ตอนที่ 354 ตายแล้วเยี่ยงไร
กลางตำหนักเย็น ณ พระราชวังแห่งเมืองกวนหยุน
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหลังของจักรพรรดินีเซียว นางเบิกตากว้างที่เต็มไปด้วยโทสะ
“เสด็จแม่อยากให้เขาตายมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? ”
จักรพรรดินีเซียวมิได้หันหลังกลับมามอง นางวางพู่กันในมือลง
น้ำหมึกบนกระดาษนั้นยังมิแห้งดี นางหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาเป่า “มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ตำแหน่งของน้องชายเจ้ามั่นคง นั่นคือการทำให้เขาตายไปเสีย”
“เสด็จแม่ทรงลืมองค์ชายหนิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หนิงหวังหรือ…หึ ๆ ”
อู๋หลิงเอ๋อร์ชะงักลงทันพลัน สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “หรือว่า…เสด็จแม่ทรงลงมือจัดการกับองค์ชายหนิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ในตอนนั้น เพื่อให้ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ไทเฮาก็ทรงฆ่าพี่ที่เป็นบุรุษของเขาจนสิ้น…พวกเขาเหล่านั้นมีเลือดเนื้อของจักรพรรดิองค์ก่อน หนึ่งในนั้นมียวี่หวังซึ่งเป็นโอรสในไส้ของพระนางเองอีกด้วย แต่มีดของพระนางกลับมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ข้าทำนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เปรียบเทียบมิได้กับพระนางเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่คือการแย่งชิงตำแหน่งองค์จักรพรรดิ ! ”
ในสายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์นั้น จักรพรรดินีเซียวเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนแปลกหน้า นางมิอาจทำใจเชื่อได้ว่าเสด็จแม่ของนางจะทำเรื่องอันโหดร้ายได้เพียงนี้ ! นางมิอาจเชื่อได้ว่าหัวใจของสตรีนางหนึ่งจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้
ใบหน้าของนางปรากฏความเย้ยหยันขึ้นมา “แต่ช่างน่าเสียดาย แผนการที่เสด็จแม่วางไว้ในวัดหานหลิงคาดว่าคงจะมิสำเร็จแล้ว”
จักรพรรดินีเซียวหันหลังกลับมามองอู๋หลิงเอ๋อร์ “ว่าไปแล้วเจ้าอาจจะมิเชื่อ ได้ยินมาว่าหนานกงอี้หยู่ชื่นชอบเหยี่ยวไห่ตงชิงยิ่ง สัตว์ตัวนั้นข้าเป็นผู้ให้คนจับมันมาเอง และเพราะมัน จึงทำให้ข้าพลาดไปเพียงนิดเดียว ดังนั้นใต้หล้าก็เปรียบเสมือนหมากรุก มิมีสิ่งใดแน่นอน ในวันนี้ที่เจ้าเดินทางมา เกรงว่าจะเป็นการพบกันของพวกเราสองแม่ลูกคราสุดท้ายแล้ว อย่าได้สนทนากันเรื่องนี้อีกเลย สนทนากันเรื่องอื่นดีหรือไม่ ? ”
นางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ “ข้าพบว่ากวีในหนังสือความฝันในหอแดงของเขาช่างมีความหมายยิ่ง ข้าเพิ่งจะคัดลอกลงไปเมื่อสักครู่ เจ้าลองอ่านดูเถิด”
สายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์มองไปยังกระดาษใบนั้น เป็นกวีที่มีชื่อว่า ‘ฉลาดเหนื่อย’
กลไกใดหากฉลาดล้ำเกินไป มักทำลายชีวิตจนสิ้น
ใจสลายเมื่อมีชีวิต แม้นตายไปวิญญาณยังว่างเปล่า…
คล้ายคฤหาสน์หลังโต ถูกไฟมอดไหม้
อ่า ! ความสุขที่ดูเหมือนเศร้า
ชีวิตเรา ยากจะตัดสิน… !
