บทชีวิตใหม่ 4

ตอนที่ 4

บทที่ 4 กลัวการสอบเข้าวิทยาลัย

 

 

เสียงปรบมือดังขึ้นทันทีที่ถานเสี่ยวเทียนกลับมาถึงห้องเรียน บรรยากาศทั้งห้องดูอบอุ่นมาก

 

 

จางต้าเผิงและหม่าเหว่ยเดินเข้ามาจับเขาจากด้านซ้ายและขวา

 

 

ทันในนั้นจางต้าเผิงก็เยินยอออกมา “พี่เทียนผู้ยิ่งใหญ่ๆ” ใบหน้าที่ประจบสอพลอของเขาทำให้คนที่เห็นจะต้องรู้สึกคลื่นไส้ แม้แต่ใบหน้าของหม่าเหว่ยซึ่งเป็นคนที่พูดไม่เก่งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน

 

 

สิ่งเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะสิ่งที่ถานเสี่ยวเทียนทำในวันนี้มันน่าตกใจเกินไป…

 

 

แต่ความเฮฮาของพวกเขาอยู่ได้ไม่นานนักเพราะอาจารย์วิชาเรขาคณิตมาถึงห้องเรียนแล้ว ห้องเรียนกลับสู่ความสงบ

 

 

ถานเสี่ยวเทียนมองดูรูปทรงกลมสามมิติบนกระดานดำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าหัวของเขานั้นราวกับว่ามันจะระเบิด มันเป็นเรื่องตลกมากจริงๆ ที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย

 

 

นี่มันเหมือนกับการตื่นจากความฝันที่สวยงามและได้พบกับความจริงอันโหดร้าย

 

 

เขาไม่ได้แตะต้องตำราเรียนมาหลายปีแล้ว สูตรและแบบฝึกหัดทั้งหมดกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย

 

 

ในอีก 109 วัน ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง…

 

 

ถานเสี่ยวเทียนหน้ามืด เขาแทบจะกระอักเลือดพ่นไปบนกระดานดำ

 

 

ในที่สุดชั้นเรียนที่แสนจะงงงวยก็จบลง ถานเสี่ยวเทียนตบจางต้าเผิงและสะกิดหม่าเหว่ยเบาๆ ทั้งสามคนแอบออกจากอาคารสอนไปทางประตูหลังด้วยความชำนาญและตรงไปที่จุดสูบบุหรี่ที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโรงเรียน

 

 

ดูเหมือนว่าทุกๆ โรงเรียนจะมีสถานที่สำหรับบุหรี่แบบนี้ซ่อนไว้อยู่เสมอ

 

 

จางต้าเผิงหยิบซองบุหรี่หงเหอซึ่งเป็นบุหรี่ที่รู้จักกันดีออกมา

 

 

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสามก็นั่งยองๆ เหมือนกับนั่งอยู่ในห้องน้ำเป็นแถวหน้ากระดาน

 

 

ใบหน้าของถานเสี่ยวเทียนเต็มไปด้วยความเศร้า ตอนนี้เขาไม่มีความกระตือรือร้นหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว

 

 

จางต้าเผิงสำลักควันบุหรี่และถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า “เสี่ยวเทียน นายกำลังกังวลอะไรอยู่เพื่อน?”

 

 

“จะมีอะไรได้อีกนอกจากการสอบเข้าวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึงนี้?!” ถานเสี่ยวเทียนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขาเปียกชื้นเล็กน้อย

 

 

“เฮ้อ…” จางต้าเผิงต้องการจะปลอมออกมาสักสองสามคำ แต่เมื่อคำพูดพวกนั้นกำลังจะออกมาถึงริมฝีปากเขาก็กลืนมันกลับไปและถอนหายใจยาวออกมาแทน

 

 

ทั้งสองมองหน้ากัน ขมวดคิ้วและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา มีเพียงหม่าเหว่ยเท่านั้นที่ไม่รู้สึกแรงกดดันใดๆ กับเรื่องนี้

 

 

หลังจากสูบบุหรี่แล้ว ถานเสี่ยวเทียนก็เลิกคิ้วและตะโกนเสียงดัง “นั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้!”

