ดั่งรักบันดาล 193

ตอนที่ 193

ถึงแม้ในใจจะคิดแบบนี้ แต่กลับรู้สึกแย่เหมือนมีอะไรติดอยู่ข้างในใจ อึดอัดระบายออกมาไม่ได้ คิ้วของเขาขมวดแน่น และอายเย็นยะเยือกที่ท่วมท้นตัวของเขา

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เสียงของตู้เยี่ยที่เคาะประตูอยู่พูดขึ้นว่า : “ท่านประธานอวี้ครับ”

ประตูถูกผลักออก ตู้เยี่ยก้าวเดินเข้ามาภายใน สีหน้าค่อนข้างจริงจัง

เขาเดินเข้าไป ยืนข้างๆอวี้อี่มั่ว พูดเสียงต่ำ : “ท่านประธานครับ เมื่อสักครู่เช่าจัวโทรมา บอกว่าอวี้กู้เป่ยอยากพบครับ”

อวี้อี่มั่วพูดออกไปโดยไม่ต้องคิด สีหน้าขรึม : “ไม่อยากพบ”

ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและอวี้กู้เป็นยังไง ต่างคนต่างรู้ดี ไม่จำเป็นต้องเล่นละครพี่น้องปรองดองรักใคร่หรอก

ตู้เยี่ยลังเลพักหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า : “เช่าจัวพูดว่า ครั้งนี้มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยครับ เกี่ยวกับสวี่เฟิงหมิง”

ได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของอวี้อี่มั่วก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “นัดเจอที่ไหน?”

“โรงน้ำชาถิงชิ่ง”

เขาลังเลสักพัก อวี้อี่มั่วก็เปลี่ยนความคิดทันที แผ่นหลังหนักแน่น เขาเม้นปาก พูดขึ้นเบาๆ : “บอกกับเขา ว่าฉันจะไปตามนัด”

ถ้ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับสวี่เฟิงหมิง เขาไม่เคยจะปล่อยผ่าน เมื่อตรวจสอบบัญชีบริษัทคร่าวๆแล้ว เขาพึ่งรู้ว่าสวี่เฟิงหมิงแอบ

ขยักยอกเงินของบริษัทอวี้กรุ๊ปนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าจับสวี่เฟิงหมิงไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจต่อไปได้

“ครับ”

ตู้เยี่ยพยักหน้าตอบรับ รีบรุดไปเตรียมรถรอ

อวี้อี่มั่วยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องรับรอง ผ่านกระจกหน้าต่างที่ใสแจ๋ว วิวทิศใต้ของเจียงโจวสะท้อนนัยน์ตาของเขาชัดเจน อยู่ๆก็หวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อก่อนนี้

เขายังจำครั้งแรกที่ได้เห็นอวี้กู้เป่ย ตอนนั้น คุณพ่อได้พาเหอซู่ผิงและอวี้กู้เป่ยในอายุสิบหกปีกลับมาที่บ้าน

เหตุการณ์วันนั้น เขาจำได้ไม่เคยลืม พริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วหลายปี

รถเตรียมพร้อมแล้ว อวี้อี่มั่วก็กลับเข้าสู่โหมดเย็นชา เขาสวมเสื้อนอก ติดกระดุมชุดสูทด้วยมือเดียว เดินออกไปทางด้านนอก

ไม่ว่าเป้าหมายที่อวี้กู้เป่ยต้องการเจอเขาคืออะไร แต่ก็จะออกไปพบสักตั้งอย่างไม่เกรงกลัว

เมื่อถึงโรงน้ำชาถิงชิ่ง ตู้เยี่ยแจ้งชื่อ ก็มีพนักงานที่ใส่ชุดกี่เพ้ามานำทาง ไปที่ชั้นสามที่ชื่อว่า “น้ำใสฟ้าคราม” ประตูลับหรูถูกเปิดออก อวี้อี่มั่วเดินเข้าไปในห้องหรู ห้องตกแต่งสีเหลืองทองเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ มีเงาคนกำลังลงมา เผยให้เห็นหน้าด้านข้างของเขา

เขากำลังสาวเท้าเดินเข้าไป ตรงด้านหน้า แล้วเดินไปรอบๆ มองเห็นใบหน้ามุมข้างของอวี้กู้เป่ย ข้างๆมีรถเข็นจอดอยู่ เช่าจัวยืนอยู่ตรงนั้น

อวี้อี่มั่วไม่พูดพร่ำทำเพลง นั่งลงตรงข้ามเขา มองอวี้กู้เป่ยด้วยสีหน้าแววตาเยือกเย็น : “ว่ามา”

อวี้กู้เป่ยแสดงสีหน้ายิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ ยกมือโบกให้เช่าจัวออกไปรินน้ำชา พูดเสียงเบาว่า : “พี่ใหญ่ควรจะชิมหน่อย ชาหมิงเฉียนหลงจิ่งของขึ้นชื่อของที่นี่”

สีหน้าของอวี้อี่มั่วขรึม ดวงตาดำทมิฬจ้องมองไปยังอวี้กู้เป่ย : “ฉันไม่มีความชำนาญอะไรมาคุยเรื่องชากับนาย ฉันมาถึงนี่ แกรู้ว่าฉันอยากฟังอะไร?”

