชายและพ่อของตัวเองแพ้ราบเป็นนาบกลองมากกว่า" และพูดขึ้นต่อว่า "เขาเข้ามาจัดการงานในบริษัทก็หลายปีแล้ว ฉันเดาว่าอำนาจทุกอย่างของเยี่ยหวงมากกว่าร้อยละเจ็ดสิบอยู่ในมือเขาหมดแล้ว เขาเป็นสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์มาก ไม่สามารถมีใครมาแหย่เขาได้ง่ายๆหรอก"

ซินเหยาพูดขึ้นเสียงดังลั่นและยกนิ้วโป้งให้ฉีฉีและพูดว่า "ฉีฉี เธอพูดถูกต้องที่สุด"

ลั่วหลิงกับเข่อหลานยังเด็กอยู่ นอกจากซินเหยาแล้ว ไม่มีใครที่รู้ว่าเบื่องลึกเบื่องหลังของเด็กสองคนนี้คืออะไร

เพราะงั้นซินเหยาเลยไม่ได้พูดเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวตระกูลเยี่ยให้ฟังเลย ถึงแม้ว่าลูกน้อยของเธอจะฉลาดขนาดไหน แต่ยังไงตอนนี้ก็ยังเป็นเด็กอยู่

ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างเมามันอยู่นั้น ลั่วหลิงก็เอียงหัวแอบฟังอยู่อย่างเงียบๆ

เข่อหลานเห็นสีหน้าของพี่ชายที่ดูเคร่งเครียด

ลั่วหลิงขมวดคิ้วขึ้น จับตะเกียบของตัวเองอย่างแน่นมาก

ข้าวแค่มื้อเดียว เข่อหลานกินได้อร่อยถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ลั่วหลิงยังดี ไม่ต้องให้ใครมาเป็นห่วง

มีพ่อแม่คนเดียวกันชัดๆ กินข้าวหม้อเดียวกันตั้งแต่เล็ก ถ้าเทียบความสุขุมของลั่วหลิงแล้วล่ะก็ เข่อหลานแพ้แบบราบคาบ

กินเยอะจนท้องป่องขึ้นมาขนาดนั้น แต่เธอก็ยังทนได้อยู่อีก

ซินเหยาหายาย่อยอาหารให้เธอ และกอดเธอไว้นวดๆท้องให้

เข่อหลานที่กำลังซบอยู่ในอกของซินเหยา ดูเป็นเด็กดีและดูน่ารักมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และพูดขึ้นว่า "หม่าม๊า ตัวของหม่าม๊านุ่มมาก หอมอีกต่างหาก หนูชอบที่หม่าม๊ากอดหนูไว้แบบนี้"

"ได้สิ ถ้าหม่าม๊าว่างหม่าม๊าจะกอดหนูทุกวันเลย" ซินเหยาพูด

หลังจากที่ลั่วหลิงกินเสร็จก็เอาถ้วยไปล่าง และเดินเข้าห้องของตัวเองไป

ลั่วหลิงเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเอง มือสองข้างอันเล็กบินไปบนคีบอร์ดอย่างรวดเร็ว

"ขอโทษครับ ผมคิดไม่ถึงว่าคลิปของจิงซิงที่ปล่อยออกไปจะทำให้บริษัทและคุณต้องเจอกับเรื่องแย่แบบนี้" หน้าของลั่วหลิงอยู่ภายใต้แสงสลัวๆของโน๊ตบุ๊ค มันดูเกร็งเล็กน้อย สายตาก็ดูโศกไปนิด

ถ้าหากเวลาที่เขาโตขึ้นไป จะต้องแกร่งกว่าใครบางคนแน่ๆ

หลังจากที่จิงเฉินเห็นข้อความที่ส่งมา ก็ขมวดคิ้วขึ้น

ไม่รู้เลยว่าคนที่ส่งมาเป็นใครกันแน่ มีเป้าหมายอะไร จิงเฉินรู้สึกสงสัยมากว่าใครส่งมา

และพิมพ์ตอบกลับไปว่า "คลิปพวกนั้นคุณเป็นคนปล่อยเองหรอ?"

"ใช่"

"ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น จิงซิงทำอะไรไม่ดีกับคุณไว้หรือป่าว" จิงเฉิรู้สึกอย่างรู้ขึ้นอีก

"เขารังแกคนที่ไม่ควรรังแก"

"ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันำให้ผมแย่ แล้วจะแก้ไขอย่างไรให้ผม"

"คุณอยากได้อะไร"

"ผมอยากได้เยี่ยหวงกลับมา ให้ผมได้เป็นประธานต่อ ทุกอย่างในเยี่ยหวงต้องกลับมาในมือผม" จิงฉินพูดแกล้งเล่น

ที่จริงทุกอย่างของเยี่ยหวงอยู่ในมือจิงเฉินหมดแล้ว เขาแค่อยากจะแกล้งแฮ็กเกอร์คนนี้เท่านั้น

จิงซิงตอนนี้คงจะคิดว่าเยี่ยหวงเป็นของตัวเอง แต่เขาไม่ได้คิดว่าจิงเฉินเป็นคนให้เขา เขาตอนนี้ก็แค่ช่วยจิงเฉินทำงาน หาเงินให้จิงเฉินเท่านั้น

แสงสลัวๆของไฟ มันบดบังใบหน้าอันนิ่งขรึมของลั่วหลิง แต่มันก็ยังดูอ่อนโยนอยู่

ผ่านไปหลายนาที อีกฝั่งของหน้าจอก็ตอบกลับมาว่า "ได้"

ตอนนี้จิงเฉินรู้สึกตกใจมาก คนที่พูดมันโอ้อวดไม่อายปากจริงๆ

ถ้าเกิดเป็นทุกครั้งจิงเฉินคงจะหัวเราะดังออกมาแล้ว แต่ครั้งนี้อีกฝั่งดูท่าทางจริงจังมาก ถึงแม้ว่าอีกฝั่งจะไม่ใช้คำพูดที่สวยหรู มีแค่คำว่า'ได้'แค่คำเดียว แต่มันทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝั่งมีความจริงใจ

"คุณรู้ไหมว่าคำว่า'ได้'คำนี้มันหมายถึงอะไร" จิงเฉินถาม

"หมายความว่าผมตอบตกลง ผมจะเอาเยี่ยหวงกลับมาให้คุณ" เสียงตอบกลับที่ดูคูลมาก

"นี่มันอาจจะเป็นความคิดที่มโนไปอยู่หรือป่าว คุณคิดได้ไงว่าจะช่วยผมได้"

"ขนขาผมไม่ร่วงสักเส้นก็ทำให้คุณลงจากตำแหน่งได้ไงล่ะ"

คำพูดนี้มันใจกล้ามากจริงๆ ถ้าเกิดว่าของที่เป็นของจิงเฉิน อย่าหวังว่าใครจะเอามันไปได้

แต่ว่าจิงเฉินรู้สึกสนใจไอ้คนที่พูดโอ้อวดนี้ขึ้นมาก สายตาของเขาจ้องไปที่คีบอร์ด กดพิมพ์ลงไปมาอย่างรวดเร็ว หน้าจอตอนนี้เต็มไปด้วยโค้ดรหัสมากมาย

"อย่าเสียแรงเปล่าๆเลย คุณหาผมไม่เจอหรอก"

สายตาที่ดูถูกของจิงเฉินมันลงลดลงมาก หาไม่เจออะไรจริงๆ ที่อยู่IPก็หาไม่เจอ

"ทำไมคุณถึงต้องช่วยผม แค่เรื่องนั้นทำให้ผมแย่งั้นหรอ?" จิงเฉินพิมพ์ส่งกลับไป และยังพยายามอย่างสุดฤทธิ์ที่จะหาที่อยู่IP

"เพราะคุณเป็นป๊ะป๋าผมไงล่ะ เพราะงั้นถึงได้ตอบรับคำขอของคุณ"

จิงเฉินตอนนี้เห็นตัวอักษรต่างๆโผล่ขึ้นมา มือของเขาสั่นหน่อย สุดท้ายหน้าจอคอมก็มีโค้ดต่างๆขึ้นมา สุดท้ายคอมก็ดับไป

ลั่วหลิงรออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นทางนั้นจะมีอะไรตอบกลับมา หรือว่าจะทำให้เขาตกใจเกินไป?

เมื่อได้ยินเสียงเท้าเดินที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลั่วหลิงก็ปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คลง และจะไปพักผ่อน

ลั่วหลิงไม่ได้ทำให้จิงเฉินตกใจ แต่ทำให้เขาหัวร้อนต่างหาก จิงเฉินไม่รู้เลยว่าคนที่มาแกล้งเขาเล่นคนนี้เป็นใครกันแน่

ลูกชาย? ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าตัวเองมีลูกชายที่โตขนาดนี้?

เขาควรจะดีใจนะ ดีที่ฝั่งนั้นบอกมาว่าเป็นลูกชาย

คอมดับไปแล้ว กว่าจะรอเปิดกลับมาได้ เลนส์กล้องของทางนั้นมันก็มืดไปแล้ว คงจะออฟไลน์ไปแล้ว

จิงเฉินงงไปหมด หรือว่าจะเข้านอนแล้ว?

ดูไปที่นาฬิกา ตอนนี้แค่สองทุ่มครึ่งเองนะ แฮกเกอร์สมัยนี้นอนเช้าขนาดนี้ไปแล้วหรอ? ทำเอาขายหน้าพวกแฮกเกอร์คนอื่นไหม?

เหยียนฉีเมื่อรับเด็กน้อยสองคนกลับมาบ้านเสร็จ ทั้งบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นของชาบูหม่าล่า ได้แค่กลิ่นก็สามารถที่จะทำให้คนน้ำลายย้อยออกมาแปดเมตรได้ เข่อหลานเมื่อเปลี่ยนรองเท้าแตะเสร็จก็บินเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็วเปรียบเหมือนกับนกที่เพิ่งออกจากกรงยังไงยังงั้น

"หม่าม๊าทำอะไรอยู่หรอคะ? หอมมากเลยค่ะ" เข่อหลานเบิกตาโตมองไปที่ซินเหยาและถามขึ้น

ตาของเข่อหลานตอนนี้มันเปล่งประกายดุจดั่งแสงตะวันที่กระทบไปที่ผิวของน้ำที่กำลังกระเพื่อมๆ ขนตาที่งอนยาวของเธอเปรียบเหมือนหน้าต่างสองบานใหญ่ที่กำลังเปิดอ้าอยู่ บวกกับบนแก้มขาวใสที่มีลักยิ้มอันมีเสน่ห์แสดงออกมา น่ารักมากจริงๆ

ซินเหยาหันไปหาเข่อหลานและจูบไปหนึ่งฟอด

เข่อหลานมองดูอย่างนิ่งๆด้วยความอยากจะพลักออก

"ลูกรักของหม่าม๊า วันนี้แม่บุญธรรมฉีฉีของหนูกลับมาค่ะ เพราะงั้นเราเลยจะทำชาบูหม่าล่ากินกัน" ซินเหยาจลูบไปที่หัวของเข่อหลานด้วยรอยยิ้มที่เปรมปรีดิ์

"หนูชอบกินชาบูที่สุดค่ะ หม่าม๊าดีที่สุดแล้ว หนูรักหม่าม๊าที่สุดเลยค่ะ" เข่อหลานพูดด้วยความดีใจ

กินชาบูมันมักจะทำให้มีธาตุร้อนในร่างกายได้ง่าย เพราะงั้นซินเหยาเลยไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก

ซินเหยามองไปที่มือสองข้างของตัวเอง มันเต็มไปด้วยเหงื่อ และเธอก็เอามือลูบไปที่หัวของเข่อหลาน มันไม่ค่อยเปียกแล้วตอนนี้

"เอาล่ะ หนูออกไปนั่งเล่นกับแม่บุญธรรมหนูก่อน อีกประเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว" เมื่อรอในเหงื่อในมือเธอแห้งหมด เธอจึงค่อยชักมือออกจากหัวของเข่อหลาน

ลั่วหลิงเดินเข้ามาในครัวอย่างสุขุม สายตาจดจ่อไปที่ซินเหยา เขารอมื้อเย็นที่สุดแสนจะเพอร์เฟคนี้มานานมากแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กน้อยนี้ปกติจะฉลาดเพียงไหน จะเงียบสุขุมเพียงไหน แต่เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็ก อีกอย่างยังอายุ5ขวบอยู่ด้วย แต่ว่าไปลั่วหลิงค่อนข้างเก็บความรู้สึกเก่ง ถึงแม้ว่าตัวเองจะรอคอยอาหารมื้อนี้มานาน แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็นเลย

ซินเหยาจูบไปที่แก้มของลั่วหลิง

ตอนน้ีหูของลั่วหลิงแดงขึ้นมาทันที แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน สุขุมเหมือนเดิม

"หม่าม๊าครับ เดี๋ยวผมช่วย"

มื้อเย็นดึกๆแบบนี้ทั้งครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันนั่งทานข้าวด้วยกัน ยังมีกับอื่นๆที่พร้อมจะลงหม้อได้ทุกเมื่อวางอยู่เต็มโต๊ะ มันมีความสุขมากจริงๆ

หม้อรูปทรงเป็ดแมนดาริน ข้างหนึ่งคือซุปหม่าล่า อีกข้างหนึ่งคือซุปใส

ในส่วนซุปหม่าล่านั้นมีแค่ซินเหยาเท่านั้นที่สามารถต่อกรได้ ส่วนผู้ใหญ่1เด็ก2ที่เหลือนั้นก็ทำได้แค่มอง เพราะไม่สามารถที่จะต้านทานความเผ็ดแซ่บของมันได้จริงๆ

ซินเหยาใช้ตะเกียบหยิบเนื้อวัวมาหนึ่งชิ้น จุ่มสลัดไปในหม้อไม่ถึง5วิก็จับเข้าปากซะแล้ว

รสชาติที่เผ็ดแซ่บนี้เหมือนมันกำลังดิ้นอยู่บนเพดานปากของเธอ เปรียบเหมือนจุดประการแสงไฟให้เธอมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง มันแซ่บเวอร์ น้ำย่อยในกระเพาะที่ปล่อยออกมาผสมกับความแซ่บของซุปหม่าล่า มันทำให้เธอรู้สึกฟินมาก

สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเผ็ดคงจะสัมผัสไม่ได้ถึงความฟินในครั้งนี้

แต่สำหรับคนที่กินเผ็ดแล้วล่ะก็ ยิ่งเผ็ดยิ่งแแซ่บอยากกินเข้าไปใหญ่

เนื้อวัวที่สุดแสนจะสด บวกกับน้ำซุปที่สุดแสนจะแซ่บ มันไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้วล่ะ

ซินเหยาฟินถึงขั้นหลับตาลงและซี๊ดปากออกมา แซ่บบบ!!!!

"แซ่บเวอร์……" ซินเหยากลืนเนื้อวัวชิ้นนั้นลงไป พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง

ซินเหยาเมามันกับซุปหม่าล่าอยู่คนเดียว ส่วนสามคนที่เหลือนั้นก็กินซุปใสอย่างไม่มีรสมีชาติ

"หม่าม๊าขา หนูอยากกินซุปฝั่งนั้นบ้าง" เข่อหลากลืนน้ำลายลงหนึ่งอึกเพราะเห็นหม่าม๊าของตัวเองกินอย่างเอร็ดอร่อยจึงอยากลอง

ลั่วหลิงไม่ได้พูดว่าอยากกินออกมา เพียงแต่วางตะเกียบลง และใช้สายตามองไปที่ซินเหยา สายตาคู่นี้ถ้ามองนี้ดีๆมันเหมือนกับของจิงเฉินมาก

"ซุปนี้มันเผ็ดมาก" ซินเหยาดื่มน้ำลงไปหลายอึกและพูดขึ้น

"หนูไม่กลัวเผ็ดค่ะ" เข่อหลานมองไปที่ซินเหยาอย่างคาดหวัง

เห้อ…..เห็นลูกที่อ้อนเก่งแบบนี้มีหรือที่จะปฏิเสธได้

เธอจุ่มเนื้อวัวไปที่ซุปหม่าล่าสองชิ้น และจุ่มที่ซุปใสอีกที และตักใส่ถ้วยของลูกทั้งสอง และพูดว่า : "กินเยอะไม่ได้นะ"

เข่อหลานรีบจับใส่ปาก สีหน้ามีแต่ความสุข

ลั่วลิงก็ยิ้มที่มุมปาก และกินอย่างช้าๆสุขุม

หลังจากที่ทั้งสองกลืนลงไป ก็ซี๊ดปากขึ้น

"ฉีฉี เธอลองชิ้นนึงสิ กินชาบูไม่กินเผ็ดมันไม่เห็นจะแซ่บเลย' ซินเหยาหยิบลูกชิ้นเนื้อใส่ไปที่ซุปใส และตักให้ฉีฉี

"กินเผ็ดสิวจะขึ้นนะ" เหยียนฉีพูด

"แม่บุญธรรมฉีฉีคะ ถึงแม้ว่าแม่บูญธรรมฉีฉีสิวจะขึ้น แต่ก็ยังสวยเหมือนเดิมค่ะ" เข่อหลานพูดพรางยิ้ม

"ปากหวานจริงๆนะเรา" พูดจบเหยียนฉีก็กิน

"งั้นหม่าม๊าก็ไม่สวยแล้วหรอ ไม่สนใจหม่ามี๊แล้วใช่ไหม" ซินเหยารู้สึกงอนเล็กน้อย

เป็นลูกของเธอแท้ๆ แต่ทำไมกลับไปชอบฉีฉีแม่มดนั้นได้

"หม่ามี๊ก็สวยค่ะ หนูรักหม่ามี๊รองจากแม่บุญธรรมฉีฉี" ซินเหยาขมวดคิ้วขึ้นไม่พอใจอย่างแรง และเข่อหลานก็พูดขึ้นอีกว่า "ถ้าเกิดหม่ามี๊อยู่เป็นเพื่อนกับหนูและพี่ตลอดได้ หนูก็รักหม่ามี๊ที่สุดค่ะ"

ซินเหยาหลังจากที่ฟังจบก็รู้สึกจุกเล็กน้อย หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศเธอก็เอาแต่ทำงาน อาจจะมองข้ามลูกน้อยของเธอไป เห้อ

"ได้ งั้นพรุ่งนี้หม่ามี๊ไม่ไปทำงาน หม่ามี๊จะไปส่งหนูทั้งสองไปโรงเรียนเอง" ซินเหยาพูด

"จริงหรอคะ? หม่ามี๊ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมคะ" เข่อหลานพูดขึ้นอย่างดีใจ

สายตาของลั่วหลิงก็เปร่งประกายขึ้นเหมือนกัน

"จริงสิคะ เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน" ซินเหยาเกี่ยวก้อยกับลูกทั้งสองและพูดว่า "สัญญาเป็นสัญญา ใครไม่ทำตามก็เป็นหมา"

"พวกเธอสามคนไม่ต้องมารังแกคนที่อยู่เป็นโสดอย่างฉันเลย พรุ่งนี้ฉันจะไปหาผู้ชายมาสักคน และเกิดลูกมาสักหนึ่ง" เหยียนฉีพูด

"ดีเลย แม่บุญธรรมฉีฉีคลอดลูกชายดีไหมคะ หนูอยากมีน้องชาย" เข่อหลานพูดขึ้นอย่างดีใจ เหมือนกับว่าตัวเองจะมีน้องชายในทันที

"ฉีฉี คนเราพูดจริงต้องทำจริง จะมาโกหกลูกน้อยฉันไม่ได้นา" ซินเหยาพูดขึ้นพรางยิ้ม

เหยียนฉีแค่พูดไปตามน้ำ ตอนนี้เแค่ผู้ชายคนเดียงเธอยังไม่มีเลย

"พรุ่งนี้วันพุธ เธอไม่ต้องไปทำงานหรอ?" เหยียนฉีพูดหนีประเด็น

ซินเหยาเมื่อกี้ก็แค่อยากแกล้งฉีฉีเล่นก็เท่านั้น เมื่อเห็นเธอเบี่ยงประเด็นก็ไม่คิดจะตามอะไรมาก เพียงแต่หยิบกุ่งจากหม้อหม่าล่า จุ่มลงในหม้อซุปใส และตักใส่ให้ลูกทั้งสองและพูดว่า "ฉันได้หยุดสองสามวันน่ะ จะได้มาใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยของฉันแล้ว"

"ทำไมจู่ๆถึงได้หยุดล่ะ?" เหยียนฉีถาม

"อ๋อ…..ท่านประธานเยี่ยโดนแย่งเก้าอี้ประธานไปแล้วน่ะสิ โดนพ่อกับพี่ชายแท้ๆของตัวเองดึงลงมาเลยแหละ" ซินเหยาพูดโดนไม่ได้ปิดบังอะไร

"เยี่ยจิงเฉินหรอ?" เหยียนฉีตกใจขมวดคิ้วขึ้น และพูดต่อว่า : "จิงเฉินในตลาดธุรกิจก็เป็นคนที่นับหน้าถือตา หลายปีมานี้ก็ทำให้เยี่ยหวงมาไกลขนาดนี้ได้ แต่ทำไมจู่ๆถึงเป็นแบบนี้ไปได้? พี่ชายของเขาก็เพิ่งจะมีข่าวฉาวไปไม่นานมานี้เองนะ?!"

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นเหยียนฉีผู้ที่ยุ่งตัวเป็นเกลียวในที่สุดก็กลับมาบ้านจนได้ แค่ดูเหนื่อยและผอมลงไปมาก

ซินเหยาจับไปที่เองอันบางเรียวของตัวเอง และคิดในใจว่าถ้างั้นก็สามารถไปทะเลว่ายน้ำเล่นแล้วล่ะสิ อีกทั้งยังสามารถประหยัดค่าห่วงยางอีกด้วย

"ฉีฉี เธอกลับมาแล้วหรอ?" ซินเหยาวิ่งโถมตัวทับไปที่ร่างของเธอ

เหยียนฉีโดนซินเหยาทับจนรู้สึกจะขาดอากาศหายใจยังไงยังงั้น เธอเกือบจะมองบนแล้วนะ

ซินเหยาเธอไม่ได้อิจฉาหุ่นอันเผ็ดแซ่บของเหยียนฉีเลยนะ ถึงได้จะทับเธอให้ตายน่ะ

"ไปไกลๆ" เหยียนฉีพูดให้ซินเหยาและมองบนใส่ไปหนึ่งรอบ

ซินเหยากลิ้งไปกลิ้งมาบนตัวของเหยียนฉี และทับไปที่หน้าอกของเธอที่ดูจะมีระดับที่สูงต่ำขึ้นลง ตอนนี้ซินเหยารู้สึกอยากร้องไห้เพราะหน้าอกของเธอสู้ไม่ได้เลย

เธอคิดมาโดยตลอดว่าหน้าอกของเธอก็ดูมีน้ำมีนวลสมบูรณ์ดี แต่เมื่อมาเทียบกับของเหยียนฉี มันก็เหมือนกันลูกขนมจีบกับซาลาเปาลูกใหญ่ยังไงยังงั้น นี่มันไม่ยุติธรรมเลย

ซินเหยาลูบไปที่ซาลาเปาลูกใหญ่ขอเหยียนฉีแบบตาไม่กระพริบ พร้อมเอ่ยปากถามขึ้นว่า "ฉีฉี เธอไปทำหน้าอกที่ไหนมา แนะนำฉันที"

ทำไมผิวสัมผัสกับการใช้สายตาดูมันถึงได้ต่างกันขนาดนี้ มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าของเธอมากนะ

เหยียนฉีขมวดคิ้วและใช้ฝ่ามืออรหันต์ของเธอตบไปที่ซินเหยา และพูดขึ้นว่า "ทำบ้าอะไร นี่มันได้มาแต่กำเหนิด สวรรค์บันดาลให้ฉัน เธอก็อิจฉาตาร้อนไปเถอะ ภาวนาขอให้ชาติหน้าไม่ต้องแบนแบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน"

QAQ ความจริงเธอกับคัพCนะ

"เป็นไปไม่ได้ ให้ฉันจับอีกรอบสิ๊ ฉันต้องทดสอบว่ามันเป็นของจริงรึปล่าว" ซินเหยาโถมตัวเข้าไปหาอีกครั้ง พร้อมกับนำมือที่พร้อมจะพิสูจน์ขึ้นมา

เหยียนฉียิ้มแห้งและพูดว่า "เธอตายใจได้ล่ะ นี่มันหน้าอกจริง ถึงเธอจะใช้แรงบีบขนาดไหน มันก็ทำให้แบนลงไม่ได้หรอก"

ซินเหยา : ……

พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันนะ เธอจะมีความคิดไม่ดีต่อเพื่อนแบบนี้หรอ เธอโดนเข้าใจผิดต่างหาก (จริงหรอ?)

"เธอจัดการงานเสร็จหมดแล้วหรอ" ซินเหยาเลิกถามคำถามเรื่องหน้าอกและถามเธอเรื่องอื่นอย่างหน้าจริงจัง

ความจริงเธอไม่อยากจะรู้สึกเศร้าไปหรอกที่เหยียนฉีหน้าอกใหญ่กว่าเธอ เอวบางกว่าเธอ ขายาวกว่าเธอ และอีกอย่างยังรวยกว่าเธอ ถ้าเทียบแบบนี้ ซินเหยาน่าจะรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว

"ไม่เสร็จ" เหยียนฉีสายหัวตอบ "ที่ทำงานของจุ้ยเหยียนๆ เฟยๆและLouisต่างก็อยู่ที่เมืองBกันหมด เพราะงั้นต้องอยู่ที่เมืองBสักพัก"

"งานสายนี้ของพวกเธอต้องดูเรื่องฝนเรื่องฟ้าอากาศ มันเหนื่อยเกินไปหรือป่าว?" ซินเหยารู้สึกงานของตัวเองสบายกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยบินอยู่บนท้องฟ้าเป็นประจำ อีกอย่างยังรู้สึกอิสระมากกว่าด้วย

"ความสบายนั้นเก็บไว้ให้คนตายเถอะ" เหยียนฉีพูดอย่างสง่าดูสูงส่ง

ซินเหยาที่เมื่อกี้ยังคิดอยู่ว่างานของตัวเองนั้นสบาย แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกใต้ขาขึ้นมาทันทีแบบไม่มีสาเหตุ

ฉีฉี เธอปากร้ายขนาดนี้ สาวรับใช้บ้านเธอรู้ป่าวเอ่ย?

"คืนนี้กินไรดี" ซินเหยาถาม

บนโลกใบนี้สิ่งที่ตัดสินใจยากที่สุดไม่ใช่คำถามที่ว่าระหว่างแฟนกับพ่อแม่ถ้าตกน้ำจะช่วยใครก่อน แต่มันคือคำถามที่ว่า—มื้อเช้ากินไรดี? มื้อเที่ยงกินไรดี? มื้อเย็นกินไรดี? ต่างหาก

"แล้วแต่เลย" เหยียนฉีพูดแบบได้หมด

"ช่วงนี้ฉันก็อาจจะไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นแล้ว คืนนี้เรากินชาบูเถอะ" วันพิเศษแบบนี้ที่ฉีฉีกลับมาโดยเฉพาะ คนสี่คนสามารถกินชาบูพร้อมหน้าพร้อมตากัน ซินเหยามีความสุขมากจริงๆ

ชาบูเป็นสิ่งที่ซินเหยาโปรดปรานมากที่สุด

"เธอทำนะ" เหยียนฉีพูด

"งั้นเธอล้างผัก" ซินเหยาพูด

"ไม่อ่ะ งั้นเราไม่กินแล้วไหม" เหยียนฉีพูดแบบไม่เห็นด้วย

ซินเหยาเมื่อได้ฟังก็รู้สึกลำไยมาก อยากจะเบะปากมองบนให้หนึ่งช็อต

เมื่อกี้ใบหน้าเธอยังมีแต่รอยยิ้ม แต่ตอนนี้มันดูจืดชืดขึ้นมาทันที

ซินเหยาอยากพูดว่า ไม่กินก็ไม่กิน เธอก็รอให้หิวตายเลยล่ะกัน

แต่เธอรู้สึกอยากกิน อยากินชาบูมากจริงๆ

เธอรู้สึกว่าถ้าวันนี้เธอไม่ได้กินมันจะตายให้ได้ยังไงยังงั้น

"งั้นฉันทำเองก็ได้ เธอมันจอมขี้เกียจ ขี้เกียจตัวเป็นขน" ซินเหยากัดฟันพูดยินยอม

เหยียนฉีเห็นซินเหยาที่โกรธควันออกหูก็ยิ้มริมฝีปากขึ้น ความได้ใจในดวงตาของเธอมันแสดงออกมาลึกแปดเมตร และตอบกลับซินเหยาแบบเบาๆว่า : "ไม่ทำงานบ้าน ยกงานทุกอย่างให้ลูกห้าขวบสองคนทำ ไม่มีสิทธิมาว่าฉันขี้เกียจตัวเป็นขนนะคะ อิๆ"

ซินเหยา : ……

ที่เหยียนฉีพูดมามันก็ดูมีหลักการดีนะ ห้าๆ

ในเมื่อคืนนี้จะทำชาบูแล้ว เธอต้องออกไปซื้อผักเดี๋ยวนี้แล้ว

เหยียนฉีไม่ยอมช่วยเธอล้างผัก เพราะงั้นถึงต้องลากตัวเหยียนฉีออกไปซื้อผักด้วยกัน

โรงรถของเหยียนฉีมีรถจอดเรียงรายหลายคันมาก แต่ซินเหยาชอบรถเฟอร์รารี่สีแดงคันนั้นที่สุด มันดูเท่ห์มาก แต่ว่าเหยียนฉีจอดรถไว้ที่บริษัทตลอด รถที่ขับกลับมาครั้งนี้ ซินเหยาก็ต้องบอกว่าพอใจหมด

เธอชอบรถเฟอร์รารี่สีแดงคันนั้นจริงๆ

"ในเมื่อเธอชอบขนาดนี้ ก็ซื้อสักคันสิ เธอไม่ได้ไม่มีเงินสักหน่อย" เหยียนฉีพูดให้ซินเหยาผู้ที่กำลังจ้องรถสปอร์ตพวกนั้นจนตอนนี้น้ำลายเหมือนจะไหลออกมาแล้ว

"เธอคิดว่าฉันเหมือนเธอรึไง เงินเดือนสูงขนาดนั้น อีกอย่างยังส่งให้ครอบครัวได้อีก ผิดกับฉันที่ยังต้องมีลูกอีกสองคนให้ดูแล ต้องจ่ายค่าเทอม เมื่อพวกเขาโตแล้ว ยังจะต้องซื้อบ้านซื้อรถให้ลั่วหลิงเพื่อหาลูกสะไภ้ ต้องเตรียมสินสอดอีก ยังต้องตัดชุดแต่งงานให้เข่อหลาน มีสิ่งไหนที่มันไม่ต้องใช้เงินบ้างล่ะ" ซินหยาพูดออกมาอย่างจริงจัง

เมื่อไปถึงห้างก็ซื้อเนื้อวัว เนื้อแกะ กระเพาะวัว ลำไส้ห่าน ลูกชิ้นวัว ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปลา ปูอัด อกไก่ เลือดหมู ผักกาดขาว คะน้า ผักสลัด หน่อไม้ เต้าหู้ สาหร่าย มันฝรั่ง เห็ดเข็มทอง

ที่เข็นรถเต็มไปด้วยของต่างๆ

ตอนจ่ายเงิน เบ็ดเสร็จแปดร้อยหยวน

ซินเหยาแค่อยากพูดว่า : หึๆ……

หลังๆมานี้อะไรก็แพงขึ้นหมด มีแต่เงินเดือนที่ไม่ขึ้น

ซินเหยาวันนี้จะกินให้เรียบ เธอเอากระเป๋าสตางค์ของตัวเองใส่เข้าไปในกระเป๋าใหญ่อย่างเรียบเนียน และหันหลังไปบอกกับเหยียนฉีว่า "ฉีฉี ฉันลืมหยิบกระเป๋าตังค์มา"

เหยียนฉีเบิกตาดูซินเหยา ไม่มีใครคิดถึงจริงๆว่าจะมีคนที่หน้าหนาขนาดนี้

เมื่อกี้ที่เธอเอากระเป๋าตังค์หย่อนลงไป เหยียนฉีก็อยู่ข้างๆมองเห็นอยู่ไหม

ที่เธอหลับตาพูดโกหกแบบน้ี มันดูไม่ได้เลยรู้ไหม

เหยียนฉีเบื่อที่จะเถียงกับเธอ จึงหยิบบัตรATMของตัวเองขึ้นมา ตอนนี้ซินเหยาอิจฉาจนน้ำลายจะไหลออกมาอีกแล้ว

คนรอบข้างเธอมีแต่คนรวย แต่ทำไมถึงมีแค่ตัวเธอนะที่ยาจกแบบนี้

ชาบูต้องกินแบบเผ็ดๆ

แต่ว่าคิดถึงกระเพาะอันบอบบางของลูกๆ เธอจึงทำซุปใสเพิ่มอีกหนึ่ง

ถึงแม้จะขี้เกียจมาเป็นหลายปีแล้ว แต่ฝีมือการทำชาบูของซินเหยาไม่เคยตกไปเลย เพราะงั้น เธอมันเป็นหญิงช่างกินจริงๆ

ซินเหยาใช้เวลางานในการแต่งหน้าตัวเองอย่างสะสวย ตอน10โมงตรงก็เข้าไปห้องประชุมพร้อมจิงเฉิน

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือคนที่เป็นผู้ดำเนินการประชุมวันนี้เป็นเยี่ยแจว๋ อีกทั้งยังพาลูกแหง่จิงซิงมาอีกด้วย

เห็นหน้าจิงซิงแล้ว ซินเหยาคันไม้คันมือขึ้นมาจริงๆ

จิงซิงนั่งข้างๆเยี่ยแจว๋ ตำแหน่งที่เขานั่งเป็นตำแหน่งที่สุดจะปัง ดูยังไงก็เหมือนว่าเยี่ยแจว๋จะมามอบอำนาจให้ลูกชายคนโตยังไงยังงั้น

จิงเฉินเอามือท้าวไปที่หน้าผากของตัวเอง สภาพเขาตอนนี้กึ่งหลับกึ่งตื่น

เฮ้อออ……โลกนี้เป็นโลกที่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกสินะ คนที่หล่อตอนนอนก็ยังหล่ออยู่วันยันค่ำ

แม้กระทั่งนอนกรนอยู่ก็ยังหล่ออีก ป๊ะป๋าถ้าเป็นผู้หญิงคงจะไม่มีใครสวยเปรียบเขาได้ สวยขนาดที่ซินเหยายังต้องอาย

ขณะที่ประชุมกำลังดำเนินไป ซินเหยาไม่ได้ฟังแม้แต่น้อยว่าที่ประชุมกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ สาเหตุก็เพราะว่าเธอโดนหน้าอันหล่อเหลาของจิงเฉินใบนี้สะกดจิตให้หมอบราบคาบแก้ว ความหล่อนี่มันทำได้ถึงเพียงนี้จริงๆ นี่เขาไม่เรียกว่าชายหล่อแพ้หญิงสวยหรอก แต่เรียกว่าหญิงสวยแพ้ชายหล่อต่างหาก

เมื่อตออนที่เธอได้ยินว่ามีคนพูดชื่อจิงเฉินขึ้น เธอถึงได้มีสติกลับมา

เธอหันมองไปที่เยี่ยแจว๋ที่นั่งอยู่ตำแหน่งหน้าสุดของโต๊ะอย่างทันที และสายตาก็ไปตกลงที่จิงซิง

จิงซิงจึงสบตากับเธอโดยบังเอิญ เขาแสดงรอยยิ้มออกมาที่ทำให้ซินเหยารู้สึกคลื่นไส้ เธอจึงรีบหันหัวกลับไปดูป๊ะป๋าเพื่อล้างเสนียดที่เข้ามาในตาเธอเมื่อกี้

จะว่าไปแล้ว จิงเฉินกับจิงซิงไปพี่น้องกันแท้ๆงั้นหรอ?

“ในปีที่ผ่านมานี้ จิงซิงได้ทำคุณประโยชน์ต่อบริษัทไว้มาก ทุกคนก็คงจะเห็นและทราบเป็นอย่งดี ช่วงหลายปีที่ผ่านมาจิงเฉินก็ทำงานอย่างหนักกระทั่งเวลาอยู่กับแฟนยังแทบจะไม่มี เพราะงั้นทางบริษัทจึงตัดสินใจที่จะให้จิงเฉินลาพักร้อนยาว เพื่อให้เขาได้ใช้เวลาของตัวเองอยู่กับคนที่เขารัก ตำแหน่งประธานในตอนนี้ก็ให้จิงซิงเข้ามาดูแลแทน” เยี่ยแจว๋พูดประกาศนโยบายนี้ด้วยสายตาที่นิ่งสุขุม

ซินเหยาหันไปดูหน้าของจิงเฉินอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เธอได้ยินไปเมื่อกี้ พอหันไปก็เห็นว่าจิงเฉินตื่นแล้ว แค่สายตาของเขาดูนิ่งไปหน่อย

จิงเฉินตอนนี้ยังสามารถควลคุมสีหน้าของตัวเองได้อยู่

เยี่ยแจว๋ไอ้หัวหงอกนี้เห็นทุกคนโง่หรือยังไงกัน พูดอะไรลาพักร้อน นี่มันเป็นการแย่งตำแหน่งไปชัดๆ

นี่มันเป็นการมอบอำนาจให้ลูกชายคนโตอย่างเบ็ดเสร็จจริงๆ

เยี่ยเเจว๋โดนขี้บังตาหรือไงกัน

ไม่กลัวหรอว่าจิงซิงจะทำบริษัทล่มนะ

อีกอย่างนะป๊ะป๋า บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้จะโดนแย่งไปแล้วทำไมไม่ใช้หัวอันชาญฉลาดของป๊ะป๋าในการคิดแผนทำให้จิงซิงเสียหน้าต่อที่ประชุมล่ะ?

บอร์ดบริหารคนอื่นต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทุกคนซุบซิบกันใหญ่ สายตามองไปที่จิงเฉินด้วยเหตุที่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

คำพูดของเยี่ยแจว๋เมื่อกี้ ทำให้ไม่มีใครกล้าบอกให้จิงเฉินทำเพื่อบริษัทโดยการเทแฟนทิ้ง

“เอาล่ะ เรื่องนี้ก็เอาตามนี้” เยี่ยแจว๋พูดขึ้น

จิงเฉินเอามือลูกไปลูบมาที่คางของตัวเอง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ แต่ยังแสดงสีหน้าที่นิ่งสุขุมออกมาอยู่

อยากจะแย่งบริษัทก็แย่งไปเลย ถึงยังไงจิงซิงก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริงอยู่แล้ว

จิงเฉินอยู่ในบริษัทนี่มานานขนาดนี้ พวกเขาไม่รู้หรอกหรอว่าบริษัทไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เรื่องทุกอย่างในบริษัทล้วนแล้วแต่มีจิงเฉินมาดูแลทั้งสิ้น ถ้าเขาไม่ยินยอม อย่าหวังว่าจิงซิงจะทำอะไรได้เลย

ถึงจะเป็นไอ้หัวหงออกนั่น ถ้าเกิดว่าจิงเฉินไม่ยอม เขาก็พูดอะไรไม่ได้อยู่ดี

ตอนนี้จิงเฉินแค่อยากให้จิงซิงได้ลิ้มลองรสชาติของการได้มาและโดนแย่งไปว่ามันเจ็บปวดเพียงใด

ซินเหยารู้สึกสงสารที่จิงเฉินต้องมาเจอกับเรื่องอยุติธรรมแบบนี้ เขาทำเพื่อบริษัทมามากขนาดนี้ สุดท้ายก็จะโดนจิงซิงชุบมือเปิบแย่งไปอย่างนั้นหรือ?

หลังจากที่ออกมาจากห้องประชุมจิงเฉินก็พูดกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่างๆอย่างนิ่งสุขุม

ซินเหยามองไปที่จิงเฉิน อยากพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก

เดินถึงชั้นของห้องทำงานประธาน จิงเฉินก็มองไปที่ซินเหยา

“มีอะไรก็พูดออกมา” จิงเฉินพูดอย่างใจเย็น

“คือท่านประธานคะ ท่านรองประธานจะขึ้นมาแทนคุณ คุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรอคะ” ซินเหยาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจแทน

“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ” จิงเฉินตอบกลับ

“ฉันคิดว่าคุณควรสู้นะคะ ไล่จิงซิงออกจากบริษัทไปเลย” ซินเหยาพูด

เธอเป็นคนเดียวที่สามารถจะแกล้งป๊ะป๋า เห็นคนอื่นทำแบบนี้กับป๊ะป๋า เธอรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จิงเฉินนัยตาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นตอนที่พูดขึ้นมา : “ของของผม ไม่มีใครหน้าไหนสามารถเอาไปได้ ไม่ใช่แค่เอาไปไม่ได้ ผมจะให้เขาคลานมาคืนมันให้ผม”

จิงฉินดูเท่ห์มากจริงๆ

ป๊ะป๋ามีความมั่นใจแบบนี้ มันหล่อเสียจนทำให้เธอละลายจริงๆ

หน้าเธอแดงขึ้นและพูดว่า “คุณคิดมากเกินไปล่ะ ฉันแค่กลัวว่าฉันจะไม่ได้เงินเดือนเท่านั้น”

จิงเฉินไม่ได้พูดอะไร แค่เอามือไปจับที่ผมของซินเหยา

อย่าจับผมของคนอื่นไปเรื่อยสิ

จิงเฉินโดนพ่อของตัวเองและพี่ชายลากลงมาจากเก้าอี้ประธาน ตอนน้ีบริษัทเป็นของจิงซิงไปแล้ว

ถึงแม้ป๊ะป๋าจะบอกว่าของของป๊ะป๋าใครหน้าไหนก็เอาไปไม่ได้ เขาเปรียบเสมือนนักรบที่สามารถเอาชนะได้ทุกสนาม แต่ว่าตอนนี้สีหน้าของป๊ะป๋ามันดูไม่สู้ดีสักเท่าไหร่เลย

ในสายตาของซินเหยา ป๊ะป๋าก็เหมือนกับราชสีห์ตัวหนึ่ง คนอย่างเขาจะยอมคายเนื้อในปากของตัวเองออกมาเพื่อเอาให้จิงซิงที่เป็นแมวไม่มีฟันได้กินเนื้อชิ้นนี้หรอ หรืออาจจะเป็นเพราะราชสีห์กับแมวเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน จิงเฉินอาจจะแค่เบื่อแล้วอยากแกล้งจิงซิงเล่นดู

คิดไปคิดมา มันก็ถูกนะ

เขาสองคนก็เป็นพี่น้องกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่ความสัมพันธ์อาจจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่

เพราะนี้มันเป็นแผนของป๊ะป๋า เธอจึงไม่ได้ช่วยป๊ะป๋าออกแรงจัดการเลย

อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่ที่จิงเฉินเผชิญหน้ากับจิงซิง แรงทั้งหมดของเขาก็หายไปด้วย เพราะงั้นยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน จิงเฉินก็ให้เธอกลับไปก่อนได้ มิหนำซ้ำยังให้เธอลาหยุดยาวได้3วัน

เรื่องดีขนาดนี้มีหรอที่เธอจะไม่คว้าไว้ ให้เลิกงานก่อน แถมยังให้หยุดยาวอีกด้วย โอ้ยยย

เมื่อจิงซิงได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

จิงเฉินที่มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง พิงอยู่ที่ผนังกำแพงและยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยฟังเสียงพูดเหล่านั้นที่ส่งออกมาจากข้างในอย่างเงียบๆ

เขายิ้มมุมปากขึ้น และเอามือลูบคลำไปที่ใต้คาง

เยี่ยหวงยังไงก็เป็นของจิงซิงอยู่วันยันค่ำอย่างนั้นหรอ?

หึหึ พวกเขาคิดว่าเขาจะออกคำสั่งเขาได้เหมือนเมื่อ6ปีกว่างั้นหรอ?

อยากจะพรากเยี่ยหวงจากมือเขาไป ก็ต้องดูก่อนว่าเขาจะเต็มใจหรือป่าว?

"วันนี้ดูคึกคักดีนะครับ"

จิงเฉินเห็นพวกเขาพูดกันอย่างสนุกสนาน ก็ก้าวเท้าที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงเดินเข้าไปในห้อง

"วันนี้ดูคึกคักกันดีนะครับ" จิงเฉินมองไปที่บนเตียงซึ่งมีญาติแท้ๆของตัวเองนอนอยู่บนนั้นอย่างไร้ความรู้สึก

"จิงเฉิน แกกล้าเข้ามาในนี้ได้ไง?" จิงซิงมองดูจิงเฉินด้วยสายตาที่เหมือนกับสัตว์ป่า เหมือนอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆอย่างนั้น

หลิวเสวี่ยก็มองดูจิงเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความน่ารังเกียจ เหมือนเขาเป็นเชื้อโรคสกปรกอย่างไรอย่างนั้น

รวมถึงเยี่ยแจว๋ก็หน้าเย็นชาไม่ต่างอะไรจากพวกเขาเลย

จิงเฉินชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว สำหรับเขาความรักที่มีต่อครอบครัวมันได้ตายหายไปเมื่อตอนเขาอายุได้12และเมื่อ6ปีที่แล้วแล้วหล่ะ ทำให้ใจอันเย็นชาดวงนั้นของเขาไม่สามารถที่จะกลับมาอบอุ่นได้อีกต่อไป

"ยังไงคุณก็เป็นพี่ชายผม คนเป็นน้องมาเยี่ยมมันก็เป็นสิ่งที่ควร" จิงเฉินพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก เปรียบเหมือนหุ่นยนต์อย่างนั้นแล

"ใครเป็นพี่แก นายมันก็แค่หมาตัวหนึ่งที่ตระกูลเยี่ยเลี้ยงไว้ นายไม่มีสิทธิมาเรียกฉันว่าพี่" จิงซิงพูด

"อย่ามาทำเป็นพ่อพระแถวนี้เลย ที่พี่แกเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าแกอยากจะทำให้พี่แกขายหน้าล่ะสิ ถึงได้ทำให้ชื่อเสียงของบริษัทป่นปี้ไปด้วย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแก พี่แกจะมานอนโซมอยู่ตรงนี้หรอ?" หลิวเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด : "จิงเฉิน อย่าหาว่าฉันสอนเลยนะ แกทำแบบนี้กับพี่ชายแกได้อย่างไงกัน ถึงจะไม่ลงรอยกันขนาดไหน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นินา"

จิงเฉินยังคงหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก และมองดูหลิวเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดขึ้นว่า "ดูแล้วคุณผู้หญิงจะเก็บหลักฐานได้ไม่เลยนะครับ ไอ้หลักฐานที่บอกว่าผมเป็นคนทำลงไปน่ะ ดูเหมือนว่าจะทำงานได้ไม่เลวเลย สามารถพูดสิ่งที่ไม่มีอยู่ให้กลายเป็นมีไปได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะครับ ปั้นน้ำเป็นตัวนี่เอง"

"เรื่องนี้นอกจากแกแล้ว จะเป็นใครไปได้?" หลิวเสวี่ยพูด

จิงเฉินหัวเราะแห้งไปหนึ่งกรุบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

"หัวเราะแบบนี้หมายความว่าไง นอกจากแก ก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว" หลิวเสวี่ยพูดขึ้นอย่างหนักแน่นมั่นใจ

"จริงหรอ? งั้นคุณผู้หญิงก็เอาหลักฐานออกมาสิครับ ถ้าไม่งั้นล่ะก็ คำพูดพวกนั้นมันจะทำร้ายกลับเข้าไปหาตัวเองเอาได้นะครับ คำพูดเหล่านั้นก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ไม่สามารถที่จะตวงกลับมาได้แล้วนะครับ" จิงเฉินเงยหน้าขึ้นใช้สายตาที่เด็ดเดี่ยวมองไปที่หลิวเสวี่ยแล้วพูด

"พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้ได้ไงกัน?" เยี่ยแจว๋รู้สึกโกรธจนควันออกหูหลังจากที่ได้ยินจิงเฉินพูดไปเมื่อตะกี้นี้

"ผมแค่พูดตามความจริง" จิงเฉินพูดเหมือนไม่ได้ยินที่เยี่ยเเจว๋พูดเมื่อตะกี้นี้

"เรื่องคลิปพวกนั้น นายก็เป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด แม่แกแค่ถามว่าเรื่องมันเป็นยังไงก็ไม่ได้ยังหรอ?"

"ได้สิครับ เพราะงั้นเมื่อกี้ผมถึงได้พูดความจริงออกไปแค่นั้นเอง"

"ยังจะกล้าต่อปากต่อคำอีก"

"ถ้าคุณคิดว่าการแสดงความคิดเห็นของผมเป็นการต่อปากต่อคำ เพราะไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ"

"พ่อครับ ตอนนี้ขนาดพ่อมันยังไม่เคารพแล้ว ทำตัวเหมือนโลกหมุนรอบตัวเอง" จิงซิงพูดด้วยมีนัยยะอยากให้เยี่ยแจว๋สั่งสอนบทเรียนกับจิงเฉินสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือไล่จิงเฉินออกจากเยี่ยหวง ออกจากตระกูลเยี่ยได้ยิ่งดี

จิงเฉินเพียงแต่มองไปที่จิงซิงด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์

"เรื่องคลิปพวกนั้นตกลงมันเป็นไงกันแน่" เยี่ยแจว๋ถามจิงเฉิน ในใจเขาคิดว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับจิงเฉินแน่ๆ

"ผมไม่ได้เป็นคนทำ" จิงเฉินพูดขึ้นอย่างเย็นชา

"งั้นสืบได้ไหมล่ะว่าเป็นฝีมือใคร?"

"อืมมม……สืบไม่ได้ครับ "แต่ว่าเรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื่องหลัง เพราะตั้งใจให้เรื่องมันดูใหญ่ขึ้น แต่สำหรับว่าเป็นฝีมือใครผมก็ไม่สามารถทราบได้ เพราะเรื่องในบริษัทก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว ไม่มีเวลามาสนใจกับเรื่องที่ไร้สาระแบบนี้"

"นั่นเป็นพี่ชายแกนะ" จิงซิงพูดขึ้นอย่างหัวร้อน

"ใช่หรอครับ?" จิงเฉินเพียงแค่แสยะปากขึ้น บวกกับสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

"ในเมื่อนายยุ่งขนาดนี้ ฉันต้องให้นายได้พักสักหน่อยแล้วแหละ" เยี่ยแจว๋มองไปที่จิงเฉินด้วยสายตาที่เย็นชา

"ก็แล้วแต่" จิงเฉินไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ เหมือนสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตนเองขนาดนั้น

ถึงยังไงเรื่องทุกอย่างในบริษัทก็อยู่ในมือเขาหมดแล้ว ถึงแม้เขาลาพักไป สิทธิอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆก็ไม่มีทางเป็นของคนอื่นไปได้

ถึงจิงซิงได้นั่งเก้าอี้ประธานบริษัท เขาก็ได้แค่เพียงชื่อประธานเท่านั้น ไม่มีสิทธิได้อย่างอื่นไป เพราะอำนาจทุกอย่างตอนนี้อยู่ในมือจิงเฉินหมดแล้ว ดูซิว่าจิงซิงจะทำงานออกมากร่อยทำให้เยี่ยแจว๋โมโหชักแง็กๆเท่าไหร่กันเชียว

จิงซิงตอนนี้ดีใจเป็นกระดี่ได้น้ำ

สำหรับที่ว่าจิงเฉินได้หยุดยาวไปนั้น ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไม่มีใครรู้ดีได้เท่าจิงเฉินเลย

"จิงเฉินนายพักไปก่อนนะช่วงนี้ ให้นายหยุดยาวเลย"จิงซิงดีใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้น7อย่างไงอย่างงั้น

หลิวเสวี่ยก็ไม่ต่างอะไรกับเขา พูดขึ้นอย่างหน้าตาเฉิ่มว่า "จิงซิงลูกรัก หลังจากนี้ไปต้องตั้งใจทำงานนะ อย่าให้พ่อของลูกผิดหวังเชียวล่ะ มีพ่อที่เก่งขนาดนี้ ลูกต้องเก่งเหมือนพ่อแน่ๆ"

"พ่อครับ ไว้ใจผมได้เลย ผมจะตั้งใจทำงานไม่ทำให้พ่อผิดหวังแน่นอนครับ" จิงซิงพูดขึ้นอย่างมั่นใจ

เยี่ยแจว๋เห็นท่าทางของจิงซิงดีขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะรู้ว่านี่มันเป็นคำพูดที่หลอกให้เขาดีใจเท่านั้น แต่ใบหน้าของเขาก็แสดงรอยยิ้มออกมาอย่างปิดบังไม่อยู่

"ตั้งใจหล่ะ เยี่ยหวงอยู่ที่ลูกแล้ว" รอยยิ้มของเยี่ยเเจว๋ข้างในเต็มไปด้วยความปีติ

จิงเฉินเห็นภาพมีความสุขสนุกสนานเหล่านี้ ก็ทำเพียงแค่มองดูด้วยสายตาที่เย็นชา

"บริษัทยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ผมไปก่อน"

"ไปสิ" เยี่ยแจว๋โบกมือส่งเขาแบบไร้ความสนใจ

จิงเฉินเม้มปากลง หันหลังกลับด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกและเดินจากไป

…..

ซินเหยาพยุงไว้ท้องและเอวของตัวเองที่เจ็บอยู่มาถึงบริษัทอย่างตรงเวลา

เอวที่โดนจิงเฉินนวดไปใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะดีขึ้น แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกมีความเจ็บหลงเหลืออยู่

"ไปเตรียมตัว วันนี้มีประชุมนัดบอร์ดบริหาร" จิงเฉินแจ้งซินเหยาให้ทราบด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

ซินเหยาผงกหัวรับอย่างเชื่อฟัง เพราะอารมณ์ป๊ะป๋าวันนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

คนที่เกิดมาหล่อนี่มันดีจริงๆ ถึงแม้ว่าจะโกรธ แต่ก็ยังดูหล่อ

แต่ถึงจะหล่อขนาดไหน ก็ควรบอกเธอหน่อยว่าหัวข้อประชุมวันนี้คืออะไร หน้าที่หล่อเหล่านั้นนอกเสียจากหล่อแล้วก็ไม่มีข้อมูลให้อะไรให้เธอสามารถทราบได้ เธอยังไม่รู้เลยว่าหัวข้อการประชุมวันนี้คืออะไร จะไม่ให้เธอเตรียมข้อมูลแล้วหรือไง?

จะให้เธอรับผิดชอบกับอะไรกันแน่?

ตอนแรกเธอกะอยากจะไปถามป๊ะป๋าอยู่หรอก แต่ดูไปดูมาแล้วไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวจะโดนฟาดกลับมา

ซินเหยาโดนเขาจ้องจนขนหัวจะหลุดออกมายังไงยังงั้น “งั้นสี่ล้านห้าก็ได้……”

จิงเฉิน : ……

“สามล้านห้า?”

จิงเฉิน : ……

“สุดๆได้แค่สองล้าน”

จิงเฉิน : ……

“ล้านหนึ่งก็ได้พอใจยัง?”

จิงเฉิน : ……

จิงเฉินเล่นเอาไม่พูดไม่จาหน้าเฉยชาใส่เธอแบบนี้ ทำเอาซินเหยาอยากจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ

“ห้าแสน น้อยกว่านี้ไม่ได้จริงๆแล้ว”

จิงเฉิน : ……

“สี่แสน?”

“สามแสน?”

“หนึ่งแสน?”

“ห้าหมื่น?”

“หนึ่งหมื่น?”

“ห้าพัน?”

“สามพัน?”

“หนึ่งพัน น้อยกว่านี้ไม่ได้จริงๆแล้ว” ซินเหยาหลั่งน้ำตาออกเป็นสายเลือด มันน้อยลงหนึ่งหมื่นเท่า หนึ่งหมื่นเท่าเลยนะ

ในที่สุดจิงเฉินก็อ้าพระโอษฐ์ออกสักที และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเซ็กซี่ว่า “อย่าพูดว่าหนึ่งพันเลย แค่สตางค์เดียวเธอก็ไม่มีวันได้”

ซินเหยาที่น่าสงสารของเรา งือออ

ฉายาแม่ไก่แจ้หนังเหล็กที่เธอได้มารอบนี้คงจะโดนจิงเฉินทำลายลงอย่างย่อยยับแล้วสิ

ป๊ะป๋า คุณใจร้ายขนาดนี้คนที่บ้านคุณรู้หรือป่าว? (ถ้าให้เงินเยอะขนาดนั้นกับเธอคิดหรอว่าเขาจะไม่เจ็บใจ ตอนเห็นเธอทรมานแบบนี้ตอนที่ไม่ได้เงินมา มันมีความสุขดี)

ฉันเหนื่อยมาก ชาตินี้คงจะไม่รักใครอีกแล้ว

……

จิงซิงที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่ได้กี่วันก็ต้องเข้าไปอีก บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อน เพราะงั้นเรื่องที่เกิดขึ้นพวกนี้มันไม่ใช่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเลย มันเหมือนกับคลื่นที่พัดเข้ามาลูกใหญ่ในสภาพน้ำนิ่ง

หลังจากที่เยี่ยแจว๋รู้ว่าจิงซิงเข้าโรงบาลก็รีบทิ้งงานทั้งหมดในมือเพื่อไปดูเขา

ตอนที่เขามาถึง ก็เห็นว่าภรรยาของตัวเองกำลังอยู่เป็นเพื่อนจิงซิงแล้ว

เห็นคนเป็นแม่เป็นห่วงลูกชายขนาดนี้เขาก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกเบื่อยิ่งนักที่ลูกชายที่ตนเองรักมากคนนี้มันทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย

เสียงรองเท้าของเขาหยุดลงหน้าประตูห้อง ท้ังสองคนที่อยู่ด้านในไม่เห็นว่าเขามา

“จิงซิงลูกรัก ไม่ต้องเป็นห่วงนะ มันเป็นความผิดของไอ้สัตว์ป่าจิงเฉิน แม่จะต้องทวงคืนความยุติธรรมครั้งนี้ให้ลูก อีกหน่อยของทั้งหมดของตระกูลเยี่ยจะเป็นของลูกคนเดียว อย่าหวังว่ามันจะได้ไปแม้แต่แดงเดียว” เธอพูด “แต่ตอนนี้มันกำลังเหิมอยู่เพราะมันคิดว่ามีตระกูลลู่เป็นแบ็คให้ ตอนนี้ลูกก็ยังไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เพราะมันจะทำให้ลูกมีแต่เสียเปล่าๆ”

“มันจะได้ได้ไง ผมไม่ยอมนะ เขาทำให้ผมขายหน้าขนาดนี้ ก้าวเท้าออกจากบ้านเมื่อไหร่ผมก็โดนคนอื่นประนามไปทั่ว” จิงซิงกำหมัดแน่นขึ้น ทั้งตัวตอนนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด

เมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเป็นแบบนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสาร และพูดขึ้นว่า “แล้วเราจะทำอะไรได้ ก็เพราะพ่อของลูกมันลำเอียง ยกทุกสิ่งทุกอย่างไปให้มันหมด ตอนนี้เราทำได้แค่มองอยู่ห่างๆก่อน เป็นความผิดของแม่เองแหละ แม่มันไม่ได้เรื่อง ถึงต้องทำให้ลูกต้องมารับเรื่องแบบนี้”

“แม่อย่าพูดแบบนี้สิครับ สักวันผมจะต้องให้มันหมอบราบคาบแก้วใต้เท้าของผมให้ได้ คอยดู” จิงซิงพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธ

เยี่ยแจว๋ที่อยู่ข้างนอกทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดไอ้ลูกชายที่เย็นชาแบบจิงเฉนมากเพียงใด แต่เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขาก็เป็นของตัวเองนี่นา

แต่สำหรับลูกอย่างจิงซิงแล้ว เขาก็ไม่สามารถที่จะไปโทษได้เหมือนกัน

ตอนนี้เยี่ยแจว๋ทั้งรักทั้งโกรธจิงซิง เขาเป็นลูกคนหนึ่งที่เขารักมากที่สุดแต่กลับไม่เอาไหน เฮ้อออ

เยี่ยหวงยังคงเป็นของจิงซิง ไม่เคยเปลี่ยนไปไหน

จิงเฉินตอนนี้ก็เป็นเพียงหินลับมีดให้กับจิงซิงเท่านั้น

รอให้ถึงตอนที่เขาสามารถต่อกรกับจิงเฉินได้เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นเขาก็โล่งใจที่จะยกบริษัทให้แล้ว

“พูดอะไรน่ะ จิงเฉินเป็นน้องแกนะ” เสียงก้าวเท้าของเยี่ยแจว๋ได้เข้ามาถึงข้างในห้อง มองไปที่ใบหน้าคนอายุ50อย่างเขา ยังหนุ่มกว่าอายุมาก

เขาพูดออกมาเมื่อกี้ได้อย่างชัดเจนกังวาน

ประเด็นอยู่ที่เยี่ยเเจว๋นั้นอายุก็ปาเข้าไป50แล้วแต่ก็ยังดูดีอยู่เลย เห้ออ โลกนี้มันเป็นโลกที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ

“น้องอะไร ผมไม่มีน้องแบบนั้น” จิงซิงเมื่อพูดถึงเรื่องแบบนี้ก็อารมณ์ขึ้นตลอด

“ไอ้ลูกไม่รักดี ดูซิเรื่องที่ทำ งามหน้าไหมล่ะ ถ้าแกมีปัญญาได้ครึ่งหนึ่งของน้องแกมันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” จิงซิงยั่วให้พ่อของตัวเองโมโหได้ตลอดจริงๆ

“ใช่ๆ ผมมันไม่ได้ดีไปเหมือนกับไอ้น้องชายคนนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นฝีมือของมัน มีหรอผมจะขายหน้าแบบนี้?” จิงซิงตอบกลับด้วยความหัวร้อน

“คุณคะ คุณอย่าไปว่าจิงซิงเลย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเป็นแผนการของจิงเฉินทั้งหมด จิงเฉินตัวนี้ก็น่าจะปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้ว คุณต้องสั่งสอนบ้างนะคะ ถึงจะเกลียดขี้หน้ากันขนาดไหนจิงซิงก็ยังเป็นพี่ชายเขาอยู่นะคะ ทำไมถึงกล้าที่จะทำกับพี่ชายของตัวเองแบบนี้ ฉันไม่เห็นรู้สึกถึงความเป็นพี่เป็นน้องเลย รู้สึกถึงแต่ความเป็นศัตรูมากกว่า จิงเฉินมันเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์ขนาดนั้น จิงซิงใสซื่อขนาดนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอกค่ะ คุณดูสิคะจิงซิงเพิ่งเขาบริษัทไปได้ไม่นานก็โดนหามส่งโรงบาลมาแล้วสองรอบ นี่คุณคิดว่าเป็นเรื่องยังไงกันล่ะคะ ”

“ก็เพราะว่ามันไม่เอาไหนไงล่ะ” เยี่ยแจว๋พูดขึ้น แต่น้ำเสียงกลับมีความเป็นห่วงอยู่ด้านใน

“คุณไม่เห็นใจลูกไม่เป็นไรแต่ฉันเห็นใจ แค่คิดฉันยังกลัวเลย จิงเฉินร้ายกาจขนาดนั้น อีกหน่อยจิงซิงจะอยู่ไงล่ะทีนี้” หลิวเสี่ยพูดด้วยสายตาที่มีน้ำอยู่ด้านใน

“แม่ที่ดีเกินไปมันก็จะเป็นแบบนี้แหละ” เยี่ยแจว๋พูด

“เมื่อเป็นเด็กเล็กๆอยู่เราก็…….”

“หยุดพูดได้แล้ว” เยี่ยแจว๋มองไปที่ลูกชายที่นอนโทรมอยู่บนเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า : ”เยี่ยหวงเป็นของแกอยู่แล้ว ใครก็แย่งมันไปไม่ได้ วางใจเถอะ จิงเฉินอย่างน้อยก็เป็นน้องของแก เลือดที่ไหลอยู่ข้างในมันก็เป็นเลือดเดียวกัน ฝากไว้กับเขาก่อนน่ะปลอดภัยกว่าฝากไวกับคนนอกแล้ว”

“หึ ก็เพราะเป็นเพราะมัน ผมถึงได้เป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าอีกหน่อยเยี่ยหวงจะเป็นของผมแล้ว ก็ไม่มีใครฟังผมหรอก” จิงซิงพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธ

“มีฉันอยู่ ใครจะกล้าไม่ฟังแก?” เยี่ยเเจว๋พูด

บนโลกใบนี้ไม่มีใครเพอร์เฟคไปหมดจริงๆ

ที่แท้ป๊ะป๋าที่เก่งขนาดนี้ใช่ว่าจะทำได้ทุกเรื่อง อย่างน้อยเขาก็ทายาไม่เป็นแล้วหนึ่ง

"เจ็บเจ็บเจ็บ……โอ้ย……เบาหน่อยๆ……เจ็บๆ……" ซินเหยาอ้าปากอยากจะกัดจิงเฉินเหมือนหมา แต่เสียดายว่ากล้ามเนื้อบนตัวของเขามันแข็งมาก ถ้ากัดไปฟันคงร่วงหมดปาก ทำได้แค่กัดไปที่เสื้อของเขา

เธอมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าจิงเฉินไม่ได้กำลังทายาให้เธอ แต่กำลังฆ่าเธอต่างหาก

จริงนะ……จริงนะ…..มันเจ็บมากจริงๆนะ เธอไม่ได้โกหก

"เยี่ย…..เยี่ยจิงเฉิน……ฉันไม่ทงไม่ทามันล่ะ…..ปล่อยฉัน…..ฉันจะไม่มีวันทายานี้อีก" ซินเหยานอนแหกปากร้องอยู่บนโซฟา

เธอบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด

จิงเฉินที่โดนซินเหยางอแงจนทนไม่ไหวก็ได้ใช้ฝ่ามือพิฆาตจบลงไปที่ตูดของซินเหยาและพูดว่า "อย่าดื้อสิ"

จะไม่ให้ดื้อแบบนี้ได้ไง

ซินเหยารู้สึกโกรธขึ้นมา เธอโดนป๊ะป๋าตีตูดอย่างนั้นหรอ?

"ท่านประธานคะ ฉันไม่เจ็บแล้วค่ะ คุณอย่านวดมันอีกเลย" ซินเหยาพูดข้อร้อง

"ในเมื่อไม่เจ็บแล้ว ก็นวดไปอีกสักหน่อย" จิงเฉินพูดขึ้นพร้อมกับทานวดวนไปที่แผลที่เอวเธออยู่หลายรอบ

ซินเหยา : ฮือๆ

เธอทนความเจ็บนี้ไม่ไหว จึงได้แสดงอาการต่อต้านออกมาโดยการข่วนกระชากไปที่ตัวของจิงเฉิน

ผ่านไปห้านาที ในที่สุดเวลานรกนี้ก็ผ่านไปสักที

"เสร็จแล้ว" จิงเฉินพูด

เสียงที่จิงเฉินพูดออกมาเมื่อกี้มันเป็นเสียงที่ประทานมาจากฟ้า มันไพเราะหาที่เปรียบไม่ได้ เธอคิดว่าชาตินี้เธอคงไม่ได้ยินเสียงที่ไพเราะแบบนี้อีกแล้ว

ไอ่บ้าจิงเฉิน เมื่อกี้ตั้งใจใช่ไหม?

สายตาของซินเหยาที่มีสีแดงจากน้ำตาผสมอยู่ บนแก้มอันเนียนขาวก็เหมือนจะมีคราบน้ำตา บวกกับบนหน้าผากที่เหมือนจะมีเงื่อด้วย เสื้อผ้าตอนนี้ขอเธอยับยู้ยี้ไปหมด สภาพตอนนี้ของเธอมันดูน่าเวทนามากจริงๆ

จิงเฉินรู้สึกผิดที่ทำลงไปนิดหน่อย เมื่อกี้มันเจ็บจริงหรอ?

ถ้าเกิดว่าซินเหยารู้ว่าจิงเฉินคิดอะไรอยู่คงอยากจะเอาน้ำกรดสาดหน้าเขาเข้าให้

จิงเฉินมองกวาดไปที่แผลบนเอวที่พกช้ำของซินเหยา รู้สึกว่ามันทุเลาลงจากตอนแรกมาก

อาจจะเป็นเพราะว่าเขาใช้แรงกดลงขับเลือดที่ค้างออกจนมันดีขึ้น แต่มันก็ทำให้ซินเหยาเจ็บเจียนตาย

นี่เป็นเหตุผลที่สามารถเข้าใจได้

"ดีขึ้นหน่อยรึยัง?" จิงเฉินรู้สึกผิกอยู่หน่อยๆ แต่หน้าของเขากลับไม่แสดงอาการอะไรออกมา ไม่รู้จริงๆว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ถ้าเป็นคราวก่อนซินเหยาคงจะปล่อยผ่านไป

แต่คราวนี้มันเจ็บเกินไปแล้วนะ มันเจ็บจริงๆ

"ไม่……"ซินเหยาจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นระเบียบขึ้น และมองไปที่จิงเฉินด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและพูดขึ้น "ไม่ใช่แค่ไม่รู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับรู้สึกเจ็บมากกว่าเดิม"

จิงเฉินกำมัดขึ้นและเอาไปป้องปากและไอ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง

"งั้นผมส่งคุณไปโรงพยาบาลเอาไหม?"

ไปหาพระเเสงเองหรอ ไปโรงพยาบาลไม่ต้องเสียเงินหรือไงกัน

ไปแค่รอบเดียวจะเสียเงินเยอะขนาดนั้นเพื่ออะไรกัน ฉันไม่ได้เกิดเหตุร้ายรุนแรงอะไรขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเงินให้เปล่าประโยชน์

อีกอย่างเธอโดนจิงเฉินทำขนาดนี้ในใจมันมีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ เธอยอมเจ็บอยู่แบบนี้ดีกว่าไปโรงบาล

"ไม่ไป" ซินเหยาตอบกลับอย่างเด็ดขาด

เป็นเพราะนายจริงๆจิงเฉิน

ซินเหยานิ่งคิดไปสักพัก ทำไมรู้สึกว่าโดนไอ้จิงเฉินทำไปเมื่อกี้ความเจ็บมันยิ่งหนักขึ้น?

"ท่านประธานคะ ทำไมฉันรู้สึกว่ามันเจ็บกว่าตอนแรกอีก"

"เอิ่มมม……" สายตาของจิงเฉินมีความเหลิกหลัก "อาจจะเป็นเพราะว่าวิธีที่ผมใช้เมื่อกี้มันไม่ถูก"

ในเมื่อคุณทำไม่เป็น ก็อย่ามาทำเป็นเหมือนมืออาชีพหน่อยเลย ทำเหมือนกับตัวเองทำเป็นอยู่ได้

เอวของเธอตอนนี้มันยังเจ็บอยู่ อยากจะเฆี่ยนหลังไอ้หมอนั่นให้หลังลายจริงๆ

เธอรู้สึกว่าเธอต้องเรียกค่าเสียหายจากเขาสักหน่อย ไม่เช่นนั้นนี่ก็เจ็บตัวแบบฟรีๆ ดูออกว่าถ้าเธอพูดเขาต้องฟังเธอแน่

"ในฐานะที่คุณทำเอวฉันเจ็บขนาดนี้ คุณต้องรับผิดชอบ" ซินเหยาใช้สายตาที่กล้าหาญมองไปที่จิงเฉินแล้วพูด

จิงเฉินตอนนี้รู้สึกกระตุกข้ึนมา แต่ก็ยังทำสีหน้าเป็นปกติอยู่แล้วพูดข้ึนว่า"เธออยากได้อะไร?"

หึหึ รอคำนี้อยู่เลย

ซินเหยานิ่งคิดไปสักพัก ก็ป๊ะป๋าเป็นคนรวยอ่าาา

ถ้าแค่เอาค่ารักษาพยาบาลมันก็ธรรมดาสำหรับป๊ะป๋าไปนะสิ เพราะงั้นเธอคิดว่าต้องขอสิ่งที่มันสมฐานะกับป๊ะป๋าหน่อย ไม่ใช่ว่าเธอขี้โลภนะ แค่ให้เกียรติป๊ะป๋าเฉยๆ

"จ่ายค่ารักษาพยาบาลฉันมา3ล้าน และค่าทำขวัญฉันอีก7ล้าน" ซินเหยาอ้าปากใหญ่พูดข้ึนเหมือนลิงตระกละ

เฮ้อ…..เธอก็ไม่ใช่คนที่ขี้โลภอะไร เรียกสัก100ล้านค่อยว่าเป็นอย่าง

เงินร้อนล้านสำหรับประธานเยี่ยแล้วเป็นเรื่องนิดเดียว แต่เขาก็ไม่ได้ให้ตามที่ซินเหยาขอ เพียงแต่พูดข้ึนว่า "ฝันไปเถอะ"

ความกล้าของซินเหยานี้ก็ไม่รู้ออกมาจากไหน เธอได้ยื่นมือออกมาสองข้างและหยิกไปที่แก้มของจิงเฉินไปมา สีหน้าของจิงเฉินตอนนี้เหมือนจะรู้สึกโกรธขึ้นมา เธอถึงจะหยุดและถามเขาว่า "เจ็บไหม? ถ้าเจ็บแสดงว่าไม่ได้ฝันอยู่"

เมื่อกี้เธอแค่อยากให้จิงเฉินรู้ว่านี่มันเรื่องจริง ไม่ได้ฝันไป

อีกอย่างเธอก็ไม่มีวันที่จะยอมรับด้วยว่าที่เธอทำแบบนี้ก็เพื่อจะแก้แค้นเขาที่ช่วงนี้ชอบทรมานเธอนัก ฮ่าๆๆ

จิงเฉินเงียบไป ได้เพียงแต่ใช้สายตาอันลึกลับดำทมิฬมองไปที่ซินเหยา

"อืมม งั้นคุณให้ฉันแค่8ล้านก็พอ" ซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก

ถึงแม้ป๊ะป๋าจะเป็นคนรวย แต่เขาก็ชอบติดนิสัยที่ว่าออกจากบ้านไม่พกเงิน

ไม่เหมือนกับท่านประธานในละครเลยที่สามารถจะเอาเงินออกมาสักร้อยล้านเพื่อมาฟาดหัวคนอื่นได้ตลอดเวลา

ตอนนี้เธอเพียงอยากจะบอกกับน้องๆที่ดูละครพวกนั้นอยู่ว่า ตื่นค่ะ! เรื่องแบบนั้นไม่มีอยู่จริง

ฉันร้องไห้บอกทุกคนเลย : ในละครมันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

"ฮือๆ……"

ไหงเป็นงี้ไปได้?

จะร้องไปทำไม?

ป๊ะป๋าเป็นท่านประธานที่โหดร้ายจริงๆ แค่เงิน8ล้านก็ให้ไม่ได้ เขารวยขนาดนั้น ทำไมไม่เปย์เธอหน่อยล่ะ งือออ

"น้อยสุด5ล้าน ให้น้อยสุดได้แค่นี้!"

จิงเฉินก็ยังคงใช้สายตาที่ดำทมิฬน่ากลัวมองไปที่เธออยู่เหมือนเดิม

ซินเหยาลุกขึ้นมาจากโซฟา จัดระเบียบเสื้อผ้าของเธอ สายตาของจิงเฉินที่ไม่ทันระวังก็มองไปที่เอวของเธอ เอวของเธอมีรอยแดงช้ำอยู่ เพราะว่าซินเหยาขาวมาก จึงเห็นรอยนั้นได้อย่างชัดเจน

จิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นและมองไปที่รอยช้ำที่เอวของซินเหยา และมองไปที่จิงซิงที่กำลังนอนอยู่ที่พื้น สีหน้าไม่ค่อยดีใจนัก

ซินเหยาจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จก็เดินออกจากห้องทำงานของจิงเฉินทันที

เมื่อออกมาข้างนอก เธอก็ตบไปที่หน้าอกของตัวเองเบาๆ และพูดในใจว่า : น่าหวาดเสียวมาก ดีนะที่รอดมาได้

ยังดีที่มีเสียงของจิงซิงเข้ามาขัดจังหวะไว้ได้ก่อนนะ ไม่งั้นซวยแน่

เพราะงั้นนี่เขาเรียกว่าทำดีได้ดี ต้องขอบคุณที่เธอช็อตเขาสลบไป ทำให้เขาโดนต่อยน้อยลง(จิงซิงไม่รู้สึกขอบคุณเธอสักนิดโอเครป๊ะ?)

เห็นว่าจิงซิงช่วยเธอไว้เมื่อกี้ เธอตัดสินใจจะตอบแทนเขาสักหน่อย

อย่างจิงเฉินที่เย็นชาต่อเขาขนาดนั้น จิงซิงคงจะต้องนอนตายอยู่ที่พื้นแบบนั้นมั้ง

เพราะงั้นเธอจึงตัดสินใจโทรหาเลขาของจิงซิง เลขาเฉิน : "เลขาเฉินคะ ท่านรองประธานช่วงนี้ค่อนข้างจะเล่นเกินไปหน่อยน่ะค่ะ เมื่อกี้ถึงได้ล้มหมดสติไปในห้องทำงานของท่านประธาน คุณรีบมารับตัวเขาส่งโรงพยาบาลทีค่ะ"

เธอเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ เพื่อไม่ให้คนข้างนอกได้รู้เรื่องในครอบครัวของตระกูลเยี่ยว่าสองพี่น้องนี้ไม่ลงรอยกัน เธอก็ได้หาข้ออ้างที่มันสมเหตุสมผลแบบนี้มาบังหน้า เธอมันเป็นนางฟ้าชัดๆ

เลขาเฉิน : ……

จิงซิงที่ล้มหมดสติไป : ห้าห้า

ซินเหยาหลังจากที่เธอออกมาจากห้องทำงานของจิงเฉินก็พึ่งรับรู้ว่าเอวของเธอมีความปวดอยู่น้อยๆ เมื่อกี้ตอนที่เล่นโล้ไปโล้มากับจิงเฉินยังไม่เห็นจะรู้สึกเจ็บอะไรเลย ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกเจ็บมาได้

ไม่นานเลขาของจิงซิงก็มาถึงและส่งเขาไปโรงพยาบาล

ซินเหยาลูบจับไปที่เอวของตัวเอง ทำไมมันเจ็บแบบนี้นะ

ตอนแรกเธอเข้าใจว่าคนที่เป็นเลขาแค่รับหน้าที่เฉพาะสิ่งที่สวยงามไม่สาหัสหนักหนา แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยสินะ

จิงเฉินเดินออกมาจากห้องทำงานและมองไปที่ซินเหยา ซินเหยาที่กำลังทุบไปที่เอวของตัวเองก็ได้หยุดทุบอย่างชงัก ตอนนี้เธอรู้สึกใจหวั่นขึ้นมาทันที

เฮ้อ……เมื่อกี้ยังพูดคำหวานๆใส่อยู่เลย เหมือนเธอเป็นลูกรักอย่างไงอย่างงั้น แต่พอมาตอนนี้กลับเย็นชา ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนอื่นพูดว่าผู้หญิงจิตใจยากแท้หยั่งถึง แต่ความจริงผู้ชายก็ไม่ต่างกันนั่นแหละ ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

แต่ว่าเมื่อเห็นจิงเฉินกลับมาเย็นชาเป็นปกติเฉกเช่นทุกวันซินเหยาตอนนี้ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา

คิดว่าจิงเฉินคงไม่คิดทำไม่ดีไม่ร้ายกับเธออีกนะ

เธอไปชงกาแฟให้จิงเฉินแก้วหนึ่งและยกเข้าไปให้

"ท่านประธานคะ กาแฟค่ะ" ซินเหยาวางกาแฟลงและกำลังจะเดินออกไป

จิงเฉินยืนขึ้น ยื่นมือไปหาซินเหยาและคว้ามือเธอไว้

ซินเหยาในใจสดุ้งขึ้น ป๊ะป๋าคงจะไม่ทำต่อใช่ไหม? แม่เจ้าเอ้ยยย

เครื่องช็อตไฟฟ้าของเธอยังอยู่ติดตัวเธอนะ เธอวางแผนคิดในใจ ถ้าเกิดว่าป๊ะป๋าคิดแบบนั้นจริงๆ เธอคงต้องสั่งสอนป๊ะป๋าสักหน่อย

จิงเฉินเดินเข้าไปหาเธอ ตอนนี้ตัวทั้งสองชิดกันมาก ซินเหยาเม้มปากไปหนึ่งที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

จิงเฉินพาซินเหยาไปที่โซฟานั่งลง จิงเฉินกำลังจะเปิดเสื้อของซินเหยาออก ในมือของซินเหยายังถือไว้เครื่องช็อตไฟฟ้าอยู่ มือที่ออกเงื่อแบบนี้คงไม่นำไฟฟ้าหรอกมั้ง

"นอนบนโซฟาดีๆ ถกเสื้อขึ้น" จิงเฉินเห็นสีหน้าของซินเหยาที่ดูแข็งทื่อ เขาถอนหายใจออก และไม่ได้พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอีก

แม่เจ้า ป๊ะป๋า นี่คุณจะทำอะไรน่ะ?

ขี้เกียจขนาดนี้เลยหรอ อยากจะทำเรื่องอย่างว่ายังจะให้เลขาตัวน้อยๆถอดเสื้อออกเองหรอ มันจะบ้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

หน้าของเธอตอนนี้มันแดงอมชมพูอย่างเห็นได้ชัด

"ไม่ได้นะ……" เธอเห็นจิงเฉินไม่ได้ใช้แรงอะไร จึงดึงเสื้อลง ถ้าให้เลือกได้เธอคงไม่ทำเรื่องอย่างว่ากับป๊ะป๋าหรอก

เห็นสีหน้าของซินเหยาเเล้ว คนอย่างป๊ะป๋านะหรอจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่

เขาก็ยิ้มหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงกับเธอแล้ว

"ถอดเร็วสิ ฉันจะทายาให้" จิงเฉินพูดขึ้นพร้อมมองไปที่ยาที่อยู่บนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและอบอุ่น

เมื่อมองไปที่สายตาที่จิงเฉินมองไป เธอจึงค่อยรู้ว่าที่แท้บนโต๊ะนั้นก็มียาวางอยู่

ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นอีกครั้ง นี่มันขายหน้ามาก

เธอก็นึกว่าป๊ะป๋าจะทำอย่างว่ากับเธอซะอีก

"ฮึ……" ซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไปไม่ถูกว่า "ไม่ต้องแล้วค่ะ ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บแล้ว ไม่ทายาก็ไม่เป็นอะไรค่ะ"

"เจ็บไหม?" จิงเฉินถาม

หน้าของเธอเจ็บจนซีดไปหมด คิดว่าแบบนี้จะเจ็บไหมล่ะ?

เธอยังไม่ทันพูดจบมือของจิงเฉินก็ได้ทายาลงบนเอวของเธอแล้ว เธอร้องออกมา โอ้ยๆ มันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ

สภาพของซินเหยาตอนนี้มันดูน่าสงสารจริงๆ

"ไหนบอกไม่เจ็บ?" เสียงของเขาตอนพูดเหมือนมีเสียงหัวเราะปนออกมา "นอนอยู่นิ่งๆ ผมช่วยคุณเอง"

ซินเหยาได้เปิดกระปุกยาออก กลิ่นของยานี้มันไปตีกับกลิ่นของจิงเฉิน ทำให้ซินเหยารู้สึกเวียนหัวไปหมด ยานี้มันใช้เหล้าหมักมานี่เอง ถึงได้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเมา

หึ นี่มันท่านประธานที่โคตรจะรวยและหล่อมาก แต่กลับมาขอว่าจะช่วยเธอทายานี่นะ เห็นแก่ที่เขาใจดีแบบนี้ เธอก็ยอมให้เขาทาให้

ซินเหยาเพียงคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งไหนที่ป๊ะป๋าไม่สามารถทำได้อีกแล้ว มันต้านทานคนคุณภาพอย่างป๊ะป๋าไม่ไหวจริงๆ

เพราะงั้นกับอีแค่ทายาแค่นี้ เขาทำได้สบายๆ

แต่ว่าเธอคิดผิด คิดผิดจริงๆ

"โอ้ยยย……เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ…..บะ……เบาๆหน่อย"

"นี่…..นี่จะฆ่ากันอย่างนั้นหรอ……เจ็บ……โอ้ยยย"

"เจ็บ……ฉันไม่ทาล่ะ……ปล่อยเลย"

"ช่วยชีวิตด้วยย…….จิงเฉินกำลังจะฆ่า……คน…..โอ้ยยยย "

เจ็บสิ ถึงแม้ว่าคุณจะหล่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะทำทุกอย่างให้ไม่เจ็บได้นะ

ถึงแม้ว่าคุณจะจูบลงอย่างอบอุ่นแบบนั้น แต่ที่ที่มันควรเจ็บมันก็ต้องเจ็บอยู่ดี

แต่ว่าซินเหยากลับส่ายหัวไปมาอย่างเชื่อฟังและพูดว่า "ไม่เจ็บแล้ว"

จิงเฉินมองดูสภาพที่น่ารักนี้ของซินเหยา ก้มหัวลงจูบไปที่ริมฝีปากที่แดงช้ำของเธอ ลิ้นของเขาค่อยๆกวาดไปทั่วช่องปากของเธออย่างช้าๆ ปากของซินเหยากระจับได้รูปสวยมาก ริมฝีปากล่างหนากว่าข้างบนนิดหน่อย มุมปากงอนขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยิ้มออกมา มันก็สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกหวั่นไหวอยากลิ้มชิมได้

มือของซินเหยาไม่รู้ถูกปล่อยออกมาให้เป็นอิสระตั้งแต่ตอนไหน เธอเริ่มบุกโดยการเอามือโน้มกอดไปที่คอของจิงเฉินโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว

ในด้านของจิงเฉินที่กำลังยุ่งอยู่กับจุดอื่นอยู่ก็สามารถที่จะเอามือมาปลดกระดุมบนเสื้อของซินเหยาออกทีละเม็ดๆ

ซินเหยารู้สึกว่าหน้าอกของเธอเย็นวาบขึ้น ใจของเธอเหมือนจะกระอักเลือดออกมายังไงยังงั้น

นานแล้วที่เธอไม่ได้แสดงลวดลายแผลงฤทธิ์ คนอื่นคงลืมความแซ่บของเธอไปหมดแล้ว

ชายคนอื่นคงคิดว่าเธอสิ้นลายไปแล้ว

เธอรับมือกับจูบอันเร้าร้อนของจิงเฉินไปด้วย ในขณะเดียวกันในสมองก็คิดว่าจะตอบสนองกับจูบเหล่านั้นอย่างไรไปด้วย

ยื่นขาที่เรียวยาวของเธอออกมา ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่เตะไปที่จุดหนึ่งของจิงเฉินที่ตอนนี้มันกำลังได้ที่ร่าเริงอยู่แต่ก็เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด ถ้าเธอเตะโดนจุดนั้น รับรองว่าแค่รอบเดียวเธอก็สามารถที่จะทำให้จิงเฉินKOและแพ้ออกจากสนามไป

"เข่าพิฆาต" ซินเหยาเตรียมตัวจัดการ

แต่ขาเธอที่พึ่งจะยกขึ้นมา ยังไม่ได้เตะไปที่เป้าหมาย

ก็โดนจิงเฉินที่เร็วกว่ากดขานั้นลงไป จิงเฉินใช้ขาของตัวเองกดขาอันเรียวสวยของซินเหยาไว้ แค่นี้มันก็สามารถที่จะสยบซินเหยาไปได้อย่างราบคาบแล้ว ขาของจิงเฉินข้างนั้นที่เบียดเสียดอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของซินเหยา เป็นภาพที่ยิ่งจำเริญตาขึ้นไปอีก

ร่างกายของทั้งสองแนบชิดติดกัน ใบหน้าที่แทบจะประกบกันอยู่แล้ว ทำให้ลมหายใจของทั้งคู่ต่างก็กระทบไปที่หน้าของอีกฝั่ง

จิงเฉินยังคงคร่อมทับอยู่บนตัวของเธออยู่ ขาอีกข้างก็ยังแทรกอยู่ที่ระหว่างขาทั้งสองข้างของซินเหยาอยู่

ใต้สะดือของจิงเฉินที่เป็นที่อยู่ของอาวุธอันเย่อยิ่งนั้นมันกำลังกระพือปีกอยู่ที่ตำแหน่งระหว่างขาสองข้างของซินเหยา

ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใส่กางเกงอยู่ เชื่อได้เลยว่าอาวุธอันร้ายกาจชิ้นนี้ของจิงเฉินสามารถที่จะโจมตีทะลุเข้าไปเมืองท่าน้ำของซินเหยาได้อย่างง่ายดายทีเดียว

จิงเฉินที่หน้าไม่อายเอาอาวุธนี้ชี้ไปที่หน้าของซินเหยาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทนงตัวว่า "เธอคิดว่าฉันจะล้มในจุดเดียวกันเป็นครั้งที่สองหรอ แผนนี้มันใช้กับฉันไม่ได้แล้ว ครั้งเดียวก็เกินพอ"

ซินเหยาตอนนี้รู้สึกหมดหนทางจริงๆ

เธอใช้ "เข่าพิฆาต" นี้ในการป้องกันกับผู้ชายทุกคนเลยนะ มันใช้ได้ผลเยอะมากเลย

โดยธรรมดาคนที่โดนเข่านี้เข้าไปก็ไม่กล้าที่จะมารังควานเธออีก เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าเข่าพิฆาตนี้จะใช้เป็นครั้งที่สองกับผู้ชายคนเดียวกันไม่ได้

ส่วนที่ช็อตไฟฟ้าอันนั้นมันก็ตกลงพื้นตั้งแต่ที่จิงเฉินจูบเธอไปตั้งแต่เเรกแล้ว

ตอนนี้เธอโดนจิงเฉินกดทับไว้อย่างไม่มีทางจะสามารถต่อกรได้ เธอช่างเหมือนกับเนื้อบนเขียงที่พร้อมจะโดนสับออกเป็นชิ้นๆยังไงยังงั้น

"คือว่า……" ซินเหยาพูดขึ้น ตอนนี้หน้าของเธอรู้สึกชาไปหมด และพูดต่อว่า"ท่านประธานคะ คุณใจเย็นลงหน่อยนะคะ คุณมีว่าที่ภรรยาแล้วนะคะ"

"แล้วยังไง?" จิงเฉินไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับคำพูดของเธอ ยังคงแกะกระดุมหน้าอกของเธอออกและพูดขึ้นต่อว่า "เธอไม่ใช่ว่าที่ภรรยาของผม"

ถุย……ป๊ะป๋า คุณมันจอมหลอกลวง คุณกำลังโกหกใครอยู่?

เธอเป็นว่าที่ภรรยาของคุณแล้วนะ ยังจะมาเจ้าชู้กะล่อนแบบนี้ได้อีกหรอ?

"คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงจำพวกที่เซ็นเซ็คสิบล้านแล้วจะสามารถจบเรื่องได้นะคะ ถ้าคุณเอาฉันแล้ว คุณต้องรับผิดชอบฉัน คุณต้องขอฉันแต่งงานแล้วให้ฉันเป็นคุณหญิงแห่งบ้านตระกูลเยี่ย และเป็นภรรยาของท่านประธานบริษัทเยี่ยหวง คุณต้องให้ตำแหน่งฐานะกับฉันให้ถูกต้องที่สุด และอีกอย่างคุณต้องไปยกเลิกงานแต่งที่ให้ไว้กับตระกูลลู่ด้วย ถ้าคุณกล้าเบี้ยวล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่" ซินเหยาพูดกับจิงเฉินด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว ยิ่งพูดยิ่งขึ้น

ถ้าเกิดว่าจิงเฉินตกลง เธอก็จะเป็นหนูตกถังข้าวสารแล้วหรอ? ขับรถสปอร์ตหรูไล่นางว่าที่ภรรยาคนเก่าไป และได้ครองสมบัติของตระกูลเยี่ยให้มาอยู่ในกำมือของเธอ

นี่มันเป็นเรื่องที่พลิกชะตาชีวิตจริงๆ

จะว่าไปมันก็ดีนะ

บ้านของป๊ะป๋ารวยซะขนาดนั้น อีกอย่างป๊ะป่าก็หล่ออีก

แล้วที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เรื่องบนเตียงอาวุธจอมฉกาจของป๊ะป๋ามันเผ็ดแซ่บถึงใจพริกพันเม็ดจริงๆ มันสามารถที่จะสำเร็จและเติมเต็มความอยากให้เธอได้

ถ้าแต่งงานกับเขา เธอก็จะมีเงินใช้อย่างนับไม่ถ้วน อีกอย่างลั่วหลิงกับเข่อหลานก็จะมีพ่อด้วย

นี่มันเป็นความคิดที่ดีมาก เธอเก่งมากจริงๆที่คิดออกมาได้

ถ้าเกิดว่าจิงเฉินตอบตกลง เธอจะนอนราบลงทันที และพูดว่า : ป๊ะป๋า อย่าทำแรงนะคะ

เธอมันก็เป็นผู้หญิงที่ไม่สนศักดิ์ศรีแบบนี้ รู้แค่ว่าอะไรคือเงินเท่านั้น

"ถ้าคุณตอบตกลง ฉันก็จะเป็นผู้หญิงของคุณทันที" ซินเหยาพูดขึ้นพรางยิ้มเล็กน้อย ลักยิ้มของเธอก็ปรากฎขึ้นลางๆ มันทำให้เธอสวยสะพรึงมาก

ไม่ว่าจิงเฉินจะตอบตกลงหรือไม่ ยังไงเธอก็ไม่เสียอะไรอยู่แล้ว

แต่ว่าบทพูดเมื่อกี้ ทำไมรู้สึกมันเลี่ยนอยากอ้วกมากกว่าละครหลังข่าวตอน2ทุ่มที่ตัวละครเมียน้อยพูดเสียอีก

อืม……หูฝาดไป หูฝาดไปแน่ๆ

จิงเฉินที่กำลังมัวเมากับกระดุมบนเสื้อของซินเหยาก็ได้หยุดชะงักขึ้น และคิดในใจว่า : ให้ฐานะกับผู้หญิงคนนี้ ให้เธอมาอยู่ข้างกายตัวเองตลอดไป จะว่าไปมันก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรนี่นา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรเธอด้วย

ซินเหยาเห็นจิงเฉินนิ่งคิดไป กลืนน้ำลายคงคอไปหนึ่งอึก

"อ้อ……" ห้องทำงานที่เงียบสงัดจู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น

อย่าเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่เสียงของซินเหยาหรือเสียงของจิงเฉิน

แต่มันเป็นเสียงของคนที่โดนเครื่องช็อตไฟฟ้าแล้วนอนราบไปที่พื้นต่างหาก เสียงของจิงซิงนี่เอง

เสียงของจิงซิงทำลายบรรยากาศที่สุดแสนจะระทึกขวัญระหว่างซินเหยาและจิงเฉินลง

"ท่านรองประธานยังนอนอยู่ที่พื้น ยังไม่ส่งไปโรงพยาบาลอีก" ซินเหยามองไปที่จิงซิงและพูดให้จิงเฉินฟัง

จิงเฉินนั่งลงบนโซฟา ลูบไปที่ชุดสูทแฮดเมดสุดหรูของตัวเอง ทำให้เห็นถึงเสื้อผ้าที่ดูสะอาดเป็นระเบียบ……

"เธออ่อยฉันเองนะ" สายตาของจิงเฉินดูลึกลับขึ้นบวกกับไฟอันโชกโชนที่พร้อมจะเผาเธอให้แสบร้อนซ่า ตอนนี้ทั้งตัวของจิงเฉินลุกเป็นไฟไปหมดแล้ว

เขาก้มตัวลงและเอามือสอดผ่านไปที่ข้อเข่าของซินเหยาและอุ้มเธอขึ้น

ซินเหยากลัวตัวเองจะตกลงไป จึงกอดไปที่คอของจิงเฉิน

ความรู้สึกของท้ังสองตอนนี้เปรียบเหมือนกับว่าเขาสนอง เธอก็จะเสนอ

แต่ความจริงแล้ว ซินเหยาแค่อยากจะถามว่า……

เธอไปอ่อยเขาตอนไหน? เห็นชัดๆว่าเขาคิดไปเอง

เขาชอบเข้าใจคนอื่นผิดแบบนี้ ครั้งหน้ายังจะเล่นสนุกด้วยกันได้อีกหรอ อีกอย่างคิดว่าคนจนไม่มีศักดิ์ศรีหรือไง?

ถ้าเกิดว่าไม่ให้เงินสักล้านเพื่อไถ่โทษนะ เธอไม่ยอมให้อภัยแน่ หึ

"ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ" ซินเหยาพูดขอร้องขึ้นและมองไปที่ตาของจิงเฉินอย่างจดจ่อ

จิงเฉินหันดูเธอ และยิ้มมุมปากขึ้น และถามเธอกลับว่า "เธอแน่ใจนะ? อยู่ต่อหน้าฉันเธอไม่ต้องมาแอพอะไรเพื่อสยบฉันหรอก ตอนนี้ฉันก็โดนเธอสยบจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว"

คำพูดของจิงเฉินเมื่อกี้ ทำให้คนที่หน้าหนายิ่งกว่ากำแพงอย่างซินเหยาเขินจนหน้าแดงเหมือนลูกเชอรี่

เธอ……เธอเขินขนาดนั้นเลยหรอ?

บางครั้งคำยั่วยวนพวกนี้มันก็รู้สึกทัชใจมากกว่าคำสารภาพรักเลี่ยนๆพวกนั้นน่ะ

ซินเหยามองบนใส่จิงเฉินไปหนึ่งดอกในขณะที่เธอยังหน้าแดงเขินอยู่ ในใจคิด: ไปอ่อยมันตอนไหนว่ะ?

ถ้าเธอไม่กอดไว้คอของจิงเฉินก็ต้องตกลงไป เธอคงไม่อยากทำให้ตัวเองเจ็บตัวหรอก

"คือว่า……คือว่าฉันพูดจริงนะ" ซินเหยาพูดด้วยหน้าตาที่ดูจริงจัง

"หมายถึงอ่อยผม?" จิงเฉินถามกลับ

ซินเหยา : ……

คำพูดของป๊ะป๋าเมื่อกี้ทำเอาซินเหยาไปไม่เป็นจริงๆ

"ฉันหมายถึงให้ปล่อยฉันลง" ซินเหยากัดฟัดอธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น

คิดไม่ถึงว่าวันนี้ป๊ะป๋าจะเชื่อฟังขนาดนี้ ว่าจะปล่อยเธอลง

แต่ว่าวางเธอลงไว้ที่โซฟา หลังจากวางลงเสร็จ ก็ขึ้นครอบไปที่ร่างกายอันบอบบางของเธอ

ร่างกายที่ดูสูงใหญ่ล่ำสันแบบนี้ มันทับซินเหยาไว้จนเธอเหมือนจะขาดอากาศหายใจอีกครั้ง

ซินเหยา : เธอรู้อยู่แล้วว่าป๊ะป๋าเป็นหมาป่าที่เจ้าเล่ห์บ้ากามจริงๆ

สองหญิงชายอยู่ในห้องสองต่อสอง ( จิงซิง : เห็นฉันตายแล้วหรือไง? )

บนโซฟาอิตาลีนี้ มีชายที่รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน และมีหญิงที่สัดส่วนบางเรียว มันดูเผ็ดร้อนไปหมด

ร่างกายของทั้งสองคนแนบสนิทชมชิด เป็นภาพที่จำเริญตาจริงๆ

เพราะงั้นในตอนที่ท้องของซินเหยาโดนอะไรแข็งๆสักอย่างมากระทบ เธอไม่ได้ถามขึ้นเหมือนในละครโง่ๆว่า : นี่มันอะไรคะ? กระเป๋ากางเกงคุณมีไส้กรอกยาวใหญ่อยู่ด้วยหรอคะ?

แม่เจ้า ถึงแม้ว่าเธอจะเคยซัมบาราห้ากับจิงเฉินมาเพียงรอบเดียว แต่เธอก็รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร

ครั้งก่อนก็เพราะว่าเธอโดนป๊ะป๋าที่โหดร้ายแบบนี้แทงเข้าให้ ถึงได้มีลูกที่ฉลาดอย่างลั่วหลิง และลูกที่น่ารักอย่างเข่อหลานออกมา

เพราะงั้นของสิ่งนี้คืออะไรไม่ต้องพูดก็รู้แล้ว

ป๊ะป๋า ทำไมอันธพานขนาดนี้

"ท่านประธานคะ นี่มันเป็นการคุกคามทางเพศนะคะ" ตอนนี้ทั้งคอของซินเหยาก็แดงไปด้วย แต่กลับมองดูใบหน้าหล่อเหลาฟ้าประทานของจิงเฉินและพูดขึ้นอย่างใจเย็น

"ฮื่มมม……"จิงเฉินตอบกลับอย่างใจเย็น จากนั้นก็เอาหน้าของตัวเองซุกไปที่หน้าอกของซินเหยา และหายใจเข้าไปให้ลึกที่สุด

ตอนนี้ซินเหยาได้กลิ่นแต่เพียงกลิ่นของจิงเฉินอย่างเดียว เธอสั่นไปถึงทรวงใน

ป๊ะป๋า คุณทำแบบนี้ได้ไง

"ออกไปนะ" ซินเหยาดันอกที่แข็งกำยำของจิงเฉินออก ในเสียงที่เธอส่งออกมามีความโกรธอยู่เล็กน้อย

จิงเฉินจูบไปที่คอของซินเหยาและเงยขึ้นมาดูซินเหยา ในสายตามีรอยยิ้มเล็กๆบวกกับความอบอุ่น และพูดว่า "ไม่ดื้อหน่า เชื่อฟังสิ"

ซินเหยารู้สึกอยากจะกระอักเลือดออกมา แต่ทำได้แค่กลืนลงไป

ป๊ะป๋า ทำไมคุณถึงเป็นคนอย่างงี้นะ

อีกอย่างนะ มือคุณน่ะ ตอนนี้มันทำไมเลื่อนไปถึงหน้าอกเธอแล้ว?

ป๊ะป๋า คุณยังจะกล้าทำตัวแบบนี้อยู่หรอ?

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ซินเหยาเป็นหญิงที่โง่บ๊อง เพราะทุกครั้งจิงเฉินก็ลงมือทำได้ตลอด

มืออันเรียวยาวเห็นเส้นเลือดเป็นเส้นๆของจิงเฉินได้พาดไปเรื่อยๆตามรอยเย็บบนเสื้อผ้าของซินเหยา จากเอวก็ค่อยๆเลื่อนลงมา มันสัมผัสไปโดนเนื้ออันละมุนของซินเหยาที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้า ตอนนี้ซินเหยารู้สึกสั่นขึ้นมา ทั้งตัวของเธอตอนนี้มันขนลุกไปหมด

ซินเหยายื่นมือออกไปรั้งมือของจิงเฉินที่กำลังเล่นอยู่กับเนื้อละเอียดเนียนนุ่มที่เอวของเธออยู่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบๆนิดนึงว่า "ท่านประธานคะ "พอแค่นี้เถอะค่ะ"

โดยปกติการลูบไล้แบบนี้เธอก็ยอมนะ เพราะมันก็ไม่ได้เสียอะไร ป๊ะป๋าหล่อซะขนาดนั้น

แต่ว่าถ้ามันเกินจุดนี้ไปก็ไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวมันจะมีหนูน้อยในท้องเธอเพิ่มมาอีกคน

พละกำลังของจิงเฉินเยอะมาก มือข้างหนึ่งของเขายังคงลูบไล้ไปที่เนื้อขาวนวลละเอียดของเธออยู่ อีกข้างก็กดมือของซินเหยาที่พยายามต่อต้านไว้ที่หัวของเธอ ซินเหยาไม่สามารถขยับไปไหนได้ ได้เพียงแต่ยอมให้จิงเฉินลูบขึ้นลูบลงตามใจชอบเท่านั้น

ในใจของซินเหยาได้เพีนงแต่ด่าจิงเฉินว่าไอ่อันธพาน แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

หรือว่ารอบนี้เธอจะโดนจิงฉินกินอีกแล้ว?

ตอนนี้เธอยังพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันยังไม่มีอะไรเลยเถิด แต่ถ้าอีกประเดี๋ยวเขาทำถึงจุดนั้น คำที่ว่า เมียน้อย คงได้เป็นของเธออย่างเต็มตัวแน่นอน

เธอกับจิงเฉินคงเป็นคู่กรรมกันแต่ชาติปางก่อนสินะ เฮ้อออ

ซินเหยาบิดตัวไปมา ร่างกายอันบางเรียวของเธอเสียดสีกับเจ้าตัวน้อยของจิงเฉินไปๆมาๆ มันทำให้จิงเฉินยิ่งรู้สึกเร้าร้อนขึ้นไปอีก เหมือนกับการที่เทน้ำมันเข้าไปในกองไฟปานนั้น

สายตาของจิงเฉินเต็มไปด้วยไฟโลกันต์อันเร่าร้อนเผ็ดแสบ เหมือนจะกลืนกินเธอลงไปอย่างนั้น

แม่เจ้า เธอพึ่งรู้ว่าตาของป๊ะป๋ามันสว่างได้ถึงเพียงนี้ มันสามารถทำให้คนที่มองตาบอดไปได้เลย

ช่วยด้วย……แสบตามาก ตอนนี้เธอโดนสายตาอันเร้าร้อนของป๊ะป๋าแผ่เล่นงานอย่างหนักหน่วง

"คุณบีบไว้มือฉันเจ็บนะ" เธอพูดกับจิงเฉินด้วยตาที่แดงขึ้น และสภาพที่ดูน่าสงสารมาก

สายตาของจิงเฉินยังคงเต็มไปด้วยไฟอันเร้าร้อน ยังจับไว้มือของซินเหยาไม่ปล่อย แค่ผ่อนแรงให้ช้าลงหน่อยเท่านั้น

เธอดึงมือของซินเหยามาไว้ข้างหน้า เงยหน้ามองขึ้น มือที่ขาวละเอียดกลายเป็นสีแดงจริงๆ เขาก้มหน้าจูบไปที่มือที่แดงช้ำของเธอ มันช่างดูอบอุ่นจนอยากจะหลั่งน้ำตาจริงๆ

"ยังเจ็บอยู่ไหม" จิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

ซินเหยาเอาที่ช็อกไฟฟ้าเก็บกลับมา และพูดขึ้นว่า "ท่านประธานเยี่ยเป็นคนที่หล่อเท่ห์ไม่เบา อ่อนเยาว์หญิงหลง มั่งคงฐานะ นงครารักใคร่ ไปไหนใครๆก็รัก เอาเป็นว่าท่านประธานเป็นผู้ที่เพอร์เฟคมากที่สุดคนหนึ่ง เป็นโอปป้าหนุ่มในฝันของสาวๆนับหมื่นคน ถึงแม้ท่านประธานจะอยู่ในมุมที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง แต่ออร่าความปังของท่านประธานก็สามารถส่องแสงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อท่านประธานดีเลิศขนาดนี้ แหงอยู่แล้วต้องมีคนที่คิดไม่หวังดีกับท่าน ฉันในฐานะเลขาของท่านจึงต้องซื้อของชิ้นนี้มาเพื่อปกป้องท่านจากคนพวกนั้นค่ะ ท่านดูผลลัพธ์สิคะ มันเห็นผลจริงๆ"

เธอเป็นนักเรียนสายวิทย์นะ แต่ทำไมคำพูดพวกนี้ถึงสามารถออกมาจากปากกวีหญิงอย่างเธอได้

การยอครั้งนี้ของเธอมันช่างมีคุณภาพจริงๆ

จิงเฉินยิ้มมุมปากขึ้นและเดินไปหาเธอแล้วถามว่า "แล้วเธอล่ะ มีคิดไม่ดีกับฉันบ้างรึป่าว?"

คำถามนี้จะให้เธอตอบยังไงดีล่ะ ให้ตอบว่ามีหรือไม่มีดี?

ถ้าเธอตอบว่ามี ป๊ะป๋าคงมองว่าเธอเป็นหญิงโรคจิต

แต่ถ้าเธอตอบว่าไม่มี ป๊ะป๋าจะคิดว่าเธอไม่มองป๊ะป๋าอยู่ในสายตาไหมนะ

คำถามนี้ มันยากกว่าตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าจะเลือกชิงหวาหรือเป่ยต้าเสียอีก

รูปร่างสัดส่วนของจิงเฉินสูงใหญ่ ขายาว ดูสมาร์ทเหมาะกับลุคประธานมาก

บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาเหมือนกับใช้มีดแกะสลักออกมาอย่างไงยังงั้น ปากกระจับที่ดูเรียบบาง อยากจะเอาลิ้นไปสัมผัสจริงๆ

ในโลกที่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้ เขาคือผู้ชนะตัวจริง

ในเวลานี้ที่เขากำลังยืนอยู่หน้าซินเหยาอยู่ สายตาที่ดูลึกลับเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่นั้นมันทำให้ซินเหยารู้สึกถึงขาดหายใจไปชั่วขณะ

ป๊ะป๋า เป็นปีศาจร้ายที่ชอบแกล้งคนสินะ

"งั้นเธอก็เหมือนคนอื่นหรอ ที่คิดไม่ดีกับฉัน?" จิงเฉินถามขึ้นพรางมองดูไปที่ซินเหยา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกดีเสียอีก

เสียงของเขาถึงจะเย็นชา แต่เมื่อฟังเข้าไปถึงรูหูกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

"ค่ะ……" หลังจากที่ซินเหยาเงียบไปสักพัก ก็พยักหน้าพูดขึ้น "คนมีเสน่ห์อย่างท่านประธานไม่มีใครที่สามารถจะทนได้หรอกค่ะ ฉันก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถที่จะทนต่อความมีสเน่ห์ของท่านได้เหมือนกัน"

ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะเกินจริงไปหน่อย แต่ป๊ะป๋าก็หล่อโคตรโอเครป๊ะ

หลังจากที่จิงเฉินได้ฟังซินเหยาพูดก็ยิ้มมุมปากขึ้น ในแววตาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

รอยยิ้มของจิงเฉินราวกับรอยยิ้มที่สามารถหยุดโลกได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นแล้วก็ตาม แต่ซินเหยาก็ยังชอบหลงไหลกับรอยยิ้มของป๊ะป๋านี้จนไม่สามารถถอนตัวออกได้

คุณเทพบุตร ขอคุกเข่าอมให้เลยค่ะ

ขาเธอตอนนี้อ่อนระทวยไปหมด อยากจะคลอดลูกให้เขาจริงๆ

อย่าคาดหวังกับผู้หญิงที่ไม่เคยมีแฟนที่จะสามารถทนต่อความหล่อของป๊ะป๋าได้เลย

"งั้นผมยอมให้คุณคิดไม่ดีกับผมต่อไปได้อีก" จิงเฉินลูบจับไปที่ใต้คางของซินเหยาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เซ็กซี่

ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะโดนจิงเฉินหว่านสเน่ห์เข้าอย่างจัง แต่ว่าตอนนี้เธอยังไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้ เธอได้เพียงแต่จินตนาการภาพเหล่านั้นในหัวของเธอ

ซินเหยาแค่อยากจะบอกป๊ะป๋าว่า : ฮือๆ

"ทำไม ไม่เต็มใจหรอ?" จิงเฉินถาม

จิงเฉินหลับตาลงสองข้าง บรรยากาศตอนนี้มันเปลี่ยนไป ทำให้ซินเหยาไปไม่ถูก

จะเริ่มขึ้นแล้วล่ะ………

เธอเพิ่งจะอ้าปากออกเพื่อพูด แต่ก็กลับโดนจิงเฉินทำให้กลืนคำเหล่านั้นลงไป "ไม่……ไ…."

ริมฝีปากบางเล็กที่มีความเย็นนิดๆได้ประกบลงบนปากของซินเหยา ทำให้เธอต้องกลืนคำที่เธอจะพูดลงไป เขาประกบปากของซินเหยาอย่างแน่น ทั้งสองสลับกันฟัดเหวี่ยงอย่างไร้ความปราณี จากเยื่อบุแก้มทางซ้ายย้ายมาทางขวา จากบนเพดานลงล่างช่องปากอย่างเผ็ดแซ่บสุดเสียว

ลิ้นของจิงเฉินออกรุกลิ้นของซินเหยาอย่างดุดัน ทั้งสองสลับกันปล่อยอากาศให้กันและกัน จิงเฉินตอนนี้รุกหนักเหมือนปานจะกลืนกินเธอลงไปอย่างไงยังงั้น ซินเหยาตอนนี้รู้สึกว่าอากาศในปอดของเธอถูกจิงเฉินดูดไปจนไม่เหลืออะไรแล้ว ฮือ……. ฮือ……(เสียงหายใจ) ปากที่โดนจิงเฉินแนบสนิทไม่มีรูอากาศเล็ดลอด ปลายจมูกที่เต็มไปด้วยกลิ่นเอกลักษณ์บนตัวจิงเฉิน

กลิ่นหอมเย็นรอบนี้ของเขามันเกือบทำให้ซินเหยาหายใจไม่ออก เธอเอามือทั้งสองข้างนาบลงบนหน้าอกของจิงเฉิน อยากจะจบจูบครั้งนี้ที่ใกล้จะทำให้เธอขาดอากาศ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดายจูบนี้

จิงเฉินปฏิเสธท่าทางดันตัวออกของซินเหยา จึงเอามืออีกข้างโน้มกอดไปที่เอวอันบางเล็กของซินเหยาให้เข้ามาหาตัวเขาเองมากขึ้น ตอนนี้ตัวของทั้งสอบแนบชิดติดกัน ไม่มีช่องว่างที่อะไรต่อมิอะไรจะสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ มันให้รู้สึกแนบชิดมากจริงๆ

ซินเหยาโดนจิงเฉินระยำจูบอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอตัวอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีแรงเหลือแม้แต่นิด

เครื่องช็อตไฟฟ้าที่อยู่ในมือเธอก็ไม่ต้องพูดถึง มันได้หล่นไปอยู่ที่พื้นนานแล้ว

ซินเหยาหมดแรงซบอยู่ที่อกของจิงเฉิน ตอนนี้ถึงสามารถหยุดได้

เมื่อจูบอันเร้าร้อนนี้จบลง ซินเหยาก็หายใจเอาอากาศเข้าปอดไปหลายเฮือก

รู้สึกว่าสมองเหมือนจะขาดออกซิเจน เธอเกรงว่าถ้าจิงเฉินยังจูบต่อไปสมองของเธอเธอคงจะต้องขาดออกซิเจนเป็นแน่

ซินเหยารู้สึกว่าลิ้นของตัวเองชาๆ แต่ก็รู้สึกถึงความเผ็ดร้อน

เธอแลบลิ้นออกมาและเลียไปที่ริฝีปากที่แดงช้ำจากจูบอันเร้าร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อกี้

แม่เจ้า ทำไมมันขาดความรู้สึก?

ตอนกลางคืนกลับบ้านไปจะบอกลูกๆยังไงดีว่าปากทำไมถึงช้ำขนาดนี้

ท่าทางของซินเหยาที่แสดงออกมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวต่อหน้าของจิงเฉิน เธอไม่รู้ว่าท่าทางนี้มันน่ากินเสียจริงๆ

สีผิวขาวนวลละเอียดของเธอมีสีชมพูเข้ามาประปราย นัยตาของเธอเหมือนแดงนิดๆ หางตาเหมือนมีหยดน้ำหน่อยๆ สายตาที่มองไปเปรียบเหมือนเพชรน้ำดีช้ันหนึ่งที่กำลังส่องประกายอยู่ สวยจนทำให้คนตกตะลึงได้จริงๆ ริมฝีปากที่โดนระเรงไปอย่างหนักทำให้มีสีแดงช้ำริมฝีปากในตอนแรกที่ยังอมชมพู แต่ตอนนี้มันแดงและมีเลือดออกซิบๆ

เธอยังแสดงท่าทางที่เย้ายวนใจออกมาโดยไม่รู้ตัว โดยการแลบลิ้นออกมาแล้วเลียไปที่ริมฝีปากของตัวเองซ้ำอีก ทำให้เห็นฟันอันขาวใสของเธอเป็นจังหวะๆ มันช่างเซ็กซี่เย้ายวนหวนคำนึงจริงๆ

ลูกกระเดือกของจิงเฉินกระตุกขึ้น เกิดจากการที่กลืนน้ำลายลงคอ สายตาของเขาตอนนี้เหมือนหมาป่าเดือน12เอามาก

"เธอยั่วยวนฉันเองนะ"

เฮ้ยย! นี่คุณชายใหญ่กินขี้ก่อนมาหรืออย่างไรกัน ปากถึงได้เน่าเสียขนาดนี้

กล้าพูดว่าป๊ะป๋าเป็นสัตว์ป่า เป็นหมาที่เลี้ยงไว้ พูดออกมาได้อย่างไรกัน

งั้นคนที่ชื่อจิงซิงก็น่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วกระมัง

ในเมื่อเป็นคนบอกเองว่าเรื่องนี่ไม่ได้กระทบกับตัวเอง แล้วจะมาตีโพยตีพายทำซากอะไรตรงนี้

อีกหน่อยถ้าบริษัทนี้ตกเป็นของจิงซิง พนักงานทุกคนคงจะไม่อดตายใช่ไหม

"แกคิดว่าเรื่องเล็กแค่นี้จะกำจัดฉันได้งั้นหรอ ถ้าฉันไม่มีความมสุข แกก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเลย รอดูแล้วกันว่าถ้าวันนั้นมาถึงพ่อจะเลือกฉันหรือแก"

เฮ้ออ……

เล่นเป็นเด็กขี้ฟ้องไปหน่า ไม่ใช่เด็กแล้วนะ แพ้แล้วพาลไปฟ้องงี้หรอ? น่าขายหน้าจริงๆ

อีกอย่างนายทำบริษัทขายหน้าขนาดนี้ พ่อนายคงจะไม่ปล่อยไปแบบนี้มั้ง?

"ถ้าฉันเป็นนายน่ะ คงไม่มาโยนความผิดให้คนอื่นหรอก คงไปทำสิ่งที่มันดีกว่า สิ่งที่มันสามารถที่จะเรียกชื่อเสียงตัวเองกลับมาได้ ทำให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบให้น้อยที่สุด" เสียงตอบกลับของจิงเฉินยังคงสุขุมไม่เปลี่ยน

คำพูดของป๊ะป๋ามันคมจริงๆ

ตอนนี้ภาพลักษณ์ของเขามันป่นปี้ไปหมดแล้ว แพร่เป็นวงกว้างไปทั่วโลก แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวแทน

ป๊ะป๋าพูดเมื่อกี้ฉลาดมาก กดไลก์ให้32นิ้ว

สายตาของจิงซิงตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ เปรียบเหมือนมีไฟโลกันต์อยู่ข้างในที่คอยแผดเผา มันน่ากลัวมาก

จิงซิงตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาป๊ะป๋า อยากจะตีป๊ะป๋าให้ราบไปกับพื้น

"จิงเฉิน ไอ้สัตว์ป่า ฉันจะฆ่าแก" จิงซิงตอนนี้เหมือนสัตว์ประหลาดมาก สายตาที่แดงก่ำ สติที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่ในความสงบได้

แม่เจ้า สองพี่น้องตีกันแล้วหรอ?

สองพี่น้องตีกันไม่ดีนะ

ซินเหยาผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี ก็ตัดสินใจที่จะไปช่วยยุติการทะเลาะในครั้งนี้

เห้อ……..ถึงแม้ว่าจิงเฉินจะโดนจิงซิงกดไว้ที่พื้น แต่คนที่ดูน่าสังเวชมากกว่าก็ยังเป็นจิงซิง เพราะเขาตอนนี้เหมือนคนที่กำลังขาดสติ ผิดกับจิงเฉินที่ดูเป็นพ่อพระเอามาก

จิงซิงเหมือนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิงเฉินนะ เธอรู้สึกสงสารผู้ที่ด้อยกว่าอ่อนแอกว่า แต่ก็ตั้งสติ และไปแยกเขาทั้งสอง

ซินเหยาไม่ได้เหมือนนางเอกในละคร ที่จะยืนตระโกนอยู่ข้างๆแล้วพูดว่า หยุดนะ! หยุดนะ! เหมือนเชียร์ลีดเดอร์

ทั้งสองตีกันจนตาช้ำ แล้วยังจะมาสนใจเสียงข้างๆอีกหรอ? จริงไหมล่ะ

เพราะงั้นหญิงที่ฉลาดอย่างซินเหยาก็ได้คิดหาวิธีที่สามารถหยุดพวกเขาสองคนจริงๆได้

จิงซิงตอนนี้เป็นคนที่ดูอ่อนแอกว่า คนเรามักจะมีความรู้สึกที่ชอบสงสารคนที่อ่อนแอกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดจิงซิงมากเพียงใด แต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยได้

เพราะงั้นเธอจึงตัดสินใจวางความเกลียดที่เธอมีลงและช่วย

"ฮือ……" จิงซิงจับไปที่คอของตัวเอง กล้ามเนื้อของเขากระตุก และได้นอนราบไปกับพื้น

เธอวางที่ช็อตไฟฟ้าในมือลง ถอนหายใจหนึ่งเฮือก พวกเขาตอนนี้ไม่ได้ตีกันแล้ว

เธอเก่งมาก เอาใจไปเลยล้านดวง

หึ…… เธอเป็นหญิงที่ดีมีเมตตาจริงๆ ถึงแม้จะเกลียดจิงซิง แต่ก็ไม่ยอมยื่นมองเขาโดนจิงซิงตีหรอก

เธอเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ อยากจะร้องไห้ให้กับความดีของเธอ ห้าๆ

จิงซิงโดนที่ช็อตไฟฟ้าของซินเหยานอนราบไปกับพื้น

เธอไม่ใช่ว่าเกลียดหรืออยากแก้แค้นเขาหรอกนะ แค่อยากจะช่วย จริงๆนะ เธอสาบาน

เธอแค่ไม่อยากให้เขาสองคนตีกัน ถึงต้องทำแบบนี้

นัยตาของจิงเฉินตอนนี้เต็มไปด้วยความเกลียดที่ยากจะปกปิดไม่ให้ใครเห็น เขาเตะขาข้างหนึ่งของจิงซิงออก การกระทำเมื่อกี้มันดูเท่ห์และหล่อบาดใจมากจริงๆ ซินเหยาเห็นแล้วใจละลายกับท่าทางที่หล่อเหลานี้ของเขาเป็นอันมาก

แต่จะว่าไปจิงซิงก็ยังเป็นพี่ของจิงเฉิน สำหรับเรื่องที่จิงเฉินทำไว้ ซินเหยาก็รู้สึกว่าเขา……..

ทำดีมากกกก 55

ถึงแม้บางครั้งป๊ะป๋าจะเลวไปหน่อย แต่รอบนี้ป๊ะป๋าเก่งมากนะคะ

จิงเฉินลุกขึ้นมากจากพื่น ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองไปที่เครื่องช็อตไฟฟ้าในมือของซินเหยา

"นั่นคืออะไรน่ะ?" ท่าทางของเขามีความอยากรู้ ในขณะเดียวกันก็มีความเย็นชา

คนที่สามารถนำความรู้สึกสองอย่างนี้ผสมกันและเข้ากันอย่างลงตัวคงจะมีเพียงแค่ป๊ะป๋าคนเดียวเท่านั้น อยากจะคุกเข่าให้ป๊ะป๋าจริงๆ งืออออ

วันนี้เหมือนกับว่าเธอจะใช้สิ่งนี้เป็นวันแรกด้วยสิ ผลลัพธ์ไม่เลวเลย

เดี๋ยวเข้าแอพเถาเป่าไปให้ห้าดาวกับร้านนี้เลย

"นี่เป็นที่ช็อตไฟฟ้า ผลลัพธ์มันก็ดีนะอย่างที่เห็น ที่จริงของในเถาเป่าก็ไม่ใช่จะไม่ดีไปซะหมด ของดีๆก็ยังมีอยู่" สีหน้าของเธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

แต่จะว่าไปคนที่นอนราบกับพื้นถึงยังไงก็ยังเป็นพี่ชายของเขา ทั้งสองพี่น้องถึงจะทะเลาะกันมันก็เป็นเรื่องภายในของพวกเขา แต่กับเธอที่ทำเขาสลบไป มันเป็นคนละเรื่องกันเลยนะ เธอรู้สึกว่าที่เธอยิ้มร่าขนาดนี้มันไม่ค่อยจะเหมาะนัก จึงพูดขึ้นอีกว่า "ท่านประธานวางใจเถอะค่ะ เดี๋ยวสักพักเขาก็ตื่น และไม่มีผลข้างเคียงต่อเขาในภายหลังด้วย"

เธอยกมือขึ้นสาบานกับจิงเฉิน

จิงเฉินหรี่ตาเล็กลงมองไปที่จิงซิงและค่อยๆมองไปที่ซินเหยาและพูดว่า "แล้วเธอไปซื้อของแบบนี้มาได้ไง?"

ซินเหยา……

เธอจะบอกหรอว่าสาเหตุที่เธอซื้อมาก็เพราะจะมาให้บทเรียนเขาเองแหละ หึหึ

พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เครื่องช็อตไฟฟ้านี้ก็เอามาป้องกันตัวเธอจากหมาป่าดุร้ายอย่างป๊ะป๋าที่จ้องจะเขมือบเธอไงล่ะ หึหึ

แต่ถ้าเธอพูดความจริงสาเหตุที่ซื้อมาคงโดนป๊ะป๋าซ้อมตายแล้วแหละ

ซินเหยาชี้ไปและพูดขึ้นมา "ที่ซื้อมาก็เพราะว่า…..ว่า…..เพราะว่าเอามาป้องกันท่านประธานไงล่ะคะ ห้าห้า……"

จิงเฉินขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกว่าคำตอบที่เธอพูดมีความน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ จึงให้เธอพูดต่อ ดูซิว่าจะพูดแถอะไรออกมาอีก

ซินเหยายังไม่ทันได้คิดเลยว่าจะแก้แค้นเขายังไง แต่ว่าขอบคุณฟ้าที่มีตา ตอนนี้มีคนมาแก้แค้นเขาแทนเธอให้เเล้ว

ตอนนั้นเธอกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทอยู่ แล้วก็ไถมือถือ ไถเวยป๋อไปเรื่อยๆเหมือนปกติทุกวัน

แต่จู่ๆก็เห็นข่าวฉาวโฉ่โผล่ขึ้นมาโดยทันที

# ทายาทเศรษฐีดังมีความสัมพันธ์ลับๆกับ คุณจางxx ดาราสาวชื่อดังคุณเฉินxx และสาวสวย วัยใส คุณหลิวxx #

# คลิปหลุดหนุ่มทายาทเศรษฐีกับสาววัยใสบริสุทธ์ #

# ทายาทเศรษฐีตระกูลเยี่ย กับ ผู้หญิงเจ็ดคน #

# ชีวิตเน่าเฟะของหนุ่มทายาทเศรษฐี เซ็กส์ มั่วสุม คลิปหลุดปาร์ตี้เซ็กส์หมู่ #

# ทายาทเศรษฐีกลุ่มหนึ่ง จัดปาร์ตี้เซ็กหมู่กับสาวมหาลัย (มีคลิป) #

ฉันเดาว่า……

สเกลนี้…….สเกลนี้มันไม่ใหญ่เกินไปใช่ไหม? หน้าอกคุณเฉินxxเป็นอะไรไป ทำไมหดลงขนาดนั้น?

