ดั่งรักบันดาล 342

ตอนที่ 342

ในโลกใบนี้ มีคนกำลังเสียใจและในเวลาเดียวกันก็มีคนที่กำลังมีความสุข

ในคืนนั้น ณ ไนท์คลับแห่งเมืองเจียงโจว ชายหนุ่มรูปงามและสาวสวยล้วนกระโดดโยกเต้นอยู่บนฟลอร์เต้นรำ เสียงเพลงดังสนั่น แสงไฟระยิบระยับ

ทางด้านขาวของฝั่งชั้นสอง เป็นห้องกระจกเดี่ยวซึ่งเป็นห้องที่ปิดเสียงรบกวนจากข้างนอก คนที่อยู่ข้างในสามารถมองเห็นบรรยากาศทั้งหมดของชั้นหนึ่ง แต่คนข้างนอกนั้นไม่สามารถมองเห็นบรรยากาศภายในห้อง

เสียงดัง " ฟึ่บ " ประตูกระจกภายในห้องถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าหนักก้าวออกมาจากห้องนั้น และภายในห้องนั้นก็มีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่

เมื่ออวี้กู้เป่ยได้ยินเสียงนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นผู้ชายที่เดินออกมาเขาก็ยิ้มมุมปาก " จิ่วเหยี่ย ฉันรอคุณนานมากแล้ว "

ผู้ชายคนนั้นตัวไม่สูง แต่ร่างกายเขาแข็งแรงมาก เขาอายุราวๆสี่สิบได้ ดวงตาเขาแดงก่ำแต่ทั้งแหลมคมและเปล่งประกายราวกับดวงตานกอินทรี

เขายกมือเช็ดเลือดตรงมุมปากเล็กน้อยพร้อมกับเดินเข้ามานั่งตรงโซฟา เขาหัวเราะและพูดขึ้นว่า " ยัยผู้หญิงนั่นไม่ค่อยเชื่อเท่านั้น ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะจัดการได้ เลยทำให้คุณต้องรอนาน "

เขาพูดพร้อมกับหันหลับไปดูที่ห้องนั้น

ลูกน้องของลั่วจิ่วเหยี่ยเห็นเข้าจึงรีบเดินเข้าไปภายในห้องนั้น ไม่นานเขาก็ลากตัวผู้หญิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสื้อผ้ากระจุยกระจายออกมาจากห้องนั้น

บนตัวเธอมีแผลหลายจุดมาก ใบหน้าของเธอซีดเซียว เธอเบะปากมองบน อีกทั้งตรงมุมปากของเธอก็มีคราบเลือด บนไหล่ที่เปลือยเปล่าของเธอมีร่องรอยของรอยฟันกัดอยู่ดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อย

เธอสะอึกสะอื้น ทันทีที่เห็นหน้าของลั่วจิ่วเหยี่ยที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ใบหน้าเธอก็ซีดทันที แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โดนคนลากตัวออกจากห้องกระจกนั้นมาโดยไม่เต็มใจสักนิด

แววตาของอวี้กู้เป่ยบึ้งตึงเล็กน้อย แต่การแสดงออกทางสีหน้าของเขายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ " คาดไม่ถึงเลยว่าลั่วจิ่วเหยี่ยจะมีความสามารถพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ "

ลั่วจิ่วเหยี่ยหัวเราะ พอเขาเห็นว่าประตูถูกปิดลงแล้ว เขาถึงพูดขึ้นอย่างสบายๆว่า " ช่างเถอะ มาคุยธุระกันดีกว่า "

" ไม่รีบครับ " อวี้กู้เป่ยยกแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้น " ผมดื่มให้กับจิ่วเหยี่ยก่อนหนึ่งแก้ว ทำให้แขนของอวี้อี่มั่วได้รับบาดเจ็บไปหนึ่งข้าง ของขวัญการพบกันในครั้งนี้มันน่าตื่นเต้นจริงๆ "

เมื่อลั่วจิ่วเหยี่ยได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เขายื่นมือไปหยิบแก้วขึ้นมา มือข้างที่เขาใช้ถือแก้วนิ้วเขาขาดหายไปหนึ่งนิ้ว เขามีนิ้วทั้งหมดเพียงแค่สี่นิ้วในมือข้างนั้น

ทั้งสองชนแก้วกัน หลังจากดื่มหมดแก้ว ลั่วจิ่วเหยี่ยก็วางแก้วลง แววตาเขามืดมน " ครั้งนี้อวี้อี่มั่วแค่เจ็บแขนเท่านั้น ครั้งหน้าต้องไม่ง่ายแบบนั้นแน่ "