นางเงยหน้าขึ้นมอง “ท่านเสียใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จักรพรรดินีเซียวทรงแย้มพระสรวลขึ้น จากนั้นมองออกไปยังแสงแดดนอกหน้าต่าง “ลูกสาวข้า ข้ามิเคยจะเสียใจเลยสักครา” ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น “แม่นั้นเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุได้ 3 ปี เข้าศึกษาเมื่ออายุ 5 ปี และเมื่ออายุ 7 ปีได้เข้าศึกษาตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า ณ สำนักศึกษาหลีซาน อภิเษกกับฝ่าบาทเมื่ออายุ 14 ปี เดิมทีคิดว่าตนนั้นคือผู้ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต แต่ทว่า ในดวงใจของฝ่าบาททรงมีสตรีนางนั้นแต่เพียงผู้เดียว…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไป เหลือไว้เพียงความเยือกเย็น
“ฝ่าบาททรงร่วมหมอนนอนเคียงคู่ เเต่ในใจกลับถวิลหาสวี่หยุนชิงที่อยู่แสนไกลนับพันลี้…นี่คือความผิดพลาดของแม่ ดังนั้นจึงได้ส่งคนไปวางยาพิษสวี่หยุนชิงเสีย”
อู๋หลิงเอ๋อร์จ้องมารดาของนางตาเขม็ง ท่านแม่เป็นอยู่เบื้องหลังการตายของสวี่หยุนชิงเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เพราะแม่คิดว่า หากสวี่หยุนชิงตายไปเสีย ท้ายที่สุดหัวใจของฝ่าบาทจะทรงมาอยู่ที่แม่ แต่คาดมิถึงว่า ข้าสู้มิได้แม้แต่สตรีที่ตายไปแล้ว ! ”
“เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
ใบหน้าของนางดูดุดันและน้ำเสียงก็แข็งกร้าวขึ้น “เพราะเหตุใดข้าจึงมิสามารถเทียบกับสวี่หยุนชิงได้ ? นางงดงามกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? นางฉลาดกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? นางอ่อนโยนและเอาใจเก่งกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?”
นางจ้องมายังอู๋หลิงเอ๋อร์ ทำให้อู๋หลิงเอ๋อร์ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ล้วนมิใช่ หลายปีมานี้ในที่สุดข้าก็ได้เข้าใจเสียที นั่นเป็นเพราะสวี่หยุนชิงได้เข้าไปอยู่ในดวงใจฝ่าบาทก่อนข้าเท่านั้นเอง”
นางมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครา สีหน้าแสดงออกถึงความเย้ยหยัน “บรรดาขุนนางทั้งหลายในใต้หล้าล้วนคิดว่าฝ่าบาททรงรักมั่นและใจเดียว พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้ มีเพียงจักรพรรดินีองค์เดียวและพระสนมอีก 1 คนเท่านั้น พวกเขาต่างก็มิรู้ว่า หากมิใช่เพราะไทเฮาทรงบังคับ หากมิใช่เพราะราชวงศ์จำต้องมีทายาทสืบสกุล…จากนิสัยของฝ่าบาทแล้ว ในหลังวังนี้เกรงว่าคงจะมิมีแม้แต่สตรีเพียงผู้เดียว”
“หากจะกล่าวให้น่าฟัง…ฝ่าบาททรงรักมั่นดั่งนกหยวนหยางผู้เศร้าโศกานั่น มองจากภายนอก ฝ่าบาททรงหลงใหลในความรัก หากกล่าวอย่างมิน่าฟัง ฝ่าบาททรงแขวนคอตายอย่างมิคิดถึงผู้มีชีวิตอยู่…”
นางมองมายังอู๋หลิงเอ๋อร์อีกคราแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์กวีคู่กับภาพนกหยวนหยางผู้เศร้าโศกานั่น เจ้ารู้หรือไม่ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงหน้าโต๊ะตัวนั้นแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบทกวี ‘เจ๋อกุ้ยหลิง ความหลงใหล’ นั้นลงไปแล้วส่งให้กับจักรพรรดินีเซียว “แท้จริงแล้วเสด็จแม่ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งใดคือความหลงใหล”
จักรพรรดินีเซียวรับมาดู จากนั้น
แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล
กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย
กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน
ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าหวงแหน
เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง
ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ”
สีหน้าของนางค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น แววตาเยือกเย็นคู่นั้นดูมืดมนราวกับหลุมดำ
มือของนางไร้เรี่ยวแรง กระดาษใบนั้นปลิวหล่นลงสู่พื้น
“ลูกสาวข้า ชีวิตต่อจากนี้เจ้าจะได้เรียนรู้ถึงความเข้มแข็ง ส่วนเรื่องความคิดนั้นเจ้าสามารถเก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจได้ แต่จงอย่าทำให้ผู้ที่รักเจ้าต้องผิดหวัง”
สีหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์ดูโดดเดี่ยวยิ่ง นางมองไปยังจักรพรรดินีเซียวด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความแค้น นางมิได้ตอบรับสิ่งใดกับคำเอ่ยของจักรพรรดินีเซียวเมื่อครู่ แต่กลับเอ่ยว่า “หากองค์ชายหนิงตาย ท่านเองก็คงมิรอด”
“ตายแล้วเป็นเยี่ยงไร ข้ามิได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย ! ”
“มิเสียใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หลังจากที่ข้าตายไป จงฝังข้าไว้ที่ข้างเรือนหยุนชิงตรงวัดหานหลิง สถานที่นั้นข้ายังมิเคยไป ข้าอยากจะไปเห็นด้วยตนเองยิ่ง”
……
……
ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังส่องแสงลงมาราวกับด้ายสีทอง
พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งวัดหานหลิงตั้งตระหง่านอยู่ข้างทะเลสาบเทียนหู ท่ามกลางแสงแดดนี้แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
การต่อสู้ภายในเริ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ และจบลงอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
บัณฑิตที่อาศัยอยู่รอบ ๆ เห็นเพียงทหารม้ากลุ่มหนึ่งเข้าไปด้านในพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หลังจากนั้นเพียง 2 เค่อพวกเขาก็เดินออกมาอีกครา มิมีบัณฑิตคนไหนรู้ว่าใน 2 เค่อนั้นมีผู้คนเสียชีวิตถึง 4,000 คน !
ศพของพวกเขาถูกนำไปกองไว้บนเศียรของพระพุทธรูป เลือดสีแดงสดกลายเป็นแอ่งน้ำสีเลือด และไหลออกจากพระเนตรของพระพุทธรูป
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมาถึงก็พบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายแล้ว
และคูฉานกำลังมองไปยังพระเนตรของพระพุทธรูปอย่างตกตะลึง เขายกมือขึ้นชี้แล้วกล่าวกับฝานเทียนหนิงว่า “หรือมีเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกัน ? ”
ฝานเทียนหนิงเงยหน้ามองดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว กล่าวตามความเชื่อของประเทศฝาน พระพุทธรูปหลั่งน้ำตา ใต้หล้าจะเศร้าโศก !
เขาสูดหายใจลึก แล้วหันหลังไปมองดูฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะชี้นิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้าจงดูนี่”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม ในใจพลางคิดว่าหากมิได้มีเลือดไหลออกมาจากดวงตานี้ เกรงว่าลานกว้างใหญ่นี้คงจะต้องกลายเป็นสถานที่นองเลือดแทนเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักนิสัยของสตรีผู้นั้นดียิ่ง
เขายังคงจำคำเอ่ยของนางที่เอ่ยออกมาว่า ข้ามิประสงค์จะออกไป ที่นี่…สะอาดกว่าข้างนอกเสียอีก !
นี่คือสิ่งที่นางกล่าวว่าสะอาดเยี่ยงนั้นหรือ ?
ชีวิตของผู้คนสี่พันคนถูกนางทำลายจนสิ้น หากมิใช่เพราะนกเหยี่ยวตงไห่ชิงส่งสารมาบอกล่วงหน้า บัณฑิตนับพันคนในที่นี้ก็คงจะมิเหลือรอดแม้แต่คนเดียว
ช่างบ้าคลั่งเสียจริง ๆ !
