ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 332 ขอแต่งงาน (จบบริบูรณ์)

ตอนที่ 332 ขอแต่งงาน (จบบริบูรณ์)

ตอนที่332 ขอแต่งงาน (จบบริบูรณ์)

จ้าวเฉียนเหลือบสายตาลงไปมองจางหยางที่กำลังขอขมาเขาอยู่ พอเห็นแบบนั้นเขาก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า

“คุณจางทำแบบนี้หมายความว่ายังไงครับเนี่ย? นี่ทำให้ผมประหม่านะรู้ไหม?”

จางหยางรีบคลี่ยิ้มเข้าประจบสอพอทันที

“คุณชายจ้าวผมยินดีติดตามรับใช้คุณจากนี้ตลอดไป! ผมจะอำนวยความสะดวกให้คุณทุกอย่างที่ต้องการเลยครับ เห็นแบบนี้ผมเป็นคนจัดตารางเวลาเก่งนะครับ! ผมสามารถเป็นเลขาส่วนตัวให้คุณชายจ้าวได้! หรือถ้าที่บ้านยังขาดพ่อบ้าน…”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ จ้าวเฉียนก็ยกมือตบหน้าจางหยางไปฉะหนึ่งและกล่าวว่า

“นี่ฝันอยู่รึไงครับ ตื่น ตื่น! ระหว่างผมกับคุณมันไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรขนาดนั้น ตราบเท่าคุณยอมขอโทษผมด้วยความจริงใจสักครั้ง ผมจะปล่ยอคุณไป แต่ยังไงก็ตาม…ไม่ว่าคุณจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นผมจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น และอย่าอ้างชื่อผมเพื่อใช้หนุนหลังเป็นอันขาด เข้าใจไหมครับ?”

แต่อย่างไรจางหยางคนนี้ค่อนข้างหน้าด้านมากจริงๆ เขายังคงประจบสอพอจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อนว่า

“ไม่ครับ ต้องไม่ใช่แบบนี้สิครับคุณชายจ้าว! ดุด่าผมอีกสิครับผมขอร้อง! ผมยอมเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้อยู่ข้างคุณ! จะดุจะด่าหรือตบตีผมยังไงก็ได้ ช่วยรับผมไปเป็นคนใช้ก็ยังดี ตีผมอีกสิครับ ตีผมอีก! นี่ถือเป็นเกียรติของตัวผม!!”

หัวใจของฟางนี่ราวกับแตกสลายทันทีที่เห็นจางหยางผู้เห็นค่าของศักดิ์ศรีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดต้องมาทำตัวแบบนี้ อย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีเลยตอนนี้…ต้องถามว่าจางหยางยังเหลือค่าความเป็นมนุษย์อยู่อีกไหม?

“จางหยาง! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตอนนี้คุณทำตัวได้น่าอายมากเลยนะรู้ไหม!”

ฟางนี่ตะโกนด่าคำโตและรีบตรงเข้ามาดึงจางหยางให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่จางหยางไม่รู้สึกว่ามันน่าอายแต่อย่างใด เขาผลักร่างของฟางนี่ออกไปไกลๆ และสบถด่าใส่ทันที

“เธอแหละมันไอ้โง่! คุณชายจ้าวทำงานในบริษัทเธอก็นานมากแล้ว แต่ดันไม่รู้เลยเหรอว่าตันตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร! ถ้าเธอหัดสังเกตซะบ้างป่านนี้เรื่องทั้งหมดคงไม่กลับกลายมาเป็นแบบนี้หรอก! ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอคนเดียว! ทำไมเธอถึงได้โง่เง่าขนาดนี้หะ!?”

ฟางนี่ลุกขึ้นมาสวนกลับทันทีว่า

“จางหยาง! ตั้งแต่คุณกลับมาจากต่างประเทศ คุณก็ทำให้ฉันผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า! แต่ฉันก็ยังโง่เชื่อใจคุณ! ที่จริงแล้วคุณจงใจทำให้ฉันตั้งท้อง เพื่อจะเอาบริษัทฟางนี่ไปเป็นของตัวเองใช่ไหม!? นี่คุณยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า? ในท้องของฉันยังมีเด็กอยู่ทั้งคนนะ! นี่คุณเห็นลูกของเราเป็นเครื่องมืองั้นเหรอ? ได้! ฉันผิดเองที่แต่งงานกับคนอย่างคุณ พรุ่งนี้พวกเราไปหย่ากันเถอะ!”

จางหยางรีบอธิบายทันทีว่า

“นี่คุณกำลังพูดไร้สาระอะไรอยู่? แล้วที่ผมทำไปมันไม่ใช่เพื่อครอบครัวของเรารึไง? จะหย่างั้นเหรอ? นี่เธออยากให้เด็กเกิดมาไม่มีพ่อรึไงกัน!”

ฟางนี่กรนเสียงเย็นหัวเราะเย้ยเยาะใส่คนหนึ่งและกล่าวว่า

“คุณมันอคติกับจ้าวเฉียนเกินไป เขาเป็นคนดีมีน้ำใจ ช่วยเหลือบริษัทของเรามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่คุณก็ยังเลือกที่จะกลั้นแกล้งเขา! นี่ถือเป็นโทษของคุณที่หัวสูงหยิ่งผยองไม่เคยมองคนรอบข้าง และก็เป็นโทษของฉันเช่นกันที่โง่หลงเชื่อคนอย่างคุณ!”

“เธอมันไม่เข้าใจอะไรหรอก! ถ้าผมหัวสูงหยิ่งผยองอย่างที่คุณว่าจริงๆนะ ป่านนี้จุดจบของผมคงเป็นเหมือนฟู่เทียนไม่ก็ไอ้สองคนนั้นแล้ว! ผมแค่ขัดแย้งกับเขาเรื่องงาน แล้วตอนนี้ผมก็กำลังขอโทษในสิ่งที่ทำผิดไปเท่านั้น แล้วทำไมเธอต้องถึงหย่ากับผมเลยล่ะ?!”

“ไม่ ไม่ใช่เลย คุณก็แค่เองเรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง ที่ขัดแย้งกับจ้าวเฉียนเพราะความรู้สึกส่วนตัวของคุณล้วนๆ กี่ครั้งแล้วที่ฉันพยายามเตือนคุณ กี่ครั้งแล้วที่ฉันบอกคุณว่า ให้ลดเรื่องอีโก้ลงหน่อย ถ้าเชื่อฉันแล้วปรับตัวตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องทุกอย่างคงไม่ต้องมาจบลงแบบนี้ แล้วดูตอนนี้สิ…คุณยังเปลี่ยนอะไรได้อีกเหรอ?”

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ถ้าเห็นผมเฮงซวยขนาดนี้ แล้วยังจะแต่งงานกับผมทำไมตั้งแต่แรก!”

“ทำไมน่ะเหรอ? ก็คุณบอกเองว่า คุณมีความรู้สึกดีๆ กับฉันและต้องการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน และฉันเองก็ยังชอบคุณและรอคอยคุณเสมอมา ฉันก็เลยยอมแต่งงานกับคุณไง แล้วตอนนี้จางหยางที่ฉันรู้จักมันหายไปไหนแล้ว? ทำไมหลังจากที่คุณกลับมาจากต่างประเทศคุณถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้? ให้มันจบแค่นี้เถอะ จางหยาง…เราหย่ากันเถอะ!”

คล้อยหลังพูดจบฟางนี่ก็หันกลับและเดินจากไปทันที

จางหยางรีบวิ่งตามฟางนี่ไปติดๆ พยายามรั้งเธอไว้และกล่าวว่า

“ฟางนี่คุณใจเย็นๆ ก่อนสิ รอให้อารมณ์เย็นแล้วค่อยคุยกันอีกทีดีไหม?”

“ไม่! ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ดีแล้ว! ฉันผิดหวังกับคุณเกินกว่าจะให้อภัยแล้วจริงๆ และในอนาคตฉันก็ไม่ต้องการให้ลูกรู้ด้วยว่า ใครคือพ่อของแก!”

ทันทีที่พูดจบฟางนี่ก็ผลักจางหยางจนล้มทั้งยืน เธอหันหลังและเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย

จางหยางที่โดนผลักก้นจ้ำเบ่าก็โมโหเล็กน้อย เขารีบลุกขึ้นมาและผลักฟางนี่กลับไปทันที ทว่าครั้งนี้กลับเป็นบริเวณหน้าท้องของเธอที่ลงกระแทกพื้นเป็นส่วนแรก ทำให้เด็กในท้องกระทบกระเทือนโดยตรง

“อ๊ากก…”

ฟางนี่กรีดร้องระงมลั่นด้วยความเจ็บปวดขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็กำลังกุมท้องแน่น ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากหว่างขาของเธอ

“ปวด…ปวดท้อง! ฉันปวดท้อง! เรียกรถพยาบาลมาที.. เร็วเข้า…”

ฟางนี่กรัดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

จางหยางตะโกนสุดเสียงราวกับสติแตกไปแล้ว

“ใครก็ได้! ใครก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลที! ใครก็ได้….”

จ้าวเฉียนถึงกับยกมือกุมขมำอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปหาหวู่เสี่ยวหัวให้เธอโทรเรียกรถพยาบาล และไปช่วยดูแลฟางนี่ก่อนเป็นการด่วน

ณ ปัจจุบัน เหลือเพียงเหลียวปี้ซ่งกับจ้าวเฉียนอยู่ในห้องประชุมกันสองต่อสอง

ซึ่งเอาเข้าจริง จ้าวเฉียนแทบจะไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเหลียวปี้ซ่งเลย และเขาเองก็ไม่อยากจะทำอะไรอีกฝ่ายเช่นกัน

“คุณเหลียว ยังไงก็ฝากบริษัทเกมฟางนี่กับหัวโหย้วต่อด้วยนะครับในฐานะประธานบริษัท คุณมีคำถามอะไรไหมครับ?”

เหลียวปี้ซ่งถึงกับโพล่งตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจยิ่ง จ้าวเฉียนกำลังหมายถึงอะไรกันแน่? จะให้เขาเป็นประธานบริษัทช่วยดูแลกิจการที่อีกฝ่ายกว้านซื้อมานี่นะ?

“เอ่อ…คุณชายจ้าวครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่พูดไปเท่าไหร่น่ะครับ คือ…คุณทุ่มเงินไปเป็นจำนวนมหาศาลมากเลยนะครับในการเทคโอเวอร์สามบริษัทเกมมา แล้วตอนนี้จู่ๆ ก็จะให้ผมขึ้นมาเป็นประธานดูแลบริษัทง่ายๆ เลยงั้นเหรอครับ?”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“หรือไม่อยากเป็น? ผมมอบหน้าที่นี้กับคนอื่นก็ได้นะครับ”

“อยากเป็นสิครับอยากเป็น! ผมจะทำให้สุดความสามารถเลยครับ!”

“แต่ผมต้องเตือนไว้ก่อนเลยนะครับว่า ทุกไตรมาทจะมีการประเมินความสามารถของคุณว่าบริหารได้ดีแค่ไหน ถ้าคุณทำผลงานออกมาได้ดีย่อมมีรางวัลให้แน่นอน แต่ถ้าไม่…ผมก็จำเป็นต้องลงโทษคุณตามกฎนะครับ”

“โปรดมั่นใจได้เลยครับคุณชายจ้าว! ผมจะไม่ทำให้คุณต้องอับอายหรือเสียหน้าเด็ดขาด! จากนี้ต่อไปผมขออุทิศตนให้กับบริษัททั้งสามอย่างสุดความสามารถครับ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวจบการประชุม

เหลียวปี้ซ่งรีบลุกขึ้นและโค้งคำนับจ้าวเฉียนด้วยความสุภาพอย่างที่ไม่เคยสุภาพมาก่อนในชีวิต และขณะลงลิฟต์ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เหลียวปี้ซ่งก็มีน้ำตาไหลรินออกมา ถ้าจะพูดให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ ตอนนี้เขารู้สึกราวกับเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากสงครามมาได้และพบจุดจบที่สวยงาม

หนี้บัญชีแค้นทั้งหมดได้ถูกสะสางไปจนหมดแล้ว จ้าวเฉียนในตอนนี้ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอหวู่เสี่ยวหัวส่งฟางนี่กับจางหยางขึ้นรถพยาบาลไป เธอก็ขึ้นมาหาจ้าวเฉียนในห้องประชุม หลังจากคุยเรื่องแผนการในอนาคตเสร็จสิ้น จ้าวเฉียนก็ขอตัวกลับและขับรถออกจากฟู่ไห่

ครึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนเดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ของฮวาหยินกรุ๊ป และตรงเข้าหาหวานเจียงที่ห้องทำงาน

หวางเจียงที่กำลังปวดหัวอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เธอรีบลืมเรื่องงานทุกอย่างไปจนหมดและตะโกนว่า

“เข้ามา”

จ้าวเฉียนค่อยๆ เปิดประตูโผล่หน้าให้หวานเจียงพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฉียนมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอแบบนี้ หวานเจียงก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เธอก็ปั้นหน้าบูดบึ้งกล่าวน้ำเสียงเย็นชาใส่ทันทีว่า

“นายมาที่นี่ทำไม?”

“ผมมีบางอย่างอยากมอบให้คุณน่ะ”

“อะไรของนาย? จู่ๆ ก็พูดเพราะเฉยเลย?”

“ผมว่ามันถึงเวลาแล้วแหละที่ต้องมอบสิ่งนี้กับคุณ”

“อะไรล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า….สมุดบัญชีเงินฝากผมไง! ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยากแต่งงานกับคุณ ต้องให้เจ้าสิ่งนี้พร้อมกับเงินสี่พันล้าน? แต่ต้องขอโทษจริงๆ นะ สมุดบัญชีทุกเล่มของผมมันเกินสี่พันล้านหมดเลย คุณจะผิดหวังไหมเนี่ย?”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็วางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบกล่องแหวนหรืออะไรสักอย่างออกมาต่อหน้าเธอ

หวางเจียงใจเต็นแรงขึ้นทันทีที่ได้เห็น พอมองดูจากขนาดและตัวกล่องแล้วนี่น่าจะเป็นแหวน….เขากำลังจะขอแต่งงานงั้นเหรอ?

พอคิดได้ดังนั้น ไม่ว่าภายในกล่องจะเป็นอะไร แต่ตัวหวานเจียงไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองด้วยซ้ำ

จ้าวเฉียนดูงุนงงเล็กน้อยที่เห็นหวานเจียงเขินจนตัวบิดไปบิดมาอยู่แบบนั้น เขาหัวเราะเสียงคิกคักและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ลองเปิดมันขึ้นมาดูสิ”

หวานเจียงพยักหน้าประดับพร้อมใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ลมหายใจของเธอถี่เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ค่อยๆ ยื่นมือไปเปิดกล่องดังกล่าวอย่างระมัดระวัง และมันเป็นไปอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ ภายในกล่องใบนี้ปรากฏเป็นแหวนเพชรวงสวยอยู่ นี่เป็นเพชรน้ำงามที่สวยที่สุดตั้งแต่เธอเคยเห็นมาเลยในชีวิต

“แล้ว…จะเอาไงต่อ?”

หวานเจียงเอ่ยถามเจือน้ำเสียงขี้เล่นราวกับรู้ทัน

จ้าวเฉียนหยิบแหวนวงดังกล่าวขึ้นมาและสวมให้หวานเจียงอย่างนุ่มนวล เขากล่าวว่า

“ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน อีกอย่างพ่อกับแม่ของพวกเราคงอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว รีบมีลูกให้พวกท่านตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นดีกว่าจริงไหม?”

หวานเจียงหัวเราะคิกคัก เธอโผล่เข้ากอดจ้าวเฉียนทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ และทั้งสองก็ประกบจูบกันอย่างมีความสุข……

ตอนที่304 โจวเจียงเฉินออกโรงเอง

โจวเจียงเฉินหันไปมองหน้าชางหย่าด้วยความรู้สึกผิด เขาเอ่ยปากขอโทษขึ้นว่า

“เสี่ยวหย่า ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าเธอจะมาก่อปัญหาให้แบบนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงหยุดพวกเขาไว้ก่อนแล้ว”

หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ชางหย่า เธอเหล่านั้นต้องระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมาแน่นอนในเวลานี้ ไม่ก็บ่นถึงหวังอาเหม่ย ตำหนิติเตียนโจวเหว่ยเฉิน ทำทุกอย่างให้ดูแล้วรู้สึกสงสาร

แต่ไม่สำหรับชางหย่าคนนี้ เธอยังคงยิ้มอย่างสง่างามยกมือปัดปอยผมและกล่าวว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ตัวดีว่ามาทีหลังโดนดุแบบนี้ก็เข้าใจได้ค่ะ หลังจากนี้ฉันจะเตรียมตัวเตรียมใจอดทนให้มากกว่านี้ แล้วคุณอย่ามาที่นี่อีกเลยค่ะ เดี๋ยวพวกพนักงานข้างนอกจะเอาเรื่องของคุณไปนินทาได้นะ”

เหตุผลที่โจวเจียงเฉินหลงใหลในตัวชางหย่า นอกเหนือจากความงามของเธอแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ เธอเข้าใจดีว่าเขาต้องการอะไรแม้ไม่ต้องเอ่ยปากบอกก็ตาม และเขามักจะคิดเสมอว่า ถ้าหวังอาเหม่ยได้สักครึ่งหนึ่งของเธอไป เขาคงไม่มีวันนอกใจอย่างแน่นอน

โจวเจียงเฉินพยักหน้าตอบด้วยความจริงใจ และหันไปมองโจวเหว่ยซูด้วยความรู้สึกผิด

โจวเหว่ยซูในขณะนี้หัวเสียอย่างมาก ไม่แม้แต่อยากมองหน้าคนเป็นพ่อเลยด้วยซ้ำ

โจวเจียงเฉินรู้สึกผิดกับลูกสาวคนนี้มาโดยตลอดจากก้นบึ้งหัวใจ แม้ว่าเธอจะไม่อยากมองหน้า หรือไม่เคารพเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ไม่เคยโกรธ

“เหว่ยซู อย่าโกรธ ป้าหวังกับพี่ชาย…”

“ไม่! มันไม่ใช่พี่ชายหนู! จำไว้!”

โจวเหว่ยซูกล่าวขัดขึ้นทันควัน

โจวเจียงเฉินตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“พ่อรู้ว่าเธอโกรธเขาที่ทำร้าย แต่ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ ไม่มีวันปฏิเสธสายเลือดในตัวได้ แม้พ่อจะไม่สามารถเปิดเผยเรื่องเธอได้ แต่พ่อสัญญาว่าจะพยายามหาทางชดเชยทางอื่นแน่นอน ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้เสมอนะ”

โจวเหว่ยซูพ่นลมหายใจเย็นใส่พ่อของเธอทันทีและกล่าวว่า

“แน่ใจเหรอ? งั้นก็ได้! หนูมีเพื่อนคนหนึ่งทำธุรกิจท่าเรือ หนูอยากให้เขาเข้ามาเป็นคู่ค้ากับบริษัทเรา! ไม่ทราบว่าจะชดเชยให้ลูกคนนี้ได้ไหม?”

โจวเจียงเฉินตื่นตัวขึ้นในทันใด ดูเหมือนว่าเพื่อนที่ออกจากปากลูกสาวของเขาจะไม่ง่ายแค่คำว่า ‘เพื่อน’ จริงๆ ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีวันออกหน้าขอเขาแบบนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามแต่บริษัทเมล็ดพืชการาจของเราเป็นสินค้าขายดีที่สุดของจีน ถ้าไม่ใช่คนที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งจริงๆ การจะมาตีสนิทกับลูกสาวจนถึงขั้นออกหน้าแทนให้กันได้แบบนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้

โจวเจียงเฉินนึกเสียดายไม่ใช่น้อยที่เขาแทบจะไม่มีส่วนร่วมในการเข้ามาดูแลเธอตลอดที่ผ่านมาเลย แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็ยังไม่สาย เขาจะต้องตรวจสอบภูมิหลังของแฟนหนุ่มลูกสาวเขาให้ดีก่อนว่า อีกฝ่ายคู่ควรจะเป็นเขยสกุลโจวหรือไม่!

“เหว่ยซู เธอชวนเพื่อนคนนั้นออกไปทานข้าวด้วยกันหน่อย พ่อต้องการเจอเขา ถ้าตกลงเรื่องนี้พ่อจะเก็บไปคิดดูอีกที ถ้าไม่ก็พ่อคงต้องทำให้ลูกผิดหวังแล้วล่ะ”

โจวเจียงเฉินกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจัง

ธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะด่วนตัดสินใจได้ แม้ว่าโจวเหว่ยซูจะโกรธพ่อของเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถขัดได้เช่นกัน ท้ายที่สุดนี้เธอคือลูกสาวผู้มีสายเลือดของตระกูลโจวโดยกำเนิด หากเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทเมล็ดพืชการาจขึ้นมาจริง ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเกินคาด และเธอเพียงลำพังไม่สามารถชดใช้ความผิดได้

“เขานัดหนูกับแม่ไว้แล้วที่โรงแรมหยานจิ้งตอนเที่ยงวันนี้ ถ้าว่างก็มาแล้วกัน”

โจวเหว่ยซูกล่าวตอบอย่างเย็นชา

โจวเจียงเฉินพยักหน้าและกล่าวขึ้นต่อว่า

“โอเค พ่อจะรีบเคลียร์งานเดี๋ยวนี้แหละ แล้วกลับไปทำงานตัวเองได้แล้ว อย่าปล่อยให้พวกพนักงานนินทากัน”

โจวเหว่ยซูกรนเสียงดังหึ่งๆ ดูท่าหัวเสียไม่น้อยจากออกไป และทันทีที่เธอเดินออกไป โจวเจียงเฉินก็หันมาถามชางหย่าต่อทันทีว่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของพวกเรา

ชางหย่าตอบไปตามความจริงว่า

“เขาชื่อจ้าวเฉียน เป็นนายใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียนตงทั้งหมด ดูเหมือนว่าบริษัทท่าเรือเฉียนตงจะเป็นเจ้าอุตสาหกรรมท่าเรือใหญ่ระดับประเทศที่ทั้งแข็งแกร่งและทรงอิทธิพลมาอย่างยาวนานหลายรุ่นอายุขัยแล้ว ถ้าพวกเขาต้องการร่วมมือกับเราจริง ก็น่าสนใจมากเลยนะคะ”

โจวเจียงเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า

“เฉียนตง…รู้สึกว่าท่าเรือเฉียนตกกับท่าเรือหัวจะต่อสู้กันมาตั้งหลายยุคหลายสมัยแล้วไม่ใช่เหรอ? การที่เด็กหนุ่มคนนี้มาที่นี่เพื่อร่วมมือกับเรา เห็นได้ชัดเลยว่าจุดประสงค์ของเขาคือการคว่ำท่าเรือหัว อืม…อายุยังไม่เท่าไหร่แต่มีความกล้าหาญขนาดนี้ มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำพอสมควร เอ่อจะว่าไป เขารู้จักกับลูกสาวเรามานานแค่ไหนแล้ว?”

“หน้าตาก็ดี กิริยามารยาทเพียบพร้อม แถมชั้นเชิงการโต้คารมอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ถ้าจำไม่ผิดพวกเขาสองคนเพิ่งรู้จักกันเมื่อคืนเองนะคะ ยังไงก็ต้องดูๆ กันไปก่อน”

ชางหย่ากล่าวตอบไปตามตรง

พอโจวเจียงเฉินได้ยินแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้าทันที หัวอกผู้ชายด้วยกัน มันพอจะเดาได้อยู่แล้ว ไอ้คำว่า เพิ่งรู้จักกันเมื่อคืนมันหมายถึงอะไร และเขากังวลอย่างยิ่งว่า ทั้งสองจะมีอะไรกันเกินเลยไปแล้วในคืนก่อน

ชางหย่ากลอกตามองบนใส่อีกฝ่ายและกล่าวติเตียนขึ้นว่า

“เลิกคิดไร้สาระเลยนะคุณ ลูกสาวของเราจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง? เธอไม่มีทางปล่อยตัวปล่อยใจให้กับผู้ชายที่เพิ่งพบกันวันเดียวหรอก”

โจวเจียงเฉินยืนกอดอกปั้นหน้าเตร่งขรึมตอบไปว่า

“มันก็ไม่แน่ ขนาดพวกเราที่เพิ่งเจอหน้ากันสองวันยังได้เสียกันมาแล้วเลย แล้วยี่สิบปีก่อนสังคมยังไม่เปิดกว้างเท่าตอนนั้น ไอ้การเจอกันปุ๊ปเข้าโรงแรมปั๊ปมันก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ”

ชางหย่างขมวดคิ้วแน่นในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สบถด่ากลับไปทันทีว่า ตาแก่ตัณหากลับพูดอะไรไม่อายปาก

เมื่อโจวเจียงเฉินได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะดัง ก่อนจะเข้ามาสวมกอดชางหย่า

“นี่! คุณกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย แล้วงานของคุณล่ะ? รีบปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้าจะทำยังไง?”

ชางหย่ารีบกล่าวขึ้นขณะพยายามดิ้นตัวให้หลุดจากอ้อมกอด

แต่ยิ่งเธอทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้โจวเจียงเฉินรู้สึกเร้าร้อนใจเข้าไปใหญ่ดั่งวัยหนุ่มอีกครั้ง และอารมณ์พุ่งพล่านเกินจะควบคุม เขาต้องการเผด็จศึกเธอที่นี่เดี๋ยวนี้

เวลา12:30 น. โจวเจียงเฉินและชางหย่าพาลูกสาวของพวกเขาเดินทางไปยังโรงแรมหยานจิ้ง

อย่างไรก็ตามแต่ จ้าวเฉียนได้มาถึงก่อนแล้ว เขายืนรออยู่หน้าทางเข้าโรงแรมและพอเห็นทั้งสามคนมาด้วยกัน เขาก็รีบพาหวางอวี่จุนไปทักทายทันที

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยทักทายโดยเร็ว

“สวัสดีครับ ผู้จัดการชาง คุณโจว ส่วนคุณ…”

ชางหย่ายิ้มตอบทันทีและกล่าวตอบไปว่า

“อ่อ นี่คือคุณโจวเจียงเฉิน ประธานบริษัทเมล็ดพืชการาจของเรา พอดีเรื่องที่คุณเสนอไปก่อนหน้านี้มันสำคัญมาก เขาก็เลยต้องออกมาพบคุณจ้าวเป็นการส่วนตัวด้วยกัน”

อันที่จริงจ้าวเฉียนทราบดีอยู่แล้วว่า ชายคนนี้คือโจวเจียงเฉิน แต่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพื่อความแนบเนียน ป้องกันไม่ให้พวกเขาเกิดความสงสัยได้ ถ้ารู้ขึ้นมาว่าคนที่พวกเขากำลังจะร่วมมือด้วยเป็นพวกแผนสูง หลอกล่อเข้าทางลูกสาวของพวกเขาหวังผลประโยชน์ด้านธุรกิจ ก็คงไม่มีใครอยากร่วมมือกับคนแบบนี้จริงไหม?

จ้าวเฉียนยิ้มแย้มกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า

“โอ้! ที่แท้ก็เป็นประธานโจวนี่เอง รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ เชิญเข้าไปคุยกันต่อข้างในดีกว่าครับ”

โจวเจียงเฉินคลี่ยิ้มบางให้เล็กน้อย และเดินตามจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัวที่จองไว้

ทั้งห้าคนนั่งลงโดยพร้อมเพรียงบนโต๊ะอาหาร และเป็นโจวเจียงเฉินที่เอ่ยปากเข้าเรื่องทันควันว่า

“เวลาพักกลางวันมีไม่เยอะเท่าไหร่ เราเข้าเรื่องกันเลยเถอะนะ สิ่งที่คุณเสนอมาไม่เลวเลย แต่ผมมีคำถามสักสองสามข้อจะมาถามคุณ และขอให้คุณตอบตามความจริง”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“ได้เลยครับ เชิญประธานโจวถามมาได้เลย ผมจะตอบไปตามความจริง”

“ดี! งั้นพวกคุณออกไปก่อนเถอะ ผมยากคุณกับจ้าวเฉียนคนเดียว”

หวางอวี่จุนเริ่มเหงื่อตก เหลือบมองไปหาจ้าวเฉียนแวบหนึ่งเพราะไม่อยากคาดสายตากับคุณชายจ้าวไปไหน

จ้าวเฉียนหันมาพยักหน้าเชิงว่าให้ทำตามที่โจวเจียงเฉินสั่ง หวางอวี่จุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลุกขึ้นจากไปด้วยความจำใจ

ชางหย่ากล่าวขึ้นว่า

“งั้นเชิญพวกคุณสองคนคุยกันเลยค่ะ เหวินซู ไปเข้าห้องน้ำกับแม่หน่อย”

โจวเหว่ยซูคล้ายว่าจะรู้ทันความคิดพ่อของเธอ จึงกล่าวสวนขึ้นว่า

“หนูกับจ้าวเฉียนเป็นแค่เพื่อนกัน อย่าถามอะไรที่ไม่ควรถาม”

คล้อยพูดจบเธอกับแม่ก็เดินจูงมือกันออกไป

จ้าวเฉียนลุกขึ้นไปล็อกประตูห้อง และกลับมานั่งลงที่เดิมไร้ซึ่งท่าทีประหม่า เขาคลี่ยิ้มบางเอ่ยถามขึ้นว่า

“ต้องการจะถามอะไรผมก็ถามมาได้เลยครับ ตอนนี้เหลือแค่พวกเราสองคน”

โจวเจียงเฉินยิงคำถามไปตามตรงทันทีว่า

“ได้ข่าวว่าเพิ่งพบกับลูกสาวของผมเมื่อคืน แล้วจู่ๆ วันนี้เธอก็ออกหน้าขอร้องแทนคุณเฉยเลย ไม่ใช่ว่า…เมื่อคืนคุณสองคนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วหรอกนะ?”

จ้าวเฉียนแสร้งตาโตเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว

ในฐานะสุภาพบุรุษ เมื่อทำจริงก็ควรยอมรับตามตรง

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับทันทีว่า

“ใช่ครับ แต่ประธานโจวไม่ต้องกังวล ผมสวมถุงยางอนามัยป้องกันเป็นอย่างดี ไม่เกิดปัญหาตามมาแน่นอน”

“แค่กก….!!”

โจวเจียงเฉินที่ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบถึงกับสำลัก และโมโหอย่างมากกับคำตอบที่ออกมาจากปากจ้าวเฉียน

ตอนที่305 ขุดหลุมพรางให้โจวเจียงเฉินโดดลงไป

จ้าวเฉียนรีบรินน้ำแก้วหนึ่งส่งให้โจวเจียงเฉินทันทีและเอ่ยถามว่า

“ประธานโจว ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”

โจวเจียงเฉินรีบหยิบแก้วน้ำมาจิบยกใหญ่ พยายามระงับไม่ให้ไอ เขาลงแก้วลงด้วยความโกรธจัดแล้วกล่าวขึ้นว่า

“นี่แกต้องมีตรรกะยังไง? หลับนอนด้วยกันแล้วก็คือได้เสียกันแล้ว จะใส่หรือไม่ใส่ถุงยางมันก็ไม่ต่างกันหรอก!”

“ทำไมล่ะครับ? การสวมถุงยางแบบนี้มันสามารถรับประกันได้นะครับว่า เธอจะไม่พลาดตั้งคครถ์และไม่มีโรคติดต่อใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากผมไม่สวมถุงยาง ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่กล่าวไปขั้นต้นอีกนะครับ ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบแล้ว คุณโจวเธอสวยมากจริงๆ ดังนั้นผมไม่มีวันทำร้ายคนที่รักกันได้ลงคอหรอกครับ”

จ้าวเฉียนปั้นสีหน้าอธิบายไปด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างมาก

โจวเจียงเฉินโมโหกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่พอนึกย้อนไปสมัยที่ยังหนุ่ม เขาก็ไม่ต่างอะไรกับจ้าวเฉียนเลย ไม่สิแย่กว่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ พอคิดได้แบบนั้นเขาจึงสงบลงในที่สุด

ในเมื่อหลายสิ่งอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่าการยอมรับความจริง และกุญแจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ จ้าวเฉียนตั้งใจทำลงไป ไม่ได้พลั้งเผลอเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

โจวเจียงเฉินเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า

“ถ้าอย่างนั้นบอกฉันมาหน่อยว่า แกจะวางแผนยังไงกับเหว่ยซูต่อ? ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่า เธอคือลูกสาวของฉัน โจวเจียงเฉินแห่งบริษัทเมล็ดพืชการาจผู้นี้ ดังนั้นอย่าทำร้ายจิตใจของเธอเป็นอันขาด แกต้องซื่อสัตย์แก่เธอ เป็นที่พึ่งพาของเธอได้ เข้าใจไหม! ขอเพียงแกทำได้ตามที่ว่า ออเดอร์ทั้งหมดของบริษัทฉันจะมอบให้แกเท่าที่แกรับไหว แต่ยังไงก็เถอะ ได้ข่าวว่าตอนนี้แกกับท่าเรือหัวกำลังปะทะกันรุนแรง ถ้าฉันยื่นมือช่วยแกแบบนี้ ทางเราก็เสียหน้าไม่น้อย ดังนั้นพวกเราต้องคิดหาวิธีหาทางออกว่าจะทำยังไงดี? เพราะยังไงสุดท้ายแกก็เป็นลูกเขยฉัน ถือว่าพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว”

‘บัดซบ! ตูแค่อยากแย่งลูกค้าของพวกตระกูลหัวเว้ย! ไปๆ มาๆ ตูกลายไปเป็นลูกเขยของตาแก่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?’

จ้าวเฉียนได้แต่สบถด่าอยู่ภายในใจ ถึงโจวเหว่ยซูจะทั้งหุ้นดีทั้งสวย แต่เธอก็ไม่ใช่สเปกของจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาต้องรีบหาข้อแก้ตัวเอง

จ้าวเฉียนเร่งใช้สมองคิดหาทางแก้ไขอย่างหนักหน่วง ภาจใต้สถานการณ์แบบนี้ต้องรีบตัดสินใจโดยเร็ว

“ประธานโจวสมัยที่คุณยังเด็ก คุณก็น่าจะทราบดีนะครับว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายชายแค่คนเดียว แม้ว่าผมจะรักเธอแต่คุณโจวอาจยังไม่เต็มใจลงเอยกับผมก็ได้ คุณลองถามเธอให้แน่ใจก่อนดีกว่าครับ รวมไปถึงถามคุณแม่ของเธอว่าเต็มใจรับผมรึเปล่า แต่ตอนนี้ผมได้แสดงทัศนคติของตัวเองไปแล้ว”

จ้าวเฉียนก็พยายามหาทาบ่ายเบี่ยงสุดฤทธิ์ พยายามปฏิเสธโดยอ้อมและผลักความรับผิดชอบไปที่โจวเหว่ยซูแทน

โจวเจียงเฉินครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“ฉันเข้าใจในสิ่งที่แกพูด แต่ฉันในฐานะคนเป็นพ่อ สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ถ้าแกเต็มใจ เธอเองก็เต็มใจเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะออกหน้าช่วยเหลือแกแบบนี้เหรอ? นี่มันก็ชัดเจนแล้วว่าลูกสาวฉันคิดยังไงกับแก?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะออกมาทันทีอย่างมีความสุข แน่นอนว่าไอ้ที่มีความสุขล้วนเสแสร้งทั้งนั้น

“ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็สบายใจครับ ถ้าประธานโจวคิดว่าผมกับเธอเหมาะสมกัน ทุกอย่างก็คงต้องยกยอดให้ทางผู้ใหญ่ต่อแล้ว”

‘พ่อครับผมขอโทษ แต่ช่วยจัดการต่อทีเถอะ ถ้านึกแผนอะไรดีๆ ออกเดี๋ยวผมช่วยมาช่วยทีหลัง!’

จ้าวเฉียนนึกขอโทษจ้าวฝู่ภายในใจ

“ฮ่าฮ่า…แกนี่พูดรู้เรื่องอยู่นะ แต่จะว่าไปแกกับท่าเรือหัวทำไมจู่ๆ ถึงปะทะกันรุนแรงแบบนั้นได้?”

“เรื่องมันเกิดจากว่า ตาแกตระกูลหัว หัวเซินซวนเขาบังเอิญไปเห็นทำเลที่ตั้งของหลุมศพของคุณย่าผมก็สนใจอยากได้ขึ้นมา เลยคิดจะใช้เงินฟาดหัวให้ผมขาย แต่นี่มันใช่เรื่องเล่นๆหรอครับ? ครอบครัวผมก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ไม่สนถึงจะจน แต่เราก็ไม่มีวันย้ายหลุมฝังศพของคุณย่าไปที่อื่นเด็ดขาด พอเราปฏิเสธที่จะขายไป ตาแก่นั้นก็ส่งคนมาทำลายหลุมศพจนยับเยิน ถ้าเป็นประธานโจวจะทำยังไงล่ะครับ? ก็คงเลือกปะทะเหมือนกันจริงไหม?”

“โอ๊ะ? ไอ้พวกตระกูลหัวนี่มันมากเกินไปจริงๆ! ทีแรกฉันก็คิดว่าเป็นแค่ปัญหาทางธุรกิจกัน แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ซ่อนอยู่ด้วย!”

“ดังนั้นผมจึงต้องการโจมตีตระกูลหัวไม่ให้เหลือ! ยังไงก็เถอะครับ ในเมื่อผมก็จะกลายมาเป็นลูกเขยของประธานโจวแล้ว ก็ช่วยผมสักครั้งนะครับ”

โจวเจียงเฉินจิบน้ำพยักหน้าตอบ และบอกให้จ้าวเฉียนอธิบายแผนการมาก่อน

จ้าวเฉียนรีบตอบกลับทันทีว่า

“ท่าเรือหัวตอนนี้มีลูกค้ารายใหญ่อยู่สองเจ้า แห่งแรกคือบริษัทเมล็ดพืชการาจ และอีกกลุ่มคือบริษัทน้ำมัน แน่นอนว่าถ้าประธานโจวเห็นด้วย เราก็เหลือแค่เกลี้ยกล่อมให้พวกบริษัทน้ำมันยอมให้ออเดอร์แก่พวกเรา พอท่าเรือหัวถึงคราวจบสิ้น พวกเราจะได้ยึดท่าเรือทั้งหมดในน่านน้ำนั้นได้เบ็ดเสร็จ พอทุกอย่างจบลง ผมก็ตั้งใจจะปั้นคุณโจวให้ขึ้นกลายเป็นดาราแถวหน้าของประเทศ ความฝันสูงสุดของเธอคือการเป็นดารานักแสดง เรื่องนี้ประธานโจวเองก็ทราบใช่ไหมครับ?”

โจวเจียงเฉินพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ แต่จากใจนักธุรกิจที่อยู่ในวงการมาครึ่งค่อนชีวิตเลยนะ วงการบันเทิงเป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าไปยุ่ง แถมแกจำต้องควักเงินเป็นจำนวนมหาศาลมากกกว่าจะปั้นใครสักคนให้เป็นที่นิยมขึ้นมา ฉันเคยเห็นนักแสดงหญิงดังๆ ตั้งหลายคน มีข่าวควงแขนนักลงทุนตั้งมากมายเข้าโรงแรมเพื่อหาหนทางในอนาคตให้ตัวเอง ฉันไม่อยากให้ลูกสาวฉันต้องทำแบบเดียวกับคนพวกนั้นเลยจริงๆ อย่างที่แกว่าไปแหละ ครอบครัวของฉันเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินเช่นกัน ทำไมต้องไปเปลืองตัวเพื่ออะไรแบบนั้นด้วย”

สมแล้วที่เป็นนักธุรกิจมือเก๋าแห่งวงการ เขาเข้าใจอะไรมากมายจริงๆ จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มทันทีและกล่าวว่า

“ประธานโจวพูดถูกครับ ต่อให้มีพรสวรรค์แต่ไร้ซึ่งเงินทุนผลักดันก็เปล่าประโยชน์ จำเป็นต้องใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนกับอะไรพวกนั้น แต่ผมมีบริษัทเกี่ยวกับวงการบันเทิงโดยตรงอยู่ ลองค้นหาดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้ครับ บริษัทเฉียนเก๋อ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จดทะเบียนภายใต้ชื่อของผม แถมบริษัทของผมยังร่วมมือกับบริษัทภาพยนตร์ดังอีกมากมายของจีน ตราบใดที่คุณโจวเข้าวงการมา ผมจะสร้างผลงานระดับขึ้นหิ้งให้เธอแน่นอน”

โจวเจียงเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมา เพื่อตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัทเฉียนเก๋อดูทันที และชื่อเจ้าของตามกฎหมายก็ถูกระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นจ้าวเฉียน

“ฮ่าฮ่า….ฉันไม่คิดเลยว่าภูมิหลังของแกจะแข็งแกร่งขนาดนี้! พ่อแม่ของแกทำธุรกิจอะไรงั้นเหรอ?”

โจวเจียงเฉินเอ่ยถามทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แต่จ้าวเฉียนไม่ต้องการให้พ่อของเขาเข้ามามีส่วนร่วมเท่าไหร่นัก เขาอยากจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการลงมือทำแผนการใหญ่ ดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า

“ผมไม่อยากพึ่งพาพ่อกับแม่ของตัวเอง ดังนั้นประธานโจวอย่าเพิ่งถามตอนนี้เลยครับ เพราะยังไงในอนาคตพวกเราสองตระกูลจะต้องเจอกันอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แล้วผมขอร้องอีกอย่างนะครับ อย่าตรวจสอบประวัติของผม ผมต้องการจะจัดการท่าเรือหัวด้วยความสามารถของตัวเอง สัญญานะครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างจริงใจยิ่ง

โดนจ้าวเฉียนพูดมาขนาดนี้โจวเจียนเฉินก็รู้สึกละอายเกินกว่าจะปฏิเสธ เขายิ้มและเอ่ยสัญญาทันทีว่า

“ไม่มีปัญหา ฉันจะไม่ถาม ไม่สืบค้นข้อมูลของแก แค่อยากจะบอกว่า ฉันรู้สึกดีใจแทนพ่อแม่ของแกนะที่มีลูกชายที่ทั้งฉลาด กล้าหาญ แล้วมากกลยุทธ์แบบแก เอาล่ะ เอาล่ะ! เรียกบริกรมาเร็ว ฉันอยากจะดื่มกับแกสักสองสามแก้วหน่อย!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกว้างพยักหน้าตอบทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูและวานให้หวางอวี่จุนไปเรียกบริกรมาเพื่อเสิร์ฟไวน์

ชางหย่าและโจวเหว่ยซูที่รออยู่หน้าประตูเช่นกัน จ้าวเฉียนจึงถือโอกาสนี้เรียกพวกเธอทั้งสอง

เรื่องบริษัทน้ำมัน โจวเจียงเฉินยังไม่ได้ตกลงกับจ้าวเฉียนว่าจะเอายังไงต่อ

ดังนั้นเขาจึงมากล่าวกับโจวเหว่ยซูแทนว่า

“คุณโจว ประธานโจวรักคุณมากจริงๆ นะ ถึงขนาดยอมช่วยผมไปเจรจากับฝั่งบริษัทน้ำมันเพื่ออนาคตของพวกเรา ดังนั้นคุณควรอ่อนโยนกับคุณพ่อหน่อย เข้าใจไหมครับ?”

โจวเหว่ยซูเหลือบมองไปที่โจวเจียงเฉินที่นั่งอยู่บนโต๊ะในห้องอาหารด้วยความสงสัย และเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“จริงเหรอ? เขาเต็มใจช่วยคุณถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”

โจวเจียงเฉินยามนี้ตกลงในหลุมพรางของจ้าวเฉียนโดนไม่รู้ตัวเป็นที่เรียบร้อย พลันลอบแสยะยิ้มขึ้นภายในใจ เขายกมือตบหน้าอกตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจและกล่าวย้ำกับโจวเหว่ยซูว่า

“แน่นอนครับ ผมจะหลอกคุณกับแม่ของคุณไปเพื่ออะไร แต่อย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะครับ ยังไงซะผมอาจต้องไปเจรจากับประธานโจวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องจ้านชุนเล่อ”

จ้านชุนเล่อ ตามที่โจวเจียงเฉินกล่าวเอาไว้กับจ้าวเฉียน เขาคนนี้เป็นประธานบริษัทไชน่าปิโตรเคมี

บริษัทเมล็ดพืชกับบริษัทน้ำมัน ทั้งสองล้วนเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีความแข็งแกร่งแทบจะเทียบเท่ากัน ทั้งคู่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนและพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

ดังนั้นสถานะของประธานทั้งสองบริษัทจึงมีระดับเท่าเทียมกัน

โจวเจียงเฉินกล่าวไว้ว่า เดี๋ยวเขาอาสาลองไปคุยกับจ้านชุนเล่อเอง สุดท้ายนี้เขาก็อยากช่วยจ้าวเฉียนเพื่อให้ลูกสาวของเขามีความสุข

โจวเหว่ยซูเม้มปากด้วยความตื่นเต้น เธอเร่งพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“เข้าใจแล้ว!”

โจวเจียงเฉินแม้จะพูดออกมาแค่ไม่กี่คำ แต่นี่ก็มันเพียงพอที่จะยืนยันแล้วว่า ทัศนคติของเขาที่มีต่อจ้าวเฉียนมันเป็นไปในทางบวก

จ้าวเฉียนแอบดีใจอย่างลับๆ เนื่องจากสัปดาห์นี้ไม่เพียงซื้อใจโจวเจียงเฉิน หัวเรือใหญ่แห่งบริษัทเมล็ดพืชการาจได้ แต่อีกฝ่ายยังจะช่วยไปเจรจากับบริษัทไชน่าปิโตรเคมีให้อีก

จ้าวเฉียนก้าวย่างตรงออกไปหา พร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“คุณโจวเองก็ทำงานที่นี่เหรอครับ?”

โจวเหว่ยซูเชื่อสนิทใจว่า จ้าวเฉียนยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ดังนั้นเขาไม่มีทางวางแผนเพื่อเข้าใกล้เธออะไรอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้าแน่นอน

ตราบใดที่เขาเข้าหาเธอด้วยความจริงใจไร้ซึ่งแผนการ เธอเองก็ยินดีช่วยจ้าวเฉียนแน่นอน

“ใช่ค่ะ ฉันทำงานอยู่ที่นี่ ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณจะเดินทางมาจริงๆ แต่ทำไมถึงไม่ใช้ลูกน้องมาจัดการละค่ะ? คุณเป็นถึงหัวเรือใหญ่ ไม่จำเป็นต้องมาเองให้เสียเวลา”

โจวเหว่ยซูพูดติดตลก

เขาในขณะนี้ทำได้เพียงตามน้ำเธอไป กล่าวเพียงว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่มีทางครับ ผมต้องสู้เพื่อธุรกิจของตัวเองเป็นธรรมดา และยังแสดงให้เห็นว่าผมมีความจริงใจ”

โจวเหว่ยซูพยักหน้าและยิ้มตอบไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นค่อยคุยกันทีหลัง เดี๋ยวฉันขอไปทำงานก่อน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและมองโจวเหว่ยซูเดินผ่านหน้าขึ้นลิฟต์ส่วนตัวไป

พนักงานต้อนรับสาวรีบเอ่ยถามทันทีสุ้มเสียงเบาว่า

“คุณรู้จักกับคุณโจวเป็นการส่วนตัวเหรอค่ะ?”

“ใช่ครับ ยังไงก็รบกวนติดต่อหาผู้จัดการฝ่ายขนส่งด้วยนะครับ”

โจวเหว่ยซูคือใคร ทุกคนในบริษัทล้วนทราบกันดี และตอนนี้เพื่อนของเธอมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องธุรกิจ มีหรือที่พนักงานต้อนรับสาวยังกล้าห้ามปราม?

“ได้เลยค่ะ รบกวนรอสักครู่นะคะ”

จากนั้นเธอก็รีบยกหูโทรศัพท์ติดต่อไปหาผู้จัดการฝ่ายขนส่งโดยตรง

จ้าวเฉียนยิ้มตอบขอบคุณไป มองดูเธอคุยกับปลายสาย

“ฮาโหลค่ะผู้จัดการชาง ที่แผนกต้อนรับของเรามีคนอยากพบคุณ พวกเขาเป็นเพื่อนของคุณโจว ต้องการพูดคุยเรื่องงธุรกิจ พอจะมีเวลาไหมค่ะ?”

“เพื่อนของเหว่ยซู? ให้พวกเขาเข้ามา”

“รับทราบค่ะ”

พนักงานต้อนรับสาววางสายและกล่าวกับจ้าวเฉียนด้วยน้ำเสียงสุภาพยิ่งว่า

“คุณผู้ชาย ผู้จัดการชางเรียนเชิญให้เข้าไปหาได้ค่ะ หลังจากตรงเข้าไปให้ขึ้นลิฟต์หมายเลข3 ห้องทำงานของผู้จัดการอยู่ที่ชั้น15 เคาะประตูเข้าไปหาเธอได้เลยค่ะ”

จ้าวเฉียนยิ้มขอบคุณ

“ขอบคุณมากคนสวย ฉันคิดว่าคนสวยน่าจะลองเปลี่ยนไปใช้ลิปสติกเนื้อแมทเรโทรสีแดงรูบี้วูดูนะ คงดูเซ็กซี่กว่าตอนนี้แน่นอน”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็พาหวางอวี่จุนตรงเข้าไปที่ลิฟต์

พนักงานต้อนรับสาวรีบหยิบกระจกพกพาบานน้อยๆ ขึ้นมาส่องทันที เม้มริมฝีปากจับจ้องดูครุ่นคิด

“สีแดงรูบี้วูงั้นเหรอ? อืม…จะดูสะดุดตาเกินไปไหมนะ? เขาชมฉันว่าเซ็กซี่ด้วย อิอิ…เขินจัง”

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็พาหวางอวี่จุนเดินออกจากลิฟต์ที่ชั้น15 เคาะประตูห้องผู้จัดการ

“เข้ามา”

หวางอวี่จุนเปิดประตูให้จ้าวเฉียนเดินเข้าไปก่อน

เบื้องหน้าปรากฏให้เห็น ผู้จัดการเป็นสาววัยกลางคนซึ่งดูดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับเสื้อเชิ้ตสีขาวรัดรูปตัวนั้น นี่ยิ่งเสริมสง่าราศีเธอเข้าไปใหญ่

เธอวางปากกาในมือลง ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์ติดน่าเกรงขามเล็กน้อย ถ้าตอนที่เธอยังเป็นวัยรุ่นคงเนื้อหอมขวัญใจพวกหนุ่มๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมโจวเจียงเฉิน เจ้าของบริษัทเมล็ดพืชการาจถึงหลงใหลในตัวเธอมากขนาดนั้น ผู้ชายทุกคนไม่สามารถทนต่อเสน่ห์ของเธอได้จริงๆ

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวทักทายขึ้นว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อจ้าวเฉียน ส่วนนี่เพื่อนร่วมงานของผม หวางอวี่จุน ประธานบริษัทท่าเรือเฉียนตง ผมไม่คิดเลยนะครับว่า ผู้จัดการฝ่ายขนส่งจะดูดีมีเสน่ห์ขนาดนี้ ทีแรกก็คิดว่าเป็นพวกลุงหัวล้านอะไรแบบนั้น”

ผู้จัดการชางยกยิ้มคลี่อ่อนบนมุมปากดูพร่าวเสน่ห์รัญจวนใจ ตั้งศอกพิงหน้าดูคล้ายมีทีท่าสนใจเล็กน้อยกล่าวตอบไปว่า

“ปากหวานไม่น้อยเลยนะพ่อหนุ่ม ฉันชางหย่า ผู้จัดการฝ่ายขนส่ง นั่งลงก่อนสิ”

เมื่อจ้าวเฉียนได้ยินชื่อชางหย่า ใจเขาก็เริ่มเต้นแรงขึ้นจริงๆ ปรากฏว่ามันเป็นไปตามที่เขาสืบข้อมูลมาจริงๆ เธอคนนี้คือแม่ของโจวเหว่ยซู

ชางหย่าปรายหางตาเหลือบมองจ้าวเฉียนอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยิ้มอ่อนถามขึ้นว่า

“พ่อหนุ่ม เป็นเพื่อนของเหว่ยซูงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปตามตรงว่า

“ไม่เชิงเพื่อนน่ะครับ เพราะพวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อคืนนี้เอง ผมไม่รู้ว่าสนิทถึงขั้นเป็นเพื่อนของเธอได้แล้วรึยัง แล้วผู้จัดการชางรู้จักเธอด้วยเหรอครับ?”

ชางหย่าที่ได้ยินแบบนั้นก็พลางคิดไปว่า ดูเหมือนจ้าวเฉียนยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของโจวเหว่ยซู ถึงได้ถามออกมาแบบนี้

“หุหุ…รู้จักดีเลยล่ะ เจอกันแทบตลอด เอาล่ะ เห็นว่าที่นี่เพื่อจะคุยเรื่องธุรกิจใช่ไหม?”

หวางอวี่จุนรีบส่งเอกสารข้อมูลที่จัดเตรียมมาให้ชางหย่าทันที จากนั้นจ้าวเฉียนก็กล่าวขึ้นว่า

“เราต้องการร่วมมือกับบริษัทเมล็ดพืชการาจเป็นคู่ค้าส่งออกและนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออเดอร์ทั้งหมดของท่าเรือหัว เราต้องการมันมาทั้งหมด”

พอชางหย่าได้ยินแบบนี้ก็ไม่แม้แต่เปิดเอกสารข้อมูลอ่าน เธอตีกลับไปทันทีและกล่าวว่า

“ถ้ามาเพราะเรื่องนี้คงไม่ต้องคุยกันให้เสียเวลา พวกเราไม่เปลี่ยนคู่ค้าง่ายๆ”

หวางอวี่จุนรู้สึกกังวลใจทันทีที่ได้ยิน แต่จ้าวเฉียนอยู่ที่นี่อาสาจัดการเอง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปแทรกแซงเลย

จ้าวเฉียนยิ้มตอบอย่างใจเย็นว่า

“ผมเข้าใจดีนะครับว่าผู้จัดการชางกำลังหมายความว่ายังไง ไม่มีบริษัทไหนอยากเปลี่ยนคู่ค้าบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ท่าเรือหัวกำลังประสบปัญหาไม่สามารถเดินเรือได้ อาจทำให้การขนส่งล่าช้าเองได้นะครับ”

ชางหย่าคลี่ยิ้มดูมีสง่าราศียิ่ง เธอตอบไปว่า

“เรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริงด้วย สุดท้ายนี้พวกเราเป็นคู่ค้ากันมานานแล้ว แค่ผิดพลาดกันครั้งสองครั้งมันไม่ใช่เหตุผลร้ายแรงถึงขั้นยกเลิกสัญญาคู่ค้ากันได้ ถึงแม้พวกเราจะต้องการหาบริษัทอื่นเข้ามาแทนที่พวกนั้นก็ตาม เข้าใจที่พูดใช่ไหม? เราต้องเปรียบเทียบจุดแข็งจุดอ่อนและราคาการขนส่งต่อรอบอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงจะพิจารณาเลือกคู่ค้ารายใหม่ได้ นี่ยังไม่รวมค่าฉีกสัญญาเก่าอีกนะ ดังนั้นการจะเปลี่ยนคู่ค้ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำวันสองวันเสร็จ”

จะเห็นได้ว่าชางหย่าคนนี้เธอเป็นผู้หญิงมีหลักการและเหตุผลค่อนข้างดี จ้าวเฉียนจึงพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“ข้อมูลดังกล่าวก็อยู่ตรงหน้าผู้จัดการชางแล้วครับ ทำไมถึงไม่ลองอ่านดูก่อนล่ะครับ? ถ้าราคาที่ทำให้ยังไม่พอใจ พวกเรายังสามารถผ่อนปรนได้อีกนะครับ”

จางหยาจ้องตาจ้าวเฉียนอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเสน่ห์หาพลางคลี่ยิ้มหวานให้ ก่อนจะพยักหน้าและหยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นมาอ่านทันที

50ปีที่แล้ว ท่าเรือเฉียนตงแข็งแกร่งกว่าท่าเรือหัว 50ปีต่อมา พวกเขายังคงแข็งแกร่งกว่าเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน

ชางหย่าพลิกหน้าเอกสารอ่านข้อมูลพื้นฐานและงบบัญชีของบริษัทท่าเรือเฉียนตงอย่างตั้งใจ ในความเห็นของเธอท่าเรือเฉียนตงดูดีกว่าท่าเรือหัวมากจริงๆ

แถมราคาต้นทุนการขนส่งแต่ละรอบยังมีราคาที่ต่ำกว่าท่าเรือหัวถึง20% นี่ถือเป็นการประหยัดต้นทุนไปได้มหาศาล

ชางหย่ายิ้มพลางปิดแฟ้มเอกสารลง เธอกล่าวขึ้นด้วยความพึงพอใจว่า

“ท่าเรือของคุณดีกว่าพวกท่าเรือหัวทุกด้านจริงๆ แต่ถึงแบบนั้นฉันคงจะแย่งออเดอร์ของพวกนั้นโอนถ่ายให้พวกคุณไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าต้องการร่วมมือกับเราจริงๆ ฉันยังพอหาช่องทางอย่างอื่นได้นะ ออเดอร์ใหญ่ไม่แพ้ของพวกท่าเรือหัวแน่นอน แล้วถ้าไปได้สวย เดี๋ยวฉันจะเพิ่มออเดอร์ให้คุณเองในอนาคต ว่าไง?”

จ้าวเฉียนมาที่นี่เพื่อแย่งลูกค้ารายใหญ่ของท่าเรือหัวโดยเฉพาะ ดังนั้นแล้วจุดประสงค์ของเขาจึงไม่ให้เพียงแค่ต้องการร่วมมือกับบริษัทเมล็ดพืชการาจเท่านั้น จึงไม่สามารถยอมรับข้อเสนอของชางหย่าได้

“ผู้จัดการชางน่าจะเคยได้ยินข้อพิพากระหว่างท่าเรือของผมกับท่าเรือหัวมาบ้างนะครับ มันคงจะดีกว่าถ้าผู้จัดการชางเอาออเดอร์ทั้งหมดของท่าเรือหัวโอนถ่ายมาให้ท่าเรือผม ถ้าได้ผมจะทำราคาให้ต่ำกว่านี้อีกครับ”

ชางหย่ายิ้มและกล่าวถามขึ้นว่า

“คุณจ้าวพกสมุดเช็คมารึเปล่าครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหยิบสมุดเช็คออกมาวางไว้บนโต๊ะ

ชางหย่ายังคงคลี่ยิ้มหวานให้และกล่าวขึ้นว่า

“หื้ม? จะให้เช็คเปล่ากับฉันเหรอ?”

จ้าวเฉียนย่อมไม่รู้สึกมีความสุขภายในใจเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ได้เผยแสดงอาการออกมา เขายิ้มและกล่าวว่า

“มีสาวสวยอย่างคุณมาขอเงินแบบนี้ ผมที่เป็นผู้ชายจะให้เช็คเปล่าได้ยังไงครับ?”

“อิอิ…ปากหวานซะจริงนะ ถ้าฉันยังเป็นวัยรุ่น บางทีคงหลงคารมเธอไปแล้ว”

“อายุเป็นแค่ตัวเลขครับ ที่สำคัญ…ผู้จัดการชางยังดูสาวอยู่เลยนะครับ แถมสวยมากเลยด้วย”

จ้าวเฉียนกดสายตาลงมองที่บริเวณหน้าอกหน้าใจของเธอ ซึ่งชางหย่าเองก็ก้มศีรษะเหลือบมองตามเขามองที่หน้าอก ทันทีทันใดใบหน้าของเธอพลันแดงก่ำขึ้นทันที ปริปากสีแดงช่ำยิ้มตอบไปว่า

“นี่กำลังล่วงละเมิดฉันอยู่นะรู้ไหม? ไม่กลัวว่าฉันจะไล่เธอออกไปแล้วดิลล้มเหลวเหรอ?”

“ผมไม่ได้ล่วงละเมิดเลยนะครับ ผมแค่พูดไปตามความจริง ถ้าพบได้รู้จักผู้จัดการชางเร็วกว่านี้ บางทีผมอาจจะขอให้คุณเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดียวกับผมไปแล้ว”

“ฮ่าฮ่า…เธอนี่นะ….”

ในขณะที่ชางหย่ากำลังโน้มตัวเข้ามาใกล้จ้าวเฉียน จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เธอรีบถอยกลับไปนั่งที่เดิมทันที ปั้นหน้าปั้นตาสงบสติอารมณ์ลงพร้อมกับโฉมผู้สง่างามกลับเข้าร่างอีกครั้ง และพูดเสียงดังขึ้นว่า

“เข้ามา”

พอประตูเปิดออก โจวเหว่ยซูก็เดินเข้ามา

จ้าวเฉียนดีใจอย่างยิ่ง เธอมาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอจริงๆ! ไม่อย่างนั้นบางทีเขาอาจถูกสาวใหญ่คิดล้มครูแล้ว!

จ้าวเฉียนยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหว่ยซูกับชางหย่า จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“อ้าวคุณโจว! บังเอิญจังนะครับ พวกเราพบกันอีกแล้ว”

โจวเหว่ยซูคลี่ยิ้มอ่อน เดินตรงไปหาชางหย่าและกล่าวขึ้นว่า

“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ฉันตั้งใจมาที่นี่ก็เพื่อจะดูว่าคุณจะเจรจายังไง? แม่ เขาเป็นเพื่อนหนูเอง ถ้าช่วยได้ก็ช่วยเขาเถอะนะ”

จ้าวเฉียนแกล้งทำเป็นตกใจสุดขีด ลุกขึ้นพรวดรีบกล่าวแทรกขึ้นว่า

“อะไรนะ?! ผู้…ผู้จัดการชางคือแม่ของคุณงั้นเหรอ? ผมกำลังจะทักเลยว่า พวกคุณถึงสวยเหมือนกันเลย”

สองแม่ลูกปิดปากขำกันคิกคักทันที

ที่จ้าวเฉียนพูดไปนั้นไม่ใช่ว่าจะอวยกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ทั้งดวงตาคู่หวานและคิ้วทรงคันธนูสวยนั้น พวกเธอทั้งคู่ดูเหมือนกันมากจริงๆ

หลังจากที่ชางหย่าหัวเราะคิกคักเสร็จ เธอก็เริ่มปั้นหน้าจริงจังขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า

“ไม่ได้นะลูก ธุรกิจคือธุรกิจ เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว ลูกห้ามเอามาปนกันเด็ดขาด”

แต่โจวเหว่ยซูไม่คิดอย่างนั้น และโต้กลับไปทันทีว่า

“ไม่มีผู้จัดการคนไหนไม่ใช่อำนาจเพื่อการส่วนตัวหรอกแม่ แล้วแม่น่าจะรู้ดีนะว่าตำแหน่งที่แม่ทำอยู่คือตำแหน่งที่กอบโกยผลประโยชน์ได้มากที่สุด ถ้าแม่มีความกล้ากว่านี้หน่อย ปานนี้คงรวยล้นฟ้าแล้ว! ไม่เห็นต้องเที่ยงตรงอะไรขนาดนั้นเลย”

ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว นื่คือสัจธรรมแท้จริงของมนุษย์โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่สำหรับบางคนกลับคิดแตกต่างออกไป ตัวอย่างก็เช่นแม่ของโจวเหว่ยซู

ชางหย่าเธอเป็นคนค่อนข้างมีคุณธรรมในระดับหนึ่ง และไม่กล้าทำเรื่องพวกนี้จริงๆ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกผิดและอีกส่วนก็กลัวติดคุก

จ้าวเฉียนได้การกล่าวตามน้ำขึ้นทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อเที่ยงพวกคุณทั้งสองได้ไหมครับ? พวกเราจะคุยแค่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น ไม่เอาเรื่องธุรกิจมาปะปน ดีไหมครับ?”

โจวเหว่ยซูย่อมเต็มใจโดยธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทัศนคติความเห็นของชางหย่าด้วยเช่นกัน

ชางหย่าเห็นว่าลูกสาวของเธอดูสนใจในตัวจ้าวเฉียนไม่น้อย

และอีกอย่างเธอเองก็ค่อนข้างถูกใจจ้าวเฉียน แถมเขายังเป็นนายใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทท่าเรือเฉียนตงอีก

คงจะเป็นเรื่องดีถ้าทั้งสองลงเอยด้วยกันจริงๆ

ชางหย่าพยักหน้าตอบตกลงตามคำเชิญจองจ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนกล่าวตอบทันทีอย่างมีความสุขว่า

“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเคลียร์ธุระส่วนตัวก่อน เจอกันตอนเที่ยงนะครับ ผมจะรออยู่ที่โรงแรมหยานจิ้ง”

ชางหย่าและโจวเหว่ยซูต่างพยักหน้ายิ้มหวานตอบ

จากนั้นจ้าวเฉียนกับหวังอวี่จุนก็ขอตัวและจากออกไปทันที

พอไม่มีคนนอกเข้ามาข้องเกี่ยว สองแม่ลูกก็สามารถเปิดใจพูดกันตามตรงได้

ชางหย่าถามไปตามตรงเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหว่ยซูกับจ้าวเฉียนมันเป็นยังไงกันแน่

โจวเหว่ยซูไม่กล้าบอกความจริงไป เธอจึงโกหกไปว่า

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ เขาเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนเฉยๆ”

ในฐานะผู้เป็นแม่ย่อมรู้จักลูกสาวตัวเองเป็นอย่างดี

พอชางหย่าเห็นว่าลูกสาวตัวเองโกหก เธอก็มั่นใจได้ทันที ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ดูเหมือนว่าเธอจำต้องออกไปลองทานมื้อเที่ยงกับอีกฝ่ายดู

ในเวลาเดียวกัน เสียงโวยวายก็ดังลั่นจากนอกห้อง

เมื่อได้ยินสุ้มเสียงดังกล่าว สีหน้าของสองแม่ลูกก็ดูไม่ดีเท่าที่ควร เพราะพวกเธอสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าคนที่กำลังมาหาไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เมียหลวงของโจวเจียงเฉินที่กำลังมาหาเรื่องพวกเธออีกแล้ว

ไม่กี่วินาทีถัดมา ประตูห้องทำงานของชางหย่าก็ถูกเปิดดังปัง

หวังอาเหม่ย เมียหลวงของโจวเจียงเฉินเดินเข้ามาพร้อมกับโจวเหว่ยเฉินลูกชายของเธอ

หวังอาเหม่ยตะโกนลั่นทันทีทันใด

“ไม่ชู้กับลูกชู้มันอยู่นี่เอง! นังแพศยา อายุขนาดนี้ยังแต่งตัวสวยไปทำไม? ไม่อายคนอื่นเลยรึไง? อ่อ…หรือว่าแกคิดจะร่านใส่ชายหนุ่มพวกนั้นที่เพิ่งเดินออกไปใช่ไหม? ทำไมหน้าด้านแบบนี้ล่ะ? ไปแย่งผัวชาวบ้านมายังไม่พอ จะเอาเพิ่มงั้นเหรอ? บริษัทของพวกเราดูสกปรกขึ้นเยอะ หลังจากที่พวกแกสองแม่ลูกเข้ามาเหยียบย้ำ! ฉันอยากรู้จริงๆว่าพวกแกจะหน้าด้านหน้าทนแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่!”

ชางหย่าถือว่าเป็นคนมาทีหลัง จึงรู้สึกละอายใจอย่างมากทุกครั้งที่โดนด่าแบบนี้ และเธอไม่กล้าทำอะไรหวังอาเหม่ยเลยสักครั้ง

แต่โจวเหว่ยซูกลับไม่คิดแบบนั้น เธอทนไม่ได้หรอกที่ต้องให้คนอื่นมายืนด่าแม่ตัวเองแบบนี้

“หุบปากของแกไป! ถ้ายังกล้าเห่าใส่แม่ฉันอีก ฉันจะฉีกปากแก!”

โจวเหว่ยเฉินพุ่งออกมาข้างหน้าทันที ชี้นิ้วไปที่โจวเหว่ยซูโดยไม่พูดพล่ำทำเพลง เขาตวาดด่าขึ้นว่า

“มึงนั้นแหละหุบปาก! กล้าขึ้นเสียงกับแม่ของกูเหรอ! สันดานพวกมึงสองแม่ลูกก็ไม่ต่างกันหรอก! กูรู้ว่าพวกมึงเข้ามาทำงานที่นี่เพราะต้องการอะไร คิดจะหุบสมบัติของพ่อกูไว้คนเดียวใช่ไหม! อย่าคิดกูไม่รู้ ไอ้พวกหน้าด้าน!”

โจวเหว่ยซูตอนนี้โกรธจริงๆแล้ว เธอตรงเข้าไปผ่ายมือขึ้นตบหน้าโจวเหว่ยเฉินสุดแรงเกิด

ทว่าโจวเหว่ยเฉินก็ไม่ใช่พวกคุณชายอ่อนแอดีแต่ปาก เขาคว้าข้อมือของเธอไว้ได้ทันและกระชับกำปั้นขวาซัดเข้าไปที่ท้องน้อยเธออย่างจัง

ทันใดนั้นสุ้มเสียงของโจวเจียงเฉินก็ดังขึ้น

“หยุด! ฉันเห็นหมดแล้ว!”

โจวเหว่ยเฉิน ลูกชายคนโตผู้นี้หวาดกลัวโจวเจียงเฉินมากที่สุดแล้ว

ซึ่งโจวเจียงเฉินเองก็เป็นคนฉลาดมาก เขาเป็นคนดูแลเงินทั้งหมดในบ้าน

ตราบใดที่เงินอยู่ในมือของเขา ทั้งภรรยาและลูกชายของเขาย่อมต้องเชื่อฟังแต่โดยดี และไม่กล้าต่อปากต่อคำเถียงเขา

โจวเหว่ยเฉินรีบปล่อยมือโจวเหว่ยซู และวิ่งไปขอโทษพ่อทันที

“พ่ออย่าโกรธผมเลยนะ ทั้งหมดเป็นเพราะนังนี่จะตบหน้าผมก่อน ผมเลยจำเป็นต้องป้องกันตัว”

โจวเจียงเฉินกรนเสียงเย็น ตำหนิลูกชายตัวเองไปว่า

“แล้วเธอจะตบหน้าแกเพราะอะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดคำจาหมาๆของแก! ไม่ต้องกังวลหรอกว่าพวกเขาจะหลอกเอาสมบัติอะไร พวกเธอสองแม่ลูกอุทิศตัวทำงานให้บริษัทเราอย่างเที่ยงตรง ไม่ใช่เหมือนแกกับแม่ของแกที่วันๆเองแต่สร้างปัญหา! รีบขอโทษพวกเธอทั้งสองซะ!”

ถึงโจวเจียงเฉินจะกล่าวแบบนั้นออกไปก็จริง แต่เขาก็ไม่กล้ายอมรับว่าโจวเหว่ยซูเป็นลูกสาวได้อย่างเต็มปาก เพราะกล่าวว่าเรื่องนี้จะโดนตกเป็นเป้าของสื่อ

ส่วนพวกคนในบริษัทก็เมิ่นเฉยไปกับเรื่องอะไรพวกนี้ไปแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นศึกระหว่างเมียน้อยกับเมียหลวง จะมีใครกล้าดีเข้าใจยุ่ง?

โจวเหว่ยเฉินสุภาพช่วงนี้ไม่ค่อยจะดี พอโมโหขึ้นแบบนี้ยิ่งทำให้อากาศทรุกลงเหมือนแมวป่วย

“ป้าชาง ผมขอโทษ คุณโจว…ขอโทษ”

และต่อหน้าโจวเจียงเฉินแบบนี้ ชางหย่ามักจะทำตัวเป็นคุณแม่ผู้มากน้ำใจและใจกว้าง เธอจะพยายามทำตัวให้เกียรติทุกคนเสมอ

เพราะเธอเป็นแบบนี้มาโดยตลอด จึงทำให้กุมหัวใจของโจวเจียงเฉินได้อยู่หมัด

แผนการของชางหย่าซ่อนคมไว้เกินหยั่งลึก เธอตระหนักดีว่าตราบใดที่เธอสามารถชนะใจของโจวเจียงเฉินได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอและลูกสาวของเธอเลย เนื่องด้วยหวังอาเหม่ยไม่มีเงินติดตัวมากมายอะไร เธอมาที่นี่ก็ทำได้แค่โวยวาย ด่าชางหย่าอยู่คำสองคำ และไม่มีพิศสงอะไรไปมากกว่านั้น

ในกรณีที่โจวเจียงเฉินเกิดโมโหขึ้นมา จะกลับกลายมาเป็นเธอกับลูกชายเสียเองที่โดนตำหนิ

ท้ายที่สุดนี้แม้ว่าโจวเจียงเฉินจะตายไป และทั้งสองจะไม่ได้สืบทอดสมบัติทั้งหมด แต่สิ่งที่ชางหย่ากับโจวเหว่ยซูได้ไปคือความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งนี้สามารถนำไปต่อยอดได้หลังจากที่เหลือกันสองคน ถ้าโชคดีอาจจะได้เงินติดตัวไว้ไปตั้งหลัก ไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่งสมบัติที่เหลือทิ้งไว้ให้วุ่นวายชีวิต

ดังนั้นแล้วในเวลานี้ ชางหย่าจึงต้องเอาใจทำดีในสายตาของโจวเจียงเฉินให้มากเข้าไว้ เผื่อจะส้มล่นได้สมบัติเล็กๆน้อยๆติดตัวก่อนจากไป

โจวเจียงเฉินเหลือบมองไปที่หวังอาเหม่ยกด้วยสีหน้ามืดมนยิ่ง และกล่าวว่า

“ชอบสร้างปัญหานักใช่ไหม? จำไว้ซะถ้ายังทำตัวแบบนี้ต่อไป ในอนาคตพวกแกสองแม่ลูกจะไม่ได้เงินจากฉันเลยสักสตางค์เดียว! หัดรู้จักปรับปรุงตัวเข้ากันกับพวกเธอได้แล้ว! ตอนนี้ก็มีชีวิตสุขสบายกันดี ทำไมถึงต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนเล่นด้วยจริงไหม?”

หวังอาเหม่ยพ่นลมหายใจเย็นใส่เฮือกใหญ่ และหันหลังเดินจากออกไปโดยตรง

โจวเหว่ยเฉินไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วเช่นกัน จึงรีบกล่าวกับพ่อเสียงออดเสียงอ่อนอย่างรวดเร็วว่า

“พ่อ ผมจะไม่สร้างปัญหาอีกแล้ว”

โจวเจียงเฉินกล่าวตอบไปว่า

“แกรีบเรียนให้มันจบๆสักที แล้วพ่อจะพาแกเข้ามาทำงานที่นี่ ไม่ใช่วันๆเอาแต่เที่ยวเล่น เข้าใจไหม!”

โจวเหว่ยซูรีบเร่งพนักหน้าตอบกลับไปว่า

“ครับพ่อ ผมเข้าใจ ผมจะไม่สร้างปัญหาให้ป้าชางอีกแล้วในอนคต แล้วจะพยายามไม่ให้แม่มาหาเรื่องคุณป้าด้วย”

โจวเจียงเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวต่อว่า

“ดีมากลูกรัก ตั้งใจเรียนให้หนัก ตำแหน่งของพ่อยังต้องรอส่งต่อให้ลูก อย่าทำให้ผิดหวัง”

โจวเหว่ยเฉินพยักหน้าด้วยความหนักแน่น กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง แล้วรีบหันหลังกลับวิ่งตามแม่ออกไปทันที

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ผลสุดท้ายเรื่องราวมักจะจบอีหรอบนี้เสมอ

เพราะต้องบอกเลยว่า การที่หวังอาเหม่ยมี‘ลูกชาย’ให้กับตระกูลโจวถือเป็นเรื่องโชคดีจริงๆ

ตอนที่300 แรกพบเข้าโรงแรม

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนกดวางสายไป โจวเหว่ยซูก็เร่งเอ่ยถามทันทีว่า

“เป็นยังไงบ้าง? เธอยอมตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขา จึงปิดปากเรียบครุ่นคิดอยู่สักใหญ่เพื่อหาข้ออ้างไม่อยากให้โจวเหว่ยซูซักถามถึงเรื่องของเขากับอู่ซินเยอะเกินจำเป็น

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา โจวเหว่ยซูก็เริ่มปั้นสีหน้ากังวลและรีบถามกลับไปทันทีว่า

“เกิดอะไรขึ้น? เธอไม่ว่างเหรอ?”

จ้าวเฉียนอธิบายตอบไปว่า

“เปล่า แค่เธอไปกินข้าวกับคุณไม่ได้ เพราะติดถ่ายตอนช่วงกลางดึก แต่ถ้าไปเจอหน้าทักทายกันน่ะไม่มีปัญหา”

ตราบเท่าที่ได้พบเจอไอดอลที่ตัวเองคลั่งใคล้แค่ได้คุยกันสักประโยคก็ฟินจิกหมอนแล้ว แต่นี่ถึงขนาดได้พูดคุยถ่ายรูปและขอลายเซ็น แม้จะไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนี่ก็ดีเกินจินตนาการแล้ว

โจวเหว่ยซูยิ้มตอบทันทีว่า

“ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอด้วยตัวเอง แล้วฉันต้องไปกองถ่ายที่ไหน?”

จ้าวเฉียนตอบกลับไปว่า

“คุณไปเจอได้เลยที่สนามรถแข่งหวานจิ้ง บอกไปว่าเป็นเพื่อนของจ้าวเฉียน แม้ฉันจะเป็นเจ้านายเธอก็จริง แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ทำให้กองถ่ายล่าช้าได้เพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะ ดังนั้นรีบเจอรีบกลับ อย่าให้การถ่ายทำเกิดปัญหาเด็ดขาด เข้าใจไหมครับ?”

ขอเพียงได้เห็นอู่ซินตัวจริงเสียงจริง ไม่ว่าอะไรก็ต้องยอม โจวเหว่ยซูเร่งพยักหน้าและเอ่ยปากสัญญาทันที เธอรีบโบกมือลาจ้าวเฉียนและวิ่งไปยังห้องล็อกเกอร์ผู้หญิง เปลี่ยนเสื้อผ้าและขึ้นรถเหยียบคันเร่งบึ่งไปยังสนามรถแข่งในทันใด

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางเดินหันหลังกลับไปออกกำลังกายต่อ

ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมา โจวเหว่ยซูก็กลับมาที่ฟิตเนสอีกครั้งพร้อมสีหน้ามีความสุขเกินพรรณนา

นี่เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว และฟิตเนสก็ใกล้ถึงเวลาปิด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กลับไปเปลี่ยนชุดออกกำลังกายต่อ แต่เดินไปหาจ้าวเฉียนที่ลู่วิ่งโดยตรง

“อิอิ…ขอบคุณมากเลยนะคะคุณจ้าว เพื่อแสดงความขอบคุณ ฉันขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อค่ำนะคะ หวังว่าคืนนี้…คุณจ้าวนะว่าง”

โจวเหว่ยซูรีบเชิญชวนจ้าวเฉียนไปทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนใช้ความพยายามอย่างมากว่าจะเข้าใกล้และตีสนิทกับเธอขนาดนี้ แล้วมีหรือที่จะปฏิเสธ?

อย่างไรก็ตามแต่ จะล่อแมวน้อยต้องมีลูกเล่นถ้าม่อสาวสวยต้องมีลูกล่อลูกชน

จ้าวเฉียนปั้นหน้าเศร้าเล็กน้อย พยายามอ้างไปว่าไม่สะดวกไป

โจวเหว่ยซูรีบเกลื้ยกล่อมออดอ้อนทันที

“โถ่ว…คุณจ้าวนี่ก็ดึกแล้ว ควรหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้างนะคะ นี่ฉันจริงจังมากเลยนะ อยากเลี้ยงมื้อค่ำคุณจริงๆ แทนคำขอบคุณ ฝ่ายหญิงอุตส่าห์ออกหน้าชวนก่อนเลยนะคะ…ปฏิเสธกันลงคอเหรอ?”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ก็ได้ครับ ปกติผมชอบเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันนั้นๆ แต่ค่อยยกยอดไปทำต่อพรุ่งนี้แล้วกัน ถ้าอย่างงั้นคืนนี้พวกเราไปทานดินเนอร์กันนะครับคุณโจว”

“ดีแล้วค่ะ งั้นไปกันเถอะ”

หลังจากโจวเหว่ยซูกล่าวตบ เธอก็นั่งรอจ้าวเฉียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบออกไปทันที

ทั้งสองเพิ่งพบกันครั้งนี้เป็นคราแรก จ้าวเฉียนไม่มีทางเข้าเรื่องธุรกิจแน่นอน อนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เธอเกิดความสงสัย

ตลอดมื้ออาหาร ทั้งสองยกหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอู่ซินและดาราดังคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน

กล่าวกันตามตรง โจวเหว่ยซูเป็นสาวสวยที่ดีมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ถ้ามีคนเข้ามาสนับสนุนเธออย่างจริงๆ จังๆ เธอสามารถกลายมาเป็นดาราดังได้เลย

และสิ่งที่สำคัญที่สุดของบริษัทเฉียนเก๋อคือ การเฟ้นหาดาวรุ่งที่มีศักยภาพเพียงพอมาปั้นให้เป็นดาวเด่น บางทีดาราดาวรุ่งคนต่อไปถัดจากอู่ซินอาจจะเป็นเธอคนนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้?

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณโจว อย่างที่ผมพูดไปตอนแรก สนใจจะเป็นดาราไหมครับ?”

เมื่อห้าปีที่แล้ว ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโจวเหว่ยซูคือการเป็นดารา

แต่เธอไม่มีใครสนับสนุนเธอเลย แถมเกรดการเรียนก็ไม่ดี พรสวรรค์ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เธอจึงไม่สามารถสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ได้

ต่อมา โจวเจียงเฉินพ่อของเธอ ก็หมายมั่นปั้นมือให้เธอเข้ารับสืบทอดบริหารบริษัทเมล็ดพืชการาจต่อ จึงส่งเธอไปเรียนเศรษฐศาสตร์ นั้นทำให้เธอค่อยๆ ลืมเลือนความฝันอันยิ่งใหญ่นั้นไป

เมื่อจ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมาแบบนี้ มันก็เป็นดั่งตัวจุดประกายไฟภายในใจของเธออีกครั้ง

อย่าว่าแต่คนมีพรสวรรค์น้อยอย่างเธอเลย แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถพัฒนากลายเป็นดารามากความสามารถได้ ถ้าเจ้าของค่ายสังกัดชื่นชอบในตัวเธอ และชายที่นั่งอยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยซูในขณะนี้ก็เป็นถึงเจ้าของเฉียนเก๋อ ค่ายที่ดาราที่เธอชื่นชอบสังกัดอยู่!

โจวเหว่ยซูกล่าวตอบทันทีว่า

“คงจะเป็นเรื่องดีมากถ้าฉันได้เป็นดารา ใครบ้างไม่อยากเป็นดาราล่ะ? แต่ฉันไม่เคยลงเรียนการแสดงมาก่อนเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่ต้องดูแลธุรกิจของพ่อ ไม่รู้สิ…บางทีฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ การจะเป็นดาราได้ต้องสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน แต่ฉันไม่ใช่แบบนั้น”

คำพูดของโจวเหว่ยซูดูค่อนข้างจริงจัง ไม่ว่าเธอจะพูดสิ่งนี้ออกมาจากใจจริงหรือต้องการให้จ้าวเฉียนเห็นใจก็ตาม แต่มันไม่ใช่คำพูดที่คนธรรมดาทั่วไปที่นึกจะพูดก็พูดออกมาได้ คล้ายว่าต้องเป็นคนที่ผ่านโลกมาแล้วในระดับนึง

ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อคำสั่งออเดอร์ของบริษัทเมล็ดพืชการาจแล้ว จ้าวเฉียนจะต้องเกลี้ยกล่อมให้เธอลอง

จ้าวเฉียนกล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้นนะ เฉพาะคนที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นดาราได้ แต่พอมาเปิดบริษัทเกี่ยวกับแวดวงบันเทิงดูจริงๆ มันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย ตราบเท่าที่คนที่จะปั้นไม่ขี้เกียจหรือปิดกั้นตัวเองเกินไป ต่อให้เป็นคนธรรมดาไม่มีพรสวรรค์อะไรโดดเด่นก็สามารถกลายมาเป็นดาราได้ ขอเพียงบริษัทมีเม็ดเงินสนับสนุนมากเพียงพอ แม้นี่อาจจะดูโหดร้ายไปบ้าง แต่มันเป็นความจริง บางคนไม่มีอะไรเลยแต่ทำไมถึงกลายมาเป็นดาราขึ้นแท่นอันดับหนึ่งได้? แล้วทำไมบางคนมากพรสวรรค์แต่ได้เล่นแต่บทตัวประกอบ? พอจะเข้าใจที่กล่าวไปนะครับ? ซึ่งในกรณีของคุณ โอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำไมถึงไม่ลองสักตั้งล่ะครับ?”

เปลวไฟแห่งความฝันของโจวเหว่ยซูถูกจุดขึ้นอีกครั้งโดยคำพูดกระตุ้นของจ้าวเฉียน

ก็จริง…โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วทั้งที ทำไมฉันถึงไม่ลองดูล่ะ?

แม้ว่าสุดท้ายอย่างกรณีเลวร้ายที่สุดเธออาจไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างมากก็แค่เสียเวลาเล่นไปสองสามปีเท่านั้น ในทางตรงข้าม…แล้วถ้าทำสำเร็จล่ะ?

ถ้าเธอทำได้สำเร็จ…สิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล?

โจวเหว่ยซูพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า

“เข้าใจแล้วค่ะ! ฉันขะลองทำตามความฝันดูสักครั้ง! แล้วฉันควรทำยังไงบ้าง? เริ่มจากอะไรก่อน?”

เรื่องเส้นทางบันเทิงต่อจากนี้ของโจวเหว่ยซู จ้าวเฉียนคงต้องยกหน้าที่ให้หยวนมี่ไปจัดการวางแผนต่อว่า จะปั้นเธออย่างไรให้ดัง? ส่วนคำถามที่ว่า ควรทำยังไงบ้าง เริ่มจากอะไรก่อน เขาคงต้องตอบตามความรู้ที่มีไปก่อนว่า

“สิ่งแรกเลยนะ ก่อนจะพูดหรือทำอะไรต้องคิดให้ดี เพราะทุกอากัปกิริยาหลังจากนี้ทุกคนจะเริ่มจับจ้องมาที่ตัวคุณ หากเคยมีประวัติไม่ดีในอดีต ต้องหาข้อแก้ตัวเตรียมไว้เผื่อนักข่าวขุดขึ้นมาถามเป็นประเด็น แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนั้น เพราะทางเราจะส่งคนไปลบประวัติเสียพวกนั้น เรามีทีมงานมืออาชีพคอยรับมือกับเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว แค่อย่าหามาเพิ่มก็แล้วกัน”

โจวเหว่ยซูพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอชูแก้วไวน์ขึ้นและกล่าวว่า

“มาเถอะคุณจ้าว ให้เกียรติชนแก้วกันสักครั้ง ถ้าในวันใดวันหนึ่งฉันโด่งดังขึ้นมาแล้ว ฉันจะไม่มีวันลืมผู้มีพระคุณอย่างคุณจ้าวแน่นอน ขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้ในวันนี้มากค่ะ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นและหยิบแก้วขึ้นชนกับเธอ ทั้งสองกินดื่มกันต่ออย่างมีความสุข

โจวเหว่ยซูในตอนนี้มีความสุขอย่างมากจนดื่มไปแก้วแล้วแก้วเล่าโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นไม่นานจ้าวเฉียนก็เริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยังชนแก้วกับเขาไม่หยุด

จ้าวเฉียนรีบโบกมือปฏิเสธไปทันทีพอเห็นว่าเธอจะมาชนแก้วอีกแล้ว

“คุณโจว ผมว่าคุณดื่มเยอะเกินไปแล้วนะครับ ถ้าชนแก้วกันต่อมีหวังพวกเราขับรถกลับบ้านกันไม่ไหวนะครับ”

แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่โจวเหว่ยซูเมาแล้วจะน่ากลัวแบบนี้ เธอแสยะยิ้มแปลกๆ กล่าวว่า

“ถ้ากลับไม่ได้…ก็ไม่ต้องกลับ! สั่งมาจนกว่าจะพอใจได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง… แถวๆ นี้มีโรงแรมอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นไม่เมาไม่กลับ! ดื่มเถอะเร็วเข้า ดื่ม ดื่ม…”

ทันทีที่พูดจบโจวเหว่ยซูก็ตะโกนเรียกบริกรสั่งไวน์แดงเพิ่มอีกสองขวด พลางชักชวนให้จ้าวเฉียนดื่มต่อไป

ทั้งสองแทบไหลตกเก้าอี้หลังจากกระดกแก้วสุดท้ายหมด ต่างฝ่ายต่างประคองกันเดินโยกเยกพยายามหาทางกลับหลังเช็คบิลเสร็จ

พอเดินออกมาจากร้านอาหารได้สำเร็จ จ้าวเฉี่ยนก็หยิบมือถือออกมาจะโทรหาคนขับรถให้มารับ แต่ทันใดนั้นโจวเหว่ยซูก็ชิงคว้ามือถือจากมือเขาไป และกล่าวทั้งๆ ที่เมาว่า

“โทรหา…คน…คนขับทามมาย… มาเร็ว มา…ตามฉันมา…เดี๋ยวฉันพาคุณไปหาที่พักผ่อนนน…”

คล้อยหลังกล่าวจบ โจวเหว่ยซูก็กระชากแขนจ้าวเฉียนออกไป

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงโรงแรม โจวเหว่ยซูเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียน ยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“เข้าไปนอนกันเถอะ ไปนอนกาน… ฉันขอพูดตามตรงเลยนะ…คุณหล่อมากเลย อย่าว่าแต่ผู้หญิงจะตกหลุมรักเลย แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังตกหลุมรักด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออกเช่นกัน ดูเหมือนว่าเวลาเธอเมาจะไม่เบาเลยจริงๆ

ด้วยนิสัยของจ้าวเฉียนแล้ว เขาไม่มีทางพาสาวที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเข้าโรงแรมแน่นอน แม้เธอจะสวยหรือเซ็กซี่แค่ไหนก็ตาม

แต่สภาพของเขาในตอนนี้มันเมาเกินควบคุม แค่จะเดินให้ตรงยังยากแล้ว ทางแก้ไขเดียวที่เขานึกออกคือการเปิดห้องโรงแรมและนอนจนกว่าจะส่างเมา

ทั้งสองกอดคอเดินเข้าโรงแรมไปด้วยกัน

ทันทีที่เข้ามาในห้องพัก จ้าวเฉียนก็รีบเดินเข้าไปในห้องน้ำและรูดซิบยิงกระต่ายชุดใหญ่

แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาขาดสติเนื่องจากเมาหนักจึงลืมปิดประตูห้องน้ำ และทันใดนั้นโจวเหว่ยซูก็เดินตรงเข้ามา!

“คูณจ้าวว…อยากให้ฉันช่วยอะไรไหม?”

โจวเหว่ยซูเข้าจู่โจมในทันใด โดยการโผเข้าสวมกอดจ้าวเฉียนจากด้านหลัง กล่าวทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ

ตอนที่300 แรกพบเข้าโรงแรม

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนกดวางสายไป โจวเหว่ยซูก็เร่งเอ่ยถามทันทีว่า

“เป็นยังไงบ้าง? เธอยอมตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขา จึงปิดปากเรียบครุ่นคิดอยู่สักใหญ่เพื่อหาข้ออ้างไม่อยากให้โจวเหว่ยซูซักถามถึงเรื่องของเขากับอู่ซินเยอะเกินจำเป็น

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา โจวเหว่ยซูก็เริ่มปั้นสีหน้ากังวลและรีบถามกลับไปทันทีว่า

“เกิดอะไรขึ้น? เธอไม่ว่างเหรอ?”

จ้าวเฉียนอธิบายตอบไปว่า

“เปล่า แค่เธอไปกินข้าวกับคุณไม่ได้ เพราะติดถ่ายตอนช่วงกลางดึก แต่ถ้าไปเจอหน้าทักทายกันน่ะไม่มีปัญหา”

ตราบเท่าที่ได้พบเจอไอดอลที่ตัวเองคลั่งใคล้แค่ได้คุยกันสักประโยคก็ฟินจิกหมอนแล้ว แต่นี่ถึงขนาดได้พูดคุยถ่ายรูปและขอลายเซ็น แม้จะไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนี่ก็ดีเกินจินตนาการแล้ว

โจวเหว่ยซูยิ้มตอบทันทีว่า

“ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอด้วยตัวเอง แล้วฉันต้องไปกองถ่ายที่ไหน?”

จ้าวเฉียนตอบกลับไปว่า

“คุณไปเจอได้เลยที่สนามรถแข่งหวานจิ้ง บอกไปว่าเป็นเพื่อนของจ้าวเฉียน แม้ฉันจะเป็นเจ้านายเธอก็จริง แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ทำให้กองถ่ายล่าช้าได้เพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะ ดังนั้นรีบเจอรีบกลับ อย่าให้การถ่ายทำเกิดปัญหาเด็ดขาด เข้าใจไหมครับ?”

ขอเพียงได้เห็นอู่ซินตัวจริงเสียงจริง ไม่ว่าอะไรก็ต้องยอม โจวเหว่ยซูเร่งพยักหน้าและเอ่ยปากสัญญาทันที เธอรีบโบกมือลาจ้าวเฉียนและวิ่งไปยังห้องล็อกเกอร์ผู้หญิง เปลี่ยนเสื้อผ้าและขึ้นรถเหยียบคันเร่งบึ่งไปยังสนามรถแข่งในทันใด

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางเดินหันหลังกลับไปออกกำลังกายต่อ

ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมา โจวเหว่ยซูก็กลับมาที่ฟิตเนสอีกครั้งพร้อมสีหน้ามีความสุขเกินพรรณนา

นี่เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว และฟิตเนสก็ใกล้ถึงเวลาปิด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กลับไปเปลี่ยนชุดออกกำลังกายต่อ แต่เดินไปหาจ้าวเฉียนที่ลู่วิ่งโดยตรง

“อิอิ…ขอบคุณมากเลยนะคะคุณจ้าว เพื่อแสดงความขอบคุณ ฉันขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อค่ำนะคะ หวังว่าคืนนี้…คุณจ้าวนะว่าง”

โจวเหว่ยซูรีบเชิญชวนจ้าวเฉียนไปทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนใช้ความพยายามอย่างมากว่าจะเข้าใกล้และตีสนิทกับเธอขนาดนี้ แล้วมีหรือที่จะปฏิเสธ?

อย่างไรก็ตามแต่ จะล่อแมวน้อยต้องมีลูกเล่นถ้าม่อสาวสวยต้องมีลูกล่อลูกชน

จ้าวเฉียนปั้นหน้าเศร้าเล็กน้อย พยายามอ้างไปว่าไม่สะดวกไป

โจวเหว่ยซูรีบเกลื้ยกล่อมออดอ้อนทันที

“โถ่ว…คุณจ้าวนี่ก็ดึกแล้ว ควรหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้างนะคะ นี่ฉันจริงจังมากเลยนะ อยากเลี้ยงมื้อค่ำคุณจริงๆ แทนคำขอบคุณ ฝ่ายหญิงอุตส่าห์ออกหน้าชวนก่อนเลยนะคะ…ปฏิเสธกันลงคอเหรอ?”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ก็ได้ครับ ปกติผมชอบเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันนั้นๆ แต่ค่อยยกยอดไปทำต่อพรุ่งนี้แล้วกัน ถ้าอย่างงั้นคืนนี้พวกเราไปทานดินเนอร์กันนะครับคุณโจว”

“ดีแล้วค่ะ งั้นไปกันเถอะ”

หลังจากโจวเหว่ยซูกล่าวตบ เธอก็นั่งรอจ้าวเฉียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบออกไปทันที

ทั้งสองเพิ่งพบกันครั้งนี้เป็นคราแรก จ้าวเฉียนไม่มีทางเข้าเรื่องธุรกิจแน่นอน อนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เธอเกิดความสงสัย

ตลอดมื้ออาหาร ทั้งสองยกหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอู่ซินและดาราดังคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน

กล่าวกันตามตรง โจวเหว่ยซูเป็นสาวสวยที่ดีมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ถ้ามีคนเข้ามาสนับสนุนเธออย่างจริงๆ จังๆ เธอสามารถกลายมาเป็นดาราดังได้เลย

และสิ่งที่สำคัญที่สุดของบริษัทเฉียนเก๋อคือ การเฟ้นหาดาวรุ่งที่มีศักยภาพเพียงพอมาปั้นให้เป็นดาวเด่น บางทีดาราดาวรุ่งคนต่อไปถัดจากอู่ซินอาจจะเป็นเธอคนนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้?

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณโจว อย่างที่ผมพูดไปตอนแรก สนใจจะเป็นดาราไหมครับ?”

เมื่อห้าปีที่แล้ว ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโจวเหว่ยซูคือการเป็นดารา

แต่เธอไม่มีใครสนับสนุนเธอเลย แถมเกรดการเรียนก็ไม่ดี พรสวรรค์ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เธอจึงไม่สามารถสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ได้

ต่อมา โจวเจียงเฉินพ่อของเธอ ก็หมายมั่นปั้นมือให้เธอเข้ารับสืบทอดบริหารบริษัทเมล็ดพืชการาจต่อ จึงส่งเธอไปเรียนเศรษฐศาสตร์ นั้นทำให้เธอค่อยๆ ลืมเลือนความฝันอันยิ่งใหญ่นั้นไป

เมื่อจ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมาแบบนี้ มันก็เป็นดั่งตัวจุดประกายไฟภายในใจของเธออีกครั้ง

อย่าว่าแต่คนมีพรสวรรค์น้อยอย่างเธอเลย แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถพัฒนากลายเป็นดารามากความสามารถได้ ถ้าเจ้าของค่ายสังกัดชื่นชอบในตัวเธอ และชายที่นั่งอยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยซูในขณะนี้ก็เป็นถึงเจ้าของเฉียนเก๋อ ค่ายที่ดาราที่เธอชื่นชอบสังกัดอยู่!

โจวเหว่ยซูกล่าวตอบทันทีว่า

“คงจะเป็นเรื่องดีมากถ้าฉันได้เป็นดารา ใครบ้างไม่อยากเป็นดาราล่ะ? แต่ฉันไม่เคยลงเรียนการแสดงมาก่อนเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่ต้องดูแลธุรกิจของพ่อ ไม่รู้สิ…บางทีฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ การจะเป็นดาราได้ต้องสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน แต่ฉันไม่ใช่แบบนั้น”

คำพูดของโจวเหว่ยซูดูค่อนข้างจริงจัง ไม่ว่าเธอจะพูดสิ่งนี้ออกมาจากใจจริงหรือต้องการให้จ้าวเฉียนเห็นใจก็ตาม แต่มันไม่ใช่คำพูดที่คนธรรมดาทั่วไปที่นึกจะพูดก็พูดออกมาได้ คล้ายว่าต้องเป็นคนที่ผ่านโลกมาแล้วในระดับนึง

ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อคำสั่งออเดอร์ของบริษัทเมล็ดพืชการาจแล้ว จ้าวเฉียนจะต้องเกลี้ยกล่อมให้เธอลอง

จ้าวเฉียนกล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้นนะ เฉพาะคนที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นดาราได้ แต่พอมาเปิดบริษัทเกี่ยวกับแวดวงบันเทิงดูจริงๆ มันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย ตราบเท่าที่คนที่จะปั้นไม่ขี้เกียจหรือปิดกั้นตัวเองเกินไป ต่อให้เป็นคนธรรมดาไม่มีพรสวรรค์อะไรโดดเด่นก็สามารถกลายมาเป็นดาราได้ ขอเพียงบริษัทมีเม็ดเงินสนับสนุนมากเพียงพอ แม้นี่อาจจะดูโหดร้ายไปบ้าง แต่มันเป็นความจริง บางคนไม่มีอะไรเลยแต่ทำไมถึงกลายมาเป็นดาราขึ้นแท่นอันดับหนึ่งได้? แล้วทำไมบางคนมากพรสวรรค์แต่ได้เล่นแต่บทตัวประกอบ? พอจะเข้าใจที่กล่าวไปนะครับ? ซึ่งในกรณีของคุณ โอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำไมถึงไม่ลองสักตั้งล่ะครับ?”

เปลวไฟแห่งความฝันของโจวเหว่ยซูถูกจุดขึ้นอีกครั้งโดยคำพูดกระตุ้นของจ้าวเฉียน

ก็จริง…โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วทั้งที ทำไมฉันถึงไม่ลองดูล่ะ?

แม้ว่าสุดท้ายอย่างกรณีเลวร้ายที่สุดเธออาจไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างมากก็แค่เสียเวลาเล่นไปสองสามปีเท่านั้น ในทางตรงข้าม…แล้วถ้าทำสำเร็จล่ะ?

ถ้าเธอทำได้สำเร็จ…สิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล?

โจวเหว่ยซูพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า

“เข้าใจแล้วค่ะ! ฉันขะลองทำตามความฝันดูสักครั้ง! แล้วฉันควรทำยังไงบ้าง? เริ่มจากอะไรก่อน?”

เรื่องเส้นทางบันเทิงต่อจากนี้ของโจวเหว่ยซู จ้าวเฉียนคงต้องยกหน้าที่ให้หยวนมี่ไปจัดการวางแผนต่อว่า จะปั้นเธออย่างไรให้ดัง? ส่วนคำถามที่ว่า ควรทำยังไงบ้าง เริ่มจากอะไรก่อน เขาคงต้องตอบตามความรู้ที่มีไปก่อนว่า

“สิ่งแรกเลยนะ ก่อนจะพูดหรือทำอะไรต้องคิดให้ดี เพราะทุกอากัปกิริยาหลังจากนี้ทุกคนจะเริ่มจับจ้องมาที่ตัวคุณ หากเคยมีประวัติไม่ดีในอดีต ต้องหาข้อแก้ตัวเตรียมไว้เผื่อนักข่าวขุดขึ้นมาถามเป็นประเด็น แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนั้น เพราะทางเราจะส่งคนไปลบประวัติเสียพวกนั้น เรามีทีมงานมืออาชีพคอยรับมือกับเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว แค่อย่าหามาเพิ่มก็แล้วกัน”

โจวเหว่ยซูพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอชูแก้วไวน์ขึ้นและกล่าวว่า

“มาเถอะคุณจ้าว ให้เกียรติชนแก้วกันสักครั้ง ถ้าในวันใดวันหนึ่งฉันโด่งดังขึ้นมาแล้ว ฉันจะไม่มีวันลืมผู้มีพระคุณอย่างคุณจ้าวแน่นอน ขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้ในวันนี้มากค่ะ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นและหยิบแก้วขึ้นชนกับเธอ ทั้งสองกินดื่มกันต่ออย่างมีความสุข

โจวเหว่ยซูในตอนนี้มีความสุขอย่างมากจนดื่มไปแก้วแล้วแก้วเล่าโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นไม่นานจ้าวเฉียนก็เริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยังชนแก้วกับเขาไม่หยุด

จ้าวเฉียนรีบโบกมือปฏิเสธไปทันทีพอเห็นว่าเธอจะมาชนแก้วอีกแล้ว

“คุณโจว ผมว่าคุณดื่มเยอะเกินไปแล้วนะครับ ถ้าชนแก้วกันต่อมีหวังพวกเราขับรถกลับบ้านกันไม่ไหวนะครับ”

แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่โจวเหว่ยซูเมาแล้วจะน่ากลัวแบบนี้ เธอแสยะยิ้มแปลกๆ กล่าวว่า

“ถ้ากลับไม่ได้…ก็ไม่ต้องกลับ! สั่งมาจนกว่าจะพอใจได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง… แถวๆ นี้มีโรงแรมอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นไม่เมาไม่กลับ! ดื่มเถอะเร็วเข้า ดื่ม ดื่ม…”

ทันทีที่พูดจบโจวเหว่ยซูก็ตะโกนเรียกบริกรสั่งไวน์แดงเพิ่มอีกสองขวด พลางชักชวนให้จ้าวเฉียนดื่มต่อไป

ทั้งสองแทบไหลตกเก้าอี้หลังจากกระดกแก้วสุดท้ายหมด ต่างฝ่ายต่างประคองกันเดินโยกเยกพยายามหาทางกลับหลังเช็คบิลเสร็จ

พอเดินออกมาจากร้านอาหารได้สำเร็จ จ้าวเฉี่ยนก็หยิบมือถือออกมาจะโทรหาคนขับรถให้มารับ แต่ทันใดนั้นโจวเหว่ยซูก็ชิงคว้ามือถือจากมือเขาไป และกล่าวทั้งๆ ที่เมาว่า

“โทรหา…คน…คนขับทามมาย… มาเร็ว มา…ตามฉันมา…เดี๋ยวฉันพาคุณไปหาที่พักผ่อนนน…”

คล้อยหลังกล่าวจบ โจวเหว่ยซูก็กระชากแขนจ้าวเฉียนออกไป

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงโรงแรม โจวเหว่ยซูเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียน ยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“เข้าไปนอนกันเถอะ ไปนอนกาน… ฉันขอพูดตามตรงเลยนะ…คุณหล่อมากเลย อย่าว่าแต่ผู้หญิงจะตกหลุมรักเลย แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังตกหลุมรักด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออกเช่นกัน ดูเหมือนว่าเวลาเธอเมาจะไม่เบาเลยจริงๆ

ด้วยนิสัยของจ้าวเฉียนแล้ว เขาไม่มีทางพาสาวที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเข้าโรงแรมแน่นอน แม้เธอจะสวยหรือเซ็กซี่แค่ไหนก็ตาม

แต่สภาพของเขาในตอนนี้มันเมาเกินควบคุม แค่จะเดินให้ตรงยังยากแล้ว ทางแก้ไขเดียวที่เขานึกออกคือการเปิดห้องโรงแรมและนอนจนกว่าจะส่างเมา

ทั้งสองกอดคอเดินเข้าโรงแรมไปด้วยกัน

ทันทีที่เข้ามาในห้องพัก จ้าวเฉียนก็รีบเดินเข้าไปในห้องน้ำและรูดซิบยิงกระต่ายชุดใหญ่

แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาขาดสติเนื่องจากเมาหนักจึงลืมปิดประตูห้องน้ำ และทันใดนั้นโจวเหว่ยซูก็เดินตรงเข้ามา!

“คูณจ้าวว…อยากให้ฉันช่วยอะไรไหม?”

โจวเหว่ยซูเข้าจู่โจมในทันใด โดยการโผเข้าสวมกอดจ้าวเฉียนจากด้านหลัง กล่าวทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ

ตอนที่301 ต้องด้นสดแล้ว

จ้าวเฉียนไม่คิดเลยว่าโจวเหว่ยซูจะเป็นคนตรงไปตรงมาขนาดนี้ เธอไม่มีอ้อมค้อมใดๆและจู่โจมเขาในทันที เขาแค่เดินเข้าห้องน้ำมาเพราะปวดฉี่ ไม่ได้คิดเรื่องอย่างว่าเลยสักนิด

“คุณโจว นี่ดูไม่ดีเลยนะครับ รีบออกไปก่อนจะดีกว่า”

จ้าวเฉียนพยายามหันหลังโต้ตอบกลับไป

เธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างชัดเจน เป็นอันทราบกันดีว่าเธอหมายความอย่างไรและต้องการอะไรถึงเข้ามาที่นี่ ซึ่งนี่ทำเอาจ้าวเฉียนพูดไม่ออก

“คุณจ้าว ฉันเข้าใจกฎที่คุณว่าก่อนหน้าไปนะคะ ถ้าอยากดังก็ต้องอุทิศตัวเองแม้จะเป็นร่างกายก็ตาม ฉันเข้าใจและเข้าใจดีเลยด้วย ทราบนะคะว่าคุณจ้าวต้องมีแฟนไม่ก็ภรรยาแล้ว ดังนั้นฉันสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาและจะเป็นเด็กดีของคุณ เรื่องนี้มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้นที่รู้ ไม่ต้องกังวลนะคะ อิอิ…”

แม้จ้าวเฉียนจะไม่ได้วางแผนพาเธอมาทำเรื่องอย่างว่า แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนต่อการยั่วยุของเธอที่รุกหนักขนาดนี้ได้

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ มักไม่ต้องมีเหตุผลอะไรให้มากความและถือเป็นเรื่องปกติของคนเรา ดังนั้นเธอจึงค่อยๆเอื้อมมือไปปิดประตูห้องน้ำและถอดเสื้อผ้าอาบน้ำด้วยกันทันที

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังศึกหนักในห้องน้ำเสร็จสิ้นลง ทั้งสองก็ล้างเนื้อล้างตัวและนอนเล่นบนเตียงพลางคุยกันไปเรื่อย

จังหวะนี้แหละถึงเวลาเข้าเรื่องธุรกิจกันแล้ว

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวว่า

“ฉันต้องกลับแล้ว ยังมีธุระอีกมากต้องสะสาง”

โจวเหว่นซูกัดฟันกล่าวตอบด้วยความโกรธไปว่า

“นี่คุณเจตนาฟันฉันแล้วทิ้งรึเปล่า? ถ้าจริงจะถือว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ! แก้ตัวอ้างโน้นอ้างนี่ไปเรื่อย สุดท้ายก็ไม่ได้จริงจังกับฉัน?”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวแต่ทั้งหมดเป็นความจริง ตอนนี้บริษัทท่าเรือของผมกำลังมีเรื่องขัดแย้งกับท่าเรือหัวเมื่อเร็วๆนี้ และผมต้องการแย่งลูกค้ารายใหญ่ของท่าเรือหัวอย่างบริษัทเมล็ดพืชการาจมา พรุ่งนี้ผมมีนัดคุยกับผู้รับผิดชอบของบริษัทเมล็ดพืชการาจ จุดประสงค์ก็เพื่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนคู่ค้า ดังนั้นผมต้องเตรียมพร้อมให้ดี”

ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวเหว่ยซู แต่ทันใดนั้นมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มกล่าวตอบไปว่า

“ฉันคิดว่าคุณไม่น่าแข็งแกร่งพอที่จะไปสู้รบกับพวกท่าเรือหัวไหวหรอกนะคะ”

เห็นได้ชัดว่า โจวเหว่ยซูไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเธอ

และถ้าเธอไม่ยอมเปิดเผยตัวตนออกมาแบบนี้ จ้าวเฉียนก็ไม่สามารถดำเนินแผนการต่อไปได้เช่นกัน

โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด จ้าวเฉียนจะต้องเดินทางไปที่บริษัทเมล็ดพืชการาจแล้วจริงๆเพื่อหารนทางอื่น

จ้าวเฉียนลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าและกล่าวขึ้นว่า

“ผมไปก่อนนะ ถ้าคุณจะนอนต่อก็ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย พอผมออกไปแล้วต้องล็อกประตูด้วยนะ แต้ถ้าจะกลับต้องเรียกแท็กซี่ไม่ก็คนขับไปส่งเข้าใจไหม?”

โจวเหว่ยซูได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มถามขึ้นว่า

“ดูท่าคุณจะเป็นห่วงฉันมากเลยนะ ไม่ใช่มาเพื่อฟันฉันแล้วทิ้งจริงๆใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางเอ่ยตอบไปว่า

“ผมไม่ใช่ผู้ชายมักง่ายขนาดนั้น”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินไปใส่รองเท้า ก่อนเปิดประตูออกไปเขาหันมาโบกมือลาให้โจวเหว่ยซู

โจวเหว่ยซูเอนกายนอนลงบนเตียงอีกครั้งด้วยความงุนงง

เธอนสงสัยอย่างยิ่งว่า จ้าวเฉียนรับรู้ถึงตัวตนของเธอตั้งแต่แรกและจงใจเข้ามาตีสนิทชิดเชื้อกับเธอ เพื่อหวังจะได้ออเดอร์จากทางบริษัทเมล็ดพืชการาจ?

หากเป็นกรณีแบบนั้นจริงๆ ทุกการกระทำของจ้าวเฉียนไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่ล้วนผ่านการวางแผนและคำนวณมาหมดแล้ว นั้นจะทำให้เธอเสียความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง และอย่าหวังจะได้รับการอภัยจากเธอเลย

โจวเหว่ยซูคิดในใจ

‘พรุ่งนี้ฉันจะคอยดูว่า คุณจะไปที่บริษัทเมล็ดพืชการาจจริงตามที่พูดไว้ไหม ถ้าไปแสดงว่าเขาจริงใจกับฉันและไม่ได้โกหก ถึงตอนนั้นฉันจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉันและช่วยเขาเอง แต่ถ้าไม่เห็น….แสดงว่าทุกอย่างที่เขาทำให้ฉันคือเรื่องโกหกทั้งหมด! และฉันจะให้พ่อจัดการกับคุณ!’

จ้าวเฉียนเดินทางออกจากโรงแรมและโทรหาหวางอวี่จุนโดยไว

“ฮาโหล ผู้จัดการหวาง พรุ่งนี้ออกมากับผมไปบริษัทเมล็ดพืชการาจตอนเก้าโมงเช้า”

“ได้ครับคุณชายจ้าว แล้วพรุ่งนี้นัดเจอกันก่อนที่ไหนดีครับ?”

“ตรงหน้าทางเข้าบริษัทเมล็ดพืชการาจเลย นำทุกอย่างที่จำเป็นกับการเซ็นสัญญามาใหเหมด เพราะถ้าเราเจรจาสำเร็จจะได้ดำเนินการเซ็นทันที งานนี้ต้องรีบรวบหัวรวบหางโดยเร็วที่สุด”

“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงคุณชายจ้าว ผมจะทำให้ดีที่สุด รับประกันได้เลยว่าไม่สร้างปัญหาให้แน่นอน เจอกันพรุ่งนี้ครับ”

จ้าวเฉียนตอบตกลงไปและวางสาย

ในเวลานี้ จ้าวเฉียนยังมีอาการเมาอยู่เล็กน้อย และไม่กล้าเสี่ยงขับรถกลับเอง ดังนั้นเขาจึงโทรหาคนขับรถส่วนตัวให้มารับ

หลังจากกลับมาถึงบ้าน จ้าวฝู่ก็รีบตรงมาหาเขา

“ไอ้ลูกชาย แกไปไหนมา ดื่มมาด้วย?”

จ้าวฝู่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวปลอบพ่อไปว่า คราวนี้ไม่ได้ดื่มหนักแล้วไปขับรถชนใครอีกเมื่อหกปีก่อน ดังนั้นไม่ต้องห่วงไป

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะยกใหญ่ก่อนเอ่ยถามขึ้นต่อว่า

“แน่นอน ฉันรู้ว่าแกไม่ผิดซ้ำสองหรอก แล้วเป็นไงบ้าง? เปิดศึกกับตระกูลหัวเป็นยังไง?”

จ้าวฝู่คงรู้สถานการณ์ทุกอย่างดีอยู่แล้ว ที่เอ่ยถามออกมาแบบนี้เพียงเพราะอยากชวนลูกตัวเองคุยเท่านั้น

“พ่อไม่ต้องกังวล ทุกอย่างเป็นไปตามแผนด้วยดี อีกไม่นานเตรียมได้ท่าเรือใหม่เพิ่มได้เลย”

จ้าวฝู่ยิ้มและตอบไปว่า

“ฉันรู้ว่าแกเอาอยู่ แต่แกเองก็หัดใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย รีบร้อนกระโดดข้ามกำแพงไปมีแต่เจ็บตัว แกจำเอาไว้ให้ดีนะ เวลาหมามันจนตรอกมันแว้งกัดสู้ขาดใจเลยนะ ดังนั้นอย่ารีบบีบพวกมันเร็วเกินไป”

จ้าวเฉียนพยักหนน้ากล่าวไปว่า

“ผมรู้ดีครับว่าตัวเองควรทำยังไง พ่อนั้นแหละนอนได้แล้ว อ่อ…แล้วพบสมัครสมาชิกฟิตเนสVIPเผื่อพ่อด้วยนะ เพื่อออกกำลังกายคนเดียวเบื่อๆก็ไปได้ตลอด”

จ้าวฝู่ยักไหล่เป็นคำตอบและเดินจากออกไป

จ้าวเฉียนนั่งชิบชาอยู่สองสามแก้ว ยามนี้ค่อยฟื้นสติสัมปชัญญะได้หน่อย จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังบริษัทเมล็ดพืชการาจในวันพรุ่งนี้ งานนี้เขาต้องด้นสดล้วนๆ และกำลังหาวิธีว่าจะด้นสดยังไงให้ดูเหมือนมีนัดกับทางนั้นจริงๆเพื่อไม่ให้ดูโง่

จ้าวเฉียนผล็อยหลับบนเตียงไปโดยไม่รู้ตัว

ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองตงไห่อันแสนห่างไหกล หวานเจียงกำลังประสบปัญหาอันเลวร้ายอย่างที่สุด เธอได้แต่จับจ้องโทรศัพท์ของเธอโดยหวังว่าจ้าวเฉียนจะโทรมาหาเธอบ้าง

เธอไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่า จ้าวเฉียนจะอ่อนโยนและดีกับเธอ แต่อย่างน้อยถ้าโทรมาหากันบ้างคงดีไม่น้อย

แต่จ้าวเฉียนก็ไม่ยอมโทรมาปล่อยให้เธอเฝ้าคอยจนดึกจนดื่น และสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปท่ามกลางความผิดหวัง

อากาศเย็นสบายช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงยามเช้านี่ช่างสดชื่นอย่างแท้จริง

จ้าวเฉียนตื่นขึ้นมาแต่เช้า รับประทานอาหารและออกเดินทางไปที่บริษัทเมล็ดพืชการาจทันที

เมื่อไปถึงที่นั่นหวางอวี่จุนก็รออยู่แล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชายจ้าว กินอะไรรองท้องรึยังครับ? แวะไปหาอะไรทานก่อนดีไหม?”

หวางอวี่จุนยิ้มกว้างต้อนรับเช้าวันใหม่อย่างสดใส

จ้าวเฉียนทักทายเขาอย่างสุภาพตอบไปว่า

“อรุณสวัสดิ์เช่นกัน ฉันกินมาแล้ว ถ้านายยังไม่ได้กินอะไรก็แวะร้านกาแฟล่างตึกก่อนเถอะ”

เวลา9:30น. หลังจากหวางอวี่จุนทานแซนวิชและกาแฟเสร็จสรรพ พวกเขาก็พยายามเดินเข้ามาในตัวออฟฟิศ แต่กลับถูกพนักงานต้อนรับห้ามเอาไว้

“คุณพวกทั้งสองท่านต้องการมาพบใครค่ะ มีนัดมารึเปล่า?”

พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยถามอย่างสุภาพ

หวางอวี่จุนรีบก้าวย่างออกไปตอบแทนทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“สวัสดีครับ พวกเรามาจากบริษัทท่าเรือเฉียนตง ผมประธานบริษัทหวางอวี่จุน ส่วนนี่คือผู้ช่วยของผมเอง เราต้องการพบผู้รับผิดชอบด้านการขนส่ง ทางคุณช่วยพาไปพบได้ไหมครับ?”

พนักงานต้อนรับสาวเปิดสมุดนัดทวนอยู่สองสามรอบ ก่อนจะส่ายหัวและกล่าวว่า

“ประทานโทษนะคะ ไม่มีนัดจากบริษัทท่าเรือเฉียนตง ถ้าไม่มีนัดหมายกันมาก่อน ดิฉันเกรงว่าจะไม่สามารถพาพวกคุณเข้าไปได้ค้ะ”

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนโทรหาผู้จัดการฝ่ายขนส่งได้ไหมครับ แล้วแจ้งชื่อผมเข้าไป?”

หวางอวี่จุนพยายามตื้อโน้มน้าว

หวางอวี่จุนเป็นถึงประธานท่าเรือเฉียนตง แต่อย่างไรในเมื่อไม่มีนัด การจะทำเรื่องติดต่อไปโดยส่วนตัวถือว่านอกเหนือหน้าที่ของเธอแล้ว ดังนั้นเธอจึงลำบากใจไม่น้อยเลยในขณะนี้

แต่ในท้ายที่สุดพนักงานต้อนรับสาวก็ทำได้เพียงส่ายหัวปฏิเสธคำขอไป ถ้าไม่มีนัดก็ไม่สามารถเข้าไปรบกวนเวลาของคนในได้

แต่ทันใดนั้นเอง โจวเหว่ยซูก็เดินเข้ามา

เมื่อเธอเห็นว่าจ้าวเฉียนมาที่นี่จริงๆ เธอก็คลี่ยิ้มกว้างดูมีความสุขอย่างมากทันที

“คุณจ้าว! คุณมาที่นี่จริงๆ!”

โจวเหว่ยซูรีบเดินเข้ามาทักทายทันที

จ้าวเฉียนรีบเร่งหันหน้ากลับไปมองโดยไว พอเห็นว่าเป็นโจวเหว่ยซูเขาก็ดีใจอย่างมาก

พระเจ้า! รอดวะ!

ตอนที่301 ต้องด้นสดแล้ว

จ้าวเฉียนไม่คิดเลยว่าโจวเหว่ยซูจะเป็นคนตรงไปตรงมาขนาดนี้ เธอไม่มีอ้อมค้อมใดๆและจู่โจมเขาในทันที เขาแค่เดินเข้าห้องน้ำมาเพราะปวดฉี่ ไม่ได้คิดเรื่องอย่างว่าเลยสักนิด

“คุณโจว นี่ดูไม่ดีเลยนะครับ รีบออกไปก่อนจะดีกว่า”

จ้าวเฉียนพยายามหันหลังโต้ตอบกลับไป

เธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างชัดเจน เป็นอันทราบกันดีว่าเธอหมายความอย่างไรและต้องการอะไรถึงเข้ามาที่นี่ ซึ่งนี่ทำเอาจ้าวเฉียนพูดไม่ออก

“คุณจ้าว ฉันเข้าใจกฎที่คุณว่าก่อนหน้าไปนะคะ ถ้าอยากดังก็ต้องอุทิศตัวเองแม้จะเป็นร่างกายก็ตาม ฉันเข้าใจและเข้าใจดีเลยด้วย ทราบนะคะว่าคุณจ้าวต้องมีแฟนไม่ก็ภรรยาแล้ว ดังนั้นฉันสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาและจะเป็นเด็กดีของคุณ เรื่องนี้มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้นที่รู้ ไม่ต้องกังวลนะคะ อิอิ…”

แม้จ้าวเฉียนจะไม่ได้วางแผนพาเธอมาทำเรื่องอย่างว่า แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนต่อการยั่วยุของเธอที่รุกหนักขนาดนี้ได้

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ มักไม่ต้องมีเหตุผลอะไรให้มากความและถือเป็นเรื่องปกติของคนเรา ดังนั้นเธอจึงค่อยๆเอื้อมมือไปปิดประตูห้องน้ำและถอดเสื้อผ้าอาบน้ำด้วยกันทันที

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังศึกหนักในห้องน้ำเสร็จสิ้นลง ทั้งสองก็ล้างเนื้อล้างตัวและนอนเล่นบนเตียงพลางคุยกันไปเรื่อย

จังหวะนี้แหละถึงเวลาเข้าเรื่องธุรกิจกันแล้ว

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวว่า

“ฉันต้องกลับแล้ว ยังมีธุระอีกมากต้องสะสาง”

โจวเหว่นซูกัดฟันกล่าวตอบด้วยความโกรธไปว่า

“นี่คุณเจตนาฟันฉันแล้วทิ้งรึเปล่า? ถ้าจริงจะถือว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ! แก้ตัวอ้างโน้นอ้างนี่ไปเรื่อย สุดท้ายก็ไม่ได้จริงจังกับฉัน?”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวแต่ทั้งหมดเป็นความจริง ตอนนี้บริษัทท่าเรือของผมกำลังมีเรื่องขัดแย้งกับท่าเรือหัวเมื่อเร็วๆนี้ และผมต้องการแย่งลูกค้ารายใหญ่ของท่าเรือหัวอย่างบริษัทเมล็ดพืชการาจมา พรุ่งนี้ผมมีนัดคุยกับผู้รับผิดชอบของบริษัทเมล็ดพืชการาจ จุดประสงค์ก็เพื่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนคู่ค้า ดังนั้นผมต้องเตรียมพร้อมให้ดี”

ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวเหว่ยซู แต่ทันใดนั้นมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มกล่าวตอบไปว่า

“ฉันคิดว่าคุณไม่น่าแข็งแกร่งพอที่จะไปสู้รบกับพวกท่าเรือหัวไหวหรอกนะคะ”

เห็นได้ชัดว่า โจวเหว่ยซูไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเธอ

และถ้าเธอไม่ยอมเปิดเผยตัวตนออกมาแบบนี้ จ้าวเฉียนก็ไม่สามารถดำเนินแผนการต่อไปได้เช่นกัน

โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด จ้าวเฉียนจะต้องเดินทางไปที่บริษัทเมล็ดพืชการาจแล้วจริงๆเพื่อหารนทางอื่น

จ้าวเฉียนลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าและกล่าวขึ้นว่า

“ผมไปก่อนนะ ถ้าคุณจะนอนต่อก็ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย พอผมออกไปแล้วต้องล็อกประตูด้วยนะ แต้ถ้าจะกลับต้องเรียกแท็กซี่ไม่ก็คนขับไปส่งเข้าใจไหม?”

โจวเหว่ยซูได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มถามขึ้นว่า

“ดูท่าคุณจะเป็นห่วงฉันมากเลยนะ ไม่ใช่มาเพื่อฟันฉันแล้วทิ้งจริงๆใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางเอ่ยตอบไปว่า

“ผมไม่ใช่ผู้ชายมักง่ายขนาดนั้น”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินไปใส่รองเท้า ก่อนเปิดประตูออกไปเขาหันมาโบกมือลาให้โจวเหว่ยซู

โจวเหว่ยซูเอนกายนอนลงบนเตียงอีกครั้งด้วยความงุนงง

เธอนสงสัยอย่างยิ่งว่า จ้าวเฉียนรับรู้ถึงตัวตนของเธอตั้งแต่แรกและจงใจเข้ามาตีสนิทชิดเชื้อกับเธอ เพื่อหวังจะได้ออเดอร์จากทางบริษัทเมล็ดพืชการาจ?

หากเป็นกรณีแบบนั้นจริงๆ ทุกการกระทำของจ้าวเฉียนไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่ล้วนผ่านการวางแผนและคำนวณมาหมดแล้ว นั้นจะทำให้เธอเสียความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง และอย่าหวังจะได้รับการอภัยจากเธอเลย

โจวเหว่ยซูคิดในใจ

‘พรุ่งนี้ฉันจะคอยดูว่า คุณจะไปที่บริษัทเมล็ดพืชการาจจริงตามที่พูดไว้ไหม ถ้าไปแสดงว่าเขาจริงใจกับฉันและไม่ได้โกหก ถึงตอนนั้นฉันจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉันและช่วยเขาเอง แต่ถ้าไม่เห็น….แสดงว่าทุกอย่างที่เขาทำให้ฉันคือเรื่องโกหกทั้งหมด! และฉันจะให้พ่อจัดการกับคุณ!’

จ้าวเฉียนเดินทางออกจากโรงแรมและโทรหาหวางอวี่จุนโดยไว

“ฮาโหล ผู้จัดการหวาง พรุ่งนี้ออกมากับผมไปบริษัทเมล็ดพืชการาจตอนเก้าโมงเช้า”

“ได้ครับคุณชายจ้าว แล้วพรุ่งนี้นัดเจอกันก่อนที่ไหนดีครับ?”

“ตรงหน้าทางเข้าบริษัทเมล็ดพืชการาจเลย นำทุกอย่างที่จำเป็นกับการเซ็นสัญญามาใหเหมด เพราะถ้าเราเจรจาสำเร็จจะได้ดำเนินการเซ็นทันที งานนี้ต้องรีบรวบหัวรวบหางโดยเร็วที่สุด”

“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงคุณชายจ้าว ผมจะทำให้ดีที่สุด รับประกันได้เลยว่าไม่สร้างปัญหาให้แน่นอน เจอกันพรุ่งนี้ครับ”

จ้าวเฉียนตอบตกลงไปและวางสาย

ในเวลานี้ จ้าวเฉียนยังมีอาการเมาอยู่เล็กน้อย และไม่กล้าเสี่ยงขับรถกลับเอง ดังนั้นเขาจึงโทรหาคนขับรถส่วนตัวให้มารับ

หลังจากกลับมาถึงบ้าน จ้าวฝู่ก็รีบตรงมาหาเขา

“ไอ้ลูกชาย แกไปไหนมา ดื่มมาด้วย?”

จ้าวฝู่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวปลอบพ่อไปว่า คราวนี้ไม่ได้ดื่มหนักแล้วไปขับรถชนใครอีกเมื่อหกปีก่อน ดังนั้นไม่ต้องห่วงไป

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะยกใหญ่ก่อนเอ่ยถามขึ้นต่อว่า

“แน่นอน ฉันรู้ว่าแกไม่ผิดซ้ำสองหรอก แล้วเป็นไงบ้าง? เปิดศึกกับตระกูลหัวเป็นยังไง?”

จ้าวฝู่คงรู้สถานการณ์ทุกอย่างดีอยู่แล้ว ที่เอ่ยถามออกมาแบบนี้เพียงเพราะอยากชวนลูกตัวเองคุยเท่านั้น

“พ่อไม่ต้องกังวล ทุกอย่างเป็นไปตามแผนด้วยดี อีกไม่นานเตรียมได้ท่าเรือใหม่เพิ่มได้เลย”

จ้าวฝู่ยิ้มและตอบไปว่า

“ฉันรู้ว่าแกเอาอยู่ แต่แกเองก็หัดใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย รีบร้อนกระโดดข้ามกำแพงไปมีแต่เจ็บตัว แกจำเอาไว้ให้ดีนะ เวลาหมามันจนตรอกมันแว้งกัดสู้ขาดใจเลยนะ ดังนั้นอย่ารีบบีบพวกมันเร็วเกินไป”

จ้าวเฉียนพยักหนน้ากล่าวไปว่า

“ผมรู้ดีครับว่าตัวเองควรทำยังไง พ่อนั้นแหละนอนได้แล้ว อ่อ…แล้วพบสมัครสมาชิกฟิตเนสVIPเผื่อพ่อด้วยนะ เพื่อออกกำลังกายคนเดียวเบื่อๆก็ไปได้ตลอด”

จ้าวฝู่ยักไหล่เป็นคำตอบและเดินจากออกไป

จ้าวเฉียนนั่งชิบชาอยู่สองสามแก้ว ยามนี้ค่อยฟื้นสติสัมปชัญญะได้หน่อย จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังบริษัทเมล็ดพืชการาจในวันพรุ่งนี้ งานนี้เขาต้องด้นสดล้วนๆ และกำลังหาวิธีว่าจะด้นสดยังไงให้ดูเหมือนมีนัดกับทางนั้นจริงๆเพื่อไม่ให้ดูโง่

จ้าวเฉียนผล็อยหลับบนเตียงไปโดยไม่รู้ตัว

ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองตงไห่อันแสนห่างไหกล หวานเจียงกำลังประสบปัญหาอันเลวร้ายอย่างที่สุด เธอได้แต่จับจ้องโทรศัพท์ของเธอโดยหวังว่าจ้าวเฉียนจะโทรมาหาเธอบ้าง

เธอไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่า จ้าวเฉียนจะอ่อนโยนและดีกับเธอ แต่อย่างน้อยถ้าโทรมาหากันบ้างคงดีไม่น้อย

แต่จ้าวเฉียนก็ไม่ยอมโทรมาปล่อยให้เธอเฝ้าคอยจนดึกจนดื่น และสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปท่ามกลางความผิดหวัง

อากาศเย็นสบายช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงยามเช้านี่ช่างสดชื่นอย่างแท้จริง

จ้าวเฉียนตื่นขึ้นมาแต่เช้า รับประทานอาหารและออกเดินทางไปที่บริษัทเมล็ดพืชการาจทันที

เมื่อไปถึงที่นั่นหวางอวี่จุนก็รออยู่แล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชายจ้าว กินอะไรรองท้องรึยังครับ? แวะไปหาอะไรทานก่อนดีไหม?”

หวางอวี่จุนยิ้มกว้างต้อนรับเช้าวันใหม่อย่างสดใส

จ้าวเฉียนทักทายเขาอย่างสุภาพตอบไปว่า

“อรุณสวัสดิ์เช่นกัน ฉันกินมาแล้ว ถ้านายยังไม่ได้กินอะไรก็แวะร้านกาแฟล่างตึกก่อนเถอะ”

เวลา9:30น. หลังจากหวางอวี่จุนทานแซนวิชและกาแฟเสร็จสรรพ พวกเขาก็พยายามเดินเข้ามาในตัวออฟฟิศ แต่กลับถูกพนักงานต้อนรับห้ามเอาไว้

“คุณพวกทั้งสองท่านต้องการมาพบใครค่ะ มีนัดมารึเปล่า?”

พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยถามอย่างสุภาพ

หวางอวี่จุนรีบก้าวย่างออกไปตอบแทนทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“สวัสดีครับ พวกเรามาจากบริษัทท่าเรือเฉียนตง ผมประธานบริษัทหวางอวี่จุน ส่วนนี่คือผู้ช่วยของผมเอง เราต้องการพบผู้รับผิดชอบด้านการขนส่ง ทางคุณช่วยพาไปพบได้ไหมครับ?”

พนักงานต้อนรับสาวเปิดสมุดนัดทวนอยู่สองสามรอบ ก่อนจะส่ายหัวและกล่าวว่า

“ประทานโทษนะคะ ไม่มีนัดจากบริษัทท่าเรือเฉียนตง ถ้าไม่มีนัดหมายกันมาก่อน ดิฉันเกรงว่าจะไม่สามารถพาพวกคุณเข้าไปได้ค้ะ”

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนโทรหาผู้จัดการฝ่ายขนส่งได้ไหมครับ แล้วแจ้งชื่อผมเข้าไป?”

หวางอวี่จุนพยายามตื้อโน้มน้าว

หวางอวี่จุนเป็นถึงประธานท่าเรือเฉียนตง แต่อย่างไรในเมื่อไม่มีนัด การจะทำเรื่องติดต่อไปโดยส่วนตัวถือว่านอกเหนือหน้าที่ของเธอแล้ว ดังนั้นเธอจึงลำบากใจไม่น้อยเลยในขณะนี้

แต่ในท้ายที่สุดพนักงานต้อนรับสาวก็ทำได้เพียงส่ายหัวปฏิเสธคำขอไป ถ้าไม่มีนัดก็ไม่สามารถเข้าไปรบกวนเวลาของคนในได้

แต่ทันใดนั้นเอง โจวเหว่ยซูก็เดินเข้ามา

เมื่อเธอเห็นว่าจ้าวเฉียนมาที่นี่จริงๆ เธอก็คลี่ยิ้มกว้างดูมีความสุขอย่างมากทันที

“คุณจ้าว! คุณมาที่นี่จริงๆ!”

โจวเหว่ยซูรีบเดินเข้ามาทักทายทันที

จ้าวเฉียนรีบเร่งหันหน้ากลับไปมองโดยไว พอเห็นว่าเป็นโจวเหว่ยซูเขาก็ดีใจอย่างมาก

พระเจ้า! รอดวะ!

ตอนที่299 ใช้โจวเหว่ยซูเป็นบันได

คบหากับคนอย่างเจ้าเซียวเกาไปไม่มีวันพบเจอจุดจบที่ดี คนพวกนี้มักจะใช้อำนาจเพื่อควานหาผลประโยชนาส่วนตัวทั้งนั้น

ถ้าท่าเรือเฉียนตงปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามาสนิทชิดเชื้อเกินไป ในไม่ช้าก็เร็วจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ดังนั้นคนแบบนี้ไม่ใช่คนที่คู่ควรหาเป็นพันธมิตรด้วย

โดยเฉพาะกับตอนนี้ที่ท่าเรือเฉียนตงกำลังเปิดศึกกับท่าเรือหัวอยู่ ถ้ามันทรยศเอาข้อมูลของจ้าวเฉียนไปบอกกับพวกตระกูลหัวขึ้นมาจะทำยังไง? นี่มันอันตรายอย่างยิ่ง

ดังนั้นจ้าวเฉียนจำต้องเริ่มต้นจากโจวเหว่ยซูเป็นบันไดต่อขึ้นไปก่อน

จ้าวเฉียนโทรหาหัวหน้าพ่อบ้านหวังเจ๋อทันทีและกล่าวว่า

“พ่อบ้านหวัง ช่วยตรวจสอบข้อมูลของหญิงสาวที่ชื่อโจวเหว่ยซูให้ทีครับ เธอเป็นรองผู้จัดการฝ่ายการค้าระหว่างประเทศของบริษัทเมล็ดพืชการาจ”

หวังเจ๋อรับคำสั่งทันที

“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด”

จ้าวเฉียนส่งเสียงอืมและวางสายไป

ในฐานะที่เป็นถึงหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลจ้าว หวังเจ๋อมีเครือข่ายข้อมูลอยู่ทั่วทั้งเมืองหวานจิ้ง การจะสืบค้นประวัติของโจวเหว่ยซูไม่ใช่เรื่องยากเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น หวังเจ๋อได้ส่งข้อมูลของโจวเหว่ยซูให้แก่จ้าวเฉียนเข้าไปยังอีเมล

หลังจากจ้าวเฉียนตื่นขึ้นมา เขาก็เปิดอีเมลดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลที่หวังเจ๋อเรียบเรียงมาให้เข้าเครื่องตัวเองโดยเร็ว และเปิดอ่านอย่างละเอียด

มีข่าวลือที่ว่าพ่อของโจวเหว่ยซูคือโจวเจียงเฉิน ประธานบริษัทเมล็ดพืชการาจ และแม่ของเธอก็ชื่อว่าชางหย่า อดีตเจ้าของร้านเสริมสวย

โจวเหว่ยซูเป็นเด็กมีปัญหาขาดความอบอุ่นจากคุณพ่อ ผลการเรียนไม่ค่อยดีนัก

ดังนั้นโจวเจียงเฉินจึงยัดเงินใต้โต๊ะจำนวนมากเพื่อให้เธอได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์หยานจิ้ง

หลังจากสำเร็จการศึกษามา โจวเหว่ยซูก็เข้าทำงานในบริษัทเมล็ดพืชการาจ สองปีต่อมาเธอได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานเงินเดือนธรรมดาสู่รองผู้จัดการฝ่ายการค้าระหว่างประเทศ

งานอดิเรกของเธอคือการเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย และความฝันของเธอคืออยากเป็นนักแสดงมีชื่อเสียง

………….

เท่าที่อ่านดูแล้ว ที่เธอเกรดการเรียนไม่ดีไม่ใช่เพราะเธอเกเร แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเธอสนใจในด้านการแสดงจนไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียนเท่าไหร่นัก จ้าวเฉียนใช้เวลาสรุปข้อมูลที่ได้มากกว่าครึ่งชั่วโมง

นี่ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใดถ้าจะบอกว่า จ้าวเฉียนในตอนนี้คือชายหนุ่มที่รู้จักหญิงสาวนามว่าโจวเหว่ยซูดีที่สุดในโลก

โจวเหว่ยซูใฝ่ฝันอยากจพเป็นนักแสดง เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า และจ้าวเฉียนจะใช้จุดนี้แหละในการเข้าหาเธอ

จ้าวเฉียนรีบไปอาบน้ำและไปที่ฟิตเนสหรูที่โจวเหว่ยซูมักจะไปเล่นประจำ จากนั้นก็ไปสมัครสมาชิกระดับVIP

สองวันต่อมา เวลาหกโมงเย็น ในที่สุดโจวเหวินซูก็ปรากฏตัวขึ้น

จ้าวเฉียนที่ได้รับการแจ้งเตือนจากสายที่ส่งไป ก็รับเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบไปที่ฟิตเนสทันที

เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ คนที่มาเล่นฟิตเนสจึงเยอะเป็นพิเศษ

จ้าวเฉียนรีบเข้ามาทักทายเทรนเนอร์ทันที ยิ้มแย้มกล่าวขึ้นว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ รบกวนด้วยนะครับทุกคน”

เทรนเนอร์รีบยิ้มตอบกลับไปว่า

“สวัสดีค่ะ เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปยืนตรงแถวหลังต่อจากเพื่อนๆ นะ จากนี้เราจะเริ่มวอมร่างกายกันก่อน”

เทรนเนอร์สาวคนนี้มีชื่อว่า หลิวเสี่ยวเฟย เธออายุ28ปี เป็นหัวหน้ากลุ่มนำฟิตร่างกายทีมนี้ ซึ่งมีเพียงโจวเหว่ยซูเท่านั้นที่เป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในทีม ขณะที่เหลือล้วนเป็นผู้ชายทั้งหมด

เป็นเรื่องธรรมชาติในฟิตเนส เทรนเนอร์สาวดึงดูดหนุ่มๆ และเทรนเนอร์หนุ่มมักดึงดูดสาวๆ

แต่นี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจวเหว่ยซู ทำไมเธอถึงเลือกหลิวเสี่ยวเฟยแทนที่จะไปเลือกเทรเนอร์หนุ่มหล่อเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ?

จ้าวเฉียนเดินไปยืนบริเวณหลังแถว ถัดจากเขาก็เป็นโจวเหว่ยซูพอดี

หลิวเสี่ยวเฟยนำทุกคนวอร์มร่างกายเสร็จสิ้น จากนั้นเธอก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเล่นเครื่องกันตามอิสระ เธอมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย ถ้าใครมีปัญหาตรงไหนเธอจะตรงเข้าไปช่วยทันที

“โค้ชครับ เครื่องนี้ใช้ยังไง?”

“โค้ชสุดสวย…ผมลืมท่านี้แล้วว่าควรยกยังไง ช่วยสอนผมหน่อย”

“โค้ช…”

…………

พวกผู้ชายที่มาออกกำลังกายเอาแต่เรียกหาเทรนเนอร์สาวสวย พวกนี้มาเพราะความหื่นล้วนๆ

แน่นอนว่า ยุคแบบนี้การงานไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ถึงหลิวเสี่ยวเฟยไม่ชอบขี้หน้าผู้ชายพวกนี้ก็จริง แต่เธอจำใจต้องฝืนยิ้มและรับใช้ตามคำสั่งของพวกเขาแต่โดยดี เพราะท้ายที่สุดนี้พวกเขาจ่ายค่าบริการรายปีระดับVIPมาแล้ว และค่าบริการดังกล่าวก็รวมค่าจ้างเทรนเนอร์ไปแล้วด้วย

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจเทรนเนอร์สาวเลยแม้แต่น้อย เอาแต่จดจ่อกับการวิ่งบนลู่วิ่งตามลำพัง ไม่นานโจวเหว่ยซูที่เพิ่งเล่นเครื่องเสร็จก็เดินเข้ามาวิ่งลู่ข้างๆ เขา

จ้าวเฉียนยังคงวิ่งอยู่แบบนั้นไม่ได้สนใจอะไร และเป็นโจวเหว่ยซิวที่เป็นฝ่ายริเริ่มบทสนทนาก่อนขึ้นว่า

“ทำไมคุณถึงไม่เรียกให้โค้ชช่วยบ้างล่ะ?”

จ้าวเฉียนหันศีรษะเหลือบมองโจวเหว่ยซูเล็กน้อย ยิ้มตอบไปว่า

“เรื่องง่ายๆ แบบนี้ยังต้องเรียกคนให้มาช่วยสอนอีกงั้นเหรอ?”

โจวเหว่ยซูนึกสนใจเขาขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยถามต่อไปว่า

“อะไรนะ? นี่คุณมาที่นี่เพื่อออกกำลังกายจริงๆ เหกรอ? ไม่ใช่เพื่อมาส่องเทรเนอร์สาว?”

“ฮ่าฮ่า…นี่ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะครับ อีกอย่างเธอก็ไม่เห็นสวยเท่าไหร่ ก็แค่หุ่นดีเพราะออกกำลังกายทุกวันเฉยๆ”

จ้าวเฉียนกล่าวเชิงสบประมาทเล็กน้อย

แต่ถ้าจะให้พูดตามตรง หลิวเสี่ยวเฟยเทรนเนอร์สาวคนนี้ทั้งสวยและหุ่นดีเกินหน้าเดินตาผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างชัดเจน จึงไม่แปลกที่สามารถดึงดูดหนุ่มๆ ให้ตามติดเธอได้ขนาดนี้

เหตุผลที่จ้าวเฉียนกล่าวสบประมาทหลิวเสี่ยวเฟยก็เพื่อทำตัวให้แตกแยกกับผู้ชายคนอื่นๆ เทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความสนใจที่โจวเสี่ยวเฟยมีต่อเขาได้

ซึ่งมันก็แน่นอน ดูเหมือนว่าโจวเหว่ยซูจะเริ่มสนใจจ้าวเฉียนมากขึ้นอีกเล็กน้อย เธอเอ่ยถามต่อว่า

“ฟังดูแล้ว คุณคงไม่ใช่ธรรมดาเหมือนไปพวกผู้ชายหื่นพวกนั้นแหะ แฟนสาวของคุณคงสวยกว่าโค้ชอีกล่ะมั้ง? รูปร่างดีกว่าโค้ชอีกงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนหันซ้ายแลขวา และยื่นหน้าเข้าใกล้โจวเหว่ยซู เอ่ยกระซิบขึ้นว่า

“ไม่เท่าหรอก แต่ลูกน้องในบริษัทของฉันทุกคนล้วนสวยกว่าเธอมาก แต่เรื่องหุ้นต้องยกให้โค้ชเลยจริงๆ”

โจวเหว่ยซูตกหลุมพรางของจ้าวเฉียนทีละนิดละน้อย เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า

“ลูกน้องในบริษัท? คุณทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรเหรอ?”

จ้าวเฉียนแอบแสยะยิ้มอย่างมีความสุขภายในใจ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนดี

การที่ลูกน้องในบริษัททุกคนของเขาสวยกว่าเทรนเนอร์สาวคนนี้ นี่ต้องระดับนางแบบไม่ก็นักแสดงแล้ว?

แล้วบริษัทที่รวมสาวสวยไว้แบบนี้คงไม่ใช่บริษัททั่วๆ ไปแน่นอน

“ผมเป็นเจ้าของบริษัทเฉียนเก๋อ เอ็นเตอร์เทรนเม้นท์ครับ ดาราสาวในสังกัดของผมล้วนมีชื่อเสียงและสวยมีเสน่ห์กันทุกคน”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปทันที

โจวเหว่ยซูที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตกตะลึงอย่างยิ่งจนฝีเท้าพลันชะงักหยุดลงทันใด แต่ในตอนนี้ใต้เท้าของเธอเป็นลู่วิ่งและเธอก็กำลังอยู่ในระหว่างวิ่งอยู่ ส่งผลให้เธอกลิ้งกระเด็นตกลู่วิ่งล้มก้นจ้ำเบ่าอย่างแรง

จ้าวเฉียนรีบกระโดดลงไปช่วยประคองโดยไว อุ้มโจวเหว่ยซูขึ้นมาและเอ่ยถามขึ้นว่า

“คนสวย! เป็นอะไรรึเปล่าครับ? ไปโรงพยาบาลก่อนดีไหม?”

โจวเหว่ยซูรีบผลักออกจากอ้อมอกจ้าวเฉียน รีบทรงตัวยืนขึ้นทันทีด้วยความเขินอาย โชคยังดีที่เธอใช้อุปกรณ์ป้องกันครบครัน จึงทำให้เธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง

หลิวเสี่ยวเฟยรีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความตกใจเช่นกันว่า โจวเหว่ยซิ่วได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

แต่โจวเหว่ยซูเพียงยิ้มตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณนะคะแต่ดิฉันไม่เป็นอะไรมาก สบายดีค่ะ เดี๋ยวเขาจะพาดิฉันไปนั่งพักเอง”

จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบ พลางถอนหายใจอย่างลับๆ ใช้เวลาเฝ้ารอกว่าหนึ่งสัปดาห์ในที่สุดโจวเหว่ยซูก็ติดเหยื่อ

จ้าวเฉียนประคองเธอมายังโซนพักผ่อนและนั่งลง จ้าวเฉียนเอ่ยถามอีกครั้งว่า

“คนสวย แน่ใจนะครับว่าไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล?”

โจวเหว่ยซูส่ายหัวและยิ้มตอบไปว่า

“อย่าเรียกดิฉันว่าคนสวยเลยค่ะ ดิฉันชื่อโจวเหว่ยซู คุณชื่อ…”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตามความจริง

“ผมจ้าวเฉียน ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคิดว่าผมเห็นแววของคุณโจวนะครับ ถ้ามีโอกาสผมก็ยากปั้นนักแสดงหน้าใหม่ขึ้นในสังกัดอีกสักคน”

โจวเหว่ยรู้สึกดีใจอย่างมากก็จริง แต่ใช่ว่าจะดีใจจนเสียสติ

ใครก็บอกได้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทเฉียนเก๋อ และยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เลยว่า สิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปเป็นความจริง

ดังนั้นโจวเหว่ยซูจึงยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ดิฉันได้ยินมาว่า อู่ซินก็กำลังถ่ายทำอยู่ที่กองถ่ายเมืองหวานจิ้งแห่งนี้พอดี เธอเป็นศิลปินสังกัดเฉียนเก๋อที่ดิฉันชอบที่สุดเลย คุณช่วยพาเธอมาพบหน่อยได้ไหมค่ะ? ดิฉันอยากชวนเธอไปทานดินเนอร์สักมื้อจัง แล้วขอลายเซ็นด้วย”

โจวเหว่ยซิ่วเป็นถึงรองผู้จัดการฝ่ายการค้าระหว่างประเทศ เธอมีกึ๋นและชั่นเชิงพาควร ปฏิกิริยาแรกของเธอย่อมสงสัยในตัวตนของจ้าวเฉียนเป็นธรรมดา ดังนั้นเธอจึงเอ่ยกล่าวออกไปแบบนั้นเพื่อทดสอบ

ถ้าจ้าวเฉียนสามารถโทรหาอู่ซินเพื่อนัดหมายได้ นั้นเท่ากับว่าเขาต้องเป็นเจ้าของบริษัทเฉียนเก๋อตัวจริงเสียงจริงอย่างไม่ต้องสงสัย มิฉะนั้นก็เท่ากับว่าเขากำลังหลอกเธอ และใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการเข้าหาเท่านั้น

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แต่ที่สำคัญต้องขึ้นอยู่กับอู่ซินจะพอมีเวลาว่างออกมาเจอหรือเปล่า เดี๋ยวผมโทรถามเธอให้เอง”

โจวเหว่ยซูยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปว

จ้าวเฉียนลุกขึ้นและเดินกลับไปยังห้องล็อกเกอร์ หยิบมือถืออกมาและโทรหาอู่ซินต่อหน้าโจวเหว่ยซู

อู่ซินเพิ่งเลิกกองและกำลังกินข้าวเย็นอยู่ พอเห็นว่าจ้าวเฉียนโทรเข้ามาเธอก็รีบวางข้าวกล่องและรับโทรศัพท์ทันที

“ฮาโหลจ้าวเฉียน มีอะไรรึเปล่า?”

อู่ซินเอ่ยถามอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“มีแน่นอนเลยโทรมานี่แหละ มีเพื่อนฉันคนหนึ่งเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของเธอเลย ฉันอยากให้เธอไปกินข้าวแล้วมอบลายเซ็นให้น่ะ”

อู่ซินเอ่ยตอบท่าทีประหม่าเล็กน้อย

“ตอนนี้เลยเหรอ? ฉันคงไม่มีเวลาว่างไปกินข้าวกับเพื่อนนายขนาดนั้น แต่ถ้าไปเจอถ่ายรูปหรือแจกลายเซ็นอะไรแบบนั้นน่าจะทันอยู่นะ”

จ้าวเฉียนไม่ต้องการปรากฏตัวอยู่อแล้ว ทุกอย่างดูจะเข้าทางเขาเช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้เพื่อนของฉันไปหาที่กองถ่ายแล้วกัน อย่าปฏิบัติกับเพื่อนของฉันเป็นพิเศษอะไรขนาดนั้นนะ เดี๋ยวเป็นข่าวขึ้นมาจะยุ่ง แจกลายเซ็นถ่ายรูปกันเสร็จก็ไปถ่ายต่อเถอะ”

อู่ซินตอบตกลงทันที

“ได้เลย! นายบอกให้เขามาที่กองถ่ายเลย ถ้าไปถึงแล้วเดี๋ยวฉันออกไปหาเอง”

จ้าวเฉียนกล่าวแนะให้เธอรู้จักหาเวลาว่างออกกำลังและพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าโหมงานหนัก จากนั้นจึงค่อยกดวางสายไป

ตอนที่298 ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เอา

หวางอวี่จุนรีบโทรหาเจ้าเซียวเกา ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของบริษัทเมล็ดพืชการาจ และเชิญเขาออกมารับประทานอาหารด้วยกัน

เรื่องที่ท่าเรือเฉียนตงโจมตีท่าเรือหัวจนประสบปัญหาครั้งใหญ่ ทางบริษัทเมล็ดพืชดการาจเองก็รับรู้เรื่องราวแล้วเช่นกัน

เจ้าเซียวเกาตระหนักดีอยู่ในใจว่า การที่หวางอวี่จุนนัดหมายเขาออกมาทานข้าวเช่นนี้ก็เพื่อฉกฉวยโอกาสดึงลูกค้าเข้าตัวจากอีกฝ่าย

แต่หากให้ทางเขายกเลิกออเดอร์ทั้งหมดในการขนส่งเมล็ดพืชจากท่าเรือหัว พวกท่าเรือเฉียนตงเองจำเป็นต้องแสดงความจริงใจให้เห็นเช่นกัน

ซึ่งความจริงใจที่ว่าคืออะไร? แน่นอน…ไม่มีอะไรที่ดูจริงใจไปกว่าเงินแล้ว เจ้าเซียวเการะเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ได้เวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้าตัวครั้งใหญ่

เวลาหนึ่งทุ่ม หวางอวี่จุนและเจ้าเสี่ยวเกาเดินทางมาพบกันที่โรงแรมหยานจิ้ง

จ้าวเฉียนเองก็มาด้วยแต่ไม่ได้แสดงตัว ปล่อยให้หวางอวี่จุนและเจ้าเซียวเกาเจรจาในห้องอาหารส่วนตัวข้างๆ ไป

หวางอวี่จุนเป็นนักธุรกิจมือฉกาจ มีประสบการณ์ไม่น้อยในเวทีการเจรจาครั้งสำคัญๆ เขาย่อมทราบดีว่าตนเองควรพูดอย่างไรในโต๊ะอาหารค่ำแบบนี้

หวางอวี่จุนคลี่ยิ้มกว้างพลางยื่นเช็คใบหนึ่งให้อีกฝ่ายบนโต๊ะและกล่าวขึ้นว่า

“คุณเจ้า คงทราบถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของท่าเรือหัวแล้วใช่ไหมครับ?”

เจ้าเซียวเกาเหลือบมองเช็คใบนั้นบนโต๊ะ พอเห็นว่าแค่ห้าล้านหยวนก็พลันแสยะยิ้มดูแคลนทันที

ใช้เงินแค่ห้าล้านหวังจะให้ยกเลิกออเดอร์ทั้งหมด? ฝันไปเถอะ!

“ผมได้ยินข่าวลือมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ แล้วผู้จัดการหวางมาวางเช็คแบบนี้มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

เจ้าเซียวเกาตอบโต้ไปอย่างรู้เท่าทัน

จากท่าทางการแสดงออกของเจ้าเซียวเกา หวางอวี่จุนทราบทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความว่ายังไง

จ้าวเฉียนย้ำกับเขาก่อนลงสนามเจรจาครั้งนี้ไว้ว่า ให้ใช้เงินแก้ปัญหาและปิดดิลให้ได้โดยเร็วที่สุด งบจำกัดแค่20ล้านหยวน

ในเมื่อห้าล้านไม่สำเร็จ งั้นต้องสิบล้าน

หวางอวี่จึนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“พวกเราเฉียนตงย้ำยีศักดิ์ศรีของพวกท่าเรือหัวจนไม่เหลือดี และดึงคนงานเกือบทั้งหมดของทางนั้นมาเป็นของเรา ทำให้การเดินเรือของพวกเขาหยุดชะงักเป็นอัมพาตไป ถ้าคุณเจ้า ช่วยให้ทางบริษัทของคุณมาสั่งออเดอร์กับเราได้ ผมสัญญาเลยว่าจะปรนนิบัติดูแลคุณเป็นอย่างดี”

เจ้าเซียวเกาแสร้งปั้นหน้าหนักใจ กล่าวตอบไปว่า

“เรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนครับ คุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าบริษัทนี้เป็นรัฐวิสาหกิจ การจะเปลี่ยนคู่ค้ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในแต่ละปีพวกเราทั้งนำเข้าและส่งออกเมล็ดพืชอย่างน้อยห้าสิบล้านตัน ด้วยปริมาณมากขนาดนี้ แม้ทางผมจะหาทางแจกแจงส่วนหนึ่งให้กับทางคุณ มันก็ถือเป็นกำไรมหาศาล แต่อย่างที่ว่าแหละครับ พอขึ้นชื่อว่ารัฐวิสาหกิจ จะยื่นเรื่องทีมันทั้งซับซ้อนและยุ่งยากมาก หวังว่าจะเข้าใจกันนะครับ”

หวางอวี่จุนรีบกล่าวตอบไปทันทีว่า

“คุณเจ้าวางใจได้ครับ ถ้าร่วมมือกับทางเรา เราไม่มีทางปล่อยให้การขนส่งล่าช้าแบบท่าเรือหัวแน่นอน เช็คใบนี้ถือเป็นการแสดงความจริงใจของผม ห้าล้านมันค่อนข้างน่าละอายใจเกินไปจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมจะเพิ่มอีกสิบล้านหลังจากคุณเจ้าส่งเรื่องไปแล้ว ว่ายังไงครับ?”

เจ้าเซียวเกาคนนี้เป็นพวกโลภมากไม่น้อย ซึ่งเงินจำนวน15ล้านมันยังไม่เพียงพอสำหรับเขา

“ผู้จัดการหวางถ้าพูดถึงขนาดนี้ ผมก็ขอไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ สามสิบล้านสำหรับค่าแสดงความจริงใจ และขอเพิ่มอีกปีละสองล้าน ถ้าผู้จัดการหวางรับได้ ผมจะลองไปคิดดู แต่ถ้าไม่ก็ถือซะว่าวันนี้มาทานข้าวกันเฉยๆ”

เจ้าเซียวเกาเอ่ยกล่าวออกไปตามตรง

นี่มันไม่ใช่การต่อรองแล้ว แต่คือการขูดรีดกันชัดๆ แน่นอนว่าหวางอวี่จุนปฏิเสธออกไปทันที

เจ้าเซียวเการะเบิดหัวเราะขึ้นและลุกขึ้นยืนทำท่าว่าจะจากไปโดยตรง

“ในเมื่อผู้จัดการหวางไม่มีความจริงใจแบบนี้ ผมคงไม่อยากรบกวนให้เสียเวลาแล้ว อย่างไงก็เถอะ ผมขอบอกอะไรคุณสักหน่อยนะ ถ้าครั้งหน้าที่มาเจรจามันจะไม่ใช่ราคานี้แล้ว ขอบคุณสำหรับมื้ออาหารนะครับ ขอตัวก่อน”

หวางอวี่จุนถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เขารีบวิ่งไปหยุดเจ้าเซียวเกาทันทีและกล่าวว่า

“คุณเจ้า งั้นรอสักครู่นะครับ ผมขอโทรถามเจ้านายผมก่อนว่าจะยอมรับข้อเสนอนี้ไหม รบกวนรอก่อนนะครับ”

เจ้าเซียวเกาคลี่ยิ้มกว้างพยักหน้าตอบ และเดินกลับไปนั่งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ในความคิดของเขา หวางอวี่จุนไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจำใจยอมรับข้อเสนอนี้ของเขา

หวางอวี่จุนแสร้งทำเป็นหยิบมือถือและเดินออกไปจากห้องอาหาร ก่อนจะรีบวิ่งเข้าที่ห้องอาหารส่วนตัวข้างๆ เอ่ยกล่าวถามจ้าวเฉียนที่นั่งรออยู่ทันทีว่า

“คุณชายจ้าว ผมควรจะทำยังไงดี ไอ้หมอนี่มันโลภมากเกินไป มันต้องการสามสิบล้าน พร้อมกับเงินอีกสองล้านทุกปี ถ้าเราไม่เห็นด้วยตอนนี้ ครั้งนี้ราคาคงไม่อยู่แค่นี้แน่”

เงินแค่ไม่กี่สิบล้านมันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วสำหรับจ้าวเฉียน แต่เขาทนไม่ได้ที่ต้องเสียเหลี่ยมแพ้ชั้นเชิงให้กับเจ้าเซียวเกา

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงตอบกลับไปว่า

“งั้นก็ช่างมันเถอะ ไปจ่ายบิลแล้วกลับกัน ในเมื่อมันไม่จริงใจกับเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องจริงใจกับมัน”

หวางอวี่จุนพยักหน้าและหันหลังกลับไปอย่างว่องไว

แต่พอเปิดประตูออกมาก็พบว่าเจ้าเซียวเกายืนรออยู่หน้าห้องดักรออยู่แล้ว

“หุหุ…ผู้จัดการหวาง ในเมื่อเจ้านายของคุณอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่เชิญเขาออกมาล่ะ? หรือนี่เป็นการดูถูกผมกัน หาว่าผมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพบหน้าเขา?”

เจ้าเซียวเกากล่าวด้วยใบหน้าแสนเย้ยหยัน

หวางอวี่จุนแสร้งระเบิดหัวเราะเสียงดังๆ เพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย แต่ทันใดนั้นสุ้มเสียงตะโกนของจ้าวเฉียนก็ดังลอดผ่านประตูออกมาว่า

“ผู้จัดการหวาง เชิญเขาเข้ามา”

หวางอวี่จุนรีบเบี่ยงร่างเปิดทางให้และผายมือเชิญเจ้าเซียวเกาเข้าไปข้างใน

เจ้าเซียวเกาเดินเข้าไปในห้องอาหารทันที แต่พอเห็นว่าจ้าวเฉียนยังเด็กมาก เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสนยิ่งว่า

“นายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียงตง…เด็กขนาดนี้เชียว?”

จ้าวเฉียนไม่ได้ลุกขึ้นต้อนรับใดๆ เขาแค่คลี่ยิ้มตอบอย่างสุภาพและกล่าวว่า

“ผู้จัดการเจ้าเองก็ยังเด็กมากเช่นกันครับ สามารถขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเมล็ดพืชการาจได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ความสามารถคงไม่ธรรมดา”

เจ้าเซียวเการู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เพราะนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียนตงเพิ่งจะกล่าวชื่นชมเขาไป

อย่างไงก็ตาม ไม่มีสิ่งใดมีความสุขเท่าเงินตราอีกแล้ว

“ผมรู้สึกปลื้มใจจริงๆ ครับที่ได้รับคำชมจากนายใหญ่เฉียนตง ถามที่ผมกล่าวกับลูกน้องคุณไว้เลย เงินสามสิบล้านพร้อมกับเงินอีกสองล้านทุกปี ผมสัญญาว่าจะโอนออเดอร์ทั้งหมดที่ท่าเรือหัวได้รับให้แก่คุณ และจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อดึงออเดอร์จากที่อื่นเพิ่มให้ การันตีอย่างน้อยห้าสิบล้านตันทุกปี คุณได้เนื้อชิ้นโต ส่วนผมขอเพียงซุปเล็กๆ น้อยๆ นี่คงไม่มากเกินไปใช่ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนทราบดีว่า ออเดอร์ที่บริษัทเมล็ดพืชการาจมอบให้แก่ท่าเรือหัวมันเป็นส่งออกไปแค่ไม่กี่พื้นที่เท่านั้น และไอ้คำว่าพยายามของอีกฝ่ายมันก็แค่ลมปาก เพราะถ้าเจ้าเซียวเกาหาออดเดอร์ได้เพิ่มจริง พวกท่าเรือหัวคงมีออเดอร์เกิน50ล้านตันไปนานแล้ว

นี่จึงสรุปได้ว่า ต่อให้เฉียงตงสามารถร่วมมือกับบริษัทเมล็ดพืชการาจได้จริงๆ ยังไงออเดอร์ที่ได้ก็ไม่ถึง50ล้านตันแน่นอน

รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนมุมปากของจ้าวเฉียน เขาตอบไปว่า

“คุณเจ้าก็พูดถูกนะครับ ถ้าผมได้เนื้อชิ้นโตก็คงให้ซุปคุณไปกิน แต่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณจะหาเนื้อชิ้นโตได้จริงๆ รึเปล่า ดังนั้นผมคงให้ซุปคุณไม่ได้ นี่พูดมาทั้งหมดจะให้เรียกว่า การเจรจาหรือการรีดไถกันดี?”

เจ้าเซียวเกาที่ได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจความหมายที่จ้าวเฉียนจะสื่อไปทันที เขาโต้ตอบกลับไปด้วยความโกรธเคืองว่า

“คิดว่ากำราบท่าเรือหัวได้แล้วตัวเองจะใหญ่คับฟ้าขนาดนั้นเชียว? ในเมื่อต้องการแบบนี้ก็ได้! ผมจะช่วยพวกเขาให้กลับมาผงาดอีกครั้งและคว่ำคุณคอยดู!”

หวางอวี่จุนไม่รู้ว่าตนควรพูดอะไรออกไปดี ทำได้เพียงยืนนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอยู่แบบนั้น

เพราะถึงยังไง ตอนนี้ทุกอย่างตกอยู่ในการดูแลของจ้าวเฉียนแล้ว เขาจึงไม่กล้าออกหน้ามาชี้นิ้วสั่งการ

จ้าวเฉียนเตรียมตัวเตรียมใจมาเผื่อจุดนี้ไว้อยู่แล้ว เขายืนขึ้นและกล่าวว่า

“กลับกันเถอะ ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เอา ผมไม่ได้สนใจอะไรมากอยู่แล้ว”

หวางอวี่จุนไม่กล้าเอ่ยถามอะไรสักคำ พยักหน้าและเดินติดตามจ้าวเฉียนออกไป

จ้าวเฉียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพของเด็กสาวหน้าตาสวยขึ้นมาบนจอ เธอคนนี้มีชื่อว่าโจวเหว่ยซู

โจวเหว่ยซูเป็นบุตรสาวนอกสมรสของโจวเจียงเฉิน ประธานบริษัทเมล็ดพืชการาจ และเธอเป็นรองผู้จัดการการค้าระหว่างประเทศของบริษัทนี้

บางทีจ้าวเฉียนคงต้องเริ่มต้นจากเธอก่อนและค่อยขยายไปในส่วนออเดอร์ขนส่งทีหลัง

ตอนที่297 แผนกดดันสำเร็จ

เมื่อเห็นว่าหัวฉีเฉินไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ หัวเซินซวนก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ตะโกนด่าสาปแช่งไปว่า

“นี่แกกำลังคิดอะไรโง่ๆอยู่ใช่ไหม? นี่เรากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่นะ แกไม่มีเวลามางงแล้ว!”

หัวฉีเฉินเร่งเร้ากล่าวตอบไปทันที หยิบถ่อยคำที่หัวเซินซวนพูดไปก่อนหน้าป่าวประกาศโดยไว

“คนงานทุกท่าน โปรดฟังทางนี้! ทางนั้นยื่นข้อเสนออะไรมา พวกเราเองก็สามารถให้ได้เช่นกัน! พวกเราจะให้ทุกคนมีสิทธิ์การรักษาตามข้อกฎหมายที่กำหนด เงินเดือนพื้นฐานแม้ไม่ต้องออกทะเล พวกคุณทุกคนเองก็อุทิศตัวให้ท่าเรือหัวมาตั้งหลายปี ไม่มีความรู้สึกดีๆกับสถานที่แห่งนี้หลงเหลืออยู่เลยงั้นเหรอ?”

เหล่าคนงานที่อารมณ์ค่อนข้างอ่อนไหว พอได้ยินเสียงตะโกนของหัวฉีเฉิน หลายคนก็เริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมาแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรท่าเรือตระกูลหัวแห่งนี้ก็เป็นสถานที่คุ้นเคย คงจะดีกว่าแน่นอนถ้าได้กลับไปทำงานที่ตัวเองคุ้นเคยกันมาหลายปี

หวางอวี่จุนเห็นว่าท่าไม่ดี จึงหยิบโทรโข่งขึ้นมาตะโกนว่า

“คุณหัว เลิกสร้างปัญหาให้เราได้แล้ว พวกเราต้องการถูกจ้างอย่างถูกกฎหม่าย แต่คุณก็โกหกพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอตอนนี้มีคนที่เสนอผลประโยชน์ที่ดีกว่าให้พวกเราก็เพิ่งจะเห็นค่ากัน? ถ้างั้นก็ได้! เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำพวกเราเป็นหนึ่งหมื่นหยวนสิ! พวกเรากลับไปแน่!”

“สุดยอด! ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ขอเงินเดือนหนึ่งหมื่นหยวน พร้อมสวัสดิการทุกรูปแบบ!”

“ของมันต้องมี! แต่ถ้าคุณหัวไม่มีให้ พวกเราคงต้องจากกันตรงนี้แล้ว!”

“ไปพวกเรา! ไปกรอกแบบฟอร์มการสมัครกันดีกว่า!”

……….

เหล่าคนงานส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดหย่อน และทุกคนต่างแสดงความเห็นไปกันทางเดียวคือ ต้องการจะย้ายไปทำงานที่ท่าเรือเฉียนตง

หัวเซินววนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด หากตระกูลหัวต้องจำนนทำตามเงื่อนไขที่พวกเขาต้องการ แค่ค่าเงินเดือนของคนงานที่ต้องจ่ายเพิ่มก็พุ่งสูงกว่า100ล้านหยวนแล้ว ผนวกกับค่าสวัสดิการและกองทุนเลี้ยงชีพ ตระกูลหัวต้องจ่ายเงินให้พวกคนงานอย่างน้อย200ล้านหยวนต่อปี ซึ่งนี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย

หัวฉีเฉินคตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไง จึงหันมาถามพ่อทันทีว่าจะทำยังไงต่อไปดี?

หัวเซินซวนเหลือบมองไปที่หวางอวี่จุนด้วยสายตาเหยียบเย็น และตอบลูกชายกลับไปว่า

“ตามนั้น! เราจะทำตามเงื่อนไขที่คนงานต้องการ แต่ถึงยังไงต้องมีการคัดกรองคนงานใหม่อีกครั้ง ถ้ามีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ก็ปล่อยทิ้งไป”

หัวฉีเฉินพยักหน้าเชิงสัญญาณว่าเข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาเอ่ยถึง และหันไปป่าวประกาศเสียงดังอีกระลอกว่า

“คนงานทุกท่าน ท่าเรือหัวของเรามีความจริงใจมากพอที่จะทำตามข้อเสนอแนะของทุกคน เงินเดือนการันตีหนึ่งหมื่นหยวน พร้อมสวัสดิการและกองทุนครบคัน! สบายใจว่าเราจะโกงหรือไม่ ผมจะเซ็นสัญญายืนยันให้เดี๋ยวนี้!”

จ้าวเฉียนกำชับเสียงหนักแน่น ไม่ว่ายังไงก็ต้องดึงกำลังคนของท่าเรือตระกูลหัวออกมาให้ได้ ดังนั้หวางอวี่จุนจึงขึ้นเงินเดือนให้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำให้อีกคนละ1,000หยวน ทั้งยังมีเบี้ยเลี้ยงให้ระหว่างออกเดินเรือพิเศษ รายได้แท้จริงของบรรดาคนงานและลูกเรือแต่ละคนจะตกอยู่ที่12,000หยวนต่อเดือน(ประมาณ61,000บาท)

ดังนั้นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเงินเดือนขั้นต่ำที่ท่าเรือเฉียนตงมอบให้ ท่าเรือตระกูลหัวยังเป็นรองอยู่2,000หยวนต่อเดือน แถมไม่ใช่แค่นั้น ที่สำคัญมันอยู่ที่เบี้ยเลี้ยงระหว่างเดินเรือของท่าเรืเฉียนตง นั้นหมายความว่า ถ้าลูกเรือและคนงานคนไหนขยันก็จะได้เบี้ยตรงนี้มากขึ้นเท่านั้น ท่าเรือเฉียนตงใจกว้างขนาดนี้ ใครบ้างไม่อยากทำงานให้?!

หัวเฉินซวนโกรธจัดจนเริ่มหายใจหอบเหนื่อยไม่เป็นจังหวะ ตะโกนด่าสาปแช่งไปว่า

“ไอ้สารเลว! แกอยากได้คนงานของฉันขนาดนั้นเลยรึไง! อย่าไปฟังที่มันพูด! มันแค่เสนอปากเปล่าหวังจะโกงคนงานทุกคนทีหลัง!”

หวางอวี่จุนหัวเราะลั่นและกล่าวตอบไปว่า

“คุณหัว คิดจะใส่ร้ายกันหน้าด้านๆแบบนี้เลยเหรอครับ? ผมระบุเพิ่มลงไปแล้วในสัญญาจ้าง ทั้งเรื่องเงินเดือนที่สามารถเพิ่มได้และผลประโยชน์ต่างๆนาๆอีกมากมายครบทุกลายลักษณ์อักษร ทุกคน! ถ้าผมไม่ได้ทำตามที่พูดไว้จริง พวกคุณสามารถถือใบสัญญาจ้างเหล่านี้ไปฟ้องศาลได้ทันที! พวกท่าเรือตระกูลหัวต่างหากกล่าวสัญญาแค่ปากเปล่า ไม่กล้าแม้แต่เขียนระบุลงในสัญญาจ้างแบบพวกเราด้วยซ้ำ เท่านี้ก็น่าจะเห็นแล้วว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่จริงใจกับพวกคุณ?”

หัวเซินซวนถูกกล่าวหาตอบโต้กลับไปทันทีว่า พวกตระกูลหัวไร้ซึ่งความจริงใจ แต่อย่างไรเขาไม่ต้องการโต้เถียงกับหวางอวี่จุน เพียงเพราะรู้สึกว่า อีกฝ่ายคุณสมบัติต่ำเกินไปที่จะสนทนาด้วย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทางเดียวที่ตระกูลหัวจะหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้คือ พวกเขาจะต้องเสนอราคาสู้กับท่าเรือเฉียนตงต่อไป

อย่างน้อยที่สุด พวกขำก็ยังสามารถรักษากำลังคนเอาไว้ได้ และหลังจากออเดอร์เดินเรือชุดใหญ่จบลง พวกเขาค่อยหาข้อแก้ตัวแก้ไขสัญญาจ้างให้กลับมาเป็นแบบเดิมทีหลัง

หัวเซินซวนกล่าวกับหัวฉีเฉินไปว่า

“อย่าไปยอมพวกมัน! สู้ราคาต่อไป! ไม่ว่าพวกมันจะเสนอเท่าไหร่ เราต้องเสนอให้มากกว่า!”

ในตอนนี้ไม่เพียงแค่หัวฉีเฉินที่ไม่เต็มใจ แม้แต่ลูกชายคนอื่นๆของหัวเซินซวนเองก็เริ่มไม่เต็มใจรับได้แล้วเช่นกัน หากยังขืนสู้ราคาแบบนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องสูญเงินไปอีกหลายร้อยล้านหยวนต่อปีเพื่อจ่ายให้กับพวกคนงานเหล่านี้ แล้วประเด็นคือ มูลค่าสุทธิของตระกูลหัวในปัจจุบันมีแค่ประมาณ3,000ล้านหยวน และพวกเขาไม่สามารถรองรับรายจ่ายขนาดนี้ได้ไหวไปตลอด

“พ่อ ผมว่าเรื่องนี้ควรคิดให้ดีก่อนจะเสนอไปนะ รีบร้อนด่วนตัดสินใจไปอาจทำให้เราประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ได้”

หัวฉีหมิงรีบกล่าวแทรกขึ้นทันที

“พี่ใหญ่ ผมเองก็คิดว่าฉีหมิงพูดถูก พี่อย่าเพิ่งใจร้อนไป จุดประสงค์ของพวกมันชัดเจนมาก พยายามขึ้นราคาเพื่อยั่วยุให้พวกเราสู้ พอราคาค่าจ้างถูกปั่นจนสูงเกินจริง พวกมันจะปล่อยให้เรารับภาระแก่เพียงผู้เดียว นี่มันกับดักชัดๆ พี่ใหญ่ต้องตั้งสติ!”

หัวเซินกังเองก็รีบเกลี้ยกลอมเช่นกัน

หัวเซินกัวกล่าวเสริมต่อว่า

“พี่ใหญ่ คนงานยังมีอีกมากให้เราจ้างใหม่ ไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาสูงขนาดนี้เพื่อรั้งชุดเก่าไว้”

หัวเซินซวนเหลือบมองไปทางพวกน้องชายและพวกลูกตัวเองด้วยความผิดหวัง และตอบกลับไปว่า

“พวกแกก็แค่เห็นแก่กำไรเพียงน้อยนิดตรงหน้า ไม่เคยมองการณ์ไกลเลย ถ้าเราไม่รักษาคนงานกลุ่มนี้เอาไว้ รายการขนส่งน้ำมันและเมล็ดพืชที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราจะเกิดการล่าช้าขึ้นทันที แล้วพวกแกคิดบ้างไหมว่าค่าชดใช้ที่พวกเราต้องเสียมันมหาศาลกว่ากี่เท่า? นี่ยังไม่รวมถึงการที่พวกเรามีโอกาสเสียลูกค้าอีกมากมายในอนาคต! เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราตระกูลหัวจะเอาอะไรไปรอด?!”

หัวฉีเฉินและคนอื่นๆก้มหน้าก้มตาสลดทันทีด้วยความอับอาย วิสัยทัศน์ของพวกเขาไม่ได้กว้างไกลอย่างที่หัวเซินซวนว่าไว้จริงๆ

แต่จะให้รายจ่ายบานเบอะขนาดนี้ พวกเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆไ

แต่ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนก็โทรเข้ามาหาหวางอวี่จุน

หวางอวี่จุนรีบกล่าวถามทันทีด้วยความสุภาพว่า

“คุณชายจ้าว มีอะไรจะรับสั่งเพิ่มครับ?”

“สู้ราคาต่อไป รอบนี้เพิ่มเป็นสองพันหยวน”

จ้าวเฉียนสั่งการไปทันที

หวางอวี่จุนพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า ตอนนี้คุณชายจ้าวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่าต้องการบีบให้ศัตรูสู้ราคาเฉยๆหรอกเหรอ? แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่สู้ขึ้นมา กลับต้องเป็นพวกเขาแทนที่ต้องรับภาระกว่าหลายร้อยล้านหยวน

“คุณชายจ้าว เดินหมากไปเช่นนี้ราคาเดิมพันไม่สูงเกินไปหน่อยเหรอครับ? เม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจของเราไม่เพียงพอที่จะจ้างพวกเขาด้วยอัตราที่สูงขนาดนี้”

หวางอวี่จุนพยายามกล่าวโดยอ้อมเพื่อโน้มน้าวใจ

จ้าวเฉียนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“อย่ากังวลไปเลย แค่ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ ถ้าพวกมันสู้ราคาต่อหลังเพิ่มไปอีกสองพันหยวน ให้ยอมแพ้ทันที”

หวางอวี่จุนกล่าวตอบกลับไปทันทีว่า

“เข้าใจแล้วครับ!”

ในเวลาเดียวกัน หัวฉีเฉินก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

“คนงานทุกท่าน พวกเราจะขอสู้ราคาต่อไปเพื่อทุกคน!”

หวางอวี่จุนกดวางสายและป่าวประกาศตามที่จ้าวเฉียนสั่งการไว้ว่า

“ทุกท่าน! เพื่อแสดงความจริงใจของเรา เงินเดือนขั้นต่ำพวกเราขอเพิ่มให้อีกสองพันหยวน! กรอกแบบฟอร์มการรับสมัครและส่งเข้ามาเลย!”

หัวเซินซวนสุดจะทานทนได้ไหวแล้ว ทันทีที่เขาได้ยินแบบนั้นก็พลันกระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโต รู้สึกเจ็บบริเวณหัวใจอย่างรุนแรงราวกับเข็มนับร้อยพันกระหน่ำทิ่มแทง และล้มหมดสติลงไปทั้งแบบนั้น

“พ่อ! พ่อ…”

“คุณปู่ คุณปู่…”

“ท่านประธาน!”

ทุกคนรีบนำส่งหัวเซินซวนไปยังโรงพยาบาลทันทีเพื่อเข้ารับการรักษา

หวางอวี่จุนป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“ทุกท่าน จะเห็นได้ว่ท่านเตือหัวไม่สามารถสู้ราคากับพวกเราได้ไหวอีกต่อไปแล้ว แค่ตกใจนิดตกใจหน่อย คุณหัวก็โรคหัวใจดกำเริบเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว นี่เหรอคนที่พวกคุณอยากทำงานให้? ไม่เอาน่า มาทำงานกับพวกเราท่าเรือเฉียนตงกันดีกว่า!”

โดยปราศจากอุปสรรคอย่างพวกตระกูลหัว บรรดาคนงานได้แห่เข้ามากรอกใบสมัครส่งให้ท่าเรือเฉียงตงเสร็จสรรพในเวลาอันสั้น

เวลาประมาณหกโมงเย็น หลังจากฝ่ายบุคคลทำหน้าที่คัดกรองกันอย่างหนัก ท่าเรือเฉียนตงก็ประกาศบุคคลที่ได้รับสัญญาจ้างรวมแล้ว600คน ส่วนที่เหลือจำใจต้องกลับไปทำงานที่ท่าเรือหัวด้วยความเศร้าโศกต่อไป

หวางอวี่จุนขมวดคิ้วมองไปยังคนงานชุดใหม่จำนวนกว่า600คน แล้วทีนี้จะจัดการกับเรื่องงบประมาณยังไงต่อ?

หวางอวี่จุนเดินทางมาหาจ้าวเฉียนเพื่อรายงานผลการรับสมัคร เขาเอ่ยถามทิ้งท้ายว่า

“คุณชายจ้าว แล้วพวกเราควรจัดการเรื่องนี้ยังไงดี? เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบไม่สามารถรองรับพวกเขาได้ไปตลอด”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ฉันเตรียมมาตรการรองรับไว้แล้ว ตอนนี้นายตามฉันไปพบผู้รับผิดชอบของบริษัทไชน่าปิโตรเคมีกับเมล็ดพืชการาจ พยายามชักชวนให้พวกเขามาสั่งออเดอร์กับเรา”

ตอนที่296 โทรมาใหม่ถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นตามกฎ

ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยอยู่นั้นเอง จู่ๆหยางเหวินซงก็มีสายโทรศัพท์จากหลินเซียะเช่นกัน และหลังจากโทรศัพท์เสร็จสรรพสีหน้าการแสดงออกของเขาเป็นพิมพ์เดียวกับหวั่นหลิวฉีกับเจี้ยงต้าฟาไม่มีผิด เขารีบเรียกลูฏน้องยกพวกกลับทันที ทิ้งท้ายเพียงข้ออ้างปล่อยให้ทุกคนยืนงง

จากนั้นบรรดาหัวหน้าแก๊งคนอื่นๆเองก็ทยอยขอตัวพร้อมข้ออ้างต่างๆนาๆ จนในที่สุดเหลือเพียงพวกคนงานและลูกเรือของตระกูลหัวเท่านั้นที่พร้อมต่อสู้

หวางอวี่จุนหัวเราะพลางกล่าวติดตลกขึ้นว่า

“อ้าว! เกอดอะไรขึ้นกันครับเนี่ย? ที่แท้พวกเขาก็มากินลมลมวิวทะเลกันเฉยๆ อย่าว่าแหละครับ ทะเลของหยานจิ้งขึ้นชื่อที่สุดแล้ว ฮ่าฮ่า…”

สีหน้าการแสดงออกของหัวเซินซวนแปรเปลี่ยนไปทันควัน ใบหน้ามืดทมิฬอัดแน่นไปด้วยความโกรธ

“อย่าเพิ่งภูมิใจไป! แค่คนของตระกูลหัวมันก็มากพอที่จะทำลายพวกแกได้แล้ว!”

หวางอวีจุนระเบิดหัวเราะอีกคราอย่างมีชัย โต้กลับอย่างคร้านจะใส่ใจว่า

“ประธานหัว บางทีเรื่องมันคงผ่านไปนานจนคุณลืมไปแล้ว แต่ผมจะรื้อฟื้นกลับมาให้เอง จำเมื่อห้าสิบปีต่อได้ไหม? ตอนที่ลูกเรือของตระกูลหัวถูกพวกเราท่าเรือเถียงตงปิดล้อมเอาไว้? ตอนนั้นพ่อของคุณ หัวเซียงตงต้องคุกเข่าขอร้องให้สงบศึก ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ท่าเรือหัวกับท่าเรือเฉียนตงก็ไม่เคยปะทะกันอีกเลย? แต่ตอนนี้เหตุการณ์อาจต้องซ้ำรอยแล้ว!”

เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว หัวเซินซวนยังจำได้ไม่ลืมเลือนถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

ในเวลานั้นเขาเพิ่งอายุได้สิบขวบ แต่กลับต้องโดนกลุ่มคนนับหลายร้อยตีกรอบล้อมไว้ไม่ให้หนีไปไหน และตั้งแต่นั้นมา นั่นเปรียบเสมือนปมในวัยเด็กที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งจิตใจเสมอมา เมื่อหวางอวี่จุนขุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็เผยร่องรอยสีหน้าความหวาดกลัวออกมาทันที

แม้เรื่องนี้จะผ่านมาห้าสิบปีแล้ว แต่หัวเซินซวนยังคงหวั่นใจเกรงกลัวไม่ลืมเลือน

ส่วนพวกสมาชิกตระกูลหัวที่เหลือกลับไม่รู้เรื่องราวความอัปยศเมื่อห้าสิบปีก่อนเลย แต่ละคนจึงปั้นหน้างุนงงไม่รู้เลยว่าหวางอวี่จุนกำลังพูดเรื่องอะไร?

หัวฉีเฉินเอ่ยถามพ่อของเขาทันทีด้วยน้ำเสียงเจือสงสัยว่า

“พ่อ เกิดอะไรขึ้นเมื่อห้าสิบปีก่อน?”

หัวเซินซวนพยายามข่มกลั้นความกลัวลงในจิตใจและส่ายหัวกล่าวว่า

“ไม่มีอะไร แกโทรเรียกหลินเซียะให้ออกมายุติปัญหาเดี๋ยวนี้”

หัวฉีเฉินพยักหน้ารีบหยิบมือถือโทรหาหลินเซียะโดยไว

หลินเซียะยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า

“คุณหัวมีอะไรรึเปล่าครับ?”

หัวฉีเฉินรีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้อย่างรวดเร็ว และขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยออกหน้ามาแก้ไขปัญหา

แต่หลินเซียะกลับแสยะยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“ผมได้รับโทรศัพท์จากท่าเรือเฉียนตงแล้ว พวกเขาบอกว่ากำลังเปิดรับสมัครคนอยู่ แต่จู่ๆก็ถูกพวกคุณก่อกวน แถมพวกเขาเองก็ยังบอกกให้ทางผมมาเจรจากับคุณ นี่ก็พอดีเลย อันที่จริงผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ แนะนำให้เลิกไปก่อกวนวฝ่ายอื่นจะดีกว่า เหตุการณ์ในตอนนี้ลองคิดให้ดีสิครับว่า สุดท้ายแล้วใครผิด? ใครกันแน่ที่ควรรับผิดชอบ? ผมคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความหรอกนะครับ”

หัวฉีเฉินรีบตอบกลับไปทันที

“ผู้ว่าหลิน เรื่องนี้พวกเราถูกต้อง! อย่าไปฟังพวกมันเป่าหูนะครับ คนของเรากำลังก่อม็อบเพื่อเรียกร้องถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายใน แล้วจู่ๆพวกท่าเรือเฉียนตงก็ชุบมือเปิปมาขโมยคนของเราไปหน้าตาเฉย! แค่นี้ก็ชัดเจนพอแล้วนะครับว่าใครผิดใครถูก!”

ไม่ว่าหัวฉีเฉินจะอธิบายไปดีแค่ไหน แต่สุดท้ายหลินเซียะก็เข้าข้างฝ่ายจ้าวเฉียนอยู่ดี เขาจึงกล่าวตอบไปว่า นี่เป็นเรื่องปกติของบริษัทคู่แข่งกัน การแย่งกำลังคนกันไปกันมาถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะมีค่าสมองไหล[1]เพื่ออะไร?

หลินเซียะไม่อยากจะเสียเวลาพล่ามกับหัวฉีเฉินมากไปกว่านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดความกล่าวโดยสรุปไปว่า

“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณหัวดีนะ แต่ถึงแบบนี้ท่าเรือเฉียนตงก็เล่นตามเกมตามกฎหมายที่กำหนด ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินความผิดให้พวกเขาได้ แต่ถ้าพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อไหร่ ก็โทรแจ้งผมได้เลย แค่นี้ก่อนนะครับ ผมติดประชุมอยู่”

หลินเซียะไม่แม้แต่ให้โอกาสหัวฉีเฉินอธิบายตอบโต้ใดๆเลย ทันทีที่พูดจบเขาก็กดวางสายไปทันที

หัวฉีเฉินเก็บมือถือของตนลงกระเป๋าไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และหันมารายงานให้พ่อตัวเองฟังว่า

“พ่อ อีกฝ่ายไม่เต็มใจช่วยเลย”

หัวเซินซวนเอ่ยถามด้วยความขุ่นเขืองว่า

“ทำไม? ไม่ใช่ว่าเขาเองหรอกเหรอที่ต้องการให้สองตระกูลปองดองกัน?”

หัวฉีเฉินรีบตอบกลับไปว่า

“เขาบอกว่า อีกฝ่ายเล่นตามเกมไม่ได้ฝ่าผืนข้อกฎหมาย เขาไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อีดกฝ่ายเริ่มทำผิดก่อน ค่อยโทรหาเขาใหม่”

หัวเซินซวนทั้งโกรธหลินเซียะที่ทำตัวเมินเฉยต่อสถานการณ์ และยังโกรธหัวฉีเฉินที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาตำหนิติเตียนขึ้นว่า

“นี่มันบ้าอะไรกัน! ใครจะไปสนว่าอีกฝ่ายเล่นตามเกมรึแปล่า! นี่มันเรื่องของสองตระกูล มันไม่ใช่แค่เรื่องรับสมัครคน! ทำไมแกถึงไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ไปฉันจะกล้าฝากอนาคตของตระกูลหัวให้แกได้ยังไง! แค่จะเรียกคนมาช่วยยังทำไม่ได้!”

หัวฉีเฉินยามนี้เหงื่อตกท่วมทั้งตัวไปหมดแล้ว เขารีบขอโทษพ่อโดยเร็ว

“พ่อผมขอโทษ ผมจะรีบโทรหาเขาใหม่เดี๋ยวนี้เลย”

ในเวลานั้นเอง หวางอวี่จุนก๋หัวเราะขึ้นคำโต กล่าวขัดจังหวะว่า

“ประธานหัว เลิกทำให้ลูกชายตัวเองต้องอับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้เถอะครับ ผู้ว่าหลินก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่า พวกผมเล่นตามเกม แล้วจะไปโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นได้ยังไง ควรโทษตัวเองนะครับที่ดูแลคนงานตัวเองไม่ดีเอง ดังนั้นหัดพึ่งพาตัวเองได้แล้วครับ”

คำพูดประโยคนี้ของหวางอวี่จุนจี้จุดกระแทกใจหัวเซินซวนอย่างแรง ตราบใดที่ท่าเรือเฉียนตงไม่เริ่มก่อน พวกเขาคงไม่ต้องมานั่งลำบากกันขนาดนี้

ภายใต้สถานการร์ ณ ปัจจุบันกล่าวได้ว่า ตระกูลหัวจตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจริง หากไม่จัดการกับพวกท่าเรือเฉียนตง มีหวังพวกคนงานได้ลาออกไปหมดแน่ แต่ถ้าเปิดฉากโจมตี พวกเราจะมีปัญญารับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไหวหรือไม่?

หัวเซินซวนในขณะนี้รู้สึกอับอายอย่างยิ่งที่ซื้อใจคนงานของตัวเองไม่ได้ ถึงได้ไปทรยศไปเข้าร่วมกับพวกท่าเรือเฉียนตงแทน

เฉินหมิงหยูกล่าวขึ้นด้วยคาวมโกรธเคืองว่า

“พวกนายเมื่อกี้ยังหันหลังให้ฉันอยู่เลย พอตอนนี้จะมาขอร้องให้รับทำงาน? จะว่าได้ไหมมันก็ได้แหละ แต่ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ ยังไงซะตอนนี้เราขอเก็บเรื่องนี้ไปคิดดูก่อนอีกที!”

พวกคนงานที่กลับลำเดินย้อนไปหาเฉินหมิงหยูเพื่อสมัครงาน แต่ละคนล้วนรู้สึกผิดอยู่ในใจและพยักหน้าตอบไม่กล้าโต้เถียง บางคนเอ่ยถามไปว่า มีเกณฑ์รับสมัครอะไรรึเปล่า?

เฉินหมิงหยูสั่งให้พวกลูกน้องแจกแบบฟอร์มสมัครงานให้คนละแผ่นและป่าวประกาศกับทุกคนไปว่า

“ใครที่มีความจริงใจจะทำงานกับบริษัทของเราจริง ก็กรอกดแบบฟอร์มที่แจกให้และใส่ลงในกล่องกระดาษตรงหน้า เราจะเลือกคนที่เหมาะสมเท่านั้นเข้ามาทำงานด้วย”

พวกคนงานที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแห่เข้าไปหาพวกลูกน้องของเฉินหมิงหยูทันที เพื่อขอแบบฟอร์ม

“ผมขอใบหนึ่ง!”

“ผมเองก็อยากได้เหมือนกัน! แจกให้ผม แจกให้ผม!”

เมื่อเห็นคนงานของตัวเองแย่งใบสมัครงานของท่าเรือของฝ่ายศัตรู หัวเซินซวนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ถ้าเขาสูญเสียคนงานพวกนี้ไปมันจะต้องส่งผลร้ายต่อท่าเรือตระกูลหัวอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายให้กับ กรมการคลังสินค้าจีน และลูกค้าที่มาจ้างวานข่นส่งอีกจำนวนหลายพันรายการ และทั้งหมดที่ว่ามานี้ตระกูลหัวจำต้องรับค่าความเสียหายแก่เพียงผู้เดียว

แถมกัดฟันชำระค่าเสียหายพวกนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มีแนวโน้มสูงมากที่ลูกค้ารายใหญ่ทั้งหลายจะหันไปใช้บริการเจ้าอื่น ที่ซวยไปกว่านั้นคือ อุตสาหกรรมการเดิมเรือในปัจจุบันค่อนข้างซบเซาอย่างมาก มีหลายบริษัทข่นส่งทางเรือที่ต้องปิดตัวลง และถ้าตระกูลหัวสูญเสียลูกค้ารายใหญ่พวกนี้ไป พวกเขาก็มีสิทธิ์ต้องปิดกิจการลงเช่นกัน ชะตากรรมของตระกูลหัวในขณะนี้อยู่ใกล้คำว่าล้มละลายเข้าไปทุกทีแล้ว

เมื่อคิดถึงผลร้ายแรงเหล่านี้ได้ หัวเซินซวนจึงกัดฟันกล่าวกับหัวฉีเฉินทันทีว่า

“บอกคนงานไปว่า พวกเราจะเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้!”

หัวฉีเฉินตื่นตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน เขารีบเกลี้ยกล่อมพ่อของเขาโดยไวว่า

“พ่อ ถ้าทำแบบนี้ เราจะมีค่าใช้จ่ายรายปีเพิ่มอีกหลายสิบล้านเชียวนะ!”

หัวเซินซวนสวนกลับไปทันทีว่า

“ยังมีสมองคิดอยู่รึเปล่า?! จะเลือกจ่ายเพิ่มสิบล้าน หรือจะให้ท่าเรือตระกูลหัวของเราต้องล้มละลาย! คิดสิคิด! ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ!”

ความมั่นใขของหัวฉีเฉินถูกลดมอนไปอย่างมากเมื่อได้ยินคำว่า ผิดหวัง ดังออกมาจากปากพ่อตัวเอง และตอนนี้เขาไม่แม้แต่กล้าปริปากกล่าวอะไรทั้งสิ้น เพราะกลัวว่าเขาจะพูดจาไม่เข้าหูพ่อ ถ้ายิ่งพูดแล้วยิ่งผิดก็สู้หุบปากไปเลยดีกว่า

  

[1]เงินพิเศษซื้อใจกำลังคน เพื่อกันไม่ให้บริษัทคู่แข่งแย่งไปได้

ตอนที่295 มากินลมชมวิวทะเล

เหล่าพี่น้องทุกคนที่ได้รับเชิญมาจากตระกูลหัวต่างประกาศเอ่ยนามกันไปหมดแล้ว โดยพื้นฐานถ้าระดับหัวหน้าของแต่ละเขตเมืองมารวมตัวขนาดนี้ คงไม่มีทางยอมถอยง่ายๆ และคงต้องสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ

หลังจากได้ยินชื่อว่าเป็นรุ่นใหญ่ พวกคนงานที่อยากจะลาออกก่อนหน้านี้ก็เริ่มหวาดกลัวทันที พวกเขารีบร่นถอยกลับมายังอาณาเขตของตระกูลหัวอีกครั้ง

หนึ่งในจุดประสงค์ที่หัวเซินซวนสั่งให้เชิญคนพวกนี้มาก็เพื่อ ข่มขู่ให้คนงานพวกนี้กลัวและบีบบังคับไม่ให้ลาออก และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะทำสำเร็จตามเป้าแล้ว คนงานยพวกนี้กำลังหวาดกลัวอยู่จริงๆ

เมื่อเห็นพวกคนงานเดินทยอยกลับไปทีละคนสองคน เหล่าสมาชิกตระกูลหัวก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หัวฉีเฉินยิ้มถามหวางอวี่จุนด้วยท่าทีที่พึงพอใจยิ่งว่า

“จะรีบไสหัวไปซะหรือต้องโดนกระทืบก่อนสักทีถึงจะไป?”

หวางอวี่จุนจู่ๆ ก็หัวเราะและตอบกลับไปว่า

“รองประธานหัว อย่าเพิ่งรีบร้อนสิครับ! จะแน่ใจได้ยังไงว่าคนพวกนี้จะอยู่ช่วยคุณจริงๆ? คุณมากกว่าครับที่ผมต้องถาม จะรับไสหัวไปได้รึยัง?”

“ฮ่าฮ่า…ตลกชะมัด! พวกฉันจ่ายเงินเลี้ยงดูคนเหล่านี้ไปไม่รู้เท่าไหร่ แล้วแกยังกล้าตั้งคำถามอีกเหรอว่า พวกเขาจะอยู่ช่วยจริงๆ? คงมาที่นี่เพื่อดูวิวทะเลหรอกมั้ง!”

หวางอวี่จุนระเบิดหัวเราะอีกครั้ง ตรงเข้าประจันหน้าอย่างไม่มีเกรงกลัว แล้วตอบกลับไปว่า

“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ พวกเขาอาจจะมาที่นี่เพราะอยากรับลมชมวิวทะเลอย่างที่ว่าไป พวกพี่ใหญ่ว่ายังไงครับ?”

พวกที่หวางอวี่จุนเรียกว่าพี่ใหญ่ต่างระเบิดหัวเราะเยาะกันในทันใด

หวั่นหลิวฉี หนึ่งใจเจ็ดเสาหลักแห่งทงโจว สวนตอบกลับไปทันทีด้วยวาจาแสนหยาบคายว่า

“ถุย! มึงโง่หรือปัญญาอ่อนวะ! พวกกูคงมาที่นี่เพราะอยากชมวิวทะเลมั้ง! รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!”

ทันทีที่สิ้นเสียงสบถด่า จู่ๆ ก็มีสายปริศนาโทรเข้ามาหาหวั่นหลิวฉี พอเขาหยิบออกมาดูก็พลันเห็นเป็นเบอร์ไม่คุ้นเคย ก็กดตัดสายทิ้งไป

แต่ไม่นานสายนี้ก็โทรเข้ามาหาอีกครั้ง และครั้งนี้หวั่นหลิวฉีก็คงปล่อยผ่านไปไม่ได้แล้ว จึงรีบสายและคำรามใส่ทันทีอย่างสุดจะทนว่า

“ใครวะเห้ย! ถ้ามึงกล้าโทรมาหาอีกครั้ง มึงตาย!”

“หวั่นหลิวฉี! เดี๋ยวนี้แกกล้าขนาดนั้นเชียว! เพิ่งเชิญฉันไปดื่มชาได้ไม่นาน จำเสียงกันไม่ได้แล้วใช่ไหม?!”

หลินเซียะ ผู้ว่าเมืองหวานจิ้งสวนตอบกลับไปทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หวั่นหลิวฉีใจแทบขวัญหาย รีบจับมือถือด้วยมือทั้งสองข้างแน่นและเอ่ยเสียงอ่อนกระซิบตอบไปว่า

“ผะ-ผะ-ผู้ว่าหลิน! ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ! ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ! แล้วทำไมผู้สว่าหลินถึงใช้เบอร์แปลกโทรมาหาแบบนี้ล่ะครับ? ผมขอโทษจริงๆ ครับ โปรดยกโทษให้ผมด้วย โปรดยกโทษให้ผมด้วยครับ…”

หลินเซียะแสยะยิ้มเยาะเอ่ยถามกลับไปว่า

“เข้าเรื่องเลยนะ นี่แกยกพวกมาเมืองหวานจิ้งของฉันงั้นเหรอ?”

หวั่นหลิวฉีรีบส่ายหัวทันควัน พลันเหลือบไปเห็นหวางอวี่จุนก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบตอบอีกฝ่ายกลับไปว่า เขาพาลูกน้องมารับลมชมวิวทะเลที่เมืองหวานจิ้งเฉยๆ ไม่ได้มายกพวกตีกับใครที่ไหนเลยจริงๆ

หวั่นหลิวฉีกล่าวเสริมต่อไปว่า

“ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ครับ…”

“อ่อ เข้าใจผิดงั้นเหรอ? ตอนนี้ฉันมาดื่มชากับผู้ว่าเมืองทงโจวพอดี แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจริงๆ?”

หวั่นหลิวฉีเค้นหัวเราะแห้งรีบตอบกลับไปว่า

“แน่นอนครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ผมเห็นว่าแถวท่าเรือเมืองหวานจิ้งทะเลส๊วยสวย เลยอยากพาลูกน้องมาพักผ่อน กินลมชมวิวที่นี่น่ะครับ คงไม่ผิดอะไรใช่ไหมครับ?”

หลินเซียะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น พยักหน้าพลางตอบเห็นด้วย

“แน่นอน แน่นอน ทะเลแถวท่าเรือหวานจิ้ง วิวสวยอย่างบอกใคร ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรหรอก ตามสบายเถอะ อ่อ…แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นบัญชีพับบาร์ของแกที่ปลอมขึ้นมาอาจถูกรื้อขึ้นมาตรวจสอบได้นะ ถ้าโดนภาษีย้อนหลังกลับไป ฉันบอกเลยว่าแกแทบอ้วกแน่นอน เงินเก็บตั้งหลายปีคงต้องมาใช้จ่ายกับค่าภาษีในส่วนนี้แน่ แถมคดีความของพวกลูกน้องแกที่ฉันเคยช่วยไว้อาจเป็นข่าวขึ้นมาก็ได้นะ ดังนั้นก่อนจะลงมือทำอะไรหัดใช้สมองคิดก่อน เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังหมายถึงใช่ไหม?”

หวั่นหลิวฉีถึงกับปาดเหงื่อที่รินไหลบนหน้าผากทันที เขารีบตอบกลับทันทีอย่างสั่นกลัวว่า

“ครับ ครับ ผมเข้าใจดี…”

หลินเซียะฮัมเพลงอย่างพึงพอใจและวางสายทิ้งไปทันที

ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาไม่กล้าเอ่ยปากสารภาพไปตามตรงว่า หลินเซียะโทรมาตักเตือนเขา จึงทำได้เพียงคลี่ยิ้มแห้งกล่าวตอบไปแค่ว่า

“อืม…ดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาขึ้นที่ทงโจว ฉันต้องรีบกลับไปดู ทุกท่าน ยังไงก็ฝากที่เหลือต่อด้วย คุณหัวเงินที่เคยให้ไป เดี๋ยวผมจ่ายคืนทั้งหมด! พวกเรากลับ!”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นพลันตกตะลึงอย่างยิ่ง หัวฉีเฉินรีบยตรงเข้าไปถามหวั่นหลิวฉีทันทีว่า

“พี่หวั่นนี่หมายความว่ายังไงกันครับ? ใครโทรมาหาพี่กันแน่? แล้วจะกลับทั้งแบบนี้ได้ยังไง?!”

หวั่นหลิวฉียิ้มตอบไปว่า

“อย่าเข้าใจผิดกันเลยนะครับ ผมต้องกลับไปทำธุระที่ทงโจวโดยด่วนจริงๆ”

หลังจากพูดจบ หวั่นหลิวฉีก็หันกลับกลับและพาพวกลูกน้องจากไปทันที โดยไม่คำนึงถึงใบหน้าของหัวฉีเฉินที่อุตส่าห์เชิญมาแม้แต่น้อย

ในเวลาเดียวกับ โทรศัพท์ของเจี้ยนต้าฟา พี่ใหญ่แห่งเขตห้วยโหรวก็ดังขึ้นมา เขารับสายทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ใคร?”

หลินเซียะเจ้าเก่าไม่พูดพล่ำ เข้าเรื่องทันทีว่า

“ต้าฟา ฉันได้ยินจากผู้ว่าเขตห้วยโหรวว่า โรงแรมที่แกเปิดในเมือง ระบบป้องกันอัคคีภัยไม่ผ่านการทดสอบอย่างงั้นเหรอ? แถมยังมีคนไปเจอกล้องรูเข็มในห้องน้ำโรงแรมอีก นี่มีเจตนาอะไรอยู่รึเปล่า? แถมคลิปผู้หญิงแก้ผ้าอาบน้ำที่กำลังดังในโลกโซเซียล มันดูคุ้นๆนะ เหมือนจะเป็นห้องน้ำโรงแรมของแกเลย นี่ฉันกำลังคุยกับผู้ว่าห้วยโหรวอยู่ว่าจะเอายังไงดีกับเรื่องพวกนี้ แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ?”

เจี้ยนต้าฟาหน้าถอดสีซีดเซียวในบัดดล รีบก้าวออกไปหลบมุมเอ่ยกระซิบเสียงแผ่วขึ้นว่า

“ผู้ว่าหลิน นี่มันหมายความว่ายังไงกันครับ? พวกผมไม่เคยรบกวนอะไรผู้ว่ามาก่อนเลยนะ”

“อืม…ฉันได้รับรายงานมาว่า มีการรวมกลุ่มเพื่อก่อจราจรกันชุดใหญ่ที่ท่าเรือในเมืองฉัน ว่าแต่ไปทำอะไรที่นั้นงั้นเหรอ? กินลมชมวิวทะเล?”

เจี้ยนต้าฟาเป็นคนฉลาดหัวไวพอสำหรับเรื่องอะไรพวกนี้ เขาเข้าใจในทันใดว่าหลินเซียะกำลังหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเขาจึงรีบตอบเสียงดังฟังชัดทันทีว่า

“อ๊ะ!…ใช่แล้วครับ! ใช่แล้ว! ได้ยินมาว่าทะเลของหวานจิ้งวิวสวยอย่างบอกใคร! ผมเลยพาพวกลูกน้องมากินลมชมวิวเล่นกันน่ะครับ แต่ที่นี่ลมทะเลแรงเหลือเกิน ผมล่ะรู้สึกหนาวแปลกๆ ฮ่าฮ่า… ดะ-เดี๋ยว…เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้วครับ”

“โอ้? งั้นเหรอ งั้นเหรอ ก็ดี งั้นก็รีบกลับได้แล้วล่ะ เข้าใจไหม?”

หลินเซียะเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม

มีหรือที่เจี้ยงต้าฟาจะไม่เข้าใจ การที่เขาขึ้นเป็นพี่ใหญ่แห่งเขตห้วยโหรวได้ไม่ใช่ว่าจับฉลากเป็น เขาคนนี้เริ่มต้นเส้นทางใต้ดินจากนักเลงหัวไม้ตัวเล็กๆ ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นใหญ่อย่างในวันนี้ และเขาทราบดีว่าสิ่งใดควรแตะต้องหรือไม่ควร

“เข้าใจครับ เข้าใจดีเลย! เดี๋ยวผมจะรีบพาทุกคนกลับเดี๋ยวนี้ทันทีเลยครับ! ที่นี่ลมทะเลเย็นเกินไปจริงๆ คงอยู่นานไม่ไหว ฮ่าฮ่า…ถ้าวันไหนว่าง ผมจะไปเยี่ยมเยือนผู้ว่าหลินสักรอบนะครับ!”

หลินเซียะหัวเราะตอบกลับไปเป็นมารยาทและวางสายไป

เจี้ยงต้าฟาไม่มีลังเลใดๆ อีกต่อไป เขารับตะโกนทักทามบรรดาลูกน้องที่อยู่ข้างหลังทันทีว่า

“ไปเว้ยพวกเรากลับ! ลมทะเลแรงที่นี่ชิบหาย กลับบ้านไปพักผ่อนซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมาจะแย่เอา! คุณหัว…เดี๋ยวผมโอนเงินคือให้ทีหลังนะครับ ขอตัวก่อน!”

ทุกคนจับจ้องภาพฉากดังกล่าวด้วยความตกตะลึงยิ่ง และเฝ้ามองเจี้ยงต้าฟารับจากออกไปทันทีราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ทั้งเขาและหวั่นหลิวฉีใบหน้าซีดเผือกไม่ต่างกันเลยหลังจากรับโทรศัพท์ ควรรู้ไว้ว่า พวกเขาสองคนนี้เป็นถึงพี่ใหญ่แห่งวงการโลกใต้ดิน แล้วใครกันที่สามารถทำให้ทั้งสองหวาดกลัวจนขี้หดตดหายได้ขนาดนี้กัน!

ตอนที่294 เรียกกำลังพล

ก่อนการโจมตีครั้งนี้ จ้าวเฉียนได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เขาอธิบายให้หวางอวีจุนและคนอื่นๆอย่างชัดเจนว่า ควรจะต้องอะไรและอย่างไร รวมถึงวิธีการพูด

แต่สำหรับตระกูลหัวนี่ถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดและกะทันหันอย่างยิ่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกคนงานจู่ๆจะรวมกลุ่มประท้วง และนัดลาออกพร้อมใจกันแบบนี้

นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว หัวฉีเฉินไม่สามารถอธิบายหรือโต้เถียงหวางอวีจุนใดๆกลับไปได้ เขาทำได้เพียงถ่มวาจาขมขู่ใส่เท่านั้น

“นี่แกกำลังประกาศสงครามกับตระกูลหัวของฉัน นี่คิดดีแล้วใช่ไหม?!”

หัวฉีเฉินขู่คำรามใส่

หวางอวีจุนชี้ไปที่โกดังด้านหลังเขาและยิ้มตอบไปว่า

“คนตระกูลหัวมีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นเหรอครับ? ผมมีนายใหญ่ของท่าเรือเฉียนตงคอยหนุนหลังอยู่ ถ้าคุณกล้าลงมือลงไม้กับผม เตรียมตัวไม่ตายดีได้เลยครับ แถมได้ข่าวมาว่า ตระกูลหัวเพิ่งถูกตำรวจขึ้นบัญชีดำ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าประธานหัวยังเหลือเงาหัวอยู่รึเปล่า?”

หัวเซินซวนที่ได้ยินแบบนั้นก็เดือดจัด คำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“นายใหญ่ของแกคือใคร!? ลากมันออกมาคุยกับฉันนี่!”

หวางอวีจุนหัวเราะ ยิ้มตอบกลับไปว่า

“ประธานหัวใกล้จะเกษียณแล้ว อีกไม่กี่ปีคงใกล้จะลงโลง แต่นายใหญ่ของผมยังหนุ่มยังแน่น ไม่มีเวลาเถียงกับคนใกล้ตายหรอกครับ เขายังบอกอีกว่า ฝากเรื่องนี้ให้ผมเป็รนคนรับผิดชอบ ถ้าประธานหัวมีอะไรอยากจะคุย ก็คุยกับผมเลยครับ”

หัวเซินซวนถอนหายใจเย็นพ่นใส่เฮือกใหญ่ กล่าวขึ้นว่า

“อย่างแกน่ะเหรอ? อย่างแกจะคู่ควรกับฉันจริงๆงั้นเหรอ? ไร้สาระ! ไปเรียกนายใหญ่ของแกออกมา!”

รอยยิ้มประดับแช่มบนใบหน้าของหวางอวี่จุนจางหายไปทันที เขากล่าวน้ำเสียงจริงจังตอบไปว่า

“ถ้าประธานหัวพูดแบบนั้น ผมว่าเราคงไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันอีกแล้ว ถ้าคุณต้องการสู้ พวกเราก็พร้อม! ผมจะสั่งสอนตระกูลหัวให้เป็นบทเรียน ว่าความเย่อหยิ่งมันส่งผลเสียขนาดไหน!”

หลังจากนี้จบ หวางอวี่จุนก็สั่งลูกน้องให้หนยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่ง เขานั่งไขว้ขาต่อหน้าหัวเซินซวนที่กำลังจ้องเขม็งมาทางเขา

ยิ่งโดนยั่วยุหนักข้อขนาดนี้ อย่าว่าแต่หัวเซินซวนเลย แม้แต่พวกสมาชิกตระกูลหัวที่เหลือยังสุดจะทนแล้วเช่นกัน หวางอวีจุนตัวน้อยไร้สถานะศักดิ์คนนี้มันกล้าอวดดีต่อหน้าพวกเขาตระกูลหัวจริงๆ!

หัวเซินซวนคำรามลั่น

“ไประดมคนมาให้หมด! ฉันอยากจะเห็นเหมือนกันว่า ไอ้พวกท่าเรือเฉียนตงมันจะแน่สักแค่ไหน!”

หัวฉีเฉินโทรเรียกคนจากแก๊งมาเฟียใต้ดินที่เขารู้จักทันที กล่าวกันพอสังเขป พวกเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มอันตธานที่ตระกูลหัวเคยดูแลมาก่อน ยามมีปัญหาย่อมต้องมาช่วยเหลืออย่างเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้หัวฉีเฉินยังโทรเรียกพวกคนงานจากท่าเรือตระกูลหัวจากเมืองข้างเคียงมาทั้งหมด ให้รีบมาช่วยเป็นการด่วย

เวลาเที่ยงวัน ทุกคนมารวมตัวที่ท่าเรือตระกูลหัว ณ เมืองหยานจิ้ง กำลังคนเกือบ2,000เห็นจะได้

ดูขากภาพฉากในขณะนี้ดูน่ากลัวเกินจินตนาการ มีคนเกือบ2,000คนนี่มันเป็นจำนวนที่มหาศาลมากจริงๆ

หัวฉีเฉินเอ่ยถามหวางอวี่จุนอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มว่า

“เอาล่ะ ทีนี้แกยังกล้าตั้งโต๊ะรับสมัครคนงานเพิ่มอีกไหม?”

หวางอวีจุนในตอนนี้หวาดกลัวอย่างมาก เสื้อบริเวณแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่เคยพบเห็นภาพฉากที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต

อย่างไรก็ตามแต่ เขายังมีจ้าวเฉียนค่อยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาไม่ยอมถอยไปง่ายๆแน่นอน

และจ้าวเฉียนก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ เขาได้อธิบายให้หวางอวี่จุนฟังให้ทราบล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ขอเพียหวางอวี่จุนช่วยยืนหยัดต่อไปอีดกสักนิด แล้วที่เหลือจ้าวเฉียนจะเป็นคนจัดการต่อเอง

อย่างไรก็ตามแต่ ก่อนที่จ้าวเฉียนจะลงมือจัดการต่อ หวางอวี่จุนจำต้องสืบเสาะค้นหาก่อนว่า สมาชิกตระกูลหัวคนใดที่เรียกผู้คนเหล่านี้มา และพวกเขามาจากไหน

หวางอวี่จุนเอ่ยถามขึ้นว่า

“ประธานหัว ไปหาคนพวกนี้มาจากไหนตั้งมากมาย? ก่อนจะลงมือทำอะไรควรบอกกันก่อนดีไหม?”

หัวงเซินซวนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นแต่ไม่ได้พูดอะไร

หัวฉีเฉินยิ้มและอาสาตอบแทนว่า

“ก็ไม่แปลกใจนะที่แกจะมาถามอะไรแบบนี้ ถ้ารู้ว่าพวกนี้เป็นใคร แกจะต้องคุกเข่าขอความเมตตาในทันที ฉันรู้ ตอนนี้แกกำลังหวาดกลัวอยู่ใช่ไหม? สุดท้ายก็ดีแต่ปากอย่างงั้นเหรอ?”

อย่างที่เขาว่า การมีเส้นสายสำคัญกว่าเงินทอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดประโยชน์ได้ในหลากหลายกรณี และนี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญว่าการมีเส้นสายในวงการใต้ดินมันดีอย่างไร

“ฉัน หวั่นหลิวฉี หนึ่งใจเจ็ดเสาหลักแห่งทงโจว พื้นที่ครึ่งหนึ่งของเมืองทงโจวเป็นของฉัน น่าจะมีคุณสมบัติพอข่มขู่แกได้นะ?”

“ฉัน เจี้ยนต้าฟา พี่ใหญ่แห่งเขตห้วยโหรว ที่นั่นไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับฉันแม้แต่คนเดียว!”

หวางอวีจุนรีบยิ้มตอบทันทีว่า

“โอ้? ที่แท้ก็พี่หวั่นแห่งทงโจวกับพี่เจี้ยนแห่งห้วยโหรวนี่เอง พวกเรามีปัญหากับเรื่องธุรกิจท่าเรือ ทำไมพวกพี่ทั้งสองคนถึงต้องมาเกี่ยวพันให้เสียเวลา? ผมรู้จักดาราสาวดาวรุ่งอยู่หลายคน ผมสามารถเชิญให้พวกเธอมาคลายเหงาให้พวกพี่ได้นะครับ ถ้าสนใจก็บอกผมได้”

เจี้ยนต้าฟาแสยะยิ้มเย้ยหยันกล่าวตอบไปว่า

“เก็บเอาไว้กอดเล่นเองเถอะ”

“ฮ่าฮ่า….”

พวกลูกน้องของเจี้ยนต้าฟาระเบิดหัวเราะลั่น

หวางอวี่จุนไม่ได้วางแผนที่จะปะทะกับคนพวกนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อหลอกถามว่าพวกที่ตระกูลหัวเรียกมาเป็นใครมาจากไหนก็เท่านั้น

หวางอวี่จุนยังคงถามต่อไปว่า

“แล้วพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ? ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน?”

“ฉันหยางเหวินซงแห่งต้าซิง ใครจะมาเปิดบาร์เปิดพับที่นั่นล้วนต้องขออนุญาตจากฉันก่อน!”

หวางอวีจุนรีบยิ้มแย้มตอบไปทันที

“ยินดีที่ได้รู้จัก ยินดีที่ได้รู้จัก…”

“ฉัน หวู่ซูฮุ่ยแห่งเฟิงไท่…”

“ฉัน กวนหู่แห่งฟางซาน…”

……….

หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนพวกนี้แล้ว ดูเหมือนว่าบรรดาขั้นอำนาจใหญ่รอบเมืองหยานจิ้งจะมารวมพลกันที่นี่อย่างพร้อมหน้า

หวางอวี่จุนย่อมไม่รู้จักพวกเขาเหล่านี้ และเขาเองก็ไม่ทราบด้วยว่า ไอ้คนพวกนี้พูดความจริงหรือกำลังโม้อยู่ แต่อย่างไรนี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจำต้องพึงกังวล เขามีหน้าที่สืบเสาะว่าคนพวกนี้เป็นใครมาจากไหนเท่านั้น และจ้าวเฉียนจะมาจัดการกับที่เหลือเอง

จ้าวเฉียนตั้งใจฟังบทสนทนาคำแนะนำตัวของคนพวกนี้อย่างตั้งอกตั้งใจผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของหวางอวี่จุน

จ้าวเฉียนจดชื่อทุกคนรวมไปถึงเขตที่คุมอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถ่ายรูปส่งไปให้หน้าหน้าพ่อบ้านหวังเจ๋อ

หลังจากที่หวังเจ๋อเห็นภาพถ่ายรายชื่อเหล่านี้ เขาก็รีบโทรถามโดยไวว่า

“คุณชายจ้าว เป็นอะไรรึเปล่าครับ? คนพวกนี้มันทำอะไรคุณชายรึเปล่า?!”

จ้าวเฉียนหัวเราะและกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า

“ฮ่าฮ่า.. ไม่เลย ไม่เลย แต่คนพวกนี้ถูกว่าจ้างมาโดยตระกูลหัว แถมพวกมันก็พร้อมลงมือทำร้ายลูกเรือกับคนของเราแล้ว ช่วยจัดการคนพวกนี้ให้ไปพ้นๆทางทีสิ”

หวังเจ๋อรีบรับคำสั่งและตอบกลับไปว่า

“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะรีบดำเนินการเดี๋ยวนี้เลย ผมขอวางหัวเป็นประกัน ผมจะไล่พวกมันออกไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด พวกมันไม่กล้ายื่นมือมาช่วยตระกูลหัวแน่นอน”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบด้วยความพึงพอใจว่า

“อืม ฉันจะคอยดู”

“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะรีบจัดการทันที!”

หลังจากหวังเจ๋อพูดจบ เขาก็วางสายและรีบดำเนินการตามที่จ้าวเฉียนสั่งทันที

ตอนที่293 ดึงคนงาน

ในไม่ช้า เฉินหมิงหยู หัวหน้าฝ่ายนิติบุคคลแห่งท่าเรือเฉียนตงก็เดินทางมาหาจ้าวเฉียน

หวางอวี่จุนออกคำสั่งทันที

“หัวหน้าเฉิน คุณชายจ้าวสั่งให้คุณไปดึงคนงานของตระกูลหัวมา โดยให้อัตราจ้างและสวัสดิการที่ดีกว่าท่าเรือตระกูลหัว ดึงกำลังคนของฝ่ายนั้นมาได้ให้มาดที่สุด เข้าใจไหม?”

เฉินหมิงหยูพยักหน้าและตอบกลับทันทีว่า

“เข้าใจแล้วครับ แต่ว่าลูกเรือกับพนักงานของฝั่งนั้นมีมากกว่าร้อยคน ถ้าในกรณีที่ดึงพวกเขามาหมดได้ เราควรจะหาที่พักเพิ่มยังไงดีครับ?”

หวางอวี่จุนยิ้มตอบกลับไปว่า

“คุณไม่จำเป็นต้องกังวล แค่ไปดึงกำลังคนจากฝ่ายนั้นมาให้ได้มากที่สุดก็พอ ส่วนตรงนี้ฉันจะจัดการเอง เข้าใจไหม?”

“ได้เลยครับ!”

หลังจากรับคำสั่งเสร็จสรรพ เฉินหมิงหยูก็รีบไปเกณฑ์คนไปยังท่าเรือตระกูลหัวเพื่อเปิดรับสมัครพนักงานและลูกเรือเพิ่มต่อไป

ในขณะที่หัวเซินซวนกำลังตำหนิหลิวซุยหุยกับจางเสวี่ยหมินอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว เฉินหมิงหยูก็จงใจเปิดโต๊ะรับสมัครอยู่ตรงหน้าท่าเรือตระกูลหัว พร้อมป่าวประเทศชี้แจงถึงเงินเดือน รวมไปถึงเรื่องสวัสดิการต่างๆมากมายที่พนักงานจะได้รับ

พนักงานของท่าเรือตระกูลหัวที่ก่อม็อบอยู่ในบริเวณนั้นพอดีก็บังเอิญได้ยินเข้า และแต่ละคนดูจนสนใจอย่างยิ่งเมื่อได้ฟัง

“ว้าว! ประกันสังคมรวมห้ากองทุน แถมยังมีกองทุนที่อยู่อาศัยให้อีกหนึ่งกองทุน! เงินเดือนการันตีแม้ไม่ได้ออกทะเลเก้าพันหยวน! นี่มันมากกว่าเงินขั้นต่ำของท่าเรือตระกูลหัวอีกไม่ใช่เหรอ! อะไรนะ?! ยังมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแถมให้อีกด้วย? สุดยอด!”

“ก็ว่าแล้วทำไมพวกลูกเรือท่าเรือข้างๆเราถึงดูกระตือรือร้นทุกวัน ที่แท้เจ้านายพวกเขาก็เลี้ยงดูดีนี่เอง! สมแล้วที่เป็นบริษัทท่าเรือใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือสวัสดิการดีกว่าของพวกเรามากจริงๆ!”

“บัดซบ! ถ้าเป็นพวกเราน่ะเหรอ? ออกเรือกันแทบตายได้เงินหมื่นนิดๆ พวกนั้นแทบไม่ต้องออกเรือก็ได้การันตีแล้วเก้าพัน! เพื่อนร่วมอาชีพกันแท้ๆ แต่ทำไมชีวิตการเป็นอยู่ถึงดีกว่าพวกเรายิ่งกว่าฟ้ากับเหว!”

“ถูกต้อง! ที่นี่มันเอาเปรียบเราเกินไป! ทั้งๆที่เป็นอาชีพเดียวกันแต่ชีวิตความเป็นอยู่กับคนละเรื่องเลยจริงๆ!”

“เราไม่ยอมแน่! เราอยากได้การดูแลแบบพวกเขา!”

……..

ภายใต้การยุยงปลุกปั่นของ‘ไส้ศึก’ตระกูลจ้าว พวกพนักงานทุกคนต่างโหร้องตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความตื่นเต้น

หัวเซินซวนและคนอื่นๆรีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ข้างนอกทันทีด้วยความตื่นตะลึง และรีบจดสิ่งที่ท่าเรือเฉียนถงประกาศรับสมัครไว้ทันทีว่ามีอะไรบ้าง

นอกเหนือจากสิ่งที่บรรดาคนงานกลางม็อปร้องอุทานขึ้นมา ทางท่าเรือเฉียนตงยังมอบสิ่งต่างๆอีกมากมายเพื่ออพนวยความสะดวกสบายแก่คนงานอย่างเช่น หอพักสำหรับสี่คนต่อหนึ่งห้องพร้อมเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และเครื่องครัวต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนค่าฟ้าและค่าน้ำคิดตามมาตรฐานไม่มีบวกเพิ่ม ทั้งนี้เพื่อลดภาระที่ไม่จำเป็นของพนักงาน

วันลาป่วยฉุกเฉิน4วันต่อเดือน สามารถโทรมาขอลาล่วงหน้ากับหัวหน้าผู้รับผิดชอบได้ทันที แต่ถ้าใครไม่ลาพักและทำงานตลอดทั้งเดือน ทางท่าเรือเฉียนตงจะจ่ายเงินเดือนเป็นสองเท่าเป็นรางวัลความขยัน การันตีโบนัสปลายปีอย่างน้อยหนึ่งเดือน และพนักงานคนไหนที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดจะได้รับรางวัลประจำปี

……..

เมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์อันมหาศาลเหล่านี้เป็นรายข้อ หัวเซินซวนพลันรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอน่างยิ่ง ถ้าเขาเป็นคนงานและลูกเรือเหล่านั้น เขาเองกก็คงจะย้ายที่ทำงานแน่นอน

หัวเซินซวนและคำอื่นๆกำลังเฝ้ามอฝอย่างใจจดใจ่จ่อว่า ใครบ้างที่กล้าแปรพักตร์ไปหาเฉินหมิงหยู

และแน่นอนว่า พอมีคนนำย่อมมีคนตามเสมอ ในไม่ช้าพนักงานทุกคนในท่าเรือตระกูลหัวก็รีบวิ่งไปซบเฉินหมิงหยูอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาเต็มใจอย่างมากที่จะมาทำงานให้กับบริษัทท่าเรือที่มีทั้งเงินเดือนและสวัสดิการดีเยี่ยมขนาดนี้

หัวเซินซวนคำรามลั่นในทันใดว่า

“พวกแกกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้! อย่าลืมไปว่าพวกแกยังเป็นพนักงานของท่าเรือหัวอยู่! ใครกล้าฉีกสัญญาจ้างตอนนี้ ฉันจะให้พวแกชดใช้ไม่มีปราณี!”

เสียงคำรามของหัวเซินซวนต่างทำให้หลายคนเริ่มหวาดกลัว

แต่ในเวลาเดียวกัน เฉินหมิงหยูก็ตะโกนสวนกลับไปทันทีว่า

“อย่าได้กลัวไปเลยทุกคน! ทันทีที่ทุกคนเป็นพนักงานของบริษัทเรา ทางเราย่อมมอบการคุ้มครองให้ทุกด้าน โปรดมั่นใจได้เลยครับว่าจะไม่มีใครทำร้ายพวกคุณได้อย่างแน่นอน ถ้าบุคคลภานนอกกล้าฟ้องมา ทางเราจะเอาเรื่องให้ถึงสุด! ถ้ายังไม่เชื่อ ผมจะระบุข้อความดังกล่าวเพิ่มลงในสัญญาจ้างเดี๋ยวนี้ และถ้าอนาคตเราไม่ยอมทำตามที่พูดจริงๆ พวกคุณทุกคนสามารถเอาเอกสารสัญญาจ้างฉบับนี้ไปแจ้งต่อศาลได้เลย!”

“สุดยอด! ถ้าคุณกล้าทำอย่างที่พูดจริง พวกเราขอย้ายเลยครับ!”

“คุณต้องเซ็นสัญญาในสิ่งที่พูดไปก่อนเพื่อความแน่ใจครับ”

“ใช่ครับ! ถ้าคุณกล้าเซ็นสัญญาว่าจะรับผิดชอบตามจริงกับสิ่งที่พูดไป พวกเราจะย้ายทันที!”

“ใช่! คุณกล้าทำอย่างที่พูดไหม?”

เฉินหมิงหยูรีบทักทามสั่งให้ลูฏน้องของเขาไปปริ้นเอกสารสัญญาชุดใหม่มาให้ทันที โดยระบุข้อตกลงข้อที่เขาเพิ่งพูดลงไปเพิ่ม ไม่นานเอกสารชุดใหม่กว่าหลายกล่องก็มาถึง เฉินหมิงหยูรีบสั่งให้ลูกน้องแจกจ่ายให้พวกหนักงานต่อหน้าอ่านทันที

ในไม่ช้า สัญญาฉบับนี้ก็หลุดไปถึงมือของหัวเซินซวน หลังจากที่ได้อ่านมันแล้ว เขาก็เดือดจัดจนฉีกเอกสารเหล่านั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เห็นได้ชัดว่าท่าเรือเฉียนตกกำลังชุบมือเปิปแย่งกำลังคนของท่าเรือหัวไป!

หัวเซินซวนทนไม่ไหวแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปหาเฉินหมิงหยูและคำรามใส่ว่า

“ใครสั่งให้แกมาตั้งโต๊ะรับสมัครงานแถวนี้!? คิดจะแย่งคนของท่าเรือหัวไปงั้นเหรอ!”

เฉินหมิงหยูหัวเราะเล็กน้อย เอ่ยตอบไปว่า

“ไม่ทราบคุณคือ…”

หัวเซินซวนกล่าวตอบทันที

“ฉันเจ้าของท่าเรือหัว หัวเซินซวน! แล้วแกเป็นใคร!?”

เฉินหมิงหยูเอ่ยทักทายหัวเซินซวนทันที แสร้งทำเป็นสุภาพกล่าวขึ้นว่า

“ที่แท้ก็เป็นคุณหัวนี่เอง ไม่นึกเลยนะครับว่า ระดับคุณจะมาที่นี่เป็นการส่วนตัวได้ แต่ยังไงก็เถอะครับ สำหรับเรื่องการรับสมัครคนเพิ่ม เรื่องนี้ทางเราก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน กลับเป็นคุณหัวมากกว่าที่ไม่สามารถซื้อใจคนงานได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ทิ้งคุณไปแบบนี้หรอกครับ จริงไหม?”

พวกพนักงานรีบตอบรับกล่าวเสริมทันทีในเชิงบวกว่า

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! พวกลูกเรือของท่านี้มีชีวิตกินดีอยู่ดีกว่าพวกเราไม่รู้เท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสพวกเราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งกับเขาเช่นกัน”

“ถ้าคุณหัวไม่มีปัญญาจ่ายเงินเดือนแบบเขาได้ก็อย่าไปโทษคนอื่นเลยครับ ผมขอลาออก!”

“ผมเองก็ลาออกเหมือนกัน ทำงานก็เหนื่อยเงินก็ยังได้น้อย ใครจะไปอยากอยู่!”

…………..

เดิมทีคนงานพวกนี้แค่ต้องการประท้วงและขู่ว่าจะลาออกเท่านั้น แต่พอเห็นว่าท่าเรือเฉียนตงดูแลพวกเขาดีกว่ามาก มันก็ทำให้พวกเขาเริ่มคิดจะลาออกจากที่เก่าจริงๆแล้ว

หัวเซินซวนโมโหอย่างมาก เขาตะโกนลั่นสั่งออกไปว่า

“พวกแก ไปทำลายโต๊ะรับสมัครพวกนั้นซะ!”

หัวฉีเฉินและสมาชิกตระกูลหัวคนอื่นๆกำลังจะเดินหน้าเคลื่อนไหว เพื่อทำลายโตณะรับสมัครของเฉินหมิงหยูทันที แต่เสี้ยวอึดใจนั้นเอง หวางอวี่จุนก็เดินเข้ามา

“ผมขอดูหน่อยว่า ใครหน้าไหนมันกล้าทำลายโต๊ะรับสมัครนี้!”

หวางอวี่จุนแผดเสียงคำรามลั่นดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

ทุกคนต่างสงบลงทันใด เหลือบสายตามองไปที่หวางอวี่จุนที่ก้าวย่างออกมาข้างหน้า หักข้อนิ้วดังก๊อกแก๊กราวกับพร้อมจะมีเรื่องตลอดเวลา

ระดับขั้นของหัวเซินซวยมีความอาวุโสเกินกว่าจะลดตัวลงมาสนทนากับคนพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองหัวฉีเฉินและกล่าวว่า

“แกไปคุยกับมันหน่อย”

หัวฉีเฉินพยักหน้าและเดินตรงออกไปเผชิญหน้ากับหวางอวี่จุน เอ่ยถามด้วยความโกรธจัดว่า

“พวกเราสองท่าเรือก็ใช้อ่าวเดียวกัน แบ่งปันทำมาหากินด้วยกันอยู่ตลอด แล้วจู่ๆมาดึงคนของฉันไปแบบนี้มันหมายความว่ายังไง?”

หวางอวี่จุนยิ้มแย้มตอบกลับไปว่า

“ไม่มีหมายความว่าอะไรหรอกครับ ผมก็แค่กำลังตั้งโต๊ะรับสมัครคนงานเพิ่มเฉยๆ มันก็ไม่เห็นกระทบหรือทำให้ใครเดือดร้อนตรงไหน แต่คุณเองมากกว่าที่เอาแต่ใจเกินไป จู่ๆก็มาโทษทางเราแบบนี้ มันยุติธรรมแล้วเหรอครับ?”

หัวฉีเฉินถอนหายใจเย็นใส่และกล่วาว่า

“แกรู้ใช่ไหมว่า พวกคนงานกำลังประท้วงกันอยู่ ก็เลยตั้งโต๊ะรับสมัครที่นี่เพื่อจะชุบมือเปิป! พอพวกเราจับได้ก็ทำมาเป็นเล่นลิ้นงั้นเหรอ!”

หวางอวี่จุนหัวเราะพร้อมส่ายหัวตอบไปว่า

“ไม่ทราบว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ? ผมกำลังรับสมัครคนทำงานเพิ่มเฉยๆ แต่คนที่ดันมาสมัครกับเป็นคนงานของคุณเอง นี่ยังหมายความว่าอะไรได้อีก? ไม่ใช่ว่าพวกคุณดูแลคนไม่ดีเอง? แถมอีกอย่าง เท่าที่ผมทราบมา พวกคุณจ้างพวกเขามาอย่างผิดกฎหมาย ไม่แม้แต่ส่งสัญญาจ้างไปให้ทางกรมแรงงานตรวจสอบด้วยซ้ำ เพราะแบบนี้ถึงว่าทำไมถึงไม่มีประกันสังคมให้พวกเขาเลย ถ้าผมยื่นเรื่องนี้ฟ้องต่อศาล พวกคุณคงต้องจ่ายค่าปรับบานแน่นอนจริงไหมครับ?”

หัวฉีเฉินถึงกับพูดไม่ออกพอโดนหวามอวี่จุนซัดประโยคนี้เข้าไป และไม่รู้เลยว่าตนควรจะกล่าวตอบอย่างไรดี

แต่เมื่อเขามองย้อนกลับไปยังหันเซินซวน ใจของเขาแทบตกลงตาตุ่ม เนื่องจากในขณะนี้หัวเซินซวนกำลังจับจ้องมาทางเขาด้วยสายตาที่สุดแสนจะเย็นชายิ่ง เห็นได้ชัดว่า พ่อของเขาไม่พอใจกับการรับมือของตัวเขาเลย

ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน หากหัวฉีเฉินไม่สามารถเข้าควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้เบ็ดเสร็จ แล้วในอนาคตต่อไปเขาจะสามารถบริหารจัดการธุรกิจของตระกูลหัวต่อไปได้อย่างไร ถ้าเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ก็แสดงว่าเขาไม่มีคสามสามาถเพียงพอ และหัวเซินซวนอาจจะยกตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปให้แก่น้องชายของเขาแทน

ตอนที่292 ดำเนินการตามแผน

ในไม่ช้าหัวเซินซวนก็พาเหล่าสมาชิกตระกูลหัวเดินทางมาที่ท่าเรือ และตรงไปยังโกดังของตระกูลหัวโดยตรง

อาหมิงรีบวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์เป็นการด่วน

“ท่านประธาน พวกลูกเรือเกรี้ยวกราดเกินควบคุมแล้ว ท่านประธานต้องเตรียมใจไว้ระดับหนึ่งด้วยนะครับ”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจเย็นยะเยือกออกมา เอ่ยตอบไปว่า

“ให้ฉันนี่นะต้องเตรียมใจ? ขนาดคางคกสามขาฉันยังเห็นมาแล้ว กับไอ้แค่ม็อบประท้วงอะไรให้ต้องกลัว? ไอ้คนพวกนี้มันกล้าเกินไปแล้ว ฉันจะไปจัดการพวกมันเอง!”

อาหมิงรีบก้มหน้าก้มตาตอบไปว่า

“พวกเขาราวกับเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว ไม่แม้แต่เชื่อฟังคำสั่งผมเลยด้วยซ้ำ!”

“ไป! นำพวกเราไปดู!”

พอหัวเซินซวนกล่าวจบ ก็ชักชวนบรรดาสมาชิกตระกูลหัวกลุ่มไปยังจุดประท้วงของพวกลูกเรือทันที

พวกลูกเรือและคนงานมากมายกำลังโห่ร้อง ยกป้ายประท้วงกันอย่างไม่หยุดหย่อน

“พวกเราต้องการความยุติธรรม! พวกเราต้องการค่าชดใช้ที่ถูกรังแก!”

อาหมิงหยิบไมค์ตัวหนึ่งพร้อมป่าวประกาศลั่นขึ้นว่า

“ทุกคนเงียบหน่อย! ประธานของพวกเราอยู่นี่แล้ว! ใครที่ต้องการเรียกร้องอะไรก็เชิญ ตราบเท่าที่มันสมเหตุสมผลมากพพอและถูกต้องตามหลักกฎหมาย ท่านประธานจะพยายามแก้ไขให้ถึงที่สุดเพื่อความเสมอภาคของทุกคน แต่ผมขอเตือนไว้ก่อน ห้ามเรียกร้องอะไรที่เกินจะเป็นไปได้ เอาล่ะ! ท่านประธานเชิญครับ!”

หลังจากพูดจอาหมิงก็รีบส่งไมค์ให้หัวเซินซวนทันที

ใบหน้าของหัวเซินซวนในตอนนี้มืดทมิฬหนัก เอ่ยถามเจือน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า

“พวกคุณต้องการร้องเรียนเรื่องอะไร? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพวกคุณถึงต้องก่อม็อบประท้วงแบบนี้กัน? ทราบหรือไม่ว่าการหยุดเดินเรือกะทันหันเพียงวันเดียว มันสร้างความสูญเสียมหาศาลขนาดไหน?”

ลูกเรือที่เป็นแกนนำการประท้วงครั้งนี้คือคนของจ้าวเฉียน เขาไม่ได้ก่อม็อบเพื่อร้องขออะไร แต่เพื่อสร้างปัญหาให้กับท่าเรือตระกูลหัวโดยเฉพาะ

ลูกเรือคนหนี่งนามว่าซูฟู่ ตะโกนตอบเสียงดังว่า

“ท่านประธาน ไม่ใช่ว่าเราต้องการสร้างปัญหาให้ แต่บริษัทของคุณเอาเปรียบพวกเราเกินไป! พวกเราคุยกันเรื่องการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในหอพักนานหลายปีแล้ว แต่บริษัทก็ยังไม่ติดตั้งให้สักที หอพักท่าเรือมันร้อนอบอ้าวมากโดยเฉพาะในฤดูร้อน ต่อห้องคนงานพักกันกว่าสิบคน ลองคิดดูสิครับว่ามันแออัดขนาดไหน! พวกเราจะทนได้ยังไง! แถมก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยคุยกันเรื่องอุบัติเหตุระหว่างการเดินเรือ พวกคุณก็เสนอว่าจะทำประกันสุภาพให้ เราเตรียมเอกสารที่จะยื่นแทบตาย แต่สุดท้ายก็บอกยกเลิกการทำประกันซะอย่างนั้น! เวลาเราป่วยนอนโรงพยาบาล เงินเห็บของพวกเราที่หามาก็แทบไม่เหลือ! ผมขอร้องเรียนแค่สองเรื่องนี้เท่านั้น! ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ไม่รู้จะต้องคุยอะไรต่อแล้ว!”

บรรดาสมาชิกตระกูลหัวปั้นหน้าดูไม่สบายใจอย่างยิ่ง ลูกเรือแลคนงานพวกนี้เคยยกประเด็นนี้มาคุยกับพวกเขานานมากแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมช่วยเหลือเลยสักคน

หัวเซินซวนหันกลับมาเอ่ยถามอาหมิงว่า

“นี่มันหมายความว่ายังไง? ไม่ใช่ว่าบริษัทจัดสรรเงินทุนเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศไปแล้วเหรอ? แล้วทำไมยังไม่ติดตั้งอีกล่ะ? เรื่องนี้ฉันเคยเน้นย้ำไปแล้วไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมยังปล่อยให้เป็นปัญหาได้ขนาดนี้?”

อาหมิงสีหน้าดูวิตกกังวลหนัก เขารีบอธิบายกลัวไปโดยไวว่า

“ท่านประธาน ผมเคยคุยเรื่องนี้กับหัวหน้าการเงินแล้ว แต่อีกฝ่ายเอาแต่หาเหตุผลต่างๆนาๆ เลื่อนไม่ให้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศสักที ถึงผมจะเป็นผู้จัดการใหญ่ของที่นี่ แต่มีบางคนตั้งตัวเป็นใหญ่ ผมเองก็ไม่กล้า…”

แม้หัวเซินซวนจะไม่ได้สนใจโครงสร้างบริษัทท่าเรือตรงนี้มากเท่าไหร่นัก แต่เขายังพอรู้ว่าใครมารับตำแหน่งอะไรบ้าง ซึ่งหัวหน้าฝ่ายการเงินของที่นี่ชื่อว่า หลิวซุยหุย เป็นพี่เขยของหัวฉีเฉิน

หัวฉีเฉินพลันรู้สึกกังวลทันที เพราะกลัวเรื่องนี้ลามมาถึงตัวเขา ดังนั้นจึงเปิดฉากเอ่ยตำหนิอาหมิงก่อนทันทีว่า

“อาหมิง อย่ามาพูดไร้สาระนะ! แกใหญ่ที่สุดในท่าเรือนี้แล้ว ยังมีใครใหญ่กว่าอีกรึไง? คงไม่ใช่ว่าตัวเองบริหารจัดการไม่ดี ก็เลยผลักภาระความรับผิดชอบให้คนอื่นหรอกนะ?”

อาหมิงไม่กล้าหักล้างใดๆ แต่เขาเองก็ไม่ยอมโดนกล่าวหาทั้งแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก เหลือบมองไปที่หัวเซินซวนไม่วางตา

หัวเซินซวนถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่ กล่าวตำหนิขึ้นว่า

“ไปเรียกหัวหน้าการเงินมา ส่วนเรื่องประกันระหว่างทำงานหน้าที่รับผิดชอบเป็นของหัวหน้าฝ่ายขนส่งใช่ไหม ไปเรียกมาด้วยกันเลย! ฉันต้องการให้เขาอธิบายความจริงต่อหน้าทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! คิดจะแบ่งพรรคแบ่งพวกในท่าเรืองั้นเหรอ ฉันจะจัดการเอง!”

อาหมิงโทรเรียกหัวหน้าฝ่ายการเงินและฝ่ายขนส่งมาทันที และไม่นานทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาโดยเร็ว

ทันทีที่มาถึง หัวเซินซวนก็เปิดฉากด่าทอทั้งสองอย่างหนัก

หัวหน้าฝ่ายการเงินหลิวซุยหุยเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาดี เพราะอย่างไรเขาก็เป็นพี่เขยของหัวฉีเฉิน ทันทีที่โดนต่อว่า เขาก็ชี้หน้าด่าอาหมิงต่อหน้าทุกคนว่า

“อาหมิง นี่คุณยังมีหน้ามาโทษผมอีกงั้นเหรอ! ผมไม่เห็นเคยได้รับเรื่องขอเบิกพวกนี้เลย! แล้วจู่ๆ จะมาโยนความผิดให้แบบนี้งั้นเหรอ?!”

จางเสวี่ยหมิน หัวหน้าฝ่ายขนส่งเป็นลูกสะใภ้ของหัวเซินกัง เธอกังวลอย่างยิ่งว่า เธอจะโดนลากเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้ด้วย ดังนั้นเธอจงรีบกล่าวช่วยหลิวซุยหุยทันทีว่า

“แผนกขนส่งของฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องคำร้องขอเครื่องปรับอากาศเลย ส่วนเรื่องประกันสุภาพของพวกพนักงาน เราเองก็กำลังดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จะให้ลัดวิธีและทำโดยพลการไม่ได้”

อาหมิงรีบตอบสวนไปทันทีว่า

“คุณหลิว เรื่องยื่นคำร้องผมเคยเขียนออกไปเป็นลายลักษณ์อักษรให้ไปหลายครั้งแล้ว แล้วคุณจะมาปฏิเสธได้ยังไงว่า คุณไม่เคยได้รับเรื่อง? แถมการประชุมครั้งล่าสุด คุณเองก็พยายามหาข้ออ้างเพื่อเลื่อนอนุมัติซื้อเครื่องปรับอากาศ พนักงานทุกคนล้วนได้ยินกันหมด! จริงไหมทุกคน!?”

บรรดาพนักงานและลูกเรือรีบตอบรับทันทีในเชิงบวก

“ใช่แล้ว! หัวหน้าอาพูดถูก! พวกเราสามารถเป็นพยานได้!”

“ใช่แล้ว! พวกเราเป็นพยานได้!”

…..

หลิวซุยหุยชี้หน้าด่าพวกพนักงานทันทีว่า

“หุบปาก! พวกมึงระวังคำพูดกันด้วย!”

“แกนั่นแหละหุบปาก! กล้าดียังไงมาข่มขู่พนักงานต่อหน้าฉัน! คิดว่าตัวเองเป็นพี่เขยของลูกชายฉัน แล้วจะตีตัวเสมอพวกเรารึไง! แกควรจะขอบคุณพวกฉันที่ให้ข้าวให้น้ำแกกิน แล้วดูสิ่งที่แกตอบแทนมาสิ เอาเปรียบลูกน้องในท่าเรือจนทำให้ฉันเดือดร้อน!”

หลิวซุยหุยก้มหน้าก้มตา สงบปากสงบคำลงอย่างรวดเร็ว

“ท่านประธาน ท่านลองคิดดูสิว่า ขนาดต่อหน้าท่านยังทำตัวขนาดนี้ แล้วเวลาอยู่ลับหลังท่านจะขนาดไหน?”

“ท่านประธาน แต่ละวันของพวกเราที่มาทำงานอย่างกับนรก ใครก็ตามที่ไม่เลียแข้งเลียขาเขา จะโดนกลั้นแกล้งสารพัด ทั้งโดนหักเงินเดือนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร ใช้ให้เดินเรือติดต่อกันทั้งเดือนบ้างก็มี ทำไมท่านถึงเอาแต่ญาติตระกูลหัวมาทำงานที่นี่? ถ้าเก่งและมีความเป็นธรรมกว่านี้ พวกเราจะไม่เอ่ยปากบ่นเลย แต่นี่มันเหลือทนแล้วจริงๆ! ยังเห็นพวกเราเป็นคนอยู่ไหม?”

“บาดแผลบนข้อมือของผมก็มาจากโดนเขาจี้ด้วยบุหรี่ บางคนโดนที่แก้มก็ยังมี แถมยังโดนข่มขู่อีกว่าห้ามฟ้องหัวหน้าอา ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ออก”

“หัวหน้าหลิวมันเป็นสัตว์นรกในคราบมนุษย์ชัดๆ! พวกเราได้แต่ทนและทนมาโดยตลอด! แล้วหัวหน้าจางก็อีกคน ไม่รู้เธอเป็นพวกโรคจิตรึเปล่า ชอบเรียกลูกเรือไปห้องทำงานส่วนตัวแล้วจับทรมานต่างๆนาๆ เพื่อสนองความใคร่ตัวเอง!”

………

จางเสวี่ยหมินใบหน้าแดงก่ำทั้งที เธอทั้งโกรธและอับอายในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวว่าจะโดนหัวเซินซวนด่าเหมือนหลิวซุยหุย

จ้าวเฉียนรับชมภาพฉากทั้งหมดผ่านจอมือถือโดยคนงานที่เป็น ‘ไส้ศึก’ อยู่ในกลุ่มที่ประท้วง ณ ขณะนี้เขาหัวเราะไม่หยุดจนท้องแข็ง

หวางอวี่จุน ผู้จัดการแห่งท่าเรือเฉียนตงที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้าวเฉียนก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“คุณชายจ้าว พวกเราดำเนิการตามแผนต่อได้เลยใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวว่า

“อืม นายไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“ตกลงครับ ผมจะรีบไปแจ้งหัวหน้าฝ่ายนิติบุคคลเดี๋ยวนี้เลย”

หวางอวี่จุนยิ้มตอบ

จ้าวเฉียนในยามนี้คลี่ยิ้มแสยะฉีกกว้างด้วยความสะใจ หลังจากไม่นาน ท่าเรือเฉียนตงก็ประกาศเปิดรับลูกเรือและพนักงานเพิ่มในอัตราจำนวนมาก โดยจะให้ค่าตอบแทนและสวัสดิการดีกว่าท่าเรือตระกูลหัว

เมื่อท่าเรือขนส่งตระกูลหัวติดขัด ไม่สามารถเดินเรือได้เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ทำให้พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับออเดอร์ขนส่งน้ำมันและเมล็ดพืชชุดใหญ่ ถ้าล่าช้าเกินสามวันทำงาน พวกเขาจะเสียค่าชดเชยเป็นเงินกว่าหลายร้อยล้านหยวน

ตอนที่291 โจมตี

ตามกฎของตระกูล ผู้นำมีสิทธิ์ในการตัดสินใจไม่ว่าถูกหรือผิด และสมาชิกตระกูลจำต้องสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาสมดุลอำนาจของตระกูลให้สืบทอดไปยังรุ่นสู่รุ่นต่อไปได้

ดังนั้นหัวเซินซวนจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยกล่าวขอความคิดเห็นจากคนอื่นอีกแล้ว การเรียกมาประชุมครั้งนี้เพียงเพื่อมาประกาศเท่านั้น

แต่การตัดสินใจในคราวนี้ของหัวเซินซวนข้องเกี่ยวกับอนาคตของสมาชิกทั้งตระกูลโดยตรงว่าจะอยู่หรือตาย แต่ละคนจึงปั้นสีหน้าดูลังเล

เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของทุกคนที่แตกแขนงกันออกไป หัวเซินซวนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง? ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉัน?”

ทุกคนต่างหันมองมาที่เขา แต่ไม่มีใครใดๆ กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ใบหน้าของทุกคนราวกับถูกเขียนไว้อย่างชัดแจ้งว่า ไม่เห็นด้วย

หัวเซินซวนหัวเราะขึ้นคำหนึ่งและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเหตุผลกับความเห็นของพวกคุณทุกคนว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย”

พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนต่างเหลือบไปที่หัวเซินกังจนเป็นตาเดียว เว้นเสียแต่หัวเซินซวน คนที่มีบารมีรองจากเขาก็คือน้องชายคนกลางอย่างหัวเซินกัง เขาจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเอ่ยค้านหัวเซินซวนได้

แต่หัวเซินกังเองก็มีทัศนคติเช่นเดียวกับหัวเซินซวน เพราะการที่ตระกูลหัวตกลงสู่ความวุ่นวาย นี่จะเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้

ทันทีที่หัวเซินกังแสดงความคิดเห็นออกมา ผู้คนที่ใกล้ชิดและญาติฝั่งเดียวกับเขาและหัวเซินซวนเองก็เริ่มคล้อยตามสนับสนุนเช่นกัน แม้จะลังเลไปบ้างทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะสนับสนุน

“ฉันเองก็เห็นด้วยกับวิธีของพี่ใหญ่ เราไม่ยอมโดนกดขี่อยู่ฝ่ายเดียวหรอก!”

“ใช่แล้ว! สกุลหัวของเรามีรากฐานอยู่ในหยานจิ้งมาครึ่งศตวรรษแล้ว กับไอ้แค่ตระกูลเล็กๆ ที่เพิ่งแจ้งเกิด ทำไมเราต้องกลัวด้วย!”

“ต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งแค่ไหน ยังคงเราก็ควรแสดงจุดยืนให้พวกมันเห็นว่า เราไม่ง่ายต่อการถูกรังแก!”

“ผมเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน ในเมืองหยานจิ้งแห่งนี้มีตระกูลใหญ่เล็กตั้งมากมาย และตระกูลหัวของเราเองก็ไม่ใช่ชนชั้นกินเจ ถ้าไม่สู้พวกเราจบ แต่ถ้าสู้พวกเรายังมีความหวัง!”

………

หัวเซินซวนพึงพอใจอย่างมากกับคนเหล่านี้ที่สนับสนุนและเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาจึงยิ้มกล่าวว่า

“ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยกันแบบนี้ ดังนั้นฉันขอเลือกที่จะสู้กับสกุลจ้าวให้ตายกันไปข้าง! แต่…มีใครอยากแสดงความเห็นนอกเหนือจากนี้ไหม?”

ทุกคนที่ยังคงลังเลต่างเหลือบมองไปที่หัวเซินกัวราวกับเป็นความหวังสุดท้าย ถึงอย่างไร คนที่มีอำนาจยารมีรองจากหัวเซินซวนและหัวเซินกังแล้ว ก็คือน้องชายคนสุดท้องอย่างหัวเซินกัว

หัวเซินกัวในตอนนี้อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างเหลือล้น ผู้คนโดยส่วนใหญ่ล้วนสนับสนุนความคิดของพี่ใหญ่และพี่รอง ถ้าเขาในฐานะน้องเล็กขัดแย้งในตอนนี้ สถานะของเขาในตระกูลจะถูกลดทอนลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตามแต่ เขาไม่ต้องการประกาศสงครามกับพวกสกุลจ้าวจริงๆ ประการแรก การเคลื่อนไหวโดยไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของศัตรูให้ดีก่อน ก็เท่ากับวิ่งลงเหว และประการที่สอง ตอนนี้พวกเราตระกูลหัวก็ยิ่งใหญ่และมั่นคงดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปสู้กับคนอื่นให้อ่อนแอลง?

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างสองอุดมการณ์ดันดุเดือดภายในหัว สุดท้ายเขายังจำต้องค้านไปตามตรงว่า

“ผมจะไม่ได้มีเจตนาขัดแย้งกับทุกคน แต่ผมอยากพูดอะไรสักหน่อยเผื่อว่าทุกคนจะได้เห็นอีกมุมมองที่แตกต่างกันไป มีสองเหตุผลที่ผมว่าไม่ควรปะทะกับสกุลจ้าวคือ หนึ่งตอนนี้เรายังไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของศัตรู การโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าถือว่าเสี่ยงเกินไป และสองตระกูลหัวของเราในปัจจุบันก็ใช่ว่าจะมีปัญหาคอขาดบาดตาย แล้วทำไมเราถึงต้องหาปัญหาเข้ามาใส่ตัว ถ้าเกิดเราแพ้ขึ้นมา บริษัทท่าเรือกับอสังหาของเราจะเป็นยังไง? มีใครจะออกมารับผิดชอบรึเปล่าถ้าเกิดสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด?”

เมื่อได้ยินหัวเซินกัวกล่าวออกไปแบบนั้น บรรดาผู้สนับสนุนให้เปิดฉากสงครามก็ดูจะสงบปากสงบคำลงเล็กน้อย

อดเปรี้ยวไว้กินหวานเป็นวลีที่ทุกคนย่อมเข้าใจกันดี และไม่มีใครกินหวานก่อนแล้วค่อยเปรี้ยวแน่นอน ทุกคนในที่นี้ล้วนเคยชินกับการจับจ่ายใช้สอยกว่าหลายพันหยวนต่อวัน ในขณะนี้พนักงานเงินเดือนทั่วไปได้รายรับเพียงสองถึงสามพันหยวนต่อเดือน ถ้าบุกโจมตีตระกูลจ้าวสุ่มสี่สุ่มห้าและล้มเหลวขึ้นมา คุณภาพชีวิตของเหล่าสมาชิกตระกูลหัวเตรียมร่วงสู่การเป็นมนุษย์เงินเดือนได้แล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ใครจะทนได้?

บางคนใช้เงินกินเลี้ยงต่อวันกว่าหลายหมื่นหยวน ซึ่งเงินเดือนพนักงานทั่วไปยังไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าต้องให้พวกเขาไปเป็นแบบนั้นสู้ไม่ตายดีกว่าเหรอ?

ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรควรคิดให้ดีก่อนเป็นดีที่สุด

“ผมคิดว่าลุงสามพูดถูก อย่างน้อยก็ควรศึกษาให้ดีก่อนว่าศัตรูที่เรากำลังเผชิญหน้าแข็งแกร่งแค่ไหน”

“อันที่จริงเราทุกคนแทบจะคาดเดาความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้แล้วด้วยซ้ำ ขนาดรัฐมนตรีหวังช่วยพวกมัน บางทีการเลือกอยู่กันอย่างสันติคงเป็นวิธีที่ดีกว่าจริงๆ”

“ผมเองก็คิดแบบนั้น แม้แต่ผู้ว่าหลินกับรัฐมนตรีหวังจะเข้าข้างพวกมัน แล้วเราจะไปเอาชนะคนพวกนั้นได้ยังไง?”

…………..

หัวเซินกัวเป็นคนค่อนข้างฉลาดพูดจริงๆ และทุกคำกล่าวของเขาล้วนสมเหตุสมผลทั้งนั้น

เมื่อเห็นฝ่ายฝ่ายค้านกลับชนะในการประชุมครั้งนี้ คนอื่นๆ ก็รีบเปลี่ยนสีหันมาสนับสนุนโดยไว

หัวเซินซวนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวว่า

“ฉันเป็นผู้นำครอบครัวที่ล้มเหลวจริงๆ ช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ยังไม่มีใครอยู่ข้างฉันเลย ฮ่าฮ่า…ก็ดี…ก็ดี…”

ทุกคนต่างตื่นตระหนกอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน และรีบขอโทษพร้อมคำอธิบายในทันที

“เข้าใจผิดแล้วครับ พวกเราไม่ได้ทิ้งไปไหนซะหน่อย แค่อยากให้ลองพิจารณาใหม่อีกครั้งเท่านั้น…”

“ถูกต้อง ถ้าเลือกที่จะสู้ เราก็ควรตรอบสอบอีกฝ่ายให้แน่ใจก่อนดีกว่า ไม่ใช่ว่าเราเลือกที่จะหนี”

“รู้จักศัตรูให้เหมือนรู้จักตัวเอง นี่เป็นความจริงที่ท่านทวดเคยสอนพวกเรา”

…..

หัวเซินซวนอดยิ้มไม่ได้อีกครา โดยปกติแล้วเขามักจะเป็นคนสั่งสอนคนอื่น แต่ตอนนี้คนอื่นๆ กลับสั่งสอนเขาอยู่จริงๆ

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่คนอื่นกล่าวจะไปไร้เหตุผล อย่างน้อยที่สุดเขาก็ควรทราบก่อนจริงๆ ว่า ตระกูลจ้าวมันแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ก่อนจะเคลื่อนไหวโจมตี

ในเวลานั้นเอง อาหมิง ผู้จัดการท่าเรือหัวก็โทรเข้าหาหัวเซินซวน

หัวเซินหยิบมือถือและเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง รับสามเอ่ยถามขึ้นว่า

“อาหมิง มีอะไร?”

อาหมิงรีบกล่าวตอบทันทีด้วยความร้อนใจว่า

“ประธาน แย่แล้ว ลูกเรือโดยส่วนใหญ่ของเราขอลาออก ซึ่งนี่ทำให้เส้นทางการเดินเรือของเราแทบทั้งหมดเป็นอัมพาต!”

หัวเซินซวนอุทานขึ้นทันทีด้วยความตื่นตูมว่า

“ห่ะ?! ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้? แล้วสาเหตุที่คนพวกนั้นขอลาออกล่ะ?”

“พวกเขาให้เหตุผลว่า อย่างแรกคือเรื่องเงินเดือน พวกเรารู้สึกว่าตัวเองทำงานหนัก ออกทะเลบ่อย และแทบไม่มีเวลาได้ดูแลครอบครัว แต่เงินที่ได้กลับแค่หมื่นต้นๆ เท่านั้น ส่วนอีกเหตุผลคือ…”

คล้ายว่าอาหมิงจะไม่กล้าพูดสำหรับเหตุผลที่สองเท่าไหร่ ซึ่งนี่ทำให้หัวเซินซวนหงุดหงิดเป็นอย่าง

ยิ่ง เขาตะคอกสวนขึ้นทันทีว่า

“มีอะไรก็รีบพูดมา ไม่ต้องปิดบังฉัน!”

อาหมิงรีบตอบว่า

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลูกเรือชุดที่รองประธานพาเข้ามา พวกเขาเอาแต่พึ่งพาบารมีของรองประธานกินแรงและตั้งตัวเป็นใหญ่ ตอนนี้สังคมลูกเรือถูกแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ลูกเรือคนไหนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับพวกเขาก็จะถูกรังแก จนท้ายที่สุดคนกลุ่มนั้นก็รวมตัวกันประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม ความขัดแย้งระหว่างลูกเรือทั้งสองกลุ่มยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจลาออกยกกลุ่ม”

หัวเซินซวนโกรธจัดแทบลมจับ เขารีบกล่าวตอบไปอย่างรวดเร็วว่า

“ฉันจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ แกเข้าคุมสถานการณ์เอาไว้ก่อน ห้ามเกิดเรื่องร้ายแรงเด็ดขาด”

อาหมิงกล่าวตอบ

“ได้ครับ!”

หัวเซินซวนเดินมายืนตรงตำแหน่งหัวโต๊ะการประชุม และป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“เกิดปัญหาขึ้นในท่าเรือ ลูกเรือเกือบทั้งหมดขอลาออก ฉันต้องรีบไปดูสถานการณ์ก่อน!”

ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน

“หื้ม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนถึงลาออก?”

“ร้ายแรงขั้นไหนครับ? ถึงขั้นกระทบการแผนการเดินเรือเลยไหม?”

“ไอ้โง่พวกนั้นจะมาสร้างปัญหาอะไรในวันนี้เนี่ย! บังเอิญเกินไปแล้ว!”

……….

หัวเซินซวนทุบโต๊ะอีกระลอก คำรามลั่น

“หุบปาก!”

ทุกคนต่างสงบปากสงบคำลงทันที

ในเวลานั้นเอง

บนประภาคารสูงระฟ้าของท่าเรือเฉียนตง

จ้าวเฉียนกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบที่ประท้วงลาออกในท่าเรือตระกูลหัว ณ น่านฝั่งทะเลติดกันอยู่อย่างสนุกสนาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาทั้งสิ้น

ตอนที่290 เลือกที่จะสู้

หัวเซินซวนโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน เสี้ยวพริบตาร่างของเขาล้มลงกับพื้น แววตาวิสัยทัศน์รอบข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำมืดและหมดสติไป พอเขาได้สติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลเสียแล้ว

สมาชิกตระกูลหัวอยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องพักส่วนตัว พอเห็นหัวเซินซวนได้สติฟื้นขึ้นมา ทุกคนก็รีบเร่งเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า รู้สึกยังไงบ้าง

หัวเซินซวนหลับตาลงอย่างแผ่วเบา กล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คนอื่นๆ ออกไปก่อนยกเว้น เซินกัง, เซินกัว, ฉีเฉินและฉีหมิง”

ทุกคนล้วนต้องปฏิบัติตามคำสั่งและออกไปจากห้องพักทันที เหลือแค่หัวเซินกัง หัวเซินกัว หัวฉีเฉินและหัวฉีหมิงเท่านั้นที่ยังอยู่

หัวเซียงตงมีลูกทั้งหมดห้าคน ประกอบด้วยลูกชายสามและลูกผู้หญิงสองคน

ลูกชายคนโตคือหัวเซินซวน ลูกชายรองคือหัวเซินกัง และลูกชายคนเล็กหัวเซินกัว

ปัจจุบันหัวเซินซวนเป็นผู้นำตระกูลหัว มีลูกสามคนและสองในสามเป็นลูกชายได้แก่ ลูกคนโตหัวฉีเฉินและหัวฉีหมิงซึ่งเป็นลูกคนสุดท้อง

การที่หัวเซินซวนขอให้ทั้งสี่คนนี้อยู่ก่อน ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเขามีเรื่องสำคัญจะบอก

หัวเซินซวนหลับตากล่าวขึ้นว่า

“นั่งลงก่อน”

ทั้งสี่พยักหน้าและนั่งลงทันที

หัวเซินกังเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า

“พี่ใหญ่ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง? เรียกหมอมาตรวจซ้ำดีไหม?”

หัวเซินซวนส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไร ที่ฉันขอให้พวกนายสี่คนอยู่ก่อน เพราะฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องบอก ตอนนี้เรากำลังต่อสู้กับคนสกุลจ้าว และฉันกังวลว่าพวกมันจะต้องโจมตีเราแน่นอนในอนาคต แทนที่จะมานั่งรอความตาย เราต้องคิดแล้วว่าจะรับมือยังไง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของตระกูลหัวนับจากนี้…”

ทั้งสี่มองหน้าสบตากันไปมา ไม่มีใครกล้าเอ่ยกล่าวอะไรออกมาก่อน เรื่องนี้ฟังดูสำคัญเกินกว่าจะเสียมายาทเอ่ยกล่าวแสดงความเห็นได้ตามใจ

หัวเซินซวนที่เห็นไม่มีใครกล้าตอบ เขาจึงกล่าวขึ้นว่า

“เซินกัง แกอาวุโสสุดในนี้ พูดก่อนเลย”

หัวเซินกังใจหายวาบลงไปตาตุ่ม เหงื่อเย็นรินไหลจนชุ่มทั้งแผ่นหลัง เขาทั้งรู้สึกกดดันและหวาดกลัวในเวลาเดียวกันและบ่ายเบี่ยงตอบไปว่า

“พี่ใหญ่ เรื่องที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้มันเกินกว่าความสามารถของผมแล้ว ผมว่าควรถามความเห็นของน้องสามกับพวกลูกพี่ใหญ่จะดีกว่านะ”

หัวเซินกัวส่ายหน้าอานตอบสวนกลับไปทันที

“ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับลูกชายทั้งสองคนของพี่ใหญ่แล้ว ส่วนพวกเราสองพี่น้องย่อมทำตามที่พี่ใหญ่สั่งอยู่แล้วไม่ต้องห่วง”

หัวเซินซวนได้ยินแบบนั้นก็เดือดมาก เดิมทีเขาแค่อยากฟังความคิดเห็นของน้องชายสองคนนี้ แต่ที่ไหนได้พวกมันคิดว่าตัวเองเล่นฟุตบอลอยู่รึไง ถึงได้ผลักความรับผิดชอบกันไปมา

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นทันทีว่า

“พ่อ ผมว่าเราควรใช้แผนระยะยาวในการรับมือดีกว่า เรายังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน เราไม่ควรเอาอนาคตของตระกูลหัวมาเดิมพันกับเรื่องอะไรพวกนี้เลย”

เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้สำหรับสิ่งที่หัวฉีเฉินกล่าวออกไป เพราะอย่างไร อีกไม่นานตระกูลหัวก็จะกลายมาเป็นของเขา และถ้าตระกูลหัวกับตระกูลจ้าวจะสู้กันจนตายไปข้างแบบนี้ ตระกูลหัวที่เขาจะต้องรับสืบทอดต่อจากนี้คงไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในปัจจุบันแน่นอน

หัวฉีเฉินเลี่ยงการปะทะ แต่กลับมีบางคนไม่เห็นด้วย ซึ่งนั้นก็คือหัวฉีหมิง

ตามหลักจารีตประเพณีจีน ตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปจะตกเป็นของลูกชายคนโต ถ้าตระกูลหัวไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นซะก่อน คนที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้คงหนีไม่พ้นหัวฉีเฉิน

แต่ถ้าตระกูลหัวกับตระกูลจ้าวเกิดปะทะกันจนแตกเป็นเสี่ยงจริงๆ ในฐานะที่หัวฉีหมิงเป็นลูกชายคนสุดท้อง เขาเองจะได้รับมรดกของตระกูลไปส่วนหนึ่ง แม้ว่าทรัพย์สินที่มีไว้สำหรับจัดสสรแบ่งส่วนจะมีน้อยลง แต่สุดท้ายหนึ่งส่วนที่ว่านั้นก็จะตกเป็นของเขาอยู่ดี ทั้งหุ้นบริษัทอสังหาและท่าเรือจะตกเป็นของเขา แถมหัวฉีเฉินเองก็ใช่ว่าจะล้มละลาย เขาที่เป็นพี่ใหญ่ย่อมต้องได้สมบัติเช่นกัน นี่ถือเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

หัวฉีหมิงที่คิดได้ดังนั้นจึงกล่าวทันทีว่า

“พ่อครับ แต่ผมเห็นด้วยกับความคิดของพ่อนะ เราจะรอคอยความตายอยู่เฉยๆ แบบนี้น่ะเหรอ? เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่คิดว่า พวกมันจะปล่อยพวกเราไปแน่นอน ถ้าเรายังทนให้พวกมันรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สักวันพวกมันจะยิ่งได้ใจ ทำลายตระกูลหัวของเราเข้าจริงๆ ศัตรูที่แข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเราที่ไม่ต่อต้านและนอนรอความตาย! การที่เราไม่ทำอะไรเลยก็เหมือนกับกบในกาน้ำร้อน ทนทรมานและรอวันตาย!”

ความเห็นของหัวฉีเฉินกับหัวฉีหมิงแตกออกเป็นสองฝั่ง นี่ยิ่งทำให้หัวเซินกังกับหัวเซินกัวไม่กล้าแสดงความเห็นเข้าไปใหญ่

หัวเซินซวนไม่ได้เอ่ยวิพากษ์ถึงความเห็นของลูกชายทั้งสองคน แต่กลับหันมาถามหัวเซินกังอีกครั้งว่า

“เซินกัง แกบอกมาเถอะว่าคิดยังไง ไม่ต้องโยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เอาที่ใจแกต้องการพอ”

หัวเซินกังทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ แต่อย่างไรเขาก็ไม่กล้าผลักความรับผิดชอบไปให้คนอื่นอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบไปว่า

“ถ้าพี่ใหญ่พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมพูดอะไรผิดไปก็อย่าว่าผมนะ”

หัวเซินซวนพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่ต้องห่วง ความคิดเห็นของพวกแกไม่มีถูกหรือผิด ฉันแค่อยากฟังความเห็นของแกเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะพูดแล้วนะ ผมคิดว่า…ฉีหมิงพูดถูกต้อง ถึงศัตรูที่เรากำลังเผชิญหน้าด้วยจะทั้งแข็งแกร่งและน่ากลัว แต่การนั่งรอความตายมันเป็นอะไรที่สิ้นหวังเกินไป แทนที่จะรอคอยอย่างสิ้นหวัง ทำไมเราถึงไม่พยายามสู้เท่าที่เราไหว บางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจดีกว่าที่คาดไว้ด้วยซ้ำ”

หัวเซินกังกล่าวแสดงความคิดเห็นออกไป

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หัวเซินกังเพียงต้องการเสาะแสวงหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในยามที่ตระกูลหัวโกลาหลเท่านั้น เขาถึงสนับสนุนให้ต่อสู้

ตอนนี้เหลือเพียงหัวเซินกัวเท่านั้นแล้วที่ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นยออกไป หัวเซินซวนกล่าวกับเขาว่า

“เซินกัว ตาแกแล้ว”

เมื่อเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่มิอาจเลี่ยงได้อีกต่อไป หัวเซินกัวทำได้เพียงกัดฟันกล่าวไปว่า

“พี่ใหญ่ แต่ผมเห็นด้วยกับมุมมองของฉีเฉินมากกว่า เราไม่ควรเคลื่อนไหวอะไรจนกว่าจะทราบถึงความแข็งแกร่งของศัตรู อย่างคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เก็บข้อมูลของศัตรูให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วมาวิเคราะห์ว่าเราควรจะสู้ต่อหรือถอยทัพ”

“แล้วสรุปว่า แกเห็นด้วยกับการปะทะหรือประนีประนอมมากกว่า?”

หัวเซินซวนยังคงเอ่ยถามต่อ

หัวเซินกัวกล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า

“ไม่ควรปะทะโดยไม่จำเป็น ถึงแบบนั้นจะเลือกกลยุทธ์แบบไหนล้วนต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง หากทราบว่าอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเราเท่าไหร่ ผมคงเลือกที่จะสู้ แต่อีกฝ่ายเกินเอื้อมจริงๆ คงเลือกที่จะเจรจาอยู่กันอย่างสันติวิธี แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้เราไม่ควรหุนหันพลันแล่น”

หัวเซินซวนยิ้มและกล่าวกับทุกคนว่า

“เข้าใจแล้ว ขอบใจมากสำหรับความเห็นของพวกแก ออกไปรอข้างนอกเถอะ ฉันขอนอนพักหน่อย”

ทั้งสี่รีบลุกขึ้นและโค้งคำนับหัวเซินซวนทันที

อีกด้านหนึ่งจ้าวเฉียนกำลังเปิดอีเมลฉบับหนึ่งขึ้นอ่าน ซึ่งอีเมลพวกนี้เป็นข้อแนะนำจากสายลับที่จ้าวฝู่ส่งไปเป็นสายในบ้านสกุลหัว

หลังจากจ้าวเฉียนอ่านทุกข้อความเบ็ดเสร็จ เขาก็พิมพ์ตอบส่งกลับไปให้รายคน พร้อมบอกพวกเขาให้เตรียมพร้อมได้แล้ว ทันทีที่มีคำสั่งลงมาอีกครั้ง เตรียมโจมตีตระกูลหัวทุกเมื่อ

หลังจากนั้นสามวันพ้นผ่าน หัวเซินซวนก็ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด

ทุกวี่วันเราล้วนคิดถึงมาตรการรับมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะเลือกอย่างไรดี เขาเป็นหัวหน้าตระกูลและทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดเพื่อศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตระกูลหัว แต่การกระทำของจ้าวเฉียนมันเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตระกูลหัวมากเกินกว่าจะรับได้แล้ว สุดท้ายนี้เขาเลือกที่จะต่อสู้กับตระกูลจ้าวเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา

ดังนั้น หัวเซินซวนจึงจัดการประชุมครั้งใหญ่ในนามสกุลหัว

ตามกฎของตระกูลหัว เมื่อใดที่หัวหน้าตระกูลจัดการประชุมขึ้น ทุกคนจะต้องเข้าร่วมโดยไม่มีเงื่อนไข อย่างน้อยที่สุดก็ควรส่งหัวหน้าของแต่ละตระกูลสาขาย่อยมา เพื่อลงมัติและวางแผนถึงแนวทางของตระกูลในอนาคต

กระประชุมครั้งนี้จัดขึ้น ณ ห้องจัดเลี้ยงของตระกูลหัว มีตัวแทนที่เข้าร่วมทั้งหมด26คน

หัวเซินซวนเข้าเรื่องไม่มีอ้อมค้อมทันทีว่า

“ที่ฉันเรียกทุกคนมาในวันนี้ก็เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ฉันได้ตัดสินใจที่จะสู้กับพวกสกุลจ้าวให้ตายกันไปข้าง นี่ก็เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลคืนมา และก็เพื่ออนาคตของพวกเราสกุลหัว!”

ตอนที่289 สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ในเช้าวันถัดมา คำแถลงเนื้อความดังว่า หัวฉีเฉินและหัวเซียงซิ่ว ได้ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันเป็นที่เรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ทางกฎหมายของประเทศจีนนั้นไม่ได้มีกำหนดอย่างชัดเจนในมาตราดังกล่าว หรือก็คือ ไม่มีการตัดขาดสายสัมพันธ์สถานะทางสายเลือดแบบถูกต้องตามกฎหมาย นอกเหนือจากภาระหน้าที่เลี้ยงดูที่จำเป็นแล้ว ผู้ปกครองมีสิทธิ์ตัดขาดด้านทรัพย์สินหรือไม่ให้ฝ่ายผู้เป็นลูกยุ่งเกี่ยวได้

กล่าวกันตามตรง ที่จ้าวเฉียนต้องการทำแบบนี้ก็เพื่อตัดแหล่งเงินทุนของหัวเซียงซิ่วเท่านั้น ไม่ใช่ว่าต้องการให้เธอตัดขาดจากตระกูลหัวจริงๆ

ทั้งทางตำรวจยังรายงานข่าวเพิ่มเติมอีกว่า หัวเซียงซิ่วจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อโฆษณาเว็บไซต์และสื่อ เพื่อโจมตีบุคคลอื่นจนเสื่อมเสียชื่อเสียง ใส่ร้ายเจ้าพนักงาน สุดท้ายนี้ตำรวจจึงตัดสินใจส่งคดีของเธอไปยังศาล และรอฟังคำตัดสินอีกทีหนึ่ง

หลังจากนั้นครึ่งเดือน จ้าวเฉียนก็สั่งให้โจวกุ้ยโทรหาตำรวจเพื่อแจ้งข้อหา หัวเซียงซิ่วไม่คืนค่าเงินกู้ตามกำหนด

ตามคำสั่งของจ้าวเฉียน เอกสารสัญญากู้ยืมที่โจวกุ้ยให้หัวเซียวซิ่วเซ็น แม้ดูผิวเผินจะดูเหมือนเอกสารกู้ยืนเงินทั่วไป แต่ถ้าอ่านให้ดีจะมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์อยู่ท้ายล่างเอกสาร โดยระบุว่าผู้กู้ยืมไม่สามารถจ่ายชำระเองได้ ต้องเป็นตระกูลหัวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบและแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โจวกุ้ยยื่นเอกสารสัญญาให้ตำรวจดูก่อนจะดำเนินการในทันที

ในไม่ช้าพวกตำรวจก็พาโจวกุ้ยเดินทางไปหาหัวฉีเฉิน และแสดงหนังสือเอกสารสัญญากู้ยืมเงินให้เขากู

หัวฉีเฉินที่เห็นก็ถึงกับตกใจ เงินกู้ทั้งหมดจำนวนห้าล้าน มีดอกเบี้ย5%ต่อวัน ใครบ้าไปเซ็นกัน? เขาเอ่ยตอบทันทีว่า

“นี่มันเงินกู้นอกระบบ ถือว่าผิดกฎหมาย เราไม่มีทางจ่ายคืนแน่นอน!”

โจวกุ้ยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“คุณหัวเกรงว่า คุณนั้นแหละที่กำลังทำผิดกฎหมาย ตามข้อกฎหมายแล้ว ผมมีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยในอัตรา24%ต่อปี ถ้าตัดเรื่องผิดกฎหมายไป ยังไงคุณก็ต้องจ่ายดอกให้เรา24%บวกกับเงินต้นคืนมา”

หัวฉีเฉินที่ได้ยินถึงกับไร้หนทาง ตามกฎหมายแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แน่นอนว่าตระกูลหัวมีปัญญาจ่ายเงินในส่วนนี้อยู่แล้ว แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ หัวฉีเฉินประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ตนตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเซียงซิ่วไปแล้ว ถ้ายอมจ่ายชำระค่าเงินกู้ให้แทนในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าเขายังคงแอบช่วยเซียงซิ่วลับหลังอยู่ และถ้าจ้าวเฉียนกับหลินเซียะรู้เข้า จะมีหน้าไปอธิบายได้ยังไง?

หวังฉีเฉินที่ตกอยู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็เลยพาโจวกุ้ยและพวกตำรวจเข้ามาหาหัวเซินซวน และกล่าวรายงานเรื่องที่เกิดขี้นสั้นๆให้ฟัง

หัวเซินซวนสะบัดมือทันที คำรามลั่นด้วยความโกรธว่า

“ไอ้เด็กนี่มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ! บังอาจอ้างชื่อตระกูลหัวไปเซ็นเงินกู้โดยที่ไม่บอกพวกเรา! ฉันเคยบอกแกแล้วไง! ว่าอย่าส่งลูกไปอยู่ต่างประเทศ! แล้วเป็นยังไงล่ะ! เอาแต่ใจจนเสียนิสัย! ไอ้เด็กคนนี้มันโง่จริงๆ!”

หัวฉีเฉินรีบกล่าวปลอบประโลมทันทีว่า

“พ่อ นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนี้ รับตัดสินใจก่อนเถอะครับว่าจะเอายังไง!”

“หื้ม? มีอะไรต้องตัดสินใจงั้นเหรอ? ในเมื่อเธอก่อปัญหา เธอก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเอง! ตระกูลหัวของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป ดังนั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายหนี้แทนเธอ!”

หัวเซินซวนตะคอกสวน

โจวกุ้ยไม่สนใจเรื่องระหว่างคนในครอบครัวอยู่แล้ว แต่ในเมื่อหัวเซียงซิ่วได้ลงนามตามข้อตกลงที่ระบุไว้ชัดเจน เขาก็มีสิทธิ์ล้ำเส้นเข้ามาในตระกูลหัวเพื่อทวงคืนเงินกู้ของเขา ดังนั้นถ้าตระกูลหัวจงใจไม่จ่ายหนี้ก้อนนี้ เขาก็จะเดินหน้ายื่นเรื่องฟ้องหัวเซียงซิ่วทันที

หัวเซินซวนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวตอบไปว่า

“เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหัวของฉันแล้ว จะฟ้องก็ฟ้องไปเถอะ พวกเราไม่สน”

โจวกุ้ยยังคงยิ้มกล่าวต่อว่า

“คุณหัวลองตรวจสอบเอกสารสัญญาฉบับนี้ให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ เธอใช้ที่ดินบ้านสองหลังในชื่อของตัวเองเพื่อค้ำประกันไว้ แถมยังมีหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหัวอีกหนึ่งส่วน จะยอมเสียไปทั้งแบบนี้เหรอครับ?”

หัวเซินซวนรีบคว้าเอกสารสัญญามาตรวจสอบโดยละเอียดทันที ปรากฎว่าสิ่งของค้ำประกันเป็นอย่างที่โจวกุ้ยว่าไว้จริงๆ

เซียงซิ่วค้ำบ้านไว้สองหลัง และที่สำคัญที่สุดคือหุ้นอีกหนึ่งส่วนซึ่งนี่มีมูลค่ากว่าหลายสิบล้าน

หากศาลนำสิ่งของเหล่านี้ไปประมูลและขายทอดตลาด ราคารวมมันเกินห้าล้านแน่นอน และตามกฎหมายแล้ว เงินเหลือเท่าไหร่จากที่ชำระกรรมสิทธิ์การจัดการจะเป็นของเจ้าหนี้ไปโดยปริยาย

ในเวลานี้เอง จ้าวเฉียนก็โทรหาหัวเซินซวน

หัวเซินซวนรีบเดินออกไปมุมหนึ่งและรับโทรศัพท์กล่าวทักทายขึ้นว่า

“ฮาโหลน้องจ้าว มีอะไร?”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ผมได้ยินจากผู้ว่าหลินมา มีคนเอาสัญญาเงินกู้ไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อทวงหนี้หัวเซียงซิ่ว ตอนนี้ทางตำรวจคงกำลังไปบ้านของคุณ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริงเหรอครับ?”

หัวเซินซวนแอบสบถด่าหลินเซียะอยู่ภายในใจ ไอ้หมอนี่มันปากสว่างจริงๆ นี่เป็นเรื่องราวภายในตระกูลหัว แล้วทำไมมันถึงต้องเอาไปบอกจ้าวเฉียน? ได้ยินแบบนั้นหัวเซินซวนก็ปั้นยิ้มดูงุ่มง่ามตอบไปว่า

“ใช่แล้ว ฉันก็เพิ่งรู้เรื่องนี้แหละ มีอะไรงั้นเหรอ?”

น้ำเสียงจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นทันตา เขากล่าวเตือนว่า

“โอ้? น่าสนใจนะครับ แต่ผมขอเตือนอะไรคุณไว้สักอย่าง ถ้าตระกูลหัวยื่นมือช่วยเหลือเธอแม้แต่น้อย ก็เท่ากับละเมิดข้อตกลงระหว่างเรา หลานชายของคุณทำลายหลุมศพของคุณย่า หลานสาวของคุณทำลายผมจนเสื่อมเสียชื่อเสียง สังคมตราหน้าผมว่าเป็นฆาตรกร ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังกล้าฝ่าฝืน เตรียมรับผิดชอบได้เลยครับ”

หัวเซินซวนรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูสอดคล่องกันไปหมด พลันคิดแล้วก็แปลกเล็กน้อย แต่อย่างไรเขาก็อธิบายไม่ถูกว่ามันแปลกยังไง เป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของจ้าวเฉียน?

ประการแรกเลย มันเห็นว่าหัวเซียงซิ่วเป็นเด็กสาวหัวนอกอ่อนประสบการณ์ เลยพยายามยั่วยุให้เธอทำทุกวิถีทางเพื่อปลุกระดมประชาชน หวังให้ทางตำรวจเล็งเป้ามาที่ตระกูลหัว และพอตระกูลหัวเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ มันก็พยายามบีบให้ตระกูลหัวขับไล่หัวเซียงซิ่วออกไป จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้เจ้าหนี้เดินทางมาทวงหนี้ พร้อมบังคับให้ตระกูลหัวจ่ายเงิน ซึ่งถ้าจ่ายก็เท่ากับติดกับตามแผนของจ้าวเฉียนในฐานละเมิดสัญญาที่ให้ไว้ แต่ถ้าไม่จ่ายก็เท่ากับติดกับตามแผนของจ้าวเฉียนเช่นกัน ทั้งบ้านสองหลังและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหัวส่วนหนึ่งจะตกอยู่ในมือของตระกูลจ้าว

แต่ที่น่าแปลกที่สุดคือ หัวเซินซวนในฐานะทหารผ่านศึกชำชองประสบการณ์ด้านธุรกิจ ทำไมถึงโดนเด็กเมื่อวานซือต้มซะเปื่อยขนาดนี้ได้?

หัวเซินซวนเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจว่า

“ทั้งหมดนี้…เป็นแผนของแกใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เอ่ยตอบไปว่า

“คุณหัว พูดเรื่องไร้สาระอะไรกันครับ? จะมากล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้หรอกนะครับ”

“เลิกเสแสร้งได้แล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราเคยรับมือกับพวกเล่ห์เหลี่ยมเยอะแบบแก! ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกแล้ว บอกมาซะว่านี่เป็นแผนของแกจริงๆใช่ไหม!? จงใจบีบให้เราตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้!”

จ้าวเฉียนให้คำตอบเอ่ยกลับไปอย่างคลุมเครือยิ่งว่า

“ถ้าคุณบังคับให้ใช่มันก็คงใช่ ถ้าไม่ก็คงไม่แหละครับ แต่ผมไม่สนอยู่แล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของผมเช่นกันที่ผมปั่นหัวคนได้สำเร็จ”

“ฮ่าฮ่า…ดี! ดีจริงๆ! ฉันไม่เคยเจอเด็กหนุ่มคนไหนที่หัวหมอและเลือดเย็นเท่าแกมาก่อนเลย! ทายาทตระกูลจ้าวนี่มันแสบจริงๆ เล่นได้แสบมาก!”

หัวเซินซวนเอ่ยร้องกรนเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ

จ้าวเฉียนยังคงปั้นหน้าไร้เดียงสาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใดๆและตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณหมายความว่าอะไร แต่ผมรู้เพียงแค่ ถ้าตระกูลหัวยื่นมือช่วยเหลือหัวเซียงซิ่วในการชำระหนี้สิน ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ทั้งหมดถือว่าเป็นการละเมิดคำสัญญาระหว่างเรา เมื่อถึงตอนนั้น…ก็อย่าโทษผมแล้วกัน!”

หัวเซินซวนขบฟันกรามแน่นจนสั่นเทา ขนาดมือไม้เองยังสั่นเช่นกัน โดนต้มจนเปื่อยขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ

“ไอ้หนุ่มสกุลจ้าว! แกมันเลือดเย็นเกินไป! กล้ายืมมือกฎหมายรังแกพวกเราสกุลหัว! แกต้องการอะไรกันแน่? บีบเค้นจนกว่าเราจะตายไปข้างเลยรึไง!? คิดจริงๆเหรอว่าพวกเราสกุลหัวง่ายที่จะรังแกขนาดนั้น?”

หัวเซินซวนเค้นเสียงลอดผ่านช่องฟันที่ขบกันแน่น

“ฮ่าฮ่าฮ่า….รุ่นปู่แล้วยังเอารุ่นเด็กอย่างผมไม่ลงเลย! แล้วตระกูลหัวจะมีปัญญาทำอะไรได้? ไม่ต้องพูดถึงปู่หรือพ่อของผมหรอก แค่ผ่านผมให้ได้ก่อนยังยากเลย! น่าสมเพชจริงๆนะครับที่ต้องโดนเด็กอย่างผมปั่นหัวเล่น ค่อยๆเก็บคนตระกูลหัววันละคนสองคน อีกไม่นานเดี๋ยวก็ทั้งตระกูลเอง! ฮ่าฮ่าฮ่า….”

ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็กดวางสายทิ้งไป ปล่อยให้หัวเซินซวนโกรธจัดจนขวางโทรศัพท์ในมือแตกกระเด็นเป็นเสี่ยงๆ

“มันเกินไปแล้ว! ไอ้หนุ่มสกุลจ้าวมันปีนเกลียวเกินไปแล้ว!!”

หัวเซินซวนแผดเสียงคำรามลั่น ทุบตีข้าวของต่างๆรอบข้างปัดกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถระบายความโกรธภายในใจออกไปได้เลย

อยู่มาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องพลาดท่าเสียทีให้กับชายหนุ่มวัยละอ่อน ถ้าเขาตายไปแม้แต่บรรพบุรุษยังไม่กล้าสู้หน้าเลยด้วยซ้ำ!

ตอนที่288 ปลดชื่อสกุล

หัวเซินซวนไม่กล้าต่อริ้วต่อรองอีกต่อไป เพราะเขากังวลจริงๆ ว่าจ้าวเฉียนจะปิดโอกาสและจากไปโดยไม่แยแส ดังนั้นเขาจึงรีบตอบกลับไปว่า

“เอาล่ะ! ห้าสิบล้านก็ห้าสิบล้าน แต่ถึงยังไงมือของหลานชายฉันก็ยังขาดไปแล้ว เรื่องค่ารักษาพยาบาลจะเอายังไง?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“ผมใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมอยู่แล้ว ไม่ทำเรื่องไร้ยางอายแน่นอน ผมมีงบให้หนึ่งล้านหยวนสำหรับค่ารักษาและต่อมือเทียมให้หลานชายของคุณ”

หัวเซินซวนคลี่ยิ้มออกมาทันที หนึ่งล้านมันมากเพียงพอแล้วสำหรับการต่อมือเทียม เพียงว่า ปัญหาทุกอย่างใช่ว่าจะจบไปหลังได้รับแขนเทียมแล้วซะหน่อย

“หนึ่งล้านมันน้อยเกินไปไหม? เรื่องนี้มีอิทธิพลอย่างมากกับหลานชายฉันในอนาคต ค่าเสียโอกาสจำเป็นต้องนับรวมด้วยจริงไหม? ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากน้องจ้าวมากเลย แค่สิบล้านพอว่าไง?”

ยังคงหยิบยกประโยคเดิมมากล่าว จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจเรื่องจำนวนเงินอยู่แล้ว เขาแค่ต้องการถ่วงเวลาตระกูลหัวเพื่อเตรียมตัวสำหรับแผนการบ่อนทำลายตระกูลหัวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบรับคำขอของหัวเซินซวนไป

ขนาดหัวเซินซวนเองยังไม่ได้คาดหวังเลยว่า จ้าวเฉียนจะเห็นดีเห็นงามด้วยง่ายดายเพียงนี้ จนเผลอคิดไปว่าตัวเองได้ยินผิดรึเปล่า

หลิวเซียะที่ได้ยินทั้งคู่เจรจากันด้วยดีก็ยิ้มและกล่าวว่า

“นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าน้องชายต้องการคืนดีกับคุณหัวจริงๆ การมาเจรจาในวันนี้เขาค่อนข้างจริงใจกับคุณมากเลยนะคุณหัว ดังนั้นหลังจากนี้คงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ถ้าในอนาคตจะมีโครงการอะไรร่วมกันก็บอกผมได้เสมอนะ เดี๋ยวผมจะคอยสนับสนุนอีกแรง ฮ่าฮ่า…”

หัวเซินซวนหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“ต้องขอบคุณผู้ว่าหลินกับน้องจ้าวจริงๆ เอาล่ะ งั้นพวกเรากลับกันเถอะ”

หลินเซียะกับหัวเซินซวนระเบิดหัวเราะขึ้นอย่างเร่งร่า พวกเขาคิดว่าปัญหาทุกอย่างคงจบลงเรียบร้อยดีแล้ว อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนยังคงตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง โดยเอ่ยถามหัวเซินซวนขึ้นว่า แล้วประเด็นที่หัวเซียงซิ่วกำลังปลุกปั่นสังคมให้มาโจมตีเขาจนเสื่อมเสียชื่อเสียงล่ะ เขามีแนวทางจัดการอย่างไร?

หัวเซินซวนยิ้มตอบกลับไปทันที

“น้องจ้าวไม่ต้องกังวล ฉันจะเกลี้ยกล่อมเธอไม่ให้ไปยุ่งกับน้องจ้าวอีกแน่นอน!”

จ่าวเฉียนกล่าวต่อขึ้นทันทีว่า

“คุณหัว คุณยังไม่ทราบสถานการณ์ในโลกโซเซียลขณะนี้มันกำลังระอุขนาดไหน ทุกคนล้วนเขียนข้อความทั้งด่าและสาปแช่งผม ทั้งยังกล่าวหาว่าผมเป็นฆาตรกร แล้วคุณหัวจะแก้ปัญหาโดยบอกเธอแค่ให้เลิกยุ่งกับผมงั้นเหรอ? ชื่อเสียงของผมในตอนนี้ถูกวิจารณ์จนป่นปี้หมดแล้ว เรื่องนี้คุณจะรับผิดชอบยังไง?”

หัวเซินซวนตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยิน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฉียนจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูด เขาคลี่ยิ้มแห้งเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปทันทีว่า

“แล้วน้องจ้าวต้องการให้ฉันทำยังไงล่ะ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“ผมไม่รบกวนอะไรคุณมาก แค่ช่วยไปลบข่าวลือทั้งหมดบนโลกอินเตอร์เน็ต และให้หัวเซียงซั่วมาขอโทษผมเป็นการส่วนตัว แค่นั้นพอครับ”

หัวเซินซวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เขาพยักหน้าตอบตกลงตามคำขอของจ้าวเฉียนทันที

หลิวเซียะเองก็พลันถอนหายใจไปตามด้วยเช่นกัน ในที่สุดปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลก็จบลงเสียที เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะ ถ้าพวกคุณเจรจากันเรียบร้อยดีแล้ว คุณหัว ผมจะพาคุณไปเกลี้ยกล่อมหลานสาวคุณต่อ ปัญหานี้จะได้จบสักที”

หัวเซินซวนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และกล่าวเสนอขึ้นว่า

“งั้นน้องจ้าวมากับพวกเราเลยดีกว่า ผมจะให้เธอขอโทษน้องจ้าวในวันนี้แหละ”

จากนั้นทั้งสามก็เดินไปห้องสอบสวนเพื่อเข้าพบหัวเซียงซิ่วทันที

พอหัวเซียงซิ่วเห็นว่าคุณปู่เธออยู่ที่นี่ เธอก็พลันหลงคิดไปว่า คุณปู่มาที่นี่เพื่อช่วยเธอ แต่ทว่าพอเห็นจ้าวเฉียนเดินตามหลังมาติดๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็จางหายไปในทันใด

“ทำไมแกถึงมาที่นี่ได้?”

หัวเซียงซิ่วเปิดฉากถามทันควันอย่างดุเดือด

จ้าวเฉียนยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก ยิ้มตอบไปว่า

“หุหุ ต้องให้ปู่ของคุณตอบคำถามนี้แทนซะแล้ว”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็นั่งข้างๆ คุณปู่ของเธอราวกับหลานชายคนสนิท

หัวเซียงซิ่วตะโกนถามคุณปู่ทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“ปู่! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงมากับมัน?”

หัวเซินซวนทำได้เพียงบอกหลานสาวไปตามตรงว่า ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น และขอให้เธอขอโทษจ้าวเฉียนแต่โดยดี และติดต่อไปทางสื่อเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อลบข่าวลือทิ้งไปทั้งหมด

“ไม่มีทาง! ไอ้ฆาตกรนี้จะต้องติดคุก! คิดที่สมควรต้องขอโทษควรเป็นมันไม่ใช่หนู! เอาสิ! เร็วเข้าไอ้ฆาตกร! รีบขอโทษฉันซะ!”

หัวเซินซวนทนฝีปากของหลานสาวตัวเองไม่ไหวอีกแล้ว เขาลุกขึ้นไปตบหน้าของเธออย่างแรง พร้อมสบถด่าต่อว่า

“ฉันสั่งให้ขอโทษเขา! ไม่ได้ยินรึไง! เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว หัดเข้าใจสถานการณ์อะไรบ้างสิ! ถ้ายังไม่เชื่อฟังอยู่แบบนี้ ในภายภาคหน้าแกไม่ต้องมาใช้ชื่อสกุลหัว! และแกจะไม่ใช่หลานของฉันอีกต่อไป!”

หัวเซียงซิ่วยกมือปิดหน้าตัวเองทันทีและเริ่มร้องไห้ปล่อยโฮออกมา เธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่า ทำไมครอบครัวของเธอต้องเข้าข้างคนผิด

หลินเซียะรีบกล่าวชักชวนขึ้นโดยไว

“คุณหนูหัว เรื่องนี้พี่ชายของคุณเองก็ผิดจริงๆ ที่ไปทำลายหลุมฝังศพของบรรพบุรุษตระกูลอื่นเขาจนเละ วางไปตามกฎหมายถือว่ามีความผิด ส่วนคดีความของคุณหนูหัวคือ จงใจยุยงปลุกปั่นมวลชนจนทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง ตอนนี้คุณจ้าวถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรทั้งที่บริสุทธิ์ โทษขนาดนี้ ผมสามารถจับคุณเข้าคุกได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบสวนด้วยซ้ำ”

“ถูกคือถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด! ไอ้คำตัดสินจอมปลอมพวกนี้ ฉันขอคัดค้าน!”

หัวเซียงซิ่วยังคงตะโกนเถียงคำไม่ตกฟาก

หัวเซินซวนกล่าวดุทันทีว่า

“แกควรเข้าใจจุดยืนของตัวเองในตอนนี้ได้แล้ว หัดคำนึงถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวบ้าง สิ่งที่แกทำลงไปรู้ไหมว่ามันเห็นแก่ตัวมากขนาดไหน ทุกคนที่อยู่เฉยๆ ต้องเดือดร้อนกันหมดเพราะแก!”

หัวเซียงซิวผิดหวังอย่างยิ่งกับปู่ของเธอ

“ก็ได้ หนูจะไม่เถียงกับคุณอีกแล้ว จะไปไหนก็ไป และไม่ว่ายังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่า สิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดหนูถูกต้อง ไม่ใช่ชื่อสกุลหัวก็ได้ หนูไม่สน ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว หัวเซียงซิ่ว จะมีก็แต่เซียงซิ่ว! ถ้าพวกคุณจะเปลี่ยนชื่อสกุลของหนูออกไปได้ แต่พวกคุณไม่สามารถเปลี่ยนค่านิยมในหัวหนูได้!”

หัวเซินซวนแทบจะระเบิดลงของจริงแล้ว เขายกมือขึ้นอีกครั้งและต้องการจะตบหน้าเธอซ้ำอีกระลอก แต่ครั้งนี้หลินเซี่ยะห้ามไว้ได้ทัน และกล่าวอย่างใจเย็นว่า

“คุณหัวอย่าเพิ่งทำร้ายร่างกายเธอตรงนี้ นี่ถือเป็นเขตความรับผิดชอบของเรา คุณหนูหัว คุณจำเป็นต้องจัดการลบข่าวลือทั้งหมดที่กระจายว่อนทั่วโลกอินเตอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ เพราะมันผิดกฎหมาย ถ้าไม่อย่างนั้น ต่อจากนี้ถ้าตระกูลหัวจะมาขอร้องให้ช่วยเรื่องดำเนินธุรกิจอะไรอีก ผมกับรัฐมนตรีหวังจะไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือใดๆ อีกต่อไป”

หัวเซินซวนที่ได้ยินแบบนั้น แขนขาของเขาพลันสั่นเทาไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว ตบโต๊ะเสียงดังปังลุกขึ้นชี้หน้าหัวเซียงซิ่วโดยตรง คำรามลั่นว่า

“ตั้งแต่นี้ต่อไปแกไม่ใช่สมาชิกตระกูลหัวอีกแล้ว! เปลี่ยนชื่อสกุลตามที่แกต้องการเลย! แล้วฉันจะโทรหาพ่อของแก สั่งให้มันประกาศตัดสัมพันธ์พ่อลูก!”

ทันทีที่พูดจบ หัวเซินซวนก็หยิบมือถือโทรไปหาหัวฉีเฉินทันทีและสั่งให้หัวฉีเฉินตัดพ่อตัดลูกกับหัวเซียงซิ่วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แล้วถ้าทำไมได้ จะเป็นตัวเขาเองนี่แหละก็ตัดพ่อลูกกับหัวฉีเฉิน

หัวฉีเฉินงุนงงอย่างมากเมื่อได้ยิน ตอนนี้จับหัวชนปลายไม่ถูกแล้ว เขาเอ่ยถามอย่างร้อนรนขึ้นว่า

“พ่อ นี่เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงต้องให้ผมตัดพ่อลูกกับเซียงซิ่วด้วย เพราะเธอเป็นพวกหัวตะวันตกนี่นะ? ผมว่ามันไร้สาระเกินไป!”

“เออ! ได้! ฉันก็ไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระกับแกแล้วเหมือนกัน! พรุ่งนี้แกเตรียมดูข่าวได้เลย ฉันจะประกาศตัดพ่อตัดลูกกับแก!”

หัวเซินซวนตอนนี้สติขาดแล้ว เขากล่าวออกไปโดยไม่แม้แต่จะมีเหตุผลใดๆ มารองรับ

แต่หัวฉีเฉินยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อว่า

“พ่อ ใจเย็นก่อน ทำอะไรค่อยๆ …”

หัวเซินซวนตะคอกสวนตอบทันทีว่า

“หุบปาก! ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แกไม่ใช่ลูกชายของฉันอีกต่อไปแล้ว! ลูกชายแกก็สร้างแต่เรื่อง ลูกสาวแกก็สั่งสอนมาไม่ได้เรื่อง! พวกเขาไม่สมควรเข้ามารับสืบทอดสมบัติตระกูลหัว! พี่สามของแกยังมีเหตุผลกว่าแกอีก! แถมเขาเองก็มีลูกชาย ทั้งเก่งทั้งถ่อมตัวมีมารยาท เหมาะสมกว่าพวกลูกแกตั้งเยอะ!”

หลังจากพูดจบ หัวเซินซวนก็กดตัดสายทิ้งทันที และหันมากล่าวกับจ้าวเฉียนต่อว่า

“ตอนนี้ว่ายังไงล่ะ? ฉันแยกทางกับพวกเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำต่อจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหัวของฉันอีก”

จ้าวเฉียนปรบมือพลางยกนิ้วโป้งให้หัวเซินซวน เขากล่าวชื่นชมขึ้นว่า

“คุณหัวเป็นคนใจเด็ดจริงๆ! ชี้นกเป็นนกชี้ไม่เป็นไม้โดยไม่มีลังเล แต่ก็ต้องทำตามที่พูดไปนะครับ พรุ่งนี้ผมจะรอดูข่าวว่าคุณตัดพวกเขาออกจากตระกูลหัวจริงๆ รึเปล่า”

หัวเซินซวนพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า

“ไม่มีปัญหา! ฉันจะออกแถลงการณ์ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเป็นคำตอบ จากนั้นก็โบกมือลาทั้งสองและเดินทางกลับจากสำนักงานเขต

หัวฉีเฉินนั่งสงบสติอยู่เป็นเวลานาน พยายามครุ่นคิดทบทวนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่สามารถถูกตัดออกจากกองมรดกทั้งแบบนี้ได้ ส่วนเรื่องลูกสาวเขา ยังไงซะ เธอก็ต้องแต่งงานออกเรือนในสักวัน ดังนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แล้วมันคุ้มแล้วเหรอที่เขาจะเลือกรักษาสถานะพ่อลูกกับหัวเซียงซิ่ว แต่ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียสิทธิ์ครอบครองมรดกของตระกูลหัวในอนาคต?

ดังนั้นหัวฉีเฉินจึงโทรหาพ่อของเขาทันทีและรีบขอโทษขอโพย

“พ่อ ผมขอโทษ เมื่อกี้ผมยังสับสนอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะรีบติดต่อสื่อเพื่อแจ้งว่า ผมกับเซียงซิ่วตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันแล้ว”

ไม่ว่าอย่างไร ลูกชายคนโตย่อมสำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ และแน่นอนว่าหัวเซินซวนเองก็ไม่เต็มใจขับไล่หัวฉีเฉินออกจากตระกูลเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบไปว่า

“ยังดีที่แกเข้าใจ รีบดำเนินการเดี๋ยวนี้เลย!”

ตอนที่287 เจรจาอีกครั้ง

จนถึงตอนนี้หัวเซินซวนเพิ่งจะคิดญาติดีกับจ้าวเฉียน แต่มันสายเกินไปแล้ว จ้าวเฉียนเคยย้ำกับหลินเซียะเองงว่า เขาไม่มีทางสานสัมพันธ์คืนดีกับตระกูลหัวอีกต่อไป ถ้าหากเมื่อใดที่ตระกูลหัวร้องขอความปรองดอง ให้ปฏิเสธไปทันที

หลินเซียะจึงกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“คุณหัวเกรงว่าจำต้องผิดหวังแล้ว เขาเคยบอกผมล่วงหน้าแล้วว่า ถ้าเมื่อใดที่ตระกูลหัวขอคืนดี ก็ให้ปฏิเสธเป็นคำตอบ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้”

หัวเซินซวนตอนนี้เริ่มหวาดกลัวขึ้นบ้างแล้วจริงๆ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องการพบจ้าวเฉียนอีกสักครั้ง

“ผู้ว่าหลิน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสองตระกูลในหวานจิ้งจะต้องปะทะกันตลอด ในฐานะผู้ว่าเมืองต้องการให้เมืองนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายจริงๆ งั้นเหรอ? ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันอาจรุนแรงเกินจินตนาการ ผู้ว่าหลินต้องทำอะไรสักอย่าง!”

หลินเซียะเริ่มประหม่าแล้วเช่นกัน ฟังจากสิ่งที่หัวเซินซวนกล่าวไปก็ดูสมเหตุสมผลอย่างมาก ยังไงซะคงเป็นเรื่องดีกว่าที่จะให้ทั้งสองตระกูลเจรจากันอีกสักครั้ง

“เอาล่ะ ยังไงผมจะลองดูแล้วกัน แต่ยังไงก็เถอะ อีกฝ่ายออกตัวบอกล่วงหน้าไปแล้วแบบนั้น ผมคงทำอะไรไม่ได้มาก”

หัวเซินซวนรีบตอบกลับทันที

“ตามนั้นเลยครับผู้ว่าหลิน ถ้าได้ความยังไงก็แจ้งผมมา ตอนนี้ขอตัวลา”

หลินเซียะพยักหน้า จับจ้องแผ่นหลังของหัวเซินซวนที่เดินจากออกไป และหยิบมือถือโทรหาจ้าวเฉียนทันที

ชั่วอึดใจ จ้าวเฉียนกดรับสายโทรศัพท์และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ผู้ว่าหลิน เกิดอะไรขึ้น?”

หลินเซียะรู้สึกกระดากปากเล็กน้อยที่ต้องกล่าวออกไปแบบนั้น แต่กระนั้นเขาทำได้เพียงยิ้มและกล่าวขึ้นว่า

“ผมมองว่า…คงเป็นการดีกว่าที่จะให้ทั้งสองฝ่ายลองคุยกันอีกสักครั้ง ยังไงซะการปรองดองกันย่อมดีกว่าทำลายอยู่แล้วจริงไหมครับ? หวังว่าคุณชายจ้าวจะเข้าใจในจุดนี้”

จ้าวเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ทราบทันทีว่า พวกตระกูลหัวจะต้องเดินทางมาขอร้องหลินเซียะแน่นอน และเขาจำเป็นต้องรักษาใบหน้าไว้เช่นกัน

สถานะของหลินเซียะค่อนข้างละเอียดอ่อน จ้าวเฉียนพอจะเข้าใจในความลำบากใจนี้ดีจึงยิ้มตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อผู้ว่าหลินพูดมาขนาดนี้ ผมเองก็ยินดีเจรจากับเขาอีกสักครั้งครับ แต่อย่าให้พวกนั้นทำอะไรอับอายต่อหน้าผม ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อเรียกร้องใดๆ กับผม ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเจรจาใดๆ อีกต่อไป”

หลินเซียะรีบตอบกลับไปทันที

“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะชี้แจงเรื่องนี้กับพวกนั้นให้ชัดเจน จะต้องไม่มีเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นเป็นอันขาด”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบตกลงและวางสายไป เขารีบเดินทางไปที่สำนักงานเขต พอตรงเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของผู้ว่า ก็พบหลินเซียะกับหัวเซินซวนนั่งรออยู่ข้างในแล้ว

หลินเซียะรีบลุกขึ้นทักทายทันทีด้วยรอยยิ้มว่า

“น้องเล็ก ขอบคุณมากที่ยังให้หน้าฉันอยู่บ้าง เชิญนั่งก่อน”

จ้าวเฉียนยิ้มและตรงเข้าไปจับมือกับหลินเซียะทันที

“ทั้งหมดเป็นเพราะผมเห็นแก่หน้าผู้ว่าหลินนี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มาให้เสียเวลา”

หลินเซียะระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข ผายมือเชิญจ้าวเฉียนให้นั่งลง

หัวเซินซวนในยามนี้ไม่แม้แต่กล้าสบตาจ้าวเฉียนด้วยซ้ำ จึงไม่ได้เอ่ยปากกล่าวอะไรเลย พอเห็นจ้าวเฉียนเหลือบมองมาก็ได้แต่คลี่ยื้มแห้งกลับไป

“จุดประสงค์ที่ผมเรียกทั้งคู่มาในวันนี้เพราะหวังว่า พวกคุณจะลองเจรจากันดูได้ ถ้าการเจรจาครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปด้วยดี มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่พวกคุณทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงตัวผมด้วย แต่ถ้าการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ผลกระทบหลังจากนี้อาจรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้อยู่ ดังนั้นเรามาพูดคุยกันด้วยเหตุและผลกันเถอะ”

หลินเซียะชิงกล่าวเปิดประเด็นทันทีอย่างยิ้มแย้ม

หัวเซินซวนแสดงความคิดเห็นของเขาออกไปพร้อมจุดยืนที่ชัดเจนว่า

“ถ้ามีโอกาสเจรจาเปิดใจกันอีกสักครั้ง แน่นอนว่าเรายินดี ณ จุดนี้ต้องขึ้นอยู่กับน้องจ้าวด้วย”

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้เห็นได้ชัดเจนว่า เขาพยายามทำราวกับมาด้วยเจตนาดี แต่ในความเป็นจริง ตาแก่นี่แหละหน้าซื่อใจคดโดยแท้ จะเห็นได้เลยว่า ไม่มีความจริงใจออกจากคำพูดของเขาเลย

จ้าวเฉียนยิ้มและลุกขึ้นยืนทันที เขากล่าวว่า

“ผู้ว่าหลิน ถ้ายังจะมาเล่นแง่ใส่กันแบบนี้คงไม่ต้องเจรจาอะไรกันอีกแล้ว คงจะดีกว่าหากเปิดฉากสู้กันให้ตายกันไปข้าง ดูท่าสันติภาพคงไม่ใช่ทางออกของเรื่องนี้”

หลินเซียะตื่นตกใจอย่างยิ่ง ซึ่งหัวเซินซวนเองก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกเช่นกัน

“น้องเล็กใจเย็นลงก่อน ฉันแค่พยายามส่งเสริมให้สามัคคีกดันเข้าไว้ ลองคุยกันดีก่อนสักนิดจะดีกว่านะ”

หลินเซียะรีบร้อนเอ่ยปลอบขวัญ

หัวเซินซวนเองก็รีบอธิบายเช่นกัน

“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว ฉันผิดเอง น้องจ้าวใจเย็นก่อน นั่งลงจิบชาสักคำ เรามาพูดกันดีๆ เถอะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและนั่งลงอีกครั้ง เบนหน้าหันไปกล่าวกับหัวเซินซวนว่า

“คุณหัวจะมาเจรจาเรื่องอะไรครับ?”

หัวเซินซวนเอ่ยตอบทันทีว่า

“ก็เรื่องหลานฉันนี่แหละ ถ้าต่างฝ่ายต่างสู้ไม่ถอยกันแบบนี้ สุดท้ายไม่ว่าฝ่ายใดล้วนแต่ต้องสูญเสียนะ”

จ้าวเฉียนป้องปากหัวเราะคำหนึ่งและตอบกลับไปว่า

“คุณหัว ลองพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ ใครกันที่เริ่มเรื่องนี้ขึ้นก่อน พอเวลานี้บทจะหยุดก็หยุดเองเลยเหรอครับ?”

หัวเซินซวนรีบตอบว่า

“แต่น้องจ้าวก็ตัดมือหลานชายฉันไปแล้ว เขาได้รับกรรมกับสิ่งที่ก่อไปแล้ว จะไม่ให้โอกาสเขาเลยงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยตอบไปว่า

“เขาสมควรโดนตัดมือไปแล้ว ใครใช้ให้เขาไปทำเรื่องต่ำทรามแบบนั้น นี่ไม่ใช่คำถามที่ผมจำเป็นต้องพิจารณา ตอนนี้มันอยู่ที่คุณแล้วว่าจะมาเจรจายังไง?”

เมื่อเห็นพวกเขากำลังเจรจากันอยู่ หลินเซียะก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นว่า

“ถ้างั้นก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องทะเลาะกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างได้รับผลกับสิ่งที่ก่อขึ้น ที่เหลือก็แค่ช่วยกันทำให้ประชาชนสงบลงเท่านั้น”

พินิจมองจากท่าทางการแสดงออกของหลินเซียะในตอนนี้ เขาดูจะเป็นคนที่กังวลที่สุดแล้วจริงๆ

จ้าวเฉียนที่เห็นแก่หน้าหลินเซี่ยะจึงกล่าวตอบไปว่า

“ผู้ว่าหลินพูดถึงขนาดนี้ ผมคงไม่กล้าปฏิเสธอะไร คุณหัว ตราบใดที่ยินดีจ่ายค่าชดใช้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างย่อมจบปัญหาได้ครับ”

หัวเซินซวนในขณะนี้ก็เป็นกังวลอย่างมากเช่นกัน เขารีบตอบจ้าวเฉียนกลับไปว่า

“แน่นอน ตราบใดที่จ่ายไหว ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ยอม!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า

“ถ้างั้นก็คุยกันง่ายหน่อยครับ ค่าซ่อมแซมหลุมศพของคุณย่าเบ็ดเสร็จอยู่ที่หนึ่งร้อยล้านพอดี แล้วผมอยากให้พวกคุณกลับไปประชุมกันในตระกูลก่อน เพื่อพาคนมาขอโทษตระกูลของผม”

เรื่องขอโทษนับเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก จะให้หัวเซินซวนออกโรงไปก้มหัวขอขมาเองยังได้ แต่ค่าชดใช้ตั้งร้อยล้าน นี่ไม่โลภเกินไปหน่อยเหรอ?

หัวเซินซวนเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว

“น้องจ้าว ค่าซ่อมแซมหมุดศพตั้งร้ายล้านเชียวเหรอ? ป้ายสุสานของคุณย่าทำมาจากเพชรรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“อันที่จริงหนึ่งร้อยล้านนี้ มันไม่ใช่แค่ค่าซ่อมแซมหลุมศพหรอก แต่ยังเป็นการลงโทษเพื่อเตือนสติของหลานชายคุณเอง ไม่ให้ทำเรื่องผิดพลาดซ้ำสอง”

จะด้วยเหตุผลใด จู่ๆ มาแบมือขอเงินร้อยล้านมันก็มากเกินไปอยู่ดี เงินตั้งร้อยล้านสามารถนำไปลงทุนอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง จะมาให้กันฟรีๆ กันได้ยังไง?

แต่ถ้าครั้งนี้หัวเซินซวนยังกล้าปฏิเสธล่ะก็ เขาจะไม่มีโอกาสเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างสันติภาพอีกต่อไปแล้ว

หัวเซินซวนตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำอะไรไม่ได้นอกจากเหลือบมองไปที่หลินเซียะด้วยความอับอาย

ตอนนี้เหลือเพียงหลินเซียะคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอช่วยให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ และการที่หลินเซียะมาอยู่ ณ จุดนี้ก็เพื่อเกลื้ยกล่อม หาข้อสรุปที่ลงตัวที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายเช่นกัน ดังนั้นเขาที่รู้หน้าที่จึงหันไปกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“ร้อยล้านมันมากเกินไปจริงๆ น้องชาย ลองลดลงมาหน่อยได้ไหม? ถือซะว่าเห็นแก่หน้าผม”

สำหรับจ้าวเฉียน เขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าเรื่องนะจะจบลงอย่างสันติวิธีหรือใช้ความรุนแรง เพราะอย่างไรเขาต้องการจะทำลายตระกูลหัวอยู่แล้ว ดังนั้นเงินจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ที่เรียกราคานี้ออกไปก็เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ตระกูลหัวเล่นๆ เท่านั้น หลังจากนี้ต่างหากคือของจริง

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“ถ้าผู้ว่าหลินพูดถึงขนาดนี้ก็ช่วยไม่ได้ ห้าสิบล้านขาดตัว ถ้ายังไม่เห็นด้วย พวกเราคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว เพราะมันไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเลย”

ตอนที่286 ต้องการคุยอีกครั้ง

หัวเซินซวนนั่งบนเก้าอี้หน้าซีดแทบทรุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้ซึ่งพลังขนาดนี้ เขาคิดมาเสมอมาตระกูลหัวของเขายิ่งใหญ่และไม่จำเป็นต้องกลัวใคร แต่ความซวยพลันบังเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ที่ดันแกว่งเท้าไปเจอเสี้ยนชิ้นใหญ่

หัวฉีเฉินเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิดว่า

“พ่อ เทศมนตรีหวังว่าไงบ้าง?”

หัวเซินซวนกล่าวตอบเสียงแผ่วว่า

“ว่าไงงั้นเหรอ? ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่อยากช่วยเราเลย บอกแค่ว่าถ้าเซียงซิ่วไม่ผิดจริง เขาก็สัญญาว่าเธอจะกลับออกมาอย่างปลอดภัย แต่ถ้าเธอทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย ที่พูดออกมาแบบนี้มันหมายความว่าไงล่ะ?”

“งั้นผมควรทำยังไงดี? จะให้เซียงซิ่วไปโรงพักทั้งแบบนี้เหรอ?”

หัวเฉินซีเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

หัวเซินซวนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่อายที่จะต้องตอบลูกชายไปตามตรงว่าต้องส่งตัวหลานสาวไปจริงๆ แล้ว

หัวเฉินรู้จักพ่อของตนเองดียิ่งกว่าใครๆ เขาไม่เคยยอมใครมาก่อนเลยในชีวิต แต่วันนี้เขากลับพยักหน้ายอมรับอย่างสิ้นหวัง

“ได้ครับ ผมจะไปคุยกับเซียงซิ่ว”

หัวฉีเฉินกล่าวด้วยความโศกเศร้า

หัวเซินซวนพยักหน้าตอบอีกคราและไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองลูกชายตัวเอง

หัวฉีเฉินเองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกับพ่อตัวเองไม่มีผิด เขาไม่มีหน้าไปพบลูกสาวตัวเองเช่นกัน แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากเผชิญหน้าและพูดกับเธออย่างตรงไปตรงมา

หัวเซียงซิ่วที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ตอนนี้เธอกำลังดูข่าวและชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตัวเองอยู่ เธอไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมข่าวยังถูกเผยแพร่อยู่หลังจากโดนกองตำรวจปราบปรามไปแล้ว และหลงเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเพราะบารมีของตัวเธอเองล้วนๆ เธอรู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้มาก และตอนนี้ชาวเน็ตมากมายก็กำลังทวงความยุติธรรมให้กับพี่ชายของเธออยู่

หัวเซียงซิ่วระเบิดหัวเราะเยาะ กล่าวกับตนเองว่า

“เหอะ! ไอ้ขยะสกุลจ้าว ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าครอบครัวของแกมีเงินมากแค่ไหนเชียว? มันมากพอที่จะปิดบังความคิดเห็นของประชาชนได้ไหม!”

พอพูดจบเธอก็เปิดเพลงฟังอย่างมีความสุข

ชั่วขณะต่อมา หัวฉีเฉินก็เคาะประตูห้องและกล่าวว่า

“เซียวซิ่ว เปิดประตูหน่อย พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”

หัวเซียงซิ่วปั้นหน้าล้อเลียนและตะโกนตอบไปว่า

“พ่อ เลิกตื้อหนูสักที แล้วไม่ต้องห้ามหนูด้วย เสียเวลาเปล่า ทุกอย่างกำลังไปได้สวยแล้ว!”

หัวฉีเฉินเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโมโห

“พ่อบอกให้เปิดประตู ได้ยินไหม!”

หัวเซียงซิ่วที่ได้ยินเสียงของพ่อฟังดูไม่ถูกต้อง เธอจึงไม่กล้าเถียงอีกต่อไป โยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงและรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที

“นี่พ่อจะมายุ่งอะไรอีก?”

หัวเซียงซิ่วเอ่ยถามชักสีหน้าไม่พอใจใส่

หัวฉีเฉินตรงเข้าไปในห้องและปิดประตูอย่างรวดเร็ว บอกให้เธอไปนั่งฟังสิ่งที่พ่อจะพูดต่อไปนี้

หัวเซียงซิ่วเดินไปนั่งบนเตียงและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้น? ต้องดูลึกลับขนาดนี้เลย?”

คู่พ่อลูกนั่งลงจับเข่าคุยกัน หัวฉีเฉินอับอายเกินกว่าจะพูดเหลือเกิน แต่ท้ายที่สุดเพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เขาในฐานะผู้เป็นพ่อจำต้องบอกความจริงไปตามตตรง ไม่อย่างนั้นถ้าทางตำรวจบุกเข้ามาจับตัวลูกสาวเขาจริงๆ นี่อาจเป็นอันตรายได้

หัวเซียงซิ่วที่เห็นพิ่ปั้นหน้าเครียดไม่พูดอะไรอยู่นาน ก็พลันรู้สึกได้ทันใดว่า วันนี้พ่อดูแปลกไปจริงๆ เธอจึงกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า

“พ่อ พวกเราเป็นพ่อลูกกันนะ มีอะไรต้องปิดบังกันด้วยเหรอ?”

หัวฉีเฉินเงยหน้าขึ้นมองลูกสาว ถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“เข้าใจแล้ว พ่อจะบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้ฟัง ทางตำรวจโทรมาขู่ว่า ให้ยอมจำนนแต่โดยดีและเดินทางไปที่โรงพักเดี๋ยวนี้ ถ้ายอมให้ความร่วมมือจะเป็นโทษสถานเบา แต่ถ้าไม่ยอมพวกเขาจะนำทีมมาบุกจับกุมลูกและต้องโทษสถานหนัก พวกเขาบอกว่าลูกมีความผิดฐานจงใจปล่อยข่าวลือเพื่อทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง ตอนนี้ลูกก็อายุยี่สิบแล้ว โทษที่ได้รับเต็มขั้นแบบผู้ใหญ่ ลูกไปมอบตัวเถอะ พวกเราตระกูลหัวมีคนค่อยช่วยอยู่แล้ว มั่นใจเถอะว่าลูกจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”

หัวเซียงซิ่วแทบระเบิดทันทีที่ได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไง? เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แล้วตำรวจจะมาจับตัวเธอได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งโดนกุมตัวไป ตอนนี้ถึงขั้นจะบุกเข้ามาจับกุมเลยงั้นเหรอ? นอกจากนี้เองเธอก็ไม่ได้สร้างข่าวลือ ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง แต่ทำไมทั้งพ่อและปู่รวมไปถึงทุกคนในตระกูลหัวถึงไม่ยืนหยัดสู้แบบเธอกัน?

หัวฉีเฉินไม่ต้องการมีปากเสียงกับลูกสาวตัวเองอีกต่อไปแล้ว เพราะท้ายที่สุดนี้โต้เถียงกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา สิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คือ เขาอยากให้ลูกสาวตนเองให้ความร่วมมือกับตำรวจ โทษหนักจะได้เป็นเบา

หัวเซียงซิ่วกล่าวตอบอย่างโกรธเคืองว่า

“พ่อ! ทั้งพ่อทั้งปู่ใจไม่สู้เท่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วยซ้ำ! หนูบอกไปแล้วไงว่า ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แล้วจะยอมจบทั้งแบบนี้น่ะเหรอ? ถ้าพวกเขาอยากจะมาจับกุมหนูจริงก็ต้องมีหมายจับ แต่หนูไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะมีหมายจับได้ยังไง! หนูไม่มีวันหยุดจนกว่าจะคืนความยุติธรรมให้พี่ชาย! ความถูกต้องย่อมชนะความชั่วร้ายเสมอ!”

หัวฉีเฉินตะคอกสวนตอบไปทันที

“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ความถูกต้องคืออะไร? ความชั่วร้ายหมายถึงยังไง!? ลูกจำไว้ให้ดี ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือความถูกต้อง ผู้อ่อนแอล้วนถูกตราหน้าว่าเป็นความชั่วร้าย! และมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความยุติธรรม! ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกคิดผิดแล้วจริงๆ ที่ส่งแกไปอยู่ที่อเมริกา ปล่อยให้สังคมและวัฒนธรรมที่บิดเบี้ยวพวกนั้นเปลี่ยนตรรกะของลูกจนเพี้ยนได้ขนาดนี้! คิดจริงๆ เหรอว่าประชาธิปไตยและเสรีภาพที่พวกอเมริกาขายฝันจะมีจริงๆ? มีบริษัทของจีนตั้งกี่แห่งแล้วที่โดนพวกมันยึดอำนาจไป เวลานั้นพวกมันมีความเสมอภาพและยุติธรรมให้เรารึไง? ก็ไม่! สุดท้ายพวกมันก็แค่เผด็จการในคาบคนดีเท่านั้น! พ่อไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกแล้ว! ถ้าแกอยากรู้ว่าความยุติธรรมมีจริงไหม พ่อตอบให้เลยว่ามี! แต่ทุกอย่างมันไม่ใช่สีขาวกับดำอย่างที่ลูกเห็น ทว่าความจริงคือสีเทาทั้งนั้น!”

หัวเซียงซิ่วรีบตรงไปกุมมือพ่อและกล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า

“พ่อ! นี่พ่อพูดอะไรออกมา! พ่อต้องเชื่อในตัวกฎหมายสิ มีเพียงกฎหมายเท่านั้นที่จะมอบความยุติธรรมแก่เรา!”

“เอะอะก็อ้างความยุติธรรม แล้วลูกเคยคิดบ้างไหมว่า การที่พี่ชายของแกไปทุบทำลายหลุมศพบรรพบุรุษคนอื่น มันยุติธรรมต่ออีกฝ่าย? แล้วการที่ลูกยังทำตัวเรียกร้องความยุติธรรมจอมปลอมอยู่แบบนี้ มันคือความเห็นแก่ตัว!”

หัวเซียงซิ่วเถียงตอบไปทันที

“มันไม่เหมือนกัน! ถ้าการทำลายหลุมศพของคนอื่นถือเป็นความผิด ก็ควรชดเชยด้วยตัวเงินหรือคำขอโทษแค่นั้นพอ แต่มันกลับตักมือพี่ชายหนูไป นี่คือคดีอาชญากรรมแล้ว!”

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้เธอก็ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนจีนเลยแม้แต่น้อย หลุมศพของบรรพบุรุษสำหรับคนจีนแล้วมีคุณค่าทางจิตใจสูงเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ การเหยียบย่ำทำลายก็ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่โคตรตระกูล แต่จะอธิบายเธอไปอย่างไรคงไร้ประโยชน์ หัวฉีเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบังคับส่งเธอไปโรงพักด้วยตัวเอง

หัวฉีเฉินเดินออกไปเรียกคนรับใช้กลุ่มหนึ่งให้เข้ามาและสั่งว่า

“ช่วยแต่งตัวให้คุณหนูในชุดสุภาพ แล้วส่งเธอไปโรงพักทันทีเพื่อมอบตัว!”

คล้อยหลังพูดจบ เขาก็เดินจากไปทันที

หัวเซียงซิ่วแทบเสียศูนย์เมื่อได้ยิน

“พ่อ! หนูต่างหากเป็นฝ่ายถูก! หนูจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่า พวกพ่อคิดผิด! ตรรกะของพวกพ่อต่างหากที่บิดเบี้ยว!”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หัวเซียงซิ่วถูกส่งเข้าโรงพักเพื่อมอบตัว หลินเซียะเดินเข้ามาคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว

“ผมได้ยินมาว่า คุณหนูหัวโตในต่างประเทศ คงไปซึมซับนิสัยแย่ๆ ของพวกฝรั่งมาใช่ไหม?”

หัวเซียงซิ่วหัวเราะเยาะคำหนึ่ง โต้กลับไปทันทีว่า

“สิ่งที่ฉันซึมซับมาคือประชาธิปไตยและสิทธิ์เสรีภาพของผู้คน ไอ้นิสัยแย่ๆ ที่คุณพูดถึงคือเผด็จการของประเทศตัวเอง?”

“ฮ่าฮ่า…เสรีภาพ? โลกใบนี้มีเสรีภาพไร้ขอบเขตพออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะสามารถปล่อยข่าวลือจนทำให้คนอื่นเสียหายได้ยังไง? เอาล่ะ มาคุยกันดีกว่า เต็มใจให้ความร่วมมือกับพวกเรา จากโทษหนักจะได้เป็นเบานะ แต่ถ้าคุณยังคงยืนกรานที่จะสู้กับกฎหมาย ผลลัพธ์ที่ได้อาจจบไม่สวย”

หลินเซียะกล่าวพร้อมใบหน้าที่ดูจริงจังอย่างยิ่ง

แต่หัวเซียงซิ่วยังคงมีท่าทีเช่นเดิม สิ่งที่เธอล้วนพูดและแสดงออกไปล้วนเป็นความจริง และเธอก็แค่พยายามปกป้องสิทธิ์ที่พี่ชายของเธอควรจะได้รับเท่านั้น และหากตำรวจยังคงยืนกรานที่จะเอาผิดเธอให้ได้ เธอเองก็ขอสู้ให้ถึงที่สุดด้วยเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่มี เธอเชื่อเสมอว่าความยุติธรรมไม่เคยจางหาย

หลินเซียะยิ้มและพูดกับนายตำรวจที่รับหน้าที่สอบสวนว่า

“พวกคุณสอบสวนเธอให้ดี ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลัง”

พวกผู้ใต้บังคับบัญชาพยักหน้ารับสั่ง และหลินเซียะก็เดินจากออกไป

ในเวลานั้นเอง หัวเซินซวนก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง

หลินเซียะยิ้มทักทายเขาทันที ก่อนเชิญให้อีกฝ่ายไปคุยกันในห้องทำงานพร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า

“วันนี้คุณหัวแลดูว่างจังนะครับ ถึงวิ่งมาเยี่ยมผมตั้งหลายรอบ”

หัวเซินซวนยิ้มและตอบไปว่า

“ครั้งนี้ไม่ใช่กับผู้ว่าหลินครับ ผมต้องการคุยกับพ่อหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง ผู้ว่าหลินช่วยนัดเขาให้ทีครับ”

ตอนที่285 โทษสูงสุด

หลิวเซียะโกรธจัดแล้วในขณะนี้ หัวเซียงซิ่วไม่แม้แต่สำนึก ท้าทายปีนเกลียวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนี่เป็นพฤติกรรมที่น่ารังดกียจเกินทนไหวแล้ว เขาจึงโทรหาหัวเซินซวนทันที และเอ่ยกล่าวไปตามตรงว่า

“คุณหัว พาหัวเซียงซิ่วกลับมาเดี๋ยวนี้! ตอนนี้ผมยังลงโทษเธอขั้นเบาได้ เพราะยังเห็นแก่หน้าตระกูลหัว แต่ถ้าผมออกโรงไปจับกุมตัวเธอด้วยตัวเอง เตรียมรับโทษสูงสุดได้เลย!”

หัวเซินซวนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้นอีกผู้ว่าหลิน หลานสาวผมไปสร้างปัญหาให้คุณอีกแล้วเหรอ?”

หลินเซียะหัวเราะเยาะคำหนึ่งและกล่าวว่า

“คุณหัว เลิกแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้แล้ว ถ้าคุณฉลาดพอจะรู้ว่าไม่ควรกระตุกหนวดเสือ จะเลือกทางไหนก็ตัดสินใจเองเถอะ ผมมีเวลาให้ก่อนบ่ายสามโมง หากยังไม่เห็นหัวเธอมาที่นี่ ผมจะส่งคนไปที่บ้านคุณเพื่อเข้าจับกุมเธอทันที! ครั้งนี้ไม่มีรอลงอาญาแล้ว!”

พูดจบหลิวเซียะก็วางสายทิ้งไปทันที

หัวเซินซวนตื่นตระหนกยิ่งยวด เห็นได้ชัดว่าหลินเซียะกำลังโมโหสุดขีดแล้วจริงๆ หากไม่ยอมส่งตัวหัวเซียงซิ่วให้วันนี้ มีหวังธุรกิจของตระกูลหัวในอนาคตจะต้องถูกทางสำนักงานเขตขัดแข้งขัดขาแน่นอน

แต่สุดท้ายนี้ หัวเซียงซิ่วก็เป็นถึงหลานสาวของเขา แล้วมีหรือที่เขาจะยอมส่งตัวให้ทางตำรวจ?

ในเวลานี้เอง หัวฉีเฉินก็เดินมาหาและกล่าวกับพ่อเขาว่า

“พ่อ อย่าเพิ่งกังวลไปเลย ผมจะไปคุยกับเซียงซิ่วเอง เธอแค่กำลังสับสนเท่านั้น”

หัวเซินซวนพ่มลมหายใจเย็นเฮือกใหญ่ออกมา เอ่ยตอบน้ำเสียงเย็นชากลับไปว่า

“ยังจะไม่ให้กังวลได้ไง! ผู้ว่าหลินโทรมาบอกให้ฉันส่งตัวเซียงซิ่วไปให้เดี๋ยวนี้ เพื่อลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ถ้ายอมแต่โดยดีเธอจะได้รับโทษสถานเบา แต่ถ้าไม่ ทางผู้ว่าหลินจะส่งตัวมาจับและปล่อยให้เธอรับโทษสถานหนัก!”

หัวฉีเฉินตื่นตูมอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน เขารีบถามทันทีว่า

“ทำไมผู้ว่าหลินถึงจริงจังขนาดนี้?”

ใช่แล้ว ทำไมหลินเซียะถึงต้องจริงจังกับสาวน้อยคนหนึ่งขนาดนี้? ทว่าอย่างไรข้อเท็จจริงและสาเหตุยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา ทำได้เพียงรับมือตามสถานการณ์เท่านั้น

หัวฉีเฉินลังเลใจเป็นอย่างมาก เขาในฐานะพ่อจะยอมส่งตัวลูกสาวเข้าโรงพักโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ได้อย่างไร? เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ตระกูลจ้าวที่พวกเขาเพิ่งเหยียบหางไปกลับไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน ดีไม่ดีอาจทรงอำนาจกว่าตระกูลหัวของพวกเขาด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นหลินเซียะคงไม่มีทัศนคติแบบนี้ต่อตระกูลหัวแน่นอน

“พ่อ ทำไมพ่อถึงไม่ลองคุยกับเทศมนตรีที่รู้จักดูล่ะ? ยังไงซะเราไม่มีทางปล่อยให้เซียงซิ่วเข้าโรงพักอีกรอบแน่นอน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยของเธอแล้ว แต่มันยังเหมารวมไปถึงศักดิ์ศรีของตระกูลหัวของเราด้วย พวกเราเป็นใหญ่ขนาดไหนในหยานจิ้ง แล้วจะปล่อยให้ตำรวจกับตัวทายาทตระกูลไปได้ยังไง แค่เซียงชานโดนตัดมือก็แทบไม่เหลือหน้าไปมองใครแล้ว ถ้าเซียงซิ่วโดนยัดเข้าคุกอีก พวกเรายังมีหน้าอยู่หยานจิ้งได้อีกเหรอ?”

หัวเซินซวนครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดจำต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของลูกชาย หยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาเทศมนตรีที่รู้จักทันที

ในไม่ช้าก็โทรติด หัวเซินซวนยิ้มและเอ่ยทักทายขึ้นทันทีว่า

“เทศมนตรีหวัง สบายดีไหมครับ?”

หวังจินหลง ผู้ดำรงตำแหน่งเทศมนตรีใหญ่ในเมืองหวานจิ้งยิ้มตอบกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า… สบายดี สบายดี คุณหัวอุตส่าห์สละเวลาโทรมาหาผมแบบนี้ คงมีโครงการดีๆ มาให้ทางภาครัฐช่วยใช่ไหม?”

“ฮ่าฮ่า…เทศมนตรีหวังยังฉลาดหัวไวเหมือนเดิมเลยนะครับ ผมมีโครงการใหม่ที่จะมาปรึกษากับเทศมนตรีหวังพอดี”

หัวเซินซวนกล่าวพร้อมหัวเราะแห้งใส่

หวังจินหลงพอจะเดาได้ว่า หัวข้อหลักที่หัวเซินซวนโทรมาในครั้งนี้คือเรื่องอะไร เมื่อครู่ที่ทักทามถึงโครงการใหม่เป็นแค่การหยอกล้อเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่า หัวเซินซวนจะยอมรับไปตามตรง สงสัยว่าชายชราตัวน้อยคนนี้จะเดือดร้อนจริงๆ

เพราะการเสนอโครงการใหม่มาให้ก่อนแบบนี้ ย่อมต้องมีค่าใต้โต๊ะ

ต้องมาลองดูกันหน่อยแล้วว่า หัวเซินซวนจะเสนออะไรเพื่อมาซื้อใจหวังจินหลงในครั้งนี้

“จริงเหรอครับ? คุณหัวนี่มีเรื่องให้ผมสนใจอยู่ตลอดจริงๆ ไม่ทราบว่าครั้งนี้เป็นโครงการเกี่ยวกับอะไรครับ?”

หวันจินหลงก็ตามน้ำเอ่ยถามไปต่อ

หัวเซินซวนก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ในเมื่อเขาพูดไปแล้วก็ทำได้เพียงกัดฟันงัดโครงการที่วางแผนไว้ ออกมาเสนอให้ฟังจริงๆ

“เมื่อไม่นานมานี้ ผมวางโครงการจะสร้างตึกเชิงพาณิชย์ขึ้นมา ถ้าทางภาครัฐสามารถออกนโยบายพิเศษที่เอื้อต่อโครงการดังกล่าว ผมก็อยากเชิญเทศมนตรีไปเลี้ยงดินเนอร์สักมื้อ แล้วมีของขวัญที่อยากจะมอบให้ครับ ไม่ทราบว่าเทศมนตรีพอมีข้อเสนออะไรดีๆ มาแนะนำไหมครับ?”

หวานจินหลงยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เรื่องนี้ผมคงให้คำตอบในเร็วๆ นี้ไม่ได้เช่นกัน แต่ถ้าคุณหัวต้องการจริงๆ เรื่องภาษีที่ดิน ผมน่าจะช่วยลดทอนลงไปบ้างด้นะ”

หัวเซินซวนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณมากครับ เรื่องธุรกิจก็จบไปแล้ว เอ่อ…ผมยังมีเรื่องส่วนตัวที่อยากขอร้องให้เทศมนตรีหวังช่วยเหลือหน่อยน่ะครับ หวังว่า…เทศมนตรีหวังจะพอช่วยได้?”

หวังจิตหลงเกือบหลุดขำ หัวเซินซวนประเดิมเกริ่นเรื่องอ้อมไปซะไกล แต่สุดท้ายก็ยังกลับเข้าประเด็นของหัวเซียงซิ่วได้ ยอมใจเขาเลยจริงๆ

“โอ้? คุณหัวมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจากผมงั้นเหรอครับ? ลองพูดมาก่อน ถ้าเป็นอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ผมก็จะช่วยครับ”

หวังจินหลงยิ้มตอบ

หัวเซินซวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่รอช้า รีบสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นของหัวเซียงซิ่วให้ฟังโดยสังเขป และบอกกับหวังจินหลงว่า ความเป็นจริงแล้ว หลานสาวของเขาไม่ได้เจตนาเผยแพร่ข่าวลือพวกนี้ออกไป เธอแค่พยายามทวนคืนความยุติธรรมให้แก่พี่ชายของเธอที่โดนตัดมือ และไม่มีเจตนาหาเรื่องพวกตำรวจด้วย

แต่พูดไปตามความจริง เขาเป็นรัฐมนตรีจะมายุ่งกับเรื่องของทางตำรวจก็ดูจะไม่ค่อยถูกต้องนัก

อย่างไรก็ตามแต่ หัวเซินซวนอุตส่าห์โทรมาขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว และหวังจินหลงจำต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่างออกไป

“ดูเหมือนว่าคุณหนูตระกูลหัวจะหัวดื้อไม่ใช่น้อยเลยนะครับ เอาแบบนี้แล้วกัน ผมสัญญาว่าเธอจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอนภายในสองชั่วโมง ผมรับประกันได้แค่นี้ ส่วนเรื่องของทางตำรวจผมไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้”

กว่าที่หวังจินหลงจะขึ้นมารับตำแหน่งรัฐมนตรี เขานี่แหละทหารผ่านศึกมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ นี่ถือเป็นวิธีแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบ ประการแรกคือ ไม่ผิดใจกับหัวเซินซวนที่โทรมาขอความช่วยเหลือ และสองไม่ต้องเข้าแทรกแซงอำนาจของตำรวจให้เสี่ยงโดนโทษ

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่หัวเซินซวนต้องการกลับไม่ใช่แบบนี้เลย

สิ่งที่หัวเซินซวนต้องการจริงๆ คือ การไม่ปล่อยให้หลานสาวโดนกุมตัวไปโรงพัก ไม่ใช่รับประกันความปลอดภัยหลังจากเธอกลับมา

“เทศมนตรีหวัง ที่ผมหมายถึงคือ หลานสาวของผมบริสุทธิ์และเธอไม่ควรต้องโดนทางตำรวจจับกุมไปสอบสวนแบบนี้ รบกวนเทศมนตรีหวังโทรไปบอกผู้ว่าหลินให้หน่อยว่า อย่าส่งคนมาจับตัวหลานสาวผมเลย หลานสาวผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

หวังจินหลงที่ได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยตอบเสียงเข้มว่า

“คุณหัว นี่คุณพยายามทำให้ผมอับอายอยู่นะ ผมเป็นคณะรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับทางตำรวจ แล้วอย่างที่ผมพูดไป ถ้าคุณหนูหัวเธอบริสุทธิ์จริงๆ ผมสามารถรับประกันความปลอดภัยของเธอได้เลย แต่ถ้าเธอจงใจก่อคดีขึ้นมาจริงๆ ผมในฐานะคณะรัฐมนตรีของเมืองหวานจิ้ง จำเป็นต้องส่งเธอดำเนินการตามขบวนการยุติธรรมต่อไป ถ้าผมใช้อำนาจในมือเข้าไปแทรกแซง คิดว่าผมจะโดนเด้งออกไหม? หวังว่าคุณหัวจะเข้าใจ?”

หัวเซินซวนพอจะคาดการณ์ได้แล้วว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะออกหน้ามาเป็นแบบนี้ แต่พอได้รู้ว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้จริงๆ เขากลับรับไม่ได้เลย

หวังจินหลงไม่อยากจะเสวนากับหัวเซินซวนต่อแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า

“แค่นี้นะครับ ผมมีแขกคำสำคัญมาเยี่ยม ถ้าว่างผมจะช่วยคุณออกมาจิบชาด้วยกันนะครับ ขอตัวก่อน”

คล้อยหลังพูดจบ หวังจินหลงก็วางสายไปทันที จากนั้นเขาก็โทรศัพท์หาจ้าวฝู่ต่อโดยตรง

“ฮ่าฮ่า…คุณจ้าว แผนการของคุณนี่สุดยอดจริงๆ! ไอ้เจ้าหัวเซินซวนมันโทรขอความช่วยเหลือจากผมจริงๆ!”

หวังจินหลงระเบิดหัวเราะออกมาในทันควัน

จ้าวฝู่หัวเราะเช่นกันและถามกลับไปว่า

“แล้วเทศมนตรีหวังจะจัดการยังไงต่อครับ?”

หวังจินหลงรีบตอบกลัยบไปทันทีว

“ผมบอกเขาไปว่า ตราบใดที่หลานสาวของเขาบริสุทธิ์ ผมย่อมสามารถรับประกันความปลอดภัยของเธอได้ แต่ถ้าเธอทำผิดจริง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม หัวเซินซวนพูดไม่ออกอยู่นานเลยครับได้ยินไปแบบนั้น”

“ฮ่าฮ่า…ขอบคุณเทศมนตรีหวังมรดกเลยครับที่ช่วย วันหน้าเดี๋ยวผมชวนคุณมาไดร์ฟกอล์ฟ จิบชายามบ่ายด้วยกันสักครั้ง”

จ้าวฝู่ยิ้มตอบ

หวังจินหลงเองก็หัวเราะเช่นกัน เขาเอ่ยตอบกลับไปว่า

“คุณจ้าวสุภาพเกินไปแล้วครับ เดี๋ยวผมจะโทรหาหลินเซียะอีกรอบ กำชับให้เขาสั่งตำรวจจัดการเรื่องนี้อย่างเคร่งขรัด หัวซียงซิ่วไม่รอดแน่นอนครับ”

“ฮ่าฮ่า…”

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะลั่นอย่างสบายอกสบายใจ

ตอนที่284 ราดน้ำมันบนกองเพลิง

ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับคุณปู่และพ่อของเธอ หัวเซียงซิ่วก็สาบานกับตัวเองไว้ว่า จะไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าจะคืนความยุติธรรมแก่พี่ชายของเธอได้

หัวเซินซวนโทรสายเข้ามาหาในขณะนั้น เพราะต้องการดุด่าเธอยกใหญ่ที่ทำอะไรตามอำเภอใจ หัวเซียงซิ่วทราบดีว่ามันต้องเป็นแบบนั้น จึงจงใจกดตัดสายทิ้งโดยตรง เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องทะเลาะกับคุณปู่อีก

หัวเซินซวนที่เห็นว่าหลานสาวของเขาตัดสายทิ้งก็ยิ่งทำให้โมโหเข้าไปใหญ่ เขาวางโทรศัพท์กระแทกบนโต๊ะอย่างแรงและหันไปด่าหัวฉีเฉินต่อว่า

“ดูมันสิ! แกเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นแบบนี้! เธอกล้าตัดสายฉันจริงๆ! นี่มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว!”

หัวฉีเฉินรีบขอโทษขอโผยทันทีว่า

“พ่อครับ ผมขอโทษ ผมเลี้ยงดูเธอตามใจเกินไป ผมจะรีบติดต่อให้เธอโทรหาพ่อเองนะครับ”

หัวเซินซวนกล่าวน้ำเสียงโกรธเคืองว่า

“รีบโทรหาเธอเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ ถ้าเธอยังมีนิสัยแบบนี้อยู่ อนาคตของตระกูลหัวเราจบเห่แน่นอน!”

หัวฉีเฉินพยักหน้าและรีบวิ่งออกไปโทรหาลูกสาวตัวเองทันที พอเห็นว่าโดนตัดสายทิ้งไปเช่นกัน เขาเลยส่งข้อความไปหาแทน โดยมีเนื้อความว่า ถ้าไม่รับสายอย่างน้อยก็โทรไปหาคุณปู่หน่อยก็ยังดี แต่คิดเหรอว่าหัวเซียงซิ่วจะสนใจ? เธอเมินข้อความดังกล่าว อ่านไม่ตอบ

หลินเซียะรอหัวเซินซวนโทรกลับมาอยู่นานสองนาน จนในที่สุดมันก็ถึงขีดจำกัด เขาตบโต๊ะเสียงดีงปังระบายความโกรธ คว้ามือถือโทรหาหัวเซินซวนอีกครา

“คุณหัว นี่มันหมายความว่ายังไง!? ไหนบอกว่าจะรีบโทรกลับมา นี่มันนานมากแล้วนะแต่ก็ไม่ยอมโทรมาสักที!”

หลินเซียะตะคอกใส่ครั้งนี้ไม่มีเกรงอกเกรงใจใดๆ

หัวเซินซวนรีบขอโทษหลินเซียะทันทีว่า

“ผมขอโทษ ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ผู้ว่าหลิน…อย่าโกรธกันเลยนะครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ตอนนี้ผมกำลังพยายามติดต่อหลานสาวอยู่เพื่อสอบถามสถานการณ์ ช่วย…ช่วยรออีกหน่อยได้ไหมครับ?”

หลินเซียะตอบปฏิเสธกลับไปโดยตรง

“ไม่! ผมรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว! แรงกดดันจากสังคมทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวินาที แล้วคุณยังมัวใจเย็นได้อยู่อีกเหรอ?! คุณหัว ถ้าคุณยังเล่นแง่แบบนี้กับผมอยู่ หลังจากนี้ก็อย่าหาว่าผมไม่สุภาพก็แล้วกัน!”

หลังจากพูดจบหลินเซียะก็วางสายไปทันที

ตอนนี้หัวเซินซวนเริ่มรู้สึกวิตกจริงๆ จังๆ แล้ว ถ้าทำให้ผู้ว่าหลินโกรธขึ้นมา ไม่มีใครทราบได้เลยว่าผลลัพธ์หลังจากนี้จะเป็นยังไง ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้าเยี่ยมหลินเซียะที่สำนักเขตเป็นการส่วนตัว และแก้ไขความเข้าใจผิดนี้

หลินเซียะไม่รอให้ตระกูลหัวต้องมาคลานเข่ามาหาเขา ในเมื่อหัวเซียงซิ่ว เด็กสาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกล้าปีนเกลียวสร้างปัญหา ดังนั้นเธอสมควรต้องจ่ายราคาความเสียหายนี้ด้วยตัวเอง เขาออกปากสั่งการกับทางตำรวจให้ไปจับตัวหัวเซียงซิ่วมาสอบสวนโดยตรง

หนึ่งชั่วโมงถัดมา หัวเซียงซิ่วถูกตไรวจกุมตัวกลับเข้า ในเวลาเดียวกัน หัวเซินซวนก็กำลังเดินทางไปเช่นกัน

ในไม่ช้าหัวเซินซวนก็เดินทางไปถึงสำนักงานเขต แต่หลินเซียะกลับปฏิเสธที่จะเข้าพบด้วย ก็เลยปรากฏเป็นภาพฉากที่ชายชรายืนหน้าแตกอยู่คนเดียว

ในความคิดของหัวเซินซวน ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลหัว เขาไม่มีวันทนต่อความอัปยศแบบนี้ได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงตะโกนชื่อหลินเซียะดังลั่นกลางโถงใหญ่ เพื่อบีบบังคับให้หลินเซียออกมาพบ

สุ้มเสียงตะโกนของหัวเซินซวนยังคงดังต่อเนื่อง ราวกับเด็กเอาแต่ใจที่ผู้ใหญ่ไม่ยอมทำตามใจ

และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกคนในสำนักงานเขตไม่สามารถทำงานต่อไปได้แน่ หลินเซียะที่ไม่มีทางเลือกอื่น เลยจำต้องออกมาพบหัวเซินซวน

แม้ว่ากหัวเซินซวนจะโมโหโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าภายใต้สถานการณ์นี้เขาตกเป็นรอง จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะระบายความโกรธใส่หลินเซียะ เขาได้แต่ฝืนยิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไมผู้ว่าหลินถึงไม่รับสายหรือออกมาพบผมเลย?”

หลินเซียะกล่าวตอบตามตรงชนิดไม่มีไว้หน้า

“ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเจอกับคุณ หลานสาวของคุณเตรียมรับโทษตามกฎหมายได้เลย”

แม้หัวเซินซวนจะไม่พอใจกับหลานสาวคนนี้มากที่เอาแตจ่สร้างปัญหาให้ แต่สุดท้ายหลานสาวก็ยังเป็นหลานสาว เขาย่อมห่วงเรื่องความปลอดภัยเป็นธรรมดา

หัวเซินซวนรรีบเอ่ยตอบทันที

“ผู้ว่าหลิน ให้โอกาสเธอสักครั้งเถอะครับ ถือว่าเห็นแก่หน้าผม แค่บอกมาก็พอครับว่าต้องการเท่าไหร่ ผมจ่ายได้ทุกราคา!”

หลินเซียะที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เงินหรือค่าชดเชยอะไรแล้ว เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันมันเลยจุดนั้นมาไกลมาก สิ่งเดียวที่เขาต้องการในขณะนี้คือ คำอธิบายต่อสาธารณชน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หัวเซียงซิ่วก็โดนกุมตัวออกจากห้องสอบปากคำ ส่วนหลินเซียะรีบดำเนินการตามคำร้องของจ้าวเฉียนทันที

ในไม่ช้า ตำรวจก็สรุปสำนวนคดีได้ความว่า หัวเซียงซิ่วละเมิดความผิดข้อหาจงใจปลุกปั่นและใส่ร้ายผู้อื่นจนได้รับความเสื่อมเสีย โดนตัดสินให้จำคุกหัวเซียงซิ่ว

หัวเซียงซิ่วมึนงงอย่างมากและไม่เข้าใจสถานการณ์เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอกรนด่าสาปแช่งขึ้นทันทีว่า

“สมองฝ่อไปหมดแล้วรึไง? แทนที่จะจับตัวฆาตรกร แต่ดันจับฉันที่เป็นคนเรียกร้องความเป็นธรรม? ปัญญาอ่อนกันไปหมดแล้วรึไง? หรือแรงกดดันจากประชาชนมันไม่มีค่าเลยรึไง!”

หลินเซียะโกรธจัดแทบทนไม่ไหวแล้วง เขาตะคอกสวนกลับไปทันทีว่า

“ทุกอย่างเกิดจากเธอคนเดียว! ถ้าหัดสงบปากสงบคำซะบ้าง ทุกคนคงไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้! เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขในอีกไม่ช้า ถ้ากังขาหรือข้องใจตรงไหนก็ไปสู้ต่อที่ชั้นศาล!”

หัวเซียงซิ่วรีบตอบทันทีว่า

“ถ้าจับจ้าวเฉียนเข้าตารางตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็จบเรียบร้อยแล้ว! หัดเข้าโซเซียลอ่านข่าวบ้างว่าทุกคนในสังคมเขาต้องการอะไร? แต่คุณก็ยังหน้าด้านปกป้องจ้าวเฉียน พวกตำรวจของประเทศนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว หิวเงินขนาดนั้นเลยรึไง!!”

หลินเซียะหัวเราะอย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า

“เราไม่จำเป็นต้องอ่านความคิดเห็นของสังคม ถ้าเอาอารมณ์ของคนหมู่มากมาประกอบกับสำนวนคดี แล้วนี่ยังเรียกว่าความยุติธรรมอยู่ได้ยังไง?”

ในเวลานั้นเอง ลูกน้องของหลินเซียะก็รีบวิ่งมาบอกว่า หัวเซินซวนต้องการพบหลานสาวตัวเอง

ตามกฎหมายแล้วหัวเซินซวนมีสิทธิ์ดังกล่าว หลินเซียะจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากตอบตกลงเท่านั้น

ในไม่ช้าหัวเซินซวนก็เข้ามาพบกับหัวเซียงซิ่ว ดวงตาคู่นั้นของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธ ทันทีที่เจอเขาตะคอกด่าขึ้นทันทีว่า

“ทีนี้สบายใจแล้วรึยัง!? วันๆ ไม่ทำอะไร! เอาแต่สร้างปัญหา!”

แม้ว่าหัวเซียงซิ่วพลันรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกจึงเถียงกลับไปว่า

“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง อย่างน้อยหนูก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว! ไม่ได้เหมือนปู่ที่ยืนทนมองหลานชายได้รับความอยุติธรรมอยู่เฉยๆ! นี่ยังมีคุณสมบัติเรียกตัวเองว่าปู่ได้อีกเหรอ! หน้าไม่อาย!”

“สามหาว!”

หัวเซินซวนสุดจะทนแล้วจริงๆ

“เพี๊ยะ!!”

เสียงตบหน้าดังชัดเจนกึกก้องออกมา หัวเซินซวนตบหน้าหลานสาวตัวเองอย่างแรง

แต่ไม่ว่ายังไงหัวเซียงซิ่วก็รู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นฝ่ายถูก และทุกอย่างที่เธอทำลงไปล้วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และถ้าเธอยังมีโอกาส ย่อมสามารถช่วยคืนความยุติธรรมแก่พี่ชายได้นแน่อน

หัวเซินซวนได้แค่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

“สิ้นหวัง! สิ้นหวังแล้วจริงๆ! แกต้องหัดคิดแบบผู้ใหญ่ได้แล้ว!”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากออกไปทันที

หัวเซียงซิ่วคลี่ยิ้มอย่างหยามเหยียด ไม่สนใจคุณปู่แม้แต่น้อย

ตำรวจตั้งโต๊ะแถลงการทันที โดยงัดหลักฐานทั้งหมดเพื่อมัดตัวหัวเซียงซิ่วว่า เธอใช้เงินจำนวนมากเพื่อปั่นกระแสข่าวโจมตีผคนอื่นจนเกิดความเสื่อมเสีย ในมุมมองของทางตำรวจสรุปได้ว่า ข่าวที่เธอเผยแพร่ออกไปเป็นข่าวปลอมทั้งสิ้น ซึ่งโทษจำคุกของเธอก็สามารถรอลงอาญาได้

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า ต้องโทษแค่นี้มันยังไม่ร้ายแรงพอ สำหรับราคาที่หัวเซียงซิ่งต้องชดใช้ยังน้อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงพยายามราดน้ำมันบนกองไฟเพื่อขยับขยายให้กลายเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้

จ้าวเฉียนโทรหาประธานสื่อหลักหลายแห่งในหวานจิ้ง รวมไปถึงหยานจิ้งไทม์เช่นกัน และสั่งให้พวกเขาประโคมข่าวโจมตีตัวเองต่อไป และไม่ว่าใครก็ตามที่โทรถามหลังจากนี้ ก็ให้บอกว่าเป็นฝีมือของหัวเซียงซิ่ว

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเข้าไปใหญ่ สิ่งนี้แทบทำให้หลินเซี่ยะเป็นบ้า เขาโทรหาประธานบริษัทสื่อพวกนี้ทันที และถามไปตามตรงว่าทำไมยังไม่หยุดประโคมข่าว ไม่เห็นที่ตำรวจตั้งโต๊ะแถลงรึยังไง?

หลังจากถามไปถามมา เขาก็ได้รู้ว่าหัวเซียงซิ่วยังไม่สำนึก เล่นแง่เล่ห์เหลี่ยมไม่จบไม่สิ้น เธอพยายามใช้อำนาจของตระกูลหัวบังหน้าเพื่อซื้อสื่อทางโซเซียลโจมตีจ้าวเฉียนต่อไม่หยุดหย่อน ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินคดีความด้วยความเป็นธรรม

ตอนที่283 ไปหาเงินตั้งมากมายมาจากไหน

โจวกุ้ยพาหัวเซียงซิ่วมาที่บริษัทปล่อยเงินกู้ และทั้งสองก็เดินเข้าไปในสำนักงานโดยตรง

“คุณหนูหัวเชิฐนั่งรอก่อนสักครู่นะครับ ผมจะรีบไปเตรียมสัญญามา”

โจวกุ้ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หัวเซียงซิ่วพยักหน้าโดยไวและตอบว่า

“ได้ค่ะ รบกวนคุณโจวแล้ว”

โจวกุ้ยเดินออกไปและตรงมายังห้องทำงานของเลขา

“เลขาหลี่ เตรียมเอกสารสัญญากับกาแฟสักแก้ว”

โจวกุ้ยออกคำสั่งและเดินเข้าไปในห้องประชุมเพียงลำพัง หันซ้ายแลขวาพอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงรีบหยิบมือถือโทรหาจ้าวเฉียนทันที

“ฮาโหลครับคุณชายจ้าว ผมพาเธอมาตามแผนเรียบร้อย”

โจวกุ้ยเอ่ยเสียงแผ่วราวกับกลัวคนอื่นได้ยิน

จ้าวเฉียนฮัมเพลงเดินอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยปากสั่งต่อไปว่า

“ให้เธอเซ็นสัญญากู้ยืมตามแผนที่วางไว้เลย”

โจวกุ้ยรีบกล่าวยืนยันกับจ้าวเฉียนว่า

“ไม่ต้องกังวลครับ ผมกำลังดำเนินการในจุดนี้อยู่ ตามข้อบังคับของประเทศ หากอัตราดอกเบี้ยรวมเกิน36%จะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่คุณหนูสกุลหัวคนนี้ไม่น่าจะรู้เรื่องข้อกฎหมาย เราน่าจะหลอกเงินเธอมาได้เยอะอยู่ครับ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยตอบไปว่า

“เท่าไหนเท่ากัน แต่ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่า แผนใช้เงินกู้นอกระบบจะสามารถบ่อนทำลายตระกูลหัวได้แหะ นี่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน ไม่ต้องคิดมาก”

โจวกุ้ยรีบเอ่ยตอบน้ำเสียงสุภาพกลับไป

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบเซ็นสัญญากับเธอเลย”

จ้าวเฉียนส่งเสียงตอบคำหนึ่งและกดวางสายไป

ในเวลาเดียวกัน หยิงเสวี่ยเฉิงและบรรดาเพื่อนนักข่าวของหัวเซียงซิ่วก็ทยอยส่งข้อความหาจ้าวเฉียนทีละคนสองคน เพื่อรายงานสถานการณ์ให้ทราบ

หัวเซียงซิ่วผู้ซึ่งไร้ทางออก แน่นอนว่าเธอจะต้องติดต่อเพื่อนที่เป็นนักข่าวแน่นอน แต่เธอลืมอะไรไปรึเปล่า? สำนักข่าวทั้งหมดของเมืองหวานจิ้งล้วนถูกซื้อโดยตระกูลจ้าวไปหมดแล้ว ดังนั้น คิดว่าบรรดาเพื่อนนักข่าวเหล่านี้จะอยู่ฝ่ายไหน?

หัวเซียงซิ่วคนนี้ติดกับของจ้าวเฉียนตั้งแต่มาหาพวกเพื่อนนักข่าวแล้ว

จ้าวเฉียนที่อ่านข้อความเหล่านั้นก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ

หัวเซียงซิ่วเซ็นสัญญาเงินกู้และออกจากบริษัทของโจวกุ้ยอย่างมีความสุข เธอโทรหาหยิงเสวี่ยเฉิงและคนอื่นๆ ทันที เพื่อขอให้พวกเขารีบเขียนบทความโจมตีจ้าวเฉียนโดยเร็วที่สุด

ในไม่ช้าทั้งสื่อสำนักบนโลกอืนเตอร์เน็ตและในทีวี ก็เกิดข้อพิพาทครั้งใหญ่ คดีความของจ้าวเฉียนเมื่อหกปีก่อนถูกขุดขึ้นมาจนเป็นทีพูดคุยกันต่างๆนาๆ

“ไม่คิดเลยว่า จะมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในหยานจิ้งจริงๆ? แล้วทำไมคดีนี้ถึงไม่ถูกสอบสวนล่ะ?”

“ไหนว่ารัฐบาลกำลังกวาดล้างความอยุติธรรมครั้งใหญ่? แต่ทำไมยังปล่อยให้ชายคนนี้ลอยนวลอยู่ล่ะ? เพราะรวยงั้นเหรอ?”

“เห้ออ…มีเงินมันก็ดีแบบนี้แหละ ถ้าเกิดเรื่องอะไรเข้าก็มีแพะรับบาปแทน ต่างจากคนจนๆ อย่างพวกเรา อย่าว่าแต่ทำอะไรผิดเลย บางทีเขาอาจถูกลากเข้าคุกโดยไม่ได้กระทำความผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ!”

……….

ชาวเน็ตทั้งหลายต่างพูดถึงเรื่องนี้จนกลายมาเป็นประเด็นร้อน ความคิดเห็นของพวกเขาทั้งหมดเป็นไปในทางเดียวกัน ทุกคนล้วนเกลียดชังตำรวจที่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวล ไม่ว่าจะยังไงทางตำรวจจะต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงไขเรื่องนี้ต่อหน้าประชาชน

ณ เวลานี้เอง เมื่อถูกแรงกดดันจากประชาชนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางตำรวจเหลือเพียงทางเลือกเดียวคือการประชุมหารือกับทุกฝ่าย เพื่อหามาตรการรับมือที่ดีที่สุด

หลินเซียะคิดว่าเรื่องนี้สมควรออกตั้งโต๊ะแถลงก็จริง แต่คำถามคือจะหาหลักฐานยังไง? ไม่มีทั้งคลิปวีดีโอและภาพแล้ว

ในท้ายที่สุดนี้บรรยากาศการประชุมกดดันถึงขีดสุด ทุกนทนไม่ไหวแล้วจึงแนะให้หลินเซียะโทรคุยกับจ้าวเฉียนเป็นการส่วนตัว

หลินเซียะเองก็เห็นด้วยเช่นกัน จ้าวเฉียนสมควรรับรู้เรื่องดังกล่าวมากที่สุด และตัวเขาเองน่าจะหาทางหนีทาไล่ได้ดีที่สุดเช่นกัน

ดังนั้นหลินเซียะจึงโทรหาจ้าวเฉียนทันทีและขอให้เขามายังสำนักงานเขต

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนเดินทางมาถึงสำนักงานเขต

หลินเซียะเข้าพบกับเขาและเชิญเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวทันที พร้อมเข้าเรื่องเลยว่า

“คุณชายจ้าวได้เห็นข่าวบนโลกอินเตอร์เน็ตรึยังครับ? ตอนนี้คดีความเก่าของคุณถูกรื้อขึ้นมาแล้ว พวกเราจำเป็นต้องตั้งโต๊ะแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักและเอ่ยถามกลับไปว่า

“ทำไมผู้ว่าหลินถึงดูประหม่าขนาดนี้? ชาวเน็ตเป็นยังไงก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ? ชอบเสพดราม่าเป็นชีวิตจิตใจ ผ่านไปสามวันก็ลืมกันไปหมดแล้ว คอยดูเถอะครับ…เดี๋ยวจะมีข่าวใหม่ที่ร้อนแรงกว่านี้ออกมาแทนแน่นอน”

คำพูดของจ้าวเฉียนไม่ใช่ว่ากำลังเล่นตลกกับหลินเซียะ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น บางคนสนใจไม่ถึงวันด้วยซ้ำก็ลืมไปแล้ว ดังนั้นให้เวลามากสุดที่สามวัน ยังไงซะทุกคนก็จะเลิกสนใจไปเอง และหันเหไปสนใจข่าวใหม่ประเด็นร้อนแรงกว่า

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต่างจากข่าวประเด็นร้อนอื่นๆ เล็กน้อย เพราะนี่เป็นผลงานชิ้นเอกของหัวเซียงซิ่ว ดังนั้นกระแสจึงน่าจะนานกว่าปกติเล็กน้อย และในจุดนี้จ้าวเฉียนก็ตระหนักถึงเป็นอย่างดี

“สิ่งที่ผู้ว่าหลินควรกังวลคือ ผมได้ส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว ปรากฎว่าเป็นฝีมือของหัวเซียงซิ่วจริงๆ เธอทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาบนอินเตอร์เน็ตและสื่อต่างๆ จากนั้นก็ขุดเรื่องผมในอดีตขึ้นมาโจมตี ผมคิดว่าผู้ว่าหลินลองไปคุยกับหัวเซินซวนก่อนดีกว่า ว่าเขามีความเห็นว่ายังไง?”

จ้าวเฉียนกล่าวแนะไป

หลินเซียะที่รับฟังก็รู้สึกว่าคำพูดของจ้าวเฉียนสมเหตุสมผลดี และเขายังทราบอีกว่า หัวเซินซวนยังไม่รู้แน่ว่านี่เป็นฝีมือของหลานสาวตัวเอง ดังนั้นยิ่งควรชี้แจงให้ทราบเข้าไปใหญ่

เช่นนั้นแล้วหลินเซียะจึงโทรเรียกหัวเซินซวนเข้าพบต่อหน้าจ้าวเฉียนทันที

แต่หัวเซินซวนที่กำลังดูข่าวอยู่ในขณะนี้ เขาก็สังหรณ์ใจได้ในทันใดว่า นี่ไม่ใช่เป็นการขุดข่าวของจ้าวเฉียนขึ้นมาโดยบังเอิญ ดังนั้นเขาจึงเรียกหัวฉีเฉินมาด่าจนอีกฝ่ายยืนก้มหน้าก้มตาราวกับเด็กกำลังกระทำความผิดมา

ในตอนนั้นเองหลินเซียะก็โทรเข้าไปพอดี หัวเซินซวนรับสายและรีบเอ่ยปากขอโทษอย่างรวดเร็วว่า

“ฮาโหล ผู้ว่าหลิน ผมทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ผมต้องขอโทษจริงๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของผู้ใหญ่อย่างเราเองที่ไม่สั่งสอนเด็กให้อยู่กับร่องกับรอย”

หลินเซียะถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่ กล่าวน้ำเสียงเย็นว่า

“ดีแล้วที่คุณหัวยังอุตส่าห์รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด! งั้นผมขอถามคุณหัวตรงนี้เลยก็แล้วกัน หวังว่าคุณจะตอบตามความจริงนะครับ เรื่องทั้งหมดนี้ที่หัวเซียงซิ่วก่อขึ้น คุณรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่?”

หัวเซินซวนสะดุ้งเฮือกทันที สายนี้ที่ผู้ว่าหลินโทรมาไม่ใช่เพื่อตำหนิเขา แต่เป็นเพื่อทดสอบว่าเขามีส่วนเอี่ยวด้วยหรือไม่

หัวเซินซวนรีบตอบกลับไปทันทีว่า

“ผู้ว่าหลินคิดมากเกินไปแล้ว ผมจะไปรู้เห็นเป็นใจกับแผนการโง่ๆ ของเธอได้ยังไง? เธอหนีออกจากบ้านไม่รับฟังพวกผมพูดอะไรสักคำ แล้วผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังเช่นกันว่าเธอทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้ลงไป”

หลินเซียะพ่นลมหายใจเย็นชาใส่อีกครา กล่าวขึ้นว่า

“คุณหัวคิดว่าผมโง่รึเปล่า? ถ้าคุณไม่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ แล้วเธอไปเอาเงินมาจากไหนตั้งมากมายในการซื่อช่องสื่อกับพื้นที่โฆษณาบนอินเตอร์เน็ต? ถึงผมเองจะไม่ค่อยทราบเรื่องเกณฑ์ราคาเรื่องการโฆษณามากเท่าไหร่ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งที่เงินเก็บของเด็กสาวคนหนึ่งจ่าวไหวแน่นอน”

พอหัวเซินซวนถูกถามกลับไปแบบนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก ขนาดที่ว่าไม่รู้เลยว่าตนเองควรจะให้คำตอบอย่างไรแก่อีกฝ่าย

มันเป็นอย่างที่ผู้ว่าหลินพูดไปทุกประการ หลานสาวของเขาไปหาเงินมาจ่ายค่าสื่อตั้งมากมายขนาดนั้นมาจากไหน?

“ผู้ว่าหลิน ผมขอตัวโทรหาเซียงซิ่วก่อนได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หัวเซินซวนเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“ตกลง! ได้ความยังไงแล้วรีบโทรกลับมาหาผม! เร็วหน่อยยิ่งดีนะครับ!”

หลินเซียะตอบ

“แน่นอนครับ แน่นอน…”

หัวเซินซวนกดวางสายไปทันทีจากนั้นก็รีบโทรหาหัวเซียงซิ่วต่อโดยไว

ตอนที่282 แค้นคืนสนอง

หยิงเสวี่ยเฉิงเหลือบมองไปทางหัวเซียงซิ่วอยู่สักครู่ เธอเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ฉันต้องบอกเธอไปตามจริงนะว่า นักข่าวอย่างเราเขียนบทความดีๆได้ แต่การจะเอาออกไปเผยแพร่มันค่อนข้างยาก ดังนั้นเธอควรแบ่งเงินอีกสักก้อนเพื่อใช้ในการซื่อช่องสื่อทางอินเตอร์เน็ต วิธีนี้จะช่วยให้มีคนสนใจมากยิ่งขึ้น แต่อย่างที่ว่าไปนั่นแหละ มันต้องใช้เงินเพิ่มในการจ่ายซื้อพื้นที่ลงข่าว”

หัวเซียงซิ่วเตรียมพร้อมมาดีอยู่แล้ว เธอเพิ่มเงินได้อย่างไม่มีปัญหา แม้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นแง่เพื่อบีบให้เธอจ่ายเพิ่มก็ตาม

“โอ้? แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะ? เธอพอมีคนรู้จักในนั้นไหม? ช่วยหาให้หน่อย ส่วนเรื่องราคาฉันยินดีจ่าย”

หัวเซียงซิ่วเอ่ยตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

หยิงเสวี่ยเฉิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอ่ยตอบกลับไปว่า

“มีหลายคนเลย แต่สำหรับเรื่องราคามันค่อนข้างสูง อย่างในสื่อบนโลกออนไลน์ของหยานจิ้งไทม์ของเรา ถ้าต้องการหน้าหนึ่งเริ่มต้นที่แปดแสนหยวน หรือถ้าจะเอาขึ้นติดเป็นแบนเนอร์รายสัปดาห์เลยจะอยู่ที่หนึ่งล้านห้าแสนเป็นอย่างน้อย ซึ่งฉันแนะนำว่าเอาขึ้นติดสักสัปดาห์กำลังดี”

เมื่อได้ฟังหยิงเสวี่ยเฉิงกล่าวออกไปแบบนั้น หัวเซียงซิ่วก็เริ่มกังวลเล็กน้อย ถ้าไม่รวยจริงๆ คงไม่มีทางซื้อพื้นที่โฆษณาเพื่อโปรโมทได้เลยใช่ไหม?

พอเห็นว่าหัวเซียงซิ่วเริ่มกังวลใจ หยิงเสวี่ยเฉิงก็รีบกล่าวเร่งเร้าว่า

“แม้ราคาจะสูงเกินไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่ามันได้ผลดีจริงๆ จำข่าวที่ครอบครัวขับBMWตายยกคันได้ไหม? ไม่ว่าเธอจะเปิดโทรศัพท์เข้าแอปไหนก็เจอ จำแม่นเข้าหัวเธอเลยไหมล่ะ?”

หัวเซียงซิ่วรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เธอยังจำข่าวสยองตายยกครัวได้ ไม่ว่าเธอจะเปิดเข้าแอปไหนก็เจอแต่ข่าวดังกล่าว จนท้ายที่สุดเธอต้องกดเข้าไปดูคลิปอุบัติเหตุ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือก

ถ้าเธออุตส่าห์ใช้เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้สู้เพื่อพี่ชาย แต่ตำรวจยังกล้าปิดบังความจริง ความยุติธรรมของประเทศนี้คงมีปัญหาจริงๆ แล้ว

แต่อย่างไร สุดท้ายเธอก็จำต้องปฏิเสธไป เพราะเธอมีงบทั้งตัวอยู่แค่3ถึง4ล้านหยวนเท่านั้น ซึ่งหากจ่ายให้เพื่อนนักข่าวแต่ละคนไปแล้ว เธอจะไม่เหลือเงินค่าซื้อพื้นที่โฆษณา

หัวเซียงซิ่วเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า

“ฟังดูน่าสนใจก็จริง แต่ฉันคงจ่ายไม่ไหว เธอช่วยหาวิธีต่อรองราคาได้ไหม?”

หยิงเสวี่ยเฉิงหัวเราะพลางเอ่ยตอบไปว่า

“เซียงซิ่ว นี่เธอไม่ต้องการให้พวกเราช่วยจริงๆ ใช่ไหม? ตระกูลหัวของเธอมีเงินหมุนสะพัดกว่าหลายร้อยล้านหยวนต่อวันกับธุรกิจการท่าเรือและอสังหา กับอีกแค่ล้านเดียวทำไมถึงใจแคบจัง?”

หัวเซียงซิ่วถอนหายใจเฮือกหนึ่งและตอบไปว่า

“อันที่จริงแล้ว…แผนการนี้เป็นฉันคิดเพียงคนเดียว แต่ทางครอบครัวกลับไม่เห็นด้วย เลยต้องออกโรงเองคนเดียวแบบนี้ สุดท้ายก็มีปัญหาอยู่ที่เรื่องเงินจริงๆ นั่นแหละ เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนกันนะ ช่วยฉันหน่อย”

หยิงเสวี่ยเฉิงแทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด เธอไม่ยอมเสียแรงมาช่วยคนเพียงเพื่อการกุศลแน่นอน และที่สำคัญการจะซื้อพื้นที่โฆษณามันต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากพอตัวจริงๆ

ในเวลานั้นเอง เหลียวอวีเฟย นักข่าวจากโจจิ้งไทม์ก็กล่าวขึ้นว่า

“ถ้าเธอยังคงยืนกรานเพื่อเรียกคืนความยุติธรรมให้พี่ชายเธอนะ ฉันยังพอมีวิธีช่วยเธอได้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเธอใจกล้าพอรึเปล่า?”

หัวเซียงซิ่วพยักหน้าตอบทันทีและกล่าวว่า

“แน่นอน แน่นอน ตราบใดที่มันไม่มากเกินตัว ฉันไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว”

เหลียวอวีเฟยพยักหน้าและอธิบายไปว่า

“ฉันเป็นนักข่าวสายการเงินมาก็หลายปีแล้ว ก็เลยรู้จักพวกกู้นอกระบบไม่น้อยเลย แต่สบายใจได้ ฉันจะแนะนำคนที่คิดดอกเบี้ยต่ำที่สุดให้เธอเอง ยืมเงินก้อนนี้ไปใช้ซื้อพื้นที่โฆษณาเถอะ ตราบใดที่สิ่งนี้สามารถเรียกคืนความยุติธรรมแก่พี่ชายเธอได้ ครอบครัวของเธอย่อมต้องเต็มใจจ่ายเงินชดใช้หนี้แทนเธอแน่นอน”

หัวเซียงซิ่วเกิดและเติบโตในอเมริกา จึงได้อิทธิพลแนวคิดจากพวกอเมริกาชนมาโดยตรง ซึ่งโดยธรรมชาติคนอเมริกาไม่ค่อยจะประหยัดเงินเท่าไหร่ ประชาชนโดยส่วนใหญ่ชอบกู้ยืม เอาเงินในอนาคตมาใช้จ่ายก่อน และนั้นเป็นสาเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพร์ม [1] ขึ้นในตอนนั้น

ยืมเงินในอนาคตมาใช้ในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมากของคนอเมริกัน ดังนั้นหัวเซียงซิ่วจึงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด

เหลียวอวีเฟยพยักหน้าและหยิบมือถือโทรออกไปทันที และตกลงนัดเจอเสี่ยหนี้นอกระบบที่ร้านกาแฟชั้นล่างในอีกหนึ่งชั่วโมง

หัวเซียงซิ่วรีบทักให้ทุกคนกินข้าวกันให้เสร็จโดยไว หลังจากกินเสร็จทุกคนก็รีบบอกลาจากไปโดยปริยาย และเป็นหน้าที่ของเหลียวอวีเฟยที่พาหัวเซียงซิ่วมารอที่ร้านกาแฟชั้นล่าง

ประมาณสิบนาทีต่อทมา ชายวัยกลางคนในชุดทางการก็เดินทางมาถึง

เหลียวอวีเฟยรีบลุดกขึ้นทักทายอีกฝ่ายทันที และพาเขามาแนะนำตัวกับหัวเซียงซิ่ว

เหลียวอวีเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“มาเถอะ ฉันจะแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักนะ นี่คุณโจวกุ้ย จากฟู่หยุนเงินกู้ ส่วนเธอคนนี้คือหัวเซียงซิ่วจากตระกูลหัวที่เป็นเจ้าของท่าเรือและบริษัทอสังหาริมทรัพย์หัว”

โจวกุ้ยยิ้มและยื่นมือออกไปทักทายกับหัวเซียงซิ่วทันที

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหนูหัว”

หัวเซียงซิ่วเองก็ตอบกลับอย่างสุภาพไปว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะคุณโจว แรกพบก็รู้สึกถูกชะตาแล้ว”

เหลียวอวีเฟยทักทามให้ทั้งสองนั่งลงก่อน และหันไปพูดกับโจวกุ้ยว่า

“คุณโจว คุณหนูหัวเป็นเพื่อนสนิทในสมัยที่ยังเรียนด้วยกัน ตอนนี้เธอต้องการขอความช่วยเหลือด้านการเงิน ผมก็เลยนึกถึงคุณก่อนเลย เรื่องนี้คุณโจวพอจะช่วยได้ไหมครับ?”

โจวกุ้ยยิ้มและตอบไปว่า

“แน่นอนครับ แน่นอน ฮ่าฮ่า…คุณหนูหัว ผมขอเสียมารยาทถามหน่อยได้ไหมครับว่า คุณหนูต้องการเงินเท่าไหร่ครับ?”

“สักห้าล้านมาเผื่อไว้ก่อน”

หัวเซียงซิ่วตอบกลับไปทันทีแทบไม่คิด

โจวกุ้ยพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“ห้าล้านไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยครับ แต่ผมเองก็ต้องการทราบจุดประสงค์ และระยะเวลาที่คุณหนูจะคืน รวมไปถึงวิธีคืนเงินด้วยครับ”

หัวเซียงซิ่วไม่ต้องการให้โจวกุ้ยรู้ว่า เธอต้องการจะใช้เงินก้อนนี้ไปกับอะไร ดังนั้นเธอจึงปั้นน้ำเป็นตัวแถไปว่า

“ฉันกำลังมีโปรเจคงานใหม่น่ะ แต่ยังขาดเงินทุนอีกเล็กน้อย ถ้าโชคดีพอ ประมาณสิบวันก็น่าจะได้คืนแล้ว อย่างช้าสุดก็น่าจะสองเดือน ยังไงฉันจะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนรวดเดียว หวังว่าคุณโจยจะลดดอกเบี้ยให้หน่อยนะคะ”

“ได้แน่นอนครับ เดี๋ยวผมลดให้พิเศษเลย แต่ยังไงคุณหนูหัวต้องกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนมาให้ก่อนครับ ผมถึงจะตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยได้”

โจวกุ้ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หัวเซียงซวิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ และตัดสินใจที่จะยืมเงินอีกฝ่ายเป็นเวลาสามเดือน

โจวกุ้ยหัวเราะเสียงดังลั่น หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบและตอบว่า

“สามเดือนก็สามเดือนครับ งั้นผมให้ดอก5% เป็นยังไงครับ?”

หัวเซียงซิ่วไม่เคยต้องยืมเงินใครมาก่อน ดังนั้นเธอจึงพลันคิดไปว่า ดอกเบี้ย5%ที่โจวกุ้ยบอกมาคือ อัตราดอกเบี้ย5%ต่อสามเดือน นั้นเท่ากับ5%ของเงินห้าล้านคือ250,000หยวน แม้จะดูค่อนข้างมาก แต่หลังจากคืนความยุติธรรมให้พี่ชายเธอได้ คนที่จะมาจ่ายคือพ่อกับปู่ของเธอที่เต็มใจมาช่วยแน่นอน ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าเห็นด้วยทันที

โจวกุ้ยดูพึงพอใจเป็นอย่างมากและตอบกลับไปว่า

“โอเค แล้วคุณหนูหัวต้องการเงินเมื่อไหร่ครับ?”

หัวเซียวซิ่วแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะล้างแค้นให้พี่ชายของเธอ แน่นอนว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

โจวกุ้ยพยักหน้ากล่าวว่า

“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าเซ็นสัญญาเรียบร้อย สามารถรับเงินได้ในวันถัดไปได้เลย แต่ยังไงก็ตาม คุณหนูหัวจำเป็นต้องจำนองทรัพย์สินเป็นตัวค้ำประกันไว้ด้วยนะครับ อย่างเช่น รถ, บ้าน หรือของมีค่า หวังว่าจะเข้าใจนะครับ?”

หัวเซียงซิ่วย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ดี เพราะขนาดจะกู้ยืมจากธนาคารยังต้องใช้บ้านเป็นหลักประกัน สำหรับเงินกู้นอกระบบคงต้องมีเช่นกัน

เธอจึงตอบตกลงทันทีว่า

“โอเค มีบ้านอยู่สองหลังภายใต้ชื่อของฉัน ทุกหลังเอาไปค้ำประกันได้เลย”

โจวกุ้ยระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขและตอบว่า

“คุณหนูหัวเป็นคนใจใหญ่จริงๆ ไม่ทราบว่าวันนี้พอมีเวลาว่างไหม ถ้ามีก็รบกวนเดินทางไปบริษัทพร้อมผมได้ เราจะเซ็นสัญญากู้ยืมเงินกันทันที และจะอนุมัติเงินให้ในวันพรุ่งนี้”

“ว่างค่ะ งั้นไปกันเถอะ”

หัวเซียงซิ่วลุกขึ้นและเดินไปจ่ายค่ากาแฟ เธอแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะล้างแค้นแทนพี่ชายของเธอ

แต่ในขณะเดียวกัน โจวกุ้ยกลับแสยะยิ้มแปลกๆ ออกมา ราวกับว่าเขากำลังซ่อนเจตนาอะไรบางอย่างไว้ในใจ

[1] เป็นวิกฤติการณ์ที่เกิดจากสภาวะฟองสบู่แตกในอเมริกา มีประชาชนกว่า70%ผิดนัดชำระหนี้พร้อมกันทั่วประเทศ

ตอนที่281 ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนักข่าว

หัวเซียงซิ่วโดนทั้งคุณปู่และคุณพ่อติเตียนทำร้ายจิตใจอย่างหนัก ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดชังในตัวจ้าวเฉียนมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ และเธอต้องการแก้แค้นเขาให้จงได้ ดังนั้นเธอจึงโทรเรียกเพื่อนที่เป็นนักข่าวทั้งหมด และเชิญพวกเขาไปทานดินเนอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ

ท้ายที่สุดนี้เธอคือกสมาชิกตระกูลหัว เพื่อนๆ นักข่าวทุกคนย่อมให้หน้าเธอโดยธรรมชาติ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่นัดหมายกันไว้

ณ งานเลี้ยง หัวเซียงซิ่วยกแก้วไวน์ขึ้นมาและกล่าวว่า

“ที่เชิญทุกคนมาในวันนี้เพราะอยากให้ทุกคนมารำลึกถึงเรื่องในวันวาน ดื่ม!”

คนอื่นๆ เองก็ทราบดีว่าตนเองควรวางตัวกันอย่างไร และยกแก้วขึ้นดื่มด้วยความยินดี

หลังจากดื่มไวน์แก้วนี้จนหมด ทุกคนก็เอ่ยถามหัวเซียงซิ่วว่า พวกเขาพอช่วยอะไรเธอได้บ้างไหม

หัวเซียงซิ่วรีบพยักหน้าตอบทันที

“แน่นอน พี่ชายของฉันมีเรื่องกับคนอื่นแถมยังโดนตัดมือไปอีก แต่ผลที่ได้คือ พวกตำรวจกลับปกป้องไอ้ฆาตกรบัดซบนี่เฉยเลย ปล่อยให้เขาลอยนวลแล้วจับแพะให้มารับผิดแทน ฉันอยากให้พวกนายทุกคนช่วยทำข่าวกดดันพวกตำรวจให้ดำเนินการสืบสวนอย่างซื่อตรง ทำยังไงก็ได้วให้ไอ้ฆาตรกรนั้นมารับผิดให้จงได้!”

นักข่าวจากหวานจิ้งไทม์ หยิงเสวี่ยเฉิงเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วใครคือฆาตรกรที่ว่า? เธอพอมีช้อมูลของเขาบ้างไหม?”

หัวเซียงซิ่วหยิบโทรศัพท์ชขึ้นมาและเปิดรูปถ่ายของจ้าวเฉียนให้ทุกคนดู จากนั้นก็กล่าวว่า

“นี่แหละโฉมหน้าฆาตรกร มันชื่อจ้าวเฉียน ฉันไม่รู้รายละเอียดของมันมากนัก แต่ที่แน่ๆ คือครอบครัวของมันทรงอำนาจไม่น้อยเลย”

หยิงเสวี่ยเฉิงหรี่ตาแคบจับจ้องรูปถ่ายจ้าวเฉียนตาเขม็ง เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกแปลกๆ ของเธอ หัวเซียงซิ่วก็เกิดเอะใจเอ่ยถามขึ้นว่า

“เสวี่ยเฉิง ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น เธอรู้จักกับเขาเหรอ?”

ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่หยิงเสวี่ยเฉิงเท่านั้น ซางเหวินซวนจากลาเก๋อไทม์, เหลียวอวี่เฟยจากโจวจิ้งไทม์ และอวู่จุนจากหมิงเชิงไทม์ ทั้งหมดล้วนเผยสีหน้าการแสดงออกแปลกประหลาดกันทั้งสิ้น

หยิงเสวี่ยเฉิงถอนหายใจเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า

“ฉันไม่รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวหรอก อย่าหาว่าฉันพูดอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แต่ฉันเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน ประมาณหกปีที่แล้ว เขาขับรถชนเด็กสาวคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันที่ยังเป็นมือใหม่ได้รับคำสั่งต้องไปทำข่าวของเขา แต่วันรุ่งขึ้นจู่ๆ หยานจิ้งไทม์ของฉันก็ถูกซื้อกิจการกะทันหัน และโดนสั่งห้ามไม่ให้ทำข่าวของชายคนนี้อีกเลย ประธานคนใหม่อธิบายแค่ว่า นี่เป็นกรณีพิเศษ ไม่อนุญาตให้ใครทำข่าวหรือขุดคุ้ยเรื่องของเขาทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้น ต่อให้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการก็ต้องถูกไล่ออกทันที เพียงเท่านี้ก็น่าจะรู้แล้วนะว่า เบื้องหลังของเขาทรงอำนาจขนาดไหน”

คนอื่นๆ เองก็พูดแบบเดียวกันกับหยิงเสวี่ยเฉิง ทันทีที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าวนี้ วันรุ่งขึ้นทุกสำนักข่าวก็ถูกซื้อกิจการโดยกระทันหัน และโดนสั่งห้ามไม่ให้ใครก็ตามทำข่าวของชายคนนี้เด็ดขาด

หัวเซียงซิ่วขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

“นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว หมอนี่เป็นใครกันแน่?”

หยิงเสวี่ยเฉิงหัวเราะครื่น เอ่ยตอบไปว่า

“ถึงขนาดที่ว่าประธานสำนักข่าว สั่งห้ามเป็นการส่วนตัว เห็นได้ชัดเลยว่า ชายคนนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด”

หัวเซียงซิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง เธอรู้สึกว่า ตราบใดที่มีเงินย่อมสั่งการผู้คนให้ทำตามที่ต้องการได้ และเงินสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างคนเหล่านี้ก็สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นเธอจึงยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องรบกวนพวกนายช่วยเสี่ยงเพื่อฉันสักครั้งแล้วล่ะ แต่ฉันไม่ปล่อยให้เหนื่อยฟรีอยู่แล้ว ฉันจะให้คนละหนึ่งแสนหยวนเป็นค่าขอบคุณ ว่ายังไง?”

หัวเซียงซิ่วเสนอขึ้น

เงินหนึ่งแสนหยวนสำหรับนักข่าวเหล่านี้ มันไม่คุ้มที่จะเอ่ยถึง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการเงิน ทว่าหากจะต้องทำข่าวของชายคนนี้ ที่มีแม้แต่หัวหน้ากองบรรณาธิการยังไม่กล้าแตะต้อง ใครบ้างจะกล้าเสี่ยงกับแค่เงินหนึ่งแสนหยวน?

ถ้าเดินทางผิดขึ้นมา นั้นหมายความว่าอนาคตในสายงานนักข่าวของพวกเขาจำต้องปิดฉากลงเช่นกัน

“เซียงซิ่วขอบใจนะที่ช่วยเรามางานเลี้ยง ถ้ามีอะไรที่เราพอใจช่วยได้ พวกเราเต็มใจช่วยแน่นอนโดยไม่ขอเงินเธอสักหยวน แต่…เรื่องนี้มันเกินความสามารถเราไปจริงๆ คนจากเบื้องบนถึงกับสั่งลงมาเอง ไม่ให้ทำข่าวของชายคนนี้ พวกเราก็แค่นักข่าวตัวน้อยๆ คงทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

คนอื่นๆ เองก็เห็นพ้องต้องกันไม่ต่าง

“ใช่ ถ้าต้องการจะให้ทำข่าวจริงๆ เธอต้องไปเจรจากับเจ้านายของพวกเราเป็นการส่วนตัว ถ้าได้รับอนุญาตพวกเราจะช่วยเต็มที่ แต่ตอนนี้…เราคงทำไม่ได้จริงๆ”

“ใครจะไปกล้าเสี่ยงตายเพื่อเงินแค่หนึ่งแสนหยวน?”

“ฉันคิดว่า เธอลองไปคุยกับทางตำรวจตรงๆ ดีกว่าไหม? พวกเขาอาจจะช่วยเหลือเธอได้ไม่มากก็น้อย ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่จำต้องห่วงหน้าห่วงหลังอะไรด้วย”

“นอกจากนี้ ถึงเราจะยอมเสี่ยงช่วยเธอ แต่ถ้าเบื้องบนไม่อนุมัติ ข่าวที่พวกเราเขียนก็ไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไปอยู่ดี ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป แล้วอย่าเที่ยวจ้างนักข่าวคนอื่นเลยนะ มันเปลืองเงินแสนโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน เชื่อพวกเราสิ”

………..

หัวเซียงซิ่วคิดว่าตัวเองเข้าใจในความหมายที่บรรดาเพื่อนนักข่าวกำลังจะสื่อ เธอจึงกล่าวตอบกลับไปทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่สนว่ามันจะได้ผลแค่ไหน แต่ฉันจะจ่ายให้คนละห้าแสนหยวน แล้วถ้าพวกนายเจอปัญหาระหว่างทำข่าว ครอบครัวของฉันจะรับผิดชอบดูแลในเรื่องคดีความเอง ว่ายังไง?”

หยิงเสวี่ยเฉิงหันไปมองคนอื่นๆ และพวกเขาเองต่างก็หันมาสบตากันโดยไม่ตั้งใจ และเป็นเธอที่เอ่ยปากแสดงจุดยืนก่อนคนแรก

“เซียงซิ่ว ฉันว่าเธอกำลังเข้าใจผิดนะ เรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เราอยากจะช่วยเหลือเธอจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันวัดกันที่ตัวเงินได้ยังไง? แต่งานนี้มันเสี่ยงเกินไปจริงๆ พวกเราคงช่วยเขียนข่าวให้ไม่ได้”

คนอื่นๆ เองต่างพยักหน้าและแสดงจุดยืนโดยไวว่า

“ใช่แล้ว ที่ฉันมาที่นี่เพราะอยากช่วยเท่าที่จะช่วยได้ในฐานะเพื่อน ไม่ได้เห็นแก่เงินเลยนะ”

“อย่ามาถามเลยว่าเราต้องการเท่าไหร่ นี่ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายจิตใจกันเลย”

“ตามที่ทุกคนว่าเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง คนที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบคือพวกเรา งานนี้มันเสี่ยงเกินกว่าจะช่วยได้จริงๆ”

………

ทว่าอย่างไร ตราบใดที่หัวเซียงซิ่วคืนความยุติธรรมให้แก่พี่ชายเธอได้ ไม่ว่าเท่าไหร่เธอก็ยอมจ่ายทั้งนั้น เธอยังมีเงินติดบัญชีอีกเป็นล้าน ซึ่งนั้นก็น่าจะเพียงพอซื้อใจคนพวกนี้แล้ว

หากคนเหล่านี้เต็มใจช่วยเหลือเธอจริงๆ ในฐานะหลานสาวตระกูลหัว เธอย่อมเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตในเส้นทางนักข่าวได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นหัวเซียงซิ่วจึงกัดฟันกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นว่า

“เอาอย่างงี้แล้วกัน ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยพี่ชายของฉัน พวกเธอทำข่าวโจมตีไอ้ฆาตรกรนี้ได้เลยเต็มที่ ถ้าถูกไล่ออกขึ้นมาจริงๆ ฉันจะใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีช่วยพวกนายหางานใหม่เอง! พอใจหรือยัง?”

หยิงเสวี่ยเฉิงดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะตอบไปว่า

“ก็ได้ ก็ได้…แต่บทความของพวกเราจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหัวหน้ากองบรรนาธิการก่อน ถึงจะเผยแพร่ออกไปได้ เธอต้องยัดเงินใต้โต๊ะให้คนพวกนั้น ไม่อย่างนั้นเราเขียนข่าวยังไงก็เสียเปล่า”

สุดท้ายนี้หัวเซียงซิ่วก็คิดถูก บรรดาเพื่อนนักข่าวเหล่านี้ก็แค่พวกหน้าซื่อใจคด ขอแค่มีเงินมากย่อมซื้อใจพวกเขาได้เป็นธรรมดา

หัวเซียวซิ่วยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องหัวหน้ากองบรรณาธิการเดี๋ยวฉันจัดการเอง แทนคำขอบคุณ ฉันจะเพิ่มค่าเหนื่อยให้ทุกคนอีกคนละแสน รวมเป็นหกแสนหยวนต่อคน พวกนายต้องช่วยกันประโคมข่าวโจมตีไอ้ฆาตกรให้ได้มากที่สุด ยิ่งกลายเป็นข่าวดังเท่าไหร่ยิ่งดี”

หยิงเสวี่ยเฉิงแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วปั้นหน้าเครียด เพื่อให้หัวเซียงซิ่วรู้สึกกลัว ที่เธอต้องทำแบบนี้เพราะต้องการเรียกร้องขอเงินเพิ่มอีกรอบ

หัวเซียงซิ่วย่นคิ้วพลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไม? ยังมีปัญหาอะไรอีก?”

ตอนที่280 เช็คหนึ่งล้าน

หัวเซินซวนถอนหายใจเฮือกแรงด้วยความโกรธและตะคอกขึ้นว่า

“ฉันเคยบอกแกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า อย่าส่งเธอไปเรียนที่ต่างประเทศ! หัวคิดแบบชาติตะวันตกมันไม่เหมาะกับเรา! แต่ตอนนี้แกก็ไม่ฟัง แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ? สไตล์เสรีชนในจีนมันดีอย่างที่คิดไหม!?”

หัวฉีเฉินยิ้มแห้งเล็กน้อย เอ่ยตอบอย่างเก้อเขินว่า

“พ่อ อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลย ผมควบคุมเธอได้ ผมจะหาผู้ชายจากตระกูลใหญ่ให้มาแต่งงานกับเธอ”

หัวเซินซวนถ่มน้ำลายลงพื้นท่าทีดูแคลน กล่าวตอบไปว่า

“ด้วยนิสัยที่เอาแต่ใจ ใช้ชีวิตตามอารมณ์ของเธอ ใครแต่งงานด้วยต้องชิบหายกันหมด! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้ว ไปลองถามหมอดีกว่าว่ามีวิธีใดสามสามารถช่วยเซียงชานได้บ้าง ระหว่างนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรีบมารายงานฉันทันที เข้าใจไหม?”

หัวฉีเฉินพยักหน้าและหันหลังจากออกไป

หัวเซินซวนนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ตอนนี้เขาได้ค้นพบสิ่งหนึ่งแล้วคือ ตระกูลจ้าวไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นแค่ผิวเผินจริงๆ และนี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตระกูลหัวต้องตัดสินใจแล้วว่า จะยอมจำนนแต่เพียงเท่านี้หรือเดินหน้าสู้ให้ตายไปข้างกับตระกูลจ้าว

ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ย่อมต้องเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเสมอ ดังนั้นหัวเซินซวนจึงรีบโทรแจ้งบริษัทการท่าเรือของตระกูลหัวทันที โดยบอกพวกเขาว่าอย่าเพิ่งเดินเรื่องออกไปไหนในช่วงนี้ และเรียกระดมลูกเรือทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา

หากท้ายที่สุดนี้จำเป็นต้องต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ กำลังสำคัญที่สุดของฝ่ายตระกูลหัวก็คือลูกเรือพวกนี้

อีกด้านหนึ่ง พอจ้าวเฉียนออกจากโรงพักมาได้ เขาก็โทรหาหัวเซินซวนทันที

หัวเซินซวนเอ่ยถามคำแรกด้วยความประหลาดใจว่า

“นึกยังไงถึงโทรหาฉัน?”

จ้าวเฉียนหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยตอบไปว่า

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะบอกว่า ตอนนี้ผมออกจากโรงพักมาได้แล้ว คุณทำได้แสบมาก และนี่ก็ทำให้ผมโกรธมากจริงๆ หลังจากนี้ผมจะตามล่าพวกคนสกุลหัวให้ถึงที่สุด ดังนั้นเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี ผมลอบโจมตีพวกคุณได้ตลอดเวลา นี่ถือว่าเตือนแล้วนะครับ”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจถอนออกมาเฮือกใหญ่ ตอบกลับทันทีโดยไม่มีเกรงกลัวว่า

“คิดว่าจะทำให้ฉันตกใจได้งั้นเหรอ! พวกเราตระกูลหัวจำเป็นต้องกลัวไอ้เด็กเหลือขออย่างแกไหม? มาเลย! ฉันรอให้แกเริ่มก่อน นี่ถือว่าต่อให้แล้ว!”

จ้าวเฉียนหัวเราะก่อนวางสายไป ในเวลาเดียวกัน หวานเจียงก็พาบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอที่แม่จ้าวเฉียนเป็นคนจัดแจงให้มา

หวานเจียงเอ่ยถามทันทีด้วยความประหม่าว่า

“เป็นยังไงบ้าง? ปลอดภัยดีใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“แน่นอน ไม่มีใครทำอะไรฉันได้อยู่แล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

หวานเจียงพยักหน้าแต่ระหว่างขึ้นรถ จู่ๆ เธอก็กล่าวขึ้นว่า

“ฉันต้องกลับตงไห่แล้วจริงๆ บริษัทเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ฉันต้องรีบกลับไปจัดการ”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นโดยไว

“เกิดอะไรขึ้น ปัญหาใหญ่ไหม?”

หวานเจียงส่ายหัวและกล่าวว่า

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น แค่เกิดอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำ มีนักแสดงคนหนึ่งพลัดตกแม่น้ำจมน้ำตาย ฉันต้องรีบกลับไปจัดการน่ะ”

แม้คำพูดของเธอจะดูเลือดเย็นเกินไปหน่อยก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ถึงชีวิตตัวเองย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่จริงๆ กองถ่ายหนังมีข่าวอุบัติเหตุคนตายตั้งเยอะแยะ ซึ่งทางบริษัททำหนังเองก็ทำประกันไว้ให้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

หวานเจียงอยู่ที่นี่ต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่ดี แถมเดิมทีจ้าวเฉียนก็ต้องการให้เธอกลับไปคุมบริษัท ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบไปว่า

“โอเค งั้นเธอกลับไปก่อนเลย ถ้าทุกอย่างจบแล้ว ฉันจะรีบตามเธอไป”

หวานเจียงพยักหน้าและนั่งรถกลับไปพร้อมจ้าวเฉียน เพื่อจัดกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับ

จ้าวฝู่กับอวีกุ้ยเฟิงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยพอได้ยินว่า หวานเจียงกำลังจะกลับตงไห่

“เสี่ยวเจียง ฉันเลี้ยงลูกมาไม่ดีเอง ถึงหมอนี่จะปากหมาไปบ้าง แต่ทั้งหมดเขาก็ทำไปเพราะหวังดี อย่าโกรธเลยนะ”

อวีกุ้ยเฟิงรีบกล่าวปลอบโยน

หวานเจียงถึงกับหลุดขำ และรีบกล่าวตอบไปว่า

“คุณแม่จ้าวเฉียนเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูไม่ได้กลับเพราะทะเลาะกับจ้าวเฉียน แต่ตอนนี้บริษัทประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย แล้วหนูจำเป็นต้องรีบกลับไปแก้ไขโดยเร็วที่สุด”

อวีกุ้ยเฟิงคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า เหลือบไปเห็นจ้าวเฉียนที่มองแรงใส่ เธอหัวเราะแก้เขินและยิ้มตอบไปว่า

“อ้าวเหรอ ฮ่าฮ่า…ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ ระหว่างทางถ้ามีปัญหาอะไรก็รีบโทรหาจ้าวเฉียน นี่เป็นครั้งแรกที่หนูได้เจอกับครอบครัวของเรา นี่จ๊ะ…ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ”

หลังจากพูดจบ อวีกุ้ยเฟิงก็ยื่นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนให้แก่หวานเจียง แม้เงินจำนวนนี้จะไม่มาก แต่นี่ก็สื่อให้เห็นแล้วว่า พวกเขาพึงพอใจในตัวหวานเจียงอย่างมาก

หวานเจียงลังเลอยู่สักครู่ใหญ่ เธอไม่สามารถรับเงินจำนวนมากขนาดนี้ได้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หยิบไปสักที อวีกุ้ยเฟิงก็กล่าวถามขึ้นว่า

“เอ่อ…มันน้อยเกินไปรึเปล่า?”

หวานเจียงรีบโบกมือปัดโดยไว อธิบายไปว่า

“ไม่เลยค่ะ! ไม่เลย! อย่าเข้าใจหนูผิดนะคะ นี่มากเกินกว่าที่หนูจะรับได้จริงๆ ค่ะ อีกอย่างจ้าวเฉียนก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะคบหากับหนูอย่างจริงๆ จังๆ ดังนั้นหนูก็ถือเป็นคนนอก ไม่กล้ารับจริงๆ ค่ะ”

จ้าวฝู่ยิ้มและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ถือซะว่า เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณที่มาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับพวกเราล่ะกัน ถ้าหนูไม่รับพวกเราคงไม่สบายใจเช่นกัน รับไปเถอะนะ”

จ้าวเฉียนหยิบเช็คยัดใส่มือหวานเจียงโดยตรง และยิ้มกล่าวว่า

“รับไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นคำขอบคุณที่ยอมมาเจอครอบครัวฉัน”

หวานเจียงขมวดคิ้วย่น พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ใส่จ้าวเฉียนและกล่าวว่า

“ฉันมีเงินเหลือกินเหลือใช้อยู่แล้วย่ะ แล้วอีกอย่างที่ฉันไม่อยากรับเช็คใบนี้เพราะเกรงใจพ่อแม่ของนายไม่ใช่นายสักหน่อย!”

อวีกุ้ยเฟิงรีบขยิบตาให้ลูกชายของเธอโดยไว ซึ่งจ้าวเฉียนเองก็เข้าใจได้ในทันทีและหันมากล่าวกับหวานเจียงต่อว่า

“ถ้าอย่างนั้น…ถือเป็นคำขอบคุณในฐานะแฟนของฉันก็แล้วกัน เงินนี้ถือเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ครอบครัวฉันมีให้เธอ ถ้าไม่รับเอาไว้ก็ถือว่าปฏิเสธครอบครัวของฉันทางอ้อม”

“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่ายังไม่ได้ตัดสินใจคบหากับฉัน? ฉันไม่ใช่แฟนของนายสักหน่อย แล้วฉันจะรับเช็คใบนี้ได้ยังไง?”

หลังจากพูดจบหวานเจียงก็คืนเช็คให้แก่จ้าวเฉียนอีกครั้ง เธอบอกลาทุกคนและหันหลังกลับไปทันที

จ้าวฝู่รีบตีศอกใส่ลูกชายตัวเองทันทีและกล่าวว่า

“ไอ้ลูกชาย แกรีบไปส่งเธอที่สนามบินเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่ายังไงเช็คใบนี้ต้องอยู่ในมือเธอให้ได้!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและรีบวิ่งตามหวานเจียงออกไปทันที

ซึ่งทางหวานเจียงเองก็จงใจเดินให้ช้า เพื่อเปิดโอกาสให้จ้าวเฉียนวิ่งตามเธอให้ทัน

ไม่นานจ้าวเฉียนก็ตามทันในที่สุด รีบช่วยเธอลากกระเป๋าเดินทางและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“คนสวย ให้ฉันช่วยถือกระเป๋านะ จะปล่อยให้นางฟ้าแบกสัมภาระขึ้นเครื่องโดยลำพังได้ยังไงจริงไหม?”

หวานเจียงเหลือบมองพลางตอบกลับพร้อมสายตารังเกียจว่า

“ปากหวานเชียวนะ แสร้งทำเป็นคนดีรึไง? ใครกันที่บอกฉันว่า เธอไม่ใช่สเป็กของฉันเลย และเธอต้องมาที่หยานจิ้งรับบทเป็นแฟนกัน เหอะ เหอะ…นายนี่มันปลอมเปลือกจริงๆ!”

จ้าวเฉียหัวเราะคิกคักตอบกลับไปว่า

“ผู้หญิงนี่แปลกจริงๆ แหะ พอพูดจริงก็หาว่าหลอก แต่โกหกดันหลงว่าจริง แล้วเธอคิดว่าตอนนี้ฉันพูดจริงหรือหลอกกันล่ะ?”

“จริงหรือหลอกนายนั้นแหละควรรู้ดีอยู่ในใจ! ไม่ต้องมาพูด ฉันไม่อยากฟังแล้ว น่าเบื่อ!”

หลังจากพูดจบ หวานเจียงก็เร่งฝีเท้าเดินลงจากภูเขา จ้าวเฉียนทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เดินลากกระเป๋าตามลงไป

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงที่จอดรถบริเวณตีนเขา จ้าวเฉียนเรียกคนขับรถให้ไปส่งที่สนามบิน

ทั้งสองไม่พูดคุยกันสักคำระหว่างทาง จนกระทั่งพวกเขามาถึงสนามบิน ขณะที่หวานเจียงจะเดินเข้าเกจ เธอก็หันหลังมากล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“ระวังตัวด้วย คิดให้ดีก่อนจะลงมือทำอะไร เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“ฉันรู้ดีหน่า หลังจากกลับไปทำงาน มีเวลาว่างก็หัดออกกำลังกายดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ถ้าฉันจัดการปัญหาตรงนี้เสร็จเมื่อไหร่ จะรีบกลับไปหาเธอทันที รอฉันหน่อยนะ…”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็ยัดเช็คลงในมือของหวานเจียงอีกครา

และครั้งนี้หวานเจียงก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอยิ้มและพยักหน้าตอบ เดินตรงเข้าไปกอดจ้าวเฉียนก่อนจะเดินลากกระเป๋าเข้าเกทไป

จ้าวเฉียนมองดูเธอเดินจากไปจนรับสายตา เขาหมุนตัวกลับสีหน้าจากยิ้มแย้มกลายมาเป็นมืดทมิฬลงทันใด ต่อจากนี้ถึงเวลาที่เขาต้องชำระแค้นกับตระกูลหัวแล้ว!

ตอนที่279 คำถามมากมาย

ด้านหนึ่งตระกูลหัว อีกด้านหนึ่งตระกูลจ้าว ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิดในเรื่องนี้ ตราบใดที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องขุ่นเคือง หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องขุ่นเคือง

ดังนั้นหลินเซียะจึงให้ทั้งสองมาเจรจากันเป็นส่วนตัว เพื่อหาแนวทางร่วมกันของทั้งสองฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะข่าวได้แพร่กระจายสู่สาธารณะชนเรียบร้อย และพวกเขาต้องดำเนินการอย่างเปิดเผย

หัวเซินซวนโกรธจัดจนรู้สึกแน่นหน้าอก ทั้งๆที่เขาเคยย้ำกับเซียงซิ่วไปแล้วว่า เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งกับเรื่องดังกล่าว แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ฟัง

หลินเซียะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้กุมตัวจ้าวเฉียนเพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ส่วนหัวเซียงชานที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำลายหลุมศพ อาจต้องโทษจำคุก แต่ปัจจุบันอีกฝ่ายยังต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจึงต้องละเว้นไปก่อน

จ้าวฝู่กำลังอ่านเอกสารจิบกาแฟตามปกติสุข ทันใดนั้นหัวหน้าพ่อบ้านหวังเจ๋อก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาโดยไว

“นายท่าน! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เร็ว!”

หวังเจ๋อกล่าวน้ำเสียงร้อนรน คล้ายว่ากำลังกังวลใจ

จ้าวฝู่วางเอกสารในมือลง และหยิบมือถือเปิดอ่านข่าวในอินเตอร์เน็ตทันที

“ไปเรียกคุณนายอวีมา!”

จ้าวฝู่ตะโกนสั่ง

หลังจากหวังเจ๋อตอบปากรับสั่ง เขาก็รีบวิ่งไปเรียกอวีกุ้ยเฟิง

“พี่ฝู่ ตอนนี้พี่จะทำยังไง? ลูกเราโดนสอบสวนอยู่ในสถานีตำรวจ!”

อวีกุ้ยเฟิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทีร้อนรนเช่นกัน

“เธอโทรหาหลินเซียะ ถามเขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

จ้าวฝู่เอ่ยตอบ

อวีกุ้ยเฟิงพยักหน้าและโทรหาหลินเซียะในทันที หลินเซียเชื่อมสายรับโดยไวและชิงกล่าวก่อนว่า

“คุณนายอวี ผมกำลังจะโทรหาคุณพอดี คุณนายน่าจะเห็นข่าวแล้วใช่ไหม เรื่องนี้จะให้เจรจากันโดยส่วนตัวไม่ได้แล้ว ผมต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงกับทางส่อ หวังว่าคุณนายจะไม่ถือโทษโกรธผมนะครับ”

อวีกุ้ยเฟิงไม่สนเรื่องนี้ เธอเอ่ยถามไปตามตรงว่า

“แล้วลูกชายฉันล่ะ?”

“ไม่ต้องกังวลเลยครับคุณนายอวี เขารับมือกับสถานการณ์ได้ดีมาก เหลือก็แค่ให้เหตุผลตอบนักข่าวกลับไปดีๆ เพื่อกันไม่ให้นักข่าวพวกนี้ใส่ไข่ใส่ฝืนเพิ่มได้ ถ้ากรณีเลวร้ายที่สุด คุณนายอวีต้องหาแพะมาแทนเขาครับ”

บรรดาบอดี้การ์ดตระกูลจ้าว ทุกคนล้วนภักดีต่อจ้าวฝู่ยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นในกรณีนั้นการจะส่งพวกเขาไปเป็นอพะรับบาปแทนย่อมไม่มีปัญหา ดังนั้นประเด็นสำคัญคือ ความปลอดภัยของตัวจ้าวเฉียนในขณะนี้

หลินเซียะอธิบายต่อว่า

“เรื่องนี้ถ้าว่าไปตามกฎหมายคุณชายจ้าวผิดครับ และมีแนวโน้มสูงมากที่เขาจะต้องรับโทษ แต่ถ้าดูจากสำนวนคดียังพอมีช่องโหว่โยนให้แพะรับบาปอยู่ได้บ้าง เพราะคนที่ตัดมือของหัวเซียงชานไม่ใช่ตัวคุณชายจ้าวเอง ดังนั้นเขายังปลอดภัยแน่นอนครับ”

อวีกุ้ยเฟิงได้ยินหลินเซียะพูดแบบนี้ก็โล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก เธอรีบขอบคุณเขาทันที

“ขอบคุณมากค่ะผู้ว่าหลิน ถ้ามีเวลาว่างดิฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงดินเนอร์สักมื้อนะคะ”

หลินเซียะยิ้มตอบกลับไปว่า

“ค่อยว่ากันครับ ผมขอตัวจัดการกับเรื่องตรงนี้ก่อน”

หลังจากพูดจบอวีกุ้ยเฟิงก็วางสายไปและรีบรายงานให้จ้าวฝู่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

จ้าวฝู่ไม่รีรอเซ็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนและวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โทรเรียกบอดี้การ์ดอาลีให้เข้ามา

“อาลี มาพบฉันที่ห้องหนังสือหน่อย”

จ้าวฝู่กล่าวอย่างใจเย็น

อาลีรีบตอบกลับไปทันที

“ครับผมนายท่าน”

ในไม่ช้าอาลีก็เดินเข้ามาและเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายท่าน มีอะไรรึเปล่าครับ?”

จ้าวฝู่พูดไปตามตรงว่า

“ฉันได้รับรายงานแล้ว ตอนนี้ลูกชายฉันโดนคุมตัวอยู่ในโรงพัก แต่ทางตำรวจบอกว่า คดีนี้ยังพอมีช่องโหว่ให้สลับตัวคนผิดได้ ซึ่งนายเป็นคนตัดมือหัวเซียงชานน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ช่วยไปรับโทษแทนลูกชายฉันที นี่เงินหนึ่งล้านหยวน รับไป”

อาลีไม่ได้รู้สึกโกรธหรือลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบเช็คใบนั้นขึ้นมาและกล่าวตอบไปว่า

“ขอบคุณมากครับรนายท่าน ผมจะเข้ามอบตัวเดี๋ยวนี้”

จ้าวฝู่พยักหน้าและเดินเข้าไปตบไหล่อาลีว่า

“ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันจะขอให้ทนายมือหนึ่งของฉันออกโรงสู้คดีแทนนายเอง ฉันไม่ปล่อยให้บอดี้การ์ดเก่งๆอย่างนายต้องเข้าคุกแน่นอน เรื่องครอบครัวนายไม่ต้องห่วง ฉันยังส่งเงินค่าดูแลให้ตลอด ส่วนเงินหนึ่งล้านนี้เก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัวเถอะ”

อาลีโค้งคำนับจ้าวฝู่ด้วยความซาบซึ้งทันทีและกล่าวขอบคุณอีกครั้งว่า

“ขอบคุณสำหรับความปรารถนานาดีตลอดมาของนายท่านครับ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังเด็ดขาด!”

มีเงินชดเชยในจุดนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่ผ่านมาจ้าวฝู่จ่ายเงินดูแลครอบครัวของเขาให้กินดีอยู่ดีมาโดยตลอด ดังนั้นอาลีย่อมภักดีต่อจ้าวฝู่ยิ่งกว่าอะไร

ไม่นาน อาลีก็เข้ามอบตัวกับทางตำรวจและขอรับผิดชอบความผิดทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

ทางตำรวจเองก็ดำเนินการโดยไว และตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนทันที

สรุปโดยรวมรูปความคดีที่มีการชี้แจงต่อสาธารณะ ได้ความคือ ตระกูลหัวเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยการทำลายหลุมศพของบรรพบุรุษของตระกูลจ้าวจนเละ ทางจ้าวเฉียนจึงแค้นอาฆาตอย่างมาก จึงนำคนบุกเข้าไปในบ้านของตระกูลจ้าว แต่ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียง อาลีพลั้งพลาดตัดมือของหัวเซียงชานโดยไม่เจตนา

ฟังโดยผิวเผิน เรื่องนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลและมีมูลเหตุที่ทำให้ตระกูลจ้าวต้องตอบโต้แบบนี้ แต่สำหรับตระกูลหัว พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

หัวเซินซวนโทรหาหลินเซียะทันที พยายามกล่าวประท้วงว่า

“ผู้ว่าหลิน นี่มันหมายความว่ายังไง ชี้แจงออกไปแบบนี้ นี่คุณปกป้องเขาเหรอ?”

หลินเซียะตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมกลับไปทันทีว่า

“คุณหัวพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ผมเป็นตำรวจตัดสินตามรูปคดีและหลักฐาน แล้วคุณจะมาใส่ร้ายผมแบบนี้งั้นเหรอ? แถมเรื่องทั้งหมดก็เริ่มมาจากหลานของคุณก่อนจริงไหม?”

“มันก็ใช่ เป็นเขาที่เริ่มก่อนจริงๆ แต่คนที่เข้ามามอบตัวมันปฏิบัติตามคำสั่งของจ้าวเฉียน ผู้บงการตัวจริงคือจ้าวเฉียนไม่ใข่คนที่ชื่ออาลี แต่สิ่งที่คุณพูดออกไป มันเห็นได้ชัดว่าคุณจงใจปกป้องจ้าวเฉียน!”

หัวเซินซวนกล่าวตอบไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง

หลินเซียะยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เราคงไม่สามารถนำคำพูดของคุณประกอบในรูปคดีได้ นอกเสียจากมีหลักฐานพร้อม ตัวอย่างเช่น คลิปจากกล้องวงจรปิดเป็นต้น”

หัวเซินซวนเป็นนักธุรกิจมือเก๋ายิ่งกว่าทหารผ่านศึก แค่ได้ยินคำอธิบายของหลินเซียะ เขาก็รู้แล้วว่า อีกฝ่ายกำลังเข้าข้างใครอยู่ เว้นเสียแต่ตระกูลหัวจะสามารถหาหลักฐานชิ้นเอกมามัดตัวจ้าวเฉียนได้เท่านั้น

หัวเซียงซิ่วที่เห็นคำแถลงการณ์ของทางตำรวจ เธอก็กระทืบเท้าอย่างแรงด้วยความโกรธจัด

หลังจากที่หัวเซินซวนวางสายไป เขาก็หันมาด่าเธอต่อทันทีว่า

“ใครขอให้หลานเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้! เดิมทีมันก็ยุ่งเหยิงพออยู่แล้ว แต่หลานกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า! อันที่จริงเป็นฝ่ายเราที่ถือไพ่เหนือกว่าด้วย แต่ตอนนี้เรากลับตกเป็นรองแล้ว! หลานจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง!”

แต่หัวเซียวซิ่วก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณปู่ของเธอกล่าวไป เห็นได้ชัดว่า เป็นฝ่ายตระกูลหัวที่ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ ยังไงพวกเขาก็ได้เปรียบทางด้านกฎหมาย แล้วทำไมถึงต้องไปเจรจากับคนผิดเป็นการส่วนตัว สู้เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวสู่สาธารณะให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าใครผิดใครถูก วิธีการของเธอมันไม่ดียังไง? แล้วทำไมคุณปู่ถือต้องโทษเธอด้วย?

หัวเซินซวนไม่มรีอารมณ์จะมานั่งอธิบานกับหลานสาวผู้โง่งมคนนี้มากนัก เขาหันไปตะคอกใส่หัวฉีเฉินโดยตรงว่า

“แกที่เป็นพ่อเธอ ก็หัดสั่งสอนเธอให้อยู่กับร่องกับรอยซะบ้าง! ถ้าปล่อยให้เธอออกมาสร้างปัญหาอีกรอบ แกเตรียมตัวรับโทษ!”

หัวฉีเฉินรีบพยักหน้ากล่าวตอบกลับไปทันที

“เข้าใจแล้วครับพ่อ ผมจะคอยเฝ้าระวังเธอเป็นอย่างดีไม่ให้สร้างปัญหาได้อีก!”

หัวเซียงชานที่นอนอยู่บนเตียง ยามนี้ก็ทนไม่ไหวกับคำพูดของคุณปู่แล้วเช่นกัน เขาตะโกนแย้งขึ้นทันทีว่า

“เซียงซิ่วพูดถูก! ผมต้องได้รับคาวมยุติธรรม! ผมจะใช้วิธีทางกฎหมายเอาผิดไอ้พวกตระกูลจ้าวให้ได้! พ่อกับปู่เป็นอะไรกันไปหมด! ทำไมถึงไม่เข้าข้างพวกผม! พวกคุณยังคู่ควรที่จะเรียกตัวเองว่าพ่อกับปู่อยู่ไหม!?”

ครั้งนี้หัวเซียงชานพูดมากเกินไปหน่อย จึงทำให้หัวฉีเฉินโกรธจัดตะคอกส่วนกลับไปว่า

“ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ!? น้ำหน้าอย่างแกไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ!”

หัวเซินซวนเองก็สุดจะทนแล้วเช่นกัน เขาคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว! พ่อกับปู่เป็นอะไรงั้นเหรอ? ถ้าพวกฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อกับปู่พวกแก แล้วพวกแกล่ะ? คู่ควรที่จะเป็นหลานชายกับหลานสาวของฉันไหม!! คิดอะไรตื้นๆปล่อยตัวไปตามอารมณ์จนทุกคนในตระกูลหัวต้องเดือดร้อนกันหมด! อีกฝ่ายมันแข็งแกร่งกว่าที่แกเห็นมาก! ครั้งนี้พวกเราเจอเสี้ยนใหญ่แล้ว!”

ประโยคชุดใหญ่ของคุณปู่ ทำเอาหัวเซียงชานและหัวเซียงซิ่วตกตะลึงอ้าปากค้างเติ่งอยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาทั้งคู่ทำอะไรไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังจริงๆ

“หนูไม่อยากฟังแล้ว! พวกคุณไม่คู่ควรที่จะเป็นปู่กับพ่อของหนู!!”

หัวเซียงซิ่วทิ้งทวนด้วยวาจาแสนจี้ใจดดำ และหันหลังวิ่งออกไปทันที

ไม่ว่าหัวเซินซวนกับหัวฉีเฉินจะตะโกนเรียกยังไง เธอก็ไม่แม้แต่หันกลับมามอง

ตอนที่278 เป็นส่วนตัวไม่ได้แล้ว

หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว หัวเซินซวนก็ได้ไปให้ข้อมูลกับทางตำรวจและตกลงที่จะนัดพบเพื่อเจรจาแก้ไขข้อพิพาท

ตอนบ่ายสามโมง จ้าวเฉียนนำกลุ่มบอดี้การ์ดมาพบกับหัวเซินซวนที่สถานีตำรวจ

หัวเซินซวนตอนนี้ดูเกรี้ยวโกรธอย่างมาก ในขณะที่จ้าวเฉียนเองก็ดูหัวเสียไม่น้อยเช่นกัน

ผู้ว่าเมืองหวานจิ้ง หลินเซียะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการไกล่เกลี่ยเป็นการส่วนตัว เพื่อทำให้ทั้งสองดำเนินการเจรจาด้วยความราบรื่น และแก้ไขปัญหาให้ทั้งสองฝ่าย

จ้าวเฉียนไม่ต้องการพล่ามไร้สาระกับหัวเซินซวน ดังนั้นเขาจึงกล่าวไปตามตรงว่า

“อันที่จริงแล้ว ผมว่าไม่มีอะไรต้องคุยกันให้มากความหรอกนะครับ หลานชายของคุณทำลายหลุมฝังศพของคุณย่าผม การที่ผมตัดมือเขาเป็นการสั่งสอน นับว่าจบเรื่องแล้ว”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจอย่างเย็นยะเยือกออกมา และกล่าวตอบไปว่า

“แค่พูดมันง่าย ตัดครั้งเดียวเท่ากับชีวิตหนึ่งชีวิตพิการตลอดไป! ไอ้หนุ่ม แกต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาหลังจากนี้! ค่าทำขวัญอย่างน้อยร้อยล้าน! และส่งคนมาคอยดูแลตรวจสอบว่า หลังจากนี้เขาจะมีชีวิตที่ดีในอนาคต!”

จ้าวเฉียนไม่ไว้หน้าตาแก่หัวเซินซวนอีกต่อไป เขากล่าวตอบทันทีด้วยท่าทางแสนเย้ยหยันว่า

“ร้อยล้าน? ได้นะ เดี๋ยวผมเผาไปให้หลังจากมันตายแล้ว! ผมไม่มีทางให้ในตอนที่มันยังมีชีวิต!”

หัวเซินซวนยั๊วจัด ตบโต๊ะเสียงดังปังตะโกนด่าสาปแช่งเสียงดังลั่น

“แกพูดว่าอะไรนะ! ต้องให้ใช้กำลังกันใช่ไหม!?”

หลิวเซียะสะดุ้งเฮือกรีบพูดแทรกขึ้นทันทีว่า

“พวกคุณทั้งสอง พวกคุณทั้งสองใจเย็นกันก่อนนะครับ อย่าเพิ่งใช้อารมณ์กันเลย ผมเชื่อว่าวันนี้พวกเราจะต้องหาหนทางแก้ไขปัญหากันได้แน่นอน”

หัวเซินซวนกล่าวตอบชักสีหน้าไม่พอใจว่า

“ผู้ว่าหลิน งั้นคุณไปคุยกับเขาเองดีไหม นี่ผมกำลังคุยกับคนหรือสัตว์ก็ไม่รู้!”

จ้าวเฉียนโต้กลับทันควันว่า

“แล้วไอ้สิ่งที่คุณหัวพูดไปเหมือนมนุษย์มากเลย? อ่อลืมไป…ขนาดหลานคุณเองยังเป็นสัตว์นรกเลย!”

หลินเซียะรีบลุกขึ้นห้ามหัวเซินซวนไม่ให้พุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายจ้าวเฉียนทันที จากนั้นพยายามคลี่ยิ้มอ่อนปลอบประโลมว่า

“คุณหัวใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เรื่องราคาสามารถต่อรองกันได้ แต่ตั้งร้อยล้านมันดูเหมือนจะมากเกินไปจริงๆ ตามบทบัญญัติของข้อกฎหมาย ค่าสินไหมสูงสุดอยู่แค่สิบล้านเท่านั้น แต่ในฐานะที่เป็นคุณหัวต้องไม่ใช่ธรรมดา ดังนั้นผมเสนอว่า ให้อีกฝ่ายจ่ายค่าชดเชยสักยี่สิบล้านตกลงไหมครับ?”

พูดกันตามตรง จ้าวเฉียนไม่ต้องการหยิบเงินออกมาจ่ายแม้แต่สลึงเดียว เขาตัดมือของหัวเซียงลานยังไม่พอ และกลับเป็นฝ่ายเขาเองมากกว่าที่ต้องได้รับค่าชดเชยเรื่องหลุมศพที่โดนทำลาย

ยี่สิบล้านมันไม่ได้สำคัญกับจ้าวเฉียนเลย แต่ถ้าจ่ายแล้วเรื่องทุกอย่างจบ ก็พอจำใจจ่ายๆ ไปได้

แต่หัวเซินซวนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเงินชดเชยจำนวนแค่นี้ นี่เท่ากับว่ามือของหลานชายมีค่าแค่ยี่สิบล้านเท่านั้น? นี่กำลังเล่นตลกอยู่รึไง?

“ผู้ว่าหลินล้อเล่นกับผมเกินไปแล้วมั้ง? แค่ยี่สิบล้าน ถ้าผมอยากได้สักร้อยล้าน คงต้องไปหาตัดมือคนอื่นเพิ่มว่างั้น? ตลกจริงๆ!”

หัวเซินซวนกล่าวประชดประชันออกไป

หลินเซียะยิ้มสู้กลับไปว่า

“ผมรู้นะครับว่าเงินยี่สิบล้านสำหรับตระกูลหัวมันเล็กน้อยมาก แต่ตามกฎหมายแล้ว ค่าชดเชยของคนทั่วไป จริงๆ เขาเรียกกันมากสุดแค่แสนสองแสนเอง…”

หัวเซินซวนตะคอกสวนกลับไปทันที

“ผมไม่ต้องการเงิน ผมต้องการโยนมันเข้าคุก! จบไหม!!”

หลินเซียะส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“แต่เป็นฝ่ายหลานชายของคุณที่ไปทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของอีกฝ่ายก่อน คุณเองก็น่าจะทราบดีว่าเรื่องเป็นมายังไง มีบางอย่างที่ผมไม่สามารถพูดได้ เพราะมันเกินขอบเขตหน้าที่ของผมไปแล้ว ดังนั้นคุณควรเข้าใจ สถานะของคุณชายจ้าวคนนี้ไม่ธรรมดา พูดกันตามตรง ตระกูลหัวไม่ใช่คู่มือของพวกเขาเลย การที่คุณชายจ้าวยอมเจรจาด้วยแบบนี้ นับว่าดีมากแล้วครับ”

แน่นอนว่าการที่หัวสเซินซวนเต็มใจมาเจรจาครั้งนี้ ก็เป็นเพราะหวาดกลัวในภูมิหลังของจ้าวเฉียน

ยิ่งได้ยินคำพูดยืนยันจากปากผู้ว่าหลิน หัวเซินซวนยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่า ตระกูลจ้าวที่อยู่เบื้องหลังเด็กคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้จริงๆ

หัวเซินซวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า

“ผมไม่เอายี่สิบล้าน แค่ให้ไอ้หนุ่มนี้กลับไปรายงานเรื่องนี้กับทางบ้าน ถ้าเขาจ่ายไม่ได้ก็มาขอโทษ แล้วตระกูลหัวจะไม่ตามล่าอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าจ่ายไหว ก็ต้องชดใช้มาร้อยล้านตกลงไหม?”

หลิวเซียะไม่กล้าใช้คพพูดบีบเค้นจ้าวเฉียน เขาจึงได้แต่นั่งรอฟังเงียบๆ

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง และคิดว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยสถานะของครอบครัวอะไรมากมาย จึงตอบไปแค่ว่า

“ต้องขอโทษจริงๆ ครับ นี่คงกำลังทดสอบว่าภูมิหลังของผมตื้นลึกหนาบางแค่ไหนใช่ไหมครับ? ไม่จำเป็นต้องถาม ผมบอกได้แค่ว่า คุณเสนอเงื่อนไขมาเลย ถ้าไม่มากเกินไปผมย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว”

ต่อหน้าหลินเซียะ จ้าวเฉียนยังไว้ไมตรีมีความสุภาพอยู่บ้าง แต่แม้สิ่งที่เขากล่าวไปจะดูสำรวม ทว่านี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะมาไม้ไหน ขาวหรือดำจ้าวเฉียนคนนี้ก็ไม่กลัว

ขณะที่หัวเซินซวนกำลังลังเลคิดไม่ตก จู่ๆ หัวฉีเฉินก็โทรมา เขารับสายทันทีและเอ่ยถามว่า

“มีอะไร ฉันไม่ว่างคุยตอนนี้”

“พ่อ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เซียงซิ่วดันไปบอกนักข่าวกับพวกสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้! แถมยังโพสต์ในอินเตอร์เน็ตอีกว่า พวกอันธพาลตระกูลจ้าว นำคนเถื่อนบุกบ้านตระกูลหัวพร้อมตัดมือทายาทคนโตจนขาด!”

หัวเซินซวนทั้งตกใจและโมโหอย่างมากในเวลาเดียวกัน เขาตวาดเสียงหลงดังลั่น

“นี่แกปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง!!? แกไม่ดูเธอเหรอ! ปล่อยให้ทำอะไรแผงๆ แบบนี้!!”

หัวฉีเฉินรู้สึกผิดอยู่หลายส่วนและตอบกลับไปว่า

“ผมเฝ้ามองเธออยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็พลาด ใครจะไปคิดว่าเธอจะโพสต์เรื่องแบบนี้ในโลกอินเตอร์เน็ต แถมขึ้นชื่อว่าสื่อโซเซียล ข่าวนี้มันกระจายเร็วมาก! จนมีนักข่าวหลายสำนักมาติดต่อเซียงซิ่วโดยตรง ตอนนี้พวกเรากำลังเร่งประชุมด่วน หาแนวทางรับมืออยู่ พ่อเอ๋ย…ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเจรจาแล้ว เราต้องรีบหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด!”

หัวเซินซวนได้แต่กรนด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน

“จะให้แก้ไขยังไงล่ะ!! จะให้แก้ไขยังไง! จะให้ฉันแก้ไขยังไง!! วีดีโอคอลผ่านตรงนี้เลย! เดี๋ยวนี้!!”

ในเวลาเดียวกัน ซือเคอ ผู้บังคับบัญชากองพันตำรวจแห่งเมืองหวานจิ้น ยามนี้รีบยกหูโทรหาหลินเซียะเป็นการส่วนตัว

หลินเซียะที่ได้รับรายงานในขณะนี้ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง ทันทีที่วางสายเขาก็หันไปพูดกับหัวเซินซวนทันทีว่า

“คุณหัว นี่มันหมายความว่ายังไง? ขณะที่กำลังเจรจาอยู่ตอนนี้ คุณยังกล้าใช้หลานสาวให้ทำเป็นเรื่องใหญ่อีกเหรอ? นี่คิดจะใช้แรงกดดันของประชาชนเอาผิดตระกูลจ้าวให้ได้เลยใช่ไหม?”

หัวเซินซวนแทบยกตีนก่ายหน้าผาก ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้หลินเซียะฟัง ทั้งหมดเป็นเพราะหลานสาวตัวดีของเขาแท้ๆ และเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย

หัวเซินซวนกล่าวตอบด้วยความรู้สึกผิดว่า

“ผู้ว่าหลินเข้าใจผิดแล้วครับ เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย ทั้งหมดเป็นเพราะความวู่วามของหลานสาวผม หลานคนนี้ถูกเลี้ยงดูในอเมริกา จึงค่อนข้างทำอะไรนอกกรอบ เป็นพวกหัวเสรีชน เธอแค่คิดว่าการทำแบบนี้จะช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้พี่ชายตัวเองได้ แต่ผมก็เคยเตือนไปแล้วว่า อย่ามาวุ่นวาย ผมไม่รู้จริงๆ ครับว่าเธอจะทำแบบนี้”

หลินเซียะทุบโต๊ะดังปัง ลุกขึ้นพรวดขึ้นทีและกล่าวน้ำเสียงฉุดเฉียวว่า

“พวกคุณทั้งคู่เจรจาจนกว่าจะได้ข้อสรุป! ผมต้องรีบจัดการเรื่องนี้ก่อน!”

หลังจากพูดหลิวเซียก็จากออกไปทันที เหลือเพียงจ้าวเฉียนกับหัวเซินซวนอยู่ในห้องกันสองต่อสอง

แต่ทั้งสองไม่ได้สนใจที่จะเจรจาใดๆ กันเลย ต่างคนต่างนั่งเงียบโดยไม่แม้แต่สบตากัน

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ หลินเซียะก็กลับเข้ามา

หัวเซินซวนเอ่ยถามขึ้นโดยเร็ว

“ผู้ว่าหลิน เป็นยังไงบ้าง? ข่าวถูกลบไปหมดแล้วใช่ไหม?”

ทว่าสีหน้าของหลิวเซียะตอนนี้กลับน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาตอบน้ำเสียงเย็นชากลับไปว่า

“ลบอะไรกัน? มันสายเกินไปแล้ว! ผมของประกาศ ณ ตรงนี้เลยว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณต้องจัดการเรื่องนี้เองอย่างเปิดเผย! ไม่อนุญาตให้ใช้เส้นสายและเจรจาเป็นการส่วนตัวอีกต่อไป!”

ตอนที่277 เลือกพูดคุยเพื่อสันติ

หัวเซินซวนนั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมตระกูลกล่าวขึ้นว่า

“ตอนนี้ทางตำรวจแจ้งกับฉันว่า พวกเขาต้องการให้พวกเราคุยกันอย่างสันติ ทุกคนมีความเห็นว่ายังไง จะเลือกวิธีสันติหรือจะสู้กับพวกมัน เราเน้นเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก”

ทัศนคติของหัวฉีเฉิน พ่อของหัวเซียงชานมั่นคงอย่างยิ่ง เขาคำรามเสียงดังลั่นว่า

“ไม่มีทาง! ต้องสู้เท่านั้น! ถ้าไม่ใช่วิธีนี้แล้วเราจะเอาหน้าที่ไหนอยู่ในเมืองหยานจิ้งนี้ต่อไปในอนาคต? แล้วเราจะอธิบายให้เซียงชานฟังยังไง?!”

แต่ลุงของหัวเซียงชานกลับมีทัศนคติที่แตกต่างกับเขา บางคนเห็นด้วยให้ต่อสู้ใช้กำลัง ส่วนอีกกลุ่มบอกเจรจาเพื่อสันติดีกว่า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

เหตุผลที่หลายคนเลือกที่จะสู้ล้วนเหมือนกันหัวฉีเฉินคือ เพื่อไม่ให้เสียหน้า

ถึงการเจรจาเพื่อสันติจะส่งผลดีกว่าก็จริงในอนาคต แต่พวกเขาในฐานะตระกูลใหญ่จะยอมเสียหน้าได้ยังไง?

ฮัวฉีเฉินตะโกนลั่นกล่าวว่า

“ไร้สาระ! พวกมันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน! จะปล่อยให้มันรังแกแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ? พวกเราเรียกลูกเรือทั้งหมดกลับมา อย่างน้อยๆก็รวบรวมกำลังคนกว่าหลายร้อยแล้ว ดังนั้นยังมีอะไรต้องกลัวอีก?”

หัวเซินซวนค่อนข้างระมัดระวังตัว เขากล่าวกับหัวฉีเฉินว่า

“ฉีเฉิน พรุ่งนี้แกส่งคนไปที่ท่าเรือเฉียนตงกับบริษัทรปภ.ของจ้าวฝู่ที่ไอ้เด็กนั่นยัดเงินจ้างมา พวกเราจะจ้างพวกมันกลับและให้ไปจัดการไอ้เด็กเวรนั่น! แต่ก่อนอื่นลองเจรจากันดูก่อน ถ้าความเห็นไม่ลงรอยค่อยลงมือ!”

หัวเซินซวนค่อนข้างรอบคอบจริงๆ ที่เขาต้องการทำแบบนี้ก็เพื่อเช็กดูว่าครอบครัวภูมิหลังของจ้าวเฉียนใหญ่แค่ไหน ถ้าสองบริษัทที่ไอ้เด็กนี่จ้างมาถูกพวกเขาซื้อใจไปได้ ก็หมายความว่าเบื้องหลังของมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร การจะเด็ดหัวทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ในทางตรงข้าม ถ้าสองบริษัทปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับตระกูลหัว นั้นหมายความว่า ตระกูลของจ้าวเฉียนไม่เพียงแค่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ก็ยังเรืองอำนาจอีกด้วย จนถึงขั้นทั้งสองบริษัทไม่กล้าล้ำเส้นรุกราน

ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเข้าใจความหมายของหัวเซินซวนที่กล่าวไปดี และตกลงที่จะลองทดสอบดูในวันำรุ่งนี้ ได้ความมายังไงหลังจากนั้นค่อยลงมัติกันอีกที

เช้าวันรุ่งขึ้น หัวฉีเฉินส่งคนไปที่ท่าเรือเฉียนตงและบริษัทของจ้าวฝู่ตามลำดับ โดยเสนอราคาค่าจ่าย100ล้านหยวน แลกกับให้มากระทืบจ้าวเฉียน

และอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทั้งสองบริษัทปฏิเสธข้อตกลงแทบจะในทันทีที่ได้ยิน

หลังจากที่หัวฉีเฉินได้รับทราบข่าวดังกล่าว เขาก็รีบไปหาหัวเซินซวนทันที

“พ่อ ดูเหมือนว่าไอ้เด็กสกุลจ้าวจะไม่ง่ายอย่างที่คิด สองบริษัทนี้ถึงขั้นปฏิเสธเงินร้อยล้าน นี่เหลือคำอธิบายได้แค่อย่างเดียว….ไอ้เด็กนี่จะต้องแซ่จ้าว…แซ่เดียวกับจ้าวฝู่แน่นอน! แต่ไม่ยักรู้เลยว่าพวกสกุลจ้าวจะใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ในหยานจิ้ง!”

หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย

หัวเซินซวนที่เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นมาว่า

“เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ ทุกหนแห่งล้วนมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ บางทีพวกสกุลจ้าวที่เรารู้จักอาจเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่เห็นอาจจะเป็นเสี้ยวเดียวของพวกมัน อนิจจา…นับว่าเป็นโชคร้ายที่ดันไปยั่วยุพวกสกุลจ้าวเข้า…”

หัวฉีเฉินเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วผมควรจะทำยังไงดี? ให้ยอมแพ้แค่นี้เหรอ?”

ในเวลาเดียวกันหัวเซียงซิ่วก็เดินเข้ามา เธอเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจว่า

“คุณปู่ นี่เราทำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอ? หนูไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมตำรวจถึงไม่จับมัน? กฎหมายของประเทศนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว?”

หัวฉีเฉินกล่าวตอบพร้อมสีหน้าจริงจังกลับไปว่า

“แน่นอนว่ากฎหมายของประเทศนี้ยังศักดิ์สิทธิ์ แต่ระดับชนชั้นในสังคมมันไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่า ทุกคนที่ฝ่าฝืนกฎหมายจะต้องถูกลงโทษเสมอไป นี่ยังขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของทั้งสองฝ่ายด้วย การจะมัดตัวส่งเข้าคุกเลยไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

หัวเซียงซิ่วเกิดและเติบโตที่อเมริกา ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจความหมายที่หัวฉีเฉินพยายามจะสื่อเลย พลางรู้สึกว่ากฎหมายของประเทศนี้จ้องพ่ายแพ้ให้แก่เงินตรา

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอเข้ามาวุ่นวายไปมากกว่านี้ หัวเซินซวนจึงกล่าวเตือนเธอไปว่า

“เซียงซิ่ว สิ่งที่เธอไปเรียนรู้มาจากอเมริกามันมาใช้กับประเทศจีนไม่ไกเ อย่ากังวลไปดเลย พ่อของหลานกับปู่คนนี้จะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด กลับไปโรงพยาบาลดูและเซียงชานเถอะ”

หัวเซียงซิ่วพ่นลมหายใจอย่างแรงพร้อมกับท่าทีผิดหวังและเดินจากไป

หัวเซินซวนพูดกับหัวฉีเฉินว่า

“ฉีเฉิน ไปเรียกทุกคนให้มาประชุมกันเดี๋ยวนี้ เราจะหารือเกี่ยวกับแนวทางว่าจะจัดการยังไงต่อ”

หัวฉีเฉินพยักหน้าและรีบโทรเรียกทุกคนให้มาที่บ้านกันโดยด่วน

หัวเซินซวนกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ฉีเฉินส่งคนไปทดสอบดูแล้ว ปรากฎว่าคนที่เรากำลังสู้อยู่ด้วยคือพวกสกุลจ้าว บางทีพวกมันอาจจะทรงอำนาจกว่าที่พวกเราเห็นเพียงผิวเผิน”

เมื่อคำกล่าวพวกนี้เปล่งดังออกมา ฝูงชนพลันต้องโกลาหลในทันใด

“ผมไม่ยักรู้เลยว่าพวกสกุลจ้าวจะทรงพลังขนาดนี้!”

“ใช่แล้ว เป็นเพราะสองบริษัทนี้เป็นของพวกมันรึเปล่า?”

“ในเมืองหยานจิ้งแห่งนี้ พวกสกุลจ้าวไม่เห็นจะมีชื่อเสียงอะไรมากมายเลย?”

……………

หัวเซินซวนกล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด เพราะเราแทบไม่รู้จักตราะกูลจ้าวเลย จึงไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งที่พวกเราไม่เคยเห็นมันจะทรงพลังขนาดไหน ฉันกลัวว่าสิ่งที่เราเห็นจะเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของพวกมัน ถ้าเผลอสร้างปัญหาให้ กลับเป็นพวกเราที่จะซวย ดังนั้น…ฉันถึงเรียกทุกคนมาประชุมนี่ไง พวกแกว่าเราควรจะทำยังไงต่อไปดี?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หัวเซินซวนพูดไป สมาชิกแต่ละคนของตระกูลหัวก็ปั้นสีหน้าชักจะลังเลขึ้นมา กลัวว่าคราวนี้พวกเขาจะแกว่งเท้าเสี้ยนเสียเอง

แต่แค่เพราะอีกฝ่ายทรงอำนาจกว่าก็เลยยอมอย่างงั้นเหรอ? อย่าพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีเลย จะปล่อยให้พวกมันตัดมือหัวเซียวลานไปฟรีๆอย่างงั้นเหรอ?

ในฐานะคนเป็นะพ่อ หัวฉีเฉินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เขากล่าวขึ้นทันทีว่า

“ต่อให้พวกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เรื่องนี้ผมไม่ยอมปล่อยให้จบลงง่ายๆแน่นอน เราต้องคืนความยุติธรรมให้เซียงชาน!”

ความเห็นของหัวฉีเฉินได้รับการสนับสนุนจากหลายๆคน พวกเขารู้สึกว่า ตระกูลจ้าวที่พวกเขาเคยได้ยินหรือรู้จักไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย และเป็นฝ่ายหัวเซินซวนที่คิดมากไปเองมากกว่า

อย่างไรเสียก็ยังมีบางคนที่ค่อนข้างรอบคอบ ต้องการเจรจากับอีกฝ่ายโดยสันติมากกว่า เพราะถ้าไม่รู้ไส้รู้พุงอีกฝ่ายดีพอก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น

หัวฉีเฉินเองก็เข้าใจความคิดของคนพวกนี้ ตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหัวเซียงชาน ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำรุ่นที่สี่ของตระกูลหัว และถ้าพวกเขาลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าและพลาดท่าขึ้นมา นั่นหมายถึงอนานคตของตระกูลหัวเตรียมตัวจบสิ้นได้เลย

เมื่อพิจารณาสถานการณ์โดยรวม หัวเซินซวนก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขาป่าวประกาศเสียงดังว่า

“ฉันคิดว่าโดยส่วนใหญ่ต้องการให้เจรจาอย่างสันติ แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นความอัปยศครั้งใหญ่สำหรับตระกูลเรา แต่เพื่อประโยชน์ของลูกหลานในอนาคต นี่คงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้เซียงชานได้รับความอยุติธรรมเช่นกัน”

หัวฉีเฉินที่ได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นคัดค้านทันที

“พ่อ! เซียงชานเป็นหลานชายของพ่อนะ! ทำไมถึงปฏิบัติกับเขาเย็นชาแบบนี้ แม้ว่าครอบครัวอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน เราก็จะไม่มีวันยอมก้มหัวให้มันเด็ดขาด!”

หัวเซินซวนตบโต๊ะดังปังลุกขึ้นพร้อมชี้หน้าทุกคนให้เห็น กล่าวว่า

“แล้วคนอื่นๆในนี้มีใครกล้าเสี่ยงตายไปพร้อมกับแกไหม! พวกเราตระกูลหัวมีกันเกือบร้อยคน ถ้าตัดสินใจอะไรโดยไม่คิด อาจจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด!”

ในความเป็นจริง การที่หัวเซินซวนตัดสินใจแบบนี้ก็หมายความได้อีกอย่างว่า เขาถอดตำแหน่งผู้สืบทอดออกจากหัวเซียงชานแล้ว เป็นใครจะยอมเสี่ยงฝากอนาคตของตระกูลไว้กับคนพิการ?

หัวฉีเฉินต้องการจะโต้แย่งกลับ แต่โดนหัวเซินซวนตะคอกสวนก่อนว่า

“เพราะฉันยังรักเซียงชานอยู่ไง จึงตัดสินใจเลือกที่จะยอมก้มหัวขอโทษและเจรจาหาข้อตกลงที่เป็นธรรมที่สุดสำหรับเขา! อีกอย่างหลานชายที่จะขั้นมาสืบทอดตระกูลยังมีอีกตั้งมากมาย ทั้งเซียงจุน เซียงหยุน เซียงไห่ ฉันรักหลานทุกคนเท่ากัน และการเลือกที่จะเลี่ยงปะทะก็เพื่อความเป็นอยู่ของทุกคน!”

ความหมายของหัวเซินซวนค่อนข้างชัดเจนมาก เขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องของหัวเซียงชานเพียงคนเดียว มาทำลายอนาคตของหลานๆทั้งหลายในตระกูลหัวอย่างเด็ดขาด

แต่สำหรับหัวฉีเฉินกับหัวเซียงชาน สองพ่อลูกคู่นี้ มันไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการทอดทิ้งกันอย่างชัดแจ้ง

หัวฉีเฉินโกรธจัด ลุกขึ้นพรวกและเดินจากออกไปโดยตรง

ดวงตาคู่นั้นของหัวเซินซวนที่สาดสะท้อนออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งเขาก็รักทั้งลูกทั้งหลานคนนี้ แต่ในฐานะผู้นำครอบครัว เขาจำเป็นต้องพิจารณาและคำนึงถึงส่วนร่วมเป็นหลัก

ตอนที่276 ฉันต้องการทำลายตระกูลหัว

จ้าวเฉียนขอให้ตระกูลหัวมาขอโทษเขา ซึ่งนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมากและคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะปฏิเสธ แต่การที่เขาขอเงินชดเชยร้อยล้าน นี่ดูจะมากเกินไปหน่อย

ความหมายของตำรวจที่พยายามจะสื่อคือ การให้ทั้งสองฝ่ายมาพบหน้ากันและเจรจาตกลงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา เพื่อเปิดเผยเจตนาของแต่ละฝ่ายออกมาตามตรง

จ้าวเฉียนไม่กลัวตระกูลหัว จึงพยักหน้าตอบตกลงไป

ให้ตำรวจเป็นผู้นำเรื่องดังกล่าว พาให้ทั้งสองตระกูลมาตั้งโต๊ะเจรจากันอย่างดุเดือด

พอเห็นว่าจ้าวเฉียนกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่แบบนี้ หวานเจียงก็ไม่มีอารมณ์เดินทางกลับตงไห่แล้ว เธอทิ้งตั๋วเครื่องบินและค่อยวางแผนใหม่ว่าจะกลับตงไห่หลังจากเรื่องทั้งหมดสิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากมื้ออาหารเย็นเสร็จสิ้นไป จ้าวฝู่ก็พาทุกคนขึ้นไปยังดาดฟ้าบนคฤหาสน์เพื่อชมดวงจันทร์เต็มดวงสวยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จ้าวเฉียนในตอนนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์มาสังสรรค์เท่าไหร่นัก เขาหยิบขนมไหว้พะนะจันทร์มาลูกหนึ่งและไปนั่งกินเล่นบนเก้าอี้โยก

หวานเจียงเดินเข้าไปนั่งข้างจ้าวเฉียน ทั้งสองไม่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่และเงยหน้ามองดูดวงจันทร์อย่างเงียบๆ

จากนั้นไม่นาน หวานเจียงก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วนายจะเอายังไงต่อ?”

จ้าวเฉียนที่กำลังหลับตาซึมซับบรรยากาศอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ฉันจะทำลายตระกูลหัว!”

คำพูดนี้เกินความคาดหมายของหวานเจียงไม่น้อย ตามที่เธอทราบมา ขอแค่ให้ตระกูลหัวจ่ายเงินค่าชดเชยและขอโทษจ้าวเฉียนแต่โดยดีทุกอย่างก็น่าจะจบแล้ว แต่การจะไปทำลายตระกูลหัวนี่มันเป็นวิธีที่ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย

“ฉันพอจะทราบเกี่ยวกับตระกูลหัวในหยานจิ้งอยู่บ้าง แต่ก่อนพวกเราเคยขอให้บริษัทอสังหาของตระกูลหัวมาสร้างสตูดิโอให้พวกเรามาก่อน รากฐานของพวกมันค่อนข้างใหญ่ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำลายลง ยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสีย นายเป็นผู้นำของตระกูลจ้าวรุ่นต่อไปนะ ช่วยคิดแทนคนที่อยู่ข้างหลังนายด้วย”

จ้าวเฉียนหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“ดูจากรากฐานของตระกูลหัว ฉันแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วพรุ่งนี้เธอบินกี่โมง? จะให้ฉันไปส่งไหม?”

หวานเจียงส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“พรุ่งนี้ฉันไม่กลับแล้ว พอนายแก้ปัญหาตรงนี้เสร็จ แล้วพวกเราค่อยกลับพร้อมกันดีกว่า”

จ้าวเฉียนลืมตาหันมาเหลือบมองหวานเจียงเล็กน้อยเจือแววเสน่หา ทว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็กล่าวตอบกลับไปว่า

“บางครั้งฉันก็คิดว่าเธอเก่งนะ แต่บางครั้งก็มักจะทำให้ฉันผิดหวังเหมือนกัน ไม่ต้องรอฉันหรอก เพราะขนาดฉันเองยังไม่รู้เลยว่า เรื่องนี้จะยืดเยื้อออกไปนานเท่าไหร่ ฮวาหยินกรุ๊ปไม่มีใครดูแล ดังนั้นเธอควรกลับไปพรุ่งนี้”

จากที่หวานเจียงกำลังมีความสุขอยู่ดีๆ อารมณ์เธอแปรเปลี่ยนไปทันที ทีแรกเธอเต็มใจอยู่ต่อเพื่อจะแสดงให้เขาเห็นว่า เธออยู่ฝั่งเดียวกับเขา แต่เขาล่ะ? หมอนี่กลับไล่เธอกลับไปจริงๆ!

“ก็ได้! ถ้าต้องการแบบนั้นฉันจะกลับพรุ่งนี้แหละ! ขอตัวกลับห้องล่ะ! ไปจองตั๋วใหม่!”

หวานเจียงเค้นเสียงกล่าวออกมาอย่างเดือดดุเป็นทีละคำพูด จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินกลับห้องไปทันที

จ้าวฝู่ขยิบตาให้อวีกุ้ยเฟิงโดยไวและวานให้เธอไปถามลูกชายว่าเกิดอะไรขึ้น ไปทำอะไรให้หวานเจียงโกรธอีก?

อวีกุ้ยเฟิงรีบเดินไปหาจ้าวเฉียน กล่าวปลอบโยนทันที

“ลูกแม่ อย่าคิดมาก พวกเรากลัวไอ้พวกตระกูลหัวที่ไหน?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า

“พวกมันไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลยด้วยซ้ำ ผมแค่คิดว่าเพราะความประมาทของตัวเอง เลยทำให้คุณย่าต้องเดือดร้อน ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง”

อวีกุ้ยเฟิงโอบกอดลูกชายของเธอและกล่าวปลอบไปว่า

“มันไม่ใช่ความผิดของลูกเลย ใครจะไปคิดล่ะว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนี้? แต่ลองมองอีกมุมสิ เพราะลูกระมัดระวังตัวรอบคอบมาก ถึงรู้ตัวเร็วขนาดนี้และแก้ไขทุกสิ่งได้ทัน ดังนั้นอย่าโทษตัวเองเลย จะว่าไปนะ…ตะกี้เห็นว่าเสี่ยวเจียงเดินหัวเสียกลับห้องไป ลูกทำอะไรให้เธอโกรธอีกล่ะ?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบไปว่า

“ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แค่ไล่ให้เธอกลับไปพรุ่งนี้ ผมลงทุนในบริษัทเธอตั้งสี่พันล้าน จะปล่อยให้ไม่มีคนคุมบังเหียนนานได้ยังไง ไม่เละกันพอดีเหรอ?”

อวีกุ้ยเฟิงกลอกตาเอ่ยปากตคำหนิทันควัน

“อย่าว่าแค่สี่พันล้านเลย ต่อให้เป็นสี่หมื่นล้านก็ช่างมันเถอะ ตราบเท่าที่เธอสามารถให้กำเนิดหลานสักสองสามคนรได้ เงินแค่นรี้เดี๋ยวแม่ใช้คืนให้ยังได้ นี่ลูกไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงเลยงั้นเหรอ? อีกอย่างนะ แม่ตรวจสอบมาแล้ว ปีนี้เสี่ยวเจียงอายุยี่สิบห้าปีพอดี เป็นช่วงอายุที่เหมาะอย่างมากที่จะมีลูก อย่างน้อยๆต้องมีสักสองคน ไม่อย่างนั้นตอนอายุขึ้นเลขสามจะเริ่มมียากแล้ว ลูกต้องรีบมีลูกได้แล้ว”

จ้าวเฉียนลอบถอนหายใจอย่างเงียบงัน ไม่ว่าพ่อหรือแม่ก็เหมือนกันไม่มีผิด พวกเขาไม่ได้สนใจเงินหรือธุรกิจเลย แต่สนใจเพียงว่าเขาจะมีลูกให้พวกเขาได้เมื่อไหร่

แต่เมื่อคิดให้ดีมันก็ถูกต้องตามที่ทั้งคู่กล่าวไป ครอบครัวใหญ่ที่มีอาณาจักรธุรกิจมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ต้องกังวลเรื่องธุรกิจเลยว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน และพวกเขาเองก็ไม่ต้องการมให้จ้าวเฉียนสร้างธุรกิจหาภาระมาบริหารเพิ่ม แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือทายาท ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดีเพื่อให้แน่ใจว่าตระกูลจ้าวยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต

จ้าวเฉียนส่ายหัวอานอย่างเงียบๆและลุกขึ้นจากไปทันที อวีกุ้ยเฟิงรีบคว้าตัวจ้าวเฉียนไว้ทันทีและเอ่ยถามว่า

“นี่ลูกจะไปไหน? พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรลูกชอบหนีไปทุกที สักวันลูกจะต้องเจออยู่แล้ว สู้จัดการตั้งแต่เนินๆดีกว่าไหม?”

“ก็ไปจะไปคลอดหลานให้แม่ไงครับ! นี่ยังเรียกว่าหนีปัญหาอยู่ไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

อวีกุ้ยเฟิงยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“ไปเถอะ ฉันกับพ่อจะรอข่าวดีก่อนสิ้นปีนี้”

จ้าวเฉียนส่ายหัวอีกคราอย่างอดไม่ได้ และเดินออกไปขอตัวกับพ่อ ก่อนจะเดินกลับไป

จ้าวฝู่เดินมาถามอวีกุ้ยเฟิงว่า

“ว่าไงบ้าง?”

“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกังวลไป”

อวีกุ้ยเฟิงยิ้มตอบ

จ้าวฝู่พนักหน้าอย่างสงบจิจสงบใจ เขาเดินไปพูดคุยกับทุกอย่างสนุกสนานพลางชมดวงจันทร์สว่างไสวในยามราตรีต่อไป

จ้าวแยนกลับมาที่ห้องก็เห็นหวานเจียงที่กำลังนั่งงอนอยู่บนเตียง

เขาเดินเข้าไปหายิ้มหวานกล่าวว่า

“คนสวยหน้าบึ้งแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ฉันขอโทษที่ปากไวไปหน่อย”

หวานเจียงยังคงขมวดคิ้วแน่น หันหน้าหนีและกอดอกงอนไม่หาย

จ้าวเฉียนก้าวหน้าขึ้นไปเชยคางของเธอขึ้น และพยายามบังคับให้หันหน้ามาหา

หวานเจียงเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่สุดท้ายก็ถูกจ้าวเฉียนโน้มตัวลงพร้อมประกบจูบทันที เขายิ้มกล่าวขึ้นว่า

“อ่า…ปากเธอหวานดีจัง เป็นใครก็อดใจไม่ไหว!”

หวานเจียงอดทนอดกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว เธอรวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเธอยกกำปั้นทุบตีจ้าวเฉียนไม่หยุด สบถด่าขึ้นว่า

“ไอ้บ้า! ทำไมยังจะมายุ่งกับฉันอีก! ตะกี้นายยังำยายามไล่ฉันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? นี่นายยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม กลับคำไปกลับคำมา!”

“นี่เธอกำลังบอกว่าฉันไม่ใช่ผู้ชาย?”

จ้าวเฉียนถามกลับไป

หวานเจียงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“เออไง นายไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยด้วยซ้ำ!”

จ้าวเฉียนบีบคางของเธอแน่นอนอีกครา ก่อนตอบกลับไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะถอดเสื้อถอดกางเกงให้เธอได้พิสูจน์ว่าฉันเป็นผู้ชายจริงไหม? แล้วฉันก็จะทำในสิ่งที่ผู้ชายควรจะทำ!”

หวานเจียงรีบผลักร่างจ้าวเฉียนออกไป

“ไปให้พ้น! ใครจะอยากดูนาย! ไม่ว่านายจะเป็นผู้ชายหรือเปล่า ฉันก็ไม่สน ฉันกำลังโกรธนายอยู่นะ! นี่! ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ!!”

จ้าวเฉียนถอดเสื้อนอกออกทันที จากนั้นก็กระโดดขึ้นเตียงคร่อมร่างของเธอไม่ให้หนีไปไหน

“โอ้ย! ออกไป! ฉันบอกให้ออกไปไง!”

“นี่เตียงของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้!”

“เตียงของนายได้ยังไง! นี่เตียงฉัน! นายไปนอนพื้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“อ้าว? ต้องพิสูจน์ก่อนไงว่าฉันเป็นผู้ชายจริงๆหรือเปล่า?”

“ไอ้หื่น! ออกไปจากตัวฉัน!”

……….

จากนั้นจ้าวเฉียนกับหวานเจียงก็บรรเลงเพลงรักกันอย่างเร้าร้อน ในอีกด้านหนึ่ง ตระกูลหัวเองก็กำลังประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการรับมือ

หัวเซียงชานผู้จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลหัวรุ่นที่สี่ ในอนาคตเขาจะเข้ามารับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหัวคนต่อไป ทว่าตอนนี้กลับถูกตัดมือจนกลายมาเป็นไอ้ด้วนไปแล้ว

ความเกลียดชังในครั้งนี้ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของสมาชิกตระกูลหัวทุกคน พวกเขาต้องหารือเพื่อแก้แค้นตระกูลจ้าวให้จงได้

ตอนที่275 ฝังไว้ที่นี่เป็นการชดใช้

อาลีหยิบมือที่ขาดออกของหัวเซียงชานขึ้นมาและยื่นให้จ้าวเฉียน เขากล่าวว่า

“คุณชาย ตัดทิ้งเรียบร้อยแล้วครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และเอ่ยถามหัวเซินซวนไปว่า

“ผมให้โอกาสคุณล้างแค้นโดยการต่อสู้กันอย่างยุติธรรม และนี่เป็นราคาที่คุณสมควรต้องจ่ายแล้ว!”

พวกผู้คนตระกูลหัวรีบอุ้มหัวเซียงชานไปส่งโรงพยาบาลทันที และเป็นหัวเซินซวนที่ตะโกนเสียงออดอ้อนกับจ้าวเฉียนว่า

“หลานชาย ส่งมือที่ขาดมาเถอะนะ”

จ้าวเฉียนส่ายหัว เค้นเสียงกล่าวตอบทีละคำอย่างเยือกเย็น

“ไม่ มี วัน!”

หัวเซินซวนคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ถ้าตอนนี้ทุกอย่างที่แกก่อลงไปยังไม่สายที่จะแก้ไข! แต่ถ้ามัวช้าอยู่แบบนี้แกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป! พวกเราตระกูลหัวจะตามล่าแกสุดล่าฟ้าเขียว!”

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางกล่าวตอบไปว่า

“ตั้งแต่วินาทีที่ผมรู้ว่า หลุมฝังศพของคุณย่าถูกทำลาย พวกเราก็อยู่ร่วมฟ้าเดียวกันไม่ได้แล้ว! ตระกูลหัวของคุณทำอะไรได้บ้าง! ถ้าเก่งจริงอย่างที่ปากว่าหลานชายคงไม่ต้องพิการแบบนี้หรอก! ฮ่าฮ่าๆ…”

หัวเซินซวนยังคงตะโกนไม่หยุดหย่อน

“เอามือหลานฉันคืนมา!”

จ้าวเฉียนเองยังคงตอบเหมือนเดิม

“ไม่! อาลี เอามือหมอนี่ไปฝังไว้หน้าหลุมศพของคุณย่า”

อาลีตอบกลับด้วยความเคารพ

“เข้าใจแล้วครับ!”

จ้าวเฉียนตะโกนส่งเสียงให้พวกข้างหลังว่า

“พวกเรา! กลับ!”

ผู้คนนับหลายร้อยชีวิตเคลื่อนพลถอยออกไปทันที ส่วนพวกตระกูลหัวก็ได้แต่ยืนมองจ้าวเฉียนจากออกไป

หัวเซินซวนแทบจะร้องไห้เป็นสายเลือด ถ้าได้มือของหลานชายที่ถูกตัดคืนมา ยังพอมีโอกาสต่อกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ตอนนี้จ้าวเฉียนกลับพรากมันไปเสียแล้ว เขาร้องห่มร้องไห้ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“เอามือของเซียงชานคืนมา! เอามือของเซียงชานคืนมา!”

ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้ดังออกมา ผู้คนของตระกูลหัวยังไม่ทันตอบสนอง แต่เป็นกลุ่มคนของจ้าวเฉียนที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ในทันใด พวกเขาหวดแท่งเหล็กตีใส่พื้นเสียงดัง หันมาเหลือบมองคล้ายจะหาเรื่อง

“พวกมึงยังไม่เข็ดใช่ไหม?!”

มีหนึ่งย่อมมีสอง ผู้คนนับร้อยหันควับมองโดยพร้อมเพรียง ทำให้สมาชิกตระกูลหัวกลัวจนแข้งขาอ่อนยวบ ทำได้เพียงมองดูมือของหัวเซียงซวนถูกขโมยไปทั้งแบบนั้น

หัวเซินซวนโทรเรียกคนในสำนักงานเขตเพื่อขอความช่วยเหลือโดยด่วน วานให้ไปหยุดจ้าวเฉียนและชิงมือของหัวเซียงชานกลับมา

แต่อย่างไร อวีกุ้ยเฟิงได้ทักทามบรรดาเจ้าหน้าทุกระดับไว้เรียบร้อยนานแล้ว พวกเขาที่รับรายงานทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่ง ตบปากรับคำไปส่งๆ และทำตามที่อีกฝ่ายไหว้วานไว้ คือการส่งคนออกไป แต่จะจับตัวจ้าวเฉียนกลับมาได้หรือไม่ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง

จ้าวเฉียนขอให้พวกลูกเรือและกลุ่มรปภ.แยกย้ายออกไป ส่วนเขาก็พาพวกบอดี้การ์ดกลับไปที่หลุมศพของคุณย่า

หลุมศพของคุณย่าถูกทุบทำลายและรื้อออกเละเทะ ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงทำความสะอาดให้พอกลับมาดูได้ จากนั้นก็วานให้อาลีฝังมือของหัวเซียงชานลงข้างๆหลุมศพของคุณย่า ถือซะว่าเป็นการชดใช้กับสิ่งที่ทำลงไป

หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น จ้าวเฉียนก็สั่งการต่อว่า

“เกณฑ์คนมาปกป้องหลุมศพมากกว่านี้ แล้วเพิ่มเวรยามเฝ้าไว้ก่อนช่วงนี้ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นให้รีบถอยกลับมาทันทีและรีบรายงานครอบครัวฉันโดยเร็วที่สุด เข้าใจไหม?”

บอดี้การ์ดพวกนั้นอยู่ดูแลหลุมฝังศพต่อไป ส่วนจ้าวเฉียนก็เดินทางกลับบ้าน เข้าทักทายทุกคนทันที

จ้าวฝู่เอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“เป็นยังไงบ้าง โอเคไหม?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวเล็กน้อย

อวีกุ้ยเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า

“ไม่เป็นไรลูก วันนี้เป็นคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ถึงเวลาฉลองกันแล้ว อย่าไปปั้นหน้าอมทุกข์อยู่เลย ทุกคนรอทานข้าวเย็นกันอยู่”

หวานเจียงเดินเข้ามาควงแขนของจ้าวเฉียนอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอะไร

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา จ้าวเฉียนไม่มีอารมณ์กินข้าวกินปลาอะไรเลย แต่เขาเองก็ทราบดีอยู่ในใจ ถ้าเขาไม่ทานอะไรเลยอาจทำให้งานเลี้ยงปีนี้กร่อย และทุกคนจะไม่มีอารมณ์ทานอะไรเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มและเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ทักทายญาติๆอย่างที่ควรจะเป็น

จ้าวหรงเอ่ยทักจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“ไอ้ลูกหมา เป็นยังไงบ้าง? หลุมศพย่าแกซ่อมแล้วรึยัง?”

จ้าวเฉียนรีบตอบกลับไปทันทีว่า

“เรียบร้อยแล้วครับ ผมโทรให้ช่างมาซ่อมแซมหลุมศพใหม่ให้กับคุณย่า แล้วพรุ่งนี้คงเสร็จเรียบร้อยดี”

จ้าวหรงพยักหน้า ดวงตาคู่ชราของเขามีน้ำใสๆไหลรินออกมาพลางตอบไปว่า

“ย่ากับฉันต้องปากกัดตีนถีบมาด้วยกันตลอดชั่วชีวิต อย่างน้อยที่สุดตอนที่ย่าจากไปแล้ว ปู่ก็อยากให้ย่าหลับสบายในสถานที่ดีๆ แกต้องดูแลย่าให้ดีเข้าใจไหม? ห้ามปล่อยให้ใครไปรบกวนเด็ดขาด”

จ้าวเฉียนเองก็ร้องไห้เช่นกัน เขาพยักหน้าและให้คำมั่นสัญญากับปู่ว่า

“ไม่ต้องกังวลครับปู่ ผมจะปกป้องคุณย่าให้ถึงที่สุด ผมไม่ยอมปล่อยให้ใครมารบกวนคุณย่าได้อีกแล้ว”

จ้างหรงพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งและกล่าวขึ้นว่า

“นั่งลงเถอะ นั่งลง หลานก็กินข้าวให้อิ่มนะ เสี่ยวฝู่ เข็นฉันกลับห้องที วันนี้ฉันอยากกินข้าวกับแม่แก”

จ้าวฝู่พยักหน้าและรีบเข็นคุณพ่อของเขากลับไปในห้องอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งและตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า

“ทุกคนนั่งลงและกินข้าวกันเถอะ! วันนี้เป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ขอให้ทุกคนมีความสุขกันนะ หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว เราจะมากินขนมไหว้พระจันทร์กัน”

ผู้สืบทอดสกุลจ้าวกล่าวถึงขนาดนี้ย่อมไม่มีใครกล้าขัดขืน ทุกคนนั่งลงและรับประทานอาหารกันทันที

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกตำรวจก็มาถึง ซึ่งเป็นอวีกุ้ยเฟิงกับจ้าวเฉียนที่ออกไปหาพวกเขา ทางด้านคนอื่นๆยังกินต่ออย่างกล้าๆกลัวๆ แต่หวานเจียงไม่สามารถทนกินต่อไปได้ จึงรีบวิ่งออกไปหาจ้าวเฉียนโดยเร็ว

หัวหน้าสำนักงานเขตนำคนมาหารือด้วยเป็นนการส่วนตัว ตำรวจบอกพวกเขาว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้กลายมาเป็นเรื่องใหญ่ ทางที่ดีก็ควรคืนมือของหัวเซียงชานกลับไปให้แก่ครอบครัว นี่จะทำให้ผลกระทบที่จ้าวเฉียนจะได้รับเบาบางที่สุด

แต่จ้าวเฉียนก็แน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง เขาตอบกลับไปทันทีว่า

“มือของหัวเซียงชานจะต้องถูกฝังอยู่ในนั้นตลอดไป! มันกล้าทำลายหลุมศพคุณย่าฉัน นี่ถือเป็นราคาที่มันสมควรจะจ่ายแล้ว!”

“แล้วคุณก็ตัดมือเขาไปแล้ว นี่ยังไม่พออีกเหรอ?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“แน่นอนว่าไม่พอ! ฉันต้องการเอามือของมันไปฝังข้างหลุมศพคุณย่าเป็นการชดใช้!”

“แต่ถ้าทำแบบนี้การจะสรุปสำนวนคดีจะยากมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะถลำลึกจนไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้อีกแล้วนะครับ ตอนนี้พวกเรายังพอยื้อเวลาออกไปได้ แต่ถ้าตระกูลหัวยังคงเอาตามเซ้าซี่อยู่แบบนี้ คงได้ไม่นานแล้วนะครับ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวคุณ คุณเองก็คงไม่ยอมความจริงไหมครับ?”

นี่ถือเป็นปัญหาของจ้าวเฉียนเช่นกัน เพราะตอนนี้แม้แต่ตระกูลหัวยยังไม่ทราบถึงการมีอยู่ของตระกูลจ้าวว่ายิ่งใหญ่ขนาดนไหน และเขาต้องการให้ทุกอย่างยังคงเป็นแบบนี้ เพื่อรับประกันว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรตามมาในอนาคต

หากกล่าวกันตามความจริง ลำพังความแข็งแกร่งของตระกูลจ้าว มันก็มากพอที่จะโค่นล้มตจระกูลหัวแล้ว แต่ถ้าพวกเขาเคลื่อนไหวขึ้นจริงก็เท่ากับว่า เป็นการเปิดเผยตัวตนสู่สาธารณะเช่นกัน ซึ่งทุกคนในตระกูลจ้าวเคยชินกับการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ใครบ้างอยากจะชักนำปัญหาเข้ามาหาตัวเองโดยไม่มีเหตุผล?

อวีกุ้ยเฟิงเองก็ยืนเคียงข้างสนับสนุนลูกชายเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร เพราะท้ายที่สุดนี้ ทุกสิ่งอย่างของตระกูลจ้าวจำต้องส่งมอบต่อให้กับจ้าวเฉียน ดังงนั้นการปล่อยให้เขาแก้ไขปัญหาเพียงลำพังนับเป็นเรื่อองไม่เลวเลย

จ้าวเฉียนลังเลอยู่เล็กน้อย ในความคิดของเขา เขาไม่มีทางคืนมือของหัวเซียงชานกลับคืนไปเด็ดขาด แต่อีกด้านหนึ่งถ้าทำแบบนั้นหัวเซินซวนคงไม่เลิกตามรำควานแน่นอน

หากถอนรากถอนโค่นตระกูลหัวไปตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตัวตนของตระกูลจ้าวเองก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน

นั้นอาจส่งผลไปถึงบริษัทของจ้าวฝู่ บริษัทเอกชนทุกหนแห่งจะเพ่งเล็งมาที่นี่ รวมไปถึงบริษัทนายทุนของต่างชาติเช่นกัน และมันอาจนำมาซึ่งปัญหายิบย่อยอีกมากมาย  

ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงภาพรวมทั้งหมดแล้ว จ้าวเฉียนจำใจต้องคืนมือของหัวเซียงชานกลับไป แต่คงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะคืนกลับไปให้ฟรีๆ

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าต้องการให้ผมคืนมือมันจริงๆ คุณจะต้องขอให้หัวเซินซวนพาหัวเซียงตงมาจัดของเพื่อขอขมา นอกจากนี้ผมยังต้องการเรียกค่าชดใช้อีกร้อยล้าน ถ้าอีกฝ่ายบรรลุทุกเงื่อนไข ผมจะยอมรับคำขอของพวกตระกูลหัวสักครั้ง”

ตอนที่274 ฉันต้องการมือของมัน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกบอดี้การ์ดทั้งหมดเริ่มระดมพลมารอที่โถงใหญ่ทีละคนสองคน ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง กลุ่มรปภ.ทั้งหมดที่อยู่ภายใตเครือบริษัทของจ้าวฝู่ทั้งหมดรวมตัวกันพร้อมที่ลานกว้างหน้าคฤหาสน์ อีกสองชั่วโมงผ่านไป จัดแถวกระดาษเรียงหนึ่ง บรรดาลูกเรือที่ไม่ได้ออกทะเลก็มาถึงอย่างพร้อหน้า รวมเป็นจำนวนกว่า800คน

หวานเจียงมองไปที่ลานกว้างหน้าคฤหาสน์จากหน้าต่างบนห้อง ยามนี้เธอถึงกับตกใจจนหน้าถอดสี ความแข็งแกร่งของตระกูลจ้าวเหนือจินตนาการอย่างแท้จริง สามารถเรียกระดมพลได้ขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้น

แต่เมื่อเห็นแบบนี้เธอก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย มันต้องเป็นศึกใหญ่ขนาดไหนกัน? แล้วจ้าวเฉียนจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม?

สีหน้าของจ้าวเฉียนยามนี้มืดทมิฬเข้ม พอเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าก็ตะโกนเสียงลือลั่นว่า

“ไป! ไปบ้านตระกูลหัว!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ขึ้นรถของจ้าวฝู่ ส่วนคนอื่นๆก็นั่งรถตู้ที่ทางตระกูลจ้าวจัดเตรียมไว้ให้

นี่เป็นเวลาหกโมงเย็นกว่าแล้ว และยังเป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกหนึ่งวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาร่วมญาติของทุกครอบครัว

ในฐานะตระกูลใหญ่ ครอบครัวหัวได้จัดงานฉลองใหญ่ โดยมีหัวเซินซวนเป็นประธานจัดงานหรือแม้แกระทั่งหัวเซียงตงผู้อาวุโสใหญ่สุดของตระกูลยังต้องนั่งรถเข็นออกมา

หัวเซียงชานถือแก้วไวน์ไปเดินชนกับพี่น้องๆของเขา เพื่อเริ่มดื่มอวยพรให้แก่หัวเซียงตงและหัวเซินซวน แต่ทันใดนั้นเอง บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความติ่นตระหนัก

“นายท่าน! แย่แล้ว! มีรถตู้หลายสิบคันมาจอดขวางประตูหน้าบ้าน พวกเขากำลังบุกเข้ามาที่นี่!”

ทันทีที่สุ้มเสียงของเขาดังขึ้น บรรยากาศท่ามกลางงานฉลองของตระกูลหัวพลันเงียบลงชั่วขณะ

หัวเซินซวนใจเต้นแรงขึ้นทันใด เขารีบหันไปถามหัวเซียนชานทันทีว่า

“เซียงชาน วันนี้แกไล่ตามมันไปถึงไหน?”

หัวเซียงชานเพียงยิ้มและตอบไปว่า

“ก็ไม่ได้ไล่ตามไปขนาดนั้น แต่ผมขับรถไปทุบหลุมศพของย่ามันทิ้งเท่านั้น ทุบโลงซะเละเลย! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทันทีที่วาจาประโยคนี้เปล่งดังออกมา สมาชิกทุกคนในครอบครัวตระกูลหัวพลันเงียบสงัดลงทันที แม้ว่าตระกูลหัวจะเสียหน้าไม่ได้ แต่การกระทำของหัวเซียงชานในครั้งนี้มันก็เกินไปจริงๆ ถึงขนาดไปทุบทำลายหลุมฝังศพบรรพบุรุษคนอื่น นี่เท่ากับยั่วยุให้ฟ้าดินโกรธชัดๆ

หัวเซินซวนตะโกนด่าสาปแช่งไปทันทีว่า

“ฉันเตือนแกแล้วไม่ใช่เหรอ! ว่าอย่าทำอะไรให้มันเกินไป! นี่หูหนวกรึไง! ฉันไม่เคยสอนให้แกไปลบหลู่บรรพบุรุษคนอื่นเลยสักครั้ง!”

หัวเซียงชานเริ่มรู้สึกหงุดหงิดแล้วเช่นกัน เขาตอบกลับเสียงเย็นไปว่า

“คุณปู่ มีอะไรต้องกังวล? ใครหน้าไหนในหยานจิ้งทำอะไรตระกูลหัวของเราได้บ้าง!”

หลังจากพูดจบ หัวเซียงชานก็ชักชวนให้บรรดาญาตพี่น้องของเขาออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกทันที

ในเวลาเดียวกัน คนของจ้าวเฉียนได้บุกเข้ามาแล้ว เข้าทุบตีรุมกระทืบพวกบอดี้การ์ดที่เฝ้าหน้าบ้านจนหมดสภาพ แต่เท่านั้นยังไม่พอ ก่อนที่หัวเซียงชานจะได้ย่างก้าวออกไปดู กลับต้องรีบวิ่งหนีหางจุกตูด เพราะคนของจ้าวเฉียนบุกเข้ามาถึงในตัวบ้านแล้ว เข้ากระหน่ำทุบตีของมีค่ามากมายภายในบ้านจะแตกกระจาย

จ้าวเฉียนเดินเข้ามาตรวจงานด้วยความพึงพอใจ และสั่งให้คนกว่า800คนเข้าปิดล้อมสมาชิกตระกูลหัวทั้งหมด

ทุกคนในตระกูลหัวตื่นตกใจกันอย่างมาก พวกเขารีบรวมตัวกอดกันด้วยความหวาดกลัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดงต่งากรีดร้องและร้องไห้ออกมาไม่หยุดหย่อน ส่วนบรรดาญาติผู้หญิงที่ขวัญอ่อนก็กลั้นน้ำตาไม่หยุดแล้วเช่นกัน

หัวเซียงชานใจเต้นกระหน่ำแทบพุ่งออกมาจากลำคอ เขาในขณะนี้เองก็หวาดกลัวจนเสียขวัญไปแล้วเช่นกัน ถึงขนาดที่ว่ากลัวจนพูดอะไรไม่ออก

ในเวลานี้เอง เป็นหัวเซินซวนที่ต้องก้าวออกมาเผชิญหน้า เขายิ้มสู้กล่าวว่า

“หนุ่มน้อย นี่หมายความว่ายังไงกัน? วันนี้เป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นะ ทำแบบนี้มันดูไม่เสียมารยาทไปหน่อยเหรอ?”

จ้าวเฉียนกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง สายตาคู่แดงเดือดจ้องไปที่หัวเซียงชานเขม็งและกล่าวตอบว่า

“กูไม่อยากพูดจาไร้สาระกับมึงไอ้แก่ ส่งตัวมันออกมาให้พวกกูกระทืบเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกูจะทุบที่นี่ให้เละแบบที่พวกมึงทำกับหลุมศพย่ากู!”

ทันทีที่วาจาประโยคนี้เปล่งดังออกมา สมาชิกทุกคนของตระกูลหัวพลันยิ่งหวาดกลัวเข้าไปใหญ่ และเด็กน้อยทั้งหลายก็เริ่มร้องไห้หนัก

จ้าวเฉียนยังมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง ทั้งเด็กและผู้หญิงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อว่า

“พวกผู้หญิงกับเด็ก ไสหัวไปซะ! แต่ถ้าคนอื่นนอกเหนือจากนี้กล้าออกไป กูจะไล่หักขาพวกมึงทีละตัว!”

หัวเซินซวนโบกมือขอใหญ่ญาติผู้หญิงพาตัวเด็กๆออกไปจากที่นี่โดยเร็ว

หัวเซียงซิ่ว เธอถูกเลี้ยงดูและเติบโตในอเมริกาจึงได้รับการศึกษาด้านกฎหมายและหลักประชาธิปไตยมามากพอสมควร เธอจึงกล่าวเตือนขึ้นว่า

“นี่แกกล้าลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคนอื่น ทำผิดกฎหมายร้ายแรง! พวกเรามีสิทธิ์ฟ้องให้แกติดคุกหัวโตได้นะ!”

จ้าวเฉียนเหลือบหางตามองหัวเซียงซิ่วอย่างว่องไว เขายิ้มตอบไปว่า

“ถ้ายังพล่ามอีกแม้แต่คำเดียว กูจะจับมึงโยนเข้าซ่อง!”

หัวเซียงซิ่วพยายามจะเถียงกลับ แต่เป็นหัวเซินซวนที่รีบตะโกนขัดขึ้นก่อนว่า

“หุบปาก! ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากฉันห้ามใครพูดเด็ดขาด! นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย! พวกผู้หญิงและเด็ก ทุกคนกลับไปที่ห้องหลังคฤหาสน์!”

แม่ของหัวเซียงซิ่วรีบดึงตัวลูกสาวออกไป ส่วนญาติผู้หญิงคนอื่นๆเองก็พาตัวเด็กออกไปเช่นกัน

ในไม่ช้า ทุกคนในที่เกิดเหตุในตอนนี้ล้วนแต่เป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูล

หัวเซินซวนเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังว่า

“ไอ้หนุ่ม ถ้าสามารถพาคนมาขนาดนี้ได้ภายในเวลาอันสั้น คงต้องมาจากตระกูลใหญ่แน่นอน เอาแบบนี้ดีกว่านะ คราวนี้เป็นพวกเราตระกูลหัวเองที่หยาบคายใส่ก่อน ฉันยินดีไปพบพ่อแม่ของนายเพื่อขอโทษเป็นการส่วนตัว ถ้าต้องการค่าเสียหาย ก็แจ้งมาได้ตลอด เราจะไม่ต่อรองใดๆทั้งสิ้น”

จ้าวเฉียนตอบกลับพร้อมน้ำเสียงเย็นชายิ่งว่า

“คุณหัวค่อนข้างจริงใจกับผมมากเลยนะครับ ผมเองก็ไม่อยากทำเรื่องยากสำหรับคุณเหมือนกัน ผมไม่ได้ต้องการเงินหรือคำขอโทษ ขอแค่มือของมันเท่านั้น!”

หลังจากพูดจบ กลุ่มคนเคียงข้างจ้าวเฉียนก็ขว้างมีดสั้นใส่เท้าของหัวเซินซวนเชิงข่มขู่ทันที

หัวเซียงชานกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สบถด่าขึ้นว่า

“นี่มึงคิดว่าตระกูลหัวของเราเป็นพวกกินเจรึไงกัน มึงถึงจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้! คุณปู่ อย่าไปขอโทษมันให้เสียเวลา รีบโทรแจ้งตำรวจเร็วเข้า!”

พอหัวเซียงชานพูดจบ เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาตำรวจโดยเร็ว แต่หัวเซินซวนกลับตบหน้าหลานชายไปทีหนึ่งและคว้ามือถือออกจากมือ พร้อมตะคอกใส่เสียงดังลั่น

“คุกเข่าลง!”

หัวเซียงชานแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาเอ่ยถามคุณปู่ขึ้นว่า

“ทำไมคุณปู่ถึงต้องกลัวมันขนาดนั้น? พวกเรายังมีคนอีกตั้งเยอะตั้งแยะทั่วหยานจิ้ง ไม่เห็นต้องกลัวไอ้ขยะนี่เลย!”

หัวเซินซวนคำรามใส่อีกระลอก

“ฉันบอกให้แกคุกเข่าลง! ไม่ได้ยินรึไง!?”

สิ้นเสียงคำราม หัวเซินซวนก็เดินไปเตะขาพับให้หลานชายคุกเข่าลงกับพื้น

หัวเซินซวนเป็นนักธุรกิจมือเก๋าแห่งวงการนี้ เขาเฝ้าสังเกตอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดและเริ่มตรหนักได้ถึงตัวตนของคนพวกนี้ได้ทีละเล็กละน้อย บางคนเป็นลูกเรือของบริษัทท่าเรือเฉียนตง บางคนเป็นรปภ.ของบริษัทในเครือของมหาเศรษฐีจ้าวฝู่

อย่างไรก็ตามแต่ เขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเฉียนคือลูกชายของจ้าวฝู่ เขาคิดแค่เพียงว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจ้างคนพวกนี้ให้มาช่วยบุกรุกเข้ามาเท่านั้น

ดังนั้นหัวเซินซวนจึงพยายามเกลี้ยกล่อมว่า

“ไอ้หนุ่ม พวกเราเกินเลยมาไกลมากแล้ว ถึงขนาดใจใช้เงินทั้งชีวิตเพื่อจ้างคนจากท่าเรือเฉียนตงกับรปภ.ของบริษัทตระกูลจ้าวมาขนาดนี้ คงไม่เหลือเงินใช้ในช่วงบั้นปล่ายชีวิตแล้วใช่ไหม? เอาแบบนี้ดีกว่านะ ฉันจะจ่ายเงินชดเชยในส่วนตรงนี้ให้เอง แล้วถือซะว่าพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”

จ้าวเฉียนเมินคำถามของหัวเซินซวนไปโดยสมบูรณ์ แค่ถามย้ำไปว่า

“ผมจะถามเป็นครั้งสุดท้าย จะตัดมือของมันเองหรือจะฉันสั่งให้ใครสักคนมาตัดมือมัน! ถ้ายังไม่ตอบก็ถือว่าปฏิเสธ! ที่นี่เตรียมเละได้เลย!”

อาลีเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดส่วนตัวของจ้าวฝู่ เขาเป็นปรมาจารย์การต่อสู้ทุกศาสตร์แขนง การจะฆ่าหัวเซินซวนมันง่ายพอๆกับการหั่นเต้าหู้

อาลีไม่พูดพล่ำทำเพลงอะไร เพียงนับถอยหลังอย่างช้าๆ

“สาม…สอง…หนึ่ง…”

หัวเซินซวนตะโกนสุดเสียง

“มึงกล้ารังแกพวกกูตระกูลหัวจริงๆ งั้นกูจะโทรฟ้องจ้าวฝู่ เจ้าของบริษัททั้งสองที่แกจ้างคนมา! กูจะสั่งให้เขาเรียกทุนคนกลับไปเดี๋ยวนี้ ถึงตอนนั้นขอดูหน่อยว่า มึงยังกล้าทำตัวกร่างแบบนี้อีกไหม!!?”

หลังจากพูดจบ หัวเซินซวนก็สั่งให้คนรับใช้รีบไปหาข้อมูลติดต่อจ้าวฝู่โดยเร็วที่สุด

แต่อาลีนับถึงหนึ่งแล้ว โดยไม่มีรีรอ เขาพุ่งตัวเข้าไปฟันแขนของหัวเซียงชานในจับงหวะทีเผลอดังฉับ!

“อ๊ากกกก!!! อร๊ากกก!!!”

เสียงกรีดร้องสุดแสนเวทนาของหัวเซียงชานแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของคฤหาสน์ พวกเด็กๆและผู้หญิงหวาดกลัวจัดจนเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

หัวเซินซวนตกใจสุดขีดกับภาพฉากต่อหน้า เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่จ้าวเฉียนจ้าวมาจะกล้าลงมือลงไม้จริงๆ ทีแรกคิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้แค่ขู่เท่านั้น ไหงถึงกล้าลงมือจริงๆ!?

ตอนที่273 ระดมพล

จ้าวฝู่หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งออกมา ก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นให้ลูกชายของเขา

จ้าวเฉียนหยิบมาดูก็พบว่าเป็นชื่อของบริษัทแห่งหนึ่งกับรายชื่อใครบางคน

“พ่อ นี่คืออะไร?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้น

จ้าวฝู่ยิ้มตอบกลับไปว่า

“นี่คือชื่อบริษัทและคนที่ฉันตามหามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าแกต้องการโค่นตระกูลหัว ก็ต้องสานสัมพันธ์กับคนพวกนี้เอาไว้”

จ้าวเฉียนเข้าใจได้ในทันทีว่า รายชื่อบริษัทพวกนี้เป็นบริษัทที่ติดต่อกับบริษัทของตระกูลหัว และรายชื่อแต่ละคนน่าจะเป็นระดับผู้จัดการชั้นสูง แถมยังมีบางคนสามารถไปมาหาสู่ตระกูลหัวได้แล้วด้วย

ตราบใดที่จ้าวเฉียนต้องการโค่นตระกูลหัว เขาจำเป็นต้องใช้งานบริษัทพวกนี้เริ่มโจมตีเพื่อตัดต้นน้ำ ถ้ารากฐานถูกทำลายจนหมดสิ้น รับประกันได้เลยว่าตระกูลหัวจะถูกทำลายแน่นอน

จ้าววฝู่ตั้งคาวมหวังไว้สูงมากกับลูกชายคนนี้ โดยหวังว่าเขาจะช่วยสานฝันทำความปรารถนาของคุณปู่ให้กลายเป็นจริงได้ ทั้งนี้ยังช่วยขยับขยายบารมีของจ้าวเฉียน เพื่อใช้ในการปกครองตระกูลจ้าวต่อไป

แน่นอนว่าจ้าวเฉียนเองย่อมเข้าใจความหมายของพ่อเขาด้วยเช่นกัน ยามนี้จึงตระหนักถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากตามสืบและดำเนินการอย่างลับๆ มาถึงสองชั่วอายุคน ในที่สุดก็ถึงเวลาลงมือจริงแล้วในรุ่นของเขา

ในเวลานี้เอง อวีกุ้ยเฟิงก็เคาะประตูเรียกจากด้านนอก กล่าวเสียงดังแจ้งขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน เสี่ยวเจียงกำลังตามหาลูกอยู่ ถ้าคุยธุระเสร็จแล้วไปหาเธอหน่อย”

“อ่อ เข้าใจแล้วครับ”

จ้าวเฉียนตะโกนตอบกลับไป

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะลั่น กล่าวขึ้นว่า

“ไปดูก่อนเถอะว่าเธอเป็นอะไรรึเปล่า เรื่องตระกูลหัวช่างมันก่อนเถอะ พักหัวสมองบ้าง”

ถึงอย่างไร จ้าวเฉียนก็ขี้เกียจไปคุยกับหวานเจียงเช่นกัน เขาเบื่อหน่ายกับเธอพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบไปว่า

“ช่างเถอะพ่อ เอาเรื่องธุรกิจเป็นหลักดีกว่า”

แต่จ้าวฝู่กลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ โดยกล่าวติเตียนไปว่า

“ธุรกิจคือธุรกิจ ครอบครัวคือครอบครัว อย่าเอาสองเรื่องนี้มารวมกันสิ อีกอย่างตอนนี้แกก็รีบแต่งงานมีลูกได้แล้ว อาณาจักรธุรกิจของตระกูลจ้าวมันใหญ่กว่าที่แกคิดไว้มาก อย่างน้อยๆ แกต้องมีลูกสักห้าคน ไม่อย่างนั้นในอนาคตพวกแกดูแลกันไม่ไหวแน่นอน”

จ้าวเฉียนยิ้มแห้งกล่าวตอบไปว่า

“พ่อยังเห็นแค่ผิวเผินนะ นิสัยอย่างหวานเจียงเหรอจะยอมมีลูกตั้งห้าคน? นี่คิดจะให้พวกผมมีลูกกันหัวปีท้ายปีเลยเหรอ?”

จ้าวฝู่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของจ้าวเฉียนอีกแล้ว และกล่าวตอบไปว่า

“แม่ของแกในตอนสาวๆ หนักกว่าเสี่ยวเจียงของแกในตอนนี้อีก ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“อ้าว? แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงมีผมแค่คนเดียวล่ะ? ไหนว่าต้องมีอย่างน้อยห้าคน?”

จ้าวเฉียนสวนกลับด้วยคำถาม

จ้าวฝู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“นี่คงเป็นโชคชะตา ปู่แกก็ตั้งความหวังอยากให้ฉันมีลูกสักห้าคน แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็เหลือแค่แก ส่วนพี่น้องพ่อคนอื่นๆ ก็มีลูกเป็นผู้หญิงกันหมด อย่างน้อยๆ ครอบครัวของเราตอนนี้ก็ต้องการแค่หลานชายที่จะมาสืบทอดธุรกิจสักสองสามคน ส่วนที่เหลือจะเป็นผู้หญิงก็ได้”

จ้าวเฉียนส่ายหัวพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ บอกลาพ่อของเขาและหันหลังเดินกลับห้องตัวเองไปทันที

หวานเจียงในตอนนี้กำลังกอดอกงอนจ้าวเฉียนอย่างหนัก พอเขาเดินกลับมาก็แยปากบ่นทันทีว่า

“นี่นายไม่สนใจฉันเลยจริงๆ เหรอ? ทิ้งฉันให้อยู่บ้านคนเดียวเกือบทั้งวัน ถ้าจะไปทำธุระอะไรก็พาฉันไปด้วยก็ได้หนิ? ฉันให้ความร่วมมือกับนายอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่ออกไปไหนมาไหนคนเดียวมันหมายความว่ายังไงกัน?”

จ้าวเฉียนวางแผ่นกระดาษของจ้าวฝู่ไว้บนโต๊ะ และหันมายิ้มกล่าวว่า

“ถ้าจำไม่ผิด ฉันชวนเธอไปไหว้หลุมศพคุณย่าด้วยกันแล้วนะ แต่เธอเองไม่ใช่เหรอที่ปฏิเสธ? แล้วจะพูดว่าฉันไม่สนใจได้ยังไง?”

หวานเจียงกลอกตาใส่จ้าวเฉียน จากนั้นพลันเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษบนโต๊ะ จู่ๆ เธอก็สนใจขึ้นมา

ทว่าจ้าวเฉียนรีบคว้ากระดาษแผ่นนั้นกลับขึ้นมือทันทีและกล่าวว่าข

“เธออ่านไม่ได้ นี่เป็นความลับทางธุรกิจของครอบครัวฉัน”

หวานเจียงขดริมฝีปากบึ้งและกล่าวตอบไปว่า

“ก็เผื่อฉันจะช่วยอะไรนายได้บ้างไง เลยกะจะหยิบมาดู ว่าไงให้ฉันช่วยไหมล่ะ?”

จ้าวเฉียนไม่สนใจฟังเธอแม้แต่น้อย เนื้อหาในกระดาษแผ่นนี้ไม่ว่ายังไงก็ห้าให้คนนอกดูโดยเด็ดขาด พอคิดได้แบบนั้นเขาหก็หยิบมือถือออกมาและถ่ายรูปเก็บไว้ จากนั้นก็เผากระดาษแผ่นนั้นทันทีต่อหน้าต่อตาหวานเจียง

ซึ่งการกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้หวานเจียงสนใจเข้าไปใหญ่ เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่นายไม่เชื่อใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงขนาดต้องเผาทำลายหลักฐานกันเลย? ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ถึงฉันจะไม่ชอบขี้หน้านาย แต่ฉันเล่นอะไรก็มีขอบเขตนะ”

จ้าวเฉียนส่ายหัวกล่าวกับหวานเจียงพร้อมน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“วันหลังห้ามหยิบจับสิ่งของส่วนตัวของฉันเด็ดขาดหากไม่ได้รับอนุญาต เข้าใจไหม?”

หวานเจียงปั้นหน้าบึ้งไม่มีความสุขเลย ขณะที่กำลังจะปริปากระเบิดอารมณ์ใส่ ทันใดนั้นจ้าวฝู่ก็โทรสายหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรับสายทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฮาโหลพ่อ ว่าไง?”

“แกรีบมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

จ้าวฝู่ตะโกนลั่นพินิจดูแล้วกำลังทุกข์ร้อนใจอย่างหนัก

จ้าวเฉียนไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งออกหาในบัดดล

“พ่อ! เกิดอะไรขึ้น!?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีด้วยความตื่นตูม

จ้าวฝู่กำหมัดแน่นเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด เขากล่าวขึ้นว่า

“พวกบอดี้การ์ดที่แกส่งไปเฝ้าหลุมศพคุณย่าโทรมารายงานว่า ตอนนี้หลุมศพถูกทุบเละ! แถมอีกฝ่ายยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้อีก มันคือหัวเซียงชาน! แกรีบไปสั่งสอนมันเดี๋ยวนี้!”

“อะไรนะ?!”

จ้าวเฉียนคำรามลั่น ก่อนจะจากไปตอนนั้นจ้าวเฉียนเคยบอกหัวเซินซวนไปแล้วว่า ถ้าจะมาแก้แค้นก็ให้เล่นตามเกมอย่างยุติธรรม อย่าแว้งกัดกัน แต่ใครจะไปคิดว่าตระกูลหัวจะทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนี้ได้ลง!

จ้าวเฉียนในตอนนี้โกรธจัด วิ่งออกไปตะโกนลั่นคฤหาสน์

“ลุงหวัง! ลุงหวังอยู่ไหน!”

ลุงหวังที่จ้าวเฉียนเรียกไปชื่อหวังเจ๋อหัวหน้าพ่อบ้านสกุลจ้าว

“คุณชาย! เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?”

หวังเจ๋อรีบวิ่งมาหาทันทีด้วยความตกใจ

“โทรระดมพลบอดี้การ์ดทั้งหมดมา แล้วโทรหาอาเปา อาอันบอกให้พวกเขาเรียกรปภ.จากบริษัทกับพวกลูกเรือจากท่าเรือมาให้หมด! รวมพลกันที่นี่ก่อนมืด!”

สุ้มเสียงตะโกนของจ้าวเฉียนทั้งดุดันและแกร่งกร้าวอย่างยิ่ง ทำเอาหวังเจ๋อหวาดผวาไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติพยักหน้าตอบและอาสาเป็นผู้นำโทรรายงานบรรดาญาติๆ ของจ้าวเฉียนให้ระดมพล

อวีกุ้ยเฟิงที่กำลังเตรียมงานเลี้ยงมื้อค่ำในห้องครัว พอได้ยินเสียงตะโกนของลูกชายก็พลันรู้ได้ทันทีว่า ต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เธอจึงวางทุกอย่างในมือและวิ่งออกมาหาทันใด

หวานเจียงเองก็ได้ยินเสียวงตะโกนนี้เช่นกัน จึงรีบวิ่งออกมาดูอย่างรวดเร็ว

อวีกุ้ยเฟิงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ลูกแม่ เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเรียบตอบกลับไปว่า

“ไม่มีอะไรครับแม่ เข้าครัวไปทำอาหารต่อเถอะ”

“จะบ้าเหรอ! จู่ๆ ก็เรียกระดมพลใหญ่โตขนาดนี้ แล้วแม่ยังจะอยู่เฉยได้อีกเหรอ?”

อวีกุ้ยเฟิงเอ่ยท้วงด้วยความเป็นห่วง

ในเวลาเดียวกัน จ้าวฝู่ก็เดินออกมา เขากล่าวกับอวีกุ้ยเฟิงอย่างใจเย็นว่า

“อย่าไปจี้ถามลูกมากเลย เรื่องนี้ปล่อยให้ลูกของเราจัดการเถอะ และผมก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด ฝากโทรไปบอกสำนักงานเขตด้วยว่า คืนนี้ตระกูลจ้าวจะเคลื่อนไหว พวกเขาคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรทำยังไงต่อ”

อวีกุ้ยเฟิงเข้าใจได้ในทันที เรื่องนี้ต้องรุนแรงอย่างมากจนถึงขึ้นระดับภาครัฐ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เธอไม่เพียงแต่โกรธจ้าวเฉียนเท่านั้น แต่เธอยังโกรธจ้าวฝู่ด้วยที่ยังนิ่งเฉยกับเหตุการณ์ในขณะนี้

ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่กล้าพูดอะไร และรับยกหูโทรแจ้งกับทางภาครัฐทุกระดับไว้ก่อนล่วงหน้า

จ้าวเฉียนยืนอยู่หน้าโถงใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ สีหน้าดูแค้นอาฆาตราวกับยักษ์ คู่มือกำหมัดแน่น หัวใจดั่งถูกมีดคมกรีดจะเลือดซิบ หากวันนี้ไม่คิดบัญชีกับตระกูลหัวให้สาสม เขาก็ไม่ขอเป็นคนสกุลจ้าวแล้ว!

และนี่เป็นครั้งแรกที่หวานเจียงได้เห็นจ้าวเฉียนเป็นแบบนี้ ก่อนหน้าที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน ความโกรธของจ้าวเฉียนเป็นแค่เศษเสี้ยวของในตอนนี้ก็ว่าได้ แค่ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าจ้าวเฉียนแค้นอาฆาตขนาดไหน

เธอย่างเท้าก้าวออกไปหาอย่างแช่มช้า เดินเข้าไปกอดแขนของจ้าวเฉียนด้วยความอ่อนโยนและเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ ทุกปัญหามีทางแก้เสมอจริงไหม?”

จ้าวเฉียนหันศีรษะชำเลืองมองหวานเจียงเล็กน้อย คลี่ยิ้มบางให้และกล่าวตอบไปว่า

“ไม่มีอะไรหรอก เธอกลับไปพักที่ห้องก่อนเถอะ”

ต่อหน้าจ้าวเฉียนในตอนนี้ เธอไม่กล้าแม้แต่จะขัดคำสั่งและพยักหน้าเดินหันหลังกลับเข้าห้อง ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง เธอชะงักฝีเท้าอีกครั้งและหันมาพูดกับเขาเบาๆ ว่า

“ระวังตัวด้วยนะ”

หลังพูดจบ เธอก็เดินเข้าห้องไปโดยตรง

จ้าวเฉียนยังคงยื่นรออยู่แบบนั้นรอให้ทุกคนมาถึง

ตอนที่272 ความขับข้องใจระหว่างตระกูลจ้าวและตระกูลหัว

จ้าวเฉียนสังสัญญาณบอกให้พวกบอดี้การ์ดขึ้นรถทันที จากนั้นก็พาเซินซวนขึ้นรถตามไปด้วย ในเวลานี้เองจ้าวเฉียนก็ชักมีดออกจากคอหอยของอีกฝ่าย

หัวเซินซวนเอ่ยถามอย่างใจเย็น ยิ้มสู้เสือว่า

“ไอ้หนุ่ม รู้ไหมว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรอยู่? แล้วรู้หรือไม่ว่าจุดจบที่แกได้คืออะไร?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างเฉยเมยและกล่าวตอบไปว่า

“ผมไม่เคยกังวลเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้วครับ ดังนั้นคุณหัวก็ไม่ควรมานั่งกังวลแทนคนอื่นเขาแบบนี้ ผมว่ามันน่ารำคาญ”

หัวเซินซวนตอบกลับพร้อมใบหน้าที่แสนจริงจังว่า

“หึ! ฝีปากแกร่งกล้าดีหนิ! สักวันแกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!”

จ้าวเฉียนไม่ต้องการลุมล่ามต่อปากต่อคำกับหัวเซินซวนอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่ปิดปากเงียบเป็นคำตอบ ทว่าพวกบอดี้การ์ดของเขากลับทนไม่ไหวแล้ว ที่ชายแก่คนนี้พูดจาหยาบคายกับคุณชายจ้าว

“นี่ตาแก่ พูดจาแบบนี้กับคุณชายจ้าวได้ยังไง!”

“ถูกต้อง! แกรู้ไหมว่าเขาคือใคร…”

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

จ้าวเฉียนกล่าวขัดจังหวะในบัดดล

พวกบอดี้การ์ดเก็บปากเก็บเสียงลงอย่างรวดเร็ว และทุกคนรีบเบนศีรษะหันหน้าหนีออกจากรถ มองหน้าต่างข้างทางไป

เมื่อได้เห็นภาพฉากแบบนี้ ความประจับใจของหัวเซิงซานที่มีต่อจ้าวเฉียนก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าเด็กน้อยคนนี้จะเป็นใคร แต่เป็นที่แน่นอนว่า ภูมิหลังของเจ้าหนุ่มนี่ต้องไม่ใช่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเอ่ยปากสั่งบอดี้การ์ดแบบนี้ได้

“ฮ่าฮ่า… เอาล่ะ พวกเรามาเปิดใจคุยกันสักหน่อยดีกว่านะ บอกมาเถอะว่าภูมิหลังของนายเป็นมายังไงกันแน่? คงต้องไม่ใช่ครอบครัวที่ประกอบธุรกิจธรรมดาทั่วไปแน่นอน แล้วทำไมถึงต้องปิดบังกันด้วย?”

หัวเซินซวนยิ้มกล่าว

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เอ่ยตอบไปว่า

“ฉันแค่ไม่อยากโดนตราหน้าว่า เป็นคนใหญ่คนโตที่ชอบกลั่นแกล้งพวกลูกปลาซิวปลาสร้อยน่ะ ไม่ใช่พวกพึ่งพาความแข็งแกร่งของตระกูลเพื่อจัดการเรื่องส่วนตัว เอาล่ะ พวกนายหยุดรถก่อน ปล่อยตัวคุณหัวลงไปได้แล้ว”

คนขับรถซึ่งเป็นบอดี้การ์ดอักคนพยักหน้าและจอดรถทิ้งไว้ข้างทางทันที หัวเซินซวนยิ้มก่อนจะเดินลงจากรถไป

จ้าวเฉียนเปิดกระจกหน้าต่างลงมาและตะโกนกล่าวไปว่า

“คุณหัว เรื่องความคับข้องใจระหว่างพวกเรา มีอะไรสามารถแก้ไขได้กันอย่างยุติธรรม อย่าใช้วิธีสกปรกลอบกัดกัน ไม่อย่างนั้นตระกูลหัวไม่เหลือซากแน่! นี่ผมถือว่าหวังดีเตือนคุณแล้วนะ! หลังจากนี้ก็อย่าหาว่าผมใจร้าย!”

หัวซานเซินหัวเราะคำโตและตอบกลับไปทันทีว่า

“พูดจาขี้โม้อวดอ้างดีหนิ! ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะหาหลุมศพดีๆเอง แล้วหลุมศพนั่นต้องเป็นของฉันเช่นกัน! ในเมื่อฉันต้องการที่นั่นก็ไม่มีใครสามารถหยุดฉันได้! คิดจะทำลานตระกูลหัวของฉันอย่างงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”

หลังจากพูดจบหัวเซินซวนก็เดินกลับไปทางบ้านตระกูลหัวไป

จ้าวเฉียนโบกมือเชิงสัญญาณให้คนขับกลับบ้านไปต่อ

หัวเซินซวนเดินอยู่ข้างถนนเพียงไม่กี่นาที หัวเซียงชานก็พาคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามารับ พอเห็นว่าคถณปู่กำลังเดินกลับมาก็รับขอให้คนรับใช้หยุดรถจอดรับทันที

“คุณปู่ ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ?”

หัวเซินซานเอ่ยถามพร้อมท่าที่แสนประหม่า

หัวเซินซวนส่ายหัวตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไร ฉันปลอดภัยดี พวกเรากลับกันเถอะ”

หัวเซียงชานไม่ต้องการจะกลับไปในเวลานี้ แต่พยายามพากลุ่มบอดี้การ์ดที่ติดตามมาด้วย ไล่ล่าตามจ้าวเฉียนให้ทัน

แต่ทว่าหัวเซินซวนกลับส่ายหัวหยุดไว้เสีย

“อย่าหุนหันพลันแล่นไป เราไม่ควรเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้นจนกว่าจะทราบถึงตัวตนของอีกฝ่าย”

หัวเซินซวนส่ายหัวตอบกลับพร้อมใบหน้าแสนหน้ารังเกียจว่า

“คุณปู่ประเมินอีกฝ่ายสูงเกินไป จะมีสั่งกี่คนในหวานจิ้งที่กล้าต่อสู้กับพวกเราตระกูลหัว? วันนี้มันกล้าบุกมาถึงบ้านของเรา ทำตัวกร่างขนาดนี้ ทุกคนต่างเห็นชัดเจนว่ามันไม่กล้าพวกเราเลยแม้แต่น้อย ถ้าปล่อยเรื่องนี้ให้ลอยนวลไป วันหน้าตระกูลหัวของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”

หัวเซินซวนเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลานชายตัวเองกล่าวไปก็มีเหตุผลเช่นกัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนั่นเป็นใครมาจากไหน แต่แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่คนจากตระกูลใหญ่ของเมืองหยานจิ้งแน่นอน เพราะเขาหรือแม้แต่พวกหลานๆก็ไม่มีใครคุ้นหน้าเลยสักคน ดังนั้นไม่มีอะไรจะต้องกลัวมันเลย

ดังนั้นหัวเซินซวนจึงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“งั้นก็ไปเถอะ แต่ระวังตัวด้วย อย่าให้กลายมาเป็นเรื่องใหญ่ ทางที่ดีทำอะไรเงียบๆไว้ก่อน”

หัวเซยงชานคลี่ยิ้มกว้างในทันที ทุบอกไปทีหนึ่งเพิ่มเสริมความมั่นใจให้คุณปู่และกล่าวขึ้นว่า

“คุณปู่ไม่ต้องกังวลไปครับ ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ฉันจะแก้แค้นสิ่งที่มันทำกับคุณปู่ให้สาสม และเก็บงานไม่ให้เหลือหลักฐานเลย!”

พอได้รับอนุญาตจาทกคุณปู่ของเขา หัวเซียงชานก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว และออกไล่ตามจ้าวเฉียนไปทันที

แต่จ้าวเฉียนฉีกระยะห่างไปไกลกว่าสองสามแยกใหญ่แล้ว ผนวกกับไฟแดงที่ต้องรอในแต่ละแยก ระยะทางยิ่งฉีกออกจากกัน ผลสุดท้ายพวกเขาจำต้องเลิกไล่ตามอย่างจนใจ

แต่หัวเซียงชานโกรธเกินกว่าจะหยุดอยู่แค่นี้ ดังนั้นเขาจึงไปเรียกหู่เปาซานมาและให้นำทางไปที่หลุมศพของคุณย่าของจ้าวเฉียน

หลานชายคนนี้ถูกเลี้ยงดูจนเสียคน ไร้ซึ่งบรรทัดฐานมารยาท สั่งให้พวกบอดี้การ์ดทุบป้ายหลุมศพและขุดโลงศพของคุณย่าจ้าวเฉียนออกมาโยนทิ้งโดยตรง

หู่เปาซานรีบหยุดอีกฝ่ายทันทีและกล่าวขึ้นว่า

“คุณชายหัว เราไม่ควรทำเรื่องผิดประเพณีแบบนี้นะครับ สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายเป็นเพียงคนตาย เราไม่ควรทำตัวหยาบคายแบบนี้”

หัวเซียงชานระเบิดหัวเราะเสียงดังและตอบกลับไปว่า

“คุณหู่ คุณนี่มันใจเสาะเกินไปนะ ฉันไม่เคยกลัวใครและไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร! พวกนาย! ทำลายอย่าให้เหลือ!”

จากนั้นพวกบอดี้การ์ดก็หยิบค้อนขนาดใหญ่หวดเข้าใส่ป้ายหินหลุมศพของคุณย่าจ้าวเฉียนอย่างแรงจะแตกละเอียด

ภายในใจลึกๆของหู่เปาซานได้แต่กรนด่าสาปแช่งการกระทำของหัวเซียงชาน เขาทนกับพฤตกรรมแบบนี้ไม่ได้จริงๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาไม่มองจนอีกฝ่ายทุบเสร็จสิ้น

หัวเซียนซานยังจงใจทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้บนที่เกิดเหตุ เพื่อระบุอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นฝีมือของหัวเซียนซาน

หลังจากจ้าวเฉียนกลับถึงบ้าน เขาพลันกังวลว่าพวกตระกูลหัวจะวกกลับมาทำลายหลุมศพคุณย่า ดังนั้นเขาจึงสั่งการให้บอดี้การ์ดทั้งสิบคนออกไปเฝ้าสุสานทันที

“พวกนายทั้งสิบคน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ช่วยกันเฝ้าสุสานไม่ให้ใครเข้ามารุกล้ำไปได้โดยเด็ดขาด ฉันจะให้ค่าแรงวันละหนึ่งพันหยวน ตกลงไหม?”

ทั้งสิบคนพยักหน้ารับคำสั่งทันที

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและจัดแจงแบ่งกลุ่มให้พวกเขา รวมไปถึงจัดแจงอุปกรณ์กางเต้นท์ ก่อนจะกระจายตัวออกไป

จ้าวเฉียนเดินเข้าคฤหาสน์มาหาพ่อของเขา

จ้าวฝู่ที่เห็นว่าลูกชายตัวเองกลับมาแล้ว ก็รีบวิ่งไปถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

“เป็นยังไงบ้าง? อีกฝ่ายมันเป็นใครกัน?”

“ตระกูลหัว”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบน้ำเสียงเย็น

จ้าวฝู่เผยสีหน้าแสนดูถูกออกมาในบัดดล เขายิ้มและกล่าวต่อว่า

“สมแล้วที่เป็นตระกูลรนักเลงเก่า ทำอะไรไร้มารยาทสิ้นดี! แล้วมันพูดอะไรกับแกบ้าง?”

จ้าวเฉียนเผยรอยยิ้มแสนดูถูกออกมาเช่นกัน และตอบกลับไปว่า

“ทัศนคติของพวกมันค่อนข้างแข็งกระด้างมาก แถมยังขู่ใช้ความรุนแรงอีก ดีที่ผมคว้าหัวเซินซวงเป็นตัวประกันไว้ได้และหนีออกมาก่อน ผมคิดว่า เรื่องนี้ไม่จบลงง่ายๆแน่นอน”

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะลั่น อันที่จริงเขาเองก็ต้องการกำจัดตระกูลหัวไปนานแล้ว ในสมัยที่หัวเซียงตงย้ายจากเมืองตงไห่มายังเมืองหยานจิ้ง มันก็พยายามเข้ามายึดธุรกิจท่าเรือของตระกูลจ้าวเฉียนเช่นกัน แต่ตอนนั้น คุณปู่ของจ้าวเฉียนได้ส่งลูกเรือกว่า500นายไปปิดล้อมโกดังสินค้าของตระกูลหัวไว้เป็นเวลาสามวันสามคืน ก่อนที่หัวเซียงตงจะหนีหัวซุกหัวซุนออกไป

ต่อมาหัวเซียงตงอาศัยเส้นสายที่มีร่วมมือกับบริษัทเล็กๆแห่งนี้ที่ดูแลท่าเรือหลายจุดตามเมืองข้างเคือง ก่อนจะได้ขึ้นมาครองอำนาจใหญ่ในเวลาต่อมา

หลายทศวรรษที่ผ่านมา เว้นเสียแต่ธุรกิจการท่าเรือของภาครัฐ ธุรกิจการท่าเรือที่เหลือโดยส่วนใหญ่ถูกแบ่งเป็นของสองตระกูลได้แก่ ท่าเรือของตระกูลจ้าว และท่าเรือของตระกูลหัว

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเดินหมากของตระกูลจ้าวกับตระกูลหัวแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ของฝ่ายตระกูลหัวมักทำอะไรโจ่งแจ้ง ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแซ่หัว

ส่วนคนตระกูลจ้าวโดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่เวลาลงมาทำสิ่งต่างๆ

และแน่นอนว่า ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างสองตระกูลก็ค่อนข้างห่างชั้นกันมาก

ไม่ว่าตระกูลหัวจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พวกเขาก็เป็นใหญ่แค่ในไม่กี่อุตสาหกรรม กล่าวได้ว่าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆเท่านั้น

ซึ่งแตกต่างจากตระกูลจ้าวโดยสิ้นเชิง แค่บริษัทในเครือของจ้าวฝู่ก็สามารถเอาชนะตระกูลหัวได้ขาดลอยแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงบริษัทของบรรดาญาติพี่น้องของตระกูลจ้าว หากนำมามัดรวมกันจะกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

และเพราะแบบนี้เอง ตระกูลจ้าวจึงไม่ค่อยชอบเปิดเผยตัวตนสู่สาณารณะชนเท่าไหร่นัก

จึงไม่แปลกที่ตระกูลหัวและตระกูลอื่นๆจึงไม่ค่อยรับรู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลจ้าว พวกเขารู้จักแค่บริษัทท่าเรือของตระกูลจ้าวเท่านั้น

จ้าวหรงหรือคุณปู่ของจ้าวเฉียน ดำเนินธุรกิจการท่าเรือมาโดยตลอด เพิ่งจะเป็นยุคของจ้าวฝู่ที่ขยับขยายไปยังอุตสหกรรมอื่นๆ ดังนั้นผู้คนโดยส่วนใหญ่จึงรู้จตักตระกูลจ้าวแค่ผิวเผินเท่านั้น

ความปรารถนาตลอดมาของจ้าวหรงคือ การผนวกรวมธุรกิจท่าเรือของทั้งฝ่ายตระกูลจ้าวและฝ่ายตระกูลหัวให้มารวมกันเป็นหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่จ้าวหรงป่วยเป็นโรคหลอดเลือดใสสมองตีบ ส่งผลทำให้สุภาพของเขาแย่ลงอย่างรวดเร็ว และจำต้องฝังความปรารถนานี้ลงไปใต้ก้นบึ้งของจิตใจ

ทว่าอย่างไร จ้าวฝู่ทราบดีถึงความปรารถนานี้ของคุณพ่อเขาโดยตลอด ซึ่งหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาเองก็พยายามหาโอหาสผนวกธุรกิจท่าเรือของตระกูลหัวเข้ามาร่วมกับตระกูลจ้าว และยังแอบดำเนินแผนการอย่างลับๆมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที

ปัจจุบัน ตระกูลหัวมายั่วยุถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้ นี่มันก็มากเพียงพอแล้วที่ตระกูลจ้าวจะหาเหตุผลมาทำลายตระกูลหัวให้สิ้นซาก

ตอนที่270 ลงมือ

หู่เปาซานกรนด่าสาปแช่งจ้าวเฉียนทันควัน

“ไอ้หนู นี่แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน แถมยังกล้าพูดจาน่ารังเกียจแบบนี้กับคุณหัวเขาอีก! พ่อแม่ไม่สั่งสอนเลยรึไง!”

หู่เปาซวนเป็นเพียงซินแส่ที่ถูกเชิญมาเท่านั้น ในสายตาของจ้าวเฉียน อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์ชี้หน้าด่าเขาแบบนี้ จึงโต้สวนกลับไปทันที

“แล้วแกคิดว่าตัวเองเป็นใคร! ถึงกล้าขึ้นเสียงต่อหน้าฉันกับคุณหัวแบบนี้!? ถ้าทำตัวไม่มีประโยชน์ก็ไสหัวไปซะ!”

หู่เปาซานอับอายอย่างยิ่งที่โดนเด็กถอนหงอกกลับแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ตระกูลหัวจะต้องปกป้องเขาแน่นอน ดังนั้นเขาจึงโต้กลับทันควัน

“ไอ้เด็กเวรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! แก…”

“คุณหู่ ออกไปก่อน!”

หัวเซินซวนตะคอกอย่างเย็นชา

หู่เปาซานหุบปากลงทันใด กลืนคำพูดก่อนหน้าทั้งหมดลงคอ พอเห็นสีหน้าอันมืดทมิฬของหัวเซินซวน เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งใดๆอีกต่อไป

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้รีบเรียกผมได้เลย ผมจะจัดการไอ้เด็กเวรนี่เอง!”

หู่เปาซวนกล่าววาจานอบน้อม

หัวเซินซวนพยักหน้าและหันไปไล่พวกบอดี้การ์ดให้ออกไปอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเพียงเขากับจ้าวเฉียนกันสองต่อสอง

หัวเซินซวนจับจ้องไปที่จ้าวเฉียน คลี่ยิ้มบางสักครู่แล้วกล่าวขึ้นว่า

“เป็นเวลานานแล้วจริงๆที่ไม่ได้พบเจอกับเด็กหนุ่มใจกล้าปานนี้ เห็นตัวนายในวันนี้พลันให้ฉันนึกถึงเงาตัวเองในวัยเด็ก ครอบครัวของนายทำอะไรกันแน่เจ้าหนู? ถึงสามารถเพาะเลี้ยงต้นกล้าที่โดดเด่นแบบนี้ขึ้นมาได้?”

ตั้งแต่ที่จ้าวเฉียนถูกละเห็ดออกมาใช้ชีวิตคนเดียวกว่าห้าปี นั่นก็ทำให้เขาไม่ต้องการใช้ความร่ำรวยข่มเหงคนอื่นอีกเลย และจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยความสามารถของตัวเอง

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงตอบกลับไปว่า

“เมื่อเทียบกับตระกูลหัว อุตสาหกรรมธุรกิจของผมก็ไม่ควรเอ่ยถึงเลย อย่างไรก็ตามแต่ ผมเชื่อว่าถ้าเป็นตัวคุณเองก็คงไม่อยากย้ายหลุมศพของบรรพบุรุษไปเฉยๆจริงไหมครับ?”

หัวเซินซวนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ที่พูดไปก็มีเหตุผล แต่ฉันเองก็คาดหวังว่า น้องชายก็น่าจะมีความคิดแบบผู้ใหญ่ คุยกันด้วยเหตุผลและยุติธรรม ฉันไม่เคยขี้เหนียวกับใครอยู่แล้ว ห้าสิบล้านหยวนแลกกับหลุมศพตระกูลน้องชาย ว่าไง?”

หัวเซินซวนคิดว่าตัวเองสามารถมองผ่านอ่านสถานการณ์ออกโดยชัดแจ้ง จ้าวเฉียนเป็นแค่เด็กหนุ่มหัวรั้นคนหนึ่งเท่านั้น

แต่จ้าวเฉียนโต้กลับไปทันที

“คุณเองก็ทราบดีถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ขาย ตอนนี้คิดจะใช้ความเป็นใหญ่บีบบังคับกันอย่างนั้นเหรอครับ?”

สีหน้าของหัวเซินซวนเปลี่ยนไปในทันใด นัยน์ตาดีดำขลับลึกล้ำซ่อแววจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง ราวกับสัตว์ร้ายกำลังจับจ้องเหยื่อ

ในฐานะผู้ใหญ่วัยชราที่ผ่านประสบการณ์ทางโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน หากกับแค่เด็กอายุไม่ถึง30ยังเอาชนะไม่ได้ เขาเองก็ขอตายดีกว่า

มีเพียงไม่กี่คนในเมืองหยานจิ้งที่เขาไม่กล้าล่วงเกิน ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนมีอายุรุ่นเดียวกับเขาหมด แต่ไอ้เด็กเหลือขอนี่กลับน่ารังเกียจจริงๆ มันกล้าทำตัวหยาบคายใส่เขา!

หัวเซินซวนขู่กลับไปว่า

“ดูเหมือนว่า ไม้อ่อนจะใช้ไม่ได้ผล ไอ้หนุ่ม อยากให้ฉันใช้ไม้แข็งกับแกจริงๆเหรอ!? ได้สิ! พวกแก! เข้ามา!!”

บรรดาบอดี้การ์ดได้ยินเสียงเรียกดังลั่นจากภายในห้อง พวกเขาวิ่งกรูกันมาโดยเร็ว

“นายท่าน มีอะไรให้รับใช้ครับ”

หัวเซินซวนชี้ไปที่จ้าวเฉียนและสั่งการไปว่า

“ไอ้เด็กนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปสั่งสอนมันให้เชื่องสักหน่อย!”

“รับทราบ!”

บอดี้การ์ดตะโกนส่งเสียงตอบ และวิ่งเข้าปราบปรามจ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นพลันคลี่ยิ้มอย่างใจเย็นกล่าวว่า

“คุณหัว แน่ใจแล้วเหรอครับว่าต้องการแบบนี้?”

หัวเซินซวนระเบิดหัวเราะกล้าวตอบไปว่า

“ทำไม? มีอะไรที่ฉันต้องกลัวงั้นเหรอ?”

จ้าวดฉียนหัวเราะและกล่าวอธิบายไปว่า

“นี่คุณคิดว่าผมกล้ามาเพียงลำพังงั้นเหรอ? นี่ถึงขนาดเดินเข้ารังตระกูลหัวเลยนะ ถ้าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับผมจริงๆ วันข้างหน้าตระกูลหัวชะตราขาดแน่นอน!”

พอได้ยินแบบนั้นหัวเซินซวนยิ่งระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เขากล่าวตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ช่างเป็นเด็กน้อยที่หยิ่งผยองอะไรแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้พบกันเด็กหนุ่มใจกล้าบ้าบิ่นแบบแก! ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าที่พูดไปมันดังแต่เสียงรึเปล่า!”

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการโจมตี

นี่คือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาภายในหัวจ้าวเฉียน เขาวิ่งไปคว้ามีดปลอกผลไม้บนโต๊ะและชิงพุ่งเข้าไปล็อกตัวหัวเซินซวน ยกมีดจี้คอหอยอย่างรวดเร็ว ภาพฉากทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ทุกคนต่างไม่ทันตอบสนอง พวกบอดี้การณ์สายเกินไปที่จะหยุดยั้งแล้ว

“นี่แกกำลังทำอะไร! ปล่อยนายท่านเดี๋ยวนี้!”

“บัดซบ! แกรนหาที่ตายแล้ว! ปล่อยนายท่านเร็วเข้า!”

…….

บรรดาบอดี้การ์เอ่ยปากข่มขู่จ้าวเฉียนต่างๆนาๆ แต่ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฉียนเองก็ไม่สามารถปล่อยหัวเซินซวนได้อยู่ดี

จ้าวเฉียนยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ฉันกลัวจังแหะ ถ้ายังกล้าข่มขู่กันแบบนี้ บางที…มือฉันอาจจะลั่นปักคอหอยคุณหัวก็ได้นะ อย่าทำให้ตกใจเลยดีกว่า”

หัวเซินซวนตอนนี้ทั้งตื่นตระหนกและประหม่าสุดขีด เขาพยายามใจดีสู้เสือ ฝืนยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“นี่แกกำลังเล่นกับไฟนะเจ้าหนู! ไม่มีใครกล้าเอามีดจ่อคอหัวเซินซวนแห่งตระกูลหัวเลยสักคน แล้วคิดว่าหลังจากนี้ตัวแกยังจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างเย้ยหยัน

“ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดหน้างานไปก่อน คลื่นกระทบหลังจากนี้ค่อยว่ากัน ตรรกะง่ายๆคุณหัวไม่เข้าใจเหรอครับ?”

หัวเซินซวนแสยะยิ้มแสนเจ้าเล่ห์กล่าวตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ที่แท้แกเองก็กำลังกลัวอยู่จริงๆ คิดว่าจับฉันเป็นตัวประกันแบบนี้จะทำให้ออกไปได้อย่างปลอดภัยรึไง? เปล่าเลย! นายมาร่วมมือกับฉันดีกว่า ต่างคนต่างถอยหลังคนละก้าว ว่าไง? ขืนปล่อยไปแบบนี้แกจบไม่สวยแน่นอน!”

จ้าวเฉียนไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระของหมอนี่อีกแล้ว เพียงผลักร่างของเขาออกไปจากประตู เดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่

“นี่แก! ปล่อยนายท่านเดี๋ยวนี้!”

“แกรนหาที่ตายแล้ว ปล่อยเขาออกมาเร็ว!”

หู่เปาซวนและครอบครัวตระกูลหัวที่เดห็นแบบนั้นก็ตกใจอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก

หัวเซียงซิ่วและคนอื่นๆที่เห็นว่า คุณปู่กำลังถูกจ้าวเฉียนลักพาตัวไปก็ระเบิดลงทันใด

หัวเซียงซิ่วชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนไปว่า

“ไอ้สารเลว! แกรนหาที่ตายแล้ว! กล้าทำแบบนี้กับคุณปู่ได้ยังไง! ถ้ากล้าทำร้ายเขาแม้แต่น้อย ฉันจะฆ่าแก!”

พี่ชายของหัวเซียงซิ่ว หัวเซียงซางยิ่งเดือดจัด ตะโกนสาปแช่งเสียงดังลั่นฃ

“ไอ้บัดซบ! กล้าสร้างปัญหาถึงในบ้านฉันเลยเหรอ!? ปล่อยคุณปู่เดี๋ยวนี้ ถ้ายอมฟังแต่โดยดีกูจะละเว้นชีวิจมึง แต่ถ้าไม่จุดจบของมึงไม่สวยแน่! กูจะตามล่าไปยันโคตรตระกูลมึง!”

รวมไปถึงพวกญาตพี่น้องต่างๆของหัวเซียงซิ่วก็ข่มขู่จ้าวเฉียนให้ปล่อยตัวอีกฝ่ายเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นเตรียมตัวตายอย่างน่าสยดสยองได้เลย

หัวเซียงตง ซึ่งเป็นพ่อของหัวเซินซวน หรือก็คือชายชราไม้ใกล้ฝั่งที่กำลังจะตายแล้ว ในอดีตเขาเคยเป็นหัวหน้าแก๊งใต้ดิน ยกพวกพามาจากบ้านเกิดและเข้ามาวางรากฐานในเมืองตงไห่ในตอนนั้น

แต่เนื่องจากเขามีศัตรูมากเกินไปในเมืองตงไห่ ดังนั้นหัวเซียงตงจึงจำต้องย้ายถิ่นฐานมายที่หวานจิ้งแทน แม้ว่าแก๊งตระกูลหัวจะสลายไปนานแล้วก็ตาม แต่อุปลักษณ์นิสัยของพวกเขายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ใช้กำลังเพื่อขจัดปัญหา

อย่างเช่นก่อนหน้าที่หัวเซินซวนเรียกบอดี้การ์ดใสสั่งสอนจ้าวเฉียนก็เช่นกัน

กล่าวได้ว่า กำปั้นคือรากฐานของบรรพบุรุษตระกูลหัว ดังนั้นการใช้กำลังภายในบ้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แม้จ้าวเฉียนจะไม่ค่อยรู้เรื่องตระกูลหัวมากนัก แต่เขาก็มั่นใจว่า ตระกูลจ้าวของเขาสามารถบดขยี้ตระกูลหัวได้ภายในไม่กี่อึดใจ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะล้ำเส้นตระกูลหัวเลย

หากทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยความสามารถตัวเองได้ จ้าวเฉียนก็ยินดีที่จะเลือกทางนั้น แต่ตอนนี้มันเกินขีดจำกัดตรงนั้นมาไกลแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดฉากใช้กำลังก่อน จ้าวเฉียนเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน

ภัยคุกคสามจากพวกคนตระกูลหัว ก็ไม่ต่างอะไรกับการผายลมใส่จ้าวเฉียน และเขาไม่กลัวแม้แต่น้อย

ตอนที่271 คุกเข่าขอความเมตตา

จ้าวเฉียนยิ้มและหันไปกล่าวกับพวกตระกูลหัวว่า

“อย่าขู่ให้ผมกลัวเลยดีกว่าครับ! ก็น่าจะเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ? เวลาผมกลัวขึ้นมา มือไม้ผมจะสั่นไม่หยุด ดีไม่ดีมีดในมืออาจพุ่งไปปักคอหอยของตาแก่นี่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกคุณ!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็แสร้งทำเป็นมือไม้สั่นจงใจขู่ ซึ่งนี่ทำให้ทุกคนต่างตื่นตกใจอย่างยิ่ง และกลัวว่าอีกฝ่ายจะตัดคอหัวเซินซวนไปจริงๆ ถ้าเรื่องมันพัฒนาไปถึงจุดนั้นจะไม่มีใครรับมือกับผลที่ตามมาได้ไหวแน่นอน

หัวเซียงชางรับตะโกนขึ้นว่า

“หัวหมอนักนะ! กูจะเตือนอะไรมึงอย่าง ตอนนี้มึงก็ไม่ต่างอะไรจากศพเดินได้! ดังนั้นรีบปล่อยคุณปู่ไปซะก่อนที่จะได้ตายจริงๆ! ถ้ารีบปล่อยตั้งแต่ตอนนี้ ฉันจะให้เวลาแกหนึ่งคืน หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้! ว่ายังไง นี่กูเมตตากับมึงมากแล้ว!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นกล่าวตอบไปว่า

“ผมไม่ใช่เด็กสามขวบ โกหกไม่เนียนเลยนะครับ แต่ถ้าอยากให้ผมปล่อยตัวเขาไปจริงๆ ก็ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเตรียมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลได้เลย!”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็กระชับมีดแน่นเพิ่มแรงกดลงไปบนคอหอยอีกฝ่ายเล็กน้อย ซึ่งอย่ามองว่านี่เป็นมีดปลอกผลไม้ทั่วไป แต่มันเป็นมีดพับเดินป่าที่คมอย่างยิ่ง ถ้าจ้าวเฉียนออกแรงปาดไปสักที มีหวังเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้องโถงอย่างไม่ต้องสงสัย

หัวเซินซวนยามนี้ตื่นตระหนักจริงๆแล้ว เริ่มสัมผัสได้ถึงความแสบสันที่ลำคอคล้ายว่าคมมีดเฉียดเข้าเนื้อคอเข้ามาทีละนิด เมื่อรู้สึกดังนั้นจึงรีบเปล่งเสียงบอกทุกคนว่าให้ถอยไปเดี๋ยวนี้

ยังคงซะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิต ส่วนเรื่องปัญหาค่อยๆ แก้ไปได้ในอนาคต ดังนั้นหัวเซินซวนจึงตะโกนต่อทันทีว่า

“พวกแกออกไปจากที่นี่! และถ้าไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้ามาอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทุกคนจะถูกลงโทษตามกฎตระกูล โดนโบยห้าสิบไม้!”

ตระกูลใหญ่ที่ถือกำเนิดมาจากโลกใต้ดินย่อมมีกฎเกณฑ์การลงโทษอันโหดร้ายซ่อนแฝงคงอยู่

ทุกคนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของหัวเซินซวนแม้สักนิด และรีบเดินจากออกไป

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“คุณหัวยังคงฉลาดหัวไวที่สุด รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ ไม่ต้องกังวลไปครับ บอกให้เขาออกไปไกลๆ ส่วนผมจะเดินออกไปขึ้นรถ ตราบใดที่ผมขึ้นรถแล้ว ผมจะปล่อยคุณไปแน่นอน และขอสัญญาเลยว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายคุณแม้แต่น้อย”

หัวเซินซวนพ่นลมหายใจไอเย็นสะท้านออกมา กรนเสียงตอบไปว่า

“แกลองทำอันตราบฉันดูสิ! ไปได้แล้ว!”

ดั่งที่กล่าวไป จ้าวเฉียนจับหัวเซินซวนเป็นตัวประกันและเดินจากออกไปท่ามกลางทุกสายตาของคนตระกูลหัว

หัวเซินซวนแยปากกล่าวขณะเดินออกไปว่า

“ไอ้หนุ่ม แกแซ่อะไรกันแน่? ทำไมถึงกล้าสร้างปัญหาให้พวกเราขนาดนี้?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเสียงหนึ่ง เอ่ยตอบไปตามตรงว่า

“พูดตามตรงนะครับ สถานะของครอบครัวคุณมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นศัตรูกับครอบครัวผมเลยด้วยซ้ำ พูดได้แค่ว่า ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความยิ่งใหญ่ของครอบครัวตัวเอง ก็สามารถโค่นล้มพวกคุณสบาย”

หัวเซินซวนหัวเราะเช่นกันและตอบกลับไปว่า

“น้ำเสียงฟังดูอวดดีจังนะ แต่ที่พูดไปทั้งหมด มันไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยเหรอ? เด็กตัวน้อยอย่างแกจะไปทำอะไรฉันได้!”

จ้าวเฉียนไม่พูดไม่ตอบใดๆ และลากหัวเซินซวนออกไปจากประตู

ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงประตูหน้าคฤหาสน์ พอพวกบอดี้การ์ดของฝ่ายจ้าวเฉียนเห็นภาพฉากแบบนี้เข้า แต่ละคนรีบวิ่งเข้ามาถามไถ่ทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า

“ไอ้พวกคนที่เพิ่งเดินออกมามันทำอะไรคุณชายไหมครับ? บัดซบ! ผมจะโทรเรียกกำลังเสริมมาเดี๋ยวนี้แหละครับ!”

“คุณชายขึ้นรถไปก่อนนะครับ ที่นี่ปล่อยให้พวกเราจัดการต่อเอง!”

……….

บอดี้การ์ดของฝ่ายจ้าวเฉียนหัวเสียและหงุดหงิดอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการที่จะสั่งสอนบทเรียนให้แก่บ้านสกุลหัวสักหน่อย

แต่จ้าวเฉียนรีบหยุดพวกเขาทันทีโดยกล่าวว่า

“ไม่จำเป็น เรื่องความขับข้องใจระหว่างฉันกับตระกูลหัว ปล่อยให้ฉันจัดการด้วยตนเอง”

บอดี้การ์ดที่ได้ยินแบบนั้นก็วางมือถือลงทันที และพยักหน้ารับคำสั่งแต่โดยดี

จ้าวเฉียนยิ้มและพูดกับหัวเซินซวนว่า

“คุณหัว ขอบคุณนะครับที่ออกมาส่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้พวกเราออกไปโดยสวัสดิภาพ ผมต้องรบกวนให้คุณขึ้นรถมาด้วยกัน”

หัวเซินซวนชะงักค้างไปในทันใดที่ได้ยิน ไหนว่าตราบใดที่จ้าวเฉียนขึ้นรถไปแล้วจะปล่อยไง? นี่หลอกกันอย่างงั้นเหรอ?

ดังนั้นเขาจึงปกฏิเสธกลับไปทันทีว่า

“ไม่! ฉันจะไม่ออกไปไหนกับแกทั้งนั้น! นี่แกยังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า! หัดรักษาสัจจะบ้าง! ไหนสัญญากันว่าจะปล่อยฉันไปเมื่อมาถึงรถแล้ว หลังจากนี้ก็อย่าเสียใจแล้วกัน!”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“แล้วจะให้ผมปล่อยตัวคุณไปเฉยๆ ได้ยังไง? บรรดาหลานๆ ของคุณโหดเหี้ยมซะขนาดนั้น ถ้าปล่อยไปแล้ว พวกนั้นขับรถไล่ล่าตามมาจะทำยังไง? เอาล่ะ ขึ้นรถไปพร้อมกับผม ขับออกไปสักสองสามกิโลแล้วผมจะปล่อยคุณทิ้งไว้ข้างทาง ตกลงไหม?”

สิ้นเสียงจ้าวเฉียน เขาก็กดคมมีดลงบนคอหอยของหัวเซินซวนอีกครั้ง ตอนนี้หัวเซินซวนไม่ต่างอะไรกับปลาบนเขียงที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าตอบตกลงไป

“ได้! ได้! แต่หวังว่าครั้งนี้แกจะรักษาสัญญา!”

จ้าวเฉียนตบหน้าอกตัวเองทีหนึ่งและกล่าวด้วยความมั่นใจว่า

“ผมขอสาบานเลย! แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำต้องอธิบายกับคุณก่อนก็คือ ถ้าระหว่างเดินทาง มีใครสักคนขับรถตามมา ผมจะไม่ปล่อยคุณ อย่าให้ผมต้องพาคุณกลับถิ่นผมเลยดีกว่านะครับ ไม่อย่างนั้นโอกาสรอดจะยิ่งน้อย!”

หัวเซินซวนพยักหน้า และหันกลับไปตะโกนใส่พวกตระกูลหัวว่า

“ห้ามให้ใครขับรถตามพวกฉันมาเด็ดขาด! ถ้าใครกล้าฝ่าฝืนต้องรับโทษสถานะหนัก โบยหนึ่งร้อยไม้!”

จะเห็นได้ว่า หัวเซินซวนกลัวตายขนาดไหน เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง ถ้าใครกล้าฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษด้วยกว่าโบยเฆี่ยน100ครั้ง!

แต่หัวเซียงชานกลับคำรามตอบกลับด้วยความโมโหว่า

“ไอ้สารเลว! แกจะจับคุณปู่ไปที่ไหนกันแน่! ถ้าผิดสัญญาเมื่อไหร่ แกคงรู้ใช่ไหมถึงผลที่จะตามมา!”

หัวเซียงซิ่วตะโกนเสริมขึ้นว่า

“ฉันจะรอดูแก! ถ้าไม่ปล่อยคุณปู่ ก็เตรียมตัวตายยกตระกูล!”

จ้าวเฉียนรู้สึกเกลียดสองพี่น้องคู่นี้จริงๆ พอนึกอะไรดีๆ ขึ้นออก เขาจึงกล่าวกับหัวเซินซวนขึ้นว่า

“ฉันไม่ชอบพี่น้องคู่นี้เลยแหะ เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าพวกมันคุกเข่าขอโทษแทบเท้าผม ผมจะปล่อยคุณไปทันที!”

หัวเซินซวนโกรธเกรี้ยวหนักเมื่อได้ยิน จะขอให้หลานชายกับหลานสาวคุกเข่าขอโทษต่อหน้าจ้าวเฉียนนี่นะ?

นี่ถือเป็นความอักยศของตระกูลอย่างแท้จริง!

“ไอ้หนุ่ม! เล่นอะไรให้มันมีขอบเขต! ยกเว้นพ่อของพวกเขากับฉันที่เป็นปู่ หลานสองคนนี้ไม่เคยต้องลดศีรษะให้ใครมาก่อน!”

จ้าวเฉียนยิ้มขึ้นทันทีที่ได้ยิน และกล่าวกับพวกบอดี้การ์ดขึ้นว่า

“พวกนายพกมีดติดตัวกันมารึเปล่า?”

พวกบอดี้การ์ดพยักหน้าและหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋า

นี่คืออาวุธพกติดตัวเพื่อใช้ปกป้องจ้าวฝู่ในยามอันตราย แค่ฟันออกไปเบาๆ ไม่ต้องออกแรงก็สามารถตัดเนื้อหนังคนได้อย่างง่ายดาย

จ้าวเฉียนหยิบมันขึ้นมาเล่มหนึ่ง และกล่าวกับหัวเซินซวนด้วยรอยยิ้มว่า

“นี่เป็นมีดสำหรับฆ่าคนโดยเฉพาะ คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำแบบนี้ ผมสามารถปาดเอาลูกกระเดือกของคุณได้ออกมาในชั่วพริบตา!”

ขณะที่จ้าวเฉียนพูดออกไปแบบนั้น เขาก็ควงมืดสั้นในมือต่อหน้าหัวเซินซวนเพื่อกระตุ้นความกลัว

หัวเซินซวนที่ขณะนี้มีมีดสั้นสำหรับมือสังหารจ่ออยู่บนคอ น้ำหน้าอย่างเขาจะไปทำอะไร?

หลังจากรวนเรยุ่งเหยิ่งอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เหลียวหน้ากลับไปกล่าวกับหัวเซียงชานและหัวเซียงซิ่วว่า

“พวกหลาน…คุกเข่าขอโทษน้องชายคนนี้เร็วเข้า! ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ! ห้ามปฏิเสธคำสั่งของปู่!”

สองพี่น้องถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

พวกเขาทั้งสองรู้สึกแปยศอย่างถึงที่สุด แทบจะมุดดินแทรกแผ่นดินหนี

พวกเขากรีดร้องเสียงหลงด้วยความอาฆาต ตะโกนด่าจ้าวเฉียนลั่นว่า

“ไอ้บัดซบ! กูจะเอาคืนเป็นสองเท่าคอยดู!”

พอหัวเซียงชานพูดจบ เขาก็คุกเข่าพร้อมโค้งศีรษะให้โดยตรง

คล้อยหลังหัวเซียงชานคุกเข่าลง น้องสาวของเขาก็เริ่มคุกเข่าตามพร้อมก้มศีรษะต่อแทบเท้าจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มอันแสนเย้ยเยาะของเขาได้ฝังลึกลงในใจของบรรดาสมาชิกตระกูลหัวทั้งหมด

ตอนที่269 ครอบครัวของนายก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร

ในไม่ช้าหู่เปาซานก็พาจ้าวเฉียนมาถึงโถงกว้างในตัวคฤหาสน์วิลล่าหรู

“น้องชายรอที่นี่ก่อนสักครู่ ฉันจะเข้าไปรายงานกับทางลูกค้าว่าคุณต้องการเจรจาด้วย”

หู่เปาซานกล่าวน้ำเสียงสุภาพ

“ไปเถอะ ฉันรออยู่ที่นี่แหละ”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบด้วยความมั่นใจ

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเด็กสาวคนหนึ่งแต่งตัวมีคลาสดูใจกล้าเดินเข้ามา พอเห็นว่าจ้าวเฉียนนั่งอยู่คนเดียวเพียงลำพัง เธอก็เดินเข้าไปหาทันที

“นี่นายเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?”

เด็กสาวเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองเธอเล็กน้อย เด็กสาวคนนี้เธอดูสวยมากจริงๆ ทว่าแตกต่างจากอู่ซินที่ดูนอบน้อมอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง เธอดูคล้ายกับหวานเจียงที่ดูเย็นชาและหยิ่งผยองสูงส่ง มองแวบแรกก็รู้ทันทีว่า เด็กสาวคนนี้เติบโตในต่างประเทศที่เป็นสังคมแบบเปิด

พอเห็นว่าจ้าวเฉียนเอาแต่จ้องมองเธอ แต่กลับไม่ตอบคำถาม สาวน้อยก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความโกรธจัด

“มองอะไรของแก! ไม่เคยเห็นสาวสวยมาก่อนเลยรึไง! ฉันถามว่าแกเป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่! หรือหูหนวกถึงไม่ได้ยินเสียงฉัน!”

เป็นสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งสัมมาคาราวะ ซึ่งคนประเภทนี้เป็นอะไรที่จ้าวเฉียนรังเกียจอย่างที่สุด ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและยังคงนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือต่อไป

สิ่งนี้ยิ่งทำให้หญิงสาวโกรธจัดเข้าไปใหญ่ เธอพุ่งตัวไปคว้าโทรศัพท์ในมือจ้าวเฉียนโดยตรง แต่โชคยังดีที่เชาหลบทัน

“เสียมารยาท! กล้าหลบฉันงั้นเหรอ! แกตาย!”

สาวน้อยโกรธจัด ยกเท้าแตะใส่จ้าวเฉียนอย่างแรง

แต่จ้าวเฉียนเองก็ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ ฉวยโอกาสยกเท้าขึ้นถีบอกเธอก่อนจนล้มขมำทั้งแบบนั้น

“โอ๊ย!”

ในเวลานั้นเอง หู่เปาซานก็รีบวิ่งเข้ามาช่วย พร้อมกับบรรดาคนใช้

“คุณหนูหัวใจเย็นๆก่อนนะครับ ใจเย็นก่อน เขาเป็นแขกคนสำคัญของคุณหัวนะครับ”

หู่เปาซานรีบกล่าวปลอบอย่างช่วยไม่ได้

แต่เธอกลับไม่ได้สนใจอะไรเลย สาวน้อยคนนี้รู้เพียงว่าจ้าวเฉียนกล้าถีบเธอ และบัญชีแค้นครั้งนี้จำต้องชดใช้

“ไปเรียกพวกบอดี้การ์ดมา! แล้วลากไอ้เวรนี่ออกไป! เดี๋ยวฉันจะซ้อมมันสักหน่อย!”

บรรดาคนรับใช้รีบไปเรียกบอดี้การ์ดมาทันที กลุ่มบอดี้การ์ดนับสิบวิ่งเข้ามาตีกรอบล้อมจ้าวเฉียนอย่างหนาแน่น

หู่เปาซานรู้ว่านี่ไม่ดีแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบไปเชิญคุณหัวออกมาแก้สถานการณ์เป็นการด่วน

“เกิดอะไรขึ้น?”

ชายชราหัวเอ่ยถาม

ทุกคนพลันเงียบสนิท มีเพียงหัวเซียงซิ่วลูกสาวของเขาที่กล้ายืนหยัดเถียงปู่ของเธอสวนกลับไปว่า

“คุณปู่! มีไอ้สวะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากที่ไหนไม่รู้กล้าทำตัวเมินหนู แถมยังทำร้ายร่างกายหนูอีก! ครั้งนี้หนูถูกรังแก! คุณปู่ต้องสั่งสอนมันให้หนัก!”

คุณหัวเหลือบมองไปที่จ้าวเฉียนแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามหู่เปาซานขึ้นว่า

“นี่คือชายหนุ่มที่นายพามาใช่ไหม?”

หู่เปาซานพยักหน้าตอบไปว่า

“ใช่ครับ เขาเป็นเจ้าของทำเลทอง เขามาเจรจาในฐานะครอบครัวของเขาเอง”

คุณหัวหันไปพูดกับหลานสาวตัวเองว่า

“เซียงซิ่ว อย่าสร้างปัญหาตรงนี้ ปู่มีธุระที่ต้องคุยกับเขา”

หัวเซียงซิ่วพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก

“ได้ค่ะ แต่ทันทีที่ธุระเสร็จเมื่อไหร่ คุณปู่ต้องจัดการมันให้หนูนะ ไม่ว่าจะร่วมมือเรื่องอะไรก็ตาม แต่ห้ามยกโทษให้มันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหนูจะไม่รักคุณปู่แล้ว!”

คุณหัวยิ้มพลางพยักหน้าตอบ และเรียกจ้าวเฉียนให้เข้ามาในห้องรับรองส่วนตัวเพื่อเจรจา

จ้าวเฉียนเดินติดตามคุณหัวไป ในขณะนั้นเองก็เดินผ่านหัวเซียงซิ่วต่อหน้าต่อหน้า

จังหวะที่กำลังเดินผ่านเธอ จ้าวดฉียนพลันแสยะยิ้มแปลกๆและกระซิบเสียงแผ่วกล่าวขึ้นว่า

“เธอดูเซ็กซี่มากเลย ถ้าวันไหนว่างมาขึ้นเตียงกับฉันหน่อยสิ”

สิ่งนี้ยิ่งทำให้หัวเซียงซิ่วโกรธมาก ไอ้สารเลวนี่ยังกล้าคิดเรื่องสกปรกกับเธอด้วยจริงๆ!

หัวเซียงซิ่งกระชับกำหมัดแน่นด้วยความโมโห กระทืบเท้าอย่างแรงอยู่หลายที กรนเสียงขู่กลับไปว่า

“แก…แกทำให้ฉันโกรธจริงๆแล้วรู้ไหม!? เตรียมรอได้เลย รอแกออกมา ฉันจะคอยดูว่าตอนนั้นแกจะคานเข่ามาขอโทษฉันยังไง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน จงใจเล่นหน้าเล่นตาปั่นประสาทหัวเซียงซิ่ว

ในไม่ช้า จ้าวเฉียนก็ติดตามคุณหัวและหู่เปาซานจนมาถึงห้องรับรองภายใน

คุณหัวคนนี้ค่อนข้างมีมารยาทอยู่บ้าง เขากล่าวแนะนำตัวกับจ้าวเฉียนอย่างสุภาพว่า

“ฉันชื่อหัวเซินซวน ตระกูลของเราทำธุรกิจข่นส่งสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ แต่ตอนนี้สุภาพของพ่อฉันย่ำแย่ลงทุกวัน คงเหลือเวลาดูใจกันอีกไม่นานแล้ว ฉันก็เลยอยากเลือกสถานที่ที่จะให้เขาจากไปอย่างสงบ หู่เปาซานบอกว่า ที่ดินของครอบครัวน้องชายเป็นทำเลฮวงจุ้ยทอง ก็เลือกอยากซื้อต่อมาน่ะ ถือซะว่าเห็นใจชายชราคนหนึ่งที่อยากทำอะไรเพื่อพ่อตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เขาตอบกลับไปว่า

“ที่แท้ก็คือหยวนต้า ชิบปิ้งแห่งตระกูหัวนี่เอง ค่อนข้างมีชื่อเสียงไม่น้อยในหยานจิ้ง ว่าแล้ววทำไมถึงมีปัญญาอาศัยอยู่ในวิลล่าหรูแบบนี้ได้”

หัวเซินซวนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“น้องชายเองก็รู้จักพวกเราดีไม่น้อย ถ้าแบบนี้ก็คุยกันง่ายขึ้นจริงไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอีกระรอกและกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่ได้อยากรู้จักอะไรเลย แค่เคยได้ยินผ่านหูมาน่ะทั้งหยวนต้า ชิปปิ้งและบริษัท หัวเรียลอีสเตอร์”

หัวเซินซวนยังคงยิ้มแย้มไม่คลายอ่อน และถามขึ้นว่า

“ถ้ารู้ดีถึงขนาดนี้ แล้วสิ่งที่ทำอยู่มันหมายความว่ายังไง? คิดจะทรมานตัวเองเล่นงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนไม่ได้ตอบคำถามของหัวเซินซวน แต่ถามกลับไปแทนว่า

“ผมเองก็คิดว่าฐานะของตระกูลหัวก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร งั้นเอาแบบนี้ดีกว่าครับ ร้อยล้านปิดดิลทันที”

หัวเซินซวนหรี่ตาแคบลงเล็กน้อย จ้องใบหน้าอันแสนขี้เล่นของจ้าวเฉียนเขม็ง เขาสัมผัสได้เลยว่า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน ถึงได้นิ่งสงบยิ่งทั้งๆที่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

หัวเซินซวนคงรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ไว้และเอ่ยถามขึ้นว่า

“งั้นขอถามอะไรหน่อยนะพ่อหนุ่ม ที่บ้านทำธุรกิจอะไรงั้นเหรอ? ถึงสามารถหาสถานที่ฝังศพได้ดีขนาดนี้ได้ คงไม่ใช่ธรรมดาเหมือนกัน?”

จนถึงตอนนี้จ้าวเฉียนก็ยังไม่ตอบคำถามของหัวเซินซวนเลยสักข้อ

“คุณหัว คุณไม่มีความจริงใจกับผมเลย อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้า ร้อยล้านพร้อมปิดดิล อย่ามาเล่นลิ้นถามอะไรนอกเรื่องดีกว่าครับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหัวเซินซวนจางหายไปทันที เด็กคนนี้กำลังท้าชนกับเขาอยู่อย่างชัดเจน

หู่เปาซวนปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้นรีบหันไปกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“น้องชายนี่ขี้เล่นจริงๆ ตระกูลหัวสามารถอยู่ในคฤหาสน์หรูหร่าขนาดนี้ได้ ฉะนั้นอย่าดูถูกเรื่องเงินเลย พวกเขาจ่ายไหวอยู่แล้ว!”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบว่า

“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นคุณหัวทำราคามาเลย ตราบใดที่ผมคิดว่ามันคุ้มค่า ผมไม่มีต่อรองแน่นอน”

หู่เปาซานคลี่ยิ้มดูเหนียมอายเกินจะเผชิญหน้า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูงเลย ตรงหน้าของเขาเป็นถึงตระกูลหัว ไฉนยังกล้าไปยั่วยุอยู่อีก?

หัวเซินซวนถอนหายใจเย็นยะเยือกออกมา และกล่าวว่า

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่า เด็กสมัยนี้ยังมีสัมมาราคาระวะมากน้อยแค่ไหร แต่ถ้ายังเลือกที่จะทำตัวหยาบคายอยู่แบบนี้ ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างดูแคลน ตอบไปว่า

“ถ้าพูดเรื่องความหยาบคาย ผมคงเทียบกับคุณหัวไม่ได้หรอกครับ! ถ้าจู่ๆมีคนมาขอให้คุณย้ายหลุมศพของตระกูลไปตั้งที่อื่น คุณจะยอมหรือเปล่า? ดังนั้นอย่าถามอะไรโง่ๆ!”

“อวดดีเกินไปแล้ว!!”

หัวเซินซวนตบโต๊ะดังปัง ลุกขึ้นพรวดในชั่วอึดใจ

แข้งขาของหู่เปาซานสั่นพับจนเกือบล้มทั้งยืน

เมื่อได้ยินเสียงคำรามของคุณหัว บรรดาบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็วิ่งเข้ามาปิดล้อมจ้าวเฉียนอีกครั้ง

แต่จ้าวเฉียนหาได้เกรงกลัวและยืนหยัดอย่างกล้าหาญ เขาคลี่ยิ้มให้หัวเซินซวนว่า

“ถ้าอยากให้ผมมีสัมมาคาราวะนัก ก็หัดมีสัมมาคาราวะกับผมก่อน คุณก็แค่พวกหยาบคาย ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้น่าเคารพเลย!”

ทันทีที่เขาพูดออกมาแบบนี้ บรรยากาศภายในห้องพลันเย็นยะเยือกลงฉันพลัน

แผ่นหลังของหู่เปาซวนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ไอ้หนุ่มคนนี้มันใจกล้าเกินไปแล้ว ถึงกล้ายั่วยุล้ำเส้นหัวเซินซวนถึงขนาดนี้

เพื่อความปลอดภัยของตัวหู่เปาซวนเอง เขาจำต้องแสดงจุดยืนของตัวเองโดยเร็ว จึงหันไปตำหนิจ้าวเฉียนทันที

ตอนที่268 สิบล้านสำหรับหลุมฝังศพ

แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก แต่หวานเจียงก็ยังตามน้ำพาจ้าวเฉียนเล่นละครตีบทแตกจนจบ

หลังจากมื้อกลางวัน หวานเจียงกลับมายังที่ห้องนอนเพื่อพักผ่อน เธอรู้สึกเหนื่อยเกินทานทน พอนึกขึ้นได้จึงหยิบมือถือกดจองเที่ยวบินกลับเมืองตงไห่โดยทันทีในเช้าพรุ่งนี้

หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวเฉียนก็เดินเข้ามาและกล่าวกับหวานเจียงว่า

“ฉันจะไปล้างทำความสะอาดหลุมศพคุณย่า พ่อกับแม่ฉันอยากให้เธอไปด้วยกัน ว่าไง?”

หวานเจียงส่ายหัวตอบไปว่า

“ฉันไม่ไป ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรายังคลุมเครือกันอยู่เหรอ? แล้วทำไมฉันต้องไปล้างหลุมศพคุณย่านายด้วย?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วยกับหวานเจียงเช่นกัน ทั้งนี้เขารู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังไม่พัฒนาถึงจุดที่ต้องไปไหว้บรรพบุรุษด้วยกัน แต่อย่างไรเขาเองก็ไม่อยากทำให้พ่อกับแม่ของเขาผิดหวังเช่นกัน เขาจึงเอ่ยปากขอร้องเธออย่างช่วยไม่ได้

ทว่าทัศนคติของหวานเจียงกลับมั่นคงมาก ในเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมหลุมศพของคุณย่าจ้าวเฉียน

ทางจ้าวเฉียนก็ไม่พูดอะไรตอบอีกแล้วเช่นกัน เพียงพยักหน้าและหันหลังเดินจากไป

อันที่จริงแล้ว จ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงไม่ได้ถึงขั้นบังคับหวานเจียงอะไรขนาดนั้น พวกเขาแค่อยากจะทดสอบว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งคู่ไปถึงไหนกันแล้ว

หากหวานเจียงตอบตกลงไปเยี่ยมหลุมศพคุณย่า นั่นแสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่พัฒนาถึงขั้นพูดคุยเรื่องแต่งงานกันได้แล้ว

แต่ถ้าหากหวานเจียงปฏิเสธ แสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังอยู่ในช่วงปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ยังไม่ถึงจุดที่พูดคุยเรื่องแต่งงานกันได้

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนเดินออกมาเพียงลำพัง จ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงก็เข้าใจทุกอย่างในทันที ทั้งสองไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร แต่พาจ้าวเฉียนออกไปทันที โดยในขณะนี้พวกเขาก็เดินทางมาทำถึงหน้าหลุมศพคุณย่าแล้ว

จ้าวเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

คุณย่าเป็นถึงแม่ของจ้าวฝู่ สุสานย่อมไม่ธรรมดา ทั้งสี่ทิศล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ หากมองในด้านฮวงจุ้ย นี่ถือเป็นสถานที่ทองคำก็ไม่ปาน

พวกจ้าวเฉียนทั้งสี่เดินทางมาถึงที่นี่ก่อน ค่อยเป็นคุณป้าน้าอาของจ้าวเฉียนที่เพิ่งมาถึงในภายหลัง

เดิมที เวลาครอบครัวใหญ่มารวมตัวพวกเขามักจะเผากระดาษเงินกระดาษทองกันเพื่อส่งเงินทองให้คนในโลกหน้า นี่ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง ขณะที่ทุกอย่างกำลังผ่านไปได้ด้วยดี ทว่าทุกอย่างกลับต้องจบลง เมื่อมีชายกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา

กลุ่มนี้นำโดยชายชราคนหนึ่งมีเคราแพะใส่แว่นกันแดด ดูแล้วเหมือนพวกหมอดูในทีวีอะไรอย่างงั้น

ชายชราตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“สวัสดีครับทุกคน ไม่ทราบว่าหลุมศพนี้เป็นของใคร?”

จ้าวฝู่ยังคงถือความสุภาพเข้าสู้

“ของตระกูลผมเอง มีอะไรหรือเปล่า?”

ชายชราหยิบนามบัตรออกมาและยื่นให้จ้าวฝู่ เขายิ้มตอบไปว่า

“ผมชื่อหู่เปาซาน ทุกคนมักเรียกผมว่า ซินแสหู่ ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับว่าในหลุมศพนี้คือ?”

จ้าวฝู่หยิบนามบัตรมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อโดยไม่เหลียวมองเลยด้วยซ้ำ รอยยิ้มก่อนหน้าบนใบหน้าหายวับในฉับพลัน เค้นเสียงเย็นตอบไปว่า

“แม่ของผมเอง มีปัญหาอะไร?”

หู่เปาซานยิ้มและตอบกลับไปว่า

“นั่นสินะครับ ผมกำลังมองหาสถานที่ฮวงจุ้ยทำเลทองให้กับคุณค้าอยู่ หลังจากเสาะหาเดินทางไปหลายที่ ยังไงผมก็คิดว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว ลูกค้าของผมคงถูกใจแน่นอน แต่ผมไม่ได้ขอเปล่านะครับ สิบล้านสำหรับค่าชดเชยและย้ายหลุมศพของคุณแม่ ว่ายังไงครับ?”

ทันทีที่ประโยคเหล่านี้เปล่งดังออกมา บรรดาครอบครัวตระกูลจ้าวก็ดูไม่มีความสุขอย่างยิ่ง ซินแสคนนี้ไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกเขาย้ายหลุมศพของบรรพบุรุษออกไปหรอกรึ? ไล่ที่กันแบบนี้มันลบหลู่กันชัดๆ

ไร้เหตุผลสิ้นดี หากเป็นคนที่ยังอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับการขับไล่ออกจากบ้าน คิดจะย้ายหลุมศพออกก็ไม่ต่างอะไรกับการดูหมิ่นบรรพบุรุษตระกูลจ้าว

จ้าวฝู่ยกเท้าถีบหู่เปาซานจนล้มขมำทันทีด้วยความโกรธจัด โยนนามบัตรออกจากกระเป๋าทิ้งไปและสบถด่าขึ้นว่า

“ไปขุดศพพ่อแม่อแกแทนเถอะ! นี่แกกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าฉันได้ยังไง?!”

บรรดาผู้คนตระกูลจ้าวตรงเข้ามารุมด่าต่อทันควัน บางคนถึงขั้นลงไม่ลงมือ

หู่เปาซานคาดไว้แล้วว่า จุดจบที่ตงจะได้รับคงต้องประมาณนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธหรือหัวเสียใดๆ พร้อมรีบอธิบายต่อโดยไวว่า

“อย่าเข้าใจผมผิดไป ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาดูหมิ่นบรรพบุรุษของทุกคน แต่มีคนจำนวนมากมายที่หลงใหลในศาสตร์ของฮวงจุ้ย ถ้าต้องการเงินเพิ่มก็เสนอมาได้เลย ลูกค้าของผมเป็นมหาเศรษฐี ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้สร้างความพึงพอใจแก่ทั้งสองฝ่าย”

จ้าวเฉียนนั่งยองๆ ยิ้มถามขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาว่าใครที่ต้องการแย่งสถานที่แห่งนี้ ฉันจะไปคุยกับเขาเองเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องกังวลไป นายได้ค่านายหน้าแน่นอน”

ทันทีที่จ้าวเฉียนเอ่ยกล่าวออกไปแบบนั้น บรรดาญาติๆ ของตระกูลก็ไม่พอใจ ตระกูลจ้าวเคยขาดแคลนเงินที่ไหน? ทำไมถึงต้องไปฟังมัน?

แต่จ้าวฝู฿รู้จักลูกชายของตัวเองเป็นอย่างดี และเขาเชื่อว่า ลูกชายของเขาจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ โดยไม่มีแผนการแน่นอน ดังนั้นเขาจึงหันไปมองส่งสัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องเคลื่อนไหว ปล่อยให้จ้าวเฉียนจัดการทุกอย่างไปน่ะดีแล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องดีเช่นกันที่จะพิสูจน์ความสามารถในตัวจ้าวเฉียน ว่าจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ในครอบครัวได้มากน้อยแค่ไหน

ทุกคนสงบลงอย่างรวดเร็ว เหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยความเป็นห่วง

หู่เปาซานยิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เจ้าหนุ่มนี่เป็นใคร?”

“ฉันเป็นลูกชายของเขา เป็นหลานของคุณปู่ และคุณย่าของฉันก็กำลังนอนอย่างสงบในหลุมแห่งนี้”

หู่เปาซานยังคงยิ้มและกล่าวต่อว่า

“ได้ครับ ในเมื่อน้องชายต้องการเจรจาเป็นการส่วนตัว ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้า หันกลับไปพูดกับพ่อและทุกคนว่า

“พ่อ เดี๋ยวผมไปคุยกับพวกเขาเอง”

“อืม ไปเถอะ”

จ้าวฝู่กล่าวตอบอย่างใจเย็น

แต่อวีกุ้ยเฟิงสงบสติอารมณ์ไม่อยู่แล้ว อีกฝ่ายเป็นฝครมาจากไหนยังไม่ทราบ แล้วใครจะไปปล่อยให้ลูกชายตัวเองไปเสี่ยงกัน?

บรรดาญาติๆ ของจ้าวเฉียนเองก็คิดแบบเดียวกัน จะปล่อยให้จ้าวเฉียนออกไปเสี่ยงกับใครไม่รู้ได้ยังไง? ถึงอย่างนั้นก็คงนำญาตไม่ก็บอดี้การ์ดติดตัวจ้าวเฉียนไปด้วยยังดีกว่า ไม่ว่ายังไงก็ปล่อยให้ออกไปตามลำพังไม่ได้

ถึงหลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน แต่ยังไงจ้าวเฉียนก็คิดว่าการไปคนเดียวมันสะดวกกว่ามาก ดังนั้นจึงตอบไปว่า

“ขอบคุณนะครับที่ทุกคนเป็นห่วงกันขนาดนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องพาญาตหรือบอดี้การ์ดไปด้วยหรอกคครับ ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครในหยานจิ้งกล้าใช้วิธีสกปรกกับพวกเรา ซินแสหู่คิดยังไงครับ?”

หู่เปาซานคลี่ยิ้มอย่างแช่มช้าและกล่าวตอบไปว่า

“ถูกต้องครับ…พวกคุณกังวลมากเกินไปแล้ว ลูกค้าของผมเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง ไม่มีวันทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่นอน”

ถึงแบบนั้นทุกคนก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจ้าวฝู่จึงต้องออกหน้ากล่าวแทนขึ้นว่า

“เอาล่ะ ปล่อยให้จ้าวเฉียนไปเถอะ ส่งแค่คนคอยคุ้มกันเผื่อฉุกเฉินไปแค่คนสองคนพอ และทุกคนเองก็ควรเชื่อมั่นในตัวเขา ถ้าเรื่องแค่นี้จัดการยังไม่ได้ แล้วในอนาคตจะมาคุมบังเหียนต่อจากฉันได้ยังไง!”

ทุกคนปิดปากหยุดพูดในบัดดล

จ้าวเฉียนโบกมือปัดเชิงว่าไม่ต้องห่วงแก่พวกเขา และขึ้นรถออกไปพร้อมกับหู่เปาซานออกไป

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หู่เปาซวานพาจ้าวเฉียนมายังวิลล่าสุดหรูแห่งหนึ่ง

ดูเหมือนว่าหู่เปาซานจะพูดถูกต้อง อีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยอย่างมาก

หู่เปาซานยคลี่ยิ้มอย่างแช่มช้า กล่าวขึ้นว่า

“น้องชาย ตามเข้ามาข้างในเลย ส่วนพวกบอดี้การ์ดรออยู่ข้างนอกนี้”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหันไปสั่งพวกบอดี้การ์ดว่า

“พวกนายรอยู่ที่นี่ ถ้าฉันยังไม่ออกมาภายในครึ่งชั่วโมง รีบเข้ามาช่วยทันที อย่าให้ฉันเป็นอันตรายเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

พวกบอดี้การ์ดเหล่านั้นพยักหน้ารับคำสั่งทันทีและเอ่ยตอบอย่างพร้อมเพรียงว่า

“เข้าใจแล้วครับ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบด้วยความพึงพอใจ และเดินตามหู่เปาซวานเข้าไป

ผู้คนที่สามารถอาศัยอยู่ในวิลล่าหรูขนาดนี้ได้แน่นอนว่าต้องรู้จักจ้าวฝู่โดยธรรมชาติ และอาจถึงขั้นรู้จักจ้าวเฉียนด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้แบบนี้ ท่าทางการแสดงออกของเขาก็ดูผ่อนคลายลงมาก

ตอนที่267 ทานมื้ออาหารดีๆ

พอถึง ณ จุดหนึ่ง เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงผ่านพ้นไป แต่จ้าวเฉียนก็ยังไม่มาสักที หวานเจียงจึงเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยและโทรหาเขา

จ้าวเฉียนรับสายโทรศัพท์ แกล้งทำเป็นว่าอยู่ในห้องน้ำเอ่ยถามขึ้นว่า

“มีอะไรเหรอ?”

หวานเจียงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาใส่ว่า

“นี่นายกะจะใช้ชีวิตที่เหลือในห้องน้ำเลยรึไง? นี่มันนานมากแล้วนะ!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบทันทีด้วยท่าทีร้อนรน

“อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ได้ไหม คนต่อแถวรอเยอะมาก ฉันรอห้านาทีกว่าแล้วมั่ง แทบจะถอดกางเกงตรงนี้แล้ว! เธอรออยู่ตรงนั้นไปก่อน รอฉันทำธุระเสร็จเดี๋ยวไปหา”

หวานเจียงไม่พูดไม่กล่าวอะไรและวางสายโดยตรง เธอยังคงยืนเฝ้ารออยู่สักครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหวแล้ว เธอเดินไปหาจ้าวเฉียนทันที

ไม่นานหวานเจียงก็ตรงมาถึงที่ห้องน้ำและโทรหาจ้าวเฉียนอีกครั้ง

จ้าวเฉียนรับสายเอ่ยถามขึ้นว่า

“ว่าไง? จะกลับแล้วเหรอ?”

“ไร้สาระ! ฉันอยู่หน้าห้องน้ำแล้ว รีบออกมาเดี๋ยวนี้!”

หวานเจียงตะคอกใส่ในทันใด

“เอาน่า เอาน่า…ฉันก็เข้าห้องเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวออกไปหา”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็วางสาย รีบออกไปล้างมือและออกไปหา

สีหน้าของหวานเจียงดูยังไงก็รู้ว่ากำลังโกรธจัด เธอจ้องตาจ้าวเฉียนเขม็ง

จ้าวเฉียนรู้ตัวดีว่าตนเองผิด เขารีบคลี่ยิ้มอ่อนขอโทษทันทีว่า

“ฮะ-ฮ่า…ฉันขอโทษ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไปกันเถอะ กลับบ้านไปทานมื้อเย็นกัน แม่เพิ่งโทรมาหาเมื่อกี้บอกให้รีบกลับมาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน”

หวานเจียงพ่นลมหายใจเย็นยะเยือกออกไปเฮือกหนึ่งและตอบไปว่า

“นายจะไปไหนไม่ได้ เพราะฉันสัญญากับคนในกองถ่ายไว้แล้วว่า จะให้พวกเขาสั่งอาหารอร่อยๆ มากินด้วยกัน หรือนายไปสั่งอาหารกับฉันให้พวกเขาก่อนกลับก็ได้นะ”

โดยไม่พูดไม่จาใดๆ จ้าวเฉียนคว้าแขนหวานเจียงและเดินจากไปทันที

ทั้งสองเดินทางมายังร้านอาหารที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสนามแข่งเท่าไหร่นัก และเดินเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านโดยตรง

เจ้าของร้านคนนี้เป็นทั้งเจ้าของและเซฟ เขาเดินเช็ดมือจากห้องครัว ตรงเข้ามาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“ต้องการสั่งอาหารใช่ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนตอบไปว่า

“ครับ พวกเราเป็นคนจากบริษัททำหนังที่กำลังใช้สนามแข่งข้างๆ ถ่ายทำกันอยู่ วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์แต่กลับต้องให้พวกเขามาทำงาน ก็เลยอยากสั่งอะไรพิเศษๆ ให้น่ะครับ ยังไงรบกวนคุณไปส่งข้าวให้ตอนเที่ยงได้ไหมครับ?”

เจ้าของร้านฉีกยิ้มกว้างพยักหน้าตอบทันทีว่า

“แล้วคุณลูกค้าทั้งสองจะสั่งอะไรดีคครับ?”

จ้าวเฉียนหันไปมองหวานเจียง เอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วเธอสัญญากับพวกเขาว่าจะเลี้ยงอะไร?”

หวานเจียงส่ายหัว

“เปล่านะ ฉันแค่บอกพวกเขาว่าสั่งได้ตามใจเลย อยากให้ทานอาหารดีๆ กันน่ะ คุณเจ้าของร้านที่ร้านมีวัตถุดิบทำอาหารเพียงพอสำหรับสามร้อยที่ไหม? ขอเป็นชุดอาหารตามมาตรฐานนะคะ ชุดโปรตีน ผัก ซุป จับคู่ยังไงก็ได้ค่ะ”

เจ้าของร้านทั้งรู้สึกสุขใจและเศร้าในเวลาเดียวกัน ออเดอร์อาหารชุดนี้สามารถทำงานให้เขาเป็นกอบเป็นกำอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่วัตถุดิบในร้านของเขากลับไม่เพียงพอ ถ้าสักสองร้อยคนยังพอเป็นไปได้ แต่สำหรับสามร้อยแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน

เชาจึงสารภาพไปตามตรงกับจ้าวเฉียนและหวานเจียงไปตามตรง และเสนอไปว่า สามารถลดปริมาณผักกับข้าวลงหน่อยได้ไหม เพราะอย่างไรเขาให้ความสำคัญสำหรับรสชาติมากกว่าอยู่แล้ว ถ้าทำตามที่เสนอ ออเดอร์สามร้อยที่ย่อมสามารถทำได้อย่างแน่นอน

แต่จ้าวเฉียนเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ปล่อยให้หวานเจียงต้องขายหน้าแน่นอน เธอสัญญากับทุกคนไปแล้วว่า จะให้ทุกคนได้รับประทานของดีๆ แต่จะมาโกงกันแบบนี้ได้ยังไง

จ้าวเฉียนจึงเอ่ยตอบไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น ผมสั่งแค่ร้อยห้าสิบที่พอ ที่เหลือเดี๋ยวผมเดินไปสั่งร้านข้างๆ ให้พวกคุณสองร้านช่วยกันน่าจะแบ่งเบาภาระไปได้ด้วย ทำเสร็จก็ถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี อย่างแรกเลยนะ เดี๋ยวผมจะโอนเงินให้คุณไปก่อนสักหมื่นหยวน”

คล้อยหลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็หยิบมือถือสแกนรหัสQRจ่ายเงินให้เจ้าของร้านไป10,000หยวน

เจ้าของร้านคนนั้นรีบรับออเดอร์ วิ่งไปที่ประตูแขวนป้ายปิดร้านทันและวิ่งเข้าห้องครัวอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเดินทางไปยังร้านอาหารอีกร้านที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สั่งออเดอร์อาหารเพิ่มอีก150ที่พร้อมโอนเงินให้ล่วงหน้า10,000หยวน

อาหารในร้านพวกนี้ไม่ได้แพงอะไรเลย ลูกค้าโดยเฉลี่ยแล้วเป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุ20ต้นๆ อาหารที่ดูน่าสนใจมีเป็นสิบเมนู ราคาที่ประเมินไว้สัก5,000หยวนก็น่าจะพอ

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงโอนเงินจ่ายให้ล่วงหน้าไปตั้ง10,000หยวน ซึ่งนี่มันเพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้พวกเจ้าของร้านตั้งใจเข้าครัวทำอาหารให้เสร็จทันเวลา

จ้าวเฉียนยิ้มและเอ่ยถามหวานเจียงว่า

“งั้นกลับบ้านไปรอทานมื้อเย็นกันเลยดีไหม?”

หวานเจียงส่ายหัวและตอบว่า

“ฉันต้องรอให้พวกเขาเตรียมอาหารเสร็จแล้วไปส่งก่อนถึงจะกลับได้”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“หลังจากที่ร้านทำอาหารเสร็จ พวกเขาจะดำเนินการส่งทันที พิกัดกองถ่ายก็ระบุไว้ชัดเจนแล้ว เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก หรือเธออายที่ต้องทิ้งพวกเขาไปแบบนี้? คิดมากหน่า!”

หวานเจียงสับสนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากพยายามเถียงอยู่สักพัก เธอก็จำใจพยักหน้าตกลงและกลับบ้านไปพร้อมจ้าวเฉียน

ระหว่างทางกลับ อวีกุ้ยเฟิงก็โทรสายมาหาจ้าวเฉียน

“นี่ลูกจะกลับรึยัง? มื้อเที่ยงเย็นหมดแล้ว ถ้ามาไม่ทันก็ควรกลับมาทานมื้อเย็นด้วยกันนะ”

จ้าวเฉียนรีบขอโทษแม่กลับไปทันที

“แม่ ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ตอนนี้กำลังรีบกลับไปอยู่ ไม่ต้องรอ กินกันไปก่อนเลยครับ”

อวีกุ้ยเฟิงขมวดคิ้ว บ่นตอบกลับไปทันที

“บ้าหรือเปล่า ถ้ากำลังจะกลับมาแล้ว ก็รอกินข้าวพร้อมเสี่ยวเจียงสิ จะให้พวกเรากินก่อนได้ยังไง? แต่ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ ขับรถกลับมา”

“ครับแม่ งั้นรอผมหน่อยนะ”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็กดวางสายไปทันที พูดกันตามตรง เขารู้สึกหัวเสียกับหวานเจียงมาก ถึงนี่จะเป็นแค่การแสดง แต่เธอก็ควรเคารพครอบครัวของเขาด้วย โดยเฉพาะกับพ่อแม่ของเขา

แม่ของจ้าวเฉียนเริ่มจัดเตรียมอาหารตั้งแต่เช้ากับพวกคนใช้ ทั้งหมดก็เพื่อใครหากไม่ใช่หวานเจียง? แต่ดูสิที่เธอทำสิ? ถ้าเขาไม่เข้ามาบอกว่าแม่กำลังรอ เธอคงไม่กลับไปกินข้าวเย็นกับที่บ้านของเขาด้วยซ้ำ

จ้าวเฉียนเริ่มไม่พอใจในตัวหวานเจียงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลับไปถึงเมืองตงไห่ เขาจำเป็นต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ใหม่อีกครั้ง

หวานเจียงเองก็ทราบดีว่า ครั้งนี้เธอทำผิด แต่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นดัน ด้วยบุคลิกของเธอผนวกกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนที่ไม่ชัดเจนพอ เธอจึงคิดว่าไม่จำเป็นที่ต้องเอาใจใส่กับครอบครัวของจ้าวเฉียนขนาดนั้น

ทั้งสองไม่พูดไม่จากันตลอดทางจนกระทั่งเดินทางมาถึงตีนเขา

หลังจากลงมาจากรถ จ้าวเฉียนก็เดินล่วงหน้านำออกไป ส่วนหวานเจียงก็เดินตามหลัง ถ้าเป็นคนนอกมาเห็นก็คงไม่คิดเช่นกันว่า ทั้งสองเป็นคู่รักกัน

เมื่อเห็นว่ากำลังเดินขึ้นไปถึงยอดเขา จ้าวเฉียนก็ชะงักฝีเท้าหยุดลง พอหวานเจียงเดินมาถึงตัว เขาก็เอื้อมมือออกไปโอบเอวของหวานเจียง ทำเอาเธอตกใจอย่างมากและเอ่ยถามทันควันว่า

“นี่นายกำลังทำบ้าอะไร? ปล่อย! ลืมเรื่องที่ฉันบอกไปตอนเช้าแล้วรึไง? ถ้ากล้าทำอะไรฉันอีกแม้แต่ครั้งเดี๋ยว ฉันจะอจ่งตำรวจจับข้อหาข่มขืน! คิดว่าฉันพูดเล่นรึไง!”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยตอบไปว่า

“ฉันไม่ลืมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราต้องแกล้งทำเป็นรักกันเข้าไว้ หลังจากกลับเมืองตงไห่ เธอจึงจะเป็นอิสระตกลงไหม?”

หวานเจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตอบและไม่คัดค้านขัดขืนอะไรอีก

จ้าวเฉียนโอบกอดหวานเจียงในอ้อมอกและเดินขึ้นไปต่ออย่างแช่มช้า

อวีกุ้ยเฟิงสั่งให้คนรับใช้ไปยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นกลุ่มคนหนึ่งกำลังเดินกลับมา พวกเธอจึงรีบเข้าไปทักทายทันที

เมื่อเห็นถึงความเอาใจใส่ของอวีกุ้ยเฟิงแล้ว หวานเจียงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เธอค่อนข้างพึงพอใจอย่างยิ่งกับอวีกุ้ยเฟิงกับจ้าวฝู่ และเธอยินดีอย่างยิ่งที่จะกลายมาเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขา แต่น่าเสียดายที่สันดานเสียของจ้าวเฉียนมันมีมากเกินไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้คงหนีเรื่องของจ้าวเฉียนไม่พ้น

ตอนที่266 รีบมีหลานหน่อย

ทั้งสองนั่งเงียบเนิ่นนานกว่าสิบนาทีไม่มีใครพูดใครจา แต่อย่างไรจ้าวเฉียนง่วงเกินจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เขาจึงหันไปกระซิบกับหวานเจียงว่า

“รีบนอนกันดีกว่า ตอนฉลองใช้เสียงจนแหบ วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมาก แถมพรุ่งนี้ต้องออกไปดูงานแต่เช้าอีก”

หวานเจียงหาวไปทีเอ่ยตอบกลับว่า

“อืม ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน นอนกันเถอะ”

หลังจากพูดจบทั้งสองก็ผล็อยหลับไป

อวีกุ้ยเฟิงในตอนนี้กำลังแอบฟังอยู่นอกห้อง แต่เมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจากภายใน ราวกับหัวใจเธอแทบแตกสลาย เธอเดินกลับเข้าห้องนอนด้วยความหงุดหงิด จ้าวฝู่รีบวิ่งเข้ามาถามทันทีว่า สถานการณ์ภายในห้องนั้นเป็นยังไงบ้าง?

“เป็นยังไงน่ะเหรอ? หลับกันไปหมดแล้วมั่ง! เจ้าลูกคนนี้มันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ทั้งพ่อทั้งลูกไม่เป็นงานกันทั้งคู่! เขาเหมือนคุณตอนสมัยหนุ่มๆ เลย!”

จ้าวฝู่ได้แต่คลี่ยิ้มแห้ง สบถขึ้นว่า

“เจ้าลูกคนนี้ พาพ่อซวยไปด้วยอีก! นอนเวลาไหนไม่นอน! น่าโมโหจริงๆ!”

ทันทีที่พูดจบจ้าวฝู่ก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายตรงโทรไปหาจ้าวเฉียนโดยไว

จ้าวเฉียนอื้อมมือไปแตะมือถือด้วยความงุนงง ปัดหน้าจอรับสายและเอ่ยขึ้นพร้อมอาการสะลึมสะลือว่า

“ฮาโหล…นั่นใคร?”