อวี้กู้เป่ยพูดอย่างสบายๆว่า " แต่ว่าสำหรับฉันแล้ว นี่นับเป็นโอกาสที่หายากมาก เขาได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าเขาคงลงมือได้ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน งั้นเกี่ยวกับแผนใหญ่ที่เราวางไว้ แน่นอนว่ามันมีโอกาสสำเร็จสูงมาก "

" แต่จะประมาทไม่ได้ " สีหน้าของลั่วจิ่วเหยี่ยจริงจังมากขึ้น น้ำเสียงเขาหนักแน่นมาก " อวี้อี่มั่วเขาเป็นเหมือนหม่าป่า ครั้งนี้เขาโดนทำร้าย เขาต้องกลับมาแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งมากขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับแผนการครั้งใหญ่นี้ เราต้องห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด "

อวี้กู้เป่ยได้ยินแบบนั้น ก็ยิ้มมุมปาก เขาเขย่าแก้วไวน์ในมือเบาๆและไม่ได้พูดอะไรออกมา

ลั่วจิ่วเหยี่ยหันมามองหน้าเขาและพูดขึ้นว่า " หรือว่าคุณมีวิธี? "

" ถ้าอยากให้แผนการครั้งใหญ่นี้ไม่เกิดข้อผิดพลาด ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็นไปได้สะหน่อย "

อวี้กู้เป่ยจิบไวน์ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย " ฉันมีวิธี แต่ว่าคงต้องลงแรงมากหน่อย แต่รับรองว่าแผนการใหญ่ครั้งนี้จะผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ไม่รู้ว่าจิ่วเหยี่ยจะเห็นด้วยหรือไม่ "

" ว่ายังไง? "

" ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ ถ้าพูดแล้วก็ไม่น่าสนใจสิ " อวี้กู้เป่ยหัวเราะ "ถ้าจิ่วเหยี่ยเห็นด้วย ก็หลีกทางให้ผมสักก้าวถือสะว่าเป็นหลักประกันว่าแผนนี้จะสำเร็จ แต่ถ้าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ก็ตกลงตามเดิมที่คุยกันไว้ ผมเองก็จะยอมแต่โดยดี "

เมื่อลั่วจิ่วเหยี่ยได้ยินแบบนั้น เขาก็นั่งเอนหลังพิงเบาะ หยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปทางเขาและพูดขึ้นว่า " คุณแน่ใจนะว่าจะได้ผล? "

อวี้กู้เป่ยหัวเราะพร้อมกับพูดว่า " ไม่100% แต่ฉันมั่นใจว่า80% มันจะสำเร็จ "

" งั้นก็ดี " ลั่วจิ่วเหยี่ยกัดฟันตัวเอง " ถ้ามันได้ผล ผมจะยอมให้ "

เมื่อสามปีที่แล้ว เขาเคยตกอยู่ในน้ำมืออวี้อี่มั่วแล้วครั้งหนึ่ง เขากลับมาในครั้งนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องการความปลอดภัย

ถ้าแผนการครั้งใหญ่ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เขาก็จะสามารถมีอำนาจในเมืองเจียงโจวต่อไปในอนาคตได้

พอมาคิดๆดูแล้ว มีหลักประกันแบบนี้เขาก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร

อวี้กู้เป่ยยกแก้วขึ้นมาชนแก้วกับเขา " ดี งั้นตกลงตามนี้ "

เขารู้จุดอ่อนของอวี้อี่มั่ว ตอนนี้คงถึงเวลาต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์สะแล้ว

หลังจากหนึ่งชั่วโมง อวี้กู้เป่ยกลับมายังคฤหาสน์ ทันทีที่เข้ามาเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา

ทันใดนั้น แววตาเขาก็อ่อนโยนขึ้น เขาหันไปบอกเช่าจัวว่า " หยุดก่อน "

เช่าจัวที่เข็นรถเข็นให้เขาอยู่ก็รีบหยุดทันที เขาเห็นอวี้กู้เป่ยหยิบผ้าบนตักออกพร้อมกับลุกเดินไปตรงที่โซฟา

เขาก้มลงอุ้มลู่เสี่ยวมั่นที่หลับสนิทขึ้นมาและมุ่งตรงไปที่บันไดพร้อมกับสั่งเช่าจัวว่า " เอารถเข็นตามขึ้นมาด้วย "

