ซ่างเย่ 6 เข่ง

ตอนที่ 6 เข่ง

จิ้นเยว่รู้สึกว่าฟู่จิ่วชิงช่างมีผิวพรรณสะอาดสะอ้านดี แต่นิสัยของเขากลับมิดีนัก มักฉุดกระชากลากข้อมือของนางเป็นประจำ

ครานี้ นางถูกเขาลากกลับไปยังลานบ้าน

"ข้ารู้ทางกลับเองแล้ว เจ้าจักลากข้าเช่นนี้อีกเพื่อเหตุใด?" จิ้นเยว่ลูบข้อมือแดงเรื่อของนาง "ข้าจักหนีไปไหนได้เล่า"

บิดาของนางเพิ่งออกมาจากเรือนขัง นางยังคงหวังให้ตระกูลฟู่ปกป้องบิดาของนางอยู่ นางจะหนีไปไหนได้?

"เข้ามานี่!"ฟู่จิ่วชิงก้าวขาเข้าไปด้านในเรือน

"คุณหญิงเจ้าคะ อย่าได้ทำให้คุณชายโมโหไป คนด้านนอกกำลังจับตามองอยู่นะเจ้าคะ!" ซวงจือกระซิบบอก

ด้านนอกงั้นหรือ?

จิ้นเยว่หยุดฝีเท้าของนางลง แล้วนึกถึงฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองขึ้นมาได้

ฮูหยินใหญ่ซุนซื่อ นางมิลืมสิ่งที่ฮูหยินกระทำเมื่อครู่นี้แน่

จิ้นเยว่ยกชายกระโปรงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วค่อยๆย่างก้าวตามฟู่จิ่วชิงไป

ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆฟู่จิ่วชิงก็หันกลับมา "จวินซาน……"

"ขอรับคุณชาย!"

"คุณหญิง!"

ทรวงอกของเขารับรู้ถึงความเจ็บ จู่ๆก็พบว่ามีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระแทกยังอ้อมอกของเขา ในวินาทีต่อมา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชาอยู่แล้ว วินาทีนี้ช่างมิต่างอันใดกับเมฆครึ้มที่ใกล้จะก่อพายุซึ่งปกคลุมไปทั่วเมืองเลยแม้แต่น้อย

เมื่อลมพัดผ่านกำแพง ใบไม้สีเหลืองดุจดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงก็หล่นลงสู่พื้น

จมูกของนางร้อนขึ้นเล็กน้อย จิ้นเยว่ยกมือขึ้นกุมจมูกของนางอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มผู้นี้ร่างกายทำด้วยเหล็กหรือไร? เพียงแค่บังเอิญชนเข้าก็รู้สึก……

ฝ่ามือของนางกลายเป็นสีแดงเข้ม เลือดกำเดาไหล!

"บ่าวจะไปนำยามาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!" ซวงจือกล่าวจบก็รีบวิ่งออกไป

"ช้าก่อน มิเป็นไร! มิต้องหรอก ข้า……"

ยังมิทันจะเอ่ยจบ จิ้นเยว่ก็ถูกลากเข้าไปในเรือนเสียแล้ว

"นอนลง หากข้ามิอนุญาตให้ลุกขึ้น เจ้าจงอย่าได้ลุกขึ้น!" ฟู่จิ่วชิงกล่าวอย่างเย็นชา

เมื่อตอนที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงของเขาช่างเย็นเยือกดุจน้ำค้างแข็งและหิมะในฤดูหนาว

จิ้นเยว่รู้สึกว่าเขามิได้ใส่ใจนางเลย แต่เป็นความรังเกียจ ขยะแขยงต่างหาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นสะบัดแขนเสื้อและนั่งอยู่ตรง

หน้าต่าง คงเป็นเพราะเกรงว่าเลือดที่จมูกของนางจะไปเปื้อนเสื้อคลุมของเขาเป็นแน่

"ดั้งจมูกมิได้หัก แค่ถูกกระแทกเท่านั้น!"จิ้นเยว่เงยหน้าขึ้นและผงกศีรษะของนางเบา ๆ "อีกประเดี๋ยวเลือดก็หยุด"

ซวงจือที่กำลังเดินถือยาจะเข้าไปตรงประตู แต่กลับถูกจวินซานห้ามเอาไว้

"อย่าเข้าไป!" จวินซานลากซวงจือออกมาด้านข้าง "ประเดี๋ยวเจ้าจงปิดประตูในเรือนทุกบาน เหลือไว้เพียงทางเข้าหลัก เข้าใจหรือไม่?"