จ้าวฝู่ตะคอกสวนใส่ทันที

“แกหลับงั้นเหรอ!? นี่โง่หรือฉลาดน้อยกันวะ! มานอนอะไรตอนนี้! เวลากลางค่ำกลางคืนอยู่กับสาวสวยสองต่อสอง นี่แกยังมีหน้ามาหลับอีกเหรอ!? แม่แกอุตสาห์จัดห้องไว้ให้! เจ้าโง่!!”

จ้าวเฉียนแทบเสียศูนย์เมื่อได้ยิน นี่พ่อแม่ของเขาอยากอุ้มหลานอะไรปานนั้น? ถึงขนาดเข้ามาแทรกแซงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา และดูท่าจะล้ำเส้นมากเกินไปหน่อย

“เอ่อ…พ่อกับแม่ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนบ่นขึ้นทันที

จ้าวฝู่ขมวดคิ้วสวนไปว่า

“นี่แกก็25แล้ว ยังไม่หันมาสนใจเรื่องครอบครัวอีกเหรอ? แล้วฉันจะขอเตือนไว้ก่อน ฉันกับแม่แกไม่อนุญาตให้แกมีลูกแค่คนเดียว! รีบแต่งงานกันตั้งแต่เนินๆ จะได้มีหลานเยอะๆ ให้ฉันอุ้ม เพราะหลังจากที่ฉันกับแม่แกเกษียณไป พวกเราอยากเลี้ยงหลาน! เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้ว! เข้าใจแล้วน่า!”

จ้าวเฉียนตอบจบพร้อมกดวางสายทิ้งทันที

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ล้มตัวนอนต่อ แต่ไม่นานความอ่อนเพลียก่อนหน้าของเขาก็อันตธานหายไปหมดสิ้น เขาลืมตาตื่นขึ้นทันที

เมื่อพลิกตัวหันไปมองหวานเจียงที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ จ้าวเฉียนก็เผยรอยยิ้มของชายคนหนึ่งที่ดั่งมีใจให้ออกมา เขาแค่อยากเอื้อมมือไปกอดเธอ แต่ทันใดนั้นเธอก็ตะคอกเสียงเย็นขึ้นว่า

“อย่าแตะต้องฉัน!”

จ้าวเฉียนถึงกับผงะ เอ่ยถามขึ้นทันที

“นี่เธอยังไม่หลับอีกเหรอ? ฉันคิดว่าหลับไปแล้วนะเนี่ย ถ้าในเมื่อพวกเรานอนไม่หลับกันทั้งคู่ก็ลุกขึ้นมาคุยกันหน่อยดีกว่า”

หวานเจียงหลับตาปี๋ตอบไปว่า

“ไม่! ฉันไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น ฉันอยากนอน!”

ณ เวลานี้ จ้าวเฉียนไม่มีอารมณ์นอนแล้ว เขาพลิกร่างขึ้นคร่อมหวานเจียงอย่างรวดเร็ว

หวานเจียงลืมตาตื่นขึ้น พยายามออกแรงผลักร่างจ้าวเฉียนออกพลางบ่นขึ้นว่า

“นี่นายกำลังทำบ้าอะไรเนี่ย? ไหนว่าง่วง?”

“ออกกำลังกายก่อนนอนไง!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็โน้มศีรษะประจบจูบกับเธอทันที

หวานเจียงยกมือทุบตีจ้าวเฉียนอยู่สองสามครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป

เช้าวันรุ่งขึ้น หวานเจียงตื่นก่อน เดินไปอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จ ค่อยเดินมาแตะจ้าวเฉียนทีหนึ่งให้ตื่น

จ้าวเฉียนลืมตาตื่นขึ้นมาทันใด เอ่ยถามพร้อมท่าทีงุนงงว่า

“อยากโดนอีกรอบเหรอ?”

หวานเจียงทุบตีจ้าวเฉียนไปชุดหนึ่งจนพอใจ เธอค่อยกล่าวขึ้นว่า

“เมื่อคืนนายทำอะไรลงไป? ฉันอนุญาตให้นายทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างที่นายต้องการสักหน่อย หึ!”

จ้าวเฉียนรีบอธิบายทันที

“อย่ามาพูดไร้สาระน่า นั้นก็แค่ความสมบูรณ์ในอุดมคติของฉัน ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเข้ากันไม่ได้หลังจากนี้สักหน่อย อีกอย่างนะ บางทีถ้าเราเปิดใจเข้าหากันมากกว่านี้ ต่อไปพวกเราอาจจะไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันทุกวันแบบนี้ก็ได้”

แม้นี่จะฟังดูมีเหตุผล แต่หวานเจียงก็รับไม่ได้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมันเข้ากันไม่ได้และค่อนข้างขัดแย้งกันอย่างมาก

หวานเจียงกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า

“จ้าวเฉียน ฉันขอเตือนอะไรนายไว้ก่อนนะ ถ้ากล้าทำอะไรแบบนี้กับฉันอีก ฉันจะแจ้งความจับข้อหาข่มขืน!”

หลังพูดจบหวานเจียงก็ลุกออกไปทันที

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก ห่มผ้านอนต่ออีกสักงีบหนึ่ง

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา หวานเจียงแต่งหน้าทำผมเสร็จสิ้น เธอเดินไปเตะจ้าวเฉียนอีกครั้งหนึ่ง

จ้าวเฉียนสะดุ้งโหย่ง ลุกขึ้นมากรนด่าสาปแช่งทันควัน

“เธอบบ้าไปแล้วรึไง! มาปลุกทำไมอีก?”

“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว! ลุกไปอาบน้ำ! วันนี้มีนัดไปกองถ่ายกันไม่ใช่เหรอไง? ไหนว่าตกลงกันแล้ว?”

หวานเจียงสวนตอบในเสี้ยวอึดใจ

จ้าวเฉียนกลอกตาไปมาอย่างช่วยไม่ได้ วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันหยุดอีกหนึ่งวันที่ทุกคนสมควรได้รับ แต่ในวันดีๆ แบบนี้เขากลับต้องออกไปดูอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมันน่าเบื่อมาก

หวางเจียงไม่สนใจว่าจ้าวเฉียนจะคิดเห็นยังไง แต่ในมุมมองของเธอ ชีวิตของคนเราไม่มีวันหยุดนอกจากตาย ถ้ามีโอกาสได้ไปดูงานจริงที่กองถ่าย มันก็ถือเป็นหน้าที่ที่ควรไปตรวจงานสักครั้ง

ซึ่งอันที่จริงแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลคือ หวานเจียงแค่ต้องการหาข้ออ้างออกไปข้างนอก หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่อยู่ในบ้านของจ้าวเฉียน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พ่อแม่ของฝ่ายชายคิด เธอจึงรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ราวกับตัวเองเป็นคนหน้าซื่อใจคตอะไรแบบนั้น

จ้าวเฉียนเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะเขาเป็นคนเอ่ยปากตอบรับเองว่าจะไปกองถ่ายในวันนี้ เขาจึงลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวทันที

ทั้งสองเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องนั่งเล่น

จ้าวฝู่กำลังทำงาน ส่วนอวีกุ้ยเฟิงก็อยู่ในห้องครัวเพื่อสั่งคนครัวเตรียมอาหารกลางวัน

ส่วนจ้าวเฉียนกับหวานเจียงก็เดินทางออกไปโดยตรง ขับรถไปยังสนามแข่งรถหยานจิ้ง

ถือว่ามาครั้งนี้ไม่เสียเปล่า เพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ในกองถ่ายยังคงวิ่งวุ่นจัดเตรียมฉากกันอยู่ ถึงอย่างไรจ้าวเฉียนไม่กล้าเข้าไป เพราะเจ้าตัวไม่ต้องการให้อู่ซินมาเห็นเขา ถ้าเจอหน้ากันจริง จ้าวเฉียนกลัวว่าจะหาข้ออ้างมาอธิบายไม่ได้

“จู่ๆ ก็ปวดท้องแหะ ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน เธอตามสบายเลย”

หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็แสร้งทำเป็นกุมท้องวิ่งหนีออกไป

หวานเจียงกลอกตาอย่างคร้านจะใส่ใจ จับจ้องที่ยังแผ่นหลังของเขาที่เคลื่อนออกไปพลางสบถขึ้นว่า

“ขี้เกียจยังไม่พอยังอึไม่เป็นที่อีก”

คล้อยหลังบ่นจบ เธอก็เดินไปที่กองถ่ายเพียงลำพัง

พอเห็นว่าหวานเจียงกำลังเดินเข้ามา เฟิงเต๋อก็รีบวางโทรโข่งและวิ่งมาทักทายเธอได้ทัน ทุกคนโดยรอบต่างหยุดมองไปยังเธอ มองผู้กำกับที่กำลังกล่าวทักทายสาวสวยอย่างนอบน้อม

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน? ดูผูกำกับเกรงใจเธอมาก”

“แต่เธอดูสวยมากเลย อาจจะเป็นแฟนของผู้กำกับก็ได้นะ?”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเธอเป็นแฟนของผู้กำกับจริง เขาคงปั้นเธอเป็นดาราดังนานแล้ว อีกอย่างนะ ในกองถ่ายแบบนี้ส่วนใหญ่ไม่มีผู้กำกับคนไหนพาแฟนมาหรอก”

“แล้วเธอเป็นใคร?”

…..

บรรดานักแสดงมากมายต่างคาดเดาถึงตัวตนของเธอต่างๆ นาๆ ในเวลานั้นเองเฟินเต๋อก็เดินตรงกลับมาพร้อมกับหวานเจียง

เฟิงเต๋อตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า

“ทุกคนวางงานลงก่อน ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะ เธอคือประธานบริษัทฮวาหยินกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้เงินทุนกำกับหนังแก่เรา พวกเรายินดีต้อนรับเธอด้วย”

ทุกคนต่างปรบมือให้ทันที

“ว้าว! ประธานฮวาหยินกรุ๊ปนี่เอง! นี่เธอยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้กำกับถึงดูสุภาพกับเธอมาก เธอทั้งดูดีแถมรวยอีกด้วย เฮ้ออ…สักวันฉันจะมีชีวิตแบบนี้ไหมนะ!”

………..

นักแสดงแต่ละคนเดินเข้าไปทักทายหวานเจียงอย่างรวดเร็ว

อู่ซินเองก็กำลังเอ่ยปากชื่นชมหวานเจียงกับคนอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งเธอเองก็อยากมีชีวิตที่สวยหรูแบบอีกฝ่ายเช่นกัน แต่ไม่รู้เลยว่าชาตินี้จะมีโอกาสแบบนั้นไหม

หวานเจียงโบกมือเชิงให้ทุกคนเงียบลง แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นว่า

“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อให้กำลังใจทุกคน วันนี้ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แท้ๆ แต่ยังต้องออกมาทำงาน ดังนั้นฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงมือเที่ยงเป็นการตอบแทนนะ อยากกินอะไรสั่งได้ไม่ต้องเกรงใจ!”

ทุกคนต่างตะโกนโห่ร้องส่งเสียงเชียร์หวานเจียงกันยกใหญ่

หวานเจียงยิ้มและพยักหน้าตอบ ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลงอีกครั้ง และหันไปถามเฟิงเต๋อว่า

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”

เฟิงเต๋อพยักหน้าและกล่าวตอบโดยเร็วว่า

“ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีครับ มีแค่ข้อผิดพลาเล็กๆ น้อยๆ เนื่องด้วยรถที่ต้องใช้ถ่ายทำต้องระเบิดจริง จึงทำให้ค่าต้นทุนสูงเป็นพิเศษ แต่ผลงานที่ได้นับว่าชิ้นโบแดงเลยครับ”

หวานเจียงพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“อืม ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้ก็พยายามควบคุมงบหน่อยแล้วกัน งั้นฉันไปนั่งรอคุณจ้าวก่อนแล้วกัน เขาเป็นเจ้าของบริษัทเฉียนเต๋อ หนึ่งในผู้ร่วมทุนของฉัน”

เฟิงเต๋อพยักหน้าและเดินหน้ากำกับหนังต่อทันที

หวานเจียงเดินไปนั่งข้างๆ กองถ่าย เฝ้าดูพวกเขาแสดงกันต่อไป

ตอนที่265 ทำลายภาพพจน์

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จ้าวเฉียนไม่อยากขึ้นรับสืบทอดมรดกและนั่งเสวยสุขรอวันตายแบบทายาทมหาเศรษฐีคนอื่นๆ แต่เขาอยากจะเลือกออกไปสร้างธุรกิจด้วยตัวเองโดยอาศัยความสามารถที่มีอยู่เท่านั้น พูดง่ายๆ ว่าจ้าวเฉียนมีความใจกล้ามากกว่าพวกทายาทเศรษฐนีโดยส่วนใหญ่ เฉกเช่นหวานเจียงเป็นต้น

ดังนั้น หวานเจียงจึงค่อนข้างชื่นชมจ้าวเฉียนในเรื่องนี้อย่างยิ่งภายในใจ อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถทำในสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดได้ เพราะเธอถูกบังคับให้เรื่องมาตรงสายงานเพื่อรับช่วงต่อบริหารฮวาหยินกรุ๊ปโดยเฉพาะ และเธอไม่เคยทำตามฝันของตัวเองเลย

งานฉลองในมื้อเย็นกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงก่อนจะสิ้นสุดลง บรรดาญาติพี่น้องของจ้าวเฉียนถึงเวลาต้องลากันแล้ว จ้าวเฉียนกับหวานเจียงจึงอาสาเดินไปส่งพวกเขาลงจากภูเขา

หลังจากที่ญาติกลับกันหมด จ้าวเฉียนก็พาหวามนเจียงไปเดินเล่นในสนามกลอฟ์ส่วนตัวบนภูเขา

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็เพิ่งจำสิ่งหนึ่งได้ นั้นคือเรื่องความร่วมมือระหว่างหวังเฉียงและหัวโหย่ว

เหลียวปี้เอ๋อร์ในขณะนี้กำลังพยายามซื้อหุ้นจากพี่ชายของเธออยู่ แต่จ้าวเฉียนค่อนข้างมั่นใจว่า เธอไม่น่าจะซื้อได้สำเร็จ

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงต้องการให้หวานเจียงออกโรงไปจัดการเอง และแอบซื้อหุ้นหัวโหย่วมาในนามของฮวาหยินกรุ๊ป นี่คงเป็นการดีที่สุดในการเข้าฮุบหัวโหย่วจากในเงามืด

ตราบใดที่หัวโหย่วถูกควบคุมโดยจ้าวเฉียนอย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากนี้ต่อไปเขาย่อมสามารถทำอะไรก็ได้แล้ว และจะเริ่มวางรากฐานธุรกิจระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจำนวนมหาศาลในอนาคตต่อไป

เขาเล่าแผนการและความต้องการของเขาให้แก่หวานเจียงฟัง และขอให้เธอช่วยออกหน้าเจรจากับหัวโหย้ว

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“ทำไมนายถึงสนในบริษัทเกมนี้จัง?”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เขาตอบไปตามตรงว่า

“ก็ความคับข้องใจส่วนตัวน่ะ ฉันไม่อยากให้คู่แข่งพัฒนาขึ้นมาเทียบชั้นได้”

“อ่าหะ? แค่เพราะข้องใจส่วนตัว นายจึงต้องการใช้เงินหลายร้อยล้านหยวนเพื่อแก้แค้นให้เป็นจริง? นี่นายคิดตื้นเกินไปรึเปล่า? แม้ว่าครอบครัวของนายจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือ แต่ด้วยมุมมองความคิดและทัศนคติแบบนี้ของนาย สักวันสมบัติในครอบครัวจะต้องถูกนายผลาญเล่นในไม่ช้า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นจริง ฉันคงไม่กล้าแต่งงานกับนาย อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าล้มขึ้นมาทีคงเป็นหนี้มหาศาล ฉันคงไม่มีปัญญาจ่ายไหว”

จ้าวเฉียนอารมณ์เสียมากเมื่อได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไง? ครอบครัวของเขามีเงินนับล้านล้าน และเพราะแบบนี้เธอเลยอยากแต่งงานกับเขา? แต่ถ้าตระกูลจ้าวล้มละลายขึ้นมา เธอจะไม่รักเขาแล้ว ตกลงนี่คบหากันที่เงินหรือหัวใจกันแน่?

“เหอะ เหอะ ที่แท้เธอก็หวังสมบัตินี่เอง! ถ้าฉันมีเงินเธอก็รัก ถ้าไม่มีก็แค่ทิ้ง ง่ายดีหนิ!”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเย็นใส่

หวานเจียงตระหนักได้ทันทีว่า เธอพูดอะไรผิดไป แต่อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการจะสื่อมันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ต้องการอยากจะเตือนสติจ้าวเฉียนไม่ให้ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในการลงทุน เพราะอาณาจักรธุรกิจตระกูลจ้าวล้มขึ้นมา หนี้สินจำนวนกว่าล้านล้านจะถาโถมเข้าใส่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเธอคงไม่น่าจะเอาชีวิตรอดเช่นกันท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น

อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ ของเธอ และสะบัดแขนเธอทิ้งออกไปโดยตรง มุ่งหน้ากลับขึ้นเขา ซึ่งเธอเองก็วิ่งตามไปติดๆ ตลอดทางนั้นทั้งคู่ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา

หวานเจียงทนต่อบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เธอจึงรีบวิ่งขึ้นหน้าตรงไปหยุดจ้าวเฉียนและขอโทษทันที

“อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่อยากให้นายปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ไม่อย่างนั้นชีวิตของพวกเราหลังจากนี้จะต้องทำงานใช้หนี้นับล้านล้าน ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะมีเงินมากน้อยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากมีหนี้สินมากมายขนาดนั้น เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเย้ยคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า

“งั้นถ้าเราแต่งงานกันไป แล้วฉันล้มละลายขึ้นมา เธอจะขอหย่ากับฉันทันทีโดยไม่สนใจความรู้สึกกันเลยงั้นเหรอ?”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกถามแบบนี้ ขณะที่จ้าวเฉียนจับมือกำลังจะพาเธอกลับไป เธอก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ในกรณีแบบนี้เธอไม่อยากจะกลับเข้าบ้านจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว

หวานเจียงรีบชักมือกลับทันทีและกล่าวขึ้นว่า

“ในเมื่อนายไม่เชื่อใจฉัน ฉันคงไม่จำเป็นต้องกลับบ้านกับนายแล้ว”

“เหอะ เหอะ…จะมาไม้ไหนอีกล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมีท่าทีเริ่มหงุดหงิด

หวานเจียงรู้สึกผิดภายในใจซ้ำสอง แต่เธอเป็นหญิงแกร่งตั้งแต่ยังเด็กแล้ว จึงแทบไม่เคยถูกใครพูดทำร้ายจิตใจ แต่จ้าวเฉียนคนนี้เป็นอย่างกับเจ้ากรรมนายเวร ทำให้เธอรู้สึกแย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเกลียดความรู้สึกแบบนี้เป็นที่สุด

หวางเจียงกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เธอตะคอกใส่จ้าวเฉียนทั้งน้ำตาเสียงดังลั่นว่า

“จ้าวเฉียน! อย่าคิดว่าบ้านนายจะรวยแล้วจะพูดจาดูถูกอะไรฉันก็ได้! ถึงครอบครัวฉันจะไม่รวยเท่านาย แต่พวกเราก็มีเงินพอกินพอใช้ไปทั้งชาติ! ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเลียแข้งเลียขาคนอย่างนาย! อย่าคิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีความเป็นคนสูงกว่าฉัน! ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และไม่ได้วัดกันแค่ตัวเงิน!”

เมื่อหกปีก่อน จ้าวเฉียนเป็นคุณชายทายาทเศรษฐีที่ทำตัวเสเพ ใช้ชีวิตในวงการดำมืด แต่หลังจากอุบัติเหตุของอู่ซินในตอนนั้น มันก็ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรู้จักคิดมากขึ้น อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นเขาไม่มีวันดูถูกหรือลดค่าใครอีกกับเพียงเพราะตัวเงิน

เหตุผลที่จ้าวเฉียนโกรธหวานเจียงขนาดนี้ เป็นเพราะหวานเจียงไม่สามารถตอบสนองความเป็นผู้หญิงในอุดมคติเขาได้ เธอชอบทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ จนทำลายภาพลักษณ์ของเธอในใจของเขาไป

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า เขากับหวานเจียงยังต้องปรับความเข้าใจกันอีกมาก ย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่แต่งงานกันเร็วๆ นี้แน่นอน

แต่สมาชิกครอบครัวทั้งหลายกลับค่อนข้างพอใจในตัวหวานเจียงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นขาไม่สามารถสู้กับเธอได้อีกแล้วในเวลานี้ มิฉะนั้นเกรงว่า ครอวครัวของเขาจะต้องออกโรงปกป้องเธอแน่นอน

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงจำใจต้องอธิบายกับหวานเจียงให้กระจ่าง เขาพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ก่อนกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอเลย แค่ภาพลักษณ์ของเธอในหัวฉันทีแรกมันสมบูรณ์แบบมาก แต่เธอก็ชอบที่จะสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จนเริ่มทำลายความสมบูรณ์แบบในอุดมคติของฉันทีละเล็กละน้อย เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนี้ไหม? ฉันไม่ได้โกรธเธอเพราะเธอด้อยกว่าฉัน แต่เป็นเพราะเธอในตอนนี้มันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่รู้เลยว่าตัวเธอควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีในขณะนี้? แต่ในทางตรงข้าม เขากลับขอให้เธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของเขา? แล้วทำไมเขาถึงขอให้เธอเป็นแบบนั้น? ไม่มีเพชรใดที่ไร้ตำหนิ ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบไปหมด แค่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับเขา เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติขนาดนั้นเหรองั้นเหรอ? นี่เป็นความปรารถนาที่สูงเกินจะเอื้อมถึง

หวานเจียงหัวเราะเยาะกับตัวเองและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันไม่มีทั้งเงินและความสมบูรณ์แบบให้นายได้ ฉันว่าเราควรดูใจกันก่อนจริงๆ ถ้ายังแต่งงานทั้งที่ยังสับสนไม่เข้าใจกันอยู่แบบนี้ ฉันว่าอนาคตคงจบไม่สวยหรูเท่าไหร่”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วยกับหวานเจียง

พอเห็นแบบนั้น หวานเจียงก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจจนส่งผ่านมายังใบหน้าอย่างชัดเจน เธอรู้สึกว่าจ้าวเฉียนกำลังปฏิเสธตัวเธอ เพียงเพราะไม่สามารถเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติเขาได้

หวานเจียงกล่าวต่อว่า

“ฉันจะจัดการเรื่องที่นายขอเอง ตราบเท่าที่หัวโหย้วยินดีขายหุ้น ฉันจะซื้อคืนกลับมาได้ให้มากที่สุดในนามฮวาหยินกรุ๊ป ในเวลานั้นถ้าได้ทั้งหมดตามต้องการแล้ว ฉันจะโอนหุ้นให้นายโดยตรง หลังจากนั้นนายก็จะสามารถตามล้างแค้นได้ตามต้องการตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“ขอบคุณมาก ตอนนี้ฉันยังต้องรบกวนให้เธอเล่นตามน้ำไปก่อน หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์จบลงและกลับเมืองตงไห่ เธอก็เป็นอิสระแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ไปกันเถอะ กลับไปนอนกันดีกว่า”

หวานเจียงพยักหน้าและเดินกลับพร้อมควงแขนจ้าวเฉียนเดินจากไป จนถึงตอนนี้ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะคิดกับเธอยังไง แต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะช่วยเหลือจ้าวเฉียนให้ถึงที่สุด

ไม่นานทั้งสองก็กลับเข้าบ้าน

อวีกุ้ยเฟิงทำความสะอาดห้องนอนให้แกทั้งคู่ไว้แล้ว ห้องนอนเป็นเตียงคู่สำหรับสองคน ทั่วทั้งห้องประดับตกแต่งเป็นโทรสีแดงหรูหร่า ราวกับเป็นเรือนหออย่างไงอย่างงั้น

“อิอิ…กลับมากันแล้วเหรอ? นี่ก็ดึกมากแล้วนะ รีบอาบน้ำนอนกันเถอะ ฝันดีนะ หุหุ…”

อวีกุ้ยเฟิงโบกมือลาทั้งคู่และเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเองก็เดินออกไปส่งเธอกลับเข้านอน และเข้าห้องปิดประตูอย่างรวดเร็ว นี่มันน่าอายชะมัด ทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงไม่ลงรอยกันอยู่แท้ๆ แล้วใครจะกล้านอนร่วมเตียงกัน?

ตอนที่264 ผมต้องกลับมารับมรดกล้านล้านหยวนจริงเหรอเนี่ย

เมื่อเห็นสีหน้าของหวานเจียงดกูไม่มีความสุขนัก จ้าวเฉียนก็เอ่ยถามขึ้นทันที

“เกิดอะไรขึ้น?”

หวานเจียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งและเล่าเรื่องงบประมาณของเฟิงเต๋อให้จ้าวเฉียนฟัง

ในความคิดของจ้าวเฉียนนี่ถือเป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดนี้มันคือหนังที่เกี่ยวข้องกับรถแข่ง จำเป็นต้องเช่าสนามแข่งรถจริงและขับแข่งมืออาชีพตัวจริงเสียงจริงมาเล่นฉากหวาดเสียว ยิ่งไปกว่านั้นจำเป็นต้องจ้างคนประกอบฉากเข้ามาเป็นผู้ชมในสนามอีก นี่ยังไม่รวมถึงทีมแพทย์ที่ต้องจ้างมาดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นราคาทุนการถ่ายทำจึงสูง

ตราบเท่าที่เฟิงเต๋อไม่ได้นำเงินไปใช้จ่ายตามอำเภอใจ และทุ่มทุนทั้งหมดลงในตัวหนัง ก็ถือว่าคุ้มค่า

หวานเจียงเหลือบมองจ้าวเฉียนท่าทีเงียบงัน เธอเอ่ยตอบไปว่า

“ก็บ้านนายอย่างกับเหมืองเพชรหนิ จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง ซึ่งงบประมาณของโปรเจคนี้ทีแรกก็ตั้งไว้แค่300ล้าน หวังเข้าบ็อกซ์ออฟฟิศกวาดรายได้มาสัก700ล้าน หหักลบกลบหนี้ก็ยังทำกำไรได้ประมาณหนึ่ง แต่นี่เพิ่งถ่ายได้ไม่ทันไรงบจะทะลุ400ล้านแล้ว นั้นหมายความว่า ถ้าเรายังต้องการทำกำไรในอัตราเท่าเดิม หนังเราจะต้องทำเงินได้เกินกว่าพันล้าน นายคงรู้ใช่ไหมว่า มีหนังแค่กี่เรื่องเองที่สามารถทำกำไรได้ระดับนั้น?”

หวานเจียงคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะบริษัทของเธอเน้นสนใจเพียงแค่การฉายหนังในโรงภาพยนตร์ หรือก็คือเน้นทำกำไรจากบ็อกซ์ออฟฟิศเท่านั้น ในหัวของเธอจึงคิดว่าช่องทางทำเงินมีเพียงทางเดียว

แต่วิสัยทัศน์ของจ้าวเฉียนกว้างไกลกว่านั้น รายได้จากการฉายเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การถ่ายหนังสักเรื่องก็ไม่ต่างอะไรจากการสร้างสินค้ามูลค่าสูงชิ้นหนึ่งหนึ่งอยู่ในมือ ซึ่งเราสามารถนำไปต่อยอดต่อได้โดยการ ขายลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายเพื่อแปรรูปสินค้า เช่นของที่ระลึก ของเล่น รวมไปถึงการขายลิขสิทธิ์ให้ค่ายอื่นไปทำพเป็นซีรีย์ต่อ เป็นต้น

ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากเงินลงทุนกว่า400ล้านหยวน แม้ว่ารายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศจะได้มาเพียงร้อยล้าน แต่นี่ถือว่ายังไม่ขาดทุน เนื่องจากพวกเขายังมีลิขสิทธิ์ของตัวหนังอยู่ในมือ และยังสามารถนำหนังเรื่องนี้ไปออกอากาศในสื่อออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตได้ในรูปแบบของสมาชิกแพลตฟอร์มระดับVIPเท่านั้น ก็ว่ากันไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถนำหนังเรื่องนี้บุกตลาดต่างประเทศก็ได้ด้วย

ตราบใดที่ยังมีลิขสิทธิ์อยู่ในมือ สักวันหนึ่งย่อมสามารถเรียกทุนคืนกลับมาได้เสมอ เพียงว่าภาพยนตร์บางเรื่องอาจไม่ตรงกับกระแสความนิยมในปัจจุบันและต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่ไม่ว่าจะกรณีใด การลงทุนในวงการภาพยนตร์ก็ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน ดีไม่ดีถ้าเกิดหนังดังเป็นพลุแตก อาจคืนทุนได้ภายในชั่วข้ามคืน

หวานเจียงหลอกตามองบนไม่พูดไม่จา เหตุผลที่จ้าวเฉียนกล้าที่จะรุกหน้าขนาดนี้เป็นเพราะเขามีเงินใช้ไม่ขาดมือ มันก็ถูกของเขาที่มันจะคืนทุนในสักวัน แต่ถ้าหนังมันไม่เป็นกระแสขึ้นมาอาจต้องใช้เวลาถึงหลายปีหรือนานกว่านั้น แล้วระหว่างฮวาหยินกรุ๊ปจะเอาเงินที่ไหนมาหมุน?

จ้าวเฉียนเข้าใจหมายความของหวานเจียงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่บังคับเธอว่าครวรจะเลือกทางใด นักลงทุนแต่ละคนล้วนมีปรัชญาทางธุรกิจเฉพาะบุคคล

แต่เพื่อปัดเป่าความกังวลของหวานเจียง จ้าวเฉียนจึงปลอบเธอไปว่า

“เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันขอใช้บริษัทเฉียนเก๋อเป็นประกันว่า รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศของหนังเรื่องนี้ต้องไม่น้อยกว่าพันล้าน ถ้าไม่ถึงยอดที่กำหนด ฉันจะจ่ายส่วนที่เสียไปให้เอง โอเคไหม?”

หวานเจียงหัวเราะขึ้นทันที โอบแขนจ้าวเฉียนและกล่าวน้ำเสียงเย็นตอบไปว่า

“ในเมื่อนายพูดมาขนาดนี้ รายได้เปิดตัวต้อง1.5พันล้านเป็นอย่างต่ำ ถ้ามากกว่า1.5พันล้าน ฉันแบ่งให้นายเจ็ดในสิบส่วนเลย ฉันของแค่สามส่วนพอ แต่ถ้าน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ เจ็ดส่วนต้องเป็นของฉัน ว่าไงล่ะ?”

จ้าวเฉียนกลอกตาแวบหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังหันกลับมายิ้ม ยื่นหน้าเข้าชิดใกล้หวานเจียงและกล่าวขึ้นว่า

“นี่เธอเห็นฉันโง่รึเปล่า? ถ้าอนาคตต่อไปฉันแต่งงานกับเธอจริงๆ เงินของฉันก็เป็นของเธอ ส่วนเงินของเธอก็เป็นของฉัน เราถือว่าใช้กระเป๋าเงินเดียวกัน ใครได้เท่าไหร่มันก็ไม่ต่างกันเลย ดังนั้นถ้าเธอเอาเจ็ดส่วนไปตั้งแต่ตอนนี้ เธอก็ต้องนำส่วนดังกล่าวไปแจกจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่บรรดาผู้ถือหุ้น นั่นไม่เท่ากับว่าปล่อยเงินให้ไหลออกจากกระเป๋าโดยเปล่าหรอกเหรอ? เธอลองคำนวณให้ดีดกูก่อนว่าที่พูดไปมันจริงไหม?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปแบบนั้น หวานเจียงก็เพิ่งตระหนักได้ว่ามันเป็นความจริงและสมเหตุสมผลอย่างมาก หากเธอแต่งงานกับจ้าวเฉียนในอนาคต เงินที่เธอได้รับในวันนี้ก็คือของเธอไม่ใช่เหรอ?

ดังนั้นไม่มีใครทำเรื่องโง่ๆ อย่างการเอาเงินไปประเคนให้คนอื่นแน่นอน

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องรับประกันอะไรหรอก บางทีสถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด”

หวานเจียงพูดน้ำเสียงหนักแน่น

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วไม่กลัวหนังขาดทุนแล้วเหรอ?”

หวานเจียงรีบตอบกลับไปทันที

“ห่ะ! แล้วจะปล่อยให้ขาดทุนทำไมล่ะ! ที่ฉันยพูดไปแบบนั้นเพราะตอนนี้ฉันไม่กลัวแล้ว ยังไงซะฉันก็ไม่ได้ตัวคนเดียว มีนายอยู่ทั้งคน ถ้าขาดทุนจริงนายเองก็พลอยเสียเงินไปด้วยนั่นแหละ!”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก โอบกอดหวานเจียงในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเขาก็จำเรื่องตลกเรื่องนึงขึ้นมาได้ โดยเล่าให้เธอฟังไปว่า มีชายชราอยู่คนหนึ่งที่เป็นหนี้อยู่ก้อนโต สุดท้ายก็จปัญญาหาเงินมาใช้ เลยต้องขายลูกสาวเพื่อชำระหนี้สินไป หลังจากที่ลูกสาวแต่งงานกับชายคนนั้น คืนหนึ่งเธอก็ตื่นขึ้นมาและกล่าวกับสามีว่า

“เราต้องรีบไปทวงเงินจากพ่อ อย่าปล่อยเขาไปเด็ดขาด”

แม้ว่านี่จะฟังดูเป็นเรื่องตลกร้าย แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันค่อนข้างเหมือนกับตัวหวานเจียงจริงๆ หนี้ก้อนโตของชายชราคนนั้นก็คือบุญคุณค่ารักษาการเชิญทีมศัลยแพทย์ให้มาช่วยชีวิต และการทวงหนี้ก็คือการที่จ้าวเฉียนเข้ามาควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปนั่นเอง

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานพักหนึ่ง หวานเจียงก็พูดขึ้นมาว่า

“จะว่าไปเราไปดูกองถ่ายกันหน่อยดีไหม? บังเอิญว่าพวกเขามีฉากที่ต้องถ่ายที่สนามแข่งหยานจิ้งพอดี?”

ขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นได้ ด้านครอบครัวจ้าวเฉียนน่าจะเตรียมดินเนอร์ชุดใหญ่รอพวกเขากลับมาแล้ว และนี่เป็นมื้ออาหารที่สำคัญอย่างยิ่ง จ้าวเฉียนจึงแนะนำให้ไปเยี่ยมชมกองถ่ายพรุ่งนี้จะดีกว่า

หวานเจียงพยักหน้าตอบและยืนขึ้นพร้อมพูดว่า

“งั้นไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้ทุกคนรอกันเลย”

จ้าวเฉียนพยักหน้า ลุกขึ้นแบกของและพาหวานเจียงกลับบ้าน

พอทั้งสองกลับถึงบ้าน อาหารเย็นก็พร้อมได้ที่แล้ว งานเลี้ยงในคืนนั้นจัดขึ้นที่ห้องปาร์ตี้ภายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าว และทุกคนในครอบครัวต่างใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งนี่จะเห็นได้ว่าทุกคนต่างรักใคร่หยางเจียงมากแค่ไหน พวกเขาพอใจกับเธอคนนี้จริงๆ และหวังว่าเธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจ้าวจริงๆ ในอนาคต

หวานเจียงยิ้มและหันมากล่าวกับอวีกุ้ยเฟิงว่า

“คุณแม่จ้าวเฉียนค่ะ พวกคุณแต่ละคนล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น หนูรู้สึกประหม่าจริงๆ ค่ะ ถ้าหากในอนาคตหนูเกิดไม่ได้แต่งงานกับจ้าวเฉียนจริงๆ หนูจะไม่ลืมงานเลี้ยงในคืนนี้ไปตลอดชีวิตเลยค่ะ หนูมีความสุขจริงๆ ขอบคุณมากเลยนะคะ”

อวี้กุ้ยเฟิงหัวเราะพลางตอบไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องยิ่งพยายามปรับตัวเข้ากับจ้าวเฉียนให้ได้ ทั้งสวยทั้งมีความสามารถอย่างเธอ ฉันไม่อยากปล่อยให้หลุดมือเลยจริงๆ ถ้าเธอ…สามารถมีหลายนให้ฉันได้ ฉันกับสามีจะจัดงานแต่งงานให้พวกเธอทั้งคู่ทันที”

หวานเจียงเธอเป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจในสิ่งที่อวีกุ้ยเฟิงพยายามจะสื่อถึง ตราบเท่าที่เธอสามารถตั้งครรภ์และมีลูกให้กับตระกูลจ้าวได้ ทั้งจ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงจะต้องจับเธอมาแต่งงานกับจ้าวเฉียนในทันทีทันใด

ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นเคล็ดลับทั่วไปของบรรดาหญิงสาวที่ต้องการแต่งเข้าตระกูลร่ำรวย เป็นวิธีรวบหัวรวบหางที่ทั้งเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม หวานเจียงไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป เธอรู้สึกรังเกียจอย่างมากหากต้องใช้วิธีต่ำทรามแบบนี้ เพื่อพาตัวเองเข้าตระกูลใหญ่ เธอจึงแสร้งปั้นหน้าทำเป็นไม่เข้าใจและยิ้มตอบไปว่า

“หนูก็หวังแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ไปฉลองกับคนอื่นๆ ต่อกันเถอะค่ะ ฮ่าฮ่า…”

อวีกุ้ยเฟิงยิ้มตอบและเดินออกไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ต่อ

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็กลับไปนั่งที่ประจำของตัวเอง ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว พวกเขากำลังรอให้จ้าวฝู่ออกมาให้พรสำหรับวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้

ไม่กี่นาทีต่อมา จ้าวฝู่ก็เข็นชายชราออกมาพบปะ ทุกคนรีบลุกขึ้นกล่าวทักทายและอวยพรทั้งสองอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฉียนรีบก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อไปกอดทันที และเข้ามาเข็นรถเข็นของคุณปู่แทนพ่อของเขา

เมื่อพาคุณปู่นั่งลงที่หัวโต๊ะ จ้าวฝู่ก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังและกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะทุกคน นั่งลงเถอะ วันนี้เป็นงานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปี อีกทั้งยังเป็นงานเลี้ยงต้อนรับหวานเจียงอีกด้วย!”

หลังจากพูดจบจ้าวฝู่ถึงจะนั่งลง ยามนั้นคนอื่นๆ ถึงจะกล้านั่งลงตาม

เป็นเวลานานมากแล้วที่จ้าวเฉียนไม่ได้พบกับคุณปู่ นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญกับเขาอย่างยิ่งในชีวิต เขาไม่สนใจเรื่องกินดื่มแม้สักนิด แต่บรรจงป้อนข้าวคุณปู่เขาอย่างยิ้มแย้ม เนื่องจากพอแก่ตัวลงมือไม้ก็อ่อนแอลงไปด้วย จำเป็นต้องมีคนคอยป้อนอยู่ตลอด ซึ่งจ้าวเฉียนก็เข้ามาทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม

จ้าวฝู่ที่เห็นแบบนั้นก็ค่อนข้างพอใจในตัวจ้าวเฉียนอย่างมาก เขายิ้มถามขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน ถ้าแกอยากจะกลับมารับสืบทอดธุรกิจที่บ้านเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมต้อนรับแกทุกเมื่อ”

จ้าวเฉียนวางช้อนลงบนจานทันที และหันกลับมาเอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจังว่า

“พ่อ อย่าบังคับผมแบบนี้สิ ยังไงก็ตามธุรกิจที่ผมก่อร่างสร้างขึ้นมากับมือก็กำลังไปได้สวย ส่วนเวลานี้ ผมอยากดูแลคุณปู่ให้ดีที่สุดก่อน จริงไหมครับปู่?”

คุณปู่หัวเราะขึ้นทันทีและตอบว่า

“ใช่ ใช่ ใช่…ไอ้ฝู่แกก็อย่าไปบังคับหลานมันมาก ออกไปล้มลุกคุกคลานให้พอใจ แล้วค่อยกลับมารับช่วงต่อก็ไม่สาย”

จ้าวเฉียนที่ได้ยินดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง คุณปู่พูดราวกับว่า เขาทำอะไรไม่ได้ ลองบริหารธุรกิจเล่นๆ จนพอใจค่อยกลับมาอย่างใดอย่างนั้น

“โถ่ว…ผมเสียใจนะปู่ที่พูดแบบนั้น ถ้าผมทำตามฝันไม่สำเร็จขึ้นมา ผมต้องกลับมารับมรดกล้านล้านหยวนจริงเหรอเนี่ย?”

จ้าวเฉียนถอนหายจใจด้วยความโศกเศร้าอย่างช่วยไม่ได้

ทุกคนต่างพากันหัวเราะกันคิกคัก

หวานเจียงเองก็สุดจะกลั้นขำ หัวเราะไม่หยุดหย่อนจนท้องแข็ง เธอไม่คิดว่านั้นจะใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย

ตอนที่ 262 ฉันนี่แหละทายาทมหาเศรษฐี

ท่าทีของหวานเจียงในขณะนี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว และครอบครัวของจ้าวเฉียนดูเหมือนจะเข้ากับเธอได้จริงๆ

ในเวลานั้นเอง จ้าวฝู่ก็เข็นชายชราคนหนึ่งออกมา

จ้าวเฉียนหันไปพูดกับหวานเจียงโดยไวว่า

“นี่คุณปู่ฉันเอง แล้วคนที่เข็นอยู่คือพ่อฉัน”

หวานเจียงเริ่มเก็บอาการสำรวมขึ้นทันที จากนั้นก็โค้งศีรษะทักทายให้แก่จ้าวฝู่และชายชราคนนั้นด้วยความสุภาพเรียบร้อยยิ่ง

“สวัสดีค่ะคุณปู่ หนูชื่อหวานเจียง เป็นเพื่อนของจ้าวเฉียนค่ะ”

ชายชราคลี่ยิ้มหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและเอ่ยตอบน้ำเสียงเชื่อยแช่มไปว่า

“อืม อืม…เธอคงเป็นแฟนสาวของหลานชายฉันใช่ไหม?”

ทุกคนหัวเราะครืนขึ้นที

ใบหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นทันควัน รีบเอ่ยตอบกลับไปว่า

“คุณปู่เข้าใจผิดแล้วนะคะ หนูไม่ใช่แฟนเขา แฟนกันที่ไหนทิ้งให้หนูนั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวจริงไหมค่ะ?”

จ้าวเฉียนได้แต่ยิ้มแห้งพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หน้าเปลี่ยนสีมืดขรึมอยู่แบบนั้น

ชายชราโบกมือให้จ้าวเฉียนเข้ามา

จ้าวเฉียนทำได้เพียงเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างเชื่องช้ากล่าวขึ้นว่า

“คุณปู่ ผมว่าเธอตีสนิทผมเพราะจะหลอกเอาเงินแน่เลย”

ชายชรายกไม้เท้าฟาดใส่จ้าวเฉียนไปทีสองทีพลางบ่นขึ้นว่า

“ไอ้หลานคนนี้ แกนี่เหมือนพ่อแกไม่มีผิดเลยนะ ตอนนั้นมันก็คิดว่าแม่แกจะหลอกคบเอาเงิน จนสุดท้ายทะเลาะกันบ้านแทบแตก ยังดีที่ย่าปลอบแม่แกทัน ไม่อย่างนั้นแกไม่มีทางยืนอยู่ตรงนี้แน่นอน”

“ฮ่าฮ่า…”

จ้าวฝู่กับอวีกุ้ยเฟิงสบตากันแวบหนึ่งพลางร่วนหัวเราะด้วยความเก้อเขิน

จ้าวเฉียนที่สังเกตเห็นดังนั้นจึงพูดติดตลกขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น คงเรียกได้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ถึงไม่ต้องมองหน้าว่าคล้ายกันแค่ไหน แต่ดูจากนิสัยใครๆก็รู้จักทีว่าพ่อลูกกัน”

ทุกคนระเบิดหัวเราะคิดคักหนักเข้าไปใหญ่

จ้าวฝู่ยกเท้าแตะก้นจ้าวเฉียนไปที และหันมากล่าวกับหวานเจียงว่า

“หนูชื่อหวานเจียงใช่ไหม? ไปคุยกันข้างในบ้านก่อนดีกว่า”

พอจ้าวฝู่เอ่ยปากพูดเมื่อไหร่ ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ต้องเชื่อฟัง พวกเขาเร่งพาจ้าวเฉียนกับหวานเจียงเข้าไปในบ้านทันที

อวีกุ้ยเฟิงเข้าไปในห้องครัวและนำอาหารที่ทำขึ้นมาสุดฝีมือออกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว และชวนให้หวานเจียงลองทานดูว่าอร่อยไหม

ระหว่างทางจวบจนตอนนี้เสียงชมยังดังไม่ขาดปาก ทำเอาหวานเจียงประหม่าเกินกว่าจะกินได้ แต่จ้าวเฉียนก็สะกิดย้ำเธอไปว่า แม่ของเขาอุตส่าห์ทำให้คนพิเศษอย่างเธอเท่านั้น หวานเจียงควรจะกินบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นเธอจึงหยิบช้อนส้อมตักเข้าปากทันทีอยู่หลายคำ หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากบอกกับทุกคนว่าเธออิ่มแล้ว

น้าสาวของจ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวขึ้นว่า

“กำลังรักษาหุ่นเหรอ? ถึงกินไม่ค่อยเยอะเลย? อดอาหารแบบนี้มันไม่ดีต่อร่างกายนะ”

จ้าวเฉียนที่ได้ยินดังนั้นก็รีบแนะนำตัวให้หวานเจียงฟัง

“นี่คุณน้าสาวของฉันเอง อันที่จริงเธอมีศักดิ์เป็นป้านั่นแหละ แค่เธอไม่ชอบให้เรียก”

น้าสาวได้ยินดังนั้นพลันแยกเขี้ยวขู่จ้าวเฉียนเล็กน้อย บอกไปว่าห้ามเรียกเธอป้าอีก

หวานเจียงยกมือป้องปากหัวเราะเล็กน้อย และยิ้มตอบกลับไปว่า

“คุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะ พอดีหนูทานมาตั้งแต่บนเครื่องแล้วค่ะ แต่หนูเห็นว่าคุณแม่จ้าวเฉียนอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้ หนูเลยอยากกินแค่สองสามคำว่าอร่อยแค่ไหน กลัวจะทำให้คุณแม่จ้าวเฉียนผิดหวัง”

“ฮ่าฮ่า….”

ทุกคนพอใจอย่างยิ่งกับกลวิธีการพูดของหวานเจียง เธอสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้เร็วมาก

จ้าวเฉียนนั่งมองอยู่เคยงข้าง ปล่อยให้หวังเจียงพูดแสดงออกไปคนเดียว เขายังคงทราบดีภายในใจ การจะมาเป็นภรรยาของเขาในอนาคต ต่อจากนี้เป็นต้นไปมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคน แต่ยังต้องคำนึงถึงทุกคนในครอบครัวอีกด้วย IQการทำงานต้องไม่ต่ำ EQการเข้าหาสังคมต้องผ่านเกณฑ์

สำหรับเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา อู่ซินกับเหลียวเซียวหยุนค่อยข้างใกล้เคียงกับหวานเจียง แต่ในแง่ของความสามารถและการปรับตัว รวมไปถึงประสบการณ์การเข้าสังคม หวานเจียงชนะขาดลอย

ด้วยภูมิหลังของครอบครัวจ้าวเฉียน งานสังคมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นผู้หญิงที่มีทั้งความสามารถในการปรับตัวและรูปลักษณ์หน้าตาอย่างหวานเจียง คือคนที่เหมาะสมกับจ้าวเฉียนที่สุดแล้ว

ทีแรกหวานเจียงยังดูมีท่าทีประหม่าอยู่บ้าง แต่พอเธอได้มีโอกาสพูดคุยและโต้ตอบกับคนอื่นๆ เธอก็ดูเป็นธรรมชาติขึ้นอย่างเห็นชัด

ทุกคนในที่นี้ล้วนทราบถึงภูมิหลังและสถานะของหวานเจียงมาบ้างแล้ว พอได้พูดคุยกับเธอจริงๆก็ยิ่งรู้สึกพอใจเข้าไปใหญ่

ถึงแม้ว่าสภาพครอบครัวของหวานเจียงจะด้อยกว่า แต่คุณสมบัติโดยส่วนตัวของหวานเจียงถือว่าสูงผิดคาด ซึ่งนี่สามารถนำมาทดแทนช่องว่างนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ในเวลานั้นเอง หวานเจียงก็เอ่ยปากถามจ้าวฝู่กลับไปเช่นกันว่า

“คุณพ่อจ้าวเฉียนค่ะ หนูขอถามหน่อยได้ไหมค่ะว่า ทางบ้านทำธุรกิจอะไร คือหนู…ไม่รู้เรื่องของทางนี้เลยค่ะ”

จ้าวฝู่ยิ้มตอบไปว่า

“จ้าวเฉียนเคยเล่าเกี่ยวกับสถานะของครอบครัวเราให้หนูฟังบ้างไหม?”

หวานเจียงส่ายหัวอย่างว่างเปล่า

“ไม่เลยค่ะ เขาไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้หนูฟังเลยสักครั้ง แต่หลังจากที่เธอเจอคุณแม่จ้าวเฉียนครั้งล่าสุด หนูก็พอจะเดาได้ว่าครอบครัวของคุณน่าจะร่ำรวยในระดับนึง ตอนแรกหนูคิดแค่นั้นจริงๆค่ะ แต่พอมาวันนี้ได้เห็นป้ายทะเบียนรถของคุณ หนูกลับไม่นึกเลยว่าจะเป็นระดับมหาเศรษฐีขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นคฤหาสน์กลางภูเขาส่วนตัว หนูยิ่งมั่นใจเลยค่ะว่าพวกคุณต้องไม่ใช่มหาเศรษฐีทั่วไปแน่นอน หนูเลยสงสัย…”

แต่เริ่มเดิมทีทุกคนคิดว่า เหตุผลที่หวานเจียงเลือกที่จะคบกับจ้าวเฉียน โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะความร่ำรวยของตระกูลจ้าว

แต่ตอนนี้ พอหวานเจียงบอกว่า จ้าวเฉียนไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังเลย นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า ที่หวานเจียงชอบจ้าวเฉียน เป็นเพราะเธอชอบเขาจากใจจริง

สำหรับพวกไฮโซทั้งหลาย ข้อห้ามสำคัญระหว่างจีบใครสักคนคือ การเปิดเผยสถานะตัวเองตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งการที่หวานเจียงตกหลุมรักจ้าวเฉียนโดยไม่มีเรื่องสถานะเข้ามาเกี่ยวข้องจนถึงบัดนี้ นี่ยิ่งได้ใจทุกคนในที่นี่ไปอย่างไม่ต้องสงสัย

จ้าวฝู่ยิ้มตอบอย่างมีความสุขว่า

“ฉันคงบอกแบบเฉพาะเจาะจงไม่ได้แหะ เพราะธุรกิจที่ครอบครัวเราดูแลมันมีค่อนข้างเยอะมาก คราวๆที่พอมีชื่อเสียงก็อย่างเช่น ฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์, ธุรกิจโรงแรมอย่างเช่นโรงแรมตงไห่ที่หนูน่าจะรู้จัก และอีกหลายสาขาทั่วประเทศ, บริษัทขุดเจาะน้ำมัน, บริษัทขนส่งทางทะเล, อสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจภาพยนตร์ก็มีนะ ทั้งหมดอยู่ในเครือของบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ป”

จ้าวฝู่นึกชื่อบริษัทไหนในเครือได้พูดออกมาอย่างลวกๆ ซึ่งหากให้นับกันจริงๆมันมีบริษัทมากกว่าร้อยแห่งเห็นจะได้ และแต่ละบริษัทย่อยในเครือล้วนมีมูลค่าทรัพย์สินเท่ากับฮวาหยินกรุ๊ปนับสิบหรือร้อยแห่งรวมกันเสียอีก!

หวานเจียงตื่นตกใจอย่างยิ่งจนอ้าปากค้างเติ่งเป็นก้อนหินแบบนนั้น ปรากฏว่าชายตรงหน้าของเธอก็คือ จ้าวฝู่ ประธานหัวเรือใหญ่แห่งบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ป!

ฟังว่าแค่มูลค่าทรัพท์สินส่วนตังของชายคนนี้เพียงลำพังก็มีมากกว่าแสนล้านหยวนแล้ว นี่ยังไม่รู้ทรัพท์สมบัติของทั้งตระกูล จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรายชื่อของเขาถึงขึ้นติดหนึ่งในสามมหาเศรษฐีระดับประเทศ! แต่ทุกคนล้วนทราบดี ถ้าจ้าวฝู่คิดจะลงดาบปราบปรามธุรกิจคู่แข่งอย่างจริงจัง เขาสามารถขึ้นกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของประเทศจีนได้ไม่ยาก!

อาณาจักรธุรกิจของตระกูลจ้าวแทรกซึมไปเกือบทั่วทุกอุตสาหกรรมในประเทศจีน จำนวนบริษัทย่อยในเครือนับร้อยแห่ง แค่สุ่มหยิบบริษัทย่อยๆเหล่านี้มีสักที่ มันก็มีค่ามากกว่าฮวาหยินกรุ๊ปไม่รู้กี่สิบเท่าแล้ว

และจ้าวเฉียนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของจ้าวฝู่ กล่าวได้ว่าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจ้าวทั้งหมด ในอนาคตเขาจะขึ้นเป็นผู้ถือครองมรดกนับล้านล้านต่อจากพ่อของเขาคนต่อไป?

หวานเจียงค่อยๆหันหน้าเบนศีรษะมองไปที่จ้าวเฉียนราวกับเห็นผี เธอไม่อยากเชื่อเลยว่า ไอ้หื่นกามคนนี้จะเป็นทายาทมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของประเทศ!

จ้าวเฉียนยิ้มพลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไม? ไหงมองฉันแบบนั้น? เห็นฉันหล่อขึ้นมาทันตาเลยใช่ไหมล่ะ?”

สุ้มเสียงของเขาเปล่งดังออกมา ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะคิกคักกันใหญ่

แต่ภาพฉากต่อมาของหวานเจียงกลับต้องทำให้ทุกคนตกตะลึง จู่ๆเธอก็ลุกขึ้นพรวดเดินเข้าไปแตะจ้าวเฉียนไปปาบหนึ่ง

“ไอ้บ้า! แล้วนายจะปิดบังไปเพื่อ! เห็นฉันเป็นของเล่นรึไง! ฉันก็มีความรู้สึกนะ!”

หวานเจียงกรนด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน

จ้าวเฉียนดูตกตะลึงไม่ต่าง เอ่ยถามขึ้นว่า

“ห่ะ? ก็แบบในหนังไง พระเอกปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ แล้วค่อยเฉลยให้นางเอกฟังตอนจบ ฝ่ายนางเอกก็ควรมีความสุขไม่ใช่รึไง? แล้วไหงเธอมาดุฉันเฉยเลย?”

หวานเจียงกล่วาตอบทันทีว่า

“มีความสุขบ้านนายสิ! ถ้านายเปิดเผยความจริงตั้งแต่ทีแรก ฉันคงตัดใจเรื่องนายได้ไปนานแล้ว ไม่ต้องปล่อยให้มันเลยเถิดแบบนี้! แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไง? คิดเหรอว่าครอบครัวนายจะยอมรับผู้หญิงจนๆอย่างฉันได้? สถานะระหว่างเรามันแตกต่างกันเกินไป ฉันรับแรงกดดันขนาดนี้ไม่ไหวหรอกนะ คุณป้าคุณน้า…หนูต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่มายุ่งกับลูกชายพวกคุณ หนูไม่รู้จริงๆนะคะ หนูขอโทษ…”

ปรากฏว่าเธอโกรธจ้าวเฉียนเพราะเหตุนี้ ทำเอาทุกคนระเบิดหัวเราะลั่นอีกครั้งชนิดกลั้นขำไม่อยู่ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่รู้ความจริงเข้า คงพุ่งใส่ประจบสอพอไม่หยุดหย่อน แต่หวานเจียงกลับทำตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นยังรีบขอโทษที่ไม่ควรเข้ามายุ่งแต่แรก นี่ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่า เธอเป็นหญิงสาวที่นิสัยน่ารักมาก

ตอนที่263 ผลาญเงินทุน

หวานเจียงทั้งกังวลและหลาดกลัวมากในขณะนี้ เธอรู้ทันทีว่า หลังจากนี้ตัวเองจำต้องแบกรับภาระอันใหญ่โตเช่นนี้ไปตลอด และเธอยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งเหล่านั้น

ทุกคนรีบเข้ามาปลอบเธอทันที

“สวยน้อย เธอเป็นคนมีความสามารถนะ ไม่มีใครเขารังเกียจเธอหรอก แล้วอีกอย่าง เธอกับจ้าวเฉียนสามารถช่วยกันประคองตระกูลจ้าวได้ตลอดรอดฝั่งแน่นอน”

“ใช่แล้ว พวกเราทุกคนจะคอยสนับสนุนเอง”

“พี่เฉียน รีบแต่งงานกับพี่หวานนะ ผมเชื่อว่าพวกพี่ทั้งคู่จะดูแลธุรกิจของครอบครัวเราต่อไปได้”

………

แท้จริงแล้วความคิดเห็นของคนพวกนี้หาได้สำคัญไม่ กุญแจหัวใจหลักขึ้นอยู่ที่ทัศรคติของจ้าวฝู่กับอวีกุ้ยเฟิง หากพวกเขาเชื่อใจหวานเจียงจริงๆ นั้นแหละคือคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ

อวีกุ้ยเฟิงคลี่ยิ้มปลอบโยนไปว่า

“เสี่ยวเจียง แม้ฉันจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับหนูมากนัก แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่า เธอเป็นผู้หญิงแกร่งและมีความสามารถ พูดกันตามตรงนะ ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ต่างกับเธอเลย ไม่สิ…ดีไม่เท่าเธอเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยังทำได้ ขอแค่มั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าอุปสรรคจะมารูปแบบไหนก็ไม่ใช่ปัญหา”

จ้าวฝู่กล่าวเสริมทันที

“สาวน้อย รีบไปจัดการฮวาหยินกรุ๊ปให้ลงตัวก่อน ฉันเชื่อว่า หนูสามารถรับช่วงต่อจากพวกเราได้แน่นอนในอนาคต หนูกับจ้าวเฉียนกว่าจะแต่งงานกันจริงๆ อีกตั้งสองสามปี ยังมีเวลาอีกมากในการเตรียมความพร้อม อย่างที่บอกไป ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย แค่ปล่อยตัวเองในเป็นธรรมชาติ และทำในสิ่งที่ควรทำ”

จ้าวเฉียนพยายามทำเหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน เขาพยายมปลอบโยนเธอว่า

“พวกเราทุกคนเชื่อว่าเธอทำได้ นอกจากนี้ กลับเป็นเธอเองไม่ใช่เหรอที่ชอบดูถูกฉัน? ทำไมยังต้องคิดมาก? ควรเป็นฉันดีกว่าที่ต้องกังวล แต่งกันกับเธอไปแล้วจะรับมือกับอารมณ์เธอไหวไหมเนี่ย?”

จ้าวฝู่อยากจะฟาดลูกชายคนนี้สักทีแรงๆ นี่เขากำลังปลอบหวานเจียงหรือกำลังกระตุ้นเธอให้แย่ลงกันแน่ นี่ยังเรียกว่าปลอบได้ไหม?

คนอื่นเองก็คิดว่า จ้าวเฉียนพูดไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่การปลอบโยนแล้ว เขาเพียงพยายามพูดติดตลกซึ่งมันก็ไม่ตลกอีกด้วย

หวานเจียงครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยถามจ้าวเฉียนน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามอะไรนายหน่อย ตลอดที่ผ่านมา นายอยู่กับฉันเพราะเรื่องแบบนั้นอย่างเดียว แล้วนายคิดจะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเราจริงๆ บ้างไหม? หรือคบกับฉันแค่เพื่อความสนุก?”

จ้าวฝู่เหลือบมองลูกชายตัวเองท่าทีประหม่าจัด คำถามแบบนี้ไม่น่าจะตอบยากอะไรเลย ขอเพียงฝ่ายชายยังพอมีสมองอยู่บ้าง เขาย่อมให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่ฝ่ายหญิงเพื่อให้เธอมีความสุข

แต่ไอ้ลูกชายตัวดีคนนี้ของเขากลับแตกต่างออกไป คำตอบที่ออกจากปากอาจทำให้จ้าวฝู่ต้องกระอักเลือด

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปว่า

“อันที่จริง ฉันคบก็เพื่อความสนุกเท่านั้นในตอนแรก และไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานกับเธอเลย อย่าที่ฉันเคยบอกไป เธอไม่ใช่สเปกของฉัน…”

ยังไม่ทันทีที่จ้าวเฉียนจะพูดจบ หวานเจียงก็ทนไม่ไหวอีกต่อ เธอระเบิดน้ำตาร้องไห้โฮออกมา หันไปกล่าวกับจ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงทั้งแบบนั้นว่า

“พวกคุณก็ได้ยินแล้วใช่ไหมค่ะ? หนูขอตัวกลับดีกว่าค่ะ หนูไม่เหมาะกับเขาจริงๆ นั่นแหละ”

พอสิ้นเสียง หวานเจียงก็ลุกขึ้นโค้งคำนับทุกคนก่อนจะวิ่งจากออกไปทันที

อวีกุ้ยเฟิงและบรรดาญาติผู้หญิงคนอื่นๆ พยายามรั้งไม่ให้หวานเจียงออกไป

จ้าวฝู่โกรธจัดลุกขึ้นมาแตะจ้าวเฉียนไปที สบถด่าขึ้นว่า

“ไอ้ลูกเวร! แกพูดแบบนั้นกับเธอทำไม? มันก็แค่คำถามธรรมดาที่ไม่ได้ตอบยากอะไรเลย ผู้ชายคนไหนก็ตอบได้! นี่แกพูดแบบนั้นเพื่อ!?”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วโต้กลับทันที

“ผมยังพูดไม่จบเลย!”

จ้าวฝู่สวนไปว่า

“ก็ดูแกเปิดเรื่องขึ้นมาสิ! ใครได้ยินก็กระเจิงหมดนั่นแหละ!”

คุณปู่เองก็ปริปากตำหนิขึ้นเช่นกัน

“ไอ้หมาน้อย ครั้งนี้แกเป็นคนผิด ตัวแกในตอนนี้แค่ตอบไปตามสิ่งที่ฝ่ายหญิงอยากจะได้ยินแค่นั้น เรื่องแบบนี้ทำไมคิดไม่ได้”

“ดูสิ! ขนาดปู่แกยังรู้มากกว่าแกอีก! ฉันเริ่มสงสัยจริงๆ แล้วนะว่า ตกลงแกเป็นผู้ชายจริงๆ รึเปล่า? ทำไมถึงตามอะไรไม่ทันสักอย่าง!”

จ้าวเฉียนทนฟังคำพูดของทุกคนไม่ไหวอีกแล้ว เขาหมุนตัวกลับและวิ่งออกไปตามหวานเจียงกลับมาทันที

อวีกุ้ยเฟิงตะโกนไล่หลังดังว่า

“ลูก! อย่าหัวรั้น อะไรยอมได้ก็ยอม!”

จ้าวฝู่ยังตะโกนซ้ำสองต่ออีกว่า

“พาเธอกลับมาทานดินเนอร์มื้อเย็นให้ได้ ไม่อย่างนั้นเตรียมไปอยู่ตงไห่อีกห้าปี!”

จ้าวเฉียนเพิกเฉยต่อคำกล่าวเหล่านี้โดยสมบูรณ์ และวิ่งไล่ตามหวานเจียงลงเขาไป

จ้าวเฉียนคว้าแขนหวานเจียงอย่างรีงฉุดรั้งไม่ให้หนีไปไหน เธอพยายามสะบัดมือออก กล่าวขึ้นว่า

“นายไปเอากระเป๋าเดินทางฉันลงมากด้วย! ฉันจะไม่ขึ้นไปที่นั่นอีกแล้ว!”

จ้าวฉัยนเอ่ยตอบอย่างไร้เดียงสาตัดอารมณ์ไปว่า

“ออกไปเดินเล่นกัน ฉันแค่อยากพาเธอไปเดินเล่นก่อน!”

หวานเจียงขมวดคิ้วทันทีตอบว่า

“ฉันไม่มีอารมณ์มานั่งคุยเรื่องธุรกิจกับนาย!”

“เปล่า…เปล่าเลย…ฉันไม่ได้จะคุยเรื่องอะไรจริงจัง แต่อยากพาเธอออกไปเดินเล่นเฉยๆ ไปเถอะนะ เดี๋ยวฉันพาเธอลงเขาเอง”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็พาหวานเจียงลงเขาไป

ระหว่างทางพลางเหลือบไปเจอสนามกอล์ฟ หากกล่าวถึงบริเวณในเขตภูเขาส่วนตัวของตระกูลจ้าว คงไม่มีอะไรสนุกไปกว่าสนามกอล์ฟแห่งนี้แล้ว

หลังจากพาเธอเข้าไปเล่นพัดกอล์ฟเล็กน้อยเพื่อปรับอารมณ์ จ้าวเฉียนก็พาเข้าห้างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากภูเขา ปล่อยให้เธอไปช็อปปิ้ง

เวลาผู้หญิงอารมณ์ไม่ดี ทางออกที่ดีที่สุดคือการพามาช็อปปิ้ง ไม่ว่าสิ่งของเหล่านั้นจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่ตราบใดที่มีให้ซื้อก็ควรซื้อให้

ในไม่ช้า หวานเจียงก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก

ทั้งสองนั่งพักผ่อนบนม้านั่งกลางห้างก่อนจะเดินกลับ

หวานเจียงเอ่ยถามน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า

“ถ้านายไม่ชอบผู้หญิงอย่างฉัน แล้วทำไมถึงชอบมากวนใจฉันอยู่เรื่อย? แค่เพราอยากจะนอนกับฉันจริงๆ เหรอ?”

จ้าวเฉียนกุมมือหวานเจียงไม่ปล่อยและตอบไปว่า

“เธอคิดมากเกินไปแล้ว ฉันยังพูดไม่จบเลยด้วยซ้ำเธอก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาก่อน ทีแรกฉันยอมรับเลยนะว่า เธอไม่ใช่สเปกของฉันเลยจริงๆ แต่พอได้ผ่านอะไรมาด้วยกัน ฉันก็เริ่มรู้สึกว่า เธอเป็นผู้หญิงคนหนี่งที่น่ารักมากเลย ถ้าเป็นไปได้ในอนาคต ฉันก็อยากสร้างครอบครัวกับเธอนะ”

หวานเจียงที่ได้ฟังแบบนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ตอนนี้เธอมีความสุขอย่างมาก เอนศีรษะนอนพิงไหล่ของจ้าวเฉียนอย่างเงียบๆ ทั้งคู่นั่งกันแบบนั้นอยู่สักครู่ใหญ่ มองดูเหล่าผู้คนเดินผ่านไปมา ช่างบรรยากาศที่สวยงามเสียจริง

หลังจากนั้นไม่นาน เฟิงเต๋อก็โทรมาหาหวานเจียง

หวานเจียงกดรับสายทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ผู้กำกับเฟิง มีอะไรรึเปล่าค่ะ?”

เฟิงเต๋อเอ่ยตอบน้ำเสียงเร่งรีบขึ้นว่า

“คุณหวาน เงินทุนที่ให้มามันไม่พอใช้ครับ รบกวนคุณหวานจัดสรรทุนเพิ่มให้โดยด่วนเลยครับ”

หวานเจียงตกใจอย่างมากเมื่อได้ฟัง ก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งอนุมัติคำร้องของเฟิงเต๋อเรื่องเงินทุน และโอนเงินจำนวนห้าสิบล้านไปให้แก่กองถ่าย

นี่ผ่านมาแค่สามวันเอง แต่ผลาญเงินจำนวนห้าสิบล้านไปหมดแล้ว นี่มันเร็วเกินไป

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ผู้กำกับเฟิง นี่หมดไปกับค่าอะไรบ้าง ทำไมถึงหมดเร็วขนาดนี้?”

เฟิงเต๋อรับชี้แจงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในกองถ่ายให้กับหวานเจียงทราบโดยเร็วง ซึ่งทั้งหมดล้วนสมเหตุสมผลและไม่มีจุดบกพร่องหรือน่าสงสัยใดๆ

แต่ทุนการสร้างหนังในตอนแรกของเฟิงเต๋อมันแค่300ล้าน ไม่ทันไรตอนนี้จะปาเข้าไป400ล้านแล้วจริงๆ

ระหว่างสามร้อยล้านกับสี่ร้อยล้าน ถือเป็นช่องว่างขนาดมหึมาเกินไป

หวานเจียงไม่สามารถให้คำตอบกลับเฟิงเต๋อได้ครู่ใหญ่ สักพักหลังจากนั้นเธอถึงจะตอบกลับไปว่า

“ถ่ายทำต่อได้เลย เดี๋ยวฉันจะรีบทำเรื่องขอโอนเงินอีก50ล้านไปให้โดยเร็วที่สุด แต่ต้องวานผู้กำกับเฟิงหน่อย รบกวนเขียนบัญชีชี้แจงถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ มาด้วย ฉันอยากรู้ว่าเงินที่ออกไปมันไหลไปไหนบ้าง”

ตราบใดที่เรียดเงินเพิ่มได้ เฟิงเต๋อก็ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว เขารีบพยักหน้าตอบทันที

“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะจดทุกรายการลงในบัญชี แล้วจะส่งไปให้ทีหลังครับ”

หวานเจียงกดวางสายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่านี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ตอนที่261 ไปชิงตัวเจ้าสาวมาจากไหน

หวานเจียงเอ่ยถามทันทีเจือน้ำเสียงแผ่วอ่อน

“จ้าวเฉียน บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้นะ ครอบครัวของนายทำธุรกิจอะไรกันแน่? พ่อนายเป็นประธานบริษัทระดับรัฐวิสากกิจหรือรับราชการระดับสูงงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า

“ก็เปล่าหนิ พ่อฉันก็แค่นักธุรกิจธรรมดาทั่วไป”

หวานเจียงทำใจเชื่อไม่ลงแม้สักนิด นักธุรกิจธรรมดาทั่วไปที่ไหนมีปัญญาขับรถหรูแถมยังใช้ป้ายทะเบียนแพงระบมขนาดนี้?

จ้าวเฉียนยิ้มพลางเอ่ยถามกลับไปว่า

“นี่เธอหมายความว่ายังไงกันห่ะ? ถึงทำสีหน้าใส่แบบนั้น? ไม่ใช่หลงคิดไปว่า ครอบครัวของฉันเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านอะไรแบบนั้นหรอกนะ? เธอคิดผิดแล้ว พวกเราก็แค่ครอบครัวธรรมดา พอกินพอใช้”

หวานเจียงที่ได้ยินดังนั้นยิ่งเดือดจัด คำพูดของจ้าวเฉียนกับสิ่งที่เธอเห็นมันคนละเรื่องกันเลย

คนขับรถที่กำลังใจจ่อใจจ่ออยู่บนท้องถนนถึงกับหลุดขำออกมาฉับพลัน กับคำพูดของจ้าวเฉียน

หวานเจียงรู้สึกอายเป็นอย่างมาก เธอเป็นถึงคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยินกรุ๊ป แต่จ้าวเฉียนกลับปฏิบัติกับตัวเธอราวกับเด็กสาวตัวน้อยที่ไม่เคยผ่านโลกมาอย่างใดอย่างนั้น แม้กระทั่งคนขับรถของเขายังหลุดขำออกมา

จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็รีบเอ่ยปากของโทษหวานเจียงโดยไว

“ผมขอโทษ ผมผิดอีกแล้ว เดี๋ยวอีกสักพักก็ถึงบ้านแล้วนะ แม่ฉันอุตสาห์แสดงฝีมือทำอาหารเตรียมรอเธออยู่”

หวานเจียงมุ่ยหน้าบ่นตอบไปว่า

“ฉันไม่เชื่อหรอก ระดับแม่นายเป็นคุณหญิงไฮโซจะตายไป ดาได้เลยว่า มือของเธอไม่เคยผ่านความร้อนหรือน้ำมันลวกเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอจะทำอาหารรอฉันได้ยังไง? นายอย่าหลอกฉัน!”

“ที่เธอพูดไปก็ถูกนั้นแหละ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคือลูกสะใภ้ในสายตาเขาไง ถึงยอมลงทุนเข้าครัวทำอาหารเองแบบนี้ นี่เธอจะใจร้ายถึงขั้นปฏิเสธอาหารที่แม่ฉันทำออกมาสุดฝีมือเลยเหรอ?”

หวานเจียงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น พอได้ฟังแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด

ไม่นานคนขับก็ตรงมาถึงบ้านของจ้าวเฉียน

พอจอดตรงเนินเขา คนขับก็หันมากล่าวกับจ้าวเฉียนอย่างสุภาพขึ้นว่า

“คุณชายจ้าวครับ ให้ผมขับขึ้นไปหรือเดินเท้าไปกันเองดี?”

จ้าวเฉียนที่เห็นว่า ทั้งพ่อทั้งแม่ของเขายังเดินขึ้นเขาเองได้ แถมหวานเจียงก็ใช่ว่าจะพิการสักหน่อย ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปว่า

“เดี๋ยวพวกเราขึ้นไปเอง”

คล้อยหลังพูดจบ เขาก็เปิดประตูเดินลงมาจากรถ ช่วยหวานเจียงถือกระเป๋าเดินทาง พาเธอขึ้นไปบนภูเขา

เวลานี้ ภายในใจของหวานเจียงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะแล้ว ครอบครัวของจ้าวเฉียนไม่ใช่พวกคนรวยธรรมดาจริงๆด้วย! แต่บ้านเขาอยู่บนภูเขาส่วนตัว! พอเห็นแบบนี้หวานเจียงรู้ได้ทันทีว่า ภูมิหลังของจ้าวเฉียนคนนี้สุดจะหยั่งถึงได้แล้ว บางทีพวกเขาอาจเป็นครอบครัวเชื้อพระวงศ์เก่าไม่ก็ขุนนางในสมัยโบราณ

หลังจากเดินขึ้นมาได้ประมาณห้านาที หวานเจียงก็คว้าตัวจ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนเหลือบหันมามองเธอและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เป็นอะไร? เหนื่อยแล้วเหรอ?”

หวานเจียงส่ายหัวโดยไม่พูดไม่จา พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังประหม่าอยู่อย่างแน่นอน แต่คราวนี้จ้าวเฉียนไม่ได้อามรณ์เสียแบบก่อนหน้าอีกต่อไป เขากล่าวปลอบโยนเธอว่า

“พ่อกับแม่ฉันรอที่จะพบเธอจริงๆ ฉันไม่ได้พาเธอมาให้ขายหน้าสักหน่อย นอกจากนี้ถ้าพวกเขาเจตนาจะทำแบบนั้นจริงๆ ฉันนี่แหละจะค้านคนแรก”

หวานเจียงเงยหน้าขึ้นมอง เผยสีหน้าดูน่าสงสัยออกมา ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแกร่งแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังมีด้านที่อ่อนแอ

“นายอาจจะโกหกฉันก็ได้ พวกเขาเป็นพ่อแม่ของนายนะ แล้วนายจะกล้าค้านพวกเขาเพื่อฉันได้ยังไง? แล้วที่สำคัญ อย่าลืมไปสิว่า นายเพิ่งทะเลาะกับฉันนะเช้านี้ พ่อแม่ของนายไม่พอใจฉันแน่ ฉันว่า…ฉันควรกลับตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า!”

จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็รีบทิ้งกระเป๋าเดินทางในมือลง โผ่เข้าไปสวมกอดเธอทันทีในอ้อมแขน ค่อยยกมือลูบแผ่นหลังด้วยความอ่อนโยน

ในเวลาเดียวกัน บรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหลายของจ้าวเฉียนก็วิ่งลงมาจากภูเขา พอเห็นทั้งสองกำลังสวมกอดกันแน่น จู๋จี๋กันอยู่ดูหวานชื่น แต่ละคนก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลฟ์สด เผยแพร่ให้อวีกุยเฟยที่อยู่ด้านบนดู

“ฮ่าฮ่า…พี่สะใภ้ตัวจริงสวยมาก! เธอสวยจนบดบังออร่าความหล่อของพี่เฉียนไปเลยแหะ!”

“ฮ่าฮ่า…”

จ้าวฝู่ที่ดูทั้งสองกอดกันผ่านมือถือของอวีกุ้ยเฟิงก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันทีอย่างมีความสุข ในท้ายที่สุดนี้ เขาที่เลี้ยงไอ้หมาน้อยจ้าวเฉียนมานานกว่ายี่สิบปี สุดท้ายก็ใช้ประโยชน์หวังพึ่งมันได้สักที

จ้าวเฉียนยังคงกอดหวานเจียงปลอบเธอไม่คลายอ่อน เธอที่สวมกอดเขาอยู่จู่ๆก็ดันไปเห็นบรรดาลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเฉียนไม่ใกล้ไม่ไกล กำลังชูโทรศัพท์ถ่ายเธออยู่

จ้าวเฉียนรีบปลอบต่อทันทีว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องอาย แต่หวานเจียงจะไปเก็บอาการอยู่ได้ยังไง? เธอรีบผละออกจากตัวจ้าวเฉียน ร่นถอยสองสามก้าวออกไปโดยตรงพร้อมใบหน้าสีแดงฉ่า

พวกลูกพี่ลูกน้องเหล่านั้นระเบิดหัวเราะลั่น ตะโกนว่า

“พี่เฉียน แฟนพี่หน้าแดงหมดแล้ว! รีบไปช่วยเธอเร็ว ฮ่าฮ่า…”

ใบหน้าของหวานเจียงในตอนนี้แดงก่ำแทบจะระเบิดออกมาแล้ว เธอหันควับจ้องจ้าวเฉียนตาเขม็ง คำรามลั่นด้วยความโกรธจัดว่า

“ไม่ใช่ว่านายบอกเองรึไงว่า มีแค่คนในครอบครัว ไม่มีคนนอก!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปตามตรงว่า

“ก็ใช่ไง เฉพาะคนในครอบครัวไม่ได้เชิญคนนอกที่ไหนมา พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวของฉันเอง”

“แต่…แต่นายบอกเองว่า มีแค่พ่อกับแม่ไง?!”

หวานเจียงสวนกลับไป

จ้าวเฉียนอธิบายตอบกลับทันที

“ทีแรกฉันเองก็คิดว่า มีแค่พ่อแม่กับคุณปู่เฉยๆที่จะมาในวันเทศกาลไห้วพระจันทร์ แต่ที่ไหนได้ พอมาถึงกลับแห่กันมาทั้งวงศ์ตระกูล แหะ แหะ…”

หวานเจียงยืนค้างแข็งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันหันศีรษะมองลงไปยังตีนเขาทันที

จ้าวเฉียนที่รู้ทันจึงรีบตรงไปคว้าร่างเธอก่อน และกล่าวขึ้นว่า

“นี่เธอคิดจะทำอะไร? มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ให้เธอกลับหรอกนะ”

“ก็ฉันไม่ได้เตรียมใจอะไรมากเลย ถ้าพวกเขายิงคำถามใส่ฉันรัวๆขึ้นมา จะให้ฉันตอบยังไงกลับล่ะ? อย่างน้อยระหว่างทางที่มาก็ควรบอกฉันก่อน จะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทัน นี่มันกระทันหันเกิรไป…”

หวานเจียงพยายามสะบัดมือจ้าวเฉียนทิ้ง ดูแล้วอยากจะกลับท่าเดียว

ลูกพี่ลูกน้อยคนหนึ่งของจ้าวเฉียน ชื่อว่า หยวนเฟิงเฟิงรีบวิ่งเข้ามาคว้าแขนของหวานเจียงและ ยิ้มหวานกล่าวขึ้นว่า

“พี่สะใภ้ไปผิดทางแล้ว คฤหาสน์ของพวกเราอยู่บนยอดเขานะ เดี๋ยวหนูจะพาพี่ไปเอง”

ทันทีที่พูดจบหยวนเฟิงเฟิงก็ลากหวานเจียงขึ้นไปบนภูเขาทันที แต่เธอก็ยังพยายามใจดีสู้เสือ ยิ้มปฏิเสธท่าเดียว

หากเป็นก่อนหน้านี้ จ้าวเฉียนคงหัวเสียอีกครั้งไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างใจเย็นขึ้นมาก หากมองในมุมหวานเจียง เธอมบินมาหยานจิ้งตัวคนเดียว ไม่รู้จักหรือมีญาติสักคนอยู่ที่นี่ ย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกกลัวและประหม่าขนาดนี้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงรีบตรงเข้าไปปลอบโยนเธอด้วยความใจเย็น

“เสี่ยวเจียง เธอไม่ต้องคิดมากนะ ลูกพี่ลูกน้องฉันเป็นพวกอัธยาศัยดี พูดเก่งเฉยๆ ไม่มีใครจงใจทำให้เธออับอายขายหน้าหรอกนะ”

ท่าทีของหวนเจียงยังคงดูลังเล เธอไม่แน่ใจเลยว่าควรจะขึ้นไปบนเขาลูกนี้ต่อดีไหม เธอจึงตอบกลับไปว่า

“ไม่ ไม่จ้าวเฉียน ฉันยังเตรียมใจไม่พร้อมจริงๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกประหม่าไปหมดแล้ว การที่ครอบครัวของนายอาศัยอยู่ในที่แบบนี้ได้ แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน บางที….บางทีพ่อแม่ของนายอาจจะดูถูกฉันก็ได้ ไม่เอาแล้ว ฉัน…ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า ไว้พร้อมเมื่อไหร่ฉันจะมาหาใหม่นะ”

จ้าวเฉียนปราศจากความอดทนอีกต่อไป เขาพูดเรื่องเดิมๆมาซ้ำนับสิบรอบได้แล้ว และถ้าเธอยังเป็นแบบนี้ มีหวังเสียเวลาอยู่ตรงนี้ยันเย็นแน่นอน เป็นการดีกว่าที่เขาต้องใช้ไม้แข็งสักเล็กน้อย

โดยไม่พูดพล่ำอันใด จ้าวเฉียนช้อนตัวหวานเจียงอุ้มเธอขึ้นมาทันที

หวานเจียงร้องอุทานลั่นด้วยความตกใจ

“ว๊าย! จ้าวเฉียน! นายกำลังทำบ้านอะไรเนี่ย! ปล่อยฉันลง!”

เธอยกมือขึ้นทุบอกจ้าวเฉียนไม่หยุดไม่หย่อน แต่อย่างไรก็ยังไร้ผล เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะสู้กับแรงผู้ชายอย่างจ้าวเฉียนได้

พวกลูกพี่ลูกน้องโดยรอบระเบิดหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน หยวนเฟิงเฟิงรู้งานวิ่งตรงไปหยิบกระเป๋าเดินทางของหวานเจียง และวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาล่วงหน้าพลางตะโกนลงมาว่า

“พี่เฉียน เดี๋ยวหนูขึ้นไปเก็บกระเป๋าให้พี่สะใภ้เองค่ะ ไม่ต้องห่วง!”

จ้าวเฉียนตะโกนตอบกล่าวขอบคุณ และอุ้มหวานเจียงในอ้อมอกขึ้นไปบนยอดเขาโดยตรง

พวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆก็วิ่งติดตามทั้งคู่ขึ้นไป ตะโกนขึ้นเป็นระยะว่า

“พี่เฉียนสุดยอดไปเลย! เขามีแต่ล่อสาวเข้าถ้ำเสือ นี่เล่นจับอุ้มเข้าไปหน้าตาเฉย! พี่นี่ไอดอลผมเลย!”

จ้าวเฉียนกัดฟันวิ่งขึ้นไปถึงยอดเขาภายในอึดใจเดียว และก็เป็นอวี้กุยเฟิงและบรรดานลุงป้าน้าอาทั้งหลายที่ยืนต้อนรับการมาถึงของเธออยู่หน้าคฤหาสน์

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนอุ้มหวานเจียงขึ้นมาทั้งแบบนั้น ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะ

“ไอ้หมาน้อย แกไปลากเมียขึ้นมาจากไหน?”

“ฮ่าฮ่า…เจ้าหลานคนนี้ ทำอย่างกับไปชิงตัวเจ้าสาวจากคนอื่นมา ระวังลูกระวัง”

“สมแล้วที่เป็นพี่เฉียน! ชายผู้เปิดตัวแบบธรรมดาๆไม่เป็น! ฮ่าฮ่า…”

…….

จ้าวเฉียนเพิกเฉยต่อหน้าพวกเขาทุกคน และวิ่งผ่านเข้าไปในตัวคฤหาสน์ทันทีในชั่วพริบตา ก่อนจะวางตัวหวานเจียงลง

หวานเจียงในตอนนี้ยืนตัวแข็งทื่อย่างกับรูปปั้นหิน ใบหน้าแดงก่ำลามมาถึงใบหู ไม่ว่าเธอจะรู้สึกกลัว อึดอัดหรือเก้อเขินเพียงใดมันก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ถึงจะอย่างวิ่งหนีออกไปเพียงใด ก็สายเกินไปแล้ว

“พี่สะใภ้ของพี่เฉียนสวยจัง ดูมีออร่าเปล่งประกายมาก สวยกว่าดาราบางคนอีก”

“ดูสวยกว่าในรูปเยอะเลย”

…..

ทุกคนรอบข้างต่างเอ่ยปากชื่นชมหวานเจียงไม่หยุดปาก ซึ่งนี่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดแก่เธอค่อนข้างมาก

หวานเจียงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกก เธอรีบปรับเปลี่ยนความคิดของเธอโดยไว นี่เป็นเรื่องปกติเวลาเผชิญหน้ากับสังคมใหม่ๆและคนที่ไม่รู้จัก แต่จะอย่างไร เธอเป็นถึงคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยินกรุ๊ป ดังนั้นเธอควรมีมาดมากกว่านี้

หวานเจียงยิ้มและโค้งศีรษะให้อวีกุ้ยเฟิง พร้อมกล่าวอย่างสุภาพขึ้นว่า

“สวัสดีค่ะคุณน้า ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”

อวีกุ้ยเฟิงหัวเราะพร้อมตรงเข้าไปกุมมือหวานเจียง เธอยิ้มกล่าวตอบไปว่า

“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นเป็นกองเลยนะ แล้วนี่เป็นไง? ชุดที่หนูเลือกให้วันนั้น จำได้ไหม?”

หวานเจียงเพิ่งสังเกตเห็นว่า ชุดที่อวีกุ้ยเฟิงใส่อยู่ในขณะนี้เป็นชุดเดียวกับที่เธอเคยเลือกให้เมื่อครั้งที่แล้ว

สิ่งเหล่านี้มันหมายความว่ายังไง? นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า อวีกุ้ยเฟิงยอมรับในตัวลูกสะใภ้คนนี้แล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น หวานเจียงก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก เธอรีบหันไปทักทายคนอื่นๆทันที

“สวัสดีค่ะทุกคน…”

“ฮ่าฮ่า…”

ทุกคนต่างหัวเราะอย่างมีความสุข บรรยากาศในตอนนี้ดูอบอุ่นกันเป็นอย่างยิ่ง

ตอนที่260 เลขทะเบียนระดับพันล้าน

หวานเจียงรับโทรศัพท์แต่ไม่พูด เพราะเธอกำลังรอให้จ้าวเฉียนพูดก่อน

ซึ่งทางด้านจ้าวเฉียนเองก็คิดแบบเดียวกันไม่มีผิด เขาไม่อยากพูดขึ้นก่อนและรอให้หวานเจียงเริ่มเอ่ยขึ้นมาเอง

ทั้งคู่เงียบใส่กันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา จ้าวเฉียนพลันไปได้ยินเสียงประกาศของสนามบินที่หยานจิ้งเข้า ซึ่งนี่ทำให้เขาสะดุ้งขึ้นทันใด

“นี่เธอมาที่หยานจิ้งเหรอ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

หวานเจียงในขณะนี้รู้สึกผิดอย่างมากจริงๆ ทีแรกเธอจะโทรมาหวังคืนดีกลับเขา แต่ตอนนั้นจ้าวเฉียนก็กดตัดสายทิ้งอย่างไม่ไยดี นั้นจึงทำให้เธอปิดปากเงียบไม่เอ่ยตอบกลับไปใดๆ

จ้าวเฉียนเริ่มมีน้ำโห่แล้วเช่นกันตอนนี้ และพอเห็นว่าเธอไม่พูดไม่จาก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่

“ถ้าไม่พูดแล้วจะโทรมาทำไม?”

จ้าวเฉียนประชดถามเจือน้ำเสียงหงุดหงิด

อย่างไรก็ตาม ไม่น่าหวานเจียงเธอจะเป็นหญิงแกร่งขนาดไหน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เธอทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอจึงระเบิดน้ำตาร้องไห้โฮออกมาทันที พอได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฉียนก็ดูจะใจเย็นลงเล็กน้อย

พ่อกับแม่พูดถูกแล้ว พอฝ่ายหญิงเริ่มแสดงความอ่อนแอและเป็นฝ่ายเข้ามาก่อน ในฐานะผู้ชายก็ไม่ควรเล่นตัวใส่ ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงรีบปลอบทันทีว่า

“ฉันขอโทษ พอถูกดุขึ้นมาฉันเลยใส่อารมณ์กับเธอเกินไปจริงๆ ถ้ามีอะไรจะพูดกับฉันก็พูดมาเถอะไม่ต้องอายแล้ว ก่อนจะกลับเมืองตงไห่ เธออยากไปไหนไหมเดี๋ยวฉันพาเที่ยวนะ”

“ฉัน…ฉันไม่รู้จะไปไหนแล้ว ฮืออ…”

หวานเจียงปล่อยโฮออกมาทันที

หัวใจของจ้าวเฉียนอ่อนยวบลงฉับพลัน เขารีบถามขึ้นทันทีว่า

“ไม่รู้จะไปไหน? ตอนนี้เธอยังอยู่ที่สนามบินรึเปล่า?”

“อือ…ฮือ…”

หวานเจียงตอบทั้งน้ำตา

จ้าวเฉียนได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับไปทันทีด้วยความเป็นห่วง

“งั้นเธอรอฉันก่อนนะที่สนามบิน ฉันจะออกไปรับเดี๋ยวนี้แหละ!”

หวานเจียงยังคงร้องไห้ พยายามกล่าวไปว่า

“รีบมาเลย…ฮืออ…ฉันเสียใจ…”

จ้าวเฉียนกดวางสายและวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เขาตะโกนเสียงดังลั่นว่า

“พ่อ! ผมขอยืมรถหน่ยอนะ ผมจะไปรับเธอที่สนามบิน!”

พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันทีอย่างมีความสุข

จ้าวฝู่รีบโทรเรียกคนขับรุส่วนตัว และวานให้เขาช่วยพาจ้าวเฉียนไปที่สนามบินโดยด่วนที่สุด

คนขับรถอย่างหวางไฮ่รีบวิ่งฝุ่นตลบขึ้นรถ ซิ่งพาจ้าวเฉียนไปที่สนามบินทันที

จ้าวฝู่ที่เห็นท่าทีอันแสนเร่งรีบของลูกชายก็ระเบิดหัวเราะลั่น หันมาพูดกับอวีกุ้ยเฟิงว่า

“คุณไปเตรียมเข้าครัวเถอะ ได้ข่าวว่าอยากโชว์ฝีมือ? เด็กสาวตัวเล็กๆขึ้นเครื่องมาตัวคนเดียว คงยังไม่ได้กินอะไรมาแน่นอน แม้สถานะทางบ้านของเราจะสูงกว่าเธอ แต่เราจะเสียมารยาทไม่ได้อยู่ดี”

อวีกุ้ยเฟิงพยักหน้างยิ้มแย้มและตรงเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนก็ได้พบกับหวานเจียงในสนามบิน เธอนั่งยองๆลงกับพื้น ดวงตาทั้งสองข้างของเธอบวมเป่งเพราะร้องไห้

เมื่อเขาเห็นเธอเป็นแบบนี้ จ้าวเฉียนแทบใจละลายไปหมดแล้ว ลืมเรื่องทุกอย่างก่อนหน้าและวิ่งไปอุ้มเธอขึ้นมากอดแน่นๆทันที

หวานเจียงรู้สึกผิดอย่างมากในใจ แต่เธอก็ยังกำหมัดทุบอกจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อนและบ่นว่า

“ไอ้บ้า! ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงนะ! นายหัดอ่อนโยนกับฉันหน่อยได้ไหม! ตะคอกใส่ฉันไม่หยุดไม่หย่อน มีอะไรวันหลังก็พูดกันดีๆก็ได้หนิ… ฮึกๆ…”

จ้าวเฉียนลูบหลังพลางปลอบหวานเจียงอย่างแผ่วเบา และสารภาพผิดไปตามตรงว่า

“ฉันไม่ดีเอง ครั้งนี้ฉันผิดเองแหละ ฉันนิสัยแข็งกระด้างมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยง้อผู้หญิงไม่ค่อยเป็นน่ะ อย่าโกรธฉันเลยนะ”

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆก็มีชายสวมผ้าปิดปาก แว่นกันแดดและหมวกสีดำเดินผ่านมาพอดี และหยุดอยู่ข้างๆทั้งสอง

เขาจ้องหวานเจียงตาเขม็งอย่างใกล้ชิด และดูเหมือนว่าจะยิ้มให้เธอเล็กน้อย

จ้าวเฉียนสังเกตเห็นอากัปกิริยาของชายแปลกหน้าคนนี้มาได้สักพักแล้ว จึงหันไปเอ่ยถามขึ้นว่า

“พี่ชาย แฟนผมสวยขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…ก็ต้องสวยขนาดนั้นสิครับ ไม่งั้นผมไม่หยุดมองหรอก”

พอได้ยินสุ้มเสียงของชายคนนี้ หวานเจียงถึงกับผละออกจากอ้อมกอดของจ้าวเฉียนทันทีด้วยความตื่นเต้น เธอมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาจึงกระซิบเสียงแผ่วขึ้นว่า

“นี่คุณมาคนเดียวเหรอ? ไหงถึงไม่เรียกผู้จัดการส่วนตัวมาด้วยกันละ? ถ้าบรรดาแฟนคลับรู้เข้า มีหวังแหกันมาเป็นโขยง”

ชายคนนั้นระเบิดหัวเราะคิกคักและตอบกลับไปว่า

“ก็ผมกลับมาหาครอบครัวในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หนิครับ เลยต้องการความเป็นส่วนตัวหน่อย ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ยังไงก็ช่วยเงียบไว้ด้วยนะครับ ผมอยากใช้ชีวิตปกติกับครอบครัวบ้าง จะว่าไปคุณหวาน แฟนหนุ่มของคุณหล่อมากเลย ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงไม่คบคนในวงการ พูดตามตรงเลยนะครับ แฟนของคุณหล่อกว่าพระเอกหนังบางคนอีก”

หวานเจียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางเช็ดน้ำตา

จ้าวเฉียนรีบยื่นมือออกมาทักทายกับชายคนดังกล่าวทันที พร้อมยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อจ้าวเฉียน ส่วนคุณ…”

“ผม หูเกอครับ”

จ้าวเฉียนถึงกับตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยิน ปรากฏว่าเขาคือหูเกอดาราระดับซุปเปอร์สตาร์เบอร์ใหญ่แห่งจีน!

“ถ้าอย่างนั้น เสียงของคุณหูในละครส่วนใหญ่ถูกปรับมาก่อนแล้วครั้งนึงรึเปล่าครับ? เสียงตัวจริงถึงไม่ค่อยเหมือนกันเลย”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

หูเกอพยักหน้าตอบกลับว่า

“ใช่ครับ อันที่จริงผมก็ว่าเสียงของผมน่าจะดีในระดับนึงนะครับ แต่พวกผู้กำกับรู้สึกว่า ควรปรับโทนอีกนิดหน่อย ก็เลยเป็นแบบที่คุณจ้าวเห็นตามทีวีแหละครับ การจะให้คุณหวานเปิดใจได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณจ้าวทำธุรกิจอะไรอยู่เหรอครับ?”

“เป็นบริษัทด้านบันเทิงเหมือนกันครับ อันนี้นามบัตรของผม ถ้ามีโอกาสในอนาคต หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกันนะครับ”

หูเกอคือดารานำชายผู้ได้ชฉายาว่า ซุปตาร์ค้างฟ้าแห่งจีน แถมพอมาเจอตัวจริง ปรากฏว่าเขาเป็นคนใจดีและเป็นมิตรอย่างมาก คนแบบนี้จ้าวเฉียนต้องการร่วมงานด้วยในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนทางด้านหูเกอเองก็คิดว่า การที่จ้าวเฉียนสามารถถมัดใจหวานเจียงได้ แสดงว่าภูมิหลังต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน บริษัทบันเทิงที่ว่าคงไม่ใช่ค่ายเล็กๆอย่างแน่นอน

ถ้าได้เป็นเพื่อนกับเจ้าของบริษัทค่ายหนังคงเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อย เขาจะมีโอกาสร่วมงานแสดงอีกมายมายในอนาคต การันตีได้เลยว่า เส้นทางในวงการบันเทิงของเขายังไปได้อีกไกล พอคิดได้แบบนั้นหูเกอก็รีบแลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อและรับนามบัตรจ้าวเฉียนมาเก็บไว้อย่างรวดเร็ว และยิ้มตอบไปว่า

“ถ้ามีโปรเจคอะไรดีๆในอนาคต คุณจ้าวอย่าลืมผมนะครับ ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนร่วมหัวเราะด้วยเช่นกันและเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้ามีโปรเจคหนังฟอร์มใหญ่เมื่อไหร่ ผมจะติดต่อคุณไปอย่างแน่นอน เอ่อ…จะว่าไป ผมขอถามในฐานะแฟนคลับสักอย่างได้ไหมครับ?”

หูเกอพยักหน้าและกล่าวขึ้นว่า

“ครับผม?”

“ตามที่ข่าวว่า คุณมีแฟนแล้วจริงเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามเสียงแผ่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หูเกอระเบิดหัวเราะลั่นทีนทีและตอบกลับไปว่า

“ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะเปิดเผยครับ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ผมจะออกมาประกาศอย่างเป็นทางการครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเข้าใจความหมายของหูเกอที่จะสื่อดี การจะเปิดตัวกับใครสักคน จำเป็นต้องให้แน่ใจก่อนว่า ทุกอย่างพร้อมแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าในด้านความรู้สึก และยังเป็นเรื่องของสัญญาอีกด้วย

“โอเคครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อน หวังว่าจะได้ร่วมงานกันเร็วๆนี้นะครับ”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบอย่างสุภาพ

หูเกอเองก็ยิ้มตอบกลับไปด้วยความนอบน้อมเช่นกัน

“ได้เลยครับ ผมจะรอคุณจ้าวโทรมาหาเลย เดินทางปลอดภัยครับ”

จ้าวเฉียนโบกมือลาอีกฝ่ายและพาหวานเจียงออกจากสนามบินทันที

พอเดินทางถึงตัวรถ หวานเจียงถึงกับอุทานลั่นด้วยความตกใจว่า

“นี่รถของนายเหรอ?!”

“อืม ทำไมเหรอ? เห็นเป็นจักรยานรึไง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามติดตลกกลับไป

ก่อนหน้าเดิมที หวานเจียงพอจะจินตนาการได้ว่า ครอบครัวของจ้าวเฉียนคงไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน น่าจะเป็นคนรวยประจำท้องถิ่นอะไรแบบนั้น

แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ครอบครัวของจ้าวเฉียนจะร่ำรวยขนาดนี้!

รถคันนี้เป็นรถประจำตัวของจ้าวฝู่ เป็นรถที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาเฉพาะกิจโดยบริษัทRolls-Royce และรถคันนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราเท่านั้น แต่บอดี้ทั้งคันยังกันกระสุนรวมไปถึงทนต่อระเบิดน้อยหน่าได้

ตราบใดที่จ้าวฝู่ไม่ได้ก้าวขาออกจากหวานจิ้ง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายเขาได้

และสิ่งที่ทำให้หวานเจียงประหลาดใจยิ่งกว่าคือ แผ่นป้ายทะเบียนรถ เธอถึงกับถลึงตามองซ้ำสองสามรอบ ปรากฏว่ามา นี่เป็นป้ายทะเบียนหมายเลข หยานจิ้ง A 88

นี่หมายความว่าอย่างไร?

เลขทะเบียนชุดนี้หยุดผลิตตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว ยกเว้นแต่ระดับข้าราชการระดับชั้นผู้ใหญ่ของประเทศเพียงไม่กี่คน คนโดยส่วนใหญ่จะเป็นมหาเศรษฐีชื่อดังระดับประเทศทั้งนั้นที่ครอบครองกัน

สรุปโดยย่อ ทะเบียนหมายเลขดังกล่าวไม่มีทางหามาครอบครองเลย ต่อให้จะมีเงินมากขนาดไหนก็ตามที

กระทั่งครอบครัวของหวานเจียงยังไม่แม้แต่จะคิดฝัน ด้วยราคาค่าตัวกว่าสามถึงสี่พันล้านหยวน แค่จินตนาการถึงก็ขนหัวลุกแล้ว

แต่ป้ายทะเบียนนี้กลับติดอยู่บนรถของจ้าวเฉียนจริงๆ ภูมิหลังของครอบครัวเขาเป็นมายังไงกันแน่? ยิ่งคิดเท่าไหร่หวานเจียงก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น

ตอนที่259 ง้อเอง

จ้าวเฉียนไม่อยากโทรหาหวางเจียงในเวลานี้

คนอย่างเธอไม่ยอมเสียหน้ากลับคำมาอย่างแน่นอน และประการที่สอง ถ้าเธอรู้ว่าต้องมาพบปะญาติมากมายปานนี้ หวานเจียงคงด่าเขาซ้ำสองข้อหาล่อลวงเธอมา จ้าวเฉียนรู้จักนิสัยของเธอดี

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงพยายามอธิบายให้พ่อฟังว่า

“พ่อครับ ทำไมพ่อถึงต้องทำอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้? อีกประมาณ20วันก็ถึงวันชาติแล้ว เดี๋ยวผมพาเธอมาดูขบวนทหารกับพวกพ่อก็ยังได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนมาตอนนี้เลยจริงไหม?”

จ้าวฝู่เตะจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและดุต่อว่า

“นี่แกคิดจะล้อเล่นกับฉันรึไง? เห็นฉันไอคิวต่ำนักเหรอ? รีบโทรหาเธอเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็ไสหัวกลับตงไห่ไปเลย! ฉันเคยไล่แกออกไปที่นั่นได้ตั้งห้าปีแล้ว อีกห้าปีมันจะเป็นอะไรไป!”

อวีกุ้ยเฟิงที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบดึงลูกชายของเธอหันมาคุยด้วยทันที เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนว่า

“ลูกแม่ ทำไมถึงไม่ฟังที่พ่อพูดเลย นี่เป็นโอกาสดีแล้วนะที่ลูกจะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์พ่อลูก แล้วทำไมถึงยังไปขัดเจตนาดีของพ่อเขาอีก? บอกแม่ได้ไหมว่าทำไมจู่ๆเธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”

จ้าวเฉียนเข้าใจพวกเขาเลย ทั้งๆที่ตอนนี้ทุกอย่างก๋ลงตัวเรียบร้อยดี แล้วทำไมยังจะไปลากตัวปัญหาอย่างหวานเจียงมาอีก?

ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม จ้าวเฉียนต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด

“แม่ ถ้าผมโทรหาเธอตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมกำลังวิ่งไล่ง้อเธอนะ ถ้าในอนาคตผมไม่ได้แต่งงานกับเธอก็แล้วไป แต่ถ้าแต่งขึ้นมาจริง เธออาจจะติดเป็นนิสัยใช้วิธีแบบนี้เพื่อบีบบังคับผมต่อไปเรื่อยๆ แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะ? ผมต้องฟังเธอไปตลอดชีวิต ถ้าขัดขืนขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็จะใช้วิธีแย่ๆแบบนี้อีก แม่เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงเข้าใจความหมายที่ลูกชายของเขาดี แต่อย่างไรเธอก็ไม่คิดว่า หวานเจียงไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้น เธอจึงตัดสินใจโทรหาหวานเจียงด้วยตัวเอง เพื่อถามหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จ้าวเฉียนที่เห็นแม่หยิบมือถือขึ้นมาก็นรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะทำอะไร เขาจึงรีบกล่าวขัดไปว่า ถ้าแม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับแม่เองก็ต้องยอมเธอด้วย และในฐานะคนเป็นลูก เขาไม่อยากให้แม่ตัวเองถูกหวานเจียงปีนเกลียว

แต่อวีกุ้ยเฟิงยังคงยืนกรานคำเดิมและกดโทรออกทันที แต่สุดท้ายก็ขึ้นแค่มิสคอล นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังปิดเครื่องอยู่

อวีกุ้ยเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“เห้ออ…ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกลิขิตให้เป็นครอบครัวที่ไร้ซึ่งโชคชะตาจริงๆ ช่างมันเถอะ ลูกชายของฉันทั้งหล่อทั้งมีความสามารถ ลูกแม่ไม่ต้องกังวล พวกเรายังหาผู้หญิงที่ดีกว่าเธอได้อีกเยอะแยะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางพยักหน้าตอบ และเดินตามแม่ของเขากลับเข้าตัวบ้าน

แต่จ้าวฝู่ยังคงยืนหน้าบึ้ง จับจ้องจ้วาเฉียนตาเขม็งด้วยความโกรธ

อวีกุถ้ยเฟิงที่เห็นดังนั้นจึงรีบพูดแทนลูกชายของเธอทันทีว่า

“คุณค่ะ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ผู้หญิงคนนั้นที่จู่ๆก็เปลี่ยนใจไม่มา แสดงว่าเธออาจจะไม่ได้จริงจังกับลูกเราก็ได้ แม้แต่หน้าพ่อหน้าแม่ของฝ่ายชายยังไม่กล้ามาพบ แล้วผู้หญิงแบบนี้จะไปคู่ควรกับลูกชายของเราได้ยังไงจริงไหม?”

จ้าวฝู่สูดหายใจเย็นแช่มลึกและเปล่งน้ำเสียงเย็นตอบไปว่า

“นี่คุณคิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ลูกชายใครใครก็รัก ผมตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดของฝ่ายหญิงมาหมดแล้ว เธอเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลหวางแห่งฮวาหยินกรุ๊ป ทั้งรูปลักษณ์หน้าตาและสติปัญญานับว่าเป็นเลิศ ไม่มีใครคู่ควรกับลูกชายของฉันไปมากกว่าเธอแล้ว! เหอะ! ไอ้ลูกชายตัวดีมันก็โง่เหลือเกิน คงใช้แต่อารมณ์จนเธอถึงไม่อยากอยู่ด้วยไง!”

จ้าวฝู่บ่นลูกตัวเองไม่หยุดราวกับว่าตัวเขาพึงพอใจกับหวานเจียงคนนี้มาก อวีกุ้ยเฟิงสวนขึ้นทันทีว่า

“นี่คุณหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงต้องต่อว่าลูกเราขนาดนั้นด้วย!”

จ้าวฝู่กลอกตาสบถตอบไปว่า

“ก็มันจริงไหมล่ะ!”

เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวฝู่และช่วยลูกชายของเธอให้พ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ อวีกุ้ยเฟิงจึงออกโรงหาเรื่องทะเลาะขึ้นเองทันที

“จ้าวฝู่! ที่คุณพูดแบบนี้ออกมาไม่ใช่ว่า ถูกใจแม่สาวนั่นเองหรอกนะ!?”

“ห่ะ? นี่คุณคิดว่าผมอายุเท่าไหร่แล้ว? ผมจะไปคิดเรื่องทุเรศแบบนั้นได้ยังไง!”

“มันก็ไม่แน่หรอก เดี๋ยวนี้พวกเฒ่าหัวงูที่ชอบสาวๆสวยๆเยอะแยะเต็มไปหมด มันไม่เกี่ยวกับอายุ!”

“คุณ! หยุดพูดไร้สาระเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเรา!”

ทั้งสองทะเลาะกันไปขณะเดินขึ้นไปยังภูเขาเพื่อเข้าคฤหาสน์

บรรดาญาติๆก็รีบเข้าไปปลอบจ้าวเฉียนทันที เนื่องด้วยไม่อยากให้คิดมากในวันรวมญาติแบบนี้ และพาเขาขึ้นภูเขาตามไปติดๆ

สิบนาทีต่อมา ในที่สุดจ้าวเฉียนก็ขึ้นมาถึงคฤหาสน์ที่อยู่บนยอดเขา

คุณปู่ที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ พอเห็ฌนว่าจ้าวเฉียนกลับมาแล้ว เขาก็รีบเอื้อมมือออกไปกอดทันที

จ้าวเฉียนรีบวิ่งไปหาทันทีและก้มตัวกอดคุณปู่ทั้งน้ำตา

“ไอ้หมาน้อย ในที่สุดแกก็กลับมาสักทีนะ พ่อของแกใจร้ายจริงๆ ถ้ามันไม่ต้องการแก ฉันจะดูแลแกเอง!”

คุณปู่พูดน้ำเสียงสั่นเทาอย่างโศกเศร้า

จ้าวเฉียนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่ทั้งตื่นเต้นและคิดถึง เขารีบตอบกลับทันทีว่า

“ผมกลับมาแล้วครับ ผมกลับมาแล้ว… ขนาดผมกลับมาแล้ว…พ่อยังรังแกผมต่อไม่หยุดเลย คุณปู่ต้องล้างแค้นแทนผมนะ ปู่ต้องสั่งสอนบทเรียกแก่เขา”

คุณปู่ยิ้มทั้งน้ำตากล่าวตอบไปว่า

“ได้เลย! เดี๋ยวปู่จะจัดการไอ้พ่อไม่รักดีเอง! ขอเพียงได้เห็นหน้าแกทุกวันหลังจากนี้ในอนาคต ไม่ว่าแกจะต้องการอะไรฉันจะหามาให้เอง ไอ้ฝู่มานี่! ครั้งนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้หลาบจำเลยคอยดู!”

จ้าวฝู่หงุดหงิดกับคู่ปู่หลานตรงหน้าจริงๆ เขารีบเดินไปพูดกับคุณพ่อของเขาทันทีว่า

“โถ่พ่อ! นี่ผมเป็นลูกพ่อนะ ไหงถึงรักหลานมากกว่า!”

จ้าวเฉียนโต้กลับไปทันทีว่า

“ก็ใช่ไง! ผมเป็นลูกพ่อเหมือนกัน! แต่ทำไมถึงเข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกชายตัวเอง! ดุด่าผมอย่างกับไม่ใช่ลูกแล้ว! นี่ยังเห็นผมเป็นลูกชายอยู่ไหม หรือไม่ได้เจอกันหลายปีสายเลือดมันจะจืดจางไปแล้ว!”

พอเจอคำพูดของลูกชายเข้าไป จ้าวฝู่ถึงกับยืนอึ้งพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ คนอื่นๆที่เห็นแบบนั้นก็รีบออกตัวกล่าวแทรกขึ้นมาทันทีเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป

น้าสาวของจ้าวเฉียนปรบมือให้สัญญาณเล็กน้อยและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไหนๆไอ้หมาน้อยก็กลับมาแล้ว อย่าทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้เลยดีกว่านะ เข้าไปในบ้านแล้วค่อยคุยกันเถอะ”

น้าสาวคนรองกล่าวขึ้นเสริมว่า

“พี่สาวพูดถูก เข้าบ้านแล้วค่อยพูดค่อยจากันดีกว่านะ”

จ้าวฝู่พยักหน้าและสั่งให้จ้าวเฉียนเข็นคุณปู่เข้ามาในบ้านก่อน

ขณะที่ครอบครัวสุขสันต์มารวมตัวกันพร้อมหน้า ในอีกด้านหนึ่ง หวานเจียงก็เช็คอินเข้าเก็ตสนามบินมาแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนรวนเรไปหมด

ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง จ้าวเฉียนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆในตอนที่อยู่เมืองตงไห่ หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญชนคนธรรมดา และระหว่างที่กำลังเล่าอยู่ หวานเจียงก็โทรเข้ามาหาเขา

จ้าวเฉียนเหลือบหางตามองไปที่มือถือเล็กน้อยและกดตัดสายไปอย่างลับๆ เขามั่นใจได้เลยว่า ถ้ารับสายตอนนี้มีหวังพวกเขาทั้งคู่ทะเลาะกันแน่นอน ซึ่งเขาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆที่กำลังไปได้สวยอยู่ในขณะนี้

แต่อวีกุ้ยเฟิงตาไวกว่ามาก พลันเห็นสีหน้าการแสดงออกของลูกชายที่แปรเปลี่ยนไปแม้จะเป็นชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรบางอย่าง เธอจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แม่สาวนั่นโทรมา? ทำไมถึงไม่รับล่ะ?”

จ้าวเฉียนไม่อยากให้ทุกคนเบนความสนใจไปที่หวานเจียงอีกแล้ว เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่ครับ เอ่อ…ประกันรถโทรมา ไม่ได้สำคัญอะไรครับ”

แต่มีหรือที่อวีกุ้ยเฟิงจะเชื่อ? เธอลุกขึ้นและเดินไปแบมือขอมือถือของชูกชายตัวเองมาดูทันที

“แม่จ๋า คงไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้จริงๆไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงกลับเพิกเฉยต่อคำพูดของลูกชายเธอโดยสิ้นเชิง ในเมื่อหวานเจียงโทรกลับมาหาแล้ว นั้นหมายความว่า เธอคงรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้วแน่นอน ในเมื่อฝ่ายผู้หญิงยอมให้ถึงขนาดนี้แล้ว ฝ่ายชายก็ไม่ควรจะเล่นตัวอีกต่อไป

โทรศัพท์ในมือจ้าวเฉียนถูกแม่ขโมยไปต่อหน้าต่อตา เมื่ออวีกุ้ยเฟิงเห็นว่าสายล่าสุดเป็นหวานเจียงโทรมา เธอก็คืนโทรศัพท์ให้ลูกชายทันทีและสั่งเสียงแข็งขึ้นว่า

“โทรกลับไปหาเธอซะ”

จ้าวเฉียนไม่อยากทะเลาะกับหวานเจียงอีกแล้ว เขาจึงตอบปฏิเสธทันควัน

จ้าวฝู่ที่เห็นแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้าทันที

“ไอ้ลูกเวร! ฝ่ายหญิงเขาอุตส่าห์โทรง้อแกก่อนขนาดนี้แล้ว แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า? เล่นตัวขนาดนี้เดี๋ยวฉันจะไล่ให้แกไปใส่กระโปร่งจริงๆนะ!”

อวี้กุยเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา และกดไปที่เบอร์ของหวานเจียงโดยตรงและกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าลูกไม่โทร แม่จะโทรเอง”

จ้าวเฉียนหันไปมองทั้งพ่อและแม่ พลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไวและเดินออกไปโทรศัพท์หาหวานเจียง

ตอนที่258 ทะเลาะกัน

หวานเจียงให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีตัวเองเป็นที่สุด เธอไม่มีทางกลับคำคุกเข่าขอโทษจ้าวเฉียนแน่นอน

แม้ภายในใจเธอจะรู้สึกผิดเพียงใด แต่เธอก็อายกว่าจะขอโทษ ยิ่งไปกว่านั้นเธอทราบนิสัยของจ้าวเฉียนดี เขาจะทำตามที่พูดอย่างแน่นอน หลังจากงานเทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลง เขาจะกลับมาทวงสิทธิ์การบริหารทั้งหมดของฮวาหยินกรุ๊ปคืนอย่างแน่นอน

และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ในอนาคตต่อไปเธอยังจะมีหน้าไปเจอจ้าวเฉียนได้ยังไง? แต่เธอจะไม่ต้องทนอยู่ใต้เขาอีกต่อไปเช่นกัน?

หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หวานเจียงก็ตัดสินใจที่จะไม่ไล่ตามจ้าวเฉียนไป ถึงยังไงเธอก็เป็นถึงราชินีน้แข็งแห่งวงการธุรกิจ แล้วเธอจะไปยอมผู้ชายเพียงคนเดียวได้ยังไง?

จ้าวเฉียนขับรถไปสนามบินเหยียบคันเร่งมิดด้วยความรีบร้อน โชคยังดีที่เขาสามารถใช้ช่องทางVIPของสนามบินได้ ตามที่คำนวณเขาไม่น่าตกเครื่องแน่นอน

ประมาณสี่สิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนเดินทางมาถึงสนามบินและขึ้นเครื่องผ่านช่องทางVIPดังกล่าวไปได้ทันเวลา พอหาที่นั่งเจอพลางเก็บสัมภาระเสร็จสรรพ เขาก็นั่งประจำที่ไป

ยังเหลือเวลาอีกกว่ายี่สิบนาทีก่อนเครื่องจะขึ้น พนักงานต้อนรับบนเครื่องออกมาเตือนผู้โดยสารทุกท่านให้ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย

จ้าวเฉียนมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างว่างเปล่า แต่สีหน้าการแสดงออกดูซับซ้นออย่างมาก ตอนนี้เขาโกรธจริงๆ และพยายามให้โอกาสหวานเจียงแก้ตัวอีกครั้ง

แต่ก็เฝ้าหน้าจออยู่นานสองนาน ก็ไม่มีสายโทรเข้ามาหาเขาเลย

ในเวลานี้เอง พนักงานต้อนรับบนเครื่องก็เดินเข้ามาเตือนจ้าวเฉียนน้ำเสียงสุภาพว่า

“ท่านผู้โดยสาร กรุณาปิดโทรศัพท์มือถือลงไปก่อนนะคะ”

จ้าวเฉียนเงยศีรษะมองพนักงานต้อนรับคนสวย เขาพยักหน้าพลางยิ้มตอบไป

แต่ในขณะเดียวกัน หวานเจียงเพิ่งจะมารู้สึกเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ทำลงไป พอคิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบคว้ามือถือโทรหาจ้าวเฉียนทันที แต่กลับได้ยินมิสคอลขึ้นเพียงว่า ‘ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

เธอได้ยินดังนั้นราวกับหัวใจแทบแตกสลาย

อย่างไรก็ตาม เธอยังมีโอกาสแก้ตัวอยู่ ยังไม่สายเกินไปสักทีเดียว ขอเพียงรีบเดินทางไปที่สนามบินและแจ้งเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินถัดไป ถึงแม้ว่าเธออาจจะถึงหยางจิ้งช้ากว่า แต่ตราบใดที่ไปถึงที่นั่นได้ นั้นก็เป็นการพิสูจน์ความจริงใจของเธอต่อจ้าวเฉียนได้บ้างไม่มากก็น้อย

หวานเจียงคิดว่านี่เป็นวิธีเดียวแล้วที่จะสามารถประคองความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนได้ เธอลุกขึ้นพรวดคว้ากระเป๋าเดินทางวิ่งขึ้นรถทันที

ในไม่ช้า เที่ยวบินของจ้าวเฉียนก็ออกเดินทาง เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์เสียอย่างยิ่ง ทิ้งตัวเอนกายลงบนเก้าอี้ปรับนอนและหลับไปทั้งแบบนั้น

ประมาณสองชั่วโมงต่อมา เครื่องบินที่จ้าวเฉียนโดยสารลงจอดยังท่าอากาศยาน ณ เมืองหยานจิ้งอย่างปลอดภัย

คนขับรถที่ถูกส่งมาโดยจ้าวฝู่กำลังยืนรอรับตั้งแต่หน้าทางออกแล้ว และทันทีที่จ้าวเฉียนเดินออกมา อีกฝ่ายก็จำได้ในทันที

“คุณชายจ้าวครับ! ผมอยู่ทางนี้!”

จ้าวเฉียนหันควับติดตามต้นเสียงไป พลางเห็นอีกฝ่ายไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนคุ้นเคยกันอย่างดี ชายคนนี้ชื่อว่าหวางไฮ่ เป็นคนขับรถประจำตัวของจ้าวฝู่

จ้าวเฉียนยิ้มและรีบเดินเข้าไปทักทายทันที

“ลุงหวาง! ไม่ได้พบกันซะนาน หล่อขึ้นรึเปล่าครับเนี่ย?”

หวางไฮ่รีบเดินเข้าไปช่วยถือกระเป๋าเดินทางของจ้าวเฉียน และเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มว่า

“ฮ่าฮ่า…คุณชายจ้าวสุภาพเกินไปแล้ว ผมไม่ได้เจอหน้าคุณชายมานานแค่ไหนแล้วครับเนี่ย? ประมาณห้าปีเศษเลยมั้งครับ ทีแรกผมก็ใจหาย คิดว่าคุณชายจ้าวจะไม่กลับมาแล้ว”

จ้าวเฉียนหัวเราะตอยไปว่า

“จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะ? ตอนนั้นเล่นเอาซะพ่อโกรธเป็นฝืนเป็นไฟขนาดนั้น ฉันกลับมาที่นี่ไม่ได้เลย”

“แต่ผมได้ยินจากนายท่านมานะครับว่า ตอนนี้คุณชายเติบโตขึ้นราวกับเป็นคนละคนเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ผมยืนยันด้วยตัวเองเลยครับ คราบคุณชายเอาแต่ใจคนนั้นมันไม่หลงเหลืออยู่เลยจริงๆ พร้อมกลับมาสืบทอดมรดกต่อจากนายท่านรึยังครับ?”

จากที่หวางไฮ่ได้เห็นช้าวเฉียนในตอนนี้ เขามั่นใจอย่างมากว่า ถ้าจ้าวฝู่ได้มาเห็นกับตาตัวเองคงต้องภูมิใจในตัวลูกชายอย่างมาก และมีคุณสมบัติเพียงพอแล้วที่จะสืบทอดอาณาจักรธุรกิจของตระกูลจ้าวต่อเป็นรุ่นต่อไป ซึ่งนี่เป็นเจตนารมณ์ของจ้าวฝู่

“นี่แอบถามเผื่อพ่อใช่ไหมเนี่ย? บอกพ่อหัดไปฟิตร่างกายแล้วมาดูแลต่อเองเถอะ ฮ่าฮ่า…”

“ฮ่าฮ่า…”

ทั้งสองเดินทางกลับไปที่รถพร้อมพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่พอเดินมาถึงตัวรถ หวางไฮ่พลันชะงักฝีเท้าทันที รีบเหลียวศีรษะมองย้อนกลับไปด้วยความงุนงง เขาเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า

“เอ่อ…คุณชายจ้าว ไม่ใช่ว่านายท่านบอกผมมาเหรอว่า คุณชายจะพาแฟนกลับมาด้วย? หรือไม่ได้มาเที่ยวบินเดียวกันเหรอครับ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวเฉียนจางหายไปฉับพลัน พอเห็นแบบนั้นหวางไฮ่เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบกล่าวปลอบอีกฝ่ายโดยเร็วว่า

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชาย ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคุณชายกลับมาเยี่ยมอยู่นะครับ เรารีบไปกันดีกว่า”

“อืม…”

จ้าวเฉียนพยายามฝืนยิ้มตอบไป

ทั้งสองขึ้นรถเสร็จสรรพก็ขับตรงไปยังบ้านพักตากอากาศของตระกูลจ้าว

ในฐานะมหาเศรษฐีชื่อดังระดับประเทศ ทรัพทย์สินส่วนตัวทั้งหมดในตระกูลจ้าวมีมูลค่ามหาศาลจนหาประเมินค่าได้ไม่ แน่นอนว่าบ้านพักตากอากาศ…ไม่สิ…คฤหาสน์ของจ้าวฝู่ย่อมไม่ธรรมดาแบบคนรวยทั่วไป ตระกูลจ้าวมีภูเขาส่วนตัวของตัวเอง นอกจากตัวคฤหาสน์ตากอากาศ ณ ยอดเขาส่วนตัวแล้ว พวกเขายังมีสนามกอล์ฟบนภูเขาส่วนตัวอีกด้วย

มีกลุ่มบอดี้การ์ดคอยเฝ้าระวังอยู่ที่เชิงเขาอย่างหนาแน่น จำเป็นต้องได้รับคำเชิญจากจ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงเท่านั้นถึงจะสามารถขึ้นภูเขาลูกนี้ได้ แม้แต่บรรดาญาติพี่น้อง เพื่อน และคนใช้ทุกคนของตระกูลจ้าว จำเป็นต้องขออนุญาตทุกครั้ง

จ้าวฝู่และอวีกุ้ยเฟิงพาญาติพี่น้องสิริรวมกว่า15คนมายืนรอจ้าวเฉียนที่เชิงเขา ท้ายที่สุดนี้ ในอนาคตต่อไปจ้าวเฉียนจะกลายมาเป็นหางเสือผู้ขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางของตระกูลจ้าวต่อไป ดังนั้นพวกเขาจำต้องพึ่งพาจ้าวเฉียนในภายภาคหน้า

ไม่นาน รถของจ้าวเฉียนก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน

“มาแล้ว! มาแล้ว!”

จ้าวฝู่ร้องอุทานขึ้นอย่างตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

เป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว ที่เขาไม่ได้พบหน้าลูกชายคนนี้เลย ที่ผ่านมาได้แต่ติดต่อผ่านการวิดีโอคอลและโทรศัพท์เท่านั้น เขารอคอยช่วงเวลาแบบนี้มานานมากแล้วจริงๆ และในที่สุดก็มทาถึงสักที

บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายรีบวิ่งไปที่รถทันที จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็วานให้หวางไฮ่หยุดรถก่อน ในฐานะที่เขามีศักดิ์เป็นรุ่นหลาน จะไม่มีทางให้ผู้หลักผู้ใหญ่วิ่งมาทักทายเขาก่อนไม่ได้ และควรจะเป็นเขาที่ต้องออกไปทักทายพวกเขาแทน

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนเดินลงมาจากรถ พวกเขาก็โบกมือทักทายทันทีอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนรีบวิ่งมาทักทายทุกคนทันทีอย่างยิ้มแย้ม

“ไอ้หมาน้อย! แกผอมลงเยอะเลยนะ แต่ก็ดูหล่อขึ้นแหะ”

“สุดยอดไปเลยแหะ อยู่ได้ยังไงโดยไม่มีเงินที่บ้าน ถ้าเป็นน้าคงตายตั้งแต่ปีแรกแล้ว ไอ้พี่คนนี้ก็โหดไป ตัดหางปล่อยวัดลูกตัวไปเองไปตั้งห้าปี!”

“แล้วไหนล่ะ? แฟนหลานอยู่ไหน? ป้าได้ยินมาว่า เธอเป็นคุณหนูคนโตของฮวาหยินกรุ๊ป ป้าลองค้นหาภาพในอินเตอร์เน็ตแล้ว สวยเชียวนะ รีบพาเธอลงมาจากรถได้แล้ว ป้าอยากเห็นหน้าเธอจัง! ตัวจริงต้องสวยกว่าในรูปเป็นไหนๆ จริงไหม!”

…………

ทุกคนระเบิดคำพูดออกมาไม่หยุดหย่อน จนจ้าวเฉียนไม่มีโอกาสได้พูดแทรกเลยสักคำ

ในเวลานั้นเอง หวางไฮ่ผู้เป็นคนขับรถต้องรีบเดินลงมาพูดแทรกทุกคนขึ้นทันทีว่า

“ทุกท่านครับ เอ่อ..คือว่า…มีเพียงคุณชายจ้าวเท่านั้นที่มา…”

รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนพลันค้างแข็งไปโดยพลัน เฉพาะอย่างยิ่งกับจ้าวฝู่ที่ใบหน้ามืดทมิฬดูน่าเกลียดอย่างมาก เขาอุตสาห์โม้กับบรรดาญาติๆจนปากเปียกปากแฉะว่า วันนี้ชูกชายของเขาจะพาคู่หมั่นมาเปิดตัว

“เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวฝู่เอ่ยถามด้วยความโกรธเคือง

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มแห้ง ตรงเข้าไปโอบไหล่พ่อและตอบกลับไปว่า

“พ่อ อย่าโกรธกันเลยนะ ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้วไง ผมจะอยู่ฉลองกับทุกคนไปอีกสองสามวัน ครั้งต่อไป ผมสัญญาว่าจะพาเธอมาให้ได้แน่นอน คือ…ก่อนหน้าที่จะมา พวกเราทะเลาะกันน่ะพ่อ…”

“หยุดเลย! แกหยุดทะเลาะกับคนอื่นสักวันไม่ได้รึไง? ทำไมต้องทะเลาะกันวันนี้ด้วย? อดทนไม่ได้เลยเหรอห่ะ?! หรือแฟนแกที่ว่ามันงี่เง่าขนาดนั้นเลย?”

จ้าวเฉียนรีบอธิบายตอบทันทีว่า

“พ่อ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ไหมล่ะ? เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก ลุยบริหารธุรกิจครอบครัวด้วยตัวเพียงลำพังมาโดยตลอด จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่ค่อยอ่อนข้อกับผมเท่าไหร่ แม่เองก็เคยพบเธอมากแล้ว ไม่เชื่อลองถามแม่ได้เลยว่า เธอเป็นผู้หญิงหัวดื้อมาก”

อวีกุ้ยเฟิงรีบก้าวออกมาพูดแทนลูกชายของเธอโดยไวว่า

“ใช่ ฉันของยืนยันแทนเขาได้ สาวน้อยฮวาหยินกรุ๊ปเป็นคนที่หัวดื้อไม่ใช่น้อย แต่ในอีกด้านเธอเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก และไม่ได้ด้อยไปกว่าฉันเลย และเพราะแบบนี่นี่แหละ ฉันถึงถูกใจเธอ ถึงขั้นอยากเธอมาเป็นสะใภ้ของบ้านเราเลยด้วยซ้ำ คุณเองก็ต้องการผู้หญิงที่ดีพอมาอยู่เคียงคู่กับลูกเราไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อได้ยินที่อวีกุ้ยเฟิงพูด นี่ก็ดูเหมือนว่าจะยืนยันได้แล้วว่าจะเป็นความจริง หากแฟนของจ้าวเฉียนเป็นผู้หญิงงี่เง่าไร้เหตุผลจริง เขาไม่ยอมปล่อยให้เข้ามาในตระกูลจ้าวเป็นอันขาด

อาณาจักรธุรกิจที่ครอบคลุมไปทั่วประเทศจีนแบบนี้ ในอนาคตต่อไปจ้าวเฉียนคือคนที่ต้องมารับช่วงต่อ ถ้าภรรยาของลูกชายตัวเองไม่สามารถช่วยเข้ามาแบ่งเบาความกดดันได้ แล้วจะแต่งเข้ามาเพื่ออะไร?

การจะหาผู้สืบทอดสืบทอดมรดกนับหมื่นล้านล้าน ถ้าจ้าวฝู่จนปัญญาจริงๆ อย่างมากก็แค่ใช้เงินนำน้ำเชื้อของลูกชายเขาไปผสมเทียม แค่นี้ก็ได้ทายาทมาสืบทอดมรดกต่อแล้ว

แต่อย่างไรตอนนี้จ้าวฝู่พบผู้หญิงที่มีคุณสมบัติมากพอแล้วที่จะแต่งงานและช่วยกันดูแลธุรกิจไปพร้อมกับลูกชายเขา

พอคิดได้อย่างนั้น จ้าวฝู่รู้สึกว่า การที่หวานเจียงกล้าขึ้นเสียงเถียงโต่เถียงกับจ้าวเฉียนนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน

เธอต้องเป็นคนมีจุดยืนที่มั่นคงและความกล้าหาญอย่างมาก ถึงกล้าโต้เถียงกับลูกชายของเขา

แต่ถึงอย่างไร ณ ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ทั้งๆที่จ้าวฝู่ชักชวนบรรดาญาติพี่น้องมาขนาดนี้แล้วแท้ๆ จะปล่อยให้ชวดโอกาสไม่พบเจอเธอได้อย่างไร?

เขาหันไปออกคำสั่งกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“รีบโทรหาเธอเดี๋ยวนี้ ฉันจะส่งเครื่องบินส่วนตัวไปรับเธอเอง และฉันไม่สนด้วยว่าแกจะทำยังไง แต่วันนี้เธอจะต้องมาเหยียบบ้านเราให้ได้!”

ตอนที่255 เฝ้าสะกดรอยตาม

จ้าวเฉียนไม่ได้โง่ หวานเจียงยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมไม่ออกไปไหน แถมยังส่งสายตาออดอ้อนให้แบบนี้ เขาตระหนักดีว่าเธอหมายความว่าอย่างไร

เนื่องด้วยพวกเธอเป็นผู้หญิง บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถพูดออกไปตรงๆได้ จึงจำต้องส่งสัญญาณเป็นนัยออกไปแทน

แน่นอนว่าจ้าวเฉียนไม่พลาดโอกาสแบบนี้ไปแน่นอน

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นบิดขี้เกียจเล็กน้อย และกล่าวขึ้นว่า

“นี่ก็เพิ่งกินข้าวเสร็จ ทำไมถึงไม่ขึ้นไปพักผ่อนก่อนล่ะ? แบบว่า…ไปออกกำลังกายให้อาหารย่อยกันก่อน”

หวานเจียงก้มหน้าก้มตาพยักหน้าตอบทันทีอย่างเขินอาย แต่ก็ดูให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและตอบไปว่า

“อือ…ก็จริงของนาย เราไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนดีไหม? จากนั้นค่อยกลับบ้าน…”

จ้าวเฉียนรีบตอบกลับไปทันที

“แน่นอน เดี๋ยวฉันไปเปิดห้องก่อนก็แล้วกันนะ”

หวานเจียงเดินเชิดหน้ามุ่ยติดตามจ้าวเฉียนไปทั้งแบบนั้น

ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาในห้อง ล็อคประตูเรียบร้อย จ้าวเฉียนก็ผลักหวานเจียงติดกำลังและประกบจูบกันทันทีอย่างเร้าร้อน

หวานเจียงผละร่างจ้าวเฉียนออกไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงกระเส่าขึ้นว่า

“ไม่ใช่ว่านายอยากไปพักผ่อนหรอกเหรอ?”

จ้าวเฉียนกดจูบลงบนหน้าผากของหวานเจียง ริมจิบกระซิบข้างหูเธออย่างแผ่วเบาขึ้นว่า

“ฉันกลัวว่าเธอจะนอนไม่หลับ ก็เลยชวนมาออกกำลังกายด้วยกันก่อน หลังจากนั้นคงหลับสบายแน่นอน”

หวานเจียงกลอกตาใส่จ้องเขม็งใส่เขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นี่เท่ากับว่าเธอยอมจำนนแต่โดยดี

พอเห็นแบบนั้นจ้าวเฉียนจึงเผด็จศึก ควบม้าสวาทกันไปตลอดทั้งชั่วโมงนั้น

ทั้งสองนอนพักกันอยู่ในโรงแรมตลอดจนทุ่มกว่า ยังไงซะพวกเขาทั้งคู่ต้องออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว พอตื่นขึ้นจึงรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าเพื่อกลับไปจัดกระเป๋ากันยกใหญ่

หลังจากที่จ้าวเฉียนส่งหวานเจียงกลับบ้านไปแล้ว เขาก็ขับรถกับไปยังบ้านของตน ทว่าหลังออกรถไปได้ไม่นาน จู่ๆเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า มีรถน่าสงสัยอยู่คันหนึ่งกำลังขับติดตามเขาไม่ห่าง

“บัดซบ! หรือนี่จะเป็นนักฆ่าที่จางต้าเฉินจ้างมา? ถ้าใช่ขึ้นมาจริง นี่ก็เท่ากับว่าโคตรวิกฤตเลยไม่ใช่เหรอ?”

จ้าวเฉียนสบถกับตัวเองขึ้นทันควัน ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจว่าใช่แน่นอน หลังจากเร่งความเร็วฝ่าไฟแดงมาสี่แยกแล้ว รถคนดังกล่าวก็ยังไล่จี้ตามมาติดๆ นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เป้าหมายคือตัวเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เขาขอไปค้างแรมที่บ้านของหวานเจียงแค่สักคืน ก็ไม่น่ารอด ในไม่ช้าก็เร็วพวกมันจะต้องบุกเข้ามาจับตัวเขาไปแน่นอน

พอคิดได้แบบนี้จ้าวเฉียนรีบโทรหาหยางหู่ทันทีและอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยด่วน พร้อมขอให้ส่งคนมาจัดการกับนักฆ่าพวกนี้โดยเร็วที่สุด

หยางหู่ที่ได้ฟังดังนั้นก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง รีบส่งกำลังคนทั้งหมดที่อยู่ใกล้แถวนั้นที่สุดเข้าปกป้องคุณชายจ้าวทันที ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้จริงๆ มันจะกลายเป็นตราบาปภายในใจหยางหู่ไปชั่วชีวิต

หลังจากจ้าวเฉียนขับหนีอยู่นาน ในที่สุดก็สามารถสลัดรถคันดังกล่าวหลุดไปได้ และรีบขับกลับไปที่หน้าหมู่บ้านของหวานเจียง พร้อมโทรเรียกเธอโดยเร็ว

“ว่าไง? เธอถึงบ้านแล้วเหรอ? ทำไมเร็วจัง?”

หวานเจียงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“เปล่า ฉันว่าคืนนี้ฉันอยู่กับเธอดีกว่า”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไป

หวานเจียงรีบเปิดม่าน กวาดสายตามองไปยังบริเวณหน้าหมู่บ้าน แต่เธอก็ไม่เห็นรถสักคน

“นายล้อเล่นรึเปล่า? ฉันไม่เห็นรถของนายเลย?”

จ้าวเฉียนบีบแตร่ใส่สองสามครา พอหวานเจียงได้ยินก็รีบหันควับมองไปยังด้านซอยแคบข้างหมู่บ้านทันที

เธอรีบแต่งตัว วิ่งออกไปตรงหน้าหมู่บ้านและเรียกจ้าวเฉียนขับตรงเข้ามาโดยไว

“เกิดอะไรขึ้นกับนายรึเปล่า? ทำไมถึงกลับมาที่นี่?”

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้น

จ้าวเฉียนไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้ จึงตามน้ำกล่าวต่อจากประโยคก่อนหน้านี้

“ทำไม? ก็ฉันคิดถึงเธอหนิ อยากจะนอนกอดเธอตลอดทั้งคืน ไม่ได้เหรอ?”

หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นก็คลี่ยิ้มหวาน ไม่เอะใจหรือสงสัยใดๆอีกต่อไป

ทันทีที่ทั้งสองกำลังจะเข้าบ้านไป ก็เกิดสุ้มเสียงดังหน้าประตูหมู่บ้าน เท่าที่ฟังพอจะจับใจความได้ประมาณว่า ยามกำลังตะโกนไล่ใครบางคนออกไปและไม่ให้เข้ามาภายในนี้

จ้าวเฉียนทราบได้ทันทีว่า พวกมันตามมาเจอเขาแล้ว หวานเจียงเองก็ได้ยินเสียงเช่นกัน ขณะที่เธอกำลังเหลียวหลังหันกลับไปมอง จู่ๆจ้าวเฉียนก็อุ้มร่างเธอขึ้นและกล่าวว่า

“เข้าบ้านกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว”

หวานเจียงที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยและกระซิบเสียงอ่อนขึ้นว่า

“ทำไมนายรีบจัง เรา…ยังมีเวลากันอีกทั้งคืนนะ”

“ก็ฉันรอไม่ไหวแล้ว! ไปกันเถอะนะ!”

จ้าวเฉียนรีบพาหวานเจียงเข้าบ้านไปทันที แต่ในเสี้ยวจังหวะนั้นเอง กลับมีชายสองคนรีบวิ่งฝ่าพวกยามเข้ามา จ้าวเฉียนที่เห็นดังนั้นรีบฉวยจังหวะได้เปรียบถอดรองเท้าคว้าใส่ทันที

ด้วยสัญชาตญาณ ชายสองคนนั้นเลี่ยงหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่นั้นก็ทำให้เสียจังหวะไปด้วยเช่นกัน จ้าวเฉียนที่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าบ้านปิดประตูล็อคโดยตรง

ยามนี้หวานเจียงเห็นได้ชัดแล้วว่า จะต้องมีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปแน่นอนกับจ้าวเฉียน ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามขึ้นทันที

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แล้วสองคนนั้นคือใครกัน?”

จ้าวเฉียนยังพยายามแถต่อไปว่า

“อ่อ…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จู่ๆก็วิ่งมาแบบนั้นคงไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน คงเป็นการดีกว่าที่ฉันทำแบบนั้นไป ถ้าพวกมันบุกเข้ามาในบ้าน พวกเราคงแย่”

หวานเจียงย่อมไม่เชื่อคำแถของจ้าวเฉียนโดยธรรมชาติ เธอพาจ้าวเฉียนมานั่งห้องรับแขกและเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังว่า

“จ้าวเฉียน ฉันไม่เล่นแล้วนะ เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่? ที่กลับมาหาแบบนี้เพราะมีคนสะกดรอยตามนายใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปตามตรงและแผ่ตัวนอนลงบนโซฟาทันที

หวานเจียงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก เธออยากจะรู้จริงๆว่า ครั้งนี้ใครกันที่เขาไปมีปัญหาด้วยอีก แล้วทำไมต้องมีคนจ้องเล่นงานเขาอยู่เสมอ

บางสิ่งอย่างจ้าวเฉียนคิดว่า การไม่บอกอะไรกับเธอไปเลยคงเป็นเรื่องดีกว่า ถึงรู้ไปก็ช่วยไม่ได้ แถมยังทำให้เธอวิตกโดยใช่เหตุอีก

เขายิ้มและกล่าวต่อขึ้นว่า

“ฉันไม่รู้แล้วว่าใครบ้างที่ฉันไปมีเรื่องด้วย บางทีก็คงเป็นอย่างที่เธอบอก ฉันทำตัวหยิ่งยโสเกินไป จนเผลอสร้างศัตรูอยู่รอบตัวโดยไม่ตั้งใจ”

หวานเจียงกลอกตามองบนไปทีหนึ่ง ต่อหน้าคำกล่าวนี้ของเขาถึงกับทำให้เธอพูดไม่ออกจริงๆ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า ตัวเองเป็นคนหยิ่งยโสและจองหองขนาดไหน จนเผลอสร้างศัตรูไว้รอบด้านขนาดนี้ แต่ทำไมเขาถึงยังไม่รู้จักปรับปรุงตัวอีก?

หวานเจียงจึงเอ่ยถามไปตามตรง

“ในเมื่อรู้แบบนี้ แล้วทำไมไม่เปลี่ยนล่ะ?”

จ้าวเฉียนตอบกลับไปอย่างหน้าตาเฉยว่า

“ก็ฉันชินกับนิสัยแบบนี้ไปแล้ว ทำไมถึงต้องเปลี่ยนด้วย?”

“มันง่ายนะที่จะปล่อยตัวเองไปเลยตามเลย แต่ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ในไม่ช้าก็เร็วมันจะส่งผลกระทบไปถึงคนรอบตัวนาย ทั้งพ่อทั้งแม่ รวมไปถึงตัวฉันด้วย นี่นายรู้ตัวไหมว่า ตัวเองกำลังทำผิดอยู่?”

จ้าวเฉียนทำหูทวนลมลุกขึ้นจากโซฟาและเดินตรงไปยังห้องนอน แต่ขณะที่กำลังจะเดินเข้าห้องไป เขากลับถูกหวานเจียงรั้นไว้ไม่ให้ไปไหน เธอเอ่ยถามจ้าวเฉียนด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่งว่า ตกลงเขาจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆแบบนี้ได้ไหม?

หวานเจียงค่อนข้างจริงจังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เธอจึงกล่าวอธิบายให้จ้าวเฉียนฟังต่อว่า ถ้าในอนาคตต่อไป พวกเขาต้องแต่งงานมีครอบครัวกันจริงๆ สักวันหนึ่ง เธอไม่อยากต้องมาได้ยินข่าวการตายของเขา และถ้าไม่มีเขาอยู่ต่อไป แล้วเธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง? นี่ยังไม่รวมถึงลูกของพวกเขาที่จะถือกำเนิดมาในอนาคตอีก?

จ้าวเฉียนย่อมเข้าใจความหวังดีของหวานเจียงที่มีต่อเขาดี แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล มันไม่ใช่ว่าตัวเขาจะเที่ยวหาเรื่องคนไปทั่วโดยไม่สนสี่สนแปดอะไรสักหน่อย แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ต้องการพูดขัดเธอในตอนนี้ มิฉะนั้นทั้งคู่ต้องทะเลาะกันอย่างแน่นอน

จ้าวเฉียนเปลี่ยนเรื่องทันควัน เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มขึ้นว่า

“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ? ถ้าพวกเราแต่งงานมีครอบครัวงั้นเหรอ? นี่เธอกำลังสารภาพรักกับฉันอยู่หรือเปล่า?”

ใบหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นทันที เธอรีบอธิบายมให้ฟังโดยเร็วว่า

“ฉัน…ฉันแค่ยกตัวอย่างขึ้นมาเฉยๆ! ทั้งหมดก็อยากให้นายเปลี่ยนนิสัยแย่ๆแบบนี้ไง ถ้านายสัญญากับฉันว่าจะเต็มใจยอมเปลี่ยนนิสัยในจุดนนี้จริง ฉัน…ฉันก็จะลองพิจารณานายเป็นแฟนดูก็ได้นะ แต่ถ้าไม่ ฉันก็คงต้องตัดใจ…”

 “ได้! ฉันจะเปลี่ยน! แต่ขอแรงจูงใจหน่อยสิ”

คล้อยหลังพูดจบจ้าวเฉียนก็ดึงร่างของหวานเจียงเข้ามาสอดกอดในอ้อมแขน และเริ่มปลดกระดุมชุดนอนของเธอออกทันทีทีละเม็ด

แต่ขณะนั้นเอง เสียงมือถือพลันดังขึ้นขัดจังหวะระหว่างทั้งสองอย่างพอดิบพอดี เขาจำใจต้องปล่อยหวานเจียงออกไป และเดินออกไป ณ มุมหนึ่งเพื่อรับโทรศัพท์

จ้าวเฉียนพยายามข่มกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ เขากดรับสายและกล่าวขึ้นว่า

“ว่าไงบ้าง?”

“คุณชายจ้าว พวกกลุ่มคนที่ติดตามคุณชายมา พวกผมจับตัวได้เรียบร้อยและยอมสารภาพแล้วว่า เป็นคนของหลิวเปา”

หยางหู่รีบรายงานความคืบหน้าทันที

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็งุนงงเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่า ทำไมหลิวเปาถึงหันกลับมาโจมตีเขาอีกแล้ว?

ตอนที่256 ถอนรากถอนโคนหลิวเปา

พอคิดดูให้ดี ระหว่างจ้าวเฉียนกับหลิวเปา พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันนานมากแล้ว แต่ทำไมจู่ๆถึงส่งคนมาลอบติดตามแบบนี้?

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วทำไมหลิวเปาต้องส่งคนมาจัดการฉันด้วย? ระยะที่ผ่านมา ฉันกับเขาไม่มีเรื่องขัดแย้งกันเลยนะ”

แต่ระดับลูกกระจ๊อกเหล่านี้จะไปรู้ได้อย่างไรว่า ทำไมหัวหน้าใหญ่ถึงส่งพวกเขามาจัดการจ้าวเฉียน คำตอบที่ได้มาจากพวกเขาก็เพียงว่า แค่ทำตามสั่งของนายใหญ่เท่านั้น

แต่หลังจากนั้นไม่นาน สายลับที่หยางหู่ส่งไปก็โทรมารายงานว่า เหตุผลที่หลิวเปาลงมือกับจ้าวเฉียนเป็นเพราะ กระตุ้นให้จ้าวเฉียนพุ่งเป้าไปที่จางต้าเฉิน เพื่อกระตุ้นให้จางต้าเฉินเพิ่มงบประมาณจ้างนักฆ่าจากเซียงเจียงมาจัดการกับจ้าวเฉียนอีกทีหนึ่ง

จ้าวเฉียนตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเกินไป หยางหู่ไม่สามารถนั่งสั่งการอยู่เฉยๆได้อีกแล้ว นอกจากนี้ยังหมายความได้อีกว่า ครั้งนี้หยางหู่จะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มนักฆ่ามืออาชีพอีกครั้งชนิดแลกกันไปข้าง

ครั้งล่าสุดที่เขาออกโรง หยางหู่ถูกยิงอาการสาหัส แต่ดีที่ยังไม่ตาย หลิวเปาเล็งเห็นโอกาสและมีความเชื่อว่า หยางหู่ไม่มีทางโชคดีไปได้ตลอด ต้องมีสักครั้งที่อีกฝ่ายต้องพลาดท่าถูกยิงตาย และเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ หลิวเปาจึงทำทุกวิถีทางหวังบีบให้จางต้าเฉินเพิ่มงบจ้างนักฆ่า

ขอเพียงหยางหู่ตายลง อำนาจอิทธิพลในโลกใต้ดินของเมืองตงไห่ทั้งหมดจะตกอยู่ในกำมือของเขา หลิวเปาผู้นี้

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหยางหู่ทั้งหมด จ้าวเฉียนก็อดหัวเราะไม่ได้ ด้วยไอคิวอันต่ำต้อยของหลิวเปา หมอนี้ยังคิดที่จะครอบครองเมืองนี้เพียงลำพัง? หวังสูงเกินไปรึเปล่า?

อย่าเพิ่งลืมไป แม้จะไม่มีหยางหู่แล้ว แต่เมืองแห่งนี้ก็ยังมีลูกชายของมหาเศรษฐีระดับประเทศจ้าวฝู่อยู่ ขอเพียงจ้าวเฉียนคิดจะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายจริงๆ เขาสามารถจ้างระดับหัวหน้าแก๊งจากหยางจิ้งให้มาคุมเมืองตงไห่ต่อก็ยังได้ คงไม่ปล่อยให้ถึงคิวหลิวเปาอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อครั้งนี้หลิวเปาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ทั้งจ้าวเฉียนและหยางหู่ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไว้ไมตรีกับอีกฝ่ายแล้ว ในเมื่อเล่นใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาย่อมต้องเล่นใหญ่ยิ่งกว่า

จ้าวเฉียนออกคำสั่งหยางหู่ทันที ต่อจากนี้เป็นต้นไป เขาจะเตรียมบ่อนทำลายหลิวเปา

ส่วนหยางหู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องศึกการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เขาเพียงแค่ทำตามสั่งเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวฝู่เป็นคนออกคำสั่งให้เขาบินมาจัดการและควบคุมขั้วอิทธิพลในโลกใต้ดินของเมืองตงไห่เมื่อสิบปีก่อน ปานนี้เขาคงกลายมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้จ้าวฝู่ไม่ก็จ้าวเฉียนไปนานแล้ว เพราะนี่คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วนายพอจะรู้ไหมว่า ที่แก๊งของหลิวเปามีเอี่ยวกับพวกเรื่องค้ากาม ยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายอะไรไหม?”

หยางหู่รีบตอบทันทีว่า

“ต้องมีอยู่แล้วครับ พวกเขาไม่เหมือนกับพวกเราที่มีแหล่งรายได้หลักจากการเปิดสถานบันเทิงและธุรกิจถูกฎหมายอื่นๆ โดยส่วนใหญ่แหล่งรายได้ของพวกมันมาจากธุรกิจสีเทาค่อนไปทางมืดเลยคับ เรื่องยาเสพติดเลี่ยงไม่ได้แน่นอน จะให้ผมใช้ในส่วนนี้จัดการมันใช่ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่น หยางหู่เป็นนักฆ่าผู้มีประสบการณ์เจนจัดอย่างแท้จริง แค่เกริ่นขึ้นมานิดๆหน่อยๆก็เข้าใจได้ในทันที

ถ้าจะปล่อยให้หยางหู่ปะทะกับหลิวเปาตรงๆ ราคาที่ต้องจ่ายย่อมสาหัสสากรรจ์อย่างแน่นอน สู้หยิบฉวยจุดอ่อนของอีกฝ่ายและบ่อนทำลายจากภายในยังจะดีกว่า

กดดันจนพลังอำนาจของหลิวเปาอ่อนแอถึงขีดสุด ยามนี้ค่อยให้กำลังคนขงอหยางหู่เคลื่อนไหว ถึงตอนนั้นไม่ว่าหลิวเป่าจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่มีทางหนีจากความตายได้แน่นอน

ถ้ามันยังขัดขืนสู้มือ หยางหู่คนเดียวก็เอาอยู่แล้ว

จ้าวเฉียนวางสายโทรศัพท์ เดินกลับไปหาหวานเจียงโดยไว แต่เธอไม่มีอารมณ์จะมาทำเรื่องอย่างว่าแล้ว ตอนนี้นั่งอยู่หน้าคอมทำงานค้างคาต่อให้เสร็จ

จ้าวเฉียนลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งนั่งข้างเธอและยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“มันไม่ดีต่อผิวหน้าหรอกนะ การทำงานต่อตอนดึกๆดื่นๆแบบนี้เนี่ย อีกอย่างพรุ่งนี้เราต้องบินไปหยางจิ้งแล้ว ไปนอนกันเถอะ”

หวานเจียงเหล่มองเขาเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันยังไม่อยากนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปหยางจิ้งแล้วไง ฉันเลยอยากทำงานค้างที่เหลือให้เสร็จ นายไปนอนบนเตียงฉันไป เดี๋ยวฉันนอนที่ห้องรับแขกเอง”

จ้าวเฉียนปฏิเสธทันทีทั้งยังบอกอีกว่า พรุ่งนี้จะต้องกลับบ้านไปพบพ่อแม่ของเขาแล้ว ถ้าไปแบบสภาพไม่พร้อมขึ้นมาจะขายหน้าเอาได้

แต่หวานเจียงกลับสวนตอบทันทีว่า

“แล้วไง? ก็ฉันอยากไปเจอพ่อแม่นายแบบไม่มีอะไรต้องค้างคาไง นายห้ามฉันได้งั้นเหรอ? ผิดกฎหมายรึเปล่าห่ะ? ไปนอนได้แล้ว ฉันจะทำงาน!”

จ้าวเฉียนถึงกับผงะไปชั่วครู่ จู่ๆก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่เธอเป็นคนราศีอะไรเนี่ย? หรือเป็นพวกมีสองบุคลิกในคนเดียว? เมื่อกี้ยังเป็นห่วงฉันกำลังโรแมนติกกันอยู่เลย ทีตอนนี้ไล่ให้ฉันไปนอน อยากทำงานขึ้นมาเฉยเลย?”

หวานเจียงหยุดพิมอีเมล เหลืองหางตามองจ้าวเฉียนเจือรำคาญพลางตอบไปว่า

“นี่มันเรื่องของฉัน ไปนอนได้แล้ว อย่ารบกวนฉันตอนทำงาน!”

จ้าวเฉียนเหลือบมองจอคอมพิวเตอร์ของหวานเจียงเล็กน้อย พอเห็นว่าเธอกำลังพิมพ์เมลตอบลูกค้าไปอยู่จริงๆ ก็เลยไม่อยากจะรบกวนเธอแล้ว และเข้านอนเพียงลำพังไป

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดหวานเจียงก็ทำงานเสร็จสักที และแล้วเธอก็ได้เข้านอน เดินมายังห้องรับแขก หวานเจียงก็ทิ้งลงบนโซฟาทันทีด้วยความเหน็ดเหนื่อย

แต่ทันทีทันใด หวานเจียงพลันรู้สึกได้ทันทีว่ามีใครกำลังพร่อมร่างเธออยู่ พอหรี่ตาสังเกตดีๆก็พบว่าเป็นจ้าวเฉียนที่กำลังโน้มศีรษะเข้ามา

“นี่นายกำลังทำบ้าอะไรเนี่ย! ออกไป!”

หวานเจียงปริปากบ่นทันทีพร้อมยกมือผลักร่างจ้าวเฉียนออกไปอย่างแรง แต่จ้าวเฉียนยังคงนั่งคร่อมเธอทั้งแบบนั้น ไม่ว่าจะพยายามออกแรงยังไงก็ไร้ผล หลังจากดิ้นขัดขืนอยู่นาน ในที่สุดเธอก็หยุดมือเลิกต่อต้านไป

จ้าวเฉียนรุกหนักต่อเนื่องทันที เสียงโซฟาดังเอี๊ยดอ๊าดต่อเนื่องจนเกือบรุ่งสาง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนปลุกหวานเจียงให้ตื่น

พอเธอตื่นขึ้นก็เหลือบมองนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งหกโมงเช้าอยู่เลย เธอจึงหลับตานอนต่อพลางบ่นอุบอิบขึ้นว่า

“นี่เพิ่งกี่โมงเอง ปลุกฉันทำไมเนี่ย”

“นี่มันหกโมงเช้าแล้วนะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วมาจัดกระเป๋าเดี๋ยวนี้เลย! เราต้องรีบไปสนามบิน!”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบ

“นายนี่มันขยันผิดที่ผิดเวลาจริงๆนะ กว่าจะบินก็เที่ยงกว่า นายจะรีบตื่นไปก่อนทำไม? ฉันไม่สน! ฉันง่วง! ฉันจะนอนต่อ!”

พอพสิ้นเสียง เธอก็พลิกตัวหันไปอีกด้านและนอนต่อ

จ้าวเฉียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและเก็บของก่อน จึงค่อยกลับมาปลุกเธอ

หลังจากที่ทั้งสองกำลังเช็คของครั้งสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน โทรศัพท์ของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นจ้าวฝู่โทรมาหา

เปิดฉากรับสาย จ้าวฝู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นและกล่าวขึ้นว่า

“เห้ย! แกตื่นรึยังห่ะ? ระวังตกเครื่อง ตอนนี้ทั้งปู่และย่าแก รวมไปถึงอาโตอารองร่ายยาวไปยันอาเจ็ดอาแปดเพิ่งบินมาถึงสนามบินหยางจิ้ง แม่แกกำลังขับรถออกไปรับอยู่ แถมคุณตาคุณย่า บรรดาป้าๆทั้งหลายกำลังรอแกกลับมาอยู่นะ อย่าปล่อยให้พวกเขารอเก้อ!”

จ้าวเฉียนถึงกับสะดุ้งโหย่งทันทีที่ได้ยิน ไหนว่าก่อนหน้าพ่อบอกว่า แค่กลับมาพบปะครอบครัวธรรมดาทั่วไป ไม่ได้เป็นทางการอะไรขนาดนั้น ซึ่งเขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาไปแล้ว แต่ไหงถึงเป็นงานรวมญาติใหญ่ตาปานนี้?

ไม่เป็นไร ใจเย็นก่อนไอ้จ้าว ถ้าเขากับหวานเจียงแต่งงานกันจริงๆในอนาคต นี่ก็ถือเป็นการพาเธอมาพบปะกับครอบครัวเขา ดังนั้นใจเย็นไปได้เป๊าะหนึ่ง

หลังเห็นว่าจ้าวเฉียนเงียบชะงักไปพักใหญ่ จ้าวฝู่ก็หัวเราะลั่นนึกหน้าอีกฝ่ายออกได้ทันที

“ไอ้ลูกชาย แกเป็นถึงลูกชายเพียงคนเดียวของฉัน อนาคตไม่ใช่แค่ฝากความหวังของตระกูลจ้าวไว้กับแก แต่ยังรวมไปถึงภรรยาของแกในอนาคตอีก แน่นอนว่าทุกคนต้องใสใจกับคู่หมั้นของแกเป็นธรรมดา”

“ผมเข้าใจนะพ่อกับสิ่งที่พยายามจะสื่อ แต่ผมยังไม่ได้ตัดใจเลยว่าจะแต่งกับเธอไหม ไม่…ไม่สิยังไม่ได้คบเป็นแฟนเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่ได้อยู่ร่วมกับเธอจริงในอนาคต นี่ไม่ต่างอะไรกับเอามาขายหน้าหรอกเหรอ? เรื่องนี้มันใหญ่มากเลยนะพ่อ ผมต้องค่อยๆตัดสินใจด้วยความระมัดระวังมาก อย่ากดดันผมแบบนี้เลย”

จ้าวฝู่กังวลว่า ลูกชายของเขาจะไม่กลับมาจริงๆเพียงเพราะโกรธเรื่องดังกล่าว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทุกคนที่รอมาเจอหลานชายจำต้องผิดหวังไปตามๆกัน

ดังนั้นเขาจึงรีบปลอบไอ้ลูกชายจอมน้อยใจทันทีว่า

“ใจเย็น ใจเย็นก่อนไอ้ลูกชาย พวกเขาแค่อยากเห็นหน้าแม่สาวน้อยฮวาหยินกรุ๊ปเฉยๆ พวกเขาไม่จี้ถามแกเรื่องส่วนตัวหรอกน่า เอาล่ะ รีบๆมาได้แล้ว พวกเรารออยู่”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะวางสายไป

ถ้าหวานเจียงรู้เข้า เธอคงกลัวจนไม่กล้าเดินทางไปหยานจิ้งแน่นอน

จ้าวเฉียนจึงตัดสินใจไม่บอกเรื่องนี้แก่เจอ รอไปเซอร์ไพรส์เธอทีเดียวตอนถึงที่นั่น

ตอนที่257 ไม่ไปแล้ว

เนื่องจากจ้าวเฉียนต้องรีบกลับบ้านตัวเองเพื่อไปจัดกระเป๋าก่อน เขาจึงรีบออกไปทันที

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาที่บ้านของหวานเจียง

หวานเจียงที่ได้ยินเสียงกดออดดัง ก็ลุกขึ้นตื่นอย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก เดินโซเซเดินไปเปิดประตูให้เขาและบ่นขึ้นว่า

“นี่แค่กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่เองไม่ใช่เหรอ? ตื่นเต้นขนาดนั้นเลย? รีบปลุกฉันตั้งแต่เช้า จะให้ฉันไปนอนต่อในสนามบินรึไง?”

จ้าวเฉียนวางกระเป๋าสัมภาระในมือลง แล้วตอบกลับไปว่า

“โอ้ คุณพี่สาวสุดสวยครับ ที่เรากำลังไปขึ้นคือเครื่องบินโดยสาร ไม่ใช่เครื่องบินส่วนตัวนะครับ เราต้องไปถึงสนามล่วงหน้าก่อนสองชั่วโมง รีบไปจัดกระเป๋าเดินทางได้แล้ว”

หวานเจียงตอบกลับเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“ไม่เห็นต้องจัดอะไรเลย แค่ยัดเสื้อผ้าสองสามชิ้นลงกระเป๋า ฉันไปนอนต่อก่อนล่ะ ไม่ไหว ไม่ไหว ฉันง่วงมากเลย”

หลังจากพูดหวานเจียงก็ตรงกลับไปห้องนอนอีกครั้งทันที จ้าวเฉียนรีบก้าวออกไปสวมกอดเธอจากด้านหลังและกล่าวขึ้นว่า

“พี่สาวสุดสวย รอขึ้นเครื่องก่อน ถึงตอนนั้นได้นอนตามต้องการแน่นอน แต่ตอนนี้รีบจัดกระเป๋าก่อนดีกว่าเนอะ?”

หวานเจียงส่ายหัวสุดแรง ยกกำปั้นทุบตีตัวเองเบาๆเพื่อกระตุ้นให้ตื่นสองสามที

“โอเค โอเค! ฉันจะรีบล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปเก็บของเดี๋ยวนี้แหละ ตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบตกลง และช่วยไปหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอเพื่อให้เธอมาจัดเสื้อผ้าใส่เข้าไป

พอลองเปิดตู้เสื้อผ้าของหวานเจียงออกมาดู มันช่างน่าทึ่งเป็นอย่างมาก สรรพสิ่งอย่างถูกแขวนไว้อย่างประณีต ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบนับหลายร้อยชุด เวลานั้นพลันได้ยินเสียงหวานเจียงตะโกนมาบอกให้ จ้าวเฉียนเลือกชุดยัดเข้ากระเป๋าได้เลย เขาก็รีบเลือกออกมาประมาณสิบชุดออกมาพับใส่กระเป๋าเดินทาง ซึ่งพูดได้เลยว่า เสื้อผ้าแต่ละชิ้นของเธอ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปจะมีปัญญาซื้อมาใส่เองได้เลย

หวานเจียงเปิดประตูห้องน้ำออกมาดูจ้าวเฉียนจัดเสื้อผ้า พลางแปรงฟันอยู่คาปากอย่างเชื่องช้าเหมือนว่ายังงัวเงียอยู่ ถ้าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปด้วยความเร็วเพียงแค่นี้ มีหวังตกเครื่องแน่นอน

“พี่สาวสุดสวยครับ รบกวนเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม นี่เครื่องบินนะครับไม่ใช่รถไฟที่ไปถึงแล้วยื่นตั๋วขึ้นได้เลย”

จ้าวเฉียนกล่าวเร่งเร้า

หวานเจียงเหลือบมองเขาเล็กน้อย แต่ก่อนไม่ได้พูดอะไรและยังแปรงฟันต่อไปอย่างใจเย็น

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ และทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็เปิดประตูออกมาเหลือบมองเขาอีกครา พอเห็นว่าอีกฝ่ายหน้ามุ่ยเป็นตูดลิง เธอจึงเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย

แต่จะอย่างไร ผู้หญิงก็คือผู้หญิง กว่าจะทาครีมโน้นนี่ แต่งหน้าทำผม ไม่ว่าจะพยายามเร่งความเร็วแค่ไหน แต่มันก็ใช้เวลาเบ็ดเสร็จเกือบชั่วโมงกว่าจะเสร็จ

หลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้ว หวางเจียงก็ยืนหน้าตู้เสื้อผ้าอยู่ครู่หนึ่ง คิดอยู่ว่าจะแต่งตัวยังไงไปดี ทั้งนี้ต้องไปเจอพ่อแม่ของจ้าวเฉียน จะให้แต่งตัวจัดไปก็ดูเสียมารยาท จะให้แต่พิธีการตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เชยเกินไป หลังจากลองไปกว่าสองสามชุด ก็ยังเลือกที่ถูกใจไม่ได้

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หลังจากดูเธอเปลี่ยนชุดไปเปลี่ยนชุดมาอยู่นาน จ้าวเฉียนก็ผล็อยหลับไป!

เมื่อคืนเขาใช้เวลาโดยส่วนใหญ่ไปกับหวานเจียง แถมยังต้องรีบตื่นเช้ากลับบ้านตัวเองไปจัดข้าวของอีก จึงเผลอหลับคาเตียงไปโดยไม่รู้ตัว

พอไม่มีใครเร่ง หวานเจียงก็ยิ่งเลือกชุดเสื้อผ้านานยิ่งขึ้นไปอีกโดยไม่รีบไม่ร้อน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็ปาเข้าไปสิบโมงครึ่งแล้ว! หวานเจียงที่แต่งตัวเลือกเครื่องประดับเสร็จสิ้น ก็เดินไปสะกดจ้าวเฉียนสองสามที

พอจ้าวเฉียนลืมตาตื่นขึ้น เขาก็สะดุ้งลุกขึ้นพรวดโดยไว

“เสร็จแล้วใช่ไหม? ไปกันเถอะ! รีบไปได้แล้ว…”

จ้าวเฉียนวิ่งออกไปใส่รองเท้าคว้ากระเป๋าเดินทาง เตรียมออกจากบ้านทันที

หวานเจียงลากกระเป๋าเดินทางตามติดมาอย่างใจเย็น เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“เอ่อ…นี่มันสิบโมงกว่าแล้ว เรายังไปทันใช่ไหม?”

“อะไรนะ?! นี่สิบโมงกว่าแล้วเหรอ? ทำไมถึงอาบน้ำแต่งตัวนานขนาดนี้! นี่ฉันอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้าไปจัดกระเป๋าที่บ้าน ให้ตายเถอะ! นี่เธอจงใจสร้างปัญหาให้ฉันใช่ไหม?!”

จ้าวเฉียนตะคอกใส่ทันทีด้วยความไม่พอใจ

หวานเจียงที่โดนตะคอกใส่แบบนั้นก็ไม่พอใจเช่นกัน เธอโต้กลับทันทีว่า

“นี่นายจะโวยวายให้มันได้อะไร! ก็นายไม่ยอมให้ฉันนอนดีๆตั้งแต่เมื่อคืน แล้วตอนนี้จะมาโทษฉันนี่นะ?”

“หุบปากไปเลย! นอนก็นอนพร้อมกัน ตื่นก็ตื่นพร้อมกัน แล้วทำไมฉันทำได้! ช่างเถอะ! ถ้ารีบขับตรงไปสนามบินก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง น่าจะทันอยู่”

จ้าวเฉียนยังคงแหกปากตะคอกใส่เธออย่างไม่หยุดหย่อน

อันที่จริง หวานเจียงก็นู้สึกผิดอย่างมากภายในใจ เธอรู้ดีว่าตัวเธอเองนี่แหละที่อาบน้ำแต่งตัวช้าเอง แต่เขาไม่เห็นจะต้องตะโกนใส่เธอขนาดนี้เลย?

“ไปเองเถอะ! ฉันไม่ไปด้วยแล้ว!”

หวานเจียงโกรธจัดจนโยนกระแนสะพายในมือทิ้งออกไป และตรงไปนั่งกอดอกแน่นบนโซฟาด้วยความน้อยใจ

จ่าวเฉียนในขณะนี้เองก็กำลังเดือดได้ที่เช่นกัน เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ และง่ายอย่างยิ่งที่เธอจะปฏิบัติตาม แล้วที่สำคัญพวกเราทั้งคู่ก็ตกลงกันแล้ว เธอยอมกลับไปที่หยานจิ้งพร้อมกับเขา แลกกับสิทธิ์การบริหารฮวาหยินกรุ๊ปต่อ แล้วจู่ๆเธอจะมาผิดสัญญาแบบนี้งั้นเหรอ?

“นี่เธอหมายความว่ายังไงกัน?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด

“ไม่มีหมายความอะไรทั้งนั้น ฉันแค่ไม่อยากไปแล้ว!”

เธอดูประหม่าเล็กน้อย แตกต่างจากคำว่าเย็นชาโดยชัดเจน หวานเจีงถูมือไปมาไม่หยุด ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาอะไรใดๆอีก

จ้าวเฉียนที่เห็นเธอน้อยใจแบบนั้น ก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆพร้อมพูดปลอบโยนขึ้นว่า

“เสี่ยวเจียง เธอน้อยใจอยู่เหรอ? นี่มันไม่เหมือนเธอที่ฉันรู้จักเลยนะ”

คนอย่างหวานเจียงย่อมไม่ยอมรับแน่นอนว่าตัวเองกำลังน้อยใจ เธอสะบัดหน้าปฏิเสธเสียงแข็งว่า

“อะไร! ใครน้อยใจกัน! ฉันแค่หมดอารมณ์ไปกับนายแล้วก็แค่นั้น!”

จ้าวเฉียนเดินไปหยุดตรงหน้าเธอและนั่งยองๆต่อหน้า พลางกล่าวต่อขึ้นว่า

“เอาเป็นว่าฉันผิดเอง แล้วต้องทำยังไงพี่สาวคนสวยถึงยอมหายโกรธล่ะ? จะให้ฉันกลับบ้านคนเดียวแล้วโดนดุเหรอ?”

สายตาของหวานเจียงเหลือบหนีหน้าเขาเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเธอก็กล่าวขึ้นว่า

“ได้ วิธีน่ะมีแน่! มอบหุ้นบริษัท เฉียนเก๋อให้ฉันเพิ่มอย่างน้อย10% ถ้าทำได้ พวกเราจะออกเดินทางไปทันที!”

แต่ไหนแต่ไรหวานเจียงต้องการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของเฉียนเก๋ออยู่แล้ว ทว่าทันทีที่จ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็มืดทมืฬลงทันใด ปรากฏว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นการแสดง เพื่อขู่เข็ญให้จ้าวเฉียนยอมยอมหุ้นอย่างงั้นเหรอ?

“หวานเจียง ที่แท้เธอก็ต้องการแบบนี้มาตลอดเลยใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนพูดเสียงขรึมด้วยความโกรธจัด

หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอที่เห็นแววตาของจ้าวเฉียนในขณะนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า เขากำลังโกรธมาก อย่างไรก็ตามแต่ ในเมื่อเธอพูดไปแล้ว จะให้กลับคำได้ยังไง?

“ก็ใช่ไง! ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยากได้หุ้นของบริษัทนาย ถ้าเอ่ยปากขอเฉยๆแล้วนายจะยอมให้ฉันรึไง เหอะ เอะ…ฉันไม่ใช่คนโลภอะไรหรอกนะ แต่นายต่างหากที่ไม่เคยให้โอกาสฉันเลย! ฉันไม่กลัวหรอกนะกับแค่จะฉีกหน้านาย จะให้หรือไม่ให้? ถ้าไม่พ่อแม่ของนายคงต้องผิดหวังแล้วล่ะ!”

ออร่าความเป็นราชินีน้ำแข็งแพร่ปรากฏขึ้นใรทันใด เธอถือได้ว่า จ้าวเฉียนในตอนนี้เป็นเพียงหุ้นส่วนทางด้านธุรกิจเท่านั้น ใช่แล้ว…เธอพยามยามแสดงสีหน้าท่าทางออกไป เพื่อให้จ้าวเฉียนคิดแบบนั้นจริงๆ

จ้าวเฉียนทำได้เพียงจับจ้องหวานเจียงครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาวและกล่าวขึ้นด้วยความผิดหวังว่า

“ตกลงแล้ว…เธอต้องการให้ฉันยึดสิทธิ์การบริหารฮวาหยินกรุ๊ปคืนใช่ไหม?”

หวานเจียงพ่นลมหายใจใส่และตอบไปว่า

“ที่พวกเราตกลงกัน ฉันสัญญาว่าจะเดินทางไปบ้านเกิดพร้อมนาย แต่ไม่ได้บอกว่าไปสายแล้วจะยกเลิกไม่ได้? ถ้านายกล้ายึดสิทธิ์การบริหารของฉันไป ก็เท่ากับทำผิดสัญญาที่พวกเราเซ็นร่วมกัน และฉันมีสิทธิ์ฟ้อง!”

ดูเหมือนว่าหวานเจียงยังคงไม่เข้าใจโดยกระจ่างว่า เพราะเหตุมดจ้าวเฉียนถึงทุ่มเงินกว่าสี่พันล้านเพื่อควบคุมฮวาหยินกรุ๊ในมือ

“หวานเจียง เธออาจจะทำตัวแบบนี้แล้วได้ผลกับคนอื่น แต่นั้นเปล่าประโยชน์สำหรับฉัน คิดว่าการที่ฉันทุ่มเงินไปสี่พันล้านมันเป็นเรื่องตลกมากรึไง? เธอไม่รู้แม้กระทั่งจุดยืนของตัวเองในตอนนี้ด้วยซ้ำ ฉันไม่อยากพูดจาไร้สาระกับเธอแล้ว รอฉันกลับจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้เลย แล้วฮวาหยินกรุ๊ปจะเปลี่ยนชื่อของสกุลหวานเป็นสกุลจ้าวคอยดู!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็หยิบกระเป๋าเดินทางลากออกไปทันที

หวานเจียงตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นแบบนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอ ตัวเธอมักจะมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ ควรเป็นอีกฝ่ายที่ต้องขอร้องอ้อนวอนเธอ แต่ทำไมจ้าวเฉียนถึงแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิงเลย?

ตอนที่248 เรียกหุ้นคืน

เมื่อเรื่องเงินทุนสามารถหาทางออกได้ เฉิงต้าซีก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วเช่นกัน เขาสามารถเริ่มต้นโครงการ5GและAIอัจฉริยะได้อีกครั้งทันที

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ปัจจุบันคือ การรับสมัครพนักงงานฝ่ายพัฒนา ถ้าไม่มีนักวิจัยและผู้พัฒนา แล้วจะเริ่มต้นโครงการยังไง?

จ้าวเฉียนจึงหันไปสั่งงานเหรินจานซวนทันที ให้เปิดรับสมัครพนักงานของแต่ละแผนกที่กำลังขาดคน โดยเฉพาะกับแผนกพัฒนา ต้องให้ความสำคัญกับคนแผนกนี้ก่อนโดยเร็วที่สุด

เหรินจานซวนรีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องรับพนักงานในอัตราจ้างที่สูงกว่าบริษัทอื่น เพื่อเรียกคนมีศักยภาพเข้ามา”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“ตราบใดที่ได้พนักงานมีความสามารถเข้ามาร่วมพัฒนากับทางเรา และเข็นโครงการทั้งสองออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้ เงินส่วนนี้ที่เสียไปก็นับว่าคุ้มค่า เข้าใจสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อไหม?”

เหรินจานซวนและเฉิงต้าซีพยักหน้าตอบโดยพร้อมเพรียง

ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่ รปภ.ที่เฝ้าหน้าบริษัทก็ต่อสายตรงโทรหาเฉิงต้าซีโดยแจ้งว่า พวกผู้ถือหุ้นก่อนหน้าอยากเข้าพบจ้าวเฉียน

เฉิงต้าซีรีบขอความเห็นจากจ้าวเฉียนทันทีว่าจะ ยอมให้พวกผู้ถือหุ้นเข้าพบหรือไม่

จ้าวเฉียนในตอนนี้เองก็ต้องการเรียกหุ้นทั้งหมดในมือพวกนั้นคืนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า

“ให้พวกเขาเข้ามา”

เฉิงต้าซีโทรสั่งให้รปภ.ปล่อยพวกเขาเข้ามา

ไม่นานกลุ่มผู้ถือหุ้นก็เดินตรงเข้ามาในห้องประชุม

จ้าวเฉียนกล่าวทักทายพวกเขาเล็กน้อยก่อนเชิญให้นั่งลงด้วยใบหน้าจริงจัง พวกเขาเหล่านั้นได้แต่ยิ้มแห้ง รีบนั่งลงทันทีอย่างประหม่า

เฉิงต้าซีเอ่ยถามขึ้นว่า

“พวกคุณทุกท่าน มีธุระอะไรกับคุณจ้าวงั้นเหรอครับ?”

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กคล้ายว่าอยากให้คนอื่นพูดเปิดประเด็นขึ้นก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพูด

จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นจึงเอ่ยขึ้นทันทีว่า

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็เชิญออกไปครับ พวกเราจะคุยธุระกันต่อ!”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็รีบเอ่ยปากอธิบายให้ฟังทันที

“คุณจ้าว พวกเรามาที่นี่เพื่อขอโทษคุณน่ะครับ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าจางต้าเฉินควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงเป็นเหตุผลให้เราไม่กล้าขัดค้านและจำใจสนับสนุนเขา…”

“คุณจ้าว ก่อนหน้าเพราะเรายังไม่คุ้นเคยหรือได้รู้จักคุณมาก่อน พวกเราจึงเสียมารยาทไป ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเงินปันผลก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลังจากนี้ที่คุณจ้าวรับช่วงต่อเข้ามาบริหาร พวกเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งครับว่า เซียนเหว่ยจะต้องพัฒนาไปอีกขั้น พวกเราเป็นแค่ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะไม่ขอเข้าไปแทรกแซงอะไรอีกแล้วครับ ยังไงพวกเราต้องขอโทษคุณจ้าวจริงๆ”

“ใช่ครับ พวกเรารู้สึกแย่จริงๆนะครับที่ทำตัวเสียมารยาทกับคุณจ้าวไปก่อนหน้า หวังว่าคุณจ้าวจะให้โอกาสพวกเรานะครับ”

………..

เนื่องจากจ้าวเฉียนแสดงให้เห็นแล้วว่า ตนมีเส้นสายที่แข็งแกร่งขนาดไหนและจางต้าเฉินก็ไม่ใช่คู่มือเลย บรรดาผู้ถือหุ้นเหล่านี้จึงคาดว่า บริษัทเซียนเหว่ยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฉียนจะต้องทำเงินได้เป็นมหาศาลหลังจากนี้ในอนาคต ดังนั้นหุ้นในมือพวกเขาแค่นี้มันจะไปพอได้ยังไง? แต่ละคนต่างพยายามหาวิธีประจบประแจทันทีเพื่อขอส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่ม

แต่คิดหรือว่าจ้าวเฉียนจะอ่านเกมของคนพวกนี้ไม่ออก?

เขายิ้มกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ผมเข้าใจสิ่งที่พวกคุณหมายถึงไปนะครับ แต่ยังไงก็คงต้องขอโทษด้วย ผมคงไม่เก็บคนของจางต้าเฉินไว้ข้างตัวแน่นอน ดังนั้นเพื่อให้เราได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ผมขอเสนอให้พวกคุณขายหุ้นในมือมาให้ผม ไม่อย่างนั้นผมจะทำการขยายส่วนผู้ถือหุ้น เพื่อเจือจางมูลค่าหุ้นส่วนในมือพวกคุณ ถ้าตัดสินใจช้า พวกคุณก็จะยิ่งขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ”

แน่นอน พวกผู้ถือหุ้นเองก็คิดไว้แล้วเช่นกันว่าอีกฝ่ายต้องมาไม้นี้ เพราะจุดยืนก่อนหน้าของจ้าวเฉียนค่อนข้างชัดเจนมากเช่นกัน เขาไม่เก็บคนของจางต้าเฉินไว้แน่นอน

เมื่อทุกอย่างถึงจุดนี้แล้ว พวกเขาก็ได้โอกาสเรียกร้องเสียที

น้ำเสียงของแต่ละคนดูแข็งกร้าวขึ้น ไม่ดูประหม่าแบบเมื่อครู่แล้ว

“ถ้าอย่างนั้น คุณจ้าวลองเสนอราคามาดูครับ”

“ใช่แล้วครับ ลองยื่นข้อเสนอมาก่อน แต่อย่าถือโอกาสนี้บีบคั้นกันเลยนะครับ คุณจ้าวควรตั้งราคาอย่างยุติธรรม”

……

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางยิ้มตอบไปว่า

“ผมเป็นพวกมีคุณธรรมนำใจอยู่ครับไม่ต้องห่วง ไม่เคยเอาเปรียบใครอยู่แล้ว แบบนี้แล้วกันครับ ทุก1%ของหุ้นในมือ ขายให้ผมในราคาหนึ่งล้านตกลงไหมครับ?”

ในทีแรกพวกเขาคิดว่าหุ้นทั้งหมดในมือน่าจะขายได้ไม่กี่แสน แจ่พอได้ยินอีกฝ่ายแค่เสนอเริ่มต้นก็หลักล้าน ทุกคนก็เกิดคาวมโลภขึ้นทันที

“ไม่มีทาง! น้อยเกินไปครับ!”

“ใช่ครับ คิดจะใช้แค่เงินไม่กี่ล้านไล่เราออกไปแบบนี้ คุณจ้าวใจแคบเกินไปแล้วครับ!”

“1%ในราคาสิบล้าน ถ้าเห็นด้วยพวกเราพร้อมชายให้ทันที!”

“ใช่ครับ อย่างน้อยสิบล้าน!”

…….

สีหน้าการแสดงออกของจ้าวเฉียนมืดทมิฬลงทันใด เขาหัวเราะเยาะคำหนึ่ง พลางเหลือบหางตามองอย่างเหยียดหยามทันทีพร้อมกล่าวว่า

“ดูเหมือนว่าพวกคุณทุกคนยังไม่เข้าใจสถานการณ์กันดีนะครับ พวกคุณอยู่ในสถานะที่ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ แต่ผมก็ยังเห็นใจไม่เอาเปรียบพวกคุณ พร้อมให้ราคาซื้อย่างยุติธรรมที่สุดแล้ว แต่ถ้าอยากให้ผมเล่นบทร้ายจริงๆก็ได้นะครับ ผมจะขยายส่วนหุ้นทันทีหลังจากนี้ เพื่อเจือจางมูลค่าหุ้นในมือของพวกคุณทั้งหมด หลังจากนั้นผมจะขอดูหน่อยว่า พวกคุณจะทำอะไรผมได้? แล้วไม่ต้องเอาบริษัทมาอ้างนะครับ ต่อให้บริษัทขาดทุน ผมก็ไม่สน ขอแค่บีบให้พวกคุณหมดตัวได้ก็พอ แล้วผมยังมีอีกหลายวิธีที่จะเล่นกับพวกคุณ เยอะแยะเต็มไปหมด ดังนั้นแล้ว ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า พวกคุณอยู่ในสถานะที่ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆทั้งสิ้น”

บรรดาผู้ถือหุ้นเหล่านั้นถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกจ้าวเฉียนขู่ไป สิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่มีทางล้มจ้าวเฉียนได้เลย ทุกคนในที่นี่ไม่ต่างอะไรกับหมากในกระดานของจ้าวเฉียน

ทุกคนต่างหันมองกันสบตาไปมาด้วยความไม่แน่ใจ ไม่มีใครกล้าแม้แต่ปริปาก เพราะพวกเขาไม่อยากทำให้สถานการณ์มันย่ำแย่ลงไปกว่านี้ จนทำให้ชวดข้อเสนอสุดคุ้มของจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนย่อมมองผ่านอ่านความคิดของคนพวกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขากล่าวขึ้นต่อว่า

“อย่าเสียเวลาเลยครับ แค่เอ่ยปากยอมรับข้อเสนอดีๆ ทุกอย่างก็จบแล้ว คุณได้กำไร ส่วนผมได้หุ้นส่วนกลับคืนมา ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ดีไหมครับ? แต่ถ้า…พวกคุณยังไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ก็ขอใหโชคดีแล้วกันนะครับ ช่วงนี้พวกคุณอาจจะลอยตัวไปก่อน หลังจากที่ผมจัดการปัญหาภายในของบริษัทจนเข้าที ผมก็มีเวลามากพอที่จะไล่จัดการพวกคุณไปทีละคน”

หลังจากที่พวกเขาหลายคนนั่งกุมขมับลังเลอยู่นราน ในที่สุดก็จำต้องยอมรับข้อเสนอของจ้าวเฉียนอย่างเชื่อฟัง

จ้าวเฉียนสั่งให้เฉิงต้าซีไปเตรียมสัญญาการโอนหุ้นมาทันที เพื่อให้พวกเขาลงนามเซ็นและประทับลายนิ้วมือ

ประมาณสิบนาทีต่อมา เฉิงต้าซีรีบพิมพ์เอกสารสัญญานำมาให้ทันที

จ้าวเฉียนตรวจสอบเอกสารสัญญาดังกล่าวโดยละเอียด หลังยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็เอ่ยปากสั่งว่า

“ส่งแต่ละฉบับให้พวกเขาเลย”

เฉิงต้าซีรีบแจกจ่ายให้แก่บรรดาผู้ถือหุ้นอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า ทุกคนก็เซ็นลงนามและประทับลายนิ้วมือเป็นอันเบ็ดเสร็จ สัญญาฉบับเหล่านี้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว

เท่ากันว่า จ้าวเฉียนต้องจ่ายเงินให้พวกเขาตามเงื่อนไขที่ตกลงกันโดยหุ้นจำนวน1%ต่อหนึ่งล้านหยวน

ณ จุดนี้ จ้าวเฉียนมีหุ้นทั้งหใดในบริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยีอยู่ทั้งหมด75%แล้ว โดยอีก25%ที่เหลืออยู่ในมือของจางต้าเฉิน

ผู้ถือหุ้นเหล่านั้นรับเช็คที่จ้าวเฉียนเซ็นให้ พลางถอนหายใจเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกัน หยางหู่ก็โทรสายหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนขอตัวออกจากห้องประชุมและเดินออกไปรับสายข้างนอก พร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฮาโหล เสี่ยวหู่ มีอะไรงั้นเหรอ?”

หยางหู่รีบตอบกลับทันทีว่า

“คุณชายจ้าว เมื่อกี้ทางเขตโทรมาถามว่าให้จัดการกับจางต้าเฉินยังไงดี?”

สำหรับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ จ้าวเฉียนไม่ต้องการบีบคั้นอีกฝ่ายมากเกินไป จึงกล่าวตอบไปว่า

“ปล่อยตัวมันออกมา แต่นายช่วยหาพาคนไปสั่งสอนมันสักหน่อย ไม่ต้องถึงตายนะแค่เอาปางตายพอ ให้มันตราตรึงกับประสบการณ์นี้ไปอีกนานเท่านาน เข้าใจไหม? อ่อ…ฝากบอกให้มันด้วยว่าฉันเป็นคนจ้าง”

“ห่ะ? ทำไมคุณชายต้องประกาศชื่อแซ่ให้มันรู้ตัว? ถ้าเกิดว่ามันวางแผนแก้แค้นขึ้นมาจะทำยังไงล่ะครับ?”

หยางหู่เอ่ยถามด้วยความกังวล

จ้าวเฉียนริบิดหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันแค่อยากทำให้มันได้เห็นว่า ฉันทรงอำนาจมากพอที่จะบดขยี้มัน ถ้ามันกล้าตอบโต้จริงๆ ครั้งนี้ก็ฝากนายจัดการซ้ำ ครั้งนี้เอาให้เป็นอำพาตไปเลย สำหรับหมาเลี้ยงไม่เชื่องก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด”

หยางหู่ไม่ลงความเห็นใดๆแต่ก็ตอบตกลงไปอย่างรวดเร็ว

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะส่งคนไปติดตามเขาไปเอง ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นจริง ผมจะลงมือจัดการเองครับ”

จ้าวเฉียนกรนเสียงอืมตอบกลับไป

“อืม มีอะไรอีกไหม?”

“ไม่มีแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นผมไม่กวนคุณชายจ้าวแล้ว”

หยางหู่รีบวางสายและโทรไปทักทายผู้ว่าการเขตทันที เพื่อสั่งให้ปล่อยตัวจางต้าเฉินออกมา

จางต้าเฉินผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอถูกปล่อยตัวออกมาก็พลันคิดว่าพวกตำรวจเกรงกลัวในอำนาจอิทธิพลของเขา ทันทีที่ก้าวพ้นโรงพัก เขาก็โทรหาจ้าวเฉียนเพื่อเยาะเย้ยทันที

ตอนที่ 249 เตรียมนอนโรงพยาบาล

จ้าวเฉียนที่กำลังสนทนาอยู่กับเหรินจานซวนและเฉิงต้าซี ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นจางต้าเฉินโทรมาหา เขาไม่ได้ออกไปรับสายข้างนอก แต่เปิดลำโพงต่อหน้าทั้งสอง

สุ้มเสียงสุดหยิ่งผยองของจางต้าเฉินดังขึ้นทันที

“ฮ่าฮ่าๆๆ….ไอ้หนู คิดว่าแกยังคุมตัวกูอยู่งั้นเหรอ? กูมีเส้นสายแข็งแกร่งกว่าที่แกคิด ตอนนี้กูเป็นอิสระแล้ว เป็นยังไงล่ะ? เริ่มกลัวรึยัง?”

จ้าวเฉียนอยากจะหัวเราะใส่ดังๆ แต่ก็แสร้งปั้นเสียงขรึมกล่าวตอบไปว่า

“โอ้? ออกมาได้แล้วเหรอครับ? แล้วผมก็ลากคุณเข้าไปใหม่ได้เช่นกัน ที่โทรมาอยากจะพล่ามแค่นี้เหรอครับ?”

จางต้าเฉินไม่คิดจะปิดบังจุดประสงค์ตัวเองแต่อย่างใด จึงตอบไปตามตรงว่า

“ใช่! กูแค่อยากจะโทรมาบอกแกว่า กูเป็นอิสระแล้ว แม้แต่ตำรวจยังต้องกลัว! กูแข็งแกร่งกว่าที่แกคิดไว้เยอะไอ้หนู! รอดูได้เลย….แกจบไม่สวยแน่นอน!”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบเจือน้ำเสียงรำคาญว่า

“โอเคครับ โอเค งั้นผมจะรอ ที่จะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม? งั้นมาเจอกันที่บริษัทหน่อยเป็นไง? ผมรออยู่ในห้องประชุม”

จางต้าเฉินไม่คิดที่จะปฏิเสธ หลังจากตอบตกลงเขาก็วางสายทันที รีบเดินทางกลับไปบริษัทเซียนเหว่ย เข้าไปในห้องประชุม จ้าวเฉียนที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มและเชิญให้นั่งลงก่อน

“หยุดเสแสร้งได้แล้ว! ที่เรียกฉันมามีอะไร?”

ฟังดูน้ำเสียงของจางต้าเฉินช่างหยิ่งผยองนัก

จ้าวเฉียนแสดงเอกสานการโอนหุ้นของบรรดาหุ่นส่วนคนอื่นๆให้อีกฝ่ายดู และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ว่าไงครับ?”

จางต้าเฉินที่เห็นแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้น เขาส่ายหัวปฏิเสธตอบโต้กลับไป

“ไม่มีทาง! อยากให้ฉันเซ็นงั้นเหรอ อย่าฝัน! ฉันเป็นหุ้นส่วนคนแรกของเหรินไห่อัน หากไม่มีฉัน บริษัทของมันก็ไม่มีวันมายืนอยู่ในจุดนี้หรอก! ฉันไม่ขาย! แล้วแกก็บังคับฉันไม่ได้!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะ เอ่ยตอบกลับไปว่า

“ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดอยู่นะครับ ผมไม่ได้บังคับซะหน่อย แค่ถามความเห็นคุณเฉยๆ ถ้าหากคุณยินดีที่จะขายหุ้นในมือให้ผมจริงๆ ผมจะเสนอราคาที่ดีที่สุดให้ แต่ถ้าไม่ผมจะทำการขยายหุ้นเพื่อลดมูลค่าหุ้นในมือคุณซะ ว่ายังไงครับ?”

จางต้าเฉินโกรธจัด เขาลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังปัง ตะวาดดังลั่นขึ้นว่า

“แกคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่!? ถึงกล้าปีนเกลียวมาลองดีกับกู! ตอนที่กูขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของที่นี่ แกยังเล่นโคลนอยู่บ้านด้วยซ้ำ!”

“อะไรกันครับ? ถามแค่นี้ทำไมต้องโกรธกัน? ผมต่อให้คุณได้เริ่มลงมือก่อนเป็นสิบปี ผมที่เพิ่งมาใหม่ แปปเดียวก็แซงคุณได้แล้ว มันคงจี้ใจดำใช่ไหมครับ? สุดท้ายก็แก่แค่อายุ สมองกลับไม่มีพัฒนาการเลยนะครับเนี่ย ฮ่าฮ่า…”

จางต้าเฉินไม่ได้ปริปากตอบใดๆทั้งสิ้น แต่ใบหน้าของเขาแปรแปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด ในยุคแรกเริ่มเขาร่วมลงทุนกับเหรินไห่อันแค่ไม่กี่ล้านหยวน แต่ถ้าขายหุ้นทั้งหมดในมือออกไปตอนนี้ เขาจะได้รับเงินกลับมากว่า25ล้านหยวน ซึ่งนั้นหมายถึงกำไรจำนวนมหาศาล แต่ถ้าเขาขายออกไปในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับแพ้จ้าวเฉียนเลยไม่ใช่เหรอ? ด้วยบุคลิกนิสัยอย่างจางต้าเฉินย่อมไม่มีวัน

เหรินจานซวนเกลียดชังจางต้าเฉินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จู่ๆเธอก็กล่าวขึ้นน้ำเสียงหวนว่า

“รีบๆเซ็นแล้วเอาเงินกลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านไป!”

พอได้ยินแบบนั้น จางต้าเฉินก็ตะวาดขึ้นอีกระลอกทันทีด้วยความโกรธว่า

“นี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร!? ขนาดพ่อของเธอยังไม่กล้าไล่ฉันแบบนี้เลย แต่เธอกลับพูดจาหยาบคายต่อหน้าฉันจริงๆ!”

ใบหน้าของเหรินจานซวนแดงก่ำเนื่องจากโกรธจัด แต่อย่างไรเธอก็ไม่สามารถทำอะไรจางต้าเฉินได้

จ้าวเฉียนย่อมไม่อนุญาตให้จางต้าเฉินทำตัวอวดดีต่อหน้าเขาแน่นอน จึงกล่าวขึ้นว่า

“จางต้าเฉิน อย่ามาทำตัวกรางต่อหน้าผม แล้วผมจะบอกอะไรคุณให้อย่างนะ คืนนี้คุณเตรียมตัวนอนโรงพยาบาลได้เลย ต่อให้ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านก็ไม่มีประโยชน์ คอยดูล่ะกันถ้าไม่เชื่อ”

จางต้าเฉินระเบิดหัวเราะเยาะลั่นและชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนสวนตอบไปว่า

“แกก็เหมือนกัน! คิดว่าตัวเองใหญ่มากจากไหน! ถ้ากล้าก็ลองดู! งั้นกูเองก็อยากจะเตือนอะไรสักอย่าง การจะจัดการแกมันง่ายมาก กูมีวิธีเป็นร้อยเป็นพันไว้ฆ่าแก!”

จ้าวเฉียนรวนหัวเราะพลางทิ้งตัวพิงเก้าอี้ประธานราวกับไม่เกรงกลัวใดๆ และกล่าวตอบออกไปอย่างมีนัยยะว่า

“หลังจากคืนนี้ไป หวังว่าคุณยังจะเดินได้อยู่นะครับ ขอให้โชคดี ประธานเฉิง ไปตามรปภ.ลากตัวเขาออกไป!”

จางต้าเฉินได้ยินแบบนั้นก็คำรามใส่ทันทีว่า

“บัดซบ! กูเป็นถึงผู้ถือหุ้นอันดับสองของที่นี่นะ! กูไม่มีคุณสมบัติจะอยู่ที่นี่เลยงั้นเหรอ? แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่กู!”

จ้าวเฉียนไม่มีไว้หน้าใดๆอีก กล่าวตอบไปว่า

“ตราบใดที่ผมยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดย่อมมีสิทธิ์ในการควบคุมเบ็ดเสร็จ และตอนนี้ผมเบื่อขี้หน้าคุณแล้ว เหตุผลเท่านี้เพียงพอไหม?”

จางต้าเฉินจ้องจ้าวเฉียนเขม็งอยู่ครู่ใหญ่ แต่ในท้ายที่สุดก็จำใจลุกขึ้นและจากไปอย่างช่วยไม่ได้

เหรินจานซวนชักจะกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของจ้าวเฉียนหลังจากนี้ เธอเอ่ยปากขึ้นทันทีว่า

“พี่จ้าว บอกแผนล่วงหน้าไปแบบนั้น แล้วถ้ามันลอบกัดก่อนขึ้นมาล่ะ?”

เฉิงต้าซีเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน โดยเขาเอ่ยขึ้นมาทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า

“คุณจ้าว ดันไปบอกแผนศัตรูล่วงหน้าแบบนี้ มันยิ่งทำอะไรลำบากขึ้นนะครับ”

“ผมแค่บอกล่วงหน้าเพื่อให้มันเตรียมตัวเตรียมใจเฉยๆ ยังไงมันก็หนีไม่พ้น แล้วอีกอย่างนะ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่พวกคุณทั้งสองควรกังวล”

ทั้งสองพยักหน้าและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีกเลย

“เรื่องบริษัทต้องวานทั้งคู่จัดการต่อด้วยนะ ผมจะกลับมาตรวจสอบเป็นระยะ อย่าทำปล่อยบริษัทแย่ล่ะ ถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอด เดี๋ยวฉันจะเข้ามาช่วยแก้ไขอีกแรงให้”

จ้าวเฉียนกล่าวกับทั้งคู่ไปตามตรง

ทั้งสองรีบพยักหน้าและเอ่ยปากสัญญากับเขาว่า จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อดูแลบริษัทต่อไปอย่างเคร่งครัด

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและจากไปพร้อมกับเอกสารสัญญาการโอนหุ้น

ทั้งสองออกมาส่งจ้าวเฉียนขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากไป มองดูอีกฝ่ายจนลับขอบฟ้าไป

หลังจากเฉิงต้าซีที่เผชิญหน้ากับเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ยามนี้ก็อดปากเอ่ยถามเหรินจานซวนไม่ได้เลยว่า

“คุณหนูเหริน ผมถามจริงๆนะครับ…คุณจ้าวเป็นใครกันแน่?”

เหรินจานซวนส่ายหัวอย่างว่างเปล่าและตอบกลับไป

“เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องราวของตัวเขามากเกินไป ขนาดหนูถามเขาไปตรงๆยังโดนปฏิเสธกลับมาเลย แต่ที่แน่ๆคือเขาต้องรวยมากและมีเส้นสายไม่ใช่น้อยๆ สามารถโทรเรียกเฮริคอปเตอร์มารับ ทำให้ตำรวจยอมปล่อยตัวได้โดยไม่มีเงื่อนไข คงเป็นการดีกว่าจริงหากบริษัทของคุณพ่ออยู่ในมือเขา”

เฉิงต้าซีฟังดูประหลาดใจอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า

“ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจ้าวจะทรงอำนาจขนาดนี้ เท่าที่ฟังจากคุณหนูเล่ามา จางต้าเฉินคงเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดแล้ว”

เหรินจานซวนกรนเสียงเย็นคำหนึ่งก่อนตอบว่า

“หึ! ก็ต้องแบบนั้นนั่นแหละ คนที่จางต้าเฉินส่งมาลักพาตัวฉันก็ถูกคนของจ้าวเฉียนจับไปหมดแล้ว เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้เช่นกัน เขาเคยบอกฉันนะว่า จะไม่ใช่วิธีสกปรก แต่ไม่รู้สิ…สิ่งที่เขาทำลงไปบางทีอาจดำมืดยิ่งกว่าจางต้าเฉินซะอีก ใครที่คิดหาเรื่องเขา ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายจริงๆ”

ยิ่งสนทนากันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่า จ้าวเฉียนเป็นคนน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังรู้สึกว่าอนาคตของบริษัทเซียนเหว่ยแห่งนี้จะต้องมีหวังแน่นอน

จ้าวเฉียนเดินทางถึงบ้านในไม่ช้า เขาก็โทรหาหยางหู่ให้เตรียมลงมือ

เพื่อคาวมปลอดภัยของตัวคุณชายจ้าว หยางหู่จึงแบ่งกำลังคนส่วนหนึ่งจำนวนนับสิบคนไปเฝ้าหน้าบ้านจ้าวเฉียนไว้ จะถอยกำลังกลับไปได้ก็ต่อเมื่อจางต้าเฉินถูกจัดการแล้ว

จางต้านเฉินในตอนนี้รู้สึกกลัวไม่ใช่น้อย เขาชักจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักว่าจะรับมือจ้าวเฉียนเพียงลำพังได้ไหว ในคืนนั้น เขาโทรนัดหลิวเปา, เจียงซง, เฉียนนิ่ว, หวู่ฮันและหัวหน้าแก๊งคนอื่นๆ เพื่อมารับประทานอาหารค่ำกันที่โรงแรมตงไห่

ระหว่างมื้ออาหาร พอเห็นว่าถึงเวลาอันสมควร จางต้าเฉินจึงเอ่ยปากเข้าเรื่องทันที

“ที่วันนี้ผมได้เชิญเชื่อพี่น้องทุกคนมาก็เพื่อขอความช่วยเหลือ ผมอยากจะสั่งสอนบทเรียนดีๆให้กับใครบางคนสักหน่อย แต่เขาคนดังกล่าวค่อนข้างมีอิทธิพลไม่น้อยทั้งในด้านขาวและดำ ดังนั้นผมจึงวานพี่น้องทุกคนให้ฉันจัดการหมอนั่นสักครั้ง”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับประหลาดใจอย่างมากกับที่สิ่งจางต้าเฉินกล่าวออกมา จะมีใครกันที่เจ๋งขนาดนั้นถึงขั้นต้องเรียกรวมตัวบรรดาเหล่าผู้มีอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองตงไห่รุมจัดการ?

ในบรรดาทั้งหมดในที่แห่งนี้ หลิวเปาเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ดังเขาจึงเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“คุณจางพอมีข้อมูลเกี่ยวกับหมอนั่นที่ว่าไหม? ผมอยากรู้จริงๆว่า มันติดปีกบินได้รึไงถึงขั้นที่ว่าคุณจางต้องนัดพวกเรามารวมตัว?”

“ใช่แล้ว! อยากจะรู้จริงๆว่า มันเป็นใครมาจากไหน ถึงเหนือชั้นอะไรปานนั้น?”

“คุณจางพอจะมีรูปมันไหม? พวกเราอยากเห็นหน้าหน่อย?”

….

จางต้าเฉินพยักหน้าและหยิบมือถือเปิดภาพถ่ายจ้าวเฉียนให้ทุกคนดู

ตอนที่250 กระตุ้น

จ้าวเฉียนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการปกปิดตัวตนอย่างมาก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น ส่งผลให้ไม่ค่อยมีใครรู้จักเขา

ทุกคนต่างเอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันหลังจากที่เห็นรูปว่าไม่รู้จัก เว้นเสียแต่หลิวเปา ดวงตาคู่นั้นของเขาสว่างจ้าขึ้นทันใด

พอเห็นท่าทีตกตะลึงของหลิวเปา จางต้าเฉินก็รีบเอ่ยถามทันที

“พี่เปารู้จักไอ้หมอนี่ด้วยเหรอ?”

กล่าวกันตามตรงคือ เป็นมากกว่าคนรู้จักเสียด้วยซ้ำไป ไม่สิ! คุ้นเคยเป็นอย่างดี! ก็เป็นเพราะไอ้หมอนี่แหละที่ทำให้เขาเสียนิ้วไป

อย่างไรก็ตาม หลิวเปาไม่อยากพูดถึงอดีตอันน่าละอายใจนี้อีก และมีหนึ่งสิ่งที่เขามั่นใจอย่างที่สุดคือ ไม่ว่ายังไง เขาจะไม่มีทางเข้าไปพัวพันกับไอ้เด็กเวรนี่อีกแล้ว

ดังนั้นหลิวเปาจึงลุกขึ้นยืนกลางโต๊ะอาหารในทันใด กล่าวกับจางต้าเฉินและคนอื่นๆว่า

“ทุกคน ฉันต้องขอโทษจริงๆ พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนที่ต้องทำ ยังไงก็ขอตัวก่อนแล้วกัน”

จางต้าเฉินและคนอื่นๆถึงกับตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่? จางต้าเฉินรีบเอ่ยปากหยุดหลิวเปาทันที

“พี่เปา พี่เป็นอะไรกับหมอนี่กันแน่? ทำไมพี่เปาถึงดูตื่นกลัวขนาดนี้?”

หลิวเปาอับอายเกินกว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมด จึงอธิบายไปเพียงว่า

“ฉันไม่ได้กลัวมัน แต่ฉันไม่อยากมีปัญหากับหยางหู่อีกแล้ว เด็กนี่มันแข็งแกร่งเกินไป มีเส้นสายอยู่ทั่วเมืองเต็มไปหมด แถมฉันยังเกือบถูกหยางหู่ฆ่ามาแล้วรอบหนึ่ง แล้วคุณคิดว่าฉันยังจะกล้าไปยุ่งอีกไหม?”

จางต้าเฉินที่ได้ฟังแบบนั้นก็เข้าใจได้ในทันที ว่าทำไมตอนช่วงบ่ายที่เขาส่งคนไปเชิญหยางหู่มาถึงโดนปฏิเสธชนิดไม่มีไว้หน้า ที่แท้กลับกลายเป็นแบบนี้นี่เอง

พอเรื่องมันลงเอยเป็นแบบนี้ นี่มันงานยากแล้วจริงๆ หยางหู่แข็งแกร่งกว่าหลิวเปาระดับนึง ถ้าถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายเกือบลงมือฆ่าหลิวเปา แสดงว่าหยางหู่คนนี้ต้องภักดีกับจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก กล่าวได้ทันทีว่า ทั่วเมืองตงไห่ไม่มีใครกล้ารับงานนี้แน่นอน

“ที่มันหยิ่งผยองถึงขั้นนี้ เป็นเพราะมีหยางหู่คอยหนุนหลังอยู่นี่เอง! บัดซบ! แล้วผมควรทำยังไงดี? จะปล่อยให้โดนเอาเปรียบทั้งแบบนี้น่ะเหรอ? ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ?”

จางต้าเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้แต่หลิวเปายังออกปากไม่ยุ่งด้วย แล้วคนอื่นๆจะไปกล้ารับงานนี้ที่ไหน? ความมั่นใจของทุกคนก่อนหน้าหายวับไปกันตา

แต่หลิวเปาก็ใช่ว่าจะไม่ช่วยเลย เขาจึงกล่าวแนะนำจางต้าเฉินไปว่า

“ไม่ว่าจะไม่มีทางสักทีเดียว คุณจางก็ลองจ้างนักฆ่าจากที่อื่นมาก็ได้ ผมได้ยินมาว่ามีชายคนหนึ่งนามว่า ฟู่เทียนเคยเชิญนักฆ่าจากซิงเจียงมาจัดการเขาประมาณเดือนก่อน แต่สุดท้ายหยางหู่ก็เข้ามาช่วยเข้าทันเวลา นั้นหมายความว่าคุณจางเองก็สามารถจ้างคนจากซิงเจียงมาได้เหมือนกัน”

แต่พอจางต้าเฉินได้ฟังดังนั้นกลับรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่นักฆ่าจากซิงเจียงก็ยังทำอะไรจ้าวเฉียนไม่ได้ นี่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เด็กเวรนี่เลยหนิ?

พวกหัวหน้าแก๊งยิบย่อยคนอื่นๆที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับผงะ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อจ้าวเฉียนจะทรงอำนาจขนาดนี้ แม้แต่นักฆ่าจากซิงเจียงที่ได้ชื่อว่าแหล่งรวมมือสังหารมากฝีมือยังชวดล้มเหลว แทบจะในทันที แต่ละคนเร่งหาข้อแก้ตัวในทันทีว่า มีธุระด่วนที่ต้องทำและรีบเผ่นโดยเร็ว

ตอนนี้เหลือเพียงหลิวเปาแค่คนเดียว

จางต้าเฉินนั่งสงบนิ่งด้วยความสิ้นหวัง พยายามคิดหาวิธีอื่นๆเพื่อกำจัดจ้าวเฉียน

ซึ่งทางฝ่ายหลิวเปาเองก็อยากหาโอกาสฆ่าหยางหู่เหมือนกัน และเขารู้สึกว่า หยางหู่มันไม่มีทางโชคดีไปซะทุกครั้ง

คราล่าสุด หยางหู่เพิ่งถูกยิงไปและโชคดีไม่ตาย มันอาจใช้ดวงทั้งชีวิตไปจนหมดแล้ว และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสักครั้ง มันต้องตายแน่นอน

ตราบใดที่หยางหู่ตายลงไป หลิวเปาจะขึ้นเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกใต้ดินของเมืองตงไห่

หลิวเปากลับมานั่งที่เดิมและตบไหล่จางต้าเฉินเบาๆ เขาพูดปล่อบโยนขึ้นว่า

“ทำไมคุณจางต้องเศร้าด้วย? ขนาดฟู่เทียนที่เป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆยังหาคนมาได้ แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้?”

จางต้าเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่และตอบไปว่า

“ไม่ใช่ว่าผมทำไม่ได้นะ แต่เมื่อจ้างใครสักคนจากซิงเจียงมาแล้ว นั่นหมายความว่าผมจะไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว และถ้าไม่สำเร็จขึ้นมา หยางหู่จะต้องหมายหัวผมแน่นอน”

จางต้าเฉินในตอนนี้คิดแต่เรื่องแก้แค้น จนเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า หลิวเปากำลังพยายามเดินหมากโดยใช้เขาเป็นเบี้ย เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้อยู่

แน่นอน หลิวเปายังเกลี้ยกล่อมต่ออีกว่า

“คนที่ซิงเจียงล้วนแต่เป็นมืออาชีพ ตราบใดที่พวกเขาได้รับคำสั่งมา พวกเขาจะทำงานที่มอบหมายไว้ให้สำเร็จ ถ้าเป้าหมายยังไม่ถูกกำจัดหรือเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ทางนักฆ่าจะยกเลิกคำสั่งและถอนตัวกลับทันที โดยที่ยังเก็บความลับเรื่องข้อมูลของผู้ว่าจ้างไว้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่า จะถูกสาวจนมาถึงตัว ก็แค่จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย เท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว”

จางต้าเฉินรู้สึกเช่นกันว่า หลิวเปาพูดมีเหตุผล ถ้าหากนักฆ่าของซิงเจียงล้วนเป็นมืออาชีพอย่างที่ว่าจริงๆ การจะจัดการจ้าวเฉียนมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเงินจะให้จ่ายกี่ล้านก็ได้ ขอแค่ฆ่าจ้าวเฉียนได้จริงๆก็พอ

แต่อย่างไรมันก็ยังมีปัญหาอยู่อีกหนึ่งข้อ ที่เขายังหาทางออกไม่ได้คือ แล้วเขาจะติดต่อกับนักฆ่าของฝั่งซิงเจียงได้ยังไง?

“พี่เปาพอรู้จักคนในซิงเจียงไหมครับ? พอจะแนะนำให้ได้ไหม?”

จางต้าเฉินเอ่ยถามขึ้น

หลิวเปายิ้มตอบอย่างสุขอกสุขใจอย่างยิ่ง

“แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อผมหมดสิ ถ้าต้องการจานวานมาจริงๆ ผมจะติดต่อเพื่อนของผมให้ และปล่อยให้พวกเขาวางแผนลอบสังหารไป คุณจางว่ายังไงล่ะ?”

นี่มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจางต้าเฉียนจะควบคุมเองได้แล้ว แต่จะอย่างไร ถ้าเขาไม่สามารถกำจัดจ้าวเฉียนออกไปจากชีวิตได้ ชีวิตหลังจากนี้คงกลายมาเป็นอะไรที่ไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิง

“เอาล่ะ! ยังไงก็ต้องรบกวนพี่เปาช่วยติดต่อให้แล้ว! อย่างไงก็เถอะ ผมไม่อยากฆ่ามัน แต่ปล่อยให้มันพิการไม่ก็อัมพาตไปตลอดชีวิต!”

เป้าหมายที่แท้จริงของหลิวเปาคือหยางหู่ และเขาเองก็ไม่ได้สนใจว่าจ่าวเฉียนจะเป็นหรือตาย ตราบใดที่หยางหู่ถูกโค่นไปได้ พวกเขาก็สามารถเล่นกับจ้าวเฉียนได้ตามใจชอบหลังจากนั้น

เขายิ้มตอบทันที

“แน่นอน ขอแค่เงินถึง ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณจางต้องการแน่นอน!”

จางต้าเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก พร้อมยกแก้วไวน์ขึ้นกล่าวว่า

“มาเถอะคุณเปา มาชนแก้วกันหน่อยครับ!”

ไอ้โง่จ้าวเฉียนตอนนี้คงกำลังเฉลิมฉลองกับความสำเร็จในวันนี้ โดยหารู้ไม่ว่าวันตายใกล้จะมาถึงแล้ว! ช่างน่าสงสารจริงๆ!

หลิวเปาคลี่ยิ้มกว้าง หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาชน หลังจากกระดกแก้วนั้นจบ ทั้งสองก็ดื่มฉลองกันต่ออย่างเมามัน

พอทั้งสองแยกย้ายกันกลับ หลิวเปาก็รับเดินทางกลับบ้านเพื่อติดต่อเพื่อของเขาที่อยู่ซิงเจียงโดยเร็ว นี่เป็นโอกาสดีที่จะกำจัดหยางหู่ให้พ้นทางสักที

ส่วนจางต้าเฉินก็ออกจากโรงแรม นั่งรถกลับโดยมีคนขับไปส่ง

ในฐานะที่เป็นถึงผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของบริษัทนวัตกรรม ทรัพย์สินสุทธิส่วนตัวรวมกว่าหลายร้อยล้าน บ้านของจางต้าเฉินเป็นคฤหาสน์ในโครงการหรู แต่ไม่ใช่คฤหาสน์ใจกลางเมืองหรูหร่าแบบจ้าวเฉียน แต่ของจางต้าเฉินเป็นโครงการที่ตั้งอยู่เขตชานเมือง

คนรวยอย่างเขามักจะใฝ่หาชีวิตเรียบง่าย อย่างการปรีวิเวกมาอาศัยที่ชานเมือง แต่หารู้ไม่ว่า อีกไม่นานต่อจากนี้ มันจะกลายมาเป็นเหตุการณ์ที่เขาต้องเสียใจไปชั่วชีวิต

ขณะที่กำลังขับรถกลับ เนื่องจากเป็นเขตชานเมืองไฟสองข้างทางจึงไม่ไม่ถี่มาก ทำให้บรรยากาศการถนนค่อนข้างมืด และทันใดนั้นรถของเขาก็ชนเข้ากับรถตู้อย่างแรง

คนขับตะโกนสบถด่าทันที

“บัดซบ! ขับรถยังไงวะ!”

คล้อยหลังบ่นจบ คนขับก็ปลดเข็มขัดนิรภัย เปิกประตูรถลงไปหาเรื่องทันที

จางต้าเฉินไม่ได้ถือสาอะไรเท่าไหร่นัก จึงเดินลงไปตามและตะโกนขึ้นว่า

“เสี่ยวจาง ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปทะเลาะกับพวกนั้น โทรแจ้งตำรวจก็พอ”

ทันทีที่พูดจบ ขณะที่เขากำลังเหลียวหลังเดินกลับไปขึ้นรถ จู่ๆก็รู้สึกว่ามีของแข็งหวดเข้าบริเวณท้ายทอย จากนั้นก็หมดสติไป

เจ้าของรถตู้ที่เป็นคู่กรณีไม่ใช่พวกหัวอ่อนเช่นกัน เขาชี้หน้าใส่คนขับนามว่าเสี่ยวจางและด่าขึ้นทันที

“ปากหมาจริงๆนะมึง นี่ก็แค่อุบัติเหตุไม่ใช่เหรอ? ก็แค่โทรแจ้งตำรวจเรียกประกันมาก็จบแล้ว! จะพล่ามอะไรนักหนา! เป็นแค่คนขับรถแท้ๆ อวดดีจริงๆ!”

เสี่ยวจางทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนด่าสวนตอบทันที

“เห้ย! มึงด่าใครวะ!”

ทั้งสองแหกปากทะเลาะกันอยู่พักใหญ่

เสียงดังสวนตอบกันไปมานานกว่าสองนาที จนในที่สุดคนขับก็ต้องหมุนตัวกลับขึ้นรถด้วยความโกรธ

“คุณจาง ผมต้องขอประทานโทษจริงๆนะครับ ที่ทำให้คุณต้องกลับบ้านล่าช้าแบบนี้ ผมจะรีบโทรแจ้งตำรวจ…”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ ปรากฏว่าเจ้านายของเขาไม่ได้อยู่ในรถแล้ว

ตอนที่251 ผมจะบอกอะไรให้นะ

คนขับรถเสี่ยวจางรีบมองหาจางต้าเฉิงทันที เดินหารอบรถก็ไม่เจอไม่แม้แต่พบใครสักคน ในเวลานี้เขาตระหนักชัดแล้วว่า นี่ต้องมีอะไรบางอย่างไม่ปกติแล้ว จึงรับโทรแจ้งตำรวจไป

ปัจจุบัน จางต้าเฉินถูกลักพาตัวมายังสถานที่ลับไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านพักของเขา พอเขาได้สติตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองกำลังโดนผ้าอุดปาก ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพยายามร้องขอความเมตตา แถมบริเวณดวงตายังถูกผ้าปิดไว้เช่นกัน จึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครเป็นคนลักพาตัวมา

“คุณจ้าวสั่งให้เรามาเล่นกับคุณสักคืน จากนี้ต่อไปหวังว่าจะทำตัวเชื่องขึ้นนะครับ อย่าคิดว่ามีเงินนิดๆหน่อยๆในกระเป๋าแล้วนะกร่างกับใครก็ได้ บางคนเขาไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถไปยั่วยุเขาได้ แต่บางคนเหล่านั้นสามารถบดขยี้คุณได้ตามต้องการ”

เพียงจางต้าเฉินได้ยินประโยคนี้เข้าไป ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ต้นขาอย่างรุนแรง ความทรมานที่แล่นโฉบผ่านเข้ามาในสมองมันเกินกว่าจะบรรยายได้แล้ว

“อ่ะ อ่ะ อ่ะ….”

จางต้าเฉินร้องคร่ำครวญออกมาเสียงดังฮึดฮัดเพราะปากถูกยัดผ้าไม่ให้พูด ซึ่งฟังดูแล้วช่างน่าเวทนาจริงๆ เพียงได้ฟังเสียงร้องแค่นี้ก็ย่อมรู้ได้ทันทีว่า เขากำลังเจ็บปวดทรมานขนาดไหน

คนที่ลักพาตัวเขามาทั้งเลือดเย็นและโหดเหี้ยม ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้แทงแค่ครั้งเดียว ตอนนี้จางต้าเฉินรู้สึกราวกับว่า ขาตัวเองเละเป็นเนื้อสับ ถูกกระหน่พแทงต้นขาไม่รู้แล้วกี่แผล จากความเจ็บปวดกลายเป็นชินชาจนไม่รู้สึกอีกต่อไป

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่จางต้าเฉินถูกทิ้งร้างทั้งแบบนั้น ตำรวจก็มาพบจางต้าเฉินที่นอนสลบอยู่กับพื้นท่ามกลางกองเลือดสด และส่งตัวเขาไปโรงพยาบาลทันที

“เป็นจ้าวเฉียนที่จ้างคนมาทำร้ายผม ทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน! คุณตำรวจต้องจับมัน! ต้องจับมันเข้าคุกให้ได้! ขา…ขาของผมมันไม่มีความรู้สึกแล้ว นี่…นี่ผมจะพิการรึเปล่า…”

จางต้าเฉินกล่าวโทษจ้าวเฉียนไม่หยุดตลอดทาง พยายามบอกให้ตำรวจนำทีมไปจับจ้าวเฉียนโดยเร็วที่สุด และตะโกนสั่งคนขับให้รีบไปส่งตนที่โรงพยาบาล ถ้าช้าไปกว่านี้มีหวังเขาพิการจริงๆแน่นอน

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อท่ ทางตำรวจก็เดินทางไปเข้าพบจ้าวเฉียน และเชิญตัวไปสอบสวนต่อที่โรงพัก

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารับผิดชอบในการสอบสวนครั้งนี้มีสองนายคือซานซูกับหยางซิง

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า

“คุณตำรวจครับ ทำไมจู่ๆถึงพาผมมาที่นี่? จะบอกว่าคุณเชื่อคำใส่ร้ายของใครก็ไม่รู้ หาว่าผมเป็นคนจ้างวานให้ไปทำร้ายอีกฝ่าย? แล้วไหนหลักฐานเหรอครับ?”

 ซานซูกล่าวตอบทันที

“จางต้าเฉินครับคือพยานบุคคล”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นทันทีและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้น หากผมวิ่งชนกำแพงเล่นให้บาดเจ็บ แล้วไปแจ้งความโดยบอกว่าจางต้าเฉินเป็นคนบังคับผมให้ทำ แสดงว่าผมก็คือพยานบุคคล สามารถเอาผิดอีกฝ่ายได้ทันที?”

ซานซูและหยางซิงมองหน้ากันไปมาโดยไม่เอ่ยกล่าวอันใด

จ้าวเฉียนยิ้มและพูดต่อว่า

“คุณตำรวจครับ ผมยอมรับตามตรงนะว่า ระหว่างผมกับเขามีเรื่องขัดแย้งกันจริง แต่นั้นก็เป็นเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งมันก็จบไปแล้ว พวกเราทั้งคู่ได้แก้ไขข้อข้องใจในจุดนั้นไปหมดเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเมื่อตอนบ่าย ผมคงไม่สั่งให้ทางเขตปล่อยตัวเขาออกมาเฉยๆหรอกครับจริงไหม?”

ซานซูและหยางซิงต่างรู้สึกเหมือนกันว่า คำพูดของจ้าวเฉียนมันค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่อย่างไร ขาของจางต้าเฉินโดนทำร้ายอย่างหนัก และอาจถึงขั้นพิการได้เลย ซึ่งจะปิดคดีทั้งแบบนี้ก็คงไม่ได้ ดังนั้นทางตำรวจจำเป็นต้องสอบสวนให้ถึงที่สุด และจ้าวเฉียนที่เพิ่งมีปมความขัดแย้งกับอีกฝ่ายสดๆร้อนๆ ย่อมถูกมองเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งโดยธรรมชาติ

ซานซูและหยางซิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกัน เหตุผลที่จ้าวเฉียนให้มาเมื่อคิดตามแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่รู้แล้วว่า ควรถามอะไรต่อดี

พอเห็นทั้งคู่นั่งเงียบอยู่นาน จ้าวเฉียนจึงถอนหายใจเล็กน้อยและพูดต่อว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ ถ้าคุณตำรวจมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมค่อยมาเรียกตัวผมไปใหม่ก็ได้ ผมจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ ไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ผมอยากกลับไปนอน ได้ไหมครับคุณตำรวจ?”

ตามกฎระเบียบแล้ว ทางตำรวจมีสิทธิ์กุมตัวผู้ต้องหาได้นานสุด48ชั่วโมง อย่างไรเสีย พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรเลย หรือถ้าให้พูดกันตามตรงคือ พวกเขาทั้งคู่ไม่กล้ากุมตัวจ้าวเฉียน

ซานซูพยักหน้าตอบไปว่า

“งั้นคุณกลับไปก่อนเถอะครับ แต่ช่วงนี้คุณไม่สามารถออกนอกเมืองตงไห่ได้ หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางเรา มิฉะนั้นทางเราจะขอใช้สิทธิ์กักกุมตัวคุณตามกฎหมาย”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเอ่ยปากสัญญากันพวกเขาทันที

“ไม่ต้องห่วงครับผมไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ยังไงพวกคุณก็รีบสืบสวนให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วนะครับ อีกไม่กี่วันมันก็ถึงเทศกาลไห้วพระจันทร์แล้ว ผมสัญญากับพ่อแม่ไว้แล้วด้วยว่า จะเดินทางกลับบ้านเกิดที่หยางจิ้งเพื่อไปฉลองด้วยกัน ในวันเทศกาลแบบนี้หวังว่าพวกคุณจะไม่ห้ามผมนะครับ”

“ตกลงครับ พวกเราจะพยายามปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด เซ็นชื่อตรงนี้ก่อนนะครับถึงจะสามารถกลับไปได้”

จ้าวเฉียนเซ็นชื่อลงในสมุดบันทึกและจากออกไปทันที

หลังออกมาจากโรงพัก จ้าวเฉียนก็หยิบมือถือโทรหาจางต้าเฉินโดยตรง และยิ้มถามขึ้นว่า

“คุณจาง นี่คุณถูกทำร้ายเหรอครับ? เกิดอะไรขึ้น? ใครมันกล้าทำคุณถึงขนาดนี้!”

จางต้าเฉินที่ตอนนี้นอนโทรมราวกับตายไปครึ่งตัวแล้ว ได้ฟังแบบนั้นก็ตะคอกสวนกลับไปทันที

“แก! นี่มันมากเกินไปแล้ว! อย่างมากที่สุด พวกเราก็แค่ขัดแย้งทางด้านธุรกิจ แต่แกกลับจ้างวานคนมาลอบทำร้ายฉันจริงๆ!”

จางต้าเฉินแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น หวังให้ตำรวจที่เฝ้าอยู่นอกห้องผู้ป่วยได้ยิน

แต่จ้าวเฉียนกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้สักนิด ขนาดตำรวจที่พาตัวเขามาสอบสวนยังทำอะไรไม่ได้ แล้วทำไมต้องกลัวตำรวจที่อยู่ปลายสวยอีกฝ่ายด้วย?

ไม่เพียงแค่ไม่กลัว แต่จ้าวเฉียนยังกล่าวแซะอย่างเย้ยหยันกลับไปว่า

“บอกว่าอย่างมากก็แค่ขัดแย้งกันด้านธุรกิจ? แล้วทำไมเมื่อตอนบ่ายคุณยังขู่จะฆ่าผมอยู่เลย? นี่ถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองรึเปล่าครับเนี่ย? กรรมสนองแล้วล่ะครับ คิดร้ายกับคนอื่นไว้ สุดท้ายผลกลับตกที่ตัวเอง”

จางต้าเฉินโดนสวนกลับไปแบบนี้ถึงกับไปไม่เป็น กล่าวตอบแค่ว่า

“ฉันก็แค่ขู่เฉยๆไม่ได้ทำจริง! ไม่ใช่อย่างแกที่เล่นสกปรกลอบกัดคนอื่น! ถึงขั้นยอมจ่ายเงินจ้างพวกอันตพานมาดักทำร้าย! น่าสมเพช!”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลย

“ฮ่าฮ่า…อย่าโกรธไปเลยครับ เดี๋ยวความดันขึ้นจะแย่เอา แค่นี้นะครับ ผมกำลังเปิดขวดไวน์ฉลองพอดี ฮ่าฮ่าๆๆ…”

จ้าวเฉียนกล่าวเยาะทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะลากยาว ก่อนจะกดวางสายไป

จางต้าเฉินโกรธจัดจนขาดสติ ขว้างโทรศัพท์ในมือแตกกระเด็นกระดอน

“แก! ไอ้บัดซบจ้าวเฉียน! มันกล้าโทรมาหยามหน้ากูจริงๆ! ถ้าชาตินี้ไม่ได้แก้แค้นแก กูก็ไม่ขอเป็นคนแล้ว!”

จางเซียวหลง ลูกชายของจางต้าเฉินก็กำลังเฝ้าอาการคุณพ่ออยู่ข้างเตียงเช่นกัน ชายหนุ่มคนนี้มีนิสัยหยิ่งผยองและเกเร โดยปกติทั่วไปแวดวงเพื่อนระดับไฮโซมักจะรู้กัน

ขาของคุณพ่ออาจจะต้องตัดทิ้ง ถ้าไม่ล้างแค้นให้คนเป็นพ่อ ในฐานะคนเป็นลูกยังมีหน้าอยู่ต่อไปได้ยังไง?

จางเซียวหลงหาข้ออ้างขอตัวออกไปข้างนอก จากนั้นก็รีบโทรหาเพื่อนคนอื่นๆให้นัดออกมารวมตัวทันที

ในวงวานของบรรดาเพื่อนพ้องระดับไฮโซไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อน แค่ชวนออกมากินดื่มสักมื้อจะให้ช่วยอะไรย่อมคุยกันง่าย

แต่บังเอิญเหลือเกินที่พวกเขานัดเที่ยวกันที่ไหนไม่นัด ดันนัดที่บาร์ของลูกน้องหยางหู่

ระหว่างปาร์ตี้กัน จางเซียวหลงก็เริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพ่อของตนให้บรรดาเพื่อนฟัง เพื่อร่วมหัวช่วยกันแก้แค้นจ้าวเฉียน

ไม่นานหลังจากนั้น หยางหู่ก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจึงโทรไปรายงานสถานการณ์ให้จ้าวเฉียนฟังและเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว จะให้ผมเก็บเด็กพวกนี้เลยไหมครับ?”

จ้าวเฉียนไม่อยากขยายวงศัตรูไปมากกว่านี้แล้ว แค่อยากต้องการแก้ไขปัญญาที่ตัวต้นเหตุ ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับหยางหู่ไปว่า แค่ส่งคนไปสั่งสอนจางเซียวหลงก็พอ

ขณะที่จางเซียวหลงกำลังออกสเต็ปเต้นกับเพื่อนๆของเขา ทันรใดนั้นก็มีบางคน เดินตรงเข้ามากระแทกร่างจนล้ม เนื่องด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลส่วนหนึ่ง เขาจึงชี้หน้าด่าขึ้นทันทีว่า

“ไอ้เวร! มึงตาบอดรึไงวะ!”

จางเซียวหลงไม่ใช่พวกคนขี้กลัวกับเรื่องอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นฝ่ายตนที่โดนเอาเปรียบ มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยไปทั้งแบบนี้?

ทันทีใดนั้นเอง บรรดาเพื่อนพ้องของจางเซียวหลงก็ตรงเข้ามาล้อมกรอบชายคนดังกล่าวโดยตรง

ทว่าชายคนนั้นกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย แถมยังเอ่ยปากเตือนด้วยท่าทีแสนเย้ยหยันว่า

“หมาหมู่งั้นเหรอ? ผมจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้มีหมาจรแบบพวกคุณอีกสักร้อยตัว มันก็ไม่คนามือผมอยู่ดี เข้ามาพร้อมกันให้ผม ถือซะว่าผมต่อให้แล้วกัน!”

โดนดูถูกขนาดนี้ไม่ต่างอะไรกับโดนตีนลูบหน้า เขาเป็นถึงลูกชายของจางต้าเฉิน ถ้ายอมทนรับความอัปยศแบบนี้ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ตอนที่253 แกมีปัญหาแล้ว

หวานเจียงเร่งปั่นงานเร็วกว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจน จากอ่านเอกสารหน้าหนึ่งใช้เวลาเกือบสองถึงสามนาที แต่ตอนนี้พูดได้ว่าหน้าละนาทีเศษเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเธออยากจะรีบออกไปเที่ยวกับจ้าวเฉียนเต็มทนแล้ว

เห็นอีกฝ่ายเร่งรีบขนาดนั้นจนไฟแทบลุก จ้าวเฉียนก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า

“ใจเย็น ใจเย็นแม่สาวน้อย เรายังมีเวลาอีกทั้งวัน ไม่ต้องรีบขนาดนั้น นี่มันเอกสารสำคัญทั้งนั้นเลยนะ ถ้าเกิดปัญหาตามมา เราอาจจะไม่มีเงินมากพอสำหรับสุสานสวยๆของเราทั้งคู่ในอนาคตนะ”

หวานเจียงทำงานไปพลางหัวเราะไป และความเร็วของเธอก็ช้าลงกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย พยามยามตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบที่สุด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หวานเจียงวางปากกาลงโต๊ะดังปัง ปิดแฟ้มเอกสารเหล่านั้นพร้อมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย

“ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”

หวานเจียงกล่าวเรียกจ้าวเฉียนพลางจัดข้าวของเตรียมกลับ

จ้าวเฉียนลุกขึ้นโดยไว หยิบโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋าเสื้อและเดินออกจากห้องทำงานไปพร้อมกับเธอ

แต่ช่างบังเอิญเหลือเกิน หยางเฉิงกับหยางหมิงดันเดินทางมาที่นี่พอดีในเวลานี้ ขณะที่จ้าวเฉียนและหวานเจียงกำลังเดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อลง ก็ชนเข้ากับสองพ่อลูกตระกูลหยางที่กำลังขึ้นมาหา

แม้เธอจะไม่ชอบขี้หน้าหยางหมิง แต่หวานเจียงยังคงให้ความเคารพหยางเฉิงอยู่บ้าง เธอยิ้มและทักทายอีกฝ่ายทันที

“สวัสดีค่ะลุงหยาง วันนี้มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าค่ะ?”

หยางเฉิงไม่คิดที่จะเอ่ยปากตอบคำถามของหวานเจียง แต่เหลือบหางตามองไปยังจ้าวเฉียนและเอ่ยถามขึ้นว่า

“แกมาที่นี่ทำไม?”

พอได้ยินดังงั้น จ้าวเฉียนก็โอบเอวหวานเจียงโดยตรงและยิ้มตอบไปว่า

“คุณหยาง เหตุผลแค่นี้คงชัดเจนพอแล้วใช่ไหมครับ?”

ทั้งสองพ่อลูกตระกูลหยางถึงกับปั้นหน้าน่าเกลียด เดิมทีหวานเจียงควรจะเป็นลูกสะใภ้ตระกูลหยาง แต่ดันถูกไอ้สารเลวนี่ทำลายแผนการทุกอย่างไป!

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องของหนุ่มสาว สถานการร์ของเฟยอวี่กรุ๊แตอนนี้เสี่ยงล้มละลายอย่างมาก ตัวหยางเฉิงเองก็พยายามยืมเงินจากทุกคนแห่งที่ตนรู้จักเพื่อมาชำระหนี้ก้อนโต ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยเช่นกันว่า เฟยอวี่กรุ๊ปจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปได้หรือไม่

วันนี้สองพ่อลูกตระกูลหยางมาที่ฮวาหยินกรุ๊ปก็เพื่อต้องการจะร่วมมือกับหวานเจียง ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ระหว่างหวานหลินกับหยางเฉิงค่อนข้างแนบแน่น ในช่วงก่อตั้งธุรกิจพวกเราร่วมกันบุกน้ำลุยไฟมาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ฮวาหยินกรุ๊ปต้องให้ความช่วยเหลือเฟยอวี่กรุ๊ปแน่นอน

หยางเฉินยิ้มและกล่าวกับหวานเจียงว่า

“หลานสาวของลุง ไปนั่งคุยกันในห้องทำงานกันก่อนดีกว่านะ”

หวานเจียงส่ายหัวและตอบกลับไปอย่างไร้เยื้อใยว่า

“ลุงหยาง ถ้ามีอะไรก็พูดกันตรงนี้เลย หนูต้องไปทานดินเนอร์กับจ้าวเฉียน ไม่ไม่ใช่เรื่องด่วนจริงก็คุยกันตรงนี้แหละค่ะ”

หยางหมิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับทนไม่ได้ เจตนาถอนหายใจใส่อย่างแรงและกล่าวขึ้นว่า

“พวกเรามาที่นี่เพราะจะถามเรื่องลิขสิทธิ์นิยาย‘เทพอสูรบรรพกาล’ ทั้งๆที่พวกเราตกลงกับลุงหวานไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมจู่ๆถึงยกเลิกสัญญากลางคันล่ะ?”

หวานเจียงขี้เกียจจะอธิบายใดๆเพิ่มเติม ดังนั้นเธอจึงยื่นมือออกไปโอบเอวจ้าวเฉียนตอบ และกล่าวว่า

“ถ้าจะถามถึงคำอธิบาย แค่นี้ก็คงพอแล้วนะ?”

หยางหมิงเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะเยาะจ้าวเฉียนไม่ได้และเอ่ยขึ้นว่า

“เหอะ เหอะ…ฉันไม่คิดเลยว่า แมงดาอย่างแกจะไต่เต้าหลอกผู้หญิงจนได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ส่วนฝ่ายผู้หญิงก็ยังโง่ให้มันหลอก! จ้าวเฉียน ฉันถามจริงๆเถอะ แกคิดว่าจะเอาชนะฉันได้จริงๆเหรอ?”

ในแง่ของความร่ำรวย เป็นความจริงที่ทั้งสองเป็นถึงทายาทตระกูลเศรษฐี จะต่างกันก็ที่คนหนึ่งระดับเมือง ส่วนอีกคนระดับประเทศ คงไม่ต้องถามนะว่ามันเทียบกันได้ไหม

ซึ่งในสายตาจ้าวเฉียนเอง เขาไม่เคยเห็นหยางหมิงเป็นคู่แข่งของเขาแม้สักนิด นั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่คู่ควรพอ

แต่หยางหมิงผู้โง่เขลาคนนี้กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจ้าวเฉียนเลย และคิดว่าตัวเองมีดีกว่าจ้าวเฉียนอย่างไม่ต้องสงสัย

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปอย่างไม่แยแสว่า

“เอาชนะ? ผมไม่ได้มองว่าพวกเรากำลังแข่งขันอะไรกันด้วยซ้ำ คุณไม่มีสมบัติมากพอที่จะคู่ควรเป็นคู่แข่งของผม เสี่ยวเจียง เราไปหาอะไรทานกันเถอะ อ่อ…ส่วนเรื่องที่เฟยอวี่กำลังหาเงินมาใช้หนี้ ผมแนะนำให้พวกคุณสองคนลองไปขายตัวดูนะครับ เผื่อจะได้เงินมาจุนเจือบ้าง ตราบใดที่ผมกับเสี่ยวเจียงยังไม่ได้เลิกรากัน ก็อย่าหวังขอความร่วมมือกับฮวาหยินกรุ๊ป”

หลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็เดินชนไหล่ของทั้งคู่จนเซถอยออกไป และควงแขนลงลิฟต์ไปกับหวานเจียง

สองพ่อลูกตระกูลหยางหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บ ที่มาในวันนี้เพื่อขอความร่วมมือโดยเฉพาะ แต่ใครจะไปคิดว่าจะถูกจบกลับมาจนหน้าสั่นปานนี้

หยางหมิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด กัดฟันดังกรอดพูดกับพ่อว่า

“พ่อ! ผมยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ! มันต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำกับพวกเราอย่างสาสม! สิ่งนี้มันยิ่งตอกย้ำว่า เราไม่ควรขายลิขสิทธิ์โปรเจคต่างๆในมือเพื่อใช้หนี้ แต่เราควรเปิดรับกองทุนที่หวานฮันซูเสนอมา!”

แต่หยางเฉิงไม่ต้องการให้พวกต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในบริษัทของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอเมริกา มีหลายต่อหลายบริษัทแล้วที่เสียรู้ความหัวหมอของอีกฝ่าย ขอขยายส่วนผู้ถือหุ้นเรื่อยๆจนเจ้าของเดิมต้องเสียสิทธิ์การบริหารไป หยางเฉิงรู้สึดว่า ยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน

ถ้ามันสุดจะแก้ไขได้แล้วจริงๆ หยางเฉินก็แค่ขายลิขสิทธิ์โฌปรเจคต่างๆในมือเฟยอวี่กรุ๊ปไปบางส่วน อย่างน้อยๆเขาก็ยังสามารถควบคุมและบริหารต่อไปได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเฟยอวี่กรุ๊ปยังเป็นของสกุลหยาง

ดังนั้นหยางเฉิงจึงเอ่ยปากเตือนลูกชายไปทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง เขาไม่แนะนำการเปิดรับเงินทุนของต่างประเทศ นั้นจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของท้ายสุดเท่านั้นที่จะนำมาใช้

หยางหมิงพยักหน้าตอบอย่างจนใจ ทั้งๆที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าพ่อต้องปฏิเสธแน่นอน แต่อย่างไร เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของพ่อเลยสักนิด หยางหมิงรู้สึกเพียงว่า พ่อของเขาเป็นคนมีทิฐิมากเกินไป และสิ่งนี้จะทำลายบริษัทที่ตัวเองพยายามสร้างขึ้นมาจนไม่เหลือดี

เมื่อใดที่หยางหมิงเข้าสานต่อเฟนอวี่กรุ๊ปต่อจากพ่อ เขามีแผนที่จะขยายสาขาไปยังต่างประเทศอยู่แล้ว ตราบใดที่มันคุ้มค่าพอให้ลองเสี่ยง แล้วทำไมต้องกังวลเรื่องศักดิ์ศรีด้วยล่ะ? ถึงเฟยอวี่กรุ๊ปในอนาคตจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นของสกุลหยางได้เต็มปาก แล้วมันยังไงล่ะ?

หวานเจียงติดตามจ้าวเฉียนขึ้นรถจากัวร์ของเขาไป วันนี้เธอไม่มีอารมณ์ขับรถเองเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงอยากติดรถจ้าวเฉียนไปเพื่อความสะดวกสบายของตัวเธอเอง

หลังจากขับรถออกไปเข้าสู้ถนนเส้นหลัก จ้าวเฉียนก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร ขับรถด้วยความเร็วคงที่ไปเรื่อยๆ ขณะนั้นเองจู่ๆเขาก็เอ่ยถามเชิงติดตลกขึ้นว่า

“ไม่ทราบว่าคุณหวานคิดอีท่าไหนครับ ถึงเลือกที่จะปฏิเสธให้ความร่วมมือกับเฟยอวี่กรุ๊ปไป? ไม่คำนึงถึงความรู้สึกคุณพ่อที่กำลังป่วยหนักเลยเหรอครับผม?”

หวานเจียงป้องปากหัวเราะคิดคักและเอ่ยตอบไปว่า

“นี่นายอย่ายั่วโมโหฉันนะ ตั้งใจขับรถไปเลย นายใช้เงินตั้งสี่พันล้านเพื่อเอาคืนฉัน แล้วถ้าฉันยังเลือกไปร่วมมือกับเฟยอวี่กรุ๊ป นายไม่ฆ่าฉันเลยรึไง? หมาบ้าอย่างนายมันทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่แล้ว และอีกเหตุผลสำคัญคือ ฉันก็ไม่อยากร่วมมือกับคนพวกนั้นอยู่แล้ว ถึงจะทำร้ายความรู้สึกพ่อไปสักหน่อยก็เถอะ”

จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะตอบเล็กน้อย และถามต่อว่า

“เหตุผลแค่นี้? ไม่ใช่ว่าที่ตัดสินใจฉีกสัญญาความร่วมมือกับเฟยอวี่เพราะคนสำคัญอะไรแบบนั้นบ้างเหรอ?”

ชั่วพริบตาหนึ่ง หวานเจียงเหมือบมองจ้าวเฉียนด้วยความเขินอาย เธอรู้ดีว่า ที่เขาถามแบบนี้เพราะต้องการอะไร แต่เธอไม่มีทางพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะได้ยินแน่นอน

“อะแฮ่ม…ก็นายช่วยชีวิตพ่อฉันเอาไว้ ซึ่งเขาเองก็ตำหนิฉันไม่ได้เช่นกันที่เลือกฉีกสัญญากับเฟยอวี่ สุดท้ายนี้นายเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเรา นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้”

จ้าวเฉียนถึงกับกลอกตามองบนไปรอบหนึ่ง เขาอุตส่าห์พูดตะล่อมให้เธอตอบในคำตอบที่เขาอยากจะได้ยิน แต่ที่ไหนได้เธอกลับเปลี่ยนเรื่อง พูดอะไรก็ไม่รู้หน้าตาเฉย ยามนี้รู้สึกหัวเสียอย่างมาก เจาพูดตัดพ้อขึ้นว่า

“หึ! ฉันไม่มีอะไรจะคุยแล้ว! ฉันจะตั้งใจขับรถ!”

ทันใดนั้นเอง หวานเจียงก็ยื่นมือออกมาหยิกแก้มจ้าวเฉียนเบาๆ เธอกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“ไม่น่าเชื่อแหะ ตอนนายโมโหก็น่ารักไม่เบา”

“น่ารักแล้วมันมีประโยชน์อะไรล่ะ? ถ้าอีกฝ่ายไม่รัก!”

จ้าวเฉียนตอบเสียงหวนปั้นหน้าหงุดหงิด

หวานเจียงยิ้มตอบกลับไปว่า

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าอีกฝ่ายเขาไม่รัก? อาจจะเป็นเพราะนายขี้แกล้งเกินไปไง คนอื่นเขาเลยหมั่นไส้ไม่อยากบอกรัก อีกอย่างนะของแบบนี้มันต้องใช้ใจสัมผัส ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันต่อหน้าสักหน่อย”

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเอ่ยปากตอบ จู่ๆจ้าวฝู่ก็โทรสายเข้ามา เขารีบรับสายทันทีว่า

“ฮาโหลพ่อ มีอะไรรึเปล่า? ตอนนี้กำลังขับรถขอแบบสั้นๆได้ใจความ”

จ้าวฝู่กล่าวน้ำเสียงโกรธเคืองตอบไปว่า

“หึ! จะให้พูดสั้นๆได้ไง! แกมีปัญหาแล้วรู้ไหม!”

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบจอดรถข้างทาง และปิดฟังก์ชั่นบลูทูธในรถ เขาหยิบมือถือออกมาคุยนอกรถแทน

จ้าวฝู่ที่จู่ๆก็โทรหาเป็นการส่วนตัวแถมยังบอกว่าเขากำลังมีปัญหาแบบนี้ นี่หมายความได้ว่า เขากำลังมีปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวก่อนเรื่องอื่นใด ในอีกด้าน พอเห็นจ้าวเฉียนเดินลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ เธอก็พลันรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที

ตอนที่254 ฉันจะเอาชนะพวกเงินทุนต่างประเทศ

จ้าวเฉียนเดินปิดประตูรถออกไป เอ่ยถามน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นว่า

“พ่อ นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”

จ้าวฝู่ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว จึงกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“แกเดาถูกแล้ว ครั้งนี้น่าจะเป็นจางต้าเฉินที่ว่าจ้างนักฆ่าจากเซียงเจียงมาจัดการแก แต่ก่อนหน้านี้ฉันทักคนจากทางนั้นไปแล้ว อีกไม่นานคงรู้ว่านักฆ่าคนนั้นคือใคร ถ้าได้ความยังไงแล้วเดี๋ยวฉันโทรอีกที”

จ้าวเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็โกรธจัด เตะก้อนกรวดข้างถนนอย่างแรง เดาไว้ไม่ผิดคาดจริงๆ จางต้าเฉินมันต้องการเล่นเขาถึงตาย

จ้าวเฉียนกล่าวถามพ่อต่อทันทีว่า

“พ่อ ถ้าอย่างนั้นผมวานหน่อย ช่วยส่งมือดีไปตรวจสอบประวัติของจางต้าเฉินมาให้หน่อย ทั้งธุรกิจและพันธมิตรที่มันมี”

จ้าวฝู่ยิ้มตอบไปว่า

“ฉันรู้ว่าแกต้องพูดแบบนี้ ก็เลยส่งคนไปตรวจสอบให้แล้ว อย่างที่บอก ถ้าได้ความยังไงแล้วจะบอกอีกที แต่ยังไงก็เถอะ เมืองตงไห่ในตอนนี้มันอันตรายเกินไป แกไม่ควรอยู่ที่นั่นแล้ว รีบกลับมาที่หยางจิ้งเดี๋ยวนี้ ห้ามขัดพ่อด้วย!”

จ้าวเฉียนทราบดีถึงบุคลิกนิสัยของพ่อคนนี้ ถึงแม้จะดูเป็นคนเฮฮาบ้าๆ แต่ถ้าจริงจังเมื่อไหร่ แม้แต่ตัวจ้าวเฉียนยังไม่กล้าขัดขืนใดๆ พอได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบตอบกลับทันทีอย่างเชื่อฟัง

“เข้าใจแล้วครับ พรุ่งนี้ผมจะเดินทางกลับทันที พ่อกับแม่อย่าลืมมารับผมด้วยนะ”

จ้าวฝู่ที่ได้ฟังดังนั้นก็ระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขทันที นานมากแล้วจริงๆที่เขาไม่ได้เห็นลูกชาย แต่อย่างไร จ้าวฝู่ยังกล่าวย้ำหนักแน่นอีกว่า ลูกชายกลับมาคนเดียวไม่พอ แต่ต้องพาแม่สาวน้อยฮวาหยินกรุ๊ปกลับมาด้วย

จ้าวเฉียนรีบเอ่ยปากสัญญากับพ่อทันทีว่าจะพาหวานเจียงกลับไปกับเขาแน่นอน แต่เขาก็ยังเน้นย้ำอีกว่า อย่าทำอะไรให้มันดูเป็นทางการเกินไป เพราะไม่อยากให้หวานเจียงตกใจ

จ้าวฝู่หัวเราะเสียงดังลั่นเอ่ยตอบไปว่า

“เออน่า ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง ตกลงใครเป็นพ่อเป็นลูกกันแน่ห่ะ?”

“ผมรู้ ผมรู้ แค่อยากเตือนเฉยๆ แค่นี้นะพ่อ ผมจะไปหาอะไรทานแล้ว พ่อก็อย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลาล่ะ เงินหาตอนไหนก็ได้ แต่สุภาพพังแล้วพังเลยนะพ่อ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบด้วยความเป็นห่วง

“เออ ฉันรู้แล้วน่า แค่นี้แหละ เออใช่…ช่วงนี้ก็ไม่ต้องออกไปไหนกลางค่ำกลางคืน ฉันโทรย่ำกับหยางหู่ไว้แล้ว สั่งให้ส่งคนไปเพิ่มเพื่อเฝ้าระวังแก แต่ยังไงก็เถอะ ตัวแกก็อย่าออกไปเตร่ที่ไหน ระวังตัวให้ดี ฉันมีลูกแค่คนเดียวนะโว้ย”

จ้าวเฉียนหัวเราะคำโตก่อนกดวางสายไป

เพื่อไม่อยากให้หวานเจียงต้องวิตกกังวล จ้าวเฉียนจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย่มและเดินกลับไปที่รถ

หวานเจียงรีบเอ่ยปากถามทันที

“เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“เปล่าๆ ทุกอย่างปกติดี พ่อก็แค่โทรมาย้ำเรื่องพรุ่งนี้ แถมยังโดนขู่อีกว่า ถ้าไม่พาเธอกลับมา ฉันจะโดนเฆี่ยนอีกด้วย”

หวานเจียงยกมือป้องปากหัวเราะไม่หยุด ถ้าพ่อของจ้าวเฉียนพูดออกมาขนาดนี้ นั้นหมายความว่าถ้าเธอไม่ไปหยางจิ้งในวันพรุ่งนี้ จ้าวเฉียนจะต้องซวยแน่นอน?

เจ้าบ้านี่กวนใจเธอตลอดทุกเวล่ำเวลา และเธอก็หาโอหาสเอาคืนอีกฝ่ายมาโดยตลอด แต่เธอก็ยังไม่พบสบโอกาสสักที ซึ่งตอนนี้โอกาสนั้นก็มาถึงแล้ว

แต่เธอต้องวางแผนให้รอบคอบว่า จะทำยังไงถึงจะหลอกจ้าวเฉียนได้สำเร็จ

หวานเจียงแสร้งปั้นหน้าเศร้า จู่ๆก็ขอโทษเสียงอ่อนกล่าวว่า

“โอ้…ฉันขอโทษ! ฉันลืมไปเลยว่าแม่ของฉันนัดบอดดูตัวให้ฉันพรุ่งนี้พอดี เรื่องสำคัญขนาดนี้ฉันคงเลื่อนไม่ได้ เรื่องไปหยางจิ้งกับนายคงไม่ได้แล้วแหละ ฉันขอโทษจริงๆ ไว้เป็นครั้งหน้านะ”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ได้ ตามสบายเลย แค่ว่าถ้าไม่กลับหยางจิ้งไปพร้อมกับฉัน นั่นเท่ากับว่าเธอละเมิดข้อตกลงของเรา หลังจากนี้เธอจะไม่มีสิทธิ์การบริหารฮวาหยินกรุ๊ปอีกต่อไป ฉันคงต้องมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับคนอื่นซะแล้ว น่าเสียดาย น่าเสียดาย…”

หวานเจียงหันควับจ้องจ้าวเฉียนตาเขม็งใส่ทันใด ไม่ว่ายังไง สิทธิ์การบริหารฮวาหยินกรุ๊ปจะต้องไม่หายไปไหน เธอสบถขึ้นบ่นว่า

“นายนี่มันเย็นชาจริงๆ! แค่ล้อเล่นนิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้! นี่คนหรือเหล็กเส้น แข็งกระด้างเกินไปแล้ว!”

จ้าวเฉียนเพียงยิ้มตอบและขับรถต่อไป

ไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงโรงแรมตงไห่

จ้าวเฉียนหยิบการ์ดVIPของเขาออกมา เพื่อเปิดห้องอาหารส่วนตัวสุดหรูที่ชั้นเจ็ด ก่อนจะพาหวานเจียงขึ้นไป

หวานเจียงขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจว่า

“แค่หาอะไรทานเฉยๆ ทำไมต้องเสียเงินเปิดห้องตั้งชั้นเจ็ด? เปลืองเงินเปล่าๆ”

จ้าวเฉียนล็อคประตูห้องอาหาร ตรงเข้ามาสวมกอดหวานเจียงจากด้านหลังและตอบว่า

“จะไปเปลืองได้ยังไง? สำหรับเธอต่อให้ต้องจ่ายมาแค่ไหนมันก็คุ้ม”

“จริงเหรอ? ทำไมฉันถึงอยากจะเชื่อเท่าไหร่”

หวานเจียงตอบพลางปั้นหน้ารังเกียจ

แม้บนผิวเผินเธอจะบอกไม่เชื่อแถมทำท่าทำท่ารังเกียจ แต่ภายในใจของเธอกลับมีความสุขอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปจะเป็นความจริงหรือไม่ ทว่านั้นก็ทำให้เธอมีความสุขอย่างปฏิเสธไม่ได้

ทั้งสองนั่งรับประทานดินเนอร์อย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะรูดบัตรเช็คบิค เดินทางกลับ

แต่ก็บังเอิญเหลือเกิน ทันทีที่ทั้งคู่ลงมาจากลิฟต์ ก็ดันไปชนเข้ากับหยางหมิงที่เดินมากับหวานฮันซู พร้อมด้วยชาวต่างชาติอีกคนหนึ่ง

หยางหมิงไม่พร้อมใจที่จะพูดคุยกับทั้งคู่เท่าไหร่ จึงพยายามเดินหลบหน้า แต่ไม่สำหรับหวานฮันซู เขาตรงเข้าไปเยาะเย้ยจ้าวเฉียนทันทีว่า

“จ้าวเฉียน นี่บังเอิญจังแหะ ช่วงหลังมานี้ฉันไม่เห็นแกไปที่บริษัทฟางนี่เลย หรือจะตัดใจยอมแพ้ไปแล้ว?”

ถึงนี่จะฟังดูเหมือนคำทักทายทั่วไป แต่ทั้งท่าทางและน้ำเสียงของเขากำลังเยาะเย้ยจ้าวเฉียนอย่างชัดแจ้ง

จ้าวเฉียนยิ้มให้เล็กน้อย มองข้ามอีกฝ่ายราวกับธาตุอากาศ

หันไปเห็นว่าหยางหมิงก้มหน้าก้มตาเอาแต่เงียบ จ้าวเฉียนก็อดหัวเราะไม่ได้พลางกล่าวขึ้นว่า

“โอ๊ะ? ไร้ที่พึ่งขนาดนี้แล้วเหรอครับ? ถายใต้การบริหารของคุณ เฟยอวี่กรุ๊ปในอนาคตคงจะต้องล้มละลายในไม่ช้าก็เร็วแน่นอน ฮ่าฮ่า…”

หยางหมิงคำรามตอบด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“จ้าวเฉียน! แกอย่าทำเป็นได้ใจนักนะ! คิดว่าอาศัยบารมีของเธอ แล้วจะพูดอะไรกับฉันก็ได้รึไง!?”

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังดูสงบนิ่งอย่างมาก เขาเอ่ยตอบไปอย่างใจเย็นว่า

“พอเห็นคุณเอาแต่ใช้อารมณ์แบบนี้ไง ผมเลยเป็นห่วงว่าในอนาคตจะไปดูแลเฟยอวี่กรุ๊ปได้ยังไงกัน? ด้วยความใจร้อน เอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ ในไม่ช้าก็เร็วเฟยอวี่กรุ๊ปเตรียมล้มละลายได้เลย อย่าคิดว่า การที่คุณคลานเข่าขอความช่วยเหลือจากพวกต่างประเทศ แล้วจะทำให้ตัวเองรอดไปได้ ชักศึกเข้าบ้านมาแบบนี้ มันยิ่งจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนมากขึ้น!”

หยางหมิงและหวานฮันซูดูโกรธเกรี้ยวอย่างมาก พวกเขาอยากจะตอบโต้กลับไปทันที แต่กลับถูกชาวต่างชาติที่มาด้วยพูดแทรกขึ้นก่อนว่า

“สวัสดีครับ! คุณชื่ออะไร? ผมชื่อเจสัน สทิธ”

จ้าวเฉียนหัวเราะคำหนึ่งกล่าวตอบไปว่า

“ผมชื่อจ้าวเฉียน”

“โอเค มิสเตอร์จ้าวเฉียน ฟังนะ ผมไม่สนนะว่า ทำไมคุณถึงมีอคติต่อพวกเราขนาดนี้ แต่ตราบใดที่เราลงทุนในเฟยอวี่กรุ๊ป ทางผมจะสามารถช่วยแก้วิกฤตการณ์ของบริษัทดังกล่าวได้นแน่นอน ดังนั้นรบกวนพูดจาให้เกียรติกันด้วย ไม่อย่างนั้น ไอจะขยี้อยู่ให้แหลกคึส์ คอยดู”

เจสันสมิธกล่าวขู่โดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเย้ยเยาะเสียงดังลั่น โอบเอวหวานเจียงและเดินจากไปโดยไม่แม้แต่แยแสใดๆ

หวานเจียงกระซิบกับจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“ดูเหมือนว่าพวกตระกูลหยางจะเข้าตาจนจริงๆแล้ว ถึงขนาดที่ว่าต้องขอความร่วมมือกับพวกต่างชาติ แต่ฉันมั่นใจนะว่าหยางเฉิงมีหัวคิดเดียวกับพ่อของฉัน ไม่ว่ายังไง คนอย่างเขาไม่ยอมให้พวกต่งาชาติเข้ามาแทรกแซงบริษัทได้ง่ายๆแน่นอน หรือเป็นไปได้ไหมว่า จะเป็นตัวหยางหมิงเองที่แอบมาเจรจากับพวกต่างชาติอย่างลับๆ?”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอพูดตะกี้เลย ขณะนี้เขากำลังคิดวางแผนบางอย่างอยู่ในใจ เพื่อจะหาทางให้ทุกสิ่งที่หยางหมิงพยายามมาทั้งหมดเสียเปล่า

หวานเจียงที่เห็นจ้าวเฉียนเอาแต่เหม่อลอยเจือท่าทีงุนงง และไม่ตอบกลับมาสักที เธอก็ตีจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด

จ้าวเฉียนได้สติสะดุ้งตื่นขึ้นมาโดยไว คลี่ยิ้มแห้งกล่าวถามขึ้นว่า

“เอ่ออ…ตะกี้เธอพูดอะไรนะ?”

หวานเจียงเหลือบหางตามองจ้าวเฉียนอย่างหน่ายใจ ก่อนจะสูดหายใจเย็นเข้าลึกๆและเดินจากไปพร้อมความโกรธ

พรุ่งนี้จ้าวเฉียนต้องพอเธอกลับหยางจิ้งแล้ว ดังนั้นจะมาทะเลาะกันเวลานี้ไม่ได้เป็นอันขาด จ้าวเฉียนรีบวิ่งไปง้อหวานเจียงทันทีเพื่อให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น

“โถ่คนสวย ถ้าเอาแต่โกรธแบบนี้เดี๋ยวหน้าเหี่ยวเร็วนะ”

หวานเจียงะงักฝีเท้าปลายตามองเล็กน่อย ก่อนจะถอนหายใจใส่และเดินหน้าต่อไป

จ้าวเฉียนยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมเธอต่อไปพร้อมโดยการพูดจาหวานๆหว่านล้อมอีกฝ่าย จนทั้งคู่ออกมาถึงหน้าประตูโรงแมรโดยไม่ทันรู้ตัว

ขณะที่จ้าวเฉียนยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไปนั้น แต่จู่ๆหวานเจียงก็หยุดชะงักฉับพลัน ยืนนิ่งไม่ก้าวออกไปจากประตูแม้สักย่างเท้าหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเฉียนพลันชะงักตาม ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย

หวานเจียงไม่พูดไม่จา ทว่าเธอกลับส่งสายตาอ่อนให้จ้าวเฉียน ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันใด

จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีถึงสิ่งที่เธออยากจะสื่อ เขาคลี่ยิ้มขึ้นดูเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก

ตอนที่247 แต่งตั้งหัวหน้าฝ่ายบุคคล

ทัศนคติของจ้าวเฉียนแน่วแน่และชัดเจนอย่างมากว่า เขาจะต้องถอนรากถอนโค่นอำนาจอิทธิพลของจางต้าเฉินที่หลงเหลืออยู่ในบริษัทให้หมดสิ้น มิฉะนั้นในอนาคต คนพวกนี้จะต้องกลับมาสร้างปัญหาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน

บรรดาหัวหน้าแต่ละแผนกต่างคิดว่า สถานะของพวกเขาล้วนเป็นระดับผู้นำในบริษัท จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และไม่ว่ายังไงจ้าวเฉียนก็ไม่กล้าไล่พวกเขาออกจริงๆ แน่นอน

แต่หารู้ไม่ว่า พวกเขาคิดผิดอย่างมหันต์ ในมุมมองขงอจ้าวเฉียน เขาที่เป็นผู้กำหนดทิศทางของบริษัทในอนาคตและออกนโยบายต่างๆ เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จ ย่อมเห็นอะไรที่กว้างกว่านั้น และพวกพนักงานชั้นรากหญ้านี่แหละคือทรัพยากรสำคัญที่มีหน้าที่รับผิดชอบกับผลผลิตของบริษัทในแต่ละวันโดยตรง

ส่วนระดับหัวหน้าหรือรองหัวหน้าก็แค่ตัวเชื่อมโยงระหว่างตัวพนักงานและแผนก คอยดูแลไม่ให้เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นในระยะสั้นพวกเขาไม่ได้มีความจำเป็นอะไรขนาดนั้น

ตราบใดที่บริษัทไม่เกิดปัญหาขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ จ้าวเฉียนย่อมมีเวลาคัดสรรหัวหน้าคนใหม่ที่มีคุณภาพจากภายนอกได้เรื่อยๆ

เมื่อไม่เห็นว่าจ้าวเฉียนเอาจริงและไม่สนใจพวกเขาเลย เวลานี้แต่ละคนเริ่มตื่นตระหนกหนัก ระดับหัวหน้างานในบริษัทนวัตกรรมชั้นแนวหน้าของภูมิภาค ถือเป็นงานที่ดีอย่างยิ่ง โดยธรรมชาติไม่มีใครอยากเสียมันไปแน่นอน

“ประธานจ้าว พวกเราผิดไปแล้ว ได้โปรดให้โอกาสเราอีกครั้งเถอะครับ!”

“ใช่แล้วครับ! หากพวกเราไม่สามารถทำตามที่ประธานจ้าวคาดหวังได้ในอนาคต ถึงเวลานั้นพวกเราขอลาออกเองก็ยังได้ครับ! ขอเพียงประธานจ้าวาให้โอกาสเราสักครั้ง!”

“ประธานจ้าว ได้โปรดเถอะครับ พวกเราตอนนี้ก็แก่แล้ว จะไปหางานใหม่มันยากกว่าพวกหนุ่มสาวเยอะเลยนะครับ อีกอย่าง พวกเรายังมีภาระทั้งค่าผ่อนบ้านทั้งค่าผ่อนรถ พวกเราจะตกงานตอนนี้ไม่ได้นะครับ!”

…………

เผชิญหน้าต่อปัญหาชีวิตของพวกหัวหน้าที่เฝ้าพรรณนาแต่ละคน จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อก่อนหน้า ตอนที่ยังมีโอกาส พวกเขาก็ยังเลือกที่จะสนับสนุนจางต้าเฉิน ดังนั้นก็สมควรแบกรับผลที่ตามมาเช่นกัน ถ้าหากจะโทษใครสักคนก็ควรโทษตัวเองซะเถอะ

“รปภ. ลากคนพวกนี้ออกไปซะ นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเขาไม่ใช่คนของบริษัทเราอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นไม่มีสิทธิ์มายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้!”

จ้าวเฉียนออกคำสั่งพวกรปภ.ที่อยู่ข้างเวทีพร้อมออกปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว

“หัวหน้าหวาง ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยครับ เชิญ!”

“หัวหน้าจ้าน พวกเราเคยเป็นเพื่อนร่วมบริษัท อย่าทำให้พวกเราต้องลำบากใจดีกว่าครับ”

“หัวหน้าหลี่ เชิญออกจากที่นี่ด้วยครับ!”

………..

รปภ.ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับคนพวกนี้อีกต่อไป ในสายตาของพวกเขา บรรดาหัวหน้าพวกนี้ก็แค่คนนอก และไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีก

จ้าวเฉียนกล่าวต่อว่า

“พวกเขาไม่ใช่คนขอบบริษัทเราอีกต่อไปแล้ว ผมไม่ต้อนรับ รปภ.ตักเตือนแค่สามครั้งพอ ถ้ายังไม่ยอมออกไปอีก ผมอนุญาตให้ใช้กำลัง! ผมจะรับผิดชอบกับผลที่ตามมาเอง อยากจะเห็นเหมือนกันว่า คนพวกนี้จะมีความสามารถแค่ไหนกัน!”

พอรู้ว่าไม่มีโอกาสให้แก้ตัวแล้วจริงๆ สีหน้าการแสดงออกของพวกหัวหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สบถด่าข่มขู่จ้าวเฉียนขึ้นว่า

“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย ไอ้หนุ่มสกุลจ้าว! ทั้งลูกค้าและซัพพลายเออร์ของบริษัทล้วนอยู่ในมือพวกเราทั้งสิ้น แค่โทรครั้งเดียวก็สามารถสั่งให้พวกเขาถอนตัวออกจากบริษัทนี้ได้หมดแล้ว! อยากจะเห็นเหมือนกันว่า หลังจากนี้แกจะทำยังไงต่อไป!”

“บริษัทกำลังมีปัญหาด้านการเงินครั้งใหญ่ เตรียมรอให้ภาครัฐเข้ามาตรวจสอบได้เลย ไอ้โง่! ฮ่าฮ่า…”

“ทันทีที่แกเข้ามารับตำหน่ง บริษัทจะต้องปิดตัวลงแน่นอน ถึงตอนนั้นฉันจะรอฟังคำอธิบายจากแก!”

“ฮ่าฮ่า…ปลาตายอวนขาด บริษัทเตรียมเน่าเฟะได้เลยถ้าไม่มีพวกเรา! เลือกไล่คนมีความสามารถออกไปเอง ปัญญาอ่อน!”

……..

ในเมื่อพวกเขาไม่ให้หน้ากันถึงขนาดนี้ จ้าวเฉียนเองก็ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับพวกเขาแล้วเช่นกัน

“รปภ.ลงมือ!”

เจ้านายใหม่เอ่ยปากสั่งการขนาดนี้ พวกรปภ.ย่อมไม่กล้าละเลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังถูกพวกหัวหน้าเหล่านี้รังแกกดขี่อยู่นานแล้ว ในที่สุดยามนี้ก็มีโอกาสแก้แค้นสักที

“ไปกันเถอะพวกเรา! ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟัง ก็คงต้องใช้กำลังเท่านั้น!”

“คนพวกนี้ยังมีสมองอยู่ไหมถึงกล้าท้าทายประธานจ้าว? แม้แต่จางต้าเฉินยังไม่ใช่คู่มือ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขา?”

………

พวกหัวหน้าไม่กล้าขัดขืนใดๆ รีบเดินจากออกไปแต่โดยดีทั้งแบบนั้น

หลังจากพวกหัวหน้าทั้งหมดถูกไล่ออกไป จ้าวเฉียนก็หันมาภามเหรินจานซวนว่า

“คุณอยากจะมาเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลไหม?”

เหรินจานซวนเอ่ยตอบเจือท่าทีว่างเปล่าว่า

“หะ? หัวหน้าฝ่ายบุคคล? นี่…นี่คงไม่ไหวหรอก ฉันไม่เคยเป็นหัวหน้าใครมาก่อน กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ…”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวปลอบไปว่า

“เอาน่า ไม่เห็นต้องคิดมากเลย หัวหน้าฝ่ายบุคคลจำเป็นต้องมีทักษะอะไรเท่าไหร่นัก แค่มีวิสัยทัศน์ในการเลือกคนเข้ามา คนนี้เป็นยังไง คนนั้นจะเข้ากับสังคมในองค์กรได้ไหม มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น”

เฉินต้าซีกล่าวให้กำลังใจอีกแรง

“คุณหนูเหริน คุณหนูต้องเชื่อมั่นในความสามารถตัวเองนะครับ ตอนนี้บริษัทกำลังขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ คุณหนูเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว”

“ใช่แล้ว เฉิงต้าซีพูดถูก ไม่ต้องกังวลไป ทำตามสัญชาตญาณตัวเองก็พอ เรื่องการคัดเลือกคนต้องใช้ความรู้สึกเป็นหลักล่ะนะ เลือกแต่คนเก่งแต่ทำตัวน้ำเต็มแก้วมาทำงาน ผลที่ออกมาก็ใช่ว่าจะดี”

จ้าวเฉียนกล่าวเสริม

เหรินจานซวนเองก็ไม่คิดที่จะปล่อยบริษัทนี้โดยไม่สนสี่สนแปดเช่นกัน เธอต้องการช่วยเหลือบริษัทของพ่อด้วยกำลังตัวเองสักทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งตอนนี้การที่เธอได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคล คือว่าเป็นด่านแรกในการสรรหาบุคคลที่มีศักยภาพเข้ามาทำงาน

จ้าวเฉียนป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดให้แก่พนักงานทุกคนทันที

“หลังจากนี้คุณเหรินจะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบุคคลของบริษัท ทุกคนปรบมือ”

พนักงานเหล่านั้นต่างปรบมือโหร้องด้วยความยินดี พวกเขายังคงจำเหรินจานซวนได้ เธอคือลูกสาวของประธานผู้ก่อตั้งบริษัท

จ้าวเฉียนหันไปเรียกเหรินจานซวนให้ก้าวออกมาพูดอะไรกับทุกคนสักหน่อย แต่เธอกลับเก้อเขินอย่างมากจึงโบกมือปฏิเสธไป

“โถ่ว มาเถอะน่า พวกเขารู้จักคุณกันหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องอาย มาพูดกับพวกเขาหน่อยเถอะ”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็เดินไปพาเหรินจาซวนออกไปหน้าเวที

เหรินจานซวนไม่มีทางเลือกอื่นรนอกจาก กล่าวเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ทุกคนสั้นๆ

“ขอบคุณมากนะคะที่ยังเชื่อมั่นในตัวดิฉัน หลังจากนี้ดิฉันจะตั้งใจทำงานให้หนักในอนาคตต่อไป ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ”

เหรินจานซวนโค้งศีรษะให้ทุกคนทีหนึ่งและถอยกลับไปยืนที่เดิม

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและประกาศจบการประชุม ขอให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปทำงานตามปกติ

จากนั้นจ้าวเฉียนก็พาเฉิงต้าซีและเหรินจานซวนมายังห้องประชุม

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นประเดิม

“ประธานเฉิน ผมขอข้อมูลทั้งหมดของบริษัทที่มีมาให้หน่อย ขอครอบคลุมจนถึงเรื่องลูกค้าและบริษัทพันธมิตรทั้งหมด รวมไปถึงโปรเจคความร่วมมือต่างๆ ในปัจจุบัน”

เฉิงต้าซีพยักหน้าและรีบออกไปรวบรวมข้อมูลมาทันที

เนื่องจากการหายตัวไปของเหรินไห่อันผู้ก่อตั้งบริษัท ทำให้โปรเจคความร่วมมือต่างๆ จำต้องถูกปิดตัวลง เนื่องจากเครดิตความน่าเชื่อถือของบริษัทลดลงจนบรรดาคู่ค้าขอฉีกสัญญา

ทั้งนี้งานวิจับเกือบทุกโครงการในบริษัทเองก็แทบจะหยุดหมดแล้ว ทุกวันนี้พวกพนักงานฝ่ายพัฒนาแทบจะไม่มีอะไรทำกันแล้ว เนื่องจากอยู่ไปก็กินเงินเดือน พวกผู้ถือหุ้นก่อนหน้าจึงลงมัติให้เลิกจ้างพนักงานฝ่ายพัฒนาออกไปส่วนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ส่งผลให้พนักงานฝ่ายพัฒนาขาดแคลนเป็นจำนวนมาก

จ้าวเฉียนไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร และยังคงตรวจดูเอกสารต่างๆ อย่างระมัดระวัง

ก่อนที่เหรินไห่อันจะหายตัวไป เซียนเหว่ยแห่งนี้กำลังศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารG5และเทคโนโลยีAIอัจฉริยะ

จากข้อมูลในส่วนนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า เหรินไห่อันเป็นบุคคลผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลเป็นอย่างมาก สิ่งที่เขากำลังศึกษาในอดีต ปัจจุบันล้วนเป็นนวัตกรรมที่คนทั่วโลกกำลังจับจ้อง

จ้าวเฉียนหันไปพูดกับเฉินต้าซีและเหรินจานซวนทันทีว่า

“ผมตัดสินใจแล้ว เราจะปัดฝุ่นรื่อฟื้นโครงการวิจัย5GและAIอัจฉริยะขึ้นมาอีกครั้ง!”

เหรินจานซวนไม่มีปัญหาอะไรด้วยอยู่แล้ว แต่เฉิงต้าซีกลับขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจ และตั้งคำถามขึ้นว่า บริษัทไม่มีเงินทุนเหลือแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะเอาเงินทุนไหนมาทำการวิจัยต่อ? การจะประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ สักชิ้นจำเป็นต้องใช้ทุนวิจัยจำนวนมหาศาลอย่างเลี่ยงไม่ได้เลย

จ้าวเฉียนแค่หัวเราะตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลย แค่คุณต้องทำให้แน่ใจว่า จะสามารถกู้คืนโครงการดังกล่าวกลับขึ้นมาได้โดยเร็วที่สุด”

ตอนที่246 รับเงินและจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี

ตำรวจรีบดึงตัวทั้งสองแยกออกจากกันและตักเตือนไปว่า ห้ามหุนหันพลันแล่นแบบนี้อีก มิฉันั้นพวกเขาจะนำทั้งสองขึ้นโรงพักจริงๆแน่

จางต้านเฉินได้ฟังแบบนั้นก็เอ่ยถามน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นว่า

“นี่มันหมายความว่าไง? คุณตำรวจไม่จับมันไปแล้วเหรอ?”

สารวัตรตำรวจอาสากล่าวตอบเองว่า

“ทีแรกผมก็ตั้งใจจะกุมตัวเขากลับไปโรงพัก แต่คุณเองกลับลงมือเช่นกัน ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นเรื่องภายในบริษัทโดยสมบูรณ์ ผมแนะนำให้คุณเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจะดีกว่านะครับ หรือจะให้ผมพาทั้งคู่เข้าโรงพักออกข่าว? คิดว่าแบบไหนดีกว่าครับ?”

จางต้าเฉินถึงกับชะงักไปพักหนึ่ง ปรากฏว่าเขาไม่น่าใจร้อนออกหมัดใส่จ้าวเฉียนก่อนเลย แต่อย่างไรก็ตามแต่ ด้วยความสามารถของเขา ย่อมสามารถพาตัวเองออกจากโรงพักได้แน่นอนภายในเวลาอันสั้น และตราบเท่าที่เขามีเวลามากพอก็ยังสามารถทำให้จ้าวเฉียนติดตารางได้สักสิบวันถึงครึ่งเดือน

พอคิดได้แบบนั้นจางต้าเฉินตอบตกลงทันทีว่า

“ตกลงครับ ผมจะไปโรงพักด้วย แต่ต้องพาหมอนั่นไปด้วยเช่นกัน”

ทว่าอย่างไร ทางสารวัตรตำจวจกลับไม่อยากใหเหตุการณ์ในครั้งนี้พัฒนาจนเป็นเรื่องใหญ่ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมว่า

“ผมแนะนำให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับภายในบริษัทดีกว่านะครับ ถ้าหากเรื่องถึงโรงถึงศาลอาจไม่เป็นการดีต่อตัวบริษัทเอง”

จางต้าเฉินแสยะยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า

“ผมไม่สน แค่พาเราทั้งคู่ไปโรงพักก็พอ”

จ้าวเฉียนเริ่มหัวเสียขึ้นแล้วในขณะนี้ เขาไม่ใช่คนพาลจนถึงขนาดลาบโจมตีคนอื่นจากด้านหลัง แต่เจ้านี่มันเล่นไม่มีขอบเขตเกินไปแล้ว

เขาจ้องจางต้าเฉิงตาเขม็งและกรนน้ำเสียงเย็นเอ่ยตอบกลับไปว่า

“คุณตำรวจไม่ต้องกังวล ผมเองก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แค่ต้องการให้คุณตำรวจเตือนสุนัขแถวนี้ทีว่า อย่าออกมาเที่ยวเล่นตอนกลางค่ำกลางคืน ไม่งั้นรู้ตัวอีกทีคงกลายเป็นศพแล้ว!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปรอในรถตำรวจด้วยตัวเอง

จางต้าเฉินรีบประท้วงกับตำรวจเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมทันทีสำหรับคำข่มขู่นี้ของจ้าวเฉียน แต่ตำรวจกลับส่ายหน้าและกล่าวตอบไปเพียงว่า อีกฝ่ายกล่าวถึงสุนัขไม่ใช่คุณ ก่อนจะพาจางต้าเฉินขึ้นรถตำรวจอีกคันไป

จ้าวเฉียนส่งข้อความไปหาหยางหู่ทันทีและอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด และฝากให้อีกฝ่ายออกไปทักทายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้สักหน่อย

หยางหู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสูทและเดินทางไปหานายตำรวจผู้ใหญ่คนหนึ่งในกรม ไม่นานจ้าวเฉียนก็ถูกปล่อยตัวระหว่างทาง จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับเข้าบริษัทเซียนเหล่ยเพื่อประชุมกับเหล่าพนักงานต่อทันที แต่ทางด้านจางต้าเฉินกลับถูกนำตัวเข้าโรงพักโดยตรง

ในเวลาเดียวกัน เฉิงต้าซีก็กำลังเกลื้ยกล่อมพนักงานพร้อมบอกให้รอก่อนสักครู่หนึ่งโดยอธิบายแค่ว่า คุณจ้าวจะต้องกลับมาในไม่ช้าแน่นอน

แต่พวกพนักงานกลับไม่เชื่อแม้สักนิด เห็นต่อหน้าต่อตาว่า อีกฝ่ายชกรองประธานจางซะเต็มแรง แล้วตำรวจจะยอมปล่อยตัวง่ายๆได้ยังไง? เกรงกว่าพวกเขาต้องยืนรอที่นี่ต่ออีกสักสิบวันเห็นจะได้ถึงอีกฝ่ายจะกลับมา

“ประธานเฉิง อย่ามาโกหกพวกเราดีกว่าครับ ชายคนนั้นต่อยรองประธานจางต่อหน้าตำรวจ แล้วเขาจะสามารถกลับมาได้ภายในหนึ่งชั่วโมงได้ยังไง? ถ้าทำได้จริง เขาก็เหนือคนแล้ว!”

“ถูกต้องครับ! นั้นเป็นโรงพักไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่คิดจะไปก็ไปคิดจะกลับก็กลับ นอกจากนี้เขายังต่อยรองประธานจางอีก ด้วยอำนาจอิทธิพลที่รองประธานจางมี หมอนั้นไม่มีทางออกมาได้ง่ายๆหรอกครับ”

.”ประธานเฉิง พวกเรายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ขออภัยครับ พวกเราไปกันเถอะ!”

“ใช่ ไปกันเถอะ”

………

พนักงานแต่ละคนเอ่ยปากตะโกนลือลั่นอย่างหมดความอดทนแล้ว

แต่อย่างไร จ้าวเฉียนพูดเองกับปากว่า ตัวเขาจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงแน่นอน ซึ่งเหรินจานซวนย่อมเชื่อมั่นในตัวเขาโดยธรรมชาติ เธอจึงบอกให้เฉิงต้าซีพยายามรั้งทุกคนเอาไว้และรอจ้าวเฉียนก่อน

เฉิงต้าซีตะโกนขึ้นอีกระรอก

“ทุกคนเงียบก่อน! ในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับมาในหนึ่งชั่วโมงก็คือหนึ่งชั่วโมงแน่นอน!”

แต่พวกพนักงานกลับไม่ฟังเขาเลย ตอนนี้อำนาจทั้งหมดในบริษัทตกอยู่ในมือจางต้าเฉิน ประธานเฉิงคนนี้ไร้ซึ่งบทบาทความสำคัญอีกต่อไปแล้ว จึงตะโกนโห่ใส่ทีละคนสองคน

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะลุกออกไป จ้าวเฉียนก็เดินกลับมาสวนทางกันพอดี ภาพฉากนี้ทำเอาทุกคนแทบช็อกจนลืมหายใจ

เขากลับมาแล้วจริงิๆ!

“โว้ว! นั้นเขาไม่เหรอ? เขากลับมาแล้วจริงๆด้วย!”

“ไม่ใช่ว่าโดนรองประธานจางจัดการไปแล้วเหรอ? นี่…นี่เป็นไปไม่ได้?”

“แล้ว…แล้วรองประธานจางอยู่ไหน? ฉันไม่เห็นเขากลับมาด้วยเลย?”

“นี่ยังไม่ชัดเจนพอรึไง? นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ทรงอิทธิพลยิ่งกว่ารองประธานจาง! เขากลับมาโดยปลอดภัย ในขณะที่รองประธานจางโดนนำตัวเข้าโรงพัก!”

“แสดงว่า…เขามีเส้นสายแข็งแกร่งกว่ารองประธานจางอีกงั้นเหรอ? น่ากลัวเกินไปแล้ว! แต่ฉัน…ฉันไม่ยักรู้เลยว่า มหาเศรษฐีในเมืองตงไห่จะมีเขาอยู่ด้วย?”

“แกก็แค่พนักงานธรรมดาจะไปรู้อะไรล่ะ? ไม่เห็นแปลกตรงไหนที่พวกเราจะไม่รู้จัก”

………

ในระหว่างที่พวกพนักงานซิบซุบกัน จ้าวเฉียนก็เดินฝ่าดงทุกคนขึ้นเวทีอีกครั้ง

เหรินจานซวนไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอะไรเท่าไหร่นัก เพราะเธอพอจะคาดการณ์ได้บ้างอยู่แล้ว

แต่เฉิงต้าซีกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขารีบวิ่งไปถามไถ่ทันที

“คุณจ้าว เป็นอะไรไหมครับ?”

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางตอบไปว่า

“ต้องถามว่ามีใครทำอะไรฉันได้มากกว่านะ ฮ่าฮ่า…ฉันสบายดี”

“แล้ว…จางต้าเฉินล่ะครับ?”

เฉิงต้าซีเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“มันเหรอ? เหอะ เหอะ…ปานนี้คงถูกตำรวจสวบสวนอยู่ในโรงพัก ข้อหาจงใจทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา อืมม…หรือยัดข้อหาให้มันเพิ่มดี?”

จ้าวเฉียนแค่เอ่ยปากพูดติดตลกเฉยๆ แต่เฉิงต้าซีตกใจอย่างมากเมื่อได้ยิน นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่รองประธานจางก็ไม่ใช่คู่มือของประธานจ้าวเฉียน ถ้าได้บุคคลเช่นนี้เข้ามาบริหารต่อ อนาคตของบริษัทแห่งก็ยังมีหวังแน่นอน

พนักงานรที่อยู่ใต้เวทีรีบกลับไปนั่งประจำที่โดยพร้อมเพรียง เจ้าของบริษัทคนใหม่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือโคตรเจ๋ง และพวกเขาไม่กล้าทำตัวเสียมารยาท

จ้าวเฉียนเดินไปคว้าไมโครโฟนและกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า

“ทุกคนที่ให้ความสนับสนุนจางต้าเฉินโปรดฟังทางนี้ ต่อแถวเดินไปที่แผนกการเงินเพื่อรับเงินเดือนงวดสุดท้ายและเชิญไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ! ผมไม่อยากเคลื่อนไหวอะไรมาก นี่ถือว่าผมบอกแล้วนะ ถ้าไม่อยากต้องหมดอนาคตไปมากกว่านี้ก็เชิญทำตามแต่โดยดี”

เมื่อได้ยินดังนั้น พนักงานทุกคนล่างเวทีพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่ทันทีด้วยความตะลึง ผลงานแรกของเจ้านายบริษัทคนใหม่ มาถึงก็ล้างบางพนักงานเกือบทั้งหมดออกไป ทั้งนี้เพื่อกำจัดผู้ไม่เห็นด้วยและเสี่ยงเป็นภัยในอนาคต แต่ถึงอย่างไร นี่มันก็กะทันหันเกินไปจริงๆ พกวเขาที่สนิทชิดเชื้อกับรองประธานจางกว่า ย่อมต้องเรียกเขาโดยธรรมชาติในทีแรก

ดังนั้นทุกคนจึงรีบอธิบายเหตุผลที่ทำไมก่อนหน้าถึงเลือกจางต้าเฉินให้จ้าวเฉียนฟังทันที ทั้งยังขอโอกาสอีกครั้งในการกลับตัวกลับใจ

จ้าวเฉียนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า

“ผมเชื่อว่า มีพนักงานธรรมดาหลายคนที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสนับสนุนจางต้าเฉิน แต่ระดับผู้จัดการกลับแตกต่างกันออกไปอ พวกคุณมีสิทธ์เลือก แต่พวกคุณก็ยังเลือกที่จะสนับสนุนจางต้าเฉิน ดังนั้นอย่าหาว่าผมเลือดเย็นแล้วกันนะ ผมไม่อยากเก็บคนไม่ซื่อสัตย์ไว้ข้างตัว ถ้าเช่นนั้นเชิญครับ”

พวกผู้จัดการแต่ละแผนกเองก็รีบกล่าวอธิบายโดยเร็วเช่นกัน

“พวกเราเองก็ถูกบังคับมาเหมือนกันครับ ถ้าจางต้าเฉินชนะและเรายังกล้าขัดแข้งขัดขาเขา ผลลัพธ์ที่ได้คงจบลงไม่สวยแน่นอนครับ”

“ใช่ครับ หน้าที่ของเรามีเพียงต้องก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงาน พูดตามตรง พวกเราก็ไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างผู้ถือหุ้นเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงถูกบังคับให้ออกอย่างไม่ยุติธรรม”

…………

จ้าวเฉียนยกมือหยุดให้พวกเขาเงียบ และกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าจะพูดแบบนั้น แล้วทำไมเมื่อกี้ตอนที่ให้เลือกระหว่างผมกับเขา ทำไมพวกคุณยังเลือกเขาล่ะ? ทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าเขายึดอำนาจมาจากคนอื่น? ในเมื่อตัดสินใจเลือกผิดฝั่งก็ควรเตรียมใจแบกรับผลที่จะตามมา เดินกลับไปรีบเงินและจากไปอย่างมีศักดิ์ศรีจะดีกว่านะครับ อย่าให้ต้องบังคับกันเลย”

แต่พวกผู้จัดการกลับยืนนิ่งไม่ไปไหน

“คุณเคยคิดถึงสิ่งที่จะกระทบต่อบริษัทหลังจากนี้ไหม? ถ้าผู้จัดการทุกไล่ออกทุกแผนก แล้วบริษัทจะเดินหน้าต่อไปยังไง?!”

“ใช่แล้ว! พวกเราเป็นถึงระดับผู้จัดการเลยนะ ไม่ใช่พนักงานรากหญ้า ถึงโดนไล่ออกกลางคัน แต่ไปสมัครบริษัทไหนก็รับอยู่ดี! แน่ใจแล้วเหรอที่ตัดสินใจแบบนี้?”

“คุณไม่เคยคิดถึงอนาคตของบริษัทเลย ทั้งหมดล้วนทำไปเพราะความปรารถนาโดยส่วนตัวล้วนๆ! พวกเราทุกคน! มาช่วยกันตัดสินใจกันเร็วว่า สิ่งที่ชายคนนี้ทำลงไปมันสมควรแล้วรึยัง!?”

แต่ครั้งนี้ พนักงานไม่ย่อมปล่อยให้ตัวเองเลือกคนผิดอีกต่อไปแล้ว

“ไม่! คุณจ้าวพูดถูกต้อง! คนแบบพวกคุณสมควรโดนไล่ออก!”

“พวกคุณแตกต่างจากพวกเรา พวกคุณมีสิทธิ์เลือกแต่ก็ยังเลือกที่จะทรยศบริษัท! ถึงออกก็หางานใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ? งั้นก็เชิญครับ!”

“ใช่แล้ว!”

“คุณจ้าวพูดต้องถูกแล้ว…”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มด้วยความพออกพอใจ ตราบใดที่พนักงานชั้นรากหญ้ายังคงเป็นฐานอันมั่นคงให้แก่บริษัทได้อยู่ พวกตำแหน่งผู้จัดการก็ไม่ได้สำคัญจนถึงขนาดไม่สามารถขาดได้แม้แต่วันเดียว จ้าวเฉียนมีกำลังเงินมากพอที่จะจ้างบุคคลที่มีประสบการณ์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการได้ และเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องดีกว่าพวกน้ำมันเก่าอย่างพวกนี้แน่นอน

ตอนที่245 ใครเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของมากที่สุด

จางต้าเฉินนำกลุ่มคนเข้าไปล้อมกรอบจ้าวเฉียนและที่เหลือ ท่าทีราวกับจะคุกคามทางร่างกายใช้ความรุนแรง

บรรดาพนักงานที่รวมตัวกันอยู่ใต้จัตุรัสต่างตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง สงสัยอย่างมากว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เป็นไปได้ไหมว่า นี่ถูกเรียกตัวมาแบบนี้เพื่อมาชมการแสดงต่อสู้?

“นี่มีละครเวทีกันเหรอ?”

“แล้วชายที่อยู่ข้างๆคุณหนูเหรินคือใคร? ดูท่ารองประธานจางกับคนอื่นๆกำลังมุ่งเป้าไปที่เขาแหะ?”

“ต้องถามกลับมากกว่าว่า นายยังกล้าเรียกเขาว่ารองประธาน? ถ้าให้เดานะแผนการที่จะขึ้นเป็นประธานบริษัทของคุณจางน่าจะล้มเหลว สาเหตุน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มนิรนามคนนี้”

“ฮ่าฮ่า… จริง นายพูดถูก!”

บรรดาพนักงานแอบซุบซิบนินทากันอยู่ด้านล่างเวที

เหรินจางซวนโกรธจัด เอ่ยถามจางต้าซวนเสียงทุ้มต่ำว่า

“นี่แกยังต้องการอะไรอีก?”

จางต้าเฉินระเบิดหัวเราะลั่น กล่าวตอบไปว่า

“ฉันมันก็แค่สุนัขถูกพวกแกต้อนจนมุม และไม่สนหรอกว่าพวกแกจะพูดอะไรกับพนักงาน แต่ฉันจะบอกพวกแกไว้เลยว่า ในเมื่อฉันไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ถ้างั้นก็ขอทำลายด้วยมือตัวเองดีกว่า!”

เหรินจางซวนเอ่ยถามด้วยความโกรธเคืองว่า

“จางต้าเฉิน พ่อของฉันไม่เคยเอาเปรียบแกสักครั้งเลยนะ แล้วทำไมแกถึงทำแบบนี้?!”

จางต้าเฉินยิ้มเยาะ เอ่ยตอบไปว่า

“ก็แกมันไม่รู้อะไรเลยน่ะสิ! ตลอดสองปีที่พ่อของแกหายตัวไป ฉันต้องควักเงินจ่ายให้กับบริษัทไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว! ทุกคนก็น่าจะเห็น ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้! แล้วทำไมแกถึงยังไม่ขายหุ้นส่วนให้ฉันอีก!”

เหรินจานซวนยังต้องการโต้ตอบกลับไป แต่จ้าวเฉียนกลับดึงเธอกลับออกมาเสียก่อน คนที่ควรก้าวเข้ามาแก้ไขปัญหาในตอนนี้คือจ้าวเฉียนไม่ใช่เหรินจานซวน

จ้าวเฉียนไม่อยากเสียเวลาเอาตัวลงไปเกลือกกลั้วกับจางต้าเฉินเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงหยิบมมือถือโทรแจ้งตำรวจโดยตรง

จางต้าเฉินคำรามด่าขึ้นทันที

“ไอ้หนุ่ม นี่มันเรื่องความขัดแย้งถายในบริษัท โทรแจ้งตำรวจไปแล้วยังไงล่ะ? ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แล้วพวกเขาจะทำอะไรฉันได้?”

จ้าวเฉียนแจ้งความเสร็จสรรพก็กดวางสายไป และหันมากล่าวตอบจางต้าเฉินว่า

“ผมกำลังเรียกทุกคนมาประชุมและชี้แจงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัท แต่คุณและพรรคพวกจงใจเข้ามาขัดขวาง การที่ผมโทรเรียกตำรวจให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคาวมรุนแรงเท่านั้น”

“ฮ่าฮ่า…น่าตลกดีหนิ ในฐานะรองประธานและผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของบริษัทแห่งนี้ ฉันไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้รึไง?”

จางต้าเฉิงโต้กลับไปด้วยเชิงวาทศิลป์

จ้าวเฉียนพยัดหน้าตอบไปว่า

“ถูกต้อง คุณไม่มีสิทธิ์นั้น ปัจจุบันคุณไม่ใช่คนของบริษัทแห่งนี้อีกต่อไป และผมคือประธานใหญ่สุดของที่นี่ แล้วคุณล่ะ? มีคุณสมบัติอะไรมายืนอยู่บนเวทีนี้?”

คนอื่นๆเร่งกระตุ้นให้จางตค้าเฉินอย่าไปยอมจ้าวเฉียน และท้าทายจ้าวเฉียนพร้อมบอกว่า ทางตำรวจจะมาทำอะไรพวกเขาได้?

จางต้าเฉินฉีกยิ้มเยาะ

“เหอะ ฉันไม่กลัวไม่ว่าใครหน้าไหน!”

หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปหยิบไมโครโฟนและป่าวประกาศกับพนักงานทุกคนว่า

“พวกเราทุกคน! พวกเราต่างก็มีส่วนสนับสนุนและพัฒนาบริษัทเซียนเหว่ยของเราจนมาได้ไกลถึงขนาดนี้ จนกล้าพูดได้ว่าเซียนเหว่ยคือบ้านของเรา! เราอุทิศทั้งแรงกายและแรงใจเพื่อบริษัทแห่งนี้มาโดยตลอดจริงไหม!? แต่ตอนนี้คุณหนูเหรินกลับยกสิทธิ์การควบคุมทั้งหมดให้ใครก็ไม่รู้ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย! ถ้าเป็นทุกคน ทุกคนจะยอมงั้นเหรอ?!”

ผู้จัดการของแต่ละแผนกกล่าวนำออกมาทันที พวกเขาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน

ส่วนพวกพนักงานคนอื่นๆก็รีบตะโกนไม่เห็นด้วยกันทันที หวังเพียงแค่ประจบประแจงหัวหน้าของตน

จางต้าเฉินระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขและตะโกนต่อไปว่า

“ข้อแรก! บริษัทเซียนเหว่ยเป็นของทุกคน! ทุกคนในที่นี่ล้วนเป็นเหมือนกับเจ้าของคนนึง! ดังนั้นถ้าจะให้ใครสักคนมาควบคุมบริหารที่นี่ต่อ ทุกคนก็ควรจะมีสิทธิ์เลือกเองจริงไหม?!”

“ถูกต้อง!”

“ใช่แล้ว!”

บรรดาพนักงานทั้งหลายแหหปากตะโกนลั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เขาหยิบเก้าอี้บนเวทีมานั่งไขว้ห่างรับชมการแสดงของจางต้าเฉินดั่งทองไม่รู้ร้อนใดๆ

ไม่ว่ามดปลวกตัวน้อยเหล่านี้จะดิ้นรนยังไง แต่ความจริงก็คือคงามจริง จ้าวเฉียนคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดคนปัจจุบัน และกฎหมายคุ้มครองก็อยู่ข้างเขา ดังนั้นพวกพนักงานเหล่านี้ก็แค่มดปลวกไร้ค่า

เหรินจานซวนที่เห็นสถานการร์ไม่สู้ดีก็รีบเอ่ยถามจ้าวเฉียนทันที

“เราควรทำยังไงดี? ฉันควรออกไปอธิบายทุกคนฟังดีไหม?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวพลางยิ้มตอบอย่างสบายใจว่า

“อย่าได้กังวล ปล่อยให้เขาสร้างปัญหาต่อไปก่อน รอดูการแสดงสนุกๆได้เลย”

ส่วนทางด้านจางต้าเฉินพลันคิดไปว่า พวกจ้าวเฉียนคงพูดอะไรไม่ออกแล้ว ครานั้นก็ยิ่งได้ใจปั้นหน้าแสดงต่อไปอย่างมีความสุข

“ในเมื่อทุกคนคิดแบบนั้น งั้นรบกวนยกมือลงมัติกันว่าใครกันที่สมควรได้รับสิทธิ์บริหารที่แห่งนี้ต่อไป?”

บรรดาผู้จัดการรีบเร่งยกมือเป็นกลุ่มแรกทันที

“ผมคิดว่ารองประธานจางพูดถูก อย่างแรก ใครกันที่ควรบริหารที่นี่ต่อไป? ก็ต้องเป็นคนในที่รู้จักเซียนเหว่ยเป็นอย่างดีไม่ใช้เหรอ? ผมว่าไม่ต้องลงมัติให้ยุ่งยาก มีให้เลือกแค่คนเดียวอยู่แล้ว!”

“ใช่ครับ! ผมเองก็คิดเห็นเหมือนกัน! พวกเราทุกคนควรมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกผู้นำเอง! และเห็นได้ชัดว่าคุณหนูเหรินไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพัฒนาบริษัทนี้ต่อไปได้ แต่ด้วยความสามารถของรองประธานจาง ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า คุณจะต้องทำให้บริษัทเซียนเหว่ยของเราก้าวขึ้นสู่ระดับสากลได้!”

“ผมเห็นด้วย!”

“ผมเห็นด้วยครับ!”

ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนสนับสนุนจางต้าเฉิน และรีบยิ้มประจบเอ่ยปากแสดงความยินดีให้ยกใหญ่

ถ้าเหรินจานซวนกับจ้าวเฉียนไม่มีความสามารถพอ ในไม่ช้าบริษัทแห่งนี้จะต้องปิดตัวลงแน่นอน

ในเวลานั้นเอง ตำรวจก็มาถึง

สารวัตรตำรวจตรงเข้ามาเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ใครที่เป็นคนโทรแจ้งครับ?”

จ้าวเฉียนยกมือขึ้นพลางตอบไปว่า

“ผมเองครับ ผมเป็นเจ้าของคนใหญ่ของบริษัทแห่งนี้ และต้องการจัดประชุมใหญ่เพื่อป่าวประกาศเรื่องสำคัญ แต่พวกกลุ่มนี้กลับขึ้นมาขัดขวาง แถมยังทำท่าทำทางราวกับจะทำร้ายร่างกายกันอีก ผมกลัวว่าสถานการณ์จะพัฒนาเป็นความรุนแรง ก็เลยโทรแจ้งตำรวจให้เข้ามาป้องกันไว้ก่อนครับ คุณตำรวจช่วยไล่คนพวกนี้ออกไปทีครับ”

ทางตำรวจที่ได้ยินดังนั้นจึงเข้าสอบถามจางต้าเฉินและคนอื่นๆทันทีว่าเป็นใครและมีเหตุอันใดถึงเข้ามาขัดขวาง แต่หลังจากที่ทราบว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทางตำรวจก็รู้สึกว่าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในบริษัท

นี่เป็นศึกภายในบริษัทเพื่อแย่งชิงอำนาจการบริหาร ตราบใดที่เหตุการณ์ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ทางตำรวจก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นในทันใด และจู่ๆเขาก็ตรงออกไปชกหน้าจางต้าเฉินสุดแรง จนอีกฝ่ายล้มพับลงกลางเวที

ตำรวจรีบเข้ามาหยุดจ้าวเฉียนโดยเร็วและเตือนไปว่าอย่าเพิ่งใจร้อน

จางต้าเฉินถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ ทั้งทางสติสัมปชัญญะและการมองเห็นคล้ายว่าเบลออยู่พักหนึ่ง

จ้าวเฉียนยื้มและถามว่า

“แล้วตอนนี้สามารถเข้ามาแทรกแซงได้รึยังครับคุณตำรวจ ผมก็บอกแต่แรกแล้วว่าสถานการณ์อาจพัฒนาจนเกินความรุนแรง แต่พวกคุณก็ไม่เชื่อ แล้วทีนี้ใครจะรับผิดชอบล่ะครับ?”

ผู้คนใต้เวทีต่างตกตะลึงอย่างมากกับคำพูดของจ้าวเฉียน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นใครสักคนกล้าพูดจาท้าทายตำรวจถึงขนาดนี้

สารวัตรตำรวจขมวดคิ้วกล่วาเตือนอีกครั้งทันที

“รบกวนอย่าก่อความวุ่นวายจะดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะโดนข้อหาจงใจทำร้ายผู้คน และพวกเราอาจต้องนำตัวไปสอบสวนต่อที่โรงพักนะครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรครับ งั้นเอาตัวผมไปสอบสวนได้เลย แต่ผมของพูดอะไรสักหน่อยนะครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากความไม่ใส่ใจของพวกคุณเอง ถ้าจะเอาผิดผมด้วยประเด็นนี้ ผมเองก็ขอสู้ให้ถึงที่สุดเช่นกัน!”

คล้อยหลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็เดินไปหยิบไมโครโฟนและประกาศเสียงดังว่า

“ทุกคนอย่าเพิ่งแยกย้ายไปไหน ผมจะไปที่โรงพักก่อนสักชั่วโมง จากนั้นจะกลับมาประชุมต่อ ถ้าใครกล้าแม้แต่ก้าวเท้าออกจากที่นี่ ไล่ออกทันที!”

หลังจากได้ฟังคำกล่าวอันสุดแสนหยิ่งผยองของจ้าวเฉียน บรรดาผู้ถือหุ้นคนอื่นๆบนเวทีก็เอ่ยปากด่าทันทีด้วยความไม่พอใจ

“แกจะหยิ่งไปถึงไหน? คิดว่าตัวเองเป็นใคร!? กล้าทำร้ายร่างกายคุณจางขนาดนี้ มีหรือที่พวกตำรวจจะยอมปล่อยตัวในหนึ่งชั่วโมง! นี่มันทำร้ายผู้อื่นโดนเจตนา แกจบไม่สวยแน่!”

“คุณตำรวจครับ คนสันดานชั่วแบบนี้ต้องจัดการให้หนัก! ถ้าเพิกเฉยต่อกฎหมายแล้วปล่อยมันไป ก็ถือว่าอับอายต่อกรมตำรวจทั่วประเทศแล้ว!”

“ถ้ามันสามารถออกมาได้ในหนึ่งชั่วโมง พวกเราจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”

บรรดาตำรวจชั้นผู้น้อยสองสามคนมองหน้ากับเลิ่กลั่กเจือท่าทีหวั่นเกรงเล็กน้อย คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นระดับเศรษฐีของเมือง ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะมีเส้นสายเป็นนายตำรวจระดับสูงหรือไม่

แต่ทันใดนั้นเอง จางต้าเฉินก็ลุกขึ้นพรวดและพุ่งซัดกำปั้นใส่จ้าวเฉียนในทันใด แจ่โชคดีที่ปฏิกิริยาของจ้าวเฉียนไวใช่ย่อย จึงสามารถเลี่ยงหลบการโจมตีนั้นได้อย่างทันท้วงที

ตอนที่244 ใครส่งเสริม ใครต่อต้าน

ณ ห้องประชุม จางต้าเฉิงกำลังกล่าวสุนทรพจน์ประดุจผู้นำทางสู่แสงสว่างในอนาคต โดยกล่อมให้เหล่าบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายจินตนาการถึงความสำเร็จหลังจากนี้

“ภายในสามปี ผมขอสัญญาเลยว่า มูลค่าการซื้อขายของบริษัทจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ภายในห้าปี กำไรสุทธิ์ประจำปีของบริษัทจะไม่น้อยกว่าร้อยล้านหยวน ภายในสิบปี เราจะขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ ขอเพียงพวกคุณเชื่อใจผมและสนับสนุนผมต่อไป ทุกคนจะมีเงินใช้….”

แต่ยังไม่ทันที่จางต้าเฉินจะพูดจบ เสียงประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ปรากฏว่าเป็นเฉิงต้าซีที่เดินเข้ามา

ทุกคนรีบหันควับ เห็นว่าเฉิงต้าซียังมีหน้ากลับมาที่นี่ แต่ละคนตะโกนกรนด่าสาปแช่งทันที

“ไอ้ขยะ กล้าดียังไงถึงกลับมา!”

“เปลี่ยนใจแล้วรึไง? พร้อมคุกเข่าขอขมาคุณจางแล้วเหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…เพิ่งมารู้สึกกลัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว! เมื่อกี้แกอวดเก่งดีหนิ ตั้งแต่คิดริเริ่มคลานกลับมาแบบนี้แกก็เป็นหมาแล้ว!”

……..

จางต้าเฉินยิ้มเยาะกล่าวว่า

“เฉิงต้าซี มีอะไรรึเปล่า?”

เฉินต้าซีเดินยืดอกเข้ามาด้วยความมั่นใจ ตะโกนลั่นขึ้นว่า

“ยินดีต้อนรับคุณจ้าวและคุณหนูเหริน!”

ปฏิกิริยาแรกของทุกคนคือ จ้าวเฉียนคือใคร?

ทันใดนั้นจ้าวเฉียนและเหรินจานซวนก็เดินตรงเข้ามาหาจางต้าเฉิน ทั้งสามได้เผชิญหน้ากัน

เฉิงต้าซีก้าวขึ้นหน้าออกไปกล่าวกับจางต้าเฉินโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัว

“ทำไมยังนั่งโง่อยู่อีก? คุณหนูเหรินกับคุณจ้าวยืนอยู่ตรงหน้า ยังไม่ลุกขึ้นเคารพอีกงั้นเหรอ!”

ในเวลานั้นเอง บรรดากลุ่มคนในห้องประชุมก็โห่ร้องขึ้นว่า

“เฉิงต้าซี นี่แกกำลังทำบ้าอะไรอยู่? คุณจ้าวอะไรของแก? หมอนี่คือใคร?”

“นี่ยังอยู่ในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้น ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา!”

“ออกไปซะ! คุณจ้าวบ้าบออะไร! ที่นี่แห่งนี้คุณจางใหญ่ที่สุด คุณเหรินตอนนี้ไม่มีสิทธิ์อะไรอีกแล้ว!”

……..

จางต้าเฉินยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ แสร้งปั้นหน้าดูสับสน เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาขึ้นว่า

“พ่อหนุ่ม ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นนายมาก่อนนะ? นายเป็นใคร?”

จ้าวเฉียนหัวเราะคำหนึ่ง เดินเข้าไปถีบจางต้าเฉินอย่างแรงจนร่วงจากเก้าอี้ประธานโดยตรง

“แกทำบ้าอะไรของแก!!?”

“ให้ตายเถอะ! ไอ้สวะนั้นพาไอ้เด็กเหลือขอจากที่ไหนมาก็ไม่รู้! รนหายที่ตายแล้วเจ้าหนู! กล้าทำตัวหยาบคายกับคุณจางงั้นเหรอ!”

การที่จ้าวเฉียนสามารถพาเหรินจานซวนมาที่นี่ได้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ศัตรูในครั้งนี้ของจางต้าเฉินค่อนข้างแข็งแกร่งไม่น้อย

แถมยังกล้าทำตัวหยาบคายขนาดนี้กับเขาได้ แสดงว่าภูมิหลังต้องไม่ธรรมดา

“พ่อหนุ่ม หยุดทำกิริยาต่ำทรามแบบนี้ซะ แล้วที่สำคัญ นายไม่ใช่ผู้ถือหุ้นของบริษัทเรา ถ้ายังไม่ออกไปฉันจะเรียกรปภ.ให้ลากตัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

จางต้าเฉินกล่าวขู่

จ้าวเฉียนหยิบเอกสารสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์หุ้นขึ้นมา และป่าวประกาศเสียงดังว่า

“คุณเหรินได้โอนหุ้นทั้งหมดในมือเธอให้แก่ผมเป็นที่เรียบร้อย นี่เป็นสัญญาการโอน ถ้าไม่เชื่อก็นำไปตรวจสอบได้เลย ต่อจากนี้เป็นต้นไป ผมคือเจ้าของบริษัทเซียนเหว่ยแห่งนี้!”

ทุกคนทั่วห้องประชุมตื่นตกใจอย่างมาก รีบเร่งเข้ามทาตรวจสอบเอกสารสัญญาดังกล่าว ซึ่งมีทั้งลายเซ็นและลายนิ้วประทับของทั้งจ้าวเฉียนและเหรินจานซวน สิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถปลอมแปลงได้

จางต้าเฉินที่เห็นแบบนั้นก็โกรธอย่างมาก เขาสบถด่าขึ้นลั่น

“นังตัวดี! ทีฉันขอซื้อหุ้นต่อกลับเล่นตัวไม่ยอม! ทีตอนนี้กลับโอนหุ้นให้หมอนี่หน้าตาเฉย! ทำไม? เห็นเขาหล่อรึไงเลยใจอ่อน!!”

เหรินจานซวนที่มีจ้าวเฉียนคอยหนุนหลัง ยามนี้เธอไม่เกรงกลัวจางต้าเฉินแม้แต่น้อย เธอเดินออกไปตบหน้าอีกฝ่ายดังฉัใหญ่ หลังจากเธอเธอทนโดนอีกฝ่ายกดขี่อยู่นาน ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาเสียที

การตบในครั้งนี้มันไม่ได้แค่กระทบจางต้าเฉินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาอีกด้วย อย่างน้อยที่สุดก็รู้สึกสำเหนียกใจเล็กน้อย

 เหรินจางซวนเหนื่อยกับชีวิตเธอแล้วรึไง? ถึงกล้าตบหน้าคุณจางทั้งแบบนั้น?

จางต้าเฉินเองก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นเตรียมจะตบเหรินจางซวนกลับ

แต่จ้าวเฉียนก็หูไวตาไวไม่ใช่น้อย ยกบาทาขึ้นมาทีมยอดอกของจางต้าเฉินจนล้มลงกับพื้น พร้อมกล่าวเย้ยเยาะขึ้นว่า

“คุณจางงั้นเหรอ? เปลี่ยนเป็นคุณนายจางดีกว่าไหม? เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กล้าลงมือลงไม้กับผู้หญิง ไปใส่กระโปรงซะไป!”

สถานการณ์ ณ ปัจจุบันยิ่งซับซ้อนเข้าไปใหญ่ บรรดาผู้สนับสนุนของฝ่ายจางต้าเฉินยามนี้ไม่กล้าแม้แต่ปริปาก หากเจ้าหนุ่มคนนี้มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการขึ้นมา มีหวังพวกเขาตายหยังเขียดแน่นอน

แต่จางต้าเฉินยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้เพียงเท่านี้ เขาตะโกนสวนตอบขึ้นทันที

“โอนหุ้นแล้วยังไงล่ะ? ขอเพียงพวกเราทุกคนลงมัติให้แกไม่มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการ ทุนในมือแกก็แค่เสือกระดาษ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอรับเงินปันผล!”

เหรินจานซวนยืนนิ่งไม่ตอบโต้ใดๆ เรื่องการชิงไหวชิงพริบด้านธุรกิจแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวเพิ่งจบใหม่จะสามารถรับมือได้ นอกจากนี้เอง เธอก็ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกต่อไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องออกหน้ามาจัดการกับจางต้าเฉินด้วยตัวเอง

ตอนนี้ เธอฝากฝังหน้าที่ทั้งหมดให้จ้าวเฉียนออกไปสู้แทนตัวเธอแล้ว

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับระเบิดหัวเราะลั่น และตอบไปว่า

“สมองคิดได้แค่นี้เหรอครับ? วางแผนร่วมมือเพื่อกีดกันสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำไมปากเก่งกันจังครับ? ไม่เคยเรียนกฎหมายธุรกิจกันรึไง? ถึงพูดอะไรโง่ๆออกมาแบบนี้ได้? ลองลงมัติดูสิครับ ผมจะได้นำเรื่องนี้ขึ้นศาลแล้วถอดถอนสิทธิ์ผู้ถือหุ้นของคุณทั้งหมด แถมผมยังสามารถเรียกค่าชดเชยได้อีกมากโข อุ๊บ! ผมไม่น่าพูดเลยแหะ งั้น…ทุกคนก็รีบลงมัติกันเลยสิครับ เร็วเข้าสิครับ! ผมรอฟ้องอยู่! ฮ่าฮ่าๆๆ…ขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทนวัตกรรม แต่ทำไมปล่อยให้ควายมาบริหารได้ล่ะเนี่ย?”

ทุกคนโดนจ้าวเฉียนสวดไปชุดใหญ่ถึงกับพูดไม่ออก และพวกเขาเองก็ทราบดีอยู่ในใจว่าจ้าวเฉียนมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้จริงๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่

สัดส่วนหุ้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคน และเหรินจานซวนมีหุ้นอยู่ในมือทั้งหมด50.5% เท่ากับว่าตอนนี้จ้าวเฉียนได้ส่วนของเธอมาครอบครองทั้งหมด ต่อให้ทุกคนในที่นี่รวมหุ้นในมือกันก็มีไม่พอที่จะไปสู้เขาได้เลย ดังนั้นถ้าเรื่องนี้ถึงโรงถึงศาล จ้าวเฉียนจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่จางต้าเฉินยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้อยู่ดี และขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันต่อจ้าวเฉียน ไม่ให้เข้ามาบริษัทในบริษัท

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเล็กน้อยและกล่าวขึ้นว่า

“เอาล่ะหยุดพล่ามกันได้แล้ว น่ารำคาญ งั้นต่อจากนี้ผมจะทำการสรุปการประชุมในวันนี้นะครับ จางต้าเฉินพ้นสภาพจากตำแหน่งรองประธานบริษัท ส่วนทุกคนในห้องประชุมแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ออกเสียงใดๆอีกต่อไป เป็นอันจบการประชุมมีใครคัดค้านไหมครับ?”

ทันทีสิ้นเสียง เฉินต้าซีและเหรินจานซวนก็ตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงว่า ไม่มีข้อคัดค้าน ทว่าจางต้าเฉินและคนอื่นๆกลับยกมือขึ้นคัดค้านโดยตรง ส่วนพวกที่ให้การสนับสนุนตระกูลเหรินก่อนหน้า ยามนี้เริ่มที่จะลังเล

จ้าวเฉียนหัวเราะและตอบไปว่า

“นี่พวกคุณยังกล้ายกมือกันอีกเหรอ? สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่เป็นคำสั่งไม่ใช่คำถาม เฉิงต้าซี สั่งหุ้กคนหยุดทำงานและไปรวมตัวที่จัตุรัสเพื่อเตรียมป่าวประกาศเรื่องการเปลี่ยนแปลงในวันนี้”

เฉิงต้าซีตอบรับคำสั่งกลับทันทีด้วยความเคารพว่า

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบดำเนินการเดี๋ยวนี้ คุณจ้าวโปรดรอสักครู่”

ทันที่ที่พูดจบ เฉิงต้าซีก็รีบวิ่งออกไปแจ้งตามแผนกต่างๆในบริษัท สั่งให้ทุกคนวางงานบนมือลงไปก่อนและรวมตัวที่จัตุรัสโดยเร็วที่สุด

ยี่สิบนาทีต่อมา ทุกคนได้มารวมตัวที่จัตุรัสหน้าบริษัทอย่างพร้อมหน้า ตั้งแต่พนักงานทำความสะอาดยันผู้จัดการของแต่ละแผนกครบ

เฉิงต้าซนวิ่งกลับเข้ามาในห้องประชุมและกล่าวรายงานกับจ้าวเฉียนเสียงดังฟังชัด

“เรียนคุณจ้าว พนักงานทุกคนได้มารวมตัวกลางจัตุรัสพร้อมแล้วครับ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและยิ้มตอบกลับไปว่า

“ไปกันเถอะ ออกไปให้ทุกคนเห็นหน้ากันหน่อย ฮ่าฮ่าฮ่า…”

พอพูดจบ จ้าวเฉียนก็พาเฉิงต้าซีและเหรินจานซวนเดินออกไป

“คุณจาง เราควรทำยังไงกันต่อไปดี? จพยอมแพ้ทั้งแบบนี้เหรอครับ?”

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ? ทุนในมือของอีกฝ่ายมีมากกว่าพวกเรารวมกันซะอีก? เราไม่สามารถอะไรมันได้!”

“ถ้ายอมแพ้ทั้งแบบนี้ ทุกอย่างที่เราพยายามกันมาจะต้องสูญเปล่านะครับ คุณจางจะปล่อยให้คนพวกนั้นทำลายบริษัทของเราต่อไปงั้นเหรอครับ?”

“ใช่ครับ! นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะครับ ขอให้คุณจางลองคิดดูอีกที!”

“คุณจางอย่าได้ลังเลไปเลยครับ พวกผมจะคอยสนับสนุนเอง!”

“ใช่แล้วครับ! อย่ายอมแพ้กับเรื่องแค่นี้…”

ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อมจางต้าเฉิยนให้ลุกขึ้นสู้อีกครัง จนท้ายที่สุดเขาก็ทนต่อแรนงกระตุ้นไม่ไหวและพยักหน้าเห็นด้วยทันที

“เข้าใจแล้ว! ไปบอกให้ทุกคนรู้กันว่า ใครกันแห่งที่เป็นเจ้าของเซียนเหว่ยตัวจริง!”

จางต้าเฉินกล่าวเรียกกำลังใจอย่างเดือดดุ และพาทุกคนออกไปทันที

ตอนที่243 เอาทุกอย่างกลับคืนมา

เวลาผ่านไอย่างรวดเร็วก็ครบสิบนาที จางต้าเฉิงลุกขึ้นและกล่าวกับเหล่าพันธมิตรรอบตัวอย่างมีชัย

“คุณจาง ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!”

“ฮ่าฮ่า….ยินดีด้วยครับคุณจาง!”

“หลังจากนี้คุณจางก็อย่าลืมสหายเก่าอย่างพวกเรานะครับ”

…….

จางต้าเฉินระเบิดหัวเราะลั่นและทุบหน้าอกตัวเองอย่างมั่นใจ กล่าวรับปากทุกคนทันที

“ไมม่ต้องห่วง ฉันไม่มีวันลืมบุญคุณของพวกนายแน่นอน ทันทีที่ฉันได้รับสิทธิ์การบริหารทั้งหมดมา ฉันจะขยายส่วนผู้ถือหุ้น ทำให้มูลค่าหุ้นในมือเหรินจานซวนเจือจางไปเอง หลังจากนั้นฉันจะอนุมัติให้พวกนายทุกคนอัดฉีดเงินเข้ามาได้เต็มที่!”

“ฮ่าฮ่า…ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอขอบคุณคุณจางล่วงหน้าครับ”

“ต่อไปผมจะอุทิศตนทำงานอย่างหนักเพื่อคุณจาง”

“ด้วยความสามารถของคุณจาง บริษัทเซียนเหว่ยของเราจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกในไม่ช้า!”

……..

ได้ฟังวาจาประจบสอพอของคนพวกนี้ จางต้าเฉินแทบยิ้มกว้างฉีกถึงหูอย่างสุขอกสุขใจ

สีหน้าของผู้ถือหุ้นฝ่ายเหรินจานซวนมิดทมิฬน่าเกลียดลงทันใด เมื่อเห็นว่าผ่านไปกว่าสิบนาทีแล้วเธอยังไม่มา พวกเขาก็พลันคิดไปว่า เธอคงไม่กล้ามาแล้วจริงๆ

จางต้าเฉินจ้องนาฬิกาในมือ และป่าวประกาศเสียงดังขึ้นทันทีว่า

“เอาล่ะ นี่มันเกินกว่าสิบนาทีแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้โอกาสเธอ แต่เธอไม่สนใจบริษัทเอง เอาล่ะ ถึงเวลาลงมัติกันดีกว่า ฉันขอเสนอให้ถอดถอนสิทธิ์การบริหารทั้งหมดที่มีในมือเหรินจานซวนออกไป ให้เห็นด้วยกับฉันบ้าง?”

ทันทีที่สิ้นเสียงจางต้าเฉิน เหล่าผู้คนที่ให้การสนับสนุนต่างยกมือขึ้นเห็นชอบทันที

บางคนที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนเหรินจานซวนก็เริ่มยกมือเห็นด้วยแล้วเช่นกัน สุดท้ายนี้พวกเขาไม่ได้ศรัทธาในตัวเหรินจาซวนเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นเธอเป็นเหรินไห่อัน พวกเขาในตอนนี้คงคัดค้านจางต้าเฉินหัวชนฝาแล้วเช่นกัน

แต่ปัจจุบัน เหรินจานซวนหวาดกลัวเกินกว่าจะมาประชุมด้วยซ้ำ ดังนั้นมันถึงเวลาที่พวกเขาจำต้องเอาตัวรอดเป็นสำคัญ

อย่างน้อบบริษัทยังสามารถพัฒนาขึ้นได้หากอยู่ในมือจางต้าเฉิน มากกว่าในมือเหรินจานซวน และบริษัทแห่งนี้จำต้องเดินหน้าพัฒนาต่อไปเท่านั้น พวกเขาในฐานะผู้ถือหุ้นจึงจะได้ผลประโยชน์

ในไม่ช้า เกือบทุกคนในห้องประชุมก็ยกมือเห็นชอบที่จะถอดถอนเหรินจานซวนออกจากสิทธิ์การบริหาร ทว่าเหลือเพียงคนเดียวที่ไม่ยกมือนั่นก็ถือประธานบริษัทเซียนเหว่ยคนปัจจุบันอย่างเฉิงต้าฉี

เฉินต้าฉีคนนี้กล่าวได้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของเหรินไห่อัน ในตอนนี้เหรินไห่อันแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นรองประธานบริษัท บุคลิกนิสัยเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี และซื่อสัตย์ต่อผู้มีบุญคุณอย่างยิ่ง ต่อมาหลังจากการหายตัวไปของเหรินไห่อัน เขาก็ขึ้นมานั่งแท่นประธานบริษัทแทน

เมื่อนึกถึงบุญคุณตลอดมาที่เหรินไห่อันมีให้แก่เขา เฉิงต้าฉีก็ได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่แปรพักไปอยู่กับจางต้าเฉินแน่นอน

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เฉิงต้าซีจนเป็นตาเดียว รอให้เขายกมือขึ้นมา แต่อย่างไรเสีย ทุกคนกลับต้องผิดหวัง เพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีที่จะยกมือเลยสักนิด

สีหน้าของจางต้าเฉินมืดทมิฬลงทันใด เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า

“เฉิงต้าซีนี่มันหมายความว่ายังไง? นายแค่คนเดียวคิดจะสู้กับพวกเราทั้งหมดอย่างงั้นเหรอ? ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วใช่ไหม?”

เฉิงต้าซียิ้มเยาะเอ่ยถามขึ้นสวนว่า

“ขยะอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งประธานบริษัทอย่างฉันได้? จำใส่กะลาหัวไว้ซะ ที่ฉันยังอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ แต่เพื่อปกป้องคุณหนูเหริน! ฉันไม่มีวันยอมให้ขยะอย่างแกมาทำร้ายคุณหนูได้!!”

จางต้าเฉินโกรธอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขณะที่จะลุกขึ้นด่าเฉิงต้าซี คนอื่นๆกลับออกมารับหน้าโต้เถียงแทนเขา

“เฉินต้าซี! นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ตอนที่คุณเหรินยังอยู่ แกก็ชอบทำตัวกรางใส่ พอตอนนี้ไม่อยู่ แกยังหน้าด้านทำตัวต่ำทรามกับพวกเราอีกงั้นเหรอ!”

“ก่อนจะทำเป็นเก่ง ช่วยดูหุ้นในมือแกด้วย! แกไม่มีคุณสมบัติมาพูดจาหมาๆแบบนี้ใส่พวกเราด้วยซ้ำไป! ที่ผ่านมา เพราะมีคุณเหลียวคอยคุ้มกะลาหัวแกอยู่ไง ทุกคนเลยยอมให้!”

“ตอนนี้คุณจางคือนายใหญ่ของเซียนเหว่ยแห่งนี้ ตำแหน่งประธานของแกก็แค่เสือกระดาษ! ถ้ายังเลี้ยงไม่เชื่องอยู่แบบนี้ พวกเราจะลงมัติให้ไล่แกออกไปซะเดี๋ยวนี้!”

…..

มุมปากของจางต้าเฉินแสยะยิ้มขึ้นทันที เขาสัมผัสได้ถึงชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ทุกคนในบริษัทต่างสนับสนุนเขาทว่าเฉิงต้าซีคนนี้กลับไม่รู้เลยว่า อะไรเป็นอะไร ก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่งที่ยังหัวรั้น

เฉินต้าซีไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย กล่าวเย้ยขึ้นว่า

“พวกเราก็ลงความเห็นการอย่างยุติธรรมนะ ทำไมกลับมีสวะอย่างแกที่ยังจุ่นจ้านไม่เข้าเรื่อง? คนอย่างแกไม่มีคุณสมบัติมาพล่ามต่อหน้าฉันด้วยซ้ำ ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับแกอีกต่อไปแล้ว ไสหัวไปซะ!”

เฉิงต้าซีเค้นเสียงเย็นคำโต สวนตอบกลับไปอย่างไม่มีหวั่นเกรงเช่นกัน

“ก็แค่พวกหมาแก่ไร้ค่ารวมหัวกันโกงกินคนอื่น! ฉันเองก็ไม่อยากเกลือกกลั้วกับพวกขยะชั้นต่ำอย่างพวกแกเหมือนกัน! ระวังเถอะ สักวันกรรมจะสนองพวกแกแน่นอน!”

ทันทีที่พูดจบ เฉิงต้าซีก็ลุกขึ้นและเดินจากออกไปทันที

“เหอะ! ไอ้เวรนี่รนหาที่ตาย!”

“บ้าเอ้ย! ปล่อยมันไปเถอะ หลังจากนี้เราต้องคัดเลือกคนที่เชื่อฟังเรามาเป็นประธานแทนจริงๆแล้ว”

“ถูกต้อง ถ้าเลือกมาไม่ดี มันก็จะไม่เชื่องแบบเฉิงต้าซีนี่แหละ หรือคุณจางจะลงมาควบคุมเองไปเลย ด้วยความสามารถของคุณ จะต้องทำได้ดีกว่าไอ้ขยะนี่แน่ๆ!”

….

ถึงเบื้องหน้าจางต้าเฉินยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ภายในใจลึกๆ เขารู้สึกเกลียดเฉิงต้าซีและต้องกำจัดมันให้ได้ในอนาคต

เฉิงต้าซีจะต้องได้รับบทเรียนสั่งสอนให้เข็ดหลาบ เพื่อให้รู้ว่าอะไรควรล่วงเกิน อะไรไม่ควรล่วงเกิน

ทางด้านเฉิงต้าซี เขาเดินออกจากห้องประชุมด้วยความโกรธจัด ทันใดนั้นเองก็พลันเห็นเฮลิลอปเตอร์บินผ่านมา

เสี้ยวอึดใจหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น พอหยิบออกมาดูปรากฏว่าเป็นเหรินจานซวนที่โทรมาหา

เฉิงต้าซีรีบกดรับสายทันทีและเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า

“ฮาโหลครับ คุณหนูเหริน เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูกันแน่ครับ?”

เหรินจานซวนรีบตอบกลับทันที

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณเฉิงช่วยขึ้นไปดาดฟ้าเปิดประตูให้หน่อยได้ไหมค่ะ? หนูกำลังลงจอดฮอ”

เฉิงต้าซีที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก เขารีบเอ่ยถามกลับไปว่า

“หรือว่าคุณหนูอยู่ในฮอลำเมื่อกี้?”

“ใช่ค่ะ!”

“เยี่ยมเลยครับ! งั้นผมจะรีบขึ้นไปรับเดี๋ยวนี้เลย!”

เฉิงต้าซีรีบวางสายวิ่งขึ้นไปที่ห้องรปภ.เพื่อไปหยิบกุญแจดาดฟ้ามา และขึ้นไปเปิดรอเหรินจานซวนอย่างรวดเร็ว

เหรินจานซวนและจ้าวเฉียนลงจากเฮลิคอปเตอร์และวิ่งตรงไปหาเขาทันที

เฉิงต้าซีเร่งรายงานสถานการณ์ตที่เกิดขึ้นในห้องประชุมโดยละเอียด และเอ่ยถามเธอทิ้งท้ายไปว่า ตอนนี้พอจะคิดมาตรการณ์รับมืออะไรได้บ้างหรือไม่?

เหรินจานซวนส่ายหัวตอบ

“ไม่เลย แล้วอีกอย่างคือ ตอนนี้ฉันไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเซียนเหว่ยอีกต่อไปแล้ว”

เฉิงต้าซีชะงักไปชั่วขณะ พลันเหลือบมองไปที่จ้าวเฉียนราวกับเข้าใจทุกอย่างได้ในทันใด

เขามองจ้าวเฉียนด้วยความประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง เท่าที่สังเกต นอกจากความหล่อแล้ว อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรเท่าไหร่

จ้าวเฉียนยื่นมือออกไปจับทักทายอีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมจ้าวเฉียน”

เฉิงต้าซีรีบยื่นมือออกไปจับเร่งกล่าวทักทายว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเฉิงต้าซี ประธานเซียนเหว่ย…เอ่อ…หมายถึงเคยเป็นน่ะครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”

“ฮ่าฮ่า…คงเป็นเรื่องบากไม่ใช่น้อยเลยนะครับที่ต้องรับมือกับจางต้าเฉินกับที่เหลือ ขอบคุณนะครับที่ยังหยัดเคียงข้างคุณเหริน ไม่ต้องกังวลครับ ตำแหน่งประธานบริษัทยังเป็นของคุณแน่นอน และไม่มีใครสามารถแย่งมันไปจากคุณได้ เราไปเอาทุกอย่างกลับคืนมากันเถอะครับ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบด้วยความมั่นใจ

เหรินจานซวนที่เห็นดังนั้นก็เริ่มมองจ้าวเฉียนในแง่ดีขึ้นมาหน่อย

เฉิงต้าซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น และทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในห้องประชุมโดยตรง

ตอนที่242 กลยุทธ์สกปรก

จ้าวเฉียนรีบปลอบเหรินจานซวนโดยกล่าวว่าไม่ต้องกลัว แต่ถึงอย่างไรการต่อสู่ด้านนอกหนักรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก แล้วจะไม่ให้เธอกลัวได้ยังไง?

เหรินจานซวนรีบกล่าวย้ำทันที

“เรารีบโทรหาตำรวจดีกว่าไหม?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวปฏิเสธคำแนะนำของเธอไป ลูกน้องของหยางหู่แต่ละคนส่วนใหญ่เป็นอดีตทหารสังกัดหน่วยรบพิเศษ กับอีแค่จัดการพวกอันตธานกลุ่มหนึ่ง มันไม่ใช่ปัญหาเลย ดังนั้นไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องโทรหาตำรวจ

เหรินจานววนหวาดกลัวอย่างมาก เธอไม่อยากถูกคนของจานต้าเฉินลักพาตัวไปอีก ดังนั้นเธอจึงขดตัวซ่อนอยู่ในรถจ้าวเฉียนทั้งแบบนั้น

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน การต่อสู้ด้านนอกก็จบลง คนของจางต้าเฉินถูกจัดการเรียบ พวกลูกน้องของหยางหู่รีบทำการเก็บกวาดทำความสะอาดบริษัทสู้รบอย่างรวดเร็วและจากไปพร้อมกับคนของจางต้าเฉินเพื่อนำไปทำลายหลักฐาน

จ้าวเฉียนหันกลับมาพูดกับเหรินจานเฉินว่า

“เอาล่ะ เสร็จสักที ทีนี้ก็ไปเซียนเหว่ยได้อย่างหมดห่วงแล้ว”

เหรินจานซวนรีบขัดเข็ดขัด ส่วนจ้าวเฉียนก็ขับรถมุ่งหน้าออกไปทันที

จากเหตุการณ์ดังนั้น มันยิ่งทำให้เหรินจานซวนมั่นใจว่า จ้าวเฉียนจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน เธอเอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า

“พี่จ้าว ฉัน…ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ทำไมนายถึงมีลูกน้องเยอะจัง?”

จ้าวเฉียนเหลือบมองเหรินจานซวนแต่ไม่ปริปากตอบสักคำ และขับรถต่อไปอย่างเงียบงัน

เหรินจานซวนไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรอีกต่อไป เพราะตัวตนของจ้าวเฉียนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าเธอรู้อะไรที่ไม่ควรรู้เขา มีหวังเธอตายแน่ๆ

ไม่นาน ทั้งสองก็ออกจากบริเวณหมู่บ้านคฤหาสน์ แต่พอเดินทางไปถึงถนนสายหลัก พลันต้องหยุดรถทันที ข้างหน้ามีอุบัติเหตุรถชนกันยาวเป็นแพ

โดยไม่มีลังเล จ้าวเฉียนหักรถกลับรีบเดินทางไปที่เซียนเหว่ยโดยใช้ถนนอีกสายหนึ่ง

แต่พอพวกเขาไปถึง ปรากฏว่าถนนสายนี้เองก็มีอุบัติเหตุเช่นกัน

เหรินจานซวนเอ่ยปากบ่นขึ้นทันที

“ทำไมเราถึงโชคร้ายกันจัง? ไปทางไหนก็มีแต่รถชน นี่มันก็สายแล้วนะ”

จ้าวเฉียนหัวเราะกล่าวตอบว่า

“ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครสามารถหยุดพวกเราให้ไปที่เซียนเหว่ยได้”

“แต่ถนนที่มุ่งหน้าไปยังเซียนเหว่ยทั้งสองสายถูกปิดแบบนี้จะทำยังไง อ้อมไปอีกสายก็ไม่น่าทันแล้ว”

จ้าวเฉียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาหยางหู่อย่างใจเย็น

หยางหู่รีบรับโทรศัพท์มือถือทันที เอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบรับกลับไป และเอ่ยสั่งการทันที

“ตอนนี้ฉันต้องรีบไปที่บริษัท เซียนเหว่ย เทคโนโลยีโดยเร็วที่สุด แต่ถนนทั้งสองสายที่ใกล้ที่สุดกลับถูกปิด นายช่วยจัดเฮริคอปเตอร์มารับฉันเดี๋ยวนี้เลย”

หยางหู่ตอบรับคำสั่งโดยไว

“ไม่มีปัญหาครับ ผมจจะโทรหาฮ่าวซินขับไปรับคุณชายจ้าวเองครับ”

“งั้นฉันจะกลับไปรอที่บ้านนะ บอกให้เขารีบเลย แค่นี้แหละ”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดเวางสายและรถกลับบ้านไปรอ

เหรินจานซวนจับจ้องจ้าวเฉียนด้วยความตื่นตะลึงยิ่งตลอดทาง จ้าวเฉียนคนนี้เป็นใครกันแน่? สามารถเรียกเฮริคอปเตอร์ได้ภายในเวลาอันสั้น นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

เธอพลางคิดไปว่า จางต้าเฉินจะต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่าฝ่ายเธอจะเล่นใหญ่ถึงขนาดนี้ จนทำเอาอดหัวเราะไม่ได้

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เฮริคอปเตอร์ก็ลงจอดตรงลานกว้างหลังคฤหาสน์ของจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรีบสะกิดเรียกเหรินจานซวนให้ขึ้นไปโดยเร็ว

หยางหู่กำกับฮ่าวซินซ้ำอยู่หลายรอบ ตัวเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูดหรือสื่อสารกับคุณชายจ้าวเด็ดขาด ขอจดจ่อกับการบินพร้อมไปส่งคุณชายจ้าวอย่างปลอดภัยก็พอ ดังนั้นตอนนี้ เขาไม่แม้แต่กล้าหันไปมองจ้าวเฉียนเลยด้วยซ้ำ

จ้าวเฉียนเอ่ยปากสั่งการฮ่าวซินทันที

“มุ่งหน้าไปที่บริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยีเลย”

ฮ่าวซินพยักหน้าให้ด้วยความเคารพและออกตัวบินไปยังเซียนเหว่ยโดยทันที

เหรินจานซวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างยิ่งว่า

“สุดหล่อ ก่อนจะเอาฮอมารับแบบนี้ไม่ใช่ว่าต้องรายงานกับภาครัฐก่อนเหรอ?”

ฮ่าวซินนั่งเหงื่อตก ลังเลอยู่นานว่าควรพูดตอบดีหรือไม่ หยางหู่สั่งให้เขาห้ามพูดเป็นอันขาด แต่ทางด้านเหรินจานซวนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเขาเอง ถ้าไม่เอ่ยปากตอบอะไรกลับไปก็อาจเสียมารยาท และทำให้คุณชายจ้าวไม่พอใจได้

จ้าวเฉียนที่เห็นปฏิกิริยาของฮ่าวซินก็รู้ได้ทันทีว่า คงถูกหยางหู่สั่งให้ห้ามพูดมาแน่นอน ดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบแทนไปว่า

“ภายใต้สถานการณ์ปกติ ก่อนบินทุกครั้งจำเป็นต้องรายงาน แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมา จำนวน‘UFO’ในประเทศจีนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ดังนั้นกฎดังกล่าวจึงค่อนข้างหย่อนยานลงเยอะน่ะ”

“UFO? นายหมายถึงเอเลี่ยนเหรอ?”

เหรินจานซวนถึงกับงง จนเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาแสนว่างเปล่า

จ้าวเฉียนหัวเราะก่อนอธิบายไปว่า

“ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่คือUnidentified Flying Object วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้น่ะ หรือก็คือพวกเฮริคอปเตอร์หรือเครื่องบินที่ไม่ได้ลงทะเบียน ถ้าถูกจับได้ก็ต้องจ่ายค่าปรับประมาณสองถึสามหมื่นหยวน ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงมองว่าแพง แต่สำหรับคนที่มีปัญญาซื้อฮอหรือเครื่องบินส่วนตัว มันไม่ใช่ปัญหาเลย ก็แค่หลับตาข้างหนึ่งยอมจ่ายไป”

เหรินจานซวนพยักหน้าเชิงว่าเข้าใจแล้ว และสิ่งนี้ทำให้เธอเข้าใจถึงตัวตนของจ้าวเฉียนมากยิ่งขึ้น เขาไม่ใช่แค่คนรวยทั่วไปแน่นอน

ในขณะเดียวกัน การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท เซียนเหว่ย เทคโนโลยีก็เริ่มขึ้นแล้วเช่นกัน จางต้าเฉินต้องการจะให้ห้องประชุมลงมัติโดยเร็วที่สุด ดงันั้นเขาจึงป่าวประกาศเสียงดังว่า

“คุณเหรินขาดประชุมในวันนี้ นั้นหมายความว่าเธอสละสิทธิ์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่แล้วเช่นกัน ดังนั้นผมอยากจะเสนอให้ทุกคนร่วมกันลงมัติถอดถอนเธอจากตำแหน่งประธาน และบังคับให้เธอปล่อยหุ้นในมือทิ้งไปทั้งหมด คนที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ ไม่ควรมีสิทธิ์แม้แต่จะรับเงินปันผลบริษัทของเราด้วยซ้ำ!”

สิ่งที่ควรทราบอย่างแรกคือ เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ถูกควบคุมโดยจานต้าเฉินโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าเขาจะเสนออะไรออกไป ทุกคนในที่นี่ย่อมเห็นด้วยโดยธรรมชาติ

พวกเขาเหล่าผู้ถือหุ้นเองต่างก็จ้องจะล้มล้างเหรินจานซวนอยู่แล้ว โดยหวังว่าจะพลอยได้ส่วนผู้ถือหุ้นในมือของเธอมาบ้างไม่มากก็น้อย

ทันทีที่จางต้าเฉินขึ้นกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งแทน ทุกคนจะใช้อำนาจที่มีโหวตเพื่อขับไล่เหรินจานซวนออกไปทันที หลังจากเธอไสหัวออกไปได้ พวกเขาค่อยแบ่งผลประโยชน์ต่อกันเอง

อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทของตระกูลเหริน ย่อมมีผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนจงรักภักดีต่อตระกูลเหรินเช่นกัน พวกเขาลุกขึ้นต่อต้านความเสนอของจางต้าเฉินทันที และเรียกร้องให้รอเธอก่อนจึงค่อยลงมติเห็นชอบ โดยให้เหตุผลว่าเธอที่ล่าช้าแบบนี้เป็นเพราะอาจุมีอุบัติเหตุบนท้องถนน

แต่ทางด้านฝ่ายที่สนับสนุนจางต้าเฉินก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที

“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่การที่เธอมาสายแบบนี้มันแสดงให้เห็นแล้วว่า เธอไม่ได้สนใจบริษัทเลย แล้วเราจะปล่อยให้คนแบบนี้กุมชะตากรรมบริษัทต่อไปได้ยังไง? ในไม่ช้าก็เร็ว มีหวังบริษัทเซียนเหว่ยของเราต้องล้มจมแน่นอน!”

“ถูกต้อง! พวกเราทุกคนล้วนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า แต่เธอเป็นคนเดียวที่มาสาย ถ้าจะโทษอุบัติเหตุทางท้องถนน คงต้องมาสายกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเธอไม่มาแบบนี้ก็ถือว่าสละสิทธิ์!”

“ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มลงมัติกันเลยเถอะ!”

….

แต่ฝ่ายที่สนับสนุนตระกูลเหรินรีบโต้กลับไปทันที

“หุบปาก! อย่างแรกเลยนะ บริษัทแห่งนี้ก่อเกิดจากความพยายามอุสาหะของท่านประธานเหริน แล้วจะให้คนนอกอย่างพวกแกควบคุมกันได้ง่ายๆยังไง?!”

“ถูกต้อง! จางต้าเฉิน แกพยายามชุบมือเปิปจากความยากลำบากของคนอื่น! แกนี่มันหน้าด้านเกินไปแล้ว! สักวันจะต้องกรรมสนอง!”

“ถ้าคุณหนูเหรินยังไม่มาก็อย่าหวังจะได้ลงมัติ! เราไม่เห็นด้วย!”

………

ทั้งสองฝ่ายแหกปากตะโกนลั่นทะเลาะกันอย่างหนัก จนในที่สึดจางต้าเฉินจำต้องออกมาควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว เขาทุบโต๊ะตะโกนลั่นดังว่า

“ทุกคนหยุด!”

ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบลงทันใด

จางต้าเฉินกล่าวต่อว่า

“ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ งั้นเอาแบบนี้เป็นไง ให้เวลารออีกสิบนาที ถ้าคุณเหรินยังไม่มาเป็นอันว่าสละสิทธิ์ นี่ถือว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว”

บรรดาผู้สนับสนุนจางต้าเฉินพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยทันที

ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนตระกูลเหรินดูลังเลเล็กน้อย เหลียวซ้ายแลขวาสบตากันไปมา ไม่มีใครสักคนที่กล้าแสดงความเห็นออกไป

อย่างไรก็ตามแต่ ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องพยักหน้าตอบอย่างจำใจ ตราบใดที่สามารถยื้อเวลาได้ออกเพียงเล็กน้อย ฝ่ายที่สนับสนุนตระกูลเหรินจำต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของจางต้าเฉินไป

จางต้าเฉินระเบิดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข อีกไม่นาน เขานี่แหละจะขึ้นกลายเป็นเจ้าของบริษัทเซียนเหว่ยคนใหม่!

ที่เส้นทางระหว่างบ้านจ้าวเฉียนมาถึงเซียนเหว่ยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นโดยฝีมือของจางต้าเฉินทั้งสิ้น เขาส่งลูกน้องให้ไปขับรถชนกันเพื่อป้องกันไม่ให้เหรินจานซวนมาถึงได้ทันเวลา ทุกอย่างเป็นไปตามแผนด้วยดี

จางต้าเฉินคิดในใจกับตัวเองว่า ตราบใดที่เขารอให้ครบสิบนาที จากนี้ต่อไปเขาจะสามารถควบคุมเซียนเหว่ยได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ตอนที่241 ปล้น

เหรินจานซวนตกใจสุดขีด จ้าวเฉียนพุ่งกระโจนเข้าใส่กลางบ้าน เธอถึงกับร้องห่มร้องไห้เสียงดังลั่น

“ออกไป! ออกไปจากตัวฉัน! ไม่งั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!”

ทันใดนั้นจ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้ พร้อมกล่าวขึ้นว่า

“นี่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังไม่รู้อีกเหรอว่าอันไหนจริงอันไหนเล่น?”

“ห๊ะ? ก็…ก็คุณโทรเรียกแก๊งมาเฟียเป็นโขยงออกมาแบบนั้น แถมคุณเป็นใครก็ยังไม่รู้ แล้วจะไม่ให้กลัวได้ยังไง?”

เหรินจานซวนเอ่ยปากบ่นทันที

“งั้นก็เลิกโง่ได้แล้ว ออกไปหาอะไรกินเถอะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัว ถ้าไม่ไปผมจะไปกินเอง”

จ้าวเฉียนเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

เหรินจานซวนยืนถือโทรศัพท์แน่น ลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี

ถ้าเธอโทรแจ้งตำรวจ แต่สุดท้ายจ้าวเฉียนไม่ใช่คนเลวล่ะ? ในท้ายที่สุดนี้เธอก็ค้นพบคนที่สามารถปกป้องเธอได้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นเธอเองก็ไม่อยากทำให้เขาต้องขุ่นเคืองใจเช่นกัน

แต่ถ้าไม่โทรแจ้งตำรวจ แล้วจ้าวเฉียนเป็นคนไม่ดีขึ้นมาล่ะ? นี่ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในปากเสือหรอกเหรอ?

หลังจากกังวลใจรวนเรอยู่นาน เหรินจารซวนจึงตัดสินใจไม่ออกไปไหน

จ้าวเฉียนเองก็ไม่รอเธอเช่นกัน ขับรถออกไปทานข้าวเย็นคนเดียว ระหว่างนั้นเองหวานเจียงก็โทรมาหา

จ้าวเฉียนรับสายพร้อมยิ้มทักทายขึ้นว่า

“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงมีธุระอะไรครับ?”

หวานเจียงพ่นลมหายใจใส่คำโต สบถตอบไปว่า

“นายว่างไหม ถ้าไม่ว่างไม่เป็นไร”

จ้าวเฉียนรีบตอบทันที

“แน่นอน สำหรับคุณผู้หญิง ผมว่างเสมอครับ ดูท่าจะมีเรื่องอะไรใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

“ไม่มี! ฉันแค่เบื่อ ไม่อยากอยู่คนเดียว อยากจะหาใครสักคนมาด่าเล่นแก้เซ็ง ตกลงนายว่างใช่ไหม? งั้นมาให้ฉันด่าหน่อย”

หวานเจียงสรรหาข้ออ้างเรียกอีกฝ่ายออกมา

จ้าวเฉียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับเหตุผลแปลกๆของเธอ จึงอดยิ้มถามไม่ได้ว่า

“นี่เธอท้องจริงๆรึไง? อามรณ์แปรปวนจังห่ะ?”

“ฉันแค่อยากบ่นเฉยๆ ทำไมผู้ชายอย่างนายถึงถามจู้จี้จัง? เอาแต่ถามโน้นนี่ไม่หยุด? เวลาฉันพูดอะไรไปก็ไม่เห็นจะเข้ามใจอะไรสักอย่าง แถมยังชอบทำตัวงี่เง่า…”

ราวกับหวานเจียงควบคุมอารมณ์ไม่ได้จริงๆ เธอปริปากบ่นจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อนกว่าห้านาทีต่อเนื่อง ไม่ทราบเช่นกันว่า เธอเหนื่อยบ้างรึเปล่า แต่ที่แน่ๆคือ ตอนนี้จ้าวเฉียนรู้สึกเหนื่อยใจเสียเหลือเกิน

“ด่าพอยัง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามเจือสงสัย

“ไม่! อย่าเพิ่งวางสายนะ! ฉันจิบชาแปปนึง…โอเค! ด่าถึงไหนแล้ว?”

เธอในตอนนี้ทำตัวไร้เหตุผลมาก

จ้าวเฉียนหัวเราะ คล้อยหลังซดซุปในถ้วยหมด เขาก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากและกล่าวแทรกขึ้นว่า

“โอเค โอเค ฉันว่าเธอพักคอก่อนดีกว่านะ ฉันกินข้าวเสร็จพอดี ขอตัวไปเช็คบิลก่อน”

จ้าวเฉียนหยิบบิลรายการอาหารขึ้นมาและลุกไปจ่ายเงิน ระหว่างเดินนั้นเขาก็ยังยกหูฟังหวานเจียงด่าไม่หยุดว่า ตัวจ้าวเฉียนนั้นแย่แค่ไหน พอเขาขึ้นรถไปก็เอ่ยปากพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งว่า

“โอเค โอเค ผมมันแย่ แย่มากๆเลยด้วย พอใจไหม? ผมขอวางสายก่อนนะต้องขับรถแล้ว”

“ทำไมต้องวางสาย รถนายก็เชื่อมต่อบลูทูธโทรศัพท์ได้ ตั้งใจขับรถแล้วฟังฉันด่าต่อ!”

หวานเจียงตะโกนสั่งจ้าวเฉียนราวกับยื่นคำขาด

จ้าวเฉียนได้แต่หัวเราะแห้งอีกครา พลางคิดติดตลกกับตัวเองว่า ไม่เธอท้องก็ประจำเดือนมาแน่นอน ถึงได้อารมณ์เสียปานนี้ คิดได้ดังนั้นจึงกดเชื่อมต่อบลูทูธและฟังเธอด่าระหว่างขับรถต่อไป

จ้าวเฉียนจอดหยุดอยู่ที่บ้านตัวเอง หยิบมือถือขึ้นมากล่าวน้ำเสียงจริงจังตัดไปว่า

“คุณผู้หญิงครับ คืนพรุ่งนี้พอจะว่างไหม ไปดินเนอร์ดูหนังกัน”

“ไม่! ฉันไม่ว่าง!”

หวานเจียงตอบปฏิเสธทันที

“ไม่ว่าง? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผทไปหาที่ฮวาหยินกรุ๊ปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน จะขอดูหน่อยว่าทำไมถึงไม่ว่าง”

“หยุด! นายไม่ต้องมา! ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย! หึ!”

หลังจากพูดจบหวานเจียงก็กดตัดสายทิ้งทันที ดูเหมือนว่าการคาดเดาของจ้าวเฉียนจะถูกต้อง เธอแค่โทรมาบ่นเพื่อเรียกความสนใจขจากเขา พอเขาเอ่ยปากชวนเธอเดทก็ดูจะบรรลุเป้าหมาย ก็เลยหยุดบ่นพร้อมตัดสายทิ้งไป ถ้าได้ไปดูหนังคืนพรุ่งนี้ บางทีเธอน่าจะกลับมาอารมณ์ดีได้ในไม่ช้า

จ้าวเฉียนหัวเราะกับตัวเอง กดปุ่มเปิดประตูรั้วและขับรถเข้าไปจอด ทันทีที่เขาเข้ามาในตัวบ้าน ก็พบว่าเหรินจานซวนกำลังนั่งกอดอกหน้าบึ้งอยู่บนโซฟา

“สีหน้าแบบนี้คือ?”

จ้าวเฉ่ยนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

เหรินจานซวนบ่นตอบไปว่า

“นี่นายเพิ่งกลับมาเหรอ? ไหนข้าวฉันล่ะ?”

“แหม พอเป็นพี่น้องกันแล้ว ความสุภาพก่อนหน้าหายไปไหนจ๊ะ? อีกอย่างก็ไม่อยากกินไม่ใช่เหรอ? จะมาโทษกันได้ไง?”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างช่วยไม่ได้

เหรินจานซวนชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนบ่นต่อว่า

“ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ถ้ารู้ว่ามีสาวน้อยนอนหิวอยู่ที่บ้านก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าควรทำยังไง? ต่อมความเป็นสุภาพบุรุษของนายตายด้านไปแล้วเหรอ?”

จ้าวฉัยนหัวเราะและเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ก็ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ ในฐานะผู้ชายก็จำเป็นต้องเคารพการตัดสินใจของผู้หญิง ในเมื่อเธอบอกว่าไม่กิน ฉันก็ไม่บังคับเช่นกัน”

เหรินจานซวนโกรธจัด เดิมทีเธอคิดว่า อย่างน้อยๆจ้าวเฉียนก็ต้องซื้อข้าวมาฝากเธอสักอย่างสองอย่าง แต่สุดท้าย เธอกลับคิดเยอะเกินไป

จ้าวเฉียนเดินเข้าห้องตัวเองไปอย่างไม่แยแส ปล่อยให้เธอนั่งหน้าบูดเพียงลำพัง

เหรินจานซวนที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งไปเคาะประตูห้องนอนของเขาที่อยู่ชั้นล่าง ตะโกนสาปแช่งเสียงดังลั่น

“จ้าวเฉียน! นายนี่มันแย่มาก! ฉันขอให้นายโสดตลอดชีวิต!”

หลังจากที่บ่นจบ เหรินจานซยวนก็กดมือถือสั่งอาหารเข้ามาเอง เมื่อจ้าวเฉียนกำลังจะเข้านอนหลังจากอาบน้ำ จู่ๆเหรินจานซวนก็มาเคาะประตู

“มีอะไรอีก? ค่อยว่ากันพรุ่งนี้นะ ฉันจะนอนแล้ว”

เหรินจานซวนรีบตอบกลับไปทันทีว่า

“อาหารที่สั่งมาถึงบ้านแล้ว ช่วยออกไปรีบที ฉันกลัวว่าจะมีคนของจานต้าเฉินดักอยู่น่ะ”

จ้าวเฉียนเปิดประตูและขู่เธอเสียงดุทันทีว่า

“เธอกล้ามากเลยนะที่ยังกล้าสั่งอาหารเข้ามาบ้านอีก ไม่ใช่ว่าครั้งนี้จางต้านเฉินจะลอบวางยาพิษในอาหารเธอเหรอ?”

เหรินจานซวนดันเชื่อจริงและกล่าวขึ้นด้วความกลัวว่า

“มัน…มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ฉันคอยสังเกตพนักงานสั่งอาหารขับเข้ามาในหมู่บ้านตลอดทาง จางต้าเฉินจะเอาจังหวะไหนแอบวางยาฉัน? หรือ…หรือว่าดักตั้งแต่ต้นทางแล้ว?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวด้วยความหน่ายใจและตอบกลับไปว่า

“นี่เธออายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย? ถ้าอีกฝ่ายทำได้ขนาดนั้นจึงแสดงว่าต้องอ่านความคิดเธอได้แล้วว่าจะสั่งอะไร ถ้ายังลอบวางยาได้ก็เก่งเกินคนอแล้ว เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันจะไปเอาให้เอง”

หลังจากพูดจาจ้าวเฉียนก็เดินออกไป ปล่อยให้เหรินจานซวนยืนวิตกอยู่แบบนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวเฉียนก็เดินกลับมทาพร้อมกับกล่งออาหาร เขาวางมันลงบนโต๊ะและตะโกนเรียกเธอทันที

“ยังจะยืนนิ่งอยู่อีก? โอ้…สั่งบะหมี่เนื้อพิเศษมาเลย? สงสัยจะหิวน่าดูแหะ… รีบๆมากินได้แล้ว!”

จ้าวเฉียนเปิดกล่องบะหมี่ออกมาและเรียกเหรินจานซวนให้มากิน

แต่เธอกลับไม่กล้ากิน กลัวถึงขั้นวิ่งเข้ามาหลบอยู่หลังจ้าวเฉียน กัดฟันแน่นพูดขึ้นว่า

“นาย…นายลองชิมสักคำก่อนสิ ถ้าไม่มีพิษฉันถึงจะกิน…”

จ้าวเฉียนถึงกับกรอกตาใส่ตอบไปว่า

“นี่เห็นเป็นหนูทดลองรึไง? เฮ้ออ…ก็ได้ ก็ได้ เห็นว่าเธอน่าสงสารหรอกนะ ฉันจะลองชิมก่อน”

ทันทีที่พูดจบ จ้าวเฉียนก็จับตะเกียบยกซดบัหมี่เนื้อพิเศษหมดภายในชั่วอึดใจ นอนพุงกางตบท้องสองสามทีพลางกล่าวว่า

“โห้ว! สั่งมาจากร้านไหน? ทำไมเนื้ออร่อยแบบนี้! อืมม…หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนแหะ…”

จ้าวเฉียนโยนตะโกนใส่กล่องอาหารที่ว่างเปล่า อ้าปากเรอเสียงดังก่อนเดินกลับห้องนอนไปทั้งแบบนั้น

เหรินจานซวนที่เห็นแบบนั้นตะโกนด่าไล่หลังจากจ้าวเฉียนทันที

“จ้าวเฉียน! นายมันหน้าด้านเกินไปแล้ว! นายจะแกล้งฉันไปถึงไหน!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นเอ่ยตอบไปว่า

“ฝากเก็บกวาดโต๊ะด้วย ฉันเกลียดผู้หญิงที่ไม่รักษาสุขอนามัยน่ะ ถ้าพรุ่งนี้เห็นว่ายังสกปรกแบบนี้ ก็เตรียมเก็บข้าวของออกไปจากบ้านฉันได้เลย ฉันขอตัวไปนอนก่อน พรุ่งนี้มีศึกหนักที่ต้องรับมือ”

เหรินจานซวนกระทืบเท้าด้วยความโกรธจัด ตะโกนด่าสวนกลับไปว่า

“อ๊ากก! ฉันเกลียดนาย!”

ตอนนี้ก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เธอหิวมากจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปค้นห้องครัว โชคยังดีที่เจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ถ้วยหนึ่ง หลังจากนั่งกินเสร็จสรรพ เธอก็เก็บกวาดทำความสะอาดห้องนั่งเล่น กว่าจะได้เข้านอนก็ปาไปเที่ยงคืนพอดี

แปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนพาเหรินจานซวนออกจากบ้านตรงเวลา บรรดาลูกน้องของหยางหู่ยืนสแตนบายพร้อมอยู่แล้วหน้าประตูบ้าน

พอเหรินจานซวนเห็นว่า มีชายร่างกำยำยืนอยู่หน้าบ้านมากมายขนาดนี้ เธอจึงรีบวิ่งไปซ่อนอยู่ด้านหลังจ้าวเฉียนทันที พลางกระซิบว่า

“จะทำยังไงดีจ้าวเฉียน? พวกนั้นกลับมาดักทำร้ายพวกเราอีกแล้วแน่เลย! รีบโทรแจ้งตำรวจเร็วเข้า!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเสียงดัง ลากเธอออกมาขากหลังเขาและกล่าวปลอบไปว่า

“อย่าไปกลัว ฉันรับประกันเลยว่าคนพวกนี้ไม่ทำอะไรเธอแน่นอน เดินไปได้แล้ว”

เหรินจานซวนส่ายหัวทันทีตอบไปว่า

“ไม่ ไม่ ฉันไม่กล้า”

“ยังจะไม่กล้าอะไรอีก? เดี๋ยวก็ไปสายหรอก!”

หลังจากพูดจ้าวเฉียนก็บังคับลากเธอเดินผ่านกลุ่มคนพวกนั้นออกไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย คนพวกนั้นทำราวกับว่ามองไม่เห็นทั้งคู่เลยด้วยซ้ำ

“เห็นไหม? ฉันบอกเธอแล้วว่าไม่เป็นไร ขับรถไปเซียนเหว่ยกันเถอะ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็ขึ้นรถไปพร้อมกับเหรินจานซวน แต่ขณะที่กำลังจะออกรถ เบื้องหลังของทั้งคู่จู่ๆก็เกิดเหตุเสียงดังขึ้น

เหรินจานซวนร้องตะโกนเสียงดังลั่น

“จ้าวเฉียน แย่แล้ว! แย่แล้ว…!”

พอจ้าวเฉียนรีบหันไปดูปรากฏว่า พวกที่จางต้าเฉินส่งมาจับตัวเหรินจานซวนกับกลุ่มลูกน้องของหยางหู่กำลังเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันชนิดเป็นตายไปข้างหนึ่ง

ตอนที่240 คุณเป็นใครกันแน่

ไม่นานฟ้าก็มืด จ้าวเฉียนเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมเคาะประตูห้องของเหรินจานซวน เขาเอ่ยถามขึ้นว่า

“จะกินอะไรตอนเย็น ออกไปทานข้าวข้างนอกหรือให้สั่งเข้ามา?”

เหรินจานซวนอ้าปากหาวหวอดคำโตและตอบไปว่า

“สั่งมาทานเถอะ ฉันง่วงมากเลยไม่อยากออกไปข้างนอก ขอบะหมี่ผักสักชามก็แล้วกัน ฉันกินไม่เยอะอยู่แล้ว”

พอเห็นว่าอาหารที่เธอจะกินมันน้อยเหลือเกิน ผนวกกับร่างกายที่ผอมบางของเธออีก จ้าวเฉียนพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยตอบไปว่า

“กินเนื้อบ้างก็ดีนะ ผมว่าคุณผอมกว่าผู้หญิงทั่วไปมากเลย ไม่ช้าก็เร็วอาจมีปัญหากับร่างกายได้ ปากบอกว่าอยากให้ผมดูแลคุณไปตลอดชีวิต แต่ไม่ดีแลตัวเองเลยแบบนี้ สงสัยอีกไม่นานผมต้องไปเลือกป้ายหลุมศพให้แทนแล้ว ชอบสีอะไรเป็นพิเศษล่ะ?”

เหรินจานซวนลุกขึ้นมาจากเตียงโดยเร็ว ตรงเข้ามาเตะจ้าวเฉียนไปทีพร้อมบ่นขึ้นว่า

“นี่คุณ! แค่วันแรกก็แช่งกันแล้วเหรอ! เชอะ!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเสียงดังกล่าวตอบไปว่า

“ก็พูดไม่ผิดหนิ ถ้ากินน้อยแบบนี้ก็ไม่แน่”

เหรินจานซวนกลอกตาใส่ไปที แต่แทนที่เธอจะกล่าวอะไรตอบ กลับเอ่ยถามขึ้นแทนว่า

“พรุ่งนี้จางต้าเฉินลงมือเผด็จศึกเราแน่นอน คุณพร้อมรับมือรึยัง?”

จ้าวเฉียนชูมือส่งสัญลักษณ์โอเคให้และตอบไปว่า

“จัดเต็มให้แล้ว ไม่ต้องห่วง ถ้าอย่างนั้นสั่งอะไรเข้ามากินนะ”

เหรินจานซวนพยักหน้าและเดินกลับไปนอนบนเตียง ระหว่างนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า

“งั้นขอบะหมี่เนื้อสักชาม”

จ้าวเฉียนยิ้มและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อสั่งอาหารเข้ามาทาน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสียงกดกริ่งดังขึ้น พอจ้าวเฉียนกำลังจะเดินออกไปเปิดประตู เขาก็มองทะลุหน้าต่างไปเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังพร้อมกล่องอาหารถุงใหญ่ในมือ

“สวัสดีครับ อาหารที่สั่งได้แล้ว กรุณมาเปิดประตูเอามันไปด้วยครับผม”

จ้าวเฉียนส่งเสียงตอบ แต่ขณะจะเปิดประตูออกไปเขากลับพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ชุดเสื้อผ้าที่สวมพอเข้าใจได้ว่า อาจเป็นแจ็คเก็ตของบรรดาสิงนักบิดเขานิยมใส่กัน แต่รองเท้าหนังสีดำวาววับสะท้อนแสงแบบนั้น…พนักงานส่งอาหารที่ไหนเขาใส่กัน? แถมถ้าใส่จริง ขับมอเตอร์ไซด์ลุยมา มันไม่น่าจะสะอาดเอี่ยมได้ขนาดนี้

ไม่ว่าเขาจะคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก จ้าวเฉียนจึงชะงักหยุดทันทีและตะโกนตอบไปว่า

“ผมกำลังยุ่งอยู่ รบกวนแขวนถุงอาหารไว้ข้างนอกทิ้งไว้เลย ผมโอนเงินจ่ายผ่านบัตรตั้งแต่ตอนกดสั่งไปแล้วครับ”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็หันหลังเดินกลับไปทันที

พนักงานส่งรีบตะโกนตอบกลับไปว่า

“พี่ชายครับ เปิดประตูมารับแปปเดียวเองไม่นานหรอกครับ ถ้าของหายที่หน้าประตูทางพี่ชายต้องรับผิดชอบเองนะครับ แถมผมเองยังโดนต้นสังกัดตำหนิด้วย ถือว่าช่วยๆ กันนะครับพี่”

แต่จ้าวเฉียนกลับเพิกเฉยต่ออีกฝ่าย รับกลับบ้านเปิดกล้องวงจรปิดดูทันที และตามที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด พนักงานส่งอาหารคนนี้ไม่ใช่ตัวจริง แต่เป็นคนของจานต้าเฉินปลอมตัวมา โดยการดักตีพนักงานส่งอาหารจริงๆ ที่ขับเข้ามาและสวมรอยเข้ามาแทน

“ดูท่าจานต้าเฉินคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว เขาสามารถหาที่อยู่ของฉันเจอจนได้!”

จ้าวเฉียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนคิดว่าตนเองเป็นคนค่อนข้างรอบคอบอย่างมาก โดยปกติเขามักจะทำตัวติดดินมองแค่ผิวเผินดูยังไงก็เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนชัดๆ แล้วอีกฝ่ายรู้ได้ยังไงว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่?

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เหรินจานซวนก็รีบวิ่งลงมาหา

จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“เกิดอะไรขึ้น?”

เหรินจานซวนรีบกล่าวตอบทันที

“จานต้าเฉินมันโทรมาหาฉัน บอกว่าต่อให้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่รีบออกมามอบตัว มันจะสั่งลูกน้องให้บุกเข้ามาจับตัวไปเอง”

จ้าวเฉียนรีบกล่าวปลอบโยนว่า

“อย่ากลัวไปเลย พวกมันไม่มีทางเข้ามาได้แน่”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็รีบปิดหน้าต่างและล็อกประตูทันทีอย่างหนาแน่น และโทรหาหยางหู่โดยไว

พอเห็นว่าจ้าวเฉียนกดโทรมาไม่หยุดหลายสาย หยางหู่ก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ รีบคว้ามือถือขึ้นมารับด้วยความตกใจ

“คุณชายจ้าว เกิดอะไรขึ้นครับ?”

“มีพวกอันตพานดักล้อมรอบบ้านฉันอยู่ นายช่วยส่งคนมาจัดการพวกมันที”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากสั่งการ

หยางหู่รีบตอบรับด้วยความตื่นตระหนก

“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะรีบสั่งลูกน้องให้ไปจัดการโดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้คุณชายจ้าวห้ามออกไปไหนเด็ดขาดเลยนะครับ!”

จ้าวเฉียนกดวางสายไป และหันมาปลอบเหรินจานซวนว่า

“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันโทรหาเพื่อนฉันให้มาจัดการแล้ว อีกไม่นานพวกนั้นก็จะไม่มาตามรังควานเธอแน่นอน”

เหรินจานซวนที่ได้ฟังดังนั้นก็ใจชื้อนขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อดใจถามไม่ได้ว่า

“แล้วถ้าพวกมันโทรแจ้งตำรวจล่ะ?”

“พวกมันไม่มีโอกาสโทรแจ้งตำรวจแน่นอน ไม่สิ…ไม่มีแม้แต่โอกาสตั้งตัวด้วยซ้ำ”

จ้าวเฉียนยิ้มกล่าวอย่างหมดห่วง

สิ่งนี้ยิ่งทำให้เหรินจานซวนมากรู้เข้าไปใหญ่ว่า ที่จริงแล้วจ้าวเฉียนเป็นใครกันแน่? ทำไมเขาถึงมีเส้นสายมากมายขนาดนี้? ดังนั้นเธอจึงยิ้มถามทันทีว่า

“พี่จ้าว ตอนนี้พวกเราก็ถือเป็นพี่น้องกันแล้วนะ บอกความจริงมาเถอะ คุณทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงมีทั้งเงินทั้งอิทธิพลมากมายขนาดนี้?”

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นเหลือบหางตามองเหรินจานซวนและกรนเสียงเย็นชาตอบไปว่า

“บางสิ่งไม่ควรรู้เป็นดีที่สุดนะ ตราบใดที่เธอไม่ถามเรื่องนี้อีกต่อไป ฉันก็จะเป็นพี่ชายที่แสนดีของเธอตลอดไปเช่นกัน”

เหรินจานซวนรีบเร่งพยักหน้าตอบด้วยความกลัว

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้น…ฉันขอตัวกลับเข้าห้องก่อนแล้วกัน รีบหน่อยก็ดีนะ…ฉันหิวแล้ว…”

“ขึ้นไปพักผ่อนเถอะ แล้วอีกอย่างนะ ไม่ว่าเธอจะได้ยินเสียงอะไรหลังจากนี้ ห้ามออกมาจากห้องเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนกล่าวย้ำเตือนเธออีกครา

ผ่านไปครู่หนึ่ง กลุ่มคนที่อยู่ข้างน้อยไม่ทนอีกต่อไป พวกเขาพยายามปีนประตูรั้วบุกเข้ามาโดยไว

จ้าวเฉียนเห็นแบบนั้นจึงขึ้นไปชั้นสาม ลากเก้าอี้ออกไปนั่งที่ระเบียงหน้าบ้าน พร้อมจิบชาเฝ้าดูพวกเขาพยายามปีนเข้ามาอย่างสบายอารมณ์

“พี่ชาย การที่คุณอยู่บ้านหรูขนาดนี้ได้แสดงว่าร่ำรวยไม่ใช่น้อย ชีวิตคุณมีค่าเกินกว่าที่จะเอามาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำไมคุณถึงต้องเอาตัวเองเข้ามาผัวพันกับเรื่องพวกนี้ด้วย? คุณทราบไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”

จ้าวเฉียนนั่งไขว่ห้างจิบชาอย่างสบายใจ พลางส่ายหัวตอบ

“บัดซบ! แล้วคุณยังกล้าปกป้องเธออีกเหรอ? เธอเป็นเมียน้อยของเจ้านายเรา! คงรู้ใช่ไหมว่าหมายความว่ายังไง? ไม่เพียงเธอจะนอกใจเท่านั้นแต่ยังกล้าขโมยเงินของเจ้านายเราไปอีก นี่มันเรื่องในครอบครัว คุณไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย ปล่อยตัวเธอคืนมาเถอะ ไม่คิดเหรอว่า การปกป้องเธอแบบนี้จะทำให้ตัวเองค่อยลำบากไปด้วย?”

จ้าวเฉียนจิบชาคำหนึ่งพลางยิ้มตอบว่า

“มันไม่ง่ายเลยนะที่จะคิดเรื่องโกหกขึ้นแบบนี้ แต่เอาเถอะ ผมจะบอกอะไรดีๆ สักอย่างให้ฟังนะ ไอ้รั้วที่พวกคุณกำลังปีนอยู่เป็นรั้วไฟฟ้าความแรงสูง แค่ผมกดปุ่มเดียวมันสามารถย่างพวกคุณให้เกรียมได้ในพริบตาเลยนะ แนะนำว่าให้ถอยออกไปห่างๆ จะดีกว่า บ้านผมไม่อยากมีผีเฝ้าหน้าบ้าน”

จ้าวเฉียนจงใจพูดเพื่อถ่วงเวลาอยู่ในขณะนี้ บรรดากลุ่มอันตพานที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบกระโดดลงจากรั้วทันที ทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากต้องถอยห่าง พลางกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด

หลังจากถ่วงเวลาได้ประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ ทันใดนั้นก็มีรถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามา จอดอยู่หน้าบ้านจ้าวเฉียนข้างกลุ่มอันตพาน พอเปิดประตูรถตู้ออกมากลุ่มบอดี้การด์นับสิบคนก็วิ่งลงมาจากรถ จับตัวคนของจางต้าเฉินขึ้นรถไปทั้งแบบนั้น

จ้าวเฉียนดื่มชายจนหมดแก้วและกล่าวสั่งการต่อว่า

“นำตัวไปสั่งสอนให้หมด และห้ามปล่อยตัวพวกมันออกมาจนกว่าจะถึงเวลาสิบเอ็ดโมงของวันพรุ่งนี้”

พอพูดจบ จ้าวเฉียนก็ลากเก้าอี้กลับเข้าตัวบ้านไป ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูไป ก็พลันเห็นเหรินจานซวนจ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจเกินพรรณนา

“ทำไมงั้นเหรอ? ไหงถึงมองผมแบบนั้น?”

จ้าวเฉียนเลิกคิ้วเอ่ยถามด้วยความงุนงง

“คุณ…คุณเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงมีอำนาจอิทธิพลในโลกใต้ดินมากขนาดนี้? ทำไมคุณถึงเรียกคนพวกนั้นออกมาเก็บคนอื่นได้ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาแบบนี้? แล้ว…แล้วคนพวกนั้นจะเป็นยังไงต่อ? คุณ…คุณจะจับไปฆ่าทำลายหลักฐานงั้นเหรอ?”

พอเห็นเหรินจานซวนดูหวาดกลัวในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง จ้าวเฉียนก็อดใจแกล้งเธอไม่ได้ จึงปั้นหน้าขรึมกล่าวน้ำเสียงเย็นชาตอบกลับไปว่า

“หึหึ…ในเมื่อคุณรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมก็คงปล่อยให้มีชีวิตต่อไปไม่ได้ ยังไงก็เถอะ ถือซะว่าเห็นแก่ที่คุณขายหุ้นทั้งหมดให้ผมในราคาถูก ผมจะทำให้คุณไม่ตายอย่างทรมานแน่นอน…”

เหรินจานซวนถึงกับหน้าถอดสี รีบหมุนตัวกลับและวิ่งหนีสุดชีวิตออกไป ทั้งยังตะโกนขอความช่วยเหลือจนเสียงแหบแห้ง

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย…!!!”

จ้าวเฉียนถึงกับระเบิดหัวเราะลั่น และรีบวิ่งไล่ตามเธอไปทันที ทั้งนี้ยังแกล้งเธอต่อไปไม่หยุด ตะโกนเสียงดุขู่ขึ้นว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! เธอหนีไม่พ้นหรอก! ถ้ายังไม่หยุดวิ่งฉันจะข่มขืนเธอด้วย!!”

ตอนที่239 จัดการให้เรียบร้อย

เหรินจาน ซวนวิ่งออกมาด้วยความตื่นตระหนกรีบเร่งไปทางประตูทางออกโดยไว แต่คนที่ติดตามอยู่ท้ายหลังกลับเร็วกว่าเธอมาก

สิ่งที่ควรทราบอย่างแรกคือ บริษัทแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก อาคารสำนักงานเชื่อมระหว่างตึกสองตึกใหญ่ และห้องทำงานของเธออยู่ห่างจากประตูทางออกประมาณ500เมตร เหรินจานซวนสับฝีเท้าเร็วขึ้นและเร็วยิ่งขึ้นไปอีก จนในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวเท้าพลิกล้มขมำลงกับพื้น

คนที่วิ่งติดตามจากด้านหลังแสร้งประจบทันทีด้วยความเป็นห่วง

“คุณเหรินเป็นอะไรไหมครับ?”

“คุณเหรินเจ็บตรงไหนไหมครับ?”

“คุณเหรินไปโรงพยาบาลกันเถอะ!”

“พวกเราช่วยพาคุณเหรินไปโรงพยาบาลที”

…..

ทั้งสี่คนที่ไล่หลังติดตามเธอมาจงใจพูดเสียงดังเพื่อให้คนรอบข้างได้ยิน จะได้ไม่เกิดความสงสัย

แต่เหรินจานซวนรีบหยิบกระเป๋าสะพายกวาดไล่พวกเขาให้ออกห่างตัวทันทีและตะโกนลั่นว่า

“ไปให้พ้น! ออกไป! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!”

เนื่องจากนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากจางต้าเฉิน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น

ทั้งสี่รีบตรงเข้ามาปิดปากเหรินจานซวนและอุ้มเธอออกไปที่ประตูซึ่งมีรถตู้จอดรออยู่

เมื่อพวกยามเห็นภาพฉากดังนั้น พวกเขาก็เข้าไปที่ป้อมยามทันที แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำเป็นว่าจดอะไรสักอย่าง จงใจปล่อยให้คนพวกนี้ลักพาตัวเหรินจานซวนออกไป

จ้าวเฉียนคว้าไม้เบสบอลเหล็กจากท้ายรถและกระหน่ำฟาดพวกยามไม่หยุดจนล้มหมดสติไป

“อืออ!…อืออ…อือออ!!…”

เหรินจานซวนพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่เธอได้ทำเสียงฮึมฮำเท่านั้น

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับแก! อย่ามายุ่ง!”

“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าไม่เตือน!”

….

พอทั้งสี่เห็นจ้าวเฉียนตรงเข้ามาใกล้พร้อมกับไม้เบสบอลในมือ พวกเขาก็คำรามข่มขู่ทันที

จ้าวเฉียนยกไม้เบสบอลขึ้นทุบกระจกหน้ารถตู้ให้ร้าวก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้มองเห็นทาง ตอนนี้เหรินจานซวนถูกชายสองคนจับตัวขึ้นรถไปแล้ว และปล่อยให้อีกสองคนลงมาจัดการกับจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนหวดไม้เบสบอสทุบศีรษะทั้งคู่จนมอบกับพื้น รีบเข้ามาจัดการคนที่ปากปากเหรินจานซวนทันที

เหรินจวนซวนได้โอกาสวิ่งหนีออกมาได้ เธอรีบแหกปากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอเห็นว่าบริเวณป้อมยามไม่มีการตอบสนองใดๆ เธอพยายามวิ่งไปที่ป้อมยามเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จ้าวเฉียนห้ามไว้ได้ทันและสบถขึ้นว่า

“นี่คุณโง่รึเปล่า? ดูยังไงมันก็พวกเดียวกันหมด อีกอย่างผมฟาดพวกมันจนสลบหมดแล้ว!”

เหรินจานซวนค่อยๆรวบรวมสติทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไว ยามพวกนั้นควรออกมาช่วยเธอตั้งแต่เห็นว่าถูกกลุ่มชายสี่คนปิดปากจากลากขึ้นรถตู้นานแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกซื้อไปโดยจานต้าเฉินเป็นที่เรียบร้อย

จ้าวเฉียนตะโกนขึ้นอีกครา

“รีบวิ่งไปขึ้นรถผมแล้วล็อกประตู!”

เหรินจานซวนรีบพยักหน้าและวิ่งสุดชีวิตหนีขึ้นรถจ้าวเฉียน

“ไอ้เวรนี่มาแสไม่เข้าเรื่อง!”

“ถ้าอยู่ห่างๆแต่แรกพวกเราคงทำเป็นไม่สนใจ แต่ในเมื่อรนหาที่ตายเองแบบนี้ก็อย่าโทษพวกเราแล้วกัน!”

……

พวกเขาทั้งสี่ลุกขึ้นและรีบล้อมกรอบจ้าวเฉียนไว้ทันที

แต่จ้าวเฉียนกลับดูไม่เกรงกลัวเลยสักนิด แถมยังยิ้มกล่าวเย้ยอีกว่า

“ลักพาตัวผู้หญิงกลางวันแสกๆแถมยังหมาหมู่อีก โคตรกากเลยวะ!”

“หุบปาก! มึงดูหนังมากไปจนปัญญาอ่อนไปแล้วรึไง? คิดว่าตัวเองเป็นพระเอก?”

“เลิกไร้สาระกันได้แล้ว รีบจัดการมันแล้วไปจับตัวคุณเหรินมา!”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบไปว่า

“เออ! กูนี่แหละพระเอก! ยอมมอบตัวซะก่อนที่กูจะลงมือ!”

“มอบตัว? สงสัยจะปัญญาอ่อนแล้วจริงๆ พวกเรา! ลุย!”

ทั้งสี่พุ่งเข้าโจมตีใส่จ้าวเฉียนโดยพร้อมเพรียง

ทว่าจ้าวเฉียนกลับหาได้มีท่าทีเกรงกลัว อย่างไรเสีย เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก แถมยังมีไม้เบสบอลเหล็กอยู่ในมือ กับอีแค่สั่งสอนชายอันตธานสี่คนมันง่ายเกินไป

จ้าวเฉียนไล่ฟัดกระหน่ำทุบแขนขาของแต่ละคนจนนอนแน่นนิ่งอยู่กับพื้น เขี่ยทั้งสี่ให้พ้นเท้าอย่างไว

ในเวลานั้นเองเหรินจานซวนก็เปิดกระจกตะโกนขึ้นลั่น

“รีบขึ้นรถมาเร็ว!”

จ้าวเฉียนวิ่งตรงขึ้นรีถและขับหนีออกไปโดยตรง

เหรินจานซวนยังคงใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาพฉากก่อนหน้ายังคงระทึกอยู่ในใจไม่คายอ่อน นั่งแข็งเป็นหินราวกับยังไม่ฟื้นสติ

จ้าวเฉียนหันไปเอ่ยถามขึ้นว่า

“จะไปโรงพยาบาลก่อนไหม?”

เหรินจานซวนส่ายหัวทันทีและตอบไปว่า

“ไม่ พาฉันไปที่บ้านคุณก่อน พรุ่งนี้มีการประชุมส่วนผู้ถือหุ้น และทุกอย่างจะต้องจบลงที่นั่น”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและพาเหรินจานซวนกลับบ้าน เขาหยิบยาฆ่าเชื้อโรคมาทำแผลให้และบีบเจลคลายกล้ามเนื้อทาลงบริษัทข้อเท้าที่พลิกของเหรินจานซวน หลังจากปฐมพยาบาลเสร็จสรรพ ทั้งสองก็เข้าเรื่องธุรกิจกันทันที

เหรินจานซวนเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณสามารถจัดการจานต้าเฉินได้ไหม? คุณก็น่าจะเห็นทุกอย่างแล้วในวันนี้ เขามีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในบริษัทของฉัน แม้แต่ยามยังกลัว ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป ในไม่ช้าก็เร็วถ้าคุณเข้ามาเป็นหุ้นส่วน จานต้าเฉินก็จะเล็งเป้ามาที่คุณอยู่ดี”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นและกล่าวตอบไปว่า

“หมอนั่นไม่ได้อยู่ในสายตาของผมด้วยซ้ำ ตราบใดที่คุณยอมขายหุ้นมากพอให้ผม ผมย่อมรับประกันความปลอดภัยให้คุณได้แน่นอน จะบีบให้จานต้าเฉินล้มละลายยังทำได้ไม่ยาก”

เหรินจานซวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไปพิมพ์เอกสารบันทึกเงื่อนไขทั้งหมดระหว่างเราออกมาคราวๆ หลังจากพวกเราเซ็นรับรองกันแสร็จ ฉันถึงจะสามารถโอนหุ้นส่วนให้คุณได้”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและรีบไปพิมพ์เอกสารสัญญาออกมาทันที ก่อนจะส่งให้เหรินจานซวนศึกษาอ่านมันโดยละเอียด

หลังจากอ่านทวนอยู่หลายครั้งเพื่อยืนยันว่าตัวสัญญาไม่มีปัญหา เธอก็ลงนามเซ็นและประทับลายนิ้วมือเป็นอันเสร็จสิ้น

จ้าวเฉียนเองก็เซ็นลงนามไปพร้อมประทับลายนิ้วมือต่อทันที สัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการโอนหุ้น จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“เรื่องราคาคุณสามารถกำหนดมาได้เลย ตราบใดที่ไม่มากเกินมูลค่าจริง ผมไม่คิดเอาเปรียบใครอยู่แล้ว”

เหรินจานซวนพยักหน้าและตอบกลับไปทันที

“ฉันคิดไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ สี่ร้อยล้านแลกกับหุ้นทั้งหมดในมือฉัน จากนี้ต่อไปไม่เพียงคุณจะต้องดูและบริษัทเซียนเหว่ยของพ่อฉัน แต่คุณจะต้องดูแลฉันไปตลอดชีวิต ตามที่เราสัญญากันไว้”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นอีกครั้งและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ดูท่าคุณจะให้ความสำคัญกับข้อหลังมากกว่านะ แล้วจะให้ดูแลในฐานะอะไรดีล่ะ? หรือให้ผมเลือกเอง?”

“น้องสาวก็ดีนะคะ ถือซะว่าเป็นพี่น้องกันก่อน ในอนาคตค่อยพัฒนาความสัมพันธ์กันไปถ้าคุณต้องการแบบนั้น”

“ฮ่าฮ่า…”

เหรินจานซวนหยิบเอกสารการโอนหุ้นออกมาทันที ทั้งสองเซ็นลงนามและประทับลายนิ้วมือเรียบร้อย ตอนนี้เหลือก็แค่ส่งมอบหุ้นอย่างเป็นทางการในวันประชุมพรุ่งนี้

หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง เหรินจานซวนก็หันมายิ้มให้จ้าวเฉียนพลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“ตอนนี้คุณโสดเหรอค่ะ?”

จ้าวเฉียนคล้ายครุ่นคิดอยู่สักพักและกล่าวขึ้นว่า

“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่แหะ เธอคนนั้นเองก็ยังไม่ได้เจอพ่อแม่ฉันเลย ถือได้ว่ายังเรียกเป็นแฟนได้ไม่เต็มปาก”

“โอ๊ะ? แสดงว่าครอบครัวของคุณต้องเข้มงวดมากๆแน่เลย? อารมณ์แบบว่า ถ้าพ่อแม่ยังไม่อนุญาตก็ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กันต่อได้?”

จ้าวเฉียนเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบไปว่า

“จะให้ผมพูดยังไงดี…เรียกว่าผมค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของพ่อแม่จะดีกว่านะ อย่างไงก็เถอะ ผมจำเป็นต้องมองหาใครสักคนเพื่อแต่งงาน แล้วการแต่งงานมันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของครอบครัวสองครอบครัว ทั้งสองตระกูลจะต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนาน ถ้าพวกเขาไม่ถูกกันหรือไม่ชอบขี้หน้ากันขึ้นมาคงจะแย่ และอาจส่งผลเสียถึงรุ่นลูกรุถ่นหลานต่อไปได้”

เหรินจานซวนหัวเราะเสียงดังลั่นน ภายในใจพลางคิดไปว่า คนที่ควรมีปัญหาหลักๆคือฝ่ายแม่ผู้ชาย ถ้าเข้ากันกับลูกสะใภ้ได้อะไรๆก็ลงตัว อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเย้ยหยันจ้าวเฉียนอยู่ไม่น้อย เขาคงเป็นพวกลูกชายที่เห็นแม่ตัวเองสำคัญกว่าภรรยาตัวเองแน่นอน อะไรๆจะต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อแม่ก่อน ถึงจะกล้าลงมือลงไม้ ซึ่งผู้ชายแบบนี้ เธอขอเป็นแค่พี่น้องจะดีกว่า

ทางด้านจ้าวเฉียนในหัวมัแต่เรื่องที่ต้องจัดการต่อในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับเหรินจานซวนว่า

“นอนพักห้องเดิมได้เลย เข้าไปจัดข้าวจัดของเถอะ”

เหรินจานซวนพยักหน้าและเดินขึ้นไปยังห้องของเธอ

จ้าวเฉียนนั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกโทรหาหยางหู่ทันที

“ฮาโหลครับคุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ครับ?”

หยางหู่เอ่ยถาม

จ้าวเฉียนไม่ได้ตัดบทเข้าเรื่องโดยทันที แต่กล่าวทักทายถามถึงอาการบาดเจ็บของหยางหู่ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งทางหยางหู่ก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า

“ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง ตอนนี้ผมปกติดีแล้ว แค่หมออยากให้นอนดูอาการก่อนอีกสักคืนสองคืนน่ะครับ”

จ้าวเฉียนกล่าวดักเขาทันทีอย่างรู้ทันว่า

“แล้วหลังจากกลับบ้านไป อย่าเพิ่งทำอะไรเกินตัว พักฟื้นอาการจนกว่าจะปากแผลปิดสนิทเข้าใจไหม?”

หยางหู่ราวกับหมีน้อยได้กินน้ำผึ้ง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข เขารีบตอบกลับด้วยความเคารพว่า

“ฮ่าฮ่า…คุณชายจ้าวไม่ต้องห่วงครับ จะว่าไปคุณชายมีอะไรให้รับใช้ครับ?”

น้ำเสียงจ้าวเฉียนเริ่มแปรเปลี่ยน วกเข้าเรื่องท่าทีดูจริงจังขึ้นหลายส่วน

“อืม ฉันวานให้นายส่งคนไปสะกดรอยตามคนๆหนึ่งหน่อย เป็นชายชื่อว่า จานต้าเฉินเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของบริษัท เซี่ยนเหว่ย เทคโนโลยี ฉันต้องรีบจัดการหมอนี่โดนเร็วที่สุด เข้าใจไหม?”

หยางหู่รีบตอบรับคำสั่งทันที

“รับทราบครับ ผมจะรีบส่งคนไปติดตามทันที แล้วให้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้นไหมครับ?”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางสั่งการต่อทันที

“ถ้าเป็นไปได้ก็จับตัวมันมา ให้ความบันเทิงกับมันสักหน่อยคืนหนึ่ง แต่อย่าเล่นถึงตายล่ะ แล้วฉันจะรอคนของนายส่งตัวมันมาที่หน้าประตูบริษัทเซียนเหว่ยตอนแปดโมงเช้า”

“รับทราบครับ!”

“อืม พักผ่อนเยอะๆล่ะ”

จ้าวเฉียนวางสายไปทันทีพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว

ตอนที่238 เหรินจานซวนขอความช่วยเหลือ

เหลียวปี้เอ๋อร์เอ่ยปากกล่าวมีท่าทีไม่ค่อยมั่นใจนัก

“แค่ต้องการเลิกจ้างเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องหาข้อแก้ตัวด้วย?”

จ้าวเฉียนหัวเราะกล่าวตอบไปว่า

“ฉันแค่ทำตามหน้าที่ในการชี้แจ้งและอธิบายให้คุณทราบ ซึ่งคุณเหลียวจะต้องทำตามคำสั่งของเราในอนาคตต่อไป ผลที่ตามมาพวกเราจะรอรับผิดชอบเอง มั่นใจได้ว่าจะไม่กระทบไปถึงคุณแน่นอน ปัญหาหลักขอบบริษัทคุณที่ทางเราเล็งเห็นมีอยู่สองประการคือ หนึ่ง พนักงานโดยส่วนใหญ่เป็นคนแก่มีอายุ ไร้ซึ่งเป้าหมายและไฟในการทำงาน ไอเดียที่ออกมาแต่ละอย่างจึงทั้งเก่าและล่าสลัมย และสอง สังคมในการทำงานของที่นี่ไร้ซึ่งการแข่งขัน ทำให้พนักงานแต่ละคนไม่กระตือรือร้นในการพัฒนาตัวเอง ดังนั้นบริษัทของคุณถึงแย่แบบนี้ไง ส่วนเรื่องที่ผมกับสามีของคุณขัดแย้งกันมันแทบไม่เกี่ยวเลยด้วยซ้ำ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ได้ฟังแบบนั้นก็พูดไม่ออกเช่นกัน ปัญหาทั้งสองประการที่จ้าวเฉียนกล่าวถึงมันร้ายแรงจริงๆ

เหลียวปี้เอ๋อร์กับเฉินกวนอวี้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้มานานแล้ว และก็มีหลายครั้งที่พวกเราพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานหลายคนในบริษัทเป็นญาติพี่น้องที่มาจากบ้านเกิดของเฉินกวนอวี้ ดังนั้นการจะติเตียนหรือลงโทษอะไร พวกเขาจึงไม่กล้าออกตัวแรงเท่าไหร่นัก

ปัญหานี้จึงกลายมาเป็นมะเร็งกัดกินบริษัทอยู่หลายปี จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ตอนนี้ฟู่ไห่ได้เข้ามาควบคุมบริษัทแล้ว จึงเป็นการดีเช่นกันที่จะเริ่มต้นทุกอย่างวใหม่โดยปราศจากข้ออ้างใดอื่น

เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าตอบว่า

“ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าพวกเรากล้าตัดสินใจไล่พนักงานออกเร็วกว่านี้ บางทีบริษัทคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เห็น”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“ดังนั้นผมหวังว่าคุณเหลียวจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของทางเราอย่างเคร่งครัดนะครับ ใครที่ไม่ผ่านเกณฑ์ก็ไม่ควรเห็บไว้ หากมีใครต่อต้านหรือคิดประท้วงขึ้นมาจริงๆ ให้โทรแจ้งตำรวจทันทีก่อนเรื่องจะบานปลายเข้าใจไหมครับ?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็พยักหน้าตอบ

จ้าวเฉียนลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวอำลาทันที

“ถ้าอย่างนั้นผมของตัวก่อนนะครับ ฝากคุณเหลียวจัดการที่เหลือต่อด้วย อีกอาทิตย์หนึ่งผมจะกลับมาดูว่าคุณคัดพวกไม่มีประสิทธิภาพออกไปกี่คนแล้ว”

จู่ๆ เหลียวปี้เอ๋อร์ก็รีบเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วหลังจากที่คนพวกนั้นถูกไล่ออกไป ใครจะเข้ามารับผิดชอบพวกเขาต่อ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ไม่ต้องห่วงครับ กระทรวงทรัพยากรมนุษย์จะเข้ามารับช่วงต่อเอง ขอแค่คุณเหลียวมีความเด็ดขาดมากพอ เราจะสามารถกำจัดสังคมมะเร็งร้ายที่กัดกินบริษัทได้แน่นอน แล้วทรงหน่วยงานรัฐจะเข้ามารับผิดชอบหางานใหม่ที่เหมาะสมให้พวกเขาเอง เข้าใจไหมครับ?”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุด จะไม่ให้นายผิดหวังแล้วกัน”

เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าตอบ

จ้าวเฉียนโบกมือลาเธอ และกลับขึ้นรถจากออกไปโดยตรง

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากขับรถออกไป โทรศัพท์มือถือของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นเหรินจานซวนที่โทรเข้ามา

จ้าวเฉียนรีบรับสายทันทีและถามว่า

“คุณเหริน มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

น้ำเสียงของเหรินจานซวนในขณะนี้ดูหวาดกลัวอย่างมาก เธอกล่าวตอบเสียงสั่นว่า

“คุณอยู่ไหนค่ะ? คุณ…คุณช่วยมารับฉันทีได้ไหม?”

พอได้ยินน้ำเสียงของเธอ จ้าวเฉียนก็รีบเอ่ยถามขึ้นต่อโดยไว

“เกิดอะไรขึ้น? มีคนตามมาอีกแล้วเหรอ?”

เหรินจานซวนรีบตอบทันทีว่า

“คราวนี้มันแย่กว่านั้น คนที่ฉันส่งไปลอบติดตามเลขาของจานต้าเฉินเพิ่งมารายงานว่า เขาจะมาลักพาตัวฉันคืนนี้ เพื่อบังคับให้ฉันโอนหุ้นให้แก่เขา พรุ่งนี้เป็นวันประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว อีกฝ่ายต้องการหุ้นทั้งหมดในมือฉัน และขึ้นกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ฉันซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานไม่กล้าออกไปไหน คุณช่วยมารับฉันทีได้ไหม? ขอร้อง…”

สิ่งที่จ้าวเฉียนสนใจจริงๆ คือ หุ้นส่วนเซียนเหว่ย เทคโนโลยีไม่ใช่เหรินจานซวน ดังนั้นเขาจึงติอบไปว่า

“นี่เป็นศึกภายในของบริษัทคุณ ผมก็แค่คนนอกคงไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้ ถ้าจานต้าเฉินทราบถึงตัวตนของผม เขาจะชี้เป้ามาจัดการผมเป็นรายต่อไปแน่นอน ผมลำบากใจนะครับที่ต้องพูดแบบนี้ ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ ต้องขอโทษด้วย”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดวางสายไป ตราบใดที่เหรินจานซวนไม่ยอมมอบหุ้นส่วนแก่เขา เขาเองก็ไม่อยากเปลืองตัวเข้าไปเกลือกกลั้วด้วยแน่นอน

จานต้าเฉินต้องการเพียงความเท่าเทียม และจ้าวเฉียนไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายถึงชีวิตเธอ เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งเหรินจานซวนก็โทรเข้ามาอีกครั้ง และกล่าวว่า

“คุณยังต้องการหุ้นส่วนในมือฉันอยู่ไหม?”

จ้าวเฉียนตอบไปตามตรงว่า

“แน่นอน ผมต้องการถือหุ้นเซียนเหว่ยอยู่แล้ว แต่แนวคิดระหว่างผมกับคุณเหรินมันค่อนข้างแตกต่างกัน ผมจึงต้องจำใจปล่อยไป”

เหรินจานซวนลังเลอยู่สักครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบไปว่า

“ฉันจะขายหุ้นให้คุณ แต่คุณต้องให้สัญญากับฉันก่อนสามข้อ”

จ้าวเฉียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถามไปว่า

“สามข้อที่ว่าคือ? คุณลองบอกมาก่อน”

เงื่อนไขสามข้อที่เหรินจานซวนเสนอขึ้นมามันค่อนข่างจริงจังอย่างยิ่งสำหรับเธอ คือหนึ่ง จ้าวเฉียนจะต้องปกป้องเธออย่างไม่มีเงื่อนไข และรับรองความปลอดภัยของเธอ ซึ่งอันนี้มันค่อนข้างสมเหตุสมผล จ้าวเฉียนตอบตกลงโดยไม่ลังเล

และข้อสองคือ จ้าวเฉียนจะต้องดูแลเธอไปตลอดชีวิต ซึ่งเงื่อนไขข้อนี้ดูท่าจะเกินไปหน่อย จ้าวเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ดูแลเธอไปตลอดชีวิตมันหมายความว่าไง? ให้ข้าวให้น้ำคุณครบสามมื้อทุกวันแบบนี้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่เกรงว่าคุณจะไม่ขอแค่นั้นน่ะสิ ถ้าจะต้องให้แบกรับค่าใช้จ่ายรายเดือนนับล้าน ผมก็ไม่ไหวหรอกนะ”

เหรินจวนซวนรับอธิบายให้ฟังทันทีว่า

“ไม่ต้องกังวลค่ะ ฉันไม่ล่วงเกินคุณถึงขนาดนั้นแน่นอน แค่ตอบสนองปัจจัยพื้นฐาน ไม่ต้องเลี้ยงดูแบบไฮโซ แต่ขอเพียงไม่แย่กว่าคนธรรมดาเท่านั้นพอค่ะ หรือคิดซะว่าฉันเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ถ้าในอนาคตคุณแต่งงานไป เธอคนนั้นกับคุณก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบฉันด้วย”

ยกตัวอย่างคือ ธุรกิจครอบครัวของจ้าวเฉียน เหรินจานซวนจะไม่เข้ามายุ่งเด็ดขาด เพียงว่าเขาจะต้องดูและและคอยตักเตือนเธอหากออกไปนอกหลู่นอกทางเสมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา มิฉะนั้นกลับเป็นตัวจ้าวเฉียนเองที่จำต้องแบกรับผลที่ตามมา

และข้อสุดท้าย เหรินจานซวนต้องการให้จ้าวเฉียนขับไล่จานต้าเฉินออกจากบริษัทของเธอ หรือถ้าเป็นไปได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายล้มละลายเลยเป็นดีที่สุด หากทำได้แบบนั้น เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลอีกฝ่ายทีหลัง

จ้าวเฉียนตอบตกลงไปโดยไม่ลัเงเล การจะขับไล่จานต้าเฉินออกไปมันง่ายมากสำหรับจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนเอ่ยขึ้นว่า

“ผมยอมรับเงื่อนไขทุกข้อของคุณ มีอะไรต้องการจะเพิ่มอีกไหม?”

เหรินจานซวนครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนตอบไปว่า

“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ และฉันเชื่อว่า ด้วยบุคลิกนิสัยของตัวคุณเองหวังว่าจะไม่ทำผิดสัญญาที่ให้ไว้นะคะ ส่วนตอนนี้รีบมารับฉันที่เซียนเหว่ยที ฉันหิวแล้ว อยากออกไปหาอะไรทาน”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“โอเค ผมกำลังรีบไป”

เหรินจานซวนตอบติดตลกกลับไปว่า

“ได้ค่ะ แล้วฉันจะรอ ขับรถปลอดภัยนะคะ แต่ถ้าไฟเขียวรีบซิ่งมาเลย”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะคำโตและวางสายไป เหยียบคันเร่งมิดซิ่งไปที่บริษัทเซียนเหว่ยโดยเร็วที่สุด

ประมาณสี่สิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนจอดอยู่หน้าบริษัทเซียนเหว่ย แต่เขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป นอกจากนี้เขายังต้องลงมาแสดงตัวตน ทั้งใบขับขี่และบัตรประชาชน โดนยามตรวจสอบชนิดที่ว่าราวกับตำรวจมาสอบปากคำ

จ้าวเฉียนไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงโทรเรีกเหรินจานซวนทันที

ไม่นาน เขาก็โทรหาเธอติด

“นี่อยู่ไหนแล้วค่ะ?”

จ้าวเฉียนตอบเจือน้ำเสียงหงุดหงิด

“ฉันมาถึงหน้าบริษัทคุณแล้ว แต่ยามกลับไม่ยอมให้ผมเข้าไปสักที คุณรีบออกมาเร็วๆ แล้วกัน ผมจะรออยู่หน้าประตู”

เหรินจานซวนรับส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ไม่…ไมได้ค่ะ…มีคนของจานต้าเฉินอยู่ข้างนอกเต็มไปหมด ถ้าฉันออกไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับเดินเข้าปากเสือ?”

จ้าวเฉียนที่ได้ฟังดังนั้นพลันอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวตอบกลับไปทันทีว่า

“เข้าปากเสือ? ได้ข่าวว่าที่นี่คือบริษัทของคุณเอง ถ้ามีคนไล่ตามขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ตะโกนร้องดังๆ ขอความช่วยเหลือ แล้วดูซิว่า คนพวกนั้นยังจะกล้าตามมา? คงไม่ใช่ว่าทุกคนในบริษัทเป็นพวกของจานต้าเฉินหมดจริงไหม?”

เหรินจานซวนรู้สึกว่าคำกล่าวของจ้าวเฉียนมันค่อนข้างสมเหตุสมผล จะต้องไปกลัวอะไรกับบริษัทของตัวเธอเอง? คิดได้ดังนั้นเธอก็รีบวิ่งออกไปทันทีอย่างกล้าหาญ และตามที่คิดไว้ มีคนไล่ตามติดเธอเข้ามา

ตอนที่237 ต้องเลิกจ้าง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดัง กล่าวตอบเพื่อนร่วมงานไปว่า

“อย่าแกล้งผมเล่นแบบนี้สิครับ ทุกคนก็เห็น ตอนนี้ผมเป็นหนี้ตั้งสี่พันล้าน ผมลำบากกว่าพวกคุณอีกนะ”

“คุณจ้าวอย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ตอนนี้คุณควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปทั้งหมดเพียงลำพัง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่คุณจะปล่อยหุ้นให้ดิ่งแบบนี้ต่อไป ผมรู้ว่าระดับคุณสามารถฉุดหุ้นขึ้นได้อยู่แล้ว”

“ใช่ๆ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานคุณนะครับ พวกเราสัญญาจะไม่ซื้อเกินหมื่นหยวนแน่นอน เงินจำนวนเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันไม่ส่งผลเสียกับคุณอยู่แล้วจริงไหม? พวกเราสัญญาจะไม่บอกคนอื่นแน่นอน”

“ถูกต้องครับ พวกเราเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแบบนั้น แต่ละคนซื้อกันได้เล็กๆน้อยๆ ถือซะว่าเป็นค่าโบนัสสักก้อนนะครับ”

…….

อันที่จริง ทุกคนต่างทราบดีว่า ราคาหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปตอนนี้อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด ตราบใดที่ซื้อเก็บไว้สักนิดสักหน่อย อีกไม่นานพวกเขาย่อมได้กำไรกลับคืนเป็นเท่าตัว

เหตุผลที่คนพวกนี้ต้องการให้จ้าวเฉียนอธิบายแผนการดำเนินงานต่อไปก็เพื่อให้รู้จุดเข้าซื้อที่ต่ำที่สุดและขายออกไปเมื่อราคาอยู่จุดสูงสุด ถ้าทำได้ตามแผนพวกเขาจะกอบโกยกำไรจากที่ลงทุนไปมากเท่าหรือสองเท่าตัวได้เลย

ซึ่งจ้าวเฉียนเองก็ไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับคนพวกนี้เพียงเพราะเศษเงินเล็กๆน้อยเช่นกัน เขาจึงตอบไปว่า

“ตอนนี้ผมยังไม่ทราบแผนเหมือนกัน เพราะผมให้อีกคนดำเนินงานแทน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับประกันได้เลยคือ ณ ราคาหุ้นปัจจุบันของฮวาหยินกรุ๊ปเป็นจุดเข้าซื้อที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว หลังจากนี้อีกไม่นานเตรียมรีบาวด์ขึ้นได้เลย”

“ว้าว! ต้องแบบนี้สิครับคุณจ้าว! ขอบคุณมากเลยครับ!”

“ประธานใหญ่ส่งสัญญามาให้ขนาดนี้แล้ว พวกเราเตรียมเข้าซื้อตอนนี้ได้เลย ส่วนจะขายหมู[1]หรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถตัวเองล้วนๆ ขอให้ทุกคนโชคดีนะจ๊ะ”

“ก็จริงอย่างที่เธอว่า คุณจ้าวบอกขนาดนี้แล้วก็ควรเข้าซื้อทันที ส่วนที่ว่าจะขายตอนราคาวิ่งไปไกลขนาดไหน อันนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลแล้ว ตาดีได้มากตาร้ายได้น้อย!”

….

จ้าวเฉียนหันไปหัวเราะกับทุกคนอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขอตัวไปหาหวู่เสี่ยวหัว

พอเข้ามาถึงห้องทำงานของหวู่เสี่ยวหัว เธอก็รีบลุกขึ้นทักทายทันทีและกล่าวว่า

“คุณชายจ้าวอยากดื่มอะไรเป็นพิเศษไหมค่ะ?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวพลางตอบไปว่า

“ไม่ดีกว่า ผมมาคุยเรื่องธุรกิจนิดหน่อยน่ะ ช่วยเอาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของเหลียวปี้เอ๋อร์มาให้ผมหน่อย หลังจากนี้ผมรับช่วงต่อเอง”

หวู่เสี่ยวหัวรีบดำเนินการโดยไว และส่งข้อมูลผู้ถือหุ้นและอื่นๆให้กับจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนนำทุกอย่างจัดลงใส่ซองเอกสารและตรงไปที่บริษัท Renewable Resources Utilization Development Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทของเหลียวปี้เอ๋อร์นั้นเอง

เหลียวปี้เอ๋ออยู่ที่นั่นพอดี และเมื่อรู้ว่าจ้าวเฉียนมาหาเธอก็สั่งให้พนักงานต้อนรับนำเขาเข้ามาโดยไว

เหลียวปี้เอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ทำไมนายเพิ่งมาตอนนี้ ฉันรอนายอยู่นานแล้ว จนคิดไปว่านายเอาเงินทุนของบริษัทไปใช้จ่ายเล่นแล้วนะเนี่ย”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและเอ่ยตอบไปว่า

“ก็จำเป็นต้องให้เวลาคุณเหลียวได้เตรียมตัวไม่ใช่เหรอครับ?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ยิ้มตอบกลับไปว่า

“ยังมีอะไรต้องเตรียมอีด? ฉันแจ้งกับพนักงานทุกคนไปแล้วว่า ตอนนี้ฟู่ไห่ อินเวสเม้นส์คือเจ้าของที่นี่คนปัจจุบัน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“งั้นเรามาคุยกันเถอะครับ”

แต่เรื่องแรกที่จ้าวเฉียนเปิดประเด็นขึ้นมากลับไม่ใช่เรื่องบริษัทเธอ เขาเอ่ยปากถามขึ้นว่า

“เรื่องบริษัทของคุณ ทุกอย่างเรียบร้อยดีเหลือแค่เซ็นลงนามเป็นอันเสร็จสิ้นครับ แล้วที่ผมมาในวันนี้ อยากจะให้คุณเหลียวช่วยอะไรหน่อยน่ะครับ”

“โอ้? ว่ามาสิ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ตอบ

จ้าวเฉียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ผมต้องการเข้าลงทุนในบริษัทหัวโหย้วด้วยชื่อของตัวผมเองครับ แต่คุณเหลียวเองก็น่าจะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ชายของคุณดี เขาไม่มีทางขายหุ้นให้ผมแน่นอน ดังนั้นก็เลยอยากให้คุณช่วยซื้อแทนผมที จากนั้นค่อยโอนหุ้นมาให้ผมต่อ ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมไม่ให้คุณเสียเวลาช่วยผมโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน ผมจ่ายค่าหุ้นที่คุณซื้อต่อจากพี่ชายคุณเป็นสองเท่าเลยครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอรีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“จ่ายให้ฉันเป็นสองเท่า? นี่นายประเมินหัวโหย้วสูงเกินไปหน่อยรึเปล่า? ถึงอยากได้ขนาดนั้น?”

จ้าวเฉียนหัวเราะและเอ่ยตอบกลับไปว่า

“เดิมทีผมมีบริษัทด้านสื่อบังเทิงอยู่แค่แห่งเดียว แต่ไม่นานมานี้ผมเพิ่งทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปมา ดังนั้นถ้าผมกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองหรือแม้แต่อันดับหนึ่งของหัวโหย้วได้ ผมจะสามารถปรับโครงสร้างเกมใหม่ โดยการนำสื่อบังเทิงและลิขสิทธิ์นิยายดังในมือเข้ามาผสมผสานได้ ถ้าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จด้วยดี ผมจะสามารถทำกำไรได้เป็นก่อเป็นกำ ดังนั้นหัวโหย้วถือได้ว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของแผนการในครั้งนี้ เข้าใจที่ผมจะสื่อใช่ไหมครับ?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจหนักเข้าไปใหญ่

“หรือนาย…นายเป็นคนที่คว่ำฮวาหยินกรุ๊ปงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบเบาๆ

เหลียวปี้เอ๋อร์ถึงกับระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นพร้อมปรบมือให้ทันที และเอ่ยถามต่อว่า

“เอาล่ะ ถ้าฉันช่วยทำให้นายซื้อหุ้นส่วนหัวโหย้วมาได้ นายจะให้อะไรแก่ฉันบ้าง?”

“ผมพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ? คุณต้องใช้เงินเท่าไหร่เพื่อซื้อหุ้นในมือพี่ชายคุณล่ะ? ถ้าคุณใช้เงินไป200ล้าน ผมก็จะซื้อต่อคุณในราคา400ล้าน ประโยชน์ขนาดนี้ยังไม่พออีกเหรอครับ? จากที่วิเคราะห์มา มูลค่าแท้จริงของบริษัทหัวโหย้วอยู่ที่500ล้านหยวน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ผมสามารถจ่ายได้เช่นกัน”

ข้อเสนอนี้ฟังดูน่าสนใจอย่างมาก แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภ ไม่เว้นแม้แต่เหลียวปี้เอ๋อร์ ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามต่อว่า

“ถ้าอย่างนั้น…ฉันขอแบ่งหุ้นส่วนสักนิดเก็บไว้เองได้ไหม? ฉันแค่อยากถือกินปันผลด้วยเท่านั้น”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปทันทีว่า

“ไม่ได้ครับ เพราะสัดส่วนที่พี่ชายคุณถืออยู่มันมีไม่มาก ผมต้องการขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองไม่ก็อันดับหนึ่งของหัวโหย้ว นอกเสียจากคุณสามารถตามเก็บหุ้นจากรายอื่นเพิ่มเติมได้ ถึงตอนนั้นผมจะลองเก็บไปพิจารณาดูอีกทีหนึ่ง”

เหลียวปี้เอ๋อร์ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตามแต่ นี่เป็นบริษัทของพี่ชายเธอ ดังนั้นเธอในฐานะน้องสาวจำเป็นต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป

จ้าวเฉียนไม่ได้พูดกดดันเธอเช่นกัน และนั่งรอเธอตัดสินใจอย่างเงียบๆ

ผ่านไปหลายนาที เหลียวปี้เอ๋อก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่นายต้องการลงทุนเพราะบริษัทนี้อยู่ในแผน หรือต้องการแก้แค้นพี่ชายฉันเฉยๆ?”

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางตอบกลับไปว่า

“คุณเหลียว ในเมื่อเรามีโอกาสได้พูดคุยกับตามตรง ผมเองก็ไม่คิดจะโกหกคุณอยู่แล้ว แต่ลองคิดตามนะครับ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ผมถึงขนาดทุ่มเงินจำนวนหลายพันล้านเพื่อครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปในมือ ซึ่งคุณน่าจะทราบดีว่าผมพูดความจริง ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองไปเช็คมูลค่าแท้จริงของฮวาหยินกรุ๊ปได้ แผนขั้นต่อมาคือการค้นหาบริษัทเกมเพื่อผลิตตัวเกมที่ดีและมีคุณภาพตามความต้องการออกมา ถ้าคุณเหลียวไม่ยอมร่วมมือกับผม ผมก็แค่หาบริษัทเกมแห่งอื่นแค่นั้นครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าตอบทันทีและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างงั้นฉันจะลองดู แล้วนายต้องการหุ้นส่วนเท่าไหร่?”

จ้าวเฉียนชูมือเลขสี่ออกมา

“ไม่น้อยกว่า40%”

เหลียวปี้เอ๋อร์ส่ายหัวตอบทันทีว่า

“ไม่มีทาง พี่ชายของฉันมีหุ้นส่วนในมือแค่80% ด้วยนิสัยของเขา เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะขายให้ฉันครึ่งหนึ่ง”

“ถ้าอย่างนั้นคุณเหลียวก็พยายามซื้อให้ได้มากที่สุดแล้วกัน ตกลงไหมครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง

เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าและตอบกลับไปว่าไม่มีปัญหา เธอจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อซื้อหุ้นมาในครั้งนี้

จ้าวเฉียนฮัมเพลงท่าทางอารมณ์ดี และหยิบซองเอกสารออกมา เปิดสัญญาการเข้าควบคุมบริษัทของเธอพร้อมเงื่อนไขต่างๆที่หลังจากนี้เธอจำเป็นต้องปฏิบัติตาม

เหลียวปี้เอร์หยิบขึ้นมาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ในขั้นต้นเธอไม่มีปัญหาเรื่องแนวทางและกลยุทธ์หลังจากนี้ แต่ข้อควรปฏิบัติบางข้อมันก็ยากเกินกว่าเธอจะยอมรับเช่นกัน อย่างเช่น การเลิกจ้างพนักงานบางส่วน

“หลังจากที่นายเข้ามาควบคุมบริษัทจะทำการเลิกจ้างพนักงานบางส่วนออกไปทันที แล้วนายไม่กลัวว่าพนักงานจะร่วมตัวกันประทวงเหรอ? อย่างน้อยก็ประกาศให้พวกเขาเตรียมตัวหางานใหม่ก่อนดีกว่าไหม?”

เหลียวปี้เอ๋อร์กล่าวขึ้น

จ้าวเฉียนส่ายหัวพร้อมเอ่ยตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“สิ่งแรกที่ควรจัดการทันทีคือการเลิกจ้าง ไม่มีที่ว่างสำหรับการเตรียมตัว ออกคือออก และพนักงานทุกคนในบริษัทจำเป็นต้องผ่านการคัดกรองตามข้อกำหนดที่ผมให้ไว้เท่านั้น ใครไม่ตรงตามคุณสมบัติจะถูกเลิกจ้าง ผมสามารถจ่ายเงินจ้างพวกเขาออกได้ตามกฎหมาย หรือก็คือ เงินเดือนพิเศษชดเชยหนึ่งเดือน บวกกับค่าครองชีพประจำวันในระหว่างที่พวกเขาหาเงินใหม่ ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ไม่เข้าใจได้เลยว่าทำไมจ้าวเฉียนจำเป็นต้องทำแบบนี้ เธอเอ่ยถามขึ้นต่อว่า

“ทำไมนายถึงยอมจ่างเงินมากขนาดนี้เพื่อเลิกจ้างพนักงาน? ถึงบริษัทผลัดเปลี่ยนเจ้าของ แต่งานมันต้องเดินหน้าทุกวันนะ ถ้าพนักงานเกินครึ่งไม่ผ่านคุณสมบัติขึ้นมาและนายไล่ทั้งหมดออกไป แล้วจะหาใครมาทำแทนระหว่างประกาศหารับสมัครใหม่? หรือต้องการไล่คนออกเพื่อประหยัดเงินทุนไว้?”

จ้าวเฉียนอธิบายตอบกลับไปว่า

“การเลิกจ้างไม่ใช่ทำเพื่อประหยัดเงิน แต่ทำเพื่อให้บริษัทมีที่ว่างสำหรับคนที่มีศักยภาพมากกว่า สาเหตุหลักที่บริษัทของคุณแย่ลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีมานี้ มันไม่ใช่เพราะธุรกิจของคุณไม่ดี แต่เป็นเรื่องทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพพอ ดังนั้นแล้วปัญหาหลักที่ผมมองเห็นในขณะนี้คือ พนักงาน”

เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ได้ฟังดังนั้นยิ่งมึนงงหนักกว่าเดิม พนักงานเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมือเก๋ามีประสบการณ์มากมาย ผ่านบริษัทมาแล้วมากมายกว่าหลายปี บางคนกว่าสิบปีก็ยังมี ดังนั้นทำไมจ้าวเฉียนถึงบอกว่าปัญหาหลักกลับอยู่ที่พวกเขากัน?

[1]การที่เราขายหุ้นเมื่อได้กำไรออกมาเร็วเกินไป ซึ่งราคาหุ้นตัวนั้นยังขึ้นต่อไปจากราคาที่คุณขายอีกมากมาย

ตอนที่236 เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หวานเจียงก็ดูลังเลคล้ายว่าตัดสินใจไม่ได้ เธออยากจะฟังและทำตามคำกล่าวของจ้าวเฉียนเพื่อระงับความร่วมมือกับเฟยอวี่เช่นกัน แต่เธอกังวลว่า หากทำเช่นนี้จะกระตุ้นให้อาการของพ่อแย่ลงจนส่งผลเสียต่อการผ่าตัด

หลังจากที่จ้าวเฉียนกลับบ้านไป เขาก็พยายามหาวิธีคิดแผนดันหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปให้พุ่งสูงขึ้นโดยเร็วที่สุด ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การปล่อยข่าวดีออกไปเพื่อกระตุ้นตลาดรอง และให้เม่าน้อยทั้งหลายแล่ช่วยกันดันราคาขึ้นไป

แต่ปัจจุบัน หวานหยินกรุ๊ปมีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ จำต้องพึ่งให้จ้าวเฉียนต้องสร้างข่าวดีขึ้นมาเอง

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน จ้าวเฉียนก็นึกถึงข่าวหนึ่ง ซึ่งข่าวนี้จะช่วยกระตุ้นให้หุ้นเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน แถมยังช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างวงการสื่อและวงการเกมให้กระชับสัมพันธ์ได้อีกก้าวหนึ่งอีกด้วย อย่างการสร้างเกมที่มาจากหนังดัง

เบื้องหลังภาพฉากอันสวยงามตรงหน้าจำต้องใช้เส้นสายไม่น้อยเช่นกัน หากต้องการจะสร้างเกมจากหนังดัง ซึ่งโชคยังดีที่จ้าวเฉียนมีซิงหยวนอยู่ในมือ ตราบใดที่ฮวาหยินกรุ๊ปและซิงหยวนร่วมมือกันสร้างผลงามเกมระดับAAA [1] ขึ้นมาได้ ไม่เพียงราคาหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปที่พุ่งทะยาน แม้แต่หุ้นของซิงหยวนเองก็จะได้รับผลพลอยได้ไปด้วย

พอนึกขึ้นได้ก็ลงมือทำทันที เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนเดินทางไปที่ซิงหยวนโดยตรง

กัวต้าหมิงรีบออกมาทักทายอย่าเชิญเขาเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวก่อนทันที พร้อมเอ่ยถามอย่างสุภาพขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว ดื่มอะไรดีครับ?”

จ้าวเฉียนส่ายหน้าตอบไปว่า

“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ฉันมาคุยเรื่องธุรกิจน่ะ”

กัวต้าหมิงรีบพยักหน้าตอบ

“เข้าใจแล้วครับ แล้วคุณชายอยากปรึกษาอะไรครับเนี่ย?”

จ้าวเฉียนเข้าเรื่องทันที

“ฉันต้องการให้ซิงหยวน, ฮวาหยินกรุ๊ปและเฉียนเก๋อร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์น่ะ สร้างเกมขึ้นมาจากหนังและนิยายชื่อดัง นายคิดเห็นยังไงบ้างกับเรื่องนี้ พูดมาตรงๆ ได้เลย”

แน่นอนว่าโอกาสดีๆ แบบนี้ กัวต้าหมิงย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้ว อีกอย่างนี่เป็นโปรเจคที่คุณชายจ้าวเสนอออกมาจากปากเอง มีหรือที่เขาจะกล้าปฏิเสธ?

อย่างไรก็ตามแต่ ในฐานะประธานบริษัทซิงหยวน กัวต้าหมิงก็ต้องทนรับความกดดันด้านประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์เกมที่ออกมาเช่นกัน ทั้งยังขึ้นชื่อว่า การร่วมมือเชิงกลยุทธ์ สิ่งสำคัญคือเรื่องส่วนแบ่งที่ควรหารือกันให้ชัดเจนก่อน

ดังนั้นกัวต้าหมิงจึงเอ่ยตอบไปว่า

“นี่เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ ผมยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่ยังไงคุณชายจ้าวก็โปรดเข้าใจด้วยนะครับว่า พนักงานทุกคนในบริษัทเองก็ต้องได้รับความเป็นธรรม ขอให้คุณชายจ้าวพิจารณาเรื่องส่วนแบ่งด้วยความเท่าเทียม ตราบใดที่ซิงหยวนได้รับสัดส่วนที่เป็นธรรมพอ ผมย่อมให้ความร่วมมือกับคุณชายจ้าวอย่างไม่มีเงื่อนไขเลยครับ”

ท้ายที่สุดแล้ว กัวต้าหมิงจำเป็นต้องรับผิดชอบปากท้องของพนักงานทุกคนในซิงหยวนเช่นกัน และจ้าวเฉียนก็รู้สึกชื่นชมในแง่ความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ของเขาที่มีต่อบริษัทเป็นอย่างมาก

“เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ตัวเกมต้องยกเครดิตให้ซิงหยวนเป็นหลัก ดังนั้นโปรเจคนี้ฉันให้ซิงหยวน50% ส่วนฮวาหยินกรุ๊ปกับเฉียนเก๋อจะแบ่งคนละ25% นายคิดว่ายุติธรรมดีไหม?”

กัวต้าหมิงคลี่ยิ้มกว้างออกมาในทันใดและพยักหน้าตอบว่า

“แน่นอนครับ คุณชายจ้าวมักตัดสินใจได้ยุติธรรมกับพวกเราเสมอ ผมไม่มีคำค้านเลยครับ ถ้าเอกสารสัญญาเสร็จเมื่อไหร่ คุณชายจ้าวแจ้งให้ผมมาเซ็นได้ทุกเมื่อเลยครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าแล้วถามกลับไปว่า

“แล้วนายรู้ข่าวเรื่องฟางนี่รึยัง?”

กัวต้าหมิงยิ้มแห้งเอ่ยตอบไปว่า

“พวกเราเองก็ติดตามข่าวสารของทางนั้นอยู่เป็นระยะครับ ผมได้ยินมาว่า พวกเขาเพิ่งเซ็นสัญญาความร่วมมือกับหัวโหย้วและเหล่ยอู่หมาดๆ เองครับ แถมยังมีข่าวลืออีกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังก็เตรียมเข้ามาอัดฉีดเงินทุนเช่นกัน ทั้งยังมีบริษัทวอลล์สตรีทคอยหนุนหลัง ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ผมว่า…บริษัทเกมฟางนี่อาจไล่ตามเราได้ในอีกไม่ช้าครับ…”

“แล้วนายมีมาตรการรับมือไหม? ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป มีหวังฟางนี่ได้เข้ามาแทนที่ซิงหยวนในอุตสาหกรรมเกมแน่นอน”

กัวต้าหมิงได้แต่ยิ้มแห้งจริงๆ กับสถานการณ์ในตอนนี้ เขาทราบดีอยู่แก่ใจว่า ฟางนี่กำลังไล่ตามซิงหยวนมาทันแล้ว หากซิงหยวนไม่รีบเค้นหามาตรการที่มีประสิทธิภาพพอมารับมือ ในไม่ช้า ฟางนี่จะต้องเข้ามาเสียบแทนที่ซิงหยวนในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมเกมแน่นอน

แต่ตอนนี้ มีหลายบริษัทใหญ่เข้ามาสนับสนุนฟางนี่อย่างพร้อมเพรียง ลำพังซิงหยวนไม่สามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ไหว เว้นเสียแต่จนตรอกจริงๆ จนต้องหยิบใช้วิธีสกปรกออกมา แต่ด้วยนิสัยของกัวต้าหมิงที่เป็นคนตรงไปตรงมา เขาไม่มีทางหยิบใช้วิธีพรรคนั้นแน่นอน

กัวต้าหมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และเอ่ยตอบไปว่า

“ผมละอายใจจริงๆ ครับที่ต้องบอกคุณชายไปตามตรงว่า ผมพยายามคิดหาวิธิอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาแผนรับมือที่มีประสิทธิภาพพอมารับมือได้ เราควรทำอย่างไรดีครับ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“อืม…เดี๋ยวฉันขอกลับไปคิดแผนรับมืออีกทีละกัน”

“ต้องขอโทษคุณชายจ้าวจริงๆ นะครับที่ต้องทำให้ลำบากแบบนี้ ผมหวังว่าคุณชายจ้าวจะช่วยรักษาตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรมเกมของซิงหยวนไม่ให้สั่นคลอนได้นะครับ”

กัวต้าหมิงรีบลุกขึ้นและโค้งศีรษะคำนับขอร้องจ้าวเฉียนด้วยความละอายใจอย่างมาก

“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะคิดหาวิธีจัดการบริษัทฟางนี่เอง ส่วนนายก็ตั้งใจทำงานของนายไปเถอะ”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ลุกขึ้นและเดินจากไป ส่วนทางด้านกัวหมิงต้าก็รีบเดินออกไปส่งเขา

พอขับรถออกจากซิงหยวน จ้าวเฉียนก๊ต่อสายโทรหาหวานเจียงและกล่าวกับเธอว่า

“ฉันคุยกับทางซิงหยวนเรียบร้อย ซิงหยวน,ฮวาหยินและเฉียนเก๋อ นับแต่นี้ได้กลายมาเป็นพันธมิตรกันแล้ว พวกเราทั้งสามฝ่ายจะร่วมมือพัฒนาโปรเจคเกมฟอร์มยักษ์ที่สร้างมาจากนิยายดัง ทันทีที่ปล่อยข่าวนี้ออกไป ราคาหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปจะต้องรีบาวด์กลับมาในเร็วๆ นี้แน่นอน”

หวานเจียงยิ้มกว้างอย่างสุขอกสุขใจทันทีที่ได้ยินและกล่าวตอบไปว่า

“เยี่ยม! แล้วจะเซ็นสัญญาเมื่อไหร่?”

“เมื่อไหร่ก็ได้ที่เธอพร้อมนั่นแหละ ฉันจะได้ไปแจ้งกับซิงหยวนอีกที”

“ได้เลย ฉันจะรีบสั่งเลขาให้เตรียมตัวทันที อย่างเร็วสุดน่าจะได้เซ็นพรุ่งนี้”

น้ำเสียงของหวานเจียงฟังดูตื่นเต้นอย่างมาก

“อืม แค่นี้นะ ฉันกำลังขับรถอยู่”

จ้าวเฉียนวางสายทันทีที่กล่าวจบ และขับรถไปที่ฟู่ไห่ทันที

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนกลับเข้ามาในออฟฟิศ บรรดาเพื่อนร่วมงานทุกคนก็รีบแห่เข้าไปล้อมวงเพื่อพูดคุยด้วยทันที

“จ้าวเฉียน บอกพวกเรามาเถอะ นายรู้จักคนใหญ่คนโตในสำนักงานใหญ่ใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว! ไม่อย่างนั้นทางบริษัทคงไม่อนุมัติเงินกู้สี่พันล้านหยวนให้นายเล่นๆ แบบนี้แน่นอนจริงไหม?”

“ช่วยเล่าเรื่องพวกเราให้ทางสำนักงานใหญ่ฟังหน่อยได้ไหม พวกเราอุทิศตัวเพื่อฟู่ไห่จริงๆ นะนายก็เห็น?”

“ใช่ๆ ช่วยแนะนำพวกเราไปด้วยนะ”

…………

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มแห้งกล่าวปัดโบกมือให้ทุกคนเงียบลงก่อน พร้อมอธิบายให้ฟังว่า

“เอ่อ…ผมว่าทุกคนกำลังเข้าใจผิดอยู่นะครับ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับทางสำนักใหญ่เลย เหตุผลที่ทางฟู่ไห่ยินดีให้ผมกู้เพราะ ตัวผมเองได้ใช้บริษัทตัวเองสำหรับจำนองน่ะครับ”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่

พวกเขาเป็นนักวิเคราะห์มากประสบการณ์ย่อมทราบดี มูลค่าสุทธิของบริษัทจ้าวเฉียนจะต้องมหาศาลเพียงใด ถึงสามารถยื่นจำนองเพื่อกู้เงินสี่พันล้านออกมาใช้ได้? และในเมื่อจ้าวเฉียนเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตขนาดนั้น ทำไมไม่คอยนั่งเซ็นเอกสารดีๆ อยู่บนโต๊ะ ทำไมต้องลงมาทำงานหนักแบบนี้ด้วย?

จ้าวเฉียนยิ้มเล็กน้อยและอธิบายให้ทุกคนฟังต่อไปว่า

“ทางฟู่ไห่ใจดีกับผมมาก! เขาให้โอกาสเพราะเห็นศักยภาพในตัวผมและบริษัทของผม และอีกอย่างเขาเห็นว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในพนักงานคนสำคัญจึงอยากมอบโอกาสดังกล่าวใก ถ้าผมไม่ได้ทำงานที่นี่ คิดหรือไม่ทางฟู่ไห่จะให้โอกาสแบบนี้?”

ทุกคนพยักหน้าให้พลางคิดไปว่าสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปพอมีเหตุผล แต่ก็ยังมีคำถามหนึ่งที่ยังคาใจอยู่ดี บริษัทที่จ้าวเฉียนเป็นเจ้าของคือบริษัทอะไร? ต้องมีศักยภาพแค่ไหนทางฟู่ไห่ถึงเล็งเห็นและยอมให้โอกาสถึงเพียงนี้?

ในเวลานั้นเอง เพื่อนร่วมมงานคนหนึ่งก็อดถามไม่ได้ว่า

“จ้าวเฉียน บริษัทของนายคือ?”

พอเรื่องมาถึงขนาดนี้ก็ไม่อาจเก็บซ่อนต่อได้แล้วเช่นกัน จ้าวเฉียนจึงจำใจต้องตอบไปตามตรงว่า

“พวกคุณรู้จักซีรีย์เรื่อง ‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ ไหม? บริษัทผมเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์เอง”

“ห่ะ?! บริษัทเฉียนเก๋อคือของนายงั้นเหรอ!?”

“ถ้าเป็นแบบนี้ นั้นหมายความว่า…มหาเศรษฐีปริศนาที่ใช้นามแฝงว่า พี่เฉียนคนนั้นก็คือนาย?”

“พระเจ้า! นาย..ไม่สิ…คุณจ้าว คุณต้องเบื่อกับชีวิตขนาดไหนถึงลดตัวลงมาเป็นพนักงานแบบนี้! นี่มันเกินความคาดหมายมาก!”

“แค่คุณจ้าวนี่ก็ตาถึงจริงๆ นะครับ ถึงกล้าทุ่มเงินขนาดนั้นเพื่อซื้อลิขสิทธิ์นิยายมา แล้วปรากฏว่านิยายเรื่องนี้ก็ดังแบบถล่มทลาย!”

………..

จ้าวเฉียนส่งสัญญาให้ทุกคนเงียบลงอีกครั้งและตอบคราวๆ ว่า

“เอ่อ…ทุกคนไม่ต้องสุภาพกับผมขนาดนั้นหรอกครับ เรียกผมอย่างที่เคยเรียกดีกว่า เหตุผลที่ตอนนั้นผมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อสนับสนุนนิยายเรื่องนี้ให้ขึ้นแท่นติดเว็บนิยายอันดับหนึ่งก็เพราะเห็นถึงศักยภาพของนิยายเรื่องนี้แหละครับ เลยตัดสินใจทุ่มเงินกว่าสิบล้านภายในเสี้ยวอึดใจอย่างที่ทราบกันแหละครับ”

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมทางฟู่ไห่ถึงให้ความสำคัญกับคุณมากขนาดนี้”

“นั้นสิ ถึงทุนการเข้าซื้อฮวาหยินกรุ๊ปจะแพงไปหน่อย แต่เชื่อเถอะระดับคุณแล้ว ไม่ต้องคิดมากเลย อีกสักพักราคาหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปเตรียมพุ่งแน่นอน!”

“คุณจ้าว ถ้าเมื่อไหร่บริษัทเฉียนเก๋อจะมีโปรเจคอะไรขึ้นมาอีก รบกวนบอกกันหน่อยนะครับ ผมจะได้ซื้อหุ้นเฉียนเก๋อเก็งกำไรเอาไว้ก่อน”

“ใช่ครับ! งั้นตอนนี้พวกเขาขออนุฐาตช้อนซื้อหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปนิดๆ หน่อยๆ ก่อนนะครับ แล้วคุณจ้าววางแผนจะดันราคาไปถึงเท่าไหร่ครับเนี่ย?”

……..

ทุกคนต่างจับจ้องจ้าวเฉียนด้วยแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง เพราะปัจจุบันเขาคือเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยของทุกคนไปแล้ว

[1] เกรดเกมที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลและคุณภาพระดับสูง

ตอนที่235 ให้ทางเลือก

หวานเจียงรู้สึกละอายใจอย่างสุดพรรณนา โดยไม่รู้ว่าทำไมจ้าวเฉียนแค่แกล้งหวานหลินเล่นเท่านั้น แต่หวานเจียงกลับรีบพุ่งตัวเข้ามา เอามือปิดปากเขาทันทีและกล่าวว่า

“นายบ้าไปแล้วจริงๆ หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!”

ในเวลานั้นเองโรคหัวใจของหวานหลินก็กำเริบขึ้นมา จังหวะหายใจของเขาถี่เร็วขึ้นทันตา

“คุณพ่อตา! คุณพ่อตาเป็นอะไรครับ! ด็อกเตอร์โทมัส รีบเข้ามาดูอาการทีครับ”

“จ้าวเฉียน! นี่นายเล่นเกินไปแล้วนะ! คุณพ่อทำใจดีๆก่อนนะคะ!”

หวานเจียงรีบเข้าไปจับมือพ่อของเธอทันที

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุมปาก เอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า

“ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว แค่บอกไปตามตรงว่าคุณหวานอาจต้องกลายมาเป็นคุณปู่ก็เท่านั้น คุณหวานยังคงได้ยินผมอยู่สินะ? ถ้าไม่รีบรักษาตัวให้หายดี ก็อาจไม่ได้อุ้มหลานนะครับ”

หวานหลินได้ยินดังนั้นก็ตะลึงขึ้นทันใด สิ่งที่จ้าวเฉียนพูดไปก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ถ้าเขาไม่รีบรักษาสุภาพตัวเองให้แข็งแรง แล้วเขาจะได้อุ้มหลานได้ยังไงในอนาคต?

หวานเจียงได้แต่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างเตียง ปล่อยให้พวกหมอเข้าระงับอาการโรคหัวใจ เธอรู้สึกว่าทุกคนในห้องนี้กำลังจับจ้องเธออยู่ก็ไม่ปาน

พอหวานหลินกลับมาเป็นเมื่อเดิม หายใจสะดวกขึ้นก็ไม่วายหันไปขู่จ้าวเฉียนว่า

“หยุดพูดไร้สาระกับฉันได้แล้ว! แกรีบโอนหุ้นส่วนคืนเรามาเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่อนุญาตให้แกติดต่อกับลูกสาวฉันอีกต่อไป!”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าโกรธ จงใจตะคอกสวนกลับไปทันทีว่า

“นี่! คุณหวานอยากให้ลูกตัวเองเป็นแม่ม่ายนักเหรอไง! ได้! งั้นผมจะทิ้งลูกสาวคุณไปเดี๋ยวนี้แหละ ปล่อยให้เธออุ้มท้องโตเองคนเดียว เลี้ยงลูกเองคนเดียว! ถ้าต่อไปลูกที่เกิดออกมาถามว่า พ่ออยู่ไหน หวังว่าคุณหวานจะตอบหลานไปตามจริงนะว่า ปู่คนนี้แหละเป็นคนไล่ออกไปเอง!”

หวานเจียงรีบคว้าแขนจ้าวเฉียนและตะคอกใส่ทันที

“นี่นายพูดแบบนี้ออกไปได้ยังไง!”

จ้าวเฉียนเหลือบมองหวานเจียงด้วยหางตาอยู่แวบหนึ่ง และกล่าวต่อว่า

“หุบปาก! ฉันกำลังคุยกับพ่อตาในอนาคตของฉันอยู่ เอาล่ะคุณหวาน ผมให้คุณเลือกดีๆนะว่า จะให้ลูกเกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์มีพ่อมีแม่พร้อม หรือจะไล่ผมไปตั้งแต่ตอนนี้ ทิ้งลูกสาวให้กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวตามลำพัง ปล่อยให้ลูกสาวตัวเองโดนคนนอกนินทา?”

หวานหลินที่กำลังอารมณ์เสียอย่างมากในตอนแรก แต่หลังจากถูกจ้าวเฉียนสวดไปชุดใหญ่ อารมณ์โกรธเหล่านั้นก็อันตธานหายไปทันที อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่า สถานะทางสัมคมของจ้าวเฉียนยังแย่ไปอยู่ดี และไม่คู่ควรกับลูกสาวเขาเลย

“ไอ้หนุ่ม อย่าขู่ฉันหน่อยเลย ด้วยสถานะภาพแกตอนนี้ คิดจริงๆเหรอว่าตัวเองคู่ควรกับลูกสาวฉัน?”

หวานหลินเอ่ยถามน้ำเสียงเข้ม

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น ตอบไปว่า

“ผมเหรอไม่คู่ควรกับเธอ? ในมือผมมีฮวาหยินกรุ๊ปอยู่และสามารถขับไล่พวกคุณออกจากบอร์ดบริหารได้ยกครอบครัวภายในคำเดียว งั้นผมขอถามกลับนะว่า ถ้าพวกคุณไม่มีฮวาหยินกรุ๊ปแล้ว ลูกสาวของคุณยังคู่ควรกับผมอยู่หรือเปล่า? กลับต้องเป็นพ่อแม่ของทางผมมากกว่าที่ต้องรังเกียจพวกคุณ”

หวานหลินถึงกับพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ สถานะปัจจุบัน จ้าวเฉียนสามารถควบคุมชะตากรรมของพวกเขาได้ว่าจะให้อยู่ในฮวาหยินกรุ๊ปต่อไปไหม และถามให้พูดกันตามตรง ถ้าสมาชิกตระกูลหวานทุกคนถูกไล่ออกจากบอร์ดบริหารของฮวาหยินกรุ๊ปยกแผง ตระกูลหวานยังเหลืออะไรให้เชิดหน้าชูตาอีก?

ตอนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความจริงเพียงหนึ่งเดียวก็คือจ้าวเฉียนคือผู้ครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปโดยสมบูรณ์ ตระกูลหวานไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไรเหลืออีกต่อไปแล้ว

หวานหลินกล่าวขึ้นว่า

“ก็ได้ ฉันจะฟังที่แกบอก แต่ตอนที่แกแต่งงานกับเสี่ยวเจียง แกจะต้องยกหุ้นส่วนฮวาหยินกรุ๊ปอย่างน้อย30%เป็นค่าสินสอด!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่น กล่าวตอบกลับไปทันทีว่า

“นี่อยากให้ลูกสาวแต่งงานจริงๆ หรืออยากขายลูกสาวกินกันแน่? สินสอดมูลค่านับพันล้านหยวน นี่มันหากินกับลูกสาวตัวเองชัดๆ! ถามจริงๆนะครับ…ไม่ละอายใจบ้างเลยเหรอที่กล้าพูดออกมาได้หน้าตาเฉย?”

หวานหลินได้ยินแบบนั้นถึงกับไปไม่เป็น

ในเวลานี้เอง ซานเฟิงหยุน แม่ของหวานเจียงก็กล่าวแทรกขึ้นว่า

“โถ่คุณ ลูกของเราก็อายุเท่าไหร่แล้ว? ปล่อยให้เด็กๆมีอิสระเรื่องความรักบ้างเถอะ ตั้งแต่เด็กจนโตเสี่ยวเจียงเคยทำให้เราผิดหวังซะที่ไหน? คุณกังวลเกินไปแล้ว!”

หากกล่าวกันตามตรง ซานเฟิงหยุนกำลังบอกกับหวานหลินอีกนัยหนึ่งว่า เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ด้วยบุคลิกภาพและความเฉลียวฉลาดของหวานเจียง เธอสามารถควบคุมจ้าวเฉียนได้แน่นอน อย่างน้อยที่สุดฮวาหยินกรุ๊ปก็ไท้ถูกเปลี่ยนมือจากชื่อตระกูลหวานเป็นตระกูลจ้าว

หวานหลินตระหนักดีว่าภรรยาของเขากำลังหมายความอย่างไร แต่เขาก็ยังตอบกลับไปว่า

“แต่เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของผมนะ อย่าน้อยผมก็ขอสู้เพื่อผลประโยชน์ของลูกสาวให้มากกว่านี้ ในอนาคตยามพวกเราไม่อยู่แล้ว เธอไม่มีทั้งพี่ชายหรือน้องชายคอยปกป้อง แล้วถ้าเธอโดนคนสกุลจ้าวรังแกขึ้นมาล่ะ?”

ลึกๆแล้วหวานเจียงทราบดีว่า ที่พ่อของเธอคัดค้านหัวชนฝาขนาดนี้ เพราะเขาเป็นห่วงอนาคตของเธอจริงๆ ทันใดนั้นหวานเจียงพลันน้ำตาไหลออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

จ้าวเฉียนที่ได้ยินหวานหลินพูดแบบนั้น เขาพลันถอนหายใจเล็กน้อยและตอบว่า

“ไม่ต้องกังวล ผมได้ลงนามเซ็นสัญญาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นในอนาคตอยู่แล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไป ฮวาหยินกรุ๊ปจะถูกบริหารและควบคุมโดยหวานเจียงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนผมรอรับเงินปันผลอย่างเดียว ก็เพราะแบบนี้เลย ผมเลยบอกให้คุณรีบรักษาตัวให้หาย แล้วกลับมาคุมบังเหียนแทนเธอ ไม่อย่างนั้นผมไม่เสียเงินจ้างทีมศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดมาจีนหรอก”

แววตาของหวานหลินทอประกายเล็กน้อย แต่ด้วยบุคลิกของเขา เขายังคงขู่เสียงเข้มสวนกลับไปว่า

“นี่แกพูดจริงใช่ไหม? อย่าให้รู้ทีหลังว่าแกโกหกฉัน!”

จ้าวเฉียนก้าวออกไปข้างเตียง และช่วยประคองหวานหลินนอนลงบนเตียงดังเดิม และเอ่ยปากสัญญากับเขาว่า

“ผมไม่เคยผิดสัญญากับใคร คุณหวานก็รักษาสุภาพตัวเองให้ดี ถ้าคุณอยากดูแลหลานจริงๆ แต่ดันมาป่วยติดเตียงแบบนี้ แล้วจะไปดูแลได้ยังไง แล้วผมขอพูดอะไรกับคุณสักอย่างนะ ถ้าคุณไม่สามารถกลับมาดูแลหลานได้ ผมจะตีหวานเจียงทุกวัน ลงโทษเธอที่มีพ่อไม่เอาไหนแบบคุณ! ถ้าถึงตอนนั้นก็อย่าโทษผมก็แล้วกัน!”

“นี่แก! กล้าดีมาตีลูกสาวฉันเหรอ!? ดี! ดีมากจ้าวเฉียน! รอฉันหายเป็นปกติก่อน ฉันจะมาคิดบัญชีกับแก!”

หวานหลินคำรามใส่ในทันที

“โอ้? คิดจะสู้กับผมงั้นเหรอ? งั้นสิ่งแรกคุณต้องรักษาตัวเองให้กลับมาแข็งแรงก่อน เอาล่ะ เซ็นชื่อเข้ารับการผ่าตัดซะคุณหวาน แล้วผมจะจัดการส่งตัวคุณไปที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับทีมศัลยแพทย์เพื่อเข้ารับการผ่าตัดต่อไป”

หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบ ก็หยิบเอกสารให้หวานหลินเซ็นทันที จากนั้นก็เดินออกไปหน้าโรงพยาบาลโทรหาพ่อของเขาโดยตรงเพื่อให้นำเครื่องบินส่วนตัวมารับ

สองชั่วโมงต่อมา เฮริคอปเตอร์ก็มาถึงบนดาดฟ้าโรงพยาบาลเพื่อนำพวกเขาไปยังสนามบิน ส่งตัวหวานหลินขึ้นเครื่องพร้อมกับทีมศัลยแพทย์ทั้งห้า และซานเฟิงหยุนที่ติดตามไปดูใจด้วย

เหม่อมองเฮริคอปเตอร์บินจากไปบนท้องฟ้า หวานเจียงเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ คอยมีจ้าวเฉียนคอยปลอบอยู่เคียงข้าง

“ฮือ…ฮือ…ฮือ….”

จ้าวเฉียนลูบหลังเธออย่างแผ่วเบาพร้อมปลอบโยนว่า

“ไม่ต้องกังวล ฉันจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยหมดแล้ว หลังจากผ่าตัดกลับมา ฉันกำชับให้โรงพยาบาลฝั่งโน้นดูแลอย่างถึงที่สุดแล้ว จะไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน”

“ขอบคุณมาก…ขอบคุณมากจ้าวเฉียน…”

“อยากจะขอบคุณฉันจริงๆใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

หวานเจียงพยักหน้าทั้งน้ำตา

จ้าวเฉียนยื่นมือออกมาปาดน้ำตาให้และกล่ามวว่า

“งั้นแค่คำขอบคุณมันไม่พอหรอกนะ ต้องภาคปฏิบัติด้วย!”

หวานเจียงเหลือบมองตาขวางใส่จ้าวเฉียนทันที เพราะเธอทราบดีว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“นี่นาย…คนเขากำลังซาบซึ้งอยู่แท้…”

จ้าวเฉียนชี้ไปที่โรงแรมติดโรงพยาบาลและกล่าวแทรกขึ้นทันทีว่า

“เอาน่า รู้สึกว่าตรงนี้มีโรงแรมเพิ่งเปิดใหม่อยู่ด้วยนะ ไม่รู้ว่าเตียงจะยืดหยุ่นแค่ไหน ไปลองด้วยกันสักคืนไหม?”

“หยุดเลย…นายต้องกลับไปบริษัทพร้อมกับฉันก่อนตอนนี้ เราต้องลงนามข้อตกลงระหว่างเราโดยเร็วที่สุด แล้วจะต้องคืนสิทธิ์ให้พ่อฉันด้วยหลังผ่าตัดเสร็จกลับมา”

หลังจากพูดจบ หวานเจียงก็พาจ้าวเฉียนไปที่ลานจอดรถโดยตรง

แต่จ้าวเฉียนกลับฉุดรั้งเธอไม่ให้เธอขึ้นรถ แถมจู่ๆก็อุ้มร่างของเธอขึ้นมาในอ้อมแขนและกล่าวขึ้นว่า

“ฉันเองก็ช่วยเธอมามากแล้วนะ แถมเอกสารข้างต้นฉันก็เซ็นไปหมดแล้วด้วย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้…ฉันขอคืนกำไรจากที่ลงทุนก่อนแล้วกัน!”

หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นก็พยายามดิ้น ยกมือทุบตีให้จ้าวเฉียนปล่อย แต่หลังจากพยายามอยู่นานเธอก็หมดแรงไปในที่สุด หันหน้าไปซบอกจ้าวเฉียนด้วยความเก้อเขิน ปล่อยให้เขาอุ้นเธอเข้าไปในโรงแรมทั้งอย่างนั้น

ประมาณหกโมงเย็นเห็นจะได้ ทั้งสองเดินออกมาจากโรงแรมพร้อมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทีนี้กลับบริษัทพร้อมฉันไปเซ็นสัญญาต่อได้รึยัง?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบไปว่า

“ไม่มีปัญหา แต่จะว่าไปเตียงโรงแรมนี้แข็งไปหน่อยแหะ ว่าไหม?”

หวานเจียงตีแขนอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง จากนั้นก็รีบกลับขึ้นรถขับไปยังฮวาหยินกรุ๊ปเพื่อเซ็นเอกสารต่อโดยเร็ว

หลังจากทั้งสองฝ่ายตรวจเช็คเอกสารเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พวกเขาก็เซ็นลงนามและประทับลายนิ้วมือลงบนเอกสารสัญญา

ในเวลานี้เอง จ้าวเฉียนก็กล่าวขึ้นว่า

“ฉันเชื่อใจเธอนะ หวังว่าจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังจนต้องลิดรอนสิทธิ์การบริหารคืนมาจากเธอในภายหลัง ดังนั้นได้โปรดเคารพกันด้วย ห้ามไปร่วมมือกับเฟยอวี่กรุ๊ปเด็ดขาด มิฉะนั้นฉันจะไม่ให้โอกาสที่สองกับเธออีกต่อไป”

หวานเจียงตอบกลับพร้อมท่าทีเก้อเขินว่า

“แต่พ่อฉันดันตกลงกับหยางเฉิงแล้วนี่สิ แถมลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างมันเกือบสมบูรณ์หมดแล้วด้วย ถ้าฉันกลับคำในนาทีสุดท้ายแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับเหยียบย้ำใบหน้าพ่อของฉันเองเลยนะ”

จ้าวเฉียนพาเธอเดินออกมายังที่จอดรถของบริษัท ขณะกำลังจะขับรถจากไป เขาทิ้งท้ายเพียงว่า

“ยังไงก็แล้วแต่ ฉันไม่อนุญาตให้ฮวาหยินกรุ๊ปร่วมมือกับเฟยอวี่เด็ดขาด”

พอพูดจบ จ้าวเฉียนก็ขับรถจากไปทันที

หวานเจียงยืนมองทอดสายตาสอย่างว่างเปล่า ตอนนี้จิตใจของเธอสับสนงุนงงไปหมด เห็นได้ชัดว่า สำหรับเรื่องนี้จ้าวเฉียนจริงจังอย่างมาก และไม่มีทางให้ทางเลือกที่สามแก่เธอ

ดังนั้นเรื่องความร่วมมือกับเฟยอวี่กรุ๊ป เธอจำเป็นต้องเลือกแล้วระหว่างพ่อกับคนรัก

ตอนที่134 ชักชวน

สีหน้าของจ้าวเฉียนบึ้งตึงขึ้นมาทันที พอเห็นแบบนั้นหวานเจียงพลันตกใจอย่างมาก รีบกล่าวอธิบายโดยไว

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อนาย แต่ฉันไม่ค่อยอยากเชื่อทีมแพทย์พวกนี้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าพวกเขามาหลอกโกงเงินนายไปฟรีๆเหรอ?”

“โกงเงิน? ถ้าโกงแล้วพ่อเธอหายก็ปล่อยให้โกงไป!”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

หวานเจียงกลอกตาใส่ไปทีหนึ่ง เอ่ยตอบขึ้นว่า

“ทำไมมันง่ายจัง! อีกอย่างนะ ถ้าเจตนาพวกนี้คือมาโกงเงินจริงๆ นั้นแสดงว่าพวกเขาไม่มีฝีมือด้านการแพทย์เลยไม่ใช่เหรอไง? ทางโรงพยาบาลจะรับผิดชอบค่าเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพ่อของฉันยังไง?”

“แล้วฉันควรทำยังไงดีล่ะ? เดินไปบอกทีมแพทย์พวกนั้นให้กลับไปเลยดีไหม? แล้วรักษาไปตามอาการจนกว่าจะตายไปข้าง? ถ้าเป็นฉัน มีโอกาสอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ไม่ว่ายังไงก็จะพยายามให้ถึงที่สุด ดังนั้นเซ็นซะ!”

หวานเจียงยังคงเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่นัก

“ถ้าอย่างนั้น…นายต้องสัญญากับฉันก่อน ว่าจะแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”

จ้าวเฉียนเริ่มรู้สึกรำคาญแล้วที่หวานเจียงจู้จี้จุกจิกเรื่องเขาไม่หยุดหย่อน เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจ้าวเฉียนถึงต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อควบคุมฮวาหยินกรุ๊ป

ทันทีทันใดเขาตรงไปต่อหน้าเธอและโอบเอวกระชับแน่นในทันใด ช้อนมือซ้ายขึ้นมาบีบคางเธอและกล่าวว่า

“ที่รัก เธอเป็นของฉันแล้ว ดังนั้นฉันต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเธอแน่นอน ถ้าคุณใจกล้าพอ ฉันจะเข้าไปบอกทุกอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราให้พ่อเธอฟังเป็นไง? แล้วแกล้งบอกเขาไปว่าเธอท้องกับฉัน ให้ความดันขึ้นเล่นดีไหม?”

“ตาบ้านี่! นายกล้าเหรอ?!”

ใบหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นทันใด ทุบอกจ้าวเฉียนไปอย่างแรงทีหนึ่ง

บรรดาทีมศัลยแพทย์เองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน

“มิสหวาน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาพ่อของคุณนะครับ เรื่องจีบกันค่อยว่ากันทีหลังเถอะ”

“ใช่แล้วค่ะ อย่าเสียเวลาล่าช้าไปกว่านี้เลย”

หวานเจียงหน้าแดงแจ๋หนักเข้าไปใหญ่พอได้ยินทุกคนกล่าวแบบนั้น เธอรีบผลักจ้าวเฉียนออกและเดินเข้าไปเซ็นโดยไว และนำทางทีมศัลยแพทย์เข้าไปยังห้องของหวานหลิน

หวานหลินเข้าไปอธิบายสั้นๆกับพ่อและแม่ของเธอหวังให้พวกเขาทั้งคู่ช่วยให้ความร่วมมือกับทีมแพทย์อย่างจริงจัง จากนั้นเธอค่อยพาแม่ออกไปรอข้างนอกก่อน

จ้าวเฉียนกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือโดยไม่สนใจแม่ของหวานเจียงแม้แต่น้อย

ทางโรงพยาบาลในตอนนี้เองก็จุดทีมพยาบาลเฝ้าประตูทางเข้าออกอย่างหนาแน่น หนึ่งเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย และสองเตรียมสแตนบายเข้าไปช่วยทีมศัลยแพทย์เมื่อต้องการความช่วยเหลือ

สองชั่วโมงต่อมา บรรดาทีมศัลยแพทย์พากันออกมา ดูเหมือนท่าทีของพวกเขาจะค่อยข้างเคร่งเครียดไม่น้อย

หวานเจียงรีบวิ่งเข้าไปถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขากลับไม่สนใจเธอและตรงไปหาจ้าวเฉียนแทน

หวานเจียงช่วยไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงพาแม่ของเธอเดินติดตามไปหาจ้าวเฉียนด้วยกัน

จ้าวเฉียนเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ด็อกเตอร์โทมัส เป็นยังไงบ้างครับ?”

อเล็กซ์โทมัสกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“มิสเตอร์จ้าว จากที่พวกเขาทำการวินิจฉัยอาการของมิสเตอร์หวานโดยละเอียด พวกเขาได้ข้อสรุปแล้วว่า เขาสามารถรับการผ่าตัดได้”

“แล้วอัตราความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง

หวานเจียงและคนอื่นๆที่ได้ยินอย่างนั้นต่างกังวลอย่างมาก โอกาสที่พ่อของเธอจะรอดชีวิตมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับอัตราความสำเร็จนี้

อเล็กซ์โทมัสตอบกลับไปว่า

“โอกาสสำเร็จประมาณ70%ครับ เนื่องด้วยโรคของมิสเตอร์หวานอัตราผ่าตัดสำเร็จค่อนข้างสูงอยู่แล้ว เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้การรักษาเลยครับ แต่ถ้าไม่เข้ารับการผ่าตัด มิสเตอร์หวานจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี ยังไงก็ต้องรีบตัดสินใจนะครับ เพราะอัตราความสำเร็จจะลดลั่งตามระยะเวลา ถ้ายิ่งตัดสินใจช้าโอกาสสำเร็จก็จะลดลงเรื่อยๆเช่นกัน”

จ้าวเฉียนหันไปมองหวานเจียงและกล่าวว่า

“เธอได้ยินแล้วใช่ไหม?”

หวานเจียงพยักหน้าตอบ และประคองแม่ของเธอกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยเพื่อปรึกษากับหวานหลิน

จ้าวเฉียนยังคงยืนสนทนากับทีมศัลยแพทย์เหล่านั้น และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ถ้าเข้ารับการผ่าตัด ทางเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้างครับ?”

อเล็กซ์โทมัสกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“แค่อยากแนะนำว่าให้พวกคุณเดินทางไปเข้าทำการผ่าตัดที่อเมริกาหรือไม่ก็แคนาดาครับ ทางเรามีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้ครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหยิบมือถือโทรหาพ่อโดยตรง

“ฮาโหลพ่อ มีเรื่องจะรบกวนหน่อยครับ ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่จริงๆ พ่อช่วยจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาไม่ก็อคนาดาได้ไหมครับ?”

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราขึ้นทันที กล่าวตอบไปว่า

“แน่นอน เรื่องเล็กน้อยไม่มีปัญหา ถ้าตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วค่อยโทรหาฉันอีกทีนะ”

จ้าวเฉียนกล่าวขอบคุณและกดวางสายไป

ประมาณสิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนนำทีมศัลยแพทย์กลับเข้ามาในห้องพักของหวานหลิน

หวานหลินที่เห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“คุณหมอ บอกผมมาตามตรงนะครับ ถ้าเกิดผมโชคไม่ดีตกเป็นหนึ่งใน30% ผลที่ตามมาจะเลวร้ายแค่ไหนครับ?”

อเล็กซ์โทมัสตอบกลับไปว่า

“คงกลายเป็นมนุษย์ผักตลอดไปครับ แต่ถ้าการผ่าตัดสำเร็จด้วยดี คุณจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ดั่งคนปกติอีกครั้ง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร 70%ในทางการแพทย์ถือว่ามากพอสมควร มันจะนำพามาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต”

หวานหลินในขณะนี้กลัวตายเป็นอย่างมาก ต่อให้อัตราสำเร็จจะ99% และมีโอกาสแค่1%ล้มเหลว เขาก็ยังกลัวมากอยู่ดี แล้วนี่ยิ่งเป็นการผ่าตัดสมอง ถ้าล้มเหลวขึ้นมาผมที่ได้คือหายนะ

เมื่อเห็นหวานหลินวิตกแบบนั้น จ้าวเฉียนจึงกล่าวเสริมขึ้นทันทีว่า

“คุณหวาน ผมไม่ได้อยากจะมายุ่งอะไรหรอกนะครับ แต่คุณเองก็อยู่ในวงการธุรกิจมานานแล้ว พบเจอหลากหลายโครงการที่การันตีว่าได้กำไรมากกว่าขาดทุนมาก็ไม่น้อย ดังนั้นผมขอถามกลับว่า ถ้าเป็นโครงการที่สามารถการันตีกำไรแน่นอนถึง70%โดยถ้าสำเร็จขึ้นมาสิ่งที่คุณได้คืนกลับมามันมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า คุณจะเลือกลงทุนไหม?”

หวานหลินขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นทันที

“แกมาที่นี่ทำไม?”

“ก็ผมเป็นคนเชิญทีมศัลยแพทย์เหล่านี้มาจากต่างประเทศให้ และพวกเขาก็รับฟังแค่ผมเท่านั้น แน่นอนว่าผมจำเป็นต้องอยู่ที่นี่”

จ้าวเฉียนพยักไหล่ตอบอย่างช่วยไม่ได้

หวานหลินเขยือบขึ้นนั่งตัวตรงทันที และหันไปถามหวานเจียงว่า

“นี่เกิดอะไรขึ้น? ทำไมหมอนี่ถึงมาช่วยพ่อ?”

หวานเจียงไม่กล้าตอบ

จ้าวเฉียนไม่กลัวอีกฝ่ายแม้สักนิด จึงเอ่ยตอบไปว่า

“ปัจจุบันผมคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ป และคุณเป็นเพียงพนักงานในบริษัทผม ในฐานะประธานใหญ่ ผมจำเป็นต้องดูแลพนักงานและปฏิบัติต่อคุณเป็นอย่างดี ถ้าหลังผ่าตัดคุณกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ ผมจะคืนสิทธิ์การบริหารทั้งหมดให้ พูดตามตรงนะ ผมไม่ค่อยเชื่อมือหวานเจียงเท่าไหร่ ถ้าได้คุณมาคุมบังเหียนแทนน่าจะดีกว่า”

หวานหลินงุนงงอย่างมาก เขาตะโกนขึ้นลั่นว่า

“แกน่ะเหรอ? แกมีเงินมากขนาดไหนได้ยังไง? มากพอที่จะครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปเลยงั้นเหรอ?!”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว จึงกล่าวตอบไปตามจริงว่า

“ผมจำนองบริษัทตัวเองให้กับฟู่ไห่ เพื่อกู้ยืนเงินจำนวนสี่พันล้านหยวนมา และด้วยจำนวนเงินเท่านี้ก็เพียงพอที่จะครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปของคุณแล้ว”

“นี่แกจะบ้าเหรอ! ฟู่ไห่? บริษัทของนายมีมูลค่าถึงหลักพันล้านเลยงั้นเหรอ? ทำไมทางฟู่ไห้ถึงให้แกกู้ยืมเงินมามากขนาดนี้? แก…ทำได้ยังไง? ไม่สิ….แกทำเพื่ออะไรกันแน่?”

จ้าวเฉียนก้าวออกไปกอดเอวหวานเจียงและยิ้มตอบว่า

“แค่นี้ก็น่าจะชัดเจนพอแล้วนะครับ?”

หวานเจียงถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบผลักจ้าวเฉียนออกไปโดยเร็ว

“นายทำอะไรน่ะ!”

ถึงเธอจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ภายในใจของเธอกลับมีความสุขอย่างมาก

พอหวานหลินเห็นปฏิกิริยาลูกสาวตัวเองเป็นแบบนั้นก็ทราบได้ทันทีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนนั้นจะพัฒนาไปไกลแล้ว

แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ลูกสาวที่แสนหัวสูงของตน คนอย่างจ้าวเฉียนไม่น่าจะเข้าตาได้เลย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“เสี่ยวเจียง บอกความจริงกับพ่อมา ลูกกับหมอนั่นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?”

ยังไม่ทันที่หวานเจียงจะเอ่ยปากอะไรตอบ จ้าวเฉียนก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า

“สัมพันธ์แบบไหนไม่สำคัญ! แต่บางที…คุณอาจต้องกลายเป็นปู่เร็วๆนี้!”

เมื่อประโยคนี้เปล่งดังออกมา ทั่วทั้งห้องก็พลันเงียบสงัดลงทันใด

ตอนที่233 ทีมศัลยแพทย์มาถึง

บรรดาผู้ถือหุ้นล้วนจับจ้องมาทางหวานเจียง ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อน

จ้าวเฉียนหันหน้ากล่าวกับหวานเจียงว่า

“คุณหวานไปเรียกรปภ.เข้ามาและไล่พวกเขาออกไป ตอนนี้ผมคือผู้ถือหุ้นใหญ่สุด ดังนั้นคำสั่งของผมถือเป็นคำขาด ไม่อย่างนั้นผมจะไล่คุณออกจากฮวาหยินไปซะ”

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่จ้าวเฉียน ถึงเธอจะโกรธแค่ไหนแต่เขาก็ถือเป็นประธานคุมบังเหียนใหญ่สุด ในฐานะคนของบริษัท เธอจำเป็นต้องฟังคำสั่ง

อย่างไรก็ตาม หวานเจียงไม่อยากทำเรื่องที่มันเกินเลยไปมากกว่านี้แล้ว เธอจึงรีบหันไปเกลี้ยกล่อมบรรดานักลงทุนว่า

“พวกคุณรีบออกไปก่อนดีกว่าค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันต้องเรียกรปภ.เข้ามา มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่นักสำหรับพวกคุณ ดังนั้น…”

“คุณหวาน คิดให้ดีก่อนนะครับ หุ้นในมือผมและบรรดานักลงทุนคนอื่นๆที่สนิท ถ้ารวมกันจริงๆมีประมาณ15%เห็นจะได้ ถ้าพวกเราพร้อมใจกันขายทิ้ง หุ้นฮวาหยินกรุ๊ปจะต้องลดลงอย่างน้อย20%ทันที ถ้าลงถึงขนาดนั้นอาจทำให้บริษัทฮวาหยินกรุ๊ปถูกกรมกำกับหลักทรัพย์ให้หยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว คงทราบใช่ไหมครับว่า มันหมายความว่ายังไง?”

“ใช่แล้ว! อีกอย่างนะ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อสอบถามแค่ว่า บริษัทมีมาตรการแก้ไขเรื่องหุ้นตกยังไง พวกเราผิดนักเหรอ?”

“หยุดนอกเรื่องได้แล้วครับ คุณหวานพูดมาเถอะครับว่าจะทำยังไงต่อไป ราคาหุ้นฮวาหยินในตอนนี้ไม่ควรทะลุแนวรับลงต่อแล้ว อย่างน้อยก็ต้องดันหุ้นให้ขึ้นสัก30%ภายในหนึ่งเดือน”

หวานเจียงถึงกับปวดหัวหนัก คนเหล่านี้กำลังข่มขู่เธอด้วยหุ้นที่มีอยู่ในมือชัดๆ นี่มันไม่อุกอาจเกินไปหน่อยเหรอ!

“ฉันต้องชี้แจงให้ทุกคนฟังตามตรง ตอนนี้พวกเรายังไม่มีแผนที่จะดันราคาหุ้นในขณะนี้ หากพวกคุณต้องการจะโจมตีบริษัทของเรา ก็เชิญตามสบายค่ะ ฉันไม่ได้ดูถูกพวกคุณหรอกนะคะ แต่ทุนในมือของพวกคุณน้อยเกินไป ไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำกระเซ็นใส่กองไฟ คุณจ้าวค่ะ กับแค่15%คงจัดการเก็บกวาดได้ไม่ยากจริงไหมค่ะ?”

จ้าวเฉียนเหลือบมองหวานเจียงโดยไม่ได้เอ่ยกล่าวใดๆ พอเห็นรอยยิ้มเยาะบนมุมปากของเธอ เขาก็ตระหนักได้ทันที ผู้หญิงคนนี้จงใจลากปัญหามาโยนใส่เขา

อย่างไรก็ดี จ้าวเฉียนไม่เกรงกลัวอยู่แล้ว เขามีทุน53%อยู่ในมือ จะกลัวทำไมกับอีแค่15%ที่คนพวกนี้ขายไป?

จ้าวเฉียนหันมาพูดกับบรรดานักลงทุนว่า

“ขายไปเถอะครับ ต่อให้ราคาต่อหุ้นเหลือ0.5หยวน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว พอดีเงินเหลือน่ะครับ”

“หยิ่ง!”

“หน้าด้าน!”

“พูดจาจองหองจริงๆ!”

……….

จ้าวเฉียนเหลือบมองไปยังหวานเจียงอีกครั้ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาสั่งขึ้นว่า

“ต้องให้ผมโกรธจริงๆใช่ไหม คุณถึงจะออกไปเรียก?”

หลังจากอยู่กับจ้าวเฉียนมานานสักพักใหญ่ หวานเจียงก็พอจะเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายไม่น้อย เมื่อไหร่ที่เขามีท่าทีแบบนี้นั้นหมายความว่า เขากำลังจะโกรธแล้วจริงๆ ถ้าเธอยังไม่รีบออกไปเรียกรปภ.มาอีก จะไม่มีใครรับประกันได้เลยว่า จ้าวเฉียนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด

หวานเจียงลุกขึ้นและออกไปทันที ตะโกนเสียงดังลั่น

“ไปเรียกรปภ.มาเดี๋ยวนี้!”

ประมาณไม่กี่นาทีต่อมา กลุ่มรปภ.ประมาณห้าถึงหกคนวิ่งเข้ามาโดยไว

หวานเจียงชี้ไปที่พวกนักลงทุนและออกคำสั่งทันทีว่า

“ลากคนพวกนี้ออกไป และห้ามไม่ให้เข้ามาเหยียบที่นี่ได้อีก ไม่อย่างนั้นพวกนายโดนไล่ออก!”

รปภ.กลุ่มนั้นพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว และเชิญตัวนักลงทุนทั้งหลายออกไปทันที

“หึ! คอยดูเถอะ!”

“รอดูได้เลย กูจะขายหุ้นในมือทิ้งให้หมด!”

……

คนพวกนั้นสบถด่าไม่หยุดหย่อนก่อนจะถูกรปภ.เชิญตัวออกไป

หวานเจียงเดินไปปิดประตูห้องประชุม เธอหันกลับมาดุจ้าวเฉียนต่อทันที

“ตาย ตาย ตายแน่! ถ้าคนพวกนั้นเทขายหุ้นในมือทิ้งไปจริงๆจะทำไง? ตอนนี้หน้ามีหน้าที่ประคองราคาหุ้นไม่ให้ต่ำลงไปมากกว่านี้นะ เพราะหุ้นในมือพ่อฉันมีบริษัทอื่นคอยค้ำประกันให้อยู่ ถ้าราคาหุ้นตกไปมากกว่านี้ พ่อของฉันจะต้องโดนฟ้องแน่นอน แถมนายก็ไม่เหลือเงินช้อนหุ้นต่อแล้วไม่ใช่รึไง? ถ้าบริษัทฉันถูกบังคับให้ยกเลิกกิจการขึ้นมาล่ะ?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะคิกคัก เอ่ยภามขึ้นว่า

“ไม่ว่าสิ่งที่เธอพูดไปจะเป็นความจริงหรือไม่ ฉันก็ไม่สน ถ้าเงินก็ไม่พอก็กู้เงินจากฟู่ไห่เพิ่ม และรอจนกว่าบรรดานักลงทุนและพ่อของเธอเทขายหุ้นทิ้งไปให้หมด ฉันจะได้ช้อนซื้อราคาต่ำๆรวดเดียวไปเลย ถึงตอนนั้นฉันก็จะชึ้นกลายเป็นเจ้าของฮวาหยินกรุ๊ปโดยชอบธรรม”

หวานเจียงถึงกับกุมขมับ ก่อนสบถด่าต่อว่า

“นี่นายยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ไหม? อย่างน้อยๆก็นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราหน่อย ที่สำคัญนะ ถ้าอนาคตฉันกับนายแต่งงานกันจริงๆ นั้นเท่ากับว่าพ่อของฉันก็จะกลายมาเป็นพ่อของนายเช่นกัน แล้วนายจะปฏิบัติกับพ่อตาตัวเองแบบนี้ได้ลงคอจริงๆรึไง?”

“อืม! เธอพูดได้น่าสนใจดีนะ! แต่ถึงแม้พวกเราจะนอนด้วยกันหลายครั้งแล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องแต่งงานกับเธอนะ แล้วพ่อของเธอจะกลายมาเป็นพ่อตาฉันได้ยังไงในอนาคต? ขนาดเป็นแฟนยังไม่ใช่เลยจริงไหม?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

แต่สำหรับตัวหวานเจียง เธอถือได้ว่าจ้าวเฉียนเป็นแฟนไปแล้ว ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติตัวกับจ้าวเฉียนเย็นชาเพียงใด แต่เธอก็เคยมีสัมพันธ์สวาทกับอีกฝ่ายก็หลายครั้งแล้ว ดังนั้นเธอไม่ยอมปล่อยให้ชายที่พรากบริสุทธิ์ฟันแล้วทิ้งไปแบบนี้แน่นอน

เพียงว่า เนื่องด้วยบุคลิกนิสัยของหวานเจียง เธอไม่มีทางเป็นฝ่ายง้อจ้าวเฉียนหรือทำตัวออดอ้อนแน่นอน

เธอจึงตะวาดสวนกลับไปทันที

“เออ! งั้นฉันจะหนีไปฝรั่งเศส อย่าไล่ตามฉันมาก็แล้วกัน!”

จ้าวเฉียนสบถตอบกลับไปเจือสีหน้ารังเกียจว่า

“ถ้าจะหนีจริงๆมีใครเขาบอกให้รู้ตัวกัน? อีกอย่างนะ ถึงจะเป็นพ่อตา แต่ก็ควรจระหนักถึงความโหดเหี้ยมของตลาดหุ้นอยู่แล้ว มันไม่เคยปราณีใครหรอกนะ เธอเองก็ควรรู้ไม่ใช่รึไง?”

หวานเจียงรู้สึกเกลียดจ้าวเฉียนจริงๆ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ

ไม่ว่าเธอจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร จ้ายเฉียนก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพียงหยิบเอกสารอีกฉบับวางไว้บนโต๊ะพร้อมกล่าวกับเธอว่า

“นี่เป็นเอกสารโอนสิทธิ์การควบคุมฮวาหยินกรุ๊ป ลองเอาไปอ่าน”

หวานเจียงหยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาดูและเปิดอ่านพิจารณาอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นทางโรงพยาบาลก็โทรสายตรงเข้ามาหาเธอ

“ฮาโหลค่ะคุณหวาน ตอนนี้ทีมศัลยแพทย์จากต่างประเทศเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อครู่เองค่ะ พวกเราบอกว่าต้องการให้คุณมาเซ็นใบอนุญาตการรักษาคุณหวานหลินค่ะ”

หวานเจียงลุกขึ้นพรวด เอ่ยถามขึ้นทันทีอด้วยความตื่นเต้นว่า

“จริงเหรอค่ะ? แล้วพวกเขามากันกี่คน?”

“ห้าคนค่ะ”

พอได้ฟังแบบนั้นหวานเจียงยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เธอรีบตอบกลับไปโดยไว

“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ กรุณารอฉันก่อนนะคะ!”

หวานเจียงรีบนำเอกสารเก็บใส่ซอง โยนในล็อคเกอร์ส่วนตัวทันที และรีบจับมือลากจ้าวเฉียนออกไปด้วนกัน

“ห่ะ? ฉันไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

จ้าวเฉียนย่นคิ้วเอ่ยถามขึ้นทันที

หวานเจียงยังคงลากเขาออกไปไม่มีท่าทีจะหยุด จับเขาเหวี่ยงลงลิฟต์พร้อมกล่าวว่า

“นายต้องไปด้วย! ฉันจะไปถามพวกเขาตัวต่อตัวเลยว่า นายเป็นคนเชิญพวกเขามาจริงๆใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนดูงุนงงเล็กน้อย พลางถามขึ้นว่า

“แล้วทำไมต้องถามพวกเขาแบบนั้นล่ะ?”

“เอ๊า! ถ้านายโกหกฉันล่ะ? ไม่ใช่ว่านายไม่ได้เชิญพวกเขามาจริงๆ แต่ดันมาสวมรอยเพื่อสร้างบุญคุณกับพ่อกับพ่อฉันขึ้นมาจะทำไง? ดังนั้นฉันต้องถามพวกเขาให้แน่ใจว่า ทั้งหมดเป็นเพราะนายเชิญมาจริงๆใช่ไหม?!”

เมื่อจ้าวเฉียนได้ยินหวานเจียงพูดออกมาแบบนี้ เขาก็หัวเสียทันที สะบัดมือเธอทิ้งและกำลังจะตรงออกนอกลิฟต์ไป แต่เธอก็รีบวิ่งมากอดแขนและลากเขาเข้ามาอีกครั้ง

“ไม่รู้แหละ! นายต้องไปด้วย!”

หวานเจียงส่ายหน้ากล่าวขึ้นด้วยความหัวรั้น

จ้าวเฉียนหงุดหงิดไชม่น้อยพอได้ยิน แต่อย่างไรก็ยังถูกเธอลากออกไป

ไม่นาน ทั้งสองก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล และพบกับทีมศัลยแพทย์ในที่สุด

ศัลย์แพทย์ผู้นำทีมจากสหรัฐอเมริกา เป็นคนเอ่ยทักทายขึ้นโดยตรงว่า

“ขอโทษนะครับ ใครคือมิสเตอร์เฉียนจ้าว ผมอยากพบกับมิสเตอร์เฉียนน่ะครับ”

หวานเจียงระเบิดหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยิน จ้าวเฉียนยืนนิ่งพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบกลับไปว่า

“เอ่อ…ผมชื่อจ้าวเฉียนครับ ไม่ใช่เฉียนจ้าว เรียกผมว่ามิสเตอร์จ้าวก็ได้ครับ”

“อ่อ! ซอรี่ครับ ผมลืมไปว่านามสกุลของคนจีนอยู่หน้าแล้วชื่อต่อท้าย สวัสดีครับ ผมชื่ออเล็กซ์ โธมัส มิสเตอร์จ้าว ขอบคุณที่ให้เกียรติเชิญพวกเรามาครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

จ้าวเฉียนยืนมือออกไปจับและกล่าวว่า

“ยินดีต้อนรับครับ ด็อกเตอร์โธมัส”

ศัลยแพทย์อีกสี่คนประกอบไปด้วย อาจารย์หมอจากเยอรมนี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่นและแคนาดา พวกเขาแต่ละคนค่อยๆทยอยมาทักทายและจับมือกับจ้าวเฉียนด้วยความเคารพ

จุดนี้ทำให้หวานเจียงนึกสงสัยไม่ใช่น้อย ภูมิหลังของจ้าวเฉียนจะต้องร่ำรวยขนาดไหนถึงสามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศได้ถึงขนาดนี้?

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวกับพวกเขาทั้งห้าว่า

“พวกเราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ผมมีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น รบกวนรักษาพ่อของเพื่อนผมอย่างดีที่สุดด้วยนะครับ”

อเล็กซ์โธมัสกล่าวตอบกลับไปทันที

“มิสเตอร์จ้าวโปรดวางใจได้ครับ พวกเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

อีกสี่คนที่เหลือเองก็พยักหน้ารับปากเช่นกัน

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบกลับไปว่า

“งั้นเราไปพบผู้ป่วยกันเถอะครับ”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปหาหวานเจียงเพื่อให้เธอเซ็นรับรอง

หวานเจียงยังดูกังวลเลฌกน้อย รีบดึกแขนเสื้อสะกิดจ้าวเฉียน และกระซิบถามขึ้นว่า

“อย่าหาว่าฉันอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ เอ่อ…พวกเขาเชื่อใจได้ใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนถามสวนกลับไปว่า

“ขนาดนี้แล้ว เธอยังไม่เชื่อใจฉันอีกเหรอ?”

ตอนที่232 คิดว่าอายุเท่าไหร่

ขณะที่หวานเจียงกำลังติดต่อบรรดาผู้ถือหุ้นอยู่ พอเห็นจ้าวเฉียนโทรสายเข้ามา เธอก็รับและสบถด่าไปทันทีคำหนึ่ง

“ไอ้บ้า นายยังกล้าโทรหาฉันอีกนะ!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะคิกคักกล่าวตอบกลับไปว่า

“นี่เธอหยาบคายกับฉันจังนะ เพิ่งโทรหายังไม่คุยกันสักประโยคก็ขึ้นเสียงใส่กันแล้ว ไหนกันที่ว่า ราชินีหิมะ นี่มันราชินีหัวร้อนชัดๆ!”

หวานเจียงยิ่งเดือดขึ้นเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ เธอสบถด่ากลับไปว่า

“ถูกต้อง! ฉันทำตัวเย็นชามาโดยตลอดจวบจนวันนี้! นายทำให้บริษัทฉันต้องลุกเป็นไฟหมดแล้ว! แถมตอนนี้ก็มีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเข้ามาประท้วงฉันอยู่!”

“เธออยู่บริษัทหรือเปล่า? ฉันจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ ใครกันที่กล้าทำให้สาวน้อยของจ้าวเฉียนคนนี้ต้องอับอาย เมียจ๋า พี่มาแล้ว!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็อดหัวเราะไม่ได้คำหนึ่งก่อนจะวางสายไป และขับรถออกไปทันที

หวานเจียงหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เพราะจ้าวเฉียนเพิ่งบอกไปเอง เธอถือสาวน้อยของเขา แม้ว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์แบบนั้นก็จริง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้ยินจ้าวเฉียนพูดออกมาแบบนี้ เธอทั้งรู้สึกใจสั่นตื่นเต้นและเบินอายอย่างมากภายในใจ

จ้าวฉัยนเดินทางไปยังฟู่ไห่ก่อนเพื่อรับของบางอย่าง จากนั้นก็ตรงไปที่ฮวาหยินกรุ๊ปโดยตรง

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็มาถึงฮวาหยินกรุ๊ป ตรงไปที่แผนกต้อนรับกล่าวทักทายพนักงานหน้าฟร้อนว่า

“สวัสดีครับ ผมมาหาคุณหวานเจียง ช่วยแจ้งให้เธอทราบทีว่าจ้าวเฉียนมาหา”

พนักงานต้อนรับรีบยิ้มแย้มตอบทันที

“รับทราบค่ะ คุณจ้าว กรุณนารอสักครู่นะคะ

จากนั้นเธอก็โทรสายตรงหาหวานเจียงเพื่อรายงานให้เธอทราบโดยไว

“คุณหวาง มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งชื่อว่าจ้าวเฉียนมาขอพบ คุณต้องการออกมาพบเขาไหมค่ะ?”

หวานเจียงสบถตอบเจือน้ำเสียงหงุดหงิด

“ปล่อยให้หมอนั่นรอที่ประตูไป ฝากบอกด้วยว่า ฉันไม่ออกไปหาเขาและเขาก็ห้ามออกไปไหนเหมือนกัน”

พนักงานแผนกต้อนรับวางสายและหันไปยิ้มให้จ้าวเฉียน เธอกล่าวว่า

“คุณจ้าว ต้องขอประธานโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ดิฉันได้โทรหาคุณหวางแล้ว แต่เธอบอกว่าให้คุณรออยู่ที่นี่และไม่อนุญาตให้ออกไปไหนค่ะ”

จ้าวเฉียนทราบดี หวานเจียงจงใจกลั่นแกล้งเขาให้อับอาย ดังนั้นเขาจึงแก้เกมกล่าวกับพนักงานแผนกต้อนรับไปว่า

“งั้นรบกวนโทรหาเธออีกรอบให้ทีครับ บอกไปว่าผมนำเอกสารที่เป็นประโยชน์มาให้เธอ ถ้าเธอยังไม่ออกมาคราวนี้ ผมจะจากไปทันทีและไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกต่อไป”

พนักงานสาวแผนกต้อนรับดูประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่ด้วยหน้าที่เธอจำเป็นต้องโทรหาเพื่อถ่ายทอดคำพูดเหล่านี้ให้แก่หวานเจียงฟังและตัดสินใจ

ห้านาทีต่อมา หวานเจียงเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยท่าทีหงุดหงิดมาแต่ไหล กรนเสียงถามขึ้นว่า

“ตาบ้า ทำไมชอบตามตื้อจังห่ะ? น่ารำคาญ!”

จ้าวเฉียนชูซองเอกสารฉบับหนึ่งในมือโบกเล่นขึ้นมา พลางตอบไปว่า

“ฉันให้โอกาสคุณแล้วนะ สงสัยไม่อยากได้สิ่งที่ตกลงกันเอาไว้”

หวานเจียงโกรธมาก อแต่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ตามกฎหมายแล้วจ้าวเฉียนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดที่มีอำนาจการบริหารฮวากรุ๊ปโดยสมบูรณ์ นั้นหมายความว่าบริษัทฮวาหยินกรุ๊ปแห่งนี้กำลังเปลี่ยนจากสกุลหวานเป็นของสกุลจ้าวแล้ว

และเอกสารในมือจ้าวเฉียนตอนนี้ต้องไม่ใช่ใดอื่นนอกจาก เอกสารมอบอำนาจการบริหารให้แก่เธอกลับคืนมา

ดังนั้นหวานเจียงรีบเปลี่ยนสีหน้ากลายมาเป็นยิ้มแย้มทันใด

“แหม…คุณจ้าว ยินดีต้อนรับสู่บริษัทของเรา เดี๋ยวดิฉันจะพาคุณไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เองค่ะ ตอนนี้เชิญเข้าห้องประชุมก่อนเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ตามมาทางนี้ค่ะ”

พนักงานแผนกต้อนรับคนนั้นถึงกับยืนมองจ้าวเฉียนด้วยความมึนงง สงสัยเสียเหลือเกิน ชายคนนี้เป็นใครกันแน่? แค่พูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้คุณหวานเชื่องได้ขนาดนี้!

จ้าวเฉียนเดินตามหวานเจียงเข้าไปที่ห้องประชุม พอเข้าไปก็มีกลุ่มนักลงทุนนั่งอยู่ประมาณห้าคน

หวานเจียงกล่าวน้ำเสียงเข้มขึ้นว่า

“ทุกคนแยกย้ายกลับไปก่อนเถอะ”

“นี่มันหมายความว่ายังไงคุณหวาน? จนถึงตอนนี้คุณยังให้คำตอบพวกเราไม่ได้เลยว่า เหตุใดราคาหุ้นถึงเลวร้ายขนาดนี้”

“ใช่! ถ้าคุณไม่สามารถหาเหตุผลชี้แจงให้เรากระจ่างชัดได้ พวกเราก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“คุณต้องเคารพสิทธิ์ของพวกเราในฐานะหนึ่งในผู้ถือหุ้นฮวาหยินกรุ๊ป!”

“ถูกต้อง ถึงพวกเราจะเป็นแค่รายย่อย แต่จะมาปฏิบัติกับเราราวกับผักปลาไม่ได้! ไม่ใช่ออกคำสั่งสองสามคำแล้วเราจะออกไป!”

หวานเจียงรู้สึกรำคาญไอ้พวกนักลงทุนรายย่อยพวกนี้ที่ตามตื้อสร้างปัญหามาสักพักใหญ่แล้ว ดังนั้นเธอจึงหันไปมองจ้าวเฉียนแวบหนึ่ง ตั้งใจจะเตะก้นไอ้หมอนี่ให้ออกหน้ามาจัดการ คิดได้เช่นนั้นเธอจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า

“คุณจ้าว ดิฉันคิดว่าคนที่ควรตอบคำถามเหล่านี้คือคุณไม่ใช่ดิฉัน เชิญค่ะ!”

จ้าวเฉียนเข้าใจดีว่าเธอกำลังหมายถึงอะไรและเขาเองก็เต็มใจช่วยเหลือเธอแก้ปัญหาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงคลี่ยิ้มบางเอ่ยตอบไปว่า

“คุณหวานพูดถูกต้องแล้วครับ ผมควรชี้แจงเรื่องนี้ให้แก่นักลงทุนฟังจริงๆ”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากซองและวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกล่าวแนะนำตัวกับทั้งห้าว่า

“สวัสดีครับ ผมชื่อจ้าวเฉียน เป็นนักลงทุนเหมือนกับพวกคุณทุกคน เนื่องจากผมต้องการเข้ามาควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปจึงจงใจกดราคาหุ้นให้ต่ำที่สุดเพื่อช้อนซื้อทั้งหมดมา นี่เป็นเทคนิคพื้นฐานของตลาดหุ้น หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจได้นะครับ”

คำกล่าวของจ้าวเฉียนทำให้นักลงทุนทั้งห้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อะไรนะ? คุณนี่เองตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด! คุณรู้ไหมว่าผมต้องสูญเสียเงินไปมากเท่าไหร่!”

“ผมนี่โคตรจะไม่เข้าใจความคิดคุณเลย! เพราะความเห็นแก่ตัวของคุณคนเดียว น้ำหน้าอย่างคุณคงมีปัญญาช้อนซื้อแค่ไม่เท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่าผมต้องสูญเงินไปกี่ล้าน? บ้านผมหลังนึงที่จำนองไว้ถูกธนาคารยึดไปแล้ว!”

“คุณนี่มันแย่จริงๆ ใช่ ผลประกอบการในไตรมาสหน้าของฮวาหยินกรุ๊ปอาจจะดีขึ้น แต่คนอื่นที่ต้องมาซวยเพราะคุณล่ะ? ผมเองต้องจำนองบ้านที่อยู่เพื่อต่อชีวิตตัวเองไม่ให้ล้มละลาย คุณคิดว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ยังไง?”

….

คนพวกนี้ได้แต่พล่ามไปเรื่อยในสายตาของจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับเริ่มรำคาญขึ้นแล้วจริงๆ การต้องมาทนสนทนากับคนโง่เหล่านี้เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดใจจริงๆ

ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดจะไว้หน้าคนพวกนี้อยู่แล้ว จึงตะคอกสวนกลับไปว่า

“ถ้ามีแต่เงินไม่มีสมอง ผมแนะนำให้เลิกเล่นหุ้นไปซะ! เพราะคุณไม่มีกลยุทธ์ที่ดีพอในการรับมือการสถานการณ์ต่างๆ จึงทำให้ขาดทุน แล้วยังมีหน้ามาโทษผมอีกงั้นเหรอ?”

คนพวกนั้นยิ่งเดือดจัดเข้าไปใหญ่ ชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนกันไม่หยุดหย่อน

ตอนนี้จ้าวเฉียนเลือดขึ้นหน้าจริงๆแล้ว เขาตบโต๊ะดังปังคำรามเสียงดังลั่นว่า

“ก็โง่กันแบบนี้ไงถึงเป็นได้แค่รายย่อย! ถ้ายังไม่หยุดเห่าผมจะเรียกรปภ.ให้มาลากตัวพวกคุณออกไป!”

“เออ! เรียกมาสิวะ! คิดว่าพวกกูต้องกลัวเหรอ?”

“เป็นแค่เด็กแท้ๆ กล้าขึ้นเสียงใส่ผู้ใหญ่งั้นเหรอ! พวกเราเป็นนักลงทุนที่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่พวกเราออกไป!”

“ใช่แล้ว! ไอ้หนู แกอายุเท่าไหร่? กล้าดียังไงมาไล่พวกฉัน!”

………

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนโดนคนพวกนี้ดุด่าจนหัวเสีย หวานเจียงก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอมีความสุขอย่างมากที่อีกฝ่ายได้เข้าใจความรู้สึกของเธอสักที

จ้าวเฉียนตบโต๊ะอีกคราว คำรามขึ้นลั่นว่า

“ก็เพราะกูคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ปไง! กับไอ้แค่นักลงทุนจนๆ อย่างพวกมึง กล้าดียังไงมาชี้หน้าด่ากู! ถ้ากูเรียกรปภ.เข้ามา คิดว่าพวกเขาจะฟังใคร?”

“ฮ่าฮ่า….พูดอย่างกับตัวเองรวยมาจากไหน! ไอ้หนู น้ำหน้าอย่างแกน่ะ อย่าว่าแต่ร้อยล้านเลย แค่สิบล้านมีถึงรึเปล่า?”

“คุณหวาน อย่าเอาแต่เงียบสิครับ ช่วยพูดอะไรสักอย่างหน่อย ไม่ก็ลากไอ้เด็กนี่ออกไป!”

หวานเจียงกล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ฉันว่าเขาก็พูดทุกอย่างไปหมดแล้วนะ ตอนนี้สิทธิ์การควบคุมทั้งหมดอยู่ในมือของคุณจ้าว เขาถือหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปอยู่ทั้งหมด51% ดังนั้นอย่ามาถามฉันเลยค่ะ”

ทั้งห้าหันควับมองจ้าวเฉียนด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง เดิมทีพวกเขาคิดว่า เด็กนี่คงปั่นหุ้นเพื่อซื้อหุ้นฮวาหยินกรุ๊เก็บไว้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ใครจะไปเชื่อว่า เด็กหนุ่มคนนี้กลับแข็งแกร่งจริง ถ้าสามารถถือหุ้นได้51%จากทั้งหมด นี่มันแสดงให้เห็นแล้วว่า เด็กคนนี้ร่ำรวยขนาดไหนกัน

“สวัสดีครับคุณจ้าว ผมชื่อหวันโป ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ โปรดดูแลผมด้วยนะครับในอนาคต”

“สวัสดีครับคุณจ้าว ผมชื่อเจวียหลี่ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ”

……….

จากการประชุมนักลงทุนที่แหกปากด่ากันไม่หยุด ตอนนี้กลับกลายมาเป็นงานพบปะคนใหญ่คนโตไปโดยปริยาย สิ่งนี้ทำให้หวานเจียงหัวเสียเป็นอย่างมาก เธอต้องการจะใช้คนพวกนี้สั่งสอนจ้าวเฉียนสักหน่อยว่า สิ่งที่เธอต้องเจอในแต่ละวันมันน่าปวดหัวเพียงใด แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

จ้าวเฉียนไม่มีอามรณ์มายาญาติดีกับคนพวกนี้ จึงชี้ไปทางประตูทางออกและคำรามขึ้นว่า

“ผมให้เวลาพวกคุณสิบวินาที! ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ! ถ้าใครยังกล้าสลอนหน้าอยู่ ผมจะเรียกรปภ.โยนพวกคุณออกไป!”

ตอนที่231 สองแนวคิดที่แตกต่าง

เหรินจานซวนเข้าใจความหมายของจ้าวเฉียนดีว่าหมายถึงอะไร แต่เรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนกับใจเธอมาก ในแง่ของความรู้สึกส่วนตัว นี่เป็นบริษัทที่พ่อใช้ความอุสาหะอย่างยิ่งกว่าจะสร้างขึ้นมายิ่งใหญ่ได้แบบนี้ เธอจึงไม่เต็มใจปล่อยให้หลุดมือไปแน่นอน แต่ภาตใต้สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน กลับยากเกินกว่าจะตัดสินใจ

จ้าวเฉียนเห็นว่าเธอดูลังเลจึงกล่าวเสริมต่อว่า

“อันที่จริงคุณเองก็คงเข้าใจว่าผมหมายความว่ายังไง ลองกลับไปค่อยๆคิดไตรตรองก่อนก็ได้ นี่นามบัตรผม ถ้าได้คำตอบแล้วโทรหาผมได้ทุกเมื่อ”

เหรินจานซวนรับนามบัตรของจ้าวเฉียนและพยักหน้าเบาๆตอบไปว่า

“ตกลงค่ะ หนูจะให้คำตอบโดยเร็วที่สุด กลับกันเถอะค่ะ วันนี้หนูเหนื่อยมากจริงๆ”

จ้าวาฉัยนพยักหน้าตกลงและขับพาเธอไปกลับไปที่บ้านทันที ในขั้นต้นเหรินจานซวนต้องการจะกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อน แต่พอไปถึงกลับพบว่า มีชายกลุ่มหนึ่งดักรออยู่หน้าคฤหาสน์ของเธอ

เหรินจานซวนเปลี่ยนใจในทันทีและหันไปรีบกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“คุณจ้าว ไปที่บ้านของคุณแทนเถอะ”

จ้าวเฉียนเองก็เห็นคนพวกนั้นเช่นกัน ดังนั้นจึงเลี้ยวรถกลับขับตรงไปยังคฤหสาน์ของเขาแทนทันที

ในไม่ช้า ทั้งสองก็มาถึงคฤหสาน์ของจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณเหริน จะรอให้คนพวกนั้นไปแล้วให้ผมไปส่งที่บ้านคุณ หรือคืนนี้จะนอนค้างบ้านผมเลย จะได้ขึ้นไปเตรียมห้องให้ ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมนอนอยู่ชั้นล่างเอง ไม่ทำอะไรคุณแน่นอน”

เหรินจานซวนรีบตอบกลับว่า

“ขอบคุณนะคะคุณจ้าว ยังไงก็ขอรบกวนค้างที่นี่ก่อนคืนหนึ่ง หลังจากนี้คงพยายามคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ อืม…หนูควรทำยังไงดี?”

แน่นอนสำหรับเหรินจานซวนในปัจจุบัน วิธีที่ดีที่สุดคือ การเทขายหุ้นในมือทิ้งไปเพื่อตัดปัญหา ตราบใดที่เธอยังถือหุ้นอยู่แบบนี้ มีหวังจางต้าเฉินตามรังควานเธอไม่เลิกแน่นอน

แต่อย่างไร นี่เป็นบริษัทที่พ่ออุตส่าห์สร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง คงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เธอจะยอมปล่อยไปง่ายๆ เธอเงียบลงไปพักใหญ่ เห็นแบบนั้นจ้าวเฉียนก็รู้สึกอายเกินกว่าจะถามย้ำว่า ตกลงเธอจะขายหุ้นออกไปหรือไม่

สุดท้ายจ้าวเฉียนก็ทำได้เพียงกล่าวปลอบไปว่า

“อย่าคิดมากไปเลย มีทางขึ้นก็ต้องมีทางลง เดี๋ยวค่อยๆคิดหาวิธีแก้ไปทีละปม”

เหรินจานซวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้น หนูรบกวนค้างแรมกับคุณจ้าวคืนหนึ่งนะคะ ระหว่างจะคิดดูให้ถี่ถ้วนสำหรับเรื่องขายหุ้น”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและพาเหรินจานซวนขึ้นไปที่ห้องพักชั้นสอง

“คุณนอนห้องนี้จะเหมาะกว่านะ ถ้าตกดึกอยากเข้าห้องน้ำห้องนี้ก็มีห้องน้ำในตัว แล้วก็นะ…คุณไม่ต้องเรียกแทนตัวเองว่าหนูก็ได้ ฟังแล้วดูแปลกๆ”

ถ้าจะให้พูดตามตรง เหรินจานซวนน่าจะอายุพอๆกับเหลียวเซียวหยุน การจะเรียกแทนตัวเองว่าหนูดูจะขัดหูเกินไปหน่อยจริงๆ

เหรินจานซวนเป็นหญิงสาวที่สุภาพอย่างมากจริงๆ เธอโค้งศีรษะให้จ้าวเฉียนไปทีหนึ่งพร้อมกล่าวขอบคุณ ส่วนจ้าวเฉียนก็เดินลงไปนอนที่ห้องรับแขกข้างล่างแทน

ขณะที่จ้าวเฉียนนอนเล่นอยู่บนโซฟา เขาก็เข้าอินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยีเพิ่มเติม ซึ่งยิ่งอ่านมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสนใจบริษัทนี้มากยิ่งขึ้น

บริษัทด้านนวัตกรรมแตกต่างไปจากบริษัทสื่อบันเทิง, บริษัทเกม หรือบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์โดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าเป็นแหล่งผลิตปัจจัยอีกหนึ่งข้อที่มนุษย์ในปัจจุบันไม่สามารถขาดได้ อาทิ อินเทอร์เน็ต ซิมการ์ด และโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆที่ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนสะดวกขึ้น

ถ้าเขาสามารถครอบครองที่แห่งนี้ได้ ไม่เพียงแต่จ้าวเฉียนจะสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลต่อปี ที่ยังจะได้รับสถานะทางสังคมที่สูงลิบลิว แตกต่างจากพวกนักธุรกิจทั่วไปโดยสิ้นเชิง แต่ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดคือ บริษัทแบบนี้มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้

จ้าวเฉีนอ่านข้าวทั้งหมดในโลกอินเตอร์เน็ต และผล็อบหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ปาเข้าไปเก้าโมงเช้าแล้ว

จ้าวฉียลุกขึ้นจากโซฟาก็พลันเหลือบไปเห็นเหรินจานซวนที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ พอเธอเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มหวานว่า

“ตื่นแล้วเหรอค่ะ? มากินข้าวกันเร็ว”

จ้าวเฉียนเดินตรงออกจากห้องรับแขก พอเห็นเหรินจานซวนทำอาหารเช้าตั้งบนโต๊ะเสร็จสรรพ จึงหัวเราะตอบกลับไปว่า

“ฉันนี่เป็นเจ้าบ้านที่ไม่ได้เรื่องเลยแหะ ปล่อยให้แขกต้องตื่นมาทำกับข้าวให้”

เหรินจานซวนหัวเราะคิดคักพลางตอบไปว่า

“แค่เมนูง่ายๆเองไม่ได้ยากอะไรเลยค่ะ ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน เดี๋ยวเรามาคุยเรื่องธุรกิจกัน”

จ้าวเฉียนพยักหน้า และรีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันโดนไว ทุกอากัปกิริยาเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงห้านาที จากนั้นเขาก็ตรงมานั่งที่โต๊ะกินข้าว

เหรินจายซวนส่งช้อนซ้อมในมือให้และทั้งสองก็เริ่มรับประทานอาหารกันทันที

จ้าวเฉียนไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ พอกินไปได้ไม่กี่คำเขาก็รอให้เหรินจานซวนเกริ่นขึ้นมา

ผ่านไปสักพัก ขณะที่เหรินจานซวนกินใกล้เสร็จ ในที่สุดเธอก็เอ่ยถามขึ้นตามตรงว่า

“คุณจ้าว สนใจซื้อหุ้นในมือฉันต่อไหม?”

จ้าวเฉียนวางตะเกียบในมือลงทันใด พยักหน้าตอบทันทีว่า

“พูดตามตรงนะครับ ผมต้องการหุ้นในมือคุณ ตราบใดที่ราคาไม่สูงเกินไป ผมจะไม่ต่อรองใดๆ”

เหรินจานซวนพยักหน้าและเอ่ยถามขึ้นว่า

“สิ่งที่ฉันสนใจไม่ใช่ตัวเงินค่ะ แต่เป็นความสามารถของคุณ ถ้าฉันต้องการให้คุณเขี่ยผู้ถือหุ้นคนอื่นๆออกไปได้ในการประชุมครั้งหน้า คุณจะทำได้ไหมค่ะ?”

เรื่องที่เธอขอมามันค่อนข้างยากเลยแหละ ผู้ถือหุ้นที่เธอว่าต้องหมายถึงจางต้าเฉินแน่นอน และคนอย่างเขาไม่มีทางละทิ้งอนาคตอันสดใสในมือไปง่ายๆแน่นอน

หากจ้าวเฉียนยืนกรานขับไล่คนพวกนี้ออกไปจากสถานะผู้ถือหุ้น ผลที่จะตามมาเขาจะต้องสูญเสียหนักเกินจินตนาการแน่นอน และบางทีท้ายที่สุด เขาอาจต้องควักเงินมาใช้เพื่อจบปัญหานี้มากกว่าตอนซื้อฮวาหยินกรุ๊ปด้วยซ้ำ

พอเห็นว่าจ้าวเฉียนมีท่าทีลังเลใจ เหรินจานซวนจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า

“ทำไมเหรอค่ะ? หรือคุณไม่มั่นใจ?”

จ้าวเฉียนยิ้มแห้งตอบไปว่า

“ไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจไม่ความสามารถตัวเอง แต่ผมคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเท่าไหร่ ผมสามารถกว่านซื้อหุ้นจัดการพวกเขาให้หมดฤทธิ์ได้ก็จริง แต่นั้นต้องใช้เงินในจำนวนที่มหาศาลมาก”

แววตาของเหรินจานซวนเย็นยะเยือกลงทันทีหลายส่วน จู่ๆเธอพลันแสยะยิ้มแปลกๆขึ้นบนมุมปาและกล่าวขึ้นว่า

“ในเมื่อคนพวกนั้นใช้วิธีสกปรกพยายามกำจัดฉันได้ แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ คุณจ้าว บางทีเราก็ไม่ต้องเล่นตามกติกาเสมอไป คุณมีเพื่อนอยู่สองสามคนในวงการใต้ดินไม่ใช่เหรอค่ะ? เข้าใจความหมายที่ฉันพูดรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนที่นั่งตัวตรงถึงกับเอนหลังไปพิงเก้าอีทันใด สายตาคู่นั้นของเขาหรี่แคบจับจ้องยังเหรินจานซวนไม่มีท่าทีละออก

พอเห็นท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนเป็นแบบนั้น เธอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“ทำไมคุณจ้าวถึงมองฉันแบบนี้ค่ะ? มีอะไรติดหน้าฉันรึเปล่า?”

“คุณเหริน ผมของสารภาพตามตรงนะ ผมไม่เคยเลือกใช้วิธีนอกกฎหมายมาเพื่อแข่งขันกับศัตรูทางธุรกิจ เว้นเสียแต่เขาจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของผมมากเกินไป มันก็จริงที่จางต้าเฉินใช้วิธีสกปรกเล่นงานคุณ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องใช้วิธีสกปรกลดตัวลงไปเล่นกับอีกฝ่าย? ถ้าหมาวิ่งไล่กัด จำเป็นไหมที่คุณต้องกัดมันตอบ?”

จ้าวเฉียนถามสวนกลับไปเจือน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย

ใบหน้าของเหรินจานซวนแปรเปลี่ยนเป็นสัแดงระเรือ หลังจากได้ยินแบบนั้น เธอไม่กล้าเอ่ยตอบอะไรสักคำ

คำว่า วงการธุรกิจ ในอุดมคติของจ้าวเฉียนคือ เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีสกปรกเพียงใดมาเล่นงานเขา แต่การที่ตอบโต้อีกฝ่ายกลับไปได้ด้วยวิธีใสสะอาด มันสื่อให้เห็นว่าตัวเขาเหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายแค่ไหน และที่สำคัญคือขึ้นชื่อว่า ธุรกิจ มันไม่มีสีขาวหรือดำ ทั้งหมดล้วนเป็นสีเทาทั้งสิ้น ถ้าคุณยอมรับในจุดนี้ไม่ได้ก็ไม่ควรย่างกรายเข้ามาตั้งแต่แรก แต่สำหรับเหรินจานซวน จ้าวเฉียนเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่า เธอจะตีความหมายออกไปยังไง

หลังจากลังเลอยู่นาน เหรินจานซวนก็ปริปากกล่าวขึ้นมาอีกครั้งว่า

“ในเมื่อคุณจ้าวไม่เห็นด้วยกับวิธีการของฉัน งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว ขอบคุณสำหรับที่พักแรมเมื่อคืนค่ะ”

หลังจากพูดจบ เหรินจานซวนก็ขึ้นไปเก็บของชั้นบน และออกจากบ้านจ้าวเฉียนไปทันที

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจเธอขนาดนั้นเช่นกัน แค่หยิบจานข้าวบนโต๊ะไปล้างตามปกติ

เนื่องด้วยวิธีการคิดระหว่างจ้าวเฉียนกับเหรินจานซวนอาจจะไม่เหมือนกัน จึงทำให้บทสรุปลงเอยเช่นนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรเช่นกัน

เพียงว่า จ้าวเฉียนต้องการลงทุนในบริษัทที่ดีและมั่นคง โดยไม่นำเรื่องพวกนี้มาข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เขาไม่อยากเล่นนอกกติกาเพื่อกำจัดผู้อื่น

เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงและคำพูดของเหรินจานซวนจะเห็นได้ชัดว่า เธอไม่ได้ต้องการเพียงแค่ปกครองเซียนเหว่ย เทคโนโลยีอย่างเดียว แต่เธอยังต้องการแก้แค้นสิ่งที่จางต้าเฉินทำกับเธออีกด้วย เห็นได้ชัดว่านี่มันเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกันชัดๆ

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความคิดของเธอจะผิด เพียงว่าแนวคิดระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนอยู่คนละตำแหน่งกันเท่านั้นเอง

พอจ้าวเฉียนล้างจานเสร็จก็ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว และออกไปวิ่งในหมู่บ้าน

หลังจากวิ่งได้ประมาณสิบนาที หวู่เสี่ยวหัวก็โทรเข้ามาหา

“สวัสดีค่ะคุณชายจ้าว ธุรกรรมการโอนหุ้นเสร็จสมบูรณ์แล้วนะคะ หุ้นทั้งหมดของฮวาหยินกรุ๊ปในบัญชีของฟู่ไห่ ถูกโอนไปยังชื่อของคุณชายหมดแล้ว ตอนนี้คุณชายขึ้นกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ปอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยสัดส่วนหุ้นทั้งหมด53%”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะร่า กล่าวชมเชยทันที

“ทำได้ดีมาก คราวนี้ปิดงานได้สวย ฉันจะโทรหาพ่อคุณหลังจากนี้ และขอให้เขาเพิ่มโบนัสสิ้นปีให้คุณสักหน่อย”

หวู่เสี่ยวหัวรีบกล่าวขอบคุณโดยไว

“ขอบคุณมากเลยค่ะคุณชายจ้าว นี่เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว หลังจากนี้ถ้าคุณชายจ้าวต้องการอะไรอีกสั่งได้ตลอดเลยนะคะ พวกเราพร้อมทำงานให้คุณชายจ้าวเสมอค่ะ”

“ฮ่าฮ่า…ถ้าไม่มีอะไรแล้ว คุณไปทำงานต่อเถอะ แค่นี้นะครับ”

กล่าวลากันจบจ้าวเฉียนก็กดวางสายและวิ่งกลับบ้านไป พออาบน้ำล้างเหงื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็โทรหาหวานเจียงต่อทันที

ตอนที่230 สถานการณ์ของบริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยี

จ้าวเฉียนยิ้มและกระชับกอดเหรินจานซวนทันทีและแสร้งกล่าวขึ้นว่า

“เรานัดกันไว้กี่โมง ทำไมมาสายแบบนี้ล่ะ?”

เหรินจานซวนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอจ้าวเฉียนขยิบตาให้อย่างลับๆ เธอก็เข้าใจได้ในทันทีพร้อมยิ้มตอบกลับไปโดยไวว่า

“ฉันเพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จน่ะ ไปดูหนังกันเถอะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเดินเข้าโรงหนังไปทันทีพร้อมกับเหรินจานซวนในอ้อมแขน กลุ่มอันตพานพวกนั้นพลันขมวดคิ้วทันทีและค่อยๆเดินตามหลังเข้าไป

ประมาณห้านาทีต่อมา จ้าวเฉียนพาเหรินจานซวนเข้าไปในโรงและนั่งที่จองไว้โดยเร็ว กลุ่มคนพวกนั้นที่ติดตามเธอมาก็เข้ามาด้วยเช่นกัน

จ้าวเฉียนสวมกอดเหรินจานซวนไว้ในอ้อมแขนอย่างใกล้ชิด และเอ่ยกระซิบถามขึ้นว่า

“ทำไมคนพวกนี้ถึงลงมือเอิกเกริกกันจัง?”

เหรินจายซวนเก้อเขินขึ้นมาทันที ใบหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พลางกระซิบตอบไปว่า

“เรื่องมันยาว เดี๋ยวหนูจะเล่าทีหลังนะ แต่ตอนนี้พี่ชายต้องช่วยหนูก่อน อย่าให้คนพวกนี้พาตัวหนูไปได้เด็ดขาด”

“ไม่ต้องกังวล ฉันพอรู้จีกเซียนเหว่ยอยู่บ้าง คุณขอร้องมาขนาดนี้ฉันต้องช่วยอยู่แล้ว”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากรับประกัน

ภายในใจเหรินจานซวนดูสงบลงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เอนกายนอนในอ้อมแขนของจ้าวเฉียนและดูหนังไปพลาง

หลังจากหนังจบ ทั้งสองก็ลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะออกไป จ้าวเฉียนก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า

“จะกลับบ้านเลย หรือไปหลบที่บ้านผมก่อน?”

เหรินจานซวนก้มศีรษะนิ่งเงียบไม่เอ่ยตอบอยู่ครู่ใหญ่ เธอไม่สามารถกลับเข้าบ้านของจ้าวเฉียนได้แน่นอน พวกเขาทั้งคู่เพิ่งพบกันครั้งแรก อยู่กับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักสองต่อสองใต้ชายคาเดียวกัน นี่มันสองแง่สองง่ามเกินไปไปไหม? แต่…ถ้าเธอไม่กลับไปบ้านเขา แล้วจะให้เธอไปหลบภัยอยู่ที่ไหน? กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังก็ยังตามติดไม่ปล่อย

จ้าวเฉียนตระหนักดีว่า เหรินจาซวนกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสนอเพิ่มเติมไปว่า

“เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าคุณไม่สะดวกใจกลับบ้านผม งั้นผมจะวานให้คนรู้จักพาพวกมารุมจัดการพวกที่สะกดรอยตาคุณเป็นไง? หลังจากนั้นเดี๋ยวผมขับไปส่งคุณที่บ้านเอง เท่านี้ก็น่าจะปลอดภัยหายห่วง”

เหรินจานซวนเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียนทันทีและถามว่า

“แบบนั้นได้ใช่ไหมค่ะ? ถ้าอย่างนั้น…หนูขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังและหยิบมือถือโทรหาหยางหู่ทันที

“เสี่ยวหู่ อาการเป็นยังไงบ้าง?”

หยางหู่รับตอบทันควัน

“ดีขึ้นเยอะแล้วครับ คุณชายจ้าวมีอะไรให้รับใช้ครับ?”

“พอดีฉันบังเอิญเจอเพื่อนคนหนึ่งน่ะ แต่ดูเหมือนว่ามีพวกอันตพานกำลังสะกดรอยตามเธออยู่ ช่วยส่งคนของนายมาสั่งสอนพวกนั้นหน่อย ฉันจะพาเธอไปหาอะไรกินที่KFCสาขาจัตุรัสกลางเมือง บอกคนของนายให้สังเกตดีๆว่า จะมีคนกลุ่มหนึ่งสวมชุดสีดำ กำลังจ้องมองที่พวกฉันอยู่ นั้นแหละคือพวกที่สะกดรายตามเพื่อนฉันมา ฝากด้วย”

“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะรีบโทรหาลูกน้องให้ไประดมพลที่นั่น คุณชายเองก็ระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะครับ ถ้าคนของผมยังไปไม่ถึง หลีกเลี่ยงคนพวกนั้นให้ห่าง อย่าเข้าปะทะเด็ดขาดนะครับ”

“อืม เข้าใจแล้ว”

พอวางสายไป จ้าวเฉียนก็พาเหรินจานซวนไปที่KFC

ทั้งคู่สั่งชุดไก่ทอดมารับประทานกันอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปครึ่งชั่วโมง คนของหยางหู่ก็มาถึง

พวกเขาเฝ้าสังเกตอยู่นอกร้านพักหนึ่ง เห็นว่าจ้าวเฉียนกำลังนั่งกินไก่ทอดกับสาว ขณะที่อีกโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นกลุ่มชายใส่ชุดดำกำลังเฝ้ามองมาทางพวกเขา พอเห็นดังนั้น คนของหยางหู่ก็เคลื่อนไหวทันที ตรงเข้าไปในร้านจับล็อกคนพวกนั้นออกไปอย่างไม่มีผิดสังเหตใดๆ

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับเหรินจานซวนว่า

“ดูท่าจะเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวฉันพาเธอไปส่งที่บ้านเอง”

เหรินจานซวนดูงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหลับกลับไปมอง พบว่ากลุ่มอันตพานพวกนั้นหายวับไปแล้วจริงๆ

เธอรีบเอ่ยถามทันทีด้วยความตกใจว่า

“นี่…นี่พี่ชายทำได้ยังไง?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปเพียงว่า

“ก็ไม่มีอะไรมาก ผมพอจะมีเพื่อนอยู่สองสามคนที่มีอำนาจใต้ดิน ก็เลยจัดการได้ไม่ยาก กลับกันเถอะครับ ผมจะพาคุณไปส่งเอง ตอนนี้อยากกลับไปนอนแล้ว ง่วงมากไม่ไหว”

เหรินจานซวนส่งยิ้มให้ทันทีพร้อมพยักหน้า

ทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไปขึ้นรถโดยเร็ว

“ยังไงก็เถอะ หนูยังไม่รู้จักชื่อพี่ชายเลย หนูชื่อเหรินจานซวน แถมยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกคนของบริษัท เซียนเหว่ย เทคโนโลยีด้วย”

จ้าวเฉียนแปลกใจเล็กน้อย เธอคนนี้ดูหน้าเด็กมากอย่างกับสาววัยรุ่น แต่การที่เธอมาเป็นผู้หุ้นแบบนั้นแสดงว่าเธอเองคงไม่เด็กแล้วเช่นกัน อย่างน้อยก็น่าจะเรียนจบแล้ว หลังจากแปลกใจอยู่พักหนึ่ง เขาก็กล่าวแนะนำตัวขึ้นว่า

“ผมชื่อจ้าวเฉียน เจ้าของบริษัท เฉียนเก๋อ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ผมค่อนข้างชื่นชมเทคโนโลยีของบริษัทคุณมาก ไว้ถ้ามีโอกาส หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมมือกันนะครับ”

เหรินจานซวนเอ่ยถามขึ้นทันทีที่ได้ยิน

“ทำไมพี่ชายถึงดูสนใจบริษัทของหนูจัง?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตรงโดยไม่มีอ้อมค้อมใดๆ

“วิทยาการของบริษัทคุณราวกับชุบชีวิตประเทศจีนขึ้นมาอีกครั้ง บริษัทของคุณเองถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการเทคโนโลยีในประเทศ จะไม่ให้ผมสนใจได้ยังไง?”

เหรินจานซวนพยักตอบเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าสีหน้าของเธอดูหม่นหมองลงอย่างไม่มีเหตุผล

จ้าวเฉียนเชิญให้เธอขึ้นรถ จากนั้นก็ขับออกไปทันที

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ?”

เหรินจานซวนกล่าวตอบไปว่า

“หมู่บ้านคฤหาสน์เจียงปิง บ้านเลขที่58ค่ะ”

ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนทอประกานสว่างไสวขึ้นทันที เขายิ้มตอบว่า

“บังเอิญจังเลย! ผมเองก็อยู่ที่นั่น ผมอยู่บ้านเลขที่98ครับ”

เหรินจานซวนหัวเราะขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า

“จริงเหรอค่ะ? นี่บังเอิญจัง? เห…ดูเหมือนว่าฉันจะพบเศรษฐีเข้าให้แล้ว คุณที่สามารถซื้อคฤหาสน์ที่นั่นอยู่ได้ แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”

จ้าวเฉียนหัวเราะและเปลี่ยนเรื่องทันที เขาเอ่ยถามกลับไปว่า

“จะว่าไป พอพูดถึงเซียนเหว่ย ทำไมจู่ๆก็ดูเศร้าสร้อยแบบนั้นล่ะครับ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เหรินจานซวนนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า

“พ่อของหนูหายตัวไปเกือบปีแล้ว แถมไม่มีข่าวคราวอะไรเลย เหลือแค่พินัยกรรมที่เขาทิ้งไว้ให้ก่อนจะหายตัวไป หลังจากนั้นฉันก็ได้รับมรดกทุกอย่างต่อจากเขา หนูเพิ่งเรียนจบแต่กลับต้องมารับผิดชอบอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ชีวิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามันไม่ง่ายเลยค่ะ”

แต่เดิมจ้าวเฉียนรู้สึกสนใจบริษัทเซียนเหว่ยอยู่นานแล้ว พอได้ยินเธอเล่าประเดิมออกมาแบบนี้ก็ทำให้เขายิ่งสนใจเข้าไปใหญ่ จึงขอให้เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโดยละเอียด

บริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยี ถือเป็นบริษัทนวัตกรรมของเอกชนอันดับหนึ่งแห่งจีนตะวันตก ได้รับรางวัล Best Private Enterpriseติดต่อกันถึงหกปีซ้อน

เจ้าของบริษัทแห่งนี้อย่างเหรินไห่อันเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเข้าขั้นอัจฉริยะ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เขาเป็นผู้นำการคิดค้นนวัตกรรมแปลกใหม่ขึ้นมามากมาย จดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ภายใต้นามบริษัทไปแล้วกว่าพันฉบับ

 เมื่อสองปีที่แล้วเหรินไห่อันเพิ่งเปิดตัวสัญญาณ5Gที่ใช้ในประเทศ กระบวนการทดลองเป็นไปด้วยความราบรื่น และในที่สุดก็สามารถผลิตซิมสัญญาณดังกล่าวออกมาได้ ทำให้บริษัทพัฒนาไปอีกขั้นในช่วงปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม จู่ๆเหรินไห่อันก็หายตัวไปราวกับระเหยไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย ข่าวการหายตัวดังกล่าวดังมากในระยะเวลานั้น ทีมตำรวจออกปฏิบัติการตามหาเขาในฐานะผู้หาสาบสูญ จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่พบตัว

ไม่นานหลังจากการหายตัวไปของเหรินไห่อัน ทำให้บริษัท เซียนเหว่ยตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหลอย่างหนัก เกิดเป็นสงครามภายในบริษัทเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำเซียนเหว่ยคนต่อไป

มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนเหริจานซวน และฝ่ายที่สนับสนุนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดอันดับสองอย่าง จางต้าเฉิน เขาต้องการใช้โอกาสนี้บีบให้เหรินจานซวนขายหุ้นส่วนในมือพ่อของเธอที่รับสืบทอดมา เพื่อขึ้นมารับช่วงต่อตำแหน่งประธานและคุมบังเหียนทั้งหมดโดยลำพัง

ทั้งนี้เอง เพื่อป้องกันไม่ให้เหรินจานซวนเสาะคนผู้คนช่วยเหลือ จางต้าเฉินจึงส่งกลุ่มคนให้มาติดตามเธอ และรายงานการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และทั้งหมดเป็นไปตามที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางดึก

หลังจากพูดจบเหรินจานซวนก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ท้ายที่สุดนี้เธอเป็นแค่เด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ ย่อมไม่สามารถทนต่อแรงกดดันขนาดนี้ได้โดยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นเธอทั้งกังวลและคิดถึงพ่ออย่างยิ่ง ยามนี้สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ เธอปล่อยโฮออกมาทันที

จ้าวเฉียนเอื้อมมือไปลูบหลังปลอมประโลมทันที

“อย่าร้องไห้สิ การที่พ่อของคุณทิ้งพินัยกรรมฉบับนี้เอาไว้ให้ก่อนจะหายตัว และให้เธอรับช่วงต่อทุกอย่างที่เป็นของเขา นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า พ่อของเธอเชื่อมั่นในตัวเธอแค่ไหน ถ้าล้มเหลวในเวลาแบบนี้ เธอจะทำให้คุณพ่อผิดหวังรู้ไหม?”

เหรินจานซวนยังคงร้องไห้ แต่ก็พยักหน้าตอบไปว่า

“หนูเข้าใจ หนูเข้าใจดีค่ะ แต่มันมากเกินไป หนูไม่สามารถรับแรงกดดันขนาดนี้ได้”

จ้าวเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่จากหลังรถมาเช็ดน้ำตาให้เธอ หลังจากเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของเธอดูสงบลงเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยถามต่อว่า

“ถ้าอย่างนั้นบอกผมมาตามตรงเถอะ ในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป คุณคงไม่สามารถแบกรับหน้าที่นี่ไหวแล้วใช่ไหม?”

เหรินจานซวนพยักหน้าและตอบไปว่า

“หนูคงแบกรับภาระหน้าที่ขนาดนี้ไม่ไหวอีกแล้ว บรรดาผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นกระดูกสันหลังของบริษัทต่างเห็น หนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่ง ถ้าฉันยังเป็นผู้นำแบบนี้ต่อไป บริษัทคงล้มไม่เป็นท่า แต่ถ้าเป็นจางต้าเฉินเข้ามารับตำแหน่งแทน อย่างน้อย พวกเขาก็ยังประคองบริษัทให้ไปต่อได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกดดันให้หนูสละหุ้นส่วนกว่าครึ่งหนึ่งในมือทิ้งไป และการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป พวกนั้นไม่ให้โอกาสฉันแก้ตัวอีกแล้วแน่นอน”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอกและเอ่ยถามขึ้นว่า

“อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ทิ้งหุ้นส่วนนั้นไป ถ้ามีคนอื่นยินดีที่จะซื้อหุ้นต่อจากคุณ คุณจะยอมขายไหม? แล้วจะขายในราคาเท่าไหร่?”

ตอนที่229 สาวงามขอความช่วยเหลือ

จ้าวเฉียนโบกมือเชิงให้หวานเจียงหยุดพูดก่อน สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นฉับพลันรับมือถือกล่าวขึ้นว่า

“คุณฟู่ โทรหาผมอะไรตอนนี้?”

ฟู่เทียนตอบกลับไปว่า

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ฉันอยากจะบอกว่า นายเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าอยากพูดอะไรก็รีบพูดมา ทุกนาทีของผมมีค่า ไม่อยากเสียเปล่ากับคุณเท่าไหร่”

ฟู่เทียนกล่าวตอบทันทีว่า

“ฉันรู้ว่านายยัดเงินขอให้หยางหู่ช่วยเก็บนักฆ่าที่ฉันจ้างมา แต่ฉันได้ส่งข่าวไปถึงเซียงเจียงแล้ว นายรู้อะไรไหม เซียงเจียงมีอิทธิพลอย่างมาก ถ้าคนของพวกเขาถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาไม่ปล่อยแกไว้แน่นอน เตรียมตัวตายได้เลยไอ้หนู”

จ้าวเฉียนได้ฟังดังนั้นพลันระเบิดหัวเราะลั่นพร้อมกล่าวว่า

“ถึงกับสารภาพมาเองเลยเหรอว่า คุณเป็นคนจ้างนักฆ่าพวกนั้น ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว หลังจากนี้ก็อย่าหาว่าผมเลือดเย็นก็แล้วกันครับ”

ฟู่เทียนเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า

“แม้จะรู้ว่าฉันเป็นคนจ้างฆ่าแก แล้วแกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้? มีคนของเซียงเจียงอีกมากที่รอฆ่านายอยู่ สุดท้ายแกก็แค่ศพเดินได้ที่กำลังจะตายคนหนึ่ง แต่ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเมตตาเลยหรอกนะ ถ้ามาคุกเข่าขอขมาฉันกับลูกชาย บางทีฉันยังพอช่วยออกหน้าเจรจากับพวกเซียงเจียงได้อยู่นะ ว่าไง? โอกาสแบบนี้หากยากนะ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบเพียงว่า

“เมายาจนเพ้อแล้วรึไงครับ? คุณกับลูกชายนอนเลียไข่ตัวเองรอไปก่อนเถอะครับ หลังจากนี้หวังว่ายังจะอยู่ดีกินดีได้ต่อไป”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็กดวางสายไปทันที ยามนี้เขาไม่กล้าประมาทรีบโทรหาพ่อโดยไว

จ้าวฝู่ดูมีความสุขอย่างมาก ที่ช่วงหลายวันมานี้ลูกชายของเขาโทรมาหาตนอยู่บ่อยครั้ง

“ว่าไงไอ้ลูกรัก มีอะไรให้พ่อคนนี้รับใช้ดี?”

จ้าวฝู่กล่าวทักทายพลางติดตลก

จ้าวเฉียนเข้าเรื่องทันที

“พ่อ พ่อมีหุ้นส่วนในเซียงเจียงบ้างไหม? แบบธุรกิจสีเทาๆหน่อย”

จ้าวฝู่ฮัมเพลงอย่างมีความสุข เอ่ยตอบไปว่า

“แน่นอน อุตสากรรมธุรกิจของตระกูลเราครอบคลุมไปทั่วประเทศ ทางฝั่งเซียงเจียงเป็นแหล่งกระจายสินค้าคลังใหญ่ ย่อมมีอยู่แล้วไอ้ลูกชาย ทำไม? พวกนั้นจะกลับมาแก้แค้นลูก?”

จ้าวเฉียนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจอย่างมาก รีบถามขึ้นโดยพลัน

“ห่ะ? พ่อรู้เรื่องหมดแล้วเหรอ?”

จ้าวฝู่หัวเราะตอบไปว่า

“แน่นอน จะมีพ่อคนไหนไม่สนใจเรื่องลูกตัวเองเลยห่ะ? เอาน่า ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันทักลูกน้องในเซียงเจียงให้เอง พวกนั้นไม่กล้าขัดคำสั่งอยู่แล้ว”

ถ้าเพื่อความปลอดภัยของลูกชายตัวเอง จ้าวฝู่จะต้องออกหน้ามาปกป้องอยู่แล้ว แต่สำหรับเรื่องตัวการอย่างฟู่เทียนกับลูกชายของมัน คงต้องเป็นสิ่งที่จ้าวเทียนต้องตัดสินใจเองว่าจะเอายังไงต่อ

จ้าวฝู่ทราบดีว่าลูกชายของเขาในตอนนี้คิดอะไรอยู่ จึงกล่าวเป็นนัยให้ฟังว่า

“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง พ่อจัดการได้ แต่เรื่องที่ลูกต้องการจะสั่งสอนสองคนนั้น อันนี้ลูกต้องตัดสินใจเอง ถ้าต้องการจัดการจริงๆ ฉันจะโทรไปหาประธานเรดสตาร์คลับ ผู้มีอิทธิพลของทางเซียงเจียงให้เขาจัดการทุกอย่างเอง แค่ว่าลูกจะต้องคิดให้รอบคอบก่อน”

จ้าวเฉียนรู้ดีว่าสิ่งที่พ่อกล่าวไปมันหมายถึงอะไร หากย้อนกลับไป ในตอนที่เขาขับรถชนอู่ซิน จ้าวฝู่ในตอนนั้นโกรธอย่างมาก จนถึงขั้นที่ว่าตัดหางปล่อยวัด ไล่ออกจากบ้านให้ไปผจญชีวิตเอง ทั้งหมดเพียงเพื่อดัดสันดานไม่อยากให้ลูกชายตัวเองโดยมาเป็นพวกคนเหลือขอ ทั้งยังอยากสอนให้ลูกชายรู้จักคิดให้รอบคอบก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่าง รู้จักให้อภัยคนอื่น อย่าพึ่งรีบเร่งสั่งคนไปเก็บ เป็นต้น

แต่อย่างไร ครั้งนี้มันมากเกินขอบเขตแล้วจริงๆ สองพ่อลูกตระกูลฟู่ถึงกับจ้างนักฆ่ามืออาชีพจากต่างถิ่นเพื่อลอบสังหารโดยเฉพาะ ถ้าจ้าวเฉียนไม่ตอบโต้อะไรกลับไปบ้าง เกรงว่าจะทำให้สองพ่อลูกยิ่งได้ใจ

ถ้าจะตัดหญ้าจงถอนยันโคน ไม่อย่างนั้นอาจจำต้องทนกับปัญญาที่ไม่มีวันจบสิ้น

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงกล่าวกับพ่อน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“พ่อครับ ในชีวิตผมมันมีทั้งเรื่องที่ให้อภัยได้และไม่ได้ปะปนกันไป แต่การกระทำของสองคนนี้มันเกินกว่าคำว่า ให้อภัยได้แล้วจริงๆ ถ้าหลังจากนี้ผมยังเลือกที่จะอดทน พวกนั้นจะยิ่งได้ใจและสร้างปัญหาให้ผมต่อไปอย่างไม่รู้จบ ผมจำเป็นต้องยุติเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะส่งผลเลวร้ายไปมากกว่านี้”

จ้าวฝู่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่มีอะไรจะค้านเช่นกัน จึงตอบไปตามตรงว่า

“โอเค เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง ตอนนี้แกตั้งใจดูและธุรกิจตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องไปใส่ใจฟู่เทียนมากนัก เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนตอบกลับโดยไว

“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณพ่อมากเลย”

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น กล่าวว่า

“แกจะขอบคุณไปทำไม ตราบใดที่แกยังอยู่ในประเทศนี้ ไม่มีใครสามารถแตะต้องแกได้อยู่แล้ว คนพวกนี้แค่ล้ำเส้นเข้ามามาเกินควร ปัญหาเล็กน้อยหน่า อย่าไปคิดมาก พวกมันล้วนแต่ทำตัวเองกันทั้งนั้น ก็สมควรได้รับผลกรรม เออ อย่าว่ากันเลยนะ แกอยู่กับแม่สาวน้อยคนนั้นรึเปล่า? เปิดกล้องให้พ่อเห็นหน้าเห็นตาหน่อย แล้วอย่าลืมพาเธอกลับมาด้วย เราจะมาฉลองวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกัน”

จ้าวเฉียนเปิดกล้องและหันมือถือไปทางหวานเจียงเล็กน้อย เขายิ้มและกล่าวว่า

“เห็นแล้วนะพ่อ อย่าลืมเตรียมซองแดงให้พร้อม”

จ้าวฝู่หัวเราะอย่างมีความสุข กล่าวตอบกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า… ซองแดงของพวกฉันมีจำกัด ถ้าอยากได้ก็ต้องพาเธอมา! แค่นี้แหละ ฉันจะทำงานต่อแล้ว”

จ้าวเฉียนกดวางสายไป ทันใดนั้นรอยยิ้มท่าทีดูมีความสุขบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปในทันใด

พอเห็นจ้าวเฉียนหันหน้ากลับมาพร้อมกับสีหน้าอมทุกข์แบบนั้น หวานเจียงก็เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความกังวลวาส

“เกิดอะไรขึ้น? มีใครสร้างปัญหาให้อีก? หรือว่าจะเป็นฟู่เทียนอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่านายให้หยางหู่จัดการนักฆ่าไปหมดแล้วเหรอ?”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าทุกข์ใจกล่าวตอบไปว่า

“ใช่ ฟู่เทียนมันโทรมาขู่ว่า ทางเซียงเจียงไม่ปล่อยให้ฉันลอยนวลแน่นอน และจะส่งคนมาเก็บฉัน เหอะ เหอะ…แต่อีกฝ่ายคงคิดจริงๆว่า ฉันคงกลัวและไม่มีทางทำอะไรคนจากเซียงเจียงได้”

พอเห็นแววตาอำมหิตฉายออกมาจากด้วยตาของจ้าวเฉียน หวานเจียงก็รีบลุกจากเตียง เดินเข้ามาสวมกอดเขาทันทีและกล่าวปลอบโยนว่า

“ตาบ้า นี่นายยังมีฉันอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อยู่แล้ว”

จ้าวเฉียนกดสายตาจ้องไปที่เนินอกสวยคู่นั้นของหวานเจียง พอเห็นก็อดยิ้มไม่ได้พลางกระชับกอดแน่นและกล่าวขึ้นว่า

“คุณห่วงผมขนาดนั้นเลย?”

พอเห็นสายตาของจ้าวเฉียนที่จ้องมองมาที่หน้าอกของเธอ หวานเจียงก็พึงตระหนักได้ว่า ตอนนี้เธออยู่ในสภาพเปลือยกาย ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปิดป้องร่างกายอยู่เลย เธอตกใจอย่างมากและพยายามรีบวิ่งกลับไปบนเตียง

แต่จ้าวเฉียนกลับใช้มือทั้งสองข้างคล้องเอวเธอไว้ไม่ยอมให้หนีไปไหน

หวานเจียงรู้ดีการจะเล่นแง่ใช้วาจาเกลียกล่อมกับพ่อปลาไหลแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ ปั้นหน้านิ่งกล่าวขึ้นว่า

“ปล่อยฉันก่อน! วันหลังค่อยทำน่า ฉันจะรีบไปหาพ่อที่โรงพยาบาล”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ได้ งั้นจูบฉันสักทีก่อนสิ ถึงจะยอมปล่อยไป”

หวานเจียงปั้นหน้ามุ่ยดูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเขย่งเท้าประกบจูบจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนปล่อยเธอออกไปด้วยความพึงพอใจ ทั้งสองรีบสวมเสื้อผ้าและแยกย้ายกันจากไป

หวานเจียงเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการของคุณพ่อ

ส่วนจ้าวเฉียน ขณะที่กำลังจะเดินเข้าโรงหนัง อยากเปลี่ยนบรรยากาศหาอะไรสนุกๆดู แต่ทันใดนั้นก็มีสาวน้อยวัยรุ่นคนหนึ่งแต่งตัวน่ารักรีบวิ่งเข้ามาสวมกอดเขาไว้

ด้วยสัญชาตญาณ จ้าวเฉียนต้องการจะผลักร่างของเธอออกไปโดยตรง แต่ดูท่าสีหน้าท่าทางราวกับผู้หญิงคนนี้กำลังขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่

“พี่ชาย! ช่วยหนูด้วย! 8นพวกนั้นเดินตามหนูมาสักพักแล้ว หนูกลัว ช่วยไล่พวกเขาไปที”

จ้าวเฉียนหยุดมือฉับพลัน และเหลือบมองไปที่ด้านหลังเธอ ปรากฏว่ามีกลุ่มอันตพานประมาณสามสี่คนยืนจ้องมองพวกเขาอยู่

พอพิจารณารอบข้างโดยละเอียด จ้าวเฉียนเอ่ยถามน้ำเสียงต่ำกับเธอว่า

“แล้วคุณเป็นใคร? ทำไมจู่ๆถึงมีคนมาหาเรื่องแบบนี้?”

สาวน้อยคนสวยกล่าวตอบกลับไปทันที

“หนูชื่อเหรินจานซวน เป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยี หนูเดาว่า คนพวกนี้น่าจะเป็นคนของหุ้นส่วนใหญ่ที่รองจากพ่อหนูส่งคนมานตามล่า แต่…แต่หนูไม่มีหลักฐานอะไรเลย ขอร้องนะคะพี่ชาย ช่วยจัดการคนพวกนี้ที!”

จ้าวเฉียนเคยได้ยินชื่อบริษัทนี้มาก่อน บริษัท เซียนเหว่ย เทคโนโลยีเป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่ ไม่ว่ายังไงเขาต้องยื่นมือเข้าช่วยแล้ว

ตอนที่228 กลับหยานจิ้งกับฉัน

จ้าวเฉียนกระชากร่างของหวานเจียง ยื่นมือพุ่งไปบีบคางเธอทันที รอยยิ้มแสยะฉีกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า

“ว่ากันว่าคู่สามีภรรยาจะรักกันเหนียวแน่นเมื่อครบครั้งที่ร้อย แต่เราเพิ่งได้เสียกันแค่สองวัน สงสัยต้องเพิ่มสักหน่อยแล้วจริงไหม?”

ใบหน้าของหวานเจียงแดงก่ำทันที คล้อยรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอพยายามผลักจ้าวเฉียนออกไปสุดแรงอยู่หลายครั้ง ทว่าเธออ่อนแรงเกินไปจึงล้มเหลว

“ออกไปให้พ้น! เอามือเน่าๆ ของนายออกไป อย่ามาแตะต้องฉัน!”

หวานเจียงตะโกนเสียงดัง

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะตอบไปว่า

“เหอะ เธออยากได้บริษัทคืนไหมล่ะ?”

สีหน้าของหวานเจียงเปลี่ยนกลับเป็นจริงจังขึ้นถนัดตา รีบเอ่ยถามทันที

“นี่พูดจริงเหรอ? จะแบ่งหุ้นส่วนกับฉันงั้นเหรอ?”

ทีแรกจ้าวเฉียนพยักหน้าแต่จู่ๆ ก็ส่ายหัว ทำเอาหวานเจียงเอ่ยถามทันทีด้วยความสงสัย สรุปแล้วยังไงกันแน่? ถ้าให้ก็ให้ ถ้าไม่ให้ไม่ต้องให้ พูดออกมาตรงๆ ไม่ใช่พยักหน้าทีส่ายหัวที นี่มันหมายความว่ายังไง?

จ้าวเฉียนอธิบายว่า

“ฉันใช้บริษัทตัวเองเป็นหลักประกันเพื่อกู้ยืนเงินจำนวนสี่พันล้านจากฟู่ไห่มา นี่เป็นวิธีที่ฉันจะสามารถควบฮวาหยินกรุ๊ปได้ และฉันไม่มีทางโอกาสหุ้นส่วนไปให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับฉันแน่นอน แต่ถ้าเธอยอมแต่งงานกับฉัน ผลลัพธ์คงต่างออกไป เธอเองก็พอมีสมองอยู่บ้าง น่าจะเข้าใจความหมายนี้ดีนะ?”

หวานเจียงขมวดคิ้วแน่น จับจ้องจ้าวเฉียนด้วยความรังเกียจอย่างที่สุด เธอไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายอยู่พักหนึ่ง ถึงเธอจะรู้สึกสนใจจ้าวเฉียนอยู่บ้าง แต่สำหรับสามีในอุดมคติของเธอจะต้องเป็นผู้ชายที่ทั้งเก่งและเข้มแข็งกว่าเธอ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีพิชิตใจเธอได้แน่นอน

สำหรับความสามารถของจ้าวเฉียน ถึงเขาจะเป็นคนกล้าคิดกล้าทำและมีกลยุทธ์แบบแผนมากพอ แต่ฐานะของเขาในปัจจุบันถือว่าอ่อนแอเกินไป เขายังไม่คู่ควรกับเธอ และเธอไม่อยากโดนคนอื่นนินทาเช่นกันว่า โดนผู้ชายเกาะกิน

“จ้าวเฉียน ฉันจะบอกอะไรให้ฟังตามตรงนะ ก่อนที่นายจะเริ่มโจมตีฮวาหยินกรุ๊ป ตอนนั้นฉันว่าตัวเองมีใจให้นายแล้วจริงๆ ฉันจึงพยายามช่วยนาย ทั้งเรื่องโปรเจคความร่วมมือ ทั้งเรื่องถ่ายหนัง เพื่อให้สถานะของพวกเราอยู่เท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว…”

หวานเจียงตัดสินใจพูดความในใจออกไปตามตรง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะออกมาทันทีและตอบกลับว่า

“จะบอกว่า เธอแอบชอบฉันน่ะเหรอ?”

“เหอะ เหอะ…นั้นก็แค่เมื่อก่อน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว สิ่งที่เหลือในใจฉันมีแต่ความเกลียดชัง!”

หวานเจียงสบถตอบน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง

ทว่ากลับผิดคาด ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนดูเฉยเมยราวกับไม่ได้สนใจฟังเลยด้วยซ้ำ เขาตอบแค่ว่า

“ฉันไม่สนใจเรื่องไร้สาระพวกนั้นหรอกนะ ไม่ว่าจะชอบฉันหรือไม่ แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในสายตาฉันอยู่ดี เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า วันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่กำลังจะมาถึง เธอต้องกลับบ้านเกิดกับฉัน ตราบเท่าที่พ่อแม่ของฉันพอใจในตัวเธอ ฉันจะคืนสิทธิ์การบริหารให้แก่เธอ แต่หุ้นในมือฉันยังคงเท่าเดิม แค่ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารใดๆ ทั้งสิ้น ว่ายังไง?”

หวานเจียงไปไม่เป็นเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติเอ่ยถามกลับไปว่า

“อะไรนะ? นี่มันหมายความว่ายังไง? จะพาฉันไปพบพ่อแม่นาย?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบโดยไม่กล่าวอันใด

หวานเจียงเริ่มรู้สึกประหม่าแทน แววตาคู่สวยพลันสั่นไสว เธอเขินจนไม่กล้าสบตาจ้าวเฉียนแล้วในตอนนี้

“ท่าทางแบบนั้นหมายความว่ายังไง? จะทำไม่ทำ?”

จ้าวเฉียนเค้นถาม

หวานเจียงสวนตอบทันทีด้วยความหงุดหงิดว่า

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายควรกังวลเลยนะ? ฉันสิควรกังวล! ฉันเป็นผู้หญิงนะ! เรื่องแบบนี้มันสำคัญมากเลยไม่ใช่เหรอ?”

จ้าวเฉียนเกรนเสียงหึดังอย่างเย็นชา เอ่ยปากขึ้นว่า

“หึ ยังมีอะไรต้องคิดอีก? ฉันจะมอบสิทธิ์การบริหารจัดการฮวาหยินกรุ๊ปให้เธอแลกกับกลับบ้านเกินกับฉัน ถือว่าฉันจ้างเธอให้ไปพบพ่อแม่ แทบไม่ต้องทำอะไรเลยแต่ได้สิทธิ์การควบคุมทั้งหมดคืนไป ง่ายจะได้ ยังต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก?”

หวานเจียงที่ได้ยินวาจาราวกับขอไปทีแบบนี้ของจ้าวเฉียน เธอก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ คล้ายว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอจึงเอ่ยถามเสียงอ่อนทันทีด้วยความผิดหวัง

“นี่นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? หรือนายก็แค่…ก็แค่ตกลงอะไรสักอย่างกับที่บ้านโดยมีฉันเป็นเงื่อนไข? นาย…นายไม่ได้อยากพาฉันไปพบพ่อแม่เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของเราหรอกเหรอ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“นี่เธอกำลังดูถูกฉันอยู่รึไง? ฉันไม่เอาเธอเป็นเมียหรอก”

หวานเจียงยิ่งโกรธจนน้ำตาเอ่อล้นไหลรินออกมาเกินกว่าจะหักห้าม ทันใดนั้นเธอก็ยกขาขึ้นมาทันทีพร้อมถีบขาคู่อัดท้องน้อยจ้าวเฉียนจนทรุดลงกับพื้นทั้งแบบนั้น

พอเห็นจ้าวเฉียนนอนคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น หวานเจียงยังไม่หยุดแค่ไหน ตะโกนด่าสาปแช่งซ้ำเติมต่อ

“ไอ้เลว! ไอ้เลว! ไอ้เลว! นายสมควรโดนแล้ว!”

“บัดซบ! เธอไปเอาแรงควายแบบนี้มาจากไหน ถ้าฉันเกิดเป็นอะไรไป เธอไม่มีปัญญารับผิดชอบฉันด้วยซ้ำ! อ๊ากก…จุก…ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องตายแน่เลย ใช่…ใช่แล้ว…ต้องโทรแจ้งตำรวจ!”

จ้าวเฉียนหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาตำรวดโดยตรง ขณะที่เขากำลังอ้าปากพูด หวานเจียงก็ตรงไปคว้ามือถือในมืออีกฝ่ายอย่างไว พร้อมด่าต่อว่า

“ไอ้บ้า! นี่นายโทรหาตำรวจจริงๆ งั้นเหรอ? ถ้าเกิดฉันโดนนำตัวไปโรงพักขึ้นมาจะทำยังไง? ถ้ามีประวัติติดตัวขึ้นมาล่ะ? นายจะต้องรับผิดชอบชีวิตฉันหลังจากนี้! เข้าใจไหม!?”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปทันทีว่า

“ชีวิตของฉันมีค่ากว่าที่เธอคิด ฉันก็ต้องโทรหาตำรวจเพื่อป้องกันคนอย่างเธอ! หรือจะให้ฉันโทรหาสายด่วนเป็นยังไง? โยนข้อหาให้เธอติดคุกตัวโตไปเลย! หลักฐานแค่นี้ก็เพียงพอที่จะเอาผิดเธอแล้ว! ลูกถีบตะกี้ ลำไส้ฉันอักเสบหมดแล้วมั้ง! โอ้ย…เจ็บ….”

หวานเจียงเห็นท่าทีจ้าวเฉียนดูทรมานขนาดนั้น เธอก็ตกใจอย่างมากและรีบวิ่งเข้าไปดูอาการอย่างรวดเร็ว

“นายแจ็บจริงๆ เหรอ? เป็นอะไรมากรึเปล่า? คือฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนายนะ ก็…ก็ใครมันสั่งให้นายพูดจาน่าหมั่นไส้ก่อนล่ะ? ฉันแค่ต้องการถีบนายให้ถอยไปเฉยๆ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้…”

“โอ้ย…ระหว่างที่เธอพูดเนี่ย…ฉันว่าคงได้ตายก่อน! พาฉันลงไปเปิดห้องพักที ขอนอนดูอาการก่อนสักพักว่าดีขึ้นไหม ถ้าถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลจริงๆ ฉันโทรแจ้งตำรวจจับเธอแน่!”

หวานเจียงจกใจอย่างมากจนลืมทุกอย่างไปจนหมด ยามนี้ต้องรีบช่วยจ้าวเฉียนให้ปลอดภัยก่อน คิดได้ดังนั้นจึงรีบพยักหน้าตอบและวิ่งออกไปเรียกพนักงานให้ช่วยพาจ้าวเฉียนไปเปิดห้องนอนพัก

ทันทีเข้ามาถึงในห้อง จ้าวเฉียนก็พุ่งจู่โจมผลักร่างหวานเจียงติดกับกำแพงโดยตรง

ทั้งสองสบตากันสักครู่ ไม่นานใบหน้าของหวานเจียงก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เธอเอ่ยถามเสียงอ่อนว่า

“นาย…นายจะทำอะไร? ถ้า…ถ้าทำแบบนั้นอีก ฉันจะแตะนายอีกรอบนะ!”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ลองเตะดูสิ เตะตรงนั้นของผม…แรงๆ เลย”

หวานเจียงหน้าแดงแจ๋ในทันทีด้วยความอายสุดขีด เหงื่อไหลทั่วทั้งตัว เธอสบถด่าไปคำหนึ่งว่า

“ไอ้สารเลว! นายนี่มัน! ออกไปจากตัวฉัน!”

จ้าวเฉียนกลับไม่ได้สนใจคำพูดของหวานเจียงเลย และอุ้มเธอโยนลงบนเตียงทันที

หวานเจียงทั้งตีทั้งตบกระหน่ำใส่จ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน จ้าวเฉียนคนที่ดูอ่อนแอเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว? ทำไมตอนนี้ไม่ว่าจะทุบตียังไงเขากลับไม่เป็นอะไรเลย จนท้ายที่สุดเธอก็ต้องยอมจำนนเพราะความเหน็ดเหนื่อย

หลังจากพายุศึกหนักบนเตียงผ่านไป จ้าวเฉียนก็สวมกอดหวานเจียงไว้ในอ้อมแขนและผล็อยหลับไปพักหนึ่ง ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อวมา หวานเจียงพลันสะดุ้งตื่นขึ้น พอหันไปเห็นหน้าจ้าวเฉียนก็ชวนหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก เลยต่อยท้องจ้าวเฉียนไปหมัดหนึ่ง

จ้าวเฉียนสะดุ้งจื่นอย่างรวดเร็ว คว้ามือข้างที่ต่อยของเธอไว้แน่นและเอ่ยขึ้นว่า

“นี่เธอบ้าไปแล้วรึไง? ไม่ยั้งมือเลยหนิหว่า? นี่คิดจะฆ่าสามีตัวเองอยู่รึไง?”

หวานเจียงขมวดคิ้วดุเสียงเข้มไปว่า

“ตาบ้า! นายรังแกฉันอีกแล้วนะ! คราวนี้ฉันไม่ยอมจบง่ายๆ แน่นอน ฉันสู้ตาย!”

ทันทีที่พูดจบหวานเชียนก็ลุกขึ้นยกมือยกไม้กระหน่ำตบตีจ้าวเฉียนไม่หยุด จนสุดท้ายเขาต้องฮึบใช้แรงเฮือกใหญ่พลิกกลับมาขึ้นคร่อมเธอแทน

“ใจเย็นก่อน ใจเย็น ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ! ฉันจริงจังนะ!”

แววตาในขณะนี้ของจ้าวเฉียนดูดุร้ายขึ้นหลายส่วน มำให้หวานเจียงตกใจจนชะงักหยุดไปเอง พอเห็นเธอวงบลงแล้ว เขาจึงกล่าวต่อว่า

“ฉันแค่อยากจะทวนสิ่งที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้านี้ ช่วยกลับหยานจิ้งพร้อมกับฉันในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที แล้วฉันจะคืนสิทธิ์การบริหารฮวาหยินกรุ๊ปทั้งหมดแก่เธอ ฉันจะนั่งรอแค่เงินปันผลและสัญญาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ฉันเองก็มีเงื่อนไข ข้อแรก ฉะนไม่อนุญาตให้ฮวาหยินกรุ๊ปร่วมมือกับศัตรูของฉัน แค่ข้อเดียว เธอลองไปคิดดูอีกทีก็แค่กัน”

หวานเจียงเธอเป็นสาวหัวไวและฉลาด เธอทราบดีว่าจ้าวเฉียนในตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไรในปัจจุบัน เขากู้ยืนเงินสี่พันล้านหยวนเพื่อถือครองฮวาหยินกรุ๊ปเอาไว้ ถ้าเกิดฮวาหยินกรุ๊ปขาดผู้นำมาคอยดูแล อาจจะเกิดหายนะได้ในภายหลัง ซึ่งนั้นหมายความว่า จ้าวเฉียนจะสูญเสียเงินสี่พันล้านไปโดยเปล่าประโยชน์

ตอนนี้เขายินดีที่จะมอบสิทธิ์การบริหารคืนแก่เธอ โดยแลกเปลี่ยนกับแค่เธอต้องกลับไปหยานจิ้งกับเขา หากลองชั่งน้ำหนักดู เท่ากับว่าเขายอมจ่ายเงินมากถึงสี่พันล้านเพื่อต้องการให้เธอกลับไปหยานจิ้ง และพบครอบครัวของเขา นี่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า เขาค่อนข้างจริงใจกับเธออย่างมาก แม้จะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็ตาม แต่เธอเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเช่นกัน

แต่ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งค้านหัวชนฝา ถ้าตอบตกลงทันทีตอนนี้ ดูท่าจะไม่เข้ากับบุคลิกของเธออย่างแรง ดังนั้นเธอจึงปั้นหน้านิ่งเอ่ยตอบแค่ว่า

“อืม ฉันลองคิดดูก่อนแล้วกัน แต่กันไม่ให้นายหลอกฉัน พวกเราต้องเซ็ณสัญญาเป็นหลักฐาน นอกจากนี้นายยังต้องติดต่อทีมแพทย์ที่นายว่ามารักษาพ่อฉันด้วย ถ้ายอมรับเงื่อนไขสองข้อนี้ไม่ได้ นายก็ลืมไปเถอะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบทันที

“ไม่มีปัญหา สำหรับทีมศัลยแพทย์ พวกเราจะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ ไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่งอสัญญาจะให้ฉันเซ็นตอนนี้เลยก็ยังได้ ฉันจะเขียนไว้สองฉบับ เก็บไว้คนละชุด ตกลงไหม?”

หวานเจียงพยักหน้าและหยิบกระดาษพร้อมปากกาออกมาจากกระเป๋า เธอส่งให้จ้าวเฉียนเขียนเงื่อนไขระบุข้อตกลง

ทั้งสองฝ่ายเซ็นลงนามพร้อมประทับลายนิ้วมือทันที สัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จากนั้นทั้งสองก็หยิบสัญญาคนละชุดเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง มาถึงจุดนี้หวานเจียงดูโล่งใจขึ้นมาก

จ้าวเฉียนวางสัญญาฉบับนั้นลงบนโต๊ะข้างเตียง เขยือบตัวเข้าไปสวมกอดหวานเจียงโดยไวและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฉันทำถึงขนาดนี้แล้วนะ ไม่มีรางวัลให้หน่อยเหรอ?”

“นายต้องการอะไรล่ะ?”

“ก็…”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็เอนศีรษะเข้าไปใกล้ริมใบหน้าของหวานเจียง

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของจ้าวเฉียนพยันดังขึ้น

“โอ้ย ใครเนี่ย? เข้าใจเลือกเวลาดีหนิ!”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากบ่นหยุบหยิบและลุกขึ้นคว่าโทรศัพท์

หวานเจียงเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยเจือท่าทีหงุดหงิด กล่าวดุขึ้นว่า

“สมน้ำหน้า!”

อย่างไรก็ตาม เธอในตอนนี้ไม่ได้หัวเสียขนาดก่อนหน้า เรื่องรักษาอาการป่วยของพ่อเธอเริ่มมีความหวังมากขึ้นแล้ว แถมเวลานี้ยังได้ตำแหน่งประธานบริษัทคืนมาอีก นี่นับว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นฟู่เทียนโทรมา

ตอนที่227 ตอนนี้ฉันคือผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ

ในรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนตื่นขึ้นมาแต่เช้า รอให้หวู่เสี่ยวหัวและพ่อของเขาโทรมาหา

เมื่อใกล้เวลาอาหารกลางวัน จ้าวฝู่ก็ต่อสายโทรมาหา

“ฮาโหล ไอ้ลูกชาย พ่อติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว แถมยังจัดเที่ยวบินที่เร็วที่สุดสู่เมืองตงไห่ให้เรียบร้อย พวกเขาเป็นทีมศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดจากต่างประทศ เตรียมรออยู่ที่โรงพยาบาลเขต1ได้เลย แถมยังวานให้คนของฉันเดินทางไปเยี่ยมผู้อำนวยการเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องห่วงเลยไอ้ลูกชาย พวกเขาทุกคนจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดแน่นอน”

จ้าวเฉียนตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ฟังแบบนั้น และรีบกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็วว่า

“ขอบคุณมากครับพ่อ ไม่ต้องกังวล ผมจะพาเธอกลับไปเยี่ยมในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แน่นอน”

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ยิ้มตอบกลับไปว่า

“กูดี ฉันบอกกับแม่และปู่ไว้แล้วนะ ถ้าพาเธอมาไม่ได้ แกก็ไม่ต้องกลับมา พวกฉันอยากเจอลูกสะใภ้โว้ย ไม่ค่อยอยากเจอหน้าแกเท่าไหร่ ฮ่าฮ่าๆๆ…”

“เออ….โอเคครับพ่อ ต่อให้ตายผมจะลากเธอมาให้ได้ครับ โชคดีครับ ไม่กวนพ่อแล้ว”

พอวางสายเสร็จ เขาก็โทรหาหวานเจียงต่อทันที

หลังจากถูกจ้าวเฉียนดุไปยกใหญ่เมื่อวาน ดูเหมือนตอนนี้หวานเจียงจะหวาดกลัวอีกฝ่ายเล็กน้อย

“ฮาโหล มี…มีอะไรเหรอ?”

“ฟังจากเสียงเธอเนี่ย…อย่าบอกนะว่ายังซึมไม่หาย? เอาเถอะ ฉันจะโทรมาบอกเธอว่า ตอนนี้ติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญได้แล้วนะ พวกเขาเป็นทีมศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดจากต่างประเทศ น่าจะมาถึงที่นี่ภายในสองวัน เดี๋ยวมีคนเข้ามาจัดการทุกอย่างให้เอง หลังจากที่ทีมศัลยแพทย์มาถึง เขาคนนั้นจะทำการประชุมปรึกษาหารือถึงแผนการรักษาต่อไป ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาการป่วยของพ่อคุณแล้ว ตอนนี้ควรหันมาใส่ใจเรื่องบริษัทของคุณเองดีกว่า”

เมื่อได้ยินจ้าวเฉียนกล่าวออกไปแบบนั้น หวานเจียงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด

“นี่นาย…นายพูดจริงเหรอ?”

หวานเจียงอุทานขึ้น

“ห่ะ? พูดอะไรของเธอ? นี่ฉันเล่นตลกอยู่มั้ง? กลับไปทำงานของเธอซะ บริษัทกำลังแย่อยู่ไม่ใช่รึไง?”

จ้าวเฉียนกล่าวตำหนิใส่

พอหวานเจียงได้ยินแบบนั้นก็เดือดดาลขึ้นทันที

“นี่นายยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ แล้วไอ้ที่บริษัทของฉันตกอยู่ในสภาพแบบนี้มันเพราะใครกันห่ะ?! นี่นายไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่า ระหว่างที่นายแกล้งฉันแบบนี้ มีใครก็ไม่รู้จ้องเก็บหุ้นของเราไปจำนวนมหาศาลมาก! มากจนถึงขั้นที่ว่าสิทธิ์การบริหารของฮวาหยินกรุ๊ปในปัจจุบันอาจไม่ได้อยู่ในมือพ่อฉันอีกต่อไป ฮวาหยินกรุ๊ปถือเป็นสมบัติของพวกเราตระกูลหวานเชียวนะ เพราะนายทำให้บริษัทนี้จากพวกเราไป!”

จ้าวเฉียนทำเป็นไม่สนใจและตอบไปแค่ว่า

“เรื่องนี้จะโทษฉันคนเดียวมันก็ไม่ถูกนะ ทั้งหมดไม่ใช่เพราะความจองหองของเธอเองหรอกหรอที่กล้าท้าทายฉัน? ถ้ารู้ว่าตำแหน่งประธานบริษัทกำลังสั่นคลอน แล้วทำไมถึงไม่เพิ่มขยายส่วนผู้ถือหุ้นซะล่ะ?”

หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ เธอเอ่ยปากถามสวนกลับไปว่า

“คิดว่ามันง่ายอย่างที่นายพูดขนาดนั้นเลยรึไง? อุตสาหกรรมสื่อภาพยนตร์มันซบเซาลงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้งบการเงินของบริษัทไม่ดีตามไปด้วย ครอบครัวของฉันเอาเงินฉุกเฉินออกมาใช้นานแล้ว หุ้นของพ่อฉันที่อยู่ในบริษัทถือเป็น80%ของทรัพย์สินทั้งหมดแล้วนะ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเพิ่มขยายส่วนผู้ถือหุ้นอีก?”

แม้จะได้ฟังดังนั้น แต่จ้าวเฉียนกลับไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเธอเลย ถ้าไม่มีเงินก็กู้ยืมมาไม่ได้เหรอ? หรือจำนองสินเชื่อจากทรัพย์สินที่มีอยู่มาก็ได้ ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่จะเพิ่มขยายส่วนผู้ถือหุ้น เพียงว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะหลีกเลี่ยงก็เท่านั้น

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสมควรพูดตอนนี้ เพราะจ้าวเฉียนกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของฮวาหยินกรุ๊ปไปแล้ว

“จะทำอะไรก็รีบทำซะ ก่อนที่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบถึงโครงการความร่วมมือระหว่างเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจนนำไปสู่การละเมิดสัญญาความร่วมมือ ถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่ปราณีก็แล้วกัน!”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดวางสายทิ้งไป

หวานเจียงรู้สึกเครียดจัดจนเริ่มรู้สึกแน่นหน้าอก พฤติกรรมและการกระทำของจ้าวเฉียนนี่มันชุบมือเปิปชัดๆ ฉวยโอกาสตอนที่บริษัทของเธออ่อนแอเพื่อเรียกเงินค่าชดเชย ชายคนนี้มันไร้ยางอายเกินเยี่ยวยาแล้วจริงๆ

หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จนถี่ถ้วนแล้ว หวานเจียงก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์โกรธได้ไหวอีกต่อไป เธอรีบโทรศัพท์หาจ้าวเฉียนทันที แต่ดูท่าอีกฝ่ายไม่ต้องการคุยกับเธอ จึงปัดสายทิ้งไป

“ไอ้สารเลวนี่! รอจนกว่าเรื่องพ่อกับเรื่องบริษัทคลี่คลายก่อนเถอะ ขอดูหน่อยว่า ฉันจะจัดการกับนายยังไง!”

ประมาณห้าโมงเย็นวานนั้น หวู่เสี่ยวหัวโทรสายหาจ้าวเฉียน

“ฮาโหลค่ะ คุณชายจ้าว ตอนนี้พวกเราถือหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปที่53%0จากทั้งหมด กลายมาเป็นผู้ครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยค่ะ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบอย่างมีความสุข เขากล่าวว่า

“ดีมาก เตรียมขายหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปที่ถือทั้งหมดโอนให้ฉัน โดยระบุในสัญญาซื้อขายไปว่า จำหน่ายให้ฉันในจำนวนสี่พันล้าน เพื่อป้องกันทางกรมกำกับตลาดหลักทรัพย์สงสัย แล้วฉันจะใช้หุ้นจำนวน50%ของบริษัทเฉียนเก๋อในการจำนอง”

“รับทราบค่ะ ทางดิฉันจะรีบดำเนินการทันที”

หวู่เสี่ยวหัวกดวางสายไปและทำตามที่จ้าวเฉียนสั่งการอย่างกระชับกระเฉง

แม้นี่จะพฟังดูยุ่งยาก แต่หวู่เสี่ยวหัวนำทีมผู้เชี่ยวชาญของฟู่ไห่รีบจีดเตรียมเอกสารและดำเนินการเสร็จสรรพในชั่วข้ามคืน และนำเอกสารสัญญาให้จ้าวเฉียนเซ็นลงนามในตอนเช้าวันถัดมา

ตามกฎระเบียบแล้ว เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัทถูกสับเปลี่ยน ทางฮวาหยินกรุ๊ปจำเป็นต้องออกประกาศให้แก่พนักงานทุกคนได้ทราบทันที

ทันทีที่หวานเจียงทราบข่าว เธอก็โกรธจัดจนเนื้อตัวสั่นเทา คว้าโทรสัพท์โทรหาจ้าวเฉียนทันที

“ไอ้สารเลว! นายนี่เองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด! ฉันก็คิดว่า มีรายใหญ่จากที่อื่นคิดจะเข้าฮุบกิจการฉัน ที่ไหนได้กลับเป็นนายนี่เอง!”

จ้าวเฉียนยิ้นตอบกลับไปเพียงว่า

“อย่าเพิ่งหัวเสียไปสิ ความสัมพันธ์ระหว่างเราเองก็แนบชิดกันขนาดนี้ ไม่ว่าฉันหรือเธอถือครองมันจะไปต่างอะไร?”

หวานเจียงคำรามอัดมือถือทันที

“ไร้สาระ! มันต้องแตกต่างอยู่แล้วไม่ใช่รึไง! ตอนที่พ่อฉันคุมบังเหียน ฮวาหยินกรุ๊ปถือเป็นทรัพย์สินของตระกูลหวาน แต่ปัจจุบันนายเป็นคนถือ แสดงว่าฮวาหยินกรุ๊ปก็คือทรัพย์สินของตระกูลจ้าว! พูดมาขนาดนี้แล้ว ยังกล้าเถียงอีกไหมว่าไม่ต่างห๊ะ!? อีกอย่าง นายกล้ากู้เงินมาตั้งสี่พันล้าน นายมีปัญญาจ่ายไหวรึไง?”

จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะคิกคัก ยิ้มตอบไปว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าฉันกล้ายืมก็แสดงว่าฉันมีปัญญาจ่ายแน่นอน นอกจากนี้ประธานฟู่ไห่ที่ฉันขอยืมเงินทุนมาก็ไม่ได้กังวลเลยว่า ฉันจะมีจ่ายไหม กลับกันเลย เขายินดีให้ฉันกู้ยืมด้วยซ้ำ”

ถ้าพูดตามความจริง เจ้าของเงินสี่พันล้านมันไม่ใช่ของทั้งฟู่ไห่หรือหวู่เทียนจือ แต่เป็นของพ่อจ้าวเฉียนเองนั้นแหละ

ในเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ต่อหวานเจียงบ่นปากเปียกปากแฉะยังไงก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้อยู่ดี ดังนั้นเธอจึงกล่าวถามขึ้นเพียงว่า

“เอาล่ะ มาพูดกันตรงๆเลยดีกว่า นายต้องการอะไร?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและตอบกลับไปว่า

“เจอกันที่โรงแรมตงไห่ตอนเที่ยงตรง แล้วสิ่งหนึ่งที่เธอควรจำใส่กะโหลกเอาไว้คือ หนึ่ง ชีวิตของพ่อเธอขึ้นอยู่ในมือทีมแทพย์ที่ฉันติดต่อมา และสอง ฉันคืผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ป ณ ปัจจุบัน อย่าทำอะไรโง่ๆจะดีกว่า”

หลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดวางสายไป

หวานเจียงเดือดจัดถึงขั้นโยนโทรศัพท์ในมือทิ้งลงบนโต๊ะ ยกมือปิดหน้าปิดตา นั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวเก่งอยู่แบบนั้น จนถึงตอนนี้เธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า จ้าวเฉียนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้ากู้เงินจากฟู่ไห่มาตั้งสี่พันล้าน

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยจนถึงบ่ายสอง หวานเจียงเปิดประตูห้องอาหารดังปัง เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับจ้าวเฉียนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

จ้าวเฉียนมองดูนาฬิกาเล็กน้อย พลางอดยิ้มไม่ได้

“คุณหวาน คุณนี่เป็นคนตรงต่อเวลาซะจริง ผมบอกว่านัดกันตอนเที่ยง แต่คุณนี่ช่าง…มาได้ตรงต่อเวลาจริงๆ ขอนับถือ ขอนับถือ…”

หวานเจียงสบถด่าอยู่ในใจ เอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า

“มีอะไรก็รีบบอกมา ฉันไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่กับนาย”

รอยยิ้มเมื่อครู่ของจ้าวเฉียนหายวับไปในพริบตา เคาะโต๊ะอยู่สองสามคราเป็นจังหวะ เปิดฉากเอ่ยตำหนิขึ้นทันทีว่า

“คุณหวาน หัดรู้จักที่ต่ำที่สูงซะบ้างนะ ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะประธานฮวาหยินกรุ๊ป ระวังคำพูดคำจาหน่อย”

หวานเจียงเหลือบมองจ้าวเฉียนอย่างว่างเปล่า สบถตอบแค่ว่า

“แล้วไง? ถ้าไม่ชอบวันหลังก็ไม่ต้องเรียกฉันมา ถ้ายังไม่รีบเข้าเรื่อง ฉันขอตัว”

ท่าทางการแสดงออกของหวานเจียงตอนนี้ดูเย่อหยิ่งอย่างมาก เธอไม่ให้หน้าจ้าวเฉียนเลยแม้แต่น้อย

แต่อย่างไร เหตุผลที่จ้าวเฉียนใช้เงินจำนวนมหาศาลทุ่มซื้อฉวาหยินกรุ๊ปแบบนี้ มันเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้คำนึงถึงผลกำไรในการลงทุนเลย เพราะความสามารถในการกำไรของฮวาหยินกรุ๊ปอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และเหตุผลที่จ้าวเฉียนทำแบบนี้ก็เพื่อกลั่นแกล้งหวานเจียง นี่ยิ่งทำให้เธอไม่สามารถอ่อนข้อให้จ้าวเฉียนโดยเด็ดขาด

“หวานเจียง ผมจะเตือนครั้งสุดท้ายนะ ตอนนี้ผมคืผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฮวาหยินกรุ๊ป รบกวนพูดจาแบบสุภาพชนเขาหน่อย ไม่อย่างนั้นก็อย่าตำหนิผมแล้วกัน!”

หวานเจียงสูดหายใจเข้าลึกๆและตะวาดสวนตอบไปทันที

“เออ! ฉันจะพูดแบบนี้! มีอะไรไหม!!”

ตอนที่226 พาเธอกลับมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์

อย่างไรก็ตามจ้าวเฉียนยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธออยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่ชัดเจนหรือเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งแรกของเธอก็เสียให้แก่เขา ยิ่งไปกว่านั้นลึกๆในใจของเขาก็ใช่ว่าจะไม่รักหรือห่วงใยกันเลย

หวานหลินตอนนี้อาการทรุดหนักเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว หากสงครามกราฟหุ้นยังสิ้นสุดลงในวันนี้ อาการของเขาอาจจะเลวร้ายกว่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุผลที่จ้าวเฉียนต้องการยุติปัญหาทั้งหมดให้จบลงโดยเร็วที่สุด

ต่อให้ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมก็ไม่เป็นไร เพราะเขามั่นใจอย่างมากว่า เขาจะต้องได้รับเงินทั้งหมดกลับคืนในไม่ช้าก็เร็ว ทั้งหมดอยู่ที่ความสามารถในการบริหาร

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหวู่เสี่ยวหัว จ้าวเฉียนก็ดูเย็นใจลงเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า

“โอเค รีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด”

“ค่ะดิฉันจะรีบดำเนินการทันที คุณชายอย่าเพิ่งหัวเสียไปนะคะ รอฟังข่าวดีจากดิฉันได้เลย”

คล้อยหลังวางสายไป หวู่เสี่ยวหัวก็รีบสั่งลูกน้องให้ติดต่อไปหาผู้ถือหุ้นสิบอันดับแรกของฮวาหยินกรุ๊ปโดยตรง ยกเว้นหวานหลินกับน้องชายของเขา

จ้าวเฉียนที่ดูลังเลใจอยู่สักพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขับรถไปที่โรงพยาบาลทันที

แม่ของหวานเจียงกำลังนั่งเฝ้าหวานหลินอยู่ในห้องไอซียูอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ตัวหวานเจียงกำลังนั่งรออยู่ด้านนอกด้วยความโศกเศร้าเสียใจ

จ้าวเฉียนเดินไปหยุดตรงหน้าเธอ

หวานเจียงค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมอง และพอเห็นว่าเป็นจ้าวเฉียน เธอก็ร้องไห้ออกมาทันที

จ้าวเฉียนยื่นผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ซับน้ำตา แต่เธอกลันเบนศีรษะหนีราวกับกำลังหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆเธอก็กระชากคว้ามือของจ้าวเฉียนมา พร้อมฝังเขี้ยวกัดสุดแรงเกิดด้วยความโกรธจัด

จ้าวเฉียนไม่ได้ชักมือหนีออกมาแต่อย่างใด มองดูเธอกัดไม่หยุดแบบนั้นอย่างเฉยเมย

หวานเจียงกำลังระบายความโกรธและขุ่นแค้นใจทั้งหมดที่มี ไม่นานฝ่ามือของจ้าวเฉียนก็ชโลมไปด้วยเลือด พอเห็นแบบนั้นเธอก็ค่อยๆอ้าปากที่เปรอะเปื้อนเลือดและปัดมืออีกฝ่ายทิ้งไป

จ้าวเฉียนไม่ปริปากกล่าวใดๆออกไป เพียงเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้หวานเจียง และคราวนี้เธอก็ไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด

เพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของพ่อเธอ หวานเจียงจึงลากจ้าวเฉียนออกจากโรงพยาบาล มายังจัตุรัสกลางเมืองแทน

“มาทำอะไรที่นี่? ซ้ำเติมพวกเราเหรอ?”

หวานเจียงเอ่ยถามอย่างขุ่นเคืองใจ

“ฉันจะมาดูว่าพ่อเธออาการเป็นยังไงบ้าง? นี่เธอมองโลกในแง่ลบเกินไปรึเปล่า?”

หวานเจียงเค้นเสียงหัวเราะเยาะขึ้นทันควัน เอ่ยตอบไปว่า

“ไม่ต้องมาหน้าไหว้หลังหลอกเลย ไม่ใช่ว่าเวลานี้นายควรไปฉลองกับความสำเร็จหรอกเหรอ? ทำลายฮวาหยินกรุ๊ปได้แล้วหนิ? ทำให้ฉันร้องไห้ได้พอใจแล้วรึยัง? ทำไม…ทำไมนายถึงได้โหดร้ายกับฉันได้ชนาดนี้ ทำไม…”

ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี หวานเจียงยกมือปิดหน้าและนั่งยองปล่อยโฮร้องไห้ทั้งแบบนั้น

จ้าวเฉียนนั่งยองตามเช่นกันและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เธอร้องไห้ทำไม?”

“ถ้าพ่อนายยังนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล นายจะไม่ร้องไห้รึไง?”

หวานเจียงสวนกลับทันที

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ ถอนหายใจคำหนึ่ง

“เป็นฉันก็ร้องไห้นั่นแหละ แต่ฉันไม่มีทางเป็นแบบเธอแน่นอน ในเวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเธอควรติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสมองหรือเนื้องอกโดยตรงหรอกเหรอ? แทนที่จะเอาเวลามานั่งร้องไห้สิ้นหวัง สู้ไปหาช่องทางติดต่อคนพวกนั้นดีกว่าไหม? เอาแต่ร้องไห้แบบนี้ พ่อจะหายป่วยไหม?”

หวานเจียงเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียนแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นพรวดปาดเช็ดน้ำตาโดยไวและกล่าวตอบไปว่า

“นายพูดถูก ฉันไม่ควรร้องไห้อยู่แบบนี้ ฉันต้องรีบไปหาหมอฝีมือดีๆมาช่วย แต่…ฉันจะไปหาจากไหนล่ะ? ระดับอาจารย์หมอเฉพาะทางในประเทศเกือบทั้งหมดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่แนะนำให้ผ่าตัด ควรรักษาตามอาการเพื่อยิดอายุขัย ถ้าทำการผ่าตัดโอกาสรอดมีเพียง30%เท่านั้น ถ้าผ่าตัดผลาดขึ้นมา อย่างดีที่สุดคือสมองตาย พ่อของฉันจะต้องนอนเป็นผักไปตลอดชีวิต หรืออย่างแย่ที่สุดคือตายคาเคียงผ่าตัด”

จ้าวเฉียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบขึ้นว่า

“เห็นแก่ที่พวกเรารู้จักกันนะ คราวนี้ฉันจะช่วยเธอเอง ตอนนี้ฉันกำลังติดต่อผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมา แต่หน้าที่ของเธอคือไปหาล่ามภาษาอังกฤษที่เชี่ยวชาญด้านศัพท์ทางการแพทย์มาให้ฉันโดยเร็วที่สุด”

หวางเจียงเผยแววไม่ไว้วางใจสาดสะท้อนออกจากดวงตาอย่างชัดเจน เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“นี่ฉันยังไว้ใจนายได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่างนะ พ่อของฉันอยู่ในวงการธุรกิจมาเป็นสิบปี ออกงานสังคมพบปะผู้คนมากมาย แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถรับประกันได้เลยว่าสามารถรักษาพ่อได้ แล้วนี่นับประสาอะไรกับนาย?”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วแน่นตำหนิกลับไปทันที

“เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงมุ่งเป้าโจมตีฮวาหยินกรุ๊ป ไม่ใช่เพราะฉันต้องการบริษัทหรืออยากเป็นใหญ่ แต่เป็นเพราะฉันทนกับความหัวสูงของเธอไม่ไหว มั่นใจไปซะทุกอย่างว่าฮวาหยินกรุ๊ปแข็งแกร่งกว่าใครๆ มันทำให้ฉันอดทำลายเธอไม่ได้จริงๆ แล้วดูตอนนี้…ทั้งๆที่ไม่มีทางเลือกอื่นให้ตัดสินใจแล้วแท้ๆ ยังจะทำตัวอวดเก่ง พูดจาดูถูกฉันอีก ระวังเถอะ ถ้าพ่อของเธอเป็นอะไรไปจริงๆ ก็หัดโทษตัวเองซะบ้างแล้วกัน”

หลังจากสวดจบจ้าวเฉียนก็เดินจากออกไป ปล่อยให้หวานเจียงยืนค้างแข็งอยู่แบบนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่มีใครเคยดุด่าหวานเจียงขนาดนี้เหมือนจ้าวเฉียนมาก่อน พอได้ยินแบบนั้น เธอจึงยืนอึ้งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่

จ้าวเฉียนเดินขึ้นรถขับออกไป ระหว่างทางพลางต่อสายโทรไปหาจ้าวฝู่

“ฮาโหลพ่อ พอมีเวลาคุยไหม?”

จ้าวฝู่ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ลูกชายฉันไม่ค่อยมีเวลาให้เท่าไหร่น่ะ เห็นโทรมาหาแบบนี้ถึงไม่ว่างก็ต้องทำตัวให้ว่างล่ะนะ ว่าไง มีอะไร?”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น ว่างๆผมต้องไปเยี่ยมสักหน่อยแล้ว คือผมอยากให้พ่อช่วยติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและเนื้องอกจากต่างประเทศมาสักสองสามคน ยิ่งเก่งเท่าไหร่ยิ่งดี”

จู่ๆจ้าวฝู่ก็หัวเราะขึ้นและถามกลับไปว่า

“แน่นอน ฉันรู้นะว่าตอนนี้แกกำลังจะทำอะไร ปฏิบัติการช่วยพ่อตาในอนาคตงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า…”

ดูเหมือนว่าจ้าวฝู่จะรู้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องฮวาหยินกรุ๊ปทั้งเรื่องที่หวานหลินป่วยหนัก

พอจ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดประจบทันควัน

“โถ่วคุณพ่อครับ…พ่อนี่เป็นไอดอลผมตั้งแต่ไหนแต่ไร สมัยโบราณ มีขงเบ้งคอยวางกลยุทธ์สมรภูมิศึก สมัยนี้มีจ้าวฝู่แห่งหวานจิ้ง ใครจะรู้ว่าเขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากเด็กไม่มีอะไรคนหนึ่ง น่าชื่นชม น่าชื่นชม…”

จ้าวฝู่รู้สึกขบขันไม่น้อยพอโดนลูฏชายตัวเองประจบแบบนี้ เขายิ้มตอบกลับไปว่า

“เอาล่ะ เอาล่ะ เคยประจบพ่อได้แล้ว เดี๋ยวจะช่วยแกติดต่อหาให้เองไม่ต้องห่วง แต่แกจะต้องพาเธอกลับมาบ้านเราที่หยานจิ้งด้วยในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนตกปากรับคำด้วยความเขินอาย

“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาครับ แต่ประเด็นคือ…พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างพ่อหรือแม่คาดหวังเอาไว้นะบอกไว้ก่อน อย่าเอาเรื่องผมไปเล่าให้คนอื่นฟังด้วย ผมอาย”

“ไอ้เด็กคนนี้ แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ ถึงเวลาต้องคิดเรื่องในอนาคตต่อไปได้แล้ว ไม่รู้แหละ แกต้องพาแม่สาวน้อยคนนั้นมา แถมเธอคนนี้แม่แกเองก็ดูถูกใจ ตราบใดที่แม่แกโอเค ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องอายน่า เป็นลูกผู้ชายต้องยืดอกยอมรับ”

ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฉียนกับหวานเจียงค่อนข้างคลุมเครือ บอกอะไรไม่ได้มากนัก แต่อย่างไร เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือ การเสาะหาหมอผู้เชี่ยวชาญมารักษาหวานเจียงโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆค่อยว่ากันทีหลัง

ดังนั้นจ้าวเฉียนก็ตอบพ่อกลับไปเพียงว่า

“พ่อ อย่ากดดันผมสิ ของแบบนี้ต้องค่อยๆดูกันไป เดี๋ยวผมจะพาเธอไปเจอช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แน่นอน แต่อย่าปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตเด็ดขาด เพราะพวกเราไม่ใช่อย่างที่พวกพ่อแม่คิด! ยังไงก็ฝากพ่อติดต่อเรื่องหาผู้เชี่ยวชาญมาด้วย โอเคนะพ่อ?”

จ้าวฝู่ตอบว่า

“เออ ไม่มีปัญหา ฉันจะส่งข้อความไปหาใหม่พรุ่งนี้”

“ครับ งั้นแค่นี้นะ ไม่รบกวนพ่อแล้ว ถึงยังไง อย่าลืมใส่ใจเรื่องสุภาพตัวเองด้วย ไม่ใช่เอาแต่ทำงานเข้าใจไหม? ผมไม่อยากวิ่งวุ่นติดตาหาผู้เชี่ยวชาญมารักษาพ่อแบบนี้ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?”

“รู้แล้วน่า ไอ้เด็กคนนี้แช่งพ่องั้นเหรอ?”

“ถ้าแช่งแล้วมันช่วยให้พ่อใส่ใจกับสุภาพตัวเองได้มากขึ้น งั้นผมจะโทรมาแช่งทุกวัน! วันนี้ทำงานเสร็จแล้ว ไปเดินลู่วิ่งหน่อยก็ยังดี แค่นี้แหละ ผมจะกลับแล้ว”

จ้าวเฉียนกดวางสายไปและแวะข้างทางซื้อข้าวเย็นกลับไปกินที่บ้าน

หลังจากถึงบ้านเขาก็อาบน้ำ นอนเล่นปัดมือถืออยู่บนเตียง เกือบห้าโมงเย็นเห็นจะได้ อวู่เสี่ยวก็โทรมาหา

“ว่าไงครับ? ผลเป็นยังไงบ้าง?”

หวู่เสี่ยวหัวรีบตอบกลับไปทันที

“คุณชายจ้าว เราได้โทรติดต่อกับผู้ถือหุ้นใหญ่สิบอันดับแรกหมดแล้ว เพื่อให้ได้ครอบครอง51%โดยไวที่สุด พวกเขาต้องการขายในราคาหุ้นปัจจุบันบวกอีก20%ค่าส่วนต่าง ก่อนที่พวกเราจะอนุมัติจึงโทรมาเรียนถามคุณชายอีกทีก่อน แต่ในความคิดของดิฉัน…”

จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปโดยไม่มีลังเลว่า

“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ผมได้หุ้นส่วน51%มาครอง ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย”

หวู่เสี่ยวหัวกล่าวเตือนทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า

“แต่หากทำเช่นนี้ ทางเราจะต้องเพิ่มงบอีกกว่าหลายร้อนล้านหยวน คุณชายจ้าวแน่ใจแล้วเหรอค่ะ? ความสามารถในการทำกำไรของฮวาหยินกรุ๊ปค่อยข้างจำกัดจริงๆ ค่อยหาโอกาสช้อนซื้อใหม่ดีกว่าไหมค่ะ?”

จ้าวเฉียนได้ยินดังนั้นจึงอธิบายตอบไปว่า

“นั้นก็แค่ชั่วคราวไม่ใช่เหรอ อีกอย่างราคาหุ้นปัจจุบันเหลือแค่สองหยวนต่อหุ้น หลังจากควบคุมเบ็ดเสร็จ ผมมีความสามารถมากพอที่จะทำให้ราคาหุ้นของที่นี่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าถึงหกเท่า ไม่ว่าจะคำนวณยังไงก็สามารถคืนทุนได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ ผมจะออกมารับผิดชอบเอง ไม่ยอมให้กระทบถึงคุณกับคุณพ่อของคุณแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องกังวล”

หวู่เสี่ยวหัวได้ฟังแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก เธอรีบอธิบายเช่นกันโดยไว

“คุณชายจ้าว ดิฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ โปรดใจเย็นก่อนนะคะ แค่รู้สึกว่าการกระทำนี้จะทำให้คุณชายจ้าวต้องเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุรึเปล่าแค่นั้นเองค่ะ”

“ผมเข้าใจ ทำตามที่บอกเลยครับ ไม่ต้องห่วง”

“รับทราบค่ะ ดิฉันจะรีบดำเนินการก่อนตลาดปิดวันพรุ่งนี้นะคะ”

จ้าวเฉียนกดวางสายไป พร้อมเอนตัวลงนอนอย่างสบายใจ ตอนนี้ฮวาหยินกรุ๊ปอยู่ในมือเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนที่225 หวานหลินเข้าโรงพยาบาล

อวู่เสี่ยวหัวรีบออกไปสั่งการพวกพนักงานตามคำสั่งของจ้าวเฉียน ทั้งยังกำชับอีกว่าต้องดำเนินตามแผนอย่างเคร่งครัด

อีกด้านหนึ่ง หวานหลินก็กำลังโมโหอย่างมากเช่นกัน จนหวานเจียงต้องรีบเข้ามาปลอบ

“พ่อค่ะ หนูขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง แต่วิธีนี้หนูว่าจะต้องได้ผลแน่ รอตลาดเปิดหุ้นจะต้องฟื้นตัวกลับมาแน่นอน”

หวานหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่และเอ่ยตอบไปว่า

“พ่อรู้สึกไม่ค่อยดีเลย หรือบางทีอาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ จ้าวเฉียนทุ่มเงินหลายร้อยล้านหยวนเพื่อซื้อช่องทางสื่อ หนูรู้ดีค่ะว่าเขามีเงินอยู่ประมาณเท่าไหร่ นี่คงถึงขีดจำกัดของเขาแล้วเช่นกัน หลังจากนี้หมอนั่นคงไม่เหลือพิษสงอะไรแล้ว พ่อไม่ต้องเครียดไปนะ”

หวานเจียงพยายามกล่าวเพื่อปลอบโยนพ่อของเธอ

ระหว่างที่คู่พ่อลูกกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง ตลาดหุ้นของวันก็เปิดทำการ

ซึ่งประกาศของหวานหลินที่ถูกเผยแพร่ออกไปมันได้ผลจริงๆ ราคาเปิดของหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปเพิ่มขึ้นทันที10%โดยตรง ทะลุแนวต้านขึ้นไป

“เฮ้ออ…”

หวานหลินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หวานเจียงระเบิดหัวเราะทันทีอย่างมีความสุข เธอกล่าวกับพ่อว่า

“พ่อค่ะเห็นไหม? หนูบอกแล้วว่าหมอนั่นไม่เหลือพิษสงอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกังวล หลังจากนี้เดี๋ยวราคาหุ้นก็จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาเอง”

หวานหลินคลี่ยิ้มออกมาได้สักทีหลังจากเครียดอยู่หลายวัน คล้ายกับยกภูเขาออกจากอกไป

แต่สองพ่อลูกตระกูลหวานเพิ่งมีความสุขได้ไม่ทันไร จู่ๆราคาหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปก็พุ่งสูงขึ้นชนิดหยุดไม่อยู่ ก่อนจะถูกทุบลงมาอย่างแรงราวกับโดนค้อนหนักพันตันหวดเข้าใส่

เปิดตลาดได้ไม่ถึงชั่วโมง ราคาหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปกลับมาติดลบเก้าจุดของวัน

เจ้าหน้าที่กรมการกำกับหลักทรัพย์โทรสายเข้าหาหวานหลินอีกครั้ง

“คุณหวานได้โปรดบอกความจริงมาเถอะครับว่าคุณกำลังทำอะไรกันแน่? คิดจะปล่อยข่าวเพื่อลากหุ้นให้สูงที่สุดและเทขายของตัวเองทิ้งไปงั้นเหรอครับ? นี่เข่าค่ายหลอกลวงผู้ถือหุ้นรายอื่นๆเขานะครับ คนที่มีหุ้นส่วนเกิน5%เท่านั้นที่จะปั่นราคาหุ้นแบบนี้ได้ ผมไม่อยากจะใส่ร้ายหรอกนะครับว่าเป็นฝีมือของคุณ แค่คนที่ถือหุ้นเกิน5%กลับมีแค่คุณกับน้องชายคุณเท่านั้น หรือจะบอกว่าผู้ถือหุ้นรายอื่นๆรวมหัวกันปั่นราคา?”

หวานหลินผงะไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ผมไม่รู้จริงๆครับว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร? ผมขอเวลาสืบค้นข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อีกที แล้วจะมาแจ้งให้ทราบนะครับ”

เจ้าหน้าที่ตอบกลับไปว่า

“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง แต่ภาพลักษณ์ที่ออกไปมันไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นคุณควรเตรียมใจเอาไว้นะครับ แต่ในความเห็นของผม เหตุการณ์ครั้งนี้มันไม่ใช่ฝีมือของคุณจริงๆ อาจจะมีใครจงใจปั่นหุ้นเพื่อขายเอากำไร และซื้อกลับคืนในภายหลัง จากประสบการณ์นับสิบปีในตลาดหลักทรัพย์ ผมว่าคุณหวานควรเตรียมเงินซื้อหุ้นในส่วนนี้กลับเข้ามาในมือก่อนจะดีที่สุดนะครับ ระวังตัวหน่อยก็ดีครับ”

หวานหลินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขากดวางสายพลางนั่งรอดูสถานการณ์อย่างเงียบงัน ซึ่งมันเป็นไปตามที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกไว้จริงๆ บนกระดานซื้อขาย ทันทีที่ราคาหุ้นดิ่งลงมาอย่างแรง จู่ๆก็มีใครมาจากไหนไม่รู้ตั้งออกเดอร์ซื้อทุกราคาในจำนวนมหาศาล ชนิดที่ว่าปัดออกเดอร์ของเขาเองที่ตั้งซื้อทิ้งไว้ตกกระดานไปเลย

ซึ่งนักลงทุนคนอื่นๆต่างคิดว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของหวานหลิน โดยทีแรกที่ตลาดเปิดหวานหลินจงใจปั่นราคาหุ้นในสูงเพื่อเทขายทำกำไร พอราคากลับที่เดินค่อยช้อนซื้อทุกราคา ทุกคนที่เห็นแบบนั้นก็หัวหมอถอนออเดอร์ขายออกไปจนหมด เพื่อรอให้ราคาหุ้นดีดขึ้นสูงอีกครั้งค่อยทำกำไร แต่เสี้ยวพริบตานั้นเอง ออเดอร์ตั้งซื้อทั้งหมดก็หน้าก็ถูกยกเลิกหายไปในพริบตา

แรงซื้อหดหายฉับพลัน ส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดอีกครั้ง บรรดาผู้ถือหุ้นคนอื่นๆเริ่มใจเสียกลัวว่าหวานหลินคิดจะลอยแพทุกคนแล้วจริงๆ เลยตั้งออเดอร์ขายในราคาต่ำสุดทันที ซึ่งระหว่างนี้เอง ทางฟู่ไห่ อินเวสเม้นทก์ก็เก็บเกี่ยวหุ้นราคาถูกแสนถูกอย่างเมามันส์ ควบคุมราคาให้เล่นไปตามเกม เข้าซื้อและขายทำกำไรระยะสั้นต่อไปเรื่อยๆ จนราคาดิ่งลงและดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง

(กลัวนึกภาพกันไม่ออกครับ จ้าวเฉียนจะเข้าซื้อที่จุดLow และปล่อยขายที่จุดHigh จากนั้นก็จะทุบหุ้นและเข้าซื้อที่จุดLowแล้วปล่อยขายที่จุดHigh ทำแบบนี้ซ้ำๆไปมาเรื่อยๆ นี่คือกลยุทธ์การทำกำไรในช่วงกราฟหุ้นอยู่ในช่วงขาลง ก่อนจะรอเก็บหุ้นทั้งหมดเมื่อตกลงมาอยู่ในจุดต่ำสุดทีเดียว)

พอเห็นแบบนั้นทางเจ้าหน้าที่คนนั้นรีบเร่งโทรมาหาหวานหลินอีกครั้ง

“คุณหวัง นี่ฝีมือคุณหรือเปล่า?!”

หวานหลินยังไม่คงตอบโต้ใดๆกลับไป แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดอย่างยิ่งก็คือ กำลังมีเจ้ามือทุนหนาเล่นเกมกับหุ้นของเขาอยู่แน่นอน ส่วนนักลงทุนรายใหญ่คนอื่นๆได้แต่เฝ้ามองกราฟเหล่านี้อย่างหมดหวัง

ณ เวลานี้เอง ทางสื่อหลักทุกสำนักก็มีข่าวรายงานออกมาอีกว่า

“หวานหลิน ประธานบริษัทฮวาหยินกรุ๊ป ใช้ข้ออ้างเพื่อปั่นหุ้นเพื่อเทขายทิ้ง ขณะนี้มีนักลงทุนกว่าหนึ่งแสนรายที่ถูกลอยแพไม่ทราบชะตากรรม”

“การกระทำนี้ของหวานหลินอาจเข้าค่ายฉ่อโกงเงินโดยให้ข้อมูลเป็นเท็จแก่นักลงทุน กรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์กำลังเข้าตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด”

……..

พอเห็นข่าวไร้สาระแบบนี้ออกมาไม่หยุดหย่อน หวานหลินก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟจนสุดท้ายก็เป็นลมหมดสติทั้งแบบนั้น

หวานเจียงรีบตรงเข้าไปประคองร่างพ่อของเธอก่อนจะเรียกรถพยาบาล เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ก็ทีข่าวใหม่ออกมาอีกว่า

“หวานหลิน ประธานบริษัทฮวาหยินกรุ๊ป ทรุดหนักเข้าขั้นวิกฤต ตอนนี้กำลังนำตัวส่งไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา”

“ข่าวลือดัวกล่าวเป็นความจริง พบเนื้องอกในสมองของประธานฉวาหยินกรุ๊ป ตอนนี้กำลังอยู่ในอาการโคม่า หลังจากนี้มิอาจทราบชะตากรรมของฮวาหยินกรุ๊ปได้เลยว่าจะเป็นยังไงต่อไป”

………

หวานเจียงที่ยืนดูข่าวในโรงพยาบาลถึงกับทนไม่ไหว โทรศัพท์หาจ้าวเฉียนโดยตรง

“นี่แกพอใจแล้วแล้วรึยัง! จะทำอะไรพวกฉันอีก? ตอนนี้พ่ออยู่ในห้องICUยังนอนไม่ได้สติ! เมื่อไหร่นายจะเลิกจองเวรจองกรรมกับครอบครัวฉันสักที!”

หวานเจียงตะวาดทั้งน้ำตา

จ้าวเฉียนลุกขึ้นพรวดจากเตียงและเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“พ่อเธออยู่โรงพยาบาลไหน?”

“โรงพยาบาลเขต1! ทำไม? นายจะมาเยาะเย้ยพวกเรางั้นเหรอ?”

หวานเจียงประชดถาม

“ไร้สาระ ใครจะมาเยาะเย้ยเธอกัน?”

หลังจากจ้าวเฉียนกดวางสายไป เขาก็โทรหาหยางหู่ต่อทันที

“ฮาโหล เสี่ยวหู่ ฉันวานอะไรหน่อย ไปที่โรงพยาบาลเขต1ไปทาบทามผู้อำนวยการโรงพยาบาล กำชับให้ดูแลเคสของหวานหลินให้ดีที่สุด ไปเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกในสมองไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ ให้มารับผิดชอบเคสนี้โดยด่วนที่สุด ไม่ว่าเท่าไหร่ฉันจ่ายเอง”

หยางหู่รีบตอบกลับทันทีว่า

“ได้ครับคุณชายจ้าว ผมจะรีบไปทันที”

“แล้วอาการบาดเจ็บนายเป็นยังไงบ้าง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามอีกครั้ง

“ดีขึ้นมากแล้วครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะรีบเข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลเขต1โดยเร็วที่สุด คุณชายไม่ต้องห่วงนะครับ”

“อืม ฉันฝากด้วยนะ”

วางสายไป จ้าวเฉียนอดตำหนิตัวเองไม่ได้เช่นกัน ครั้งนี้เขาเล่นแรงเกินไปจริงๆจนทำให้ฮวาหยินกรุ๊ปตกต่ำถึงจุดนี้

เพื่อป้องกันไม่ให้หวานหลินเป็นอะไรไปมากขนาดนี้ จ้าวเฉียนจึงตัดสินใจจบทุกอย่างทันที และโทรหาหวู่เสี่ยวหัวกล่าวว่า

“ก่อนตลาดปิดวันนี้ กวาดหุ้นเก็บมาให้หมด ไม่ต้องปั่นหุ้นต่อแล้ว”

หวู่เสี่ยวหัวเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า

“ทำไมคุณชายจ้าวถึงรีบร้อนจังค่ะ? ตอนนี้เรามีโอกาสชนะสูงมาก ทางหวานหลินเองก็ป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาลแล้ว ถ้าเรายังกดดันแบบนี้ต่อไป และรอจนกว่าหวานหลินจะเสียชีวิตลง ราคาหุ้นที่เราจะได้อาจต่ำกว่านี้ถึง10-15% ถึงเวลานั้นเราจะลดต้นทุนไปได้อย่างมหาศาลเลยนะคะ”

จ้าวเฉียนไม่ต้องการจะอธิบายกับหู่เสี่ยวหัวให้มันมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปแค่ว่า

“พอแล้ว ทำตามที่ผมสั่ง”

หวู่เสี่ยวหัวตอบกลับเพียงว่า

“รับทราบค่ะ ดิฉันจะดำเนินการทันที”

หลังจากที่วางสายไป เธอก็เดินไปแจ้งพนักงานคนอื่นๆทันทีที่กำลังปั่นหุ้นอย่างเมามัน และประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วว่า สงครามตลาดหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปจะต้องจบลงเพียงเท่านี้

“เอ๊ะ? ทำไมประธานหวู่ถึงใจร้อนจังค่ะ? ถ้าเรายังกดดันแบบนี้ได้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่เพียงจะได้ทำกำไรจากส่วนต่าง แต่เรายังสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างมหาศาล นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ถูกต้องครับ ตามที่พวกเราประเมินไว้ ยังไม่ควรยุติลงตอนนี้ ต้นทุนปัจจุบันหากเราเข้ายึดฮวาหยินกรุ๊ปเหลือแค่2พันล้านเท่านั้น แต่ถ้าหยุดตั้งแต่ตอนนี้เลยต้นทุนเราจะเพิ่มขึ้นอีก200ล้านทันทีนะครับ”

“จ้าวเฉียนต้องการให้เรายุติเหรอครับ?”

………

หวู่เสี่ยวหัวในตอนนี้เองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกับจ้าวเฉียนเช่นกันคือ เธอไม่อยากจะอธิบายให้คนพวกนี้ฟังมากเกินไป จึงพูดสวนไปว่า

“ไม่ต้องถาม ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ ถ้ายังไม่รีบจบในวันนี้ เตรียมลงหักเงินได้เลย!”

ทุกคนรีบปิดปากไม่กล้าพูดอะไรต่อไป และรีบร่วมมือกันกว่านซื้อหุ้นทั้งหมดเก็บไว้โดยไว

กระดานซื้อขายหุ้นตอนนี้ จู่ๆก็มีแรงซื้อมหาศาลถาโถมเข้ามากว่าล้านออเดอร์ เข้าซื้อทุกราคา ภายในห้านาทีสามารถซื้อเก็บมาได้หกแสนหุ้น และที่เหลืออีกสี่แสนกว่าออเดอร์ซื้อ คล้ายว่ามีบรรดานักลงทุนไหวตัวทันจึงปรับราคาขายสูงขึ้น แต่นั้นก็ยังไม่เป็นผล ฟู่ไห่อัดฉีดเข้าซื้อทุกราคาจนกลืนออเดอร์ที่เหลือสี่แสนหายวับในพริบตา

หลังจากการเข้าซื้อหุ้นครั้งใหญ่นี้ ทำให้ราคาหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปรีบาวด์ดีดตังสูงขึ้นทันที ห้านาทีก่อนปิดตลาด หุ้นฮวาหยินกรุ๊ปพุ่งทะลุฟ้าทำNew Highในพริบตา

ผลประกอบการโดยสรุป เมื่อรวมจำนวนหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปจากบัญชีของฟู่ไห่กว่าสองร้อยบัญชี ได้มาทั้งหมด200ล้านหุ้ม คิดเป็น30%จากทั้งหมด ถือได้ว่า ณ ปัจจุบัน ฟู่ไห่อินเวสเม้นท์คือผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของฮวาหยินกรุ๊ปอย่างเป็นทางการแล้ว

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาต้องการยืดครองฮวาหยินกรุ๊ปโดยเบ็ดเสร็จ เห็นได้ชัดว่าส่วนผู้ถือหุ้นเพียง30%ยังไม่เพียงพอ ต้องซื้อเพิ่มอีก20% ราวๆประมาณ400ล้านหุ้น

เหล่าเทรดเดอร์ของฟู่ไห่รับสรุปบัญชีทั้งหมดและส่งรายงานไปให้หวู่เสี่ยวหัว

หวู่เสี่ยวหัวตรวจสอบรางงานดังกล่าวโดยไวและถ่ายส่งไปให้จ้าวเฉียนดู

พอจ้าวเฉียนเห็นดังนั้นก็รีบวิดีโอคอลหาเธอทันที และเอ่ยถามเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“ทำไมได้มาแค่30%? ผมต้องการยึดอำนาจการบริหารทุกอย่างมาอยู่ในมือผม แค่ยังถือว่ายังเสี่ยงถูกล้มได้อยู่ เข้าใจที่ผมพูดไหม!”

หวู่เสี่ยวหัวตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เธอรีบกล่าวอธิบายไปว่า

“คุณชายจ้าวอย่าเพิ่งหัวเสียไปนะคะ เนื่องจากคำขอของคุณชายจ้าวมันกะทันหันเกินไป จึงทำได้เพียงเท่านี้จริงๆค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวไปนะคะ ต่อให้รวมหุ้นในมือของหวานหลินและน้องชายของเขา ยังไงก็มีไม่เกิน25%แน่นอน ซึ่งพวกนั้นไม่มีทางล้มคุณชายจ้าวได้เลยค่ะ หลังจากนี้เราจะทยอยซื้อตามแนวรับ เพิ่มจำนวนหุ้นให้ครบ51% ถึงเวลานั้นคุณชายจ้าวจะได้ฮวาหยินกรุ๊ปไปครองสมใจแน่นอนค่ะ”

ตอนที่224 แทบขาดใจ

หวานเจียงเรียประชุมผู้ถือหุ้นสามัญมา หวังให้ทุกคนระดมสมองช่วยกันคิดหามาตรการรับมือ ทุกคนคงไม่สามารถมนดูหุ้นตกแบบนี้ต่อไปได้แน่นอน

“เราต้องหาต้นตอสาเหตุของเรื่องนี้ก่อนดีกว่านะครับ การที่จู่ๆเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นติดต่อกัน จะต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน”

“ถูกต้อง ไม่มีใครจงใจใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อช่องสื่อมาโจมตีพวกเราอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับหนึ่งในพวกเราจริงไหม? ดังนั้นเราต้องตามหาต้นตอของปัญหานี้ให้ได้สักก่อน!”

เมื่อเผชิญหน้ากับข้อสงสัยของบรรดาผ๔ถือหุ้น หวานเจียงจึงต้องจำใจสารภาพไปตามตรงว่า

“ทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน เจ้าของบริษัทเฉียนเก๋อ เอ็นเตอร์เทนเม้นส์ เขาคนนี้กำลังขัดแย้งกับดิฉันอยู่ค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงระบายความโกรธลงใส่ฮวาหยินกรุ๊ปของเรา ที่เรียกทุกคนมาในวันนี้ก็เพื่อหารือหาวิธีตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ถ้าใครมีความเห็นอะไรก็สามารถเสนอมาได้เลยค่ะ”

พวกบรรดาผู้ถือหุ้นได้ยินแบบนั้นก็หัวเสียขึ้นมาทันใด

“ห่ะ? ในเมื่อปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะคุณ คุณก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ไม่ใช่มักง่ายโยนปัญหาให้คนอื่นๆแบบนี้ แถมพวกเราไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องมาแบกรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากคุณคนเดียว!”

“ใช่แล้ว ปัญหาระหว่างหนุ่มสาวมันไม่มีอะไรนอกไปจากเรื่องความรัก และปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเจรจา อย่าบอกนะว่าที่พวกเราซวยกันแบบนี้เพราะปัญหาเรื่องหนุ่มสาวโง่ๆแค่นี้?”

“ถ้าคุณยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ พวกเราจะลงมัติถอดถอนคุณออกจากตำแหน่งรองประธานซะ! พวกเราคงไม่อาจปล่อยให้ผู้หญิงที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งบริหารฮวาหยินกรุ๊ปของเราได้อีกต่อไป!”

…..

บรรดาผู้ถือหุ้นแต่ละคนต่างกล่าวโทษไปที่หวานเจียงต่างๆนาๆ และไม่มีใครสักคนเลยที่เสนอวิธีแก้ปัญหา

สำหรับหวานเจียงในตอนนี้ เธอเองก็ทนพวกคนพวกนี้พล่ามต่อไม่ไหวแล้วเช่นกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการอดทน มิฉะนั้นเธอจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งรองประธานทันที

เธอตะโกนเสียงดังฟังชัดขึ้นอีกครั้งว่า

“พวกท่านทุกคนค่ะ ที่ดิฉันเชิญมาในวันนี้เพื่อหารือมาตรการรับมือ ไม่ใช่ให้มาบ่น!”

“เราจะไปช่วยอะไรได้ นี่มันเรื่องส่วนตัวที่คุณต้องแก้ไขเองไม่ใข่รึไง!”

“ใช่แล้ว! สรุปว่าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาเองสินะ? ถ้างั้นก็รีบลงจากตำแหน่งรองประธานซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะพังพินาศไปมากกว่านี้!”

“ยังมีคนที่มากความสามารถกว่าคุณ ถ้าแค่นี้ไม่สามารถปก้ไขปัญหาได้ก็ควรสละตำแหน่งให้โอกาสคนอื่นได้แก้ไข!”

……..

พอได้ฟังคำกล่าวพวกนี้ไปแล้ว ใครบ้างยังจะทนไหว? นับประสาอะไรกับหวานเจียงที่เป็นพวกจุดเดือดต่ำ? เธอทุบโต๊ะกลางห้องประชุมดังปัง ตะวาดขึ้นลั่นว่า

“หุปปากให้หมด! ฉันเรียกมาวันนี้เพื่อให้ทุกคนช่วยหาทางออก แล้วนี่พวกคุณทำอะไรกันอยู่? ดีแต่ด่าพล่ามไม่หยุด! ถ้าไม่อยากช่วยแก้ไขปัญหาก็กลับไปซะ! ฉันจัดการเอง!”

คราวนี้บรรรดาผู้ถือหุ้นเริ่มเดือดจัดแล้วเช่นกัน ทุกคนจึงหันไปถามหวานหลินแทนว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อไป

ฝ่ายหนึ่งก็บริษัท อีกฝ่ายหนึ่งก็ลูกสาว ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันสำหรับหวานหลินที่จะตัดสินใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้น…ทุกคน…ถือหาเห็นแก่หน้าผมหน่อยนะ วันนี้แยกย้ายกันกลับไปก่อน ผมจะเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด และจะไม่ทำให้ทุกคนต้องเสียหายแน่นอน โปรดมั่นใจในตัวผม”

ผู้ถือหุ้นทั้งหลายยังไม่วานสบถด่าไม่หยุดหย่อนและจากออกไปด้วยความหงุดหงิด ในตอนนี้กลางห้องประชุมเหลือเพียงหวานเจียงลัหวานหลิน

หวานหลินเดินเข้าไปกอดลูกสาวของเขาและกล่าวปลอบขึ้นว่า

“เสี่ยวเจียง ลูกใจเย็นๆก่อนนะ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขไปเกี๋ยวก็จะเจอทางออกเอง”

หวานเจียงทราบดีว่า ตอนนี้พ่อของเธอกำลังป่วยด้วยโรคร้าย เธอจึงยิ้มไม่อยากทำให้พ่อต้องเครียดไปมากกว่านี้

“พ่อ อย่าคิดมากนะคะ หนูไม่เป็นอะไรแล้ว พ่อกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวตรงนี้หนูหาทางรับมือเอง”

หวานหลินพยักหน้ายิ้มตอบและเดินจากออกไป

หวานเจียงรวบผมขึ้นพลางครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตอนนี้ภายในใจของเธอรู้สึกขัดแย้งกันอย่างหนัก หรือว่าฉันควรกลับไปเจรจากับจ้าวเฉียนอีกสักครั้ง?

อย่างไรก็ตาม ทางด้านจ้าวเฉียนเองก็ดำเนินการตามแผนได้อย่างยอดเยี่ยม

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของจีนมีกฎว่า หากบัญชีผู้ซื้อขายหุ้นคนใด ถือหุ้นส่วนของบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากกว่า5% บัญชีนั้นจะต้องถูกตรวจสอบโดยละเอียดและแจ้งรายงานตัวให้แก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ทราบ ถ้าฝ่าฝืนจะผิดกฎตามข้อบังคับของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และมีโทษทางกฎหมาย

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงใช้บัญชีหุ้นของฟู่ไห่นับหลายสิบบัญชี เพื่อเข้าซื้อหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปเฉลี่ย4.5%ต่อหนึ่งบัญชี

เมื่อตลาดหุ้นเปิดขึ้นในเช้าวันใหม่ คำสั่งซื้อนับสองพันล้านหยวนกวาดหุ้นที่เทขายกวาดเรียบทุกเม็ด แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้จ้าวเฉียนจะส่งสัญญาให้หวู่เสี่ยวหัวเตรียมกว่านซื้อหุ้นชุดใหม่อีก500ล้านหยวนในวันพรุ่งนี้

หลังจากตลาดปิดลง จ้าวเฉียนก็สั่งให้บรรดาสื่อหลักทุกสำนักปล่อยข่าวระลอกใหม่ทักที

“หวานหลิน ประธานฮวาหยินกรุ๊ปป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง เตรียมสละตำแหน่งประธาน!”

“ได้ข้อสรุปแล้ว! ช่วงประมาณต้นปีที่ว่าหวานหลินเตรียมสละตำแหน่งประธาน ปรากฏว่าไม่ใช่เพราะตัวเขาไร้ความสามารถ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะปัญหาด้านสุภาพที่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง!”

“ผู้ถือหุ้นนับแสนถึงกับตีก่ายหน้าผาก! สถานการณ์ของฮวาหยินกรุ๊ปกลับไม่ดีนัก มีโอกาสเผ่นให้รีบเผ่น! ก่อนราคาหุ้นดึงลงไปมากกว่านี้!!”

…………

ข่าวเชิงลบอีกละลอกใหญ่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นี่ยิ่งทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปกินไม่ได้นอนไม่หลับ!

เช้าวันใหม่ได้มาถึงอีกครั้ง ราคาหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปทะลุแนวรับอีกครั้ง แตะสู่ระดับต่ำสุดในรอบสิบปี! นักลงทุนรายย่อยแห่เทขายหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปในมือกว่า500ล้านหยวนพร้อมกัน

ทุนจดทะเบียนของฮวาหยินกรุ๊ปอยู่ที่มูลค่าสองพันล้านหุ้น แต่ตอนนี้มูลค่าแท้จริงของบริษัทกลับลดลงหนึ่งในสี่จากทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ นี่ยิ่งทำให้ผู้ถือหุ้นที่เหลือตื่นตระหนกหนักเข้าไปใหญ่

จ้าวเฉียนที่กำลังรับชมข่าวอยู่ ถึงกับระเบิดหัวเราะลั่นอย่างสุขอกสุขใจ และยังคงดำเนินแผนการกว่านซื้อหุ้นต่อไป

“ตอนนี้เล่นละครทำแสร้งทำเป็นเทขายทิ้งส่วนหนึ่งไปก่อน อย่าให้หุ้นกลับมารีบาวด์ได้เด็ดขาด พอทะลุแนวรับสุดท้ายลงมาค่อยเก็บหุ้นกลับมาให้หมด”

หวู่เสี่ยวหัวพนักหน้ารับสั่งทันที

การนซื้อขายหุ้นยังดำเนินไปตามแบบแผนที่วางไว้ หุ้นชุดแรกที่ทำการเข้าซื้อ ปั่นให้ขึ้นจนถึงระดับที่เหมาะสมก่อนค่อยเทขายอีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีแรงซื้อเหลือ และปล่อยให้กราฟดิ่งต่อไป

ฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์แค่ใช้หุ้นในมือส่วนหนึ่งกระตุ้นกราฟเพื่อให้นักลงทุนรายย่อยคิดว่า กราฟกำลังกลับตัวและแห่เข้าซื้อสำนักเล่นเกรงกำไรระยะสั้น ก่อนจะทุบราคาอีกครั้งเพื่อให้เม่าตัวน้อยแห่ขาย เพื่อดึงราคาให้ต่ำลงไปอีก

เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นใกล้แตะFloor[1]แล้ว ทางกรมการกำกับหลักทรัพย์โทรสายด่วนถึงหวานหลินทันที

“สวัสดีครับคุณหวาน หุ้นที่คุณนำเข้ามาจดทะเบียนใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ตามกฎหมายจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่บรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมด หรืออัดฉีดเงินทุนเข้าไปเพิ่มเพื่อประคองบริษัทต่อไป  โปรดรีบตัดสินใจโดยเร็วนะครับ ก่อนที่คุณจะถูกแจ้งกลายเป็นบุคคลล้มละลาย”

หวานหลินรีบตอบกลับทันทีอย่างสุภาพว่า

“ผมจะรีบหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุดครับ อย่าเพิ่งแจ้งล้มละลายกับผมเลย”

ทางเจ้าหน้าที่ตอบกลับแค่ว่า

“คุณหวาน เราปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โปรดรีบตัดสินใจก่อนจะไม่มีโอกาสนะครับ”

พอพูดจบทางเจ้าหน้าที่ก็วางสายไป

หวานหลินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก อัดฉีดเงินทุนเพิ่มเพื่อต่อลมหายใจ

คืนวานนั้น ฮวาหยินกรุ๊ปประกาศทันทีว่า เนื่องจากวิกฤตของบริษัท จำเป็นต้องอัดฉีดเงินทุนเข้าเพิ่มเติม ภายในหกเดือน หวานหลินและหวานเจียงจะต้องอัดฉีดเงินทุนเพิ่มอีกอย่างน้อย100ล้านหุ้น

ทันที่ที่บรรดาผู้ถือหุ้นเห็นแบบนั้น ทุกคนก็ดูอามรณ์ดีขึ้นมาทันที

หลังจากอ่านประกาศดังกล่าว จ้าวเฉียนก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยพลงาคิดในใจกับตัวเองว่า

‘ถึงกับยอมเข้าเนื้อเพื่อทำให้หุ้นฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด? ยังคิดตื้นเกินไป!’

จากนั้นเขาก็โทรหาหวู่เสี่ยวหัวเพื่อมอบหมายคำสั่งใหม่ให้แก่เธอทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น มีประเด็นข่าวใหม่ขึ้นหน้าหนึ่งทั้งในสื่อโทรทัศน์และเว็บไซต์ต่างๆอย่างแพร่หลาย

“หวานหลินจงใจปล่อยข่าวอัดฉีดเงินทุนหวังพลิกฟื้นฮวาหยินกรุ๊ป! มีแนวโน้มสูงว่า เขาพยายามผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นเพื่อเทขายหุ้นทั้งหมดในมือก่อนจะดิ่งลงแตะจุดต่ำสุด! ทิ้งผู้ถือหุ้นนับแสนรายให้ลอยแผไม่รู้เป็นตาย!”

จ้าวเฉียนนั่งปาดมือถืออ่านความคิดเห็นของฝูงชนอย่างสนุกสนาน เขาหยืบมือถือโทรหาหวู่เสี่ยวหัวโดยไว

“คุณชาย มีอะไรให้รับใช้ค่ะ?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบทันทีว่า

“ทันทีที่ตลาดหุ้นเปิด คุณช่วยปั่นหุ้นขึ้นไปให้สูงที่สุดและปล่อยขายทำกำไรก่อนรอบหนึ่ง เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิดว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของหวานหลิน จากนั้นค่อยทุบลงอีกที ถ้าผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้อ่านข่าวพาดหัวในวันนี้ และเห็นว่ามันเป็นจริงตามที่บอก พวกนั้นจะตื่นตระหนกหนัก และแห่ขายหุ้นอีกระลอกใหญ่แน่นอน ถึงเวลานั้นค่อยช้อนซื้อกลับมาคืนใหม่”

หวู่เสี่ยวหัวที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับเอ่ยปากชมทันทีว่า

“โอ้โห้! คุณชายจ้าวคิดได้ยังไงค่ะเนี่ย? ช่างเป็นกลยุทธ์ที่แยบยลมาก!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องมาเยินยอผมเลย รีบจัดการโดยด่วน”

หวู่เสี่ยวหัวฮัมเพลงพร้อมกดวางสายไป จากนั้นก็รีบดำเนินการตามที่จ้าวเฉียนบอกทันที

[1]อิงจากหุ้นราคาปิดของวันก่อน ลดลงต่ำกว่า30%ของวันถัดไป

ตอนที่223 เริ่มลงมือ

ในไม่ช้าหวู่เสี่ยวหัวก็เดินตรงออกจากห้องทำงานและประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“อาล่ะทุกคน ตอนนี้โฟกัสกับโครงการฮวาหยินกรุ๊ปก่อน ติดต่อตามเบอร์นี้เพื่อขอข่าวเชิงลบมา และปล่อยตามสื่อต่างๆออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อกดราคาหุ้นและรอดูปฏิกิริยาตลาดก่อนเข้าซื้อ”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจกัน จ้าวเฉียนไปคุยอีท่าไหนทำไมหวู่เสี่ยวหัวถึงอนุมัติโครงการนี้ได้

ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาก่อนเข้าลงทุนของฟู่ไห่ เห็นได้ชัดว่าฮวาหยินกรุ๊ปไม่ผ่านคุณสมบัติที่กำหนัด ดังนั้นทุกคนจึงเอ่ยถามเธอทันทีด้วยความข้องใจ

“ประธานหวู่ แต่ความสามารถในการกำไรของหฮาหยินกรุ๊ปถือว่าค่อนข้างแย่ อาจไม่คุ้มกับการลงทุนของเราได้นะครับ”

“ใช่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะประเมินด้านไหน ฮวาหยินกรุ๊แกลับไม่ผ่านเกณฑ์สักข้อเลยนะคะ นี่อาจจะ…ส่งผลต่อโบนัสปลายปีของพวกหนูได้นะคะ…”

“ประธานหวู่ลองพิจารณาอีกครั้งเถอะครับ จ้าวเฉียนเพิ่งย้ายมาทำงานที่สายนี้ ประสบการณ์อาจไม่มากพอ เลยมองเกมธุรกิจไม่ขาด พวกเรามาช่วยเขาฝึกใหม่กันดีกว่าครับ”

……..

หวู่เสี่ยวหัวคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า ทุกคนต้องหงายหน้าพูดแบบนี้กัน จึงขอให้ทุกคนเงียบก่อนและอธิบายให้ฟังว่า

“พวกเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ จ้าวเฉียนอาสารับผิดชอบโครงการนี้เอง อันนี้ถือเป็นเงินบริษัทส่วนตัวที่ลงทุนเพื่อช่วยเขา ไม่ว่าผลประกอบการของฮวาหยินกกรุ๊ปจะเป็นยังไง มันไม่กระทบกับเงินโบนัสพวกเธอแน่นอน สบายใจได้”

เมื่อหวู่เสี่ยวหัวอธิบายไปแบบนั้น ทุกคนก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ จ้าวเฉียนเพิ่งเข้ามาในบริษัทนี้ได้ไม่นาน แต่ทำไมบริษัทถึงต้องออกตัวสนับสนุนเงินทุนส่วนตัวช่วยเหลือขนาดนี้?

“ประธานหวู่ ทำไมบริษัทถึงต้องช่วยเขาขนาดนี้? เขาเป็นแค่พนักงานใหม่ไม่ใช่เหรอ?”

“แหม แหม ประธานหวู่ เห็นหนุ่มหล่อเป็นไม่ได้เลยนะครับ ใจกว้างขึ้นมาเชียว”

“ฮ่าฮ่า…”

หวู่เสี่ยวหัวกลอกตามองบนเล็กน้อย เอ่ยตอบทันทีน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“เอาล่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! รู้แค่ว่าจ้าวเฉียนมีจากสำนักงานใหญ่คอยช่วยเหลืออยู่ก็พอ แค่ว่าไม่อนุญาตให้บอกใครต่อ เข้าใจไหม? รีบแยกย้ายกลับไปทำงาน ถ้าแอบนินทาเรื่องนี้กัน มีลางถึงหูประธานสาขาใหญ่แน่ ถึงตอนนั้นถ้าอดโบนัสจริงก็อย่าโทษฉันก็แล้วกัน”

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างรีบพยักหน้าแยกย้ายทำให้หน้าของตัวเองโดยไว

เช้าวันรุ่นขึ้น พาดหัวข่าวประเด็นร้อนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้น งบการเงินทุจริตที่ฮวาหยินกรุ๊ปปกปิดเอาไว้

“ฮวาหยินกรุ๊ป ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฉ้อโกงทางการเงิน”

“เพื่อขจัดความอันตรายที่อาจกระทบต่อบริษัท ฮวาหยินกรุ๊ปปกปิดทรัพย์สินบางส่วนไว้ในนามบุคคลธรรมดา”

“ฮวาหยินกรุ๊ปงานเข้า! ชุบมือเปิปขณะที่เฟยอวี่กรุ๊ปวิกฤต ซื้อลิขสิทธิ์โครงการมากมายในราคาที่ต่ำ ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นน้อยใหญ่ของเฟยอวี่กรุ๊ปขาดทุนกว่า120,000ราย”

“คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน จ่อเข้าสอบสวนฮวาหยินกรุ๊ป!”

……….

พาดหัวข่าวจากสื่อแต่ละสำนักดูน่าตกใจอย่างมาก ทำให้หุ้นฮวาหยินปรุ๊ปร่วงในพริบตาตั้งแต่เริ่มเปิดตลาด

เวลาประมาณ9:15น. ราคาหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปดิ่งกระแทกแนวรับ นับเป็นจุดต่ำสุดในตลอดหลายปี

หวานเจียงวิ่งหัวหมุนตั้งแต่เช้า หลังได้รับสายจากเลขา เธอรีบเข้าตรวจสอบหุ้นของบริษัทและเปิดอ่านข่าวที่เกิดขึ้นในรอบวันทันที ซึ่งนี่ทำให้เธอโมโหอย่างยิ่ง

จู่ๆก็มีข่าวเชิงลบกระหน่ำเข้ามามากมายขนาดนี้ มันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน และคนแรกที่หวานเจียงนึกถึงก็คือจ้าวเฉียน

เธอโทรศัพท์หาจ้าวเฉียนทันที ตะคอกถามด้วยความโกรธว่า

“จ้าวเฉียน! นี่นายจะเอาแบบนี้จริงๆใช่ไหม? ข่าวทั้งหมดในวันนี้เป็นฝีมือนาย?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบตามตรงอย่างหน้าไม่อายว่า

“ฉันเอง มีอะไรงั้นเหรอ?”

หวานเจียงยิ่งโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ กรนด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน

“ไอ้สารเลว! นายมันบ้า!”

“ไม่ ไม่ เธอจะพูดแบบนี้ก็ไท่ถูกนะ พวกเราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ? นี่ก็เป็นวิธีแข่งขันกันปกติ แปลกตรงไหน?”

“ไร้ยางอาย! ถ้าจะแข่งกันก็แข่งกันแบบยุติธรรม! ไม่ใช่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้มารังแกกัน! อย่าลืมนะว่าพวกเรายังมีสัญญาความร่วมมืออยู่! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉวาหยินกรุ๊ป เงินลงทุน150ล้านของนายก็สูญเปล่าไปด้วยเหมือนกัน! นายมันปัญญาอ่อนรึเปล่า?”

หวานเจียงตะคอกใส่อย่างไม่หยุดหย่อน

แต่จ้าวเฉียนกลับไม่ได้สนใจเลย เขายังคงปริปากตอบอย่างใจเย็นว่า

“ฉันเพิ่งเซ็นสัญญาไป ยังไม่ได้โอนเงินให้สักหน่อย ถ้ามีข่าวเชิงลบเข้ามาโจมตีฮวาหยินกรุ๊ปขนาดนี้ ผมก็มีเหตุผลมากพอที่จะฉีดสัญญาความร่วมมือได้เช่นกัน จะขึ้นศาลก็ได้นะ ฉันจะได้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มจากเธอ!”

หวานเจียงทั้งแค้นทั้งโกรธจนร้องไห้ออกมา เธอกรนด่าสาปแช่งจ้าวเฉียนทั้งน้ำตาแบบนั้นว่า

“จ้าวเฉียน! นายทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ! ฉันคิดว่านายเป็นคนดีมาตลอด ไม่คิดเลยว่าหลับหลังนายจะเลวได้ขนาดนี้! แก…แกมันชั่วยิ่งกว่าหยางหมิงอีก ไปตายซะไปไอ้ชาติชั่ว!”

หลังจากพูดจบหวานเจียงก็ตัดสายทิ้งไปทันที และรีบระดมผู้บริหารระดับสูงมาประชุมเพื่อหาแนวทางการแก้ไข

จ้าวเฉียนโทรสายหาหยางหู่ต่อโดยไว และสั่งให้เขาแจ้งกับสื่อหลักทุกสำนักและเว็บไซต์ทุกช่องทางว่า ไม่อนุญาตให้ฮวาหยินกรุ๊ปออกข่าวชี้แจงหรือแก้ต่างใดๆเด็ดขาด

หวานเจียงและทีมงานของเธอใช้เวลากว่าสองชั่วโมงเพื่อพยายามหาทางแก้ไขปัญหา แต่ในที่สุด ไม่มีสื่อสักเจ้าให้ความร่วมมือกับเธอเลย โดยให้เหตุผลแค่ว่า ไม่สะดวกที่จะเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว แม้แต่เว็บไซต์บนโลกอินเตอร์เน็ตก็อ้างว่า ทากรมควบคุมเทคโนโลยีไม่อนุญาตให้พวกเขาลงข่าวของฮวาหยินกรุ๊ปได้ในช่วงเวลานี้

นี่ใกล้เวลาจะปิดตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังไม่มีประกาศหรือคำอธิบายใดๆจากฮวาหยินกรุ๊ปออกมา ซึ่งนี่ทำให้นักลงทุนรายย่อยทั้งหลายหัวเสียกันอย่างมาก และแสดงความคิดเห็นต่างๆลงบนโลกอินเตอร์เน็ตว่อนไปหมด

เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม คำชี้แจงของฮวาหยินกรุ๊ปเพิ่งได้รับกับอนุมัติและถูกเผยแพร่ออกมาในที่สุด อย่างไรก็ตาม ทุกสำนักข่าวกลับนำเสมอออกมาได้คลุมเครือ อธิบายแบบสองแง่สองง่ามไม่มีความชัดเจน

หลังจากหวานเจียงได้ดูข่าวพวกนี้ เธอก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ทั้งๆที่เธอให้หลักฐานและคำชี้แจงที่ชัดเจนมากแล้ว แต่ทำไมนักข่าวเหล่านั้นถึงอธิบายออกมาแย่มาก? เธอรีบเข้าไปยังเว็บไวต์ข่าวเหล่านั้นเพื่อเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงออกไป พร้อมเรียกร้องขอความเป็นธรรม แต่ไม่นานข้อมูลเหล่านั้นของเธอก็ถูกลบออกไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ในจุดนี้ ราวกับว่าทุกคนกำลังรุมกลั่นแกล้งฮวาหยินกรุ๊ปของเธออยู่

หลังจากซึมเศร้าอยู่นานกว่าชั่วโมง หวานเจียงตัดสินใจโทรหาจ้าวเฉียนอีกครั้ง

“ไอ้สารเลว แกต้องการอะไรกันแน่? นี่แกใช้เงินไปเท่าไหร่ถึงทำให้พวกสื่อเชื่องได้ขนาดนี้? นี่ยอมจ่ายเงินขนาดนี้เพียงเพื่อแก้แค้นฉันนี่นะ? นี่แกอาฆาตอะไรฉันนักหนา?”

หวานเจียงกล่าวถามด้วยความโกรธเคือง

น้ำเสียงของจ้าวเฉียนยังแลดูสงบเสงียมทำราวกับทองไม่รู้ร้อนเหมือนเคย เขาตอบกลับอย่างใจเย็นไปว่า

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะนอน ถ้าไม่มีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรก็เลิกโทรมากวนได้แล้ว น่ารำคาญ”

“ไอ้เลว! แกเชื่อไหมว่า ฉันจะกลับไปคืนดีกับหยางหมิง แต่ร่วมมือโค่นแกลง! แกทำให้ฉันโกรธจริงๆแล้วนะ!”

หวานเจียงตะวาดเสียงดังลั่น มือไม้สั่นเทาไปหมด โกรธจัดจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

ท่าทีของจ้าวเฉียนเริ่มดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขาตอบกลับไปว่า

“ก็ตามใจ แต่สุดท้ายเธอมันก็แค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง พอถึงทางตันก็ร้องไห้กลับไปซบไข่ผู้ชาย ยืมมือคนอื่นเพื่อแก้ปัญหา จะร่วมมือกับใครก็ร่วมมือเถอะ ในสายตาฉัน เธอมันไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว รีบๆไปซบหยางหมิงแล้วขอให้เขาช่วยแล้วกันนะ ฉันจะแนะนำอะไรให้อีกอย่าง ลองบีบน้ำตาเยอะๆดู เผื่อหมอนั้นจะสงสารมากขึ้น ฮ่าฮ่าๆๆ….”

จ้าวเฉียนจงใจกระตุ้นหวานเจียงเพื่อให้เธอลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง

เธอกรนเสียงกัดฟันตอบไปทันทีว่า

“ได้! นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย แกทำแบบนี้กับฉันได้ ฉันก็ทำแบบนี้กับแกได้เหมือนกัน! แล้วทำได้ดีกว่าด้วย!”

จ้าวเฉียนหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“ตกลง! งั้นฉันจะคอยดูว่าบริษัทให้จัพินาศก่อนกัน! มีอะไรจะพล่ามอีกไหม? ฉันจะนอน”

หวานเจียงคำรามทิ้งทวนไปว่า

“จ้าวเฉียน! ต่อจากนี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นศัตรูกัน!”

คล้อยหลังตะคอกจบเธอก็กดตัดสายทิ้งไปทันที

จ้าวเฉียนไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว ตราบใดที่เขาสามารถควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปได้ เขาก็ยังมีเวลาค่อยๆเล่นสนุกกับหวานเจียง

หวานเจียงขอร้องให้พ่อของเธอช่วยใช้เส้นสายที่มีทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อซื้อใจสื่อต่างๆให้กลับมาอยู่ข้างเดียวกับพวกเธออีกครั้ง และใช้ช่องทางนี้เพื่อชี้แจ้งข้อแก้ต่างของฮวาหยินกรุ๊ป

ทว่าแม้แต่คนพวกนี้ที่เรียกได้ว่าสนิทสนมกันมานาน ทว่าตอนนี้กลับไม่มีความสุภาพกับหวานหลินเลยแม้แต่น้อย กระทั่งรับสายยังไม่รับเลยด้วยซ้ำไป

หวานหลินถึงกับสงสัยอย่างยิ่งว่า จ้าวเฉียนเป็นแค่สตาร์ทอัพตัวเล็กๆเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมีเส้นสายที่แข็งแกร่งถึงปานนี้? สามารถปิดปั้นสื่อทุกช่องทางไม่ให้ฮวาหยินมีโอกาสออกมาแก้ต่างเลยสักนิด

วันต่อมา หวานเจียงนั่งจ้องกราฟหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปที่กำลังจะทะลุแนวรับลงไปอีก เธอถึงขีดจำกัดแล้วและไม่สามารถทนดูมันต่อไปได้อีก ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานปลึกวิเวกเปลี่ยนบรรยายกาศเพื่อสงบสติอารมณ์ลง

ถ้าการฟหุ้นยังดิ่งลงไปแบบนี้เรื่อยๆ มันจะกระทบถึงทรัพย์สินส่วนตัวของครอบครัวเธอได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผู้ที่ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ปอย่างหวานหลิน ถ้ายังถือแบบนี้ต่อไปอาจไม่เหลือเงินกลับมาเลยก็ได้ สุดท้ายนี้มีให้เลือกอยู่สองทาง จะยอมถือแบบนี้ต่อไปจนล้มละลาย หรือขายขาดทุนออกไปเพื่อชักเงินสักก้อนกลับมา

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หวานเจียงจึงเรียกประชุมบรรดาผู้ถือหุ้นสามัญราใหญ่ทั้งหมดมาโดยด่วน เพื่อหามาตรการแก้ไขโดยทันที

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนก็เริ่มถยอยกว่านซื้อหุ้นอย่างลับๆ

ตอนที่222 ลงทุนได้ตามใจชอบ

จ้าวเฉียนไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น เขาไม่ยอมหน้าโง่จ่ายเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้เพียงเพราะอยากเอาคืนหวานเจียงแน่นอน

จ้าวเฉียนออกคำสั่งการหวู่เสี่ยวหัวอีกครั้ง

“คุณไปตรวจสอบงบการเงินของฮวาหยินกรุ๊ปในช่วงห้าปีที่ผ่านมา พร้อมวิเคราะห์ความสามารถในการทำกไรของบริษัทนี้มาโดยละเอียด ถ้าจำเป็นต้องจ่ายเงิน4พันล้านจริงๆ ผมต้องถือฮวาหยินกรุ๊ปไว้กี่ปีถึงจะคืนทุน?”

หวู่เสี่ยวหัวรีบดำเนินการโดยด่วน พร้อมนำทีมนักวิเคราะห์ของฟู่ไห่ประเมินความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฮวาหยินกรุ๊ปทันที

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวู่เสี่ยวหัวกลับมาและมอบเอกสารการวิเคราะห์ให้จ้าวเฉียนพิจารณา

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แนวโน้มอัตรากำไรของฮวาหยินกรุ๊ปสูงขึ้นก็จริง แต่กำไรสุทธิกลับไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ดีนัก แต่ละปีทำกำไรสุทธ์ได้แค่-20, -50, -100และ150ล้านตามลำดับ

เหตุผลที่ปีล่าสุดพวกเขามีกำไรสุทธิพุ่งแตะ150ล้านได้ ไม่ใข่เพราะสภาพเศรษฐีของพวกเขาดีขึ้น แต่เป็นเพราะพวกเขาโชคดีที่หันมาลงทุนกับหนังแนวการทหาร และติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศที่สุดท้ายพอดี กวาดกำไรไปได้5.6พันล้านหยวน ฮวาหยินกรุ๊ปที่ร่วมลงทุนด้วยได้ส่วนแบ่งไป160ล้าน หักลบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบริษัทจึงได้ไปสุทธิ150ล้านหยวน

หากไม่ใข่เพราะวิสัยทัศน์ที่ดีเลิศของหวานเจียง พวกเขาคงขาดทุนต่อเนื่องกันสามปีซ้อน และหุ้นบริษัทอาจเสี่ยงโดนเครื่องหมายเฝ้าระวังการล้มละลาย

หากจ้าวเฉียนใช้เงินกว่า4พันล้านกับการซื้อฮวาหยินกรุ๊ป จะให้วิเคราะห์ยังไงก็ไม่คุ้ม

หวู่เสี่ยวหัวกล่าวแนะนำขึ้นว่า

“คุณชาย ดิฉันคิดว่าควรลืมเรื่องนี้ไปดีกว่า ต่อให้ประเมินยังไงก็ไม่คุ้มลงทุน ราคาต่อหุ้นในปัจจุบันมันสูงเกินความเป็นจริงมาก หากเข้าลงทุนจะมีความเสี่ยงสูงมากที่โปรเจคนี้จะล้มเหลว”

มีหรือที่จ้าวเฉียนจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่เขาก็ปล่อยให้หวานเจียงดำเนินตามแผนของเธอไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้น เฟยอวี่กรุ๊ปอาจมีแววฟื้นคืนมาได้

ในเวลานั้นเองหวานเจียงก็โทรหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรับสายและเอ่ยถามว่า

“มีอะไร?”

หวานเจียงจงใจยั่วยุไปว่า

“เปล่าหรอก ก็แค่อยากจะถามนายว่า กำลังทำอะไรอยู่ หาวิธีโค่นล้มฮวาหยินกรุ๊ปของฉันได้รึยัง? 0”

“เหอะ เหอะ…เธอรู้ไหมว่า ผมเกลียดพวกที่ชอบกวนประสาทคนอื่นมากที่สุด”

จ้าวเฉียนเค้นเสียงเย็นกล่าวตอบ

“โอ๋? จริงเหรอ? จริงเหรอ? แล้วว่านายกำลังหงุดหงิดอยู่สินะ? แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่สนหรอก แค่จะบอกว่าคนอย่างนาย แค่จะเป็นผู้ชายดีๆ คนหนึ่งยังไม่ได้เลย แล้วจะมีปัญญาล้มฮวาหยินกรุ๊ปของฉันได้ยังไง? เลิกฝันกลางวันได้แล้ว!”

หลังจากพูดจบหวานเจียงก็กดตัดสายทิ้งทันทีจงใจไม่เปิดโอกาสให้จ้าวเฉียนเถียงตอบ ดูเหมือนว่าทางด้านเธอเองก็ไม่พอใจเช่นกัน จึงจงใจโทรสายมายั่วยุเป็นการส่วนตัวแบบนี้

ทีแรกจ้าวเฉียนยังลังเลว่าควรยึดครองฮวาหยินกรุ๊ปมาเป็นของตนเลยหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว จ้าวเฉียนกล่าวสั่งการหวู่เสี่ยวหัวทันทีว่า

“เตรียมลงมือกวานซื้อหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปได้เลย ลงมือในนามฟู่ไห่ แจ้งยอดทั้งหมดมาให้ผม เดี๋ยวผมจะโอนเงินกลับไปให้เองไม่ต้องห่วง”

หวู่เสี่ยวหัวได้ฟังแบบนั้นก็ปั้นสีหน้าลังเลใจขึ้นมาทันที เพราะทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้เงินอย่างต่ำ4พันล้านหยวน ซึ่งถึงจะเป็นเธอก็ไม่กล้าตัดสินใจได้โดยง่ายเช่นกัน

“คุณชายจ้าว เรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากขอบเขตหน้าที่ของดิฉันแล้ว ถ้ายังไงโปรดรอสักครู่ก่อนได้ไหมค่ะ? เดี๋ยวดิฉันจะรีบวิดีโอคอลไปหาคุณพ่อของดิฉัน จากนั้นคุณชายก็ลองคุยกับเขาตามสะดวกเลยค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและขอให้หวู่เสี่ยวหัวติดต่อหาหวู่เทียนจือโดยตรง

ไม่นาน สายก็ถูกเชื่อมต่อ พ่อลูกคู่นี้ทักทายกันสองสามคำก่อนจะเป็นฝั่งลูกสาวอย่างหวู่เสี่ยวหัวอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดโดยเร็ว จากนั้นค่อยส่งมือถือไปให้จ้าวเฉียน

หวู่เทียนจือรีบทักทายจ้าวเฉียนทันที

“คุณชายจ้าว ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ? สบายดีไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“สบายดีครับ เมื่อกี้คุณหวู่ได้อธิบายไปหมดแล้วใช่ไหม?”

หวู่เทียนจือระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวตอบไปว่า

“เรื่องนี้ผมอนุญาตอยู่แล้วครับ เพียงแต่ผมต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับคุณพ่อของคุณชายอีกทีด้วยนะครับ ยังได้ก็รบกวนรอสักครู่นะครับ”

สุดท้ายนี้โปรเจคดังกล่าวจำต้องใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า4พันล้านหยวน หวู่เทียนจือสามารถอนุมัติได้ก็จริง แต่อย่างไรก็ควรขอคำแนะนำจากจ้าวฝู่อีกทีหนึ่งเป็นการดีที่สุด ซึ่งในจุดนี้เองจ้าวเฉียนก็เข้าใจดีจึงพยักหน้าตอบไป

หวู่เทียนจือยิ้มตอบว่า

“งั้นโปรดรอสักครู่นะครับ ผมจะรีบติดต่อหาประธานจ้าวทันทีเพื่อรายงานโปรเจคดังกล่าว ตราบใดที่เขาไม่คัดค้าน ผมเซ็นอนุมัติได้ทันทีเลยครับ”

จ้าวเฉียนกดวางสายและนั่งรอข่าวคราวต่อไป

หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวฝู่ก็โทรสายเข้ามาหาลูกชายโดยตรง และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ไอ้ลูกชาย ทำไมถึงอยากซื้อฮวาหยินกรุ๊ป? เป็นเพราะสาวน้อยคนนั้นใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามกลับไปทันทีด้วยความประหลาดใจว่า

“ห่ะ? พ่อรู้จักเธอได้ยังไงเนี่ย?”

“ฮ่าฮ่า…นี่แกเป็นลูกชายฉันนะเว้ย คิดว่าที่ผ่านมาฉันไม่ได้สนใจแกเลยรึไง? หรือคิดว่าพ่อคนนี้จะโยนแกทิ้งที่เมืองตงไห่โดยไม่เฝ้าติดตามอะไรเลย?”

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะลั่นด้วยความภาคภูมิใจ

จ้าวฝู่มีลูกชายเพียงคนเดียว ดังนั้นย่อมต้องเอาใจใส่และตามติดไม่ห่างสายตาเป็นธรรมดา เมื่อใดที่ลูกชายของเขาตกอยู่ในอันตราย หยางหู่จะต้องออกมาปกป้องลูกชายคนนี้ของเขาด้วยชีวิต!

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“คราวนี้ผมต้องบากหน้ายืมเงินพ่อสี่พันล้านจริงๆ พ่อโอเคหรือเปล่า?”

จ้าวฝู่ยิ้มตอบไปว่า

“แน่นอน ฉันให้แกยืมได้ตลอดนั้นแหละ แต่ประเด็นสำคัญคือ ฉันอยากรู้ว่าทำไมแกถึงอยากเข้าควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปขนาดนั้น? แกต้องให้เหตุผลกับฉันก่อน”

“เหตุผลงั้นเหรอ? ง่ายๆ เลยครับ ผมพยายามหาช่องทางลัดเพื่อผลักดันบริษัทเฉียนเก๋อของผมเป็นที่รู้จักแกสาธารณะโดยใช้เวลาอันสั้น”

เอาเข้าจริงๆ ที่เขาต้องการซื้อฮวาหยินกรุ๊ปเป็นเพราะเขาโกรธหวานเจียงเฉยๆ ส่วนเหตุผลอื่นๆ กลับตกเป็นรอง

เมื่อได้ยินว่าลูกชายตัวเองต้องการผลักดันธุรกิจ จ้าวเฉียนก็ไม่มีข้อคัดค้านเช่นกันและตอบกลับไปว่า

“ตกลง! ฉันจะลองให้โอกาสแกดู อยากจะเห็นเหมือนกันว่าแกสามารถทำอะไรได้บ้าง ฉันจะบอกหวู่เทียนจือเองว่า ถ้าแกต้องการเท่าไหร่ก็อนุมัติได้ตามต้องการเลย แต่ฉันก็ขอพูดอะไรสักหน่อยนะ ครั้งนี้มันเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมาก ฉันไม่มีทางทิ้งเงินเล่นไปขนาดนี้ โดยที่สุดท้ายแกให้เหตุผลว่า เป็นค่าประสบการณ์เด็ดขาด”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบทันทีว่า

“ผมเข้าใจแล้วครับ พ่อไม่ต้องกังวล ผมมั่นใจว่าตัวเองจะต้องทำโครงการนี้ออกมาได้ดี และดีพอตามที่พ่อคาดหวัง ไม่ได้เอาเงินครอบครัวไปโยนทิ้งโดยเปล่าแน่นอน”

“ฮ่าฮ่า…ตกลง ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอดูผลงานแกก็แล้วกัน จะว่าไปแกกับแม่สาวน้อยฮวาหยินกรุ๊ปไปถึงไหนแล้ว?”

จ้าวฝู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเฉียนสะดุ้งเฮือกทันใด และรีบตอบกลับไปทันทีว่า

“อะไรคือไปถึงไหนแล้ว? ผมกับเธอ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”

จ้าวฝู่หัวเราะเสียงดังลั่นซ้ำสองและตอบไปว่า

“ก็แกพูดเข้าสิ นี่กำลังงอนกันอยู่สิท่า? แต่แกก็อายุไม่น้อยแล้วนะ ควรหาใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิตได้แล้ว ฉันก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากแกมากนะ ขอแค่ใครก็ได้เหมาะแม่สาวน้อยฮวาหยินกรุ๊ปนั่น ครอบครัวมีประวัติขาวสะอาด เป็นคนมีความรู้ความสามารถ ช่วยนายบริหารธุรกิจได้ แค่นั้นเอง แต่ถ้าถามพ่อแม่สาวน้อยฮวาหยินกรุ๊ปนั้นตรงทุกคุณสมบัติเลยนะ แถมแม่แกก็ดูถูกใจอีกต่างหาก”

จ้าวเฉียนกลอกตามองบนอย่างช่วยไม่ได้และเปลี่ยนเรื่องทันที

“พ่อคิดเยอะเกินไปแล้ว ผมยังมีธุระที่ต้องทำ ว่างๆ เดี๋ยวโทรไปหาใหม่แล้วกัน แค่นี้นะครับ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็กดวางสายำไป รอให้หวู่เทียนจือแจ้งลงมายังหวู่เสี่ยวหัวอีกทีหนึ่ง

ประมาณหน้าหาทีต่อมา หวู่เทียนจือก็โทรสายมาหาหวู่เสี่ยวหัว เพื่อให้เธอลงนามในสัญญาเงินกู้

หลังจากดำเนินการทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอก็เดินมาหาจ้าวเฉียนอีกครั้งและกล่าวว่า

“คุณชายจ้าว ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะคะ ถ้าต้องการให้ทางฟู่ไห่เข้าออเดอร์เมื่อไหร่ ก็โทรหาดิฉันได้ตลอด24ชม.นะคะ”

จ้าวเฉียนพยัดหน้าตอบดูท่าพึงพอใจไม่น้อย และกล่าวว่า

“งั้นก็รอไปก่อนครับ เดี๋ยวคุณช่วยส่งข่าวเสียของทางฮวาหยินกรุ๊ปให้กับทางสื่อหลักต่างๆ ก่อน เพื่อกดราคาหุ้นให้ได้ต่ำที่สุด จากนั้นก็จะใช้โอกาสนี้เข้าซื้อแบบถัวเฉลี่ย หรือให้ดีที่สุด ก็รอราคาทะลุแนวรับไปเลยค่อยกวาดซื้อทั้งหมดมา ผมอยากลดต้นทุนให้ได้มากที่สุดครับ โทรหาเบอร์นี้ได้เลย เขาจะช่วยขุดหาข่าวเชิงลบให้คุณเอง”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็มอบเบอร์ของหยางหู่ให้แก่หวู่เสี่ยวหัวไป

หวู่เสี่ยวหัวที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับยกนิ้วให้ทันที เธอกล่าวชื่นชมขึ้นว่า

“ไม่คิดเลยว่าคุณชายจ้าวจะทั้งเด็ดขาด เลือดเย็นขนาดนี้ ถึงใช้กลยุทธ์ปล่อยข่าวเสียเพื่อควบคุมราคาหุ้น”

“ฮ่าฮ่า….แต่ก่อนผมเคยทำเรื่องไม่ดีมาเยอะน่ะครับ ความรู้สึกเลยตายด้านไปกับอะไรพวกนี้ไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีประโยชน์ในเวลาแบบนี้เหมือนกัน”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นกล่าวคำอำลาและเดินจากไปทันที ทางด้านหวู่เสี่ยวหัวก็รีบเดินออกมาส่งเขาเช่นกัน

“อ่อ…จะปล่อยข่าวเสียจนทำให้ประธานบริษัทนั้นล้มละลายเลยก็ได้นะ ทางเราจะได้ประหยัดทุนหน่อย”

“ได้เลยค่ะ! คุณชายจ้าวขับรถปลอดภัยนะคะ”

จ้าวเฉียนเดินออกไปทักทายบรรดาเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย ถึงอย่างไรเราในตอนนี้ก็เป็นพนักงานของบริษัทฟู่ไห่แล้วเช่นกัน แม้จะเป็นแค่ในนามก็เถอะ

พอจ้าวเฉียนลงลิฟต์จากไป บรรดาพนักงานเหล่านั้นก็เริ่มจับกลุ่มกระซิบกันทันที

“นี่ นายคิดว่าวันๆ จ้าวเฉียนทำอะไรบ้าง? เห็นแทบจะไม่เข้าบริษัทมาเลย”

“ฉันได้ยินมาว่า ประธานหวู่มอบหมายงานให้เขาออกไปเสาะหาบริษัทที่เหมาะแกการลงทุนเพิ่มเต้มมาน่ะ ดูเหมือนว่าเป้าหมายในครั้งนี้จะเป็น ฮวาหยินกรุ๊ป”

“แต่ความสามารถในการทำกำไรของฮวาหยินกรุ๊ปมันไม่ผ่านเกณฑ์กำหนดของบริษัทไม่ใช่เหรอ? ทำไมจ้าวเฉียนถึงยังเลือกที่นี่ล่ะ? แล้วประธานหวู่ตอบตกลงหรือเปล่า?”

ตอนที่221อย่าหาว่าฉันไร้ซึ่งความเมตตา

หวานเจียงทราบดีเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างจ้าวเฉียนกับหยางหมิง และเธอไม่อยากทำให้เขาเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายโดนเร็วว่า

“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ เรื่องนี้มีเหตุผล”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและขอให้เธออธิบายทันทีว่าทำไม

พูดง่ายๆ คือ หยางเฉิงกับหวังหลินเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยที่พวกเขาก่อร่างสร้างตัว และเนื่องจากเฟยอวี่กรุ๊ปประสบความสูญเสียอย่างหนักจากเรื่องฉาวของสองสตีมเมอร์ดังจนทำให้เกิดจากฟ้องร้องและเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลจากบริษัทภาพยนตร์ในเครือบริษัทของจ้าวฝู่ โดยรวมแล้วตกอยู่ที่ประมาณ1.2พันล้านหยวน

แน่นอนว่าบริษัทเฟยอวี่กรุ๊ปไม่มีเงินสดก้อนใหญ่ขนาดนั้น ก็เลยต้องจำใจขายลิขสิทธิ์บางอย่างออกไป เพื่อหาเงินเข้ามาชดเชยค่าเสียหาย1.2พันล้านนี้

ในฐานะเพื่อนยากที่ร่วมบุกเบิกกันมา หัวงหลินไม่อยากเห็นหยางเฉิงต้องล้มละลายทั้งแบบนี้ จึงช่วยซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องดังกล่าวมา และนิยายอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่หยางหมิงเคยซื้อเก็บเอาไว้

หลังจากที่ได้ลิขสิทธิ์เรื่อง ‘เทพอสูรบรรพกาล’ มา ฮวาหยินกรุ๊ปก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าเข็นโปรเจคนี้ออกมาทำทันที

แต่อย่างไรนี่คือช่วงฤดูทองแห่งหนังและภาพยนตร์ ทำให้ค่าเช่าช่วงเวลาในช่องทีวีค่อนข้างมีต้นทุนที่สูงมาก ทุกบริษัทที่ทำในด้านนี้ล้วนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลออกไป แต่เสียงตอบรับกลับไม่ได้มากเท่าที่ควร นี่จะส่งผลกระทบถึงสถานะการเงินขงอบริษัทนั้นๆ อย่างรุนแรง และฮวาหยินกรุ๊ปไม่มีเงินทุนสำรองมากขนาดนี้ พอหวานเจียงทราบเรื่องนี้ คนแรกที่เธอนึกถึงคือจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนมีเงินจำนวนมากกว่าที่เธอจินตนาการอยู่ในมือ แต่มันอยู่ที่ว่าเขาจะเต็มใจร่วมลงทุนหรือเปล่า และนี่ก็เป็นหน้าที่ของเธอเช่นกันที่จะเกลี้ยกล่อมเขา

กล่าวตามตรงก็คือ หวานเจียงกำลังต้องการใช้เงินในมือจ้าวเฉียนเพื่อช่วยฮวาหยินกรุ๊ป ทดสอบตลาดสำหรับทีวีซีรีย์เรื่อง ‘เทพอสูรบรรพกาล’ ว่าจะไปต่อจนสร้างซีซั่นต่อๆ มาได้หรือไม่

หลังจากที่รับฟังคำอธิบายของหวานเจียงเสร็จหมด จ้าวเฉียนพยักหน้าถามต่อว่า

“แล้วลิขสิทธิ์นิยายทั้งหมดอยู่ในมือฮวาหยินกรุ๊ปแบบผูกขาดหรือเปล่า?”

คู่ดวงตาของหวานเจียงฉายแววเศร้าเล็กน้อย เธอส่ายหัวด้วยความรู้สึกผิดและกล่าวตอบไปตามจริง

“เฟยอวี่กรุ๊ปยังถือครองลิขสิทธิ์อยู่20%”

สีหน้าการแสดงออกของจ้าวเฉียนเย็นยะเยือกลงทันใด เขาแสยะยิ้มหัวเราะเยาะใส่หวานเจียงไปทีหนึ่งและถามกลับไปว่า

“นี่คุณ…คิดจะดูถูกผมรึไง?”

หวานเจียงส่ายหัวโดยไวกล่าวปัดไปว่า

“ฉันจะคิดแบบนั้นกับนายได้ยังไง นี่นายคิดว่าฉันกำลังยืมมือนายช่วยเฟยอวี่อยู่รึไง? ถ้าต้องทำแบบนั้นจริงๆ ฉันสู้เอาเงินโยนทิ้งขยะไม่ดีกว่าเหรอ? อะไรที่นายกำลังคิดอยู่ หยุดคิดไปเดี๋ยวนี้นะ! มันไม่ใช่แบบนั้นเลย!”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ ตรงเข้าไปใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มเธอแน่นและกรนเสียงเย็นกล่าวขู่ไปว่า

“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่! นี่เธอเห็นฉันโง่นักรึไง! ขนาดคนปัญญาอ่อนมาเห็นก็รู้ว่าเธอกำลังช่วยเฟยอวี่! เลิกล้มความคิดไปซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน!”

“นี่นายเป็นบ้าอะไรของนาย! นายก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับหยางหมิงมันเป็นยังไง? แต่นายก็ยังพล่ามอะไรก็ไม่รู้! นี่ไม่คิดจะเชื่อใจกันเลยรึไง?!”

อันที่จริง หวานเจียงเองก็พอจะทราบดีอยู่แก่ใจว่า จ้าวเฉียนจะต้องไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรเธอก็ยังต้องต่อสู้เพื่อพ่อของเธอ และเพื่อลิขสิทธิ์ทั้งหมดที่จ่ายไปแล้ว

เพียงว่า หวังหลินยังเห็นแก่หน้าเพื่อนเก่าอย่างหยางเฉินมากเกินไป จึงทำให้เธอตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แบบนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากบอกความจริงกับจ้าวเฉียน และลองเสี่ยงดูเท่านั้น

แววตาของหวานเจียงดูอ่อนข้อลงเล็กน้อย เธอพยายามกล่าวปลอบไปว่า

“ฉันรู้ว่าฉันมันเลว แต่ตอนนี้พ่อของฉันเองก็ออกมาเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เหมือนกัน มีอะไรที่ฉันพอจะทำได้ไหมเพื่อให้นายมาร่วมมือ?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวท่าทีเด็ดขาดพร้อมตอบไปว่า

“ไม่มีที่ว่างสำหรับเรื่องนี้อีกต่อไป ฉันไม่มีทางให้เฟยอวี่ได้กำไรจากสิ่งที่ฉันทำแม้แต่หยวนเดียว! ทางออกเดียวคือ ลิขสิทธิ์ที่เหลืออยู่ในมือทั้งหมดของเฟยอวี่ต้องเป็นของฉัน!”

หวานเจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามไปว่า

“ถ้าต้องการแบบนั้น นายต้องจ่ายเพิ่มหน่อยนะ ฉันขอร้องเถอะ พ่อของฉันอยากจะช่วยทางนั้น ในฐานะคนเป็นลูกมันก็ลำบากใจไม่น้อยเลยนะ ขอร้องเถอะ”

สมแล้วที่ได้ชื่อว่าราชินี ทักษะการพูดเกลี้ยกลอมของเธอนับว่าไม่เลว

จ้าวเฉียนลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า

“ฉันสามารถจ่ายได้นะ หากแลกมากับลิขสิทธิ์ทั้งหมดในมือเฟยอวี่ จะสูงหน่อยฉันก็ไม่ติดใจหรอก แต่ฉันมีเงื่อนไขที่เธอต้องชดเชยให้ฉัน”

หวานเจียงพยักหน้าและถามกลับไปว่า

“นายพูดมาเถอะว่าต้องการอะไร?”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะและตอบไปว่า

“ฉันจะบอกเธอเองเมื่อถึงเวลา แต่ตอนนี้เธอต้องรับปากฉันก่อนว่าจะทำตามสัญญา”

หวานเจียงส่ายหัวตอบปฏิเสธทันที ถ้าหากเขาเล่นตุกติกขึ้นมาและขออะไรบางอย่างที่มากเกินที่เธอจะรับได้ล่ะ? ดังนั้น ก่อนที่เธอจะรับปากอะไร อีกฝ่ายก็ควรบอกมาก่อนว่ามันคืออะไร

จ้าวเฉียนในตอนนี้ก็อารมณ์เสียไม่ใช่น้อยเช่นกัน เขาทนกับความเอาแต่ใจของเธอมาครั้งแล้วครั้งเล่า และเธอก็ยังไม่รู้ตัวเองอีกว่า สิ่งใดดีหรือไม่ดีสำหรับเธอและครอบครัว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเธออีกต่อไป

“งั้นลืมไปซะ ลองไปหาคนอื่นขอร้องให้เขาช่วยดูแล้วกัน แต่ยังไงก็เถอะ ฉันขอเตือนเธอไว้อย่าง ถ้าเธอกล้าช่วยเฟยอวี่ นั้นเท่ากับว่าคุณเป็นศัตรูกับผมทันที หลังจากนี้ก็อย่าหาว่าฉันไร้ซึ่งความเมตตาก็แล้วกัน นี่เห็นว่าสนิทด้วยนะ เลยเตือนถึงขนาดนี้!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินจากออกไปโดยไม่แม้แต่แยแส

หวานเจียงไม่เคยเห็นบริษัทเฉียนเก๋ออยู่ในสายตาอยู่แล้ว บริษัทของจ้าวเฉียนเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน จะไปเทียบเคียงกับฮวาหยินกรุ๊ปของเธอที่คลำวอดในวงการมาแล้วหลายสิบปีได้ยังไง? การที่เขาพูดจาแบบนี้มันหยิ่งผยองเกินเธอจะรับได้! คิดได้แบบนั้น เธอก็รีบไล่ตามจ้าวเฉียนออกไปทันที และพยายามหยุดจ้าวเฉียนที่ลานจอดรถ

“จ้าวเฉียน หยุดเดี๋ยวนี้!

หวานเจียงแหกปากตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัด

จ้าวเฉียนเหลือบศีรษะหันมองเธออย่างคร้านจะใส่ใจ เอ่ยถามด้วยท่าทีเฉยชาขึ้นว่า

“มีอะไร?”

หวานเจียงตะคอกสวนทันทีว่า

“เออมี! ฉันแค่จะเตือนอะไรนายสักอย่างเหมือนกัน! อย่าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรตามใจกับคนอื่นได้อยู่ฝ่ายเดียว! นี่คิดว่าจะทำลายฮวาหยินกรุ๊ปได้จริงๆ งั้นเหรอ? ฉันจะบอกอะไรไว้อย่างนะ…นายไร้เดียงสาเกินไป! นายคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกคนให้โคจรรอบตัวนายได้รึไง! หัดมองความเป็นจริงซะบ้าง!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าแสนเฉยชา และหมุนตัวกลับขึ้นรถและขับสวนร่างเธอออกไปทันที หลายสิ่งอย่างมันถาโถมเข้ามาดุจห่าพายุ หวานเจียงเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เธอระเบิดน้ำตาร้องไห้โฮอยู่แบบนั้น พลางจับจ้องท้ายรถของจ้าวเฉียนที่ค่อยๆ จากออกไป

จะให้พูดยังไงดีล่ะ? ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมันเกินไปกว่าเพื่อนหรือคู่ค้ากันไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าปัญหามากมายถาโถมรุมเข้ามาใส่ตัวเธอขนาดนี้ แต่จ้าวเฉียนกลับไม่แม้แต่เห็นใจยื่นมือช่วยเหลือกันเลย เธอรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างมากที่ไปรักคนแบบนี้ ทำได้เพียงหลับตาและพยายามทำใจยอมรับมันอย่างเปล่าประโยชน์

กล่าวตามหลักการแล้ว ฮวาหยินกรุ๊ปเป็นบริษัทจดทะเบียนแบบมหาชน เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเข้าควบคุม

จ้าวเฉียนขับรถไปที่ฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ทันทีและตรงเข้าไปในห้องทำงานของหวู่เสี่ยวหัว

หวู่เสี่ยวหัวรีบลุกขึ้นทักทายอีกฝ่ายและเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ค่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากสั่งการทันที

“คุณช่วยตรวจสอบผู้ถือหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปหน่อยว่ามีใครบ้าง พร้อมอัตราส่วนการถือครองทั้งหมด ผมต้องการทราบผลโดยเร็วที่สุด”

หวู่เสี่ยวหัวรีบดำเนินการโดยไว ประมาณห้านาทีต่อมา เธอก็กลับเข้ามาในห้องทำงานยพร้อมเอกสารชุดหนึ่งในมือ

จ้าวเฉียนรีบเปิดอ่านทันทีโดยละเอียด ในฐานะบริษัทสื่อบันเทิงรุ่นบุกเบิก ดังนั้นส่วนผู้ถือหุ้นจึงกระจายออกไปหลายฝักฝ่าย ทั้งยังมีประวัติการเพิ่มจำนวนหุ้นอยู่หลายครั้ง

มูลค่าทุนจดทะเบียบรวมได้สองพันล้านหยวน ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่2.9หยวนต่อหุ้น มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงถึง5.8พันล้านหยวน รายชื่อผู้ถือหุ้นสิบอันดับแรกได้แก่ ประธานฮวาหยินกรุ๊ป หวานหลิน จำนวนหุ้นที่ถือห้าร้อยล้านหุ้นคิดเป็น25%จากทั้งหมด และผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับที่สองได้แก่ น้องชายของหวานหลิน หวานไห่จำนวนที่ถือ100ล้านหุ้นคิดเป็น5%จากทั้งหมด และตั้งแต่อันดับสามลงมาถึงอันดับสิบ ไม่มีใครถือเกินกว่า5%อีกเลย ดังนั้นเมื่อรวมจำนวนหุ้นของผู้ถือสิบอันดับแรกก็จะเท่ากับ800ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ40%จากนั้นหมด

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขและกล่าวกับหวู่เสี่ยวหัวว่า

“ช่วยวานให้นักวิเคราะห์ของฟู่ไห่ช่วยประเมินที ว่ารวมแล้วต้องใช้เงินเท่าไหร่ผมถึงจะครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปได้”

หวู่เสี่ยวหัวรีบวิ่งออกไปหาทีมวิเคราะห์อีกครั้ง สิบนาทีต่อมาเธอก็วิ่งกลับมาพร้อมกับรายงานการวิเคราะห์

ตามการประเมิน ต้องใช้เม็ดเงินอย่างน้อย4พันล้านหยวนในการถือสิทธิ์ควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปโดยชอบธรรม หรือถึงเป็น51%จากหุ้นทั้งหมดของฮวาหยินกรุ๊ป

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันของบริษัทนี้อยู่แค่5.8พันล้าน หากผมต้องการ51%ทำไมถึงต้องใช้เงินมากถึง4พันล้าน?”

หวู่เสี่ยวหัวอธิบายโดยเร็วว่า

“หากเราเริ่มเคลื่อนไหวโดยการกวาดหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยก่อน ราคาหุ้นในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้นทันทีอย่างน้อย20-30% 4พันล้านหยวนนี่เป็นแค่อย่างต่ำที่ประเมินไว้เท่านั้นค่ะ เพราะมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะพุ่งสูงเกิน50%ระหว่างที่เรากว่านซื้อหุ้น แต่คุณชายจ้าว ทำไมคุณถึงต้องการฮวาหยินกรุ๊ป ทางเราเองก็มีบริษัทที่ผลิตภาพยนตร์และสื่อต่างๆ อยู่ในเครือแล้วเช่นกัน”

จ้าวเฉียนนั่งนิ่งกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก รายจ่ายกว่า4พันล้านหยวนเพื่อแลกมากับบริษัทเดียว มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแพงมาก แม้ว่าครอบครัวของเขาจะไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างทิ้งขว้างเช่นกัน

“ฉันจะเอายังไงดีกับฮวาหยินกรุ๊ป?”

จ้าวเฉียนบ่นพึมพำกับตัวเองชั่วขณะหนึ่ง

ตอนที่220 ลงนามสัญญาความร่วมมือ

จ้าวเฉียนกับหวานเจียงรับศึกหนักในโรงแรมตลอดจนเที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้ ทั้งคู่จึงผล็อยหลับไป เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเกือบเที่ยงวัน ก็พบว่าหวานเจียงได้จากไปแล้ว

จ้าวเฉียนคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโทรไปหาหวานเจียงทันที

“นี่ ออกไปตั้งแต่เมื่อไร่ ทำไมไม่ปลุกฉันก่อน?”

หวานเจียงถอนหายใจเสียงดังตอบกลับไปว่า

“นายมันขี้เกียจสันหลังยาว แล้วทำไมฉันต้องขี้เซาอย่างกับหมูแบบนายด้วย? อีกอย่างฉันต้องรีบไปซื้อยาคุม ตอนบ่ายยังมีนัดเซ็นสัญญากับบริษัทนายอีก ไปบอกลูกน้องด้วยว่า เตรียมสัญญามาให้พร้อม”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบเจือน้ำเสียงรู้สึกผิดเล็กน้อย

“โทษที เมื่อคืนฉันเหนื่อยจนเพลียหลับไปเลย แล้วอันที่จริงไม่ต้องกังวลหรอก ยาคุมฉุกเฉินให้กินภายใน24ชม.อยู่แล้ว คราวหน้าเดี๋ยวฉันซื้อเตรียมมาให้เธอก็แล้วกัน”

หวานเจียงสบถด่าสวนทันที

“นายนี่มันเลวเกินไปแล้ว! ยังคิดว่าจะมีครั้งหน้าอีกรึไง? ฝันไปเถอะ!”

จ้าวเฉียนหัเราะคิกคักพลางตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่เป็นไร ไม่ต้องเขินหรอกน่า แล้วมีนัดเซ็นสัญญากี่โมง?”

” บ่ายสาม! ฉันยังมีธุระต้องทำ แค่นี้แหละ!”

หวานเจียงวางสายทันทีหลังพูดจบ

จ้าวเฉียนรีบลุดขึ้นจากเตียงโดยไว อาบน้ำแต่งตัว ออกไปรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะเดินทางไปที่บริษัท เฉียนเก๋อโดยทันที

หยวนมี่รีบพาเขาเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเธอทันทีและเอ่ยถามด้วยความเคารพว่า

“ทำไมวันนี้คุณจ้าวว่างได้ค่ะเนี่ย? ถ้ามีอะไรจริงๆ โทรสั่งดิฉันได้ตลอดนะคะ ไม่เห็นต้องเสียเวลามาเองเลย”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบไปว่า

“ฉันจะมาคุยกับฮวาหยินกรุ๊ปเป็นการส่วนตัวน่ะ รู้สึกว่าผู้จัดการของทางนั้นจะมาที่นี่ตอนบ่ายสาม วันนี้ฉันเองก็ว่าง เลยมาคุมเองเลยดีกว่า แถมฉันจะมาเพิ่มเงื่อนไขให้อู่ซินรับบทนางรองด้วยน่ะ หากเธอสามารถทำผลงานเรื่องนี้ออกมาได้ดี รับรองว่ากลายมาเป็นดาราดาวรุ่งแห่งปีแน่นอน

หยวนมี่กล่าวถามทันทีด้วยความสงสัย

“คุณจ้าว ดิฉันขอถามได้ไหมค่ะว่า ใครเป็นผู้กำกับ? แล้วตัวพระเอกกับนางเอกใครเป็นคนรับบท?”

“ผู้กำกับคือเฟิงเต๋อ ผู้กำกับหนุ่มดาวรุ่งในตอนนี้ ส่วนเรื่องบทละครยังไม่ได้รับการตัดสินใจ แต่ที่แน่ๆ คือนางรองต้องเป็นอู่ซิน”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปถามความจริง

หยวนมี่ยิ่งมึนงงหนักกว่าเดิม ในเมื่อบริษัทเฉียนเก๋อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนใหญ่ แล้วทำไมคุณจ้าวถึงไม่สู้เพื่อเอาบทนางเอกมาให้อู่ซิน แต่กลับเลือกให้เป็นแค่นางรองเท่านั้น?

จ้าวเฉียนทราบดีถึงข้อกังขาใจนี้ของเธอ จึงกล่าวอธิบายไปว่า

“ทักษะการแสดงของอู่ซินยังไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าเธอรับบทนางเอกในหนังที่ผู้คนคาดหวังขนาดนี้ จะส่งผลเสียหลายๆ อย่างตามมา อย่างแรกคือแรงกดดันที่มหาศาลเกินกว่าตัวอู่ซินจะรับไหว และสองอาจจะทำให้หนังขาดทุนได้ และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ มันจะทำให้เส้นทางนักแสดงของเธอในอนาคตแคบลงทันที”

หยวนมี่พยักหน้าและเรียกผู้กำกับพร้อมมือเขียนบทในบริษัทมาประชุมทันทีโดยเร็ว เนื่องจากอู่ซินจะต้องรับบทเป็นนางรอง ดังนั้นเรื่องบทหนังในส่วนนี้ พวกหยวนมี่จะต้องปรับแต่งบทยังไงก็ได้ออกมาโดดเด่นไม่แพ้นางเอก

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซูหยิงและผู้กำกับเฉินเจียก็เดินเข้ามาพบกับทั้งคู่ พวกเขาถือเป็นนักเขียนบทและผู้กำกับระดับปรมาจารย์

ทั้งสองรีบโค้งทักทายจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็ว

“คุณชายจ้าวไม่ได้พบกันตั้งนาน สบายดีไหมค่ะ?”

ซูหยิงเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้ม

เฉินเจียเองก็รีบทักทายเช่นกัน

“สวัสดีครับคุณชายจ้าว”

จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“สบยาดี แล้วพวกคุณล่ะ?”

ทั้งสองส่ายหัวตอบกลับไปว่าสบายดีเช่นกัน จากนั้นจ้าวเฉียนก็ผายมือเชิญทั้งสองนั่งลง

หยวนมี่ที่เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังขึ้นว่า

“คุณจ้าวค่ะ ทำไมพวกเขาถึงเรียกคุณว่า คุณชายจ้าว?”

จ้าวเฉียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ทุกคนในห้องนี้มีเพียงหยวนมี่คนเดียวที่ยังไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา จึงยิ้มตอบไปว่า

“เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองในอนาคต เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า”

จ้าวเฉียนอธิบายเนื้อความของโปรเจคหนังเรื่องนี้พอสังเขปให้แก่ทั้งสองฟัง จากนั้นก็วานพวกเขาช่วยเขียนบทของอู่ซินให้ออกมาดูดีที่สุดในขอบเขตของบทนางรอง

ซูหยิงและเฉินเจียรีบระดมสมองหารือเพื่อสร้างบทละครของอู่ซินออกมาให้ดีที่สุด หลังจากนั้นไม่นานหวานเจียงก็มาถึงบริษัทเป็นลำดับต่อมาพร้อมกับคนของฮวาหยินกรุ๊ป

ทั้งสองฝ่ายนั่งลงในห้องประชุมใหญ่และหารือเกี่ยวกับรายละเอียดสัญญาอย่างเป็นทางการ

หวานเจียงเอ่ยถามจ้าวเฉียนว่า

“คุณจ้าว คุณมีข้อกำหนดอะไรอีกไหมที่ต้องการแจ้ง ไม่อย่างนั้นเราจะเริ่มเซ็นสัญญากันทันที”

จ้าวเฉียนเหลือบมองไปที่ซูหยิงและเฉินเจีย ทั้งสองพยักหน้าให้ราวกับเข้าใจสิ่งที่พยายามสื่อในทันที ก่อนจะยกมือขึ้นเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับบทนางรองของอู่ซิน ว่าควรปรับแต่งตรงไหนบ้างพร้อมอธิบายให้ทุกคนฟัง

ท้ายที่สุดนี้ จ้าวเฉียนอัดฉีดเงินลงทุนไปถึง150ล้าน และขอกักแค่บทละครนางรองเท่านั้น หากจะมีข้อเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมอีกนิดๆ หน่อยๆ ทางฮวาหยินกรุ๊ปย่อมไม่คัดค้านเป็นธรรมดา

พอทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันจึงเริ่มกระบวนการเซ็นสัญญาทันที หลังจากจ้าวเฉียนลงนามเสร็จ ทางหวานเจียงก็ลงนามต่อทันที ทั้งสองบริษัทต่างถือหนังสือสัญญาฉบับสำเนาไว้คนละเล่ม ถือมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายแล้ว

หวานเจียงยิ้มกล่าวว่า

“เพื่อความยุติธรรม คุณจ้าวสามารถส่งผู้กำกับเฉินและมือเขียนบทซูไปร่วมในกองถ่ายได้ตลอดนะคะ ถ้าได้ความช่วยเหลือจากสองคนนี้ ดิฉันคิดว่าโปรเจคหนังเรื่องนี้จะยิ่งสมบูรณ์แน่นอน”

จ้าวเฉียนหันไปถามความเห็นจากทั้งสองว่า

“พวกคุณสองคนว่ายังไง?”

เฉินเจียรีบกล่าวตอบทันทีด้วยความเคารพ

“คุณชายจ้าว ผมอยากจะลองลงสนามกับผู้กำกับเฟิงดูสักครั้ง บางทีคนแก่อย่างผมก็ต้องรู้เรียนอะไรใหม่ๆ จากพวกผู้กำกับหนุ่มสาว”

ซูหยิงพยักหน้าตอบเช่นกัน

“คุณชายจ้าว ดิฉันเองก็อยากจะลองไปดูเช่นกัน คราวนี้ถือเป็นโปรเจคใหญ่ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับดิฉันเช่นกัน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า

“งั้นตกลง! ถ้าอย่างนั้นพวกคุณทั้งสองก็เดินทางไปคุมกองถ่ายได้ตามสะดวกเลยนะ คุณหวานยังมีอะไรจะเสนอในห้องประชุมนี้อีกไหมครับ?”

หวานเจียงส่ายหัวเป็นคำตอบ

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยกันเรื่องส่วนตัวต่อดีกว่า”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุมปากตอบกลับทันใด

สีหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เหลือบมองผู้คนจากฮวาหยินกรุ๊ปที่มาด้วย เธอพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นทันควัน เอ่ยถามใบหน้าเคร่งขรึมว่า

“คุยเรื่องอะไรเป็นการส่วนตัว? วันนี้พวกเราฮวาหยินกรุ๊ปมาเจรจาเรื่องธุรกิจเท่านั้น!”

แต่คนอื่นๆ ในห้องประชุมเองต่างหัวไวทราบจุดยืนของตัวเองในทันใด ไม่เว้นแม้แต่คนของฮวาหยินกรุ๊ป พวกเขารีบเก็บเอกสารบนโต๊ะและเดินจากห้องประชุมออกไปโดยไวพร้อมปิดประตูให้เสร็จสรรพ ตอนนี้เหลือเพียงจ้าวเฉียนและหวานเจียงเท่านั้นในห้องประชุม

หวานเจียงโกรธอย่างมากเมื่อเห็นแบบนั้น เธอตะวาดลั่นว่า

“นี่นายบ้าไปแล้วรึไง! ต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าอยากคุยเรื่องส่วนตัวนี่นะ? แล้วถ้าพวกเขาเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำยังไง?!”

“ทำไมถึงดูประหม่าขนาดนั้นล่ะ? เข้าใจผิดแล้วมันยังไง? กลัวคนอื่นคิดว่า พวกเราเป็นมากกว่าคนร่วมธุรกิจกันรึไง?”

“ก็ใช่น่ะสิ! ดังนั้นเลิกพูดจากอะไรที่มันส่อไปทางแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นได้แล้ว! เข้าใจที่ฉันพูดไหม?”

เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของหวานเจียงที่ดูโกรธจัด จ้าวเฉียนก็พลันสงสัยเช่นกัน ถ้าคนอื่นทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแล้วยังไงล่ะ? จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึไง?

“นี่เธอยังโกรธฉันอยู่เหรอ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

หวานเจียงเค้นเสียงเย็นถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไม่! ทำไมฉันต้องโกรธนายด้วย! หลงตัวเองเกินไปแล้ว!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางตอบไปว่า

“ก็เห็นอยู่ว่ากำลังโกรธ ฉันพอจะไถ่โทษอะไรได้บ้างไหม?”

หวานเจียงหัวเราะเล็กน้อย กล่าวเย้ยขึ้นว่า

“อย่างนายเหรออยากจะไถ่โทษ?”

รอยยิ้มที่ประดับประดาบนใบหน้าของจ้าวเฉียนหายวับไป กลับแทนที่มาด้วยสีหน้าแสนจริงจัง

“ฉันว่าตัวเองล้ำเส้นเธอเยอะเกินไปหน่อยน่ะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะไถ่โทษหรือช่วยอะไรได้ก็บอกมาเถอะ”

หวานเจียงคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีอกดีใจ

“เรากำลังมีแผนสร้างทีวีซีรีย์เร็วๆ นี้ แต่เรายังขาดผู้ร่วมทุนอยู่ นายสนใจเข้ามาช่วยฉันไหมล่ะ?”

จ้าวเฉียนกลอดตาใส่เล็กน้อย กล่าวตอบไปตรงไม่มีเกรงใจว่า

“ตราบใดที่เป็นโปรเจคที่สามารถทำกำไรได้ ฉันไม่มีปฏิเสธิอยู่แล้ว แต่ดูท่า…มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดใช่ไหม?”

หวานเจียงยิ้มและตอบกลับไปว่า

“โปรเจคนี้ค่อนข้างพิเศษน่ะ ฉันกลัวว่านายจะไม่เต็มใจช่วยน่ะสิ”

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวไปว่า

“นี่น่ะเหรอราชินีน้ำแข็งแห่งวงการธุรกิจ บางครั้งเธอก็ดูไร้เดียงสาเกินไปหน่อยนะ เกริ่นมาแบบนี้ผมก็พอเดาได้แล้วว่า มันหมายความว่ายังไง สู้บอกฉันมาตรงเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม ส่วนจะเอายังไงต่อก็ต้องดูอีกทีหนึ่ง”

หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าและอธิบายเกี่ยวกับโปรเจคทีวีซีรีย์ดังกล่าวทันที แต่พอจ้าวเฉียนได้ยิน สีหน้าของเขาพลันมืดทมิฬลงทันควัน ปรากฏว่าโปรเจคที่ทางฮวาหยินกรุ๊ปกำลังจะสร้างขึ้นมาคือ ซีรีย์กำลังภายในโบราณที่ดัดแปลงมาจากนิยายสุดฮิตอย่าง《เทพอสูรบรรพกาล》แต่งโดยสองเทพแพตตินั่ม

ซึ่งสองเทพแพตตินั่มคือคนที่เคยมีปัญหากับหรูเมิ่งในตอนแรกสุด และคนที่สนับสนุนสองนักเขียนคู่นี้ก็คือหยางหมิง นั้นหมายความว่า การที่ทางฮวาหยินกรุ๊ปจะนำเรื่อง《เทพอสูรบรรพกาล》มาถ่ายทำได้เท่ากับว่าต้องได้รับอนุญาตจากหยางหมิงก่อนแล้วเช่นกัน แล้วเหตุใดหวานเจียงถึงยอมร่วมมือกับหยางหมิงล่ะ?

สีหน้าของจ้าวเฉียนผิดจากตอนก่อนหน้าลิบลับ เอ่ยปากถามอย่างเย็นชาว่า

“นี่หมายความว่ายังไง? เธอร่วมมือกับหยางหมิงงั้นเหรอ?”

ตอนที่219 คุณเริ่มก่อน

จ้าวเฉียนพาหวานเจียงไปที่ห้างและบอกเธอไปว่าช็อปปิ้งได้ตามสบาย

ต่อให้สาวๆรวยแค่ไหน แต่สุขใดย่อมไม่เท่าช็อปปิ้งฟรีไม่มีจำกัดวงเงิน

หวังเจียงไม่เคยมีปัญหาเรื่องขาดแคลนชุดเสื้อผ้าแบรนด์เนม เครื่องสำอาง หรือกระเป๋า แต่เธอก็ยังช็อปปิ้งไม่หยุดมือราวกับกระหายมาเป็นเวลานาน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอจ้าวเฉียนเห็นว่าเวลานี้มันเริ่มดึกแล้ว เขาก็พาหวานเจียงไปดินเนอร์กันที่ร้านอาหารแนวตะวันตก

ขณะที่ทั้งคู่เพิ่งตรงผ่านประตูร้านเข้ามา ก็ดันไปเจอกับหยางหมิง, หวานฮันซู, จางหยาง, , หวังเฉียง ,หวังซินซิน และชาวต่างชาติอีกสองคน

หยางหมิงมองทั้งสองที่คุยเล่นคิกคักกันมาด้วยความอิจฉา ตรงเข้าไปเย้ยเยาะขึ้นทันทีว่า

“นี่แกยังกล้าออกมาเที่ยวเล่นอีกเหรอ? ไม่กลัวเดินๆอยู่ก็ตายคาถนนรึไง?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะตอบกลับไปว่า

“ก็ตอนนี้ยังไม่ตายก็แล้วกัน ไม่อย่างงั้นคงไม่โผล่มาให้เห็นหน้าแบบนี้หรอกจริงไหม?”

จางหยางตรงเข้ามาหัวเราะเยาะซ้ำเติมและเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วนี่พาใครมาด้วย? คงตามปอกหลอกสาวที่ไหนอีกใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบกลับไปว่า

“แน่นอนครับ ผมต้องพยายามตามจีบให้สาวๆที่รวยๆมารักมาหลง ผมไม่ได้เหมือนผู้จัดการจางนะครับ ที่ไปเรียนโง่ๆที่อเมริกาปีสองปี พอกลับมาก็เกาะแข้งเกาะขาประธานบริษัทสาว ขึ้นมามาเป็นผู้จัดการบริษัทได้แบบง่ายๆ แถมตอนนี้เธอด็กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย อีกไม่นานคงมีครอบครัวที่สุขสันน่าดู สามารถไต่ขึ้นมาขนาดนี้ได้ด้วยเวลาอันสั้น ผมสงสัยจริงๆว่า ที่อเมริกาสอนหลักสูตรอะไรให้หรอครับ? วิธีเป็นแมงดาเกาะผู้หญิง101?”

จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นก็เดือดจัดคำรามลั่นร้านว่า

“นี่แกกำลังพล่ามอะไรอยู่! ฉันเป็นนักศึกษาป.โทจบที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และฉันมีคุณสมบัติมากพอสำหรับตำแหน่งผู้จัดการบริษัทแห่งนี้!”

จ้าวเฉียนแบะปากพยักหน้าตอบเล็กน้อย

“สุดยอดจริงๆแหะ ไม่ยักรู้ด้วยว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจะมีหลักสูตรสอนเป็นแมงดาเกาะผู้หญิงเจริญด้วย วิชานี้อยู่ในคณะไหนเหรอครับ? ผมว่าจะไปเรียนต่อสักหน่อย?”

จางหยางกำหมัดแน่นก้าวออกไปข้างหน้าราวกับจะไปชกจ้าวเฉียนทันที

แต่หวังเฉียงรีบหยุดเขาเอาไว้และกล่าวปลอบโยนขึ้นว่า

“ทำไมผู้จัดการจางถึงเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับพวกชั้นต่ำแบบนั้นด้วย? คนกำลังจะตายแทนที่จะโกรธสู่อโหสิแทนไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

“ฮ่าฮ่า….”

พอได้ยินแบบนั้นทุกคนระเบิดหัวเราะลั่นขึ้นมาทันที

จ้าวเฉียนทราบดีว่า พวกเขาคงกำลังหมายถึงเรื่องที่หู่เทียนจ้างนักฆ่ามาสังหารเขา ดังนั้นจึงแสร้งถามไปว่า

“เอ๋? เอาแต่แช่งผมให้ตายกัน มีหรือซุบซิบอะไรหรือเปล่าน๊า…”

หวานฮันซูยิ้มและตอบกลับไปว่า

“แม้ว่าเราจะมี แต่ทำไมต้องบอกแกด้วย? ไปกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจคนอย่างมัน รอหลังมันตาย แล้วเราค่อยส่งพวงลีดไปให้”

“ฮ่าฮ่า….”

ทุกคนระเบิดหัวเราะเยาะอีกครั้ง และเดินผ่านจ้าวเฉียนออกจากร้านไปอย่างไม่แยแส

หวานเจีงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งแล้ว พอเห็นว่าคนกลุ่มนั้นเดินจากออกไป เธอก็รีบสะกิดถามด้วยความเป็นห่วงว่า

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมพวกนั้นถึงเอาแต่บอกราวกับว่านายกำลังจะตาย?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบอย่างไม่แยแสไปว่า

“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของพวกนั้นเลย เราเข้าไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

แต่หวานเจียงไม่เชื่อ หากจ้าวเฉียนในตอนนี้ไม่ตกอยู่ในอันตรายจรืงๆ พวกหยางหมิงคงไม่พูดแบบนั้นออกมาแน่นอน ดังนั้นเธอจึงกระชากแขนจ้าวเฉียนไม่ให้เดินเข้าไปในร้าน และเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังว่า

“จ้าวเฉียน ตอนนี้ฉันจริงจังอยู่นะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไปมีปัญหากับใครอีก?”

จ้าวเฉียนอยากจะตอบเธอไปตามตรงเช่นกัน แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของเธอ เขาก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา

“ทำไม? แทนที่จะมานั่งเครียดใส่กัน ทำไมถึงไม่ใช้เวลาที่เหลืออยู่มีความสุขไปด้วยกันแทนล่ะ?”

พอได้ยินแบบนั้น หัวใจของหวานเจียงถึงกับตกลงตาตุ่ม บริเวณรอบดวงตาเริ่มเห่อร้อน เธอน้ำตาซึมออกมาทันใด นี่แตกต่างไปจากราชินีน้ำแข็งแห่งวงการธุรกิจอย่างที่ทุกคนเคยรู้จัก ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“เจ้าบ้า! นี่นายไปมีปัญหากับใครอีก? พวกมันจะฆ่านายเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะจ้าวเฉียน!”

จ้าวเฉียนแสร้งถอนหายใจเล็กน้อยและโอบไหล่พาหวานเจียงเดินเข้าร้านอาหารไป พลางกล่าวไปว่า

“หลังกินอาหารเสร็จ เดี๋ยวฉันบอกเธอเองไม่ต้องห่วง”

ทั้งสองนั่งรับประทานดินเนอร์กันที่ริมหน้าตา ชมบรรพากาศเมืองจากที่สูงในตอนกลางดึก สั่งสเต็กและพาสต้าเป็นเมนูจานหลัก โดยมีไวน์แดงเป็นเครื่องเคียง

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าเศร้าเล็กน้อย แต่ภายในใจของเขามีความสุขอย่างมาก พลางรับประทานสเต็กพร้อมดื่มด่ำไปกับบรรยากาศยามราตรี

ในขณะที่หวานเจียงตอนนี้นั่งกินอาหารท่าทีเกๆกังๆราวกับหุ่นเชิด จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็รับประทานอาหารเสร็จสิ้น เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากพลางเอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้นว่า

“ฉันกินเสร็จแล้ว เธอจะสั่งอะไรมาเพิ่มไหม?”

หวานเจียงไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย เธอส่ายหัวและรีบหยิบเงินออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ลากจ้าวเฉียนออกไปทันที

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่เราจะไปไหนกันต่อ?”

หวางเจียงชี้ไปที่โรงแรมหรูใกล้ห้างพร้อมกล่าวตอบไปว่า

“ที่นั่น”

จ้าวเฉียนอดยิ้มไม่ได้และพาเธอไปเปิดห้องทันที

เมื่อเข้ามาในห้องพักโรงแรมแล้ว หวานเจียงก็ระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมาอย่างเกินจะทานทนได้ไหว เธอเอ่ยถามจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“ช่วยพูดอะไรสักอย่างเถอะ! ช่วยบอกให้ฉันรู้ทีได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมนายถึงถูกหมายหัวแบบนี้!?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับว่า

“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันจัดการเองได้”

ยิ่งได้ยินคำตอบแบบนี้ หวานเจียงยิ่งร้องไห้ห่มร้องไห้หนัก เธอตะคอกขึ้นว่า

“นายคนเดียวจะจัดการได้ยังไง? บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นใคร! ทุกครั้งที่เกิดเรื่องนายก็เอาแต่พูดว่า ฉันจัดการได้ ฉันจัดการได้ตลอด นายเคยคิดถึง…”

ยังไม่ทันพูดจบ จ้าวเฉียนก็ตรงเข้าไปสวมกอดหวานเจียงในอ้อมแขนทันที ลูบแผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบาและกล่าวปลอบขึ้นว่า

“เชื่อใจฉันเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ ตราบเท่าที่ฉันยังมีเวลาเหลืออยู่ ถ้าได้ใช้มันร่วมกับเธอ ถึงตายฉันก็ไม่เสียใจ”

“ฮึก…นายหยุดพูดแบบนี้เลยนะ…ฮึก…นายบอกมา…นายแค่บอกมาว่ามันเป็นใคร! รีบบอกฉันมาสิ…”

จ้าวเฉียนถอนร่างออกมาและประกบจูบกับเธอทันที หวานเจียงเงียบลงอย่างรวดเร็ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นกระทันหันมาก จ้าวเฉียนผลักร่างของหวานเจียงขึ้นเตียงและเริ่มบรรเลงบทเพลงรักอย่างดุเดือด ไม่เพียงแค่หวานเจียงจะไม่ขัดขืนเท่านั้น แต่เธอยังให้ความร่วมมือตอบสนองจ้าวเฉียนอย่างดุเดือด

หลังจากพายุอันเร้าร้อนจบลง จ้าวเฉียนในตอนนี้กำลังนอนกอดหวานเจียงอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยกายกันทั้งคู่

 แต่หวานเจียงเธอยังนอนไม่หลับ ใช้สองมือประกบหน้าจ้วาเฉียนและเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า

“สรุปนายจะบอกฉันได้รึยังว่าใครกัน? ถ้าไม่บอก ฉันก็ยังเป็นทุกข์อยู่แบบนี้ นายทนเห็นฉันในสภาพแบบนี้ได้เหรอ?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปว่า

“เธอจะไม่โกรธฉันแน่เหรอ?”

“ฉันรับรอง ไม่ว่าจะอีกฝ่ายจะมีอำนาจอิทธิพลแข็งแกร่งแค่ไหน ฉันก็ไม่โกรธ ตราบใดที่ยอมสารภาพตรงไปตรงมา ฉันจะยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยนาย”

“อีกฝ่ายคือ…ฟู่เทียน ประธารเหล่ยอู่”

“ห่ะ? ฟุ่อะไรนะ?”

“ประธานของบริษัทเหล่ยอู่ ฟู่เทียน”

หวานเจียงนอนงงอยู่พักหนึ่ง ทั้งชื่อและบริษัทดังกล้าวเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ในเวลานี้เธอก็พลันคิดไปว่าตัวเองถูกหลอก

“ไอ้บ้า! นี่กล้าหลอกฉันเหรอ!”

หวานเจียงโกรธจัด ลุกขึ้นไปหยิบมือถือทุบใส่หัวจ้าวเฉียนชนิดไม่มีอ้อมแรง

จ้าวเฉียนเองก็ไม่คิดเลยว่า เธอจะโหดเหี้ยมปานี้ พอเห็นว่าหลบไม่ทันแน่นอน เขาก็รีบหยิบมือขึ้นมากำบังโดยไว

“โอ้! หยุดก่อน! ก็เธอยอมเองหนิ!”

จ้าวเฉียนพร้อมใช้หมอนปิดหน้าเอาไว้หนาแน่น

หวานเจียงตอนนี้เดือดจัดถึงขีดสุดแล้ว จ้าวเฉียนกล้าหลอกเธอไปนอนด้วยแบบนี้ได้ยังไง? เธอใช้มือหนึ่งคว้าหมอนที่เขาใช้ป้องกันโยนทิ้งไปข้างเตียง แต่กระหน่ำทุบหัวเขาด้วยโทรศัพท์ภายในมือ ไม่ทราบเลยว่าตอนนี้หน้าผากของจ้าวเฉียนบวมนูนขนาดไหนแล้ว แต่เธอก็ยังทุบตีไม่มีหยุด

“นายโกหกฉัน… นายโกหกฉัน…”

หวานเจียงทุนตีอย่างต่อเนื่อง ตะโกนร้องห่มร้องไห้ลั่นด้วยความเกลียดชัง

จ้าวเฉียนเองก็เริ่มโมโหขึ้นแล้วเช่นกัน รีบคว้ามือเธอเอาไว้และคำรามขึ้นลั่นว่า

“ถ้ายังไม่หยุด ฉันจะไม่สุภาพกับเธอแล้วนะ!”

“ไอ้สารเลว! ที่ทำกับฉันขนาดนี้ยังเรียกว่าสุภาพได้อีกงั้นเหรอ?!”

หวานเจียงไม่สนใจฟังเขาแม้แต่น้อย

“ที่ฉันพูดไปเป็นคาวมจริง! ก็เธอเอาแต่ร้องไห้ถามไม่หยุด นี่ก็ตอบให้แล้วไง! ยังต้องการอะไรอีก?”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ

หวานเจียงลุกขึ้นตบตีเขาต่อทันใด

“หุบปาก! ทีแรกฉันก็คืดว่าอีกฝ่ายเป็นคนใหญ่คนโตที่ไหน ที่แท้ก็แค่ประธานบริษัทเล็กๆที่ฉันไม่แม้แต่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ! นายจงใจหลอกฉันให้เสียตัวชัดเจน! ฉันไม่น่าโง่เชื่อคนอย่างนายเลยจริงๆ!!”

“เหอะ จะโทษฉันงั้นเหรอ? ใครกันที่รีบกินข้าวรีบพาฉันไปโรงแรม? แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นประธานบริษัทเล็กๆแล้วไงล่ะ? แต่อีกฝ่ายก็จ้างคนมาฆ่าฉันได้นะ! สรุปนี่เธอไม่ห่วงความปลอดภัยของฉันเลยใช่ไหม?!”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามสวนกลับไป

หวานเจียงพ่นลมหายใจใส่ด้วยความไม่พอใจอย่างมาก เธอกล่าวตอบไปว่า

“ไอ้ทีแรกฉันก็เป็นห่วง คิดว่านายไปมีเรื่องกับคนมีอำนาจเข้า ฉันก็อยากจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ประธานบริษัทเล็กๆคนหนึ่ง ลำพังแค่นายจัดการได้สบายอยู่แล้ว นี่จงใจปั้นหน้าเศร้าหลอกฉันจนใจอ่อน! พอใจแล้วรึยัง? ได้ร่างกายฉันไปแล้วหนิ!”

หวานเจียงยกผ้าห่มคลุมโปร่งใส่จ้าวเฉียน พร้อมออกหมัดเตะต่อยอีกชุดใหญ่จนกระทั่งเธอเหนื่อยและหยุดไปเอง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน หันตะแคงหน้าไปอีกฝั่งราวกับไม่อยากเห็นหน้าจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว

ในเวลานี้ จ้าวเฉียนโกรธมาก เขาพลิกผ้าห่มโยนทิ้งออกไปทันที พร้อมขึ้นค่อมบนร่างของเธอ หวังจะสั่งสอนให้เธอรู้ว่าเวลาผู้ชายโกรธมันเป็นยังไง!

ตอนที่218 ระดมพลฉลอง

ในไม่ช้าก็ผ่านไปหนึ่งเดือน พอได้รับอนุญาตจากแพทย์ อู่เลอก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด

จ้าวเฉียนทำการจองห้องไว้สำหรับฉลองทันทีที่โรงแรมตงไห่ และเรียกบรรดาลูกน้องทั้งใหม่และเก่าแห่แหนกันเข้ามาซะชุดใหญ่

พวกเขาเหล่านี้เป็นแล่ช่างซ่อมรถและลูกมือนักแข่งธรรมดาทั่วไป ไม่เคยมีโอกาสได้มารับรับประทานอาหารและฉลองในโรงแรมตงไห่ชั้นเจ็ดสุดหรูมาก่อน พวกเขาทุนคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“บอสจ้าวของเราสุดยอดไปเลย! นี่มันโอกาสหนึ่งเดียวในชีวิตจริงๆที่ได้มีโอกาสขึ้นมาฉลองที่นี่ได้!”

“ถูกต้อง! ฉันเคยได้ยินมาว่าคนที่จะเป็นห้องอาหารส่วนตัวในชั้นที่เจ็ดได้จะต้องเป็นระดับVIPของโรงแรมตงไห่เท่านั้น! แค่ค่าอาหารขั้นต่ำก็แพงกว่าทั้งชีวิตฉันแล้ว!”

“บอสจ้าวกำลังทำธุรกิจควบคู่ไปด้วยเหรอครับ? ทำไมถึงรวยจัง?”

…..

ทุกคนต่างเกิดข้อสงสัยขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะกับพวกอู่เลอ ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้ยังต้องเก็บเงินสองแสนใช้เวลาตั้งห้าปีกว่าจะครบ ทำไมชีวิตของอีกฝ่ายถึงกลับกันราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้ได้?

เพื่อความสบายใจของทุกคน จ้าวเฉียนตึงต้องโกหกไปว่า

“ตอนแรกฉันก็เป็นพนักงานเงินเดือนทั่วไปนี่แหละ แต่ดีนโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่งเข้า ตอนนั้นบริษัทที่ฉันทำงานกำลังประสบปัญหา จึงเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุน ต่อมาบริษัทพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด มูลค่าหุ้นในส่วนของฉันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มีรายได้เข้ามากว่าหลายสิบล้านหยวน….”

จ้าวเฉียนยังคงอธิบายกับทุกคนกว่าสืบนาที จนทำเอาทุกคนตกใจอย่างมากกับประวัติเส้นทางชีวิตอันน่าเหลือเชื่อของเขา

“บอสจ้าว เป็นคนมองการร์ไกลสรรหาโอกาสต่างๆเข้ามาในชีวิต! ถ้าตอนนั้นบังเอิญถูกรางวัลที่หนึ่งได้ แสดงว่าบอสเองก็เป็นคนโชคดีไม่น้อย?”

“นั้นสิ บอสมีเคล็ดลับเสริมโชคไหม? บอกพวกเราหน่อย! ฮ่าฮ่า…”

“ใช่แล้วบอส! มีเคล็ดลับดีๆก็ต้องแบ่งปันให้กันนะ!”

…..

จ้าวเฉียนรวนหัวเราะพลางกล่าวตอบไปว่า

“ฉันก็ไม่มีเคล็ดลับอะไรหรอก อันที่จริงเพราะโชคช่วยล้วนๆล่ะนะในตอนแรก แต่ต่อมา พอมีเงินสักก้อนในมือ ฉันก็พยายามเสาะหาความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาสถานะความเป็นอยู่ของตัวเอง เลยเลือกเข้ามาเป็นนักลงทุนน่ะ”

อาหารในค่ำคืนนี้ จ้าวเฉียนแทบจะไม่ได้กินอะไรมากเท่านั้น ขณะจะตักเนื้อเข้าปากคนหนึ่งก็เอ่ยถาม พอตอบเสร็จก็มีอีกคนเอ่ยถามขึ้นต่อไม่หยุด

หลังจากจบค่ำคืนการฉลอง ทุกคนรับประทานอาหารและกินดื่มจนพอใจ จ้าวเฉียนก็ขอกล่าวอะไรทิ้งท้ายให้ทุกคนฟัง

“เอาล่ะ ฉันขอพูดอะไรหน่อย วันนี้ที่จัดงานฉลองส่วนหนึ่งก็เพื่อต้อนรับอู่เลอที่ออกจากโรงพยาบาล แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างความสนิทสนมให้กับคนในทีม ได้พูดคุยและทำความรู้จักกัน สำหรับงานแข่งรอบฤดูใบไม้ร่วงในอีกสองเดือนข้างหน้าง ฉันหวังว่า อู่เลอ,หยางจานคุน, หลิวกวน พวกนายทั้งสามจะติดสามอันดับแรกกัน พวกนายมั่นใจแค่ไหน?”

อู่เลอกล่าวตอบทันที

“บอสจ้าววางใจได้ ผมจะพยายามสุดฝีมือครับ!”

หลิวกวนเองก็รีบแสดงจุดยืนของตนออกมาเช่นกัน

“ผมขอสัญญาเลยครับว่าจะอุทิศกายใจกับการแข่งครั้งหน้า และคว้าสามอันดับแรกมาให้บอสจ้าว!”

มีเพียงหยางจานคุนที่ไม่กล้าเอ่ยปากรับประกัน เขายิ้มและกล่าวว่า

“ถึงผมจะไม่สามารถเอ่ยได้เต็มปากขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่บอสจ้าวมั่นใจได้เลยคือ คุณจะไม่มีทางผิดหวังในตัวผมแน่!”

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดเมื่อได้ยินหยางจานคุนกล่าวออกมาแบบนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นบุคลิกส่วนตัวของเขา แต่ที่แน่นอนก็คือ เขาคนนี้ไม่มีทางหาทางตันมาให้ตัวเองแน่นอน และจะทำทุกอย่างเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด

คนที่ลงมือทำแต่พูดไม่เก่ง คนประเภทนี้นับว่าไม่เลว ตราบใดที่เขาแสดงให้เห็นว่าตัวเองพยายามเต็มที่แล้ว จ้าวเฉียนย่อมพึงพอใจเป็นธรรมดา

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“เอาล่ะ ฉันเชื่อมั่นในความสามารถของพวกนายสามคนนะ การแข่งจะมาถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ส่วนพวกนาย ต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนนักแข่งที่ตัวเองดูแล ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถคว้าสามอันดับแรกมาได้ โบนัสสิ้นปีนี้ของทุกคน ฉันรับประกันได้เลยว่า ต้องได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนแน่นอน!”

ทุกคนได้ยินแบบนั้นต่างชูแก้วขึ้นโดยพร้อมเพรียง และเอ่ยปากสรรเสริญแก่จ้าวเฉียน

“บอสจ้าวจงเจริญ!”

“บอสจ้าวมั่นใจในตัวพวกเราได้ครับ! พวกเราจะให้ความร่วมมือกับพวกเขาทั้งสามเป็นอย่างดี!”

…..

ทุกคนต่างเอ่ยปากชื่นชมจ้าวเฉียนไม่หยุดปาก กอดคอกันหัวเราะอย่างสนุกสนาน จ้าวเฉียนเห็นดังนั้นจึงปรบมือส่งสัญญาให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง

“โอเค สำหรับมื้อนี้พวกนายกินดื่มต่อให้เต็มที่ จากนั้นก็กลับไปตั้งใจทำงหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ฉันจะรอฟังข่าวดีนะ! ฉันขอตัวก่อน”

ทุกคนเอ่ยอำลาจ้าวเฉียน และเขาก็เดินออกจากห้องอาหารไป

เพิ่งขับรถออกจากโรงแรมได้ไม่นาน หวานเจียงก็โทรสายเข้ามาหา

จ้าวเฉียนเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้มว่า

“ว่าไงครับคนสวย? ที่โทรหากันแบบนี้ไม่ใช่ว่าคิดถึงหรอกนะ?”

หวานเจียงหัวเราะคิดคักอยู่สักครู่ ก่อนตอบกลับไปว่า

“นายนี่มันคิดเข้าข้างตัวเองตลอดเลยนะ ที่โทรมาเพราะมีเรื่องจะคุยน่ะ”

“ฮ่าฮ่า…รู้สึกซาบซึ้งจริงๆที่ได้ยินแบบนั้น คืนนี้เธอว่างหรือเปล่าล่ะ? ออกมานัดเจอกันหน่อย”

“แน่นอนฉันว่าง เจอไหนดีล่ะ?”

“ฉันอยู่ที่โรงแรมตงไห่ นัดเจอที่นี่เลยไหม?”

“โอเค ฉันกำลังไป”

หวานเจียงวางสายโทรศัพท์และรีบเดินทางมายังโรงแรมตงไห่โดยไว

ในไม่ช้า เธอและจ้าวเฉียนก็เจอกันในห้องอาหารส่วนตัว

จ้าวเฉียนประเดิมเอ่ยถามติดตลกไปว่า

“ไม่ได้พบเธอมาสักพักใหญ่เลยแหะ นี่สวยขึ้นรึเปล่า? สงสัยคงมีช่วงเวลาดีๆกับผู้กำกับหนุ่มนั้น?”

หวานเจียงกลอกตาใส่พลางสวนกลับไปทันที

“อย่ามาพูดไร้สาระ นอกจากเรื่องงาน ฉันกับเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า

“ทำไมถึงต้องประหม่าล่ะ? ก็เห็นๆอยู่ว่ากำลังโกหก เธอนี่เล่นละครไม่เนียนเลยนะ”

หวานเจียงคว้าแก้วน้ำในมือสาดใส่จ้าวเฉียนทันที แต่โชคยังดีที่เขาหลบทัน เธอสบถขึ้นอย่างเงียบๆว่า

“หยุดพูดได้แล้ว น่าเบื่อ! ตกลงนายยังจะทำหนังรถแข่งอยู่ไหม?”

จ้าวเฉียนพนักหน้าและขอให้หวานเจียงลองเล่าเนื้อเรื่องคราวๆที่กำลังร่างในสคริปต์มา

หวานเจียงเริ่มอธิบายโครงเรื่องให้แก่เขาฟังทันที รวมไปถึงเรื่องนักแสดงต่างๆที่จะมารับบท

แน่นอน เมื่อมีโอกาสมาเช่นนี้ จ้าวเฉียย่อมไม่ปล่อยทิ้งให้สูญเปล่า เขากล่าวกับหวานเจียงขึ้นว่า

“ฉันว่าคนที่จะมารับบทนางรองควรเปลี่ยนคนแสดงนะ”

หวานเจียงพยักหน้าและเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างรู้เท่าทันว่า

“จะให้อู่ซินมารับบทนางรองใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนยกนิ้วให้พร้อมกล่าวชมเชยตอบไปว่า

“ฉลาดหนิ เธอเป็นศิลปินคนเดียวในบริษัทฉัน แน่นอนว่าฉันไม่พลาดโอกาสนี้มาให้เธอแน่นอน”

หวานเจียงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าตกลง แต่เธอก็มีข้อแม้เช่นกัน

“ฉันตกลง แต่นายต้องปล่อยหุ้นบาง ฉันจะเอาไปชดเชยให้กับนักลงทุนบางส่วน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับว่า

“ก็ได้ ฉันแค่ต้องการ45% ที่เหลือเธอเอาไปจัดสรรได้ตามสบาย แล้วหนังเรื่องนี้สรุปตัวเลขได้รึยังว่าต้องลงทุนเท่าไหร่?”

หวานเจียงตอบกลับทันควันว่า

“ทั้งหมด300ล้าน นายที่ถือหุ้นอยู่45%ก็เท่ากับต้องออกเอง15ล้าน”

นี่มันโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน จ้าวเฉียนที่ถือหุ้นอยู่45%เขาต้องออกเงินจ่ายเพียง135ล้านไม่ใช่เหรอ? คิดได้ดันนั้นเขาก็ยิ้มถามกลับไปว่า

“แล้ว15ล้านที่เหลือมาจากไหน? เป็นค่าสินสอดให้เธอเหรอ?”

หวานเจียงปิดปากหัวเราะเล็กน้อย เธอถามกลับไปว่า

“คิดว่าเงินแค่15ล้านมันจะพอสำหรับแต่งงานกับฉันไหมล่ะ?”

จ้าวเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ พลางเอ่ยถามไปว่า

“แล้วต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”

หวานเจียงเค้นน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย ตอบไปว่า

“ก็สักสามหรือสี่พันล้าน! ถ้านายหาเงินมาได้ครบเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมแต่งงานกับนายทุกเมื่อ”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นเดินไปกระซิบข้างหูหวานเจียง น้ำเสียาทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นว่า

“ได้ ถ้าผมสามารถหาได้ถึงสี่พันล้านเมื่อไหร่ คุณต้องแต่งงานกับผมทันที ตกลงไหม?”

ถึงยังไงหวานเจียนก็มั่นใจว่า จ้าวเฉียนไม่มีหาเงินได้มากขนาดนั้นแน่นอน เธอจึงกล่าวตอบไปด้วยความมั่นใจว่า

“ได้ ถ้าหาได้ครบสี่พันล้านเมื่อไหร่ เอาสมุดบัญชีมาพิสูจน์ให้ดู แล้วฉันจะคุกเข่าขอนายแต่งงานเลย!”

จ้าวเฉียนเขกหัวเธอไปทีหนึ่งและสบถขึ้นว่า

“ฝันไปเถอะ! ถ้าฉันมีงินสี่พันล้าน คงไม่โง่ไปให้เธอหรอกจริงไหม? เหอะ เหอะ…เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”

สงสัยครั้งนี้จ้าวเฉียนจะเล่นแรงเกินไปจริง ภาพฉากไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้นทันใด จู่ๆน้ำตาพลันไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหวานเจียง เธอรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น พร้อมตะคอกสวนกลับไปทันทีว่า

“เออ! ฉันไม่ดีพอสำหรับนายหรอก! ถ้าจะล้อเล่นกัน ก็ช่วยเล่นเบาๆหน่อยได้ไหม! ครั้งนี้มันไม่แรงเกินไปหน่อยรึไง?”

“อ่า…ฉันขอโทษ งั้นพรุ่งนี้ฉันพาเธอไปช็อปปิ้งดีไหม? พาไปดูหนังพร้อมดินเนอร์อาหารเย็นด้วย? ถือเป็นการไถ่โทษไง?”

หวานเจียงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“จริงเหรอ?”

จ้าวเฉียนหยิบแบล็คการ์ดออกมาและนำไปยัดไว้ในมือเธอโดยตรง แล้วกล่าวขึ้นว่า

“เอาไป รหัส3638”

หวานเจียงคว้าแบล็กการ์ดขึ้นมาชื่นชมทันที เธอกล่าวน้ำเสียงดูตื่นเต้นอย่างยิ่ง

“โอ้โห! นี่มันแบล็คการ์ดของธนาคารแห่งชาติ! ขนาดฉันยังไม่มีเลย! ภูมิหลังของนายคืออะไรกันแน่? น่าทึ่งเกินไปแล้ว!”

จ้าวเฉียนเขกหัวเธออีกรอบ และกล่าวเยาะขึ้นว่า

“พอเห็นว่ารวยขึ้นหน่อยก็รีบอ่อยเหยื่อเลยรึไง?”

หวานเจียงตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไง เธอโยนแบล็คการ์ดในมือทิ้ง ผลักร่างจ้าวเฉียนจนเสถอยออกไปทันที

“ไอ้บ้า! เอาการ์ดปลอมมาหลอกฉันเหรอ! ฉันไม่สนหรอกนะว่าแบล็คการ์ดใบนี้จะของปลอมหรือของจริง แต่นายพูดเองว่า จะพาฉันไปช็อปปิ้ง ดูหนังแล้วพาไปดินเนอร์! นายต้องทำตามสัญญา! นี่เพิ่งทุ่มกว่าเอง พาฉันไปชอปปิ้งเดี๋ยวนี้เลย!”

ตอนที่217 หยางหู่บาดเจ็บ เพื่อความปลอดภัยก่อนลงมือ หยางหู่ได้ส่งลูกน้องนับหลายสิบเข้าปกป้องจ้าวเฉียน คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมรบประจำหน่วยพิเศษ มีประสบการณ์การต่อสู้หลากหลาย สามารถรับมือได้ทุกสถานการณ์ จ้าวเฉียนเองจำต้องระวังตัวอย่างมากเช่นกัน ก่อนที่หยางหู่จะพบตัวนักฆ่า เขานั่งประจำอยู่ที่คฤหาสน์ไม่ออกไปไหน ในตอนเย็น เหลียวเซียวหยุนโทรสายหาจ้าวเฉียน ทีแรกเขายังไม่คิดจะรับสาย แต่ต่อมาก็พลันนึกไปว่าเธอมอบความบริสุทธิ์ให้แก่เขาไปแล้ว ถึงยังไงจะทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ “ฮาโหล” จ้าวเฉียนเอ่ยถามเสียงอ่อน เหลียวเซียวหยุนไม่ได้เอ่ยตอบขึ้นมาทันที หลังจากเงียบไปนาน เธอค่อยกล่าวขึ้นว่า “นี่นายกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมไม่รับสายฉัน?” “พ่อของเธอกำลังร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจัดการกับฉันโดยเฉพาะ ฉันก็ต้องดิ้นรนในแบบของฉัน” จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตามความจริง เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นก็เจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง และพยายามคุยว่า “นายฟังฉันนะ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา” จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะร่ากล่าวตอบไปว่า “ไม่ใช่ว่าผมอยากจะสนใจนักหรอก แค่พวกเขาต่างหากที่ตามกัดผมไม่ปล่อย บางครั้งบางทีผมก็พยายามหลักเลี่ยงแล้วนะ แต่สุดท้ายก็เป็นพวกนั้นก่อนที่มาหาเรื่องผม บอกพ่อของคุณไว้ว่าอย่าร่วมมือกับอสังหาริมทรัพย์หวัง ไม่อย่างนั้น…พวกเราจะเป็นศัตรูกันทันที” เหลียวเซียวหยุนที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ อีกฝ่ายเป็นคนที่เธอรักหมดใจแต่กลับพูดราวกับกำลังจะตัดขาดได้อย่างไร้เยื่อไย เธอไม่สามารถทนฟังได้จริงๆ แต่เธอก็ทราบดีอยู่ในใจว่า ทั้งหมดจ้าวเฉียนกำลังพูดความจริง เขาพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาแล้ว แต่สุดท้ายหวังเฉียงก็ไม่ปล่อยเขาเลย วิธีเดียวที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนได้ต่อไปก็คือ การเกลี้ยกล่อมไม่ให้เหลียวปี้ซ่งร่วมมือกับอสังหาริมทรัพย์หวัง “ตกลง ฉันจะพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อฉันดูอีกที ให้เวลาฉันหน่อยนะ ฉันสู้ไม่ถอยแน่นอน นายต้องเชื่อใจฉันนะ…” เหลียวเซียวหยุนขอร้องวิงวอนต่อจ้าวเฉียน จ้าวเฉียนฮัมเพลงกดวางสายไป พออาบน้ำเสร็จและกำลังจะเข้านอน เหลียวปี้ซ่งก็โทรสายเข้ามาหาเขาอีกครั้ง “นี่แกตลกมากใช่ไหม? ยุให้พ่อลูกเขาทะเลาะกันแทบบ้านแตก! นี่แกยังมีความเป็นผู้ชายเหลืออยู่หรือเปล่า?” เหลียวปี้ซ่งกรนด่าสาปแช่งใส่ทันที จ้าวเฉียนก็เริ่มมีน้ำโหแล้วเช่นกัน จู่ๆ รับสายมาก็โดนด่าใส่แบบนี้ จึงกล่าวตอบชนิดไม่มีเกรงใจไปว่า “คุณเองก็แก่จนสุนัขเลียตูดไม่ถึงแล้ว ทำไมยังคิดไม่ได้อีก? ลูกสาวของคุณไม่อยากเป็นศัตรูกับผมไง เลยพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้คุณร่วมมือกับอสังหาริมทรัพย์หวัง เรื่องง่ายๆ แบบนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ? แล้วมาบอกผมยุนี่นะ?” เหลียวปี้ซ่งเดือดจัด ตะคอกตอบอย่างไร้ปราณีว่า “ฉันไม่สน! ฉันแค่จะโทรมาบอกแกว่า อยู่ห่างๆ ลูกสาวฉันไว้ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่สุภาพแล้ว!” จ้าวเฉียนส่ายหน้าพลางตอบไปว่า “คุณนี่มันโง่เกินเยี่ยวยาจริงๆ นะ คุณโลกสวยเกินไปรึเปล่า? ไปบอกลูกสาวตัวเองโน้น! ว่าให้เลิกตามรังควานผมได้แล้ว! เหลียวปี้ซ่ง ผมให้โอกาสคุณแล้วนะ ตราบใดที่ไม่ร่วมมือกับหวังเฉียง พวกเรายังพอคุยกันได้ แต่ถ้าคุณยังพูดไม่รู้เรื่องอยู่แบบนี้ ก็อย่าตำหนิแล้วกันว่าผมเลือดเย็น!” เหลียวปี้ซ่งระเบิดหัวเราะลั่น สบถสวนกลับไปอย่างดุเดือดว่า “ไม่กระดากปากเลยรึไงที่กล้าพูดแบบนี้กับฉัน! ฉันอยู่ในแวดวงธุรกิจมาหลายสิบปีแล้ว! นอกจากพวกมหาเศรษฐีตัวยักษ์ระดับประเทศ ฉันยังต้องกลัวใครอีก? เด็กน้อย ปากไม่สิ้นกินน้ำนมอย่างแกเหรอ? กล้าพูดถึงขนาดนี้ สงสัยเบื่อชีวิตแล้ว!” รับฟังคำพูดเหล่านั้น จ้าวเฉียนรู้สึกได้ว่า เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายเถียงต่อ จึงตอบกลับแค่ว่า น่ารำคาญ และกดตัดสายทิ้งไป จากนั้นก็เข้านอนตามปกติ ประมาณบ่ายสองของวันรุ่งขึ้น หยางหู่โทรมาหาจ้าวเฉียน จ้าวเฉียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันใด เขารีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับสายอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวหู่ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” หยางหู่ตอบกลับด้วยความกังวลว่า “คุณชายจ้าว คนพวกนั้นวางแผนจะบุกคฤหาสน์ของคุณชาย ผมส่งกำลังคนไปเพิ่มแล้ว อีกไม่นานก็คงไปถึง ทันทีที่เจอตัวพวกมัน ผมจะรีบเก็บกวาดให้หมด” “อืม เข้าใจแล้ว ระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย คนพวกนี้เป็นนักฆ่ามืออาชีพจางเซียงเจียง ความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนายเลย อาวุธปีนน่าจะมีพร้อม ดังนั้นนายต้องระวังเป็นพิเศษเข้าใจไหม? ห่วงชีวิตฉันได้ แต่ต้องห่วงชีวิตตัวเองด้วย” หยางหู่ได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกซาบซึ้งภายในส่วนลึกในใจ ในเวลานี้เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณชายจ้าวที่สุดแล้ว แต่อีกฝ่ายเองก็คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกน้องอย่างตนเช่นกัน นี่ถือได้ว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้ทำงานให้กับบุคคลเช่นนี้! “ไม่ต้องห่วงครับคุณชาย ผมจะระมัดระวังตัวให้ดี ไม่ปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแน่นอน” หยางหู่ตบปากรับคำ “อืม ผมจะรอข่าวจากนายอีกที” “ครับคุณชาย ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” หยางหู่กดวางสายทิ้ง และรีบดำเนินการต่อทันที จ้าวเฉียนไม่มีอารมณ์นอนต่อแล้ว เดินออกไปมองที่หน้าต่างและกลับเข้าห้องเพื่อป้องกันตัว และรอฟังข่าวความคืบหน้าจากหยางหู่อีกที ประมาณห้าโมงเย็น สายเรียกเข้าจากหยางหู่ดังเข้ามา จ้าวเฉียนรีบรับสายพร้อมเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า “ว่าไงเสี่ยวหู่ เป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของหยางหู่ดูไม่ค่อยสดใสนัก เขาเอ่ยตอบกลับมาว่า “เรียบร้อยแล้วครับ คุณชายสามารถออกข้างนอกได้ตามปกติแล้ว” แต่พอจ้าวเฉียนได้ยินเสียงอันอ่อนแรงของหยางหู่แบบนั้น เขาก็เอะใจทันทีและคิดว่านี่ไม่ถูกต้อง จึงเอ่ยถามต่อทันทีโดยไวว่า “เสี่ยวหู่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า? ได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม?” หยางหู่กล่าวตอบเจือน้ำเสียงอับอายเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ ผม….ผมแค่ถูกยิงนิดหน่อย แต่ผ่าเอากระสุนออกแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยดี” “บัดซบ! นายอยู่โรงพยาบาลไหน? ฉันจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ!” จ้าวเฉียนสบถดังด้วยความตื่นตระหนก และรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกจากบ้าน หยางหู่ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลามาเยี่ยมตน จึงกล่าวปลอบไปว่า “ผมสบายดีครับคุณชาย ไปหาอะไรทานก่อนดีกว่าครับ คงหิวแย่เลย ฮ่าฮ่า…” “หยุดพูดไร้สาระ! ฉันถามว่าอยู่โรงพยาบาลไหน!” จ้าวเฉียนคำรามสวนตอบทันที หยางหู่ได้ยินแบบนั้น จำใจต้องตอบอย่างเชื่อฟังไปว่า “โรงพยาบาลเขต1ครับ” “โอเค ฉันกำลังไปแล้ว!” จ้าวเฉียนวงาสายทันควัน รีบขับรถไปที่โรงพยาบาลเขต1โดยเร็วที่สุด ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็ได้พบกับหยางหู่ ตามที่หยางหู่กล่าวไปในข้างต้น อาการไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก กระสุนปืนเจาะเข้าบริเวณต้นขา อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีแค่บาดแผลแค่จุดเดียว ยังมีรอยถูกมีดแทงอีกที่แผ่นหลังและแขนขวา จ้าวเฉียนกล่าวตำหนิหยางหู่ด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า ให้ห่วงชีวิตตัวเองด้วย นี่มันเสี่ยงมากเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังฝืนบุกเข้าไปอีก?” หยางหู่ยิ้มแห้งพยายามกล่าวปลอบเพื่อลดความเครียดของคุณชายจ้าวไปว่า “ผมสบายดีครับคุณชาย หมอบอกนอนพักอีกวันสองวันก็หายดีแล้ว” ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลง จ้าวเฉียนกล่าวโทษว่านี่เป็นความผิดของตัวเขาเอง ที่ต้องทำให้หยางหู่ต้องมาได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังบาดแผลเหล่านี้มันไม่สามารถรักษาให้หายได้ทันที โชคยังดีที่กลุ่มนักฆ่าถูกจัดการหมดแล้ว นี่ทำให้เขาสามารถออกไปไหนมาไหนได้ดังเดิม ฟู่เทียนกล้ามากที่กล้าจ้างนักฆ่ามืออาชีพมาจัดการตน ชะตาชีวิตของมันถูกลิขิตไม่ให้มีจุดจบที่ดีแน่นอน อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ถึงเวลาชำระบัญชีแค้น ทุกอย่างต้องรอเตรียมการให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน จ้าวเฉียนเดินทางมาที่บริษัทฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ ตรงเข้าไปที่ห้องทำงานของหวู่เสี่ยวหัว “คุณชายจ้าว เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ? สีหน้าดูไม่ค่อยสดใสเลย?” หวู่เสี่ยวหัวเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง จ้าวเฉียนไม่อยากเสียเวลาสนทนาเรื่องไร้สาระนานไปกว่านี้ จึงกล่าวตอบไปว่า “ช่วงนี้เจ้ากรรมนายเวรเยอะน่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า เรื่องตามเก็บหุ้นของอสังหาริมทรัพย์หวังไปถึงไหนแล้ว?” หวู่เสี่ยวหัวรีบเปิดแฟ้มข้อมูลและส่งให้จ้าวเฉียนตรวจสอบทันที ตามเอกสารข้อมูลของฟู่ไห่ระบุไว้คือ สัดส่วนหุ้น38%ในอสังหาริมทรัพย์หวังเป็นของทางฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์หมดแล้ว ปัจจุบันถือเป็นผู้ถือหุ้นในอันดับสอง ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งคือ หวังเจียงหลิน ซึ่งควบคุมอยู่ทั้งหมด49% ส่วนที่เหลือเป็นพวกนักลงทุนน้อยใหญ่ปะปนกันไป จ้าวเฉียนสั่งการให้หวู่เสี่ยวหัวเร่งยึดอำนาจบริหารทั้งหมดในอสังหาริมทรัพย์หวังด้วยเวลาอันสั้นที่สุด ไม่สำคัญว่าจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ แต่จะต้องตามเก็บส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยให้หมด เพื่อขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่งแทนหวังเจียงหลินให้ได้ หวู่เสี่ยวหัวกล่าวแนะนำว่า “คุณชายจ้าว ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้ควรดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า พวกเรากำลังส่งคนไปขอซื้อหุ้นต่อจากพวกรายย่อยอยู่ จนกว่าจะได้ราคาที่น่าพอใจ พวกเขาค่อยรวบเก็บเข้ามา ถ้ารีบร้อนลงมือแบบนี้ พวกรายย่อยจะไหวตัวทันและจงใจโก้งราคาสูงเพื่อขายให้เรา” จ้าวเฉียนต้องการล้างแค้นให้แก่หยางหู่โดยเร็วที่สุด และไม่สามารถรอคอยได้อีกต่อไปแล้ว ในอีกด้าน ถึงจะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินมากขนาดไหน แต่ท้ายที่สุด เขาก็ได้ทุนคืนมาอยู่ดี แค่ว่าช้าหรือเร็วก็เท่านั้น “ไม่เป็นไร ตราบใดที่สามารถยืดครองบริษัทอสังหาหวังได้โดยเร็วที่สุด ต่อให้ต้องเพิ่มทุนเท่าไหร่ก็ยอม!” ได้ฟังดังนั้นหวู่เสี่ยวหัวได้แต่ถอยหายใจอย่างลับๆ เธอคิดว่า พวกทายาทมหาเศรษฐีพวกนี้คงสมองตายกันไปแล้ว ถึงใช้เงินอัดฉีดเล่นไม่หยุดหย่อนแบบนี้ แต่ยังไงอีกฝ่ายเป็นถึงคุณชายจ้าว เธอก็ทำได้เพียงต้องเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น “เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด ได้ความยังไงแล้วจะรีบรายงานให้คุณชายทราบทันทีค่ะ” จ้าวเฉียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ รออีกแค่ไม่กี่วัน เขาก็จะสามารถรวบหัวรวบหางทั้งเหล่ยอู่และบริษัทอื่นๆ ได้ในคราเดียว

ตอนที่217 หยางหู่บาดเจ็บ

เพื่อความปลอดภัยก่อนลงมือ หยางหู่ได้ส่งลูกน้องนับหลายสิบเข้าปกป้องจ้าวเฉียน คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมรบประจำหน่วยพิเศษ มีประสบการณ์การต่อสู้หลากหลาย สามารถรับมือได้ทุกสถานการณ์

จ้าวเฉียนเองจำต้องระวังตัวอย่างมากเช่นกัน ก่อนที่หยางหู่จะพบตัวนักฆ่า เขานั่งประจำอยู่ที่คฤหาสน์ไม่ออกไปไหน

ในตอนเย็น เหลียวเซียวหยุนโทรสายหาจ้าวเฉียน ทีแรกเขายังไม่คิดจะรับสาย แต่ต่อมาก็พลันนึกไปว่าเธอมอบความบริสุทธิ์ให้แก่เขาไปแล้ว ถึงยังไงจะทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

“ฮาโหล”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามเสียงอ่อน

เหลียวเซียวหยุนไม่ได้เอ่ยตอบขึ้นมาทันที หลังจากเงียบไปนาน เธอค่อยกล่าวขึ้นว่า

“นี่นายกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมไม่รับสายฉัน?”

“พ่อของเธอกำลังร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจัดการกับฉันโดยเฉพาะ ฉันก็ต้องดิ้นรนในแบบของฉัน”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตามความจริง

เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นก็เจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง และพยายามคุยว่า

“นายฟังฉันนะ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะร่ากล่าวตอบไปว่า

“ไม่ใช่ว่าผมอยากจะสนใจนักหรอก แค่พวกเขาต่างหากที่ตามกัดผมไม่ปล่อย บางครั้งบางทีผมก็พยายามหลักเลี่ยงแล้วนะ แต่สุดท้ายก็เป็นพวกนั้นก่อนที่มาหาเรื่องผม บอกพ่อของคุณไว้ว่าอย่าร่วมมือกับอสังหาริมทรัพย์หวัง ไม่อย่างนั้น…พวกเราจะเป็นศัตรูกันทันที”

เหลียวเซียวหยุนที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ อีกฝ่ายเป็นคนที่เธอรักหมดใจแต่กลับพูดราวกับกำลังจะตัดขาดได้อย่างไร้เยื่อไย เธอไม่สามารถทนฟังได้จริงๆ

แต่เธอก็ทราบดีอยู่ในใจว่า ทั้งหมดจ้าวเฉียนกำลังพูดความจริง เขาพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาแล้ว แต่สุดท้ายหวังเฉียงก็ไม่ปล่อยเขาเลย

วิธีเดียวที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนได้ต่อไปก็คือ การเกลี้ยกล่อมไม่ให้เหลียวปี้ซ่งร่วมมือกับอสังหาริมทรัพย์หวัง

“ตกลง ฉันจะพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อฉันดูอีกที ให้เวลาฉันหน่อยนะ ฉันสู้ไม่ถอยแน่นอน นายต้องเชื่อใจฉันนะ…”

เหลียวเซียวหยุนขอร้องวิงวอนต่อจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนฮัมเพลงกดวางสายไป พออาบน้ำเสร็จและกำลังจะเข้านอน เหลียวปี้ซ่งก็โทรสายเข้ามาหาเขาอีกครั้ง

“นี่แกตลกมากใช่ไหม? ยุให้พ่อลูกเขาทะเลาะกันแทบบ้านแตก! นี่แกยังมีความเป็นผู้ชายเหลืออยู่หรือเปล่า?”

เหลียวปี้ซ่งกรนด่าสาปแช่งใส่ทันที

จ้าวเฉียนก็เริ่มมีน้ำโหแล้วเช่นกัน จู่ๆ รับสายมาก็โดนด่าใส่แบบนี้ จึงกล่าวตอบชนิดไม่มีเกรงใจไปว่า

“คุณเองก็แก่จนสุนัขเลียตูดไม่ถึงแล้ว ทำไมยังคิดไม่ได้อีก? ลูกสาวของคุณไม่อยากเป็นศัตรูกับผมไง เลยพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้คุณร่วมมือกับอสังหาริมทรัพย์หวัง เรื่องง่ายๆ แบบนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ? แล้วมาบอกผมยุนี่นะ?”

เหลียวปี้ซ่งเดือดจัด ตะคอกตอบอย่างไร้ปราณีว่า

“ฉันไม่สน! ฉันแค่จะโทรมาบอกแกว่า อยู่ห่างๆ ลูกสาวฉันไว้ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่สุภาพแล้ว!”

จ้าวเฉียนส่ายหน้าพลางตอบไปว่า

“คุณนี่มันโง่เกินเยี่ยวยาจริงๆ นะ คุณโลกสวยเกินไปรึเปล่า? ไปบอกลูกสาวตัวเองโน้น! ว่าให้เลิกตามรังควานผมได้แล้ว! เหลียวปี้ซ่ง ผมให้โอกาสคุณแล้วนะ ตราบใดที่ไม่ร่วมมือกับหวังเฉียง พวกเรายังพอคุยกันได้ แต่ถ้าคุณยังพูดไม่รู้เรื่องอยู่แบบนี้ ก็อย่าตำหนิแล้วกันว่าผมเลือดเย็น!”

เหลียวปี้ซ่งระเบิดหัวเราะลั่น สบถสวนกลับไปอย่างดุเดือดว่า

“ไม่กระดากปากเลยรึไงที่กล้าพูดแบบนี้กับฉัน! ฉันอยู่ในแวดวงธุรกิจมาหลายสิบปีแล้ว! นอกจากพวกมหาเศรษฐีตัวยักษ์ระดับประเทศ ฉันยังต้องกลัวใครอีก? เด็กน้อย ปากไม่สิ้นกินน้ำนมอย่างแกเหรอ? กล้าพูดถึงขนาดนี้ สงสัยเบื่อชีวิตแล้ว!”

รับฟังคำพูดเหล่านั้น จ้าวเฉียนรู้สึกได้ว่า เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายเถียงต่อ จึงตอบกลับแค่ว่า น่ารำคาญ และกดตัดสายทิ้งไป จากนั้นก็เข้านอนตามปกติ

ประมาณบ่ายสองของวันรุ่งขึ้น หยางหู่โทรมาหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันใด เขารีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับสายอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวหู่ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

หยางหู่ตอบกลับด้วยความกังวลว่า

“คุณชายจ้าว คนพวกนั้นวางแผนจะบุกคฤหาสน์ของคุณชาย ผมส่งกำลังคนไปเพิ่มแล้ว อีกไม่นานก็คงไปถึง ทันทีที่เจอตัวพวกมัน ผมจะรีบเก็บกวาดให้หมด”

“อืม เข้าใจแล้ว ระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย คนพวกนี้เป็นนักฆ่ามืออาชีพจางเซียงเจียง ความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนายเลย อาวุธปีนน่าจะมีพร้อม ดังนั้นนายต้องระวังเป็นพิเศษเข้าใจไหม? ห่วงชีวิตฉันได้ แต่ต้องห่วงชีวิตตัวเองด้วย”

หยางหู่ได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกซาบซึ้งภายในส่วนลึกในใจ ในเวลานี้เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณชายจ้าวที่สุดแล้ว แต่อีกฝ่ายเองก็คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกน้องอย่างตนเช่นกัน นี่ถือได้ว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้ทำงานให้กับบุคคลเช่นนี้!

“ไม่ต้องห่วงครับคุณชาย ผมจะระมัดระวังตัวให้ดี ไม่ปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแน่นอน”

หยางหู่ตบปากรับคำ

“อืม ผมจะรอข่าวจากนายอีกที”

“ครับคุณชาย ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

หยางหู่กดวางสายทิ้ง และรีบดำเนินการต่อทันที

จ้าวเฉียนไม่มีอารมณ์นอนต่อแล้ว เดินออกไปมองที่หน้าต่างและกลับเข้าห้องเพื่อป้องกันตัว และรอฟังข่าวความคืบหน้าจากหยางหู่อีกที

ประมาณห้าโมงเย็น สายเรียกเข้าจากหยางหู่ดังเข้ามา จ้าวเฉียนรีบรับสายพร้อมเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“ว่าไงเสี่ยวหู่ เป็นยังไงบ้าง?”

น้ำเสียงของหยางหู่ดูไม่ค่อยสดใสนัก เขาเอ่ยตอบกลับมาว่า

“เรียบร้อยแล้วครับ คุณชายสามารถออกข้างนอกได้ตามปกติแล้ว”

แต่พอจ้าวเฉียนได้ยินเสียงอันอ่อนแรงของหยางหู่แบบนั้น เขาก็เอะใจทันทีและคิดว่านี่ไม่ถูกต้อง จึงเอ่ยถามต่อทันทีโดยไวว่า

“เสี่ยวหู่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า? ได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม?”

หยางหู่กล่าวตอบเจือน้ำเสียงอับอายเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับ ผม….ผมแค่ถูกยิงนิดหน่อย แต่ผ่าเอากระสุนออกแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยดี”

“บัดซบ! นายอยู่โรงพยาบาลไหน? ฉันจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ!”

จ้าวเฉียนสบถดังด้วยความตื่นตระหนก และรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกจากบ้าน

หยางหู่ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลามาเยี่ยมตน จึงกล่าวปลอบไปว่า

“ผมสบายดีครับคุณชาย ไปหาอะไรทานก่อนดีกว่าครับ คงหิวแย่เลย ฮ่าฮ่า…”

“หยุดพูดไร้สาระ! ฉันถามว่าอยู่โรงพยาบาลไหน!”

จ้าวเฉียนคำรามสวนตอบทันที

หยางหู่ได้ยินแบบนั้น จำใจต้องตอบอย่างเชื่อฟังไปว่า

“โรงพยาบาลเขต1ครับ”

“โอเค ฉันกำลังไปแล้ว!”

จ้าวเฉียนวงาสายทันควัน รีบขับรถไปที่โรงพยาบาลเขต1โดยเร็วที่สุด

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็ได้พบกับหยางหู่

ตามที่หยางหู่กล่าวไปในข้างต้น อาการไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก กระสุนปืนเจาะเข้าบริเวณต้นขา อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีแค่บาดแผลแค่จุดเดียว ยังมีรอยถูกมีดแทงอีกที่แผ่นหลังและแขนขวา

จ้าวเฉียนกล่าวตำหนิหยางหู่ด้วยความไม่พอใจว่า

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า ให้ห่วงชีวิตตัวเองด้วย นี่มันเสี่ยงมากเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังฝืนบุกเข้าไปอีก?”

หยางหู่ยิ้มแห้งพยายามกล่าวปลอบเพื่อลดความเครียดของคุณชายจ้าวไปว่า

“ผมสบายดีครับคุณชาย หมอบอกนอนพักอีกวันสองวันก็หายดีแล้ว”

ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลง จ้าวเฉียนกล่าวโทษว่านี่เป็นความผิดของตัวเขาเอง ที่ต้องทำให้หยางหู่ต้องมาได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังบาดแผลเหล่านี้มันไม่สามารถรักษาให้หายได้ทันที

โชคยังดีที่กลุ่มนักฆ่าถูกจัดการหมดแล้ว นี่ทำให้เขาสามารถออกไปไหนมาไหนได้ดังเดิม

ฟู่เทียนกล้ามากที่กล้าจ้างนักฆ่ามืออาชีพมาจัดการตน ชะตาชีวิตของมันถูกลิขิตไม่ให้มีจุดจบที่ดีแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ถึงเวลาชำระบัญชีแค้น ทุกอย่างต้องรอเตรียมการให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน

จ้าวเฉียนเดินทางมาที่บริษัทฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ ตรงเข้าไปที่ห้องทำงานของหวู่เสี่ยวหัว

“คุณชายจ้าว เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ? สีหน้าดูไม่ค่อยสดใสเลย?”

หวู่เสี่ยวหัวเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง

จ้าวเฉียนไม่อยากเสียเวลาสนทนาเรื่องไร้สาระนานไปกว่านี้ จึงกล่าวตอบไปว่า

“ช่วงนี้เจ้ากรรมนายเวรเยอะน่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า เรื่องตามเก็บหุ้นของอสังหาริมทรัพย์หวังไปถึงไหนแล้ว?”

หวู่เสี่ยวหัวรีบเปิดแฟ้มข้อมูลและส่งให้จ้าวเฉียนตรวจสอบทันที

ตามเอกสารข้อมูลของฟู่ไห่ระบุไว้คือ สัดส่วนหุ้น38%ในอสังหาริมทรัพย์หวังเป็นของทางฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์หมดแล้ว ปัจจุบันถือเป็นผู้ถือหุ้นในอันดับสอง

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งคือ หวังเจียงหลิน ซึ่งควบคุมอยู่ทั้งหมด49% ส่วนที่เหลือเป็นพวกนักลงทุนน้อยใหญ่ปะปนกันไป

จ้าวเฉียนสั่งการให้หวู่เสี่ยวหัวเร่งยึดอำนาจบริหารทั้งหมดในอสังหาริมทรัพย์หวังด้วยเวลาอันสั้นที่สุด ไม่สำคัญว่าจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ แต่จะต้องตามเก็บส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยให้หมด เพื่อขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่งแทนหวังเจียงหลินให้ได้

หวู่เสี่ยวหัวกล่าวแนะนำว่า

“คุณชายจ้าว ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้ควรดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า พวกเรากำลังส่งคนไปขอซื้อหุ้นต่อจากพวกรายย่อยอยู่ จนกว่าจะได้ราคาที่น่าพอใจ พวกเขาค่อยรวบเก็บเข้ามา ถ้ารีบร้อนลงมือแบบนี้ พวกรายย่อยจะไหวตัวทันและจงใจโก้งราคาสูงเพื่อขายให้เรา”

จ้าวเฉียนต้องการล้างแค้นให้แก่หยางหู่โดยเร็วที่สุด และไม่สามารถรอคอยได้อีกต่อไปแล้ว ในอีกด้าน ถึงจะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินมากขนาดไหน แต่ท้ายที่สุด เขาก็ได้ทุนคืนมาอยู่ดี แค่ว่าช้าหรือเร็วก็เท่านั้น

“ไม่เป็นไร ตราบใดที่สามารถยืดครองบริษัทอสังหาหวังได้โดยเร็วที่สุด ต่อให้ต้องเพิ่มทุนเท่าไหร่ก็ยอม!”

ได้ฟังดังนั้นหวู่เสี่ยวหัวได้แต่ถอยหายใจอย่างลับๆ เธอคิดว่า พวกทายาทมหาเศรษฐีพวกนี้คงสมองตายกันไปแล้ว ถึงใช้เงินอัดฉีดเล่นไม่หยุดหย่อนแบบนี้ แต่ยังไงอีกฝ่ายเป็นถึงคุณชายจ้าว เธอก็ทำได้เพียงต้องเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น

“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด ได้ความยังไงแล้วจะรีบรายงานให้คุณชายทราบทันทีค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ รออีกแค่ไม่กี่วัน เขาก็จะสามารถรวบหัวรวบหางทั้งเหล่ยอู่และบริษัทอื่นๆ ได้ในคราเดียว

ตอนที่216 ตรวจสอบให้ละเอียด สามวันต่อมา จ้าวเฉียนโทรไปหาหยางจานคุนและหลิวกวนเพื่อนัดพวกเขาไปทานอาหารกันที่โรงแรมตงไห่ ตั้งแต่เริ่มการประชุมหารือจนสิ้นสุดมื้ออาหาร หยางจานคุนกับหลิวกวนกลับไม่พูดไม่จากันสักคำ จนในที่สุดจ้าวเฉียนต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “วันนี้ที่ผมเรียกพวกคุณสองคนออกมาทานข้าว คงรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องหารือถึงแผนการในทีมเพียงอย่างเดียว? ไม่ว่าในอดีตพวกนายจะทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ทีมเดียวกันแล้ว ผมไม่ยอมให้มาแตกแยกกันเองแน่นอน เข้าใจท่พูดใช่ไหม?” หลินกวนต้องการอยู่กับจ้าวเฉียนด้วยใจจริง และเขาเองก็ยังทราบอีกว่าจ้าวเฉียนคนนี้นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน ดังนั้นเขาย่อมอุทิศตนเพื่อบอสคนนี้แน่นอน “บอสจ้าว ผมขอแสดงจุดยืนของตัวเองให้รู้ก่อนเลยนะครับ ผมยินดีคืนดีกับเขา” หลิวกวนกล่าวตอบออกไปด้วยความจริงใจ ทางด้านหยางจานคุนที่ถูกบังคับให้ต้องติดตามจ้าวเฉียน เขายังคงมีความดื้อรั้นติดตัวอยู่บ้าง “บอสจ้าว ผมเองก็ยินดีที่จะคืนดีกับเขาเช่นกัน แต่เสือสองตัวไม่มีวันอยู่ถ้ำเดียวกันได้ ในอนาคตบอสจะวางแผนฝึกพวกเรายังไง?” จ้าวเฉียนหัวเราะตอบไปว่า “ฉันเตรียมแผนการฝึกเอาไว้แล้ว ฉันจะให้นายไปฝึกกับอูเลอ นอกจากนี้ฉันจะจ้างโค้ชและผู้ช่วยให้พวกนายรายคน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูแต่ละคนว่ามีพัฒนาการหรือยังมีจุดด้อยตรงไหนบ้าง และพวกเขาจะคอยหาวิถีทางฝึกเพื่อแก้ไขต่อไป” หยางจานคุนเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัยทันที “บอสจ้าวแน่ใจเหรอครับ? การจะจ้างโค้ชและผู้ช่วยส่วนตัวรายคนขนาดนี้ จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกล่าว2ถึง3ล้านต่อนักแข่งหนึ่งคน รวมกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทีมจะต้องใช้เงินอย่างน้อย10ล้านในการสนับสนุนในแต่ละปี บอสโอเคจริงๆ เหรอครับ?” จ้าวเฉียนยังคงมองหยางจานคุนในแง่บวก และตอบกลับไปว่า “อย่าว่าแต่10ล้านเลย ต่อให้เป็นหลักร้อยล้านต่อปีผมก็จ่ายได้ ตราบเท่าที่พวกคุณสามารถแสดงผลลัพธ์ที่ลงทุนไปให้ผมเห็นได้” หยางจานคุนงุนงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อได้ฟัง “บอสจ้าวหาเงินมาจากไหนครับตั้งเยอะแยะ?” “นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายควรกังวล สิ่งที่ควรกังวลจริงๆ คือนายจะสามารถแสดงผลลัพธ์ของการฝึกให้ผมเห็นได้หรือเปล่า? ผมมอลทุกอย่างที่เอื้อต่อประโยชน์ของการฝึกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือแม้แต่สถานที่เก็บตัวก็ตาม หากในตอนท้ายคุณไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เท่าที่ควร ถึงตอนนี้คุณเองก็เตรียมรับผลที่ตามมาด้วยเช่นกัน” จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไป หยางจานคุนถึงกับไม่กล้าถามต่อ และเขาเองก็ไม่กล้าตบปากรับคำเช่นกันว่า ตนจะสามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้ดีเป็นที่น่าพอใจขนาดนั้นได้รึเปล่า บุคลิกของแต่ละคนช้วนแตกต่างกันไป บางคนมีแนวคิดที่ว่า อนาคตไม่ใช่สิ่งที่สามารถรับประกันได้เต็มร้อย อาจจะมีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาแทรกแซงระหว่างนั้น จึงทำให้คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองมากเท่าที่ควร และเห็นได้ชัดว่า หยางจานคุนเป็นคนประเภทดังกล่าว ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงไม่กดดันให้เขาเอ่ยปากสัญญาในตอนนี้ จ้าวเฉียนกล่าวต่อขึ้นว่า “พวกนายสองคนหลังจากนี้หวังว่าจะไม่มีปัญหากันแล้วนะ? เก็บข้าวของแล้วย้ายไปที่บ้านพักที่ฉันจัดเตรียมไว้ให้ภายในสามวัน หลังจากนี้พวกนายจะต้องอุทิศตนให้กับการฝึก ทำให้เต็มที่เข้าใจไหม?” หลิวกวนพยักหน้าตอบกลับทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำอำลาจากไป หยางจานคุนยังมีทีท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันมาพูดกับจ้าวเฉียนว่า “บอสจ้าวสบายใจได้ครับ ถึงผมจะรับประกันไม่ได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ คือ ผมไม่มีทางแพ้หลิวกวนแน่นอน!” จ้าวเฉียนพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น ยิ้มตอบไปว่า “ฉันเชื่อใจนาย และก็เชื่อในความสามารถของนายด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ทุ่มเงินขนาดนี้หรอก เอาล่ะ กลับบ้านไปเก็บของแล้วย้ายเข้าสถานที่เก็บตัว หลังจากนี้จะเริ่มต้นการฝึกอย่างเป็นทางการแล้ว” หยางจางคุนพยักหน้าและโบกมืออำลาจ้าวเฉียนออกไป จ้าวเฉียนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจวัตรการฝึกใดๆ ของพวกเขาอยู่แล้ว เขามีหน้าที่แค่กำหนดกลยุทธ์และทิศทางให้แก่บรรดาโค้ชและผู้ช่วยที่จ้างมา ท้ายหลังผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเองแล้ว หากเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง จ้าวเฉียนไม่มีวันปฏิบัติต่อบุคคลนั้นอย่างเลวร้ายแน่นอน แต่ถ้าใครที่ไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาให้เขาเห็นได้ คงอยู่ที่นี่ได้ไม่เกินปีครึ่ง เพราะคนแบบนี้คงไม่จำเป็นเลี้ยงต่อให้เสียข้าวสุก และจะถูกไล่ออกทันที ประมาณสี่ทุ่มของคืนวัน จ้าวเฉียนกำลังนั่งทานอาหารว่างพลางอ่านข่าวประจำวันตามปกติ แต่กลับต้องสะดุ้งเข้ากับข่าวสกูปหนึ่ง ‘เฟยอวี่กรุ๊ปขายแพลตฟอร์มไลฟ์สตีมมิ่งเฟยอวี่ทอดตลาด และได้บริษัทเงินทุนอย่างหัวเหม่ย อินเวสเม้นท์เข้าซื้อพร้อมอัดฉีดเม็ดเงินกว่าหนึ่งพันล้านหยวน’ จ้าวเฉียนเห็นชื่อบริษัทไม่ค่อยคุ้นตา จึงเร่งทำการตรวจสอบภูมิหลังของหัวเหม่ย อินเวสเม้นท์ในทันใด ปรากฏว่านี่เป็นบริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนได้ประมาณหนึ่งเดือนก่อน ตามข่าวลือในอินเตอร์เน็ต เห็นว่าเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนบริษัทเงินทุนรายนี้อยู่ก็คือวอลล์สตรีทจากอเมริกา จ้าวเฉียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เมื่อเห็นแบบนั้น เขารู้สึกได้ หัวเหม่ย อินเวสเม้นท์เป็นดั่งหมากเดินเกมของทางวอลล์สตรีทอเมริกา เพื่อเข้ามายึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดของจีน และที่สำคัญที่สุดคือ หวานฮันซูเองก็ทำงานให้กับทางวอลล์สตรีท ดังนั้นนี่จะต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อที่จะยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ของเขา จ้าวเฉียนโทรเรียกหวู่เสี่ยวหัว สั่งการให้เธอไปค้นหาภูมิหลังทั้งหมดของบริษัทหัวเหมาย อินเวมเม้นท์โดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ หวู่เสี่ยวหัวก็ส่งข้อมูลกลับมาผ่านทางWechat และเป็นไปตามที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด หวานฮันซูมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทแห่งนี้จริงๆ ชื่อประธานบริษัทหัวเหม่ย อินเวสเม้นท์คือ มิสเตอร์ จอนสัน สมิท และรองประธานก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หวานฮันซู อัดฉีดเงินหนึ่งพันล้านแลกกับหุ้นส่วนเฟยอวี่กรุ๊ปจำนวน30% ดูเหมือนว่าหัวเหม่ยจะเอาจริงจังกับการรุกตลาดจีนไม่ใช่น้อย กล่าวตามตรง หากพวกเขาเข้าลงทุนในบริษัทอื่น จ้าวเฉียนคงไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ แต่นี่ดันเข้ามาลงทุนในเฟยอวี่กรุ๊ปซึ่งเป็นเป้าหมายของจ้าวเฉียน และเขาคงปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ จ้าวเฉียนออกคำสั่งมอบหมายงานให้หวู่เสี่ยวหัวทันที โดยไปหาข้อมูลว่า เงินทุนจากอเมริกาไหลเข้ามาในจีนมากขนาดนี้ได้ยังไง? และแจ้งขึ้นไปยังผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ เพื่อหาแรวทางร่วมกันแก้ไขปัญหา หวู่เสี่ยวหัวรีบรับคำสั่งอย่างกระฉับกระเฉง “เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะหาช่องทางการโอนเงินของคนพวกนี้โดยเร็วที่สุด ถ้าได้ความว่ายังไง ดิฉันจะรีบรายงานให้ทราบอีกทีค่ะ” จ้าวเฉียนกรนเสียงครวญครางเล็กน้อยพลางกดวางสายไป แต่ในขณะนั้นเองหยางหู่ก็โทรเข้ามา “ฮาโหลครับ คุณชายจ้าว! คุณอยู่ที่ไหนครับตอนนี้?” รับสายไม่ทันไร หยางหู่ตะโกนถามทันทีด้วยความกังวล จ้าวเฉียนตอบกลับน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “อยู่บ้าน มีอะไรรึเปล่า?” “ผมเพิ่งได้รับแจ้งมาเมื่อสองวันก่อนครับว่า มีคนในเมืองตงไห่ทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อจ้างนักฆ่าจากฝั่งเซียงเจียงให้มาเก็บคุณชาย พอผมส่งคนไปสืบค้นข้อมูล คุณชายจ้าวลองเดาดูสิครับว่า ใครกันที่เป็นคนจ้างมา?” “หยางหมิง?” “ไม่ใช่ครับ รอบนี้เป็นฟู่เทียน!” จ้าวเฉียนไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ยินเช่นนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเขา ไม่ใช่หยางหมิงก็ฟู่เทียนนี่แหละ “คุณชายจ้าว ส่งคนไปจัดการฟู่เทียนเลยไหมครับ?” จ้าวเฉียนไม่อยากจะไปขัดจังหวะแผนการที่วางแผนมาอย่างดีของอีกฝ่าย จึงตอบไปว่า “ไม่ต้อง สำหรับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ ไม่ต้องลงไม้ลงมือกันพวกมันตอนนี้ เสี่ยวหู่ นายช่วยเตรียมกำลังคนไปรับมือกับนักฆ่าที่ว่าที ขอชนิดที่ว่านักฆ่าพวกนั้นหายไปราวกับเข้ากลีบเมฆ เอาให้สองพ่อลูกนั่งเป็นไก่ตาแตก” หยางหู่ตอบรับคำสั่งโดยเร็ว “เข้าใจแล้วครับ! ไม่ต้องกังวลไปคุณชาย ผมไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้อยู่แล้ว” จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า “ฉันวางใจนายอยู่แล้ว ตรวจสอบก่อนล่ะว่าพวกมันจ้างนักฆ่ามากี่คน ระวังตัวด้วย เสร็จแล้วรายงานฉันทันที” “เข้าใจแล้วครับ ผมขอตัวก่อน จะดำเนินการทันทีเลบครับ” จ้าวเฉียนกดวางสายไป เอนตัวนอนลงบนโซฟาด้วยความสบายใจ ไม่กี่นาทีต่อมาเหลียวปี้ซ่งก็โทรหาจ้าวเฉียนต่อ “ฮาโหลครับคุณเหลียว มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?” จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เหลียวปี้ซ่งกรนเสียงเย็นตอบกลับทันที “ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับแก! เรื่องที่แกเซ็นสัญญากับลูกสาวฉันถือว่าเป็นโมฆะ เราจะไปลงนามสัญญาใหม่กับหวังเฉียง เนื้อหาสัญญายังคงเหมือนเดิม แต่ผู้ลงนามรับโปรเจคนี้คือเขาไม่ใช่แก!” “นี่หมายความว่ายังไงกันครับเนี่ย? คุณยังคงร่วมมือกับบริษัทฟางนี่ต่อไป แต่ไม่ต้องการร่วมมือกับผม?” จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ถูกต้อง แกเข้าใจถูกแล้ว!” เหลียวปี้ซ่งเอ่ยตอบน้ำเสียงหนักแน่น “ฮ่าฮ่า…ใครไปทำอีท่าไหนครับถึงมาเล็งเป้ามาที่ผมขนาดนี้?” “นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของลูกสาวฉันเองในอนาคต ฉันจะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์หวังได้บรรลุข้อตกลงเชิงกลยุทธ์กับเราแล้ว เราร่วมลงทุนพร้อมให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในอนาคตพวกเราจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างแกกับลูกสาวฉัน คงไม่ต้องให้อธิบายแล้วนะว่าจะเป็นยังไงต่อไป? ฉันคงไม่เอาลูกเขยจนๆ แบบนี้เข้ามาในครอบครัวแน่นอน!” “อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับที่คุณเหลียวโทรมาแจ้งเป็นการส่วนตัว” “เหอะ เหอะ แล้วในอนาคต ฉันไม่อนุฐาตให้เแกกับลูกสาวฉันติดต่อกันอีกในอนาคต! แกเองก็เป็นผู้ชาย โดนดูถูกได้ แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวตัวเองโดยดูถูกแบบแกแน่นอน!” เหลียวปี้ซ่งกดวางสายทิ้งทันทีหลังพูดจบ จ้าวเฉียนไม่แม้แต่จะมีโอกาสพูดอะไรตอบเลยด้วยซ้ำ เขาสงสัยเหลือเกินว่า ถ้าตนบอกความจริงไปว่า เหลียวเซียวหยุนเสียบริสุทธิ์ให้เขาแล้ว สงสัยเหลือเกินว่า ชายชราคนนี้จะอกแตกตายเลยหรือไม่? แต่ปล่อยไปแบบนี้น่ะดีแล้ว รอให้ทุกบริษัทหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาจะได้ตกเหยื่อเข้ากระเป๋าทีเดียวจบ จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่ภายในใจ “หุหุ…ยิ่งสร้างปัญหาเท่าไหร่ก็ฉันก็ยิ่งชอบมากขึ้นเท่านั้น”

ตอนที่216 ตรวจสอบให้ละเอียด

สามวันต่อมา จ้าวเฉียนโทรไปหาหยางจานคุนและหลิวกวนเพื่อนัดพวกเขาไปทานอาหารกันที่โรงแรมตงไห่

ตั้งแต่เริ่มการประชุมหารือจนสิ้นสุดมื้ออาหาร หยางจานคุนกับหลิวกวนกลับไม่พูดไม่จากันสักคำ จนในที่สุดจ้าวเฉียนต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“วันนี้ที่ผมเรียกพวกคุณสองคนออกมาทานข้าว คงรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องหารือถึงแผนการในทีมเพียงอย่างเดียว? ไม่ว่าในอดีตพวกนายจะทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ทีมเดียวกันแล้ว ผมไม่ยอมให้มาแตกแยกกันเองแน่นอน เข้าใจท่พูดใช่ไหม?”

หลินกวนต้องการอยู่กับจ้าวเฉียนด้วยใจจริง และเขาเองก็ยังทราบอีกว่าจ้าวเฉียนคนนี้นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน ดังนั้นเขาย่อมอุทิศตนเพื่อบอสคนนี้แน่นอน

“บอสจ้าว ผมขอแสดงจุดยืนของตัวเองให้รู้ก่อนเลยนะครับ ผมยินดีคืนดีกับเขา”

หลิวกวนกล่าวตอบออกไปด้วยความจริงใจ

ทางด้านหยางจานคุนที่ถูกบังคับให้ต้องติดตามจ้าวเฉียน เขายังคงมีความดื้อรั้นติดตัวอยู่บ้าง

“บอสจ้าว ผมเองก็ยินดีที่จะคืนดีกับเขาเช่นกัน แต่เสือสองตัวไม่มีวันอยู่ถ้ำเดียวกันได้ ในอนาคตบอสจะวางแผนฝึกพวกเรายังไง?”

จ้าวเฉียนหัวเราะตอบไปว่า

“ฉันเตรียมแผนการฝึกเอาไว้แล้ว ฉันจะให้นายไปฝึกกับอูเลอ นอกจากนี้ฉันจะจ้างโค้ชและผู้ช่วยให้พวกนายรายคน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูแต่ละคนว่ามีพัฒนาการหรือยังมีจุดด้อยตรงไหนบ้าง และพวกเขาจะคอยหาวิถีทางฝึกเพื่อแก้ไขต่อไป”

หยางจานคุนเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัยทันที

“บอสจ้าวแน่ใจเหรอครับ? การจะจ้างโค้ชและผู้ช่วยส่วนตัวรายคนขนาดนี้ จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกล่าว2ถึง3ล้านต่อนักแข่งหนึ่งคน รวมกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทีมจะต้องใช้เงินอย่างน้อย10ล้านในการสนับสนุนในแต่ละปี บอสโอเคจริงๆ เหรอครับ?”

จ้าวเฉียนยังคงมองหยางจานคุนในแง่บวก และตอบกลับไปว่า

“อย่าว่าแต่10ล้านเลย ต่อให้เป็นหลักร้อยล้านต่อปีผมก็จ่ายได้ ตราบเท่าที่พวกคุณสามารถแสดงผลลัพธ์ที่ลงทุนไปให้ผมเห็นได้”

หยางจานคุนงุนงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อได้ฟัง

“บอสจ้าวหาเงินมาจากไหนครับตั้งเยอะแยะ?”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายควรกังวล สิ่งที่ควรกังวลจริงๆ คือนายจะสามารถแสดงผลลัพธ์ของการฝึกให้ผมเห็นได้หรือเปล่า? ผมมอลทุกอย่างที่เอื้อต่อประโยชน์ของการฝึกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือแม้แต่สถานที่เก็บตัวก็ตาม หากในตอนท้ายคุณไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เท่าที่ควร ถึงตอนนี้คุณเองก็เตรียมรับผลที่ตามมาด้วยเช่นกัน”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไป

หยางจานคุนถึงกับไม่กล้าถามต่อ และเขาเองก็ไม่กล้าตบปากรับคำเช่นกันว่า ตนจะสามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้ดีเป็นที่น่าพอใจขนาดนั้นได้รึเปล่า

บุคลิกของแต่ละคนช้วนแตกต่างกันไป บางคนมีแนวคิดที่ว่า อนาคตไม่ใช่สิ่งที่สามารถรับประกันได้เต็มร้อย อาจจะมีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาแทรกแซงระหว่างนั้น จึงทำให้คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองมากเท่าที่ควร และเห็นได้ชัดว่า หยางจานคุนเป็นคนประเภทดังกล่าว ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงไม่กดดันให้เขาเอ่ยปากสัญญาในตอนนี้

จ้าวเฉียนกล่าวต่อขึ้นว่า

“พวกนายสองคนหลังจากนี้หวังว่าจะไม่มีปัญหากันแล้วนะ? เก็บข้าวของแล้วย้ายไปที่บ้านพักที่ฉันจัดเตรียมไว้ให้ภายในสามวัน หลังจากนี้พวกนายจะต้องอุทิศตนให้กับการฝึก ทำให้เต็มที่เข้าใจไหม?”

หลิวกวนพยักหน้าตอบกลับทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำอำลาจากไป

หยางจานคุนยังมีทีท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันมาพูดกับจ้าวเฉียนว่า

“บอสจ้าวสบายใจได้ครับ ถึงผมจะรับประกันไม่ได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ คือ ผมไม่มีทางแพ้หลิวกวนแน่นอน!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น ยิ้มตอบไปว่า

“ฉันเชื่อใจนาย และก็เชื่อในความสามารถของนายด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ทุ่มเงินขนาดนี้หรอก เอาล่ะ กลับบ้านไปเก็บของแล้วย้ายเข้าสถานที่เก็บตัว หลังจากนี้จะเริ่มต้นการฝึกอย่างเป็นทางการแล้ว”

หยางจางคุนพยักหน้าและโบกมืออำลาจ้าวเฉียนออกไป

จ้าวเฉียนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจวัตรการฝึกใดๆ ของพวกเขาอยู่แล้ว เขามีหน้าที่แค่กำหนดกลยุทธ์และทิศทางให้แก่บรรดาโค้ชและผู้ช่วยที่จ้างมา ท้ายหลังผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเองแล้ว

หากเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง จ้าวเฉียนไม่มีวันปฏิบัติต่อบุคคลนั้นอย่างเลวร้ายแน่นอน แต่ถ้าใครที่ไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาให้เขาเห็นได้ คงอยู่ที่นี่ได้ไม่เกินปีครึ่ง เพราะคนแบบนี้คงไม่จำเป็นเลี้ยงต่อให้เสียข้าวสุก และจะถูกไล่ออกทันที

ประมาณสี่ทุ่มของคืนวัน จ้าวเฉียนกำลังนั่งทานอาหารว่างพลางอ่านข่าวประจำวันตามปกติ แต่กลับต้องสะดุ้งเข้ากับข่าวสกูปหนึ่ง

‘เฟยอวี่กรุ๊ปขายแพลตฟอร์มไลฟ์สตีมมิ่งเฟยอวี่ทอดตลาด และได้บริษัทเงินทุนอย่างหัวเหม่ย อินเวสเม้นท์เข้าซื้อพร้อมอัดฉีดเม็ดเงินกว่าหนึ่งพันล้านหยวน’

จ้าวเฉียนเห็นชื่อบริษัทไม่ค่อยคุ้นตา จึงเร่งทำการตรวจสอบภูมิหลังของหัวเหม่ย อินเวสเม้นท์ในทันใด ปรากฏว่านี่เป็นบริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนได้ประมาณหนึ่งเดือนก่อน ตามข่าวลือในอินเตอร์เน็ต เห็นว่าเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนบริษัทเงินทุนรายนี้อยู่ก็คือวอลล์สตรีทจากอเมริกา

จ้าวเฉียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เมื่อเห็นแบบนั้น เขารู้สึกได้ หัวเหม่ย อินเวสเม้นท์เป็นดั่งหมากเดินเกมของทางวอลล์สตรีทอเมริกา เพื่อเข้ามายึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดของจีน และที่สำคัญที่สุดคือ หวานฮันซูเองก็ทำงานให้กับทางวอลล์สตรีท ดังนั้นนี่จะต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพื่อที่จะยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ของเขา จ้าวเฉียนโทรเรียกหวู่เสี่ยวหัว สั่งการให้เธอไปค้นหาภูมิหลังทั้งหมดของบริษัทหัวเหมาย อินเวมเม้นท์โดยเร็วที่สุด

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ หวู่เสี่ยวหัวก็ส่งข้อมูลกลับมาผ่านทางWechat และเป็นไปตามที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด หวานฮันซูมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทแห่งนี้จริงๆ

ชื่อประธานบริษัทหัวเหม่ย อินเวสเม้นท์คือ มิสเตอร์ จอนสัน สมิท และรองประธานก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หวานฮันซู

อัดฉีดเงินหนึ่งพันล้านแลกกับหุ้นส่วนเฟยอวี่กรุ๊ปจำนวน30% ดูเหมือนว่าหัวเหม่ยจะเอาจริงจังกับการรุกตลาดจีนไม่ใช่น้อย

กล่าวตามตรง หากพวกเขาเข้าลงทุนในบริษัทอื่น จ้าวเฉียนคงไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ แต่นี่ดันเข้ามาลงทุนในเฟยอวี่กรุ๊ปซึ่งเป็นเป้าหมายของจ้าวเฉียน และเขาคงปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้

จ้าวเฉียนออกคำสั่งมอบหมายงานให้หวู่เสี่ยวหัวทันที โดยไปหาข้อมูลว่า เงินทุนจากอเมริกาไหลเข้ามาในจีนมากขนาดนี้ได้ยังไง? และแจ้งขึ้นไปยังผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ เพื่อหาแรวทางร่วมกันแก้ไขปัญหา

หวู่เสี่ยวหัวรีบรับคำสั่งอย่างกระฉับกระเฉง

“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะหาช่องทางการโอนเงินของคนพวกนี้โดยเร็วที่สุด ถ้าได้ความว่ายังไง ดิฉันจะรีบรายงานให้ทราบอีกทีค่ะ”

จ้าวเฉียนกรนเสียงครวญครางเล็กน้อยพลางกดวางสายไป แต่ในขณะนั้นเองหยางหู่ก็โทรเข้ามา

“ฮาโหลครับ คุณชายจ้าว! คุณอยู่ที่ไหนครับตอนนี้?”

รับสายไม่ทันไร หยางหู่ตะโกนถามทันทีด้วยความกังวล

จ้าวเฉียนตอบกลับน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“อยู่บ้าน มีอะไรรึเปล่า?”

“ผมเพิ่งได้รับแจ้งมาเมื่อสองวันก่อนครับว่า มีคนในเมืองตงไห่ทุ่มเงินเป็นจำนวนมากเพื่อจ้างนักฆ่าจากฝั่งเซียงเจียงให้มาเก็บคุณชาย พอผมส่งคนไปสืบค้นข้อมูล คุณชายจ้าวลองเดาดูสิครับว่า ใครกันที่เป็นคนจ้างมา?”

“หยางหมิง?”

“ไม่ใช่ครับ รอบนี้เป็นฟู่เทียน!”

จ้าวเฉียนไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ยินเช่นนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเขา ไม่ใช่หยางหมิงก็ฟู่เทียนนี่แหละ

“คุณชายจ้าว ส่งคนไปจัดการฟู่เทียนเลยไหมครับ?”

จ้าวเฉียนไม่อยากจะไปขัดจังหวะแผนการที่วางแผนมาอย่างดีของอีกฝ่าย จึงตอบไปว่า

“ไม่ต้อง สำหรับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ ไม่ต้องลงไม้ลงมือกันพวกมันตอนนี้ เสี่ยวหู่ นายช่วยเตรียมกำลังคนไปรับมือกับนักฆ่าที่ว่าที ขอชนิดที่ว่านักฆ่าพวกนั้นหายไปราวกับเข้ากลีบเมฆ เอาให้สองพ่อลูกนั่งเป็นไก่ตาแตก”

หยางหู่ตอบรับคำสั่งโดยเร็ว

“เข้าใจแล้วครับ! ไม่ต้องกังวลไปคุณชาย ผมไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้อยู่แล้ว”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ฉันวางใจนายอยู่แล้ว ตรวจสอบก่อนล่ะว่าพวกมันจ้างนักฆ่ามากี่คน ระวังตัวด้วย เสร็จแล้วรายงานฉันทันที”

“เข้าใจแล้วครับ ผมขอตัวก่อน จะดำเนินการทันทีเลบครับ”

จ้าวเฉียนกดวางสายไป เอนตัวนอนลงบนโซฟาด้วยความสบายใจ

ไม่กี่นาทีต่อมาเหลียวปี้ซ่งก็โทรหาจ้าวเฉียนต่อ

“ฮาโหลครับคุณเหลียว มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

เหลียวปี้ซ่งกรนเสียงเย็นตอบกลับทันที

“ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับแก! เรื่องที่แกเซ็นสัญญากับลูกสาวฉันถือว่าเป็นโมฆะ เราจะไปลงนามสัญญาใหม่กับหวังเฉียง เนื้อหาสัญญายังคงเหมือนเดิม แต่ผู้ลงนามรับโปรเจคนี้คือเขาไม่ใช่แก!”

“นี่หมายความว่ายังไงกันครับเนี่ย? คุณยังคงร่วมมือกับบริษัทฟางนี่ต่อไป แต่ไม่ต้องการร่วมมือกับผม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ถูกต้อง แกเข้าใจถูกแล้ว!”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยตอบน้ำเสียงหนักแน่น

“ฮ่าฮ่า…ใครไปทำอีท่าไหนครับถึงมาเล็งเป้ามาที่ผมขนาดนี้?”

“นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของลูกสาวฉันเองในอนาคต ฉันจะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์หวังได้บรรลุข้อตกลงเชิงกลยุทธ์กับเราแล้ว เราร่วมลงทุนพร้อมให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในอนาคตพวกเราจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างแกกับลูกสาวฉัน คงไม่ต้องให้อธิบายแล้วนะว่าจะเป็นยังไงต่อไป? ฉันคงไม่เอาลูกเขยจนๆ แบบนี้เข้ามาในครอบครัวแน่นอน!”

“อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับที่คุณเหลียวโทรมาแจ้งเป็นการส่วนตัว”

“เหอะ เหอะ แล้วในอนาคต ฉันไม่อนุฐาตให้เแกกับลูกสาวฉันติดต่อกันอีกในอนาคต! แกเองก็เป็นผู้ชาย โดนดูถูกได้ แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวตัวเองโดยดูถูกแบบแกแน่นอน!”

เหลียวปี้ซ่งกดวางสายทิ้งทันทีหลังพูดจบ จ้าวเฉียนไม่แม้แต่จะมีโอกาสพูดอะไรตอบเลยด้วยซ้ำ เขาสงสัยเหลือเกินว่า ถ้าตนบอกความจริงไปว่า เหลียวเซียวหยุนเสียบริสุทธิ์ให้เขาแล้ว สงสัยเหลือเกินว่า ชายชราคนนี้จะอกแตกตายเลยหรือไม่?

แต่ปล่อยไปแบบนี้น่ะดีแล้ว รอให้ทุกบริษัทหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาจะได้ตกเหยื่อเข้ากระเป๋าทีเดียวจบ

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

“หุหุ…ยิ่งสร้างปัญหาเท่าไหร่ก็ฉันก็ยิ่งชอบมากขึ้นเท่านั้น”

ตอนที่215 รวมตัว จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า “คุณหยาง เพิ่งจะมาพูดเวลานี้มันไม่สายเกินไปหน่อยเหรอ? ทุบรถของลูกค้าตั้งเยอะแยะ ยังมีหน้ามาพูดอะไรอีกเหรอครับ?” หยางจานคุนรีบเอ่ยตอบทันทีว่า “คุณจ้าวไม่อยากซื้อทีมผมไปแล้วเหรอ? ผมตกลงขายครับ พร้อมกับลูกมือมากประสบการณ์พวกนี้เลย ผมจะตั้งใจสร้างผลงานไม่ให้คุณจ้าวต้องผิดหวังแน่นอน!” จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะทันที ชี้ไปที่เศษกระจกที่แตกกระจายทั่วพื้นและกล่าวว่า “คุณจ่ายค่าชดเชยพวกนี้ให้หมดก่อน แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมจะให้เวลาคุณสามวัน ถ้าไม่สามารถจ่ายได้หมด ก็อย่าหวังจะมาคุยเรื่องอื่น แล้วบอกไว้ก่อนนะครับ ระหว่างนี้อย่าคิดหนีไปไหน เพราะนั้นจะยิ่งพาคุณซวยเข้าไปใหญ่” หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปในอู่ ทิ้งให้งานด้านนอกให้หยางหู่จัดการต่อ หยางหู่ตรงเข้าไปหาหยางจานคุนและกล่าวตามตรงขึ้นว่า “ผมแนะนำให้ทำตามที่คุณจ้าวพูดไปดีกว่านะครับ ถ้าภายในสามวันคุณหาเงินมาจ่ายไม่ครบ ผมจะพาพวกเข้าไปถล่มทีมคุณ” “ผม…ผมเข้าใจแล้วครับ…ผมจะหาเงินมาชดใช้แน่นอนครับ แต่…แต่ผมของเวลาหน่อยได้ไหมครับ? รถพวกนี้ราคาแพงๆ ทั้งนั้นผมไม่มีปัญหาหาเงินหลายสิบล้านได้ภายในสามวันแน่นอน ผมต้องการเวลามากกว่านี้ครับ” หยางหุ่ส่ายหัวและเอ่ยตอบกลับไปว่า “คุณจ้าวบอกว่าสามวันต้องสามวัน ไม่มีขอเวลาเพิ่ม รีบไปหาเงินมาจ่ายซะก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้ แล้วรีบทำความสะอาดที่นี่ให้เหมือนเดิมซะ” หยางจานคุนทำได้แค่เดินไปเรียกคนอื่นๆ เพื่อให้มาช่วยกันเก็บกวาดสิ่งที่ทำลงไป “พี่คุน แล้วจะทำยังไงดี! พวกเราไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหายหรอกนะ!” “ถูกต้องแล้วพี่! ผมประมาณคร่าวๆ อย่าน้อยก็สิบสองล้านแล้ว เราจะไปเอาเงินมาจากไหนเล่า?” “ไม่อย่างนั้น…เราไปขอขมาคุณจ้าวให้เขาซื้อทีมเราไหมพี่? ให้คุณจ้าวช่วยจ่ายไปก่อน แล้วเราทำงานหเขาเป็นการชดเชย?” “ใช่แล้วพี่ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยกู้สถานการณ์ตอนนี้ได้!” ….. บรรดาพี่น้องทั้งหลายของหยางจานคุนต่างเห็นตรงกัน สำหรับทางออกเดียวภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คือการเจรจาขอให้จ้าวเฉียนเข้าซื้อทีม ในไม่ช้า หยางจานคุนก็พาพวกพี่น้องของเขาช่วยกันทำความสะอาด และรีบไปหาจ้าวเฉียนต่อ “คุณจ้าวครับ ผมขอเปิดใจคุยกันตรงๆ ได้ไหมครับ ผมเสียใจครับที่ทำทุกอย่างไปโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน หวังว่าคุณจ้าวจะให้โอกาสผมพูดอะไรหน่อยนะครับ” หยางจานคุนเริ่มปริปากกล่าวขึ้นทันที น้ำเสียงของเขาในตอนนี้ช่างสุภาพนอบน้อมยิ่ง จ้าวเฉียนคาดเดาได้โดยธรรมชาติว่าอีกฝ่ายมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร จึงพยักหน้าตอบและพาไปยังมุมหนึ่งที่ไม่มีคน หยานจานคุนโค้งศีรษะให้จ้าวเฉียนทันทีและกล่าวอ้อนวอนว่า “คุณจ้าวได้โปรดซื้อทีมผมไปทีครับ ถ้าไม่ซื้อมันตั้งแต่ตอนนี้ หลังจากนี้ผมต้องยุบทีมแน่นอน ผมทราบดีนะครับว่าผมทำเรื่องแย่ๆ กับคุณจ้าวเอาไว้มาก แต่ผมสัญญาเลยครับ หลังจากนี้ผมจะตั้งใจขยันฝึกซ้อมและคว้าแชมป์มาให้คุณจ้าวพอใจเป็นการชดเชย โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะนะครับ!” จ้าวเฉียนรวนหัวเราะออกมาทันใดและกล่าวตอบไปว่า “ถ้าผมซื้อทีมของคุณตอนนี้ก็เท่ากับว่า ผมก็ต้องแบกรับค่าเสียหายที่พวกคุณต้องชดใช้เช่นกัน นี่เห็นผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” หยางจานคุนรีบกล่าวตอบทันทีว่า “คุณจ้าว ผมทราบว่านี่เป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมกับคุณมาก ดังนั้นเพื่อเป็นความยุติธรรม ผมไม่ต้องการเงินสักหยวน คุณซื้อทีมผมทั้งทีมไปได้เลยแบบฟรีๆ โอเคไหมครับ?” อันที่จริงแล้วการจะซื้อทีมของหยางจานคุนได้ต้องใช้เงินอย่างน้อยสิบล้าน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาต้องหาเงินมาชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดโดยเร็วที่สุด จ้าวเฉียนยิ้ม เอ่ยถามกลับไปว่า “ถ้าแบบนั้นผมไม่ดูเป็นคนเลวในสายตาคนอื่นเลยงั้นเหรอครับ? คนอื่นคงคิดว่าผมชุบมือเปิป?” หยานจานคุนรีบส่ายหัวตอบทันที “ไม่..ไม่…ไม่เลยครับคุณจ้าว นี่ถือว่าพึ่งพาซึ่งกันและกันมากกว่า ใช่ชุบมือเปิปที่ไหนกันครับ?” จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะ พลางโอบไหล่หยานจานคุนและกล่าวขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะช่วยคุณเอง ตกลงไหม?” หยางจานคุนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ในที่สุดภูเขาก้อนยักษ์ที่กดทับกลางอกก็สลายหายไปในพริบตา เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเรามาเซ็นสัญญากันเลยไหมครับ?” “ทำไมถึงรีบร้อนนักล่ะ?” จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม หยางจานคุนเอ่ยตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ผมต้องการเงินมาชดใช้ภายในสามวันหนิครับ ไม่อย่างนั้นพี่หู่ไม่ปล่อยผมไปแน่ แต่จะว่าไป…ผมขอถามอะไรคุณจ้าวสักข้อได้ไหมครับ?” จ้าวเฉียนพยักหน้า “ได้สิ มีอะไรก็ถามมาได้เลย” หยางจานคุนพยายามรวบรวมความกล้า กัดฟันเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “คุณจ้าวกับพี่หู่เป็นอะไรกันเหรอครับ? ทำไมเขาถึงยอมช่วยคุณจ้าวขนาดนี้? ในความเห็นของผม เขาดูกลัวคุณจ้าวมากเลย นี่ต้องมีเหตุผลจริงไหมครับ?” พอได้ยินแบบนั้นจ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ตอบกลับไปว่า “ถ้านายอัดฉีดเงินสักหลายสิบล้านให้เขาทุกเดือนเป็นประจำ เขาเองก็จะสุภาพกับนายเช่นกันนั่นแหละ” หยางจานคุนพยักหน้าตอบทันควันด้วยความยำเกรง “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง… งั้นเราไปเซ็นสัญญากันเลยไหมครับ?” จ้าวเฉียนพยักหน้าและพาหยางจานคุนเข้าไปในสำนักงานของอู่เลอ จ้าวเฉียนร่างเพียงสัญญาข้อตกลงที่สำคัญไม่กี่ข้อ และส่งให้หยางจานคุนอ่านโดยละเอียด พอทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็พิมพ์แบบออกมาและเซ็นสัญญาลงนามทันที ถือได้ว่ามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายอย่างเป็นทางการแล้ว หลังได้รับสัญญาข้อตกลง หยางจานคุนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ในเวลานี้เอง เจ้าของรถหรูหลายคันที่กลับมารับรถก็ถึงกับเดือดจัด ที่เห็นรถตัวเองกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นแหกปากตะโกนลั่นทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น คนอื่นๆ ในร้านไม่สามารถจัดการกับปัญหาใหญ่แบบนี้ได้แน่นอน ดังนั้นจึงรีบไปเรียกจ้าวเฉียนออกมาจัดการกับปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งวิธีจัดการของจ้าวเฉียนก็ง่ายมาก เขากล่าวขอโทษไปตามตรงว่า “ทางผมต้องขอประทานโทษจริงๆ นะครับ คนในอู่ไม่มีใครอยากเห็นเกิดอุบัติเหตุแบบนี้เช่นกันและพวกเขาเองก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง คุณสามารถแจ้งความตามกฎหมายได้เลย แล้วเรียกเก็บค่าเสียหายทั้งหมดมาที่ผม และผมจะชดเชยให้เต็มจำนวนเองครับ” พอพวกเขาเหล่านั้นได้ยินว่าจ้าวเฉียนจะชดเชยให้เต็มจำนวน พวกเขาก็ดูมีความสุขอย่างมาก อารมรณ์ของแต่ละคนดูเย็นลงทันใด “ในเมื่อคุณพูดถึงขนาดนั้น พวกเราเองก็ไม่มีอะไรจะเรียกร้องแล้วครับ” “อืม หวังว่าคุณจะทำตามที่พูดได้จริงๆ” “ผมจะกลับไปรวบรวมเอกสารเข้าแจ้งความ และเอาเอกสารชดใช้ค่าเสียหายส่งไปให้คุณอีกทีก็แล้วกัน” บรรดาคนขับทั้งหลายพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม และวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่เพื่อรวบรวมข้อมูลเข้าแจ้งความ ไม่นานนัก เจ้าของรถคนอื่นๆ เองก็กลับมาเอารถเช่นกัน ราวกับภาพฉากฉายซ้ำสอง พอเห็นว่ารถตัวเองกลายมาเป็นเศษเหล็กก็โวยวายทันที อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนก็สามารถใช้เงินปิดปากพวกเขาได้อย่างทันท่วงที ตามที่ทุกคนคาดคิดไว้ไม่มีผิด ปัญหาที่ยากเกินกว่าที่ทุกคนจะสามารถแก้ไขได้ กลับถูกคลี่คลายได้ในพริบตาด้วยฝีมือของบอสจ้าว “มีเงินซะอย่างยังต้องกลัวใคร สุดยอดจริงๆ บอสของเรา” “ทำไม นายมีปัญหารึไง?” “เปล่า ฉันรู้อยู่แล้วว่ายอสจ้าวรวย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวยขนาดนี้น่ะ…ฉันประเมินบอสต่ำเกินไปมากแหะ” …. จ้าวเฉียนพลันเข้ามาได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นของลูกมือในอู่ของอู่เลอเข้า จึงตรงเข้ามากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อย่าอิจฉาเลยน่าพวกนาย ฉันมากกว่าที่ต้องอิจฉาพวกนาย” “บอสพูดถ่อมตัวเกินไปแล้วนะครับ” “ใช่แล้ว บอสรวยขนาดนี้ ส่วนพวกเราต้องหาเช้ากินค่ำ เอาอะไรมาอิจฉาพวกผมครับเนี่ย?” ….. จ้าวเฉียนหัวเราะตอบกลับไปว่า “พวกนายเห็นฉันแค่เบื้องหน้าว่ามีเงิน แล้วใครเคยรู้ที่มาของเงินพวกนี้บ้าง? ฉันมีธุรกิจต้องกู้เงินจากธนาคาร มีดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าเกิดเดินสะดุดทีหนึ่งอาจทำให้ทุกอย่างที่ทำมาพังพินาศได้เลย ชีวิตผมมีแต่ความเครียด คิดหาวิธีทำกำไรเพื่อเอาเงินไปจ่ายหนี้ธนาคาร บ้านก็ต้องเอาไปจำนอง ทีนี่ยังใครอิจฉาฉันอีกไหม?” จ้าวเฉียนกล่าวออกไปแบบนั้น พวกเขาทุกคนพลันเงียบลงทันที “เข้าใจแล้วครับ พวกผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้บอสผิดหวังแน่นอน!” จ้าวเฉียนพยักหน้าและโบกมือลาทุกคนออกไป พวกเขาทั้งหมดรวมถึงพวกหยางจานคุนเองก็รีบออกมาโค้งศีรษะลาจ้าวเฉียนด้วยความเคารพ ทีนี้การจัดหารทีมมาเพิ่มก็สำเร็จไปได้ด้วยดี ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองทีมอย่างคุนต้าและสตีมเมอร์คัลเลอร์รวมเป็นหนึ่ง

ตอนที่215 รวมตัว

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“คุณหยาง เพิ่งจะมาพูดเวลานี้มันไม่สายเกินไปหน่อยเหรอ? ทุบรถของลูกค้าตั้งเยอะแยะ ยังมีหน้ามาพูดอะไรอีกเหรอครับ?”

หยางจานคุนรีบเอ่ยตอบทันทีว่า

“คุณจ้าวไม่อยากซื้อทีมผมไปแล้วเหรอ? ผมตกลงขายครับ พร้อมกับลูกมือมากประสบการณ์พวกนี้เลย ผมจะตั้งใจสร้างผลงานไม่ให้คุณจ้าวต้องผิดหวังแน่นอน!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะทันที ชี้ไปที่เศษกระจกที่แตกกระจายทั่วพื้นและกล่าวว่า

“คุณจ่ายค่าชดเชยพวกนี้ให้หมดก่อน แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมจะให้เวลาคุณสามวัน ถ้าไม่สามารถจ่ายได้หมด ก็อย่าหวังจะมาคุยเรื่องอื่น แล้วบอกไว้ก่อนนะครับ ระหว่างนี้อย่าคิดหนีไปไหน เพราะนั้นจะยิ่งพาคุณซวยเข้าไปใหญ่”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปในอู่ ทิ้งให้งานด้านนอกให้หยางหู่จัดการต่อ

หยางหู่ตรงเข้าไปหาหยางจานคุนและกล่าวตามตรงขึ้นว่า

“ผมแนะนำให้ทำตามที่คุณจ้าวพูดไปดีกว่านะครับ ถ้าภายในสามวันคุณหาเงินมาจ่ายไม่ครบ ผมจะพาพวกเข้าไปถล่มทีมคุณ”

“ผม…ผมเข้าใจแล้วครับ…ผมจะหาเงินมาชดใช้แน่นอนครับ แต่…แต่ผมของเวลาหน่อยได้ไหมครับ? รถพวกนี้ราคาแพงๆ ทั้งนั้นผมไม่มีปัญหาหาเงินหลายสิบล้านได้ภายในสามวันแน่นอน ผมต้องการเวลามากกว่านี้ครับ”

หยางหุ่ส่ายหัวและเอ่ยตอบกลับไปว่า

“คุณจ้าวบอกว่าสามวันต้องสามวัน ไม่มีขอเวลาเพิ่ม รีบไปหาเงินมาจ่ายซะก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้ แล้วรีบทำความสะอาดที่นี่ให้เหมือนเดิมซะ”

หยางจานคุนทำได้แค่เดินไปเรียกคนอื่นๆ เพื่อให้มาช่วยกันเก็บกวาดสิ่งที่ทำลงไป

“พี่คุน แล้วจะทำยังไงดี! พวกเราไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหายหรอกนะ!”

“ถูกต้องแล้วพี่! ผมประมาณคร่าวๆ อย่าน้อยก็สิบสองล้านแล้ว เราจะไปเอาเงินมาจากไหนเล่า?”

“ไม่อย่างนั้น…เราไปขอขมาคุณจ้าวให้เขาซื้อทีมเราไหมพี่? ให้คุณจ้าวช่วยจ่ายไปก่อน แล้วเราทำงานหเขาเป็นการชดเชย?”

“ใช่แล้วพี่ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยกู้สถานการณ์ตอนนี้ได้!”

…..

บรรดาพี่น้องทั้งหลายของหยางจานคุนต่างเห็นตรงกัน สำหรับทางออกเดียวภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คือการเจรจาขอให้จ้าวเฉียนเข้าซื้อทีม

ในไม่ช้า หยางจานคุนก็พาพวกพี่น้องของเขาช่วยกันทำความสะอาด และรีบไปหาจ้าวเฉียนต่อ

“คุณจ้าวครับ ผมขอเปิดใจคุยกันตรงๆ ได้ไหมครับ ผมเสียใจครับที่ทำทุกอย่างไปโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน หวังว่าคุณจ้าวจะให้โอกาสผมพูดอะไรหน่อยนะครับ”

หยางจานคุนเริ่มปริปากกล่าวขึ้นทันที น้ำเสียงของเขาในตอนนี้ช่างสุภาพนอบน้อมยิ่ง

จ้าวเฉียนคาดเดาได้โดยธรรมชาติว่าอีกฝ่ายมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร จึงพยักหน้าตอบและพาไปยังมุมหนึ่งที่ไม่มีคน

หยานจานคุนโค้งศีรษะให้จ้าวเฉียนทันทีและกล่าวอ้อนวอนว่า

“คุณจ้าวได้โปรดซื้อทีมผมไปทีครับ ถ้าไม่ซื้อมันตั้งแต่ตอนนี้ หลังจากนี้ผมต้องยุบทีมแน่นอน ผมทราบดีนะครับว่าผมทำเรื่องแย่ๆ กับคุณจ้าวเอาไว้มาก แต่ผมสัญญาเลยครับ หลังจากนี้ผมจะตั้งใจขยันฝึกซ้อมและคว้าแชมป์มาให้คุณจ้าวพอใจเป็นการชดเชย โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะนะครับ!”

จ้าวเฉียนรวนหัวเราะออกมาทันใดและกล่าวตอบไปว่า

“ถ้าผมซื้อทีมของคุณตอนนี้ก็เท่ากับว่า ผมก็ต้องแบกรับค่าเสียหายที่พวกคุณต้องชดใช้เช่นกัน นี่เห็นผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

หยางจานคุนรีบกล่าวตอบทันทีว่า

“คุณจ้าว ผมทราบว่านี่เป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมกับคุณมาก ดังนั้นเพื่อเป็นความยุติธรรม ผมไม่ต้องการเงินสักหยวน คุณซื้อทีมผมทั้งทีมไปได้เลยแบบฟรีๆ โอเคไหมครับ?”

อันที่จริงแล้วการจะซื้อทีมของหยางจานคุนได้ต้องใช้เงินอย่างน้อยสิบล้าน

แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาต้องหาเงินมาชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดโดยเร็วที่สุด

จ้าวเฉียนยิ้ม เอ่ยถามกลับไปว่า

“ถ้าแบบนั้นผมไม่ดูเป็นคนเลวในสายตาคนอื่นเลยงั้นเหรอครับ? คนอื่นคงคิดว่าผมชุบมือเปิป?”

หยานจานคุนรีบส่ายหัวตอบทันที

“ไม่..ไม่…ไม่เลยครับคุณจ้าว นี่ถือว่าพึ่งพาซึ่งกันและกันมากกว่า ใช่ชุบมือเปิปที่ไหนกันครับ?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะ พลางโอบไหล่หยานจานคุนและกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะช่วยคุณเอง ตกลงไหม?”

หยางจานคุนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ในที่สุดภูเขาก้อนยักษ์ที่กดทับกลางอกก็สลายหายไปในพริบตา เขารีบกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเซ็นสัญญากันเลยไหมครับ?”

“ทำไมถึงรีบร้อนนักล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

หยางจานคุนเอ่ยตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ผมต้องการเงินมาชดใช้ภายในสามวันหนิครับ ไม่อย่างนั้นพี่หู่ไม่ปล่อยผมไปแน่ แต่จะว่าไป…ผมขอถามอะไรคุณจ้าวสักข้อได้ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้า

“ได้สิ มีอะไรก็ถามมาได้เลย”

หยางจานคุนพยายามรวบรวมความกล้า กัดฟันเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า

“คุณจ้าวกับพี่หู่เป็นอะไรกันเหรอครับ? ทำไมเขาถึงยอมช่วยคุณจ้าวขนาดนี้? ในความเห็นของผม เขาดูกลัวคุณจ้าวมากเลย นี่ต้องมีเหตุผลจริงไหมครับ?”

พอได้ยินแบบนั้นจ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ตอบกลับไปว่า

“ถ้านายอัดฉีดเงินสักหลายสิบล้านให้เขาทุกเดือนเป็นประจำ เขาเองก็จะสุภาพกับนายเช่นกันนั่นแหละ”

หยางจานคุนพยักหน้าตอบทันควันด้วยความยำเกรง

“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง… งั้นเราไปเซ็นสัญญากันเลยไหมครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและพาหยางจานคุนเข้าไปในสำนักงานของอู่เลอ

จ้าวเฉียนร่างเพียงสัญญาข้อตกลงที่สำคัญไม่กี่ข้อ และส่งให้หยางจานคุนอ่านโดยละเอียด พอทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็พิมพ์แบบออกมาและเซ็นสัญญาลงนามทันที ถือได้ว่ามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายอย่างเป็นทางการแล้ว

หลังได้รับสัญญาข้อตกลง หยางจานคุนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ในเวลานี้เอง เจ้าของรถหรูหลายคันที่กลับมารับรถก็ถึงกับเดือดจัด ที่เห็นรถตัวเองกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นแหกปากตะโกนลั่นทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

คนอื่นๆ ในร้านไม่สามารถจัดการกับปัญหาใหญ่แบบนี้ได้แน่นอน ดังนั้นจึงรีบไปเรียกจ้าวเฉียนออกมาจัดการกับปัญหาด้วยตนเอง

ซึ่งวิธีจัดการของจ้าวเฉียนก็ง่ายมาก เขากล่าวขอโทษไปตามตรงว่า

“ทางผมต้องขอประทานโทษจริงๆ นะครับ คนในอู่ไม่มีใครอยากเห็นเกิดอุบัติเหตุแบบนี้เช่นกันและพวกเขาเองก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง คุณสามารถแจ้งความตามกฎหมายได้เลย แล้วเรียกเก็บค่าเสียหายทั้งหมดมาที่ผม และผมจะชดเชยให้เต็มจำนวนเองครับ”

พอพวกเขาเหล่านั้นได้ยินว่าจ้าวเฉียนจะชดเชยให้เต็มจำนวน พวกเขาก็ดูมีความสุขอย่างมาก อารมรณ์ของแต่ละคนดูเย็นลงทันใด

“ในเมื่อคุณพูดถึงขนาดนั้น พวกเราเองก็ไม่มีอะไรจะเรียกร้องแล้วครับ”

“อืม หวังว่าคุณจะทำตามที่พูดได้จริงๆ”

“ผมจะกลับไปรวบรวมเอกสารเข้าแจ้งความ และเอาเอกสารชดใช้ค่าเสียหายส่งไปให้คุณอีกทีก็แล้วกัน”

บรรดาคนขับทั้งหลายพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม และวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่เพื่อรวบรวมข้อมูลเข้าแจ้งความ

ไม่นานนัก เจ้าของรถคนอื่นๆ เองก็กลับมาเอารถเช่นกัน ราวกับภาพฉากฉายซ้ำสอง พอเห็นว่ารถตัวเองกลายมาเป็นเศษเหล็กก็โวยวายทันที

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนก็สามารถใช้เงินปิดปากพวกเขาได้อย่างทันท่วงที

ตามที่ทุกคนคาดคิดไว้ไม่มีผิด ปัญหาที่ยากเกินกว่าที่ทุกคนจะสามารถแก้ไขได้ กลับถูกคลี่คลายได้ในพริบตาด้วยฝีมือของบอสจ้าว

“มีเงินซะอย่างยังต้องกลัวใคร สุดยอดจริงๆ บอสของเรา”

“ทำไม นายมีปัญหารึไง?”

“เปล่า ฉันรู้อยู่แล้วว่ายอสจ้าวรวย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวยขนาดนี้น่ะ…ฉันประเมินบอสต่ำเกินไปมากแหะ”

….

จ้าวเฉียนพลันเข้ามาได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นของลูกมือในอู่ของอู่เลอเข้า จึงตรงเข้ามากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า

“อย่าอิจฉาเลยน่าพวกนาย ฉันมากกว่าที่ต้องอิจฉาพวกนาย”

“บอสพูดถ่อมตัวเกินไปแล้วนะครับ”

“ใช่แล้ว บอสรวยขนาดนี้ ส่วนพวกเราต้องหาเช้ากินค่ำ เอาอะไรมาอิจฉาพวกผมครับเนี่ย?”

…..

จ้าวเฉียนหัวเราะตอบกลับไปว่า

“พวกนายเห็นฉันแค่เบื้องหน้าว่ามีเงิน แล้วใครเคยรู้ที่มาของเงินพวกนี้บ้าง? ฉันมีธุรกิจต้องกู้เงินจากธนาคาร มีดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าเกิดเดินสะดุดทีหนึ่งอาจทำให้ทุกอย่างที่ทำมาพังพินาศได้เลย ชีวิตผมมีแต่ความเครียด คิดหาวิธีทำกำไรเพื่อเอาเงินไปจ่ายหนี้ธนาคาร บ้านก็ต้องเอาไปจำนอง ทีนี่ยังใครอิจฉาฉันอีกไหม?”

จ้าวเฉียนกล่าวออกไปแบบนั้น พวกเขาทุกคนพลันเงียบลงทันที

“เข้าใจแล้วครับ พวกผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้บอสผิดหวังแน่นอน!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและโบกมือลาทุกคนออกไป พวกเขาทั้งหมดรวมถึงพวกหยางจานคุนเองก็รีบออกมาโค้งศีรษะลาจ้าวเฉียนด้วยความเคารพ

ทีนี้การจัดหารทีมมาเพิ่มก็สำเร็จไปได้ด้วยดี ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองทีมอย่างคุนต้าและสตีมเมอร์คัลเลอร์รวมเป็นหนึ่ง

ตอนที่214 พวกกลุ่มคนขี้ขลาด

หลิวกวนตกใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าจ้าวเฉียนมีอำนาจมากถึงขนาดนี้ ถึงนั้นที่ว่าสามารถทำให้ทุกคนในโรงแรมตงไห่ยันผู้จัดการตกอยู่ใต้อาณัติ และต้องเชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งขรัด

จ้าวเฉียนยิ้มตรงเข้าไปตบไหล่และกล่าวว่า

“ไม่ต้องกลัวไป ผมเป็นแขกVIPสูงสุดของที่นี่ และผมใช้จ่ายกับโรงแรมแห่งนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยล้านแล้ว พวกเขาย่อมให้เกียรติผมก่อนเป็นธรรมดา พวกปลาซิวปลาสร้อยอย่างหยางจานคุนทำอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว”

หลิวกวนรีบตอบกลับทันทีอย่างสุภาพว่า

“ผะ-ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจ้าวจะทรงอำนาจขนาดนี้ ผมเดิมพันฝากชีวิตไว้ถูกคนแล้วจริงๆ หลังจากนี้ผมจะตั้งใจฝึกไม่ปล่อยให้คุณจ้าวต้องผิดหวังแน่นอนครับ อ่อ…อ่อ…เรื่องเช็คเงินสองล้าน ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ ครับ แค่ค่าอาหารวันนี้ก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ผมเกรงใจเกินจะรับได้จริงๆ ครับ”

จ้าวเฉียนหัวเราะและผลักเช็คคืนไป

“ในเมื่อผมให้คุณไปแล้ว ผมก็ไม่อยากได้กลับคืนมาอีก รับมันไว้เถอะ แค่นี้ฉันไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว”

หลิวกวนยิ่งเกรงใจจ้าวเฉียนเข้าไปใหญ่ เขาไม่สามารถรับเงินจำนวนนี้ได้จริงๆ

“แต่คุณจ้าว เงินจำนวนนี้มันมากเกินไปจริงๆ คุณแค่เข้ามาบริหารทีมหมั่นสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซ้อมอย่างสม่ำเสมอ มันก็เพียงพอแล้วครับ ผมไม่สะดวกใจรับไว้จริงๆ ครับ”

จ้าวเฉียนตรงเข้ามากอดไหล่หลิวกวนและตอบกลับไปว่า

“ถ้าเกรงใจขนาดนี้ก็อย่าทำให้ผมผิดหวังสิ แสดงความสามารถออกมาให้เห็นว่าคุณเหมาะสมกับเงินที่ผมให้ไปจริงๆ หรือทำไม่ได้กัน?”

หลิวกวนได้ยินแบบนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บเช็คกลับไป แววตาของเขาในตอนนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นและภักดีต่อจ้าวเฉียน เขารีบกล่าวตอบทันที

“ฝีมือผมคือของจริงครับ! ผมจะทำให้คุณจ้าวเห็นเองว่า การที่คุณเลือกผมเข้าทีมคือการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นตอบไปว่า

“ต้องอย่างนี้สิ ผมเชื่อใจคุณ!”

ในเวลานี้เอง บรรดาแม่บ้านต่างก็เดินออกไปจากห้องไป พนักงานคนหนึ่งเดินมาแจ้งว่า

“คุณจ้าวครับ ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ไม่ทราบว่าจะสั่งอาหารเลยดีไหมครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าให้ และแนะนำรายการอาหารต่างๆ ให้หลิวกวนฟัง หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย

อีกด้านหนึ่ง หยางจานคุนเพิ่งทำแผลเสร็จที่โรงพยาบาล ขณะเดินจากออกมา ลูกน้องคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า

“พี่คุน พวกเราจะทำยังไงกันต่อไปดี? คงไม่ยอมจบแค่นี้ใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว! พวกเราไม่ยอมถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน! เรื่องแบบนี้ใครจะไปรับได้!”

หยางจานคุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่จะอย่างไรเขายังไม่ลืมเรื่องสุดอัปยศในวันนี้แน่นอน

“บัดซบ! โทรหาพวกที่เหลือบุกไปที่อู๋ของจ้าวเฉียน! ในเมื่อลงมือที่โรงแรมไม่ก็ลงมือที่อื่น!”

“ได้ครับ! ผมจะรีบโทรเดี๋ยวนี้…”

กลุ่มคนของหยางจานคุนรีบระดมโทรหาพรรคพวกที่เหลือมาอย่างรวดเร็ว

นับจำนวนรวมกันรถตู้เต็มทั้งห้าคันรถ ปริมาณกว่า60คน

ปัจจุบันอู่ของจ้าวเฉียนที่ว่าก็คืออู่ซ่อมรถของจ้าวเฉียน ที่แห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ประชุมของทีมและอู๋ซ่อมรถ ซึ่งในเวลานี้เองอู๋ก็กำลังเปิดให้บริการตามปกติ

ทันใดนั้นรถตู้ทั้งห้าคันก็แล่นเข้ามาจอมเทียบท่าอย่างรวดเร็ว บรรดาลูกน้องของอู่เลอรีบวิ่งออกมาดูสถานการณ์ทันที จนมีคนหนึ่งสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงรีบโทรศัพท์หาจ้าวเฉียนเป็นการด่วน

“ฮาโหลครับบอส แย่แล้ว! มีคนจากที่ไหนไม่รู้ขับรรตู้มาล้อมอู่ไว้ เท่าที่ดูเกือบร้อยคนได้!”

จ้าวเฉียนรีบกล่าวสงบสติอีกฝ่ายทันที

“โอเค พวกนายตั้งสติและถอยกลับเข้าไปในอู่ก่อน ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย รอจนกว่าฉันจะไปถึง”

พอวางสายเสร็จ จ้าวเฉียนก็รีบโทรไปหาหยางหู่ต่อทันที รอกำลังเสริมเดินทางไปยังอู่ซ่อมรถของอู่เลอ

หยางจานคุนชี้ไปหน้าลูกกรงกู่ตะโกนสาปแช่งเสียงดังลั่นว่า

“ไอ้พวกขี้ขลาด! มึงไปเรียกไอ้เวรที่ชื่อจ้าวเฉียนให้มาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

“ออกมาสิโว้ย! จะมาหัวหดตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”

“ออกมา แน่จริงก็ออกมา!”

จากนั้นคนของหยางจานคุนก็เริ่มกระหน่ำทุบตีรถที่มาซ่อมในอู่ทันทีโดยรอบด้วยไม้เบสบอลในมือ เสียงทะเลาะวิวาทดังสนั่นไปทั่วทั้งแทบนั้น ช่างเป็นภาพฉากที่น่ากลัวจริงๆ

“บอสพวกกูกำลังออกมาแล้ว! กูเพิ่งโทรหาเขาเมื่อกี้ มาทุบรถคนอื่นเขาแบบนี้ เตรียมจ่ายหัวโต! ไอ้โง่!”

หยางจานคุนหัวเราะเยาะลั่น พลางเหวี่ยงไม้เบสบอลในมือหวดใส่กระจกรถคันหนึ่งจนแตกกระจาย

“จะให้กูจ่ายงั้นเหรอ? งั้นต้องโดนอีกดอก! เคร้ง! อยากให้กูจ่ายนักใช่ไหม! มาสิ! ออกมาเอาเงินที่กูนี่!”

หยางจานคุนออกคำสั่งให้ทุกคนอย่าหยุดมือ และให้กระหน่พทุบรถต่อไปไม่ต้องหยุด

ต้องกล่าวก่อนว่า ตั้งแต่ที่อู่เลอชนะการแข่งระดับภูมิภาคได้ อู่ซ่อนรถของเขาก็มีชื่อเสียงขึ้นทันตา และมีรถหรูของบรรดาเศรษฐีหลายคันที่ส่งเข้ามาซ่อมและทำสีเพิ่มเติม ดังนั้นรถที่พวกหยางจานคุนทุบไปมีทั้ง Mercedes-Benz, BMW หรือแม้แต่ Porsche ก็ตาม พวกนี้ล้วนเป็นรถนำเข้าราคาแพงทั้งสิ้น

“พวกเราควรทำยังไงดี? ปล่อยให้รถของลูกค้าถูกทุบแบบนี้ต่อไป เราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าชดเชย?”

“แจ้งตำรวจ! อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!”

“แต่เดี๋ยว! บอสบอกให้พวกเราไปซ่อนตัวข้างในเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ ถ้ากระโตกกระตากโทรเรียกตำรวจตอนนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปสร้างปัญหาให้บอสแทนเหรอหลังจากนี้?”

“งั้นก็รอดูสถานการณ์ไปก่อน ฉันว่าบอสจะต้องมีแผนรับมือแล้วแน่นอน! ไม่ต้องกังวลไป!”

….

บรรดาลูกน้องในอู่ต่างวิตกกังวลอย่างหนัด เพราะค่าชดเชยที่ประเมินได้จากสายตาตอนนี้มันทะลุไปกว่าหลายสิบล้านแล้ว

พอหยานจานคุนทุบรถทั้งหมดจนหนำใจแล้ว เขาก็ตะโกนขึ้นว่า

“พอเว้ย! รอแม่งมา!”

ผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง คนของหยางหู่มาถึงก่อน จำนวนไม่ค่อยเยอะมากประมาณ20คนเห็นจะได้ แม้มองภายนอกจะปราศจากอาวุธ แต่ที่จริงมีทั้งมีดสั้นและกระบองซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย

นี่เป็นทีมส่วนตัวของหยางหู่ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นทหารสังกัดหน่อยพิเศษเก่าทั้งสิ้น ภาตใต้การนำของหยางหู่ หากยังไม่มีคำสั่ง พวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวเด็ดขาด

หยางจานคุนรู้สึกหวั่นกลัวเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่าพวกตัวเองมีตั้ง60คน ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวคนพวกนี้แม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงก้าวออกไปรับหน้าอย่างหาญกล้ายิ่ง พร้อมกล่าวว่า

“เห้ยพวกมึงเป็นใครวะ?”

หยางหู่เอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบ แต่แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ

“คุณไม่มีคถณสมบัติพอที่จะรู้ว่าผมคือใคร คุณคงเป็นหยางจานคุนใช่ไหม?”

หยางจานคุนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่อยถามกลับไปทันที

“มึงรู้จักกูได้ไงวะ?”

หยางหู่กรนเสียงหัวเราะดูเยือกเย็นอย่างยิ่ง ก่อนตอบไปว่า

“สัปดาห์ก่อน ที่คุณมีเรื่องกับลูกค้าในKTV ก็ไม่ใช่คนของผมเหรอที่ช่วยคุณไกล่เกลี่ยให้?”

หยางจานคุนได้ยินไปแบบนั้นถึงกับเอ่ยถามกลับไปทันทีด้วยความสับสนว่า

“คุณ…คุณคือหยางหู่…เจ้าของKTVคนนั้น?”

“ใช่ ผมเอง ผมไม่อยากมีเรื่องกับพวกกุ๋ยข้างถนนเท่าไหร่ มันเสียชื่อน่ะ รีบวางอาวุธในมือลง แล้วคำนวณเดี๋ยวนี้ว่า ไอ้ที่พวกคุณทุบไปมันราคาเท่าไหร่ จ่ายเงินครบเมื่อไหร่ค่อยไสหัวไป”

หยางจานคุนหวาดกลัวจนตัวสั่นเท่าไม่หยุด เดินถอยกลับไปทันทีสองสามก้าว ส่วนบรรดาคนอื่นๆ ก็ถึงกับแขนขาสั่นพับ รีบโยนอาวุธในมือต่างๆ ทิ้งโดยไวราวกับจับโดนของร้อน ใครบ้างไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพี่หู่แห่งเมืองตงไห่?

ในเวลานี้เอง จ้าวเฉียนก็ขับรถมาถึงแล้วเช่นกัน พอเห็นกระจกร้านและรถในอู่เสียหายหนัก เขาเองก็โมโหอย่างมากเช่นกัน

“เสี่ยวหู่ ไม่ต้องเสียวเวลาพล่ามกันพวกมันแล้ว ให้พวกมันคำนวณค่าใช้จ่ายมา ถ้าจ่ายไม่ได้ก็ตายตรงนี้แหละ!”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากสั่งการ

หยางหู่พยักหน้าให้และหันมากล่าวกับหยางจานคุนว่า

“คุณเองก็คงได้ยินที่คุณจ้าวพูดแล้วใช่ไหม? ไปคำนวณค่าเสียหายมาเดี๋ยวนี้!”

หยางจานคุนรีบสงบสติความตื่นกลัว และรีบเดินไปตรวจสอบรถทีละคันเลยว่า คันไหนเสียหายเท่าไหร่

ดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ กล่าวได้ว่า หากไม่กลัวจริงคงไม่ออกไปดูแน่นอน แต่ปัญหาที่ตามมือ เขาจะมีปัญญาจ่ายไหวได้ยังไง?

บรรดาคนอื่นๆ รีบวิ่งออกมาคุกเข่าต่อหน้าหยางหู่และจ้าวเฉียน พร้อมปัดความผิดทุกอย่างไปให้หยานจานคุน ทั้งยังบอกอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับอีกฝ่ายไม่ได้สนิทสนมกันอย่างที่คิด

“พี่หู่ พวกเราอธิบายได้นะครับ พวกเราก็แค่ลูกมือตอนแข่งของหมอนั่น อันที่จริงพวกเราไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย!”

“ใช่แล้วครับพี่ พวกเราถูกมันกับพี่น้องของมันชักชวนมาเท่านั้น โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับพี่หู่ด้วย”

“ผมขอโทษครับพี่หู่ ผมขอโทษ…”

พรรคพวกกว่าหกสิบคนก่อนหน้าเปลี่ยนสีจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เหลือเพียงหยางจานคุนและพี่น้องอีกไม่กี่คนเท่านั้น

“พี่คุน พวกเราเอาไงดี?”

“ควรโทรแจ้งตำรวจดีไหม?”

“บ้าไปแล้วรึไง! ถ้าโทรแจ้งตำรวจตอนนี้ หลักฐานคาตาว่าเราเป็นคนบุกรุก อยากติดคุกด้วยรึไง!”

“แล้ว…แล้วจะให้ทำยังไง? ถ้าไม่แจ้งตำรวจก็ต้องจ่ายค่าเสียหายนะ! หรือแกจะกล้าหือกับพี่หู่?”

“ใจเย็นก่อน รอฟังพี่คุนดีกว่า เขาน่าจะมีแผน”

“ใช่ๆ พี่คุนพูดอะไรบ้างสิครับ?”

“พี่คุนได้ยินพวกผมพูดไหม?”

หยางจานคุนตอนนี้ร้อนใจเกินพอแล้ว พอได้ยินพวกนี้เซาซี้ยิ่งน่ารำคาญเข้าไปใหญ่

“หุบปาก! ก็พวกมึงไม่ใช่เหรอที่เชียร์ให้กูเอาคืน? แล้วเป็นยังไงล่ะ! ใครกันที่ซวย? ก็กูนี่ไง! พวกมึงมีประโยชน์อะไรบ้างวะ นอกจากกินดื่ม? พวกมึงเตรียมหารกับกูได้เลย!”

พอพูดจบหยางจานคุนก็รีบตรงไปหาจ้าวเฉียนทันที

“คุณจ้าวครับ เอ่อ…พวกเรามาคุยดีๆ กันดีกว่า”

จากหน้าบึ้งคิ้วขมวด ตอนนี้หยานจานคุนยิ้มแย้มรีบกล่าวเสียงอ่อนในพริบตา

ตอนที่213 ตีหัวมันซะ

ทุกคนถึงกับลุกขึ้นทันทีที่ได้เห็นจ้าวเฉียนมาพร้อมกับหลิวกวน

หยางจานคุนชักสีหน้าไม่พอใจออกมา มุมปากกระตุกสองสามคราและกล่าวว่า

“คุณจ้าว! นี่มันหมายความว่ายังไง? เราก็ฉลองกันที่ห้องนี้อยู่ดีๆ ทำไมต้องไล่ที่กันด้วย?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลันเหลือบมองไปที่หลิวกวน และตอบกลับไปว่า

“หลิวกวนไม่อยากให้คุณมีความสุขก็เท่านั้น ต้องขออภัยจริงๆนะครับ แต่ห้องนี้เป็นของผมแล้ว”

“บัดซบ! คิดว่าตัวเองเป็นใครห่ะ? อยากได้อะไรก็ต้องได้รึไง?”

“แกเป็นเจ้าของโรงแรมรึไงวะ?”

“ผู้จัดการ ถ้าพวกผมไม่ไปแล้วจะทำไม?”

คนของหยางจานคุนเริ่มฉุนแล้วเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่คำขู่นี้กลับไม่เป็นผล

ผู้จัดการโรงแรมกล่าวตอบเสียงเข้มว่า

“ถ้าพวกคุณยังไม่ออกไป ผมจะเรียกรปภ.มาลากพวกคุณเอง แต่หากให้ความร่วมมือแต่โดยดี ผมจะเปลี่ยนห้องอาหารให้ครับ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้วว่าจะตัดสินใจยังไง?”

หยางจานคุนคำรามลั่นด้วยความเดือดจัด

“แล้วทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่ตอนแรก? นี่พวกเรากินอาหารที่สั่งไปเกินครึ่งแล้ว ต้องการไล่เราเอาปานนี้ คิดจะตบหน้ากันรึไง! กู หยางจานคุน แชมป์นักแข่งระดับเอเซียนะเว้ย! ไม่ได้ดูข่าวรึไง? ถ้ายังไม่เลิกสร้างความวุ่นวาย กูจะโทรเรียกพวกให้มาจัดการ!”

ผู้จัดการโรงแรมหรือจะมีเกรงกลัว? โรมแรมตงไห่แห่งนี้มีมหาเศรษฐีระดับประเทศหลายคนคอยหนุนหลัง อย่าน้อยก็จ้าวฝู่แล้วคนหนึ่ง

“คุณหยาง ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเรียกใครมา แต่รบกวนออกไปจากห้องอาหารนี้เดี๋ยวนี้ คุณกำลังทำให้คุณจ้าวรับประทานอาหารล่าช้า”

หยางจานคุนถ่มน้ำลายใส่พื้นทีหนึ่ง สบถสาปแช่งด่าสวนกลับไปว่า

“กูไม่ไป พวกมึงจะทำอะไรกูได้!”

“อะไรของพวกนี้วะ! สมองพวกแกมันเหลวละลายไปหมดแล้วรึไง? ถึงกล้าไล่พวกเราออกไปทั้งแบบนี้จริงๆ! พวกมึงรู้ไหม พี่คุนของเราเพิ่งคว้าแชมป์ระดับเอเซียมานะเว้ย! มีคนดังตั้งมากมายที่เชิญเขาไปร่วมรับประทานดินเนอร์!”

“โรงแรมตงไห่มันมีแต่พวกปัญญาอ่อนรึไง? หรือคิดว่าตัวเองมันมีดีกว่ารองเทศมนตรี? รองเทศมนตรีเพิ่งส่งคนมาเชิญพี่คุนไปร่วมทานข้าวด้วยกัน แถมลูกชายของรองเทศมนตรียังเป็นเพื่อนกับพี่คุนอีกด้วย! พวกมึงมาทำแบบนี้เท่ากับหาเรื่องตาย!”

บรรดาคนของหยางจานคุนเอ่ยปากข่มขวัญ ฝีปากแต่ละคนดุเดือดอย่างยิ่ง

หลิวกวนเริ่มรู้สึกกังวลใจไม่น้อยแล้วเช่นกัน เขารู้สึกว่า นี่เป็นแค่การมาทานอาหาร และเขาไม่ได้เรื่องมากอะไรเลย จะกินที่ไหนก็ได้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องหยางจานคุนกับแค่เรื่องที่ทานข้าวแบบนี้

“คุณจ้าว ผมว่าไปกินที่ห้องอื่นก็ได้นะครับ”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางตบไหล่หลิวกวนเบาๆ เอ่ยตอบไปว่า

“อล่ากลัวไปเลน เดี๋ยวตรงนี้ผู้จัดการจะจัดการให้เอง พวกเรามีหน้าที่แค่ยืนรอ ผมจะบอกคุณอีกครั้งนะครับว่า พวกเราจะต้องฉลองกันในวันนี้และที่นี่เท่านั้น!”

หยางจานคุนกำหมัดแน่น เตรียมพุ่งเข้าไปต่อยจ้าวเฉียน แต่ผู้จัดการโรงแรมกลับเข้ามาขวางไว้ก่อนและตะคอกสวนกลับไปว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! ที่นี่มันในโรงแรม ไม่อนุญาตให้มีเรื่องชกต่อย!”

หลังจากพุดจบ ผู้จัดการก็รีบวอแจ้งรปภ.ให้รีบขึ้นมาทันที ประมาณไม่กี่อึดใจต่อมา กลุ่มรปภ.นับสิบก็เข้ามา

พวกลูกน้องของหยางจานคุนดูท่าจะไม่เกรงกลัวเลย ลูกพี่ของพวกเขาเพิ่งความแชมป์มาได้ แต่ละคนจำต้องประจบประแจ สร้างคุณงามความดีให้เขาเห็น

“กลัวตายที่ไหน! คิดจะสู้ใช่ไหม? เข้ามาเลย!”

“ใครต้องกลัวใครกันแน่วะ! พวกมึงเข้ามา!”

“มาเลยไอ้พวกยามหน้าโง่!”

แต่ละคนเริ่มเห่าหอนข่มขู่กันอย่างไม่หยุดหย่อน บางคนถึงขั้นหยิบขวดไวน์ขึ้นมาตีให้แตกเป็นปากฉลาม เพื่อสร้างเป็นอาวุธเตรียมเผด็จศึก

ส่วนกลุ่มรปภ.เองก็หยิบกระบองเหล็กขึ้นมา และพยายามเคลียร์พื้นที่กลัวว่าจะมีคนโดนลูกหลง

ผู้จัดการแอ่ยปากเตือนกลุ่มคนของพวกหยางจานคุนทันทีว่า

“อย่าคิดทำเรื่องโง่ๆ พวกเราเองก็มีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวเช่นกัน ถ้าพวกคุณไม่กลัวเป็นเรื่องใหญ่ ทางโรงแรมตงไห่ของพวกเราเองก็ไม่กลัวเช่นกัน ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้!”

บรรดาคนของหยางจานคุนชะงักไปชั่วครู่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กลัว เพราะพวกเขายังมีพี่คุนคอยหนุนหลังอยู่

แต่ในทางกลับกัน หยางจานคุนกลับเริ่มกังวลเล็กน้อย เพราะไม่มีใครคอยหนุนหลังหรือช่วยเหลือเขาหลังจากนี้ถ้าเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ และค่าเสียหายที่ทางโรงแรมตงไห่เรียกเก็บคงไม่ใช่มูลค่าน้อยๆเลย

ถึงอย่างไร ศักดิ์ศรีย่อมต้องมาก่อนในฐานะพี่ใหญ่ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่อยู่ต่อหน้าหลินกวนอีก หยางจานคุนจะไม่ยอมเสียหน้าโดยเด็ดขาด

คิดได้ดังนั้นหยางจานคุนก็ก้าวขึ้นหน้าออกไปด้วยท่าทีแสนเย่อหยิ่ง ตรงเข้าไปผลักอกรปภคนหนึ่งจะกระเด็นและคำรามขึ้นว่า

“เออ กูไม่เชื่อ! พวกเราลุย!”

รปภ.เหล่านั้นถึงกับเลิ่กลั่กหันไปทางผู้จัดการราวกับอยากจะถามว่าควรทำอย่างไรต่อ อีกฝ่ายดูท่าจะไม่หยุดมือง่ายๆแล้ว สรุปสุดท้ายนี้จะให้ปราบปรามอย่างไร จำต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการ

นี่ถือเป็นบ้านหลังหนึ่งของจ้าวเฉียน และเขาไม่ยอมให้เข้ามาใช้ความรุนแรงในที่ของเขาเด็ดขาด

“ผู้จัดการ ตีมัน!”

จ้าวเฉียนสั่งการทันที

ทางด้านผู้จัดการถึงกับปวดหัวตึบ แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองที่ได้ยิน ถึงกับหันควับกลับมามองจ้าวเฉียนด้วยความตกใจ

“คุณจ้าว…คุณจ้าวจะให้ตีคนพวกนี้เหรอครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างสงบนิ่งและเอ่ยตอบไปว่า

“ใช่…เริ่มจากมันก่อนเลย!”

ผู้จัดการตื่นตระหนักสุดขีด เวลาคับขับแบบนี้จะให้เขาทำยังไง? ถ้าลงมือตอนนี้ ผลที่ตามมาคือ ทางโรงแรมจะช่วยปกป้องเขาหรือไม่? หรือปล่อยให้เขาโดนคดีความไปเต็มๆจะทำยังไง? แต่ถ้าขัดคำสั่งคุณชายจ้าวก็ไม่ต่างอะไรกับสร้างความขุ่นเคืองให้แก่จ้าวฝู่ จะตีหรือไม่ตี?

หยางจานคุนถึงกับระเบิดหัวเราะลั่น สบถด่าขึ้นว่า

“มึงคิดตัวเองเป็นใครวะห่ะ? พ่อมึงใหญ่นักรึไง!? เอาสิ! มาตีหัวกูเลย! กูยื่นหัวให้แล้ว! ที่นี่เป็นสถานที่ของพวกมึง ถ้ากล้าลงมือก็เท่ากับทำร้ายร่างกายลูกค้า! พวกมึงไม่กล้า… ”

ตุบบ!!

เสียงกระบอกเหล็กฟาดศีรษะดังสนั่น หยางจานคุนถึงกับล้มทั้งยืนร่วงคาพื้นในพริบตา บริเวณนั้นปรากฏเป็นธารเลือดสีแดงสดไหลนองออกมา ในไม่ช้าก็ชโลมทั่วทั้งใบหน้าของหยางจานคุน

‘ก็เออไง! พ่อเขาใหญ่!’

ผู้จัดการโรงแรมสบถขึ้นภายในใจ

“มึงตาย!!”

“กล้าทำพี่คุนของเรางั้นเหรอ!!”

พวกคนของหยางจานคุนคำรามลั่น ชี้หน้ากรนด่าคล้ายจะพุ่งเข้ามาหาเรื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวเลยสักคน

ผู้จัดการคืนกระบองเหล็กให้รปภ.คนข้างๆ และกล่าวสั่งการขึ้นว่า

“ถ้าใครยังกล้าปากดีผมอนุญาตให้ลงมือได้ทันที ขอแค่ไม่ถึงตาย ทางโรงแรมจะรับผิดชอบแทนพวกคุณทั้งหมด ดังนั้นไม่ต้องกลัว”

กลุ่มคนของหยางจานคุนถึงกับผวะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น พวกเขารีบโยนขวดไวน์ในมือทิ้งอย่างรวดเร็ว

หยางจานคุนนอนอาบเลือดนองอยู่บนพื้นสักพัก ก่อนจะค่อยๆตะเกียดตะกายลุกขึ้นมาพร้อมมือกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด

“มึง…มึงกล้าตีกูจริงๆใช่ไหม! เดี๋ยวก่อนเถอะ…เรื่องไม่จบแค่นี้แน่!”

หยางจานคุนหยิบมือถือออกมาและโทรไปหาลูกชายของรองเทศมนตรีเมือง เพื่อฟ้องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่

แต่เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าคู่กรณีเป็นโรงแรมตงไห่ ก็ตอบกลับทันทีด้วยความลำบากใจ โดยกล่าวว่า คงไม่ง่ายที่จะช่วย

โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด หยางจานคุนรีบโทรหาคนอื่นต่อทันที แม้ว่าสถานะของพวกเขาจะต่ำกว่าลูกรองเทศมนตรี แต่หากมีผลประโยชน์ตอบแทนมันก็ไม่แน่

แต่น่าเสียดายนักที่เขายังไร้เดียงสาเกินไป บรรดาเพื่อนฝูงเหล่านั้นคบหากันเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว แถมคู่กรณีที่มีเรื่องก็เป็นถึงโรงแรมตงไห่ แล้วมีใครจะกล้าเสี่ยงตายเข้ามาช่วยกัน? พวกเขาย่อมทราบ โรงแรมตงไห่มีมหาเศรษฐีระดับประเทษคอยหนุนหลัง คิดจะเอากิ่งไม้ไปงัดกับท่อนซุง? ขนาดคนโง่ยังรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร!

หลังจากพยายามติดต่อไปสักระยะหนึ่ง หยางจานคุนก็เริ่มหมดหวัง ทุกคนต่างหาข้ออ้างมาปฏิเสธที่จะช่วยเขาต่างๆนาๆ

ขณะนี้เลือดออกที่บริเวณศีรษะยังคงไหลไม่หยุดจนเข้าตาหมดแล้ว หยางจานคุนทำได้เพียงกล่าวเสียงอ่อนว่า

“พาผมไปโรงพยาบาลก่อนได้ไหม?”

ผู้จัดการที่ได้บินแบบนั้นถึงกับหัวเราะ

“ฮ่าฮ่า…เรื่องยังไม่จบเลยนะ จะรีบไปไหน? แล้ว…ไหนล่ะคนที่จะมาช่วยคุณ?”

หยางจานคุนเริ่มรู้สึกเวียนศีรษะอย่างอธิบายไม่ถูก

“พา…พาฉันไปโรงพยาบาลก่อน! ไม่งั้นฉันตายก่อนแน่! อย่าให้โรงแรมเป็นข่าวรึไง!”

ในขณะนั้นเอง จ้าวเฉียนก็ปริปากพูดขึ้นว่า

“คุณหยางพูดถูกนะครับ ตอนนี้ยังเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย ถ้าอีกฝ่ายตายขึ้นมาจริงคงยากที่จะจัดการ เขาก็น่าจะได้รับบทเรียนแล้ว ดังนั้นปล่อยให้เขาไปโรงพยาบาลเถอะครับ อ่อ…แล้วช่วยเรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดด้วยนะครับ ผมกับคุณหลิวหิวแย่แล้วครับ”

ผู้จัดการได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบทันที

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบดำเนินการโดยด่วนที่สุด พวกคุณจะไปไหนก็ไปได้แล้ว ส่วนเธอไปตามพวกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดห้องนี้โดยด่วนเลยนะ และไปเตรียมอาหารให้คุณจ้าวได้แล้ว”

พวกรปภ.รีบ‘เชิญ’หยางจานคุนและคนอื่นๆออกไป ส่วนพนักงานเสร์ฟที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่หน้าประตูก็รีบแยกย้ายกันไปทำตามที่ผู้จัดการสั่ง

ขณะที่หยางจานคุนเดินผ่านจ้าวเฉียนและกำลังจะจากไป เขาก๋เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งว่า

“นี่นายเป็นใครกันแน่? ทำไมคนของที่นี่ถึงเชื่องกับนายขนาดนี้?”

จ้าวเฉียนหยิบบัตรVIPออกมาและตอบกลับไปตามตรงว่า

“ผมเป็นแขกVIPของที่นี่ พวกเขาต้องทำตามทุกอย่างที่ผมต้องการ”

หยางจานคุนหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นใจ เอ่ยสวนกลับไปว่า

“เหอะ! หวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก!”

หลังจากพูดจบหยางจานคุนก็เดินกระเผลกจากไป ติดตามมาด้วยบรรดาลูกน้องที่ตรงเข้ามาประคอง

ผู้จัดการรีบผายมือเชิญจ้าวเฉียนกับหลิวกวนไปนั่งรออย่างสุภาพ ไม่นานพวกแม่บ้านก็รีบเข้ามาทำความสะอาดทั้งโต๊ะอาหารและแอ่งเลือดที่นองบนพื้นโดยไว

ตอนที่212 ฉันต้องการห้องนี้

หลังครุ่นคิดอยู่สักครู่ หลิวกวนก็รีบวิ่งไปหยุดจ้าวเฉียนทันที

“คุณจ้าว คุณบอกว่าจะพาหยางจานคุนเข้าทีมด้วยงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“ผมวางแผนไว้แบบนั้น เพราะเป้าหมายของผมมันไม่ใช่แค่แชมป์ระดับเอเชีย แต่ยังรวมไปถึงแชมป์โลกอีกด้วย ดังนั้นจำเป็นต้องรวบรวมนักแข่งที่มีฝีมือออยู่ในทีมให้ได้มากที่สุด”

หลิวกวนเงียบไปชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“หากผมยอมเข้าทีมของคุณ คุณไม่ต้องเอาหยางจานคุนเข้าร่วมทีมด้วยตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“ถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธผมก็คงต้องยอมรับสภาพ แต่ถ้าเขาเองก็ตอบตกลง ผมก็ไม่สามารถปล่อยนักแข่งมากพรสวรรค์หลุดมือไปได้เช่นกัน ผมไม่สนหรอกว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ขอแค่ได้นักแข่งคุณภาพมาอยู่ร่วมทีมก็นับว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว”

หลิวกวนก้มหน้าก้มตากล่าวขึ้นอย่างเขินอายว่า

“ช่างเถอะครับ ผมไม่อยากอยู่ร่วมทีมกับหมอนี่แล้วจริงๆ”

“จะหมายความว่า หากมีเขาจะไม่มีคุณ หากมีคุณจะไม่มีเขา? ผมเข้าใจถูกไหมครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

 หลิวกวนพยักหน้าตอบท่าทีดูหนักแน่นอย่างมาก

จ้าวเฉียนฮัมเพลงเล็กน้อยกล่าวตอบไปแค่ว่า

“งั้นขอข้อมูลติดต่อหน่อยแล้วกันครับ ถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธมายังไงผมจะได้ทักหาคุณใหม่อีกครั้ง”

หลิวกวนพยักหน้าและแลกเบอร์กับจ้าวเฉียน ก่อนจะจากไป

จ้าวเฉียนยังคงยืนรอประมาณครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น ไม่นานหยางจายคุนก็ออกมา เขารีบตรงเข้าไปทักทายทันที

“สวัสดีครับ ผมชื่อจ้าวเฉียนเป็นเจ้าของทีมโลเต้ แชมป์ระดับภูมิภาคในเมืองตงไห่คนล่าสุดเป็นคนจากทีมผมเอง”

หยางจานคุนยิ้มและตรงเข้าจับมือกับจ้าวเฉียน ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า

“ครับผม มีอะไรหรือเปล่าครับคุณจ้าว?”

จ้าวเฉียนเข้าเรื่องทันทีว่า

“ผมต้องการซื้อทีมของคุณครับ”

หยางจานคุนระเบิดหัวเราะลั่นทันทีอย่างอดไม่ได้ เอ่ยถามเจือท่าทีเย้ยหยันว่า

“พี่ชาย คุณล้อเล่นกันใช่ไหม? ผมเพิ่งได้ยินมาว่าอู้เลอของทีมคุณเพิ่งโดนลอบทำร้าย เพราะทำให้อีกทีมขุ่นเคือง ข้าผมเข้าทีมไป คงไม่ใช่ว่าไปนอนโรงพยาบาลแบบเดียวกับเขา?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“หลังจากนี้ผมจะจ้างคนมาคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แน่นหนากว่านี้ครับ ผมต้องการนักแข่งมากพรสวรรค์แบบคุณมาร่วมเสริมทัพ”

หยางจานคุนระเบิดหัวเราะใส่อีกครา และบรรดาลูกน้องที่ติดตามเขาเองก็ตรงเข้ามาหัวเราะเยาะด้วยเช่นกัน

“พี่ชาย ทีมผมทั้งหมดนี้ราคาค่าตัวค่อนข้างสูงมากนะ คุณไม่มีปัญญาจ่ายไหวแน่นอน!”

หยางจานคุนกล่าวเย้ย

จ้าวเฉียนหยิบสมุดเช็คออกมาทันทีและเอ่ยถามว่า

“แค่บอกราคามาครับ ตราบเท่าที่มันสมเหตุสมผลพอ ผมจะไม่ต่อรองใดๆ ขอแค่ตั้งใจฝึกและให้ความร่วมมือกับทีมเราเป็นอย่างดี ผมย่อมจ่ายค่าเหนื่อยพิเศษให้เรื่อยๆครับ”

หยางจานคุนปั้นหน้าเหยียดใส่จ้าวเฉียน กล่าวเสียดสีท่าทีดูไม่สุภาพแม้แต่น้อย

“ผมยังไม่อยากเสียขาไปครับ เอาเงินตรงนี้ไปจ่ายค่าพยาบาลนักแข่งของคุณเถอะ! ฮ่าฮ่า…”

“พี่หยางไม่ต้องไปฟังหมอนี่หรอก พวกเราเพิ่งได้แชมป์ระดับเอเชียมา ทำไมพวกเราต้องขายทีมให้มัน?”

“กลับไปทำกายภาพบำบัดให้นักแข่งในทีมแกเถอะ! ฮ่าฮ่า…”

“มีสมุดเช็คเตรียมมาด้วยเว้ย! โคตรเสแสร้งเลย!”

….

บรรดาลูกทีมของหยางจานคุนพูดจาใส่หยาบคายอย่างมาก แต่ละคนนับว่าหยิ่งผยองเกินควร

จ้าวเฉียนอดยิ้มไม่ได้ ดูท่าพวกนี้จะหัวสูงขึ้นทันทีหลังคว้าแชมป์

ในเวลานั้นเองหลิวกวนก็เดินผ่านเข้ามาพอดี หยางจานคุนกับเขาโคจรมาประชันหน้ากันทันทีในเวลานี้

เพิ่งคว้าแชมป์มาได้สดๆร้อนๆ หยางจานคุนไปยอมพลาดโอกาสดีๆแบบนี้หลุดมือไปอยู่แล้ว

“อ้าวพี่กวนไม่ใช่เหรอ? โทษทีนะพี่ รอบนี้ผมชนะวะ! ฮ่าฮ่า…”

หลิวกวนพ่นลมหายใจสบถดังว่า

“แล้วไงวะ? แกเพิ่งชนะครั้งแรกไม่ใช่รึไง? ที่แกมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะฉันเคยช่วย! เลี้ยงเสียข้าวสุก!”

หยางจานคุนไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังระเบิดหัวเราะน้ำเสียงดูเย่อหยิ่งขึ้นหลายส่วน

“พี่กวน ผมได้ยินมาว่า ทีมคุณไม่มีใครมาสนับสนุนแล้วหนิ? อาชีพนักแข่งของพี่คงต้องจบลงแค่เพียงเท่านี้แล้ว น่าเสียดายนะ ทีนี้ก็คงรู้ตัวแล้วนะว่าใครเก่งกว่าใคร?”

หลิวกวนได้แต่หัวเราะขื่นเป็นคำตอบ และไม่ปริปากพูดใดๆอีก

หยางจานคุนเหลือบไปมองจ้าวเฉียนเล็กน้อย ยกนิ้วโป้งขึ้นชี้มาทางอีกฝ่ายพลางกล่าวกับหลิวกวนว่า

“พี่หลิว เห็นว่าพี่ชายคนนี้อยากจะซื้อทีมของผม แต่ผมไม่ขาย ถ้าสนใจผมก็แนะนำให้ลองเสี่ยงโชคกับเขาดู ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสมาลงสนามอีกแล้วล่ะ”

ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนก็เดินไปหาหลิวกวนกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า

“ฉันคิดว่า ตอนนี้พวกเราต้องร่วมมือกันแล้ว แต่อย่างที่บอก ผมไม่ได้ซื้อทีมคุณไปฟรีๆ เอานี้ไป เงินก้อนนี้ถือซะว่าเป็นค่าอัดฉัดที่คว้าอันดับสองของรายการนี้ได้ ถ้าครั้งหน้าทำผลงานออกมาได้เป็นที่น่าพอใจ เตรียมรับค่าเหนื่อยเพิ่มได้เลย”

จ้าวเฉียนไม่พูดพล่ามทำเพลง เซ็นเช็คมูลค่าสองล้านมอบให้แก่หลิวกวนโดยตรง

“แต่ต้องรับปากผมข้อหนึ่งนะ การแข่งขันในครั้งต่อไป ถึงจะยังไม่สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ แต่อย่างน้อยต้องชนะพวกนั้น”

คล้อยหลังจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็กอดคอหลิวกวนพลางชี้ไปที่หยางจานคุน คู่แววตาของหลิวกวนปรากฏแววเพลิงปะทุสะท้อนออกมาด้วยความมุ่งมั่น

หยางจานคุนยิ้มเยาะกล่าวตอบไปว่า

“พี่กวน เขาอุตส่าห์เห็นค่าขยะอย่างพี่แล้วนะ ก็อย่าทำให้เขาผิดหวังแล้วกัน แต่เรื่องเอาชนะผมน่ะ…พี่กลับไปนอนกลางวันแทนเถอะ! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

หลิวกวนสูดหายใจแช่มลึกสุดปอด ให้คำมั่นกับจ้าวเฉียนด้วยความหนักแน่นน้ำเสียงเจือแววเกรี้ยวโกรธอย่างยิ่ง

“เอาล่ะ! ผมตกลงครับ! ถึงรายการหน้าจะคว้าแชมป์ไม่ได้ แต่ผมไม่แพ้ให้มันแน่นอน!”

หยางจานคุนระเบิดหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาม เหลือบมองไปที่จ้าวเฉียนกับหลิวกวน ราวกับกำลังมองดูไอ้โง่สองตัวอยู่

“พวกคุณสองคนก็ตั้งใจวางแผนเอาชนะผมไปแล้วกัน ส่วนผมจะไปฉลองกันที่โรงแรมตงไห่! พี่กวน ผมขอเชิญเข้ามาร่วมฉลองที่พี่คว้าอันดับสองรองจากผมไปได้นะ ได้กินดื่มในโรงแรมหรูระดับนี้ ชั่วชีวิตพี่อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ อย่าพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ซะล่ะ! ฮ่าฮ่า…”

หลิวกวนคันไม้คันมืออยากจะชกปากมันสักที แต่ท้ายที่สุดนี้เขาก็เป็นเพียงที่สองรองจากอีกฝ่าย ซึ่งนี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

หยางจานคุนโบกมือลาทั้งสองและพาทีมจากออกไปด้วยความภาคภูมิใจ

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักพอเป็นพิธี สีหน้านิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหันไปพูดกับหลิวกวนว่า

“อย่าไปสนใจเขาเลย แค่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคยเป็นก็พอ เอาล่ะ ฉันจะพานายไปฉลองที่คว้ารองแชมป์มาได้ดีกว่า!”

หลิวกวนพยักหน้าและเอ่ยถามกลับไปว่า

“แล้วจะฉลองที่ไหนดีครับ?”

จ้าวเฉียนเหลือบมองแผ่นหลังของหยางจานคุนและลูกทีมที่กำลังเดินจากไป พลางยิ้มเยาะตอบไปว่า

“แน่นอน ต้องฉลองที่โรงแรมตงไห่สิ ถ้าเป็นที่อื่นคงเสียชื่อรองแชมป์ระดับเอเซียหมด!”

หลิวกวนคิดว่า จ้าวเฉียนจะต้องเป็นพวกคนรวยที่สนใจมาลงทุนกับวงการนี้แน่นอน การจะไปกินข้าวที่โรงแรมตงไก่นับเป็นเรื่องปกติทั่วไปของเขา

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงโรงแรมตงไก่

จ้าวเฉียนหยิบบัตรVIPยืนให้กับพนักงานต้อนรับและกล่าวว่า

“ไปบอกผู้จัดการโรงแรม ฉันจะเอาห้องอาหารที่หยางจานคุนจองไว้ ถ้าพวกมันกล้าขัดขืนก็ไล่พวกมันไปให้หมด!”

เมื่อพนักงานต้อนรับได้ยินเธอก็ทราบทันทีว่า นี่เป็นเรื่องที่เกิอมือเธอไปแล้ว จึงทำได้เพียงรีบโทรเรียกผู้จัดการโรงแรมให้ลงมาจัดการทันที

ผู้จัดการโรงแรมคนนี้ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของจ้าวเฉียนจากผู้จัดการทั่วไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบโค้งศีรษะเข้าทักทายด้วยความนอบน้อมว่า

“ยินดีต้อนรับครับคุณจ้าว หากต้องการอะไรผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุดเลย”

จ้าวเฉียนพยัดหน้าและกล่าวทวนซ้ำให้ผู้จัดการโรงแรมคนนี้ได้ฟังอีกรอบ

ผู้จัดการโรงแรมผงะเล็กน้อย นี่มันเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายเป็นถึงจ้าวเฉียนลูกชายของจ้าวฝู่ มีหรือจะกล้าขัดคำสั่งได้?

“คุณจ้าวรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปไล่อีกฝ่ายออกทันที”

ผู้จัดการโรงแรมหมุนตัวกลับไป และรีบวิ่งไปที่ห้องอาหารที่หยางจานคุนอยู่อย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้เอง หยางจานคุนกำลังพาลูกน้องในทีมกินดื่มด้วยกันอย่างสนุกสนาน แต่ทันใดนั้นเสียงผู้จัดการโรงแรมเปิดประตูดังปัง ตะโกนขึ้นลั่นทันที

“ทุกท่านขออภัยในความไม่สะดวก ห้องอาหารนี้มีแขกพิเศษจองไว้แล้ว กรุณย้ายออกไปห้องอาหารอื่นด้วยครับ”

หยางจานคุนโกรธมากทันทีที่ได้ยิน กระแทกแก้วในมือลงบยนโต๊ะ ลุกขึ้นพรวดเอ่ยถามด้วยความโกรธว่า

“เป็นบ้าอะไรของคุณ? ผมกินดื่มที่นี่มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จู่ๆก็บอกให้ผมย้ายที่? หรือกลัวว่าพวกผมไม่มีปัญญาจ่ายไหว?”

ผู้จัดการโรงแรมรีบอธิบายเสียงแข็งตอบไปว่า

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นครับ แต่มีแขกพิเศษต้องการห้องอาหารห้องนี้ ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องเรียนเชิญพวกคุณออกไป!”

“ใครวะ! ให้ตายเถอะ! คุณบอกมาว่าไอ้แขกนั้นเป็นใคร?!”

หยานจานคุนตะหวาดสวนตอบทันที

และในเวลาเดียวกับ จ้าวเฉียนก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลิวกวน

“ผมจะเอาห้องนี้!”

สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง จ้าวเฉียนป่าวประกาศลั่นท่าทีดูหยิ่งผยองยิ่ง

ตอนที่211 ขยายการรับสมัคร

หวังเฉียงระเบิดหัวเราะทันทีอย่างมีความสุข เอ่ยตอบไปว่า

“ไม่คิดเลยว่า ตาเฒ่าฟู่เทียนจะใจเหี้ยมขนาดนี้ แต่ก็ดี ขอให้จ้าวเฉียนมันได้ตายสมใจ!”

เจียงเสี่ยวปิงหัวเราะเยาะเย้ย เอ่ยตอบไปว่า

“จ้าวเฉียนมันไปจ้างคนกระทืบลูกชายเขาซะขนาดนั้น ไม่แปลกหรอกที่ต้องจ้างฆ่า”

ทัศนคติของหวังเฉียงที่มีต่อเจียงเสี่ยวปิงดีขึ้นเล็กน้อย เขาเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วเธอเป็นยังไงบ้าง? เขาดูแลเธอดีไหม?”

เจียงเสี่ยวปิงยิ้มแหยะๆ พลางตอบไปว่า

“ก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือ แถมยังหาตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทให้ฉันอีก ก็ถือเป็นเรื่องดีนะ”

“แต่อย่างที่บอกแหละ นี่แค่แผ่นระยะสั้นเท่านั้น เพราะเธอเองก็ยังเด็กมากนะ ถ้าตาเฒ่านี่ยังไม่เป็นอะไรไป ฉันคิดว่าพอเธอได้เงินทองสักก้อนหนึ่งก็ควรถอยห่างได้แล้ว เธอยังมีเวลาชีวิตอีกมาก ไม่ควรติดอยู่กับตาแก่ใกล้ลงโลงแค่คนเดียว”

เจียงเสี่ยวปิงหัวเราะเยาะคิกคัก เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่นายหมายความว่าอะไร? ก่อนหน้านี้เพิ่งดูถูกฉันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? พอมาตอนนี้ทำเป็นหวังดีไปแล้ว? หรือเริ่มกลับมาสนใจฉันแล้วรึไง? นายนี่มันร้ายจริงๆนะ”

หวังเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นยิ้มตอบไปว่า

“อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันแค่อยากจะเตือนเธอเฉยๆ เพราะเห็นแก่แฟนเก่า ถ้าไม่ฟังก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรไปก็แล้วกัน”

เจียงเสี่ยวปิงพยักหน้าเล็กน้อย ขณะจะเดินผลักประตูออกไปเธอหันมายิ้มว่า

“งั้นก็ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะ มีทั้งอสังหาตระกูลหวังทั้งเหล่ยอู่คอยร่วมมือกัน ถ้าจ้าวเฉียนมันไม่ตายก็ค่อยคิดแผนใหม่!”

หวังเฉียงพยักหน้าตอบ

“ไม่มีปัญหา ต้องมาดูแล้วว่านักฆ่าที่ฟู่เทียนจ้างมาจะร้ายกาจสักแค่ไหน”

ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฉียนก็ขับรถกลับถึงบ้านแล้ว

สำหรีบเขา ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม และไม่จำเป็นต้องร้อนใจรีบเคลื่อนไหว ให้หวังเฉียงกับคนอื่นๆกระโดดโลดเต้นไปก่อนสักพัก เมื่อใดที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เขาค่อยรวบทุกบริษัทเข้ากระเป๋าทีเดียว

ในไม่ช้าก็ถึงเวลายามค่ำคืน จ้าวเฉียนขับรถไปที่โรงแรมตงไห่ เพื่อนัดพบเหลียวเซียวหยุนที่มารออยู่ก่อนแล้วในห้องอาหาร

จ้าวเฉียนเดินเข้าไปโอบกอดเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า

“มาถึงนานแล้วเหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนส่ายหัวตอบไปว่า

“มาถึงก่อนไม่นานนี้เอง สั่งอาหารกันเลยเถอะ ฉันเริ่มหิวแล้ว”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเรียกพนักงานมาสั่งอาหารทันที

หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จสิ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะ เหลียวเซียวหยุนก็เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความเขินอายว่า

“เราไปไหนกันต่อดี? ดูหนังกันไหม?”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไปนั่งข้างเหลียวเซียวหยุนพร้อมสวมกอดในอ้อมแขนของเขา

“เราก็โตกันแล้วนะ ควรจะทำสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน ดูหนังมันก็น่าสนใจแหละ แต่นั้นเป็นกิจกรรมที่พวกเด็กๆเขาทำกัน”

เหลียวเซียวหยุนทุบหน้าอกจ้าวเฉียนไปเต็มแรงด้วยความเขินอาย เอ่ยถามควบคู่สีหน้าอย่างรู้เท่าทัน

“แล้วผู้ใหญ่เขาทำกิจกรรมอะไรกันห่ะ?”

จ้าวเฉียนยืนขึ้นพร้อมด้วยเหลียวเซียวหยุนในอ้อมแขน เขากระซิบข้างหูว่า

“ฉันยังไม่บอกเธอหรอก แต่เดี๋ยวจะพาไปเอง แต่เธอต้องให้ความร่วมมือหน่อยนะ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็พาเหลียวเซียวหยุนจากโรงแรมตงไห่ออกไปทันที และเดินทางไปยังโรงแรมโฟร์ซีซันต่อ เพื่อเปิดห้องและทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน

หลังจากผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือน อู่เลอสามารถลุกจากเตียงได้แล้ว แต่อย่างไรหากเขาต้องการหวนกลับสู่สนามรถแข่งอีกครั้ง เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีในการฟื้นฟูและเคาะสนิม

ในขณะนี้ งานแข่งระดับเอเชียได้เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งอู่เลอก็รับชมการถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์อยู่

จ้าวเฉียนกังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ไปแข่ง จึงรีบเดินทางมายังโรงพยาบาลทันทีเพื่อเยี่ยม

อู่เลอที่นอนดูการรับชมอยู่บนเตียง พอเห็นว่าจ้าวเฉียนเมาเยี่ยม เขาก็รีบวางมือถือและพยายามลุกเพื่อเดินไปทักทายจ้าวเฉียน

พอเห็นแบบนั้น จ้าวเฉียนรีบเดินมาหยุดเขาทันทีและกล่าวว่า

“อย่าเพิ่งลุกไปไหน ไม่เห็นต้องสุภาพกับฉันขนาดนั้นเลย”

อู่เลอยิ้มตอบว่า

“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แค่นี้สบายมาก แต่น่าเสียดายที่…”

จ้าวเฉียนทราบดีว่าอีกฝ่ายต้องการจพูดอะไร ยิ้มปลอบพลางลูบหลังเบาๆว่า

“เอาน่า ครั้งนี้พลาดไป ใช่ว่าจะไม่มีครั้งหน้า เรายังมีเวลาอีกเยอะ ตราบใดที่นายไม่ยอมแพ้ ฉันก็พร้อมสนับสนุนเสมอ”

อู่เลอพยักหน้าตอบ จู่ๆเขาก็แนะนำขึ้นว่า

“บอส ตอนนี้นักแข่งมีแค่ผมกับเจ้าซีเท่านั้นเอง คาดพวกเขาเกิดปัญหากันทั้งคู่ก็เท่ากับต้องตัดสิทธิ์ไปเลยจริงไหม? ถ้าอย่างนั้นผมว่าบอสควรรับสมัครนับขับมาเพิ่มนะครับ เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นอีก จะได้มีตัวสำรอง”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไปทันทีว่า

“ฉันเองก็คิดแบบนายเหมือนกัน ถ้ารอบชิงระดับเอเชียจบลงแล้ว ฉันว่าจะลองเดินทางไปสนามหน่อย เผื่อว่าใครสนใจจะย้ายทีม ฉันจะได้คว้าตัวเข้ามาเลย หลังจากนั้นก็พาพวกนายมาฝึกด้วยกัน มุ่งมั่นเพื่อพัฒนาทีมเรา”

อู่เลอกล่าวรับประกันทันที

“ไม่ต้องห่วงครับบอส ผมจะไม่ทำให้บอสผิดหวังแน่นอน”

“ฉันเชื่อใจนาย โอเค พักผ่อนต่อเถอะ ถ้าอยากได้อะไรก็โทรหาได้ตลอด เดี๋ยวฉันบอกให้ทางพยาบาลจัดส่งให้ทันที แล้วไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะ แค่ตั้งทำรักษาฟื้นฟูตัวเองก็พอ”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นพร้อมจากไปทันทีหลังกล่าวจบ

รอบชิงชนะเลิศจะเริ่มต้นในช่วงบ่าย จ้าวเฉียนเดินทางไปสนามแข่งก่อนเวลาเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน

เวลาบ่ายสามโมง รอบชิงชนะเลิศระดับเอเชียเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

จ้าวเฉียนไม่ค่อยคุ้นเคยกับวงการนักแข่งรถเท่าไหร่นัก และเขาเองก็แทบไม่รู้จักนักแข่งดาวรุ่งในจีนเลย เขาทำได้เพียงรอฟังผลเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจ

หลังการแข่งจบลง ผลการแข่งขันก็ถูกรายงานออกมา

นักแข่งหมายเลข6 หยางจานคุน จากคุนต้าทีม คว้าแชมป์อันดับหนึ่งไปครออง รองชนะเลิศคือเฉินซิง เพื่อนร่วมทีมของหยางตานคุน และรองชนะเลิศอันดับสามคือ หลิวกวน นักแข่งอีกคนจากทีม สตีมเมอร์คัลเลอร์

จ้าวเฉียนรีบหยิบมือถือหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทันทีเกี่ยวกับนักแข่งทั้งสามและทีมทั้งสอง

คุนต้ากับสตีมเมอร์คัลเลอร์ ก่อตั้งเมื่อปี2015และทั้งสองทีมก็แข่งขันกันเรื่อยมานานถึง10ปี ซีซันก่อนหน้านี้เป็นทีมสตีมเมอร์คัลเลอร์ที่คว้าชัยชนะไปได้ และนี่เนชัยชนะครั้งแรกของทีมคุนต้า

หยางจานคุนและหลิวกวนเคยเป็สมาชิกทีมเชสเซอร์วินคลับมาก่อน ดังนั้นพวกเขาสองคนค่อนข้างสนิทกันมาก จึงตัดสินใจออกจากทีมเก่าคู่เพราะความขัดแย้งกับทางหัวหน้าทีม และย้ายมาอยู่คุนต้าพร้อมกัน

แต่ทีมนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างวิกฤตพอสมควร พวกเขาทั้งคู่แทบจะไม่มีเงินค่าเบี้ยเลี้ยงอยู่ต่อไหวแล้วเช่นกัน แต่โชคยังดีที่ครั้งนี้คว้าแชมป์ไปได้ หลังจากนี้จะต้องมีสตอนเซอร์แห่กันเข้ามาสนับสนุนแน่นอน ดังนั้นเรียกได้ว่า สามารถแก้วิกฤตได้อย่างทันท้วงที

แต่สถานการณ์ของทีมสตีมเมอร์คัลเลอร์แย่กว่ามาก ครั้งนี้เขาไม่สามารถคว้าอันดับหนึ่งไปครองได้ อาจทำให้ทางต้นสังกัดประกาศเลิกจ้างนักแข่งบางส่วน หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือประกาศยุบทีม

จ้าวเฉียนจึงสนใจไปทางสตีมเมอร์คัลเลอร์มากกว่าทีมคุนต้า

หลังจากนักกีฬาขึ้นแท่นรับรางวัลกันเสร็จ จ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปทักทายหลิวกวนทันที

“สวัสดีครับผมชื่อจ้าวเฉียน ผมเพิ่งดูการแข่งของคุณเมื่อสักครู่ไป แล้วสนใจในฝีมือคุณอย่างมาก พอจะมีเวลาคุยด้วยไหมครับ?”

หลิวกวนพยักหน้าและชี้ไปมุมหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่และตอบไปว่า

“ไปคุยกับตรงนั้นดีกว่าครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินไปยังจุดนั้นเพื่อสนทนากับหลิวกวน

หลิวกวนเอ่ยถามประเดิมขึ้นทันที

“มีอะไรครับ?”

จ้าวเฉียนเข้าเรื่องทันที

“ผมเองก็มีทีมเช่นกัน นักแข่งของทีมผมเพิ่งคว้าชัยในการแข่งขันระดับภูมิภาคในเมืองตงไห่ได้ในครั้งที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่โดนคนจากทีมอื่นลอบท้าย ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมงานแข่งนี้ได้ ตอนนี้มีเพียงแค่เขากับเพื่อนเขาอีกคนเท่านั้น นักแข่งในทีมยังน้อยเกินไปครับ ผมเลยต้องการพาคุณเข้ามาเสริมทัพ”

หลิวกวนโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพและกล่าวตอบจ้าวเฉียนไปว่า

“ผมรู้สึกดีใจนะครับที่คุณยังเห็นค่าผม แต่ผมคงไม่ย้ายทีมไปไหนแล้ว ขอโทษจริงๆนะครับ”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไรครับ นี่เป็นสิทธิ์ของคุณ ถ้าไม่สนใจ เดี๋ยวผมลองไปคุยกับแชมป์เปี้ยนปีนี้ดู ผมค่อนข้างจริงใจที่จะหานักแข่งเข้าทีมเพิ่มน่ะครับ ยังไงก็ขอโทษที่รบกวนเวลาครับ”

หลิวกวนเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยออกมา เอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณพอจะรู้เรื่องในอดีตระหว่างผมกับหมอนั้นไหมครับ?”

“อืม…พอจะรู้อยู่บ้างครับ แต่ก่อนพวกคุณทั้งสามเคยอยู่ทีมเดียวกัน แต่สองคนนั้นมีเรื่องขัดแย้งกับคุณเลยย้ายไปอยู่กับคุนต้า อันที่จริงครั้งนี้ผมเองก็ลงทุนไม่ใช่น้อย ก็เลยอยากได้คนมีความสามารถพอมาสู้กับอีกฝ่ายไม่ก็ซื้อตัวพวกเขามาเลย ปีนี้ผมอัดฉีดทุนเพิ่มในทีมอีก10ล้าน น่าจะซื้อพวกเขาเข้าทีมได้อยู่”

พอหลิวกวนได้ยินคำว่า10ล้านถึงกับตะลึง ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะทุนหนากว่าที่เขาคิดไว้มาก

หากหยางจานคุนได้เข้าร่วมทีมเดียวกับชายคนนี้ อนาคตของเขาจะต้องพุ่งทะยานถึงขีดสุด และเขาจะไม่มีวันแซงหน้าอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

หลิวกวนตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที จะย้ายทีมกลางคันก็ดูจะไม่ดี แต่จะปล่อยให้หยางจานคุนแข็งแกร่งขึ้นต่อไปเรื่อยๆก็รับไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าตนเองควรทำอย่างไรดี

ตอนที่210 นักฆ่ากำลังคืบคลาน

เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ยอมกลับไปนั่งที่เดิมได้แบบนั้น แสดงว่าเธอเองต้องการรับความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังหมายความได้อีกว่า การเจรจาหลังจากนี้เธอคงยอมอ่อนข้อลงเช่นกัน

ทัศนคติของฟู่ไห่ค่อนข้างหนักแน่น และยังคงยืนยันคำเดิมที่จะอัดฉีดทุน100ล้านแลกกับหุ้น51% และถ้าเหลียวปี้เอ๋อร์ยังกล้าปฏิเสธในครั้งนี้ คงไม่มีโอกาสต่อไปแล้วเช่นกัน และทางฟู่ไห่เองก็จะไม่สนใจบริษัทของเธออีก

เหลียวปี้เอ๋อร์ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องสละสิทธิ์ในการควบคุมบริษัทไป แต่เธอต้องการเงินชดเชยในส่วนนี้

“ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ ฉันจะยอมสละสิทธิ์ดการควบคุมให้กับทางฟู่ไห่ แต่ต้องแลกกับค่าชดเชยจำนวน200ล้าน ถ้าน้อยกว่านั้นทางฉันขอเรียกสิทธิ์การควบคุมคืนมา”

เอาเข้าจริง สำหรับจ้าวเฉียนไม่ว่าจะกี่ร้อยล้านก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย ตราบใดที่เขามั่นใจแล้วว่าบริษัทนี้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ เขาก็ไม่สนใจเรื่องค่าชดเชยอยู่แล้ว

จ้าวเฉียนขยิบตาให้หวู่เสี่ยวหัว เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าคุณชายจ้าวอนุญาตแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวไปว่า

“เงินค่าชดเชยพวกเราอนุมัติค่ะ ตราบเท่าที่พวกเราได้หุ้นส่วนมากพอที่จะควบคุมบริษัทได้”

เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าตอบว่า

“แน่นอน เงินชดเชยจำนวน200ล้านแลกกับหุ้น51%ในมือฉัน อย่างไรก็ตาม ขอเพิ่มอีกหนึ่งเงื่อนไข เงินทุนที่อัดฉีดเข้ามาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มั่นใจว่าพวกคุณไม่ได้ซื้อต่อบริษัทของฉันแล้วไปขายให้กับคนอื่น”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปทันทีว่า

“นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยครับ ตราบใดที่พวกเราได้สิทธิ์การควบคุมมา ทางเราไม่ยอมขายให้คนอื่นแน่นอน”

ฟังโดยผิวเผิน เหมือนว่าจ้าวเฉียนพูดกับเหลียวปี้เอ๋อร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังบอกให้ทุกคนของฟู่ไห่รู้ว่า ห้ามนำบริษัทนี้ไปเก็งกำไรเพื่อขายต่อโดยเด็ดขาด

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน ผู้จัดการหวู่คุยเรื่องสัญญากับคุณเหลียวต่อได้เลยครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์พลางคิดไปว่า เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมฟังบทสนทนาต่อจากนี้อีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้หยุดเขาแต่อย่างใด

พอเขาออกไปด้านนอก ก็โทรหาเหลียวเซียวหยุนทันที

“เรียบร้อยแล้ว ป้าเธอขอค่าชดเชย200ล้านเพื่อแลกกับหุ้น51%ในมือเธอ”

เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับอุทานลั่น

“200ล้าน! บริษัทของนายรวยโคตร! ต่อให้ฉันเป็นหลานยังพูดได้เต็มปากว่า ป้าเอาเปรียบมาก!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะดังและกล่าวว่า

“ถ้าไม่ใช่ราคานี้มีเหรอที่ป้าเธอจะยอม? อีกอย่าง อย่าดูถูกความสามารถของฟู่ไห่ ภายในสามถึงห้าปี มูลค่าแท้จริงขอบบริษัทป้าเธอจะต้องพุ่งทะลุห้าพันล้านเป็นอย่างน้อย!”

เหลียวเซียวหยุนอุทานขึ้นอีกระลอก

“ห้าพันล้าน!? บ้าน่า! จะพัฒนาได้ขนาดนั้นภายในเวลาสั้นๆได้ยังไง!?”

จ้าวเฉียนตอบกลับไปว่า

“ก็เลยบอกไงว่าอย่าดูถูกความสามารถของฟู่ไห่ ที่นี่เขาบริหารบริษัทเป็นร้อยแห่ง ปริมาณเงินทุนมหาศาลกว่าที่เธอจะจินตนาการไว้มาก หากบริษัทป้าเธอได้ความช่วยเหลือในจุดนี้ มั่นใจได้เลยว่าอนาคตของบริษัทนี้จะต้องพัฒนาได้อีกไกล”

เหลียวเซียวหยุนถึงกับร้องโอ้โหออกมา เธอเข้าใจทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหมายถึงอะไร บริษัทฟู่ไห่ มีความสามารถมากเกินพอที่จะผลักดันบริษัทใดบริษัทหนึ่งในพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตามตอนนี้ป้าของเธอก็ได้เงินสดเข้ากระเป๋าแน่ๆแล้ว200ล้าน ซึ่งนี่นับได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

“อิอิ…ถ้างั้นคืนนี้นายว่างไหม? ฉันจะให้รางวัลสำหรับที่ช่วยคุณป้าในครั้งนี้”

เหลียวเซียวหยุนกำลังช่วงจ้าวเฉียนไปทำอะไรบางอย่างแน่นอน และจ้าวเฉียนเองก็ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงในคำชวนนี้ของเธอ

“ได้เลย วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศกันไหม? ไปที่โรงแรมโฟร์ซีซันกัน เดี๋ยวฉันจะจองห้องไว้รอ”

“อะไร? นี่นายคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย? ฉันแค่อยากชวนนายไปอินเนอร์เฉยๆเองนะ! นายนี่มันทะลึ่งจริงๆ!”

“อ้าว ฉันก็ไม่ได้บอกว่าเปิดห้องไปทำเรื่องอย่างว่าสักหน่อยครับ แค่จะเปิดห้องไปดินเนอร์กับคุณแบบส่วนตัวเท่านั้นเอง หื้มมม…คิดไปไกลกว่าฉันอีกนะ?”

“ไอ้บ้า! นายนี่มัน! หึ!”

เหลียวเซียวหยุนกดวางสายใส่ทันที แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยิ้มไม่หุบ

แต่ทันใดนั้นเอง จางหยางก็โทรมาหาจ้าวเฉียน

“ฮาโหล จ้าวเฉียน นายรีบเข้ามาบริษัทเดี๋ยวนี้ พวกเรากำลังจะประชุมกันแล้ว”

“ประชุมผู้ถือหุ้นอีกแล้วเหรอครับ? มีอะไรอีกเหรอ?”

“เดี๋ยวมาก็รู้เอง ฉันมีหน้าที่แค่แจ้งให้ทราบ ไม่มาถือว่าพวกเรามีสิทธิ์ตัดสินใจได้โดยไม่ต้องขอความเห็นจากนายนะ”

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้คารีบเดินทางไปที่บริษัทฟางนี่โดยตรง พอไปถึงที่ห้องประชุมก็พบว่า นอกจากผู้ถือหุ้นสองสามรายแล้ว ก็ยังมีหวังเฉียงกับเจียงเสี่ยวปิงนั่งอยู่ด้วย

หวังเฉียงและเจียงเสี่ยวปิงไม่ใช่ผู้ถือหุ้น ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งสเนอหน้าอยู่ที่นี่ได้ แต่การที่พวกเขาสามารถนั่งเก้าอี้ร่วมประชุมได้ นั้นแสดงว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสอง

จางหยางยิ้มกล่าวทันที

“ในเมื่อทุกคนมาถึงที่นี่แล้ว งั้นมาเริ่มกันเลย วันนี้ที่ทางผมเรียกประชุมหารือเพราะว่า ผมตัดสินใจเพิ่มหุ้นส่วนให้กับหวังเฉียงเป็นจำนวน30.1% ส่วนนับแต่นี้เป็นต้นไปเจียงเสี่ยวปิงจะเป็นตัวแทนของบริษัทเหล่ยอู่”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย เหลือบมองเจียงเสี่ยวปิงพลางกล่าวแสดงว่ายินดีว่า

“ยินดีด้วยนะครับคุณเสี่ยวปิง ในที่สุดก็หาคนใหญ่คนโตเกาะได้สักที”

เจียงเสี่ยวปิงเหลือบมองด้วยสายตาหยิ่งผยอง กล่าวตอนอย่างหยามเหยียดกลับไปว่า

“ถ้าฉันต้องการขึ้นเหนือนายจริงๆ ใช้เวลาแค่แปปเดียวก็ทำได้แล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่มีความสามารถ!”

จ้าวเฉียนขยิบตาพร้อมยกนิ้วให้เธอ และไม่ได้พูดอะไรตอบอีก

แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเสี่ยวปิงกับหวังเฉียงจะค่อนข้างยิ่งเหยิ่ง แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็มีศัตรูร่วมกันเพียงคนเดียวนั้นคือจ้าวเฉียน

เจียงเสี่ยวปิงกล่าวขึ้นว่า

“ดิฉันสนับสนุนข้อเสนอของผู้จัดการจาง”

จางหยางยิ้มเยาะพยักหน้าตอบ และหันไปถามอีกสองคนที่เหลือว่า

“ตอนนี้ก็สองเสียงแล้ว ฮันซูกับจ้าวเฉียน พวกคุณว่าไง?”

หวานฮันซูในตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก สภาพในปัจจุบันของเขาไม่ต่างอะไรจากหุ่นเชิด ทำได้เพียงยกมืออย่างจำใจและกล่าวตอบแค่ว่า

“สนับสนุนข้อเสนอของผู้จัดการจางครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบเช่นกัน

“คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์แล้ว ผมไม่ต้องพูดอะไรแล้วแหละครับ”

จางหยางระเบิดหัวเราะลั่นอย่างสุขอกสุขใจยิ่ง

“แน่นอน นายไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว ฉันก็แค่ถามเป็นพิธี เอาเป็นว่าตามนั้นเลยก็แล้วกัน จบการประชุม!”

จ้าวเฉียนยิ้มและลุกขึ้นเตรียมจะจากไปทันที

ระหว่างทาง หวังเฉียงตะโกนไล่หลังเรียกจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน ไปห้องทำงานกับฉันหน่อย”

หวังเฉียนตอนนี้มีศักดิ์เป็นลูกชายนอกกฎหมายของหวังเจียงหลิน และในอนาคตจะได้รับสิบทอดบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังในอีกไม่ช้า ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับจ้าวเฉียนอย่างหลบๆซ่อนๆอีกต่อไปแล้ว

“โอเคครับ”

หวังเฉียงพาจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องและล็อคประตูทันที

“ไอ้โง่! ตอนนี้แกเริ่มกลัวแล้วใช่ไหม? รู้สึกเสียใจไหมล่ะ? ที่เคยทำอะไรแย่ๆกับฉัน!”

หวังเฉียงเอ่ยถามพร้อมท่าทางแสนเย่อหยิ่งนสวกับผู้มีชัย

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นราวกับกลั้นขำไม่หยุด และเอ่ยถามสวนกลับไปว่า

“โอ๊ยย ผมกลัวจังเลยครับ กลัวแล้ว! กลัวแล้ว! ฮ่าฮ่า…อยากให้ผมตอบแบบนี้รึเปล่า? ขอถามกลับนะครับ ทำไมผมต้องกลัวด้วย? ทำไมผมต้องเสียใจงั้นเหรอ?”

“เลิกแสร้งทำเป็นไม่กลัวได้แล้ว! เจ้าโง่! กูเป็นถึงทายาทมหาเศรษฐีตระกูลหวัง กูมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังคอยรับช่วงต่อ กูสามารถฆ่ามึงได้เพียงแค่ดีดนิ้ว! รอกูรับช่วงต่อบริษัทจากตระกูลมาก่อน แล้ววันนี้จะเป็นฝันร้ายของมึง!”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และพยักหน้าตอบกลับไปว่า

“อืมๆ สุดยอดไปเลยครับ แล้ว? พูดจบรึยัง?”

หวังเฉียงยิ้มพลางส่ายหัวตอบ

“กูยังพูดไม่จบ แล้วกูจะดูว่ามึงจะมีปัญญาตอบโต้กูหรือเปล่าหลังจากนี้!”

จ้าวเฉียนขยิบตาให้หวังเฉียงเล็กน้อย พร้อมตอบว่า

“จะไม่ทำให้รองผู้จัดการหวัง…โอ๊ะ! ไม่สิ!…คุณทายาทมหาเศรษฐีผิดหวังแน่นอนครับ ผมขอตัวก่อน โชคดีนะครับ”

หวันเฉียงขมวดคิ้วแน่น สองมือกำหมัดจนสั่นเทาด้วยความโกรธจัด ทำไมปฏิกิริยาของจ้าวเฉียนมันไม่เป็นอย่างที่จินตนาการไว้เลยล่ะ? คิดได้เช่นนั้นเขาจึงตะโกนไล่หลังกลับไปทันที

“เออ! มึงแกล้งทำเป็นปกติสุขต่อไปเถอะ! กูจะคอยดูว่ามึงจะตายยังไง!”

จ้าวเฉียนเพิกเฉยต่อคำขู่เหล่านี้โดยสิ้นเชิง และเดินทางออกจากบริษัทฟางนี่โดยตรง กลับบ้านไปพักผ่อนที่บ้านสักครู่ค่อยออกไปเดทต่อกับเหลียวเซียวหยุนในตอนกลางดึก

หวังเฉียงกลับมานั่งในห้องประชุมเพื่อดำเนินการเรื่องหุ้นต่อ หลังจากนั้นเจียงเสี่ยวปิงกับเขาก็กลับเข้ามาในห้องทำงาน

เจียงเสี่ยวปิงตรงไปหาหวังเฉียงพร้อมดึงเนคไทของเขาออกมา กระซิบเสียงหวานข้างหูของเขาว่า

“ฉันนึกไม่ถึงเลยนะว่านายจะเป็นทายาทเศรษฐีแบบนี้ อย่างกับนิยายเลย หุหุ…ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่ทุกอย่างมันเป็นไปได้ด้วยดีขนาดนี้ อย่างกะบลาภก้อนโตหล่นทับเลย”

หวังเฉียงแสยะยิ้มอย่างมีชัยและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า ตัวเองจะเป็นถึงทายามอสังหาตระกูลหวัง สวรรค์คงเล่นตลกแล้ว แต่เธอเองก็ไม่เลวเหมือนกัน สามารถขึ้นมานั่งประชุมได้ในนามของคุณฟู่”

เจียงเสี่ยวปิงหัวเราะคิกคักอย่างสุขใจ และกระซิบต่อว่า

“ฉันจะบอกอย่างหนึ่งให้นะ ตอนนี้คุณฟู่กำลังสั่งให้นักฆ่าไปลงมือจัดการจ้าวเฉียนแล้ว อีกไม่นาน พวกเราเตรียมไปงานศพมันได้เลย”

หวังเฉียงระเบิดหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยิน รับเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า

“จริงเหรอ? นี่ข่าวที่เธอได้ยินมามันถูกต้องจริงๆใช่ไหม?”

เจียงเสี่ยวปิงพยักหน้าตอบ

“แน่นอนสิ คุณฟู่บอกกับฉันบนเตียงเมื่อคืน แล้วจะฟังพลาดได้ไง?”

ตอนที่209 เงื่อนไขที่ยากเกินจะรับได้

เหลียวเซียวหยุนกล้าที่จะเปิดห้องโรงแรมนอนกับจ้าวเฉียน และอีกนัยหนึ่งเธอก็อยากเห็นเช่นกันว่า จ้าวเฉียนจะคว้าโอกาสนี้ทำอะไรกับเธอหรือไม่

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนเรียกเธอให้เขยือบเข้าใกล้ เหลียวเซียวหยุนก็เอ่ยถามขึ้นเจือท่าทีเขินอายว่า

“นี่นาย…นายจะทำอะไรน่ะ? ถ้ามีอะไรก็พูดตรงนี้เลย ฉันได้ยิน”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เธออยู่ไกลเกิน ขยับเข้ามาใกล้หน่อยสิ”

เหลียวเซียวหยุนก้มศีรษะมองลงพื้นอย่างเขินอาย ปราศจากคำตอบอันใดและเขยือบขึ้นไปนั่งบนเตียงใกล้กับจ้าวเฉียน

ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็เอื้อมแขนพาร่างของเธอนอนลง ภายในใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะแล้ว รีบพูดน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า

“อย่า…อย่านะ มันยังเร็วเกินไป…รึเปล่า?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ล่วงเกินอะไรเธอแน่นอน”

คล้อยหลังพูดจบ เขาก็เอนตัวก้มลงไปจูบอย่างแผ่วเบา

เหลียวเซียวหยุนหลับตาปี๋ดูเก้อเขิน แต่ก็ยังปล่อยให้จ้าวเฉียนประกบจูบต่อไปโดยไม่มีขัดขืน

ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นอนกอดกันและผล็อยหลับไปในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น เหลียวเซียวหยุนตื่นขึ้นมาก่อน เธอเห็นจ้าวเฉียนที่นอนอยู่เคียงกายอย่างมีความสุข คลี่ยิ้มหวานเฝ้ามองเขาหลับ

ประมาณสิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนก็ตื่นขึ้น ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พลันเห็นเหลียวเซียวหยุนกำลังมองมาที่ตน เขาพลิกตัวกดร่างของเธอไว้ข้างใต้ และเริ่มจูบเธออย่างดูดดื่มอีกครั้ง

“เธอมองอะไร? ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบึ้งตอบไปว่า

“ตื่นนานแล้ว นายนั่นแหละหลับได้หลับดีอย่างกับหมู”

จ้าวเฉียนหัวเราะอย่างมีความสุขกล่าวตอบไปว่า

“เห็นร่าเริงแต่เช้าฉันก็มีความสุข เมื่อคืนหลับสบายไหม? เสียดายจังที่เมื่อคืน…”

เหลียวเซียวหยุนรีบหยิบหมอนตีหน้าจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง บ่นขึ้นว่า

“ตาบ้า! ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว! ฉันจะกลับบ้าน!”

จ้าวเฉียนเคลื่อนมือล้วงไปใต้เสื้อนอนของเธอและคลึงหน้าอกหน้าใจของเธอเล็กน้อย พลางยิ้มตอบไปว่า

“เรามาต่อจากเมื่อคืนดีกว่า แล้วค่อยกลับบ้าน มาเร็วตัวน้อย…”

“อ๊ะ! นาย! ยะ-อย่านะ…เอามือออกไป งืออ…งืออ…ตาบ้า!”

…..

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เหลียวปี้เอ๋อร์ก็โทรสายหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรีบหันไปจุปากให้เหลียวเซียวหยุนเพื่อให้เธอเงียบ และรับสายทันที

“ฮาโหลครับคุณเหลียว ตอนนี้ออกจากบ้านรึยังครับ?”

“ฉันออกมาแล้ว นายก็ก็ควรรีบหน่อย อย่าช้าล่ะ”

กดวางสายเสร็จ จ้าวเฉียนรีบลุกขึ้นจากเตียงขึ้นไปอาบน้ำ

เหลียวเซียวหยุนรีบเอ่ยปากเตือนจ้าวเฉียนโดยเร็ว

“นายระวังอย่าให้คุณป้าฉันจับได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นเธอฟ้องพ่อฉันแน่นอน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ทำเธอเสียหน้าแน่นอน เธอนอนพักเถอะ ผมจะออกไปทำธุระก่อน”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและคลุมผ้าห่มหลับไป

จ้าวเฉียนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบเดินทางไปที่บริษัทเรนเกล อินเวสเม้นท์ทันทีเพื่อเข้าพบเหลียวปี้เอ๋อร์

ระหว่างเดินทาง เขาก็โทรหาหู่เสี่ยวหัวเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดและสั่งให้เธอเตรียมการโดยด่วน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนขับไปถึงบริษัทเพื่อพาเหลียวปี้เอ๋อร์ เดินทางไปยังตึกฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ต่อ ทั้งจ้าวเฉียนและเหลียวปี้เอ๋อร์เข้าห้องประชุมนั่งรอหวู่เสี่ยวหัวที่กำลังจัดเตรียมเอกสารและข้อตกลง

พอทั้งสามเจอกันพร้อมหน้า ก็เป็นอันเปิดองค์ประชุมทันที

เหลียวปี้เอ๋อร์ประเดิมกล่าวก่อนทันทีว่า

“แม้บริษัทฉันกำลังประสบปัญหาอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ปลาใหญ่มารังแกได้หรอกนะ ดังนั้นอย่าชุบมือเปิปขโมยสิ่งที่ฉันกับสามีสร้างกันมาโดยเด็ดขาด”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“คุณเหลียวสบายใจได้ครับ พวกเราฟู่ไห่ดำเนินภายใต้พื้นคฐานความยุติธรรมเสมอ ตราบใดที่คุณยอมให้ความร่วมมือ ผลประโยชน์ที่ได้ย่อมพึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายแน่นอน เราไม่เคยชุบมือเปิปเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว นั้นไม่ใช่วิธีการของบริษัทเราครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยตอบไปว่า

“ที่หลานสาวฉันหลงนายหัวปักหัวปำขนาดนี้ เป็นเพราะนายพูดเก่งแบบนี้ใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนป้องปากหัวเราะเป็นมารยาท ยิ้มตอบไปว่า

“คุณเหลียวเป็นคนมีอารมณ์ขันดีจริงๆนะครับ นี่เป็นเพียงเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาเหมารวมแน่นอน และที่ผมพูดไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เอาล่ะ มาเข้าเรื่องธุรกิจต่อกันดีกว่าครับ”

หวู่เสี่ยวหัวแจกเอกสารแผนการลงทุนของฟู่ไห่ไปให้ทั้งคู่และกล่าวสรุปโดยย่อว่า

“ทางเราจะอัดฉีดทุนก้อนแรกเป็นจำนวน100ล้านหยวนทันทีที่เซ็นสัญญาเสร็จ แลกกลับหุ้นจำนวน51%จากทั้งหมด”

เหลียวปี้เอ๋อร์ได้ฟังแบบนั้นก็ค้านเสียงแข็งทันที ไม่ว่าพวกเขาจะให้เงินเท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือเธอไม่ยอมสูญเสียอำนาจการควบคุมบริษัทไปเด็ดขาด

หวู่เสี่ยวหัวกล่าวปลอบโยนว่า

“ฉันเข้าใจควางรู้สึกคุณเหลียวดีนะคะ แต่คุณเหลียวเองก็ต้องคำนึกถึงความเป็นจริงเช่นกัน การร่วมมือกับฟู่ไห่ของเราเป็นหนทางออกเดียวที่จะแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ หากยังยึดติดอยู่แบบนี้ บริษัทที่คุณร่วมกันสร้างกับสามีจะต้องล้มละลายแน่นอน”

เหลียวปี้เอ๋อย์โต้กลับทันที

“ยังมีบริษัทลงทุนอีกมากมายทั่วประเทศ หรือแม้แต่ในโลกนี้อีกไม่รู฿เท่าไหร่ ทำไมเราต้องยอมรับเงื่อนไขของฟู่ไห่แค่อย่างเดียว?”

จ้าวเฉียนจงใจใช้น้ำเสียงอ่อนเพื่ออธิบายเธอไปว่า

“คุณเหลียวพูดถูกนะครับ ยังมีอีกหลายบริษัทที่สามารถอัดฉีดเงินทุนให้บริษัทคุณได้ แต่จะมีสักกี่รายกันที่ยอมมาเจรจาด้วยแบบฟู่ไห่? ในฐานะนักลงทุน เมื่อพวกเขารู้ว่าบริษัทของคุณกำลังจะล้มละลาย พวกเขาย่อมกดราคาให้ต่ำที่สุดเพื่อบังคับคุณขายแน่นอน ถ้าไม่เชื่อลองไปติดต่อบริษัทอื่นก่อนได้นะครับ แล้วอีกอย่างชื่อเสียงของฟู่ไห่อยู่ในทิศทางใดคุณเหลียวเองก็น่าจะทราบ? มีกี่บริษัทแล้วที่ใกล้ล้มละลายแต่สุดท้ายฟู่ไห่ก็ช่วยไว้ได้จนกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก ทุกคำกล่าวของจ้าวเฉียนล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น ซึ่งเธอเองก็ไม่สามารถหักล้างคำพูดได้จริงๆ

แค่เธอพยายามที่จะสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองให้ถึงที่สุดเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอสิทธิ์การควบคุมบริษัทต่อไป

ดังนั้นเธอจึงกล่าวตอบไปว่า

“บริษัทนี้เป็นเสมือนหลักฐานความพยายามของฉันและสามี ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าให้ต้องเลือกจริงๆ ฉันยอมทำลายบริษัทนี้ด้วยมือตัวเอง ดีกว่าต้องยอมยกให้คนอื่น”

จ้าวเฉียนยิ้มและยังคงตัดสินใจใช้ไม้อ่อนต่อไป

“ผมคิดว่าครอบครัวของคุณเหลียวเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ผมอยากจะแนะนำให้คุณตัดสินใจเรื่องนี้โดยไม่นำตัวเงินมาเกี่ยวข้อง แต่เพื่อความอยู่รอดของบริษัทล้วนๆ ที่อื่นคงต้องการหุ้นส่วนของคุณไม่น้อยกว่า80%แน่นอน ยามฟื้นตัวกลับมาได้หรือพัฒนาขึ้นเป็นเท่าตัว คุณจะได้แค่200%จากทุนเดิม แต่พวกเราขอแค่51% นั้นหมายความว่า ผลตอบแทนที่คุณจะได้กลับมาจะสูงถึง490% หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ คุณเหลียวลองคำนวณดูแล้วคิดตอบผมสิครับว่ามันถูกต้องไหม?”