นอกจากเรื่องของสวี่เฟิงหมิง เขาไม่อยากฟังอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องให้เสียเวลา

อวี้กู้เป่ยรีบหุบยิ้ม เสิร์ฟชาอย่างไม่รีบร้อน พูดขึ้นว่า : “พี่ใหญ่ ผมเรียกพี่มาแล้ว ยังไงผมก็ต้องพูดอยู่แล้ว

เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังอวี้อี่มั่ว พูดขึ้นเสียงเบา : “ผมก็เป็นหนึ่งในบ้านตระกูลอวี้ ยังไงอวี้กรุ๊ปก็เกี่ยวข้องกับผม ไม่นานมานี้ผมได้ยินว่าพี่ใหญ่ปวดหัวกับเรื่องสวี่เฟิงหมิง ใช้ความสามารถผมไม่มากเท่าไหร่”

พูดแล้ว เขาก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ แล้วพูดขึ้นว่า : “ผมรู้เบาะแสของสวี่เฟิงหมิง”

อวี้อี่มั่วสีหน้าเปลี่ยนทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยื่อกและดำสนิท ชั่วอึดใจ เขาก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น : “ว่ามา อะไรคือข้อแลกเปลี่ยนของนาย”

อวี้กู้เป่ยเชิญเขามาที่นี่อย่างยากลำบาก ชวนเขาคุย ในมือยังถือไพ่ใหญ่ที่เป็นเบาะแสของสวีเฟิงหมิง แน่นอนเขาต้องมีจุดประสงค์อื่น

อวี้กู้เป่ยหัวเราะเบาๆ ดวงตาประกายแวววาว เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าใส่ซื่อไร้เดียงสา : “ผมเองไม่มีเป้าหมายอะไร แต่คุณพ่ออยากให้ผมมีส่วนร่วนในการบริหารอวี้กรุ๊ป ผมอยากให้พี่ให้โอกาสกับผมสักครั้ง”

ทุกอย่างหยุดนิ่งและเงียบสนิท เขามองแก้วน้ำชาสีเขียวที่อยู่ในมือไว้แน่น พูดต่าว่า : “หาเบาะแสของสวี่เฟิงหมิงมาได้ ก็แสดงว่าผมไม่ได้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ใช่ไหมครับพี่ใหญ่?”

คำพูดที่อวี้กู่เป่ยพูดออกมานั้นไม่ใช่เพียงความไม่พอใจ แต่อวี้อี่มั่วสัมผัสได้ถึงภายคุกคามที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ความรู้สึกบอกกับเขาว่า ใจที่ซ่อนอยู่หลังคำพูดที่อ่อนโยนแลดูไม่มีพิษไม่มีภัย มีเลศนัยและความอันตรายเกินกว่าที่ตาเปล่าๆคู่หนึ่งจะมองเห็นมันได้

อวี้อี่มั่วลดตาลง มองไปยันน้ำในแก้วน้ำชาใสสะอาด พูดขึ้นเบาๆว่า : “ทำไมไม่พูดให้ชัดเจนหน่อย”

ทำไมถึงต้องให้เขาเดาไปเอง

อวี้กู้เป่ยยิ้มขึ้นที่มุมปาก พูดต่อว่า : “ผมอยากได้ตำแหน่งรองประธาน ถ้าหากพี่ใหญ่รับปาก ผมจะรีบเปิดเผยข้อมูลเบาะแสของสวี่เฟิงหมิงทันที ”

รสนิยมไม่ใช่จะย่อยๆ ก้าวแรกก็เล็งจะขึ้นตำแหน่งรองประธาน

อวี้อี่มั่วหัวเราะเบาๆในลำคอ เหลือบตาไปมองอวี้กู้เป่ย แล้วพูดขึ้นว่า : “คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอเหรอ?”