ซวงจือส่ายหน้า นางมิเข้าใจ!

จวินซานขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ทำตามที่ข้าบอก ทำเป็นหรือไม่?"

ซวงจือพยักหน้า นางทำเป็น!

แม้ว่านางจะมิรู้ว่าจวินซานต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่เขาเป็นผู้อารักขาที่ติดตามคุณชายมาตลอด สิ่งที่เขาทำน่าจะเป็นสิ่งที่คุณชายปรารถนา ดังนั้นซวงจือจึงมิกล้าขัดขืน

เพียงแค่ว่า ปาเข้าไปเดือนเจ็ดเดือนแปดแล้ว ควรจักระบายอากาศอันอบอ้าวเสียบ้าง สองวันมานี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น แม้แต่สวมเสื้อผ้าบางๆยังร้อนเสียจนเหงื่อตก หากว่าปิดประตูอีกละก็ เรือนนี้จะมิร้อนดุจอยู่ในเข่งหรอกหรือ?

จวินซานเดินเข้ามาพร้อมกับซุปลูกหลีเย็นฉ่ำ เขากล่าวว่ามันสามารถบรรเทาให้เย็นลงได้ จากนั้นวางหนังสือไว้ตรงหน้าต่างด้วยความนอบน้อม คงจะเป็นฟู่จิ่วชิงสั่งให้เขาหยิบมา

"ข้ามิได้เป็นเพราะอากาศร้อนสักหน่อย!" จิ้นเยว่เช็ดคราบเลือดบริเวณมุมจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้า เมื่อนางแน่ใจว่ามิมีเลือดออกแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งช้าๆ กล่าวว่า "บิดาของข้าเป็นหมอ ข้าจักมิรู้เรื่องเล็กน้อยนี้เช่นนี้เชียวหรือ?"

ฟู่จิ่วชิงหาได้สนใจนางไม่ เขายังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าต่าง

อาภรณ์สีขาว ชาหนึ่งถ้วยและหนังสือ

กลิ่นหอมของชาหอมอบอวลลอยไปทั่วช่างยั่วยวน

ด้านนอกมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย จิ้นเยว่ซ่อนกายตรงหน้าต่างและมองออกไปด้านนอกตรงช่องว่าง มองดูสวีโมโม่ปัดกวาดลานกว้าง ในมือของนางราวกับว่าหนีบอะไรบางอย่างไว้

เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว นางก็ทำท่าทางจะเปิดหน้าต่างออก

"ตุ๊บ!" ฟู่จิ่วชิงนำหนังสือตบลงบนมือของนางด้วยเสียงอันดัง โดยมิมีการเตือนล่วงหน้า

แม้จะมิได้ใช้แรงมากนัก แต่ก็ทำให้จิ้นเยว่ตกตะลึงและรีบชักมือของนางกลับมาทันที

เมื่อมองไปยังหน้าต่างที่ปิดอยู่ จิ้นเยว่ก็รวบรวมความกล้าของนางแล้วกล่าวว่า "เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่?"

"ดื่มซุปลูกหลีเสีย!" ฟู่จิ่วชิงไม่แม้แต่จะส่งสายตามามองนาง ใบหน้าของเขายังคงเย็นชามิแปรเปลี่ยน

เขาอ่านหนังสือต่อไป และนางก็จำใจดื่มซุปลูกหลีอย่างว่าง่าย

เมื่อดื่มซุปลูกหลีหมดเรียบร้อยแล้ว ความร้อนในร่างกายของนางก็หายไปเกินกว่าครึ่ง ทำให้นางสบายตัวขึ้นมาก