เหลียวปี้เอ๋อร์เข้าใจหลักการนี้ทุกประการ เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายต้องการเข้ามาควบคุมบริษัทต่อถูกไหม?”

จ้าวเฉียนและคนอื่นๆต่างพยักหน้าตอบในทันที

เหลียวปี้เอ๋อร์ลุกขึ้นและกำลังจะจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง นักธุรกิจมากมายต่างคานเข่าขอร้องให้ฟู่ไห่มาร่วมลงทุน ดังนั้นแต่ละคนย่อมมีความหยิ่งผยองเป็นทุนเดิม กับแค่บริษัทใกล้ล้มละลายแห่งนี้ ทำไมพวกเขาต้องง้อ?

จ้าวเฉียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าวันนี้ไม่ได้ก็รอไปก่อนแค่นั้น ไม่สามารถตกลงได้จริงๆแค่รอจนกว่าบริษัทของเหลียวปี้เอ๋อร์ล้มละลาย หลังจากนั้นเขาก็แค่เข้าเสียบแทนตำแหน่งประธานต่อ

เดิมทีเหลียวปี้เอ๋อร์คิดว่า จ้าวเฉียนจะลุกขึ้นมาหยุดเธอไว้ และเธอจะยอมกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อเจรจาต่อรอง เผื่อว่าจะได้เงื่อนไขที่ดีขึ้นหน่อย แต่ที่ไหนได้เขากลับนนั่งนิ่งไม่แยแสใดๆเลยสักนิด

ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขึ้นหลังเสือและยากที่จะลงแล้ว ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปบริษัทที่เธอพยายามสร้างขึ้นมากับสามีจะต้องพังทลายไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน แต่เธอดันลุกออกมาแล้วนี่สิ! จะให้กลับไปนั่งนี่ไม่ต่างอะไรกับยอมแพ้ไปแล้ว สมแล้วที่เป็นฟู่ไห่ ความหยิ่งผยองนับว่าเป็นหนึ่ง!

แต่ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของเหลียวปี้เอ๋อร์ก็ดังขึ้น พอเธอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเหลียวเสี่ยวหยุนโทรเข้ามาหา

เหลียวเสี่ยวหยุนเอ่ยถามขึ้นทันใด

“คุณป้า สถานการร์เป็นไงบ้างค่ะ?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ตอบน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ป้ากำลังจะกลับแล้ว คนพวกนี้ไม่มีความจริงใจที่จะร่วมมือกับเราเลย ดูยังไงพวกเขาก็แค่ต้องการสิทธิ์การควบคุมต่อท่าเดียว แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ก็แย่แน่ ป้าควรทำยังไงดีเซียวหยุน?”

เหลียวเซียวหยุนเดือดขึ้นทันที เอ่ยตอบน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน! นายนี่มันแย่จริงๆ! ป้าค่ะ ขอสายคุยกับจ้าวเฉียนเองค่ะ ไม่…ไม่ต้อง เดี๋ยวนี้โทรไปด่าเขาเอง!”

เหลียวปี้เอ๋อร์ยิ้มตอบดูพึงพอใจอย่างมาก

“ดีมากหลานรัก ด่าให้หนัก!”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับโดยไว

“ไม่มีปัญหา! เดี๋ยวหนูจะโทรหาเดี๋ยวนี้และ!”

เหลียวเซียวหยุนกดสางสายไป และโทรหาจ้าวเฉียนต่อทันที

“ฮาโหล นี่นายกดดันป้าฉันมากเกินไปรึเปล่า?”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ก็ไม่มีมากเกินไปนะ แค่เสนอไปว่าทางฟู่ไห่จะอัดฉีดทุน100ล้านแลกกับหุ้น51% เราไม่สามารถโยนเงินจำนวนนี้ทิ้งไปเปล่าๆได้ อย่างน้อยที่สุดทางเราก็ต้องมีส่วนได้ส่วนเสียในการควบคุม”

“ลองคุยกับเธอดูอีกที ท่าทางคุณป้าเองก็สนใจไม่น้อยเหมือนกัน หลังจากวางสายใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์”

จ้าวเฉียนตอบตกลงพร้อมกดวางสายไป รีบลุกขึ้นเดินไปหาเหลียวปี้เอ๋อร์และพาเธอนั่งลง พลางนวดไหล่ให้คลายบรรยากาศตึงเครียดลง

“อย่าเพิ่งโมโหไปเลยครับคุณเหลียว เรามาเจรจากันดีๆเถอะครับ”

อันที่จริงเหลียวปี้เอ๋อร์ก็ไม่ต้องการจากไปแต่แรกอยู่แล้ว แค่เธอต้องการเงื่อนไขที่ให้ความเป็นธรรมกว่านี้เท่านั้น

ซึ่งตอนนี้เธอเองก็ทราบถึงทัศนคติของฟู่ไห่ที่มีต่อบริษัทตัวเองแล้วเช่นกัน พวกเขาไม่สนใจเลยว่าบริษัทของเธอจะเป็นเช่นไรต่อจากนี้ ยังดีที่มีจ้าวเฉียนไว้หน้าเธออยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างเชื่อฟังและหารือกันต่อไป

ตอนที่208 ตัวตนที่แท้จริงของหวังเฉียง

หวังเฉียงเห็นจ้าวเฉียนจึงเดินไปหาทันทีด้วยท่าทีหยิ่งผยองยิ่ง

“โอ้! นี่ใช่จ้าวเฉียนรึเปล่า? พาสาวน้อยออกมาเที่ยวอีกแล้ว หวังว่าจะได้โปรเจคกลับมานะ!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางถามขึ้นว่า

“รอผู้จัดการหวังกำลังเปลี่ยนต้นไม้เกาะหากินอยู่หรือครับ? อืม…อสังหรริมทรัพย์หวังก็ต้นใหญ่ดีนะครับ คุณน่าจะชอบ?”

“ฮ่าฮ่า….ฉันจะไปทำงานที่อสังหาริมทรัพย์หวังแล้ว แต่บริษัทฟางนี่ฉันก็ยังไม่ลาออกนะ”

หวังเฉียงเอ่ยตอบอย่างภาคภูมิใจ

ในเวลานี้เอง หวังซินซินก็กล่าวขึ้นว่า

“พี่ชาย อย่าไปยุ่งกับเขาเลย พวกเราไปกันเถอะ”

จ้าวเฉียนตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเธอเรียกว่า พี่ชาย หวังเฉียงกลายไปเป็นพี่ชายของหวังซินซินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

หวังเจียงหลินหัวเราะขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าของจ้าวเฉียน เขาอธิบายขึ้นว่า

“ใช่แล้ว หวังเฉียงเป็นลูกชายของภรรยาคนแรกฉัน พวกเราเลิกกันเพราะความขัดแย้งนิดหน่อย จากนั้นฉันก็แต่งงานใหม่ ส่วนพวกเขาฉันก็แอบช่วยอย่างลับๆมาหลายปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดตัวสักทั ฉันมีทายาทตระกูลหวังไว้สืบทอดต่อแล้ว มันไม่ง่ายกหรอกนะที่แกจะโค่นลง!”

ละครศึกสายเลือดดูท่าจะมีอยู่จริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมหวังเฉียงถึงมีนามสกุลเดียวกับสองคนนี้ และพอวันนี้ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย เขาก็ไม่ลังเลที่จะกลับไปใช้ชีวิตดั่งนายน้อยทายาทเศรษฐี

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หวังเฉียงจะกลับไปเป็นทายาทผู้สืบทอดมรดกตระกูลหวังแล้ว แต่ในสายตาของจ้าวเฉียน อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนกรวดริมทางอยู่ดี

จ้าวเฉียนยื่มมือออกไปจับทักทายหวังเฉียง แต่หวังเฉียงกลับกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญ

“นายไม่มีคุณสมบัติมาเทียบชั้นกับนายน้อยอย่างฉันแล้ว จ้าวเฉียนยอมรับชะตากรรมซะนะ คงตกใจไม่น้อยเลยใช่ไหม…ที่ฉันคือทายาทเศรษฐีตระกูลหวัง! แกเตรียมตัวตาย! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

หวังเฉียงระเบิดหัวเราะเยาะลั่นด้วยความสะใจ

จ้าวเฉียนเก็บมือของเขากลับไปและยิ้มตอบว่า

“เป็นทายาทเศรษฐีแล้วทั้งที หวังว่าจะทำอะไรผมได้บ้างนะครับ หุหุ…”

หวังเฉียงพ่นลมหายใจดังหึ เดินกระแทกไหล่จากจ้าวเฉียนสวนเข้าไปในโรงแรม หวังเจียงหลินกับหวังซินซินเหลือบหางตามองจ้าวเฉียนราวกับผู้ชนะและเดินตามหวังเฉียงเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เหลียวเซียวหยุนถึงกับกลอกตาใส่ จับต้องครอบครัวตระกูลหวังที่เดินเข้าไปอย่างหยิ่งผยองว่า

“ช่างยอดเยี่ยมอะไรแบบนี้ ก็แค่ตระกูลรวมขยะ หึ! ถ้าพวกมันกล้าสร้างปัญหาให้นาย บอกฉันได้ทุกเมื่อเลย”

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นซาบซึ้ง เคลื่อนตัวไปกอดเหลียวเซียวหยุน ทำเสียงสั่นราวกับกำลังร้องไห้

“โอ้… ผม…ผมประทับใจในตัวคุณมาก คุณใจดีกับผมมาโดยตลอด ไม่รู้เลยว่าควรตอบแทนยังไงดี! เอาแบบนี้ไหม…ผมขอพลีร่างกายของผมให้แก่คุณ? ถ้าสนใจเข้าไปเปิดห้องกันเลยดีกว่า ผมจะตอบแทนคุณจนพอใจเลย!”

เหลียวเซียวหยุนกระตุกยิ้มสุดจะหงุดหงิดกับท่าทีขี้เล่นของไอ้หมอนี่ กระชับกำปั้นทุบอกจ้าวเฉียนไปดอกใหญ่

“ไอ้หื่น! คิดจะเอาเปรียบฉันทั้งวันเลยใช่ไหมห๊ะ!? หึ!”

เหลียวเซียวหยุนบ่นไม่หยุดปาก

จ้าวเฉียนรีบอธิบายโดยไวว่า

“ผมเอาเปรียบคุณที่ไหน ผมแค่ตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณด้วยร่างกายของผมเท่านั้น ถ้าพลาดแล้วจะเสียใจนะ!”

เหลียวเซียวหยุนรีบส่ายหัวตอบทันใด

“ไม่ ไม่ ยังเร็วเกินไป ถ้าจะตอบแทนฉันจริงๆ งั้นพาฉันไปดูหนัง! ฉันได้ยินมาว่า มีหนังเรื่องหนึ่งเพิ่งเข้าโรงชื่อว่า กาลอดีตที่จางหาย กำลังดังเลย ไปดูกันเถอะ!”

จ้าวเฉียนยิ้มอเยาะเอ่ยถามสวนไปว่า

“อดีตอะไรนะ? แนวเจาะเวลาหาโจโฉงี้เหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนถึงกับกลอกตามองบนใส่ เอ่ยตอบกลับไปอีกครั้งว่า

“โอ้ย! นายจะดูแต่สามก๊กรึไง! ที่แสร้งทำเป็นงงแบบนี้คือ? กลัวดูแล้วคิดถึงแฟนเก่ารึไง? สรุปจะไปไหม?”

“ไปสิ! ก็ผมจะไปรู้เหรอ ไม่ชอบดูหนังแนวนี้ แต่ก็ลองดูหน่อยก็ได้ ผมว่างพอดี”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว พาจ้าวเฉียนวิ่งไปที่โรงหนังบริเวณแถวนั้น

จ้าวเฉียนมึค่อยชอบหนังแนวแบบนี้เท่าไหร่ เอาตามตรงก็ชอบแนวกำลังภายในโบราณ ไม่ก็หนังเชิงวรรณธรรมไปเลย

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหลียวเซียวหยุนจะสนใจหนังแนวนี้เป็นอย่างมาก เริ่มเรื่องได้ไม่นานเธอก็นั่งน้ำตาซึมแล้ว

จ้าวเฉียนหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เช็ดน้ำตาให้เธอพลางลูบหลังอย่างแผ่วเบา เพื่อปลอบโยนเธอ

พอมีถึงฉากสะเทือนจิตใจอย่างตอนที่นางเอกกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แสนคุ้นเคยกับสามี แต่วันนี้กลับเหลือตัวคนเดียว เหลียวเซียวหยุนก็โผเข้าสวมกอดจ้าวเฉียนไว้แน่น และระเบิดน้ำตาออกมาในอ้อมแขนของเขาทันที

ไม่เพียงแค่เหลียวเซียวหยุนคนเดียว สาวๆภายในโรงต่างก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันด้วยความเศร้าโศก

จ้าวเฉียนเอ่ยกระซิบเสียงต่ำว่า

“นี่ก็แค่หนังไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย ทำไมถึงเศร้าขนาดนั้น?”

เหลียวเซียวหยุนร้องสะอื้น

“แต่พล็อตเรื่องมันสร้างจากเรื่องจริงนะ ในชีวิตจริงต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ฉันกลัวจัง ไม่กล้ารักใครแล้ว ถ้าต้องเลิกกันในสักวัน ฉันคงเศร้าหนักแบบนางเอกแน่นอนเลย…”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องไปรักใครจนตาย แต่ผมบอกไว้ก่อนเลย เป็นโสดมันน่ากลัวกว่านี้อีกนะ ไม่สิ…การอยู่คนเดียวน่ะน่ากลัวที่สุดแล้ว ถึงตอนนั้นก็อย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน็อย่าไ”

“แต่ถ้ารักแล้วต้องมาจากกันแบบนี้ มันไม่เจ็บกว่ารึไง? อย่างกับตายทั้งเป็น”

“มันไม่เกี่ยวหรอกนะว่า ก่อนหน้านี้จะรักกันมากแค่ไหน มันอยู่ที่ว่าปัจจุบันเรายังให้ค่ากับสิ่งนี้มากแค่ไหนต่างหาก ถ้าให้ค่ามันมากก็เจ็บมาก ถ้าให้ค่ามันน้อยก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตของเราคนยังมีอะไรให้ต้องพบเจออีกมากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก”

เหลียวเซียวหยุนเงียบนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง และจู่ๆเธอก็สวมกอดจ้าวเฉียนแน่น ใบหน้าของทั้งคู่แทบจะแนบชิดกันแล้ว ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาว่า

“งั้น…เราลองมารักกันไหม ถ้าเป็นนาย…คงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนตะลึงไปชั่วขณะ ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตัวเองควรตอบยังไงกลับไปดี? เห็นได้ชัดว่าถ้าปฏิเสธเธอภายใต้สถานการณ์แบบนี้คงจะดูไม่ค่อยเหมาะสม แต่ในอีกด้านเขาก็รู้ความรู้สึกตัวเองดีเช่นกันว่า ตนเองไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับเธอ

จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบกลับไปว่า

“ไม่…เดี๋ยวก่อน นี่มันกะทันหันเกินไป คุณทั้งสวยทั้งมีฐานะครอบครัวที่ดี เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชีวิตนี้จะไม่มีผู้ชายดีๆผ่านมาเลยจริงไหม? ใจเย็นก่อน…ใจเย็น…”

เหลียวเซียวหยุนยื่นสองมือขึ้นมาประกบใบหน้าจ้าวเฉียน เธอยิ้มหวานกล่าวตอบไปว่า

“ก็นายไง…นายไม่รักฉันเหรอ?”

จ้าวเฉียนกัดฟันแน่น สารภาพไปตามตรงว่า

“ผมบอกตามตรงนะครับ คือ…ผมไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ ถ้าจะต้องคบหากับคุณในความสัมพันธ์แบบนั้น เพราะยังไงสถานะของพวกเรามันต่างกันเกินไป ผมเป็นแค่พนักงานธรรมดา ใครเห็นก็บอกกันเป็นเสียงเดียวว่ามันไม่เหมาะสมกันเลย ผมไม่อยากให้คุณเสียหน้า… จริงๆผมเองก็ชอบคุณนะ แต่ถ้าสักวันเราไปกันไม่รอดแล้วต้องเลิกรากัน จะมีสักกี่คู่ที่กลับมาคืนดีได้ดังเดิม? ถึงตอนนั้นพวกเราอาจกลายเป็นศัตรูกันเลยด้วยซ้ำ คุณต้องการแบบนั้นเหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนถอยกลับไปนั่งลงบนที่นั่งของเธอ และไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย

หลังจากนั้นไม่นานหลังก็จบลง ทั้งสองเดินออกจากโรงโดยที่ไม่พูดอะไรกันสักคำ

จ้าวเฉียนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงหันมาพูดกับเหลียวเซียวหยุนว่า

“นี่ก็ดึกแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ”

เหลียวเซียวหยุนแค่พยักหน้าทีนึงตอบน้ำเสียงแผ่วว่า

“อืม บาย”

จ้าวเฉียนโบกมือลาและเดินกลับไปที่รถของตัวแอง แต่หลังจากเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆเหลียวเซียวหยุนก็พุ่งเข้ามาพร้อมโผกอดเขาแน่นจากด้านหลัง

เธอสารภาพตามตรงทั้งน้ำตาว่า

“ฉันไม่สนหรอกว่า อนาคตพวกเราจะเป็นยังไงถ้าต้องเลิกกันจริงๆ ตราบเท่าที่นายปฏิบัติต่อฉันด้วยความจริงใจในตอนนี้ ไม่ว่าอะไรฉันก็โอเค ฉัน…ฉันคิดว่า…ฉันรักนายเข้าแล้วจริงๆ อย่าไปไหนเลยนะ…ชีวิตฉันขาดนายไม่ได้แล้ว!”

จ้าวเฉียนหันกลับมาสวมกอดเธอตอบในอ้อมแขน พลางกล่าวปลอบขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเตรียมใจให้ดี ผมมีทั้งอุดมการณ์และความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง คงไม่มีเวลาไปไหนมาไหนกับคุณตลอดแบบในหนังรักหรอกนะ”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย…ฉันไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้นอยู่แล้ว สุภาพบุรุษต้องให้ความสำคัญกับการงานก่อนเสมอ เรื่องนี้ฉันเข้าใจ”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบกลับไป

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว

ภายใต้บรรยากาศแสนอึดอัดแบบนี้ เหลียวเซียวหยุนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างเขินอายว่า

“แล้ว…แล้วตอนนี้…พวกเราถือว่า…เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ

“ใช่ ตอนนี้ถือว่าพวกเราคบกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นขอใช้สิทธิ์ของการเป็นแฟนเลยก็แล้วกัน”

เหลียวเซียวหยุนก้มหน้าก้มตาทันทีด้วยความเขินอายสุดขีด เธอรู้ได้ทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหมายความว่าอะไรอยู่

“อืม…ก็ได้นะ แต่…แต่มันจะดีเหรอ? พวกเราเพิ่งคบกันเองนะ จะพัฒนาความสัมพันธ์เร็วเกินไปไหม?”

จ้าวเฉียนยิ้มและพาเหลียวเซียวหยุนกลับเข้าโรงแรมตงไห่เพื่อเปิดห้องทันที

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกประหม่าอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้จ้าวเฉียนฉุดดึงไปราวกับหุ้นไม้ไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ ทันทีที่เข้าไปในห้องพัก เธอก็ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนทันที

อันที่จริงจ้าวเฉียนไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเธอเลยสักนิด เขานอนเล่นบนเตียงพลางหยิบมือถือขึ้นมาเล่น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ผล็อยหลับไป

หลังจากนั้นไม่นานนัก เหลียวเซียวหยุนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แงมประตูเหลือบมองอย่างเงียบๆ แต่พอเห็นว่าจ้าวเฉียนหลับไปแล้ว เธอก็พลันรู้สึกโล่งจำ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้อยู่กับคนที่ชอบแบบสองต่อสอง เหลียวเซียวหยุนทั้งประหม่าทำอะไรไม่ถูกและอยากรู้อยากเห็นในเวลาเดียวกัน เธอค่อยๆขึ้นเตียงนอนซุกอยู่ข้างๆจ้าวเฉียนด้วยความเขินอาย แอบฟังเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้น เฝ้ามองจ้าวเฉียนนอนหลับอย่างมีความสุข

หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์มือถือของจ้าวเฉียนพลันดังขึ้นมา ปลุกให้เหลียวเซียวหยุนสะดุ้งดีดเด้งขึ้นมาจากเตียงทั้งทีด้วยความเก้อเขิน

จ้าวเฉียนหันไปมองเธอเล็กน้อยพร้อมยิ้มให้ และหยิบมือถือขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นเหลียวปี้เอ๋อร์โทรเข้ามา

“ป้าเธอโทรมา เงียบไว้นะ”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าตอบรัวๆ และยกมือสงสัญญาโอเคให้

“ไม่ต้องห่วง เงียบสนิทแน่นอน”

จ้าวเฉียนรับสายและเอ่ยทักทายขึ้นว่า

“สวัสดีครับคุณเหลียว มีอะไรครับผม?”

“ฉันตัดสินใจแล้วว่า จะลองทำตามคำแนะนำของนายดู พรุ่งนี้นัดหมายมาคุยกันเรื่องรายละเอียดอีกทีแล้วกัน”

“โอเคครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนสิบโมง ผมจะเดินทางไปหาที่บริษัทคุณเอง”

“อืม แล้วก็นะ…เซียวหยุนกลับรึยัง? เธอยังเด็กอยู่นะ อย่าเอาเปรียบเธอเด็ดขาด”

“ผมทราบครับ ผมไม่คิดล่วงเกินเธอแน่นอน”

เหลียวปี้เอ๋อร์วางสายลงพร้อมเสียงอืม

เปิดห้องโรงแรมกันขนาดนี้ ใครจะกล้าบอกกัน?

จ้าวเฉียนโยนมือถือทิ้งบนโซฟา และกระดิกนิ้วเรียกให้เหลียวเซียวหยุนมาทางนี้

ตอนที่207 ยังอ่อนเยาว์แต่ดื้อรั้น

เหลียวปี้เอ๋อร์ไม่มีทางกลับคำพูดเปลี่ยนฝั่งแน่นอน เธอกล่าวปฏิเสธกลับไปโดยตรงว่า

“แม้ว่าบริษัทของพวกฉันจะล้มละลาย แต่ก็ไม่มีวันยอมรับความช่วยเหลือจากคนอย่างแกแน่นอน! ที่มาพล่ามไร้สาระแบบนี้คงเป็นเพราะฉันที่สั่งให้พี่ชายยกเลิกคำสั่งของหัวโหย้วไปใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันที

“อย่าเข้าใจผิดไปสิครับ ผมไม่ได้โทรหาคุณกับอีแค่เรื่องยกเลิกคำสั่ง ผมคิดแค่ว่าบริษัทคุณมีงบการเงินที่ดีมาตลอด และยังมีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาต่อได้ในอนาคคต ถ้าล้มละลายไปทั้งแบบนี้ก็น่าเสียดายแย่ ผมอยากจะช่วยคุณติดต่อกับทางฟู่ไห่ อินเวสเม้นส์ เพื่อพวกเขาจะสนใจเข้ามาลงทุนในบริษัทคุณต่อ นี่เท่ากับการต่อลมหายใจพวกคุณอีกครั้งจริงไหม?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับระเลิดหัวเราะลั่น

“แกคิดว่าฉันโง่เหมือนเด็กสามขวบรึไง? เป็นแค่พนักงานกระจอกในบริษัทเล็กๆ พูดอย่างกับสนิทกับฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ขนาดนั้นเลย? ใครเชื่อก็โง่แล้ว!”

จ้าวเฉียนยังคงหัวเราะตอบไปว่า

“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะครับ ผมเพิ่งได้รับอำนาจจากสำนักงานใหญ่ของฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ให้มาจัดการดูแลบริษัทต่างๆภายในเมืองตงไห่ที่อยู่ภายใต้การหนุนของบริษัท ตราบใดที่คุณเต็มใจให้ความร่วมมือ ผมก็รับประกันได้ว่า บริษัทของสามีคุณรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้ไม่ยาก คุณเองก็น่าจะเข้าใจดีนะครับว่าฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์มีศักยภาพแค่ไหน แม้แต่บริษัทที่ใกล้ล้มละลายยังฟื้นคืนกลับมาจนยิ่งใหญ่ก็ทำมาแล้ว อยากเห็นสามีตัวเองล้มละลายต่อหน้าต่อตางั้นเหรอครับ?”

เหลียวปี๋เอ๋อร์ใจสั่นทันทีที่ได้ยิน เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและอดจินตนาการตามไม่ได้เลยว่า ถ้าฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ยอมมาลงทุนกับบริษัทของสามีเธอจริงนับเป็นพรจากสวรรค์แล้ว เหลือแค่ว่าเธอกล้าที่จะเผชิญหน้ากับจ้าวเฉียนตรงๆหรือไม่ ชะตากรรมของสามีเธอขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว

จ้าวเฉียนนับมาฉลาดหัวไวพอสมควร เขาคาดเดาได้ทันทีว่า ในฐานะภรรยา ย่อมทนไม่ได้อยู่แล้วที่ต้องมาเห็นสามีตัวเองประสบความล้มเหลวในชีวิตต่อหน้าต่อตา ดังนั้นเขาจึงริเริ่มใช้ไม้อ่อน ในเมื่อแตกแยกแล้วสร้างปัญหา สู่สมานฉันท์รวมตัวไม่ดีกว่าเหรอ? ตอนนี้จ้าวเฉียนพยายามหาทางให้เธอลงจากหลังเสืออยู่

“ถ้าคุณเหลียวสนใจ คืนนี้เจอกันที่ห้องอาหารหมายเลข708ของโรงแรมตงไห่เวลาหนึ่งทุ่มได้นะครับ แล้วเรามาหารือกันช่วยกัน แต่ถ้ากลัวผมจะหลอกจริงๆก็พาเหลียวเซียวหยุนมาด้วยกันก็ได้นะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็วางสายไม่รอฟังคำตอบรับใดๆของอีกฝ่าย

หลังจากนั้นจ้าวเฉียนก็โทรหาผู้จัดการโรงแรมตงไห่ต่อทันที

“ฮาโหลครับผู้จัดการ รบกวนจองห้องอาหาร708ให้ผมหน่อย วันนี้มีนัดดินเนอร์เวลาทุ่มนึงครับ”

จ้าวเฉียนสั่งการอย่างรวดเร็ว

ผู้จัดการรีบตอบกลับทันทีว่า

“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะรีบจัดการให้โดยด่วน”

จ้าวเฉียนกดวางสายอย่างอารมณ์ดี เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเหลียวปี๋เอ๋อร์ไม่มีวันยอมให้บริษัทของสามีเธอล้มละลายทั้งแบบนี้แน่ ถ้ามีความหวังเข้ามาแม้จะเล็กน้อยเพียงใด เธอต้องพยายามคว้าเอาไว้แน่นอน

เวลาหกโมงเย็นก่อนนัดหนึ่งชั่วโมง สรุปว่าจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนออกมานั่งรอในห้องอาหารก่อน เหมือนว่าทางเธอมีเรื่องอยากจะคุยกับจ้าวเฉียนสองต่อสอง

เหลียวเซียวหยุนดูอารทณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“เธอเป็นอะไร?”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวตอบน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า

“ยังจะเรื่องอะไรอีกล่ะ? ฉันพร้อมที่จะทำงานกับโปรเจคนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองแล้ว แต่ดันมีเรื่องบ้าๆแบบนี้เกิดขึ้นเฉยเลย พ่อฉันก็เอาแต่ใจอ่อนให้น้องสาว ส่วนคุณป้าก็เอาแต่บ่น ปฏิเสธเสียงแข็งจะให้พ่อยกเลิกความร่วมมือนี้ให้ได้ คุณป้าเป็นพวกหัวรั้นตั้งแต่สมัยสาวๆแล้ว พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนวัยรุ่น คุณปู่พยายามจับเธอไปแต่งงานกับลูกของเพื่อนคุณปู่ แต่เธอไม่ยอมจนถึงขั้นหนีตามผู้ชายออกจากบ้าน แล้วก็ร่วมกันสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน พอเริ่มมีฐานะมั่นคงจึงค่อยกลับไปเยี่ยมคุณปู่ ดังนั้นฉันมั่นใจเลยว่า ตราบใดที่เธอไม่ยอมรับในตัวนาย เรื่องโปรเจคความร่วมมือก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน นายต้องเตรียมใจไว้ด้วย!”

 จ้าวเฉียนหัวเราะขึ้นทันทีอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของเธอ เขากล่าวปลอบไปว่า

“คนเราเปลี่ยนได้เสมอ ถ้าดูจากอุปลักษณ์นิสัยของคุณป้าอย่างที่คุณเล่ามา ก็ยิ่งมีโอกาสสูงมากที่เธอจะมาตามนัด ในเมื่อบริษัทนี้เป็นสิ่งที่เธอกับสามีก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยกัน มีหรือจะยอมให้ล้มละลายง่ายๆแบบนี้?”

“เหอะ ตอนที่ฉันโทรไปหาอีกที เธอก็ปฏิเสธ ฉันพนันว่าเธอไม่มา”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวคาดคะเนอย่างมั่นอกมั่นใจ

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

จ้าวเฉียนยิ้มและเดินออกไปเปิดประตูให้ ส่วนเหลียวเซียวหยุนก็รีบลุกติดตามออกไปเช่นกัน

ทันทีที่ประตูเปิดออก ม่านตาของเหลียวเซียวหยุนถึงกับขยายใหญ่ด้วยความตะลึง ผู้มาถึงที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เหลียวปี้เอ๋อร์ หรือก็คือคุณป้าของเธอนั้นเอง

“คุณป้า! เข้ามาก่อนค่ะ!”

เหลียวเซียวหยุนรีบกอดแขนคุณป้าและพาเข้ามานั่งทันที

จ้าวเฉียนกระดิกมือเรียกเด็กเสิร์ฟทันทีเตรียมสั่งอาหาร

ครั้งนี้เหลียวเซียวหยุนพยายามอย่างมาก เพราะถ้าได้โปรเจคกลับบมา เธอจะได้ลงมือพิสูจน์ความสามารถอย่างจริงๆจังๆสักที เธอรีบเปิดเมนูและแนะนำอาหารรายการต่างๆให้คุณป้าฟังอย่างละเอียด

เหลียวปี้เอ๋อรน์ถึงกับต้องแปลกใจ เธอยิ้มถามหลานสาวขึ้นว่า

“หลานป้า ทำไมถึงดูคุ้นเคยกับอาหารที่นี่จัง? มากินบ่อยเหรอ?”

“อิอิ…ใช่ค่ะ ตั้งแต่รู้จักจ้าวเฉียน เขาก็มักจะพาหนูมาทานเข้าที่นี่อยู่ตลอดเลย ไม่เพียงแค่เลี้ยงข้าวหนูนะ ขนาดตอนไปช็อปปิ้งยังออกเงินจ่ายให้ทุกครั้ง!”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวตอบไปตามความจริง

ไม่รู้หรอกนะว่าจ้าวเฉียนรักเหลียวเซียวหยุนมาก หรือเป็นเพราะเขาเป็นคนรวยถึงกินอาหารที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นตัวเธอเอง ต่อให้เป็นแขกคนสำคัญขนาดไหน เธอก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่นี่ เพราะค่าอาหารต่อมื้อแพงมาก

จ้าวเฉียนเป็นแค่พนักงานบริษัทไม่ใช่เหรอ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนมีเงินอะไรมากมาย จึงเป็นไปได้ว่า จ้าวเฉียนคงรักเหลียวเซียวหยุนจริงๆ

พอคิดได้แบบนั้น ทัศนคติของเหลียวปี้เอ๋อร์ที่มีต่อจ้าวเฉียนก็คล้ายว่าจะดูดีขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นจึงเอ่ยถามไปว่า

“รู้ใช่ไหมว่าค่าสินสอดของหลานสาวฉันแพงมาก?”

 จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปว่า

“ผมยังไม่พิจารณาถึงเรื่องนี้เลยครับ แต่ถ้าผมยังยืนหยัดอยู่ในจุดนี้ได้อีกสักปีสองปี ค่าสินสอดสักกี่ล้านก็ไม่ใช่ปัญหาครับ”

ทันใดนั้น เหลียวเซียวหยุนพลันหน้าแดงก่ำฉับพลันเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน

“โถ่คุณป้า! นี่กำลังเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว! พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ! ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ป้าคิด”

เหลียวปี้เอ๋อร์ทราบดี หลานสาวคนนี้กำลังเขิน จึงสานเรื่องนี้ต่อ และหันไปเข้าเรื่องกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“นายเป็นคนของฟู่ไห่จริงๆงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนหยิบนามบัตรที่หวู่เสี่ยวหัวเตรียมมาให้ก่อนหน้าออกมา และยื่นให้เหลียวปี้เอ๋อร์เพื่อให้เธอตรวจสอบ

เหลียวปี้เอ๋อร์พนักหน้าและคืนนามบัตรกลับไปให้จ้าวเฉียน และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“คงเพิ่งมาใหม่ใช่ไหม? มีมีแนวทางยังบ้างจึงจะขอให้ฟู่ไห่ยอมมาลงทุนกับทางเรา?”

จ้าวเฉียนยิ้มและอธิบายตอบไปว่า

“อย่างที่ผมได้แจ้งไปก่อนหน้าทางโทรศัพท์ไปครับ บริษัทของคุณเหลียวมีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาต่อไปได้ และทางฟู่ไห้เองก็ได้เล็งเห็นในจุดนี้จึงต้องการเข้ามาร่วมลงทุน เมื่อพิจารณากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทคุณเหลียวตอนนี้ เราจะใช้กลยุทธ์หนึ่ง อธิบายง่ายๆคือ‘การใช้ประโยชน์จากไฟ’ ไม่เพียงจะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตได้เท่านั้น ดีไม่ดียังอาจสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้แก่บริษัทของคุณเหลียวได้อีกด้วย หวังว่าคุณเหลียวจะเต็มใจยอมให้พวกเราเข้ามาช่วยเหลือนะครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ระเบิดหัวเราะขึ้นลั่นและกล่าวตอบไปว่า

“นายเป็นเด็กที่น่ารักและเก่งมากเลยนะ เสียดายที่นายไม่น่ามีเรื่องกับสามีฉันก่อนเลย ไม่อย่างนั้นฉันคงยอมรับนายเข้ามาในตระกูลเหลียวของเรานานแล้ว อย่างไรก็เถอะนะ นี่ไม่ใส่สิ่งที่ฉันจะสามารถตัดสินใจได้เพียงลำพัง แต่ถ้าหากฟู่ไห่มาร่วมมือกับเรา และสามารถขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้จริงๆ มันก็น่าสนใจไม่น้อยเลย”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ และเชิญให้เหลียวปี้เอ๋อร์ทานอาหารก่อนที่มันจะเย็น

หลังจากมื้ออาหารค่ำสิ้นสุดลง ก่อนที่เหลียวปี้เอ๋อร์จะลาจากไป เธอยังเดินมาเตือนเหลียวเซียวหยุนว่า เสร็จากนี้ให้กลับบ้านได้แล้ว อย่าไปค้างคืนข้องนอกเชียวล่ะ

ใบหน้าของเหลียวเซียวหยุนแดงกล่ำขึ้นมาอีกครา เธอรีบอธิบายให้คุณป้าฟังโดยเร็ว

“โถ่คุณป้า…ป้ากำลังเข้าใจผิดจริงๆนะ หนูกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย…. คุณป้าเองก็ขับรถกลับดีๆนะ กลับบ้านปลอดภัยค่ะ”

“ไม่ต้องอายหรอกน่า ตอนที่ฉันยังเป็นสาวก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนั้นแหละ ก็เลยเข้าใจความรู้สึกหลานตอนนี้ดีว่าคิดยังไง แต่ถึงแบบนั้น ห้ามมีอะไรกับผู้ชายก่อนแต่งงานเด็ดขาดเข้าใจไหม?”

“โอเคค่ะ โอเค…หนูจะจำไว้ค่ะ คุณป้ารีบกลับได้แล้ว”

เหลียวเซียวหยุนรีบผลักป้าของเธอเข้าไปในรถ และเฝ้ามองอีกฝ่ายจากไป เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นทันทีพอเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี

พอเห็นท่าทางแบบนั้น จ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปทักเหลียวเซียวหยุน จงใจหยอกเธอเล่นว่า

“คุณป้าเป็นอะไรไปครับ? หายใจไม่ทันเหรอ?”

“อีบ้า! เห็นฉันเป็นคนแก่รึไง?”

เหลียวเซียวหยุนบู้หน้าถามกลับ

“ถ้ายังเป็นสาวก็ต้องรู้จักรักนวลสงวนตัวนะ อย่าเที่ยวเลียนแบบผู้ใหญ่ที่เขาโตแล้ว ห้ามมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นก่อนแต่งงานรู้ไหม? ฮ่าฮ่า…เธอนี่มันเด็กน้อยจัง! สงสัยต้องสอนให้เธอโตขึ้นหน่อยซะแล้ว สนใจเข้าโรงแรมไปต่อกันไหม? เดี๋ยวฉันอาสาสอนพิเศษให้?”

เหลียวเซียวหยุนคล้ายว่าปี๊ดแตก ยกจ้าวเฉียนไปหนึ่งหมัดด้วยความหงุดหงิด

จ้าวเฉียนพูดติดตลกอีกครา

“แหมๆ อย่าเขินไปเลย ฉันก็ยังซิงอยู่เหมือนกันนะ!”

เหลียวเซียนหยุนชกใส่จ้าวเฉียนไปอีกหมัด แต่ในขณะนั้นเอง หวังเฉียงก็ตรงเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง นอกจากเธอแล้วยังมีหวังซินซินและหวังเจียงหลินอีกด้วย

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วแน่นทันที คนพวกนี้คบหารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?

ตอนที่206 นี่เป็นโอกาสเดียวของคุณ

จ้าวเฉียนขับรถกลับเข้าคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว อาบน้ำและเข้านอนไป

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ยังหลับไม่ตื่น จางหยางก็โทรสายเข้ามาหาเข้า

“ฮาโหลผู้จัดการจาง ว่าไงครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามเจือน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

จางหยางตะคอกตอบทันทีอย่างขุ่นเคืองว่า

“นี่แกยังมีอารมณ์นอนอีกเหรอ?!”

จ้าวเฉียนได้ฟังแบบนั้นก็แปลกใจ ได้สติขึ้นมาทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“แสดงว่าต้องมีเรื่องแน่นอนใช่ไหมครับ?”

“ก็เออน่ะสิ! หัวโหย้วโทรมายกเลิกความร่วมมือกับพวกเราแล้ว! แกยังมีหน้านอนต่อไหมล่ะ? นี่แกกำลังร่วมมือกับผู้หญิงที่ชื่อเหลียวเซียวหยุน เพื่อแก้แค้นเราใช่ไหม!?”

จางหยางคำรามใส่ด้วยความเดือดจัด

จ้าวเฉียนไม่ได้เอ่ยถามใดๆเขาต่อ และกดตัดสายทิ้งไปทันที จากนั้นค่อยโทรสายไปหาเหลียวเซียวหยุนโดยไว แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รับสายของเขา

เห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหัวโหย้วแน่นอน และเหลียวเซียวหยุนก็ไม่สะดวกรับสายของเขาในเวลานี้

จ้าวเฉียนรีบส่งข้อความหาเธอ ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เหลียวเซียวหยุนอ่านแต่ไม่ตอบข้อความ ส่งกลับเพียงคลิปเสียงประมาณสองสามประโยคว่า

“ให้เวลาฉันหน่อย หลังจากนี้จะไปหานาย!”

น้ำเสียงของเหลียวเซียวหยุนดูร้อนรนอย่างมาก

ไม่ต้องถามก็รู้ได้ทันที ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน เธอกำลังพยายามแก้ไขในส่วนของเธออยู่ จ้าวเฉียนไม่กล้ารบกวนเธออีกต่อไป และรอข่าวจากเธอในภายหลังถ้าเกิดเรื่องนี้เขา ทุกคนในออฟฟิศกำลังสาปแช่งเขาอยู่แน่นอน พอคิดได้ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงลุกออกไปอาบน้ำแปลงฟัน และเดินทางไปที่บริษัททันที

ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด ทุกคนในบริษัทกำลังกรนด่าสาปแช่งเขาอยู่จริงๆ พอเห็นเจ้าตัวมาถึงบริษัท ทุกคนก็ตรงเข้าไปรุมล้อมโดยไว

“จ้าวเฉียน นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีก? ทำไมหัวโหย้วถึงยกเลิกสัญญา?”

“ใช่! นี่มันหลายรอบแล้วนะ น่ารำคาญจริงๆ! นี่นายไปคุยกับเขายังไงถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้!”

“นายรีบติดต่อหัวโหย้วไปสิ แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น? อีกฝ่ายจะยกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผลได้ยังไง?”

“พวกเรากำลังจะดำเนินโครงการนี้อยู่แล้ว แต่จู่ๆโปรเจคก็ถูกยกเลิกดื้อๆเลย”

…..

จ้าวเฉียนรำคาญเสียงนกเสียงกาเหล่านี้มาก เขาตะโกนลั่นหยุดทุกคนในทันใด

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดี! แยกย้ายกลับไปทำงานได้แล้ว! ผมจะรีบแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ตรงไปที่ห้องทำงานของฟางนี่ทันที และในเวลานั้นเองจางหยางกับหวังเฉียงก็กำลังนั่งหารือกุมขมับกันอย่างเคร่งเครียด

พอเห็นว่าจ้าวเฉียนเดินเข้ามา จางหยางก็ตบโต๊ะดังปัง ชี้หน้าด่าทันทีว่า

“ไอ้เวรนี่! แกยังกล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกเหรอ! ไม่โดนพนักงานข้างนอกกระทืบตายห่าก็บุญแล้ว!”

หวังเฉียงกรนเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น กล่าวเย้ยไปว่า

“ผู้จัดการจางอย่าไปให้ค่าคนแบบเจ้านี่เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันทำให้เราผิดหวัง โกรธไปก็เสียเวลาเปล่า”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะเสวนากับพวกตัวประกอบพวกนี้อยู่แล้ว เขาพูดกับฟ่างนี่โดยตรงว่า

“อีกฝ่ายยกเลิกความร่วมมือแบบนี้ ถ้าไม่มีเหตุผลมากพอก็ฟ้องเลยครับ”

ฟางนี่ถอนหายใจและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันโทรหาทางหัวโหย้วแล้ว พวกเขาให้เหตุผลว่า น้องสาวของประธานสั่งให้ระงับโปรเจคกับทางเราน่ะ”

“น้องสาวประธาน?”

จ้าวเฉียนอุทานกับตัวเอง คล้ายว่าตอนนี้พอจะรู้เหตุผลขึ้นมาบ้างแล้ว

น้องสาวของเหลียวปี้ซ่ง รู้สึกว่าสามีของเธอคือ…เฉินกวงหัว? และสองพี่น้องตระกูลเฉินเองก็ถูกจ้าวเฉียนเล่นไว้จนธุรกิจพังพินาศ สถานการณ์ของพวกเขาย้ำแย่มาก ถึงขั้นที่ว่าบริษัทของพวกเขากำลังจะล้มละลายแล้ว นี่เป็นปมความแค้นในอดีตยากที่จะเลือนหาย

เป็นธรรมดาที่เหลียวปี้ซ่งจะต้องเห็นแก่หน้าน้องสาวตัวเอง ดังนั้นเพื่อก้แค้นให้สามี เธอคงไม่ปล่อยให้เหลียวเซียวหยุนกับจ้าวเฉียนได้ร่วมมือกันแน่นอน

จ้าวเฉียนยืนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง คุณฟางรอข่าวดีได้เลย”

จางหยางหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่ยังจะแสร้งทำเป็นเก่งอีกเหรอ! พูดยังกับจัดการปัญหานี้ได้? ฉันไม่เข้าใจจริงๆเลยว่า แกนี่มันบ้ารึเปล่า? ทำไมถึงไปหาเรื่องน้องสาวของเหลียวปี้ซ่ง?”

ฟางนี่รีบหยุดจางหยางไว้ทันที เธอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เอ่ยตำหนิขึ้นว่า

“จางหยาง อย่าพูดไร้สาระนะ จ้าวเฉียนจะไปมีเรื่องกับเธอได้ยังไง?”

จางหยางยังคงยืนกรานในความคิดของเขา และเอ่ยตอบไปว่า

“ถ้าไอ้เวรนี่ไม่ไปเที่ยวมีปัญหากับคนโน้นทีคนนี้ที แล้วจู่ๆทางหัวโหย้วจะยกเลิกโปรเจคโดยไม่มีเหตุผลได้ยังไง? ความเป็นไปได้เดียวคือ จ้าวเฉียนต้องทำให้น้องสาวของเหลียวปี้ซ่งขุ่นเคืองแน่นอน!”

ในเวลานัน้เองหวานฮันซูก็โทรสายมาหาจางหยาง

“ฮาโหลจางหยาง เมื่อกี้นายโทรหาฉันเหรอ? มีอะไรรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไรมาก แค่จะบอกว่าทางหัวโหย้วเพิ่งยกเลิกโปรเจคความร่วมมือกับเราไป!”

“ห่ะ?! ทำไม? เกิดอะไรขึ้นอีก? นี่ฉันเพิ่งเขียนอีเมลรายงานกับทางสำนักงานใหญ่ไปเองว่า บริษัทที่ร่วมลงทุนเพิ่งได้โปรเจคใหม่มา! แล้วแบบนี้จะทำยังไง? นี่นายเล่นมุกอะไรรึเปล่า?”

“โอ้…เพื่อนยาก ฉันไม่ได้เล่นมุก! นี่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ทางนั้นเพิ่งแจ้งยกเลิกมากะทันหันมาก ถ้าได้อะไรคืบหน้าแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที”

หวานฮันซูเงียบไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาอารมณ์เสียอย่างมาก หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาจึงกล่าวขึ้นต่อว่า

“แล้วทำไมจู่ๆหัวโหย้วถึงยกเลิก? มันต้องมีเหตุผลสิ?”

“ประเด็นคือ น้องสาวของประธานหัวโหย้วอย่างเหลียวปี้ซ่ง ไม่ต้องการให้พวกเราร่วมมือกัน ฉันเลยสันนิฐานว่าทั้งหมดน่าจะเป็รเพราะจ้าวเฉียน แต่ยังไม่มีหลักฐานมัดตัวมัน”

“นายบอกว่าน้องสาวของเหลียวปี้ซ่ง? หมายถึงเหลียวปี้เอ๋อร์ใช่ไหม?”

“ใช่ นายรู้อะไรมางั้นเหรอ?”

“เหอะ เหอะ….ซวยจริงๆ! ก็ไอ้จ้าวเฉียนมันเพิ่งส่งน้องชายสามีเธอเข้าคุกไปเดือนกว่า ข้อหาจำหน่ายของละเมิดลิขสิทธิ์ในเกาะซ่งต้าว! ถ้าแกเป็นเธอจะไม่ยกเลิกคำสั่งเหรอ?”

จางหยางหันไปตะโกนด่าจ้าวเฉียนทันควัน คำรมลั่นว่า

“จ้าวเฉียน!! นี่ยังกล้าปฎิเสธอีกไหมว่าไม่ใช่เพราะแก!! ฉันขอถามแกสั้นๆนะ แกใช่ไหมที่ส่งสามีของเหลียวปี้เอ๋อร์เข้าคุก?!”

จ้าวเฉียนพยัดหน้าตอบโดยไม่แม้แต่ปฏิเสธใดๆ

จางหยางกดวางสายโยนโทรศัพท์ทิ้งโดยแรง ชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนจ้องตาเขม็ง พลางกล่าวกับฟางนี่ว่า

“ตอนนี้คุณเชื่อสิ่งที่ผมพูดไปรึยังเสี่ยวนี่! ต้นเหตุเป็นเพราะมันอีกแล้ว! จ้าวเฉียน เพราะแกคนเดียวที่ทำให้พวกเราต้องซวย!!”

ฟางนี่กล่าวถามจ้าวเฉียนเจืออารมรน์หงุดหงิดเล็กน้อยว่า

“ทำไมนายถึงตัดสินใจเป็นศัตรูกับคนระดับนี้? นายกำลังทำให้พวกเราถึงทางตันนะ!”

จ้าวเฉียนไม่อยากเปลืองน้ำลายอธิบายกับคนพวกนี้มากเกินไป เขาเพียงพยักไหล่ตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“เดี๋ยวผมแก้ไขเอง พวกคุณไปดิลกับบริษัทเล่นรอไปก่อน”

หลังจากพูดจบ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างสบายอารมณ์ จ้าวเฉียนผิวปากฮัมเพลงเดินออกไปราวกับทองไม่รู้ร้อน

ทั้งจางหยางกับหวังเฉียงยังคงตะโกนด่าไล่หลัง แต่จ้าวเฉียนไม่แม้แต่สนใจสักนิดและเดินจากไป

หลังออกจากบริษัทแล้ว จ้าวเฉียนก็ส่งข้อความหาเหลียวเซียวหยุน

“ช่วยพาคุณป้าออกมาพบหน้าผมหน่อย”

หลังจากนั้นไม่นาน เหลียวเซียวหยุนก็ตอบกลับมาว่า

“ตอนนี้คุณป้าไม่อยากเจอหน้าฉันด้วยซ้ำ โทรไปก็ไม่รับ ทักไปก็ไม่ตอบ ดูท่าจะยากแล้วล่ะ”

จ้าวเฉียนต้องการลงมือแก้ไขโดยเร็วที่สุด และไม่รอคอยอย่างลมๆแล้งๆแน่นอน เขาจึงรีบพิมพ์ตอบกลับไปทันทีว่า

“อย่างนั้น ส่งเบอร์ของเธอมาเลย เดี๋ยวฉันจะพยายามติดต่อเธอไปเอง ถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ที่ปม ตีกระดิ่งจะดังเท่าระฆังได้ยังไง เธอคงอยากคุยกับผมตามตรงมากกว่า”

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกว่านี่ก็สมเหตุสมผลไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงส่งเบอร์ติดต่อของคุณป้าให้แก่จ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนโทรหาเหลียวปี้เอ๋อร์ทันที และเธอก็รับสายกล่าวทักขึ้นว่า

“นั้นใคร?”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มตอบกลับไปว่า

“ผมเอง จ้าวเฉียน ผมต้องการคุยกับคุณแบบส่วนตัว หารือเกี่ยวกับวิธีช่วยบริษัทสามีคุณไง”

เหลียวปี้เอ๋อร์เดือดขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เธอระเบิดอารมณ์ร้ายกรนด่าสาปแช่งตอบาทันทีว่า

“ไอ้สารเลว! แกยังกล้าโทรหาฉันอีกงั้นเหรอ! คิดจะหลอกลวงอะไรอีก!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไปว่า

“อย่าเพิ่งใจร้อนไปสิ ผมมีหนทางช่วยเหลือบริษัทสามีคุณจริงๆครับ นี่เป็นโอกาสเดียวของคุณแล้ว พลาดแล้วพลาดเลยนะครับ”

น้ำเสียงกรนด่าหยุดชะงักไปดื้อๆ เหลียวปี้เอ๋อร์เริ่มรวนเรสับสน เพราะถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป บริษัทของเธอกับสามีต้องล้มละลายแน่นอน แต่ทั้งหมดเกิดจากจ้าวเฉียนคนเดียว แล้วเธอจะยอมให้จ้าวเฉียนเข้ามาช่วยได้ยังไง?

ตอนที่205 ทำไมรู้สึกเจ็บแบบนี้

จ้าวเฉียนแค่อยากหยอกล้อหวู่เสี่ยวหัวนิดหน่อยเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่า เธอจะตกใจกลัวถึงขนาดนี้ เขารีบก้มพยุงร่างของเธอขึ้นมาทันทีและรีบกล่าวปลอบว่า

“โอเค ไม่ต้องร้องนะ เรามาดูกันว่าเธอจะแสดงความสามารถได้แค่ไหนหลังจากนี้ ถ้าทำได้ดีผมก็ชื่นชม แต่ถ้าไม่ก็อย่าตำหนิผมแล้วกัน”

หวู่เสี่ยวหัวเร่งปาดเช็ดน้ำตาโดยไว และให้สัญญากับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“ไม่ต้องกังวลค่ะคุณชายจ้าว ดิฉันจะพยายามให้ถึงที่สุด ไม่ทำให้คุณชายผิดหวังแน่นอน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเรียกพนักงานเสิร์ฟเตรียมสั่งอาหารทันที จากนั้นพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันต่อระหว่างรับประทานอาหาร

ความหยิ่งผยองของหวู่เสี่ยวหัวก่อนหน้าอย่างตอนที่อยู่หน้าห้องน้ำห้าง ยามนี้ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยใดๆ ปัจจุบันเปรียบเสมือนลูกแกะเชื่องตัวหนึ่ง เธอนั่งก้มศีรษะรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ

จ้าวเฉียนเพิ่งพบแจอเธอเป็นครั้งแรก จึงไม่มีเรื่องอะไรให้สนทนามากนัก ขณะที่ทั้งสองกำลังกินข้าว เขาก็วางตะเกียบลงและเริ่มเข้าเรื่องธุระของวันนี้ทันที

“ที่ผมสั่งงานพ่อของคุณไป เรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม?”

หวู่เสี่ยวหัวกล่าวตอบทันทีว่า

“ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ ทั้งบริษัทจินหยวนและบริษัทเหล่ยอู่ ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของฟู่ไห่โดยสมบูรณ์แล้วค่ะ”

“ดีมาก แล้วเรื่องที่พ่อของเธอโอนหุ้นมาให้ เขาได้ให้เหตุผลกับทั้งสองบริษัทยังไงบ้าง? เพราะเรื่องนี้ผมอยากให้มันดูสมเหตุสมผลที่สุด ไม่อยากนั้นพวกนั้นรู้แน่ว่าผมต้องไม่ใช่คนธรรมดา”

หวู่เสี่ยวหัวรีบกล่าวต่อ

“พ่อของดิฉันบอกว่า มูลค่าหุ้นของทั้งสองบริษัทเป็นจำนวนที่มหาศาลเกินไป จึงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะโอนหุ้นให้คุณโดยตรงได้อย่างสมเหตุสมผล ไม่อย่างนั้นบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดจะเกิดความสงสัยในตัวตนของคุณชายได้ ดังนั้นพ่อดิฉันจึงให้เหตุผลพวกเขาไปว่า บริษัทฟู่ไห่ของเราได้แต่งตั้งคุณให้มาดำเนินการบริหารและควบคุม ทั้งยังต้องการให้คุณพิสูจน์ความสามารถ ด้วยเหตุนี้สองบริษัทดังกล่าวจึงขึ้นตรงกับคุณ และมีสิทธิ์ในการบริหารเต็มรูปแบบ ดังนั้นแล้วจะไม่มีใครสงสัยในตัวตนของคึณชายได้แน่ค่ะ ไม่ต้องห่วงเลย”

จ้าวเฉียนพลางคิดตามและรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ดีไม่ใช่น้อย ไม่ว่าหุ้นจะอยู่ในมือของเขาแค่ในนามหรือจริงๆก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่เขาสนใจคือ การมีอำนาจเหนือหัวประธานบริษัททั้งสองอย่างเหล่ยอู่และจินหยวน

“ผมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีมากเลย ทำตามพ่อของคุณเลย”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบ

หวู่เสี่ยวหัวรีบหยิบสัญญาที่เตรียมไว้ออกมาและกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“นี่เป็นสัญญาจ้างงานของเราที่กล่าวไว้ข้างต้น รบกวนเซ็นยอมรับด้วยค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและหยิบเอกสารดังกล่าวขึ้นมาอ่าน หลังจากยืนยันแล้วว่า ตัวสัญญาไม่ได้มีปัญหาอะไร จึงค่อยเซ็นลงนามปิดท้าย ที่เขาต้องทำแบบนี้เพื่อป้องกันอันตราย กันไว้ว่าคนของเขาเองจะเล่นไม่ซื่อ

หวู่เสี่ยวหัวยิ้มและนำสัญญาเก็บเขากระเป๋าไป เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว หลังจากนี้จะกลับบ้านพักผ่อนเลยรึเปล่าค่ะ?”

ฟังจากน้ำเสียงและเนื้อความของเธอ คล้ายมีบางอย่างที่ต้องการจะพูดออกมาเพียงว่าไม่กล้า

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”

หวู่เสี่ยวหัวขบริมฝีปากเล็กน้อย คล้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พยายมรวบรวมความกล้าและกล่าวขึ้นทันทีว่า

“เอ่อ…คุณชายจ้าว…ถ้าไม่ว่าอะไร…พวกเรา…ไปดูหนังกันไหมค่ะ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ถ้าคุณอยากดูหนังก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมพาไปดู”

ดวงตาคู่สวยของหวู่เสี่ยวหัวเปล่งประกายขึ้นทันที เธอรีบพยักหน้าตอบดูมีความสุขอย่างยิ่ง

“ขอบคุณค่ะคุณชาย งั้นเราไปกันเถอะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและลุกออกไป พาหวู่เสี่ยวหัวไปโรงหนัง

เหตุผลที่จ้าวเฉียนตอบตกลงไปเพราะว่า ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของอู่ซินเข้าฉายในโรงพอดี อย่างไรก็ตาม บทวิจารณ์ของหนังเรื่องนี้กลับมีกระแสไม่ค่อยดีนัก เขาจึงอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองว่ามันแย่ยังไง

นื่คือหนังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกที่อู่ซินได้เล่น ซึ่งนี่สำคัญอย่างมากต่อเส้นทางอาชีพนี้ของเธอในอนาคตต่อไป จ้าวเฉียนต้องการจะดูว่าเธอเล่นผิดพลาดตรงไหน และพยายามหาวิธีแก้ไขให้ สิ่งที่กลัวที่สุดคือ อู่ซินจะสูญเสียความมั่นใจไปหลังจากนี้

ไม่นานภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เริ่มฉาย แต่หลังจากนั้นเพียงห้านาที บรรดาผู้ชมบางกลุ่มก็ถึงกับโห่ร้องออกมา ผู้ชมที่นั่งข้างๆจ้าวเฉียนระซิบนินทากันทันที

“เธอคนนี้แสดงแข็งมาก แค่เห็นยังอายแทนเลย”

“ทักษะการแสดงของเธอยังอ่อนเกินไป ถ้าแบบนี้ให้ฉันไปเล่นเองคงไม่ต่างเท่าไหร่”

ภายในฉากนี้ ตัวละครที่รับบทโดยอู่ซินจำเป็นต้องแสดงความน่าเกรงขามออกมา แต่เธอกลับเบิกตากว้างพยายามตะโกนเสียงดังเพื่อให้ดูน่ากลัวเท่านั้น ซึ่งนี่ยังดูไม่สมจริงเกินไปจริงๆ

เพียงไม่กี่นาทีต่อมา บรรดาผู้ชมก็เริ่มเอ่ยปากบ่นขึ้นทันทีเกี่ยวกับการแสดงของอู่ซิน

“เธอดูไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ทั้งๆที่เห็นตัวร้ายพ่อเธอต่อหน้า”

“ดูเฉยชาไม่เท่าไหร่ แต่ในแววตาเธอควรแสดงออกให้เห็นถึงความเกลียดชังไม่ใช่เหรอ แต่นี่ยังกับคนง่วงนอน? พ่อของเธอตายต่อหน้าต่อตาเลยนะ! ทำไมนักแสดงดูเหมือนอยากจะนอนท่าเดียว?”

ในตอนนี้จ้าวเฉียนเริ่มเข้าใจได้แล้วว่า สาเหตุหลักที่หนังเรื่องนี้ล้มเหลวคือทักษะการแสดงของอู่ซินที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร ถึงเส้นเรื่องจะดี แต่ถ้าการแสดงออกมาแย่ คนดูก็จะไม่อินโดยธรรมชาติ

หลังจากดูไปได้ครึ่งชั่วโมง หวู่เสี่ยวหัวดูอึดอัดเกินจะทนแล้วเช่นกัน เธอจึงหันไปกระซิบกับจ้าวเฉียนว่า

“ออกกันเถอะค่ะ หนังเรื่องนี้น่าเบื่อมาก ถ้าไม่ใช่เพราะบริษัทในเครือของเราเป็นคนผลิต ดิฉันคงออกตั้งแต่ห้านาทีแรก…”

แต่จ้าวเฉียนยังคงต้องการเฝ้าสังเกตต่อไปว่า ทักษาะการแสดงของอู่ซินมีจุดด้อยตรงไหนอีก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากออกไปกลางคัน

“ไหนๆก็จ่ายเงินแล้ว ผมอยากจะดูหน่อยว่าทักษะการแสดงของนางเอกคนนี้จะมีอะไรให้แปลกใจอีก”

นี่เปรียบเสมือนคนสั่งของคุณชายจ้าว หวู่เสี่ยวหัวไม่กล้าขัดแน่นอน ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงอดทนนั่งดูต่อไป แต่จะพยายามดูยังไงเธอก็ไม่อินหรือรู้สึกสนุกเลยสักนิด จนท้ายที่สุดเธอก็เอนตัวลงบนเก้าอีและเผลอหลับไปทั้งแบบนั้น

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจเธอเท่าไหร่เช่นกัน เขายังคงจับตาดูหนังเรื่องนี้อย่างตั้งใจ ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทันทีที่หนังจบจ้าวเฉียนก็หันมาปลุกหวู่เสี่ยวหัว

“ตื่นเถอะ หนังจบแล้ว”

หวู่เสี่ยวค่อยๆได้สติขึ้นมาพร้อมสีหน้ามึนงง พอรู้ตัวว่าตนเองเผลอหลับก็รีบขอโทษจ้าวเฉียนใหญ่

“ดิฉันขอโทษ ดิฉันขอโทษจริงๆค่ะที่เผลอหลับไป! หนังเรื่องนี้มันน่าเบื่อเกินไปจริงๆ ดิฉันก็เลย…”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักพลางตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่เป็นไร พวกเราไปกันเถอะ”

หวู่เสี่ยวหัวรีบติดตามจ้าวเฉียนออกไปยังลานจอดรถ ระหว่งาทางทั้งสองไม่เอ่ยปากสนทนากันใดๆ

จ้าวเฉียนกำลังหาคำพูดที่ดูไม่รุนแรงเกินไปเพื่อเตือนเกี่ยวกับการแสดงของอู่ซิน เขากลัวว่าจะเผลอไปทำลายความมั่นใจของเธอไป

หวู่เสี่ยวหัวรู้สึกประหม่าอย่างยิ่งภายในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูหนังกับคุณชายจ้าว แต่ตัวเธอเองดันผล็อบหลับไป ถ้าพ่อเธอมารู้เรื่องนี้ มีหวังเธอถูกฆ่าตายแน่

จ้าวเฉียนเปิดประตูรถ เรียกหวู่เสี่ยวหัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

“คุณชายจ้าว ดิฉันรู้ตัวดีค่ะว่าผิด ดิฉันไม่ขอโอกาสให้คุณชายยกโทษหรอกนะคะ แค่อย่าไล่ดิฉันกับพ่อออกเลยค่ะ”

หวู่เสี่ยวหัวยังคงก้มศีรษะขอโทษ

จ้าวเฉียนยิ้มตอบแบบสบายๆไปว่า

“เลิกขอโทษได้แล้ว! ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย ขึ้นรถไปนอนพักก่อนเถอะ วันนี้คุณคงเหนื่อยมามากแล้ว อยู่โรงแรมไหนล่ะ? เดี๋ยวผมไปส่ง”

หวู่เสี่ยวหัวดูสงบลงเล็กน้อยและเอ่ยตอบไปว่า

“โรงแรมเชอราตันค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและบอกให้เธอปรับเบาะนอนพักสายตาไปก่อน ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็มาถึงโรงแรมเชอราตันและบอกลาหวู่เสี่ยวหัว

หลังจากเธอเดินเข้าโรงแรมไป จ้าวเฉียนก็โทรหาอู่ซินต่อทันที

อู่ซินในขณะนี้กำลังทุกข์ในไม่น้อย พอเห็นว่าจ้าวเฉียนโทรสายเข้ามา เธอจึงรีบรับโดยไว

“ฮาโหล นายยังไม่นอนอีกเหรอ?”

อู่ซินเอ่ยทักทายเสียงอ่อน

“ฮ่าฮ่า…ฉันเพิ่งไปดูหนังที่เธอแสดงมา สนุกมาก! เธอแสดงดีกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

จ้าวเฉียนรีบกล่าวให้กำลังใจก่อน

อู่ซินยิ้มแย้มขึ้นทันทีดูมีความสุขขึ้นมาก และเอ่ยถามกลับไปว่า

“จริงเหรอ? ฉันเห็นคนในโซเซียลด่าเรื่องการแสดงของฉันไม่หยุดเลยวันนี้ ฉันรู้สึกเสียใจมาก… ไม่ใช่ว่านายพยายามปลอบฉันอยู่เหรอ?”

“ใช่ที่ไหนกัน? ฉันเคยโกหกเธอเหรอ? ทั้งหมดฉันพูดจากใจเลยนะ อย่าลืมไปสิว่าเธอเป็นนักแสดงหน้าใหม่นะ จะเอาไปเทียบชั้นกับราชินีแห่งวงการที่อยู่มาก่อนเธอได้ยังไงจริงไหม ดังนั้นถ้าไม่อยากให้คนมาวิจารณ์เธอแบบนี้อีก เธอก็พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นไปสิว่า ตัวเองมีดีกว่าที่คนพวกนั้นสบประมาทไว้ หลังจากนี้ก็พยายามตั้งใจฝึกให้หนัก”

พอได้ยินจ้าวเฉียนพูดให้กำลังใจแบบนั้น อู่ซินก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น

“ฉันรู้นะว่านายพยายามปลอบใจฉัน แต่ฉันก็ดีใจนะ ต่อจากนี้จะพยามยามตั้งใจฝึกฝนมากกว่านี้ แต่จะว่าไป…ตอนนี้นายอยู่ไหน? กำลังกลับบ้านเหรอ? ทำไมกลับดึกจัง?”

“อ่อ ฉันเพิ่งส่งเพื่อนที่มาจากหยานจิ้งกลับโรงแรมน่ะ ตอนนี้กำลังขับกลับบ้านแล้ว”

อู่ซินได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกใจหายเล็กน้อย จู่ๆเธอก็โพล่งถามขึ้นว่า

“เพื่อน? ผู้ชายหรือผู้หญิง?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตามตรงอย่างไม่ได้คิดอะไร

“เพื่อนผู้หญิงน่ะ เป็นคู่ค้าของบริษัท”

จากที่อู่ซินยิ้มแย้มแจ่มใสดูมีความสุข ยามนี้ความสุขเหล่านั้นจางหายไปจากใบหน้าของเขาในทันใด

“อืมม….ฉันเริ่มง่วงแล้วล่ะ แค่นี้นะ…”

อู่ซินกล่าวน้ำเสียงอ่อนด้วยความผิดหวัง

จ้าวฉัยนกำลังขับรถอยู่เช่นกัน ไม่สามารถคุยเล่นต่อได้นานจึงตอบกลับไปว่า

“โอเค ไว้ว่างๆเดี๋ยวฉันโทรไปหาใหม่ ตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องเก่งกว่านี้ได้แน่”

“อืม ขอบใจนะ”

อู่ซินกดสายสายทันทีที่พูดจบ

‘นี่ฉันเป็นอะไรกันแน่? ทำไมรู้สึกเจ็บแบบนี้…’

อู่ซินพลางกล่าวกับตัวเอง

ตอนที่204 ขอโทษคุณชาย

จ้าวเฉียนกลับมายั่งพักที่บริเวณเดิม หลังจากนั้นไม่นาน เหลียวเซียวหยุนก็กลับมาพร้อมถุงช็อปปิ้งเต็มสองแขน เห็นดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปช่วยถือแทนทันที

“เป็นยังไง? หน่ำใจแล้วรึยัง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข เธอตอบกลับไปว่า

“หน่ำใจสุดๆไปเลยล่ะ! ฉันไม่เคยสนุกขนาดนี้มาก่อนเลย! แล้วนายหาทางจัดการกับของพวกนี้ได้รึยัง? จะขนกลับไปยังไงดีเนี่ย?”

จ้าวเฉียนชี้ไปทางลูกน้องทั้งสองคนของชางเจียกง และกล่าวว่า

“ผมวานให้สองคนนี้ช่วยส่งของทุกชิ้นไปถึงหน้าบ้านคุณ ไม่ต้องกังวลไป”

เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจอย่างมาก เธอพุ่งเข้าไปสวมกอดจ้าวเฉียนและจุ๊บแก้มเขาไปทีหนึ่ง จ้าวเฉียนถึงกับสะดุ้งหันซ้ายแลขวาดังพรึ่บพรั่บอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหวานเจียงอาจจะแอบเฝ้ามองเขาอยู่สักแห่งหนใด

“นี่คุณ! จู่ๆจูบผมทำไมเนี่ย? ผมเสียหายนะ!”

เหลียวเซียวหยุนพลันนึกคิดได้ว่า เธอแสดงความรู้สึกภายในใจออกไปมากเกินไป ยามนี้ก็อายอย่างมากเช่นกันจนแทบอยากจะมุดดินหนี

จ้าวเฉียนตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะสงบสติได้อย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา พลางคิดกับตัวเองในใจ

‘ที่เธอทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? คือ…แอบชอบฉันจริงๆใช่ไหม? แล้วนี่จะทำยังไงดีเนี่ย ถ้าหวานเจียงมาเห็นเข้า ชิบหายแน่…’

เหลียวเซียวหยุนในขณะนี้ใบหน้าแดงก่ำเกินจะควบคุมได้แล้ว เธอบ่นกับตัวเองในใจเช่นกันว่า

‘ให้ตายเถอะ! จ้าวเฉียน นายเป็นผู้ชายนะ! ฉันแสดงออกไปขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกรึไง! อย่างน้อยก็พูดอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง? ตาบ้า!’

ทั้งสองก้มๆเงยๆมองหน้ากันไปมาดูงุ่มง่าม ประหม่าอย่างยิ่ง และในท้ายที่สุดจ้าวเฉียนก็ไม่อาจทนต่อบรรยากาศแสนกดดันแบบนี้ได้อีกต่อไป เขากล่าวติดตลกขึ้นว่า

“ถ้าอยากขนาดนั้นก็ควรไปเปิดห้องไหม? จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันไปเลย ว่าไง?”

เหลียวเซียวหยุนยกกำปั้นทุบหน้าแกจ้าวเฉียนกระหน่ำชุดใหญ่ ก่อนสบถขึ้นว่า

“เลิกหื่นได้แล้ว! ฉันไม่มีทางไปกับนายแน่นอน! หึ! ฉันไม่ไปไหนกับนายแล้ว!! ….พาฉันไปส่งบ้านด้วย!”

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหัวเราะ โบกมือเรียกลูกน้องทั้งสองคนของชางเจียซงให้มาหา

“ว่าไงครับนายท่าน?”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบว่า

“หัวหน้าพวกนายบอกให้เอาของพวกนี้ไปส่งถึงบ้านใช่ไหม? ตามที่อยู่ที่ให้ไป ฝากขนไปส่งด้วยนะ”

จากนั้นจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนก็ลงไปจากบานจอดรถทันที

จ้าวเฉียนขับรถไปส่งเหลียวเซียวหยุนกลับบ้าน และรีบเดินทางกลับไปที่บริษัททันที

ทุกคนในออฟฟิศรู้อยู่แล้วจากปากฟางนี่ว่า จ้าวเฉียนกู้คืนความร่วมมือกับบริษัทหัวโหย้วได้สำเร็จ ทันทีที่เขาตรงเข้ามา ทุกคนต่างลุกขึ้นปรบมือให้ทันที

“คุณชายจ้าวของเรา ยังสุดยอดเหมือนเดิม!”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคุณชายจ้าว!”

“ไม่เคยผิดหวังจริงๆคุณชายจ้าวคนนี้!”

ทุกคนต่างปรบมือยินดีต้อนรับเขากลับมาอย่างยิ่งใหญ่

จางหยางที่ได้ยินเสียงปรบมือดังจากข้างน้อก ก็รีบวิ่งออกมาตะโกนด่าโดยไว

“เสียงดังอะไรกัน? ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีถึงจะเลิกงาน!”

ทุกคนสงบปากสงบคำนั่งลงโดยไว

ทันทีที่จางหยางเห็นหน้าจ้าวเฉียน เขาก็หัวเสียในบัดดล เอ่ยถามขึ้นว่า

“กลับมาแล้วเหรอ? คิดจะรบกวนเวลาทำงานคนอื่นรึไง?”

ตอนนี้จางหยางนับเป็นคนสุดท้ายในบริษัทแล้วที่จ้าวเฉียนจะให้ค่า ดังนั้นเขาจึงไม่แยแสต่อคำกล่าวหาเรื่องของอีกฝ่ายใดๆ

“เปล่าหนิครับ ทันทีที่เท้าเหยียบออฟฟิศทุกคนก็ลุกขึ้นปรบมือให้ผมเอง สงสัยบารมีผมมากไปหน่อย”

จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นลอยๆ

จางหยางเค้นเสียงหัวเราะแสนเย็นชา กล่าวถามขึ้นว่า

“ใกล้จะเลิกงานแล้ว นายยังมาเสนอหน้าอะไรอยู่ตรงนี้อีก? มาขอความดีความชอบรึไง?”

“ผู้จัดการจางฉลาดมากครับ ผมกลับมาที่นี่เพื่อมาขอความดีความชอบนี่แหละ ถึงผมจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว แต่ทุกคนยังคงหวังพึ่งผม ดังนั้นผมที่ทำงานสำเร็จก็ควรได้รับรางวัลจริงไหมครับ?”

จางหยางถึงกับไปไม่เป็น มึนงงอยู่สักพัก เขาแค่อยากจะสร้างความอับอายให้จ้าวเฉียน แต่ใครจะคิดว่าจ้าวเฉียนกลับยอมรับแต่โดยดี แถมยังจะมาขอรางวัลอีก

“เหอะ แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ?”

จางหยางปั้นสีหน้ารังเกียจใส่

“ก็ไม่มีอะไรมากครับ โปรเจคนี้ที่ผมดิลมาได้มีมูลค่ามากถึงห้าล้าน ตามกฎแล้วผมควรได้10%จากตรงนี้หรือก็คือ500,000หยวนจริงไหมครับ?”

จางหยางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากพอได้ยิน เงินจำนวน500,000มันไม่ใช่น้อยๆเลย นอกจากนี้ยังเป็นจ้าวเฉียนอีก เขาไม่อยากมอบเงินจำนวนขนาดนี้ให้มัน!

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จางหยางก็คลี่ยิ้มชื่นกล่าวชักชวนจ้าวเฉียนให้ไปนั่งคุยกันต่อที่ห้องทำงานเขา แต่จ้าวเฉียนรู้ดีว่า อีกฝ่ายมีแผนอย่างไร จึงยิ้มตอบไปว่า

“ไม่จำเป็นครับ มีอะไรก็คุยตรงนี้เลย ผมยังมีธุระที่ต้องจัดการต่อ รีบๆพูดมาเถอะครับ”

จางหยางตอบกลับไปว่า

“โอเค! โอเค! นายจะได้ค่าคอมมิชชั่นตอนนี้แน่นอน แต่คงต้องรอตัดรอบบิลจ่ายเงินเดือนหน้านะ”

จ้าวเฉียนจงใจแซะจางหยางสวนกลับไปทันทีว่า

“ผู้จัดการจางพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ผมไม่ใช่พนักงานของบริษัทนี้อีกต่อไปแล้ว ที่ยอมไปคุยกับหัวโหย้วให้ มันในฐานะผู้ถือหุ้นนะครับ ทำไมต้องรอตัดบิลรอบเดือนหน้าแบบพวกพนักงานด้วย? ถ้ามีคนมาบอกว่า เดี๋ยวจ่ายเงินให้เดือนหน้า ทั้งๆที่อีกฝ่ายได้ประโยชน์จากเราไปแล้ว คุณจะรู้สึกยังไงครับ? ถ้าไม่เต็มใจให้ก็พูดออกมาตรงๆ ทุกคนในนี้ก็รู้ดีว่าคุณเกลียดผมแค่ไหน ถ้าจะแกล้งกันก็เอาให้สุดไปเลย!”

ประโยคสุดท้าย จ้าวเฉียนจงใจเน้นคำตะโกนเสียงดังลั่นจนทุกคนในออฟฟิศหันมามองจางหยางจนเป็นตาเดียว ทางด้านจางหยางทำอะไรไม่ไม่นอกจากหัวเราะแก้เขินและตอบไปว่า

“ล้อกันเล่นแล้ว! ฮ่าฮ่า…บริษัทเราพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนมากและมีเงินทุนสำรองอยู่เยอะพอ นายไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันไปบอกแผนกการเงินให้เลยหลังจากนี้ ค่าคอมทั้งหมดครึ่งล้านพร้อมโอนให้นายเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม…คงต้องเป็นวันพรุ่งนี้…”

จ้าวเฉียนเอ่ยขัดจังหวะจางหยางกล่าวขึ้นว่า

“ไม่มีพรุ่งนี้ครับ เซ็นเช็คตอนนี้เลย เชิญ”

แน่นอน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จางหยางทำได้เพียงลงบันทึกและเซ็นเช็คให้แต่โดยดี และส่งหลักฐานให้จ้าวเฉียนไป

“ขอบคุณครับ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

จางหยางกรนเสียงเบาๆเฮือกหนึ่ง ตะโกนเสียงดังว่า

“ไม่ต้องขอบคุณ! ตราบเท่าที่ทุกคนอุทิศตนตั้งใจทำงานให้บริษัท ทางเราย่อมปฏิบัติตอบอย่างดีที่สุด!”

จ้าวเฉียนยิ้มและไม่สนใจใดๆอีกฝ่ายอีก เขาตรงไปที่แผนกการเงินเพื่อขอตราประทับบริษัทรับรองการขึ้นเงิน

บนเช็คมีลายเว็ฯของจางหยางไว้พร้อม พนักงานแผนกการเงินเองย่อมไม่ค้านใดๆทั้งสิ้น และทุนสำรองในบริษัทไม่สามารถให้อีกฝ่ายถอนเงินจำนวนครึ่งล้านได้ทันที เธอจึงเสนอให้จ้าวเฉียนไปขึ้นที่ธนาคารในวันพรุ่งนี้

จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบทันที

“ไม่มีพรุ่งนี้ครับ ถ้ามันยากนัก ก็โอนผ่านแอปธนาคารในมือถือเลย”

หลังจากพูดจบเขาก็เปิดแอปธนาคารในมือถือขึ้นมา และให้เธอโอนเงินต่อหน้าเขาโดยตรง ไม่สำคัญว่าเงินทุนสำรองในบริษัทจะเหลือมากน้อยเท่าไหร่ แต่เขาจะต้องได้เงินจำนวนครึ่งล้านภายในวันนี้

คล้อยหลังที่จ้าวเฉียนเดินทางออกจากบริษัทไป เขาก็เตรียมตัวขับรถกลับบ้าน แต่ทันใดนั้นเอง หมายเลขโทรศัพท์ที่เขาไม่คุ้นก็โทรเข้ามา ดูจากรหัสเขตแล้ว อีกฝ่ายน่าจะมาจากหยานจิ้ง

บางทีอาจจะเป็นคนในครอบครัวหรือใครสักคนที่ทราบตัวตนของเขา ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงกดรับสายทันที

“สวัสดีครับ นั่นใคร?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อหวู่เสี่ยวหัว ลูกสาวของหวู่เทียนจือ พอดีคุณพ่อส่งฉันให้มาช่วยคุณจัดการเรื่องเหล่ยอู่ค่ะ คืนนี้พอจะมีเวลาว่างไหมค่ะ? เราจะได้มานั่งปรึกษากัน?”

“อ่อ ลูกสาวของคุณหวู่นี่เอง เจอกันที่โรงแรมตงไห่เลยครับ แจ้งชื่อผมให้กับพนักงานได้โดยตรงเลย เดี๋ยวพวกเขาจะพาคุณขึ้นไปรอที่ห้องอาหารเอง เดี๋ยวผมจะรีบตามไป”

“ตกลงค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”

“แล้วเจอกันครับ”

พอจ้าวเฉียนกดสางสายไป เขาพลันขมวดคิ้วขึ้นโดยพลัน เสียงของผู้หญิงคนนี้ฟังดูคุ้นๆอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินจากที่ไหน

ในตอนบ่าย เขากับเหลียวเซียวหยุนเดินห้างตลอดทั้งวัน เหงื่อจึงออกไม่น้อยแถมเสื้อยังติดกลิ่นขยะอีก เขารู้สึกอัดอัดกับสภาพดังกล่าวมาก จึงกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่ ก่อนออกไปหาหวู่เสี่ยวหัว

เมื่อเปิดประตูห้องอาหารเข้ามา จ้าวเฉียนถึงกับผงะ และอวู่เสี่ยวหัวที่นั่งรออยู่ถึงกับผงะเช่นกัน

“ทำไมถึงเป็นคุณ…”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยประหลาดใจทันที ทางด้านหวู่เสี่ยวหัวเองถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เธอรีบลุกขึ้นและโค้งศัรษะขอโทษจ้าวเฉียนโดยด่วนว่า

“คุณชายจ้าว ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันต้องขอโทษจริงๆ! ดิฉันผิดไปแล้ว…ดิฉันนี่มันโง่จริงๆ! ทั้งหมดเป็นความผิดของดิฉันเอง ถ้าเกิดพ่อรู้เรื่องนี้เขา มีหวังดิฉันตายแน่ๆเลยค่ะ…”

ปรากฏว่าหวู่เสี่ยวหัวคนนี้เป็นสาวสวยที่จ้าวเฉียนเจอหน้าทางเข้าห้องน้ำห้าง เธอถึงกับสบถด่าเขาด้วยความรังเกียจ แถมยังด่าเขาว่าผีเน่าอีก

โลกใบนี้ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้จริงๆ ปรากฏว่าเธอเป็นลูกสาวของหวู่เทียนจือ

จ้าวเฉียนอยากจะเย้าหยอกเล่นกับเธอสักหน่อย จึงแสร้งปั้นหน้าดุกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า

“ผมคิดว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว ฉันจะโทรบอกพ่อให้ไล่ทั้งคุณและพ่อของคุณออกไปซะ!”

หวู่เสี่ยวหัวตกใจจนหน้าซีดหนัก รีบคุกเข่าอ้อนวอนทั้งน้ำตาทันที

“คุณชายจ้าว ดิฉันขอโทษ ดิฉันขอโทษ….ทั้งหมดเป็นความผิดของดิฉันเอง! ฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณเป็นคุณชายจ้าว ไม่อย่างนั้นไม่มีกล้าพูดจาแย่ๆแบบนั้นใส่แน่นอน ได้โปรดให้โอกาสดิฉันเถอะนะคะ”

ตอนที่203 ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับผีเน่าอย่างนาย

จ้าวเฉียนพาเหลียวเซียวหยุนไปที่ห้างดังกล่าว และอนุญาตให้เธอเที่ยวเล่น เลือกซื้อของได้ตามใจอิสระ แน่นอน สัญชาตญาณของผู้หญิงคือ ต่อให้จะรวยแค่ไหน ของลดราคาย่อมสำคัญที่สุด

เหลียวเซียวหยุนวิ่งไล่ล่าป้ายแดงตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งไปยันชั้นบนสุด และจากชั้นบนสุดวิ่งไล่ลงมายันชั้นที่หนึ่ง จนตอนนี้ทั้งเธอกับจ้าวเฉียนแบกถุงช็ปปิ้งเต็มวงแขน แต่เธอก็ยังดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก

“จ้าวเฉียน นายช่วยเอาถึงพวกนี้ไปเก็บก่อนในรถได้ไหม ฉันว่าจะเดินซื้ออีกสักรอบ เฮ้อออ…ไอ้ความรู้สึกที่สามารถซื้อได้ไม่จำกัดแบบนี้ นี่มันเจ๋งจริงๆ!”

เหลียวเซียวหยุนยกแขนตะโกนด้วยความดีใจราวกับได้ปลดปล่อย

สีหน้าของจ้าวเฉียนมืดทมิฬลงทันทีที่ได้ยิน จะให้ยกกองภูเขาพวกนี้ขึ้นรถเพียงลำพัง? เขาไม่ตายกลางทางก่อนเหรอ!

เขายิ้มแห้งตอบไปว่า

“ถ้าจะเหมาทั้งห้างขนาดนี้ เดี๋ยวผมเรียกคนให้ไปส่งของพวกนี้กลับบ้านดีกว่านะ คุณเดินช็อปตามสบาย ผมขอนั่งพักแถวนี้ก่อนแล้วกัน”

เหลียวเซียวหยุนที่กำลังติดลมก็พยักหน้าตอบทันที

“ได้เลย นายนั่งพักไปก่อน ที่เหลือเดี๋ยวฉันออกโรงเอง!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและแบกถุงชอปปิ้งทั้งหมดไปยังพื้นที่นั่งพักผ่อน เหลียวเซียวหยุนเห็นว่าอีกฝ่ายได้นั่งพักแล้ว ก็โบกมือให้และวิ่งไปช็อปปิ้งต่อทันที

จ้าวเฉียนรีบส่งข้อความไปหาชางเจียกงทันที โดยขอให้อีกฝ่ายพาลูกน้องมาสักสองคน

ประมาณห้านาทีต่อมา ชางเจียกงก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมผู้ช่วยอีกสองคน แต่ที่แห่งนี้คือสาธารณะ เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของจ้าวเฉียนให้คนอื่นรับรู้ ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นเอ่ยถามประหนึ่งว่าถามตอบกับลูกค้าที่ใช้บริการในห้างว่า

“คุณลูกค้าท่านนี้ซื้อของมาเยอะมากเลยนะครับ มีอะไรให้ทางผมช่วยเหลือหรือเปล่า?”

จ้าวเฉียนปาดเหงื่อเล็กน้อย แสร้งถามไปว่า

“แน่นอนที่สุด เพื่อนผมซื้อของไม่หยุดเลย นี่ก็ยังวิ่งออกไปซอปต่อ เอ่อ…แล้วคุณคือ…”

“ผมเป็นผู้บริหารของห้างแห่งนี้ครับ ผมมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทุกคน บังเอิญว่าผมพาลูกน้องสองคนนี้มาพอดี ถ้าไม่รังเกียจ ให้พวกเขาช่วยเหลือได้นะครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและสั่งการทันทีให้พวกเขานำของพวกนี้ส่งไปตามที่อยู่ดังกล่าว ก่อนจะหยิบเงินออกมาปึกหนึ่งจากกระเป๋าตัง โดยปกติแล้ว เขาไม่ค่อยชอบพกเงินสดมาเยอะๆ ดังนั้นในเงินติดกระเป๋าที่เขาพอมีจึงไม่เยอะมาก แค่สองถึงสามพันหยวนเท่านั้น(ประมาณ15,000บาท)

“ฉันยังไม่ได้ไปกอดเงินมาเลย งั้นเอาเงินก้อนนี้ไปให้หมด คิดซะว่าค่าชานะ ฝากด้วย”

จ้าวเฉียยื่นเงินปึกนั้นให้ลูกน้องของชางเจียซงทั้งสองคนนั้น แต่กลับไม่มีใครกล้าเอื้อมมือไปหยิบเลย

ชางเจียกงยิ้มกล่าวว่า

“ไม่ต้องสุภาพหรอกครับคุณลูกค้า นี่เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว”

จ้าวเฉียนส่ายหัวกล่าวตอบไปว่า

“มันก็ใช่ที่เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่ของคุณ แต่ผมเองก็มีสิทธิ์ให้ค่าเหนื่อยคนที่มาช่วยเช่นกัน รับไปเถอะ ผมไม่เคยวานให้ใครช่วยโดยไม่มีค่าตอบแทน”

ชางเจียกงเข้าใจความหมายในคำกล่าวของจ้าวเฉียนในทันที จึงหันไปพูดกับลูกน้องทั้งสองคนว่า

“งั้นพวกนายรับไปเถอะ คุณลูกค้าท่านนี้ใจกว้างกับพวกเรามาก ดังนั้นดูแลสิ่งของของเขาให้ดีๆ อย่าทำให้เสียหายเด็ดขาด”

ทั้งสองรับพยักหน้าตอบและให้สัญญากับชางเจียกงทันที และรับเงินปึกนั้นมาอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนยิ้มด้วยความพึงพอใจนัก เอ่ยถามกับชางเจียกงว่า

“จะว่าไป ห้องน้ำอยู่ทางไหนเหรอ?”

ชางเจียกงเองก็หัวไวฉลาดยิ่ง เขารู้ทันทีว่าจ้าวฉียนกำลังหาข้ออ้างเพื่อไปคู่กันส่วนตัว แสดงว่าต้องมีบางอย่างจะคุยด้วยแน่นอน จึงยิ้มตอบกลับไปทันที

“เดี๋ยวผมนำทางให้เองครับ เชิญทางนี้”

จ้าวเฉียนยิ้ม ลุกขึ้นจากที่นั่งพักและตอบว่า

“ขอบคุณมาก”

ชางเจียกงไม่ลืมหันไปสั่งการลูกน้องทั้งสองว่า

“พวกนายรอตรงนี้ก่อน แล้วฝากเฝ้าของพวกนี้ด้วย อย่าละสายตาเด็ดขาด!”

“ครับผม!”

“ครับผม!”

ชางเจียกงพยักหน้าและเดินนำจ้าวเฉียนออกไป แต่ทั้งสองไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำอย่างที่กล่าว แต่ไปยังห้องทำงานของชางเจียกงแทน

จ้าวเฉียนไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า จึงเอ่ยถามไปตามตรงว่า

“เป็นไงบ้างช่วงนี้ งานที่นี่โอเคไหม?”

ชางเจียกงรีบหันไปหยิบแห้มเอกสารส่งให้จ้าวเฉียนดูทันที มันเป็นข้อมูลค่าผลประกอบการในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา

ไม่มีอะไรยืนยันได้หนักแน่นกว่าข้อมูลบนหน้าเอกสารอีกแล้ว และหลังจากที่ชางเจียกงเข้ามาบริหารห้างแห่งนี้ ตัวเลขผลประกอบการกูดูดีขึ้นเล็กน้อยจริงๆ

นี่แค่สองเดือนเท่านั้น หากให้เวลาเขาอีกหน่อย ผลประกอบการจะต้องออกมาดีกว่านี้แน่นอน

จ้าวเฉียส่งรายงานกลับคืนไปพร้อมยิ้มกล่าวว่า

“ผมมองคนไม่ผิดจริงๆ คุณเป็นคนมีความสามารถ ถ้ายังตั้งใจทำงานอยู่แบบนี้ ผมจะนำเรื่องของคุณไปคุยกับพ่อผม เผื่อจะนำโอกาสดีๆให้คุณใช้ต่อยอดในชีวิต0kdouh”

ชางเจียกงโค้งคำนับจ้าวเฉียนด้วยความดีใจอย่างสุกซึ้ง กล่าวขอบคุณโดยไวว่า

“ขอบพระคุณอย่างมากครับคุณชายจ้าว ผมจะตั้งใจทำงานต่อจากนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่ทำให้คุณชายจ้าวผิดหวังแน่นอน ตระกูลจ้าวเปรียบเสมือนชีวิตผม ผมจะทุ่มทั้งแรงกายแรงใจเลยครับ!”

“ฮ่าฮ่า…ดีมาก พวกเรายินดีต้อนรับคนมีความสามารถแบบคุณเสมอ หลังจากนี้สามปีถ้าคุณทำให้ผมพอใจได้ ผมจะพาคุณไปซื้อบ้าดีๆสักหลังในเมืองตงไห่ คุณคิดเห็นว่ายังไง?”

จ้าวเฉียพูดเสนอแนะออกไปทั้งรอยยิ้ม

ชางเจียกงยิ่งตื่นดต้นดีใจเข้าไปใหญ่ ราคาบ้านเฉลี่ยต่อหลังในเมืองตงไห่จะคิดอยู่ในเรทราคาที่60,000หยวนต่อ1ตารางเมตร บ้านขนาดย่อมก็ปาไปกว่า6ล้านหยวนแล้ว ทำงานทั้งชีวิตยังไม่รู้จะได้บ้านดีๆสักหลังหรือเปล่า แต่กลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่า คุณชายจ้าวจะใจดีกับเขามากขนาดนี้

เขาต้องทุ่มทั้งแรงกายแรงใจเพื่อบริหารห้างแห่งนี้ให้ออกมาดีที่สุด และจักต้องทำให้คุณชายจ้าวพอใจให้ได้

รอบดวงตาของชางเจียกงเห่อร้อนขึ้นมาทันใด เขารีบโค้งคำนับอีกครั้งและกล่าวว่า

“คุณชายจ้าวใจดีเกินไปแล้วครับ ผมไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ ขอเพียงได้ช่วยเหลือคุณชายได้ผมก็รู้สึกยินดีมากแล้วครับ!”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางเดินเข้ามาตบไหล่เบาๆ กล่าวว่า

“ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น ไม่ต้องไปส่งผมนะ”

“โชคดีนะครับคุณชายจ้าว! มีอะไรโทรหาผมได้ตลอด24ชม.!”

ชางเจียกงก้มศีรษะคำนับส่งจ้าวเฉียนออกไป

ขณะที่จ้าวเฉียนเดินไปทางห้องน้ำ ก็ดันไปชนเข้ากับคนรู้จักอย่างพอดิบพอดี

“อ้าว! นี่มันคุณหนูหวานไม่ใช่เหรอ? มาเดินห้างเล่นเหรอครับวันนี้?”

ทว่าวันนี้หวานเจียงดูแปลกไป เธอย่างสามขุมเข้ามาหาจ้าวเฉียนพลันบีบรอยยิ้มพยาพยามให้ดูปกติที่สุด ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับน่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก ตรงเข้าประจันหน้าจ้าวเฉียน เธอก็ยังกล่าวทั้งๆที่ยิ้มอยู่แบบนั้นว่า

“ฮ่าฮ่า… สาวน้อยคนนั้นคือใครเหรอ? เธอดูสวยดีนะ…เห็นนายพาเธอไปช็อปปิ้งแถมรูดบัตรจ่ายให้เธอด้วย! ว้าว! ดูมีความสุขกันดีหนิ!”

จ้าวเฉียนยิ้มเจือนทันที เอ่ยตอบกลับไปว่า

“โอ้? เห็นฉันตั้งแต่แรกแล้ว? ทำไมไม่มาทักกันล่ะ? หรือวันนี้เธอมาเดินควงกับหนุ่มที่ไหนหรือเปล่า? หล่อเท่าฉันหรือเปล่า?”

“หน้าไม่อาย! อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่า ถ้าฉันเข้าไปทักตอนนั้น เกรงว่าฉันจะเป็นตัวกขคน่ะ!”

หวานเจียงกอดอก กล่าวประชดเสียดสีดูท่าทางไม่พอใจอย่างมาก

จ้าวเฉียนถอนหายใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ เคลื่อนใบหน้าตรงเข้าไปกระซิบข้างหูเธอว่า

“ถามจริงๆเถอะนะ นี่เธอชอบฉันจริงๆเข้าแล้วใช่ไหม? ถึงดูหึงขนาดนี้เนี่ย?”

หวานเจียนสะบัดศีษณัหันหน้าหนีจ้าวเฉียนโดยพลัน มือทั้งสองกำหมัดแน่น ได้ยินแค่เพียงเสียงเธอพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง และวิ่งเข้าห้องน้ำผู้หญิงไปทั้งแบบนั้น

จ้าวเฉียนยืนเกาหัวเล็กน้อยคล้ายท่าทีกำลังงุนงง ปกติเขามักจะแกล้งเธอเล่นแบบนี้เป๋นประจำอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เธอดูโกรธจริงๆ หรือว่าวันนั้นของเดือนมาพอดี?

หวานเจียงรีบวิ่งเข้าห้องน้ำห้องหนึ่ง ปิดประตูดังปัง จิตใจของเธอ ณ ขณะนี้กำลังสับสนรวนเรอย่างมาก

‘เป็นอะไรของฉันเนี่ย? ทำไมต้องรู้สึกอึดอัดขนาดนี้? แต่หมอนั้น…หมอนั้นกำลังอยู่กับผู้หญิงคนอื่นจริงๆ! ฉันเคยบอกเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ฟังกันเลย? ไม่…ไม่ตั้งสติก่อนหวานเจียง ยิ่งเราโวยวายไปก็ยิ่งทำให้เราด้อยค่าในสายตาเขา ดังนั้น….ฉันไม่ปล่อยให้พวกมันสองคนได้เที่ยวต่ออย่างมีความสุขแน่!’

หวานเจียงคิดวนไปเวียนมากับตัวเองเป็นเวลาครู่ใหญ่ ยิ่งคิดจิตใจก็ยิ่งวุ่นวายไปหมด เธอโกรธมากจนเผลอทำกางเกงเปื้อนเปียกเล็กน้อย

“ตาบ้าจ้าวเฉียน! ตาบ้า! ตาบ้า! ตาบ้า! รอฉันออกไปก่อนเถอะ คอยดูได้เลยว่าฉันจะเอาคืนนายยังไง!!”

จ้าวเฉียนรออยู่นอกห้องน้ำเกือบสิบนาทีแล้ว แต่หวานเจียงก็ยังไม่ออกมาสักที จนสุดท้ายก็หยิบมือถือออกมาโทรตาม แต่ดันถูกเธอตัดสายซะได้

ไม่กี่อึดใจขต่อมา หวานเจียงก็เดินออกมาพร้อมสีหน้ามืดหม่น มือขวากำลังไขว้อยู่ด้านหลังราวกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่าง

“นี่เธอกำลังทำบ้าอะไรอยู่? ไปว่ายน้ำในชักโครกมารึไง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพลางติดตลก

หวานเจียงเดินตรงไปหาจ้าวเฉียนอย่างเงียบงัน ไม่พูดไม่จาใดๆ

จ้าวเฉียนเริ่มได้กลิ่นไม่ดีมาแต่ไกล ขณะที่กำลังจะรีบกลับตัวถอยหายกลับสายเกินไปแล้ว หวานเจียงขว้างสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมือขวาใส่โดยตรง และนั้นเป็นก้อนกระดาษชำระที่เปียกโชก พุ่งไปแปะกลางหน้าอกอย่างแรง

“อะไรเนี่ย?!”

จ้าวเฉียนรีบปีดก้อนกระดาษชำระเปียกทิ้งลงพื้น ก้าวถอยหลังออกไปโดยไว

หวานเจียงระเบิดหัวเราะลั่นและชี้หน้ากล่าวขึ้นว่า

“มันคือกระดาษชำระที่ฉันเพิ่งใช้! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

จ้าวเฉียนถึงกับถอดเสื้อผ้าของเขาออกมาโดยตรง และโยนลงถังขยะทันที

“อี๊! น่าขยะแขยง! นี่เธอ…นี่เธอทำไมถึงสกปรกแบบนี้!”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากบ่นไม่หยุด!

หวานเจียงไม่คิดแม้แต่จะอธิบายให้ฟัง เธอปิดปากกลั้นขำและวิ่งหนีไปทันที

“นี่เธอ!! รอบหน้าฉันจะฉี่ใส่มือมาปาดหน้าเธอ! ไม่สิ…เอายัดปากเธอไปเลย!!”

จ้าวเฉียตะโกนไล่หลังกรนด่าไม่หยุด

หวานเจียงได้ยินแบบนั้นท้องไส้พลันปั่นป่วนขึ้นมาทันใด เธอเหลียวหลังหันไปด่าสวนว่า

“นี่นายเป็นโรคจิตรึไงห๊ะ!? แล้วไอ้กระดาษชำระนั่นแค่น้ำประปา เจ้าโง่ โดนหลอกแล้ว! นี่ถือเป็นโทษฐานที่นายมีคนอื่น ถ้าครั้งหน้ายังเห็นพวกนายสองคนเดินด้วยกันอีก ต่อไปมันไม่ใช่แค่น้ำปะปาแน่นอนจำไว้!”

ดูเหมือนว่าหวานเจียงจะเริ่มมีใจให้จ้าวเฉียนแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเธอที่เห็นจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนเดินช็อปปิ้งด้วยกัน คงไม่ได้สนใจอะไรนักจริงไหม?

จ้าวเฉียนรีบเดินไปหยิบเสื้อจากในถังขยะขึ้นมาสะบัดสองสามครั้งและนำขึ้นมาสวม

แต่ในเวลานั้นเอง ดันมีสาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี และเห็นจ้าวเฉียนที่หยิบเสื้อออกมาจากถังขยะมาใส่ สีหน้าการแสดงออกของเธอคนนั้นชัดเจนมาก ดูท่าจะรังเกียจอย่างมาก

นี่มันทางเข้าห้องน้ำนะ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้จักเธอคนนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเธอจะคิดเห็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงเดินสวนผ่านเธอจากไปทันที

“น่าขยะแขยงจัง! ต้องจนขนาดไหนถึงขั้นคุ้ยขยะหาเสื้อผ้ามาใส่…”

สาวสวยคนนั้นรำพึงกับตัวเองเบาๆ สีหน้าของเธอดูท่าจะรังเกียจจริงๆ

แต่จ้าวเฉียนก็หูดีไม่น้อย บังเอิญว่าได้ยินสิ่งที่เธอสบถไปทั้งหมด

“เฮ้คนสวย! ว่างไหม? ไปดื่มชาด้วยกันเปล่า?”

จ้าวเฉียนทักเธอน้ำเสียงเย็น

สาวสวยคนนั้นขดริมฝีปากบู้ด้วยความขยะแขยง สบถตอบไปว่า

“ฉันไม่อยากมีเพื่อนเป็นผีเน่าจนๆแบบนี้ อย่าฝัน!”

พอพูดจบเธอก็เดินเข้าห้องน้ำไป

จ้าวเฉียนได้แต่ยิ้มเยาะและเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

ตอนที่202 คงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ไม่ได้

ฟู่เทียนกรนด่าสาปส่งเสียงใหญ่ รีบตรงไปหาจ้าวเฉียนพร้อมกระชับกำปั้นโจมตีสุดกำลัง แต่จ้าวเฉียนหาได้เกรงกลัวใดๆ ยกบาทาขึ้นเตะสวนอย่างรวดเร็ว

ถ้าไม่นับหลินหยิงที่เป็นถึงปรมาจารย์คาราเต้สายดำ คนธรรมดาทั่วไปจะสู้จ้าวเฉียนได้ยังไง? มิฉะนั้นแล้วความยากลำบากตลอดภาคฤดูร้อนในวัยเด็กของเขาที่ฝึกฝนในวัดเส้าหลิน คงจำต้องไร้ประโยชน์เสียแล้ว?

มีนักศึกษามากมายคอยเฝ้าจับจ้องจำนวนมาก ฟู่เอ๋อที่โดนบาทากระทุ้งเข้าลิ้นปี่อย่างจังถึงกับทรุด แต่ก็พยายามปั้นสีหน้าคล้ายดั่งว่าไม่เจ็บ ทว่าใบหน้ากลับซีดเซียวเกินหักห้ามไหว

“ไอ้เวร! เดี๋ยวก่อนเถอะ! แล้วจะได้เห็นดีกัน รออีกไม่นาน แกไม่ตายดีแน่!”

จ้าวเฉียนได้ฟังดังนั้นพลันขมวดคิ้วขึ้นทันที ตีความจากคำกล่าวของฟู่เอ๋อนี่หมายความได้ว่า น่าจะมีใครบางคนกำลังคิดวางแผนจัดการกับเขาอยู่

“นายน้อยฟู่ คิดจริงๆเหรอครับว่า แค่เห่าหอนสองสามทีแล้วผมจะกลัว?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะจงใจยั่วอีกฝ่าย

ฟู่เอ๋อเย้ยหยันตอบกลับไปทันที

“ไม่กลัวใช่ไหม? เดี๋ยวอีกไม่กี่วันได้รู้แน่!”

เหตุผลที่เขากล้าพูดแบบนี้เพราะว่า นักฆ่ามืออาชีพจากเมืองอื่นที่เขาจ้างมากำลังเดินทางมาถึงแล้ว พวกเขารับเงินเต็มจำนวน กำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อย จ้าวเฉียนใกล้ชะตาขาดเต็มทนแล้ว

สีหน้าของจ้าวเฉียนดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงจริงจังเอ่ยถามไปว่า

“เท่าที่ฟังมา คุณคงหมายถึงกำลังมีคนมาเก็บผมงั้นเหรอ?”

ฟู่เอ๋อระเบิดหัวเราะลั่นกล่าวว่า

“เออแล้วเป็นยังไง! เริ่มกลัว?”

จ้าวเฉียนเค้นเสียงเย็นคำหนึ่ง กล่าวตอบไปอย่างไม่แยแสว่า

“ผมไม่กลัว แค่อยากจะบอกอะไรคุณสักหน่อยว่ามันเปล่าประโยชน์ ถ้ากล้าเล่นไม้นี้กับผม ผมเองก็ไม่สุภาพแล้วเหมือนกัน สุนัขอย่างคุณคงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”

“ฮ่าฮ่าๆๆ….กลัวชิบหายเลยวะ! กูตรวจสอบมาหมดแล้ว หยางหู่ช่วยแกเพราะเห็นแก่เงินทั้งนั้น แกยัดเงินให้มัน! แต่ถ้าคราวนี้พบเจอศัตรูมีฝีมือของจริง กูมั่นใจเลยว่า ต่อให้เป็นมันก็ไม่กล้าเข้ามาช่วย! เตรียมตัวตายซะไอ้ขยะ!”

ฟู่เอ๋อถ่มน้ำลายลงพื้น เอ่ยกล่าวด้วยความสะใจยิ่ง

จะเห็นได้เลยว่าฟู่เอ๋อแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นจ้าวเฉียนกลายเป็นศพ ดังนั้นเขาจึงกล้าบอกทุกอย่างออกไปแบบนี้

คนที่เขาจ้างวานมาเป็นถึงนักฆ่ามืออาชีพ แม้ว่าเจ้าตัวจะโดนจับ แต่รับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่มีวันทรยศต่อนายจ้าง

เหลียวเซียวหยุนที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดยิ่งทวีความโกรธจัดด ฟู่เอ๋อกับจ้าวเฉียนบาดหมางกันขนาดนี้เป็นเพราะเธอ และตอนนี้ฟู่เอ๋อเองก็บ้าจนเสียสติไปแล้ว ถึงขั้นไปจ้างนักฆ่ามาลอบสังหารจ้าวเฉียน และเธอต้องออกมารับผิดชอบกับเรื่องนี้

“ฟู่เอ๋อ แกมันบ้าไปแล้ว! ถ้าจะสู้ก็สู้กันอย่างขาวสะอาด ไม่ใช่ไร้ศักดิ์ศรีจนถึงขั้นทำเรื่องผิดกฎหมาย! แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า!!”

ฟู่เอแสยะยิ้มอย่างขมขื่นไม่น้อย เขาเอ่ยตอบไปว่า

“นี่ตำหนิฉันไม่ได้เสี่ยวหยุน! ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ! ถ้าเธอยอมคบกับฉันก่อนหน้านี้ เรื่องราวในปัจจุบันทั้งหมดจะเกิดขึ้นเหรอ? ถ้าไม่มีมันเข้ามายุ่งเกี่ยว แล้วฉันจะสั่งฆ่ามันทำไม? อย่าโทษฉันที่ทำแบบนี้ โทษตัวเองซะเถอะที่ไม่ยอมทำดีกับฉัน!”

เหลียวเซียวหยุนยังคงพยายามมจะโต้เถียงกับฟู่เอ๋อ แต่ก็พลันถูกจ้าวเฉียนลากออกไป เธอรีบจับมือจ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นทันที

“นี่นายจะลากฉันออกมาทำไม ยังด่าไอ้เวรนั่นไม่เสร็จเลย! มันบอกเองนะว่าจ้างคนมาฆ่านาย นายตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”

ทว่าจ้าวเฉียนกลับยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า

“ช่างมันเถอะ ผมจัดการได้ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

เหลียวเซียวหยุนกระตุกแขนจ้าวเฉียนอีกครั้ง เธอย้ำถามน้ำเสียงจริงจังว่า

“นี่นายรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้ไหวจริงๆใช่ไหม? แต่นายไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเลย นายไม่ควรทำแบบนี้!”

จ้าวเฉียนเชยคางเหลียวเซียวหยุนเคลื่อนหน้าเข้าชิดใกล้ในทันใด พลางยิ้มหวานเอ่ยถามไปว่า

“ท่าทีดูร้อนรนแบบนี้หมายความว่าไง? เป็นห่วงผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ? คงไม่ใช่ว่า…ตกหลุมรักผมจริงๆเข้าแล้ว?”

เหลียวเซียวหยุนผลักจ้าวเฉียนออกไปทันที รีบอธิบายโดยไวว่า

“เจ้าบ้า! ฉันแค่คิดว่า เรื่องความขัดแย้งทั้งหมดระหว่างนายกับมันเกิดขึ้นเพราะฉัน ดังนั้นฉันเองไม่ใช่เหรอที่ควรออกมารับผิดชอบ? แล้วอย่างนาย…ไม่…ไม่ใช่สเป็กฉันซะหน่อย…”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“ก็ดี ถ้าคุณเผลอตกหลุมรักผมขึ้นมา ผมคงต้องหาวิธีปฏิเสธเช่นกัน ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างผม คู่ควรกับหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น”

เหลียวเซียวหยุนแทนจะอ้วกใส่หน้า เบะปากกล่าวพร้อมท่าทางขยะแขยง

“นี่นายตาบอดหรือหลงตัวเองขนาดไหนกันห่ะ? ถึงขั้นที่ต้องหาวิธีปฎิเสธฉันเลย? ดูคิดหนักดีเนอะ! อยากได้ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ งั้นนายเชิญขึ้นคานยันแก่เถอะ!”

พอพูดจบเธอก็สะบั้นมือจ้าวเฉียนออกไปทันที และเดินไปที่รถของจ้าวเฉียนด้วยท่าทีฉุนเฉียว

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนรีบวิ่งไปเปิดประตูรถให้เธอขึ้นไป จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ขับรถมาที่โรงแรมตงไห่ เพื่อมาหาอะไรทานกัน

เมื่อทั้งคู่กินจนอิ่มท้อง เหลียวเซียวหยุนพลันวางตะเกียบลง จู่ๆเธอก็พูดขึ้นว่า

“มาเข้าเรื่องเถอะ มีอะไรที่อยากคุยกับฉัน?”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางวางตะเกียบลงเช่นกัน หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก ตอบไปว่า

“อะไรกันครับ? ผมแค่อยากพาคุณมาเดทเฉยๆไม่ได้เหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนนั่งกอดอกเลิกคิ้วเล็กน้อยคล้ายท่าทีว่าไม่เชื่อ เธอกล่าวว่า

“สุนัขจิ้งจอกเฒ่าอย่างนาย ไม่มีทางโทรหาฉันโดยไม่มีเหตุผล หากให้เดาไม่ผิดคงเป็น…เรื่องโปรเจคความร่วมมือใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้น ถือโอกาสปั้นหน้าล้อเล่นเธอตอบทันที

“โอ้…ขอปรบมือให้กับความเฉลียวฉลาดของคุณหนูเหลียวเลยครับ ถ้าคุณเกิดก่อนสตีฟจอบส์ มีหวังคงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแล้ว! คุณทั้งสวยทั้งฉลาด เริ่มจะมีคุณสมบัติเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับผมบ้างแล้วนะ”

เหลียวเซียวหยุนพลางป้องปากหัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ได้ จ้าวเฉียนเห็นแบบนั้นจึงยิ้มถามทันทีว่า

“หัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไง? คงคิดว่าสมเหตสมผลดีใช่ไหม?”

“หยุดหลงตัวเองได้แล้ว นายนี่มันจริงๆเลย! ไม่มีใครเขาหลงเสน่ห์นายหรอก! เหอะ!”

เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบึ้งใส่ ทันทีที่พูดจบก็จงใจสะบัดหน้าหนีแสร้งทำเป็นโกรธ แต่รอยยิ้มสวยเกินจะปกปิดบนใบหน้ากลับทรยศต่อสิ่งที่พยายามกระทำออกมาอย่างชัดเจน

จ้าวเฉียนเห็นดังนั้นก็เริ่มพูดเข้าเรื่องทันที

“อันที่จริง คราวนี้ผมมาหาคุณก็เรื่องโปรเจคความร่วมมือนั้นแหละ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเรา คงตกลงใช่ไหม?”

เหลียวเซียวหยินหยิบผ้าเช็ดปากโยนใส่จ้าวเฉียนทันที บ่นขึ้นว่า

“นายหยุดพล่ามได้แล้ว! ความสัมพันธ์ลึกซงลึกซึ้งอะไร! แม้แต่เพื่อนกันยังไม่นับ! นายก็แค่คนแปลกหน้าที่พอคุ้นเคยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น…คุณคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยครับ ตกลงเซ็นสัญญาความร่วมมือกันไหมครับ?”

เหลัยวเซียวหยุนเริ่มปั้นสีหน้าจริงจังและเอ่ยถามขึ้นแทนว่า

“นี่ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆนะ บริษัทที่ใกล้เจ๋งนั้นมันมีดีอะไร? พวกเขาพยายามขับไล่ไสส่งนายออกตลอด แล้วทำไมยังต้องยอมเหนื่อยเพื่อ? หรือแอบหลงรักเจ้านาย? ฉันนึกคำอธิบายที่สมเหตุสมผลไม่ออกจริงๆ”

จ้าวเฉียนกลอกตาเล็กน้อยตอบไปว่า

“ผมมีหุ้นส่วนในบริษัท เดิมทีก็จะปล่อยมันไปนั้นแหละ แต่ตอนนี้พวกหุ้นส่วนคนอื่นๆดันร่วมมือกับและต้องการทำให้ผมขายหน้า แถมยังบังคับให้ไปเอาความร่วมมือกับหัวโหย้วกลับมา ถ้าทำไม่ได้ พวกมันจะต้องทำให้ผมอับอายแน่นอน ดังนั้นทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”

เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขขึ้นทันที เอ่ยตอบกลับไปว่า

“เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฉันจะให้ง่ายๆ มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายจะทำให้ฉันมีความสุขได้แค่ไหน?”

จ้าวเฉียนรีบยกมือปิดหน้าอก แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกตกใจ รีบถามขึ้นทันทีว่า

“นี่คุณหมายความว่ายังไง? จะขืนใจผมเหรอ? ผมยังบริสุทธ์นะ! ผมจะไม่ยอมให้คุณขมขื่นเด็ดขาด!”

เหลียวเซียวหยุนเดือดจัด คว้ากระเป๋าสะพายข้างตัวลุกออกไปตีใส่แขนจ้าวเฉียนหลายทีคล้ายระเบิดลง

“ทำไมนายนี่มันไร้ยางอายได้ขนาดนี้! ฉันต้องกลัวนายมากกว่าไม่ใช่เหรอไง! คิดให้ดีๆสิ! วันศุกร์นี้เป็นวันเกิดฉันแล้วนะ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบทันที เขากล่าวว่า

“เข้าใจแล้ว! ไม่ต้องกังวลเลย ฉันจะมอบของขวัญที่ไม่มีใครสามารถให้เธอได้อีกแล้ว!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามกลับไปทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นบอกฉันหน่อยว่านายจะให้อะไร?”

“ในเมื่อเป็นของขวัญ ผมบอกไม่ได้แน่นอน แต่รอเซอร์ไพรส์ได้เลย! ถ้าบอกไปก่อนก็คงไม่สนุกจริงไหม?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าท่าทีดูพึงพอใจ และหยิบมือถือโทรหาฟางนี่โดยตรง

“ฮาโหล สัญญาความร่วมมือของเรายังคงมีผลอยู่ จัดเตรียมมาให้เซ็นใหม่ได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปหาที่บริษัทเอง แล้วจำเอาไว้ด้วยนะว่า จ้าวเฉียนต้องอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นฉันไม่มีทางเซ็นแน่!”

ฟางนี่ดีใจอย่างมากเมื่อได้ยิน รีบตอบกลับไปโดยไว

“เข้าใจแล้วค่ะ! ไม่ต้องกังวลนะคะคุณเหลียว จ้าวเฉียนจะต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน ได้โปรดเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทเรานะคะ แล้วคุณจะไม่มีทางผิดหวัง”

เหลียวเซียวหยุนฮัมเพลงเสียงหวาน พลางกดวางสายไป เธอหันมาพูดกับจ้าวเฉียนต่อว่า

“ทีนี้นายพอใจรึยัง?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบว่า

“พอใจแล้วครับ เพื่อแสดงความขอบคุณ งั้นไปเดินห้างกัน อยากได้อะไรเดี๋ยวผมจ่ายให้!”

“หุหุ…น่าสนใจดีหนิ! งั้นไปกันเถอะ!”

เหลียวเซียวหยุนตบแขนจ้าวเฉียนเบาๆ และรีบคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกไป

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางและพาเธอไปห้างทันที

ตั้งแต่ที่ชางเจียกงเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารที่นี่ จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้มาเยี่ยมอีกเลย คราวนี้เขาอยากลองมาดูเหมือนกันว่า อีกฝ่ายจะทำได้ดีแค่ไหน

Related

ตอนที่201 เค้กชิ้นหนึ่ง

จ้าวเฉียนเดินจากห้องประชุมออก ขณะที่กำลังจะลงลิฟต์จากไป จู่ๆฟางนี่ก็วิ่งไล่ตามหลังเขามา

“จ้าวเฉียน นายคงเหนื่อยแล้ววันนี้ ไปนั่งพักที่ห้องทำงานฉันก่อนดีกว่า!”

ฟางนี่รีบเอ่ยปากเชิญ

แต่จ้าวเฉียนรู้สึกว่า ตนไม่มีอะไรจะคุยกับเธออีกต่อไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เขาตอบปฏิเสธกลับไปอย่างเฉยเมยว่า

“คุณฟาง มีอะไรก็พูดมันตรงนี้เลยครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไปแล้ว ถ้าผมเข้าไปคุยกับคุณในห้องทำงาน แล้วผู้จัดการจางมาเห็นเข้า เกี๋ยวก็เข้าใจผิดกันอีก”

ฟางนี่คลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า กล่าวตอบไปว่า

“ฉันรู้นะว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังหวังว่านายจะพอรับฟังมันหน่อยนะ คือ…ฉันไม่กล้ารับรองเท่าไหร่น่ะ ว่าเงินปันผมจากนี้ของนายจะลดลงหรือเปล่า…”

ไม่นานก่อนหน้านี้ จ้าวเฉียนที่ยังมีอำนาจควบคุมบริหารบริษัทฟางนี่ได้ เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินปันผลในส่วนที่เขาจะได้รับอยู่แล้ว

แต่ด้วยความที่ว่า ฟางนี่ยังคงหลงเชื่อความสามารถของจางหยางอย่างโง่ๆ ทำให้จ้าวเฉียนรวมไปถึงตัวเธอเองสูญเสียความสามารถนี้ไป และเขายังตระหนักดีว่า ตนเองจะต้องโดนจางหยางกดขี่เรื่อยๆหลังจากนี้

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบว่า

“ผมไม่เคยกังขาสงสัยในตัวคุณนะครับ ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผมมีธุระต่อ ขอตัวนะครับ”

ฟางนี่ยิ้มแห้งพยักหน้าตอบ ขณะที่กำลังจะเตรียมส่งจ้าวเฉียนออกไป ในเวลานั้นเองจางหยางและคนอื่นๆก็รีบเร่งออกมา

“จ้าวเฉียน เดี๋ยวก่อน! เรามีบางอย่างจะต้องบอกนาย!”

จ้าวเฉียนทำได้เพียงหยุดฝีเท้าและรอให้ทั้งสามตรงเข้ามาหา

จางหยางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายและกล่าวขึ้นว่า

“พวกเราได้ลงมัติกันแล้วว่า นายเองก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของเรา ดังนั้นก็ควรมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน หากมีข้อสงสัยใดๆ ก็สามารถเรียกพวกเรามาประชุมได้ตลอด”

จ้าวเฉียนทราบดี ทั้งสามจะต้องมีแผนร้ายอะไรสักอย่าง และไม่มีทางพูดดีกับเขาแน่นอน

“ก็ดีครับ เพราะผมไม่รู้ว่าพวกคุณทั้งสามพูดอะไรกันเมื่อกี้?”

จ้าวเฉียนยิ้มถาม

“ที่คุยกันเมื่อกี้คือ พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งตั้งในนายขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนกการตลาดของบริษัท รับผิดชอบโปรเจค และที่สำคัญที่สุดคือ นายต้องไปเอาโปรเจคจากหัวโหย้วกลับมาโดยเร็วที่สุด แต่เดิมนี้โปรเจคนี้เป็นของเรา ฉันยอมรับนะว่าเคยเข้าใจผิดกับประเด็นเหลียวเซียวหยุนไป แต่ตอนนี้มันเป็นหน้าที่ของนายที่ต้องนำความร่วมมือกลับมา คงไม่ยากเกินมือนายใช่ไหม?”

เนื่องด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว จึงทำให้จ้าวเฉียนได้รับเค้กมาส่วนหนึ่งมากินโดยง่ายดาย

“โอเคครับ ผมจะรีบจัดการโดยเร็วที่สุด ได้ความยังไงแล้วเดี๋ยวผมแจ้งให้พวกคุณทราบนะครับ”

หลังจากที่จ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับเดินจากไป ในขณะที่พวกจางหยางและคนอื่นๆต่างแสยะยิ้มอย่างมีชัย

จางหยางกล่าวขึ้นว่า

“คุณฟู่ค่อนข้างรอบคอบและมองการ์ไกลดีเยี่ยม จ้าวเฉียนคนนี้แม้จะพยศ แต่มันก็มีความสามรถสูงมาก ตราบใดที่พวกเราทั้งสามยังคงร่วมมือกันอยู่ เราย่อมหลอกใช้งานมันได้โดยไม่ต้องกลัวอะไรอีก! ฮ่าฮ่า…”

หวานฮันซูเองก็หันมากล่าวเยินยอฟู่เทียนเช่นกัน

“คุณฟู่มีความรู้มีประสบการณ์มากกว่าพวกเราสองคนมากจริงๆ คราวหน้าคุณต้องสอนพวกเราบ้างแล้ว เผื่อจะได้มีลูกเล่นในวงการนี้มากขึ้น!”

ฟู่เทียนคลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจโดยกล่าวตอบไปว่า

“พวกนายทั้งคู่สุภาพเกินไปแล้ว หลังจากที่ฝ่าฟันเพื่อความรู้รอดในวงการนี้มานับสิบปี สิ่งหนึ่งที่ฉันตกผลึกคิดได้ก็คือ การรู้จักใช้คนให้ถูกงาน จ้าวเฉียนคนนี้มีความสามารถที่สูง แค่ต้องรู้จักให้เขาอยู่ถูกที่ก็เท่านั้น เอาล่ะฉันยังมีธุระที่ต้องทำอีกมาก ถ้ามีอะไรก็โทรหาได้เลย พวกเราสามคนถือเป็นพันธมิตรกันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ”

จางหยางและหวานฮันซูคลี่ยิ้มให้ทันทีพลางพยักหน้าเป็นคำตอบ

หวานฮันซูลงกล่าวคำอำลากับจางหยาง และลงลิฟต์ไปพร้อมกับฟู่เทียน ระหว่างนั้นหวานฮันซูก็กล่าวขึ้นว่า

“คุณฟู่เพิ่งได้ฟู่ไห่หนุนหลังแบบนี้ อนาคตต่อไปการจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอุตสากรรมเกมของประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หวังว่าต่อไปคุณฟู่จะเอ็นดูน้องชายคนนี้ไว้สักคน”

ฟู่เทียนทราบดีว่า หวานฮันซูกำลังหมายความว่าอย่างไน เขาจึงยิ้มตอบไปว่า

“น้องชายสุภาพเกินไปแล้ว ถ้าในอนาคตนายอยากร่วมมือกับฉันจริงๆ เราค่อยไปคุยกันนอกรอบดีกว่า”

หวานฮันซูมีความสุขอย่างมาก เขาแค่ต้องการลงทุนร่วมกับบริษัทเหล่ยอู่ที่มีฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ค่อยหนุนหลัง ถ้าเขาสามารถเซ็นสัญญาได้สำเร็จ นั้นหมายถึงกำไรจำนวนมหาศาลในอนาคต และเขาก็จะมีผลงานชิ้นเอกส่งให้กับบริษัทวอลล์สตรีท

“โอ้ ขอบพระคุณมากครับคุณฟู่ ถ้าอย่างนั้น…คุณฟู่ลองประมาณได้ไหมครับว่าจะให้ราคาต่อหุ้นและจำนวนเท่าไหร่ดี?”

หวานฮันซูเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

ฟู่เทียนหาใช่คนโง่และไม่ใช่พ่อพระคนใจบุญ เขาไม่ยอมให้โอกาสหวานฮันซูเข้ามาทำเงินโดยที่ตนไม่ได้ประโยชน์แน่นอน เขาคือนักธุรกิจผู้แสวงหาแต่กำไรเท่านั้น และเงินคือราชา

“แนวโน้มการพัฒนาขงอบริษัทเหล่ยอู่หลังจากนี้จะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของฉันแล้ว ส่วนเรื่องราคาหุ้นกับจำนวน มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายเตรียมพร้อมกับมันมากแค่ไหน”

“แล้วคุณฟู่พอจะประมาณการณ์ได้ไหมครับ?”

“ตอนนี้ฉันมีหุ้นอยู่ในมือประมาณ55%ได้ นี่คือร่วมกับส่วนผู้ถือหุ้นที่เป็นคนของฉันแล้ว ถ้านายอยากได้จริงๆ ฉันสามารถให้ได้มากถึง20% เห็นว่าเป็นพี่น้องกัน ฉันลดให้เหลือ200ล้าน”

ในที่สุดโอกาสของฟู่เทียนก็มาถึง และเสนอราคาหวังฟันกำไรออกไปทันที

หวานฮันซูตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินว่า200ล้าน ถ้าราคาขนาดนี้ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะคืนทุน? อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าพูดไปตรงๆ จึงกล่าวตอบอย่างมีชั้นเชิงว่า

“คุณฟู่นี่ใจดีจังนะครับ แต่เรื่องนี้ผมไม่สามารถตัดสินใจได้เช่นกัน คงต้องขึ้นอยู่กับหัวหน้าผมแล้วว่าสนใจหรือเปล่า ผมต้องยื่นเรื่องรายงานกับสำนักงานใหญ่ เอ่อ…อันที่จริงผมต้องการแค่10%พอครับ พอจะขายให้ในราคา…50ล้านได้ไหมครับ?”

ฟู่เทียนได้ยินแบบนั้นก็หงุดหงิดขึ้นทันที หวานฮันซูคนนี้ไม่มีความจริงใจกับเขาเลย

“ฉันลืมไปว่า น้องชายยังมีบริษัทอื่นที่อยากลงทุนด้วย คงใจแคบแบ่งเงินลงทุนให้ฉันเพียงเท่านี้ ก็เข้าใจนะครับ ฉันไม่ใช่คนที่นายเคารพคนเดียว”

หวานฮันซูตกใจอย่างมากเมื่อได้ยิน เขารีบตอบกลับไปโดยเร็ว

“คุณฟู่อย่าเพิ่งหัวเสียนะครับ เรื่องนี้ผมช่วยไม่ได้จริงๆ ทางสำนักใหญ่จำกัดงบให้ผมแค่100ล้านเท่านั้น ถ้ามากไปกว่านั้นทางสำนักใหญ่คงเรียกตัวผมไปคุยแน่นอน และผลลัพธ์ที่ได้อาจจะ….”

ฟู่เทียนพยักหน้าท่าทีเฉยเมย กล่าวตอบทันทีว่า

“นายอยากให้ฉันสอนเรื่องธุรกิจใช่ไหม? อย่างแรกเลยนะ นายต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ามากกว่านี้ ลองไปคุณกับทางนั้นดู บอกให้พวกเขาฟังว่า บริษัทเหล่ยหู่หลังจากที่ได้รับเงินลงทุนจากฟู่ไห่จะก้าวหน้าขนาดไหนในอนาคต ฉันขอตัวก่อน”

“คะ-ครับ…เดินทางปผลอดภัยนะครับคุณฟู่”

หวานฮันซูกล่าวอย่างตะกุกตะกัก

หวานฮันซูคิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง และเขาจะไม่พลาดโอกาสนี้เด็ดขาด เขารีบกลับบ้าน เขียนอีเมลส่งไปยังสำนักงานใหญ่ของวอลล์สตรีททันที เพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและขอความเห็นจากหัวหน้าเขา

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนหยิบโทรศัพท์โทรหาเหลียวเซียวหยุนทันทีหลังออกจากบริษัทไป

“ฮาโหล วันนี้คุณว่างไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบอย่างสุขใจว่า

“ว่างเสมอ! งั้น…พวกเราไปไหนดี? คลาสเรียนวันนี้น่าเบื่อมาก ออกมาเที่ยวกับฉันหน่อยมา! จะว่าไปช่วงนี้นายเป็นยังไงบ้าง?”

“อ่า…คนจนๆอย่างผมก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆนั้นแหละครับ ใครจะดีเท่าคุณกัน อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่เพรียบพร้อม แต่เพื่อคุณแล้ว ผมออกมาเจอได้เสมอ!”

เหลียวเซียวหยุนหลี่ตาแคบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“อืมม…แปลกๆแหะ นายโทรหาฉันแบบนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

ที่เธอถามแบบนั้นเพราะทราบดีว่า คนอย่างจ้าวเฉียนจะไม่มีทางเหลียวแลเธอเด็ดขาดหากไร้ซึ่งจุดประสงค์อื่นลับหลัง

“ก็แค่อยากเจอคุณเฉยๆ ทำไม? กลัวผมลักพาตัวไปเหรอ?”

พอได้ยินแบบนั้นเหลียวเซียวหยุนก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขขึ้นทันที และตอบกลับโดยไวว่า

“ก็ได้ ถ้างั้นมารับฉันที่มหาวิทยาลัยหน่อย ช่วงบ่ายไม่มีเรียน ไปเที่ยวกันเถอะ”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงเล็กน้อย ตอบไปว่า

“เข้าใจแล้ว เจอกันหน้าประตูหลังมหาลัย”

“เยี่ยม! แล้วเจอกัน!”

จ้าวเฉียรีบขับรุตรงไปที่มหาวิทยาลัยทันที ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็เห็นเหลียวเซียวหยุนยืนรอเขาอยู่หน้าประตูด้านหลังมหาวิทยาลัย

แต่อย่างไร เธอไม่ได้อยู่คนเดียว จ้าวเฉียนยังสังเกตเห็นชายคุ้นหน้าอีกคนหรือก็คือฟู่เอ๋อ เขากำลังพูดอะไรกับเธอสักอย่าง ทว่าเหลียวเซียวหยุนกลับดูรำคาญอีกฝ่ายมาก

จ้าวเฉียนจอดรถริมทางและลงจากรถเดินไปหา พอเข้าไปใกล้ก็พลันได้ยินบทสนทนาระหว่างฟู่เอ๋อกับเหลียวเซียวหยุนพอดิบพอดี

“เสี่ยวหยุน ฉันจริงใจกับเธอมากนะ ทำไมเธอถึงไม่เชื่อใจฉันสักที? ลองให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะนะ แล้วจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า ฉันนี่แหละคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ!”

“น่ารำคาญ! ฉันพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วนะว่าฉันไม่สนใจนาย! ไม่เข้าใจภาษามนุษย์รึไง? ถ้ายังตามตื้ออยู่แบบนี้ นายได้โดนกระทืบแบบครั้งก่อนแน่!”

ขณะที่ฟู่เอ๋อกำลังรุมเร้าเหลียวเซียวหยุนอย่างไม่หยุดหย่อน จ้าวเฉียนก็เดินเข้ามาพอดี เธอที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอด้ขาแน่นต่อหน้าต่อตาฟู่เอ๋อ

ฟู่เอ๋อที่เห็นดังนั้นก็พลันโกรธจัด คำรามขู่จ้าวเฉียนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

“มึงมายุ่งอะไรกับเสี่ยวหยุนของกูอีก!?”

Related

ตอนที่200 พูดแทนฟู่เทียน

จ้าวเฉียนวุ่นกับเรื่องของตัวเองมาพักใหญ่แล้ว และไม่มีเวลาไปสอบถามความเป็นอยู่ของบริษัทฟางนี่เลย

จางหยางเองก็ไม่ลืมเขาเช่นกัน ดังนั้นพอถึงเวลาประชุมผู้ถือหุ้น จึงไม่ลืมที่จะเชิญจ้าวเฉียนมาด้วยเช่นกัน

หลังจากที่รับฟังผลการดำเนินงานของไตรมาทที่ผ่านมา บริษัทฟางนี่ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ชั่วคราว แต่ยังดีที่มีโปรเจคร่วมกับเหล่ยอู่ ทำให้บริษัทยังทรงตัวต่อไปได้ ทว่ายังไม่มีกำไร

นี่คือเอกสารที่จ้าวเฉียนได้รับมา พอเดินทางไปถึงบริษัท บรรดาเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งหมดคลี่ยิ้มอ่อน พลางทักทายดล็กน้อยเป็นพิธี

จางหยางขู่พวกเขาทุกคนว่า ตอนนี้ตนเองถือเป็นประธานบริษัทชั่วคราว ดังนั้นใครก็ตามที่กล้าพูดคุยกับจ้าวเฉียนจะต้องโดนไล่ออกทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข บรรดาเพื่อนร่วมงานแต่ละคนจึงจำใจทำตัวเฉยเมยกับจ้าวเฉียนอย่างไม่มีทางเลือก

ทุกคนทราบดีถึงความขัดแย้งระหว่างจางหยางกับจ้าวเฉียน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดคุยกับจ้าวเฉียนมากนัก

ในห้องประชุม ฟางนี่, จางหยาง, หวานฮันซู และฟู่เทียน ล้วนนั่งประจำที่อยู่ในห้องประชุม แต่สิ่งที่แปลกคือคราวนี้ ฟางนี่ไม่ได้นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่นั่งอยู่ด้านหลังจางหยางเสมือนผู้ช่วย

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนมาถึง ฟางนี่ก็เอ่ยปากทักทายทันที

“จ้าวเฉียน เป็นยังไงบ้างช่วงนี้?”

“เป็นยังไงงั้นเหรอ? เหอะ ได้ข่าวว่าเพิ่งใช้เส้นสายทำลายเฟยอวี่กรุ๊ปไปเองหนิ”

หวานฉันซูเอ่ยกล่าวน้ำเสียงดูถูกยิ่ง

ฟู่เทียนระเบิดหัวเราะเยาะ

“ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกลับไม่รู้จัก สักวันนายจะต้องชดใช้ผลกรรมของตัวเอง!”

จางหยางระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวว่า

“จ้าวเฉียน บางครั้งบางทีฉันก็รู้สึกชื่นชมนายนะ กล้าชนไม่เว้นขนาดนี้ ฉันอยากรู้จริงๆว่าชีวิตของนายต่อจากนี้จะเป็นยังไง? ไม่ใช่ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ? เพราะอะไรงั้นเหรอ? เพราะนายเพิ่งทำลายเฟยอวี่กรุ๊ปไปยังไงล่ะ สองพ่อลูกตระกูลหยางเอานายตายแน่ นี่ยังไม่รวมบรรดาผู้ถือหุ้นอีกนะ แล้วอย่างนายจะรอดเหรอ?”

จ้าวเฉียนนั่งเก้าอี้ประชุมเท้าคางอย่างเฉยชา ก่อนยิ้มตอบไปว่า

“ผมอยู่บนเส้นทางล้างแค้นจนเคยชินแล้วครับ ตราบเท่าที่ผมสามารถเอาคืนได้สมใจ ผมไม่สนใจผลที่ตามมาหรอกครับ แล้วผู้จัดการจางเป็นยังไงบ้างครับ? คุณมีสิทธิ์นั่งเก้าอี้ตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ฮ่าฮ่า…เสี่ยวนี่กำลังตั้งครรภ์อยู่น่ะ เลยต้องพักไม่อยากให้ทำงานหนักช่วงนี้ ดังนั้นฉันจึงขึ้นมาเป็นคนดูแลแทนชั่วคราว อำนาจทั้งหมดของเธอเป็นของฉันแล้ว”

จางหยางเอ่ยตอบอย่างมีชัย

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ และไม่พูดอะไรอีกเลย

จางหยางเข้ามาแทนที่ฟางนี่เพื่อถือครองอำนาจ กล่าวได้ว่าเขาคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และการประชุมครั้งนี้ประธานก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขาเช่นกัน

“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีว่า เหตุผลที่วันนี้ผมเชิญทุกคนมาก็เพื่อจะประกาศว่า ทางบริษัทฟางนี่ของเขาตัดสินใจที่จะขยายหุ้นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่จะกระทบต่ออัตราหุ้นในส่วนของพวกคุณทุกคน ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ ทุกคนมีความเห็นว่าอย่างไร?”

ทันทีที่สิ้นเสียงจางหยางไป หวานฮันซูก็แจ้งจุดยืนของตัวเองทันทีโดยกล่าวขึ้นว่า

“ตามกลักการแล้วผมเห็นด้วย แต่ผมเองก็มีเงื่อนไขข้อหนึ่งเช่นกันคือ หลังจากขยายเพิ่มหุ้นแล้ว ทางคุณจะต้องอนุญาตให้ผมเข้าซื้อเพิ่มเช่นกัน”

ฟู่เทียนกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว

“ฉันเองก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไร”

จางหยางพยักหน้าให้ทั้งคู่ทันทีและกล่าวว่า

“เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ผมจะช่วยเหลือพวกคุณเท่าที่จะทำได้ครับ แล้วจ้าวเฉียน นายมีความเห็นว่าไง?”

จ้าวเฉียนหัวเราะน้ำเสียงเย็น กล่าวตอบไปว่า

“ก็เห็นด้วยกันทุกคนแล้ว ความเห็นของผมยังสำคัญอะไรล่ะครับ? เชิญตามสบายกันเลย”

“ฮ่าฮ่า…นายค่อนข้างเข้าใจจุดยืนของตัวเองดีนะ อย่างไรก็เถอะ ตอนนี้นายก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้ถือหุ้นบริษัท นายควรเคารพความคิดเห็นของตัวเองซะหน่อย ด้วยเหตุนี้เรามาลงความเห็นโดยการยกมือ ใครเห็นด้วยกรุณนายกมือขึ้นครับ”

หลังจากพูดจบ จางหยางก็ประเดิมยกมือขึ้นก่อน ตามด้วยหวานฮันซูกับฟู่เทียนที่ยกมือขึ้นตาม ส่วนจ้าวเฉียนยังคงนั่งเอามือเท้าคาง แสยะยิ้มมุมปากอย่างหน่ายใจ

ตามสัดส่วนมูลค่าผู้ถือหุ้นของจ้าวเฉียนตอนนี้ถูกปรับลดเหลือ25% เนื่องจากจางหยางขายให้ฟู่เทียน ดังนั้นความเห็นของเขาจึงไม่มีผลต่อการประชุมนี้อยู่แล้ว พูดไปก็เปลือยน้ำลายเปล่า

จางหยางแสยะยิ้มอย่างมีชัยขึ้นทันที เขารู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรก ที่เขาสามารถเอาชนะจ้าวเฉียนได้

“จ้าวเฉียน นายทำตัวดีขึ้นนะช่วงนี้ ถ้าก่อนหน้านายสงบปากสงบคำแบบนี้ คงไม่ถูกไล่ออกหรอก หลังจากนี้เราจะคุยกันต่อเรื่องการจัดสรรหุ้นหลังขยายเพิ่มเข้ามา นายออกไปได้แล้ว”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและกล่าวตอบไปว่า

“ในฐานะผู้ถือหุ้น ผมมีสิทธิ์รับรู้การเปลี่ยนแปลงของบริษัท”

ฟู่เทียนแสยะยิ้มเยาะกล่าวอย่างรังเกียจว่า

“ถ้าเขาอยากอยู่ต่อก็ตามใจ แต่พวกเราเองก็ไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของเขา มีก็เหมือนไม่มีนั้นแหละ”

“ถูกต้อง ผมเห็นด้วยกับคุณฟู่ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็มีค่าเท่ากัน”

หวานฮันซูกล่าวเย้ยหยันซ้ำเติม

จ้าวเฉียนหรือจะนั่งเสียเวลาอยู่ฟัง คนพวกนี้แจกจ่ายหุ้นกันเอง? ที่เขายังยืนหยัดอยู่ที่นี่เพราะเขามีแผนอยู่ในใจแล้ว

จางหยางพยักหน้าและกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น เรามาเริ่มกันเลย เสี่ยวนีกับผมกำลังจะเพิ่มหุ้นจดทะเบียนเป็น100ล้านหยวน อย่างไรก็ตาม เราที่ได้รับความร่วมมือกับคุณฟู่จึงไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับโปรเจคในอนาคตแน่นอน สำหรับฮันซู ผมยินดีที่จะขายหุ้นเพิ่มให้ สำหรับจ้าวเฉียนคงไม่ได้ เพราะหุ้นที่เขาเคยซื้อมามันราคาถูกมากพอแล้ว พวกคุณทั้งสองคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ครับ?”

จ้าวเฉียนยกมือขึ้นทันทีและกล่าวว่า

“ผมมีความคิดเห็นครับ”

จางหยางเหลือบมองเล็กน้อยและกล่าวตอบอย่างรังเกียจไปว่า

“คุณควรเก็บความคิดเห็นของคุณไว้ ไม่มีใครต้องการให้นายซื้อหุ้นเพิ่มแน่นอน”

ฟู่เทียนกับหวานฮันซูระเบิดหัวเราะเยาะลั่นอย่างมีความสุข

ฟางนี่รู้สึกอับอายแทน จึงกล่าวขึ้นทันทีว่า

“จางหยาง คุณฟู่ คุณฮันซู ดิฉันว่าพวกเราควรรับฟังความคิดเห็นของจ้าวเฉียนนะคะ ถึงยังไงเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของเรา เราต้องเคารพความคิดเห็นของเขา”

ขณะที่พวกจางหยางกำลังจะเอ่ยสวนกลับไป จ้าวเฉียนก็พูดแทรกขึ้นทันทีว่า

“ขอบคุณคุณฟาง ผมไม่ต้องการหุ้นส่วนเพิ่มแต่อย่างใด แต่ผมอยากเสนอให้ผู้จัดการจางเพิ่มหุ้นส่วนของคุณฟู่เป็น30%หรือมากกว่านั้น ถึงยังไงบริษัทฟางนี่แห่งนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยเหล่ยอู่เพื่อความอยู่รอดในอนาคต ดังนั้นผู้จัดการจางควรอนุญาตเพิ่มอัตราส่วนให้คุณฟู่”

ทันทีที่ความคิดเห็นของจ้าวเฉียนเปล่งดังออกมา ห้องประชุมพลันเงียบกริบลงทันที

‘เจ้าเด็กนี่มันหมายความว่ายังไงกัน? ทำไมหมอนี่ถึงพูดเพื่อช่วยเหลือฉัน?’

ฟู่เทียนอุทานกับตัวเองด้วยความสงสัย

จางหยจางเองก็มึนงงอย่างมากเช่นกัน พลางคิดกับตัวเองไปว่า

‘แปลก…แปลกมาก… คนอย่างไอ้จ้าวเฉียนไม่มีทางที่จะพยายามเพื่อใครอื่นแน่นอน แล้วทำไมคราวนี้ถึงพูดช่วยฟู่เทียน? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…สองคนนี้จะแอบร่วมมือกัน?’

หวานฮันซูยิ่งกังวลกว่าใครๆ เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกโกง หรือคนพวกนี้กำลังรวมหัวกันหลอกเขา? ทำไมจ้าวเฉียนถึงพูดเชียร์ฟู่เทียนไปแบบนั้น?

จางหยางเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างช่วยไม่ได้

“จ้าวเฉียน นายมีแผนอะไรกันแน่? ฉันขอบอกนายไว้ก่อน บริษัทฟางนี่ในตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่นายรู้จักอีกแล้ว ไม่มีใครไว้หน้านายอีกแล้ว!”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสา เอ่ยตอบไปตามความจริงว่า

“ผู้จัดการจาง นี่คุณกำลังหมายความว่ายังไงกันแน่? เพื่อให้บริษัทฟางนี่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผมเลยอยากเสนอให้คุณฟู่ขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่แห่งนี้ ผมแค่แสดงความคิดเห็นเท่านั้น ทำไมพูดยังกับว่าผมผิด? หรือถ้าสิ่งนี้ทำให้พวกคุณไม่สบายใจกัน งั้นผมมอบหุ้นส่วนของผมให้กับคุณฟู่เองก็ได้นะครับ ยังไงซะผมก็ยังเหลือส่วนผู้ถือหุ้นอยู่นิดหน่อย กินปันผลได้สบายๆ เพราะบริษัทฟางนี่ยังต้องเพิ่งพาเหล่ยอู่อีกมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่า มันสมเหตุสมผลดีนะครับ?”

ฟู่เทียนพยักหน้าอย่างมีความสุข กล่าวขึ้นอย่างมีชัยว่า

“ดูเหมือนว่านายจะมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกลดีนะ การที่รู้จักจุดยืนของตัวเองนับเป็นเรื่องดี บางสิ่งบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดมันได้ ขอแค่ยอมรับความจริง ทุกๆอย่างจะดีขึ้นตามมาเอง”

“ถูกต้องแล้วครับ ผมหวังว่าในอนาคตต่อไปคุณฟู่จะทำกำไรให้บริษัทเรามากขึ้นและมากขึ้น หลังจากนี้ผมจะสนับสนุนคุณเองครับ”

จ้าวเฉียนยกมือทุบอกกล่าวเน้นย้ำจุดยืนอย่างหนักแน่น

ฟู่เทียนได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะอีกครั้ง จางหยางกับหวานฮันซูเองก็หัวเราะขึ้นตาม

ในมุมมองของพวกเขา ท้ายที่สุดนี้จ้าวเฉียนก็ยอมจำนนแต่โดยดี

จางหยางประกาศอย่างเป็นทางการออกไปทันที

“อืม ผมเองก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของจ้าวเฉียน เพิ่มอัตราส่วนผู้ถือหุ้นของคุณฟู่เป็น30%! ส่วนฮันซู ฉันรับประกันได้ว่านายจะไม่ได้น้อยกว่า20%แน่นอน สำหรับนายจ้าวเฉียน ก็นั่งกินปันผลเล่นไปก็แล้วกัน จบการประชุม!”

จางหยางกระซิบกระซาบกับฟู่เทียนและหวานฮันซูต่อ คล้ายว่าไม่อยากให้จ้าวเฉียนได้ยินเรื่องราวต่อจากนี้

ส่วนทางจ้าวเฉียนเองก็ไม่จำเป็นต้องฟังอีกต่อไป ถ้าฟู่เทียนได้หุ้นส่วน30%ก็เท่ากับว่าจ้าวเฉียนได้มา30%เช่นกัน เพราะอะไรงั้นเหรอ? เพราะว่าอีกไม่นานเหล่ยอู่จะตกมาอยู่ในกำมือเขาแล้วยังไงล่ะ ปล่อยให้จางหยางดำเนินการโอนหุ้นต่อไปจนเสร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่จ้าวเฉียนวางไว้อย่างราบรื่น

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ พลางเย้ยเยาะกับตัวเองว่า

‘ปล่อยให้พวกโง่คุยกันวางแผนตามสบาย ส่วนฉันแค่รอชุบมือเปิปรวดเดียวทีหลัง ฮ่าฮ่า…’

Related

ตอนที่199 วางกลยุทธ์

นี่หรือคือคนที่เรียกว่าจนตรอก? หยางหมิงในตอนนี้ไร้ซึ่งสติใดๆ เขาส่งข้อความมาขู่ว่า จะแฮ็กจ้าวเฉียน? นี่โง่หรือลืมคิด? ไม่ใช่ว่ายิ่งทำแบบนี้แล้วเชือกจะรัดตัวเองแน่นกว่าเดิมอีกเหรอ?

ไม่กี่วินาทีต่อมา หยางหมิงโทรสายมาหาเขาอีกครั้ง และคราวนี้จ้าวเฉียนรับสายโดยไม่เกรงกลัวใดๆ แต่พลันได้ยินเสียงคำรามทำลายข้าวของดังเปรี้ยงปัง นี่ยิ่งทำให้จ้าวเฉียนรู้สึกเพลิดเพลินบันเทิงใจเข้าไปใหญ่

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นตกใจ เอ่ยถามอย่างใสซื่อขึ้นว่า

“โอะ? นายน้อยหยางกำลังทำลายข้าวของอยู่เหรอครับ? นี่เกิดอะไรขึ้นกันครับ? ใจเย็นๆก่อนน๊า…”

ตามที่จ้าวเฉียนคิดไว้ไม่มีผิด หยางหมิงคำรามอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ

“อย่าแสร้งทำเป็นใสซื่อนะโว้ย! ทำไมแกถึงโกหกฉัน! ไหนว่าไม่มีข้อมูลของสองคนนั้นสำรองไว้แล้วไง! ทำไมถึงหลุดว่อนโซเซียลขนาดนี้!!”

จ้าวเฉียนอดขำไม่ได้และเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายน้อยหยางมีขี้เลื่อยอตกค้างในหัวรึเปล่าครับ? จะบอกว่าครั้งนี้ผมผิด?”

“แน่นอน! ทั้งหมดเป็นความผิดของแก! แล้วไหนว่ามีแค่ข้อมูลของสองคนนั้นในมือ ทำไมมันถึงลามไปยันคดีหนีภาษีของเฟยอวี่กรุ๊ป! มีอะไรทำไมไม่มาคุยกับฉันก่อนหน้านี้ดีๆ?!”

จ้าวเฉียนไม่อยากเปลืองน้ำลายกับคนโง่เง่าแบบนี้อีกแล้ว จึงตอบไปตามตรงว่า

“เอาจริงๆนะ ตอนนี้คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเสวนากับผมด้วยซ้ำ แค่นี้นะครับ รำคาญ”

จ้าวเฉียนกดวางสายทิ้งทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอีกหนึ่งสายโทรเข้ามา ปรากฏว่าเป็หยางเฉิน

“ฮาโหลคุณเฉิน สบายดีไหมครับ?”

สมแล้วที่สองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน เปิดฉากมาหยางเฉินก็กรนด่าสาปแช่งจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน

“ดี! ดีมาก! ดีจริงๆ! ไอ้หนู แกกล้าเล่มเกมแบบนี้กับฉันใช่ไหม! อยากตายขนาดนั้นเชียว!!?”

“ไอ่ย๊า…เกรี้ยวกราดเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก สันดานเสียเหมือนกันทุกประการเลยครับ ผมขอชมเชย แต่บอกไว้ก่อนนะครับ ผมไม่กลัวพวกคุณแม้แต่น้อย อ่อ…แล้วก็….อย่าลืมไปเคลียร์เรื่องค่าเสียหายกับบริษัทภาพยนตร์ของจ้าวฝู่นะครับ รายนั้นน่าจะเอาคุณหนักไม่เบา!”

หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็วางสายและโทรหาหยางหู่ต่อทันที

“เสี่ยวหู่ รบกวนหน่อย ฝากให้คนไปเฝ้าติดตามหยางเฉิงกับหยางหมิงที ขอแบบตลอด24ชั่วโมงเลยนะ ท่าทางพวกนั้นน่าจะกำลังวางแผนเอาคืนฉันแน่นอน”

“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องห่วงครับคุณชายจ้าว ผมกำลังเตรียมลูกน้องไปดักล้อมบ้านของสองพ่อลูกคู่นั้นอยู่พอดี บังอาจทำคุณชายจ้าว พวกมันไม่มีทางอยู่สุขแน่นอนครับ!”

“ฮ่าฮ่า…เกรงใจเสี่ยวหู่แล้ว มีหวังหลังจบงาน ฉันต้องพานายไปเยี่ยมพ่อแม่ฉันหน่อยแล้ว!”

ตอนนี้จ้าวเฉียนใกล้จะได้รับชมละครฉากใหญ่อย่างสบายอารมณ์ เขาขอดูหน่อยว่า ครั้งนี้เขาจะเอาเฟยอวี่ให้ตายได้หรือไม่

ประธานบริษัทภาพยนตร์ส่งทีมทนายความจากหยานจิ้งไปมาที่เมืองตงไห่โดยตรง เพื่อดำเนินการฟ้องร้องค่าเสียหายกับเฟยอวี่ตามสัญญาที่ระบุไว้ หากภาพยนตร์นี้ไม่สามารถฉายได้ เนื่องจากปัญหาทางด้านนักแสดงของฝั่งเฟยอวี่ ทางเขามีสิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชยเป็นสามเท่าจากเงินลงทุนทั้งหมดของโปรเจค

ตอนเซ็นสัญญาเฟยอวี่กรุ๊ป ไม่แม้แต่จะคิดว่าสตีมเมอร์สองคนนั้นจะโดนขุดข่าวฉาวออกมา นั้นจึงทำให้พวกเขาตายใจและเซ็นสัญญายอมรับทุกเงื่อนไขอย่างง่ายดาย

ต้นทุนสร้างจำนวน300ล้านนั้นหมายความว่า เฟยอวี่จะต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นสามเท่าของต้นทุน หรือเท่ากับ900ล้านหยวนโดยไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ

ตามบัญชีรายรับรายจ่ายของสี่ไตรมาตรีปีที่แล้ว เฟยอวี่มีรายรับทั้งหมดอยู่ที่สองพดันล้านหยวน แต่กำไรสุทธิ์ที่หักมาจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีเพียง400ล้านหยวนเท่านั้น นั้นหมายความว่า เฟยอวี่กรุ๊ปอาจต้องใช้เวลามากกว่าสองปีถึงตะชดใช้ค่าเสียหายนี้ได้ครบ

หยางเฉิงพยายามเจรจากับทีมทนายของบริษัทภาพยนตร์เป็นการส่วนตัว และบอกไปตามตรงว่า พวกเขาไม่สามารถแบกรับค่าเสียหาบขนาดนี้ได้ไหม จึงเสนอทางออกไปว่าจะจ่ายค่าชดเชยไปตามจริง หรือก็คือต้นทุนการถ่ายทำทั้งหมดจำนวน300ล้าน บวกกับค่าชดเชยแทนคำขอโทษอีก50ล้าน รวมเป็น350ล้านหยวน

ผู้ช่วยของประธานบริษัทภาพยนตร์เองก็มาทำงานร่วมกับทีมทยานเช่นกัน เขาปฏิเสธไปตามตรงว่า

“คุณหยาง นี่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่ครับ? กำลังจะละเมิดสัญญาที่ระบุไว้งั้นเหรอ? หนังเรื่องนี้ผมได้เชิญผู้กำกับจากฮอลลีวูดมาด้วย 300ล้านเป็นแค่ค่าประเมินขั้นต่ำครับ อันที่จริงต้นทุนการถ่ายทำทั้งหมด ตามที่ประเมินไว้มันทะลุ400ล้านหยวนด้วยซ้ำ นี่ยังไม่รวมค่าโปรโมทและโฆษณาอีกนะครับ ที่ทางเรายอมจ่ายหนักขนาดนี้ เพราะว่า พวกเราคาดการณ์ไว้แล้วว่า หนังเรื่องนี้จะต้องได้รางวัลจากบ็อกซ์ออฟฟิศ พร้อมกวาดรายได้สุทธิ์2.5พันล้านหยวนจากทั่วโลก แล้วคุณหยางบอกว่าจะชดเชยให้แค่350ล้านหยวน? นี่ไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอครับ?”

หยางเฉิงทราบดี ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายอย่างน้อยที่สุดก็สามารถกวาดรายได้มากกว่า2พันล้านแน่นอน นี่ยังไม่รวมค่าขายลิขสิทธิ์ไปทำไลน์สินค้าอื่นๆ และการที่ทางนี้เรียกร้องแค่900ล้านนับว่าเมตตามากแล้ว

แต่900ล้านสำหรับหยางเฉิง เขาไม่มีเงินมากพอจะจ่าย…

“ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรถามท่านประธานก่อนแล้วกัน ค่อยว่ากันทีหลังครับ”

หลังจากพูดจบเขาก็ออกไปโทรหาประธานทันที และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมบอกว่า ท่านประธานเรียกหยางเฉินไปคุย

“ว่าไงครับ หวางเฉินพูด”

หยางเฉินรู้สึกประหม่าอย่างมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของบริษัทภาพยนตร์แห่งนี้

ประธานคลี่ยิ้มเล็กน้อยเอ่ยถามขึ้นว่า

“เอาล่ะคุณหยาง อยากเสนออะไรลองพูดออกมาดูครับ?”

“เรื่องข้อเรียกร้อง…เออ….ผมขอจ่ายในราคา400ล้านหยวนได้ไหมครับ เดี๋ยวผมจ่ายทีเดียวทั้งก้อนเลย…”

ประธานคนดังกล่าวระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยถามกลับไปว่า

“คุณหยางเองก็ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีแห่งเมืองตงไห่ไม่ใช่เหรอครับ ขอแค่900ล้าน จ่ายไม่ไหวแล้วเหรอครับ?”

หยางเฉินรู้ดีว่า ต่อให้จะพูดอะไรออกไปตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะทำตามคำขอของเขา ใครจะยอมปล่อยเงิน900ล้านหลุดมือไปง่ายๆแบบนี้?

“โอเคครับ ผมจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีกแล้ว พวกเราถอยออกมาคนละก้าวและคิดหาแนวทางการแก้ไขด้วยกันเถอะครับ”

ประธานตอบน้ำเสียงเฉียบขาดกลับไปทันที

“ตามสัญญาคือ900ล้านหยวนและไม่มีต่ำกว่านั้น! ถ้าคุณหวางยังคงคุยด้วยยากแบบนี้ สงสัยว่าเรื่องนี้ต้องให้ศาลตัดสินแล้วแหละครับ ทีมทนายผมก็พร้อมแล้ว สามารถยื่นเรื่องต่อศาลได้ตลอดครับ”

“คุณต้อนผมมากเกินไป! ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ก็อย่าตำหนิว่าผมไม่สุภาพ! ผมว่าทางคุณมากกว่าที่จงใจทำสัญญาแบบนี้ แล้วก็ปล่อยข่าวเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย! ผมจะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”

“ฮ่าฮ่า…ตกลงครับ ผมจะรอให้คุณหยางตรวจสอบจนพอใจ ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่900ล้านแน่นอนครับ”

หลังจากพูดจบเขาก็วางสายไปและโทรรายงานให้จ้าวเฉียนฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกับหยางเฉินในวันนี้

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า

“ทำได้ดีมาก ต้อนมันบีบมันให้หนัก ผมต้องการให้เฟยอวี่ล้มละลายชนิดที่ว่าไม่มีโอกาสตั้งต้นกลับมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมครับ?”

“คุณชายจ้าวไม่ต้องกังวลครับ ทางนั้นยิ่งผูกปมตัวเองให้แก้ยากขึ้นทุกที คราวนี้เฟยอวี่เตรียมปิดกิจการแน่นอนครับ ถ้าไม่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เข้ามาช้อนซื้อนะครับ”

คุณประธานเอ่ยปากตอบด้วยความมั่นใจ

เมื่อพูดถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จ้าวเฉียนก็พลันนึกถึงหวานฮันซูทันที ตามที่รู้มามันทำงานอยู่ที่บริษัทกองทุนวอลล์สตรีทในอเมริกา คงมีรายใหญ่หนุนหลังอยู่อแน่นอน และจ้าวเฉียนจะไม่ยอมปล่อยให้หวานฮันซูฉวยโอกาสนี้ช้อนซื้อเฟยอวี่กรุ๊ปไปเด็ดขาด

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง และวางแผนที่จะช้อนซื้อเฟยอวี่กรุ๊ปเข้ากระเป๋าตัวเองแทน แม้ว่าเวลานี้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ผลประโยชน์ที่ได้หลังจากผ่านพ้นวิกฤตนี้ก็ไม่น้อยเลยเช่นกัน แถมเขายังสามารถนำแพชตฟอร์มเฟยอวี่มารวมกับเทียนซูวก็ได้ในภายหลัง นี่มีแต่กำไรกับกำไร

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงโทรหาหวู่เทียนจือ ประธานบริษัทไห่ฟู่ อินเวสเมนต์ต่อทันที

“คุณหวู่ ผมฝากช้อนซื้อเฟยอวี่กรุ๊ปหน่อย เล็งให้ดีและเข้าซื้อในราคาที่คุ้มที่สุด แล้ววานตรวจสอบด้วยว่า มีผู้ถือหุ้นที่ชื่อหวานฮันซู เข้ามาช้อนซื้อด้วยไหม เจ้าหมอนี่มันมาจากวอลล์สตรีท ฉันไม่อยากให้ต่างชาติเข้ามายุ่งเรื่องในประเทศ”

อู่เทียนจือกล่าวตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“วางใจผมได้เลยครับคุณชายจ้าว หากต้องการลงทุนในบริษัทนี้เช่นกัน ผมจะรีบช้อนซื้อมาโดยเร็วและคุ้มค่าที่สุด ถ้าได้คาวมยังไงเดี๋ยวผมจะรายงานอีกทีนะครับ ผมในฐานะบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ของจีน ไม่มีทางปล่อยให้อเมริกามารุกล้ำแน่นอนครับ!”

ภายใต้สถานการณ์ ณ ตอนนี้ หวู่เทียนจือเองก็กำลังคิดหนักเกี่ยวกับภัยร้ายจากต่างชาติที่กำลังเข้ามามีส่วนได้เสีย และหากินกับทางประเทศจีนเช่นกัน และเขาในฐานะบริษัทนักลงทุนรายใหญ่ของจีน จำเป็นต้องปิดกั้นบริษัทนักลงทุนยักษ์ใหญ่จากฝั่งอเมริกาอย่างวอลล์สตรีทเช่นกัน เพื่อกันเงินไหลออกจากประเทศ ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ทุกบริษัทต้องช่วยกันผลักดัน

ทุกอย่างถูกจัดวางกลยุทธ์เสร็จสรรพ จ้าวเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่เหลือต่อจากนี้เขาก็เตรียมรอชมละครฉากใหญ่อย่างสบายใจ แค่รอให้หยางหู่, หวู่เทียนจือและคนอื่นๆดำเนินการให้เสร็จ จากนั้นก็ถึงคราวเขาลงมือเก็บบริษัทเหล่านี้เข้ากระเป๋ารวดเดียว

Related

Related

ตอนที่198 เวลาความกตัญญู

หลินหยุนหาทางออกกับปัญหาดังกล่าวไม่ได้เลย ในช่วงหลายวันมานี้เขายังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของลูกชาย ยังไม่ทันเริ่มจัดการจ้าวเฉียน เขาก็แพ้แล้ว

ข่าวฉาวมากมายที่หยางหู่จงใจปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งหมดล้วนเป็นของจริง และแต่ละข่าวที่ออกมาล้วนมีเหตุผลรองรับทั้งสิ้น และตัวหลินหยุนไม่สามารถหาข้อแก้ต่างได้เลย

หุ้นบริษัทจินหยวนร่วงกระแทกแนวรับต่ำสุด และยังคงลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าวันติด มีคำสั่งขายออกมาทุกวันนับล้านรายกาน และไม่มีวี่แววที่จะฟื้นตัวกลับมาไกแลย

โบรกเกอร์หลายแห่งต่างวิเคราะห์พร้อมให้คะแนนเกี่ยวกับความน่าไว้วางใจที่จะลงทุนในหุ้นตัวนี้อยู่ในระดับต่ำสุดของหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเกินพันล้าน โดยเขียนว่า บริษัทจินหยวนมีมูลค่าเกินจริงที่เฟ้อออกมามากถึง40%แล้ว นี่หมายความได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่บริษัทนี้จะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์

นักลงทุนน้อยใหญ่ต่างต้องน้ำตาตกใน กรนด่าสาปแช่งหลินหยุนยันโคตรรุ่นบรรพชน พวกเขาทุกคนยอมตั้งคำสั่งขายหุ้นทุกราคาค้างไว้มาหลายวันแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังขายออกไปไม่ได้

จนมาวันนี้นักลงทุนเกือบสองร้อยคนที่โกรธแค้นการกระทำของหลินหยุน ทุกคนนัดรวมตัวหน้าบ้านตระกูลหยุนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ทั้งขยะมูลฝอย และสิ่งปฏิกูลมากมายถูกโยนเข้ามาใส่บ้าน ทั้งพ่อแม่และภรรยาของหลินหยุนต่างเดือดร้อนกันอย่างหนัก บริษัทในเครือถูกบุกทุบตีจนพังยับเยิน

ตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่เกิดเรื่องเช่นนี้ ทางผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์รวมตัวเพื่อประท้วงอละเรียกร้องสินไหมทดแทนจากบริษัทได้

บนอินเตอร์เน็ตและสื่อโซเซียล มีคนตั้งกระทู้รับจ้างทนายความมือดี มาช่วยให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาและยื่งคำร้องเรื่องดังกล่าวต่อศาล

ถึงหลินหยุนจะเป็นคนก่อตั้งบริษัทขึ้นมากับมือ แต่บรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้ลงความเห็นกันแล้วว่า เขาไม่สมควรจะนั่งตำแหน่งประธานอีกต่อไปแล้ว

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เรียกประชุมบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดและคณะกรรมการบอร์ดบริหาร ท้ายที่สุดนี้มัติค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ให้ถอดถอนหลินหยุนออกจากตำแหน่งประธานบริษัท นอกจากนี้หลินหยุนเองจะต้องถูกบังคับให้ขายหุ้นทั้งหมดของบริษัทภายในเวลาสิบวันทำการ

หลินหยุนถูกจับเข้าคุกเพื่อรอศาลตัดสิน ระหว่างนั้นเองเขาก็ได้รับข่าวสารทั้งหมดที่เกอดขึ้น กล่าวได้ว่าแทบเป็นลมในห้องขัง

อย่างไรก็ตรมแต่ กฎหมายไม่เคยปราณีผู้กระทำความผิด และเขาจำต้องปฎิบัติตามกฎแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม

สิบวันต่อมาจ้าวเฉียนเดินทางทางมาเยี่ยมหลินหยุนถึงในห้องขัง

“แกมาทำไม? มาหัวเราะเยาะฉัน?”

หลินหยุนกล่าวน้ำเสียงดูโกรธเกรี้ยวไม่น้อย

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ประธาน…อุ๊บไม่สิ! คุณหลิน อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ วันนี้ผมมาหาคุณเพราะเจตนาดีนะ ทำไมถึงพูดแบบนี้กับผมแล้วล่ะ?”

หลินหยุดกัดฟันดังกรอด คำรามเสียงโตขึ้นลั่น

“แกอย่ามาอวดดีต่อหน้าฉัน! คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่า ทำไมเป็นฝีมือของใคร? ฉันประเมินแกต่ำไปจริงๆ กระทั่งสื่อหลักทุกช่องแกก็ยังสามารถควบคุมได้ นี่แกเป็นใครกันแน่!?”

จ้าวเฉียนอดยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า

“คุณหลินประเมินผมสูงเกินไปแล้ว ฉันจะไปมีเส้นสายขนาดนั้นได้ยังไง? ที่ผมจะมาบอกวันนี้ก็คือ…ไม่สิ ต้องเรียกว่า…ผมแจ้งข่าวกับคุณในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทจินหยวน ณ ปัจจุบัน ทุกอย่างที่คุณสร้างมากับมือ…มัน เป็น ของ ผม แล้ว!!”

หลินหยุนบีบมือจับลูกกรงแน่นจนแดงก่ำ ดวงตาของเขาราวกับปีศาจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอาฆาต เขาจ้องเขม็งมองจ้าวเฉียนอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปบีบคอจ้าวเฉียนอย่างแรง!

“กูจะฆ่ามึง!! กูจะฆ่ามึง!!!”

ตำรวจเฝ้าห้องขังเก็นแบบรนั้นก็รีบจับหลินหยุนแยกออกกับจ้าวเฉียน และยุติการเยี่ยมนักโทษทันที

จ้าวเฉียนเดินจากโรงพักออกมา และโทรหาหยางหมิงทันที

หยางหมิงในปัจจุบันราวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ช่วงเวลาที่ผ่านมาถือเป็นจุดเลวร้ายที่สุดในชีวิต เขาไม่คิดไม่ฝันแม้สักนิกว่า จ้าวเฉียนจะเอาจริงถึงพริกถึงขิงขนาดนี้ โดยการฆ่าตระกูลหลินทั้งเป็น กล่าวได้ว่านรกบนดินของแท้ พอเห็นจ้าวเฉียนโทรมาหา เขาสะดุ้งทันทีด้วยความหวาดวิตก

ถึงแบบนั้นหยางหมิงไม่มีทางพ้นจากความจริงไปได้ จึงทำได้แค่กดรับสายโทรศัพท์ และเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนว่า

“นาย…นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”

“แหม…นายน้อยหยางครับ คำแรกก็ทักทายกันแบบนี้แล้ว? แค่คิดถึงเลยอยากโทรหาเฉยๆครับ หุหุ…แล้วช่วงนี้นายน้อยหยางสบายดีไหม?”

หยางหมิงแทบร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งภายในใจ น้ำเสียงของจ้าวเฉียนมันสดใสเสียเหลือเกิน

หยางหมิงไม่ต้องการสนทนากับจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว เพราะเขารู้สึกอึดอัดเต็มทนจึงเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“อย่ามพูดจาเหลวไหล! ถ้าไม่มีอะไรแล้ว แค่นี้แหละ…”

รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเฉียนค่อยๆจางหายไปในทันใด น้ำเสียงแสนสงบนิ่งจนดูน่ากลัวเปล่งดังขึ้นว่า

“ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะถามคุณหน่อยว่า ยังจำข้อตกลงระหว่างผมกับคุณได้อยู่ไหม?”

หยางหมิงอุทานขึ้นด้วยความตกใจทันที

“ข้อ…ข้อตกลงอะไรอีก?”

จ้าวเฉียนไม่พอใจเท่าไหร่นักเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหยางหมิงเป็นแบบนี้ เขาเอ่ยตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรคึรับ ดูเหมือนว่านายน้อยหยางจะเป็นพวก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าสร้างปัญหาให้ผมอีก ดูท่าจะไม่ฟังคำเตือนผมเลยนะ”

หยางหมิงนึกออกทันทีว่าเรื่องอะไร พลางใจชื้อขึ้นมาทันที

“ได้! งั้นฉันจะรอดูว่านายจะทำอะไรฉันได้บ้าง! ฮ่าฮ่า…”

“โอ๊ะ? ดูเหมือนจะจำได้แล้ว ไม่กลัวรูปถ่ายกับคลิปวีดีโอของสองสตีมเมอร์ชื่อดังในมือผมแล้วสินะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้น

“ฮ่าฮ่า…ทางเฟยอวี่ของเรายกเลิกสัญญากับสตีมเมอร์สองคนนั้นไปแล้ว และพวกเขาไม่ถือว่าเป็นคนของแพลตฟอร์มเฟยอวี่อีกต่อไป! ต่อให้นายจะใช้พวกสื่อหลักปล่อยภาพและคลิปพวกนั้นออกไป มันก็ไม่กระทบพวกเราเท่าไหร่ ก็ดีเหมือนกันนะที่จะมีข่าวฉาว ทางเราจะได้ใช้โอกาสนี้บอกกับทุกคนไปเลยว่า แพลตฟอร์มเฟยอวี่ของเราตอนนี้ขาวสะอสดแล้ว! ฮ่าฮะ-….”

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ….”

ยังไม่ทันที่หยางหมิงจะได้หัวเราะ กลับเป็นฝ่ายจ้าวเฉียนที่ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นแทรกออกมา และจู่ๆสายก็ถูกตัดไปทันที

จ้าวเฉียนกดตัดสายทิ้งพลางแสยะยิ้มฉีกกว้างในทันใด ถึงคิวชำระแค้นกับเฟยอวี่แล้ว

จ้าวเฉียนโทรหาประธานบริษัทภาพยนตร์ในเครือของจ้าวฝู่ต่อโดยเร็ว

“หนังที่นำแสดงโดยสตีมเมอร์สองคนนั้นจาค่ายเฟยอวี่ เข้าฉายวันไหน?”

“วันที่หนึ่งเดือนหน้าครับ เหลือเวลาอีกห้าวัน”

ประธานบริษัทภาพยนตร์กล่าวตอบไปตามจริง

“เดี๋ยวฉันจะนำข่าวฉาวของสองคนนั้นเผยแพร่ออกไป ทั้งเรื่องมัวเซ็กกับติดยา หลังจากนั้นนายเตรียมฟ้องเฟยอวี่ได้เลย เอาให้หนัก!”

ประธานที่ได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกมึนงงอย่างยิ่ง เขารีบตอบกลับไปว่า

“คุณชายจ้าว แต่หนังเรื่องนี้ทางเราทุ้มทุนไปกว่า300ล้านนะครับ ถ้าทางกรมควบคุมภาพยนตร์รับทราบข่าวดังนี้ พวกเราไม่มีโอกาสฉายแน่นอน”

แค่300ล้าน จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แถมนอกจากนี้ทางบริษัทภาพยนตร์เองก็ยังสามารถเรียกร้อยค่าเสียหายจากเฟยอสี่และนักแสดงนำทั้งสองได้อีกโดยไม่ต้องมีทุนใดๆ แค่เสียเวลานิดหน่อยเท่านั้น

“ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่สบายใจเรื่องนี้เดี๋ยวผมจ่ายให้เป็นการส่วนตัว ตอนนี้ผมกำลังคุยกับทาฉวาหยินกรุ๊ป พวกเรามีโปรเจคจะสร้างหนังแนวรถแข่งอารมณ์แนว fast and furious เวอร์ชั่นจีนน่ะ ผมจะให้คุณเข้ามาจัดการเองในเวลานั้น รับรองได้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องโกนกำไรได้อย่างมหาศาล”

พอได้ยินจ้าวเฉียนกล่าวยืนยันแบบนั้น ประธานคนดังกล่าวก็ไม่กล่าวค้านอะไรอีกเลย เขารีบตอบกลับไปทันทีว่า

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะแจ้งทนายดำเนินความทันที รอคุณชายจ้าวปล่อยข่าวฉาวครับ”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงพลางกดวางสายไปทันที และโทรสายต่อหาหยางหู่อีกรอบ

หยางหู่ช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่เช่นกัน เขาจำต้องจัดการเรื่องธุรกิจของตัวเองและเรื่องของคุณชายจ้าวที่มอบหมายมาให้

ถึงแบบนั้นหยางหู่ก็ไม่รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิดใดๆ เพราะหลายสิ่งอย่างที่จ้าวเฉียนมอบให้แก่เขา มันก็มากเกินพอที่จะตอบแทนได้ไหว ในทางตรงข้าม เขารู้สึกมีความสุขเสียมากกว่าที่คุณชายจ้าวเลือกที่จะเชื่อใจและมอบหมายงานสำคัญๆให้แก่ตน

หยางหู่ยิ้มถามอย่างกระชับกระเชิงว่า

“ว่าไงครับคุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ครับ?”

“จำพวกคลิปกับรูปภาพของหวงต้าหมิงกับหลี่เสี่ยวปิงได้ไหม สตีมเมอร์สองคนนั้นของค่าเฟยอวี่น่ะ ฉันได้ยินมาว่าสองคนนั้นออกจากเฟยอวี่แล้ว และอีกห้าวันหนังที่พวกเขาแสดงก็กำลังจะฉสาย ถึงเวลาที่นายต้องดำเฟยอวี่ลงบ่อโคลนแล้ว”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด”

“โทษทีนะ ช่วงนี้ฉันใช้นายทำงานหนักๆทั้งนั้น ถ้าทุกอย่างเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันเลี้ยงดินเนอร์นายเอง”

หยางหู่รู้สึกปราบปลื้มใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ เขารับตอบกลับไปทันที

“คุณชายจ้าวสุภาพเกินไปแล้วครับ นี่เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำอยู่แล้ว ดังนั้นคุณชายอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ”

จ้าวเฉียนยิ้มกล่าวว่า

“นี่เป็นสิ่งที่นายควรได้แล้ว วันข้างหน้าฉันก็อยากได้คนที่ไว้ใจได้อย่างนายมาอยู่เคียงข้างนี่แหละ”

หยางหู่ทุบอกตัวเองกล่าวรับประกันกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“รับทราบครับ! คุณชายจ้าวรอฟังข่าวดีได้เลย ผมไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน!”

หลังจากวางสายไป หยางหู่ถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ผู้สืบทอดมหาเศรษฐีระดับประเทศอย่างจ้าวเฉียนถึงกับบอกเองว่า เขาต้องการคนที่ไว้ใจได้อย่างหยางหู่ นี่หมายความว่ายังไง? ในอนาคตต่อไปเมื่อคุณชายจ้าวเข้ามาสืบทอดธุรกิจ เขาอาจจะได้กลายมาเป็นมือขวาคนสำคัญของคุณชายจ้าว และได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญๆและความดีความชอบอีกมากมาย ดังนั้นแล้วเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินทองอีกตลอดชาติ

เช้าวันรุ่งขึ้น พาดหัวข่าวประเด็นร้อนแรงที่สุดของสื่อหลักทุกช่องและเว็บไซต์ทั้งหมดถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว และนี่ไม่ใช่ข่าวของหลินหยุนอีกต่อไป แต่เป็นข่าวของหวงต้าหมิงและหลี่เสี่ยวปิงแทน รวมไปถึงเรื่องราวดำมืดของแพลตฟอร์มเฟยอวี่

“ช็อกทั้งวงการ!! สตีมเมอร์ชื่อดัง หวงต้ามิงแอบเสพยาและมีสัมพันธ์สวาทกับไซด์ไลน์กว่ายี่สิบคนในคืนเดียว!”

“ฝันหวานของเหล่าชายหนุ่มต้องพังทลาย! หลี่เสี่ยวปิง สตีมเมอร์สาวสุดน่ารักของชายหลายคน ควงป๋าวัยกลางคนเข้าโรงแรมม่านรูด! จัดปาร์ตี้เสพยาร่วมกับหวงต้าหมิง พร้อมเซ็กหมู่สุดเร้าใจ!”

“นี่หมายความว่าอะไร?! แพลตฟอร์มชื่องดังเฟยอวี่ เผชิญหน้ากับคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่! โกงเงินค่าตัวของสตีมเมอร์ในสังกัด!”

“ข่าวฉาวล้นทะลักเกินปกปิด! เฟยอวี่กรุ๊ปถึงคราวซวย! เลี่ยงภาษีพร้อมแสดงข้อมูลเท็จต่อภาครัฐ! ทั้งข่าวฉาวของอดีตสตีมเมอร์ชื่อดังสังกัดแพลตฟอร์มเฟยอวี่ และข่าวดำมืดของบริษัทดังกล่าวที่ประโคมเข้ามาไม่หยุดหย่อน เรื่องราวเหล่านี้เข้ากระทบกับบริษัทแม่อย่างเฟยอวี่กรุ๊ปในท้ายที่สุด!”

….

จ้าวเฉียนกำลังรับประทานอาหารเช้าพลางปัดหน้าจออ่านข่าวร้อนแรงประจำวัน พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพึงพอใจ

หยางหู่ทำงานได้รวดเร็สทันใจดีมาก แถมเรื่องราวข่าวฉาวทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ตอนนี้กรมภาษีและกรรมการตรวจสอบทระพย์สินของภาครัฐได้ทำการเข้ามาตรวจสอบช่องทางการโอนเงินของเฟยอวี่กรุ๊ปอย่างจริงจังแล้ว กล่าวได้ว่า สองพ่อลูกตระกูลหยางถึงคราวชะตาขาด

“โอ้? สองพ่อลูกคู่นี้ทำเรื่องไว้ไม่น้อยเลยนี่หว่า… ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนหัวเราะพลางกล่าวกับตัวเองอย่างมีความสุข

แต่ทันใดนั้นเอง หยางหมิงก็โทรเข้ามาหา แต่จ้าวเฉียนกลับปฏิเสธที่จะรับสาย

ไม่กี่วินาทีต่อมา หยางหมิงโทรเข้าหาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้จ้าวเฉียนถึงกับตัดสายทิ้งอย่างไร้เยื้อใย

หยางหมิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งข้อความมาหาแทน

“รีบรับโทรศัพท์ฉันเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะหาคนแฮ็กแก!”

Related

ตอนที่197 ดูซิใครเร็วกว่า

เพื่อขจัดข้อสงสัยหลังตำรวจไต่สวนในภายหลัง หลินจือจำต้องมีพยานที่อยู่ เขาจงใจพาเพื่อนกลุ่มหนึ่งไปเที่ยวที่บาร์ ดังนั้นต่อให้ตำรวจบุกมาสอบสวนเขาถึงบ้าน ยังต้องกลัวอะไร?

ตามแผนที่วางไว้ คนที่จ้างวานจะต้องถึงโรงพยาบาลก่อนเที่ยงคืนและโทรรายงานหลินจือก่อนลงมือ แต่นี่มันก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้รับข้อความหรือสัญญาตอบรับใดๆ

หลืนจือเป็นกังวลเล็กน้อยจึงหันมาพูดกับหยางหมิงและคนอื่นๆว่า

“พวกนายตามสบายนะ เดี๋ยวฉันออกไปโทรศัพท์ก่อน”

หยางหมิงและคนอื่นๆพยักหน้า พลางดื่มสังสรรค์กันต่อไป

หลินจือเดินออกมานอกตัวบาร์หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดดูดอย่างเป็นกังวล แต่เสี้ยวอึดใจนั้นเอง เขากลับถูกกลุ่มชายนิรนามจับล็อกตัวและลากขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

“พวกมึงเป็นใครวะ? พวกมึงจะทำอะไรกู!!”

หลืนจือแหกปากตะโกนลั่น

แต่นี่เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว แทบไม่เหลือฝูงชนเดินผ่านไปมาบนท้องถนน และไม่มีใครทันสังเกตเห็น เขาถูกจับขึ้นรถ

รถแล่นออกไปจนสุดทางและหยุดลงตรงตรอกซอกซอยมืดปราศจากผู้คน หลืนจือตกใจกลัวสุดขีด เขารีบขอร้องอ้อนวอนชายนิรนามกลุ่มนั้นทันที

“อย่าฆ่าผมเลย อย่าฆ่าผมเลยครับ พ่อ…พ่อผมเป็นประธานบริษัทจินหยวน มีบริษัทลูกในเครือมากมาย ถ้าจับตัวมาเรียกค่าไถ่ บอกผมมาได้เลยครับ ผมจะโอนให้ตามต้องการเลย ได้โปรดอย่าฆ่าผม…”

กลุ่มชายนิรนามเหล่านี้ล้วนแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องหยางหู่ทันสิ้น พวกเขาเคยเป็นถึงกองกำลังจากหน่วยรบพิเศษ เมื่อรับมอบหมายภารกิจ เป้าหมายคือลงมือฉับไวและบรรลุภารกิจโดยเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มาเสียเวลาต่อปากต่อคำกับหลินจือแน่นอน

ชายนิรนามคนหนึ่ง หยิบมีดพกขึ้นมาและเสียบไปที่ต้นขาของหลืนจืออย่างแรงชนิดปักลึกจนมิดด้าม

“อ๊ากกกก!!! อ๊ากกกก!!!…..”

เสียงกรีดร้องสุดแสนเวทนาของหลืนจือดังลั่นไม่หยุดจากภายในรถจนเหือดแห้ง เสียงคร่ำครวญยังคงดังต่อเนื่องกว่าสิบนาทีก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง

รถคันนั้นถอยหลังออกจากตรอกซอกซอย และเหวี่ยงร่างหมดสติของหลินจือกลับไปที่หน้าประตูบาร์ดังเดิม จากนั้นพวกเขาก็ขับรถหนีไปทางชานเมืองและเผาทั้งหมดเพื่อทำลายหลักฐาน

ช่วงประมาณตีสาม หยางหู่ส่งข้อความถึงจ้าวเฉียนว่า

“เรียบร้อยครับ”

จ้าวเฉียนเหลือบตาเอื้อมเปิดมือถือด้วยความมึนงง ก่อนจะหลับต่ออย่างไม่แยแส

ตอนประมาณเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังดูหนังอยู่ ตำรวจก็มาหาเพื่อสอบปากคำ

หลังจากจ้าวเฉียนได้ยินสิ่งที่ตำรวจอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดไป เขาก็แสร้งทำเป็นตกใจอย่างมากและรีบเอ่ยถามทันทีว่า หลินจือเป็นอะไรหรือเปล่า พอตำรวจถามว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุจ้าวเฉียนอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงเปิดกล้องวงจรปิดรอบบ้านให้ทางตำรวจดู สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าเขาไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรใดๆอีก คลิปจากกล้องวงจรปิดได้พิสูจน์แล้วว่า จ้าวเฉียนไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอดทั้งคืน ดังนั้นเขาไม่ใช่คนร้ายในคดีลอบทำร้ายหลินจืออย่างแน่นอน

ตำรวจทำการคัดลอกคลิปจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานและเดินทางออกไป และยังเตือนจ้าวเฉียนอีกด้วย ช่วงนี้เขาไม่อนุญาตให้ออกไปจากเมืองตงไห่ได้ มิฉะนั้นทางทีมสืบสวนอาจเพ็งเล็งมาที่ตัวจ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนยิ้มกล่าวไปว่า

“ไม่ต้องกังวลคนรับ ผมไม่ออกไปไหนอยู่แล้ว หรือถ้าคุณตำรวจมีหลักฐานอะไรที่เชื่อมโยงมาถึงผมจริง ก็มาจับผมได้ทุกเวลาเลย”

ไม่นานหลักจากตำรวจจากออกไป พ่อของหลินจือ หลินหยุนก็พาบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งเข้ามาหา

จ้าวเฉียนไม่เคยรู้จักหลินหยุนมาก่อน ทั้งนี้ก็ยังไม่ทราบอีกว่า บอดี้การ์ดที่พามาด้วยมีฝีมือขนาดไหน? ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมเปิดประตูรั้วหน้าคฤหาสน์ให้พวกเขาเข้ามาเป็นอันขาด

หลินหยุนกล่าวพร้อมสีหน้ามืดหม่นว่า

“แกใช่ไหมที่ทำร้ายลูกชายฉัน!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น พลางกล่าวตอบไปว่า

“คุณหลินกำลังใส่ร้ายผมอยู่งั้นเหรอ? ตำรวจก็เพิ่งได้หลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมไปเอง แล้วมากล่าวหากันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง? ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามตำรวจดูสิ!”

หลินหยุนเค้นน้พเสียงเย็นยะเยือกตอบกลับไปว่า

“อย่ามาเล่นลิ้นกันฉัน! ลูกชายฉันเพิ่งมีเรื่องกับแกเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าไม่ใช่แกแล้วยังเป็นใครได้อีก! ฉันยอมรับนะว่า ลูกชายของฉันค่อนข้างเอาแต่ใจ แต่กรณีในครั้งนี้มันเกินไปจริงๆ! ตัดขาของแกออกมา แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก! ไม่อย่างนั้นเตรียมตัวตาย!”

“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย….คุณหลินพยายามขู่ฆ่าผม! ผมกลัวจังเลย! สงสัยต้องโทรเรียกตำรวจหน่อยแล้ว!!”

จ้าวเฉียนเสแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสา กล่าวราวกับตัวเองกำลังหวาดกลัวอีกฝ่าย

หลินหยุนต้องการล้างแค้นให้แกลูกชายของเขา แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากเหมือนกัน

“ก็ลองโทรหาตำรวจดูสิ! แล้วมาดูกันว่าฉันจะกลัวไหม!! รีบๆตัดขาแกออกมาก่อนที่ฉันจะบุกไปฆ่าแกภายในนั้น!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราพซ้ำสองอย่างชอบอกชอบใจ

“ขามันก็ขาผม ถ้าคุณหลินมีปัญญาก็มาเองด้วยตัวเองสิครับ ฉันอยากจะบอกอะไรคุณสักอย่างนะ ลูกชายของคุณมันไม่อยู่ในสายตาผมด้วยซ้ำ ไม่แม้แต่มีคุณสมบัติพอให้เหลียวมองด้วยซ้ำ! ที่ต้องการขาผม จะเอาไปต่อให้ลูกของคุณแทนเหรอ? เหอะๆ ไม่ตายก็บุญแค่ไหนแล้วครับ คุณควรกลับไปสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าซะนะ”

หลินหยุนโกรธจัดจนแน่นหน้าอกหายใจติดขัด และคำรามลั่นด้วยความเดือดว่า

“แม้ลูกชายฉันจะพิการตลอดชีวิต แต่ฉันก็มีทั้งเงินและทุกอย่างเพรียบพร้อม มีปัญญาดูแลเขาได้! ฉันขอถามแกจริงๆเถอะ จิตใจทำด้วยอะไรทำไมถึงทำกับลูกชายฉันโหดเหี้ยมขนาดนี้! ขอบอกไว้ก่อน แกเตรียมตัวตายได้เลย! ไป! พวกเรากลับ!”

หลินหยุนจากออกไปทันทีพร้อมกับพวกบอดี้การ์ด

รอยยิ้มของจ้าวเฉียนจางหายไปทันใด ดวงตาคู่นั้นค่อยๆเย็นยะเยือกลงจนใครเห็นต้องสั่นสะท้านถึงขั้วหัวใจ

“อยากฆ่าฉันงั้นเหรอ? ฉันเองก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ฮิฮิ…งั้นเรามาดูกันว่าใครจะเร็วกว่า!”

จ้าวเฉียนกล่าวกับตัวเองพร้อมเสียงหัวเราะแสนร้ายกาจ

หลินหยุนเป็นประธานบริษัทจินหยวน หากเขาใช้อำนาจในมือย่อมสร้างปัญหาใหญ่ให้อีกฝ่ายได้ไม่ยาก

แผนการแรกของเขาคือ จ้าวเฉียนจะบีบให้หลินหยุนหลุดออกจากตำแหน่งประธานบริษัท จากนั้นทุกอย่างมันจะยิ่งง่ายลงไปอีก

ด้านความปลอดภัยของตัวคฤหาสน์ของจ้าวเฉียนมาเป็นที่หนึ่ง ทั่วบริเวณตั้งแต่หน้ายันหลังบ้าน มีกล้องวงกรปิดติดตั้งพร้อมกับตัวบันทึกเสียงพร้อม

จ้าวเฉียนคัดลอกคลิปกล้องวงจรปิดหน้าบ้านขณะที่หลินหยุนพากลุ่มบอดี้การ์ดมาข่มขู่เขาทั้งหมด จากนั้นก็โทรหาหยางหู่โดยไว

“เสี่ยวหู่ มาหาฉันที่บ้านหน่อย มีเรื่องแล้ว”

“โอเคครับ ผมจะรับไปทันที”

หยางหู่รีบขับรถไปหา พอถึงบ้านจ้าวเฉียนก็มอบUSBที่รวบรวมคลิปกล้องวงจรปิดทั้งหมดให้พร้อมกล่าวว่า

“ช่วยกระจายคลิปพวกนี้ไปยังเว็บไซต์และสื่อทั้งหมด จะยิงเป็นโฆษณาด้วยเลยก็ยิ่งดี”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะลงมือเดี๋ยวนี้เลย”

หลังจากหยางหู่จากไป จ้าวเฉียนก็โทรหาหวู่เทียนจือ ประธานบริษัทฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์

หวู่เทียนจือรู้สึกตื่นเต้นเกินจะควบคุม นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายจ้าว ลูกชายของคุณจ้าวฝู่โทรมาหาเป็นการส่วนตัว และไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรถึงโทรมาหา

“สวัสดีครับคุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ครับผม!”

หวู่เทียนจือรีบเอ่ยปากทักทายอย่างสุภาพ

“ผมอยากให้คุณไปกว่านซื้อหุ้นของบริษัทจินหยวนให้มากที่สุด ฉันสั่งให้หยางหู่ไปปล่อยข่าวเสียในสื่อทั้งหมดแล้ว ใช้โอกาสที่ราคาหุ้นตกตอนนี้ ซื้อมาโดยเร็ว ผมต้องการให้คุฯกลายไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แทนหลินหยุน คงรู้ใช่ไหมครับว่าควรจัดการยังไงต่อ?”

จ้าวเฉียนสั่งการเสร็จสรรพ

หวู่เทียนจือรีบตอบรับสั่งโดยเร็ว

“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะขึ้นกลายไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของจินหยวนเอง ผมจะลงมือทันทีครับ เตรียมช้อนหุ้นราคาต่ำที่สุด”

“หวังว่าจะได้รับข่าวดีจากคุณในอีกไม่ช้านะครับ อ่อ…แล้วก็ระหว่างนี้ ช่วยโอนหุ้นทั้งหมดของเหล่ยอู่มาในนามของฉันที”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับสั่งการเลขาให้ดำเนินการทันที ทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดครับ คุณชายจ้าวไม่ต้องห่วงนะครับ เตรียมรอฟังข่าวดีจากผมได้เลย!”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงวางสายทิ้ง ท่าทีดูพึงพอใจ

สามวันต่อมา หยางหู่ทำการลงคลิปข่มขู่ของหลินหยุนออกไป ผ่านการสื่อและเว็บไซด์ทั้งหมดที่อยู่ในเครือของจ้าวฝู่

เช้าวันรุ่นขึ้น พาดหัวข่าวประเด็นร้อนแรนที่สุดคงหนีไม่พ้นข่าวฉาวของหลินหยุน

“หลินหยุน ประธานบริษัทจินหยวนพากลุ่มชายอันตพานข่มขู่ชายหนุ่มถึงหน้าบ้าน”

“หลินหยุน ประธานบริษัทจินหยวน มีสัมพันธ์สวาทกับหญิงขายบริการนับหลายสิบคน ในรายงานกล่าวว่า เขาแอบมีลูกนอกกฏหมายกับสาวเหล่านั้นอีกจำนวนหนึ่ง”

“สะเทือนวงการ! หลินหยุน ประธานบริษัทจินหยวน แอบปกปิดบัญชีบริษัท คอรัปชั่นเงินบริษัทกว่าพันล้าน!”

“หุ้นบริษัทจินหยวนตกฮวบนับสิบจุดในชั่ววัน! ประธานบริษัทดังกล่าววางแผนกับฝ่ายบัญชีร่วมกันฉ่อโกง เงินหายไปจากระบบอย่างไร้สาเหตุ!”

………

ข่าวด้านลบกระหน่ำเข้ามาท่วมท้น หุ้นของบริษัทจินหยวนร่วงทะลุแนวรับ ดิ่งต่ำสุดในประวัติการณ์

เมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับแรกกดดันจากผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการบอร์ดบริหาร ทั้งยังความเห็นต่างๆนาๆของสาธารณชน หลินหยุนจึงจำเป้นต้องตั้งโต๊ะแถลงการณ์โดยด่วน

“ประธานหลินครับ จริงหรือไม่ที่คุณฉ่อโกงเงินบริษัทไปกว่าพันล้าน?”

หลินหยุนรีบตอบทันทีว่า

“ไม่ใช่อย่างที่ข่าวใส่ร้ายเลยครับ บริษัทของเราดำเนินการภายใต้กฎหมายของประเทศ แล้วผมจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง?”

“ประธานหลินค่ะ งั้นช่วยอธิบายหลักฐานการสนทนากับหัวหน้าฝ่ายบัญชีได้ไหมค่ะ ภายในข่าวมีทั้งรูปถ่ายที่พวกคุณออกไปรับประทานอาหารกันส่วนตัว รวมไปถึงข้อความ ทั้งยังบัญชีที่ปิดไม่ตรงงบรายรับรายจ่าย แต่กลับมีการแต่งเติมบัญชีเพื่อปิดบังภาครัฐ?”

หลินหยุนกระวนกระวายใจเกินจะหักห้าม เขารีบปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากออกไป และเอ่ยตอบพร้อมน้ำเสียงโดยชอบธรรมว่า

“ทั้งหมดเป็นข่าวลือ! พวกสื่อมันสร้างหลักฐานขึ้นมาเอง! หลังจากนี้ผมจะเดินหน้าฟ้องสื่อทุกช่องทาง ขอให้ทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายนะครับ”

…..

นักข่าวพวกนั้นยังไม่ยอมแพ้และยังยิงคำถามออกไปอีกหลายสิบข้อ ซึ่งหลิยหยุนก็ปฏิเสธทั้งหมดโดยบอกว่ามันไม่เป็นความจริง

ในเวลาเดียวกัน ทางจินหยวนเองก็ขอให้สื่อทั้งหมดลบข่าวเท็พวกนี้ทิ้งไปซะ ทั้งยังเสนอเงินอีกว่าพวกเขาต้องการเท่าไหร่ถึงจะยอม

หรือนี่เป็นคำสั่งของจ้าวเฉียน? ไอ้เด็กนี่มันมีเส้นสายเยอะขนาดนี้เชียว?

แต่ข่าวฉาวยังคงพุดขึ้นราวกับดอกเห็ด หยางหู่ยังคงปล่อยข่าวพวกนี้ออกไปเรื่อยๆ ทั้งยังสั่งการให้ลูกน้องไปขุดมาเพิ่มอีก จนท้ายที่สุดกรมการกำกับหลักทรัพย์ หรือกลต.ของประเทศจีนไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีก และส่งจดหมายเปิดผนึกเข้าทำการตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินทั้งหมดของหลินหยุน และบริษัทจินหยวนโดยตรง

Related

ตอนที่196 ลงมือพร้อมกัน

หลืนจือกับคนอื่นๆลงลิฟต์ไปด้วยความประหลาดใจไม่เสือมคลาย

“พี่หลิน นี่หมายความว่ายังไง ไอ้เวรนั้นหนีออกมาได้ยังไงกัน? ไม่ใช่ว่าพี่สาวของพี่เก่งนักหเก่งหนาเหรอ?”

“ไอ้เวรนั่นมากับตำรวจด้วย! พวกเราไม่กลัวตำรวจหรอกนะ แต่ถ้าที่บ้านของพวกเรารู้เรื่องเข้า…”

“พี่หลิน รีบโทรหาพี่สาวก่อนเลย ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

หลืนจือไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบมือถือโทรหาหลิยหยิงทันที

หลินหยิงที่รับเงินของจ้าวเฉียนมาแล้ว ก็วิตกอย่างมากว่าหลินจือจะแก้แค้นเธอกลับ ดังนั้นเธอจึงคิดแผนหลบซ่อนตัวทันที แน่นอนว่าโทรศัพท์มือถือของเธอเองก็ปิดเครื่องเช่นกัน เพื่อเลี่ยงไม่ให้หลินจือพบเธอ

หลินจือโทรไปหลายสิบสายก็ไม่ติดสักที เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองคู่มือกำหมัดกระชับแน่น กทุบกำแพงไม่หยุดด้วยความเกรี้ยวโกรธ

“ไอ้บัดซบ! มึงกล้าหักหลังกูใช่ไหม?! รอเดี๋ยวก่อน! อย่าคิดว่าฉันจะหามึงไม่เจอ!”

บรรดาเพื่อนฝูงรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน หลินหยิงจะต้องโดนจ้าวเฉียนซื้อไปแล้วอย่างแน่นอน

“พี่หลิน แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี? ถ้านังนั้นบอกแผนการทั้งหมดของเราไป ไอ้จ้าวเฉียนต้องเอาเราคืนแน่นอน ฉันนคิดว่าเป็นการดีกว่านะ ถ้ารีบจ้างคนมาเก็บมันทิ้งซะ”

หยางหมิงกล่าวเสนอแนะไปทันที

หลินจือระเบิดหัวเราะเสียงดัง เอ่ยตอบไปว่า

“ต้องถึงขั้นจ้างฆ่า? ประเมินมันสูงเกินไปแล้ว! เรื่องที่เกิดขึ้นก็แค่เล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจ้างคนให้เหนื่อย แค่ทำตามแผนของเราคืนนี้ก็พอ ถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราโหดร้ายแล้วกัน!”

คนอื่นๆต่างพยักหน้าเห็นด้วยและเดินออกจากโรงพยาบาลทันที

ในอีกด้านหนึ่ง อู่เลอก็กำลังเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แก่จ้าวเฉียนฟัง

“บอส หลินจือมันพยายามจะซื้อใจผม แต่ผมปฏิเสธมันไป มันจึงหลุดปากมาว่า ครั้งนี้อยากพิการถาวรใช่ไหม นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า คนที่จ้างกลุ่มอันตธานมาทำร้ายผมคือมันนี่แหละ เราสามารถเอาผิดกับพวกมันได้ไหม?”

แต่จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์

“ถ้าไม่มีหลักฐานก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเอง หน้าที่ในตอนนี้ของนายคือ รักษาบาดแผลและฟื้นกลับมาโดยเร็วที่สุด งานแข่งในครั้งนี้สำคัญสำหรับนายมากนะ ฉันจะออกไปคุยกับทางโรงพยาบาลสักหน่อย นับแต่นี้จะมีแค่ฉัน น้องสาวและพ่อของนายเท่านั้นที่จะสามารถเข้าเยี่ยมได้ นอกจากนี้ห้ามเด็ดขาด”

อู่เลอพยักหน้าตอบและเหม่อมองจ้าวเฉียนเดินลับสายตาออกไปอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

ทันทีที่เดินออกมา หวานเจียงก็พูดแซะขึ้นลอยๆว่า

“เฮ้ออ…ฉันอุตสาห์มาช่วยเพราะเป็นห่วงแท้ๆ แต่กลับเห็นนังนั่นสำคัญกว่า…”

หวานเจียงโกรธมากที่จ้าวเฉียนไม่ยอมให้ตำรวจจับหลินหยิงไปในตอนนั้น เธอกล่าวต่อว่า

“สงสัยคงติดใจลีลานังนั่นล่ะสินะ… อืมม…นังนั่นหน้าตาก็ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนไหนคงยกโทษให้เธอได้แบบง่ายๆทั้งนั้น!”

จ้าวเฉียนพาหวานเจียงมาคุย ณ มุมหนึ่งปราศจากผู้คน

“นี่ฉันคิดว่า เธอจะเข้าใจสิ่งที่หมายถึงไปแล้วสักอีก? สรุปว่าเธอไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม? อย่างแรกนะ ที่ฉันยอมไปส่งเธอที่บ้านก็เพราะต้องการจะรู้ว่าเธอมีจุดประสงค์ยังไงกันแน่ แล้วก่อนที่เธอจะพาตำรวจเข้ามา ฉันก็รู้แล้วว่าเธอถูกหลืนจือซื้อด้วยเงินเท่านั้น ที่จริงเธอไม่มีเจตนาร้ายเลย”

หวานเจียงเบาะปากขยับปากงุมงามเชิงล้อเลียนจ้าวเฉียน และเอ่ยตอบสั้นๆแค่ว่า

“แก้ตัวต่อไปเถอะ!”

“ฉันไม่ได้แก้ตัว ทั้งหมดเป็นความจริง ระหว่างที่โดนจับตัวฉันก็พยายามเกลี้ยกล่อมเธอจนยอมช่วย ก่อนหน้าเธอได้รับคำสั่งจากหลินจือเพื่อยั่วยวนฉัน แถมเธอก็รู้ว่าศัตรูฉันเยอะแค่ไหน แล้วเธอที่พาตำรวจบุกเข้ามาในบ้าน นี่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเธอน่าจะเข้าใจความหมายที่ฉันสื่อไปที่สุด!”

จ้าวเฉียนพยายามอธิบายต่อ

หวานเจียงไม่รู้เลยว่าจ้าวเฉียนพูดจริงหรือกำลังโกหกเธอ คล้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ตอบไปว่า

“ที่ฉันเข้าใจเพราะ นายจงใจเน้นเสียงคำว่า‘พยาบาล’ ทำให้พลันนึกถึงนังร่านที่มายุ่งกันนายนี่ไง! ฉันก็เลยรีบติดต่อไปที่โรงพยาบาล ถามเพื่อนร่วมงานนังนั่นว่า บ้านอยู่ที่ไหน และโทรแจ้งตำวรจทันที ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งนายพูดไปจะจริงหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆคือ…ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเธอคงแนบแน่นกันมาก! ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยเธอลอยนวลไปทั้งแบบนั้น!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า

“แล้วเธอต้องการให้ฉันทำยังไง? ฉันยอมทำทุกอย่างถ้าจะทำให้เธอหายโกรธ เอาหุ้นส่วนบริษัทฉันเพิ่มไหมล่ะ?”

จ้าวเฉียนรู้ดี เธอต้องการทวงความยุติธรรมของเธอกลับคืนมา แต่เขากลับคิดผิด เธอไม่ได้ขออะไรทั้งสิ้นในครั้งนี้

“ไม่ ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นแหละ แต่จำเอาไว้ให้ดีนะ นี่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย! ถ้านายยังกล้ามีสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้หญิงคนไหนอีกในอนาคต นายเตรียมตัวตายได้เลย! ฉันจะเป็นคนฆ่านายด้วยมือคู่นี้นี่แหละ!!”

เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของหวานเจียง จ้าวเฉียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าครั้งนี้เธอเอาจริง ทำเอาเขาอดหัวเราะไม่ได้พลางตอบไปว่า

“อย่าห่วงไปเลยน่า เรื่องในวันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแน่นอน แต่ฉันขอถามอะไรหน่อยเถอะ ทำไมเธอต้องจริงจังขนาดนั้น? หรือว่า…ตกหลุมรักผมเข้าแล้วจริงๆ?”

สีหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนไปทันที เธอดูลุกลี้ลุกลนผิดธรรมชาติแตกต่างจากทั่วไป เธอส่ายหัวรัวเถียงตอบกลับไปทันที

“บ้า! ไร้สาระ! ฉันแค่กลัวว่าผลเดิมพันจะไม่แน่นอนเฉยๆ ถ้าเกิดนายชนะเข้าจริง แล้วฉันจะจำใจแต่งงานกับนายลงได้ยัง? ถ้า…ถ้านายผ่านมือผู้หญิงอื่นมาแล้ว…ก็เลย…ก็เลย… เหอะ! นายนี่มัน!! ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว! ขอตัว!”

หวานเจียงสะบัดหน้าหนีเดินลงลิฟต์ไปทันทีโดยไม่แม้แต่เหลียวหลังมองจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ก่อนจะหันซ้ายหันขวา พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงโทรหาหยางหู่ทันที

“ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าเป็นพวกหลืนจือที่ทำร้ายอู่เลอ สั่งสอนหลืนจือให้ฉันทีคืนนี้ ทรมานมันให้หนัก ขอแค่อย่าทำให้มันตายก็พอ จะจัดการยังไงตามสะดวกนายเลย”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าไม่ต้องตรวจสอบแล้วก็เข้าทางเลยครับ เตรียมรอฟังข่าวดีได้เลย!”

จ้าวเฉียนกดวางสายไป และขับรถกลับบ้านอย่างรวดเร็ว

แต่ทันทีที่มาถึงบ้าน เขาก็ต้องประหลาดใจที่จู่ๆหลินหยิงก็โทรเข้ามา

“นี่เธอ เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเฉียนเปิดกระจกรถตะโกนถามทันที

หลินหยิงตอบไปตามตรงว่า

“มีสองเรื่อง หนึ่งคือตอนนี้ฉันไม่เหลือที่ไปแล้ว นายต้องหาสถานที่ปลอดภัยให้ฉันพักพิง และสอง ฉันถอนเงินมาแล้วสามล้านที่นายให้มา ดังนั้นฉันจะบอกข้อมูลเพิ่มเติมให้ หลืนจือยังมีอีกแผนการหนึ่งก็คือ คืนนี้เขาจะจ้างคนมาแอบวางยาในเครื่องดื่มของอู่เลอ”

แม้ว่าหลินหยิงจะได้เงินสามล้านจากจ้าวเฉียนมาแล้วจริงๆ แต่ยังไงเธอก็ยังต้องการช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุด และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เธอไม่เหลือที่ปลอดภัยให้หลบซ่อนแล้ว

“ตกลง ฉันจะส่งที่อยู่ฉันไปให้ แต่ขอถามอะไรสักอย่างเถอะ หลืนจือมันจ่ายเธอมาเท่าไหร่กันแน่?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

หลินหยิงตอบกลับไปทันทีโดยไม่มีปิดบังใดๆ

“สามแสน”

จ้าวเฉียนแทบระเบิดอารมณ์ใส่ทันทีที่ได้ยิน

“สามแสน! มันให้เงินเธอแค่สามแสน แต่ฉันให้เงินเธอไปตั้งสามล้าน! โอ้ คุ้มเลยหนิคราวนี้?”

หลินหยิงคลี่ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า

“ก็นายทั้งจูบทั้งลวนลามฉัน ถือซะว่าเป็นค่าตัวแล้วกัน อีกอย่างนายก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่า แค่สามล้านขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกจริงไหม?”

จ้าวเฉียนกดวางสายไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนส่งที่อยู่บ้านตัวเองให้หลินหยิง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลินหยิงมาถึงที่บ้านของจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนพาเธอเข้าไปในตัวบ้านและกล่าวว่า

“เธออยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน หลังจากฉันจัดการหลืนจือเรียบร้อย เธอคอยออกนะ”

ขึ้นชื่อว่าบ้านจ้าวเฉียน จะเป็นแค่บ้านหลังเล็กๆได้อย่างไร? แม้แต่หลินหยิงยังไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า บ้านของจ้าวเฉียนจะเป็นคฤหาสน์หรูปานนี้ กล่าวได้เลยว่า ชั่วชีวิตนี้นับเป็นบุญแล้วที่ได้นอนในคฤหาสน์หรูหรา

เธอยิ้มหวานตอบไปทันทีว่า

“ไม่มีปัญหา ฉันขอสำรวจตัวบ้านหน่อยนะ!”

จากนั้นหลินหยิงก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างมีความสุข เพื่อสำรวจตัวคฤหาสน์และเลือกห้องนอน

จ้าวเฉียนไม่มีเวลามานั่งดูแลเธอในตอนนี้ ปัจจุบันเรื่องจัดการหลืนจือสำคัญที่สุด

ในช้ายามราตรีก็มาถึง หลินจือส่งคนที่จ้างวานมาเดินทางไปที่โรงพยาบาลทันทีอย่างเงียบงัน

ระหว่างนั้นเองหยางหู่ก็แก้เกมโดยการส่งลูกน้องมีฝีมือจำนวนหนึ่งไปเฝ้าหน้าประตูห้องของอู่เลอ ทันทีที่มีคนร้ายเข้ามา เตรียมตัวพิการกลับไปได้เลย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หยางหู่ก็ส่งลูกน้องอีกกลุ่มหนึ่งไปจัดการกับหลินจือ เขาจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายจากจ้าวเฉียนให้สิ้นเสร็จภายในคืนนี้

Related

ตอนที่195 ซื้อใจ

จ้าวเฉียนไม่รู้ว่า คาราเต้สายดำแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด แต่ถึงยังไงเขาก็เคยเป็นถึงศิษย์ของวัดเส้าหลิน เมื่อตอนยังเด็ก เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาไม่น้อย และสิ่งหนึ่งในคำสอนคือ อย่าเพิ่งตัดสินว่าแพ้ถ้าหากคุณยังไม่ได้พยายามลองดู

จ้าวเฉียนย่างเท้าออกไปสองก้าวขึ้นเผชิญหน้า แต่หลินหยิงไม่แม้แต่จะลืมตามอง พลางกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า

“ถ้าเข้ามาใกล้อีกแค่ก้าวเดียว นายกระเด็นแน่!”

จ้าวเฉียนชะงักเล็กน้อย ภายในใจยังกลัวเกรงอยู่บ้าง และที่กลัวมิใช่ว่าตนเองจะบาเจ็บ แต่กลัวว่าอาการบาดเจ็บดังกล่าวจะส่งผลทำให้เขาหนีออกไปจากที่นี่ได้ช้าลง ถ้าหากเป็นแบบนั้นเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่า หลินจือกับคนอื่นๆกำลังวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่

โดยไม่พูดไม่จาอันใด จ้าวเฉียนพุ่งไปหาหลินหยิงในพริบตา

“หึ!”

หลินหยิงกรนเสียงดุ กระโดดขึ้นเก้าอี้ตะลังกาหมุนตัวเตะทันที

นี่มันความสามารถระดับปรมาจารย์อย่างแท้จริง แล้วจะต่อกรได้อย่างไร? จ้าวเฉียนถูกน็อคในคราวเดียว!

หลินหยิงกลับไปนั่งเก้าอี้ท่าเดิมและสบถน้ำเสียงเย็นใส่ว่า

“อย่าคิดลองดี ฉันเป็นถึงแชมป์คาราเต้ระดับเอเชีย อยู่นิ่งๆรอจนกว่าหลินจือจะโทรบอกฉัน ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่นายไม่สร้างปัญหาให้ฉัน ฉันก็ไม่ทำร้ายนายหรอกนะ”

จ้าวเฉียนกยกมือกุมศีรษะ ค่อยๆลุกขึ้นพลางกล่าวว่า

“คุณพยาบาล ลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้วเหรอ? ตอนนั้นเราเกือบได้กันแล้วนะ?”

หลินหยิงหัวเราะคิกคักกล่าวตอบไปว่า

“นายฝันไปเถอะ ทั้งหมดก็เพื่อหลอกล่อนายเท่านั้น แค่ว่ามันไม่เป็นไปตามแผน เอาเถอะนะ นายเองก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร หลังจากเรื่องในวันนี้ ก็ถือว่าเราไม่มีอะไรโกรธเคืองแล้วกันนะ”

จ้าวเฉียนรีบตอบกลับทันที

“ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราถือว่ายังดีอยู่ หลังจากเรื่องในวันนี้ผ่านพ้นไป เธอเลือกเวลากับสถานที่มาได้เลย เดี๋ยวฉันพาเธอไปเดทเองว่าไง? ขนาดตอนนี้เราเป็นศัตรูกัน เธอยังพูดดีกับฉันเลยนะ ที่จริงเธอก็มีใจให้ฉันจริงไหม? แล้วทำไมยังทำตามคำสั่งของหลินจืออยู่อีก?”

หลินหยิงเพียงนั่งอมยิ้ม เธอหลับตาลงและไม่พูดอะไรอีกเลย จากนั้นไม่ว่าจ้าวเฉียนจะพูดยังไง เธอก็เอาแต่เพิกเฉย

ในเมื่อเอาชนะด้วยกำลังไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีอื่นเท่านั้น

เมื่อกี้หลินจือพูดเองว่า หลินหยิงเป็นพี่สาวแต่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ดังนั้นเธอไม่มีทางช่วยอีกฝ่ายโดยปราศจากข้อแม้แน่นอน

“หลินจือคงซื้อใจเธอด้วยเงิน ฉันพูดถูกไหม? คิดว่าฉันจะทำแบบเขาไม่ได้เหรอ?”

จ้าวเฉียนคิดและตัดสินใจลงมือทันที เขาหยิบสมุดเช็คขึ้นมาและเซ็นใบหนึ่งจำนวนหนึ่งล้าน ฉีกออกมาวางบนพื้นต่อหน้าหลินหยิง

“นี่เช็คจำนวนหนึ่งล้าน พอไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

หลินหยิงยังคงหลับตาไม่แยแส

ในเมืองตงไห่แห่งนี้ แค่ล้านเดียวยังซื้อห้องขนาด21ตารางเมตรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และมันนยังไม่น่าสนใจพอ

จ้าวเฉียนเซ็นเช็คอีกสองใบมาเพิ่มให้ทันที รวมทั้งหมดเป็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านจำนวนสามใบตรงหน้าเธอ

“สามล้านล่ะ?”

หลินหยิงหรี่ตาเล็กน้อย มองไปยังเช็คทั้งสามใบบนพื้น คล้อยลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง เธอก็หยิบพวกมันขึ้นมาดูและเอ่ยถามว่า

“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเช็คนี้เป็นของจริง?”

“คนที่สามารถพาเธอไปทานอาหารบนชั้นเจ็ดของโรงแรมตงไห่ได้ คิดว่าแค่สามล้านขนหน้าแข้งจะร่วงไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามสวนกลับไปทันที

หลินหยิงจ้องจ้าวเฉียนตาเขม็งอยู่สักพัก เธอพยักหน้าตอบเบาๆและกล่าวว่า

“ตกลง ฉันได้เงิน นายได้อิสระ แต่ยังไงฉันก็ยังมีข้อแม้นะ นายต้องรับประกันความปลอดภัยให้ฉันหลังจากนี้ นายก็น่าจะรู้ดีว่า พวกเพื่อนๆของหลินจือไม่ใช่คนธรรมดา ถ้านายไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้ฉันได้ ต่อให้สิบล้านมันก็ไร้ค่า เพราะกว่าจะได้เงินฉันคงตายไปก่อน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบด้วยท่าทีมั่นใจ เขากล่าวรับประกันกับหลินหยิงว่า

“ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองได้เลยว่าเธอจะต้องปลอดภัย บอกตามตรงนะ ฉันมีเส้นสายอยู่ในโรงพยาบาลเขต1 ฉัยช่วยทำให้เธอเลื่อนตำแหน่งกับเพิ่มเงินเดือนได้ เธอก็คงทราบดี คนที่มีเส้นสายกับคนใหญ่คนโตในโรงพยาบาลแห่งนี้ ฉันเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”

สำหรับเรื่องนี้ หลินหยิงไม่แม้แต่สงสัยในตัวจ้าวเฉียนสักนิด เขาถูกส่งตัวให้มาเข้าพักในชั้นผู้ป่วยระดับสูง แถมผู้อำนวยการโรงพยาบาลลี่ยังลงมากำชับกับพยาบาลทุกคนว่า ต้องดูแลเขาอย่างดีที่สุด นี่มากเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่า ภูมิหลังของจ้าวเฉียนเองก็ไม่ง่ายเช่นกัน

แต่เส้นสายของหลินจือเองก็ไม่เบา ถ้าจงใจเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย เธอเองก็อยู่ยากไม่ต่าง

หลินหยิงครุ่นพินิจอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนตอบไปว่า

“คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่ฉันจะกลับไปโรงพยาบาลนั้น ถึงนายจะช่วยฉันในจุดนี้ได้ แต่ภายในนั้นเองก็มีสายของหลินจืออยู่เช่นกัน ซึ่งนั้นคงทำให้ชีวิตฉันอยู่ยากขึ้นมาก ดูท่านายเองก็รวยมาก คงต้องมีบริษัทหรือธุรกิจอะไรสักอย่าง ให้ฉันเข้าไปทำงานในบริษัทนายแทนได้ไหม?”

“ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากรู้คือ หลืนจือกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

“ฉันเองก็ไม่รู้แผนการของเขาเหมือนกัน แต่ฉันได้ยินว่า แผนนี้เกี่ยวข้องกับคนที่ชื่ออู่เลออะไรสักอย่างเนี่ยแหละ”

หลินหยิงเอ่ยตอบไปตามความจริง

ซึ่งเป็นไปตามที่จ้าวเฉียนคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด พวกหลืนซือต้องการขังเขาไว้ เพื่อเปิดทางจัดการกับอู่เลอง่ายๆ

หลินหยิงส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้จ้าวเฉียน และกำลังจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่ทันใดนั้นเสียงถีบประตูดังปังลั่นออกมาทันใด พร้อมกับทีมตำรวจชุดใหญ่บุกเข้ามา

“อย่าขยับ! หยุดอย่าขยับ! ทุกคนหมอบลง ยกมือวางเหนือศีรษะ!”

จากนั้นทีมตำรวจก็เร่งกันค้นบ้านทันที เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นใดหลบซ่อนอยู่

ในเวลานั้นเอง หวานเจียงก็รีบวิ่งเข้ามา เธอตรงไปหาจ้าวเฉียนด้วยความเป็นห่วง แต่พอนึกถึงคลิปวีดีโอเหล่านั้นเธอพลันรู้สึกประหม่าไม่กล้าสู้หน้าทันที เธอหมุนตัวหนีไม่กล้าสบตาเขา แต่พุ่งไปตบหน้าหลินหยิงแทนด้วยความโกรธ

“คงรู้ใช่ไหมว่าฉันตบเธอเพราะอะไร!!”

หวานเจียงตวาดด่าหลิยหยิงยกใหญ่

แท้ที่จริงแล้วด้วยทักษะคาราแต้สายดำของหลินหยิง เธอสามารถหลบการเคลื่อนไหวของหวานเจียงได้อย่างสบายๆ แต่อย่างไรก็ตาม เธอกลับไม่ทำเช่นนั้นและปล่อยให้อีดฝ่ายตบหน้าโดยตรง

จ้าวเฉียนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆน้อย เขารีบพาทีมตำรวจเดินทางไปที่โรงพยาบาลเขต1โดยด่วน

หลินจือและคนอื่นๆต่างรุมล้อมรอบเตียงอู่เลอ เพื่อเกลี้ยกลอมให้เขาทรยศจ้าวเฉียนและให้มาเข้าทีมซุปเปอร์คาร์คลับของเขาแทน

แต่อู่เลอยังคงภักดีต่อจ้าวเฉียนไม่เสียมคลาย โดยธรรมชาติแล้ว มีหรือที่เขาจะถูกล่อลวงได้โดยง่าย?

“อย่าฝัน! ฉันไม่มีทางหักหลังบอสตัวเองแน่นอน!”

หลินจือไม่อยากเชื่อเลยว่า บนโลกใบนี้ยังมีบางคนสามารถต้านทานการถูกล่อลวงด้วยเงินอยู่ด้วย เขาเอ่ยตอบไปว่า

“ขอแค่นายพยักหน้าตอบฉัน ฉันจะให้ทุกอย่างตามที่นายต้องการในอนาคต และฉันจะคอยดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ฉันรับประกันได้เลยว่าจะปั้นนายให้เป็นดาวเด่นแห่งวงการนักแข่ง! นอกจากนี้ฉันยังจะให้เงินล้านนึงไปเป็นค่าขนมเล่นด้วยนะ ไม่สนใจเหรอ?”

หลังจากหลินจือพูดจบง เขาก็ส่งเช็คใบหนึ่งวางบนมือของอู่เลอ เฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่าย

อู่เลอไม่แม้แต่เหลือบดูเช็คใบนั้นด้วยซ้ำและโยนทิ้งไปทันที เขาตอบว่า

“อย่าเสียเวลาเลย ฉันไม่มีทางทรยศบอส! เอาเงินสกปรกของนายแล้วไสหัวออกไปซะ! ไม่งั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!”

สิ่งนี้ทำให้บรรดาลูกเศรษฐีทั้งหมดไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“มึงคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แค่ชนะการแข่งครั้งเดียวถึงขั้นอวดดีขนาดนี้เลย?!”

“พี่หลิน ช่างหัวคนโง่ๆแบบนี้ไปเถอะ! หรือให้พวกเราหักแขนขาพพิการถาวรไปเลยดีไหม?”

“อยู่กับไอ้ขอทานจ้าวเฉียน ชีวิตมีแต่จะพัง! โง่จริงๆที่ไม่เลือกอยู่ข้างพี่หลิน!”

“ในเมื่อเลือกแบบนี้ สงสัยครั้งนี้อยากนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต!”

อู่เลอเอ่ยเย้ยขึ้นทันที

“พวกนายใช่ไหมที่จ้างคนให้มารุมทำร้ายฉัน?”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งหลินจือและเพื่อนคนอื่นๆระเบิดหัวเราะขึ้นทันที

“ก็รู้ดีนี่หว่า ดังนั้นเลิกสร้างปัญหาให้ตัวเองได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเตรียมขาหักสองข้าง!”

หลืนจือกรนเสียงเย็นข่มขู่อย่างชั่วร้ายนัก

อู่เลอระเบิดหัวเราะเยาะ ตวาดสวนทันที

“ไสหัวออกไป!”

หลังจากกรนด่าสาปแช่งไปเสร็จ อู่หลินก็หยืบมือถือขู่ว่าจะโทรหาตำรวจทันที

“ฮ่าฮ่า…โทรเลย! โทรเลยสิวะ! คิดว่ากูกลัวมึงมากเหรอ!!”

ทุกคนต่างหัวเราะเยาะอู่เลออย่างสนุกสนาน ดูท่าพวกเขาจะไม่เกรงกลัวตำรวจกันเลยแม้แต่น้อย

“เวรแล้ว! พวกเราจะทำยังไงกันดี? ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้บุกเข้าไปหาคนไข้!”

“โทรหาตำรวจสิ! ไม่อย่างนั้นสถานการณ์อาจจะแย่ลงนะ”

“แต่นั้นเป็นถึงนายน้อยหลินเลยนะ ถ้าทำให้เขาหงุดหงิด พวกเราโดยไล่ออกแหงๆ”

พวกพยาบาลต่างรวมกลุ่มกันอยู่หน้าวอร์ด กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีกับสถานการณ์ตอนนี้

แต่ทันใดนั้นเอง จ้าวเฉียนก็วิ่งเข้ามาพร้อมทีมตำรวจชุดใหญ่ เมื่อเห็นว่าหลืนจือกับคนอื่นๆกำลังล้อมเตียงคนไข้ของอู่เลออยู่ เขาจึงสั่งตำรวจให้บุกจับทันที

พวกหลืนจือและคนอื่นๆตกวตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นจ้าวเฉียนโพล่หัวออกมา หลินหยิงเป็นถึงปรมาจารย์คาราเต้สายดำไม่ใช่เหรอ? ทำไมกัน?

“คุณตำรวจจับพวกมันเลย!”

จ้าวเฉียนวิ่งชี้หน้าหลินจือและบรรดาเพื่อนฝูงของมัน ก่อนที่พวกนั้นจะสลายกลุ่มวิ่งหนีออกไป

จากนั้นจ้าวเฉียนรีบตรงไปไถ่ถามอาการของอู่เลอก่อนทันที

“พี่เลอยังอยู่ดีใช่ไหม? พวกมันทำอะไรนายรึเปล่า?”

อู่เลอยิ้มตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไร แค่พวกมันพยามยามซื้อใจผมเท่านั้น แต่ผมปฏิเสธไป เห้ออ…แต่ถ้าช้ากว่านี้ขาผมคงได้หักสองข้างแน่”

จ้าวเฉียนพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า

“ฉันพอเดาได้ นอนพักผ่อนไปดก่อนเถอะ ฉันจะออกไปพบพวกมันสักหน่อย”

“ระวังด้วยบอส ดูท่าพวกมันจะใหญ่ไม่เบา”

อู่เลอเตือนด้วยความเป็นห่วง

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อย

“ไม่ต้องกังวล มีตำรวจคุมอยู่ ฉันไม่กลัวพวกมันแน่นอน นอกจากนี้ ฉันยังเตรียมแผนโต้ตอบพวกมันไว้แล้ว นอนพักผ่อนไปก่อนเถอะ”

จากนั้นเขาก็วิ่งออกไป ก่อนพบว่าพวกตำรวจกำลังตรวจบัตรประชาชนหลินจือและคนอื่นๆอยู่

“หลืนจือ คุณมาหาอู่เลอมีเหตุผลอะไรงั้นเหรอ? ข่มขู่เขา?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

หลืนจือตวาดกลับไปทันทีว่า

“พล่ามอะไรของแกไร้สาระ! ฉันมาเยื่ยมเขาเฉยๆก็เท่านั้น แค่นี้ก็ผิดกฎหมายแล้วรึไง? ผมทำผิดหรือเปล่าครับคุณตำรวจ?”

ตำรวจส่ายหน้าและโบกมือส่งสัญญาณให้ตำรวจนายอื่นๆปล่อยตัวพวกเขาไป

จ้าวเฉียนยืนมองหลืนจือและหยางหมิงจากไปทั้งแบบนั้น ท่าทางการแสดงออกของพวกเขาดูราวกับไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น

พอเห็นแบบนั้น จ้าวเฉียนพลางคิดกับตัวเองว่า

“ดูเหมือนว่าอำนวจกฎหมายจะทำอะไรมันไม่ได้ สงสัยต้องใช้อำนาจมืดกันหน่อยแล้ว ฉันจะให้หยางหู่เคลื่อนไหวทันทีคืนนี้!”

Related

ตอนที่194 ถูกกักบริเวณ

เมื่อจ้าวเฉียนตื่นขึ้นมา หวานเจียงก็จากไปแล้ว แต่พอเหลือบสังเกตก็เห็นผ้าห่มผืนหนึ่งอยู่บนร่างกาย เห็นแบบนี้เขาก็คลี่ยิ้มอย่างมีความสุข

เวลาแปดโมงครึ่ง แพทย์ท่านนึงก็เข้ามาตรวจอาการของจ้าวเฉียน ยามแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอันใด เขาจึงอนุฐาตให้จ้าวเฉียนกลับบ้านไปได้

จ้าวเฉียนเก็บของใช้ส่วนตัวและเตรียมตัวกลับทันที แต่พอเดินผ่านวอร์ดพยาบาลชั้นที่เขาอยู่ ก็บังเอิญไปเจอกับพยาบาลสามที่อยู่กะเมื่อคืน ที่รุกจู่โจมเขาอย่างเร้าร้อน

จ้าวเฉียนยิ้มแห้งให้พลางกล่าวทักขึ้นว่า

“อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ผมต้องกลับบ้านแล้ว ขอบคุณที่ดูแลผมสำหรับหลายวันมานี้นะครับ”

เขาคิดว่าพยาบาลสาวคนนี้ต้องโกรธตนเป็นแน่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ปรากฏว่าเธอกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เธอยังคงยิ้มหวานกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ นี่เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว ถ้าไม่รังเกียจ…ว่างๆดิฉันขอชวนคุณไปดินเนอร์ด้วยกันนสักมื้อได้ไหม?”

จ้าวเฉียนรู้สึกขายหน้าจริงๆที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และเขาเองก็อยากเลี้ยงอาหารขอโทษสักมื้อเช่นกัน และทำให้เรื่องนี้เจบลงโดยเร็วที่สุด

“เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องรอถึงดินเนอร์หรอกครับ คุณพยาบาลน่าจะใกล้ออกเวรแล้ว? ไปหาอะไรทานกันไหมครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากเชิญทันที

พยาบาลสาวคนนั้นพยักหน้าตอบทันทีอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่มีปัญหาค่ะ!”

“โอเคเลย ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรอคุณที่ประตูทางออกนะ รอคุณออกเวรก่อน”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินทางไปเยี่ยมอู่เลอก่อนจะลงไปรอหน้าประตูทางออกโรงพยาบาลเป็นลำดับต่อไป

จ้าวเฉียนไม่คิดจะทานอาหารริมถนนอยู่แล้ว ดังนั้นพอพยาบาลสาวลงเวรมาเสร็จ เขาก็ขับรถพาเธอไปยังโรงแรมตงไห่ทันที

ห้องอาหารหรูระดับไฮเอนด์แบบนี้ จ้าวเฉียนจินตนาการออกเลยว่า พยาบาลคนนี้จะตกใจขนาดไหนที่ได้เห็น แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด เธอดูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ไม่แม้กระทั่งเผยอาการประหม่าใดๆออกมา ราวกับว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมายของเธออยู่แล้ว

จ้าวเฉียนเริ่มฉุกคิดสงสัยขึ้นมาทันที หรือเป็นไปได้ไหมว่า พยาบาลสาวคนนี้รู้ถึงตัวตนของเขามาก่อนแล้ว จึงจงใจยั่วเมื่อคืน?

“คุณพยาบาลมาที่นี่บ่อยเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้น

พยาบาลสาวยิ้มพลางส่ายหัวตอบไปว่า

“นี่เป็นครั้งแรกค่ะ”

จ้าวเฉียนพยายามทดสอบเธอต่อว่า

“เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก แต่คุณดูไม่แปลกใจเลยนะครับ คงคุ้นเคยกับอะไรแบบนี้แล้ว?”

พยาบาลสาวเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“มีอะไรให้ตื่นเต้นเหรอค่ะ? ต่อให้จะหรูแค่ไหน เราก็มีกินข้าวเฉยๆ”

จ้าวเฉียนรวนหัวเราะเล็กน้อยและไม่เอยตอบอันใดอีกเลย จากนั้นก็พาเธอเข้าไปในโรงแรม

ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก และสั่งชุดเซ็ตอาหารเช้ามารับประทาน

หลังจากทานอาหารเสร็จสิ้น จ้าวเฉียนยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร และกลับกลายเป็นว่าพยาบาลเอ่ยปากเสนอตัวก่อนทันที

“คุณค่ะ ดิฉันรบกวนเกินไปไหม ถ้าจะวานให้ขับรถไปส่งที่บ้านหน่อย?”

นี่ดูจะเป็นคำถามเชิงรุกเกินไป จ้าวเฉียนยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่า เธอต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน ราวกับกำลังหลอกล่อเขาให้เข้าถ้ำเสือ แต่ในเมื่อเธอเอ่ยปากเชิญเองขนาดนี้ งั้นเรามาดูกันว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอคืออะไรกันแน่?

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“ได้สิครับ กินเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ”

จ้าวเฉียนทำตามคำขอของเธอแต่โดยดี และพาเธอขึ้นรถขับออกไป ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นว่า เธอกำลังเล่นมือถือชนิดไม่ละสายตา และไม่อาจรู้ได้เลยว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่บนจอนั้นกันแน่

“คุณพยาบาลชื่ออะไรเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

“ชื่อจริงฉันคือ หลินหยิง ถึงแบบนั้น จะให้เรียกว่า…ที่รัก…หวานใจ…หรือ…ของเล่นตัวน้อยก็ได้นะค่ะ”

หลินหยิงกล่าวน้ำเสียงหวานช่างทรงเสน่ห์เหลือเกิน

จ้าวเฉียนรู้สึกอายแทนเล็กน้อย กล่าวตามตรงหลินหยิงเป็นพยาบาลสาวที่สวยมาก แต่ก็ค่อนข้าง‘เร้าร้อน’เกินจะหักหามตัวเองได้เช่นกัน

จ้าวเฉียนขยิบตาให้หลินหยิงทีหนึ่งและตอบกลับไปว่า

“ให้เรียกว่าลูกสาวก็แล้วกัน ผมชอบทำตัวเป็นป๋าน่ะ”

หลินหยินหน้าแดงก่ำทันที พลางปิดปากหัวเราะขึ้นว่า

“ไม่คิดเลยว่าคุณจะเลือกใช้คำแบบนี้นะคะป๋า!”

หลินหยิงกล่าวติดตลกกลับไปทันที

“แน่นอน ผมชอบอะไรไม่เหมือนใครเขา อืมม…บนรถก็ไม่เลวนะครับคุณลูกสาว…”

จ้าวเฉียนแซวตอบ

หลินหยิงหน้าแดงลามไปถึงใบหู เธอเขินจนสุดจะทานทนแล้วจึงยกมือทุบจ้าวเฉียนไปหนึ่ง

“ทำไมคุณหื่นจัง? ไม่ใช่ว่ากำลังนอกใจแฟนมาคุยกับฉันหรอกนะ?”

“ผมไม่มีแฟนสักหน่อย อีกอย่างผมชอบผู้หญิงที่เก่งนะ โดยเฉพาะกับเรื่อง…”

ประจวบเหมาะพอดี จ้าวเฉียนขับรถมาถึงหน้าบ้านแล้วในขณะนี้ หลินหยิงราวกับทนไม่ไหวแล้ว เธอเปิดประตูและลากจ้าวเฉียนออกมาประกบจูบอย่างดูดดื่ม และขวงแขนพาเข้าบ้านโดยตรง

ปิดประตูบ้านเสียงดังปัง จ้าวเฉียนกดจูบเธอตอบทันทีราวกับพญาเสือกระหาย

“ป๋าค่ะ นี่ไม่รีบเกินไปหน่อยเหรอ? อาบน้ำก่อนดีไหม?”

“ยังจะอาบน้ำอะไรอีก ผมรอไม่ไหวแล้ว!”

หลังจากพูดจบเขาก็ใช้มือปลดชุดพยาบาลของเธอออกทันที ทั้งสองพัวพันกันอยู่บนโซฟาห้องรับแขกขุดใหญ่

แต่ในเวลานั้นเอง ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกมาจากห้องต่างๆพร้อมรอยยิ้ม จ้าวเฉียนที่สังเกตเห็นดังนั้นจึงเข้าใจได้ทันที พวกนี้มันกลุ่มคนของหลินจือไม่ใช่เหรอ?

หลินหยิงแสยะยิ้มมุมปาก ผลักร่างจ้าวเฉียนออกมาจากโวฟา และถอยกลับไปยืนเคียงข้างหลินจือที่เพิ่งปรากฏตัวออกมา เขาฉีกยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ จ้าวเฉียนเข้าใจทุกอย่างแล้วในขณะนี้ รวมไปถึงจุดประสงค์ของหลินหยิง ปริปากเอ่ยถามขึ้นว่า

“ผมว่าแล้วต้องมีลับลมคมใน เธอก็นามสกุลหลินเหมือนกัน เป็นพี่สาวงั้นเหรอ?”

หลินจือยกยิ้มอย่างมีชัยและกล่าวตอบไปว่า

“จะว่าแบบนั้นก็ได้ เป็นญาติผู้พี่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดโดยตรง”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและถามต่อว่า

“แล้วทั้งหมดนี่…หมายความว่ายังไง?”

หลินจือหยิบกล้องที่อัดวิดีโอมาและตอบกลับไปว่า

“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่ต้องการเซอร์ไพรส์หวานเจียงของฉัน เธอจะรู้สึกยังไงนะ ถ้าเห็นคลิปวีดีโอนี้? คงตัดขาดทุกความสัมพันธ์กับนายเลยจริงไหม?”

มันกลับกลายไปว่า ทั้งหมดทำเพื่อให้เขากับหวานเจียงแตกแยกกันนี่เอง จ้าวเฉียนโกรธมากในครั้งนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ตามที่กล้าล่อลวงหวานเจียง เขาจะไม่มีทางยกโทษให้นแน่นอน

“ฮ่าฮ่า! อย่างงี้นี่เอง คุณคงหลงรักเธอเข้าใหม่แล้ว ทั้งหมดนี้คงเป็นฝีมือของหยางหมิงใช่ไหม? แต่ไม่ว่าหวานเจียงกับผมจะตัดขาดกันยังไง แต่คิดหรือว่า คุณจะมีปัญญาจีบเธอติด? อืมม…หยางหมิง นายเองก็อยู่ด้วยเหรอ? แปะ แปะ…ฉันต้องขอชื่นชมนายเลยนะ ไร้ค่าจนถึงขั้นที่ต้องใช้คู่หมั้นตัวเองเป็นเครื่องมือ เพื่อยืมมือคนอื่นจัดการกับฉัน? สวะดีหนิ”

หยางหมิงถูกจ้าวเฉียนด่าไปขนาดนั้นถึงกับไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่าย หลินจือเห็นแบบนั้นจึงออกหน้ารับแทนทันที

“หยุดพูดจาไร้สาระ! แกไม่ใช่หรือที่แย่งคู่หมั้นเขามา! แล้วฉันนี่แหละจะเอาคืนมาเดี๋ยวนี้! พวกเราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ฉันมีทั้งรูปและคลิปวีดีโอ ทันทีที่หวานเจียงเห็นสิ่งนี้ เธอจะต้องทิ้งแกอย่างไม่ไยดี! ถึงตอนนั้นฉันจะทำให้แกต้องคุกเข่าขอขมาหยางหมิง! ถึงตาพวกเราเอาคืนบ้างแล้ว!”

หลินจือทุ่มทุนอย่างมากในครั้งนี้ก็เพื่อหยางหมิง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น และตอบกลับไปว่า

“อืม ผมว่าภาพตะกี้ยังถ่ายไม่ชัดนะว่าไหม? เอานี่ผมถอดเสื่อแล้ว พาหลินหยิงมาถ่ายกับผมใหม่สิจะได้ชัดๆ หรือจะให้เปลือยกายเลยก็ได้นะผมไม่ถือสา แล้วเชื่อไหมว่า หวานเจียงไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาดว่า ผมจะกล้าทรยศเธอ?”

“ขี้โม้! ขี้โม้ชิบหาย! ยังจะปากเก่งอยู่อีก! มึงคิดว่าตัวเองเป็นใครห่ะ? ถึงทำตัวไม่เกรงกลัวอะไรเลยแบบนี้?”

หลินจือกล่าวพร้อมสีหน้าสุดแสนจะรังเกียจ

จ้าวเฉียนตบโต๊ะดังปังและคำรามขึ้นทีนทีว่า

“ฉันจะแสดงให้พวกคุณเห็นเองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเหนียวแน่นแค่ไหน! หยางหมิง นายก็อยู่ด้วยห้ามไปไหน! ฉันจะทำให้นายได้เห็นเอง อะไรคือรักแท้! ส่งรูปพร้อมคลิปมาในมือถือฉันได้เลย ฉันจะกดส่งทั้งหมดให้พวกนายดูต่อหน้าเอง! ไม่ต้องเซอร์ไพรส์เธอให้เหนื่อย!”

หยางหมิงทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า หวานเจียงจะรักจ้าวเฉียนถึงขนาดนี้

“บัดซบ! ฉันทนไม่ไหวแล้ว! ทนไม่ไหวแล้วโว้ย! พี่หลินส่งทั้งรูปทั้งคลิปให้มันเดี๋ยวนี้! หวังว่าแกจะทำตามที่บอกและส่งทั้งหมดนี้ให้กับหวานเจียงด้วยตัวเอง! ฉันไม่เชื่อ….ฉันไม่เชื่อหรอกเว้ยว่าเธอจะรักแกขนาดนั้นจริงๆ!!”

จ้าวเฉียนตอบกลับอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“ไม่มีปัญหา นายมานั่งข้างๆฉันนี่ แล้วฉันจะแสดงให้นายเห็นเองนะว่า อะไรคือรักแท้”

หลืนจือส่งรูปภาพและคลิปวีดีโอไปให้จ้าวเฉียนโดยเร็ว จากนั้นหยางหมิงก็มานั่งโซฟาข้างจ้าวเฉียน พร้อมคนอื่นๆที่รุมจ้องมือถือเครื่องในมือจ้าวเฉียนอย่างใจจดใจจ่อ

หลังจารกที่จ้าวเฉียนส่งรูปภาพและคลิปวีดีโอไป เขาก็ส่งข้อความเสียงถึงหวานเจียงอีกด้วย

“หวานเจียง นี่คือทั้งหมดที่ฉันทำเรื่องแย่ๆกับเธอไป ดูสิว่าคุณพยาบาลเธอเร้าร้อนแค่ไหน? เธอเซ็กซี่ได้ขนาดนี้หรือเปล่า? คงรู้ใช่ไหมว่าจากนี้เธอควรทำยังไงต่อ?”

จ้าวเฉียนจงใจเน้นคำว่า‘คุณพยาบาล’ชัดๆ โดยหวังให้หวานเจียงเข้าใจความหมายที่เขาพยายามจะสื่อ รวมไปถึงบอกเธอทิ้งท้ายด้วยว่า รู้ใช่ไหมว่าควรทำยังไงต่อจากนี้?

หลินจือคว้ามือถือออกจากมือจ้าวเฉียนทันทีและรอให้หวานเจียงติอบกลับ แต่หลังจากรอมานานกว่าสิบนาที เธอก็ไม่ตอบสักที ดังนั้นหลินจือจึงปิดมือถือจ้าวเฉียนไปโดยตรง และหันมาพูดกับจ้าวเฉียนว่า

“งั้นนายอยู่ที่นี่ไปสักคืนสองคืนแล้วกันนะ ถ้าฉันจะปล่อยแกเมื่อไหร่เดี๋ยวจะแจ้งหลินหยิงให้ทราบอีกที อย่างไรก็ตาม ฉันขอเตือนแกไว้ก่อนเลย อย่าคิดหนีระหยว่างนี้ ไม่อย่างนั้นหลินหยิงไม่ปราณีนายไว้แน่ อ่อ! ขอบอกอะไรอีกอย่าง เห็นเธอเป็นสาวสวยแบบนี้ ดีกรีเธอเป็นถึงปรมาจารย์คาราเต้สายดำ อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเองเลยดีกว่านะ”

หลังจากพูดจบ หลินจือและพรรคพวกคนอื่นๆก็เดินจากออกไป

หลินหยิงเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด เธอเดินออกมาพร้อมชุดคาราเต้สายดำเก้าบั้ง ดึงเก้าอี้ด้วยหนี่งมานั่งเฝ้า พลางหลับตาพักผ่อน

จ้าวเฉียนรู้สึกได้ทันทีว่า หลินจือและคนอื่นๆจะต้องมีแผนการสมรู้ร่วมคิดกันแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถูกขังอยู่ที่นี่แน่นอน แต่ไม่ว่ากรณีใด เขาจำเป็นต้องออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

Related

ตอนที่193 อยู่ด้วยกันก่อนสิ

ด้วยบุคลิกนิสัยของหวานเจียง สำหรับครั้งนี้เธอเต็มใจที่จะนอนบนเตียงจริงๆ ซึ่งเนื้อในแล้ว เธอกำลังให้โอกาสจ้าวเฉียนเช่นกัน ถ้าเธอไม่แม้แต่สนใจเขาสักนิด มีหรือจะยอมนอนบนเตียงในห้องสองต่อสองกับผู้ชาย?

ในความเป็นจริง จ้าวเฉียนรู้วิธีนวดที่ไหน? นวดยังไงให้สบายยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกดจุดกดเส้น ที่พูดไปแบบนั้นเพราะเขาเบื่อเฉยๆ และอยากหาอะไรทำแก้เซง หวานเจียงก็นอนนิ่งไม่รู้เรื่องรู้รราวอะไร จ้าวเฉียนลอบปาดเหงื่อเล็กน้อยและลองสุ่มกดจุดบริเวณขาไปสองสามที

“นี่เริ่มแล้วนะ เบาไปแรงไปก็บอก สั่งมาได้เลย”

จ้าวเฉียนเอ่ยขึ้น

หวานเจียงกรนเสียงอืมเบาๆ และไม่หลบตาไม่พูดอะไรอีกเลย

จ้าวเฉียนเริ่มกดจุดและบีบน่องขาเนียนสวยของเธอ

ไม่เพียงหวานเจียงจะรู้สึกดีเท่านั้น แต่สีหน้าของเธอยังดูผ่อนคลายอย่างมากอีกด้วย

จ้าวเฉียนแค่ใช้โอกาสนี้หาอะไรทำแก้เบื่อเท่านั้น แต่ก็ไม่คิดจะฉวยโอกาสเธอเช่นกัน ทันทีที่เห็นสีหน้าการแสดงออกของหวานเจีงดูคล้ายว่าจะผ่อนคลาย จ้าวเฉียนก็ถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอก

หลังจากบีบนวดไปสักพัก จ้าวเฉียนก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่แรงไปไหม?”

ใครจะรู้ว่า หวานเจียงยิ้มตอบอย่างพึงพอใจยิ่ง เธอตอบไปตามจริงว่า

“ก็ไม่เลว นี่นายไปเรียนกับหมอนวดโบราณโยตรงเลยใช่ไหม? นายกดจุดได้แม่นมาก แถมน้ำหนักมือยังดีด้วย”

จ้าวเฉียนถึงกับพูดไม่ออก

“…”

เธอจริงจังเกินไปไหม? เพราะยิ่งเป็นแบบนี้ทำให้จ้าวเฉียนยิ่งอยากแกล้งเธอเข้าไปใหญ่ สงสัยต้องตีด้วยค้อนถึงจะรู้สึกตัว

จ้าวเฉียนค่อยๆเพิ่งแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หวานเจียงเองก็เริ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้นแล้วเช่นกัน แต่เธอก็ยังไม่ขัดขืนใดๆ ไม่นานมือของเขาก็ไล่ขึ้นมาถึงบริเวณขาอ่อน และแล้วก็ขยับขึ้นอีกและขึ้นอีก จนลามมาใกล้จุดลับของผู้หญิง

หวานเจียงลืมตาโพลงเร่งคว้ามือจ้าวเฉียนโดยไว เธอส่ายหัวเล็กน้อยท่าทีดูเขินอาย

ว่ากันตามตรง จ้าวเฉียนไม่คิดที่จะทำอะไรแบบนั้นกลับเธอจริงๆ แต่จิตสำนึกของเขารู้สึกอยากแกล้งเธอเหลือเกิน เธอที่ยิ่งแสดงปฏิกิริยาแบบนี้ เป็นสใครจะอดใจไหว?

จ้าวเฉียนประกบมือกับหวานเจียง เอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนขึ้นว่า

“เสี่ยวเจียง ผมคิดว่าเรื่องบนรถในคืนนั้นมันดีจริงๆนะ พวกเรา…ลองกันอีกครั้งดีไหม?”

หวานเจียงสวนตอบกลับไปทันที ใบหน้าของเธอกลับกลายเป็นดูเย่อหยิ่งและเย็นยะเยือกแบบกาลอดีตอีกครั้ง

“อย่ามายุ่งกับฉัน! ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ!”

จ้าวเฉียนจับมือหวานเจียงประกบแน่น เหลือบสายตาแลเหลียวไปทางประตูพร้อมกล่าวว่า

“ไม่ต้องกังวลนะ ตรงนี้เป็นชั้นผู้ป่วยที่แพงที่สุด คนแทบไม่มี แถมประตูก็ล็อคอยู่ แค่เธอ…อย่าครางดังก็พอ!”

“นายมัน….ไอ้สารเลว! ฉันจะกดออดเรียกพยาบาล!”

หวานเจียงปริปากบ่นสาปส่งไม่หยุดหย่อน พร้อมยื่นมือไปคว้าจับแท่งกดเรียกพยาบาลฉุกเฉิน ทว่ากลับถูกจ้าวเฉียนแย่งออกมาได้ทัน ภายใต้สถานการณ์จนตรอก เธอจึงทำได้เพียงคว้าผ้าห่มมาคลุมโปลงหันศีรษะหนีทันที

จ้าวเฉียนยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาเอื้อมมือไปกอดหวานเจียงที่คลุมโปลงราวกับดักแด้ สองมือเลื่อยไหลยิ่งกว่าปลาหมึก ลวงไปปลดกระดุมเสื้อของเธออย่างรวดเร็ว

หนึ่งเม็ด…สองเม็ด…สามเม็ด…. จ้าวเฉียนบรรจงปลดอย่างใจเย็น แต่เมื่อกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ชั่วจังหวะที่เผลอ หวานเจียงรวบรวมกำลังทั้งหมเผลักร่างจ้าวเฉียนออกไปและวิ่งเข้าห้องน้ำในทันที

“ไอ้บ้าจ้าวเฉียน! นายกล้าฉวยโอกาสฉันได้ยังไง!”

หวานเจียงยกมือปัดป้องใบหน้าอันแสนร้อนผ่าว ขณะเอ่ยปากบ่นไม่หยุดหย่อน

จ้าวเฉียนเดินไปเปิดประตูโดยไวเจือสีหน้าหงุดหงิด พยาบาลสาวรออยู่หน้าห้องพร้อมเครื่องมือวัดไข้ เธอกล่าวขึ้นว่า

“ขอโทษที่รบกวนนะคะ ตอนนี้ถึงเวลาวัดไข้แล้วค่ะ”

จ้าวเฉียนอารมณ์เสียไม่น้อย แต่อย่างไรคุณพยาบาลก็ทำตามหน้าที่ของเธอตามปกติ จะบ่นก็ไม่ได้เช่นกัน

เขาคลี่ยิ้มบางเอ่ยตอบไปว่า

“เข้ามาได้ถูกเวลามากเลยครับ แล้วคุณพยาบาลอยากวัดไข้ส่วนไหนในร่างกายผมดี? รักแร้ ปาก หรือ….”

พยาบาลสาวคนนั้นป้องปากหัวเราะคิกคัก แต่ทันใดนั้นเองเธอก็เดินเข้ามาพร้อมล็อกประตูห้องทันที เธอถอดแว่นออกตรงกระซิบข้างหูจ้าวเฉียน พร้อมเสียงกระเส่าสุดเร้าร้อนว่า

“ตรงไหนดีค่ะ?”

จ้าวเฉียนแค่อยากยิงมุกแกล้งคุณพยาบาลไปเฉยๆ แต่ใครจะไปคิดว่า เธอกลับเอาจริงแถมยังเป็นฝ่ายรุกเองขนาดนี้ หวานเจียงเธอก็ยังแอบอยู่ในห้องน้ำ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ มีหวังวุ่นวายยกใหญ่แน่นอน

“เอ่ออ…ผมคิดว่าอย่าทำแบบนี้จะดีกว่านะครับ เดี๋ยวกลายเป็นเรื่องฉาวขึ้นมา คุณจะเป็นฝ่ายเสียหายเองนะครับ!”

พยาบาลสาวกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เธอค่อยๆย่างเท้าสืบสาวเข้าประใกล้เรื่อยๆ แต่จ้าวเฉียนเองก็พยายามถอยห่างอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เรียกได้ว่าถอยจนตัวชนเตียงแล้วในตอนนี้

แต่สิ่งไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้นในทันใด! พยาบาลสาวคนนั้นผลักจ้าวเฉียนขึ้นเตียงอย่างแรง!

จ้าวเฉียนรู้สึกสับสนไม่น้อย เขารีบเอ่ยถามด้วยความหวั่นเกรงว่า

“เอ่ออ…คุณพยาบาล…นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่ครับเนี่ย? ถ้า…ถ้า…คนอื่นมาเห็นเข้าคงไม่ดีนะครับ! เสื่อมเสียงชื่อเสียงของคุณเปล่าๆจริงไหม? จริงเนอะ?”

พยาบาลสาวคลี่ยิ้มดูทรงเสน่ห์เกินหักห้าม เธอตอบเสียงหวานไปว่า

“ฉันไม่เคยเห็นใครทั้งหล่อทั้งดูแบบคุณมาก่อนเลย ที่จริง…ฉันแอบชอบคุณตั้งแต่แรกเห็นแล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวไปนะเด็กดี พี่สาวคนนี้แค่หวัดไข้นะจ๊ะ เอาล่ะ…ถอดกางเกงออกมาสิ…”

หวานเจียงยืนกำหมัดแอบฟังอยู่ในห้องน้ำ พลางสถบด่าสาปส่งกับตัวเองว่า

“นังจิ้งจอกนี่! ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ! ฉัน…ฉันจะออกไปลากมันกลับหลุมเอง!”

แต่ทันทีที่เธอกำลังคว้าลูกบิดประตูออกไป เจียงหวานพลันชะงักอีกครั้ง

“แต่…นี่มันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ทำไมฉันต้องโกรธด้วย? บางทีไอ้หมอนั่นอาจจะชอบก็ได้…ทำไมฉันต้องไปห้าม?”

ท่าทางการแสดงออกของหวานเจียงดูหงุดหงิดอย่างมาก เธอหันหลังกลับไปนั่งชันเข่าก้มหน้าก้มตาราวกับไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

ตอนนี้จ้าวเฉียนถูกพยาบาลสาวกดร่างแนบกับเตียงโดยสมบูรณ์ เขารีบกล่าวเตือนสติพยาบาลสาวทันทีว่า

“คุณพยาบาลอย่าสร้างปัญหาแบบนี้เลยครับ ผมแค่หยอกเล่นเฉยๆ หยอกเล่นเฉยๆครับ!”

พยาบาลสาวหาได้สนใจไม่ เรียวนิ้วสวยลูบไล่บนแผ่นอกของจ้าวเฉียนและค่อยๆปลดกระดุมออกมาทีละเม็ด สีหน้าของเธอในตอนนี้ช่างเย้ายั่วอารมณ์เสียเหลือเกิน

“รู้ตัวว่าผิด…ก็ต้องถูกลงโทษ! เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะลงโทษเธอเอง… หุหุ…แปปเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้วน๊า…”

ทันทีที่พูดจบ พยายามก็โดดขึ้นค่อมร่างของจ้าวเฉียนไม่ให้ขยับไปไหน เรียวมือยาวทั้งสองข้างค่อยๆลูบไล้ไล่ลงจากแผ่นอกถึงสะดือ และยังคงเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ…

“พี่สาวมีเวลาแค่ห้านาทีนะคะ แต่ไม่ต้องห่วง…เธอเสร็จทันเวลาแน่นอน!”

พยายามหัวเราะคิกคัก พลางล้วงเข้าไปใต้กางเกงจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนถึงคราวจนตรอก ขณะจะตะโกนเรียกหวานเจียง เธอก็พุ่งออกมาจากห้องน้ำทันที

พยาบาลสาวคนนั้นคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนแอบอยู่ในห้องน้ำ เธอรีบลุกขึ้นจากเตรียง จัดแจงเสื้อผ้ากลับเป็นระเบียบ พลางสบถขึ้นดังเหอะ และรีบวิ่งหนีออกไปพร้อมบางอย่างภายในมือ

หวานเจียงเดือดจัดยกกระเป๋าสะพายฟาดใส่จ้าวเฉียนเต็มแรง

จ้าวเฉียนที่โดนฟาดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลถึงกับร้องดังลั่น แต่เธอยังกระหน่พทุบไม่หยุดมือ

“ตาบ้า ตาบ้า ตาบ้า….!!”

จ้าวเฉียนรีบคว้าร่างของหวานเจียงมาโอบกอดไว้แน่น เอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“หยุดได้แล้ว! ทำไม? เธอหึงฉันรึไง? พวกเราก็แค่เป็นแฟนกันหลอกๆเท่านั้น ทำไมเธอต้องจริงจังขนาดนี้!”

“แล้วยังไง? จำเดิมพันของเราไม่ได้รึไง? ถ้าอีกห้าปีฉันแพ้ขึ้นมา ฉันก็ต้องแต่งงานกับนายถูกไหม? แล้วฉันจะยอมให้สามีในอนาคตของตัวเองผ่านมือผู้หญิงอื่นได้ยังไง?!”

หวานเจียงเอ่ยตอบพร้อมสีหน้าเอาจริงเอาจัง

จ้าวเฉียนปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดทันที และกล่าวกับเธอว่า

“ในเมื่อเธอต้องการแบบนั้นแต่แรก เรามาเปลี่ยนเดิมพันกันหน่อยไหมล่ะ? ไม่ว่าฉันแพ้หรือชนะ พวกเราก็มาแต่งงานกันเถอะ คิดว่าไง?”

หวานเจียงคว้าหมอนบนเตียงโยนใส่หน้าจ้าวเฉียนทันที พร้อมกระหน่ำตีแขนจ้าวเฉียนต่อว่า

“หน้าด้าน! นายหาแต่ประโยชน์เข้าตัวชัดๆ! ฉันจะกลับแล้ว! ให้นังพยาบาลสวาทนั่นดูแลเองก็แล้วกัน!”

หวานเจียงคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายและหมุนตัวเตรียมจากไปทันที แต่จ้าวเฉียนกลับคว้าสายสะพายไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเธอไปไหน

“นี่นายทำบ้าอะไร? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนขอความช่วยเหลือ!”

“ตะโกนเลย! ฉันชอบอะไรๆที่มันตื่นเต้นพอดี!”

จ้าวเฉียนอดยิ้มเล็กน้อย และดึงร่างหวานเจียงจนเซล้มกลับมาหาตัวเอง

“นี่นาย! ไอ้หื่น! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”

หวานเจียงพยายามดิ้นจากอ้อมกอดของเขา

“จะกลับเวลานี้น่ะเหรอ? นี่มันดึกมากแล้วนะ ฉันว่าเธอขึ้นมานอนบนเตียงเถอะ ส่วนฉันนั่งเก้าอี้ฟุบนอนข้างเตียงเอา ตอนนี้ฉันขี้เกียจแกล้งเธอแล้ว ฉันอยากนอน”

หวานเจียงจ้องจ้าวเฉียนเขม็ง ดูลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดเธอก็วางกระเป๋าสะพายลง ตอนนี้ภายในใจของเธอดูยุ่งเหยิงไปเสียหมด

‘นี่…ดูท่าฉันจะชอบหมอนี่จริงๆแล้วแหะ จะทำยังไงดีเนี่ย? ถ้าเราจริงจังกับไอ้หมอนี่ พวกเราจะไปกันรอดไหม? ยิ่งหมอนี่ทั้งขี้เล่น ไม่เคยเอาจริงเอาจังสักครั้ง แถมยังชอบแกล้งอีก นี่ฉันจะควรทำยังไงดี?’

หวานเจียงคิดกับตัวเองอยู่นาน แถมยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าหงุดหงิด เธอผลักจ้าวเฉียนออกจากเตียงแล้วขึ้นนอนทันที ดึงผ้าห่มคลุมหัวแล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งแบบนั้น

Related

Related

ตอนที่192 ข่าวร้าย

หยางหูรับสายโทรศัพท์ของจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามไปว่า

“คุณชายจ้าว เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วเหรอครับ?”

“อู่เลอถูกแก๊งอันตพานทุบตีขาจนหัก เหมือนว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันขอนายแค่อย่างเดียวพอ…ไปจัดการกับมันให้เดินไม่ได้ตลอดชีวิต!”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบส่งมือดีไปตรวจสอบทันที”

“นอกจากนี้ ฝากประสานกับทางผู้อำนวยการลี่ด้วย ส่งตัวอู่เลอไปที่โรงพยาบาลเขต1 และหาหมอมือดีที่สุดมารักษาเขา!”

“รับทราบแล้วครับ ผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด!”

หยางหู่กดวางสายทิ้งไปทันทีที่พูดจบ และส่งลูกน้องของเขาไปตรวจสอบหาความจริง

หยางหู่ไม่เคยได้ยินจ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงดุดันขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตระหนักดีว่า สถานการณ์ตอนนี้มันร้ายแรงเพียงใด และเขาต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

ขณะนั้นเอง ด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย อู่ซินก็รีบเดินทางมาโรงพยาบาลเช่นกัน จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็เดินไปปลอบเธอทันที

“ตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”

อู่ซินรู้สึกเศร้าใจเกินรับไหว จู่ๆเธอก็คว้าเอวจ้าวเฉียนพุ่งไปกอดทั้งน้ำตาโดยไม่พูดไม่จาใดๆทั้งสิ้น สายตาคู่นั้นของหวานเจีงเองหันควับจับจ้องไปที่จ้าวเฉียนโดยไว เจือหงุดหงิดเล็กน้อย แต่อย่างไรเสีย เธอก็ยังตรงเข้าลูบหลังอู่ซินอย่างแผ่วเบา เธอไม่มีทั้งญาติพี่น้องใดๆ อยู่กินกับพี่ชายตัวเองมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่หวานเจียงจะรู้สึกเห็นใจเช่นกัน

หวานเจียงกล่าวปลอบอู่ซินขึ้นว่า

“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร…เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเอง บางทีอาจเป็นกระดูกหักเฉยๆ ไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่านั้นก็ได้นะ”

อู่ซินตกใจไม่น้อย ก่อนจะหันมากอดแขนหวานเจียงและระเบิดน้ำตาออกมาอีกครั้ง

จ้าวเฉียนเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน แค่เห็นแววตาของหวานเจียงก็รู้แล้วว่า เธอกำลังหงุดหงิดเขาอยู่ เพื่อเบี่ยงไม่ให้อู่ซินกอดกับเขา เธอจึงอาสาตรงเข้ามาปลอบด้วยตัวเอง

ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรดาลูกมือในทีมคนอื่นๆก็รีบยกขบวนวิ่งแหกันเข้ามา และเอ่ยถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

จ้าวเฉียนบอกให้ทุกคนใจเย็นลงก่อน

“อย่ากระโตกกระตากไป หมอกำลังรักษาเขาอยู่ ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง แต่อย่าเพิ่งไปรบกวนพวกหมอดีกว่านะ”

“เสี่ยวซิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ใช่แล้ว! ไอ้พวกเวรนั้นมันเป็นใคร? บังอาจทำร้ายพี่เลอเชียวเหรอ!?”

“แล้วเธอเห็นหน้าพวกมันไหม?”

คำถามมากมายถาโถมเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เธอหันไปกอดหวานเจียงและร้องไห้ออกมาอีกระลอก ในความเห็นของอู่ซิน ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอล้วนๆ ถ้าเธอไม่ออกมาเดินกับพี่ชาย เขาคงไม่ถูกทำร้ายแบบนี้นแน่นอน

จ้าวเฉียนรีบเข้ามาห้ามปรามทุกคนทันที แต่ในเวลาเดียวกัน คุณหมอก็ตรงออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนรีบวิ่งไปถามในทันใด

“คุณหมอค่ะ พี่หนูเป็นยังไงบ้าง?”

อู่ซินเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามด้วยความวิตกกังวล

หมอถอนหายใจเฮือกหนึ่งเอ่ยตอบไปตามตรงว่า

“เชาโชคดีมากเลยนะครับ ที่กระดูกหักแค่บางส่วน พักสักหน่อยเพื่อรอกระดูกผสานตัวก็จะดีขึ้นเองครับ”

ความรู้สึกของทุกคนดั่งยกภูเขาออกจากอก พร้อมเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แล้วต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะหายเป็นปกติครับ?”

“นี่พูดยากนะ โดยปกติต้องใช้เวลากว่า3-6เดือน ถ้าจะให้หายดีเลยจริงๆก็บวกไปอีก2เดือนได้เลย”

คุณหมออธิบายไปตามความจริง

ข่าวนี้ทำให้ทุกคนสิ้นหวังโดยไม่ต้องสงสัย เพราะนั้นหมายความว่าอู่เลอจะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งระดับเอเซียได้แน่นอนในเดือนหน้า

“แล้วแบบนี้จะทำยังไง? พี่เลอจะเข้าร่วมการแข่งเดือนหน้าไหวได้ยังไง?”

“ยังจะคิดเรื่องนี้อีกเหรอ? ไม่ได้ยินคุณหมอบอกรึไง? อย่างน้อยก็ต้องสามเดือน!”

“ถ้าพี่เลอ…รู้เรื่องนี้เข้าจะทำยังไง? เขาคงเสียใจตายแน่เลย เขารอโอกาสนี้มาตั้ง5ปีเชียวนะ ถ้าพลาดไปก็ต้องลงแข่งเพื่อคว้าสิทธิ์ใหม่ในปีหน้า”

….

อู่ซินไม่อยากฟังอะไรใดๆทั้งสิ้นอีกแล้ว เธอหันหลังและเดินจากออกไปโดยตรงทั้งน้ำตา เธอรู้ว่า พี่ชายของเธออยากจะพิสูจน์ตัวเองขนาดไหนกับการแข่งครั้งนี้ แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ทำลายความฝันนั้นลง

จ้าวเฉียนตะโกนเสียงขรึมดังลั่นเพื่อหยุดทุกคน

“เอาล่ะ! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว! ถ้าพี่เลอออกมา ทุกคนต้องบอกว่าใช้เวลาแค่40ถึง50วันถึงจะดีขึ้น! เข้าใจไหม?”

ทุกคนเข้าใจความหมายทันทีว่าจ้าวเฉียนพยายามจะทำอะไร เขาไม่ต้องการจะดับไฟแห่งความหวังในตัวอู่เลอลง ดังนั้นทุกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วยในทันที

คุณหมอเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี จึงเดินไปบอกพยาบาลให้ช่วยกันปิดบัง

ไม่นานพยาบาลคนหนึ่งก็เข็นอู่เลอออกมา

จ้าวเฉียนตรงออกไปกล่าวกับเขาทันทีอย่างยิ้มแย้มว่า

“พี่เลอโชคดกีมากเลยนะ! แค่กระดูกหักเล็กน้อยไม่ถึงกับละเอียดจนเสียทรง ขอเพียงพี่เลอให้ความร่วมมือกับการรักษา ประมาณ40-50วันก็ดีขึ้นแล้ว! น่าจะทันเวลาแข่งพอดี!”

อู่เลอได้ยินแบบนั้นก็คลี่ยิ้มออกทันที นี่ยังพอมีเวลาสำหรับลงแข่งระดับเอเชีย ถ้าหายก่อนเวลาที่กำหนดก็น่าจะเหลือเวลาซ้อมด้วยซ้ำ

หยางหู่จัดการเรื่องโรงพยาบาลเสร็จสิ้น และพาอู่เลอย้ายไปที่โรงพยาบาลเขตหนึ่งในห้องพักที่ดีที่สุด เพื่อให้อู่เลอทำโปรแกรมการรักษาและบำบัด หวังฟื้นตัวให้ได้ไวที่สุด

หลังจากที่อู่เลย้ายเข้าห้องพักไปแล้ว เขาก็ขอให้อู่ซินและคนอื่นๆกลับไปก่อน เขามีบางอย่างที่อยากคุยกับอู่เลอกันแค่สองต่อสอง

“บอสครับ คิดเหมือนผมไหมว่า ต้องมีใครบางคนจงใจไม่ให้ผมเข้าร่วมการแข่งระดับเอเชีย ไม่อย่างนั้นจะมีพวกอันตพานที่ไหนพกไม้เบสบอลกันมาพร้อมมือ ราวกับเตรียมการกันไว้ล่วงหน้าแต่แรกแล้ว?”

อู่เลอยกข้อสงสัยขึ้นมาไถ่ถามทันที

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันเองก็คิดเห็นกัน แค่นายไม่จำเป็นต้องกังวลไป ฉันจะลงมือหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้เอง ตอนนี้นายทำใจให้สบายแล้วรักษาตัวไปก่อนเถอะ ทันทีที่รู้ตัวการ ฉันจะแก้แค้นมันแทนนายให้สาสมเอง!”

อู่เลอพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากบอสด้วยนะครับ แต่อย่าทำอะไรไม่คิดไม่คิดหลังนะครับ ตรวจสอบก่อนว่า อีกฝ่ายมีอำนาจอิทธิพลแค่ไหน ดีไม่ดีกลัวเป็นอันตรายถึงบอสด้วย”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ไม่ต้องกังวลไป ฉันรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ตั้งใจทำการรักษาตามที่หมอบอกนะ ต้องหายให้ทันการแข่งให้ได้”

“ขอบคุณบอสมากครับ ผมจะรีบหายแล้วกลับไปซ้อมโดยเร็ว ทันการแข่งเดือนหน้าแน่นอนครับ!”

อู่เลอเอ่ยปากสัญญากับจ้าวเฉียนพร้อมรอยยิ้ม

แต่อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนรู้ดีว่าตัวเองหมดหวังแล้วสำหรับเกมการแข่งในเดือนหน้า เขาเพียงหวังให้อู่เลอกลับมาหายเป็นปกติโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในปีหน้า

อู่ซินและคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว แต่หวานเจียงยังคงนั่งรออยู่นอกวอร์ดพยาบาล พอเห็นจ้าวเฉียนเดินออกมา เธอจึงรีบตรงเข้าไปหาทันที

“นายคิดว่านี่เป็นฝีมือใคร?”

หวานเจียงเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนไม่พูดไม่จาอันใด แต่โบกมือให้ตามเขามา

ทั้งสองกลับลงไปที่ลานจอดรถและเป็นหวานเจียงที่เอ่ยถามอีกครั้ง

นัยน์ตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธ เขากล่าวตอบไปว่า

“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร แต่คราวนี้ฉันไม่ปราณีมันแน่! ชอบเห็นคนอื่นโดนทุบตีมากนักใช่ไหม? ฉันจะให้มันลิ้มรสเองว่า มันเจ็บปวดแค่ไหน!”

แววตาใสของหวานเจียงพลันสั่นไหวเล็กน้อย ดูคล้ายกับว่าเธอมีอะไรบางอย่างต้องการจะพูด แต่พอเห็นท่าทีของจ้าวเฉียนเป็นแบบนี้เธอจึงเงียบลงไป

ถึงอย่างไรสิ่งนี้มิอาจหลบซ่อนจ้าวเฉียนได้พ้น เขาเอ่ยขึ้นทันทีว่า

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

หวานเจียงลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบไป

“ถ้าเป็นกรณีที่เฟิงเต๋อทำ ฉันไม่คิดว่านายควรใช้ไม้แข็งกับเขานะ เขาเป็นผู้กำกับชื่อดัง ถ้านายไปทำร้ายร่างกายเขา ตำรวจจะไม่ยอมปล่อยนายไปง่ายๆแน่ เพราะเรื่องนี้มันจะกระจายไปถึงสาธารณชนได้”

จ้าวเฉียนไม่กลัวถูกฝูงชนตราหน้าใดๆ เขาตอบกลับไปอย่างไม่แยแสทันที

“เฟิงเต๋อมันอยู่ในบัญชีดำของฉันอยู่แล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นคนทำหรือไม่ก็ตาม แต่ชีวิตของมันจะต้องถูกฉันทำลายอยู่ดี ถ้าบังอาจมาทำเรื่องแบบนี้อีก ไม่เพียงแค่มันจะหมดอนาคต แต่เตรียมนั่งวิวแชร์ไปตลอดชีวิตได้เลยคอยดู!”

หวานเจียงไม่เคยเห็นสีหน้าของจ้าวเฉียนที่ดุดันขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าคราวนี้ เขากำลังโกรธจริงๆแล้ว

“ฉันรู้นะว่านายหัวเสียมาก ฉันเลยมาเกลี้ยกล่อมนายอยู่นี่ไง ชื่อเสียงของเฟิงเต๋อ นายก็รู้ดีว่าเป็นยังไง ถ้านายทำร้ายร่างกายเขาจริงๆ สื่อจะประโคมข่าวให้นายเป็นคนร้ายในสายตาของทุกคน!”

หวานเจียงพยายามเกลี้ยกล่อมให้จ้าวเฉียนใจเย็นลง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวเยาะไปว่า

“ก็แค่ผู้กำกับคนหนึ่ง ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว เป็นคนร้ายในสายตาทุกคน? ฉันเคยผ่านเรื่องแบบนั้นมาแล้ว แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่กลัวเช่นกัน! ช่างเถอะ พูดไร่สาระมาเยอะแล้ว ขอตัวก่อน บาย”

จ้าวเฉียนกำลังเดินกลับขึ้นไปห้องพักตัวเองเพื่อนอนพักผ่อน แต่หวานเจียงยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับเขยือนไปไหน จู่ๆเธอก็เอ่ยถามน้ำเสียงต่ำว่า

“เอ่อ…ฉันขออยู่ดูแลนายสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้พวกเราค่อยออกจากโรงพยาบาลกัน”

รอยยิ้มในครั้งนี้ของจ้าวเฉียนกลับไม่ดูขี้เล่นแบบครั้งก่อนๆ เขาตอบกลับไปอย่างไร้เยื้อใยว่า

“ฉันไม่ยินดีต้อนรับ ขอบคุณ”

หวางจิ้งมุ่ยหน้าใส่พร้อมเอ่ยขึ้นอีกรอบว่า

“ฉันจะคุยเรื่องโปรเจคหนังรถแข่งด้วยนะ ก็ถือโอกาสนี้คุยกันให้เรียบร้อยกันไปเลยไง!”

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ และตอบกลับไปสั้นๆว่า

“ตก]’”

จากนั้นเขาก็เดินขึ้นลิฟต์กลับไปห้องตัวเองทันที

พอเข้าไปถึงห้องพัก จ้าวเฉียนก็กล่าวขึ้นว่า

“ฉันแบ่งเตียงให้เธอครึ่งหนึ่ง ฉันจะนอนแล้ว”

หวานเจียงกลอกตาใส่กล่าวตอบไปว่า

“อย่าได้ฝัน! ฉันไม่นอนกับนายแล้ว!”

คล้อยหลังพูดจบ หวานเจียงก็คว้าเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งเอนหลังพักพิง และปัดจอมือถือเล่นโทรศัพท์ไปพลาง

บรรยายกาศเงียบสงัดลงทันควัน จ้าวเฉียนนอนพลิกตัวไปมาหลายครั้ง แต่ก็นอนไม่หลับสักที จึงหันมาคุยกับหวานเจียงว่า

“ขนาดนั่งพักยังจะใส่ส้นสูงอีกงั้นเหรอ ไม่ปวดบ้างรึไง? โน้น ไปวางบนชั้นหน้าประตู”

หวานเจียงเองก็คล้ายว่าเพิ่งคิดได้ เธอจึงถอดส้นสูงและเดินไปวางบนชั้นทันที พอถอดรองเท้าออกแล้ว ทำให้เห็นถุงน่องแนบเนื้อเป็นทรงสวย มองโดยรวมแล้ว เรียวขาสีขาวนวลนั่นช่างเซ็กซี่อย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนเอื่อมมือไปยกขาของหวานเจียงขึ้นมา เล่นเอาเธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ ก่อนที่เธอจะปริปากบ่นใดๆ จ้าวเฉียนขัดจังหวะกล่าวขึ้นว่า

“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันเคยมีโอกาสไปเรียนนวดกับหมอนวดประจำบ้านมาน่ะ เวลาก่อนหน้า ทั้งพ่อและแม่ชอบให้ฉันนวดเท้าคลายจุดให้ เธออยากลองไหม?”

“เอาจริงดิ? นายเนี่ยนะ? ฉันไม่อยากจะเชื่อ!”

จ้าวเฉียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลองก่อนสิ นี่ฉันไม่เคยนวดเท้าให้ผู้หญิงคนไหนนอกจากแม่เลยนะ”

“โอ้? แสดงว่าโอกาสแบบนี้หายากนะเนี่ย? งั้นเอาสิ! แต่ถ้านวดไม่ดี ฉันถีบนะ!”

หวานเจียงรวนหัวเราะคิกคัก

“ไม่มีปัญหา! เธอขึ้นมานอนบนเตียงนี่มา เดี๋ยวฉันนวดให้ บอกไว้ก่อน หลังจากนี้อย่าเผลอมาตกหลุมรักกันล่ะ!”

หวานเจียงเห็นว่าการกระทำครั้งนี้ของจ้าวเฉียนดูไม่มีพิศสงอะไร เธอจึงพยักหน้าและขึ้นไปนอนบนเตียงคนไข้แทน

Related

ตอนที่191 อู่เลอแย่แล้ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมาหวานเจียงรีบวิ่งเข้าโรงพยาบาลและตรงเข้าไปในห้องพักของจ้าวเฉียนทันที

“นี่นายเป็นยังไงบ้าง? ไหนว่าไม่เป็นอะไรมากไม่ใช่เหรอ? ทำไทถึงขั้นนอนแอดมิดเลยล่ะ?”

หวานเจียงเอ่ยถามน้ำเสียงเจือกังวล

จ้าวเฉียนหัวเราะเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ใจเย็นน่า ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้สบายดีแล้ว ท้าให้เอาผู้หญิงร้อยคนมาขึ้นเตียง ผมยังรับมือได้สบาย”

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่ สบถด่าสวนกลับไปทันทีว่า

“ไอ้หื่น! นายนี่มันจริงๆ เลย! หัดจริงจังหน่อยได้ไหมห้ะ? สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

จ้องพินิจเห็นท่าทีของหวานเจียงดูจริงจัง จ้าวเฉียนถอนหายใจเล็กน้อยและแกะผ้าก็อชออกให้ดู อธิบายไปตามจริงว่า

“หมอบอกว่า ศีรษะของผมได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย จำเป็นต้องนอนดูอาการสองถึงสามวัน แต่เบื้องต้นที่ตรวจสอบก็ไม่มีปัญหาอะไร เหลือแค่อาการหลังจากนี้ที่ต้องเฝ้าระวังจนกว่าจะแน่ใจ ถ้าจะมาเยี่ยมใหม่ค่อยมาพรุ่งนี้เช้านะ”

“จริงนะ? นายไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”

หวานเจียงเอ่ยถามราวกับไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ แสร้งล้มตัวลงนอนโดดดิ้นราวกับกำลังทุกข์ทรมานบนเตียง ทันทีที่เห็นแบบนั้นหวานเจียงพลันใจเสียขึ้นมาทันที รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า

“นาย…นายเป็นอะไร? เดี๋ยวฉันไปเรียกพยาบาลมาดูนะ!!”

“โอ้ยยย เจ็บปวดเหลือเกิน! นี่ผมล้มเหลวในฐานะมนุษย์คนนึงเหรอเนี่ย? ขนาดเคยมีสัมพันธ์สวาทบนรถในคืนนั้น คุณยังไม่เชื่อคำพูดของผมอีกเหรอ? ไหนล่ะความไว้วางใจ!”

หวานเจียงพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถในคืนนั้นทันที ใบหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ใจเต้นระรัวผิดจังหวะ เธอตรงเข้าไปกระซิบข้างหูจ้าวเฉียนว่า

“ฉันไม่เชื่อคำพู฿ดนายหรอก ขนาดนายยังชอบแกล้งฉันเลย แล้วจะเอาความไว้วางใจที่ไหนไปเชื่อคนอย่างนาย?”

“ถ้าอย่างนั้น…ให้ฉันทำอะไรถึงจะยอมยกโทษให้ล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้น

หวานเจียงดึงเก้าอี้ข้างตัวมานั่งและตอบกลับไปว่า

“ฉันขอถามจริงๆ เถอะนะ นายอยากจะสร้างหนังรถแข่งจริงๆ ใช่ไหม? อันที่จริงฮวาหยินกรุ๊ปเองก็วางแผนที่จะสร้างจริงๆ แล้ว ถ้านายต้องการจะสู้กับเฟิงเต๋อด้วยหนัง ฉันเองก็วางตัวไม่ถูกเหมือนกันนะ”

พูดตามตรงคือ จ้าวเฉียนไม่เคยคิดจะสร้างหนังแนวรถแข่งอยู่แล้ว เหตุผลที่เขาพูดแบบนั้นออกไปก่อนหน้า เป็นเพราะต้องการเผชิญหน้ากับเฟิงเต๋อ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หวานเจียงถือว่ากำลังตกอยู่ภายใต้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน กล่าวได้ว่าในฐานะตัวกลาง เธอค่อนข้างลำบากใจ

“แน่นอน แต่ถ้าเธอลำบากใจขนาดนั้นจริงๆ พวกเรายังพอร่วมมือกันได้นะ นี่หมายถึงรวมมือกับฮวาหยินกรุ๊ปนะ ฉันจะให้เธอจัดสรรส่วนแบ่งได้ตามสะดวกเลย นอกเหนือจากนั้นฉันจะให้ทีมของอู่เลอเข้ามาช่วยเหลือทุกอย่างที่ต้องการ”

หวานเจียงมีความสุขอย่างมากเมื่อได้ยิน เธอลุกขึ้นพรวดทันทีด้วยความตื่นเต้น

แต่ในไม่ช้าเธอก็พลันนึกขึ้นได้ แล้วแบบนี้ใครจะมานั่งแท่นผู้กำกับล่ะ?

“เธอสนใจผู้อำนวยการชางไหมล่ะ? ผมสามารถวานให้เธอกลับมานั่งแท่นผู้กำกับได้?”

จ้าวเฉียนแนะนำไปทันที

“ผู้อำนวยการชาง? ฉันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยคุ้มกับเงินที่จ่ายไปเท่าไหร่นะ หากเทียบกับเฟิงเต๋อ ราคาค่าตัวของทั้งคู่พอๆ กันเลย แต่ของเฟินเต๋อมีรางวัลระดับบ็อกซ์ออฟฟิศรับประกันอยู่นะ ไม่ใช่ว่าหนังที่ผู้อำนวยการชางดูแลมันไม่ดีนะ แต่มันดีไม่สุดเท่าไหร่น่ะ”

หวานเจียงเอ่ยตอบไปตามตวามจริง

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นแผนการด้านธุรกิจ ย่อมมีความเสี่ยงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่อย่างที่คำกว่าไว้ว่า ความเสี่ยงสูงย่อมมาคู่กับกำไรที่สูงตามมา หากไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ แล้วจะอยู่รอดในวงการธุรกิจได้อย่างไร?

จ้าวเฉียนเสนอแนะความคิดเห็นของตนให้แก่หวานเจียงได้ฟัง และแนะนำให้เธอลองเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกมาแชร์ให้เขาฟังบ้าง ตราบใดที่ชางอี้คนนี้มีความสามารถพอท่าจะมากำกับหนังของเธอ เงินค่าจ้างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต

หวานเจียงครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง จึงตอบกลับไปว่า

“ฉันต้องกลับไปคุยกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ก่อน สุดท้ายนี้ฮวาหยินกรุ๊ปต้องการลงทุนในโปรเจคนี้ถึง200ล้านหยวน ซึ่งนี่ไม่อาจผิดพลาดได้เลยสักขั้นตอน”

ดูเหมือนว่าฮวาหยินกรุ๊ปจะค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับโปรเจคหนังเรื่องนี้จริงๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฉียนกับฮวาหยินกรุ๊ปร่วมมือกัน ซึ่งเขาไม่ยอมปล่อยให้เกิดขึ้นผิดพลาดเป็นอันขาด

จ้าวเฉียนกล่าวกับหวานเจียงไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นลองกลับไปคุยกับพวกเขาดูก่อน แล้วกลับมาให้คำตอบกลับผม”

หว่นเจียงพยักหน้าตอบ แต่ทันใดนั้นเธอก็อ้าปากหาวหวอดอย่างอดไม่ได้

“เมื่อคืนเธอนอนดึกเหรอ? จะขับกลับไหวไหมเนี่ย?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

หวานเจียงพยักหน้าและตอบไปว่า

“เมื่อคืนฉันนอนดึกน่ะ แถมวันนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปพบกับเฟิงเต๋อ เลยง่วงนิดหน่อย”

จ้าวเฉียนขยับตัวเว้นที่นอนให้หวานเจียงบนเตียงคนไข้และกล่าวเสนอไปว่า

“ถ้าไว้ใจฉันสักนิด ก็นอนพักตรงนี้ก่อนสักพักค่อยกลับนั่นแหละ”

หวานเจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วตอบว่า

“จะบ้าเหรอ? นี่มันไม่ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะ ที่นี่คือโรงพยาบาล ถ้ามีหมอหรือพยาบาลเข้ามาเห็นเข้าจะว่ายังไง?”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบไปว่า

“เห็นแล้วยังไงล่ะ? พยาบาลมาสิทธิ์ยุ่งเรื่องของผู้ป่วยเหรอ? แล้วเธอจะกลัวอะไร? เราไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นในนี้สักหน่อย?”

หวานเจียงที่ได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มสนใจเช่นกัน

“เออก็จริงนั่นแหละ ฉันต้องกลัวอะไร แค่นอนพักแปปเดียวเอง แต่นายห้ามแม้แต่จะคิดเลยนะ!”

หลังจากพูดจบ หวานเจียงก็วางกระเป๋าบนเก้าอี้ ถอดรองเท้า และขึ้นไปนอนข้างๆ จ้าวเฉียน

ไม่น่าเชื่อเลยว่า การที่สาวสวยมานอนข้างกายเขาแบบนี้ มันกล้าสร้างแรงกระตุ้นปลุกสัญญาณของจ้าวเฉียนขึ้นมา

จ้าวเฉียนเหลือบมองไปที่หวานเจียงที่กำลังนอนหันหลังอยู่พร้อมรอยยิ้ม เขาอยากเอื้อมตัวขึ้นไปกดจูบไปเธอเสียจริง แต่อย่างไรเสีย เขาทำได้เพียงต้องอดกลั้นไว้เท่านั้น ถ้าเกิดเขาเผลอใจทำอะไรเธอขึ้นมา มีหวังหวานเจียงระเบิดลงแน่นอน

ทางด้านหวานเจียงเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน เธอใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คิดกับตัวเองว่า ถ้าจ้าวเฉียนกล้าทำอะไรเธอ เธอจะหยิบมือถือโทรแจ้งตำรวจทันที และต่อจากนี้เธอกับจ้าวเฉียนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

ทว่าความกังวลของหวานเจียงก็กลายเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ จ้าวเฉียนค่อนข้างควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อเธอแม้แต่น้อย จนท้ายที่สุดหวานเจีงก็ผล็อยหลับไป

ไม่นานนี่ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน หวานเจียงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ทันทีที่เธอตื่นขึ้น อย่างแรกที่ทำคือตรวจเช็คเสื้อผ้าว่าถูกถอดออกหรือไม่

จ้าวเฉียนที่นั่งอ่านนิยายบนมือถืออยู่พลันเหลือบมองเธอเล็กน้อย และกล่าวว่า

“ท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไง? กลัวฉันทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายตอนเธอหลับเหรอ?”

หวานเจียงตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า ร่างกายตัวเธอไม่ได้ถูกเขาล่วงละเมิดจริงๆ จึงหันมาเอ่ยตอบไปว่า

“ฉันต้องป้องกันตัวไว้บ้างสิ นายน่ะหื่นกระหายยิ่งกว่าสัตว์ป่า ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันหิวมาก พาฉันออกไปหาอะไรทานหน่อย หนีออกจากโรงพยาบาลได้ครั้งหนึ่ง ใช่ว่าจะไม่มีครังที่สองจริงไหม?”

จ้าวเฉียนอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินแบบนั้น และลุกขึ้นจากเตียงไปเปลี่ยนชุดและพาหวานเจียงออกไปหาอะไรทานทันที

แต่หลังจากออกมาได้ไม่นาน อู่ซินก็ฏทรสายเข้ามาหาเขา

จ้าวเฉียนรับโทรศัพท์กล่าวขึ้นว่า

“อู่ซิน ว่าไง?”

“พี่ชาย…พี่ชายฉันถูกทำร้าย! ตอนนี้ถูกส่งตัวไปแผนกฉุกเฉิน ฉันจะทำยังไงดี ฮืออ…ฮือออ…”

ได้ยินประโยคคาดไม่ถึงเช่นนี้จากปากอวู่ซิน จ้าวเฉียนก็ตกใจอย่างมาก รีบเอ่ยถามต่อทันทีว่า

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ พี่ชายเธอถึงโดนทำร้าย?”

อู่ซินกล่าวทั้งน้ำตาว่า

“ระหว่างที่ฉันกับพี่ชายออกไปเดินเล่นหลังงานเลี้ยง ก็ดันไปเจอพวกอันธพาลกลุ่มหนึ่งผิวปากให้ฉัน แล้วก็ตรงเข้ามาเหมือนจะชวนฉันไปเที่ยวด้วยกัน พี่ชายที่เห็นแบบนั้นก็ยอมไม่ได้ เข้าเผชิญหน้ากับพวกนั้นทันที แต่พี่ชายแค่ลำพังทำอะไรพวกมันแทบไม่ได้เลย จนพลาดท่าถูกรุมตี ตอนนี้กำลังนำตัวส่งไปที่โรงพยาบาลแล้ว”

จ้าวเฉียนรีบปลอบอู่ซินทันทีหวังเพื่อคลายอ่อนความกังวลของเธอลง แล้วทิ้งท้ายไปว่า เดี๋ยวเขาจะไปเฝ่าดูอาการของอู่เลอเองที่โรงพยาบาล

หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนก็หันมากล่าวกับหวานเจียงว่า

“ฉันลงไปทานข้าวกับเธอไม่ได้แล้ว ไปกินเองแล้วลงบิลผมไว้ได้เลย จากนั้นก็รีบกลับบ้านเลยนะ ถึงแล้วโทรมาบอกด้วย”

หวานเจียงที่เห็นจ้าวเฉียนดูใจร้อนขึ้นทันตาแบบนี้ เธอก็เอ่ยถามทันทีด้วยความสงสัยว่า

“เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยตอบไปว่า

“อู่เลอถูกพวกอันตธานรุมตี ตอนนี้กำลังอยู่ห้องฉุกเฉิน ฉันต้องไปดูเขาหน่อย”

พอได้ยินแบบนั้น หวานเจียงก็หมดอารมณ์ทานข้าวแล้วเช่นกัน เธอรีบตอบกลับไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็ไม่อยากกินแล้วเหมือนกัน ฉันจะไปด้วย”

จากนั้นทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลที่อู่เลอกำลังถูกส่งตัวเข้ามา

สิบนาทีผ่านไป รถฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็มาถึง

จ้าวเฉียนรีบวิ่งเข้าไปถามอู่เลอที่นอนอยู่บนเตียงเข็นทันทีว่า

“พี่เลอ เกิดอะไรขึ้น?”

อู่เลอสภาพดูไม่สู้ดีนัก พอเห็นจ้าวเฉียนเขาก็ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

“บอสครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษ…ขาของผมถูกตีสาหัส ผม…ผมคงขับรถไม่ได้อีกแล้ว…”

จ้าวเฉียนตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น นี่ถือเป็นข่าวร้ายที่สุดแล้วในชีวิตของตัวอู่เลอเอง

เพราะถ้าเขาขาหักขึ้นมาจริง แล้วเขาจะเข้าร่วมงานแข่งระดับเอเชียได้ยังไง?

สีหน้าของจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ กล่าวน้ำเสียงเย็นถามไปว่า

“แล้วนายรู้ไหมว่าเป็นฝีมือใคร?”

อู่เลอส่ายหัวตอบไปว่า

“ผมไม่รู้เลยครับ ผมไม่เคยเห็นพวกนั้นมาก่อน”

จ้าวเฉียนพยักหน้า กล่าวปลอบโยนไปว่า

“สบายใจได้ นายเข้ารักษาตัวก่อนเถอะ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

อู่เล๋อพยักหน้าทั้งน้ำตา และถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที

จ้าวเฉียนโกรธจัด เดินเข้าไปต่อยกำแพงสุดแรงด้วยความโมโห เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน ต้องมีใครบางคนจงใจทำให้อู่เลอพิการ

“บัดซบ! ใครมันบังอาจทำร้ายคนของฉัน! อย่าให้รู้ว่ามึงเป็นใคร…มึงต้องตาย!!”

จ้าวเฉียนกระชับกำหมัดแน่น ก่อนหยิบมือถือโทรหาหยางหู่ทันที

Related

ตอนที่190 ฉันจะทำลายชีวิตนาย

เมื่อเห็นอู่เลอดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เฟิงเต๋อก็ระเบิดหัวเราะขึ้นทันทีอย่างมึความสุข

“อิทธิพลอำนาจแม้แต่ผียังต้องถอย ไม่มีใครในโลกทนที่จะถูกล่อลวงด้วยเงินได้ ฮ่าฮ่า..”

เฟิงเต๋อครุ่นคิดอยู่ภายในใจ กล่าวได้ว่าแทบจะสงบสติอารมณ์ไม่ได้เลยทีเดียว

สีหน้าของหวานเจียงดูน่าเกลียดยิ่ง เธอตระหนักได้ทันที การที่เฟิงเต๋อทำแบบนี้นี่มันจงใจยั่วยุจ้าวเฉียนชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ? จากที่เธอรู้จักจ้าวเฉียนดี เฟิงเต๋อกำลังประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว

หากไม่จวนตัวจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามห้ามยั่วยุจ้าวเฉียนเป็นอันขาด นี่คือคติของหวานเจียงที่มีต่อเขา

จ้าวเฉียนไม่ใช่พวกคนใจร้อนอันใด เขายิ้มและกล่าวกับเฟิงเต๋อว่า

“ผู้กำกับเฟิงหมายความว่ายังไงครับ? คิดจะฉกคนของผมไป?”

เฟิงเต๋อหัวเราะเสียงดังลั่นและเอ่ยตอบกลับไปว่า

“มันเป็นสัจธรรมที่นายควรยอมรับนะ ใครจ่ายได้มากกว่าก็ได้รางวัลไป หรือนายยังไม่เข้าใจความจริงข้อนี้อีกงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเย้ยเยาะเป็นคำตอบ กล่าวถามขึ้นแทนว่า

“แล้วคุณมีเท่าไหร่?”

