ตำนานเทพยุทธ์ 70

ตอนที่ 70

เมื่อการตัดสินใจกันจนครบ หย่วนปงชายชราก็ขอร้องให้หมอหนุ่ม ให้นำทางไปยังสำนักเทพโอสถของตนและมีกลุ่มของเป่าฮู่ติดตามไปด้วย เพื่อฟังสิ่งที่จะเกิดต่อไปข้างหน้า

เพียงทั้งหลุ่มใช้เวลาเดินทางมาไม่นาน บนหลังเจ้าราชาอสรพิษฟ้าคราม จนถึงยอดบรรพตของสำนักเทพโอสถที่ยิ่งใหญ่

ด้วยการมาที่ไม่ได้รับเชิญ เพราปกติสำนักจะไม่เปิดประตูต้อนรับใครหากคนผู้นั้นไม่ได้รับเชิญจากเจ้าสำนักเทพโอสถแห่งนี้

 

เพียงเวลาผ่านพ้นสองปี หลั่วจื่อที่เป็นอดีตศิษย์ฝ่ายในที่เก่งกาจออกท่องยุทธภพ กลับไม่รู้ว่าสำนักได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก เหล่าอาวุโสรุ่นก่อนที่หนุนหลังอดีตเจ้าสำนัก

ตู่หยาจื่อ ได้ถูกรอบสังหารตกตายไปทั้งสิ้น และอาจารย์ของหลั่วจื่อนาม ผิงเหยียน นางก็ตกตายไปในการเปลี่ยนถ่ายอำนาจภายในเช่นกัน ตอนนี้คนที่ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าสำนักคือชายที่เผอิญมีโชคได้ค้นพบตำราลึกลับในยุคบรรพกาล และยกระดับฝีมือของตนขึ้นมา

เพียงตำราเล่มนั้นสอนการปรุงยาที่มีพิษเป็นส่วนผสมเท่านั้นเอง และนั้นการรักษาโยการใช้พิษต้านพิษ นั่นจึงทำให้เวลา 2 ปีที่ผ่านมา สำนักเทพโอสถจึงได้เปรียบดั่งสำนักโอสถพิษดีๆนี่เอง

 

เป่าฮู่และทุกคนที่เดินทางเข้ามาก็รับรู้ถึงกลิ่นอายพิษอ่อนๆที่ล่องลอยตามลมมา นั่นทำให้สำนักนี้ในสองปีมนี้ไม่มีใครกล้าท้าทาย แม้เป็นสำนักเล็กๆ กลับมีชื่อเสียงในยุทธ์ภพอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเป่าฮู่รับรู้ว่าด้านหน้าคือกำแพงหินที่ด้านในมีสำนักเทพโอสถตั้งอยู่ หย่วนปงที่ดูแลหลานสาวอยู่ไม่ไกล มองดูเป่าฮู่และหมอหนุ่มหลั่วจื่อเดินไปเพื่อขอเจรจาให้สำนักเทพโอสถส่งคนออกมาตรวจสอบหลานสาวของตน

เพียงศิษย์สำนักเทพโอสถที่กลับมาจากการท่องยุทธ์ ศิษย์ที่เฝ้าประตูได้เห็นก็รีบไปรายงานท่านอาวุโสเจิ้ง ชายวัยกลางคนที่ได้รับมอบหมายจาก เจ้าสำนักให้ดูแลทางเข้าออกสำนัก และไม่รับแขกในช่วงที่จ้าวสำนักฝึกวิชาลับของสำนักอยู่นั้นเอง

 

เมื่อเป่าฮู่และหลั่วจื่อเดินมา และเป็นหลั่วจื่อเองที่กล่าวออกไปอย่างเป็นมิตร

“เรียนศิษย์พี่ ข้าหลั่วจื่อ ศิษย์ลำดับที่ 2 ของอาวุโสผิงเหยียน กลับมาจากการท่องยุทธ์ขอเข้าสำนัก เพื่อนำตัวยาบางอย่างไปรักษาคนไข้ ขอให้ท่านพี่เปิดประตู”

 

เพียงรายนามของศิษย์จากหมู่ตึกที่ 4 ของอาวุโส ผิงเหยียนดังขึ้น ใบหน้าของศิษย์ทั้งหลายก็มืดคล้ำลง เพราะในวันที่สำนักลุกเป็นไฟ อาวุโสผิงหยียนนางมีบทบาทที่ต่อต้านท่านเจ้าสำนักมากที่สุด