ไม่ต้องสนใจรายละเอียดพวกนี้ ประเด็นอยู่ที่ทายาทเศรษฐีคนนี้หน้าคุ้นมากแฮะ

หึหึ……จะไม่ให้คุ้นได้ยังไงกัน นี่มันไม่ใช่เยี่ยจิงซิงคนที่ขังเธอไว้ในลิฟต์ให้เธอหนาวตายหรืออย่างไรกัน

หึหึ……คิดไม่ถึงเลยนะว่าไอ้หมอนั่นพอถอดเสื้อผ้าออกแล้วหุ่นก็ไม่แซ่บไม่เบา

เมื่อเห็นจิงซิงตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มันสะใจอีช้อยยิ่งนัก เธอได้หยิบขนมใต้ลิ้นชักมากินพรางดูไป

คลิปพวนี้มันสนุกเร้าใจมากกว่าคลิปพวกAV GVเสียอีก ผู้หญิงพวกนั้นถ้าดูภายนอกแหมใสจริงๆ แต่อยู่ในนี้แทบร้องขอชีวิตเลยนะ มองไม่ออกเลยว่าจะร่านขนาดน้ี ท่าทางน้ำเสียงพวกนั้น ถ้าให้พวกผู้ชายมาดูคงจะอดใจไม่ไหวเหมือนกัน

น้ำหนักและความอึดไม่เลวเลยนะ แม่เจ้า น้ำก็เยอะดี

แม่เจ้า นี่มันมีอุปกรณ์เสริมด้วยหรอ?

นี่มันเข็มขัดหนัง ซาดิสม์มากนะคะซิสส!

นี่อีกหน่อยถ้าคุณรองประธานไม่เป็นทายาทเศรษฐีแล้ว ไปเป็นพรีเซ็นต์เตอร์คงจะได้เงินเยอะนะคะเนี่ย ไม่แน่อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าเป็นท่านรองประธานนะคะ อิๆ

# แค่คืนเดียว 7น้ำ ไม่เหนื่อยเพราะอึดมาก#

แค่คิดมันก็สะใจอีช้อยซินเหยายิ่งนัก 55555

แต่จะว่าไปในคลิปมันก็มีส่วนที่ไม่ควรลง อย่างน้อยก็ควรเบลอหน้าไว้ เพราะถ้าพวกนักเรียนดูคงจะอดใจไม่ไหวเป็นแน่

การกระทำแบบนี้ ควรจะต้องโดนประนาม

แต่ว่า…… น้องซินเหยาของเราชอบค่ะ 5555

เธอกินขนมไปด้วย พร้อมกับดาวน์โหลดคลิปพวกนั้นไปด้วย เผื่อสำรองไว้หากต้องใช้ในอนาคต

ไม่แปลกที่ตระกูลเยี่ยจะรวยอยู่ต้นๆของตลาดหลักทรัพย์นี้ คลิปพวกนั้นที่ปล่อยออกมาเพียงครึ่งวันพอกินข้าวเที่ยงเสร็จก็โดนลบโดยทิ้งหมด แถมยังโดนเป็นเนื้อหาที่ไม่สามารถดูได้อีก

แต่ยังดีทีเธอได้ทำการดาวน์โหลดมาหมดแล้วจ้า

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะอยู่บนอินเตอร์เน็ตเพียงครึ่งวัน แต่เรื่องฉาวโฉ่นี้ก็ได้แพร่กระจายไปทุกซอกทุกมุมของโลกใบนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อคืนจิงซิงนอนอยู่ที่บ้านของดาราสาวคนหนึ่งอยู่ พอรู้เรื่องเขาก็รู้สึกหมดหนทางมืดมัวไปหมด คนที่ปล่อยคลิปต้องการที่จะจัดการเขาโดยตรง เพราะงั้นจึงไม่ได้เบลอหน้าไว้

คนที่เคยเห็นจิงซิงก็ต้องรู้โดยทันทีว่าคนในคลิปเป็นเขา

เพื่อนชาวเน็ตที่น่ารัก ข่าวฉาวโฉ่ที่ออกมาต่างก็สนใจมาก ผู้ชายในคลิปนี้เป็นใครกันนาาา

ในตอนที่บริษัทเยี่ยหวงยังไม่ทันรู้เรื่อง เยี่ยจิงซิงก็โดนชาวเน็ตปลอกลอกออกมาหมดแล้ว

ที่แท้ก็เป็นลูกคนโตของตระกูลเยี่ยนี่เอง คนที่เป็นรองประธานบริษัทเยี่ยหวง

เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของครอบครัวเยี่ยจิงซิง ข้อมูลของพ่อแม่ การศึกษา ผลคะแนน เรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเรียน รวมถึงว่าตูดของจิงซิงมีไฝ บ้านของเขามีรูหนูกี่ช่อง เรื่องทั้งหมดก็ถูกชาวเน็ตขุดออกมาอย่างละเอียดทั้งสิ้น

"เห้ออ….. วันนี้มันเป็นวันที่ดีจริงๆ"

ซินเหยาวันนี้ได้แต่ดูข่าวที่เกิดขึ้น

คนที่ปล่อยคลิปลง ขอกราบท่าเบญจางคประดิษฐ์5ยกไปเลย

แต่ซินเหยาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่ปล่อยคลิป เป็นคนที่ใกล้ตัวสนิทกับเธอเป็นอย่างมาก

รวมถึงเป็นเพราะเธอ คลิปเหล่านี้จึงได้ถูกปล่อยออกมา

……

ตอนที่จิงซิงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเป็นคนดังในโลกโซเชี่ยว ก็เป็นวันที่สองแล้ว

ตอนที่เขาเห็นคลิปเหล่านั้นที่โดยลบไป คนแรกที่เขานึกได้คือ เยี่ยจิงเฉิน

เรื่องนี้นอกจากที่จะเป็นฝีมือของจิงเฉิน เขาคิดไม่ได้อีกแล้วว่าจะเป็นฝีมือใคร

ทุกครั้งตอนที่จิงซิงเดินไปที่คนหมู่มาก ก็รู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจดจ้องมาที่ตัวเองพร้อมพูดอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าคลิปเเละเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านั้นจะโดนลบไปหมดแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นหนามแทงใจจิงซิงอยู่

หลายวันมานี้เขาอยู่อย่างทุกข์ทรมานมาก

กลับกัน ซินเหยาช่วงนี้กลับมีความสุขมากกว่าปกติ ได้เห็นคนที่ตัวเองเกลียดเป็นแบบนี้ ก็ดีใจกินข้าวสองถ้วยได้อย่างมีความสุข

สีหน้าที่ดูผอมซีด มีเพียงแต่ชุดสูทราคาแพงที่คลุมไปที่ตัวของเขาอย่างไม่เป็นระเบียบ สภาพเขาตอนนี้มันดูไม่ได้จริงๆ

เมื่อเห็นจิงซิงเป็นแบบนี้ มันทำให้เธอมีความสุขมาก

"ท่านรองค่ะ คุณมีอะไรหรือป่าว?" ซินเหยาพูดด้วยสีหน้าที่เป็นปกติกับเขา และห้ามไม่ให้เขาเข้าไปในห้องหาจิงเฉิน

"ไสหัวไป" จิงซิงไม่สนใจคำพูดของเธอ และใช้แรงดันเธอออก

เธอไม่ได้กันไว้ เพราะงั้นตัวเธอจึงไปกระแทกกับขอบโต๊ะเข้าอย่างจัง

เธอทำได้แค่พยุงท้องและเอวที่กำลังเจ็บอยู่มองดูจิงซิงที่กำลังเดินเข้าไปหาจิงเฉินที่อยู่ด้านใน

เธอไม่ได้ตั้งใจให้ไอ้หมอนั่นเข้าไปนะ สาบาน

แม่เอ้ย เจ็บเอวเอามาก

ในตอนที่เธอยังไม่ได้เข้าไปถึงห้องของจิงเฉินนั้นก็ได้ยินเสียงทะเลาะดังออกมาจากด้านใน ที่จริงมันเป็นเสียงโวยวายของจิงซิงฝ่ายเดียว

"เรื่องนี้เป็นฝีมือแกใช่ไหม?"

ที่จริงซินเหยาก็คิดว่เรื่องนี้เป็นฝีมือของจิงเฉิน เรื่องนี้มันไร้คุณธรรมมากสำหรับจิงซิงและผู้หญิงในคลิปเหล่านั้น ซินเหยาเพียงแค่อยากพูดประโยคหนึ่งให้กับป๊ะป๋าที่ไร้คุณธรรมอย่างนี้ว่า : ทำได้ดีมาก! 5555

"แกคิดว่าเรื่องพวกนี้มันจะกระทบกับฉันได้หรอ? อยากจะใช้เรื่องน้อยนิดพวกนี้เตะฉันออกจากเยี่ยหวง ฝันไปเถอะ เยี่ยหวงเป็นของฉันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แกมันก็แค่ไอ้สัตว์ป่า แกนึกว่าคนอื่นเรียกแกว่าคุณชายน้อยตระกูลเยี่ยแกก็จะเป็นคนของตระกูลเยี่ยแล้วอย่างนั้นหรอ ที่จริงแกมันก็แค่หมาตัวหนึ่งที่ตระกูลเยี่ยเลี้ยงไว้" จิงซิงพูดด้วยถ้อยคำที่เหยียดจิงเฉินเป็นอย่างมาก

แต่เรื่องที่ทำให้ถังซินเหยาไม่คาดคิดเลยก็คือจากที่ป่าปี้เป็นคนร้ายๆกลายเป็นคนสุภาพบุรุษและไม่ได้จะจูบแบบที่เคยเป็นแล้วน่ะสิ

โอ้ย…….แอบผิดหวังนิดนึงนะเนี่ย

หึ! เธอไม่ได้หวังให้ป่าปี้จูบเลยเถอะ

เยี่ยจิงเฉินเม้มปาก พร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาข้างๆหูถังซินเหยา ลมหายใจอุ่นๆของเยี่ยจิงเฉินกระทบกับผิวของเธอด้วยความรู้สึกที่คลมเคลือทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

ถังซินเหยาได้ยินเสียงของเยี่ยจิงเฉินใช้น้ำเสียงทุ่มและอ่อนโยนกระซิบข้างหูของเธอ : "เธอจำวันที่ฉันมาช่วยเธอ แล้วจะคำถามที่เธอถามฉันได้มั้ย?"

ถังซินเหยารู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดระหว่างเธอและถังซินเหยาจนทำเอาเธอหน้าแดงระเรื่อไปถึงต้นคอของเธอ

แม่เจ้า สิ่งที่เธอรับมือไม่เคยได้เลยคือความอ่อนโยนของป่าปี้ที่ทำให้เธอรู้สึกเสียอาการมากกว่าที่ป่าปี้จูบเธอเสียอีก

แต่ว่าที่ป่าปี้ไปช่วยเธอเมื่อคืน เธอถามอะไรป่าปี้ไปนะ?!

ถังซินเหยาครุ่นคิด เธอได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปมั้ยนะ!

แต่สิ่งที่เธอไม่ควรจะพูดที่สุดก็ถูกป่าปี้ตัดคำไปแล้วนี่นา ยังไม่ได้พูดอะไรเลย……งั้นก็……

ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ ดวงตาของถังซินเหยาก็เป็นประกายขึ้นมา

ไอคิวและความจำของเธอนี่เยี่ยมจริงๆเลย แค่โดนเยี่ยจิงเฉินสะกิดนิดหน่อยก็นึกขึ้นได้แล้ว

QAQ เธอนึกออกแล้วล่ะ

ถังซินเหยายังจำตอนที่ป่าปี้มาช่วยเธอออกจากลิฟต์ได้ ตอนที่ป่าปี้เดินเข้ามาหาเธอ ร่างสูงใหญ่ของเขาที่ทับอยู่บนตัวของเธอและอยู่ตรงหน้าของเธอ สำหรับเธอแล้วราวกับพระมาโปรดเลยล่ะ

ดังนั้น ณ ตอนนั้นเธอเลยนึกถึงคำพูดของเทพจื่อเซี่ยที่พูดกับจื่อจวินเป่าว่า : "คนที่ฉันรักเขาเป็นฮีโร่ สักวันนึงเขาจะขี่เมฆมาขอฉันแต่งงาน"

ในตอนนั้นเธอถึงกับเหม่อพร้อมกับถามป่าปี้ไปว่า : "ใช่ที่ฉันถามว่าคุณจะขี่เมฆมาแต่งงานกับฉันมั้ยคะ ?"

แม่เจ้า โอ้ยให้ตายเถอะ เธอโดนครอบงำด้วยนางเอกในวรรณกรรมอะไรตอนนั้นนะ? แล้วยังถามคำถามเลี่ยนๆแบบนั้นอีก

"เธออยากรู้คำตอบมั้ย? เยี่ยจิงเฉินถามเธอต่อ"

"……."

ถังซินเหยากลืนน้ำลาย เธอไม่รู้เลยว่าในตอนนี้เธอควรจะพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี!

ถังซินเหยาตัวแข็งทื่อ รอยยิ้มเจื่อนๆปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเธอ

แล้วถ้าป่าปี้ตอบว่ายินยอมที่จะแต่งงานกับเธอล่ะ เธอควรจะตอบตกลงหรือว่าปฏิเสธนะ?

ถ้าป่าปี้คิดว่าเธอคิดเองเออเอง ต่อไปถ้าเธอเจอหน้าป่าปี้ เธอคงจะรู้สึกอึดอัดมากแน่

ไม่รีรอให้ถังซินเหยาตอบคำถามที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบเยี่ยจิงเฉินยังไง เธอเพียงได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของเยี่ยจิงเฉินจนรู้สึกได้ถึงความเซ็กซี่ผ่านทางน้ำเสียงของเขาข้างๆหูของเธอ

ถังซินเหยายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอยู่นาน จนรถของเยี่ยจิงเฉินขับไปจนลับตาแล้วเธอถึงได้สติกลับมา

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงแล้วเช่นกัน…..

ตอนที่ป่าปี้มากระซิบข้างหูเธอ เขาพูดว่า : "ถือว่าคำตอบนี้เป็นรางวัลก็แล้วกันนะ ถ้าเธออยากรู้คำตอบก็อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ"

มันหมายความว่าอะไรนะ ?!

เอ่อ……ใครเขาอยากะรู้คำตอบกันล่ะ?

QAQ ป่าปี้กลับมาก่อน เธอผิดไปแล้ว เธออยากรู้จริงๆ

……

ในตอนที่เธอทานข้าวเย็นอยู่นั้น ถังซินเหยาทานอาหารที่เชฟตัวน้อยลั่วหลิงและเค่อหลานลูกๆของเะได้เตรียมไว้ให้ เธอนึกถึงโจ๊กที่เยี่ยจิงเฉินทำให้เธอ เธอก็ยกยิ้มขึ้นมา เธอดูไม่ออกเลยจริงๆว่าเยี่ยจิงเฉินน่ะจะทำอาหารเป็น แล้วก็ทำได้อร่อยมากๆด้วย

ถังซินเหยานึกถึงโจ๊กเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา

เค่อหลานใช้มือสะกิดพี่ชาย พร้อมกับใช้มือของเธอชี้ไปทางถังซินเหยาคนเป็นแม่ เค่อหลานมองพี่ชายพร้อมพูดเสียงเบาๆกับลั่วหลิงผู้เป็นพี่ชาย : "พี่คะ พี่ดูหม่ามี้สิคะ ท่าทางแบบนี้หม่ามี้ต้องมีแฟนแล้วแน่ๆเลยค่ะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ หนูฟันธง!"

ลั่วหลิงเหลือบมองถังซินเหยาทีกำลังยิ้มน้อยยยิ้มใหญ่อยู่พร้อมกับเม้มปากแล้วตอบน้องสาวด้วยเสียงแผ่วว่า : "อื้อ!"

เค่อหลานทำหน้ามุ่ยด้วยความลำบากใจแล้วพูดว่า : "แต่หนูก็ชอบป่าปี้อยู่ดีค่ะ ถ้าเกิดป่าปี้กลับมาล่ะคะ เราจะทำยังไง?"

ลั่วหลิงหัวเราะพร้อมกับพูดว่า : "บางทีแฟนหม่ามี้อาจจะเป็นป่าปี้ของเราก็ได้นะ!"

"ไม่ใช่ว่าป่าปี้ยังไม่ได้กลับมาจากดาวอังคารหรอคะ? แล้วแฟนของหม่ามี้จะเป็นป่าปี้ได้ยังไงกัน?" เค่อหลานถามอย่างงงๆ

"ป่าปี้อาจจะกลับมาแล้วก็ได้นะ แต่หม่ามี้แค่ไม่ได้บอกเรา!" ลั่วหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

"ทำไมล่ะคะ?" เค่อหลานเคืองใจเล็กน้อย "ทำไมหม่ามี้ไม่บอกเราล่ะคะ?"

"หม่ามี้อยากเซอร์ไพรส์พวกเราไงล่ะ" ลั่วหลิงพูดด้วยสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน

สติสตังของถังซินเหยากลับมาและพบว่าลูกของเธอเลือกทานอาหารกันอย่างเพลิดเพลิน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไปเลยทันที พร้อมกับพูดกับลูกๆด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : "ฮัลโหลเด็กๆ หม่ามี้ไม่อนุญาตให้หลิงหลิงกับหลานหลานเลือกทนนะคะ"

"หม่ามี้คะ หม่ามี้จำงานกีฬาสีฤดูใบไม้ร่วงด้วยนะคะ" เค่อหลานเชื่อฟังคำพูดของลั่วหลิง และรอคอยงานกีฬาสีที่จะมาถึงนี้มากๆ

ถังซินเหยา : …….

ทำยังไงดี เธอยังหาผู้มารับบทเป็นแฟนกำมะลอของเธอได้เลยนะ จะร้องไห้!

ตอนกลางคืนเค่อหลานและลั่วหลิงเข้านอนไปก่อนแล้ว ถังซินเหยาหยิบยาที่เยี่ยจิงเฉินให้เธอออกจากกระเป๋า

เธอมองแก้วน้ำอุ่นพร้อมกับกินยาเข้าไป

เมื่อเธอหันหลังกลับมาเธอก็เจอกับลูกชายของเธอลั่วหลิงเดินลงบันไดมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้องเธออยู่

"หลิงหลิงมีอะไรรึเปล่าคะ? พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่หรอ? ลูกควรเข้านอนได้แล้วนะคะ" ถังซินเหยาวางแก้วลงก่อนจะรอยยิ้มหวานพูดกับลูกชายของตัวเอง

ลั่วหลงเดินเข้าไปหาถังซินเหยาพร้อมกับมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

"โดนใครที่บริษัทแกล้งมาหรอครับหม่ามี้" จู่ๆลั่วหลิงก็ถามถังซินเหยาขึ้นมา แต่น้ำเสียงที่พูดประโยคนั้นสามารถครอบงำผู้ฟังได้

ลูกชายเรา ยิ่งโยยิ่งเหมือนเยี่ยจิงเฉินเข้าไปทุกวันแล้วนะ

"ปะ……เปล่า……เปล่าครับหม่ามี้" ถังซินเหยามองสายตาคู่นั้นของลูกที่เหมือนกันกับเยี่ยจิงเฉินมองมาที่เธอทำเอาเธอถึงกับรู้สึกผิด : "ไม่ได้โดนรังแกหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หม่ามี้จัดการได้ ไม่ต้องห่วงนะคะ ไปเข้านอนได้แล้ว"

"ถ้าหม่ามี้โดนรังแกมาจริงๆ หม่ามี้อย่าปิดบังเลยนะครับ ผมจะปกป้องหม่ามี้เองครับ" ลั่วหลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ถังซินเหยา : ……..

"หลิงหลิง หม่ามี้รู้ค่ะ ว่าหลิงหลิงเป็นเด็กดีเชื่อฟังหม่ามี้ คิดจะปกป้องหม่ามี้แล้ว หม่ามี้รักหนูที่สุดเลย จุ๊บๆ" ถังซินเหยากอดลั่วหลิงผู้เป็นลูกชายพร้อมกับหอมแก้มนุ่มๆของลูก

ลั่วหลิงไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ สีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิมแต่หูของเขาขึ้นสีแดงไปเรียบร้อยแล้วล่ะ

หืม…….ลูกชายของเธอเนี่ยน่ารักที่สุดเลย

โดยเฉพาะสีหน้าที่ทำเป็นเย็นชาแต่จริงๆแล้วกำลังเคอะเขินอยู่

ลั่วหลิงกลับไปยังห้องของตัวเอง สองมือของเขาหยิบเอาแล็บท็อปของตัวเองที่ซื้อด้วยเงินอั่งเปาที่ได้มา

ใบหน้าเล็กของเขาเย็นชา มือของเขากดแป้นพิมพ์ในจอแล็ปท็อปอยู่ สิบนิ้วของเขากดจออย่งรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง ใบหน้าของเขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

ลักยิ้มบนแก้มบุ๋มของลั่วหลิงโผล่ขึ้นมาทำให้หน้าของเขาดูเป็นเด็กน้อยกว่าเดิม ทำให้เขาดูอ่อนโยนและน่ารักมากขึ้นกว่าเดิม

คนในโลกใบนี้ จะไม่มีใครสามารถมารังแกพวกเขาสามแม่ลูกได้อีกแล้วล่ะ

เดี๋ยวลั่วหลิงคนนี้จะจัดการให้ดู ฮึ!!!

โง่ ป่าปี้ ต่อไปยังจะหยอกป่าปี้เล่นสนุกๆคงไม่ได้แล้วสินะ?

ความรู้สึกที่เต็มล้นเมื่อกี้นี้มันหายไปหมดแล้วในตอนนี้ ป่าปี้นี่ไร้หัวใจจริงๆเลย

เธอผลักเยี่ยจิงเฉินออก ป่าปี้ตระหรี่ถี่เหนียวขนาดนี้ เมื่อกี้เธอมีความคิดที่ว่าป่าปี้เป็นคนอ่อนโยนไปได้ยังไงกันเนี่ย สมองเธอต้องผิดปกติไปแล้วแน่ๆ

ป่าปี้เป็นคนประเภทที่ถ้าไม่ขี้เหนียวคงจะลงแดงตายสินะ

ทรัพย์สมบัติของคุณทั้งหมดใช้เป็นสิบชาติก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แล้วทำไมยังจะมาจ้องจะเอาเศษเงินอันน้อยนิดของเธออีกล่ะ

ไร้หัวใจจริงๆเลย

เธอผลักเยี่ยจิงเฉินออกเพื่อแสดงออกว่าเธอไม่สบายตัว

"งั้นคุณก็ไม่พบรองประธานเถอะค่ะ ครั้งนี้เขาเป็นคนทำให้ฉันต้องไปติดอยู่ในลิฟต์ ทั้งหนาวทั้งหิว อีกนิดฉันก็จะตายอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้วก็ค่าเสียหายทางจิตใจให้ฉันด้วย รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็น่าจะสักล้านแปดได้นะคะ" ถังซินเหยาแอบดีใจเล็กๆ โชคดีที่เธอไม่ได้หลุดพูดไป

ครั้งนี้เธอไม่คว้าน้ำเหลวหรอกนะ เธอต้องได้มันกลับคืนมาทั้งหมด

ตระกูลเยี่ยรวยขนาดนั้น เธอน่าจะได้ค่าเสียหายไม่น้อย

"แล้วเธอมีหลักฐานมั้ยว่าเขาเป็นคนทำให้เธอต้องไปติดอยู่ในลิฟต์?" เยี่ยจิงเฉินที่ถูกผลักออกรู้สึกผิดหวังนิดๆพร้อมกับถามเธอ

"คุณมีนี่คะ" ถังซินเหยาจำใจตอบไป

ป่าปี้หล่อขนาดนี้ เป็นหนุ่มแพรวพราวขนาดนี้ แล้วยังเป็นถึงท่านประธาน ต้องมีหลักฐานอยู่แล้วสิ

ถึงแม้ป่าปี้จะไม่ใช่ยอดมนุษย์แต่ในสายตาของถังซินเหยาแล้วก็นับว่าเขาเป็นอยู่แล้ว (ดังนั้นเธอก็เลยไม่โกหกเค่อหลาและลั่วหลิง ว่าป่าปี้ของพวกลูกๆของเธอเป็นยอดมนุษย์)

"แล้วทำไมฉันต้องช่วยเธอล่ะ?" เยี่ยจิงเฉินเลิกคิ้วพร้อมกับถาม

"ก็เพราะว่าศัตรูของศัตรูคือเพื่อนกันไงคะ ตอนนี้เราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วนะ แล้วก็เราสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้มากกว่านี้ด้วย"

"อย่าลืมนะ ว่าฉันก็นามสกุลเยี่ยเหมือนกัน เขาเป็นพี่ใหญ่ของฉัน"

ป่าปี้ อย่าพูดอย่างนี้นะ

ความสัมพันธ์ของพวกคุณสองพี่น้องมันก็ไม่ได้ดีไม่ใช่หรือไง ทำไมตอนนี้ป่าปี้ถึงบอกว่าเยี่ยจิงซิงเป็นพี่ใหญ่ไปได้ล่ะ

"เงินของตระกูลเยี่ยก็เงินของผมเหมือนกัน" เยี่ยจิงเฉินพูดเสริม

ถังซินเหยา : ……..

ดังนั้นเลยจะบอกว่านี่คือประเด็นงั้นหรอ?

แม่เจ้า ป่าปี้รวยขนาดนี้ แค่ให้เธอสักหนึ่งในหมื่นของเงินป่าปี้เธอก็อยู่ได้เป็นสิบชาติแล้ว ยังจะขี้เหนียวอีก

จะพูดอะไรได้อีกล่ะ?

คนที่ยิ่งรวยก็ยิ่งขี้เหนียว ประโยคนี้มันช่างเหมาะสมจริงๆ จริงซะยิ่งก็ไข่มุกในทะเลซะอีก

เธอปฏิดสธที่จะพูดคุยเรื่องนี้ต่อ

เสียงท้องของเธอร้องจ๊อกๆขึ้นมา

มื้อเย็นของเมื่อวานเธอทานไปแค่ครึ่งเดียวก็โดนหลอกให้ออกมาแล้ว ตอนนี้เลยรู้สึกหิวเอามากๆ

เมื่อนึกถึงป่าปี้ที่ยังอยู่ข้างๆเธในตอนนี้ ใบหน้าของถังซินเหยาก็ขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมา

"ฉันปวดหัวนิดหน่อยค่ะ อยากจะพักผ่อนนิดหน่อย" ตอนนี้เเธอยังไม่รู้สึกสบายตัวอยู่มาก เมื่อกี้เพียงแค่ลุกขึ้นมาเพื่อพูดกับเยี่ยจิงเฉินก็เท่านั้น

ตอนนี้เธอเริ่มหิวแล้ว เธอเองก็ป่วย คงไม่หอบสังขารของเธอไปทำอาหารหรอก และเธอจำได้ว่าบ้านป่าปี้ไม่มีแม่บ้านด้วย

เธอหิวมากๆแต่ก็ขี้เกียจไปทำอาหารเช่นกัน

หลังจากที่เธอล้มตัวลงนอน เธอยังได้ยินเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของเยี่ยจิงเฉินอยู่จนทำให้เธอเกิดอาการว้าวุ่นใจขึ้น

เธอลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองไปที่เยี่ยจิงเฉินแล้วถามว่า : "ประธานเยี่ยคะ มีอะไรอีกรึเปล่า?"

"ฉันมาเรียกเธอไปทานข้าวด้วยกัน" เยี่ยจิงเฉินพูดเบาๆ

ถังซินเหยา : ……..

ในตอนนี้ถังซินเหยาอยากจะคว้าคอขอป่าปี้เข้ามาแล้วตะโกนใส่หน้าเขาว่า : "นี่คุณกำลังล้อฉันเล่นรึเปล่า?"

แต่เมื่อนึกถึงสภาพตัวเองที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้เธอทำได้แค่เพียงยอมๆไปก่อน

เธออยากจะหัวเราะฮ่าๆใส่หน้าป่าปี้เลย

"ที่บ้านคุณไม่มีแม่บ้านหรอคะ?" ถังซินเหยาถามด้วยท่าทีหม่นๆ

จริงๆแล้วป่าปี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

ฉันเรียนมาน้อยนะ ป่าปี้ห้ามหลอกกันล่ะ

"ไม่มีหรอก" เยี่ยจิงเฉินลูบข้อมือตัวเองพร้อมกับกล่าวอย่างเรียบนิ่ง

ถังซินเหยาลูบไล้หน้าผากตัวเอง งั้นก็กินหมัดนี่แทนเลยมั้ย

ป่าปี้ นี่กำลังแกล้งฉันอยู่ใช่มั้ย

"แล้วจะทานอะไรล่ะคะ?" ถังซิเหยาถามอย่างนิ่งๆ หรือจะดื่มซีเป่ยฟางดี?

ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ถึงแม้ว่าตอนกลางคืนจะหนาวมาก แต่ในตอนกลางวัน อาากาศก็ยังคงอบอุ่นอยู่ ดังนั้นแม้แต่ซีเป่ยฟางก็คงจะไม่ได้ดื่มหรอก

"ทานโจ๊กไง" เยี่ยจิงเฉินตอบ

"โจ๊กจากไหนคะ?" ถังซินเหยาถามแบบขอไปที

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้ตบอะไร เพียงต่เม้มริมฝีปากของเขาแล้วจ้องเข้าไปที่ใบหน้าของถังซินเหยา

ถังซินเหยาที่ถูกเยี่ยจิงเฉินมองนั้นถึงกับงงงวย ทันใดนั้นเธอก็ตะลึงขึ้นมา

หรือว่า……หรือว่าป่าปี้จะทำเองงั้นหรอ?

"คุณทำเองหรอคะ?" ถังซินเหยาถามอย่างระวังคำพูด

เยี่ยจิงเฉินเงียบและไม่ได้ตอบอะไร

ดีเลย……..ป่าปี้ทำด้วยตัวเองจริงๆด้วย

ถ้าเธอบอกป่าปี้ว่าเธอไม่ได้หิว ป่าปี้จะเชื่อเธอรึเปล่านะ?

ขณะนี้ท้องน้อยๆของเธอก็ได้ส่งเสียงออกมาอีกแล้ว

อาหารที่ป่าปี้ทำคงไม่ใช่อาหารที่มีพิษหรอกมั้งนะ ถ้าเกิดกินเข้าไปแล้วจะเป็นอะไรมั้ย? เธอคงไม่ได้ไปเจอกับสตีฟ จอบส์ เพื่อดูสถานการณ์การเปิดตัวของไอโฟนหรอกนะ?

#ป่าปี้คนรวยกับดาร์กฟู๊ดที่เขาทำเอง เธอไม่อยากจะทานเลยสักนิด ทำยังไงดี ?#

"ขอบคุณคะประธานเยี่ย"

เอ่อ…….ที่เธอยอมทานอาหารที่ป่าปี้ทำก็้เพราะว่าป่าปี้ไปช่วยธอที่บริษัทเมื่อคืนนี้หรอกนะ !

เธอลุกขึ้นจากเตียง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ตอนนี้กลับไม่ใช่เสื้อผ้าตัวที่เธอใส่เมื่อวานแล้ว แต่กลายเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวใหญ่โดยที่เผยให้เห็นขายาวขงเธออย่างชัดเจน

เธอไม่อยากจะถามเลยว่าใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

เพราะเธอมีไข้อยู่อ่อนๆจึงทำให้ร่างกายของเธอไร้เรี่ยวแรง

เธอแทบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น รู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัว แค่ยืนก็จะยืนไม่นิ่งอยู่แล้ว อีกนิดเธอก็แทบจะล้มจากการทรงตัว

เยี่ยจิงเฉินยื่นแขนของเขามาคว้าเอวบางของถังซินเหยาเพื่อยึดร่างเธอเอาไว้ เมื่อร่างของถังซินเหยาอยู่แนบชิดกับเยี่ยจิงเฉินมันทำให้เธอได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของเขาโชยมาจนทำให้ถังซินเหยาเต้นแรงไม่หยุด

ถ้าเกิดเต้นแรงมากกว่านี้ หัวใจของเธอต้องมีปัญหาแล้วแน่ๆ

เธอยกมือขึ้นมาผลักเยี่ยจิงเฉินออก มือของเขารวบเอวของเธอไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับมือทั้งสองข้างของเธอที่อยู่ไม่สุขเอาไว้แน่น พร้อมกับขมวดคิ้วแล้วพูดกับเธอว่า : "เด็กดี……อย่าดื้อ"

คุณจะบ้าหรอ ฉันดื้อตรงไหนเล่า?

"คุณปล่อยฉันก่อนนะคะ" ป่าปี้หล่อขนาดนี้ เธอกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

ถ้าเกิดเธอเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วทำเรื่องที่น่าอายลงไปจะทำยังไง?

"เธอมีแรงจะเดินลงไปบันไดไปเองหรอ?" เยี่ยจิงเฉินพูดพร้อมับยกยิ้ม

ถังซินเหยาครุ่นคิด หลังจากที่ถังซินเหยานึกถึงสภาพอันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองในตอนนี้ เธคิดว่าเธอคงจะสามารถเดินจากตรงนี้แล้วลงบันไดไปเองได้

"ขอบคุณค่ะประธานเยี่ย" ถ้าเทียบกับการเดินลงบันไดไปคนเดียว เธอคิดว่าคงดีกว่าถ้าจะให้ป่าปี้สุดหล่อคนนี้ช่วยพยุงเธอลงไป

เมื่อคำพูดของถังซินเหยาสิ้นสุดลง เยี่ยจิงเฉินก็ก้มตัวลงพร้อมกับอุ้มร่างของถังซินเหยาขึ้นมาในท่าเจ้าสาว

นี่คือสิ่งที่ถังซินเหยาปรารถนามาช้านาน

ดังนั้น…ตอนนี้สถานะของเธอก็เปลี่ยนแล้วงั้นสิ?

จากการเป็นแค่คู่นอนในอดีตกลายมาเป็นตัวเอกในปัจจุบันแล้ว

โดนอุ้มขนาดนี้แล้ว ถังซินเหยาคงไม่ใช่คนทีขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่คิดไปเองแล้วสินะ

ตอนแรกถังซินเหยาคิดว่าตัวเองจะตายเพราะดาร์กฟู๊ดของป่าปี้ซะอีก แต่เธอไม่คิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอจินตนาการเลยแม่แต่น้อย

แล้วเรื่องดาร์กฟู๊ดที่เธอพูดไปนั้นล่ะ?

นี่มันไม่ใช่เลยสักนิด เธอไม่เชื่อหรอกนะ

"อื้อ….." ถังซินเหยารู้สึกหนักๆที่ตาของเธอ ก่อนที่เธอจะหมดสติไป

ก่อนที่เธอจะหมดสติ เธอได้ยิน่าปี้พูดอะไรกับสักอย่าง เพียงแต่เธอได้ยินไม่ชัด

ในความฝัน ความเย็นชาและความเข้าถึงยากของป่าปี้นั้นกลับกลายเป็นว่าสายตาของป่าปี้ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนต่อเธอ และมันก็ยังตราตึงอยู่ในตาของเธอ

ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ถังซินเหยารู้สึกว่าร่างกายของเธอรู้สึกกระอักกระอวนไปทั้งตัว

เธอไร้เรี่ยวแรง เพียงแค่จะลืมตาขึ้นยังไม่มีแรงเลย

ลำคอของเธอก็ปวดมากเหลือเกิน ราวกับว่าเพิ่งโดนมีดเหล็กมายังไงอย่างงั้น ทำให้เธอถึงกับขมวดคิ้ว

แต่แล้วก็มีคนคนนึที่ยกศีรษะของเธอขึ้นพร้อมกับเอาน้ำอุ่นมาให้เธอดื่ม ทำให้เธอรู้สึกว่าลำคอของเธอสบายขึ้นมาบ้างเล็กน้อยจากเมื่อกี้นี้ ราวกับว่าไฟร้อนที่อยู่ในลำคอของธอเมื่อกี้นั้นได้ดับลงไปแล้ว

เธอถอนหายใจอย่างสบายใจครั้งหนึ่งจากนั้นก็หลับต่อไป

แต่เธอรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของตัวเองนั้นเจ็บเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแห้งๆตรงปากของเธอ

เธอรู้สึกขมคอเล็กน้อยจึงใช้ลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองที่มีรสออกหวานนิดๆ ถือว่าเป็นการคลายความฝืดให้ปากตัวเองก็แล้วกัน

ดูเหมือนว่าเธอจะเสพติดากรเลียริมฝีปากของตัวเองพร้อมกับรริมมฝีปากขาดซีดนั้นแล้ว

ริมฝีปากสีขาวซีดกับล้นสีแดงนั้นช่างดึงดูดเหลือเกิน

เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่อ่อนหวานและนุ่มนิ่มกำลังงัดกับฟันของเธออยู่ในตอนนี้ เพื่อที่มันจะเข้าไปในโพรงปากของเธอ

ราวกับว่าเธอเดินเข้าไปในทะเลทรายยาวนานเป็นวัน ทั้งหิวกระหายทั้งเหนื่อย และในที่สุดเธอก็พบกับน้ำหวาน

ลิ้นของเธอเกี่ยวพันกับสิ่งนั้นตามสัญชาตญาณของเธอ

ความขมในช่องปากของเธอในตอนนี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความหวานในที่สุด

รสชาติที่หอมหวานนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงรสชาติที่คั่งค้างอยู่ไม่รู้จบ

ตอนที่เธอลืมตาของเธอขึ้น เธอยังคงจำรสชาติความหวานนั้นอยู่

เธอกระดกปากราวกับว่าเธอนั้นยังสามารถจะลิ้มรสหวานนั้น

เธอลืมตาขึ้น เห็นว่าสภาพแวดล้อมรอบๆกายเธอนั้นดูผิดหูผิดตาไปเล็กน้อย แต่เธอก็ยังรู้สึกคุ้นกับที่ที่นี้อยู่เช่นกัน นี่มัน…..ห้องของป่าปี้นี่นา

พระเจ้าช่วย ถังซินเหยารู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที

อีกทั้งยังปวดหัวอีก แต่เธอนึกออกแล้วล่ะ

แม่เจ้า เธอโดนไอ่คนขี้เหร่อย่างเยี่ยจิงซิงแกล้งเธอ ให้เธอไปติดอยู่ในลิฟต์นี่

ตอนนั้นฉันทั้งหนาวทั้งหิว รู้สึกราวกับจะตายอยู่ในนั้นเลยนะ

แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ในห้องของป่าปี้ได้ล่ะ มันไม่แปลกๆหรอ?

"ตื่นแล้วหรอ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกมั้ย?" เสียงอันคุ้นเคยดังมาถึงหูของเธอ

ถังซินเหยาลืมตาขึ้นก็พบกับป่าปี้ยืนอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอถึงกับตกใจ

อ๋อ ที่จริงแล้วป่าปี้เป็นคนช่วยเธอจากเรื่องเมื่อคืนจริงๆด้วย เธอไม่ได้คิดไปเอง

ตอนนี้เธอยังรู้สึกเจ็บคออยู่เล็กน้อย ริมฝีปากเธอก็รู้สึกแห้งเช่นกัน

เธอแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของเธอเพื่อให้ริมฝีปากของเธอชุ่มชื้นมากขึ้น

เยี่ยจิงเฉินที่เห็นถังซินเหยาแลบลิ้นออกมาเลียปากแบบนั้นถึงกับหรี่ตามอง

"เรื่องเมื่อคืนขอบคุณมากๆนะคที่มาช่วยฉัน" ถังซินเหยาอดกลั้นความรู้สึกเจ็บคอของเธอพร้อมกับพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า

"แทนที่จะขอบคุณคุณฉันด้วยคำพูดจากปากของเธอก็ใช้การกระทำขอบคุณแทนไม่ดีกว่าหรอ" เยี่ยจิงเฉินพูดกับถังซินเหยาพร้อมกับมองไปที่เธอ

เอ่อ……..ป่าปี้ไม่ได้จะให้เธอแต่งงานกับเขาหรอกใช่มั้ย?

อ่า…….ก็ป่าปี้หล่อขนาดนี้ เธอควรจะตกลงดีมั้ยนะ? หรือว่าตกลงดี? ควรจะตกลงมั้ยนะ?

"เอ่อ……แล้วประธาานเยี่ยต้องการอะไรตอบแทนล่ะคะ?" ถังซินเหยาตอบเขาด้วยความเขินอายพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

"เอาเงินให้เธอมาให้ฉันสักล้านนึงเป็นไง?" เยี่ยจิงเฉินนั่งลงบนเตียง

ให้ตายเถอะ……..คืนเงินล้านนึงให้ป่าปี้เนี่ยนะ? ไหนบอกจะให้แต่งงานด้วยไม่ใช่หรือไงเล่า? ไม่เอาอ่ะ

เลิกฝันได้แล้ว ในเมื่อเงินมันอยู่ในมือเธอแล้วก็ต้องเป็นของเธอสิ ใครก็ห้ามเอามันไป

ถึงป่าปี้จะขี้เมฆลอยมาอยู่ตรงหน้าก็อย่าหวังเลย

รู้สึกเหมือนเตียงยวบไปเกือบครึ่ง เมื่อป่าปี้มานั่งข้างๆเธอบนเตียง

"เงินทองเป็นสิ่งสกปรก ที่ประธานเยี่ยช่วยชีวิตฉันมันเป็นเรื่องของบุญคุณ ถ้าฉันเอาเงินมาให้คุณแทนคำขอบคุณ มันจะดูแย่เกินไปค่ะ มันจะเป็นการลดคุณค่าที่สูงส่งในตัวของคุณได้นะคะ" ถังซินเหยาอธิบายด้วยความชอบธรรมว่าให้เงินมันจะดูเหมือนเป็นการดูถูก ป่าปี้หล่ขนาดนี้ จะพูดแต่เรื่องเงินๆทองๆไม่ได้นะ

"สำหรับฉัน เงินก็แค่การเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเท่านั้นแหละ ไม่มีความหมายอะไรหรอก" เยี่ยจิงเฉินพูดตามวิถีคนรวย

แต่สำหรับคนจนผู้น่าสงสารแบบถังซินเหยาในตอนนี้แล้ว อยากจะใช้เท้าของเธอบี้หน้าอันหล่อเหลาของเยี่ยจิงเฉินเสียจริงๆเลย

ป่าปี้ คุณยังจะกล้าอวดรวยอีกมั้ย

"สำหรับผมจะพันนึงหรือร้อยล้านก็ไม่ได้ต่างอะไรหรอก เงินที่ผมมีใช้เป็นสิบชาติก็ไม่หมด"

ถังซินะเหยา : ………..

เธอคิดผิดงั้นสินะ? ป่าปี้รวยนี่เนอะ มีแต่จะวยแล้วก็รวยแล้วก็รวยขึ้นไปอีก

ป่าปี้ อวดรวยเกินเบอร์มากแล้วนะ

ไหนคนรวยช่วยซับพอร์ตกำลังทรัพย์กันหน่อยสิ

"เงินล้านนึงสำหรับผมมันก็แค่เศษเงินให้ขอทานเท่านั้นแหละ"

ถังซินเหยา : …….

ป่าปี้นี่ช่างบ้าอำนาจจริงๆเลย

เธอจะเปลี่ยนชื่อเป็นขอทานซะเลยนี่ ดูซิว่าป่าปี้ยังจะรักษาคำพูดมั้ย

"แต่เงินล้านสำหรับคุณแล้วมันคงมีค่าไม่น้อยเลย ดังนั้นก็ตอบแทนผมด้วยเงินจำนวนนั้นก็แล้วกัน" เยี่ยจิงเฉินหยุดพูดไปสักครู่พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากของเขาเผยให้เห็นท่าทีที่เจ้าเล่ห์ของเขา : "ดังนั้นก็เอาเงินล้านนึงมาตอบแทนที่ผมช่วยคุณซะ หรือว่าตัวคุณไม่มีค่าเท่าเงินล้านกันนะ?"

"แน่นอนค่ะว่าไม่" ถังซินเหยายอมรับอย่างไม่อาจปฏิเสธ

ชีวิตของเธอไม่ได้มีค่าเท่าเงินล้านหรอก ป่าปี้ปล่อยเธอไปได้เลย

"เงินก็บอกมาสิ ว่าชีวิตคุณมีค่าเท่าไหนกัน?" เยี่ยจิงเฉินเขยิบมาถามข้างๆหูถังซินเหยา

ถังซินเหยาได้กลิ่นน้ำหอมจาร่างกายของเยี่ยจิงเฉิน จังหวะการเต้นของหัวใจเธอก็รัวขึ้นจนไม่สม่ำเสมอกัน เธอขยับออกพร้อมกับพูดออกไปว่า : "ร้อยนึงค่ะ"

ล้านนึงเธอคงทำใจให้เขาไม่ได้หรอก แต่ถ้าแค่ร้อยเดียวเธอยินยอมที่จะจ่ายอยู่แล้ว

"อ๋อ ถ้าอย่างงั้นฉันให้เธอพันนึง แค่นี้สามารถที่จะซื้อได้สักสิบชาติมั้ย?" เยี่ยจิงเฉินถาม

ถังซินเหยา : ………

ป่าปี้ ป่าปี้นี่เก่งคณิตศาสตร์ใช้ได้เลยนะเนี่ย ตอนเข้าเรียนวิชานี้ป่าปี้คงจะเด็กหัวกะทิเลยป่ะ

"งั้นชีวิตนี้ของเธอในชาตินี้ ชาติหน้า ชาติหน้าของชาติหน้า แล้วก็ชาติต่อๆไปของเธมันเป็นของฉันหมดดแล้วนะ"เยี่ยจิงเฉินยืนแขนของเขากอดเอาร่างของถังซินเหยาเข้ามาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหายใจแล้วพูดออกมาเบาๆ

ดังนั้นก็หมายความว่า ชีวิตเธอต่อจากนี้อีกิบชาติถูกป่าปี้จองไว้แล้วอย่างงั้นหรอ?!

ทำไมป่าปี้ถึงได้เหนือกว่าใครๆตลอดเลยนะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกลียดป่าปี้ลงเลย

แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาอยู่ดี ก็นี่มันโลกแห่งการมองกันที่หน้าตานี่นา

ใจดวงน้อยของถังซินเหยาเต้นรัวไม่หยุดหย่อน เธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นของป่าปี้ที่ส่งมาถึงเธอ

จองตัวฉันสักสิบชาติอะไรกันเล่า นี่มันประโยคจีบกันชัดๆ

ถ้าเกิดป่าปี้ชอบเธอจริงๆ เธอควรจะตกลงมั้ยนะ หรือว่าควรจะตอบตกลงป่าปี้ไปเลยล่ะ

เยี่ยจิงเฉินที่เห็นถังซินเหยากำมือแน่นจึงพูดติดตลกขึ้นมา : "ดังนั้นเงินของเธอก็คือเงินของฉัน หนึ่งพันเมื่อกี้ฉันก็ไม่ต้องจ่ายให้เธอแล้ว แล้วเงินล้านนั้นเธอก็คืนฉันได้แล้ว แล้วต่อไปฉันก็ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้เธอแล้ว แล้วก็เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาของเธอ ถ้ามีเวลาเธอก็ออกแบบงานจิวเวลรี่ให้เยอะขึ้นกว่าเดิมไง จะได้หาเงินได้เยอะๆ"

ถังซินเหยา : ………….

จริงๆแลเวขาสามารถเรียกผู้รักษาความปลอดภัยกลับไปที่บริษัทได้ แต่หากเขาไม่ไปดูให้เห็นด้วยตาของเขาเองเขาคงจะวางใจไม่ได้

ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมาก เยี่ยจิงเฉินรีบเปิดปะตูรถแล้วขับรถออกไปที่บริษัททันที

และในขณะนั้นลู่อันหรานกลับมาจากห้องน้ำและเตรียมที่จะขึ้นรถพอดี

"เดี๋ยวฉันจะให้คนไปส่งเธอนะ วันนี้ฉันมีเรื่องจะต้องไปจัดการ ขอตัวกลับก่อน" เยี่ยจิงเฉินลดกระจกรถลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาโดยไม่ได้ปล่อยให้ลู่อันหรานขึ้นรถมา

รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่อันหรานเมื่อได้ยินสิ่งที่เยี่ยจิงเฉินพูดในตอนนั้นก็ค่อยๆหุบลงราวกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วง

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้ขออนุญาตลู่อันหรานแต่อย่างไร แต่เป็นเพียงการบอกกล่าวให้เธอรับรู้เพียงเท่านั้น

ดังนั้นเขาจะไม่ได้รีรอปฏิกิริยาของลู่อันหราน เขาก็ได้ออกรถไปก่อนเสียแล้ว

เมื่อเยี่ยจิงเฉินถึงบริษัท เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน แม้แต่ผู้รักษาความปลอดภัยสักคนก็ไม่มี

เขาโทรศัพท์หาหัวหน้าผู้รักษาความปลอดภัย เพื่อให้ทีมงานรักษาความปลอดภัยกลับมาที่บริษัท

อากาศหนาวขนาดนี้ เมื่อนึกถึงผู้หญิงที่ติดอยู่ในลิฟต์คนนั้น เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าสถานการณ์ในลิฟต์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

และเขาก็ไม่ได้รอให้ผู้รักษาความปลอดภัยมาถึง ตัวเขาก็เริ่มออกตามหาอีกคนทันที

เขาไม่รู้เลยว่าถังซินเหยาติดอยู่ในลิฟต์ชั้นไหน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขึ้นไปดูทีละชั้นๆเท่านั้น

ลิฟต์เสีย ไฟที่บริษัทก็ดับ เขาจึงทำได้แค่ขึ้นทางบันได

"ถังซินเหยา เธออยู่ในนั้นมั้ย? ถังซินเหยา….."

ถังซินเหยาในตอนนี้แทบจะไม่รู้ว่าหนาวมากเพียงใดแล้ว รู้แค่เพียงว่าตอนนี้ร่างกายของเธอไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย

โทรศัพท์ที่เธอถืออยู่ในมือก็ได้ร่วงไปอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้วในตอนนี้ เพราะมือของเธอแข็งจนถืออะไรไม่อยู่แล้ว

เธอได้ยินเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้น ถังซินเหยาคิดว่าตัวเองจะหนาวตายในนี้และเสียงนั้นมันเป็นเหมือนแค่ภาพหลอน

เธอได้ยินเสียงของป่าปี้อีกครั้ง เธอต้องหลอนไปเองแน่ๆเลย

ตอนนี้ป่าปี้ออกเดตใต้แสงจันทร์ที่แสนโรแมนติกอยู่กับลู่อันหรานผู้เป็นที่รักของเขานี่นา จะมาตามหาเธอที่บริษัทได้ยังไงกัน

เธอได้ยินเสียงป่าปี้ก่อนจะตายแบบนี้ มันใช่หรอ

ไม่ใช่ว่าเพราะเธอควรจะอาลัยอาวรณ์ลั่วหลิงกับเค่อหลานหรอกหรอ?

"ถังซินเหยา เธออยู่ข้างในรึเปล่า ตอบฉันหน่อย"

น้ำเสียงของป่าปี้ดูวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เสียงของเขาช่างเซ็กซี่ถึงจะแหบไปนิดนึงก็เถอะ

ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เธอคิดไปเอง แต่เธอกับป่าปี้ทำสงครามประสาทกันอยู่นี่ ป่าปี้จะมาสนใจเธอทำไมกัน

"ถังซินเหยา ถังซินเหยา เธออยู่ข้างในนั้นมั้ย?"

"อยู่ค่ะ อยู่ อย่าเพิ่งพูดอะไรมากได้มั้ยคะ ฉันรำคาญแล้วนะ" ถังซินเหยาตอบกลับอย่างหมดความอดทน

ให้ตายเถอะ เสียงดไปแล้ว

ถึงป่าปี้จะเป็นปีศาจแต่ป่าปี้ช่วยเงียบสักพักได้มั้ยนะ

เธออยากเป็นสาวสวยที่นั่งเงียบๆ

เยี่ยจิงเฉินรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเหมือนเสียงของถังซินเหยาออกมาจากลิฟต์ ในใจของเขาค่อนข้างกระวนกระวาย เสียงของเขาก็สั่นมากๆในตอนนี้

"ถังซินเหยา เธออยู่ข้างในมั้ย?"

"ค่ะ คุณหยุดเสียงดังก่อนได้มั้ยคะ ให้ฉันอยู่เงียบๆสักพักได้มั้ย?"

"เธอโอเคใช่มั้ย ไม่ไดด้เจ็บตรงไหนใช่มั้ย"

"ไม่ค่ะ ฉันแค่จะหนาวตายแล้วเท่านั้นเอง"

แน่นอนว่าามันเป็นแค่ภาพลวงตาที่ป่าปี้ทำตัวเย็นชามาโดยตลอด แต่วันนี้ทำไมเขาถึงได้จู้จี้ขนาดนี้กันนะ?

"เธออดทนก่อนนะ ฉันจะหาวิธีพาเธอออกมาให้ได้"

"อื้อ" ถังซินเหยาตอบไปอย่างขอไปที

ต้องเป็นความแค้นที่สูงสุดฤทธิ์ก่อนตายของเธอแน่ๆที่ทำให้เธอเห็นภาพหลอนว่าป่าปี้มาช่วยเธอ

แค่เห็นว่ป่าปี้มาช่วยเธอจากภพหลอนของเธอ แค่นี้เธอก็ให้อภัยป่าปี้ไปหมดแล้วล่ะ

เยี่ยจงเฉินจับๆคลำๆไปในความมืด และแล้วเขาก็เจอท่อนเหล็กจากห้องรักษาความปลอดภัย พร้อมกับกลับขึ้นไปที่ชั้นยี่สิบอีกครั้ง

เขาใช้ท่อนเหล็กสอดเข้าไปที่ช่องเชื่อมระหว่างประตูลิฟต์และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะงัดมันให้้ออกจากกัน

เยี่ยจิงเฉินถอเสื้อสูทบนร่างกายของเขาออก พร้อมกับดึงแขนเสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขึ้นมาถึงข้อศอก เผยให้เห็นลำแขนที่แข็งแรงของเขา เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีของเขาไปกับการงัดลิฟต์ผ่านช่องว่างนั้นจนงัดมันแยกจากกันพอมีช่องว่างให้เห็นคนข้างในได้ แต่เพราะเขาใช้แรงมากเกินไปจึงทำให้เขาหอบ

"ถังซินเหยา ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?" เยี่ยจิงเฉินถามถังซินเหยา

ถังซินเหยาคิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วจึงตอบไปว่า : "จะให้เป็นยังไงล่ะคะ หนาวจะตายอยู่แล้ว"

เยี่ยจิงเฉินรีบหยิบเสื้อสูทของเขาที่เขาโยนทิ้งไปเมื่อสักครู่ยื่นให้ถังซินเหยาผ่านช่องที่เขางัดไปพร้อมกับพูดกับเธอว่า : "เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันจะไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรเด็ดขาด เอาเสื้อของฉันไปคลุมก่อนนะ อดทนอีกนิด ฉันจะช่วยเธอออกมาเอง"

ให้ตายเถอะ…….ทำไมป่าปี้ในภาพหลอนของเธอถึงได้เป็นคนที่อบอุ่นขนาดนี้นะ

นี่มันอะไรกัน ตอนนี้อัตราการเต้นของหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วนะ

"อื้อ ถึงแม้จะเป็นแค่ภาพหลอน แต่เห็นว่าคุณตั้งใจมาช่วยฉันขนาดนี้แล้ว ฉันอภัยให้คุณค่ะ" ถังซินเหยาควบคุมร่างกายอันเยือกเย็นของตัวเองพร้อมกับหยิบเสื้อนั้นขึ้นมา

เธอหยิบเสื้อมาคลุมอย่างตัวสั่นเทา บนเสื้อนั้นยังมีความอบอุ่นและกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของคนเป็นเจ้าของอีกด้วย

มัน……ทำไมมันเหมือนความจริงจังเลยนะ

"จริงๆแล้วฉันมีความลับที่อยากจะบอกคุณค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังจะตายแล้ว ถ้าเกิดฉันไม่ได้พูด ฉันกลัวว่าชีวิตนี้ฉันจะไม่มีโอกาสที่จะบอกมันกับคุณ"

นี่เป็นแค่ภาพหลอน บอกป่าปี้ไปก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแค่ให้เธอได้ระบายสิ่งที่เธออัอั้นก่อนที่จะตายเธอก็สบายใจแล้ว

"รอเธอออกมาได้ก่อน แล้วค่อยบอกความลับนั้นกับฉันนะ" เยี่ยจิงเฉินพูโด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ถึงแม้ว่าถังซินเหยาจะโอเวอร์เกินไป แต่ที่นี่ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือนะ ถึงจะหนาวแค่หนก็ไม่ทำให้ใครตายเพราะทนหนาวข้ามคืนหรอก

แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนล้าของถังซินเหยาในตอนนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมา

แม่เจ้า ในที่สุดเอก็รวบรวมความกล้าและตัดสินใจที่จะสารภาพความจริงเรื่องเค่อหลานและลั่วหลิงก่อนที่เธอจะไม่อยู่ แต่……..เขากลับไม่อยากจะฟังมัน เสียใจจัง

เสียงดังโครงครางเกิดขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออกแล้ว

ถังซินเหยาเห็นร่างสูงของเยี่ยจิงเฉินที่ยืนอยู่ในความมืดตรงหน้าของเธอ ถึงจะมองเห็นหน้าของเขาได้ไม่ชัด แต่ถังซินเหยากลับรู้ว่าคนๆนั้นคือเยี่ยจิงเฉิน

ณ ตอนนั้น ใจของถังซินเหยาเต้นแรงมาก ราวกับว่าใจของเธอจะหลุดออกมาเลยทีเดียว

ถังซินเหยานึกถึงเทพจื่อเซียพูดกับจือจวนเป่าภาพยนตร์ไซอิ๋วเลย ที่ว่า : "ฉันคือฉันรักคือฮีโร่ สักวันหนึ่งฉันจะแต่งงานกับเขาท่ามกลางเมฆที่งดงาม"

และเธอก็เห็นว่ามีเมฆลอยอยู่ใต้เท้าของป่าปี้และป่าปี้ก็กำลังมุ่งหน้าทางเธอ

แม่เจ้า ทำไมจู่ๆเธอถึงรู้สึกโชคดีขนาดนี้กันนะ?

"ไม่ต้องกลัวนะ ฉันมาช่วยเธอแล้ว"

เยี่ยจิงเฉินเดินข้าไปหาเธอแล้วรวบเอาร่างบางที่เยือกเย็นของถังซินเหยาเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง พร้อมกับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นที่สามารถทำให้ใจละลายได้กับเธอ

ถังซินเหยาฝังใบหน้าของเธอเข้าในอ้อมกอดของเยี่ยจิงเฉิน จนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและกลิ่นน้ำหอมบนร่างกายของป่าปี้ช่วยทำให้ความกังวลความกลัวของเธอค่อยๆหายไป

ความอบอุ่นที่ป่าปี้มีให้เธอในตอนนี้ไม่ใช่แค่ความอบอุ่นจากร่างหายอย่างเดียว แต่รวมถึงใจของป่าปี้ที่เย็นชามากๆนั้นก็ค่อยๆอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมา

การที่เธอได้อยู่ในอ้อมอกของเยี่ยจิงเฉินแบบนี้ทำให้เธอมีความสุขจริงๆ

"คุณขี่เมฆมาขอฉันแต่งงานแล้วใช่มั้ยคะ?" ถังซินเหยากอดเอวหนาของเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับกระซิบพูดอยู่ข้างๆหูของเขา

ถังซินเหยาหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะเปิดไฟฉาย

เธอนั่งลงพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างของเธอกอดเข่าเอาไว้แล้วซุกหน้าลงไปกับหน้าตักของเธอ

ไม่ใช่ว่าเธอตั้งใจจะทำร้ายตัวเองหรือว่าไม่อยากให้ใครมาช่วยเธอหรอกนะ แต่ว่าตอนนี้ในลิฟต์มันไม่มีสัญญาณ นี่มันไม่ได้เรื่องเลยสักนิด

จะติดต่อใครก็ไม่ได้ นอกจากเยี่ยจิงซิงคนที่จงใจทำแบบนี้ คนอื่นก็ไม่ได้รู้เห็นด้วยแล้วว่าเธอติดอยู่ในลิฟต์นี้

ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้วตอนกลางวันก็จะมีแดดอ่อนๆ แต่พอตกกลางคืนแล้วอากาศก็จะเริ่มหนาวเย็นเรื่อยๆ

ตอนเธอออกมาเธอรีบมากๆจึงลืมหยิบเสื้อคลุมมาด้วย มีเพียงแค่เสื้อเชิ้ตที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ตัวเดียวพร้อมกับกระโปรงเท่านั้น นอกนั้นก็มีเพียงผิวหนังเปลือยเปล่าของเธอที่ถูกครอบคลุมไปด้วยอากาศที่หนาวเย็นจนขนลุกไปทั้งตัวแล้วในตอนนี้

หนาวจังเลย……ทำยังไงดี?

ถ้าหากว่ารอให้ถึงเช้าของวันพรุ่งนี้ ถ้าเธอไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตแล้วล่ะ

เมืองบีอยู่ทางตอนเหนือ อากาศจึงหนาวมากเป็นพิเศษ

พระเจ้า เยี่ยจิงซิงคนเจ้าเล่ห์

ฉันจะแข็งตายอยู่แล้วนะ

ให้ตายเถอะ ถ้าเธอตายจริงๆล่ะก็ได้ตายฟรีๆน่ะสิ

ตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอิทธิพล แต่เธอเป็นเพียงคนธรรมดาๆ แต่สำหรับสายตาตระกูลเยี่ยแล้วเธออาจจะมีค่าเทียบเท่ากับรถคันนึงเพียงเท่านั้นแหละ

แม้ว่าลูกชายและลูกสาวของเธอนั้นฉลาดมาก แต่ก็เป็นแค่เด็กอายุห้าขวบเท่านั้น

ถึงแม่ว่าป่าปี้ของเธอลู่หงเทียนจะเป็นถึงนายพล แต่เธอก็เป็นแค่ลูกสาวนอกสมรส เขาก็คงไม่ยอมรับคนอย่างเธอหรอก ตระกูลเยี่ยเองก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ

แม่เลี้ยงชีชีก็เป็นที่รู้จักในสังคมไปแล้ว ถึงแม่เธอจะรู้จักคนดังอยู่หลายคนแต่ในเรื่องนี้ก็คงช่วยอะไรไม่ได้

ส่วนฟางซวี่เจ๋อเองก็ถูกเธอปฏิเสธไปแล้ว แล้วลูกพี่ลูกน้องของเขาก็ยังเป็นว่าที่ภรรยาของตระกูลเยี่ยอีกด้วย

ก็เหลือแค่ป่าปี้แล้วล่ะ แต่เธอกับป่าปี้ทำสงครามประสาทกันอยู่นี่นา

คิดไปคิดมาแล้ว ถ้าเกิดเธอตายขึ้นมาจริงๆใครกันล่ะที่จะแก้แค้นแทนเธอ

เห่อ……แย่จริงๆ

พอนึกถึงป่าปี้แล้วก็ราวกับว่าเธอได้ควบม้าไปเรื่อยๆในขณะที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเมฆหมอก และดอกไม้นานาพรรณและจู่ๆก็ต้องตายอยู่ข้างทางยังไงอย่างงั้น

ตอนนี้ป่าปี้คงกำลังออกเดทสุดแสนโรแมนติกใต้แสงจันทร์อยู่กับลู่อันหรานผู้เป็นที่รักของเขาอยู่สินะ

และร้านอาหารนั้นเธอก็เป็นคนจองเองซะด้วย สร้อยข้อมือขอองขวัญวันเกิดของลู่อันหรานเธอก็เป็นคนเลือกเองเช่นกัน

เพียงนึกถึงเรื่องราวพวกนั้นทั้งหัวใจท้ังร่างกายของเธอก็ชาไปทั้งหมด

ทำไมธอต้องทำสงครามประสาทกับป่าปี้กันนะ เธนึกเสียใจนิดแล้วสิ

ถังซินเหยาหนาวจนตัวสั่น แก้มและปากสีแดงระเรื่อของเธอนั้นในตอนนี้กลับซีดเซียวลงเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่มีเลือดแล้วยังไงอย่างงั้น

ในเวลานี้เยี่ยจิงเฉินที่ถังซินเหยากำลังคิดถึงอยู่คงจะออกเดทอยู่กับลู่อันหรานจริงๆสินะ

วันนี้เป็นวันเกิดของลู่อันหราน ไม่ว่าจะมีเรื่องสำคัญแค่ไหนเยี่ยจิงเฉินก็ต้องออกไปทานข้าวกับกับเธออยู่แล้ว ส่วนวันเกิดจามปฎิทินตามจันทรคติก็คงฉลองกันเองกับครอบครัว

ถังซินเหยาจองร้านอาหารนั้นที่โรแมนติกมากๆ ฟางซวี่เจ๋อเคยพาเธอไปมาแล้ว

เหมาะกับคนที่เป็นคู่รักกันมากๆที่จะมาทาน พอมาคิดๆดูแล้วเธอช่างเป็นเลขาที่ทุ่มเทให้กับงานจริงๆเลย

วันนี้เยี่ยจิงเฉินเหม่อลอยเล็กน้อย ลู่อันหรานเรียกเขาอยู่หายครั้งเขาถึงหลุดจากภวังค์

"จิงเฉินคะ….จิงเฉิน" ลู่อันหรานเรียกเยี่ยจิงเฉินที่กำลังเหม่ออยู่ในตอนนี้ เธอถามด้วยน้ำเสียงดีๆไปว่า : "คิดอะไรอยู่หรอคะ?"

เยี่ยจิงเฉินยังคงใบหน้าที่เย็นชาของเขาระงับอารมณ์ภายใจของเขาไว้ได้อยู่ทั้งหมด

"ไม่มีอะไร" เยี่ยจิงเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

จริงไแล้วเขากำลังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่เขาใส่อารมณ์กับเธอ โกรธเธอ เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าหายโกรธเขารึยังนะ

"ขอบคุณนะคะที่คุณมาฉลองวันเกิดด้วยกันกับฉันได้ ฉันมีความสุขมากๆค่ะ" ลู่อันหรานพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยน เธอชินกับความเย็นชาของเยี่ยจิงเฉินไปแล้วล่ะ

เขาเป็นคนที่มีบุคลิกเป็นคนเย็นชาแบบนี้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยอ่อนโยนกับเธอเลยก็ตาม

แต่เขาก็ไม่เคยไปทำตัวอ่อนโยนกับผู้หญิงคนอื่นเช่นกัน ลู่อันหรานจึงไม่ได้คิดมากอะไร

เยี่ยจิงเฉนหยิบกล่องเล็กๆที่ห่ออย่างประณีตออกมา เป็นของขวัญที่ผู้หญิงคนที่เขาเขาตัวไม่ดีใส่ไปนั่นแหละ

เขาส่งสายตาที่อบอุ่นพร้อมกับมอบของขวัญให้แก่ลู่อันหราน : "สุขสันต์วันเกิดนะ"

เมื่ออันหรานเปิดของขวัญออกเธอก็เห็นว่ามันคือสร้อยข้อมือแบบใหม่แล้วยังเป็นคอลเลคชั่นสำหรับคนรักด้วย

นี่มันหมายความว่า……..

เธอตื่นเต้นเล็กน้อย พร้อมกับใบหน้าของเธอที่เริ่มขค้นสีแดงระเรื่อ

"ฉันชอบมากค่ะ ขอบคุณ…..นะคะ" ลู่อันหรานหยิบสร้อยข้อมือนั้นออกมาพร้อมกับใส่มัน สร้อยข้อมือเส้นนี้ช่างเหมาะกับผิวขาวดุจพระจันทร์ที่เปล่งประกายของเธอสวยงามจริงๆ : "ฉันใส่แ้วสวยมั้ยคะ?"

เยี่ยจิงเฉินดูข้อมือของอันหรานที่สวมสร้อมข้อมือนั้น ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสวยมากๆจริงๆ

แต่ถ้าหากเป็นถังซินเหยาใส่ จะสวยยิ่งกว่ามั้ยนะ?

"ก็สวยดี"

ลู่อันหรานดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้รับคำชมจากปากของเยี่ยจิงเฉินก็ทำให้เธอมีความสุขมากๆแล้วล่ะ

"เดี๋ยวเราไปฟังงานดนตรีด้วยกันมั้ยคะ งานดนตรีงานนี้ฉันตั้งตารอมานานแล้วค่ะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วด้วย" ลู่อันหรานหยิบตั๋วงานดนตรีออมาจากกระเป๋าของเธอพร้อมกับใบหน้าที่คาดหวังคำตอบของเธอ

เยี่ยจิงเฉินมองใบหน้าที่สวยสง่าของลู่อันหรานพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายของเธอที่ดูหม่นไปในชั่วขณะ

พอตั้งใจมองดีๆแล้ว ก็มีหลายๆจุดเหมือนกันที่ลู่อันหรานและถังซินเหยาคล้ายกัน

เพียงแต่ลู่อันหรานจะเยนชากว่า ริมฝีปากคมและมีใบหน้าที่คมมากกว่า ดูแข็งแกร่งและเย็นชาเล็กน้อยก็เท่านั้น แต่ริมฝีปากของถังซินเหยาจะอวบอิ่ม มีใบหน้าที่เป็นมาตราฐานรูปไข่โค้งสวย ถึงทั้งสองจะคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

"ไม่ได้หรอคะ?" ลู่อันหรานที่เห็นว่าเยี่ยจิงเฉินไม่ตอบอะไรจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

"ได้สิ ทานข้วเสร็จค่อยไป" ถึงแม้ว่าการแสดงออกของเยี่ยจิงเฉินจะเย็นชาแต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ลู่อันหรานผิดหวังแต่อย่างใด

ลู่อันหรานยิ้มตลอดทั้งคืนและรอยยิ้มหวานของเธอไม่ได้หายไปจากใบหน้าสวยของเธอเลย

เมื่อทั้งสองทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ลู่อันหรานขอตัวไปเติมแต่งหน้าของเธอก่อนที่ห้องน้ำ

เยี่ยจิงเฉินยืนพิงอยู่ที่รถพร้อมกับจุดบุหรี่แล้วก็สูบมัน

ดวงตาของเขาลึกซึ้งจนไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

อากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ราวกับว่าเพียงแค่สูบเอาอากาศเย็นๆนี้เข้าไปเพียงเฮือกเดียวก็สามารถทำให้ปวดของเขาปลอดโปร่งได้

โทรศัพท์ของเขาสั่น เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าของเขา : ผู้หญิงของคุณติดอยู่ในลิฟต์ที่บริษัท ถ้าไม่อยากให้เธอตาย ก็รีบไปช่วยเธอออกมาซะ

เมื่อเขาเห็นเนื้อหาแจ้งเตือนของโทรศัพท์ของเขาแล้ว ใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินยิ่งนิ่งมากขึ้นไปอีก

เกิดเรื่องขึ้นกับถังซินเหยา……….

เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในความรู้สึกของเขาว่าคนที่ติดอยู่ในลิฟต์ไม่ใช่ลู่อันหรานแต่ไม่ใช่ถังซินเหยา

เยี่ยจิงเฉินโทรหาถังซินเหยา และเสียงที่ตอบกลับมาคือ : "ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่ได้อยู่ในพื้นที่ให้บริการ กรุณา……."

เขารีบตอบกลับข้อความนั้นทันที แต่ข้อความนั้นกลับเป็นกล่องข้อความที่ว่างเปล่าไปแล้ว

ข้อความนี้มันไม่ชอบมาพากล มันยิ่งเหมือนกับการวางกักดักเขามากขึ้นไปอีก

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ? ถ้าถังซินเหยาติดอยู่ในลิฟต์จริงๆ ถึงจะไม่หนาวสั่นอยู่ในนั้นแต่เธอก็คงรู้สึกไม่ดีมากๆแน่ๆ

เมื่อคิดถึงเรืองที่อาจจะเป็นไปได้ขึ้น เยี่ยจิงเฉินจึงรู้สึกังกลขึ้นมา

อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เยี่ยจิงซิงไม่ได้อะไรมิดีมิร้ายกับเธอ

"อืม……." ถังซินเหยาหนีบปากกาไว้ตรงหลางระหว่างปากแและจมูกของเธอพร้อมกับถอนหายใจ เธออยู่กับแผนงานของแบบของเธอมาสามวันแล้ว และในช่วงเวลาสามวนนี้ป่าปี้ก็ไม่ได้มาให้เธอเห็นหน้าเลยด้วย ป่าปี้ไม่มาหาเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวจริงๆนะ ทำเอาเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ป่าปี้คงไม่ได้ตระหนี่และยังโกรธเธออยู่ใช่มั้ย?

เธอหายโกรธป่าปี้ไปแล้วเนี่ยรู้มั้ย?

และวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลงไปอีกวันแล้ว เยี่ยจิงซิงก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขาลืมไปแล้วว่าเธอยังมีตัวตนอยู่

ในขณะที่ถังซินเหยาเตรียมตัวจะกลับบ้านนั้น ลั่วหลิงและเค่อหลานลูกๆของเธอก็ได้เตรมอาหารมื้อเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว

"หลานหลาน อย่าเลือกทานนะคะ แครอทมีประโยชน์มากๆ หนูกินแครอทถึงจะสูงนะคะ" ถังซินเหยามองเค่อหลานที่คีบแครอททิ้งด้วยสีหน้าที่จริงจัง เพื่อเป็นการหยุดพฤติกรรมของลูกสาว

"แต่ว่าแค่รอทมันไม่อร่อยอ่ะค่ะหม่ามี้" เค่อหลานพูดด้วยใบหน้าอันขมขื่น

"ไม่อร่อยก็ต้องทานค่ะ" ถังซินเหยาวางตะเกียบลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง : "หนูต้องเอาอย่าพี่นะคะ ดูพี่ลั่วหลิงสิไม่เคยเลือกทานเลยสักครั้งเดียว แล้วดูสิคะพี่เขาฉลาดขนาดไหน"

ลั่วหลิงที่พร้อมที่จะคีบแครอทเตรียมจะทิ้งมันนั้นมองใบหน้าถังซินเหยาผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีสงบแล้วคีบเอาแครอทเข้าปากโดยที่ไม่เคี้ยวด้วยสีหน้าเศร้าโศก

ถังซินเหยาพึงพอใจเป็นอย่างมาก ลูกชายของเธอนี่สุดยอดจริงๆ และลูกสาวของเธอก็น่ารักมากๆเช่นกัน

"ใช่มั้ยล่ะคะ ดูพี่สิยังทานแครอทได้เลย หนูก็ต้องทานนะ" ถังซินเหยายิ้มขึ้นจนทำให้เห็นลักยิ้มที่แก้มบุ๋มของเธอทำให้รอยยิ้มของเธอนั้นสวยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เค่อหลานเบะปากของเธอและมันทำให้เห็นักยิ้มที่เหมือนแม่ของเธอขึ้นที่แก้มของเด็กน้อยเช่นกัน

"หม่ามี้คะ เมื่อไหร่หม่ามี้จะพาแฟนของหม่ามี้มาเจอหนูกับพี่ล่ะคะ?" เค่อหลานถามขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาของตัวเอง

"อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะคะ ทานแครอทลงไปให้หมดเลยนะ" ถังซินเหยาไม่สนใจ

ด้วยความที่เธอเป็นแม่จึงรู้ว่าลูกสาวนั้นคิดอะไรอยู่ จะซ่อนเธอได้ยังไงกัน?

แต่เธอเข้าใจสิ่งที่ลูกสาวหมายถึงดี ทำให้ถังซินเหยานั้นลำบากใจไม่น้อยเลยทีเดียว

"หม่ามี้คะ หนูอยากเจอแฟนใหม่ของหม่ามี้จังค่ะ"

"ทานข้าวเสร็จค่อยคุยนะคะ"

"หม่ามี้คะ กีฬาสีฤดูใบไม้ร่วงจะมีเกมวิ่งสามขา หม่ามี้กับป่าปี้ลงแข่งด้วยกันนะคะ"

"โอเค หยุดถามได้แล้ว"

"วันนั้นหลานหลานกับหลิงหลิงจะได้ลงเล่นเกมวิ่งสามขามั้ยคะ?"

"ทานข้าวก่อนค่ะ"

"หนูอยากลงเล่นจังเลยค่ะ ถ้าหม่ามี้ไม่ตอบหนู หนูก็จะไม่ทานข้าวแล้วค่ะ" เค่อหลานทำท่าทางน่าสงสารออกมา

เด็กคนนี้เป็นลูกบ้านไหนกันเนี่ย ทำไมถึงขี้เซ่าซี้ขนาดนี้

ลั่งหลิงที่เห็นว่าในชามเหลือแครอทอยู่มากโขจึงแสดงสีหน้าที่จริงจังขึ้นมาพร้อมกับพูดกับถังซินเหยาผู้เป็นแม่ไปว่า : "ใช่ครับ ผมก็อยากรู้ หม่ามี้จะบอกพวกเราหน่อยได้มั้ยครับ?"

อั้ยหยา คำพูดที่แสนเรียบนิ่งนี้ของลั่วหลิงได้มาจากป่าปี้ใช่มั้ยเนี่ย?

ถ้าเป็นเค่หลานล่ะก็ว่าไปอย่าง ยังดูไร้เดียงสาอยู่ ยังพอจะเข้าใจได้

แต่กับกรณีของลูกชายอัจฉริยะตัวเองนี่สิ ไอคิวสูงปรี๊ดขนาดนี้

เธอยังควรจะปิดบังลูกๆของเธออยู่มั้ยล่ะเนี่ย? ขอเวลานอกแป๊ป…….

"โอเคค่ะ ถ้าถึงเวลานั้นแล้วหม่ามี้จะหาป่าปี้มาให้หนูๆเอง" ถังซิเหยาพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังพร้อมกับท่าทางที่จริงใจของเธอ

คิดก่อนว่าที่ไหนมีป่าปี้ให้เช่าบ้างนะ เธอจะเช่ามาสักวันนึง

"เอาล่ะ หม่ามี้ตอบคำถามไปแล้ว ตอนนี้ก็ทานข้าวอย่างเชื่อฟังหม่ามี้ได้แล้วค่ะ" ถังซินเหยาคีบแครอทให้เค่อหลานและลั่วหลิง

ลูกๆของเธอเลือกทานเหมือนใครบางคนเลย

แครอทนี่อร่อจะตายไป พอคิดถึงคนที่เธอไม่ได้เจอมาแล้วหลาายวันนั้นเธอก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา

เค่อหลานที่รู้ว่าเธอไม่สามารถทีจะกินแครอทลงไปได้อีกแล้วำหรับวันนี้ จึงเบิกตาพร้อมกับมมองเจ้าแครอทด้วยตากลมโต

รวมถึงใบหน้าของลั่วหลิงที่เศร้าโศกมองแครอทพวกนั้น

เมื่อเห็นว่าท่าทีของลูกชายและลูกสาวของเธอที่มีต่อแครอทราวกับว่าหากได้กินมันอีกคงไม่ไหวแน่ๆ เธอไม่รู้จรงๆว่าจะร้องไห้โฮหรือหัวเราะลูกๆดี

ก็แค่แครอทมันไม่อร่อยตรงไหนกันนะ?

เสียงโทรศัทพ์ของถังซินเหยาดังขึ้น เธอลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ระเบียงเพื่อคุยโทรศัทพ์ทันที

ลั่วหลิงคีบแครอทในชามของเค่อหลานผู้เป็นน้องสาวมาใส่ชามของตัวเองก่อนจะเอาชามแครอทนั้นไปเททิ้งลงถังขยะในห้องครัวอย่างเงียบๆราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โต๊ะอาหารตรงหน้าของเค่อหลานไม่มีอาหารที่เธอไม่ชอบแล้วในตอนนี้ เธอมองไปที่พี่ชายด้วยสหน้าที่ชื่นชมลั่วหลิงผู้เป็นพี่ชาย

"พี่คะ พี่สุดยอดที่สุดเลยค่ะ หนูชอบพี่ที่สุดในโลกเลย" ดวงตาคู่นั้นของเค่อหลานมองลั่วหลิงผู้เป็นพี่ชายอย่างเป็นประกายพร้อมกับใบหน้าที่ชื่นชมพี่ชายพี่ไม่สามารถซ่อนมันได้

ใบหน้าขอลั่วหลิงไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆแต่อย่างไร แต่สายตาของเขามองดูเค่อหลานผู้เป็นน้องสาวอย่างอบอุ่น

"อือ เบาๆหน่อย อย่าเสียงดัง" ลั่วหลิงพูดกับน้องสาวด้วยสายตาที่อ่อนโยน

"สวัสดีค่ะรองประธนเยี่ย มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?" ถังซินเหยาที่ยืนอยู่ที่ระเบียงพร้อมกับถามด้วยสายตาที่ล้ำลึก

ไม่ผิดหรอก คนที่โทรหาเธอคือรองประธานเยี่ย ไม่ใช่ประธานเยี่ย

ต่างกันแค่พยางค์เดียว แต่ความหมายช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ถังซินเหยาครุ่นคิด ถ้าเกิดเยี่ยจิงซิงทำอะไรมิดีมิร้ายกับเธอ เธอจะทำให้เขาลุกไม่ขึ้นเลยล่ะ

"ตอนนี้ฉันอยู่ที่บริษัท งานออกแบบที่เธอแก้เสร็จแล้ว เธอเอามันไปไว้ที่ไหน? ทำไมฉันหาไม่เจอ?"

"ฉันเอามันวางไว้บนโต๊ะทำงาานของคุณแล้วนะคะ แล้วก็ยังเอาแฟ้มเอกสารวางทับไว้ให้ด้วยนะ"

"แต่ฉันหาไม่เจอ เธอรู้มั้ยจะเกิดอะไรขึ้นถ้าภาพงานออกแบบมันรั่วไหลออกไป?"

ถังซินเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า : "ฉันจะกลับเข้าไปบริษัทเดี๋ยวนี้ค่ะ รองประธานรอสักครู่นะคะ"

ถ้าหากภาพการออกแบบมันรั่วไหลออกไปแต่มันเป็นความรับผิดชอบของคนอื่นก็ยังดี แต่หากเป็นความรับชอบของตัวเองล่ะก็ผลที่ตามมามันหายนะชัดๆ

เธอวางโทรศัพท์และไม่สนใจเรื่องอาหารอีกต่อไป พร้อมกับคว้าเอากระเป๋าของเธอแล้วเดินออกไปทันที

"หม่ามี้มีเรื่องต้องไปจัดการที่บริษัท เด็กๆต้องอยู่บ้านเป็นเด็กดีนะคะ" ก่อนจะออกจากบ้านไปถังซินเหยาจูบลูกของเธอทั้งสองและไม่ทันได้สังเกตว่าแครอทที่เตรียมไว้นั้นหมดไปแล้ว

ถังซินเหยาขับรถสปอร์ตของเธอออกไปอย่างรีบเร่งโดยไม่คิดจะเรียกแท็กซี่

พนักงานที่บริษัทต่างก็เลิกงานกลับบ้านกันหมดแล้ว ตึกบริษัทก็ปิดไปจนมืดสนิทแล้ว

แม้ว่าพนักงานจะเลิกงานกันหมดแล้วแต่ที่บริษัทก็ควรมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เพื่อที่จะเปิดไฟให้บริษัทจะได้ไม่มือมิดขนาดนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะแบบร่างงานออกแบบชิ้นนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวงอะไรและไม่ทำให้ถังซินเหยาว้าวุ่นใจกับมัน เธอเองก็ไม่มาบริษัทที่ดูไม่ชอบมาพากลเหมือนในตอนนี้หรอกนะ แต่ตอนที่เธอรับรู้ว่ามันแปลกๆมันก็สายไปแล้ว เธอซวยแล้วล่ะ

แสงไฟสลัวในลิฟต์ที่ส่องสว่างเพียงสักพักก็ดับลง

ลิฟต์ติดอยู่ที่ชั้นยี่สิบของตึก และแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ

ถังซินเหยาถึงกับตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ มีวูบนึงที่เธอตื่นตระหนกแต่มันเป็นเพียงเวลาสั้นๆเธอก้สามารถกลับมาสงบลงอย่างปกติ

เธอกดลิฟต์แต่มันไม่ขยับไปไหนเลย

เธอใช้แรงทุบประตูลิฟต์ เสียงทุบนั้นในลิฟต์ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆดังก้อง

เธอกดปุ่มฉุกเฉินในลิฟต์และรอกว่าครึ่งชั่วโมงแต่ก็ไม่มีใครมาช่วยเธอ

ถึงตอนนี้ถ้าเธอยังไม่รู้อีกว่าเป็นฝีมือของเยี่ยจิงซิงตั้งใจจะแกล้งเธออีกล่ะก็ เธอคงต้องไปเกิดใหม่ได้เลย

ให้ตายเถอะ เยี่ยจิงซิงฉลาดขึ้นแล้วหรอเนี่ย

ใช้เวลาถึงสามวันเพื่อให้เธอวางใจ จากนั้นก็หลอกใช้ผลงานออกแบบให้เธอกังวลจนต้องถ่อตัวมาถึงที่นี่ เธอคงประมาทมากเกินไปที่ทำให้เยี่ยจิงซิงหลอกเธอได้แบบนี้

เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องแบบนี้นะ แต่……..พระเจ้า ใครก็ได้มาช่วยที!

เยี่ยจิงเฉินวางปากกาในมือของเขาลงโดยที่ไม่สนใขถังซินเหยาด้วยสีหน้าท่าทางที่เย็นชาของเขา สิบนิ้วเรียวยาวของเขาวางอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขาพร้อมกับถามขึ้นด้วยนำ้เสียงโอ่อ่าไปว่า : "นี่พี่ใหญ่ออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอครับ? ทำไมถึงไม่แอดมิดพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักสองสามวันล่ะครับ เผื่อว่าจะมีอาการอะไรขึ้นมาอีก"

ป่าปี้ชักดาบออกเสียแล้ว ปากร้ายๆของป่าปี้นี่มันช่าง……น่ารักจริงๆเลย!

ดูท่าแล้วเยี่ยจิงซิงนั้นหัวร้อนจะระเบิดเลยทีเดียว

อาการอะไรกันล่ะ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเยี่ยจิงซิงจะไม่กลับไปเป็นซ้ำสองอีก

ถึงจะเกิดเป็นลูกผู้ชายแต่ก็จะไม่ทนเหมือนกัน

แต่ลูกชายทั้งสองของตระกูลเยี่ยจะไม่สนใจเธอเลยหรอ หรือว่าช่วงนี้เธอผอมไปจนทำให้รู้สึกไม่ได้ถึงการมีอยู่ของเธอแล้ว?

"นายไม่ต้องห่วงหรอก ในระหว่างที่พี่ไม่อยู่ที่บริษัทก็ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลแทนให้ ลำบากนายแย่เลย" เยี่ยจิงซิงกัดฟันพูด

ให้ตายเถอะ คำพูดนี้อย่างกับว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทเยี่ยกรุ๊ปนี้อย่างงั้นแหละ เธอไม่ได้รู้สึกไปเองใช่มั้ย?

"แน่นอนอยู่แล้ว" เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่มีกลยุทธ์และคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ : "เพราะบริษัทอยู่ในความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว แล้วช่วงที่พี่ไม่อยู่ ที่บริษัทก็ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นด้วย"

นี่เป็นการบ่งบอกว่าถึงเยี่ยจิงซิงจะอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทอยู่แล้ว

ป่าปี้นี่สุดยอดไปเลย เธอน่ะทั้งเคารพ นับถือ ทั้งตกหลุมรักป่าปี้แล้วก็หยุดความรู้สึกพวกนี้ไม่ได้ด้วย!

"นายมีอะไรน่าภูมใจงั้นหรอ เยี่ยจิงเฉิน นายมันก็แค่ลูกนอกสมรสนั่นแหละ" เยี่ยจิงซิงโกรธเคืองกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของเยี่ยจิงเฉิน ดวงตาแห่งความโกรธทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยสีแดงราวกับเลือดพร้อมกับแสดงท่าทางเกลียดชังออกไป : "ถึงนายจะเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมแล้วมันยังไง บริษัทเยี่ยไม่สมควรเป็นของลูกนอกสมรมอย่างนายหรอก หวังลมๆแล้งๆไปรึเปล่า ยังไงเสียสักวันบริษัทนี้ก็ต้องตกเป็นของพี่อยู่ดี นายก็เป็นได้แค่ลูกมือเท่านั้นแหละ"

ให้ตายเถอะ เยี่ยจิงซิงนี่ชักเกินไปแล้วนะ

ป่าปี้ ป่านี้ต้องสู้นะ

เยี่ยจิงเฉินที่ใจสู้เต็มร้อยในตอนนี้กับเงียบลงและพูดไม่ออกทันที

ถึงแม้ว่าเธอยังคงทำสงครามประสาทกับป่าปี้อยู่ แต่เธอทนดูคนอื่นมารังกป่าปี้ไม่ได้หรอกนะ

แม้แต่เธอยังไม่เคยรังแกป่าปี้เลยนะ (ทำท่านิ้วชี้ชนกัน) เธอน่ะเป็นถึงเลขาของเยี่ยจิงเฉิน จะทนดูคนน่าเกลียดอย่างเยี่ยจิงซิงรังแกบอสใหญ่ของเธอได้ยังไงกัน

"คือว่า…….." ถังซินเหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ดังและไม่เบาแต่กลับทำให้คนฟังนั้นได้ยินอย่างชัดเจนไปว่า : "รองประธานไม่ใช่ผู้หญิงนะคะ ทำไมถึงต้องอยากได้ชุดแต่งงานด้วยล่ะคะ น่าแปลกจังเลยนะคะ! ไม่ใช่ว่าผู้หญิงหรอคะที่เขาต้องการชุดแต่งงาน? หรือว่าในอนาคตรองประธานเยี่ยจะใส่ชุดแต่งงานผู้หญิงคะ?"

เยี่ยจิงเฉินเงยใบหน้าหล่อเหลาของเขามองไปที่ถังซินเหยาราวกับว่าจะยิ้มออกมายังไงอย่างงั้น ป่าปี้น่ะร้ายกาจจริงๆ หล่ออะไรขนาดนี้

"เธอหุบปากไปเลยนะ" เยี่ยจิงซิงมองถังซินเหยาด้วยสายตาน่ากลัวพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ

เอ่อ…….คุณคิดว่าคนอย่างฉันอยากจะคุยกับคุณมากนักหรือไงกัน

"เธอออกไปให้พ้นตาฉันเลยนะ แล้วต่อไปก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาอีก" เยี่ยจิงซิงพูดด้ยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

"ฉันทำสัญญากับบริษัทไปแล้วนะคะ ถ้าเกิดผิดสัญญาล่ะก็ บริษัทจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฉันจำนวนไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันก็โอเคนะคะ" ถังซินเหยาพูดกับเยี่ยจิงซิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอบยิ้ม

ตอนนี้เธอกำลังเป็นฝ่ายรุกเพื่อโจมตีและจะถอยเมื่อต้องป้องกันตัวเอง

ไม่ว่าเยี่ยจิงซิงจะตัดสินใจยังไง เธอก็ได้กำไรอยู่แล้ว

เพียงแค่จะได้ชื่อเสียงหรือได้กำไรก้เท่านั้นเอง

เยี่ยจิงซิงกลับไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงค่อยๆหัวเราะขึ้นพร้อมกับพูดว่า : "คนรับผิดชอบเรื่องจิวเวลรี่เป็นฉันตั้งแต่แรกออยู่แล้ว พวกผลงานเก่าๆของเธอน่ะ ฉันดูมาหมดแล้วล่ะ และมันก็มีปัญหาทุกงาน บ่ายนี้มารับงานของเธอไปแก้ไขให้หมดด้วย"

รอยยิ้มของเยี่ยจิงซิงไม่ได้ดูแย่เลย แต่กลับดูอบอุ่นเสียด้วยซ้ำ

แต่การที่ได้เห็นรอยยิ้มของเยี่ยจิงซิงในครั้งนี้กลับทำเอาถังซินเหยาถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว

รอยยิ้มของเยี่ยจิงซิงน่ะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอารมณ์ร้อนๆของเขาเองเสียอีก

"บ่ายนี้ เธอมาพบฉันด้วยล่ะ?" เยี่ยจิงซิงพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ

อารมร์ต่างกับอารมณ์เมื่อกี้อย่างกับคนละขั้วเชียวนะ

ไม่เห็นเหมือนเมื่อกี้เลยสักนิดเดียว จู่ๆก็เปลี่ยนอารมณ์ราวกับคนละคน ทำเอาคนเขารับมือแทบไม่ทัน

เธอมีรางสังหรณ์ว่าเยี่ยจิงเฉินต้งไม่สบายใจแน่ๆถ้าเธอไป ทำยังไงดีล่ะ เธอไม่อยากไปเลย

"ประธานเยี่ยคะ บ่ายนี้ต้องการให้ฉันออกไปกับคุณมั้ยคะ?" ถังซินเหยามองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยสายตาประกายแวววาวราวกับแสงทองที่ส่องประกายทำให้ใบหน้าของเธอดูสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น

เธอลืมไปแล้ว ว่าเธอกำลังทำสงครามประสาทกับป่าปี้อยู่

"ไม่ต้อง" เยี่ยจิงเฉินพูดกับถงซินเหยาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์และไม่ลังเลที่จะตอบ

ถังซินเหยาราวกับเจอพายุมรสุม รู้สึกว่าเธอไม่โอเคเลยสักนิด ป่าปี้บอกว่าไม่ต้องไปจริงๆงั้นหรอ?

แม่เจ้า ป่าปี้มีใจเมตตาต่อกันบ้างมั้ยเนี่ย? หรือว่าเยี่ยจิงซิงกับเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว?

เขาเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ฮิตฮอตนี่เอง

ป่าปี้ ที่ป่าปี้ขายลูกทีมอย่างเธอให้คนอื่นแบบนี้ จะไม่ปัญหาจริงๆหรอ?

เยี่ยจิงซิงยกยิ้มพร้อมกับพูดดูถูกเยี่ยจิงเฉินว่า : "พี่จะแนะนำอะไรให้นายนะ อย่าคาดหวังอะไรในสิ่งที่มันไม่ใช่ของนายเลย ไม่อย่างงั้นล่ะก็เมื่อถึงตอนนั้น นายจะไม่เหลืออะไรเลย"

เยี่ยจิงซิงเตือนเยี่ยจิงเฉิน เขาเตรียมตัวมาอย่างดีพร้อมกับกลยุทธ์ที่ว่า ไม่อยากะคุยกับคนโง่เขลาอย่างเยี่ยจิงเฉินให้เสียเวลา

ป่าปี้ทิ้งกันแบบนี้ ในเวลาอย่างงี้ เธอเองก็ไม่สามารถพูดอะไรเพื่อช่วยเหลือป่าปี้ได้แล้วนะ

เยี่ยจิงซิงที่เข้ามาพูดสิ่งที่เขาต้องการจบก็เดินออกไปทันที

รวมถึงถังซินเหยาเองก็หันหลังเดินออกไปเช่นกัน ตอนนี้เธอจะต้องไปจัดการกับความรู้สึกของเธอที่โดนป่าปี้ทั้งเมินและไม่แยแสเธอเมื่อกกี้นี้เสียก่อน

เยี่ยจิงเฉินที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของเขาตอนนี้เดินไปที่หน้าต่างสูงตั้งแต่เพดานจรดพื้นนั้นออกไปข้างนอก

เขาพลันนึกถึงผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่พยายามจะช่วยรักษาหน้าพร้อมกับสายตาที่ดูเศร้าหมองของเขา ทำให้เยี่ยจิงเฉินรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย

เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ยืนหยัดปกป้องเธอต่อหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัดเจนจึงทำให้เขารู้สึกทึ่งมากๆ

ในกระจกขาวสะอาดนั้นมีใบหน้าอันหล่อเหลาของเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มของเขาอยู่ เป็ยรอยยิ้มที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

ช่วงบ่ายถังซินเหยาได้ปหาเยี่ยจิงซิงด้วยความเศร้าใจ เยี่ยจิงซิงไม่ได้ทำให้เธอลำบากอะไรแต่กลับยกห้องทำงานนั้นให้ถังซินเหยาได้ทำงานอีกด้วย

จากความคิดของตัวเองแล้ว มันบอกถังซินเหยา

ว่าถึงแม้เรื่องที่เธอคิดมันจะไม่เกี่ยวกับงานออกแบบของเธอเลย แต่บรรยากาศการทำงานร่วมกันก็ถือว่าไม่ได้แย่

งานวาดนี้ ไม่เหมือนกันกับที่จินตนาการเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วเรื่องที่รังแกกัน เรื่องที่ทำตัวเป็นศัตรูกันล่ะ?

อย่างน้อยก็น่าจะเอาโต๊ะทำงานของเธอไปวางอยู่ใกล้ๆห้องน้ำไม่ใช่หรอ

มันไม่ใช่เลยสักนิด ห้องทำงานของเธอมีทำเลดีๆ แสงส่องมากำลังโอเค แล้วยังมีกระถางต้นไม้วางเรียงกันอยู่หลายอันแบบนี้ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับการทำงานขึ้นตั้งเยอะ ห้องทำงานที่ดีกว่านี้คงไม่มีแล้วแหละ ถ้าเปรียบเทียบกับห้องทำงานของเธอที่บริษัทCKล่ะก็คงเทียบไม่ติดกับที่นี่เลยด้วยซ้ำ

หรือจริงๆแลเวเยี่ยจิงซิงคนนี้จะเป็นสุภาพบุรุษใจกว้างอย่างงั้นหรอ?

ไม่ต้องพูดเถอะโอเค๊?

ความเป็นไปได้นี้มันน้อยกว่าป่าปี้พ่อของลูกเธอที่เลิกรากันมาหลายปีแล้วเสียอีก

ถังซินเหยามักจะคิดว่าเยี่ยจิงซิงไม่ได้เป็นคนดีอะไร อาจจะเป็นเพราะเขากำลังิดจะทำอะไรอยู่แน่ๆ……….

เยี่ยจิงเฉินจ้องมองไปที่ลักยิ้มของเธอด้วยความกลัว เขามักจะคิดอยู่ในใจลึกๆว่ามีลักยิ้มที่เหมือนกัน และเจ้าของลักยิ้มนั้นก็สำคัญกับเขามากๆเช่นกันแต่ความทรงจำที่เกียวกับลักยิ้มนั้นกลับนึกยังไงด็นึกไม่อยาก

ในที่สุดภูเขาไฟในใจของถังซินเหยาก็ระเบิดออก

"ตัดเรื่องมีผู้สืบสกุลออกค่ะ" ถังซินเหยาพูดถึงการดูแลรักษาความสะอาดบ้านของเธอ

เธออาศัยเคล็ดลับนี้ในการเรื่องราวต่อไปเรื่อยๆ

"ฮืม……"

เยี่ยจิงเฉินฟุ้งซ่านไปชั่วขณะอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อถังซินเหยายังคำพูดนั้นมา

สมน้ำหน้า……ไอ่คนเจ้าชู้ เฉินชื่อเหม่ยคนชั่ว คนไม่มีหัวใจ

เธอจัดการจัดเสื้อผ้าของเธอจนเรียบร้อยพร้อมกับมองเข้าไปในสายตาที่เจ็บปวดเยี่ยจิงเฉิน แล้วพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยน้ำเสียงร้ายๆไปว่า : "ถ้าประธานเยี่ยไม่มีเรื่องอะไรสำคัญแล้วฉันขอตัวออกไปเลยนะคะ"

ไม่รอให้เยี่ยจิงเฉินพูดอะไรเธอก็หันหลังออกมาทันที

บ๊ะ……สุดยอดไปเลย

เยี่ยจิงเฉินอ้าปากอยากจะเรียกถังซินเหยาเพื่อที่จะพูดบางอย่างกับเธอ แต่คำพูดนั้นกลับถูกกลืนลงไปหมดเสียแล้ว

"ประธานเยี่ยคะ ตอนสิบโมงคุณมีประชุมนะคะ สิบเอ็ดโมงครึ่งมีพบลูกค้าคนสำคัญ ส่วนตอนบ่ายต้องไปตึกเวิร์ลเทรดอินเตอร์เนชันนอลเพื่อหารือเกี่ยวกับการต่ออายุสัญญาของไตรมาสถัดไปแล้วก็เรื่องการแก้ไขสัญญานะคะ อีกอย่างอีกไม่กี่วันก็วันเกิดของคุณลู่อันหรานแล้วนะคะ ท่านประธานอยากได้ของขวัญหรืออยากจองร้านอาหารอะไรไว้มั้ยคะ?" ใบหน้าของถังซินเหยายิ้มอย่างมืออาชีพ

ราวกับว่าเธอสวมใส่หน้ากากเอาไว้แล้วแสดงด้านที่เจ้าเล่ห์ออกมา

ส่วนทางเยี่ยจิงเฉินไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ เขาเม้มปากอย่างเย็นชา เย็นชาเสียจนไม่เห็นใจผู้อื่น

"ตอนบ่ายเธอไม่ต้องออกไปกันฉันแล้ว ส่วนของขวัญที่จะให้อันหรานเธอก็ดูๆแล้วก็เลือกมาเลย" เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างลังเล "ส่วนเรื่องร้านอาหารก็จองร้านที่อันหรานชอบก็แล้วกัน คืนนั้นก็เหมาจองร้านไว้เลยนะ สั่งให้เจ้าของร้านเขาจัดเตรียมให้พิถีพิถันหน่อย เรื่องอาหารก็ขอให้ใส่ใจในการทำเป็นพิเศษด้วย"

ถังซินเหยาจดตามคำพูดของเยี่ยจิงเฉิน เมื่อเยี่ยจิงเฉินพูดจบ ถังซินเหยาก็ตามอย่างรู้ใจไปว่า : "แผนงานของวันนี้มีเพียงเท่านี้ค่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นๆแล้ว ฉันขอตัวนะคะ"

เยี่ยจิงเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ยกมือปัดๆไปบกบ่องว่าถังซินเหยาไปไดแล้ว

ถังซินเหยาถึงเลือดขึ้หน้าผาก

ให้ตายเถอะ แค่พูดอีกนิดมันจะตายหรือยังไงกัน?

ทำอย่างกับว่าเธอเป็นหมาอย่างงั้นแหละ ทำท่าปัดมือแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าทำลวกๆแบบขอไปทีและสบประมาทกัน!

เธอตัดสินใจที่จะ……..อดทนต่อไป

เธอคิดว่าเธออาจจะไม่ใช่เลขาที่ดีแต่เธอนั้นเป็นเลขาที่มีความอดทนมากท่ีสุดแล้วล่ะ

ตั้งแต่นั้นที่เธอพูดว่า "ไม่มีทาญาติสืบสกุล" กับป่าปี้ไป หลังจากที่ทั้งสองเลิกรากันไปแล้ว ทั้งสองคนก็ตึงๆใส่กันตลอดมา

หรือที่เรียกกันว่า —— สงครามประสาทนั่นเอง

ป่าปี้น่ะขี้ตระหนี่มากๆ ถึงแม้ว่าเขาโกรธเธออยู่ก็ตาม !

ถึงจะไม่สบายใจ แต่เมื่อเธออยู่ต่อหน้าป่าปี้คงช่วยไม่ได้จริงๆ เธอจึงทำแค่เพียงยอมรับผิดไป

เพียงเธอออกมาจากห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉินก็เห็นรองประธานเยี่ยที่แต่งตัวดีเรียบร้อยเดินเข้ามา

เมื่อเธอเห็นเยี่ยจิงซิง สีหน้าท่าทางของถังซินเหยาก็เปลี่ยนไป

แม่เจ้า ช่วงนี้เธอไม่ได้เจอเยี่ยจิงซิงเลย เธอเกือบจะลืมการมีอยู่ของรองประธานเยี่ยจิงซิงคนนี้ไปแล้วนะเนี่ย

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ รองประธานเยี่ย" ใบหน้าของถังซินเหยายิ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มที่สวยหวานและปฏิบัติกับเยี่ยจิงซิงอย่างสุภาพและอ่อนโยนจนมองแทบไม่ออกว่าระหว่างทั้งสองคนนี้มีเรื่องเกิดขึ้น

วินาทีที่เยี่ยจิงซิงเมื่อเห็นถังซินเหยา สีหน้าของเขาก็ปรากฏให้เห็นถึงความไม่สบอารมณ์เกิดขึ้น

มิหนำซ้ำเขายังถอยหลังออกห่างจากเธอถึงสองก้าวเพราะความกลัว ปฏิกิริยานี้เป็นสิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกของเขา และนี่ก็ทำให้สีหน้าของเยี่ยจิงซิงถึงกับเสียไปเลยที่เดียว

ความเจ็บปวดของลูกผู้ชาย —— อืม ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจกันหมดแหละ

"นี่เธอยังกล้าทำงานที่เยี่ยหวงต่ออยู่อีกหรอ ถังซินเหยา" เยี่ยจิงซิงพูดด้วยสีหน้าเทาๆพร้อมกับมองไปที่ถังซินเหยาด้วยความดุร้าย

ถังซินเหยาแทบจะควบคุมสาตายของตัวเองไม่ได้เมื่อลงไปที่ส่วนนั้นของเยี่ยจิงซิง

จนสุดท้ายเธอก็ได้สายตาที่น่ากลัวกว่าเดิมมาของเยี่ยจิงซิงกลับมา

QAQ รองประธาน อย่ามองเธออย่างนั้นสิ เธอก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันนะ

สายตาเธอมันไม่ได้ตั้งใจจะมองไปตรงนั้นเสียหน่อย เธอสาบานได้

เธอไม่ได้ตั้งใจจะซ้ำเติมนะ แต่เธอเพียงแค่อยากรู้จริงๆเท่านั้นเองนะ จริงๆ

แล้วทำไมถึงรู้สึกว่าเธอพูดไม่รู้เรื่องเลยล่ะเนี่ย ยิ่งพูดยิ่งไม่ถูก!

เยี่ยจิงซิงราวกับว่าจะกระอักเลือดออกมาเพราะความโกรธ นี่มันเป็นจังหวะที่ทำให้รองประธานเยี่ยรู้สึกเคืองชัดๆ

"ดี ดีมาก" เยี่ยจิงซิงมองไปที่ถังซินเหยาที่เสียวสันหลังอยู่ตอนนี้ด้วยสายตาที่ราวกับมีดอาบยาพิษ : "ถ้าฉันไม่ได้จัดการกับเธอ อย่ามาเรียกฉันว่าเยี่ยจิงซิงเลย ถังซินเหยา"

"งั้นคุณจะชื่ออะไรล่ะคะ?" ถังซินเหยาถามอย่างใสซื่อ

เธอไม่ได้กวนนะ แต่เธอแค่สงสัยจริงๆว่าคุณชายใหญ่เยี่ยจะตั้งชื่อให้ตัวเองว่าอะไร

แต่คุณลุงสุดประธานเยี่ยสุดหล่อคงไม่โอเคด้วยกับการที่คุณชายใหญ่เยี่ยจะเปลี่ยนชื่อหรอกมั้ง

เมื่อถังซินเหยาเห็นว่าคำพูดของเธอทำเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟรวมถึงยังทำให้อึดอัด เลยเปลี่ยนประเด็นพูดคุย : "จริงๆแล้วเปลี่ยนชื่อก็ดีเหมือนกันค่ะ ฉันว่าชื่อเยี่ยจิงซิงก็ไม่ได้เพราะอะไรมากมาย ฟังละไม่รู้สึกถึงความเป็นใหญ่เป็นโต ไม่เหมาะกับคนที่เป็นถึงรองประธานเยี่ยเลย แต่ฉันว่าก่อนที่คุณจะเปลี่ยนชื่อ ทางที่ดีคูณควรไปปรึกษากับผู้บริหารเยี่ยก่อนนะคะ ฉันคิดว่าท่านคงไม่ได้อารมณ์ดีขนาดนั้น ถ้าถึงเวลานั้นท่านอาจจะตีคุณให้ตายเลยก็ได้นะคะ"

เธอนี่ช่างเป็นคนใจดีมีน้ำใจจริงๆ

ที่สามารถละความคับข้องใจแล้วก็ความคิดของเยี่ยจิงซิงด้วย เธอนี่ช่างเข้าใจเรื่องนี้ดีจริงๆ

เธออยากจะกดไลค์ให้กับความเมตตากรุณาของเธอรัวๆจริงๆเลย

คาแรคเตอร์ของเธอนี่เก่งจริงๆเลย

เธอกับเยี่ยจิงซิงก็ไม่ได้เกลียดกันเข้าไส้ขนาดนั้น เพียงแต่เธอแค่อยากจะเคลียร์ความสงสัยประเด็นของเธอและเขาก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง

แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเยี่ยจิงซิงในตอนนี้นั้นเดือดมากกว่าภูเขาไฟที่ระเบิดเสียอีก ไม่เหมือนกันกับที่เธอจินตนาการเลยแฮะ

"เยี่ยจิงเฉินอยู่มั้ย?" เยี่ยจิงซิงพูดกับเธอหลังจากถอนหายใจออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งห้วน

"อยู่ค่ะ" ถังซินเหยาตอบไปตามความจริง : "แต่ถ้าคุณมีอะไรจะคุยยกับประธานเยี่ย ฉันจำเป็นต้องแจ้งเขาก่อนนะคะ คุณถึงจะเข้าไปพบได้"

เยี่ยจิงซิงเดินผ่านถังซินเหยาเข้าไปทันที โดยมุ่งตรงไปทางห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉิน

ถังซินเหยาสับสนอยู่สักพัก เธอควรจะปล่อยไปเลย? ควรมั้ยนะ? หรือว่าควรปล่อยให้เยี่ยจิงซิงบุกเข้าไปเลย?

ป่าปี้เป็นคนไม่มีหัวใจ เหมือนกับเฉินชื่อเหม่ยที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น แล้วตอนนี้เธอกับป่าปี้ก็กำลังทำสงครามประสาทกันอยู่ด้วย…..แล้วเธอมีสิทธิอะไรไปจัดการล่ะ?

"เอ่อ รองประธานเยี่ยคะ คุณจะเข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะคะ ประธานเยี่ยยุ่งอยู่น่ะค่ะ" ถังซินเหยาเดินตามหลังเยี่ยจิงซิงทีละก้าวๆเพื่อหยุดเยี่ยจิงซิง

ดูสิ เธอไม่ได้วางมือนะ เธอน่ะ'ตั้งใจ'มากๆกับการหยุดเยี่ยจิงซิงไม่ให้เข้าไปข้างในห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉินแล้ว

แต่ว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่อ่อนแอมากๆ จึงไม่สามารถหยุดเขาได้เท่านั้นเอง

เยี่ยจิงซิงไม่สนใจถังซินเหยาพร้อมกับเตะประตูห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉินให้เปิดด้วยเท้าของเขา

เขาเตะจริงๆนะ…….เธอไม่ได้โกหก

ใบหน้าของเยี่ยจิงซิงไม่สบอารมณ์ แล้วยังถอนหายใจอย่างไม่พอใจใส่ถังซินเหยาที่อยู่ข้างหลังจะอยากจะจอย…….ไม่สิ ที่อยากจะช่วยเหลือต่างหาก

"ประธานเยี่ยคะ รองประธานมาพบคุณค่ะ แต่ฉันห้ามเขาไม่อยู่" ถังซินเหยาอธิบายอย่างระมัดระวังคำพูดว่าตัวเองไม่ได้รู้เห็นหรือทำผิดอะไร

แม่เจ้า เพื่อไม่ให้เรื่องของลูกชายและลูกสาวเธอนั้นหลุดออกไป เธอเลยจึงกลืนคำพูดของเธอลงไปท้งหมดแล้ว จนมันกลายเป็นปุ๋ยในท้องเธอไปหมดแล้วล่ะ

เยี่ยจิงเฉินฟังสิ่งที่ถังซินเหยาพูด เขาก็นึกถึงใบหน้าแดงก่ำและคิ้วโก่งสวยของเธอที่นอนอยู่ข้างกายของเขาขึ้นมา เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองมีหนาวมาทิ่มอยู่ในใจ เขาไม่เคยได้จัดการเอามันออกแต่มันติดอยู่อยู่ในนั้นอยู่ตลอดมา

ใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินทำหน้าเข้ม แ้แต่คนตาบอดก็ยังมองออก ตอนนี้อารมณ์ของป่าปี้ต้องไม่ดีอยู่แน่

"ประธานเยี่ยคะ ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับหันหลังเดินออกไป

เยี่ยจิงเฉินเดินพุ่งออกมาจากโต๊ะทำงานของเขาแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้าของถังซินเหยาทันที

ร่างที่สูงใหญ่ของเขายินอยู่ตรงหน้าของถังซินเหยาในขณะนี้ พร้อมกับมองมองที่ถังซินเหยาเพื่อเป็นการกดดัยเธอ

ให้ตายเถอะ เธอชักจะมีรางสังหรณ์ไม่ดีแล้วล่ะสิ ป่าปี้ต้องโกรธแล้วแน่เลย

ไม่รู้ว่าวันนี้ก่อนออกจากบ้านมาป่าปี้เจอเรื่องอะไรมา

"แรงฉันน่ะใช้ได้เลยนะ เธออยากลองหน่อยมั้ย?"เยี่ยจิงเฉินยื่นมือของเขาเข้าไปโอบเอวของถังซินเหยา ทำให้ร่างของเขาทั้งสองคนนั้นใกล้กันมากขึ้น

เยี่ยจิงเฉินขยับไปใกล้ใบหูของถังซินเหยาพร้อมกับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เซ็กซี่

ถังซินเหยารับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเยี่ยจิงเฉินที่รดต้นคอของเธอ เธอแทบจะกลายร่างเป็นสสารทีเดียวล่ะ หูของเธอก็แดงมากๆด้วยในตอนนี้

พระเจ้า เหล่าเพื่อนร่วมงานของถังซินเหยาถึงกับตะลึง

เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอกำลังจะแย่แล้วในตอนนี้

ป่าปี้ ป่าปี้โตขนาดนี้แล้วจะมาทำตัวเป็นลูกพี่ใหญแบบบนี้ไม่ได้นะ?

แล้วเธอก็ไม่อยากลองแล้วด้วย แรงของป่าปี้น่ะสุดยอดมากๆจริงๆ ที่โบราณเขาบอกว่าแปดครั้งต่อคืนน่ะป่าปี้ทำมันได้อย่างสบายๆเลยล่ะ แรงเหลือแถมยังไม่น่าจะหมดง่ายด้วย

คำพูดพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอสร้างเรื่องขึ้นมานะ แต่เธอน่ะประสบมากับตัวเองบ้างแล้ว

ถึงสกิลของป่าปี้จะไม่ค่อยเอาไหน แต่เรื่องแรงนี่ไม่น้อยหน้าใครเลย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีพัฒนาขึ้นอีกมั้ยนะ?

พอเถอะ พอ ถังซินเหยา เธอต้องเป็นผู้หญิง (แปลก) ไปแล้วมั้ยนะ ทำไมถึงนึกภาพเรื่องแบบนั้นแบบนั้นขึ้นมาได้ล่ะ ? แย่จริงๆ

"ไม่ต้องหรอกค่ะ" ถังซินเหยาบิดร่างของเธอไปมา เธอถึงได้พบว่าระหว่างเธอกับป่าปี้นั้นอ่อนโยนต่อกันมามากแล้ว

"เธอไม่อยากลองหน่อยหรอ?" เยี่ยจิงเฉินพ่นลมไปที่ใบหูของถังซินเหยาอย่างตั้งใจ

ความร้อนนั้นราวกับพลังที่มาแผดเผาหลอมละลายร่างของถังซินเหยาจนทำให้เธอถึงกับอ่อนระทวย ถ้าไม่ใช่ว่าเยี่ยจิงเฉินกอดเอวเธออยู่ร่างของเธอคงจะได้ทักทายกับพื้นหินอ่อนนี้แน่

"ไม่ค่ะ" ถังซินเหยากัดฟันพร้อมกับพูดไปอย่างขอไปที

ป่าปี้ การกระทำเมื่อกี้มันอะไรกันแน่ ตอนนี้ร่างกายของเธออ่อนระทวยไปหมดแล้วนะ ไม่เหลือแรงเลยแม้แต่น้อย

"ทำไมล่ะ?" เยี่ยจิงเฉินถาม : "เธอไม่สงสัยหรอ?"

มาถามว่าทำไมอะไรกันเยอะแยะแบบนี้มีที่ไหนกันล่ะ ? จะถามว่าทำไมสักแสนรอบเลยหรอ?

"ไม่สงสัยค่ะ เพราะฉันรู้ว่าแรงของประธาานเยี่ยเยอะมากๆอยู่แล้ว" ถังซินเหยาคว้าตัวของเยี่ยจิงเฉินเอาไว้พร้อมกับพูดอย่างจริงใจไปว่า : "ถึงแม้ว่าจะทำสิบ…..เอ่อ…..ไม่สิ ถึงจะเป็นฟางอี้เฉิงรวมตัวกันเป็นร้อยเป็นพันคนก็เทียบกับประธาานเยี่ยไม่ได้หรอกค่ะ" (ฟางอี้เฉิง : แม่เจ้า ถึงแม้เขาจะเป็นเหมือนแค่สัตว์ที่ร้ายๆ แต่เขาก็ไม่ควรโดนดูถูกแบบนี้มั้ย?)

เยี่ยจิงเฉินทั้งขำทั้งโกรธพร้อมกับขบเข้าที่ติ่งหูของถังซินเหยาแล้วพูดกับเธอว่า : "งั้นหรอ? เธอรู้ได้ยังไงล่ะ?"

ไม่น่าเลย เธอเคยลองมากับตัวเองแล้วไง เธอจะไม่รู้ได้ยังไง คำพูดนี้พูดได้แค่ในใจเท่านั้นแหละ เยี่ยจิงเฉินคงจำเรื่องคืนนั้นเมื่อหกปีที่แล้วไม่ได้หรอก สำหรับเธอแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรหรอก แต่ใจของเธอกลับเศร้ากับมันอยู่เรื่อย

เธอไม่เพียงแค่รู้นะว่าป่าปี้น่ะสมรรถภาพแรงดี แต่ยังแม่นมากอีกด้วย

เพียงแค่ครั้งเดียว ก็ทำให้เธอกำเนิดเจ้าสองก้อนเค่อหลานและลั่วหลิงท่ีน่ารักออกมาได้

แล้วก็อย่ามากัดหูเธอนะ โอเค๊?

หูของเธอมันเป็นจุดที่อ่อนไหวมากๆ กัดอีกครั้งเธอคงกลั้นไม่อยู่แน่ๆ

ต่อไปยังจะหยอกล้อเล่นกับป่าปี้ได้อยู่มั้ยนะ?

"เพราะว่าประธานเยี่ยหน้าตาดีค่ะ" ถังซินเหยาพูดออกไปตามความจริง : "ประธานเยี่ยหล่อขนาดนี้ ต้องแรงดีแน่ๆ"

อย่าถามเธอนะว่าเพราะอะไร เพราะโลกใบนี้มันมองกับแค่ที่ใบหน้าไงล่ะ

"แรงดีหรือไม่ดีก็ต้องลองดูก่อนสิถึงจะรู้" เยี่ยจิงเฉินพูดเสียงต่ำก่อนที่จะโน้มตัวเข้าไปกอดเอวคอสของถังซินเหยาแน่นขึ้น

"อย่าค่ะ……" ถังซินเหยาแทบจะร้องไห้แล้ว : "ประธานเยี่ยคะ ฉันไม่ไม่อยากรู้เลยสักนิดค่ะ ไม่ต้องลองแล้ว ตอนนี้เป็นเวลางานนะคะ คุณอย่าทำแบบนี้เลยค่ะ"

แม่เจ้า เธอเพียงแค่โลภมากไปนิดหน่อยก็เท่านั้น อยากมาทำงานแทนหลี่เวยไม่กี่วันเพียงแค่เพ่อเงินก็เท่านั้นเองนะ

เธอเป็้นเลขานะ ไม่ใช่คู่นอนของประธายเยี่ยสักหน่อย

"อย่ากังวลไปเลย ไม่มีใครเข้ามาหรอกถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะเข้ามาเห็นหรอก" เยี่ยจิงเฉินปลอบประโลมถังซินเหยาด้วยคำพูดของเขา

ถังซินเหยาขัดขืน : ฉันทำหน้าที่เป็นนักออกแบบแล้วก็เลขาอยู่นะ? อย่ามองฉันเป็นคนเห็นแก่เงินนะ

"ประธานเยี่ยคะ ฉันเป็นนักออกแบบแล้วก็เลขาคุณนะคะ" ถังซินเหยาไม่กล้าดื้น พร้อมกับพยายามพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยความใจเย็น

"ฉันก็ไม่ได้ว่าเธอไม่ใช่นักออกแบบแล้วก็เลขานี่ ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่เอาเรื่องเงินมามาเกี่ยวข้องหรอก"

ไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยว? แล้วที่เธอมาทำหน้าที่เลขาแทนล่ะ?

ถังซินเหยาแทบจะล้มตัวคุกเขาขอเหตุผลจากเยี่ยจิงเฉิน

ตอนนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ในตำแหน่งเลขางั้นหรอ ที่จะได้รับเงินก้อนโตหรือไม่ก็โอกาสเลื่อนตำแหน่งหลังจากที่ยอมนอนด้วยกันอ่ะ

แม่เจ้า นี่เธอจะต้องเสียตัวฟรีๆงั้นหรอ ไม่เห็นจะมีข้อดีตรงไหนเลย

อ่า……..ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดีเลยสิก็ยังดี ป่าปี้ไม่ได้มองเธอว่าเป็นเลขาประจำ

อืม แต่คนอย่างเธอหาได้ง่ายนักหรือไง?

เมื่อเทียบกับชื่อเสียงกับความสนใจ เธอก็คงเลือกฝั่งความสนใจมากกว่าอยู่ดี

"ประธานเยี่ยคะ คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ ฉันว่าคุณไม่ควรหายใจแรแบบนี้นะคะ ถ้าทำอีก ไม่งั้นคุณจะรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังต้องการ ความต้องการมันเหมือนกับปีศาจ ดังนั้นอย่าเลยนะคะ" ถังซินเยหาดิ้นพร่า พยายามออกแรงของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ป่าปี้หายใจเข่าลึกๆอย่างให้ความร่วมมือไปสองครั้ง

เขายิ้มเยาะใส่ถังซินเหยาด้วยใบหน้าที่หล่อเหล่าไร้ที่ติแสนเซ็กซี่ของเขาพร้อมกับพูดกับเธอว่า : "อืม"

ถังซินเหยาแทบจะร้องไห้โฮกับรอยยิ้มร้ายๆนั้นของป่าปี้แล้ว จะหล่อเกินไปแล้วนะ

"หอมมาก" เยี่ยจิงเฉินสูดลมหายใจเพื่อสูดเอากลิ่นกายของถังซินเหยาเข้าไปลึกๆสองทีก่อนจะคอมเมนท์

ถังซินเหยา : ……..

ป่าปี้ ป่าปี้เป็นบ้ากามหรือไง?

ความจริงมันช่างน่าหดหู่จริงๆเลย รอให้ลั่วหลิงและเค่อหลานโต่แล้วเธอจะบอกกับลูกๆของเธอยังไงกันนะ ว่าป่าปี้ของพวกเขาไม่ได้แค่เป็นคนร้ายๆแต่ยังเป็นคนหื่นกามอีกด้วย

เธอไม่สามารถทำให้จิตใจแย่ไปกว่านี้แล้วนะโอเค? เศร้าอ่ะ?

ตอนที่เธอกำลังพูดอยู่ เยี่ยจิงเฉินได้เตะประตูห้องพักของเขาออกเสียแล้ว

เขาโยนร่างบางของถังซินเหยาลงบนเตียงคิงไซส์สไตล์อิตาเลี่ยนที่สั่งทำพิเศษไปแล้ว ณ ตอนนี้………..

เยี่ยจิงเฉินยังคงไม่ไหวติงและถามด้วยท่าทางรังเกียจ: "หูหนวกรึไง?"

“เยี่ยจิงเฉิน คุณทำเกินไปแล้ว ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้”จ้าวหลินมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้

“ดีมาก เธอทำให้ฉันพูดเป็นครั้งที่สามได้สำเร็จ ไสหัวไป”

ทำไมคุณทำ…….ฉันจะไม่ไปไหน คุณคิดว่าร้านอาหารแห่งนี้เป็นของคุณเหรอ คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้”

“เธอพูดถูก ร้านนี้เป็นของฉันเอง”

จ้าวหลิน :………………..