“ทำไมนายถึงดูไม่ค่อยมั่นใจเลยย่ะ? ฉันไม่เพียงแค่มีเงินมากพอที่จะซื้อเขาได้เท่านั้น แต่ฉันยังมีอนาคตที่สดใสเป็นสิ่งประกันให้กับเขาอีกด้วย ถ้าพวกเขาติดตามคุณ คงต้องนั่งแข่งรถไปจนตาย ชีวิตหลังเกษียณได้แต่เพิ่งบุญเก่า นั่งซ่อมรถ ถ่ายภาพคู่กับน้ำมันเครื่อง พร้อมค่าตัวไม่กี่หยวน ฮ่าฮ่า…แต่ถ้าอยู่กับผม เป็นได้ทั้งดาราไปจนแก่ มีลิขสิทธิ์ค่าตัวจ่ายให้ไม่ขาดมือ พอได้ยินแบบนี้แล้ว คุณควรละอายใจแล้วปล่อยพวกเขาให้มีชีวิตที่ดีกว่านี้เถอะนะ”

เฟิงเต๋อหัวเราะเยาะตอบ

จ้าวเฉียนเหลือบมองเฟิงเต๋ออแววตานิ่งสงบ สักครู่หนึ่งจึงเอ่ยขู่ขึ้นว่า

“คุณรู้ไหมครับว่า การจะทำลายอนาคตของคนๆ หนึ่งที่จริงแล้วมันง่ายขนาดไหน?”

เฟิงเต๋อคลี่ยิ้มเยาะ กล่าวสบประมาทตอบไปว่า

“จะทำลายอนาคตผมรึไง? นายมีความสามารถขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? ก็ลองดูสิ! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่านายจะมีปัญญาทำลายอนาคตฉันได้ยังไง!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าคลี่ยิ้มตอบ แต่ขณะที่เขากำลังปริปากกล่าว หวานเจียงก็ตรงเข้ามาขัดจังหวะทันที

“ผู้กำกับเฟิงใจเย็นก่อนนะคะ นายก็ด้วยจ้าวเฉียน”

จ้าวเฉียนยังพอเห็นแก่หน้าหวานเจียง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบและไม่กล่าวอะไรอีกเลย

แต่ไม่สำหรับเฟิงเต๋อ เขาไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปง่ายๆ ไม่ว่ายังไงเขาต้องได้ตัวอู่เลอมาถ่ายหนังให้ได้ และอันที่จริงเขาหวังจะหลอกล่อพวกอู่เลอโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท แค่มาบอกข้อมูลจำเพาะและศัพท์เกี่ยวกับรถแข่งเท่านั้น พอเสร็จสิ้นค่อยเตะทิ้งก็ยังไม่สาย

อีกประการหนึ่งคือ เฟิงเต๋อรู้สึกว่าจ้าวเฉียนกำลังท้าทายตำแหน่งหน้าที่การงานของตนอยู่ เขาเป็นถึงผู้กำกับดาวรุ่งแห่งยุค ในขณะที่จ้าวเฉียนเป็นแค่ผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ แต่ดันกล้าพูดจาเถียงแบบนี้ เขาในฐานพี่ใหญ่ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ

นอกจากนี้เอง เฟิงเต๋อยังอยากทำให้หวานเจียงมาสนใจอีกด้วย ยังไงซะ เธอเป็นถึงลูกสาวคนโตของประธานฮวาหยินกรุ๊ป ถ้าได้เธอมาครอบครองก็ไม่ต่างอะไรจากได้ฮวาหยินกรุ๊ปมาเช่นกัน แล้วแบบนี้ใครจะอดใจไหว?

แล้วไอ้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างจ้าวเฉียน บังอาจกล้าเข้ามายุ่งกับเธอ พฤติกรรมต่ำทรามแบบนี้ยิ่งจำเป็นต้องสั่งสอน

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนไม่ได้คิดสิ่งอื่นใดเลยในตอนนี้ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคือ เขาต้องการทำลายอนาคตของเฟิงเต๋อซะ

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวกับเฟิงเต๋อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“ถ้าอย่างนั้น เรามาลองดูกันไหม ภายในสิบวัน ผมจะทำลายชีวิตของคุณไม่ให้เหลือชิ้นดีเลย”

“ให้ตายสิ! ผมกลัวจัง! กลัวจะตายอยู่แล้ว! อยากรอดูเลยครับว่าจะทำอะไรผมได้! ฮ่าฮ่าๆๆ … ให้ตายสิ! ขำจะหายใจไม่ทันแล้ว!!”

เฟิงเต๋อระเบิดหัวเราะเจือปนน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป และหันไปหาหวานเจียงพร้อมกล่าวว่า

“อย่าไปร่วมมือกับเขาอีก อีกไม่นานเขาก็เป็นได้แค่ผู้กำกับตกกระป๋องแล้ว”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็พาอู่เลอและคนอื่นๆ จากไป

จ้าวเฉียนยังคงมีสิทธิ์ควบคุมทีมนี้และเฟิงเต๋อไม่สามารถเข้าแทรกแซงใดๆ ได้

อู่เลอกล่าวปลอบโยนจ้าวเฉียนทันทีว่า

“บอส ไม่ต้องไปเสียเวลาโมโหคนแบบนี้เลย”

“ใช่ครับ! พี่เลอพูดถูกแล้ว อย่าไปหัวเสียกับคนนิสัยแบบนี้เลย มันคงคิดว่าตัวเองดีเด่มากจากไหนวะ?”

“ผู้กำกับดาวรุ่งบ้าบออะไร? ไม่เห็นเคยดูหนังของมันสักเรื่อง”

เพิ่งได้แชมป์ขสนามนี้มา นี่ควรจะเป็นเวลาแห่งความสุข จ้าวเฉียนจึงไม่อยากไปทำลายอารมณ์ของทุกคน เขาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจไปว่า

“ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนใจคนแบบนี้อยู่แล้ว จะว่าไปนี่ก็ใกล้เวลาขึ้นรับรางวัลแล้วไม่ใช่เหรอ? แชมป์ของเรายังไม่เตรียมตัวไปอีกเหรอ?”

อู่เลอสะดุ้งเฮือกราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ และรีบวิ่งไปทื่แท่นรับรางวัลทันที

หลังพิธีมอบรางวัลเสร็จสิ้น อู่เลอก็รีบวิ่งกลับมาอย่างตื่นอกตื่นเต้นพร้อมกับถ้วยรางวัลในมือและเช็คจำนวน1ล้านหยวน

ทุกคนต่างเข้าไปแสดงความยินดีอีกครั้ง แย่งทั้งถ้วยรางวัลทั้งเช็คออกไปเชยชมกันเล่น

จ้าวเฉียนเองก็ปฏิบัติตามสัญญา และกล่าวกับอู่เลอว่า

“ฉันเพิ่งบอกพวกเขาไปก่อนหน้าว่า ตราบใดที่นายสามารถคว้าแชมป์ได้ เงินจำนวน1ล้านหยวนที่เป็นรางวัลฉันจะไม่แตะต้องเด็ดขาด และให้พวกนายกลับไปแบ่งสรรเอาเองเลย คิดซะว่าเป็นโบนัสแล้วกัน”

อู่เลอคลี่ยิ้มกว้าง เขามีความสุขอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น และรีบกล่าวขอบคุณทันที

“บอสครับ ผมขอบคุณมากจริงๆ!”

คนอื่นๆ เองก็แหกันมาขอบคุณจ้าวเฉียนตามลำดับเช่นกัน สำหรับความใจกว้างในครั้งนี้

จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่ต้องขอบคุณเลย นี่เป็นสิ่งที่พวกนายควรจะได้แล้ว เอาล่ะ รีบไปฉลองกันดีกว่า!”

มีจ้าวเฉียนเป็นแกนนำ พาทุกคนเข้าโรงแรมตงไห่ทันที

พอเข้าไปถึงตัวโรงแรมก็พบกับอู่ซินที่ถืออาวุธครบมือ ทั้งสเปย์พริกไทยและ ออดฉุกเฉิน ทั้งยังสวมหมวกใส่ผ้าปิดปาก รวมไปถึงแว่นตากันแดดสีดำนั้นอีก เรียกได้ว่ามิดชิดเสียยิ่งกว่ามิดชิด

อู่ซินที่เห็นจ้าวเฉียนพันผ้าก๊อชบนหัวอยู่แบบนั้น เธอก็รีบวิ่งเข้ามาถามสีหน้าวิตกทันทีว่า

“พวกนั้นตีหัวนายด้วยเหรอ? ไหนบอกว่าไม่เป็นอะไรไง? ทำไมต้องโกหกฉัน!”

จ้าวเฉียนยิ้มอ่อน เร่งสร้างเรื่องอธิบายทันที

“เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว! ฉันลื่นล้มระหว่างอาบน้ำ แล้วหัวดันไปฟาดกับของอ้าง หมอบอกไม่เป็นอะไรมาก ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

“โถ่…ฉันก็กลัวแทบตาย คิดว่าพวกนั้นลงมือกับนาย แล้วอาบนิ้อีท่าไหนถึงเผลอล้มได้เนี่ย?”

อู่ซินเลิกคิ้วเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนยักไหล่ราวกับจะสื่อก็ ‘ก็นะ’ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

“เอาน่า ฉันสบายดี ไม่ตายง่ายๆ หรอก พี่ชายเธอคว้าถ้วยมาได้ ระหว่างเห็นว่ากอดไม่ปล่อยเลย ฮ่าฮ่าๆ”

อู่ซินอดขำไม่ได้และวิ่งไปกอดพี่ชายพร้อมอวยพรให้

“ยินดีด้วยนะคะ ในที่สุดพี่ชายก็ทำได้แล้ว! หนูรู้อยู่แล้วว่า พี่หนูเก่งที่สุด!”

อู่เลอยิ้มตอบอย่างมีความสุขว่า

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอกับบอสจ้าวนั่นแหละ ถ้าไม่มีพวกเธอทั้งคู่ ฉันคงไม่มีทางก้าวมาถึงจุดนี้ได้แน่นอน ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน!”

จากนั้นทุกคนก็รับประทานอาหาร เลี้ยงฉลองกันอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน

การที่อู่เลอคว้าแชมป์ได้อย่างกะทันหันแบบนี้ กล่าวได้ว่าเป็นม้ามืดประจำฤดูกาลอย่างแท้จริง หลังจากติดต่อสอบถามคนมี่พอรู้เรื่องก็ได้ความมาว่า แท้ที่จริงแล้ว ทีมของอู่เลอเป็นทีมที่เคยโดนยุบมาก่อนเนื่องจากขาดแคลนเม็ดเงินสนับสนุน พอทราบแบบนี้หลากหลายทีมใหญ่จึงติดต่อมาหาอู่เลอ หวังแทรกแซงและดึงตัวออกจากมือจ้าวเฉียน

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็เดินออกไปสูดอาการหน้าโรงแรมตงไห่ แต่กระนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขายังคงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน และด้วยนิสัยส่วนตัวของอู่เลอ ถ้าเป็นเบอร์แปลกหน้า เขามักจะไม่ค่อยอยากรับสาย ยิ่งรู้ถึงจุดประสงค์ของคู่สายแล้ว เขายิ่งไม่อยากรับเข้าไปใหญ่

โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นของอู่เลอยังคงดังไม่ขาดสาย และเขาคิดว่า สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนให้พ้นจากสายตาของจ้าวเฉียนได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจ เขาจึงมอบมันให้แก่จ้าวเฉียนโดยตรง

“บอสครับ เชิญเอาไปตรวจสอบได้ตามสะดวกเลยครับ”

จ้าวเฉียนเพียงยิ้มบางเป็นคำตอบ และไม่แม้แต่เหลือบมองมือถือเครื่องนั้นแม้สักนิด เขาผลักมันกลับคืนไปให้อู่เลอทันที

“ฉันเชื่อใจในตัวนาย และหากไม่เชื่อใจนายขนาดนี้ ฉันคงไม่กล้าลงทุนกับนายตั้งแต่แรกหรอกนะ”

อู่เลอรู้สึกซึ้งใจอย่างมากจนทำให้เขารู้สึกเคารพจ้าวเฉียนมากขึ้นไปอีก

“บอสสบายใจเลยครับ ผมไม่ใช่พวกลืมบุณคุณใคร หลังจากนี้ผมจะพยายามฝึกซ้อมให้หนักขึ้น เพื่อไม่ให้บอสจ้าวผิดหวังครับ!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยพลางกอดคออู่เลออย่างสนิทชิดเชื้อ

“เข้าใจแล้วน่า กลับกันเถอะ บอกให้เจ้าพวกนั้นแยกย้ายได้เลยนะ ฉันจ่ายเงินค่ากินดื่มหมดแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน โชคดี!”

จ้าวเฉียนโบกมือลาอู่เลอและขับรถจากไปโดยตรง

แล่นผ่านถนนมาครึ่งสาย จ้าวเฉียนจอดรถเทียบฟุตบาทและโทรเรียกหยางหู่โดยไว

“ครับคุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ครับ?”

“รู้จักผู้กำกับที่ชื่อเฟิงเต๋อไหม?”

“รู้จักครับ ผู้กำกับดาวรุ่งในขณะนี้ใช่ไหมครับ? มันทำอะไรให้คุณชายขุ่นเคืองเหรอครับ?”

“มันบังอาจล้ำเส้นฉัน และฉันจะทำลายชีวิตมัน”

“เข้าใจแล้วครับ”

จ้าวเฉียนวางสายลงทันทีเป็นอันเข้าใจ

งานของหยางหู่ล้วนประสบความสำเร็จด้วยดีเสมอและไม่เคยพลาด ในความเห็นของจ้าวเฉียน อนาคตของเฟิงเต๋อจบสิ้นแล้ว

จ้าวเฉียนเดินทางกลับไปนอนแอดมิดที่โรงพยาบาล ทันทีที่มาถึงห้อง เขาก็ถูกพยาบาลสาวสวยสวดยับในบัดดล

“โอ้เอ้นะครับ คุณพยาบาลคนสวย โกรธแล้วแก่เร็วน๊า”

พยาบาลสาวคนนั้นหุบยิ้มแทบไม่ทันด้วยความเขินอาย ก่อนจะปั้นหน้าดุกล่าวซ้ำไปว่า

“อย่ามาพูดแบบนี้กับดิฉันนะคะ! คุณรู้ไหมว่าผู้อำนวยการลี่โกรธมากที่ปล่อยคุณออกไปจากโรงพยาบาล ฉันโดนเขาเรียกไปดุจนชาเลย!”

“แหม ก็ผมแทบจะหายดีเป็นปกติแล้ว ได้คุณพยาบาลคนสวยดูแลผมดีขนาดนี้ ถึงจะโดนคุณดุ ผมก็ยอมนะ”

ใบหน้าสวยของพยาบาลคนนั้นแดงก่ำโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะยกแฟ้มในมือทุบจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง แต่เธอยังคงแอบยิ้มตอบไปว่า

“ทำไมคุณทะลึ่งแบบนี้นะ! เข้านอนได้แล้วค่ะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะตามผู้อำนวยการลี่มาดุด้วยตัวเอง! หึ!”

พยาบาลคนสวยหมุนตัวควับและเดินจากไปทันที ส่วนจ้าวเฉียนก็ยืนมองเธออยู่นานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเอนตัวนอนลงอย่างสบายใจ

ไม่นานหลังจากนั้น อู่ซินก็โทรสายเข้ามาหาจ้าวเฉียน เธอเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า

“จ้าวเฉียน แผลบนหัวนายโอเคไหม? เดี๋ยวฉันไปเยี่ยมดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว ไม่ต้องลำบากมาหรอก”

“อืม ถ้าเป็นอะไรให้รับโทรบอกฉันเลยนะ แค่นี้แหละ”

จ้าวเฉียนกดวางสายบไป และไม่กี่เสี้ยวอึดใจต่อมา หวานเจียงก็โทรมาหาเขาต่อเนื่องกันทันที

“ฮาโหล นายอยู่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่โรงแรมตงไห่แล้วเหรอ?”

หวานเจียงกล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด

“อยู่โรงพยาบาล!”

จ้าวเฉียนตอบไปตามตรง

“ห่ะ? โรงพยาบาล? ไปทำอะไรที่นั่น? ม่อพยาบาลเล่นรึไง?”

หวานเจียงเอ่ยถามเชิงกวนประสาท

“ตอนที่อยู่ในสนามแข่งไม่สังเกตเห็นเลยรึไง? หน้าผากผมเป็นแผล ตอนที่ออกไปสนาม ผมถึงกับต้องหนีพยาบาลออกมาเลยนะ พอกลับมาก็โดนดุอีก!”

“เออ! สมควรแล้ว! แล้วนายอยู่โรงพยาบาลไหน?”

“โรงพยาบาลเขต1”

“โอเค เดี๋ยวไปเยี่ยม”

หวางเจียงกดวางสายทิ้งทันทีหลังพูดจบ และขับรถไปที่โรงพยาบาลเขต1เพื่อไปหาจ้าวเฉียน

Related

ตอนที่189 ฉันคือบอส

หวานเจียพาเฟิงเต๋อมาห่าจ้าวเฉียน ส่วนทางด้านเฟิงเต๋อกลับหันไปคุยดีบอู่เลอโดยตรงว่า

“สวัสดีครับ ผมชื่อเฟิงเต๋อ ตอนนี้ผมกำลังสร้างโปรเจคหนังเกี่ยวกับธีมรถแข่งอยู่ ไม่ทราบว่าคุณสนใจเข้าวงการนี้ไหมครับ? บางทีคุณอาจได้แจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ ผมเคยทำหนังมาทั้งหมดสามเรื่อง และทั้งสามเรื่องได้รางวัลบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งหมด พร้อมกวาดรายได้กว่าพันล้านหยวน ไม่ทราบว่าคุณสนใจทางด้านนี้ไหมครับ?”

อู่เลอส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เป้าหมายของผมคือเป็นนักแข่งระดับโลก ไม่ใช่นักแสดงหรือดาราครับ”

เฟิงเต๋อยังคงปฏิเสธที่จะยอมแพ้และชักชวนต่อว่า

“คุณหาเงินในฐานะนักแข่งได้ปีละเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมดูถูกอาชีพนี้นะครับ แต่อยากให้ลองคิดดู อาชีพนี้ใช้ชีวิตเสี่ยงบนสนามอยู่ตลอดเวลา ค่าเหนื่อยที่ได้ไม่คุ้มเท่าไหร่นัก แต่เมื่อคุณมาเป็นดารา คุณสามารถนอนกินกับค่าลิขสิทธิ์ได้ในอนาคตในตอนที่ดังแล้ว”

แต่ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็กล่าวขัดจังหวะเฟิงเต๋อขึ้นทันใด

“ผู้กำกับเฟิง อย่าไปตื้อเขาเลยครับ เขาบอกว่าไม่สนก็คือไม่สนใจ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเฟิงเต๋อจางหายไปในทันใด เขาโมโหอย่างมากที่จ้าวเฉียนมาพูดขัดจังหวะเขาแบบนี้

“นี่คุณอายุเพิ่งเท่าไหร่? ทำไมถึงพูดกับผมแบบนี้? ผมยังไม่เคยเสียมารยาทพูดแทรกคุณเลยสักครั้งนะ?”

ผู้กำกับเฟิงเต๋อคนนี้คิดว่า จ้าวเฉียนเป็นแฟนคลับของอู่เลอ และไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่า ชายคนนี้จะเป็นบอสของทีมแข่งรถทีมนี้

ไม่ต้องพูดถึงเฟิงเต๋อ แม้แต่หวานเจียงเองก็ไม่คิดว่าจ้าวเฉียนจะเป็นบอสใหญ่ของทีมนี้

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเสียอย่างมาก และกล่าวต่อว่าเฟิงเต๋อทันที

“ทำไมคถณถึงพูดกับบอสผมแบบนั้น?”

ทั้งเฟิงเต๋อและหวานเจียงแทบสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมา

เฟิงเตจ๋อเอ่ยย้ำคำถามทันที

“ชายคนนี้เป็นบอสของทีมคุณเหรอ?”

อู่เลอยิ้มตอบทันทีว่า

“ผมพูดออกไปขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกเหรอครับว่าเขาเป็นใคร?”

“ไม่ใช่ว่า…การจะเป็นเจ้าของทีมแข่งรถต้องใช้เม็ดเงินสนับสนุนหลักล้านต่อปีเลยเหรอ? แต่เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ตัวเองมาหนิ?”

เฟิงเต๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง

“ผู้กำกับหน้าใหม่? ฮ่าฮ่า…บอสจ้าว บอสผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่?”

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันที

“อ้าวบอส อยากเป็นผู้กำกับก็ไม่บอก มีอะไรที่พวกเราพอช่วยได้บ้างไหมครับ?”

“ใช่แล้ว ถ้ามีอะไรที่พวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราพร้อมช่วยเต็มที่นะครับ อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเงินบอสได้บ้าง”

“พวกนายไล่ตามความฝันของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันอยากเป็นผู้กำกับมีชื่อเสียงบ้างน่ะ แบบปั้นหนังสักเรื่องให้ดังติดประเทศอะไรแบบนั้น”

“งั้นเอาผมไปเล่นเลย! ผมอยากเป็นแบบดอม โทเร็ตโต้!”

“ฮ่าฮ่าๆ…”

จ้าวเฉียนและพวกอู่เลอระเบิดหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

หวานเจียงก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน เธอมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นแบบนี้ เธอหันไปพูดกับจ้าวเฉียนทันที

“ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่า นายจะมาลงทุนในทีมแข่งรถด้วย วิสัยทัศน์ของนายกว้างไกลกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะ! ทีแรกก็คิดว่านายเป็นแค่ไอ้ขี้เก๊กคนหนึ่ง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะแห้งเป็นคำตอบ เจือสงสัยว่านี่เธอกำลังชมหรือด่ากันแน่?

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“เธอก็น่าจะรู้ ฉันเป็นพวกอยู่ไม่สุขถ้าเก็บเงินอยู่กับตัว ถ้าไม่ได้ระบายเงินออกไปบ้าง ฉันคงนอนไม่หลับ ก็เลยเอามาลงทุนกับความฝันของพวกเขา และฉันเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากนะ ที่เลือกเดิมพันได้ถูกทีม”

ยามนี้ความประทับใจของเฟิงเต๋อที่มีต่อจ้าวเฉียนก็คล้ายว่าจะดูดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาต้องการเจรจาเรื่องเล่นหนังกับอู่เลอเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงญาติดีกับจ้าวเฉียนเข้าไว้

แม้เขาจะไม่ค่อยต้องการที่จะยอมรับความจริงข้อนี้เท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริง บอสของอู่เลอคนที่เขาอยากได้ไปเป็นตัวเอกคือจ้าวเฉียน

เมื่อเป็นแบบนั้น เฟิงเต๋อจึงยิ้มกล่าวกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณจ้าว ผมขอคุยกับนักแข่งของคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหม?”

จ้าวเฉียนสละทิ้งรอยยิ้มก่อนหน้าไปทันที เขาส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“คงไม่ได้หรอกครับ พวกเราทั้งคู่ต่างก็กำลังสร้างหนังรถแข่ง ดังนั้นคุณคือคู่แข่งคนสำคัญของผม คงเข้าใจไม่ใช่ครับว่าหมายความว่ายังไง”

เฟิงเต๋อชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเหลือบไปยิ้มแห้งให้หวานเจียง

หวานเจียงเข้าใจทันทีว่าเฟิงเต๋อกำลังขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอจึงเร่งขยิบตาให้จ้าวเฉียน ออกมาคุยกันสองต่อสอง

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินติดตามเธอออกไป ณ มุมหนึ่ง

“นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมเราต้องขอร้องคนอย่างเขาด้วย?”

หวางนเจียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า

“นายก็รู้ว่าเขาจะสร้างประโยชน์มากแค่ไหนให้กับบริษัทพวกเรา ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว นายต้องการอะไรว่ามา!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปทันที

“มาลงอ่างอาบน้ำด้วยกันแล้วมาถูหลังให้ผมด้วย ถ้าทำได้ ผมจะลองเก็บเรื่องนี้ไปคิดดู”

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่ทันใด กล่าวดุไปว่า

“อย่าวฝัน! เอาดีๆสิ!”

“ก็ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าผมไม่ทำงานร่วมกับเขา! โอเค ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระกันอีกแล้ว ผมต้องพาทีมของผมไปเลี้ยงฉลอง!”

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเดินออกไป หวานเจียงรีบคว้าแขนและเอ่ยถามต่อทันทีว่า

“นายพาพวกเขาไปเลี้ยงที่ไหน?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ระดับผมต้องเป็นโรงแรมตงไห่เท่านั้น มีเพียงสถานที่หรูแบบนี้ที่คู่ควรกับแชมป์ของผม”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปตามความจริง

ทันใดนั้นเอง หวานเจียงก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที ในเมื่อจ้าวเฉียนไม่ยอมให้อู่เลอกับเฟิงเต๋อพเจรจากัน แล้วทำไมถึงไม่เปลี่ยนเป็นเธอเองที่เข้าไปคุยกับอู่เลอ?

“ได้! ตอนนี้ฉันว่างพอดี! ฉันจะไปอวยพรกับความสำเร็จของนาย ไปฉลองกัน!”

หวานเจียงไม่สนว่าจ้าวเฉียนจะอนุญาตให้เธอหไปหรือไม่ ทันทีที่พูดจบเธอก็วิ่งไปแสดงความยินดีกับอู่เลอ ปล่อยทิ้งจ้าวเฉียนให้ยืนงงอยู่แบบนั้น

งานฉลองดังกล่าวแน่นอนว่าอู่ซินย่อมไปร่วมด้วยแน่นอน และถ้าหวานเจียงพบกับเธอขึ้นมา ดีไม่ดีเธออาจะหลุดพูดอะไรที่กระทบกับจ้าวเฉียนแน่นอน และทั้งอู่ซินและอู่เลอจะทราบถึงตัวตนของจ้าวเฉียนทันทีว่าไม่ธรรมดา

ในตอนนี้จ้าวเฉียนไม่อยากให้อู่ซินรู้ว่า เขากำลังแอบช่วยเธออยู่ลับหลัง จ้าวเฉียนกังวลว่า ด้วยนิสัยขี้เกรงใจของอู่ซิน ในอนาคตต่อไปเธอจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากจ้าวเฉียนแน่นอน

จ้าวเฉียนจึงรีบฉุดแขนหวานเจียงกล่าวปฏิเสธสวนกลับไปทันที

“ไม่! เธอไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเราขนาดนั้น! ทำไมต้องมาอวยพรกันด้วย? ฉันรู้นะว่าเธอหวังใช้โอกาสนี้ หาช่องทางให้อู่เล่อกับเฟิงเต๋อติดต่อกัน!”

หวานเจียงโกรธอย่างมาก เธอทุบแขนจ้าวเฉียนไปสองสามทีพร้อมกล่าวว่า

“ทั้งๆที่นายรู้อยู่แล้วว่าฉันตั้งใจขนาดไหน แต่ทำไมนายยังเห็นแก่ตัว เอาความไม่ชอบขี้หน้าส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงาน ถือซะว่าหลับตาข้างหนึ่งสักครั้งได้ไหม? เขาเป็นผู้กำกับดาวรุ่งเลยนะ ถ้ามีเขาอยู่บริษัทของนายจะเติบโตขึ้นมาก!”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปทันที

“แต่ยังไงผมก็ไม่ยอม นี่เป็นงานฉลองความสำเร็จของคนในที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ! แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าล้ำเส้นให้มันมากนัก มิฉะนั้นอย่าหาว่าผมไม่สุภาพ!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็โบกมือให้อู่เลอและคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวไปเลี้ยงฉลองกันต่อที่โรงแรมตงไห่

ในเวลานี้เองก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งแหกันเข้ามา พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่เพื่อขอสัมภาษณ์อู่เลอ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เวลาแก่พวกตน

อู่เลอรู้สึกประหม่าเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับกล้องและไมค์ไหว เขารีบหันมาปรึกษากับจ้าวเฉียนทันที

“บอสควรออกหน้าแทนผมนะ”

จ้าวเฉียนเร่งคว้าตัวอู่เลอที่คิดจะวิ่งหนี และกล่าวน้ำเสียงจริงจังกับเขาขึ้นว่า

“นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนายแล้ว พอนายกลายมาเป็นนักแข่งชื่อดัง หลังจากประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย นายก็จะสามารถโยกย้ายไปสายงานอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องแข่งรถไปจนตาย นายลองคิดดูนะ พอนายเกษียญตัวเองขึ้นมา คิดว่าตัวเองยังมีแรงเหยียบคันเร่งแข่งกับพวกวัยรุ่นไฟแรงไหวเหรอ? รีบสร้างมูลค่าให้ตัวเอง พอนายแก่ตัวลง จะได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนขับรถ หรือไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าต่างๆก็ทำได้ มีนักแข่งตั้งหลายคนที่พอได้แชมป์ก็ผันตัวเองเป็นดารานักแสดง นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับนายนะ ถือซะว่าทำเพื่ออนาคตของตัวเอง ไปได้แล้ว! พวกนักข่าวรอนายอยู่!”

พออู่เลอได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกประทับใจในคำพพูดของจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังกลัวที่จะเผชิญหน้ากับพวกนักข่าวอยู่ดี

“บอส ทำไมเราถึงไม่ออกไปสัมภาษณ์ด้วยกันล่ะ? ถ้าเกิดผมตอบคำถามไหนไม่ได้ บอสจะได้ช่วยผมได้ไง”

อู่เลอเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนเองก็คิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร จึงพยักหน้าและเดินออกไปด้วยกัน

ทั้งสองเดินเข้าไปสัมภาษณ์กับพวกนักข่าว สีกหน้าท่าทางกระตือรือร้นและให้คาวมร่วมมือเป็นอย่างดี

เฟิงเต๋อที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก พลางกระซิบกับหวานเจียงน้ำเสียงต่ำว่า

“ผมไม่รู้จริงๆว่า หมอนั่นต้องโชคดีขนาดไหน ถึงฟรุ๊กไปลงทุนกับทีมนั้น”

หวานเจียงที่ยังหัวร้อนไม่หาย เธออารมณ์เสียมากในขณะนี้ จึงหันหน้าหนีไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงดูผ่อนคลายสบายๆ แต่สภาพของอู่เลอกลับดูไม่จืด ทั่วทั้งแผ่นหกลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะความประหม่า มือไม้สั่นเทา หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

ในเวลานี้เอง เฟิงเต๋อก็เดินกลับเข้ามาหาอีกครั้งและกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“คุณลงทุนในทีมนี้เท่าไหร่ครับ?”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามกลับไปเจือน้ำเสียงกวนๆ

เฟิงเต๋อยิ้มและหันมูดกับอู่เลอว่า

“เขาลงทุนกับคุณมากแค่ไหนกันเขียว? เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า และจะให้เงินคุณเป็นค่าขนมอีก10ล้านหยวน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทีม ผมรับผิดชอบเอง แต่ในอนาคตคุณต้องฟังคำสั่งของผมแค่คนเดียว ตกลงไหม?”

เฟิงเต๋อเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ไม่มีใครสามารถทนการล่อลวงด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้แน่

ต่อให้ทีมเก่งแค่ไหนแต่ถ้าขาดเงินไปก็ไม่สามารถลงแข่งได้

และที่เฟิงเต๋อกล้าวลงมุนขนาดนี้กับอู่เลอ เพราะเขาเชื่อว่า อู่เลอจะต้องกลายมาเป็นดาราดังระดับประเทศอแน่นอน และหนังเรื่องต่อไปที่เขาสร้างจะต้องทำรายได้ทะละพันล้านอีกครั้ง กล่าวได้ว่าลงทุนครั้งนี้ได้กลับคืนมานับสิบเท่า ตัวเขามีแต่ได้กับได้

อู่เลอหันควับจับจ้องจ้าวเฉียนในทันใด สีหน้าของเขาในขณะนี้ซีดเผือกราวกับจะเป็นลม

Related

Related

ตอนที่188 ไม่ดีเท่าเทวดา

ในสายตาของจ้าวเฉียน หยางหมิงก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก ที่เขาสามารถบดบี้เมื่อใดก็ได้ตามต้องการ

อย่างไรก็ตาม หลินจือดูจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นักที่เห็นหน้าจ้าวเฉียนยืนเสร่ออยู่แบบนี้ เขาจึงพาทายาทเศรษฐีอีกคนที่ชื่อซีฟู่เดินไปพร้อมกัน

พวกหลินจือเดินไปหาเรื่องจ้าวเฉียนทันที

“ไสหัวไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก!”

ทว่าอย่างไร ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนยังคงจับจ้องไปที่รถแข่งของอู่เลอ ไม่แม้แต่เหลียวมองหลินจือเลยสักนิด

หลินจือโกรธอย่างมากที่เห็นแบบนั้น เขาแบะบรรดาเพื่อนฝูงเหล่านี้เปรียบได้ดั่ง‘ธนบัตรเคลื่อนที่’ไม่ว่ากลุ่มนี้จะเดินทางไปที่ไหน พวกเขาสามารถดูถูกเหยียดหยามคนอื่นได้มากตามต้องการ

หลินจือกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยันต่อว่า

“ไอ้โง่ แกแหกตาดูนะ สองอันดับแรกเป็นคนของฉัน ส่วนไก่น้อยที่อยู่ที่สามจะสามารถแซงพวกฉันได้ยังไง? อ่อนหัด!”

“ดูนั้น! พี่เลอแซงขึ้นนำเป็นที่สองแล้ว!”

หลืนจือยังพูดไม่ทันขาดคำ ทุกคนทั่วสนามต่างโหร้องขึ้นมาทันควัน และแน่นอนว่าอันดับสองในปัจจุบันกลายมาเป็นอู่เลอแล้ว

 เวลานี้ รถแข่งทั้งสามคันกำลังเข้าโค้งที่ห้าแล้ว หมายเลข10ยังคงเป็นจ่าฝูง ตามมาด้วยรถของอู่เลอ และหมายเลข35ที่พยายามขึ้นแซงอย่างสิ้นหวัง เขาพยายามเหยียบคันเร่งตีตื้นเพื่อสกัดอู่เลอทุกวิถีทาง

อู่เลอเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน กระทืบคันเร่งมิดหวังสะบัดหมายเลข35ออกให้พ้น และไล่ตามหมายเลข10 หวังเข้าแซงทางโค้งสุดท้ายตรงหน้า

หลินจือรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ยังคงยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจโดยกล่าวว่า

“แซงขึ้นเป็นที่สองแล้วไง? หลังพ้นโค้งที่ห้าก็จบแล้ว เขาไม่มีโอกาสชนะอีกแล้ว!”

แน่นอนว่าอู่เลอพยายามตีตื้นขึ้นแซงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถทำสำเร็จเสียที

“ฮ่าฮ่า…สองกิโลสุดท้าย! หลับตาขับยังชนะได้!”

หลินจือหัวเราะเยาะอย่างชัย

บรรดาลูกเศรษฐีคนอื่นๆเองต่างก็ติดตามหลินจือเข้ามา และกล่าวเยาะเย้ยจ้าวเฉียนว่า

“ได้ยินมาว่า แกต้องประหยัดชนิดอดมื้อกินมื้อเพื่อสนับสนุนทีมนี้ ตอนนี้คงไม่เหลือเงินแล้ว รู้สึกเสียดายไหม?”

“มันต้องเสียดายอยู่แล้ว ไปหยิบผ้าขี้ริ้วมา สู้เอาเงินไปซื้อข้าวกินให้อื่มท้องยังดีกว่าเยอะ! สงสัยต้องเอารถแข่งไปขายแลกเงินกลับมา!”

“ฮ่าฮ่า….ฉันเดาได้เลยว่า จบการแข่งนี้มันคงต้องไปนั่งขอทานแน่ จนแล้วยังไม่เจียมตัว!”

หยางหมิงมีความสุขอย่างยิ่งที่เขาสามารถยุให้บรรดาเพื่อนๆไปรุมด่าจ้าวเฉียนได้ ในอนาคตเขานี่แหละจะใช้ประโยชน์จากบรรดาเพื่อนฝูงกลุ่มนี้จัดการจ้าวเฉียน

หลินจือปรบมือส่งเสียงตะโกนดังลั่นเชียร์หมายเลข10

อย่างไรก็ตามแต่ ขึ้นชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดสามารถควบคุมให้เป็นดั่งในนึก ไม่ถึง500เมตรก่อนเข้าเส้นชัย รถหมายเลข10ดันสูญเสียการควบคุมและหลุดถนนไปโดยกะทันหัน

“เปรี๊ยง!”

มีรถชนกับไหล่ทางดังสนั่น รถหมายเลข10ปลิวกระเด็นไร้การควบคุม รถทั้งคันกระจายแยกชิ้นส่วนกระเด็นกระดอน

อู่เลอคว้าโอกาสนี้รีบเร่งเครื่องเข้าเส้ยชัยก่อนทันที

หลินจือและคนอื่นๆได้แต่ยืนตกตะลึง ถึงขั้นเสียศูนย์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

นักขับที่เก่งที่สุดของทีมน่าจะเสียชีวิตแล้ว ในเวลาแบบนี้ไม่ควรหัวเราะเลยสักนิด แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับจ้าวเฉียน

“ฮ่าฮ่าๆๆ…คนเก่งแต่ฟ้าไม่เป็นใจก็ได้แค่นี้แหละ คงเป็นพวกคนแถวนี้ขี้อวดเกินไปหน่อย สวรรค์คงลงโทษละมั้ง”

หลินจือเดือดจัดหันไปหาเรื่องจ้าวเฉียนทันที

“นี่แก!!”

“อยากมีเรื่องนักอ่อ!?”

ทันใดนั้นพวกลูกมือทีมของจ้าวเฉียนก็รีบออกหันลุกขึ้นยืนเช่นกัน

หลินจือและบรรดาเพื่อนฝูงเหล่านี้ล้วนเป็นลูกเศรษฐีทุกคน มีหรือที่ต้องยอมเสียหน้าแบบนี้?

“พวกมึงก็แค่กลุ่มคนขอทาน ยังจะกล้าฮือกับพวกกูอีกเหรอ! อยากตายนักใช่ไหม!?”

“ถุย! รวยกว่าแล้วไงวะ! กูเอาเลือดบนหัวพวกมึงออกได้แล้วกัน!!”

“พวกมึงไสหัวไปเลยนะ ไม่งั้นกูบอกที่บ้านให้เล่นงานพวกมึงแน่!”

……..

หยางหมิงรู้สึกได้ในทันที ตอนนี้โอกาสของตนมาถึงแล้ว ดังนั้นเขาจึงปั้นหน้าหงุดหงิดด่าจ้าวเฉียนทันทีว่า

“จ้าวเฉียน แกยังกล้าทำตัวหยิ่งต่อหน้าพวกฉันอีกเหรอ แค่ชนะครั้งเดียวทำเป็นถมถุยกันแล้วรำไง? วันนี้ฉันมาพร้อมเพื่อนมากมาย ขอดูหน่อยว่าแกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้!”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างหน่ายใจ เอ่ยสวนกลับไปว่า

“โอ้เอ้ๆ ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดีนะนายน้อยหยาง เวลาคนเรามันแพ้ก็มักจะหาเรื่องชวนตีไปทั่ว ผมจะปล่อยตัวเองให้ไปกัดกับฝูงหมาจรหรอกครับ เวลานี้ผมต้องไปฉลองกับชัยชนะที่ได้มา เชิญเห่าอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะนะครับ ฮ่าฮ่า…พวกเรา! ไปฉลองกัน!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินกอดคอพวกลูกมือเดินออกไปหาอู่เลอทันที

หลินจือและคนอื่นๆหงุดหงิดอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของนักขับหมายเลข10สำคัญกว่า พวกเขาทำได้เพียงเรียกหน่วยพยาบาลเข้าดูเท่านั้น

ในไม่ช้า จ้าวเฉียนและคนอื่นๆก็พบกับอู่เลอ

“บอส! ผมชนะแล้ว! ผมลนะแล้ว! ฮ่าฮ่า…”

อู่เลอระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข

คนอื่นๆเองต่างก็แสดงความยินดีรกับอู่เลอเช่นดัน นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะพาพวกเขากลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน ทีมพยาบาลและแพทย์ก็หามเปลนักแข่งหมายเลข10ออกไป

ทางด้านหลินจือและคนอื่นๆแห่กันวิ่งเข้ามาหาเรื่องจ้าวเฉียนกับคนอื่นๆต่อ

“อย่าเพิ่งดีใจไปพวกมึง! ถ้าโชคดีพอก็ก็คว้าแชมป์ระดับเอเชียในเดือนหน้าให้ได้แล้วกัน แต่กูไม่ปล่อยพวกมึงไปง่ายๆแน่!”

หลินจือกล่าวข่มขู่น้ำเสียงเดือดดุ

จ้าวเฉียนไม่แม้แต่สบตาเขาเลยด้วยซ้ำ และกล่าวเตือนไปว่า

“กลับไปดูแลนักแข่งตัวเองก่อนดีกว่าครับ นอกจากนี้แล้วผมจอเตือนอะไรพวกคุณสักอย่าง หยางหมิงเป็นศัตรูของผม ทางที่ดีอย่าไปพัวพันกับหมอนั่นให้มาก ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น

หลินจือชี้ด่ากลับไปทันที

“แกนี่มันโง่! โง่จริงๆ!! ในสมองของแกมีแต่อึหมารึไงวะ ถึงกล้าพูดแบบนี้กับพวกกู! มึงจำไว้ซะนะ แค่เศษเงินของพวกเขาคนใดคนหนึ่ง มันก็มากพอที่จะทับแกจนขาดอากาศหายใจตายได้แล้ว!”

“พี่หลิน อย่าไปคุยกับไอ้คนบ้านนอกแบบนี้เลย วันๆยังหาเลี้ยงชีพตัวเองไม่ไหวเลยมั้ง อย่าเอาตัวไปเกลือกกลั้วด้วยเลย ขยะแขยง!”

“หาเวลาไปเรื่องมารยาทซะวใหม่นะไอ้บ้านนอก เวลาพูดกับคนชนชั้นสูงกว่าพวกเรา จะได้รู้ว่าควรปฏิบัตตัวยังไง!”

“พ่อหนุ่มหล่อ ฉันขอเตือนนายสักนิดนะ ถ้านายกล้าเป็นศัตรูกับนายน้อยหยางก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูของเราเช่นกัน ซึ่งนั้นมันไม่เป็นผลดีต่อตัวนายเลย!”

หยางหมิงแอบแสยะยิ้มอยู่ภายในใจ ในที่สุดแผนการของเขาก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดี

“ขอบคุณพวกนายมาก ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริงๆ”

หยางหมิงแสร้งกล่าวปั้นหน้าซึ้งใจ

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกัน ก็ควรปกป้องกันไม่ใช่เหรอ? ฉันหลินจือพูดแล้วไม่คืนคำ มันบังอาจล้ำเส้นพวกเรามาก่อน ฉันไม่มีทางยกโทษให้มันแน่นอน

หลินจือชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนอีกระลอก พร้อมทิ้งทวนด้วยสายตาสุดเหยียดหยาม

หลังด่าจบหลินซือก็พากลุ่มเพื่อนของตัวออกไป หลังจากนั้นที่เดินออกไปได้ไม่นาน หวานเจียงก็พาเฟิงเต๋อเดินไปหาจ้าวเฉียน ซึ่งพวกเขาทั้งสองกลุ่มเดินสวนทางกันพอดี

หยางหมิงที่มีพวกพ้องมากมายขนาดนี้อยู่เคียงข้าง ก็ยืดอกกล่าวเตือนหวานเจียงอย่างหาญกล้าว่า

“เสี่ยวเจียง ฉันแนะนำให้เธออยู่ห่างๆจากหมอนั่นดีกว่านะ พวกเพื่อนๆของฉันต่างลงความเห็นกันหมดแล้วว่ามันเป็นศัตรู ถ้ามันคิดต่อต้านพวกเราในอนาคต พวกเราจะกำจัดมันทิ้งซะ ดังนั้นเธอเพียงตัวคนเดียวอย่าฝืน…”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเอง หวานเจียงก็เดินผ่านเขาไปราวกับอากาศธาตุ ไม่แม้แต่เหลียวมองเลยสักนิด

เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของหวานเจียง หลินจือก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า

“นี่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ? นายรู้จักเหรอ?”

หยางหมิงเข้าใจได้ในทันที หลินจือเองก็ดูท่าจะสนใจในตัวหลินจือเช่นกัน และเพื่อเอาชนะจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาจึงจำต้องยอมเสียสละหวานเจียง เพื่อเติมเชื้อไฟความแค้นของหลืนจือ

“เธอคนนั้นชื่อหวานเจียง เป็นคุณหนูคนโตของฮวาหยินกรุ๊ป เดิมทีพวกเรามีกำหนดต้องแต่งงานกัน แต่ทุกอย่างกลับพังพินาศลงด้วยฝีมือของไอ้สารเลวจ้าวเฉียน ฉันรักเธอมากนะ แต่เธอกลับไม่สนใจฉันแม้สักนิด แถมยังเห็นไอ้จ้าวเฉียนดีกว่าฉันอีก น่าเสียดายที่ผู้หญิงดีๆแบบนี้ต้องอยู่ในมือไอ้ขอทานที่ไหนไม่รู้”

“อืมนายพูดถูก คุณหนูอย่างเธอเหมาะสมกับพี่หลินมากเลย!”

“ใช่แล้ว! ไม่มีใครเหมาสมกับพี่หลินเท่าเธออีกแล้ว แต่ไอ้บ้านนอกนั้นมันมีดียังไง เธอถึงเหลียวไปมองได้?”

“นอกจากพี่หลินก็ไม่มีใครสมควรได้เธอไปครอบครองแล้ว!”

คำกล่าวของบรรดาเพื่อนฝูงราวกับว่า หลินจือคนนี้เป็นชายที่ดีที่สุดในโลกอย่างใดอย่างนั้น และหยางหมิงก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อยว่าจะเอายังไงต่อไปดี

แต่แล้วหยางหมิงก็จำใจเลือก ปัญหาในปัจจุบันก่อนอย่างจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริมไปว่า

“พี่หลิน ถ้าพี่สามารถครองใจเธอได้ ฉันก็ยินดีด้วย แต่เธอค่อนข้างอารมณ์ร้าย พี่หลินอาจจะคุมเธอไม่อยู่นะ”

หลืนจือทุบอกตัวเองทีหนึ่งและกล่าวตอบอย่างมีความสุขไปว่า

“ไม่ต้องกังวลไป! ตราบใดที่หลินจือคนนี้ได้พบหญิงสาวที่เหมาะสม ต่อให้ยากลำบากเพียงใด ฉันก็จะพิชิตใจเธอให้ได้! อีกอย่างนะ ยิ่งได้มายากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น!”

“ฮ่าฮ่าๆ… ระดับพี่หลินซะอย่าง!”

หยางหมิงรู้สึกขมขื่นใจอย่างมากที่ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นแย่งคนรักไป แต่เพื่อจัดการกับจ้าวเฉียนแล้ว เขาก็รู้สึกว่านี่มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาทราบดีว่านิสัยของหวานเจียงเป็นยังไง และหลินจือไม่มีวันจีบเธอติดแน่นอน สำหรับเขาแล้วจึงไม่นับว่ามีอะไรเสียหาย แถมยังได้จัดการจ้าวเฉียน ซึ่งนี่มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!

Related

ตอนที่187 เริ่มการแข่ง

ไม่นานหลังจากที่จ้าวเฉียนมาถึงสนามแข่ง International Racing จ้าวเฉียนก็โทรหาหวานเจียงทันที

“ฮาโหล เธออยู่ไหน?”

จ้าวเฉียนทักถาม

หวานเจียงกระซิบเสียงเบาตอบกลับไปว่า

“นี่นายมาจริงๆเหรอ? ฉันบอกไปแล้วว่าอย่ามา ไม่ฟังกันเลยรึไง!”

“ยิ่งได้ยินแบบนั้นเลยต้องมา ฉันจะจัดการให้เจ้านั้นสิ้นฤทธิ์เอง!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ

หวานเจียงคล้ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบุตำแหน่งที่เธออยู่ไป

จ้าวเฉียนแกล้งทำเป็นวิ่งไปชนเข้ากับหวานเจียงโดยบังเอิญ โดยทักทายทันทีว่า

“อ้าวคุณหวาน ช่างบังเอิญอะไรแบบนี้ ดันมาเจอคุณในที่แบบนี้ซะได้”

หวานเจียงถึงกับกลอกตาไปที เธอไม่อยากให้จ้าวเฉียนมาพบเธอในสภาพนี้จริงๆ เธอตอบกลับไปว่า

“บังเอิญดีนะ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่?”

จ้าวเฉียนรวนหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและเอ่ยตอบไปว่า

“ระหว่างอาบน้ำ ผมดันลื่นล้มหัวไปฟาดขอบอ่างอาบน้ำน่ะ จู่ๆก็อยากสร้างหนังที่เกี่ยวกับรถแข่งขึ้นมา ก็เลยเดอนทางมาดูสถานที่จริง”

หวานเจียนลอบส่ายหัวอย่างลับๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่า จ้าวเฉียนจะกล้าโกหกหน้าด้านๆออกมาแบบนี้

เฟิงเต๋อคิดว่าจ้าวเฉียนเป็นพวกชายหื่นตามจีบหวานเจียง เหลือบหางตาเหล่มองจ้าวเฉียนเล็กน้อยด้วยความรังเกียจ และเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“คุณผู้ชาย ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย หรือจะเป็นคนสนิทของคุณหวาน?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“ไม่เลยครับ ผมเพิ่งรู้จักกับเธอได้ไม่นาน อืม…จะว่าไปหน้าตาของคุณก็ดูคุ้นดีนะครับ? เหมือนกับว่าเคยพบเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง”

หวานเจียงกลอกตาระลอกสองอย่างช่วยไม่ได้ และผายมือกล่าวแนะนำเฟิงเต๋อให้จ้าวเฉียนรู้จักทันที

จ้าวเฉียนเสแสร้งแกล้งทำเป็นตื่นตะลึง อุทานขึ้นว่า

“ว้าว! ก็ว่าทำไมผมรู้สึกคุ้นจัง! ที่แท้ก็เป็นผู้กำกับดาวรุ่งของเรานี่เอง! ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ! ยินดีที่ได้รู้จัก!”

เห็นดังนั้นเฟิงเต๋อครุ่นคิดไปว่า บางทีจ้าวเฉียนอาจเป็นพวกผู้กำกับหนังหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการมา ดังนั้นเขาจึงกล่าวแนะนำขึ้นทันทีว่า

“เป็นเด็กใหม่ ควรเริ่มต้นจากอะไรง่ายๆก่อนจะดีกว่านะ อย่างเช่นถ่ายโฆษณาหรือไม่ก็MVเพลง จะมาสร้างหนังเลยดูจะใจร้อนเกินไป ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา สิ่งนั้นจะกลายเป็นตัวทำลายอาชีพในอนาคตของคุณเลย”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า

“สิ่งที่ผู้กำกับเฟิงพูดสมเหตุสมผลดีครับ ผมยังไม่ควรข้ามขั้นมาก็จริง แต่ความใฝ่ฝันของผมคือการได้ทำหนังสักเรื่อง ถ้าได้ทำหนังเกี่ยวกับรถแข่งกับคุณคงจะดีมากเลยครับ”

ขณะที่สนทนากันอยู่นั่นเอง เกมการแข่งขันก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

จ้าวเฉียนจึงรีบตัดบทกล่าวไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณสองคนแล้ว พอการแข่งจบลง เดี๋ยวผมแวะมาหาใหม่นะครับ”

ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็วิ่งจากไปทันที

เฟิงเต๋อหันมาถามหวานเจียงเจือสีหน้ารังเกียจว่า

“หมอนั้นคือใคร? คนในบริษัทคุณเหรอ?”

หวางเจียงยิ้มแห้งพลางส่ายหัวตอบ

“เดี่ยวคุณก็รู้เอง หลังเกมการแข่งจบลง เขาจะมาพบกับคุณอีกครั้งแน่ มีอะไรสงสัยก็ถามเขาไปตรงๆได้เลย แต่ฉันแนะนำว่าอย่าไปคุยกับเขาเลยจะดีกว่า”

ยิ่งเฟิงเต๋อได้ยินแบบนั้น เขายิ่งมั่นใจขึ้นทันทีว่า จ้าวเฉียนจะต้องเป็นหนุ่มที่คอยตามจีบหวานเจียงแน่นอน และในฐานะที่เขาเองก็มีเป้าหมายเป็นหวานเจียงเช่นกัน เขาไม่มีทางญาตดีกับอีกฝ่ายแน่นอน

จ้าวเฉียนตรงมาถึงสถานที่ที่มีธรงสัญลักษณ์ของตนตั้งอยู่

ในการแข่งครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการแข่งอยู่สองคน นอกจากอู่เลอแล้วก็ยังมีนักแข่งอีกคนชื่อว่า ซางหมิง ซึ่งหน้าที่ของซางหมิงคือการปกป้องอู่เลอไม่ให้คู่ต่อสู้แซงไปได้ ถึงแม้นจะต้องเสียสละตัวเองก็จำเป็นต้องทำ เพื่อให้แน่ใจว่าอู่เลอจะสามารถเหยียบได้เต็มร้อย โดยไม่มีคู่แข่งเข้ามาขวาง

นี่เป็นกลยุทธ์โดยทั่วไปของการแข่งรถ และเกือบทุกทีมล้วนทำแบบนี้กันทั้งสิ้น

สถานที่ใช้แข่งขันในครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อนอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นถนนที่จำลองโค้งมาจากสนามทดสอบใบขับขี่ที่เพิ่มความยากไปอีกเท่าตัว ซึ่งกล่าวได้ว่า จะแพ้หรือชนะก็ต้องมาวัดกันที่จุดนี้

ในตอนเริ่มเกมการแข่งอู่เลอกับซางหมิงอยู่ช่วงตำแหน่งกลาง หลังจากก็คล้ายว่าจงใจถอนคันเร่งรั้งท้ายตลอดการแข่งขัน

จ้าวเฉียนไม่ค่อยรู้เรื่องการแข่งรถมากนัก จึงหันไปถามเหล่าลูกมือในทีมว่า

“นี่เป็นกลยุทธ์ของอู่เลอเหรอ?”

ลูกมือคนนั้นพยักหน้าและอธิบายให้ฟังทันทีว่า

“นี่เป็นกลยุทธ์ของพี่เลอเอง สองรอบแรกพี่เลอบอกว่า เขาไม่จำเป็นต้องเร่งความเร็วแข่งกับคนอื่นให้เสียเปล่า ที่เขาผ่อนคันเร่งแบบนั้นก็เพื่อรักษาหน้ายางให้สมบูรณ์แบบที่สุด และใช้มันในช่วงโค้งสุดท้ายและแซงคว้าที่หนึ่งในอึดใจ และอีกข้อสำคัญคือ การขึ้นนำตั้งแต่รอบแรก พี่เลอจะตกเป็นเป้าของคู่แข่งคันอื่นๆทันที”

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวชมเชยขึ้นว่า

“อืม การแข่งรถมันไม่ได้วัดแค่ความเร็วอย่างเดียวสินะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องใช้สมองมากขนาดนี้ เอาล่ะ! ถ้าอู่เลอชนะการแข่งครั้งนี้ เดี๋ยวฉันพาทุกคนไปฉลองที่โรงแรมตงไห่!”

“เย้! ขอบคุณมากครับบอส!”

“บอสจ้าวของเราสุดยอดที่สุดแล้ว!”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นต่างโหร้องดีใจกันยกใหญ่ ทั้งยังร้องเพลงสรรเสริญจ้าวเฉียนกันอย่างมีความสุข

“สุดยอดไปเลยบอส!”

“เตรียมชนแก้วให้บอสจ้าวเลยครับ!”

………..

ทันทีที่รอบแรกผ่านไป จู่ๆซางหมิงก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และค่อยๆแซงทีคนคันขึ้นนำมาถึงส่วนกลางของขบวน

“บอส นี่คือกลยุทธ์ของพี่เลอ เขาจะให้ซางหมิงออกโรงไปเคลียร์ทางให้ก่อน เพื่อให้พี่เลอแซงขึ้นนำได้สะดวกขึ้นครับ”

ลูกมือข้างกายเอ่ยอธอบายแบบนาทีต่อนาที จ้าวเฉียนพนักหน้าและชมการแข่งต่อไป

หลังจากที่ซางหมิงสามารถรักษาตำแหน่งจนมั่นคงแล้ว เขาก็ไปเปลี่ยนเข้าเลนขวาทันที เพื่อบล็อกไม่ให้คนอื่นแซงได้ อู่เลอใช้โอกาสนั้นเร่งความเร็วตีตื้นขึ้นมาทันที ก่อนที่ซางหมิงจะเข้ามาตีประกบข้างคล้ายว่าทำหน้าที่ป้องกันจากคู่ต่อสู้รอบทิศ

ภายใต้ความร่วมมือระหว่างอู่เลอและซางหมิง การจะแซกคันอื่นขึ้นนำจะกลายเป็นเรื่องง่ายดายในทันที

ในเวลานี้เอง พวกเขามาถึงทางโค้งสุดหินแล้ว และเป็นอีกครั้งที่อู่เลอกับซางหมิงใช้แผนเดิมเพื่อขึ้นแทรกระหว่างทางโค้ง

พอถึงจุดหวังผล รถแข่งของซางหมิงก็เร่งเครื่องพุ่งขึ้นหน้าอีกครั้ง เข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เพื่อหาตำแหน่งให้อู่เลอขึ้นแทรกจ่อไป

อาศัยกลยุทธ์นี้ อู่เลอขึ้นเป็นอับดับสามทันที ทางด้านซางหมิงยังคงเข้าเบียดรถในเลนซ้ายและขวา หวังไม่ให้พวกนั้นขึ้นแซงได้

“ไปเลย! คว้าที่หนึ่งมาให้ได้!”

“นายทำได้เฉาหลิน นายต้องขึ้นเป็นแชมป์คนต่อไป!”

“สู้ๆ…”

ในเวลานั้นเอง สุ่มเสียงของเหล่าหนุ่มสาวที่อยู่ไม่ฝกล้ไม่ไกลจ้าวเฉียนก็ตะโกนโหลั่นหลายหลากอารมณ์พลั่งพลู

จ้าวเฉียนปราดตามองแค่แวบเดียวถึงกับเหลียวมองอีกทีแทบไม่ทัน ในบรรดากลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่เขารู้จักอยู่ด้วย ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางหมิงที่ไม่ได้เจอกันสักระยะหนึ่งแล้ว

บรรดาลูกมือรอบตัวจ้าวเฉียนที่เห็นปฏิกิริยาแบบนั้น จึงเอ่ยปากอธิบายต่อทันที

“พวกเขาอยู่ในทัมซุปเปอร์คาร์คลับ มีแต่พวกลูกทายาทเศรษฐีทั้งนั้น”

จ้าวเฉียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยเอ่ยตอบด้วยท่าทีสับสนไปว่า

“ซุเปอร์คาร์คลับ? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย!”

“เป็นปกติครับที่บอสไม่เคยได้ยิน ในวงการนี้มีทีมรถแข่งมากมายนอกจากในทีวี เจ้าของซุปเปอร์คาร์คลับมีเงินทุนหนามาก ได้ข่าวรถที่เข้าร่วมการแข่งในครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึง5ล้านหยวน และเขาก็คือหลินจือ โดยมีพ่อของเขาอย่างหลินซ่ง ประธานบริษัท หรงจี้ อินเวสเมนต์ คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ ปรากฏว่าเป็นทีมรถแข่งของพวกลูกทายาทเศรษฐีนี่เอง

ระหว่างพูดคุย สามอันดับแรกก็เริ่มทิ้งห่างจากขบวนแล้ว

นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะชี้ชะตาผู้ชนะ ตัดสินว่าใครจะคว้าอันดับหนึ่งไปได้

ทางด้านของทีมหลินจือ พวกเขาเองก็มั่นใจอย่างมากว่าพวกตนต้องเป็นผู้ชนะ เพราะกลยุทธ์ของพวกเขาเองก็เหมือนกับของอู่เลอไม่มีผิด โดนให้รถหมายเลข35บล็อกอู่เลอไว้ และเปิดทางให้หมายเลข10ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงและคว้าชัยทั้งแบบนั้น

เกมนี้เป็นการแข่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นอกจากจะได้รับรางวัลเป็นจำนวน1ล้านหยวนแล้ว ผู้ชนะอันดับหนึ่งยังได้สิทธิ์ไปแข่งขันต่อในระดับเอเชียได้ ดังนั้นหลินจือจึงคาดหวังอย่างยิ่งกับเกมการแข่งขันนี้

ห้าโค้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย อู่เลอพยายามขึ้นแทรกในโค้งแรก แต่กลับต้องคว้าน้ำเหลว รถแข่งหมายเลข35ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม อีกฝ่ายจงใจละลอรถเพื่อลดความเร็วของอู่เลอตามไปด้วย

“โอ้! เลนของพี่เลอถูกบล็อกแล้ว! โอกาสเดียวที่เหลืออยู่คือการขึ้นแทรกในอีกสี่โค้งข้างหน้า!”

“ใช่แล้ว ถ้าพี่เลอทำไม่สำเร็จ ระยะทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย เขาจะไม่มีวันขึ้นแทรกได้อีก!”

“แย่แล้ว ถ้าพี่เลอไม่ได้แชมป์นี้ไป เขาต้องลงแข่งในรอบคัดเลือกกับไม่รู้อีกกี่ร้อยทีม ถ้าเป็นแบบนั้นจึงปัญหาใหญ่แน่!”

“กุญแจสำคัญคือ สิทธิ์การเข้าแข่งขันในระดับเอเชีย และเงิน1ล้านก็สำคัญมากเช่นกัน นั่นเป็นส่วนที่ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายในอีก6เดือนข้างหน้า!”

จ้าวเฉียนไม่ค่อยรู้เรื่องกลไลเครื่องยนต์หรือรถแข่งมากมายเช่นกัน เขามีเพียงความรู้พื้นฐานที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนในตอนวัยรุ่นอย่างเรื่อง “Initial D” เท่านั้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ส่งกำลังใจอู่เลอ

“เราคงทำได้เพียงส่งกำลังใจให้เขาแล้วเท่านั้น ตราบใดที่ชนะ เงินรางวัล1ล้านฉันจะไม่แตะต้องและให้พวกนายไปแบ่งกันเองเลย แล้วไม่ต้องก่วงเรื่องเงืนสนับสนุนปีหน้า ฉันจ่ายเองทั้งหมด!”

เมื่อทุกคนได้ยินว่าจ้าวเฉียนจะมอบเงินรางวัล1ล้านให้พวกเขาไปแบ่งกัน แต่ละคนต่างคึกขึ้นมาทันที

“สุดยอดไปเลยครับบอส!”

“พวกเรา! มาเชียร์พี่เลอกันเถอะ! พวกเราต้องชนะ!”

“ไปเลยพี่เลอ! คว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้!”

เสียงเชียร์ของทีมจ้าวเฉียนดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้น จนทำให้ทีนซุกเปอร์คาร์คลับหันมามอง

“อะไรของพวกมัน? ทีมมันอยู่ที่สามไม่ใช่เหรอ? เหลืออีกแค่สี่โค้งสุดท้าย พวกมันแพ้แล้ว!”

“ฮ่าฮ่า….อย่าได้ฝันหวานไปเลย!”

….

พอหหยางหมิงเหลือบไปเห็นจ้าวเฉียน เขาก็หัวเราะเยาะขึ้นคำหนึ่ง และหันไปกระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ข้างหู่หลินจือ

หลินจือหันมามองจ้าวเฉียนด้วยสีหน้าเย้ยหยันในทันใด

Related

ตอนที่186 เล่นให้จบ

การที่ผู้กำกับหลี่ไม่ยื่นมือมาช่วยหวังจิ้งหลิน จ้าวเฉียนพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าทำไม บางทีเรื่องนี้อาจมีหยางหู่อยู่เบื้องหลัง

แต่ทำไมตำรวจแก่คนนี้ถึงมุ่งเป้าไปที่สองพ่อลูกตระกูลหวังขนาดนั้น สำหรับเรื่องนี้เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ เพราะจ้าวเฉียนไม่มีทางเชื่อว่า ตำรวจธรรมดาใกล้เกษียณแบบนี้ไม่มีทางหาปัญหาใหญ่ใส่ตัวเองแน่นอน

หวังจิ้งหลินยังคงยืนค้างเติงอยู่พักใหญ่ เขาไม่เข้าใจแม้สักนิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน

จ้าวเฉียนยิ้มพลางกล่าวว่า

“โอ้ หันหน้าก็เสียเงิน หันหลังก็เสียเมีย ประธานหวัง…ช่วยผมคิดหน่อยสิว่า สถานการณ์ของคุณกับลูกสาวในตอนนี้เหมาะกับสำนวนไหนที่สุด!”

หวังจิ้งหลินเหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยความโกรธจัด กระซิบตอบไปว่า

“คางคกขึ้นวอ!”

“ฮ่าฮ่า…ไม่ได้ให้ยกตัวอย่างสำนวนที่เกี่ยวกับผมสิ ประธานหวังครับ ทางที่ดีคุณไม่ควรสวนกระแสน้ำให้เหนื่อยเปล่า หลังจากนี้ก็กลับบ้านไปพักผ่อนซะนะครับ อายุก็ปูนนี้แล้ว ป่วยขึ้นมาเดี๋ยวจะแย่เอานะครับ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็เอนตัวนอนลงบนเตียงหลังพูดจบ ดึงม่านเลื่อนมาปิดและหลับตา แสร้งทำเป็นหลับ

หวังจิ้งหลินหันไปกล่าวกับตำรวจที่นำมาด้วยว่า

“คุณตำรวจ ออกไปรอข้างนอกก่อน ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขาส่วนตัว”

ตำรวจเหล่านั้นพยัดกหน้าและเดินจากออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงจ้าวเฉียนกับหวังจิ้งหลิงกันสองต่อสอง

หวังจิ้งหลินหัวเราะครืนเล็กน้อย ก่อนเดินไปนั่งข้างเตียงจ้าวเฉียนและกล่าวขึ้นว่า

“ไอ้หนุ่ม เรามาคุยกันตรงๆเลยดีกว่า ทำไมนายถึงพยายามก่อปัญหาให้พวกฉันขนาดนี้?”

จ้าวเฉียนหรี่ตาแคบเหลือบแลเหลียว ยิ้มตอบกลับไปว่า

“ประธานหวัง พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ คนที่หาเรื่องผมก่อนคือลูกสาวของคุณนั้นแหละ”

หวังจิ้งหลินคลี่ยิ้มช้าๆคล้ายท่าทีเหนื่อยใจ น้ำเสียงของเขาดูสุภาพขึ้นหลายส่วน

“โอเค ฉันขอพูดตรงๆนะ ถ้าได้คนอย่างนายอยู่ฝ่ายเดียวกับฉันคงดีไม่น้อยเลย เอาแบบนี้แล้วกัน 350ล้านหยวนแลกกับยุติเรื่องทั้งหมด ฉันเคยได้ยินซินซินเล่าเกี่ยวกับนาย ได้ข่าวว่ากำลังว่างงานใช่ไหม? นายมาทำงานให้ฉันดีกว่า ฉันจะมอบตำแหน่งผู้จัดการบริษัทแก่นายโดยตรง นอกจากนี้ฉันจะคอยสนับสนุนนายเอง ว่ายังไงล่ะ?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวตอบไปว่า

“บริษัทอสังหาหวังของคุณก็แค่บริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ผมไม่อยากไปทำงานด้วยหรอกครับ?”

“ถึงเราจะไม่ค่อยกินเส้นกัน แต่ไม่เห็นต้องแช่งกันแบบนี้เลย? สภาพคล่องของบริษัทเราอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก ถ้าขายโครงการ Pearl of the Seaได้หมด กำไรขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่า500ล้านหยวนแน่นอน ถ้านายไปเป็นผู้จักการของบริษัทฉัน อนาคตของนายต้องรุ่งเรืองแน่นอน”

จ้าวเฉียนมีความมั่นใจมากเกินพอและรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงบอกความจริงไปตามตรงว่า

“ผมวานให้เพื่อนผมเข้ากดดันทุกธนาคารที่ปล่อยกู้ให้บริษัทของคุณ ทันทีที่ทำสำเร็จ ทุกธนาคารจะยุติการปล่อยกู้โดยตรง ถึงตอนนั้นบริษัทของประธานหวังคงล้มละลายแน่นอนครับ”

หวังจิ้งหลินถึงกับหน้าเสียทันทีที่ได้ยิน เขารีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“สิ่งที่นายพูดมาหมายความว่ายังไงเจ้าหนุ่ม? นี่นาย…พูดจริงๆงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนเพียงพยักหน้าตอบเท่านั้น

หวังจิ้งหลินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสุดจะทานทน

“ถึงแม้บริษัทของฉันจะไม่ได้ใหญ่โตระดับประเทศ แต่ก็ยังเป็นบริษัทอสังหาอันดับต้นๆในภูมิภาค ถ้านายบอกว่า บริษัทของฉันกำลังจะล้มละลายเพียงเพราะนายคนเดียว ฉันว่านายไม่มั่นใจเกินไปหน่อยเหรอ? ขอเตือนไว้ก่อนนะ เลิกขู่คนอื่นไปทั่วก่อนจะสายเกินไป ถึงเวลานั้นต่อให้นายร้องขอความเมตตาแค่ไหน ฉันก็จะไม่ปราณีแน่!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกว้าง ทิ้งหัวฟุบหมอนพลางโบกมือปัดกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอให้ประธานหวังโชคดี ประสบพบเจอแต่ความสุขความเจริญนะครับ มันถึงเวลาที่ผมต้องนอนพักแล้ว หวังว่าประธานหวังจะมาเล่นกับผมใหม่นะครับ”

หวังจิ้งหลินสูดหายใจแช่มลึกดูเยือกเย็น ก่อนจะจากออกไปพร้อมกับความหงุดหงิด

เดิมทีเขาหวังจะสร้างมิตรภาพกับจ้าวเฉียน แต่ไม่คิดเลยว่า การพบเจอครั้งนี้จะยิ่งเป็นการเติมชนวนไฟเข้าไปใหญ่

อย่างไรก็ตามแต่ หวังจิ้งหลินไม่กลัวจ้าวเฉียนสักนิด และเขาไม่เชื่อว่า เส้นสายที่ตัวเองสั่งสมมานับสิบปีจะไม่สามารถเทียบเคียงกับเส้นสายของเด็กหนุ่มแค่คนเดียวได้

หยางหู่วิ่งวุ่นตลอดทั้งช่วงบ่าน ก่อนจะรีบมาเยี่ยมจ้าวเฉียนในช่วงเย็น

“คุณชายจ้าว ผมเตรียมการทุกอย่างใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วครับ พรุ่งนี้ทุกธนาคารที่ปล่อยสัญญากู้เงินกับอสังหาหวังจะประกาศฉีกสัญญา และบีบให้หวังจิ้งหลินจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดพร้อมกัน ราคาที่ประเมินคราวๆน่าจะ300ล้านหยวนครับ ถึงการโจมตีครั้งนี้จะค่อนข้างรุนแรง แต่การจะให้พวกเขาล้มละลายในทันทียังค่อนข้างยากครับ”

หยางหู่รายงานให้จ้าวเฉียนฟัง

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไร ถึงแบบนั้นพวกมันเองคงสาหัสไม่น้อยเช่นกัน ยังไงก็เถอะฝากส่งคนไปคอยติดตามหวังจิ้งหลินด้วย บางทีเจ้านั้นอาจกำลังหาทางวางแผนโจมตีฉันคืน”

“อย่ากังวลไปเลยครับคุณชายจ้าว ผมได้จัดเตรียมคนไปสอดแนมอีกฝ่ายหมดแล้ว ได้ข้อมูลส่วนตัวมาค่อนข้างมาก”

หยางหู่เอ่ยตอบ

จ้าวเฉียนพยักหน้าสีหน้าดูพึงพอใจ และเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วตอนนี้นายได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง?”

หยางหู่รีบตอบทันที

“ที่เด็ดๆเลยก็คือ เขาแอบมีเมียน้อยหลายคน แถมยังมีลูกนอกสมรสอีกที่หลบซ่อนอยู่ภายในเมือง แต่เรายังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นใครชื่อแซ่อะไร คาดว่าจะพบกับลูกนอกสมรสและเมียน้อยในอีกไม่ช้านี้ ตอนนี้เขาเองก็อายุ50กว่าปีแล้ว ทันทีที่ตายไปจะต้องมีเรื่องมรดกเข้ามาพัวพันแน่นอน และเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่ลูกสาวของเขาจะได้รับสมบัติทั้งหมด จะต้องมีเมียน้อยพวกนี้โผล่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ถึงตอนนี้เรายังมีช่องว่างจัดการตระกูลหวังได้อีกเยอะ”

จ้าวเฉียนถึงกับระเบิดหัวเราะลั่น เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หวังจิ้งหลินจะเป็นเสือผู้หญิง วางไข่กับหญิงคนไหนไม่รู้อีกมากมาย เรื่องลูกนอกสมรสที่ว่า พนันได้เลยว่าแม้แต่หวังซินซินเองก็ยังไม่รู้ ถ้ามาทราบทีหลัง เธอจะรู้สึกเศร้าขนาดไหนกัน?

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันจบ หยางหู่ก็จากออกไป อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าปล่อยให้จ้าวเฉียนอยู่คนเดียวแน่นอน จึงสั่งการให้ลูกน้องตนเองจำนวนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

เวลา8โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนใช้ประโยชน์จากหมอที่รู้จัก ขอเวลานอกออกนอกโรงพยาบาลไป หลังจากนั้นเขาก็โทรหาหวางเจียง

“เธอว่างไหม? ว่าจะชวนไปดูรถแข่ง”

“ฉันกำลังจะไปที่สนาม International Racing พอดี เอ่อ…ฉันแนะนำว่านายอย่ามาเลยจะดีกว่า”

หวานเจียงเอ่ยกล่าวน้ำเสียงอย่างรู้สึกผิด

จ้าวเฉียนพลันรู้สึกแปลกใจขึ้นทันที จึงเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“ทำไม?”

หวานเจียงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบน้ำเสียงออดอ้อนว่า

“เอาน่า นายไม่ควรมางานนี้หรอก เดี๋ยวนายอึดอัดเปล่าๆ…”

“อะไรของเธอเนี่ย! มีอะไรก็บอกฉันมาเลยดีกว่า บริษัทฉันเองก็กำลังจะสร้างหนังเกี่ยวกับธีมรถแข่ง ยังไงผมก็ต้องไปดูสถานที่จริงอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินใจ!”

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นโกรธ พูดออกไปแบบนั้น

“ก็ใช่ไง! เพราะมีแผนจะสร้างหนังแนวนี้ฉันเลยต้องพาผู้กำกับไปดูสถานที่จริงนี่ไง!”

หวานเจียงสวนตอบกลับไปทันที

“โอ้ยก็แค่นั้นเอง จะอายไปทำไม?”

“ก็เพราะผู้กำกับคนนั้นคือเฟิงเต๋อไง! เดี๋ยวนายก็ไม่สบายใจอีก!”

เฟิงเต๋อเป็นผู้กำกับที่มาแรงที่สุดในบรรดาผู้กำกับรุ่นใหม่ทั้งหมดในประเทศจีน ราคาค่าตัวของเขาแพงเสียยิ่งกว่าดาราหน้าใหม่อีกหลายคน ซึ่งก่อนหน้านี้จ้าวเฉียนก็เคยพูดเองว่า เขาไม่ค่อยจะชอบเฟิงเต๋อเท่าไหร่นัก

เฟิงเต๋อสร้างภาพยนตร์มาทั้งหมดสามเรื่องเท่านั้นตั้งแต่เขาเดบิวต์ขึ้นมา แต่ทุกเรื่องล้วนติดบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งสิ้น แต่ละเรื่องสร้างรายได้ให้แก่เขาเกินพันล้านทั้งสิ้น กวาดรางวัลมาแล้วมากมายจากหลายสาขา

พูดได้เลยว่า ถ้าได้เขามานั่งแท่นผู้กำกับ ก็การันตีได้เลยว่าหนังเรื่องนั้นๆได้ขึ้นบ็อกซ์ออฟฟิศแน่นอน นักลงทุนจำนวนมากมายต่างทุ่มเงินให้แก่เขาเป็นจำนวนมหาศาล โดยให้อิสระกับเขาในการสร้างหนัง ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน

อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่ค่อนข้างจู้จี้จุกจิกมาก เขาเคยชวนหวานเจียงออกไปดินเนอร์ตั้งหลายต่อหลายครั้ง

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้จักเฟิงเต๋อเป็นการส่วนตัว แต่เขาก็พอทราบว่ามา เขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถอย่างมาก

และอีกจุดสำคัญคือ เขาเป็นพวกเพลย์บอย ควงสาวไม่เคยซ้ำหน้า โดยภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องที่เขาเคยกำกับ นางเอกทุกคนล้วนมีข่าวฉาวกับเขามาแล้วทั้งสิ้น เพราะเป็นแบบนี้หวานเจียงจึงไม่อยากให้จ้าวเฉียนรู้เรื่องนี้

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มอย่างดูถูกและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถเทียบเคียงฉันได้อีกแล้ว เธอประเมินเขาสูงเกินไป”

“นี่นายจะมอบตัวเองดีเด่ไปถึงไหน?”

หวานเจียงกล่าวออกมาอย่างสุดจะทนแล้วกับความหลงตัวเองของจ้าวเฉียน

นี่ยิ่งทำให้จ้าวเฉียนของขึ้นไม่น้อย เขาเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ต่อให้เขาเก่งแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่เขาหวังคือ จะทำยังไงให้เธอกลายเป็นทาสรักบนเตียงเขา! เธอหลงกลมันแล้ว!”

หวานเจียงไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป จึงกล่าวตอบชนิดไม่ไว้หน้าสวนไปว่า

“ที่นายพูดไปไม่อายปากตัวเองเลยรึไง! แล้วอะไรถึงทำให้นายมั่นหน้าขนาดนี้?”

“ไม่เชื่อก็ตามใจ! ส่วนเรื่องที่เฟิงเต๋อจะได้มากำกับหนังหรือไม่ เรื่องนี้ฉันเป็นคนตัดสินใจเอง!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็วางสายทิ้งทันที พร้อมขับรถไปที่สนามแข่งอย่างรวดเร็ว

หวานเจียงเองก็ไม่อยากสนใจอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน เธอไม่เชื่อว่าเฟิงเต๋อจะเป็นคนแบบนั้น แถมอีกอย่าง เขาต้องกำกับหนังเก่งแค่ไหน ถึงมีนักลงทุนมากมายทุ่มเงินแก่เขาเป็นจำนวนมหาศาล แต่ตอนนี้จ้าวเฉียนกลับจะไล่เขาออกไป นี่เขาเพี้ยนไปแล้วรึไงกัน?

Related

Related

ตอนที่185 ไม่เคยดูละครน้ำเน่าเหรอ

หวังซินซินมีความสุขอย่างมาก ในทางตรงกันข้ามเธอพยายามฉุดรั้งร่างของจ้าวเฉียนให้กดตัวเองอยู่แบบนั้น พลางคลี่ยิ้มอย่างมีชัยว่า

“ตอนนี้จะยอมเชื่อฟังฉันแล้วรึยัง? ถ้าไม่ฉันจะวิ่งหนีนายออกไปทั้งแบบนี้ และขอให้ใครซักคนมาทวงความยุติธรรมให้แก่ฉัน! นายเตรียมเข้าคุกได้เลย!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะเป็นคำตอบและกล่าวขึ้นว่า

“ผมควรเลือกแบบไหนดีนะ? ถ้าคุณเป็นผม คุณจะเลือกเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังดีล่ะ?”

หวังซินซินทิ้งทวนรอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า สักครู่หนึ่งเธอเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันว่ามันจะเป็นการดีกว่าสำหรับนายนะ เลือกเชื่อฟังฉันแต่โดยดี แล้วมาคุยกันอย่างสันติกันดีกว่า”

หวังซินซินรู้ดีว่าจ้าวเฉียนคนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะยั่วยุ และเธอไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยในเวลานี้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาหมู่บ้านโครงการเธออาจขายไม่ออก และนี่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างมาก

แต่อย่างไร จ้าวเฉียนสั่งการหยางหู่ให้ลงมือเคลื่อนไหวกับบริษัทอสังหาหวังไปแล้ว ดังนั้นเขาหรือยังจะหวนกลับไปเลือกสันติวิธี?

“หุหุ…แต่ผมไม่อยากเชื่อฟังคุณเท่าไหร่ แล้วคุณจะทำยังไงต่อไป?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม

หวังซินซินระเบิดหัวเราะคำโต กล่าวตอบไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโกรธฉันแล้วกัน กรี๊ดดด… ช่วยด้วยค่ะ!…ช่วยด้วย…!!”

หวังซินซินรีบผลักร่างจ้าวเฉียนและวิ่งออกจากห้องพร้อมแหกปากตะโกนลั่น ระหว่างนั้นเองเธอก็พยายามขยี้ผมให้กระเซอะกระเซิง พร้อมใช้เล็บขูดร่างกายตัวเองให้เกิดรอยแดงทั่วร่าง

จ้าวเฉียนนอนเล่นอยู่บนเตียงคนไข้อย่างไร้ความกังวล เขานอนดูการแสดงตีบทแตกของหวังซินซินที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อดูสักหน่อยว่าเธอสามารถทำอะไรกับเขาได้บ้าง

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหวังซินซิน พวกพยาบาลก็รีบวิ่งกันเข้ามาทันที

“เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?! เกิดอะไรขึ้น?”

พยายามเอ่ยถามสีหน้าตื่รตระหนก

หวังซินซินบีบน้ำตาร้องไห้ออกมาทันที มือข้างหนึ่งกรัดกุมหน้าอกราวกับกว่าเพิ่งถูกย่ำยีมา เธอขอความช่วยเหลือจากพยาบาลทันทีว่า

“ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ไอ้โรคจิตนั่นพยายามจะข่มขืนหนู! ช่วยโทรแจ้งตำรวจที หนูทนไม่ไหวแล้ว ฮือ…ฮืออ..”

พวกพยาบาลหันมามองหน้ากันด้วยความมึนงงเล็กน้อย และรีบตรงเข้าไปให้ห้องคนไข้ทันที

“คุณข่มขืนเธอจริงๆเหรอ?”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“แล้วคุณพยาบาลคิดว่า สภาพผมในตอนนี้จะช่มขืนเธอได้จริงๆเหรอ? เธอพยายามแบล็กเมล์ผมอยู่ ทั้งหมดก็แค่การแสดงเท่านั้น ทางที่ดีพวกคุณควรโทรเรียกตำรวจให้มาจัดการดีกว่านะ”

พยาบาลไม่รู้เลยว่าฝ่ายใดพูดความจริงกันแน่ และการโทรเรียกตำรวจลงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้วในขณะนี้

สิบนาทีต่อมา ตำรวจได้เข้ามาถึง คล้อยหลังไถ่ถามสถานการณ์จนกระจ่างแจ้งดี พวกเขาจึงถามแพทย์เจ้าของเคสจ้าวเฉียนว่า เขาสามารถปล่อยตัวจ้าวเฉียนไปโรงพักได้ไหม?

หยางหู่ได้โทรมาทาบทามกับทางโรงพยาบาลไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน และหมอเองก็รู้หน้าที่ตัวเองดีว่า ตนต้องดูแลจ้าวเฉียนให้ถึงที่สุด ดังนั้นคุณหมอจึงตอบกลับพวกตำรวจไปว่า

“ผมยังไม่แนะนำให้ออกจากโรงพยาบาลตอนนี้ครับ เขายังต้องนอนดูอาการอีก2-3วัน ถ้าคุณใช้อภิสิทธิ์ตำรวจในการควบคุมตัวเขา ทางผมเองคงต้องเคลื่อนไหวเช่นกัน เรื่องนี้จะถูกส่งไปถึงผอ.โรงพยาบาล และเป็นพวกคุณที่ต้องแบกรับผลที่จะตามมาเอง”

ตามที่คุณหมอพูดไว้ทุกประการ พวกตำรวจไม่กล้ากุมตัวจ้าวเฉียนออกไปไหนทั้งสิ้น และนั่งไต่สวนในห้องคนไข้แทน

“งั้นคุณช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังได้ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“เธอวิ่งเข้ามาหวังจะขอให้ผมกลับไปคืนดีกับเธอ และถ้าผมไม่ตอบตกลง เธอจะฉีกเสื้อผ้าตัวเองทิ้งซะ และวิ่งร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อใส่ร้ายผมในข้อหาพยายามข่มขืนเธอ”

“มันพูดไร้สาระ! อย่าไปฟังนะคะคุณตำรวจ! ฉันมาที่นี่เพื่อขอคืนดีกับหมอนี่จริง แต่เขาฉวยโอกาสตอนที่ฉันทีเผลอ ข่มขืนฉัน! พอฉันพยายามขัดขืน มันก็ตบตีหนู โชคยังดีที่ดิ้นหลุดออกมาได้ และตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างที่พวกพยาบาลเห็นค่ะ”

หวังซินซินปั้นน้ำเป็นตัว สร้างเรื่องไร้สาระทันที

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะล่ะนและตอบกลับไปว่า

“คุณนี่มันโง่จริงๆนะ ไม่เคยดูละครทีวีรึไง? ตราบใดที่ส่งหลักฐานทั้งหมดให้ทางนิติเวชตรวจสอบโดยละเอียด จะสามารถระบุตัวตนได้ทันทีว่าใครกันแน่ที่เป็นยคนฉีกเสื้อผ้านั้น อย่างน้อยก็ต้องมีDNAติดบ้าง คุณตำรวจ ทางผมมีเงินอยู่บ้าง เรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งตรวจ ผมจะรับผิดชอบเอง”

หวังซินซินถึงกับสะดุ้งเฮือก ราวกับว่าเธอไม่เคยดูละครทีวีจริงๆ และเพิ่งจะคิดได้ว่า ปัจจุบันมันมีการตรวจสอบทางนิติเวชจริงๆ และเจ้าสิ่งนี้จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจ้าวเฉียนได้อย่างแน่นอน

พอตำรวจเห็นหวังซินซินผิดสังเกต เขาจึงเอ่ยถามน้ำเสียงเข้มทันทีว่า

“นี่มันหมายความว่ายังไงกันครับ? คุณต้องพูดความจริงออกมา!”

หวังซินซินตื่นตกใจอย่างมาก ม่านตาดำพลันขยายออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว เอ่ยตอบน้ำเสียงอย่างอ่อนแรงขึ้นว่า

“อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขานะคะ…เขาจะข่มขืนหนูจริงๆ…”

ตำรวจยังคงถามต่อว่า

“แล้วคุณกล้าเดินทางไปตรวจสอบกับทางนิติเวชกับเราไหม?”

“เอ่อ…หนู…หนู…”

พอหวังซินซินไม่สามารถให้คำตอบกับทางตำรวจได้ รวมไปถึงปฏิกิริยาในตอนนี้ ตำรวจเองก็ทราบในทันทีว่าความจริงเป็นเช่นไร?

“คุณให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิด!”

หวังซินซินรีบเอ่ยขอโทษตอบทันทีว่า

“หนูขอโทษ…หนูขอโทษ…แค่ตอนนี้หัวสมองของหนูมันขาวโพลนไปหมด ตอนนี้รู้สึกสับสนจนคิดอะไรไม่ออก อย่าจับหนูไปเลยนะคะ…”

“คดีแจ้งคาวมเท็จต่อเจ้าหน้าที่ มีโทรปรับ500หยวนพร้อมจำคุกเป็นเวลา5วันตามระเบียบ! สำหรับข้อหาทำให้บุคคลอื่นประสบความเสียหาย ถ้าผู้ตกเป็นเหยื่อไม่เอาความ ทางเราเองก็จะไม่เพิ่มคดีลงไป”

หวังซินซินได้ยินแบบนั้นก็รีบหันมาขอโทษจ้าวเฉียนทันทีอย่างตื่นกลัวว่า

“จ้าวเฉียน ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว นาย…นายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่า สถานการณ์ครอบครัวฉันตอนนี้เป็นยังไง ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำแบบนี้แล้วจริงๆ”

ขณะที่เธอกำลังขอโทษ หวังจิ้งหลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง พอเห็นว่าสภาพของลูกสาวตนดูไม่สู้ดี เสื้อผ้าฉีกขาดจนให้ชั้นใน ทั้งยังผมที่กระเซาะกระเซ่อนั่นอีก เขาจึงพุ่งเข้าหาจ้าวเฉียนทันทีด้วยความโกรธจัดว่า

“นี่แกทำอะไรซินซิน!?”

ตำรวจทั้งสองกลุ่มรีบตรงเข้าไปห้ามปรามหวังจิ้งหลินอย่างรวดเร็ว พร้อมพยายามเกลียวกล่อมบอกให้ใจเย็น

“จะให้ใจเย็นได้ยังไง! ลูกสาวของฉันทั้งคนกำลังโดนข่มขืนนะ! ผมจะฆ่ามัน! แกไม่รู้สึกละอายใจเลยรึไง! ถ้าสักวันแกมัลูกสาว แกจะเข้าใจความเจ็บปวดของฉัน!”

หวังจิ้งหลินด่าทั้งตำรวจด่าทั้งจ้าวเฉียน สักพักต่อมาหวังจิ้งหลินเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ตำรวจพวกนี้เป็นเพียง เจ้าหน้าที่ประจำสน.อำเภอ แล้วมีคุณสมบัติอะไรมาหยุดเขาได้?

“ถอยออกไปให้หมด! ฉัน หวังจิ้งหลิน รู้จักกับผู้กำกับหลี่แห่งกรมตำรวจของเมืองตงไห่! พวกแกทั้งหมดไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวฉันด้วยซ้ำไป!”

หวังจิ้งหลินคำรามเสียงดังลั่น

ทันใดนั้นก็มีตำรวจแก่คนหนึ่งกล่าวค้านขึ้นว่า

“คุณเป็นคนรู้จักกับผู้กำกับหลี่แล้วยังไง? ทำความผิดก็ไม่ต้องรับโทษรึไง? ถ้ายังกล้าขัดขืนอีก ผมจะแจ้งความจับคุณด้วย! ตอนนี้ผมต้องกุมตัวลูกสาวไปที่โรงพักเพื่อสอบสวนและทำสำนวนคดีต่อไป!”

“แกมันยศอะไรวะ!? ถึงกล้าหยุดฉันแบบนี้! ได้! ฉันจะโทรไปรายงานผู้กำกับหลี่เดี๋ยวนี้! พวกแกทั้งหมดเตรียมรับโทษได้เลย!!”

หลังจากหวังจิ้งหลินพูดจบ เขาก็ตรงเข้าไปผลักอกตำรวจแก่คนนั้นออกไปโดยตรง

ตำรวจแก่คนนี้ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาริเริ่มหยิบตราตำรวจขึ้นมาแลเอ่ยตอบไปว่า

“นี่เห็นตราตำรวจไหมครับ? ถ้าดูหมื่นเจ้าหน้าที่มีโทษทางกฎหมาย! พวกเราเป็นตำรวจปกป้องประชาชนด้วยกฎหมาย แล้วคุณเป็นใครมีสิทธิ์เหนือกว่ากฎหมายอีกเหรอครับ?”

ตำรวจอีกคนเร่งเกลี้ยกล่อมให้ตำรวจแก่นายนี้สงบสติอารมณ์ก่อน เดือนหน้าเขาก็จะเกษียณอยู่แล้ว อย่าเพิ่งหาเรื่องใหโดนไล่ออกจะดีกว่า

“เหอะ! ก็เพราะฉันจะเกษียณแล้วนี่ไง ถึงไม่กลัวพวกคนรวย! ฉันจะช่วยเหลืแประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อจนถึงวินาทีสุดท้าย!”

ตำรวจแก่คนนั้นยังคงกล่าวปฏิเสธอย่างดื้อรั้น

หวังซินซินรู้สึกหวาดกลัวถึงขั้นวิตกแล้ว เธอรีบกอดแขนขอร้องพ่อทันทีว่า

“พ่อ! หนูไม่อยากติดคุก! ช่วยหนูด้วยนะ!!”

หวังจิ้งหลินเหลือบมองตำรวจแก่คนนั้นปลายตามองท่าทีดุร้าย พลางกล่าวปลอบลูกสาวไปว่า

“อย่ากลัวไปเลยซินซิน ไม่มีใครสามารถขังลูกสาวของหวังจิ้งหลินคนนี้ได้! ใครมันกล้าคนนั้นจบไม่สวยแน่นอน!”

นี่เป็นที่ชัดเจน หวังจิ้งหลินคนนี้กำลังกล่าวคุกคามตำรวจแก่นายนั้น

“นี่คุณพูดว่าอะไรนะ? กล้าข่มขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจงั้นเหรอ? ช่วยเอาบัตรประชาชนออกมาด้วยครับ แล้วเชิญขึ้นโรงพักทั้งพ่อทั้งลูก!”

หวังจิ้งหลินโกรธจัดจนใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกียจ

“นี่แกกล้าเอาเรื่องฉันจริงๆงั้นเหรอ? ได้! ชะตาแกขาดแล้วไอ้แก่!”

หวังจิ้งหลินหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมา หลังจากตำรวจแก่คนนั้นตรวจสอบอยู่พักหนี่งจึงค่อยส่งคืนไป

“คุณต้องปฏิบัติต่อตำรวจด้วยความเคารพ พวกนายก็จำไว้ซะนะ ไม่ว่าจะรวยแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์เหนือไปกว่าประชาชนคนอื่น อย่าให้พวกนี้ทำตัวเหนือกว่ากฎหมายได้เด็ดขาด”

ตำรวจแก่นายนี้หันไปสอนตำรวจหนุ่มอีกสองสามคนที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็สั่งกุมตัวหวังซินซินเตรียมกลับโรงพักทันที

หวังจิ้งหลินรู้สึกว่า ไอ้ตำรวจแก่คนนี้มันหยามหน้าเขามากเกินไปแล้ว ศักดิ์ศรีของเขาถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี

คิดได้ดังนั้นเขาหยิบมือถือโทรหาผู้กำกับหลี่ทันที และอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้ฟัง หวังให้ผู้กำกับหลี่ยื่นมือมาช่วย

“เอ่ออ..ประธานหวัง ผมคงพูดได้แค่ว่า เสียใจด้วยที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ครั้งนี้คุณกระทำความผิดชัดเจน ทั้งเรื่องคดีความของคุณเอง มีพยานมากมายเข้ามายืนยันความผิดฐานทุบตีคนอื่น หากปล่อยให้คุณหลุดรอดออกไปโดยไม่ต้องรับโทษ เกรงว่าจะเกิดข้อกังขาต่อสังคมได้ แค่นี้ก่อนนะครับ ผมติดประชุม”

ผู้กำกับหลี่ตัดสายทิ้งโดยตรงและไม่แม้แต่ให้โอกาสหวังจิ้งหลินพูดสักคำ

หวังจิ้งหลินตกตะลึงแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายถึงขั้นไหนแล้วกันแน่ ถึงขั้นที่ผู้กำกับหลี่ไม่ยอมยื่นมือมาช่วย?

Related

ตอนที่184 กายแลกกาย

ถึงอย่างไรคำกล่าวของตำรวจก๋ไม่สามารถระงับความโกรธเกรี้ยวของบรรดาฝูงชนเหล่านี้ได้ พวกเขาต่างเรียกหาความเป็นธรรมแสดงต่อหน้าให้จ้าวเฉียนเห็น

หวังอยากให้จ้าวเฉียนรู้สึกขอบคุณพวกเขาและให้สิทธิ์ซื้อบ้านครึ่งราคาโดยไม่ต้องจับฉลาก หากพวกเขาทำได้สำเร็จ นี่จะช่วยประหยัดให้พวกเขาได้หลายล้านเลยทีเดียว

เบื้องหน้าเผชิญเข้ากับผลประโยชน์อันมหาศาล พวกเขาก็ไม่สนใจอีกแล้วว่า หวังจิ้งหลินหรือพวกตำรวจจะว่ายังไง

ตำรวจเห็นว่า ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปสถานการณ์คงเลวร้ายลง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบนำตัวจ้าวเฉียนไปที่โรงพยาบาลและพาทุกคนออกไปจากหมู่บ้านของบริษัทอสังหาหวังทันที

ส่วนหวันจิ้งหลินและคนอื่นๆ ถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจโดยตรง

เขาแค้นใจอย่างมาก และคาดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้เขาต้องมาพานพบกับสถานการณ์ติดพันแบบนี้ได้

ส่วนบรรดาฝูงชนที่ต้องการซื้อบ้านก็รีบติดตามตำรวจเพื่อส่งจ้าวเฉียนไปโรงพยาบาล พวกเขาไม่ต้องการพลาดโอกาสซื้อบ้าหรูในราคาถูกแน่นอน จึงติดตามเขาไปทุกหนแห่ง

จ้าวเฉียนเข้าโรงพยาบาลไปและให้คุณหมอวินิจฉัยอาหาร ซึ่งทางคุณหมอก็บอกว่า ที่เขารู้สึกเวียนหัวเพราะเกิดการกระทบกระเทือนเล็กน้อยบริเวณศีรษะ เพื่อความปลอดภัยควรเฝ้าสังเกตอาการต่อในโรงพยาบาลอีกสักสองถึงสามวัน

“มันไม่จบแค่นี้หรอก! ในเมื่อกล้าเล่นเกมกับฉัน ฉันก็จะเล่นกับพวกแกเอง! นี่เพิ่มเริ่มต้นเท่านั้น! หึหึ…”

จ้าวเฉียนยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ หากไม่มีโอกาสสั่งสอนหวังจิ้นหลินให้หนักเป็นบทเรียน แผลบนศีรษะนี้คงสูญเปล่าแน่นอน

หลังจากเสร็จสิ้นการตรวจและรักษาในโรงพยาบาล จ้าวเฉียนก็โทรหาหยางหู่เพื่ออธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟัง และสั่งการไปว่า จะด้วยวิธีใดก็ได้ แต่ห้ามให้หวังจิ้งหลินสามารถออกจากโรงพักได้โดยง่าย

หยางหู่ตกใจอย่างมากที่ทราบว่า คุณชายจ้าวของเขาได้รับบาดเจ็บ จ้าวฝู่เคยกำชับกับเขาไว้ว่า ความปลอดภัยของจ้าวเฉียนต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ตอนนี้คุณชายจ้าวกลับเลือดตกยางออกเสียได้ แล้วแบบนี้เขาจะอธิบายให้จ้าวฝู่ฟังยังไง?

“คุณชายจ้าว หลังจากนี้ผมจะพาลูกน้องผมไปกระทืบมันเอง! ถ้าทำไม่สำเร็จผมขอตัวหัวตัวเองส่งไปให้คุณจ้าวฝู่เพื่อสังเวยแทน!”

หยางหู่กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกผิด

ในเวลาแบบนี้ จะเห็นได้ว่าหยางหู่ภักดีต่อจ้าวเฉียนแค่ไหร และเขากลัวว่าจ้าวเฉียนจะโกรธเขา

แต่ถึงแบบนั้น จ้าวเฉียนไม่ใช่คนอารมร์ร้อนเมื่อในอดีตอีกต่อไป แถมเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหยางหู่ ดังนั้นทำไมต้องตำหนิอีกฝ่ายด้วย

“เสี่ยวหู่ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ บาดแผลแค่เล็กน้อยเท่านั้นแหละ พักสองสามวันก็หายดีแล้ว จะเคลื่อนไหวอะไรต้องวางแผนให้รัดกุม คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วยเข้าใจไหม?”

หยางหู่รีบตอบกลับไปทันที

“เข้าใจแล้วครับ! ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ใจร้อนเด็ดขาด ระหว่างนี้ผมจะติดต่อไปหาธนาคารทั้งหมดที่มีเส้นสาย เพื่อระงับการกู้เงินทุนของบริษัทอสังหาหวังให้หมด พอตัดท่อน้ำเลี้ยงของพวกมันได้หมด ขอดูหน่อยว่าจตะทำยังไงกันต่อไป!”

“เรามีอีกหลากหลายวิธีที่จะบีบคั้นพวกตระกูลหวัง แต่ถ้าไม่จำเป็น ห้ามใช้วิธีผิดกฎหมายล่ะกัน ลงมือได้เลย ฉันจะรอฟังข่าวดีจากนาย”

จ้าวเฉียนกล่าวแนะนำ

“คุณชายจ้าวไม่ต้องกังวลครับ ผมไม่ปล่อยให้ตระกูลหวังมีความสุขแน่นอน! แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้พวกมันล้มละลายได้ แต่พวกมันก็ต้องจบไม่สวยแน่นอน!”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงอย่างมีความสุขพร้อมกดวางสายไป พอเรื่องทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว เขาพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมากและรอฟังข่าวดีจากหยางหู่

หลังจากนั้นไม่นอน อู่ซินก็โทรมาหาจ้าวเฉียน

“ฮาโหล นายอยู่ไหนน่ะ?”

จ้าวเฉียนไม่อยากให้อู่ซินต้องมานั่งกังวลเรื่องของเขา จึงแสร้งกล่าวไปว่า

“ฉันกำลังดูบ้านให้เธออยู่ไง นี่ยังไม่เลือกไม่ได้เลย ยังไงเดี๋ยวถ่ายรูปให้เธอดูอีกทีแล้วกัน”

อู่ซินถอนหายใจอย่างโล่งอกและกล่าวตอบไปว่า

“โอ้ ไม่ต้องห่วงเรื่องดูบ้านให้ฉันหรอก แล้วที่มีปัญหากับพวกนั้นจบลงด้วยดีใช่ไหม? นายเป็นอะไรรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างจบแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวส่งภาพไปให้อีกที”

หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนก็รีบโทรหาชางเจียกงทันที

“ฮาโหลครับคุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ครับ?”

ชางเจียกงกล่าวทักทายทันทีด้วยความเคารพ

“ช่วยส่งรูปแบบบ้านทั้งหมดที่มีในหมู่บ้านจิ้งไห่มาให้ที ขอแบบที่มีขนาด130ตารางเมตรขึ้นไปนะ สภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นต้องมีแสงสว่างส่องถึง”

จ้าวเฉียนสั่งการทันที

ชางเจียกงรับทราบกล่าวตอบไปว่า

“เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวผมวานให้ลูกน้องจัดการให้ทันที ทำเป็นอัลบัมภาพส่งไปในWechatของคุณชายจ้าวเลยนะครับ”

“อืม รีบๆ หน่อยนะ ฉันต้องใช้ด่วน”

“ได้เลยครับ”

ชางเจียกงวางสายและติดต่อไปหาผู้จัดการฝ่ายขายของหมู่บ้านจิ้งไห่โดยเร็ว พร้อมสั่งการให้อีกฝ่ายถ่ายรูปตัวอย่างและส่งกลับมาให้ทันที

ไม่กี่นาทีต่อมาจ้าวเฉียนก็ได้รับอัลบัมจากชางเจียกง เขาส่งต่อไปให้อู่ซินทันควัน

อู่ซินคัดกรองพิจารณาอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนจะเลือกมาหนึ่งแบบและส่งกลับไปให้จ้าวเฉียน

“โอเคเลย หลังนายดูการแข่งของพี่ชายจบ เราไปดูด้วยกันเถอะ”

จ้าวเฉียนพินม์ตอบตกลงตามคำเชื้อเชิญของอู่ซินไป

ในเวลานั้นเอง บรรดากลุ่มผู้ซื้อบ้านก็รับเข้ามาหาในจ้าวเฉียนบริเวณคนไข้รอจ่ายยาโดยไม่คำนึงถึงพวกพยาบาลที่มาขวางแต่อย่างใด

“พ่อหนุ่ม อาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง? ไม่ได้ร้ายแรงอะไรใช่ไหม?”

“พ่อหนุ่มของเราไม่เป็นอะไรร้ายแรงหรอก จริงไหม?”

“พ่อหนุ่มไม่ต้องกังวลไปนะ พวกเราจะเป็นพยานให้นายเอง! เราไม่มีวันปล่อยให้พวกมันรอดไปได้แน่นอน!”

….

ทุกคนต่างแสดงความจริงใจที่มีต่อจ้าวเฉียน และพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อเอาใจเขา

จ้าวเฉียนย่อมเข้าใจเจตนาของพวกเขาโดยธรรมชาติ จึงยิ้มขอบคุณไปว่า

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะครับ ทันทีที่อาการดีขึ้น ผมจะเริ่มดำเนินการจับฉลากโดยเร็ววที่สุด พวกคุณทุกคนคงเหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะครับ”

“ไม่เลยครับ พวกเราไม่เหนื่อยเลย อยู่คุยกับพ่อหนุ่มเป็นเพื่อนแหละครับ”

“ผมอ้างเมียว่าออกมาดูบ้าน ขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักละกันครับ ไม่อยากกลับไปเจอเมียตอนนี้ ฮ่าฮ่าๆ”

“เรื่อยๆ เลยครับ ผมอยู่เฝ้าอาการพ่อหนุ่มดีกว่า”

…..

ทุกคนต่าง ‘กระคือรือร้น’ อย่างมากจนจ้าวเฉียนทำอะไรไม่ถูก จึงกล่าวแค่เพียงว่า

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของทุกคนจริงๆ นะครับ แต่วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ แถมห้องแอดมิดก็เรียบร้อยแล้ว ผมของเข้าไปนอนพักผ่อนก่อนนะครับ ถ้าผมเริ่มจับฉลากเมื่อไหร่จะโทรเรียกทุกคนให้มาหาอีกทีนะครับ ผมขอตัว”

ไม่มีใครกล้าขัดจ้าวเฉียนเพราะกลัวว่าเขาจะหัวเสีย ดังนั้นจึงต้องยอมจากออกไปอย่างเชื่อฟัง

หลังจากจ้าวเฉียนได้ห้องเป็นห้องผู้ป่วยเดี่ยวแล้ว เขาก็นอนพักผ่อนอย่างสงบ แต่ทันใดนั้นหวังซินซินก็โทรมาหา

“ฮาโหล ว่าไงครับ?”

“จ้าวเฉียน เรามาพูดคุยกับดีๆ เถอะ ได้ไหม?”

หวังซินซินเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อน

จ้าวเฉียนหัวเราะครืนเล็กน้อยและตอบไปว่า

“คุณหวังซินซินผู่หยิ่งผยองก่อนหน้าหายไปไหนแล้วครับเนี่ย? เสียงอ่อนแบบนี้ไม่เหมาะกับคุณเลย!”

หวังซินซินในปัจจุบันเผยท่าทีราวกับว่ากำลังหวาดกลัวในบางสิ่งอย่างมาก ดังนั้นเธอหรือจะกล้าพูดด้วยน้ำเสียงจองหองแบบก่อนหน้า?

“เดี๋ยวฉันไปเยี่ยมนายที่โรงพยาบาลนะ ไว้เจอกัน”

หวังซินซินวางสายทันทีหลังพูดจบ และรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ตีบทแตกแสร้งทำเป็นปวดหัวอย่างมาก พอเห็นเธอเดินเข้ามาในห้องก็เอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนแรงยิ่งว่า

“คะ-คุณ…คุณมาหาผมอีกทำไม? ผมกลัวแล้วครับ อย่ากระทืบผมอีกเลย…”

หวังซินซินส่ายหัวโดยไวปฏิเสธไปว่า

“ฉันจะทุบตีนายได้ยังไง? ฉันแค่อยากหาทางคุยวิธีแก้ปัญหากับนายเท่านั้น”

“ผมมอบหมายหน้าที่นี้ให้ทยายครับ มัอะไรสามารถพูดคุยกับทนายของผมได้เลย”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไป

หวังซินซินดึงม่านปิดรอบเตียงให้มิดชิด จงใจนั่งบนเตียงพลางเอนตัวไปหาคล้ายว่าจงใจยั่วยวน เธอเอ่ยเสียงหวานกระซิบข้างหูเขาว่า

“อย่าใจแข็งเลยนะ มีอะไรพวกเราก็ค่อยๆ มาคุยกันที่นี่ หรืออยากให้ฉัน…”

หวังซินซินหญิงสาวผู้อารมณ์ร้อน ยามนี้กลับริมกระซิบข้างหูพร้อมเสียงกระเส่า ทำเอาจ้าวเฉียนถึงกับขนลุก

“นี่คุณกำลังจะทำอะไร? ผมสามารถฟ้องได้นะครับข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผม!”

หวังซินซินยิ้มกล่าวตอบไปว่า

“ลองโทรหาตำรวจดูสิ แล้วขอดูหน่อยว่าทางตำรวจจะเชื่อหรือเปล่า? ฉันล่วงละเมิดทางเพศคุณหรือคุณล่วงละเมิดทางเพศฉันกันแน่?”

“นี่เธอหมายถึงอะไร?”

“ก็แผนการแบบนี้นายเป็นคนสอนฉันเองไม่ใช่เหรอ? ฉันก็แค่ทำตามเท่านั้น”

หวังซินซินดูพึงพอใจอย่างมาก อันที่จริงแล้วภายใต้สถานการณ์ปกติ ทุกคนล้วนคิดว่าต้องเป็นฝ่ายชายที่ล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงเสมอ และน้อยคนมากที่จะติดว่าผู้หญิงล่วงละเมิดทางเพศผู้ชาย

ทันใดนั้นเอง หวังซินซินฉีดเสื้อผ้าของเธอเป็นชิ้นๆ และตะโกนขอความช่วยเหลือทันที จ้าวเฉียนถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะเขาเองก็เคยใช้วิธีคล้ายๆ กันแบบนี้มาก่อน

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มและกล่าวว่า

“พ่อของคุณสั่งให้เธอมาพลีกายล้างแค้นผมรึไง?”

“พ่อฉันแค่ขอให้ฉันมาเจรจากับนายดีๆ แต่ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่า นายไม่มีทางคุยดีๆ กับฉันแน่นอน มันก็เหลือแค่วิธีนี้นี่แหละที่จะเอานายอยู่หมัด!”

จ้าวเฉียนถึงกับยกนิ้วให้หวังซินซินและชมเชยกล่าวไปว่า

“คุณนี่มันใจเด็ดกว่าพ่อตัวเองเยอะ!”

หวังซินซินถอนกางเกงออกและกล่าวว่า

“ขอบคุณสำหรับคำชม นายต้องรีบตัดสินใจแล้ว ก่อนจะถอนจนไม่เหลือชุดชั้นใน!”

หวังซินซินโยนกางเกงออกจากมือทิ้งไปทันที เผยให้เห็นชุดชั้นในทั้งท่อนบนและล่างลายลูกไม้สีดำ

หวังซินซินเย้ยเยาะกล่าวไปว่า

“เป็นผู้หญิงต้องรู้จัดสงวนใช่ไหม? ถ้าเป็นนายคงจะพูดแบบนี้? แต่ฉันไม่สนหรอกนะ!”

ขณะที่หวังซินซินเอ่ยกล่าว เขาก็ฉีกเสื้อคนไข้ของจ้าวเฉียนจนกระดุมขาดไปสองเม็ด และพยายามใช้เรียวนิ้วสวยของเธอลูบไล้บนหน้าอก

จ้าวเฉียนรู้สึกโกรธอย่างมากที่เธอล้ำเส้นเข้าขนาดนี้ ทันทีทันใดเขาเข้าโอบร่างบางของหวังซินซินและพลิกกลับจับร่างของเธอกดลงบนเตียงแน่นอน โน้มตัวไปกระซิบข้างหูเธอว่า

“อย่าเล่นกับไฟอย่างฉัน! ไม่งั้นเธอโดนฉันจริงๆ แน่!”

หวังซินซินไม่เพียงจะไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น แต่เธอยังกล่าวยั่วยุอีกด้วยว่า

“ก็เอาสิ ปู้ยี่ปู้ยำฉันให้สาแก่ใจไปเลย ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่านายดีแต่ปากรึเปล่า?”

เมื่อพูดจบหวังซินซินก็กระโจกกระชากคอเขาให้กดจูบเธออย่างแรง ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเอื่อมไปจับมือจ้าวเฉียน บังคับให้ฉีกถุงน่องบริเวณขาอ่อนจนขาดกระเด็น

“เวร!”

จ้าวเฉียนอุทานด้วยความหงุดหงิดก่อนรีบชักมือของเขาออกจากขาอ่อนของเธอทันที

Related

Related

ตอนที่183 แตะไม่ได้

บรรดาฝูงชนทั้งหมดในที่แห่งนี้ทราบดีว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หากจ้าวเฉียนถูกนำตัวไปจริงๆ ยังไงเสียทุกคนเหล่านี้ปรารถนาที่จะซื้อบ้านครึ่งราคาจากเขา ดังนั้นแต่ละคนจึงแห่เข้าไปปกป้องจ้าวเฉียนโดยทันที

“นี่คุณจะทำอะไรเขา! ตอนนี้พวกผมเห็นหมดนะว่า คุณกำลังก่อเรื่องผิดกฎหมาย หยุดเดี๋ยวนี้ก่อนที่ผมจะแจ้งตำรวจ!”

“พวกเราเห็นหมดว่าคุณกำลังจะเอาเขาไปทำอะไร ทุกคน! รีบแจ้งตำรวจเร็ว!”

“ถ้ากล้าทำแบบนี้จริงๆ ผมจะนำเรื่องนี้ลงอินเตอร์เน็ต! อยากจะรู้จริงๆว่ายังมีใครอยากจะอยู่หมู่บ้านนรกนี่อีกไหม!”

หวังจิ้งหลินไม่ได้หวาดกลัวคนพวกนี้เลย ก็เป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดาทั่วไป

“รปภ.! ไล่พวกมันไปให้หมด!”

หวังจิ้งหลินออกคำสั่งในทันใด และบรรดารปภทั้งหลายก็ออกมาขับไล่ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นทันที

จ้าวเฉียนยังคงถูกรปภ.อีกกลุ่มพาเข้าไปในแผนกขายในหมู่บ้าน แต่อย่างไรเสีย เขาไม่ได้รู้สึกกลัวแม้สักนิด ทุกสายตาจำนวนมากมายต่างจับจ้องอยู่ เขาไม่เชื่อว่าหวังจิ้งหลินจะกล้าใช้ความรุนแรง

พอหวังจิ้งหลินตรงเข้ามาถึงในแผนกขาย เขาก็ตะคอกใส่พนักงานทุกคนทันทีด้วยความโกรธจัด

“พวกแกกำลังทำบ้านอะไรกันอยู่! ถึงให้หมอนี่ซื้อบ้านไปขายต่อ!”

พอพนักงานทุกคนถูกตำหนิเข้าไป ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองแม้สักนิด หวังซินซินเห็นดังนั้นจึงก้าวออกมาอธิบายทันที

“พ่อ ทั้งหมดเป็นความผิดของจ้าวเฉียน เขาแสร้งทำเป็นไม่มีเงินจนทำให้หนูตายใจ พ่อต้องสั่งสอนมันให้หนัก!”

หวังซินซินกล่าวฟ้องพร้อมท่าทีหงุดหงิด

หวังจิ้งหลินเหลือบมองจ้าวเฉียนเล็กน้อย แววตาของเขายามนี้ดูดุดันน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ฉันจะให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย คงรู้ใช่ไหมว่าควรทำตัวยังไง?”

สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง จ้าวเฉียนยืนตระหง่านด้วยท่าทีสุดหยิ่งผยอง ระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังไร้ซึ่งทีท่าหวาดกลัว

“ไม่รู้สิครับประธานหวัง มาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า ต้องการเงื่อนไขแบบไหนดีครับ?”

“ฉันบอกไปแล้ว จะเพิ่มให้10ล้านแลกกับนายฉีกสัญญาซื้อขาย นี่คือเงื่อนไขสุดท้ายที่ฉันจะให้ได้! นายไม่ควรขูดรีดกำไรฟรีๆจากฉันจะดีกว่า”

หวังจิ้งหลินกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะซ้ำสองในทันใด และไม่แม้แต่สบตาอีกฝ่ายสักนิด กล่าวตอบไปว่า

“ประธานหวังล้อเล่นแล้ว พวกคนที่อยู่ด้านนอกก็เห็นหมดนะครับว่า คุณกำลังจะทำอะไรผม แถมหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารก็มีพร้อม ถ้าอยากให้ผมฉีกสัญญาจริงๆ ต้องมีค่าเหนื่อยมากกว่านี้ครับ”

“ฉันบอกให้แกฉีกไง!”

หวังจิ้งหลินตะคอกใส่เสียงดุดัน

จ้าวเฉียนยังคงเพิกเฉยต่อท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่าย ทิ้งสัญญาซื้อขายไว้บนโต๊ะต่อหน้า เคาะสองสามทีคล้ายเชิงยั่วยุ พร้อมด้วยยรอยยิ้มกว้างประดับใบหน้าดูไม่เกรงกลัวใดๆ

หวังจิ้งหลินสุดจะทนกับไอ้เด็กคนนี้แล้ว เขาเรียกรปภ.ให้จับตัวจ้าวเฉียนเข้าไปในบริเวณอื่นทันทีเพื่อสั่งสอน

แต่จ้าวเฉียนก็ไหวพริบดี ก้าวถอยเลี่ยงหลบได้ทันพลางกล่าวขู่ไปว่า

“หวังจิ้งหลิน คุณเองก็น่าจะมองสถานการณ์ตอนนี้ออกนะครับ มีคำจำนวนมากมายที่กำลังจับตามองอยู่ด้านนอก ถ้าผมเกิดเป็นอะไรขึ้นมา อย่าว่าแต่หมู่บ้านนี้เลย บริษัทอสังหาของคุณจะมีข่าวเสียติดตัวไปตลอด ดีไม่ดีวันหนึ่งอาจถึงขั้นล้มละลายได้เลยนะครับ”

รปภ.ได้ยินแบบนั้นพลันร่นถอยทันที พวกเขาหวาดกลัวเกินว่าจะลงไม้ลงมือได้อีกต่อไป แต่ละคนเหลือบไปมองหวังจิ้งหลินเพื่อรอคำสั่งต่อไป

เพลิงความโกรธเกรี้ยวอัดแน่นจนจุกอกหวังจิ้งหลินเกินท้วมท้น ถ้าเขาไม่ได้สั่งสอนจ้าวเฉียนวันนี้ เขาขอตายยังดีกว่า!

เขาหันไปสั่งรปภ.ทันทีว่า

“เอาหนังสือมายัดอกแล้วใช้ค้อนทุบฉันเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวฉันจะแกล้งทำเป็นล้มเอง เอาให้ทุกคนเห็นไปเลยว่าฉันถูกทำร้าย! ทีนี้พวกนั้นก็เป็นพยานให้ฉันแทนแล้ว! ฮ่าฮ่า…”

รปภ.แยกย้ายไปหาหนังสือเล่มหนาๆและค้อนมาทันที ทางด้านผู้จัดการตะโกนตอบไปว่า

“เดี๋ยว! ฉันขอไปปิดม่านกับกล้องวงจรปิดก่อน!”

จากนั้นผู้จัดการก็รีบเร่งวิ่งไปปิดม่านและกล้องวงจรปิดทั่วแผนกขายทันที จากนั้นก็เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้ม กล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“เท่านี้พวกเราก็สามารถอะไรกับนายก็ได้แล้ว จะไม่มีบุคคลภายนอกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนี้”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มขึ้นบนมุมปาก เอ่ยขึ้นสั้นๆว่า

“จริงเหรอ?”

หวังซินซินเห็นแบบนั้น ก็เอ่ยถามพร้อมสีหน้าสุดรังเกียจว่า

“อะไรของแก? ยังจะหัวรั้นอยู่อีกรึไง? เอาล่ะ ถึงเวลาที่ฉันต้องเอาคืนแล้ว!”

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างหน่ายใจและตอบกลับไปว่า

“ใครบอกว่าผมหัวรั้นกัน? กลับกันต่างหาก…ผมจะช่วยสนองความต้องการพวกคุณเอง!”

ทันทีที่สิ้นเสียง จ้าวเฉียนกระชากผมตัวเองและเหวี่ยงไปฟาดกับเสาข้างๆตัวอย่างแรง

ทุกคนภายในนี้ต่างสะดุ้งโหย่งในทันใด แต่ละคนถึงกับหน้าเสียด้วยความหวาดผวา ไม่มีใครคิดเลยว่า จ้าวเฉียนจะกล้าทำแบบนี้จริงๆ

“แก…แกกำลังทำบ้าอะไร?!”

หวังจิ้งหลินอุทานด้วยความหวาดกลัว

จ้าวเฉียนจับบาดแผลบนหน้าผาก เลือดสีแดงสดรินไหลออกมา เปรอะเปื้อนชโลมมือของเขา พอเห็นแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะลั่นพร้อมกล่าวว่า

“อยากสั่งสอนผมไม่ใช่เหรอ? ผมก็กำลังช่วยคุณอยู่ไง! จะแกล้งทำเป็นถูกผมทำร้ายแต่ดันกลัวเจ็บนี่นะ? มันช้าไป! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

“บ้า! บ้า! แก…แกมันบ้าไปแล้ว!”

หวังจิ้งหลินส่งเสียงตะโกนลั่น

“ก็อยากสั่งสอนผมเองไม่ใช่เหรอ? ก็สนองให้อยู่นี่ไงครับ อิอิ… โอ้ย! หัวผม! หัวผมแตก! ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!”

ถึงม่านทั่วบริเวณจะปิดอยู่ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะกันเสียงได้ จ้าวเฉียนจงใจตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อให้คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอกได้ยิน หวังให้เข้าใจผิดไปว่า หวังจิ้งหลินเริ่มลงมือลงไม้กับเขาแล้ว

นี่เรียกว่ากลยุทธ์ชิงลงมือก่อน หากจ้าวเฉียนไม่ทำร้ายตัวเองก่อนแบบนี้ มีหวังผลลัพธ์คงไม่ได้จบลงแค่หัวแตกแน่นอน และอาจโดนพวกรปภ.กระทืบจนสาหัส หวังจิ้งหลินเห็นแบบนั้นถึงกับไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆต่อ

หวังจิ้งหลินรู้ซึ้งแล้วว่า เขาไม่สามารถทำอะไรจ้าวเฉียนได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงวกกลับเข้าเรื่องต่อรองทันที

“โอเค! โอเค! ฉันโชคร้ายเองที่ดันเจอคนบ้าๆแบบนาย ฉันจะเพิ่มให้อีก20ล้านแลกกับให้นายฉีกสัญญา?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวแปฏิเสธทันควัน

“ผมเคยบอกไปแล้ว ทำธุรกิจต้องได้กำไร30%จากที่ลงทุนขึ้นไป ไม่อย่างนั้น…ผมจะวิ่งออกไปและขอให้พวกคนข้างนอกพาผมไปโรงพยาบาลทันที! คงรู้ดันะครับว่า หลังจากนี้จะเป็นยังไง?”

หวังซินซินรีบหันมาพูดกับพ่อทันทีว่า

“พ่อคะ! เราปล่อยเขาออกไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าออกไปสภาพนี้ แล้วเราจะอธิบายกับตำรวจยังไง?”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอลง เสียงไซเรนตำรวจก็ดังขึ้นฉับพลันจากด้านนอก เนื่องจากเสียงร้องของจ้าวเฉียนเมื่อสักครู่ ทำให้ผู้คนเหล่านั้นเริ่มวิตกกังวลหนัก จนท้ายที่สุดก็ต้องโทรแจ้งตำรวจให้เข้ามาควบคุมทันที หากเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวเฉียน แล้วบ้านหรูครึ่งราคาของพวกเขาล่ะ?

หวังจิ้งหลินยามนี้ตื่นตระหนักอย่างหนัก กล่าวได้ว่าตกสู่สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยสมบูรณ์ ทำได้เพียงขู่จ้าวเฉียนไปว่า

“ห้ามพูดอะไรไร้สาระเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแก!”

“ประธานหวังครับ เห็นผมเป็นเด็กสามขวบรึเปล่า? ตอนนี้ตำรวจใกล้บุกมาถึงแล้วนะ รีบๆตัดสินใจจะดีกว่า เพราะทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึง มันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ผมหรือคุณจะควบคุมได้อีกต่อไป!”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างสบายๆ

ทางด้านผู้จัดการ เธอรีบนำพวกพนักงานออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนโดยเร็ว เพื่อถ่วงเวลาให้จ้าวเฉียนกับหวังจิ้งหลินตกลงกัน

“แต่เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฉันจะจ่ายให้แก30%จากราคาทั้งหมด! ฉันให้แกได้มากสุดคือ350ล้านหยวนแลกกับแกฉีกสัญญา! นี่มันสุดๆแล้วที่ฉันจะรับไหว!”

หวังจิ้งหลินตอบโต้กลับไป สีหน้าท่าทางของเขาดูวิตกสุดขีดแล้ว

สำหรับจ้าวเฉียน เขาไม่ได้สนใจเลยว่า เงินที่ได้มาจะมากหรือน้อย ที่เขาขู่ไปว่าต้องการ30%ก็เพื่อบีบให้หวังจิ้งหลินสติแตก

“งั้นประธานหวัง เตรียมกลายเป็นบุคคลล้มละลายได้เลย!”

จ้าวเฉียนตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็หยิบสัญญาบนโต๊ะและเดินจากไปทันที

แต่ในเวลานั้นเอง พนักงานหญิงอีกคนที่เคยขัดแย้งกับจ้าวเฉียนและหวังซินซิน ก็พุ่งเข้ามาคว้าสัญญาไปจากมือจ้าวเฉียน พร้อมฉีกเป็นชิ้นๆในพริบตา

“ฮ่าฮ่า…ประธานหวังหนูทำได้แล้ว! หนูฉีกสัญญาของมันได้แล้วค่ะ!”

หวังจิ้งหลินกับคนอื่นๆกลับดูไม่ดีใจแม้สักนิด ในทางตรงกันข้ามสีหน้าของเขากลับดูสิ้นหวังหนักกว่าเก่า ไอ้ผู้หญิงโง่นี่คิดว่ากฎหมายเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆรึไง? ฉีกสัญญาแบบนี้ มันไม่เท่ากับว่าฝ่ายของพวกเขาผิดเต็มกระทงเลยรึไง?

จ้าวเฉียนหัวเราะลั่นพลางปรบมืออย่างมีความสุขยิ่ง

“เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา ฉีกสัญญาซื้อขายโดยพละการ ข่มขู่และกักขังหน่วงเหนี่ยวผู่อื่น ประธานหวัง คราวนี้บริษัทของคุณเตรียมล้มละลายได้เลย!”

ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอกกังวลว่าจ้าวเฉียนกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเร่งเร้าตำรวจให้ฝ่าพวกรปภ.กับพนักงานเข้าไปช่วยโดยเร็ว กลุ่ตำรวจได้ยินดังนั้นจึงบุกเข้าไปในแผนกขายทันทีโดยไม่ลังเล

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นอย่างผู้มีชัยและแสร้งยกมือขึ้นกระซิบว่า

“คุณหมดโอกาสแล้ว!”

หวังจิ้งหลินทั้งเครียดทั้งโกรธจนเส้นประสาทปูดโปนทั่วหน้าผาก เขาพยายามเจรจากับจ้าวเฉียนอย่างนุ่มนวลว่า

“30%ก็ได้! ฉันจะโอนเงินให้เดี๋ยวนี้แหละ!”

“ฉันเพิ่งพูดไปเองว่า คุณหมดโอกาสแล้ว คิดช้าไปหน่อย…สายเกินไปแล้วครับ!”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มฉีกกว้างเป็นคำตอบ

ทันทีที่ตำรวจบุกเข้ามาถึง พวกเขาก็รีบเข้ามาคุ้มกันปกป้องจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ?”

ตำรวจเอ่ยถามอาการทันที

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นยกมือกุมศีรษะคล้ายว่าจะเป็นลม เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า

“คุณตำรวจครับ…ผมรู้สึกเวียนหัวมากเลย พา…พาผมไปโรงพยาบาลทีครับ… คนพวกนี้ทุบตีผมไม่หยุดเลย ผมทั้งยกมือไหว้ ทั้งขอร้องขอความเมตตาให้หยุด แต่พวกเขาก็ไม่หยุดเลย… ทุกคนครับ…ทุกคนต้องเป็นพยานให้ผมนะครับ!”

ในเวลานั้นเองบรรดาผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอกก็แห่แหนกันเข้ามาเช่นกัน

“แน่นอนครับ! พวกเราเป็นพยานให้เขาได้! ผมถ่ายคลิปเอาไว้ตอนที่เขาร้องออกมา!”

“ใช่แล้วคุณตำรวจ! พวกเรามีทั้งคลิปวีดีโอและคลิปเสียงต้องที่เขาร้องจริงๆ ไอ้พวกอสังหาหวังเตรียมตัวชะตาขาดได้เลย!”

“คุณตำรวจต้องช่วยเขานะครับ! อย่าให้กฎหมายเป็นเครื่องมือของคนผิด! อย่าปล่อยคนพวกนี้ให้ลอยนวล!”

…..

หวังซินซินรับก้าวออกมาอธิบายกับตำรวจทันทีอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“คุณตำรวจอย่าไปเชื่อนะคะ คนพวกนี้กล่าวหาไร้สาระ! พวกเรายังไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขาเลย แต่เขาทำร้ายร่างกายตัวเอง!”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…พวกเราดูเธอสิ! หลักฐานคาหนังคาเขาขนาดนี้แล้ว ยังแถไม่หยุด!”

“ขนาดคนปัญญาอ่อนยังไม่เชื่อคุณเลย!”

“ผู้หญิงอะไรไร้ยางอายชะมัด! แถน้ำขุ่นๆ!”

“พวกแก…พวกแกกล้าพูดแบบนี้กับฉันเหรอ!? มันเอาหัวโขกกับเสาต้นนั้นเอง! นี่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย!”

จากนั้นทั้งพนักงานและรปภ.ก็รีบอธิบายเสริมทันที โดยบอกว่าบาดแผลบนศีรษะของจ้าวเฉียนเกิดจากตัวเขาเอง

ยิ่งได้ยินแบบนี้บรรดาฝูงชนยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

“คุณตำรวจอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระ! ใครจะบ้าทุบหัวตัวเอง!?”

“ขนาดตำรวจยืนอยู่ตรงนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีกเหรอ! ยังเห็นตำรวจกับกฎหมายอยู่ในสายตารึเปล่า?”

“ใช่แล้ว! พวกเรามีหลักฐานพร้อม ขอดูหน่อยว่าเงินพวกแกจะหนาพอช่วยให้ตัวเองรอดคดีไหม!?”

….

พวกตำรวจเห็นดังนั้นก็รีบห้ามปราบฝูงชน กลัวว่าจะเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นและรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ทุกคนเงียบก่อนครับ! อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป พวกเราจะสอบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด และไม่ยอมปล่อยให้อำนาจเงินเข้ามาแทรกแซกกระบวนการทางกฎหมายแน่นอน!”

Related

Related

ตอนที่182 เหนือหัวมาเอง

ตอนนี้จ้าวเฉียนเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ซื้อบ้านตามอิสระเสรีในราคาที่ถูกแสนถูก แต่กลับถูกพวกรปภ.ชัดชวางไม่ให้ลงทะเบียน นี่ยิ่งกว่าตัดน้ำเลี้ยงฆ่าพ่อฆ่าแม่กันเลยก็มิปาน

บรรดาฝูงชนมีหรือจะยอม? พวกเขาลงไม้ลงมือกับรปภ.เหล่านั้นทันทีที่มาขวาง ในไม่ช้าพวกพนักงานขายผู้ชายต้องเข้าไปห้ามปรามศึกอีกแรง จนท้ายที่สุดก็พัฒนากลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงระหว่างคนสองกลุ่ม

ไม่นานเกินรอ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาหยุดเหตุทะเลาะวิวาทนี้ลง

หลังจากที่เข้ามาสอบถามเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ตำรวจนายหนึ่งก็หันไปถามจ้าวเฉียนว่า

“รบกวนแสดงบัตรประชาชนกับบัตรเครดิตของคุณทีครับ”

จ้าวเฉียนเองก็ให้ความร่วมมือกับพวกเขาเช่นกัน และนำบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรเครดิตใบนั้นออกมา ตำรวจนำไปตรวจสอบทันทีก่อนพบว่า มันไม่ได้มีปัญหาอะไร

“อืม…แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆนะครับ ทำไมคุณถึงทำการอุจอาจขนาดนี้?”

ตำรวจเอ่ยถามด้วยความงุนงง

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ข้อแรกเลยนะครับ เธอคนนี้สบประมาทผมต่อหน้าฝูงชนว่าไม่มีเงิน ดังนั้นผมจึงอยากประชันกับเธอให้ถึงที่สุด”

“เอาเงินตั้ง300กว่าล้านมาใช้ในเรื่องแบบนี้ คุณไม่รู้สึกเสียดายเลยเหรอครับ?”

ตำถามเอ่ยถามต่อ

“คุณตำรวจ พูดตามตรงเลยนะครับ นี่มันก็เงินผม ที่จริงก็ไม่อยากจะทำแบบนี้เท่าไหร่หรอก แต่เธอทำล้ำเส้นผมเกินไป อย่าว่าแต่300ล้านเลยครับ มากกว่านี้ก็พร้อมหยิบออกมาตบหน้าเธอ”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตามความจริง

ตำรวจเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้กับ‘พฤติกรรมคนรวย’ได้เช่นกัน

“ทางเรายืนยันแล้วว่า ข้อมูลธนาคารในบัญชีดังกล่าวตรงกับบัตรประชาชนของเขา ดังนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะซื้อบ้านอีกกี่หลังก็ได้ครับ นี่ถือว่าไม่มีความผิด”

ตำรวจนายนั้นหันมาพูดกับหวังซินซิน

แต่หวังซินซินบ่นตอบทันทีว่า

“จะไม่มีความผิดได้ยังไง! มันตัดหน้าฉันขายครึ่งราคา นี่มันกีกระทบกับราคากลางนะคุณตำรวจ! คุณต้องจัดการได้สิ!”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุมปากกล่าวไปว่า

“พอดีผมกำลังวางแพลนขายต่อบ้านมือสองน่ะครับคุณตำรวจ ซึ่งเอกสารสัญญาการซื้อขายก็ถูกต้องตามกฎหมายดี ผมก็มีสิทธิ์ขายได้ตราบเท่าที่ผมพอใจไม่ใช่เหรอครับ?”

เจอคำกล่าวนี้ของจ้าวเฉียนเข้าไป หวังซินซินถึงกับพูดไม่ออก พวกตำรวจเองก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงล่าถอยกลับไปทันที

คนที่มาซื้อบ้านพวกนี้ไม่พอใจอย่างมากที่หวังซินซินกีดกันพวกตนโดยไร้ซึ่งเหตุผลแบบนี้ พอยิ่งได้ยินตำรวจยืนยันว่า การกระทำของจ้าวเฉียนไม่มีความผิด พวกเขาจึงลุกหือขึ้นมาทันที

“นี่! อย่ามาขวางพวกเรานะ! ออกไป! ฉันจะลงทะเบียน!”

“ใช่แล้ว! มีกฎหมายข้อไหนที่ไม่อนุญาตให้เจ้าของบ้านขายถูก? หวังฟันกำไรพวกเราล่ะสิ!”

“พวกอสีงหาริมทรัพย์ของตระกูลหวังนี่มันไร้ยางอายจริงๆ! ใจดำมาก!”

หวังซินซินโมโหอย่างมาก เธอตวาดใส่จ้าวเฉียนลั่น

“ฉันจะขายบ้านของฉัน นายออกไป!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและเดินออกไปทันทีด้วยท่าทีแสนหยิ่งผยอง ทันทีที่เห็นเขาเดินจากไป บรรดาฝูงชนทั้งหมดก็แห่แหนวิ่งติดตามกันออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หวังซินซินกับพวกพนักงานยืนหงอยกันแบบนั้น

ผู้จัดการรีบสอบถามหวังซินซินทันทีว่า

“คุณหนู พวกเราควรทำยังไงกันดี? ถ้าบ้านทั้งห้าหลังนั้นถูกเขาขายออกไปได้จริง คนที่ทำสัญญาซื้อบ้านกับเราก่อนหน้ามีหวังโวยวายกันใหญ่แน่นอน จะให้ลดราคาสู้ก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน ดิฉันกังวลว่า มูลค่าแท้จริงจะลดลงไปด้วยในอนาคต!”

หวังซินซินกระทืบเท้าด้วยความเดือดจัด ตะโกนตอบไปว่า

“ฉันไม่รู้! กำลังคิดหาวิธีอยู่นี่ไง! พวกเธอเองก็รีบหาวิธีแก้ไขเดี๋ยวนี้เลยนะ! แล้วฉันไม่อนุญาตให้พวกเธอลาออกด้วย!”

หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานขายคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์กับหวังซินซินว่า

“คุณหนู แย่แล้ว! จ้าวเฉียนเปิดตั้งโต๊ะตรงสี่อยกหน้าหมู่บ้าน ประกาศขายห้องชุด40ห้อง กับบ้านเดี่ยวอีก4หลังในราคาครึ่งเดียว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปใครจะมาซื้อบ้านกับเรา?!”

“ไอ้สารเลว! แกคิดจะเล่นแบบนี้กับฉันจริงๆใช่ไหม!!”

หวังซินซินกรนเสียงเย็นยะเยือกขึ้นคำโต

“ดิฉันคิดว่า สถานการณ์แบบนี้ คุณหนูควรโทรรายงานประธานหวังนะคะ บางทีเขาอาจจะช่วยเราแก้ปัญหาได้!”

ผู้จัดการนึกอะไรขึ้นได้ เธอเอ่ยปากแนะนำไปทันที

หวังซินซินพยายามหาทางแก้ไขด้วยตัวเองอยู่สักพักใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความคิดดีๆผุดขึ้นมาเลย ในท้ายที่สุดเธอก็ต้องยอมทำตามที่ผู้จัดการเสนอไป และโทรรายงานสถานการณ์ให้พ่อฟังโดยตรง

หวังจิ้งหลินเห็นว่าสถานการณ์ค่อนข้างเลวร้ายมากแล้ว เขาจึงตอบกลับไปโดยไวว่า

“เดี๋ยวพ่อมาดูด้วยตัวเองเลยดีกว่า ลูกอย่าเฝ้ามันไว้ก่อน จะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”

หวังซินซินวางสายและวิ่งออกไปหาจ้าวเฉียนในทันที

ยามนี้เขาครองใจผู้คนได้อยู่หมัด ขณะลงทะเบียนก็ตะโกนลั่นว่า

“เดิมทีมีคนยกมือแค่30คน แต่ยอดลงทะเบียนตอนนี้พุ่งไปกว่า50คนได้แล้ว เราจะตัดสินกับด้วยวิธีจับฉลากนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี!”

ตราบใดที่สามารถเป็นเจ้าขายบ้านหรือห้องคอนโดหรูในราคาที่ถูกได้ ต่อให้ต้องต่อแถวจับฉลาก พวกเขาก็ยอมทั้งนั้น

หวังซินซินเข้ามาพบเห็นภาพฉากนี้พอดี อดคำรามลั่นเสียงดังสนั่นใส่จ้าวเฉียนไม่ได้เลยว่า

“จ้าวเฉียน! แกต้องการจะทำอะไรกันแน่! ทำแบบนี้แล้วมันได้ประโยชน์อะไร? ทุ่มเงินหลักร้อยล้านเพื่อแค่กลั่นแกล้งฉันงั้นเหรอ!?”

จ้าวเฉียนหัวเราะขึ้นมาทันใดและตอบกลับไปว่า

“ก็อย่างที่ผมบอกตำรวจนั่นแหละ คุณล้ำเส้นผมเกินไปแล้ว ถ้าไม่ได้แก้แค้นผมคงนอนตายตาไม่หลับ! จะหนึ่ง สองหรือสามร้อยล้านก็ทุ่มเข้าไปให้หมด! ผมคิดว่ามันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะครับ ถ้ากล้าหนีแสดงว่าคุณไม่แน่จริง!”

“ฮ่าฮ่า…นายคิดผิดแล้วที่เล่นกับฉัน! ก็ลองดูสิ ฉันจะสั่งให้หมู่บ้านตัดน้ำตัดไฟบ้านในแถบนั้นให้หมด! เชื่อไหมว่าฉันกล้า!”

“โอ้ย โอ้ย น่ากลัวจังเลยครับ แต่ได้ข่าวว่าผมทำสัญญาอย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าคุณกล้าตัดน้ำตัดไฟ ผมก็มีสิทธิ์ฟ้องหมู่บ้านคุณได้ ดีไม่ดีกลับเป็นผมมากกว่าที่ต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากคุณ! ถ้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมก็ฟ้องได้นะครับ แต่ระวังขายหน้า!”

ตามที่จ้าวเฉียนกล่าวไปไม่ผิด ทั้งหมดอยู่ภายใต้ขั้นตอนตามกฎหมายทั้งสิ้น และฝ่ายหวังซินซินไม่มีสิทธิ์มาตัดน้ำตัดไฟบ้านของเขาได้ มิฉะนั้นเจ้าของบ้านทั้งห้าหลังก็มีสิทธิ์ฟ้องเรื่องนี้ถึงศาลเช่นกัน

หวังซินซินไม่สามารถเถียงตอบจ้าวเฉียนได้ เธอทำได้เพียงยืนเงียบรอการมาถึงของพ่อ

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา หวังจิ้งหลินก็เดินทางมาถึง และขอให้พวกพนักงานและคนนอกออกไปให้หมด รวมไปถึงหวังซินซินด้วยเช่นกัน เขาต้องการคุยกับจ้าวเฉียนแบบสองต่อสอง

“เจ้าหนุ่มชื่ออะไร? ทำธุรกิจอะไรอยู่?”

หวังจิ้งหลินเปิดฉากถามก่อนทันที

“ชื่อจ้าวเฉียน เป็นแค่คนว่างงาน เข้าเรื่องเลยดีกว่า ผมก็แค่ทำธุรกิจของผมเฉยๆ สัญญาซื้อขายบ้านก็ลงนามกันครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้นผมมีสิทธิ์ขายบ้านเหล่านี้โดยชอบธรรม และเธอไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบน้ำเสียงหนักแน่น ไม่มีความประหม่าใดๆแม้สักนิด

หวังจิ้งหลินโมโหอย่างมากในตอนนี้ แต่บนผิวเผินเขายังแสร้งทำเป็นยิ้ม และเอ่ยถามน้ำเสียงอย่างเป็นมิตรขึ้นมา

“พ่อหนุ่ม ฉันขอชื่นชมในความกล้านะที่กล้าต่อกรกับตระกูลหวัง อืม…เด็กหนุ่มที่มีไหวพริบแบบนาย จะต้องอนาคตไกลแน่นอนในสายธุรกิจ ดังนั้นฉันไม่อยากมีศัตรูตัวฉกาจอย่างนาย เอาแบบนี้แล้วกันนะ ฉันขอซื้อคืนบ้านจำนวนห้าหลังโดยจะเพิ่มเงินให้อีก10ล้าน นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบวินวินทั้งคู่ พ่อหนุ่มคิดเห็นยังไง?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและตอบกลับไปว่า

“แค่10ล้าน? ประธานหวังผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นกลับมาค่าแค่10ล้านเท่านั้น!? ตราบใดที่ผมยังมีสิทธิ์ในบ้านจำนวนห้าหลังนี้ ความต้องการของผู้ซื้อคนอื่นๆคงไม่สนใจอีก15หลังที่เหลือแน่นอน เห้ออ…ถ้าขายไม่ออกแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายดอกเบี้ยธนาคารกันนะ? เครดิตของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังคงเสียหายไม่น้อย แล้วแบบนี้ยังมีธนาคารไหนกล้าปล่อยกู้ให้อีก? อนาคตของบริษัทกลับมีค่าแค่10ล้านเท่านั้นเองเหรอครับ?”

สิ่งที่หวังจิ้งหลินกลัวที่สุดคือ จ้าวเฉียนจะนำเรื่องราคาบ้านของเขาไปปล่อยให้คนนอกทราบ ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริง ราคากลางของบ้านจะต้องถูกลดทอนจนต่ำกว่าความเป็นจริง และคงไม่มีคนโง่คนไหนมาซื้อบ้านที่เหลือกับเขาในราคาเต็มอีกต่อไป

ปัญหาใหญ่หลวงที่จะตามมาต่อไปคือ บริษัทอสังหาของเขาจะต้องมีปัญหากับธนาคาร ถ้าไม่มีเงินจ่ายธนาคาร ไม่เพียงแค่เสียเครดิตเท่านั้น แต่ดอกเบี้ยที่เข้ามาทบจะมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นตัวเลขมหาศาลเกินจินตนาการ

หวังจิ้งหลินผู้เจนจัดมากประสบการณ์ในวงการธุรกิจตระหนักถึงปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี และเขายินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามไปตามตรงว่า

“ต้องการเท่าไหร่?”

จ้าวเฉียนหลี่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขพร้อมกล่าวว่า

“จะทำธุรกิจต้องหวังผล30%เป็นอย่างน้อย ถ้าน้อยกว่านี้เท่ากับว่าขาดทุนเสียเวลาฟรี ประธานหวังก็คร่ำวอดในวงการนี้มานาน ควรทราบนะครับว่าต้องจ่ายเท่าไหร่?”

หวังจิ้งหลินหน้าถอดสีในทันใด นี่มันจิ้งจอกเฒ่าในคราบเด็กหนุ่มชัดๆ ดวงตาคู่นั้นเย็นยะเยือกลงฉับพลัน เอ่ยถามน้ำเสียงขรึมว่า

“พ่อหนุ่ม ไม่โลภมากไปหน่อยเหรอ? ฉันให้100ล้านพอไหม?”

“ทำไมประธานหวังผู้ยิ่งใหญ่ใจแคบแบบนี้ครับ? ทีแรกผมคิดว่าระดับคุณแล้ว ขั้นต่ำต้องพันล้านหรือหมื่นล้านขึ้นไปนะครับเนี่ย!”

จ้าวเฉียนกล่าวเชิงติดตลก

หวังจิ้งหลินรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ชักจะไม่สู้ดีแล้ว ถ้าไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาจำเป็นต้องใช้ไม้แข็งแล้ว “รปภ! จับตัวเจ้าหนุ่มนี้เข้าไป!”

หวังจิ้งหลินตะโกนเรียกพวกรปภ.ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังทันที ไม่นานพวกเขาก็ตรงเข้ามาจับตัวจ้าวเฉียนโดยตรง

Related

ตอนที่181 ครึ่งราคา

จ้าวเฉียนขอกว้านซื้อบ้านรวดเดียวเยอะขนาดนี้โดยตรง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนหวาดกลัวอย่างยิ่ง

เดิมทีจ้าวเฉียนจะหยิบแบล็คการ์ดออกมา แต่พอคำนึงถึงผู้คนจำนวนมากมายที่อยู่ตรงนี้ คงจะไม่สะดวกเท่าไหร่นัก แถมยังเกินความจำเป็นอีกด้วย

โลกนี้มีคนกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินอยู่จริงๆ และเขาเองก็ไม่อยากตกเป็นเป้าหมายเรียกค่าไถ่

หวังซินซินปาดเหงื่อเล็กน้อยบนหน้าผากของเธอ ทันใดนั้นเธอก็แสยะยิ้มกล่าวว่า

“ทำไมนายถึงทำตัวไร้สาระแบบนี้! มันมีเงินไม่พอในบัตรอยู่แล้ว นายไม่มีปัญญาจ่ายแน่นอน ไม่กลัวว่าฉันจะกล้าขายจริงๆเหรอ? เลิกแสร้งทำเป็นอวดรวยได้แล้ว!”

“กรุณาหุบปากแล้วไปดำเนินการให้ผมได้แล้ว ถ้าเงินในบัตรไม่พอจริงเดี๋ยวก็รู้เอง”

หวังซินซินโดนด่าไปอีกชุดหนึ่ง เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกผู้จัดการหมู่บ้านมาและเอ่ยถามขึ้นว่า

“บ้านห้าหลังราคาทั้งหมดเท่าไหร่ ไปรวดยอดมา! อ่อ…ถ้าไอ้หมอนี่มีปัญญาซื้อจริงๆนะ คิดราคาแค่ครึ่งเดียวพอ!”

“ได้ค่ะ ดิฉันจะรีบดำเนินการทันที!”

ผู้จัดการคนนั้นรีบวิ่งไปที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อคำนวณยอดรวมทั้งหมด โดยมีผู้ช่วยอีกสองสามคนคอยช่วย

ประมาณ20นาทีต่อมา พวกเธอรีบวิ่งออกมาท่าทีตื่นตระหนกและรายงานให้ทราบว่า

“คุณหนูหวัง บ้านทั้งห้าหลังที่ชายคนนี้ต้องการ มีหลังหนึ่งเป็นอาคารคอนโด เป็นห้องสวีททั้งหมด40ห้อง รวมกับราคาบ้านเดี่ยวอีกสี่หลัง ราคารวมโดยมีส่วนลด50%อยู่ที่318ล้าน”

หวังซินซินแสยะขึ้นบนมุมปากทันที ราคามากกว่า300ล้าน เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จ้าวเฉียนจะมีเงินขนาดนั้น

“จ้าวเฉียน นายได้ยินไหม? ส่วนที่นายอยากได้ทั้งหมดห้าหลัง หนึ่งในนั้นเป็นคอนโดห้องชุดอีด40ห้อง และอีกสี่หลังเป็นบ้านเดี่ยว ฉันลดให้เหลือแค่318ล้าน ทีนี้ยังกล้าเอาบัตรให้ฉันรูดอยู่ไหม? ฉันแนะนำให้นายหยุดเล่นละครดีกว่า ถ้ามากกว่านี้ฉันว่ามันขายหน้าเปล่าๆ”

หวังซินซินกล่าวขึ้นด้วยท่าทีเย้ยหยัน

จ้าวเฉียนโยนบัตรใบนั้นให้กับหวังซินซินโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า

“รูดเลย ผมซื้อ”

ทันทีที่คำพูดนี้เปล่งออกมา ฝูงชนโดยรอบถึงกับระเบิดความโกลาหลในทันใด

“พระเจ้า! นี่จริงเหรอเนี่ย! ราคาตั้ง300กว่าล้าน เขาตัดสินใจซื้อแทบไม่คิดเลยด้วยซ้ำ!”

“เจ้าหนุ่มคนนี้ดูไม่น่ารวยเลยนะ ทำยังกับ300ล้านเป็นแค่เศษเงิน?”

“อืม…ผมคิดว่าเขาจงใจมาป่วนที่นี่จริงๆแหละ ไม่มีใครจะบ้าซื้อขนาดนั้นหรอก”

“มีความเป็นไปได้…”

หวังซินซินมั่นใจอย่างมากว่า จ้าวเฉียนไม่มีปัญญาซื้อบ้านได้แน่นอน นี่ก็แค่การเสแสร้งเท่านั้น

“นี่ฉันต้องตามน้ำด้วยจริงๆเหรอ?”

หวังซินซินหัวเราะเยาะใส่

จ้าวเฉียนเองก็หัวเราะเยาะตอบสวนกลับไป ทั้งยังกล่าวเสริมด้วยว่า

“ทำไม? กลัวเหรอ? บัตรก็ให้ไปแล้ว หรือไม่กล้ารูด?”

หวังซินซินคลี่ยิ้มกว้างตอบไปว่า

“ทำไมฉันจะไม่กล้า? นายซื้อบ้านของฉัน ฉันก็ได้เงิน เอาบัตรไปรูดให้คุณจ้าวเลย พร้อมสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ให้เซ็นทันที!”

ผู้จัดการนำบัตรใบนั้นไปทันทีและสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมสัญญามา

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกล่าว และหันมากล่าวกับทุกคนว่า

“ทุกท่านอย่าเพิ่งกลับไปไหนนะครับ อีกไม่นานผมจะมีข่าวดีมาแจ้งให้ทราบแน่นอน”

“ข่าวอะไรกัน?”

“หรือเขาจะแจกบ้านให้เราไปอยู่ฟรีๆ ฮ่าฮ่า…”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง! เขาไม่ใช่พ่อพระสักหน่อย!”

“ตลกดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมขออยู่ดูต่ออีกหน่อยเถอะ ข่าวดีที่วึคืออะไรกันแน่?”

“อย่างน้อยก็ไม่เสียเวลาโดยเปล่า ได้มาดูละครฉากใหญ่ในวันนี้ คุ้มแล้ว!”

ทุกคนเห็นด้วยกับจ้าวเฉียนกันหมด ส่วนหวังซินซินก็เดินไปที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อรอสัญญา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผู้จัดการก็ตรงมามอบสัญญาให้จ้าวเฉียนเซ็น

ผู้จัดการลงนามพร้อมตราประทับพร้อม หลังจากที่จ้าวเฉียนเซ็นเรียบร้อย สัญญาฉบับนี้จึงมีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์

ตอนนี้ถึงช่วงเวลาไฉไลท์แล้ว ได้เวลาชำระเงินด้วยบัตรใบนี้

“คุณคิดว่าบัตรใบนั้นจะจ่าย300ล้านได้ไหม?”

“ผมว่าน่าจะได้นะ มีคนเฝ้าดูเยอะขนาดนี้ ถ้าภายในบัตรไม่มีเงินขึ้นมา เป็นคุณคุณจะไม่อายเหรอ?”

“อืม มีเหตุผลครับ! แต่ภูมิหลังของชายคนนี้มันยังไงกันแน่? ถ้าเป็นพวกลูกทายาทเศรษฐีของเมืองตงไห่ ผมมั่นใจว่ารู้จัดเกือบหมด แต่ผมกลับไม่เคยเห็นเขาคนนี้เลย!”

“คนรวยจริงๆมักทำตัวติดดินครับ ไม่แปลกเลยที่จะไม่รู้จักเขา”

…….

ทุกคนเริ่มจับกลุ่มสนทนากันอีกครั้ง ไม่เพียงว่าพวกเขาโดยส่วนใหญ่ล้วนเชื่อว่าจ้าวเฉียนจ่ายเงินจำนวน300ล้านได้เท่านั้น แต่ยิ่งดูพวกเขาก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่า แท้จริงแล้วจ้าวเฉียนเป็นใครกันแน่?

“รบกวนคุณจ้าวช่วยป้อนรหัสผ่านบัตรด้วยค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตรงเข้าไปป้อนรหัสผ่านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นบนจอเครื่องรูดก็ขึ้นว่า ‘สำเร็จ’ ในพริบตา

ผู้จัดการหันควับจับจ้องจ้าวเฉียนด้วยความเหลื่อเชื่อ เธอหันไปพยักหน้าให้หวังซินซินทันทีพร้อมกล่าวว่า

“รูดบัตรสำเร็จแล้วค่ะ เงินเข้าบัญชีหมู่บ้านมาแล้ว318ล้าน!”

หวังซินซินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง และรีบวิ่งไปดูจำนวนเงินในบัญชีหลังเคาน์เตอร์ในทันใด ปรากฏว่าเงินเข้าแล้ว318ล้ายจริงๆ!

“สุดยอด! รูดผ่านด้วย! เขาต้องเป็นมหาเศรษฐีจากที่ไหนสักแห่งแน่ๆ!”

“โอ้พระเจ้า! ต้องรวยขนาดไหนถึงจ่ายเงิน300ล้านเล่นได้ชิวขนาดนี้!”

“เขานี่แหละลูกทายาทเศรษฐีตัวจริงเสียงจริง! อย่างที่คนเขากล่าวว่า ย่อมมีคนรวยซ่อนในหมู่ฝูงชน! ผมต้องหาโอกาสทำความรู้จักกับเขาบ้างแล้ว”

พวกเขาที่มาดูบ้านหรูที่นี่ล้วนมีเงินมีทองทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจน้อยใหญ่ เป็นธรรมดาที่พวกเขาอยากทำความรู้จักกับจ้าวเฉียน หากมีสายสัมพันธ์กับคนระดับนี้ มันเท่ากับเปิดโอกาสให้ธุรกิจตัวเองทะยานไปสู่มั่งคั่งได้ไม่ยาก

ซึ่งแน่นอนว่ามีนักธุรกิจชายก็ย่อมมีนักธุรกิจสาว ความคิดของพวกเธอเรียบง่ายและตรงกว่ามาก จะดีแค่ไหนหากพวกเธอแต่งงานมีครอบครัวกับจ้าวเฉียน?

ซูลี่ที่เห็นภาพฉากดังกล่าวถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้นและไม่คาดหวังแม้สักนิดว่า ตัวเองจะบังเอิญชนเข้ากับทายาทมหาเศรษฐีระดับนี้จริงๆ มีเส้นสายในแวดวงบังเทิงงั้นเหรอ? ไม่สิ…เขาอาจเป็นถึงลูกเจ้าของบริษัทภาพยนตร์ค่ายยักษ์ใหญ่เลยด้วยซ้ำ!

ถึงเธอจะไม่สามารถเป็นดาราได้ แต่ถ้ารู้จักกับคนระดับนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องกังวลกับการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าแล้ว

คนที่ไม่สามารถยอมรับความจริงตรงหน้าได้เลยก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หวังซินซิน ใครจะไปคิดว่าคนว่างงานจะสามารถหาเงินได้มากมายขนาดนี้ เขาต้องขโมยบัตรใครมารูดแน่นอน! ใช่! มันต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน!!

“รีบโทรแจ้งตำรวจเร็ว! โทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลย! ไอ้หมอนี่ต้องขโมยบัตรคนอื่นมาแน่นอน ชายคนนี้อยู่ในช่วงว่างงาน จะมีเงินเยอะขนาดนี้ได้ยังไง!”

หวังซินซินแหกปากตะโกนลั่น

แต่ผู้จัดการรีบเข้ามาเตือนทันทีว่า

“คุณหนูหวัง บัตรใบนี้น่าจะเป็นของเขาจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะสามารถกดรหัสบัตรผ่านได้ยังไง?”

บรรดาฝูงชนแทบจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ทุกคนต่างยืนนิ่งรอจ้าวเฉียนประกาศข่าวดี แน่นอนคนน่าเชื่อถือขนาดนี้ออกมาพูดอะไรสักอย่าง จะต้องเป็นเรื่องดีมากๆแน่นอน

“ผู้หญิงคนนี้นี่มันอะไรกัน? ทั้งๆที่ขายคนนี้จ่ายเงินไปแล้วแท้ๆ ยังจะกล่าวหาดูถูกกันแบบนี้อีกเหรอ? ทั้งๆที่ขายบ้านออกแท้ๆ เธอควรมีความสุขไม่ใช่เหรอไง?”

“ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่า ผู้หญิงอะไรมีทัศนคติแย่ขนาดนี้? หรือเธอเป็นพวกชอบดูถูกคนอื่น? น่ารังเกียจจริงๆ”

“รู้สึกว่าจะเป็นลูกสาวของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังใช่ไหม? ถ้าเธอนิสัยแบบนี้ ก็คงเป็นเหมือนกันทั้งครอบครัว ผมคงต้องกลับไปคิดอีกรอบแล้วแหละว่า สมควรซื้อบ้านที่นี่ดีไหม? เอาเข้าจริงนะ ถึงจะต้องจ่ายแพงกว่าหน่อย แต่หมู่บ้านของจิ้งไห่ก็ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ไม่โดนคนอื่นดูถูกเป็นขี้ปากเล่น”

“ผู้หญิงคนนี้ความคิดทุเรสเกินไป ผมคงไม่ซื้อบ้านของเธอหรอก”

หวังซินซินตกใจอย่างยิ่งกับความคิดเห็นของทุกคนจนต้องปิดปากเงียบไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ แม้จะสงสัยแต่ก็จำต้องเก็บไว้ภายในใจ ซึ่งสิ่งที่เธอกำลังสงสัยอยู่ในขณะนี้คือ จ้าวเฉียนจะซื้อบ้านมากมายขนาดนั้นไปทำไม?

“เอ่อ…จ้าวเฉียน แล้วนายจะซื้อเยอะขนาดนี้ไปทำไม เก็บไว้เล่นเหรอ?”

หวังซินซินเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

แต่จู่ๆจ้าวเฉียนก็ป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดขึ้นทันทีว่า

“เอาล่ะทุกท่าน ถึงเวลาที่ผมต้องบอกกล่าวสิ่งดีๆให้ทุกคนทราบ! ใครต้องการซื้อบ้านบ้างนะครับ? กรุณายกมือขึ้นหน่อย! ตอนนี้ผมมีบ้านเดี่ยวสี่หลัง กับคอนโดอีก40ห้อง! ผมขายในราคาครึ่งหนึ่งจากราคาเต็มหมู่บ้าน อย่างเธอคนนี้ไม่มีทางใจปล้ำขนาดนี้แน่นอน! แต่นั่นไม่ใช่สำหรับผม โอกาสทองแบบนี้ คิดช้าอดนะครับ!”

ทันทีที่จ้าวเฉียนประกาศแบบนี้ออกมา ทั่วทั้งโถงกว้างพลันระเบิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ดั่งคลืนลูกยักษ์ซัดเข้าใส่ หั่นครึ่งหนึ่งจากราคาเต็ม เท่ากับว่าจ้าวเฉียนคืนทุนในพริบตาเดียว แถมพวกเขายังได้ผลประโยชน์อีกด้วย!

จะมีก็แต่หวังซินซินอยู่ฝ่ายเดียวที่มีแต่เสียกับเสีย เพราะเธอพลาดขายบ้านให้จ้าวเฉียนในราคาเพียงครึ่งเดียว พอจ้าวเฉียนมาขายต่อแบบนี้ ก็เท่ากับว่าบังคับเธอต้องขายราคาครึ่งเดียวให้กับทุกคนที่สนใจ ขนาดส่วนลด5%เธอยังคิดแล้วคิดอีกกว่าจะป่าวประกาศออกมา แต่นี่ต้องมาขายแบบลด50%ให้กับทุกคน?

“ผมต้องการครับ! ผมต้องการ…”

บรรดาลูกค้าทั้งหมดแหไปรุมล้อมจ้าวเฉียนทันที โอกาสดีๆแบบนี้ใครจะโง่พลาดไป?

“ทุกคนอย่าเบียดครับ อย่าเบียด! คอนโด40ห้อง บวกกับบ้านเดี่ยวสี่หลัง เท่ากับมีทั้งหมด45สิทธิ์ มีเพียง45คนเท่านั้นที่โชคดี! กรุณาเข้าแถวและเขียนชื่อลงในมือถือผมนะครับ เดี๋ยวผมจะทำการสุ่มด้วยโปรแกรมจากในนี้เพื่อหาผู้โชคดี!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ยื่นมือถือให้ทุกคนพิมพ์ชื่อลงไป

หวังซินซินโมโหอย่างมากจนเครื่องสำอางชั้นหนาบนหน้าเกิดรอยปริแตก จากนั้นเธอก็รับสั่งให้พวกรปภ.เข้ามาแยกทุกคนออกจากจ้าวเฉียน เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนได้ลงทะเบียน

หวังซินซินรู้ดีว่า เมื่อคนเหล่านี้ซื้อขายกับจ้าวเฉียนได้สำเร็จ ไม่เพียงเธอจะเสียเปรียบในเรื่องฟันกำไร แต่ยังกระทบไปถึงราคากลางของหมู่บ้านที่จะเพี้ยนแน่นอนในอนาคต และจะกลายเป็นเรื่องยากทันทีที่จะขายบ้านในราคาเดิมได้

Related

ตอนที่180 บังเอิญเหลือเกิน

จ้าวเฉียนเองก็แปลกใจเช่นกันที่ซูลี่กลับสีหน้าเร็วขนาดนี้

เหล่าเพื่อนร่วมงานของซูลี่ก็โมโหกับการกระทำของเธอเช่นกัน

“งั้นจะทำอะไรก็ทำ พวกเราอย่าไปสนใจเธอ!”

“ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอก็แค่ผู้หญิงปัญญาอ่อน! อยากเป็นดารา? ฝันไปเถอะ! มันไม่เหมาะกับคนโง่ๆอย่างเธอหรอก! รีบๆลาออกไปเลยนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอแล้ว!”

“กลับกันเถอะ ข้างนอกร้อนมาก อย่าไปเสียเวลากับเธออีกเลย”

ขณะที่ทุกคนกำลังหันหลังกลับไป ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงหนึ่งเอ่ยดังเข้ามา

“มาทำอะไรตรงนี้กัน? งานการไม่มีจะทำกันเหรอไง?”

สุ้มเสียงนี้เปี่ยมล้นไปด้วยบารมี ทุกคนหวาดกลัวจัดจนก้มศีรษะให้แทบไม่ทัน

จ้าวเฉียนที่เห็นใบหน้าเจ้าของสุ้มเสียงนี้ถึงกับหลุดขำ ที่แท้ก็เป็นหวังซินซิน เขาเคยพบกับเธอครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงรุ่นของเหลียวเซียวหยุน

หลังจากรับฟังคำรายงานของบรรดาพนักงานแล้ว หวังซินซินก็รีบตรงไปหาอย่างรวดเร็ว พอเห็นจ้าวเฉียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยืนรอเธออยู่แล้ว หวังซินซินก็ตวาดทันทีอย่างโกรธเกรี้ยวว่า

“นายกล้ามากนะที่สร้างปัญหาให้ฉัน! บริษัทอสังหารายไหนจ้างนายมา? ฉันเพิ่มให้นายสองเท่า แล้วกลับไปปั่นหัวพวกมันซะ!”

หวังซินซินกล่าวพร้อมสีหน้าดูถูกหยามเหยียดอย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะคำหนึ่งและกล่าวว่า

“ผมมาที่นี่เพื่อซื้อบ้าน หรือคุณไม่อยากขายบ้านให้ผมงั้นเหรอ?”

หวังซินซินกล่าวเย้ยกลับไปว่า

“พวกเรายินดีต้อนรับลูกค้าทุกคนอยู่แล้ว คุณจ้าวมีเงินพอที่จะซื้อบ้านของทางเราใช่ไหม?”

“แต่ตอนนี้ผมไม่อยากซื้อแล้ว พนักงานสันดานเสียพวกนั้นทำให้ผมอารมร์เสียอย่างมาก ผมคิดว่าหมู่บ้านจัดสรรจิ้งไห่คงบริการดีกว่านี้เยอะ แล้วหัดสั่งสอนอบรบพนักงานของคุณด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้มาไล่กัดลูกค้าเหมือนหมาแบบนี้”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนกันหันหลังเตรียมเดินกลับไปที่รถ แต่หวังซินซินรับไล่ตามเข้าไป เธอพุ่งขวางทางโดยไว

“ไหนๆก็มาที่นี่แล้ว เดี๋ยวฉันพานายไปเล่นชมตัวบ้านเองว่าไง? ฉัน…ฉันลดให้ครึ่งหนึ่งเลยจากราคาเต็ม!”

นี่เป็นหมู่บ้านอสังหาโครงการแรกของหวังซินซิน โดยธรรมชาติเธอก็อยากให้บ้านโครงการตัวเองขายออก ไม่อย่างนั้นเธอในฐานะคุณหนูแห่งตระกูลหวังจะเชิดฉายได้ยังไง?

แต่จ้าวเฉียนยังคงกล่าวปฏิเสธอยู่ดี

“ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดไปรึไง? มันไม่เกี่ยวกับราคา ฉันจะไปซื้อบ้านที่จิ้งไห่ในราคาเต็ม และผมไม่ต้องการอยู่ในโครงการบ้านคุณ”

พอได้ยินแบบนั้นหวังซินซินกลับรู้สึกว่านี่เป็นข้ออ้าง เพื่อให้ตัวเองหนีไปจากสถานการณ์นี้ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่เกรงใจเขาอีกต่อไป เอ่ยปากดูถูกทันทีว่า

“เหอะ เหอะ คิดหนีงั้นเหรอเลยหาข้ออ้างแบบนี้มา? งั้นก็เชิญไสหัวไปเถอะ บ้านโครงการจิ้งไห่ราคาเกือบร้อยล้าน น้ำหน้าอย่างนายมีเงินมากขนาดนั้นเลยรึไง? เป็นแค่ไอ้พวกว่างงานแท้ๆ ยังแสร้งทำเป็นรู้จักคนในวงการ ฮ่าฮ่า…สงสัยผู้หญิงในรถนายคงเป็นดาราดังมั้ง? ใครเหรอ? ฉันขอลายเซ็นได้ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ….”

พอพวกพนักงานของหวังซินซินได้ยินดังนั้น ต่างก็พากันหัวเราะเยาะไม่หยุด จ้าวเฉียนเชี่ยวชาญนักกับเรื่องรับมือกับคนที่ชอบดูถูกเยาะเย้น เขาหยิบนามบัตรของหยวนมี่ออกมาจากกระเป๋าเงิน และมอบให้แก่ซูลี่พร้อมกล่าวว่า

“ถ้าสนใจจะเป็นดาราจริงๆ ให้โทรหาเธอได้เลย แล้วบอกไปว่าจ้าวเฉียนแนะนำมา หลังจากนี้เธอจะพาไปสัมภาษณ์ ถึงตอนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเธอแล้ว”

ซูลี่มองดูนามบัตรในมือ เธอรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากจนร่างการสั่นสะท้าน

“ขอบ…ขอบคุณมากค่ะ…ขอบคุณมากจริงๆ! ฉัน…ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี เรื่องก่อนหน้านี้ดิฉันฝากขอโทษคุณผู้หญิงในรถด้วยนะคะ ดิฉันผิดไปแล้วจริงๆ ดิฉันขอโทษ…”

พวกเพื่อนร่วมงานต่างมองว่าซูลี่ปัญญาอ่อนไปแล้วจริงๆ พวกเขารู้สึกสมเพชจนไม่แม้แต่มีอามรณ์ตำหนิเธอด้วยซ้ำ

หวังซินซินโกรธจัด เธอตะโกนด่าซูลี่โดยไม่มีปราณีใดๆว่า

“แกมันสมองเสื่อมไปแล้วรึไง! เขาเพิ่งพบแกเป็นครั้งแรกก็หลงเชื่อไปแล้ว? ต่อให้อีกฝ่ายจะมีเส้นสายอย่างว่าจริงๆ แต่น้ำหน้าอย่างเธอคิดเหรอจะเป็นได้น่ะ? ดารงดารา…เพ้อเจ้อ!”

ซูลี่ทราบดีว่า การที่เธอตัดสินใจแบบนี้ก็เท่ากับเลือกข้างไปแล้ว และไม่มีที่ให้ถอยกลับอีกต่อไป ดังนั้นเธอเองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องเกรงใจหวังซินซินอีกแล้ว

“ฉันแค่เชื่อมั่นในตัวเขาเท่านั้น! แล้วนี่มันก็เรื่องของฉัน คุณเกี่ยวอะไรด้วย? งั้นฉันขอแจ้งคุณเลยก็แล้วกัน ฉันลาออก!”

หวังซินซินยิ่งโกรธจัดเข้าไปใหญ่พอเห็นภาพฉากดังนั้น เธอคำรามลั่นทันทีว่า

“ฉันไม่ปล่อยแกไปไหนทั้งนั้น! ฉันยังมีสัญญาว่าจ้างแกอยู่ ถ้ากล้าออกตอนนี้ก็จ่ายค่าเสียหายมาเลย!”

ซูลี่เป็นสาวที่มีไหวพริบดีมาก เธอรีบไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังจ้าวเฉียนพร้อมเอ่ยขอร้องว่า

“คุณผู้ชาย ช่วยจ่ายค่าเสียหายให้ดิฉันก่อนได้ไหม หลังจากนี้ดิฉันจะพาคุณไปเลี้ยงข้าวในร้านอาหารที่แพงที่สุดของเมืองตงไห่!”

จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะเล็กน้อย หนึ่งย่ำเท้าก้าวออกไปข้างหน้า ตรงไปกล่าวกับหวังซินซินว่า

“คุณก็เห็นแล้วนะ เธอกำลังขอความช่วยเหลือจากผมอยู่ ในนามของความยุติธรรมอย่างผมคงไม่สามารถปฏิเสธได้ จะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”

หวังซินซินกรนตอบเสียงเย็นไปว่า

“ฉันเกรงว่านายจะไม่สามารถจ่ายได้!”

จ้าวเฉียนยกยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจและตอบกลับไปว่า

“ถ้าเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถจ่าวได้ แสดงว่าคุณเองก็ไม่มีปัญญจ่ายไหวเช่นกัน จะเท่าไหร่ก็รีบๆบอกมาเถอะ เสียเวลาจริงๆ ผมยังต้องไปซื้อบ้านที่จิ้งไห่อีกนะ”

“หุหุ….บ้านของจิ้งไห่ก็ไม่ต่างจากเราเท่าไหร่นัก แถมพวกเรายังเป็นคู่แข่งกันอีกด้วย นั้นหมายความว่า ถ้านายไม่มีปัญญาซื้อบ้านฉันได้ แสดงว่านายก็ไม่มีปัญญาซื้อบ้านที่นั้นเช่นกัน เลิกแสร้งทำว่าตัวเองรวยนักรวยหนาได้แล้ว น่ารำคาญ!”

พอหวังซินซินพูดจบ เธอก็หัวเราะเยาะใส่ทันที

จ้าวเฉียนยอมรับว่า บนโลกใบนี้ย่อมมีคนที่ฉลาดกว่าเขา หล่อกว่าเขา และอาจจะมีวาทศิลป์ดีกว่าเขา

แต่สำหรับเรื่องเงินแล้ว เขาไม่น้อยหน้าใครบนโลก และชายผู้นามว่าจ้าวเฉียนคนนี้ก็ไม่ยอมให้ใครมาดูหมื่นเรื่องเงินทองเป็นอันขาด!

จ้าวเฉียนตรงกลับไปที่รถโดยตรง หวังซินซินที่เห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายคิดหนีหน้าด้านๆจึงถ่มถุยซ้ำเติมไปว่า

“ถ้าจนนัก ฉันแนะนำว่าเลิกแสร้งทำตัวอวดรวยได้แล้ว! ไสหัวไปซะ! อย่าเอาเท้าสกปรกจนๆของแกมาเยียบย่ำที่นี่อีก!”

จ้าวเฉียนเดินไปเปิดประตูรถและมอบกุญแจตัวเองให้แก่อู่ซิน เขากล่าวว่า

“เธอขับรถกลับบ้านไปก่อน อยู่ที่นี่ต่อไปก็เสี่ยงเป็นข่าว หลังจากนี้ฉันจะไปที่หมู่บ้านจิ้งไห่ต่อ แล้วจะดูแบบบ้านส่งไปให้เธออีกที แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่เด็ดขาดโดยไม่จำเป็น”

อู่ซินที่เห็นสีหน้าจริงจังของจ้าวเฉียน เธอก็รับพยักหน้าและกล่าวว่า

“แล้วนายจะจัดการตรงนี้คนเดียวไหวเหรอ?”

“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีแน่นอน หลังจากฉันส่งแบบบ้านที่จิ้งไห่ไปให้ดู ก็ลองพิจารณาเอาเองเลยนะว่าชอบไหม”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

อู่ซินพยักหน้าและย้ายไปฝั่งคนขับทันที จ้าวเฉียนยืนมืองรถจากัวร์ของเขาแล่นออกไปลับสายตา ก่อนจะเดินกลับมาเผชิญหน้ากับหวังซินซินต่อ

“เกิดอะไรขึ้น? สาวถึงกับทิ้งนายไปเลยเหรอ? ก็สมน้ำหน้า อยากแสร้งทำเป็นอวดรวยนัก! ถ้าแน่จริงก็โชว์บัญชีเงินออกมาให้ฉันดูหน่อยสิ? มีหนึ่งหมื่นหยวนรึเปล่าก็ยังไม่รู้! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

หมู่บ้านจัดสรรของตระกูลฃหวัง มีที่ดินเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่70,000หยวน และที่ดินของบ้านจัดสรรจิ้งไห่อยู่ที่ราคา90,000หยวน ดังนั้นเมื่อพิจารณาในจุดนี้ บ้านจัดสรรของจิ้งไห่ค่อนข้างเสียเปรียบ

หมู่บ้านจัดสรรของจิ้งไห่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทหยางไห่ เป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลจ้าว ดังนั้นจ้าวเฉียนเองก็อยากช่วยเหลือกิจการครอบครัวทางอ้อม และสิ่งแรกที่ต้องทำคือ การทำให้หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้เต็มไปด้วยข่าวเสียหายสักก่อน

จู่ๆจ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปในแผนกต้อนรับหมู่บ้าน และป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“ไม่ทราบว่าลูกค้าคนใดสนใจซื้อบ้านที่นี่อย่างจริงๆจังๆบ้างครับ? รบกวนยกมือขึ้นหน่อย”

มีลูกค้าอยู่กลุ่มหนึ่งที่ต้องการซื้อบ้านที่นี่จริงๆ พวกเขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว และเท่าที่จ้าวเฉียนนับได้มีจำนวนกว่าสามสิบคน

หวังซินซินแสยะยิ้มอย่างดูถูกและเอ่ยขึ้นว่า

“อะไรน่ะ? คิดจะกระตุ้นให้พวกเขาเปลี่ยนไปซื้อบ้านที่จิ้งไห่แทนรึไง?”

จ้าวเฉียนจงใจตอบกลับไปว่า

“ไม่มีทาง! แล้วไม่มีจัดโปรโมชั่นลดราคาสำหรับพวกเขาเลยงั้นเหรอ?”

หวังซินซินระเบิดหัวเราะทันทีและป่าวประกาศเสียงดังว่า

“ทุกท่านโปรดวางใจนะคะ ใครก็ตามที่จองบ้านจัดสรรของทางเราในวันนี้ จะมีโปรพิเศษลดทันที5%! อย่างไรก็ตาม ถ้าชายคนนี้ยังอยู่ที่นี่ จะไม่มีส่วนลดให้ใดๆทั้งสิ้น! ฮ่าฮ่า…ฉันขอดูหน่อยว่านายจะทำยังไงต่อไป!”

จ้าวเฉียนแสร้งปั้นสีหน้าไร้เสียงสา เอ่ยถามส่วนกลับไปทันทีว่า

“อ้าว? แค่5%เองเหรอ? แต่เมื่อกี้ทำให้คุณถึงบอกว่าจะลดราคาให้ผมตั้งครึ่งหนึ่งล่ะ? อุ๊ป!…นี่ผมเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย?!”

หวังซินซินแทบสะดุ้งโหย่งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เธอตกใจมากจนพูดไม่ออก

ในอีกด้านหนึ่ง บรรดาลูกค้าเหล่านั้นกลับไม่พอใจเธอเป็นอย่างมาก

“ทำไมถึงลำเอียงแบบนี้! คุณให้ส่วนลดเขาตั้งครึ่งหนึ่ง! แล้วกับพวกผมทำไมให้แค่5%?!”

“ใช่แล้ว! ถ้าเขาได้ตั้งครึ่งหนึ่ง พวกเราเองก็ต้องได้ด้วย! ถ้าทำได้อย่างที่ปากว่าจริงๆ ผมพร้อมเซ็นสัญญาทันที!”

“ถ้ากล้าให้พวกผมก็กล้าจ่ายทันที!”

เพียงพริบตาเดียว ภายในแผนกต้อนรับหมู่บ้านก็กลายเป็นความโกลาหลทันที

“ทุกคนอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ! ชายคนนี้มาที่นี่เพื่อก่อปัญหา ดิฉันเลยพูดประชดเขาไปเท่านั้น! ที่จริงแล้วเขาไม่มีปัญญาซื้อบ้านอย่างพวกคุณทุกท่านเลย แถมยังเอะอะโวยวายว่าจะย้ายไปซื้อบ้านของจิ้งไห่ท่าเดียว เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เขาถูกจ้างให้มาก่อกวน!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นออกมาในทันใด และหยิบบัตรเครดิตการ์ดออกมา วางกระแทกหน้าโต๊ะสะเทือนโดยกล่าวแค่ว่า

“เลิกพล่ามได้แล้ว ผมขอซื้อบ้านจำนวนห้าหลังติดกัน! เอาบัตรไปรูดซะ!”

ทันทีที่เขาพูดจบ บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงัดลงทันใด

ทุกคนที่นี่มากันเพื่อซื้อเพียงหลังเดียวเท่านั้น แถมกว่าจะตกลงซื้อก็ใช้เวลาคิดนานมาก แต่ชายคนนี้กลับประกาศขอซื้อบ้านรวดเดียวห้าหลังโดยตรง? นี่มันจะเกินจริงไปหน่อยไหม?

Related

ตอนที่179 ถ้าไม่เรียกว่าโง่แล้วจะให้เรียกว่าอะไร

เท่าที่คุยกันดูสรุปได้ว่า จ้าวเฉียนแนะนำให้ไปซื้อบ้านเลยดีกว่า ทั้งสองจึงเดินทางไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่เพิ่งเปิดใหม่ ชื่อว่า Pearl of the Sea พื้นที่ต่อบ้านหนึ่งหลังอยู่ที่70ตารางเมตร ซึ่งที่ดินในบริเวณนี้ถือเป็นผื่นทองคำก็ว่าได้ ถึงจะไม่ใช่พื้นที่ย่านธุรกิจ แต่ก็ราคาไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน

ทั้งสองตรงมาที่แผนกขายของ Pearl of the Sea มีผู้คนที่เข้ามาดูตัวอย่างบ้านมากมาย แต่กลับไม่มีพนักงานคนไหนเข้ามาทักทายพวกเขาเลย

สิบนาทีต่อมา หลังจากที่พวกเขาทั้งคู่เดินเข้าไปสำรวจบ้านตัวอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็เดินหาพนักงานเพื่อเรียกถาม

เนื่องจากอู่ซินต้องปกปิดตัวตนของเธอ เธอจึงจงใจใส่เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป สวมทั้งหมวกและหน้ากาก ถ้ามองจากภายนอกเธอดูเหมือนคนประหลาดไม่ใช่น้อย

จ้าวเฉียนเริ่มชินกับการต้อนรับของพนักงานเหล่านี้แล้ว เพราะดูแค่แวบแรกจากการแต่งกาย เขาดูไม่เหมือนคนมีเงินที่สามารถซื้อบ้านขนาด70ตารางเมตรได้เลย

และวันนี้มีคนมาดูบ้านเยอะเป็นพิเศษ จึงทำให้พนักงานมีไม่ค่อยจะพออีกต่างหาก

“พวกคุณลองถามเพื่อนร่วมงานของดิฉันที่อยู่ตรงโน้นก่อนนะคะ ตอนนี้ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลามาดูแลพวกคุณ”

พนักงานกล่าวกับทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงหวนๆ และเดินผ่านหน้าทั้งคู่ไปทักทายลูกค้าอีกคนที่เพิ่งมาพร้อมท่าทีสุภาพ

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้มากนัก โดยปกติเขามักจะถูกปฏิบัติแบบนี้เป็นอาจินจนรู้สึกชินไปแล้ว แต่นี่ไม้สำหรับอู่ซิน เธอมาที่นี่เพื่อใช้เงิน แต่ทำไมพนักงานขายกลับไม่แยแสเธอขนาดนี้?

“นี่หัวหน้าคุณสั่งสอนมายังไง เรามาที่นี่เพื่อซื้อบ้าน ไม่ใช่มาขออยู่ฟรีสักหน่อย!”

จ้าวเฉียนรึบดึงอู่ซินเข้ามาทันทีก่อนเรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ และกล่าวเตือนน้ำเสียงต่ำไปว่า

“ใจเย็นก่อน ถ้ามีเรื่องขึ้นที่นี่แล้วดันมีมือดีแอบถ่ายลงอินเตอร์เน็ตขึ้นมา เธอจะทำยังไง?”

“โอเค โอเค…ฉันกำลังใจเย็นอยู่…”

อู่ซินสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันทีและรีบหุบปากโดยไว

ในขณะนั้นเองก็มีพนักงานขายชายคนหนึ่งตรงเข้ามา

“พวกคุณทั้งคู่สนใจบ้านแบบไหนเป็นพิเศษไหมครับ? เนื่องจากวันนี้มีลูกค้าเข้ามาดูมากเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่สามารถบริการได้ทั่วถึง ยังไงต้องขออภัยจริงๆ นะครับ”

จ้าวเฉียนต้องการให้อู่ซินรีบซื้อบ้านจะได้รีบเสร็จเร็วๆ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามกับพนักงานโดยตรงว่า

“สนใจบ้านที่ตึกห้า เลขที่302 ราคาเท่าไหร่ครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

“พวกคุณทั้งคู่สายตาเฉียบคมมากเลยครับ นี่เป็นบ้านในส่วนไฮไลท์ของเราก็ว่าได้ มีแสงตกกระทบทอดลงมาตรงหน้าบ้านในตอนบ่าย วิวสวยอย่าบอกใครเลยครับ…”

จ้าวเฉียนขี้เกียจต้องมายืนฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้ เขาจึงกล่าวขัดจังหวะขึ้นทันทีว่า

“โอเค! โอเค! ผมถามว่าเท่าไหร่?”

“83ล้านเท่านั้นครับ!”

พนักงานกล่าวตอบไปตามตรง

“อืม แล้วมีส่วนลดอะไรบ้าง?”

จ้าวเฉียนกล่าวถาม

“นี่เป็นเรื่องต่ำสุดแล้วครับ ไม่สามารถลดได้มากกว่านี้แล้ว ที่ถามเพราะไม่มีเงินสินะครับ? เสียเวลาจริงๆ!”

พนักงานชายคนนั้นกลอกตาใส่และเดินจากออกไปทันที

จ้าวเฉียนพลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย นี่พวกเขามาซื้อบ้านไม่ใช่เหรอ? แค่ถามเรื่องส่วนลดถึงกับต้องโกรธ?

อู่ซินรู้สึกผิดหวังอย่างมากกับโครงการบ้านแห่งนี้ และไม่อยากซื้อบ้านที่นี่อีกต่อไป เธอจึงกระซิบกับจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“ช่างมันเถอะ เปลี่ยนไปดูที่อื่นดีกว่า คนพวกนี้ทำยังกะเรามาขออยู่ฟรี ฉันไม่อยากอยู่แล้ว!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบทันควัน เขาเองก็ไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับพนักงานที่นี่เช่นกัน จึงพาอู่ซินเดินออกไป

ในเวลานั้นเอง พนักงานขายผู้หญิงคนก่อนหน้าบังเอิญเห็นภาพฉากที่ทั้งคู่กำลังเดินออกไปพอดี เธอจึงหันมานินทากับลูกค้าคนอื่นว่า

“ดิฉันโชคดีจริงๆ นะคะที่ได้ลูกค้าแบบพวกคุณ ถ้าได้ลูกค้าจนๆ แบบสองคนนั้นคงเสียเวลาแย่”

เธอแค่กล่าวหยอกล้อกับลูกค้าเพื่อตีสนิทเฉยๆ เสียงของเธอก็เบามากก็จริง แต่บังเอิญเสียเหลือเกินที่ดันไปเข้าหูของจ้าวเฉีบยกับอู่ซินพอดี

“ทำไมผู้หญิงคนนี้ปากหมาจัง ฉัน…”

“ช่างมันเถอะ! ไปกันได้แล้ว!”

จ้าวเฉียนรับห้ามปรามอู่ซินโดยไว และฉุดเธอออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่พนักงานขายคนนั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง เธอตะโกนไล่หลังขึ้นลั่นว่า

“อย่าเพิ่งไป! ไม่ซื้อบ้านที่นี่ยังจะด่ากันอีกเหรอ! น่าสมเพช!”

พนักงานสาวสติหลุดไปชั่วขณะจึงตะโกนลั่นจนทุกคนทั่วบริเวณได้ยินชัดแจ้ง

จ้าวเฉียนกังวลอย่างยิ่งว่าตัวตนของอู่ซินจะถูกเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงรีบพาเธอเข้าไปในรถทันที

“เธอห้ามออกมาจากในรถเด็ดขาด ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง!”

จ้าวเฉียนกำชับเสียงดุ

อู่ซินพยักหน้าอย่างจำใจและกล่าวว่า

“อืม…เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ไม่ต้องห่วง พนักงานพวกนี้มันทำอะไรฉันไม่ได้อยู่แล้ว พวกมันชั้นต่ำเกินไป”

จ้าวเฉียนปิดประตูรถและหันหลังเดินกลับไปทันที

พนักงานขายคนนั้นไล่ตามเขามาพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดล้อมจ้าวเฉียนไว้ไม่ให้หนีไปไหน

“ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน? ปล่อยเธอออกมา ฉันแค่อยากถามว่าทำไมเธอต้องด่าฉัน!”

พนักงานพวกนี้กำลังถามหา ‘ความยุติธรรม’ อยู่งั้นเหรอ? หน้าด้านเกินไปไหม?

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่นและเอ่ยถามกลับไปแทนว่า

“มีอะไรมาคุยกับผมนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องถึงมือเธอ โง่ถึงขนาดไม่รู้เลยเหรอครับว่าทำไมเธอถึงด่าคุณ?”

“นี่แกรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”

“หรือแกถูกพวกอสังหาริมทรัพย์เจ้าอื่นจ้างมาก่อปัญหาที่นี่?”

“รับขอโทษเธอซะ ไม่อย่างงั้นแกจบไม่สวยแน่!”

พนักงานชายทุกคนต่างยืนกรานขึ้นทันทีเพื่อถามหาความยุติธรรมให้แก่พนักงานสาวคนนี้

พนักงานสาวคนนั้นบี้น้ำตาแสร้งทำเป็นว่า เธอไม่ได้รับความยุติธรรมทันทีเพื่อเรียกความเห็นใจจากพนักงานชายคนอื่นๆ

พนักงานชายคนหนึ่งถึงกับเดินเข้ามาประจันหน้าและกล่าวข่มขู่ว่า

“กูจะเตือนมึงไว้อย่าง รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะโดนกูกระทืบ!”

ยิ่งได้ยินแบบนั้นเข้า จ้าวเฉียนก็อดหัวเราะไม่ได้เข้าไปใหญ่ ไอ้หมอนี่มันเป็นใครถึงกล้าขู่เขา? พนักงานประสาอะไรข่มขู่ลูกค้า? เขากล่าวตอบไปว่า

“สันดานแบบคุณยังมีหน้ามาเป็นพนักงานขายอยู่อีกเหรอ? อ่อ…แล้วเธอคนนั้น ดูท่าจะมีพรสวรรค์ด้านการแสดงนะ สนใจเล่นหนังไหม? ผมพอมีเส้นสายกับบริษัทภาพยนตร์อยู่บ้าง สำออยขนาดนี้ไม่ต้องท่องบทก็เข้าฉากได้เลย!”

พนักงานสาวคนนั้นขมวดคิ้วแน่นเหลือบมองไปที่รถของจ้าวเฉียนราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่

พนักงานชายพวกนั้นกล่าวเย้ยหยันขึ้นทันทีว่า

“ฮ่าฮ่า…พวกเราดูไอ้หมอนี่สิ! มันบอกมีเส้นสายในวงการภาพยนตร์ด้วยเว้ย! ขี้โม้ชิบหาย!”

“แต่งตัวซอมซ่อแบบนี้ สงสัยเหลือเกินว่ารุ้จักไปยันดาราฮอลีวู๊ดเลยรึเปล่า? ถ้างั้นกูก็พูดได้เหมือนกันว่ารู้จักเฉินหลง!”

“พวกแกพอได้แล้ว ฉันว่ามันถูกกลุ่มอสังหารายอื่นจ้างให้มาก่อกวนนั่นแหละ โทรแจ้งตำรวจเลยดีกว่า!”

หลังจากที่พูดจบ พนักงานชายคนหนึ่งก็หยิบมือถือโทรแจ้งตำรวจโดยตรง

ในเวลานี้เอง กลับมีพนักงานสาวอีกคนตรงเข้ามาหยุดบรรดาพนักงานชาย และเอ่ยถามจ้าวเฉียนอย่างไร้เดียงสาไปว่า

“คุณมีเส้นสายในแวดวงจริงๆ เหรอ? พอแนะนำให้ฉันรู้จักได้ไหม?”

การกระทำนี้ของเธอต่างทำเอาเพื่อนร่วมงานทุกคนเผยสีหน้าบูดบึ้งออกมาทันที

“ซูลี่ นี่เธอเชื่อเรื่องไร้สาระของมันด้วยเหรอ? ถึงแม้มันจะรู้จักคนในแวดวงจริงๆ เธอก็เป็นดาราไม่ได้อยู่ดี!”

“ยังไม่เลิกฝันกลางวันอีกเหรอ? เป็นพนักงานขายก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าฝันอะไรเพ้อเจ้อ!”

ซูลี่คนนี้เป็นหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนร่วมงานอย่างยิ่ง จึงเถียงโต้ไปว่า

“ก็พวกนายไม่มีความฝันกันหนิจะไปเข้าใจอะไร! ยังมีดาราอีกหลายคนที่มีจุดเริ่มต้นแย่กว่าฉันเยอะ แล้วทำไมพวกเขายังโด่งดังได้? หลายคนไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ คนเหล่านั้นยังเปล่งประกายได้เลยไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นความฝันของฉัน ผิดเหรอที่ฉันอยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง?”

พวกเพื่อนร่วมงานของซูลี่ถึงกับพูดไม่ออก สาวคนนี้กำลังฝันกลางวันชนิดโงหัวไม่ขึ้น นี่มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

จ้าวเฉียนอดหัวเราะไม่เช่นกันที่ได้ยินแบบนั้น ในเมื่อซูลี่คนนี้ตอบรับคำกล่าวของเขาด้วยความจริงจัง เขาเองก็อยากตอบรับความรู้สึกนั้นด้วยความจริงใจ คนที่ไม่ยอมแพ้ต่อความฝันแม้นจะมีอุปสรรคแค่ไหนก็ตาม ทั้งยังเป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ดีเช่นนี้ ใช่ว่าเธอจะไม่สามารถเชิดฉายได้เลยสักทีเดียว

บางคนเกิดมาเพื่อเป็นนางเอก บ้างเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงสมทบ ทุกละครและซีรย์ล้วนต้องมีตัวละครชายและหญิง รวมไปถึงนักแสดงสมทบที่เป็นดั่งเครื่องเคียงเสริมรสชาติจานอาหารให้กลมกลอม และซูลี่คนนี้เหมาะสมอย่างมากที่จะมารับบทนักแสดงสมทบเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนางเอกก็ดี เพื่อนนางร้ายก็ไม่เลว

จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นว่า

“เธอคงรู้จักซีรีย์เรื่อง ล่ำฟ้าย้ำสวรรค์ใช่ไหม? ผมรู้จักหยวนมี่ ประธานบริษัท เฉียนเก๋อ ผมยังพอจะแนะนำให้เธอรู้จักได้ แต่ตอนนี้ผมอามรณ์ไม่ดี คงทำให้ไม่ได้”

ซูลี่รู้ทันทีว่านี่มันหมายความว่ายังไง เธอรีบโค้งคำนับขอโทษจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็วว่า

“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษที่ฉันกับเพื่อนนินทาพวกคุณไปแบบนั้น แต่พวกเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ด้วยนะคะ”

“ซูลี่ เธอกำลังทำบ้าอะไรของเธอ? ปัญหาอ่อนไปแล้วรึไง?”

“เชื่อเขาจริงๆ! อย่างที่คนอื่นๆ กล่าวกันเลยว่า สวยใสไร้สมอง! หน้าอกใหญ่ซะเปล่าแต่โง่ชิบหาย เชื่อจริงๆ เหรอว่าไอ้หมอนี่จะมีเส้นสายบ้าบอนั่นจริง?”

“มีดีแค่หน้าตากับนมใหญ่จริงๆ นะเธอ!”

ซูลี่สาดสายตาหันกลับมา พร้อมสบถด่าสวนกลับไปทันทีว่า

“ช่วยหุบปากกันไปได้ไหม! ตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่สั่งสอนกันเลยรึไง! นี่มันเรื่องของฉัน เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนาย? มันหนักหัวมากรึไง!”

ท่าทางการแสดงออกของซูลี่ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงโดยสมบูรณ์ ไม่เว้นแม้แต่จ้าวเฉียนและลูกค้าบางส่วนในบริเวณนั้น

เพียงคำกล่าวไร้สาระของจ้าวเฉียน ถึงขั้นทำให้เธอพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือและเชื่ออย่างสนิทใจ ถ้าไม่เรียกว่าโง่แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

Related

ตอนที่178 ทำได้เพียงประนีประนอม

จางหยางกลับเข้ามาที่บริษัทและแจ้งข่าวดีกับฟางนี่ทันที

“จริงเหรอ? ฟู่เทียนยอมกลับมาร่วมมือกับเราแล้ว? คุณทำได้ยังไง?”

ฟางนี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย

จางหยางรีบอธิบายโดยเร็วว่า

“ผมเสนอให้เขาเข้ามาเป็นหนึ่งในส่วนผู้ถือหุ้นกับทางเรา พร้อมอัตรากำไรเพิ่มขึ้น10% โดยเขาจะจ่ายเงินจำนวน10ล้านให้”

“อะไรนะ? นี่มันเรื่องใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณถึงตัดสินใจเองแบบนี้? ไม่คิดจะปรึกษาฉันก่อนเลยเหรอ?”

ฟางนี่ขมวดคิ้วแน่นกล่าวโทษทันที

จางหยางเองก็รีบอธิบายไปว่า

“ถ้าผมปรึกษากับคุณก่อน มีหรือที่จะเห็นด้วย? ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงมือไปก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง แต่คราวนี้พวกเรากำไรแน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างเหล่ยอู่กับฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ค่อยข้างไปได้สวยทีเดียว นี่เป็นโอกาสสำหรับเราแล้ว ผมรู้นะว่าคุณไม่พอใจอย่างมาก แต่ได้โปรดเชื่อใจผมสักครั้งเถอะนะ ที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของเราทั้งนั้น วางใจผมสักครั้ง!”

ฟางนี่รู้สึกได้อย่างชัดเจน สิ่งที่เรียกว่าธุรกิจมันไม่ใช่อะไรแบบนี้ การทำธุรกิจไม่ใช่ว่าต้องทำให้ตัวเองยืนอยู่ในจุดที่ได้เปรียบหรอกเหรอ? ตอนนี้เธอกำลังเสียเปรียบชัดๆ แถมยังต้องพึ่งพาสารเลวอย่างฟู่เทียนอีก เธอกลับไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ถ้าบริษัทฟางนี่จำต้องล้มละลายจริง อย่างน้อยที่สุดเธอกับสามีของเธอก็สามารถใช้ชีวิตอยู่รอดในเมืองตงไห่ได้สบาย

แต่อย่างไรตามหลักปรัชญาการบริหารธุรกิจในแบบของจางหยาง สิ่งนี้อาจทำให้บริษัทของเธอพัฒนาขึ้นสู่ระดับต่อไปก็เป็นได้ ทว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ ถ้าเกิดว่าล้มเหลวขึ้นมา พวกเขาจะไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งนั้นหมายความว่าเธอจะไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ

“ที่รัก…บริษัทของเราจะมีโอกาสกลับมาเหมือนเดิมใช่ไหม?”

ฟางนี่เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

จางหยางพยักหน้าด้วยความมั่นใจยิ่ง น้ำเสียงเด็ดขาดเอ่ยปลอบขึ้นว่า

“ผมกับฟู่เทียนสัญญากันไว้แล้ว ความร่วมมือในครั้งนี้ต้องสำเร็จไปได้ด้วยดี ผมพยายามดิ้นรนในทุกวิถีทางเพื่อให้บริษัทของเราดีขึ้น และทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จได้คือการร่วมมือกับเหล่ยอู่เท่านั้น สถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนมากแล้ว อนาคตที่สดใสรอพวกเราอยู่นะเสี่ยวนี่ เชื่อใจผมอีกสักนิด แล้วพวกเราจะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน!”

ดูเหมือนว่าฟางนี่จะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือการทำตามแผนของจางหยาง

“ได้…ได้สิ แต่วันหลังมีอะไรก็บอกฉันหน่อยนะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ชะตาของบริษัทขึ้นอยู่กับการเดิมพันของคุณในครั้งนี้แล้ว ถ้าเราชนะจะมีสุขสบายไปทั้งชาติ แต่ถ้าพลาดก็กลับมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป”

ฟางนี่เอ่ยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

จางหยางกระชับกอดเธอในอ้อมแขนแน่นอนทันที และสัญญากับเธอว่า

“ไม่ต้องกังวลไปนะ ถ้าผมไม่มั่นใจว่าจะพาบริษัทไปสู่อีกขั้นได้จริงๆ คงไม่ตัดสินใจแบบนี้แน่นอน หลังจากนี้ผมจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณเอง”

หลังจากพูดจบ จางหยางก็กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองเพื่อวางแผนต่อไป

ในอีกด้านหนึ่งจ้าวเฉียนได้รับแจ้งข่าวมาแล้วว่า ฟู่เทียนกลับไปร่วมลงมุนกับบริษัทฟางนี่อีกครั้ง แต่อย่างไร เขายังไม่รีบเข้ามาควบคุมบริหารเหล่ยอู่ในทันที และปล่อยให้คนเหล่านั้นวิ่งเล่นกันไปก่อน

จ้าวเฉียนที่กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ทันใดนั้นอู่เลอก็โทรมาหาเขา

“ฮาโหลบอส พรุ่งนี้ผมมีแข่งที่สนามInternational Racing บอสจ้าวพอมีเวลามาดูไหมครับ?”

อู่เลอเอ่ยถาม

“โอ้? ในที่สุดนายก็ติดอันดับได้แข่งในรายการใหญ่แล้วงั้นสินะ? แน่นอน ฉันจะพลาดได้ยังไง!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

“โอเคครับ ผมฝากตัวไว้กับน้องสาวแล้ว เดี๋ยวเธอเอาไปให้ถึงที่ครับ พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าอย่าสายนะครับบอส!”

“โอเค ถ้าอย่างงั้นฉันจะรับติดต่ออู๋ซินเดี๋ยวนี้แหละ นายก็เตรียมตัวให้ดีล่ะ กะจิตกะใจอย่าฟุ้งซ่าน โฟกัสกับการแข่งเข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ต้องกังวลครับบอส! พรุ่งนี้ผมต้องคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้!”

อู่เลอกล่าวตอบอย่างมั่นใจ

หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนก็โทรหาอู่ซินทันที

“ฮาโหลอู่ซิน เธออยู่ไหน?”

“กำลังซ่อมสคริปต์บทอยู่ที่บ้านน่ะ พี่ชายฝากตั๋วไว้กับฉัน พรุ่งนี้นายจะไปดูไหม?”

“แน่นอน ฉันจะพลาดได้ยังไง”

“โอเค งั้นมาเจอฉันที่บ้านเลย”

จ้าวเฉียนรีบทานอาหารเสร็จสิ้นและเดินทางไปบ้านของอู่ซินโดยไว

เป็นเวลาสักพักใหญ่แล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าอู๋ซิน และคาดไม่ถึงเลยว่า เธอจะสวยขึ้นกว่าเดิมเกินที่เขาจินตนาการไว้มาก

“สวัสดีครับ คุณนักแสดงหญิงดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี ไม่ได้เจอกันตั้งนาน รัศมีนางเอกจับขึ้นเยอะเลย”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากชมทันที

อู่ซินหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข พร้อมกล่าวว่า

“นั่งลงก่อนสิ ดื่มอะไรดีล่ะ?”

“อะไรก็ได้ ขอแบบดับกระหายนะ”

อู่ซินพยักหน้าและเดินไปหยิบขวดโค่กจากตู้เย็นมาให้ จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องอีกครั้ง เพื่อหยิบตั๋วสำหรับงานแข่งในวันพรุ่งนี้มาให้

“ทำไมมีเยอะจัง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

“พี่ชายบอกว่า เผื่อนายอยากพาเพื่อนไปดูการแข่งด้วย เขาก็เลยเตรียมไว้ให้สองสามใบ ฉันเองก็อยากไปด้วยนะ แต่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้คนรอบข้างโดยไม่จำเป็นเข้าน่ะสิ เห้ออ…คงทำได้แค่นั่งดูผ่านเว็บในบ้านี่แหละ”

อันที่จริงแล้ว ความนิยมของอู่ซินตั้งแต่ออกอากาศซีรีย์เรื่อง ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์ไป เธอก็กลายเป็นดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิดในวงการ และตอนนี้เธอกำลังฮอตอย่างมาก มีหลากหลายบริษัทส่งบทละครและภาพยนตร์มากมายให้เธอลองแคส เรียกได้ว่าอนาคตของเธอกำลังสดใสอย่างมาก

“ตอนนี้เธอเป็นดาราดังแล้ว เป็นปกติที่ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนแบบคนทั่วไปได้ อีกอย่างนะ เธอต้องใส่ใจกับคำพูดคำจาและทุกการกระทำให้ดี อย่าเปิดโอกาสให้ใครมาทำลายชื่อเสียงได้เด็ดขาด”

จ้าวเฉียนกล่าวเตือน

อู่ซินยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้องห่วง ช่วงนี้ฉันแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย และไม่เคยเปิดโอกาสให้เป็นข่าวสักครั้ง เรื่องนี้ฉันค่อนข้างเข้มงวดมาก”

“อืมม…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ชุมชนที่เธออยู่ตอนนี้ค่อนข้างเก่ามากแล้วนะ ความเป็นส่วนตัวกับความปลอดภัยดูจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันว่าเธอควรย้ายไปอยู่ที่อื่นนะ”

จ้าวเฉียนกล่าวแนะนำออกไป

สีหน้าการแสดงออกของอู่ซินดูอึดอัดขึ้นเล็กน้อย เธอกล่าวตอบไปว่า

“ฉันเองก็อยากเปลี่ยนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันยังเก็บเงินได้ไม่เท่าไหร่เอง ถือจะมากในระดับนึง แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับซื้อบ้านใหม่ นายก็รู้ว่าบ้านในเมืองตงไห่แพงขนาดไหน นี่ยังไม่รวมดอกเบี้ยอีกนะ”

นี่เป็นเรื่องจริงตามที่เธอว่ามาเลย แม้ว่าอู่ซินจะเริ่มมีเงินในรระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าคุยเรื่องการซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง นี่ถือว่ายังไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมการเป็นอยู่ของอู่ซินในตอนนี้ มันไม่เหมาะกับดาราดาวรุ่งอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่จ้าวเฉียนกลัวที่สุดคือ ความปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงแนะนำไปว่า

“คุณควรปรึกษาเรื่องนี้กับบริษัทต้นสังกัดที่ทำงานอยู่นะ ตอนนี้คุณคือลูกรักดังนั้นการจะขอเบิกเงินออกมาก่อนคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แล้วค่อยหักเป็นเปอร์เซ็นจากเงินค่าตัวในแต่ละเดือนแทนก็ได้ ชุมชนแห่งนี้ดูยังไงก็ไม่ค่อยปลอดภัยเลย จะซื้อบ้านสักหลัง เท่าที่ประเมินไม่ถึง8ล้านก็ซื้อได้แล้ว”

อู่ซินเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่จ้าวเฉียนกล่าวไปมันสมเหตุสมผล แต่ถึงอย่างไรเธอไม่กล้านำเรื่องนี้ไปบอกกับหยวนมี่ เพราะความเกรงใจ

“ช่างมันเถอะ ฉันจะระวังตัวให้มากกว่านี้ก็พอ แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบดี เสียงเคาะประตูก็พลันดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู เหมือนว่ามีใครบางคนเดินทางมาหา

อู่ซินรีบวิ่งออกไปเปิดประตูทันที ทว่าด้านนอกกลับเต็มไปด้วยกลุ่มชายหญิงมากมายที่ยืนกรี๊ดเสียงดังลั่นไม่หยุดหย่อน

“ว้าว! นั่นอู่ซินตัวจริงเสียงจริง!”

“อู่ซินอยู่บ้านหลังนี้จริงๆ ด้วย! เงินที่จ่ายไปไม่เสียเปล่าแล้ว!”

“อู่ซิน พวกเราเป็นแฟนคลับของคุณ ช่วยเซ็นชื่นให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ?”

“พวกเราขับรถสำรวจแถวนี้หลายชั่วโมงแล้ว อย่างน้อยก็ขอถ่ายรูปกับคุณหน่อยได้ไหม?”

…..

อู่ซินตกตะลึงอย่างมากและเอ่ยถามทันทีว่า

“พวกคุณรู้ได้ยังไงค่ะ ว่าดิฉันอาศัยอยุ่ที่นี่?”

“พวกเราเห็นคนขายพิกัดที่อยู่ของคุณในอินเตอร์เน็ตในราคา500หยวน ผมว่าลองดูไม่เสียหายเลยยอมจ่ายเงินไปให้ ปรากฏว่านี่มันข้อมูลของจริง!”

“นี่นายใช้แค่500หยวนเองเหรอ? ทำไมตูเสียค่าโง่ตั้ง1,000หยวนวะ!”

“เอาน่า สุดท้ายก็มาเจออู่ซินตัวจริงเสียงจริงไม่ใช่เหรอไง? ได้ถ่ายรูปทั้งยังได้ลายเซ็น ต่อให้เสียเป็นหมื่นก็ยังคุ้มแล้ว!”

……

เมื่อเห็นบรรดาแฟนคลับมาหามากมายบขนาดนี้ อู่ซินก็อายเกินกว่าจะไล่ออกไปได้ เธอจึงทำได้เพียงทักทายและเซ็นลายเซ็นไปให้

“อิอิ…อู๋ซินใจดีมากเลย!”

“คุณอู๋ซินเป็นดาราที่ติดดินจริงๆ จะไม่ให้หลงรักได้ยังไงจริงไหม?”

“ใช่แล้ว…ใช่แล้ว…”

“นั่นใคร…”

ทันใดนั้นเองก็มีแฟนคลับคนหนึ่ง ดันไปเห็นจ้าวเฉียนที่อยู่ในบ้านเข้า ทุกคนต่างพากันอึ้ง จนอู่ซินต้องพาจ้าวเฉียนออกมาแนะนำให้รู้จัก

จ้าวเฉียนเองก็ไหวพริบดีไม่ใช่น้อย เขาเอ่ยทักทายทุกคนก่อนทันทีว่า

“สวัสดีครับ ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอู่ซินเขา ดีใจนะครับที่เธอมีแฟนคลับที่รักใคร่กันขนาดนี้ ถือซะว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ ยังไงก็ฝากดูแลน้องสาวคนนี้ด้วยนะครับ”

ถ้าปล่อยให้อู๋ซินเอ่ยปากแนะนำตัวเขาก่อน เธอต้องบอกกับทุกคนไปแน่นอนว่า เขาคือเพื่อนหนุ่ม และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนั้นบรรดาแฟนคลับจะพากันหลงเข้าใจผิดว่า แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นแฟนหนุ่มที่แอบคบหากับเธอ ดังนั้นเพื่อกันไม่ให้เข้าใจผิด จ้าวเฉียนจึงรีบอ้างไปทันทีว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง

และสิ่งนี้ก็ได้ผลจริงๆ พอบรรดาแฟนคลับได้ยินแบบนั้น พวกเขาต่างก็ยิ้มแย้มทักทายเขาทันที

อู่ซินทั้งถ่ายรูปทั้งเซ็นลายเซ็นให้ทุกคน ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงกว่า ก่อนจะส่งพวกเขากลับออกไป

“หู่วว…ทำไมรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้เนี่ย!”

อู่ซินทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาทันที

จ้าวเฉียนยิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ตอนนี้เชื่อฉันแล้วรึยัง? เธอควรย้ายที่อยู่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอเตรียมมีตติ้งกับบรรดาแฟนคลับทุกเช้า กลางวัน เย็นได้เลยหลังจากนี้”

จู่ๆ อู๋ซินพลันลุกขึ้นพรวดทันทีและพยักหน้าตอบไปว่า

“นายพูดถูก! ฉันต้องย้ายที่อยู่โดยเร็วที่สุด ไม่อย่างน้อยก็คอนโดที่มียามคอยรักษาความปลอดภัย!”

จ้าวเฉียพยักหน้าและกล่าวต่อทันทีว่า

“แล้วอย่าลืมซะล่ะ หลังจากนี้ฉันคือลูกพี่ลูกน้องของเธอ อย่าหลุดพูดอย่างอื่นไปเด็ดขาด”

“ฮ่าฮ่า…ฉันรู้แล้วน่า! ไปหาที่อยู่ใหม่กันเถอะ!”

อู่ซินยิ้มหวานให้ และหยิบหน้ากาก แว่นกันแดดและสวมหมวก ติดตามจ้าวเฉียนออกไปทันทีเพื่อเสาะหาที่อยู่ใหม่

Related

Related

ตอนที่177 กลยุทธของจางหยาง

ทุกคนระมัดระวังอย่างมาก ขณะเข้าใกล้ห้องทำงานของฟางนี่ ทันใดนั้นทุกคนพลันได้ยินเสียงครางประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ดังออกมา ทุกคนรีบร่นถอยกลับไปทันทีด้วยความตกใจสุดขีด

“เวรแล้ว! สองคนนั้นกำลังปรับความเข้าใจกันอีท่าไหนเนี่ย? พวกเรากำลังเครียดเรื่องเลิกจ้างแท้ๆ พวกเขายังมีอารมณ์เล่นจ้ำจี้กันอยู่อีก!”

“อืม…บางทีผู้จัดการจางอาจใช้แผนสละร่างตัวเองให้ประธานฟางอยู่ก็ได้ แผนของเขาดุเดือดไม่ใช่น้อย”

“สมเหตุสมผลดี! ฮ่าฮ่า…ฟังเสียงของประธานฟางเข้าสิ ดูท่าจะเริ่มอารมณ์ดีแล้วนะ!”

“ฮ่าฮ่า…”

พวกพนักงานต่างปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขและรีบกลับประจำที่รอให้จางหยางเสร็จกิจ ออกมาจากห้องทำงานของฟางนี่

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวฝู่กำลังได้การเรื่องสัญญาธุรกรรมของส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทเหล่ยอู่ให้อยู่ เว้นเสียว่าฟู่เทียนให้เงื่อนไขไว้ว่า ถ้าต้องการสิทธิ์บริหารจัดการเหล่ยอู่ จะต้องโอนเงินสดเท่านั้น

แต่สิทธิ์บริหารจัดการก็ใช่ว่าจะได้หุ้นไปทั้งหมด ฟู่เทียนยังมีส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ถึง51%ในเหล่ยอู่ แต่คนของจ้าวฝู่ต้องการสิทธิ์การบริหารทั้งหมดอย่างเบ็ดเสร็จ ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีซื้อหุ้นส่วนให้ได้มากว่านี้

ฟู่เทียนกำลังอ่านเอกสารพิจารณาอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว และรายงานตอบกลับไปว่า ถ้าคนจากฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ต้องการตามนั้นจริง ก็ควรเข้ามาหารือด้วยกันอีกทีหนึ่ง

กระบวนการเจรจาเป็นไปได้อย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานทั้งสองฝ่ายก็สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ โดยฟู่เทียนเสนอไปว่า ตนจะมอบหุ้นส่วนให้อีก5%แก่ ฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ในราคา20ล้านหยวน ซึ่งราคานี้สูงเกินมูลค่าแท้จริงของเหล่ยอู่ไปมาก

แต่ราคาจะแพงหรือถูกกลับไม่สำคัญต่อฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ ต่อให้อีกฝ่ายเสนอขายมาในราคา100ล้าน พวกเขาก็ยินดีที่จะจ่าย เพราะต่างให้ที่พวกเขาได้รับบริษัทเหล่ยอู่มาได้อย่างถูกกฎหมาย พวกเขาก็สามารถส่งมอบให้คุณชายจ้าวเล่นได้อย่างอิสระ

ดังนั้นฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์จึงไม่คิดที่ตะต่อรองราคาใดๆเลย ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามสัญญากันทันทีและดำเนินการโอนหุ้นส่วนตามขั้นตอนต่อในช่วงบ่าย

ในความคิดของฟู่เทียน เขารู้สึกชื่นชมความ‘ตาถึง’ของฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ไม่ใช่น้อย เพราะพวกเขาเล็งเห็นแล้วว่าบริษัทเหล่ยอู่จะขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแห่งอุตสาหกรรมเกมแน่นอน พวกเขาจึงเข้าซื้อชนิดจ่ายได้จ่ายหมด

เขาอยากจะอวดข่าวดีนี้ใหใครสักคน จึงโทรหาฟางนี่ทันที

“ฮาโหล คุณฟางสบายดีไหมครับ?”

ฟู่เทียนเปิดฉากเอ่ยถามขึ้นอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

ฟางนี่พลันนึกไปว่า ที่อีกฝ่ายโทรหาเธอแบบนี้คงจะเป็นเรื่องโปรเจคความร่วมมือ ดังนั้นเธอจึงรีบตอบกลับทันทีอย่างยิ้มแย้มว่า

“คุณฟู่ดูอารมณ์ดีไม่น้อยเลยนะคะ สงสัยจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับคุณแน่นอนเลย?”

“คุณเดาถูกต้อง! ผมเพิ่งลงนามสัญญาข้อตกลงกับฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ อีกไม่นานเหล่ยอู่ของผมจะขึ้นกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งอุตสาหกรรมเกมแล้ว! ตอนนี้รู้สึกเสียใจไหมล่ะที่ไม่ได้ทำโปรเจคร่วมกับผม! ฮ่าฮ่า…”

ฟู่เทียนระเบิดหัวเราะอย่างมีชัย

ฟางนี่รู้สึกเสียดายไม่น้อยเลย แต่เธอเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน คนระดับฟู่เทียนไม่ใช่สิ่งที่เธอจะยั่วยุได้แม้แต่น้อย

“คุณฟู่ล้อเล่นแล้ว ดิฉันไม่มีอะไรต้องเสียใจหรอกค่ะ คงทำได้เพียงขอแสดงความยินดีด้วยนะคะที่บริษัทของคุณฟู่พัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว”

น้ำเสียงฟางนี่เต็มไปด้วยความเสียใจ

“ถ้าคุณบังคับให้จ้าวเฉียนก้มหัวยอมรับความผิดตั้งแต่แรก ปานนี้พวกเราคงร่วมมือกันไปนานแล้ว ถ้าบริษัทผมกลายมาเป็นอันดับหนึ่ง บริษัทฟางนี่ของคุณต้องะยานขึ้นฟ้าในชั่วพริบตา! ทั้งๆที่มีโอกาสดีๆอยู่ในมือแท้ๆ คุณไม่รู้สึกเสียใจเลยงั้นเหรอ?”

ฟู่เทียนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นอีกครั้ง จงใจยั่วยุฟางนี่อย่างชัดเจน

ฟางนี่เองก็ตระหนักดีว่า ที่เขาโทรมาเพื่อเย้ยหยันเธอโดยเฉพาะ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงทนสภาพอันน่าอัปยศอยู่ภายในใจ

“ดีใจกับคุณฟู่ด้วยนะคะ ถึงพวกเราจะร่วมมือไปแต่โครงสร้างบริษัทของดิฉันก็เล็กเกินไปอยู่ดี ความร่วมมือคงถูกยกเลิกในไม่ช้าก็เร็ว ถ้าไม่มีธุระไรแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ”

ฟางนี่กดตัดสายทิ้งทันที การกระทำของฟู่เทียนทำให้เธอโกรธมากจนสะบัดแขนกวาดกองเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะกระจายไม่เป็นท่า

เธอโกรธมากที่ฟู่เทียนสันดานทรามแบบนี้ ถึงขั้นโทรมาเยาะเย้ยถ่มถุยเธอโดยเฉพาะ อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกโกรธตัวเองเช่นกันที่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมจ้าวเฉียนได้สำเร็จ ทำให้เธอพลาดโอกาสที่จะนำพาบริษัทของตัวเองพัฒนาไปอีกขั้น

จางหยางบังเอิญมาเห็นภาพฉากนี้พอดี เมื่อเห็นภรรยาของตนดูทุกข์โศกอย่างหนัก เขาจึงรีบวิ่งไปกอดและเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า

“เกิดอะไรขึ้น? ไอ้เจ้าฟู่เทียนมันพูดอะไรกับคุณ?”

“หึ! ไอ้เลวทรามนั้น! มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว! มันโทรมาอวดกับฉันว่า ฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมมือกับเหล่ยอู่ และอีกไม่นานมันจะขึ้นกลายไปเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งอุตสาหกรรมนี้ หลังจากนั้นยังมีหน้ามาถามฉันอีกว่า รู้สึกเสียใจไหมทที่ไม่ได้ร่วมมือกับมัน! ดูสิ่งที่มันพูดกับฉันสิ!”

ฟางนี่เคียดแค้นใจอย่างยิ่ง

จางหยางถึงกับใจสั่นเช่นกันเมื่อได้ยินว่า ฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเกม การันตีได้เลยว่าเหล่ยอู่จะต้องกลายมาเป็นพระอาทิตย์แห่งวงการเกมรายต่อไปแน่นอน

ฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ไม่เพียงแค่ร่ำรวย แต่บริษัทนี้ยังเป็นดั่งกุญแจแห่งความสำเร็จที่ทุกบริษัทใฝ่ฝันอยากจะร่วมลงทุนด้วย

“เสี่ยวนี่ ไอ้คนแบบนี้อย่าไปโกรธให้เสียเวลาเลย! ผมกำลังจะพาหวังเฉียงออกไปพบลูกค้าเพิ่มอีกสองสามราย ผมจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง!”

จางหยางกล่าวปลอบโยน

ฟางนี่พยักหน้าและบอกจางหยางให้ขับรถระมัดระวัง

จางหยางพยักหน้าพร้อมจุ๊บหน้าผากของฟางนี่ไปทีหนึ่ง และก็พาหวังเฉียงกับเจียงเสี่ยวปิงออกไปทันที

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หวังเฉียงสงสัยที่สุดคือ ทำไมผู้จัดการจางถึงต้องพาเจียงเสี่ยวปิงมาด้วยในครั้งนี้?

“ผู้จัดการจาง พวกเราทั้งคู่ก็ออกไปดิลลูกค้าประจำอยู่แล้ว ทำไมครั้งนี้ถึงต้องพาเธอมาด้วย?”

หวังเฉียงเอ่ยถามเจือสีหน้าสงสัย

“ฉันมีแผนเตรียมไว้แล้ว นายรอดูไปเถอะ”

จางหยางยิ้มตอบ

“โอ้? แล้วเราจะไปไหนกันดีตอนนี้?”

หวังเฉียงเอ่ยถามต่อ

“ไปบริษัทเหล่ยอู่ พวกเขาเพิ่งร่วมมือกับฟู่ไฮ่ อินเวสเมนท์ ในสามถึงห้าปี พวกเราจะขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการเกมแน่นอน ถ้าอยากจะกู้วิกฤตบริษัทของเราในครั้งนี้ มีแต่ต้องพึ่งพาพวกเขาเท่านั้น!”

จางหยางรีบอธิบายให้ฟังทันที

ทั้งสามมาถึงที่เหล่ยอู่ในไม่ช้า และพวกเขาใช้เวลานั่งรอนานมากกว่าจะได้พบกับฟู่เทียน

พวกเขาทั้งสองฝ่ายกล่าวทักทายกันสักพัก หลังจากนั้นประมาณ10นาทีเห็นจะได้ จางหยางก็เข้าเรื่องที่มาในวันนี้ทันที

“คุณฟู่ ตราบใดที่เหล่ยอู่ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับเรา ทางผมจะโอนหุ้นส่วนบริษัทฟางนี่ให้คุณฟู่ทันทีในราคาถูก ในอนาคต พวกเราจะยอมขึ้นตรงกับบริษัทเหล่ยอู่ในฐานะฐานผลิตเกมก็ยังได้ เรื่องโปรโมทกับอัปเดตตัวเกม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราได้เลย ทางคุณฟู่ไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือต้องจ่ายสักแดงเดียว”

เงื่อนไขน่าดึงดูดขนาดนี้ ฟู่เทียนถึงกับยิ้มให้พร้อมเอ่ยถามไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะขายให้ผมในราคาเท่าไหร่?”

จางหยางยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เรื่องนี้ปล่อยให้ผู้ช่วยเจียงคุยกับคุณฟู่อีกทีล่ะกันครับ ผมมอบโปรเจคนี้ให้เธอรับผิดชอบไป ยังไงผมก็ขอตัวออกไปคุยกับรองผู้จัดการหวังก่อนนะครับ มีอะไรสามารถถามเธอคนนี้ได้เลย”

หลังจากผู้จบ จางหยางก็ขยิบตาให้หวังเฉียงและพาเขาออกไปทันที

เจียงเสี่ยวปิงตกตะลึงอย่างมากที่จู่ๆจางหยางก็ปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียวแบบนี้ และตระหนักได้ในทันใดว่า จางหยางต้องการให้เธอใช้เสน่ห์เล่ห์กลเพื่อครองใจฟู่เทียนให้อยู่หมัด

หวังเฉียงที่รู้ดังนั้นก็อารมร์เสียอย่างมากด ถึงเขาจะไม่อยากคบกับเจียงเสี่ยวปิงอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังกุ๊กกิ๊กอยู่กับเธอบ้างเป็นครั้งคราว แต่นี่จางหยางถึงกับใช้เธอเป็นเหยื่อล่อเพื่อตกปลาใหญ่

“ผู้จัดการจาง นี่มันหมายความว่ายังไงครับ?”

หวังเฉียงโผล่ตัวถามขึ้นทันทีด้วยความโกรธ

จางหยางตบไหล่หวังเฉียงเล็กน้อยและกล่าวปลอบไปว่า

“พวกเราทั้งสองไม่สามารถทดแทนหน้าที่ของเธอได้ ถือซะว่าทำเพื่อบริษัทนะ ลองนึกถึงตอนที่บริษัทของเรามีกำไรเข้ามาสิ คนที่ได้ผลประโยชน์ก็ไม่ใช่พวกนายเองหรอกเหรอ? ฉันสัญญานะ ทันทีที่เราร่วมมือกับเหล่ยอู่เมื่อไหร่ ฉันจะซื้อคอนโดสามห้องนอนให้นายเลยฟรีๆ แต่ถ้าวันนี้เราทำไม่สำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงคอนโดเลย พวกเราตายหมู่แน่นอน”

หวังเฉียงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน ถ้าแลกกับที่อยู่อาศัยถาวรไปแบบฟรีๆ ถึงเจียงเสี่ยวปิงจะโดนต้มยำทำแกงอะไรก็คงต้องยอม ถึงอย่างไรก็เลิกกันไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจียงเสี่ยวปิงและฟู่เทียนเดินออกมาด้วยกัน

ฟู่เทียนคลี่ยิ้มกว้างดูพึงพอใจอย่างมาก เขายิ้มกล่าวกับจางหยางว่า

“ผู้จัดการจาง ผู้ช่วยของคุณเป็นงานดีนะ ฉันขอชื่นชมความสามารถส่วนตัวของเธอเลย วันหลังฉันอยากได้เธอมาช่วยงานอีกคงดีไม่น้อย หวังว่าผู้จัดการจางจะยอมนะครับ?”

จางหยางปั้นหน้าแสร้งทำเป็นลังเลใจ และตอบกลับไปว่า

“อืม…ตราบใดที่คุณฟู่ยอมร่วมมือกับเรา เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยครับ”

“เอาแบบนี้แล้วกัน ส่วนกำไรจากโปรเจคที่พวกเรากำลังจะร่วมมือกัน ให้ฉันเพิ่มอีก10% ว่ายังไง?”

ฟู่เทียนลอบแสยะยิ้มแสนชั่วร้ายออกมา และกล่าวฟันราคาอย่างไร้ยางอาย

“ฮ่าฮ่า…คุณฟู่จริงใจกับพวกเรามากจริงๆ ได้แน่นอนครับ”

จางหยางทำได้เพียงยอมรับข้อตกลงไปอย่างจนใจ

“เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็พร้อมเซ็นสัญญากันแล้ว! ยิ่งเร็วยิ่งดีเลย แล้วผมหวังว่าพรุ่งนี้เธอจะมากับคุณด้วยนะ”

“ไม่มีปัญหาครับ งั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน ผมจะรีบจัดเตรียมเอกสารสัญญาคืนนี้เลยครับ”

“ตกลง”

ฟู่เทียนยิ้มให้เจียงเสี่ยวปิง และเฝ้ามองทั้งสามจากไป

ในความเห็นของจางหยาง ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนได้รับชัยชนะทั้งสิ้น

หวังเฉียงได้คอนโดอยู่ฟรีๆ จางหยางได้ร่วมมือกับเหล่ยอู่ ส่วนฟู่เทียนได้เมียน้อยสาวอย่างเจียงเสี่ยวปิง และทางด้านเจียงเสี่ยวปิงเองก็มีความสุขไม่น้อยเช่นกัน ได้มีเสี่ยเลี้ยงระดับฟู่เทียน เธอไม่ต้องกังวลกับชีวิตในวันข้างหน้าอีกแล้ว แถมยังมีโอกาสได้ล้างแค้นจ้าวเฉียนอีก

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนก็ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้พันผ่อน รอสิทธิ์การบริหารบริษัทเหล่ยอู่มาประเคนถึงมือ

Related

Related

ตอนที่176 วางแผนเลิกจ้าง

เป็นที่ชัดเจนว่าฟู่เทียนต้องการเพียงแค่จับจ้าวเฉียนมาขอขมาต่อหน้าเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงออกมานัดพบใครบางคนกลางดึกเพื่อหาทางจัดการกับจ้าวเฉียน

ทุกแก๊งในโลกใต้ดินแห่งเมืองตงไห่ไม่มีใครกล้าต่อกรกับหยางหู่โดยง่าย แต่ถ้าหากเป็นแก๊งอิทธิพลภายนอกที่ไม่รู้เรื่องภายในเมืองแห่งนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวอยู่มาก หลายคนเต็มใจรับงานตราบเท่าที่มีเงินมากพอ

ฟู่เทียนใช้เส้นสายที่มีอยู่ในทันทีและขอให้แก๊งจากเมืองจินหลิงออกโรง เพื่อให้มากำจัดจ้าวเฉียนทิ้งไปซะ

ค่ำคืนของเทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านพ้นไป ทุกคนต่างกลับเข้ามาทำงานดังเดิม

ไม่นานหลังจากที่ฟางนี่มาถึงบริษัท เธอก็ได้รับแจ้งจากซิงหยวนว่า เรื่องงานอัพเดตตัวเกม ‘League of Glory’ หลังจากนี้เป็นต้นไป จะเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาจากบริษัทซิงหยวนแทนที่นักพัฒนาของบริษัทฟางนี่

ฟางนี่ตื่นตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น เกมที่คว้ารางวัลหลากสาขามากมายอย่าง League of Glory ตอนนี้ถึงวาระที่ซิงหยวนจะเอากลับคืนไปเป็นของตนโดยสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นบริษัทฟางนี่จะไม่สามารถหากินกับเกมนี้ได้อีกต่อไป

ก่อนหน้ามีบางโปรเจคในตัวเกมติดสัญญากับบริษัทฟางนี่อยู่ และตอนนี้ก็ถึงเวลาสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว นั้นหมายความว่าโปรเจคความร่วมมือระหว่างซิงหยวนกับฟางนี่ได้ถึงวาระสิ้นสุดลง

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทั้งโปรเจคของหัวโหย้วกับเหล่ยอู่ก็ยังถูกยกเลิกกลางคัน สัญญาความวร่วมมือของซิงหยวนก็สิ้นสุดลงแล้ว นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่บริษัทเกมเล็กๆ อย่างฟางนี่จะอยู่ต่อไปได้แบบในอดีต ค่าจ้างของพนักงานเพียงคนเดียวในบริษัทกลายมาเป็นภาระหนักของฟางนี่ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มันบีบบังคับให้เธอต้องวางแผนเลิกจ้าง

ฟางนี่เดินไปที่ออฟฟิศและป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดขึ้นว่า

“ทุกคนขอให้วางมือจากงานลงก่อน แล้วไปรวมตัวกับที่ห้องประชุม ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องแจ้งให้ทุกคนทราบ”

สิบนาทีต่อมา ทุกคนในบริษัทต่างเข้านั่งประจำที่ในห้องประชุม

เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของฟางนี่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกคนต่างรู้สึกไม่สบายใจขึ้นทันที แม้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ฟางนี่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก่อนประกาศว่า

“ฉันต้องขอโทษทุกคนก่อนเลยที่ไร้ความสามารถและล้มเหลวในการบริหารบริษัท ตอนนี้บริษัทของเราไม่เหลือโปรเจคเกมอะไรอีกแล้ว คงไม่สามารถรองรับทุกคนได้ไหวอีกต่อไป ดังนั้น…ฉันเลยต้องทำการเลิกจ้างเพื่อลดต้นทุน”

ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้ดังออกมา ทุกคนต่างช็อกกันอย่างยิ่ง

“ห๊ะ!!?”

“นี่มันอะไรกันครับ?! มัน…มันไม่กะทันหันเกินไปหน่อยเหรอ? ผมเพิ่งพูดกับพ่อแม่ผมเองว่า อีกสองสามปีข้างหน้าผมจะเก็บเงินก้อนได้ แล้วจะซื้อคอนโดดสักห้องให้พวกท่านอยู่กินด้วยกัน!”

“นี่…นี่พูดจริงเหรอครับ?!”

โดยเฉพาะกับจางหยางด้วยแล้ว เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย เขายังมีแผนการอีกมากมายอยู่ในหัว แต่ถ้ามีพนักงานไม่เพียงพอต่อความต้องการ แล้วเขาจะทำการใหญ่สำเร็จได้ยังไง?

“เสี่ยวนี่ ทำไมคุณถึงไม่ปรึกษากับผมก่อน? จะเลิกจ้างพนักงานทั้งๆ ที่สถานการณ์ทุกอย่างยังไม่ชัดเจนแบบนี้ไม่ได้! บางทีเราอาจจะผ่านจุดวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ถ้าขอความร่วมมือกับบริษัทพวกนั้นไม่ได้ เราก็ยังมีบริษัทอื่นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ? หรือจะให้เราสร้างโปรเจคเกมขึ้นมาเองก็ยังได้! นี่เป็นเพียงปัญหาที่เข้ามาเพื่อทดสอบพวกเรานะ ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้?”

ฟางนี่อธิบายตอบไปว่า

“ฉันแค่ชี้แจงให้ทุกคนทราบก่อน ยังไงซะฉันเองก็ต้องคุยกับจ้าวเฉียนและหวานฉันซูอีกทีนึงก่อนด้วย ว่าเห็นด้วยกับแผนการนี้หรือไม่? ตัดออกสักหนึ่งในสาม น่าจะช่วยให้บริษัทนี้อยู่รอดต่อไปได้”

“ประธานฟาง คุณก็เห็นว่าพวกดราพยายามทำงานหนักแค่ไหนเพื่อบริษัทแห่งนี้ ลองคิดให้ดีก่อนดีกว่าครับ!”

“ถูกต้อง ในฐานะเจ้านายควรต้องมีมโนธรรมกับลูกจ้างมากกว่านี้นะครับ ถ้าเลิกจ้างฟ้าผ่าแบบนี้ พวกผมจะอยู่ยังไง?”

“เดี๋ยวก่อนนะ มันก็ยังพอมีหนทางอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกเราสามารถเชิญจ้าวเฉียนกลับมาได้ เขาน่าจะช่วยต่อสัญญากับซิงหยวนได้นะ!”

“จริงด้วย! ผมเองก็เห็นด้วยเช่นกันครับ! ต้องเชิญจ้าวเฉียนกลับมาเท่านั้น!”

“ดิฉันเองก็เก็นด้วยค่ะ นี่เป็นหนทางเดียวแล้ว…”

แต่ละคนล้วนเห็นแก่ตัวและคำนึงถึงประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น พวกเขาไม่แม้แต่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นเลยนแม้สักนิด ทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุด พวกขาเป็นฝ่ายรวมหัวขับไล่จ้าวเฉียนออกไปเองแท้ๆ แต่พอเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องการเชิญเขากลับมาช่วยอีกครั้ง

ซึ่งแน่นอนว่าจางหยางไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน กว่าที่เขาจะชับไล่จ้าวเฉียนออกจากบริษัทได้ เขาต้องวางแผนแทบตาย ดังนั้นไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่มีทางอนุญาตให้จ้าวเฉียนกลับมาแน่นอน

“เงียบหน่อยทุกคน! เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกจ้าวเฉียนกลับมา! อย่างที่ฉันพูดไป ปัญหาแบบนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของธุรกิจ! หลักการง่ายๆ แบบนี้ ใช้เวลาเดี๋ยวก็แก้ปัญหาได้เองนั่นแหละ! ฉันจะหารือกับฟางนี่หลังจากนี้ ไม่ต้องกังวล ฉันขอรับประกันด้วยชีวิตเลยว่า จะไม่มีใครถูกเลิกจ้างแน่นอน!”

แต่อย่างไร คำพูดของจางหยางราวกับเสียงผายลมก็ไม่ปาน ไม่มีใครสนใจฟังเขาเลยแม้แต่คนเดียว แต่ละคนยังคงจับกลุ่มคุยกับฟางนี่เรื่องจ้าวเฉียน

ฟางนี่รู้ดีว่า เธอต้องกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับสามีของเธออีกที ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอมสนับสนุนการตัดสินใจนี้ของเธอแน่นอน

ไม่นานฟางนี่ก็โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกจากห้องประชุมและกลับไปทำงานต่อ

หลังจากคนสุดท้ายเดินออกจากห้องประชุมไป จางหยางก็รีบปิดประตูกังปังและหันมากล่าวโทษฟางนี่โดยทันทีว่า

“เสี่ยวนี่ นี่ยังเห็นผมเป็นสามีของคุณอยู่ไหม? ไม่คิดจะบอกหรือปรึกษาอะไรกันล่วงหน้าหน่อยเหรอ?”

“ฉันขอโทษ ฉันคิดไม่รอบคอบเอง แต่ฉันเองก็อยากแจ้งกับทุกคนให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนก็เท่านั้นเอง”

ฟางนี่กล่าวเสียงอ่อน

“หยุดพูดได้แล้ว! ฉันจะโทรหาหวานฉันซูเพื่อขอให้เขาคัดกค้านแผนการนี้ซะ! ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน แต่มันก็ไม่ถือว่าเป็นพนักงานของที่นี่อีกแล้ว! เสี่ยวนี่ คุณให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองสักครั้งเถอะนะ ผมขอร้อง!”

จางหยางกล่าวขึ้นพร้อมแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง

ฟางนี่รู้สึกกดดันอย่างที่สุด ด้านหนึ่งก็เป็นเงินเป็นทอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สามีของเธอเอง และหากสักวันสามีทิ้งเธอไป วันนั้นนี่แหละ มั่นใจได้เลยว่าฟางนี่จะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต

คล้อยหลังรวนเรใจอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดฟางนี่ก็เลือกสามีของเธอ ถ้าไม่มีเงินก็ยังหางานใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสามีแล้ว เธอคงต้องเป็นโสดไปตลอด

“ตกลง ฉันจะให้เวลาคุณครึ่งปี ตราบเท่าที่คุณสามารถนำพาบริษัทให้พ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้ ฉันจะมอบสิทธิ์การบริหารให้คุณแน่นอน แล้วฉันจะคอยอยู่เบื้องหลังเท่านั้น โอเคไหม?”

จางหยางมีความสุขอย่างมาก เขาวิ่งเข้าไปสวมกอดฟางนี่แน่น ประสบปากจูบกับฟางนี่ โต้ตอบกันอย่างดูดดื่มสองสามครา ก่อนที่เธอจะถูกจางหยางผลักขึ้นโต๊ะประชุมอย่างเดือดกระหาย

“อย่า…อย่าเพิ่ง… นี่มันห้องประชุมนะ ถ้าใครมาเห็นเข้าล่ะ?”

“งั้นก็ไปต่อกันที่ห้องทำงานคุณก็แล้วกันเนอะ?”

จางหยางรีบพาฟางนี่ออกไปทันที

ถึงฟางนี่ตอบว่าไม่ แต่ร่างกายของเธอกลับซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกเกินไป และยอมให้เขาพาเธอเขาห้องทำงานไปอย่างง่ายดาย

ทันทีที่เข้ามาถึงห้องทำงาน จางหยางแทบรอไม่ไหวแล้ว และผลักร่างฟางนี่ขึ้นโต๊ะพร้อมเริ่มบรรเลงเพลงรักทันที

“อย่า…อย่าเพิ่งสิ…”

ฟางนี่กรนเสียงกระเส่าด้วยความเขินอาย

จางหยางตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“โอ้ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะไม่เชื่อฟังคุณเลยนะ พวกเราเองก็แต่งงานกันมาสักพักแล้ว ถึงเวลามีลูกแล้วนะ”

ฟางนี่ส่ายหัวทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ไม่…ไม่…ไม่… ตอนนี้บริษัทเรายังไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ฉันยังไม่อยากมีตอนนี้…”

จางหยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่นถอยออกไป และหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งกลับเป็นตามเดิม

“ฟางนี่ เชื่อผมเถอะ บริษัทจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่นอนภายใต้ผู้นำอย่างผม!”

จางหยางสาบานกับตัวเองอย่างลับๆ ว่า เขาจะต้อง ‘สร้างชื่อเสียง’ ให้ฟางนี่เห็นให้ได้

ในอีกด้านหนึ่ง พนักงานคนอื่นที่อยู่ในออฟฟิศต่างจับกลุ่มกันสนทนา พวกเขาไม่มีอารมณ์ทำงานแม้แต่น้อย

“นายคิดว่าประธานฟางจะเลิกจ้างพวกเราจริงไหม? ฉันยังมีรถที่ต้องผ่อนจ่ายทุกเดือน เหลืออีกตั้งหลายสิบงวดแหนะ!”

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้จัดการจางจะพูดกับประธานฟางยังไง ถึงจะต่อรองได้สำเร็จแล้วไม่ถูกเลิกจ้างวันนี้ แต่ถ้าไม่มีโปรเจคเข้ามา เราก็ต้องถูกเลิกจ้างในสักวันอยู่ดี”

“เห้ออ…ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพวกเรานั่นแหละ ที่รวมตัวกันขับไล่จ้าวเฉียนออกไป ทันทีที่เขาจากไปบริษัทเราเจอปัญหาหนักทุกทีเลย ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่ ฉันเชื่อเลยว่า บริษัทคงไม่มาถึงจุดนี้แน่นอน”

“มันก็เป็นอย่างที่นายว่าไปจริงๆ นั่นแหละ จ้าวเฉียนเป็นดาวนำโชคประจำบริษัทของเราอย่างแท้จริงเลย แต่กลับเป็นพวกเราเองที่ขับไล่เขาออกไป ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกนะ…”

บริเวณออฟฟิศไร้ซึ่งชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง

ทุกคนรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างมากที่ตอนนั้นขับไล่จ้าวเฉียนออกไป

“ทำไมพวกเราไม่ร่วมมือกันวิงวอนขอร้องให้จ้าวเฉียนกลับมาช่วยล่ะ?”

“ใช่แล้ว! ฉันว่าความคิดนี่อาจจะได้ผล! ครั้งสุดท้ายที่เราพร้อมใจออกไปขอร้อง เขายังกลับมาเลย! ครั้งนี้เองก็ลองกันอีกครั้งเถอะ!”

“เอาเลย! จ้าวเฉียนเป็นคนใจดี ทั้งยังอ่อนโยนอีกด้วย ถ้าเราแสดงความจริงใจให้เขาเห็นได้ ฉันว่าเขาจะต้องกลับมาแน่นอน!”

“ไปกันเถอะ! ไปหาประธานฟางกัน!”

ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มพนักงานออฟฟิศก็ตรงเข้าห้องทำงานของฟางนี่โดยไม่รีรอ

Related

Related

ตอนที่175 ก้มหัวยอมรับความผิด

ฟู่เทียนยามนี้โกรธจัดแล้ว พอเห็นว่าจ้าวเฉียนกำลังเดินมาทางนี้ เขาก็พุ่งตรงไปหาทันทีด้วยความโกรธแค้น

เหลียวเซียวหยุนตกใจอย่างมาก เธอรีบฉุดแขนจ้าวเฉียนกลับเข้ามาเพื่อหลบ แต่อย่างไรจ้าวเฉียนยังคงเดินตรงไปหาอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ

“ระวัง!”

เหลียวเซียวหยุนกรีดร้องทันทีด้วยความกลัว

สองมือล้วนกระเป๋ากางเกง จ้าวเฉียนยืนตระหง่านอย่างเย่อหยิ่ง ราวกับกำลังรอให้ฟู่เทียนวิ่งเข้ามาชกแต่โดยดี

ผู้จัดการโรงแรมตกใจสุดขีด ถ้าคุณชายจ้าวได้รับบาดเจ็บในโรงแรมแห่งนี้ เขาโดนจ้าวฝู่เล่นงานแน่นอน ดังนั้นชั่วจังหวะทันควัน เขารีบพุ่งไปขวางหน้าจ้าวเฉียน และโยนทุ่มร่างฟู่เทียนจนนอนหมอบกับพื้นในชั่วพริบตา จากนั้นก็รีบบรรดาพนักงานโดยรอบให้เข้าจับตัวฟู่เทียนในทันที

ทุกคนรอบบริเวณทั้งหัวหน้าพนักงานและพนักงานทุกคนต่างอึ้งกันหมด ผู้จัดการของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ถึงขั้นลงไม้ลงมือขนาดนี้เลยเหรอ? มันก็ใช่ที่จ้าวเฉียนเป็นลูกค้าระดับVIP แต่ก็ใช่ว่ามีเขาแค่คนเดียว ร้อยวันพันปี ไม่มีใครเคยเห็นผู้จัดการดูแลแขกดีขนาดนี้มาก่อน

สภาพของฟู่เทียนดูไม่จืดเลย เขากรนด่าสาปแช่งขึ้นมาทันทีว่า

“มึง! มึงกล้าลงมือกับกูเลยเหรอ!? มึงกล้าจริงๆ!!”

ผู้จัดการโรงแรมปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าเล็กน้อย พร้อมผมเพ่าให้เป็นระเบียบ เอ่ยตอบเจือน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า

“คุณฟู่ กล้าใช้ความรุนแรงในสถานที่ของผม ผมเองก็ไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน ครั้งนี้ผมถือว่าตักเตือนนะครับ อย่าให้เห็นว่ากล้าใช้ความรุนแรงในที่ของผมอีก ไม่อย่างงั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน รปภ.! นำตัวสองคนนี้ออกไป!”

ฟู่เทียนไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ตัวเองจะต้องถูกรปภ.โยนออกไปทิ้งราวกับขยะแบบนี้ เขาคำรามเสียงดังโหลั่นด้วยความโกรธเคืองว่า

“มึงจำไว้เลย! กูไม่มีทางยอมมึงแค่นี้แน่นอน! มึงจะต้องเสียใจ!”

“หุหุ…งั้นผมจะรอนะครับ! หวังว่าคุณฟู่จะไม่ทำให้ผมต้องผิดหวัง”

ผู้จัดการกล่าวโต้กลับไปทันทีพร้อมใบหน้าแสนเย้ยหยัน

โดนยั่วยุกลับไปแบบนี้ ฟู่เทียนเกรี้ยวโกรธสุดขีดจนพูดไม่ออก

หลังจากนั้นไม่นอน รปภ.กลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งกันเข้ามาอย่างตื่นตระหนก และลากสองพ่อลูกตระกูลฟู่ออกไปทันที

จ้าวเฉียนปรบมือให้พร้อมกล่าวขึ้นว่า

“คุณผู้จัดการสุดยอดไปเลย! เอาซะผมสะใจไปด้วยเลย! สนุกมากครับ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วงออกหน้าแทนผม”

ผู้จัดการกล่าวตอบทันทีว่า

“เป็นเรื่องธรรมดาครับ คุณจ้าวเป็นถึงแขกชั้นVIPของเรา พวกเราขออุทิศตัวบริการให้ดีเลิศครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้า เขารู้สึกประทับใจอย่างมากกับความซื่อตรงของผู้จัดการคนนี้ จึงกล่าวตอบไปว่า

“ขอบคุณมากครับ แล้วผมจะมาใช้บริการอีกนะครับ อ่อ…ผมขออวยพรให้อนาคตต่อไป คุณผู้จัดการมีแต่ความรุ่งเรือง คิดสิ่งใดก็ขอให้สมความปรานารถนะครับ บางทีอาจมีมหาเศรษฐีสักคนเห็นความดีในตัวคุณ”

จ้าวเฉียนจงใจกล่าวทิ้งท้ายไปแบบนั้น ส่วนทางด้านผู้จัดการที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และรีบขอบคุณทันที

“ขอบพระคุณมากครับ ขอบพระคุณจริงๆ ขอให้คุณจ้าวมีความสุขสุภาพแข็งแรงนะครับ!”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงท่าทีมีความสุขยิ่ง และจากออกไปพร้อมกับเหลียวเซียวหยุน

ทันทีที่เดินออกไป เหลียวเซียวหยุนก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า

“จ้าวเฉียนบอกความจริงมาเถอะ ภูมิหลังของนาย…ไม่สิ…นายเป็นใครกันแน่? เราเองก็เป็นเพื่อนกันนะ อย่าปิดบังกันเลย!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจและตอบไปว่า

“ฉันก็ชื่อจ้าวเฉียนนี่ไง จะเป็นใครล่ะ? ถ้าคุณยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อเส้นสาย ก็คงทำเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนไม่เชื่อแม้สักนิด เธอเอ่ยถามต่อว่า

“เมื่อกี้ผู้จัดการบอกว่า การจะเป็นVIPได้ต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวอย่างน้อย100ล้าน นี่เป็นเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น แถมยังต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนในการตรวจสอบประวัติ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนธรรมดาถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่1จะได้รับสิทธิ์นี้?”

“คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยนะ ผมยัดเงินให้คุณผู้จัดการไปจำนวนมากกว่าจะได้บัตรVIPใบนี้มาได้ แต่มันก็คุ้มมากเช่นกันที่มีเส้นสายเป็นถึงผู้จัดการโรงแรมตงไห่ อย่างเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”

เหลียวเซียวหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดูท่าจะสมเหตุสมผลเช่นกัน สำหรับคนที่มีการบริหารจัดการเงินให้มีประโยชน์ที่สุดอย่างจ้าวเฉียน สิ่งที่เขาเหล่ากล่าวออกไปก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ผู้จัดการก็เป็นคนเช่นกันย่อมมีความโลภเป็นธรรมดา และเธอคาดเดาได้ว่าเงินจำนวนนั้นที่จ่ายให้ผู้จัดการใต้โต๊ะคงไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อทั้งสองเดินออกไปถึงหน้าประตูทางออกโรงแรม ก็พบกับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ที่ยังยืนเถียงกับรปภ. ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งโดนขับไล่ออกไป แต่ดูเหมือนว่าทั้งพ่อทั้งลูกจะไม่เต็มใจที่ต้องมาโดนเช่นนี้

เหลียวเซียวหยุนอดหัวเราะเยาะไม่ได้ เธอกล่าวกับฟู่เอ๋อร์ขึ้นว่า

“นายน่ะ หัดดูแลพ่อดีๆ หน่อย ไม่ใช่เที่ยวไปสร้างปัญหาคนจนต้องอับอายขายขี้หน้าแบบนี้ หรือนายไม่อายเลยเหรอ? ฮ่าฮ่า…นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายก็ต้องมายืนทะเลาะกับรปภ. นี่ไม่ดูไร้ค่าเกินไปหน่อยเหรอ? ไม่กลัวคนรู้จักมาเห็นเข้ารึไง?”

แม้ไม่ต้องคำนึกถึงความสมเหตุสมผลใดๆ เหลียวเซียวหยุนก็พูดได้ถูกต้องแล้ว แต่ฟู่เอ๋อร์กลับไม่รับฟังใดๆ โดยเฉพาะในเวลาที่มีจ้าวเฉียนอยู่เคียงข้าง

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ! ออกไป!”

ฟู่เอ๋อร์ตอบกลับด้วยความโกรธ

เหลียวเซียวหยุนพ่นลมหายใจไอเย็นยะเยือกใส่ขุมหนึ่ง เอ่ยตอบกลับไปว่า

“แล้วใครเขาสนใจนายกัน? ฉันก็แค่รำคาญสองพ่อลูกไร้สมองที่ทำตัวมีปัญหาเท่านั้น คิดว่านายเป็นใคร? ทำไมฉันจะต้องให้ความสนใจด้วย? ไร้สาระ”

ฟู่เทียนถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง โดนเด็กสาวตัวน้อยถอนหงอกระยะเผาขน ช่างเป็นเรื่องอัปยศสิ้นดี

“คิดว่าตัวเองเป็นใครไอ้หนู! เวลาเห็นฉัน เธอควรปฏิบัติตัวให้สุภาพกว่านี้ บังอาจหยาบคายกับฉัน ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”

“ฮ่าฮ่า…ก็พ่อฉันไม่โง่เหมือนคุณแล้วกัน มีปัญหาอะไรไหม? ขอบอกไว้ก่อนเลย ฉันไม่จำเป็นต้องกลัวคนอย่างคุณ เพิ่งบอกว่า ฉันทำตัวให้สุภาพใช่ไหม? งั้นคุณก็หัดทำตัวให้น่าเคารพก่อนแล้วกัน!”

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า เขาไม่จำเป็นต้องมายืนทะเลาะกับคนพวกนี้อีกต่อไป จึงตบไหล่เหลียวเซียวหยุนเบาๆ และขยิบตาส่งสัญญาให้เธอกลับออกไปได้แล้ว

ฟู่เอ๋อร์ตะโกนด่าจ้าวเฉียนไล่หลังไปว่า

“จ้าวเฉียน! มึงรอกูก่อนเถอะ! สักวันเตรียมโดนคิดบัญชีได้เลย!”

จ้าวเฉียนพาเหลียวเซียวหยุนมาส่งถึงรถของเธอ และโบกมือลาให้

“ขับรถปลอดภัย”

“ทำไมนายไม่ไปส่งฉันที่บ้านด้วย? เอาเถอะ ตามสบายแล้วกัน”

เหลียวเซียวหยุนถอนหายใจเล็กน้อยเจือสีหน้าผิดหวัง

“อย่าลืมสิ วันนี้มันเทศกาลไหว้พระจันทร์นะ ฉันต้องวิดีโอคอลไปหาพ่อแม่สักหน่อย ในเมื่อพาพวกท่านไปทานข้าวกันไม่ได้ ก็มีแค่วิธีนี้แหละ”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจนัก เธอกลับว่า

“งั้นก็ขับรถระวังๆ ล่ะ อย่าขับเร็วเข้าใจไหม? วันนี้ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณนะ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบและเดินกลับไปที่รถของเขา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนกลับมาถึงคฤหาสน์ รีบอาบน้ำและวิดีโอคอลหาพ่อทันที

“ไอ้ลูกเวร ฉันคิดว่าแกลืมแม้แต่พ่อแม่คนนี้ไปซะแล้ว!”

จ้าวฝู่เปิดฉากบ่นเป็นอย่างแรก

“ฮ่าฮ่า…จะเป็นไปได้ไงพ่อ! ถ้าลืมแม้แต่พ่อแม่ ผมคงจำตัวเองไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร! วันนี้ผมออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมาถึงก็แทบข้ามวันข้ามคืน ได้ข่าววันนี้คุณจ้าวฝู่ของเราหยุดหนิ ได้แวะไปทักทายคนอื่นๆ บ้างไหม?”

จ้าวฝู่โชว์จานอาหารบนโต๊ะและกล่าวว่า

“คุณปู่คุณย่าแกเห็นว่าจะมาเยี่ยม ฉันว่าจะไปรับอยู่ อ่อ…อย่าลืมโทรหาปู่แกด้วย หายหน้าหายตาไปนานเลย ทุกคนเขาคิดถึงนะเว้ย ถ้าหยุดก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมกันบ้าง”

“เข้าใจแล้วน่า! ช่วงนี้ผมก็ว่างพอดีแหละ ถ้าไม่มีอะไรผมจะกลับไปหยานจิ้ง แล้วไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าสักหน่อย”

“เออดีแล้ว สองคนนั้นบ่นคิดถึงแกไม่เว้นวัน ถ้าไม่ใช่เพราะติดปัญหาเรื่องการเดินทาง ปานนี้พวกแกสองคนลงไปเยี่ยมถึงเมืองตงไห่แล้ว”

……

พ่อลูกคู่นี้วิดิโอคอลคุยกันนานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะจบ ทันทีที่สองพ่อลูกวางสายไป ฟางนี่ก็โทรหาจ้าวเฉียนต่อทันที

“ฮาโหล จ้าวเฉียน นายสะดวกคุยไหม?”

ฟางนี่เอ่ยถาม

จ้าวเฉียนฉัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยตอบส่งๆ ไปว่า

“ก็อยู่ที่คุณฟางมีเรื่องอะไรจะพูด”

ฟางนี่เงียบนิ่งไปชั่วครู่ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเธออายเกินกว่าจะพูดออกมาได้

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ทนรอเธอเช่นกัน จึงกล่าวไปว่า

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด งั้นแค่นี้นะครับ ผมจะนอน”

“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อน! ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่า เรื่องราวระหว่างนายกับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ พอจะให้อภัยกันได้ไหม? ฉันรู้ดีว่านี่ไม่ยุติธรรมกับนายอย่างมาก แต่ฉันเองก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เขาบอกว่า ตราบเท่าที่นายเต็มใจ ก้มหัวยอมรับผิดทั้งหมดและขอโทษพวกเขา โปรเจคความร่วมมือระหว่างสองบริษัทจะกลับมาเหมือนเดิมทันที แล้วนายช่วยไปคุยกับคุณเหลียวหน่อยได้ไหม โปรเจคของหัวโหย้วกับเหล่ยอู่มันสำคัญกับบริษัทฉันมากจริงๆ!”

ฟางนี่รู้สึกผิดอย่างมากที่ต้องกล่าวอะไรออกมาแบบนี้ และน้ำเสียงของเธอดูไม่มั่นใจอย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนตอกสวนกลับไปชนิดไม่ไว้หน้าฟางนี่เลยสักนิด

“ทำไมนับวันคุณถึงไร้ยางอายเหมือนจางหยางเข้าไปทุกที ไม่รู้สึกกระดากปากเลยเหรอครับ?”

“ฉันรู้…ฉันรู้…ฉันรู้ว่าตัวเองในตอนนี้ไร้ยางอายแค่ไหน แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ บริษัทของฉันต้องอยู่ต่อไปให้ได้ ถ้าไม่ได้โปรเจคเหล่านี้กลับมา บริษัทฉันต้องล้มละลายแน่นอน! อย่าลืมไปสิ นายยังมีหุ้นส่วนอยู่ในมือนะ! นายจะปล่อยให้มันสูญเปล่าแบบนี้น่ะเหรอ?”

ฟางนี่พยายามกล่าวเตือนสติจ้าวเฉียน

แต่จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะอย่างไม่ไยดี พร้อมตอบไปว่า

“ผมมาช่วยยามที่คุณต้องการ แล้วก็ถีบผมส่งออกไปในตอนที่หมดประโยชน์แล้ว เป็นรู้สึกละอายใจแทนเลยครับ เงินส่วนนั้นผมก็คิดซะว่า เสียรู้ให้คนทรยศ ผมยังมีเงินเลี้ยงดูตัวเองอีกเยอะครับ แล้วไม่ต้องโทรมาแล้วนะครับ ผมจะนอน!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็กดตัดสายทิ้งทันที

ฟางนี่กำลังประสบปัญหาครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ฟู่เทียนมอบให้กับเธอแล้ว คือการขอให้จ้าวเฉียนยอมก้มหัวสำนึกผิด แต่ตอนนี้จ้าวเฉียนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อไย ความหวังเดียวของเธอสูญสลายในพริบตา

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฟางนี่ก็โทรหาฟู่เทียน

“ฮาโหล คุณฟู่…”

“อืม เขาพูดว่าไง?”

“เขาไม่ต้องการขอโทษคุณ ไม่ทราบว่ายังพอมีหนทางอื่นที่จะให้โอกาสดิฉันอีกไหม…”

“เหอะ! แค่ให้ก้มหัวขอโทษมันยากนักรึไง! ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ลืมมันไปซะ!”

ฟู่เทียนวางสายไปทันทีที่พูดจบ ฟางนี่โยนมือถือลงข้างโซฟา เอนกายเหยียดนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอบอบช้ำถึงขีดสุดเกินทานทน

Related

ตอนที่174 อารมณ์ดี

จางหยางเอ่ยปากบ่นทันทีขณะที่กินอยู่ว่า

“ทั้งหมดเป็นความผิดของจ้าวเฉียน เรื่องคราวนี้ผมจะต้องเอาคืนมันให้ได้!”

ฟางนี่กลอกตาคร้านจะใส่ใจและไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

หลังจากนั้นไม่นานจู่ๆฟู่เทียนก็โทรมาหาฟางนี่ พร้อมสถบด่าพร้อมถ่อยคำหยาบคายมากมาย

“ฟางนี่! นี่คุณปัญญาอ่อนรึไง? ชวนมันมาลูบคมผมยังไม่พอ ยังสั่งให้มันมาก่อกวนผมอีกงั้นเหรอ!”

ฟางนี่เอ่ยถามทันทีด้วยความสับสนว่า

“คุณฟู่หมายความว่ายังไงค่ะ? ดิฉันไม่เข้าใจ?”

“ยังแกล้งใสซื่ออีกเหรอไง! จ้าวเฉียนมันสั่งห้ามไม่ให้ร้านอาหารไหนรับผมกับลูกชายเข้าไปเลย! ทั้งหมดเป็นเพราะคุณใช่ไหม! ไอ้บัดซบ!”

ฟู่เทียนระเบิดอารมณ์ใส่ทันที

ฟางนี่รนีบอธิบายโดยเร็วว่า

“คุณฟู่ตอนนี้เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าค่ะ? จ้าวเฉียนไม่ใช่พนักงานของบริษัทดิฉันอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่เขากระทำลงไปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดิฉันเลย คุณฟู่…”

“หุบปาก! ถ้าเขาไม่เห็นแก่บริษัทคุณ มีหรือจะมาแก้แค้นผมแบบนี้! ผมว่าผมคงใช้ไม้อ่อนกับคุณเกินไป ทุกบริษัทที่ทำธุรกิจร่วมกับเหล่ยอู่ในปัจจุบัน จะไม่ให้ความร่วมมือหรือช่วยเหลือใดๆกับบริษัทฟางนี่ของคุณอีกต่อไป ทั้งจากนี้และในอนาคต!”

ฟู่เทียนกรนด่าสาปแช่ง พร้อมข่มขู่ด้วยความโกรธจัด

ฟางนี่เองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เธอรู้ดีว่าต่อให้อธิบายไปอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เธอจึงทำได้เพียงเอ่ยถามไปว่า

“ตอนนี้คุณฟู่อยู่ไหนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้”

“ไม่จำเป็น!”

ฟู่เทียนคำรามเสียงดังพร้อมตัดสายทิ้งไปทันที

จางหยางกล่าวเย้ยขึ้นทันที

“ดูสิ! ผมบอกแล้วว่าทั้งหมดมันเป็นความผิดของจ้าวเฉียน แต่คุณก็ไม่เชื่อ! ตอนนี้ยังมีอะไรจะพูดแทนเขาอีกไหม?”

“คุณรออยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะขึ้นไปหาจ้าวเฉียน แล้วถามเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

ฟางนี่ลุกจากเก้าอี้ออกไปทันทีหลังกล่าวจบ ขณะเดียวกันก็หยิบมือถือโทรหาจ้าวเฉียนโดยตรง

จางหยางเองก็ไม่นิ่งดูดาย รีบลุกออกไปตามฟางนี่ทันที

จ้าวเฉียนรับโทรศัพท์ทันทีพร้อมทักทายน้ำเสียงแจ่มใสว่า

“ว่าไงครับ? อยากขึ้นมาดินเนอร์ด้วยกันเหรอครับ?”

ฟางนี่รีบอธิบายเหตจุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที และเอ่ยถามไปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จ้าวเฉียนยิ้มตอบแค่เพียงว่า

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกีบคุณครับ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับตระกูลฟู่”

ฟางนี่เอ่ยตอบเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“แต่…แต่เขาไม่เชื่อไง ที่นายทำไปทั้งหมดนี้ก็จงใจแก้แค้นพวกฉันงั้นเหรอ? จ้าวเฉียนช่วยเห็นแก่หน้าตาของบริษัทฉันหน่อยได้ไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะใส่ทันทีและตอบไปว่า

“คุณฟาง ชอบล้อเล่นจริงๆนะครับ? ทำไมผมต้องเห็นแก่บริษัทคุณด้วย? คุณเป็นคนไล่ผมออกเองนะครับ ใครดีผมก็ดีตอบ ใครเลวผมก็เลวใส่ แค่นั้นเองครับไม่เห็นยาก”

ฟางนี่ถึงกับพูดไม่ออก จางหยางที่ยืนฟังอยู่เคียงข้างถึงกับทนไม่ไหว คว้าโทรศัพท์ออกจากมือฟางนี่และสบถด่าทันทีว่า

“จ้าวเฉียน! นี่แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า?! ถ้าจะสู้กันจริงๆทำไมไม่สู้กันอย่างเปิดเผยล่ะ? ตอนแรกพวกเราพนันกัน นายแพ้ก็สมควรรับโทษคือการลาออก แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาเล่นไม่ซื่อ โจมตีบริษัทฉันแบบนี้! แพ้ไม่เป็นรึยังไง!”

“ขอโทษนะครับคุณจางที่ต้องถามแบบนี้ คุณปัญญาอ่อนรึเปล่า? ผมยังไม่ได้เอ่ยชื่อบริษัทของคุณเองแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นความคับข้องใจส่วนตัวระหว่างผมกับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณเลย ถ้ายังใส่ร้ายผมอยู่แบบนี้ ผมจะแจ้งตำรวจจับคุณในข้อหาหมิ่นประมาทนะครับ”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพและกดวางสายไปทันที ประหนึ่งว่ายกตีนขึ้นมาลูบหน้าอีกฝ่ายอย่างประณีตและจากไปทั้งแบบนั้น

ฟางนี่คว้าโทรศัพท์คืนมาจากมือจางหยาง และตวาดใส่ทันทีว่า

“จางหยาง! หรือคุณโง่อย่างที่คนอื่นว่าไปจริงๆ! หลายสิ่งหลายอย่างในขณะนี้ยังเลวร้ายไม่พอรึไง ถึงได้ทำให้เรื่องราวทั้งหมดมันแย่ไปกว่าเดิม! คุณมันอวดเก่งแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยจริงๆ! ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างมันเลวร้ายจนถึงจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว!”

จางหยางระเบิดหัวเราะเยาะเย้ยใส่ทันทีและตอบกลับไปว่า

“ฟางนี่ ผมเป็นคนดิลกับบริษัทเหล่ยอู่มาได้นะ ตามที่สัญญาลืมอะไรไปรึเปล่า?”

“ฉันไม่ลืม! ตามที่สัญญาไว้ ถ้าคุณทำงานนี้ได้สำเร็จ ฉันจะยกสิทธิ์การบริหารให้ แต่ตอนนี้มันถือว่าสำเร็จไหมล่ะ!? เคยทำอะไรแล้วมันดีขึ้นบ้างไหม? สมควรแล้วที่คนอื่นด่าคุณว่าโง่!”

ฟางนี่ด่ากลับอย่างสุดจะทนแล้วจริงๆ

จางหยางยักไหล่ตอบอย่างช่วยไม่ได้และตอบไปว่า

“ก็จ้าวเฉียนมันทำลายแผนของผมไปหนิ ช่วยไม่ได้ คนที่คุณเชื่อใจนักเชื่อใจหนา สุดท้ายมันนี่แหละที่ทำให้ชีวิตของคุณพังพินาศ! แล้วถามจริงๆเถอะนะ ตั้งแต่ที่คุณก่อตั้งบริษัทมา เคยจัดทำแผนการดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพอย่างผมไหม? จริงสิ พอไม่มีมันอยู่ในบริษัทแล้ว ก็โยนความผิดทั้งหมดมาให้ผมแทน ผมกลายเป็นแพะรับบาปไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ผมเริ่มคิดแล้วนะว่า คุณคู่ควรที่จะแต่งงานกับผมจริงๆไหม?”

ในเวลานั้นเอง ก็มีพนักงานหลายคนเดินผ่านเข้ามา และหนึ่งในนั้นเป็นพนักงานสาวที่ต้อนรับสองคนนั้นเข้ามา

“นี่ นี่ นี่…พวกเธอเห็นสองคนนั้นไหม? พวกนั้นแหละที่จะขอเงินคืน ตอนนั้นฉันแทบกลั้นขำไม่อยู่แหนะ!”

“จริงสิ? สองคนนี้ก็ดูแต่งตัวมีฐานะดีนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะกล้าขอเงินคืนแบบนั้น?”

“นี่เธอตาถั่วรึไง? ดูหนังหน้าก็รู้แล้วว่ามีเงินรึเปล่า?”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก อย่างคุณผู้ชายคนนั้นไง แต่งตัวดูธรรมดามาก แต่กลับมีบัตรVIP คนรวยจริงเขาไม่พูดเยอะกันหรอก”

“ใช่ ใช่…”

จางหยางที่หัวเสียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินพวกพนักงานมายินนินทา เขายิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ โดยธรรมชาติคนอย่างเขามีหรือจะทนให้คนพวกนี้นินทาได้?

“หุบปากไปเลย! คนอย่างฉันสามารถกินข้าวทุกมื้อที่นี่ได้เป็นปี!”

แม้พวกเธอเหล่านี้จะเป็นแค่พนักงานธรรมดา แต่ที่นี่คือโรงแรมตงไห่ โรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมืองตงไห่แห่งนี้ พวกเขาย่อมมีวุฒิการศึกษาและสถานะที่สุงกว่าพนักงานโรงแรมอื่นทั่วไปมาก กล่าวได้ว่าทั้งมีเกียรติและความภูมิใจที่ได้เป็นลูกจ้างของโรงแรมตงไห่แห่งนี้ มีหรือจะกลัวแค่ผู้จัดการบริษัทกระจอกแบบจางหยาง?

“ไร้สาระจริงๆ หรืออยากให้ลูกค้าท่านอื่นๆได้ยินเรื่องน่าอายแบบนี้ด้วย?”

“ถูกต้อง! ฉันว่าคุณลูกค้าเลิกขี้โม้ก่อนดีกว่าค่ะ”

“กินข้าวทุกมื้อในที่แห่งนี้ได้เป็นปีเลยเหรอค่ะ? เก่งจังเลย ดิฉันต้องเอ่ยปากชมแบบนี้ด้วยไหมค่ะ? จะบอกอะไรให้นะคะ บรรดาเศรษฐีทุกคนในเมืองตงไห่ก็กินอยู่กันที่นี่เป็นปกติอยู่แล้ว ลูกค้าท่านอื่นๆก็ไม่เห็นต้องอวดเลยนะคะ?”

ยิ่งจางหยางพยายามดิ้นรนเอ่ยปากเถียงกับพวกเธอมากเท่าไหร่ มันยิ่งลดคุณค่าของตัวเองลงมากเท่านั้น ในตอนนี้แม้แต่พนักงานเสิร์ฟยังดูถูกดูแคลนเขาเลย

ฟางนี่รู้สึกขายหน้าอย่างมาก เธอรีบดึงจางหยางกลับไปในห้องอาหารเหมือนเดิมโดยเร็ว

“นั้นๆ ขนาดเมียเขายังอายแทนเลย”

“ก็นะ เงินก็ไม่มี แถมยังขี้โม้อีก ใครได้เป็นผัวโคตรจะโชคร้ายเลย”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

หลายคนในกลุ่มพนักงานมีพวกปากไม่ดีผสมปนเป ทั้งยังมีพวกหยิ่งผยองคล้ายๆกับจางหยาง พวกเธอที่เห็นภาพฉากแบบนั้นก็อดขำกันไม่ได้

ในอีกด้านหนึ่ง สองพ่อลูกตระกูลฟู่วกกลับมาที่โรงแรมตงไห่เพื่อหาอะไรกิน แต่ก็ถูกปฏิเสธที่จะให้บริการอีกครั้ง จนเรื่องนี้ถึงหูผู้จัดการโรงแรม ฟู่เทียนกำลังเถียงกับหัวหน้าพนักงานโรงแรมอย่างดุเดือด

“ไม่ใช่ว่าเรามาขอกินฟรีสักหน่อย ทำไมถึงไม่ทำอาหารให้เรา!”

หัวหน้าพนักงานยิ้มตอบ สีหน้าดูไม่ตื่นกลัวแม้สักนิด

“คุณจ้าวเป็นแขกระดับVIPชั้นสูงของเรา เขามีสิทธิ์พิเศษมากมายในโรงแรมตงไห่แห่งนี้ และเขาไม่ต้องการให้พวกคุณสองคนรับประทานอาหารที่นี่ เราต้องขออภัยเป็นอย่างสูง

“บัดซบ! VIPแล้วไง? ฉันเองก็เป็นได้เหมือนกัน บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่?”

ฟู่เทียนเอ่ยถามด้วยความมั่นใจ

“ต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวในปัจจุบันมากกว่า100ล้านหยวน นี่เป็นคุณสมบัติพื้นฐาน จากนั้นเราจะส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังสาขาแม่เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียดอีกครั้ง ถ้าคุณฟู่รู้สึกว่าเงื่อนไขของเราไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ก็ประทานโทษด้วยครับ เพราะทางเราต้องใช้เวลาตรวจประวัติผู้ต้องการขึ้นเป็นระดับVIPเป็นเวลาหนึ่งเดือน ดังนั้นแล้ว ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่สามารถรับประทานอาหารที่นี่ได้”

หัวหน้าพนักงานเอ่ยตอบไปตามความจริง

ในเมืองตงไห่แห่งนี้ ราคาที่ดินและบ้านเดี่ยวสูงจนน่าขนลุก การจะมีทรัพย์สินส่วนตัวเกิน100ล้านนับว่าไม่ธรรมดา แต่หลายต่อหลายคนที่ดูร่ำรวย นั้นคือการคำนวณจากทรัพย์สินหมุนเวียน เช่นเงินทุนสำรองในบริษัท เป็นต้น ดังนั้นศักดิ์จึงต่ำกว่าคำว่าทรัพย์สินส่วนตัว หากให้มาคำนวนจริงๆมีประฐานบริษัทหลายแห่งที่มีทรัพย์สินส่วนตัวไม่ถึง100ล้านก็เยอะแยะ

ในฐานะเจ้าของบริษัทเหล่ยอู่ ทรัพย์สินส่วนตัวรวมของฟู่เทียนมีเกือบ500ล้านหยวน และนี่ถือว่าผ่านคุณสมบัติพื้นฐาน แต่ทั้งหมดนี้ก็อยู่กับว่าจ้าวเฉียนจะให้ผ่านอนุมัติหรือไม่ก็เท่านั้น ซึ่งในจุดนี้คงรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

แต่สองพ่อลูกคู่นี้เคยชินกับที่ตัวเองมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นเสมอมา ไม่ว่ายังไงพวกเขาจะต้องได้กินข้าวในวันนี้ มิฉะนั้นพวกเขาสู้ขาดใจให่ตายไปข้าง

หัวหน้าพนักงานจนปัญญากับสองคนนี้แล้ว จึงทำได้เพียงโทรเรียกผู้จัดการโรงแรมให้ออกมาช่วย

ห้านาทีต่อมา ผู้จัดการก็ออกโรงมาเอง

“หุหุ คุณฟู่ดูอารมณ์ดีไม่ใช่น้อยนะครับ ถึงกับออกมาหาพวกเราเพื่อทะเลาะโดยเฉพาะเลย กลับไปหาอะไรทานที่บ้านจะดีกว่านะครับ”

“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! ฉันจะพาลูกชายของฉันมาทานข้าวที่นี่ ใครจะมีปัญหาอะไรไหม!?”

ฟู่เทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งอย่างมาก

ผู้จัดการโรงแรมไม่ได้หวาดกลัวเจ้าของบริษัทเกมเล็กๆอย่างเหล่ยอู่แน่นอน เขาส่ายหัวตอบน้ำเสียงเด็ดขาดยิ่งว่า

“ถ้ากฎของโรงแรมตงไห่ไม่ศักดิ์สิทธิ์พอ บรรดาแขกฉันสูงจะยอมทำบัตรVIPกับเราได้ยังไง? ผมขอประกาศอย่างเป็นทางการนะครับว่า คุณและทุกคนในตระกูลฟู่จะไม่สามารถรับประทานอาหารที่นี่ได้ในวันนี้ ถ้ายังหัวรั้นไม่ยอมรับความจริง ก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ”

ฟู่เทียนโกรธจัดจนเกินจะควบคุม เขากระโดดเตะแจกันยักษ์ข้างกายจนแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“กูจะทำอะไรก็ได้ที่นี่! ขอดูหน่อยว่ามึงจะกล้าทำอะไรกู!”

“คุณฟู่ คุณกำลังสร้างปัญหาให้ตัวเองอยู่นะครับรู้ตัวไหม?”

สีหน้าการแสดงออกของผู้จัดการมืดทมิฬลงในทันใด พร้อมกรนเสียงเย็นยะเยือกกล่าวขู่ขึ้นทันที

ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนก็เดินลงลิฟต์มาพอดีหลังจากทานดินเนอร์เสร็จสิ้น และประจวบเหมาะพอดีกับจังหวะที่ฟู่เทียนกระโดดเตะแจกันยักษ์ใบนั้นจนแตกกระจาย

“โอ๊ะ? คุณฟู่ดูอารมณ์ดีไม่ใช่น้อยเลยนะครับ ออกมาบริหารร่างกายยามดึกแบบนี้ ฮ่าฮ่า…คงไม่รู้สินะครับว่าแจกันที่นี่เป็นของโบราณล่ำค่าทุกชิ้น?”

จ้าวเฉียนจงใจพูดเสียงดัง และเดินตรงไปหาฟู่เทียนอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ

Related

Related

ตอนที่173 คืนสัญญา

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนและเหลียวเซียวหยุนก็มาถึงโรงแรมตงไห่ และบังเอิญเสียเหลือเกินที่ทั้งคู่ได้พบกับฟางนี่และจางหยางหน้าประตูโรงแรม

จ้าวเฉียนกล่าวทักทายขึ้นทันทีว่า

“คุณฟางกับคุณจางไม่ใช่เหรอครับ? วันนี้ผมอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย เลยมาทานดินเนอร์เล่นที่นี่ พวกคุณเองก็เหมือนกัน?”

จางหยางถอนหายใจเสียงดังใส่และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า

“ก็เพราะแกไม่ใช่เหรอ พวกฉันเลยต้องเชิญสองพ่อลูกจากบริษัทเหล่ยอู่มาดินเนอร์เพื่อขอโทษ!”

ฟางนี่เอ่ยตอบอย่างสุภาพว่า

“จ้าวเฉียน นายไม่ต้องคิดมากหรอกนะ เอ่อ…คุณเหลียว ดิฉันต้องขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับโอกาสที่มอบให้แก่เรา ดิฉันสัญญาว่าจะทำโปรเจคนี้ออกมาให้ดีที่สุด!”

เหลียวเซียวหยุนถอนหายใจเสียงหนักสวนตอบ เธอกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ไม่ต้องขอบคุณ ฉันคิดว่าสามีของคุณงี่เง่าเกินไป และบริษัทหัวโหย้วของเราไม่ต้องการร่วมมือกับคนโง่เง่าแบบนี้! โปรเจคความร่วมมือถูกยกเลิกแล้ว เตรียมโดนฟ้องได้เลย!”

ฟางนี่ตกใจอย่างมากเมื่อได้ยิน และรีบขอโทษทันทีว่า

“เรื่องจ้าวเฉียน ดิฉันต้องขอโทษแทนสามีด้วยจริงๆ ค่ะ จางหยาง คุณรีบขอโทษคุณเหลียวเดี๋ยวนี้เลยนะ! แล้ววันหลังห้ามพูดอะไรเด็ดขาดหากฉันไม่อนุญาติ!”

จางหยางยังคงหัวสูงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แทนที่จะขอโทษกลับเอ่ยถามไปแทนว่า

“สัญญาความร่วมมือของคุณเหลียวก็แค่โปรเจคเล็กๆ จะยกเลิกก็ยกเลิกไปเถอะ แล้วเจอกันที่ศาล!”

ฟางนี่ที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งโกรธจัดเข้าไปใหญ่ เธอตวาดใส่ทันทีว่า

“จางหยาง! หุบปาก! ถ้าไม่คิดจะขอโทษก็เข้าไปได้แล้ว!”

จางหยางโดนฟางนี่ตวาดใส่ราวกับแม่สั่งสอนลูกชาย เขาเดินเชิดหน้าใส่เข้าไปในโรงแรมอย่างไม่สนใจอะไร

ฟางนี่รีบโค้งศีรษะขอโทษเหลียวเซียวหยุนโดยเร็ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับคำขอโทษ

“ไม่ต้องมาขอโทษ ตราบใดที่สามีโง่ๆ ของคุณยังไม่สำนึก แล้วอีกอย่างนะ ฉันบอกว่ายกเลิกคือยกเลิก หากต้องการจะฟ้อง ทางพวกเราหัวโหย้วเองก็เตรียมทีมทนายความไว้พร้อมอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นฝ่ายชนะเตรียมตัวโดนฟันหัวแบะแน่! จ้าวเฉียน ไปกันเถอะ”

เหลียวเซียวหยุนฉุดแขนจ้าวเฉียนลากเข้าไปในโรงแรมทันทีหลังพูดจบ ในขณะนั้นเองก็ดันไปเจอหน้ากับฟู่เทียนและฟู่เอ๋อร์ลูกชายของเขา

สภาพของฟู่เอ๋อร์ดูไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากโดนพวกหยางหู่สั่งสอนไปชุดใหญ่ ตอนนี้บริเวณศีรษะของเขายังถ๔กพันด้วยผ้าก๊อชชั้นหนา แขนขวาก็เข้าเฟือกอยู่

พอเห็นเหลียวเซียวหยุนควงแขนจ้าวเฉียน ฟู่เอ๋อร์ก็เดือดจัดทันที

“ไอ้เลว! แกยังกล้ายุ่งกับเซียวหยุนของกูอีกเหรอ? มึงอยากตายนักใช่ไหม?”

ฟู่เอ๋อร์รีบวิ่งไปหาจ้าวเฉียนคล้ายว่าจะหาเรื่อง

จ้าวเฉียนเหลือบมองอีกฝ่าย ปรายหางตามองเล็กน้อยอย่างดูถูกโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ เลย

“ยังไม่เจียมตัวอีกเหรอครับ?”

ในเวลาเดียวกันฟู่เทียนกังวลอย่างยิ่งว่า ลูกชายของเขาจะตกอยู่ในอันตรายอีกระลอก จึงรีบวิ่งไปกอดและกล่าวปลอบโยนว่า

“เสี่ยวเอ๋อร์ พอเถอะลูก หยุดได้แล้ว…หยุดได้แล้ว…”

“พ่อ! ดูสิ่งที่มันทำกับผมสิ! แล้วทำไมยังต้องห้ามผมอีก? พ่อคือพ่อผมนะ พ่อต้องแก้แค้นให้ลูกคนนี้!”

ฟู่เอ๋อร์โวยวายเสียงดังลั่น

ฟู่เทียนเองก็ทั้งโกรธและอึดอัดไม่ต่าง แต่อย่างไร คนที่สามารถโทรเรียกให้หยางหู่ออกโรงได้ คนๆ นั้นต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน นั้นหมายความว่าการจะไปหาเรื่องจ้าวเฉียน มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

อย่างน้องที่สุด ภายในเมืองตงไห่แห่งนี้ ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับหยางหู่ เว้นเสียแต่ระดับภาครัฐ ไม่ใช่ว่าแก๊งเหล่ยอู่อ่อนแอกว่า แต่การจะทำศึกกับผู้ทรงอำนาจระดับหยางหู่ ถึงจะเอาชนะมาได้ แต่แก๊งของเขาเองก็คงประสบความสูญเสียเกินครึ่งแน่นอน ฟู่เทียนคงไม่เลือกทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้แน่นอน

หากไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มที่ชื่อจ้าวเฉียนได้ ดังนั้นจะจองล้างจองผลาญทำไมให้เสียอารมณ์?

เนื่องจากฟู่เทียนทำอะไรจ้าวเฉียนไม่ได้ เขาจึงเบี่ยงประเด็นไปหาเรื่องฟางนี่แทน

“คุณฟางนี่มันหมายความว่ายังไง? จงใจเรียกเขามายั่วโมโหพวกผมงั้นเหรอ? ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะร่วมมือกันอย่างไร แต่พฤติกรรมแบบนี้มันไม่น่ารังเกียจเกินไปหน่อยเหรอ? เป็นแค่บริษัทเล็กๆ แท้ๆ แต่กล้ามายั่วยุพวกผมแบบนี้ คิดว่ามันตลกมากงั้นเหรอ!”

ฟางนี่รีบขอโทษฟู่เทียนทันทีว่า

“คุณฟู่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดระคะ ดิฉันต้องขอโทษจริงๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองถามพวกเขาดูได้ค่ะ”

“ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ แต่ตอนนี้คุณทำให้ผมโกรธมาก! ผมคิดว่าคุณคงไม่ต้องการร่วมมือกับเราแล้ว ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกันอีก กลับ!”

ทันทีที่พูดจบฟู่เทียนก็พาลูกชายออกไปยังประตูโรงแรมทันที

ฟู่เอ๋อร์ตามสถานการณ์ไม่ทัน เอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า

“พ่อนี่มันหมายความว่ายังไง? ไม่ต้องการจะเอากำไรแล้วรึไง?”

“หึ! การทำธุรกิจต้องใช้เล่ห์กล คอยดูพ่อเฉยๆ ก็พอ”

ฟู่เทียนลอบแสยะยิ้มเล็กน้อย

ฟางนี่รีบวิ่งตามไปขอโทษโดยเร็วว่า

“คุณฟู่ ดิฉันต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ไม่ว่าอะไรพดิฉันก็ยอมทั้งนั้น ใจเย็นก่อนนะคะ!”

“ถือว่าพูดแล้วนะครับ? ได้! ค่าตอบแทนของคุณที่ระบุไว้ในสัญญาต้องตัดครึ่งหนึ่งเพิ่มให้แก่เหล่ยอู่ของเรา!”

“คุณฟู่…สัญญาฉบับนั้นที่จัดทำขึ้นมาให้คุณ มันดีที่สุดแล้วนะคะ อัตราส่วนกำไรขั้นต้นที่ทางดิฉันได้ไม่ถึง10%ด้วยซ้ำ ถ้าหั่นครึ่งอีก บริษัทดิฉันไม่เหลือกำไรแล้วแน่นอนนะคะ!”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีกแล้ว!”

ฟู่เทียนกล่าวสะบั้นความสัมพันธ์อย่างไร้ความปราณี และพาลูกชายออกจากโรงแรมทันที

ภายในใจฟู่เอ๋อร์ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นที่มีต่อจ้าวเฉียน คู่สายตาแหลมคมเหลือบมองจ้าวเฉียนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันก็ไม่ปาน แต่ท้ายที่สุดเขาจำต้องถูกพ่อลากออกไปจากโรงแรม

ภายในชั่วเวลาสั้นๆ ทั้งโปรเจคของหัวโหย้วและเหล่ยอู่มลายหายไปกลางอากาศในพริบตา หัวใจของฟางนี่แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี เธอรีบวิ่งไปหาจ้าวเฉียกอีกครั้ง และขอร้องทั้งน้ำตาว่า

“จ้าวเฉียน ช่วยฉันด้วยเถอะนะ!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะใส่คำหนึ่งและตอบไปว่า

“คุณฟาง ก่อนจะไล่ผมออกเคยคิดถึงเรื่องพวกนี้ก่อนไหมครับ? คิดว่าผมจะช่วยคุณเหรอ?”

“ฮึก…ฮึก…”

ฟางนี่นทั้งเสียใจทั้งละอายใจเกินกว่าจะอ้อนวอนจ้าวเฉียน ตอนที่เธอได้รับโปรเจคจากเหล่ยอู่ กลับเป็นเธอที่ไม่คิดรั้งจ้าวเฉียนไว้เลย พอจะมาขอร้องอ้อนวอนตอนนี้กลับสายเกินไปเสียแล้ว

จ้าวเฉียนยักไหล่อย่างไม่สนใจ และพาเหลียวเซียวหยุนเดินขึ้นลิฟต์ไปชั้นเจ็ดเพื่อทานดินเนอร์อย่างสบายใจ

ในอีกด้านหนึ่ง ฟางนี่กับจางหยางก็กำลังมีปากเสียง ทะเลาะกันอย่างหนัก

“ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ! ทำไมต้องหาแต่เรื่องให้จ้าวเฉียนกันห๊ะ!? ผลงานที่ผ่านมาของเขาดีถึงดีมาก ที่บริษัทเติบโตได้จนถึงวันนี้ก็เพราะเขา! แล้วทำไมคุณต้องทำลายทุกอย่างทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตาฉันแบบนี้! คุณทำได้ลงคอได้ยังไง!!”

ฟางนี่ตะโกนโวกเวยโวยวายเสียงดังลั่น ตอนนี้เธอแทบคลั่งไปแล้ว

จางหยางก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นใจเกินพรรณนา เขาตอบกลับไปว่า

“คุณก็สนใจแต่เงิน เงิน เงิน แล้วก็เงิน!! แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ผมจะรู้สึกยังไง! ผมเป็นสามีคุณนะ แล้วทำไมชอบหักหน้าต่อหน้าทุกคนอยู่เรื่อย! เออใช่สิ! ผมมันไม่ดีเท่าจ้าวเฉียนมัน! เขาทั้งฉลาด ทั้งหล่อ ทั้งมีไหวพริบ! ผมเองก็พยายาม กำลังพยายามเพื่อให้บริษัทดีขึ้นเหมือนกัน! แต่คุณก็สนใจแต่เงิน สนใจแต่มัน! เคยนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นสามีดูบ้างไหม!?”

“ก็อยู่กับเขา ทำงานร่วมกับเขาดีๆ ไม่ได้รึไง! คุณทำงานในแบบของคุณ เขาเองก็ทำงานในแบบของเขา บริษัทเราก็จะได้ประโยนช์สองต่อไง! อะไรดีฉันก็ชื่นชมไปตามเนื้อผ้า แต่คุณนั้นแหละที่เอาแต่สร้างปัญหา สร้างปัญหา แล้วก็สร้างปัญหาให้เขา!!”

ฟางนี่แหกปากเสียงดังไปทั่วโรงแรม

“ตราบใดที่มันยังอยู่ในบริษัท ทุกคนก็เอาแต่สนใจมันเสมอ! โปรเจคแทบทั้งหมดของบริษัทก็มาจากมัน แล้วผมจะอยู่ได้ยังไง! แล้วผมจะได้แสดงความสามาถตอนไหน! แล้วคุณก็เอาแต่เข้าข้างมัน เคยรู้สึกละอายใจบ้างไหม?”

จางหยางตะคอกกลับเจือน้ำเสียงดูโศกเศร้าไม่น้อย

ท้ายที่สุดนี้ จางหยางเป็นคนที่หัวสูงเกินไป เขาคิดว่าตราบใดที่ไม่มีจ้าวเฉียนอยู่ในบริษัท เขาจะต้องเฉิดฉายอย่างแน่นอน

ฟางนี่เองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอไม่เข้าใจเหตุผลของเขาเลยแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี? ฉันจ่ายค่าเปิดห้องพร้อมอาหารเรียกน้ำย่อยไปหมดแล้ว เราควรกินมันดีไหม? ไม่ให้เสียของไปฟรีๆ?”

สีหน้าของฟางนี่ดูทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

จางหยางครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันจะลองไปคุยกับพนักงานเอง ว่าสามารถคืนเงินได้ไหม?”

จางหยางทำตามที่กล่าว พร้อมยกมือเรียกพนักงานคนหนึ่งเข้ามาสอบถาม

“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าค่ะ?”

พนักงานสาวคนนั้นเอ่ยถามอย่างสุภาพ

ฟางนี่อายเกินกว่าจะพูดออกมาได้ แต่เธอเองก็ทราบดี คนอย่างจางหยางไม่มีทางเสียหน้าแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะภรรยาที่ดี เธอต้องเป็นฝ่ายออกมารับผิดชอบแทนเขา

“เอ่อ…ห้องอาหารที่จองไว้ในชื่อฟางนี่ อาหารภายในห้องพวกเรายังไม่ได้แตะเลย เอ่อ…ทางเราขอเงินคืนได้ไหม?”

พนักงานสาวคนนั้นถึงกับตะลึงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เธอไม่เคยเจอลูกค้าแบบนี้มาก่อนเลย ลูกค้าโดยส่วนใหญ่ที่มาต้องมีเงินไม่มากก็น้อย กับแค่อาหารเรียกน้ำย่อย ถ้าไม่กินอย่างมากก็ปล่อยไว้ให้บริกรมาเก็บจานทิ้งเอง แต่ไม่เคยมีใครกล้าขอคืนเงินเลยสักคน

“ต้องประทานโทษด้วยนะคะ อาหารของทางเราทำเสิร์ฟแบบจานต่อจานตามคำสั่งของคุณลูกค้า ถ้าไม่ต้องการรับประทาน ทางเราจะต้องนำไปทิ้งทันที ไม่สามาถคืนเงินให้ได้ค่ะ”

พนักงานสาวตอบไปตามความจริง

จางหยางกล่าวขึ้นทันทีอย่างอดไม่ได้

“อาหารเรียกน้ำย่อยที่ผมสั่งเป็นเมนูยอดนิยมของที่นี่ไม่ใช่เหรอ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครสั่ง ถ้าเรายังไม่กินก็เอาจานของเราไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นก็สิ้นเรื่อง จะทิ้งทำไม?”

ในเมื่อลูกค้าเป็นแบบนั้น พนักงานสาวคนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพอีกต่อไป เธอหุบยิ้มทันทีและกล่าวอย่างไร้หางเสียงขึ้นทันทีว่า

“เพราะนี่เป็นกฎของโรงแรมตงไห่ของเรา เราต้องเสิร์ฟอาหารสดใหม่อยู่เสมอให้แก่ลูกค้าที่เข้ามารับประทาน แม้พวกคุณจะยังไม่ได้แตะต้องอาหารเหล่านั้นเลยก็ตาม แต่ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป ก็ไม่เท่ากับทำลายมาตรฐานของโรงแรมเราโดยเปล่าหรอกเหรอค่ะ? ถ้าวันหลังไม่มีเงินก็เชิญไปจองโรงแรมที่อื่นเอานะคะ ส่วนห้องอาหารที่จองไว้จะกินหรือไม่กินก็เชิญค่ะ”

ทันทีที่พูดจบพนักงานสาวคนนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที ลูกค้าที่ขอเงินคืนก็แค่ลูกค้าเกรดต่ำ เธอไม่จำเป็นต้องบริการพวกเขาอีกต่อไป

ฟางนี่ยิ่งรู้สึกขายหน้าเข้าไปใหญ่ แทนจะอึดอึดใจอย่างมาก เธอจ่ายเงินไปกว่า300,000หยวนกับดินเนอร์มื้อนี้ แต่อย่างไรจางหยางก็คิดว่า ทั้งหมดเป็นความผิดของจ้าวเฉียน

หากจ้าวเฉียนไม่ปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้ สองพ่อลูกตระกูลฟู่คงไม่ยกเลิกความร่วมมือเช่นกัน และถ้าจ้าวเฉียนไม่ไปมีเรื่องกับลูกชายของฟู่เทียน เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าอาหารมื้อนี้ไปฟรีๆ เพื่อไถ่โทษเช่นกัน

ในท้ายที่สุดนี้ จางหยางสรุปได้ว่า ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของจ้าวเฉียนทั้งสิ้น!

Related

Related

ตอนที่172 ฉากหวาน

ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมพอ จะเห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เหลียวเซียวหยุนจะใช้ปากประกบกับจ้าวเฉียน เพื่อนำกระดาษโน้ตออก เธอต้องใช้วิธีการคาบปลายแผ่นแทน แต่อย่างไรทุกคนพร้อมใจช่วยให้ทั้งสองได้จูบกัน ตราบใดที่ทำสำเร็จ จ้าวเฉียนจะต้องพอใจอย่างมากเป็นแน่ พวกเขาหวังใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่จ้าวเฉียน

โดยปกติแล้ว คนเป็นผู้ชายย่อมมีความสุขอย่างมากปแน่นอนถ้าฝ่ายตนเองได้เปรียบ ตราบเท่าที่สามารถสร้างความสุขให้กับจ้าวเฉียนได้ พวกเขาย่อมมีโอกาสร้องขอสิ่งต่างๆให้สมปรารถนาได้

เหลียวเซียวหยุนพยายามคาบส่วนที่เหลือออกมา เธอไม่กล้าสบตากับจ้าวเฉียนเลยแม้แต่น้อย เธอไม่ใช่คนโง่สักหน่อยที่จะไม่รู้ว่า สถานการณ์มันค่อนข้างสองแง่สองง่าม

เมื่อเห็นว่าเหลียวเซียวหยุนกล้าๆกลัวๆที่จะเผชิญหน้ากับจ้าวเฉียน ก็เป็นเฉินโฉวที่แสร้งทำเป็นล้มผลักร่างของเหลียวเซียวหยุน จนท้ายที่สุดทั้งสองก็ประกบจูบกันจนได้

เมื่อเห็นว่าทั้งสองจูบกันแล้ว ทุกคนแสร้งทำเป็นส่ายหัว ทั้งยังผลักเหลียวเซียวหยุนเข้าไปในอ้อมแขนของจ้าวเฉียน

“โอ้โห เซียวหยุน เธอมากเกินไปแล้วนะ! นี่เป็นแค่เกม ทำไมจูบกันดูดดื่มขนาดนั้นล่ะ?”