หลังจากที่ศิษย์เฝ้าประตูนำความไปเรียนอาวุโสเจิ้ง

ตัวอาวุโสเจิ้งก็มาด้วยตนเองและก็มองไปยังชายหนุ่มสองคนเบื้องหน้าและที่พักอยู่ไม่ไกลอีกกลุ่มหนึ่ง

 

เมื่ออาวุโสเจิ้งได้เห็นศิษย์สวมใส่ชุดสีขาวขลิบเขียวด้านล่างก็เข้าใจทันทีถึงอาภรณ์ชุดที่สวมใส่ชุดนี้ และยิ้มขึ้นมาเพราะตนเองเคยใฝ่ฝันที่จะสวมใส่ชุดแบบนี้มาตลอด

จนสำนักมีการเปลี่ยนแปลงและสิ่งเหล่านั้นก็หายไปหลงหลือเพียงภาพแห่งความทรงจำ และศิษย์จากหมู่ตึกที่ 4 นั้นขึ้นชื่อเรื่องความสามารถและใบหน้าของศิษย์ผู้นั้นก็คือ ชายหนุ่มที่เคยมีชื่อเสียงจนได้รับการยอมรับให้ออกท่องยุทธ์ก่อนเวลาอันควรหลั่วจื่อนั่นเอง

 

“ฮ่าๆๆๆ ที่แท้นึกว่าใคร เป็นศิษย์น้องหลั่วจื่อผู้โด่งดัง แต่ว่าตอนนี้ ข้าขอบอกเจ้าก่อนว่าสำนักเราเปลี่ยนไปแล้ว และเจ้าไม่สมควรสวมใส่ชุดอาภรณ์ของเรา สำนักเทพโอสถอีก

เนื่องด้วยอาจารย์ของเจ้าและอาวุโสฝ่ายขวา ได้คิดร้ายก่อการมิซื่อ จนสำนักเกิดความวุ่นวาย เจ้าและศิษย์สำนักรุ่นเก่าที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับท่านเจ้าสำนัก ฮ่านเผิง ก็ไม่มีสิทธ์สวมใส่เครื่องแบบนี้อีก”

 

เป่าฮู่ได้ฟังก็กล่าวต่อหลั่วจื่อทันทีว่า

“น้องชายหากข้าคิดไม่ผิดเวลานี้อาจารย์เจ้าคงเสียไปแล้ว สำนักเจ้าเกิดการกบฎภายในและคนที่ครองตำแหน่งเจ้าสำนักในปัจจุบันคงเป็นคนจัดการทุกสิ่ง เช่นนี้แล้วคงพูดดีด้วยไม่ได้

เพราะสำหรับข้าเจ้าคือผู้มีคุณ ส่วนนางคือครอบครัวที่กำลังป่วยและข้าเห็นแววตาเจ้าที่มองนาง ข้าว่าเจ้าคงไม่ยอมให้นางต้องตกตายใช่หรือไม่?

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จงทำใจที่ข้าอาจต้องทำบางสิ่งที่ลบหลู่บรรพชนของสำนักเทพโอสถของเจ้าในวันนี้ เมื่อไม่ใช่มิตรก็คือศัตรู ข้าพอเข้าใจแล้วดูจากท่าทางเหล่านั้น บางทีอาจเป็นสำนักนี้ทดลองตัวยากับคนบริสุทธิ์ก็เป็นไปได้”

 

เมื่อหลั่วจื่อได้ฟังแม่เสียใจแต่สำนักที่อยู่เบื้องหน้าคือที่ที่ตัวมันเองเติบโตแต่ตนนี้หลับถูกกลุ่มศิษย์ที่ชั่วช้าเป็นใหญ่ฮ่านเผิงและเจิ้งเสียน คือตัวตนที่ชั่วช้ามาก มีหรือหลั่วจื่อจะไม่รู้

ตอนนี้สำนักเทพโอสถเปลี่ยนไปแล้วเช่นนั้นหลั่วจื่อไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับภาพพจน์ตอนนี้ของสำนักอีก แต่ที่ควรสนใจคือ สตรีนางนั้น แม่นางซิวหยูที่กำลังป่วยเพราะถูกพาจากสำนักตรงหน้านี้นั่นเอง

ด้วยกลิ่นอายพิษอ่อนๆที่ลอยออกมามีหรือว่า หลั่วจื่อจะไม่รู้ และหากมีพิษย่อมมียาแก้พิษ

