ชายาเคียงหทัย 289-2 พิธีขึ้นครองราชย์อันยิ่งใหญ่

ตอนที่ 289-2 พิธีขึ้นครองราชย์อันยิ่งใหญ่

เสียงกลองหนักๆ ดังขึ้นหลายครั้ง เป็นสัญญาณว่าพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ผู้คนที่เมื่อครู่ยังก้มหน้าก้มตาพูดคุยกันอยู่ ต่างพากันนั่งหลังตรง จับจ้องไปยังปลายพรมสีแดงผืนใหญ่ที่ปักเป็นลายมังกรขนาดมหึมา

เด็กชายที่อายุเพียงหกเจ็ดขวบค่อยๆ เดินเข้ามาท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม โดยมีไทเฮาอยู่ในชุดราชสำนักอันหรูหราสง่างามเดินอยู่ข้างกายม่อซูอวิ๋น มือข้างหนึ่งจับจูงเด็กน้อยที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการตื่นกลัว นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป นางก็จะมิใช่ฮองไทเฮาอีกแล้ว แต่จะเป็นไทฮองไทเฮาแทน

เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีผู้ใหญ่จำนวนมากกำลังจับจ้องตนอยู่ ม่อซู่อวิ๋นก็ถอยหนีตามความเคยชิน แต่มือข้างหนึ่งกลับถูกไทเฮาดึงรั้งไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้

ไทเฮาก้มหน้าลงไปเอ่ยกับเขาเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องกลัว ย่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”

เด็กชายตัวน้อยอยู่ในชุดมังกรสีเหลืองอร่าม แต่มองดูแล้วกลับเหมือนเด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งที่น่าสงสาร แต่เขาที่ถือว่ามีพัฒนาการ ยังไม่ถึงขั้นร้องไห้ออกมากลางสถานการณ์เช่นนี้

ไทเฮาตาเป็นประกาย เอ่ยเตือนเรียบๆ ว่า “ยังจำได้หรือไม่ว่าองค์หญิงซีฝูสอนเจ้าว่าอย่างไร”

“จำได้…” ม่อซู่อวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเบา มองเสด็จย่าตรงหน้าด้วยความเกรงกลัว ดูเหมือนการคิดถึงองค์หญิงซีฝูที่ดูอบอุ่นน่าเข้าใกล้ยิ่งผู้นั้น จะทำให้เขามีความกล้าขึ้นหลายส่วน เขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง

ไทเฮาเอ่ยว่า “รู้ก็ดีแล้ว ไปเถิด องค์หญิงซีฝูกำลังดูเจ้าอยู่ที่ข้างหน้าด้วยนะ”

ม่อซู่อวิ๋นพยักหน้า ปล่อยให้ไทเฮาจูงมือเขาเดินไปยังบัลลังก์มังกรที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน ถึงแม้ในใจจะรู้สึกกลัวเป็นยิ่งนัก แต่เขากลับมิได้คิดที่จะหลีกหนีไปเช่นเมื่อครู่อีก เมื่อเดินผ่านโต๊ะองค์หญิงซีฝูกับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ม่อซู่อวิ๋นก็ตาเป็นประกายคิดอยากพูดบางอย่างกับองค์หญิงซีฝู

องค์หญิงซีฝูเพียงส่งยิ้มอย่างรักใคร่ไปให้ พร้อมกับส่ายหน้า เด็กน้อยผู้นั้นก็ได้แต่กัดปากอย่างน่าสงสาร และเดินตามไทเฮาไปข้างหน้าต่อไป

“องค์ชายสิบเปลี่ยนไปมากทีเดียว หลายวันนี้สิ่งที่เสด็จป้าสั่งสอนก็ถือว่าไม่เสียเปล่า” เยี่ยหลีถอนใจเอ่ยเบาๆ

องค์หญิงซีฝูส่ายหน้า “เขายังห่างไกลอีกมาก” หากเทียบกับวันที่ได้พบหน้าแรกๆ ก็ถือว่าเขาดีขึ้นมากจริงๆ แต่หากจะเป็นประมุขแห่งแคว้นๆ หนึ่ง ก็ยังมีหนทางอันยาวไกลอย่างหาใดเปรียบที่เด็กน้อยผู้นั้นจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ ซึ่งระหว่างทาง เขาจำเป็นจะต้องมีอาจารย์ที่ฉลาดเฉลียวคอยสั่งสอนและประคับประคอง ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นประมุขผู้ชาญฉลาดแห่งยุคมาได้ตั้งแต่เกิด เพียงแต่ไม่รู้ว่า…คนเหล่านั้นจะให้โอกาสนั้นแก่เขาหรือไม่

ม่อซู่อวิ๋นถูกไทเฮาจูงเดินขึ้นไปตามบันใดที่สูงชัน โดยมีขุนนางจากกรมพิธีการและโหราจารย์คอยควบคุมให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมต่างๆ อย่างเคร่งครัด

ถึงแม้จะอยู่ไกล แต่เยี่ยหลีก็สามารถมองเห็นว่า เด็กน้อยร่างเล็กผู้นั้นเหน็ดเหนื่อยจนโงนเงนแทบจะล้มลง เพียงแต่เขามิได้ร้องไห้ออกมา กลับฝืนทนต่อไปเงียบๆ