“คุณชายฟู่ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา “หากการเพาะปลูกคือเหตุ เช่นนั้นการเก็บเกี่ยวคือผล ทุกสิ่งอยู่ที่ใจ ! ”
ตอนที่ 351 เรือนหยุนชิง
มีหมอกบางในยามเช้า สายน้ำไหลเชี่ยว
บัดนี้ใกล้จะเลยเวลาของยามเหม่าแล้ว ระฆังยามเช้าของวัดหานหลิงได้ดังไปแล้ว แสงภายในทุ่งกว้างนี้ได้สว่างโร่ขึ้นมา แต่ภายในป่าภูเขานั้นกลับอึมครึมอยู่เล็กน้อย
ขั้นบันไดขึ้นไปยังวัดนั้นถูกสร้างมาอย่างดี และกว้างขวางเป็นอย่างมาก สองข้างทางมีต้นไม้เก่าแก่อยู่เรียงราย แต่มิได้มีผลต่อการขึ้นเขา เพียงแค่ไร้หนทางจะเห็นทัศนียภาพที่อยู่ห่างไกลได้ชัดเจน
ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดย่อมเป็นราชองครักษ์ 500 นาย ที่ตามติดกันไปคือขุนนางจำนวนมากจากกวนหลี่เตี้ยนและสำนักศึกษาฮ่านหลิน หลังจากนั้นเหล่าบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋ ต่อจากนั้นจึงเป็นบัณฑิตจากสามแคว้น และท้ายขบวนก็คือราชองครักษ์ 500 นาย
ดังนั้นขบวนนี้จึงยาวออกไป เดินคดเคี้ยวไปมาบนขั้นบันได มองดูแล้วราวกับมังกรกำลังเคลื่อนที่
เหล่าบัณฑิตกำลังสนทนากันถึงเรื่องราวของวัดหานหลิงแห่งนี้ และบางทีก็จะตกใจกับหญ้าข้างทางที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกัมปนาทดังขึ้น เมื่อเลี้ยวโค้งไป ก็ได้พบเห็นกับน้ำตกที่เหมือนกับมังกรขาวบินลงไปในทะเล
ดังนั้นจึงมีไอน้ำลอยขึ้นมา ปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้าง จนทำให้ใบหญ้าและต้นไม้เปียกชื้น รวมไปถึงคนที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วย
“บนวัดหานหลิงมีทะเลสาบอยู่หนึ่งแห่ง น้ำจากน้ำตกนี้มาจากทะเลสาบ ดังนั้นฉากนี้ผู้คนต่างขนานนามว่าทางช้างเผือกกลับหัว เพียงแค่คนที่มาวัดหานหลิงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เลื่อมใสกันทั้งหมด มาเพื่อฟังระฆังยามเช้าของที่นี่ มาเพื่อจุดธูปเบื้องหน้าพระพุทธองค์ และอธิษฐานให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองอยู่ในใจ ดังนั้นชื่อเสียงของระฆังยามเย็นและเช้าของวัดหานหลิงจึงถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทัศนียภาพเหล่านี้จึงมิค่อยมีผู้ใดเอ่ยถึงมากนัก”
ฝานเทียนหนิงเดินไปพร้อมกับคูฉานและฟู่เสี่ยวกวน เขามองน้ำตกและกล่าวอย่างมิสะทกสะท้านว่า “น่าเสียดายที่ยามนี้ดวงอาทิตย์ยังมิโผล่ขึ้นมา มิเช่นนั้นแล้วในยามที่แสงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำตกนี้ บางทีอาจจะได้เห็นรุ้งเจ็ดสี ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปทางฝานเทียนหนิงด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ? ”
“เพราะข้าอ่านหนังสือมาจำนวนมาก วัดหานหลิงนี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน ‘บันทึกหนึ่งร้อยแปดสิบวัด’ นี่คือตำราที่เขียนโดยเจ้าอาวาสพระพเนจรเมื่อสามร้อยปีก่อน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางไปทั่วทั้งใต้หล้า เขาใช้บั้นปลายชีวิตที่วัดลันทา และได้เขียนบรรยายรายละเอียดของหนึ่งร้อยแปดสิบวัด”
ดังนั้นศาสนาพุทธในยุคนี้จึงรุ่งเรืองเป็นอย่าง แล้วลัทธิเต๋าเล่า ?