“ท่านพี่เจิ้ง ท่านคงรู้ถึงเรื่องพิษที่กำลังระบาดที่ตีนเขา ข้าขอร้อง แบ่งยาถอนพิษให้ข้าสักเล็กน้อย ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับศิษย์ที่ถูกไล่ออกเช่นข้า”

คำขอที่ไม่มีทางเป็นไปได้และแผลในใจที่เคยถูกตึกที่ 4 ประทับไว้เจิ้งเสียนไม่มีวันลืมและรอยยิ้มที่ปรากฏก็คือสิ่งที่บ่งบอกถึงคำตอบ

“ไม่มีทาง ในเมื่อตึกที่ 4 ของนางแพษยาผิงเหยียนมีแต่คนเก่งๆก็ไปปรุงยาแก้พิษ 9 วิญญาณของท่านเจ้าสำนักเอาเองเถอะ”

เท่านั้นเป่าฮู่ที่ได้ฟังไม่อาจระงับโทสะได้อีกคนหน้าด้านหน้าทนเช่นไรกล้าใช้พิษร้ายกับคนบริสุทธิ์แล้วยังมายิมได้อย่างหน้าตาเฉย วันนี้โทสะที่มีมาจะขอระบายกับสำนักไร้ค่าเช่นนี้

เมื่อเจิ่งเสียนเห็นร่างเงาสีดำเลือนรางพุ่งขึ้นมาจากเนินเขาเบื้องล่าง มันรีบหนไปสั่งการศิษย์ด้านข้าง

“รีบส่งสัญญาณแก่เหล่าอาวุโสในสำนัก มีคนร้ายบุกสำนัก”

 

เพียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น เป่าฮู่ก็รู้ได้ทันทีและหันหน้าไปสั่งหลั่วจื่อว่า

“ไปบอกอาวุโสหย่วนปง คุ้มกันหลานสาวของเขาให้ดี และหากข้าไม่อาจต้านพวกมันได้ค่อยหท่านลงมือ ส่วนเจ้าเมื่อมีโอกาสไปหายาแก้พิษมา และจงทำให้ได้ หากไม่แล้วจงอย่าได้เสนอหน้ามาพบข้า มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าด้วย เพราะสำนักเช่นนี้คนบริสูทธิ์ถึงต้องตายไปมากมาย”

 

เป่าฮู่ไม่สนใจกับสิ่งตรงหน้าเรียกใช้อสูรลมปราณของตนเองทันทีและราชาอสรพาฟ้าครามก็เผยตัว ด้วยลำตัวที่ใหญ่โต กำแพงหินของสำนักได้พังพินาศ เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ ได้เห็น ก็ตกใจ เพราะนั่นคือ

ราชาของพิษลำดับที่ 3 ที่ต้องล่าจากหุบเขาอสรพิษเท่านั้นแล้ว มันมาปรากฏได้เช่นไรแถมยังเป็นตัวเต็มวัยที่กำลังแข็งแรงเต็มที่ด้วยนั่นเอง

 

เมื่อเป่าฮู่เริ่มอาละวาด หย่วนปงก็หันไปสั่งการองครักษ์ด้านข้างและที่กำลังตามมาติดๆทั้ง 5 คนให้ลงไปร่วมมือกับนายท่านของพวกมัน ตรงนี้ตาเฒ่าจะดูแลเอง

เพียงเท่านั้นมหกรรมฆ่าล้างบางก็เกิดขึ้น และหลั่วจื่อได้เห็นการลงมือของคนเหล่านี้ช่างกล้าแกร่งเพื่อคุณธรรมต่อให้มือเปื้อนเลือดก็ต้องยอมทำ นี่คือสิ่งที่หลั่วจื่อได้ค้นพบในวันนี้และหลั่วจื่อจะเป็นหมอที่ดีและใช้วิชาความรู้มาต่อสู้กับหมอเลวๆเช่นฮ่านเพิงนั่นเอง….แก้แค้นให้อาจารย์และกอบกู้สำนักเทพโอสถที่มีคุณธรรมกลับมาอีกครั้ง

“ฝากด้วยนะ คุณชายเป่าฮู่ สังหารพวกมันให้ราบคราบ ไอ้หมอเลวๆพวกนั้น ส่วนเรื่องของนางต่อให้ตายข้าต้องตาย ก็จะหาต้นตนของยาพิษนี้ให้ได้”

Options

not work with dark mode
Reset