เยี่ยหลีหันมองไปโดยรอบ เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดหลี่ซื่อถึงไม่ได้มาด้วย” ตามหลักเหตุผลแล้ว หลี่ซื่อเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว นางก็จะเป็นฮองไทเฮาที่ถูกต้อง ในงานเช่นนี้นางไม่มาได้ด้วยหรือ

องค์หญิงซีฝูส่ายหน้า “เพื่อให้เด็กผู้นั้นเชื่อฟัง ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการได้จับหลี่ซื่อขังไว้แล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คิ้วสีขาวประหนึ่งหิมะขององค์หญิงซีฝูก็ขมวดเข้าหากัน สายตาที่มองไปยังม่อจิ่งหลีที่นั่งอยู่ด้านสุด เต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แต่กลับจับมารดาผู้ใด้กำเนิดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ไทเฮาแห่งแคว้นไปกักบริเวณไว้ ต่อให้เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ต่อให้เพื่อให้พระราชพิธีขึ้นครองราชย์เป็นไปอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่เขาทำก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อย

พระราชพิธีที่ดำเนินไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็จบลง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวก็ถูกคนพาออกไปพัก ต่อจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการกินดื่มสังสรรค์ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อายุยังน้อย เรื่องเหล่านี้ย่อมต้องให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการคอยจัดการแทน

เมื่อเห็นม่อจิ่งหลียกจอกสุราขึ้นชูให้กับแขกเหรื่อที่มากับขุนนางทุกคนอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ทุกคนต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แผ่นดินอันกว้างใหญ่ของต้าฉู่แห่งนี้ อย่างน้อยทุกสิ่งทุกอย่างก็จะอยู่ในมือหลีอ๋องเป็นการชั่วคราว

งานเลี้ยงที่กินเวลายาวนาน มิใช่สิ่งที่เยี่ยหลีชื่นชอบ เด็กทั้งสองที่อายุไม่เต็มหกขวบดีก็เริ่มนั่งกันไม่ติด นั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ม่อตัวน้อยก็เริ่มงอแงจะออกไปวิ่งเล่น เยี่ยหลีจึงหันไปบอกกล่าวม่อซิวเหยา ก่อนจะพาเด็กทั้งสองออกเดินไปยังอุทยาน

ช่วงเวลาในเดือนสาม เป็นช่วงที่ต้นหญ้าและดอกไม้ในอุทยานบานสพรั่งและเต็มไปด้วยหมู่ภมร กลิ่นดอกไม้ลอยเข้ามาเตะจมูก ผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปมาอยู่ตามดอกไม้ จนทำให้เหลิ่งจวินหานเบิกตาโตมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ

เมื่อเห็นท่าทางเหลิ่งจวินหานประหนึ่งหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางดอกไม้และผีเสื้อเหล่านั้น ม่อตัวน้อยก็ส่งเสียงหึขึ้นมาด้วยความดูแคลน เหลิ่งเอ๋อน้อยช่างโลกแคบเสียเหลือเกิน ดอกไม้เขียวๆ แดงๆ เหล่านี้กับผีเสื้อที่บินไปบินมาให้ว่อนนั่น มีอันใดน่ามองกัน ทิวทัศน์ที่ซีเป่ยของพวกเขาต่างหากถึงจะเรียกว่าสวยงาม แล้วยังมีสำนักศึกษาหลีซานของท่านตาทวดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ กับบ้านท่านอาหานที่ปลูกอยู่นอกเมืองหลีนั่นอีก น่ามองกว่าอุทยานในวังหลวงเป็นร้อยเท่า

เมื่อสั่งให้องครักษ์ติดตามพวกเขาไปแล้ว เยี่ยหลีก็ปล่อยให้เด็กทั้งสองออกไปวิ่งเล่นในอุทยานกันตามสบาย ส่วนตนนั่งปลีกวิเวกอยู่ในศาลารับลมภายในอุทยาน เมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่คุ้นเคย ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงภาพที่ตนเข้าวังในคราแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ตนเพิ่งได้รับพระราชทานงานสมรสกับม่อซิวเหยา กับหลายครั้งต่อมาที่นางต้องเข้าวังในช่วงที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ยามนั้นตำหนักติ้งอ๋องยังถูกคนคอยควบคุมต่างๆ นานา ยามนี้กลับสามารถเป็นอิสระได้โดยที่ไม่ต้องสนใจผู้ใดอีกแล้ว ส่วนฮ่องเต้ที่ภาคภูมิใจในความสำเร็จในยามนั้น กลับถอนตัวจากโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นเถ้าทุลีดินไปเสียแล้ว

คนในอุทานค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น โดยมากเป็นคุณนายและคุณหนูจากแต่ละตระกูล งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่บุรุษ นั่งอยู่นานๆ ก็มีบ้างที่จะเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมาก จับกลุ่มกันสองคนบ้างสามคนบ้างเดินเล่นเข้ามาในอุทยาน