อวี้กรุ๊ปไม่ใช่ของเล่นเด็ก ตอนที่เขาค่อยๆไต่เต้าตำแหน่งประธานนี้ ผ่านการทดสอบของคุณพ่อมาไม่ใช่น้อยๆ แต่อวี้กู้เป่ยยังกล้ามาเอ่ยปากขอ แค่เอ่ยปากก็ขอถึงตำแหน่งรองประธาน

อวี้กู้เป่ยพูดขึ้นเสียงเบา : “พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าความสามารถของผมมีขีดจำกัด แต่การที่เราได้เรียนรู้จริงถึงจะเติบโตได้ไม่ใช่เหรอครับ? นี่คือสิ่งที่พ่อสอนเรามา พี่ลืมแล้วเหรอครับ? ”

ได้ยินอวี้กู้เป่ยที่เอ่ยถึงพ่อซ้ำๆ อวี้อี่มั่วสายตาเย็นชาหนักขึ้น หลังจากนั้น เขาเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์แล้วเงยหน้า จ้องมองไปที่อวี้กู้เป่ย : “ไหนๆก็อยากได้ตำแหน่งรองประธานอยู่แล้ว ทำไมไม่ไปคุยกับพ่อ ให้เขาจัดการให้”

หลังจากคำนี้สิ้นสุดลง อวี้อี่มั่วขี้เกียจที่จะเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ เขาลูกขึ้นยืนโดยไม่ลังเล สายตาก็ยังคงจ้องมองไปยังอวี้อี่มั่ว แล้วก็ก้าวเท้าเดินจากออกไป

เขายอมเสียเวลามาที่นี่เพื่อสืบเรื่องของสวี่เฟิงหมิง เขาเองก็ไม่ได้โง่พอจะเปิดช่องโหว่ในบริษัท แล้วให้คนนอกเดินเข้ามา

ประตูหรูถูกปิดลง“ปัง”ดังลั่น อวี้กู้เป่ยหน้าเสียขึ้นมาอย่างจัง สีหน้าเปลี่ยนไปตามความอึมครึมของบรรยากาศบริเวณนั้น

เมื่อเห็นว่าอวี้กู้เป่ยค่อยๆยกมือขึ้นมา กำมือไว้แน่น เช่าจัวที่ยืนอยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า : “คุณชาย คุณรู้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่รับปาก ทำไมถึงต้องเสียเวลาทำแบบนี้ครับ”

อวี้กู้เป่ยได้ยินแล้ว หัวเราะในลำคอเบาๆ แววตาฉายแววร้ายกาจและอันตราย : “ฉันเองก็ไม่ได้หวังตำแหน่งรองประธานอะไรนั่นหรอก ฉันแค่ต้องการหยั่งเชิงก็เท่านั้นแหละ”

ไม่ใช่แค่หยั่งเชิงหรอก แต่รวมไปถึงมีผลทำให้เขาสับสนด้วย เขาพูดว่าจะเอาเบาะแสของสวี่เฟิงหมิงมาให้ อย่างน้อยๆเขาก็ตัดฉันออกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องสวี่กับเฟิงหมิงเรียบร้อยแล้ว

เช่าจัวสีหน้ายังแย่ รีบถามต่อว่า : “แล้วทางด้านสวี่เฟิงหมิงต้องทำยังไงต่อ? ตอนนี้เขาอยู่ภายในประเทศ ถ้าเกิดโดนคนของอวี้อี่มั่วจับเข้าล่ะก็……”

อวี้กู้เป่ยสีหน้าเปลี่ยนทันที พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ : “ถ้ามันไม่เชื่อฟัง ก็จัดการซะ ”

ก็แค่แมล็ดพันธุ์ไร้คุณภาพ

เวลานี้ โทรศัพ์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าก็สั่นขึ้น เขาเปิดเข้าไปดู เป็นลู่เสี่ยวมั่นที่ส่งข้อความมา : “คุณอวี้ ส่านเตี้ยนไม่ยอมทานอะไรเลย ไม่สบายรึเปล่าคะ? ”

ส่านเตี้ยน คือนกแก้วอเมซอนคิ้วแดงที่อวี้กู้เป่ยเลี้ยงไว้

อวี้กู้เป่ยมองหน้าจอมือถือด้วยสีหน้าที่สับสนและตั้งคำถาม พร้อมกับเลิกคิ้วสูง

ทำไมเขารู้สึกว่า ถ้าเปรียบเทียบแล้ว ลู่เสี่ยวมั่นไม่ห่วงเขา แต่กลับไปห่วงสัตว์ตัวนั้น?

เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ สีหน้าที่เย็นชาก็สลายหายไป มองไปที่เช่าจัว แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ : “ไป กลับบ้าน”

Options

not work with dark mode
Reset