ตั้งแต่หร่วนซือซือเดินออกจากห้องทำงานตัวเอง ก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว พอมาถึงหน้าประตู เธอเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดประตูเข้าไป
อวี้อี่มั่วที่กำลังเซ็นเอกสาร ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเขียนลายเซ็นสวยลงบนเอกสารด้วยท่าทีสง่างาม เสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังหร่วนซือซือ
เธอถามขึ้นว่า : "ท่านประธานอวี้ มีอะไรจะสั่งเหรอคะ?"
อวี้อี่มั่วพูดขึ้นอย่างเป็นทางการ : "อันหร่านกลับบริษัทวันนี้ เธอกลับไปที่แผนกบริหารก่อน ส่วนเจียงฮ่วนเฉินก็รีบจัดการให้ได้ เสร็จเรื่องนี้จะมีรางวัลให้"
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หร่วนซือซือบีบชายเสื้อตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ตอบกลับเสียงเบา : "ค่ะ"
ในใจรู้สึกปวดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นมองเขา ภายในใจสับสนวุ่นวายไปหมด
ตั้งแต่ผู้ช่วยหลิวพูดว่าอันหร่านกลับมาวันนี้ เธอก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้
เมื่อวานทำงานล่วงเวลากับอวี้อี่มั่ว อยู่ในห้องทำงานเขาเย่หว่านเอ๋อมาเจอเข้า ก็เธอพอนึกออกว่าเขาคงไม่เก็บเธอไว้ในแผนกห้องทำงานท่านประธานต่อหรอก
เย่หว่านเอ๋อเป็นว่าที่ภรรยาของเขา* เขาต้องแสดงออกชัดเจน และต้องทำให้เธอสบายใจ
เมื่อต้องเลือกใครสักคนระหว่างสองคนนี้ หากคู่ต่อสู้ของเธอเป็นเย่หว่านเอ๋อ เธอก็ไม่เคยเลยที่จะชนะสักครั้ง
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า พอดีกับที่เขาเงยหน้าขึ้น เธอรวบรวมความกล้า แล้วพูดขึ้นว่า : "ท่านประธานอวี้ สุดสัปดาห์นี้คุณพ่อต้องตรวจร่างกายค่ะ ฉันจะต้องอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องงานหมั้น……"
คำพูดของเธอขาดช่วงไป สบตากับดวงตาที่ดำสนิท ลึกๆในใจรู้สึกค่อนข้างลำบากใจ
สุดสัปดาห์นี้ ศจ.หร่วนต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อเตรียมตัวรับการผ่าตัด แต่มีคุณนายหลิวอยู่ด้วยอยู่แล้ว เธอไปหรือไม่ไปก็ได้ แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากไปร่วมพิธีหมั้นของเขากับเย่หว่านเอ๋อต่างหาก
ครั้งแรกที่หร่วนซือซือและอวี้อี่มั่วไปจดทะเบียนสมรส แม้แต่จัดงานเขาก็ไม่จัดให้ แต่ตอนนี้เขาเพียงแค่หมั้นกับเย่หว่านเอ๋อ กลับจัดเสียยิ่งใหญ่อลังการ จนคนอื่นอิจฉาไปทั่ว เธอเห็นแบบนี้แล้ว เจ็บปวดในใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะฉะนั้น สู้หาข้ออ้างไม่ไปเสียดีกว่า
อวี้อี่มั่วได้ยินแล้ว ขมวดคิ้วแน่น สายตาสับสน เขากลืนน้ำลายลงคอเบาๆเห็นลูกกระเดือกขยับชัดเจน นิ่งไปชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "หว่านเอ๋ออยากให้เธอไป"
หร่วนซือกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น พูดขึ้นอย่างลืมตัวว่า : "แต่ว่าฉันไม่……"
พูดไปครึ่งเดียว พอเธอได้สติ ก็รีบหยุดมันไว้
ตอนนี้อวี้อี่มั่วและเธอเป็นเพียงแค่เจ้านายและลูกจ้าง มาพูดถึงเรื่องแบบนี้มันคงไม่เหมาะ
แต่ว่า มันก็สายไปเสียแล้ว
อวี้อี่มั่วที่นิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา มองไปที่หร่วนซือซือ จู่ๆก็วางปากกาในมือลง แล้วลุกขึ้น เดินมาทางเธอ
หร่วนซือซือตกใจกับสีหน้าท่าทางของเขา ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็สบตาเข้ากับดวงตาที่ดำสนิทของเขา หลบไม่ทันแล้ว
อวี้อี่มั่วยื่นแขนออกมา จับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ แรงกดดันที่ท่วมท้น : "หร่วนซือซือ ที่เธอไม่ไปไม่ใช่เป็นเพราะอาจารย์ตรวจร่างกายหรอก แต่เป็นเพราะเธอเองไม่อยากไปต่างหาก"
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า แล้วรีบพูดขึ้นว่า : "ไม่ใช่ค่ะ……"
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว : "ยังจะมาโกหก?"