เยี่ยจิงเฉิน:ในฐานะที่เป็นเยี่ยจิงเฉินเขาจึงพูดออกมาอย่างมั่นใจมาก

“ฮือๆๆๆ…….”จ้าวหลินหน้าถอดสี และร้องไห้ออกมา

เยี่ยจิงเฉินมองผู้หญิงคนนี้อย่างรำคาญ เป็นผู้หญิงแต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมากเลย

เขารำคาญความจุกจิกพวกนี้ของพวกผู้หญิงมากๆ เขาหยิบบัตรจากกระเป๋าสตางค์ออกมาวางบนโต๊ะ ยืนขึ้นและแยกส่วนพับของชุดสูทที่ตัดเย็บออกมา และไม่คิดจะใส่ใจผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญอีกต่อไป เพราะเขาต้องกลับไปสะสางผู้หญิงคนนั้นเสียก่อน

จ้าวหลินมองไปที่บัตรเครดิตบนโต๊ะ กัดริมฝีปาก หยิบบัตรเครดิตและรีบตามเยี่ยจิงเฉินไปทันที

เยี่ยจิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม มองผู้หญิงบ้าคนนี้

“คุณหมายความว่าอะไร”จ้าวหลินถือบัตรเครดิตของเยี่ยจินเฉินไว้ในมือ ด้วยใบหน้าที่ดื้อรั้น เธอโยนบัตรเครดิตใส่เยี่ยจินเฉิน จนไปกระทบร่างของเยี่ยจินเฉินและหล่นลงบนพื้นด้วยเสียงดัง “คุณคิดว่าตัวเองมีเงินแล้วจะดูถูกใครก็ได้เหรอ ฉันไม่ได้รวยเท่าคุณ แต่คุณก็ไม่มีสิทธ์เอาเงินมาตัดสินฉัน เอาบัตรเครดิตเน่าๆของคุณคืนไป พวกเศรษฐีใหม่อย่างคุณ ฉันไม่อยากใช้เงินสกปรกของคุณ”

การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยจินเฉินดูอ่อนลงเล็กน้อย

นี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนด่าแบบนี้ แต่พฤติกรรมของเธอทำให้เยี่ยจินเฉินรู้สึกสมเพสได้สำเร็จ

เขาทั้งขำและทั้งโกรธ ผู้หญิงคนนี้ดูละครมากไปเหรอ (ในฐานะป่าปี้ที่เป็นท่านประธานระดับไฮเอนด์ พอจะรู้ว่าเป็นพล็อตในละครน้ำเน่าตอนสองทุ่ม ไม่สำนึกหน่อยหรอว่าตำแหน่งเขาเป็นถึงประธาน )

เยี่ยจินเฉินกัดริมฝีปาก สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อแก้ปัญหาความสับสนของจ้าวหลิน และเขาก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

เห็นได้ชัดว่าเขาทำตัวพาล แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ดุร้ายของเขา พร้อมกับใบหน้าที่ไร้ที่ติของเขานั้น มันทำให้เขายิ่งเหมือนรูปปั้นมากขึ้นไปอีก

ดวงตาของจ้าวหลินมุ่งมั่นขึ้น เธออยากคบกับผู้ชายคนนี้ คนที่คู่ควรกับเธอ (ตื่นก่อนมั้ยแม่สาวน้อย)

“บัตรใบนั้นไม่ได้ให้เธอ นั่นเป็นบัตรที่ฉันจะจ่ายเงินต่างหาก” เยี่ยจินเฉินไม่แม้แต่จะมองบัตรเครดิตที่เท้า และพูดต่อว่า “แต่เธอก็หยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นค่าอาหารส่วนนั้นเธอก็จ่ายเองเถอะ ฉันคิดว่าคุณคงไม่ต้องการเงินสกปรกจากเศรษฐีใหม่อย่างฉัน”

สีหน้าจ้าวหลินซีดลงด้วยความตกใจ

เยี่ยจินเฉินยังคงเฉือดเฉือนด้วยคำพูดต่อไป “ละครพวกนั้นดูให้น้อยหน่อยก็ดีนะเพราะมันจะทำให้ไอคิวของเธอลดลง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสายไปหน่อยแล้วล่ะนะ”

จ้าวหลิน : ฉันคือคุณหนูตระกูลจ้าวเข้าใจไหม ?

อย่าคิดว่าตัวเองเป็นประธาน แล้วจะมาดูถูกเธอได้ตามใจชอบนะ

ถังซินเหยาใช้เวลาในช่วงพักกลางวัน อ่านเอกสารชุดนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง

ตอนนี้เธอไม่รู้ว่า เพราะคำพูดเหลวไหลของฟางอี้เฉิงและจ้าวหลิน ทำให้ป่าปี้โกรธเธออีกแล้ว

เธอเหมือนต้องลงไปอยู่ในน้ำเดือดอีกครั้ง

"เลขาถัง คุณอ่านแพลนเล่มนี้จบรึยัง คุณคิดว่าผมควรจะทำยังไง”

ถังซินเหยารู้สึกอึดใจจริงๆ เธอไม่สะดวกใจที่จะทำหน้าที่นี้แทนลี่เวยแล้วล่ะ

เธออยากจะพูดออกมาจริงๆ ว่างานเลขาของประธานใหญ่นั้นไม่เหมาะกับคนอย่างเธอเลยสักนิด

เธอเพียงแค่อยากเป็นนักออกแบบอยู่เงียบๆคนเดียวเท่านั้น

"ฉันคิดว่าแพลนของบริษัทเตียนเฟิงคิดออกมาได้อย่างสร้างสรรค์มากๆค่ะ เนื้อหาในแพลนก็มีสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจเยอะด้วย" ถังซินเหยาพูดในสิ่งที่เธอได้ตรวจสอบมาอย่างคร่าวๆออกไป พร้อมกับยื่นมันให้เยี่ยจิงเฉินแล้วก็พูดต่อไปว่า : "ถึงแม้ว่าการทำอสังหาริมทรัพย์มันจะเป็นที่นิยม แต่บริษัทหลายๆบริษัทก็ทำมันไม่ได้ตามเป้าที่กำหนดและไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่องนะคะ อีกอย่างการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มันไม่ได้น่าทำแบบเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นต้องคิดหาบริษัทที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่นอกจากจะแบรนด์แล้วก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย แล้วถึงแม้บริษัทเตียนเฟิงจะไม่ได้โด่งดังเท่าเยี่ยหวง แต่โครงการหลายปีมานี้ของเตียนเฟิงก็ใช้ได้เลยนะคะ ฉันคิดว่าครั้งนี้บริษัทเตียนเฟิงเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยค่ะ"

เธอน่ะเก่งมาก เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งคิดก่อนพูดและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

เธอน่ะซึ้งจนแทบจะร้องไห้เลยล่ะ

เธอเป็นสาวแห่งโลกซาบซึ้งไปแล้วล่ะ

สายตาคมดำของเยี่ยจิงเฉินจ้องมองมาที่ริมฝีปากของเธอ เขาเม้มปากพร้อมกบใช้มือขวาของเขาบีบเม้าส์จนมันแทบจะแหลกเป็นเสี่ยงๆแล้ว

"อ๋อ?" เยี่ยจิงเฉินยกยิ้มขึ้นมาทำให้เห็นส่วนโค้งของริมฝีปากของเขาขึ้นมา เขาใช้คำพูดที่อ่อนโยนถามถังซินเหยาไปว่า : "เธอกำลังหมายความว่าฉันควรจะส่งcaseนี้ให้แฟนเธอเป็นคนจัดการงั้นหรอ? อย่างงี้เป็นการแพร่ข้อมูลให้คนนอกน่ะสิ"

ถังซินเหยาถึงกับขนลุกไปทั้งตัว ป่าปี้เป็นอะไรไปน่ะ?

อ่อนโยนแบบนี้มันไม่ใช่สไตล์ของคุณเลยสักนิด

"ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ มันเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของฉันเฉยๆ ฉันไม่ได้ถนัดเรื่องแบบนี้มาก ฉันแค่แสดงความเห็นในส่วนของฉันค่ะ สุดท้ายแล้วผลมันจะเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทและตัวประธานเนี่ยอยู่แล้วค่ะ" ถังซินเหยามีรางสังหรณ์ว่าถ้าหากเธอกล้าที่จะขอให้เยี่ยจิงเฉินยกเคสให้ฟางอี้เฉิงทำล่ะก็ เธอต้องเจอกับหายนะแน่ๆ

จะรอดหรือไม่รอดก็ครานี้ล่ะ

"แล้วอีกอย่างประธานฟางก็ไม่ใช่แฟนฉันด้วยค่ะ" ถังซินเหยาอธิบายอย่างหมดอาลัยตายอยาก

เยี่ยจิงเฉินเมื่อได้ยินถังซินเหยาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็ดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

"เขาก็แค่แฟนเก่าฉันน่ะค่ะ" เธอพูดเสริม

ใบหน้าที่อบอุ่นของเยี่ยจิงเฉินนั้นก็กลับมาเคืองอีกครั้ง

"อ๋อหรอ? งั้นตาเธอคงจะมีปัญหาแล้วล่ะนะ" เยี่ยจิงเฉินทำหน้าเย็นชาพร้อมกับพูดอย่างเย้ยหยัน

ถังซินเหยาพยักหัว : ป่าปี้ คุณพูดถูกแล้วล่ะ

เมื่อก่อนตาเธอน่ะมันคงจะมีปัญหาจริงๆอย่างที่ป่าปี้ว่าจริงๆ ตาบอดเลยล่ะโอเค๊? ป่าปี้นี่กั๊กเก่งเกินไปแล้วป่ะ?

"ประธานเยี่ยนี่รู้ดีอย่างกับเป็นเทวดาเลยน่ะ" ถังซินเหยาชมเขา

การกระจบสอพลอเจ้านายน่ะ เป็นทักษะชั้นสูงที่ควรจะเรียนรู้ไว้เลยล่ะ

แต่สายตาของเยี่ยจิงเฉินก็ไม่ได้ดีมากนักหรอกนะ แม้แต่จ้าวหลิงที่ก็ยังปฏิเสธเธอได้ ตาบอดจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินถูกคำพูดถังซินเหยาทำให้เขาแทบสำลัก

"แล้วเธอเลิกกับเขาทำไมล่ะ?" เยี่ยจิงเฉินถามเธออย่างไม่ขอไปที

ประธานเยี่ย คุณเป็นถึงประธานใหญ่ คุณจะขี้ซุบซิบมากเกินไปแล้วนะ นี่มันทักษะที่เหล่าป้าๆแถวบ้านเขาทำกันนะ

ถ้าเธอตอบไปว่าฟางอี้เฉิงขายเธอด้วยเงินจำนวนล้านนึงล่ะ หลอกให้เธอไปนอนด้วย แล้วเงินก็ไม่ได้ ค่าห้องก็ไม่ออกให้ อีกอย่างเธอยังมีลูกลิงน้อยให้ป่าปี้อีกตั้งสองคนด้วยล่ะ…..ไม่สิ……ใช่ลูกมั้ยนะ?

ถังซินเหยาอย่างเรียบนิ่งไปว่า : "เพราะว่าเขาเป็นผู้ชายหน้าม่อค่ะ เราไปกันไม่รอด สุดท้ายเราก็เลยเลิกรากันไป"

จ้าวหลินเหมือนนกยูงที่รบชนะ เชิดหน้าขึ้นมาจับแขนของเยี่ยจิงเฉิน

ในใจรู้สึกภูมิใจ ตอนที่อยู่ในห้างรู้สึกประสบผลสำเร็จมาก ส่งผลให้เป็นผู้ชายที่ดูมีอำนาจที่สุด เป็นเยี่ยจิงเฉินแล้วมันทำไม?ยังไงก็ยังคงหนีไม่พ้นเอื้อมมือของจ้าวหลินหรอก

แค่มีผู้ชายแบบเยี่ยจิงเฉินแบบนี้ ถึงจะค่อยคู่ควรกับตัวเองหน่อย

หลังจากนี้เธอคงเป็นคุณผู้หญิงของเยี่ยหวางแล้ว ดูว่าใครจะกล้าให้เธอเปลี่ยนสีหน้า

ถึงเวลานั้นเรื่องแรกเลยเธอคงจะไล่ถังซินเหยาออกนังคนเลวคนนั้น

เมื่อก่อนสมัยที่เรียน ถังซินเหยาก็แย่งของของเธอ แย่ผู้ชายที่เธอมองๆไว้ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม ผู้ชายพวกนั้นตาบอดกันหรือไง ถึงไม่เลือกเธอให้เป็นดาวแต่กลับเลือกถังซินเหยา

ดูตอนนี้แล้ว ตามคาดยังไงก็ไอ้ทึ่มนี่ก็ยังคงตาบอดอยู่ง

รอเธอได้เป็นคุณนายเยี่ยก่อนเถอะ เธอจะให้พวกคนที่ดูถูกเธอมาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน

ในใจของจ้าวหลินหวังไว้แบบนั้น แต่กลับไม่ได้พบว่าเยี่ยจิงเฉินพยายามอดกลั้นความรังเกียจไว้ในใจถึงได้ไม่เอาเธอแยกออกมาจากตัวเอง

“ประธานเยี่ย แถวๆนี้มีร้านอาหารฝรั่งเศสพึ่งเปิดใหม่ รสชาติก็เหมือนต้นตำหรับ พวกเราลองไปทานด้วยกันไหมคะ”จ้าวหลินนั่งอยู่ที่บนรถโรลส์รอยซ์ของเยี่ยจิงเฉิน พยายามที่จะอดความตื่นเต้นไว้ รถคันนี้เธอเคยเห็นแค่ในนิตยสาร ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเธอจะได้ขึ้นมานั่งจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินจับพวงมาลัยไว้อย่างแน่น อยากจะถีบผู้หญิงคนนี้ไปที่ดาวอังคาร

“ประธานเยี่ย ในก่อนหน้านี้ในความคิดของฉัน ประธานเยี่ยน่าจะเป็นผู้ชายที่อายุเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปี เป็นคนที่น่าจะทื่อๆและไร้อารมณ์ หรือว่าหัวล้านกันนะ”จ้าวหลินใช้ผ้าเช็ดปากของตัวเองอย่างสง่างาม เม้มปาก และแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดออกมา“แน่นอนว่าในความหมาของฉันได้ว่าประธานเยี่ยแก่แล้ว แต่เป็นเพราะว่าประธานเยี่ยดูมีพลัง น่าจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ชีวิต แต่ว่าวันนี้ฉันพึ่งได้รู้ว่าจริงๆแล้วบนโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่ ประธานเยี่ยยังไงก็ดูว่าโชคดีไปหมด”

เยี่ยจิงเฉินทำหน้าไรอารมณ์เคี้ยวสเต็กไป รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาไม่อยากอาหาร

“มักจะเรียกคุณว่าประธานเยี่ยดูไม่ค่อยคุ้นเลย ประธานเยี่ยจะถือสาอะไรไหมคะถ้าฉันเรียกคุณว่าเยี่ยจิงเฉิน?”จ้าวหลินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ฉันถือ”เยี่ยจิงเฉินยกแก้วไวน์ขึ้นมาแกว่งๆดูและพูดด้วยความเย็นชา

เห็นชัดๆอยู่ว่าเป็นเพื่อนตอนเรียน ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต่างกันกับผู้หญิงคนนี้ขนาดนี้นะ?ผู้หญิงตนนั้นไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อจริงๆของเขาด้วยซ้ำ

สมควรตายจริงๆ หรือว่าในสมองมีแต่หญ้า โง่อะไรแบบนี้กันนะ

แววตาก็ไม่ดี คิดไม่ถึงเลยว่าจะสนในหน้าตาแบบนั้น

ถังซินเหยาที่สมองมีแต่หญ้า……

จ้าวหลินเห็นเยี่ยจิงเฉินไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้ หน้าก็ซีดขึ้นมาทันที

มือทั้งสองข้างที่สวยงามขาวผุดผ่องเหมือนกับงานศิลปะของเยี่ยจิงเฉิน อยู่บนแก้วไวน์ที่แวววาว ยิ่งทำให้เพิ่มความสง่างาม ทำให้จ้าวหลินเห็นก็รู้สึกเอื้อมไม่ถึงอยู่เล็กน้อย

“ไม่ดีเท่ากับเล่าเรื่องเมื่อก่อนสมัยมัธยมปลายให้ฉันฟังหรอก”นิ้วที่เรียวสวยของเยี่ยจิงเฉินก็หยิบแก้วไวน์ขุ้นมาอย่างสบายๆเลย และพูดอย่างเงียบสงบ

“ได้สิคะ”จ้าวหลินที่กำลังโมโหก็ไม่รู้จะต้องพูดว่าอะไร ตอนนี้เยี่ยจิงเฉินอยากจะเข้าใจที่ผ่านมาของเธอ หรือว่านี่เยี่ยจิงเฉินมีความรู้สึกพิเศษกับเธอกัน“เมื่อก่อนที่ฉันอยู่โรงเรียน ฉันเป็นคนที่ใสมากๆ(ใช่เหรอ) เอาเพียงแต่เรื่องเรียน อ่านหนังสืออยู่ตลอด คะแนนก็อยู่อันดับต้นๆตลอด(ถังซินเหยาเป็นที่หนึ่งตลอด) เพื่อนมีไม่เยอะ ตอนที่จบมัธยมปลายฉันคะแนนของฉันดีมากๆจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยบีได้ วันงานเลี้ยงจบมัธยมปลาย ฉันพึ่งรู้ว่าฉันเป็นดาว(เป็นเพื่อนของดาว) ฉันคิดไม่เคยรู้มาก่อนเลย(จริงๆแล้วอิจฉามาตั้งสามปี) ในตอนนั้นมีผู้ชายมากมายเขียนจดหมายรักและช็อคโกแลตให้ถังซินเหยาเอามาให้ฉัน แต่ฉันก็ต้องเอาเรื่องเรียนมาก่อน สุดท้ายแล้วก็เลยให้ซินเหยาไปหมดเลย(จริงๆแล้วทุกคนเอามาให้ถังซินเหยาอยู่แล้ว)ในตอนนั้นซินเหยาเป็นคนอ้วน คนในโรงเรียนดูถูกเธอเยอะมากเลย(หึหึ)

ตอนที่เธอกำลังโอ้อวดตัวเองนั้น ยังต้องไปเหยียบเท้าของถังซินเหยาเป็นครั้งเป็นคราว

“ใช่เหรอ?”เยี่ยจิงเฉินถามอย่างไม่เชื่อ“ผู้หญิงโง่คนนั้น……เลขาถังคบกับประธานเฉินนั้นเมื่อไหร่กันนะ”

ถังซินหยา ป่าปี้คุณนี่มันมั่วจริงๆนะ เขานามสกุลฟาง!นี่ไม่ได้ตั้งใจลืมหรอกใช่ไหม?

เยี่ยจิงเฉิน อย่าไปสนใจรายละเอียดพวกนั้นเลย!

“โอ้ จริงๆแล้วอี้เฉิง……ฉันกำลังพูดถึงประธานฟางของพวกเรา จริงๆแล้วเขาชอบฉันมาโดยตลอด เพียงแต่ฉัน……ดังนั้นเขาเลยเข้าหาซินเหยาเพื่อจีบฉัน แต่ว่าเหมือนซินเหยาชอบเขามาก ตอบที่จบนั้น ซินเหยารู้แล้ววี้เฉิงชอบฉันก็เสียใจมาก เธอยังคงเป็นแบบนั้น แต่อี้เฉิงก็ไม่ยอมรับเธอ เธอเลยรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องตลก รู้สึกว่าเสียหน้า ดังนั้นเลยไปต่างประเทศ ไปตั้งหกปี ปีที่ผ่านมานี้อี้เฉิงมักจะรู้สึกเสียใจต่อซินเหยา มักจคิดว่าอยากหาโอกาสชดเชยให้เธอ ฉันคิดว่าถ้าหากครั้งนี้ฉินเหยาใช้ความเสียใจของอี้เฉิง ก็ควรให้อี้เฉิงฝืนใจยิมรับเธอ”

ถังซินเหยา เธอ……เธอมันผู้หญิงไร้ยางอาย ก็รู้กันอยู่แล้วว่าเธอชอบฟางอี้เฉิง พอรู้ว่าพวกเราคบกัน ดังนั้นถึงเข้ามาใกล้ชิดเขาม่ใช่เหรอ?

“ผู้หญิงโง่คนนั้นชอบไอ้ประธานเฉิน?”เยี่ยจิงเฉินก็จับแก้วไวน์ไว้แน่น เม้มปากและถามด้วยสีหน้าไรอารมณ์

ฟางอี้เฉิง ทำท่าทางแอ๊บแบ๊ว เขานามสกุลฟาง นามสกุลฟาง นามสกุลฟาง

ถังซินเหยา นายสิโง่ โง่กันทั้งตระกูล

“ใช่”จ้าวหลินพยักหน้า ทำสีหน้าอย่างจริงจังบอกกับเยี่ยจิงเฉินว่าถังซินเหยาชอบฟางอี้เฉิง

พอได้ยินว่าฟางอี้เฉิงเป็นแฟนเก่าของถังซินเหยาเขาก็เจ็บปวดใจขึ้นมา เดิมทีก็แค่อยากจะเข้าใจเลขาของตัวเองให้มากๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าถังซินเหยาทำเรื่องราวมากมายเพื่อผู้ชายแค่คนเดียว เยี่ยจิงเฉินยิ่งรู้สึกบีบหัวใจ

เดิมทีเขาก็หน้านิ่งอยู่แล้ว นี่ก็ยิ่งไปเพิ่มความเย็นชาอีก

เพียงแต่ว่าจ้าวหลินไม่ใช่คนที่จะดูคนออกที่สีหน้า หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอกำลังตาบอดเพราะเธอมันใจในตัวเองมาก

“เอาล่ะ ประธานเยี่ย พวกเราไม่คุยเรื่องที่ทำให้หมดสนุกแล้ว ไม่ดีเท่ากับประธานเยี่ยพูดเรื่องของตัวเอง เพราะในห้างก็มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับคุณ คุณเล่าให้ฟังหน่อย เรื่องนี้ฉันอยากรู้มากเลย”จ้าวหลินเลยผมของตัวเอง ความเซ็กซี่ของเธอก็ไปดึงดูดกับเยี่ยจิงเฉินเข้า

วิธีการนี้มันใช้กับผู้ชายแล้วได้ผลตลอด ผ่านการทดลองก็ได้รู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีเลยทีเดียว

“ออกไปนะ”แม้แต่สายตาของเยี่ยจิงเฉินก็ยังเป็นสายตาที่แสดงออกไปแบบนั้นให้กับจ้าวหลิน

“ประธานเยี่ย คุณพูดว่าอะไรนะ ฉันไม่ค่อยได้ยินเลย”จ้าวหลินยิ้มอย่างฝืนๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมาสู่ปกติ เพียงแค่ว่า ก็พูดอะไรกันไม่ค่อยออกแล้ว

“ไปให้พ้น อย่าให้ฉันได้พูดเป็นครั้งที่สามนะ”เยี่ยจิงเฉินเงยหน้าขึ้นมา แวตาของเขานั้นมองจ้าวหลินอย่างไร้อารมณ์ พูดอย่างเย็นชา

จ้าวหลินถูกสายตาพอฆาตของเยี่ยจิงเฉินเข้าไป เพียงแค่รู้สึกว่าเสียวสันหลัง

ดวงตานั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาอย่างรวดเร็ว ตาทั้งสองข้างแดง แต่ว่าน้ำตากลับไม่ได้ไหลลงมาเลย ดูเหมือนว่าการปากแข็งก็ทำให้คนเสียใจจนใจอ่อนได้เลยไม่ว่าผู้ชายคนไหนมาเจอ ก็ทนเอาไว้ไม่ได้หรอกใช่ไหม?

ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่เจอแล้วจะทนได้

แต่ว่า……ป่าปี้ก็เป็นคนใจแข็งเหลือเกิน

“เพราะว่าพวกเราสามารถสร้างผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิมให้กับเยี่ยหวางกรุ๊ปได้”

“เธอรู้สึกว่าเยี่ยหวางจะสนใจเรื่องเล็กน้อยนี้เหรอ?”เยี่ยจิงเฉินหยิ่งมาก

“นักธุรกิจมีผลกำไรมาก ฉันเชื่อว่าประธานเยี่ยเป็นคนฉลาดที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง คงจะไม่ดูถูกนักธุระกิจที่ไม่มีกำไรหรอก”

แย่แล้ว จ้าวหลินพึ่งจะถูกมนุษย์ต่างดาวเข้ามาใกล้เหรอ?ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ทันไรเธอจะสามารถเข้ามาในวงการนี้แล้วเหรอ

เมื่อครู่ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าสมองยังกลวงอยู่เลย นี่มันไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เหรอ?

“พูดได้ไม่เลวนี่ ถึงแม้ว่านักธุรกิจจะมีผลกำไรมาก แต่ว่าฉันอยากให้เธอเข้าใจปฏิบัติตัวต่อคนอื่น ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์ก็มาเปลี่ยนความคิดฉันไม่ได้”เยี่ยจิงเฉินแทบจะไม่มองจ้าวหลินและฟางอี้เฉิงแม้แต่น้อย“เมื่อครู่นี่พวกคุณรังแกเลขาของผม จะตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ ดูแล้วพวกคุณไม่ได้สนใจผมเลย”

จะตีหมาต้องดูเจ้าของก่อน?

ก็ถือว่าป่าปี้อยากจะปกป้องเธอ แต่ว่าโดนเปรียบเทีบเป็น……หมา……เธอไม่ได้ดีใจเลย

ไม่พูดอะไรแล้วได้ไหม?

ไม่เห็นร้อยยิ้มเยาะเย้ยของจ้าวหลินเหรอ?นั่นมันทำให้เธอขายหน้า

เมื่อครู่นี้ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้สามารถคงตำแหน่งตัวเองไว้ได้ นำหน้าจ้าวหลินและฟางอี้เฉิง

แต่ว่าป่าปี้พูดออกมาแบบนี้ ก็ทำให้เธอได้รับการปลอดปล่อย ถูกโดนโจมตีไปหมดแล้ว

นี่มันไม่กลัวคู่ต่อสู้ที่เซียนเลย แต่กลับกลัวเพื่อนร่วมทีมที่เหมือนหมู

ถึงแม้ป่าปี้จะหล่อมากจริงๆ แต่ว่าก็ไปเปลี่ยนเรื่องจริงของเพื่อนที่มรยศ

เป็นอย่างนั้นจริงๆจ้าวหลินเอามือปิดปาก หัวเราะออกมาเล็กน้อย“ฉันคิดว่าประธานเยี่ยเข้าใจผิดแล้ว ซินเหยาเป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉัน เมื่อครู่นี้ก็แค่กำลังคุยกันเรื่องอดีต”

“กอดกันเพื่อย้อนอดีต?”เยี่ยจิงฉินทำหน้าเคร่ง

ย้อนอดีตอะไรกันเล่า เธอจำไม่ได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?ยิ่งกว่านั้นก็รู้อยู่ว่าพวกคุณย้อนอดีตอยู่ฝ่ายเดียว

ถ้าหากอยากจะพูดแบบนี้ เธอเพียงแค่ถูกย้อนอดีตเท่านั้นเอง

“ย้อนอดีตต้องกอดกันด้วยเหรอ?”เยี่ยจิงเฉินถามด้วยหน้าที่มืดมน

ซวยแล้วสิ พอได้ยินคำถามนี้

ก็ไปมองจ้าวหลินอีกครั้ง เห็นได้ชัดถึงกลิ่นอายของความไร้ยางอาย เธอรู้ว่ามันจะแย่ลง

ตามคาด จ้าวหลินทำหน้าเข้าใจ และยิ้มพูด“นั่นมันก็เพราะซินเหยากับประธานฟางของพวกเราเคยเป็นคู่รักกันมา เพราะว่าได้เจอกันมานานแล้ว ดังนั้นประธานฟางของพวกเราเลยตื่นเต้นเล็กน้อย”

แย่แล้วสิ อะไรคือการเป็นคู่รัก?

ยิ่งกว่านั้นเธอไม่เติมคำว่า‘เคย’เหรอ?

พวกเขาเลิกกันตั้งแต่หกปีที่แล้วแล้วโอเคไหม?สลับไปสลับมาโจ่งแจ้งขนาดนี้ ไม่กลัวปากเป็นแผลเหรอ?

เมื่อกี้นี้คนไร้ยางอายคนไหนพูดว่าพวกเรารักกันด้วยใจจริง ทำหน้าเป็นทุกข์ขอร้องอ้อนวอนให้อภัยให้พวกเขา

“เป็นแบบนี้เองเหรอ?”เยี่ยจิงเฉินถามฟางอี้เฉิงด้วยสายตาที่มืดมน

จ้าวหลินส่งสัญญาณทางตาให้ฟางอี้เฉิง ฟางอี้เฉิงพยักหน้า พูดว่า“ใช่”

คนเลวสองคนนี้ เมื่อครู่พวกเธอส่งสายตาให้กัน คิดว่าคนอื่นตาบอดหรือไงกันนะ?

แต่สุดท้ายก็มีคนที่มองไม่เห็น

“อ๋อ?จริงๆแล้วแฟนเธอเป็นทายาทของเตียนเฟิงกรุ๊ปนี่เอง ไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลยนะ”เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาด้วยสีหน้าเงียบสงบ พูดน้ำเสียงทำให้รู้สึกได้ว่ามีลับลมคมในว่า“ทำไมเธอไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ถือว่าช่วงเวลานี้คือช่วงตั้งใจปรนนิบัติ ฉันก็จะให้โอกาสกับพวกเธอด้วย”

ถังซินเหยา……

ทำท่าแอ๊บแบ๊ว เธอมีทายาทของเตียนเฟิงกรุ๊ป เธอเองยังไม่รู้เลย?

ตั้งใจปรนนิบัติอะไรป่าปี้ ประโยคนี้ฟังแล้วดูมีเลิศนัย ทำให้คนอื่นที่ได้มองแล้วรู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่……ไม่ใช่นะ ฉัน……”

“ซินเหยา เธออย่าปฏิเสธเลย หลายปีที่ผ่านมานี้ประธานฟางดีกับคุณยังไง คุณก็รู้ดี”

“ก็เห็นอยู่ว่าฉันกับเขา……”

“ซินเหยา เธออย่าอายเลยนะ เหมือนกับเยี่ยหวางบริษัทระหว่างประเทศแบบนี้ ไม่น่าจะมารบกวนเรื่องส่วนตัวหรอก เธอก็อย่าปฏิเสธเลย”

“จริงๆฉันกับเขา……”

“สบายใจเถอะ พวกเราเตรียมตัวมาตั้งนานเพื่อที่จะมาร่วมมือกันกับเยี่ยหวาง พวกเราจะใช้ศักยภาพของตัวเองพิสูจน์สักยภาพของบริษัท จะทำให้คุณลำบากใจ”

“หุบปากไปเลยนะ เธอนัง……”

ปีที่แล้วฉันซื้อนาฬิกาข้อมือมาเรือนหนึ่ง พูดด้วยกันดีๆหน่อยได้ไหม

ไม่สนว่าถังซินเหยาพูดจบหรือยัง จ้างหลินก็หันไปพูดกับเยี่ยจิงเฉินว่า“ประธานเยี่ย ซินเหนากับประธานฟางคบกันมาแปดปีแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาโดยตลอด ดังนั้นพเจอกันก็ทนไม่ได้ ถึงได้……ยังไงก็ขอให้ประธานเยี่ยให้อภัยด้วยนะคะ”

นังคนไรยางอายคนนี้ เมื่อครู่ยังวางมาดเป็นแฟนสาวของฟางอี้เฉิง ให้เธอให้อภัยด้วย

“นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไม่รู้ว่าฉันจะเป็นเกียรติเลี้ยงข้าวประธานเยี่ยได้ไหมนะ”จ้าวหลินใช้สายตาคู่นั้นมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างชื่นชม

ซวยแล้ว คนไร้ยางอายคนนี้ เอวหนาไป ก้นใหญ่ หน้าอกก่ไม่ใหญ่ ผิวก็ไม่ขาว ไอคิวก็ไม่ดี ยังไงก็มาเทียบกับไม่ได้กับป่าปี้ของเธอตกลงไหม?

ป่าปี้ไม่รู้เรื่อง ป่าปี้มองไม่ออกถึงไปทานอาหารกลางวันด้วย

“เป็นเกียรติสิที่ถูกสาวสวยชวนไปทานข้าว”เยี่ยจิงเฉินยกแขนขึ้นมา มองนาฬิกาข้อมือที่ราคาเหยียบสิบล้าน พูดว่า“ใกล้เวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

ถังซินเหยา……

ป่าปี้ก็ใช้ความจริงมาพิสูจน์อีกครั้ง เขาก็ยังคงมองไม่ออก

บนโลกใบนี้ ยังไงก็ไม่ได้มีคนที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างหรอก

ถึงแม้ว่าป่าปี้จะหล่อโครตๆ มีเงินล้นฟ้า เท่ห์จนไม่มีเพื่อน ป่าปี้ที่อยู่เหนือกว่าใครไปอีกยี่สิบชาติ แต่ว่าก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามองคนไม่ออก

“ในเมื่อคนรับผิดชอบของเตียนเฟิงกรุ๊ปจะเป็นแฟนของเลขาถัง งั้นโครงการนี้ยังไงก็ต้องให้คุณตรวจสอบความเป็นไปได้อยู่ดีนะ”เยี่ยจิงเฉินเดินไปข้างจ้าวหลิน พูดว่า“ดังนั้น……โครงการนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเลขาถัง เธอต้องเข้าใจไว้นะ”

มองป่าปี้ที่หล่อจนไม่มีเพื่อนและจ้าวหลินที่ทำหน้าพอใจจับมือถือแขนกันออกไป ถังซินเหยารู้สึกมืดมนไปหมด

จ้องเงาข้างหลังของเยี่ยจิงเฉินและจ้าวหลินด้วยสายตาที่แค้น อยากจะดูว่าพวกเขาจะเป็นยังไง

นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย

“ซินเหยา พวกเราไปทานข้าวกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง”

“ทานกับผีสิ เมื่อกี้ทำไมต้องโกหกด้วย พวกเรา……หก……ปี…..ก่อนก็เลิกกันไปแล้วนะ

“นั้นก็เป็นเพียงเพราะว่าตัดสินใจฝ่ายเดียว ฉันไม่เคยเห็นด้วยเลย”

ฮ่าฮ่า……

“คุณไม่เจ็บตรงนั้นแล้วเหรอ?”ถังซินเหยากวาดตาไปที่ใต้หน้าท้องของฟางอี้เฉิงลงไปสามนิ้ว

ฟางอี้เฉิงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ตรงที่ใต้หน้าท้องสามนิ้วก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ

ในตอนนั้นถังซินเหยากำลังฉีกเงินห้าล้านบาทนั้น ให้บทเรียนกับเขาหน่อย ทำให้เขายังจำได้

ก็ถือว่าคิดออกแล้ว เขาก็ยังคงเจ็บตรงนั้นอยู่

ฟางอี้เฉิงเกือบจะหนีไปแล้ว ดูแล้วน่าสงสารมาก

ก่อนที่จะไปก็เตรียมเอาหนังสือวางแผนให้ถังซินเหยา ถังซินเหยามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสี่สิบห้าองศา วิวนี่มันสวยจริงๆเลยและยังให้ความรู้สึกโศกเศร้าอีกด้วย

ตาของป่าปี้บอดหรือไง?ทำไมยังคงมองนังจ้าวหลินที่ไร้ยางอายนั้นไม่ออก

หึ……ป่าปี้นี่เป็นเฉินชือเหม่ยที่อำมหิตจริงๆเลย ไหนจะความโศกเศร้า

ฟังที่จ้าวหลินพูด ฟางเฉงก็มองไปที่สายตาของถังซินเหยา รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย

ซวยแล้ว ไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว

นี่คุณพี่คะทำตัวดีๆกับพวกเราหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?!ใครอิจฉาเธอกัน?!

หรือว่าอิจฉาเธอที่ไม่สวยเหมือนตัวเอง ไม่สาว หุ่นไม่ดี หน้าอกไม่ใหญ่ ไม่มีเงินเท่ากับเธอ อิจฉาเธอขนาดนี้จนตอนนี้แล้วเธอยังใช้ไอโฟนสี่เอสอยู่เหรอ?ฉันไม่ต้องไปขายไตตอนนี่ก็เป็นผู้หญิงที่ใช้ไอโฟนหกแล้ว โอเคนะ?

ไม่ว่าทางไหนเธอก็ดีกว่าจ้าวหลิน ยิ่งกว่านั้นที่สำคัญที่สุด เจ้านายของเธอยังหล่อกว่าเจ้านายของจ้าวหลินอีก

แล้วก็ยังมีอันนั้นเรียกว่าอะไรนะผู้ชายเลวๆแบบเฉิงเธอเอาไปก็ดีแล้ว ยังอยากจะแถมเงินให้เธอไปอีก เธอไม่อยากได้ผู้ชายเลวๆแบบนี้หรอก

ยังมีอะไรอีกนะ“ที่สุดแล้วผู้ชายที่เธอรัก คำพูดนี้มันช่างเกินไปแล้วไหม!

เธอไปรักตอนไหน?เธอเองยังไม่รู้เลย โชคดีนะที่จ้าวหลินบอกเธอ

ไม่อย่างนั้นชาตินี้เธออาจจะไม่รู้เลย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะรักฟาง……คนนั้น……คนนั้น……เขาชื่อฟางอะไรนะ

เหนื่อยเหลือเกิน รู้สึกว่ายังไงก็ไม่ไปรักเขาอีกแล้ว

“ถ้าพวกเธอไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นก็ออกไปได้แล้ว”ถ้าหากยังไม่ไปอีก จะจับพวกคุณไปตรวจที่โรงพยาบาลบ้านะ

“เธอไล่พวกเราเหรอ?”ฟางอี้เฉิงถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี

บนใบหน้าของถังซินเหยายิ่งกลับยิ้มแย้ม ไปยั่วโมโหโดยที่ฟางอี้เฉิงแทบละสายตาไปไม่ได้ ไม่ได้เจอตั้งกี่ปี ซินเหยาเหมือนกับว่านับวันยิ่งสวยขึ้น

“ใช่ค่ะ พวกคุณพูดไม่ผิด ฉันไล่ให้พวกคุณไป”ถังซินเหยาก็ทำเป็นไม่เห็นสายตาที่ทำให้เธออาจจะอ้วก ยอมรับไปแบบหยิ่งๆ

แย่แล้ว เธอไม่ได้อาศัยเตียนเฟิงกรุ๊ปกินข้าวสักหน่อย ตอนนี้เธอแค่อยากจะหลุดพ้นกับคนไร้ยางอายสองคนนี้

“เธอรู้ว่าเฉิงเป็นคนแบบไหนเหรอ?”จ้าวหลินถามไปอย่างกระตือรือร้น

ถังซินเหยามองจ้าวหลินไปแวบหนึ่งอย่างพูดไม่ออก นังผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ลืมกินยาก่อนออกจากบ้านเหรอ?

เมื่อกี้เธอไม่ใช่ว่าพูดออกไปแล้วเหรอ?ว่าเป็นผู้จัดการใหญ่ของเตียนเฟิงกรุ๊ป

เธอจะไปรู้ได้อย่างไรกันผู้ชายเลวๆแบบเฉิงจะเป็นคนแบบไหนกัน?ถึงแม้ว่าจะรู้ เธอก็ไม่บอกนังผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้หรอก

นอกเสียจาก……เธอให้ค่าที่ปรึกษา

ถังซินเหยายังไม่ทันตอบ จ้าวหลินก็ทำหน้าอย่าภูมิใจ ทนไม่ได้ที่จะพุดออกมา“เฉิงของฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่อันหรันของตระกูลลู่ อันหรันเป็นว่าที่คุณผู้หญิงของบริษัทเยี่ยหวาง ประธานเยี่ยของพวกเธอเป็นน้องเขยของเฉิง เธอมีสิทธิอะไรไม่ให้เฉิงไปเจอน้องเขยของตัวเอง”

อ๋อ?ที่แท้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่อันหรัน

ลู่อันหรันมีลูกพี่ลูกน้องและน้องสะใภ้แบบนี้ เธอก็รู้สึกเห็นใจลู่อันหรันขึ้นมาแล้ว

เชอะเชอะ……ก็ไม่รู้ว่าจ้าวหลินจะภูมิใจขนาดนี้

ผู้ชายที่ใช้เส้นสาย หรือว่านี่เลยทำให้เธอรู้สึกเหนือกว่าเหรอ?

“อ๋อ”ถังซินเหยาพูดน้ำเสียงนิ่งๆ พูดว่า“ที่แท้พวกคุณกับว่าที่พี่เขยพี่สะใภ้ประธานของพวกเราสินะ?”

……

ฟางอี้เฉิง……

จ้าวหลิน……

ถังซินเหยา……

ความเงียบก็ได้เข้าปกคลุม ถังซินเหยาทำสีหน้าปกติ รอยยิ้มบนหน้ายังคงอยู่ตลอด

สีหน้าของฟางอี้เฉิงกับจ้าวหลินดูเหมือนว่าจะเหมือนกับจานสี เปลี่ยนสีแบบไม่หยุดเลย

ฉันไป ไม่คิดเลยว่าคนไร้ยางอายสองคนนี้จะมีความชำนาญแบบนี้ ดูแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไร

“ซินเหยา ฉันยังรักเธอนะ อย่าเป็นแบบนี้เลย”ฟางอี้เฉิงก็เอาถังซินเหยาเข้าไปในอ้อมกอด กอดถังซินเหยาไว้อย่างแน่น ร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดอยู่ด้วยกัน ดูแล้วดูใกล้ชิดกันมาก

“เลขาถัง นี่เธอทำงานแบบนี้เหรอ?เวลาทำงานนี่มาลวนลามกันเหรอ?”

เสียงที่เย็นชา ที่ไม่มีใครรู้ ราวกับว่าเป็นเสียงของปีศาจร้ายดังขึ้นมา

ไอ้หยา ซวยแล้ว……ไม่ต้องสืบเลยก็โจมตีคนไร้ยางอายนั้นสำเร็จ

ยังไงเธอก็ต้องเล่นงานฟางอี้เฉิงคนน่าเกลียดให้ตายไปเลย

น่าดีใจนัก เพราะในตอนที่เธออยากจะตีเขาให้ตายนั้น ในที่สุดเธอก็คิดออกว่าแฟนคนแรกของเธอชื่อฟางอี้เฉิง

เธออยากจะทำลายฟางอี้เฉิง แต่ว่าเธอนั้นสักยภาพของเธอมันมีขีดจำกัด

เธอผลักไสป่าปี้ไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ เพราะว่าป่าปี้หล่อ แต่ว่าตอนนี้ฟางอี้เฉิงทำไม่ถูกจริงๆ กลายเป็นคนน่าเกลียดแบบนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะผลัก……ไม่……ออก นี่มันเหลือจะอดจริงๆ นี่มันน่าอัปยศอดสูจริงๆ

“เลขาถัง นี่เธอทำงานแบบนี้เหรอ?เวลาทำงานนี่มาลวนลามกันเหรอ?”

ถึงแม้ว่าเสียงจะเย็นชา แต่ว่ากลับไม่สามารถปกปิดเสียงที่เซ็กซี่นี้ได้

มาได้จังหวะพอดี เธอกดไลค์ให้ป่าปี้รัวๆเลย

ป่าปี้ รีบมาช่วยเธอเร็ว เธอโดนผู้ชายน่าเกลียดคนหนึ่งรังแกแล้ว ฮือฮือฮือ

ถังซินเหยาได้ยินเสียงของเยี่ยจิงเฉิน ก็เหมือนกับว่าได้กินผักโขมเข้าไป ก็มีแรงขึ้นมาเลย เธอผลักฟางอี้เฉิงออกไป อีกนิดเดียวก็เกือบจะล้มลงไปแล้ว

“ประธานเยี่ย นี่คือประธานฟางและเลขาจ้าวเป็นลูกพี่ลูกน้องและพี่สะใภ้ในอนาคตของคุณ บอกว่าอยากเจอคุณ คุยเรื่องการร่วมมือกันกับเยี่ยหวางและเตียนเฟิงกรุ๊ป”ถังซินเหยาวิ่งหนีไปอยู่หลังของเยี่ยจิงเฉิน พูดความหยิ่งของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

เรียกกันโดยทั่วไปว่าแอบ……กระ……ซิบ……

ป่าปี้ คนไร้ยางอายสองคนนี้น่ากลัวมาก คุณต้องปกป้องผู้หญิงที่อ่อนแอบอบบางคนนี้ด้วยนะฮือฮือฮือ!

จ้าวหลินเห็นเยี่ยจิงเฉิน ตาก็เป็นประกายเลย หล่อมากจนขาอ่อนแล้ว เยี่ยจิงเฉินไม่เคยยอมรับให้ใครสัมภาษณ์แต่อย่างใด เธอก็พึ่งจะรู้เอาวันนี้ แท้ที่จริงแล้วประธานเยี่ยจิงเฉินของเยี่ยหวางหล่อแบบมีใครเทียบได้

จริงๆแล้วฟางอี้เฉิงไม่ได้ไม่หล่อ แต่ว่าดูสดชื่นเพียงเล็กน้อย

เทียบกับเยี่ยจิงเฉินที่อยู่ในระดับสูงขนาดนี้ หรูหราที่มีความหมายครอบคลุมว่าหล่อแบบอินเตอร์ ก็คือมีความรู้สึกLowเล็กน้อย

หลังจากที่ถังซินเหยากลับมาใกล้ชิดกับประธานใหญ่ก็ล้วนเป็นเหมือนหนัง ก็ทำให้เปลี่ยนไปเป็นเจ้าเล่ห์ ถึงจะให้กลับไปมองรักแรกที่สดชื่นนั้น เธอก็คงได้แต่สงสัยอยู่ลึกๆ ว่าเมื่อก่อนนั้นตัวเองโง่อะไรกันนะ ถึงเลือกผู้ชายที่ต่ำช้าแบบนี้

เยี่ยจิงเฉินเห็นสีหน้าท่าทางขอเธอที่ไปหลบอยู่ข้างหลังเขา เหมือนต้องการให้ปกป้อง ปาก็คว่ำลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

เพียงแค่มองไปทางฟางอี้เฉิงและจ้าวหลินด้วยสายตาที่เย็นชาเหมือนลมของฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านใบไม้ที่กำลังร่วงหล่น

“ฉันไม่รู้จักพวกเขา”เยี่ยจิงเฉินพูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย

ว้าว ป่าปี้ เท่ห์มากจริงๆ

สีหน้าของฟางอี้เฉิงเต็มไปด้วยความอับอายและความอัปยศ แต่จ้าวหลินกลับหลงใหลอยู่กับการมองเยี่ยจิงเฉิน

มีเพียงแต่ผู้ชายแบบนี้แหละถึงจะเข้ากันได้กับจ้าวหลินได้

“ประธานเยี่ย สวัสดีค่ะ พวกเราเป็นผู้รับผิดชอบของเตียนเฟิงกรุ๊ป ครั้งที่แล้วที่งานวันเกิดของอันหรัน เพราะว่าเกิดเรื่องนิดหน่อยเลยไม่ได้ไปเจอกับประธานเยี่ย รู้สึกเสียดายมาก!”จ้าวหลินเหมือนกับเปิดใช้ปลั๊กอิน ไม่ทันไรก็เปลี่ยนเป็นคนใจกว้างขึ้นมา“ครั้งนี้ที่พวกเรามาหาประธานเยี่ยก็เพราะมีโครงการหนึ่งมาแนะนำ หวังว่าประธานเยี่ยจะให้โอกาสกับพวกเรา ให้พวกเราสร้างโอกาสใหม่ขึ้นมา”

คำพูดของจ้าวหลิน ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของเตียนเฟิงกรุ๊ปและลู่อันหรัน

“เอาอะไรมามั่นใจว่าฉันจะต้องการร่วมงานกับเตียนเฟิงกรุ๊ปของพวกคุณ?”เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยสีหน้าที่ไร้เยื่อใย สีหน้าก็ไม่ดีเลย

นอกจากออกไปงานเลี้ยงครั้งแรกแล้ว ยังเกือบเอาตัวเองดื่มหนักจนไปติดหนี้ก้อนโตตั้งสิบแปดล้าน(แทบจะร้องไห้แล้วนะ) เป็นเลขาของเยี่ยจิงเฉินมันก็ดีอยู่หรอก เธอมีคุณสมบัติมากพอ

ไม่มีเรื่องอะไรทั้งเช้า แต่พอถึงตอนเที่ยงที่กำลังจะทานข้าวนั้น มีคนมาสองคน–ชายหนึ่งหญิงคู่หนึ่ง

แต่ว่าชายกับหญิงคนนี้ ดูเหมือนคุ้นหน้าคุ้นตายังไงก็ไม่รู้!

เหมือนกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน ที่ไหนกันนะ?

“ซินเหยา……”

“ซินเหยา ทำไมเธอมาอยู่นี่ได้?”

ตอนที่ชายหญิงสองคนนั้นเห็นถังซินเหยา สีหน้าคือตกใจมาก

รู้จักกันจริงๆด้วย ยิ่งกว่านั้นยังเรียกถังซินเหยาอย่างสนิทสนม

เธอจำพวกเขาไม่ได้แล้ว ถ้าหากให้พูดความจริงกับพวกเขา พวกเขาจะเสียใจไหมนะ?จะเสียมารยาทไปไหม?

“อ๋อ พวกคุณนี่เอง ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว พวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง?”ถังซินเหยาก็เงียบไปสักพัก พูดด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย

เธอยิ้มออกมาอย่างสดใจ ทำให้เห็นลักยิ้มที่น่ารักของเธอ ฟันหมาที่ปรากฏของทั้งสองคน เพิ่มความฉลาดหลักแหลมให้ความน่ารักของเธอ และยังเพิ่มความจริงใจ

ไม่ว่าจะใครก็ดูไม่ออก จริงๆแล้วเธอจำทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้เลยว่าเป็นใคร

“พวกเรามีความสุขดี ซินเหยาจริงๆแล้วพวกเราคบกัน พวกเรารักกันด้วยใจจริง และไม่ได้อยากทำร้ายเธอ แต่ว่าฉันหวังว่าเธอจะสนับสนุนนะ”ผู้หญิงคนนั้นมองหน้าถังซินเหยาอย่างทุกข์ทรมานใจ จับแขนผู้ชายคนนั้น ดูเหมือนว่าสนิทสนมกันมาก สีหน้าของเธอทั้งน่าสงสารและใส่ซื่อ“ ถ้าเธอจะโทษก็โทษฉันเถอะ ฉันชอบเขามากจริงๆ เธออย่าเกลียดเขาเลย”

ฉันตกใจไปเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย

ผู้หญิงแปลกคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความไร้ยางอายมาอย่างรุนแรง

“อ๋อ”ถังซินเหยาตอบออกไปอย่างไม่สนใจ

สาวน้อย ดูละครมากเกินไปสินะ อย่าลืมไปรักษาตัวล่ะ

ผู้ชายพยุงผู้หญิงที่แขนออกไปอย่างฝืนๆ มองถังซินเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโอหัง

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นมอง ก็จับมือขึ้นมา บนหน้ายังคงทำหน้าตาน่าสงสารอยู่ เพียงแต่ว่าในสายตารู้สึกว่ามีประกายแห่งความโกรธแค้นเข้ามา พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนไร้ยางอายจริงๆ

“ซินเหยา ทำไมตอนนั้นอยู่ดีๆถึงหายไปเลยล่ะ เธอรู้ไหมว่าฉันตามหาเธอน่ะมันยากลำบากแค่ไหน?”ผู้ชายคนนั้นเดินมาดึงแขนที่ขาวนวลของถังซินเหยา ทำสีหน้าอย่างจริงใจ“ที่ผ่านมานี้เธอไปอยู่ที่ไหน?ทำไมถึงไม่ติดต่อกันมาบ้าง?”

ถังซินเหยาก็รีบสะบัดมือออกมาและถูมือกับด้านหลังของเสื้อผ้าอย่างรังเกียจ

คุยกันกับพวกเขาขนาดนี้สรุปแล้วพวกเขาเป็นใครกัน?

“เรื่องตอนนั้นจริงๆแล้วมันเป็นการเข้าใจผิด ฉันจริงจังกับเธอนะ เงินสิบล้านนั้นหลังจากนั้นฉันก็คืนให้คุณชายหลินแล้ว”เงินสิบล้าน……คุณชายหลิน?

ถังซินเหยาแค่รู้สึกว่าในสมองของเธอนั้นอยู่ดีๆก็รู้สึกสับสนขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี เม้มปากแล้วเม้มอีก ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอเอามันทิ้งไปแล้วเหมือนทิ้งไว้ในถังขยะ

ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นแฟนคนแรกที่ไม่เอาไหนของถังซินเหยาที่เธอไม่รู้ว่าลืมไปตั้งแต่เมื่อไหร่

เหมือนกับว่าชื่อ……ฟาง……ฟางอี้ฟาง……ฟางอี้ชิง……ฟางอี้เฉิง……หรือว่าฟางฟางเฉิงกันนะ?

แฟนคนแรกยังเทียบไม่ได้กับคนที่ขายตัวไปสิบล้าน ความทรงจำนั้นยังคงชัดเจน

แต่ว่ายัยคนไร้ยางอายคนนั้น……ยัย……โสเภณี……ยัย……ตอนนั้นเธอเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน เหมือนจะชื่อว่าจ้าวหลิน

ไม่ใช่เพราะเธอเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ยอมเสียสละหรอกนะ แต่เป็นว่าเธอเป็นคนที่มาแทงข้างหลัง

วันนี้ที่ได้มาเจอรักครั้งแรกกับเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอยู่ด้วยกัน สถานการณ์แบบนี้มันช่างน่ารำคาญจริงๆ เธอไม่มีแรงมาต่อล้อต่อเถียงแล้ว

จริงๆแล้วเธอไม่อยากจะมาเจอกับแฟนคนแรกที่พยายามเอาเธอไปแลกกับเงินสิบล้าน ไหนจะไปคบกับรุ่นพี่รุ่นน้องของเธอลับหลัง และยังไม่รู้สึกละอายใจเลย เธอทำหน้าอย่างจริงจัง“ขอโทษนะคะว่าทั้งสองท่านมาที่เยี่ยหวางนี่มีธุระอะไรเหรอคะ?”

“พวกเรามาหาประธานเยี่ย”ฟางอี้ชิง……หรือว่าฟางอี้เฉิงแฟนคนแรก พูดออกมา

“พวกคุณได้นัดล่วงหน้าก่อนไหมคะ?ถ้าไม่ใช่อน่างนั้นคงต้องขอโทษด้วยนะคะ”ถังซินเหยาพูดด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์

จ้าวหลินทำสีหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ“ซินเหยา งั้นก็ถือว่าเป็นความผิดของฉันที่คบกับเฉิง เธอก็จะทำแบบนี้กับเขาไม่ได้นะ ถ้าหากเธอไม่ถือสาอะไร ฉันยอม……ยอม……”

เธอยอมอะไร เธอก็พูดให้มันจบสิ พูดออกมาไม่จบแบบนี้ หรือว่าจะทำให้คนอื่นเป็นบ้าเหรอ

“เหยาเหยา เธออย่าเป็นแบบนี้สิ เธอโทษฉันมาเลยเถอะ อย่าไปโทษหลินหลินเลย”ฟางอี้เฉิงเอื้อมมือไปในอ้อมกอดจ้าวหลินด้วยสี

แย่แล้วสิ อย่าใส่ร้ายคุณย่าไปเรื่อยได้ไหม?ไม่อย่างงั้นก็อย่าเรียกอย่างสนิทสนมขนาดนี้ เธอกับพวกเขาไม่ได้สนิทกัน

คุณย่าไม่ใช่แค่สวย แต่ยังมีความรู้ความสามารถ ไม่เข้าใจพวกบ้าสองคนนี้เลย โตมากกับการกินขี้กันเหรอเนี่ย?

“ถ้าพวกคุณไม่ได้นัดล่วงหน้า ก็เจอประธานเยี่ยไม่ได้หรอก”ถังซินเหยาพูดออกไปอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่รอยยิ้มบนหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

แย่แล้ว ป่าปี้เป็นประธานที่มีเกียรติสูงสุด เป็นปากฉลามเหรอที่อยากจะเจอก็เจอเหรอ?

“เธอมีสิทธิอะไรที่มาพูดแบบนี้กับเฉิง?”มุมของจ้าวหลินที่ฟางอี้เฉิงมองไม่เห็น ยิ้มให้ถังซินเหยาด้วยรอยยิ้มที่ยั่วยุ ต่างกับความอ่อนหวานเมื่อกี้อย่างกับคนละคน

ถังซินเหยาเป็นคนค่อนข้างที่จะใจเย็น นี่เป็นคุณสมบัติของโสเภณีไร้ยางอาย เธอเข้าใจได้

“อ๋อ ใช่สิฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยใช่ไหม?ฉันเป็นเลขาของท่านประธาน ตารางงานของประธานฉันเป็นคนกำหนดทั้งหมด”

“เฉิงเป็นผู้จัดการใหญ่ของเตียนเฟิงกรุ๊ป ฉันเป็นเลขาของเฉิง พวกเรามาคุยเรื่องธุระกิจกับประธานฟาง”จ้าวหลินทำหน้าตาน่ากลัว“ดังนั้น ซินเหยาหยุดความโกรธแค้นของพวกเรามาขวาง อย่าทำให้กระทบกับบริษัทของเราทั้งสองเลยนะ”

ความโกรธแค้นส่วนตัวของน้องเขย?เธอจำความเลวของพวกเขาสองคนแทบจะไม่ได้แล้ว(ออกเสียงว่า‘Bitch’หมายความว่าเลวทราม)แล้วความแค้นส่วนตัวนั้นมันจะมาจากไหน?

ไหนจะยังเตียนเฟิงกรุ๊ป?ชื่อก็ดูสูงส่งดีนะ แต่ว่าการแสดงออกมาของเธอมันไม่เคยได้ยินมาก่นเลยนะ

ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่นี้เธอพูดว่าจะมาร่วมมือกับเยี่ยหวาง?

เครื่องหมายการค้าของเธอนี่ล้อเล่นกันเหรอ?บริษัทที่แบจะไม่มีชื่อเสียงยังกล้าที่จะมาร่วมมือกับเยี่ยหวางอยู่เหรอ?

“อ๋อ เตียนเฟิงกรุ๊ปเหรอ ขอโทษด้วยนะเดือนนี้ไม่เห็นว่าพวกคุณนัดเอาไว้เลย”ถังซินเหยาพูดอย่างไม่แยแสว่า“ถ้าอยากมาคุยเรื่องธุรกิจ คงต้องนัดไว้ก่อนนะคะ ประธานเยี่ยยุ่งมาก ถ้าเป็นเรื่องอะไรที่ไม่สำคัญ เขาไม่สนใจหรอกค่ะ”

ดังนั้นบริษัทปกติธรรมดานี้ของพวกคุณก็อย่าคิดว่ามีอำนาจเลย

พวกคุณสามารถไปได้แล้วค่ะ

“ฉันรู้ว่าคุณอิจฉาฉัน เกลียดฉันที่แย่งเฉิงไป ดังนั้นถึงกลั่นแกล้งพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นยังไง เฉิงก็เป็นผู้ชายที่เธอรัก เธอพูดแบบนี้ออกมากับเขาได้ยังไง ตั้งใจจะทำลายธุรกิจของเขา”จ้าวหลินทำสีหน้าโกรธแค้นแล้วชี้ไปที่ถังซินเหยา

ถังซินเหยาคลานขึ้นมาจากพื้น คลึงหน้าผากของตัวเอง เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างล่องลอย

ความเมามายของตัวเองเมื่อครู่นี้ ก็สร่างมาหมดแล้ว พอผ่อนคลายลงบ้างแล้ว เธอยังรู้สึกมึนหัวอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ถังซินเหยาตื่นขึ้นมา ปวดหัวอย่างรุนแรง

นี่ก็เป็นอาการเมาค้าง ตอนที่ทานอาหารนั้น ลั่วหลิงเอาใจใส่ถึงซินเหยามากจนอุ่นน้ำผึ้งมาให้

หลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วนั้น รู้สึกว่าทั้งร่างกายก็ดีขึ้นมา

ในที่สุดหลัวเหยียนฉีก็กลับมาจากไปทำงานต่างจังหวัดมา แต่ว่าถึงแม้จะกลับมาที่เมืองบีแล้ว เธอก็ยังคงไม่กลับมาที่บ้านอยู่ดี

หลังจากที่กลับถึงบริษัทแล้วนั้น ถังซินเหยาพึ่งจะคิดออก เหมือนว่าเมื่อวานเธอได้อั่งเปามาหนึ่งซอง

ในซองอั่งเปามีเงินเท่าไหร่นะ?เหมือนกับว่ามีความทรงจำอยู่ลางๆ

ตามฐานะและตำแหน่งของคนที่ให้อั่งเปาแล้ว อั่งเปาไม่ใหญ่ไม่เล็ก

ผลสุดท้ายเธอหาดูรอบๆ คิดไม่ถึงเลยว่า……หา……ไม่……เจอ

แย่แล้วสิ เธอดื่มหนักจนกระเพาะเกือบจะทะลุ อั่งเปาก็ยังจะหายอีกเหรอ?

ไม่หายหรอก คิดให้ดีๆสิ ระหว่างทางที่เธอกลับมา ก็แทบจะไม่ได้หยิบออกมา

หลังจากกลับมาแล้วเธอก็นอนเลย ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับอั่งเปาเลย ดังนั้นน่าจะเป็นไปได้ว่าอั่งเปาหล่นอยู่ในรถของเยี่ยจิงเฉินแล้ว

ตอนที่กำลังไปส่งเอกสารนั้น ถังซินเหยายังเอาใจใส่เยี่ยจิงเฉินด้วยการชงน้ำผึ้งไปให้ เพราะเมื่อวานเยี่ยจิงเฉินก็ดื่มไปไม่น้อยเลยทีเดียว

“ประธานเยี่ย ดื่มน้ำผึ้งก่อนค่ะ จะได้ลดอาการเมาแก้ค้าง”ถังซินเหยาพูดอย่างอ่อนโยน

“มีเรื่องอะไร พูดมา”เยี่ยจิงเฉินเงยหน้าขึ้นมาถามขณะที่เขากำลังยุ่งมากๆ

ถังซินเหยา ……

ท่าทางของเธอเห็นได้ชัดเจนเลยเหรอ?หรือว่าตอนที่ป่าปี้ไม่รู้อยู่ดีๆก็อ่านใจคนได้กัน

เดิมทีเธอก็มีเรื่องเลยมาหาเยี่ยจิงเฉิน ดังนั้นเลยไม่ซ่อนความรู้สึกไว้ และถามออกไป“ประธานเยี่ย คุณเห็นซองอั่งเปาเมื่อวานที่ประธานหลิวให้ฉันบ้างไหมคะ?”

“เห็นแล้ว”

ถังซินเหยา ……

ไม่หรอกมั้ง เธอเพียงแค่อยากไปลองหาที่รถของป่าปี้ดูเท่านั้นเอง

เธอพูดออกไปโผงผางแบบนั้น เขาเห็นอั่งเปาของเธอ จะให้เธอพูดต่อว่ายังไง?

“คุณเห็นที่ไหนเหรอ?”ถังซินเหยาเม้มปากถาม

“อยู่ในธนาคารของฉัน”

“งั้นมันก็เป็นของฉัน”ยังไงมันก็ควรอยู่ในบัตรของเธอ ทำไมถึงไปอยู่ในบัตรของป่าปี้ได้ล่ะ?นี่มันฟังไม่ขึ้นเลยนะ

“เดิมทีน่ะใช่ แต่ว่าหลังจากนั้นเธอก็ให้กับฉันแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

“เรื่องจริงมันเป็นแบบนั้น”

“ทำไมฉันต้องให้คุณด้วย?”ยังไงก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เธอมองเงินสำคัญเท่าชีวิต จะเป็นไปได้ยังไงที่ให้เยี่ยจิงเฉินไปเฉยๆ

“เธอพูดว่าเป็นค่าเลี้ยงดูของฉัน”

ถังซินเหยาแสดงออกถึงความรู้สึกไม่ดีของตัวเอง เธออยากจะเลี้ยงดูป่าปี้

“เป็นไปไม่ได้ ฉันจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน”ถึงแม่ว่าอยากจะเลี้ยงดู แต่ว่าไม่ใช่ว่าป่าปี้ควรเลี้ยงดูเธอหรอกเหรอ?

เธออ่านหนังสือน้อย ป่าปี้คุณอย่าหลอกเธอเลย

เยี่ยจิงเฉินไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่หยิบเสียงที่บันทึกไว้ออกมาอย่างสง่างาม

“ว่าว……สุด……สุดหล่อ คืนวันนี้คุณต้องถูกฉัน……เลี้ยง……เลี้ยงดู คุณย่าฉันโครต……โครตจะมีเงินเลย ฉันอยากจะเลี้ยงดูคุณ”

“เธอคิดจะใช้เงินกี่บาทมาเลี้ยงดูฉัน?”

“ยี่สิบ……ล้าน”

“คืนวันนี้……คุณ……คุณจะต้องเป็น……ของฉัน”

“ได้สิ”

เรื่องจริงมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว

แย่แล้วแย่แล้ว……คืนเมื่อวานเธอทำอะไรลงไปบ้างเนี่ย?

ยิ่งกว่านั้นเธอไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหนกัน อยู่ต่อหน้าป่าปี้ที่มีรวยมากขนาดนี้แล้วไปพูดว่าตัวเองมีเงินได้ยังไงกันนะ?

แล้วก็ป่าปี้ ทำไมคุณถึงมาอัดเสียงเธอได้ทันเวลาขนาดนี้กันล่ะ?ชำนาญเหมือนกับตำรวจอาชญากรรมนานาชาติเลยนะ?

“เอ่อ……”จริงๆแล้วมันเป็นเธอที่เป็นฝ่ายผิด“นั้นเป็นเพราะว่าฉันดื่มไปเยอะแล้ว คนเมาพูดอะไรก็อย่าถือสาเลยคะ”

ทำสีหนเศร้า พูดจาเหลวไหล เดิมที่เธอไม่เคยคิดเลย……เธอนานๆครั้งถึงจะคิดเท่านั้น(ชี้มือไปด้วย)

แต่ว่าเธอไม่ยอมรับหรอก เพราะปกติแล้วเธอเองก็จิตนาการถึงป่าปี้

“คือว่า ลืมคำพูดเมื่อวานไปเถอะ”

“คำพูดที่ฉันพูดไป ไม่เคยเชื่อถือได้หรอก”

ป่าปี้ คุณไม่เอาหน้าไว้หน่อยเหรอ?

คุณพูดโกหกออกมาได้หยิ่งขนาดนี้เลยเหรอ ไม่กลัวฟ้าผ่าเหรอ?

“แต่ว่าคืนเมื่อวานฉันไม่ได้ทำอะไรเลย คุณคืนเงินให้ฉันเถอะ”

“หรือว่านี่ตอนที่คุณไปทานข้าวที่ร้านอาหาร หลังจากสั่งาหารแล้ว พอไม่อยากทาน จะให้ร้านอาหารคืนเงินให้เธอเหรอ?”

นี่เป็นเหตุผลเหรอ?นี่มันใช่เหรอ?

คุณเป็นประธานที่มีเงินล้นฟ้า เอาตัวเองกับร้านอาหารมาเทียบกัน แบบนี้มันใช่ลูกผู้ชายเหรอ?

“ใช่สิ”ถังซินเหยาพูดอย่างไม่ไว้หน้า

แย่แล้ว ไม่ใช่ว่าต้องรักษาหน้ากันบ้างหน่อยเหรอ?

“แต่ว่ายังไงฉันก็จะทำ”เยี่ยจิงเฉินพูดพาลออกมา“ดังนั้นเธอก็อย่าได้หวังเลย”

ดังนั้นเมื่อวานเธอก็เกือบเอาตัวเองไปสลบคาบนโต้ะเหล้าแล้ว ผลสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเหรอ?

“อ้อ……ใช่สิ พอพูดแบบนี้แล้ว เธอยังติดฉันร้อยแปดสิบล้านนะ”เยี่ยจิงเฉินเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้าขึ้นมาพูดกับถังซินเหยา

“ทำไมล่ะ?”ถังซินเหยาแทบจะกระอัก

“เพราะว่าเธอรับปากว่าจะให้ฉันยี่สิบล้าน แต่ว่าในซองอั่งเปานั้นมีแค่สองล้านเอง ที่เหลือฉันก็คงไม่ต้องอธิบายแล้วเนาะ”

“ฉันมันรับปากไปอย่างนั้น ยิ่งกว่านั้นก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ได้สติ แบบนี้ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายหรอกนะ”

“อ๋อ”เยี่ยจิงเฉินพยักหน้า ถามกลับไปว่า“แต่ว่าจะมีใครพิสูจน์ได้ว่าตอนนั้นเธอไม่ได้สติ?”

เธอลองคิดดู ก็พบว่าก็จริงว่าไม่มีใครพิสูจน์ได้ หรือว่าพูดได้ว่าไม่มีคนยอมที่จะช่วยเธอพิสูจน์หรอก

ในตอนนั้นคนที่อยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่คนเก่ง ใครจะมายอมช่วยกับเลขาแค่คนเดียว หรือว่าเงินเล็กๆน้อยๆแค่สองล้านแถมยังทำให้ประธานใหญ่เยี่ยหวางไม่พอใจกันนะ?

ไร้ยางอาย นี่จะไร้ยางอายมากเกินไปแล้วนะ

ป่าปี้ คุณเลวขนาดนี้ ยังจะมีเหตุผลอีก เดิมทีเธอไม่เคยต้องมาพ่ายแพ้ เจ็บใจอย่างพูดไม่ออก

เป็นไปตามที่คิดว่าประธานใหญ่รวยแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะมาแตะต้องได้ง่ายๆ ผลของการสบประมาทจากการเพ้อฝันกับประธานใหญ่นั้นก็ได้ดับลง

ป่าปี้เป็นประธานที่มีเงินสูงถึงพันล้าน คิดไม่ถึงเลยว่าแค้เงินสองล้านก้ปล่อยไปไม่ได้ นี่มันใช่เหรอ?

ทุกๆนานทีของป่าปี้สามารถใช้เงินห้าล้านไปกำจัดผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ เป็นการพาลที่สูงส่งของประธานใหญ่?

“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?”เยี่ยจิงเฉินกัดปาก เงินหน้าขึ้นไปพูดกับถังซินเหยา

“ไม่……ไม่มีแล้วค่ะ”เธอพูดไม่ออก

จะเป็นไปได้ยังไงที่ว่ามี?เงินสองล้านของเธอ สองล้าน

พอให้เธอซื้อไปโฟน6แล้ว ผลสุดท้ายก็พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ที่ยิ่งน่าเสียใจกว่าก็คือ ตอนนี้เธอไม่มีความหวังที่จะได้ยี่สิบล้านนั้นคืนแล้ว เธอยังจำได้ว่าเรื่องคำอธิษฐานสองร้อยล้านนั้นป่าปี้เพียงแค่แกล้งเธอเท่านั้น อย่าคิดเป็นจริงเด็ดขาด

ถ้าไม่อย่างนั้น เธอก็คงต้องติดหนี้ก้อนโตไปหนึ่งร้อยแปดสิบล้าน เธอสามารถเก็ยข้าวของพาลั่วหลิงกับเค่อหลาน กลับไปหลบอยู่ที่ต่างประเทศได้อีกด้วย

ถังซินเหยารู้สึกไม่ดีเลย ถ้ารู่ว่าจะเจอแบบนี้เธอคงจะใช้เงินสิบล้านซื้อรักแรกของเธอ ก็จะยิ่งทำให้แย่ลง

โอ้ยโอ้ยโอ้ย……จบกันจบกัน

ความลับของเธอจะมีคนรู้แล้ว ป่าปี้ต้องมาเห็นเค่อหลานกับลั่วหลิง จะรู้ว่าพวกเขาเป็นลูกของตัวเองไหมนะ?

ทำไมพระเจ้าต้องมาโหดร้ายกับเธอแบบนี้ทำไมต้องทำกับผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ด้วย?

เธอสามารถรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายมาจากบนโลกใบนี้

“ใช่แล้วค่ะใช่แล้ว ในบ้านของฉันมีความลับที่บอกไม่ได้อยู่”ถังซินเหยาเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว“ดังนั้นประธานเยี่ยได้โปรดปล่อยมันไปเถอะนะคะ คุณรีบไปก่อนเถอะค่ะ ผู้ชายที่ดูดีแบบคุณ ฉันไม่อยากจะทำร้ายคุณจริงๆ”

รีบไปเถอะป่าปี้ ฉันขอล่ะ

ถ้าเป็นตามปกติแล้ว ตามความหลักแหลมของถังซินเหยาแล้วนั้น ยังไงก็ไม่ให้เกิดการกระทำที่โง่เขลาแบบนั้นหรอก

ถ้าเกิดว่าป่าปี้ชอบเค่อหลานกับลั่วหลิงมากจนอยากจะมาแย่งเธอไปจะทำยังไรดี?เธอจะไม่ปล่อยไว้แน่นอน แต่ว่าเธอไม่ได้มีเงินเท่าป่าปี้ อำนาจก็สู้ป่าปี้ไม่ได้ เธอต้องสู้กับป่าปี้ไม่ได้แน่เลย

ถ้าเกิดว่าป่าปี้ไม่ชอบเค่อหลานกับลั่วหลิงล่ะ จะไปทำร้ายจิตใจของเด็กทั้งสองคนไหมนะ?

มีเสียงเปิดประตูออกมา

ก็……ไม่……ทันแล้ว

เธอไม่ทันได้คิด ทันใดนั้นก็ยื่นมือเข้าไปกอดเอวของเยี่ยจิงเฉินไว้ มืออีกหนึ่งข้างก็ไปปิดตาของเยี่ยจิงเฉิน

“ห้ามมองนะคะ”เธอใกล้จะหมดหวังแล้ว

เยี่ยจิงเฉินยืนมือไปกุมมือของถังซินเหยา และดึงเอามือเธอลงมา

เห็นเงาในประตู เยี่ยจิงเฉินยักคิ้วค่อนข้างมาก ถามว่า“นี่เป็นความลับที่เธอไม่อยากให้ฉันเห็นเหรอ?ไหนยังวางแผนจะฆาตกรรมฉันอีก?

ถังซินเหยาก็หมดหวังไปแล้ว เธอไม่มีความกล้าที่จะไปเผชิญกับโลกนี้แล้ว

ทำยังไงดีนะ รู้สึกว่ายังไงก็จะไม่รักแล้ว

เธอเอาหัวไปกลบอยู่ที่หน้าอกของเยี่ยจิงเฉิน ยิ่งแล้วไปกว่านั้น ก็ตอบไปอย่างไม่สบายใจว่าอืม

ป่าปี้เป็นคนชอบทำให้เรื่องเป็นเรื่องใหญ่ตามคาด เผชิญกับเรื่องแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเงียบได้ขนาดนี้

หรือว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นพ่อของลั่วหลิงกับเค่อหลานกัน?

“พวกเธอยังคิดจะยืนกอดกันตรงหน้าประตูนี้อีกนานไหม เดี๋ยวอีกไม่นานก็เลิกกัน”น้ำเสียงทีไพเราะสดใส นำพาความความไม่ไว้วางใจมาเล็กน้อย

เสียงนี้มันดูค่อนข้างคุ้นเคย ไม่น่าจะใช่เสียงของลั่วหลิงและเค่อหลาน

ถังซินเหยารีบหันหน้าไปทันที หลังจากนั้นก็เห็นหน้าขาวซีดอยู่

“บ้าไปแล้วเหรอ”เธอร้องโหยหวนในขณะที่ไปกอดอยู่ที่เอวของเยี่ยจิงเฉิน

คิดไปคิดมาถ้าหากตายไปมีป่าปี้ที่หล่อจนถึงขั้นไม่มีเพื่อนที่จะอยู่ข้างๆ ดูเหมือนกันว่าไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้

ผู้หญิงคนนั้นก็ดึงมาร์กหน้าออก มองไปที่ผู้หญิงที่ใสซื่อไรเดียงสาที่อยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยจิงเฉิน(เธอตาบอดเหรอ?เธอกำลังทำท่าแอ๊บแบ๊วอยู่?)พูดอย่างไร้อารมณ์“เสียงดังอะไร หนวกหู หุบปากเลยนะ”

ถังซินเหยาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นกับหน้าที่สวยงามของชีชี

“ชีชี เธอกลับมาแล้วเหรอ ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้ว”ถังซินเหยาไม่เคยรู้สึกว่าหลัวเหยียนฉีน่ารักขนาดนี้มาก่อน

“ออกไป”หลัวเหยียนฉีพูดออกมาอย่างมีระดับ

ถังซินเหยาก็ไม่ได้ไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนมีชีวิตรอดกลับมาอีกครั้ง เธอแทบจะยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ

“ประธานเยี่ย วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคะที่คุณมาส่งฉัน ตอนนี้ฉันถึงบ้านแล้ว คุณอยากเข้าไปไหม?”ถังซินเหยาที่ถามก็ค่อยๆออกมาจากอ้อมกอดของเยี่ยจิงเฉินอย่างทำตัวไม่ถูก

เยี่ยจิงเฉินเห็นท่าทางของถังซินเหยาเมื่อครู่นี้รู้สึกว่าน่าสงสัยมาก การกระทำของเมื่อกี้แค่หยอกเล่นเอง แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าเป็นการลองเชิงดู

ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังคงสงสัย แต่ว่าพอนาทีที่เห็นสีหน้าของถังซินเหยาที่ปล่อยมือนั้น เขารู้สึกเศร้าอีกด้วย

“ไม่เป็นไร บริษัทยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอยู่ วันนี้ลำบากเธอมามากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างนิ่งๆ

เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าไอ้นี่บอกว่าไม่ยุ่งไม่เหรอ?

ป่าปี้ คุณเป็นประธานของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ เป็นแบบนี้ทำกับคนอื่นแบบไหนคนอื่นก็จะทำแบบนั้นตอบ เปลี่ยนคำสั่งไปๆมาๆ ไม่กลัวจะโดนยึดตำแหน่งเหรอ?

ปิดประตูไปแล้ว ถังซินเหยาพิงอยู่ที่ประตูไหลลงมาจากประตูอย่างไร้เรี่ยวแรง

ความรู้สึกของเธอเมื่อกี้นี้เหมือนกับกำลังเล่นบันจี้จั้มอยู่ ตั้งใจที่จะกระตุ้นเธอ

หลัวเหยียนฉีกอดอกอยู่ มองถังซินเหยาอย่างเยาะเย้ย ถามว่า“ทำไม?ป่าปี้ของลั่วหลิงกับเค่อหลานกลับมาจากดาวอังคารแล้วเหรอ?”

พอสีหน้าของถังซินเหยาหยุดชะงักไป ชีชีเกลียดมากๆเลย ไม่น่าพูดถึงเลยจริงๆ(เมื่อครู่นี่ใครเป็นคนพูดกันว่าชีชีน่ารักนะ?ผู้หญิงช่างพูดคนนี้)

“อะไรกัน เธอพูดอะไรนะ?ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย”

“อย่างงั้นก็ได้ งั้นฉันไปถามลั่วหลิงกับเค่อหลานก็ได้”

ถังซินเหยาไปกอดขาของหลัวเหยียนฉีไว้แน่น เกือบจะร้องไห้แล้ว“ขอร้องอย่าถามเลย ตกลงตกลง จริงๆแล้วคนนั้นก็เป็นคุณลุงของลั่วหลิงกับเค่อหลาน จริงๆแล้วป่าปี้ของพวกเขาเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว ฉันกลัวว่าตระกูลของป่าปี้จะมาแย่งเด็กๆไปจากฉัน ดังนั้น……”

“ชีชี คุณต้องช่วยฉันเก็บเป็นความลับนะ”ถังซินเหยารู้สึกขมขื่นมาก คิดไปถึงตอนที่ดูละคร“ฉันกับพ่อของเด็กรักกันมากจริงๆ แต่ว่าเพราะฐานะของฉันมันต่ำต้อยเกินไป ดังนั้นเลยไม่บอกเรื่องนี้กับใคร เขาบอกให้ฉันรอเขาสองปี รอให้เขาออกมาจากวงศ์ตระกูลได้ พวกเราก็จะไปแต่งงานกันที่ต่างประเทศ แต่ว่ะหว่างพวกเรานั้นมันเป็นไปไม่ได้แล้ว ฉันไปเรียนต่างประเทศ เขาก็มาเที่ยวหาฉัน”

“ตอนที่จากกันนั้น เขาพูดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะแยกจากกัน หลังจากนี้เราจะอยู่ด้วยกัน เธอให้ฉันรอที่บ้านรอเขากลับมา แต่ผลสุดท้ายเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ฉันคิดว่าตัวเองยังไงก็อยู่ไม่ได้แน่ๆ แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่าในเวลานั้นฉันกลับไปตรวจมาว่าตั้งครรภ์ เพื่อลูกแล้ว ฉันก็ต้องคลอดออกมา เมื่อครู่ที่เธอเห็นคุณลุงของเด็กๆ ที่ผ่านมานี้พวกเราพวกเราก็ล้วนไม่รู้การมีชีวิตอยู่ของเด็กๆ”

“ตระกูลเขาพวกเขานั้นใหญ่มาก ฉันกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีลูก คงจะยึดเอาลูกไป ดังนั้นฉันเลยไม่สามารถให้เขาเจอกับเด็กๆได้ ฉันใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง วันนี้ถ้าไม่เป็นเธอ ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องเสียลูกไปแล้วจริงๆ ฮือฮือฮือฮือฮือ ชีชี เธอเข้าใจฉันใช่ไหม?”

“ฉันไม่กล้าบอกกับลั่วหลิงและเค่อลหานมาโดยตลอดว่าป่าปี้ของพวกเขาไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเลยโกหกพวกเขาไปว่าป่าปี้ของพวกเขาไปดาวอังคารแล้ว ฉันอยากให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ รอพวกเขาโตขึ้นกว่านี้ ฉันค่อยบอกความจริงกับพวกเขา”

แย่แล้วสิ หลังจากพูดจบ เธอเองนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเลย

เธอเป็นผู้หญิงที่เยี่ยมยอดมากและยังเป็นแม่ที่ดีเลิศอีกด้วย

เพื่อคนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอเลี้ยงลูกทั้งสองคนมาอย่างดี

วันนี้เธอถึงจะพบว่า เดิมทีนั้นเธอไม่เพียงแต่หน้าตาน่ารัก สมองก็ดี และยังเป็นผู้เขียนบทละครฝีมือดีอีกด้วย

ถ้าหากว่าเธอสามารถเป็นผู้เขียนบทได้ คาดว่าละครครอบครัวทุกเรื่องก็คงจะเป็นที่น่าพอใจ

หลัวเหยียนฉีมองที่ถังซินเหยาอย่างรอบคอบ พูดอย่างสงสัยว่า“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเธอมีประสบการณ์ชีวิตมากมาย มีความรู้สึกเคยเจออมาก่อน เหมือนกันว่าเคยมีใครบอกมา”

“ฮือฮือฮือ……”มองไปที่ถังซินเหยาก็รู้ว่าซวยแล้ว นางเอกของละครเรื่องนั้นก็คือเด็กสาวก๋ากั่นที่อยู่ใต้มือของหลัวเหยียนฉีนั้นเอง เป็นนักเศรษฐศาสตร์ยังก็รู้สึกได้ว่าต้องเคยเจอมาก่อน“พูดถึงพ่อของลูก ฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยใจมาก รู้สึกว่ายังไงก็จะไม่รักอีกแล้ว ฉันไปนอนพักผ่อนก่อนนะ ปวดหัวมากเลย”

“เธอแค่เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่คุ้มค่าที่ประธานหลิวจะสรรเสริญยกย่องแบบนี้หรอก”สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินเย็นชาไปสักพักหนึ่ง เหมือนกับมีสายตาที่ลึกซึ้งจับจ้องมา นาทีนั้นก็ยิ่งทำให้เงียบ“ยิ่งกว่านั้นผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ข้างประธานก็ลุกขึ้นมา ก็ไม่หลีกให้

ประธานหลิวเห็นเยี่ยจิงเฉินก็ดึงไปมู่ชิงไว้ข้างหลังอย่างแนบแน่น รอยยิ้มบนหน้าก็ค่อยๆจางหายลงไป

มีคนดีมาทำให้สถานการณ์แย่ลง พูดว่า“ฮ่าฮ่า ประธานเยี่ยไม่เพียงยังวัยรุ่น แต่ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนที่ตกหลุมรักอีก แม้แต่ว่าจะหาเลขา ก็ดูเหมือนว่าคุณลู่ก็ตรงกลับที่เป็นอยู่นะ

เดิมทีก็ไม่ได้สังเกตอยู่แล้ว ผลสุดท้ายเขาก็พูดว่า ค่อยดูว่าผลสุดท้ายแล้วจะใกล้เคียงกันไหม

เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาด้วยสายตาที่ลึกซี้งอยู่แวบหนึ่ง แล่กลับไม่ได้ปฏิเสธ

ถังซินเหยาโดนสายตาพิฆาตของเยี่ยจิงเฉิน ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที

พอประธานหลิวได้ยินแบบนี้แล้ว ก็กลับรู้สึกโล่งใจ

ก็ผู้ชายเนาะ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีที่มีฐานะแบบพวกเขา ก็มักจะน่าหวงมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าเลขาคนสวยนี้จะไม่ใช่ว่าที่ภรรยาของเยี่ยจิงเฉิน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจะไม่ให้ผู้ชายหน้าไหนมาแตะต้องว่าที่ภรรยาในอนาคตของตัวเองได้

เรื่องนี่ก็ได้เปิดโปงออกไป แต่ก็ไม่มีใครออกความเห็นกับถังซินเหยาแล้ว

ขณะที่กำลังจะออกไปจากโรงแรมนั้น ถังซินเหยารู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังล่องลอย รู้สึกไม่สบายตัว ราวกับว่าตัวจะลอยขึ้นมา

ขณะที่กำลังจะออกไปจากโรงแรมนั้น ถังซินเหยารู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังล่องลอย รู้สึกไม่สบายตัว ราวกับว่าตัวจะลอยขึ้นมา

ทั้งร่างกายของเธอเหมือนกับกินอะไรผิดเข้าไป ไม่สามารถหยุดตัวเองได้

เธอหยิบอั่งเปาออกมาจากในกระเป๋า หลังจากนั้นก็หยิบเช็คออกมา

ศูนย์หนึ่งตัว ศูนย์สองตัว ศูนย์สามตัว ศูนย์สี่ตัว ศูนย์ห้าตัว รวมแล้วมีศูนย์ทั้งหมดตั้งห้าตัว

อึก……ศูนย์ห้าตัวนี่มันเท่าไหร่กันนะ

เหมือนจะสอง……ไม่สิ……เหมือนจะเป็นยี่สิบล้านนะ

“ฉันรวยแล้ว ฮิฮิ ยี่สิบล้าน”หางตาของถังซินเหยาแสดงถึงความพอใจมาก ดูแล้วเหมือนกับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

เธอหันหัวไปมองเยี่ยจิงเฉินแวบหนึ่ง พบว่าผู้ชายคนนี้หล่อมากจนไม่น่าจะมีเพื่อน

“อ้อ……”เธอเข้าไปใกล้ๆหนานกงเฉิน ทั้งร่างกายของเธอก็อยู่บนตัวของเยี่ยจิงเฉิน“สุด……สุดหล่อ คืนนี้คุณโดนฉัน……รวบ……รวบแน่ๆ คุณย่าฉันเป็น……เป็นคนรวยมากๆ ฉันอยากเลี้ยงดูคุณ”

เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้วเพราะแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่านางแมวป่าคนนี้อยากจะเลี้ยงดูเขา?

เขามองถังซินเหยาด้วยท่าทางที่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยอยู่ในใจ

ยื่นมือไปจับคางที่สวยเซ็กซี่ของถังซินเหยา เอานิ้วเรียวยาวนั้นค่อยๆลูบไล้ไปที่หน้าอันแสนจะเรียวเล็กของเธอ ใช้เสียงทุ้มต่ำที่แสนจะเซ็กซี่พูดว่า“เธอคิดว่าจะใช้กี่บาทมาเลี้ยงดูฉัน?”

ถังซินเหยาก็สะอึกขึ้นมา ได้กลิ่นหอมที่เย็นของป่าปี้ อยู่ตรงข้ามกับหน้าที่หล่อเหลาไปหมดทุกมุม เธอเมามากกว่าเดิมอีก

“ให้……ให้คุณยี่สิบล้านเลย…….อึก”ถังซินเหยาสะอึกอีกครั้ง

สองร้อย?เยี่ยจิงเฉินทำหน้ายุ่ง หรือว่าเขามีค่าแค่นั้นเองเหรอ

“สิบล้าน”ถังซินเหยาพูดเสริมออกมา

ยี่สิบล้าน?

ยัยคนรวยหลงตัวเองนี่ ไม่นึกเลยว่าเธอจะใช้เงินยี่สิบล้านมาเลี้ยงดูเขา?

คิดไปคิดมา เยี่ยจิงเฉินรู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองดีแลกๆอย่างคิดไม่ถึง(ถานะทางสังคมของป่าปี้ก็เป็นประธานที่รวยเป็นร้อยๆล้าน แต่มาโดนเงินยี่สิบล้านที่อยากจะซื้อเขาไปเลี้ยงดูรู้สึกว่ามีอะไรน่าดีใจนะ?)

ดูแล้วนางแมวป่าคนนี้นี้เมาจริงๆแล้ว

“คืนนี้……คุณ…….คุณเป็นของ…….ฉันแล้ว”ถังซินเหยายื่นมือเข้าไปดึงเนคไทที่ของเยี่ยจิงเฉิน พูดกับเยี่ยจิงเฉินอย่างรุนแรง

“ได้สิ”เยี่ยจิงเฉินกัดปากกัดแล้วกัดอีก พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เซ็กซี่

พอคนขับรถรู้สึกว่ามือของตัวเองสั่นนั้น รถราคาประมาณร้อยล้านก็ขับขึ้นไปอยู่ที่บนถนนสายเอสอย่างแพรวพราว

ถังซินเหยาโดนแรงกระแทกของรถจนไปล้มอยู่บนตัวของเยี่ยจิงเฉิน

เยี่ยจิงเฉินยื่นมือไปจับตัวที่เซไปเซมาของถังซินเหยา ได้กลิ่นที่คุ้นชิน ถังซินเหยาทำเสียงจุ๊ปาก หลังจากนั้น…….ก็นอนหลับไปแล้ว

เขาดึงถังซินเหยาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน ทำหน้าอย่างไรอารมณ์บอกกับคนขับรถว่า“ขับรถไปดีๆ”

“ครับครับ”คนขับรถรีบพยักหน้าทันที

เขาเช็ดเหงื่อที่บนคาง ในใจคิดว่า จุ๊จุ๊ ระหว่างเลขากับประธานยังไงก็ต้องมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน

“ประธานเยี่ย ตอนนี้ให้กลับบ้านเลยใช่ไหมครับ?”คนขับรถถามอย่างไม่มองมา

มือที่เรียวยาวของเยี่ยจิงเฉินไปจับที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของถังซินเหยา สายตาที่ลึกซึ้งและการกระทำที่อ่อยโยน

“งั้นไปส่งคุณถังกลับบ้านก่อนแล้วกัน”เขาพูดไปในขณะที่จับจมูกอยู่

วันนี้ถึงแม้ว่าถังซินเหยาจะดื่มหนัจนอ้วกขนาดนี้ แต่ว่ากลับไม่มีรับอะไรเลย คุยรายละเอียดอะไรกันก็ไม่น้อย เขาต้องการที่จะกลับบริษัทในคืนนั้นเลยเพื่อไปจัดการให้เรียบร้อย เขาจะได้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานของเยี่ยหวางได้อย่างมั่นคง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเป็นคุณชายรองของตระกูลเยี่ย

มาถึงเขตบ้านของถังซินเหยา คนขับรถก็ไปเปิดประตูรถ

“ประธานเยี่ย เดี๋ยวผมส่งคุณถังกลับเองครับ”คนขับรถกำลังจะไปอุ้มถังซินเหยาที่เมาออกมาจากอ้อมกอดของเยี่ยจิงเฉิน

เยี่ยจิงเฉินกลับอุ้มถังซินเหยาออกมา พูดว่า“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

“บ้านเธอเลขที่เท่าไหร่?”เยี่ยจิงเฉินตีที่หน้าของถังซินเหยาอยู่ในลิฟต์ถาม

ถังซินเหยาเอาหน้าฟุบอยู่ในอกของเยี่ยจิงเฉิน พูดออกมาอย่างคลุมเครือ“เลขที่1992”

พอเสียงลิฟต์ดัง ถังซินเหยาก็ลืมตาขึ้นมามองแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น นี่มันทางกลับบ้านก็สบายใจขึ้นมาเลย และก็หลับตาลงไปนอนต่อเหมือนเดิม

ได้กลิ่นหอมเย็นๆมาอ่อนๆ หอมจริงๆเลย

ถึงแม้จะเมาไปแล้ว เธอก็ยังคงรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นนั้น

นาทีที่ถังซินเหยามีสติตื่นขึ้นมาแล้ว ตอนที่ลืมตาขึ้นมานั้น เยี่ยจิงเฉินก็กดเสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูบ้านเธอแล้ว

ไฟในบ้านยังสว่างอยู่เลย งั้นก็แสดงว่าในบ้านยังมีคนอยู่

ถังซินเหยามองป้ายเลขที่บ้านของเธอ และยังมองภาพฝันที่ผู้ชายที่อุ้มเจ้าหญิงอยู่ ก็ตกใจมากจนใจแทบจะวาย

หรือว่านี่เธอลืมตาขึ้นมาไม่ถูกวิธีเหรอ ทำไมป่าปี้ถึงมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธอ ไหนจะมากดกระดิ่งหน้าบ้านอีก

จากที่เมาก็มีสติขึ้นมาเลย มองไปที่ไฟ มองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยความกังวล“คือว่า……ประธานเยี่ย ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

เยี่ยจิงเฉินก้มหัวลงไปมองถังซินเหยาแวบหนึ่ง ทำหน้านิ่งอย่างไร้อารมณ์ เขาพูดอย่างเย็นชาว่า“ส่งเธอกลับบ้านไง”

“อ้อ นี่ถึงแล้วค่ะ”ถังซินเหยามองเยี่ยจิงเฉิน รีบจนตาแดงไปหมดแล้ว“คุณปล่อยฉันเถอะค่ะ วันนี้ก็ดึกมาแล้ว ฉันคงไม่ให้ประธานเยี่ยเข้าไปแล้วนะคะ ประธานเยี่ย คุณคงจะยุ่งมากๆ ฉันถึงแล้วด้วย ปลอดภัยดี คุณไปธุระของคุณเถอะค่ะ”

เยี่ยจิงเฉินต้องปล่อยถังซินเหยาแต่โดยดี เขาก็จัดชุดสูทของเขาให้เรียบร้อย“ฉันไม่ได้ยุ่งอะไร”

คุณอย่ามาโกหก ฉันรู้ว่าคุณยุ่งจะตาย

เธอเป็นเลขาชั่วคราวของเยี่ยจิงเฉิน เธอรู้ดีกว่าใครว่าเจ้านายใหญ่นั้นยุ่งมากแค่ไหน

นี่ก็เป็นความสามารถของเยี่ยจิงเฉินจะรับมือได้กับสถานการณ์นี้ ถ้าหากไม่มีความสามารถขนาดนั้น ทุกๆนาทีคงจะต้องโดนกดดันอย่างมากเจียนจะตาย?

“งั้นก็ถือว่าไม่ยุ่ง งั้นวันนี้ประธานเยี่ยเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยังไงก็รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”ถังซินเหยายืนพูดอย่างยิ้มแย้มอยู่ที่หน้าประตู

เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาอย่างละเอียดอยู่แวบหนึ่ง ถามว่า“ทำไม?ในบ้านของเธอมีความลับอะไรที่ฉันห้ามรู้เหรอ?”

คุณอยู่เป็นผู้ชายเงียบๆไปไม่ได้เหรอ อย่ามาฉลาดแบบนี้ได้ไหม?

“ไม่มี?งั้นมีความลับอะไรที่บอกฉันไม่ได้ล่ะ”

ในนาทีนั้นประตูเปิดออก มีคนมาเปิดประตู……

รู้สึกว่าคำพูดของจิงเฉินครั้งนี้มันดูมีมูลสารเยอะอยู่นะ

"วันนี้จิงซิงออกจากโรงพยาบาล งานท่วมหัวอย่างไอ่แก่นั่นก็สามารถเจียดเวลาออกไปรับลูกชายเขาได้ ในตระกูลเยี่ยนี้ มีแค่เขาแหละที่มีสิทธิพิเศษแบบนี้" เมื่อจิงเฉินพูดจบ ก็ดื่มเหล้าที่อยู่ในมืออึกเดียวหมดแก้ว

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าว แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงด้านในของป๊ะป๋ามันมีความทุกข์ขมขื่นซ่อนไว้อยู่

หรือป๊ะป๋าจะเป็นประธานที่ขาดความรักความอบอุ่น?

"คือว่า….." ซินเหยามีความลังเลก่อนจะถามขึ้นว่า "เงินหนึ่งล้านนี้เป็นค่าปิดปากฉัน แล้วค่าที่ฉันดื่มเหล้ากับคุณเมื่อกี้ล่ะคะ?"

จิงเฉินหันมามองเธอและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "แล้วที่ฉันเป็นคนเอาเงินมาให้เธอจากไอ่แก่นั่นมันไม่ใช่ค่าตอบแทนหรอ?"

ป๊ะป๋า ทำไมคุณหน้าหนาจริงๆ?

นี่มันเป็นเงินที่ท่านประธานใหญ่ให้ ถึงแม้จะไม่ใช่คุณเป็นคนเอามาให้ ก็ต้องมีคนอื่นเอามาให้อยู่ดี

งั้นแสดงว่าป๊ะป๋าไม่ทำตามที่พูดไว้สิ?

ผู้ชายตระกูลเยี่ยมันขี้งกถึงขั้นไหนเขียวนะ? รวยซะขนาดนั้น ถ้าเอาเงินทั้งหมดออกมาคงจะเอามาพันรอบโลกได้10รอบ

ผู้ชายตระกูลเยี่ย : …..

ซินเหยาเสียแรงไปเยอะมากกว่าจะส่งจิงเฉินที่เมาหัวราน้ำเดิมโซซัดโซเซถึงบ้าน

เธอให้จิงเฉินเอามือของตัวเอาพาดไปที่ไหล่ของเธอ มือข้างหนึ่งจับไว้มือของจิงเฉินที่อยู่บนไหล่ ส่วนมืออีกข้างก็พาดกอดไปที่เอวอันแน่นแข็งของจิงเฉิน และเดินขึ้นห้องไป

แม่เจ้า ความจริงป๊ะป๋าผอมขนาดนี้เลยหรอ?

ใส่ไว้สูท ไหล่ที่ค่อนข้างเล็ก เรือนร่างและขาที่ค่อนข้างยาว เป็นหุ่นโอปป้าจริงๆ

ทำไมป๊ะป๋าถึงหนักขนาดนี้!?

เหมือนกับกำลังแบกภูเขาอยู่ มันจะทำให้เอวของเธอแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆแล้ว

แม่เอ้ย คราวหน้าถ้าเลิกงานนะ เธอจะปิดมือถือทันที ปิดทันที

ถ้ายังจะรับโทรศัพท์จากเขาอีก ตัดมือทิ้งเลย

กว่าที่จะเอาตัวของจิงเฉินขึ้นไปถึงบนห้องนอนได้นั้นมันไม่ง่ายเลย จากนั้นก็ปล่อยตัวเขานอนราบไปที่เตียง

ทุบนวดไปที่เอวของตัวเอง ซินเหยารู้สึกตัวเองไม่ไหวแล้ว

เน็กไทตอนนี้ของจิงเฉินหายไปไหนไม่รู้แล้ว กระดุม3เม็ดบนก็หลุดออก ทำให้เห็นถึงไห้ปลาร้าและหน้าอกที่สุดจะแน่นและเซ็กซี่เย้ายวน ภาพนี้มันเหมือนกับกำลังบอกให้เธอมาขย่ำเขาเข้าปากยังไงยังงั้น

ซินเหยากลืนน้ำลายลง มองดูอย่างไม่กระพริบตา

เธอเป็นคนที่ควบคุมสีหน้าของตัวเองอยู่ ถ้าท่านประธานฟางเล่นกับเธออีกสักนิดล่ะก็ ไม่แน่ว่ามันอาจจะได้ผลมากกว่าคำพูดหวานๆพวกนั้นก็ได้นะ

เธอได้สติกลับมา ป๊ะป๋านิสัยแย่ขนาดนี้ ถึงจะหล่อขนาดไหนก็ลบล้างนิสัยแย่ๆแบบนั้นออกไปไม่ได้หรอก (ไม่ใช่จ้า ต้องบอกว่าความหล่อสามารถลบล้างนิสัยแย่ๆนั้นได้ต่างหาก)

เธอถอดรองเท้าป๊ะป๋าออก และห่มผ้าผืนบางๆให้เขา

และพุ่งตรงไปที่ครัวทำน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง มันช่วยส่างเมาได้

ป๊ะป๋ารวยขนาดนี้ ทำไมไม่จ้างคนรับใช้มาคอยรับใช้เหมือนในละครล่ะ? ถ้าเป็นอย่างงั้นครั้งหน้าถ้าเธอมาเธอคงไม่ต้องทำเรื่องพวกนี้ไปแล้ว

"ท่านประธานคะ ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งนี้หน่อยค่ะ" เธอเรียกจิงเฉินให้ตื่นขึ้นและพูดต่อว่า "ดื่มเถอะค่ะ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว"

จิงเฉินที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็อ้าปากออก และดื่มลงไป

หลังจากดื่มก็ได้สติกลับมา

หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาและเอนตัวไปที่หัวเตียง

"เมื่อกี้คือน้ำอะไร?" เขาขมวดคิ้วและถาม

"น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งค่ะ มันช่วยส่างเมาได้ ตื่นมาก็จะไม่ปวดหัว" พูดจบเธอก็วางแก้วไปที่บนหัวเตียง

จิงเฉินยิ้มมุมปากและหัวเราะเบาๆออกมา

หลังจากได้เห็นรอยยิ้มของเขา เธอก็ไปไม่ถูก

ว้าว…..เมื่อกี้เธอเห็นป๊ะป๋าหัวเราะหรอ?

ยิ้มแล้ว มันเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์มาก มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เยาะเย้ยหรือว่ารอยยิ้มที่เย็นชา

หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่าป๊ะป๋าไม่ค่อยยิ้มเพราะงั้นพอยิ้มออกมาถึงได้ดูมีเสน่ห์ขนาดนี้มันมีความรู้สึกเหมือนว่าหิมะละลาย มันเปรียบดั่งในคืนที่มืดมิดมีแสงสว่างเป็นดาวที่กำลังส่องแสงประกายบนท้องฟ้า มันไม่ได้แสบตาเลย แต่มันกลับทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้ต่างหาก

ที่แท้ป๊ะป๋ายิ้มออกมามันก็ดูหล่อซะขนาดนี้เป็นรอยยิ้มที่สามารถล่มชาติล่มเมืองได้จริงๆ

เธอโดนรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของป๊าป๋าสะกดจิตแล้ว

"นี่เธอดูข้อความจากQQเยอะเกินไปแล้วหรือเปล่า? ข้อความพวกนั้นเธอก็เชื่องั้นหรอ? จิงเฉินเพียงแค่หัวเราะเธอออกมาอย่างบริสุทธิ์

แม่เจ้า คนอย่างป๊ะป๋านี่นะที่จะรู้จักQQ

"คุณอย่าดูถูกQQนะ มันมีบทความอีกหลายบทความมากที่เป็นประโยชน์"

ในฐานะที่เธอเป็นสมาชิกเก่าแก่ของQQมานาน เธอรู้สึกว่าจะต้องปกป้องQQสักหน่อย

"ใช่หรอ?"จิงเฉินลูบไปที่หน้าผากของตัวเองตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ

"ปวดหัวหรอ? ให้ฉันนวดให้ไหม?" ซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

หลังจากถามเสร็จเธอก็รู้สึกเสียใจทันที เธอโดนรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของป๊ะป๋ายั่วยวนเข้าให้แล้วสินะ

ปฏิเสธเถอะ ปฏิเสธเร็วเข้า

"ได้สิ" หลังจากพูดจบ จิงเฉินก็นอนลงอย่างเชื่องๆ

ซินเหยานวดเป็นด้วยหรอ? เธอเพียงแต่ใช้มืออันบางเบาของเธอกดลงไปที่หัวของจิงเฉิน ไม่นานลมหายใจของจิงเฉินก็ได้ช้าและเบาลงเหมือนกับว่าเขานอนหลับไปแล้ว ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว เธอก็ขี้เกียจกลับไปด้วย เธอจึงไปล้างหน้าแล้วก็นอนลงข้างๆจิงเฉิน

……

เช้าวันต่อมาตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก ซินเหยาก็ตื่นขึ้นและเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งกลับบ้าน เธอเสียเงินไปหลายร้อย หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบไปบริษัท

ถึงบริษัทอย่างตรงเวลา เพิ่งนั่งลงแป๊บๆยังไม่ทันได้หายใจ หลี่เวยก็พุ่งตรงเข้ามาหาเธอ"เหยาๆที่น่ารัก แสนดี สะสวย บริสุทธิ์ เธอมาลองชิมเชอรี่ที่ฉันซื้อมาเมื่อวานหน่อยสิ

เธอหยิบเชอรี่ออกมาหนึ่งพวง มันแดงสดเหมือนกับสีของเพชรทับทิม ถึงแม้ว่าหากรสชาติจะไม่อร่อย แต่รูปลักษณ์ภายนอกนี้มันก็ชวนให้คนซื้อจริงๆ เชอรี่นี้ล้างมาแล้ว ข้างบนยังมีน้ำเกาะอยู่

"เธอถูกหวยหรอ?" ซินเหยากินไปหนึ่งลูกรสชาติหวานฉ่ำน้ำมาก ตอนนี้ทั้งปากของเธอมีแต่กลิ่นหอมหวานเต็มไปหมด

เธอเคยเห็นที่ตลาดครั้งหนึ่ง เชอรี่นี้โลนึงราคาตั้ง 500 กว่า แต่ยังไม่สดเท่าของหลี่เวยแบบนี้เลย

เพราะงั้นผลไม้นี้คงเป็นของพวกคนรวยกินกันสินะ

"ไม่ใช่ แต่ว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน เมื่อฉันมีของอร่อยแบบนี้ฉันก็ต้องนึกถึงเธอสิ" หลี่เวยยิ้มออกมาอย่างหวานๆ

"โลนึงเท่าไหร่นะ กลับไปฉันก็จะไปซื้อบ้าง" เธอตัดสินใจที่จะซื้อให้ลูกทั้งสองของเธอได้กิน

"นี่มันแพงมาก" ฉันซื้อมาจากต่างประเทศโดยขนส่งทางอากาศ โลนึงก็ต้องอย่างน้อย พันสอง(หยวน) ถ้าเธออยากกินแล้วหล่ะก็ ตรงนั้นฉันยังมีอีก เดี๋ยวให้เธอหมดเลย เธอเอากลับไปได้หมดเลยนะ" หลี่เวยพูดอย่างใจกว้าง

ซินเหยารู้สึกว่าเธอไม่ควรกินเชอรี่นี้อีก เธอรู้สึกว่าวันนี้หลี่เวยไม่ค่อยปกติดี

เธอโดนมนุษย์ต่างดาวสิงร่างไปแล้วหรือไง?

รู้สึกว่าคำพูดของจิงเฉินครั้งนี้มันดูมีมูลสารเยอะอยู่นะ

"วันนี้จิงซิงออกจากโรงพยาบาล งานท่วมหัวอย่างไอ่แก่นั่นก็สามารถเจียดเวลาออกไปรับลูกชายเขาได้ ในตระกูลเยี่ยนี้ มีแค่เขาแหละที่มีสิทธิพิเศษแบบนี้" เมื่อจิงเฉินพูดจบ ก็ดื่มเหล้าที่อยู่ในมืออึกเดียวหมดแก้ว

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าว แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงด้านในของป๊ะป๋ามันมีความทุกข์ขมขื่นซ่อนไว้อยู่

หรือป๊ะป๋าจะเป็นประธานที่ขาดความรักความอบอุ่น?

"คือว่า….." ซินเหยามีความลังเลก่อนจะถามขึ้นว่า "เงินหนึ่งล้านนี้เป็นค่าปิดปากฉัน แล้วค่าที่ฉันดื่มเหล้ากับคุณเมื่อกี้ล่ะคะ?"

จิงเฉินหันมามองเธอและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "แล้วที่ฉันเป็นคนเอาเงินมาให้เธอจากไอ่แก่นั่นมันไม่ใช่ค่าตอบแทนหรอ?"

ป๊ะป๋า ทำไมคุณหน้าหนาจริงๆ?

นี่มันเป็นเงินที่ท่านประธานใหญ่ให้ ถึงแม้จะไม่ใช่คุณเป็นคนเอามาให้ ก็ต้องมีคนอื่นเอามาให้อยู่ดี

งั้นแสดงว่าป๊ะป๋าไม่ทำตามที่พูดไว้สิ?

ผู้ชายตระกูลเยี่ยมันขี้งกถึงขั้นไหนเขียวนะ? รวยซะขนาดนั้น ถ้าเอาเงินทั้งหมดออกมาคงจะเอามาพันรอบโลกได้10รอบ

ผู้ชายตระกูลเยี่ย : …..

ซินเหยาเสียแรงไปเยอะมากกว่าจะส่งจิงเฉินที่เมาหัวราน้ำเดิมโซซัดโซเซถึงบ้าน

เธอให้จิงเฉินเอามือของตัวเอาพาดไปที่ไหล่ของเธอ มือข้างหนึ่งจับไว้มือของจิงเฉินที่อยู่บนไหล่ ส่วนมืออีกข้างก็พาดกอดไปที่เอวอันแน่นแข็งของจิงเฉิน และเดินขึ้นห้องไป

แม่เจ้า ความจริงป๊ะป๋าผอมขนาดนี้เลยหรอ?

ใส่ไว้สูท ไหล่ที่ค่อนข้างเล็ก เรือนร่างและขาที่ค่อนข้างยาว เป็นหุ่นโอปป้าจริงๆ

ทำไมป๊ะป๋าถึงหนักขนาดนี้!?

เหมือนกับกำลังแบกภูเขาอยู่ มันจะทำให้เอวของเธอแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆแล้ว

แม่เอ้ย คราวหน้าถ้าเลิกงานนะ เธอจะปิดมือถือทันที ปิดทันที

ถ้ายังจะรับโทรศัพท์จากเขาอีก ตัดมือทิ้งเลย

กว่าที่จะเอาตัวของจิงเฉินขึ้นไปถึงบนห้องนอนได้นั้นมันไม่ง่ายเลย จากนั้นก็ปล่อยตัวเขานอนราบไปที่เตียง

ทุบนวดไปที่เอวของตัวเอง ซินเหยารู้สึกตัวเองไม่ไหวแล้ว

เน็กไทตอนนี้ของจิงเฉินหายไปไหนไม่รู้แล้ว กระดุม3เม็ดบนก็หลุดออก ทำให้เห็นถึงไห้ปลาร้าและหน้าอกที่สุดจะแน่นและเซ็กซี่เย้ายวน ภาพนี้มันเหมือนกับกำลังบอกให้เธอมาขย่ำเขาเข้าปากยังไงยังงั้น

ซินเหยากลืนน้ำลายลง มองดูอย่างไม่กระพริบตา

เธอเป็นคนที่ควบคุมสีหน้าของตัวเองอยู่ ถ้าท่านประธานฟางเล่นกับเธออีกสักนิดล่ะก็ ไม่แน่ว่ามันอาจจะได้ผลมากกว่าคำพูดหวานๆพวกนั้นก็ได้นะ

เธอได้สติกลับมา ป๊ะป๋านิสัยแย่ขนาดนี้ ถึงจะหล่อขนาดไหนก็ลบล้างนิสัยแย่ๆแบบนั้นออกไปไม่ได้หรอก (ไม่ใช่จ้า ต้องบอกว่าความหล่อสามารถลบล้างนิสัยแย่ๆนั้นได้ต่างหาก)

เธอถอดรองเท้าป๊ะป๋าออก และห่มผ้าผืนบางๆให้เขา

และพุ่งตรงไปที่ครัวทำน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง มันช่วยส่างเมาได้

ป๊ะป๋ารวยขนาดนี้ ทำไมไม่จ้างคนรับใช้มาคอยรับใช้เหมือนในละครล่ะ? ถ้าเป็นอย่างงั้นครั้งหน้าถ้าเธอมาเธอคงไม่ต้องทำเรื่องพวกนี้ไปแล้ว

"ท่านประธานคะ ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งนี้หน่อยค่ะ" เธอเรียกจิงเฉินให้ตื่นขึ้นและพูดต่อว่า "ดื่มเถอะค่ะ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว"

จิงเฉินที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็อ้าปากออก และดื่มลงไป

หลังจากดื่มก็ได้สติกลับมา

หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาและเอนตัวไปที่หัวเตียง

"เมื่อกี้คือน้ำอะไร?" เขาขมวดคิ้วและถาม

"น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งค่ะ มันช่วยส่างเมาได้ ตื่นมาก็จะไม่ปวดหัว" พูดจบเธอก็วางแก้วไปที่บนหัวเตียง

จิงเฉินยิ้มมุมปากและหัวเราะเบาๆออกมา

หลังจากได้เห็นรอยยิ้มของเขา เธอก็ไปไม่ถูก

ว้าว…..เมื่อกี้เธอเห็นป๊ะป๋าหัวเราะหรอ?

ยิ้มแล้ว มันเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์มาก มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เยาะเย้ยหรือว่ารอยยิ้มที่เย็นชา

หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่าป๊ะป๋าไม่ค่อยยิ้มเพราะงั้นพอยิ้มออกมาถึงได้ดูมีเสน่ห์ขนาดนี้มันมีความรู้สึกเหมือนว่าหิมะละลาย มันเปรียบดั่งในคืนที่มืดมิดมีแสงสว่างเป็นดาวที่กำลังส่องแสงประกายบนท้องฟ้า มันไม่ได้แสบตาเลย แต่มันกลับทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้ต่างหาก

ที่แท้ป๊ะป๋ายิ้มออกมามันก็ดูหล่อซะขนาดนี้เป็นรอยยิ้มที่สามารถล่มชาติล่มเมืองได้จริงๆ

เธอโดนรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของป๊าป๋าสะกดจิตแล้ว

"นี่เธอดูข้อความจากQQเยอะเกินไปแล้วหรือเปล่า? ข้อความพวกนั้นเธอก็เชื่องั้นหรอ? จิงเฉินเพียงแค่หัวเราะเธอออกมาอย่างบริสุทธิ์

แม่เจ้า คนอย่างป๊ะป๋านี่นะที่จะรู้จักQQ

"คุณอย่าดูถูกQQนะ มันมีบทความอีกหลายบทความมากที่เป็นประโยชน์"

ในฐานะที่เธอเป็นสมาชิกเก่าแก่ของQQมานาน เธอรู้สึกว่าจะต้องปกป้องQQสักหน่อย

"ใช่หรอ?"จิงเฉินลูบไปที่หน้าผากของตัวเองตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ

"ปวดหัวหรอ? ให้ฉันนวดให้ไหม?" ซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

หลังจากถามเสร็จเธอก็รู้สึกเสียใจทันที เธอโดนรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของป๊ะป๋ายั่วยวนเข้าให้แล้วสินะ

ปฏิเสธเถอะ ปฏิเสธเร็วเข้า

"ได้สิ" หลังจากพูดจบ จิงเฉินก็นอนลงอย่างเชื่องๆ

ซินเหยานวดเป็นด้วยหรอ? เธอเพียงแต่ใช้มืออันบางเบาของเธอกดลงไปที่หัวของจิงเฉิน ไม่นานลมหายใจของจิงเฉินก็ได้ช้าและเบาลงเหมือนกับว่าเขานอนหลับไปแล้ว ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว เธอก็ขี้เกียจกลับไปด้วย เธอจึงไปล้างหน้าแล้วก็นอนลงข้างๆจิงเฉิน

……

เช้าวันต่อมาตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก ซินเหยาก็ตื่นขึ้นและเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งกลับบ้าน เธอเสียเงินไปหลายร้อย หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบไปบริษัท

ถึงบริษัทอย่างตรงเวลา เพิ่งนั่งลงแป๊บๆยังไม่ทันได้หายใจ หลี่เวยก็พุ่งตรงเข้ามาหาเธอ"เหยาๆที่น่ารัก แสนดี สะสวย บริสุทธิ์ เธอมาลองชิมเชอรี่ที่ฉันซื้อมาเมื่อวานหน่อยสิ

เธอหยิบเชอรี่ออกมาหนึ่งพวง มันแดงสดเหมือนกับสีของเพชรทับทิม ถึงแม้ว่าหากรสชาติจะไม่อร่อย แต่รูปลักษณ์ภายนอกนี้มันก็ชวนให้คนซื้อจริงๆ เชอรี่นี้ล้างมาแล้ว ข้างบนยังมีน้ำเกาะอยู่

"เธอถูกหวยหรอ?" ซินเหยากินไปหนึ่งลูกรสชาติหวานฉ่ำน้ำมาก ตอนนี้ทั้งปากของเธอมีแต่กลิ่นหอมหวานเต็มไปหมด

เธอเคยเห็นที่ตลาดครั้งหนึ่ง เชอรี่นี้โลนึงราคาตั้ง 500 กว่า แต่ยังไม่สดเท่าของหลี่เวยแบบนี้เลย

เพราะงั้นผลไม้นี้คงเป็นของพวกคนรวยกินกันสินะ

"ไม่ใช่ แต่ว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน เมื่อฉันมีของอร่อยแบบนี้ฉันก็ต้องนึกถึงเธอสิ" หลี่เวยยิ้มออกมาอย่างหวานๆ

"โลนึงเท่าไหร่นะ กลับไปฉันก็จะไปซื้อบ้าง" เธอตัดสินใจที่จะซื้อให้ลูกทั้งสองของเธอได้กิน

"นี่มันแพงมาก" ฉันซื้อมาจากต่างประเทศโดยขนส่งทางอากาศ โลนึงก็ต้องอย่างน้อย พันสอง(หยวน) ถ้าเธออยากกินแล้วหล่ะก็ ตรงนั้นฉันยังมีอีก เดี๋ยวให้เธอหมดเลย เธอเอากลับไปได้หมดเลยนะ" หลี่เวยพูดอย่างใจกว้าง

ซินเหยารู้สึกว่าเธอไม่ควรกินเชอรี่นี้อีก เธอรู้สึกว่าวันนี้หลี่เวยไม่ค่อยปกติดี

เธอโดนมนุษย์ต่างดาวสิงร่างไปแล้วหรือไง?

“อือๆๆๆ…….” ซินเหยาพุ่งเข้าไปรั้งไว้ที่มือของจิงเฉินและพูดขึ้นว่า “ท่านประธานอย่านะคะ ที่ฉันนิ่งเงียบไปเมื่อกี้ก็แค่ดีใจจนเกินไปที่ได้เข้าใกล้ท่านประธานขนาดนี้อ่ะค่ะ”

เธอเหมือนกวีเถายวนหมิงจริงๆ ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจกิเลส (เห้ออ)

เธอมันเป็นคนที่บูชาเงิน

ถ้าเกิดว่าเธอไม่เอาเงินนี้ เธอต้องทำโอทีถึงตอนไหนล่ะถึงจะได้ขนาดนี้

“ งั้นยังไม่เริ่มอีก นิ่งอยู่ทำไม” หน้าของจิงเฉินที่เต็มไปด้วยความกวนโอ้ย

“งั้นคุณเอาเช็คให้ฉันก่อนสิคะ” ซินเหยายื่นมือออกมา

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจป๊ะป๋านะ เธอแค่ไม่เชื่อใจนิสัยของป๊ะป๋าก็เท่านั้น

เขาเป็นคนหัวหมอเจ้าเล่ห์ขนาดนั้น ถ้าเกิดเธอโดนหลอกฟรีๆล่ะก็ เธอจะซื้อเชือกมาแขวนคอตายหน้าบ้านของเขาเลยคอยดู

คิดไม่ถึงจริงๆว่าป๊ะป๋าจะรวยถึงขั้นที่ทำถึงขนาดนี้ได้

จิงเฉินยื่นเช็คให้เธอในทันที ทำให้เธอรู้สึกถึงว่านี่มันไม่ใช่ความจริงเลย เหมือนเธอฝันไปอยู่

เธอหยิบเช็คใบนั้นมาดูอย่างหน้าระรื่น อ้อ เช็คหนึ่งล้านหยวนถ้วน

“โอเครล่ะ เช็คก็ให้คุณแล้ว ทำตามสัญญาที่บอกเร็วเถอะ”

แม่เจ้า เธอซวยแล้วห

ป๊ะป๋าถึงแม้จะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ก็มีความแบดอยู่นิดๆ

ป๊ะป๋าหล่อถึงขนาดความแบดหายไป รวยถึงขนาดที่ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว

คนอย่างป๊ะป๋าแบบนี้นำหน้าพวกดาราดังเหล่านั้นยี่สิบศัตวรรษแล้ว

คิดไปคิดมา ยังไงเธอก็ได้เปรียบอยู่ดี

ซินเหยาเลือกเหล้าที่ค่อนข้างที่จะแรง จากนั้นนำมาอมไว้ในปากของเธอ เหล้านี้แรงมาก เธอรู้สึกถึงความเผ็ดแสบไปทั้งภายใน

ยื่นมือไปคว้าคอของจิงเฉิน นำพาริมฝีปากของตัวเธอเองให้ไปบรรจบกับของเขา และส่งน้ำรักอันเร้าร้อนนี้ให้กับเขา

เธอสูดดมลมหายใจเข้า ได้เพียงแต่กลิ่นเย็นสดชื่นที่ส่งผ่านมาจากตัวของจิงเฉิน

กลิ่นนี้มันผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ตลบอบอวลไปหมด มันทำให้ลิ้นของเธอมีกลิ่นหอมอ่อนๆหลงเหลือติดมาด้วย

หรอว่าจะเป็นเพราะเหล้ามันแรงเกินไป ตอนนี้เธอรู้สึกเวียนหัวหน่อยๆ เธอเบิกตาของตัวเองให้ใหญ่ขึ้น มองไปที่หน้าอันใกล้ของจิงเฉิน กลับเห็นแต่ความมัวหม่น ตอนนี้เธออาจจะเมาไปแล้วสินะ

อยากจะเอาเหล้าอึกสุดท้ายใส่เข้าไปในปากของจิงเฉิน เเละเอาตัวเองออกมาจากจุดนั้น แต่มันคงจะช้าไปเสียแล้ว……

จิงเฉินยื่นมือไปรั้งไว้ที่คอของเธอ สอดใส่ลิ้นของตัวเองเข้าไปบรรเลงในช่องปากของเธอทุกซอกทุกมุมอย่างเร้าร้อนเผ็ดเดือด ลิ้นของจิงเฉินค่อยๆบรรเลงจากเยื่อบุข้างแก้มซ้ายไปถึงลิ้นและไปทางขวา ตอนนี้ลิ้นของทั้งสองสอดใส่ประสานกันปานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ลิ้นของจิงเฉินได้ละเลงไปทั่วปากของซินเหยา ลมหายใจของทั้งสองสอดประสานกัน ทั้งสองตอนนี้เหมือนจะกลืนกินกันเป็นคนเดียวกันยังไงยังงั้น

ปากของจิงเฉินที่มีกลิ่มเหล้าผสมอยู่กับกลิ่นของนิโคติน แต่ลิ้นทั้งสองก็สามารสอดประสานกันได้อย่างลงตัว และนี่มันเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ของจิงเฉิน

“อ๊ะ…..” มือทั้งสองข้างของซินเหยาที่กำลังวางอยู่บนหน้าอกอันแน่นของจิงเฉิน เสียงอุดอู้ที่ออกมาจากปากของเธอที่กำลังยู้ยี้อยู่นั้นก็ได้ดังขึ้น “พอ……พอได้แล้วค่ะ”

หรือว่าป๊ะป๋าจะเมาจริง? คาดไม่ถึงว่าเธอพูดขอร้องออกมาแล้วป๊ะป๋าจะทำตามคำขอร้อง

สิ่งที่ป๊ะป๋าทำเมื่อกี้เธอรู้สึกถึงลมที่พัดโบกมาจากทิศทางที่แสนไกล ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่ป๊ะป๋ายอมปล่อยเธอ ป๊ะป๋าเปลี่ยนหมอแล้วหรอ? เธอรู้สึกยังมีทางที่จะรักษาโรคร้ายนี้ของป๊ะป๋าได้อยู่

เพราะงั้นสู้ๆนะคะ อย่าหยุดรักษาเป็นอันขาดเลยนะคะ ฮ่าๆ

หลังจากที่ซินเหยาโดนจิงเฉินยำไปขนาดนี้แล้ว ตอนนี้จิงเฉินก็มองไปที่ผลงานของตัวเอง ริมฝีปากที่แดงช้ำ สายตาที่มีความมัวหม่น ปากที่มีน้ำแบบฉ่ำๆ สภาพที่ดูน่าสังเวชจากการถูกรังแกเช่นนี้มันทำให้จิงเฉินมีความสุขขึ้นมาทันที

จิงเฉินหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา และเอนนอนลงบนโซฟา

มันดูเย้ายวนเซ็กซี่มากท่านี้

โลกนี้มันเป็นโลกแห่งความจอมปลอม

เธอรู้สึกถึงความรักอันโหดร้ายที่แผ่ขยายออกมจากป่าอันมืดมิด เธอตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้ของเธอจะไม่รักใครอีก

“เอาล่ะ ไม่แกล้งคุณแล้ว” เสียงของจิงเฉินที่ดูอบอุ่นขึ้นหลายเท่า

เห็นชัดๆว่าแกล้งกันอยู่

เช็คใบนี้ไม่ใช่ของปลอมนะ ป๊ะป๋าคงไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้น่ะ

“เดี๋ยวขับรถส่งผมกลับไปนะ” จิงเฉินพูด

แล้วที่บอกว่ามีคนขับรถล่ะไปไหนแล้ว?

เธอไม่ได้เรียนหนังสือเยอะเท่าป๊ะป๋า ป๋ะป๋าก็อย่าหลอกเธอเลย

ซินเหยาเบิกตาออกให้กว้างที่สุดและมองไปที่จิงเฉิน สายตานี้เหมือนกำลังจะฆ่าเขาให้ได้ยังไงยังงั้น

ในตลาดธุรกิจนี้จิงเฉินก็เป็นหมาป่าที่เจ้าเล่ห์มากตัวหนึ่ง คู่แข่งที่ยากจะเอาชนะได้เขาก็ล้มมาหมดแล้ว กับอีแค่สายตาของซินเหยาที่แสดงออกมาจะไม่รู้หรอว่าเธอคิดอะไรอยู่ (ที่แท้เธอก็อยากให้เขารู้แหละ ไม่นับว่าเขาฉลาด)

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นแล้ว เช็คใบนี้มันคือของจริง”

แล้วทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ เมื่อกี้คุณเกือบจะทำร้ายใจดวงเล็กๆนี้ที่บริสุทธิ์ไปแล้วนะ

“จะว่าไปเช็คใบนี้ไอ่หมอนั่นเป็นคนให้เองแหละ ถือเป็นการขอโทษคุณอย่างหนึ่ง” เสียงพูดหยุดไปสักพัก และดังขึ้นอีกครั้งว่า “คุณสามารถถือซะว่านี่มันเป็นค่าทำขวัญให้คุณ เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงแต่เพียงเท่านี้ อีกหน่อยก็คิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”

ที่เขากำลังพูดคือเรื่องคราวก่อนที่จิงซิงทำเธอไว้หรอ ที่เธอใช้แผนการของตัวเองในการที่จะกำจัดจิงซิง สุดท้ายก็โดนจิงเฉินเอากลับไป

ตอนนี้เธอรู้สึกไม่พอใจเอามาก

คุณเยี่ย อย่าคิดว่าคุณหล่อก็สามารถทำทุกอย่างตามใจคุณได้นะคะ คุณเป็นคนแบบนี้พนักงานคุณรู้หรือป่าว?