เหมือนว่านอกจากสำนักเต๋าแล้วก็มิเคยได้ยินอีก ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหลังจากที่กลับไปแล้วต้องไปถามศิษย์พี่ใหญ่ถึงเรื่องนี้เสียหน่อย
ข้ามผ่านละอองน้ำจากน้ำตก แล้วเดินต่อไปยังเบื้องหน้าตามขั้นบันไดหิน แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จึงสามารถเห็นกำแพงสีแดงและกระเบื้องที่ซ่อนอยู่ในป่าได้จากที่ห่างไกล ตึกเหล่านี้ค่อนข้างกระจัดกระจาย คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่อาศัยของพระสงฆ์ในวัดหานหลิง
และเมื่อเดินขึ้นไปอีก ก็มีกลิ่นควันธูปลอยวนอยู่ในอากาศ
เมื่อมองออกไปไกล ๆ ก็จะเห็นควันธูปลอยอบอวลอยู่ในป่าทึบ และจะได้ยินเสียงพระสงฆ์ท่องบทสวดสันสกฤตทำวัตรเช้าอยู่ในอาราม
“คิดว่าตรงนั้นน่าจะคือห้องโถงด้านหน้า คือสถานที่ตั้งของวิหารเทียนหวางเตี้ยน สถานที่หลักของงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้อยู่ด้านหลังเขา หรือก็คือด้านข้างของทะเลสาบ” ฝานเทียนหนิงอธิบายให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เจ้ายุ่งเป็นอย่างมาก แต่ข้ากลับว่างมากยิ่งนัก ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง ข้าเคยได้มาวัดหานหลิงแห่งนี้แล้วหนึ่งครา วันที่เจ้าได้รับบาดเจ็บวันที่สอง ข้าได้มาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ เดินเล่นอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ก็ได้ยินเสียงระฆังทำวัตร จึงพักอยู่ที่อารามนั่นหนึ่งคืน และลงเขาไปในวันรุ่งขึ้น”
“เพื่องานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จึงได้มีการสร้างอาคารใหม่ที่ด้านหลังเขาจำนวนมาก ถือเป็นที่พักหลัก เยี่ยงไรเสียก็ต้องใช้รองรับผู้คนหลายพันคน จะไปมีเรือนรับแขกอยู่ในอารามจำนวนมากได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“ประเดี๋ยวพอไปหลังเขาเจ้าก็จะรู้เอง ที่ตรงนั้นมิเลวเสียทีเดียว ทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ด้านข้างของทะเลสาบนั้น ได้มีการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหม่ขึ้น ยามที่ข้าไปนั้นมีผู้คนมากมายกำลังหล่อพระพุทธรูปองค์นั้น บัดนี้คาดว่าน่าจะสำเร็จแล้ว เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปของวัดลันทาแล้วถือว่าใหญ่กว่าหลายเท่า”
ระหว่างการอธิบายข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ของฝานเทียนหนิง ประตูเขาอันงดงามก็ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ
เหนือประตูทางเข้ามีอักขระสีทองประทับไว้ว่า วัดหานหลิง !
สองข้างของประตูทางเข้ายังได้สลักกลอนตุ้ยเหลียนเอาไว้หนึ่งบท ใจความของกลอนตุ้ยเหลียนนี้มีอยู่ว่า
เจ้ามาเพื่อนมัสการหรือ ต้องสัมผัสกับจิตใจ ก่อกรรมมามากเท่าใด จงอุทิศตนและกราบไหว้
ใครคือผู้เทศนา ต้องกำจัดความเห็นใจ จงกล่าววาจาตักเตือน ให้ผู้คนที่ฟังพรั่นพรึงกับความชอบธรรม
“กลอนตุ้ยเหลียนกับอักขระนี้ ถูกสร้างขึ้นมาในตอนที่สร้างวัดหานหลิง เป็นตำราที่องค์หญิงเจิ้งหยางประพันธ์ขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ผู้คนต่างก็ตื่นตะลึง ! ็”
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากที่มองในตอนนี้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนองค์หญิงเจิ้้งหยางผู้นั้นคงมีความเข้าใจในพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง มิเช่นนั้นคงเขียนกลอนตุ้ยเหลียนเยี่ยงนี้ออกมามิได้
เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เดินตรงไปเบื้องหน้าราว 1 ลี้ ทางขึ้นเขาก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองทาง ไปทางซ้ายจะเป็นทางเดินเขาที่กว้างขวาง ไปทางขวาจะเป็นทางเดินเขาที่แคบเล็กน้อย
“นี่คือเส้นทางเดินไปด้านหลังเขา”
พวกเขาเดินไปยังทางขวา พอเลี้ยวผ่านสันเขา ทุกคนต่างก็สะดุดตากับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งสูงเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า !
คาดมิถึงว่าจะสูงกว่าต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ไปถึงครึ่งหนึ่ง !