รู้จักเธอมานานขนาดนี้ แค่เธอขยับ แค่ดูสีหน้า เขาก็รู้ทันเธอหมดทุกอย่าง ทำไมเขาจะดูไม่ออกล่ะว่าเธอกำลังโกหกอยู่
"ทำไมถึงไม่อยากไป?" เขาถามขึ้น น้ำเสียงเข้มขรึม : "ไม่อยากเห็นฉันหมั้นกับเย่หว่านเอ๋อเหรอ?"
หร่วนซือซือได้ยินแบบนี้ ก็เงยหน้าขึ้น เห็นแววตาที่แน่วแน่ของเขา ก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาดื้อๆ : "ไม่หรอกค่ะ พวกคุณน่ะกิ่งทองใบหยก เหมาะสมกันมาก"
อวี้อี่มั่วแววตาลุกโชน ในใจรู้สึกหนักอึ้ง
เธอรู้เพียงแค่เขากำลังจะหมั้นแล้ว แต่ว่าไม่รู้เลยว่าเขาหมั้นอย่างไม่เต็มใจ ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ชิงซานบังคับเขา เขาก็ไม่ยอมรับปากเด็ดขาด ถ้าหากเธอแค่พูดว่าไม่อยากให้เขาหมั้น เขาก็จะคิดใหม่ทันที……
แต่เธอ ไม่พูดอะไรเลย
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ผ่านไปหลายวินาที อวี้อี่มั่วก็คลายมือปล่อยไหล่ของเธอลง น้ำเสียงเย็นชาเข้าไปอีก ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก : "ไหนๆก็อยากอวยพรพวกเราขนาดนี้ ก็ไปอวยพรอย่างเป็นทางการในพิธีหมั้นวันเสาร์นี้แล้วกัน"
พูดจบก็หมุนตัวกลับไปยังโต๊ะทำงาน แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาโดยไม่มองหน้าเธอ : "ฉันจะโทรไปหาโรงพยาบาลเอง ให้เขาเปลี่ยนไปตรวจวันอาทิตย์แทน ไม่กระทบต่อความกตัญญูของเธอแน่นอน"
หร่วนซือซือเม้มปากแน่น น้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก
เขาปิดกั้นทางเลือกทั้งหมดของเธอแบบนี้ เธอก็คงหาข้ออ้างที่จะไม่ไปงานหมั้นของเขาไม่ได้แล้วล่ะ
เธอเงยหน้าขึ้น มองแผ่นหลังที่เยือกเย็นของเขาที่กำลังยืนหันหลังมองไปทางหน้าต่างอยู่ เธอขมวดคิ้ว ตอบกลับไปว่า : "ค่ะ ขอบคุณท่านประธานอวี้"
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของเขาทันที
กลับถึงห้องทำงานเลขา เธอปิดประตูลง อารมณ์ที่ถูกกดไว้ภายในก็ปะทุออกมาจนหมด
เวลานี้ ความรู้สึกโทษตำหนิตัวเองและความน้อยเนื้อต่ำใจรวมกันไปหมด รอบดวงตาแดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ให้เธอไปร่วมงานหมั้น ไม่เท่ากับว่าตั้งใจให้เธอไปทุกข์ทรมานใจหรือไง?