อีกอย่างนะ บ้านคุณรวยขนาดนั้น

เงินแค่ล้านเดียว คิดหรอว่าจะปิดปากเธอได้

เงินล้านหนึ่งนี้สำหรับพวกเขาแล้วถ้าตกพื้นก็คงจะขี้เกียจเก็บขึ้นมากระมัง

ก็เหมือนกับเธอที่เห็นเงินหนึ่งสตางค์ตกที่พื้น จะเอื้อมมือลงไปเก็บไหม?

เธอไม่ได้สนใจว่าเงินจะมากจะน้อย แต่เธอแค่สนใจว่าพวกเขามีความ……มากเพียงใด

เธอแค่รู้สึกว่าเงินล้านหนึ่งมันน้อยไปหน่อยเท่านั้น

เมื่อกี้เหมือนเธอทำอะไรโง่ๆลงไปอีกแล้ว เหมือนเมื่อกี้จะโดนจิงเฉินแหย่ไปหนึ่งดอกแล้ว

แค่ตอนนี้ไม่ได้สนใจรายละเอียดพวกนั้น

“แต่รอบแล้วไอ่แก่…..ไม่ใช่ๆ……ท่านประธานใหญ่” เธอเปลี่ยนคำสรรพนามอย่างทันทีและพูดขึ้นว่า “ท่านประธานใหญ่บอกว่าถ้าสิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง จะตอบแทนฉันด้วยรางวัลที่ฉันพอใจไม่ใช่หรอ”

แม่เจ้า เกือบหลุดปากเรียกไอ่แก่แล้วนะ

“คิดไม่ถึงว่าเธอจะใจกล้าขนาดนี้นะ” แล้วถามขึ้นว่า “แล้วเธออยากได้อะไรล่ะ?”

"อย่างน้อยก็ควรให้คุณชายน้อยนั่นมาพูดขอโทษฉันมั้งคะ" และพูดเสริมอีกว่า "เงินหนึ่งล้านนี้ก็ห้ามริบคืนด้วย เพราะนี่มันเป็นค่าทำขวัญให้กับฉัน"

หลังจากที่เขาได้ฟังจบ ก็ยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างเยาะเย้ย

นี่ป๊ะป๋า! คุณกำลังทำสีหน้าเยาะเย้ยเธออยู่งั้นหรอ?

"เขาไม่มีวันให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาต้องมารับเรื่องแบบนี้หรอก ให้จิงซิงมาขอโทษคุณ ก็ฝันไปเถอะ" และพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า "ครั้งแล้วถ้าไม่ถือว่าเป็นการให้เกียรติตระกูลฟาง แค่เธอออกมาอย่างปลอดภัยก็ยากเต็มทีแล้ว และเงินหนึ่งล้านนี้ก็ไม่ต้องคิดเลยว่าจะได้เลย เพราะงั้นจงพอใจซะเถอะ"

อ๋อ……ที่แท้คนที่ป๊ะป๋าเยาะเย้ยไม่ใช่เธอ

คุณบอกไม่ให้ไปไหนมาไหนกับเขาก็ไม่ให้ไปไหนมาไหนกับเขางั้นหรอ? หึหึ……

“อืม ได้” ซินเหยาตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ

ถึงยังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่จะทำตามสัญญาอยู่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่โอนเอียงได้ง่ายนะ

หลังจากที่ได้ยินคำตอบที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก จิงเฉินก็ซบไปที่ไหล่ของเธออีกครั้ง

QAQ ที่ป๊ะป๋าเรียกเธอมาเพื่อให้เธอมาเป็นหมอนหนุนนี่นะ?

เธอรู้สึกโกรธมาก ป๊ะป๋าเห็นเธอเป็นแค่หมอนใบเดียวงั้นหรอ ตอนนี้เธอรู้สึกไร้ค่ามากกว่าฐานะกิ๊กเสียอีก

“ประธานเยี่ยคะ ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว เรากลับกันก่อนเถอะ ” เธอเขย่าไปที่ตัวของเขาที่กำลังซบอยู่ที่ไหล่ของเธอ

จิงเฉินขยับตัวเล็กน้อย ตอนนี้ซินเหยารู้สึกเหมือนมีน้ำร้อนๆกำลังไหลผ่านจากคอของเธอลงไป

ตอนนี้ตัวเธอสั่นไปหมด มันทำให้กระแสไฟฟ้าในตัวเธอไหลไปทั่วร่างกาย ตอนนี้เธอรู้สึกชาไปหมด

“อื่ม รสชาติไม่เลว หวานดี สามารถเป็นของหวานหลังอาหารได้เลย” จิงเฉินพูด

ซินเหยาเงียบไป และหันไปมองหน้าอันหล่อเหลาของป๊ะป๋า

เธอเพียงแต่อยากพูดว่า……

ไอ้บ้า อย่าเลียไปเรื่อยนะ!

เขาเห็นตัวเองเป็นหมาหรือไง แต่ซินเหยาเธอไม่ใช่เป็นกระดูกหมาให้แทะเล่นนะ

ความบริสุทธิ์ของเธอจะเสียหมด (เธอแน่ใจนะว่าซินเหยายังเหลือความบริสุทธิ์อยู่)

แล้วที่บอกว่าของหวานหลังมื้ออาหารนี่หมายความว่าไง? อย่าคิดว่าเธอไม่รู้นะว่าป๊ะป๋าไมได้กินของหวานหลังมื้ออาหารน่ะ

สำหรับที่ป๊ะป๋าแต๊ะอั๋งเธอเมื่อกี้ ซินเหยาอยากเอาฝ่าพนมของเธอตบไปที่หน้าของป๊ะป๋าแรงๆเข้าให้

แต่เธอก็คิดดีๆอีกครั้งว่าระหว่างการแก้แค้นหรือเงินอันไหนมันจะสำคัญกว่ากัน เมื่อคิดได้ เธอก็รู้สึกใจเย็นขึ้นมาทันที

ตอนนี้เธอยังดูไม่ออกว่าป๊ะป๋าเมาจริง หรือแค่แกล้งเมาเพื่อที่จะสามารถแต๊ะอั๋งเธอได้ (ซินเหยาจ๋า ถ้าป๊ะป๋าอยากแต๊ะอั๋งเธอไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก)

"ดื่มสักสองแก้วเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ"จิงเฉินซบอยู่ที่ไหล่ของเธอแล้วพูด

คำพูดของเขามันไม่ได้เป็นการขอร้องนะ แต่มันเหมือนกับคำสั่งมากกว่า

ป๊ะป๋า คุณเอาแต่ใจตัวเองไม่เปลี่ยนจริงๆ

ดื่มอะไรกันเนี่ย!?

ถึงแม้ว่าจะดื่มอยู่สถานที่ที่เริสหรูเช่นนี้ เเต่ว่าหลังจากดื่มเสร็จมันก็รู้สึกปวดหัวไม่สบายตัวอยู่ดีนั่นแหละ

"พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน" ใครจะดื่มกับคุณล่ะคะ?

"พรุ่งนี้ผมอนุญาติให้คุณลา"

คิดไม่ถึงจริงๆว่าวันหยุดมันจะได้มาง่ายขนาดนี้

"แต่ว่าเดี๋ยวฉันต้องขับรถไปส่งคุณอยู่ ถ้าฉันเมาขึ้นมาใครจะไปส่งล่ะทีนี้"

"โทรเรียกคนขับรถก็จบแล้ว"

ซินเหยา : ……

ในเมื่อจะมีคนขับรถมารับ แล้วให้เธอมานี่มันหมายความว่ายังไง?

คนที่โทรเรียกเธอมาตอนนี้มุดหัวอยู่ที่ไหน แม่จะตีให้หลังหักเลยคอยดู

จิงเฉินหยิบเช็คใบหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง และพูดว่า "ถ้าเธอดื่มเป็นเพื่อนฉัน เช็คใบนี้ก็จะเป็นของเธอ"

ซินเหยา : …..

หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน……

ห๊ะ!? หนึ่งล้าน?!

เช็กที่ป๊ะป๋าจับอยู่เป็นเช็คหนึ่งล้านหรอ ใช่ หนึ่งล้าน เธอไม่ได้ตาฝาด

เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าป๊ะป๋าความจริงเป็นคนรวยจริงๆสินะ

ไอ้คนรวย มารับเลี้ยงฉันหน่อยเถอะ

"แน่ใจนะ?" ซินเหยาเห็นเงินเยอะขนาดนี้เธอรู้สึกสั่นไปหมด

"ผมไม่เคยพูดโกหก"

อิ้ววว…… ป๊ะป๋าหน้าหนาขนาดนี้เลยหรอ คำพูดปลอมๆพวกนี้ก็พูดออกมาได้

"คุณรับประกันนะ?"

หม่าม๊าเอ๋ยหม่าม๊า แค่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนก็ได้เงินเยอะขนาดนี้ ครั้งหน้าถ้าดื่มอีกอย่าลืมเรียกเธอล่ะ

สำหรับความแคลงใจของซินเหยา จิงเฉินก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น

"เห้อ ได้ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนท่านประธานมันเป็นเกียรติอันสูงสุดของฉันจริงๆ ถึงแม้ว่าไม่มีเงินล้านหนึ่งนี้ ฉันก็เต็มใจที่จะดื่มค่ะ" สายตาของซินเหยาที่เต็มไปด้วยไฟโชกโชนที่กำลังจ้องไปที่เช็คบนมือของจิงเฉิน

จิงเฉินยิ้มขึ้น รอยยิ้มนี้มันน่ากลัวซะจริงๆ

"นี่ค่ะ" ซินเหยาเอาเหล้าป้อนเข้าปากจิงเฉิน

แต่ปากอันบางเรียวของจิงเฉินกลับไม่เปิดออก

ซินเหยาขยับตัวเข้าใกล้จิงเฉินอีกนิด เพื่อที่แก้วเหล้าสามารถเข้าไปชิดริมฝีปากของจิงเฉินได้

ไอ่ห่า อยากดื่มก็ให้ความร่วมมืออ้าปากออกหน่อยสิ หรือจะให้ดื่มทางรูจมูกซะเลย

อย่าเลยจะดีกว่า

แต่ถ้าจิงเฉินยอม เธอก็จะคิดซะว่าจำใจทำแล้วกัน อิๆ

จิงเฉินเบี่ยงหน้าออก หรี่ตาเล็กลงและพูดว่า "เธอแน่ใจหรอว่าจะให้ฉันดื่มแบบนี้"

หรือจะให้เข้าทางรูจมูกล่ะ

"ท่านประธานหมายความว่า….?" ซินเหยาถาม

อย่างน้อยเธอก็เป็นคนฉลาด เธอไม่อยากทำให้เกิดอะไรผิดพลาดจึงถามขึ้น

"ใช้ปากป้อน" จิงเฉินพูดอย่างหาญอวด

QAQ ซินเหยารู้สึกว่าเธอกับน้องสาวของเธอตอนนี้ไปไม่เป็นแล้ว

ซินเหยารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

เธอรู้สึกเหมือนตัวเองทำเรื่องโง่อีกแล้ว เมื่อกี้น่าจะเอาเหล้ากรอกลงจมูกของป๊ะป๋าไปก็จบเรื่อง

"เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่เต็มใจหรอ?" จิงเฉินทำตาบึ้งใส่แล้วถาม

ดูแล้วเหมือนกับจิงเฉินจะไม่พอใจเอาซะแล้ว แต่คนที่ไม่พอใจควรเป็นซินเหยาไหม?

เพราะฉะนั้น ป๊ะป๋าถูกเอาแต่ใจเกินไปจนเสียคนแล้ว

"เธอคิดว่าเงินล้านหนึ่งมันจะได้มาง่ายๆงั้นหรอ นี่มันหนึ่งล้านนะ ไม่ใช่หนึ่งร้อย บางคนใช้เวลาเป็นสิบปีก็อาจจะหาไม่ได้เยอะขนาดนี้ก็มี แต่ตอนนี้มันกำลังจะตกไปอยู่ในปากเธอแล้ว เธอคงไม่คายเนื้ออันโอชะนี้ออกมาสินะ" จิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำเซ็กซี่และกำลังหว่านล้อมเธออยู่

แม่เจ้า คุณทำแบบน้ีมันผิดกฎนะ

อย่าคิดว่าซินเหยาเธอเป็นคนที่บูชาเงินนะ (ไม่เป็นสิแปลก)

นักกวีเถายวนหมิงไม่เคยก้มหัวให้กับกิเลศฉันใด คนอย่างซินเหยาก็ไม่ตกเป็นทาสของอำนาจเงินฉันนั้น (มั้ง)

เพราะฉะนั้นนะป๊ะป๋า อย่าฝันไปเลย เธอไม่ขายตัวเองเพื่อเงินหรอก

เห็นเธอนิ่งไป จิงเฉินก็รู้สึกสงสารหน่อยๆ

"น่าเสียดายจริงๆนะ นี่มันเป็นของเธอแท้ๆ ในเมื่อเธอไม่เอา งั้นฉันก็ฉีกทิ้งแล้วนะ" จิงเฉินใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทั้งสองข้างจับไว้ แค่เขาออกแรงนิดเดียวเท่านั้น เงินล้านหนึ่งนี้ก็จะหายไปในพริบตา

หึ……มนุษย์ที่โง่เขลายิ่งนัก

อย่าเสียใจไปเลย

กวีเถายวนหมิงมีศักดิ์ศรีในด้านนี้ เธอก็ไม่ต่างจากเขา

"งั้นผมฉีกจริงแล้วนะ!" จิงเฉินพูดด้วยสีหน้าที่อยากท้าให้เธอลอง

“ไม่เป็นไร ผมจะทำให้คุณเห็นความตั้งใจที่ผมมีต่อคุณให้จงได้” ซวี่เจ๋อพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ลดละความพยายาม

ซินเหยาแค่อยากจะตอบกลับว่า : หึๆ

ถ้าเกิดว่าเป็นเมื่อหกปีก่อนเธอคงตอบตกลงไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้มัน…….

เธอไม่ใช่เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา แต่เธอเป็นแม่คนแล้ว

ถ้าเกิดว่าความลับลั่วหลิงกับเข่อหลานถูกเปิดเผยออก มันจะเกิดเรื่องโกลาหลขนาดไหนขึ้น ไม่อยากจะคิดเลย เพราะงั้นเธอจึงปฏิเสธไป เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสีย

“ยอมแพ้เถอะ คุณไม่มีโอกาสน้ันหรอก” ซินเหยามองไปที่ดวงตาของซวี่เจ๋อและยังคงตอบกลับอย่างหนักแน่น

ในรอยยิ้มของซวี่เจ๋อตอนนี้มันซ่อนความรู้สึกที่สุดแสนจะขมขื่นไว้มากมาย และได้พูดขึ้นว่า “ทำไมผมต้องมาลิ้มลองความรักแบบนี้ที่มันไม่มีวันผลิดอกออกผล ทั้งชีวิตนี้ผมมีแค่หัวใขดวงเดียวเท่านั้น แต่ผมกลับมอบมันไปให้คุณหมดโดยที่ผมก็ยังไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน หัวใจของผมมันมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเท่านั้น มันสามารถที่จะใส่คุณเข้าไปได้คนเดียวจริงๆ เพราะงั้นผมจึงต้องโผยบินเข้าไปในใจของคุณ ถึงแม้ว่าผมจะรู้ตอนจบว่าผมนั้นเปรียบเหมือนแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ แต่ผมก็เต็มใจที่จะลองสักตั้ง และตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะออกมาจากกองไฟนั้นได้อีกต่อไปแล้ว ”

ท่านประธานฟาง ตอนคุณอยู่มหาลัยคุณไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินหรอกหรอ

ตอนนี้เรื่องเล็กประสิวที่มันเกิดขึ้นคุณยังจัดการไม่ได้ คุณไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่คุณเรียนมาหรอ

คุณเล่นพูดคำที่ซึ้งกินใจออกมาขนาดนี้ คุณจะแย่งอาหารของเด็กที่เรียนสายวรรณกรรมมาหรือยังไงกัน

“ขอโทษนะคะ” ซินเหยายังคงใจแข็งปฏิเสธซวี่เจ๋อไป ถึงแม้ว่าเขาจะทำให้เธอรู้สึกใจเต้นมากขนาดไหนก็ตาม

เธอพึ่งรู้ว่าความจริงใจเธอนั้นแข็งเหมือนดั่งหินภูผา

หน้า2

ซวี่เจ๋อไม่ได้มีทีท่าว่าจะบังคับเธอขนาดนั้น เพียงแค่พูดว่าเขาจะไม่ยอมแพ้แน่นอน

เมื่อพูดจบ เขาก็ขับรถจากไป

เหลือไว้แต่ซินเหยาที่ต้องรู้สึกถึงความยุ่งเหยิงของความรู้สึกของตัวเอง ตัวเธอดีขนาดนี้จริงๆหรอ?

เธอดีขนาดนี้ ตัวเธอเองยังไม่รู้นะเนี่ย

ยืนอยู่ในจุดเดิม สายตาทอดมองรถที่กำลังหายวับไป ความรู้สึกตอนนี้มันคิดอะไรเต็มไปหมด

ทันใดนั้นมือถือในกระเป๋าของเธอก็ดังขึ้น เมื่อมองดูสายที่โทรเข้ามา ความรู้สึกที่เงียบสงบของเธอนั้นก็ได้หายวับไปเช่นกัน

“ท่านประธานเยี่ยคะ เวลาตอนนี้มันคือเวลาเลิกงานแล้วนะคะ ฉันไม่มีทางกลับไปบริษัทโดยเด็ดขาดค่ะ” ซินเหยาพูดบุกก่อน เพื่อไม่ให้ป๊ะป๋ารุกเธอก่อนได้

“สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์คุณแม่สาวแมวป่าหรือป่าวครับ” เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูได้ออกมาจากมือถือ

พระเจ้า แม่สาวแมวป่า

ใครมันบ้าขนาดนี้นะ ตั้งชื่อได้เห่ยขนาดนี้

“ไม่ใช่คะ คุณโทรผิดแล้วคะ” ซินเหยาตอบกลับอย่างหนักแน่น

ตอนที่เธอกำลังจะวางสายนั้น เสียงรีบร้อนของอีกฝั่งก็ดังขึ้น “เดี๋ยวครับ เดี๋ยวครับคุณแม่สาวแมวป่า ตอนนี้ท่านประธานเยี่ยเมามาก คุณมารับท่านหน่อยได้หรือป่าวครับ”

“ก็บอกว่าคุณโทรผิด ไม่มีชื่อแม่สาวแมวป่าชื่อนี้”

ไม่รู้ว่าใครมันบ้ามาตั้งชื่อแบบนี้กันนะ

“แต่ว่ามือถือของท่านประธานเมมชื่อคุณไว้คนเดียวนะครับ” เขาพูดด้วยความลำบากใจ

เดี๋ยวนะ! เขาบอกว่าเป็นท่านประธานเยี่ยหรอ

คงไม่ใช่ประธานเยี่ยที่เธอรู้จักหรอกมั้ง

“ประธานเยี่ยคนไหนคะ คงไม่ใช่เป็นประธานบริษัทเยี่ยหวงคนนั้นนะคะ?”

“ใช่ครับ เขาเอง”

แม่เจ้า เป็นไอ้ประธานบ้านั้นจริงด้วย ไม่ยอมหยุดหลอกหลอนจริงๆ

“ฉันไม่สนิทกับเขาค่ะ คุณสามารถโทรหาเลขาของเขาได้” ทำไมเธอถึงต้องไปรับเยี่ยจิงเฉินไอ้ตาบ้านั้นด้วย เธอไม่ไปหรอก

แต่ว่าในมือถือของเขามีแค่เบอร์คุณแม่สาวแมวป่าคนเดียวนะครับ

“ก็บอกแล้วไงไม่ใช่แม่สาวแมวป่า ฉันคือ ถังซินเหยา ซินเหยาาา”

“โอเครครับคุณซินหยา งั้นคุณซินเหยาว่างมารับหรือป่าวครับ?”

“ไม่ว่าง”

หึ……เธอไม่ไปหรอก

“ถ้าไม่มานะ ฉันจะตัดเงินเดือน เสียงของจิงเฉินดังขึ้นมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์

ซินเหยา : ……

ไม่ใช่บอกหรอกหรอว่าเขาเมาหัวราน้ำไปแล้ว เมาแล้วยังจะพูดคำที่เจ้าเล่ห์ขนาดนี้ออกมาได้หรอ เมาแล้วจะรู้หรอว่าเงินคือจุดอ่อนของเธอหรอ

“แม่สาวว……คุณซินเหยาครับ คุณดูสิครับ……”

เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาคงจะไม่เรียกเธอว่าแม่สาวแมวป่าอีกนะ

“เดี๋ยวฉันไป ฉันไปก็ได้ ให้เขารอยู่ตรงนั้นแหละ”

แม่เจ้า พนักงานคนนั้นชื่ออะไรนะ ถ้ารู้ล่ะก็รับประกันได้ว่าแม่จะตีให้หลังหัก

หลังจากที่รู้ว่าผับนั้นยู่ที่ไหน เธอก็กลับบ้านไปดูลูกทั้งสองของเธอก่อนว่าหลับไปหรือยัง จากนั้นก็หยิบกุญแจรถและขับไปหาจิงเฉิน

ผับนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสินิ ดูไปดูมาก็เหมือนเพชรชั้นหนึ่งที่กำลังตั้งตระง่านสูงตรง นี่คงเป็นที่ที่คนรวยชอบรวมตัวกันสินะ

บรรยากาศที่นี่ไม่ได้เหมือนบาร์ทั่วไปที่จะรู้สึกมืดอโคจรขนาดนั้น มันดูเงียบสงบอยู่นะ

นักธุรกิจหลายคนมากที่สามารถเห็นได้จากนิตยสารเท่านั้นต่างก็มาที่นี้กัน

สายตาของซินเหยาอันแหลมคมไม่นานก็เจอจิงเฉินที่กำลังเมาหัวราน้ำไปกองอยู่ที่พื้นจนเจอ

ถึงแม้ว่าป๊ะป๋าจะเมาขนาดนี้ แต่ความเซ็กซี่ของเขาไม่ได้ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น เธออยากจะกรี๊ดให้กับความยั่วยวนของเขายิ่งนัก

“ประท่านเยี่ย” ซินเหยาเดินไปหาและไปนั่งอยู่ตรงข้างๆเขา

จิงเฉินหันขึ้นมาดู มันเหมือนกับใบหน้าในความมืดมิดที่มีความลึกลับซ่อนอยู่ มันช่างพิศวงน่าค้นหา มันสามารถที่จะดูดกลืนคนเข้าไปได้ทั้งคน ใครมองใครก็ท้องได้จริงๆ

“ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” พูดเสร็จก็เทเหล้าแก้วหนึ่งให้เธอ

ซินเหยามองไปที่แก้วเหล้าใบนั้น แม่เจ้า นี่มันแก้วเหล้าที่เทจากมือของจิงเฉินเองเลยนะ

รู้สึกว่าเหล้าแก้วนี้มันดูแพงสูงสง่าขึ้นมาทันที

เธอหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา ชิมไปหนึ่งกึก รสชาติก็ไม่เลว

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไหล่ของเธอหนักๆ ที่จริงแล้วจิงเฉินก็ล้มลงซบไปที่ไหล่ของเธอนั่นเอง

กลิ่นตัวของจิงเฉินที่มีความเย็นสดชื่นหน่อยๆ ลมหายใจของเขามันกระทบไปที่ลำคอของเธอ มันทำให้เธอขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ความชาที่ส่งผ่านมาจากห้องหัวใจได้ส่งต่อไปให้ทั่วร่างกาย ตอนนี้เธอรู้สึกได้แต่ความชา

“หึ……” จิงเฉินหัวเราะออกมาอย่างเซ็กซี่ “เดตเสร็จแล้วหรอ”

แม่เจ้า ป๊ะป๋าตอนนี้เมาแล้วนะ แต่ทำไมสัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยของความเมาเลยล่ะ

“อื่ม ” เธอตอบกับด้วยเสียงโทนต่ำ รู้สึกว่าไปไม่ถูกจริงๆ

“ได้พูดชัดเจนแล้ว?”

“อืม”

“ต่อไปไม่ต้องไปยั่วชายอื่นอีกนะ”

แม่เจ้า ยั่วยังงั้นหรอ!?

ป๊าป๋า ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนรวย แต่คุณจะมาเข้าใจเธอผิดๆแบบนี้ไม่ได้นะ

เห็นว่าเธอไม่ตอบ จิงเฉินเลยเอามือกอดเข้าไปที่เอวของเธอและถามว่า “ได้ยินไหม?”

ได้ยินหาพระแสงมึ..หรอ ไม่ได้ยินโว้ย

มือของเขาสอดใส่เข้าไปในเสื้อของซินเหยา มันค่อยๆลามไปที่อื่น ซินเหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ผมพูดกับคุณอยุ่ คุณยังจะกล้าหัวเราะหรอ?” จิงเฉินเบิกตาที่ร้อนโชนนั้นออกมา และมองไปที่ซินเหยา

“คุณไม่ใช่เมาแล้วหรอค่ะ” คนเมาไม่น่าจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้นะคะ

ตูดของซินเหยาได้ขยับห่างจากที่เก่ามากขึ้น เธอไม่ยอมนั่งใกล้ไอ้บ้าโรคจิตคนนี้หรอก

จิงเฉินพูดขึ้นว่า : ”อีกหน่อยห้ามไปไหนมาไหนกับซวี่เจ๋ออีกนะ ได้ยินแล้วใช่ไหม?”

“ทำไมวันนี้มีแค่เราสองคนล่ะ” ซินเหยาถามด้วยสีหน้าที่งุนงง

เธอสัมผัสได้ว่าร้านอาหารวันนี้มันเงียบผิดปกติ

“ผมไม่อยากให้คนอื่นมารบกวน เพราะงั้นเลยเหมาทั้งร้านวันนี้” สายตาของซวี่เจ๋อเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ด้านใน เหมือนจะเผาให้ซินเหยาไหม้เกียมไปซะอย่างนั้น

ห้าห้า…….

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าซวี่เจ๋อจะไม่พูด แต่เป็นเพราะฝันร้ายเมื่อคืนที่โดนจิงเฉินตามหลอกหลอนก็ทำให้เธอไม่สามารถปล่อยวางได้สินะ

ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่หรอที่เหมาทั้งร้านหน่ะ รวยขนาดนี้ มันเหมือนบีบให้เธอต้องคุกเข่าอ้อนวอนจริงๆ

ไอ้คนรวย เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ

ซวี่เจ๋อยืนขึ้น เดินมาข้างๆซินเหยา ในมือถือไว้ดอกไม้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างสุภาพบุรุษ และหันขึ้นมามองหน้าซินเหยาด้วยสายตาที่สุดแสนจะอบอุ่นและพูดว่า “ซินเหยา ผมรู้ว่าคุณเข้าใจความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณดี ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมสักครั้งในการเป็นครึ่งหนึ่งของคุณ และดูแลคุณในชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่ตราบชีวิตจะหาไหม้ ผมรักคุณ เป็นแฟนผมเถอะนะ”

ในปากของซินเหยาตอนนี้รู้สึกถึงรสชาติที่ขมขื่น ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะน้ำมะนาวเมื่อกี้ที่ดื่มลงไปหรือป่าว

แม่เจ้า เขาอบอุ่นขนาดนี้เธอยังจะทำใจปฏิเสธได้ลงคอหรอ?

อีกหน่อยยังจะเจอคนที่ดีเท่าฟางซวี่เจ๋อได้อีกหรอ?

คิดหนักจริงๆ

เธอมองไปที่พนักงานพวกนั้นกับคนที่เล่นไวโอลินเมื่อกี้ สูดลมหายใจเข้าและพูดออกมาอย่างช้าๆว่า :

“ซวี่เจ๋อ คุณเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและดีที่สุดตั้งแต่ฉันเคยเจอมา ฉันจะไม่บอกว่าคุณดีเกินไป จะไม่บอกว่าฉันไม่เหมาะกับคุณอะไรพวกนั้นหรอก มันดูปลอมเกิน แต่สิ่งที่ฉันอยากบอกให้คุณรับรู้ก็คือ ขอโทษนะ ฉันรับมันไว้ไม่ได้จริง” ความจริงเมื่อวานก็สามารถปฏิเสธเขาไปได้แล้ว แต่เพราะคนเยอะเกินไป ถ้าปฏิเสธมันก็คงจะทำให้เขาเสียหน้า เพราะงั้นเธอถึงยอมให้ป๊ะป๋าเข้ามายุ่งและพาเธอออกมาจากสถาณการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนั้น: “ฉันคิดว่าทั้งชีวิตนี้ของฉันฉันคงไม่ได้เจอกับผู้ชายที่จะดีเท่ากับคุณได้อีกแล้ว แต่ความรักมันไม่ใช่ข้อสอบ ที่จะใช้สมองคิดแล้วสามารถหาคำตอบเขียนลงไปได้ เพราะงั้นการที่เราเจอกันในครั้งนี้มันเป็นเรื่องของความบังเอิญเท่านั้น เราต่างก็เป็นบุคคลที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของกันและกันเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเป็นมากกว่านี้ไปได้”

“ทำไมล่ะ?” ซวี่เจ๋อแสดงสีหน้าที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และถามว่า “ในเมื่อเธอบอกว่าฉันดี และทำไมถึงไม่ลองหรือให้โอกาสฉันได้พิสูจน์บ้างล่ะ? บางครั้งหลังจากที่เราคบกันแล้ว เธออาจจะรู้สึกก็ได้นะว่าเรานั้นเหมาะสมกัน ฉันสามารถดูแลเธอไปตลอดได้ เธอสามารถที่จะพึ่งพาฉันไปตลอดชีวิต”

แม่เจ้า ซวี่เจ๋อไม่ยอมแพ้ขนาดนี้ มันทำให้เธอไปไม่ถูกจริงๆ

“ฉันมีครอบครัวแล้ว”

ซินเหยาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น บอกว่าเธอเป็นหญิงที่มีครอบครัวแล้ว

หลังจากที่ซวี่เจ๋อได้ฟังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเหมือนกับโดนสายฟ้าผ่าไปที่กลางศีรษะ

ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองชอบและตามจีบขนาดนี้จะมีครอบครัวแล้ว

“เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุณแต่งงานแล้ว อีกอย่างใบสมัครงานที่ให้เขียนสถานะบุคคลช่องนั้นคุณก็เขียนว่าโสด” ซวี่เจ๋อตอบกลับด้วยหลักฐานที่จะสามารถทะลุช่องโหว่ของเธอได้

ในความคิดของซวี่เจ๋อ เขารู้สึกว่านี่เป็นแค่สาเหตุที่ซินเหยาเอามาปฏิเสธเขาเพียงเท่านั้น (ท่านประธานฟางเป็นคนฉลาดจริงๆ เดาได้ถูกด้วย)

ซินเหยาสีหน้าเศร้าหม่นพร้อมยกหน้าขึ้นอยู่ในระดับ45องศา ถอนหายใจไปครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า "ความจริงช่องนั้นฉันควรเติมคำว่าสามีตาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แต่งงานกัน แต่ก่อนที่เขาจะจากไปนั้นเขาได้มอบของขวัญที่เลอล่าที่สุดบนโลกใบนี้ไว้ให้ฉันสองชิ้น รูปทะเลในฤทัยที่คุณชอบรูปนั้น แรงบันดาลใจมันมาจากลูกตัวน้อยสองคนของฉันเองแหละ"

ป๊ะป๋า ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้

ป๊ะป๋าใจกว้างขนาดนั้น คงจะไม่ถือสาที่เธอแช่งไปเมื่อกี้หรอกมั้ง?

สีหน้าของซวี่เจ๋อตอนนี้ไปไม่เป็นแล้ว

"ตอนนี้ฉันยังลืมเขาไม่ได้ มันยากมากสำหรับผู้หญิงตัวน้อยๆอย่างฉัน คุณเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่งเลยนะซวี่เจ๋อ แต่ฉันทำแบบนี้กับเขาไม่ได้ ฉันรู้สึกผิด ฉันจะเลี้ยงดูลูกตัวน้อยของฉันสองคนให้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ " เพราะฉะนั้น เธอเป็นเเม่ที่ยอมเสียสละเพื่อลูกจริงๆ (หรอ?)

เพราะงั้นที่บอกว่าเธอเป็นแม่บุญธรรม มันพูดไม่ถูก

หลังจากที่ซวี่เจ๋อได้ฟังนั้นก็เงียบไป ตอนนี้ในใจของซินเหยาโล่งขึ้นมาอีกนิด

เธอรู้ว่าถ้าเธอพูดแบบนี้มันจะได้ผล เธอมันฉลาดจริงๆ

ทั้งสองเงียบลงและได้กินข้าวมื้อนี้เสร็จ ตอนที่เดินออกมาจากร้าน ซินเหยายังเอาดอกที่ซวี่เจ๋อให้กอดไว้ที่อกอยู่

ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูร้านอาหารนั้น ต่างก็ไม่ได้พูดอะไร

สุดท้ายก็เป็นซินเหยาที่ทนไม่ไหว เธอจึงพูดกับซวี่เจ๋อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเบาว่า "งั้น…..งั้นฉันขอกลับก่อนแล้วนะ"

"ให้ผมไปส่งคุณเถอะ" ซวี่เจ๋อพูด

เพราะฉะนั้นซวี่เจ๋อเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากจริงๆ ถึงแม้จะมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ก็ยังอ่อนโยนสุภาพไม่เปลี่ยนไปเลย

ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่เจอกับซวี่เจ๋อนะ คนที่อบอุ่นแบบนี้ เธอยอมทุ่มสุดตัวเลยแหละ ถึงแม้ซวี่เจ๋อจะมีสายสัมพันธ์เป็นหลานภรรยาของลู่หงเทียนก็เถอะ

เธอหยักหน้า เพราะถ้าเกิดเธอปฏิเสธ มันอาจจะทำให้บรรยากาศนี้มันดูอึดอัดไปมากกว่านี้

ระหว่างทางที่ซวี่เจ๋อขับรถไปส่งก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ก่อนที่ซินเหยาจะลงจากรถ เธอก็พูดขึ้นว่า "ซวี่เจ๋อ วันนี้ขอบใจนายมากนะ ฉันไปก่อนนะ"

เธอเปิดประตูรถ หันหลังกำลังจะลงจากรถ

แต่ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งของเธอก็โดดซวี่เจ๋อดึงไว้ เธอหันกลับมาและถามว่า "มีอะไรรึปล่าว?"

ซวี่เจ๋อเม้มปากแน่นขึ้นเล็กน้อย สีหน้าที่ดูจริงจังพร้อมพูดขึ้นว่า "ผมไม่ถือ"

"อะไร" ซินเหยางงเป็นไก่ตาแตก

อื่มม….. อาจเป็นเพราะเธออยู่ต่างประเทศนานเกินไปเพราะงั้นภาษาจีนของเธอถึงได้แย่ลง คงไม่ใช่ความหมายนั้นที่เธอคิดหรอกมั้ง

"ผมบอกว่า ผมสามารถรับได้" ซวี่เจ๋อเงียบไปสักพัก และพูดขึ้นอีกว่า "ผมชอบคุณ ชอบทั้งหมดที่เป็นตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นอดีตของคุณด้วยก็ตาม ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ผมยินดีที่จะดูแลคุณต่อจากเขา รักรังนกก็ต้องรักลูกนก เขาเป็นลูกของคุณ เพราะฉะนั้นผมก็รักพวกเขาเหมือนกัน"

ท่านประธานฟาง คุณใจกว้างขนาดนี้ที่บ้านคุณเขารู้รึปล่าวเนี่ย

เขาชอบเธอขนาดไหนกันเชียวน่ะ ถึงยอมทำได้ถึงขนาดนี้

เขาหล่อขนาดนั้น รวยขนาดนั้น สาวติดตรึมขนาดนั้น

คุณมีผู้หญิงรอต่อคิวเป็นแม่ของลูกคุณตั้งมากมาย แต่ทำไมถึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้ ยิ่งความรู้สึกที่คุณมอบให้เธอมันลึกซึ้งและดีเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่คู่ควรกับมันมากเท่านั้น

"ขอโทษด้วย" ซินเหยาพูดด้วยสีหน้าที่กล่ำกลืน "ฉันรู้สึกผิดกับเขาจริงๆ ฉันไม่สามารถที่จะให้คนอื่นมาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์เราได้ ฉันไม่สามาถที่จะให้ลูกตัวน้อยสองคนของฉันมีพ่อเลี้ยงได้ คุณดีเกินไป คุณอาจจะสามารถไปแทนที่เขาในหัวใจของลูกฉันได้ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ ฉันจะรู้สึกผิดกับคุณ"

แม่เจ้า เมื่อพูดปดหนึ่งรอบ ต้องพูดปดอีกหลายพันรอบเพื่อมากลบเกลื่อน

เจ้าบ้าป๊ะป๋าเมื่อคืนยังเตือนอยู่ว่าห้ามตอบตกลง ป๊ะป๋าหัวร้อนได้เสมอนะ

อีกอย่างถ้าคนที่สนิทกับเยี่ยจิงเฉินเห็นเข่อหลานกับลั่วหลิงแล้วหล่ะก็ ความลับนี้ได้แตกแน่ๆ

เมื่อถึงตอนนั้นเข่อหลานกับลั่วหลิงจะเรียกลู่อันหลานว่า ป้า น้า หรือ หม่าม๊าล่ะ

แล้วจะเรียกเยี่ยจิงเฉินว่า ลุง อา น้า หรือ ป๊าป๋า ล่ะทีนี้

สับสนวุ่นวายไปหมด

ถึงแม้ให้คนที่ฉลาดมาคิด ก็ยังต้องงงกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนพวกนี้

เพื่อรักษาเซลล์สมองที่จะไม่ตายไปมากกว่านี้ ไม่ต้องคิดแล้ว ช่างมันไปเถอะ!

"นี่มันเป็นคนของฉัน อย่ามาคิดแทนเธอเลย" มือข้างหนึ่งของป๊ะป๋าที่กอดไปที่เอวของซินเหยาอยู่พูดประกาศศักดาออกมาอย่างดุดัน

พูดไปเรื่อยหน่า เธอไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น

"ซินเหยา คุณจะเลือกเขาหรือเลือกผม" มือข้างหนึ่งของซวี่เจ๋อจับไว้มือข้างหนึ่งของซินเหยา พูดด้วยน้ำเสียงที่ขอร้อง

แม่เจ้า ตัวเลือกมีแค่AกับBหรอ?

นี่มันเหมือนให้เลือกเเขวนคอตายกับโดดตึกตายยังไงยังงั้น

"คูณผู้หญิง คุณเป็นของผม คุณเป็นแม่ของลูกผมสองคนไปแล้วนะ คุณจะมาหักหลังแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด" จิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่เอาแต่ใจอีกตามเคย

"ซินเหยา เขามีคู่หมั่นแล้ว คุณอยากจะไปเป็นเมียน้อยเขาอย่างนั้นหรอ?" ซวี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นนุ่มนวลอีกตามเคย

"ถังซินเหยา ฉันเป็นคู่หมั่นของเยี่ยจิงเฉินต่างหาก เธอมันก็แค่แมวขโมยที่อยากจะขโมยความสุขของฉันไป เธอมันก็ไม่ต่างอะไรจากแม่ของเธอเลย" สีหน้าของลู่อันหลานตอนนี้เหมือนอยากจะเขมือบเธอเข้าไปทั้งตัว

“ลู่หงเทียนคนอย่างฉันไม่ได้มีลูกแบบแแก เอาเงินห้าแสนนี้ไป และไม่ต้องมาให้ฉันห็นหน้าอีก” หงเทียนพูด

“ซินเหยา ชีวิตแม่ทั้งชีวิตนี้ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แม่แค่อยากเอาความสุขทั้งหมดของแม่ที่มีอยู่ให้ลูก แค่ลูกมีความสุขแม่ก็ดีใจ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

…….

“แม่!……” ซินเหยาสดุ้งตื่นจากฝัน ตัวเธอตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

เมื่อคืนจิงเฉิน ซวี่จ๋อ หงเทียน อันหราน มาทำให้เธอหลับไม่ได้ทั้งคืนเลยนะ

เธอเหลือบมองไปดูนาฬิกา นี่เพิ่งจะหกโมงเช้า

ไหนๆก็ตื่นมาแล้ว เธอจึงไปอาบน้ำ พร้อมกับหยิบนมที่แช่เย็นมาดื่ม

กลิ่นโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าที่เธอต้มหอมฟุ้งไปทั้งตึกคอนโด

เธอเหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง แล้วไปเรียกให้ลูกทั้งสองของเธอตื่นนอน

“หลานๆคะ ตื่นมากินข้าวเช้าไปโรงเรียนแล้วลูก” ซินเหยาดึงผ้าห่มของหลานๆออก และตีไปที่ก้นอันอ้วนท้วนของเธอ

กลิ่นหอมของอาหารลอยเข้าไปเตะจมูกเธอถึงในห้อง แต่เธอก็ยังไม่ลืมตา มีเพียงแต่จมูกที่สามารถรับรู้กลิ่นหอมหวนที่ส่งมาจากด้านนอก

เสียแรงไปเยอะเลยนะกว่าจะเรียกเข่อหลานตื่นจากบรรทม

อาหารเช้าโจ๊กหอมหวานที่สุดแสนจะเริสรส ข้างบนตกแต่งด้วยไข่เยี่ยวม้าน่ารับประทาน เป็นเช้าวันใหม่ที่สดใสจริงๆ

ลั่วหลิงกับเข่อหลานขมวดคิ้วและกล่ำกลืนดื่มนมที่ซินเหยาได้เตรียมไว้ให้

“หม่าม๊า หม่าม๊าเอาเงินอั่งเปาของพวกหนูไปใช้หมดแล้วใช่ไหมคะ?” เข่อหลานถาม

“แม่ไม่ได้ใช้นะ ทำไมหรอ?” ซินเหยาป้อนข้าวให้เธออยู่พรางตอบ

“งั้นหม่าม๊าา……ทำไม……เอาเงินนั้น……????……” เธอพูดกรุ่มๆภาษาที่เด็กน้อยเคียวอาหารอยู่ในปากแล้วพูดไม่ชัด

ซินเหยาแสดงสีหน้าว่าเธอไม่เข้าใจที่เข่อหลานพูด

จิตวิญญาณของคนเป็นแม่ที่สามารถฟังทุกคำของลูกออก ซินเหยายังห่างไกลนัก

ลั่วหลิงกลืนอาหารที่กำลังเคี้ยวอยู่ลงคอ และพูดแปลว่า “น้องพูดว่า ในเมื่อหม่าม๊าไม่ได้เอาเงินไปใช้ แล้วเอาอะไรมาทำข้าวเช้าให้พวกเราทาน"

ความจริงตั้งแต่ที่พวกลูกๆได้สามขวบ ซินเหยาก็แทบจะไม่ได้เข้าครัวอีกเลย

สีหน้าซินเหยาตอนนี้อยากจะหักลูกออกเป็นชิ้นๆ และเอามาโบยตูดจริงๆ

ที่ลูกพูดมา มันทำให้เธอรู้สึกลำไยจริงๆ

แต่จะว่าไปลูกๆไม่ใช่ไปโตที่ต่างประเทศหรอกหรอ?

“หม่ามี๊ไม่จำเป็นต้องเอาเงินของหนูๆไปใช้เพื่อมาทำมื้อเช้า” ซินเหยาแกล้งทำเป็นหน้าขรึมและถามเข่อหลานว่า "งั้นในตอนที่หนูกับพี่ยังเด็กอยู่ ใครเป็นคนทำอาหารเช้าให้หล่ะ?”

เพื่อแสดงให้ลูกเห็นว่าตัวเธอก็เป็นแม่ที่อดทนลำบากจึงถามออกมา

ภายหลังเธอแค่ถูกลูกทำให้ดูเป็นแม่มดใจร้ายเท่านั้น

นี่มันเจ็บปวดใจแต่ก็อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“แต่หนูไม่ได้กินอาหารเช้าฝีมือหม่าม๊ามานานแล้วนะคะ” เข่อหลานพูดพรางกลืนอาหารในปากลงคอ

“อร่อยไหม?”

”อร่อยค่ะ”

“งั้นอีกหน่อยหม่าม๊าจะทำให้กินบ่อยๆเลยนะคะ” ซินเหยาพูด

ลั่วหลิงและเข่อหลาน : ห้าห้า

หัวเราะทำไม นี่ไม่เห็นความตั้งใจของคนเป็นแม่หรอ

……

ในตอนกลางคืน นัดของซินเหยากับซวี่เจ๋อก็มาถึง พวกเขานั่งอยู่ในภัตตาคารตะวันตกสุดหรู

แสงไฟในนั้นสลัวๆ มันให้ความรู้สึกที่เหมือนคู่รักมาออกเดตกันยังไงยังงั้น บวกกับภัตตาคารนี้ถ้าอยู่ในตลาดB ถือว่าเป็นร้านคู่รักที่ติดหนึ่งในสิบเลยล่ะ

ใบหน้าของซวี่เจ๋อที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ บวกกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหอมหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า

ข้าวมื้อนี้ ซินเหยากล้ำกลืนฝืนกินจริงๆ

เป็นเพราะวันนี้เธอจะมาปฏิเสธคนที่หล่อขนาดนี้ รวยขนาดนี้ อบอุ่นขนาดนี้อย่างเขาโดยเฉพาะ

ซินเหยามองไปที่หน้าของซวี่เจ๋อ คิดถึงเรื่องที่จิงฉิงพูดเมื่อวาน บวกกับเรื่องที่เธอฝันเมื่อคืน ทำให้เธอเหม่อลอยไปชั่วขณะ

“ซินเหยา ซินเหยา ” ฟางซวี่เจ๋อเรียกเธอเธอถึงจะมีสติกลับมาได้

เมื่อได้สติ เธอเอามือทัดหูเก็บผมที่ย้อยเฟื้อยเข้าไป ตั้งตัวให้มีสติอีกครั้ง และตอกลับซวี่เจ๋อว่า “คะ มีอะไรคะ”

“ผมถามว่าคุณอยากทานอะไรครับ” พร้อมยื่นเมนูให้เธออย่างอบอุ่นสุภาพ

เธอหยิบแก้วน้ำมะนาวบนโต๊ะมาดื่ม และตั้งสติสักพัก และพูดขึ้นว่า “คุณเป็นคนสั่งดีกว่าคะ ฉันไม่เคยมาที่นี้ คุณว่าอะไรอร่อยก็สั่งเลยค่ะ”

ซวี่เจ๋อสั่งสเต็กเนื้อมาสองที่ และสั่งของหวานมาอีกสองที่

“เมื่อกี้เธอคิดอะไรอยู่หรอ เห็นนิ่งไปนานเลย” ซวี่เจ๋อถาม

“เสียงสำลักน้ำของซินเหยา……..”

ซินเหยาที่กำลังเหลิกหลักกับเรื่องที่เธอจะปฏิเสธซวี่เจ๋อในวันนี้ แต่กลับกัน ความรู้สึกของซวี่เจ๋อตอนนี้รู้สึกเป็นห่วงเธอเอามาก

เธอเช็ดน้ำตาที่อยู่ข้างหางตาออก สายหัวไปมา และตอบซวี่เจ๋อว่า”ฉันไม่เป็นไร”

“ฉันก็แค่คิดเรื่องเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“ตอนนี้ยังห่างงานนิทรรศการศิลปะที่จะจัดขึ้นอยู่มาก เธอก็อย่าหักโหมตัวเองเกินไปล่ะ”

“อ่อๆ……..”ซินเหยาตอบกลับแบบงงๆ

ตอนนี้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอามาก เธอจะบอกซวี่เจ๋อยังไงล่ะ?

เป็นเพราะเรื่องระหว่างสายสัมพันธ์ครอบครัวของเขามันพูดยากมากจริงๆ

รสชาติของสเต็กมันดีมากจริงๆ น้ำซอสที่สุดแสนจะกลมกล่อมบวกกับเนื้อของตัวสเต็กที่สุกอย่างพอดี

มื้ออาหารที่ดีขนาดนี้ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับคนอย่างเธอเลย

ในระหว่างที่กำลังกินไปได้สักพัก เรื่องบรรเลงไวโอลินในนั้นก็ดังขึ้น

มีคนที่ใส่แจ็คเก็ตสีดำปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับกำลังถือไว้ไวโอลินอยู่ในมือและเดินมาทางที่พวกเขานั่งกัน และมาหยุดอยู่ตรงหน้าของพวกเขา

พนักงานในนั้นเอาดอกกุหลาบสีแดงสดมาให้ฟางซวี่เจ๋อ

บรรยากาศในนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความโรแมนติก นางเอกของวันนี้นอกเสียจากซินเหยาก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้แล้วล่ะ

แต่ว่า……..

ท่านประธานฟางคะ คุณเป็นคนรวยที่แค่เศษเสี้ยวนาทีก็สามารถหาเงินมากกว่าห้าล้านมาฟาดหัวพวกเขาให้ตายได้ เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปฟังพวกเขานะคะ

ถึงคุณจูบลงไปก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี จริงๆนะ…….

อย่าถามว่าทำไมเธอถึงรู้ เพราะคนที่คนอื่นบอกให้เขาจูบก็คือซินเหยา ห้าห้าห้า

มือสองข้างของเธอดันไปที่อกที่ผ่านการออกกำลังกายมาจนแข็งโปกของซวี่เจ๋อ ดันไม่ออกสักที

แม่เจ้า คนอื่นก็จะแกล้งเธอ เพราะเธอแรงน้อยไหมนะ ┬_┬……

เธอตัดสินใจแล้วว่าแต่นี้ต่อไปเธอจะกินผักโขม ซินเหยามองไปที่ใบหน้าของซวี่เจ๋อ มันยิ่งใกล้เข้ามาทุกที

หัวของเธอเอียงไปข้างหลังอย่างช้าๆ เอวของเธอตอนนี้มันงอต่ำลงอยู่ในสภาพที่คิดไม่ถึงจริงๆ

เอวของเธอมันอัศจรรย์ขนาดนี้เลยเชียวหรือ ไม่รู้มาก่อนนะเนี่ย

แม่เจ้า มันถึงจุดสุดแล้ว เอวของเธอโค้งต่ำไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้ายังโค้งต่ำกว่านี้อีก เอวเธอก็คงจะหักแล้ว

หน้าของซวี่เจ๋อใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลมหายใจของเขาถึงกับไปกระทบกับใบหน้าของเธอ ลมหายใจของทั้งสองผสมผสานกันไปชั่วขณะ มันแทบจะกลมกลืนไปด้วยกัน

ช่วยชีวิตลูกด้วยเจ้าคะพระแม่มารี ถ้าเกิดจูบลงไปแล้ว อีกหน่อยจะปฏิเสธไงล่ะทีนี้?

พระแม่มารีอาจจะมีอยู่จริงๆก็ได้นะ เธอถึงได้ยินเสียงหล่อสะบัดหางเย็นชาจากที่ใดสักที่ดังขึ้นแล้วพูดว่า "ปล่อยนะ"

เสียงนี้มันคุ้นๆแฮะ เสียงมันคุ้นมากจริงๆ

ในขณะที่ซินเหยายังคิดไม่ออกว่าเป็นเสียงของใครกันแน่ ร่างกายของเธอก็ได้ไปซบอยู่ที่อกของอีกคนหนึ่งที่หอมเย็นแล้ว มือข้างหนึ่งของคนๆนั้นได้โง้มกอดไปที่เอวของเธอ เหมือนจะกลืนกินเธอยังไงยังงั้น

"จิงเฉิน นี่มันหมายความว่ายังไง?" ซวี่เจ๋อหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาก็ยังเหมือนเดิม แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับหายไป มันเย็นชาเอามากตอนนี้

ซินเหยาเหงยหน้าขึ้นไปดู แต่กลับถูกจิงเฉินกดหัวลงไปที่หน้าอกของเขาเหมือนเดิม ไม่ให้เธอพูด

จิงเฉินไม่ได้ตอบกลับซวี่เจ๋อ แต่กลับใช้สายอันเย็นชามองไปที่กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆที่กำลังมุงดูอยู่

"ทุกคนคงเหลือพลังงานมากสินะ คงจะไม่เหนื่อย อยากจะทำโอทีต่อใช่ไหม?" หลังจากที่ท่านประธานเยี่ยกวาดสายตาไปมอง ทุกคนต่างหดหัวหมด เขาพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก และพูดกับหลี่เวยว่า "หลี่เวย พาพวกเขาไปกินมื้อดึก พวกเธอไปก่อนเลย ใบเสร็จคิดรวมเป็นของผม"

หลี่เวยสีหน้าที่ดูจะได้ใจพร้อมสะใจ แล้วพูดอย่างทันทีว่า "ได้ค่ะ"

เห็นหรือยัง พวกมนุษย์ธรรมดาหน้าโง่ เห็นหรือยัง

น้องซินเหยาตัวน้อยเป็นของท่านบอสใหญ่ของเราต่างหาก หึๆ

ซินเหยาตอนนี้ยังซบอยู่ที่อกของจิงเฉิน มือสองข้างที่เรียวสวยกดเธอไว้ไม่ให้เงยหัวขึ้นมา

"วันนี้เธอไม่มีเวลา พอแค่นี้เถอะ" สีหน้าที่ดูไร้ซึ่งอารมณ์ของจิงเฉินมองไปที่ซวี่เจ๋อแล้วพูด มันทำลายแผนสารภาพรักของซวี่เจ๋อลงอย่างราบคาบ

"จิงเฉิน นี่มันเรื่องระหว่างเราสองคน ไม่เกี่ยวกับนาย อย่าแทรกเข้ามาจะดีกว่า" ปากของซวี่เจ๋อเม้มแน่นมากยิ่งขึ้น สายตาดูเฉียบแข็งทื่อมากยิ่งขึ้น น้ำเสียงก็มีความรู้สึกว่ามีความโกรธอยู่ในนั้นหน่อยๆ

ซินเหยาไม่เคยได้ยินซวี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน เขาคงจะหัวร้อนจริงๆ

"วันนี้เธอเป็นคนของฉัน ถ้าไม่ได้รับอนุญาติจากฉัน เรื่องนี้มันก็แค่เรื่องตลกที่เกิดขึ้นเท่านั้น" จิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง

เดี๋ยวๆ ป๊ะป๋านี่มันลุงของป๊ะป๋านะ ทำแบบนี้กับเขามันจะดีหรอ

"จิงเฉิน นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ซินเหยามีความคิดเป็นของตัวเอง นี่มันเป็นการละเมิดสิทธิของเธอไปแล้ว" ซวี่เจ๋อเป็นหนุ่นอบอุ่นจิงๆ พูดออกมามันดูมีหลักการมาก

ท่านประธานฟาง เป็นหนุ่มที่เก่งดีจริๆ

พูดได้ดีมาก ยกนิ้วให้นายสามสิบสองนิ้วไปเลย

เพราะฉะนั้นนะป๊ะป๋า อีกหน่อยเคารพเธอหน่อยได้หรือป่าว เธอก็มีศักดิ์ศรีนะ

จิงเฉินหัวเราะออกมาแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่เข้าใจ

หน้าของเธอแนบชิดไปที่อกอันแข็งของป๋ะป๋า จึงสัมผัสได้ถึงว่ามันกำลังสั่นอยู่

"เกินไปไม่เกินไปไม่ใช่เธอเป็นคนตัดสิน ตอนนี้ยังมีงานที่เธอยังทำไม่เสร็จ ตอนนี้เธอต้องไปกับฉัน" จิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อและเอาแต่ใจ คำพูดที่เอาแต่ใจพวกนี้มันน่าจะทำให้คนอื่นเกลียด แต่จิงเฉินพูดขึ้นมามันกลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งอย่างที่เขาพูดมันดูเป็นสิ่งที่ถูกต้องมีหลักการยังไงยังงั้น

ป๊ะป๋า หลับตาโกหกแบบนี้ ได้คิดถึงความรู้สึกของซินเหยาบ้างหรือป่าว?

"ซินเหยา……" ซวี่เจ๋ออ้าปากพูดขึ้น อยากจะสรรหาคำมาทำให้ซินเหยาอยู่ต่อ สายตาของเขาจ้องมองไปแต่ที่ซินเหยา เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวังต่อพระเจ้า "เธออย่าไป ได้หรือป่าว?"

ในใจของซินเหยาก็รู้สึกผิดเหมือนกัน เธอหันหัวไปหาซวี่เจ๋อแล้วพูดว่า"พรุ่งนี้ตอนกลางคืนกินข้าวด้วยกัน มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูดก็ได้"

หลังจากที่จิงเฉินฟังซินเหยาพูดจบ สายตาเหมือนครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่

แต่กลับกัน หลังจากที่ซวี่เจ๋อฟังจบ หน้าก็ยิ้มระรื่นขึ้นมาทันที

"ได้ พรุ่งนี้เจอกัน" ซวี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความปลื้มใจ

"อึม" ซินเหยาตอบกลับด้วยอารมณ์คงที่

เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอติดหนี้ซวี่เจ๋อยังไงยังงั้นแหละ ในใจถึงได้รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้

"เมื่อกี้ขอบคุณคุณนะ ประธานเยี่ย สำหรับอาหารมื้อดึกฉันก็ไม่ไปแล้ว ฉันขอกลับก่อน" ซินเหยาพูดกับจิงเฉินหลังจากที่ซวี่เจ๋อกลับไปแล้ว

จิงเฉินดึงมือของซินเหยาที่หันหลังอยู่และกำลังจะเดินจากไป แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เฉยชาว่า "ผมอนุญาตให้คุณกลับหรอ?"

ป๊ะป๊าอย่าทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเลยหน่า

ตอนนี้มันเวลาเลิกงานแล้ว เธออยากกลับบ้านคงไม่ต้องให้คุณเซ็นอนุญาติก่อนถึงจะกลับได้ โอเครไหม?

"แต่ว่าตอนนี้มันเลิกงานแล้วนะคะ" ซินเหยาอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา

"เมื่อกี้ผมก็ได้บอกไปแล้วว่าคุณยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ"

พูดมั่ว เธอไม่ได้มีงานที่ยังทำไม่เสร็จเลย

"เมื่อกี้มันไม่ใช่ข้ออ้างหรอคะ? ฉันมีงานที่ยังทำไม่เสร็จด้วยหรอคะ" ป๊ะป๋า อย่าทำตัวเป็นเด็กไปเลย

"ผมเป็นเจ้านาย บอกมีก็ต้องมีสิ"

ป๊ะป๋า คุณไร้เหตุผลแบบนี้พนักงานในบริษัทรู้เรื่องรึปล่าว

"เรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นเธอรู้สึกยังไง?" ป๊ะป๋าจับจ้องมองไปแต่ข้างหน้า รถขับไปอย่างเรียบนิ่ง

"เรื่องอะไรคะ" ซินเหยาถาม

"ทำเป็นไม่รู้รึไง"

"คุณถามไม่ชัดเจนเองนะคะ"

"ผมบอกคุณให้นะ ไม่อนุญาติให้คุณตอบตกลงฟางซวี่เจ๋อ"

ป๊ะป๋าทำตัวเป็นเด็กอีกแล้ว เธอก็ไม่ได้อยากจะตอบตกลงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่จะบอกให้ป๊ะป๋ารู้ทำไม

"ทำไมล่ะคะ?"

"ก็เพราะเธอเป็นผู้หญิงของฉันไง!"

หลังจากที่ได้ยินคำพูดเมื่อกี้ ใจของซินเหยาก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ วิ่งวนไปด้วยความตื่นเต้น

เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่จิงเฉิน อาจจะเป็นเพราะว่าวันนั้นแสงไฟมันมืด หรืออาจจะเป็นเพราะว่ารถคันนั้นมันแพงมาก เธอมองทะลุไปที่ดวงตาอันเย็นยะเยือกของจิงเฉิน มันเต็มไปด้วยควมอบอุ่น มันสามารถทำให้เธอหลุดลงไปยังสายตาอันเย้ายวนอบอุ่นนี้ได้

สาเหตุเป็นเพราะ ดอกพวกนี้มันแพงกว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกนั้นเสียอีก

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็น แต่มันเป็นเพราะเจอจิงเฉินเข้าโดยบังเอิญพอดี

จิงเฉินที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้มองดูซินเหยาอย่างไม่ละสายตา สุดท้ายได้พูดขึ้นว่า”ในเมื่อเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆของคนอื่น คุณดีไซเนอร์ชื่อดังก็คงจะไม่ทำให้เขาผิดหวังหรอกมั้ง”

แม่เจ้า

ตอนนี้ซินเหยาตกอับถึงขั้นไหนเชียวนะ ถึงต้องมามองหน้าของป๊ะป๋าแบบนี้

มันแย่กว่านี้ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

เธอสาบานว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว

หลังจากที่ซินเหยาได้ปฏิเสธว่าเธอไม่ชอบดอก ซวี่เจ๋อก็ปรับเปลี่ยนวิธีการรุกของเขาในการจีบเธอ

เปลี่ยนแล้วหรอ? ไม่เห็นถามความคิดเห็นของเธอเลย

ตอนนี้บริษัทเยี่ยหวงกำชังเจอเข้ากับปัญหา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายออกแบบหรือว่าฝ่ายการตลาด รวมถึงซินเหยา หลี่เวยและบอสใหญ่ต่างก็ทำงานจนดึกดื่น จนถึงเวลานี้สี่ทุ่มถึงจะได้กลับบ้าน บอสใหญ่วันนี้ก็ได้เลี้ยงอาหารมื้อดึกให้กับทุกคน

พนักงานกลุ่มหนึ่งที่ได้เดินออกมาจากบริษัทแล้วก็โดนเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกทำให้ตกตะลึง

บนท้องฟ้าที่มืดมิดเต็มไปด้วยบอลลูนขนาดเล็กสีสันสดใสเต็มไปหมด แต่เพราะว่าขนาดมันเล็กไปหน่อย จึงลอยได้ไม่ค่อยสูงนัก

บอลลูนเล็กตกแต่งด้วยความปราณีตในคืนที่มืดมิดเช่นนี้มันช่างสวยงามจริงๆ มันเปรียบดังท้องฟ้าในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยหิ่งห้อยเรืองแสง มันทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้จริงๆ

แม้แต่หญิงแกร่งที่ไร้ซึ่งความโรแมนติกอย่างซินเหยาก็อดใจไม่ได้ที่จะโดนภาพอันสวยงามที่อยู่ตรงหน้ากระทบมาที่หัวใจเข้าให้อย่างจัง

มันโรแมนติกจริงๆ

คนที่มีรูปร่างสูงก็สามาถที่จะยื่นมือขึ้นไปแล้วหยิบมันลงมาได้

สีหน้าแปลกแปลกที่มองไปที่จิงเฉิน แต่จุดโฟกัสมันไม่ใช่อยู่ที่บอสใหญ่ แต่มันอยู่ถัดจากบอสใหญ่ไปไม่ไกลต่างหาก……ซินเหยา

ซินเหยาถูกสายตาเหล่านั้นจดจ้องอย่างไม่ละสายตา ในใจของเธอตอนนี้รู้สึกถึงรางไม่ดีที่จะเกิดขึ้นเข้าให้แล้ว

“เป็นอะไรไปล่ะ” จิงเฉินถาม

บังเอิญว่าลูกบอลลูนเล็กไม่ได้อยู่สูงมาก เธอจึงกระโดดคว้าหยิบมันลงมาเอาไว้ในมือของตัวเอง

บนลูกบอลลูนมีกระดาษบางอย่างติดไว้

เมื่อดูข้อความที่เขียนไว้บนกระดาษเสร็จ เธอรู้สึกอยากตายขึ้นมาทันที

“ซินเหยา ผมชอบคุณ อยากจะใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับคุณ คุณจะตอบตกลงผมหรือป่าว?”

แม่เจ้า มันทำไมพุ่งเป้ามาที่เธออีกแล้วล่ะเนี่ย

“ซินเหยา ผมชอบคุณ ผมรักคุณ ผมอยากเป็นแฟนคุณ อยากจะปกป้องคุณไปตลอดชีวิต คุณให้โอกาสผมสักครั้งจะได้หรือป่าว?” รอบข้างเต็มไปด้วยความตกใจมึนงง ที่ที่ไม่ไกลมากนักได้ส่งผ่านเสียงคำสารภาพรักมายังหัวใจของเธอโดยเสียงที่กึกก้อง

พนักงานกลุ่มหนึ่งหันหน้าไปทิศทางเสียงนั้น

เห็นเพียงแต่ประธานฟางที่สุดแสนจะหล่อเหลากำลังขี่จักรยานมาทางซินเหยา บนจักรยานเต็มไปด้วยลูกบอลลูนเล็กๆสีสันสลับไปมา

เป็นเขาอีกตามเคย

ไม่ถึงสามสิบวิ ฟางซวี่เจ๋อก็อยู่ต่อหน้าเธอแล้ว

เขาเอาบอลลูนหลายลูกยื่นใส่ไปที่มือของเธอ สายตาที่เต็มไปดวยดวงดาวระยิบระยับ มันสวยกว่าดวงดาวนับล้านดวงบนท้องฟ้ารวมกันเสียอีก มันฆ่าคนโสดแถวนี้ตายเพียบแบบไร้ซึ่งความปราณี

“ซินเหยา สิ่งที่ผมพูดไปผมไม่ได้ล้อเล่นเลยนะ ผมชอบคุณ ผมรักคุณ มันออกมาจากความรู้สึกข้างในของผมจริงๆ ตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรกผมก็รู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนี้ผมจะอยู่กับเขาไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไหม้ คุณคือบ่วงของผม แต่ผมก็พร้อมที่จะตกลงไปในบ้วงกรรมนี้ จากนี้ไปไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาสักเพียงไหน ไม่ว่าจะแดดออกหรือฝนตก ไม่ว่าจะทุกข์ใจหรือสุขใจ ผมก็ขอเป็นโล่กำบังให้กับคุณและยืนอยู่ข้างคุณเสมอไม่หนีไปไหนแน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะแก่ชราลง ในสายตาผมคุณก็ยังคงเป็นหยกมณีที่สวยงามเลอค่าอยู่วันยันค่ำ ผมขอใช้หัวใจอันแรงกล้าดวงนี้ของผมในการสาบานว่าผมจะปกป้องคุณตลอดไป” ฟางซวี่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นเปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ที่ทอแสงขึ้นในฤดูหนาวอันยะเยือกเช่นนี้ สายตาของผู้ชายคนนี้เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสงแพรวพราวนับล้านดวงบนท้องฟ้า

ฟางซวี่เจ๋ออบอุ่นเกินคำจะสามารถบรรยายได้ มันทำให้คนอื่นแพ้ตายในความอบอุ่นเช่นนี้จริงๆ

เขาเป็นผู้ชายที่อบอุ่นจริงๆ

เพื่อนร่วมงานผู้หญิงรอบๆต่างก็มองดูซินเหยาด้วยสายตาที่เปรี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉา

ในมือของซินเหยาถือลูกบอลลูนอยู่ มองไปที่สายตาอันใสวิ้งกว้างไพศาลเปรียบดั่งมหาสมุทรของซวี่เจ๋อ ตอนนี้เธอไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

เธอเออร์เรอร์แล้ว ต้องการที่จะรีบูตใหม่อีกครั้ง

เพื่อนร่วมงานผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในสถานะการณ์ที่สุดแสนจะโรแมนติกนี้ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งอบอุ่นออกมา

แต่ที่มันมากไปกว่านั้น ฝ่ายชายคือบุคคลที่จัดได้ว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มติดอันดับหนึ่งในสิบครองใจสาวทั้งประเทศ……ฟางซวี่เจ๋อ

“ตอบตกลง”

“ตอบตกลง”

“เทพบุตรหล่อมากเลยอ่ะ ฉันยอมคบกับคุณ”

“คุณเทพบุตร ฉันยอมเป็นแม่ของลูกคุณ”

“คุณเทพบุตร”

ทุกคนต่างร้องโฮเสียงดังลั่น ความจริงทุกคนก็กำลังดูปฏิกิริยาของทั้งสองอยู่ว่าจะเป็นอย่างไร

หลี่เวยมองดูอยู่ข้างๆ มนุษย์โลกที่โง่เง้ายิ่งนัก

นี่มันเป็นผู้หญิงของบอสใหญ่ ไปเชียร์แบบนั้นอยากตายหรืออย่างไรกัน

ผู้หญิงพวกนั้นที่บอกว่าอยากเป็นแม่ของลูกเขาก็ลงมือเร็วเข้าสิ เทพบุตรคนนั้นก็ยืนอยู่นั้นแล้ว

แค่ตระโกนออกมามันจะช่วยรึไง

ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่หลานชายของลู่หงเทียน ถ้าหากว่าเธอไม่ได้มีลั่วหลิงและเข่อหลานแล้วล่ะก็ เธอก็เต็มใจที่จะเป็นแม่ของลูกให้กับเขา

เจ็บปวดใจจริงนะเออ

ในที่สุดชีวิตนี้ของเธอก็เจอกับชายที่หล่อขนาดนี้ มีเงินขนาดนี้มาจีบ แต่เธอกลับไม่ตอบตกลง มันช่างน่าเสียดายจริงๆ

“ซินเหยา ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมสักครั้งในการดูแลคุณ ผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด ผมจะทำให้คุณเห็นว่าคุณเลือกผมคุณไม่ได้เลือกผิด” สายตาของซวี่เจ๋อที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็อบอุ่นยิ่งขึ้น เนื้อหาที่เขาพูดมันก็ยิ่งน่าลำคาญมากไปกันใหญ่ “วันข้างหน้าผมอาจจะไม่ได้มีเวลาอยู่ข้างคุณทุกวัน แต่ว่าในหนึ่งปีผมจะเจียดเวลาหนึ่งเดือนมาอยู่กับคุณ พวกเราสามารถที่จะไปท่องเที่ยวได้ พวกเรามีเวลาทั้งชีวิตที่จะเที่ยวรอบโลก ทุกที่ที่เราไปเราจะถ่ายรูปเก็บไว้หลายร้อยใบ รอวันที่เราแก่ชรามา เราจะนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะและหยิบรูปเหล่านี้ขึ้นมาดูเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเรามีความสุขมากเพียงไหน”

ไอ่ห่า คำพูดพวกนี้มันน่าลำไยจริงๆ เธอหาข้ออ้างที่จะมาปฏิเสธไม่ได้เลยสินะ

สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ต้องการ ฟางซวี่เจ๋อได้พูดไปหมดแล้ว

อีกอย่างที่บอกว่าจะพาเที่ยวรอบโลก มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ

ซินเหยาอ้าปากขึ้น แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆออกมา

“จูบเธอ จูบเธอ ประธานฟางจูบเธอสิ!”

“ใช่ จูบเลย”

“ท่านประธานฟาง ถ้ายังเป็นผู้ชายอยู่แล้วล่ะก็ ต้องจูบเลย”

คนเหล่านั้นส่งเสียงดัง เชียร์ขึ้นอีกครั้ง

“คือ…… ซวี่เจ๋อนายอย่าบุ่มบ่าม อย่าฟังที่พวกเขาพูดนะ” ซินเหยาตั้งสติและเดินถอยหลังไปสองก้าว

ทำไมถึงบอกว่าไม่จูบไม่ใช่ผู้ชายหล่ะ? ถึงแม้ไม่จูบก็ยังเป็นผู้ชายอยู่โอเครป๊ะ? วิชาชีวะครูศิลปะสอนหรืออย่างไรกัน

อีกอย่างไม่เห็นมีใครถามเธอเลยว่าเธอรู้สึกอย่างไง นี่มันไม่ใช่การไปละเมิดสิทธิของคนอื่นหรอกหรอ

ดวงตาทั้งสองข้างของซวี่เจ๋อเปร่งประกายขึ้น มือทั้งสองข้างโง้มกอดไปที่เอวอันบางเฉียบของซินเหยา และดึงมากอดไว้ที่อกของตัวเอง

มันชัดเจนมากที่ซวี่เจ๋อโดนมนุษย์โง่เขลาพวกนี้เชียร์จนเป็นแบบนี้ เขาจูบลงไปจริงๆแล้ว!?

“ค่ะ” ซินเหยาพยักหน้า ใช่……มีคนส่งมาให้เธอ

“ใครส่งมาให้ล่ะ” นิ้วมือที่เป็นสัดส่วนเรียวยาวสวยของจินเฉินได้ลูบใล้ผ่านดอกกุหลาบพวกนั้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะไม่พอใจ

เห็นฉันเป็นนักโทษหรืออย่างไรกัน? ฉันก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ

คุณซักถามเธอเหมือนเธอเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละไม่กลัวเธอชักสีหน้าใส่หรอ

“ใช่” เธอพยักหน้า

ป๋ะป๋าไม่ได้รู้จักคนนั้นเลย ไม่รู้มั้งงง!

แต่ถ้าบอกป๊ะป๋าว่าฟางซวี่เจ๋อเป็นคนส่งมาให้ นิสัยเอาแต่ใจอย่างป๊ะป๋าคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปแน่สำหรับที่บอกว่าทำไมป่ะป๊าถึงโกรธน่ะหรอ เพราะป๊ะป๋าเป็นประธานที่รวย ประธานที่รวยถ้าจะโกรธไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล

นิสัยชอบอารมณ์เสียใส่ของป๊าป๋ามันมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว อะไรก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

“ฉันก็ไม่รู้หรอก ข้างบนไม่ได้เขียนชื่อคนส่งไว้” ซินเหยาหยิบการ์ดที่ตกอยู่ข้างข้างนั้นขึ้นมาและใช้สองมือส่งให้จิงเฉินดู เป็นการบอกว่า เธอไม่ได้พูดโกหก เธอไม่รู้เรื่องจริงๆ

เธอพยายามเบิกตาให้กว้างที่สุดและมองไปที่จิงเฉินเพื่อให้จิงเฉินรู้สึกว่าเธอมีความจริงใจมากเพียงใด

จิงเฉินเด็ดดอกจากในนั้นออกมาหนึ่งดอก และนำมาดมที่จมูกของตัวเองแล้วพูดว่า ”ก็สวยอยู่นะ กลิ่นก็หอมดี”

ถ้าประธานเยี่ยชอบแล้วหล่ะก็….เอาไปกี่ดอกก็ได้นะคะ” ซินเหยาพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มกลบเกลื่อน

ก่อนที่เสียงพูดของเธอจะหายไปนั้น เธอก็เห็นกับตาจังจังว่าเยี่ยจิงเฉินบีบบี้ดอกกุหลาบนั้นในกำมือของเขาอย่างรุนแรงและได้โยนดอกกุหลาบที่สุดแสนจะอ่อนโยนนั้นลงไปกองไว้ที่พื้น สุดท้ายเหยียบเศษดอกกุหลาบนั้นอย่างไร้ซึ่งความปราณี

คุณคิดว่ามันเป็นเศษกระดาษเปล่าหรืออย่างไรกัน ถึงแม้จะเป็นเศษกระดาษเปล่าก็เอาไปรีไซเคิลได้

คุณรู้มั้ยว่าดอกพวกนี้แพงขนาดไหน ถูกบี้ไปซะขนาดนี้ถึงจะเอาไปให้คนอื่นก็ไม่มีใครอยากได้อยู่ดี

เจ็บใจแสนสุดเศร้า น้ำตาไหลหลั่งริน

ตอนนี้ป๊ะป๋าเหมือนแปลงร่างจากท่านประธานที่สุดแสนจะเย็นชามาเป็นท่านประธานที่มีนิสัยดุจดังปีศาจร้ายในความมืดมิด

ซินเหยาถึงแม้จะไม่พอใจเพียงใดก็ไม่สามารถที่จะสบถคำด่าออกมาได้เลย

เมื่อกี้ที่ป๊ะป๋าบี้ดอกไม้พวกนั้น จนถึงตอนนี้ในความทรงจำของเธอมันยังวนเวียนไปด้วยเรื่องพวกนี้ โหดร้ายอำมหิตเสียจริงๆเลยนะป๊ะป๋า

“ฉันไม่ชอบดอก” จิงเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากกระเป๋าอกด้านซ้ายของตัวเอง แล้วเอามาเช็ดมือ

เช็ดเสร็จก็โยนไปที่โต๊ะของซินเหยาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เอาแต่ใจเย็นชาโหดร้ายว่า “ซักให้สะอาดด้วยล่ะ”

“ซักกับผีเองล่ะสิ” ซินเหยาด่าออกมาตอนจิงเฉินเดินออกไปและปิดประตูแล้ว

ถามว่าทำไมเธอถึงไม่กล้าด่าต่อหน้าของไอ้หมอนั่นหรอ ก็เพราะว่า……

ถึงจะโง่หรืออย่างไร การที่ด่าแล้วก็ทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา ทำให้คนอย่างเขาที่สุดแสนจะหล่อ มีเงิน หล่อมีความสามารถ หล่อ มีเงินไม่พอใจมันไม่ได้จริงๆ

โลกใบนี้ดูเพียงใบหน้าและรูปลักษณ์ภายนอกสินะ

ลืมบอกทุกคนไป ซินเหยาของเรานอกจากที่จะชอบกินแล้ว ยังชอบมีนิสัยที่ ”แค้นนี้ต้องชำระ” หลี่เวยเห็นสภาพของเธอแล้วตั้งใจเอาดอกพวกนี้ไปไว้ที่หน้าโต๊ะของเธอ

ถ้าเธอไม่แก้แค้นแล้วล่ะก็ คืนนี้คงนอนไม่หลับเป็นแน่

เพราะฉะนั้นวันที่สองตอนที่เอาปิ่นโตมาให้หลี่เวยก็ถือว่าเป็นการแก้แค้นแล้ว

หลี่เวยความจริงเป็นผู้หญิงที่ชอบกินนะ แต่ทำไมตอนนี้ปากของเธออมเนื้ออยู่แต่ก็ไม่ได้กลืนลงไปซักที เนื้อชิ้นนั้นที่ตุ๋นมาอย่างดีพอเข้าปากก็ละลายแล้ว

ในตอนที่หลี่เวยยังไม่ทันคิดว่าตัวเองจะคายออกมาหรือว่าจะฝืนใจกลืนลงไปนั้น เนื้อชิ้นนั้นก็ได้ละลายลงคอเธอไปแล้ว

สีหน้าของเธอตอนนี้ของเธอมันดูไม่ได้เลยจริงๆ

“ซินเหยา เนื้อเมื่อกี้มันคืออะไรอ่ะ?” หลี่เวยถาม

ซินเหยามองดูด้วยความสะใจ ตอนนี้ตาเธอแล้วหละสิ

ในใจของเธอน่ะเต็มไปด้วยปีศาจที่พร้อมจะแก้แค้น ปากนุ่มนิ่มของเธอได้โค้งงอขึ้นแสดงถึงรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาออกมาแล้วพูดว่า “อ๋อ!นั่นมันคือเนื้อแมว รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลี่เวยตุยเย่มารูโก๊ะตอนอายุ27

ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบแมวและได้รู้ว่าตัวเองกินเนื้อแมวลงไป มันเหมือนฟ้าผ่าไปที่กลางศีรษะของเธอ

หลี่เวย: …..

ซินเหยา เธอเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงร้ายเหมือนปีศาจขนาดนี้ แล้วซินเหยาที่น่ารักใจดีคนนั้นล่ะหายไปไหน?

ซินเหยากินเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าไป ความจริงเนื้อนี้ตุ่นได้ดีมากนะ นี่เป็นสูตรลับเฉพาะเลยเชียวล่ะ

รสชาติมันก็เปรี้ยวเปรี้ยวเหม็นคาวเหมือนรสชาติที่เขาร่ำลือมาจริงๆ

ค่อยค่อยกล้ำกลืนฝืนทนในการกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงไปและยิ้มออกมา ลักยิ้มข้างแก้มของเธอโผล่ขึ้นแล้วพูดว่า “หลี่เวย เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่นหน่า ความจริงฉันก็ชอบแมวเหมือนกัน เมื่อกี้มันไม่ใช่เนื้อแมว”

“จริงหรอ!?” หลี่เวยรู้สึกตัวเองฟื้นจากความตายอีกครั้ง

ซินเหยาพยักหน้าแล้วบอกว่า “จริง”

“จริงสิเมื่อวานฉันซื้อตุ๊กตาฮัลโหลคิตตี้รุ่นอะลิมิเต็ดอีดีชั่นที่วางขายเมื่อแปดปีก่อนบนอินเตอร์เน็ตน่ะ มันน่ารักเว่อร์ ฉันขาดไปแค่สิ่งนี้แหล่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมันสมบูรณ์มากแล้ว" หลี่เวยพรางหยิบมือถือของตัวเองออกมาด้วยสีหน้าที่อยากจะแบ่งปันผสมไปด้วยความอยากอวด

เลขาที่ฉลาดและมีความสามารถขนาดนี้ความจริงก็ซ่อนความเป็นผู้หญิงอยู่อีกมุมหนึ่งไว้สินะ

ซินเหยามองไปที่ตุ๊กตานั้นและเอามือขยายให้มันใหญ่ขึ้น

“อ๋อ” แล้วพูดต่อว่า "เธอรู้ไหมความจริงฮัลโหลคิตตี้น่ะมันไม่ใช่แมว”

“เธอพูดมั่ว” ตอนนี้หลี่เวยรู้สึกตัวเองโกรธขึ้นมาทันที

“จริงนะ คนรับผิดชอบบริษัทนี้เป็นคนบอกฉันกับปากเองแหละ” ซินเหยาพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ฮัลโหลคิตตี้ใช้ขาสองข้างในการเดิน มันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น”

“สนูปปี้ก็ใช้ขาสองข้างเดิน”หลี่เวยรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “งั้นก็แปลว่าสนูปปี้ไม่ใช่หมานะสิ”

“งั้นก็ต้องถามบริษัทผู้ผลิตตุ๊กตานี้แล้วแหละ” ซินเหยาพยักไหล่ปนความไม่รู้

ปล่อยระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้ใส่ เธอยังกินข้าวอย่างสบายใจเฉิ่มได้ได้

หลี่เวยตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ

หลี่เวยตอนนี้รู้สึกว่าอกเธอจะแตกออกมาเสียจริง หลี่เวยเธอคิดมาตลอดว่าฮัลโหลคิตตี้ก็คือแมว เธอชอบมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว สุดท้ายมาบอกว่าเฮลโลคิตตี้ไม่ใช่แมว

หลี่เวยVSซินเหยา

เลือดของหลี่เวยก็ถูกซินยาล้างโดนทันทีอย่างสะอาด

ถูกซินเหยาเอาชนะเป็นที่เรียบร้อย

ซินเหยาแสดงสีหน้าออกมาว่าเธอตั้งใจ สิ่งที่เธอต้องการก็คือแก้แค้นหลี่เวย เพราะวันนั้นหลี่เวยตั้งใจเอาดอกไปวางไว้ที่หน้าโต๊ะทำงานของเธอทำให้เธอโดนเรื่องพวกนั้น

ซินเหยาดีใจเร็วไปหน่อย คนส่งดอกไม้ได้มาถึงบริษัทเยี่ยหวงอีกครั้งแล้ว

แม่เจ้า ทำไมส่งมาอีกแล้ว?!

เธอไม่ใช่บอกฟางซวี่เจ๋อไปแล้วหรอว่าเธอแพ้ดอก ต่อจากนี้ไม่ต้องส่งมาแล้ว ซวี่เจ๋อก็ตอบตกลงแล้วนะ แล้วตอนนี้คืออะไรกันล่ะ?!

“คุนซินเหยาครับ เซ็นรับหน่อยครับ”

“ฉันแพ้ดอกค่ะ ไม่เซ็น” เธอส่ายหัวปฏิเสธ

“วางใจได้เลยครับคุณซินเหยา ดอกไม้นี้ถูกจัดการมาอย่างพิเศษแล้ว คุณไม่ต้องกังวลครับ”

แบบนี้มันทำให้เธอกังวลขึ้นนะ

แต่ว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น สุดท้ายเธอก็เซ็นรับดอกไป

ตอนกลางคืนก่อนนอน เข่อหลานยังลืมตาปริ่มปริ่มอยู่และรู้สึกเหมือนว่าอยากถามเรื่องราวเกี่ยวกับป๊าป๋าเป็นอย่างมาก

ซินเหยาอยากจะถกกางเกงนอนของลูกคนนี้ลงมาและตบไปสักป๊าบจริงๆ

“ป๊าป๋ามีดีตรงไหน ถึงได้เห็นดีเห็นงามไปกว่าหม่าม๊าและพี่” ซินเหยาถาม

ตั้งแต่ตกอยู่ในน้ำมือของป๊าป๋า เธอไม่ได้เปิดอกคุยกับลูกแบบดีๆเลยสักครั้ง มันทำให้เธอตอนนี้ดูเหมือนเป็นแม่บุญธรรมเข้าไปทุกวัน

“เมื่อมีป๊ะป๋าแล้ว เขาก็สามารถที่จะดูแลเราได้ หม่าม๊าก็ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้อีก” เข่อหลานพูด

“หม่าม๊าครับ ถ้ามีคนที่เหมาะสมและพร้อมจะดูแลหม่าม๊า พวกเรายินดีนะครับ” ลั่วหลิงพูด

ซินเหยา : ……

ลูกชายของฉันเป็นอะไรไปหน่ะ? ทำไมถึงได้เห็นดีเห็นงามไปกับหลานหลานแบบนี้ ความจริงสมองหนูมันฉลาดกว่านี้นะ

ทำไมเลียนแบบวิธีการพูดของน้องแบบนี้ นี่มันทำผิดกฎนะ

“ถ้าเกิดว่าได้ป๊ะป๋าใหม่มาแล้วเขาทำตัวไม่ดีกับลูกหล่ะ” ซินเหยาถาม

“เขาดีกับแม่ก็พอแล้วค่ะ” เข่อหลานพูด

แม่เจ้า! เป็นคำพูดที่ดูอบอุ่นแต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกคิดมากมากกว่าเดิมอีก

ลูกทั้งสองอบอุ่นขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าครั้งหน้าหาป๊ะป๋าใหม่มาแล้วเขาทำตัวไม่ดีกับพวกลูกๆหล่ะ?

เพื่อความสุขของลูกทั้งสอง เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะไม่แต่งงานแล้ว

แต่ชาตินี้จะอยู่เป็นโสดไปตลอดเลยหรอ? ลำไย!

ตอนนี้ในใจของซินเหยาวิ่งวนไปด้วยความสับสนก่อนที่เธอจะให้จูบฝันดีกับลูกและเดินจากไป

“พี่คะ ที่เราพูดแบบนี้มันสามารถที่จะไม่มีพ่อใหม่ได้จริงใช่ไหมคะ”

“อืม”

“ความจริงหนูมีป๊ะป๋าแล้ว ไม่เห็นอยากจะหาป๊ะป๋าคนใหม่เลย” เข่อหลานพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ซินเหยาเดินเข้าเยี่ยหวงไป เธอก็รู้สึกถึงสายตาเหล่านั้นที่จับจ้องมาที่เธอด้วยความแปลกๆเหมือนมีอะไรเกิดขึ้น

เธอหยิบกระจกขึ้นมาดู เครื่องสำอางยังอยู่แน่นนี่นา ผมก็ไม่ได้ยุ่ง สีเสื้อผ้าวันนี้ก็ดูเข้ากัน มันก็เหมือนปกติประจำวัน ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปเลย

หรือจะเป็นเพราะว่าวันนี้สวยอีกแล้ว?

เมื่อถึงห้องทำงานของเธอเธอจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แม่เจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

พื้นที่โรยเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดงสดมันช่างสวยงามเผ็ดร้อนบาดตาจริงๆ มันทำให้ไม่สามารถที่จะสบตากับดอกกุหลาบเหล่านั้นได้เลย เยี่ยหวงเปลี่ยนเป็นบริษัทขายดอกไม้แล้วหรอเนี่ย?

“ซินเหยารับสารภาพมาโดยดี เธอไปแอบแซ่บมาใช่ไหม?” หลี่เวยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

แอบแซ่บ?

คุณเลขาหลี่คะ คุณแน่ใจนะว่าคุณใช้คำถูก?

ภาษาจีนของคุณคือครูพละและครูชีวะพลัดกันสอนหรือเปล่านี่?

เธอใช้คำผิดแบบนี้ บอสใหญ่ของเธอไม่รู้เลยรึไง!?

“อะไรนะ?! ฉันไม่รู้เรื่อง” ซินเหยาเอากระเป๋าของเธอวางไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

หรือเป็นเพราะว่าตอนเช้านี้มีเธอคนเดียวที่กินยาเขย่าขวดมา ถึงรู้สึกว่าคนทั้งบริษัทไม่ปกติ

“อย่าปฏิเสธฉันเลย ดอกไม้พวกนี้มันถูกส่งมาที่นี่ขนาดนี้แล้ว ฉันจะบอกให้นะ ดอกไม้ผูกพวกนี้เนี่ยถูกส่งมาจากประเทศเบาแกเลียทางอากาศเลยเชียวหล่ะ เธอดูบนดอกสิ ยังมีน้ำค้างเกาะอยู่เลย แค่ดอกเดียวราคาก็แพงหูฉี่อยู่แล้ว แต่นี่มัน 99 ดอกเลยนะ” หลี่เวยพูดด้วยสีหน้าที่ดูอิจฉาตาร้อน “พวกเรามันก็แค่ชนชั้นกลาง เงินเดือนเดือนหนึ่งก็ไม่มากไม่น้อย แต่จะว่าไปเงินเดือนครึ่งปีของเราก็ไม่สามารถที่จะซื้อดอกพวกนี้ได้เลยนะ คนที่ส่งดอกพวกนี้มานะต้องรวยมากแน่แน่เธอไปจิกมาจากไหนล่ะ?”

ซินเหยาหน้าเจื่อนนิ่งไปชั่วขณะ

เงินเดือนของหลี่เวยเธอไม่รู้หรอกว่าเยอะขนาดไหน แต่รับประกันได้เลยว่าเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าเลขห้าหลัก พอครึ่งเดือนมาก็หกหลักแล้ว

แม่เจ้าโว้ย นี่มันไม่ใช่โปรยไปด้วยดอกกุหลาบหรอกนะ แต่มันโปรยไปด้วยเงินต่างหาก

ไม่ต้องพูดหรอกว่าหลี่เวยรู้สึกอิจฉามากเพียงใด แต่ให้ดูที่ซินเหยาตอนนี้ที่รู้สึกอิจฉาและอยากเปลี่ยนพวกนี้ให้กลายเป็นเงินมากกว่า

“ฉันรู้สึกตกใจนะ แต่นี้มันเกี่ยวอะไรกับฉันหล่ะ?” ซินเหยามองไปที่ดอกแว๊บหนึง “อ๋อ…..ไม่ใช่ดอกกุหลาบสีแดง” หลี่เวยไม่รู้หยิบการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาจากไหนและยื่นไปที่อกของซินเหยาแล้วบอกว่า “อย่ามาทำเป็นไขสือเลย ดอกพวกนี้มีคนส่งมาให้เธอ” ซินเหยาหยิบการ์ดขึ้นมาดู ชื่อในนั้นเป็นชื่อของเธอจริงๆ

เฮ้อ…..พื้นที่โปรยไปด้วยเงิน……ไม่ใช่สิ กุหลาบที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักอันเล่าร้อนนี้ก็เป็นของเธอสินะ

ตกลงใครส่งมากันนะ?

ในเมื่ออยากส่งของพวกนี้มาให้ ทำไมไม่ส่งเป็นเงินสดแทนล่ะ นี่มันเงินหกหลักเชียวนะ มันไม่ใช่เงินสิบยี่สิบบาท เงินพวกนี้สามารถทำให้เธอไม่ไปขายไตในตลาดมืดมาซื้อมือถือรุ่นท็อปได้เลยเชียวล่ะ

เครื่องหนึ่งโทร เครื่องหนึ่งรับ เครื่องหนึ่งส่งข้อความ เครื่องหนึ่งเล่นQQ เครื่องหนึ่งพิมพ์ WeChat เครื่องนึงไถWEIBO งือออ….

“ใครส่งมาให้อ่ะ?” หลี่เวยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ความจริงบนการ์ดนั้นไม่ได้เขียนชื่อคนส่ง แต่สายเปย์ขนาดนี้แถมโง่ขนาดนี้มันเป็นใครไปไม่ได้หรอก

ท่านประธานฟางถึงแม้จะหล่อเอาการมากแต่ก็ยังบ้องแบ๊วโง่เง่าอยู่ดี

“อืม…..” ซินเหยาเงียบไปสักพักแล้วส่ายหัวบอกว่า”ไม่รู้สิ”

หลี่เวยมองซินเหยาด้วยสายตาที่สงสัย ซินเหยาก็มองกลับด้วยสายตาที่มั่นคงไม่เหลิกหลัก

หึ…..ฉันโกหกเธอ ถ้ามีปัญญาจริงก็มากัดฉันสิ

“เซอร์ไพรส์วันนี้ที่ส่งไปให้ได้หรือยังครับ?” ตอนเปิดมือถือมาก็เห็นข้อความของฟางซวี่เจ๋อแล้ว

เธอตอบกลับ: หึๆ

แม่เจ้าโว้ย ก็ยังคงเป็นฟางซวี่เจ๋อสายเปย์คนเดิมคนนี้นี่เองสินะ

เธอเหมือนกับพูดว่า: คุณคนรวย เราเป็นเพื่อนกันเถอะ

เซอร์ไพรส์? ความจริงมันก็เซอร์ไพรส์แหละ แต่มันก็รู้สึกเจ็บใจเหมือนกัน

ซินเหยาได้รับบิ๊กเซอร์ไพรส์ขนาดนี้ นอกจากจะรู้สึก เซอร์ไพรส์แล้วก็รู้สึกเจ็บใจด้วย

เธอเป็นคนโง่เง่าธรรมดาคนหนึ่ง โลกของท่านประธานพวกนั้นที่รวยนักรวยหนาเธอไม่เข้าใจหรอก

เยี่ยจิงเฉินมาสายหน่อยวันนี้ โต๊ะของซินเหยาที่เต็มไปด้วยกุหลาบสีแดงเร้าร้อน แต่รูปร่างผอมเพียวอย่างเธอก็รายล้อมไปด้วยดอกไม้โดยรอบ ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตก็ยากที่จะรู้ว่าในทุ่งดอกกุหลาบแดงนี้ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในนั้น

ในทุ่งดอกกุหลาบแดงนี้สีผิวของซินเหยาเปล่งประกายออกมาเป็นสีเขาดุจดั่งแสงเพชร มันกระทบไปที่ใบสีแดงอันเร่าร้อนของดอกกุหลาบเปล่งแสงระยิบระยับ ตอนนี้เธอเปรียบเสมือนนางฟ้าที่อยู่กลางสวนบนสรวงสวรรค์ ใบหน้าที่ดูสวยสดงดงามของเธอมันสวยกว่าดอกกุหลาบบนสวรรค์เสียอีก

ดอกกุหลาบสวยรื่นชื่นกลิ่นหอม แต่ยังต้องตรอมจิตแพ้ซินเหยา

แต่ที่มาของดอกนี้สิ

เยี่ยจิงเฉินเดินมาด้วยน้ำหนักเท้าที่เบาและมั่นคง สายตามองทอดลงต่ำไปที่ดอกกุหลาบสีแดงเหล่านั้น พูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกว่า : ดอกพวกนี้มาจากไหนกัน

หลังจากที่ได้ยินเสียงของปะป๋า ซินเหยาก็รู้สึกกระสับกระส่ายไปชั่วขณะ

“เออออ….” เธอเหลือกตาไปมองหลี่เวยที่อยู่ข้างๆ แต่หลี่เวยกลับทำตัวยุ่ง ทำเป็นไม่สนใจเธอ

แม่เจ้า คุณเลขา นี่บอสของคุณมาเลยนะ แต่คุณยังกลับทำเป็นไม่เห็นอีกหรอ?

“มีคนส่งมาให้ค่ะ” ซินเหยาวางงานในมือลงพร้อมตอบกลับด้วยความหนักแน่น

“อ้อ”เยี่ยจิงเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ลากยาวและหนักแน่นเช่นเดียวกัน

“อ้อ”คำเดียวก็ทำให้ใจของซินเหยาเต้นรัวขึ้นมา ป๊ะป๋าไม่ใช่ปีศาจร้ายธรรมดาสินะ

“มีคนส่งให้เธอหรอ?” เยี่ยจิงเฉินถาม

เลิกงานตอนเย็น ถังซินเหยาได้ปฏิเสธการไปทานข้าวกับฟางซวี่เจ๋อ

ป่าปี้เป็นคนที่ร้ายกาจ ไม่เชื่อฟังคำของเขาไม่ได้หรอกนะ เขาบอกให้เธออย่าเข้าใกล้ฟางซวี่เจ๋อ เธอก็ไม่อยากจะไม่ฟังคำของเขาหรอก

ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าป่าปี้จะหาวิธีไหนมาจัดการกับเธออีก

แล้วอีกอย่าง ฟางซวี่เจ๋อก็เป็นคนใกล้ชิดกับตระกูลลู่ด้วย เธอควรจะอยู่ออกห่างจากตระกูลลู่และลู่ลงเทียนไว้ดีกว่า

วันนี้เกิดเรื่องราวเยอะแยะไปหมดเลยจริงๆ เมื่อกลับถึงบ้านแล้วได้กลิ่นหอมๆของอาหารที่บ้าน เธอจึงถอดร่างปลอมๆของเธอออกแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง ไม่อยากขยับเลย

"หม่ามี้ หนูคิดถึงหม่ามี้จังเลยค่ะ" เค่อหลานทิ้งเกมที่อยู่ในมือของเธอแล้วก็พุ่งตัวเข้ามาในอ้อมแขนขอถังซินเหยาผู้เป็นแม่ พร้อมกับดวงตากลมโตที่มองไปที่ถังซินเหยาอย่างน่ารักน่าชังแล้วพูดจาหวานๆ

ถังซินเหยาตบตูดของเค่อหลานพร้อมกับถาม : "ช่วงนี้เป็นเด็กดีมั้ยคะ?"

"เป็นค่ะ" เค่อหลานผงกหัวก่อนจะพุ่เข้าสู่อ้อมแขนของถังซินเหยาผู้เป็นแม่

ถังซินเหยาตบเค่อหลานเบาๆพร้อมกับหอมไปที่แก้มของลูกสาวแล้วกล่าวว่า : "อืม เด็กดี นี่เป็นรางวัลสำหรับหนูนะคะ"

เค่อหลานที่ถูกถังซินเหยาหอมแก้มหัวเราะคิกคัก พร้อมกับสอดแขนไปโอบคอผู้เป็นแม่ : "เอาอีกค่ะ"

"งั้นคงต้องดูก่อนว่าหนูช่วยพี่ทำงานบ้านมั้ย" ถังซินเหยาพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย

"งั้นหนูจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หม่ามี้ต้องจุ๊บหนูห้าครั้งนะคะ ไม่สิ….สิบครั้งค่ะ" เค่อหลานยกนิ้วขึ้นมานับพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

"ได้ค่ะ" ถังซินเหยาพยักหน้าตกลง

แต่เค่อหลานยังทับผู้เป็นแม่ไม่ไปไหน เพียงแต่ขยับเข้าไปใกล้ถังซินเหยาพร้อมกับจ้องดูปากสีเชอร์รี่ของผู้เป็นแม่

"มีอะไรคะ?"

"หม่ามี้คะ ทำไมปากหม่ามี้ถึงแตกล่ะคะ?"

ใบหน้าของถังซินเหยาถึงกับเหวอ เธอน่ะนับถือเยี่ยจิงเฉินจริงๆเลย ดูออกหมดแล้วเห็นมั้ย เธออยากขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆเลย

"เอ่อ….." ถังซินเหยาจับริมฝีปากของตัวเองที่ไม่ค่อยมีอาการปวดแล้ว พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเดิมว่า : "อ๋อ ตรงนี้ใช่มั้ยคะ หม่ามี้ไม่ทันระวังเลยโดนชนน่ะค่ะ"

"หม่ามี้โกหก" เค่อหลานเบะปากพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"หม่ามี้ไม่ได้โกหกนะคะ"

"หม่ามี้โกหก นี่มันรอยโดนกัดชัดๆเลย"

"ตอนหม่ามี้ทานข้าว หม่ามี้ไม่ระวังเลยกัดโดนไงคะ"

"ถ้ากัดโดนเองมันไม่ถึงตรงนั้นหรอกค่ะ" เค่อหลานพูดอย่างจริงจัง

ถังซินเหยากระตุกปากเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเสียดายที่ลูกสาวของเธอนั้นฉลาดมากขนาดนี้

ถังซินเหยา : ……เห้อ!

"ไม่ใช่นะ….."

"หนูไม่อยากได้ป่าปี้ของหนูกับพี่แล้วค่ะหม่ามี้ หนูไม่อยากรอแล้ว" เค่อหลานโกรธ

"หม่ามี้……"

"แฟนของหม่ามี้หล่อมั้ยคะ?"

"ไม่มีนะคะ หม่ามี้ไม่ได้มีแฟนนะ"

"เขาหล่อมั้ยคะหม่ามี้?"

"หม่ามี้ไม่ได้มีแฟนนะคะ ไม่ได้มีใครเลย" เธอเริ่มจะหมดแรงแล้วนะ

"เขาจะดีกับหนูกับพี่มั้ยคะ?"

ถังซินเหยา : ……เห้อ!

ไม่เปิดโอกาสให้พูดบ้างเลย หม่ามี้ไม่ได้มีแฟนจริงๆนะ

"หม่ามี้คะ แฟนหม่ามี้หล่อมั้ย?"

"หล่อค่ะ"

คนที่จูบเธอน่ะหล่อมาก หล่อจนไม่มีใครคบเลยล่ะ

"เขารวยมั้ยคะ?"

"ค่อนข้างรวยเลยค่ะ"

รวยจนนับว่าติดอันดับมหาเศรษฐีท็อปยี่สิบของโลกเชียวล่ะ

นับได้ว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในเอเชียเลยด้วย ป่าปี้ของหนูเป็นคนที่รวยมากๆ

"เขาหล่อก็โอเคค่ะ หนูกับพี่ไม่ขัดเรื่องทีหม่ามี้จะมีแฟนอยู่แล้ว แต่ว่าต้องผ่านด่านของหนูกับพี่ก่อนนะคะ" เต่อหลานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว : "เอาอย่างงี้มั้ยคะ อีกครึ่งเดือนจะมีกีฬาสีฤดูใบไม้ร่วง หม่ามี้พาเขามามาเล่นวิ่งสามขานะคะ"

ถังซินเหยามองดูลูกสาวตัวเองที่ทั้งน่าโกรธและน่าขำ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ไม่รู้จะจัดการยังไงกับลูกสาวตัวดีของเธอดี

"โอเคมั้ยคะหม่ามี้ โอเคมั้ย" เค่อหลานมองผู้เป็นแม่ด้วยสายต่าแป๋วแหววพร้อมกับทำน่าออดอ้อนอย่างน่ารักน่าชัง

ก็พูดได้แล้วนี่ เยี่ยมไปเลยแม่สาวน้อย

"ได้ค่ะ" ต่อหน้าลูกสาวที่น่ารักของเธอ เธอคงปฏิเสธไม่ลงหรอก

เค่อหลานดีใจใหญ่พร้อมกับลุกขึ้นมาปรบมือดังแล้ววิ่งเข้าห้องครัวไปพูดกับพี่ชาย : "พี่คะ หม่ามี้หาป่าปี้หล่อน รวยๆมาให้เราแล้วนะคะ เขาจะไปเล่นเกมวิ่งสามขาด้วย"

ความหล่อมันไม่ใช่พ้อยท์นะคะลูกสาว แล้วปากหนูน่ะไวเกินไปแล้วนะ จะไปบอกพี่ชายทำไมกัน

เฉลียวฉลาดจริงๆเลย ฉลาดซะยิ่งกว่าลูกสาวของอัจฉริยะเสียอีก

ตอนที่ถังซินเหยาทานข้าว เธอรู้สึกผิดจนแทบจะตายอยู่แล้ว

ราวกับว่าลั่วหลิงนั้นจะไม่ได้ยินสิ่งที่เค่อหลานพูด เพราะไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่ถังซินเหยาก็รู้สึกผิดอย่างไม่รู้สาเหตุ

เป็นเรื่องยากที่เธอจะบังคับลูกของเธอทั้งเค่อหลานและลั่วหลิงทานผักที่ตัวเองไม่ชอบ เธอกระแอมก่อนจะพูดกับลั่วหลิงว่า : "อย่าสนใจเรื่องที่หลานหลานพูดวันนี้เลยนะคะ หม่ามี้แค่พูดเล่นกับน้อยเฉยๆ"

"ไม่ใช่ได้ไงคะ" เค่อหลานรีบกลืนซี่โครงที่เป็นของโปรดตัวเองลงก่อนจะพูดอย่างอ้อแอ้ว่า : "ไม่ใช่ที่ไหนล่ะคะ ปากหม่ามี้โดนเขากัดแตกขนาดนั้นแล้ว หม่ามี้กับเขาต้องทำเรื่องน่าอายด้วยกันแน่ๆเลย"

เรื่องน่าอายงั้นหรอ?

พูดอะไรเนี่ย พูดว่าปากเธอโดนคนอื่นกัดยังน่าฟังกว่าอีก

"อย่ามามั่วนิ่มนะคะ" ถังซินเหยากัดฟันพูดพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง

"หนูไม่ได้มั่วนะคะ ก็หม่ามี้เป็นบอกเองว่าแฟนหม่ามี้ทั้งหล่อ ทั้งรวย แล้วก็เท่มากๆ" เค่อหลานเบะปากพร้อมกับพูดอย่างไม่พอใจ

"อันนั้นหม่ามี้แค่หยอกหนูเล่นไงคะ" ถังซินเหยากัดฟัง

ราวกับว่าจะจับลูกสาวแสนซนของเธอมาตีตูดให้รู้แล้วรู้รอดเสีย

"งั้นใครกัดปากหม่ามี้จนแตกล่ะคะ?" เค่อหลานถาม

เอ่อ…….กลับมาที่คำถามนี้อีกแล้วหรอ เกลียดอ่า!

"ดูสิคะ ถ้ากัดโดนปากตัวเองมันกัดไม่ถึงหรอกค่ะ " เค่อหลานกลัวทุกคนไม่เชื่อ จึงใช้ข้อมูลมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ ฟันขาวๆของเธอกัดลงบนรีฝีปากสีชมพูดของตัวเองพร้อมกับพูดว่า : "ดูนี่สิคะ มันกัดไม่ถึง"

ลั่วหลิงเหลือบตามามอง พร้อมกับพูดด้วยความเย็นชา : "อืม น้องพูดถูก"

ถังซินเหยากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้นะ เธอก็ถ่ายทอดพันธุกรรมไอคิวที่ยอดเยี่ยมของเธอให้เค่อหลานและลั่วหลิงแล้ว (คุณนั่นแหละที่ถ่ายทอดพันธุกรรมให้เค่อหลานและลั่วหลิง)!

"หม่ามี้ครับ ถ้าหม่ามี้จะหาแฟนสักคน ผมก็ไม่ขัดนะครับ" ลั่วหลิงพูดกับถังซินเหยาผู้เป็นแม่อย่างจริงจัง

โอ้ย…….หม่ามี้พูดไปกี่รอบแล้วเนี่ย ว่าหม่ามี้ไม่ได้มีแฟน

แต่เธอเองก็อธิบายไม่ได้ว่าปากของเธอที่โดนกัดจนแตกนั้นจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่

นี่มันเรื่องน่าน่าเศร้าและจะถอยก็คงไม่ได้แล้ว

"ถ้ามีโอกาสหม่ามี้พาเขามาเจอพวกเราหน่อยนะครับ" ลั่วหลิงมองหน้าถังซินเหยาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แล้วทำไมตอนที่มองท่าทีและน้ำเสียงของลูกชายตัวเอง ทำไมมันเหมือนกับว่าคุณพ่อกำลังพูดกับลูกสาวเลยนะ บทนี้มันไม่ถูกนะ!

"ได้สิคะ ถ้ามีโอกาสหม่ามี้จะมาเขามาเจอนะ" เธอถึงกับหมดหวัง

เป็นอีกครั้งที่เธอเอาเยี่ยจิงเฉินข้ามาอยู่ในใจและดุด่าเขาเป็นร้อยๆรอบอีกที

หรือเธอจะต้องพาเยี่ยจิงเฉินไม่ก็ฟางซวี่เจ๋อมาเจอกับลูกของเธอจริงๆกันนะ?

ช่างเถอะ เธอหาแฟนที่เช่าได้จากอินเทอร์เน็ตดีกว่า หวังว่าราคาจะไม่แพงมากนักก็พอ!

ถังซินเหยาใช้มือทั้งสองข้างของเธอวางลงบนไหล่กว้างของเยี่ยจิงเฉินเพื่อเป็นที่ยึดให้กับตัวเอง

ตำแหน่งของทั้งสองคนสลับกันแล้วอย่างสิ้นเชิง

ถังซินเหยากดเยี่ยจิงเฉินให้อยู่ใต้ร่างของเธออย่างเจ้าเล่ห์

ให้ตายเถอะ ป่าปี้น่ะไร้ที่ติทั้ง360องศาเลยจริงๆ ไม่ว่าจะมองจากด้านบน ด้านล่าง แนวนอน แนวตั้ง หรือมองจากใต้ร่างของเธอแแบบนี้ก็ยังหล่อเหลามากๆ

เธอเกือบจะร้องไห้เพราะความหล่อของป่าปี้แล้วมั้งน่ะ?

เอ่อ…..ตอนนี่มันไม่ใช่เวลามาทะนุถนอมอ่อนโยนนะ

สองมือของเธอยกขึ้นมาบีบต้นคอเยี่ยจิงเฉินไปแรงๆก่อนจะถามว่า : "คุณจะตกลงมั้ย จะตกลงมั้ยคะ"

เธอน่ะเป็นคนฉลาดๆมากเลยล่ะ ทุกคนคงไม่ได้คิดว่าเธอจะนอนทับเยี่ยจิงเฉินแล้วจูบเขาหรอกใช่มั้ยล่ะ

เมื่อเทียบกันระหว่างเธอกับป่าปี้แล้วความจุของปอดป่าปี้น่ะ เหมือนกับขยะที่มีความสามารถสูบมหาศาลเลยล่ะ แค่ป่าปี้จูบและสูบเอาลมทั้งปอดของเพียงเพียงครู่เดียว เธอก็แทบจะหมดลมหายใจเสียแล้ว

เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาที่กดทับร่างเขาอยู่ตอนนี้ด้วยความตะลึง

"ถ้าเกิดฉันไม่ตกลงเธอจทำอะไรฉันได้ล่ะ?" เห็นได้ชัดว่าถ้าเขาออกแรงขยับเพียงนิดเดียวก็สามารถเอาผู้หญิงคนนี้ที่กดทับเขาอยู่ตอนนี้ออกไปได้ แต่เขาเพียงแค่ไม่ทำก็เท่านั้น

เขาไม่ชอบการเข้าใกล้ใครมากๆ แต่ถังซินเหยากลับเป็นข้อยกเว้น

"ฉันก็จะฆ่าคุณไงคะ" ถังซินเหยาเพิ่มน้ำหนักลงไปที่มือของเธอมากขึ้น และพูดไปอย่งโหดเหี้ยมเพราะหวังว่าจะได้ผลตามที่ตัวเองต้องการ

"งั้นก็ลองดูสิ" เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างเย็นชา

ถังซินเหยา : ………..

ป่าปี้ไม่ต้องเท่ขนาดนี้ก็ได้นะโอเค๊?

"ก็อกๆ……" จู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หลี่เวยโผล่หน้าออกมาเล็กน้อยเพื่อลดความรู้สึกของการมีอยู่ของเธอให้เขาทั้งสองคนพร้อมกับพูดอย่างเขินอายว่า : "ขอโทษรบกวนสักครู่นะคะ ประธานเยี่ยคะ อีกสิบห้านาทีประธานเยี่ยจะมีประชุมสำคัญนะคะ ฉันคิดว่าตอนนี้…..คุณควรจะ…..เตรียมตัวได้แล้วนะคะ"

ถังซินเหยามองตรงไปหาหลี่เวย ทำเอาเธออาบจนแทบจะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเลยทีเดียว

แต่ในเวลานี้หลี่เวยที่เห็นว่าถังซินเหยาและเยี่ยจิงเฉินอยู่ในท่านั้น ใบหน้าของเธอก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก

"อืม" เยี่ยจิงเฉินตอบกลับไปดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

หลี่เวยเลิกคิ้วก่อนจะถอนหายใจ แล้วรีบปิดประตูอย่างรวดเร็วด้วยความโล่งอก

"จะต่อมั้ย?" เยี่ยจิงเฉินหันหน้ากลับมาพร้อมกับมองหน้าถังซินเหยาอย่างจริงจังและเย็นชา

ต่อบ้าบออะไรกันล่ะ ความไร้เดียงสาและความซื่อของนักออกแบบคนนี้อ้ากกกกกก ! (คุณนี่มันจริงๆเลย)

"ไม่ตอบก็ช่างเถอะ" สักพักถังซินเหยาก็เลิกให้ความสนใจพร้อมกับลุกขึ้นจากร่างของเยี่ยจิงเฉิน

เยี่ยจิงเฉินลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความอากัปกิริยาที่หล่อเหลาของเขา หล่อซะจนไม่มีเพื่อนคบเลย

"ประธาเยี่ยคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ" เธอจะเป็นบ้าแล้วจริงๆนะ

เมื่อสักครู่เธอผีเข้าแน่ๆถึงได้ไปทับเยี่ยจิงเฉินแบบนั้นได้ หรือเพราะว่าไอคิวของเธอลดลงกระทันหันนะ?

"เดี๋ยวก่อน"

"ประธานเยี่ยมีอะไรอีกหรอคะ?" ถังซินเหยาหันหลังกลับมาถามพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่สวยหวานของเธอ

แต่ในใจเธอกลับรู้สึกกระอักกระอวน : ป่าปี้ คนนิสัยแย่ อย่าซนมากนักจะได้มั้ย ?

"เธอลองบอกเรื่องที่จะให้ฉันรับปากคุณสิ บางทีฉันอาจจะเก็บไปพิจารณาให้ก็ได้นะ ?" มือของเยี่ยจิงเฉินประกบติดประตูโดยทีมีถังซินเหยาที่ถูกกักไว้ในอ้อมแขนของเขา

ถังซินเหยามีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยทำให้อารมณ์ของเธอนั้นดีขึ้นมา

เธอใช้มือของเธอผลักร่างของเยี่ยจิงเฉินให้ออกห่างไปเธอ แต่แรงของเธอนั้นกลับไม่ทำให้เขาขยับเขยื้อนตัวไปเลยสักนิด

ดูเหมือนว่าเธอคงต้องใส่ผักโขมลงไปในอาหารเยอะๆแล้วล่ะ เธอจะได้มีแรงมากกว่านี้ไง

"เอ่อ ต่อไปคุณอย่าทำเป็นสนิทสนมกับฉัน……มากเกินไปได้มั้ยคะ" ถังซินเหยาเปลี่ยนวิธีพูดให้มีชั้นเชิงมากขึ้น

จริงๆแล้วเธอแค่ไม่อยากให้เขานั้นเอะอะก็จูบเธออย่างเดียวเท่านั้นเอง ไม่ให้เกียรติเธอเลย

"ทำไมล่ะ?"

"คุณไม่คิดหรอคะว่าเรื่องอะไรบบนี้คุณควรจะทำกับแฟนของคุณหรือไม่ก็ว่าที่เจ้าสาวของคุณไงคะ?"

"เธออยากได้สถานะนั้นหรอ?"

สถานะที่ป่าปี้หมายถึงมันหมายความตามแบบที่เธอเข้าใจใช่มั้ยนะ?

บ้า ใครเขาจะเอาสถานะกัน มโนเกินไปมั้ย?

"ไม่ค่ะ…….."

"เธอน่ะยโสโอหังจริงๆ"

ถังซินเหยาแค่รู้สึกราวกับวามีอัลปาก้านับหมื่นตัววิ่งอยู่ในความคิดของเธอยังไงอย่างงั้น

ป่าปี้ ป่าปี้วางถุงกาวลงก่อน

ถ้าคุณเป็นอย่างงี้ แล้วต่อไปฉันจะกล้าหยอกคุณมั้ยล่ะเนี่ย

"โอเคค่ะ ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรยโสโอหัง" ถังซินเหยาพุดอย่างประนีประนอม

ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าหากคุณจริงจังกันมัน คุณก็จะแพ้

"ถ้าอย่างงั้น ฉันจะออกไปได้รึยังคะ?" ใบหน้าของถังซินเหยายังคงรอยยิ้มสวยหวานไว้

"เธอไม่อยากจูบฉันก่อนออกไปหรอ?"

นี่โรงพยาบาลประสาทที่ไหนปล่อยเขาหลุดรอดออกมาเนี่ย?

เธออยากจะฆ่าเขาด้วยจูบของเธอจริงๆเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าป่าปี้เป็นคนที่ดื้อรั้น ถ้าไม่ตอบตกลงล่ะก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะกลายร่างเป็นปีศาจตนไหนอีก

เธอใช้มือโอบกอดต้นคอของป่าปี้เอาไว้ก่อนจะขยับริมฝีปากของตัวเองไปจูบที่มุมปากของป่าปี้ แล้วก็กัดริมฝีปากล่างนั้นอย่างดุเดือด จนกลิ่นคาวคลุ้งจางๆเธอจึงคลายฟันของเธอออก

ดวงตาของเยี่ยจิงเฉินนั้นทั้งมืดและทั้งสว่างในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าเหลลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด

เขาเลื่อนมือมาจับริมฝีปากของถังซินเหยาพร้อมกับกดริมฝีปากหนักลงไปที่ปากของเธอและดูดดื่มเอาลมหาายใจของเธออย่างรุนแรง

สามนาทีหลังจากนั้น ปากของถังซินเหยาทั้งแดงและบวมเต่ง มิหนำซ้ำแก้มทั้งสองข้างของเธอก็ขึ้นสีแดงระเรื่อรวมถึงสายตาคู่นั้นที่พร่ามัวและขาที่อ่อนระทวยของเธอ เธอเดินออกมาจากห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉินอย่างลุกลี้ลุกลน ท่าทางของเธอช่างดูแล้วคงจะร้อนรุ่มไปทั้งตัวเลยทีเดียว

ในฐานะที่หลี่เวยคนที่ขี้เม้าท์นั้น สายตาทั้งคู่ของเธอนั้นราวกับตาสับปะรด

"คุณซินเหยา คิดไม่ถึงเลยนะคะว่าคุณจะมมีด้านที่ร้ายๆแบบนี้ด้วย" หลี่เวยใช้ไหล่ของเธอชนเข้าที่ร่างของถังซินเหยาก่อนจะยักคิ้วแล้วก็เม้าท์เรื่องที่เกิดขึ้น

เธอหมายถึงเรื่องที่ถังซินเหยาทับอยู่บนตัวของเยี่ยจิงเฉินเมื่อกี้นี้สินะ ถังซินเหยารู้อยู่แล้วล่ะ

"อันนั้น……ถ้าฉันจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดล่ะคะ ฉันกับประธานเยี่ยไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรอกแบบนี้ คุณจะเชื่อมั้ยคะ?" ถังซินเหยาถอนหายใจไปหนึ่งครั้งพร้อมกับพูดอย่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง

หลี่เวยเหล่ตามองไปที่ถังวินเหยาพร้อมกับพูดกับเธอว่า : "เชื่อสิคะ ฉันเชื่ออยู่แล้ว"

หืม อย่ามาดูถูกไอคิวของเธอนะ ไม่รู้หรอว่าไอคิวของเธอน่ะเพิ่มขึ้นแล้วน่ะ

ท่าทีของเธอน่ะมันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่เชื่อ เธอยินยอมที่จะให้หลี่เวยไม่เชื่อ

"ฉันกับประธานเยี่ยไม่ได้มีอะไรจริงๆค่ะ นั่นมันก็แค่เรื่องสุดวิสัยก็เท่านั้น" ถังซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง

โอเค แม้แต่ตัวเธอยังโน้มน้าวไม่ได้เลย

"จริงๆแล้วฉันอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้นะคะ…….เมื่อกี้" เธอลองแก้ตัวอีกครั้งอย่างไม่ถอดใจ

"ฉันเข้าใจค่ะ คุณไม่ต้องอธิบายหรอก วางใจได้เลยค่ะ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ปากของฉันน่ะมันเข้มงวดมากค่ะไม่มีทางพูดอะไรเรื่อยเปื่อยแน่นอน" หลี่เวยพูดอย่างเข้าอกเข้าใจเธอ

ไม่สิ เธอเข้าใจเรื่องอะไรกัน? หรือเลขาหลี่มโนไปเองอีกแล้วนะ?

ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก เยี่ยจิงเฉินกลับมาสู่สภาวะนักธุรกิจมือโปรพร้อมกับร่างสูงที่แต่งตัวอย่างสุภาพเรียบร้อย

"ไปกัน"

หลี่เวยหยิบสมุดโน้ตของเธอขึ้นมาทันที พร้อมกับตามเยี่ยจิงเฉินไป

เหลือเพียงถังซินเหยาที่อารมณ์ปั่นป่วนโกลาหลอยู่คนเดียว

พระเจ้าช่วย จะไม่ให้ฉันอธิบายเรื่องนั้นหน่อยไม่ได้หรือยังไง

ถังซินเหยาคุ้นเคยกับจูบของเยี่ยจิงเฉินแล้ว และมันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด

เธอเพียงแค่คิดว่า ป่าปี้เป็นคนโลเลและเปลี่ยนแปลงได้ง่ายแบบนี้ ป่าปี้กับปม่ามี้ของคุณจะรู้บ้างมั้ยนะ?

แต่การแสดงออกว่ากรุณาปราณีนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน? หรือว่าต้องการให้หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์หรือเพคะ? คุณนี่มันดื้อไปแล้วนะ

"ขอบคุณประธานเยี่ยนะคะที่ให้โอกาสนี้กับฉัน" ถังซินเหยาร้องไห้โดยปราศจากน้ำตา : "แล้วคุณจะลุกขึ้นได้รึยังคะ?"

เยี่ยจิงเฉินใบหน้าของเขาลงไปที่ซอกคอของถังซินเหยาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆว่า : "อยู่อย่างนี้ก็สบายเหมือนกัน ไม่อยากลุกเลย"

ในขณะนั้น การแสดงออกของเธอจะต้องเหยเกมากๆแน่ๆ

แม่เจ้า คุณน่ะสบายสิ แต่คุณเคยนึกถึงความรู้สึกของฉันกับพื้นนี่มั้ยเนี่ย?

ถ้าไม่ใช่เพราะพรมที่ปูอยู่นี่เธอคงจะKOไปแล้วแน่ๆ ได้ไปทำศึกกับปีศาจที่ดาวอังคารแน่

"ฉันทับเธออย่างนี้เธอสบายตัวมั้ย?" เยี่ยจิงเฉินล่นลมหายใจใส่เธอพร้อมกับถามด้วยความมีน้ำใจ

"ไม่ค่อยสบายตัวเลยค่ะ ปวดหลังด้วย" ถังซินเหยาพูดตามความจริง

ป่าปี้ที่ทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้ จะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไปได้ยังไงกันล่ะ เขาเองก็มีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกันนี่

"งั้นก็ดีแล้ว" เยี่ยจิงเฉินถอนถอนหายใจอย่างพึงพอใจ

ถังซินเหยา : ………

ไม่รู้ทำไมจู่ๆเธอถึงรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์นะ

"เธอทำตัวเป็นเด็กดื้อตอนไหน ฉันให้เวลาเธอคิด" เยี่ยจิงเฉินยกหัวขึ้นพร้อมกับพูดด้วยความเย็นชา

ถังซินเหยา : ……….

ช่วยด้วย วันนี้ก่อนออกจากบ้านป่าปี้ต้องกินยาผิดขวดมาแน่เลย สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว

"รู้รึยังว่าทำอะไรผิดมา?" ป่าปี้ถามอย่างหน้านิ่ง

"รู้แล้วค่ะ"

ป่าปี้องค์ลงแล้ว ห้ามยั่วโมโหเขา

"งั้นลองพูดมาสิ ว่าเธอทำอะไรผิด?" ป่าปี้ถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง ราวกับกำลังรายงานวิจัยยังไงอย่างงั้น

ผิดตรงไหนอ่ะ?

เธอจะรู้ได้ไงว่าเธอทำอะไรผิด?

ไม่ใช่ว่าป่าปี้รู้หรอว่าเธอทำอะไรผิด? แล้วจะมาถามจากเธอทำไมกัน?

หรือว่าจริงๆแล้วเธอไม่ได้ทำอะไรผิด?