 

 

เสียงกรอบแกรบดังออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลและก็มีคนหนึ่งยืนขึ้นมา เธอผมสั้น ใส่ฟันเหล็กและถือหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ในมือ สายตาที่อยู่หลังแว่นที่หนาทึบกำลังแสดงออกถึงชัยชนะ

 

 

“ถานเสี่ยวเทียน จางต้าเผิง หม่าเหว่ย นายสามคนมาแอบสูบบุหรี่ที่นี่อีกครั้งแล้ว ฉันจะไปฟ้องอาจารย์!”

 

 

“ยัยฟันเหล็กอ๊ะ… หัวหน้าห้องทำเธอถึงมาทำลับๆ ล่อๆ แถวนี้? นี่เธอกำลังแอบตามฉันอยู่งั้นเหรอ?” ถานเสี่ยวเทียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเดินยิ้มเข้าไปหาเธอและตบไหล่ของเธอเบาๆ

 

 

“นายพูดเรื่องอะไร?… ไร้สาระ! ตอนนี้เป็นเวลาศึกษาด้วยตนเอง ฉันมาที่นี่เพื่อท่องคำศัพท์” หัวหน้าห้องอายจนหน้าแดง เธอพยายามดิ้นจนหลุดออกจากมือของถานเสี่ยวเทียนที่อยู่บนไหล่ของเธอและหันหลังเดินจากไป

 

 

“หึ! ถานเสี่ยวเทียน นายมันน่าเกลียด!” หลังจากที่เธอเดินไปได้สองก้าว หัวหน้าห้องก็หันหน้ากลับมาด้วยความโกรธและพูดว่า “ถานเสี่ยวเทียน ก่อนหน้านี้นายเพิ่งพูดจาพูดใหญ่โตออกมา ทั้งชื่อเสียงของโรงเรียน ทั้งศักดิ์ศรีของชุดนักเรียน แล้วสิ่งที่นายทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่านายกำลังดูถูกโรงเรียนและอาจารย์ที่ทำงานหนักเพื่อสอนนายเองงั้นเหรอ?!”

 

 

“เฮ้อ…!” ถานเสี่ยวเทียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาที่เขาได้เจอกับหัวหน้าห้องคนนี้แล้วความเศร้าโศกของเขาถึงได้หายไปได้ มันราวกับว่าเขาได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ “หัวหน้าห้องฉู่ถิง ฉันจะให้คำแนะนำแก่เธอสักหน่อยนะ อย่าไปฟังพวกคนที่กินองุ่นไม่ได้แล้วบอกว่ามันเปรี้ยว ในเมื่อเธอมีของดีเธอก็ควรจะเปิดเผยมันออกซะ!”

 

 

“ของดีคืออะไร?” ฉู่ถิงตกงงงวยเป็นเวลาสามวินาทีเต็มก่อนที่เธอจะเข้าใจความหมายของถานเสี่ยวเทียน จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับตับหมู

 

 

“ไอ้คนพาล!” เธอปิดหน้าและวิ่งหนีไป

 

 

“การซ่อนร่างที่ดีเช่นนั้นไว้มันถือเป็นบาปนะ” ถานเสี่ยวเทียนมองไปที่แผ่นหลังที่สวยงามของฉู่ถิง รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น

 

 

ในชีวิตก่อนหน้านี้ ตลอดช่วงมัธยมปลาย ฉู่ถิงเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดสำหรับเขา

 

 

ร่างกายของฉู่ถิงนั้นโตเร็วเกินไป เธอสูงกว่า 170 ตั้งแต่ม.ปลายปี 1 และด้วยคัฟ D ของเธอ มันจึงทำให้เธอโดดเด่นจากเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างมาก