เช่าจัวได้ยินแบบนั้นก็รับพยักหน้าตอบทันที

จริงๆแล้ว ขาของอวี้กู้เป่ยกลับมาเดินได้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว เขาผ่านการรักษาด้วยกายภาพบำบัดกล้ามเนื้อมาเป็นเวลานาน เขายืนได้มาตั้งนานแล้ว จากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินได้ ต่อมาขาของเขาก็ดีขึ้นเยอะมากๆ ถึงแม้ว่าในวันที่ฟ้าครึ้มเขามักจะปวดขา แต่อย่างน้อยเขาก็เดินได้

และเรื่องนี้มีเพียงเขาและเช่าจัวที่รู้ แม้กระทั่งลู่เสี่ยวมั่นที่ดูแลเขาอยู่ข้างกายยังไม่รู้เรื่องนี้เลย

ดังนั้นเขาเลยต้องแกล้งทำเป็นยังไม่หายดี เพราะด้วยเหตุผลนี้เขาถึงจะมีข้ออ้างในการเก็บลู่เสี่ยวมั่นไว้ข้างกาย ที่สำคัญที่สุดของคือความพิการของเขาสามารถปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่างๆ

ดังนั้น ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาต้องแสแสร้งต่อหน้าทุกคนนอจากเช่าจัว โชคดีที่เขานั่งอยู่บนรถเข็นมานานหลายปี จนรู้รายละเอียดทุกอย่างเลยไม่ทำให้คนอื่นสงสัย

พอส่งลู่เสี่ยวมั่นกลับไปที่ห้องนอน เขาก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เธอ เมื่อเตรียมจะออกไปก็มีมือของคนหนึ่งเอื้อมมาคว้ามือเขาไว้

หญิงสาวยังคงนอนหลับอยู่ เธอเอื้อมมือมาคว้ามือเขาและเอาไปหนุนราวกับเป็นหมอน

อวี้กู้เป่ยสะดุ้งตกใจ เขายังไม่ทันตั้งตัวมือของเขาก็สัมผัสกับใบหน้าที่นุ่มนวลของหญิงสาว เพียงชั่ววินาที การแสความร้อนในร่างกายเขาก็พลุพล่านออกมา

เมื่อเดือนก่อนตอนที่เขาสามารถเดินได้ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างในตัวเองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ช่วงล่างทั้งหมดของเขากลับมามีความรู้สึกทุกส่วน ซึ่งก็หมายความว่าเขาเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง

เมื่อเห็นแก้มอมชมพูของหญิงสาว ใจเขาก็ไหวหวั่น มีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา แต่วินาทีต่อมา เมื่อคิดถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดมาเขาจึงระงับความรู้สึกได้ให้จมหายไปให้ได้

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและสงบสติอารมณ์ตัวเอง จากนั้นก็รีบดึงมือออกจากอ้อมกอดของหญิงสาวพร้อมกับรีบเดินออกไป เขาปิดๆฟและเดินออกจากห้องอย่างไม่ลังเล

เช่าจัวรอที่อยู่หน้าประตู เมื่อเห็นสีหน้าของอวี้กู้เป่ยแปลกๆไป เขาก็ชะงัก " คุณชาย ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? "

อวี้กู้เป่ยขมวดคิ้วและรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย " ฉันเป็นอะไรไปได้?"

เขาพูดพร้อมกับรีบเดินไปทางห้องนอนของตัวเอง เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็คิดบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าเขาจริงจังและพูดขึ้นอย่างเย็นชา " จริงด้วย ส่งคนไปจับตามองหร่วนซือซือไว้ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอให้มารายงานฉัน! "

เช่าจัวพยักหน้าตอบรับ " คนของเราจับตามองเธออยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่า……"

" แต่ว่าอะไร? "

อวี้กู้เป่ยหันมามองเขา

เช่าจัวรายงานไปตามตรง " คนของเราสังเกตเห็นว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยจับตามองการเคลื่อนไหวของหร่วนซือซือ "

สีหน้าของอวี้กู้เป่ยจริงจังมาก " เป็นคนของใคร? "

" คนของเย่หว่านเอ๋อครับ "

เมื่อได้ยินชื่อนี้ อวี้กู้เป่ยชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก " ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปสนใจ "

ดูเหมือนว่าคนที่ต้องการลงมือกับหร่วนซือซือไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียว เรื่องนี้ยิ่งอยู่ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆจริงๆ

Options

not work with dark mode
Reset