รอยยิ้มที่สวยหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังซินเหยา แล้วตีเยี่ยจิงเฉินทีนึงพร้อมกับพูดว่า : "ไอ้หยา เมื่อกี้คนเค้าแค่ล้อคุณเล่นน่ะค่ะ จริงๆแล้วฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยต่างหาก"

เยี่ยจิงเฉินโน้มหัวลงมากดจูบปากของถังซินเหยา

"อ๊ะ เจ็บนะคะ"

ตอนแรกคิดว่ามันเป็นแค่การจูบเบาๆที่ปากอย่างนุ่มนวล ถังซินเหยาคงจะประมาทไป

แต่ริมฝีปากของเธอกลับมีอาการเจ็บ กลิ่นคาวคละคลุ้งหอมหวานเกิดขึ้นภายในปากของเธอ จากน้ันป่าปี้ก็ใช้ลิ้นของเขาหยอกเย้าเล่นทั่วโพรงปากของเธอพร้อมกับใช้ลิ้นของตัวเองเกี่ยวลิ้นของเธอให้พัวพันกันอย่างแน่นเหนียว

จูบนี้มันไม่ใช่จูบที่อ่อนโยนเลยสักนิด แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนการลงโทษ

เมื่อการจูบที่ดูดดื่มนั้นผ่านไป การจูบนี้กลับเปลี่ยนรสชาติไปเป็นการจูบที่มีอารมณ์กามอยู่

ลิ้นที่ยืดหยุ่นของเยี่ยจิงเฉินกวาดไปทั่วเหงือกของถังซินเหยาและตวัดลิ้นของเขาไปทั่วโพรงปากของเธอราวกับว่าเป็นการตรวจล่าตระเวนในพื้นที่ของตัวเอง มันทั้งอ่อนโยนและดุร้ายในเวลาเดียวกัน

ทักษะการจูบของป่าปี้มันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัด

แต่เธอโชคร้ายที่ทักษะจูบที่เธอมอบให้ป่าปี้นั้นราวกับหินฝึกลับผม……อ่า……ไม่สิ……หินฝึกจูบต่างหากล่ะ

เมื่อการจูบของทั้งคู่สิ้นสุดลง ถังซินเหยารู้สึกได้เลยว่าใจของเธอนั้นกระสับกระส่ายร้อนแรงขนาดไหน ปากเธอเองก็ร้อนแรงเช่นกัน เมือนว่าปากเธอจะบวมด้วยนะ

"ทำอะไรผิดล่ะ?" เยี่ยจิงเฉินถามอย่างหน้าตาเฉย

ไม่ยุติธรรมเลย…….เธอเกือบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว

"ฉันทำผิด" ถังซินเหยาตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ

"ทำผิดตรงไหนล่ะ?" เยี่ยจิงเฉินถาม

"จริงๆแล้วฉันไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ใช่หรอคะ?" ถังซินเหยาถมด้วยความไม่มั่นใจเอามากๆ

เยี่ยจิงเฉินโน้มหัวลงมากัดริมฝีปากของถังซินเหยาอีกครั้ง จนริมฝีปากของเธอห้อเลือด

เยี่ยจิงเฉินแลบลิ้นของเขาออกมาพร้อมกับเลียซับเลือดที่ซึมอยู่บนปากของเธอจนสะอาด แล้วจัดการกลืนเลือดทั้งหมดเขาไปในปากของเขา

มุมปากของเขายังคงมีคลาบเลือดปรากฏอยู่ เขาเลียริมฝีปากของตัวเองไปมา จากนั้นก็เลียเลือดทั้งหมดที่ติดอยู่บนริมฝีปากเข้าปากไปทั้งหมด

ทำแบบนี้มันจะเซ็กซี่เกิไปแล้วนะ ป่าปี้เซ็กซี่จนอยากจะร้องไห้เลยอ่ะ

ถังซินเหยาถึงกับเหม่อ

มองดูถังซินเหยาที่ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหลงไหล เยี่ยจิงเฉินที่ในตอนแรกนั้นกระวนกระวายใจเพราะฟางซวี่เจ๋อ แต่ตอนนี้เขากัลบรู้สึกสสบายใจขึ้นมาแล้วเสียอย่างนั้น

"ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง" เจี่ยจิงเฉินถามเธอด้วยน้ำเสียงเฉยเมยทำให้ถังซินเหยาหยุดจากความคิดของเธอ

ถังซินเหยามองเยี่ยจิงเฉินอย่างเขินอายพร้อมกับถาม : "ถ้าอย่างงั้นฉันทำอะไรผิดล่ะคะ?"

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าไม่ว่าจะตอบว่ายังไงคำตอบมันก็ผิดอยู่ดีล่ะ?

สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่ถังซินเหยากับรู้สึกได้ว่าในใจของเยี่ยจิงเฉินนั้นไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก

ถังซินเหยาเหยียดแขนของเธอมาคล้องคอของเยี่ยจิงเฉินน ปล่อยให้ร่างกายส่วนบนของเธอลอยอยู่กลางอากาศ ตัวเธอห้อยอยู่บนร่างกายของเยี่ยจิงเฉิน จากนั้นเธอก็เป็นฝ่ายกดจูบลงไปที่ริมฝีปากของเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับใช้ฟันของเธอกัดไปที่ริฝีปากร่างของเยี่ยจิงเฉิน และพูดอย่างนิ่งเฉยว่า : "คุณจิงเฉินคะ ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆค่ะ อย่าโกรธกันเลยนะคะ ได้มั้ย?"

แม่เจ้า เพื่อเป็นการไม่ให้เลือดจากปากเธอนั้นต้องเสียเปล่าเธอจึงต้องใช่เล่ห์เหลี่ยมจิ้กจอกหน่อยแล้ว

เยี่ยจิงเฉินกดจูบอันเร่าร้อนมาให้ถังซินเหยาอีกครั้ง นับได้ว่าเป็นจูบที่ทำให้อารมณ์ของเยี่ยจิงเฉินดีและพอใจ

"เธอกับฟางซวี่เจ๋อคบกันอยู่หรอ?" เยี่ยจิงเฉินถาม

"อื้อ ……." ถังซินเหยาครุ่นคิดไปสักพักจึงเข้าใจว่าทำไมวันนี้เยี่ยจิงเฉินถึงเป็นแบบนี้ ถ้าเธอกล้าพูดล่ะก็ เธอต้องตายแน่ๆ เพราะป่าปี้เป็นคนไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นไง

"ตกลงว่าคบหรือไม่คบ?"

"ไม่ได้คบค่ะ" ถังซินเหยาตอบไปอย่างเด็ดขาด

"เธอไม่ได้รับอนุญาตให้คบกับซวี่เจ๋อ ได้ยินมั้ย?"

ไม่มีเหตุผลอีกแล้ว

"ได้ยินค่ะ"

ริมฝีปากของเยี่ยจิงเฉินงุ้มลงและโค้งขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่หาดูได้ยากของเขา

เขาเอื้อมมือไปกดท้ายทอยของถังซินเหยาพร้อมกับกดจูบไปที่ริมฝีปากของถังซินเหยาหนักๆไปหนึ่งที

จูบเมื่อกี้มันร้อนแรง งั้นจูบนี้ก็ขอเป็นจูบที่นุ่มนวลและอ่อนโยนก็แล้วกัน เขาตวัดลิ้นสำรวจไปทั่วช่องปากของถังซินเหยา ราวกับว่ากำลังสำรวจหาสมบัติอันมีค่าและหายากจนทำเอาใจของอีกฝ่ายรับรู้ได้ว่ามันกลายเป็นจูบที่อ่อนโยนไปได้

ถังซินเหยาค่อยๆหลงเข้าไปกับรสจูบที่แสนอ่อนโยนนี้

เมื่อการจูบสิ้นสุดลง ริมฝีปากที่ผละออจากกันของพวกเขาปรากฏให้เห็นคราบน้ำลายที่มุมปากของทั้งสองคน

ถังซินเหยามองเยี่ยจิงเฉิน ดวงตาที่ชัดเจนและสดใสของเขานั้นราวกับว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยหมอก แก้มทั้งสองข้างของเธอแดงระเรื่อ

"ฉันให้คำตอบคุณแล้วนะคะ" ถังซินเหยามองมองเข้าไปในดวงตาของเยี่ยจิงเฉินด้วยตาใสแป๋วของเธอ

เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่จริงๆแล้วเธอกลับเป็นคนที่เรียบๆตามะรรมชาติของเธอ ดวงตาคู่นั้นของเธอมีเสน่ห์ดึงดูดราวกับตะขอ ล่อลวงเอาความเร่าร้อนทั้งร่างของเยี่ยจิงเฉินตกลงไปอยู่ส่วนน้ันทั้งหมดแล้ว

"เมื่อกี้เป็นการให้รางวัลที่เธอเชื่อฟังฉัน"

ป่าปี้ อย่าหน้าไม่อายได้มั้ยอ่ะ?

"งั้นคุณรับปากกับฉันเรื่องนึงได้มั้ยคะ?" ถังซินเหยาถาม

"ไม่ได้" เยี่ยจิงเฉินปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

"ทำไมล่ะคะ?" ถังซินเหยาเบิกตามองเยี่ยจิงเฉินแล้วกล่าวด้วยความเสียใจว่า : "คุณให้ฉันรับปากคุณ ฉันยังยอมเลยนะ"

"เธอจะไม่รับปากก็ได้นี่"

"แต่คุณทำกับฉันแบบนี้ฉันไม่ตกลงได้ด้วยหรอคะ? คุณนั่นแหละที่บังคับให้ฉันรับปาก" เธอโดนจูบจนปากบวมเจอ่ขนาดนี้ มุมปากแตกอีก ตอนอ้าปากพูดยังเจ็บเลย

"งั้นเธอก็บังคับฉันแบบนั้นเพื่อให้ฉันยินยอมตกลงกับความต้องการของเธอได้นี่" เยี่ยจิงเฉินพูดกับเธอพร้อมยื่นมือของเขาออกมาลูบคางของถังซินเหยา

เธอได้คำตอบจากคำถามก่อนหน้านี้ของเธอแล้วล่ะ

นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าป่าปี้จะไร้ยางอายขนาดนี้

น่าโกรธจริงๆ น้ำเสียงและการกระทำของป่าปี้ยั่วโมโหเธอมากๆ

อย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะ ตุ๊กตาดินเผาก็มีความรู้สึกนะ

"คุณอย่าคิดนะคะว่าฉันไม่กล้า" ถังซินเหยาผลักร่างของเยี่ยจิงเฉินออกจากเธอแล้วขึ้นไปคร่อมบนร่างของเยี่ยจิงเฉินทันที

ถ้าเธอไปทานข้าวกับฟางซวี่เจ๋อล่ะก็ ต้องพบเจอกับเรื่องไม่ดีแน่ๆ

แค่เรื่องครั้งนี้ก็เอาเธอขวัญผวาขนาดที่ว่าแม้แต่อาหารฟรีก็ไม่อยากไปกินแล้ว

ฟางซวี่เจ๋อ :"คนดี อย่าดื้อหน่อยเลยครับ งานยุ่งแต่ก็ต้องทานข้าวนะ"

ไม่ใช่ว่างานเธอยุ่งหรอกนะ แต่เธอไม่อยากไปก็เท่านั้น อย่ามาหลอกตัวเองหน่อยเลย

ฟางซวี่เจ๋อ : "งั้นถ้าคุณไม่ทาน ก็ไปเป็นเพื่อนผมแทนดีมั้ยครับ"

ไม่ดี

ประธานฟางหล่อจะตาย ใจร้ายเกินไปมั้ย ตัวเองไปทานข้าวแต่ให้เธอไปนั่งดูเนี่ยนะ

จิตใจชั่วร้ายจริงๆ นิสัยไม่เห็นเหมือนหน้าตาเลย คนหล่อไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีไปทุกคน นายฟางมันคนคนดี!

"คุณซินเหยาครับ คุณไม่ได้ไปทานข้าวกับผมนานแล้วนะครับ วันนี้ไปกับผมนะครับ"

ให้ตายเถอะ พูดอย่างกับว่าฉันไปทานข้าวกับเขาบ่อยๆอย่างนั้นแหละ

เธอคิดว่าการแสดงออกของฟางซวี่เจ๋อคนนี้จะเกินไปแล้ว ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงใช่มั้ย?

"ฉัน……." เธอเม้มปากเตรียมตัวจะปฏิเสธ แต่จู่ๆความรู้สึกของเธอก็ลดลงไปอย่างนั้น เพียงแค่หันหลังไปเผชิญหน้ากับสายตาของป่าปี้ เธอก็ตกใจจนใจเธอแทบจะร่วงแล้ว

แล้วเสี่ยวเหยาเหยาที่ตกใจป่าปี้ก็เข้าไปในรถของฟางซวี่เจ๋อด้วยความสับสน

ถึงแม้จะมีคนเลี้ยงข้าว แต่ทำไมกลับไม่ดีใจเลยนะ?

เมื่อถึงตอนที่กำลังทานข้าวอยู่ ฟางซวี่เจ๋อก็กลับมาเป็นปกติ

ไม่ได้แสสดงกิริยาเลี่ยนๆรวมถึงไม่ได้พูดคำพูดหวานๆเหล่านั้นจนทำให้เธอขนลุกซู่แล้ว

ถังซินเหยาเกิดความสงสัยในระหว่างทาง ไม่ใช่ว่าฟางซวี่เจ๋อเปลี่ยนกลยุทธ์หรอกนะ

อาหารมื้อนี้ก็อร่อยพอไปวัดไปวาได้ไม่ถึงกับทำเอาคนที่ทานเข้าไปอย่างเธออาหารไม่ย่อยเหมือนกัน

พอกลับมาถึงบริษัทหลี่เวยชี้ไปที่ห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉิน แสดงให้เห็นว่าเยี่ยจิงเฉินอยากพบเธอ

เมื่อเข้าไปถึงเธอเเห็นสายตาที่หม่นหมองคู่นั้นของป่าปี้ ในใจของเธอทำทีว่าไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

แต่เธอก็รู้สึกผิดอยู่นะ เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดไปนี่นา(→_→)

เมื่อเปิดประตูห้องทำงาน ถังซินเหยาก้าวเข้าไปในนั้นสองก้าว

เธอกลับไม่พบร่างของป่าปี้ในห้องทำงานเลย เธอจึงเดินเข้าไปอีกสองก้าวแล้วมองหา แต่ก็ยังไม่พบป่าปี้อยู่ดี

หรือว่าหลี่เวยจะหลอกเธอนะ?

"แกร็ก…." เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้นมา

ถังซินเหยาหันมาและเธอก็พบกับเยี่ยจิงเฉินที่ยืนอยู่หลังประตู เธอลูบหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเองพร้อมกับมองป่าปี้ที่อวัยวะสัมผัสทั้งห้าที่สวยงามของเขาอย่างไม่ละสายตา ทั้งเก๋ทั้งหล่อ หล่อจนตาแทบจะบอดเลยโอเค๊?

ใจของเธอเต้นระรัวราวกับมีกวางน้อยที่กระโดนเล่นซนอยู่ เต้นระรัวไม่หยุดเลย แต่ไม่ใช่เพราะความหล่อของป่าปี้หรอกนะ

แต่เป็นเพราะว่า…….เธอตกใจต่างหากล่ะ

"ประธานเยี่ยคะ คุณตามฉันมา มีอะไรรึเปล่าคะ?" ถังซินเหยาตบหน้าอกของเธอเบาๆพร้อมกับถามป่าปี้ที่หน้าหล่อเหลาและไร้อารมณ์อย่างกลัวๆ

เยี่ยจิงเฉินไม่ตอบ แต่กลับเดินมุ่งหน้ามาทางถังซินเหยาทีละก้าวๆ

ถังซินเหยาลอบกลืนน้ำลายของเธอด้วยความรู้สึกผิด รู้สึกราวกับว่าอ่อร่าแห่งความโกรธของป่าปี้จะพุ่งออกมาแล้วยังไงอย่างงั้น

เธอก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว

เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เธอก็อดใจไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกผิดอยู่ดี

เยี่ยจิงเฉินก้าวเข้าหาเธอหนึ่งก้าว เธอเองก็ถอยหลังออกห่างไปอีกหนึ่งก้าว

ขาของถังซินเหยาไม่ได้ยาวเท่าขาของเยี่ยจิงเฉิน เธอเลยถอยได้ไม่ไกลเท่าที่เยี่ยจิงเฉินเข้าหาเธอ

ไม่ถึงสองนาที ระยะห่างระหว่างของทั้งสองคนก็ลดลงเรื่อยๆ

เยี่ยจิงเฉินที่เห็นว่าถังซินเหยาหลีหเลี่ยงตัวเอง ใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินก็เคร่งขรึมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เขาจึงก้าวใหญ่ๆ เพื่อตามเธอ

ถังซินเหยาวิ่งถอยไปรอบโซฟาในห้องทำงานอย่างไม่หยุด

"เธอวิ่งหนีอะไร?" เยี่ยจิงเฉินถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ถังซินเหยายืนอยู่อีกด้านของโซฟาพร้อมกับปากสีแดงที่กำลังหอบกล่าวว่า : "ก็คุณไล่ตามฉันนี่คะ ทำไมฉันจะวิ่งไม่ได้ล่ะ?"

"ถ้าเธอไม่วิ่ง ฉันก็ไม่ไล่ตามเธอหรอกนะ"

"ถ้าคุณไม่ตาม ฉันเองก็ไม่วิ่งหรอกค่ะ"

"งั้นก็โอเค"

เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ถ้าวิ่งก็เท่ากับว่ากลัวน่ะสิ แล้วจะวิ่งไปทำไมล่ะ

ป่าปี้ก้าวของยาวของเขาเดินมุ่งไปทางถังซินเหยา

ถังซินเหยาวิ่งหนีอีกแล้ว

"เธอวิ่งทำไม?"

"คุณก็อย่ามาใกล้ฉันเกินไปสิคะ มีเรื่องอะไรจะพูดก็ยืนพูดตรงนั้นเลย"

เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาจนถังซินเหยารู้สึกราวกับว่ามีสัตว์ร้ายกับกำลังจ้องมองเธอจนเธอขนลุกพอง

แม้ว่าจะสัตว์ร้าย แต่ป่าปี้ก็เป็นสัตว์ร้ายที่หน้าตาหล่อเหล่าที่สุดเลย

"ก็ได้ งั้นเธอก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วกัน" เยี่ยจิงเฉินเม้มปากแน่นพร้อมกับเจรจากับเธออย่างประนีประนอม

เห็นได้ชัดว่าถังซินเหยารู้สึกโล่งอกขึ้นมาเลยทันที

ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเสร็จ ป่าปี้ก็รีบเคลื่อนตัวเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็วทันที

เมื่อเธอรู้สึกตัวก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปที่ประตูทันที

แต่เพียงผ่านไปครู่เดียวตัวเธอก้ร่วงไปกับพื้นและถูกร่างสูงใหญ่ของเยี่ยจิงเฉินทับตัวเธออีกทีจนเธอแทบหายใจไม่ออก

เธอน้ำตาคลอเบ้าอย่างไร้เดียงสาและน่าสงสาร

เธอรู้ดีว่าคนที่ไม่มีเหตุผลแบบป่าปี้คงไม่เจรจากับเธอแบบง่ายๆหรอก

เมื่อรู้ความจริงแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา

"ทำไม เธอกลัวฉันหรอ?"

ร่างของเยี่ยจิงเฉินทับถังซินเหยาอยู่พร้อมกับใช้มือของเขาเชยคางของถังซินเหยาขึ้นมา

เขาเลื่อนใบหน้าของเขาไปชิดกันกับเธอจนหัวของทั้งสองชิดติดกันพร้อมกับปลายจมูกที่แนบติดกัน และถามถังซินเหยาด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์และกล้าหาญ

คุณมันคนฉลาดระดับไฮเอนด์ ทั้งเย็นชาทั้งเท่ ใครบ้างที่จะไม่กลัวคุณน่ะ?

แค่ป่าปี้แสดงอารมณ์โกรธออกมา ถ้าเธอพูดความจริไปจะไม่โดนป่าปี้ฆ่าก่อนหรอ?

แต่นี่มันสังคมแห่งเรียลลิตี้นีเนอะ ป่าปี้ทั้งรวยแล้วก็ทั้งหล่อขนาดนี้

แต่ยังไงก็คงไม่ได้ติดคุกหรอก และสังคมนี้มันเป็นสังคมที่มองกันที่หน้าตาด้วย ชาวเน็ตทั้งหลายก็คงจะให้อภัยป่าปี้ที่ทั้งหล่อเหลา ทั้งรวย ทั้งหนุ่มอย่างป่าปี้อยู่แล้วมั้ยนะ?

เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะ

เห้อ…….ไอคิวสูงเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกันแฮะ ไม่สบายใจเลยจริงๆ

"ไม่ค่ะ…..ไม่ได้กลัว"

ไม่กลัวสิแปลก เธอกลัวจนพูดติดอ่างแล้วเนี่ย

"ไม่กลัวแล้วทำไมเธอต้องหลบฉันด้วยล่ะ?"

ป่าปี้ทั้งเอาแต่ใจทั้งล้ำลึกขนาดนี้ เป็นใคร ใครเขาก็ต้องหลบอ่ะโอเค๊?

"ฉันไม่ได้หลบคุณนะคะ"

"งั้นเธอจะวิ่งทำไมล่ะ?"

"นั่นมันเพราะว่าประธานเยี่ยหล่อมากเกินไป เก่งมากเกินไป ฉันเลยไม่กล้าเข้าใกล้คุณค่ะ เพราะคุณเหมือนกับพระอาทิตย์ที่อบอุ่นในฤดูหนาว เหมือนลมเย็นๆในฤดูร้อน เหมือนดาวที่สว่างในยามกลางคืน เหมือนแสงไฟในที่ที่มืดมน คุณเป็นคนทีดึงดูดทุกคนอยู่ตลอดเวลา ฉันกลัวว่าวันนึงฉันจะจมดิ่งลงไปในดวงตาอันลึกซึ้งแล้วก็อ่อนโยนของคุณ คุณคือพระจันทร์ที่สว่างไสวนะคะ ฉันกลัวว่าตัวฉันจะไปให้คุณเป็นมลทิน ดังนั้นฉันเลยได้แต่เตือนตัวเองในทุกๆเวลาว่าไม่ต้องมีความรู้สึกกับคุณไปมากกว่านี้ แต่คุณดูดีเกินไปค่ะ ฉันกลัวว่าฉันจะหักห้ามตัวเองไม่ได้ ฉันก็เลยทำได้แค่บังคับให้ตัวเองอยู่ห่างจากคุณค่ะ"

ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ…….หัวเราะแด่การเซ่นไหว้ศีลธรรมของเธอ

โอเค จริงๆศีลธรรมของเธอมันหายไปแล้วแหละ กลายเป็นความก้าวร้าวแทน จะกู้มันกลับมาก็ไม่ได้แล้ว

การดูละครหลังข่าวหลังสองทุ่มไม่เปล่าประโยชน์นี่ เขียนบทละครได้ดีเยี่ยมเลย

ถึงแม้จะรู้ว่าถังซินเหยานั้นโกหกแต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการเอาใจเยี่ยจิงเฉิน

ปากของเยี่ยจิงเฉินเหยียดเป็นเส้นตรง ทำให้เห็นว่าเขาคลายความตึงของเขาแล้ว

"ฉันยินดีให้เธอทำให้ฉันเป็นมลทิน" เยี่ยจิงเฉินกล่าวพร้อมกับประทับริมฝีปากของตัวเองไปที่มุมปากของถังซินเหยา

"แกหมายความว่ายังไง" คุณลุงสุดหล่อเบิกตาโตราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุพร้อมกับหันน้ามาพูดกับเยี่ยจิงเฉิน : "เธอเป็นแม่แกนะ ทำไมมีเรื่ออะไรแล้วไม่ตกลงคุยกันดีๆ แม้แต่แม่แกก็ยังเถียง มีอะไรอีกมั้ยที่แกยังไม่ได้ทำ? ท่านมีปัญหาอะไรแกก็ต้องคอยรองรับแล้วก็เติมเต็ม ถ้าหากเรื่องแค่นี้แกยังทำไม่ได้ ฉันคงต้องไตร่ตร่องใหม่แล้วว่าฉันตัดสินใจถูกมั้ยที่ยกบริษัทให้อยู่ในความดูแลของแกใหม่แล้ว ที่จิงซิงมาทำงานที่บริษัทคือคำสั่งของฉันเอง ถ้ามีอะไรที่แกไม่พอใจก็มาคุยกับฉัน แต่อย่ามาทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้"

เยี่ยจิงเฉินเม้มปากและไม่ได้พูดอะไรออกมา

ให้ตายเถอะ นี่เยี่ยจิงเฉินทนได้ยังไงกัน แม้แต่ถังซินเหยายังทนไม่ได้เลย

ป่าปี้โดนว่าร้ายแบบนี้ทำให้เธอไม่สบายใจเลย

อย่าคิดว่าคุณหล่อแล้วจะมารังแกป่าปี้ได้นะ

แล้วก็ป่าปี้อีก ปกติคุณไม่ใช่คนคลูๆที่หัวดื้อๆหรอกหรอ แล้วก็ยังหยิ่งผยองตลอดเวลาด้วย แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นนกกระทาไปแล้วล่ะ?

ไร้เหตุผลจนทำเอาเธอปวดใจเลย

"ท่านประธานเยี่ยคะ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อถังซินเหยานะคะ เป็นนักออกแบบจากบริษัทCKค่ะ ฉันเป็นคนรับผิดชอบงานออกแบบจิวเวลรี่ของบริษัทคุณค่ะ จริงๆแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับธุรกิจของพวกคุณ แต่เรื่องนี้มันดำเนินไปได้ก็ขึ้นอยู่กับฉันเช่นกัน ถ้าหากฉันไม่พูดความจริงฉันคงจะโดนประนามได้ ฉันคิดว่าถ้าท่านประธานเยี่ยเป็นคนที่ไม่ฟังว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ถึงแม้เยี่ยหวงจะไม่ไล่ฉัน ฉันก็คงไม่กล้าจะทำงานที่นี่ต่อหรอกค่ะ" ถังซินเหยาทนเห็นป่าปี้โดนวิพากย์วิจารณ์แบบนี้ไม่ได้จึงฮึดสู้

เยี่ยจิงเฉินที่ใบหน้าแน่นิ่งได้อารมณ์ของเขามองดูการถกเถียงอย่างไม่แยแส

เห็นได้ชัดว่าถังซินเหยาไม่ได้ตั้งใจอยากจะสร้างเรื่อง แต่เพื่อเป็นการยืนหยัดสู้เพื่อเหตุและผลต่างหาก ดวงจาคู่นั้นของเยี่ยจิงเฉินที่เย็นชากลับอ่อนลงมา

ในความจริงสำเยี่ยจิงเฉิน เขาไม่ได้มีความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองเลย เขาไม่ใช่คนโง่ที่ทำงานหนักเพื่อให้ผลลัพธ์มันออกมาตามที่พ่อต้องการอีกต่อไปแล้ว เยี่ยหวงเป็นหนึ่งในของของเขา คำว่าประธานเยี่ยของพ่อเขามันเหลือเพียงแต่ชื่อก็เท่านั้น แค่คนโง่คนนี้ไม่รู้เท่านั้นเอง

"อ๋อ? รู้ว่าไม่ควรพูด ก็หุบปากไปซะ" เยี่ยเจวี๋ยทำหน้าตึง ดูท่าแล้วคงจะโกรธมาก

"คุณซินเหยา เรื่องนี้คุณอย่าไปขัดเลยครับ" ฟางซวี่เจ๋อหยุดถังซินเหยาพร้อมกับพูดกับเยี่ยเจวี๋ย : "คุณลุงเยี่ยครับ แฟนของผมเธอไม่รู้เรื่องอะไร ถ้าเธอพูดอะไรผิดไป คุณลุงอย่าถือสาเลยนะครับ"

ถังซินเหยาไม่ยอมรับน้ำใจแต่กลับผลักฟางซวี่เจ๋อออก

ป่าปี้โดนว่าร้ายแบบนี้จะให้ไม่ถือสาอย่างงั้นหรอ

เธอจะไม่ยอมให้คนอื่นมารังแกป่าปี้หรอกนะ ป่าปี้น่ะเหมาะกับลุคคลูๆหัวดื้อๆมากกว่า

เรื่องแย่ๆอะไรอย่างงี้ไม่เหมาะกับป่าปี้หรอกนะ

"แต่ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ถูกกระทำในเรื่องนี้ ฉันจะไม่สามารถพูดอะไรได้เลยหรอคะ?" ถังซินเหยาพูดเสียงแข็ง

"ได้ พูดสิ" เยี่ยเจวี๋ยพูดด้วยสีหน้าเย็นชา

ถังซินเหยาไม่มีท่าทีที่จะกลัวการเผชิญหน้ากับเยี่ยเจวี๋ยอยู่แล้ว : "ฉันเป็นคนทำร้ายคุณเยี่ยจิงซิงเองค่ะ ท่านประธานเยี่ยเป็นคนหยิ่งผยอง ถึงตอนนี้ท่านคงยังไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้นกับเขา เพราะว่าเขาทำล่วงละเมิดพนักงานหญิงค่ะ และเขาก็พยายามจะมอมเหล้าฉัน ฉันเลยสั่งสอนเขาค่ะ หรือว่าลูกชายของท่านประธานเขาสิทธิพิเศษคะ ถึงสามารถจะล่วงละเมิดแล้วก็ลวนลามพนักงานหญิงได้ตามอำเภอใจโดยที่ห้ามขัดขืดหรอคะ?"

เยี่ยไท่ไท่หน้าเสียพร้อมกับพูดว่า : "แกโกหก จิงซิงจะมองผู้หญิงอย่างแกได้ยังไง……"

คุณลุงเยี่ยเจวี๋ยสุดหล่อหันไปจ้องตาของเยี่ยไท่ไท่ด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมกับถามว่า : "ที่เธอพูดเป็นความจริงมั้ย?"

เยี่ยเจวี๋ยเป็นคนที่มีออร่าเหนือกว่าผู้อื่นจึงทำให้สามารถบลัฟคนได้มากเลยทีเดียว

แม้แต่เยี่ยไท่ไท่ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเขานานหลายปี การเผชิญหน้ากับเยี่ยเจวี๋ยในตอนนี้ยัง "แน่นอนสิคะ ว่าไม่จริง……" ปากของเยี่ยไท่ไท่กระตุกมุมปาก และอ้าปากจะพูดอยู่หลายครั้ง เธอไม่ได้ปากดีแบบเมื่อกี้นี้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังพูดไม่ออกเสียด้วย

"ผู้หญิงคนนี้อยาากแต่งงานเข้ามาในตระกูลที่รวยๆเลยคิดจะจับจิงซิงไงคะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ จิงซิงคงไม่มองผู้หญิงอย่างแม่นี่หรอกค่ะ" เยี่ยไท่ไท่พูดประหนึ่งว่าเธอมีชัยเหนือกว่า

เอ่อ……ถึงแม่จะอยากแต่งงานแต่เธอคงไม่แต่งกับคนบ้านคุณหรอกนะ

เรื่องลูกชายก็ช่างมันไป แต่เรื่องแม่สามีที่ชั่วร้ายและไม่มีเหตุผลแบบนี้นี่สิ

เธอคงต่บอดแน่ๆถ้าธอเลือกคนอย่างเยี่ยจิงซิง

"คุณป้าเยี่ยครับ ซินเหยาเธอเป็นแฟนผมนะครับ จะพูดอะไรก็ขอให้ระวังด้วยครับ" ฟางซวี่เจ๋อลดหน้าลงปกป้องถังงซินเหยา

"ฉันไม่อยากมีปากเสียงกับคุณเยี่ยไท่ไท่มาก ฉันเชื่อว่าท่านประธานเยี่ยเป็นคนยุติธรรม ความจริงแล้วเรื่องนี้มันเป็นยังไงฉันจะไม่พูดแล้วกันค่ะ ท่านประธานเยี่ยเองก็คงจะรู้ดีอยู่แล้ว คนบริสุทธิ์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรอกค่ะ" ถังซินเหยายิ้ม

"คุณถังใช่มั้ย ถ้าเกิดเรื่องที่คุณพูดคือความจริง ผมมีของตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้คุณ" เยี่ยเจวี๋ยพูดกับถังซินเหยาด้วยความกรุณา

ห้ะ?

แค่นี้ก็จบแล้วอย่างนั้นหรอ เมื่อกี้ยังหน้าดุราวกับว่าเกลียดฉันเข้าไส้อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเรียนรู้อย่างเพลิดเพลินจำเริญใจเสียแล้วงั้นหรอ

เธอเตรียมตัวที่จะไฟท์กับคุณลุงสุดหล่ออีกสักยกใหญ่แต่สุดท้ายเธอกลับชนะอย่างสวยงามอย่างไม่ต้องเกรงกลัวแบบนี้

แต่นึกไม่ถึงเลยว่าถึงแม้คุณลุงสุดหล่อที่อารมณ์ร้ายคนนี้จะอารมณ์ร้อนแบบนี้กลับเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นได้

ถังซินเหยาได้รับชัยชนะอย่างงุนงง ซ้ำยังเธอยังได้รับคำชมจากคุณลุงสุดหล่ออีกด้วย

อย่าถามเลยว่าเธอรู้ได้ยังไง

เพราะตอนที่คุณลุงสุดหล่อเดินผ่าน เขามองยิ้มให้ถังซินเหยาแล้วพูดว่า : "สาวน้อย เธอนี่ใช้ได้เลยนะ อื่นอื่นเขาพูดกันว่าฉันอารมณ์ร้าย แต่ดูสิซวี่เจ๋อ ฉันว่าแฟนสาวของนายจะอารมณ์ร้ายมากกว่าฉันอีกนะ"

ถังซินเหยารู้สึกเหมือนจะลอน เธอโดนป่าปี้ของป่าปี้ชมหรอเนี่ย

ไม่สิ…….ฉันหมายถึงคุณลุงสุดหล่อน่ะ ตกลงจริงๆแล้วคุณชมฉันตรงไหนอ่ะ?

สมองของคนรวยน่ะไม่เหมือนคนอื่นหรอก ไม่ใช่ว่าคนโง่ๆอย่างเธอจะเข้าใจอะไรอย่างงี้เสียหน่อย

ฟางซวี่เจ๋อจึงใช้โอกาสนี้แสดงตัวตนแล้วโอบถังซินเหยาพร้อมกับพูดว่า : "เธอแค่เป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์น่ะครับ"

เยี่ยจิงเฉินจ้องไปที่ถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อด้วยสายตาเคร่งขรึมพร้อมกับเม้มฝีปากแน่น

"ต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกให้ผมเป็นคนจัดการนะครับ คุณไม่ต้องออกหน้ารับ" ฟางซวี่เจ๋อจับไหล่ของถังซินเหยาราวกับว่าเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของพร้อมกับเข้าไปกระซิบข้างหูถังซินเหยาเบาๆว่า : "เพียงแค่คุณมาอยู่ข้างๆผม ผมจะปกป้องคุณและจะไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายคุณเลย"

ถังซินเหยาหรอกตา เธอเป็นผู้หญิงแมนๆนะ ต้องการใครที่ไหนให้มาปกป้องกันล่ะ

ถังซินเหยาผลักมือของฟางซวี่เจ๋อออกพร้อมกับมองเขาด้วยความเคืองใจ แต่ในใจของเธอก็รู้สึกขอบคุณที่ฟางซวี่เจ๋อปกป้องเธอ

"โอเค ไม่ต้องพูดแล้วครับ เที่ยงนี้ผมเลี้ยงข้าวคุณละกันนะครับ?" น้ำเสียงของฟางซวี่เจ๋ออ่อนหวาราวกับน้ำผึ้งหวาน

ถังซินเหยาถึงกับกระอักกระอวนจนขนลุกไปทั้งร่างกาย

ใครเขาเป็นคนของคุณกัน ใครคุยกับคุณไม่ทราบ? นี่คุณเลี่ยนขนาดนี้เลยหรอ ผู้หญิงที่คิดจะให้คุณไปเป็นพ่อของลูกคิดเหล่านั้นรูกันบ้างมั้ยเนี่ย?

"ฉันไม่ไปค่ะ" ถังซินเหยาผลักฟางซวี่เจ๋อออก

พระเจ้า ใครเขาจะไปทานข้าวกับคุณกัน?

เยี่ยไท่ไท่ชักมือของเธอกลับจากมือฟางซวี่เจ๋อ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงประหลาด : "คุณฟางซวี่เจ๋อที่เอง คุณมีเวลาเข้ามาด้วยหรอ? และนี่มันเรื่องของฉัน คุณอย่ามายุ่งดีกว่า"

ถังซินเหยารู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการปกป้องจากการกอดจากผู้ชายคนนี้

"เรื่องนี้ผมคงไม่ยุ่งไม่ได้ครับ" ฟางซวี่เจ๋อปล่อยมือที่โอบเอวของถังซินเหยาออก : "คุณถังซินเหยาเธอเป็นแฟนผมครับ ถ้ามีอะไรที่เธอยังไม่เข้าใจ ขอคุณเยี่ยไท่ไท่อย่าไปใส่ใจมากนะครับ"

เยี่ยจิงเฉินเดินเข้าห้องประชุมพอดีจึงได้ยินสิ่งฟางซวี่เจ๋อพูด

ใบหน้าของเขาหมองลง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของฟางซวี่เจ๋อหรือการมาของเยี่ยไท่ไท่ผู้เป็นแม่ของเขา

ถังซินเหยารู้สึกราวกับว่าในใจของเขามีม้าราวๆพันตัววิ่งอยู่ในนั้น

ประธานฟาง คุณพูดอะไรไปน่ะ?

เป็นฟงเป็นแฟนอะไรกัน? นี่เธอมีแฟนแล้วแม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยงั้นหรอ

ความสามารถในการคิดเองเออเองของฟางซวี่เจ๋อนี่เกือบได้คะแนนเต็มเลย

"คุณซวี่เจ๋อคะ……" ถังซินเหยาเม้มปาก ทำตัวไม่ถูก

ถึงแม้เธอจะทนไม่ได้กับความไร้ยางอายและไม่มีเหตุผลของเยี่ยไท่ไท่

แต่เธอก็ไม่อยากจะหลบอยู่ข้างหลังฟางซวี่เจ๋อ แล้วให้เขามารับหน้าแทนเช่นกัน

"หึ…….." ฟางซวี่เจ๋อส่งยิ้มปลอบใจถังซินเหยาพร้อมกับใช้มือของเขาสัมผัสกับริมฝีปากแดงของถังซินเหยาแล้วกล่าวว่า"อย่ากังวลเลยครับ เรื่องนี้ให้ผมจัดการเถอะ"

ถังซินเหยาคิดว่าฟางซวี่เจ๋อคิดว่าเธออ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง เธอแสดงท่าทีอะไรที่แสดงออกให้เห็นว่าเธอกังวลงั้นหรอ? เธอไม่ได้กังวลอะไรเลยต่างหากล่ะ?

ถ้าเธอเพิกเฉยต่อการที่ฟางซวี่เจ๋อออกหน้าแทนเธอ มันจะเป็นการไม่ไว้หน้าเขาหรือเปล่านะ?

เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเห็นว่าถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อกอดกันอยู่ (ไม่สิ) ในใจของเขาก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

"คุณแม่ครับ คุณแม่มาทำอะไรที่นี่ครับ?" เยี่ยจิงเฉินเปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้านิ่งของเขา

แม้ว่าเขาเจอกับเยี่ยไท่ไท่ผู้เป็นแม่แล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ยังไร้กิริยาอาการใดๆอยู่

เยี่ยจิงเฉินกวาดตามองถังซินเหยาและฟางซวี่เจ๋อ เขาก็รู้สึกวิตกกังวลราวกับมีหนาวทิ่มอยู่ด้านหลัง

ถังซินเหยาถอยตัวออกจากอ้อมกอดของฟางซวี่เจ๋อพร้อมกับยืนออห่างของฟางซวี่เจ๋อ

เธอละสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปหาเยี่ยจิงเฉินที่กำลังจ้องมองเธออยู่

ในใจของเธอรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ ราวกับว่ามีกระต่ายกำลังวิ่งอยู่ในใจเธอยังไงอย่างงั้น

อยากจะหาสักที่เพื่อหลบจากตรงนี้ด้วยความรู้สึกผิด

"ลูกดูสิทำไมตอนนี้เยี่ยหวงถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไมถึงมีคนแบบนี้ได้? ผู้หญิงคนนี้ทำร้ายพี่ชายลูก ลูกยังให้มันอยู่บริษัทเราได้ยังไงกัน? เอามันออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ " เยี่ยไท่ไท่กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ถังซินเหยา

ว้า ยัยป้าคนนี้ก้าวร้าวกว่าประธานเยี่ยเสียอีก

"การจัดการทั้งหมดของบริษัทนี้คุณพ่อมอบหมายมันให้ผมหมดแล้วครับ" เยี่ยจิงเฉินกล่าว

ความหมายชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ทุกอย่างในบริษัทตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเขา ดังนั้นผู้หญิงบ้าคนนี้ก็หุบปากไปได้เลย

ป่าปี้ เอเนอจี้ป่าปี้มันก้าวร้าวจริงๆ

เทวดาดีๆนี่เอง ฉันจะอาคุณมาเป็นพ่อของลูก (ไม่ว่าใช่ว่ามีลูกด้วยกันถึงสองคนแล้วหรอ)

"แม้แต่พี่ชายลูก ลูกก็จะไม่สนเลยหรอ?"

"เรื่องค่ารักษาพยาบาลบริษัทจะออกให้เองครับ"

เขาจะค่ารักษาพยาบาลให้ ดังนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจเสียหน่อย

"ลูกดูสิ ลูกกับฟางซวี่เจ๋อโดนนางจิ้งจอกคนนี้มันล่อลวงอยู่รู้มั้ย ถึงได้ออกหน้าปกป้องคนไร้ยางอายแบบนี้ แม้แต่พี่ชายตัวเองที่โดนนางจิ้งจอกคนนี้ทำร้ายจนได้นอนอยู่โรงพยาบาลลูกก็ยังเฉย" เยี่ยไท่ไท่พูดด้วยน้ำเสียงโหโกรธา

แม่เจ้า คุณน่ะสินางจิ้งจอก ครอบครัของคุณมันจิ้งจอกทั้งหมด

แล้วก็ยังเป็นนางจิ้งจอกแก่ด้วย

เยี่ยจิงเฉินกับเยี่ยเจวี๋ยที่อยู่ดีๆก็โดนกล่าวหา : ……….

"เรื่องนี้มันพี่ใหญ่ก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกันครับ" เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยสีหน้านิ่งรวมถึงท่าทของเขาเองก็นิ่งมากเช่นกัน

"นี่คงปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ แม้แต่คำพูดของแม่ลูกก็ไม่ฟังแล้วอย่างนี้" เยี่ยไท่ไท่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับชี้หน้าถังซินเหยา : "แม่ไม่สนอะไรทั้งนั้น วันนี้แม่จะต้องถีบส่งนางผู้หญิงคนนี้ออกจากบริษัทไปแล้วไปขอโทษพี่ใหญ่ลูกให้ได้"

ต่อคนหน้าคนมากมายขนาดนี้คุณยังแสดงกิริยาท่าทางที่ไม่มีเหตุผลของคุณแบบนี้หรอ นี่คุณเป็นอะไรมากป่ะ?

"มานี่" เยี่ยจิงเฉินคว้ามือของถังซินเหยามาจับไว้

ว้าว เห็นหญิงหม้ายเป็นหมาหรอ?

จะมาจับมือแค่นี้แล้วจะกระดิกหางแล้วเดินตามอ่ะ

"ประธานเยี่ยคะ" ถังซินเหยาเดินข้างๆเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับสิ่งยิ้มหวานของเธอ

สายตาที่เยี่ยจิงเฉินใช้มองเธอและฟางซวี่เจ๋อเมื่อกี้นี้ทำให้เธอรู้สึกผิด

แม่เจ้า……นี่เธอรู้สึกผิดอย่างงั้นหรอ?

เธออยากจะหยิกหูทั้งสองของเธอจริงๆ ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

ฟางซวี่เจ๋อเม้มปากพร้อมกับมองดูถังซินเหยาที่เดินตามเยี่ยจิงเฉินไป

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา อยากจะคว้ามือของถังซินเหยาเอาไว้แต่มือของเขาก็ค่อยๆลดลง

เยี่ยจิงเฉินกล่าว : "ถ้าเกิดคุณแม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทหรือมีธุระกับผม ให้คุยกับคณะกรรมการหรือคุณพ่อได้เลยนะครับ"

"ถ้าคุณแม่ไม่มีอะไรที่ไม่พอใจสามารถรายงานผมหรือคณะกรรมการได้เลย" เมื่อเยี่ยจิงเฉินพูดจบ การสนองก็ตอบกลับแบบรวดเร็ว ท่านประธานแห่งเยี่ยหวง —- เยี่ยเจวี๋ย

หน้าตาของเขาคล้ายคลึงกันกับเยี่ยจิงเฉินมาก เพียงแต่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าและนิ่งกว่าเท่านั้นเอง เป็นคุณลุงสุดหล่อคนนึงเลย

นี่มันโลกแห่งการดูกันด้วยหน้าตาชัดๆ แม้จะเป็นคุณลุงแล้ว แต่ก็ยังหล่อเหลาเอาการ ในขณะเดียวกันก็น่ารักคิขุอาโนเนะเช่นเดียวกัน

"เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีอะไรแล้วไม่พูดกันดีๆ มามีเรื่องอะไรกันที่บริษัทนี้?" คุณลุงเยี่ยเจวี๋ยสุดหล่อแสดงท่าทีที่ไม่ดีออกมาพร้อมกับหน้าเคร่งขึมของเขา แต่ใบหน้าของเขาตอนเคร่งขึมกับตอนที่เยี่ยจิงเฉินเป็นก็ยังมีความต่างกันอยู่

"ก็ลูกชายตัวดีของคุณไงคะ ทำบริษัทของเราให้เป็นซะอย่างนี้ เอาพนักงานหญิงของบริษัทอื่นมาเยี่ยหวง แล้วก็ยังมารบกวนจิงซิงอีก ฉันก็แค่อยากจะมาคุยเรื่องที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง แต่ดูสิคะ ผู้หญิงหยิ่งยโสคนนี้กลับทำทีราวกับว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด" เยี่ยไท่ไท่พูดกับคุณลุงสุดหล่อด้วยท่าทีท่ีอ่อนน้อมและความคับแค้นใจที่เห็นได้ชัดจากการแสดงออกของเธอ

ว้าว สีหน้าของเธอนี่มันเปลี่ยนได้ไวจริงๆ

เมื่อกี้ตอนพูดกับเธออย่างกับหมาบ้าที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าอย่างงั้นแหละ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นพูดจาอ่อนหวานว่านอนสอนง่ายเหมือนหมาแลบราดอร์ซะอย่างนั้น

ท่านประธาน คุณจะปิดหูปิดตาพูดแบบนี้เลยหรอ ไม่กลัวจะโดนฟ้าผ่าบ้างหรอ?

ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่หยิ่งยโส คนที่ใช้จมูกมองหน้าคนน่ะ?

"เยี่ยจิงเฉินโตแล้ว มีคความคิดเป็นของตัวเอง ที่ผมพูดก็ไม่เคยฟังบ้าง จริงแล้วผคงไม่ควรเรียกให้จิงซิงมาที่บริษัทเลย หล่อให้จิงเฉินคิดว่าจิงซิงจะมายึดทุกอย่างจากเขา ไม่ใช่แค่ผมที่ถูกลูกเกลียดแต่จิงซิงก็กลายเป็นหนามในสายตาของจิงเฉินเหมือนกัน"

เสแสร้งได้ขนาดนี้เลยหรอ

คนหยิ่งผยองอย่างป่าปี้ก็เหมือนกันกับประธานผู้เย็นชาถูกเปิดสวิตซ์นั่นแหละ

ยังจะมองขยะอย่างเยี่ยจิงซิงอีกหรอ?

อย่ามาตาสูงไปหน่อยเลย ถ้ามาเทียบกับป่าปี้ นายเยี่ยจิงซิงคนนั้นก็เป็นแค่ขยะไรค่าเท่านั้นแหละ

แม้แต่ปลายเล็บของป่าปี้ก็ไม่ต้องเอามออกมาเทียบก็โอเคกินขาดไปแล้วด้วยซ้ำ

หลี่เวยเดินเข้ามาพร้อมกับถือแก้วกาแฟมาด้วยสองแก้วแล้วก็เดินออกไป

ถังซินเหยาดื่มกาแฟด้วยความใจเย็น และไม่ได้พูดอะไร

ศัตรูไม่เริ่ม เราก็ไม่เช่นกัน

กาแฟที่หลี่เวยนำมาเสิร์ฟให้พวกเธอคือกาแฟขี้ชะมดของเธอเอง ที่ปกติเธอจะไม่เอามาให้ใครง่ายๆ

ถึงแม้ว่าชื่อกาแฟชนิดนี้ฟังแล้วจะรู้สึกคลื่นไส้ แต่ราคานั้นแพงหูฉี่มาก คนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่จะได้ดื่มกัน

ดูเยี่ยไท่ไท่ดื่มกาแฟนี้อย่างไม่ขาดแต่ถังซินเหยากลับไม่รู้สึกถูกใจกับกาแฟนี้เลย

เธอคงจะยังไม่ทันสมัยมากพอสินะ

"เธอรู้มั้ย ว่าวันนี้ฉันมาหาเธอทำไม?" ตอนนี้เยี่ยไท่ไท่กลับเข้าสู่โหมดคสามสง่าของเธอพร้อมกับถามอย่างใจเย็นไป

อย่าเสแสร้งเลย คนปากร้ายอยากคุณก็ได้ถอดภาพลักษณ์ออกมาแล้วนี่ ถึงจะใส่มันเข้าไปใหม่ คนอื่นก็จำภาพลักษณ์ที่ใจร้ายของคุณไปแล้วมั้ย? อย่ามาทำเป็นเก๊กอยู่เลย?

"ไม่ทราบค่ะ" ถังซินเหยาทำหน้าไร้เดียงสาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไร้พิษภัยของเธอ

อืม……..คงเป็นเรื่องที่ลูกชายของคุณมาหายุ่งเกี่ยวกับฉันใช่มั้ยล่ะ? หรือว่าคิดจะมาขอโทษกันั้นหรอ?

"ฉันทำให้ลูกของฉันต้องเจ็บตัว เธอต้องไปขอโทษลูกชายฉันที่โรงพยาบาล และเธอต้องต้องจ่ายค่ารักษาพยาลให้ลูกกชายฉัน แล้วก็ต้องทำตามความต้งการของลูกฉันด้วย" เยี่ยไท่ไท่พูดอย่างตรงไปตรงมา

ขอโทษนะป่าปี้ ที่เธอคิดว่าป่าปี้ไม่มียางอาย แต่เมื่อเทียบกับเยี่ยจิงซิงผู้หญิงคนนี้แล้ว ป่าปี้คือเทพแห่งความยุติธรรมและให้ความรักความอบอุ่นเลยล่ะ

"ขอโทษนะคะ ฉันคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้หรอกค่ะ" ถังซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับทำให้คนฟังนั้นรับรู้ถึงน้ำเสียงของเธอที่หนักแน่นและไม่ยอมจำนน

เอ่อ……..ขอโทษทำไมล่ะเนี่ย?

ท่ารักษาพยาบาลอะไรกันล่ะ?

แล้วก็ยังจะให้ไปทำตามที่ลูกชายคุณต้องการอีกงั้นหรอ ลูกชายของคุณทั้งโลภ ทั้งหื่นบ้ากามขนาดนั้น ถ้าเกิดลูกชายของคุณทำอะไรฉันขึ้นมาล่ะ ยังจะให้ฉันตกลงอยู่มั้ย?

ลูกชายของคุณขี้เหร่ขนาดนั้น ขนาดผียังไม่อยากตกลงด้วยเลยโอเคมั้ย?

"งั้นเธอก็เตรียมตัวรับหมายเรียกได้เลย ฉันจะบอกฟ้องว่าเธอทำร้ายร่างกายคนอื่นโดยเจตนา และมันก็เป็นคดีอาญาซะด้วยสิ" เยี่ยไท่ไท่กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็ง : "และบริษัทเยี่ยหวงก็ไม่อยากได้พนักงานที่ไร้ยางอายอย่างเธอ เธอเก็บเข้าของของเธอแล้วไสหัวไปได้เลย"

หยุดเลยนะ คุณคิดว่าจะหาคนอย่างเธอที่เยี่ยหวงได้ง่ายๆหรอ

แต่เธอน่ะเติบโตมาอย่างงดื้อรั้นอยู่แล้ว ยิ่งอยากให้เธอออกไปจากที่นี่มากแค่ไหน เธอยิ่งจะต้องอยู่นี่ที่ต่อไป

"งั้นฉันก็คงจะสามารถฟ้องลูกชายคุณข้อหาทำอนาจารได้สิคะ และฉันก็ไม่ใช่พนักงานของเยี่ยหวงด้วย ฉันไม่ฟังคุณหรอกค่ะ และถึงแม้ฉันจะเป็นพนักงานของเยี่ยหวง ฉันคิดว่าคุณก็คงไม่สิทธิ์ไล่ฉันออกค่ะ" ถังซินเหยาพูดพร้อมกับยกยิ้ม

"ฉันไท่ไท่เป็นประธานอำนวยการของเยี่ยหวง ฉันไล่เธอออก เธอก็ต้องไสหัวออกไป" เยี่ยไท่ไท่กล่าว : "เธอมันแมลงวันที่จ้องจะกินไข่ที่ไร้รอยร้าว เธอจ้องจะจับลูกชายฉัน คิดจะฮุบเอาทรัพย์สมบัติเขา แต่ถูกชายฉันปฏิเสธสินะ เธอเลยใส่ร้ายลูกฉันน่ะ เธอเป็นแค่นักออกแบบตัวเล็กๆ คิดจะมาเป็นศัตรูกับฉันงั้นหรอ?"

เธอเคยเจอคนไร้ยางอายนะ แต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้ยางอายมากขนาดนี้มาก่อนเลย

เธอไม่ใช่คนตาบอดเสียหน่อย ที่คิดจะจับผู้ชายที่หื่นกาม ไม่มีเงิน แล้วก็ไม่มีสิทธิ์อย่างผู้ชายคนนั้น

ถ้าเกิดเธอจะจับใครสักคนล่ะก็ เธอจะเลือกคนที่ทั้งรูปหล่อทั้งมีเงินแบบนั้นเลยโอเค๊?

"อ่า คุณบอกว่าฉันเป็นเหมือนไข่ที่มีรอยร้าวเพราะคุณมีอคติกับฉัน แต่แมลงวันตัวนั้นคือใครล่ะคะ คงจะเป็นรองประธานเยี่ย? เขาไม่ใช่ว่าเป็นลูกของคุณงั้นหรอคะ? คงไม่ต้องเก็บเขามาจากไหนใช่มั้ยคะ?"

"เธอพร่ามอะไร?" เยี่ยไท่ไท่พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ

"ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยน่ะค่ะ แต่ดูคุณเยี่ยไท่ไท่จะดูตื่นตระหนกจังเลยนะคะ หรือว่าที่ฉันพูดมันเป็นความจริงคะ?" ถังซินเหยาแสดงท่าทางให้เธอรู้สึกหวาดกลัว

เยี่ยไท่ไท่ลุกขึ้นยืน กาแฟแก้วนั้นที่ยังร้อนอยู่นั้นถูกนำขคนมาสาดใส่ใบหน้าที่สวยและบอบบางของถังซินเหยา

ให้ตายเถอะ นี่มันร้ายแรงเกินไป

นี่มันกาแฟที่เพิ่งชงไปเองนะ แล้วถากาแฟมันสาดโดนหน้าเธอล่ะก็ เธอสามารถตามซีซีไปแสดงเป็นผีในละครได้และคงจะเป็นที่ต้องการมาเลย

เธอรู้อยู่แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นเธอจึงเตรียมรับมือเอาไว้แล้ว

เธอรีบหยิบเอาแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเธอมาบังทันที ในขณะเดียวกันก็รีบถอยหลังออกมาด้วย

กาแฟถูดสาดมาโดนแฟ้มเอกสารอย่างจัง และกาแฟบางส่วนนก็กระเด็นกลับไปหาผู้กระทำ

"โอ้ย ร้อน" เยี่ยไท่ไท่ร้องเสียงดังเพราะมือของเขาโดนลวก

นางมารร้ายอย่างคุณรู้สึกเจ็บเป็นด้วยหรอ?

ตอนที่สาดใส่หน้าคนอื่นทำไมถึงไม่รู้ว่ามันจะทำให้คนอื่นเจ็บล่ะ?

ที่อย่างนี้มาร้องอย่างกับหมูจะโดนฆ่า คุณร้ายกาจขนาดนี้ ประธานจะรู้บ้างมั้ยเนี่ย?

"โอ้ ทำไมคุณเยี่ยไท่ไทไม่ระวังเลยล่ะคะ ทำไมถึงไม่วางแก้วกาแฟดีๆล่ะคะ ดูสิคะลวกมือของคุณเองเลยเห็นมั้ยคะ แต่ที่มันลวกตัวคุณเองมันก็คงไม่อะไรมาก ถ้ามันลวกคนอื่นด้วยนนี่สิคะแย่แน่เลย ใช่มั้ยคะคุณเยี่ยไท่ไท่?" ถังซินเหยาโยนแฟ้มเอกสารทิ้งพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานของเธอ

ลวกตายไปเลย ยัยแก่ชอบรังแกคนอื่น

อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นยัยแก่ที่อ่อนแอขาวสะอาดล่ะ จริงๆแล้วเธอน่ะเป็นดอกไม้กินคนต่างหากล่ะ

แย่จริงๆ ทำไมถึงปล่อยให้ลูกชายไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศคนเดียวถึงหกปีนะ

"นี่ยัยคนชั้นต่ำ ก็เห็นๆอยู่ว่าเธอเป็นคนทำให้ฉันโดนลวก เธอตั้งใจทำฉัน" เยี่ยไท่ไท่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

"คุณเยี่ยไท่ไท่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ฉันยังไม่ได้ไปจับแก้วกาแฟของคุณเลยด้วยซ้ำ เป็นคุณเองต่างหากค่ะที่สาดมันเอง พอโดนลวกอย่างนี้แล้ว ทำไมถึงมาโทษฉันได้ล่ะคะ"

"ถ้าเธอไม่หลบ ไม่ใช้แฟ้มเอกสารมาบังแล้วมันจะสาดโดนฉันมั้ยล่ะ?"

ไอคิวผู้หญิงคนนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ? คนอื่นเอากาแฟมาสาดใส่จะให้ยืนโง่ๆให้โดนสาดหรือยังไงกัน จะรอให้เสียโฉมก่อนหรือไง?

"ลองมาเป็นฉันสิคะคุณจะยืนรอให้โดนสาดงั้นหรอ? คุณเยี่ยไท่ไท่แค่โดนลวกไปนิดเดียวก็เอาแต่พูดว่าเจ็บ แล้วถ้ามันสาดโดนหน้าของฉันล่ะคะ แบบนั้นฉันจะไม่เจ็บหรอ?"

"ยัยคนหน้าน่าสงสาร หนังหน้าหนาๆของเธอโดนสาดหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง?"

เหอะ ผู้หญิงคนนี้ไร้ยางอายจริงๆ

คนไร้ยางอายก็ตั้งมากมาย แต่เธอคงเป็นคนที่ไร้ยางอายที่สุดในโลกแล้วล่ะ

ไม่ว่าจะมีลูกชายเป็นคนแบบไหน แม่ก็คงเป็นคนแบบนั้น กรรมพันธุ์ต้องตกมาที่ป่าปี้แน่เลย

ถ้าเกิดนายพลลู่มาได้ยินคำว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบนี้ คิดไม่ออกเลยว่าเขาจะคิดยังไง

"แล้วแต่คุณเถอะค่ะ ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว คุณอย่างฟ้องก็ฟ้องเลยค่ะ อยากให้ไปขอโทษลูกชายหื่นกามของคุณล่ะก็ อย่าคิดอย่าฝันเลยค่ะ" ถึงแม้ใบหน้าของถังซินเหยายังมีรอยยิ้มอยู่แต่ในตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา

เธอตัดสินใจไม่มีปากเสียงกับเยี่ยไท่ไท่ต่อ

จากประสบการณ์เลย ถ้าไปเถียงกับคนงี้เง่าเต่าตุ่นเลย เพราะมันจะทำให้ไอคิวของคุณตกต่ำไปเหมือนกันเขาคนนั้นด้วย แล้วก็จะเอาประสบการณ์อันล้นหลามของเขาเอาชนะคุณ!

"นี่ ยัยผู้หญิงขายตัว แกกล้าว่าฉันขนาดนี้เลยหรอ ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้สั่งสอนแกล่ะก็แกคงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสินะ" เธอยกฝ่ามือของเธอขึ้นและฟาดมันลงไปทักทายบนหน้าของถังซินเหยา

ได้ ก็เอาสิ ใครกลัวกันล่ะ

ไม่ทำกลับหรอก จะคิดว่ายัยแก่นี่ป่วยละกัน?

วันนี้ที่เยี่ยไท่ไท่แสดงกิริอาการต่อสู้ที่รุนแรงแบบนี้ ทำให้ผู้หญิงที่ร้ายกาจคนนี้เหมือนกับหญิงเทียมซะอย่างนั้น นี่มันชายชัดๆ

ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกพร้อมกับมือที่ยกขึ้นมาจับมือของเยี่ยไท่ไท่อย่างแน่น ส่วนมืออีกข้างก็ดึงตัวถังซินเหยาเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนราวกับเป็นการคุ้มกัน

"คุณเยี่ยไท่ไท่ มีอะไรจะแก้ตัวมั้ยครับ" เสียงอบอุ่นของผู้ชายคนนึงดังขึ้น

ฟางซวี่เจ๋อเป็นคนที่อบอุ่นมากๆจนเกินที่จะต้าน

แล้วอีกอย่างเขาก็ยังหล่อเหลาขนาดนี้ รวยขนาดนี้ หล่อขนาดนี้ ดูดีขนาดนี้

เธอเกือบหลงระเริงกับคำสัญญาและอนาคตที่ฟางซวี่เจ๋อวางไว้กับเธอแล้ว

แต่ถังซินเหยาไม่ใช่กาฝากเสียหน่อย ที่จะต้องเกาะพึ่งพาอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ถึงจะมีชีวิตอยู่รอดน่ะ

เธอกลับคิดว่าเธอเป็นเหมือนกับนกอินทรีมากกว่า ที่ต้องการท้องฟ้าแล้วทะเยอทะยานไปในสายลมและสายฝน

"คุณซวี่เจ๋อคะ จริงๆแล้วคุณเป็นคนที่ดีมากค่ะ แต่ว่า…."

"โอเคครับ คุณไม่ต้องพูดแล้วล่ะครับ" ฟางซวี่เจ๋อพูดตัดคำของถังซินเหยาพร้อมกับพูดว่า "อาจจะเป็นเพราะผมมาสารภาพกับคุณกระทันหันเกินไป เลยทำให้คุณตกใจ คุณเลยไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้ ทานข้าวก่อนเถอะครับ ผมให้เวลาคุณคิดดีๆก่อนค่อยมาตอบผมก็ได้ครับ ผมจะรอ"

ถังซินเหยา "…….."

นี่ประธาานฟาง ที่คุณคิดเองเออเองแบบนี้คุณไปเรียนมาจากไหนกัน ฝึกมาจนชำนาญเลยล่ะสิ

คุณพูดขนาดนี้แล้ว จะให้ฉันปฏิเสธยังไงได้ล่ะ

ถังซินเหยาทานข้าวต่อด้วยความใจตัน เธอรู้เลยว่าเธอไม่ควรตอบรับคำเชิญการมาทานข้าวกับฟางซวี่เจ๋อเลย

ร้านอาหารเมืองบีแห่งนี้ทั้งอาหารกลางวันฟรีแล้วก็อาหารเย็นนี่ไม่อร่อยเลยจริงๆ มาทานทีไรก็ไม่แฮปปี้เลยสักครั้ง

เธอรู้สึกว่าอาหารฟรีมื้อนี้ทำให้ใจของเธอหดหู่

เมื่อทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟางซวี่เจ๋ออาสาจะส่งเธอกลับบ้าน

ฟางซวี่เจ๋อหล่อขนาดนี้ เธอคงจะปฏิเสธไม่ลงหรอก

เมื่อมาถึง ฟางซวี่เจ๋อก็ยิ้มอย่างนุ่มนวลและอบอุ่นจนำเอาเกือบจะละลาย

"ซินเหยา สิ่งที่ผมพูดไปวันนี้ผมตั้งใจทั้งหมดเลยนะครับ คำพูดพวกนี้ผมอยากบอกคุณมาตั้งนานแล้ว แต่คุณสวยมากเกินไปจนทำให้ผมขาดความมั่นใจ และเป็นเพราะคุณสวยมากไป ผมเลยกลัวว่าถ้าผมไม่พูดมันต่อไปผมจะไม่มีโอกาศได้พูดมัน แล้วคุณก็จะไปน่ารักในอ้อมอกของผู้ชายคนอื่น มีผู้ชายคนอื่นปกป้องคุณ แค่นี้การมีอยู่ของผมก็ไม่มีค่าอะไรแล้วครับ คุณลองคิดสิ่งที่ผมพูดไปดีๆนะครับ ผมคนนี้พูดคำหวานๆไม่เป็น มีบางสิ่งที่ผมไม่พูดมันออกไปแต่ผมก็ทำมันเงียบๆนะครับ" ฟางซวี่เจ๋อพูดกับถังซินเหยาพร้อมกับยื่นมือมากุมมือของเธอ

เขาเพียงแค่จับมือของเธออย่างอบอุ่นก็ทำเอาคนอื่นรู้สึกอบอุ่นราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่พอใจ

ถังซินเหยารู้สึกขนลุก ทำตัวน่ารักอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่นอย่างงั้นหรอ?

ประธานฟาง คุณแน่ใจนะว่าคนที่คุณพูดถึงคือถังซินเหยาน่ะ?

ทำตัวน่ารักอะไรกัน เธอทำท่าทางบ่งบอกว่าเธอไม่ใช้วิธีนี้หรอก

แล้วทำเป็นพูดว่าชอบเธอ เมื่อวานยังให้ผู้ชายคนอื่นพาเธอไปด้วยอยู่เลย? สามีของลูกพี่ลูกน้องของประธานฟางไง ทนไม่ได้แต่ก็เชื่อใจกันมากเกินไปแล้วมั้ง?

เห็นได้ชัดเลยว่าคุณป่าปี้ไว้ใจฟางซวี่เจ๋อไม่ได้

ถังซินเหยาค้นพบว่าฟางซวี่เจ๋อไม่เพียงแค่อบอุ่นแต่เขายังเป็นคนที่พูดอะไรไม่ดีแล้วมักจะเป็นไปตามนั้น

ผู้หญิงใจหยาบของตระกูลเยี่ย……..เอ่อ…….ไม่ใช่สิ ควรจะเรียกว่าเยี่ยไท่ไท่คนปากร้ายเธอมาจับผิดเธอที่บริษัทวันที่สองแล้ว

ผู้หญิงตรงหน้าดูแลรักษาผิวพรรณตัวเองอย่างดี ดูแล้วราวกับสาวอายุยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปดยังไงอย่างงั้น

หน้าตาดี เต็มไปด้วยความสง่างามและเสน่หา ดูไม่ออกเลยว่าเธอมีลูกแล้วที่เป็นเยี่ยจิงซิง

เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ รวมทั้งกระเป๋าของเธอล้วนแล้วแต่มาจากสินค้าจากที่วางจำหน่ายในงานแฟชั่นโชว์ปีนี้ของปารีสทั้งนั้น แพรวพราวระดับ24Kจนเกือบทำเอาสายตาของคนอื่นๆอิจฉากันเลยทีเดียว และมันก็ดูเว่อวังอลังการมากไปด้วย

"เธอคือถังซินเหยาใช่มั้ย?! "เยี่ยไท่ไท่เดินตรงเข้ามา น้ำเสียงของเธอหยิ่งผยอง เธอเสยหน้าของเธอพร้อมกับใช้จมูกของเธอมองมา

นี่เป็นความสามารถใหม่ของพวกคนรวยหรอ? ใช้จมูกมองคนอื่นได้ด้วย!

"ใช่ค่ะ คุณไท่ไท่มีอะไรรึเปล่าคะ?!" ใบหน้าของถังซินเหยายิ้มหวานอย่างเป็นมิตร เสแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินการทักทายที่แสนโอ้อวดของผู้หญิงคนตรงหน้ากับหลี่เวย

"ฉัน………."

"ถ้าหากคุณไท่ไท่มีเรื่องอะไรก็สามารถไปหาเลขาหลี่ได้เลยนะคะ ฉันไม่ใช่พนักงานของเยี่ยหวงค่ะ และฉันก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรคุณได้ด้วย ขอโทษจริงๆนะคะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ ขอตัวค่ะ!" ถันซินเหยาพูดตัดคำของเยี่ยไท่ไท่

การพูดเองเออเองแบบนี้เรียนมาจากฟางซวี่เจ๋อเมื่อวานนี้เลยล่ะ

ในฐานะที่เป็นนักออกแบบที่มีฝีมือ การเรียนรู้ทักษะใหม่ถือเป็นการเรียนรู้เพิ่มไปด้วย (≧▽≦)

เมื่อพูดจบเธอก็ยิ้มด้วยความรู้สึกผิดแล้วก็หันหลังเดินออกมา

"เธอหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ยัยคนชั้นต่ำ!!!" เยี่ยไท่ไท่หยุดถังซินเหยาโดยไม่นึกถึงภาพลักษณ์ที่สวยงามของเธอ

โถ่…..ดูสาวสวยตรงหน้าฉันคนนี้สิ ทิ้งภาพลักษณ์ที่สง่างามของตัวเองแล้วก็เผยธาตุแท้ที่ไร้ความปราณีที่น่าอายของเธอออกมาเสียแล้ว

คำพูดพวกนี้ดูไม่ค่อยเหมือนกับผู้ดีในหนังเลยแฮะ

ที่เธอทำอย่างงี้มันดูแย่มากๆจริงๆ

ถังซินเหยาเดินผ่านเยี่ยไท่ไท่ไปโดยไม่หยุดฝีเท้าของเธอ

"นี่ ฉันบอกให้เธอหยุดไง หูหนวกรึไง? ไม่ได้ยินหรอ?!" เยี่ยไท่ไท่พูดกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจ จนแทบจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว

"คุณเรียกฉันหรอคะ? ฉันชื่อถังซินเหยานะคะ แต่ฉันได้ยินคุณพูดว่ายัยคนชั้นต่ำ ฉันคิดว่าคุณไท่ไท่เรียกเพื่อนของตัวเองซะอีกค่ะ" ถังซินเหยายิ้มพร้อมกับดวงตาใสดวงโตของเธอ ดูแล้วทั้งไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ ทำให้คนมองทนไม่ไหว

อยากหาเรื่องฉันดีนัก น่าโกรธจริงๆเลย

หลี่เวยเมื่อเห็นว่าความขัดแย้งของทั้งสองคนนั้นเพิ่มทวูคูณขึ้นเรื่อยๆจึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยทันที : "คุณผู้หญิงคะ ถ้าหากคุณมีเรื่องอะไรกับถังซินเหยาล่ะก็ สามารถเข้าไปคุยกับเธอในห้องประชุมได้นะคะ เพราะคุยตรงนี้มันจะเป็นการรบกวนคนอื่นน่ะค่ะ"

จริงๆแล้วเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีอะไรกับเยี่ยไท่ไท่หรอกเพียงแต่เธอแค่ไม่อยากทำให้ถังซินเหยารู้สึกไม่ดีก็เท่านั้น

"เธอหลบไปเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่มันบริษัทของฉัน และมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเลขาอย่างเธอ!" เยี่ยไท่ไท่ใช้สายตาของเอกวาดมองหลี่เวยพร้อมกับพูดอย่างดูถูก

หืม…..บริษัทนี้เป็นของเจ้านายของฉันนะโอเค๊? พูดอย่างกับว่าบริษัทเป็นของตัวเองอย่างงั้นแหละ หน้าไม่อาย!

ถ้าไม่เห็นว่าคุณคือคุณแม่ของเจ้านายของเราล่ะก็แม้แต่ประตูบริษัทคุณก็ไม่มีสิทธิเข้ามาหรอกนะ

"คุณเวยเวยคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" ถังซินเหยามองเห็นความหวังดีของหลี่เวยพร้อมบอกใบ้ว่าไม่ให้เธเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วย

เธอไม่ใช่พนักงานของเยี่ยหวง แต่ผู้หญิงปากร้ายคนนี้ก็ทำให้เธอและถังซินเหยาไม่มีทางเลือก หลี่เวยยังต้องทำงานที่เยี่ยหวงอยู่ การมีปากเสียงกับเยี่ยไท่ไท่แบบนี้ถือว่าสุ่มเสี่ยงแต่ก็ดีเหมือนกัน

"คุณไท่ไท่คะ ถ้าคุณมีเรื่องอะไรกับฉันก็เข้าไปในห้องประชุมเถอะค่ะ ตรงนี้คือห้องของท่านประธานมีคนเข้าๆออกๆพลุกพล่าน ถ้าคนอื่นเห็นจะน่าอับอายไม่ใช่หรอคะ?"ถังซินเหยายิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน

เยี่ยไท่ท่ครุ่นคิด คิดว้าถ้าตัวเองมามีปากเสียงกับไม่มีสถานะตรงนี้ มันคงเสียภาพลักษณ์แน่ๆ

เธอจึงเดินล่วงหน้าตรงไปยังห้องประชุมด้วยท่าทางองอาจทันที

หลี่เวยยกนิ้วให้ถังซินเหยาพร้อมกับพูดว่า : "สุดยอดมากค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ ตอนนี้บอสของเราไม่อยู่ด้วย ฉันเอาใจช่วยค่ะ"

ถังซินเหยายกมือขึ้นมาทำท่าโอเคพร้อมกับยกคิ้วข้างขวาขึ้นพูดว่า : "วางใจได้เลยค่ะ ก็แค่การรับมือกับคนอย่าคุณเหล่าไท่ไท่เอง จิ๊บจ๊อยมากๆค่ะ"

"ถ้าคุณไท่ไท่เธอมาได้ยินเข้า เธอเล่นงานคุณแน่ค่ะ" หลี่เวยผู้ถูกถังซินเหยาหยอกเล่น

"กลับไปเถอะ วันนี้นอนพักอยู่ที่บ้านไปเลย ไม่ต้องเข้าบริษัท"

ความอบอุ่นและกลิ่นของเยี่ยจิงเฉินยังคงอยู่บนเสื้อสูทของเขาทำให้ถังซิเหยาหัวใจเต้นแรงไปชั่วขณะ

เสื้อแขนยาวยาวไปถึงสามส่วนสองของต้นขาของเธอ อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าใส่เสื้อที่คลุมถึงแค่สะโพกก็แล้วกัน

อืม……ถือว่าคุณป่าปี้ก็เป็นคนจิตสำนึกอยู่เหมือนกัน เกิดความรู้สึกประทับใจขึ้นในหัวของเธอ

เธอดึงเสื้อตัวโคร่งตัวใหญ่ที่เธอสวมใส่อยู่อย่างไม่สบายตัวพร้อมกับพูดว่า : "ขอบคุณค่ะ งั้นฉันกลับก่อนนะคะ"

"เดี๋ยวก่อน"

"มีอะไรอีกหรอคะ?"

"จำไว้นะ ที่ผมเอาเปรียบคุณผมยังไม่ได้คืนให้คุณหมดเลย ครั้งหน้ามาต่อกัน"

ถังซินเหยา "…….."

เธอคิดเมื่อกี้นี้เธอกำลังคิดว่าจริงๆแล้วคุณป่าปี้ก็ไม่ได้แย่อะไร มันไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าเรื่องที่ว่าคุณป่าปี้ไปดาวอังคารเพื่อไปกอบกู้โลกซะอีก เห้อ…….เกิดเปลวไฟลุกขึ้นในใจของเธอ แต่มันอยู่ได้สักพักก็ดับลงไป

คุณป่าปี้ไม่ใช่คนที่เจ้าเล่ห์ที่สุด แต่นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์ต่างหาก

………

ถังซินเหยาเปิดโทรศัพท์ที่แบตไม่เต็มขึ้นมา หน่วยความจำโทรศัพท์ของเธอแทบจะเต็มเพราะสายที่ไม่ได้รับกับข้อความ

อีกทั้งสายที่ไม่ได้รับกับข้อความเหล่านั้นมาจากคนคนเดียวเท่านั้น —- ก็คือฟางซี่เจ๋อ

เธอโทรกลับไป แต่ไม่มีใครรับ

เธอกังวลว่าฟางซวี่เจ๋อจะตามหาเธอเพราะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอจังรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ตรงไปบริษัททันที

เมื่อฟางซวี่เจ๋อเจอถังซินเหยาเขาตกใจมากๆแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ประหลาดใจเช่นกัน

"คุณซินเหยา คุณมาทำอะไรครับ?"

"คุณไม่ได้ตามหาฉันอยู่หรอคะ?"

แม่เจ้า โทรหาฉันตั้งหลายสาย ส่งข้อความอีกตั้งเยอะ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่บริษัทกำลังจะล้มละลายล่ะก็เธอคงจะไม่เชื่อ

"คุณซินเหยาครับ คุณไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย?" ฟางซวี่เจ๋อถามเธอด้วยความกังวล

"ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ" ถังซินเหยาแปลกใจหน่อยๆ แต่เธอกลับอุ่นใจขึ้นมา : "ฉันเห็นว่าคุณโทรมาหาฉันหลายสายน่ะค่ะ เลยกลัวว่ามีเรื่องอะไรเร่งรีบมั้ย ฉันโทรกลับก็ไม่มีใครรับก็เลยมาที่ดูที่บริษัทน่ะค่ะ"

รู้สึกว่าคำพูดของฟางซวี่เจ๋อแปลกๆ เธอจะมีเรื่องอะไรล่ะ?

คุณสิน่าจะมีเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ก็ที่บริษัทมีอะไรถึงจะถูกสิใช่มั้ย?

"อ๋อ เมื่อกี้ผมไปเข้าประชุมน่ะครับ ผมปิดเสียงโทรศัพท์ไว้เลยไม่ได้ยิน" ฟางซวี่เจ๋อหยิบโทรศัพท์จากลิ้นชักมาดูพร้อมกับพูดด้วยความรู้สึกผิด : "เมื่อวานคุณเยี่ยจิงเฉินเขาไม่ได้ทำให้คุณอึดอัดใจใช่มั้ยครับ?"

ถังซินเหยาร้อนตัวจนแทบบ้า

ทำไมเจ้านายของเธอถึงรู้ล่ะว่าเมื่อวานเธออยู่กับเยี่งจิงเฉิน?

แม่เจ้า ขนาดเธอยังไม่รู้เลย

แล้วตื่นเช้าวันนี้ก็โดนออร่าความหล่อเหลาของคุณป่าปี้แยงตาแล้ว เธอถึงรู้ว่าเมื่อคืนเธอกับคุณป่าปี้อยู่ด้วยกันทั้งคืน

"ก็โอเคค่ะ" เธอตอบด้วยความลำบากใจ

แค่ที่เธอสามารถลืมตาขึ้นมาพูดเรื่องไร้สาระได้ กับการที่ป่าปี้ทำเรื่องอย่างว่า (ไม่สิ) เธอก็พูดไม่ออกเหมือนกัน คำพูดโกหกเหล่านั้นที่คุณป่าปี้พูดกับเธอ

พูดโกหกอย่างงี้ จะโดนฟ้าผ่ามั้ยนะ?

"งั้นก็ดีแล้วครับ" เขาถอนหายใจ

ทำไมฟวงซี่เจ๋อถึงเชื่อเธอขนาดนี้ล่ะ ฉันพูดอะไรก็เชื่ออย่างนั้น คำพูดของเธอมันดูจริงใจขนาดนั้นเลยหรอ?

คุณมองฉันสิ มองฉันเดี๋ยวนี้ ใบหน้าของฉันก็แสดงให้เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าสิ่งที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องโกหก เมื่อวานคุณป่าปี้ทำให้ฉันอึดอัดใจ จริงๆนะ คุณดูไม่ออกเลยหรอ?

คุณเชื่อฉันขนาดนี้ ฉันคงทำได้แค่ปล่อยให้คุณเชื่อไปอย่างนั้นเลย ต้องขอโทษคุณด้วยนะคะ

"คุณซวี่เจ๋อคะ ทำไมคุณถึงรู้ล่ะคะว่าเมื่อวานฉันอยู่กับคุณเยี่ยจิงเฉิน?" เธอถามด้วยความรู้สึกไม่ดี

"เมื่อวานผมก็ไปที่ร้านซูชินั่นเหมือนกันครับ จริงๆอยากจะพาคุณกลับมาด้วยกัน แต่คุณเยี่ยจิงเฉินเขา……." ฟางซวี่เจ๋อยิ้มด้วยความรู้สึกผิด

ฟางซวี่เจ๋อไม่พูดต่อแต่ก็ไม่พูดอะไรต่ออีกเลย

คุณป่าปี้เป็นประธานจอมเผด็จการคนนึง

ถังซินเหยาเม้มปากราวกับจะร้องไห้ออกมา ถึงแม้ว่าคุณป่าปี้เป็นประธานจอมเผด็จการแต่ฟางซวี่เจ๋อก็คงไม่ต่างกัน?

แล้วคุณก็ยังเป็ยพี่ของศรีภรรยาของคุณป่าปี้อีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะยอมแพ้ให้กับคุณป่าปี้

แล้วยังทำผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอแพ้ให้กับคณป่าปี้อีก

ชายโสดกับหญิงหม้ายอยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง คุณไม่กังวลว่าคุณป่าปี้จะจะนอกใจลูกพี่ลูกน้องของคุณเลยหรอ

"ตอนนี้เยี่ยจิงเฉินเขายังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ ป้าสะใภ้เยี่ยเป็นคนแข็งๆ คุณไปเล่นเยี่ยจิงซิงแบบนั้น ผมแค่กลัวว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ หรือไม่ถ้าคุณกลับมาอยู่กับตระกูลเยี่ย ผมเป็นห่วงคุณครับ" ฟางซวี่พูดอย่างมีนัยย์

เป็นคนแข็งๆอะไรกันล่ะ พูดว่าเธอเป็นคนปากร้ายสิ้นเรื่อง

โอ้โห สิ่งที่ประธานพูดเมื่อวานนี้ไม่ผิดเลย

แม้แต่ที่เธอเล่นเยี่ยจิงซิงคนหื่นนั่นเขายังรู้เลย?

"ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด" ถังซินเหยาพูดอย่างไม่ยอมรับ : "ถ้าฉันออกไปง่ายๆแบบนี้ก็เท่ากับว่าฉันรู้สึกผิดสิคะ"

โอเค จริงๆแล้วเธอเองก็กังวลเหมือนกันถ้าเธอจะจากไปแบบนี้

น่าเสียดายที่ป่าปี้ยังต้องหาข้ออ้างหักเงินเดือนของเธออีก

อย่าคิดว่าสองปีมานี้ที่เธอเลิกไปแล้วจะเธอจะคนดี จริงๆแล้วในใจของเธอก็ฮึดสู้เหมือนผู้ชายนะ

ถึงบริษัทแล้วก็แน่นอนสิว่าต้องทานข้าวกับเยี่ยจิงเฉิน

"คุณซินเหยาครับ ผมชอบคุณ เป็นแฟนกับผมมั้ยครับ ผมจะปกป้องคุณเอง ต่อไปจะได้ไม่มีคนมารังแกคุณอีก ผมจะไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายคุณเลย"

ถังซินเหยาเมื่อได้ยินคำพูดของฟางซวี่เจ๋อ ตะเกียบของเธอที่คีบเนื้อตุ๋นอยู่นั้นกลับตกลงบนโต๊ะไปเสียแล้ว

ชิ้นเนื้อตุ๋นชิ้นนั้นยังกระเด็นลงบนโต๊ะไปอีกทีจากนั้นก็ตกลงมาใส่กระโปรงของเธอ

กระโปรงสีขาวของเธอเลอะคราบน้ำมัน

เป็นเพราะเมื่อคืนเธอหลับไม่เต็มอิ่มแน่ๆ ถึงได้เห็นภาพหลอนอย่างนี้ ไม่อย่างงั้นแค่การมากินข้าวถึงได้มีการเปิดเผยคววามรู้สึกกระทันหันอย่างนี้ล่ะ?

เธอกระพริบตาปริบๆ ในระหว่างที่เธอกำลังเห็นภาพหลอนเป็นตอนที่ฟางซวี่เจ๋อสารภาพรักกับเธอเธอเลือกที่เหม่อต่อ

"อะไรนะคะ?" ถังซินเหยาปัดชิ้นเนื้อตุ๋นออกจากกระโปรงของเธอพร้อมกับถาม

"คุณซินเหยา ผมชอบคุณ เป็นแฟนกับผมนะครับ ผมอยากอยู่ข้างๆคุณแล้วก็ปกป้องทะนุถนอมคุณตลอดไปครับ" ฟางซวี่เจ๋อพูดอีกครั้งด้วยสายตาที่มีรอยยิ้มของเขา

โอเค เธออคงไม่ได้หลอนไปเองแล้วล่ะ ฟางซวี่เจ๋อสารภาพรักกับเธอจริงๆ

เธอถึงกับไปไม่เป็น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกลับเจื่อนลง

เธอพูดไปออก ฟางซวี่เจ๋อสารภาพรักเธอ บอกว่าชอบเธงั้นหรอ?

"คุณแน่ใจนะคะว่าวันนี้ไม่ใช่วันโกหก?" ถังซินเหยาพยายามปกปิดหัวใจที่เต้นแรงของเธอพร้อมกับถาม

"คุณซินเหยา คุณเป็นคนฉลาดมีเซ้นส์ขนาดนี้ คุณต้องดูออกสิครับว่าผมตั้งใจ ผมอยากดูแลคุณจริงๆนะครับ อยากปกป้องคุณตลอดไป ไม่ให้ใครมีรังแกคุณ"

ฟางซวี่เจ๋อใช้สายตาอันอบอุ่นคู่นั้นของเขา ดวงตาสีเต็มไปด้วยความรักคู่นั้นจับจ้องไปที่ถังซินเหยาพร้อมกับพูดว่า : "เมื่อวานตอนที่ผมรู้ว่าคุณเยี่ยจิงเฉินเขาจะรังแกคุณ คุณรู้มั้ยครับว่าตอนนั้นหัวใจผมมันเจ็บปวดขนาดไหน? ผมควรจะบอกคุณให้เร็วกว่านี้ ว่าผมชอบคุณ อยากปกป้องคุณ อย่างนี้ผมก็สามารถปกป้องคุณไว้ในอ้อมกอดของผมแล้ว ไม่ให้คุณต้องมาเผชิญเรื่องหน้ากับความลำบากใจนี้อีก คุณแค่ออกแบบงานของคุณไปเงียบๆ ออกแบบจิวเวลรี่ให้เต็มที่ตามความรักและจิตวิญญาณของคุณก็พอแล้ว รับปากผมมั้ยครับ? ให้ผมอยู่ข้างๆแล้วก็ปกป้งคุณ"

เยี่ยจิงเฉนยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า : "งั้นเธอหมายความว่าเธออยากจูบตอบงั้นหรอ?"

คุณป่าปี้ ถึงแม้ว่าไอคิวคุณจะสูงมากๆ แต่ไอคิวของเธอก็ไม่ได้แย่นะโอเค๊?

คุณมาเปลี่ยนเรื่องอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของเธอบ้างมั้ย?

"ฉันไม่ได้ความว่าอย่างนั้นนะคะ"

"แล้วคุณหมายความว่ายังไงล่ะ?"

"ฉันหมายถึงคุณจูบฉันไปตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันเป็นฝ่ายจูบคุณก่อนแค่ครั้งเดียว ก็ถือว่าเจ๊ากันไง" ถังซินเหยาหักห้ามความรู้สึกความต้องการล้นทะลักของตัวเอง

"ขอคิดบัญชีของวันนี้ก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีของครั้งก่อนๆ"

"อือ…….."

สิ้นสุดเสียง คำพูดของถังซินเหยาก็ถูกกลืนกลับเข้าไปในคอ

ทักษะการจูบของคุณป่าปี้ดูดดื่มมาก ราวกับการเล่นเกมส์แบบโกงๆ มันก้าวก้าไปด้วยความรวดเร็ว

อย่างน้อยที่สุดฟันของเขาก็กัดริมปากอิ่มของเธออีก

เธอเกือบจะถูกจูบที่แสนเร่าร้อนของคุณป่าปี้กำราบเสียแล้ว

เมื่อจูบเร่าร้อนอันยาวนานของพวกเขาได้จบลง ร่างของถังซินเหยาก็อ่อนระทวยไร้เรียวแรงอยู่ในอ้อมอกของเยี่ยจิงเฉินไปแล้ว

ดวงตาของคุณป่าปี้แพรวพราวราวกับแสงสว่างของดวงดาวที่สว่างพร่างพราวที่สุดในค่ำคืนที่ฟ้ามืดมิด สว่างจนทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง

"โอเค วันนี้เราสองคนไม่มีใครที่เสียเปรียบแล้วนะ เรามาเคลียร์เรื่องจูบที่เธอพูดถึงกันเถอะ"

ฟังคุณป่าปี้พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ถังซินเหยาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

ความจุของปอดคุณป่าปี้มันดีมากขนาดไหนกันนะ จูบก็จูบกันทั้งสองฝ่าย แต่ทำไมเวลาที่เธอโดนจูบลมหายใจเธอแทบจะหมดไปเลยอย่างงั้น คุณป่าปี้นิ่งได้ขนาดนี้เลยหรอ ราวกับมันกระทบเลยอย่างนี้น่ะนะ

มันไม่ยุติธรรมเลย…….

"อือ…..ช่างมันเถอะค่ะ ฉันไม่อะไรกับมันแล้ว" ถังซินเหยาพูดด้วยความเศร้า

ไม่ว่าจะเป็นเธอที่เป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน ถึงอย่างไรในด้านความแข็งแกร่งและกำลังเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณป่าปี้ ถึงตอนนั้นแล้วเธอก็โดนจูบจนจนไร้เรี่ยวแรงหายใจถี่ยิบจนหายใจไม่ออกก็เป็นตัวเธออยู่ดี

"ไม่ได้ คนเราต้องซื่อสัตย์สิ แล้วคนอย่างเยี่ยจิงเฉินไม่เคยเอาเปรียบใคร"

"ไม่ค่ะ ไม่ต้องแล้ว คุณไม่ได้เอาเปรียบฉันค่ะ"

"แค่เธอบอกว่าฉันไม่ได้เอาเปรียบงั้นหรอ?"

"ฉันเองก็มีส่วนในการกระทำนั้นเหมือนกัน ถือว่าฉันก็ไม่เสียเปรียบไม่ใช่หรอคะ?"

"แล้วทำไมผมต้องฟังคำพูดของคุณด้วยละ"

ถังซินเหยา : "………."

คุณป่าปี้นี่ประสาทจริงๆเลย หมดคำจะพูดด้วยแล้วนะ

เยี่ยจิงเฉินเมื่อเห็นว่าถังซินเหยาไม่พูดอะไรจึงถามเธไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า : "เธอม่พูดอะไรอย่างงี้ ผมจะคิดว่าคุณยอมรับแล้วนะ?"

แม่เจ้า ที่คุณป่าปี้มีตาคู่นี้นี่เพื่อแค่จะทำให้ดูหล่อแค่นั้นเลยหรอ?

ที่เธอทำแบบนี้แสดงว่าเธอยอมรับงั้นหรอ? เธอแค่ไม่มีอะไรจะพูดต่างหาก พูดอะไรไม่ได้ด้วย

คุณป่าปี้ไม่ใช่ไอคิวสูงนะ แต่ความไร้เหตุผลของคุณป่าปี้ก็ยอดเยี่ยมมากๆเช่นกัน

"ประธานเยี่ยคะ คุณหยุดพูดเถอะค่ะ ฉันจะกลับแล้ว"

เยี่ยจิงเฉินไม่พูดอะไรพร้อมกับยื่นหน้าออกมา รวมถึงมือของเขาก็รวบเอวคอสของถังซินเหยาไว้ไม่ปล่อย

คุณป่าปี้ ถึงแม้ว่าคุณจะหล่อเหลาเอาการขนาดนี้ แต่คุณก็ไม่ควรจะไม่มีเหตุผลขนาดนี้มั้ย?

โอเค จุ๊บก็จุ๊บ ศีลธรรมมันไร้ค่ามาตั้งนานแล้วนี่

ถังซินเหยาหลับตาลงพร้อมกับกดริมฝีปากของตัวเองไปที่ปากเย็นของเยี่ยจิงเฉิน

ทักษะการจูบของคุณป่าปี้ใช้ได้เลย แต่มือของคุณป่าปี้ช่วยอยู่นิ่งๆหน่อยได้มั้ย อย่ามือปลาหมึกนะ

จุ๊บ…….จ๊วบ……..

รถหรูราคาหลายสสิบล้านคันนี้ส่งเสียงที่แสดงถึงอารมณ์อันล้นเหลือออกมา พร้อมกับทำให้คนที่ถูกกระทำรู้สึกเขินอายกับเสียงสั่นเคลือนั้น

ถังซินเหยาถูกเยี่ยจิงเฉินจูบจนตาของธอแดงก่ำ ราวกับว่ากำลังโดนรังแกเสียอย่างนั้น

สภาพของเธอตอนนี้ทำให้เยี่ยจิงเฉินเกิดอารมณ์ร้อนเร่าเกิดขึ้นในใจของเขา จนอยากจะกลืนกินร่างของหญิงสาวตรงหน้าที่ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง

ถังซินเหยาจับมือของเยี่ยจิงเฉินคนที่มีอารมณ์ความใคร่ ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างจริงจังไปว่า : "ประธานค่ะ การร่วมรักกันบนรถแล้วรถมันสั่นกลางถนนตอนกลางวันแสกๆแบบนี้มันน่ารังเกียจนะคะ "

"ประธานเยี่ยเป็นที่รู้จักในสังคม จะทำอะไรก็ต้องคิดก่อนนะคะ" ถังซินเหยาคว้ามือของเยี่ยจิงเฉินที่อยู่ไม่สุขผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบาง

เยี่ยจิงเฉินเมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีที่จริงจังจึงใช้มือของตัวเองขยำเนื้อนุ่มของเธอเบาๆก่อนจะละมือออกมา

ถังซินเหยาด่าเขาในใจ : คุณป่าปี้นี่หื่นจริงๆ

แต่สีการแสดงออกทางสีหน้าของเขากลับไร้ที่ติ ไร้ข้อบกพร่องใดๆ

เยี่ยจิงเฉินเก็บมือปลาหมึกของตัวเองกลับมาแล้วดื่มด่ำกับความรู้สึกอบอุ่นผ่านทางฝ่ามือ สัมผัสละเอียดอ่อนบนผิวเรียบเนียนของถังซินเหยายังตราตรึงอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ทำให้รู้สึกว่าความต้องการของเขามันยังอยู่

"ที่ค้างไว้ก็ขอให้จำไว้ซะ แล้วผมค่อยมาคิดบัญชีทีหลัง" ในที่สุดมือของเขาก็หลุดพันธนาการจากเอวของเธอ

ถังซินเหยาถึงกลับถอนหายใจพร้อมกับเร่งรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกด้วยความรวดเร็วก่อนจะจากรถคันหรูของเยี่ยจิงเฉินไป

"ขอบคุณนะคะประธานเยี่ย ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ" พอเธอพูดจบก็ก้าวเท้าของตัวเองแล้วกลับหลังจากไป

"หยุดก่อน" เสียงที่เย็ยชาของเยี่ยจิงเฉินที่ดังมาจากด้านหลังของเธอ

จะบ้าหรอ ใครหยุดก็บ้าแล้ว

ใครเขาจะยินดีที่จะหยุดกันล่ะ ใครอยากหยุดก็หยุดเองเถอะ ส่วนตัวเธอน่ะไม่ทำแน่ๆ

เธอรีบเร่งฝีเท้าของเธอมากขึ้น ราวกับว่ามีปีศาจตามอยู่ข้างหลังเธอยังไงอย่างงั้น

จริงๆก็ไม่ได้ต่างกันมากนักหรอก ถึงแม้คุณป่าปี้จะไม่ใช่ปีศาจแต่คุณป่าปี้น่ะยิ่งกว่าปีศาจซะอีก

เยี่ยจิงเฉินที่เห็นว่าถังซินเหยาที่เดินไปอย่างท่าทีว่าจะหยุด แต่กลับยิ่งเดินเร็วขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เขากระพริบตาไปมา

เขาก้าวขาเรียวยาวทั้งสองข้างที่ราวกลับขาโอปป้าเกาหลีของเขานั้นตรงไปทางถังซินเหยาทันที

ก้าวยาวของคนข้างหลังยิ่งก้าวยิ่งเข้ามาใกล้เธอยยิ่งขึ้น ถังซินเหยาจึงไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองแล้วเช่นกัน

สองขาเรียวสวยของเธอวิ่งไป แต่เธอเพิ่งวิ่งปได้สองก้าวก็ถูกคนข้างหลังคว้าแขนเสียแล้ว

เธอบ่นในใจ ก็ขาเขายาวขนาดนั้น ก็ต้องดีกว่าขาสั้นของเธออยู่แล้ว

"ประธานเยี่ย มีอะไรอีกรึเปล่าคะ?" เมื่อถังซินเหยาถามจบแล้ว ใบหน้าของทาญาติรุ่นที่สิบแปดเยี่ยจิงเฉินที่ลวนลามฉันราวพันๆครั้ง ฉันยิ้มให้เขาเสมือนกับว่าเขาเป็นรอยยิ้มของรักแรกพบ

"ทำไม เธอกลัวฉันหรอ?" เยี่ยจิงเฉินถามเขาอย่างเย็นชา

แม้ว่าใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินจะเรียบนิ่งตลอด จะมีสีหน้าเดียวตลอกทั้งวัน มีแต่ความเย็นชาแล้วก็เย็นชา

แต่ถังซินเหยาสามารถมองจากใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินนั้นออกว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่ได้ดีมากนัก

"ไม่นี่คะ จะเป็นอย่างงั้นได้ยังไงกัน?"

แม่เจ้า ก็เล่นโผลกอดกันแล้วก็ชอบกัดตลอด

แรงก็เยอะ แถมยังไม่มีเหตุผลแบบนี้ ทำไมฉันจะไม่กลัวล่ะ ?

"ถ้าไม่ได้กลัว แล้วเธอวิ่งทำไมล่ะ?"

ก็คุณตามฉันจากข้างหลังนี่ ฉันก็ต้องวิ่งสิ ฉันไม่ได้โง่เสียหน่อย หรือจะให้ฉันยืนให้โดนลวนลามหรือไงกัน?

"เพราะฉันอยากถึงบ้านไวๆไงคะ"

"ที่ฉันเรียก เธอไม่ได้ยินหรอ?"

แล้วเธอพูดได้หรอ ว่าเธอได้ยินที่ป่าปี้พูดอะ?

นิสัยเจ้าเล่ห์แล้วก็ใจแคบอย่างคุณป่าปี้ ถ้าเธอยอมรับ ก็เหมือนกับว่าไม่เอื้อต่อความสมานฉันท์ของสังคมน่ะสิ

"คุณเรียกฉันหรอคะ? ฉันไม่เห็นจะได้ยินเลย"

เธอไม่ได้กลัวคุณป่าปี้เสียหน่อย เธอแค่อยากรักษาความสงบของสังคมเองเถอะ

"เธอหูหนวกไปแล้วหรือไง?"

หูหนวกแล้วมันยังไงอ่ะ……..

เธอเป็นคนใจกว้างเพราะฉะนั้นเธอจะไม่อะไรกับคุณป่าปี้โรคจิตคนนี้แล้ว

"ประธานเยี่ยคะ มีเรื่องอะไรอีกมั้ย?"

เยี่ยจิงเฉินถอดเสื้อสูทราคาแพงของเขาออก แล้วก็เอามันมาคลุมไว้บนไหล่ของถังซินเหยา

“ทำไมคุณถึงอยากรู้ ว่าบ้านของฉันอยู่ไหน ?! “ถังซินเหยาทนได้สักพักแล้ว แต่ก็ไม่ทนไม่ไหว

ท้ายที่สุดแล้ว เป็นเธอเองที่ทำแบบนั้นแล้วรู้สึกผิดเอง

ตกลงว่า เยื่ยจิงเฉิน เป็นพ่อของ หลิงหลิง กับ หลานหลาน หรือเปล่า

เยื่ยจิงเฉินถึงกลับพูดไม่ออกกับความโง่ของถังซินเหยา ทั้งๆที่เธอทั้งสวยและฉลาด แต่จริงๆแล้วกลับเป็นผู้หญิงที่โง่เง่าคนนึ่ง

“ ส่งคุณกลับบ้าน”

ส่งเธอกลับบ้าน? อยู่ๆป๊ะป๋าก็มีความกระตือรือร้นขึ้นมา แบบนี้มันปกติซะที่ไหน

“ ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้”

ไฟแดงพอดี สายตาของเยื่ยจิงเฉิน มองลงไปที่ขาอันยาวของถังซินเหยา เลยถามเธอไปว่า : แต่งตัวแบบนี้คุณแน่ใจหรอว่าจะลงออกจากรถท ? ”

ถังซินเหยาเพิ่งนึกได้ว่า เสื้อของเธอถูกป๊ะป๋าโยนทิ้งไปแล้ว

“ แล้วทำไมเมื่อวานคุณไม่ส่งฉันกลับบ้านเลนล่ะ ” ถังซินเหยาถาม

“ก็ผมไม่รู้ที่อยู่บ้านคุณนิ”

“ คุณก็ไม่ถามคุณหลี่เวยสิ ให้เขาไปดูที่แฟ้มประวัติของฉันิก็ได้ “

“ ตอนนั้นมันก็ดึกมากแล้ว หลี่เวยเขาก็เลิกงานแล้วสิ ”

หึ……ป๊ะป๋า ป๊ะป๋าเผยเนื้อแท้ของการเป็นนายทุนตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ยังจะมาทำเป็นนายใหญ่แสนใจดีอีกหรอ?

คุณจำไม่ได้แล้วเหรอ ว่าคุณให้เขาไปทำงานโอทีตอนกลางดึก แล้วยังให้เขาซื้อทาร์ตไข่กับกาแฟมาให้คุณอีก ?

"และมันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพนักงานอีก"

ป๊ะป๋ายังกล้าพูดอีกเหอก ? !

ทำเหมือนเธอเป็นวิญญาณรึไง? ใครกันที่เมื่อกี้บอกให้หลี่เวยไปเช็คประวัติของฉันกัน? !

ตอนนี้เปิดตาพูดเรื่องไร้สาระ ไม่กลัวกรรมตามสนองเหรอ? !

รถเพิ่งจอดอยู่ในชุมชน ถังซินเหยาหันหน้าไปคุย

แต่เมื่อมุมตาของเธอหยี่ตรงก็ทำให้ร่างกายเธอแข็งทื่อเลย

ให้ตายเถอะ กลัวอะไรก็มาอย่างงั้น

หลานหลานและหลิงหลิงจับมือกัน และเดินมาทางนี้จากระยะไกล

อย่าให้เยื่ยจิงเฉินเห็นเค่อหลานกับลั่วหลิงเด็ดขาด

สีหน้าของถังซินเหยาแข็งทื่อ จนเยื่ยจิงเฉินต้องหันไปมองเธอ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างระแวด

แต่เยี่ยจิงเฉินยังไม่ทันได้หันออกไป กลับถูกมือนุ่มนิ่มของถังซินเหยาประคองใบหน้าไว้ จากนั้นริมฝีปากอันหวานๆของเธอก็มาประกบริมฝีปากของเขา

ถังซินเหยาได้จูบริมฝีปากบางๆของเยื่ยจิงเฉิน

ความสนใจของเยื่ยจิงเฉินถูกดึงดูดโดยจูบของถังซินเหยาอย่างรวดเร็ว มันหายากมากที่ผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาใกล้เธอ

เขาเอื้อมมือไปโอบเอวที่อ่อนนุ่มและเรียวบางของถังซินเหยา เพื่อให้ร่างกายของพวกเขาพอดีกันอย่างแน่นหนา

ตรงข้าม ได้ต่อต้านและดูดริมฝีปากสีแดงของถังซินเหยาลงบนปากอย่างแรง และสลับไปมาบนริมฝีปากของเธอ. . .

ให้ตายเถอะ ป๊ะป๋า คุณไม่ต้องรัดมาก

แล้ว………แล้วมือเนี่ยะจะมุดไหน

ประธานเศรษฐีกับชื่อขาหมูที่บ้านนอกมากขนาดนี้ ดูยังไงก็ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด

อย่าคิดว่าหล่อ แล้วจะมาจับหน้าอกของคนอื่นอย่างไร้ยางอายนะ

"อื้อ…" ถังซินเหยาเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของป๊ะป๋า "เยื่ย… อืม… อย่า…"

เยี่ยจิงเฉินไม่พอใจกับการปฏิเสธของถังซินเหยา เขาคาบริมฝีปากล่างของเธอไว้เหมือนกับการลงโทษ และบดมันด้วยฟันของเขา แต่เขาไม่ได้กัดลงไปอย่างแรง

เยื่ยจิงเฉินเลียถังซินเหยาแล้วปล่อยให้ริมฝีปากของถังซินเหยาแดงและบวม แล้วจบการจูบ

ถิงซินเหยาโกรธ ป๊ะป๋าเกิดปีหมาหรือยังไง? ถึงได้กัดคนอื่นเนี่ยะ?

หน้าผากของทั้งสองคนกดเข้าหากัน และปลายจมูกชนปลายจมูก

ระหว่างที่ริมฝีปากแยกจากกัน ยังมีร่องรอยของน้ำลายอยู่ เร้าอารมณ์ม์าก

"ฮู่ ฮู่ ฮู่ ……" ถังซินเหยาหอบ หายใจอย่างหนักหน่ำ

เธอรู้สึกว่าป๊ะป๋ากำลังจะแยกร่างของเธอออกจากกันและกลืนลงไปในท้อง

ดวงตาของเยี่ยจิงเฉินเป็นสีดําและแวววาวราวกับอัญมณีสีดํา ถังซินเหยาที่มองอยู่นั้นมีปากที่แห้งมาก

ป๊ะป๋า การยั่วยวนผิดนะ แล้วป๊ะป๋าก็ทำผิดอีกแล้ว

เยื่ยจิงเฉินขยับเข้าไปใกล้ริมฝีปากของถังซินเหยาและจูบเธออีกครั้ง เธอรู้สึกร้อนหน้ามาก

จูบของป๊ะป๋าเหมือนการถูกแขวนไว้ด้านนอก ทักษะการจูบดีขึ้นมากในทันที

แค่จูบเดียว กลับทําให้หน้าแดงหน้าแดง

ถังซินเหยาเหลือบมองด้วยตาของเธอ และพบว่าเด็กทั้งสองได้เดินจากไปแล้ว

เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก: "ขอบคุณที่พาฉันกลับมา ฉันขอตัวล่ะ”

"อืม" เยื่ยจิงเฉินจับจ้องไปที่ถังซินเหยา

ไม่ต้องมองแล้ว เธอจะไม่เสียหลักเพราะเสน่ห์ของป๊ะป๋าเด็ดขาด

“ฉันกลับแล้วนะ”

“อืม ”

“ฉันกลับจริงๆแล้วนะ”

“อืม”

ถังซินเหยา “………”

อืมอะไรเล่า ก็เอามือออกไปสิ

ป๊ะป๋าตอบอืมอย่างไม่ลังเล แต่มือกลับกอดเธอไว้แน่นไม่กลับใจ ปล่อยให้เธอไปได้ยังไง?

ถังซินเหยาเอื้อมมือออกไปเพื่อดึงเยื่ยจิงเฉินออกและโอบมือนางไว้

แต่…….เธอ…….เอา…….ไม่…….ออก…….

ป๊ะป๋า เหมือนป๊อปอายที่เติบโตมากับการกินผักโขมความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับเฮอร์คิวลิส

ในการต่อต้านเต็มกําลังของเธอ มือของป๊ะป๋าไม่ได้ขยับเขยื้อนแล้ว

ป๊ะป๋า…….เป็นเด็กดีนะ…….ปล่อยได้แล้ว……..

"คุณปล่อย ฉันจะกลับแล้ว" ถังซินเหยากลอกตาใส่เยื่ยจิงเฉิน

ให้ตายเถอะ ป๊ะป๋าไปกินผักขมมาหรือไง เธอเอาตัวออกมาไม่ได้เลย!

"คุณก็คิดเองก็แล้วกัน " เยื่ยจิงเฉินยังคงกอดเอวของถังซินเหยา

ไม่ทราบว่ากำลังเล่นพัฒนาสมองหรือไง?

เธอจะกลับบ้าน ยังจะต้องทดสอบไอคิวของเธออีก?

“ แล้วคุณอยากทำอะไรล่ะ?”

หงุดหงิด อยากจะตีคนจริงๆเลย

แต่ดูเหมือนเธอจะสู้ป๊ะป๋าไม่ได้

"คุณจูบผม คุณคิดจะจากไปแบบนี้หรือ? " เยื่ยจิงเฉินกอดถังซินเหยาแนบแน่นกัน

ลมหายใจระหว่างคนสองคนผสมกัน ลมหายใจเป็นลมหายใจของกันและกัน

ถังซินเหยาสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนภาพที่แตกเป็นสองท่อน ป๊ะป๋าจะก่อเรื่องอะไรมากกว่านี้อีก?

ป๊ะป๋า ป๊ะป๋าถือสาขนาดนี้ อีกหน่อยจะเล่นๆด้วยอีกได้มั้ยเนี่ย

"แล้วเจ้าต้องการอะไร?" ถังซินเหยาจ้องมองเย่จิ่งเฉินที่หล่อเหลาจนไม่มีเพื่อนและถามอย่างหงุดหงิด

"คุณคิดอย่างไรถึงจะยุติธรรม?" เยื่ยจิงเฉินไม่ตอบแต่ถามกลับ

งั้นคุณจูบคืนไหม?

ถังซินเหยาทำลายโถ แล้วพูด

ตาของเยื่ยจิงเฉินฉายแววแผ่วเบา ถังซินเหยาารู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี เ ป็นภาพลวงตาหรือ?

"ข้อเสนอนี้ไม่เลว จูบมาจูบกลับยุติธรรมดี" เยื่ยจิงเฉินพูดตรงๆ เหมือนกําลังคุยเรื่องธุรกิจพันล้าน

ให้ตายเถอะ ยุติธรรมตรงไหนเนี่ยะ?

ก็เมื่อกี้ใครจูบแทบหายใจไม่ออก จนเกือบตายล่ะ?

ก่อนหน้านี้ป๊ะป๋ายังเคยจูบเธอตั้งหลายครั้ง เธอยังไม่ได้ว่าอะไรเลย

เธอจูบแค่ครั้งเดียว ป๊ะป๋าก็จะเอาคืน

ไม่ยุติธรรมเลย ป๊ะป๋าติดหนี้เธอ….. หนึ่ง…..ไม่สิ สอง……ดูเหมือนว่าจะมากกว่านี้นะ มีอย่างน้องก็สาม

งั้นตอนนี้เธอก็เป็นเจ้าหนี้ของประทาน เยี่ยหวางกรุ๊ปน่ะสิ? แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ(☆_☆)

"ไม่ได้….. คุณจูบฉันตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้และฉันไม่ขอคืนจากคุณเลย" โชคดีที่เธอยังมีสติดีและเธอก็ไม่ได้ขอจูบคืน

“ทำไมคุณต้องถอดเสื้อฉันออกหมดด้วย?” ถึงแม้ฉันจะเมาก็เถอะ แต่การนอนด้วยกันพร้อมกัยเสื้อเชิ้ตที่ไม่เรียบร้อยแบบนั้น มันทำให้สมองคนอื่นคิดมากได้นะ

ทำให้เธอคิดว่าตัวเองกับป๊ะป๋าเกิดเรื่องทางชู้สาวเข้าแล้ว (พวกเธอยังมีความบริสุทธิ์อีกหรอ?)

เยี่ยจิงเฉินสีหน้าเคร่งขรึม : “ผู้หญิงตัวดีคนหนึ่งที่เมื่อวานดื่มจนเมาแล้วอ้วกบนตัวผมทั้งตัว”

ถังซินเหยากับเพื่อนๆของเธอตกใจไปครู่หนึ่ง

เธออ้วกใส่ป๊ะป๋า? ป๊ะป๋าเป็นคนราศีกันย์ที่รักสะอาดมาก ป๊ะป๋าคงไม่บีบคอเธอตายหรอกเนอะ ( มันเป็นความจริง) ?

ขณะนี้ เยี่ยจิงเฉินจัดการกับตัวเองหน้ากระจกเรียบร้อย กำลังผูกเน็กไทด์

“เธอคิดว่าจะยังนอนอยู่บนเตียงผมไปนานแค่ไหน?” เยี่ยจิงเฉินถามด้วยเสียทุ้มต่ำ

“เสื้อของฉันล่ะ?”

เป็นถึงคนใจกว้างคนหนึ่งแล้ว เธอตัดสินใจให้อภัยเรื่องที่ป๊ะป๋าถอดเสื้อเธอออกหมดเมื่อคืน

“สกปรกเกิน ผมทิ้งไปแล้ว”

ให้ตายเถอะ! ป๊ะป๋าทิ้งเสื้อของฉันโดยไม่ถามความสมัครใจฉันสักคำเลยหรอ?

“งั้นฉันจะใส่อะไรล่ะ?”

เป็นถึงประธานเศรษฐีแล้วนั้น ก็ต้องสั่งการให้ผู้ช่วยไปซื้อชุดที่เหมาะสมกับเธอมาจากห้างทั้งหมดแล้วให้เธอเลือกแล้วสินะ? แต่ทว่า……

“ที่ใส่อยู่นั้นไม่ใช่หรอ?” เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างใจเย็นมาก

ถังซินเหยาก้มมองไปที่เสื้อเชิ้ตขาวที่อยู่บนตัวเธอเอง บ้าเอ้ย ดูก็รู้ว่ามันเป็นเสื้อตัวเก่าป๊ะป๋าเคยใส่แล้วหนิ!

ป๊ะป๋าเป็นถึงประธานเศรษฐีที่มีรายได้หลายพันล้าน แต่ขี้งกขนาดนี้ ผู้ถือหุ้นเยี่ยหวางรู้บ้างมั้ยเนี่ย?

“ชุดนี้ก็ไม่ทางการเลยมั้ง?” ถังซินเหยาคิด

“เธอเลือกที่จะไม่ใส่ก็ได้” เยี่ยจิงเฉินจัดการของข้อมือตัวเอง

สไตล์ของป๊ะป๋านี่เปลี่ยนได้หลายแบบจริงๆ บางทีก็ดูเย่อหยิ่ง บางทีก็น่ารัก บางทีก็เซ็กซี่ แต่บางทีก็ขี้งกสะไม่มี

“งั้นคุณก็คืนชุดฉันมาสิ”

“ทิ้งไปแล้ว”

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาทิ้งชุดของฉัน ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของแล้วจัดการกับของใช้ส่วนตัวของผู้อื่นแบบนี้ มันผิดกฎหมายนะ!”

ป๊ะป๋าดึงสติกลับมา มองไปที่ถังซินเหยา “อ้อ เรื่องนี้คุณสามารถไปคุยกับทางฝ่ายทนายของเยี่ยหวางได้ ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับด้านนี้เท่าไหร่”

บ้าจริง ใช้อำนาจกลั่นแกล้งคนอื่นแบบนี้ ป๊ะป๋าน่ารังเกียจจริงๆ!

“อาหารเช้าวันนี้ เธอเป็นคนรับผิดชอบนะ” เยี่ยจิงเฉินพูดต่อ

ถังซินเหยาหงุดหงิด “ทำไมฉันต้องรับผิดชอบทำอาหารเช้าด้วย?”

“เพราะว่าผมทำไม่เป็น”

แม่เจ้า เธอจะร้องไห้แล้ว ป๊ะป๋ายังสามารถหน้าด้านได้มากกว่านี้อีกมั้ย? ถึงได้กล้าพูดว่าตัวเองทำอาหารไม่เป็นออกมาแบบนี้ด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมาแบบนี้ ยังเป็นสามีใหญ่จริงๆมั้ย?

“งั้นอาหารเช้าเมื่อก่อนคุณทำยังไง?”

“เมื่อก่อนผมไม่กินข้าวเช้าเลย”

ทำไมป๊ะป๋าที่มองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา แต่ในคำพูดดูน่าสงสารขนาดนี้ล่ะ!

อืม……ดูผิด ดูผิดแน่ๆ ต้องเป็นผลจากการดื่มเหล้าแน่ๆ

“ปลาทองบ้านน้าจางที่อยู่ตรงข้ามตายไปสองตัว……”ถังซินเหยาพูดไม่ตรงประเด็น

เยี่ยจิงเฉินแสดงออกว่าฟังไม่รู้เรื่อง เม้มปากและไม่พูดอะไร

“เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ” ถังซินเหยาตอบอย่างหวานๆ แต่ความหมายลึกๆคือ คุณจะกินข้าวเช้าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ!

ป๊ะป๋าไม่โกรธเลยสักนิด เพียงแค่หยี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างเบาๆว่า “งั้นคุณก็คืนเสื้อผ้าผมสิ นี่เป็นของใช้ส่วนตัวของผม ผมมีเหตุผลที่จะไม่ให้คุณยืม”

“คุณขู่ฉันหรอ?” ถังซินเหยาถามอย่างโกรธแค้น

“อิ้ม คุณพูดถูก”

ให้ตายสิ ยอมรับกันอย่างซื่อๆเลยหรอ?

สุดท้าย เจ้ซินเหยาของเราก็สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวของเยี่ยจิงเฉินที่ขาเรียงยาวทั้งสองข้างโผล่ออกมา เดินตรงไปต้มข้าวต้มในห้องครัวเลย

รู้สึกคุ้นเคยมากในภาพยนตร์โทรทัศน์หลายเรื่องที่นางเอกจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและพระเอกจะมีความสุขกับเช้าวันใหม่ที่อบอุ่น

ไม่เหมือนเธอ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ต้องมาทำกับข้าว ร้องไห้ เธอไม่เหมือนนางเอกในโทรทัศน์เลยสักนิด แต่เหมือนกับคนรับใช้มากกว่า

แต่ว่า เมื่อคืนทำไมเธอถึงได้กลับบ้านพร้อมกับป๊ะป๋าได้ล่ะ? หรือว่าเธอถูกป๊ะป๋ายั่วยวนตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างกับป๊ะป๋างั้นหรอ?

ย้อนนึกไปตอนนี้ ถังซินเหยาก็จำได้เพียงว่าเธอใช้วิชาป้องกันตัวของเธอลงโทษไอ้เยี่ยจิงซิงนั้นอบ่างโหดร้ายไปหนึ่งรอบ

จากนั้นก็เหมือนเจอกับใครสักคน?

แต่ว่าเป็นใครกัน?เธอนึกไม่ออก!

อาจจะเป็นไปได้ถ้าหากป๊ะป๋าไม่ได้โกหกเธอ (เธอยังกล้าอีกหรอ)? เมื่อคืนเธอตกหลุมรักป๊ะป๋าแล้วจริงๆ!

ฝีมือทำอาหารของถังซินเหยาไม่ใช่ว่าดีนัก อาหารที่ทำออกมาก็คงแต่กินๆเข้าไปได้งั้นแหละ

เยี่ยจิงเฉินรอบนี้ก็ไม่ได้เลือกกินแล้ว

ถังซินเหยาที่เปลือยขาของเธอนั่งอยู่บนรถก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

คิดไม่ถึงจริงๆ ป๊ะป๋าไม่ได้เตรียมชุดใหม่ให้เธอจริงๆ นี่มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน

ในละครนี่มันโกหกทั้งเพ ไหนพระเอกว่าถึงจะดุและเย็นชาแต่ก็อบอุ่นและดูแลคนได้ไง! รักต่อไปไม่ได้แล้ว!

“บ้านคุณอยู่ไหน?” เยี่ยจิงเฉินถาม

“คุณคิดจะทำอะไร?” ถังซินเหยาดึงสติกลับมา มองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างระแวง

ป๊ะป๋าร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ อยากรู้ว่าเธออาศัยอยู่ที่ไหนนี่มันไม่น่าไว้ใจเลยจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินมองตาขวาง สีหน้าดูงี่เง่า : “หรือว่าสมองเธอถูกสุนัขกินไปแล้ว?”

ป๊ะป๋า อย่าคิดว่าป๊ะป๋าเป็นประธานเศรษฐีแล้วจะมาดูถูกเอาเปรียบคนอื่นแบบนี้ได้นะ

อย่ามาดูถูกฉันด้วยคำพูด แนจริงก็ลองใช้วิธีการที่ยิ่งใหญ่บ้างสิ เช่นเอาเช็คราคาสิบแปดล้านใส่หน้าฉันสิ

“หึ……” ถังซินเหยาหึไปรอบหนึ่ง เธอไม่ถือสาคนสุขุมอย่างป๊ะป๋าหรอก

ถ้าไม่ใช่ว่าเธอสู้ป๊ะป๋าไม่ได้ ไม่รวยเท่าป๊ะป๋า เธอถึงได้ให้อภัยป๊ะป๋าหรอก

เยี่ยจิงเฉินรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย พูดอย่างไม่ใยดีว่า: “สมองแบบนี้ของเธอเนี่ยนะ ยังเป็นถึงนักออกแบบของ CK กรุ๊ปได้ ดูท่าแล้วเป็นกังวลอนาคตของ CK กรุ๊ปแล้วสิ!”

ให้ตาย พอได้หรือยัง เธอก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะจะบอกให้

“เชอะ ฉันเป็นถึงนักออกแบบมือหนึ่งที่ได้รับการยกย่องจากต่างประเทศเลยนะ” ถังซินเหยาสีหน้าดูภูมิใจมาก

“อ้อ จริงหรอ? ดูแล้วรางวัลนี้ก็ไม่น่าเชื่อถือหนิ!” เยี่ยจิงเฉินเคลื่อนรถ

ถังซินเหยาโกรธมากจนใบหน้าของเธอพองขึ้นทันทีแก้มของเธอขยับเหมือนกระรอกแคะถั่วอย่างงั้นแหละ

ป๊ะป๋าน่าเกลียดมากไม่เพียงแต่ดูถูกไอคิวของเธอ แต่ยังดูถูกบุคลิกของเธออีกด้วยซึ่งมันเลวร้ายมาก! ! !

“ฮัลโหล หลี่เวย เช็คประวัติของถังซินเหยาให้ที หาที่อยู่ของเธอออกมาแล้วส่งมาให้ผมที” เยี่ยจิงเฉินยอมแพ้ต่อการสื่อสารต่อไปกับถังซินเหยาเรียบร้อย หูของเขาใส่หูฟังบลูทูธแล้วโทรไปที่หลี่เวย

ให้ตาย คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าป๊ะป๋าจะใช้วิธีแบบนี้ในการเช็คประวัติของเธอได้

“อยากรู้ว่าบ้านฉันอยู่ไหน คุณพยายามจะทำอะไรกัน?” ถังซินเหยาจ้อองไปที่เยี่ยจิงเฉิน

“คุณคิดว่าไงล่ะ?” เยี่ยจิงเฉินมองกลับถังซินเหยาแล้วถาม

โอ้ย สายตาเมื่อกี้ของเขาหมายความว่าอะไรเนี่ย ยังกล้าดูถูกเธออีกหรอ?

โทรศัพท์ของเยี่ยจิงเฉินดัง ‘ตี๊ดตี๊ดตี๊ด’ หลี่เวยผู้ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพส่งที่อยู่ของถังซินเหยามา

จากนั้นป๊ะป๋าก็มองไปที่ถังซินเหยาอย่างเย็นชารอบหนึ่ง

ถังซินเหยาตกตะลึงและถูกจ้องมองด้วยสายตาชั่วร้ายของป๊ะป๋า ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็ผิดปกติและเริ่มเต้นอย่างรุนแรง

ให้ตาย ป๊ะป๋าทำผิดกฎอีกแล้ว มายั่วยวนเธอแบบนี้ น่าเกียจจริงๆ

ฮือฮือฮือ น่ารังเกียจ ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องทนไม่ได้แน่ๆ!

เยี่ยจิงเฉินล้มลงทับตัวถังซินเหยา ร่างกายทั้งสองแนบชิดติดกันอย่างแน่นหนา

เยี่ยจิงเฉินในตอนนี้ก็เหมือนกับสิงโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในป่าและกำลังจ้องมองเหยื่อของมันอยู่ ดวงตาสีดำลึกทั้งสองดวงจ้องเขม่งไปที่เรือนร่างของผู้หญิงคนนี้

เธอดูดีมาก!

“เธอวอนหาเองนะ!” เยี่ยจิงเฉินเม้มปากแล้วพูดอย่างอันตรายนิดหนึ่ง

เนื่องจากเธอเป็นคนทำแบบนี้เอง ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจกันแล้วกัน

เยี่ยจิงเฉินก้มหัวลงแล้วจูบไปที่ริมฝีปากของถังซินเหยา แต่ทว่าคาดคิดไม่ถึงว่า……ผู้หญิงแกร่งอย่างเจ้ซินเหยาก็หันหน้าตัวเองหนีไปข้างๆจากนั้นก็ยื่นมือออกไปผลักผู้ชายคนนี้ตกเตียงเลยทันที

สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินก็เปลี่ยนเลยทันที!

หน้าอายชะมัด! นี่เขาเพิ่งถูกผู้หญิงคนหนึ่งผลักตกจากเตียงงั้นหรอ นี่มันเป็นประวัติศาสตร์ชั่วร้ายชัดๆ

หึ! ยัยผู้หญิงตัวดี!

เยี่ยจิงเฉินอารมณ์เสียมาก เขาปีนขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งแล้วกดตัวถังซินเหยาลงบนเตียงเลยทันที

ถังซินเหยารู้สึกไม่สบาย พยายามผลักออกแต่ก็ไม่เป็นผล สักพักหลังจากนั้น กระเพาะของถังซินเหยาก็เหมือนคลื่นทะเลกำลังซัดมา สุดท้าย……ถังซินเหยาก็อาเจียนและอ้วกออกมาโดนตัวเยี่ยจิงเฉินทั้งตัว

เกิดมาเป็นประธานราศีกันย์ที่มีโรคกลัวความสกปรกเล็กน้อย การแสดงออกของเยี่ยจิงเฉินนั้นมีเพียงอยากจะบีบคอผู้หญิงตรงหน้านี้ให้ตายไปซะ

ไม่ว่าจะมีความคิดแบบนี้มากแค่ไหน แต่ก็ถูกถังซินเหยารบกวนจนได้ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าโดนตีจริงๆ!

เยี่ยจิงเฉินจ้องไปที่ถังซินเหยาด้วยความโศกเศร้า จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องน้ำและทำความสะอาดตัวเองให้เรียบร้อย

เช้าวันต่อมา

หลังจากที่ถังซินเหยาตื่น เธอก็รู้สึกปวดหัวเหมือนกับมีคนใช้ค้อนมาทุบหัวเธอยังไงอย่างงั้น

ความรู้สึกสัมผัสบนมือของเธอก็รู้สึกแปลกๆ

เธอยื่นมือไปบีบๆ แข็งปึกแถมยังร้อนๆอีก

นี่มันอะไรเนี่ย? !

ตั้งแต่หลังเธออายุสิบสองแล้วนั้น ของทุกอย่างบนเตียงยกเว้นหมอนและผ้าห่มทุกอย่างล้วนสะอาดหมด

ลองนวดๆบีบๆอีกรอบ นี่มันคืออะไรกันแน่เนี่ย? !

อุ๊บส์……เจ้านี่ที่มันนูนขึ้นมาเนี่ยะคืออะไรกัน? จับจับจับ!

“ขืนเธอยังบีบต่อไปอีก มันได้บวมเอาแน่ๆ! ! !”

เสียงที่แหบและทุ้มเพราะเพิ่งตื่นนั้นดังข้างหูของฉัน นี่มันเป็นเสียงที่เซ็กซี่จริงๆ

ถังซินเหยาได้ยินเสียงนี้แล้วก็รู้สึกอ่อนระทวยไปหมด

แต่ว่า เธอที่เป็นสาวโสด แต่ตื่นเช้ามาก็ได้ยินเสียงผู้ชายที่เซ็กซี่แบบนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? !

ถังซินเหยาลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง มือข้างหนึ่งของเธอไม่ซื่อสัตย์และคลำไปด้วยความรักเล็กน้อยบนร่างกายที่แข็งแรงของชายคนนั้นส่วนมืออีกข้างก็จับหัว นมของชายคนนั้น

ถังซินเหยาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ แม่เจ้า หลิงหลิง หลานหลาน ลูกน้อยของหม่ามี้ โลกนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หม๋ามี้จะกลับกาแล็กซี่แล้ว

ใครจะบอกเธอได้ว่าทำไมตื่นเช้ามาเธอถึงได้นอนกับผู้ชายคนนี้ได้

ถังซินเหยาค่อยๆเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็มองไปที่ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งที่ลึกราวกับเหวนั้น

ผู้ชายคนนี้หล่อจริงๆ หล่อเหมือนกับงานศิลปะอันสมบูรณ์แบบที่สุดที่พระเจ้าได้แกะสลักไว้

ใบหน้ามีความงดงามคิ้วคมสันจมูกสูงตรงหล่อมากจนถังซินเหยามีอาการมึนงงไปชั่วขณะ

เธอกำลังจะร้องไห้เพราะความหล่อของผู้ชายคนนี้แล้วยังไงอย่างงั้นเลยล่ะ ? !

แต่ว่า……บ้าจริง ถึงจะหล่อแค่ไหน แต่ถังซินเหยาเธอไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดเลยเถอะ? !

ป๊ะป๋า อย่าคิดว่าป๊ะป๋าไม่ใส่เสื้อผ้าแล้วฉันจะจำป๊ะป๋าไม่ได้นะ! ! !

รูปร่างที่ไม่ใส่เสื้อผ้าเหมือนสัตว์ (เซ็ก) ร้าย (ซี่)แบบนี้ เธอเคยเห็นภาพนี้ของเขาสองคนตั้งแต่หกปีที่แล้วแล้วเถอะ

“ประธานเยี่ยคะ แหะๆ……อรุณสวัสดิ์ค่ะ!”

แม้ว่าจะมีม้าโคลนหญ้าหมื่นตัววิ่งผ่านความคิดของเธอไปแล้ว แต่ใบหน้าของถังซินเหยาก็ยังคงมีรอยยิ้มมาตรฐานพร้อมฟันแปดซี่ที่โผล่ออกบวกกับลักยิ้มที่สวยงามบนแก้มก็ปรากฏขึ้น

ให้ตายสิ ทำไมเธอถึงได้ร่วมเตียงกับป๊ะป๋าได้ เวลาย้อนไปในอดีตหรือยังไงกัน?

มือของเธอเริ่มคันเล็กน้อย ถังซินเหยาก็บีบที่หัว นมของป๊ะป๋าอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

“ทำไมฉันถึงอยู่บ้านคุณได้” ดวงตาของถังซินเหยายังคงเพิกเฉยต่อการตื่นนอนและดวงตาที่ชัดเจนของเธอดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกซึ่งดูเหมือนฝันเล็กน้อย

“เมื่อวานมีคนโง่คนหนึ่งที่ดื่มเหล้าไม่เป็น ทำให้ตัวเองดื่มจนเมาได้ และยังกอดฉันไม่ปล่อยเลย ดังนั้นฉันเลยต้องพาเธอกลับมาด้วย” เยี่ยจิงเฉินพูดแบบไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด

ถังซินเหยา : ……

แหวะ…….คาดคิดไม่ถึงเลยว่าจะเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ได้

ถังซินเหยาสติหลุดไปชั่วขณะ มือก็เล่นซนบนกล้ามเนื้อของป๊ะป๋าและแต๊ะอั๋งป๊ะป๋าแบบไม่รู้ตัว

“ยังไม่ตื่นอีก จะจับไปถึงเมื่อไหร่?” เยี่ยจิงเฉินถามด้วยสีหน้าเย็นชา

ถ้าหากเธอบอกป๊ะป๋า เมื่อกี้เธอแค่สติหลุดไปชั่วขณะ ไม่ได้ตั้งใจแต๊ะอั๋งป๊ะป๋าเลย เดาว่าป๊ะป๋าคงไม่เชื่อแน่ๆจริงมั้ย?

นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ

ถังซินเหยาลุกขึ้นและเปิดผ้านวมบนร่างกายของเธอแต่ก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย

ให้ตายสิ บนตัวเธอสวมอยู่แค่เสื้อเชิ้ตขาวบางตัวหนึ่งหรือนี่ อีกอย่างยังติดเพียงกระดุมเม็ดเดียวอีก

ด้วยการเคลื่อนไหวของเธอแสงสปริงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าอกของเธอ

บ้าเอ้ย ถ้าป๊ะป๋าบอกเธอว่าเมื่อคินระหว่างเขาสองคนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เธอคงไม่เชื่อแน่ๆ

ถ้าเทียบกับที่คนอื่นเขาพูดกันว่าป๊ะป๋ากับเขาเป็นเพียงคู่รักบริสุทธิ์แล้วนั้น นี่มันน่าสงสัยจริงๆ!

ถังซินเหยาเลิกคิ้วและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างใจเย็นและถามว่า "ประธานเยี่ยคะ เสื้อนี้ใครเป็นคนเปลี่ยนคะ"

เยี่ยจิงเฉินที่ใส่เพียงกางเกงในตัวเดียว ก็โผล่ไปที่ข้างหน้าของถังซินเหยาด้วยร่างกายที่เซ็กซี่

บ้าเอ้ย ป๊ะป๋าเซ็กซี่ การยั่วยวนมันผิดกฎนะ!

ป๊ะป๋าไม่มีความเกรงกลัวเลยว่า เธอจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับป๊ะป๋าเลยหรอ?

เยี่ยจิงเฉินใส่กางเกง และพูดอย่างใจเย็นว่า : “เธอเดาสิ”

เดาบ้าไรกันล่ะ นี่คุณกำลังล้อฉันเล่นอยู่หรอ?

“อืม ประธานเยี่ยต้องให้คนใช้มาเปลี่ยนให้ฉันแน่ๆ” แม้ว่าหญ้าและม้าโคลนจะวิ่งอย่างดุเดือดในใจของเขาถังซินเหยายังคงพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า อยากจะผ่านด่านนี้ไปให้ได้

“ลองเดาอีกที”

เหอะๆ ปีที่แล้วฉันซื้อนาฬิกาได้เรือน……

ป๊ะป๋าวันนี้ซนจริงๆ

ดูเหมือนเธอจะเดาได้ว่าถังซินเหยากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ป๊ะป๋าก็ทำลายจินตนาการที่สวยงามของเธออย่างภาคภูมิใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เซ็กซี่มากว่า : "คุณควรจะรู้ว่าคุณมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าออกบ้านผม ผมจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคนรับใช้ในบ้าน!”

ถังซินเหยา “……”

ฉะนั้นป๊ะป๋าให้เธอเข้ามาในบ้านแล้ว เธอต้องรู้สึกขอบคุณมั้ย?

เพียงแต่ว่า……ป๊ะป๋าจริงจังขนาดนี้ อีกหน่อยจะเล่นๆด้วยอีกได้มั้ยเนี่ย?

เสื้อบนตัวของเธอป๊ะป๋าเป็นคนเปลี่ยนให้จริงด้วย! ! !

ถังซินเหยารู้สึกไม่ดีไปทั้งตัวแล้วตอนนี้ เป็นถึงประธานเศรษฐีที่มีรายได้หลายพันล้านแล้วมาเปลี่ยนเสื้อให้เธอกับมือตัวเอง จริงๆคิดๆดูแล้วก็ตื่นเต้นดี

แต่ว่า แค่คิดว่าเธอถูกป๊ะป๋าถอดออกหมด ถังซินเหยาก็ฮือฮือฮือ อยากร้องไห้!

ถังซินเหยาเดินโคลงเคลงเข้าไปหาเยี่ยจิงซิงที่กำลังตกใจกับเรื่องเมื่อกี้อยู่

ถึงแม้จะเดินไม่ตรงก็ตาม แต่เธอถังซินเหยาถ้าจะตีใครสักคนแล้วก็แม่นทุกรอบเลยแหละ

“ไอ้โรคจิต ใครบอกให้……อึก แกมาเอา……เปรียบ……เอาเปรียบฉันห๊ะ นี่แนะ……ตีให้ตายเลย”

ถังซินเหยาใช้ท่าไม้ตายของตัวเอง ท่าไม้ตายที่ผู้ชายทุกคนโดนแล้วต้องเจ็บที่สุด

หลายปีมานี้ลำพังใช้วิธีนี้เธอก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพศิลปะการต่อสู้แล้วแหละ

เยี่ยจิงซิงเจ็บจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกไปด้วยแล้ว……ไข่-แตก-แล้ว.

ฟางซวี่เจ๋อที่ได้เห็นฉากนี้พอดี ก็รู้สึกจุกอวัยวะส่วนล่างและรู้สึกเศร้าเล็กน้อยแทน……

หลังจากที่ฟางซวี่เจ๋อได้ยินเรื่องซุบซิบจากเพื่อนเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างเยี่ยจิงซิงกับพนักงานเสิร์ฟ เชื่อมโยงถึงตัวถังซินเหยา เขาก็รู้จุดประสงค์ของเยี่ยจิงซิงเลยทันที ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปเป็นฮีโร่ช่วยเธอด้วยซ้ำ

แต่แค่คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของถังซินเหยาที่กลายเป็นหญิงแกร่งเช่นนี้ได้

ถังซินเหยา : เหอะๆ……

ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกอายละเพราะเมื่อกี้เธอทำโหดร้ายเกินไป

นับแต่นี้ไปคงจะเอาภาพลักษณ์ตัวเองที่ดูหวานแหววและใสซื่อกลับมาไม่ได้แล้วล่ะ

“แหะๆ บังเอิญจังนะซวี่เจ๋อ!”ถังซินเหยากำปั้นมือทั้งสองไว้ที่หน้าอกอย่างน่ารัก กระพริบตาไปรอบหนึ่งแล้วมองที่ฟางซวี่เจ๋ออย่างไร้เดียงสา

ถ้าหากไม่ได้เห็นท่าไม้ตายของถังซินเหยาเมื่อหี้ด้วยตาตัวเอง เขาเองคงจะปักใจเชื่อว่าถังซินเหยาเป็นเพียงดอกไม้ขาวใสบริสุทธิ์และไร้เดียงสาไปแล้ว

แต่ความจริงแล้วเธอก็คือดอกไม้กินคนดีๆนี่เอง

“จริงสิ บังเอิญจริงๆเลย” ก็ยังคงตกใจอยู่เล็กน้อย

มึนหัวจัง!

พนักเสิร์ฟคนนั้นไม่ได้โกหกคุณชายใหญ่เยี่ยจริงด้วย สาเกนี้ฤทธิ์แรงจริงๆ

ตอนนี้ถังซินเหยาเองก็เริ่มมีอาการมึนเมาบ้างแล้ว

นัยน์ตาคู่นั้นที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตา ประกอบกับแก้มที่แดงของเธอยิ่งสวยจนใครๆก็ละสายตาไม่ได้

“เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่นกับรองประธานเยี่ยเท่านั้นแหละ” ถังซินเหยาอธิบายอย่างนิ่มนวล

ถ้าหากไม่มีเยี่ยจิงซิงที่นอนกุมท่อนล่างของตัวเองและร้องโอดครวญอยู่บนพื้นนั้น คำพูดของเธอตอนนี้คงจะฟังขึ้นหน่อย

“ผมรู้” ฟางซวี่เจ๋อพยักหน้าแล้วพูดว่า : “แต่ผมคิดว่าเราควรพาคุณชายใหญ่เยี่ยไปโรงพยาบาลก่อนน่าจะดีกว่า”

เขายังคิดที่จะเป็นฮีไปเข้าไปช่วยเธอด้วยซะอีก แต่ความเป็นจริงเขาคงคิดมากไปเองแหละ

“ไปสิ ไปสิ ฉันมึนหัวนิดหน่อยหน่ะ” ถังซินเหยานั่งลงกุมขมับของเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รอบนี้เธอไม่ได้แกล้งแต่ว่ามึนหัวจริงๆ

ตำแหน่งที่ตั้งของร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ไม่เลว แถวๆนี้ก็มีโรงพยาบาลอยู่หลายที่เลย ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ยกตัวคุณชายใหญ่เยี่ยที่กำลังเจ็บจนจะเป็นลมอยู่แล้วออกไป

ณ ตอนนี้ถังซินเหยามึนถึงขั้นสุดแล้ว

ฉะนั้น เพราะว่าใจร้อนเลยไม่ได้กิน ถ้าหากตาเยี่ยจิงซิงมีคความอดทนอีกนิด คงเสร็จเขาไปนานละ

ถึงแม้ถังซินเหยาจะโหดร้ายขนาดนั้น แต่ก็ไม่อาจทำลายความอยากเป็นฮีโร่ของฟางซวี่เจ๋อได้ เขาหยิบกระเป๋าของถังซินเหยาขึ้นมาจากนั้นก็ประคองเอวของเธอเดินออกไป

ยังไม่ทันได้เดินออกจากร้าน ก็เห็นเงาของเยี่ยจิงเฉินกำลังเดินมาทางนี้แล้ว

“จิงเฉิน นายก็มากินข้าวที่นี่หรอ? เมื่อกี้เกิดอุบัติเหตุกับคุณชายใหญ่นิดหน่อย ตอนนี้ส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ” ฟางซวี่เจ๋อที่กึ่งประคองกึ่งโอบเอวถังซินเหยา ทักทายเยี่ยจิงเฉินอย่างสุภาพเรียบร้อย

เยี่ยจิงเฉินไม่พูดพล่ำทำเพลง ดึงตัวถังซินเหยาจากมือฟางซวี่เจ๋อมาทันที

และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบไม่เป็นมิตรเลยว่า : “เรื่องนั้นนายบอกกับตาเฒ่าที่บ้านโดยตรงเลยก็โอเคล่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อรับเธอกลับไป”

ไม่ทันพูดจบ เขาก็ยกตัวถังซินเหยาขึ้นแล้วอุ้มเธอไว้

อุ้มเจ้าหญิงแบบสมบูรณ์แบบด้วยนะ

“ให้ฉันส่งซินเหยากลับไปดีกว่า” รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางซวี่เจ๋อจางลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “อันหรันไม่เจอหน้านายมาหลายวันแล้ว ถ้าหากนายมีเวลาว่างก็ไปหาออันหรันบ้างก็ดีนะ”

“เรื่องของฉันยังไม่ถึงคลาที่พวกแกต้องมายุ่งด้วย” ตอนนี้คนก็ถึงมือเรียบร้อย เขาเองก็ไม่อยากจะสาธยายต่อไปแล้ว

ฟางซวี่เจ๋อเห็นเยี่ยจิงเฉินอุ้มถังซินเหยากำลังจะจากไป ก็รีบไปสกัดไว้แล้วพูดว่า : “นายจะพาซินเหยาไปไม่ได้”

“หลีกไป” สายตาของเยี่ยจิงเฉินนั้นลึกดำราวกับหมึกที่ไม่สามารถละลายได้

“ซินเหยาเป็นคนของ CK นายจะพาตัวเธอไปไม่ได้”

“คนฉันเอาตัวไปแน่ นายก็รู้หนิว่าไม่มีอะไรที่ฉันเยี่ยจิงเฉินทำไม่ได้” สายตาของเยี่ยจิงเฉินประกายความดุร้ายออกมาครู่หนึ่ง อารมณ์ก็ชวนคนเกรงกลัวด้วย

ฟางซวี่เจ๋อก็ตกใจในพลังงานความน่ากลัวของเยี่ยจิงเฉินจนสติหลุดไปครู่หนึ่ง

สุดท้ายก็ได้แต่มองดูเยี่ยจิงเฉินพาตัวถังซินเหยาออกไป

เยี่ยจิงเฉินพาตัวถังซินเหยามาที่บ้านพักตากอากาศของเขาเอง

“อือ……” ถังซินเหยาถูกเยี่ยจิงเฉินอุ้มไว้ในอ้อมกอด ทั้งตัวเธอก็อยู่ไม่นิ่งเลยสักนิด เธอดิ้นอยู่ในอ้อมกอดแล้วพูดว่า : “ร้อนจัง ทำไมไม่เปิด……อึก……แอร์เล่า”

ชุดสูทที่เยี่ยจิงเฉินสั่งตัดมาอย่างดีถูกถังซินเหยาดิ้นไปมาจนยับยู่ยี่ไปหมด เขายื่นมือไปสะกิดขาของถังซินเหยา แล้วเตือนเธออย่างเข้มงวดว่า: “อยู่นิ่งๆหน่อย”

ถังซินเหยาหมุดหน้าตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดของเยี่ยจิงเฉิน มือทั้งสองข้างกอดคอเขาไว้ เงียบสักที

ลมหายใจอุ่นๆจากปากของเธอไปโดนตรงลำคอของเยี่ยจิงเฉิน ทำให้เยี่ยจิงเฉินรู้สึกกระวนกระวายไปทั้งตัว

เขานำตัวถังซินเหยาไปวางไว้บนเตียงห้องรับแขก พอเขาหันตัวจะออกไปก็ถูกถังซินเหยาดึงแขนไว้

มือของถังซินเหยาอบอุ่นและยังนุ่มนิ่มอีกด้วย

“คุณจะไปไหนหรอ? ตอนนี้ฉันอยากเต้นรำ คุณเต้นรำเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ดวงตาของถังซินเหยานั้นชัดเจนราวกับท้องฟ้าสีฟ้าครามที่เพิ่งถูกทำความสะอาด

“นอนได้แล้ว” เยี่ยจิงเฉินพูดเสียงแข็ง

“ไม่เอา คุณต้องเต้นรำเป็นเพื่อนฉัน” ถังซินเหยาทำปากจู่และมีทีท่าจะไม่ยอมง่ายๆ

เส้นเลือดสีน้ำเงินบนหน้าผากของเยี่ยจิงเฉินพุ่งขึ้น

“นอนดีๆ ห้ามขยับเด็ดขาด”

“คุณไม่อยู่เป็นเพื่อนฉัน วันนี้ฉันก็จะไม่จ่ายค่าค้างคืนให้นะ” ถังซินเหยายังรู้สึกเวียนหัวนิดๆ แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เธอมีความกล้าขึ้นมา เธอพูดอย่างไม่สนใจว่า: “ฉันมีเงิน ถ้าเธอฟังฉัน ฉันก็จะให้เงินเธอ”

เธอถังซินเหยามีชื่อเสียงด้านความขี้งกมาก เป็นเรื่องยากมากที่ใครจะสามารถเอาเงินจากเธอได้

ดังนั้นป๊ะป๋ายอมเถอะ

สายตาเยี่ยจิงเฉินหรี่ลง ค่าค้างคืน?

ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขาเป็นอะไรกัน?

ทั้งตัวถังซินเหยาแขวนอยู่ตรงคอของเยี่ยจิงเฉิน ป๊ะป๋าหล่อขนาดนี้ ถึงแม้จะเมาแล้วก็ไม่สามารถกลบเกลือนเสน่ห์บนตัวป๊ะป๋าได้เลย

เธอยิ่นมือไปจับตรงคางของป๊ะป๋า สายตาหรี่ลง สีหน้าท่าทางดุดัน: “เชอะ คุณไม่ใช่ว่าอยากจะได้เงินหรอกหรอ? กลับมากับฉันขนาดนี้ยังทำไม่รู้ไม่ชี้อีก? ไอ้คนเจ้าเล่ห์

ถังซินเหยาตอนนี้ เจ๋งจริงๆ

เยี่ยจิงเฉิน “……”

เอาล่ะ ตอนนี้ไม่ต้องถามก็ร็ว่าถังซินเหยามองว่าเขาเป็นคาวบอยไปซะแล้ว

อารมณ์ป๊ะป๋า……ไม่ดีมาก

ระหว่างขัดขืนอยู่นั้น กระดุมบนเชิ๊ตขาวก็ถูกปลดออกสองเม็ด เผยให้เห็นถึงไหปลาร้าที่สวยงามรวมถึงผิวที่อ่อนนุ่มกว้างนี้อีก

สีผิวอมชมพู สายตาที่พร่ามัวราวกับอยู่ในน้ำ อ้าปากทำให้เห็นถึงปลายลิ้นสีชมพู ช่างเซ็กซี่จริงๆ

ลูกกระเดือกของเยี่ยจิงเฉินเคลื่อนไปมา และโยนถังซินเหยาลงบนเตียงทันที ตัวเขาเองก็คร่อมลงไปที่ตัวของเธอด้วย……

“เอาที่คุณว่าเลย ฉันกินได้หมดเลย ถังซินเหยาพูดกล่าวเบาๆ

ให้ตายเถอะ มาคุยเรื่องงานก่อนดีไหม?

ดูแล้วเขาปลอมตัวเพื่อที่จะชวนเขาไปกินข้าวหน่ะสิ?

ซาซิมิและซูชิมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว

"รองประธานเยื่ย ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นอะไร เกี่ยวกับการออกแบบภาพวาดของดิฉันมั้ยคะ? "

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ กินข้าวกันก่อน.”

กินบ้าอะไรล่ะ เธอไม่ได้หิวเลย ,เธอแค่มาคุยเรื่องงาน

“ มาลองชิมซาซิมิที่นี่ดูสิครับ บินตรงมาจากากฮอกไกโดเลยนะ รสชาติสดมาก” เยี่ยจิงซิงใช้ตะเกียบคีบให้ถังซินเหยาด้วยชิ้นหนึ่งอย่างตั้งใจ

ถังซินเหยามองบน ปลาก็ไม่สุก เธอไม่ใช่คนป่าเถื่อน,นี่กินได้จริงเหรอ?

ถึงจะไม่สุกทั้งหมดก็เถอะ อย่างน้อยก็ให้มันเป็นมีเดียมแรร์หน่อยก็ยังดี เธอยอมแล้วจริงๆ

อ่า …… เธอไม่เหมาะกับการกินอาหารญี่ปุ่นเลยจริงๆ

"ฮ่า ๆๆ คุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น,คุณก็กินเถอะ "ถังซินเหยาหยิบตะเกียบขึ้นมาและหยิบซาซิมิชิ้นหนึ่งไปให้เยื่ยจิงซิง

เยื่ยจิงซิงยอมแพ้แล้วจ้องไปที่ถังซินเหยา ยอมที่จะกินซาซิมิ

ถังซินเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกหายเหนื่อย

“ คุณถังคุณเก่งมากเลย ผมได้เห็นการออกแบบทั้งหมดของคุณแล้ว สวยมากเลย "

ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณนะคะ.

ถึงแม้ว่าจะชมก็เถอะ จับมือเธอแบบอ่อนโยนแล้ว กินเต้าหู้ของเธอแล้ว เธอก็ไม่มีความสุขเช่นกัน ให้ตายเถอะ!

"มือคุณนุ่มจังครับ มือกลแบบนี้ไม่แปลกใจเลยที่จะออกแบบเครื่องประดับสวยๆ แบบนี้ได้"

เธออยากจะเอามือออก แต่เธอ … เอามือออกไม่ได้

"ฮ่า ขอบคุณนะคะ. "

ให้ตายสิ ปล่อยมือฉันออกได้รึยัง? ผิวฉันถูกจนหลุดหมดแล้วเนี่ยะ

ถูอะไรนักหนาเนี้ยะ ถ้าชอบถูขนาดนี้ ไปเป็นพนักงานขัดตัวเลยไป.

"เพื่อให้เราได้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขในข้างหน้า ผมขอแด่คุณหนึ่งแก้ว เยื่ยจิงซิงเทเหล้าให้ถังซินเหยา..

ดูท่าทางความดื้อรั้นของเยื่ยจิงซิงแล้ว ไม่ดื่มคงไม่ได้มั้ง?

"เอาล่ะ งั้นฉันขอฝากเนื้อฝากตัวกับรองประทานเยื่ยด้วยนะคะ " ถังซินเหยาดื่มเหล้าลงไปอย่างรวดเร็ว

"บริษัทของเราสามารถเชิญซินเหยานักออกแบบที่มีความสามารถแบบคุณได้ มันเป็นความโชคดีของเรา ผมขอแค่คุณอีกแก้ว "

ยินดีค่ะ เชิญดื่มค่ะ

"เพื่อที่นิทรรศการจิวเวลรี่ของเรากําลังดําเนินไปอย่างราบรื่น ผมแด่คุณอีกแก้ว"

ข้ออ้างนี้ มันแทนการผ่านของงานไม่ได้นะคะ ดื่มค่ะ.

"แก้วนี้ผมขอแด่คุณ ถือว่าเป็นการฉลองความสําเร็จของนิทรรศการจิวเวลรี่"

โอ้โห งานออกแบบจิวเวลรี่ยังไม่ได้ออกแบบเลย ก็ฉลองล่ะ?

นี่มั่นใจมากเกินไปปะเนี่ยะ?

"ผู้คนมากมาย ดื่มเพื่อการพบกันระหว่างพวกเรา นี่คือชะตากรรมระหว่างเรา "

มีอะไรที่ไร้สาระไปกว่านี้มั้ย? ทุกคนที่พบเจอกับเขาล้วนเป็นพรหมลิขิตทั้งนั้น แบบนี้พรหมลิขิตของเขาจะไม่ถูกเกินไปหรอ

“เพื่อมิตรภาพของระหว่างเรา ผมขอแค่คุณอีกแก้วหนึ่ง”

พวกเขามีมิตรภาพแล้วหรือยัง? เธอไม่รู้ด้วยซ้ำนี่มันดีจริงๆเหรอ?

สาเกสองแก้วนี้,คุณแก้วนึ่งผมแก้วนึ่ง เดียวก็หมดแล้ว

คุณทานไปก่อนก็ได้นะ เดียวผมขอไปห้องน้ำก่อน “เยื่ยจิงซิงพูด.

ถังซินเหยาพยักหน้าแบบไม่เปลี่ยนสีหน้า แล้วกล่าวว่า "ได้ค่ะ รีบไปรีบกลับนะคะ"

แม้ว่าถังซินเหยาจะคอแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จัดเมาเลย

แม้ว่าถังซินเหยาจะดูปกติดีภายนอก แต่ความจริงแล้วก็เริ่มรู้สึกมึนเล็กน้อยแล้ว แต่ก็ยังพอมีสติอยู่

เยี่ยจิงซิง ไอ้คนลามก,คนที่มีท่าทีว่าจะมอมเหล้าเธอจนเมานั้น ดูก็รู้ว่าไว้ใจไม่ได้

ไม่ได้การละ เธอไม่ควรมัวนั่งอยู่เฉยๆแล้ว เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

เธอไม่เพียงแต่ต้องไม่เสียเปรียบ แต่เธอยังให้สั่งสอนไอ้คนลามกคนนี้ด้วย ให้มันรู้ซะบ้าง คนอย่างเจ้ซินเหยานั้นไม่ใช่จะมาเอาเปรียบกันได้ง่ายๆนะ

ฟางซวี่เจ๋อก็มาทานอาหารที่ร้านอาหารญี่ปุ่นนี้ พอเห็นถังซินเหยาก็เดินเข้าไปทักทาย

ตั้งใจว่าจะไปทักทายอยู่พอดี เพียงแต่ว่ายังลุกออกไปไม่ได้ เลยว่าจะเข้าไปทักทายตอนกำลังจะกลับ

เขาและถังซินเหยายุ่งมากในช่วงเวลานี้ ทั้งคู่เลยไม่ได้พบกัน

เพิ่งได้เห็นว่า ฟางซวี่เจ๋อมีความสุขเล็กๆในใจและมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น

“คุณช่วยไปเตรียมเหล้าที่ฤทธิ์แรงที่สุดให้ผมหน่อย ดีที่สุดคือทำให้คนเมาได้ “เยื่ยจิงซิงได้พูดกับพนังงานคนนึ่งในห้องน้ำ

เหล้าสาเกเมื่อครู่เป็นเหล้าที่แรงที่สุดแล้วครับ เป็นเหล้าที่ดีมาก “พนังงานตอบกลับ

”แต่เหล้าสาเกสองขวดที่เพิ่งดื่มไป เธอดื่มแล้วไม่เห็นจะเมาเลยสักนิด เหล้าของคุณมันผสมน้ำเข้าไปหรือเปล่า “ เยื่ยจิงซิงโกรธมาก

“เหล้าทางร้านของเราเป็นเหล้าที่อร่อยที่สุดแล้วครับ และส่งตรงมาจากญี่ปุ่นเลย อาจจะเพราะว่าคุณผู้หญิงทานนั้นคอแข็งก็ได้ครับ “

“ผมไม่สน ไปเปลี่ยนเหล้าที่ฤทธิ์แรงที่สุดและเข้มข้นที่สุดมาให้ผม ทำให้คนเมาให้ได้ “

“งั้นเดียวผมจะไปเอาเหล้าที่สะสมไว้ของทางร้านออกมาให้นะครับ”

“ คุณไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ทําคุณเสียหาย หลังจากเรื่องมันจบไปแล้ว ” เยื่ยจิงซิงยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ได้ หลังจากนี้ผมจะชี้ไปที่คุณเยื่ย”

หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็แยกทางกัน

รอจนเสียงฝีเท้าของทั้งคนสองคนค่อยๆ ห่างออกไป ประตูห้องน้ำห้องสุดท้ายก็เปิดออก แล้วมีคนหน้าแปลกๆก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

หึหึ……นึกคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเยี่ยจะทำงานเช่นนี้ด้วย นึกไม่ถึงเลยจริงๆ หน้าด้าน!

ซินเหยา ผมกลับมาแล้ว ” เยื่ยจิงซิงเปิดประตู

ถังซินเหยานอนคว่ําหน้าลงบนโต๊ะหลับไป ดวงตาของเธอปิดลงเล็กน้อย และริมฝีปากของเธอก็เปลือยเปล่า

ใบหน้าของเธอดูละเอียดอ่อน แก้มของเธอเป็นสีแดงบางๆ เธอดูสวยงามและเชื่อฟัง

"ซินเหยา เป็นยังไงบ้าง? ตื่นสิตื่น

ถังซินเหยาตบหน้าตัวเอง แล้วพึมพำว่า: "อืม … ฉันยังไม่เมาฉันยังดื่มได้

"มา ดื่มอีก " เธอพูดแบบเบา ๆ

เยื่ยจิ่งซิงเอื้อมมือไปตบหน้าถังซินเหยา และเรียกเธอว่า "ซินเหยา ตื่นสิ คุณเมามากแล้ว ผมจะไปส่งคุณ" ”

"ฉันไม่เมา ฉันยังดื่มได้อีก ดื่ม "ถังซินเหยากระซิบ

ดูเหมือนว่าจะเมาจริงๆ แต่มือของเยื่ยจิงซิงที่ตบแก้มของถังซินเหยาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆๆ

แก้มของถังซินเหยาขาวเนียน และเรียบเนียน เธอรู้สึกลื่นเหมือนหยกที่ทําให้เขาตกหลุมรัก

เขาหลงใหลและลูบไล้ใบหน้าของถังซินเหยา ด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยน มืออีกข้างของเขาโอบรอบเอวที่บอบบางของถังซินเหยา และถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ

เป็นของดีจริงๆ เขามองไม่ผิด

เขาโน้มตัวลงเพื่อจูบแก้มของถังซินเหยา ทำตามทิศทางของกระดูกคิ้วลงจนสุด

จูบจมูกอันสวยของถังซินเหยา เมื่อเขาต้องการจูบปากเชอร์รี่เล็ก ๆ ของถังซินเหยา ถังซินเหยาก็ลุกขึ้นนั่ง

โถเอ้ย…… ทนไม่ไหวแล้วนะ ไอ่คนเจ้าเล่ห์ วางแผนไม่ดีกับเธอจริงๆเลย

หึหึหึ ถ้างั้นก็อย่าหาว่าเธอถังซินเหยาไม่เตือน ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร

ถังซินเหยาตบหน้าเขาตบมือทั้งสองข้าง และต่อยจมูกของเยื่ยจิงซิง และเบ้าตาข้างขวาของเยิื่ยจิงซิง

"จะเอาเปรียบฉันงั้นหรอ? บอกเลยว่าฉันไม่……อึก……ไม่เมาเลยแม้แต่นิด" ถังซินเหยายืนขึ้นแบบโครงเครง แก้มแดงจ๋าแล้วพูดว่า : "ไม่สั่ง……สั่งสอน……นายสักหน่อย คงจะคิดว่าคนอย่างฉันจะรัง……รังแกได้ง่ายๆสินะ เดี๋ยวตีให้ตายเลยนิ"

“ประธานเยี่ยคะ มีอะไรให้รับใช้รึเปล่าคะ?”

“กินมื้อเที่ยงรึยัง?”

กินบ้าไรล่ะ ไม่เพียงแค่ยังไม่ได้กินนะ แถมยังถูกพี่ชายคุณแต๊ะอั๋งเข้าให้อีก

“ยังค่ะ”

เยี่ยจิงเฉินตบเบาะที่นั่งข้างๆตัวเอง : “ถ้างั้นก็มากินพร้อมกันเลยสิ”

ไม่ต้องพูดให้มันดูดีขนาดนี้ได้มั้ย? กินพร้อมกันอะไรกัน? จริงๆแล้วคงอยากให้เธอไปคัดแยกอาหารให้หน่ะสิไม่ว่า

อย่าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะปิดบังความต้องการของคุณได้หรอกนะ

ยี่สิบนาทีผ่านไป……

ขอโทษนะคะป๊ะป๋าที่เข้าใจป๊ะป๋าผิด

อภัยให้หน่อยได้มั้ย

แท้จริงแล้วป๊ะป๋าสั่งอาหารมานี่เอง

เป็นอาหารจากร้านอาหารส่วนตัวร้านหนึ่งที่วันหนึ่งรับลูกค้าเพียงห้าคนเท่านั้น

ยังไงก็ตามก็เหมือนประธานเศรษฐีนั้นแหละ ชอบใช้อำนาจ

ร้านอาหารส่วนตัวร้านนี้หรูหราขนาดนั้น รสชาติอาหารก็ต้องอร่อยอย่างไร้ที่ติ

เพียงแค่เมนูเนื้อตุ๋นกับหัวไชเท้าก็อร่อยมากแล้ว

เป็นถึงนักกินคนหนึ่งแล้วละก็เธอซาบซึ้งจนน้ำตาไหลเลยแหละ……อร่อยจริงๆ

ถังซินเหยาแยกอาหารที่เยี่ยจิงเฉินชอบกินออกมาวางไว้ข้างๆอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“ประธานเยี่ยคะ เลือกกินแบบนี้เป็นนิสัยที่ไม่ดีจริงๆนะคะ” บนตะเกียบของถังซินเหยาคีบชิ้นตับหมูไว้แล้วพูด

“คุณยุ่งเรื่องของผมมากไปแล้ว”

จากที่ป๊ะป๋าเลี้ยงอาหารจากร้านอาหารส่วนตัวแสนอร่อยนี้แล้ว เธอจะไม่เอาเรื่องป๊ะป๋าละกัน

“ไม่เลือกกินถึงจะได้รับสารอาหารครบสิ” ถังซินเหยาหยิบตับหมูวางไว้บนหัวไชเท้าแล้วป้อนเข้าไปในปากของเยี่ยจิงเฉิน: “มา กินแบบนี้กลิ่นของตับหมูก็จะจางลง จากนั้นกินข้าวคำหนึ่งก็โอเคแล้วล่ะ”

วิธีนี้ใช้กับหลานหลานและหลิงหลิงได้มาก กับป๊ะป๋าของพวกเขาแล้วก็……น่าจะได้มั้ง?

เท่าที่ดูมา ยีนบนตัวพวกเขา เบื้องต้นยังไม่เห็นถึงความแตกต่างนัก

เยี่ยจิงเฉินค่อยข้างไม่ชอบ แต่ดูจากสีหน้าที่คาดหวังของถังซินเหยาแล้ว รอยยิ้มแสนหวานพร้อมกับลักยิ้มทั้งสองข้างก็โผล่ออกมาทันที

เขาอ้าปากโดยไม่รู้ตัว และกินตับหมูพร้อมกับหัวไชเท้าเข้าไปพร้อมกัน

“อร่อยใช่มั้ยล่ะ” ถังซินเหยาคีบอาหารและป้อนเยี่ยจิงเฉินอย่างคุ้นเคย

เยี่ยจิงเฉินก็กินมันเข้าไปแต่โดยดี

ผิดที่ทำแบบนี้จนเคยชินแล้ว พอได้ป้อนป๊ะป๋าเข้าก็ไม่สามารถหยุดป้อนได้เลย

ผู้ชายล้วนเป็นเด็กจริงๆ วิธีต่อกรกับป๊ะป๋าและวิธีง้อหลิงหลิงหลานหลานก็ไม่ได้ต่างกันมากหนิ

หลี่เวยถือเอกสารเตรียมเคาะประตูห้องทำงาน แต่ปรากฏว่าประตูห้องทำงานไม่ได้ปิดไว้ เพียงแค่ปิดไว้นิดๆเท่านั้น

จากนั้นหล่อนก็เห็นความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของนักออกแบบผู้ใสซื่อบริสุทธิ์กับประธานผู้เย็นชาและบ้าอำนาจอีกครั้ง

หลังจากเลิกงาน ถังซินเหยาก็พบเจอกับเยี่ยจิงซิงที่ขับรถสปอร์ตอยู่ที่หน้าประตู

“ซินเหยา หลังเลิกงานวันนี้ว่างมั้ย?” เยี่ยจิงซิงสวมสูทสีขาว มือทั้งสองข้างล่วงไปที่กระเป๋ากางเกง และทำท่าทางแสร้งว่าดูเท่มาก

ซินเหยาบ้าไรล่ะ?

ดูเหมือนเราจะไม่ได้สนิทกันนะ กรุณาเรียกเธอว่าคุณถังด้วย ขอบคุณค่ะ

“ไม่ว่างค่ะ”

เยี่ยจิงซิงผู้ที่เตรียมจะเลี้ยงอาหารถังซินเหยา “……”

เขายังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ไร้อารมณ์ได้เช่นนี้เลย

“ตอนแรกผมกะว่าจะเลี้ยงอาหารซินเหยากระชับความสัมพันธ์สักหน่อย”

ถ้าหากว่าอยู่เป็นละก็น่าจะว่างแล้วนะ ใช่มั้ย?

“หา? คงต้องขออภัยจริงๆค่ะ ดิฉันไม่ว่างจริงๆ”

เธอไม่หวังอะไรกับมื้ออาหารกับเศรษฐีแล้วล่ะ

“ถ้างั้นคุณว่างเมื่อไหร่ล่ะ?”

“ไม่ว่างสักเวลาเลยค่ะ”

เยี่ยจิงซิง “……”

“ซินเหยา คุณไม่ไว้หน้าผมเลยหรอ?”

ใช่สิ ฉันไม่ไว้หน้าคุณหรอก

คุณเป็นใครหรอ?ทำไมฉันต้องไว้หน้าคุณด้วยละ?

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันมีธุระจริงๆหลังเลิกงานต้องรีบกลับบ้านทันทีเลยค่ะ”

เยี่ยจิงซิงคาดไม่ถึงว่าถังซินเหยาจะไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกอายจนไม่มีที่ให้อยู่แล้ว

แต่รอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าของถังซินเหยา ทำให้เขาหาเหตุผลที่จะเปลี่ยนอารมณ์ไม่ได้เลย

“ถ้าหากว่ารองประธานเยี่ยไม่มีธุระอะไรแล้ว ดิฉันก็ขอตัวก่อนนะคะ”

ถังซินเหยายิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเยี่ยจิงซิง จากนั้นก็หันตัวออกไปเลย

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ก็ถูกถังซินเหยาปฏิเสธแบบไม่ใยดีเลยทุกครั้ง

ก่อนเลิกงานประมาณยี่สิบนาที ถังซินเหยาได้รับโทรศัพท์จากเยี่ยจิงซิง

“คุณถังครับ งานออกแบบของคุณมีบางส่วนที่ผมอยากจะซักถาม ต้องการให้คุณมาอธิบายให้ผมฟังหน่อยครับ” เยี่ยจิงซิงอารมณ์แข็งแกร่ง

ให้ตายเถอะ พูดมาขนาดนี้ เธอเองที่เป็นคนรับผิดชอบงานนี้ ปฏิเสธได้ด้วยหรอ?

“ได้ค่ะ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

โอ่ย ชีวิตจริงนี่มันยิ่งกว่านิยายจริงๆ

ทั้งๆที่รู้ว่าเยี่ยจิงซิงเป็นคนไม่น่าไว้วางใจ แต่ว่าตอนนี้งานที่เกี่ยวกับจิวเวลรี่ทั้งหมดเยี่ยจิงซิงเป็นคนรับผิดชอบแล้ว

เขาใช้งานเป็นข้ออ้าง เธอหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงาน ผมอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นตรงข้ามไชน่าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์”

ให้ตาย ตอนนี้เป็นเวลาทำงานนะ แต่คุณมาอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนเป็นเล่นแบบนี้ได้ด้วยหรอ?

เป็นแบบนี้ ในอนาคตจะแย่งมรดกกับป๊ะป๋าได้ยังไงกัน

คุณไม่เอาการเอางานแบบนี้ พ่อแม่คุณรู้มั้ยเนี่ยะ?

“โอเคค่ะ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

ถังซินเหยาถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเก็บของ

“เกิดอะไรขึ้น? รองประธานเยี่ยมายุ่งย่ามกับเธออีกแล้วหรอ?”

ช่วงนี้เยี่ยจิงซิงชวนถังซินเหยาถี่มาก ถี่จนทำให้เธอรู้สึกน่ารำคาญ แม้กระทั่งหลี่เวยก็ยังทราบ

เห็นท่าทางของถังซินเหยาแบบนี้แล้ว ใครโทรมาเมื่อกี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร

“เวยเวย เธอช่างเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้ใจฉันจริงๆ”

“หรือไม่ก็เธอเอาเรื่องนี้ไปบอกประธานเยี่ยเถอะ”

จะบ้าหรอ รองประธานเยี่ยทำถึงขนาดนี้แล้ว อีกอย่างเขาไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เอาเจ้านายใหญ่ไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

ทำไมต้องบอกเยี่ยจิงเฉินด้วยละ? เหมือนมีเรื่องอะไรแปลกๆเข้ามาเลยยังไงอย่างงั้น

“ไม่ต้องหรอก แค่คุยเรื่องงานเฉยๆแหละ งานนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของรองประธานเยี่ย บอกประธานเยี่ยก็ดูทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเลย” ถังซินเหยาส่ายหัวปฏิเสธ

“ถ้างั้นเธอต้องใจแข็งเข้าไว้นะ อย่าทำเรื่องที่รู้สึกผิดต่อประธานเยี่ยของพวกเราล่ะ”

ถังซินเหยา “……”

หลี่เวยไม่ใช่ว่าถูกเอเลี่ยนเข้าสิงเข้าหรอกนะ ทำไมพูดจาแปลกๆจัง

ถังซินเหยาขับรถไปถึงที่ร้านอาหารญี่ปุ่น แจ้งชื่อเยี่ยจิงซิงปุ๊บก็ถูกพนักงานนำทางไปที่ห้องอาหารเลย

“รองประธานเยี่ยคะ ไม่ทราบว่ามีตรงไหนที่ไม่เข้าใจและต้องการให้ดิฉันอธิบายคะ” เธอวางกระเป๋าลงข้างๆและเลือกที่นั่งที่ห่างจากเยี่ยจิงซิงที่สุด

เยี่ยจิงซิงเดินไปข้างๆเธออย่างไร้ยางอาย และนั่งลงข้างๆเธอ

“ซินเหยาไม่ต้องเรียกผมว่ารองประธานเยี่ยให้ดูห่างเหินหรอก เรียกผมว่าจิงซิงก็พอ”

มุมปากของถังซินเหยากระตุกเล็กน้อย ขอร้องล่ะอย่าทำเป็นเหมือนสนิทกันมากได้มั้ย

ระหว่างพวกเขาแล้วไม่ได้สนิทกันเลยจริงๆ อีกอย่างเธอเองก็ไม่อยากสนิทกับเขาด้วย

“เหอะๆ……” ถังซินเหยาเรียกเขาอย่างไม่เต็มใจว่า : “จิงซิง”

ได้ยินชื่อของตัวเองออกมาจากปากของสาวสวยแล้ว เยี่ยจิงซิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก

“คุณอยากกินอะไรรึเปล่า? อาหารญี่ปุ่นที่นี่เขาทำได้เหมือนต้นตำรับมาก ผมว่าคุณน่าจะชอบนะ” เยี่ยจิงซิงพูดพรางเปิดเมนูไปด้วย

เพียงแค่คุณคิดว่าชอบแล้วมันจะยังไง ประเด็นคือเธอชอบมากจริงๆหน่ะสิ

เมื่อเทียบกับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ตัวเธอเองชอบอาหารจีนต้นตำรับมากกว่า

อยู่ๆก็เป็นเวลาสิบสองนาฬิกาอีกครั้ง ถังซินเหยายืดเส้นยืดสาย งานออกแบบของเดือนนี้ถือว่าคืบหน้าได้ไม่น้อย เพิ่งจะกลางเดือนก็สำเร็จไปสามในห้าของงานแล้ว

หล่อนอุ่นอาหารให้ร้อนเหมือนปกติและนำไปเสิร์ฟที่ห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉิน

นั่งลงที่โซฟาตัวโปรด รอเยี่ยจิงเฉินกลับมาทานข้าวพร้อมกัน

ประตูห้องทำงานเปิดออก ถังซินเหยานึกว่าเป็นเยี่ยจิงเฉินก็ยิ้มหน้าบานเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากนั้นเธอก็เห็นชายตัวสูงและหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินเข้ามา หน้าตาของเขานั้นค่อนข้างคล้ายเยี่ยจิงเฉิน เพียงแต่ชายคนนี้หน้าตาดูอ่อนโยนกว่าเยี่ยจิงเฉินแต่มีความกล้าหาญน้อยกว่าและยังเหมือนผู้หญิงเล็กน้อย

เขาคือ……?

ดูเหมือนฉันจะไม่เคยเจอเขาเลยสักนิด

“คุณคือ……”

“สวัสดีครับ ผมชื่อ เยี่ยจิงซิง เป็นผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทครับ”

ให้ตายสิ ถึงแม้จะเป็นประธานคนใหม่ก็เถอะแต่ช่วยปล่อยมือฉันก่อนได้มั้ย?

มือของเยี่ยจิงซฺงทั้งเปียกแล้วก็ลื่น ร้สึกเหนี่ยวเหนอะไปหมดเหมือนกับว่ากำลังจับงูอยู่ยังไงอย่างงั้นแหละ

“คุณช่วยไปชงกาแฟให้ผมแก้วหนึ่งสิ” เยี่ยจิงซิงใช้นิ้วเกลี่ยที่อุ้งมือของเธอแล้วพูด

เขา……เขา……ไอ้คนลามก

ถังซินเหยาเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งอยู่ยิ่งหวานมากขึ้นเรื่อยๆ

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”เยี่ยจิงซิงถามอย่างเคร่งขรึม

ฉันเพิ่งซื้อนาฬิกาเมื่อปีที่แล้วเองนะไอ้สุภาพบุรุษคนนี้หนิ

ยังมีหน้ามาถามว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าอีก แสร้งทำเหมือนคนไร้เดียงสา ฝีมือการแสดงของเขายอดเยี่ยมจริงๆทำไมไม่ไปเป็นนักแสดงเลยล่ะ?

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าของถังซินเหยาหวานราวกับน้ำผึ้งงั้นเลย

ส่วนที่ถูกคนอื่นจับก้นเมื่อกี้นั้น เธอไม่ได้เอ่ยปากพูดสักคำเดียว

เยี่ยจิงซิงเห็นรอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าของเธอแล้ว ก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่

หึหึ……มิน่าล่ะทำไมไอ้ประธานร้ายนั้นถึงชอบอยู่ที่บริษัทนัก ที่แท้ก็เพราะว่ามีสาวงามอยู่นี่เอง

เยี่ยจิงซิงแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มที่มั่นใจในตัวเองของเขาให้กับถังซินเหยาเห็น แต่ในสายตาของเธอมันก็เป็นเพียงรอยยิ้มที่น่ารังเกียจแค่นั้นแหละ

ถังซินเหยาควบคุมตัวเองไม่ให้พลั่งมือตบไปที่ใบหน้าของเขาไว้แล้วเดินออกจากห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉินไป

“รองประธานเยี่ยคะ กาแฟของท่านค่ะ” ถังซินเหยาเสิร์ฟกาแฟให้กับเยี่ยจิงซิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เธอได้ใส่พริกไทยป่นไว้ในกาแฟ ดื่มได้ก็ให้มันว่าไป

เป็นแค่รองผู้จัดการแท้ๆ ยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองเป็นผู้จัดการอีก หน้าหนาจริงๆ

เยี่ยจิงซิงตกใจกับตำแหน่งที่เธอเรียกเล็กน้อย แต่เขาค่อนข้างหน้าหนา

“วันนี้เป็นวันแรกที่ผมเข้าบริษัท คุณช่วยเล่ารายละเอียดของบริษัทให้ผมฟังหน่อยสิ” เยี่ยจิงซิงรับกาแฟด้วยมือเดียวและอีกมือหนึ่งก็ดึงมือที่ขาวสวยของเธอให้นั่งลงข้างๆเขา

เขาแต๊ะอั๋งเธออย่างสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นแหละ

ถังซินเหยาอยากจะดึงมือออก แต่……ไม่……ไม่สามารถดึงออกได้เลย

นึกคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่น่ารังเกียจแบบนี้จะแรงเยอะขนาดนี้

อ๊ากกกก……เธออยากจะสับมือหมูนี้ทิ้งจากนั้นก็ไปตุ๋นเป็นขาหมูกินซะในตอนกลางคืน

เยี่ยจิงซิงลูบหลังมือของเธอพร้อมพูดว่า: “มือของคุณนิ่มจัง”

ไอ้บ้า คุณมาลวนลามหญิงสาวตอนกลางวันแสกๆแบบนี้ คนที่บ้านคุณรู้มั้ยเนี่ย?

เยี่ยจิงเฉินเข้ามาในห้องทำงานก็เห็นฉากนั้นพอดี

ไอ้พี่ชายที่มักเอาแต่ใจตัวเองอยู่เสมอกำลังลูบมือของถังซินเหยาอยู่ ส่วนผู้หญิงโง่คนนี้ก็ยิ้มแถมยังยิ้มหวานสะด้วย

เยี่ยจิงเฉินอารมณ์ไม่ดีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ดวงตาของเขาเคร่งขรึมและเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก

สายตาของถังซินเหยาเบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นเยี่ยจิงเฉิน

โอ๊ย! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอรอคอยการจะได้เจอกับป๊ะป๋า

“พี่ใหญ่ พี่มาได้ไงเนี่ยะ?” เยี่ยจิงเฉินถามด้วยสีหน้าเย็นชา

ที่แท้แล้วเป็นพี่ชายของป๊ะป๋านี่เอง!

เห็นได้ชัดว่าป๊ะป๋าเป็นประธานที่เย่อหยิ่งและแสนเท่ส่วนพี่ชายคนโตของป๊ะป๋านั่นเป็นแค่คนลามกคนหนึ่ง แตกต่างจากสไตล์ของป๊ะป๋าเยอะเลย

“วันนี้ฉันมารายงานตัวที่บริษัทหน่ะ” เยี่ยจิงซิงพูดอย่างหล่อเท่

ไอ้คนลามกคนนี้ ไม่ว่าเขาจะหล่อและเท่ยังไงก็ตามแต่ก็ไม่สามารถลบล้างออร่าความเลวร้ายในตัวเขาได้

“งั้นพี่ก็ควรไปที่แผนกบุคคลเพื่อไปทำเรื่องเข้าทำงาน อีกอย่างห้องทำงานของพี่อยู่ชั้นยี่สิบสาม ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็เชิญพี่ออกไปได้เลย ผมจะทำงานต่อ” เยี่ยจิงเฉินดูเหมือนเป็นคนเอาการเอางานขึ้นมาทันที

ออร่าของเยี่ยจิงเฉินที่ดูสูงส่งนั้นทำเอาสีหน้าเยี่ยจิงซิงบูดเบี้ยวไปครู่หนึ่ง

ถังซินเหยาใช้โอกาสนี้ดึงมือตัวเองออก : “ประธานเยี่ยคะ ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“รอเดี๋ยว ฉันยังขาดเลขาคนหนึ่ง ฉันว่าเธอคนนี้ก็ไม่เลว แกคงไม่อาลัยอาวรณ์หรอกเนอะ” เยี่ยจิงซิงชี้ไปที่ถังซินเหยาที่กำลังจะจากไป

โอ้โห่ ไอ้คนบ้ากามนี้ พูดออกมาแบบนี้เนี่ยคิดดีแล้วหรอ?

สิ่งที่เขาขาดไม่ใช่เลาขาหรอก ฉันว่าคงจะขาดคนรักสิไม่ว่า

“ขออภัยจริงๆค่ะรองประธานเยี่ย ดิฉันลืมแนะนำตัวเองไป ดิฉันเป็นหัวหน้านักออกแบบของCKค่ะ ไม่ใช่เลขาของประธานเยี่ย สงสัยจะทำให้รองประธานเยี่ยผิดหวังแล้วค่ะ” ถังซินเหยาพูดด้วยสีหน้ายิ้มหวาน : “ดิฉันว่าแทนที่จะหาเลขา รองประธานเยี่ยควรจะหาคนรักสักคนนะคะ”

บ้ากามขนาดนี้ ไม่เคยเห็นผู้หญฺงหรือไงกัน?

สีหน้าเยี่ยจิงซิงรู้สึกขายหน้านิดๆ เขานั่งลงบนโซฟาอีกครั้งและยกกาแฟดื่ม เพื่อลบล้างความขายหน้านี้

แต่ทว่าพอเขาดื่มไปอึกหนึ่งเท่านั้น : “พุ่ง……”

“พุ่ง……”

เยี่ยจิงซิงสำลักกาแฟที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมาหมด ท่าทางน่าสงสารจริงๆ

กลิ่นหอมกลมกล่อมของกาแฟขี้แมว ผสมกับเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย รสชาตินี้มันเกินคำบรรยายจริงๆนะเนี่ย

สมน้ำหน้า ใครสั่งให้มาเอาเปรียบคนอย่างฉันล่ะ

ไอ้คนลามก จำใส่หัวแกซะ

“เธอใส่อะไรเข้าไปเนี่ยะ?” เยี่ยจิงซิงมองไปที่ถังซินเหยาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ถังซินเหยากระพริบตาของเธอถี่ๆ ความใส่ซื่อนี่ทำเอาคนอื่นไม่สามารถทำอะไรเธอได้เลย

“ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ดิฉันไม่ใช่เลขา เมื่อก่อนก็ไม่เคยชงกาแกให้ใครด้วย ถ้าหากรสชาติมันแย่ ท่านรองประธานเยี่ยเป็นถึงเจ้านาย เจ้านายต้องใจกว้าง เพราะฉะนั้นท่านคงไม่ถือสาอะไรกับคนอย่างดิฉันหรอกนะคะ?” ถังซินเหยาพูดอย่างไม่รู้ไม่ชี้เลย

เยี่ยจิงเฉินเห็นสายตาอันเจ้าเล่ห์ของเธอ มุมปากก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“เอาล่ะ รองประธานเยี่ยไม่ถือสาเธอหรอก เธอออกไปก่อนละกัน” เยี่ยจิงเฉินพูด

ถังซินเหยารีบออกจากห้องทำงานโดยไว เธอไม่อยากที่จะอยู่ห้องเดียวกับคนอย่างเยี่ยจิงซิงเลยสักนิด

ผ่านไปประมาณสิบนาทีได้ เยี่ยจิงซิงเดินออกจากห้องทำงานของเยี่ยจิงเฉินด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก

ดูเหมือนจะเจรจากับทางป๊ะป๋าไม่ได้อะไรนัก

ป๊ะป๋านี่เก่งจริงๆ สมแล้วที่เป็นป๊ะป๋าของหลิงๆและหลานๆ

เยี่ยจิงเฉินใช้สายโทรของบริษัทต่อสายไปที่ถังซินเหยา : “ถังซินเหยาเข้ามา……”

เธอไม่ใช่พนักงานบริษัทสักหน่อย ป๊ะป๋าใช้น้ำเสียงไม่มีเหตุผลเช่นนี้กับแขกเนี่ยะ ผู้ถือหุ้นของเยี่ยหวางทราบกันมั้ยนะ?

แต่ว่าป๊ะป๋าเป็นคนไม่มีเหตุผลแถมยังดุอีก ถ้าไม่เชื่อฟังเขาละก็ เขาก็จะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอีกแล้ว

เธอเป็นคนเชื่อฟังมาก!

“คุณคิดมากไปแล้ว ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่า พรุ่งนี้อย่าลืมเอาข้าวกลางวันเผื่อให้ผมชุดนึง” เยื่ยจิงเฉินอดที่จะหัวเราะไม่ได้

"ฉันไม่เห็นจะสัญญาอะไรกับคุณไว้เลย เตือนบ้าไรของคุณล่ะ……อีกอย่างนะ ทำไมฉันต้องเอาข้าวกลางวันมาให้คุณด้วย อย่าแม้แต่จะคิด! ฮึ "ถังซินเหยาเบิกตากว้างและจ้องมองไปที่เยื่ยจิงเฉิน เธอโกรธมาก

แล้วทำไมลูกชายฉันต้องไปทำข้าวกลางวันให้เขาด้วยล่ะ นั่นลูกชายฉันนะ แม่เจ้า…..

"แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงชอบจูบคุณตลอด "เยื่ยจิงเฉินถามอย่างใจเย็น

เรากำลังพูดถึงเรื่องข้าวกลางวันอยู่นะ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง อีกอย่างนะฉันได้อยากรู้อะไรเลย เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ

"ทำไม?" เขาไม่อยากรู้อยากเห็น เขาแค่ให้เกียรติกับเยื่ยจิงเฉินเลยถาม

“ เพราะผมคิดว่าคุณน่าจะคุ้นเคยมากโดยเฉพาะเมื่อผมจูบคุณ เรารู้จักกันมาก่อนใช่มั้ย? ” เยื่ยจิงเฉินกล่าว

ถังซินเหยาใจเต้นเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน

"ไม่ใช่สักหน่อย คุณคิดไม่เองตังหาก "เธอปฏิเสธปากแข็ง

เธอไม่ได้โกหก พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก่อน แต่พวกเขาไม่รู้จักกัน

"ใช่หรือ? ผมเป็นคนที่แสวงหาความจริงมาก ผมจำเป็นต้องให้คนสืบดู "เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างง่ายดาย

“ ฉันคิดว่าเราควรจะคุยกันเรื่องอาหารกลางวันพรุ่งนี้ดีกว่า พรุ่งนี้คุณอยากกินอะไร,ฉันทำแล้วเอามาส่งให้คุณ” ถังซินเหยาพลิกใบหน้าของเธอทันทีจากใบหน้าของหญิงสาวยามราตรีกลายเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ พูดอย่างอ่อนโยน

ให้ตายเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะทำแครอทและตับให้คุณกิน กินให้ตายไปเลย

ผมไม่ชอบกินอะไร คุณก็น่าจะรู้นะ

เธอจะรู้ได้อย่างไร?

"ฉันไม่ … " ดวงตาของงป๊ะป๋าเฉียบคมจน หลอนพูดอะไรในเชิงลบได้เลย: "ไม่ต้องห่วง ฉันจะระหว่างเอง

ไอ่บ้าเอ่ย โตจนป่านนี้ละยังจะเลือกกินอีก

คิดไม่ถึงเลย สุดท้ายป๊ะป๋าก็ขับรถของเธอไป และเธอเองก็ตกลงจะเตรียมอาหารให้กับป๊ะป๋าด้วย

ทำไมป๊ะป๋าถึงร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้เนี้ย?

เมื่อกลับไปถึง เค่อหลานกับลั่วหลิงลูกทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว

ถังซินเหยาห่มผ้าให้ลูกทั้งสอง และจูบหน้าผากของพวกเขา

ถึงแม้งว่าป๊ะป๋าของพวกเขาจะเจ้าชู้มาก แต่เค่อหลานกับลั่วหลิงก็ยังน่ารักเหมือนเดิม

ถังซินเหยาตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้นและจูบเค่อหลานและลั่วหลิงเบาๆ: "ลูกๆที่รักอรุณสวัสดิ์จ้าหม่ามี้รักพวกหนูนะ"

“ผมก็รักหม่ามี้ครับ หลานหลานยิ้มแบบโชว์ลักยิ้มอันน่ารัก

“หนูก็รักหม่ามี้ค่ะ ลั่วหลิงหน้านิ่ง

“หลิงหลิง ตอนที่กำลังทำอาหาร เธอช่วยทำเพิ่มอีกหนึ่งที่นะ ถังซินเหยารู้สึกผิดเล็กน้อย เธอคิดว่าเธอเป็นแม่เลี้ยงคนนึ่ง

ในระหว่างอาหารเช้า เค่อหลานดื่มนมจนหมดในหนึ่งลมหายใจ มีเคราน้ำนมติดอยู่บนริมฝีปาก

“หม่ามี้ เมื่อวันก่อนกลับบ้านได้ไปซื้อป๊ะป๋าให้ผมมั้ย? "เค่อหลานเงยหน้าแดงและถามอย่างไร้เดียงสา

ถังซินเหยา "… "

“ทำไมต้องเสียเงินไปซื้อป๊ะป๋าด้วย ถ้าลูกอยากมีป๊ะป๋าละก็ หม่ามี้จะหาให้คนนึ่งแบบฟรีๆไปเลย ไม่ต้องเสียตังแถมเขายังจะต้องไปหาเงินดูเลเราอีก ถังซินเหยาเช็ดเครานมที่ติดอยู่บนริมฝีปากของเค่อหลาน

“เค่อหลานอยากได้ป๊ะป๋าแบบไหน?

“ผมอยากได้ป๊ะป๋าที่หน้าตาดี เค่อหลานมองไปที่ถังซินเหยาด้วยแววตาที่สดใสและถามว่างั้นผมของเลือกเองได้มั้ย?

ได้สิจ้า ถังซินเหยาพยักหน้าอย่างขบขัน

เย้ๆๆๆๆ ดีใจจัง

ถังซินเหยากินอาหารเช้าไปยิ้มไป เค่อหลานนั่งมโนพูดพล่ามอยู่คนเดียวจนหยุดไม่ได้

ตอนที่ผมอยู่ที่สนามบินกับอยู่โรงเรียนผมได้พบกับคุณลุงคนหล่อคนนึ่ง ผมอยากให้เขามาเป็นป๊ะป๋าของผมจังเลย เค่อหลานพูด

ลั่วหลิงมองไปที่หน้าของถังซินเหยา

ถังซินเหยาไม่ได้เอาคำพูดของลูกมาไว้ในใจ “เธอล่าวว่า: "เอาล่ะเมื่อลูกพบกับคุณลุงหน้าตาดีคนนี้ครั้งหน้าขอให้ลุงหน้าตาดีคนนี้เป็นป๊ะป๋าของลูกนะ"

เมื่อถังซินเหยาเห็นคุณลุงหน้าตาดีที่เค่อหลานพูด เธอก็อยากจะกลืนสิ่งที่เธอพูดออกไป

ใครให้เธอพูด!

มันเป็นคำพูดลับหลังอยู่แล้ว

………..

นัดจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าวกลางวันที่เป็นสองกล่องให้เพิ่มเป็นสามกล่อง

เยื่ยจิงเฉินเป็นเศรษฐีที่หน้าค่อนข้างหนาคนนึ่ง คงไม่รู้ด้วยซ้ำอะไรคือความเกรงใจ

ได้กินข้าวกลางวันที่ถังซินเหยาเตรียมไว้ให้ทุกวัน คำว่าขอบคุณก็ไม่มีสักคำ อีกทั้งยังเป็นบ้ามาสั่งให้ถังซินเหยาแยกอาหารที่ตัวเองไม่ชอบออกจากข้าวกล่องทุกวัน

ยิ่งพูดยิ่งเศร้า

เมื่อพูดถึงถังซินเหยานั้น อย่างน้อยเธอก็เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศอยู่บ้างไม่มากก็น้อยแหละ แต่พอกลับประเทศปุ๊บก็กลายมาเป็นคนแยกอาหารและไม่ได้รับเงินเดือนเลยแม้แต่นิดด

และคงเป็นงานที่ปฏิเสธไม่ได้เลย

"หยิบกระเทียมกับขิงออกมา" เยื่ยจิงเฉินผลักจานไปที่ถังซินเหยาอย่างมั่นใจ

เส้นเลือดปูดบนหน้าผากของถังซินเหยาเพิ่มขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอไม่เปลี่ยนแปลง

เธอหยิบกระเทียมและขิงด้วยตะเกียบอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยื่นให้ป๊ะป๋า

“ ผักบรอกโคลีก็ต้องหยิบออกมาด้วย” เยื่ยจิงเฉินมองมาแล้วพูด

ถังซินเหยาจับตะเกียบอย่างแน่นมาก แล้วค่อยๆปล่อย แล้วจับแน่นอีกครั้ง

ให้ตายเถอะ ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ

“ท่านประทานคะ เลือกกินไม่ดีนะ ใส่ใจกับกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพหน่อยสิ, บร็อคโคลีกระเทียมและขิงเนี้ยดีต่อสุขภาพทั้งนั้นเลยนะ "

“แล้วคุณมายุ่งอะไรกับผมด้วยเนี่ย?””

โอ้ยยย ใครมันอยากจะไปยุ่งกับคุณ เธอแค่แนะนำเฉยๆ

ถ้าเขาไม่ใช่ป๊ะป๋าของลั่วหลิงและเค่อหลอนนะ จะเป็นตายร้านดียังก็ไม่มีใครอยากสนใจหรอก

“ไม่ๆๆๆ ฉันแค่ให้คำแนะนำคุณเฉยๆ

"ก็ผมไม่ชอบกินอาหารพวกนี้"

ป๊ะป๋า คุณรู้ไหมว่าเหม็นของความน่ารักมาก?

เขามองเธออย่างน่าสงสาร ปล่อยให้เธอมองใบหน้าที่เหมือนกับลั่วหลิง เหมือนจนไม่มีที่ติ

ลูกของป๊ะป๋าน่ารักมาก ไม่ไหวเลย

“ จริงๆแล้วบรอกโคลีก็อร่อยเหมือนกันนะ”

ถังซินเหยาอมยิ้มแล้วหยิบเนื้อวัวและบร็อคโคลี่ชิ้นหนึ่งป้อนเข้าปากของเยื่จิงเฉิน

"คนดี ไม่เลือกกินนะ"

เยื่ยจิงเฉินอ้าปาก แล้วกินเนื้อวัวกับบร็อคโคลี่ด้วยกัน

“ เป็นไง อร่อยใช่ไหมล่าาา”

“ครั้งหน้าอย่าทำอาหารที่ผมไม่ชอบกินอีกนะ”

ป๊ะป๋าหยิ่งจัง เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกเลย,

"โอเค คราวหน้าจะไม่ทำแล้ว"

แปลก เธอยังไม่ชินกับนิสัยขี้จู้จี้จุกจิกของป๊ะป๋าเลย

ถังซินเหยากับเยื่ยจิงเฉินกินข้าวคนละคำสองคำ กินจนหหมด

ขนาดเยื่ยจิงเฉินไม่ชอบกินบรอกโคลดี ก็ยังกินลงไปได้ทั้งหมด

เห็นกล่องข้าวป่าวแล้ว ถังซินเหยาก็พอใจเล็กน้อย

ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเยื่ยจิงเฉินนั้น ทำให้ความอคติของถังซินเหยาลดลงไปเรื่อยๆ

ในช่วงแรกๆ ถังซินเหยาซึ่งไม่เต็มใจในการแยกอาหรา ต่อมาเธอก็ไม่ปฏิเสธเลย ความอคติลดลง

โชคดีที่ป๊ะป๋า ไม่ได้ทำอะไรเธออีก

ป๊ะป๋าทั้งดี เป็นทั้งเศรษฐี แถมยังดูหล่ออีกด้วยย!

พูดถึงใกล้ชิดก็แค่เกือบใกล้เท่านั้น

ถังซินเหยายังรักษาสติสุดท้ายของเธอไว้อยู่ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เธอแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด

เธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนตระกูลลู่แล้วแม้แต่นิด แต่นับไปนับมาป๊ะป๋าเหมือนจะเป็นน้องเขยเธออย่างถูกต้องตามกฏหมายนะ

เดิมทีเธอสัมผัสมือที่อยู่บนหน้าอกอันแข็งแรงของป๊ะป๋าเบา ๆ และเปลี่ยนเป็นแน่นขึ้นทันที

เธอพยายามผลักออกจากตัวเยี่ยจิงเฉิน แต่มือของเขาที่กำลังกอดเอวของเธอไว้นั้นเหมือนกับห่วงเหล็กที่รัดบนเอวของเธอตั้งแต่เกิด เธอพยายามผลักออกมากเท่าไหร่ เขาก็กอดแน่นขึ้น เธอรู้สึกเหมือนเอวของเธอกำลังจะถูกเขากอดจนหักแน่ๆ

เธอกัดลิ้นที่อยู่ในปากของเธอ จนกระทั่งทั้งคู่รับรู้ถึงรสชาติของเหล็กในปาก เยี่ยจิงเฉินถึงค่อยๆละออกจากริมฝีปากของเธอ

มุมปากของเยี่ยจิงเฉินยังมีคราบเลือดติดอยู่หน่อยๆ เขายื่นนิ้วโป้งอันเรียวยาวออกมาพร้อมกับเช็ดไปที่มุมปากจนคราบเลือดสะอาดหมดจด ท่าทางแบบนั้นอย่าไปปพูดถึงว่าป่าเถื่อนและเซ็กซี่ขนาดไหนเลย

หรืออาจเป็นเพราะเมื่อตอนหัวค่ำดื่มไวน์ไปเลยทำให้เธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวและยังไม่ยอมรับว่าตัวเองถูกเขาอ่อยเข้าแล้ว

“คุณทำแบบนี้กับนักออกแบบของบริษัทอื่น คู่หมั้นของคุณรู้มั้ยเนี่ย?” ถังซินเหยาถอนหายใจเล็กน้อยและมองหน้า

เยี่ยจิงเฉินอย่างจริงจัง

เขาจ้องไปที่ริมฝีปากของเธอเป็นเวลานานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ป๊ะป๋า ป๊ะป๋ามองหนูด้วยสายตาดุเดือดแบบนี้ หนูสามารถฟ้องว่าป๊ะป๋าก่อกวนได้นะ

“ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็รู้เอง” เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างไม่จริงจังนัก

อะไรก็ไม่ช้าก็เร็ว? ป๊ะป๋าทำแบบนี้ถือว่าขาดความรับผิดชอบมากเลยนะ

“แบบนี้คุณไม่……”

“รสชาติคุณไม่เลวเลยนะ”

เยี่ยจิงเฉินขัดคำพูดของเธอ

ไอ้คนฉวยโอกาส……แถมยังหน้าด้านอีกด้วย

ดูถูกเธออีกทั้งยังพูดถึงเธอต่อหน้าเธออีก

นี่คุณ คุณยังกล้าหน้าด้านกว่านี้อีกมั้ย?

“ฉันจะบอกคุณให้นะเยี่ยจิงเฉิน ถ้าคุณยังกล้าทำแบบนี้อีกละก็ ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ”

“อาหารที่บ้านคุณอร่อยดีนะ”

“นี่คุณ ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องอาหารนะ” กว่าจะหาโอกาสแบบนี้ได้ยากมาก จะต้องปฏิเสธความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับป๊ะป๋าให้ได้

“พรุ่งนี้เตรียมเผื่อผมชุดหนึ่งนะ”

“ใครกำลังพูดถึงอาหารกัน ถ้าคุณเป็นแบบนี้อีก ฉันจะโกรธจริงๆด้วย” ถังซินเหยาหงุดหงิดเล็กน้อย

ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยโกรธขนาดนี้มาหลายปีละ

“งั้นเธออยากคุยเรื่องอะไรล่ะ? จูบเมื่อกี้ไม่ใช่ว่าคุยกันแล้วหรอว่ารสชาติไม่แย่ เพียงแต่ว่าฝีมือในการจูบแย่ไปหน่อย

เธออยากจะหัวเราะเย้ยใส่หน้าเขาสักหน่อย ความจริงฝีมือของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเธอนักหรอก

ถุย……ใครจะไปคุยกับเขาเรื่องฝีมือการจูบของใครดีกว่ากัน

“ฉันไม่ได้จะคุยเรื่องจูบนี้ แต่เป็นปัญหาจากการจูบครั้งนี้ คุณมีแฟนแล้วนะแล้วคุณก็มากุ๊กกิ๊กกับฉันแบบนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ให้เกียรติคุณลู่แต่ไม่ให้เกียรติฉันด้วย” ถังซินเหยาหยุดแล้วพูดอย่างจริงจังว่า: “ เพราะฉะนั้น ขอร้องล่ะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกเลย ฉันลำบากใจจริงๆ”

ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่ในที่สุดก็ได้พูดความในใจออกมาทั้งหมด

“งั้นก็ได้” เยี่ยจิงเฉินตอบตกลงอย่างนอบน้อม

เย้……ความจริงป๊ะป๋าก็ไม่ได้นิสัยแย่นี่นา

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านทำให้ถังซินเหยาที่สวมเพียงชุดเดรสตัวสั่น

เยี่ยจิงเฉินถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกแล้วพาดไว้ตรงไหล่ของเธอ

บนเสื้อคลุมตัวนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากตัวเขาและกลิ่นมะนาวจางๆจากตัวเขา ดมแล้วก็รู้สึกอบอุ่นดีจัง

ถังซินเหยายื่นมือไปเพื่อกระชับเสื้อคลุมของเขาให้แน่นขึ้น

หน้าตาของเขาหล่อราวกับถูกแกะสลักไว้อย่างดีปรากฏอยู่ตรงหน้าถังซินเหยา

ลมหายใจของถังซินเหยาติดขัด ริมฝีปากเย็นเล็กน้อยของเยี่ยจิงเฉินก็ประทับลงตรงมุมริมฝีปากของเธอ

ครั้งนี้เขาแค่จูบลงไปตรงมุมปากของเธออย่างอ่อนโยนเท่านั้น ไปได้ลิ้มรสอะไรเลย

จูบที่นุ่มนวลและอ่อนโยน

หัวใจของเธอสั่นและเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

มันเป็นการจูบเพียงเวลาสั้นๆจนถังซินเหยายังไม่ทันรับรู้ถึงหัวใจที่เต้นผิดปกติของเธอด้วยซ้ำไป

เธอมองไปที่เยี่ยจิงเฉินด้วยความโกรธ สิ่งที่เธอพูดไปทั้งหมดเมื่อกี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ป๊ะป๋าต้องเป็นคนที่ยอมรับความเห็นของคนอื่นแต่ก็ไม่ยอมปรับเปลี่ยนแก้ไขสักทีแน่ๆ

“เยี่ยจิงเฉิน ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ” ถังซินเหยามองเขาด้วยความโกรธ

เมื่อเห็นท่าทางตอนที่เธอโกรธนั้น ก็เหมือนกับแมวที่กำลังโกรธทั้งน่ารักและมีพลัง ทำให้เยี่ยจิงเฉินอารมณ์ดีขึ้นมาก

เยี่ยจิงเฉิน : “อืม”

‘อืม’บ้าอะไรกันเล่า

“สรุปแล้วเธอไม่ได้โกรธจริงๆมาตลอดเลยหรอ?” เยี่ยจิงเฉินถามเธอพลางยิ้มมุมปาก

ถังซินเหยา “……”

อ๊ากกกก……เธอจะบ้าตาย สื่อสารกับเขาดีๆไม่ได้เลยสักนิด

เยี่ยจิงเฉินจับไหล่ของเธอและจูบลงไปที่มุมปากของเธออีกครั้ง

มุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อยและยื่นมือผลักเขาออกไปทันที

“ฉันโกรธแล้ว” ถังซินเหยาหน้าตาบูดบึ้งและมืดมน

“ค่ำมากแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งนะ” เยี่ยจิงเฉินไม่แกล้งถังซินเหยาอีก

ถังซินเหยามองบนไปที่เยี่ยจิงเฉินหนึ่งรอบพร้อมกับหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋าของเธอและพูดอย่างไม่สนใจว่า:

“ไม่ต้องละ ฉันขับรถมาค่ะ”

รถของเธอถึงจะสู้รถสุดหรูอย่างของป๊ะป๋าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันนัก

“คุณเพิ่งดื่มไวน์ไปมันไม่ปลอดภัย เดี๋ยวผมไปส่ง” เยี่ยจิงเฉินแย่งกุญแจไปจากมือของเธอด้วยท่าทีที่เข้มแข็ง

อะไรกัน พูดเหมือนตัวเองไม่ได้ดื่มเลยงั้นแหละ

“แล้วรถของคุณล่ะ?” ถังซินเหยาเหลือบมองไปที่รถที่อยุ่ใต้ก้นของพวกเขา

“ทิ้งไว้ที่นี่แหละ ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมให้คนมาขับไป” เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างไม่เป็นกังวล เหมือนกับไม่สนใจรถสปอร์ตที่ราคาแพงหูฉี่คันนี้เลยแม้แต่น้อย

ฉันขอคุกเข่าอย่างจริงใจให้กับคนรวยจริงๆ นี่คงเป็นความสุขในการใช้เงินสินะ

ทำให้สายตาที่สื่อถึงความอิจฉาของเธอกลายเป็นสีแดงเลยทีเดียว

รถขับไปจนถึงนอกหมู่บ้านของเธอ เธอปลดเข็มขัดนิรภัยออก เหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดว่า : “ ตอนนี้เวลาตีสองสามสิบสองนาทีแล้ว นับตั้งแต่ที่ฉันออกบ้านรวมแล้วก็ประมาณสี่ชั่วโมงแล้วที่เธอทำโอที”

บนโลกใบนี้สิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือเงิน เพราะฉะนั้นเธอต้องหาเงินให้มากถึงมากที่สุด

“ทำไมต้องนับตั้งแต่ออกจากบ้านล่ะไม่ใช่ว่าต้องนับตั้งแต่ตอนที่เธอถึงที่นู้นหรอกหรอ?” เยี่ยจิงเฉินพูด

“ไม่ใช่ค่ะ ต้องนับตั้งแต่ออกจากบ้านถึงจะถูกค่ะ”

“อ่อ” เยี่ยจิงเฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า : “ถ้างั้นเวลาเริ่มทำงานของบริษัทเริ่มตั้งแต่เก้าโมง พนักงานบริษัทควรออกจากบ้านตอนเก้าโมงแต่ไม่ใช่ว่าต้องไปตอกบัตรเข้าทำงานที่บริษัทตอนเก้าโมงตรงงั้นหรอ?”

ถังซินเหยาสำลักไปครู่หนึ่ง

ให้ตายสิ เกิดมาเป็นเศรษฐีผู้มีเงินมหาศาลยังสนใจเรื่องการให้เงินทำโอทีอีกหรอเนี่ย?

จะเป็นลม

“ลงรถ” ถังซินเหยาเปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยอารมณ์โกรธ

ตอนแรกยังคิดจะให้ตาเยี่ยจิงเฉินขับรถของชีชีกลับอยู่หรอก แต่ตอนนี้……ขอไม่ดีกว่า

เยี่ยจิงเฉินก้าวออกจากรถด้วยขาที่เรียวและแข็งแรง แต่ทันใดนั้นเองเขาก็เดินเข้ามาหาถังซินเหยา

ตอนนี้ถังซินเหยามองป๊ะป๋าเหมือนเป็นโรคระบาดและรีบถอยหลังออกอย่างระมัดระวัง

เยี่ยจิงเฉินวางมือของเขาบนหลังคารถ และดักถังซินเหยาไว้ระหว่างกับตัวเขา

“ถ้าคุณยังกล้าจูบฉันอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะตะโกนโหวกเหวกโวยวายนะ” ถังซินเหยารีบเอามือปิดปากแล้วพูดอย่างคลุมเครือ

หลังจากวางสาย ถังซินเหยาก็รีบเปลี่ยนชุดตัวเองจากนั้นก็จุ๊บไปที่ลูกทั้งสองคนละทีและเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงานหาเงินแล้ว

"หม่ามี้ หม่ามี้คิดจะทิ้งป๊ะป๋าแล้วไปหาป๊ะป๋าคนใหม่ให้พวกหนูเหรอคะ?" เค่อหลานส่งถังซินเหยาตรงหน้าประตู และถามด้วยสีหน้าใสซื่อ

เด็กน้อย หม่ามี้ก็ไปกับป๊ะป๋านั่นแหละ

"ถ้าลูกอยากได้ละก็ เดี๋ยวตอนหม่ามี้กลับมาซื้อกลับมาให้หนูด้วยสองคนนะ" ถังซินเหยาเปลี่ยนรองเท้าพลางพูดกับเค่อหลานไปด้วย

เค่อหลาน: ……

ที่แท้แล้วป๊ะป๋าสามารถซื้อได้นี่เอง

หม่ามี้ไม่ได้โกหกเธอ เงินเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ในอนาคตเธอจะหาเงินเยอะๆเลย

เธอก้าวเท้าและหันหลังเดินกลับห้องไป

"หม่ามี้ ถ้างั้นหม่ามี้ต้องระวังตัวแล้วก็รีบกลับบ้านนะครับ" ลั่วหลิงเป็นเด็กที่มั่นคงมาก

"รู้แล้วครับ หม่ามี้รักพวกหนูนะ พวกหนูก็รีบพักผ่อนให้ไวนะแล้วก็ห้ามเปิดประตูให้คนแปลกหน้าเด็ดขาดเลยนะ" ถังซินเหยาโน้มตัวไปจูบลูกชายแป๊ปหนึ่ง

หูของลั่วหลิงแดงขึ้นทำให้ถังซินเหยารู้สึกถึงความน่ารักของลูกชาย

เธออุตส่าห์เดินมาถึงหน้าลิฟท์แล้วแต่ก็ถูกเค่อหลานลูกสาวของเธอตามทันจนได้

เค่อหลานหายใจถี่ๆตรงแก้มทั้งสองข้างแดงเหมือนกับลูกแอปเปิ้ลสองลูก ไม่ต้องพูดเลยว่าน่ารักขนาดไหน

เธอยื่นกระปุกออมสินของเธอให้กับถังซินเหยาผู้เป็นแม่พร้อมกับพูดอย่างเศรษฐีว่า: " หม่ามี้ ตอนที่หม่ามี้กลับมาอย่าลืมซื้อป๊ะป๋ากลับมาด้วยสามคนนะคะ ของหนูหนึ่งคน ให้พี่ลั่วหลิงหนึ่งคนแล้วก็ให้หม่ามี้ด้วยอีกหนึ่งคน"

ถังซินเหยา "……"

ลูกสาวที่น่ารัก นี่ไม่ใช่ไปกินข้าวสักหน่อยยังมีการจ่ายเงินให้อีก

อีกอย่างหนูฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วล่ะ ซื้อป๊ะป๋าคนเดียวใช้ร่วมกันสามคนก็พอแล้วค่ะไม่ต้องซื้อป๊ะป๋าตั้งสามคนให้มันฟุ่มเฟือยหรอกเนอะ?

ถังซินเหยารู้สึกเสียใจเล็กน้อยก่อนไปเธอได้หยิบกุญแจรถของชีชีไว้ด้วย เธอตัดสินใจจะขับรถสปอร์ตของชีชีไป

ปกติเธอไม่กล้าที่จะขับเลย เพราะรถสปอร์ตถึงแม้จะดูลู่ลมก็จริงแต่ก็เปลืองน้ำมันมากเช่นกัน

ค่าน้ำมันและค่าจอดรถบางส่วน ก็เพียงพอสำหรับค่าแท็กซี่ของเธอทุกวันแล้ว

วันนี้ป๊ะป๋าผู้เศรษฐีอุตส่าห์ออกค่ารถให้ นานๆทีจะได้รู้สึกถึงความหรูหราสักที นี่มันช่างเพอร์เฟคจริงๆ

ถังซินเหยาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ซื้อเบียร์จากที่บ้านมาแล้วและยังไปถึงที่ยอดเขาจวี่หลงซานได้ทันเวลาพอดี

จวี่หลงซานต้องเป็นหมู่บ้านคนรวยแน่ๆ เต็มไปด้วยที่ดินและทองคำทุกๆตารางนิ้ว

ถ้าหากเป็นพวกเศรษฐีหน้าใหม่ โดยปกติแล้วไม่ว่าจะจ่ายมากเท่าไหร่ก็ไม่พอที่จะซื้อที่ดินได้หรอกนะ

ถ้าหากเธอมีที่ดินในจวี่หลงซานละก็ แน่นอนว่าเธอจะต้องรวยพลุแตกภายในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน

สถานที่ที่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่จะมาได้แบบนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิวทิวทัศน์เลยสวยงามตามท้องเรื่อง

วิวบนยอดเขานั้นดีมาก สามารถมองเห็นวิวทะเลทางด้านล่างภูเขาได้เลย

เยี่ยจิงเฉินก็เหมือนกับชายหนุ่มในวัยมัธยมต้น นั่งอยู่บนฝาหน้ารถใช้แขนข้างเดียวประคองตัวเอง ขาข้างหนึ่งเหยียดตรงส่วนอีกข้างหนึ่งงอขึ้น

เขาหน้าตาดีอีกทั้งหุ่นก็ดีอีก เพราะฉะนั้นพอมองไปก็ดูเย่อหยิ่งและเท่เป็นพิเศษ

นี่คือโลกแห่งการรูปลักษณ์หน้าตา ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังไปนัก

“ประธานเยี่ย นี่คือไวน์แดงที่ท่านต้องการค่ะ” ถังซินเหยารู้จักรสนิยมที่สูงส่งของเยี่ยจิงเฉินเป็นอย่างดี เพราะเช่นนี้เธอเลยเตรียม Lafite ไว้พร้อม

อารมณ์ของเยี่ยจิงเฉินไม่ดีนัก เขารับไวน์กับแก้วไวน์ทรงสูงจากถังซินเหยา และดื่มมันอย่างดุเดือด

ไวน์แดงที่ดื่มไปนั้นได้ไหลผ่านริมฝีปากบางเซ็กซี่ลงไปตรงคางของเยี่ยจิงเฉิน ไหลผ่านคางที่เซ็กซี่และลูกกระเดือก ไหลผ่านเข้าไปเสื้อเชิ้ตสีดำของเขา เสื้อเชิ้ตสีดำบนหน้าอกของเขาเปียกไปด้วยไวน์แดงและมันถูกแนบสนิทกับส่วนบนของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อหน้าอกที่เซ็กซี่และแข็งแกร่ง

เหือก…… ป๊ะป๋ายั่วยวนเกินเหตุ

เมื่อเห็นว่าเยี่ยจิงเฉินดื่มไวน์ชั้นดีหมดไปหนึ่งขวด ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็เปียกโชกไปด้วยความเหงา

ถังซินเหยาก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงห่วงไวน์หรือว่าห่วงเยี่ยจิงเฉินนั้นทั้งสองก็ไม่ต่างกันเลย

อย่างไรก็ตามเธอไม่ยอมปล่อยให้เยี่ยจิงเฉินฟุ่มเฟือยไวน์อันราคาแพงขวดนี้ทิ้งเด็ดขาด จากนั้นเธอก็ดื่มจนตัวเองเมาเละเทะ

เธอหยิบแก้วไวน์ทรงสูงออกมาอีกใบจากรถพร้อมกับหยิบกับแกล้มออกมาอีกหน่อย

ไม่ต้องถามเธอว่าเธอไปเอากับแกล้มมาจากไหน เพราะเธอไม่ยอมบอกแน่นอน เธอวางแผนไว้แต่ต้นแล้วว่าจะมาแอบดื่มไวน์สักหน่อย!หึ!

“ดื่มคนเดียวมันเมาง่ายนะคุณ เดี๋ยวฉันดื่มเป็นเพื่อนนะ” ถังซินเหยาก็นั่งลงบนรถหรูที่แพงหูฉี่ของเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับพูดกับเขา

เยี่ยจิงเฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธถังซินเหยาอย่างใดพร้อมรินไวน์ให้เธอครึ่งแก้ว

ถังซินเหยาจิบไวน์ไปอึกหนึ่งก็เตาะปากทีหนึ่ง รสชาตินั้นก็ไม่ต่างกับที่เคยดื่มตะก่อนหรอก

รสนิยมของเธอคงยังไม่สูงพอจริงๆ

“ประธานเยี่ยคะ ท่านมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเล่าออกมาให้ดิฉันมีความสุขหน่อยเถอะค่ะ”

ถุยๆ……พอดื่มปุ๊บปากก็พล่อยเลยทำไงดี?

เยี่ยจิงเฉินมองถังซินเหยาอย่างเย็นชาพร้อมพูดว่า : “อยากโดนใช่มั้ย?”

มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเมื่อนึกถึงว่าจะเจ็บก้นไปสักวันสองวัน ถ้าเป็นในอดีตละก็ถังซินเหยาจะต้องตระหนักเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นอย่างดี วันนี้ถึงจะดื่มไม่เมาแต่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ก็ทำให้คนเป็นอัมพาตได้เหมือนกัน

“คุณคิดว่าฉันกลัวคุณจริงๆหรอ ฉันแค่ไม่อยากมีเรื่องกับคุณเท่านั้นเอง” ถังซินเหยาพูดอย่างไม่เกรงกลัวใคร ไม่มีเยี่ยจิงเฉินอยู่ในสายตาเธอด้วยซ้ำ : “ ฉันจะบอกคุณให้นะ คุณตีฉันสองครั้ง ฉันจำมันได้แม่นเลยล่ะ ถ้าหากวันไหนคุณตกอยู่ในกำมือของฉันแล้วละก็ฉันจะทรมานคุณก่อนแล้วฆ่าทิ้งทีหลังเลยคอยดู”

“ถ้างั้นผมจะรอคุณทรมานผมก่อนแล้วฆ่าทิ้งทีหลัง” เยี่ยจิงเฉินยิ้มเล็กน้อย อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

“จริงสิ คุณบอกว่าผมตีคุณสองครั้ง อีกครั้งหนึ่งโดนเมื่อไหร่นะคุณยังจำได้มั้ย?” เยี่ยจิงเฉินถามอย่างลึกซึ้ง

“หลอกถามสินะ? คุณคิดว่าฉันเมาจริงๆหรอ?” ถังซินเหยาพูดอย่างไม่เกรงกลัว

เยี่ยจิงเฉินกับถังซินเหยาอยู๋ใกล้กันมากแต่แรกแล้ว พอถังซินเหยาพูดเธอก็เงยหน้าขึ้น ทำให้ตอนนี้ทั้งอยู่อยู่ใกล้กันมากขึ้นอีก ใกล้จนจมูกจะชนกันอยู่แล้ว

มองไปที่ดวงตาของถังซินเหยารวมไปถึงกลิ่นหอมอ่อนๆบนตัวของเธอ

บุคคลที่คอแข็งมากอย่างเยี่ยจิงเฉินยังมึนเมาในตัวของถังซินเหยา เขารู้สึกคอแห้งเล็กน้อย

ถังซินเหยาก็รู้สึกเหมือนกำลังทอดรักกันอยู่ เธอขยับออกเล็กน้อย

แต่ว่ายังไม่ทันห่างออกไปเลย เอวที่ถูกรัดแน่นและตัวของเธอก็ถูกกระชากเข้าไปชิดหน้าอกที่แข็งแรงของเยี่ยจิงเฉินอย่างไม่มีช่องว่างเลย

เสียงที่ทุ้มต่ำและเซ็กซี่ของเยี่ยจิงเฉินดังขึ้นมาข้างหู : “ ตอนนี้ไม่หลอกถามคุณละ ลองดูว่าอะไรคือทรมานก่อนฆ่าทิ้งทีหลัง”。

เสียงเพิ่งพูดจบ การหายใจของเธอก็ถูกเยี่ยจิงเฉินควบคุมไว้ทั้งหมด

ให้ตาย ป๊ะป๋า ป๊ะป๋าขี้โกงอีกแล้ว หนูจะฟ้องตำรวจจริงๆนะ

เยี่ยจิงเฉินโอบเอวของถังซินเหยาไว้เบาๆ ตัวของเธอนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอมจางๆอีก ตัวทั้งสองตนแนบชิดกัน คนหนึ่งอายุน้อยแต่แข็งแรงส่วนอีกคนหนึ่งก็สง่างามไม่มีที่ติ

ริมฝีปากของเขาประทับลงที่ริมฝีปากของเธอ

ทั้งคู่ที่เพิ่งดื่มมา ความกล่มกล่อมของ Lafite ผสมผสานกับลมหายใจของทั้งคู่และกลายเป็นรสชาติของกันและกัน。

ลมหายใจของถังซินเหยาเต็มไปด้วยกลิ่นของเยี่ยจิงเฉิน กลิ่นนี้ไม่แปลกเลยสำหรับเธอ ความหวานที่แปลกประหลาดของไวน์แดงพร้อมกับรสนิโคตินทำให้การป้องกันหัวใจของเธอนั้นค่อยๆหายไป

เธอคิดว่าวันนี้เธอคงเมาแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้น ความสามารถในการจูบของป๊ะป๋าเช่นนี้ถึงทำให้เธอหลงใหลได้ขนาดนี้ล่ะ

ก่อนที่จะเลิกงาน จิงเฉินได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง จากสีหน้าที่บึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แต่ทว่ารอยยิ้มนี้มันดูแปลกไปสักหน่อย

“รู้แล้วครับ เดี๋ยวผมกลับไป” จิงเฉินพูดด้วยถ้อยคำที่เย็นชา

หลังจากที่วางหู จิงเฉินยกโทรศัพท์ขึ้นอยากจะปามันลงพื้นให้แตกละเอียดเสียจริง

แต่เขาก็ได้อดกลั้นความรู้สึกนี้ไว้ แล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่าง มองดูเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมา ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่กลับผสมด้วยความกระหายเลือดเกลียดชัง

จิงเฉินขับรถสปอร์ตสีดำที่ดูเรียบง่ายแต่ก็ดูหรูหรา กลับมาถึงบ้านหลังเก่าที่ทำให้เขารู้สึกกดดันแทบจะหายใจไม่ออก

บ้านหลังเก่านี้มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ทุกมุมมันซ่อนความรู้สึกเก่าแก่ลึกซึ้งลงไปทั้งหมด

นี่เป็นที่ที่จิงเฉินเกลียดที่สุด

“เป็นลูกภาษาอะไร ยิ่งโตยิ่งไม่มีระเบียบ ต้องให้ผู้ใหญ่รอนานขนาดนี้เชียวหรือ” ในห้องรับแขกมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกี่เพ้าอยู่ในนั้นและพูดขึ้น "ตอนนี้เป็นนักธุรกิจใหญ่โตงานยุ่งตัวเป็นเกลียวแล้วล่ะสิ คนเป็นแม่อย่างฉันถ้าอยากเจอถึงกับต้องโทรศัพท์นัดวันเชียวหรือ?”

ใบหน้าที่ดูแลปลอบประโลมมาอย่างดีไม่มีรอยตีนกาอะไรเลยซักอย่าง ถ้ามองข้ามความโหดร้ายที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอ เธอคนนี้ความจริงก็เป็นคนดีอยู่หรอก

จิงเฉินเดินไปด้วยหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์และนั่งลงบนโซฟาอย่างตัวตรง

“ที่บริษัทมีงานที่ต้องจัดการ อีกอย่างผมแค่รับปากว่าวันนี้จะกลับมา แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมากี่โมง” จิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา

“นี่พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้หรอ” มารยาทที่ร่ำเรียนมาพวกนั้นมันหายเข้าไปในท้องหมาแล้วหรืออย่างไรกัน?”

“หึ……” จิงเฉินหัวเราะขึ้นและพูดอย่างสุขุมว่า”คุณแม่ทำไมต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียขนาดนี้ล่ะครับ ผมแค่พูดความจริงเท่านั้น”

“ไอ้เด็กคนนี้”

“เอาหล่ะ เถียงกันไปเถียงกันมามันจะได้อะไร? จิงเฉินอีกหน่อยถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว” ท่านประธานใหญ่(เยี่ยแจว๋)ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ตอนแรกไม่พูดอะไรก็พูดขึ้นมาตัดตอนระหว่างบททะเลาะกันระหว่างจิงเฉิงและคุณผู้หญิงเยี่ย(ภรรยาของตน)

จิงเฉินมองดูผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก เม้มริมฝีปากลงและไม่ได้พูดอะไรต่อ

คุณผู้หญิงเยี่ยรู้สึกไม่พอใจยิ่งนักที่พลาดโอกาสที่จะสั่งสอนจิงเฉิน

เยี่ยจิงซิงที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นจิงเฉินโดนดุก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข

แต่เขาก็ไม่ได้ลืมว่าสาเหตุที่เรียกจิงเฉินกลับมาเพราะมีจุดประสงค์อะไร

“เอาหล่ะแม่ ที่แม่เรียกจิงเฉินกลับมาไม่ใช่มีอะไรจะบอกหรอ” จิงซิงเตือนความจำคุณผู้หญิงเยี่ยแบบอ้อมอ้อม

คุณผู้หญิงเยี่ยนิ่งคิดไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังคิดไม่ออก

หลังจากที่พวกเขาได้บริษัทเยี่วหวงมาไว้ในมือแล้ว ยังจะกลัวไอ้สัตว์ป่าตัวน้อยนี้อีกอยู่หรือเปล่า

“ตอนนี้แพลนของบริษัทใหญ่ขึ้นเรื่อยเรื่อย ที่บริษัทมีเเกคนเดียวดูแลน่าจะเหนื่อยไปหน่อย พอดีพี่ใหญ่ของเเกกลับมาจากต่างประเทศ สามารถที่จะเข้าไปช่วยงานได้ เเกสามารถกลับมาพักผ่อนอยู่เป็นเพื่อนคนที่บ้านได้ในช่วงนี้”

“ที่บริษัทไม่มีงานที่เหมาะกับพี่ใหญ่ และไม่มีโปรเจ็คที่เหมาะกับพี่ใหญ่ด้วย”

"ฉันเห็นว่าเธอเป็นหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์มากกว่า อยากจะฮุบบริษัทไว้คนเดียวหล่ะสิ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นหล่ะสิ แค่กับพี่ชายแท้แท้ก็ไม่ยอมแล้วหล่ะสิ”

“ผมแค่พูดตามความจริง”

“เธอก็แค่กลัวพี่ชายของเธอเก่งกว่าตัวเอง และแย่งตำแหน่งของเธอ เธอมันอิจฉาพี่ชายเธอหล่ะสิ”

“คุณก็รู้ดีนี่ งั้นผมยิ่งไม่สามารถที่จะให้พี่ใหญ่เข้ามาในบริษัทได้”

จิงซิงเป็นคนอย่างไรเขารู้ดี แค่คิดว่าจบมาจากมหาลัยชั้นนำต่างประเทศก็เก่งนักงั้นหรอ?

“ที่รัก”

“พ่อครับ”

ท่านประธานใหญ่( เยี่ยแจว๋ )ขมวดคิ้วเหมือนกับจิงเฉิน เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ของจิงเฉินเป็นอย่างมาก

“จิงซิงเข้าบริษัทไป โปรเจคนิทรรศการเครื่องประดับก็มอมให้ลูกเป็นคนดูแล”ท่านประธานใหญ่กล่าว

“ผมไม่เห็นด้วย” จิงเฉินปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแข็งทื่อ

“ฉันต้องได้รับอนุญาตจากเเกด้วยหรอ? ตอนนี้ฉันยังเป็นประธานใหญ่ของบริษัทเยี่ยหวง ทั้งบริษัทเยี่ยหวงยังเป็นของฉันอยู่ เเกมีสิทธิ์ที่จะมาขัดขวางด้วยหรอ?

เรื่องนี้ถึงเเกจะไม่เห็นด้วยแต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี"

จิงซิงพรุ่งนี้ไปบริษัทกับพ่อ “ท่านประธานใหญ่(เยี่ยแจว๋) ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“ขอบคุณครับพ่อ ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังเป็นอันขาด” จิงซิงพูดด้วยหน้าระรื่น

“ปีกยังไม่แข็งพอก็กล้าจะมาต่อกรกับฉัน อย่าคิดว่าแค่สองปีให้หลังมานี้ผลงานของแกมันจะเลิศเลอขนาดนั้น แค่คำพูดคำเดียวของฉัน ก็ทำให้เเกตกกระป๋องไร้ค่าไปได้”

จิงเฉินยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี

“ฉันแค่เรียกเเกกลับมากินข้าวแค่มื้อเดียวแล้วจะทำไม”

“ผมยุ่งมาก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อพูดสร็จ จิงเฉินก็ไม่สนว่าท่านประธานใหญ่จะโกรธเหมือนฟ้าผ่าอยู่ข้างหลังเพียงใด เขาได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

“ ที่รักใจเย็นๆลงหน่อยเถอะค่ะ ไอ้ลูกคนนี้เกิดมามันก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจอะไรมาก”

“ ใช่ครับพ่อ มันไม่คุ้มที่จะให้พ่อไปโกรธ”

คำพูดที่พูดออกมาค่อยค่อยจางหายไปพร้อมกับจิงเฉินที่เดินจากไป

จิงเฉินออกมาจากบ้านเก่าน่าอึดอัดหลังนั้น สตาร์ทรถขับด้วยความเร็วแสง สุดท้ายก็ไปจอดอยู่ที่ยอดเขา

เขารู้สึกเครียดและได้หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน กลิ่นของนิโคตินมันทำให้เขารู้สึกยิ่งเครียดไปกันใหญ่

มองดูบนท้องฟ้าที่มืดมิดเช่นนี้ ดวงดาวบางดวงที่เปล่งแสงเป็นระยะระยะ มันทำให้เขาคิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่ฉลาดหลักแหลม มีเสน่ห์ และเจ้าเล่ห์ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เมื่อเธอโกรธ เธอชอบเอากรงเล็บอันแหลมคมไปข่วนคนอื่น ท่าทางแบบนี้ มันน่าดึงดูดเอามากจริงๆ

เขายิ้มที่ริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาใครบางคน

“สวัสดี ซินเหยาพูดค่ะ……” พูดด้วยเสียงอ้อแอ้ไม่ชัดเพราะลูกของเธอกำลังหยิบองุ่นผลสีแดงเข้าไปในปากของเธอ

“ฉันรู้ว่าเธอคือซินเหยา รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนกับเสียงเชลโล่ได้ถามขึ้น

แม่เจ้า…… ป๊ะป๋าคุณเป็นคนเย็นตาแข็งทื่อ อย่าเลียนแบบเสียงอ้อนเลย มันดูน่าขนลุก

จากนั้นเธอรีบอุดเสียงโทรศัพท์และกลืนผลองุ่นพร้อมเม็ดลงไปในคอ

จากนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องของเธอพร้อมล็อกประตูอย่างรวดเร็ว

มั่นใจแล้วว่าในห้องมีเพียงเธอคนเดียวจึงพูดขึ้นว่า”ประธานเยี่ยคุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ? "

“ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ยอดเขาหลงซาน คุณเอาไวน์ขึ้นมาให้ผมหนึ่งขวด”เยี่ยจิงเฉินพูด

“ตอนนี้มันไม่ใช่เวลางานนะคะ ฉันไม่จำเป็นต้องไป”

คุณไม่มีสิทธิ์มาละเมิดฉันแบบนี้!

ค่าไวน์กับค่ารถฉันออกให้ ถ้าเธอมา ฉันเพิ่มค่าโอทีนี้ให้ 10 เท่า

10 เท่า? มันเป็นเงินเท่าไหร่กันนะ

นี่ป๊ะป๋าก่อนออกจากบ้านลืมกินยาหรืออย่างไร? แต่ไม่เป็นไรเธอชอบ

จากนี้ไปขอร้องให้ป๊าป๋าก่อนออกจากบ้านไม่ต้องกินยาอีกนะ

“โอเค ฉันจะรีบไปทันที” ซินเหยาตอบตกลงอย่างหน้าระรื่น

เมื่อเธอต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับเงิน คนอย่างเธอนะหรือก็ต้องเลือกอย่างที่สองอยู่แล้วสิ

ซินเหยาตอนนี้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอามาก ในชีวิตนี้ของเธอ เธอเคยโดนตบตูดมาแค่สองสอบ แต่ทำไมทั้งสองรอบนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่ตบ?

รอบแล้วเมื่อหกปีก่อนเธอยังเด็กอยู่ แต่ตอนนี้เธอเป็นหม่ามี้ลูกสองแล้วนะ

ถ้าคนอื่นรู้ว่าจิงเฉินกดเธอไว้ที่ขาของเขาแล้วตบตูดเธอ เธอยังจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนหล่ะ?

ฉันเป็นป้าแก่ของคุณ เป็นป้าแก่ของคุณ เป็นป้าแก่ของจิงเฉิน เธอรวบรวมคำด่าทั้งหมดที่คิดได้ ทั้งชีวิตนี้เธอไม่เคยด่าใครขนาดนี้มาก่อนเลย “ไอ้สาระเลว อันธพาล กล้ามาตบตูดป้าแก่ของตัวเองหรอ นายมันอกตัญญูเสียจริง ไม่กลัวฟ้าผ่าใส่หัวกบาลหรอ?”

การตอบสนองกลับของเสียงมันยิ่งรุนแรงขึ้น เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! บั้นท้ายตอนนี้ของเธอมันเจ็บเหลือเกิน

“จริงหรอ ฉันก็อยากลองดูว่าจะโดนฟ้าผ่าใส่หัวกบาลหรือเปล่า” จิงเฉินพูดอย่างใจเย็น

หลิงหลิงน่ารักแบบนี้ เขาต้องให้กำเนิดลูกชายที่ทั้งฉลาดและน่ารักเป็นแน่

จิงเฉินพูดอย่างเย็นชาว่า ”ดูเธอเริงร่ามีชีวิตชีวาเช่นนี้งั้นฉันก็จะตบต่อ”

จิงเฉินคุณมันไม่ใช่มนุษย์ ตอนคุณอยู่ในท้องคุณยังพัฒนาไม่เต็มที่ใช่ไหม?ดีเอ็นเอของคุณถึงได้เปลี่ยนไปเป็นเหมือนมนุษย์ต่างดาวเช่นนี้ หยินหยางในตัวคุณมันไม่สมดุลย์กัน คุณมันเหมือนคุณกับแมลงสาบ คุณเป็นสปีชี่เดียวกันกับคางคกที่สกปรกน่ารังเกียจ ตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้อากาศบนโลกนี้เป็นมลพิษ ตอนที่คุณตายไปก็ทำให้พื้นดินปนเปื้อนเชื้อร้าย ถ้าโยนคุณเข้าไปในระบบสุริยมันก็ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีก……อืม……ฉันผิดแล้ว ฉันไม่ควรพูดคำหยาบพวกนี้ออกมา

เธอยังคงด่าจิงเฉินต่อไป ถึงแม้ว่าปากของเธอจะรู้สึกดีขึ้นที่ได้ด่าออกมา แต่ว่าตูดของเธอกลับต้องเป็นที่ที่ต้องโดนรับโทษอย่างสาหัสทารุณ

แม่เจ้า!! มือของจิงเฉินมันหนักจริงๆ ตอนนี้ตูดเธอมันบวมหมดแล้ว!

จิงเฉินเอามือกดลงที่บั้นท้ายที่งอนขึ้นมาของซินเหยา ขมวดคิ้วหนึ่งครั้งแล้วบอกว่า “อื่มม เนื้อสัมผัสไม่เลว”

“รู้สึกผิดหรือยัง”จิงเฉินถาม

ไอ้สาระเลว มือวางไว้ตรงไหน?

“รู้สึกผิดแล้วค่ะ” ความจริงฉันไม่ได้ผิดสักหน่อย

“ต่อไปจะกล้าพูดคำหยาบแบบนี้อีกไหม?” จิงเฉินถาม

คำนี้มันฟังยังไงก็ดูเหมือนกำลังดุด่าลูกของตัวเอง

ถุย ถุย ถุย! ถ้าเธอมีป๊ะป๋าโรคจิตแบบนี้นะคง คงร้องไห้นอนตายในห้องน้ำไปแล้วกระมัง

คิดถึงตอนที่หลานหลานทำผิด เธอแค่อ้อนสักหน่อย แล้วมาจูบสักฟอด ซินเหยาก็หายโกรธแล้ว

ให้เธอจุ๊ปป๊ะป๋าหรอ? ให้ตายเธอก็ไม่ทำ

ซินเหยาส่ายหัวไปมาและพูดว่า ”ไม่กล้าแล้วค่ะ” ความจริงตอนนี้เธอดูน่าสงสารมากกว่าตอนที่หลานหลานทำผิดเสียอีก

สายตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยสีแดงก่ำ บวกกับใบหน้าที่ดูเชื่อฟังเหมือนหมาน้อยไร้เดียงสา มันทำให้ใครต่อใครไม่กล้าที่จะไปดุด่าเสียจริง

จิงเฉินผู้ชายที่เย็นชาแข็งทื่อเช่นนี้ เห็นสภาพน่าสงสารของซินเหยาก็อดคิดไม่ได้เลยว่าที่ตัวเองทำไปเมื่อตะกี้นี้มันเกินไปหรือเปล่า?

ดวงตาของซินเหยาเปรียบได้กับดวงตาอันงดงามมีเสน่ห์ของนางเทวดา เมื่อเธอเห็นจิงเฉินเป็นแบบนั้น ก็รู้เลยว่าเขารู้สึกสำนึกผิดแล้ว

ไอ้บ้าเอ้ย! คุณตีเสร็จแล้วค่อยรู้สึกสำนึกผิดทีหลัง มันมีประโยชน์อะไร?

“คือว่า…. ฉันขอกลับCKก่อนได้หรือป่าว?” ซินเหยา ถามอย่างกล้ากล้ากลัวกลัว

จิงเฉินอยู่ในแวดวงของธุรกิจมาหลายปีแล้ว ถ้าเปรียบเหมือนการเสิร์ฟอาหารเขาคงแซงนำไปแล้วสองร้อยปี

หนทางเล็กน้อยริบหรี่ของซินเหยานะหรอ มันเทียบไม่ได้กับของเขาหรอก

“เอ่อใช่….. คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่ชอบกินของที่มันหวาน รู้ได้อย่างไรว่าผมไม่ชอบกินกระเทียมแล้วก็หัวหอม” จิงเฉินนั่งอยู่ที่นั่นเหมือนจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังมองไปที่เหยื่ออย่างซินเหยาอยู่

ฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าคุณไม่ชอบกินของหวาน ไม่ชอบกินกระเทียมและหัวหอม?

ถ้าฉันบอกว่าฉันเดาตามที่หลิงหลิงและหลานหลานไม่ชอบกินของพวกนี้ บวกกับการเดาแบบถ่ายทอดทางพันธุกรรมหล่ะ ป่ะป๊าจะเชื่อหรอ?

“เอาล่ะเธอออกไปทำงานได้แล้ว” เมื่อได้ยินว่าจิงเฉินไม่ได้ใส่ใจกับปัญหานี้มากเท่าไหร่ ซินเหยาก็ได้ออกจากห้องนั้นไปอย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับที่เธอบอกว่าเธอจะกลับไปที่CKนั้น เธอได้บอกว่าเธอจะกลับไปจริงหรอ?

จิงเฉินหรี่ตาเล็กลงและมองไปที่ซินเหยาที่กำลังวิ่งออกไป

จิงเฉินครุ่นคิดอยู่สักพัก และรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับซินเหยานั้นมันมากและลึกซึ้ง แต่ทำไมในความทรงจำกลับไม่มีเศษเสี้ยวของเธอเลย

พวกเขาทำอะไรลงไปนะ?

หลี่เวยแอบฟังอยู่ที่หน้าประตู ได้ยินเสียง ป๊าป! ป๊าป! ป๊าป! ออกมาจากข้างใน บวกกับเสียงสะอึกสะอื้นครวญครางของซินเหยา

ตอนนี้เธอรู้สึกกระวนกระวายไปหมด ในกลางวันแสกแสกนี่นะ? บอสใหญ่กับซินเหยาทำอะไรกันในนั้นกลางวันแสกๆนี่นะ?!

ช่วงนี้ทั้งประเทศกำลังกวาดล้างกับพฤติการณ์แบบนี้อยู่ นี่พวกคุณไม่กลัวตำรวจจะจับเข้าห้องมืดหรืออย่างไรกัน?

เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังกุมความลับอันใหญ่หลวงไว้อยู่ เรื่องนี้จะถูกแพร่งพรายออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด

ตอนที่ซินเหยาเดินออกมาจากในห้อง เธอเดินแบบโซซัดโซเซบวกกับสายตาที่แดงก่ำ สภาพเธอตอนนี้มันดูไม่ได้เลยจริงๆ

มันทำให้หลี่เวยแน่ใจขึ้นไปอีกว่าเกิดอะไรขึ้น

บอสใหญ่ผู้เกรียงไกรหาญกล้า

“เหยาเหยา เธอระวังหน่อยนะ” หลี่เหยาอยู่ข้างหลังพร้อมเอามือพาดไปที่ไหล่ของซินเหยาแบบเบาๆ แล้วถามอย่างนุ่มนวลอบอุ่นว่า “เหยาๆ ให้ฉันไปซื้อยาให้เธอหน่อยไหม? สภาพเธอตอนนี้มันดูเศร้ามากจริงๆ”

ถ้าฟังจากเสียงเมื่อกี้บวกกับสีหน้าของซินเหยาตอนนี้ คงเป็นครั้งแรกของเธอสินะ

ครั้งแรกมันก็เจ็บแบบนี้แหละ ถ้าได้กินยาสักประเดี๋ยวก็จะดีขึ้น

“ซื้อยา” ซินเหยาไม่เข้าใจที่เธอถาม

หลี่เวยกระพริบตาอย่างคลุมเครือและพูดว่า "เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ฉันเข้าใจดี เมื่อกี้ฉันอยู่ข้างนอกฉันได้ยินเสียงทุกอย่าง”

ซินเหยาหน้าแข็งทื่อ…..ได้ยินเสียง?

แม่เจ้าโว้ย เธออายุ 24 ปีแล้ว แต่ยังโดนป๊ะป๋าตบตูด เรื่องนี้หลี่เวยรู้แล้วหรือ?

หน้าของเธอเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวสลับกันไปมา ตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดเสียจริงๆ อีกหน่อยคงจะเล่นอย่างมีความสุขกับหลี่เวยไม่ได้แล้ว

“อย่ากังวลไปเลย เรื่องนี้ฉันจะไม่บอกให้คนอื่นรู้” หลี่เวยพูดอย่างเข้าใจความรู้สึก ซินเหยาได้แต่พยักหน้า…….แล้วเธอพูดอะไรได้บ้างในตอนนี้?

“เห้ออ อีกหน่อยถ้าเธอได้ดีก็ลืมฉันหล่ะ” หลี่เวยพูด

หือ ทำไมมันรู้สึกแปลกแปลก?

“ฉันบอกเธอให้นะ ประธานเยี่ยถึงแม้จะมีแฟนแล้ว แต่ว่ามันเป็นการบังคับของผู้ใหญ่ ความจริงเขาก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้นหรอก ถึงแม้ว่าเขาจะรวยมาก แต่บางเรื่องเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจด้วยตนเองได้” หลี่เวยมองซินเหยาเป็นผู้หญิงของจิงเฉินไปแล้ว

ซินเหยา: ……

ในความคิดของซินเหยา จิงเฉินเป็นบุคคลที่สง่าสูงส่งเอาแต่ใจไร้ซึ่งความรู้สึก และเป็นผู้ที่เก่งฉกาจสามารถจัดการทุกเรื่องได้

ขอป๊อบคอร์นสักถัง เธอชอบฟังเรื่องซุบซิบของเหล่าคนรวยจริงๆ

“ ความจริงแล้วท่านประธานใหญ่อยากจะดึงประธานเยี่ยลงมามาก หลายปีที่ผ่านมาประธานเยี่ยทุ่มเทให้กับบริษัทเป็นไม่รู้เท่าไหร่ แต่แค่เป็นเพราะท่านประธานใหญ่และภรรยาไม่ค่อยที่จะรักเขานัก ถึงจะมีความสามารถมาก พวกบอร์ดบริหารก็คงไม่เห็นหัวอยู่ดี ถ้าไม่มีประธานเยี่ยแล้วล่ะก็ เยี่ยหวงคงไม่สามารถมายืนอยู่ในจุดนี้ได้” หลี่เวยบ่นเหมือนโกรธแทนประธานเยี่ย

เห็นว่าจิงเฉินน่าสังเวชมากขนาดนี้ เธอจึงไม่คิดโกรธที่จิงเฉินทำเรื่องเหล่านั้นกับเธอหรือว่าชอบไร้เหตุผลต่อเธอ

เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมฐานะอย่างตระกูลลู่ถึงได้ส่งลูกสาวตัวเองเข้ามาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทหล่ะ?

ถึงแม้ว่าจะเป็นการแต่งงานเพื่อบริษัท แต่ในใจของมู่อันหลานก็ไม่ได้ไม่มีจิงเฉินนี่นา

นึกถึงวิธีที่จิงเฉินอยู่กับมู่อันหลานแล้ว ซินเหยาเพียงได้แต่หัวเราะเยาะเบาๆอยู่ในใจ

“เพราะฉะนั้นเธอต้องเข้าใจประธานเยี่ยให้มากๆนะ”

แม่เจ้า! เขาไม่มีความสุขในตระกูลเยี่ย แต่ก็มาลงไม้ลงมือตีตูดฉันได้งั้นหรอ?!

ความเป็นมิตรระหว่างเธอกับประธานเยี่ยมันได้แค่นี้จริงๆ ไม่สามารถที่จะอธิบายเพิ่มได้อีก

"คุณเหนื่อยมาทั้งวัน ดังนั้นกาแฟแก้วนี้ก็ให้คุณเป็นการตอบแทนแล้วกัน" จิงเฉินผลักแก้วกาแฟไปข้างหน้า

รอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าของซินเหยาหยุดชะงัก และไม่ช้าก็กลับมาเป็นดังเดิม เธอพูดขึ้นว่า "แบบนี้มันจะได้อย่างไรกัน นี่ฉัน 'ตั้งใจ' ซื้อมาให้คุณเชียวนะ "

เน้นคำว่า "ตั้งใจ"

นี่เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจซื้อมา ทำไมป๊ะป๋าไม่ดื่มล่ะ

"นี่เป็นรางวัลปลอบใจเธอ ถ้าเธอไม่ดื่ม จะคุยกันต่อไปได้ยังไงกัน"

ป๊ะป๋า ทำไมคุณถึงเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้? ถึงบอกว่าตีงูต้องตีให้ตาย จับจุดอ่อนของคนอื่นและตอบกลับ

คุณตีงูเก่งขนาดนี้ คนที่บ้านคุณรู้หรือป่าว

ซินเหยาหยิบกาแฟขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแสนหวานและดื่มมันต่อหน้าจิงเฉินโดยที่สีหน้าเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

“ไม่แปลกจริงที่ประธานเย่จะชอบกาแฟบลูเมาท์เทน รสชาติของมันดีจริงๆ”

ซินเหยา: ……

นับแต่นี้ต่อไปเธอก็ไม่อยากจะกินกาแฟแล้ว

หลิงหลิงและหลานหลานไม่ชอบขนมหวานอาจจะเป็นเพราะได้รับการถ่ายทอดมาจากจิงเฉิน

ดังนั้นเธอจึงเพิ่มน้ำเชื่อมลงในกาแฟมากขึ้นสามเท่า ตอนที่ดื่มเข้าปากมันเลี่ยนจนจะตายแล้ว

จิงเฉินหน้าเฉยชาพร้อมเอากาแฟจากซินเหยาที่ดื่มไปแล้วหนึ่งครึ่งยกขึ้นมาจิบหนึ่งอึก

เขาขมวดคิ้วและเห็นรอยหน้าผากแสดงออกมาเล็กน้อย สายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มได้มองไปที่ซินเหยาและพูดขึ้นว่า"รสชาติก็ไม่เลว"

ซินเหยาดูป๊าป๋าที่จิบกาแฟที่เธอดื่มแล้วครึ่งแก้ว ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ถูกเลย

สปาร์ต้า แล้วที่บอกว่าราศีกันย์ล่ะ?

แล้วที่บอกว่าเป็นโรครักสะอาดล่ะ?

หรือความสัมพันธ์ของเธอกับป๊ะป๋ามันใกล้ชิดสนิทสนมถึงขั้นที่สามารถดื่มน้ำแก้วเดียวกันได้แล้วหรือ?

“ โอเคร เธอออกไปได้แล้ว” จิงเฉินยกมือขวาขึ้นมาโบกไปมาให้เธอออกไป

เขาเห็นฉันเป็นหมาหรอ โบกมือไล่ฉันเนี่ยนะ

ประเด็นของเรื่องไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันอยู่ที่รางวัลตอบแทนและการเพิ่มเงินเดือน

“อืมม…..” ซินเหยายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบไม่กระดิกและถามขึ้นว่า ”ท่านประธาน คุณลืมบอกอะไรหรือเปล่า?”

“บอกหมดแล้วนิ”

“ยังบอกไม่หมด คุณคิดดีๆสิ”

จิงเฉินเงียบไปสักพักพร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ว่า”งั้นก็เอาขยะออกไปทิ้งด้วย”

แม่เจ้าโว้ย นี่มันงานของพนักงานทำความสะอาดชัดชัด

พนักงานทำความสะอาดของคุณได้เงินเดือนมากซะขนาดนี้ แต่กลับไม่เอาขยะไปทิ้งเนี่ยนะ

ซินเหยาอยากจะกระชากคอของจิงเฉินแล้วถามว่า:แล้วที่บอกว่าจะมีรางวัลให้ล่ะ?

ไอ้ที่บอกว่ากระชากคอน่ะทำไม่ได้ แต่ประโยคข้างหลังยังถามได้อยู่

“คุณไม่ใช่บอกหรอว่า……”

คำพูดของเธอถูกขัดจังหว่ะ

“อ๋อใช่แล้วถ้าเธอไม่พูดฉันก็ลืมไปแล้วนะ” จิงเฉินนึกขึ้นได้

ซินเหยา: ≧▽≦

แต่เมื่อเธอได้ยินคำพูดของป๊ะป๋ะ คนที่มองโลกในแง่ดีตลอดอย่างเธอถึงกับแสดงสีหน้าที่เหมือนกับแตกร้าวออกมา

ซินเหยาถูกป๊ะป๋าทารุณกรรมในห้องทำงาน เธอรู้สึกอยากจะตายในทันที

ป๊ะป๋าพูด "ถ้าเธอไม่บอกฉันฉันลืมไปแล้วแน่แน่ ในกล่องข้าวของเธอมีผักบางอย่างที่ฉันไม่อยากกิน ช่วยไซ้ออกไปหน่อยสิ”

ป๊ะป๋าริบกล่องข้าวของเธอไปแล้วยังให้เธอมาไซ้ผักที่ไม่อยากกินออกให้อีก คุณมันบ้าแบบนี้คนที่บ้านคุณรู้หรือเปล่า?

“ทำไมจะไม่เต็มใจล่ะ” ป๊ะป๋าเห็นซินเหยาไม่ขยับ จึงถามด้วยถ้อยคำที่เย็นชากับเธอ

ไอ้บ้าเอ้ยความจริงก็ไม่เต็มใจหรอก

ฉันเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบของCKนะไม่ใช่เป็นพนักงานไซ้ผักของเย่หวง ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้

ถึงยังไงฉันก็ไม่ทำ

“ ฉันคนนี้มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อกินโดนของที่ตัวเองไม่ชอบอารมณ์ก็จะไม่ดี เมื่ออารมณ์ไม่ดีฉันก็จะเป็นคนที่ขี้เลือกมาก สำหรับพนักงานที่ทำผิดกฎฉันก็ยิ่งจะไม่ให้อภัย และอีกอย่างสำหรับการออกแบบแล้วล่ะก็ฉันยิ่งเพิ่มความเซนซิทีฟขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าจะผ่านแล้ว แต่ก็อาจจะโดนตีกลับได้”

ให้ตายเถอะนี่มันเป็นการข่มขู่กันชัดชัด

แต่ว่าสำหรับคนหน้าไม่อายอย่างป๊ะป๋า การพูดมาเช่นนี้ก็คงไม่ได้ยากเย็นอะไร

พระเจ้าให้ตายเถอะ ป๊ะป๋าเกิดมาเพื่อข่มขู่เธอหรอ?

“ ฉันจะช่วยไซ้ผักที่คุณไม่ชอบออกให้ การที่สามารถช่วยคุณเช่นนี้เป็นบุญที่ฉันสั่งสมมาเป็นระยะเวลาแปดชาติ”ซินเหยาพูดพลางอมยิ้มว่า ”การที่ฉันมีชีวิตอยู่และได้พบกับท่านประธานเย่ ฉันต้องขอบคุณบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของท่านเสียจริงๆ เมื่อฉันตายไป วิญญาณของฉันก็ยังคงรู้สึกขอบคุณพวกเขาอยู่”

จิงเฉินหรี่ตาเล็กลงและมองดูซินเหยาที่อยู่ข้างหน้า ความรู้สึกนี้มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

ซินเหยาหยิบกล่องข้าวมาและไซ้ผักที่ประธานเย่ไม่ชอบออกให้ทั้งหมด

จิงเฉินกินอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ถึงแม้ว่ารสชาติจะไม่ดีเท่าฝีมือของเชฟนานาชาติหรือว่าจะเทียบไม่ติดกับพ่อครัวชาววังก็ตามแต่

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาชอบกับข้าวในปิ่นโตนี้มาก มันดูเรียบง่าย มันทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ในใจของเขาตอนนี้โปรยไปด้วยดอกกุหลาบ มันเหมือนกับว่าเขาได้กินกับข้าวที่บ้านที่เป็นฝีมือของแม่

แน่นอนว่าซินเหยา ถ้าเธอยังไม่ได้ของที่ต้องการ เธอก็ยังจะไม่ไปง่ายๆแบบนี้หรอก

มองไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟากินอย่างเอร็ดอร่อย ในใจของซินเหยาก็รู้สึกถึงความเปรี้ยวจี๊ดบวกความชาขึ้นมาทันที

อืมม…. ฝีมือของลูกสุดที่รักของฉันนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ

อดทนรอจิงเฉินกินหมดอย่างใจจดใจจ่อ ซินเหยาจึงจะถามว่า "ท่านประธานเย่ คุณไม่ได้จะให้บ้านฉันหรือว่ารถฉันหรืออาจจะเป็นเช็คห้าล้านหรอกหรอ?”