 

 

หน้าอกที่ดี ต้นขาเรียวยาวและเอวบางถือเป็นสิ่งที่หญิงสาวในยุคหลังจากนี้ต้องการ แต่ในปี 1998 เรื่องเหล่านี้มันกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจของเด็กสาวม.ปลายเพราะมันจะดึงดูดความริษยาของสาวๆ และความโลภของผู้ชายรอบๆ ตัวของเธอ

 

 

ก่อนหน้านี้มีพวกอันธพาลรุ่นเยาว์หลายคนที่รู้ว่ามีสีสาวสวยในโรงเรียนแห่งนี้ อันธพาลรุ่นเยาว์พวกนั้นคอยมารบกวนฉู่ถิงหลายครั้งในตอนที่เธอกำลังอ่านหนังสือในเวลากลางคืนและในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการกีฬา ถานเสี่ยวเทียนไม่สามารถมองดูเฉยๆ ได้ เขาจึงออกไปขับไล่อันธพาลรุ่นเยาว์พวกนั้นให้เธอ

 

 

ตั้งแต่นั้นมา ฉู่ถิงผู้มีไอคิวสูงก็ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของเธอไปโดยสิ้นเชิง เธอมักจะไว้ผมสั้น ใส่แว่นหนาเตอะ ใส่เหล็กดัดฟันและใส่เสื้อผ้าที่ตัวใหญ่กว่าตัวของเธอเอง ภาพลักษณ์ที่ไม่ดึงดูดนี้ทำให้เธอสามารถเรียนได้อย่างปลอดภัย

 

 

และตั้งแต่ตอนนั้น ฉู่ถิงก็คอยแอบมองถานเสี่ยวเทียนด้วยความห่วงใยอย่างเงียบๆ มาตลอดและความห่วงใยของเธอที่มีให้เขาตลอด 3 ปีมานี้ก็ได้บ่มเพาะตัวเองจนกลายเป็นความรักที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเธอ

 

 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จางต้าเผิงเดินมาถึงตัวถานเสี่ยวเทียน เขายื่นอยู่ข้างๆ เฝ้ามองฉู่ถิงเดินจากไปและกล่าวออกมาว่า “อย่าคิดมาก นายสองคนไม่เหมาะสมกันหรอก…”

 

 

“ออกไปไกลๆ เลย!” ถานเสี่ยวเทียนเตะเขาออกไปไกลๆ

 

 

หลังจากผ่านทั้งคืนของการศึกษาด้วยตนเอง ถานเสี่ยวเทียนก็ได้คำตอบว่าเขานั้นหากจากตำราเรียนมาหลายปีเกินไป ทั้งภาษาและคณิตศาสตร์กลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับเขาไปหมดแล้ว

 

 

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 เดือนก่อนการสอบเข้าวิทยาลัยจะมาถึง การทำตามฝันอีกครั้งดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเสียแล้ว

 

 

ในตอนที่ถานเสี่ยวเทียนกำลังขมวดคิ้วและทำอะไรไม่ถูกนี้ หม่าเหว่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับกำลังเอนหลังเล่นเกม “Slam Dunk” อย่างสบายใจ

 

 

เด็กคนนี้อยากสมัครเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนตำรวจซึ่งใช้คะแนนสอบเข้าต่ำมาก นอกจากนี้ พ่อของเขาก็ได้เปิดทางไว้ให้เขาแล้วด้วย มันจึงทำให้เขาไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเหมือนกับคนอื่นๆ

 

 

หลังจากคิดอยู่นานถานเสี่ยวเทียนก็กำมือแน่น ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีเวลาเหลือแล้วเสียหน่อย เขายังมีเวลาอยู่!