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น กำลังจะเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในกรอบตา จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออก แล้วมีคนเดินเข้ามา
เธอไม่ทันที่จะหันหน้ากลับไป ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากข้างหลัง : "เลขาหร่วน ไม่เจอกันตั้งนาน"
หร่วนซือซือหันกลับไปมอง ก็เห็นอันหร่านยืนอยู่ที่มุมห้องทำงาน
หยุดงานไปตั้งนาน รู้สึกว่าเธอสวยขึ้นกว่าเก่ามาก ผมม้วนลอนที่ยาวประบ่า ดูดีมากทีเดียว เพียงแต่ว่าแววตาของเธอค่อนข้างเหินห่างและเย็นชา
หร่วนซือซือรีบดึงสติตัวเอง ยิ้มขึ้นที่มุมปาก ทักทายกลับไปว่า : "เลขาอันอัน คุณดูดีจังเลย"
อันหร่านหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร เดินตรงมาที่เธอ หันไปมองรอบๆห้องทำงาน ยิ้มขึ้นแล้วพูดขึ้นว่า : "หยุดยาวคราวนี้ ต้องขอบคุณผลงานครั้งนี้ของเธอ ถึงจะถูก"
พูดพลางเอากล่องๆหนึ่งจากในถุงที่เธอหิ้วมา ยื่นให้เธอ : "นี่คือของที่ระลึกที่ฉันซื้อมาจากมัลดีฟส์ ตอนไปฮันนีมูน น้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉัน เก็บมันไว้แล้วกันนะ "
หร่วนซือซือลังเลไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มขึ้นและรับมันไว้ : "ขอบคุณค่ะ"
อันหร่านยิ้มตอบ แล้วแสร้งทำเป็นพูดขึ้นว่า : "ว่าแต่ว่า เธอทำงานดีมากไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ก็ยังขาดพนักงานอยู่ ทำไมท่านประธานอวี้ถึงไม่ให้เธออยู่ต่อล่ะ?"
เมื่อได้ยินแบบนี้ หร่วนซือซือ ก็รู้สึกจุกเข้าไปใหญ่ เธอหันหน้ากลับมา สบตากับแววตาที่เป็นไปด้วยความสงสัย ทุกคำพูดเป็นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจของเธอ เธอพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เธอไม่รู้ว่าอันหร่านจงใจแสร้งพูดแบบนี้รึเปล่า รู้เพียงแต่ว่าเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ เธอก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ในใจรู้สึกหนักอึ้งเข้าไปใหญ่
เมื่อเห็นว่าหร่วนซือซือ ไม่ตอบอะไร อันหร่านก็ยิ้มขึ้น แสร้งทำท่าทีโบกไม้โบกมือว่าไม่เป็นไร : "ชั่งเถอะชั่งเถอะ ใช่แล้ว ถ้าเธอขนของแล้วต้องการคนช่วยเรียกฉันได้นะ"
หร่วนซือซือนิ่งเงียบ เดารอยยิ้มของเธอไม่ออก พูดอะไรไม่ออกสักคำ หร่วนซือซือเดินไปหน้าโต๊ะทำงานของเธอแล้วเริ่มเก็บของ
อันหร่านที่พูดจาแบบนี้ ฟังออกว่ากำลังพูดจาประชดประชันเธอ นี่คงเป็นแค่การเริ่มต้นสินะ
ตลอดทางตั้งแต่เธอเดินออกจากห้องทำงานแผนกท่านประธาน จนเจอกับเมิ่งจื่อหัน เจอกับพนักงาน เหล่านั้น ก็ได้ยินคำนินทาที่ไม่น่าฟังมากมาย