แต่คนด้านนอกกลับมิค่อยสบายเท่าไหร่

หลังจากที่สวีโมโม่ย่างกรายเข้ามายังประตู ซวงจือก็ปิดประตูลงทันที ราวกับเข่งที่ถูกปิดด้วยฝา และในเรือนก็ร้อนระอุ อย่างไรเสียนางก็อายุมากแล้ว หลังจากนั้นมินานสวีโมโม่ก็รู้สึกหน้ามืดตาลาย นางไม่สามารถแม้แต่จะยืนได้อย่างมั่นคงและเนื้อตัวของนางสั่นทอนเล็กน้อย

"เหตุใดคุณหญิงจึงยังมิออกมาอีกนะ?" สวีโมโม่หน้าซีดเหงื่อตกราวกับเม็ดฝน

ซวงจือทำความเคารพนาง จากนั้นยิ้มและปาดเหงื่อให้ "สวีโมโม่ รออีกประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ! เมื่อตอนที่คุณหญิงกลับมาได้สะดุดหน้ากระแทกเข้า คุณชายก็อยู่ด้วยด้านใน บ่าวมิกล้าเคาะประตูเรียก หากว่าสวีโมโม่รอมิไหว จะลองเคาะเรียกดูก็ได้นะเจ้าคะ?"

ผู้ใดบ้างมิรู้ว่าองค์ชายห้าฟู่จิ่วชิงคือผู้ขี้โรค อีกทั้งยังแสนจะเยือกเย็น แต่กลับเป็นบุตรชายของฟู่เจิ้งไป่ซึ่งให้กำเนิดเขาตอนอายุมากแล้ว จึงทำให้นายท่านฟู่รักใคร่ยิ่งนัก

นอกจากนายท่านฟู่แล้ว ผู้ใดจะกล้าเคาะประตูเรือนเขาเล่า?

"ข้า ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของฮูหยิน……"

"เดี๋ยวๆๆ สวี่โมโม่! สวี่โมโม่!"

"รีบหามออกไปเสีย ไปนำยาลดไข้มา!"

อีกฟากหนึ่งของประตู

จิ้นเยว่ "……"

เช่นนี้ก็ได้หรือ?!

ซ่างเย่

ซ่างเย่

Score 10
Status: Completed
ในใจของฟู่จิ่วชิงมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่ เมียของตัวเอง ถูกเขาแอบขโมยมา...... ใครๆล้วนรู้ว่า ตระกูลฟู่ในเมืองเหิงโจว ร่ำรวยเท่ากับประเทศชาติเลยทีเดียว แต่เสียที่ทายาทล้วนไม่เอาไหนทั้งนั้น ลูกคนโตตายตั้งแต่ยังเด็ก ลูกคนที่สองใช้เงินทองสุรุ่ยสุร่าย ลูกคนที่สามชอบหาโสเภณี ลูกคนที่สี่เป็นคนโง่ ฟู่จิ่วชิงเป็นลูกหลงซึ่งออกโดยเมียน้อย และก็เป็นคนขี้โรคมาตั้งแต่เกิดด้วย จิ้นเยว่ไม่ยอมแต่งเข้าไปในตระกูลฟู่ แต่พ่อเข้าคุก นางในฐานะที่เป็นแค่หญิงอ่อนแอเท่านั้น จะทำอะไรได้ล่ะ? แต่ว่าหลังจากแต่งเข้าไปแล้ว คนขี้โรคที่ได้ยินมานั้น เหมือนไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้น โดยเฉพาะวิธีการทรมานคน ทำไมถึง......โหดร้ายขนาดนั้น? อยู่มาวันหนึ่ง จิ้นเยว่ตื่นตัวขึ้นมาทันที สามีของตัวเองเป็นหมาป่าหางโตที่ใส่หนังแกะนี่เอง! หัวใจของข้าแบ่งเป็นสามส่วน ตะวัน นิศาบดีและเจ้า ตะวันและนิศาบดีมอบให้กับเจ้า ยอมล่มสิ้นใต้หล้าเพื่อเจ้าเพียงผู้เดียว!——ฟู่จิ่วชิง

Options

not work with dark mode
Reset