อืม…. ใช่ การให้สิ่งเหล่านี้เท่านั้นถึงจะสะท้อนความเลิศเลอของป๊ะป๋าออกมาได้

จิงเฉินตอนนี้ค่อยมองดูไปที่ซินเหยา

“ทำไมต้องให้ของเหล่านั้นกับคุณ”

“คุณไม่ได้บอกหรอกหรอว่าเป็นเพราะฉันตั้งใจทำงานคุณเลยมีรางวัลจะให้”

“ให้ไปแล้ว”

“ตอนไหนกัน”

ซินเหยารีบนำโทรศัพท์ออกมาดูและพบว่าไม่เห็นจะมีการแจ้งเตือนโอนเงินเข้ามาเลย

“ก็เพิ่งให้ไปเมื่อกี้นี้”

เธอก้มมองดูโทรศัพท์อีกครั้ง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เป็นซินเดอเรลล่าแต่คุณก็ไม่สามารถมาหลอกฉันได้นะ

“ฉันให้กาแฟเธอเป็นรางวัลตอบแทน อีกอย่างหนึ่งก็คือให้เธอเป็นเกียรติในการไซ้ผักให้ฉัน”

แม่เจ้าโว้ย ป๊ะป๊ะจะยังหน้าด้านกว่านี้อีกหน่อยได้หรือเปล่า

ซินเหยาหมดคำจะพูด

“จิงเฉินบอกคุณไว้เลยนะ อย่าคิดว่าป้าแกอย่างฉันมันจะรังแกได้ ป้าแก่คนนี้จะไม่รับใช้อีกต่อไปแล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าของซินเหยามันหวานยิ่งขึ้น เสียงก็นุ่มนวลใสแป๊วยิ่งขึ้น มีแต่สายตาคู่นั้นที่ข้างในเต็มไปด้วยไฟโกรธ

เธอโกรธมากจริงๆ โดนจิงเฉินคนแบบนี้ยั่วยุไม่หยุดไม่ย่อน เป็นใครก็ทนไม่ได้หรอก

เธอหันหลังและเดินจากไป ไม่อยากจะทำแล้วโว้ย

เธอไม่ได้ขาดแคลนเงิน เธอเพียงต้องการแต่งานที่มันมั่นคง ไม่เช่นนั้นด้วยชื่อเสียงของเธอ ทำไมจึงต้องทนกับงานเน่าเน่าแบบนี้ล่ะ

เธอยังเดินไปไม่ถึงประตู ก็โดนใครสักคนคว้ามือเอาไว้แล้ว

“เย่จิง……..”

ตอนนี้ตัวเธอเหมือนกระสอบทรายที่จิงเฉินเอาโยนพาดขึ้นไหล่ มันทำลายการตอบโต้ของเธออย่างสิ้นเชิง

จิงเฉินกดเธอไว้ที่น่องขาของตัวเอง และตบตูดเธอสามรอบ เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! “กล้าที่จะพูดคำหยาบเช่นนั้นต่อหน้าฉันหรอ เธอคือป้าแก่ เธอคือป้าแก่ของใคร” จิงเฉินพูดถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ซินเหยาสู้แรงของจิงเฉินไม่ได้ หน้าเธอตอนนี้แดงไปหมด

ทำไมฉากนี้มันดูคุ้นจริงๆ

หลี่เวยทางนั้นยังคงติดวอลล์เปเปอร์ต่อไป ทำไมถึงรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างซินเหยากับบอสใหญ่มันดูกลมกลื่นกันอย่างน่าประหลาด

อือออ…..คงจะคิดไปเองมั้ง

ซินเหยา "……."

ถ้าปิ่นโตนั้นโดนยึดไปเธอควรจะไปเอาเงินสี่เท่านั้นจากป๊ะป๋ะหรือว่าจากหลี่เวย

ยากจังเลยย……

ซินเหยารู้สึกว่าเธอต้องไปเอาปิ่นโตนั้นกลับคืนมาเพื่อทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น

ซินเหยาเงียบไปสักพัก จากนั้นก็แสดงรอยยิ้มอันหวานชื่นออกมา

"ประธานเย่คะ คุณเอาปิ่นโตของหลี่เวยคืนได้ไหม สาเหตุที่เธอต้องกินข้าวในเวลางานเพราะว่าตอนพักเที่ยงเธอยุ่งอยู่กับเอกสาร จึงไม่มีเวลาไปกิน จริงๆนะคะ ในส่วนของฉันคุณยึดไปได้เลยค่ะ ฉันยินดี" ดวงตาใสแป๋วของซินเหยาจดจ้องไปที่ประธานเย่

ป๊ะป๋ะคุณเห็นสายตาอันจริงใจของฉันหรือเปล่า?

หลี่เวยที่กินข้าวสองชามไปในตอนเที่ยง บวกกับชานมไข่มุกอีกหนึ่งแก้ว และพุดดิ้งอีกสองถ้วย "….."

ใบหน้าของจิงเฉินเต็มไปด้วยความมืดทมิฬไม่พอใจ เขาเห็นเต็มสองตาว่าหลี่เวยกับซินเหยากำลังกินพุดดิ้งอยู่ในห้องทำงานเมื่อตอนเที่ยง

เพียงแต่มองเห็นตาใสแป๋วคู่หนึ่งของซินเหยา เขาก็ตัดสินใจที่จะทำเป็นไม่เห็นเรื่องเมื่อเที่ยงนี้

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ปล่อยเรื่องนี้ไปดื้อดื้อ ในใจของเขายังรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่สามารถไว้ใจได้มากพอ

ในกระดูกของเขายังฝังลึกไปกับนิสัยของนักธุรกิจ เขาคุ้นเคยกับการปล้นสดมภ์มานับครั้งไม่ถ้วน

ซินเหยาพยายามเลียนแบบลักษณะความน่ารักของเข่อหลาน——-การอ้อน

"นะคาาาท่านประธานเย่ ได้ไหมคาาา ขอร้องล่ะคะ"

ซินเหยาเห็นว่าจิงเฉินไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มบนใบหน้าเธอก็ยิ่งหวานยิ่งขึ้น ตอนนี้เธอดูเป็นผู้หญิงที่ดีและบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเยี่ยงนัก

"ฉันอยากกินกาแฟร้านนั้นที่อยู่ท้ายซอย" จิงเฉินเหลือบดูซินเหยาพรางพูด

"ท้ายซอย?!ตรงนี้มันหัวซอยเลยนะ"

ต่อให้นั่งแท็กซี่ก็ใช้เวลา

ป๊ะป๋าคุณแสดงอาการบ้าบิ่นออกมาอีกแล้วนะ

ฉันอยากจะตบป๊ะป๋าให้ติดกำแพงเสียจริง

"ได้สิ ฉันจะไปซื้อมันให้ท่านประธาน" ซินเหยาตอบตกลงทำตามโดยทันที

จิงเฉินมองไปที่ซินเหยาที่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าแสดงมันออกมา เขาจึงได้ยิ้มมุมปากขึ้นสายตาของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความตลกและความสุขใจ

"ถ้าคุณรู้สึกมันเป็นการบังคับ งั้นก็ไม่ต้องไป เพราะฉันก็ไม่ได้อยากจะดื่มอยู่แล้ว"

ถ้าไม่อยากดื่มแล้วจะพูดออกมาทำไม?

ซินเหยายิ้มออกมาดั่งลูกท้อที่กำลังผลิดอกออกในฤดูหนาวเดือน12แล้วพูดว่า "ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกถูกบังคับเลย การที่ฉันได้ไปซื้อกาแฟให้ท่านประธานมันเป็นเกียรติของฉันมากเสียยิ่งกว่ากระไร ฉันรู้สึกดีใจมากจริงๆ ห้าห้า ดีใจจริงๆ"

ดีใจกับผีสิ

"ในเมื่อดีใจขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่รีบไปล่ะ" จิงเฉินยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย

ซินเหยามองดูจิงเฉินด้วยความเหลิกหลัก คุณควรให้เงินฉันด้วยสิ

มองดูท่าทีที่ไม่ขยับเขยื้อนของจิงเฉินแล้ว ซินเหยาในใจรู้สึกถึงความหดหู่ยิ่งนัก นี่มันเป็นการกินอาหารของพระราชาจอมเอาแต่ใจหรืออย่างไรกัน

เธอหยิบกระเป๋าสตางค์ของเธอด้วยความเศร้าใจและไปซื้อกาแฟให้ป๊ะป๋ะ

ในใจตอนนี้ของเธอรู้สึกสงสารลู่อันหลานแฟนสาวของเย่จิงเฉินยิ่งนัก มีแฟนแบบป๊ะป๋ะแบบนี้ชาติที่แล้วคงไปทำกรรมอะไรไว้มาก ชาตินี้ถึงได้ต้องมาชดใช้กรรม

ก่อนที่ซินเหยาจะจากไปนั้น จิงเฉินพูดขึ้นว่า "ตอนแรกผมกะจะให้เงินคุณไปซื้ออยู่หรอก แต่ดูท่าทางคุณดีใจที่ได้ไปซื้อกาแฟให้ผมขนาดนี้แล้ว ถ้าคุณได้เลี้ยงผมอีกแล้วล่ะก็ คงจะยิ่งดีใจและเป็นเกียรติอีกมากล่ะสิ"

ดวงตาของซินเหยาเต็มไปด้วยไฟอันร้อนระอุ

ป๊ะป๋า ถึงแม้ว่าคุณจะรวย แต่ทำไมคุณถึงเย็นชา ไร้ความรู้สึก ไร้ซึ่งความเมตตา ไร้เหตุผลมากขนาดนี้

ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะก็ อีกหน่อยใครเขาจะกล้ามีแฟนเป็นคุณ

สุดท้ายคุณคงจะได้แค่เอาเงินเน่าๆของคุณไปซื้อโรงศพให้ตัวเองแล้วกระมัง

ในวันที่ร้อนระอุเช่นนี้ ซินเหยาเหมือนได้เข้าห้องอบซาวน่าแบบฟรีๆ

เธอเกลียดห้องซาวน่าเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าให้เข้าฟรีก็ไม่ไป

ป๊ะป๋าไข่เน่า ความเป็นมิตรขอเรามันได้แค่นี้จริงๆ

จิงเฉินมองดูซินเหยาจากไป และได้เผลอยิ้มมุมปากออกมาโดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว

แต่กับหลี่เวย เธอรู้สึกยิ่งกลัวมากขึ้นทุกวัน ตลอดระยะเวลาห้าปีที่เธอทำงานกับจิงเฉิน เธอไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มออกมา

กาแฟท้ายซอยร้านนั้นมันไม่เลวจริงๆ ซินเหยาต้องต่อแถวเกือบสิบนาทีกว่าจะถึงคิวเธอ

เข้าไปนั่งดื่มกาแฟเย็นสักแก้ว แล้วค่อยสั่งกาแฟจาเมกาบลูเมาท์เทนกลับไป

ลวดสั่งกาแฟมอคค่าให้หลี่เวยอีกแก้วแล้วกัน

หลังจากที่กลับมาถึงบริษัท ผิวขาวละมุนของซินเหยาก็โดยความร้อนแผดเผาจนเปลี่ยนเป็นสีแดง ผิวบอบบางราวหยกสีขาวของเธอได้แปลเปลี่ยนเป็นสีผสมอมชมพู มันเพิ่มความสวยและเสน่ห์เย้ายวนใจให้กับเธอจริงๆ

รอยยิ้มหวานๆบนใบหน้าของเธอ ไม่แสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นใดๆ

"ว้าวซินเหยา ฉันเพิ่มรู้นะเนี่ยว่าเธอสวยขนาดนี้ " หลี่หลานรับกาแฟของเธอไป

ซินเหยาพูดด้วยความใจเย็นว่า "การประจบสอพลอครั้งนี้ของเธอมันไม่เนียนนะ"

นึกว่าฉันจะฟังไม่ออกหรอว่ากำลังประจบอยู่

อีกอย่างเรื่องที่บอกว่าฉันสวยไม่จำเป็นต้องให้เธอมาย้ำอีกรอบ เพราะตั้งแต่วันที่ฉันเข้าบริษัทมาทุกคนเขาก็ลือกันให้แซ่บ(เรื่องในห้องพักเบรค)

ซินเหยาแสงรอยยิ้มที่หวานที่สุดของเธอออกมา และมันทำให้เห็นฟันหมาเสน่ห์ของเธอ พร้อมพลักประตูเข้าไปห้องทำงานของท่านประธาน

"ท่านประธานที่ฉลาดหลักแหลมสง่าผ่าเผยที่สุด กาแฟของท่านได้แล้วค่ะ นี่เป็นกาแฟจาเมกาบลูเมาท์เทนที่คุณชอบที่สุด เชิญลิ้มรสได้แล้วค่ะ" ซินเหยาส่งกาแฟให้จิงเฉินด้วยมือทั้งสองข้าง

จิงเฉินเห็นรอยยิ้มอันแสนหวานและดวงตาคู่นั้นที่ราวกับมีดวงดาวนับหมื่นดวงกำลังส่องแสงระยิบระยับของซินเหยา ในใจของเขารู้สึกว่ามีอะไรอยู่ข้างใน และรับกาแฟจากมือของซินเหยา

ซินเหยามองไปที่กาแฟที่กำลังเข้าปากของจิงเฉิน รอยยิ้มที่เธอยิ้มออกมาเหมือนกับผสมผสานไปด้วยความชั่วร้ายเล็กน้อย

ฟันหมาเสน่ห์สองซี่ของเธอเปล่งประกายขึ้น

ซินเหยามองไปที่จิงเฉินด้วยความมุ่งร้ายนิดๆ

"กาแฟต้องดื่มตอนร้อนๆ เย็นมาจะไม่อร่อยเอา" ซินเหยาเร่งให้เขาดื่ม

เย่จิงเฉินเปลี่ยนอริยาบทที่สบายมากยิ่งขึ้น เอนกายลงบนเก้าอี้นวดที่สั่งตรงแฮนด์แมคจากอิตาลี มือสองข้างพักไว้บนน่องขา

"ในระยะเวลาที่ผ่านมา คุณซินเหยาได้ตั้งใจทำงานเพื่อนิทรรศการจะได้ออกมาให้ดีที่สุด ผมเห็นถึงความตั้งใจทั้งหมดของคุณ" จิงเฉินหยุดฉงักไปพักหนึ่ง

ดวงตาของซินเหยาเปล่งประกายขึ้นดุจดั่งเพชรที่กำลังเปล่งประกายอยู่ใต้แสงสุริยา

อัตราการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้น เช่นนี้จะได้เพิ่มเงินเดือนกลายเป็นคนรวยมีชื่อเสียงและก้าวไปอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตหรอ?! เธอยังไม่ทันได้เตรียมตัวนะ

ตอนกลางคืนเมื่อเธอเลิกงาน ความเป็นจริงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งทำให้หูของเธอต้องกระตุกอีก

สวัสดิการของบริษัทเย่หวงดีขนาดนี้เชียวหรือ แม้แต่พนักงานทำความสะอาดก็มีบ้านมีรถ

แต่กับเธอที่เป็นนักออกแบบตัวเล็กๆที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง บวกกับเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบของ CKกรุ๊ป ไม่เพียงแต่ไม่มีรถ แต่ยังต้องนอนอาศัยอยู่บ้านของเพื่อน

คิดดูนะ ตอนนี้เธอได้ร่ำไห้ออกมาเป็นกะละมังแล้วแหละ

เธออยากกลับไปถามแผนกบุคคลว่าตอนนี้ยังรับสมัครพนักงานทำความสะอาดอยู่หรือเปล่า?

ในระยะเวลาที่เธอทำงานอยู่ที่เยี่ยหวง เธอไม่เพียงแต่ต้องยุ่งอยู่กับการออกแบบเพียงเท่านั้นแต่ยังต้องระวังป๊าป๋าอีกด้วย ซึ่งมันทำให้ร่างกายและจิตใจของเธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน

สีหน้าที่ดูหดหู่ ร่างกายที่ดูอ่อนแรง เธอยังทนไปได้ยังไงนะ

ตอนเช้าที่กำลังลองเสื้อผ้าผืนใหม่ที่สั่งมาจากต่างประเทศอยู่นั้น ได้รู้ว่าเสื้อผืนนี้ใหญ่เกินไป ส่วนของหน้าอกมันดูว่างๆโล่งๆ ไม่ค่อยจะเข้ารูปสักเท่าไหร่

ซินเหยา"……"

ตอนที่อ้วนก็มีแค่เอวที่ใหญ่ขึ้น ตอนที่ผอมก็มีแค่หน้าอกที่เล็กลง อยากจะบ้าตายรายวัน

"หลิงหลิงลูกรัก หม่ามี้ช่วงนี้เหมือนจะผอมลง หนูสามารถทำกับข้าวอร่อยอร่อยให้หม่ามี้หน่อยได้หรือเปล่า ซินเหยากระพริบตาเป็นระยิบระยับและมองไปที่ลูกของเธอด้วยความขอร้อง"

"หม่ามี้ อายไหมที่อ้อนแบบนั้น" เข่อหลานเลียนแบบน้ำเสียงและการกระทำของเธอและพูดอย่างกล้าหาญว่า

"หม่ามี้อ้อนแบบน่ารังเกียจ แต่หนูอ้อนแบบมีเหตุผลดูดี" ซินเหยาหยิกไปที่แก้มของเข่อหลานแล้วบอกว่า

"พี่ๆ แม่แกล้งหนูอีกแล้ว"

"เฮ้อ หม่ามี้รู้สึกว่าตั้งแต่ที่เข่อหลานลูกรักกลับมาจากต่างประเทศก็ผอมลง ก่อนนอนไม่ได้ดื่มนมคงไม่ได้แล้วสินะ"

ทั้งสองพี่น้องมองหน้ากันแล้วรู้สึกกระตุกขึ้นมาทันที

"หม่ามี้เก่งที่สุดแล้ว อีกอย่างหม่ามี้สวยที่สุดในโลกด้วย ช่วงนี้หม่ามี้ผอมลง หนูและพี่จะช่วยหม่ามี้ทำกับข้าวอร่อยอร่อยไว้ให้ หม่ามี้ไม่ต้องห่วง"เข่อหลานยิ้มออกมาจากใบหน้าด้วยความจริงใจ พูดด้วยน้ำเสียงที่ใสแป๊ว

"น้องพูดถูก" ลั่วหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ซินเหยายิ้มหัวเราะดังปีศาจร้าย มุมปากแสดงให้เห็นถึงลักยิ้มอันน่ารักของเธอ

เพื่อให้เธอกลับมามีน้ำมีนวลเหมือนเดิม เมื่อกินข้าวที่โรงอาหารเสร็จเธอก็กินข้าวในปิ่นโตที่ลูกลูกได้เตรียมไว้ให้อีกรอบ

หลิงหลิงเป็นเด็กอัจฉริยะIQ 200 และรู้ดีว่าควรเตรียมปิ่นโตอย่างไรให้แม่

หลังจากกินไปได้สัปดาห์หนึ่ง ซินเหยาก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันที

"ซินเหยาเธอแบ่งอาหารให้ฉันหน่อยสิ" หลี่เวยดูซินเหยาที่ร่างกายซูบผอมแต่กลับมีน้ำมีนวลขึ้นมาดังเวทมนต์ เธอจึงขอให้ซินเหยากินข้าวกับเธอ

"ถ้าแบ่งอาหารในปิ่นโตนี้ออกเป็นสองส่วน มันก็จะไม่เห็นผลลัพธ์อะไรเลย" ซินเหยาปกป้องอาหารของเธอในปิ่นโตขั้นสุด

นี่คืออาหารกลางวันที่หลิงหลิงตั้งใจเตรียมให้เธอด้วยความรัก เธอจะเอาความรักที่หลิงหลิงมอบให้ไปให้คนอื่นได้อย่างไรกัน

"งั้นเธอก็เตรียมให้ฉันชุดหนึ่งได้หรือเปล่า"

"อืม…..นี่นี่……"

เธอควรจะปฏิเสธไปอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เขาโกรธและผิดหวังเศร้าใจ

"ฉันให้เงินเธอ"

ดวงตาของซินเหยาเปล่งประกายขึ้นมาทันที

"สิ่งนี้ เธอก็รู้ว่าถึงแม้มีเงินก็ซื้อไม่ได้"

"งั้นฉันให้เธอสองเท่า" หลี่เวยเป็นชนชั้นกลางที่ตามเทรนด์จริงๆ

"สามเท่า"

"สามเท่าดูเหมือนจะมากเกินไป"

"สี่เท่า มากสุดได้แค่สี่เท่า"

สี่เท่า?

เธอคิดผิดแล้วหล่ะ หลี่เวยไม่ใช่ชนชั้นกลางที่ตามเทรนด์ แต่เธอเป็นคนรวยมีตังต่างหาก

"โอเค ตกลง" ซินเหยาตอบรักอย่างเด็ดขาดหนักแน่น

ซินเหยารู้สึกอารมณ์ดีมาก เธอตัดสินใจจะต้องเป็นคนที่ใจกว้างตอบกลับ เธอได้นำปิ่นโตออกมาจากไมโครเวฟร้อนร้อนและยื่นให้หลี่เวยพร้อมพูดว่า "เธอลองชิมรสชาติก่อนว่าเป็นยังไง"

หลี่เวยรับปิ่นโตไปและมองดูมันด้วยสายตาที่เปล่งประกายระยิบระยับ แต่ว่าทันใดนั้นก็มีมือเรียวสวยพุ่งออกมาจากที่ไหนไม่รู้และตัดฉวยเอาปิ่นโตเธอไป

"ทำธุรกิจในบริษัทแล้วหรอ" มือข้างหนึ่งของเขาจับไว้ปิ่นโตสีชมพูและมองไปที่ซินเหยาด้วยความตลกพรางยิ้ม

หลี่เวยหดคอลงอย่างทันทีทันใด เพื่อลดทอนความสนใจของตนเองอยู่

"บริษัทก็ไม่ได้กำหนดว่าจะทำธุรกิจภายในนี้ไม่ได้ และอีกอย่างอันนี้มันคือการตกลงแบบส่วนตัวของเรา มันไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทเลย" ซินเหยามองไปที่ป๊าป๋าด้วยความมั่นใจว่าเธอไม่ผิด

จิงเฉินมองไปที่ดวงตาอันเล็กน้อยของซินเหยาที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้น ในใจคิดมันเหมือนมีกรงเล็บสัตว์ประหลาดอยู่ในนั้นวิ่งวนไปมา เขาอยากจะดึงผู้หญิงคนนี้มาโอบกอดไว้ในอ้อมกอดของเขาเสียจริง

"ตอนนี้มันคือเวลาบ่ายโมง46 มันเป็นเวลาทำงาน เธอกับหลี่เวยกำลังใช้เวลานี้เพื่อประโยชน์ของตัวเองไม่ใช่ทำเพื่อบริษัท" จิงเฉินหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แหละเอ่ยขึ้นว่า"โบนัสของหลี่เวยในเดือนนี้ถูกหักออกและสำหรับเธอซินเหยา เดือนนี้ต้องส่งแบบร่างอย่างน้อยสี่แผ่น"

ซินเหยา"……"

หลี่เวย"……"

จิงเฉิงยึดชายามบ่ายของซินเหยาเอากลับไปห้องทำงาน

หลี่เวยที่โดนหักโบนัท"….."

ซินเหยาที่ภาระงานเพิ่มมาขึ้น"….."

พวกเขาอยากจะถ่มเลือดที่สำลักอยู่คอออกมาใส่หน้าของจิงเฉินจริงๆ ตอนกลางคืนไปหาเชือกมาเส้นหนึ่งแล้วก็แขวนคอตายอยู่ที่หน้าบ้านของจิงเฉิง

ที่แท้บอสทั่วไปก็โหดร้ายเหมือนกันหมด

ตอนเย็นที่ฟ้าจะใกล้มืด หลี่เวยเข้าไปในออฟฟิศของจิงเฉินเพื่อเอาเอกสาร

แต่กลับเห็นปิ่นโตสีชมพูใบนั้นที่ข้างบนยังมีลวดลายของฮัลโหลคิตตี้ แต่ข้างในกลับมีแต่ความว่างเปล่า

หลี่เวย:……

เจ้านายผู้ที่ชาญฉลาดเก่งนักเก่งหนาของเธอกลับกินปิ่นโตที่พวกเธอรักสุดหัวใจหมด นี่มันไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?

ทำยังไงดี เธอเหมือนจะรู้ความลับบางอย่างเข้า จะโดนบอสปิดปากไหมนะ?

คุณสามี บริษิทเย่หวงมันน่ากลัวมาก เธออยากกลับบ้านตอนนี้เลย

หลี่เวยเดินออกมาจากห้องทำงานของจิงเฉินด้วยสีหน้าที่ดูหดหู่เอามาก และไปกระซิบข้างหูของซินเหยา

หลังจากที่ซินเหยารับรู้เรื่องราว เธอก็รู้สึกหดหู่เช่นกัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่พวกเธอสองคนจะต้องยอมรับ

เธอจำได้ว่าหุ่นของเย่จิงเฉินมันดีมากจริงๆ ผิวสีบรอนซ์ ท้องแปดแพค ไหล่กว้างเอามาก และเอวที่แข็งแรงประดุจดั่งราชสีห์ บวกกับน่องขาที่เรียวยาว

เออออ…… กล้ามหน้าอกก็ดูแน่นแข็งแรงดีนะ

เขาต้องรักษาหุ่นและยังจะต้องอดอาหาร ในส่วนของกล้ามหน้าอกไม่ใช่ว่าไปทำมาเหมือนกันนะ

เมื่อซินเหยากลับไปถึงบ้าน เธอก็ให้ลูกชายของเธอเพิ่มปริมาณอาหารในปิ่นโต วันที่สองก็ได้นำมาสองชุดเดินเข้าบริษัทด้วยความพอใจ

เมื่อถึงเวลากินข้าวในช่วงบ่าย หลี่เว่ยและซินเหยาระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

แต่ก็โดนบอสใหญ่จับได้อยู่ดี และถูกยึดเหมือนเดิม

"เวลาทำงาน ของอย่างอื่นจะโดนยึดทันที" พูดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์และนำปิ่นโตของทั้งสองจากไปอีกเช่นเคย

"คุณเป็นบอสของหลี่เวย คุณสามารถยึดของเธอได้ แต่ทำไมคุณถึงยึดของฉันด้วย ฉันไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทเย่หวง ฉันเป็นคนของCK เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะยึดปิ่นโตของฉันไป" ซินเหยารู้สึกทนไม่ไหวจริงๆ

แม่เจ้าโว้ย นี่มันเป็นความรักที่ลูกของเธอทำออกมาให้เธอโดยเฉพาะเลยนะ

อยากกินหรอ? ฝันไปเถอะ

"จริงหรอ? แล้วที่บอกว่าจะให้หุ้นบริษัทคุณ 3% หล่ะ….."

แม่ง…..

ซินเหยากล่าวหาจิงเฉินอย่างรุนแรงว่า"คุณมันก็แค่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน"

จิงเฉินแสดงความไม่เห็นด้วย "เรื่องนี้คุณก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรอ"

จะบ้าตายรายวัน สาเหตุที่เธอมาอยู่เย่หวงก็เพราะป๊าป๋าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ละเมิดสิทธิของคนอื่นสินะ

ป๊ะป๋าสารภาพอีกครั้งอย่างหน้าไม่อาย

เธอลืมไปแล้วหรือไง ป๊าป๋าก็เป็นคนหน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้แหละ

"ซินเหยา ที่จริงก่อนที่ผมจะเห็นหน้าคุณผมก็รู้สึกชื่นชมในผลงานของคุณ แต่ตั้งแต่ที่คุณเข้ามาทำงานในบริษัทและร่วมงานกันเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผมรู้สึกว่าผม…….."

สายตาของซวี่เจ๋อเปล่งประกายไปด้วยแสง เปรียบเหมือนกับคืนที่มืดมิดที่สุดแต่กลับมีดวงดาวที่สว่างเช่นนี้คอยให้ความหวัง

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเร็วมาก มันทำให้ซินเหยายังตั้งตัวไม่ทัน

แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ได้ขัดจังหวะของทั้งสอง

ซินเหยาคลายความกังวลใจลงและใช้แรงในการผลักตัวเองออกมาจากอกของชวี่เจ๋อ และพูดด้วยสีหน้าที่ยังไม่เปลี่ยนว่า"ขอโทษนะคะ มีคนโทรมาฉันขอรับโทรศัพท์สักครู่"

"ได้" สายตาของซวี่เจ๋อเห็นได้ถึงความมืดมิด แต่เขาก็ยังแสดงความอบอุ่นเอาใจใส่ออกมาอยู่

เมื่อเธอหันหลังมาในมุมที่ชวี่เจ๋อมองไม่เห็นแล้ว หน้าเธอก็ได้ปลดปล่อยความอึดอัดออกมา

เมื่อกี้ชวี่เจ๋ออยากบอกเธออะไรกัน…..

เธอส่ายหัวไปมา และลบภาพที่ชวี่เจ๋อแสดงสายตาระยิบระยับนั้นออกไป

"สวัสดีค่ะ ซินเหยาพูดค่ะ"

"ฉันรู้ ถึงได้โทรมานี่ไง"

บ้าเอ้ย นี่คุณโง่ขนาดไหนเนี่ย นี่มันเป็นแค่วิธีรับโทรศัพท์ของเธอเท่านั้น ไม่ได้บอกคุณหน่อยว่านี่เธอคือซินเหยา

"ประธานเย่ ทำไมจู่จู่ถึงโทรศัพท์หาฉันคะ?"

เธอฟังออกนี่มันเป็นเสียงของเย่จิงเฉิน เพราะมันเป็นเสียงที่ทุ่มต่ำและเซ็กซี่

แต่ทว่าฟังเสียงจากโทรศัพท์อาจจะผิดเพี้ยนไปหน่อย แต่ว่าทำไมเมื่อเธอฟังเสียงนั้นแล้วถืงรู้สึกว่าป๊ะป๋าไม่ค่อยจะดีใจนัก

"หึๆ นี่เธอกำลังโทษฉันหรอว่าที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อเธอมาเลย"

"ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เลยจริงๆ"

ฉันยังดีใจด้วยซ้ำที่ประธานอันธพาลอย่างคุณจะไม่ติดต่อฉันมา เลยกลัวว่าคุณจะมาแต๊ะอั๋งฉันแต่ไม่ให้เงินห้าล้าน

"งั้นก็ดี เพราะนับตั้งแต่วันนี้ก็ไปเก็บของและมาทำงานที่บริษัทเยี่ยจนถึงนิทรรศการเครื่องประดับครั้งนี้จะจบลง" ป๊าป๋าพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเอาแต่ใจ

เขาไม่ได้คิดเลยว่าจะมาถามความสมัครใจของซินเหยา เพียงแค่มาแจ้งให้ทราบตรงตรงเท่านั้น

"ฉันไม่ไป"

จากสองครั้งที่พบกันมา ถ้าเธอไปเธอก็เหมือนปลาทูที่จะต้องโดนเเมวโหดร้ายกินเป็นแน่

แน่นอนว่าเธอคือปลาทู และป๊ะป๋าก็คือเเมวโหดร้าย

"ฉันไม่ได้มาถามความสมัครใจของคุณ แต่แค่มาแจ้งให้คุณรับทราบ

"การกระทำของคุณในครั้งนี้มันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะ"

"เธอพูดถูก"

เห้อ ยอมรับออกมาแบบหน้าด้านๆ

"ทำไมฉันต้องตอบตกลง ฉันเป็นดีไซเนอร์ของCK เราแค่ร่วมงานกันเท่านั้น ฉันไม่จำเป็นต้องฟังสิ่งที่คุณบอก"

”ผมเป็นฝ่าย ก"

"แล้วยังไงล่ะ ในสัญญาไม่ได้บอกไว้ชัดเจนนี่ว่าฉันต้องฟังสิ่งที่คุณสั่ง"

เขาเงียบไป ได้ยินเพียงเสียงหายใจแผ่วเบา แสดงว่าสายยังไม่ได้ตัดไป

ซินเหยายิ้มร่าออกมาและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชัยชนะ

"หุ้น 3% คุณคงไม่อยากลองดีหรอกนะ"

"มันตกลงกันไว้แล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะความคิดเล็กๆก็ทำให้เสียเรื่องหรอกนะ ในสัญญามันมีผลของการกระทำบอกไว้ชัดเจน"

"งั้นหรอ ในสัญญาที่บอกว่าเป็นค่าตอบแทนของคุณ ถ้าผมเห็นว่าคุณยังทำมันออกมาได้ไม่ดีพอ ผมสามารถริบกลับคืนมาหมดได้ ค่าตอบแทนที่แท้จริงของคุณเป็นบริษัทCKจ่ายให้เพราะตามสัญญาครั้งก่อนที่เซ็นไว้"

ซินเหยากับพนักงานของเธออึ้งเป็นไก่ตาแตก ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?

ถ้าถามซินเหยาว่าระหว่างเงินกับศักดิ์ศรีเธอจะเลือกอันไหน เธอก็ต้องเลือกเงินอยู่แล้วสิ

เธอได้ผ่านมรสุมอันโหดร้ายมานับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องรู้ว่าเธอต้องเลือกสิ่งที่มันเป็นประโยชน์กับเธอ

"ได้….ตกลง"

เธอเป็นคนอดทนมองโลกในแง่ดี และเป็นหม่ามี้ที่เข้มแข็งเสียจริงๆ

……

ซินเหยากัดฟันย้ายออกจากที่เดิม และย้ายเข้าไปที่เยี่ยหวง

จิงเฉินเอาโต๊ะทำงานมาไว้ในห้องของตัวเองอีกโต๊ะหนึ่งเพื่อเป็นที่ทำงานของเธอ ซินเหยากับหนักงานของเธองงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้ง

ในใจเธออยากสบถคำด่าออกมายิ่งนัก แค่คิดว่าทุกวันจะต้องเจอหน้าป๊าป๋าก็ทนไม่ไหวอยู่แล้ว

"คุณผู้หญิงคะ เราเคยพบกันมาก่อน ฉันชื่อหลี่เวย เป็นเลขาของท่านประธานเย่ นี่คือโต๊ะทำงานของคุณ ต่อไปคุณก็ทำงานตรงนี้" เลขาหลี่พูดด้วยเสียงสุภาพกับเธอและพาเธอไปที่ทำงาน

"คุณเรียกฉันว่าซินเหยาก็ได้แล้ว" เธอคิดอยู่สักพักแล้วถามว่า"บริษัทของพวกคุณการเงินไม่ดีหรอ จะล้มละลายแล้วหรอ ทำไมแค่ห้องของดีไซเนอร์ก็ไม่มี?"

ให้ห้องทำงานห้องหนึ่งกับเธอมันจะตายหรอ นี่มันเห็นชัดชัดว่าเป็นโซนทำงานของเลขา

หลี่เวยพูด "คุณผู้หญิงพูดแบบเด็กน้อยใสๆไร้เดียงสาเสียจริงๆ"

ซินเหยา"……"

เธออายุ 24 ปีแล้วนะยังไร้เดียงสาอยู่อีกหรอกหรอ ภาษาจีนของเธอเป็นครูอังกฤษสอนแล้วหรือกระมั้ง

อีกอย่างภาษาจีนของเธอห่วยซะขนาดนี้ นายของหล่อนรู้หรือไม่

"จะบ้าหรือ….." หลี่เวยเมื่อกี้ดูมายังเป็นหญิงแกร่งอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆกลายเป็นหญิงอ่อนนุ่มขี้อายซะอย่างนั้น "บริษัทเย่หวงของเรามีท่านประธานที่เก่งฉกาจฉลาดทันสมัยเขาสามารถทำให้บริษัทพัฒนามากยิ่งขึ้นและเงินเดือนของพวกเราก็มีแต่จะสูงขึ้นตามไป แต่งงานกับคนรวยอย่างเขา ไปสู่สังคมไฮคลาส เพราะฉะนั้นประธานเย่ของเราดีที่สุด เป็นประธานที่เก่งฉะกาจที่สุด เหตุไฉนการเงินของบริษัทจึงจะขัดข้องล่ะ" พูดด้วยสีหน้าอมยิ้ม

ซินเหยา"……"

"อืม ช่วงนี้หลี่เวยเธอทำงานได้ไม่เลว เงินเดือนเพิ่มขึ้น 20%" ประธานเย่เดินเข้ามาจากข้างหลังและพูดอย่างสุขุม

การยอแบบนี้มันจะดีหรอ?

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นนักเรียนหัวกะทิ แต่การยอแบบนี้ที่โรงเรียนก็ไม่ได้สอน ถ้าเทียบกับหลี่เวยก็คงจะเปรียบกันไม่ได้

เธอนิ่งคิดอยู่สักพักและเอ่ยปากพูดอย่างจริงจังว่า "ฉันก็คิดว่าที่หลี่เวยพูดก็ถูกนะ"

เธอยกนิ้วกดไลก์ให้กับความคิดของตัวเอง เธอคือผู้หญิงที่เก่งที่สุด

หลี่เวย "….."

เย่จิงเฉิน "……"

ท่านประธานแสนรวย รีบขึ้นเงินเดือนให้ฉันด้วยสิ

หลี่เวยกับเย่จิงเฉินคาดไม่ถึง หน้าตาสะสวยมีสมองอันชาญฉลาดอย่างซินเหยาที่แท้ก็ซ่อนหน้าที่ไม่อายไว้เหมือนกัน

"ฉันก็รู้สึกว่าสิ่งที่หลี่เวยพูดมันก็ถูก" เย่จิงเฉินพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม "เพิ่มเงินเดือนอีก5%"

หลี่เวย: ≧▽≦

ซินเหยา: ☆_☆

เธอมองดูประธานเย่ด้วยความตื่นเต้น แล้วเธอล่ะ? แล้วเธอล่ะ?

"เอาละถึงเวลาทำงานแล้ว" เย่จิงเฉินยิ้มที่มุมปากอย่างเล็กน้อยและไม่ได้มองตาของซินเหยาที่ส่งความระยิบระยับออกมา และได้หันหลังเข้าห้องทำงานอย่างทันทีทันใด

ซินเหยา:……

ได้โปรดมาเพิ่มเงินเดือนให้ฉันก่อน

หลี่เวยได้ขึ้นเงินเดือน 25% ในระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ได้ลากห่างระยะความสัมพันธ์ของพวกเขา

หลี่เวยยังถือเอาซินเหยาเป็นดาวนำโชคของตัวเอง และเธอก็อยากจะเลี้ยงข้าวเที่ยงให้กับซินเหยา

หึหึ….. เป็นเพราะชวี่เจ๋อ เธอไม่ได้คาดหวังกับข้าวเที่ยงที่ได้กินฟรีอีกต่อไปแล้ว

อีกอย่างเธอคิดว่าเย่จิงเฉินรวยซะขนาดนั้น แต่ว่ากับข้าวที่โรงอาหารล้วนผ่านการตรวจตราจากเขาทั้งสิ้น กลิ่นของอาหารก็ยังหอมฟุ้งใช่ย่อย

มีผักมีเนื้อดีกว่าที่ทำงานเก่าของเธอ

"ไม่ต้องหรอก มันเปลืองเงิน" ซินเหยาปฏิเสธ

"ไม่ได้ เธอน่ะคือดาวนำโชคของฉันเลยนะ เมื่อเธอมาฉันก็ได้เพิ่มเงินเดือน 25% และทุกเดือนฉันก็จะสามารถซื้อกระเป๋าLVที่เพิ่งออกมาใหม่ได้สองใบ" หลี่เวยพูดอย่างดีใจ

คำพูดของเธอดูเหมือนจะมีข้อมูลมากนะ ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่าง

เธอรู้สึกเศร้าใจมากที่เป็นดีไซน์เนอร์ตัวเล็กๆแต่เงินเดือนยังไม่เท่าหลี่เวยที่เป็นเลขา

ป๊ะป๋า คุณยังต้องการเลขาอยู่อีกหรือเปล่า?

ที่สุดหลี่เวยก็ได้เลี้ยงซินเหยาเป็นเนื้อย่างเกาหลีที่ร้านใกล้ๆกับบริษัท

เนื้อย่างกลิ่นหอมลิ้มชิมรส ถ้ากินหมดก็ถือว่า…รักษาแผลหัวใจ….ที่โดนทำร้ายจากท่านประธานเย่ได้ส่วนหนึ่ง

เธอยกมือขึ้นดื่มน้ำ เพื่อหลบซ่อนริมฝีปากของเธอที่ไปสัมผัสกับความไม่เต็มใจเข้า "คุณต้องเสียเงินเพื่อเลี้ยงข้าวฉัน ฉันยังมีงานที่ต้องทำอยู่ คิดว่ากินที่บริษัทนั่นแหละดีแล้ว"

ซวี่เจ๋อยกมือขึ้นดูนาฬิกาหลายล้านหยวน และบอกซินเหยาว่า "ถึงแม้คุณอยากจะไปกินที่โรงอาหารแต่ตอนนี้น่าจะไม่ทันแล้ว"

ซินเหยามองดูนาฬิกา มันผ่านเวลาของอาหารกลางวันมาแล้ว

แม่เจ้า เธอนอนไปนานเพียงไหนกันเชียว?

เป็นความผิดของป๊ะป๋าทั้งนั้น ป๊ะป๋าทำให้เธอพลาดอาหารกลางวัน ตอนนี้เธอรู้สึกหิวมาก

"จะไปไหม" ฟางซวี่เจ๋อถามเธออย่างนุ่มนวล

ตอนนี้เธอมีตัวเลือกสองอย่าง:

อย่างแรกคือเสียเงินซื้อสิ่งที่เธออยากจะกินตอนเที่ยงนี้ แต่ว่าอาจจะทำให้เขาโกรธ

อย่างที่สองคือไปกินกับเขา และสามารถกินอาหารเที่ยงฟรีได้

คนฉลาดอย่างหล่อนก็ต้องเลือกแบบที่สองน่ะสิ

แต่ทว่าของที่เธออยากกินก็คงต้องให้ลูกชายทำให้คืนนี้แล้วล่ะ มื้อเที่ยงนี้ก็ฝืนกินหน่อยแล้วกัน

"งั้นก็ได้" เธอตอบตกลงหลังจากความคิดทั้งหมดได้วิ่งเเล่นผ่านสมองเธอหนึ่งรอบเพื่อวิเคราะห์

เดินออกมาจากในออฟฟิศ ซวี่เจ๋อถือกระเป๋าและเสื้อคลุมของเธอให้อย่างสุขุมนุ่มลึก

มื้อเที่ยงนี้ยังคงกินแบบจืดจืดไร้รส ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบกินสักเท่าไหร่ แต่ว่ามันคือคนอื่นเลี้ยง เธอจึงไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้มากมาย

"อืม…. ฉันถามคุณข้อหนึ่งได้ไหม" เธอสับสนมากก่อนจะเอ่ยปากพูด

"อะไร?"

"ประธานเย่กับหญิงลู่คนนั้นความสัมพันธ์เขาสองคนเป็นอย่างไร"

ซวี่เจ๋อจับส้อมในมือแน่นยิ่งขึ้น แต่สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน "อืม..ก็ดีนะ ทำไมหรอ?"

ขุนพระ นี่จะให้ฉันตอบกลับยังไงล่ะ

ถ้าคุณตอบกลับมาว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ดี ฉันยังสามารถที่จะตอบกลับได้แบบอ้อมอ้อมว่าประธานเย่เสียมารยาทกับฉัน

แต่คุณตอบกลับมาว่าดี จะให้ฉันตอบกลับอย่างไรล่ะ ถ้าฉันบอกเรื่องราวเหล่านั้นกับคุณ ฉันจะไม่ดูแย่ทำให้พวกคุณบาดหมางกันหรอ?

อีกอย่างฉันไม่ได้ตาบอดนะ ฉันเห็นอยู่ว่าคุณกำลังตีหน้าซื่อพูดปดกับฉัน มันจะไม่เป็นอะไรจริงหรือ?

"ไม่มีอะไร"

พึ่งตนเองดีกว่าพึ่งคนอื่น เธอคิดว่าเธอต้องหาทางหลบลีกจากความตอแยของป๊าป๋าเองแล้วล่ะ

"ถึงแม้เขาสองคนจะเป็นการอยู่ด้วยกันแบบที่ผู้ใหญ่ตกลงกันเอง แต่ความสัมพันธ์ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ยังมั่นคง ฉันคิดว่าอีกไม่นานก็แต่งงานกันแล้วแหละ" ชวี่เจ๋อพูด

"อ๋อ เขาสองคนเหมาะสมกันมาก" ซินเหยายกไวน์ขึ้นแล้วกระดกหนึ่งอึกพร้อมพูดด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้ม

เมื่อวางแก้วลง เธอก็ไม่อยากที่จะรับประทานต่อ

เธอคิดในใจว่าเธอก็อาจติดเชื่อการเลือกกินเหมือนกัน

เมื่อก่อนอะไรเธอก็ชอบกินหมด โดยเฉพาะของฟรี

เธอรู้สึกว่าก่อนที่หลิงหลิงกับหลานหลานจะบรรลุนิติภาวะ พ่อของพวกเขาควรที่จะอยู่ดาวอังคารต่อไป

เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนอื่นเป็นหม่ามี้ของหลิงหลิงหลานหลานเเละเลี้ยงดูพวกเขาไม่มี

งานของเธอเริ่มเข้าที่เข้าทาง ซินเหยายุ่งจนตัวเป็นเกลียว แม้แต่เวลาพักก็ไม่มี

ต้องทำงานดึกจนถึงเที่ยงคืนกว่าจะได้กลับบ้าน

บริษัทเย่หวงของป๊าป๋าก็ได้ทำโปรเจ็คใหม่สร้างรายได้ไปมากกว่าพันล้าน

ถ้าเทียบกับดีไซเนอร์ตัวน้อยน้อยอย่างเธอแล้วล่ะก็ คงจะห่างกันราวฟ้ากับเหว

เธอไม่ได้เจอป๊าป๋ามาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าการออกแบบของเย่หวงที่เธอกำลังทำอยู่ เธอคงลืมป๊าป๋าที่กำลังตีปีศาจร้ายอยู่บนดาวอังคารไปแล้วกระมัง

แต่ว่าฟางซวี่เจ๋อมาชวนเธอ…..กิน…..ข้าว…..ทุก……วัน….. ตอนนี้เธอเริ่มเกลียดของฟรีแล้วหล่ะสิ

เปอร์เซ็นต์ที่เธอเจอกับฟางซวี่เจ๋อยังมากเสียกว่าเปอร์เซ็นต์ที่เธอเจอกับลูกของตัวเองอีก

เมื่อถึงเวลากินข้าว เธอต้องใช้วิชาพรางตัวของเธอในการที่จะหลบหน้าฟางซวี่เจ๋อ

แต่เธอยังไม่ทันได้ใช้วิชา ฟางชวี่เจ๋อก็เข้ามาหาเธอแล้วโดยที่ยังไม่ได้เคาะประตู

"ซินเหยา ไปกินข้าวด้วยกันไหม"

กินกับผีคุณสิ หนึ่งเดือนมานี้ฉันได้กินแต่ผักสลัด ฉันไม่อยากจะได้ยินคำว่าผักสลัดอีกต่อไปแล้ว

การที่เธอกินผักสลัด ก็ไม่ต่างอะไรกับกินอุจจาระเลย

"วันนี้ก็ไปร้านเดิมหรอ" ซิมเหยาถามด้วยเสียงอ่อนเเรง

"ใช่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า"

"พระเจ้า……" ซินเหยาลูบไปที่คิ้วของเธอและบอกว่า "ฉันไม่ชอบร้านอาหารนั้นจริงๆ และฉันก็ไม่ชอบกินผัก ฉันชอบกินเนื้อ ชวี่เจ๋อคุณเมตตาปล่อยฉันไปเถอะ วันนี้ฉันขอกินที่โรงอาหารก็แล้วกัน"

จากหนึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกันมานี้ ทั้งสองก็เริ่มที่จากคุ้นชินกัน

ฉันชอบกินเนื้อไม่ได้ชอบกินผัก เห็นแก่ฉันเถอะ ครั้งนี้ท่านประธานฟางปล่อยฉันไปได้หรือป่าว?"

"ที่จริงเอาตรงๆผมก็คิดว่าร้านอาหารนั้นมันไม่ใช่อาหารของคนเลย"

ซินเหยา"……"

ในเมื่อมันไม่ใช่อาหารของคน แล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคุณพาฉันไปกินทำไม?

อาจเป็นเพราะว่าสายตาของซินเหยาแสดงความโกรธและเศร้าออกมา ซวี่เจ๋อจึงอธิบายไปว่า"ผมเห็นผู้หญิงในบริษัทชอบไปกิน ผมก็นึกว่าคุณก็ชอบเหมือนกัน"

นี่มันอะไรกัน ไม่กลัวผู้หญิงในบริษัทรู้หรอ?

สุดท้ายพวกเขายังไปร้านนั้นอยู่ แต่เป็นร้านข้างข้างที่เป็นร้านบุฟเฟ่ชาบู

ฤดูร้อนกินชาบูอาจจะดูแปลกไปหน่อย แต่โอกาสอย่างนี้มีมาไม่ง่าย ฉันยอมกิน

เมื่อเข้าไปถึงก็สัมผัสได้ถึงความเผ็ดร้อน ที่นี่ดูคึกคักยิ่งนัก

พวกเขาสั่งหม้อแบบรูปทรงเป็ดแมนดารินมา ซินเหยาเอาเนื้อแกะ เนื้อวัว อาหารทะเล ใส่ลงไปในหม้อและกินอย่างเอร็ดอร่อย

ซวี่เจ๋อได้เพียงแต่มองซินเหยากิน รู้สึกว่าการรับรสของตัวเองก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ซวี่เจ๋อเอาเนื้อวัวต้มลงไปในหม้อไปด้วย และเอาผักที่ต้มเสร็จใช้ตะเกียบกลางคีบใส่ถ้วยของซินเหยาไปด้วย

มีผู้หญิงน้อยคนนักที่จะกินได้อร่อยแบบคุณ ซวี่เจ๋อนำกุ้งที่แกะเปลือกออกใส่ไว้ในถ้วยและส่งให้ซินเหยา ยิ้มมุมปากพรางฟังสิ่งที่ซินเหยาพูด

ซินเหยานำกุ้งที่ชวี่เจ๋อแกะจิ้มน้ำส้มสายชูใส่เข้าปากอย่างรวดเร็ว

ในใจคิด ชวี่เจ๋อจะคิดว่าเธอกินเยอะเกินไปหรือเปล่านะ?

"55" ซินเหยาได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร

"เธออย่าขยับ" ซวี่เจ๋อเรียกให้เธออย่าขยับ

มือเรียวยาวนั้นได้ยื่นมาที่หน้าของเธอ อุณหภูมิเนื้อสัมผัสของมือได้กระทบไปที่ริมฝีปากของเธอแล้วจากไป มันทำให้รู้สึกชาหน่อยๆ มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอก็ไม่ได้ปัดมันทิ้ง

"ทะ…. ทำไมหรอ"

"ไม่มีอะไร แค่เมื่อกี้หน้าเธอมันเปื้อนน้ำมันน่ะ"

งั้นคุณแค่บอกฉันก็จบแล้วไม่ใช่หรอ ฉันตกใจจริงๆ

สำหรับที่ว่าทำไมเธอถึงตกใจนั้น ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอไม่รู้อะไรเลย

ที่จริงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลยนะ แต่ทำไมสถานการณ์มันแปลกแปลก อึดอัดทำตัวไม่ถูกอย่างนี้

ซินเหยาเธอก็รู้รู้สึกแปลกแปลกไม่เป็นตัวของตัวเอง และมองไปที่ชวี่เจ๋อสายตาของเขาก็วอกแวกไปมา

หลังจากที่เดินออกมาจากร้านชาบูก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งออกมาจากไหนไม่รู้ เกือบจะชนซินเหยาล้มลงไป

ซินเหยาเดินโซซัดโซเซไปสองสามก้าวและชนถูกซวี่เจ๋อ แต่ซวี่เจ๋อยื่นมือออกไปคว้าเธอเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ

ทั้งสองคนไม่ได้ระมัดระวังว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องพวกเขาจากที่ที่ไกลออกไป

ซินเหยาถูกชวี่เจ๋อคว้าไว้ที่เอว ตัวเธอได้สวมกอดอยู่ที่หน้าอกของเขา ตอนนี้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยจริงๆ

เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะข้างนอกอากาศร้อนเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อกี้กินอิ่มเกินไป

"เมื่อกี้ขอบคุณคุณนะ" เธออยากออกมาจากอ้อมกอดของชวี่เจ๋อ แต่ว่ามือของชวี่เจ๋อที่รัดไว้ที่เอวของเธอไม่ได้คลายลงเลย แต่มันกลับแน่นยิ่งขึ้น

“มื้อเช้าเสร็จแล้ว ประธานเย่กินข้าวกันเถอะ”

ซินเหยากับจิงเฉินนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหารเดียวกัน ถึงแม้โต๊ะจะไม่ได้ยาวสามเมตรเหมือนในละคร แต่มันก็ทำให้ความรู้สึกสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

สำหรับที่ว่าทำไมเธอถึงไปนั่งกับท่านประธาน ไม่ต้องคิดอะไรมาก เธอไม่ใช่คนใช้สักหน่อย

“โจ๊กต้มได้ไม่ค่อยเหนียวข้น ใส่เครื่องปรุงเยอะเกินไป สัมผัสไม่ได้ถึงรสชาติที่แท้จริง ไข่เยี่ยวม้ากับโจ๊กต้มนานเกินไป หัวหอมหั่นได้ไม่ละเอียดพอ ไข่ทอดสุกเกินไป ปลาท่องโก๋ก็เลี่ยนเกินไป"

พอได้แล้ว อยากจะเอาโจ๊กนี้ปาใส่หน้าเขาจริงๆ

“ถึงแม้รสชาติจะงั้นๆ แต่มันพิเศษตรงที่ใช้ใจทำขึ้นมาล้วนๆ กัดฟันให้ซักเก้าสิบแปดคะแนน”

“ขอบคุณคำชมจากท่านประธานนะคะ”

คิดไม่ถึงเลยว่าป๊ะป่าจะชอบอาหารเช้าที่ฉันเตรียมเช่นนี้ ที่แท้ท่านประธานเป็นคนชอบตีเบลอนี่เอง

“คะแนนเต็มหนึ่งหมื่น” ประธานเย่พูดด้วยถ้อยคำที่เย็นชา

ฉันจะสาดน้ำเกลือโซดาใส่เขา

ถึงแม่ว่าป๊ะป๋าจะเลือกกินมาก แต่ครั้งนี้ที่ซินเหยาทำให้กลับกินหมดเลย

เพราะฉะนั้น แท้จริงป๊ะป๋าเป็นคนที่ชอบตีเบลอนี่เอง

นั่งรถหรูคาดิลแลคอย่างนี้ไปทำงานมันก็รู้สึกดีใช่ย่อย

ใช่สิป๊ะป๋า รถไมบัคพวกนั้นที่คุณส่งฉันไปทำงานไปไหนหมดแล้ว?

โลกของคนมีเงิน ฉันมันก็แค่คนธรรมดาที่ทำได้เพียงปรารถนารอคอยเท่านั้น

ตอนที่ลงจากรถ ก็โดนเย่จิงเฉินเรียกให้หยุด

พูดถึงฉากนี้มันก็รู้สึกคุ้นๆนะ พระเจ้า ครั้งที่แล้วเธอคือนางเอก ป๊ะป๋าคือพระเอก มีแค่อุปกรณ์ประกอบฉากที่ไม่เหมือน อย่างอื่นแทบไม่ต่างกันเลย

ป๊ะป๋าทำตัวกร่างใส่เธอ แต่เธอก็ไม่ได้แจ้งตำราจ แต่ครั้งนี้มันคือ……

"รอบนี้คุณอย่าหวังเลย ฉันไม่มีทางติดกับคุณหรอก" ซินเหยามองดูป๊ะป๋าอย่างมีสติ

"เธอคิดมากเกินไปแล้วแหละ" ป๊ะป๋าเอากระเป๋าตังออกมาส่ายไปส่ายมาต่อหน้าซินเหยา ไม่รู้ว่าเอาออกมาจากไหนเหมือนกัน "ผมไม่ได้ให้สัญญากับคุณหรอกหรอว่าถ้าคุณทำอาหารเช้าให้ผม ผมจะส่งคุณมาทำงาน จ่ายค่ารถและค่าอาหารเมื่อวานคืนให้ คุณจำไม่ได้แล้วหรือไง"

ซินเหยาเธอจำไม่ได้จริงๆ

"รวมทั้งสิ้นห้าร้อยหกสิบแปด ต้องให้เธอดูใบเสร็จไหม"

"ไม่ต้องแล้ว"

ป๊ะป๋าเอาแบงค์ร้อยหกแบงค์จากกระเป๋าตังออกมา "อย่าลืมทอนฉันสามสิบสองบาท"

เมื่อได้ยินที่ป๊ะป๋าบอกให้ทอนตัง ซินเหยารู้สึกไม่รู้จะทำยังไงต่อ

ที่บอกว่ารวยนักรวยหนา ที่บอกว่าบ้านเป็นร้อยๆล้าน ที่บอกว่าสามารถที่จะเซ็นเช็คห้าล้านต่อหน้าผู้หญิงเพื่อทำให้เขาขายขี้หน้าล่ะ ท่านประธานพวกน้ีหายไปไหนหมด

ป๊ะป๋าคุณหยิบบทผิดแล้วมั้ง?

ตอนนี้ในใจเธอวิ่งวนไปด้วยความสับสน ในละครที่ท่านประธานรวยๆตอนเซ็นเช็คไม่ใช่เซ็นเป็นเช็คเปล่าหรอกนะ

เธอหยิบเงินทอนจากกระเป๋าอย่างเจ็บปวดแล้วยื่นให้ป๊ะป๋า จากนี้ไปเธอไม่สามารถเล่นสนุกกับป๊ะป๋าได้อีกต่อไปแล้ว

เธอไม่อยากจะสนใจป๊ะป๋าอีกแล้ว

"ซินเหยา" เสียงเรียกเธอจากป๊ะป๋าดังขึ้น

เธอโค้งตัวลงไปต่ำอีกครั้งเพื่อฟังสิ่งที่ป๊ะป๋าจะพูด

แต่ปรากฎว่าป๊ะป๋ายื่นมือออกมาแล้วฟาดควงไปที่เอวของเธอ มืออีกข้างดึงกระเป๋าที่หน้าอก ฉากนี้มันดูคุ้นๆอีกแล้วนะ เมื่อรอให้เธอเอามือมากันออกห่าง มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะริมฝีปากของป๊ะป๋าได้บรรเลงระเริงล่าลงบนริมฝีปากของเธอเสียแล้ว

ขากรรไกรเปิดรับขั้นสุด ลิ้นของป๊ะป๋าได้ละเลงไปทั่วปากของเธอ ลิ้นของทั้งสองผลัดกันทำหน้าที่อย่างดุเดือดเผ็ดร้อน

ซินเหยารู้สึกว่าลมหายใจของตนเองได้ถูกฝ่ายตรงข้ามดูดไปหมดยังไงยังงั้น ระหว่างลมหายใจมีเพียงเย่จิงเฉินที่กำลังควบคุมด้วยความชำนาณ ถึงตอนที่เธอรู้สึกว่าเธอจะขาดอากาศหายใจแล้ว ป๊ะป๋าจึงค่อยเอาริมฝีปากของเขาออกจากของเธอ

ซินเหยาสูดเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด เมื่อกี้เธอเกือบจะขาดอากาศหายใจจริงๆ

สันจมูกของเธอชนกับสันจมูกของป๊ะป๋า ป๊ะป๋าตอนนี้รู้สึกพอใจยิ่งนัก

ป๊ะป๋าลืมอะไรไปสักอย่าง จูบของตัวเองมันไม่น่าอวดตรงไหนเลย

ก่อนที่จะไป เขาได้กัดริมฝีปากที่แดงซ่าของซินเหยา เมื่อพอใจแล้วจึงได้ขับรถจากไป

สำหรับนิสัยที่ชอบทำตัวกร่างของป๊ะป๋านั้น เธอไม่มีแรงที่จะต่อต้านแล้ว

เธอรู้สึกรำคาญจริงๆทีป๊ะป๋าชอบหนีไปแบบนี้ เพราะมันทำให้เธออยากปฏิเสธควารักในครั้งนี้เอามาก

ถ้าเกิดเธอตั้งใจไปหาเขาถึงเยี่ยหวง มันจะดูเป็นการเรียกร้องความสนใจแบบตั้งใจเกินไปไหม

ในทางตรงกันข้ามมันจะเหมือนกับในนิยายที่นางเอกต้องการที่จะเรียกร้องความสนใจ

ลองคิดดูแล้วการจัดการแบบเงียบเงียบแบบนี้แหละดีที่สุด

เธอนั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างเหนื่อยล้าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาหลิงหลิง

ให้ลั่วหลิงดูแลเข่อหลานให้ดี ไม่งอแงตอนไปโรงเรียน

"หม่ามี้เมื่อวานไปไหน" ลั่วหลิงถามซินเหยาในโทรศัพท์

"อ๋อ เจอประธานที่เป็นโรคประสาท ดึกดึกดื่นดื่นเรียกหม่ามี้ไปแก้แบบร่าง"

"หม่ามี้ทำงานออกแบบเครื่องประดับของบริษัทเยี่ยหวงอยู่หรอ"

"ใช่นะสิ หม่ามี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"

"ประธานของบริษัทเยี่ยหวงคือเย่จิงเฉินหรอ?"

ซินเหยารู้สึกตกใจ จังหวะการเต้นของหัวใจเธอกระตุกขึ้นหนึ่งครั้ง จังหวัดนี้มันไม่ถูกนี่นา

"ทำไมหรอ ลูกรู้จักเย่จิงเฉินหรอ" ซินเหยาถามด้วยความกล้ากล้ากลัวกลัว

ไม่ใช่เพราะว่าเธอระมัดระวังเกินเหตุ แต่เป็นลั่วหลิงที่เป็นเด็กอัจฉริยะ มีไอคิวสูงถึง 200 อีกอย่างอีคิวเธอก็สูงด้วยเช่นกัน

"ไม่รู้จัก"

"หนูรู้ว่าแม่ทำงานออกแบบเครื่องประดับอยู่ที่บริษัทเยี่ยหวง ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านมีนิตยสารเเผงลอยที่วางขายพูดถึงบริษัทเยี่ยหวง เพราะฉะนั้นจึงชะงักสนใจหยิบมาดูนิดหน่อย"

ซินเหยารู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก

นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าลั่วหลิงกับเข่อหลานเป็นลูกของเย่จิงเฉิน

เพราะเมื่อหกปีก่อน ชีวิตของเธอกับเย่จิงเฉินไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันเลย

หม่ามี้ อย่าคาดหวังกับEQของตนเองสูงเกินไป

"หม่ามี้อย่าเหนื่อยเกินไปล่ะ"

"ไม่ได้ ถ้าหม่ามี้ไม่ขยันทำงาน จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงหนูกับเข่อหลานหล่ะ?"

"หนูเลี้ยงหม่ามี้กับน้องสาวได้"

"ไม่ต้อง หน้าที่ของหนูตอนนี้ก็คืออยู่กับน้องให้มีความสุข ไม่มีความเครียดกังวลใจ เติบโตมาอย่างสมบูรณ์แบบก็พอ"

หัวข้อคุยเรื่องนี้มันก็หนักอยู่นะ

" เอาหล่ะ หม่ามี้ต้องทำงานแล้ว ถ้ากินข้าวเช้ากับน้องสาวเสร็จแล้ว ตอนไปโรงเรียนข้ามถนนให้ระวังด้วยนะ" ซินเหยากำชับ

"ครับหม่ามี้ ผมรักหม่ามี้นะครับ" เมื่อพูดเสร็จ เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย จึงได้วางโทรศัพท์ทันที

เมื่อฟังคำพูดหวานหวานของลูกชายเสร็จ ในใจตอนนี้ของเธอรู้สึกเต็มไปด้วยความหวานเหมือนกับว่าได้กินลูกอมที่ทำมาจากน้ำผึ้งเดือนห้าซะอย่างงั้น จึงมีกำลังใจที่จะทำงานต่อ

ที่แท้หลิงๆก็เป็นคนที่ขี้อายและชอบตีเบลอ

งานที่ต้องทำวันนี้มันทำให้ซินเหยารู้สึกง่วงจริงๆ จึงทำให้เธอผล็อยหลับไป

แต่เมื่อเธอตื่นมานั้น กลับพบว่าฟางซวี่เจ๋อนั่งอยู่ในออฟฟิศของเธอแล้ว

เธอรู้สึกตกใจมากที่ตอนทำงานโดนเจ้านายจับได้ว่าแอบหลับ ทำไงดีล่ะทีนี้

เธอตั้งสติและนั่งตัวตรง อ้าปากออกให้เห็นถึงฟันแปดซี่ที่ซ่อนอยู่ข้างใน แสดงมาตรฐานรอยยิ้มของตัวเองออกมา

"เมื่อคืนนี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับแบบร่าง จึงทำให้รู้สึกง่วงมาก ตอนแรกแค่คิดว่ากะจะพักสายตาแว๊บนึง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะผล็อยหลับไป" ซินเหยาเงยหน้าขึ้นถามประธานฟางอย่างจริงจังว่า"ประธานฟางมาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ?"

เธอแค่กะจะพักสายตาประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ก็ผล็อยหลับไป มันไม่ใช่การนอนในเวลาทำงานจริงๆนะ

"ถึงแม้ว่าต้องทำงานแต่ต้องรักษาสุขภาพของตัวเองด้วย ต้องนอนให้ตรงเวลา" ความจริงฟางซวี่เจ๋อดูออกว่ามันเป็นแบบไหน แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

"ไม่มีอะไร ถึงเวลาของอาหารกลางวันแล้ว"

ซินเหยา……

กินข้าวอีกแล้ว ประธานฟางชอบเลี้ยงข้าวเธอขนาดไหนกันนะ

เธอไม่ได้ชอบกินผักสลัด เธอไม่ได้ชอบ

เธอเทน้ำแก้วหนึ่งให้ฟางซวี่เจ๋อ และตัวเองก็ดื่มไปหนึ่งกึก

บางครั้งอาจจะเป็นเพราะเครื่องแต่งกายสินะป๊ะป๋าใส่สีขาวมันดูอบอุ่นมากเสียยิ่งกว่าใส่สูทสีดำเป็นไหนๆ มันไม่ไ้ด้ดูเคร่งขรึมเหมือนตอนกลางวันเลย

ป๊ะป๋า คุณใส่แบบนี้มาเปิดประตูจะไม่เป็นไรแน่นะ? คุณไม่กลัวว่าเลือดสัตวป่าดุร้ายในตัวฉันจะพุ่งพล่านออกมาแล้วทำเรื่องอย่างว่าหรอกหรอ

ป๊ะป๋า คุณมันเป็นปีศาจร้ายที่ยั่วใจจริงๆ

“เธอสายไปหนึ่งนาที” เย่จิงเฉินมือสองข้างกอดอกมองดูเธออย่างไร้ซึ่งอารมณ์

เจ้าโง่ เธอยังจะกล้าบ้าบิ่นอีกอยู่หรือป่าว?

เธอต้องจากเฉิงหนาน(ทิศใต้)ไปเฉิงซี(ทิศตะวันตก) ต่อแถวซื้อกาแฟและทาร์ดไข่ แล้วค่อยจากเฉิงซี(ทิศตะวันตก)ไปบ้านป๊ะป๋าที่อยู่เฉิงตง(ทิศตะวันออก)นี่มันวนรอบเมืองไปซื้อเลยนะ

แต่เธอให้แท็กซี่ฝ่าไฟแดงสามที่มาเหมือนเป็นเครื่องบินยังไงยังงั้น ถึงได้มาเร็วขนาดนี้นะคุณเธอ

“แต่ฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว ฉันต้องนั่นรถจากเฉิงหนานไปเฉิงซีค่อยมาเฉิงตง” ตอนกลางคืนก็ยากที่จะเรียกรถ” ซินเหยากลืนเฮือกน้ำลายคำใหญ่ที่ผสมไปด้วยเลือดลงคอของเธอ

“ทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้สิ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามันก็คือความผิดของคุณ”

โอเคร คุณชนะแล้ว!

“ขอโทษ”

“ครั้งหน้าจะไม่มีอีก”

การกระทำของป๊ะป๋าในครั้งนี้มันทำให้เธอหดหู่สิ้นดี

แต่เพื่องาน เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทน แล้วต้องยิ้มออกมาให้ดูเหมือนว่าไม่เป็นไร

ป๊ะป๋าหลีกทางไปด้านข้างเพื่อให้เธอเข้ามา แล้วพูดว่า “เป็นรอยยิ้มที่ทุเรศสิ้นดี”

การกระทำของป๊ะป๋าในครั้งนี้เหมือนมีดที่แทงไปที่ซินเหยา มันทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งนัก

เธอไม่รู้เลยว่าป๊ะป๋าไปได้คำพูดอสรพิษเช่นนี้มาเมื่อไหร่ แต่บอกได้คำเดียวว่าความเจ็บปวดได้คะแนนเต็มไปเลย

ซินเหยานั่งอยู่บนโซฟาแฮนด์แมดอิตาลีของป๊ะป๋าอย่างหน้าสะหล๋อน พิเคราะห์ดูความหรูหราของบ้าน คฤหาสน์หลังนี้ถึงแม้จะไม่เหมือนในละครที่ใหญ่หนึ่งพันเมตรพร้อมมีสวนหน้าบ้าน แต่มันก็ดูวิจิตรตระกาลตาหรูหราหมาเห่ามากยิ่งนัก

แต่ที่แปลกคือ มันมีความเรียบง่ายที่ผสมกับความหรูหรา มีนัยยะอะไรซ่อนไว้เป็นแน่

“หน้าเศร้าเป็นตูดไก่ทำไม ไม่พอใจฉันหรอ?”

ซินเหยา “…….”

ตอนนี้เธอได้ค้นพบอีกเรื่องนึงที่สุดแปลกคือ ประธานของบริษัทเยี่ยหวงไม่เพียงแค่เย็นชา แต่ต้องละเอียดทุกระเบียดนิ้ว

ซินเหยาวนรอบเมืองไปหนึ่งแมตช์ แต่กลับเขายังจำเรื่องนั้นได้อีก

“ประธานเย่ แบบร่างพวกนั้นมีตรงไหนที่ต้องแก้คะ” ซินเหยาถาม

“เธออยากชิมไหม?”ประธานเย่พูดเบี่ยงคำถาม

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”

“อืม งั้นก็เสียดายแทนจริงๆเพราะรสชาติมันไม่เลวเลย ทาร์ดไข่เจ้านั้นน้ำตาลน้อยแครอรี่ต่ำ ถึงแม้กินแล้วก็ไม่อ้วนขึ้นอยู่ดี”

ที่แท้ท่านประธานรักษาหุ่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่แค่วิธีของป๊ะป๋ามันดูออกสาวไปหน่อย

ท่านประธานที่อยู่ในละครเหมือนกับว่าเกิดมาก็มีซิกแพค

ทุกวันเพียงแค่พาตัวละครเอกผู้หญิงนั่งรถหรูๆไปเที่ยวชมรอบโลก จูบกันบนบอลลูนที่ลอยอยู่บนนภา โปรยกลีบกุหลาบทั่วสวนหน้าบ้านเพื่อขอนางเอกแต่งงาน ทะเลาะกับนางเอกแบบไม่มีเหตุผล หึง ดีกันใหม่ แตกสลาย ประกอบใหม่ขึ้นอีกครั้ง ความสัมพันธ์ในนั้นมันมีแค่แบบนี้จริงๆ

ถึงแม้จะดูน้ำเน่า แต่นางเอกในนั้นก็ดูเหมือนจะชอบ

ถ้าเทียบป๊ะป๋ากับพระเอกในนั้นนะ แพ้อย่างราบคาบจริงๆ อยากรักษาซิกแพคถึงกับต้องใช้วิธีอดอาหารมาช่วย

พินิจดูแล้ว เธอน่าจะไม่ตำหนิความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์โกรธแบบไม่มีสาเหตุของป๊ะป๋าอีกแล้ว

เพื่อเลี่ยงจากสมองที่จะแตกออก ซินเหยานิ่งไปชั่วขณะ แล้วถามว่า “เงินที่ใช้ซื้อทาร์ดไข่ กาแฟและค่ารถจะคืนฉันใช่ไหม ”

เย่จิงเฉิงเพียงแค่ดูซินเหยา พร้อมพูดประโยคที่ว่า”ซินเหยา ในหัวของเธอมันมีแต่ขี้หรอ”อย่างเย็นชา

แม่เจ้า สายตาคู่นั้นที่มองมาฉันก็นึกว่าเธอรักฉันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเธอพูดกับฉันด้วยถ้อยคำที่สุดแสนจะเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น ฉันคงไม่ใช่นางเอกสินะ

เห้อ……

อีกอย่างในฐานะที่คุณเป็นประธานที่ฐานะค่อนข้างจะรวย คุณหยาบคายแบบนี้ได้หรอ คุณธรรมอาชีพคุณไปไหนหมดแล้วล่ะ?

งั้นฉันจะบอกเองว่าเวลาที่กำลังขี้ควรจะพูดว่าอะไร

ซินเหยาครุ่นคิดและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: คุณใช้คำว่าอุจจาระแทนได้

“อ๋อ งั้นในสมองของเธอคืออุจจาระหรอกหรอ”

คุณพอซักทีเถอะ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นประธานที่แสนจะมีเงิน แต่คุรไม่สามารที่จะมาดูถูกฉัน มาทำให้ฉันขุ่นหมอง อาทิเช่นใช้อำนาจของเงินมาหลอกล่อวิญญาณของฉัน

ซินเหยาดูป๊ะป๋ากินมื้อดึกครั้งนี้เสร็จอย่างเชื่องช้า แล้วก็…….

เสียงหาวที่ดังขึ้นเป็นของป๊ะป๋านั่นเอง เขาอยากจะไปพักผ่อนแล้ว

แมวของคุณแกล้งฉันเล่นหรอ ไหนแบบร่างที่บอกจะให้แก้?

“ท่านประธานเย่ คุณไม่ได้เป็นคนบอกเองหรอกหรอว่าฉันจะต้องแก้”ซินเหยาถามพรางอมยิ้มมุมปาก

“อ๋อ ตอนที่รอคุณมาผมแก้ให้หมดแล้วล่ะ”

แล้วในเวลาดึกดื่นเช่นนี้คุณให้ฉันวนรอบเมืองไปหมด แล้วมาหาคุณมันยังมีประโยชน์อะไร

“งั้นประธานเย่พักผ่อนเถอะ ที่จริงตรงนี้ยังไงก็เรียกรถกลับไม่ได้”

เสียงก้าวเท้าของซินเหยาชงักลง นึกว่าป๊ะป๋าจะไปส่ง

แต่ความจริงได้ปรากฎว่าป๊ะป๋าเลวร้ายดุดันกว่าที่เธอคิดไว้ซะอีก เพราะว่าป๊ะป๋าบอกว่า"พรุ่งนี้เช้าฉันอยากกินโจ๊กกับไข่เยี่ยวม้าและปาท่องโก๋ เธอสามารถอยู่ที่นี่ต่อเพื่อทำให้ฉันกิน”

ขุนพระ ไอ่บ้ากามนี้ฉันไม่อยู่รับใช้หรอก

“ถ้าไม่ได้กิน อารมณ์ผมก็จะไม่ดี ถ้าอารมณ์ผมไม่ดี ผมก็อาจจะเลือกมาก ซึ่งมันจะทำให้แบบร่างของคุณต้องโดนแก้ เพราะถ้ามองดีๆแล้ว แบบร่างของคุณยังมีที่ติอยู่”

ซินเหยาเธอมั่นใจในการออกแบบของเธอมาก แต่ก็อย่างว่าที่อีกฝ่ายมันเลือกมากเหลือเกิน

เธอคิดในใจว่าถ้าอีกหน่อยเธอไม่อยากที่จะมีปัญหากับป๊ะป๋า ทางที่ดีที่สุดก็คือฟังคำที่ป๊ะป๋าบอก

“ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ พรุ่งนี้ฉันส่งเธอไปบริษัทแบบฟรีๆ บวกกับค่าอาหารค่ารถที่เธอเสียไปเมื่อตะกี้ก็จะคืนให้ทั้งหมด”

อนิจา ท่านประธานยังมีด้านที่ดีอยู่บ้าง

ตบหน้าหนึ่งฉากแล้วค่อยให้ลูกอมเป็นการปลอบใจ

“ไม่ใช่”

สมมติฐานนี้ไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์เลย ทุกวันท่านประธานตื่นขึ้นมาจากเตียงที่สุดแสนจะใหญ่และหรูหรา ได้เจอสาวๆสุดสวยอีกไม่ซ้ำหน้า แต่ท่านประธานไม่เคยมีความสุขเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาแค่ต้องการรักแท้ที่จริงใจกับเขาเท่านั้น

บ้านของท่านประธานรวยซะขนาดนั้น แต่ทำไมกลับไม่มีคนใช้แม้แต่คนเดียว

เหนื่อยใจจัง รู้สึกว่าจะรักอีกครั้งไม่ได้แล้วด้วยสิ

วันรุ่งขึ้นของวันที่สอง

ซินเหยาลุกขึ้นมาจากโซฟา เจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด

ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในวงการออกแบบของอิตาลีและมีชื่อเสียงเธอก็ไม่เคยนอนโซฟาอีกเลย

ตอนนี้นอนมันไม่คุ้นเคยจริงๆ

งั้นก็พิสูจน์ได้ไปในตัวว่าในละครล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

ก่อนที่เธอจะนอน ไม่ใช่ว่าท่านประธานควรที่จะมาห่มผ้าให้ซักผืน หรือให้กอดที่แสนจะอบอุ่นหรอกหรอ รอให้วันรุ่งขึ้นแล้วพบว่าตัวละครเอกผู้หญิงถูกสวมกอดไว้ในอ้อมกอดที่อบอุ่น

เธอหาวไปสองรอบ หางตามีอะไรไหลย้อยลงมาคล้ายจะเป็นน้ำตา

แล้วก็เดินเข้าครัวไปเพื่อเตรียมตัวอาหารเช้าวันนี้

เห้อ ตั้งแต่ที่หลิงๆสามขวบเริ่มฝึกจับช้อน เธอก็ไม่ได้ทำกับข้าวอีก ตอนนี้เหมือนกลับไปที่เดิม ต้องมาทำกับข้าวให้ป๊ะป๋ากินอีก

เวลาเจ็ดโมงครึ่ง เย่จิงเฉินตื่นขึ้นมาอย่างตรงเวลา

ใส่ไว้ชุดนอนเดินลงมาจากข้างบน

เดินถึงหน้าทางลงบันไดกลิ่นของข้าวต้มก็ได้ลอยฟุ้งไปกระทบที่จมูกของเขา เขาเดินลงมา เห็นซินเหยาที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้า ใจของเขารู้สึกร้อนรน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ซินเหยาเตรียมอาหารเช้าได้เสร็จและกำลังจะขึ้นไปเรียกป๊ะป๋าลงมาพอดี

แต่ก็เห็นป๊ะป๋ากำลังทำท่ามือกอดอก นั่งไขว่ห้าง มุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วอารมณ์น่าจะดีอยู่นะ ก็ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว

ซินเหยาเหลือบดูป๊ะป๋าเป็นพักๆ มันเจริญต่อสายตาจริงๆ

อีกอย่างนะ ซินเหยาเธอคิดมากเกินไปแล้วแหละ เมื่อเย่จิงเฉินจูบเสร็จก็จากไปอย่างทันที

ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยสีแดงสด สายตาที่ทำได้เพียงจ้องมองแต่รถไมบัคที่จากไป ในใจของซินเหยาอยากจะสบถคำด่าออกมายาวสองเมตรยิ่งนัก

ป๊ะป๋าเสียมารยาทกับเธอสิ้นดี

ป๊ะป๋าอ้ายกริมฝีปากขึ้นอย่างดุดันเย่อหยิ่งหลังจูบกับเธอเสร็จ พร้อมกระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำสุดแสนจะเซ็กซี่ข้างหูเธอว่า "ในเมื่อคุณไม่โทรหาตำรวจแจ้งความ งั้นผมขอกร่างหน่อยแล้วกัน"

ซินเหยา "……"

โหดร้ายจัง…..

หลังจากนี้ต่อไปฉันไม่อยากจะเล่นสนุกแบบนี้กับป๊ะป๋าอีกแล้ว

อีกอย่างทักษะการจูบของป๊ะป๋าแย่เสียจริง หลายปีผ่านมายังไม่มีการพัฒนาแม้แต่นิดเลยนะ เมื่อกี้ฟันของเขากัดโดนริมฝีปากของเธอ เจ็บเสียจริงๆ……

ซินเหยาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า45องศา การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้น้ำตาที่มาจากความโหดร้ายของป๊ะป๋าไม่ไหลรินลง นี่เป็นเรื่องราวที่ทั้งสดใสและสุดเศร้าเสียกระไรกัน

อนิจจาเอ๋ย ความหลังที่แสนเจ็บปวดพวกนี้ คงมีแต่เธอที่สามารถจะลิ้มชิมได้คนเดียวสินะ

ด้วยเหตุนี้ เธอคงจะลืมถามป๊ะป๋าเรื่องที่สิ้นเดือนต้องส่งแบบร่าง5แผ่นนี้เป็นเรื่องล้อเล่น

ซินเหยาถูกภาพที่ต้องออกแบบพวกนั้นทรมานเจียนจะขาดใจตาย และผมของเธอก็ได้ร่วงเป็นกระจุกๆเหมือนมีคนกำลังตัดจากด้านบน

เธออยากจะซื้อแชมพูป้องกันหนังศีรษะร่วงที่เฉินหลงเป็นพรีเซ็นเตอร์มาช่วยให้ผมของเธอที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ต้องมาร่วงโรยจางหายเสียจริง

ฟางซวี่เจ๋ออยากจะเลี้ยงข้าวเธอ ไม่อยากไปหรอ?

ครั้งแล้วบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยง แต่กลับกลายเป็นว่าเธอต้องเป็นคนจ่ายให้ทุกคนร่วมถึงลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อของฟางซวี่เจ๋อ มันช่างร้ายนัก

ฟางซวี่เจ๋อเป็นบุคคลที่จะเกาะกินเพื่อนไปตลอดร้อยปีเป็นแน่

เธอคิดว่าเขาเหมาะที่จะกินข้าวหอมกรุ่นจากโรงอาหารของบริษัทมากกว่า

เธอปฏิเสธฟางซวี่เจ๋อไปแล้ว แต่ก็คาดไม่ถึงว่าฟางซวี่เจ๋อจะมาหาเธอถึงสำนักงานและกั้นคนอื่นไม่ให้ออก

ไม่ใช่ว่าเป็นคนจีนจะสงวนท่าทีหรอกหรอ?เธออุตส่าห์ปฏิเสธแบบอ้อมๆไปแล้ว ประธานฟางไม่เข้าใจหรอ?

"ไปกัน ผมเลี้ยงข้าวคุณ" ซวี่เจ๋อรั้งเธอไว้ในห้องทำงานแล้วพูด

ขอร้องล่ะอย่าเลี้ยงเลย โรงอาหารวันนี้มีกุ้งมังกรน้อย ไปสายก็จะหมด ท่าทางขอเธอตอนนี้รีบร้อนมาก เธอจะต้องกินกุ้งมังกรน้อยให้จงได้

"ไม่ต้องล่ะ กินในบริษัทก็ไม่แย่ ไม่ต้องเปลืองเงิน" ซินเหยาพูดพรางอมยิ้มไป

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง เลี้ยงข้าวคุณไม่กี่มื้อจะเป็นไรไป" ซวี่เจ๋อพูดด้วยถ้อยคำที่ผสมผสานไปด้วยความอบอุ่น

ฉันไม่ได้กังวลว่าคุณไม่มีเงิน ฉันแค่กลัวว่าคุณจะชิ่งหนีปล่อยให้ฉันจ่ายเหมือนครั้งก่อนนะสิ

และอีกอย่าง ประธานที่รวยล้นฟ้าอย่างคุณมาอวดร่ำอวดรวยต่อหน้าดีไซน์เนอร์ตัวน้อยๆอย่างฉัน นี่เป็นคนรวยจริงหรอ?

ถ้าคุณมีเงินจริงๆ ขอส่วนลดค่าอาหารหน่อยสิ

แต่นิสัยอย่างเธอก็เป็นแบบนี้ กล้าที่จะพูดออกมาซึ่งๆ

ซินเหยาคาดว่าตอนนี้ไม่มีกุ้งมังกรน้อยแล้ว สุดท้ายก็โดนซวี่เจ๋อลากไปกินข้าวด้วย

บางครั้งวันนี้อาจมีเซอร์ไฟรส์ อย่างเช่นประธานฟางอาจจะเลี้ยงหอยเป่าฮื้อ หูฉลาม รังนกอะไรประมานนี้กับเธอบ้าง

แต่ความเป็นจริง เธอยังไร้เดียงสาอยู่จริงๆ เธอไม่ควารจะมีความหวังเพ้อฝันพวกนี้กับประธานที่เอาแน่เอาเอานอนอย่างเขาไม่ได้

"ลองชิมสลัดผักนี่หน่อยสิ เหล่าผู้หญิงในบริษัทพวกนั้นชอบมากนะ"ซวี่เจ๋อสั่งสลัดผักหนึ่งที่ให้เธออย่างเอาใจใส่

ขอร้องอย่าแสดงความเอาใจใส่ออกมา เธอชอบกินเนื้อมากยิ่งกว่า

เธอไม่ใช่กระต่ายซักหน่อย กินของพวกนี้มันสามารถที่จะคายนกออกมาได้ตัวนึงเลยนะ

#ท่านประธานชวนฉันไปทานข้าว ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีจริงๆ#

ทำไมท่านประธานที่คนอื่นเขาเจอกันถึงสายเปย์มากกว่านี้ ไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เซ็นเช็คให้ห้าหกล้าน ทำเหมือนกับเงินสามารถซื้อทุกอย่างได้

แต่ท่านประธานที่เธอพบ กลับเป็นประธานที่ขนาดกระเป๋าตังยังไม่พกเวลามากินข้าว

คนคนนึงที่อบอุ่น ไม่ใช่แค่ชิ่งจ่าย แต่เลี้ยงได้แค่สลัดผัก

เห้อออ……เรื่องนี้ช่างน่าเศร้าเสียจริงๆ

ซินเหยากล้ำกลืนกินหมด ครั้งหน้าเธอจะไม่ขอกินเป็นครั้งที่สองอีก

"รสชาติเป็นไงบ้าง?" ประธานฟางวางมีดซ้อมลงอย่าสง่างาม ถามด้วยความสุขุม

ฉันควรพูดความจริง ที่จริงฉันไม่ชอบกินผัก? แต่ถ้าฉันพูดแบบนี้จะไปทำให้เขาโกรธรึปล่าว?

"อร่อยมาก" ยิ้มพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจ

"งั้นก็ดีแล้ว ถ้าเธอชอบ ครั้งหน้าเรามาอีก"

ซินเหยาในใจครุ่นคิด………

นี่เธอโยนก้อนหินใส่ขาตัวเองจริงๆ เวลาอยู่กับคนอื่นต้องจริงใจ คนโบราณเขาจริงใจไม่โกหก

ตอนนี้ถ้าเธอได้เปลี่ยนคนพูดว่าจริงๆเธอชอบกินเนื้อจะยังทันไหมนะ?

โธ่เอ้ย ครั้งหน้าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกมากินข้าวกับเขาอีก

ซินเหยากลับถึงบ้านก็หิวไส้จะขาด เธอได้ทรุดตัวลงนอนกับโซฟาและไม่อยากขยับไปไหนอีก

"ที่รัก มีอะไรอร่อยๆกินบ้าง ? หม่าม๊าหิวจะตายอยู่แล้ว" ซินเหยาพูดด้วยความเพลีย

เข่อหลานนำช็อกโกแลตของตัวเองที่ซ่อนไว้เป็นอย่างดีให้ซินเหยากิน กินหมดก็มีแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

"หม่าม๊าอยู่ที่บริษัทกินไม่อื่มหรอ" ลั่วหลิงถามตอนกำลังกินข้าว

"อืมมม….. ไม่นะ แค่เจอประธานสองคนที่แปลกมากยิ่งกว่าในทีวี" ซินเหยากลืนเนื้อไก่ของเธอและถอนหายใจ พูดมากไปเดี๋ยวน้ำตาจะไหลเอา

"ใช่เหมือนในทีวีที่ชอบให้ผู้หญิงสวยๆซักห้าหกล้านรึปล่าว?"

ซินเหยา"……"

ลูกรักลั่วหลิงของเขาดูอะไรอยู่นะช่วงนี้?

"งั้นประธานของแม่ได้ให้เช็กห้าล้านแม่รึปล่าว แล้วแม่ได้ฉีกเช็กแล้วโยนต่อหน้าเขารึปล่าว?"

ซินเหยา "……."

"เมื่อหนูโตขึ้นนะ หนูก็จะหาท่านประธานที่ให้เช็กห้าล้านกับหนู แล้วหนูจะฉีกมันต่อหน้าแล้วโยนใส่หน้ามันเลยคอยดู"

"คนอื่นให้หนูห้าล้านทำไมต้องฉีกทิ้ง ให้แล้วมันก็คือของของหนู เจ้าโง่……นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ หลานหลานต่อไปไม่ต้องดูทีวีแล้วนะ"

แม่เจ้าโว้ย หลานหลานตอนเด็กฉลาดมากถึงขั้นไม่มีเพื่อน ขอเถอะอย่าดูทีวีแล้วกลายเป็นตัวละครหญิงรองไร้สมองเหมือนในหนัง ถ้าเป็นเช่นนี้มันจะทำให้ฉันร้องไห้อยู่หน้าบ้านคนเขียนบท

ซินเหยาตอนที่รับโทรศัพท์ของป๊ะป๋า(เย่จิงเฉิน)เธอกำลังนอนฝันดีอยู่

ในฝันเธอได้รับต้นไม้ผลิตเงิน ข้างบนต้นเต็มไปด้วยธนบัตรที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีทางหมด ในขณะที่เธอกำลังเก็บธนบัตรใต้ต้นไม้อยู่นั้น ใครทำให้เธอโกรธ เธอก็สามารถใช้ธนบัตรนี้ทุบคนนั้นให้ตายคามือเธอได้

นั่งอยู่ในกลุ่มชายมากหน้าหล่อเหลา วันนึงเรียกมาใช้บริการสักหนึ่งคน เรียกมาปีหนึ่งก็ไม่ซ้ำหน้ากันซักวัน

ในคืนที่เงียบสงัด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ช่างเป็นเสียงที่บาดหูจริงๆ

"ฉันรูสึกว่าแบบร่างของเธอมีปัญหา ตอนนี้เธอมาหาฉันแล้วมาแก้หน่อย" ในคืนราตรี เสียงของป๊ะป๋าดังขึ้น มันช่างเย้ายวนใจเสียจริงๆ

แต่ถึงจะเย้ายวนใจเท่าไหน ก็ลบล้างภาพลักษณ์อันโหดร้ายออกไปไม่ได้อยู่ดี

ซินเหยามองดูนาฬิกาด้วยความสลึมสลือ เป็นเวลาตีสามนี่เอง

เธอเพียงแค่อยากทักทายบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของตระกูลเย่

"แต่ว่าตอนนี้มันตีสามยี่สิบหกแล้ว"

"ถ้าตอนนี้เธอไม่มา พรุ่งนี้แบบร่างทั้งหมดส่งกลับทำใหม่"

มันจะเกินไปแล้วนะคุณ ทำใหม่ก็ทำใหม่ แต่ว่า……

"ได้ค่ะประธานเย่ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้"

"ฉันอยากกินทาร์ตไข่กับกาแฟของร้านหนึ่งที่เฉิงซี คุณไปซื้อมาให้ผมหน่อย"

ฉันอยู่เฉิงหนานนะ คุณไม่รู้หรอว่ามันห่างกันไกลมาก?

"ให้เวลาคุณภายในหนึ่งชั่วโมง ไม่เช่นนั้นก็รับผิดชอบผลที่จะตามมา" เสียงทางนั้นดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ในฤดูร้อนอบอ้าวเช่นนี้กลับทำให้ซินเหยาสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก

ปีที่แล้วฉันซื้อนาฬิกาให้ ป๊ะป๋ายังกล้าที่จะโกรธอีกหรอ?

นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ มองดูถนนที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเย็นยะเยือก ซินเหยาสัมผัสรู้ซึ้งได้ถึงความชั่วร้ายที่มาจากโลกใบนี้ที่มีต่อเธอ

เธอตัดสินใจแล้วว่าก่อนนอนจะต้องปิดมือถือ

เธอเสียเงินไปเกือบหนึ่งพันเพื่อไปถึงร้านที่เขาบอก

เห็นร้านที่สวยงามตระการตา คฤหาสน์ที่ออกแบบได้อย่างสวยงามปราณีต เธอสัมผัสได้ถึงความชั่วเหล่านี้ที่มาจากความรวย เธอตัดสินใจว่าต่อไปเธอจะเกลียดความรวย ทัศนคติเกี่ยวกับเงินจะเปลี่ยนไป

ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของป๊ะป๋า เขาเหมือนจะทำให้เธอลืมซื้อเชือกหนึ่งเส้นมาเพื่อใช้แขวนคอ

ป๊ะป๋าพาดผ้าเช็ดตัวสีขาวในระดับเอวเพียงเท่านั้น เขาพึ่งอาบน้ำเสร็จ ผมยังเปียกโชกอยู่เลย

ผมที่หยุ่งเหยิงประกอบกับน้ำที่กระเซ็นออกมาจากหัวของป๊ะป๋า ไหลย้อยไปที่ซิกแพคส่วนล่าง สุดท้ายไม่ได้ไหลเข้าผ้าเช็ดตัวสีขาว เธอเหมือนเห็นนายเงือกที่สุดแสนจะเซ็กซี่เย้ายวนเข้าแล้วสินะ

โอ้ยยย……. หุ่นดีจริงๆ

โชคดีไปที่เธอสวยแบบธรรมชาติ จมูกของเธอก็ตรงสวยตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ไม่งั้นล่ะก็ดั้งของเธอต้องเละแน่ๆ

"เธอจะไปไหน? เธอกลัวคุณหรอ?" เสียงโทนต่ำของเยี่ยจิงเฉินนั้นฟังแล้วเซ็กซี่จริงๆ เซ็กซี่จนขาเธอแทบอ่อนระทวย

หยุดเลยนะ คุณอย่ามาล่อลวงฉันนะ พูดให้เด็กประถมฟังยังน้วยได้เลยโอเคป่ะ?

คุณลวนลามฉันแบบนี้ แฟนคุณรู้มั้ยเนี่ย?

"ฉันไม่ได้กลัวค่ะ" เธอไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ นอกจากจะกลัวไม่มีเงิน

"งั้นคุณจะวิ่งหนีทำไม?"

ก็หนีไม่ให้คุณลวนลามฉันไงล่ะ ฉันวิ่งไม่ได้หรอ? หรือจะให้อดทนยืนนิ่งให้คุณลวนลามฉันล่ะ

"ฉันไม่ได้วิ่งนะคะ ฉันแค่จะถามว่าคุณซวี่เจ๋อเขาเช็คบิลไปหรือยังต่างหาก?" เธอหยุดก่อนจะกล่าวขึ้นว่า "ประธานเยี่ยคะ จะปล่อยฉันได้หรือยัง?"

ยั่งอยู่บนตัวคุณอย่างงี้

ถ้ายังอยู่อย่างงี้ล่ะก็คนอื่นจะต้องคิดว่าเราเป็นชู้กันมั้ย?

"จิงเฉิน"

"คะ…….."

"เรียกฉันว่าจิงเฉิน"

"ทำไมคะ?"

"แล้วทำไมเธอถึงเรียกชื่อซวี่เจ๋อได้ล่ะ?"

"เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันไงคะ?"

"แล้วเราสองคนไม่ใช่เพื่อนกันหรอ?"

คุณทั้งโดดเด่นแล้วก็มีอำนาจหน้าตาขนาดนี้ ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเลยคุณหรอ?

"เอามือคุณออกไปด้วยค่ะ"

"เรียกก่อนสิ"

"ถ้าคุณปล่อยแล้วฉันถึงจะเรียกค่ะ"

"คุณเรียกก่อนผมถึงจะปล่อย"

"ถ้าคุณปล่อยแล้วฉันถึงจะเรียกค่ะ"

"คุณเรียกก่อนสิ แล้วผมจะปล่อย"

คุณคะ หยุดเถอะ

"จิงเฉิน"

"อืม เด็กดี" เขาหน้านิ่ง

"ปล่อยได้แล้วค่ะ"

เยี่ยจิงเฉิน : "…….."

ที่แท้แล้วประธานแห่งบริษัทเยี่ยหวงเยี่ยจิงเฉิน คุณป่าปี้ของหลิงหลิงกับหลานหลานก็เป็นคนโรคจิตนี่เอง

ฟางซวี่เจ๋อชวนเธอมาทนข้าวแท้ๆแต่สุดท้ายกลับเป็นเธอที่ต้องจ่ายค่าอาหารเอง

เธอตัดสินใจว่าให้ตายยังไงต่อไปคงไม่มาทานอาหารไทยที่นี่อีก QAQ ฉันล่ะเจ็บใจเสียจริงๆ?

คุณป่าปี้ของหลิงหลิงกับหลานหลาน ท่านประธานที่มีทรัพย์สินตั้งมากมายแต่ไม่พกเงินเนี่ยนะ นี่มันไม่มืออาชีพเลยอ่ะ

ในซีรีส์พวกประธานบริษัททั้งหลายยังสามารถฟาดเงินเป็นล้านๆให้กับนางเอกได้เลย

ขอร้องล่ะคุณประธานช่วยทำแบบนั้นหน่อยอ้ากกกกกก

"ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน" คุณป่าปี้ที่ขับรถไมบัคราวกับพระเอกในละครที่ลดกระจกลงด้วยความเท่ของเขาพร้อมกับพูดกับถังซินเหยา

เท่ซะจนไม่มีเพื่อนคบเลย

ถังซินเหยาถูกบีบจนแทบจะร้องไห้ เธออยากจะหาเชือกรองเท้าสักเส้นไปผูกคอหน้าบ้านคุณป่าปี้ของเด็กๆจริงๆ

"เก็บค่ารถมั้ยคะ" ถังซินเหยาเหล่ตาถามเขา

เยี่ยจิงเฉินถูกสายตาที่เย้ายวนของถังซินเหยามอง ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยที่อยู่ลึกๆข้างในก็ฝุดขึ้นมา

ยังจะมาทำหน้าเย้ายวนอีก คนที่บ้านเธอก็เหมือนกัน

"ไม่" เยี่ยจิงเฉินเม้มปาก

ถังซินเหยาคิด เธอเลี้ยงข้าวคุณป่าปี้ แฟนของคุณป่าปี้ แล้วก็ลูกพี่ลูกน้องของคุณป่าปี้อีก ตอนนี้ให้ป่าปี้ไปส่งเธอที่บ้าน ก็สมเหตุสมผลดีแล้วนี่

แล้วก็ควรจะมาส่งเธอสักสามครั้งด้วยซ้ำ

ถังซินเหยาเปิดประตูรถหรูไมบัคออก แล้วเข้าไปนั่งอย่างสบายใจ

รถคันหรูถูกขับมาถึงบริษัทอย่างมั่นคง

ชีวิตนี้ของเธอยังไม่เคยนั่งรถที่มีราคาแพงมากขนาดนี้มาก่อนเลย อยากจะถ่ายรูปสักรูปแล้วอัพเวยปั๋ยอวดเสียจริงๆ

"ขอบคุณค่ะที่มาส่งฉัน"

ไม่ใช่สิ ไปทานข้าวแต่ไม่พกเงิน การมาส่งฉันกลับบ้านก็เท่ากับค่าอาหารไง

จู่ๆร่างสูงใหญ่ของเยี่ยจิงเฉินก็ดันเข้ามา

มือทั้งสองข้างของถังซินเหยาวางอยู่บนอกของเธอพร้อมกับเบิกตาโตแล้วพูดกับเยี่ยจิงเฉินว่า : "ถ้าคุณลวนลามฉัน ฉันแจ้งตำรวจนะคะ"

คุณป่าปี้ คุณนี่กะล่อนจริงๆ นี่คุณเป็นอะไรมากป่ะ

เยี่ยจิงเฉินพูดเย้ย "คิดมาก"

'คุณคิดมากไป คุณเอาแต่พูดคำนี้ แต่คุณก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับฉันจริงๆ…..' ถังซินเหยาเผลอร้องเพลง (คิดมากไป) ในใจโดยที่ไม่รู้ตัว

เยี่ยจิงเฉินเม้มปากแล้วก็ปลดเข็มขัดนิรภัยให้แล้วถอยออกมาจากร่างของเธอ

ถังซินเหยารู้สึกมึนงงเล็กน้อย หรือว่าเป็นการกล่าวหาคุณป่าปี้กันนะ หรือจริงๆแล้วคุณป่าปี้คือสุภาพบุรุษ?

"เมื่อกี้ฉันแค่หยอกคุณเล่นน่ะ" ถังซินเหยายิ้มหวานกับเยี่ยจิงเฉินจนมองความลำบากใจในใจไม่ออก

"ประโยคไหน?" เยี่ยจิงเฉินถาม

"ที่บอกว่าจะแจ้งตำรวจจับคุณไงคะ"

ถังซินเหยาลงจากรถ เยี่ยจิงเฉินเอนตัวออกมาพร้อมกับเกี่ยวมือของเธอ

ถังซินเหยาตบหน้าของเธอ นี่ทำเหมือนฉันเป็นหมาใช่มั้ย? แค่เกี่ยวมือฉันก็คิดว่าฉันจะกลับไปหาหรอ?

แต่เธอก็ก้มตัวลงมาถาม : "มีอะไรอีกมั้ยคะ?"

ทันใดนั้นเยี่ยจิงเฉินก็ยื่นมือออกมาเกี่ยวเอวของถังซินเหยาพร้อมกับกดหัวของเธอลงมาแล้วก็ประกบริมฝีปากลงไปจูบเธอ……..

ถังซินเหยาถึงกับช็อค เยี่ยจิงเฉินเขา…..

หรือว่า เขาจะนึกถึงเรื่องเมื่อหกปีที่แล้วออกแล้ว?

ฟางซวี่เจ๋อคือผู้มีอำนาจที่มีหน้าตาที่หล่อเหลาคนหนึ่ง ถึงแม้จะโดนหลอกมาแล้วรอบนึง แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อถังซินเหยาที่อยากเมคเฟรนด์กับฟางซวี่เจ๋อผู้หล่อเหลา

ร้านอาหารที่พวกเขาไปทานข้าวด้วยกันเป็นร้านอาหารไทยที่ไม่ไกลไปจากบริษัทเท่าไหร่ ซึ่งดูๆแล้วก็ค่อนข้างหรูอยู่เหมือนกัน

ตอนที่เดินเข้าร้านอาหารไป บนพื้นมีน้ำอยู่ทำให้ถังซินเหยาลื่นจนเกือบจะล้มลงไป

เป็นฟางซวี่เจ๋อที่ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อช่วยให้เธอไม่พบเจอกับสถานการณ์ที่น่าอับอายหากเธอล้มลงไป

ถังซินเหยาตบหน้าอกเบาๆในอ้อมกอดของฟางซวี่เจ๋อด้วยความตกใจเพื่อให้หัวใจที่เต้นตึกตักไม่หยุดของเธอนั้นเต้นช้าลง

"พี่คะ" เสียงเบาและอ่อนโยนของใครบางคนดังขึ้น

"อันหราน คุณจิงเฉิน พวกเธอก็มาทานข้าวเหมือนกันหรอ?" ฟางซวี่เจ๋อกุมมือของถังซินเหยาไว้แน่นพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเขา

ถังซินเหยาไม่ทันระวังตัวก็โดนฟางซวี่เจ๋อกุมมือเธอไว้แล้ว เพียงเธอเงยหน้าขึ้นก็พบกับสาวสวยกับหน้านิ่งของเยี่ยจิงเฉินที่เดินมาพร้อมกัน

"งั้นก็ทานด้วยกันเลยมั้ย จิงเฉินคะ คุณคิดว่ายังไง ?" สาวสวยหน้าหน้ามาถามเยี่ยจิงเฉิน : "ได้มั้ยคะ?"

"อืม" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ถังซินเหยาหลุดจากอ้อมแขนของฟางซวี่เจ๋อพร้อมกับพูดชอบคุณเขา

ใบหน้าที่เย็นชาของเยี่ยจิงเฉินก็คลี่คลายความตึงลง

"คุณซินเหยาครับ คนนี้คือลู่อันหรานนะ เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมแล้วก็เป็นแฟนของจิงเฉินด้วย" ฟางซวี่เจ๋อแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน "ส่วนอันหราน นี่คือคนที่ฉันเคยพูดถึงให้ฟังชื่อคุณถังซินเหยา เป็นหัวหน้าสไตลิสต์ของบริษัทเราแล้วก็เป็นสไตลิสต์ที่มีความสามารถมากๆคนนึงเลย"

ลู่อันหรานหรอ อืม ถ้าเธอจำไม่ผิดล่ะก็……โลกกลมจริงๆ !

ถังซินเหยายกยิ้มพร้อมกับรอยยิ้มหวานไร้ที่ติบนใบหน้าของเธอ : "คุณลู่สวยมากค่ะ คุณกับคุณเยี่ยจิงเฉินเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกเลยค่ะ คู่สร้างคู่สมกันจริงๆ "

หลังจากที่ลู่อันหรานฟังคำอวยพรจากถังซินเหยาจบ ใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มที่จริงใจออกมา : "คุณถังซินเหยาก็สวยเช่นกันค่ะ เดี๋ยวนี้คนสวยๆ มีความสามารถแบบคุณถังน้อยมากๆค่ะ"

"ไม่หรอกค่ะ"

เยี่ยจิงเฉินเมื่อฟังคำอวยพรของถังซินเหยาจบ ความรู้สึกของเขาก็เปลี่ยนไป

ใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่สายตาของเขากวาดไปทางถังซินเหยาอย่างไม่แยแส "ดูเหมือนคุณถังจะสบายจังเลยนะครับ ผมว่าสิ้นเดือนนี้คุณถังคงจะส่งงานออกแบบที่เป็นที่น่าพอใจสำหรับผมสักห้าแบบนะครับ"

ถังซินเหยาอยากจะร้องไห้ คุณจะบ้าหรอ คุณเอาตาที่ไหนมามองว่าฉันว่าง ไม่มีอะไรทำ !

ถังซินเหยาตัดสินใจเมินความเย็นชา ไร้ความรู้สึก ไม่มีเหตุผลของคุณป่าปี้

อาหารไทยอร่อยนะเนี่ย เปรี้ยวๆหวานๆ

โอเค ฉันหมายถึงว่าตัวเองไม่ใช่คนเลือกทานน่ะ อาหารที่โรงอาหารบริษัทเธอก็สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน

จะออกมาข้างนอกไม่ใช่เรื่องง่ายสักหน่อย จะออกมาแบบไม่ได้อะไรเลยไม่ได้หรอก

ฟางซวี่เจ๋อขยับจานอาหารที่ถังซินเหยาตักบ่อยๆมาไว้ตรงหน้าเธอ ถังซินเหลาตัดสินใจให้อภัยให้ฟางซวี่เจ๋อเรื่องซองแดงร่วมงานแต่งที่เขาหลอกเธอ

ลู่อันหรานสะกิดเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับพูดว่า : "คุณดูพี่ซวี่เจ๋อสิคะเอาอกเอาใจเก่งมากเลย ฉันว่าเธอกับพี่ซวี่เจ๋อดูเหมาะสมกันเลยนะคะ คุณว่ามั้ย? ทำไมคุณไม่ลองทำเรียนรู้การเอาอกเอาใจของเขาบ้างล่ะคะ?"

เยี่ยจิงเฉินมองฟางซวี่เจ๋อและถังซินเหยา สายตาของเขาราวกับ

"ถ้าเธอชอบ ผมไม่ว่าอะไรนะถ้าคุณจะไปหาคนที่อ่อนโยนแล้วก็เอาอกเอาใจคุณ" เยี่ยจิงเฉินพูดอย่างเย็นชา

ใบหน้าของลู่อันหรานถึงกับเปลี่ยนไป เธอรู้สึกอึดอัดในขณะเดียวกันก็รู้สึกอายทำตัวไม่ถูก

ถังซินเหยาก้มหน้าก้มตาทานผักที่อยู่ในจานของเธอ

ฉันค้นพบความจริที่น่าประทับใจนั่นก็คือ จริงๆแล้วป่าปี้เป็นคนไม่ค่อยจริงจังความสัมพันธ์นี่เอง

"อ่ะ อันหราน เธอก็กินผักบ้างสิ" ฟางซวี่เจ๋อช่วยคลายสถานการณ์ความอึดอัดของลู่อันหรานลงด้วยความใส่ใจของเขา

อืม ที่ลู่อันหรานพูดน่ะไม่ผิดเลย ฟางซวี่เจ๋ออ่อนโยนและอบอุ่นมากๆ ถ้าหากเธอไม่เอาแต่คิดเรื่องซองแดงที่ซวี่เจ๋อหลอกเธอ เธอคิดว่าเธอคงมีความรู้สึกดีๆกับซวี่เจ๋อมากกว่านี้

ลู่อันหรานเม้มปาก เธอพยายามจะอดทนแต่เธอก็ไม่สามารถทำได้

"ขอโทษนะคะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะคะ" ลู่อันหรานฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับหยิบกระเป๋าของเธอแล้วจากไป

เยี่ยจิงเฉินนั่งนิ่งไม่ขยับราวกับลุงแก่

ฟางซวี่เจ๋อเห็นว่าเยี่ยจิงเฉินไม่ได้สนใจที่จะตามลู่อันหรานออกไป เพียงเขานึกถึงสีหน้าของลู่อันหรานก่อนไปก็ไม่วางใจ : "ผมออกไปดูก่อนนะ ผมฝากคุณเยี่ยจิงเฉินไปส่งคุณซินเหยาด้วยนะครับ ขอโทษด้วยนะครับคุณซินเหยา วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน ไว้ผมค่อยเลี้ยงข้าวคุณวันหลังแทนนะครับ"

ถังซินเหยาพยักหน้าจากนั้นก็หันหน้ากลับมามองเยี่ยจิงเฉิน

ดวงตาวังวนสีดำคู่นั้นของเขาทำให้เธอถึงกับตัวสั่น

"คุณซวี่เจ๋อคะ รอฉันก่อนค่ะ" สายตาขอถังซินเหยายังคงอาลัยอาวรณ์กับอาหารที่ยังทานไม่หมด ไปแล้วนะ

อาหารอันมีค่านั้น แต่ชีวิตตัวเองมีค่ากว่าแล้วตอนนี้

ตนอที่เธอกำลังจะออกจากโต๊ะไป มือที่ราวกับห่วงเหล็กก็คว้ามือของเธอเอาไว้

แล้วเธอก็ตกเข้าไปอยู่อ้อมอกที่ค่อนข้างคุ้นเคยของเยี่ยจิงเฉิน ชนแรงจนจมูกเธอแทบจะผิดรูปแหนะ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน กลุ่นกลิ่นอันหอมหวนของอาหารก็ลอยมา แถมในบ้านยังมีเสียงเพลงคลออยู่ด้วย : ป่าปี้ ป่าปี้จะร้องเพลงดาวดวงน้อยเป็นมั้ยนะ ? คงไม่มั้ง……

"หม่ามี้ของหนูกลับมาแล้ว หนูคิดถึงหม่ามี้ที่สุดเลยค่ะ" เค่อหลานวิ่งออกมาพร้อมกับใช้มือมันๆของตัวเอง

เมื่อสักครู่เค่อหลานนั่งกินเฟรนช์ฟรายด์ที่ลั่วหลิงทอดให้อยู่ในห้องนั่งเล่น พร้อมกับดูรายการ

ของเล่นที่เด็กๆเล่นกระจัดกระจายเต็มห้องนั่งเล่นไปหมด

ถังซินเหยามองดูเสื้อผ้าที่ไส่ไปไม่กี่ครั้งที่มีรอยฝ่ามือของลูกกับของเล่นที่กระจัดกระจายเต็มไปด้วยของเล่น เธอมองไปที่เค่อหลานด้วยสีหน้าที่จริงจัง "เค่อหลาน หนูทำอะไรลงไปคะเนี่ย?"

เค่อหลานมองดูรอยมือของตัวเองที่อยู่บนเสื้อผ้า สีหน้ารู้สึกผิดนั้นแสดงรอยยิ้มที่น่ารักออกมาทันทีพร้อมกับกล่าวว่า "หม่ามี้คะ เมื่อไหร่ป่าปี้จะกลับมาจากดาวอังคารหรอคะ ? หนูอยากไปร่วมรายการกับเขาบ้าง ! "

ถังซินเหยาแทบจะสำลักน้ำลายของเธอเลยทีเดียว

"อ่า……" ถังซินเหยามีความรู้สึกขึ้นทันใด เธอกล่าว"เอ่อ……..ป่าปี้ยังกำจัดสัตว์ประหลาดบนดาวอังคารไม่ได้เลย รอป่าปี้จัดการมันหมดแล้วหม่ามี้จะให้ป่าปี้พาหนูไปนะคะ…."

"หรือว่าเราลองไปหาดูดีมั้ยคะ ว่ามีรายการมั้ย ? หม่ามี้จะได้พาหนูแล้วก็ลั่วหลิงไปเข้าร่วมรายการ ด้วยกัน แบบนี้ก็สนุกนะคะ"

"โอเคค่ะ" เค่อหลานผิดหวังเล็กน้อย

เมื่อเธอเห็นใบหน้าเล็กที่เศร้าหมองของเค่อหลาน ใจของเธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

"เดี๋ยวหนูไปดูก่อนนะคะว่าพี่ทำอาหารเสร็จรึยัง หนูจะไปช่วย ! " เค่อหลานหอมแก้มถังซินเหยาผู้เป็นแม่พร้อมกับคาบน้ำมันจากปากลูกสาวที่ติดอยู่บนใบหน้าของเธอ จากนั้นเค่อหลานก็วิ่งไปด้วยขาตุ้ยนุ้ยของเธอออกไป

เมื่อถึงห้องครัว เค่อหลานกระพริบตาหยุบๆต่อลั่วหลิง "เกือบไปแล้วเชียว ตะกี้เกือบทำให้หม่ามี้โกรธไปแล้ว"

"หลานหลานอยากเจอคุณพ่อมั้ย?" ลั่วหลิงหรี่ไฟลงก่อนจะหันหลังไปถามเค่อหลาน

"ไม่ใช่คุณพ่อซะหน่อย ป่าปี้ต่างหากล่ะ ในทีวีเขาเรียกอย่างงี้กันหมด" เค่อหลานแก้คำด้วยสีหน้าจริงจัง "ถามอีกครั้งนึงสิ"

ลั่วหลิงลูบหน้าของเค่อหลานด้วยความตามใจพร้อมกับน้ำมันที่ติดมือของตนนั้นถูไปบนหัวของเค่อหลานไปด้วย ลั่วหลิงกล่าว "เค่อหลานอยากเจอป่าปี้มั้ย?"

"อยากสิ" เค่อหลานพยักหน้าขึ้นลง

"'งั้นก็ต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่นะ แล้วพี่จะพาไปหา……ป่าปี้"

"ค่ะ"

"แต่ตอนนี้ไปเก็บของเล่นให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็มาช่วยพี่ยกอาหารออกไปที่ห้องอาหารนะ ทำได้มั้ย?"

"ได้อยู่แล้วค่ะ ก็หนูเป็นต้าเค่อหลานนี่นา"

เค่อหลานรีบออกไปอย่างรวดเร็วและเก็บของเล่นของตัวเองทั้งหมด จากนั้นก็มาช่วยพี่ชายกอาหารไปที่ห้องอาหาร เค่อหลานไปห้องน้ำเพื่อล้างมือจากนั้นก็กลับมานั่งเหยียดตัวตรงที่โต๊ะอาหารเพื่อเตรียมตัวทานอาหาร

เมื่อถังซินเหยาอาบน้ำเสร็จก็ทานข้าวกันได้แล้ว

หลัวเหยียนฉีพาศิลปินในสังกัดของเขาไปต่างจังหวัด จึงมีแค่ถังซินเหยาและลูกทั้งสองของเธอที่อยู่บ้านด้วยกัน

หลังจากที่รบประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ถังซินเหยาก้เอาแต่มองลั่วหลิงและเค่อหลานลูกของเธอ

ลูกๆของเธอกับเยี่ยจิงเฉินนั้นเหมือนกันมากจริงๆ ในอนาคตลั่วหลิงก็คงจะไม่มีมิตรสหายเหมือนกับเยี่ยจิงเฉินพ่อของเขา ส่วนลั่วหลิงก็คงจะสวยจนน่าอิจฉาเหมือนเธอ

ครอบครัวของพวกเขาคงเย็นชากันจนไม่มีมิตรสหายเพื่อนบ้านเลยเชียวล่ะ

"หม่ามี๊คะ วันนี้หม่ามี้ไปเจอคนแบบไหนมาหรอคะ? ทำเอาถึงเอาแต่มองหนูกับหลานหลานล่ะคะ" ลั่วหลิงถามด้วยสีหน้านิ่งๆ

ถังซินเหยาถึงกับประหลาดใจ

นี่เธอยังไม่ได้พูดอะไรไปเลยนะ สาบานได้เลย

"ไม่……ไม่นี่คะ" ถังซินเหยาก้มหน้าลงพร้อมกับคีบลูกชิ้นเข้าปาก

"หม่ามี้ครับ วันนี้หม่ามี้ไปเจอใครมาหรอ?" เค่อหลานกลืนเนื้อปลาเข้าไปพร้อมกับกับถามถังซินเหยาผู้เป็นแม่ด้วยสายตาน่ารักน่าชัง

ถังซินเหยาคีบแครอทพร้อมกับป้อนเข้าปากเค่อหลานคนเป็นลูกพร้อมกับพูดว่า "ห้ามคุยในเวลากินข้าวนะคะลูก"

เค่อหลานแทบจะร้องไห้กับแครอทที่เคี้ยวอยู่ในตอนนี้……รสชาติแครอทนี้โคตรไม่อร่อยเลย แม่เลี้ยงพูดถูกเผงเลยว่าผมน่ะไร้ประโยชน์จริงๆ

……..

ถังซินเหยาไปบริษัทเยี่ยหวงแค่เพียงครั้งเดียวก็ประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจกับเยี่ยหวงเสียแล้ว อีกทั้งยังเซ็นต์สัญญาในวันเดียวกันอีกด้วย ทำให้เธอเป็นจุดโฟกัสของบริษัทอีกครั้ง

ไม่ว่าคนที่บริษัทจะพูดถึงเธอไปในทางไหน แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าเธอพวกเขาก็ต้องแสดงความยินดีกับเธออยู่ดี

ถึงแม้ว่างานในบริษัทจะยุ่ง แต่การทำหลายๆงานก็ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง ไม่มีใครจงใจทำให้ลำบากเสียหน่อย

บางทีที่ได้ยินใครพูดในห้องน้ำว่าเธอใช้วิธีที่น่าอับอายเพื่อได้โอกาสนั้นๆมา ฉันเองก็รู้สึกอยู่นะ ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าที่เขาแสดงกันในละครเลยล่ะเมื่อเทียบกัน

"คุณซินเหยาครับ ออกไปทานข้าวด้วยกันมั้ย"คำพูดฟางซวี่เจ๋อเมื่อเที่ยงที่ชวนเธอไปทานข้าว

ถังซินเหยากัดปากกาพร้อมกับมองรูปงานออกแบบที่ออกแบบไปได้กว่าครึ่งแล้ว คิ้วสวยๆของเธอก็ยู่ลงเล็กน้อย

"คงไม่ได้ค่ะ ฉันยังมีงานที่ต้องจัดการอยู่"

ถ้าเป็นเยี่ยจิงเฉินล่ะก็คงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ เขาโหดขนาดนั้น แค่เวลาจะทานข้าวด้วยกันยังแทบจะเจียดออกมาไม่ได้เลย

"ถึงแม้จะยุ่งอยู่แต่ก็ต้องกินข้าวนะครับ รักษาน้ำใจผมหน่อยสิครับ คงเป็นเกียรติมากครับหากผมได้เลี้ยงสาวสวยอย่างคุณไปร่วมโต๊ะทานข้าวกับผม "

ถังซินเหยาเบิกตาโต จะเลี้ยงข้าวงั้นหรอ?

"ก็ได้ค่ะ" ถังซินเหยายินยอมด้วยความ 'ไม่เต็มใจ'

เห้อ เธอนี่มันคนใจดีที่ปฏิเสธคนอื่นไม่ลงจริงๆเลยนะ ของฟรีทั้งทีคนโง่เท่านั้นแหละที่จะไม่เอา !

เยี่ยจิงเฉินทำงานอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปด้านหน้าของถังซินเหยและฟางซวี่เจ๋อก็มีสัญญาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว

มิตรภาพระหว่างฟางซวี่เจ๋อและเยี่ยจิงเฉินเป็นไปได้ด้วยดี เขาไม่ได้แปลกใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในตรงกันข้ามถังซินเหยากลับทั้งพูดไม่ออกและทั้งรู้สึกประหลาดใจ

พอเห็นว่าสัญญาไม่ได้มีปัญหาอะไร พวกเขาก็เซ็นต์มันทันที

ตัวหนังสือของเยี่ยจิงเฉินดูแข็งแกร่งทรงพลัง ดูออกเลยว่าเขาเป็นคนที่มั่งคงและแน่วแน่คนหนึ่งเลย

การเซ็นต์สัญญาวันนี้ผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี คงจะหลีกเลี่ยงการทานข้าวมื้อเที่ยงวันนี้ด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ

เยี่ยจิงเฉินพาฟางซวี่เจ๋อและถังซินเหยาไปทานอาหารที่……โรงอาหารของบริษัท

คุณป่าปี้เป็นเจ้าพ่อของที่นี่ไม่ใช่หรอ? ต้องกินอาหารจากโรแรมหรูเจ็ดดาวสิ โต๊ะอาหารจะต้องทำด้วยหยกขาวที่มีเนื้อแกะวางเรียงไว้อยู่ จะต้องมีดอกไม้ที่สั่งตรงมาจากเนเธอร์แลนด์ ส่วนผ้าปูโต๊ะจะต้องทำมาจากผ้าไหม อาหารบนโต๊ะต้องหรูหราโออ่าไม่ใช่หรอ ?

ไปทานข้าวที่โรงอาหารบริษัทอย่างนี้ไม่สมกับคนบุคลิกแล้วก็ภาพลักษณ์แบบคนอย่างคุณเลยสักนิดเดียว?

ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อไปคงไม่มีใครคิดจะมาผูกมิตรกับคุณหรอกนะโอเค๊?

ความรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ไปทานข้าวมื้อใหญ่ ทำให้ถังซินเหยาตัดสินใจทานอาหารเพิ่มอีกจานหนึ่งในตอนเท่ียงนี้ ในเมื่อชนะด้วยคุรภาพอาหารหรูไม่ได้ งั้นก็ขอเติมเต็มหัวใจด้วยปริมาณอาหารแทนแล้วกัน

อืม……เอาจริงๆนะ ถึงแม้โรงอาหารพนักงานของเยี่ยหวงจะไม่โอ่อ่าหรูหราเทียบเท่ากับโรงแรมระดับเจ็ดดาว แต่ก็รสชาติอาหารนี่อร่อยใช้ได้เลย

ในระหว่างที่ทานข้าวพวกเขาก็ยังพูดคุยกันเรื่องรายละเอียดงาน ดังนั้นทั้งสามคนเลยทานข้าวไปด้วยพูดคุยกันไปด้วย

แต่เขานี่สิ ทำอะไรอยู่เนี่ย เลือกกินมันไม่ดีนะ !

"ท่านประธานเยี่ยคะ เลือกทานมันไม่ดีนะคะ แครอทสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ส่วนกระเทียมก็มีวิตามินซีนะคะ ดีต่อตับ สายตาและการไหลเวียนเลือดนะคะ ทานเข้าไปแล้วมันดีต่อสุขภาพทั้งหมดเลย" ถังซินเหยามองเยี่ยจิงเฉินด้วยใบหน้าที่จริงจัง

เยี่ยจิงเฉินฟังคำของถังซินเหยา ตะเกียบของเขาคีบตับอยู่ชิ้นหนึ่งแล้วเลือกกินต่อไป

ถังซินเหยายกคิ้วขึ้นพร้อมพูดกับเยี่ยจิงเฉินอย่างจริงจังเสียงแข็งว่า "ไม่ฟังกันเลยนะคะ ห้ามเลือกกทานไงคะ ทานเข้าไปให้หมดเลยนะ!"

เยี่ยจิงเฉินตะลึง

ฟางซวี่เจ๋อเองก็ตกใจ

ถังซินเหยาเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเยี่ยจิงเฉิน จู่ๆก็คิดขึ้นมาว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรอ…….

อ่า……. เธอทำผิดจริงๆด้วย

เค่อหลานกับลั่วหลิงลูกของเธอก็เลือกทานเช่นกัน ทั้งสองไม่ชอบกินผัก แครอทและตับ

เธอเป็นคนที่ไม่ชอบการเห็นที่ได้เห็นคนอื่นเลือกกินที่สุดเลย สุดจะทนจริงๆ

เยี่ยจิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความลำบากใจ ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นราวกับว่าพบเจอปัญหาที่หาทางแก้ไม่ได้ยังไงอย่างงั้นเลยทีเดียว

เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับมองหน้าของถังซินเหยาแล้วพูดกับเธออย่างจดจ่อไปว่า "แต่อาหารพวกนี้มันทานยากนี่"

ถังซินเหยาแทบจะร้องไห้โฮกับท่าทาการแสดงออกจากคุณป่าปี้ของลูกๆเธอ ปกติเวลาที่ลั่วหลิงเจอหาอาหารที่ตัวเองไม่อยากทานก็จะแสดงกิริยาอาการแบบนี้ เป็นกิริยาที่เกินต้านสำหรับเธอเลยจริงๆ

รอให้ลั่วหลิงโตเป็นผู้ใหญ่ก็คงจะเหมือนกับเยี่ยจิงเฉินในตอนนี้

สรุปได้ว่าการเลือกกินของลั่วหลิงที่ตกทอดมาจากเยี่ยจิงเฉิน ส่วนความเฉลียวฉลาดของลูกนั้นคงตกทอดมาจากตัวเธอ

ถังซินเหยาใช้ตะเกียบของเธอคีบตับที่อยู่ในจานของเยี่ยจิงเฉินขึ้นมาแล้วนำเข้าปากตัวเอง แล้วพูดว่า "ไม่นี่คะ รสชาติดีมากเลย"

ท่าทีของฟางซวี่เจ๋อราวกับโดนฟ้าผ่า

เขามองถังซินเหยาสลับกับเยี่ยจิงเฉินอย่างครุ่นคิด

เมื่อเยี่ยจิงเฉินเห็นว่าถังซินเหยาทานมันเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อยจึงคีบตับจากจานของถังซินเหยาขึ้นมา ดูเหมือนว่ารสชาติมันไม่น่าจะแย่แบบที่คิดนะ อีกทั้งมันยัง…….