 

 

เขาเปิดหนังสือการเมืองแล้วพลิกดู เมื่อพบหน้าหนึ่งเขาก็ทำเครื่องหมายด้วยปากกาสีแดง ตามด้วยหนังสือประวัติศาสตร์…

 

 

ในชาติก่อนก่อนที่เขาจะเข้ากองทัพ เขาเคยไปที่ร้านหนังสือและซื้อชุดแบบทดสอบเข้าวิทยาลัยของสาขาวรรณกรรมซึ่งเป็นการจำลองแบบทดสอบของ 3 ปีล่าสุดและผลคะแนนของเขาอยู่ที่ 463 คะแนน ด้วยคะแนนนี้เขาสามารถเข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยการกีฬาตงไห่หรือวิทยาลัยทั่วไปในจังหวัดได้สบายๆ

 

 

น่าเสียดายที่มันผ่านมาหลายปีแล้ว ความรู้ส่วนใหญ่ได้ถูกลบเลือนไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีความเข้าใจในภาษาจีนและอังกฤษอยู่และเมื่อเอาความทรงจำที่พอจะนึกออกมารวมเข้ากับสิ่งที่เขาอ่านในหนังสือในตอนนี้ มันก็ทำให้เขาพอจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

การสอบเข้าวิทยาลัยทันทีหลังจากการเกิดใหม่ สำหรับเขาแล้วมันช่างน่าอนาถจริงๆ

 

 

สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก ไม่ต้องพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยการกีฬาเลย สำหรับเขาในตอนนี้แค่จะผ่านการสอบเข้าวิทยาลัยธรรมดาก็ถือว่ายากแล้ว ในบรรดา 4 วิชาหลัก ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ดีที่สุดของเขา เรื่องนี้ต้องขอบคุณมู่หยูที่มักจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ส่วนภาษาจีนและวรรณกรรมนั้นยังคงพอจะใช้ความทรงจำที่ดีของเขาได้อยู่และคิดว่าภายใน 3 เดือนนี้เขาน่าจะพอทำอะไรได้บ้าง

 

 

สำหรับคณิตศาสตร์ถานเสี่ยวเทียนจนปัญญากับมันจริงๆ แม้ว่าเขาจะฆ่าเขาให้ตายอีกครั้ง เขาก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี… ถานเสี่ยวเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเห็นแผ่นหลังของฉู่ถิงที่อยู่ห่างออกไปทางด้านซ้าย ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นราวกับเห็นทองคำทันที

 

 

ถานเสี่ยวเทียนจดแผนการศึกษาของเขาสำหรับสามเดือนข้างหน้าในสมุดบันทึกของเขาอย่างจริงจัง โดยเน้นไปที่ภาษาจีนและวรรณกรรม

 

 

เวลา 21:30 น. การเรียนด้วยตนเองสิ้นสุดลง

 

 

ถานเสี่ยวเทียนรีบออกจากประตูพร้อมกับผู้คนมากมาย

 

 

มีลานจัตุรัสเล็กๆ ทางตะวันออกอยู่จากทางเข้าหลักของโรงเรียนประมาณ 2030 เมตร เต็นท์ผ้าใบกันฝนสีเขียวตั้งอยู่ใต้โคมไฟส่องสว่างข้างถนน ป้ายพลาสติกแขวนอยู่ด้านนอกเต็นท์ว่า “ถานเจี่ยเหล่าตังเมียน(ก๋วยเตี๋ยวโบราณตระกูลฐาน)” กำลังแกว่งไปมาในสายลม เปลวไฟโหมกระหน่ำส่งความร้อนไปยังกระทะเหล็กใบใหญ่ในยามค่ำคืน

 

 

หลังเลิกเรียน นักเรียนมากมายจะแห่กันมากินอาหารกันที่นี่

 

 

“เถ้าแก่เอาก๋วยเตี๋ยวมา 1 ชามด่วนๆ เลย ผมต้องรีบกลับไปนอน!”