เยี่ยหลีนั่งอยู่ในศาลารับลมก็ไม่ถือว่าลับตาคนสักเท่าไร ย่อมมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นนาง แต่ด้วยเพราะตำหนักติ้งอ๋องมีฐานะที่ค่อนข้างพิเศษ คนที่กล้าเข้ามาพูดคุยด้วยจึงมีอยู่เพียงไม่กี่คน

เยี่ยหลีก็มิได้สนใจ เดิมทีคนที่นางรู้จักในเมืองหลวงก็มิได้มีมากนักอยู่แล้ว หากเทียบกับการทักทายอย่างไร้ความหมาย นางยินดีที่จะนั่งสบายๆ อยู่คนเดียวเสียมากกว่า”

“พระชายา…”

นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่ไม่ถือว่าเป็นคุ้นเคยนัก ซึ่งก็คือมารดาของฉินเจิง ฮูหยินผู้ตรวจการ เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยว่า “ฉินฮูหยิน เชิญนั่งเถิด”

ฉินฮูหยินเอ่ยขอบคุณอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ยามที่ติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวง ได้นำจดหมายของฉินเจิงมาส่งให้พวกเขา แต่การอ่านจากจดหมายก็ไม่วางใจเท่ากับการได้ยินกับหู อีกทั้ง ด้วยฐานะของพวกเขาทั้งสองตระกูลก็ไม่อาจไปเยี่ยมเยียนถึงที่ตำหนักได้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด ครานี้เมื่อเห็นเยี่ยหลีมานั่งอยู่ในอุทยาน ฉินฮูหยินย่อมคิดอยากเข้ามาสอบถามข่าวคราวของบุตรสาวตนเอง

เยี่ยหลีก็เข้าใจสิ่งที่นางคิด จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินวางใจเถิด เจิงเอ๋อร์กับพี่รองมีชีวิตที่ดียิ่งนัก บุตรของพวกเขาก็เริ่มเรียนหนังสือแล้ว เป็นเด็กน้อยที่เฉลียวฉลาดทีเดียว หากฮูหยินไม่เชื่อคำพูดข้า ก็น่าจะเชื่อเชื้อสายตระกูลของตระกูลสวี ซึ่งย่อมไม่มีทางปล่อยได้เจิงเอ๋อร์ลำบาก”

มิใช่เพียงไม่มีทางให้นางลำบากเท่านั้น ทุกวันนี้คนในตระกูลสวีทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างดีกับฉินเจิงยิ่งกว่าอันใด สวีฮูหยินก็แทบจะรักใคร่เอ็นดูฉินเฟิงประหนึ่งลูกแท้ๆ อยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ คุณชายทั้งห้าของตระกูลสวี มีถึงสี่คนที่ไม่ยอมแต่งงาน จึงทำให้สวีฮูหยินและสวีฮูหยินรองนึกเจ็บใจที่ยามนั้นไม่จับคู่หมั้นหมายกันไว้ให้มากอีกสักหน่อย ฉินเจิงเป็นลูกสะใภ้เพียงคนเดียวของตระกูลสวี ทั้งยังเป็นสะใภ้ที่คลอดหลานชายเพียงคนเดียวในยามนี้ให้กับตระกูลสวี จะไม่ให้คอยดูแลนางอย่างดีอยู่ในฝ่ามือได้อย่างไร

ฉินฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเขินๆ “พระชายาล้อข้าเล่นแล้ว มีหรือข้าจะไม่เชื่อพระชายา เพียงแต่…”

เยี่ยหลีอมยิ้มตบหลังมือนางเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจว่า “ข้าเข้าใจ น่าสงสารจิตใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ มีพ่อแม่คนใดบ้างที่ไม่นึกเป็นห่วงบุตร ฮูหยินวางใจได้เลย ตระกูลสวีกับพี่รองจะต้องปฏิบัติต่อเจิงเอ๋อร์ด้วยดีอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินกับผู้ตรวจการฉิน ต่อให้เป็นข้าก็ไม่มีทางตบปากรับคำ”

สวีชิงเจ่อถึงแม้จะดูมีนิสัยที่เย็นชา แต่ก็ถือว่าเป็นสามีที่ดียิ่งนัก หลายปีมานี้ ไม่มีแม้แต่จะทะเลาะกับฉินเจิง พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างสงบเรียบร้อยจนทำให้เยี่ยหลีอดนึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ ตัวนางเองยังมีบ้างที่โต้เถียงกับม่อซิวเหยา แง่งอนกันบ้างเป็นครั้งคราวเสียด้วยซ้ำ

ฉินฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเบาใจว่า “การมีสหายเช่นพระชายา ถือเป็นโชคดีของเจิงเอ๋อร์”

“ฮูหยินล้อข้าเล่นแล้ว การมีสหายเช่นเจิงเอ๋อร์ก็เป็นโชคดีของข้าเช่นกัน”

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส ฮูหยินหลายท่านที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงพากันล้อมเข้ามา

ฉินฮูหยินกับเยี่ยหลีมีความคิดเช่นเดียวกัน จึงเปลี่ยนไปสนทนากันเรื่องอื่น หันไปพูดคุยเรื่องจิปาถะกับคุณนายเหล่านั้น คนที่ตามฮูหยินเหล่านั้นมา ยังมีคุณหนูสาวที่แต่ละคนงดงามประหนึ่งดอกไม้หยก เมื่อเห็นท่าทีเขินอายของสาวน้อยแรกแย้มเหล่านี้ ในใจเยี่ยหลีก็ลอบขบขันขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เดิมทีความตั้งใจของคุณนายเหล่านี้มิได้อยู่ที่สุรา การเข้ามาเอ่ยพูดคุยเรื่องเก่าๆ นั้นเป็นเพียงฉากลวง แต่การคิดอยากผลักดันบุตรสาวตระกูลตนเองต่างหากที่เป็นเรื่องจริง

พูดไปพูดมาก็ใช่ ถึงแม้ยามนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าหลีอ๋องเป็นผู้ที่กุมอำนาจอยู่ แต่อิทธิพลของตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ลบล้างกันไปง่ายๆ เช่นนั้น หากมีสตรีตระกูลใดไปถูกใจติ้งอ๋องเข้า และสามารถปีนขึ้นตำหนักติ้งอ๋องจนต่อไปมีตำหนักติ้งอ๋องเป็นที่พึ่งได้ย่อมเป็นเรื่องดี ต่อให้ปีนไม่ได้ สิ่งที่เสียไปก็เป็นเพียงบุตรสาวคนหนึ่งเท่านั้น ชนชั้นสูงเหล่านี้ไม่ขาดแคลนบุตรสาวสายรองหรือแม้กระทั่งบุตรสาวสายหลักสักคนหรือสองคนหรอก

ส่วนสตรีเหล่านี้ก็เป็นสตรีที่เติบโตมาจากการได้ยินได้ฟังเรื่องของตำหนักติ้งอ๋อง จึงต่างยกย่องชื่นชมติ้งอ๋องทุกรุ่นกันมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งการที่ม่อซิวเหยามีใจรักเดียวใจเดียวต่อเยี่ยหลีมาหลายปีเช่นนี้ ก็กลายเป็นเรื่องเล่าที่น่าเอ่ยถึง หากมีชายหนุ่มเช่นนี้มาชอบพอ ย่อมเป็นฝันหวานที่งดงามที่สุดของหญิงสาวทุกคน

เยี่ยหลีเรียกได้ว่าพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้น้อยครั้งนัก หลายปีที่ผ่านมา มิใช่ว่าจะไม่มีสตรีที่ยินดีจะยกให้ม่อซิวเหยา แต่โดยมากม่อซิวเหยาสามารถจัดการไล่กลับไปได้ด้วยตนเอง ส่วนเพียงคนเดียวที่นางจัดการไล่ไปเองกับมือก็คือหลิ่วกุ้ยเฟย แต่สตรีตรงหน้าเหล่านี้กลับมิได้เป็นสตรีไร้ยางอายที่ตามตอแยไม่เลิกเช่นหลิ่วกุ้ยเฟย ซึ่งเยี่ยหลีย่อมไม่มีทางใช้คำพูดร้ายๆ อย่างที่ใช้กับหลิ่วกุ้ยเฟยมาใช้กับหญิงสาวและคุณหญิงคุณนายเหล่านี้

ในขณะที่กำลังจนใจพลางด่าว่าถึงเสน่ห์ที่ดึงดูดหมู่ภมรของม่อซิวเหยาอยู่ในใจนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังลอยมาจากที่ไกลๆ

เยี่ยหลีใจหล่นวูบ รีบถลึงตัวลุกขึ้น เมื่อครู่ม่อตัวน้อยกับเหลิ่งจวินหานก็หายไปทางนั้นพอดี นางเพียงเอ่ยว่าขอตัว ก่อนเยี่ยหลีจะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกไปจากศาลารับลม รีบพุ่งตัวไปทางต้นเสียงทันที

ในศาลารับลมเดิมทีเต็มไปด้วยกลุ่มคุณหญิงคุณนาย เมื่อจู่ๆ เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหันเช่นนี้ ก็ต่างพากันตกใจ เมื่อตั้งสติได้ก็เห็นร่างในชุดสีขาวของเยี่ยหลีกระโดดหายไปปานประหนึ่งผีเสื้อเสียแล้ว

“นี่…นี่มันเกิดอันใดขึ้น”

“ทางฟากนู้นคงเกิดอันใดขึ้นกระมัง” มีคนเอ่ยเสียงเบาขึ้น

“พวกเราก็ไปดูกันเถิด” มีคนเอ่ยปากขึ้น ไม่นาน ทุกคนก็พากันเคลื่อนตัวออกจากศาลารับลม ไปตามทางเสียงกรีดร้องที่ดังลอยมาทันที

ศาลารับลมที่ก่อนหน้านี้ยังมีเสียงดังอื้ออึงกลับเงียบสงบลงทันใด ฉินฮูหยินที่เดินรั้งท้ายสุด เมื่อเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นเดินตามชายาติ้งอ๋องไป ก็ได้แต่อมยิ้มส่ายหน้าพร้อมออกเดินตามไป

เสียงกลองหนักๆ ดังขึ้นหลายครั้ง เป็นสัญญาณว่าพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ผู้คนที่เมื่อครู่ยังก้มหน้าก้มตาพูดคุยกันอยู่ ต่างพากันนั่งหลังตรง จับจ้องไปยังปลายพรมสีแดงผืนใหญ่ที่ปักเป็นลายมังกรขนาดมหึมา

เด็กชายที่อายุเพียงหกเจ็ดขวบค่อยๆ เดินเข้ามาท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม โดยมีไทเฮาอยู่ในชุดราชสำนักอันหรูหราสง่างามเดินอยู่ข้างกายม่อซูอวิ๋น มือข้างหนึ่งจับจูงเด็กน้อยที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการตื่นกลัว นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป นางก็จะมิใช่ฮองไทเฮาอีกแล้ว แต่จะเป็นไทฮองไทเฮาแทน

เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีผู้ใหญ่จำนวนมากกำลังจับจ้องตนอยู่ ม่อซู่อวิ๋นก็ถอยหนีตามความเคยชิน แต่มือข้างหนึ่งกลับถูกไทเฮาดึงรั้งไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้

ไทเฮาก้มหน้าลงไปเอ่ยกับเขาเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องกลัว ย่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”

เด็กชายตัวน้อยอยู่ในชุดมังกรสีเหลืองอร่าม แต่มองดูแล้วกลับเหมือนเด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งที่น่าสงสาร แต่เขาที่ถือว่ามีพัฒนาการ ยังไม่ถึงขั้นร้องไห้ออกมากลางสถานการณ์เช่นนี้

ไทเฮาตาเป็นประกาย เอ่ยเตือนเรียบๆ ว่า “ยังจำได้หรือไม่ว่าองค์หญิงซีฝูสอนเจ้าว่าอย่างไร”

“จำได้…” ม่อซู่อวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเบา มองเสด็จย่าตรงหน้าด้วยความเกรงกลัว ดูเหมือนการคิดถึงองค์หญิงซีฝูที่ดูอบอุ่นน่าเข้าใกล้ยิ่งผู้นั้น จะทำให้เขามีความกล้าขึ้นหลายส่วน เขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง

ไทเฮาเอ่ยว่า “รู้ก็ดีแล้ว ไปเถิด องค์หญิงซีฝูกำลังดูเจ้าอยู่ที่ข้างหน้าด้วยนะ”

ม่อซู่อวิ๋นพยักหน้า ปล่อยให้ไทเฮาจูงมือเขาเดินไปยังบัลลังก์มังกรที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน ถึงแม้ในใจจะรู้สึกกลัวเป็นยิ่งนัก แต่เขากลับมิได้คิดที่จะหลีกหนีไปเช่นเมื่อครู่อีก เมื่อเดินผ่านโต๊ะองค์หญิงซีฝูกับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ม่อซู่อวิ๋นก็ตาเป็นประกายคิดอยากพูดบางอย่างกับองค์หญิงซีฝู

องค์หญิงซีฝูเพียงส่งยิ้มอย่างรักใคร่ไปให้ พร้อมกับส่ายหน้า เด็กน้อยผู้นั้นก็ได้แต่กัดปากอย่างน่าสงสาร และเดินตามไทเฮาไปข้างหน้าต่อไป

“องค์ชายสิบเปลี่ยนไปมากทีเดียว หลายวันนี้สิ่งที่เสด็จป้าสั่งสอนก็ถือว่าไม่เสียเปล่า” เยี่ยหลีถอนใจเอ่ยเบาๆ

องค์หญิงซีฝูส่ายหน้า “เขายังห่างไกลอีกมาก” หากเทียบกับวันที่ได้พบหน้าแรกๆ ก็ถือว่าเขาดีขึ้นมากจริงๆ แต่หากจะเป็นประมุขแห่งแคว้นๆ หนึ่ง ก็ยังมีหนทางอันยาวไกลอย่างหาใดเปรียบที่เด็กน้อยผู้นั้นจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ ซึ่งระหว่างทาง เขาจำเป็นจะต้องมีอาจารย์ที่ฉลาดเฉลียวคอยสั่งสอนและประคับประคอง ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นประมุขผู้ชาญฉลาดแห่งยุคมาได้ตั้งแต่เกิด เพียงแต่ไม่รู้ว่า…คนเหล่านั้นจะให้โอกาสนั้นแก่เขาหรือไม่

ม่อซู่อวิ๋นถูกไทเฮาจูงเดินขึ้นไปตามบันใดที่สูงชัน โดยมีขุนนางจากกรมพิธีการและโหราจารย์คอยควบคุมให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมต่างๆ อย่างเคร่งครัด

ถึงแม้จะอยู่ไกล แต่เยี่ยหลีก็สามารถมองเห็นว่า เด็กน้อยร่างเล็กผู้นั้นเหน็ดเหนื่อยจนโงนเงนแทบจะล้มลง เพียงแต่เขามิได้ร้องไห้ออกมา กลับฝืนทนต่อไปเงียบๆ

เยี่ยหลีหันมองไปโดยรอบ เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดหลี่ซื่อถึงไม่ได้มาด้วย” ตามหลักเหตุผลแล้ว หลี่ซื่อเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว นางก็จะเป็นฮองไทเฮาที่ถูกต้อง ในงานเช่นนี้นางไม่มาได้ด้วยหรือ

องค์หญิงซีฝูส่ายหน้า “เพื่อให้เด็กผู้นั้นเชื่อฟัง ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการได้จับหลี่ซื่อขังไว้แล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คิ้วสีขาวประหนึ่งหิมะขององค์หญิงซีฝูก็ขมวดเข้าหากัน สายตาที่มองไปยังม่อจิ่งหลีที่นั่งอยู่ด้านสุด เต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แต่กลับจับมารดาผู้ใด้กำเนิดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ไทเฮาแห่งแคว้นไปกักบริเวณไว้ ต่อให้เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ต่อให้เพื่อให้พระราชพิธีขึ้นครองราชย์เป็นไปอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่เขาทำก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อย

พระราชพิธีที่ดำเนินไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็จบลง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวก็ถูกคนพาออกไปพัก ต่อจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการกินดื่มสังสรรค์ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อายุยังน้อย เรื่องเหล่านี้ย่อมต้องให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการคอยจัดการแทน

เมื่อเห็นม่อจิ่งหลียกจอกสุราขึ้นชูให้กับแขกเหรื่อที่มากับขุนนางทุกคนอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ทุกคนต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แผ่นดินอันกว้างใหญ่ของต้าฉู่แห่งนี้ อย่างน้อยทุกสิ่งทุกอย่างก็จะอยู่ในมือหลีอ๋องเป็นการชั่วคราว

งานเลี้ยงที่กินเวลายาวนาน มิใช่สิ่งที่เยี่ยหลีชื่นชอบ เด็กทั้งสองที่อายุไม่เต็มหกขวบดีก็เริ่มนั่งกันไม่ติด นั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ม่อตัวน้อยก็เริ่มงอแงจะออกไปวิ่งเล่น เยี่ยหลีจึงหันไปบอกกล่าวม่อซิวเหยา ก่อนจะพาเด็กทั้งสองออกเดินไปยังอุทยาน

ช่วงเวลาในเดือนสาม เป็นช่วงที่ต้นหญ้าและดอกไม้ในอุทยานบานสพรั่งและเต็มไปด้วยหมู่ภมร กลิ่นดอกไม้ลอยเข้ามาเตะจมูก ผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปมาอยู่ตามดอกไม้ จนทำให้เหลิ่งจวินหานเบิกตาโตมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ

เมื่อเห็นท่าทางเหลิ่งจวินหานประหนึ่งหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางดอกไม้และผีเสื้อเหล่านั้น ม่อตัวน้อยก็ส่งเสียงหึขึ้นมาด้วยความดูแคลน เหลิ่งเอ๋อน้อยช่างโลกแคบเสียเหลือเกิน ดอกไม้เขียวๆ แดงๆ เหล่านี้กับผีเสื้อที่บินไปบินมาให้ว่อนนั่น มีอันใดน่ามองกัน ทิวทัศน์ที่ซีเป่ยของพวกเขาต่างหากถึงจะเรียกว่าสวยงาม แล้วยังมีสำนักศึกษาหลีซานของท่านตาทวดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ กับบ้านท่านอาหานที่ปลูกอยู่นอกเมืองหลีนั่นอีก น่ามองกว่าอุทยานในวังหลวงเป็นร้อยเท่า

เมื่อสั่งให้องครักษ์ติดตามพวกเขาไปแล้ว เยี่ยหลีก็ปล่อยให้เด็กทั้งสองออกไปวิ่งเล่นในอุทยานกันตามสบาย ส่วนตนนั่งปลีกวิเวกอยู่ในศาลารับลมภายในอุทยาน เมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่คุ้นเคย ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงภาพที่ตนเข้าวังในคราแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ตนเพิ่งได้รับพระราชทานงานสมรสกับม่อซิวเหยา กับหลายครั้งต่อมาที่นางต้องเข้าวังในช่วงที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ยามนั้นตำหนักติ้งอ๋องยังถูกคนคอยควบคุมต่างๆ นานา ยามนี้กลับสามารถเป็นอิสระได้โดยที่ไม่ต้องสนใจผู้ใดอีกแล้ว ส่วนฮ่องเต้ที่ภาคภูมิใจในความสำเร็จในยามนั้น กลับถอนตัวจากโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นเถ้าทุลีดินไปเสียแล้ว

คนในอุทานค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น โดยมากเป็นคุณนายและคุณหนูจากแต่ละตระกูล งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่บุรุษ นั่งอยู่นานๆ ก็มีบ้างที่จะเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมาก จับกลุ่มกันสองคนบ้างสามคนบ้างเดินเล่นเข้ามาในอุทยาน

เยี่ยหลีนั่งอยู่ในศาลารับลมก็ไม่ถือว่าลับตาคนสักเท่าไร ย่อมมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นนาง แต่ด้วยเพราะตำหนักติ้งอ๋องมีฐานะที่ค่อนข้างพิเศษ คนที่กล้าเข้ามาพูดคุยด้วยจึงมีอยู่เพียงไม่กี่คน

เยี่ยหลีก็มิได้สนใจ เดิมทีคนที่นางรู้จักในเมืองหลวงก็มิได้มีมากนักอยู่แล้ว หากเทียบกับการทักทายอย่างไร้ความหมาย นางยินดีที่จะนั่งสบายๆ อยู่คนเดียวเสียมากกว่า”

“พระชายา…”

นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่ไม่ถือว่าเป็นคุ้นเคยนัก ซึ่งก็คือมารดาของฉินเจิง ฮูหยินผู้ตรวจการ เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยว่า “ฉินฮูหยิน เชิญนั่งเถิด”

ฉินฮูหยินเอ่ยขอบคุณอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ยามที่ติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวง ได้นำจดหมายของฉินเจิงมาส่งให้พวกเขา แต่การอ่านจากจดหมายก็ไม่วางใจเท่ากับการได้ยินกับหู อีกทั้ง ด้วยฐานะของพวกเขาทั้งสองตระกูลก็ไม่อาจไปเยี่ยมเยียนถึงที่ตำหนักได้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด ครานี้เมื่อเห็นเยี่ยหลีมานั่งอยู่ในอุทยาน ฉินฮูหยินย่อมคิดอยากเข้ามาสอบถามข่าวคราวของบุตรสาวตนเอง

เยี่ยหลีก็เข้าใจสิ่งที่นางคิด จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินวางใจเถิด เจิงเอ๋อร์กับพี่รองมีชีวิตที่ดียิ่งนัก บุตรของพวกเขาก็เริ่มเรียนหนังสือแล้ว เป็นเด็กน้อยที่เฉลียวฉลาดทีเดียว หากฮูหยินไม่เชื่อคำพูดข้า ก็น่าจะเชื่อเชื้อสายตระกูลของตระกูลสวี ซึ่งย่อมไม่มีทางปล่อยได้เจิงเอ๋อร์ลำบาก”

มิใช่เพียงไม่มีทางให้นางลำบากเท่านั้น ทุกวันนี้คนในตระกูลสวีทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างดีกับฉินเจิงยิ่งกว่าอันใด สวีฮูหยินก็แทบจะรักใคร่เอ็นดูฉินเฟิงประหนึ่งลูกแท้ๆ อยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ คุณชายทั้งห้าของตระกูลสวี มีถึงสี่คนที่ไม่ยอมแต่งงาน จึงทำให้สวีฮูหยินและสวีฮูหยินรองนึกเจ็บใจที่ยามนั้นไม่จับคู่หมั้นหมายกันไว้ให้มากอีกสักหน่อย ฉินเจิงเป็นลูกสะใภ้เพียงคนเดียวของตระกูลสวี ทั้งยังเป็นสะใภ้ที่คลอดหลานชายเพียงคนเดียวในยามนี้ให้กับตระกูลสวี จะไม่ให้คอยดูแลนางอย่างดีอยู่ในฝ่ามือได้อย่างไร

ฉินฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเขินๆ “พระชายาล้อข้าเล่นแล้ว มีหรือข้าจะไม่เชื่อพระชายา เพียงแต่…”

เยี่ยหลีอมยิ้มตบหลังมือนางเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจว่า “ข้าเข้าใจ น่าสงสารจิตใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ มีพ่อแม่คนใดบ้างที่ไม่นึกเป็นห่วงบุตร ฮูหยินวางใจได้เลย ตระกูลสวีกับพี่รองจะต้องปฏิบัติต่อเจิงเอ๋อร์ด้วยดีอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินกับผู้ตรวจการฉิน ต่อให้เป็นข้าก็ไม่มีทางตบปากรับคำ”

สวีชิงเจ่อถึงแม้จะดูมีนิสัยที่เย็นชา แต่ก็ถือว่าเป็นสามีที่ดียิ่งนัก หลายปีมานี้ ไม่มีแม้แต่จะทะเลาะกับฉินเจิง พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างสงบเรียบร้อยจนทำให้เยี่ยหลีอดนึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ ตัวนางเองยังมีบ้างที่โต้เถียงกับม่อซิวเหยา แง่งอนกันบ้างเป็นครั้งคราวเสียด้วยซ้ำ

ฉินฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเบาใจว่า “การมีสหายเช่นพระชายา ถือเป็นโชคดีของเจิงเอ๋อร์”

“ฮูหยินล้อข้าเล่นแล้ว การมีสหายเช่นเจิงเอ๋อร์ก็เป็นโชคดีของข้าเช่นกัน”

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส ฮูหยินหลายท่านที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงพากันล้อมเข้ามา

ฉินฮูหยินกับเยี่ยหลีมีความคิดเช่นเดียวกัน จึงเปลี่ยนไปสนทนากันเรื่องอื่น หันไปพูดคุยเรื่องจิปาถะกับคุณนายเหล่านั้น คนที่ตามฮูหยินเหล่านั้นมา ยังมีคุณหนูสาวที่แต่ละคนงดงามประหนึ่งดอกไม้หยก เมื่อเห็นท่าทีเขินอายของสาวน้อยแรกแย้มเหล่านี้ ในใจเยี่ยหลีก็ลอบขบขันขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เดิมทีความตั้งใจของคุณนายเหล่านี้มิได้อยู่ที่สุรา การเข้ามาเอ่ยพูดคุยเรื่องเก่าๆ นั้นเป็นเพียงฉากลวง แต่การคิดอยากผลักดันบุตรสาวตระกูลตนเองต่างหากที่เป็นเรื่องจริง

พูดไปพูดมาก็ใช่ ถึงแม้ยามนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าหลีอ๋องเป็นผู้ที่กุมอำนาจอยู่ แต่อิทธิพลของตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ลบล้างกันไปง่ายๆ เช่นนั้น หากมีสตรีตระกูลใดไปถูกใจติ้งอ๋องเข้า และสามารถปีนขึ้นตำหนักติ้งอ๋องจนต่อไปมีตำหนักติ้งอ๋องเป็นที่พึ่งได้ย่อมเป็นเรื่องดี ต่อให้ปีนไม่ได้ สิ่งที่เสียไปก็เป็นเพียงบุตรสาวคนหนึ่งเท่านั้น ชนชั้นสูงเหล่านี้ไม่ขาดแคลนบุตรสาวสายรองหรือแม้กระทั่งบุตรสาวสายหลักสักคนหรือสองคนหรอก

ส่วนสตรีเหล่านี้ก็เป็นสตรีที่เติบโตมาจากการได้ยินได้ฟังเรื่องของตำหนักติ้งอ๋อง จึงต่างยกย่องชื่นชมติ้งอ๋องทุกรุ่นกันมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งการที่ม่อซิวเหยามีใจรักเดียวใจเดียวต่อเยี่ยหลีมาหลายปีเช่นนี้ ก็กลายเป็นเรื่องเล่าที่น่าเอ่ยถึง หากมีชายหนุ่มเช่นนี้มาชอบพอ ย่อมเป็นฝันหวานที่งดงามที่สุดของหญิงสาวทุกคน

เยี่ยหลีเรียกได้ว่าพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้น้อยครั้งนัก หลายปีที่ผ่านมา มิใช่ว่าจะไม่มีสตรีที่ยินดีจะยกให้ม่อซิวเหยา แต่โดยมากม่อซิวเหยาสามารถจัดการไล่กลับไปได้ด้วยตนเอง ส่วนเพียงคนเดียวที่นางจัดการไล่ไปเองกับมือก็คือหลิ่วกุ้ยเฟย แต่สตรีตรงหน้าเหล่านี้กลับมิได้เป็นสตรีไร้ยางอายที่ตามตอแยไม่เลิกเช่นหลิ่วกุ้ยเฟย ซึ่งเยี่ยหลีย่อมไม่มีทางใช้คำพูดร้ายๆ อย่างที่ใช้กับหลิ่วกุ้ยเฟยมาใช้กับหญิงสาวและคุณหญิงคุณนายเหล่านี้

ในขณะที่กำลังจนใจพลางด่าว่าถึงเสน่ห์ที่ดึงดูดหมู่ภมรของม่อซิวเหยาอยู่ในใจนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังลอยมาจากที่ไกลๆ

เยี่ยหลีใจหล่นวูบ รีบถลึงตัวลุกขึ้น เมื่อครู่ม่อตัวน้อยกับเหลิ่งจวินหานก็หายไปทางนั้นพอดี นางเพียงเอ่ยว่าขอตัว ก่อนเยี่ยหลีจะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกไปจากศาลารับลม รีบพุ่งตัวไปทางต้นเสียงทันที

ในศาลารับลมเดิมทีเต็มไปด้วยกลุ่มคุณหญิงคุณนาย เมื่อจู่ๆ เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหันเช่นนี้ ก็ต่างพากันตกใจ เมื่อตั้งสติได้ก็เห็นร่างในชุดสีขาวของเยี่ยหลีกระโดดหายไปปานประหนึ่งผีเสื้อเสียแล้ว

“นี่…นี่มันเกิดอันใดขึ้น”

“ทางฟากนู้นคงเกิดอันใดขึ้นกระมัง” มีคนเอ่ยเสียงเบาขึ้น

“พวกเราก็ไปดูกันเถิด” มีคนเอ่ยปากขึ้น ไม่นาน ทุกคนก็พากันเคลื่อนตัวออกจากศาลารับลม ไปตามทางเสียงกรีดร้องที่ดังลอยมาทันที

ศาลารับลมที่ก่อนหน้านี้ยังมีเสียงดังอื้ออึงกลับเงียบสงบลงทันใด ฉินฮูหยินที่เดินรั้งท้ายสุด เมื่อเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นเดินตามชายาติ้งอ๋องไป ก็ได้แต่อมยิ้มส่ายหน้าพร้อมออกเดินตามไป

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1-37 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Options

not work with dark mode
Reset