บรรยากาศระหว่างทั้งสองทำเอาฟางซวี่เจ๋อที่นั่งอยู่ข้างราวกับโดนความรักแยงตาแทบบอด หยุดเลยนะสองคนนี้น่ะ

ลั่วหลิงกับเยี่ยจิงเฉินพ่อของเขาเหมือนกันมากเกินไปจนทำให้ถังซินเหยาไม่สามารถทำตัวให้เหมือนกับคนเพิ่งเจอกันครั้งแรกได้เลยทีเดียว และเธอเองไม่คิดว่า "การเจอกันครั้งแรก"ของทั้งสองคน แล้วพวกเขาทำแสดงกิริยาอาการแบบนี้คงจะไม่ถูกกาลเทศะเท่าไหร่

และในฐานะที่เยี่ยจิงเฉินเป็นจุกจิก มีนิสัยจุกจิกรักความสะอาด ไม่ชอบการสัมผัสกับใคร แต่เขาไม่มีปฏิกิริยารังเกียจผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเลย การกระทำของพวกเขาสองคนดูสนิทสนมกันมากไปเกินไปสำหรับคนที่เจอกันครั้งแรก ไม่คิดว่าในใจของพวกเขาต้องสนิทกันหรอ ?

"พวกคุณเคยเจอกันมาก่อนใช่มั้ยครับ?"

คำพูดประโยคนี้ของฟางซวี่เจ๋อแทบจะทำเอาถังซินเหยาฉี่ราดไปเลยที่เดียว เธอรีบส่ายหัวแล้วปฏิเสธไปทันที "ไม่ค่ะ ไม่เคยเจอ!"

"หรอครับ? แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหน้าคุณคุ้นๆนะครับ"

"ฮ่าๆ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันหน้าโหลรึเปล่าคะ"

เยี่ยจิงเฉิน "……"

"ขอบคุณสำหรับการต้อนรับในวันนี้นะครับ พวกเขาขอตัวกลับก่อน"

ถังซินเหยากลับไปพร้อมกับความกังวลใจ

"คุณซินเหยาครับ จริงๆแล้วจิงเฉิงคือว่าที่สามีของลูกพี่ลูกน้องผมน่ะครับ" ฟางซวี่เจ๋อพูดขึ้นลอยๆในระหว่างทางกลับ

ในระหว่างทางกลับถังซินเหยาครุ่นคิด ว่าที่ฟางซวี่เจ๋อพูดนั้นมันหมายความว่าอะไร

อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันเตรียมซองแดงไปร่วมงานแต่งของเยี่ยจิงเฉินกับลูกพี่ลูกน้องของเขา? แต่เพื่ออะไรกันล่ะ?

เยี่ยจิงเฉินเป็นถึงผู้มีอิทธิพลของที่นี่ ถ้าอย่างนั้นว่าที่ภรรยาของเขา ลูกพี่ลูกน้องของประธานฟางก็ต้องเป็นผู้หญิงที่สวยและเพอร์เฟคมากๆแบบนั้นมั้ยนะ ? ซองแดงมันจะน้อยไปรึเปล่านะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะถูก

ให้เยอะไปก็ไม่ได้อะไรกลับมานี่นา จะยังไงก็ไม่คุ้มอยู่ดี นี่ประธานฟาง คุณเล่นมาหลอกต้มตุ๋นฉันอย่างนี้แล้วต่อไปจะหยอกเล่นขบขันอย่างสนุกกันได้ยังไงล่ะเนี่ย ?

สติปัญญาฟั่นเฟือนไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย…..เห้อ……

การได้เจอกับเยี่ยจิงเฉินเป็นเพียงแค่เหตุสุดวิสัยไม่คาดฝันเท่านั้นแหละ

"ประธานเยี่ยคะ นี่คือไฟล์การออกแบบกับตัวอย่างต้นฉบับงานของฉันค่ะ คุณสามารถเช็คดูได้เลย" ถังซินเหยายื่นข้อมูลงานของเธอที่เตรียมไว้อยู่หลายวันให้กับเลขาของเยี่ยจิงเฉิน และเลขาส่งต่อให้กับเยี่ยจิงเฉินอีกที

สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินดั่งนักธุรกิจมือโปรที่มือข้างหนึ่งของเขาถือแผนตัวอย่างการออกแบบของถังซินเหยาเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็เคาะโต๊ะทำงานของเขาเองเบาๆ จนทำให้คนอื่นความรู้สึกถึงความกดดัน เขาคือผู้ควบคุมอำนาจการเจรจาดีๆนี่เอง

แม้แต่ตัวถังซินเหยาที่มั่นใจเต็มร้อยยังรู้สึกประหม่าในเวลานี้

เธอจิบกาแฟไปอึกนึงเพื่อเป็นการซ่อนความรู้สึกประหม่าของตัวเธอ

"ไหนลองพูดไอเดียของคุณหน่อยสิครับ" เยี่ยจิงเฉินพลิกดูตัวอย่างงานคร่าวๆ

"ถึงแม้เยี่ยหวงจะเป็นบริษัทระดับอินเตอร์และเกี่ยวข้องกับธุรกิจอุตสาหกรรมมากมาย แต่หากมองในแง่ของอุตสาหกรรมจิวเวลรี่ เยี่ยหวงยังเพิ่งจะก้าวเข้ามาได้ไม่นาน แม้ว่าจะครองตลาดในประเทศอยู่บ้างแต่ตลาดจิวเวลรี่ต่างประเทศก็เติบโตและก้าวหน้าจนเป็นที่ยอมรับของบริษัทจิวเวลรี่รายใหญ่หลายแห่งค่ะ

ในตลาดที่เจริญก้าวหน้าเต็มที่แบบนี้มันเป็นเรื่องยากค่ะ ที่เยี่ยหวงจะเข้ามาขึ้นแท่นแทน ถ้าหากว่าเยี่ยหวงไม่สามารถเปิดตัวจิวเวลรี่แบบใหม่และโดดเด่นออกมาได้ ฉันกลัวว่าเยี่ยหวงจะตีตลาดจิวเวลรี่ไม่ได้ค่ะ"

"ดังนั้นฉันขอแนะนำว่าแทนที่เราจะตามกระแสนิยมของคนส่วนใหญ่ในตอนนี้ก็ให้ออกแบบจิวเวลรี่ที่เป็นเป็นเอกลักษณ์ของจีนค่ะ ต้องรู้ประวัติศาสตร์อันลึกลับที่ยาวนานกว่าห้าพันปีของชนชาติจีน ตอนนี้ต่างชาติต่างก็ชื่นชมและสนใจในวัฒนธรรมของชนชาติจีนด้วย หากเราส่งเสริมจิวเวลรี่แนวคลาสสิคที่สวยหรูเป็นหลัก แน่นอนว่าจะรับความสนใจอย่างมากแน่ๆค่ะ เป็นการเปิดตลาดจิวเวลรี่ใหม่และเราก็จะได้ครอบครองอุตสาหกรรมจิวเวลรี่ไปกว่าครึ่งเลยล่ะค่ะ"

"ประวัติศาสตร์อันลึกลับที่ยาวนานมามากกว่าห้าพันปีที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มันก็เปรียบเสมือนกับความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราแล้วค่ะ และฉันเองก็คิดว่าจิวเลวรี่ของเยี่ยหวงสามารถที่จะขึ้นเป็นแหล่งความสวยงามใหม่ได้แน่นอน"

ตอนที่เธอมองเยี่ยจิงเฉินนั้นถึงแม้เธอจะรู้สึกประหม่าเล็กน้อยแต่ตอนที่พูดถึงการทำงานของเธอนั้น สายตาทั้งคู่ของเธอเต็มไปด้วยความเปร่งประกายแวววาว

หลังจากที่เธอเสนอไอเดียของเธอจบ เธอถึงรู้ตัวว่าทั้งฟางซวี่เจ๋อทั้งเยี่ยจิงเฉินกำลังมองมาที่เธออยู่

โดยเฉพาะสายตาของเยี่ยจิงเฉินที่ลึกลับจนเหมือนหมึกดำหนาที่ไม่สามารถเจือจาง สีดำนั้นแทบจะระบายชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คนที่สบตาเขา

เพียงถังซินเหยาสบตากับเยี่ยจิงเฉินก็ทำให้สมองของเธอขาวโพลนไปหมด สายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกถึงความสับสนโดยสมบูรณ์

แต่สายตาของเยี่ยจิงเฉินที่มองถังซินเหยาที่ดูมีความมั่นใจและแสดงให้เห็นถึงความงดงามนั้น ทำให้ในใจของเขาก็อ่อนระทวยลง ราวกับว่าจะมีอะไรบางอย่างทะลุออกมาจากใจเขายังไงอย่างนั้นเลยทีเดียว

"อะแฮ่ม……" ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงกระแอมของฟางซวี่เจ๋อ

"ผมคิดว่าแพลนของคุณซินเหยาก็ไม่เลวนะครับ คุณจิงเฉินคิดว่ายังไงครับ ?" ฟางซวี่เจ๋อถาม

เยี่ยจิงเฉินละสายตาจากถังซินเหายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "เป็นความคิดที่ดีเลย งั้นงานนี้ผมขอมอบให้คุณถังรับผิดชอบคนเดียวเลยละกันนะครับ"

"คนเดียวหรอคะ ?"

คงจะไม่ใช่แบบที่เธอคิดหรอกนะ คุณป่าปี้ของลั่วหลิงกับเค่อหลานคงไม่ไร้ความรู้สึก โหดเหี้ยมเย็นชาขนาดนี้หรอก

"ใช่ เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับความลับของบริษัท ผมไม่ต้องการให้คนอื่นนอกจากคุณและผมรับรู้เรื่องการออกแบบนี้อีก" เยี่ยจิงเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ในบริษัทมีดีไซน์เนอร์ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ให้เธอออกแบบคนเดียวเนี่ยนะ แม้ว่าเธอจะรู้สึกขอบคุณที่เยี่ยจิงเฉินชื่นชมในตัวเธอ แต่นี่มันไม่มากไปหน่อยหรอ ?

ทำไมคุณป่าปี้ถึงทำแบบนี้ด้วยล่ะ ?

"คุณจิงเฉินครับ คุณลองไตร่ตรองดูอีกสักทีมั้ยครับ ให้ซินเหยารับงานคนเดียวแบบนี้มันจะไม่หนักเกินไปหน่อยหรอครับ"

ดูสิ ขนาดประธานฟางยังไม่เห็นด้วยเลย นายคนไร้ความเป็นมนุษยธรรมคนนี้นี่

"ขอโทษด้วยนะคะ สำหรับฉัน ถ้าให้ฉันทำคนเดียว ฉันคิดว่ามัน….."

นี่ดีไซน์เนอร์นะไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นเสียหน่อย ที่จะอยากทำอะไรมากแค่ไหนก็ทำเท่านั้น

บางที่ที่ไม่มีแรงบันดาลใจก็ไม่สามารถออกแบบผลงานออกมาได้ดีนี่ ดังนั้นถังซินเหยาจึงปฏิเสธไป

"ถ้าคุณทำได้ดี ผมจะยกหุ้นบริษัทจิวเวลรี่ให้คุณสามเปอร์เซ็นต์" เยี่ยจิงเฉินกล่าว

อย่านะ อย่าคิดจะใช้เรื่องเงินๆทองๆมาหลอกล่อจิตวิญญาณของฉันนะ ดูถูกคนอย่างฉันไปแล้ว ฉันไม่ยอมตกหลุมพรางหรอกนะ

"โอเคค่ะ ฉันตกลง"

อย่ามาไร้เดียงสาหน่อยเลยหน่า บนโลกนี้ไม่มีใครที่สามารถปฏิเสธการถูกล่อล่วงด้วยเงินได้หรอกนะ และมันก็เป็นการใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อแลกเงินนั้นมา คนโง่เท่านั้นแหละที่จะปฏิเสธ โดยเฉพาะถังซินเหยาที่เป็นคนประเภทที่โลภมากในเรื่องการเงินน่ะนะ

เพิ่งจะเริ่มลงมือก็ได้หุ้นสามเปอร์เซ็นต์เลยหรอเนี่ย คุณป่าปี้ผู้มีอำนาจอิทธิพล การเซ็นต์สัญญาถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น

อยู่กับคุณป่าปี้มีชิ้นเนื้อให้กินด้วย ในใจของถังซินเหยาเต็มไปด้วยความสุข พร้อมกับมองคุณป่าปี้ของลูกๆเธอด้วยสายตาที่แพรวพราวมากยิ่งขึ้น

ถังซินเหยาล้างหน้าของเธอด้วยน้ำก๊อกเย็นในห้องน้ำ

เธอมองดูตัวเองในกระจกที่เนื้อหนังมังสาที่อ่อนเยาว์ของเธอค่อยๆเลือนลางไป กลายเป็นใบหน้าของเธอที่ดูเป็นผู้ใหญ่นั้น ถังซินเหยายังคงรู้สึกงุนงง

ยิ่งลั่วหลิงและเค่อหลานโตขึ้นมากเท่าไหร่ เธอเองก็เห็นว่าเด็กๆนับวันยิ่งหน้าเหมือนพ่อของพวกเขาขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะลั่วหลิง กิริยาท่าทางของลูกเธอราวกับว่าลอกแบบมาจากคนเป็นพ่อยังไงอย่างงั้น ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆ สามารถทำให้คนสองคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน (ไม่สิ จริงๆก็เคยเจอกันแล้ว)หน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนี้เลยหรอ

และลั่วหลิงกับเค่อหลานก็เหมือนกับเยี่ยจิงเฉินในความทรงจำเมื่อหกปีที่แล้วของถังซินเหยา

เธอจำได้ว่าถึงแม้เยี่ยจิงเฉินเมื่อหกปีที่แล้วจะเย็นชา แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไร้จิตวิญญาณแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้เอาเสียเลย

ทำยังไงดี ? ทำยังไงดีล่ะ ?

คุณป๊ะป๋าของลูกๆกลับมาจากดาวอังคารแล้ว จะบอกพวกลูกๆดีไหมนะ?

แค่เจอเยี่ยจิงเฉิน ใจของเธอก็พองโตได้ขนาดนี้เลยหรอ ?

ในใจของถังซินเหยาผิดหวัง คืนนั้นมันก็แค่ความผิดพลาด !

เธอสงบลงหลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ

ตอนที่กลับมาถึงห้องประชุมแล้ว ทั้งฟางซวี่เจ๋อและเยี่ยจิงเฉินก็คุยกันอย่างถูกคอเสียแล้ว

"คุณซินเหยาครับ นี่คือCEOของบริษัทเยี่ยหวง คุณเยี่ยจิงเฉินครับ คุณเยี่ยจิงเฉินจะเป็นผู้ตรวจสอบงานควบคุมการเข้าสู่วงการจิวเวลรี่ระดับโลกของเยี่ยหวงในครั้งนี้ครับ ความคาดหวังของเขาสูงมากๆ"

"ส่วนคุณจิงเฉิน นี่คือคุณถังซินเหยา เป็นหัวหน้าดีไซน์เนอร์ของบริษัทของเราครับ เธอจบปริญญาโทจาก Le Arti Orafe Jewelry School & Academy ครับ ตอนที่เธออยู่ต่างประเทศเธอได้รับรางวัลมามากมายเลยล่ะครับ ผลงานการออกแบบของเธอก็ยอดเยี่ยมมากๆด้วย งานออแบบครั้งนี้ก็ฝากคุณซินเหยาจัดการเลยนะครับ ผมเชื่อว่าเธอจะออกแบบมาได้เป็นที่พอใจของพวกคุณแน่นอน"

ฟางซวี่เจ๋อแนะนำเธอและเขาอย่างสั้นๆแต่ได้ใจความ แค่สรุปใจความงานด้านการออกแบบให้เป็นที่พอใจของทางเยี่ยจิงเฉินก็พอ

คุณป๊ะป๋าทำหน้าเคร่งขรึมราวกับแยงานออกจากเรื่องส่วนตัวยังไงอย่างงั้น : "อืม"

ก็ยังจะพูดน้อยอยู่อีกนะ พูดอีกสักคำจะตายหรือยังไงกัน

หกปีที่แล้ว ตอนที่เราอยู่บนเตียงด้วยกันก็พูด dirty talk เยอะอยู่เลยนี่

อ๊ากกกกกกกก………แล้วทำไมถึงนึงถึงเรื่องเมื่อหกปีที่แล้วล่ะเนี่ย น่าอายจริงๆเลย

"สวัสดีค่ะประธานเยี่ย เจอกันครั้งแรกแบบนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ" ถังซินเหยายื่นมือไปหาเยี่ยจิงเฉิน

แต่เยี่ยจิงเฉินก็เพิกเฉยต่อ……มือ……ของเธอ ซ้ำยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้การทักทายครั้งแรกพบกับเธอด้วย

ถงซินเหยา : …….

เธอแสดงออกถึงความตกใจของเธอออกมา หรือว่าเยี่ยจิงเฉินจะจำเธอไม่ได้กันนะ ?

เมื่อสักครู่เธอลองลอบหยั่งเชิงดูการไม่แยแสของเยี่ยจิงเฉินที่มีต่อเธอ หรือว่าเขาจะจำเธอไม่ได้แล้วนะ ? แต่นึกไม่ถึงเลยจริงๆเลยว่าเขาเลือกที่จะทำเป็นลืมเธอไปแล้ว

โคตรดีเลย !

ใจดวงน้อยที่เศร้าสลดเมื่อกี้ของถังซินเหยากลายเป็นดีใจขึ้นมา ถ้าหากเยี่ยจิงเฉินจำเธอไม่ได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นอีกน่ะสิ

ใบหน้าของถังซินเหยายิ้มหวาน เธอกำลังเตรียมตัวจะถอนมือของเธอกลับมา

กลายเป็นว่าคุณป๊ะป๋ายื่นมือออกมาจับมือเธอด้วยความแม่นยำ

นี่คือจังหวะของคนที่มีการตอบสนองกับความเร็วที่ล่าช้ากว่าคนอื่นหรอ ?

"สวัสดีครับ !" คุณป๊ะป๋าหน้านิ่ง

ฟางซวี่เจ๋อถึงกับช็อค

เลขาเองก็เช่นกัน

คนที่สนิทสนมใกล้ชิดกับเยี่ยจิงเฉินต่างก็รู้ว่าเยี่ยจิงเฉินเป็นคนจุกจิก ไม่ชอบการสัมผัสกับคนอื่น แม้แต่แฟนสาวของเขาลู่อันหรันก็ตามก็รักษาระยะห่างระหว่างเขาด้วยเช่นกัน เพียงแต่สนิทสนมใกล้ชิดกันมากกว่าคนอื่นนิดเดียวท่านั้น

เมื่อกี้นี้ที่เขาจับมือกับถังซินเหยาคนที่เจอกันครั้งแรกแบบนี้ การที่เขาทำแบบนี้มันเหลือเชื่อซะยิ่งไปกว่าเรื่องที่พรุ่งนี้โลกจะแตกเสียอีก

คนที่ไม่รู้อะไรอย่างถันซินเหยาคิด : ถึงแม้เยี่ยจิงเฉินจะดูเป็นคนเย็นชาไปหน่อยแต่ก็ไม่ใช่คนทีผิดจากมนุษย์มนาทั่วไปนี่นา

อีกอย่างมือของเขาก็ดูดีมากๆด้วย กระดูกนิ้วเรียวยาว สัดส่วนของเนื้อหนังของเขาที่พอดีกับกระดูกนิ้วมือนั้น เล็บมือที่ถูกตัดอย่างสะอาดเรียบร้อย บนฝ่ามือและนิ้วมือของเขามีเนื้อหนังสีอ่อนๆ ตอนที่จับมือกันกับเธอให้ความรู้สึกแบบประหลาดแหลกใหม่ ทำให้จั๊กจี้ไปถึงหัวใจเลยทีเดียว

จากนั้นถังซินเหยาครุ่นคิด ว่าเธอจะบอกลั่วหลิงกับเค่อหลานดีมั้ย ที่ป๊ะป๋าของเด็กๆชนะจากการไปรบกับเหล่าปีศาจและได้กลับมาจากดาวอังคารแล้ว ? !

ไม่แปลกใจที่ทำไมบริษัทเยี่ยหวงถึงเป็นหนึ่งในยี่สิบบริษัทชั้นนำระดับโลก ดูจากตึกสำนักงานแล้วมันช่างสวยงามอลังการซะจริงๆ พื้นหินอ่อนสีขาวที่ถูกเช็ดถูขาวสะอ้านจนสามารถส่องเป็นกระจกได้เลยเสียทีเดียว !

ฟางซวี่เจ๋อดูเหมือนจะคุ้นเคยกับบริษัทเยี่ยหวงเป็นอย่างดี พนักงานแผนกต้อนรับและเลขาต่างก็รู้จักไปเสียหมด เขาคงจะเคยมาที่นี่เป็นประจำแน่ๆ

"ไฟล์การออกแบบของเยี่ยหวง บริษัทได้ส่งต่อให้เธอไปหรือยัง?" ถังซินเหยาถูกฟางซวี่เจ๋อที่นั่งอยู่ในห้องประชุมถามเธอด้วยน้ำเสียงเบาๆ

"ค่ะ"

"การออกแบบครั้งนี้ของเยี่ยหวงงานใหญ่ ถ้าไม่จัดการดีๆมันจะทำให้เป็นที่สนใจในบรรดาสไตลลิสต์ได้ การเป็นสไตลิสต์ที่มีชื่อเสียงสิ่งที่สำคัญไปกว่าผลตอบแทนคือความหมายและคุณค่าของมัน แต่คุณเองก็น่าจะดูออกแล้วนะครับ ว่าการที่จะผ่านมันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มิฉะนั้นล่ะก็CEASก็คงไม่พักเบรกไปเป็นครึ่งปีหรอก คงไม่มีใครอยากแทะกระดูกหักนี่ลงหรอกนะครับ"

ถังซินเหยาคิดไม่ถึงเลยว่าฟางซวี่เจ๋อจะพูดตรงขวานผ่าซากแบบนี้กับเธอ

เธอชอบกินเนื้อเป็นที่สุด คงเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทเยี่ยหวงที่ใหญ่โตขนาดนี้ตัวเธอจะได้แค่มองก้อนเนื้อแต่ไม่กินมัน

"ฉันรู้ค่ะ"

"ดูจะคุณได้ข้อมูลเอาท์ไลน์มาบ้างแล้ว ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยนะ ตอนนี้ขอใช้กาแฟแสดงความยินดีล่วงหน้าแทนไวน์แล้วกันนะครับ"

ถังซินเหยายกแก้วกาแฟขึ้นมาก่อนจะจ้องมองไปที่แก้วกาแฟ แต่ไม่ได้ดื่มมัน "คุณสนใจอะไรในผลงานของฉันหรอคะ?"

"ผมไม่ได้สนใจในผลงานอะไรของคุณหรอกครับ แต่ผมสนใจคุณต่างหาก คุณเป็นสไตลิสต์ที่ฉลาด ต้องออกแบบมาได้อย่างที่บริษัทของเราต้องการแน่ๆ"

"ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ" ถังเสี่ยวซินจิบกาแฟ

รสชาติกลมกล่อมดี ดีเลย

จริงๆแล้วไม่ใช่แค่คุณหรอกที่สนใจฉัน แต่ฉันเองก็สนใจในตัวเองอยู่เหมือนกัน

แต่ตอนที่ถังซินเหยาเจอกับเยี่ยจิงเฉินครั้งแรก ความมั่นใจของเธอในตอนนั้นมันก็กลับถูกทำลายไปจนหมด

ร่างของเยี่ยจิงเฉิงสวมใส่ชุดสูทสีดำที่รีดมาอย่างเรียบหรู ทั้งตัวของเขาดูพิถีพิถันราวกับถูกปรุงแต่งมาอย่างดีไร้ที่ติ ด้วยไหล่กว้างและเอวแคบ ต้นขาที่ห่อหุ้มด้วยกางเกงสูทของเขานั้น ร่างสูงผอมแต่ดูแข็งแรงนี้ โอปป้าขายาวดีๆนี่เอง

เขาเพอร์เฟคเกินไปจนทำให้ใครหลายคนคิดว่าเขาไม่มีอยู่จริง

ร่างกายของเขาล้อมรอบไปด้วยความเย็นชาที่ถูกสั่งการไว้แล้ว ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนเป็นๆเลยสักนิด

สำหรับถังซินเหยาแล้ว เขาก็เหมือนกับหุ่นยนต์สุดแสนจะเพอร์เฟคที่ถูกวางมาดมาแล้ว เพียงแค่ต้องใช้ชีวิตตามโปรแกรมคำสั่งที่กำหนดมาแล้วก็เท่านั้น

"แกร๊ก……" แก้วกาแฟในมือของถังซินเหยาหลุดออกไปจากมือของเธอ รอยยิ้มหวานบนใบหน้าของเธอถูกแทนที่ด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับผู้ชายคนนี้หลังจากหกปีที่ผ่านมา

พระเจ้า ! ! !

เยี่ยจิงเฉินก็เปรียบเสมือนกับสัตว์ร้ายที่อยู่ในความคิดในส่วนที่แสนอ่อนไหวของตัวเอง

ตอนถังซินเหยามองไปที่เขา เขาเห็นได้ถึงความผิดปกติของถังซินเหยาเสียแล้ว สายตาของเขาก็ได้เพ่งเล็งเข้าไปในดวงตานั้นเสียแล้ว

ผู้หญิงคนนี้รู้จักงั้นหรอ?

ถังซินเหยาเจอกันกับเยี่ยจิงเฉินครั้งแรกในรอบหกปี ทั้งสองส่งสายตามองกันอยู่ห่างๆระหว่างฟางซวี่เจ๋อและเลขาของเขา

"ซินเหยา เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? โดนลวกหรือเปล่า?" ตอนที่สายตาของถังซินเหยามองไปที่เยี่ยจิงเฉิน ฟางซวี่เจ๋อก็ได้คว้ามือของถังซินเหยาไปเรียบร้อยแล้ว เขาถามเธอด้วยความกังวล

เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเห็นเขาและเธอจับมือกันอยู่ สายตาที่เย็นชาของเขาดูหมองไปพร้อมกับดวงใจของเขาที่รู้สึกขึ้นได้ถึงความไม่พอใจ

ถังซินเหยาได้สติก็ถูกฟางซวี่เจ๋อคว้ามือของเธอขึ้นมาไว้เสียแล้ว เธอยังคงไม่ละทิ้งความคิดที่ปั่นป่วนในหัวของเธอนั้นออกไป

"ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน" ถังซินเหยาหนีออกมาจากห้องประชุมอย่างเคอะเขิน

อ๊ากกกกกกกกก………บ้าไปแล้วแน่ๆ ฉันเจอผู้ชายคนนี้ได้ยังไงกัน ?

ชีวิตฉันจะเจอเรื่องโอเวอร์แบบนี้ได้ทุกที่เลยหรอ ยิ่งกว่าดูรายการไอดอลตอนสองทุ่มเหล่านั้นซะอีก

นี่ฉันเจอเขาได้ยังไงกัน? ฉันเจอเขาได้ยังไง?

พระเจ้า!

ถึงแม้การเข้ามาทำงานของเธอจะเป็นการเข้ามาอย่างปุ๊บปั๊บสำหรับฝ่ายแผนกการออกแบบ ถังซินเหยาดีไซน์เนอร์ผู้ที่ทั้งสาวทั้งสวยก็ไม่ค่อยจะถูกใจสักเท่าไหร่ แต่คำซุบซิบนินทาเหล่านี้ไม่ได้มีผลอะไรหรอก ก็เธอเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบแล้วนี่นา

"งานออกแบบที่ทำให้บริษัทเยี่ยหวงถูกตีกลับมาอีกแล้วหรอ นี่มันครั้งที่สิบแปดแล้วนะ" ดีไซน์เนอร์คนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่ายพร้อมกับโยนแบบร่างการออกแบบของเขาทิ้งลงบนโต๊ะประชุม "ฉันทำมันดีที่สุดแล้วนะ แต่เคสนี้ฉันขอยอมแพ้"

"มีใครยินดีจะรับงานออกแบบชิ้นนี้ของเยี่ยหวงต่อมั้ย" หัวหน้าแผนกการออกแบบกล่าวพร้อมกับกวาดสายตามองคนในแผนกที่ปิดปากเงียบ

คนอื่นๆมองหน้ากันสลับไปมา

เยี่ยหวงเป็นบริษัทจิวเวลรี่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียโดยการออกแบบครั้งนี้จะเป็นการจัดการแสดงนิทรรศการสินค้าในอีกห้าปีข้างหน้าของบริษัท ที่จะนำเยี่ยหวงก้าวเข้าสู่ตลาดโลก

ถ้าใครที่สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จล่ะก็ถือเป็นเรื่องที่จะได้ทั้งชื่อเสียงและเกียรติยศอย่างแน่นอน

เคสนี้ก็เปรียบเสมือนกับชิ้นเนื้อที่อยู่บนปากของทุกคน เพียงแต่ว่าใครจะสามารถกินมันเข้าไปได้ก็เท่านั้นเอง

แต่มันเป็นชิ้นเนื้อที่มีไขมันมากไปหน่อย ไม่ใช่ว่าใครก็อยากจะลองลิ้มรสมันไปหมดทุกคน

ดังนั้นเคสนี้ก็เหมือนกันการก้าวทะเยินขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่คนในบริษัทไม่สามารถจัดการกับมันได้เสียที ในอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกันมันหวานร้อนที่ลวกมือตัวเอง ดูอย่างคนที่ทุ่มเทกับมันมากที่สุดยังต้องยกธงขาวยอมจำนนให้กับงานนี้ไปเมื่อกี้นี้เลย

"ถังซินเหยาจบจากต่างประเทศแล้วเธอก็ได้รับรางวัลกลับมาไม่น้อย แล้วตอนนี้เธอก็ยังเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของCKอีกด้วย ฉันว่าเคสนี้น่าจะเหมาะกับเธอที่สุดแล้วล่ะ"

"ใช่ ถึงซินเหยาจะยังอายุน้อยแต่ฉันคิดว่าเธอต้องทำเคสนี้ได้อย่างแน่นอน"

"จริง ผลงานการออกแบบของเธอฉันเคยเห็นมาหมดแล้วล่ะ ผลงานของเธอดีมากๆ แล้วการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานของบริษัทCKก็คงเลือกคนมาไม่ผิดหรอก"

"ฉันเห็นด้วยกับเมย์แล้วก็เอลล่านะ"

"ฉันก็เห็นด้วย……."

"……."

ขอร้องล่ะ อย่ามาปล่อยระเบิดให้ฉันนะ อย่าคิดว่าวันนั้นฉันไม่เข้าห้องพักเบรกล่ะ ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเธอซุบซิบนินทาฉันน่ะ

"ซินเหยา เธอคิว่ายังไง" หัวหน้าว่าไปตามความเห็นของเหล่าพนักงานพร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปที่ถังซินเหยา

"ไม่มีปัญหาค่ะ"ถังซินเหยายกยิ้มขึ้นพร้อมกับใบหน้าสวยไร้ที่ติของเธอ

ก็ดีเหมือนกัน จะได้โชว์ความสามารถในการออกแบบให้พวกเธอดูสักหน่อย ของบริษัทเยี่ยหวงใช่ไหม ถังซินเหยาเชื่อมั่นว่าตัวเองจะต้องทำมันได้อย่างแน่นอน !

ถังซินเหยาตัดสินใจรับงานออกแบบของเยี่ยหวงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้คนในบริษัทหุบปากเงียบซะ ข้อมูลพร้อมกับงานสเก็ตที่ล็อกไว้ในลิ้นชักเธอก็ได้เตรียมมันไว้ทั้งหมดตั้งแต่แรกแล้วล่ะ

"ซินเหยาเธอจะไปไหนน่ะ ให้ฉันไปส่งเธอไหม" ถังซินเหยาที่หอบงานของเธอออกมาจากบริษัท รถหรูถูกจอดไว้อยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับหน้าต่างรถที่ถูกปรับลง แสดงให้เห็นใบหน้าอบอุ่นและหล่อเหลานั้นของฟางซวี่เจ๋อ

"ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังจะไปบริษัทเยี่ยหวง" ถังซินเหยาย่อเอวคอสของเธอพร้อมกับยิ้มหวานให้กับฟางซวี่เจ๋อที่อยู่ตรงหน้า

เพียงแค่เห็นรอยยิ้มแสนหวานนั้นก็ทำเอารอยยิ้มนัยตาของฟางซวี่เจ๋อทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก

"ผมก็จะไปบริษัทเยี่ยหวงเหมือนกันครับ แค่จะพาคุณติดรถไปด้วยน่ะ"

ถังซินเหยายิ้มและไม่คัดค้านต่อจึงเข้าไปนั่งในรถทันที ประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทางด้วยพอดีเลย

ถังซินเหยาสวมใส่ชุดพนักงาน มัดรวบผมขึ้นเป็นทรงผมหางม้าพร้อมกับแต่งหน้าเบาๆลุคพนักงานสาว

ใบหน้าเดิมของเธอที่สวยสง่าอยู่แล้วนั้นยิ่งดูมีมิติมากขึ้นอีก ทำให้เธอดูทั้งฉลาดมีความสามารถและประสบการณ์โดยที่ไม่ขาดตกเรื่องความสวยเลย

ประธานบริหารบริษัทในสาขาเอเชียอย่างฟางซวี่เจ๋อ ดูแว็บแรกเหมือนเขาจะเป็นคนดีคนหนึ่ง

"สวัสดีครับ ผมคือฟางซวี่เจ๋อประธานบริหารจากบริษัทCKครับ" ฟางซวี่เจ๋อยิ้มพร้อมกับใบหน้าที่สุภาพและมีมารยาท : "คุณถังครับ ผมเป็นตัวแทนจากCKสาขาเอเชียมาต้อนรับการมาของคุณครับ"

นิ้วเรียวยาวของฟางซวี่เจ๋อ นิ้วเรียบกลมนั้น

เล็บสวยที่เรียงเรียบอยู่นั้นดูดีเสียจริง นิ้วแบบนี้น่าจะเหมาะกับการเล่นเปียโนมาก

เขาสวมใส่ชุดสูทอิตาเลียน ข้อมือของเขาปรากฏให้เห็นแขนเสื้อสีขาวสะอาดโผล่ออกมาเล็กน้อย ตอนเขายื่นมือไปหาถังซินเหยาข้อมือของเขาสวมนาฬิกาแบรนด์ Patek Philippe เรือนหรูอยู่

ร่างกายของเขาถูกพรมด้วยน้ำหอมยี่ห้อโอเดอโคโลญจน รู้เลยว่าตัวเขาถูกปรับแต่งมาอย่างละเอียดลออ ดูออกเลยว่าฟางซวี่เจ๋อเป็นผู้ชายที่มีคุณภาพชีวิตและรสนิยมที่ดีมากคนหนึ่ง

"สวัสดีค่ะ ฉันถังซินเหยาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ" ถังซินเหยายิ้มด้วยใบหน้าที่สะสวยของเธอพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับมือกับฟางซวี่เจ๋อ

นิ้วเรียวของถังซินเหยาก็สวยมากเช่นกัน แม้ตอนที่เธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ต่างประเทศเธอจะเคยเป็นแฮนด์โมเดลก็ตาม

สองมือสวยสง่าที่สัมผัสกันอยู่นั้นช่างทำให้จิตใจเบิกบานเสียจริง

"ผลงานการออกแบบของคุณถังผมดูมาหมดแล้วนะครับ ผมชอบมันทั้งหมดเลย แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนที่สามารถออกแบบผลงานมาได้อย่างมีเฉลียวฉลาดนะครับ คุณยังอายุน้อยอยู่แท้ๆ" ฟางซวี่เจ๋อกล่าวอย่างรู้สึกเกรงใจไป : "แล้วคุณก็ยังสวยมากอีกด้วยครับ"

ถังซินเหยายังคงรักษารอยยิ้มแสนหวานไว้บนใบหน้าของเธอ

คุณชมฉันซะขนาดนี้ จะให้ฉันตอบยังไงกันล่ะ ?

อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันตอบว่าฉันนี่แหละสาวคนสวย ทั้งสวยทั้งเรียบง่าย?

ถ้าฉันหลงตัวเองแบบนี้ ฉันคงต้องโดนคนอื่นตีตายแน่ๆ

"คุณประธานฟางก็ชมเกินไปค่ะ" ถังซินเหยาตอบกลับไปอย่างท่าทางสงบเสงี่ยม

"ผมพูดความจริงครับ สำหรับผมงาน'ไห่หยางจือซิน'ที่คุณถังเป็นคนออกแบบชิ้นนั้นผมชอบมากครับ ผมเห็นพัฒนาการความสามารถ ความรักและความพยายามของคุณถังผ่านผลงานชิ้นนี้น่ะครับ"

ถังซินเหยาเริ่มเชื่อแล้วว่าฟางซวี่เจ๋อนั้นชอบผลงานการออกแบบของเขาจริงๆ ผลงานที่ชื่อ'ไห่หยางจือซิน'ของเธอไม่ได้เป็นที่รู้จัก

และผลงานที่ชื่อ'ไห่หยางจือซิน'ชิ้นนี้ก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของคนจำนวนมากมายอะไรด้วย แต่เป็นผลงานที่ตัวเธอภาคภูมิใจมากี่สุดต่างหากล่ะ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ลั่วหลิงและเค่อหลานเกิด แรงบันดาลใจในชั่วพริบตานั้นทำให้เธอเข้าถึงความรักและความพยายามนั่นเอง

การเกิดมาของลั่วหลิงกับเค่อหลานทำให้จิตวิญญาณการทำงานของเธอก้าวหน้าขึ้นจริงๆ

ถ้าหากฟางซวี่เจ๋อไม่ได้ชอบผลงานการออกแบบของเธอจริงๆ เขาก็คงไม่ให้ความสนใจกับผลงาน 'ไห่หยางจือซิน'ชิ้นนี้ของเธอที่แสนจะธรรมดาๆนี้หรอก

พอพูดคุยกันเสร็จศัพท์ เธอก็ตัดสินจะเป็นเพื่อนกันกับฟางซวี่เจ๋อทันที

ฟางซวี่เจ๋อชื่นชมในตัวของถังซินเหยามาก เขาจึงให้ถังซินเหยาเป็นหัวหน้าดีไซน์เนอร์ของบริษัทCK

"ไม่รู้เหมือนกันนะว่าถังซินเหยาอะไรนั่นมีอะไรดี ก็แค่หน้าตาดี เอาคนแบบนี้มาเป็นหัวหน้าดีไซน์เนอร์เราได้ยังไงกัน แล้วท่านประธานคิดอะไรอยู่กันแน่ หล่อนไม่เหมาะเลยสักนิด"

ฉันไม่เหมาะสมที่จะเป็นแล้วเธอเหมาะหรอ?

"ก็ หล่อนก็แค่หน้าตาดีเท่านั้นแหละ"

ขอบคุณนะที่ชม ฉันรู้ว่าฉันสวย แต่ฉันไม่ได้สวยแค่หน้าแล้วส่วนอื่นที่เหลือจะไม่มีดีแล้วเสียหน่อย อย่างน้อยก็เห็นรูปร่างของฉันไม่ใช่หรอ?

"ว่าไม่ได้หรอกทักษะหล่อนก็ใช่ได้อยู่นะ?"

ความหมายของทักษะที่ว่าก็นับว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งไหมนะ จะทำเป็นว่าพวกเธอกำลังชมฉันอยู่ก็แล้วกัน

"ก็ถูก ใบหน้ารูปไข่ แล้วก็ทักษะการทำงาน มีอะไรอีกไหมที่ยังไม่มี?"

นี่กำลังบอกว่าฉันทั้งสวยแล้วก็มีความสามารถอย่างนั้นหรอ? ฉันล่ะชอบจริงๆ

"ได้ยินมาว่าตอนที่หล่อนอยู่อิตาลีก็ได้รางวัลมาไม่น้อยเลย แล้วรางผลที่ได้มาพวกนั้นได้ผลตอบแทนเท่าไร่ ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วรางวัลที่ได้มาหล่อนอาจจะให้กลยุทธ์ที่น่าอับอายเพื่อแลกมันมาก็ได้?"

แม่เจ้า รางวัลนั้นไม่ได้เซ็ทมาเสียหน่อย แค่ใช้กลยุทธ์นิดหน่อยก็จะได้มันมางั้นหรอ?

ถ้ามีความสามารถ เธอก็ลงมือทำให้ดูหน่อยสิ

ตงิดใจเสียจริง มาดื่มกาแฟยังจะมาได้ยินคนซุบซิบนินทาอีก

พวกเธอจะซุบซิบนินทากันที่บริษัทอย่างไร้ยางอายแบบนี้เลยงั้นหรอ แล้วคนที่ถูกพูดถึงอย่างฉันก็ดันมาได้ยินอีก แบบนี้มันดีแล้วหรอ?

ต่อไปฉันจะทำงานได้อย่างมีความสุขไหมล่ะเนี่ย?

ถังซินเหยาตัดสินใจไม่ฟังต่อ เพียงเธอหันหลังกลับไปก็เห็นฟางซวี่เจ๋อหลบอยู่ด้านหลังของเธอ

เธอเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มหวานกลับไป

เธอออกจากห้องพักเบรกไป ฟางซวี่เจ๋อถามเธอ "พวกหล่อนว่าเธออย่างนี้เธอไม่โกรธเลยหรอ?"

"คนที่ถูกนินทาว่าร้ายมักจะเป็นคนที่ฉลาดกว่าคนเหล่านั้นค่ะ ความอิจฉาของคนอื่นพิสูจน์ความเป็นดีเลิศของเรา"ถังซินเหยานิ่งเฉย

เขาไม่แยแสกับอะไร การพบกันกับเด็กผู้หญิงคนนี้อีกครั้งทำให้เขานึกถึงภาพการพบกันครั้งที่แล้วของเขากับเด็กน้อยอย่างสดใสราวกับว่าเรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

"คุณลุงหล่อมากๆเลยค่ะ" ดวงตาที่เป็นประกายของเค่อหลานมองเยี่ยจิงเฉิน

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เค่อหลานชมเขาว่าหล่อ มีคนที่ชมเขามากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีใครที่ทำให้เขารู้สึกพอใจมากขนาดนี้มาก่อน

"หนูก็สวยมากเหมือนกัน" เยี่ยจิงเฉินพูด

"หม่ามี้ของหนูบอกว่าหนูที่เจ้าหญิงตัวน้อยที่สวยแล้วก็น่ารักที่สุดในโลกค่ะ" เค่อหลานได้อกได้ใจ

เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้วพร้อมกับถาม : "แล้วทำไมไม่เห็นพี่ชายของหนูเลยล่ะ?"

เค่อหลานแลบลิ้นพร้อมกับเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นมา เมื่อเธอเห็นคุณลุงสุดหล่อเธอก็ลืมพี่ชายของตัวเองไปเลย

แต่จะทำยังไงดี เธอไม่อยากเป็นแบบนี้

เค่อหลานหันหลังกลับพร้อมกับกวักมือเรียก "พี่คะ หนูเจอคุณลุงสุดหล่ออีกแล้ว"

ลั่วหลิงย่นปาก การกระทำนั้นไม่ต่างจากเยี่ยจิงเฉินเลย ลั่วหลิงเดินมาอย่างเคร่งขรึมและสุขุม : "คุณผู้ชาย เราเจอกันอีกแล้วนะครับ"

เยี่ยจิงเฉินเมื่อเห็นเด็กทั้งสองก็รู้สึกอ่อนไหวอยู่ในเบื้องลึกในใจของตัวเองอย่างไม่ขาดสาย

"ทำไมหนูสองคนถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?"

"อีกหน่อยเราสองคนจะต้องมาเรียนที่นี่ค่ะ วันนี้พวกเรามาสอบ" เค่อหลานตอบไปอย่างได้ใจพร้อมกับใบหน้าที่รับคำชื่นชม : "คุณลุงผู้อวยการเขาโง่มากเลยค่ะที่เอาข้อสอบที่ง่ายขนาดนี้มาให้หนูกับพี่ทำ แล้วยังรับปากอีกว่าถ้าสอบได้คะแนนเต็มพวกเราไม่ต้องจ่ายค่าเทอม"

สายตาของเยี่ยจิงเฉินเรียบนิ่ง ในทุกๆปีจะมีคนมาสมัครเรียนที่โรงเรียนทักษะพิเศษนี้มากมาย ทุกคนในเมืองบีต่างก็อยากให้ลูกหลานของตัวเองมาเรียนที่นี่ แต่ทุกปีโรงเรียนนี้จะรับนักเรียนไม่ถึงห้าสิบคน เพราะการแข่งขันของที่นี่นั้นดุเดือดมาก

ดูแล้วเด็กสองคนนี้คงจะฉลาดมากๆ เขากล่าว : "อือ ลั่วหลิงกับเค่อหลานฉลาดมากๆนี่เนาะ"

"ใช่ค่ะ หม่ามี้ก็พูดว่าหนูกับลั่วหลิงฉลาดที่สุดแล้ว"

"แล้วหม่ามี้ของหนูอยู่ไหนล่ะ ทำไมเห็นเลย?"

น่าตายจริงๆ เอาลูกๆคนเก่งมาทิ้งไว้ในโรงเรียนแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกหรอ?

ที่สนามบินเมื่อครั้งที่แล้วก็เหมือนกัน ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้มันอันตราย?

ถึงแม้ว่าเขายังไม่เคยเจอกับหม่ามี้ของลั่วหลิงและเค่อหลาน แต่เขากลับรู้สึกไม่ดีกับผู้หญิงที่เค่อหลานเอาแต่พูดถึงเอาเสียแล้ว มิหนำซ้ำเบื้องลึกในใจของเขารู้สึกแปลกประหลาดและเจ็บปวด

หากเยี่ยจิงเฉินไต่ตรองดีๆเขาจะรู้ว่าความรู้สึกนี้มันคือความห่วงและอิจฉา

เขาอิจฉาผู้หญิงคนนึงเพราะเด็กที่เพิ่งจะเจอกันได้แค่สองครั้ง เพราะเด็กสองคนนี้พูดถึงผู้หญิงคนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาแต่พูดถึง น่าอิจฉาจริงๆ

"หม่ามี้คุยโทรศัพท์อยู่ค่ะ เลยให้หนูกับพี่เดินดูรอบๆไปก่อน" เค่อหลานตอบ

"งั้นฉันพาหนูสองคนไปดูให้ทั่วเลยเป็นไง?" เยี่ยจิงเฉินถาม

"ดีค่ะ………"

"เค่อหลาน" ลั่วหลิงมองสีหน้าท่าทางของเยี่ยจิงเฉินพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในม่านตาดำ ลั่วหลิงพูดตัดบทของเค่อหลานแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า : "ไม่ต้องหรอกครับ พวกเราเดินดูกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะไปหาหม่ามี้แล้วครับ"

"เค่อหลาน มานี่เร็ว เดี๋ยวถ้าหม่ามี้หาเราไม่เจอ หม่ามี้จะโกรธนะ" ลั่งหลิงยื่นมือไปทางเค่อหลาน แล้วกระพริบตาพร้อมกับพูดอย่างซนๆว่า : "หม่ามี้จะโกรธมาก…….."

"ผลลัพธ์รุนแรงจัง" เค่อหลานยอมรับคำทันที

เด็กทั้งสองคนยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง แสดงถึงว่าเมื่อกี้นี้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น

"งั้นหนูกับพี่ไปก่อนนะคะคุณลุงคนหล่อ หนูจะคิดถึงคุณลุงนะ" เค่อหลานกุมมือเยี่ยจิงเฉินด้วยความอาลัยอาวรณ์ พร้อมกับทำท่าทีน่ารักๆออกมา

ถึงแม้ว่าคุณลุงคนนี้จะหล่อมาก และเธอก็ชอบมาก แต่คนที่เธอชอบที่สุดก็คือหม่ามี้และพี่ชายอยู่ดี

เมื่อเห็นว่าเด็กๆทั้งสองเดินจากไปแล้ว ในใจของเยี่ยจิงเฉินก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา

เค่อหลานหลุดพันธนาการจากอ้อมแขนของคุณลุงสุดหล่อพร้อมกับวิ่งออกไปจับมือของลั่วหลิงด้วยขาตุ้ยนุ้ยของเธอ

ถังซินเหยาที่เพิ่งวางโทรศัพท์กำลังเตรียมจะออกไปหาลั่วหลิงและเค่อหลาน

เพียงเธอหันหลังก็พบว่าลูกของเธอลั่วหลิงจับมือเค่อหลานเดินกลับมาแล้ว

เธอเดินเข้าไปกอดลั่วหลิงและเค่อหลานและหอมแก้มเด็กน้อยทั้งสองคนไปคนละที พร้อมกับพูดว่า : "ไปกันค่ะ หม่ามี้จะพาไปเดินดูรอบๆอีกที"

"มันค่ำแล้วนะครับหม่ามี้ ผมอยากกลับไปทานข้าวแล้ว" ลั่วหลิงปฏิเสธถังซินเหยา

ลั่วหลิงไม่อยากให้หม่ามี้กับผู้ชายคนนั้นต้องมาเจอกันในตอนนี้

"ดีเลยค่ะ หนูจะกินข้าวปั้นหมูหมัก" เด็กน้อยปรบมือเปาะแปะเห็นด้วย จนลืมเรื่องของคุณลุงสุดหล่อไปแล้ว

ข้าวปั้นหมูหมักเอาชนะคุณลุงสุดหล่อเยี่ยจิงเฉินไปแล้ว น้ำตาจะไหล

ถังซินเหยาพาลั่วหลิงกับเค่อหลานไปโรงเรียนทักษะพิเศษ ที่นี่เป็นโรงเรียนที่ติดต่อไว้แล้วตั้งแต่ตอนอยู่ที่ต่างประเทศ!

เค่อหลานสวมชุดเดรสเจ้าหญิงสีขาว มัดผมหางม้า หน้าตาทั้งสวยทั้งอ่อนหวาน เป็นเจ้าหญิงที่มีชีวิตชีวาคนหนึ่ง

ลั่วหลิงสวมชุดสูท ทำหน้าเคร่งขรึม แต่กลับปิดบังความสง่างามและทั้งน่ารักไม่มิด กิริยาท่าทางที่สุภาพเรียบร้อย ถ้าหากมองข้ามอายุของเขาไป นี่มันสุภาพบุรุษชาวอังกฤษชัดๆ

ถังซินเหยาสวมชุดที่ค่อนข้างเป็นทางการแต่กลับไม่ได้สูญเสียความสบายไป ผูกผมขึ้นมา อวัยวะทั้งห้าของเธอก็ทั้งสวยงามและเรียบร้อย แตกต่างกับเมื่อตอนที่เป็นเด็กทารกที่อ้วนตุ๊ต๊ะ ตอนนี้หน้าเรียวแล้ว ที่ยิ่งสวยขึ้นนั้นก็เพราะเธอเป็นสาวสวยที่ดูแลตัวเอง ดูอ่อนเยาว์ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย

เธอจูงมือลั่วหลิงและเค่อหลานเดินเข้าไปในกลุ่มผู้คน หน้าตาที่โดดเด่น เหมือนกับทั้งร่างกายมีออร่า มีคนไม่น้อยเลยทีเดียวที่คาดการณ์กันไว้ว่า พวกเขาเป็นดาราและดาราเด็กใช่ไหม

ตอนที่ผู้อำนวยการเห็นถังซินเหยาจูงมือลั่วหลิงและเค่อหลานมานั้น ก็ตกใจว่ายีนของตระกูลนี้ดีเกินไปแล้วนะ

“คุณนายถังสวัสดีครับ ดูแล้วเด็กสองคนนี้โดดเด่นมากเลย”ผู้อำนวยการพูดอย่างหัวเราะชอบใจ

นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วสิ ลั่วหลิงและเค่อหลานของพวกเราไม่ใช่ดูเหมือนว่าโดดเด่น แต่จริงๆคือโดดเด่นมากๆ พูดออกมาแล้วเดี๋ยวคุณจะตกใจ!

“ไม่หรอกค่ะ ผู้อำนวยการชมเกินไปแล้วค่ะ”ถังซินเหยาพูดยิ้มเล็กยิ้มใหญ่

“หนูน้อยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าหนูชื่ออะไรกัน?”

“ถังลั่วหลิง”ลั่วหลิงตอบไปด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

“ผู้อำนวยการสวัสดีค่ะ หนูชื่อถังเค่อหลานค่ะ!”เค่อหลานทั้งน่ารักน่าเอ็นดู

“บอกผู้อำนวยการได้ไหมว่าพวกหนูอายุเท่าไหร่กันแล้ว?”

“ในเอกสารมีกรอกไว้ครับ”ลั่วหลิงทำหน้าบึ้งตึง

เค่อหลานตอบไปว่า“พวกเราอายุห้าขวบค่ะ”

“อ๋ออย่างนี้นี่เอง!”ผู้อำนวยการหยิบกระดาษข้อสอบออกมาให้ลั่วหลิงกับเค่อหลาน

“คุณลุงผู้อำนวยการหยิบมาผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การวัดความรู้ของเด็กอนุบาลค่ะ”เค่อหลานเงยหน้าขึ้นไปพูดอย่างงงงวย

“นี่เป็นการสอบเข้าโรงเรียน ถ้าสอบผ่านก็สามารถเข้าเรียนได้เลย”

“แต่ว่าพวกเราอยู่อนุบาลนะคะ ทำไมถึงไม่ให้วัดความรู้ของเด็กอนุบาลล่ะคะ?”เค่อหลานหัวแข็งมาก

“ผู้อำนวยการอยากจะลองทดสอบเค่อหลานและลั่วหลิง”

“งั้นถ้าหากตอบถูกทั้งหมด มีรางวัลอะไรให้เหรอคะ เพราะทุกครังที่สอบได้คะแนนดีหม่ามี้จะรางวัลกับหนูและพี่ชาย”

“งั้นพวกหนูอยากได้รางวัลอะไรล่ะ?”

“ถ้าหนูกับพี่ชายทำได้ งั้นหลังจากนี้จะไม่จ่ายค่าเล่าเรียนก็ได้ใช่ไหมคะ?”

ผู้อำนวยการลังเลไปพักหนึ่งและตอบว่า“ได้สิ ถ้าพวกหนูสอบได้คะแนนเต็มร้อยครูจะให้พวกหนูเรียนฟรีเลย”

นี่มันเป็นโจทย์การแข่งขันของมัธยมต้น ถึงแม้เด็กสองคนนี้จะฉลาด แต่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่เคยผ่านการเรียนการสอนตามปกติเลย เขาหยิบข้อสอบออกมาชุดหนึ่ง แต่ก็ทำเพียงแค่จะหาความจริงเท่านั้นเอง

จนกระทั่งพึ่งรับปากไปนั้น เขาสามารถพูดได้เหรอว่าเป็นแค่เพียงการหยอกเด็ก?

เค่อหลานมารวมตัวอยู่ที่หน้าลั่วหลิงและถังซินเหยา ทำให้เห็นลักยิ้มทั้งสอง หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ว่า“หม่ามี้ พวกเราประหยัดเงินไปได้ตั้งอีกก้อนหึ่งเลยนะคะ ฮิฮิ”

“ลูกรักของแม่นี่ฉลาดกันจริงๆเลย”

เห็นลูกสาวของฉันไม่เพียงแต่งงงวยไป ยิ่งกว่านั้นยังฉลาดจนไม่มีเพื่อน คงจะไม่ได้มีไหวพริบอะไรจริงๆหรอก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วนั้น ผู้อำนวยการก็พูดกับถังซินเหยาอย่างเกรงใจมากขึ้น คะแนนสอบเข้าเรียนของลั่วหลิงและเค่อหลาน ตามคาดได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม

หลังจากได้เข้าเรียนแล้ว ถังซินเหยาพาลูกรักทั้งสองคนไปดูสภาพแวดล้อมรอบๆโรงเรียน

ในเวลานั้นเอง โทรศัพท์ของถังซินเหยาก็ดังขึ้นมา เป็นซีเคกรุ๊ปโทรมา น่าจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องงาน

“หม่ามี้ไปรับโทรศัพท์ก่อน ลูกรักเดินไปดูโรงเรียนก่อนเลยนะ”

ลั่วหลิงกับเค่อหลานพยักหน้า ทั้งสองคนก็เดินไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น——

“นั่นมันคุณลุงสุดหล่อนิ”เค่อหลานเห็นเงาที่คุ้ยเคยอยู่ในโรงเรียน เลยวิ่งเข้าไปหาเงาที่คุ้นเคยนั้นทันที

เยี่ยจิงเฉินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงเรียนทักษะพิเศษ เขาจะมาตรวจดูโรงเรียนทุกปีปีละหนึ่งครั้ง

ทันใดนั้นก็มีเด็กสาวไร้เดียงสาวิ่งมาหาเขา เขาพยายามหลบแล้วแต่ยังไงก็หลบไม่พ้น

“คุณลุงสุดหล่อ บังเอิญจังนะคะ พวกเราเจอกันอีกแล้ว”มือทั้งสองของเค่อหลานกอดอยู่ที่คอของเยี่ยจิงเฉิน มองเขาตาเขาเป็นประกาย และยังปรากฏให้เห็นถึงลักยิ้มสุดน่ารักของเธอ หวานชื่นใจมาก

เยี่ยจิงเฉินถึงจะคิดออกว่านี่เป็นเด็ผู้หญิงทั้งสวยทั้งน่ารักคนนั้นที่เขาเจอกันที่สนามบิน

ในอดีตเขาไม่ชอบไปใกล้ชิดกับคนอื่น แต่โดนเด็กผู้หญิงที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียวกอดอยู่ เขาไม่คิดที่จะไล่เธอเลย แต่ในใจกลับรู้สึกชอบอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ

“หนูเองเหรอเสี่ยวเค่อหลาน บังเอิญจริงๆ”เยี่ยจิงเฉินพูดออกไปอย่างเย็นชาค่อยๆอุ้มเธอขึ้นมา ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ได้ตีแผ่มา

ถังซินเหยาดื่มนมเข้าไปเพื่อให้ชุ่มคอ ยิ้มแล้วยิ้มอีก ปรากฏให้เห็นลักยิ้มที่น่ารัก“ไม่ได้หรอก เธอเองก็ชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้ว ถ้าหากพวกเราย้ายเข้าไปก็จะยิ่งเป็นภาระให้เธอ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน มาอยู่กับเธอที่นี่มันไม่ดี ยังไงก็ช่างมันเถอะ”

มือใหม่สินะ!ฮ่าฮ่า……ตอนนี้คงต้องให้เธอมาขอร้องอ้อนวอนคุณย่าเพื่ออยู่ที่นี่ต่อ!

“ไม่ได้รบกวนอะไร”หลัวเหยียนฉีพยายามทำให้ดวงตาที่สวยหวานของเธอนั้นให้เต็มไปด้วยความจริงใจ“ใครพูดว่าพวกเธอไม่เกี่ยวข้องกัน เธอเป็นน้องสาวแท้ๆของฉัน ฉันเป็นแม่เลี้ยงของลั่วหลิงและเค่อหลาน ฉันต้องดูแลพวกเธอมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว บ้านใหญ่ขนาดนี้ ฉันอยู่คนเดียวมันก็เงียบเหงาอยู่นะ พวกเธออยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลย”

ถังซินเหยาหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า“แต่ว่าฉันนัดกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าฉันไม่ไป ฉันก็จะเสียชื่อ ถ้าหลังจากนี้พวกเราทะเลาะกัน อยากให้พวกเราย้ายออกไป ก็กลัวแค่ว่าจะหาบ้านอยู่ไม่ได้แล้ว”

หลัวเหยียนฉีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจของถังซินเหยาคิดอะไรอยู่ แอบด่าเธอในใจแน่ แต่ปากกลับพูดอย่างซื่อสัตย์จริงใจ“เธอวางใจเถอะ ฉันยังมีบ้านอีกหลายหลังในเมืองบี พวกเธออยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ ฉันไม่ยอมให้เธอย้ายออกไปหรอก”

“งั้นก็ได้”ถังซินเหยาตอบกลับออกไปอย่างไม่เต็มใจ“เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของพวกเรา ไหนจะที่เธอเป็นแม่เลี้ยงของลูกสุดที่รักอีก พวกเราไม่ย้ายไปแล้วก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนเธอนี่แหละ”

มารอดูกัน ถ้าหากเป็นหลัวเหยียนฉีขอร้องให้เธออยู่ต่อ เธอคงจะไม่อยู่ต่อหรอก!วันนี้ลั่วหลิงและเค่อหลานเป็นตัวช่วยหลัก ทั้งสองคนได้รับจูบของหม่ามี้เป็นรางวัล

ดูลั่วหลิและเค่อหลานที่น่ารักน่าชังขนาดนี้ หลัวเหยียนฉีรู้สึกว่าให้ถังซินเหยาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้

“ตอนเย็นเธอล้างจานนะ”หลังจากที่วางจานเสร็จแล้ว ถังซินเหยาพูดและมองไปที่หลัวเหยียนฉี

หลัวเหยียนฉีและเพื่อนตัวน้อยของเธอก็ตกใจไป “ทำไมกันล่ะ?”

ถังซินเหยาทำหน้าอย่างจริงจังพูดว่า“เพราะอาหารเย็นลั่วหลิงและเค่อหลานก็เป็นคนทำ หรือว่าเธอล้างจานนี่ไม่ควรทำเหรอ?”

“งั้นเธอล่ะ?เธอต้องทำอะไร?”

“ฉันเป็นคนคลอดลั่วหลิงกับเค่อหลาน”

หลัวเหยียนฉี“……”

“ดังนั้นงานที่ต้องล้างจานเป็นหน้าที่ของเธอ”

คิดถึงเรื่องล้างจานก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เลี่ยนอะไรแบบนี้ จะทำให้มือที่อ่อนนุ่มของเธอกลายเป็นมือที่หยาบ หลัวเหยียนฉีพูด“คำพูดที่พูดตอนทานข้าว ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจได้ไหม?”

“ไม่ได้สิ”ถังซินเหยาสะบัดหัวปฏิเสธ ถามเค่อหลาน“หลานหลาน บอกแม่เลี้ยงสิว่าทำไมถึงไม่ได้!”

“แม่เลี้ยง ต้องเป็นคนทำตามสัญญานะคะ รับปากคนอื่นแล้วไม่สามารถมาเปลี่ยนใจได้นะคะ”

ในใจของหลัวเหยียนฉีรู้สึกกระสับกระส่าย พับแขนเสื้อขึ้นมา จะไปล้างจานแล้ว?

แน่นอนว่าไม่ใช่สิ!จะเป็นไปได้อย่างไร!

เห็นแค่เธอพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มคุยโทรศัพท์“ฉันไม่สนว่าคุณทำอะไรอยู่ ต่อให้จะต้องไปพึ่งพาคนอื่นก็ตาม ก็ต้องเป็นตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย รีบส่งเครื่องล้างจานมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันต้องได้เห็นเครื่องล้างจานภายในสามสิบนาทีนี้”

นี่ก็ดึกแล้ว ถังซินเหยาก็พาลั่วหลิงและเค่อหลานขึ้นไปนอน

“หลานลานหลังจากนี้อย่าเอาแม่เลี้ยงเป็นเยี่ยงอย่างนะ เป็นเด็กต้องยิ้มเข้าไว้ ต้องเป็นคนอ่อนโยนนะ”

“หลิงหลิงหลังจากนี้ถ้าจะหาภรรยา อย่าหาแบบแม่เลี้ยงนะ ภรรยาจะเอาแต่สวยอย่างเดียวไม่ได้แต่ยังต้องเป็นคนดีด้วยนะ”

หลัวเหยียนฉีถอนหายใจออกมา อยากจะเอาผ้าอนามัยโยนใส่หน้าที่สวยงามของถังซินเหยาจริงๆเลย ตอนนี้เธอเสียใจทีหลังมาก เธอไม่น่ารับปากไปเลย!

แต่ว่า ในเช้าของวันที่สอง ในตอนที่หลัวเหยียนฉีได้ทานอาหารแสนอร่อย แต่ทำไมกลับรู้สึกว่าการตัดสินใจเมื่อคืนนั้นถูกต้องแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีนหรือว่าอาหารตะวันตกก็มีหมด ไม่ได้แย่ไปกว่าอาหารเช้าจากโรงแรมห้าดาวเลย ฮือฮือ……หลัวเหยียนฉีทราบซึ้งมาก ก็ถือว่าถังซินเหยาผู้หญิงคนนี้ปากร้าย เพื่อที่จะได้ทานอาหารฝีมือของหลิงหลิงและหลานหลาน เธอก็ต้องอดทนเอาไว้!

หลัวเหยียนฉีเหนื่อยเหมือนจะตาย ไปนอนอยู่บนโซฟา แม้แต่จะขยับตัวยังไม่อยากเลย

“หลังจากนี่เธอวางแผนไว้ว่าอย่างไร?มีความคิดอะไรบ้างไหม”หลัวเหยียนฉีถามอย่างหมดแรง

ถังซินเหยากำลังดูทีวี ว้าว……หน้าอกนางแบบคนนี้ใหญ่มาก ถ้าทำตามวิธีนี้ หน้าอกจะใหญ่ขึ้นจริงๆเหรอ?ถังซินเหยารู้สึกระตือรือร้นมากที่จะลองดู หรือว่าคืนนี้ลองทำดูดีนะ?

“โอ้……ฉันวางแผนว่าจะไปหางานทำ”ตอบอย่างใจลอย

หน้าอกของเธอก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เล็กนะ ไม่ทำก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนิ?

“แล้วตกลงมีคนรับแล้วเหรอ?”

จะให้ใหญ่ขึ้นหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง สวมชุดราตรีคงจะยิ่งวสวยใช่ไหม?

“อ้อ……บริษัทในเครือซีเคกรุ๊ป”

ใช่ ตัดสินใจแล้ว ยังไงก็ไม่ได้อยากได้เงินอยู่แล้ว ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร

“ถ้าได้งานแล้วจะย้ายออกไปเลยใช่ไหม?”

“ทำไมกันล่ะ?”ในท้ายที่สุดเธอก็กลับมาสนใจอีกครั้ง

“ฉันชินกับการอยู่คนเดียว พวกเธออยู่ที่นี่ฉันไม่ชินเลย”

ถังซินเหยามองหลัวเหยียนฉีไปแวบหนึ่ง ยิ้มเบาๆ เธออยู่ที่นี่ก็เพราะมองว่าที่นี่ใกล้กับโรงเรียน เป็นบ้านที่เขตโรงเรียน สะดวกที่หลิงหลิงกับหลานหลานจะเข้าเรียน

ให้เธอไป?อย่าแม้แต่จะคิด!ที่เธอกินของของถังซินเหยาไป ไม่เคยแม้แต่จะคายออกมา!

“ได้สิ”ถังซินเหยายิ้มหวาน พยักหน้าเห็นด้วย

หลัวเหยียนฉีอึ้งไปเลย นี่มันไม่ถูกสิ ตามที่เธอเข้าใจถังซินเหยา เธอไม่ควรรีบอ่อนข้อให้เร็วกว่านี้!

วันนี้เธอได้ให้ผู้เขียนบทเขียนบทพูดที่สุดประทับใจให้เธอ เตรียมเอามาใช้พูดเกลี้ยกล่อมให้ถังซินเหยาไป ตอนนี้ถังซินเหยายอมอย่างง่ายดายแล้ว นี่……เดิมทีก็…….เป็น……ไป……ไม่ได้หรอก

หลังจากที่เธอนวดหน้าอกเสร็จแล้ว ถังซินเหยาหยิบรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาและพูดว่า“วันนี้ยุ่งทั้งวันยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหม เธอรอสักครู่นะ เดียวสักพักก็ทานอาหารได้แล้ว”

หลัวเหยียนฉีตกใจ

หลังจากที่เธอกลับมาก็รู้สึกไม่คุ้นชินเลย กินยาผิดมาเหรอ?

ตอนที่หลัวเหยียนฉีรู้ว่าอาหารเต็มโต๊ะอาหารเย็นนั้น แต่ตอนที่เห็นหัวของลั่วหลิงกับเค่อหลานโผล่เลยโต๊ะขึ้นมานั้น หลัวเหยียนฉีทำหน้าตาดูถูกและถามว่า“ถังซินเหยา เด็กๆนี่เป็นลูกแท้ๆของเธอจริงเหรอ?แน่ใจนะว่าไม่ใช่ลูกของคนอื่น?”

“แน่นอนอยู่แล้วสิ นอกจากฉันแล้วจะมีใครคลอดลูกออกมาได้น่ารักแบบนี้กันล่ะ?”

“ถุย หน้าไม่อายจริงๆ”

หน้าตาคืออะไร มันกินเหรอ?เชอะ!

หลัวเหยียนฉีทานอาหารเข้าไปหนึ่งคำ ตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา มันจะอร่อยเกินไปแล้ว!

เธอไม่ได้ทานอาหารทำที่บ้านที่อร่อยแบบนี้มานานหลายปีแล้ว อาหารข้างนอกถึงแม้จะอร่อยเพียงไหน แต่ถ้าทานไปนานๆแล้วก็เบื่อได้ ตลอดที่ผ่านมาอาหารทำที่บ้านไม่เคยถูกปากเธอมากขนาดนี้

ถังซินเหยาเห็นหลัวเหยียนฉีทานอย่างเอร็ดอร่อย เธอก็ขยิบตาให้ลูกรักทั้งสอง สามแม่ลูกตัดสินใจที่จะร่วมมือกัน

“มา ลูกรัก พวกเราไปชนแก้วกับแม่เลี้ยงหน่อยสักแก้ว ขอบคุณที่สองวันมานี้ดูแลพวกเราอย่างดี ฉันหาบ้านแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็จะย้ายออกแล้ว แต่เสียดายที่ลูกรักมีฝีมือในการทำอาหารขนาดนี้และทำอาหารอย่างเชี่ยวชาญแบบนี้ แม่เลี้ยงคงจะไม่ได้ทานอีกแล้ว แต่ว่าก็ไม่เป็นไร หลังจากนี้พวกลูกทำให้หม่ามี้ทานทุกวันก็ได้ ยังไงตลอดชีวิตนี้หม่ามี้ก็ไม่เบื่อ”

“ขอบคุณนะครับแม่เลี้ยง”

“ขอบคุณนะคะแม่เลี้ยง”

หลัวเหยียนฉีสะอื้นพูดไม่ออก

“ไม่ ขอร้องอย่าไปเลย อยู่ที่นี่เถอะ ให้ฉันดูแลพวกเธอสามคนนะ!”

“ซินเหยา……”

ถังซินเหยาทำเป็นไม่เห็นผู้ชายคนนั้น จูงมือลั่งหลิงและเค่อหลานผ่านไปเฉยเลย

“ซินเหยา……”ลู่หงเทียนทำหน้ามุ่ยและไปจับแขนของถังซินเหยาไว้ ดำหนิเธอด้วยความโกรธเล็กน้อย“นี่เป็นท่าทางที่เธอทำกับผู้อาวุโสเหรอ?”

แววตาหามีแววไม่ ไม่เห็นเหรอว่าคุณย่าไม่อยากเจอเธอ?

เด็กนี่ เธอยั่วโมโหนายพลลู่ไม่ได้หรอก ตอนนี้ถึงแม้จะหลบยังไงก็หลบไม่พ้นหรอก

ถังซินเหยากระพริบตาปริบๆ ยิ้มออกไปอย่างสดใสและพูดว่า“อ๋อ ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่เห็นท่านจริงๆ”

“เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”ลู่หงเทียนถาม

“เมื่อวานค่ะ ใช่สิยังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านนายพลลู่เลยที่ได้เลื่อนขึ้นมาสองขั้น มาเป็นนายพลระดับสูงแล้ว”

“ทำไมถึงไม่บอกฉัน จะได้จัดคนให้ไปรับเธอ”

ถังซินเหยายังคงยิ้มเหมือนเดิม ดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและถามว่า“ฉันกลับมานั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องจัดการเอง แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพลทหารลู่?ทำไมต้องบอกคุณด้วย”

ลู่หงเทียนทำสีหน้าอย่างเย็นชา“ฉันเป็นพ่อเธอนะ”

เด็กคนนี้ เธอโมโหแทนลู่หงเทียนแล้ว

“ท่านนามสกุลลู่ ฉันนามสกุลถัง ฉันกับท่านนายพลลู่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ทุกคนก็รู้ว่าฉันเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ เรื่องของฉันคงไม่ไปวุ่นวายกับท่านนายพลลู่หรอกค่ะ ฉันก็เหมือนคนยากจนพวกนั้น ถ้าเกิดฉันเข้าไปใกล้ท่านนายพลลู่เกรงว่าใจทำให้สังคมชั้นสูงของท่านแปดเปื้อน”

ถังซินเหยายิ้มอย่างอ่อนหวาน“จะว่าไปแล้ว ตอนแรกที่คุณจากฉันกับแม่ไป ฉันก็รับเงินของท่านมาห้าแสน ตอนนี้มันก็เป็นการตัดขาดความสัมพันธ์ของพวกเราแล้ว แต่ถ้าให้พูดจริงๆแล้ว ระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ฉันรับปากท่านนายพลแล้ว ไม่ผิดสัญญาง่ายๆหรอก รับปากกับคนอื่นแล้วก็ต้องทำให้ได้ เรื่องแบบนี้แม้เด็กสามขวบก็รู้”

ใบหน้าที่แดงก่ำของลู่หงเทียนก็ซีดขึ้นมา ไม่กี่ปีมานี้ไม่เคยกล้ามีใครมาพูดเยาะเย้ยมากับเขา“แก……”

“คุณครูสอนหนูมาตั้งแต่เด็กว่า รับปากคนอื่นแล้วยังไงก็ต้องทำให้ได้ หม่ามี้ทำถูกแล้วค่ะ”เค่อหลานเค่อหลานเป็นเด็กที่ฉลาดมาก เงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงใสสนับสนุนหม่ามี้ของตัวเอง”

ถึงแม้ว่าเธอไม่แน่ใจว่าคุณปู่คนนี้เป็นใคร แต่ว่าเธอรู้ว่าหม่ามี้ไม่ชอบคุณลุงคนนี้

คนที่หม่ามี้ไม่ชอบ เธอก็ต้องไม่ชอบไปด้วย ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจที่จะเกลียดคุณลุงคนนี้

“หลานหลานฉลาดจริงๆเลย คนเราน่ะต้องรักษาสัญญา รับปากคนอื่นแล้วต้องทำให้ได้”ถังซินเหยายิ้มพูด

ลู่หงเทียนถึงจะสังเกตเห็นว่าถังซินเหยาจูงมือเด็กสองคน ตอนที่เขาเห็นเด็กนั้น ลู่หงเทียนตกใจมากและทำหน้าตาเคร่งขรึมถามว่า“เด็กพวกนี้ลูกใครกัน?”

“ลูกฉันเอง”ถังซินเหยาพูดอย่างภูมิใจ

ลูกรักของเธอทั้งฉลาดทั้งน่ารัก พวกเขาเป็นสมบัติที่เธอภาคภูมิใจที่สุดแล้ว

เธอไม่เคยรู้สึกอยากปกปิดเลยที่ตัวเองได้เป็นแม่คน แต่กลับเป็นเกียรติด้วยซ้ำไป

“งั้นพ่อของเด็กเป็นใคร?”

เหมือนเกินไปแล้ว เหมือนอย่างกับแกะออกมา

ถังซินเหยากรอกตาให้ลู่หงเทียนอยู่ในใจ เธอซื้อห้องที่ทะเลใช่ไหม นี่มันไม่กว้างไปหน่อยเหรอ?

“คุณลุงครับ ถ้าหากว่าไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องกันกับหม่ามี้ของผม ก็ไม่ได้มีสิทธิมาถามเรื่องส่วนตัวของหม่ามี้ผม”ลั่วหลิงที่น่าตาน่ารักก็พูดออกไปอย่างจริงจัง

ถังซินเหยาชมลูกชายตัวเองอยู่ในใจ กดถูกใจไปสามสิบสองครั้ง

“เด็กคนนี้……”

ถังซินเหยาพูดขัดจังหวะลู่หงเทียนว่า“ท่านนายพลลู่พ่อของเด็กทำงานอยู่ที่องค์กรนาซ่า ไม่ได้อยู่ในประเทศด้วยซ้ำ”

ไม่เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศ ยิ่งกว่านั้นยังอยู่บนดางอังคาร

หลายปีมานี้ถังซินเหยาก็อยู่ต่างประเทศ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา?

อาจจะเป็นเพราะอาจจะเป็นคนหน้าเหมือน เป็นเพราะตัวเองมีความรู้สึกไวเหรอ?

ลู่หงเทียนวันๆอยู่แต่กับผู้ชาย รับโทรศัพท์และเดินออกไป และก็ไม่ได้สนใจว่าถังซินเหยากับลูกทั้งสองจะรู้สึกอย่างไร ก่อนไปก็บอกกับถังซินเหยาว่าอีกสองวันจะติดต่อไป

ถังซินเหยาตอบกลับไปว่า“ขอร้องอย่าติดต่อมา!”

หลัวเหยียนฉีเป็นคนรวยล้นฟ้า อาศัยอยู่คนเดียว อยู่อย่างหรูหรา

ถังซินเหยาไม่ได้ถือสาลั่วหลิงกับเค่อหลานเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในบ้านของหลัวเหยียนฉีแบบนั้น

บ้านของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจาก หลังจากนี้ลั่วหลิงกับเค่อหลานก็ไปเรียนอย่างสะดวกสบาย

วันที่สองสภาพอากาศดูมืดครึ้ม เหมือนว่าฝนจะตก

หลัวเหยียนฉียังมีงานที่ต้องจัดการ ถังซินเหยาก็พาเค่อหลานกับลั่วหลิงไปซื้อดอกกุหลาบสีฟ้าไปเยี่ยมแม่ของตนเอง

“หม่ามี้ทำไมพวกเราต้องมาที่นี่ด้วย?คุณป้าคนสวยคนนี้เป็นใครกันคะ?”เค่อหลานทำหน้าอยากรู้อยากเห็นมองไปที่หลุมฝังศพที่มีรูปคุณป้าคนดสวยติดอยู่ ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม

ถังซินเหยาเอาดอกกุหลายสีฟ้าวางลง ปัดๆรูปภาพ เอื้อมมือไปลูบที่หัวของเค่อหลานเบาๆ ยิ้มด้วยความเสียใจเล็กน้อยและพูดว่า“นี่ไม่ใช่คุณป้าคนสวยหรอกลูก นี่เป็นคุณยายของพวกหนู เป็นหม่ามี้ของหม่ามี้เอง พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาเยี่ยมคุณยาย”

“แม่ สองคนนี้เป็นหลานของแม่นะหลิงหลิงกับหลานหลาน พวกเขาเป็นเด็กดี แถมฉลาดอีกด้วย มีพวกเขาอยู่ข้างๆหนู หนูก็ไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้หนูพอใจกับชีวิตมาก พวกเขาเป็นความสุขที่สุดแล้วสำหรับชีวิตนี้ของหนู พวกหนูจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะคะ”

“มาเร็วลูกรัก เรียกคุณยาย”

ลั่วหลิงกับเค่อหลานเรียกอย่างเชื่อฟัง“คุณยาย!”

“คนนี้คือคุณยายเหรอคะ?”เค่อหลานดูรูปของคุณยายอย่างประหลาดใจ และถามว่า“งั้นคุณยายอยู่ไหนคะ?ทำไมหนูไม่เคยเจอเลย ทำไมคุณยายไม่มาหาหนูกับพี่คะ?หรือว่าคุณยายไม่ชอบหนูกับชายคะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นลูก คุณยายชอบพวกหนูมากนะ ก็เหมือนกับที่หนูชอบหม่ามี้กับี่ชายลูกนั้นแหละ แต่ว่าคุณยายไปที่ไกลมากๆ กลับมาไม่ได้แล้ว แต่ยังไงคุณยายก็เป็นห่วงพวกหนูมากและจะอยู่ที่ไกลๆคอยปกป้องหม่ามี้ หลิงหลิงและหลานหาน”

เค่อหลานคิดๆดู เหมือนกับที่เธอชอบหม่ามี้และชอบลั่วหลิง งั้นก็ต้องเป็นว่าชอบมากๆเลยสิ

“คุณยายกลับมาไม่ได้แล้ว พวกเราก็ไปหาคุณยายได้นี่คะ”

“แต่ว่าหม่ามี้ไม่รู้ทางนะลูก ไปไม่ได้หรอก คุณยายรู้ว่าหม่ามี้ หลิงหลิงและหลานหลานอยากไปหา แค่นี้คุณยายก็ดีใจมากแล้ว”

“งั้นหนูต้องรีบโต รอโตมาแล้ว จะหาเงินมาเยอะๆเอาไว้เลี้ยงหม่ามี้ หลังจากนั้นจะยังต้องพาหม่ามี้ไปหาคุณยาย”เค่อหลานพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง“หม่ามี้ต้องคิดถึงคุณยายมากๆใช่ไหมคะ ถ้าวันหนึ่งหนูไม่เจอหม่ามี้แล้ว ต้องคิดถึงหม่ามี้มากๆแน่เลย หม่ามี้ไม่ได้เจอหม่ามี้ของตัวเองนานขนดนี้แล้ว หม่ามี้ต้องคิดถึงคุณยายมากๆเลยแน่ๆ หนูรู้ค่ะ หนูจะเอาลูกอมสายรุ้งที่หนูชอบที่สุดเก็บเอาไว้ วันหลังตอนที่ไปหาคุณยายหนูจะได้เอาให้คุณยาย”

คำพูดที่ไร้เดียงสาของเด็ก ได้ยินเค่อหลานพูดแบบนี้ ถังซินเหยาก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ น้ำตาก็เกือบไหลออกมาแล้ว

ลั่วหลิงเป็นคนที่หลบหลีกเค่อหลานไม่ได้ เขาเพียงแค่ยื่นมือไปจับที่นิ้วโป้งของถังซินเหยา ทำหน้าอย่างจริงจังพูดว่า“หม่ามี้ หลังจากนี้หนูจะปกป้องหม่ามี้กับน้องสาวเอง จะไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกได้”

“หนูก็จะปกป้องหม่ามี้กับพี่ชายเองค่ะจะไม่ให้ใครมารังแกหม่ามี้กับพี่ชายด้วย”เค่อหลานตั้งใจพูดความตั้งใจออกมาทันที

ในใจถังซินเหยาก็อ่อน รู้สึกอุ่นใจ เธอคุกเข่าลงไป และก็กอดเด็กทั้งสองคนอย่างแน่นอยู่ในอ้อมอก พวกเขาทั้งสองคนเป็นเทวดาและนางฟ้าน้อยๆของเธอ มักจะเยียวยาความเจ็บปวดเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ

ในตอนแรกที่เธอยืนหยัดที่จะคลอดลั่วหลิงกับเค่อหลานนั้นมันเป็นความคิดที่ถูกต้อง

“หม่ามี้ ตรงนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งจ้องพวกเราอยู่”เค่อหลานโอบอยู่ที่บนไหล่ของถังซินเหยา เข้าไปกระซิบเตือนที่ข้างหูของเธอ”

ถังซินเหยาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่คุ้นเคยแต่กลับแปลกหน้ายืนเงียบๆไม่ไกล

เค่อหลานกับลั่วหลิงอาศัยผลประโยชน์จากการที่หม่ามี้ของตัวเองบอกให้ไปกอดขาของหลัวเหยียนฉีไว้ ทำให้หลัวเหยียนฉีรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

หลัวเหยียนฉีขับรถพาสามแม่ลูกตระกูลถังไปที่บ้านเมืองบี มีเงินก็จำเป็นต้องไปที่ร้านอาหารส่วนตัวเพื่อต้อนรับพวกเขา

รสชาติของอาหารก็ไม่เลวเลยทีเดียว ทำให้เค่อหลานแม่สาวน้อยคนนี้ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“แม่เลี้ยงคะ อาหารที่นี่อร่อยมากเลย!”ทานอาหารอิ่มแล้วเค่อหลานยิ่งปากหวาน“แม่เลี้ยงคะ หนูรักแม่เลี้ยงมาเลยค่ะ!”

พอหลัวเหยียนฉีได้ยินก็หัวเราออกมาอย่างเบิกบานใจและไปจุ๊บเค่อหลาน

ลั่วหลิงให้เค่อหลานลูบพุงน้อยที่อ้วนกลม รู้สึกหึงเล็กน้อย ยังตั้งใจแกล้งถามอย่างสุภาพว่า“งั้นแปลว่าฉันทำกับข้าวไม่อร่อยเหรอ?”

“พี่ชายหนูทำอร่อยที่สุดแล้วค่ะ หนูชอบทานที่สุดแล้ว หนูชอบพี่ชายที่สุดเลย”เค่อหลานพูดเอาใจออกมาทันที

ถังซินเหยายื่นมือปีศาจของเขาไปคลึงที่แก้มของเค่อหลาน“เด็กอะไรปากหวานจัง”

“หนูก็ชอบหม่ามี้ด้วยค่ะ”เค่อหลานเป็นฝ่ายรุกเข้าไปหาและจูบถังซินเหยา

“หลานหลานกับหลิงหลิงขี้เล่นจริงๆเลยนะ แถมยังฉลาดอีก นี่มันสนุกมาเลยจริงๆนะ”หลัวเหยียนฉีพูดออกมาพร้อมกับยิ้มตาหยี

“หึ!นั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องมองว่าใครคลอดออกมา ทั้งรูปร่างหน้าตาและไอคิวนั้นก็ล้วนได้มาจากฉัน”ถังซินเหยายิ้มอย่างลำพองใจ

“ทำไมฉันดูแล้วเด็กๆไม่เห็นมีตรงไหนที่เหมือนเธอเลยล่ะ โดยเฉพาะเรื่องความฉลาด”

แม่เจ้า คำพูดของหลัวเหยียนฉีนี้เป็นประโยคที่เหยียบย่ำในจิตใจของเธอมากๆ

นอกจากลกยิ้มของเด็กทั้งสองคนแล้ว ก็ไม่มีตรงไหนที่เหมือนเธอเลย ลำบากเธออุ้มท้องเป็นสิบเดือนถึงจะคลอดพวกเขา นี่เลยเป็นความรักของถังซินเหยา

“นั้นมันก็แล้วแต่คนว่าต้องเผชิญหน้ากับคนแบบไหน ก็ต้องใช้ไอคิวระดับเดียวกันไปสื่อสารด้วย ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง”ในชั่วพริบตาเดียวถังซินเหยาก็เหน็บแนมในแบบของตัวเอง“เธอมักจะไม่ได้ใช้ความรู้ในหมาวิทยาลัยไปสื่อสารกับเด็กประถมหรอกใช่ไหม อาจจะเพราะว่าแบบนี้เธอถึงมองไม่ออกถึงความภูมิใจในไอคิวของฉันสินะ”

นี่เป็นเป็นการเยาะเย้ยว่าไอคิวของหลัวเหยียนฉีต่ำอย่างชัดเจน

หลัวเหยียนฉีกรอกตาใส่ถังซินเหยา“เด้กคนนี้คงจะเหมือนกับพ่อมากกว่าสินะ อ้อ ใช่สิ แล้วป่าปี้ของเด็กๆล่ะ?”

“ป่าปี้ของหนูเป็นซูเปอร์แมน เขาไปบนฟ้าแล้ว บนฟ้ามีสัตว์ประหลาดที่จะมาทำร้ายหนูกับพี่ชายและหม่ามี้ ดังนั้นป่าปี้ของหนูไปบนฟ้ากำจัดพวกมันแล้วเพื่อปกป้องพวกเรา”เค่อหลานพิงอยู่ในอ้อมกอดของลั่วหลิง พูดด้วยท่าทางที่จริงจัง

ถังซินเหยาพยักหน้า รู้สึกเป็นเกียรติ เหมือนกับว่าป่าปี้ของพวกลูกๆเป็นซูเปอร์แมน“เค่อหลานฉลาดจริงๆเลยนะ พวกเราต้องภูมิใจในตัวป่าปี้”

พอลั่วหลิงได้ยินถังซินเหยาพูด ก็เม้มมุมปากไม่อยากจะสนใจ ล้วนไม่อยากเข้าไปสนใจหม่ามี้ที่ขี้แกล้งแบบนี้เลย

หลัวเหยียนฉีอยากจะจับถังซินเหยามาตีสักหนึ่งที ใช้ข้ออ้างที่ห่วยแตกแบบนี้ไปไปหลอกเด็กมันดีจริงๆเหรอ?

หลัวเหยียนฉีที่กำลังขึ้นไปนั่งที่บนรถคันสีแดง สวมชุดเดรสรัดรูปสีดำ ทำผมลอนและใส่แว่นดำ เป็นผู้หญิงที่มีความโดดเด่นและเพรียบพร้อม

หลัวเหยียนฉีเป้นคนที่น่าหลงใหลมาตั้งแต่เกิด ทั้งเซ็กซี่และทำให้คนหลงเสน่ห์ ยั่วยวนให้มีผู้ชายไม่น้อยเลยที่จะจับจ้องมาที่เธอ

“ลูกรัก รีบไปอ้อนแม่เลี้ยงเร็ว!”พอเห็นหลัวเหยียนฉี ถังซินเหยารีบพูดกับลูกชายและลูกสาวของตัวเอง

ถังเค่อหลานเชื่อฟังหม่ามี้มาก ก็รีบวิ่งเข้าไปอ้อนเกาะแข้งเกาะขาสุดสวยหลัว ตอนที่เดินไปหานั้นก็ลืมพาลั่งหลิงพี่ชายสุดที่รักของเธอไปด้วย

หลัวเหยียนฉีจับแว่นดำที่ปิดไปครึ่งหน้า ไม่ทันไรที่ขาของเธอก็มีเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูมาเกาะอยู่แล้ว

เด็กทั้งสองคนนั้นน่ารักมาก มีชีวิตชีวามากจนเปรียบได้ดั่งดาราเด็กพวกนั้นบนจอทีวี

หลัวเหยียนฉีเลิกคิ้ว ใจก็เต้นรัว ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดะไร ถังซินเหยาก็เดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง

“ชีชี ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้ว”ถังซินเหยากอดหลัวเหยียนฉีอย่างอบอุ่น

จริงๆแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลัวเหยียนฉีเจอกันกับถังซินเหยา

หลัวเหยียนฉีเอามือข้างหนึ่งจับแว่นดำ อีกมือก็ยื่นออกไปชี้ที่หน้าผากของถังซินเหยา ดวงตาที่เรียวยาวเหมือนกับดอกท้อดึงดูดเป็นอย่างมาก แทบจะฆ่าคนได้เลย สวยสง่ากินใจ

“อย่าเล่นไม้นี้ เธอรับปากฉันว่าจะออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับศิลปินของฉัน?”หลัวเหยียนถามเธอ

ถังซินเหยากระพริบตาให้กับลั่วหลิงและเค่อหลาน สองพี่น้องก็รู้ทันทีว่าหมายความว่าอย่างไร

“แม่เลี้ยงคะ แม่สวยมากๆเลยนะคะ”ถังเค่อหลานยอเธอ ใช้สายตาไร้เดียงสาและความน่ารักมองไปที่หลัวเหยียนฉี เธอที่มองอยู่นั้นใจก็แทบจะเหลวอยู่แล้ว

“เด็กน้อยสองคนนี้เป็นใครกันเอ่ย?”สีหน้าของหลัวเหยียนฉีก็ดูอ่อนโยนมากขึ้น

“คนนี้คือหลิงหลิง คนนี้คือหลานหลาน ลูกชายและลูกสาวสุดที่รักของฉันเอง”หลังจากที่ถังซินเหยาพูดจบแล้ว ก็พูดเสริมมาอีกว่า“ลูกแท้ๆนะ!”

หลัวเหยียนฉีตกใจมาก ไม่ใช่หรอกมั้ง?!

ถังซินเหยาและหลังเหยียนฉีรู้จักกันที่เวทีการโต้วาทีระหว่างประเทศ ทั้งสองคนเป็นคนที่มีอิทธิพลในเวทีการโต้วาที ถึงแม้ว่าจะไม่เจอกันมาก่อน แต่กลับรู้สึกได้ถึงสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง คุณกันอย่างคึกคัก

ถังซินเหยาที่อายุเกือบจะยี่สิบสี่ปีนั้นเคยพูดว่าตัวเองมีลูกชายและลูกสาวที่อายุห้าขวบ แต่ว่าในตอนนั้นพวกเธอคิดว่าถังซินเหยาแค่พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง……

ในตอนนั้นหลัวเหยียนฉีพูดอย่างอวดดีว่า อย่ามาล้อเล่นกันเลย ถ้าเธอมีลูกชาบกับลูกสาว งั้นฉันก็เป็นแม้เลี้ยงของพวกเขาสิ!

คิดไม่ถึงว่า……

หลัวเหยียนฉีมองลั่วหลิงและเค่อหลานที่อยู่ด้านหน้าของเธอ ฉันเชื่อ โตมาน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร?!

หลัวเหยียนโน้มตัวลงมามองลั่วหลิงและเคิอหลาน ไปจุ๊บทั้งสองคน“น่ารักกันเกินไปแล้วที่รักทั้งหลาย หลังจากนี้ฉันก็เป็นแม่เลี้ยงของพวกหนูนะ เรื่องทั้งหมดให้ฉันจัดการเอง ไปกัน แม่เลี้ยงจะพาพวกหนูไปทานอะไรอร่อยๆ!”

หลัวเหยียนฉีโบกมืออย่างกับเป็นเจ้าถิ่น

“จิงเฉิน นายเป็นอะไร?”

พึ่งจะออกมาจากสนามบิน เยี่ยจิงเฉินก็เห็นถังซินเหยา กระวนกระวายใจมากและควบคุมร่างกายไม่อยู่ อยากจะตามไปมาก แต่ว่ากลับโดนลู่อันหรันห้ามไว้

ตอนที่เขามองไปอีกครังนั้น เธอก็ได้หายไปแล้ว

เยี่ยจิงเฉินเอามือจับอกไว้ เมื่อครู่นี้ที่ความใจสั่นแพร่กระจายออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจแทบจะเป็นตามการฟื้นตัวอย่างมีสติของเขา ก็ค่อยๆสงบนิ่งลงมา เหมือนกับทะเลสาบในใจที่ไม่เคยมีคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา

“พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”ลู่อันหรันถามอย่างสงสัย

สำหรับเยี่ยจิงเฉินในใจของตัวเองเป็นคลื่นที่ซัดเข้ามาอีกครั้ง และเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะไตร่ตรองเท่าไหร่ก็ตามก็ยังไม่มีวิธีแก้ มองที่ลู่อันหรันแวบหนึ่ง ตอบไปแบบนิ่งๆ“ไม่รู้จักหรอก”

ลู่อันหรันหยุดชะงักไปแล้วคิดถึงเด็กสองคนเมื่อกี้ว่าพวกเขาแทบจะถอดแบบของเยี่ยจิงเฉินออกมา ถ้าหากว่าเธอไม่เข้าใจเยี่ยจิงเฉินดีอยู่แล้ว ก็แทบจะคิดว่านั้นเป็นลูกของเยี่ยจิงเฉิน

พอได้ยินเยี่ยจิงเฉินพูดว่าไม่รู้จัก ลู่อันหรันก็สบายใจขึ้นมา เธอเขาใจเยี่ยจิงเฉินดี เขาไม่ควรค่าที่จะพูดโกหก ในเมื่อเขาพูดว่าเขาไม่รู้จัก งั้นก็คงไม่รู้จักจริงๆ

เค่อหลานเงยหน้าขึ้นไปมองเยี่ยจิงเฉิน ตาแข็งไปหมดแล้ว คุณลุงที่อุ้มเธออยู่นั้นหล่อมากจริงๆ เป็นคุณลุงที่หล่อที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

“หนูน้อยไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”เยี่ยจิงเฉิงอุ้มเอาเด็กหญิงมา

มองเด็กในอ้อมกอดตัวเองที่สวยงามน่ารักเหมือนกับตุ๊กตาบาร์บี้ ในใจของเยี่ยจิงเฉินมีความรู้สึกน้ำตาคลอแปลกๆขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ไม่เป็นไรค่ะ”เค่อหลานส่ายศีรษะ ตากลมโตคู่นั้นมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างไร้เดียงสา“คุณลุงคะ ลุงหล่อจังเลย”

เยี่ยจิงเฉินอดไม่ได้ที่จะกัดปากและอารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันตาเห็น

“หนูชื่ออะไรน่ะ?”

“หนูชื่อเค่อหลานค่ะ”เค่อหลานตอบออกไปอย่างน่ารัก

“ถ้าอย่างนั้นคุณลุงชื่ออะไรเหรอคะ?”

“ลุงชื่อ……”

“หลานหลาน หม่ามี้กับแม่บุญธรรมรอพวกเราอยู่นะ”ลั่วหลิงมาขัดจังหวะบทสนทนาของเยี่ยจิงเฉินกับเค่อหลานพอดี

“ออใช่สิ เกือบจะลืมไปแล้ว พี่อย่าไปบอกหม่ามี้นะคะ”พอเค่อหลานเห็นลั่วหลิงก็รีบลงมาจากอ้อมกอดของเยี่ยจิงเฉินทันที วิ่งไปที่ข้างๆลั่วหลิง ดึงมือของลั่วหลิงไปอ้อน

ลั่วหลิงจับมือเค่อหลานแน่น เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เคร่งครึมและเงียบสงบมองไปที่เยี่ยจิงเฉิน ปกป้องอย่างสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ และพูดออกไปอย่างสุภาพว่า“คุณผู้ชาย ขอโทษด้วยนะครับ น้องผมยังเด็กอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ถ้าเธอทำอะไรที่ไม่เหมาะสมผมต้องขอโทษแทนเธอด้วยนะครับ”

เยี่ยจิงเฉินมองไปที่เด็กที่ตั้งใจทำตัวดูเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปนี้ทำให้เขายิ่งน้ำตาคลอออกมา พยายามกลั้นความรู้สึกนี้เอาไว้ เขาพูดว่า“ไม่เป็นไร น้องเธอเป็นเด็กดี”

“ถ้าหากว่าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ”

หลังจากที่ลั่วหลิงโค้งให้กับเยี่ยจิงเฉินอย่างสุภาพบุรุษและจูงมือเค่อหลานจากไป

เค่อหลานอดไม่ได้ที่จะต้องหันกลับไปมองเยี่ยจิงเฉิน โบกมือให้เขาด้วยหน้าที่แดง ยิ้มอย่างน่ารัก“ไว้เจอกันนะคะคุณลุง”

เยี่ยจิงเฉินเม้มปากเม้มแล้วเม้มอีก เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมา

เด็กสองคนนี้ ทำให้ในใจของเขารู้สึกว่าดีมาก

ตอนที่ลู่อันหรันออกมาจากห้องน้ำก็เห็นร้อยยิ้มของเยี่ยจิงเฉิน รีบพูดออกไปอย่างแปลกใจ“นี่ ประธานเยี่ยที่เย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็งของเรายิ้มเป็นแล้วเหรอ?”

เยี่ยจิงเฉินหุบปาก เม้มปากเม้มแล้วเม้มอีก เมื่อกี้เขายิ้มออกมาเหรอ?

“ไปกันเถอะ”เยี่ยจิงเฉินกลับมาสู่สภาพเดิมอีก เป็นคนไม่ยิ้ม พูดกับลู่อันหรันอย่างเย็นชา

ลู่อันหรันรู้สึกจิตตกเล็กน้อย สำหรับท่าทางที่เย็นชานี้ของเยี่ยจิงเฉินทำให้เขารู้สึกเศร้าสลด

“พี่คะ คุณลุงคนนั้นหล่อจัง”เค่อหลานยังคงจำเยี่ยจิงเฉินได้ไม่ลืม พูดไปพร้อมกับจูงมือลั่วหลิง

สายตาของลั่วหลิงนิ่งมาก เขาลองมองย้อนกลับไปดู เม้มปากถามเธอว่า“งั้นหลานหลานชอบคุณลุงคนนั้นเหรอ?”

“ชอบค่ะ”เค่อหลานตอบมาทันที พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง“หนูชอบคุณลุงคนนี้ค่ะ”

ลั่วหลิงอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก“หลังจากนี้ยังไงก็ได้เจอคุณลุงคนนี้อีก แต่ว่า……เรื่องวันนี้ที่ได้เจอกับคุณลุงคนนี้อย่าเอาไปบอกกับหม่ามี้นะ”

เค่อหลานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และก็ไม่ได้ถามอะไรกับลั่วหลิง แต่ว่าเธอเชื่อลั่วหลิง เชื่อฟังคำพูดของลั่วหลิงมาก

“กลับมาแล้วเหรอ?พวกเราออกไปกันเถอะ แม่บุญธรรมชีชีรอพวกเราอยู่ด้านนอกแล้ว”

เห็นทั้งสองคนกลับมา ถังซินเหยาก็รีบลุกขึ้น ทั้งสามคนก็ลากกระเป๋าเดินทางเดินออกไปจากประตูของสนามบิน

หลังจากนั้นหกปี

เมืองบี ที่สนามบินระหว่างประเทศ

มีเด็กคนหนึ่งผิวพรรณขาวผ่อง ประณีตสวยงามแต่ว่ากลับมีสีหน้าที่เคร่งขรึม ท่าทางเย็นชา สายตาที่เฉียบคมที่ดูไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายปรากฎตัวต่อหน้าผู้คน เห็นแค่ว่าสวมชุดสูตสีขาว มือซ้ายจูงมือสาววัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง

ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดเดรสสีเขียวอ่อน ดุจดั่งเจ้าหญิงในนิยาย น่ารักน่าเอ็นดู ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันเหมือบกับเด็กชายและเด็กหญิงที่เพรียบพร้อมในตำนาน มันช่างน่ารักมาก

มืออีกข้างของเด็กชายนั้นก็จูงมือผู้หญิงอีกคน เธอสวมสุดเดรสยาวที่ดูมีอำนาจ จนถึงเท้า ชุดสีฟ้าที่ออกแบบมาได้ทันสมัยทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นดูทั้งสง่างามและดูลึกลับน่าค้นหา

ผู้หญิงหน้าเรียวยาว คิ้วโค้งได้รูป สวยงามและดูอ่อนโยน ผมก็รวบขึ้นมาหลวมๆทำให้เห็นต้นคอที่ขาวผุดผ่อง ข้างๆสองแก้มก็มีผมปรอยห้อยลงมาอยู่ที่ข้างหู ยิ่งทำให้ไปเพิ่มความสวยหยาดเยิ้มของผู้หญิงคนนั้น

“ที่รัก สักครู่ถ้าเจอแม่บุญธรรมชีชีต้องไปจุ๊บแม่บุญธรรมด้วยนะ หลังจากนั้นเดี๋ยวแม่บุญธรรมจะเลี้ยงข้าวพวกเรา เข้าใจแล้วใช่ไหม?”ถังซินเหยาให้ลูกชายเดินจูงมือนำตัวเองและลูกสาว พูดด้วยสีหน้าอารมณ์ดี

“ค่ะ……”สีหน้าลูกสาวเค่อหลานเต็มไปด้วยยิ้มหวาน ที่ข้างแก้มมีลักยิ้มที่สวยงามเหมือนกับหม่ามี้ถังซินเหยา พูดด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มว่า“อยากให้แม่บุญธรรมเลี้ยงอาหารอร่อยๆจัง”

“อืม ไม่เพียงเท่านี้ยังต้องไปกอดขาแม่บุญธรรมของพวกลูกนะ”ถังซินเหยาพูดกำชับ

“ทำไมกันคะ?”เค่อหลานเงยหน้าขึ้นมาถามหม่ามี้ของตัวเองด้วยความสงสัย

ถังซินเหยาถูกลูกสาวของตัวเองมองมาด้วยสายตาที่น่ารัก จ้องตาเธอและกะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์“เพราะว่าแม่บุญธรรมเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นนี้ไง พวกเราต้องสนิทสนมกับเจ้าถิ่นไว้ กอดขาเจ้าถิ่นไว้ หลังจากนี้ลูกๆก็จะได้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว”

“ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะหม่ามี้”เค่อหลานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นี่มันราชาแห่งการประจบประแจง

ลั่วหลิงลูกชายสุดที่รักเป็นคนที่มีไอคิวสูง ไม่ค่อยชอบคุยกับใคร

มีหม่ามี้ที่ขี้เล่นแบบนี้ จะประสบความสำเร็จได้จริงใช่ไหม?ลั่วหลิงรู้สึกสงสัยอยู่ลึกในใจ

“หม่ามี้ หนูปวดฉี่”เค่อหลานลงไปนั่งยอง

“งั้นเดี๋ยวหม่ามี้ไปส่ง”ถังซินเหยาพูด

“หนูอยากให้พี่ไปส่งค่ะ”

ถังซินเหยาทำหน้าเจ็บปวดอย่างน่ารักมองไปที่ลั่วหลิงกับเค่อหลาน ทำหน้าเสียใจอย่างคาดหวัง“ลูกรัก พวกลูกไม่รักหม่ามี้แล้วจริงๆเหรอ”

เค่อหลานก็ค่อยๆขยับไปอยู่ที่หน้าของถังซินเหยา จุ๊บไปที่แก้มของถังซินเหยาและยิ้มหวานออกมา“หนูกับพี่รักหม่ามี้ที่สุดแล้วค่ะ”

ลั่วหลิงแสดงออกมาว่ารักมากแล้ว

ทันใดนั้นก็รีบเข้าไปจุ๊บที่แก้มของถังซินเหยา ลั่วหลิงรู้สึกร้อนหูเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า“ผมก็รักหม่ามี้ที่สุดครับ”

ถังซินหเยาเห็นหูลูกชายที่แดงก่ำ แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ลูกชายสุดที่รักของเธอทำสีหน้าเศร้าหมองและนิ่งไป

เอาล่ะเด็กๆ จิตใจของถังซินเหยาดีแล้ว ก็บอกกับลูกๆว่า“งั้นไปเถอะลูก หม่ามี้ก็รักพวกลูกนะ หม่ามี้รอลูกอยู่ตรงนี้นะ รีบไปรีบมาล่ะ”

ความสัมพันธ์ของลูกสาวและลูกชายดีมากๆเลย ถังซินเหยาแอบคิดอย่างหวงๆในใจ……

ลั่วหลิงพาเค่อหลานไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่กลับออกมาจากห้องน้ำ เค่อหลานก็กวนประสาทไม่ยอมให้ลั่วหลิงจับมือเดินไป ก็พยายามสะบัดมือเขาและวิ่งหนีออกไปจากเขา

เค่อหลานถ้าเทียบกับเด็กเอเชียแล้วนั้น แขนขานั้นยาว ตอนวิ่งเลยวิ่งเร็วเหมือนลม……

เค่อหลานวิ่งเร็ว พอไม่ทันระวังก็ไปชนเข้ากับหน้าขาที่เรียวยาวเข้า เธอเกือบจะล้มไปแล้ว เจ้าของขาคู่นั้นกลับอุ้มเค่อหลานขึ้นไป

ว้าว ผู้ชายคนนี้หล่ออะไรแบบนี้

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นะว่าในหนึ่งคืนนี้ซินเหยาจะขายได้ตั้งสิบล้าน คุณชายหลินนี่ใจกว้างจริงๆ”

ได้ยินเสียงแฟนหนุ่มฟางอี้เฉิงมาจากในห้อง ทำให้ถังซินเหยาที่อยู่ข้างนอกโมโหมาก

ออกไปนะ ! ผู้ชายห่วยแตก !

เธอคิดว่าฟางอี้เฉิงเชิญเธอมาเพราะจะฉลองวันเกิดให้กับเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะขายเธอ!

“คุณชายหลินสบายใจได้ ผมนั้นนัดซินเหยาไว้สองทุ่ม เดี๋ยวอีกสักพักเธอก็จะถึงแล้ว”

ถึงบ้าอะไรของนาย

ถังซินเหยาเห็นเลขห้องเขียนไว้ว่าห้อง1315ก็กลอกตา และหันตัวไปเตรียมตัวจะจากไป แต่ไม่คิดถึงเลยว่าพึ่งจะเดินไปได้สองก้าว……

ทันใดนั้น ห้อง1314ที่อยู่ข้างๆ มีคนเปิดประตูออกมา มีเงาร่างสูงยาวพุ่งเข้ามาอย่างจัง เป็นผู้ชายที่มาดึงและพาเธอเข้าไปในห้อง

ในขณะที่ถังซินเหยายังไม่ได้สติกลับมา ที่ริมฝีปากของเธอก็โดนฝ่ายตรงข้ามปิดปากไว้……

กลิ่นของเหล้าได้ลอยเข้ามาในจมูกของเธอ มือทั้งสองของชายคนนั้นปลดกระดุมเสื้อของเธอออกอย่างช่ำชอง

“นี่……อย่ามาโดนตัวฉัน” ถังซินเหยาร้องตกใจ คิดไม่ถึงว่าตัวเองพึ่งหนีออกมาจากถ้ำเสือก็เข้ามาเจอกับรังของหมาป่าซะได้

แล้วนี่ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?

ทำไมถึงดึงเธอไปจูบ

“นี่คุณปล่อยฉันนะ นี่……”

ถังซินเหยาพึ่งคิดที่อยากจะพูดอะไรออกไปหน่อย แต่กลับโดนผู้ชายคนนั้นใช้แรงดึงไปที่เตียง

“ฉันต้องการเธอ……” เยี่ยจิงเฉินเต็มไปด้วยความต้องการ เสียงร้องทุ้มต่ำที่เซ็กซี่ผ่านเข้ามา

ต้องการกับผีสิ

ถังซินเหยาพยายามดิ้น พึ่งคิดว่าจะลุกขึ้นจากเตียง เขาก็ดันตัวเธอลงมาและจูบเธอเข้าไปอีกครั้ง กัดไปเบาๆ หลังจากนั้นก็เป็นที่คอ……

ร่างกายสะดุ้งทันที โดยมีกระแสไฟฟ้าผ่านเข้ามาจากที่คอ ในชั่วพริบตาก็เสียวซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย……ในเวลานั้นถังซินเหยาถึงจะรู้สึกถึงอันตรายแล้ว

“ไม่ อย่านะ……” ถังซินเหยาร้องออกมาด้วยความตกใจ

แต่ว่าอย่างไรก็ตามผู้ชายคนนั้นที่ตาแดงเถือกเต็มไปด้วยความปรารถนาก็ไม่ได้สนใจว่าเธอต้องการไหม ก็เอาเนกไทมามัดเธอไว้……มัดร่างของเธอไว้แน่น

โดยเฉพาะท่าทางของทั้งสองในเวลานั้น ทำให้ถังซินเหยารู้สึกเขินอายจนหน้าแดง

“คุณอย่า……อย่าไปโดนตรงนั้น……”

“อย่าไปโดนตรงนี้……หรือว่าตรงนี้……” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่พูดก็เคลื่อนไหวไปด้วย ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่…..จุดลับของเธอ…….

ร่างกายรู้สึกดีเป็นพิเศษทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวและยากที่จะทน เหมือนกับว่าปรารถนาที่จะอยากมากกว่านี้……

มากกว่านี้……

รู้สึกถึงการตอบสนองของด้านล่างของผู้หญิง ริมฝีปากของเยี่ยจิงเฉินไปกระตุ้นความอยากนั้น

ทันใดนั้นก็เป็นขั้นตอนต่อไป ถังซินเหยารู้สึกเพียงแค่ว่าท่อนล่างของเธอมีความรู้สึกเจ็บแสบผ่านเข้ามา

พระเจ้าช่วย ถังซินเหยาเจ็บจนต้องสูดหายใจเข้า พอจะอ้าปากก็กัดไปที่บนหน้าอกของเยี่ยจิงเฉิน แต่เป็นว่าฝ่ายตรงกลับยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้น……

เช้าวันที่สอง

ถังซินเหยาตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด เธอรู้สึกว่าท่อนล่างของตัวเองนั้นเหมือนกับว่าโดนรถบด เจ็บแสบไปหมด

บนร่างกายที่ขาวเหมือนหยกเต็มไปด้วยรอยจูบ ร่องรอยของการสัมผัส บนเอวยังก็มีแขนที่ใหญ่และแข็งแรงวางอยู่ เธอถูกผู้ชายร่างสูงใหญ่โอบกอดอยู่……

นี่มันอะไรกันเนี่ย

เธอมันน่าสมเพชจริงๆ เลย แฟนตัวเองที่อยากจะขายเธอ แต่ผลสุดท้ายแล้วกลับเป็นเธอที่ตกไปอยู่ในมือผู้ชายอีกคนหนึ่ง และยังเสียประโยชน์ไปอีกแล้วด้วย

และยัง มองไปที่บนใบหน้าของเยี่ยจิงเฉินที่เหมือนกับคนยุโรป ต่อให้นอนหลับไปแล้วแต่ยังคงมองได้ว่าเป็นใบหน้าที่หล่อและโดดเด่นมาก

ถังซินเหยาปลอบตัวเองอยู่ในใจ ถือว่าหาผู้ชายฟรีให้ตัวเองก็พอแล้ว

“ผู้ชายคนนี้ยังหล่อกว่าดาราหรือไอดอลในทีวีอีก ก็ไม่ถือว่าขาดทุนอะไรหรอก……ใช่ไหม?” ถังซินเหยาคิดอยู่ในใจอย่างอ่อนแอ

ทนกับความรู้สึกที่ไม่สบายตัว หลังจากที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ถังซินเหยาก็หนีออกไปอย่างไม่หันหลังกลับมา

ออกมาจากโรงแรมแล้ว ถังซินเหยาส่งข้อความไปหาฟางอี้เฉิงว่า “ผู้ชายชั้นต่ำ นายมันโดนคุณย่าปั่นหัว อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ ไม่อย่างนั้นจะเล่นงานนาย”

ความยืดหยุ่นของเตียงนั้นดีงามมากจริงๆ ถังซินเหยาราวกับลูกชิ้นที่เด้งดึ๋งอยู่บนเตียง

เธอคงต้องยกย่องป่าปี้หน่อยแล้ว สมแล้วที่เป็นคนมีอิทธิพล เตียงนี่มันดีจริงๆ?

ร่างสูงใหญ่และแข็งแรงของป่าปี้โน้มลงมากดทับตัวของถังซินเหยา

เธอมองหน้าอันหล่อเหลาทั้ง360องศาของเยี่ยจิงเฉินที่อยู่ในระยะประชันชิด ทำให้ถังซินเหยารู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้องพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวของเธอ

ที่ใจเธอเต้นแรงแบบนี้ไม่ใช่เพราะเธอตกหลุมรักป่าปี้หรอกนะ

แต่ทำไมอัตราการเต้นของเธอต้องเพิ่มความเร็วขึ้นล่ะ ——

แม่เจ้า เธอกำลังจะถูกทำมิดีไม่ร้ายแล้วไง ใจก็ต้องเต้นแรงอยู่แล้วสิ (การอธิบายแบบนี้รู้สึกขาดความมั่นใจจังแฮะ)

เธอยื่นมือไปสัมผัสกับหน้าอกแกร่งของเยี่ยจิงเฉินและเม้มริมฝีปาก พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : "ประธานเยี่ยคะ ไม่หยุดได้ค่ะ"

เยี่ยจิงเฉินรวมมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่นด้วยมือข้างเดียว พร้อมกับอีกมือที่ปลดเนคไทที่คอของตัวเองออก และจัดการฉีกเสื้อเชิ้ตของเขาออกอย่างร้อนแรงทำให้เห็นกล้ามเนื้อที่สวยงามและแปดแพ็คของคนสุขภาพดีและสมบูรณ์อย่างเยี่ยจิงเฉิน

"เธอคิดว่าฉันจะหยุดได้หรอ?" เยี่ยจิงเฉินฝังใบหน้าของตัวเองลงไปที่ซอกคอของเธอพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างของถังซินเหยา

ถังซินเหยาที่เห็นแปดแพ็คของเยี่ยจิงเฉินถึงกับน้ำลายไหล

หุ่นของป่าปี้ดีจริงๆ ตอนใส่เสื้อผ้าดูผอม ตอนถอดเสื้อผ้าก็มีกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้อของเขามันไม่ได้โอเวอร์เลย ร่างกายสวยงามน่าหลงไหลที่ครอบคลุมกระดูกองเขานั้นดูดีกว่าพวกนักเพาะกายเสียอีก

ถังซินเหยาถึงกับสายตาพร่ามัวไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าจะมองต่อ

"แล้วถ้าฉันเกิดส่งเสียงดังขึ้นมาล่ะคะ ถ้าร้องเรียกให้คนช่วยจะไม่มีใครมาเลยหรอ?" ถังซินเหยาโค้งริมฝีปาก มองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับถาม

"นี่มันห้องทำงานประธานนะ กระจกห้องเป็นกระจกสั่งทำพิเศษ เก็บเสียงได้ดีมากอยู่แล้ว" สายตาของเขาหยอกล้อกับคำพูดที่มีไหวพริบของเธอ "ดังนั้นไม่ว่าเธอจะร้องจนเสียงหลงก็คงมาช่วยคเธอไม่ได้หรอก"

ป่าปี้ ป่าปี้จะซื่อไปแล้วนะ คิดว่าเธอจะร้องจนเสียงหลงเพื่อให้คนมาช่วยอย่างงั้นหรอ?

เยี่ยจิงเฉินยื่นลิ้นของเขาละเลงลงบนไหปลาร้าอันบอบบางของถังซินเหยา เสียงครวญครางถูกพ่นออกมาจากปากของเธอ เสียงของเธอช่างประจบประแจงราวกับเสียงร้องเรียกของแมวน้อยที่เผยให้ถึงความต้องการในตอนนี้

หน้าของถังซินเหยาแดงระเรื่อ เธอแทบจะไม่เชื่อว่านี่คือเสียงที่เธอครวญครางออกมาเอง

เสียงครางของเธอนั้น สามารถไปเป็นพากย์เสียนักแสดงAVของญี่ปุ่นได้เลยนะเนี่ย

เยี่ยจิงเฉินที่ถูกปลุกเร้าอารมร์ด้วยเสียงครวญครางของถังซินเหยาทำให้ร่างกายของเขาร้อนขึ้นมา

"นี่เธอยั่วฉันหรอ? เธอหาเรื่องให้ตัวเองเองนะ" เยี่ยจิงเฉินเลื่อนมือของเขาเข้าไปใต้ร่มผ้าของถังซินเหยาด้วยสัมผัสที่แปลกประหลาดพร้อมกับลูบวนเบาๆบนผิวเนื้อเนียนของถังซินเหยา

ให้ตายเถอะ ไหปลาร้าเป็นจุดอ่อนไหวที่สุดของเธอ

ถ้าเกิดผู้ชายที่หล่อเหลาและชั่วร้ายคนนึงมาทำแบบนี้กับคุณ ลวนลามคุณสาระพัด มันไม่ใช่ว่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเสียทุกคนมั้ย

มือของเยี่ยจิงเฉินสัมผัสอยู่ตรงเนินหน้าอกของเธอ ถังซินเหยาถึงกับอ้าปากค้าง

พระเจ้า มือคุณน่ะอย่ากดไปมั่วซั่วได้มั้ย มันจะทำให้หน้าแบนได้นะ

เธอยกมือไปฟาดมือของเยี่ยจิงเฉินที่ปนเปลอกับหน้าอกของเธอพร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าแดงแจ๋ของเธอว่า : "ประธานเยี่ยคะ คุณอย่าเมามัวกับมันเกินไปสิคะ เดี๋ยวนี้ประเทศเราตรวจจับการทำอนาจารนะคะ ตั้งแต่ส่วนคอลงไปล้วนแต่จะทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ ฉันไม่อยากให้ประธานที่หล่อเหลาอย่างคุณขืนใจ (ต้องหิวกระหายขนาดไหนแม้แต่ประตูยังไม่ปราณีเลย?) แล้วถูกเชิญไปเข้าห้องดำแล้วเข้าฉากภาพยนตร์เรื่องเดือด2เดือดนะคะ"

ป่าปี้พูดด้วยความก้าวร้าว : "ในเมืองบีนี้ยังไม่มีใครทำแบบนั้นกับฉันหรอกนะ"

เธออยากจะกดไลค์ให้ป่าปี้สักสามสิบสองไลค์เลยล่ะ บ้าอำนาจเกินไปแล้ว เธอน่ะหมดหนทางจะแขวะจริงๆ

แต่ว่า…

เธอกลัวน่ะสิ

ภาพยนตร์เรื่องเลือด2เลือดยังขาดนักแสดงหญิงอยู่หนึ่งอัตรา แต่เธอไม่ได้อยากเป็นนักแสดงหรอกนะ ทำไปก็ไม่มีประโยชน์

เยี่ยจิงเฉินปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของถังซินเหยาออก ถังซินเหยาถึงกับรู้สึกถึงความเย็กที่หน้าอกของตัวเอง เสื้อผ้าของเธอถูกเปลื้องออกไปแล้วกว่าครึ่งท่อนในตอนนี้

ให้ตายเถอะ การเคลื่อนไหวของป่าปี้เร็วมาก

"ตอนนี้เป็นเวลางานนะคะ หยุดเถอะค่ะ" ถังซินเหยาบิดตัวและดินสู้เล็กน้อย

จนถูกเยี่ยจิงเฉินกดเธอลงไปอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นพร้อมกับสายตาที่นิ่งว่า : "นี่ไงงาน"

ถังซินเหยาและเพื่อนของเธอถึงกับตะลึง หลี่เวยไม่เคยบอกเธอนี่ว่าเป็นเลขาจะต้องXXOOกับเจ้านายด้วย

"ประธานเยี่ยคะ ฉันเรียนมาน้อย คุณอย่าหลอกฉันนะคะ เป็นเลขาจะต้องทำเรื่องบนเตีบยงกับเจ้านายด้วยหรอคะ?"ถังซินเหยาถามด้วยความประหลาดใจ

"นี่เธอไม่รู้หรอ?"

"ฉันคิดมาตลอดว่ามันเป็นแค่เรื่องซุบซิบและเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดของคนอื่นที่เกี่ยวกับอาชีพเลขาน่ะค่ะ"

"ตอนนี้รู้แล้วก็เป็นเด็กดีหน่อยสิ" ตอนนี้เยี่ยจิงเฉินลูบหัวถังซินเหยาราวกับว่าเธอเป็นลูกหมาสัตว์เลี้ยงของเขาพร้อมกับน้ำเสียงที่อบอุ่นของเขา

ถ้าอย่างงั้นหลี่เวยกับเยี่ยจิงเฉินก็…….

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาถังซินเหยาไม่ใช่คนที่นิสัยไม่ดีแต่อย่างไร แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของป่าปี้ใจของเธอก็ราวกับถูกปิดกั้นโดยหาสาเหตุไม่ได้

"ฉันขอถอนคำพูดค่ะ ฉันจะไม่ทำงานแทนคุณหลี่เวยแล้ว คุณปล่อยมือของคุณด้วยค่ะ" ถังซินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่หมดความสนใจ

"หยุดพูดแล้วก็ฟังฉัน" เยี่ยจิงเฉินปลอบโลมเธอำพร้อมกับกดจูบไปที่มุมปากของเธอ

ถังซินเหยาเริ่มรู้สึกอึดอัดและเธอก็เริ่มขัดขืน

สีหน้าของเยี่ยจิงเฉินเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขายู่หน้าพร้อมกับมองไปที่ถังซินเหยาด้วยสายตาดุเดือด ทำให้คนอื่นกดดันจนหน้ากลัว

ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ ถังซินเหยาคงยอมจำนนต่อจิตสำนึกที่ถูกครอบงำของเยี่ยจิงเฉินไปแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าวันนี้มันเป็นเพราะอะไร ด้วยความเคารพตัวเองของเธอถึงได้ขัดขืนและแสดงการกระทำที่โตแล้วของเธอออกมา พร้อมกับพูดกับเยี่ยจิงเฉินด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้ว่า : "ประธานเยี่ยคะ ฉันเป็นดีไซน์เนอร์จากบริษัทCKนะคะ ถ้าหากคุณยังล่วงเกินฉันอีก ฉันจะพิจารณาเรื่องสัญญาใหม่ค่ะ"

เยี่ยจิงเฉินบีบคางถังซินเหยาด้วยสีหน้าตึง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "อย่ามาจองหองให้มันมากนักนะ ความอดทนฉันมันมีจำกัด"

ก็แล้วยังไง จองหองแล้วยังไง

ต้องพูดอย่างงี้ต่างหากถึงจะถูก : ป่าปี้ ทางที่ดีคุณไม่ควรเอากุ้งฝอยไปตกปลากระพงนะ

เธอรู้สึกว่ากระดูกคางของเธอกำลังจะถูกบดขยี้จนแตก เธอขมวดคิ้ว : "ประธานเยี่ยก็จองหองเหมือนกันนั่นแหละค่ะ"

เยี่ยจิงเฉินมองไปที่คิ้วของถังซินเหยาที่ขมวดอยู่ มือของเขาที่บีบคางของเธอก็ปล่อยออกอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าแก้มของเธอขึ้นสีแดงเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

แต่เขากลับไม่กล้าที่จะง้อเธอ

ความโกรธทำให้เขาทำตัวหยาบคายกับถังซินเหยาลงไป และเขาก็โกรธเช่นกันที่ถังซินเหยาที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จะโกรธก็โกรธซะอย่างนั้น

ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นแล้วกล้าทำแบบนี้กับเขาล่ะก็ เขาคงจะจัดการกับเธอคนนั้นไปแล้ว

แต่กับผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่างของเขาตอนนี้กลับทำให้เขาแสดงด้านที่นุ่มนวลที่สุดของเขาต่อเธอ ไม่อยากให้เธอต้องทุกข์เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่เห็นว่าเธอขมวดคิ้วเท่านั้นก็สามารถส่งผลหัวใจของเขาได้แล้ว ก็เหมือนกับตอนนี้ที่ผิวบริเวณของเธอที่โดนเขาบีบจนแดงแจ๋ ก็ทำให้ใจของเขาสั่นไหวได้

ถังซินเหยาเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าทำไมวันนี้เธอเหมือนกับกินยาใจร้อนเข้าไปหรืออย่างไร อารมณ์ของเธอถึงได้หงุดหงิดเช่นนี้

เธอไม่รู้เลยว่าทำไมสีหน้าที่นิ่งที่สับสนของเยี่ยจิงเฉิน แค่เห็นสายตาที่คาดเดาไม่ได้ของเขาก็ทำให้เธอหัวร้อนขึ้นมาได้

ช่วงนี้เธอมักจะโดนเยี่ยจิงเฉินกดอยู่บ่อยๆจะทำให้ความอดทนของเธอก็ได้สิ้นสุดตอนนี้แล้ว

"ฉันจะถามอีกรอบนะคะ คุณจะปล่อยฉันมั้ย" ถังซินเหยายกยิ้มขึ้น ปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่สวยหวาน แก้มบนแก้มของเธอ

ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว

ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset