ซ่างเย่ 31 จงกลับไปกับข้า (๓)

ตอนที่ 31 จงกลับไปกับข้า (๓)

ณ ห้องโถงบุปผา

ซ่งเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาก็เงยหน้าขึ้นทันใด จากนั้นจึงพบว่าฟู่จิ่วชิงพาจิ้นเยว่เดินเข้าประตูไป ทั้งสองคนเดินจูงมือกัน เสื้อผ้าอาภรณ์สีสันช่างดูเข้ากันดี ราวกับได้นัดหมายเอาไว้ล่วงหน้า มองดูชายหนุ่มหญิงสาว ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก!

ความรู้สึกแปลกๆในใจของเขาค่อยๆแผ่ซ่านออกไปทั่ว ซ่งเยี่ยนยังคงนั่งอยู่ที่นั่น นิ้วมือทั้งห้าของเขาหดเข้าไปในแขนเสื้อแล้วกำมันแน่น แน่นเสียจนเส้นเลือดปูดโปน

เขามิเคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย ตามปกติแล้วนางจะมัดผมหางม้า สวมเสื้อคลุมตัวยาวซึ่งมีเพียงเข็มขัดผ้าผูกรอบเอวเอาไว้ มิว่าจะเดินไปที่ใดก็มักมีดาบอันเย็นชาอยู่ในมือเสมอ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความเยือกเย็น

ฟู่จิ่วชิงพาจิ้นเยว่มาทำความเคารพ มองไปช่างเหมือนสามีภรรยาที่รักใครให้ความเคารพต่อกันยิ่ง

"จิ้นเยว่!" ซ่งเยี่ยนเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา "จงกลับไปกับข้าเสีย!"

จิ้นเยว่กะพริบตาและจับมือของฟู่จิ่วชิงไว้แน่น นางมิเข้าใจว่าประโยคเมื่อครู่ขององค์ชายเล็กที่ตรัสว่า "กลับไป" หมายถึงอะไร?

หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว นางรู้สึกว่าองค์ชายเล็กคงจะจำคนผิดเป็นแน่ นางและบิดาของนางเกิดที่เมืองเหิงโจว เติบโตใน เมืองเหิงโจว นางมิมีที่อื่นให้ไปนอกจากกลับไปสู่หมู่บ้านของตน

"องค์ชายเล็กพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าท่านจะจำผิดคนแล้ว!" ฟู่จิ่วชิงอ้าปากเอ่ยขึ้นกับซ่งเยี่ยนด้วยสีหน้าเฉยเมย "คนสองคนบางทีหน้าตาอาจคล้ายคลึงกัน กระทั่งชื่อก็เหมือนกัน แต่เยว่เอ๋อร์มิใช่คนที่ท่านกำลังตามหา นางเป็นภรรยาคนกระหม่อม องค์ชายจะเอานางไปไหนมิได้!"

"จิ้นเยว่ กลับไปกับข้า!" ซ่งเยี่ยนนำมือตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน เขาส่งผ่านความน่าเกรงขามออกมาจากร่างกาย

ในอดีตนั้น เพียงแค่เขาเอ่ยออกมา แม้ว่าจะเป็นภูเขาเพลิงก็ตามแต่แม่นางผู้นั้นก็จะไม่แม้แต่คิด แม้ว่านางต้องแลกมาด้วยชีวิต……นางก็มิเคยเอ่ยคำว่า "ไม่" ออกมาสักครั้งเดียว

แต่บัดนี้ นางยืนอยู่ข้างกายผู้ชายอื่น จ้องมองเขาด้วยสายตาสับสน ราวกับว่านางมิเข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวออกมาเลย

"องค์ชายเล็กเพคะ หม่อมฉันเติบโตมาในเมืองเหิงโจวตั้งแต่เป็นเด็ก และบัดนี้ได้กลายมาเป็นสะใภ้ของตระกูลฟู่ องค์ชายจะให้หม่อมฉันกลับไปที่ใดกัน?" จิ้นเยว่งุนงง เมื่อตอนที่นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา นางได้กัดริมฝีปากแล้วชายตามองดูฟู่จิ่วชิง

ฟู่จิ่วชิงยืนอยู่ข้างงจับมือนางไว้

วินาทีที่นางเหลือบมองไป เป็นจังหวะที่เขาก็หันมามองนางเช่นกัน สายตาของทั้งคู่ประสานกัน จนทำให้หูของจิ้นเยว่ร้อนผ่าว

ซ่งเยี่ยนกำมือแน่น เสียงนิ้วของเขาดังลั่น จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปคว้าข้อมือของจิ้นเยว่มาไว้ "กลับไปกับข้าบัดเดี๋ยวนี้!"

"องค์ชายเล็ก!" ฟู่จิ่วชิงเข้ามายืนขวางหน้าจิ้นเยว่

เมื่อเฉิงหนานเห็นว่าสถานการณ์มิปกติ ก็ได้รีบก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อม "องค์ชายเล็กพ่ะย่ะค่ะใจเย็นๆก่อน บางทีอาจเป็นแค่คนหน้าตาคล้ายคลึงกัน……"

"เจ้าคือจิ้นเยว่!" ซ่งเยี่ยนยืนยันได้ว่านี่คือจิ้นเยว่ของเขามิผิดแน่ เพียงแต่เขามิรู้ว่าทำไมนางถึงกลายเป็นเช่นนี้? นางจำเขามิได้ด้วยซ้ำ?

ก่อนหน้านี้จิ้นเยว่มักอยู่ใกล้ๆตัวเขาตลอดยี่สิบสองชั่วโมงก็ว่าได้ มิได้แยกจากกันแม้แต่นิดเดียว

ความมืดมนในดวงตาของฟู่จิ่วชิงทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ "ในเมื่อองค์ชายเล็กเชื่อว่าภรรยาของกระหม่อมคือคนที่องค์ชายกล่าวมา เช่นนั้นกระหม่อมขอถามสักหน่อยว่า ทรงมีหลักฐานหรือไม่? มีเครื่องหมายอะไรไหม?"

ซ่งเยี่ยนอ้าปากค้าง ดวงตาของเขามองไปยังแขนของจิ้นเยว่ เขาจำได้เพียงว่านางรับลูกธนูแทนเขาที่ต้นแขน และมีรอยแผลเป็นรูปลูกธนูที่แขนของนาง นอกจากนี้แล้วเขาก็มิรู้สิ่งใดเกี่ยวกับนางเท่าไหร่นัก

"เหอะๆ……" ฟู่จิ่วชิงหัวเราะออกมาจนแทบมิได้ยิน จากนั้นเอ่ยเบาๆว่า "ในเมื่อองค์ชายเล็กบอกมิได้ ก็หมายความว่าแม่นางผู้นี้มิได้สำคัญเท่าไร หากเป็นคนสำคัญจริงๆ เหตุใดพบหน้ากันแต่กลับจำมิได้?"

หลังจากนั้นฟู่จิ่วชิงก็โค้งคำนับ "เรื่องที่ศาลาชิวสุ่ยในค่ำคืนนี้ ตระกูลฟู่จะให้คำอธิบายแก่ท่าน หากมิมีเรื่องใดแล้วกระหม่อมขอลา!"

ซ่งเยี่ยนมองดูฟู่จิ่วชิงพาจิ้นเยว่เดินออกไป เขาจำคนผิดไปจริงๆงั้นหรือ?

แต่ใบหน้านั้นซึ่งอยู่ร่วมกันมานับสิบปี ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็จำนางได้!

"องค์ชายเล็ก?" เฉิงหนานก้าวไปข้างหน้าอย่างสั่นเทา

"เจ้าคิดว่า……ใช่นางหรือไม่?" ซ่งเยี่ยนรู้สึกตัวสั่นขึ้นในทันใด เขากลับมิแน่ใจขึ้นมา

เฉิงหนานส่ายหัว "กระหม่อมขอทูลตามความจริงว่า คุณหญิงห้ามิเหมือนใต้เท้าจิ้นสักเท่าไร องค์ชายเล็กพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าจิ้นกระทำทุกเรื่องด้วยความเด็ดขาดและมิเคยผัดวันประกันพรุ่ง องค์ชายก็ทรงทราบดีว่าในใจนาง……"

เฉิงหนานมิกล้าเอ่ยประโยคหลังออกมา

ในสายตาและดวงใจของใต้เท้าจิ้นนั้นมีเพียงแค่องค์ชายเล็กเท่านั้น เพื่อองค์ชายเล็กแล้ว……แม้แลกมาด้วยชีวิตนางก็ยอม

ซ่งเยี่ยนสะบัดแขนเดินออกไป

ค่ำคืนอันมืดมน

จิ้นเยว่เดินตามฟู่จิ่วชิงกลับไปที่เรือนซ่างอี๋ "ทำเรื่องเคืองพระทัยองค์ชายเล็กเช่นนี้จะดีหรือ? เรื่องในค่ำคืนนี้ หากว่าองค์ชายเล็กทรงสืบสวนเรื่องนี้ในคืนนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ก็เป็นได้"

ลมพัดโคมในลานบ้านแกว่งไกวไปมา ไฟยังคงสว่างตลอดเวลา

ฟู่จิ่วชิงมองนางจากมุมข้าง แล้วกล่าวว่า "เจ้าว่า เจ้าควรจะทำอย่างไร?"

จิ้นเยว่ตกใจและรีบดึงมือของตนกลับมา ดูเหมือนเขากำลังโกรธ

เมื่อฝ่ามือของเขาว่างเปล่า ใบหน้าของฟู่จิ่วชิงก็มืดมนลง

เมื่อเห็นดังนี้ จิ้นเยว่รีบวางมือของนางกลับเข้าไปไว้ในฝ่ามือของเขาและพลิกจับมือที่เย็นชาของเขาแทน ราวกับว่ากำลังสางขนให้สุนัขของป้ารองอย่างไรอย่างนั้น นางใช้ปลายนิ้วของตนลูบไล้ไปบนมืออันเรียบเนียนของเขา จากนั้นจึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า "เจ้าว่าเช่นไร ข้าก็ทำเช่นนั้น!"

อย่าได้มาเกี่ยวข้องกับนางเป็นพอ!

บิดาของนางมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หากเกิดอันใดขึ้นกับนาง แล้วบิดาของนางจะคาดหวังให้ใครดูแลนับจากนี้?

ฟู่จิ่วชิง มองลงไปยังนิ้วหัวแม่มืออันคล่องแคล่ว ปลายนิ้วของนางหยาบกร้านเล็กน้อย กำลังเคลื่อนไปมาอย่างเป็นธรรมชาติและมิเกรงกลัว ความหนาวเย็นในดวงตาของเขาหายไปอย่างมาก "คืนนี้เจ้าเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน พักผ่อนให้สบาย มิว่าได้ยินเสียงใดก็จงอย่าออกมา จำได้หรือไม่?"

จิ้นเยว่ผงะ ก่อนที่นางจะเอ่ยอันใดออกมาก็พบว่าฟู่จิ่วชิงหันหลังจากไปเสียแล้ว

ลมพัดเสื้อคลุมปลิว เผยให้เห็นชายเสื้อผ้าสีขาวนวลราวพระจันทร์ของเขา ช่างเหมือนกับแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ เยือกเย็นและสะอาดสะอ้าน

"คุณหญิงเจ้าคะ?" ในที่สุดซวงจือก็มีโอกาสเข้าใกล้นาง "เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?"

จิ้นเยว่ส่ายหัว "ข้ารู้สึกคันคอเล็กน้อย เกรงว่าจะมิดีเท่าไร ข้าจะเขียนใบสั่งยาแล้วเจ้าช่วยไปซื้อยาให้ข้าสักหน่อย"

"เจ้าค่ะ!" ซวงจือพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า "คุณหญิงช่างน่าทึ่งจริงๆเจ้าค่ะ สามารถรักษาโรคได้ด้วยตนเอง"

จิ้นเยว่ก้าวเข้ามาในเรือน "เฮ้อ บิดาของข้าเป็นหมอนี่!"

เรื่องในค่ำคืนนี้จิ้นเยว่มิสนใจแม้แต่น้อย เพราะนางมีบิดาและสหายเป็นชาวเมืองเหิงโจวจริงๆ เป็นไปมิได้เลยที่จะเป็นแม่นางคนที่องค์ชายเล็กกล่าว ดังนั้นจึงมิมีสิ่งใดต้องสงสัย

ตกกลางดึก ตระกูลฟู่ก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น มีทหารจำนวนมากบุกเข้าไปในตระกูลฟู่ และขับไล่ทุกคนไปยังสวนดอกไม้ของลานด้านหน้า แต่มิได้เข้าไปรบกวนเรือนซ่างอี๋ มิได้แม้แต่แตะต้องต้นหญ้าสักต้น

เมื่อจิ้นเยว่ตื่นขึ้น ก็เป็นเวลาเช้าแล้ว แต่จมูกของนางหายใจมิสะดวกนัก ศีรษะหนักอึ้งเล็กน้อย คาดว่าคงจะเป็นหวัดเสียจนได้

นางถามซวงจือดู พบว่าฟู่จิ่วชิงมิได้เดินทางมาในยามค่ำคืน

ฟู่จิ่วชิงมิชอบให้ผู้ใดเอ่ยถามมากความ ดังนั้นจึงมิมีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน

หลังจากที่นางล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจึงเดินออกจากเรือนไป จิ้นเยว่เหลือบมองที่ลาน จากนั้นก็ต้องตกตะลึงยืนอยู่ ณ ตรงนั้นเป็นเวลานานโดยมิได้สติกลับคืนมา

นี่ นี่คืออะไรกัน?

ซ่างเย่

ซ่างเย่

Score 10
Status: Completed
ในใจของฟู่จิ่วชิงมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่ เมียของตัวเอง ถูกเขาแอบขโมยมา...... ใครๆล้วนรู้ว่า ตระกูลฟู่ในเมืองเหิงโจว ร่ำรวยเท่ากับประเทศชาติเลยทีเดียว แต่เสียที่ทายาทล้วนไม่เอาไหนทั้งนั้น ลูกคนโตตายตั้งแต่ยังเด็ก ลูกคนที่สองใช้เงินทองสุรุ่ยสุร่าย ลูกคนที่สามชอบหาโสเภณี ลูกคนที่สี่เป็นคนโง่ ฟู่จิ่วชิงเป็นลูกหลงซึ่งออกโดยเมียน้อย และก็เป็นคนขี้โรคมาตั้งแต่เกิดด้วย จิ้นเยว่ไม่ยอมแต่งเข้าไปในตระกูลฟู่ แต่พ่อเข้าคุก นางในฐานะที่เป็นแค่หญิงอ่อนแอเท่านั้น จะทำอะไรได้ล่ะ? แต่ว่าหลังจากแต่งเข้าไปแล้ว คนขี้โรคที่ได้ยินมานั้น เหมือนไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้น โดยเฉพาะวิธีการทรมานคน ทำไมถึง......โหดร้ายขนาดนั้น? อยู่มาวันหนึ่ง จิ้นเยว่ตื่นตัวขึ้นมาทันที สามีของตัวเองเป็นหมาป่าหางโตที่ใส่หนังแกะนี่เอง! หัวใจของข้าแบ่งเป็นสามส่วน ตะวัน นิศาบดีและเจ้า ตะวันและนิศาบดีมอบให้กับเจ้า ยอมล่มสิ้นใต้หล้าเพื่อเจ้าเพียงผู้เดียว!——ฟู่จิ่วชิง

Options

not work with dark mode
Reset