ในยามนี้ที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น แสงแดดสีเหลืองอ่อนตกกระทบกับพระพุทธรูปสีทอง เปล่งประกายเจิดจ้า และเมื่อประกอบกับมีแผ่นฟ้าเป็นพื้นหลัง ราวกับด้านหลังของพระพุทธรูปนั้นมีแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีขึ้นมาจริง ๆ
“ใหญ่มากใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ใหญ่มากจริง ๆ ! ”
“เพียงการปั้นพระพุทธรูปองค์นี้ กล่าวว่าใช้เวลามานานถึง 8 ปี จักรพรรดิเหวินมีความคิดที่กล้าหาญยิ่ง มิทราบเช่นกันว่าใช้เงินไปแล้วกี่ตำลึง”
และเมื่อเดินไปได้อีกหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็ได้เดินมาถึงใต้ฝ่าธุลีของพระพุทธรูป ที่ตรงนี้คือลานกว้างขนาดใหญ่ พื้นที่ปูด้วยหินอ่อนนั้นสะอาดและกระจ่างใส ด้านล่างของพระพุทธรูปนั้นมีเวทีสูงตั้งอยู่ ราวกับเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับสักการะบูชา
และด้านหลังของพระพุทธรูป ก็คือทะเลสาบที่มีไอน้ำลอยขึ้นมาราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
ฟู่เสี่ยวกวนมองสำรวจไปรอบ ๆ มีอาคารถูกสร้างขึ้นล้อมรอบลานกว้างนี้เป็นจำนวนมาก แต่มิได้มีลักษณะคล้ายอาราม แต่รูปร่างเหมือนกันกับอาคารในจินหลิงเสียมากกว่า
คิดไปแล้วอาคารเหล่านั้นคาดว่าจะถูกสร้างมาเพื่อเหล่าบัณฑิตที่มาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้
และแน่นอน ในยามที่ทุกคนมาถึงลานกว้างแห่งนี้ ก็ได้พบเห็นขุนนางจากกวนหลี่เตี้ยนและสำนักศึกษาฮ่านหลินกำลังจัดการที่พักให้แก่เหล่าบัณฑิตอยู่
และขุนนางที่เดินตรงมาหาฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็คือผู้อาวุโสเหวินชังไห่จากสำนักศึกษาฮ่านหลิน !
“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านขุนนางโจวแห่งหอเทียนจีมา และข้าจะพาพวกเจ้าไปยังอีกสถานที่หนึ่ง”
ท่ามกลางสายตาตกใจของฝานเทียนหนิง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินตามเหวินชังไห่ออกไปจากลานกว้างแห่งนี้ แต่มิได้ตรงไปยังอารามที่อยู่เบื้องหน้าเขา แต่กลับเดินตรงไปในป่าภูเขาทางด้านซ้ายแทน
ที่นี่มีทางเดินเล็กที่เงียบสงบ เดินผ่านป่าไปอีกครา ดังนั้นจึงออกห่างจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นไปไกลยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เดินไปได้ราว 3 ก้านธูป เหวินชังไห่ก็หยุดลง
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เห็นเรือนที่สวยงามอยู่หลังหนึ่ง !
มันตั้งอยู่ด้านข้างของทะเลสาบ รอบด้านมิมีต้นไม้เก่าแก่ล้อมรอบ แต่กลับเป็นสวนสาลี่ที่บัดนี้ดอกกำลังบานสะพรั่ง !
พวกเขาเดินมาจนถึงทางเข้าประตูเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับทับหลังบนประตูสีแดง ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปพลัน บนทับหลังประตูได้เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีทองว่า เรือนหยุนชิง !
เมื่อเหวินชังไห่เห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน ก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เรือนนี้ถูกสร้างขึ้นมาได้ 5 ปีแล้ว ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่ในทุกปียามที่ดอกสาลี่ผลิบาน สภาพแวดล้อมที่นี่เงียบสงบมากยิ่งนัก ภายในนั้นมีนางกำนัลอยู่ 30 คน ได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว…เพียงแค่ท่านขุนนางโจวกำชับมาหนึ่งประโยค กล่าวถึงพระประสงค์ของฝ่าบาท หากเจ้ามีเวลาว่าง จะเก็บดอกสาลี่เหล่านี้ด้วยตนเองและนำกลับมาให้ฝ่าบาทต้มชาสักกาได้หรือไม่ ? ”