 

 

“ผมเอาไก่ซีอิ๊ว 1 ที่กับเต้าหู้แห้ง 2 ชิ้น”

 

 

ที่ถนนฝั่งตรงข้ามกับร้าน ถานเสี่ยวเทียนกำลังเฝ้ามองดูพ่อแม่ของเขาที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำและเสิร์ฟอาหารอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน

 

 

จนกระทั่งคลื่นของผู้คนเกือบจะหมดไป ถานเสี่ยวเทียนก็ได้สติและเช็ดน้ำตาของเขาด้วยแขนเสื้อชุดนักเรียน จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าและตะโกนออกไปว่า “แม่ครับ ผมหิวจะตายแล้ว ขอบะหมี่หนึ่งชามครับแม่”

 

 

เมื่อถานเยว่จินและซ่งชุนฮวาเห็นลูกชายของพวกเขากลับมาแล้ว พวกเขาก็รีบตอกเปลือกไข่ หั่นเนื้อและตักซอสที่หมักไว้อย่างชำนาญราวกับน้ำไหล

 

 

ถานเสี่ยวเทียนรอเพียงไม่กี่นาที ชามก๋วยเตี๋ยวที่เต็มไปด้วยเนื้อทุกชนิดก็ถูกวางไว้ในมือของเขา ก๋วยเตี๋ยวชามนี้ทำให้ลูกค้าที่โต๊ะข้างๆ ถึงกับแอบบ่นถึงความลำเอียงของเถ้าแก่ร้าน

 

 

ซ่งชุนฮวานั่งอยู่ข้างๆ มองดูลูกชายกินบะหมี่ด้วยรอยยิ้ม

 

 

ลูกชายของฉันนี่ช่างหล่อเหลาจริงๆ

 

 

“ลูกจ๋า วันนี้ทำได้ดีไหม? อีกแค่สามเดือนการสอบเข้าวิทยาลัยก็จะมาถึงแล้ว ลูกจะต้องตั้งใจนะ! พ่อกับแม่จะคอยสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่”

 

 

ถานเยว่จินยืนข้างแม่ๆ ของเขา ลูบมือของเขาและแสดงรอยยิ้มซื่อๆ ออกมา

 

 

ถานเสี่ยวเทียนแทบฝังใบหน้าของตัวเองลงในชามก๋วยเตี๋ยวและตอบด้วยน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย “พ่อกับแม่ไม่ต้องกังวล… ไม่รู้เหรอว่าลูกชายของพ่อกับแม่เป็นใคร ผมจะสอบเขามหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูลถานของเราอย่างแน่นอน…”

 

 

เสียงของเขาฟังดูแปลกๆ

 

 

“ลูกจ๋า ลูกจ๋าเป็นอะไร? ลูกจ๋าร้องไห้อยู่งั้นเหรอ? ให้แม่ดูว่าลูกจ๋าเป็นอะไร?” ซ่งชุนฮวาต้องการจะดูหน้าของลูกชายของเธอ แต่ถานเสี่ยวเทียนก็ปกปิดมันเอาไว้ไม่ให้เธอเห็น

 

 

“ไม่เป็นไรครับ! ผมสบายดี ผมแค่เผ็ดนิดหน่อยน่ะครับ”

 

 

ในคืนที่มืดมิด เสียงหัวเราะของทั้งสามคนทำให้เกิดความอบอุ่นและอากาศอันอบอุ่นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างช้าๆ แล้วก็ล่องลอยออกไป…

บทชีวิตใหม่

บทชีวิตใหม่

Score 10
Status: Completed

เกิดใหม่ปี 1998

เต้นรำภายใต้สายลมแห่งการเงิน

แหวกว่ายทามกลางกระแสน้ำแห่งไอที

ความมั่งคั่งถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์

ด้วยฝ่ามือที่เรียกลมเรียกฝนนี้

ฉันจะตบโลกทั้งใบให้สั่นสะเทือน

Options

not work with dark mode
Reset