“มากเกินไปจริงๆ! นี่ไม่เห็นพวกเราอยู่ตรงนี้เลยเหรอ?”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ถ้าฉันมีแฟนทั้งหล่อทั้งดีแบบคุณจ้าว ฉันเองก็คงอดใจไม่ไหวที่จะจูบเขาเหมือนกัน”

“ฮ่าฮ่า…”

เหลียวเซียวหยุนรีบลิ้นออกจากอ้อมแขนของจ้าวเฉียนทันที และบ่นขึ้นว่า

“ไอ้พวกนี้! ไหนว่าแค่เล่นเกม แล้วทำไมต้องผลักให้ฉันจูบกันด้วย! ถ้าเป็นแบบนี้ใครจะกล้ามางานเลี้ยงอีกในอนาคต!”

แม้เหลียวเซียวหยุนจะเอ่ยปากบ่นไม่หยุด แต่ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำอย่างเขินอาย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้โกรธเลย แถมลึกๆแล้วยังดูมีความสุขเสียอีก

“เป็นผัวเมียกัน ทำไมต้องอายด้วย?”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว อย่าบอกนะว่า พวกเธอสองคนไม่เคยจูบกันมาก่อนน่ะ?”

“ฉันไม่เชื่อหรอก! หนุ่มหล่อกับสาวสวยจะไม่เคยขึ้นเตียงกันเลยรึไง?”

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกอายเกินว่าจะพูดอะไรใดๆออกไป จะบอกว่าจ้าวเฉียนเป็นแฟนปลอมๆของเธอก็ไม่ได้ จึงจำใจตอบไปว่า

“จะ-จะเป็นไปได้ยังไง? นี่มันเรื่องปกติของคู่รักนะ แต่เรื่องแบบนี้จะให้ทำต่อหน้าคนอื่นก็ดูไม่เหมาะสม! ฉันอายเป็นนะ! พวกเธอลองคิดดูสิที่ต้องจูบแฟนตัวเองต่อหน้าเพื่อนๆทุกคน!”

เหลียวเซียวหยุนพยายามจับหัวของบรรดาคู่รักคนอื่นๆให้จูบกัน แต่อย่างไรพวกเขาทั้งหมดเป็นคู่รักกันจริงๆ และไม่จำเป็นต้องบังคับด้วยซ้ำ พวกเขาก็จูบกันอย่างดูดดื่มให้ดู

จากนั้นทุกคนต่างโวยวายกันใหญ่ บ่นว่าเหลียวเซียวหยุนคิดมากเกินไป จากนั้นก็เริ่มเล่นเกมส่งกระดาษโน้ตต่อในรอบที่สอง

เมื่อกระดาษโน้ตถูกส่งต่อมาถึงปากของลี่หลิง แต่คราวนี้มันแทบไม่เหลือส่วนกระดาษอยู่เลย ดังนั้นจ้าวเฉียนไม่กล้าเสี่ยง จึงยกมือขอยอมแพ้และกระดกไวน์แก้วในมือจนหมด

“ว้าว! คุณจ้าวนี่สุภาพบุรุษจริงๆนะครับ เป็นผมคงแอบฉวยโอกาสไปแล้ว! ฮ่าฮ่า…”

เฉินโฉวกล่าวยกย่องจ้าวเฉียน

“เซียวหยุน เธอนี่สายตาเฉียบคมจริงๆ! ถ้าในอนาคตเลิกรากับคุณจ้าว อย่าลืมโทรเรียกฉันนะ ฉันจะตามจีบเขาต่อเอง!”

ลี่หลิงแอบพูดติดตลก

“ฮ่าฮ่า…”

มินหมินเพื่อนสาวอีกคนของเหลียวเซียวหยุน เธอกล่าวขึ้นด้วยความอิจฉาว่า

“เซียวหยุน ฉันอิจฉาเธอจริงๆนะที่ได้คุณจ้าวมาเป็นแฟนเนี่ย อืมม…วันไหนว่างๆพวกเราไปทานอาหารเย็นกันดีไหม คุณจ้าวก็พาเพื่อนๆคุณมาแนะนำให้ฉันรู้จักด้วย”

เพื่อนสาวคนอื่นๆที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็เสนอตัวด้วยทันนที และขอร้องให้จ้าวเฉียนแนะนำพวกเธอให้กับเพื่อนที่รู้จักกันหน่อย บางทีพวกเธออาจจะโชคดีแบบเหลียวเซียวหยุนก็เป็นได้

พวกผู้หญิงเหล่านั้นจริงจังอย่างมาก และต่างคิดกันไปว่าถ้าจ้าวเฉียนเจ๋งขนาดนี้ บรรดาเพื่อนฝูงของเขาก็ต้องเจ๋งมากเช่นกัน ถ้าหากได้แฟนจากในกลุ่มเพื่อนของจ้าวเฉียน พวกเธอจะต้องมีอนาคตที่แสนสดใสรออยู่แน่นอน

ยิ่งรู้ว่าพวกเธอคิดอย่างไร จ้าวเฉียนก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น ประเภทที่หวังเกาะผู้ชายกินแบบนี้ เขาเกลียดเป็นที่สุด เช่นนั้นแล้วจึงตอบกลับทันทีว่า

“บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหมด ฉันคงดูแย่ที่สุดแล้ว พวกเขาต่างมีเป้าหมายในชีวิต แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ค่อนข้างมีอายุกันหมดแล้ว คงไม่เหมาะกับพวกคุณเท่าไหร่”

มินหมินได้ยินแบบนั้นจึงตอบกลับไปว่า

“เรื่องความรักมันไม่ได้มองกันที่อายุสักน้อย ตราบใดที่ชอบพอกัน เรื่องอื่นๆก็ไม่ใช่ปัญหา คุณจ้าวช่วยแนะนำให้ฉันสักคนนะ บางทีฉันอาจจะเข้ากับเพื่อนของคุณได้เป็นอย่างดี”

เป็นที่ชัดเจนแล้วมินหมินคนนี้โลภมากขนาดไหน จ้าวเฉียนปั้นสีหน้าแสดงความรังเกียจออกมาทันที

“ลืมไปเถอะ ผมว่าคุณยังไม่ดีพอสำหรับพวกเขา”

ทุกคนต่างเห็นว่าจ้าวเฉียนเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจ ดังนั้นพวกเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องและเล่มเกมกันต่อไป

แต่มินหมินไม่ตัดใจยอมแพ้แค่นี้หรอก เธอเบื่อหน่ายเต็มทนกับความยากลำบากในชีวิตที่สิ้นหวังราวกับก้นบึ้งไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่าคนที่เธอต้องคบด้วยจะเป็นชายชรา แต่เพื่อได้มาซึ่งเงินทองและความมั่นคง ต่อให้แก่แค่ไหนเธอก็ยอมทั้งนั้น

มินหมินแอบขยิบตาให้เหลียวเซียวหยุน และทั้งสองก็ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อพูดคุยกัน

เหลียวเซียวหยุนเปิดฉากเอ่ยถามขึ้นทันทีพร้อมน้ำเสียงดูแคลนว่า

“มีอะไร? อยากได้แฟนเป็นเพื่อนของจ้าวเฉียนขนาดนั้นเลย?”

เพื่อความสุขสบายในชีวิต บางทีต้องขอไร้ยางอายกันบ้าง มินหมินไม่ได้รู้สึกละอายใจแม้สักนิดและกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“ฉันเองก็อยากมีเงินมีทองใช้เหมือนกันนะ พวกเราก็โตๆกันแล้ว ควรคิดเรื่องแต่งงาน ถือซะว่าช่วยเพื่อนหาแฟนก็ยังดีนะ”

“เธอเองก็ใช่ว่าจะยากจนขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ? ต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอ?”

มินหมินหัวเราะแห้งเล็กน้อย ตอบไปอย่างจนใจว่า

“ฉันรู้ว่านี่มันหมายความว่ายังไง แต่ฉันก็อยากได้ผู้ชายสักคนมาอยู่เคียงข้าง”

เหลียวเซียวหยุนหัวเราะเยาะและเอ่ยตอบไปว่า

“จะว่ามีก็มีนะ ภรรยาอายุ60ของเขาเพิ่งเสียไปเองด้วย เขาเป็นเจ้าของห้องชุดห้าแถวในเขตเมืองตงไห่ นี่พอจะเหมาะสมกับเธอไหม?”

“ภรรยาอายุ60เลยเหรอ แสดงว่าเขาเองก็คงอายุไม่ห่างกันมาก เอ่อ…พวกเขามีลูกชายกันไหม?”

มินหมินเอ่ยถามทันทีพร้อมท่าทีเก้อเขิน

“ลูกชายของพวกเขามีครอบครัวแล้ว ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขดีเลยล่ะ แต่เธอจะเข้าไปเป็นมือที่สามทำลายครอบครัวของเขารึไง? ยังไงก็เถอะ สิ่งที่เธออยากได้จริงๆฟคือเงินไม่ใช่เหรอ ก็เข้าทางพ่อไปนั่นแหละ อีกไม่กี่ปีก็คงตายตามเมียเขาไปแล้ว มรดกที่เหลือก็จะตกเป็นของเธอเลยนะ”

เหลียวเซียวหยุนไม่อยากจะคุยกับมินหมินอีกต่อไป เธอเหลือบแลสายตาด้วยความรังเกียจและเดินกลับไปในห้องคาราโอเกะโดยไม่สนใจอันใดอีกต่อไป

มินหมินบ่นพึมพำกับตัวเอง คล้ายว่ากำลังลังเลใจอยู่

เหลียวเซียวหยุนกลับเข้ามาในห้องคาราโอเกะและร้องเพลงคู่กับจ้าวเฉียนต่อ จนเวลาปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว

หลัวเสี่ยวปิดเพลงลงและกล่าวกับทุกคนว่า

“นี่มันก็ดึกมากแล้ว คราวหน้าถ้าพวกเราจะจัดงานกันอีก ทุกคนอย่างลืมมากันนะ! ใครยังไม่มีเบอร์ติดต่อกันก็รีบขอตอนนี้เลย”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอไป ภาพฉากอันแสนน่าขันก็บังเกิดขึ้นทันที บรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเหลียวเซียวหยุนไม่มีใครสักคนขอเบอร์กันและกัน แต่พวกเขาทั้งหมดวิ่งกรูไปหาจ้าวเฉียนเพื่อขอเบอร์ติดต่อโดยตรง

จ้าวเฉียนเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน แต่เพื่อแสดงบทบาทแฟนจอมปลอมของเหลียวเซียวหยุนให้ดูสมจริง เขาก็จำใจให้เบอร์ติดต่อและจากออกไป

พวกเขาประจบจ้าวเฉียนยันวินาทีสุดท้ายจริงๆ ถึงขนาดเดินออกมาส่งจ้าวเฉียนถึงรถ ขณะบิ่งรถจากไปยังไม่วายโบกมือลาจนรถของจ้าวเฉียนและรถของเหลียวเซียวหยุนลับสายตาไป

ขับผ่านถนนมาได้สักสองสามสาย จ้าวเฉียนก็จอดรถข้างทาง ขณะที่เหลียวเซียวหยุนเองก็จอดรถต่อท้ายเขาเช่นกัน

เหลียวเซียวหยุนเปิดประตูลงรถและเดินมาหาจ้าวเฉียน เธอกล่าวว่า

“วันนี้ฉันอารมณ์ดีสุดๆไปเลยล่ะ!”

เหลียวเซียวหยุนยืดเหยียดบิดขี้เกียจอย่างมีความสุข

“ถ้าอย่างนั้นไปต่อที่ห้องสักสองสามยกหน่อยไหม? ถือซะว่ากระชับความสัมพันธ์”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบอย่างกวนประสาท

คล้อยหลังได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียวเซียวหยุนก็แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที เธอเอ่ยถามกลับไปว่า

“นี่นายยังจะกวนประสาทฉันอีกเหรอ?”

“ก็ไม่ได้กวนประสาทสักหน่อย เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราก็ไม่เป็นหนี้ต่อกันแล้วนะ?”

จ้าวเฉียนกล่าว

“อยบ่าเพิ่ง นายยังไม่ได้บอกเลยนะว่าทำไม จู่ๆบริษัทเวรนั่นก็ไล่นายออกเฉยเลย?”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามเจือนเสียงหงุดหงิด

จ้าวเฉียนไม่อยากจะพูดเรื่องเหล่านั้น เขาจึงส่ายหัวและตอบไปเพียงว่า

“นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ เลิกถามได้แล้ว จะกลับบ้านเลยหรือแวะหาอะไรกินก่อน?”

“นี่ยังเป็นคำถามได้อีกเหรอไง? ก็ต้องไปหาอะไรกินสิ! คิดว่าอาหารในงานมันเยอะขนาดนั้นเลยรึไง? รีบขับไปที่โรงแรมตงไห่เลยนะ ฉันอยากหาอะไรอร่อยๆทาน!”

เหลียวเซียวหยุนฮัมเพลงเดินกลับขึ้นรถไปอย่างมีความสุข และบึ่งรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมตงไห่ทันที ขณะที่จ้าวเฉียนเองก็ขับตามติดไปเลยเช่นกัน

Related

ตอนที่171 เล่นเกม

หวางเจ๋อได้สติขึ้นมาหลังจากนอนสลบบนพื้นอยู่พักหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นบรรดาเพื่อนฝูงรุมล้อม เขายิ่งอับอายเกินกว่าจะทานทน

“พี่น้องทั้งหลาย ไอ้หมอนี่มันกล้าตบหน้าฉัน ทุกคนต้องล้างแค้นให้นะ! พวกเราต้องสั่งสอนมันให้หลาบจำ!”

ถ้าหวางเจ๋อพูดประโยคนี้ก่อนหน้าที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น เพื่อนร่วมชั้นของเขาคงจะช่วยแน่นอน แต่ตอนนี้ทุกคนต่างตระหนักดีแล้วว่า จ้าวเฉียนมีอำนาจอิทธิพลขนาดไหน จึงไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่คนเดียว

“นี่พวกนายยังมัวยืนนิ่งอยู่ทำไม! ฉันเป็นเพื่อนพวกนายนะ!”

หวางเจ๋อตะโกนใส่ทุกคนสุดเสียงด้วยความโกรธจัด

“หวางเจ๋อ ฉันว่านายใจเย็นก่อนดีกว่า เรื่องมันเกิดไปแล้วมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แล้วยังจะฝืนทำไม?”

“ถูกต้อง ในฐานะมนุษย์คนนึงนายต้องยอมรับความจริงให้ได้นะ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงเหล่านั้น”

“เราเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้เหมือนกับลูกทายาทเศรษฐี ความต่างชั้นทางสังคมคือความจริงที่ไม่อาจเลี่ยง ถ้าสิ่งไหนที่นายทำแล้วไม่เป็นประโยชน์ หยุดได้ก็หยุดเถอะ”

หวางเจ๋อระเบิดหัวเราะลั่นราวกับเสียสติไปแล้ว คำรามเสียงดังสนั่นว่า

“ไอ้พวกโง่! มันก็มนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอวะ! อีกไม่นานกูจะทำให้มันต้องคุกเข่าเลียเท้าให้ดู! ขยะมันก็ยังเป็นรขยะวันยังค่ำ!”

ทุกคนรีบเข้ามาขวางหวางเจ๋อไม่ให้ทำอะไรบ้าๆ ทันที แต่จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจท่าทีของอีกฝ่ายเลยแม้สักนิด เขาจงใจพูดเสียงดังขึ้นลอยๆ ว่า

“ไม่ใช่ว่าจะร้องคาราโอเกะกันไม่ใช่เหรอ? แล้วเห่าทำไม?”

เหลียวเซียวหยุนไม่สนใจที่จะอยู่ร้องคาราโอเกะต่อ เธอตรงเข้าไปคว้าแขนจ้าวเฉียนหวังจะจากออกไป

หลัวเสี่ยวรีบหยุดพวกเขาไว้โดยเร็วพร้อมกล่าวว่า

“ไม่ไปร้องคาราโอเกะกันต่อจริงๆ เหรอ? ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ไปกันเถอะ ถือว่านานๆ ทีได้มาพบปะเพื่อนเก่าแหละเซียวหยุน”

ทุกคนหยุดให้ความสนใจหวางเจ๋อที่นอนหมอบอยู่บนพื้นในทันทีและรีบพยักหน้าเห็นด้วยกันหลัวเสี่ยว แน่นอนว่าการร้องเพลงมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่คือโอกาสได้ใกล้ชิดกับจ้าวเฉียนต่างหาก

หวางเจ๋อไม่พอใจอย่างมากเมื่อเห็นสถานการร์กลับกลายเป็นแบบนี้ อละเตรียมคิดแผนที่จะบีบให้จ้าวเฉียนต้องหมอบคลานมาขอขมาเขาไว้เรียบร้อย แสยะยิ้มเหยียดหยันบนมุมปาก เขารีบลุกขึ้นและติดตามคนอื่นๆ ไป

เนื่องจากงานเลี้ยงรุ่นที่จัดกันเองครั้งนี้ มีแกนนำเป็นหลัวเสี่ยว โดยธรรมชาติแล้วเธอจึงเลือกคาราโอเกะที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงจนเกินไป

ไม่นานทุกคนก็มายังร้านคาราโอเกะชื่อPunching Bag

หลัวเสี่ยวจองห้องคาราโอเกะผ่านทางออนไลน์ไว้ หลังจากแสดงหลักฐานการจองให้พนักงานต้อนรับดู พนักงานคนนั้นก็เรียนเชิญทุกคนเข้าไปในห้องส่วนตัวโดยตรง

“คุณจ้าวครับ อยากร้องเพลงอะไรดี? ให้ผมช่วยเลือกดีไหม?”

เฉินโฉวหยิบเมนูเพลงขึ้นมากางให้จ้าวเฉียน พร้อมเรียนถามด้วยวาจาแสนสุภาพยิ่ง

จ้าวเฉียนโบกมือปัดเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ล่ะ ให้เพื่อนของคุณร้องเพลงไปนั่นแหละ ผมรอฟังอย่างเดียวดีกว่า”

“แหมไม่เป็นไรเหรอครับ! อย่าเกรงใจไปเลย แฟนของเซียวหยุนก็เหมือนคนในครอบครัวของพวกเรา! ไม่ต้องเกรงใจเลยครับ จริงไหมทุกคน!”

“ใช่แล้ว! เฉินโฉวพูดถูก! อย่าเกรงใจเลยครับ เอาแบบนี้ดีไหม เขามากันเป็นคู่ก็ต้องร้องเพลงเป็นคู่! ขอช่วงเวลาหวานๆ ให้คุณจ้าวกับเซียวหยุนหน่อยเร็ว!”

“ได้เลย ได้เลย! งั้นต้องเพลงนี้! ติ๊ด!”

My Sweetheart!

บรรดาฝูงชนเริ่มโหร้องเสียงดังชักชวนไม่หยุดหย่อน ซึ่งนี่ทำให้จ้าวเฉียนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

เหลียวเซียวหยุนเองก็เช่นกัน แต่เธอตะโกนบอกทุกคนว่า

“พอแล้ว! นี่แค่งานเลี้ยงรวมตัวเพื่อนเก่า อย่ามาบังคับกันแบบนี้!”

“ฉันก็ไม่ได้บังคับเธอสักหน่อย! เอาไปถือเล่นก็ได้นะ แล้วให้สองคนนั้นร้องด้วยกันแทน!”

เฉินโฉวหัวหมอหยิบไมโครโฟนตัวหนึ่งให้จ้าวเฉียน ส่วนอีกตัวให้หลัวเสี่ยว ถ้าเหลียวเซียวหยุนเลือกที่จะไม่ร้องเพลงก็เท่ากับว่า จ้าวเฉียนต้องร้องคู่กับหลัวเสี่ยวแทน

ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องร้องเพลงไป

จ้าวเฉียนไม่ได้คนร้องเพลงเพราะอะไร โดยเฉพาะกับเพลงเก่าแบบนี้ ทำนองร้องก็ไม่ตรง เนื้อเพลงก็ร้องผิด ฟังดูแล้วร้องเพี้ยนอย่างไม่ต้องสงสัย

“สุดยอด! คุณจ้าวร้องเพลงเพราะมากเลย! ดูท่าไปเป็นนักร้องได้เลยนะเนี่ย!”

“พูดถูกต้องที่สุด! เดี๋ยวนี้หลังจบเพลงจะมีประเมินคะแนนการร้องด้วย ต้องได้100เต็มแน่เลย!”

“เซียวหยุนเองก็ร้องเพลงดี เธอกับคุณจ้าวเหมาะสมกันที่สุดแล้ว”

….

จ้าวเฉียนอดหัวเราะพไม่ได้พอได้ยินทุกคนต่างเยินยอเขาแบบนี้ เขามาที่นี่ในฐานะแฟนหนุ่มของเหลียวเซียวหยุนและตอนนี้เขากลายมาเป็นตัวเอกของทุกคนเสียแล้ว

หวางเจ๋อลุกขึ้นมาอีกครั้ง หยิบไวน์ขึ้นมาสองแก้ว เขาส่งแก้วหนึ่งให้แก้จ้าวเฉียนพร้อมกล่าวว่า

“คุณจ้าว ผมขออวยพรให้คุณด้วยไวน์แก้วนี้ รบกวนด้วยครับ”

แต่จ้าวเฉียนเพิกเฉยต่อหวางเจ๋อโดยสมบูรณ์ และหันไปมองบนจอยักษ์หน้าห้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หวางเจ๋อทราบดีว่าตัวเองกลายเป็นหมาหัวเน่าโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงเดินกลับไปนั่งเมาคนเดียวต่อไป

หลังจากทุกคนร้องเพลงกันจนจุใจแล้ว หลัวเสี่ยวก็ปิดไมโครโฟนลงและแนะนำขึ้นทันทีว่า

“ทมุกคนคงร้องเพลงกันจนเหนื่อยแล้ว เรามาพักเล่นเกมกันเถอะ”

“เห็นด้วย! เกมอะไรดี?”

“คุณจ้าวอยากเล่นเกมอะไรครับ?”

“ใช่แล้ว! คุณจ้าวอยากเล่นเกมอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ? ส่วนพวกเราเล่นอะไรก็ได้!”

คนพวกนี้ประจบสอพลอเก่งเหลือล้น ก่อนหน้านี้ที่ห้องอาหหาร พวกเขาต่างดูถูกดูแคลนจ้าวเฉียนสารพัดวิธี แล้วดูตอนนี้สิ?

จ้าวเฉียนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า

“ทุกคนสุภาพเกินไปแล้ว นี่มันงานที่เพื่อนเก่าของพวกคุณนัดเจอกัน พวกคุณก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเองสิครับ ไม่ต้องสนใจผมขนาดนั้นก็ได้”

“คุณจ้าวนั้นแหละครับที่สุภาพเกินไป พวกเราก็คนกันเอง มาครับ อย่าปฏิบัติกันอย่างกับคนนอกเลย!”

“จริงครับ คุณจ้าวเป็นแฟนหนุ่มของเซียวหหยุน ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นในอนาคตก็อย่าเกรงใจที่จะมาปรึกษากันนะครับ ถึงเราจะไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น แต่มีเรื่องอะไรพวกเราพร้อมสนับสนุนตลอด!”

“ใช่แล้ว อย่าเห็นพวกเราเป็นคนนอกเลย มีอะไรไม่ต้องอายค่ะ พูดกันได้ตามตรงเลย พวกเราจะคอยช่วยเหลือยอย่างสุดความสามารถ”

ท้ายที่สุดนี้ พวกเราเพียงต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเฉียนเท่านั้น หากในภายภาคหน้าพวกเขามีเรื่องอะไร ตะได้คอยพึงพาจ้าวเฉียนได้ และที่กล้าเอ่ยออกไปแบบนั้นเพราะพวกเราทราบดีว่า ปัญหาที่เรียกว่าปัญหาสำหรับจ้าวเฉียน มันคงยากเกินความสามารถพวกเขาเช่นกัน แค่รับฟังอย่างเดียวก็แค่เรื่องง่ายๆ ไม่เหนื่อยแรง

มีหรือที่จ้าวเฉียนจะไม่เข้าใจความคิดของคนพวกนี้ เขาตอบกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ยังไงก็ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ แต่ถ้าผมมีปัญหาขึ้นจริง พวกคุณทุกคนคงช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน”

“ฮ่าฮ่า…นั่นสินะ”

“แต่เราก็ยังคอยรับฟัง แบ่งเบาปัญหาให้คุณจ้าวได้นะครับ”

“ใช่ครับ พวกเรายินดีรับฟังแน่นอน”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางเปลี่ยนประเด็นทันที

“เอาล่ะครับ แล้วตกลงจะเล่นเกมอะไรดี?”

หลัวเสี่ยวพยักหน้าและเอ่ยกล่าวเสียงดังฟังชัดไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันเลือกเองแล้วกัน เกมนี้พวกนายทุกคนใช้ได้แค่ปากนะ ห้ามใช้มือเด็ดขาด เอาเป็น…ส่งต่อกระดาษโน้ตแล้วกัน! ทุกคนว่ายังไง?”

“น่าสนใจนะ! ฉันโอเค!”

“ฉันก็ไม่มีอะไรโต้แย้งอยู่แล้ว!”

“ฉันเองก็ด้วย…”

ทุกคนล้วนเห็นตรงกันทั้งสิ้น หลัวเสี่ยวเรียกให้ทุกคนนั่งประจำที่ เธอหยิบกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งขึ้นมา และเริ่มคาบด้วยปากส่งต่อไปให้เพื่อนอีกคนข้างกาย

ซ้ายมือของจ้าวเฉียนคือเหลียวเซียวหยุน ส่วนขวามือเป็นหญิงสาวชื่อลี่หลิง

เมื่อกระดาษโน้ตส่งตรงถึงปากลี่หลิง เธอก็ยื่นริมฝีปากสีหวานออกไปหาจ้าวเฉียนเล็กน้อย พอประกบคู่สายตากับจ้าวเฉียน จู่ๆ เธอก็รู้สึกเขินขึ้นมาโดยพลัน ถึงขั้นหลับตาปี๋พร้อมใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เนื่องจากนี่เป็นแค่เกม จ้าวเฉียนจึงไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรเขาต้องการจะใช้โอกาสนี้ ‘แกล้ง’ เหลียวเซียวหยุนสักหน่อย

จ้าวเฉียนค่อยๆ ขยับริมผีปาก เอียงคอให้เข้าองศากับริมฝีปากของลี่หลิง เขาจูบโน้ตแผ่นนั้นอย่างดูดดื่ม แผ่นกระดาษที่ลี่หลิงคาบไว้จวนจะฉีกเต็มทน เธอหน้าแดงแจ๋รู้สึกประหม่าเกินทานทน ร่างบางของเธอสั่นสะท้าน ราวกับว่าตอนนี้ทั้งสองกำลังจูบกัน

จ้าวเฉียนตกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายจูบตอบ เขารีบชักหัวกลับทันทีและคาบกระดาษโน้ตออกมา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตา ทุกคนจึงไม่ทันสังเกตว่าจ้าวเฉียนกับลี่หลิงปากประกบกันหรือไม่?

จ้าวเฉียนใจสั่นไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลบซ่อนความตื่นตระหนก เขาจึงรีบหันไปหาเหลียวเซียวหยุนเพื่อให้เธอคาบกระดาษโน้ตส่งต่อจากเขา

เหลียวเซียวหยุนเห็นว่ากระดาษโน้ตแผ่นนี้ขาดจนแทบไม่เหลือเนื้อที่ให้เธอคาบต่อแล้ว มุ่ยคิ้วบ่นขึ้นทันทีว่า

“เหอะ แล้วฉันจะคาบต่อได้ยังไง?”

จ้าวเฉียนคายแผ่นโน้ตออกมาเล็กน้อยให้เหลือเนื้อที่ต่อ พลางกระพริบตาส่งสัญญาณให้เธอคาบตรงนี้

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกอายเกินจะรับไหว เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแทน

“โอ้ย มาดื่มอะไรตอนนี้! คุณจ้าวส่งโน้ตถึงตรงหน้าขนาดนี้แล้ว เธอต้องเล่นต่อนะ!”

คนอื่นๆ เองต่างพูดยุให้เหลียวเซียวหยุนเล่นต่อเช่นกัน หวังจะใช้โอกาสนี้ทำให้จ้าวเฉียนพึงพอใจ

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ต้องเล่นต่อนะ! เอาให้ผ่าน!”

“นี่เป็นแค่เกมน่า ไม่เห็นต้องอายเลย!”

“เหลียวเซียวหยุน แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วเหรอ?”

“นั้นสิ เซียวหยุน เธอไม่อายเหรอที่หยิบไวน์ขึ้นมาดื่มหน้าตาเฉยเลย จะเลิกเล่นกลางคันแบบนี้ไม่ได้นะ!”

ทุกคนต่างพูดยั่วยถ ทำเอาเหลียวเซียวหยุนรู้สึกละอายใจจนต้องวางแก้วไวน์ลง โดยไม่มีทางเลือกอื่นใดๆ เธอจึงทำได้เพียงค่อยขยับศีรษะเข้าใกล้จ้าวเฉียน หันปากเข้าประกบกับเขา

Related

ตอนที่170 ลงมือ

หวางเจ๋อระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข กอดหวังซินซินในอ้อมแขนและประกบจูบกันแสนดุเดือด

เหล่สายตาจับจ้องไปที่จ้าวเฉียนเชิงยั่วยุ และกล่าวขึ้นว่า

“นายคงไม่รู้ใช่ไหมว่า ในเมืองแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจัดการฉันได้ นายก็แค่พวกต้อยต่ำคนหนึ่งที่มั่นใจในตัวเองเกินไป ว่าที่พ่อตาของฉันในอนาคตเป็นถึงประธานหวังแห่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวัง ทำให้ฉันขุ่นเคืองแบบนี้ อนาคตของนายจบไม่สวยแน่นอน!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเนาะอย่างภาคภูมิใจและกล่าวตอบไปว่า

“ถูกต้องแล้ว ถ้าไม่ได้พ่อตาของคุณช่วยไว้ โครงการนี้คงพังไม่เป็นท่า สุดท้ายก็ต้องแบมือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ตัวเองแค่ลำพังคงจะไม่รอด แล้วอย่างงี้เวลาที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่แล้ว ธุรกิจจะไปรอดได้ยังไง? ก็โตๆ กันหมดแล้วนะเลิกทำตัวเป็นเด็กๆ ได้แล้ว”

เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวเฉียนกล่าวออกไป หวังซินซินกับหวางเจ๋อซึมซาบไปชั่วขณะหนึ่ง ในกรณีนี้เป็นจริงอย่างที่จ้าวเฉียนกล่าว ถ้าไม่ได้พ่อของหวังซินซินช่วยไว้ โครงการร้อยล้านคงพังไม่เป็นท่า

แต่อย่างไรหวังซินซินก็มั่นใจในตัวของพ่อเธอมาก จึงกล่าวโต้แย้งไปว่า

“ก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันเกิดมารวย มีทุกอย่างเพียบพร้อม แล้วนายล่ะ? จะมีดีสักแค่ไหนเชียว?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นกล่าวตอบไปเพียงว่า

“แล้วผมจะรอฟังครับ”

ทุกคนต่างนั่งรออย่างใจเย็นเพื่อรอฟังข่าวจากพ่อของหวังซินซินล

ประมาณห้านาทีต่อมา โทรศัพท์มือถือของหวังซินซินก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นพ่อของเธอที่โทรเข้ามา เห็นแบบนั้น เธอจึงจงใจกดเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยินโดยทั่ว

“ฮาโหลพ่อ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? หวางเจ๋อได้ที่ดินประมูลคืนแล้ว?”

หวังซินซินถามด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“เอ่อ…พ่อพยายามเจรจากับเขาแล้วนะ แต่ไม่ว่ายังไงทางนั้นก็ไม่ยอมคืนที่ดินประมูลให้ โดยให้เหตุผลว่าโครงการของบริษัทหวางเจ๋อไม่ได้มาตรฐานพอ ถ้าอยากจะได้จริงๆ ต้องปรับโครงสร้างแก้ไขใหม่ตั้งแต่ศูนย์”

“อะไรนะ? มันคิดจะโกงพวกเรารึไง? หรือคิดจะแกล้งกัน?”

พอไม่ได้ดั่งใจ หวังซินซินก็ตะโกนเสียงดังลั่น

“ไม่มีทาง ระดับหยางไห่ไม่มีทางโกงอยู่แล้ว เอาแบบนี้ดีไหม เดี๋ยวพ่อจะช่วยแนะนำที่ดินส่วนอื่นเอาไว้ให้ทำโครงการ พ่อยังมีธุระต่อ แค่นี้นะ อย่ากลับดึก!”

พ่อของหวังซินซินตัดสายทิ้งทันทีที่พูดจบ

ทุกคนต่างจับจ้องจ้าวเฉียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นความจริง คนว่างงานมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบริษัทหยางไห่ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?

หวางเจ๋อยังไม่ตัดใจยอมแพ้ เนื้อเป็ดแสนอร่อยส่งตรงถึงปากแล้วแท้ๆ แล้วเรื่องอะไรถึงต้องปล่อยให้มันจากไปทั้งแบบนั้น?

ตอนนี้เหลือเพียงโอกาสเดียวคือ ขอร้องให้จ้าวเฉียนยกโทษให้ ตราบใดที่จ้าวเฉียนยินดีที่จะออกหน้าช่วย ที่ดินประมูลในส่วนนี้ยังพอมีโอกาสกลับสู่อ้อมกอดเขาได้อยู่

“คุณจ้าว…คุณจ้าวครับ!คุณเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ควรกลั่นแกล้งเด็กนะครับ!ผมขอร้องเถอะ ช่วยผมด้วย!ช่วยสั่งการให้หยางไห่คืนที่ดินประมูลกลับมาให้ผมเถอะครับ!”

หลัวเสี่ยวที่รู้สึกอึดอัดใจแทน เธอจึงกล่าวช่วยจ้าวเฉียนว่า

“พวกเราตั้งใจว่าจะไปร้องคาราโอเกะต่อ ถ้าคุณจ้าวไม่มีเวลาก็สามารถกลับก่อนได้นะคะ แต่ถ้ายังเหลือเวลาอยู่บ้าง พวกเราก็ยินดีไปต่อกับคุณค่ะ”

จ้าวเฉียนแลเหลียวเหลือบมองหวางเจ๋อด้วยหางตา กล่าวน้ำเสียงเรียบตอบไปว่า

“คุณหวางครับ เลิกทำอะไรโง่ๆ จะดีกว่า ผมเองก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมกับเซียวหยุนขอตัวก่อนนะครับ คุณหลัวเสี่ยวไว้วันสัมภาษณ์ ถ้าว่างผมจะไปเชียร์นะครับ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็เดินกำลังเดินจากไป

ทว่าหวางเจ๋อยังไม่ยอมแพ้ เขาตะโกนขอร้องเหลียวเซียวหยุนให้ช่วยเขาที

“เหลียวเซียวหยุน พวกเราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนไม่ใช่เหรอ? เธอต้องช่วยฉันนะ!ถือซะว่าช่วยเพื่อนคนนี้สักครั้งเถอะนะ จำไม่ได้เหรอ แต่ก่อนฉันซื้อของขวัญไล่จีบเธอตั้งเยอะแยะ เห็นแก่ความรักความห่วงใยของฉันในตอนนั้นหน่อย!”

หวางเจ๋อวิตกกังวลจนเกินไป เขางัดทุกสิ่งที่คิดได้ออกมาพูดทั้งหมดเพื่อให้เหลียวเซียวหยุนยอมเหลียวแลเขาบ้าง

แต่เหลียวเซียวหยุนก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าหยางเจ๋อตั้งแต่ตอนที่ตามจีบแล้ว นี่ยังหน้าด้านของให้เธอเห็นใจอีกงั้นเหรอ?

แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ หวังซินซินเองก็พลันได้ยินเรื่องนี้ไปด้วย เธอชี้หน้าด่าทั้งคู่ทันทีว่า

“อ่อ!ที่แท้พวกแกสองคนก็เคยมีอดีตด้วยกันแบบนี้นี่เอง!หวางเจ๋อ!ไหนเคยบอกฉันว่า ตั้งแต่เกิดมาก็ตกหลุมรักฉันเป็นคนแรก!ไหนว่าฉันคือรักแรกของนาย!? ทั้งหมดมันโกหกทั้งเพใช่ไหม!!? นังเหลียวเซียวหยุน อีร่าน!!”

หวางเจ๋อรีบขอโทษหวังซินซินทันที

“ซินซิน เธอเข้าใจผิดแล้ว เรื่องระหว่างผมกับเธอมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่พูดออกไปแบบนั้นก็เผื่อให้เธอช่วยเหลือ เธอเป็นรักแรกของฉันจริงๆ นะ ตอนนั้นก็แค่ชอบอีกฝ่ายตามวัยน่ะ!”

“เชื่อกับผีน่ะสิ!หวางเจ๋อ จำใส่กะลาหัวไว้เลยนะ เรา เลิก กัน!!หลังจากนี้เรื่องระหว่างเราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป!!”

หวังซินซินตวาดเสียงดังลั่นและวิ่งหนีออกไป ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียว

หวางเจ๋อรีบวิ่งไล่ตามเธอออกไป ถ้าไม่มีหวังซินซิน บริษัทของเขาเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

“ซินซิน ซินซิน…ฟังผมอธิบายก่อน!”

“ไปให้พ้น!”

หวังซินซินตบหน้าหวางเจ๋ออย่างแรง และวิ่งหนีจากไปโดยไม่แลเหลียวกลับมามองอีกเลย

ระยะห่างระหว้างสวรรค์กับนรกช่างอยู่ไกลแสนไกล แต่สำหรับหวางเจ๋อที่เพิ่งลอยตัวราวกับอยู่บนสวรรค์ ยามนี้ราวกับเพิ่งโดนนรกฉุดดึงไปใต้บาดาล

“บัดซบ!จ้าวเฉียน!ทั้งหมดเป็นเพราะมัน!”

หวางเจ๋อสบถด่ากับตัวเอง เช็ดหน้าเช็ดตาเดินกลับไปในห้องอาหาร

“จ้าวเฉียน นายต้องการอะไรขอให้ว่ามาเลย!ฉันยอมทุกอย่าง ขอ…ขอแค่ได้โครงการนี้กลับมาคืนเถอะนะ!”

หวางเจ๋อขอร้องเสียงออดอ้อน

จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะใส่ กล่าวซ้พเติมไปว่า

“ทำไม ถ้าไม่ยอมช่วยจะทำอะไรผมงั้นเหรอ? ที่ทุกอย่างพังพินาศแบบนี้ไม่ใช่เพราะตัวคุณเองหรอกเหรอ?”

“ทั้งเส้นทางด้านอาชีพและความรัก…ทั้งหมดกลับพังพินาศไม่เหลือ ทั้งหมด…ทั้งหมดเป็นเพราะแก!”

หวางเจียงเอ่ยเสียงสาปส่งไม่หยุดหย่อน จ้องจ้าวเฉียนเขม็งด้วยแววตาแสนชั่วร้าย

ก่อนที่จ้าวเฉียนจะเอ่ยกล่าวใดๆ ต่อ คนอื่นๆ ต่างเร่งชักชวนกล่อมให้หวางเจ๋อใจเย็นลงก่อน

“หวางเจ๋อ ใจเย็นก่อนนะ แค่พลาดโครงการเดียวเอง มันไม่เป็นอะไรหรอก”

“ก่อนหน้าที่นายยังไม่ได้โครงการนี้ นายเองก็อยู่ได้ไม่ใช่เหรอ?”

“มีใครบ้างจะทำเงินได้ทีเดียวหลายร้อยล้าน? ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนั่นแหละ ไม่ต้องรีบร้อนไป”

หวางเจ๋อหัวเราะเยาะกับตัวเอง เอ่ยขึ้นว่า

“หวังซินซินเลิกกับฉันแล้ว หากไม่มีเธอ แล้วบริษัทของฉันจะไปต่อได้ยังไง? ถ้าไม่มีเงินสนับสนุนจากพ่อเธอ แล้วบริษัทจะอยู่รอดต่อยังไงได้? ทั้งหมดก็เพราะมัน…ฉันล้มเหลวทั้งเรื่องการงานและความรัก ตอนนี้ฉันยังทำอะไรได้อีก?”

เหลียวเซียวหยุนยืนขำจนท้องแข็ง เธอกล่าวขึ้นว่า

“ฮ่าฮ่าๆๆ …หวางเจ๋อ นายอยากสบประสาทฉันก่อนเองนะ ใช่แล้ว ไอ้ขี้แพ้อย่างนรายจะไปทำอะไรได้? นี่ฉันไม่ได้ดูถูกนายนะ แค่พูดตามที่เห็นน่ะ ไอ้ ขี้ แพ้!!”

หวางเจ๋อตกสู่สภาวะจนตรอก ยิ่งได้ยินคำดูถูกของเหลียวเซียวหยุนซ้ำเติมเข้าไปอีก ในท้ายที่สุดเขาก็ฟิวส์ขาดจนได้ แทบจะในทันใดมือข้างหนึ่งพุ่งไปคว้าขวดไวน์ขึ้นมา และวิ่งเข้าใส่เหลียวเซียวหยุนสุดกำลัง

“หวางเจ๋อ!อย่า!!”

“เร็วเข้า!รีบจับเขาไว้!!”

“เอาขวดไวน์ออกจากมือเขาก่อน เร็ว!”

บรรดาเพื่อนร่วมชั้นตรงเข้าไปห้ามอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขาคลั่งไปแล้ว โบกขวดไวน์ในมืออัดโต๊ะจนแตกเป็นฟันฉลาม ขู่ใส่ทุกคนที่พยายามเข้ามาใกล้

“อย่ามายุ่ง!ใครกล้าหยุดกู กูตีไม่ยั้งแน่!”

หวางเจ๋อส่งเสียงคำรามดังสนั่น

ทุกคนยังคงพยายามใจดีสู้เสือ พยายามเกลี้ยกล่อมหวางเจ๋อว่าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น แต่เขากลับไม่ฟังและเบี่ยงเป้าหมายไปทางจ้าวเฉียนแทน

หลัวเสี่ยวตะโกนลั่น

“หวางเจ๋อ อย่านะ!!”

ตอนนี่ไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะตะโกนราวกับว่าเสียงนี้มันส่งผ่านไปไม่ถึงอีกฝ่ายเสียแล้ว หวางเจ๋อกระชับจับขวดไวน์ปากฉลากในมือ เสียบไปที่ศีรษะของจ้าวเฉียนประหนึ่งว่าเสียสติไปโดยสมบูรณ์

พอเห็นหวางเจ๋อวิ่งเข้ามา ปฏิกิริยาของจ้าวเฉียนช่างสงบนิ่งเหลือเกิน พร้อมยกบาทาถีบสวนออกไปทันที ร่างของหวางเจ๋อกระเด็นว่อนกลางอากาศ ขวดไวน์ในมือหล่นแตกกระเด็นเต็มพื้น อีกฝ่ายถูกจัดการได้ภายในกระบวนท่าเดียว

จ้าวเฉียนหวังช่วยให้อีกฝ่ายสงบสติลงหน่อย จึงเดินเข้าไปกระทืบลิ้นปี่ซ้ำ บังคับให้หวางเจ๋อนอนจุกจนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น

ถึงอาการเสียดจุกจะรุนแรงขนาดไหน แต่ด้วยความบ้าดีเดือด หวางเจ๋อก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามกวาดขาใส่จ้าวเฉียนหวังให้ล้มขมำลงกับพื้นเฉกเช่นเขา

จ้าวเฉียนเพียงส่ายหน้าพลางกระโดดหลบอย่างง่ายดาย มือข้างหนึ่งหยิบเก้าอี้ขึ้นมาและทุ่มใส่ร่างหวางเจ๋ออย่างแรง พร้อมเสียงโครมครามดัง ‘ปัง’

ท้ายที่สุดแล้ว หวางเจ๋อนอนสลบมอดคาพื้นอย่างน่าเวทนา

“คงสงบได้บ้างนะครับ”

“หวางเจ๋อ…”

ทุกคนต่างรีบไปมุงดู฿ว่าหวางเจ๋อเป็นอย่างไรบ้างแล้วในขณะนี้

แต่มีจ้าวเฉียนยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าแบบนี้ กลับไม่มีใครสักคนที่กล้าเข้าไปช่วยหรือเรียกร้องความยุติธรรมแทนหวางเจ๋อเลยสักคน

Related

ตอนที่169 ฉลาด

ทุกคนล้วนได้ยินคำยืนยันจากผู้จัดการของหวางเจ๋อกันโดยทั่วแล้ว เขาชนะการประมูลที่ดินอาคารมาแล้วจริงๆ

“บอสหวางยินดีด้วย! นายสามารถหากินกับโครงการนี้อย่างไม่มีสิ้นสุดภายในระยะเวลาสามปีเต็ม!”

เฉินโฉวกล่าวอวยพรพร้อมท่าทีอิจฉา

หวางเจ๋อระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณทุกคนมากนะ กลับไปฉลองต่อที่บ้านฉันไหม กินฉลองที่ฉันได้โครงการใหญ่มาครอง ดื่มกินคนเดียวมันน่าเบื่อน่ะ ถ้าใครสนใจไปต่อบอกมาเลยนะ!”

“ฮ่าฮ่า…งั้นต้องขอบคุณบอสหวางล่วงหน้าเลยครับ!”

เฉินโฉวเอ่ยตอบน้ำเสียงสุภาพ

โครงการใหญ่ขนาดนี้ ถ้าได้ทำงานร่วมด้วยสักนิด ค่าตอบแทนที่ได้คงเพียงพอแล้วที่จะอยู่กินไปได้ปีสองปี

หวังซินซินเหลือบหางตาเอ่ยถามจ้าวเฉียนอย่างเย้ยหยันว่า

“พ่อหนุ่มหล่อ มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”

จ้าวเฉียนยังไม่ทันเอ่ยตอบ ทว่ากลับเป็นเหลียวเซียวหยุนที่กล่าวแทรกขึ้นแทน

“ยังไม่ได้ลงนามเซ็นสัญญา แค่พูดกันปากเปล่ามันก็ยังไม่แน่เสมอไป”

คำกล่าวเหล่านี้ของเหลียวเซียวหยุน ไม่เพียงทำให้หวางเจ๋อกับหวังซินซินขุ่นเคืองเท่านั้น แต่นี่ยังทำให้บรรดาเพื่อนร่วมชั้นอารมณ์เสียอีกด้วย ทุกคนกำลังชื่นชมหวางเจ๋ออยู่แท้ๆ แต่เธอดันพูดออกไปแบบนี้ เท่ากับขัดแย้งกับความตั้งใจของทุกคน

“เหลียวเซียวหยุน เธอกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เห็นขาวเป็นดำเห็นดำเป็นขาว เพราะคบกับผู้ชายแบบนี้ไงเธอจึงนิสัยแย่ลง!”

“ใช่แล้ว แต่ก่อนเธอแค่เอาแต่ใจตัวเอง เรื่องนี้ใครๆก็ยอมรับได้นะ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นพวกอวดดีแต่ปากเหมือนแฟนเธอ คนนิสัยแบบนี้ไม่มีใครอยากคบด้วยหรอกนะ”

“ถ้าเธอยังไม่เลิกนิสัยแบบนี้ ต่อไปชัวิตเธอพังแน่!”

เหลียวเซียวหยุนกลั้นขำแทบไม่หยุดจนสุดท้ายต้องระเบิดหัวเราะออกมา ขณะที่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างจ้องมองเธอด้วยสายตารังเกียจ

“จ้าวเฉียน ฉันถูกคนพวกนี้หัวเราะเยาะ! นายต้องแก้แค้นให้ฉัน! ไม่ว่ายังไงก็ห้ามปล่อยให้หวางเจ๋อได้ที่ดินอาคารไปเด็ดขาด! นายต้องทำให้มันล้มจม!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้องกังวล ผมยังมีเส้นสายคนรู้จักอยู่ในแวดวงนี้อยู่อีกเยอะ ชีวิตของคุณคนนี้เตรียมพินาศได้เลยครับ”

แววตาของหวางเจ๋อเย็นยะเยือกขึ้นในบัดดล เขากล่าวว่า

“เอาล่ะ! ถ้างั้นฉันจะรอดูว่าชีวิตของตัวเองจะพินาศยังไง แต่ตอนนี้ความจริงก็คือความจริง ฉันชนะการประมูลแล้ว อยากจะรู้จริงๆว่าพวกเขาจะยึดโครงการนี้คืนกลับมาไหม!”

คนอื่นๆต่างหัวเราะเยาะกันอย่างสนุกสนาน รอดูว่าจ้าวเฉียนจะทำยังไงต่อไป และจะ‘แถ’ไปได้ไกลอีกแค่ไหน

จ้าวเฉียนไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ แต่ยังคงนั่งรออย่างเงียบงัน รอชางเจียกงรายงานผลกลับมา

สองนาทีต่อมา ชางเจียกงก็โทรเข้ามา

“ฮาโหลครับคุณชายจ้าว บริษัทที่ว่ามีชื่อว่า เจ๋อซิน ดรีคอนชั่น จำกัด จดทะเบียนในนามหวางเจ๋อครับ มีอะไรให้จัดการกับบริษัทนี้ไหมครับ?”

“ยกเลิกสัญญาการประมูลที่ดินทั้งหมด!”

“เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยทันทีครับ!”

“ดีมาก”

จ้าวเฉียนวางสายไป หวางเจ๋อที่เฝ้าสังเกตอยู่นานก็เอ่ยขึ้นพร้อมท่าทีกวนประสาทว่า

“เอาล่ะ การแสดงจบลงแล้ว ฉันรอดูอยู่นะว่านายจะแถยังไงต่อไป?”

“เลิกเสแสร้งได้แล้ว! ฉันเบื่อที่ต้องทนฟังนายโกหกต่อไปไม่ไหวแล้ว!”

หวางเจ๋อกล่าวพร้อมท่าทีสบประมาท

“โอเค โอเค ไม่ต้องไปสนใจเขาแล้ว ไปหาอะไรดื่มกันเถอะ”

“ใช่ ใช่ อย่าไปสนใจเขาเลย บรรยากาศพลอยเสียหมด!”

“นี่มันวันรวมตัวเพื่อนเก่านะ คนนอกอย่างเขาไม่ต้องไปสนใจด้วยหรอก!”

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มชนแก้วกันอีกครั้ง หวางเจ๋อยังคงเป็นประเด็นหลักในวงสนทนานี้ ทุกคนต่าง‘สรรเสริญ’เขาอย่างไม่หยุดหย่อน

เหลียวเซียวหยุนเขยือบไปหาจ้าวเฉียน เอ่ยถามเสียงต่ำว่า

“นี่นายแน่ใจใช่ไหมว่ายังอยู่ในแผน? หวางเจ๋อมันชักจะหยิ่งผยองเกินไปแล้ว นายต้องสั่งสอนบทเรียนให้มัน!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยถามกลับไปว่า

“แล้วถ้าผมบอกว่าล้มเหลวล่ะ? จะว่ายังไง?”

“หุหุ…คนที่สามารถมทำให้ลุงห้าเรียกว่าน้องชายได้ ฉันมั่นใจว่าภูมิหลังของนายคงไม่ง่ายกับแค่พนักงานบริษัททั่วไปแน่นอน ฉันน่ะรู้มาตลอดว่า นายจงใจปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ และไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ ฉันจึงไม่เคยเอ่ยถามนายสักครั้งไง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือ ไม่ว่าฉันต้องการอะไรนายจะต้องทำให้”

เหลียวเซียวหยุนคลี่ยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ

หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพธ์มือถือของหวางเจ๋อก็ดังขึ้นอีกครั้ง ปราฏว่าเป็นผู้จัดการของเขาเอง เพื่อทำให้จ้าวเฉียนขายหน้า เขาจึงเปิดลำโพงให้ทุกคนฟังโดยพร้อมเพรียงทันที

“ว่าไง อย่าบอกนะว่านายได้เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว? ฮ่าฮ่า…”

หวานเจ๋อเหลือบหางตามองจ้าวเฉียนอย่างดูแคลนยิ่ง

“ประธาน แย่แล้วครับ…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! จู่ๆทางหยางไห่ก็ถอนสิทธิ์ที่ดินของเราไปทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่า โครงการของ

เราไม่ได้มาตรฐานพอ!”

“ว่างไงนะ?! นี่…นี่จะเป็นไปได้ยังไง?”

หวางเจ๋ออุทานเสียงดังลั่น

“ผมเพิ่งโทรถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ภายใน เขาบอกว่ามีผู้มีอิทธิพลสั่งประธานหยางไห่ให้ยกเลิกคำสั่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเขา ดูเหมือนคนที่ทำจะมีความแค้นส่วนตัวกับทางเรานะครับ! นี่ไม่ดีแล้ว!”

ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เปล่งดังออกมา ทุกคนต่างหันควับมองไปทางจ้าวเฉียนจนเป็นตาเดียว

หวางเจ๋อกดสางสายไป เดินตรงไปหาจ้าวเฉียนด้วยความโกรธจัด พร้อมตะคอกใส่ว่า

“ฝีมือแกใช่ไหม!!?”

จ้าวเฉียนตอบกลับไปว่า

“ก็เพิ่งบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับว่า อย่าทำให้ผมโกรธ”

“แก…เป็นไปไม่ได้! แก…แกเป็นใครกันแน่?!”

หวางเจ๋อตะโกนโหลั่น แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ในเวลานี้เอง เหลียวเซียวหยุนก็ลุกขุ้นมาขัดจังหวะ

“ฉันบอกนายไปหลายครั้งแล้วนะ ว่าอย่าหาเรื่องกันเลยดีกว่า ที่เขาว่างงานไม่ได้หมายความว่าเขาจะจน แต่เขามีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง ขนาดประธานเทียนซูวเสนอเงินเดือนหลักแสน เขายังปฏิเสธเลย แล้วเคยคิดไหมว่า คนระดับนี้จะมีเส้นสายขนาดไหนกัน? อันที่จริงเงินล้านมันยังไม่อยู่ในสายตาเขาเลยด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่า…ไม่ฉลองต่อแล้วรึไง ฉลองให้กัน…ความพินาศของนาย!!”

หวางเจ๋อและบรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างรู้ซึ้งแล้วว่า จ้าวเฉียนมีอำนาจอิทธิพลมากมายเพียงใด ขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างหยางไห่ ยังต้องยอมทำตามเขา

“ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า แฟนของเซียวหยุนจะมีเส้นสายขนาดนี้ เขาสามารถสั่งให้หยางไห่ถอนคำสั่งประมูลออกไปได้!”

“แล้วยังไง…ก็อาจจะแค่โชคดีรู้จักกับประธานของหยางไห่ก็ได้ เส้นใหญ่ก็ใช่ว่าเขาจะมีความสามารถ”

“นายโง่รึไง! ในสังคมแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มันต้องใช้เงินต่อเงินซื้อความสัมพันธ์มา มันก็อาจใช่ที่เขาไม่มีความสารถ แต่ภายในบัญชีของเขาคงมีเงินเหลือกินเหลือใช้ไปทั้งชีวิต!”

เหล่าเพื่อนร่วมชั้นของเหลียวเซียวหยุน ทุกคนต่างเสียใจอย่างยิ่งที่หัวเราะเยาะจ้าวเฉียนก่อนหน้า พวกเขาอยากจะกราบขอโทษ และขอให้จ้าวเฉียนแนะนำที่ฝึกงานสักแห่งสองแห่งให้หน่อย เหมือนกับหลัวเสี่ยว

แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น และอับอายเกินกว่าจะขอโทษ

เมื่อเห็นว่ากำไรหลายสิบล้านนกำลังจะหลุดลอยไป หวางเจ๋อไม่สามารถปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงรีบขอโทษตจ้าวเฉียนทันทีกับความผิดที่ได้ก่อขึ้น

“คุณจ้าว ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ผมทั้งใจร้อนทั้งปากเสีย และรู้สึกเสียใจจริงๆที่ทำเรื่องแบบนั้นกับคุณลงไป หากพนักงานงานของผมรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากผม ทุกคนคงไม่เหลือกระจิตกระใจการทำงานแน่นอน ผมหวังว่าคุณจ้าวจะเห็นใจผมนะครับ ช่วยโทรให้หยางไห่คืนที่ดินการประมูลให้ผมเถอะนะครับ เอาแบบนี้ไหมครับ ถ้าโครงการของผมดำเนินไปได้ด้วยดี ผมจะให้คุณจ้าวเลนหนึ่งล้าน…ไม่สิ…ห้าล้านเลยครับ! ผมขอร้องเถอะนะครับ!”

จ่ายให้ห้าล้านฟรีๆ จะเห็นได้ว่าโครงการนี้มันสำคัญสำหรับหวางจ์อเพียงใด แต่จ้าวเฉียนกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย กับอีแค่ห้าล้าน เศษเงินจำนวนเล็กน้อยแบบนี้ มันไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย

“คุณหวางไม่ต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองเถอะนะครับ ที่ไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ที่ทุกอย่างพังพินาศเพราะตัวคุณล้วนๆ”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบน้ำเสียงหนักแน่น

หวางเจ๋อยังคงเอ่ยปากขอโทษขอโผยจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน

หวังซินซินทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว หวางเจ๋อเป็นแฟนของเธอ แต่ต้องมีกราบกรามจ้าวเฉียนราวกับหมา เธอย่อมแค้นใจเป็นธรรมดา

“หวางเจ๋อ นายไม่ต้องขอโทษเขาแล้ว พ่อฉันยังพอรู้จักกับประธานหยางไห่อยู่บ้าง ฉันจะให้พ่อโทรไปเจรจากับอีกฝ่ายดู นี่ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร”

หวางเจ๋อที่ครุ่นคิดตามก็รู้สึกสมเหตุสมผลดี ลองให้พ่อตาลองดูก่อน หากสามารถแก้ไขได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่เขาก็ค่อยหาทางแก้ทีหลังยังทัน

“โอเค งั้นต้องรบกวนพ่อเธอแล้วแหละ”

หวางเจ๋อกล่าวพร้อมสีหน้ากังวล

หวังซินซินพยักหน้าตอบและเดินออกไปโทรหาพ่อ เธอรายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้พ่อฟังด้วยความหงุดหงิด และขอให้เขาออกโรงในนามหวางเจ๋อที

พ่อของหวังซินซินคือหวังเมียน เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวัง

หวังเมียนเป็นคนที่ค่อนข้างหัวสูง ปกติเขาจะไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับเรื่องของเด็กๆ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าลูกสาวของเขาจะไม่สบายใจอย่างมาก หากไม่ยืนข้างแฟนของลูกสาวตัวเอง แล้วจะให้เขายืนข้างใคร?

“ลูกพ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงไป พ่อจะลองโทรไปคุยกับทางนั้นดู ไม่ว่ายังไงทางนั้นจะต้องคืนคำสั่งให้แน่นอน!”

ด้วยความมั่นอกมั่นใจของพ่อเธอ หวังซินซินยิ้มอย่างมีความสุขและกดวางสายไป

“พ่อหนุ่มหล่อ รอก่อนเถอะ ที่ดินจุดนี้ต้องเป็นของหวางเต๋อเท่านั้น ไม่มีใครสามารถเอาของเขาไปได้!”

หวังซินซินกล่าวขึ้นด้วยท่าทีอันสุดแสนจะภาคภูมิใจ

ตอนที่168 อย่าหมดหวัง

หลิวฉินอวี้ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เธอถามต่ออย่างรั้นที่จะยอมแพ้

“คุณทำงานอยู่ในบริษัท เฉียนเก๋อจริงๆ เหรอ?”

“อืมใช่ ฉันเป็นประธานบริษัท เฉียนเก๋อ ชื่อว่าหยวนมี่”

“เป็น…เป็นไปไม่ได้!ถ้าจ้าวเฉียนรู้จักประธานอย่างคุณ แล้วเขาจะตกงานได้ยังไง!ทำไมเขาถึงไม่ไปทำงานกับคุณล่ะ?”

หลิวฉินอวี้ปฏิเสธที่จะยอมแพ้สุดหัวใจ

หยวนทมี่ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“จ้าวเฉียนเป็นคนที่มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ฉันเสนอตำแหน่งผู้จัดการให้เขาพร้อมเงินเดือนหลักแสนหยวน เขายังปฏิเสธเลย เขาค่อนข้างมีความทะเยอทะยาน และมากความสามารถเกินกว่าบริษัทเล็กๆ อย่าง เฉียนเก๋อจะหยุดเขาได้ หากมีข้อสงสัยอะไร สามารถพบฉันได้เลยเวลาบ่ายสามของวันพรุ่งนี้”

คล้อยหลังพูดจบ หยวนมี่ก็วางสายไป

หลิวฉินอวี้ตกตะลึงอย่างมาก ส่วนเฉินโฉวที่นั่งอยู่เคียงข้างก็ตกใจไม่แพ้กัน

เหลียวเซียวหยุนเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับเฉินโฉวว่า

“ว่าไงเฉินโฉว ทีนี่นายเชื่อสิ่งที่แฟนฉันพูดแล้วรึยัง? จะให้จ้าวเฉียนไปทำงานง่อยๆ เงินเดือนหลักหมื่นได้ยังไง? ขนาดหลักแสนเขายังไม่สนเลย!ส่วนเธอ หลิวฉินอวี้ เธอไม่ควรดูคนแค่ภายนอกนะ ไม่อย่างนั้นจะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไป!”

ในขณะเดียวกันจ้าวเฉียนก็เดินกลับมาพอดี

หลิวฉินอวี้รีบยกแก้วให้จ้าวเฉียนและกล่าวขอโทษขอโผยในทันทีว่า

“คุณจ้าว หนูต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ทำตัวแย่ๆ แบบนั้นออกไป ดื่มแก้วนี้ให้ความไม่พอใจก่อนหน้าละลายหายไปเถอะค่ะ!”

ท่าทีสบประมาทของหลิวฉินอวี้ก่อนหน้าค่อนข้างชัดเจนเกินไป แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ ทุกคนในห้องต่างตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

“ฉินหยุน นี่เกิดอะไรขึ้น?”

“เธอถึงขั้นต้องขอโทษเขาเลย?”

หลิวฉินอวี้ยิ้มแห้งและกล่าวกับทุกคนไปว่า

“เมื่อกี้ฉันล้อเล่นกับเขาแรงไปหน่อย มันก็ต้องขอโทษสิ…”

“เอาน่าๆ มาดื่มให้กับหวางเจ๋อหน่อย หลังจากที่เธอรียนจบ ยังขอให้เขาแนะนำที่ทำงานดีๆ ได้นะ!”

“ใช่แล้วๆ มาดื่มให้หวางเจ๋อกันเถอะ”

ผู้คนในที่แห่งนี้ เว้นเสียแต่เหลียวเซียวหยุนที่เป็นทายาทเศรษฐี ทุกคนล้วนเป็นนักศึกษาฐานะปานกลางกันทั้งสิ้น แน่นอนว่าแต่ละคนล้วนต้องการประจบประแจคนที่รวยกว่า เพื่ออนาคตของตัวพวกเขาเอง

หลิวฉินอวี้ไม่สามารถรักษาใบหน้าไว้ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงตามน้ำพวกเขาไป และดื่มฉลองให้แก่หวางเจ๋อด้วยท่าทีสุภาพ

แต่จ้าวเฉียนและเหลียวเซียวหยุนกลับนั่งนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

“บอสหวาง ถ้ามีโครงการดีๆ ในอนาคต อย่าลืมพวกเขาไปนะ!”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!ไม่ว่าโครงการใหญ่หรือเล็ก ตราบเท่าที่มีค่าตอบแทน พวกเราทำหมด!”

“มาเลย!ชนแก้ว!”

ทุกคนต่างยกย่องหวางเจ๋อ

เมื่อเห็นแฟนตัวเองเป็นที่โด่งดังของเพื่อนฝูง หวังซินซินพลอยมีความสุขไปด้วย เธอเองก็ยกแก้วขึ้นมาชนกับทุกคน

เกือบจะทุดคนที่เคารพและเยินยอให้ตัวหวางเจ๋อ เว้นเสียแต่จ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนเท่านั้นที่ยังนั่งนิ่งเงียบทั้งสองเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ราวกับมาทานข้าวกันสองต่อสอง ตัดขาดจากโลกโดยสิ้นเชิง

คนที่ชอบหาปัญหาเข้าตัว คือพวกที่ไม่ยอมคุกเข่าเลียแข้งขา

หวางเจ๋อหยิบแก้ไวน์เดินไปหาเหลียวเซียวหยุน และยิ้มกล่าวว่า

“เซียวหยุน ทุกคนเขาดื่มกันไปหมดแล้ว ทำแบบนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ มาดื่มกันเถอะ”

“ไสหัวไป!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบไร้ซึ่งปราณีใดๆ

จู่ๆ บรรยายกาศพลันอึดอัดขึ้นทันที หวางเจ๋อเสียศูนย์ไปพักหนึ่งเมื่อโดนเธอไล่ชนิดไม่เห็นหัว เขาในตอนนี้เริ่มเมานิดหน่อยแล้ว แต่กลับได้สติขึ้นฉับพลันจากการตะคอกของเธอ

หวังซินซินเห็นว่าแฟนหนุ่มของตนกำลังถูกทำให้ขายขี้หน้า เธอจึงปั้นหน้าไม่พอใจทันที เดินตรงไปผลักร่างของเหลียวเซียวหยุนอย่างแรงและสบถด่าขึ้นว่า

“นังนี่มันปัญญาอ่อนรึเปล่า!เขายื่นแก้วให้เธอดีๆ กลับปฏิเสธไม่เห็นหัว แค่ดื่มไวน์สักแก้วแล้วมันทำไม? หนักหัวนักเหรอ!!”

มีหรือที่เหลียวเซียวหยุนจะยอมทนถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว? เธอลุกขึ้นยืนพร้อมผลักร่างอีกฝ่ายสวนกลับไปจนล้ม ตวาดลั่นว่า

“แล้วคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถ้าฉันอยากดื่มฉันไปหยิบเองได้ ไม่ต้องมาส่อ!ใหญ่มาจากไหนถึงมาสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัวฉัน ดูละครมากไปรึเปล่า?”

“นี่แก!ฉันจะฉีกปากแกเดี๋ยวนี้แหละ!”

หวังซินซินพุ่งไปหาเหลียวเซียวหยุนทันทีที่พูดจบ

ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนคิดอะไรไม่ออกแล้ว ทำได้เพียงยืนขึ้นและนำตัวเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งรวบเหลียวเซียวหยุนไว้ในอ้อมแขน และใช้อีกมือเหยียดออกไปผลักร่างของหวังซินซิน

หวางเจ๋อเห็นว่า จ้าวเฉียนกำลังฉวยโอกาสลวนลามแฟนสาวต่อหน้า เขารีบยืนขึ้นทันทีและต่อยจ้าวเฉียนไปที่หนึ่ง เฉียดแก้มซ้ายเป็นแผลถางบางๆ

จ้าวเฉียนไม่ตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวใดๆ พร้อมยกเข่าขึ้นกระแทกอัดท้องน้อยของหวางเจ๋ออย่างแรงไปหนึ่งดอก ส่วนทางด้านอีกฝ่ายก็พยายามกวาดกำปั้นซัดออกไปแบบสุ่มๆ แต่ด้วยความจุกที่เกิดขึ้น ทำเอาร่างของเขาทรุดกับพื้นในที่สุด

จ้าวเฉียนคว้าโอกาสนี้ยกบาทาถีบหวางเจ๋อสวนกลับไปสุดแรงจนกลิ้งกระเด็นออกไป

“นี่นายจะทำอะไรน่ะ!”

“ถูกต้อง!กล้าทำร้ายร่างกายเพื่อนพวกเรางั้นเหรอ!”

“วันนี้คืองานเลี้ยงรุ่นของพวกเรา คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายร่างกายเพื่อนของเรา!คิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมขนาดจะทำอะไรก็ได้เลยรึไงกัน!”

….

บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างตื่นตระหนกอย่างมาก แต่ละคนเอ่ยปากกล่าวหาจ้าวเฉียนพร้อมสบถด่ากันไม่หยุดหย่อน ท้ายที่สุดนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในสมัยม.ปลาย และจ้าวเฉียนก็เป็นเพียงคนนอกเท่านั้น

หลัวเสี่ยวผลักทุกคนออกให้พ้นและตำหนิพวกเขาว่า

“นี่พวกนายไม่เห็นเลยรึไงว่า หวางเจ๋อเป็นคนเริ่มก่อน อีกอย่างวันนี้พวกเราอุตส่าห์นัดร่วมตัวมากินเลี้ยงกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?”

“นี่เธอก็โทษพวกเราไม่ได้นะ แต่ไอ้หมอนี่มันหยิ่งยโสเกินไป กล้าลงมือลงไม้หวางเจ๋อต่อหน้าพวกเรา!”

“ใช่แล้ว!พอเธอได้เขาแนะนำงานเข้าหน่อยถึงกับลืมเพื่อนไปเลยเหรอ? ไม่เห็นค่าพวกเราแล้วใช่ไหม?”

…..

ทุกคนที่อยู่ในห้องอาหารนี้ไม่มีใครรู้จักความยิ่งใหญ่ของจ้าวเฉียนกันเลยสักคน ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะกล่าวออกมาแบบนี้

หลัวเสี่ยวพยายามอธิบายกับบรรดาเพื่อนร่วมชั้นโดยเร็วว่า

“ทุกคนกำลังเข้าใจผิดแล้วนะ ฉันแค่ไม่อยากให้ทุกคนต้องมาทะเลาะกันเฉยๆ”

“นายน่ะ คิดว่าตัวเองรู้จักกับประธานบริษัทเฉียนเก๋อ แล้วมันเจ๋งมากรึไง?”

หวางเจ๋อเอ่ยถามจ้าวเฉียนพร้อมสีหน้าแสนเย้ยหยัน

“มันก็ใช่ที่บริษัท เฉียนเก๋อกับแพลตฟอร์มเทียนซูวมีอำนาจอิทธิพลอย่างมาก แต่สุดท้ายนายก็เป็นแค่คนตกงานคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”

จวบจนมาถึงบัดนี้ จ้าวเฉียนรู้แล้วว่า ถ้าเขาไม่รีบจัดการหวางเจ๋อซะตั้งแต่ตอนนี้ พวกเขาจะย้อนกลับมาสร้างปัญหาแน่นอนในไม่ช้าก็เร็ว

“ชื่อหวางเจ๋อใช่ไหม? ได้ข่าวว่าเพิ่งชนะการประทมูลที่ดินอาคารชุมชนไป?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

หวางเจ๋อกล่าวตอบอย่างภาคภูมิใจว่า

“ใช่ แล้วมีปัญหาอะไรด้วย?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“แน่นอนว่ามีปัญหา ฉันกับชางเจียกง ประธานบริษัทหยางไห่ ค่อนข้างสนิทกันมาก ถ้านายทำให้ฉันโกรธเข้า ฉันจะบอกให้เขายกเลิกการประมูลนี้ซะ…”

ยังไม่ทันจะพูดจบ หวางเจ๋อกับบรรดาเพื่อแนฝูงระเบิดหัวเราะลั่นในทันใด

บริษัทหยางไห่ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในประเทษ แค่มูลค่าหุ้นพึงประเมินก็สูงกว่าหลายร้อยล้านหยวนแล้ว

แล้วกับอีแค่พนักงานบริษัทเกมเล็กๆ คนหนึ่งที่ตอนนี้ตกงานอยู่ จะไปรู้จักกับคนใหญ่คนโตระดับนั้นได้ยังไง? นี่มันเรื่องขี้โม้ชัดๆ

“เหลียวเซียวหยุน แฟนของเธอน่าทึ่งจริงๆ ปากเก่งคุยโวไปไหนถึงไหน!ฮ่าฮ่า…ฉันไม่เคยพบเห็นใครขี้โม้ขนาดนี้มาก่อนเลย!”

“ต้องชื่นชมเลยนะว่า นายเล่นแง่ได้เจ๋งมาก แต่มันขี้โม้เกินจะเชื่อได้ลง ตอนที่โกรหกไม่กระดากปากตัวเองเลยเหรอ?”

“ไม่น่าแปลกว่าทำไมถึงถูกไล่ออกจากงาน ที่แท้มันก็ขี้โม้แบบนี้นี่เอง!ฮ่าฮ่า…”

“ฮ่าฮ่าๆๆ …”

เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบึ้งตึง หันไปถามจ้าวเฉียนว่า

“จ้าวเฉียน ยกเลิกการประมูลที่ดินของมันไปซะ ทำให้รู้ไปเลยว่าใครเป็นใคร!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาชางเจียกง

“ฮาโหล คุณชาง ตอนนี้กำลังโอนโครงการที่ดินอาคารชุมชนไปให้บริษัทที่ชื่อ หวางเจ๋อใช่ไหม?”

“อืม เรื่องนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ต้องถามลูกน้องผมอีกทีครับ คุณชายจ้าวโปรดรอสักครู่”

“ตกลง”

จ้าวเฉียนวางสายไป รอให้ชางเจียกงตอบกลับมา

ในขณะนั้นเอง ผู้จัดการของหวางเจ๋อก็โทรเข้ามาพอดี เขาจงใจเปิดลำโพงเพื่อให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกันว่า

“ว่าไง สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

หวางเจ๋อเอ่ยถามอย่างมีความสุข

“ประธานหวาง ตอนนี้ผมเพิ่งยินยันกับหยางไห่ไปเองว่า เราชนะการประมูลแว้จริงๆ เขากำลังส่งคนมาโอนสิทธิ์ที่ดินอาคารครับ!”

“ฮ่าฮ่า…ดีมาก!สิ้นปีนี้เตรียมรับโบนัสไปเลยหนึ่งล้านหยวน!”

“ขอบคุณมากครับประธานหวาง ผมสัญญาจะทำงานให้หนักขึ้นไปอีก!”

หวางเจ๋อกดวางสายไปด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยสายตาสุดรังเกียจ

ตอนที่167 เรื่องโกหก

“เหลียวเซียวหยุน ทำไมพวกเธอสองคนถึงเอาแต่กินอย่างเดียว ไม่เห็นแชร์ประสบการณ์ปัจจุบันเลยว่า เป็นยังไงบ้าง?”

“ใช่!ทำไมเธอเอาแต่กินอย่างกับอดอาหารจากที่ไหนมา!”

“เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ ได้ข่าวว่ากำลังจะเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ? มีแผนจะทำอะไรต่อ?”

เหลียวเซียวหยุนเช็ดปากและตอบกลับไปว่า

“ไม่มีแผนเลย เรียนจบค่อยว่ากัน”

“แล้วแฟนเธอล่ะ? เขาเรียนสาขาอะไรมา จะหางานอะไรทำต่อ?”

“จะว่าไป เขามีบริษัทฝึกงานแนะนำไหม บางทีเขาอาจจะช่วยพวกเราได้!”

“แฟนเซียวหยุน คุณจบจากมหาลัยไหนเหรอ? แล้วเรียนสาขาอะไร ประสบความสำเร็จกับชีวิตมากขนาดไหนแล้ว?”

จ้าวเฉียนวางแก้วน้ำดื่มลง และยิ้มตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณนะครับที่อยากรู้กัน แต่ก็จบจากมหาลัยทั่วไปเหมือนคนอื่นๆ ช่วงนี้ว่างงานคงนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านไปก่อน”

เพื่อนชายคนหนึ่งนามว่า เฉินโฉวยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“พี่ชาย ได้แฟนเป็นเซียวหยุนเพื่อนของเรา ผมเองก็สงสารแทนเธอ เอาแบบนี้ดีไหม มาทำงานในบริษัทครอบครัวผม ผมให้เดือนละห้าพันหยวน ทำงานง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก น่าสนใจไหม?”

ก่อนที่จ้าวเฉียนจะเอ่ยกล่าวอะไรออกไป เหลียวเซียวหยุนพลันสวนตอบกลับไปทันทีอย่างไม่มีความสุขว่า

“เฉินโฉว นายนี่มันขี้แกล้งจริงๆ เงินเดือนแค่ห้าพัน คนขับรถยังได้มากกว่านั้นเลย นี่คิดจะยั่วโมโหกันรึไง?”

สิ่งที่เหลียวเซียวหยุนกล่าวไปตรงกับความคิดของจ้าวเฉียนไม่ผิดเพี้ยน เงินเดือนแค่ห้าพัน มีหรือว่าเขาจะสนใจ ต่อให้เป็นห้าล้านต่อเดือน เขายังไม่อยากไปทำเลย สิ่งเดียวที่เขาต้องการคืองานที่ชื่นชอบ

แต่ทันทีที่คนอื่นได้ยินแบบนั้น พวกเขาต่างตีตราจ้าวเฉียน คิดว่าเป็นเพียงชายรูปหล่อแต่ไม่มีความสามารถ

เฉินโฉวระเบิดหัวเราะเยาะและเอ่ยกล่าวตอบไปว่า

“ห้าพันหยวน มันก็ดีกว่านอนอดตายอยู่ในบ้านไม่ใช่เหรอไง? เซียวหยุน ผู้ชายไร้อนาคตแบบนี้ทำไมไม่เลิกไปซะล่ะ? ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นปัญหาให้เธอได้นะ”

เหลียวเซียวหยุนยิ้มตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง แต่ฉันไม่ต้องการ!”

“เห้อออ…ฉันคิดว่าเงินเดือนแค่นี้คงน้อยไปล่ะมั่ง เอาแบบนี้แล้วกัน ด้วยความสามารถของคุณ ผมให้มากสุด10,000หยวนต่อเดือน สนใจไหม?”

เฉินโฉวกล่าวถามพร้อมสายตารังเกียจ

จ้าวเฉียนไม่ต้องการสนทนาในหัวข้อนี้ต่ออีกแล้ว เขาจึงกล่าวปัดทันทีว่า

“ขอบคุณคุณมาก แต่ผมไม่สนใจครับ”

เฉินโฉวพ่นลมหายใจใส่อย่างเย็นชาและไม่เอ่ยปากกล่าวอะไรใดๆ อีก

“พี่ชาย เรียนจบจากที่ไหนมายังไม่บอกเลยนะ ฉันมั่นใจในเกรดเรียนไม่น้อยเลย หลังจากจบแล้ว คุณพอแนะนำที่ฝึกงานให้หน่อยได้ไหม?”

เพื่อนสาวอีกคนของเหลียวเซียวหยุน นามว่า หลิวฉินอวี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเฉียนทราบดีว่า เธอมีเจตนาร้ายเร้นแฝงอยู่ในคำถามเหล่านี้ แต่ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทถึงสองแห่ง ยังไงเขาก็ต้องการบุคคลผู้มีความสามารถมาเข้าร่วม

“คุณจบสาขาอะไรมา?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง

“สาขาบัญชี พอจะมีบริษัทแนะนำไหม?”

หลิวฉินอวี้เอ่ยถามเชิงเย้ยหยัน

“ผมสามารถแนะนำที่ฝึกงานได้ครับ แต่นี่ขึ้นอยู่กับความสามมารถของคุณเอง”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปตามความจริง

หลิวฉินอวี้ระเบิดหัวเราะเยาะคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า

“บริษัทอะไร? คุณเคยทำงานที่นั่นมารึเปล่า?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบว่า

“ไม่ครับ เป็นบริษัทของเพื่อนผม”

“แล้วทำไมคุณถึงไปทำเองล่ะ? บริษัทของเพื่อนคุณคงไม่ใช่บริษัทที่ดีเท่าไหร่?”

เฉินโฉวที่ยังหัวเสียอยู่ในขณะนี้ พอได้โอกาสเขาเอ่ยปากตอบทันทีว่า

“มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นบริษัทดีๆ เขาคงไปทำเองแล้ว ไม่ปล่อยให้ถึงมือเธอหรอก”

หลิวฉินอวี้กล่าวเสริมไปว่า

“นี่ฉันเป็นนักศึกษามหาลัยชื่อดังทางตอนเหนือของจีนเลยนะ ถ้าเป็นบริษัทปลายแถวไม่มีชื่อเสียง หากฉันหลวมตัวไปทำคงขายหน้าคนอื่นน่าดู ถ้าเป็นแค่บริษัทเล็กๆ ก็อย่ามาเสนอเลย”

จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะใส่เธอทันทีและเอ่ยถามกลับไปว่า

“แล้วตอนนี้เรียนจบรึยังล่ะ? บัญชีรายรับรายจ่ายของจริงกับในข้อสอบมันไม่เหมือนกันหรอกนะ ไม่ใช่ว่าไม่มีความสามารถแล้วอ้างโน่นนี่ไปเรื่อยหรอกนะครับ? อีกอย่างเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีบริษัทไหนเอาหรอกครับ นี่ผมถือว่าเมตตาคุณมากแล้ว เพราะเห็นแก่หน้าเสี่ยวหยุน”

หลิวฉินอวี้รู้สึกหน้าแตกไม่น้อยกับคำกล่าวนี้ แต่เพื่อกู้หน้าคืนกลับมา เธอจึงสวนตอบกลับไปว่า

“ไม่มีประสบการณ์ก็จริง แต่ฉันก็ไม่ง้อหรอกนะ กับแค่บริษัทเล็กๆ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะดังลั่นและตอบว่า

“แพลตฟอร์มเทียนซูว คุณรู้จักไหม? บริษัท เฉียนเก๋อ เจ้าของลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง ‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ เคยได้ยินรึเปล่า? พวกเขากำลังต้องการเด็กฝึกงานจำนวนมาก ถ้าทำงานดีอาจจได้บรรจุทันที แต่บอกไว้ก่อนนะครับ ว่าพวกเขาไม่รับพวกที่เก่งแต่ปาก”

สำหรับเรื่อง ‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ ซีซั่นแรกได้ออกอากาศเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเครดิตก็เขียนไว้ชัดเจนว่า เจ้าของซีรีย์เรื่องนี้คือ บริษัท เฉียนเก๋อ ดังนั้นจึงไม่มีใครไม่รู้จักอีกต่อไป

หลิวฉินอวี้ตกตะลึงอย่างมาก เธอรับขอโทษจ้าวเฉียนทันทีว่า

“คุณจ้าว…หนูขอโทษค่ะ… อันที่จริงหนูไม่ได้ตั้งใจสบประมาทคุณหรอก ก็แค่อยากได้ทำงานในบริษัทดีๆ เท่านั้น…จะได้ไม่เสียชื่อจากมหาลัยที่จบมา…”

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ ผมคงไม่แนะนำคุณให้เพื่อนผมรู้จักแล้ว”

แต่ในเวลานั้นเอง เฉินโฉวพลันระเบิดหัวเราะลั่น เขากล่าวว่า

“ฉินอวี้ เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษเขาเลย ถ้ามีเพื่อนทำงานอยู่บริษัทชื่อดังขนาดนั้นจริง แล้วทำไมเขายังว่างงานอยู่แบบนี้ล่ะ? ลองคิดดูนะ”

หลิวฉินอวี้ที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกว่านี่มันสมเหตุสมผลมาก เธอระเบิดหัวเราะลั่นอีกครั้งในทันใด

“คุณจ้าวนี่ช่างพูดเก่งดีนะคะ หนูเกือบจะเชื่อคุณแล้วจริงๆ”

ไม่ว่าเธอคนนี้จะเชื่อหรือไม่ จ้าวเฉียนก็ไม่ได้สนใจเลย

“นี่นาย นี่นาย ถ้ารู้จักกับเพื่อนที่ทำงานในสองบริษัทนั้นจริง ก็พาพวกเราไปฝึกงานที่นั่นทีสิ!”

เฉินโฉวกล่าวสบประมาทซ้ำเติมไปว่า

“พวกนายนี่มันงี่เง่าจริงๆ ยังจะโง่เชื่อเรื่องไร้สาระของเขาอีกเหรอ? น้ำหน้าอย่างเขาไม่มีทางมีเพื่อนอยู่ในสองบริษัทนั้นแน่นอน ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ฉันจะสระผมกลับหัวให้ดูเลย!”

หลิวซินอวี้ยังไม่เชื่อคำพูดของจ้าวเฉียนแล้วในเวลานี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเขากัน?

“พวกเรา ฉันคิดว่าเฉินโฉวพูดถูกนะ อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขามากเลย ถ้าเขามีเส้นสายดีขนาดนี้ แล้วปัจจุบันจะตกงานได้ยังไง?”

หลิวเซียวหยุนปริปากกล่าวกับทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า

“พวกเธอนั้นแหละหยุดพล่ามไร้สาระกันได้แล้ว จ้าวเฉียน แสดงให้พวกเขาเห็นสิว่านายไม่ได้โกหก!”

ในเวลานั้นเอง ก็มีเพื่อนสาวอีกคนของเหลียวเซียวหยุน ชื่อว่าหลัวเสี่ยว เธอเองก็พยายามช่วยจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนโดยกล่าวขึ้นว่า

“พวกนายเลิกทำแบบนี้กับเขาได้แล้ว เขาเป็นแฟนของเซียวหยุนนะ อีกอย่างวันนี้พวกเราอุตส่าห์นัดเจอกัน มาสนุกกันดีกว่านะ”

จ้าวเฉียนเห็นว่า หญิงสาวที่ชื่อหลัวเสี่ยวค่อนข้างมีมารยาทดี เธอดูเป็นผู้หญิงขี้อายไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไหร่ น่าจะเป็นคนติดดินคนหนึ่งที่มีนิสัยน่ารักไม่ใช่น้อย

แม้กระทั่งช่วงเวลาแบบนี้ที่เขากับเหลียวเซียวหยุนกำลังตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคน เธอที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กลับตัดสินใจออกมาช่วยอย่างกล้าหาญ

เห็นเป็นเช่นนี้ จ้าวเฉียนจึงยิ้มถามเธอไปว่า

“คุณอยากไปฝึกงานที่บริษัทไหน?”

ทั้งสองบริษัทล้วนเป็นบริษัทน้ำดี หลัวเสี่ยวครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบไปว่า เธอเลือกที่จะฝึกที่บริษัท เฉียนเก๋อ

จ้าวเฉียนพยักหน้าและจดชื่อหยวนมี่ พร้อมเบอร์ติดต่อให้ จากนัน้ก็มอบแก่หลัวเสี่ยว

“ติดต่อเธอคนนี้ได้เลย แล้วบอกว่าจ้าวเฉียนเป็นคนแนะนำมา หลังจากนั้นเธอจะนัดคุณเข้าไปสัมภาษณ์ หวังว่าจะทำสำเร็จสมความปรารถนานะ จะได้หรือไม่มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณเองแล้ว”

จ้าวเฉียนกล่าวอธิบายออกไปตามความเป็นจริง

หลัวเสี่ยวพยักหน้าและกล่าวขอบคุณทันที

“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริงคะ…หนูจะพยายามเต็มที่ ไม่ทำให้คุณจ้าวอับอายแน่นอนค่ะ!”

“หุหุ…ทำให้เต็มที่ก็พอครับ พวกคุณกินกันต่อก่อนนะครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ”

จ้าวเฉียนลุกไปเข้าห้องน้ำทันทีหลังกล่าวจบ

หลิวฉินอวี้ไม่สบายเนื้อไม่สบายกายเป็นอย่างยิ่ง ถ้านี่เป็นความจริง โอกาสทองเช่นนี้ควรเป็นของเธอ แต่หลัวเสี่ยวกลับคาบตัดหน้าเธอไปอย่างน่าเสียดาย

“ลองโทรไปตรวจสอบก่อนดีกว่านะว่จริงไหม ฉันว่าเจ้าหมอนี่มันขี้โกหกจะตาย ไม่อย่างนั้นมันจะว่างงานจนถึงตอนนี้เหรอ?”

หลิวฉินอวี้กล่าวกระตุ้น

หลัวเสี่ยวส่ายหัวทันทีและปฏิเสธกลับไปว่า

“ไม่ ฉันเชื่อใจแฟนหนุ่มของเซียวหยุนนะ เขาไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน”

หลิวฉิงอวี้เอิ้อมมือออกไปคว้ากระดาษแผ่นจากไปจากมือ และกดเบอร์โทรหาหยวนมี่อย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดลำโพงให้ทุกคนในห้องอาหารได้ยินทั่วกัน

“ฮาโหล ฮาโหล นั้นใครค่ะ?”

เสียงของหยวนมี่เอ่ยดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ นี่เป็นเบอร์ที่จ้าวเฉียนมอบให้ฉันมา เขาบอกว่าให้ติดต่อคุณ แล้วฉันจะได้ไปฝึกงานที่บริษัท เฉียนเก๋อ”

หลิวฉินอวี้กล่าว

“อ้อ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เวลาบ่ายสามโมง เจอกันที่ออฟิศที่ชั้นสิบ ห้อง1008ได้เลยค่ะ นำเอกสารการสมัครงานและพอร์ตโฟลิโอ และรูปถ่ายขนาดหนึ่งครึ่งมาด้วยนะคะ แล้วเตรียมตัวรอเรียกสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ”

หยวนมี่ตอบกลับไป

ทั่วทั้งห้องอาหารต่างตกตะลึงในทันใด ปลายสายที่ทุกคนกำลังรับฟังอยู่หรือว่าจะเป็นคนของบริษัท เฉียนเก๋อจริงๆ?

ตอนที่166 หน้าชา

จ้าวเฉียนไม่อยากมีเรื่องกับหวางเจ๋อ ชายคนนี้คุณสมบัติต่ำเกินกว่าที่เขาควรไปเกลือกกลั้ว แม้ว่าหวังซินซินจะสุภาพขนาดนั้น เขาเองก็ไม่ต้องการไปยุ่งอยู่ดี

แต่หวางเจ๋อกลับไม่ทราบว่าจ้าวเฉียนคิดอะไรอยู่ เขาจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ทำไมเธอดูตื่นเต้นขนาดนั้น เจ้าหมอนี่ถูกไล่ออกจากบริษัทนั้นแล้ว ตอนนี้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับเกมนี้ทั้งสิ้น”

หวังซินซินเหลือบมองหวางเจ๋ออย่างคร้านจะใส่ใจ คล้อยหลังหันกลับมายิ้มให้จ้าวเฉียนพร้อมกล่าวว่า

“ปล่อยเจ้านี่ไปเถอะ เราออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม? ช่วยสอนฉันเล่นเกมนี้หน่อยสิ ฉันอยากเก่งน่ะ ได้ไหม? แนะนำฮีโร่ที่เล่นง่ายแต่เก่งให้หน่อยนะ นายเป็นคนพัฒนาเกมนี้ขึ้นมาน่าจะรู้ดี”

คำกล่าวนี้ของหวังซินซินไม่เพียงแต่จะทำให้หวางเจ๋อโมโหเท่านั้น แม้แต่เหลียวเซียวหยุนเองก็หัวเสียอย่างมากเช่นกัน

“หวางเจ๋อ นายช่วยดูแลแฟนสาวของตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหม มาแรดต่อหน้าฉันแบบนี้ไม่อายเลยรึไง?”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยปากด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย

หวังซินซินที่ได้ฟังดังนั้นเธอเองก็ไม่พอใจอย่างมาก เธอชี้หน้าด่าเหลียวเซียวหยุนตอกกลับโดยไวว่า

“เธอเป็นใครห๊ะ!? เชื่อไหมว่าฉันสามารถฉีกปากเน่าๆ ของเธอได้!”

“แล้วเธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงมีสิทธิ์มาแรดใส่แฟนคนอื่นเขา!หวางเจ๋อ รสนิยมของนายเพี้ยนไปแล้วรึไง? ดูสิ แต่งหน้าจัดขนาดนั้น หน้าสดไม่เท่าไหร่แหละ นายเลือกลงไปได้ไง!”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวด้วยท่าทางรังเกียจ

อันที่จริงหวางเจ๋อเองก็ไม่ค่อยพอใจกับแฟนสาวคนนี้มากเป็นทุนเดิม แต่บริษัทของเราต้องพึ่งพาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของแฟนสาวคนนี้ เพื่อจะยืนหยัดได้ต่อไป แต่เขาเองก็ไม่ยอมให้ใครมาต่อว่าเธอง่ายๆ เช่นกัน

“นี่แฟนฉัน เกี่ยวอะไรกับเธอ? ไม่ว่าเธอจะแย่แค่ไหน เธอก็ดูดีที่สุดในสายตาฉัน!”

หวางเจ๋อเอ่ยตอบไปอย่างภาคภูมิใจ และคว้าร่างแฟนสาวเข้ามาสวมกอด

บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างกังวลยิ่งว่า ทั้งสองจะทะเลาะกันอีกรอบ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเข้าไปห้ามปรามทันที และแยกทั้งคู่ออกจากกันโดยด่วน

“หวางเจ๋อมานี่ ใจเย็นๆ ก่อนนะ มาชนแก้วกันมา!”

“เซียวหยุน สร้อยคอเธอสวยดีนะ ซื้อมาจากไหนเหรอ?”

ซึ่งทั้งคู่ต่างรู้ทันว่า บรรดาเพื่อนๆ เหล่านี้จงใจเบี่ยงประเด็นไม่ให้ทะเลาะกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเอออ่อไปตามเพื่อน หวังว่าสถานการณ์ที่แย่ๆ จะเบาเทาลงบ้าง

“นี่ สุดหล่อ อย่าขี้เหนียวไปเลยนะ ช่วยสอนฉันเล่นหน่อยสิ น๊าา…”

หวังซินซินยิ้มหวานเชิงยั่วยวนอีกฝ่าย

จ้าวเฉียนไม่สนใจผู้หญิงแนวนี้อยู่แล้ว เขาจึงตอบปฏิเสธน้ำเสียงเย็นกลับไปว่า

“ผมรับผิดชอบในด้านการวางแผนเท่านั้น ไม่ใช่แผนกพัฒนาเกม ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าฮีโร่แต่ละตัวมีลักษณะเด่นยังไงบ้าง ถ้าอยากเก่งจริงๆ แนะนำให้ไปดูคลิปที่มือโปรเขาสอนเอาก็ได้นะครับ หรือจะลองดูในแพลตฟอร์มเทียนซูวก็ได้ มีสตีมเมอร์หลายคนที่เล่นเกมนี้อยู่”

หวังซินซินยังคงส่งยิ้มหวานให้จ้าวเฉียนอย่างต่อเนื่อง แต่ภายในใจแอบดุเขาไม่น้อยที่ไม่ยอมเล่นกับเธอเลย ทำไมถึงต้องปฏิเสธเธอด้วยล่ะ?

เหลียวเซียวหยุนสุดจะทนไหวแล้วจริงๆ เธอตะคอกเสียงดังลั่นข้ามฝากไปด่าหวางเจ๋อว่า

“หวางเจ๋อ แกนี่มันไร้ยางอายจริงๆ ไม่สนใจแฟนตัวเองเลยรึไง?!ดูเธอสิยั่วจนแทบจะถกเสื้อถกกางเกงอยู่แล้ว ไหนว่ารักนักรักหนาห่ะ?!”

หวางเจ๋อเองก็ทนอยู่นานแล้วเช่นกัน ภายในห้องอาหารแห่งนี้มีเพื่อนร่วมชั้นเก่าและพี่น้องคนสนิทมากมาย แต่หวังซินซินกลับไม่ให้หน้าเขาเลย

“ซินซิน!เธอไม่ใช่เหรอที่บอกว่า อยากออกไปเดินเล่นข้างนอก!ออกไปเถอะ ถ้าเดินดูจนหนำใจแล้วค่อยกลับมา!”

สีหน้าของหวังซินซินดูเย็นยะเยือกลงถนัดตา เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่นายหมายความว่ายังไง? คิดจะไล่ฉันเหรอ? นี่ไม่รู้สึกละลายใจตัวเองเลยรึไง? หวางเจ๋อ ฉันขอเตือนนายไว้หน่อยนะ ที่นายมีวันนี้ได้ก็เพราะครอบครัวฉัน ถ้าไม่มีเงินทุนก้อนนี้ของฉัน ธุรกิจนายเจ๊งไปนานแล้ว!ดังนั้นนายควรจำใส่กะโหลกไว้ซะนะว่า นายควรปฏิบัติกับฉันยังไง!”

หวางเจ๋อรู้สึกขายหน้าอย่างมาก ตะกี้นี่เขายังเพิ่งสบประมาทจ้าวเฉียนไปว่า เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน แต่ตอนนี้หวังซินซินพูดอย่างกับว่าเขาเป็นไอ้ขี้แพ้

แต่สิ่งที่หวังซินซินกล่าวไปล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น หากไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเธอ ธุรกิจของเขาคงไม่สามารถประสบความสำเร็จถึงจุดนี้ได้

ในแง่ของความยิ่งใหญ่และเงินทุนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเธอ หวางเจ๋อไม่กล้ายั่วยุเธอแม้สักนิด หากในอนาคตเขายังต้องการสร้างโครงการยักษ์ใหญ่ขึ้นมา สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเงินทุนสนับสนุนจากครอบครัวเธอ

ในกรณีรี้ หวังซินซินในอิทธิพลของพ่อออกคำสั่งเพื่อขอ ‘เงินทุน’ ถ้าทำให้เธอโกรธขึ้นมา พ่อของเธอสามารถเรียกร้องขอเงินทุนทั้งหมดคืนได้ทุกเมื่อ

“อย่าเข้าใจฉันผิดไปสิซินซิน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย ก็แค่คิดว่าเธออเจจะเบื่ออยู่ที่นี่น่ะ”

หวางเจ๋อพยายามอธิบาย

หวังซินซินพ่นลมหายใจเย็น เอ่ยตอบกลับเพียงว่า

“ก็ฉันอยากอยู่ที่นี่ แขนขาก็ของฉัน หัวใจก็ของฉัน นายมีสิทธิ์อะไร?”

พวกเพื่อนร่วมชั้นต่างจ้องมองไปที่หวางเจ๋อด้วยสายตาแสนเวทนา พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าดาวเด่นของโรงเรียนในวันนั้น กลับเป็นแค่ชายรับใช้เหนือหัวในวันนี้

ทุกคนล้วนตระหนักได้ในทันทีว่า ที่หวางเจ๋อประสบความสำเร็จได่จวบจนวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะพึ่งพาบารมีของหญิงสาวคนนี้ล้วนๆ

หวางเจ๋อสัมผัสได้ชัดเจนว่า ทุกคนต่างจ้องมามองทางเขาด้วยสายตาแปลกๆ แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อภายในใจรู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก เพื่อนเก่าเหล่านี้ไม่กล่าวชื่นชมอย่างก่อนหน้าเสียแล้ว ณ เวลานี้เขาจึงทำได้เพียงหาข้ออ้าง ขอตัวออกไปห้องอาหารไปโดยเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์มือถือของหวางเจ๋อก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นผู้จัดการของบริษัทคู่ค้าของเขาโทรเข้ามาหา

“ประธานหวาง มีข่าวดีครับ!ผมได้เชิญคนจากบริษัทหยางไห่ ดีเวลลอปเม้นท์ มารับประทานดินเนอร์ด้วยกัน และพวกเขาเปิดเผยว่า อาคารชุมชนจิงไฮ่เป็นของเราครับ!”

หวางเจ๋อดีอกดีใจอย่างมากเมื่อได้ยิน ส่งเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นว่า

“เยี่ยม!เยี่ยมมาก!ฮ่าฮ่า…นายรีบแต้อนรับเขาให้ดีเลยนะ!ถ้าเราสามารถชนะการประมูล แล้วที่ดินส่วนนั้นตกเป็นของเราแล้วจริงๆ สิ้นปีฉันจะให้โบนัสนาย1ล้านหยวน!”

“ขอบคุณมากครับประธานหวาง ผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุดเลยครับ!”

หวางเจ๋อวางสายพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข สำหรับโครงการที่จะวางแผนในที่ดินอาคารชุมชนนี้ ถ้าทำได้สำเร็จเขาจะกวาดกำไรมานับหลายสิบล้านในอึดใจเดียว

หวางเจ๋อรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังลอยได้ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสนใจหน้าแฟนสาวอีกดต่อไป

พอกลับไปยังห้องอาหาร มีเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่าไปไหนมา เขาจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง จนเพื่อนคนนั้นอดถามไม่ได้ว่า ธุรกิจกำลังเติบโตขึ้นอีกระดับแล้วเหรอ?

หวางเจ๋อพยักหน้าและกล่าวตอบไปอย่างภาคภูมิใจว่า

“เมื่อกี้ผู้จัดการในบริษัทฉันโทรมาบอกว่า เราอาจจะชนะการประมูลที่ดิน เป็นโครงการอาคารชุมชนที่15ในเขตจิงไฮ่ ฮ่าฮ่า… ถ้าโครงการนี้สำเร็จไปด้วยดี กำไรนับสิบล้านจะไหลเข้ามาในกระเป๋าตังฉันแน่นอน!”

จะเห็นได้ว่าหวางเจ๋อในตอนนี้มีความสุขอย่างมากในขณะที่เล่าให้ทุกคนฟัง

หวังซินซินระเบิดหัวเราะเช่นกันอย่างมีความสุข เธอกระโดนหอมแก้มหวางเจ๋อพร้อมเอ่ยชมว่า

“สุดยอด!ถ้าโปรเจคนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ฉันอยากไปเที่ยวฝรั่งเศสเล่นจัง ตกลงไหม?”

หวางเจ๋อโอบแขนแฟนสาวอย่างมีความสุข เขากล่าวตอบไปว่า

“แน่นอน ถ้ามีเวลา เดี๋ยวเราไปด้วยกัน!”

“บอสหวาง อย่าลืมฉันด้วยสิ!”

“ฮ่าฮ่า…โอกาสดีๆ เข้ามาแบบนี้ อย่าลืมพวกฉันด้วยนะ!”

พอคนพวกนี้เรียนจบไปบ้างก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อ ไม่ก็ไปทางสายอาชีพ แน่นอนว่าพวกเขายังไม่มีรายได้มากพอจะไปเที่ยวอะไรแบบนี้ได้ คงทำได้แค่หวังพึ่งเพื่อนที่รวยแล้ว

หวางเจ๋อรู้สึกสดชื่นหัวใจราวกับสายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน เขายิ้มตอบไปว่า

“ฉันกำลังคนคนมาช่วยดูแลโครงการนี้อยู่พอดี ถ้าพวกนายสนใจลองมาสมัครกันดูสิ เรื่องเงินค่าตอบแทนไม่ต้องพูดถึง ฉันแถมรถให้ไปขับเล่นมูลค่า200,000หยวนเลย!”

เหลียวเซียวหยุนอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยิน เธอกล่าวสวนกลับไปว่า

“นี่เอาเศษเหล็กวิ่งได้มาล่อกันรึไง รถราคาแค่สองแสน? ไม่ชั้นต่ำเกินไปหน่อยเหรอ?”

หวางเจ๋อได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งยอมไม่ได้ ตลอดมาเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งอยู่เหนือคนอื่นมาโดยตลอด ถูกเหลียวเซียวหยุนสบประมาทขนาดนี้ยิ่งยอมไม่ได้เข้าไปใหญ่ เขาจึงแฉเรื่องพฤติกรรมของเหลียวเซียวหยุนจนหมดเปลือก เรื่องนิสัยความฟุ่มเฟือยของเธอ เปลี่ยนเสื้อผ้าแบรนด์เนมทุกวัน และที่เธอทำได้ก็เพราะเกาะพ่อแม่กินล้วนๆ

ด้วยเหตุนี้เหลียวเซียวหยุนจึงรีบอธิบายให้คนอื่นฟังทันทีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่า เธอก็แค่ลูกแหง่เกาะพ่อแม่กิน

หากเป็นก่อนหน้านี้ หวางเจ๋อคงไม่มีทางกล้าพูดแบบนี้กับเหลียวเซียวหยุนแน่นอน แต่ตอนนี้เขากำลังจะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีร้อยล้านแล้ว ทำไมเขายังต้องกลัวเธออีก?

“ฮิฮิ…ถึงฉันจะซื้อบ้านซื้อรถหรูให้ทุกคนไม่ได้ แต่ฉันก็ภูมิใจที่หาเงินมาด้วยแขนขาของตัวเอง ไม่ใช่เที่ยวแบมือขอเงินพ่อแม่ แล้วอวดคนอื่นไปเรื่อย มันน่าภูมิใจตรงไหนกัน? แถมยังขอเงินไปเลี้ยงผู้ชายจนๆ อีก น่าสังเวชใจสิ้นดี!”

ตอนที่165 ก็แค่เกมไม่ใช่เหรอ

พอบรรยากาศดูคลี่คลายลง จ้าวเฉียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เขารีบคว้ามือเหลียวเซียวหยุนแล้วยิ้มกล่าวว่า

“ถ้าอยากทุบตีผมขนาดนั้น คืนนี้ก็เปิดห้องด้วยกันเลยไหม ผมจะให้คุณทุบตีได้สมใจอยากไปเลย หลังจากนั้นผมก็จะกินคุณต่อ…”

เหลียวเซียวหยุนบ่นกลับไปทันที

“นายนี่มันหื่นจริงๆ คิดจะใช้ประโยชน์ทำย่ำยี่ฉันงั้นเหรอ? เจ้าบ้า…”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะและตอบกลับไปว่า

“แล้วที่คุณใช้ประโยชน์จากผมล่ะ? ถือซะว่าเท่าเทียมนะ เป็นข้อตกลงที่ดูเหมาะสมดีออก แล้วไม่ไปงานเลี้ยงรุ่นแล้วเหรอ? เดี๋ยวก็สายเอาหรอก?”

“แย่แล้ว!”

เหลียวเซียวหยุนอุทานลั่นทันทีด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นรถของเธอโดยไว

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดัง แล้วกลับไปสตารท์รถและขับตามเหลียวเซียวหยุนไป

เพื่อนร่วมชั้นม.ปลายของเหลียวเซียวหยุนใช่ว่าทุกคนจะร่ำรวย บ้างก็เป็นลูกจากครอบครัวฐานะปานกลาง ดังนั้นสถานที่จัดงานเลี้ยงจึงไม่ได้หรูหราอะไร เป็นแค่โรงแรมระดับกลางเท่านั้น

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงโรงแรมที่มีชื่อว่า เทียนไห่ หลังจากจอดรถเสร็จสรรพ เหลียวเซียวหยุนก็ควงแขนจ้าวเฉียนเดินเข้าไปในตัวโรงแรม

ทั้งสองเดินไปยังห้องอาหารส่วนตัวภายในโรงแรม เคาะประตูสองสามครา ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้ พอทุกคนเห็นว่าเป็นเหลียวเซียวหยุน ทุกคนก็รีบลุกขึ้นไปต้อนรับอย่างตื่นอกตื่นเต้น

“เสี่ยวหยุน!เข้ามาเลย เข้ามา!”

“แหม ออกกำลังกายบนเตียงกับแฟนมากไปหน่อยรึไง ถึงมาสายแบบนี้!”

เหลียวเซียวหยุนดึงร่างของจ้าวเฉียนมากอดแน่น และกล่าวตอบไปอย่างภาคภูมิใจว่า

“ไม่มีใครถึกทนไปกว่าเขาแล้ว ฉันโดนไปตั้ง13ครั้งแนะ เลยกว่าจะตื่นทีก็สายแล้ว”

“ฮะ…ฮะ…”

จ้าวเฉียนได้แต่ขำแห้ง หัวข้อการสนทนาของนักเรียนม.ปลายร้อนแรงเกินไปหรือเปล่า?

“เสี่ยวหยุน เธอแนะนำแฟนให้ทุกคนได้รู้จักทีสิ?”

“ใช่!ใช่!เราอยากรู้มากว่าคนที่สามารถจีบเธอติดได้ต้องเป็นคนยังไงกัน!ตอนที่อยู่โรงเรียนมีผู้ชายไล่จีบตั้งมากมาย แต่เธอกลับไม่แลสักคน”

“อยู่อย่างหนุ่มฮออตในตอนนั้นอย่างหวางเจ๋อสิ ยังแห่วเลย ฮ่าฮ่า…”

“ฮ่าฮ่าๆ … ใช่ๆ!”

ชายหนุ่มที่ชื่อหวางเจ๋อมุ่ยหน้าด้วยความไม่พอใจทันที และกล่าวตอบเสียงดังไปว่า

“เจ้าพวกบ้า!ลากฉันเข้าไปทำไม? โชคยังดีนะที่แฟนฉันไปเข้าห้องน้ำ ถ้าเธอได้ยินเข้า มีหวังบ้านแตกแน่นอน!หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะพวกเธอ!”

ทุกคนรีบปิดปากเงียบทันที และกล่าวถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป ทักทามเรียกให้เหลียวเซียวหยุนกับจ้าวเฉียนนั่งลงก่อน

ทันทีที่นั่งประจำที่เรียบร้อย เหลียวเซียวหยุนก็พาจ้าวเฉียนมาแนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักทันที

“นี่แฟนฉันเอง เขาชื่อจ้าวเฉียน แก่กว่าฉันประมานสองปี เขาทำงานให้กับบริษัทเกมฟางนี่ ที่สร้างเกม”League of Glory” โปรเจคนี้ได้เขานี่แหละเป็นผู้นำทีม”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่เหลียวเซียวหยุนเล่ากล่าวออกไป ทุกคนต่างก็เริ่มสนใจในตัวจ้าวเฉียนทันที

“หนุ่มหล่อคนนี้ต้องรวยมากแน่ๆ เกม”League of Glory”โด่งดังอย่างมากในปัจจุบัน คงทำเงินได้มหาศาลหลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน”

จ้าวเฉียนหัวเราะเป็นพิธี กล่าวตอบไปว่า

“ที่จริงแล้ว เป็นบริษัทซิงหยวนครับที่ถือครองลิขสิทธิ์ของเกมนี้ ผมได้ส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากโปรเจคดังกล่าว บริษัทเกมของเรายังไม่ดังถึงขนาดนั้นครับ”

คนอื่นๆ ต่างรู้สึกอิจฉาอย่างมาก แต่ทันใดนั้นกลับมีสายตาหนึ่งไม่เข้าพวก นั้นก็คือหวางเจ๋อที่จับจ้องจ้าวเฉียนด้วยท่าทีเหยียดหยาม แม้ว่าเขาจะมีเงินไม่ค่อยมาก แต่เรียกได้ว่าเป็นเถ้าแก่น้อยเจ้าของกิจการหน้าใหม่ไฟแรงคนหนึ่ง พอได้ยินแบบนั้นจึงเอ่ยถามจ้าวเฉียนขึ้นทันทีว่า

“แล้วทำอยู่ในตำแหน่งอะไรในบริษัทเหรอครับ?”

พอจ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้นพลันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“ผมเพิ่งถูกไล่ออกจากบริษัทครับ ตอนนี้ถือว่าว่างงานอยู่ครับ”

พอคำกล่าวออกไปแบบนั้น บรรยากาศทั่วทั้งห้องอาหารพากันเงียบสงัดลงทันที

คนที่ตกใจที่สุดคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากเหลียวเซียวหยุน เธอเอ่ยถามทันทีว่า

“นายถูกไล่ออก? เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่านายเพิ่งดิลกับบริษัทฉันได้ แล้วทำไมพวกนั้นต้องไล่นายออกด้วย?”

“เรื่องมันยาว ไว้วันอื่น…”

“ถ้าเรื่องมันยาว นายก็เล่าย่อๆ ให้ฟังก็ได้ ฉันอยากรู้เหตุผลจะได้รีบแก้ไขได้ทันไง”

เหลียวเซียวหยุนทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยตอบไปตามตรงว่า

“ก็ครั้งล่าสุดที่ฉันมีปัญหากับฟู่เอ๋อร์ไง ฉันเลยจ้างให้คนที่รู้จักสั่งสอนไปรอบหนึ่ง ก็เลยกลายมาเป็นศัตรูของตระกูลฟู่ แต่บังเอิญว่าบริษัทที่ผู้จัดการผมไปดิลด้วยดันเป็นบริษัทเหล่ยอู่ ทันทีที่พวกนั้นรู้ว่าผมอยู่ในบริษัทฟางนี่ สัญญาเลยถูกยกเลิกทั้งหมดในทันที”

ทันทีที่ได้ยินว่า จ้าวเฉียนกลายมาเป็นคนตกงาน สีหน้าการแสดงออกของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเหลียวเซียวหยุนก็แปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คำเยินยอก่อนหน้าราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

เหลียวเซียวหยุนโมโหอย่างมาก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันที เพื่อต้องการจะโทรไปต่อว่าฟางนี่ แต่จ้าวเฉียนกลับหยุดเธอไว้ได้ทันเวลาและกล่าวว่า

“อย่าไปสร้างปัญหาเลย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม ผมจัดการเองได้”

“ไม่ ฉันต้องการให้เธออธิบายเหตุผลมาว่า ทำไมพวกเธอถึงไล่พนักงานมากความสามารถแบบนายออก พวกงี่เง่าแบบนี้ ฉันไม่อยากร่วมงานด้วยหรอก ฉันจะยกเลิกสัญญา!”

“ใจเย็นก่อน เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า”

“ก็แค่พนักงานหน้าโง่คนหนึ่งนี่หว่า!ทีแรกก็คิดว่าเก่งมาจากไหน!”

ณ เวลานั้นเอง ไม่อาจทราบได้เลยว่าใครเป็นเจ้าของประโยคนี้ที่เอ่ยดังลั่นออกมา ทุกคนต่างเหลียวมองตามต้นเสียง และคนที่สบประมาทจ้าวเฉียนก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หวางเจ๋อคนที่เคยตามจีบเหลียวเซียวหยุน สมัยที่เรียนม.ปลาย

“หวางเจ๋อ ทำไมนายต้องพูดแบบนี้ออกมา? เขาไม่ใช่แค่พนักงานธรรมดานะ เขามีความสามารถรอบด้าน ทั้งยังสร้งาโปรเจคที่กวาดกำไรไปไม่รู้กี่ร้อยล้าน แล้วธุรกิจที่นายเพิ่งก่อตั้งทำได้แบบนี้หรือเปล่า?”

หวางเจ๋อรู้ดีอยู่แล้วว่า เขาไม่มีโอกาสชนะใจเหลียวเซียวหยุนได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาไม่ยอมเสียหน้าเพราะเธอเป็นอันขาด

“มันก็จริงที่เขาทำได้แบบนั้น แต่ใช่ว่ากำไรทั้งหมดจะเข้ากระเป๋าเขาสักหน่อยจริงไหม? กลับเป็นเจ้านายของเขาต่างหากที่ได้กินกำไรหลักล้านนั้นไป แถมตอนนี้พอหมดประโยคก็โดนถีบส่งออกจากบริษัท สุดท้ายมันก็แค่หมาหัวเน่าล่ะวะ!”

เหลียวเซียวหยุนต้องการจะโต้เถียงกับอีกฝ่ายต่อ ทว่าจ้าวเฉียนกลับหยุดไว้

“เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้ว วันนี้เพื่อนๆ ของคุณอุตส่าห์นัดรวมตัวกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องทำลายบรรยากาศดีๆ แบบนี้ด้วย? พวกคุณควรจะย้อนวันวานเล่าเรื่องเก่าๆ กัน อย่าโต้เถียงกับเรื่องคนนอกอย่างผมเลยจะดีกว่า”

จ้าวเฉียนไม่ได้โกรธเลยสักนิดที่คนพวกนี้จะดูถูกดูแคลนเขา เพราะอันที่จริง คนพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวเลย ก็แค่เด็กหนุ่มไฟแรงที่เริ่มต้นทำธุรกิจ กับเพื่อนชนชั้นต่ำของเหลียวเซียวหยุน

ณ เวลาเดียวกัน หวังซินซิน แฟนสาวของหวางเจ๋อก็กลับเข้ามาในห้องอาหาร แต่เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในมือถือ สังเกตจากลักษณะภูมิฐานที่แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัว ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

หวังซินซินเดินเข้ามา เพื่อนที่นั่งข้างๆ หวางเจ๋อก็สละตำแหน่งให้เธอได้นั่งข้างแฟนแทน

“Doublekill!Triblekill!Quadrakill!Pentakill!ACE!”

“ฮ่าฮ่า….ฉันฆ่าได้ห้าตัวรวด!!”

หวันซินซินตะโกนเสียงดังลั่นอย่างมีความสุข และกระโดดจุ๊บหวางเจ๋อด้วยความดีใจ

หวางเจ๋อทราบดีว่าเกมที่แฟนสาวของเขากำลังเล่นอยู่ เป็นเกมที่ได้รับการพัฒนามาโดยจ้าวเฉียน เขาจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา สีหน้าการแสดงออกของเขาดูไม่มีความสุขเลย

หวังซินซินที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าแฟนหนุ่มของเธออารมณ์ไม่ค่อยรับแขก พลางทำให้เธออารมณ์เสียไปด้วยเช่นกันโดยเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่ เป็นอะไรของนาย? ช่วยทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม?”

“มันก็แค่เกม ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย? ฆ่าได้ห้าคนรวดแล้วมันยังไง? แลกเป็นข้าวได้ไหม?”

หวางเจ๋อแซะตอบพร้อมสีหน้าดูถูก

“นี่นายกำลังพูดบ้าอะไรออกมา? หรือพอเจอเพื่อนเก่าเลยแอคทำเป็นตัวเองอยู่เหนือกว่าฉันขึ้นมา? คิดว่าเท่มากเหรอ?”

หวังซินซินเอ่ยถามเจืออารมณ์หงุดหงิด

“จะเล่นอะไรก็เล่นไปเถอะ ขอให้สนุกกับเกมแล้วกัน”

หวางเจ๋อประชดประชันตอบ

“อะไรของนาย!”

หวังซินซินตะคอกสวนกลับไป

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังทะเลาะกัน ทุกคนจึงรีบเกลี้ยกล่อมทันทีและมีคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า

“แฟนของหวางเจ๋อชอบเล่น League of Honor เหรอ? แฟนของเหลียวเซียนหนุนเป็นคนพัฒนาเกมนี้ขึ้นมา เธอสามารถคุยกับเขาได้นะ น่าจะถูกคอกันดี”

เมื่อหวังซินซินได้ยินแบบนั้น เธอก็สงบลงทันทีและเอ่ยถามด้วยสีหน้าชื่นชมว่า

“นาย…นายเป็นคนพัฒนาเกมนี้ขึ้นมาเหรอ? นายเก่งจังเลย ทั้งหล่อทั้งเก่งเลยแหละ!”

หวางเจ๋อระเบิดทันทีที่ได้ยิน แฟนสาวของเธอกำลังชื่นชมจ้าวเฉียนต่อหน้าเขา นี่ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชนเลย

ตอนที่164 ฉันจะกลับมา

จ้าวเฉียนหาญกล้าป่าวประกาศราวกับว่า ทุกคนจะต้องกลับมาขอความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งใครฟังก็น่าขำจริงๆ

“ฮ่าฮ่าๆๆ … ไม่…ไม่เลย…นายไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน? ทำไมฉันต้องขอให้แกกลับมาช่วยเหลือ สำคัญตนผิดไปรึเปล่า?”

จางหยางเอ่ยถามพร้อมสีหน้าแสนเย้ยเยาะ

“ผู้จัดการจาง เวลาที่คนกำลังถูกไล่ออกจากบริษัทมักจะมีนิสัยแบบนี้ทุกคน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกเขาในตอนนี้หน่อย คงแสร้งทำเป็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญขนาดนั้นอยู่นั่นแหละ”

หวังเฉียงกล่าวอย่างเย็นชา

“ฮ่าฮ่า…นั้นสินะ แต่จ้าวเฉียนพูดตามตรงเลยนะ ถ้าไม่มีนายอยู่บริษัทสักคน ที่แห่งนี้คงเจริญขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้แกนนำอย่างฉัน เชื่อได้เลย สักวันนายจะเห็นบริษัทฟางนี่ของเราโด่งดังไปทั่วประเทศ!”

จางหยางกล่าวน้ำเสียงอย่างเอาจริงเอาจัง

จ้าวเฉียนโดนจางหยางดูถูกเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ว กลับเป็นจ้าวเฉียนมากกว่าที่เห็นใจอีกฝ่าย ไม่มีแม้กระทั่งความสามารถและความคิดของผู้นำ ในตัวของจางหยางมีแต่ความทะเยอทะยาน

หากบริษัทตกอยู่ในกำมือของเขาจริงๆ บริษัทจะต้องล้มจมแน่นอนภายในสองถึงสามปี นี่ไม่ต้องสงสัยเลย

ในเวลานี้เองฟางนี่ก็ตะคอกใส่จางหยางด้วยความโกรธจัด

“นี่คุณถากถางจ้าวเฉียนพอแล้วรึยะง? ยังไงก็ตามที่บริษัทพัฒนามาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะเขาไม่ใช่คุณ จ้าวเฉียนมาพาซึ่งโปรเจคดดีๆ มามากมาย คุณที่เพิ่งได้มาโปรเจคเดียวไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้กับเขา!”

หวังเฉียงกับจางหยวนไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวแทรกเรื่องพวกนี้ได้เลย แต่จางหยางถือเป็นข้อยกเว้น

“ทำไมต้องมองมันดีกว่าเสมอ!มันก็แค่โชคดีเท่านั้น!หลังจากที่บริษัทไม่มีมันอยู่ ผมรับประกันได้เลยว่าจะมีแต่ดีขึ้นและดีขึ้น!”

“นี่ก็แค่บอกลาเขาในแบบของเราเท่านั้นเองครับ ประธานฟางอย่าเข้าใจพวกผมผิดไปสิครับ”

หวังเฉียงกล่าวเชิงหยอกเล่น

เจวียงหยวนเองก็แก้ตัวเช่นกันว่า

“ใช่แล้วครับ ประธานฟางกำลังเข้าใจผิดเฉยๆ น่ะครับ ผมแค่บอกลาเขาเฉยๆ”

จ้าวเฉียนขี้เกียจมองใบหน้าอันแสนน่ารังเกียจของคนพวกนี้ให้เสียสายตา ดังนั้นเขาจึงเดินจากไปขณะกล่าวพลางไปว่า

“ประธานฟางก็หัดสั่งสอนคนพวกนี้ให้อยู่กับร่องกับรอยบ้างนะครับ โชคดี”

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเดินออกไปจากออฟฟิศ ทันใดนั้นเองก็เป็นเจียงเสี่ยวปิงที่วิ่งมาหยุดเขาอีกครั้ง

“มีอะไรจะพูดด้วยเหรอ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมสีหน้าแสนเมินเฉย

เจียงเสี่ยวปิงพยักหน้าและกล่าวว่า

“อยาก…ฉันอยากจะพูดอะไรกับนายหน่อยน่ะ เดี๋ยว…เดี๋ยวฉันไปส่งนะ”

จ้าวเฉียนไม่อยากจะมีส่วนข้องเกี่ยวอะไรกับเจียงเสี่ยวปิงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบแค่ว่า

“ไม่จำเป็น มีอะไรก็พูดตรงนี้เลย คนอื่นจะได้รับรู้กันไปเลยทีเดียว”

เจียงเสี่ยวปิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดและกล่าวออกไปว่า

“ตอนนี้นายเองก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว หลุดพ้นจากคนพวกนี้ไปได้สักที ดังนั้น…ดังนั้น…เรากลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันอีกครั้งได้ไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังสนั่นในทันใด และเอ่ยถามกลับไปว่า

“อย่าเลย เจียงเสี่ยวปิง สมองเธอยังปกติดีอยู่ใช่ไหม? ขับไล่ไสส่งฉันไปขนาดนั้นยังมีหน้ากลับมาขอคืนดี? อีกอย่างนะ ท่อนล่างของเธอ…ผ่านมือผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว ฉันกลัวเป็นโรคติดต่อน่ะ ไม่กล้าเสี่ยงด้วยหรอก หวังว่าจะสงสารกันบ้างนะ?”

คำกล่าวของจ้าวฉัยนตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อมใดๆ และทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเจียวเสี่ยวปิงก็ไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด เธอพยายามง้อต่อว่า

“ฉันรู้สึกผิดแล้วจริงๆ นะ ฉันสำนึกแล้ว…ฉันสำนึกแล้วจริงๆ!ฉันรู้ว่าฉันทั้งโง่ทั้งเลวแค่ไหน ลองกลับไปคิดดูก่อนก็ได้นะ ฉันพร้อมเสมอ…”

ข้ออ้างคำกล่าวของเจียงเสี่ยวปิงช่างน่าด้านและไร้ยางอายเกินไป ใครเห็นก็รู้ว่าทำไปเพียงเพื่อเงินในมือของจ้าวเฉียบนเท่านั้น

ในอดีต เงินเดือนของจ้าวเฉียนต่ำตมอย่างมาก กว่าจะเก็บเงินซื้อของขวัญให้เธอได้ต้องรอเป็นเดือนสองเดือน แต่ในตอนนี้เขามีเงินหลักล้านอยู่ในมือ ซึ่งนั้นหมายความไดเว่า ตราบใดที่เธอสามารถกลับไปคืนดีกลับเขาได้ ชีวิตนี้เธอจะไม่ต้องทำงานและสามารถซื้อบ้านหลังโตสักแห่ง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองตงไห่ได้ตราบเท่าที่ต้องการ

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จ้าวเฉียนยังมีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทเกมฟางนี่ในมือ เขาจะได้รับเงินปันผลทุกปีอย่างไม่ขาดสาย และในอนาคต เธอคาดการณ์ว่า บริษัทฟางนี่คงมีกำไรไม่ต่ำกว่า20ล้านต่อปี ซึ่งก็คือจ้าวเฉียนจะได้รับเงินปันผลอย่างน้อย5ล้านต่อปี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เธอจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต

แต่ความคิดของเธอช่างเพ้อฝันสิ้นดี เพราะจ้าวเฉียนไม่มีทางมอบโอกาสนั้นแก่เธอแน่นอน

“เรื่องนี้ไม่ต้องคิดก็รู้คำตอบอยู่แล้ว บอกได้เลยตอนนี้ผมไม่เหลือเยื้อใยใดๆ กับเธออีกต่อไปแล้ว นอกจากคำว่าอดีตเพื่อนร่วมงาน แล้วถ้าจำไม่ผิด ผมเคยเตือนไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า เธอต้องครองคู่กับหวังเฉียงตลอดไป อย่าคิดว่าฉันล้อเล่น ฉันจะให้เธอได้ลิ้มรสกับคำว่า นรกบนดินแน่นอน!”

จ้าวเฉียนเอ่ยเตือนเจือน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็เดินจากออกไปโดยตรง

เจียงเสี่ยวปิงทั้งรู้สึกอับอายและโศร้าสยดอย่างบอกไม่ถูด อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มโอกาสให้เธอกับจ้าวเฉียน ‘คืนดีกัน’ หลังจากนี้เธอคงจะไม่อะไรไม่ดีเกี่ยวกับเขาแน่นอน

แต่หวังเฉียงกลับตะโกนไล่หลังจ้าวเฉียนสวนไปว่า

“มึงไม่มีสิทธิ์มายุ่งหยามเรื่องของกู!แล้วกูก็ไม่เอาอีนี่แล้วเหมือนกัน!”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับทันใดโดยไม่แม้แต่แลเหลียว

“ผมพูดไปแล้ว คำไหนคำนั้น หลังจากนี้ก็อย่าโทษผมล่ะกันว่าเลือดเย็น แต่พวกคุณสองคนเตรียมรักกัน…ไปจนวันตาย!”

หวังเฉียนในปัจจุบันไม่ต้องการจะอยู่กับเจียงเสี่ยวปิงอีกต่อไปแล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ยอมรับในตัวผู้หญิงที่ผ่านมือผู้ชายมาเป็นโหลได้หรอก

หลังออกจากบริษัทไป จ้าวเฉียนก็กลับบ้านมานอนพัก โดยไม่ต้องอะไรเลย เขากินอิ่มนอนหลับสบาย รอข่าวจากพ่อเท่านั้น

หลังจากพักผ่อนไปได้สองวัน เทศกาลไหว้พระจันทร์ก็มาถึง ตามข้อตกลงจ้าวเฉียนจะต้องเดินทางไปกับเหลียวเซียวหยุน เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นม.ปลายของเธอ เวลาเก้าโมงเช้าทั้งสองนัดพบกันตรงสถานที่ที่ตกลงกันไว้

เหลียวเซียวหยุนเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มและกล่าวทักทายว่า

“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ยังดูขี้เก๊กเหมือนเดิม”

จ้าวเฉียนกลอกตาใส่อย่างลับๆ กล่าวตอบไปว่า

“เจอกันไม่ทันไรก็แซะแล้ว แต่เอาเถอะ ผมอุตส่าห์ได้รับเกียรติมาเป็นแฟนปลอมๆ ของคุณหนูเหลียว เทพธิดาที่สวยที่สุด ก็คงต้องดีใจแหละจริงไหม?”

“นายเองก็อย่ามาแซะฉันหน่อยเลย ฉันรู้น่าว่านายไม่ได้ชอบฉัน ที่จริงฉันโกรธมากนะที่นายรู้สึกแบบนี้”

เหลียวเซียวหยุนสะบัดหน้าหนีเล็กน้อย แสร้งทำเป็นหัวเสียใส่

“ไม่แน่…ผมอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้”

จ้าวเฉียนแกล้งทำเป็นน้อยใจเช่นกัน

พอเหลียวเซียวหยุนได้ยินแบบนั้นเธอหันกลับมายิ้มให้ พร้อมกอดแขนเขาแน่น เอ่ยปากถามอย่างรวดเร็วว่า

“จริงเหรอ? ถ้างั้นฉันขอโทษ…นายจะหายโกรธฉันไหม?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบไปว่า

“แค่พูดขอโทษแล้วมันจบเหรอ? นี่ไม่มีความจริงใจเลย!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วนายจะให้ฉันแสดงความจริงใจยังไง?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย เขากล่าวไปว่า

“ถ้าคุณจริงใจกับผมจริง ก็ต้องจูบผมก่อน ตอนนี้ถือว่าผมเป็นแฟนคุณแล้วนะ ถ้าไม่ทำตัวให้เหมือนคู่รักกันจริงๆ คงไม่มีใครเชื่อหรอกจริงไหม?”

เหลียวเซียวหยุนประเคนหมัดทุบหลังจ้าวเฉียนไปทีสองที ปริปากบ่นพร้อมพวงแก้มสีแดงก่ำว่า

“ตาบ้า!คิดจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ แต๊ะอั๋งฉันเหรอ?!ทำไมนายทะลึ่งแบบนี้นะ!”

“เฮ้อออ…แย่จัง อย่างนี้ผมก็เสียเปรียบแย่น่ะสิ?”

“นายมีอะไรให้เสียเปรียบห่ะ?”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามด้วยความงุนงง

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“ฉันต้องแกล้งเป็นแฟนคุณนะ ต้องรับหน้าเพื่อนๆ คุณที่ไม่รู้ว่าจะก่อปัญหาอะไรให้อีก ดังนั้นก็ต้องมีรางวัลอะไรให้ผมก่อนจริงไหม? อีกอย่างคุณยังค้างค่าเดิมพันกับผมในคืนนั้นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนกลอกตาใส่ เธอหลุดขำเล็กน้อยแล้วถามกลับไปว่า

“อะ-…อะ-อืม… ก็..ก็ได้ แต่นายต้องแสดงเป็นแฟนฉันให้เนียนนะ…”

หลังจากที่พูดจบ เหลียวเซียวหยุนก็หลับตาปี๋ยืนใบหน้าสวยเข้าใกล้จ้าวเฉียนโดยตรง

ทันใดนั้นริมฝีปากอุ่นไอของทั้งสองก็ประกบกัน กลับเป็นฝ่ายเธอที่รุกเข้าจูบจ้าวเฉียนจริงๆ

จ้าวเฉียนลืมตาโตใส่ในทันใดและกล่าวขึ้นว่า

“อ่ะ!ผมแค่ล้อเล่น นี่คุณจูบผมจริงๆ เหรอเนี่ย?”

“ห๊ะ!? นาย….ไอ้บ้า!ฉันจะฆ่านาย!!”

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ เธอยกกำปั้นทุบตีใส่จ้าวเฉียนไม่ยั้งในทันใด

ตอนที่163 ในที่สุด

อันที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลับบริษัท จ้าวเฉียนก็เดาได้แล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น จางหยางต้องโวยวายอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องบริษัทเหล่ยอู่ เพื่อระดมเสียงของทุกคนขับไล่เขาออก

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็กลับมาถึงที่บริษัท ตามคาดไม่มีผิด ทุกคนอย่างมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

จ้าวเฉียนไม่คิดที่จะอธิบายอะไรใดๆ กับเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของฟางนี่โดยตรง

จางหยางกับหวังเฉียงรออยู่ในห้องทำงานของฟางนี่อยู่แล้ว ทันทีที่เห็นจ้าวเฉียนเดินเข้ามา พวกเขาก็ลุกขึ้นพร้อมชี้หน้าด่าทันที

“กว่าจะมาได้นะแก ฉันรออยู่นานแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกต่อไป แกถูกไล่ออก!”

จางหยางระเบิดอารมณ์ใส่ด้วยความโกรธเคือง

หวังเฉียงยังคงบ่นต่อว่า

“ฉันกับผู้จัดการจางทุ่มทั้งแรงกายแรงใจขนาดไหนรู้ไหมกว่าจะได้คู่ค้ารายนี้มา!จนในที่สุดก็ได้เซ็นสัญญากับอีกฝ่าย แต่เพราะปัญหาส่วนตัวระหว่างแกกับลูกเขา ทำให้พวกเขาปฏิเสธความร่วมมือไปเฉยเลย!สร้างปัญหาให้ขนาดนี้ จะไม่ให้พวกเราโมโหได้ยังไง ครั้งนี้พวกฉันไม่ได้สร้างปัญหาเองด้วย กลับเป็นแกทีที่ผิดเต็มๆ!”

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนดูไม่รีบไม่ร้อนใดๆ เขายังคงเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบกลับไปว่า

“ผมไม่จำเป็นต้องบอกผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวัง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม และผมสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”

“ฮ่าฮ่า…ตลกจังนะ จะเอาอะไรมาแก้ปัญหา? ใช้เงินตบหน้าเพื่อเรียกเขากลับมารึไง? ได้!แต่น้ำหน้าอย่างแกมีเงินเหรอ? หรือจะหลอกอะไรอีกล่ะ? ต้องใช้เงินมากขนาดไหนเพื่อเรียกความร่วมมือกลับคืนมา? น้ำหน้าอย่างแกไม่มีวัน!”

จางหยางตะคอกใส่อย่างดูถูกดูแคลน

หวังเฉียงเย้ยเยาะต่อว่า

“ถ้าพวกเขายินดีกลับมาร่วมมือกับเราจริงเพียงเพราะเงิน ไม่ต้องถึงมือแกหรอก แต่ผู้จัดการจางคนเดียวก็แก้ปัญหาได้แล้ว อ่อลืมไป นี่เป็นถึงคุณชายจ้าวไม่ใช่เหรอ? ขอเงินสัก2-3ล้านหน่อย เดี๋ยวพวกฉันจะลองไปแก้ปัญหาดู!”

จ้าวเฉียนพูดทุกอย่างที่ควรพูดออกไปหมดแล้ว และไม่อยากเสวนาเรื่องไร้สาระกับพวกเขาอีกต่อไป เขาเหลียวสายาไปทางฟางนี่และกล่าวว่า

“ประธานฟาง นี่หมายความว่ายังไงครับ?”

ฟางนี่ย่อมโกรธเป็นธรรมดา มีเนื้อชิ้นอร่อยกำลังจะเข้าปากเธอแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับบินจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา ไม่มีใครสามารถยอมรับได้หรอก

แต่เธอก็รู้ดีถึงความสำคัญของจ้าวเฉียนที่มีต่อบริษัท ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าโมโหใส่เขา

“ฉันเชื่อในความสามารถของนายนะ ถ้าบอกว่าสามารถแก้ปัญหาได้ มันก็น่าจะแก้ได้จริงๆ อย่างไรก็ตามแต่ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนโกรธมากจริงๆ นายควรออกไปอธิบายให้ทุกคนฟัง แล้วให้พวกเขาตัดสินว่าจะเอายังไงต่อ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหันหลังกลับ เตรียมจะออกไป แต่จางหยางกลับโผล่กล่าวขึ้นมาพร้อมท่าทีไม่พอใจว่า

“เสี่ยวนี่ นี่คุณหมายความว่ายังไง? สถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าคุณจะไม่รู้นะ มันไม่มีวันแก้ปัญหาได้อยู่แล้ว แต่ทำไมยังโง่เชื่อใจมันอีก นี่ยังมีคุณสมบัติเป็นเจ้าคนนายคนอยู่ไหม!”

ฟางนี่ไม่สนใจอะไรใดๆ จางหยางแม้สักนิด เธอเดินตรงเข้าไปผลักร่างเขาและออกไปพร้อมกับจ้าวเฉียน

“ทุกคนมารวมตัวกันหน่อย จ้าวเฉียนมีเรื่องจะประกาศให้ทุกคนฟัง”

ฟางนี่ตะโกนเสียงดังลั่นออฟฟิศ

บรรดาพนักงานรีบเร่งรวมตัวกันทันที รอให้จ้าวเฉียนอธิบายให้พวกเขาฟัง

จ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงดังฟังชัดว่า

“ไม่ต้องกังวลไป ปัญหานี้ผมสามารถแก้ไขได้แน่นอน แยกย้ายกลับไปทำงานให้สบายใจเถอะ”

นี่คือสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดออกมาจากใจ และทุกคนต่างทราบดีว่านี่มีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่อย่างไรพวกเขายามนี้ยังคงโกรธไม่หาย และเกินกว่าจะยกโทษให้เขาได้จริงๆ

“จ้าวเฉียน นายปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกับคนโง่ ไม่คิดจะพูดอะไรสักอย่างเลย”

“ถูกต้อง!เราเองก็ไม่อยากจะทำแบบนี้เหมือแนกันนั้นแหละ แต่ก็คงรู้เหตุผลดีไม่ใช่เหรอว่าทำไม? คิดเอาเองแล้วกันว่ามันสมควรไหม!”

“แม้พวกเรายังเชื่อใจนายอยู่ แต่นายไม่เคยแชร์ปัญหาอะไรกับเราเลย พอมีเรื่องขึ้นมา นายก็บอกแค่ว่าจะแก้ปัญหาให้ โดยที่เราไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ นี่มันปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ ทำให้ประธานบริษัทกับลูกเขาขุ่นเคือง แล้วครั้งนี้นายจะแก้ปัญหายังไงล่ะ?”

“ทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่า นายต้องออกไปจากบริษัทแห่งนี้ หรือยังไม่ได้ยินอีก?”

“จ้าวเฉียน อย่าตำหนิพวกเราเลยนะ นี่เป็นทางออกเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมา พวกเขาจะยอมกลับมาร่วมมืออีกครั้งทันทีที่นายออก”

“พวกเรารู้สึกขอบคุณจากใจเลยที่ให้ความช่วยเหลือบริษัทตลอดมรา แต่ปัญหานี้มีแค่ทางแก้เดียวเท่านั้นจริงๆ ถือซะว่าทำเพื่อบริษัทเป็นครั้งสุดท้ายนะ”

“ทางนั้นยังบอกมาด้วยว่า ตราบใดที่โปรเจคที่สร้างออกมามีคุณภาพพอ ทุกปีเขาจะสร้างเกมกับเราอย่างน้อยสองโปรเจค ความร่วมมือกับบริษัทนี้มีความสำคัญต่อบริษัทเราจริงๆ ขอโทษ…”

…..

บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างแสดงความรู้สึกที่มีออกไปจนหมด โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาคาดหวังให้จ้าวเฉียนยอมออกแต่โดยดี เพื่อแลกกับบริษัทเหล่ยอู่ยอมคืนความร่วมมือกลับมา

ฟางนี่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เธอเฝ้ามองอย่างเงียบงัน แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เธอล้วนเห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นของพนักงาน แต่เธออายเกินกว่าจะพูดออกมา

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวไปว่า

“ผมสามารถบอกได้เลยจากคำพูดของทุกคนว่า อยากให้ผมออกไปเพื่อสังเวยกับความร่วมมือที่จะกลับคืนมา ก็เลยหาวิธีเกลี้ยกล่อมเพื่อขับไล่ผมนี่เอง ได้สิครับไม่มีปัญหา ถึงเวลาเลิกงานพอดี หวังว่าหลังจากนี้บริษัทจะมีแต่ความสุข ขอให้โชคดีครับ”

จ้าวเฉียนตรงกลับไปยังโต๊ะของตัวเองและเก็บข้าวเก็บของตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทุกคนยังคงยืนนิ่งหน้าชา ลังเลเกินกว่านะทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

“ประธานฟาง คุณต้องพูดอะไรหน่อยนะ!”

“ใช่แล้วครับ!บริษัทนี้เป็นของคุณนะ อย่างน้อยก็พูดอะไรหน่อยเถอะ!”

“ใช่แล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกมาพูดกับจ้าวเฉียนแล้ว!”

พนักงานทุกคนรู้ดีว่าสถานะของจ้าวเฉียนใบริษัทนี้สูงขนาดไหน ถูกจ้าวเฉียนประชดประชันไปซะขนาดนี้ ถ้าไม่ให่ฟางนี่พูดเพื่อบรรเทาความกดดันลงหน่อย บรรยากาศคงไม่คลี่คลายลงแน่นอน

เพื่อขับไล่จ้าวเฉียนออกไป หวังเฉียงไม่พลาดโอกาสนี้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน เขาก้าวขึ้นมาพูดกับฟางนี่ทันทีว่า

“ประธานฟาง ไม่ว่าคนๆ หนึ่งจะมีความสำคัญกับบริษัทเพียงใด แต่ก็เทียบไม่ได้กับทุกคนใบริษัท ถ้าประธานฟางเอาแต่เข้าข้างเขาอยู่แบบนี้ มันจะบ่อนทำลายความศรัทธาของพนักงานบริษัททุกคนไปนะครับ ผลสุดท้ายอาจทำให้บริษัทของพวกเราพังไม่เป็นท่า ประธานฟางต้องตัดสินใจให้ดีนะครับ”

“ใช่แล้วประธานฟาง คุณเข้าข้างเขามากเกินไป”

“คิดให้ดีนะคะ…”

ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกดดันฟางนี่เพื่อให้บังคับให้เธอไล่จ้าวเฉียน เธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของทุกคนได้ และจำต้องเดินหน้าออกไปพูดอะไรกับจ้าวเฉียนสักหน่อย

จางหยางแอบดีใจอยู่เบื้องหลังทุกคน แสยะยิ้มชื่นบนมุมปาก คราวนี้จ้าวเฉียนหนีไม่พ้นอีกแล้ว สุดท้ายมันก็ไล่ออกไปจากบริษัทแห่งนี้เสียที

ไม่ว่าฟางนี่จะรู้สึกอับอายแค่ไหน ต่าเธอก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของทุกคนได้ เธอตรงมาพูดกับจ้าวเฉียนว่า

“จ้าวเฉียน นายเองก็คงรู้นะว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้มันหมายความว่ายังไง แล้วทุกคนในตอนนี้มองเธอเป็นยังไง เรื่องนี้มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ ฉันขอโทษ…มันจำเป็นจริงๆ ในอนาคต ถ้ามีโอกาสฉันจะเชิญนายกลับมาอย่างแน่นอน”

ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะลืมไปเสียแล้วว่า บริษัทแห่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อปราศจากตัวเขา เหลือทิ้งแค่เพียงความทรงจำท่าจะตราตรึงพวกเขาไปอีกนานแสนนานในก้นบึ้งหัวใจ จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า

“ประธานฟางเป็นหัวหน้าที่ดีกับผมเสมอมา หากแม้แต่คุณเองก็ตัดสินใจแบบนี้ ผมเองก็ไม่มีอะไรจากคัดค้านแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผมขอพูดอะไรสักหน่อยนะ ก่อนที่ผมจะเข้าบริษัทมาฟังทุกคนขับไล่ผมออก ผมเพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัทหัวโหย้วมา นี่ถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายสำหรับคุณก็แล้วกัน”

จ้าวเฉียนโยนซองเอกสารลงบนโต๊ะและลุกขึ้นออกไปจากออฟฟิศโดยตรง

ฟางนี่มองดูเอกสารบนโต๊ะ จู่ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิดอย่างหาที่เปรียบไม่ เธอตะโกนโวยลั่นขอโทษจ้าวเฉียนไล่หลังไม่หยุดไม่หย่อน

“ฉันขอโทษ….ฉันขอโทษ…ฮืออ…ฉันทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ อย่าโกรธฉันเลยนะจ้าวเฉียน…ฮืออ..ฮืออ…”

ก่อนที่จ้าวเฉียนจะผลักประตูออฟฟิศจากไป เขาหันมามองเธอเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ คงถึงเวลาที่ผมต้องไปจริงๆ แล้ว ถ้ามีมีเวลาว่า เดี๋ยวผมชวนไปจิบชาสักรอบ”

ขณะพูดจบจ้าวเฉียนก็กำลังจะเดินจากไป

แต่จางหยางกลับพุ่งตัวมาขวางเส้นทางจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็วและกวาว่า

“โอ้ กำลังจะจากไปแล้วเหรอ น่าเศร้าจริงๆ นะ ไม่น่าเลย…ไม่น่าเลย…”

จ้าวเฉียนเพียงยิ้มตอบและไม่ได้สนใจอะไรเขาอีกเลย

แน่นอนว่า หวังเฉียงเองก็ไม่มีทางพลาดโอกาสเยาะเย้ยจ้าวเฉียนครั้งสุดท้ายแน่นอน เขาวิ่งติดตามจางหยางเข้ามา และกล่าวซ้ำเติมไปว่า

“อย่าท้อแท้ไปเลยไอ้เพื่อนรัก คนมากพรสวรรค์อย่างนายพราวประกายส่องแสงได้ทุกที่แม้แต่ในถังขยะ! ฮ่าฮ่าๆๆ …ฉันเองก็คิดถึงแกไม่น้อยเลยวะ แม้ว่าเราจะไม่กินเส้นกันอยู่บ้าง แต่ก็แวะมาหากันได้ทุกเมื่อนะ ถ้านายหน้าด้านพอ!ฮ่าๆๆ …”

เจวียงหยวนตะโกนซ้ำสามว่า

“ในที่สุด ฉันก็เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้าย ฮ่าฮ่าๆๆ …”

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนพวกนี้เลย แค่ยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“ผมกลับไปนอนเล่นที่บ้านสักสองสามวัน แล้วจะรอจนกว่าพวกคุณหมอบคลานมาขอความช่วยเหลือจากผมอีกนะครับ ถึงตอนนี้คงไม่ง่ายแบบครั้งก่อนแน่นอน หุหุ…”

ตอนที่162 เซ็นสัญญา

ไม่นานหลังจากที่จ้าวเฉียนกลับถึงบ้านไป ฟางนี่ก็โทรหาเขา

“ฮาโหลจ้าวเฉียน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง คุณเหลียวพูดอะไรรึเปล่า?”

ฟางนี่เอ่ยถามพร้อมความรู้สึดผิดภายในใจ

“พรุ่งนี้ผมจะคุยกับเธออีกครั้งและพยายามดิลให้สำเร็จครับ เธอขอให้ผมเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นม.ปลาย ถ้าไม่ยอมตกลงตามนี้เธอจะไม่ยอมให้ความร่วมมือครับ ยังไงผมจะต้องคิดดูก่อน”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปถามความจริง

ฟางนี่กล่าวตอบทันทีว่า

“ไม่เป็นไรนายไปเข้าร่วมได้เลย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในวันนี้สามารถนำมาเบิกกับบริษัทได้เต็มจำนวน ตราบใดที่สามารถร่วมมือกับหัวโหย้วได้ นี่ก็คุ้มค่าแล้วที่จะจ่าย”

จ้าวเฉียนตอบกลับด้วยความไม่พอใจว่า

“แต่ประเด็นคือ ผมไม่อยากเข้าร่วมไงครับ ทั้งไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ทั้งนั่งเฝ้ารอเธอเรียนที่มหาลัย แถมยังงานเลี้ยงรุ่นอีก มันถึงขีดจำกัดผมแล้วจริงๆ ผมไม่อยากไปไหนอีกแล้ว”

ฟางนี่รีบปลอบโยนทันทีว่า

“แต่นายมีหุ้นส่วนบริษัทเราถึง32%ในมือนะ ถ้าครั้งนี้นายทำได้สำเร็จ เงินปันผลสในส่วนของนายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ต้องเห็นแก่หน้าฉันก็ได้ แต่เห็นแก่บริษัทของเราเถอะนะ”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งและตอบไปว่า

“ผมจะลองคิดดูนะครับ แต่ผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวังเอง ก็เพิ่มเซ็นสัญญาร่วมมือกับอีกบริษัทไม่ใช่เหรอ? ถึงทางผมจะไม่สำเร็จก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล?”

“สัญญาลงนามอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้ แต่ยังไงก็ต้องหารือเกี่ยวกับส่วนแบ่งอีกรอบ นายก็ควรดิลคู่ค้ารายนี้ให้สำเร็จนะ ผลตอบแทนที่ได้รับจะได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวไง”

ฟางนี่รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

“โอเคครับ แล้วมีอะไรอีกไหม? ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

“ไม่มีแล้ว นายไปพักผ่อนเถอะ ฉันจะรอฟังข่าวดีนะ”

หลังจากอาบน้ำเสร็จสิ้น จ้าวเฉียนก็วิดีโอคอลไปหาพ่อของเขาทันที รอเพียงไม่นานจ้าวฝู่ก็รับสาย

“ไอ้ตัวแสบ คิดยังไงวีดีโอคอลมาหา?”

จ้าวฝู่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

เป็นเวลานานแล้วที่จ้าวฝู่ไม่ได้เห็นหน้าลูกชายตัวเอง ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของลูกชาย เพื่อดูเสียหน่อยว่า อีกฝ่ายซูบผอมลงหรือไม่?

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ผมสบายดีครับ พ่อนั่นแหละ รู้สึกว่า…หล่อขึ้นรึเปล่า?”

“ฮ่าฮ่า…ประจบเก่งเหมือนเคยนะ แล้วโทรมาหาเวลาแบบนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

“พ่อก็คือพ่อวันยังค่ำจริงๆ ไม่มีอะไรสามารถหลบสายตาพ่อได้เลย หยางหู่กำลังมีเรื่องกับแก๊งเหล่ยอู่ แต่เขาไม่กล้าบอกพ่อ ดังนั้นผมเลยต้องมาแจ้งกับพ่อเป็นการส่วนตัวน่ะ”

จ้าวเฉียนเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม

จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะเสียงดังและตอบไปว่า

“ไม่มีอะไรที่ใช้เงินแก้ปัญหาไม่ได้ ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องลูกชายของจ้าวฝู่ มันต้องไม่ตายดี!แต่จะว่าไป ไม่ใช่ว่าลูกทำงานอยู่ในบริษัทเกมหรอกเหรอ? เดี๋ยวพ่อซื้อบริษัทเหล่ยอู่ให้เลยดีไหม?”

วิธีแก้ไขปัญหาของคนรวยมักง่ายและไม่ซับซ้อน นั้นคือใช้เงินซื้อปัญหามันไปเลย

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การซื้อกิจการบริษัทเหล่ยอู่ต้องใช้เวินจำนวนหลายร้อยล้านหยวน ถ้าเขาซื้อในตอนนี้มันจะขัดกับสถานะในปัจจุบันของเขาอย่างยิ่ง และอาจทำให้ความแตกได้

“อพ่อ ผมจะไม่สามารถแถให้คนอื่นฟังได้ว่า ผมเอาเงินมามากขนาดนั้นมาจากไหนในการซื้อเหล่ยอู่ ผมยังไม่อยากเผิดเผยตัวตนตอนนี้ เพราะนี่อาจเป็นอันตรายกับตัวเองได้”

จ้าวเฉียนกล่าวปัด

จ้าวฟู่ระเบิดหัวเราะลั่นและตอบกลับไปว่า

“อันที่จริงที่ลูกต้องการ พ่อสามารถจัดการให้ได้ทันที เอาแบบนี้ดีไหม พ่อจะสั่งให้ประธานฟู่ไฮ่ อินเวสเม้นต์ไปที่บริษัทลูก เพื่อหารือเกี่ยวกับการซื้อกิจการดังกล่าวมา ด้วยวิธีนี้มันจะเป็นของลูกได้โดยไม่มีใครรู้ ส่วนเรื่องแผนการค่อยว่ากันอีกที ขอแค่ลูกเห็นด้วยหรือไม่แค่นั้น”

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักหนึ่ง แต่อย่างไรเขารู้สึกว่า ตอนนี้มีเฟยอวี่อยู่ในกำมืออยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมีบริษัทเกมแห่งที่สองอย่างเหล่ยอู่ในกำมือก็ได้ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น

“เดี๋ยวผมลองคิดดูอีกทีแล้วกัน ถ้าสนใจ ผมจะโทรหาพ่อใหม่ ยังไงก็เถอะพ่อ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่ใช่ว่านั่งทำงานไม่ยอมนอนหรอกนะ? แล้วยังงี้จะอายุยืนพอจะได้เห็นหน้าหลานชายไหมเนี่ย?”

“ฮ่าฮ่า…เข้าใจแล้วน่า เข้าใจแล้ว เดี๋ยววางกลยุทธ์โมเดลธุรกิจนี่เสร็จ เดี๋ยวพ่อจะเข้านอนทันทีเลย แกก็เหมือนกัน ถ้าเจอผู้หญิงที่ถูกใจแล้วก็รีบบอกชอบไปเถอะ อย่าลืมทิ้งท้ายด้วยล่ะว่าแกเป็นลูกของจ้าวฟู่คนนี้!ฮ่าฮ่าๆ … อ่อจะว่าไป ชางเจียกงที่ไปรับช่วงต่อห้างแห่งนั้น ค่อนข้างน่าพอใจเลย ให้เขาดูแลต่อไปนั่นแหละดีแล้ว”

จ้าวฝู่กล่าวตอบอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนไม่มีอะไรพูดต่อแล้ว เพราะพ่อของเขาเล่นพูดมาซะขนาดนี้

“โอเคครับ งั้นผมไปนอนแล้ว ฝันดีพ่อ”

“ฝันดีไอ้ลูกชาย”

พอวางสายเสร็จ จ้าวเฉียนก็รีบเข้านอนพลางผล็อยหลับไป

ตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นที่แสนสดใส จ้าวเฉียนนั่งเคี้ยวขนมปังปิ้งอันหอมกรุ่นพร้อมดื่มนมแก้วหนึ่งในมื้อนี้ เป็นเวลาสิบโมงแล้ว เขากำลังออกเดินทางไปที่บริษัทหัวโหย้ว เพื่อไปหาเหลียวเซียวหยุน แต่ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าในมือถือพลันดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นจางหยางที่โทรมา

“ฮาโหลครับ ผู้จัดการจางมีอะไรหรือเปล่า?”

“นี่แกยังกล้ามาถามฉันอีกเหรอ!แกไปมีปัญหากับใครไว้อีกห่ะ!?”

จ้าวเฉียนกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้และตอบกลับน้ำเสียงเฉื่อยชาไปว่า

“ผู้จัดการจางหาเรื่องผมแต่เช้าเลยเหรอครับ? ไม่มีอะไรทำขนาดนั้นเหรอ? อีกอย่างคุณเป็นถึงผู้จัดการนะครับ เวลาคุยกับลูกน้องก็ช่วยทำน้ำเสียงให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ?”

จางหยางถูกจ้าวเฉียนเหน็บแนมไปขนาดนี้ น้ำเสียงของเขาพลันอ่อนลงโดยไม่ทันรู้ตัว และกล่าวว่า

“พูดตรงๆ เลยนะ หยุดทำให้ฉันขายหน้าได้แล้ว!บริษัทฟางนี่เป็นของฉัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไล่นายออก แต่ก่อนอื่น นายมีอะไรจะสารภาพไหม? ไปมีเรื่องกับนายน้อยของบริษัทเหล่ยอู่มาใช่ไหม?”

สิ่งที่จ้าวเฉียนเป็นกังวลในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงจนได้ จ้าวเฉียนกล่าวตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“มีปัญหากับฟู่เอ๋อร์นิดหน่อย เกิดอะไรขึ้นดหรอครับ?”

“มีคนรู้ว่าบริษัทของเรากำลังร่วมมือกับพวกเขา จู่ๆ ทางนั้นก็ยกเลิกการเซ็นสัญญาความร่วมมือไปเฉยๆ ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว!แล้วรู้ไหมว่าโปรเจคนี้มีมูลค่าเท่าไหร่!? ห้าล้านเชียวนะ!ห้าล้าน!แต่พอรู้ว่าบริษัทนี้มีนายทำงานอยู่ ทางนั้นกลับยกเลิกความร่วมมือทันที!”

จ้าวเฉียนคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันที แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่เป็นกังวลเท่าไหร่

“เดี๋ยวผมจะแก้ไขปัญหาเองครับ ไม่ต้องห่วง”

จ้าวเฉียนกล่าวปลอบโยน

“แก้ไข? น้ำหน้าอย่างแกแก้ไขปัญหาอะไรได้!ฉันกำลังเรียกทุกคนมาประชุมเพื่อขับไล่นายออก!”

จากนั้นจางหยางก็ตัดสายทิ้งไปทันที

จ้าวเฉียนรู้ได้ทันทีว่า ต่อให้เขาไปยืนหน้าบริษัทเหล่ยอู่ มันก็ไม่มีที่ว่างสำหรับเขาในการเจรจาต่อรอง

ดังนั้นจึงเหลือแค่ทางเดียวคือ ปล่อยให้พ่อของเขาซื้อบริษัทเหล่ยอู่มา

จ้าวเฉียนต่อสายโทรหาพ่อของเขาโดยตรงและกล่าวว่า

“พ่อ ผมคิดๆ ดูแล้ว ผมควรซื้อบริษัทเหล่ยอู่มาเป็นของตัวเองเลยดีกว่า แต่ผมไม่อยากให้พวกนั้นได้เงินมากเกินไปเช่นกัน พ่อพอจะมีวิธีไหม?”

“อืม…ถ้าอย่างงั้นต้องใช้วิธีสกปรกหน่อยแล้ว เดี๋ยวพ่อโทรหาหยางหู่แล้วปล่อยให้เขาจัดการเอง ลูกรอฟังข่าวดีได้เลย”

จ้าวฝู่เอ่ยตอบอย่างใจเย็น

จ้าวเฉียนกดวางสายบไปพร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเดินทางไปที่หัวโหย้วเพื่อไปพบกับเหลียวเซียวหยุนตามที่นัดไว้

ซึ่งเหลียวเซียวหยุนเองก็มารอจ้าวเฉียนตั้งแต่เช้าแล้วในบริษัท

พอจ้าวเฉียนมาถึง พนักงานในแผนกต้อนรับก็รับพาจ้าวเฉียนไปที่ห้องทำงานของเหลียวเซียวหยุนทันที

“กว่านายจะมาได้นะ ทำไมถึงช้าจัง?”

เหลียวเซียวหยุนบ่นเล็กน้อย

จ้าวเฉียนรีบอธิบายโดยไวว่า

“สองวันที่ผ่านมาผมเหนื่อยมากจริงๆ มาเจรจาเรื่องข้อตกลงกันเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาคุณด้วย”

เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวขอโทษทันทีว่า

“ฉันขอโทษนะ ที่พานายออกไปเหนื่อยแบบนี้ หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จ วันสองวันนี้ก็ไปพักผ่อนตามสบายเลย ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนนายระหว่างนั้นแน่”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางส่ายหัวตอบไปว่า

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย พอดีมีธุระอื่นที่ต้องทำด้วยน่ะ เอาล่ะนะ โครงการที่เราจะร่วมมือกันเป็นเกมแนวนี้…”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็เข้าเรื่องโปรเจค อธิบายให้เหลียวเซียวหยุนฟังโดยละเอียด

ทางฝั่งเธอเองก็พยักหน้าฟังไปสักพักหนึ่ง ก่อนเรียกพนักงานฝ่ายพัฒนามาฟังแบบแผนการสร้างเกมต่อ

ไม่ถึงหกโมงเย็น จ้าวเฉียนก็ออกจากบริษัทหัวโหย้วโดยถือสัญญาที่เพิ่งเซ็นกับเหลียวเซียวหยุนอยู่ในมือ

“เห้อ…ในที่สุด…”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฉฮือกใหญ่ หลังจากที่เขาใช้ความพยายามทุ่มเทถึงสองวันเต็ม สุดท้ายก็เห็นผลลัพธ์เสียที

อย่างไรก็ตาม กลับมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเข้ามาคือ ในวันศุกร์นี้ที่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ เขากับเหลียวเซียวหยุนจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นม.ปลาย และเขาจะต้องรับบทแกล้งเป็นแฟนเธอเหมือนเดิม

เวลาผ่านไป นี่ก็หกโมงเย็นกว่าแล้ว จ้าวเฉียนยังไม่กลับบริษัท หวังค่อยบอกข่าวดีกับเพื่อนร่วมงานในวันพรุ่งนี้

แต่ทันใดนั้นสายเรียกเข้าจากฟางนี่ก็ดังขึ้น

“ฮาโหลครับ ประธานฟางมีอะไรรึเปล่า?”

ฟางนี่ไม่ได้ตอบกลับทันที เธอเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงอ่อนว่า

“นาย…ช่วยกลับมาในบริษัททีสิ”

สุ่มเสียงของฟางนี่ดูแย่อย่างมาก น่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรแน่นอนภายในบริษัท

“โอเคครับ ผมจะรีบไป”

จ้าวเฉียนรีบขึ้นรถขับกลับไปยังบริษัททันทีโดยเร็ว

ตอน161 เกินทนไหว

จ้าวเฉียนอยากรู้ว่าจางหยางจะวางตัวยังไงต่อไป ดังนั้นเขาจึงเฝ้ามองอย่างเงียบๆ

เมื่อมีหลักฐานยืนยันชัดเจนแล้วว่า เด็กสาวคนนี้คือเหลียวเซียวหยุน ลูกสาวของเหลียวปี้ซ่ง จางหยางก็เงียบเป็นจั่กจั่นกลางฤดูหนาว ไม่กล้าส่งเสียงอันใดสักแอะ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งด่าเธอไปว่าปากหมา แต่ท้ายที่สุดนี้ กลับเป็นเขาเองที่ต่ำตอย ไร้กาลเทศะ แสร้งทำราวกับว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกสรรพสิ่ง

เห็นว่าาสามีตัวเองหน้าแตกไปเต็มๆ ฟางนี่เองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีทางเช่นกันที่จะต่อว่าเหลียวเซียวหยุน สุดท้ายนี้ลูกค้ายังคงสำคัญที่สุด ทั้งยังคิดว่าจ้าวเฉียนน่าจะรับมือไหวแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือ การทำให้ลูกค้าใจเย็นลง

ดังนั้นแล้วฟางนี่จึงรีบขอโทษเหลียวเซียวหยุนโดยเร็ว

“คุณเหลียว ดิฉันต้องขอโทษจริงๆ นะคะ สามีของฉันเพิ่งกลับมาจากอเมริกาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ บริษัทของเราถือลูกค้าเป็นสำคัญ ถ้าหากมีข้อสงสัยใดๆ สามารถถามจ้าวเฉียนได้โดยตรง เขาเป็นตัวแทนของดิฉันและบริษัทของเรา”

เหลียวเซียวหยุนถอนหายใจอย่างเยือกเย็น และกล่าวตอบไปว่า

“ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจ้าวเฉียน เรื่องนี้เป็นความผิดของสามีปากหมาของคุณ อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าบริษัทไหน ตราบใดที่สามารถพัฒนาเกมได้ตามต้องการ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับบริษัทของคุณ”

ฟางนี่ยิ่งรู้สึกกังวลหนักข้อเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินแบบนั้น เธอรีบขอโทษขอโผยเหลียวเซียวหยุนทันที

“คุณเหลียว โปรดใจเย็นก่อนนะคะ สามีของดิฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโกรธ จางหยาง รีบขอโทษคุณเหลียวเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงของฟางนี่ครั้งนี้ดูหนักแน่นกว่าปกติ ราวกับว่าไม่อนุญาตให้จางหยางปฏิเสธคำสั่งของเธอ แต่ยังไงซะ เขาถือได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง จะขอโทษคนอื่นต่อหน้าภรรยาตัวเองได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นคือ จ้าวเฉียนยังอยู่ตรงนี้อีกด้วย

“ผมขอโทษก็ได้นะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเหลียวจะสั่งโปรเจคแบบไหนออกมา ถ้าเป็นแค่โปรเจคเล็กๆ มันก็ไม่คุ้มที่จะได้รับคำขอโทษจากผม!”

เหลียวเซียวหยุนทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงขั้นสบถด่าสวนกลับไปว่า

“ทั้งโง่ทั้งอวดดี!คิดว่าบริษัทหัวโหย้วของเราจะสร้างแค่โปรเจคเล็กๆ รึไง!โง่!โง่จริงๆ!”

หลังจากพูดจบ เหลียวเซียวหยุนก็ถือของเดินกลับไปที่รถของเธอทันที

จ้าวเฉียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และเก็บข้าวเก็บของเตรียมจากไป

ฟางนี่รีบวิ่งไปกอดแขนและเอ่ยปากขอร้องโดยตรงว่า

“จ้าวเฉียน นายช่วยคุยกับเธอหน่อยได้ไหม? ถึงยังไงนายก็ยังมีหุ้นอยู่ในบริษัทฉันนะ คงไม่อยากให้ลูกค้าหลุดมือไปง่ายๆ ใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และตอบกลับไปว่า

“ประธานฟาง ไม่ใช่ว่าผมกล่าวหาผู้จัดการจางหรอกนะครับ แต่ถ้าเขายังเป็นแบบนี้ต่อไป ในไม่ช้าบริษัทของคุณจะต้องล้มละลายภายในกำมือเขาแน่ ผมพยายามอย่างดีที่สุดแล้วนึรั้งนี้ แต่เขากลับทำให้ทุกอย่างที่ทำมาพังไม่เป็นท่า งั้นผมขอใช้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นถอดถอนผู้จัดการจางออกจากตำแหน่งนะครับ”

จางหยางเดือดจัดทันทที่ได้ยิน เขาวิ่งไปกระชากคือเสื้อจ้าวเฉียนพร้อมสบถขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน!นี่มันมากเกินไปแล้ว!บริษัทนี้เป็นของครอบครัวเรา แล้วแกกล้าขับไล่ฉันออกไปได้ยังไง!”

“พอได้แล้ว!คุณช่วยหุบปากสักทีได้ไหม!!”

ฟางนี่ตะโกนลั่นอย่างสุดจะทนแล้วจริงๆ

จางหยางเหลือบมองฟางนี่ด้วยความตกใจ และไม่กล้าส่งเสียงกล่าวใดๆ อีกต่อไป

ฟางนี่อดทนอดกลั้นกับจางหยางมามากเกินพอแล้ว ตั้งแต่เขาเข้ามาในบริษัท ทุกการกระทำต่างก็ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ใบทะเบียนสมรส ฟางนี่คงไล่เขาออกนานแล้ว

ฟางนี่ตรงเข้าไปจับมือจ้าวเฉียน น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน เธอกล่าวขอร้องขึ้นว่า

“ขอร้องเถอะนะจ้าวเฉียน ยังไงคู่ค้ารายนี้ก็สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นโปรเจคเล็กใหญ่ยังไง แต่การได้ร่วมมือกับบริษัทเกมยักษ์ใหญ่อย่างหัวโหย้ว นับเป็นนิมิตหมายที่ดีมากแล้วสำหรับอนาคตของพวกเรา”

“เฮ้ออ… ผมจะพยายามลองดูแล้วกันครับ ยังไงก็เถอะ ถ้าทำไม่สำเร็จประธานฟางคงทราบดีนะครับว่า ทั้งหมดมีสาเหตุเพราะอะไร แล้วอีกอย่างนะครับ…อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเลย!”

จ้าวเฉียนเหลือบมองจางหยางด้วยหางตาเล็กน้อยขณะเอ่ยกล่าว และหันมาบอกกับฟางนี่ด้วยสีหน้าจริงจัง

ฟางนี่พยักหน้าและยึดคำมั่นสัญญากับเขาไปว่า

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องกังวล นายจะไม่ถูกไล่ออกแน่นอนในอนาคต ฉันขอรับประกัน ทำเต็มที่ก็พอ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ ด้วยความช่วยเหลือของฟางนี่ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นหลายเปาะ เขารีบวิ่งไปที่รถของเหลียวเซียวหยุนทันที

เหลียวเซียวหยุนกำลังขนของขึ้นรถ ขณะเดียวกันก็รอจ้าวเฉียนไปพลาง

จ้าวเฉียนเองก็ขนของขึ้นรถตัวเองเสร็จแล้วเช่นกัน และเขากลับลงจากรถตัวเองและวิ่งมาเคาะกระจกรถเธอ

“มีอะไร?”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามเจือน้ำเสียงขุ่นเคือง

“นี่คุณโกรธเขาจริงๆ หรือพูดเอาสะใจกัน? อย่าหัวเสียไปเลยนะ เดี๋ยววันหลังผมพาคุณมาช็อปปิ้งอีกดีไหม?”

“เหอะ!ไอ้เวรนั่นเป็นคนน่ารังเกียจชะมัด!โง่ไม่พอยังสำคัญตัวเองผิดอีก!จ้าวเฉียน ถ้านายไล่มันออกไปได้ ฉันจะร่วมมือกับบริษัทนาย ว่าไง?”

เหลียวเซียวหยุนดูจะแค้นจางหยางเป็นอย่างยิ่ง เธอกุมมือจ้าวเฉียนแน่นพร้อมจับจ้องเขาด้วยสายตาแสนคาดหวัง

จ้าวเฉียนส่ายหัว ตอบกลับไปว่า

“ไม่ ผมมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทนี้ ถ้าอีกฝ่ายออกไป ก็ไม่เท่ากีบว่าหุ้นส่วนที่ผมลงทุนจมไปเหรอ? ถือว่าเห็นแก่หน้าผมเถอะ อย่าโกรธเลยนะ?”

เหลียวเซียวหยุนส่ายหัวอาน กล่าวตอบไปว่า

“ไม่แน่นอน ฉันไม่มีทางยอมเพราะเรื่องแค่นี้แน่นอน เว้นเสียแต่นายต้องสัญญากับฉันก่อนว่า นายจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นม.ปลายที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่อย่างนั้น ยกเลิกความร่วมมือ!”

จ้าวเฉียนไม่ต้องการจะเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบไปว่า

“งานเลี้ยงรุ่นม.ปลายของคุณ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ? ในฐานะคนนอก ดูท่าจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ?”

เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบูดบึ้งทันที

“ก็นายยังแกล้งเป็นแฟนฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะเป็นคนนอกได้ยังไง?”

เมื่อได้ยินว่าต้องรับบทเป็นแฟนเธออีกครั้ง จ้าวเฉียนพลันรู้สึกเบื่อหน่ายในทันใด

“ไม่เล่นเป็นแฟนแล้วได้ไหม? ผมเบื่อที่ต้องจัดการกับปัญหาที่เข้ามา”

จ้าวเฉียนพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

เหลียวเซียวหยุนยิ้มเล็กน้อย เธอเอ่ยตอบไปว่า

“งั้นจะรับบทเป็นพี่ชายฉันรึไง?”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะและตอบไปว่า

“งั้นก็ไม่ต้องแกล้งเป็นแฟนปลอมๆ เราควรไปโรงแรมแล้วเปิดห้องกันสักคืนเลยดีไหม? จะได้เป็นแฟนกันจริงๆ ไปเลย?”

เหลียวเซียวหยุนชำเลืองมองอีกฝ่ายตาขวางพร้อมสีหน้าบูดบึ้ง แต่เธอกลับหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว ปั้นสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตะวาดใส่จ้าวเฉียนไปว่า

“เลิกฝันกลางวันได้แล้ว!ไปขึ้นรถ!แล้วส่งของให้ฉันที่บ้าน!”

จ้าวเฉียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หันหลังเดินกลับขึ้นรถตัวเองไป และขับตามเหลียวเซียวหยุนไปยังบ้านของเธอ

เนื่องจากเป็นถึงประธานบริษัทหัวโหย้ว เรียกได้ว่าคฤหาสน์ของเหลียวเซียวหยุนงดงามอย่างยิ่ง มีทั้งสวนดอกไม้และสระว่ายน้ำหรู เพียบพร้อมไปด้วยบรรดาคนใช้คอยให้บริการ

จ้าวเฉียนจงใจเสแสร้งทำเป็นอิจฉาและกล่าวกับเธอว่า

“บ้านของคุณใหญ่มาก!ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันถึงได้ขนาดนี้!”

เหลียวเซียวหยุนยิ้มตอบว่า

“ก็มากกว่า200ล้านหยวน ที่บ้านฉันไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินเท่าไหร่น่ะ เลยเหลือซื้อคฤหาสน์ได้”

“200ล้านเลยเหรอ!สุดยอด!หรูกว่าหลุมศพปู่ผมอีก!ต้องรวยแค่ไหนกัน!”

จ้าวเฉียนอุทานขึ้นพร้อมท่าทีตื่นอกตื่นเต้น

เหลียวเซียวหยุนหลุดขำเล็กน้อย ยกเท้าเตะจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและเตือนว่า

“นี่นายเข้าไปข้างในได้แล้ว หัดจริงจังซะบ้างนะ พ่อฉันรออยู่ข้างในนั้น”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเอ่ยตอบไปว่า

“ไม่ต้องห่วง ผมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและเดินเข้าไปพร้อมกับจ้าวเฉียน

เมื่อบรรดาคนใช้เห็นว่าเหลียวเซียวหยุนกลับมาแล้ว พวกเขาจึงรีบกล่าวทักทายทันที และรีบไปรายงานให้เหลียวปี้ซ่งทราบทันที

“นายท่าน คุณหนูกลับมาแล้ว เธอพาชายคนหนึ่งเข้ามาด้วย พร้อมกับถุงเสื้อผ้าอีกมากมาย”

เหลียวปี้ซ่งลุกขึ้นพรวดในทันใด เขาสงสัยเหลือเกินว่า ลูกสาวของเขาพาแฟนมาเหยียบถึงบ้านเลยงั้นเหรอ ไม่ใจกล้าเกินไปหน่อยรึ?

แต่ทันทีที่เหลียวปี้ซ่งเห็นว่า ชายคนดังกล่าวคือจ้าวเฉียน ใบหน้าของเขาก็มืดขรึมลงในทันใด

“ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว? ไหนว่าสัญญากันเรียบร้อยไงว่า เรื่องธุรกิจก็คือเรื่องธุรกิจเท่านั้น นี่แกคิดจะล้อเล่นกับฉันงั้นเหรอ?”

“ผมยังไม่ลืมสัญญาครับ แต่นี่เรามาคุยเรื่องงาน แต่เธอบอกว่า ต้องพาเจ้าตัวไปช็อปปิ้งก่อน ในฐานะพนักงานอย่างผม ก็ต้องบริการเธอทุกอย่างเพื่อสร้างความพึงพอใจ นี่เป็นวิธีเบื้องต้นของการทำธุรกิจไม่ใช่เหรอครับ?”

จ้าวเฉียนกล่าวอธิบาย

เหลียวปี้ซ่งพูดไม่ออกเช่นกันเมื่อได้ยิน เขาสั่งให้คนใช้คนหนึ่งไปหยิบข้าวของจากมือจ้าวเฉียนและกล่าวต่อว่า

“โอเค ทีนี่นายกลับไปได้แล้ว”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอได้ยินว่าตอนนี้เขาสามารถออกไปได้แล้ว เขาจึงรีบขอตัวกลับทันที

“โอเคครับ งั้นผมขอตัว โชคดีครับ”

จ้าวเฉียนหันควับเตรียมตัวจากไปโดยไว แต่กลับเป็นเหลียวเซียวหยุนที่ทิ้งสิ่งของทั้งหมดในมือและวิ่งไปคว้าแขนจ้าวเฉียนไว้ได้ทัน

“อย่าเพิ่งกลับ!มานั่งเล่นกับฉันก่อนสิ!พ่อ!เขาเป็นเพื่อนหนูนะ ถ้ายังจะไล่เขาแบบนี้อีก หนูโกรธจริงๆ ด้วย!”

สีหน้าของเหลียวปี้ซ่งมืดทมิฬลงทันที เขาเอ่ยตอบพร้อมน้ำเสียงสั่งการอย่างชัดเจน

“ได้!ถ้านั่งเล่นกันเสร็จแล้ว พ่อขอคุณกับเขาหน่อย!”

“ได้เลยค่ะ อิอิ…”

จากนั้นเหลียวเซียวหยุนก็พาจ้าวเฉียน เข้าไปด้านในตัวบ้าน และเหลียวปี้ซ่งเองก็ไม่กล้าหยุดลูกสาวตัวเองเช่นกัน

แต่จ้าวเฉียนไม่ต้องการอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงรีบหยุดเธอไว้ทันทีและกล่าวว่า

“ผมควรกลับได้แล้วอย่างที่พ่อของคุณบอก อีกอย่างผมยังอยู่ในเวลางาน ไม่สมควรออกมาเที่ยวเล่นจนเลยเถิด”

“เอ่ออ…ถ้างั้น…นายกลับไปก่อนก็ได้ แต่พรุ่งนี้อย่าลืมนะ เรามีนัดกันที่บริษัทเพื่อคุยเรื่องโปรเจคต่อให้เสร็จ”

“งั้นเจอกันเก้าโมง ผมจะไปหาคุณที่บริษัท”

“อืมได้เลย โชคดีนะ ขับรถปลอดภัย”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงอย่างมีความสุข เดินไปยิ้มให้กับเหลียวปี้ซ่งและจากออกไปทันที

ตอนที่160 ไม่ใช่เหรอ

ต่อให้รวยแค่ไหนก็ไม่มีความสุขเท่ากับซื้อของฟรีอีกแล้ว เหลียวเซียวหยุนเดินชี้ไม่หยุดหย่อนเทียบจะรอบทั้งห้าง ทั้งเธอและจ้าวเฉียนต่างแบกถุงช็อปปิ้งจนเต็มไม้เต็มมือไปหมด

“ฮ่าฮ่า…ฉันไม่เคยช็อปปิ้งครั้งไหนมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย! เจ๋งมาก! จ้าวเฉียน ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะนาย ฉันคงไม่มีโอกาสทองแบบนี้!”

เหลียวเซียวหยุนเหลือบไปมองถุงช็อปปิ้งมากมายเต็มสองมือ และโห่ร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ

รอยยิ้มประดับทั่วใบหน้าของจ้าวเฉียน เขาตอบกลับไปว่า

“นี่ขนาดเพิ่งรู้จักกันก็ใช้กันขนาดนี้แล้ว ถ้าสนิทกว่านี้คงไม่ต้องยกทั้งห้างเลยเหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนยิ้มเล็กน้อยพลางยกขาขึ้นเตะจ้าวเฉียน พร้อมกล่าวว่า

“เจ้าบ้า! ใครจะหนักถึงขั้นนั้น? หุหุ…แต่ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆนั่นแหละ ช่วยพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้หน่อยได้ไหม?”

“งั้นผมขออวยพรว่าอย่าไปถล่มห้างไหนจนย่อยยับแบบนี้อีกจะดีมาก ภูมิใจจริงๆที่ได้ยกของหนักขนาดนี้!”

จ้าวเฉียนแสร้งยกอกทำท่าทำทางดูภาคภูมิ จงใจกล่าวเสียดสีออกไปให้เธอได้ยิน

เหลียวเซียวหยุนขดริมฝีปากโค้งงอดูบึ้งบูด เธอตอบกลับไปว่า

“นายนี่มันกวนประสาทดีจริงๆ! ฉันว่าหน้าตาอย่างนาย ผู้หญิงคงสนใจไม่น้อย แต่พอมาดูเรื่องนิสัย อ่อ…ฉันไม่แปลกใจเลยถ้านายจะเป็นโสดตลอดชีวิต ไม่น่าสงสัยเลย ไม่น่าสงสัย”

“ฮ่าฮ่า…โอเค งั้นผมไม่พูดเรื่องไร้สาระแล้วก็ได้ มีอะไรอยากจะซื้ออีกไหม ผมจะได้แจ้งล้มลายกับห้างนี้ไว้เผื่อ”

“พอแล้ว! ไม่ซื้อแล้ว!”

เหลียวเซียวหยุนยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวว่า

“ถ้าอย่างงั้นคุณรอตรงนี้ก่อน ผมจะนำบิลไปให้กันทางห้าง”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็ตรงไปหาชางเจียกงเพื่อนำบิลซื้อของไปให้

ชางจียกงรออยู่ในห้องทำงานผู้จัดการอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าจ้าวเฉียนเดินมาที่ออฟฟิศห้าง เขาก็รีบลุกไปเรียกทันทีและเชิญอีกฝ่ายนั่งลง

จ้าวเฉียนโบกมือปัดกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็จะกลับแลว นี่คือบิลค่าใช้จ่ายทั้งหมดครับ ต้องรบกวนด้วย”

ทันใดนั้นชางเจียกงก็โค้งศีรษะให้และกล่าวด้วยความเคารพว่า

“ไม่ต้องสุภาพเกินไปหรอกครับคุณชายจ้าว แค่ได้ช่วยเหลือคุณนับว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”

จ้าวเฉียนถึงบางอ๋อทันที ก่อนตอบไปว่า

“ที่แท้พ่อฉันก็ส่งคุณมานี่เอง ไม่ต้องกังวลไป ถ้าทำงานออกมาดี เรื่องนี้ผมจะเอาไปเล่าให้พ่อฟังแน่นอน”

ชางเจียกงตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ยิน เขาโค้งคำนับจ้าวเฉียนอีกคราและกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

“ขอบคุณคุณชายจ้าวอย่างมากครับ ผมจะพยายามบริหารที่นี่ต่อไปให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้คุณชายจ้าวผิดหวังแน่นอนครับ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก จึงขอแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และกล่าวไปว่า

“คุณรอข้อความจากผม ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้พ่อฟัง แล้วรอฟังข่าวดีจากผมได้เลย”

“ด-ได้…ได้เลยครับคุณชายจ้าว ผมต้องขอบพระคุณ…ขอบพระคุณอย่างมากจริงๆ…”

ชางเจียกงตื้นตันอย่างมากเมื่อได้ยิน จนน้ำตารินไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

จ้าวเฉียนเดินกลับออกจากออฟฟิศมาหาเหลียวเซียวหยุน พร้อมถามว่า

“กลับบ้านกันเลยไหม?”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าตอบ

“อืม แต่นายต้องไปส่งฉันที่บ้านนะ ของมากมายขนาดนี้ รถฉันขนไม่พอแน่นอน”

พอได้ยินว่าจะต้องไปบ้านเธอ จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นประหม่าเล็กน้อย ปั้นสีหน้าวิตกกล่าวว่า

“โอ้? แสดงว่าผมใกล้เจอหน้าครอบครัวคุณแล้วใช่ไหม? ผมรู้สึกประหม่าจัง”

เหลียวเซียวหยุนกลอกตาไปที กำชับกำปั้นต่อยจ้าวเฉียนหนึ่งหมัด เธอยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“นี่นายเคยจริงจังกับคนอื่นเขาบ้างไหม?”

คราวหน้าจ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าเคร่งขรึม กล่าวน้ำเสียงจริงจังตอบกลับไปว่า

“อะแฮ่ม! ก็ผมกำลังจริงจังอยู่นี่ไง พ่อของคุณเองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันพัฒนาไปไหนต่อไหนแล้ว วันนี้ผมต้องไปเจอกับครอบครัวคุณ ผมไม่รู้ว่าจะระงับความตื่นเต้นลงได้ไหม อืม…กลัวพวกเขาคิดไปไกลถึงเรื่องบนเตียงนี่สิ”

เหลียวเซียวหยุนเบะปาก กล่าวเยาะไปว่า

“ตัดความคิดสกปรกพวกนั้นออกไปได้เลย ฉันไม่ให้ย่ะ!”

จ้าวเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก และตอบไปว่า

“ดีแล้ว เพราะผมเองก็ไม่ให้ร่างกายนี้กับคุณเช่นกัน หรือว่า…คุณจะหลอกผมไปที่บ้านเพื่อข่มขืน? ไม่…ผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่! ผมก็มีพ่อมีแม่นะ อย่าฉวยโอกาสกันเชียว!”

เหลียวเซียวหยุนกระหน่ำซัดกำปั้นทุบอกจ้าวเฉียนไม่หยุดยั้ง

ขณะที่ทั้งสองกำลังตบตีกันอยู่นั่นเอง พวกเขาที่กำลังเดินลงไปที่จอดรถชั้นใต้ดิน ก็บังเอิญเจอเข้ากับฟางนี่และจางหยางเข้า

ฟางนี่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักจ้าวเฉียน แต่จางหยางไม่คิดจะทำแบบนั้นเลย เขามองจ้าวเฉียนด้วยความโกรธเกรี้ยว ราวกับว่ามีรัศมีจิตสังหารพวยพุ่งออกมาได้อย่างไงอย่างงั้น

เหลียวเซียวหยุนสังเกตจเห็นความผิดปกติของจางหยางอย่างชัดเจน จึงหันไปถามจ้าวเฉียนว่า

“นายรู้จักกับพวกเขาเหรอ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“แน่นอน พวกเขาเป็นคนที่ผมเล่าให้ฟังไง ประธานฟางนี่และสามีของเธอ”

“โอ้! เป็นสามีของประธานบริษัทที่เอาแต่เห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม แถมยังโง่อวดฉลาด โง่บริสุทธิ์คนนั้นน่ะเหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนจงใจตะโกนเสียงดัง

จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นก็โกรธมาก เขาตรงเข้าไปหาจ้าวเฉียนและกล่าวว่า

“นี่นายเอาเรื่องฉันไปนินทาเสียๆหายๆข้างนอกอีกแล้วใช่ไหม?! เหอะ! เวลาทำงานแท้ๆแต่กลับมาควงเด็กผู้หญิงเที่ยวเล่น เสี่ยวนี่ เธอเห็นรึยัง? นี่และโฉมหน้าที่แท้จริงของจ้าวเฉียนมัน! ทีนี้เลิกยกย่องมันสักทีได้ไหม!!”

จ้าวเฉียนหันศีรษะเหลือบมองเหลียวเซียวหยุนอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่รู้เลยว่าตนควรตอบคำถามนี้ยังไงกลับไปดี จากนั้นเขาจึงเบี่ยงปนะเด็นเอ่ยถามฟางนี่กับจางหยางขึ้นว่า

“แล้วประธานฟางกับผู้จัดการจาง มาทำอะไรที่ห้างเหรอครับ?”

ขณะที่ฟางนี่กำลังจะเอ่ยปากตอบ กลับเป็นจางหยางที่พูดแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“ทำไม? ยุ่งอะไรด้วย? เราเป็นเจ้าของบริษัท จะออกจากออฟฟิศตอนไหนก็ได้ตามที่ต้องการ แต่นายในฐานะพนักงาน เมื่อวานก็ไปทั้งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พอมาวันนี้ก็เดินเที่ยวกับสาวในห้างอีก ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่า อย่ามาทำเรื่องไร้สาระในเวลางาน!”

ฟางนี่รีบดึงจางหยางกลับมาทันทีและคำหนิว่า

“จางหยาง คุณเลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว จ้าวเฉียนมากับลูกค้า อย่ามาพูดแบบนี้ต่อหน้าเธอสิ!”

“มากับลูกค้า? ลูกค้าบ้าบออะไร? ผมได้ตรวจสอบพนักงานระดับสูงของบริษัทหัวโหย้วหมดแล้ว แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าเด็กสาวคนนี้มาก่อนเลย แล้วเธอจะเป็นลูกค้าได้ยังไง? มันออกมาเที่ยวกับผู้หญิงในระหว่าาทำงาน! แกนี่มันน่ารังเกียจจริงๆจ้าวเฉียน!”

จางหยางยังคงกรนด่าสาปส่งต่อไป

จ้าเฉียนทราบดีว่าจางหยางเป็นคนนิสัยยังไง เขาจึงขี้เกียจมายืนเถียงกับอีกฝ่าย

แต่เหลียวเซียวหยุน เป็นสาวน้อยหัวร้อนง่าย เธอย่อมไม่สามารถทนต่อคำดุด่าของจางหยางได้โดยธรรมชาติ จึงตะคอกสวนกลับไปต่อหน้าจ้าวเฉียนไปว่า

“นายนี่มันโง่บริสุทธิ์อย่างที่จ้าวเฉียนเล่าให้ฟังจริงๆ ปัญญาอ่อนขนาดนี้เรียนจบจากอเมริกามาได้ยังไง?”

จางหยางคิดว่าตัวเองทั้งหล่อและฉลาด นอกจากนี้ยังอยู่เหนือคนอื่นเสมอ แถมต่อหน้าภรรยาตัวเองแบบนี้ เขายิ่งไม่อาจทนต่อคาวมอัปยศอดสูที่เหลียวเซียวหยุนมอบให้ได้

“นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครห่ะไอ้หนู? แต่ตัวก็ดูดีนะ แต่ปากหมาเหลือเกิน!”

จางหยางสวนตอบกลับไปทันควัน

“นี่แกรู้ไหมว่ากำลังผู้กับใครอยู่!?”

เหลียวเซียวหยุนทิ้งของทุกอย่างในมือ และทำท่าทำทางราวกับว่าจะเดินไปตบหน้าจางหยาง

ชายร่างใหญ่ปะทะกับเก็กสาวตัวเล็กๆ คงทราบดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

จ้าวเฉียนกลั้นหัวเราะสุดใจ และรีบพุ่งไปดึงร่างของเหลียวเซียวหยุนกลับมา พร้อมปลอบโยนไปว่า

“ใจเย็นก่อน ใจเย็น ถึงยังไงเขาก็เป็นเจ้านายผม”

เหลียวเซียวหยุนกรนด่าอีกชุดใหญ่ใส่จางหยาง

“นี่แกสติยังดีอยู่รึเปล่า? ฉันนี่แหละที่เป็นคนวานให้จ้าวเฉียนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แล้วยังขอให้เขาเดินช็อปปิ้งเป็นเพื่อนในวันนี้ อีกอย่างนะ…ฉันคือลูกสาวของเหลียวปี้ซ่ง ประธานบริษัทเกมหัวโหย้ว! จำใส่กะโหลกไว้ซะ!!”

จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับอ้าปากค้าง ยืนแข็งทื่อเป็นหินในทันใด

ฟางนี่รีบกระชากจางหยางให้ถอยหลับ และเป็นเธอที่ออกมารับหน้าแทนทันที

“ต้องขอโทษจริงๆนะคะ พอดีสามีของฉันเพิ่งกลับมาจากอเมริกา เรื่องมนุษย์สัมพันธ์จึงยังขาดๆเกินๆ ยังคงก็ช่วยยกโทษให้พวกเราด้วยค่ะ…”

เหลียวเซียวปิงตอบกลับพร้อมสีหน้าดูรังเกียจไม่น้อยว่า

“ประธานโทษนะคะ เขาเพิ่งด่าดิฉันว่าปากหมา แล้วขอโทษก็จบแล้วเหรอค่ะ? ฉันได้ยินที่จ้าวเฉียนเล่าให้ฟังหมดปแล้ว บรรดาลูกน้องรวมไปถึงสามีของคุณ วันๆสร้างแต่ปัญหาให้จ้าวเฉียน ทั้งๆที่เขาพยายามเต็มที่เพื่อผลประโยชน์บริษัท แต่คนของคุณกลับไม่เห็นค่าของเขาเลยแม้แต่น้อย นี่ยังมีหน้าเป็นประธานบริษัทได้ยังไง? ในเมื่อควบคุมไม่ให้สามีตัวเองปากหมา ด่าคนอื่นไปทั่วแบบนี้! ทีแรกฉันก็จะยอมให้ความร่วมมือเพราะเห็นแก่หน้าจ้าวเฉียนหรอกนะ แต่พอมาเจอสามีสันดารเสียแบบมัน ฉันคงต้องกลับไปคิดใหม่!”

จางหยางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามใส่อีกระลอกว่า

“เธอบอกว่าเป็นลูกสาวของเหลียวปี้ซ่งใช่ไหม? งั้นฉันก็พูดได้เช่นกันว่า พ่อของฉันคือจ้าวฝู่ มหาเศรษฐีระดับประเทศ! เหอะ! โกรงน้ำขุ่นๆ ใครก็พูดได้วะ!”

เหลียวเซียวหยุนเดือดจัดจนเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ เธอหยิบบัตรประชาชนออกมาและฟาดใส่หน้าจางหยางอย่างแรง พลางสบถด่าขึ้นว่า

“งั้นก็แหกตาดูไอ้โง่! คงไม่ใช่ว่าอยู่อเมริกานานจนอ่านภาษาจีนไม่ออกนะ!!”

จางหยางหยิบบัตรประชาชนขึ้นมาอดูอย่างละเอียดทันที และปรากฏว่าเธอมีชื่อว่า เหลียวเซียวหยุน ถึงขั้นนี้แล้วเขาไม่กล้าพูดอะไรต่ออีกเลย

จ้าวเฉียนจับจ้องจางหยางด้วยสีหน้าแสนว่างเปล่า นับวันเขายิ่งผิดหวังกับชายคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ชอบผลักดันตัวเองให้ทำเรื่องขายหน้า นี่เขารู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?

ตอนที่159 ช็อปปิ้งฟรี

 

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะโดนรุมตี ขณะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“นั้นใคร? ค่อยมาพบผมทีหลัง ตอนนี้ไม่ว่าง!”

 

หวันเจียงตะโกนตอบ

 

“คุณหวันเจียง โปรดเปิดประตูให้ผมด้วย ทางผมมาที่นี่เพื่อดำเนินขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ให้เสร็จสมบูรณ์”

 

สีหน้าการแสดงออกของหวันเจียงเปลี่ยนไปในบัดดลที่ได้ยิน เขารีบสั่งให้บรรดารปภ.ทั้งหลายวิ่งไปเปิดประตูให้โดยด่วน

 

ด้านนอกประตู ปรากฏเป็นชายวัยกลางคน พร้อมด้วยด้านหลังมีชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสูทสีดำถือแฟ้มบางอย่างอยู่ในมือ

 

“คุณเป็นใครครับ?”

 

หวันเจียงเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

 

ชายวันกลางคนตอบว่า

 

“ผมชื่อแชงเจียกง ตัวแทนของบริษัทหยางไห่ ดีเวลลอปเม้นท์ มาทำหน้าที่ส่งมอบเอกสารกรรมสิทธิ์ โดยคุณซินหงจี้ ประธานคนใหม่ของห้างแห่งนี้ได้ส่งหนังสือถึงคุณหวันเจียงให้พ้นสภาพหน้าที่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

 

“แต่ทางผู้จัดการบอกผมว่า เจ้าของคนใหม่ยังให้ผมดำเนินตำแหน่งนี้ต่อไปไม่ใช่เหรอครับ?”

 

แชงเจียกงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

 

“ผู้จัดการเป็นคนขอเก็บคุณไว้ แต่ทางบริษัทใหม่ที่เข้ามาบริษัทกลับไม่ยอมเช่นนั้น จึงมีการเขียนหนังสือฉบับนี้ออกมาในภายหลัง และเลขาของคุณเองก็ต้องออกเช่นกัน เมื่อหนังสืออีกเล่มส่งมาถึง”

 

“อะไรนะ?!นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!”

 

“ตอนนี้คุณพ้นสภาพจากตำแหน่งแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ห้องทำงานของคุณอีกต่อไป เชิญครับ”

 

แชงเจียกงผายมือออกไปทางประตู

 

หวันเจียงทราบดีว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ก่อนจะจากไปเขาขอสั่งสอนจ้าวเฉียนก่อนสักหนึ่งบทเรียน

 

“คุณแชง ผมขอเวลาอีกสักชั่วโมงได้ไหมครับ? แล้วทำจะเก็บข้าวเก็บของออกไปจากที่นี่ทันที”

 

หวังเจียงเอ่ยถาม

 

แชงเจียกงมาที่นี่พร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องสะสาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปทั้งแบบนี้

 

“ขออภัยด้วยครับ ทางบริษัทสั่งการให้ผมดำเนินการทันที หากคุณยอมให้ความร่วมมือ ทางเราจะส่งคนเข้ามาเก็บข้าวของพร้อมย้ายออกไปเอง แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ทางเราก็มีสิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นี้ได้ทันที และเนื่องจากคุณพ้นสภาพหน้าที่แล้ว จะไม่มีพนักงานคนไหนในห้างเชื่อฟังคุณอีกต่อไป โปรดออกไปจากที่นี่ด้วยครับ”

 

แชงเจียกงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาเป็นคำตอบ

 

แต่อย่างไร หวันเจียงยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงขอร้องอ้อนวอนอีกฝ่าย ให้เวลาเขาสักสิบนาทีก็ยังดี อย่างน้อยก็รวบรวมข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง

 

ชางเจียกงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

 

“ผมให้เวลาคุณสิบนาที ผมยังต้องพาทีมทนายความไปหาพนักงานคนอื่นอีก ดังนั้นผมมีเวลาจำกัด ช่วยเร็วหน่อยก็ดีครับ”

 

หวันเจียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าตอบตกลงไป ตามที่หนังสือยื่นเรื่องส่งมาเลย ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรมากไปกว่านี้แล้วในห้างแห่งนี้

 

เซียวลี่รีบกระตุกแขนหวันเจียง เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า

 

“แล้วผมควรทำยังไงดี?”

 

“นายจะไปกลัวอะไร ตอนนี้ฉันเป็นคนโดนไม่ใช่นาย!”

 

หวันเจียงเอ่ยตอบพร้อมสีหน้าไม่ค่อยพอใจ

 

แชงเจียกงที่พลันได้ยินเข้า ก็ตอบแทนทันทีว่า

 

“ขออภัยครับ บริษัทเพียงยื่นหนังสือให้คุณหวันพ้นสภาพเท่านั้น โดยมีเนื้อหาว่า คุณหวันพ้นสภาพจากตำแหน่งรองผู้จัดการ และทางบริษัทของเราเองก็คำนึงถึงสิทธิ์มนุษยธรรม จึงทำการจัดสรรหางานให้คุณหวันใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ในหนังสือดังกล่าวไม่มีรายชื่อของคุณ”

 

เมื่อคำกล่าวเหล่านี้ดังขึ้น เซียวลี่ยิ่งกังวลใจหนักเข้าไปใหญ่

 

“หวันเจียง นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมคุณถึงไม่ขอบริษัทให้ผมหางานใหม่ให้ด้วย? ยังไงอีกไม่นานผมก็ต้องถูกไล่ออกอยู่แล้ว!”

 

หวันเจียงเอ่ยตอบอย่างเชื่องช้าว่า

 

“นายก็แค่ผู้ช่วยไม่ใช่เหรอ? พอฉันเข้าทำงานที่ใหม่ เดี๋ยวฉันก็รับนายเข้ามาเป็นเลขาเองแหละ ถ้ายื่นของานใหม่สองคน ระหว่างฉันกับนาย คิดว่าบริษัทใหม่จะเลือกใครล่ะ?”

 

เซียวหงรู้สึกว่านี่ค่อนข้างสมเหตุสมผลอย่างมาก เขาจึงสงบลงเล็กน้อยและเอ่ยถามต่อว่า

 

“จะรับผมเป็นเลขาต่อใช่ไหม?”

 

หวันเจียงทุบอกตัวเองด้วยความมั่นใจและสัญญาไปว่า

 

“แน่นอน ถ้าไม่ให้นายมาเป็นลูกมือฉัน แล้วจะให้ใครเป็นล่ะ?”

 

“ขอบคุณมากครับ”

 

เซียวลี่ยิ้มอย่างมีความสุข

 

ในขณะนั้นเอง ชางเจียกงก็เหลือบไปเห็นพวกรปภ.ที่ยืนสงบนิ่งอยู่เคียงข้าง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

 

“รปภ.มารวมกลุ่มอะไรกันในนี้ ไม่มีงานมีการทำเหรอ?”

 

หัวหน้ารปภ.ตอบกลับไปทันทีว่า

 

“คุณหวันโทรเรียกมาครับ โดยบอกว่า ชายหนุ่มคนนี้มาก่อปัญหาให้เขา เขาจึงสั่งให้พวกผมสั่งสอนเขา แต่ขณะที่กำลังจะลงมือ พวกคุณก็เข้ามาพอดี”

 

หวันเจียงพยายามจะหยุดแต่กลับสายเกินไปเสียแล้ว ไอ้ยามเฮงซวยแบบนี้ มันต้องโง่ขนาดไหนถึงพูดเรื่องทำร้ายร่างกายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย?

 

ชางเจียกงเหลือบมองเข้าใส่หวันเจียงด้วยสายตาสุดเคร่งขรึม ก่อนจะหันไปถามจ้าวเฉียนว่า

 

“คุณมาที่นี่เพื่อก่อปัญหาจริงๆ รึเปล่า?”

 

จ้าวเฉียนส่ายหัว เอ่ยตอบกลับไปทันควันว่า

 

“ในห้างแห่งนี้ มีร้านขายสินค้าของปลอม ผมจึงแจ้งความกับทางตำรวจและสั่งปิดทันที แต่บังเอิญว่าร้านที่ปิดไปมีส่วนได้ส่วนเสียกับสองคนนี้ เห็นว่ามีการติดสินบนกัน พอมาวันนี้พวกเขาก็ตรงเข้ามาหาเรื่อง แถมยังขู่เรียกค่าชดเชยกับผมเป็นจำนวนถึง10ล้านอีก แล้วคุณคิดว่าใครกันที่สร้างปัญหากันแน่?”

 

ชางเจียกงมองไปทางหวันเจียง แววตาหลี่แคบเชิงจับผิดและเอ่ยถามขึ้นว่า

 

“จริงรึเปล่า?”

 

หวันเจียงตอบปฏิเสธกลับไปทันที

 

“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนครับ เขามาที่นี่เพื่อแบล็กเมล์ผม และขู่ว่าถ้าไม่ส่งเงิน10ล้านมาให้ เขาจะทำลายอนาคตของผม ซึ่งผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบโทรเรียกรปภ.มาให้เข้ามาช่วย และไม่ได้จะทำร้ายร่างกายเขาจริงๆ ครับ ผมแค่ขู่ป้องกันตัว”

 

แต่รปภ.เหล่านี้ไม่ได้เข้าใจถึงความหมายที่หวันเจียงพยายามสื่อออกมาเลย

 

หัวหน้ารปภ.ตอบกลับไปว่า

 

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ คุณหวันสั่งให้เราทุบตีขายคนนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่ขู่ ถ้าไม่ทำผมคงโดนไล่ออกแน่นอน”

 

หวันเจียงที่ทนฟังอยู่นาน ตอนนี้สุดจะอดกลั้นไหวแล้ว จึงคำรามด่าสวนไปว่า

 

“ไอ้โง่!ปัญญาอ่อนรึไง!หัดดูสถานการณ์บ้างว่าควรพูดไหม!? โง่ชิบหาย โง่จริงๆ!”

 

หันหน้ารปภ.ที่โดนดุด่าสาปเสียขนาดนั้น ก็พลันขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจยิ่งว่า

 

“คุณหวัน จะมาพูดแบบนี้กับพวกเราไม่ได้นะครับ มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องพูดความจริงกับเจ้านาย และเราก็ไม่ได้โง่ โปรดอย่ามาลดค่าความเป็นคนด้วยคำพูดแบบนี้เลยครับ”

 

“ใช่แล้ว คุณจะมาดูถูกเราแบบนี้ไม่ได้…”

 

บรรดารปภ.เหล่านี้เองก็มีความรู้สึกเช่นกัน โดนดุด่าราวกับหมูกับหมาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา

 

หวันเจียงแทบเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ไอ้คนพวกนี้ต้องโง่ขนาดไหนถึงกล่าวพูดความจริงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ได้? พวกมันไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดไปเลยแม้สักนิด สมควรแล้วที่ไอ้พวกโง่เหล่านี้จะเป็นได้แค่รปภ.ไปตลอดชีวิต

 

ชางเจียกงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นว่า

 

“บริษัทของเราจ้างรปภ.มาเพื่อดูแลและรักษาความวงบให้แก่ห้างแห่งนี้ ไม่ใช่บอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณ ทำไมคุณถึงใช้พวกเขาเพื่อระบายความขับข้องใจส่วนตัว? แถมยังติดสินบนร้านค้าให้ขายของปลอมอีก ในฐานะผู้รับผิดชอบแทน ผมไล่คุณออกทันที และทางเราจะไม่รับผิดชอบหางานใหม่แก่คุณอีกต่อไป เชิญออกไปได้แล้วครับ!”

 

หวันเจียงสุดจะทานทนแล้ว ตัวเขาระเบิดอารมณ์ออกมาทันที พร้อมสบถด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน

 

“นี่มึงคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรหะ!มึงมีคุณสมบัติอะไรมาไล่กูออกได้!ก็แค่บริษัทใหม่ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์เสร็จสมบูรณ์ด้วยซ้ำ!กูจะฟ้องศาล!”

 

ชางเจียกงนำหนังสือสัญญาออกมาและชี้ไปที่บรรทัดหนึ่งพร้อมกล่าวอธิบายว่า

 

“ย่อหน้านี้ผมว่ามันชัดเจนเกินพอแล้วนะครับ สิทธิ์การควบคุมและบริหารห้างแห่งนี้ตกเป็นของบริษัทในเครือของบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ปโดยสมบูรณ์ ถ้ามีในส่วนใดที่ไม่พอใจกับการบริหารของเราก็สามารถยื่นเรื่องถึงศาลได้เลยครับ ทางพวกเรามีทนายเตรียมสู้คดีเสมอครับ แต่ตอนนี้ผมต้องเชิญคุณออกไปจากที่ของผม ไม่อย่างนั้นผมจะให้รปภ.ลากคุณออกไป!”

 

สถานการณ์ในขณะนี้ชัดเจนอยู่แล้ว หวันเจียงถึงวาระสุดท้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป

 

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางและกล่าวขอบคุณกับชางเจียกงว่า

 

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมเอาไว้ ถ้ายังไงผมออกไปได้รึยังครับ?”

 

ชางเจียกงโค้งศีรษะให้เล็กน้อยและกล่าวขอโทษจ้าวเฉียนเช่นกัน

 

“ผมต้องขอโทษแทนเขาในนามห้าง ณ ที่นี้ด้วยครับ เพื่อเป็นคำขอโทษ ทุกอย่างที่คุณซื้อภายในห้างแห่งนี้สามารถลงบิลกับทางบริษัทผู้รับผิดชอบของผมได้เลยครับ สามารถช็อปปิ้งซื้อของได้ฟรีตามต้องการ แต่อย่างไร ผมขอความร่วมมืออย่านำเรื่องนี้ออกไปเผยแพร่กับคนนอกเลยนะครับ หวังว่าหลังจากนี้คุณลูกค้าจะมาใช้บริการกับทางห้างของเราในอนาคต”

 

“ฮ่าฮ่า…ขอบคุณมากเลยครับ คุณรู้จักวิธีจัดการและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าเขาคนนี้มากเลย ผมคิดว่าในอนาคต ห้างแห่งนี้จะต้องมียอดขายดีขึ้นมากภายใต้การบริหารของบริษัทคุณ ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ!”

 

ชางเจียกงพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มและกล่าวขึ้นว่า

 

“ขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรของคุณลูกค้านะครับ หากต้องการสินค้าชิ้นใดในห้างของเรา ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ทั้งหมดทางผมจะจัดการชำระให้เอง”

 

จ้าวเฉียนพยักหน้าขอบคุณอีกครั้งและตรงเข้าไปโอบไหล่ของเหลียวเซียวหยุน ทั้งคู่เดินออกไปจากห้องทำงานของหวันเจียงในทันที

 

แววตาคู่นั้นของหวันเจียงเปี่ยมล้นไปด้วยความเสียอกเสียใจ ทางด้านเซียวลี่กัดฟันดังกรอด ทั้งแค้นทั้งเศร้าโศกในเวลาเดียวกัน แต่พวกเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเช่นกัน

 

เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องทำงานไป

 

“ฮ่าฮ่า…ฉันไม่คิดเลยว่า ไม่เพียงกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ยังได้ของกำนัลอย่างการช็อปปิ้งฟรีเป็นค่าทำขวัญ!ทุกอย่างลงล็อกทันเวลาพอดีราวกับทุกอย่างถูกเตรียมไว้ตั้งแต่แรก!นายนี่มันโชคดีจริงๆ!ไม่สงสัยเลยว่าทำไมนายถึงล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งได้!คราวหน้าฉันจะพานายไปซื้อล็อตเตอรี่ด้วยกันบ้างแล้ว รางวัลที่หนึ่งงวดนี้ต้องเป็นของฉัน!”

 

จ้าวเฉียนยิ้มบางตอบไปว่า

 

“ถูกล็อตเตอรี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น อย่าไปคิดเรื่องที่แล้วมาเลย จะซื้ออะไรบ้างดีกว่า โอกาสทองแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยหรอกนะ”

 

“ฮ่าฮ่า…เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ฉันมาแล้ว!”

 

เหลียวเซียวหยุนกระโดดโลดเต้นอย่างสุขอกสุขใจ และรีบวิ่งไปช็อปปิ้งต่อทันที

 

ตอนที่158 ฉันทำได้

 

เหลียวเซียวหยุนตรงเข้ามาถามทันทีว่า

 

“พวกนี้ใครกัน?”

 

“รองผู้จัดการกับเลขาของห้างแห่งนี้”

 

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปตามความจริง

 

“แล้วทำไมจู่ๆนายถึงกลายไปเป็นศัตรูกับพวกนั้นได้?”

 

เหลียวเซียวหยุนยังคงเอ่ยถามต่อไป

 

“เรื่องมันยาว ถ้าผมมีเวลาเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังเอง”

 

จ้าวเฉียนเอ่ยปากตอบกลับไป

 

ในเวลานั้นเอง หวันเจียงกับเซียวลี่ก็ตรงเข้ามาหา

 

หวันเจียงยิ้มเยาะกล่าวขึ้นว่า

 

“โทรเสร็จแล้วหนิ ทีนี้ไปห้องทำงานฉันได้รึยัง?”

 

เซียวลี่พูดสบประมาทขึ้นว่า

 

“อย่างมันจะกล้าเหรอ?”

 

เหลียวเซียวหยุนไม่สามารถทนฟังต่อได้ไหว เธอชี้หน้าด่าหวันเจียงทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

 

“คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าหาเรื่องคนของฉัน!”

 

เซียวลี่ไม่รู้ว่าเหลียวเซียวหยุนเป็นใคร จึงเอ่ยถามพร้อมสายตาเชิงดูถูกขึ้นทันทีว่า

 

“เธอนั่นแหละเป็นใคร ถึงกล้าชี้หน้าใส่พวกเรา?”

 

“ฉันชื่อเหลียวเซียวหยุน พ่อของฉันเป็นประธานบริษัทเกมหัวโหย้ว เหลียวปี้ซ่ง!”

 

เหลียวเซียวหยุนตอบสวนกลับทันทีด้วยความภาคภูมิใจ

 

แต่เซียวลี่กับหวันเจียงกลับมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

 

“ไม่เห็นเคยได้ยินเลย”

 

ปฏิกิริยาของทั้งคู่ทำเอาเหลียวเซียวหยุนเดือดดาลขึ้นเป็นทวี เธอตะคอกด่าว่า

 

“สมองพวกนายผิดปกติอะไรรึเปล่า? ถึงไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทหัวโหย้ว หรือทั้งชีวิตพวกนายไม่เคยเล่นเกมกันเลยห๊ะ?!”

 

ทั้งคู่ส่ายหัวและตอบกลับไปตามตรงว่า ไม่ชอบเล่นเกม

 

ซึ่งนี่ก็จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ บริษัทเกมไม่ได้เหมือนกับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งอุโภคบริโภค จึงมีชื่อเสียงและรู้จักเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่สำหรับผู้คนทั่วไป ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่รู้จัก

 

หวันเจียงเบนความสนใจไปทางจ้าวเฉียนอีกครั้งและเอ่ยถามว่า

 

“นี่ถือว่าขอดีๆแล้วนะ กล้าไปห้องทำงานกับฉันไหม!?”

 

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบเสียงเงียบดูท่าทีไม่มีเกรงกลัว

 

“กล้าอยู่แล้ว ทำไมจะไม่กล้า? อย่าว่าแต่ห้องทำงานคุณเลย ให้บุกไปถึงสำนักงานใหญ่ ฉันยังไม่มีอะไรต้องกลัว”

 

“ดี! หวังว่าหลังจากนี้ยังจะปากดีได้อยู่! เชิญ!”

 

เหลียวเซียวหยุนสังหรณ์ใจไม่ดี หากปล่อยให้จ้าวเฉียนเข้าไปยังห้องทำงานของหวันเจียง มันอาจเกิดอันตรายกับเขาก็เป็นได้ ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าไปกระซิบจ้าวเฉียนว่า

 

“จังหวะนี้แหละ นายรีบวิ่งหนีไปเลย ถ้านายเข้าไปถึงห้องทำงานมัน มีหวังต้องเลือดตกยางออกแน่นอน”

 

แต่หลังจากที่เธอกล่าวออกไปแบบนั้น จ้าวเฉียนกลับทำหูทวนลมและเดินติดตามอีกฝ่ายออกไป

 

“ผมบอกไปแล้วว่าจะไปห้องทำงานของเขา แล้วจะหนีไปตอนนี้ได้ยังไง? ผมยอมเลือดตกยางออกดีกว่าโดนตราหน้าว่าขี้ขลาด!”

 

เหลียวเซียวหยุนได้ยินแบบนั้น พลันหมุนคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

 

“นายมันโง่! รีบหนีไปก่อนแล้วค่อยกลับมาแก้แค้นยังไม่สาย! ตอนนนี้นายกำลังไปถิ่นของมัน แล้วมันจะทำอะไรกับนายก็ได้! เดี๋ยวฉันจะรีบโทรหาพ่อกับพี่ชายให้มาช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”

 

จ้าวเฉียนยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจและกล่าวตอบไปว่า

 

“ไม่ต้องกังวล พวกมันไม่มีโอกาได้แตะต้องตัวผมด้วยซ้ำ”

 

“นาย…นายไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน? นี่เป็นถึงรองผู้จัดการห้างตงไห่ เซ็นเตอร์ หนึ่งในสามห้างใหญ่ที่สุดของเมือง แม้แต่พ่อของฉันที่มายังต้องออกหน้าไปทักทายผู้จัดการของที่นี่ แล้วนายอายุเพิ่งจะเท่าไหร่เอง? รีบหนีเร็วเข้าเถอะ ไม่อย่างนั้นนายซวยแน่!”

 

เหลียวเซียวหยุนพยายามลากจ้าวเฉียนหนีไปหลังจากที่พูดจบ

 

หวันเจียงกับเซียวลี่ที่หันมาเห็นภาพฉากนี้ พวกเขาถึงกับระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น มีความสุขเหลือเกินที่เห็นสองคนนั้นพยายามจะหนี

 

“ทำไม? เริ่มกลัวจนอยากหนีแล้วรึไง? แต่น่าเสียดายนะที่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว ถ้าอยากจะหนีหรือขอโทษ ค่อยไปว่ากันในห้องทำงานของรองผู้จัดการก็ได้ ฮ่าฮ่า…”

 

จ้าวเฉียนไม่อยากให้เหลียวเซียวหยุนเข้ามาพัวพันด้วย ดังนั้นเขาจึงจงใจตะคอกใส่เธอไปว่า

 

“ออกไป อย่ามาขวางผม!”

 

จากนั้นจ้าวเฉียนก็สะบัดแขนทิ้งเหลียวเซียวหยุน และเดินติดตามหวันเจียงและเซียวลี่ออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เซียวลี่กหันมาพูดกับเหลียวเซียวหยุนพร้อมใบหน้าแสนเย้ยหยันว่า

 

“น้องสาว คนไร้ความสามารถแบบนี้ไม่คู่ควรกับเธอหรอกนะ ไปหาผู้ชายคนอื่นควงแขนยังดีสักกว่า”

 

เหลียวเซียวหยุนโกรธจัดจนน้ำไหลรินไหล แต่เธอหัวรั้นไม่ยอมจากออกไปทั้งแบบนี้แน่นอน เธอจึงรีบวิ่งตามทั้งสามไป

 

“โอ้! ดื้อไม่ใช่น้อยนะ อยากเห็นแฟนเธอถูกกระทืบติดดินกับตาเลยใช่ไหม!”

 

เซียวลี่ยังคงกล่าวเย้ยเยาะเหลียวเซียวหยุนอย่างต่อเนื่อง

 

ไม่นาน พวกเขาทั้งสี่ก็ตรงมาถึงห้องทำงานของหวันเจียง ซึ่งหวังเจียงเองก็ไม่อ้อมค้อมใดๆ และเข้าประเด็นตามตรงไปว่า

 

“ขอโทษพวกเราพร้อมจ่ายเงินเป็นจำนวน10ล้านหยวนเป็นค่าชดใช้ หลังจากนี้ความแค้นระหว่างพวกเราถือเป็นอันจบสิ้น ในอนาคต หากนายคิดจะมาเดินห้างแห่งนี้ พวกเราเองก็ยินดีต้อนรับ ว่ายังไงล่ะ?”

 

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะทันทีและตอบกลับไปว่า

 

“ทันทีที่อ้าปากก็ขอเงิน10ล้านกันเลย? โลภไม่ใช่น้อยเลยนะครับ!”

 

เซียวลี่กล่าวตอบทันทีว่า

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะแก ร้านค้าหลายแห่งในห้างคงไม่ต้องปิดตัวลง พวกนั้นเป็นแหล่งกำไรให้เราได้หลายสิบล้านต่อปี แต่ตอนนี้พวกเขาขอจากแกแค่10ล้าน แกจะไม่ใจดำไปหน่อยเหรอ?”

 

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเอ่ยถามต่อว่า

 

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็สามารถแจ้งตำรวจได้สินะครับว่า พวกคุณเรียกเก็บสินบนเพื่อให้ร้านค้าเหล่านั้นหลอกขายของปลอมแก่ลูกค้าในห้าง?”

 

สีหน้าของเซียวลี่แปรเปลี่ยนไปฉันพลัน เขาสบถด่าขึ้นทันทีว่า

 

“ได้! ในเมื่อแก่ไม่ยอมย่อมได้! ถ้าฉันโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ จะโทรเรียกลูกน้องจำนวนหลายสิบจากข้างนอกให้มากระทืบนายยังได้ มีลูกพี่ลูกน้องของฉันถูกดำเนิคดีก็เพราะนายทำให้เรื่องนี้มันแดง บางคนถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต! ที่จริง10ล้านยังน้อยไปด้วยซ้ำ! นายทำร้ายชีวิตของพวกเขา ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยรึไง?!”

 

ยิ่งได้ยินแบบนั้น จ้าวเฉียนยิ่งระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น

 

“ก็พวกนายหลอกขายของปลอม ก็สมควรได้รับโทษแล้วไม่ใช่เหรอครับ? อีกอย่างพูดยังกับลูกพี่ลูกน้องตัวเองยากจนมาก ฉันไม่เชื่อหรอกว่า พวกนั้นจะไม่มีทางทำอะไรแลย ไม่แน่พวกมันอาจจะพ้นคุกก่อนกำหนด แล้วหาทางกลับมาล้างแค้นฉัน?”

 

เซียวลี่ตะคอกสวนตอบทันทีว่า

 

“หน้าด้านจริงๆ!!”

 

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มขึ้นบนมุมปากและกล่าวน้ำเสียงเรียบไปว่า

 

“อันที่จริง ถ้าพวกนายเป็นห่วงลูกพี่ลูกน้องพวกนั้นจริงๆล่ะก็ พวกนายก็ยอมมอบตัวในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ฉันมั่นใจว่า ลูกพี่ลูกน้องนายทั้งหมดย่อมถูกลดโทษทัณฑ์ลงโดยธรรมชาติ ไม่ก็โดนคดีที่ไม่รุนแรงขนาดนั้น”

 

สีหน้าทั้งคู่ดูเย็นชาขึ้นทันควัน เผยแสดงรอยยิ้มแสนร้ายกาจออกมา

 

หวันเจียงขู่ขึ้นว่า

 

“ฉันจะให้โอกาสคุณ อย่าทำเรื่องโง่ๆจะดีกว่า! ฉันเป็นถึงรองผู้จัดการของห้างแห่งนี้ คิดว่าฉันจะไม่สามารถทำอะไรนายได้จริงๆงั้นเหรอ?”

 

จ้าวเฉียนดูจริงจังขุ้นถนัดตาเช่นกัน และตอบกลับไปว่า

 

“ฉันไม่รู้หรอกว่านายจะมีความสามารถขนาดไหน แต่สิ่งที่ฉันรู้คือ วันนี้พวกนายชะตาขาดแน่ ทำตามที่ฉันบอกไปดีกว่า ยอมมอบตัวซะ จากโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”

 

“ฮ่าฮ่า…ทำไมกูต้องฟังมึงวะ?”

 

เซียวลี่เริ่มมีน้ำโห แสยะยิ้มเชิงยั่วยุพร้อมเอ่ยถามทันที

 

“ดื้อจริงๆ! ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมใจชดใช้กับสิ่งที่นายก่อไว้ได้เลย!”

 

แววตาของหวังเจียงดูชั่วร้ายอย่างมากในขณะนี้ ก่อนจะหยิบมือถือโทรออกหาใครบางคน

 

เหลียวเซียวหยุนกังวลยิ่งว่า จ้าวเฉียนอาจตกอยู่ในอันตราได้ ขณะที่เธอกำลังจะกดโทรออกไปหาพี่ชายของเธอ เพื่อขอความช่วยเหลือ จู่ๆเธอก็ถูกจ้าวเฉียนห้ามเอาไว้

 

“ไม่ต้อง ผมจัดการได้”

 

จ้าวเฉียนกล่าวอย่างใจเย็น

 

เหลียวเซียวหยุนไม่อาจทำใจสงบได้แม้สักนิด ยิ่งเห็นท่าทีของเขาในตอนนี้เธอเองก็ยิ่งหงุดหงิด

 

“อย่าทำตัวราวกับจัดการปัญหาได้ทุกอย่างได้ไหม? ฉันจะโทรเรียกพี่ชายให้มาช่วยเอง!”

 

“ผมบอกไปแล้วนะว่า จัดการได้ก็คือจัดการได้ ไม่เชื่อใจผมแล้วเหรอ?”

 

พอพูดจบจ้าวเฉียนก็คว้ามือถือของเหลียวเซียวหยุนออกจากมือเธอไปทันที

 

ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากภายนอก เซียวลี่รีบวิ่งไปเปิดประตูทันทีพร้อมรอยยิ้ม และปรากฏเป็นรปภ.จำนวนนับสิบที่ตรงเข้ามา

 

“รองผู้จัดการหวัน มีอะไรให้พวกผมช่วยครับ?”

 

หัวหน้ารปภ.เอ่ยถามขึ้น

 

หวันเจีงชี้ไปที่จ้าวเฉียนและแสร้งปั้นสีหน้าจนปัญญา

 

“หมอนี่จงใจสร้างปัญหาให้ผม พวกคุณช่วยสั่งสอนเขาสักหน่อยได้ไหม แล้วไม่ต้องกังวลถึงผลที่จะตามมา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันจัดการเอง”

 

พอได้ยินคำยืนยันจากปากของหวันเจียง บรรดารปภ.ต่างก็รู้สึกโล่งใจได้หลายเปาะ พวกเขาหันกลับไปล็อกประตูและหยิบกระบองออกมา ตรงเข้าล้อมกรอบจ้าวเฉียนโดยตรง

 

เหลียวเซียวหยุนตกใจอย่างมาก และรีบตะคอกใส่หวันเจียงสั่งให้หยุดทุกการกระทำเดี๋ยวนี้

 

“ฉันบอกให้หยุดไง! รู้ไหมว่าพ่อของฉันรู้จักกับผู้อำนวยการหลี่! ถ้าทำอะไรโง่ๆ พวกนายเตรียมโดนไล่ออกได้เลย!”

 

“โอ้? รู้สึกกลัวจัง ถ้าอย่างนั้นก็รีบโทรหาพ่อของเธอเร็วๆเลย ฉันจะได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดกับผู้อำนวยการหลี่ทีเดียว”

 

เมื่อถูกท้าทายแบบนี้ เหลียวเซียวหยุนรีบกระชากมือถือของเธอออกจากมือจ้าวเฉียน และขณะที่กำลังจะโทรหาพ่อ ก็เป็นอีกครั้งที่จ้าวเฉียนกระชากมือถือของเธอกลับไป

 

“นี่นายทำบ้าอะไร?”

 

เหลียวเซียวหยุนเหลียวหางตาถามด้วยความโกรธ

 

หวันเจียงยิ้มและตอบกลับไปว่า

 

“ดูเหมือนเขาจะยอมรับผิดแต่โดยดีแล้ว น้องสาว ฉันคิดว่าเธอควรออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ลูกเจ้าของห้างแห่งนี้ก็หล่อใช่ย่อย ถ้าต้องการสารสัมพันธ์ เดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักก็ได้นะครับ ยังดีกว่าคบกับไอ้ไร้น้ำยานี่ ว่ายังไง?”

 

“หุบปาก!”

 

เหลียวเซียวหยุนตะคอกใส่อย่างไม่ไยดี

 

หวันเจียงถอนหายใจเฮือกเย็นออกไป และกล่าวขึ้นต่อว่า

 

“ฉันกำลังหาข้อแก้ตัวให้เธอออกไปจากที่นี่อยู่นะ แล้วฉันก็ไม่สนด้วยว่า พ่อของเธอจะเป็นใคร ถ้ายังไม่เลิกหัวรั้น ก็จัดการมันทั้งคู่นี่แหละ!”

 

รปภ. เตรียมพร้อมยกกระบองขึ้นทันที

 

โดยผิวเผิน จ้าวเฉียนดูนิ่งสงบดั่งบ่อน้ำไร้ระลอกก็จริง แต่ภายในใจกลับตื่นตระหนักไม่น้อยเช่นกัน เขาไม่ได้กังวลว่า พ่อจะส่งคนมาช่วยไม่ได้ แค่กลัวว่าคนที่พ่อส่งมาจะมาช่วยไม่ทัน กว่าจะมาถึงคงถูกเหล่ารปภ.พวกนี้ทุบตีจะพิการไปแล้ว?

 

เหลียวเซียวหยุนก็กลัวเกินกว่าจะเฝ้ามองภาพฉากเหล่านี้ได้อีกต่อไป ร่างของเธอทรุดลงกับพื้นพร้อมหลับตาสนิท

 

หวันเจียงคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีชัย สุดท้ายนี้จ้าวเฉียนก็เตรียมขายหน้าได้เลย

 

ตอนที่157 ด้วยความยินดี

จ้าวเฉียนเพียงกังวลว่าฟู่เทียนกับฟู่เอ๋อร์จะลงมือกลั่นแกล้งบริษัทฟางนี่ เหมือนกับหยางหมิงที่คอยหาเรื่อง เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนหนึ่งเป็นพ่อ ส่วนอีกคนเป็นลูก พวกเขาอาจรวมหัวกันแก้แค้นจ้าวเฉียนก็เป็นได้

จ้าวเฉียนขับรถไปที่โรงแรมตงไห่ และเดินขึ้นไปยังห้องอาหารในชั้นที่เจ็ด นั่งรอเหลียวเซียวหยุนมาถึง

ประมาณสิบนาทีต่อมาเห็นจะได้ เหลียวเซียวหยุนก็ผลักประตูเข้ามา แต่จ้าวเฉียนถึงกับประหบาดใจอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเธอ เพราะวันนี้เธอช่างสวยเหลือเกิน

เหลียวเซียวหยุนที่เห็นจ้าวเฉียนเบิกตาโตตะลึงอยู่ จึงยิ้มถามอย่างมีความสุขว่า

“นี่นายกำลังมองอะไรมิทราบ? ไม่เคยเห็นฉันแต่งตัวจัดเต็มแบบนี้มาก่อนใช่ไหม? เป็นยังไง…ฉันสวยไหม?”

จ้าวเฉียนเพียงยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ฉันเคยเห็นผู้หญิงสวยผ่านตามาก็มากนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้แบบคุณ ฉันมีญาตผู้พี่อยู่หนึ่ง สนใจไหม? เดี๋ยวฉันแนะนำให้รู้จัก จะได้สร้างครอบครัวแล้วมีลูกหน้าตาน่ารักสักคนนึง?”

“ฮ่าฮ่า…ตาบ้า!”

เหลียวเซียวหยุนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะมือปัดใส่จ้าวเฉียนเล็กน้อยเชิงเย้าหยอก

ทั้งสองคุยกันอยู่สักหนึ่ง และเป็นจ้าวเฉียนที่เรียกพนักงานเสิร์ฟเข้ามา

ยังคงเหมือนกับเมื่อคืน จ้าวเฉียนบอกเหลียวเซียวหยุนว่าสั่งอาหารมาได้เต็มที่ แต่สิ่งเดียวที่แตกต่างไปคือ ครั้งนี้เธอสั่งอาหารมาพอประมาณเท่านั้นไม่กี่จาน

“อย่าเที่ยวพูดแบบนี้กับใครเข้าใจไหม? นายต้องรู้จักประหยัด เก็บเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง จะให้ฉันสั่งแบบเมื่อคืนล่ะก็ กินก็ไม่หมด แถมเปลืองเงินโดยใช่เหตุ”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า

“เธอแค่สั่งเฉพาะที่กินไหวก็พอ แค่นี้ก็ช่วยฉันได้เยอะแล้ว”

พนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหารอย่างรวดเร็ว และทั้งคู่ก็เริ่มนั่งสนทนากันระหว่างมื้ออาหาร

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานของฉันเลยนะ เวลานายจะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ ขาดทุนไม่ได้เด็ดขาดแม้แต่หยวนเดียว”

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบไปว่า

“ตราบเท่าที่เธอจริงจังและเอาใจใส่งานมากพอ ไม่เพียงจะไม่ขาดทุนเท่านั้น ไม่สิ…ต้องบอกว่าเธอตั้งเป้ากำไรไว้ที่เท่าไหร่?”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าพร้อมเอ่ยถามต่อไปว่า

“แล้วนายคิดไว้รึยังว่าจะผลิตเกมแนวไหนออกมา? สามารถเลียนแบบ League of Honorได้ไหม? เกมแนวนี้กำลังเป็นกระแสเลยไม่ใช่เหรอ?”

จ้าวเฉียนส่ายหน้าทันทีและตอบกลับไปว่า

“ไม่แน่นอน เจ้าของที่ถือครองลิขสิทธิ์เกมนี้คือซิงหยวน ถ้าคุณกล้าเลียนแบบจะต้องถูกฟ้องร้องแน่นอน เกมที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีอยู่ประเภทเดียว บางเกมเป็นแนวเก็บเลเวล ค่อยๆใช้เงินพัฒนา เกมแนวนี้ก็ค่อนข้างฮิตเช่นกันในปัจจุบัน วิธีทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายที่สุดคือการแจกเกมฟรี”

เหลียวเซียวหยุนงุนงงอย่างมากเมื่อได้ยิน และเอ่ยถามต่อไปว่า

“ถ้าแจกเกมฟรี แล้วจะเก็บเงินหาผลกำไรจากใคร? หรือมีวิธีทำงานแบบอื่นด้วย?”

“ขายตั๋วสุ่มไอเทมในเกมไง! สิ่งนี้มีผลต่ออัตราการพัฒนาของตัวละครอย่างมาก แต่ก็อย่าทำให้สายฟรีกับสายเติมมีช่องว่างระยะห่างกันเกินไป บางทีเราอาจใช้ชุดแฟชั่นสวยๆเข้ามาล่อใจให้เติมเงินสุ่มไอเทมเหล่านั้น หรือไอเทมที่มีค่าสถานะแตกต่างจากของที่หาดรอปได้จากในเกมเพียงเล็กน้อย ตามที่คำนวณดูแล้ว เกมประเภทนี้น่าจะทำเงินได้100ล้านหยวนต่อวัน คุณคิดว่าโอเคไหม?”

เหลียวเซียวหยุนอุทานลั่นในทันใด

“100ล้านต่อวัน?! สุดยอด! ถ้าสรุปยอดรวมมันไม่แซงกำไรสุทธิต่อปีของบริษัทฉันเลยงั้นเหรอ? นี่แหละคือเกมที่ฉันต้องการ แต่นายต้องช่วยฉันวางแผนนะ!”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้องกังวล ฉันกำลังวางแผนอยู่ ถึงแบบนั้นก็ยังต้องการความคิกดเห็นจากคุณ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะทำโดยเปล่าประโยชน์หรอกนะ ทำงานมันต้องมีค่าตอบแทนน่ะ”

เหลียวเซียวหยุนหยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“นั้นมันแน่อยู่แล้ว นายต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”

“ผมไม่ต้องการเงิน ขอเป็นจูบของคุณได้ไหม? ที่เดิมพันกันเมื่อคืน ผมยังไม่ได้จูบคุณเลยนะ”

จ้าวเฉียนกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อกล่าวจบ ทางด้านเหลียวเซียวหยุนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันใด และทุบอกจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง ก่อนกล่าวตอบว่า

“ถ้านายต้องการจริงๆก็ทำโปรเจคนี้ให้สำเร็จก่อน! เดี๋ยว…เดี๋ยวฉันให้แน่นอนในอนาคต…”

สำหรับจ้าวเฉียนแล้ว นี่ก็แค่เรื่องหยอกเล่นแก้เครียดเท่านั้น ตัวเขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน เพราะไม่มีอะไรที่เขาต้องการแล้วจึงขอจูบแบบขำๆเท่านั้น

เหลียวเซียวหยุนเหมือนจะคิดอะไรออก จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายเคยบอกว่า นายเป็นแค่พนักงานออฟฟิศทั่วไปไม่ใช่เหรอ? แล้วนายไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ พ่อของฉันบอกว่า ค่าอาหารมื้อเมื่อคืนอย่างต่ำก็หกถึงเจ็ดแสนหยวนแล้ว แต่นายกลับจ่ายได้โดยไม่เป็นกังวลอะไรเลย แถมตอนที่ฉันถามว่าอยากได้เท่าไหร่ นายยังไม่สนใจเงินสักแดง ที่จริงแล้ว…ครอบครัวของนายมีภูมิหลังยังไงกันแน่? เงินไม่สำคัญสำหรับนายเป็นเพราะนายมีเยอะแล้ว?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังทันทีที่ได้ยินการสันนิษฐานของเธอ เขาตอบกลับไปว่า

“เรื่องนี้มันยาวน่ะ ไว้วันไหนมีเวลา เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง”

เหลียวเซียวหยุนส่ายหัวและตอบกลับทันทีว่า

“ไม่! นายต้องพูดตอนนี้! ฉันสัญญาจะไม่ปากโป้งแน่นอน”

ได้ยินแบบนั้น จ้าวเฉียนจึงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่เขาเบี่ยงประเด็นเล่าถึงประสบการณ์ที่โดยเจียงเสี่ยวปิงทิ้ง แน่นอนนี่ไม่ต่างอะไรกับการเติมเชื้อเพลิง ราดน้ำมันใส่บนกองไฟของเหลียวเซียวหยุนเข้าไปอีก

เหลียวเซียวหยุนกกระทืบเท้าอย่างแรงด้วยความโกรธจัด เธอสบถด่าขึ้นทันทีว่า

“แฟนเก่าของนายมันเฮงซวยชะมัด! เห็นแก่ตัวยังไม่พอ แถมยังเห็นแก่เงินอีก! ตอนนี้เธอยังทำงานอยู่ในบริษัทนายรึเปล่า?”

จ้าวฉัยนพยักหน้าเล็กน้อย

“หึ! งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปบริษัทนายด้วย! ฉันจะไปสั่งสอนนังนั้นสักรอบ!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยกล่าวด้วยความโกรธจัด

จ้าวเฉียนที่ได้ยินเช่นนั้นระเบิดหัวเราะในทันใดและตอบกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่จำเป็นหรอก ผมไม่ได้สนใจเธออีกแล้ว แถมเธอเองก็คงได้รับบทเรียนมากเพียงพอ ไม่ต้องไปยุ่งกับเธอหรอก”

“ไม่! ฉันโกรธมาก! ถ้าไม่ได้สั่งสอนนังนั้นสักที ฉันนอนไม่หลับแน่นอน! ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ทำให้นายต้องอับอายแน่นอน งั้นไปตอนนี้เลยดีไหม? ไปกัน!”

เหลียวเซียวหยุนพยายามกล่าวกระตุ้นจ้าวเฉียนให้ออกไปหาเธอตั้งแต่ตอนนี้เลย

จ้าวเฉียนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และกล่าวน้ำเสียงเด็ดขาดตอบไปทันทีว่า

“ไม่ ผมไม่อนุญาตให้คุณไปที่นั่นในตอนนี้ เพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ทำให้ผมอับอาย แต่สิ่งที่กำลังจะทำอยู่ มันจะทำให้ผมอับอายนะ”

เหลียวเซียวหยุนเบะปากหน้าบึ้งตึง เธอตอบกลับไปว่า

“โอเค ฉันจะพยายามลืมๆมันไปแล้วกัน กินข้าวกันเสร็จ ไปเดินห้างเลือกซื้อเสื้อผ้ากับฉันหน่อยสิ”

ก่อนที่จะลงนามในสัญญาความร่วมมือ เท่ากับว่าเหลียวเซียวหยุนถือไพ่เหนือกว่า และจ้าวเฉียนจำต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสองทานอาหารกันจนอิ่ม เอนหลังนั่งพิงเก้าอี้กันครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินทางไปห้างเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าต่อ

แต่อย่างไร การช็อปปิ้งของผู้หญิงถือเป็นงานหินของผู้ชาย เหลียวเซียวหยุนไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เธอตะเวนเดินไปทั่วห้าง แต่ก็ยังไม่เจอชุดที่ถูกใจเลยสักตัว

ขาทั้งสองข้างจองจ้าวเฉียนระบมไปหมดแล้ว เขาไม่อยากเดินไปไหนต่อแล้วจริงๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า

“ผมขอพักก่อนได้ไหม ตอนนี้แทบจะเดินไม่ไหวแล้ว”

แต่เหลียวเซียวหยุนยังไม่เจอเสื้อผ้าที่ชอบเลยสักตัว ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมหยุดพักแค่นี้แน่นอน

จ้าวเฉียนเดินตามเธอต่ออย่างช่วยไม่ได้ แต่ในระหว่างนั้นเอง ก็มีคนสองคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดีเดินเข้ามา นั้นคือรองผู้จัดการทั่วไปของห้างแห่งนี้และเซียวลี่

เมื่อเห็นว่าเป็นจ้าวเฉียน ทั้งสองจึงมุ่งหน่าเดินไปหาด้วยความโกรธเคือง

“โลกมันกลมดีจริงโว้ย ฉันไม่คิดเลยว่าแกยังจะมาที่นี่อีก! รีบไสหัวไปซะก่อนที่ฉันจะรีบรปภ.มาเตะแกส่งออกไป”

เซียวลี่กล่าวขึ้นด้วยความโกรธ

จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะลั่น เขาไม่ได้สบตากับอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำและกล่าวว่า

“เดิมทีผมก็ไม่ค่อยอยากจะสนใจพวกคุณเท่าไหร่ ตราบใดที่ไม่ก่อปัญหาให้ แต่ดูเหมือนว่า มาทีท่าแบบนี้จะหาเรื่องกันแล้ว?”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง

รองผู้จัดการทั่วไปอย่างหวันเจียนต้องทำอะไรสักอย่างเช่นกันในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นยังจะเหลือ‘ศักดิ์ศรี’ต่อหน้าเลขาได้อย่างไร?

“ไอ้หนุ่ม นายนี่มันพูดจาได้แย่มาก! มาคุยกับฉันที่ออฟฟิศหน่อยเป็นไง?”

หวันเจียนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบไปว่า

“ได้ แต่ผมขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนแปปหนึ่ง”

จ้าวเฉียนเดินมาหลบมุมด้านหนึ่งเพื่อโทรหาพ่อของเขา ทันทีที่สายต่อติดก็เอ่ยขึ้นว่า

“พ่อ ผมอยู่ที่ห้างตงไห่ อินเตอร์เนชั่น เซ็นเตอร์ รองผู้จัดการทั่วไปของห้างนี้มีปัญหากับผม ช่วยหาใครสักคนมาจัดการเขาทีได้ไหม?”

จ้าวฟู่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งและตอบไปว่า

“ห้างตงไห่ เซ็นเตอร์? รู้สึกจะเป็นห้างที่ทำให้แม่แกโกรธจัดเป็นฝืนเป็นไฟใช่ไหม? ฉันส่งคนไปซื้อห้างนั้นมาแล้ว ทันทีที่แม่แกกลับมา ก็สั่งให้ฉันซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทห้างที่ว่านี้เรียบร้อย โอนเงินจ่ายไปหมดแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนการโอนใบกรรมสิทธิ์ ดังนั้นลูกสามารถจัดการได้ตามต้องการเลย”

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวชื่นชมพ่อทันทีด้วยใจจริง

“พ่อ…ใจพ่อมันหล่อมมาก!”

“ฮ่าฮ่าๆ…นอกจากปู่กับแกแล้ว ก็ไม่มีใครชมฉันแบบนี้เลย ฮ่าฮ่า…จะทำยังไงได้ แม่แกโกรธอย่างมากตอนที่กลับมาถึง ฉันก็เลยต้องซื้อห้างนี้ขึ้นมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้แม่แกหายโกรธ”

“ง่ายดีจังพ่อ แล้วถ้าแบบนี้ จะให้ใครเข้ามาบริหารห้างแห่งนี้ล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“กำลังคิดอยู่ แกจะเอาไหม?”

จ้าวฟู่เอ่ยถามขึ้น

จ้าวเฉียนตอบปฏิเสธกลับไปทันที

“ผมไม่เอาหรอก ตอนนี้กำลังบริหารธุรกิจของตัวเองอยู่ ไม่มีเวลาว่างมาดูแลห้างหรอก”

“งั้นก็ตามใจ รอสักแปปแล้วกัน ฉันจะรีบโทรหาผู้รับผิดชอบของห้างนั้นให้มาจัดการเอง”

จ้าวฟู่กล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“ขอบคุณครับพ่อ ทำงานอย่าลืมพักบ้างนะครับ ดูแลสุภาพด้วย”

“ก็รอแกมารับช่วงต่อนี่แหละ ถึงจะเกษียณตัวเองได้อย่างหมดห่วง แล้วอย่าลืมเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักนะ เห็นแม่แกบอกมา”

“ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีใครรู้จักตัวตนของผม คงไม่มีใครจับตัวพนักงานบริษัทธรรมดาไปเรียกค่าไถ่แน่นอนจริงไหม?”

จ้าวฟู่ระเบิดหัวเราะคำโตก่อนจะวางสายไป

จ้าวเฉียนยิ้มแย้มพลางเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง เพื่อรอข้อความตอบกลับจากพ่อ

ตอนที่156 สั่งการ

เหลียงปี้ซ่งโบกมือทักให้ลูกชายและลูกสาวของตนกลับบ้าน

จ้าวเฉียนยืนขึ้นส่งพวกเขาด้วยท่าทีสุภาพ แต่เหลียวเซียวหยุนกลับดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะจากไปเท่าไหร่นัก เธอยังคงเหลียวมองจ้าวเฉียนไม่ห่าง

“จ้าวเฉียน พรุ่งนี้มาหาฉันที่บริษัทตอนเก้าโมงนะ แล้วค่อยคุยกันต่อว่าจะเอายังไง ฉันจะทำให้นายดิลสำเร็จแน่นอน”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวย้ำอีกรอบ ราวกับอยากให้เขามาเจอหน้าพรุ่งนี้เร็วๆ

“ฮ่าฮ่า…ผมรู้ครับ พรุ่งนี้หลังคุยเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะเชิญให้มาเยี่ยมชมที่ออฟฟิศผม ฝากบอกแผนกต้อนรับด้วยนะครับ อย่าไล่ผมอีก”

เหลียวเซียวหยุนรวนหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจและโบกมือลาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางโบกมือตอบเธอกลับ และเตือนว่าอย่าขับรถเร็วนัก

เหลียวเซียวหยุนเหลียวหลังกลับมาหา พร้อมตะโกนลั่นให้จ้าวเฉียนไปว่า

“ขอบคุณนะที่สร้างช่วงเวลาดีๆแบบนี้ให้ฉัน ตั้งแต่เจอนาย ฉันมีความสุขมากเลย!”

หลังจากนั้นเหลียวเซียวหยุนก็รีบวิ่งนำพ่อกับพี่ชายออกไปทันที

ทั้งเหลียวปี้ซ่งกับเหลียวเซียวหลงใบหน้าดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา เหมือนว่าเหลียวเซียวหยุนจะชอบจ้าวเฉียนเข้าจริงๆแล้ว

จ้าวเฉียนนั่งเล่นอยู่ในห้องอาหารอยู่ครู่หนึ่ง และเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมที่เข้ามาหาอย่างเงียบงัน

“คุณชายจ้าว เหลียวปี้ซ่งทำอะไรให้คุณลำบากใจรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“ไม่เลย นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เป็นปกติของพ่อที่ต้องเป็นห่วงลูกสาว ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันขอตัวกลับไปนอนก่อน”

“คุณชายจ้าวเดินทางกลับระมัดระวังนะครับ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สามารถโทรหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ ผมจะรีบไปหาทันที”

“อย่าสุภาพเกินไปเลย ฉันรู้ดีว่ะไรเป็นอะไร ไปก่อนล่ะ”

“โชคดีครับคุณชายจ้าว”

จ้าวเฉียนเดินทางออกจากโรงแรมตงไห่ และขับรถตรงไปยังคฤหสน์ทันที

ยามจ้าวเฉียนตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น โทรศัพท์มือถือของเขาพลันดังแจ้งเตือนว่า วันนี้เขามีนัดตอนสิบโมงเช้า

ในงานราตรีคืนที่ผ่านมา เขาได้เชิญผู้กำกับและผู้อำนวยการชางให้มาเข้าเยี่ยมชมบริษัทเฉียนเก๋อของเขา ตอนสิบโมงเช้าของวันนี้

แต่เมื่อคืนเขาเพิ่งสัญญากับเหลียวเซียวหยุนไปเองว่า จะนัดเจอเธอที่หัวโหย้วตอนเก้าโมงเช้า เพื่อเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองบริษัท

มีเวลาว่างแค่หนึ่งชั่วโมง คงต้องหมดไปกับการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จ้าวเฉียนจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน ดังนั้นเขาจึงรีบโทรหาเหลียวเซียวหยุนทันทีและกล่าวว่า

“คุณเหลียว รถผมจู่ๆก็มีปัญหา ผมขอเอารถไปซ่อมก่อน ที่นัดกันขอเลื่อนไปตอนเที่ยงได้ไหมครับ? ถือซะว่าไปทานอาหารเที่ยงด้วยกันไปเลย?”

“ตาบ้า! ร้ายไม่เบานะ! หาข้ออ้างชวนฉันออกไปเดทรึไง?”

จ้าวเฉียนลอบถอนหายใจอย่างหมดหนทาง แต่ในเมื่อเธอคิดแบบนั้น เขาก็ได้แต่ต้องตามน้ำไป

“อืม…งั้นผมไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ไปทานข้าวกับผมได้ไหม?”

เหลียวเซียวหยุนยกมือป้องปากหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข เธอตอบกลับไปทันทีว่า

“ได้สิ กินที่โรงแรมตงไห่เนอะ?”

“โอเค เจอกันตอนเที่ยงที่โรงแรมตงไห่ พอไปถึงแล้วก็แจ้งชื่อผม และไปนั่งรอที่ห้องอาหารก่อนเลย สั่งอะไรก็ได้ตามใจไม่ต้องรอทานพร้อมผม”

“เข้าใจแล้ว เจอกันตอนเที่ยง”

พอวางสายไป จ้าวเฉียนพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่

เวลาไม่คอยท่า จ้าวเฉียนรีกลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวทันที พอแวะซื้ออาหารเช้าเสร็จ เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทฟางนี่โดยตรง

ฟางนี่กับจางหยางมาถึงแล้ว จ้าวเฉียนรีบเดินไปทักก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไปทำงานว่า

“ประธานฟาง เดี๋ยวผมขอตัวออกไปข้างนอกนะครับ”

“ไม่มีปัญหา อันที่จริงถ้าจะออกไปไหนนายไม่ต้องมาขออนุญาตฉันหรอก”

แต่เมื่อได้ยินแบบนั้น กลับเป็นจางหยางที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“เมื่อวันหนีไปเที่ยวเล่นยังไม่พออีกเหรอ? เมื่อวานไปพิพิภัณฑ์สัตว์น้ำ วันนี้ไปไหนดีล่ะ? สัตว์บกดีไหม?”

เมื่อทุกคนในออฟฟิศได้ยินว่า จ้าวเฉียนแอบหนีเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเมื่อวาน แต่ละคนต่างเหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยความแปลกใจ แม้จะไม่มีใครกล้ายั่วยุจ้าวเฉียนในปัจจุบันแล้วก็จริง แต่แอบหนีเที่ยวในเวลางานแบบนี้กลับดูน่ารังเกียจเกินไปจริงๆ

ฟางนี่รีบตรงไปศอกกระทุ้งใส่จางหยางและกล่าวขึ้นว่า

“จางหยางนี่คุณยังไม่รู้จักจ้าวเฉียนอีกเหรอ? ที่เขาต้องไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็เพราะต้องค่อยดูแลคู่ค้า เขาไม่มีทางเที่ยวเล่นโดยลำพังแน่นอน คุณน่ะไม่รู้อะไรเลย”

จางหยางกรนเสียงเย็นใส่ฟางนี่คำหนึ่ง นับวันเขายิ่งรู้สึกไม่พอใจในตัวฟางนี่มากขึ้น ทุกครั้งที่จ้าวเฉียนก่อปัญหา กลับเป็นเธอที่ออกมาแก้ตัวให้มันทุกครั้งไป ถึงทุกคนจะไม่เชื่อ แต่ฟางนี่กลับเชื่อใจในตัวเขายิ่งกว่าสามีตัวจริงอีก

“จริงจังอะไรของคุณ? ผมแค่หยอกเขาเล่นเฉยๆ”

จางหยางกล่าวสวนตอบกลับไปเจือท่าทีหงุดหงิด หลังจากพูดจบ เขาก็เดินกลับไปที่ห้องทำงานทันที

ฟางนี่คลี่ยิ้มอ่อน อ้อมไปกระซิบกับจ้าวเฉียนว่า

“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าตอบ คล้อยหลังออกจากบริษัท เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทเฉียนเต๋อของเขาทันที

เมื่อมาถึงภายในตึก ยังเหลือเวลาอีกประมาณ50นาที แต่ทั้งชางอี้และผู้กำกับอีกสองคนก็มาถึงกันแล้ว

จ้าวเฉียนจึงเชิญพวกเขาเข้าไปในออฟฟิศของบริษัทเฉียนเก๋อทันที

เนื่องจากทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการบันเทิง จึงทำให้บรรดาพนักงานภายในออฟฟิศตื่นอกตื่นเต้นกันอย่างมาก แต่หยวนมี่ก็ย้ำเตือนกับทุกคนเอาไว้แล้วว่า ห้ามให้ใครเข้าขัดจังหวะในห้องประชุมเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกไล่ออกทันที

จ้าวเฉียนเรียนเชิญพวกเขานั่งประจำที่และหารือเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจและแผนงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

“พวกคุณในที่นี้ เวลาล้วนมีค่า ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ ผมทราบดีว่าทั้งสี่ท่านล้วนมีสตูดิโอเป็นของตัวเองและมีความสามารถในการถ่ายทำภาพยนตร์ได้ ดังนั้นผมอยากให้ผู้กำกับทั้งสามสร้างหนังที่เหมาะสำหรับจุดแข็งของแต่ละคน พวกคุณทุ่มเทกับผลงาน100% ผลตอบแทนที่พวกคุณจะได้รับเท่ากับ110% ส่วนกลวิธีการถ่ายทำก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคนเลยครับ”

สำหรับผู้กำกับคนแรกอย่าง เจียจิ่งเคอ เขาคนนี้ถนัดด้านการสร้างหนังวรรณกรรม แต่ถึงอย่างไรหนังแนวนี้โดยส่วนใหญ่มักจะขาดทุน มีนักลงทุนกลุ่มน้อยมากที่กล้าลงทุนกับเขา

แต่ตอนนี้จ้าวเฉียนเองก็อยากได้หนังประเภทวรรณกรรมมาสักเรื่อง และไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาแล้ว

หวางจิ้งเป็นผู้กำกับสายพาณิชย์ขนานแท้ สามารถจับกระแสดังและความสนใจของผู้ชมในขณะนั้นได้ และนำจุดนั้นมาชูในหนัง ซึ่งผลงานโดยส่วนใหญ่ของเขาแทบจะกำไรหมดทุกเรื่อง

ส่วนผู้อำนวยการชางอี้ เธอเคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกองถ่ายกับดาราฮอลลีวูดมาแล้วหลายคคน ผลงานของเธอเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และขึ้นชื่อด้านคุณภาพการกำกับดูแล แม้แต่ฉากทานอาหาร เธอยังบรรจงเลือกร้านให้เหมะสมกับฉากนั้นๆ หนังที่เธอเคยกำกับดูแลมีทั้งกำไรและขาดทุน ขึ้นอยู่กับนายทุนว่าจะกำหนดงบประมาณได้มากน้อยแค่ไหน

เจียจิ่งเคอค่อนข้างดีใจอย่างมาก ในที่สุดก็มีนักลงทุนมองเห็นคุณค่าของหนังเชิงวรรณกรรม และชางอี้และหวางจิ้งเองก็มั่นใจในฝีมือตนเองมากพอ สามารถกวาดรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศได้แน่นอน พวกเขาทั้งสามต่างเห็นพ้องต้องกัน

จ้าวเฉียนยิ้มและลุกขึ้นจับมือกับทั้งสาม จากนั้นก็กล่าวว่า

“ในเมื่อการเจรจาเบื้องต้นของเราบรรลุผลแล้ว หลังจากนี้ผมจะให้ผู้จัดการหยวนมี่ส่งเอกสารรายละเอียดต่างๆให้ในภายหลังนะครับ”

ชางอี้กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ตอนนี้พวกเขาขอเยี่ยมชมออฟฟิศคุณได้ไหมค่ะ?”

“ใช่ครับ ขอผมไปด้วย”

เจี้ยจิ่งเคอกล่าวเสริม

หวางจิ้งพยักหน้าเห็นด้วยอีกคน

“ดิฉันด้วยค่ะ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“ไม่มีปัญหาครับ ผู้จัดการหยวนมี่จะพาทั้งสามเยี่ยมชมโดยรอบออฟฟิศแห่งนี้เองครับ เนื่องจากผมมีธุระต่อ ถ้าเช่นนั้นขอเสียมารยาทไม่ได้อยู่ดูแลต่อนะครับ ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้จริงๆ หยวนมี่ พาทั้งสามเยี่ยมชมออฟฟิศด้วยนะ”

ทั้งสามบอกลาจ้าวเฉียนและติดตามหยวนมี่เข้าไปในออฟฟิศ

จ้าวเฉียนรีบฉวยโอกาสนี้ออกมาทันที และเรื่องตัวตนของเขาเองก็ไม่อยากให้พนักงานในที่แห่งนี้ทราบเช่นกัน

เดินทางออกจากตัวออฟฟิศประมาณสิบเอ็ดโมงเห็นจะได้ ระหว่างทาง จ้าวเฉียนต่อสายตรงโทรหาเหลียวเซียวหยุนทันที

“นี่ซ่อมเสร็จแล้วนะ ผมกำลังเดินทางไปที่โรงแรม อีกสักพักคงถึงแล้ว”

“อืม…เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ แล้วเจอกันนะ”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบกลับไปอย่างมีความสุข

ขณะขับรถอยู่ จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พอจ้าวเฉียนเหลือบไปมองบริเวณหน้าจอแสดงผล ปรากฏว่าเป็นชื่อจางหยาง “ฮาโหลครับผู้จัดการจาง มีอะไรรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนทักถามทันที

“ฉันมีเรื่องจะถามนายหน่อยน่ะ เรื่องบริษัทหัวโหย้วไปถึงไหนแล้ว?”

ฟังจากน้ำเสียงของจางหยาง ดูท่าเขากำลังมีความสุขอย่างยิ่ง

“กำลังดำเนินการอยู่ครับ โทรมาหาแบบนี้ ดูเหมือนว่าผู้จัดการจางคงมีเรื่องดีๆอยากมาเล่าให้ผมฟัง?”

“ฮ่าฮ่า…ถูกต้องเลย! หลังจากที่ฉันกับหวังเฉียงพยายามกันอย่างหนักทั้งอาทิตย์ ในที่สุดเขาก็ใกล้จะได้เซ็นสัญญากับบริษัทเหล่ยอู่แล้ว”

จางหยางเอ่ยตอบอย่างสุขใจนัก

“จริงเหรอครับ! ยินดีกับผู้จัดการจางด้วย แม้ทางผมจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่หากได้รับคำสั่งจากที่ผู้จัดการจางหามา บริษัทของเราก็ทำกำไรได้มหาศาลแน่นอนในไตรมาสนี้! พอรู้แบบนี้ความกดดันผมก็น้อยลงเยอะ ยังไงก็ต้องขอบคุณผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวังมากเลยนะครับ”

เดิมทีที่จางหยางโทรมาแบบนี้ก็เพื่ออวดเบ่งจ้าวเฉียนให้รู้สึกสลด แต่พอปฏิกิริยาของจ้าวเฉียนกลับออกมาตรงกันข้าม กลับเป็นฝ่ายเขาเองที่ไปต่อไม่เป็น

“อืม…อืม…ตอนนี้พวกเราต้องเชียร์นายแล้ว แต่ก็อย่าลืมที่เดิมพันกันไว้นะ ถ้านายทำไม่ได้จะต้องยื่นใบลาออก เข้าใจใช่ไหม?”

“ผู้จัดการจางกำลังขู่ผมอยู่นะครับเนี่ย ฮ่าฮ่า…ผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุดเลยครับ เตรียมรอฟังข่าวดีได้เลย! แค่นี้ก่อนนะครับ ผมกำลังนัดพบกับลูกค้าอยู่”

จางหยางฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์และกดวางสายไป

แต่จ้าวเฉียนรู้สึกกังวลขึ้นถนัดตา เพราะหากได้ยินไม่ผิด บริษัทที่จางหยางกับหวังเฉียงไปดิลด้วยคือ บริษัทเหล่ยอู่ หรือก็คือบริษัทของครอบครัวฟู่เอ๋อร์

ในกรณีนี้ ถ้าฝ่ายนั้นทราบว่าบริษัทฟางนี่ที่พวกเขากำลังร่วมมือด้วย มีจ้าวเฉียนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีหวังถูกล้มโต๊ะกลางคันแน่นอน และไม่รู้เลยว่าจางหยางจะบ่นอะไรกับเขาอีกในเวลานั้น?

ตอนที่155 ความเข้าใจผิด

เหลียวปี้ซ่งคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้จัดการทั่วไปคนนี้จะกล้าออกหน้าต่อสู้เพื่อชายหนุ่มคนเดียวจริงๆ

ท้ายที่สุดนี้ เหลียวปี้ซ่งถือได้ว่าเป็นแม่น้ำสายเก่าอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายสิบปีแล้ว ตามสัญชาตญาณนักธุรกิจของเขาสามารถบอกได้ทันทีว่า ตัวตนที่แท้จริงของชายที่ชื่อจ้าวเฉียนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นผู้จัดการโรงแรมตงไห่คงไม่ออกโรงขนาดนี้แน่นอน

“คุณผู้จัดการ งั้นช่วยบอกผมทีว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มาจากไหน คงเป็นไปไม่ได้แน่ที่คุณจะปกป้องเด็กหนุ่มคนนึงโดยไร้เหตุผลขนาดนี้?”

ผู้จัดการทั่วไปรวนหัวเราะและเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ทราบแน่ชัดคือ ที่แห่งนี้คือโรงแรมตงไห่ อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผม ไม่ว่าประธานเหลียวจะขุ่นเคืองกับเขาเพียงใด ก็ไม่สามารถลงไม้ลงมือได้ และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผู้อำนวยการโรงแรมจะเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด”

“หวงเหริน ไอ้หนุ่มนี่มันรังแกลูกสาวฉัน จะให้จากไปเฉยๆได้ยังไงกัน? ถ้านายคิดจะปกป้องมันในวันนี้จริงๆ ฉันก็คงต้องเสียมารยาทกันหน่อยแล้ว!”

เหลียวเซียวหยุนไม่คิดเลยว่า พ่อของเธอจะหัวเสียได้ปานนี้ เธอจึงรีบกระตุกแขนพ่อและเอ่ยอธิบายโดยไวว่า

“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิด อย่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลย”

“จะไม่ให้สั่งสอนมันได้ยังไง!? ถ้าลูกท้องขึ้นมา นี่ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่!”

เหลียวเซียวหยุนหน้าแดงก่ำในทันใด และรีบอธิบายต่อโดยไวว่า

“พ่อกำลังพูดเรื่องอะไร? เขาแค่จงใจไม่คุยกับหนู ยั่วให้หนูโมโหเฉยๆ”

“อย่ามาแก้ตัวแทนมัน! คนอย่างลูกไม่เคยร้องไห้กับเรื่องอะไรแค่นี้!”

เหลียวปี้ซ่งตอบสวนกลับไปทันควัน

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและตอบไปว่า

“ก็ใช่น่ะสิพ่อ! หนูร้องไห้กับเรื่องแค่นี้นี่แหละ!”

เหลียวปี้ซ่งยืนแข็งทื่อชั่วขณะ ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“เอ่อ…”

ในทันทีทันใด เขาก็เหลียวศีรษะหันไปยิ้มแห้งให้ผู้จัดการทั่วไปที่ยืนตั้งท่าไว้พร้อม เอ่ยเสียงแผ่วขอโทษขึ้นว่า

“คุณผู้จัดการหวง ผม…ผมต้องขอโทษจริงๆครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด เชิญดื่มไวน์ด้วยกันสักแก้ว ถือเป็นการไถ่โทษของผมนะครับ”

จากนั้นเหลียวปี้ซ่งก็รีบรินไวน์สองแก้ว และยื่นให้ผู้จัดการไปแก้วหนึ่ง และอีกแก้วสำหรับตัวเอง

แต่อย่างไร คุณชายจ้าวนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ มีหรือที่เขาจะกล้าดื่มให้?

“ประธานเหลียวสุภาพเกินไปแล้ว คนที่คุณควรขอโทษไม่ใช่ผม แต่เป็นแขกคนนั้นนะครับ”

ผู้จัดการทั่วไปกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจัง

เหลียวปี้ซ่งเป็นถึงประธานใหญ่ แล้วเขาจะลดศีรษะขอโทษจ้าวเฉียนได้ยังไง?

“จะบอกให้ผมขอโทษเจ้าหนุ่มนั้นน่ะเหรอ? คุณผู้จัดการนี่ขี้เล่นจริงๆนะครับ เขามีคุณสมบัติอะไรมาดื่มไวน์แก้วนี้ได้?”

เหลียวปื้ซ่งกล่าวเจือน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ฮ่าฮ่า….ตราบใดที่ประธานเหลียวไม่ได้ลงไม้ลงมือกับผม ผมจะขุ่นเคืองได้ยังไง? หรือคิดจะดื่มอวยพรให้ผมกัน? เรื่องนี้เกิดจากระหว่างพวกคุณทั้งสอง อย่าพาคนนอกมาเอี้ยวด้วยเลยครับ เช่นนั้นขอตัว”

ผู้จัดการทั่วไปโค้งศีรษะให้เล็กน้อย และเดินจากออกไปทันทีหลังกล่าวจบ พร้อมกับพรรคพวกของเขาที่ติดตามออกไป

“นายชื่อจ้าวเฉียนใช่ไหม? ที่วันนี้ออกไปเที่ยวกับลูกสาวฉัน ทำอะไรกับเธอบ้าง?”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

จ้าวเฉียนกล่าวตอบพร้อมท่าทีสบายๆไปว่า

“คุณอาจจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด ถ้าแบบนั้นก็ถามลูกสาวตัวเองเถอะครับ”

“ไม่ ฉันต้องการคำตอบจากปากนาย ถ้าไม่ตอบมา ฉันจะไม่สุภาพกับนายแล้ว”

เหลียวปี้ซ่งข่มขู่จ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนยกมือป้องปากอ้าหาวไปทีหนึ่ง ก่อนจะยิ้มถามกลับไปว่า

“คุณเหลียวคิดจะล้ำเส้นผมมางั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าเราสองคนจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นะครับ ผมพูดอะไรไปแล้วคุณจะเชื่อได้ยังไง?”

เหลียวเซียวหลง พี่ชายของเหลียวเซียวหยุนชี้หน้าใส่จ้าวเฉียน สบถคำโตไปว่า

“ไอ้เจ้านี่! หัดพูดจาดีๆหน่อยสิวะ แกมีคุณสมบัติอะไรมาพูดแบบนี้กับพ่อฉันห่ะ?!”

สีหน้าของจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนดูมืดทมิฬในบัดดล สายตาคู่นั้นเหลือบไปมองเหลียวเซียวหลงเล็กน้อย ประดุจคมมืดแหลม และกล่าวกับเหลียวปี้ซ่งขึ้นว่า

“เป็นพ่อประสาอะไร ไม่เคยสั่งสอนมารยาทการสนทนาให้ลูกตัวเองหน่อยเหรอ? พูดแทรกระหว่างการสนทนาของผู้ใหญ่ ส่อสันดานเสียนะครับจริงไหม?”

เหลียวปี้ซ่งจับจ้องจ้าวเฉียนด้วยสายตาขุ่นมัว แต่นี่ทำให้เหลียวเซียวหลงระเบิดอารมณ์โกรธออกมาทันที และเตรียมพุ่งไปชกจ้าวเฉียนในทันควัน

เหลียวเซียวหยุนเห็นดังนั้นรีบคว้าแขนพี่ชายของเธอทันทีและเกลี่ยกล้อมว่า

“พี่! นี่พี่จะทำอะไร?! ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่าสร้างปัญหากันเลยนะ!”

“ก็ดูเขาสิ! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าดูหมิ่นพ่อของเราขนาดนี้!”

เหลียวเซียวหลงคำรามโหลั่นด้วยความโกรธ

“พี่ลองคิดดูดีๆนะ ถ้าภูมิหลังครอบครัวของเขาธรรมดาทั่วไป มีเหรอจะกล้าพูดจาแบบนี้กับพ่อ? เขาจะต้องปกป้องตัวตนบางอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะมาจองห้องอาหารชั้นเจ็ดของโรงแรมแห่งนี้ได้ยังไง?”

คำกล่าวของเหลียวเซียวหยุน ทำให้สองพ่อลูกตระกูลเหลียวฉุกคิดขึ้นได้ในทันที ประการแรก ลูกสาวของเขาไม่มีบัตรVIP แสดงว่าคนที่พาเธอขึ้นมาทานอาหารในชั้นที่เจ็ดก็มีแต่จ้าวเฉียน และประการที่สอง ภูมิหลังต้องหยั่งลึกขนาดไหน ถึงขั้นทำให้ผู้จัดการของโรงแรมออกโรงปกป้องเขาขนาดนี้?

เหลียวเซียวหลงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ไอ้หนุ่ม บอกความจริงมาเถอะ นายเป็นใครกันแน่?”

สีหน้าการแสดงออกของจ้าวเฉียนดูผ่อนคลายขึ้นมาดก เขาเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบไปว่า

“ไม่ได้เป็นใครทั้งนั้น ก็แค่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่มาหาในวันนี้ก็เพื่อดิลคู่ค้า อยากขอความร่วมมือพัฒนาโปรเจคเกมด้วยกัน แต่แล้วน้องสาวของคุณก็ลากผมออกมา วิ่งไปโน่นไปนี่ตลอดทั้งวันเต็ม โดยที่เธอสัญญาว่าจะทำให้สองบริษัทร่วมมือกันได้แน่นอน แต่ยังไงก็ขอรับฟังความเห็นของทางพวกคุณก่อนน่ะครับ”

เนื่องจากอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อขอความร่วมมือ นั้นหมายถึงโอกาสทำกำไรครั้งใหม่ ทัศนคติของเหลียวปี้ซ่งที่มีต่อจ้าวเฉียนจึงดีขึ้นเล็กน้อย

“โอ้? ดิลกับทางเรางั้นเหรอ? แล้วนายมาจากบริษัทไหนล่ะ?”

“บริษัทเกมฟางนี่ครับ เคยสร้างเกมยอดฮิตให้กับซิงหยวนมาแล้ว”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบตามความจริง

เหลียวปี้ซ่งระเบิดหัวเราะลั่นทันที

“ฮ่าฮ่า…นายไม่รู้รึไงว่าบริษัทซิงหยวนเป็นคู่แข่งของเรา? แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่จะยอมร่วมมือกับบริษัทที่ร่วมมือกับคู่แข่งตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้หรอกจริงไหม?”

จ้าวเฉียนไม่มีท่าทีประหม่าแต่อย่างใด เขาเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็นว่า

“ถูกต้องแล้วครับ แต่เพราะแบบนี้จึงยิ่งการันตีคุณภาพในการทำงานของบริษัทเราได้มากขึ้น ผมพูดถูกต้องไหมมครับ?”

“มันก็ใช่ แต่อย่าลืมไปสิว่า นายไม่ใช่บริษัทเดียวที่สามารถผลิตเกมคุณภาพได้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องเลือกบริษัทนายด้วย?”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามอย่างมีวาทศิลป์

“ลองถามลูกสาวคุณดูสิครับ ว่าทำไมคุณต้องร่วมมือกับผม?”

หลังจากที่กล่าวจบ จ้าวเฉียนก็เหลียวไปมองเหลียวเซียวหยุนเล็กน้อย ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอต้องออกโรงแล้ว

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนอยู่กับเธอเป็นเวลาหนึ่งวัน ดังนั้นเธอเองก็ควรปฏิบัติตามสัญญาเช่นกัน

“พ่อ ปีนี้หนูเองก็ต้องผึกงานแล้วเหมืแนกัน ถ้าจะฝึกงานในบริษัทพ่อก็อาจโดนทุกคนดูแคลนได้ ถ้าแบบนั้นก็ต้องหาโปรเจคความร่วมมือระหว่างบริษัทอื่นมาให้หนูฝึกงาน”

เหลียวปี้ซ่งเข้าทราบดีว่าสิ่งที่ลูกสาวของเขากล่าวไปหมายความว่ายังไง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งเอ่ยถามไปว่า

“ลูกรู้จักเขามานานแค่ไหนแล้ว?”

“เพิ่งเจอกันวันนี้”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับไปตามความจริง

“เพิ่งเจอกันวันนี้? แล้วรู้ไหมว่าเขาเป็นใครมาจากไหร? แล้วจะเชื่อใจเขาได้ยังไง? ลูกพ่อยังไร้เดียงสาเกินไปมากนะ พ่อไม่ได้กังวลเรื่องโปรเจคอะไรเลย เงินทุนที่จมไปเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยทันทีเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของลูก”

ในเวลานั้นเองเหลียวเซียวหลงก็เอ่ยเสริมขึ้นว่า

“พ่อครับ นี่อันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้น้องสาวอยู่กับคนไม่รู้จัก ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”

เหลียวปี้ซ่งพยักหน้าตอบกลับทันทีว่า

“อืม ลูกเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? เสี่ยวหยุน กลับกันเถอะลูก”

“พ่อ! พ่อทำให้หนูผิดหวัง! หนูไม่อยากเจอหน้าพ่อกับพี่อีกแล้วในอนาคต! หนูจะอยู่กับจ้าวเฉียน!”

ทันทีที่พูดจบ เหลียวเซียวหยุนก็ฉุดแขนจ่าวงเฉียนออกไปโดยตรง สองพ่อลูกตระกูลเหลียวถึงกับยืนอ้าปากค้างอยู่ชั่วขณะ จ้าวเฉียนคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงครองใจเหลียวเซียวหยุนได้อยู่หมัดขนาดนี้?

พลันได้สติชั่วขณะ เหลียวปี้ซ่งรีบวิ่งไปดึงแขนลูกสาวกลับมา แล้วตำหนิทันทีว่า

“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ลูกจะไปอยู่กับผู้ชายสองต่อสองได้ยังไง?”

“นี่มันขาหนู ร่างกายก็ร่างกายหนู! ตราบใดที่หนูพอใจ หนูจะไปไหนก็ได้!”

เหลียวเซียวหยุนเริ่มงอแง กล่าวอ้างโดยไม่มีเหตุผล

เหลียวปี้ซ่งเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขาถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่งพร้อมกล่าวว่า

“โถ่ลูกพ่อ ก็พ่อกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับลูกไง เอาแบบนี้แล้วกันนะ ลูกต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ เป็นผู้หญิงควรรักนวลสงวนตัว เข้าใจไหม?”

“มันก็ขึ้นอยู่กับการประพฤติตัวของพ่อกับพี่นั้นแหละ ถ้าทำตัวดีหนูก็จะทำตาม แต่ถ้าไม่…หนูเองก็ลองประสบการณ์ใหม่ๆดูเหมือนกัน! ถ้าคิดว่าไม่กล้าก็ลองดูได้!!”

เหลียวปี้ซ่งเหลือบมองจ้าวเฉียนเจือสายตาหงุดหงิดไม่น้อย แต่อย่างไรก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายในระดับหนึ่งเช่นกัน ราวกับว่า เขาได้มาพบกับลูกเขยในอนาคตของลูกสาวเขาครั้งแรก ถึงจะไม่ชอบ แต่ในเมื่อลูกสาวของตนคิดจะลงเอยกับชายคนนี้จริงๆ ในฐานะคนเป็นพ่อก็ควรยินดี ถึงอย่างไรเขาก็ยังกล่าวขู่ใส่ไปว่า

“ไอ้หนุ่ม คุยกันแบบลูกผู้ชายนะ อย่าให้ลูกสาวฉันต้องมีมลทิน!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มไปว่า

“คุณเหลียวกังวลมากเกินไปแล้ว ผมมีความซื่อสัตย์พอ ธุรกิจคือธุรกิจ ไม่มีเรื่องส่วนตัวรวมไปถึงความคิดอื่นใดเข้าเกี่ยวพัน”

เหลียวปี้ซ่งพยักหน้า เอ่ยตอบกลับว่า

“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ เรียกพนักงานเสิร์ฟมาเช็คบิลที”

จ้าวเฉียนโบกมือปัดและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ต้องครับ ผมจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว สามารถเดินทางกลับได้เลยครับ เชิญ”

แววตาคู่นั้นของเหลียวปี้ซ่งเปล่งประกายขึ้นทันใด เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี และทราบว่าห้องอาหารส่วนตัวในชั้นที่เจ็ด ผนวกกับอาหารจานหรูมากมายเต็มโต๊ะขนาดนี้ มันแพงขนาดไหน และเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งจะจ่ายเองได้

ตอนที่154 หยิ่งยโส

หลังจากได้รับการยืนยันจากจ้าวเฉียนแล้ว หยางหู่ก็มั่นใจมากขึ้นอย่างชัดเจน

แก๊งเหล่ยอู่หน้าฉากเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมเกมมีชื่อเสียง แต่สุดท้ายนี้ก็เป็นเพียงแก๊งเล็กๆ ต่อหน้ามหาเศรษฐีระดับประเทศอย่างตระกูลจ้าว

ไม่ว่าฟู่เทียน หัวหน้าแก๊งเหล่ยอู่จะส่งเสียงดังขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะสร้างคลื่นลูกยักษ์อัดกระทบจ้าวเฉียนได้ในท้ายที่สุด

พนักงานต้อนรับพาจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนขึ้นมาที่ห้องอาหารหรูหราในชั้นที่เจ็ด และยื่นเมนูให้ทั้งสอง

จ้าวเฉียนไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ก็เลยเอ่ยกับเหลียวเซียวหยุนขึ้นว่า

“คุณอยากกินอะไรสั่งตามสบายเลยนะ ผมกินได้หมด”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบกลับไปพร้อมท่าทีหยามเหยียดไปว่า

“นี่แสร้งทำเป็นหน้าใหญ่อยู่รึไง?”

“จะสั่งอะไรก็รีบสั่งไปเถอะน่า รีบกินให้เสร็จจะได้ไปดูหนัง ไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้แล้ว”

จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปเจือหงุดหงิด

เหลียวเซียวหยุนจงใจยั่วยุจ้าวเฉียนชัดเจน เธอจึงกล่าวขึ้นว่า

“นายคงรวยมากเลยมั้ง? มีปัญญาจ่ายจริงๆ ใช่ไหม?”

“ถามอะไรไร้สาระ ในเมื่อผมสามารถหยิบบัตรVIPออกมาได้ เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาเลย จะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ เสียเวลา”

เหลียวเซียวหยุนหงุดหงิดเช่นกันเมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่าย เธอก็เลยจงใจเลือกแต่อาหารราคาแพง

ตราบใดที่ทานอาหารและดูหนังเสร็จ จ้าวเฉียนจะได้ไปให้พ้นๆ จากเธอสักที แต่ดูเหมือนว่าเขาจะดูถูกเธอมากเกินไป ครั้งนี้ที่สั่งมาเรียกได้ว่า หวังขูดเลืดขูดเนื้อเขาโดยเฉพาะ

“สั่งอะไรมาตั้งเยอะเยอะ จะกินหมดเหรอ? ทำไมคุณถึงทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้? หรือคิดว่าจะใช้โอกาสนี้เอาคืน? แล้วนี่พอใจรึยัง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามไปอย่างไม่ค่อยพอใจ

เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะทันที เธอถามสวนตอบไปว่า

“อะไร? ไหนว่าจะสั่งอะไรก็ได้? ไม่เห็นต้องสนใจเลยหนิว่าฉันจะกินหมดไหม ก็นายบอกเองว่าจะสั่งอะไรก็รีบสั่ง!”

“อย่างแรกเลยนะ ต่อให้สั่งมามากกว่านี้ผมก็มีเงินจ่าย แต่ประเด็นอยู่ที่ถ้ากินไม่หมดมันเสียดายของ สุดท้ายก็ต้องโยนทิ้งขยะ ไม่สงสารพ่อครัวเลยเหรอ ถ้ามาเห็นเข้าจะรู้สึกยังไง?”

“ไม่สน! ฉันหิว!”

เหลียวเซียวหยุนพับปิดเมนูอย่างรวดเร็วและหันไปหาพนักงานเสิร์ฟให้ส่งรายการอาหารออกไปได้เลย

เนื่องจากเจ้าของบัตรVIPคือจ้าวเฉียน พนักงานเสิร์ฟจึงหันไปถามความเห็นของเขาก่อนส่งออเดอร์

“คุณจ้าวครับ นี่…”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปเพียงว่า

“ทำตามที่เธอต้องการไปนั้นแหละ ฝากบอกพ่อครัวด้วยให้เร่งทำอาหาร พวกผมมีนัดดูหนังกันต่อ”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างงั้นโปรดรอสักครู่นะครับ เราจะรีบเสิร์ฟอาหารโดยเร็วที่สุด”

จากนั้นพนักงานเสิร์ฟก็รีบถอยออกไปทันที

จ้าวเฉียนหยิบมือถือขึ้นมาเล่นตามประสาของเขา ส่วนเหลียวเซียวหยุนก็แอบมองเขาอยู่ตรงข้าม ภายในใจเธอเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยกับความเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็อายเกินกว่าจะขอโทษจ้าวเฉียนไปตรงๆ

ไม่นาน พนักงานเสิร์ฟก็มาพร้อมกับรถเข็นอาหาร ส่งมอบจานหรูมากมายวางไว้บนโต๊ะ โค้งตัวคำนับให้ทั้งคู่ทีหนึ่งก่อนเดินออกไป จ้าวเฉียนตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่พูดไม่จาใดๆ เรียกได้ว่าไม่สนใจเหลียวเซียวหยุนโดยสิ้นเชิง

พอพนักงานเสิร์ฟออกไปพร้อมปิดประตูห้องอาหารจนสนิท เธอก็ลุกขึ้นพรวดโวยวายขึ้นดังลั่นทันที เอ่ยปากถามอย่างโกรธเคืองขึ้นว่า

“นี่จะเอาแต่กินอย่างเดียวเลยรึไง! ไม่คิดจะคุยอะไรกับฉันหน่อยเหรอ!”

“เงียบหน่อย! ผมกำลังกินอยู่นี่ไง ให้เวลาสิบนาที กินทุกอย่างให้หมด จะได้รีบไปดูหนังรีบกลับบ้าน!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบอย่างเย็นชา

เมื่อกวาดสายตามองไปบนโต๊ะมีแต่อาหารน่าอร่อยมากมาย แต่ตอนนี้เหลียวเซียวหยุนกลับหมดอารมณ์กินโดยสิ้นเชิง

“นี่…นี่ฉันเป็นผู้หญิงนะ! ช่วยเอาใจฉันหน่อยไม่ได้เหรอ? ถึงจะไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลยก็ตาม แต่…แต่ช่วยสนใจกันหน่อยสิ! ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งก็ได้! ลองหาเรื่องมาชวนคุย กินข้าวพลางหัวเราะไปด้วยกัน นายทำไม่ได้เหรอ? ถึงฉันจะเป็นคนเอาแต่ใจนะ แต่ฉันรับฟังทุกเรื่องที่นายพูดมาแน่นอน ช่วยทำดีกับฉันด้วยความจริงใจหน่อยได้ไหม!”

จ้าวเฉียนยังคงตั้งหน้าตั้งตากินต่อไปโดยไม่ได้สนใจเธอแม้สักนิด ไม่นานเขาก็กินอาหารบนจานของคนหมด วางตะเกียบ เช็ดปาก และหยิบมือถือขึ้นมาเล่นต่อโดยไม่แม้แต่เหลียวมองเหลียวเซียวหยุนเลยด้วยซ้ำ

เหลียวเซียวหยุน เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเกินพรรณนาได้แล้ว จนในท้ายที่สุดน้ำตาสีใสบริสุทธิ์ก็รินไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นอย่างเกินจะข่มกลั้นได้ไหว

“นาย…นายคิดจะทำตัวเย็นชากับฉันจริงๆ ใช่ไหม? นายยังต้องการความร่วมมือระหว่างบริษัทกันอยู่รึเปล่า?”

เหลียวเซียนหยุนเอ่ยถามทั้งน้ำตา

จ้าวเฉียนเปล่งน้ำเสียงเย็นเอ่ยตอบไปว่า

“ถ้าคุณยินดีให้ความร่วมมือ ผมย่อมต้องการโดยธรรมชาติ แต่หากคุณไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไรครับ ผมไปหาที่อื่นก็ได้ ยังไงซะการที่ผมมาดิลก็เพื่อทำธุรกิจร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ ไม่ใช่ทำทานทำกุศล ผมได้เงิน คุณได้เงิน วินวินกันทั้งคู่ครับ แล้วยังไง? ยังอยากดูหนังอยู่อีกไหม? ถ้าไม่แล้ว ผมขอตัวกลับบ้านนะครับ ง่วงนอนแล้ว”

เหลียวเซียวหยุนไม่เหลืออารมร์จะกินหรือดูหนังอีกต่อไป เธอตะคอกสวนกลับด้วยความโกรธว่า

“ไม่กินแล้ว! ไม่ดูหนังด้วย! แค่นั่งที่นี่กับฉันจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน!”

เหลียวเซียวหยุนเป็นคนหัวรั้น เธอไม่เชื่อว่าจ้าวเฉียนจะอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่คุยกับเธอได้จริงๆ นานเป็นชั่วโมง

แต่ในความเป็นจริงกลับช่างโหดร้ายกว่าที่เธอคิดนัก หลังจากจ้าวเฉียนเล่นมือถือจนแบตหมด เขาก็เดินไปหลับตรงโซฟา และไม่พูดไม่จากับเธอเลยสักคำ

เหลียวเซียวหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหนพร้อมเนื้อตัวที่สั่นเทาไม่หยุด น้ำตารินไหลจนนองไปทั่วโต๊ะบริเวณนั้น เธอไม่เคยถูกทำร้ายจิตใจมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเมินเฉยได้ขนาดนี้

แต่คนเราช่างแปลกประหลาดยิ่งนักแล ยิ่งคนอื่นไม่สนใจเท่าไหร่เธอกลับยิ่งปรารถนาให้จ้าวเฉียนมาสนใจเธอมากเท่านั้น

เหลียวเซียวหยุนเช็คน้ำตาที่อาบเปื้อนบนแก้มเนียนขาว และลุกขึ้นเดินไปหาจ้าวเฉียน ยกปลายเท้าสะกิดร่างอีกฝ่ายเล็กน้อย

“ลุกขึ้นแล้วมาคุยกับฉัน”

แม้ดูเหมือนว่าเหลียวเซียวหยุนจะเอ่ยปากสั่งเขา แต่น้ำเสียงของเธอกลับอ่อนลงมากราวกับกำลังขอร้องเขาอยู่ ความหยิ่งผยองก่อนหน้าเรียกได้ว่าหายไปจนเกือบหมด

แต่จ้าวเฉียนรู้สึกว่า ไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรต้องคุยกับเธอ เขาไม่แม้แต่ลืมตาและเอ่ยปากตอบไปว่า

“อยากพูดอะไรก็พูดมาเลย ผมนอนฟังอยู่”

“ช่วยคุยกับฉันหน่อยได้ไหม?”

เหลียวเซียวหยุนยังคงเอ่ยกล่าวน้ำเสียงอ่อนขอร้องต่อไป

“แต่ผมไม่อยากคุยกับคุณ”

จ้าวเฉียนตอบปฏิเสธทันควัน

ครั้งนี้เธอร้องไห้ออกมาเสียงดังเกินกว่าจะหักห้ามได้ไหวอีกต่อไป ในเวลานั้นเองเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นพอดี และปรากฏว่าเป็นพ่อของเธอที่โทรมาหา

นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว แตะลูกสาวของเขาก็ยังไม่กลับมาอีก เหลียวปี้ซ่งจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ เขากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับตัวลูกสาว

“ลูกพ่อ ทำไมยังไม่กลับบ้าน นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามเสียงดุเนื่องจากเป็นห่วง

“ฮืออ…พ่อ… พ่อ…”

เหลียวเซียวหยุนโศกเศร้าเกินจะกักเก็บอาการได้ไหว เธอจึงระเบิดร้องไห้ออกมาโดยตรง

เหลียวปี้ซ่งที่ได้ยินเสียงลูกสาวตัวเองร้องไห้ก็ตกใจอย่างมาก และนึกถึงเรื่องที่พนักงานโทรเข้ามารายงานตอนเช้าว่า ลูกสาวของเขาออกไปกับชายหนุ่มแปลกหน้าสองต่อสอง นึกขึ้นได้ดังนั้นเหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามต่อทันทีว่า

“เกิดอะไรขึ้นลูกพ่อ?!”

“เขา…เขาทำร้ายจิตใจหนู…ฮือออ…มารับหนูทีค่ะพ่อ อยู่…หนูอยู่ที่โรงแรมตงไห่”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวทั้งน้ำตา

เหลียวปี้ซ่งได้ยินแบบนั้นก็เดือดจัด ทั้งเขาและแม่ของเธอต่างเลี้ยงดูปูเสื่อลูกสาวคนนี้มาอย่างดี แต่กลับมีไอ้หนุ่มจากไหนไม่รู้ทำให้ลูกสาวของเธอต้องมีบาดแผลทางจิตใจ

“ลูกพ่อรอก่อนนะ! เดี๋ยวพ่อจะรีบไปรับเดี๋ยวนี้แหละ!”

เหลี่ยวปี้ซ่งวางสายและเรียกลูกชายคนโตและบรรดาบอดี้การ์ดประจำตัว ระดมพลกันออกมาไปที่โรงแรมตงไห่โดยเร็วที่สุด

ในไม่ช้า กลุ่มบอดี้การ์ดก็รีบทำลายทางเข้าห้องอาหารและวิ่งเข้ามาปิดล้อมจ้าวเฉียนที่นอนอยู่บนโซฟาทันที

เหลียวเซียวหยุนที่เห็นพ่อกับพี่ชายมาหา เธอก็วิ่งเข้าไปกอดทั้งคู่และระเบิดน้ำตาออกมาในทันใด

“พ่อ…พี่…ฮือออ…”

“โอ้นะลูก ไม่เป็นไรแล้ว… ไม่เป็นไรแล้ว…”

เหลียวปี้ซ่งลูบหัวปลอบโยนลูกสาวตัวเอง ขณะสำรวจทั่วร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบแม้แต่ความผิดปกติใดๆ

อย่างไรก็ตาม ลูกสาวของเธอไม่มีทางร้องไห้โดยไม่มีสิ่งเร้าแน่นอน เหลียวปี้ซ่งสั่งบอดี้การ์ดให้เข้าล็อกตัวจ้าวเฉียนทันที

เหลียวเซียวหยุนเห็นดังนั้น ก็รีบตะโกนลั่นทันทีว่า

“อย่า! เดี๋ยวก่อน! พ่อเข้าใจผิดแล้ว ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกับเขา?”

ในเวลาเดี่ยวกัน ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมตงไห่ก็รีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์เช่นกัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ประธานเหลียว มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงพาคนมามากมายขนาดนี้?”

“คุณผู้จัดการ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทางคุณ กรุณาออกไปด้วย เรื่องตรงนี้ผมจัดการเอง”

เหลียวปี้ซ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นชา

ลูกสาวถูกรังแกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าปรีดีอะไรเลย และเขาไม่ต้องการให้คนนอกเข้ามาสอด

ผู้จัดการทั่วไปยิ้มตอบไปว่า

“ผมมาที่นี่เพื่อปกป้องแขกของผมเช่นกัน ในฐานผู้จัดการที่แห่งนี้ แขกทุกคนจะต้องได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่ใช่ปล่อยให้คนของประธานมาทำร้ายแขกของเรา ที่นี่คือโรงแรงตงไห่ และโรงแรมแห่งนี้เองก็มีกฎเช่นกันครับ”

เหลียวปี้ซ่งโมโหอย่างมาก ไม่ว่าโรงแรมตงไห่จะมีภูมิหลังเป็นยังไง หรือมีใครหนุนหลังอยู่ แต่ตอนนี้ลูกสาวของเขาโดนทำร้าย จึงไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น

“คุณออกไปซะ! อย่าเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในครอบครัว! ไม่อย่างนั้นผมจะสั่งคนให้มาจัดการคุณด้วย!”

สีหน้าการแสดงออกของผู้จัดการทั่วไปแปรเปลี่ยนไปทันที เขาตอบน้ำเสียงเย็นสะท้านขั่วหัวใจยิ่งว่า

“ประธานเหลียว ที่นี่เป็นสถานที่ของผม ถ้าคิดจะทำอะไรแขกของผม ก็ข้ามศพผมไปให้ได้ก่อน! ถ้าคุณกล้าลองดี ผมรับประกันเลยว่าเรื่องนี้จบไม่สวย! เชิญออกไปได้แล้วครับ!”

ทันทีที่สุ้มเสียงของผู้จัดการทั่วไปลดลง ด้านนอกห้องอาหารก็อัดแน่นไปด้วยแก๊งอันตธานและบอดี้การ์ดของทางโรงแรมอยู่เต็มไปหมด

บรรดากาศในห้องอาหารแห่งนี้ร้อนแรงดุจสมรภูมิรบในชั่วอึดใจ ศึกต่อสู้ครั้งใหญ่ใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว!

ตอนที่153 นี่น่ะเป็นจูบแรก

เหลียวเซียวหยุนถอนหายใจเสียงหนัก เธอยกมือทุบอกจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและบ่นขึ้นว่า

“นี่นายไม่คิดจะบอกอะไรกับฉันเลยใช่ไหม! ปล่อยให้ฉันห่วงอยู่ฝ่ายเดียว ขี้โกง!”

“ผมต้องบอกทุกอย่างยันกางเกงในที่ใส่มาวันนี้เลยรึเปล่าว่าสีอะไร?”

จ้าวเฉียนแซวตอบ

เหลียวเซียวหยุนหน้าแดงก่ำในทันใด เธอทุบจ้าวเฉียนอีกระลอกพร้อมกล่าวตอบไปว่า

“นี่นายช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้ไหม?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยเอ่ยกล่าวไปว่า

“นี่ผมกฌกำลังจริงจังอยู่นะ แค่ว่าจำเป็นต้องบอกทุกอย่างด้วยเหรอ? นี่ผมเป็นแฟนคุณอยู่หรือเปล่า?”

เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบูดบึ้งพูดต่อว่า

“ถ้านายมีภูมิหลังครอบครัวที่ดีกว่านี้ เรื่องของเราอาจเป็นไปได้ แต่น่าเสียดาย…ด้วยสถานะของตัวนายในตอนนี้ ถึงฉันจะเห็นด้วย แต่พ่อต้องไม่ยอมแน่เลย แล้วถ้าไม่มีพ่อ ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กคนหนึ่ง”

จ้าวเฉียนกลอกตามองบนชั่วขณะ พลางตอบไปว่า

“คิดมากเกินไปแล้ว ผมไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอก เอาล่ะ จะไปกินข้าวที่ไหนดี?”

เหลียวเซียวหยุนจ้องจ้าวเฉียนตาเขม็งเจือแววหงุดหงิดชั่วแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบเสียงเย็นกลับไปว่า

“ไปกินที่โรงแรมตงไห่ก็แล้วกัน นายคงไม่เคยได้ทานอาหารหรูๆ แบบนี้สักครั้ง งั้นฉันจะพาไปให้นายได้สัมผัสประสบการณ์ดีๆ แบบนี้สักครั้ง”

จ้าวเฉียนเกือบหลุดหัวเราะลั่น แต่ก็ไม่แย่เช่นกันที่จะไปกินอาหารในสถานที่ของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยตอบอันใด

“จะไปไหนก็ได้หมดนั้นแหละ”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบ

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยกล่าวพร้อมท่าทางรังเกียจเล็กน้อย

“แน่นอนว่านายต้องอยากไปอยู่แล้ว เคยกินแต่ร้านอาหารข้างทาง โรงแรมตงไห่ นายคงไม่รู้จักด้วยซ้ำ”

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นไม่รู้จักโรงแรงตงไห้ ก็เลยตอบไปแค่ว่า

“โอ้น่าสนใจจัง ไม่ยักรู้เลยนะว่าจะมีโรงแรมหรูอยู่ในเมืองตงไห่ด้วย”

“งั้นไปกินที่นั้นแหละ! ฉันจะขับนำทางไปเอง ส่วนนายก็ตามมานะ”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับไปอย่างช่วยไม่เ

จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถและขับไปยังโรงแมรตงไก่ทันที

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เป็นช่วงประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้โรงแรมตงไห่คิกคักเป็นพิเศษ บรรดาแขกมากมายแห่เข้ามาจองห้องกินดื่มกันจนเต็ม ทำให้ไม่มีห้องว่างสำหรับทั้งสอง

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกอับอายอย่างมากที่ไม่มีห้องสำหรับทั้งคู่ เธอเอ่ยถามพนักงานต้อนรับไปว่า

“ช่วยเช็คอีกรอบได้ไหมว่า มีแขกโต๊ะไหนใกล้กินเสร็จรึยัง พวกเรารอได้”

“ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ วันนี้ทั้งในส่วนโต๊ะและห้องอาหารถูกจองคิวเต็มไม่เหลือที่ว่างแล้ว ห้องที่คาดว่าจะกินเสร็จในเร็วๆ นี้ต้องรอไปอีกสองชั่วโมง รวมกับเวลาเก็บกวาดห้อง แต่ถ้าคุณลูกค้าทั้งสองต้องการจะทานจริงๆ ทางเรามีห้องว่างที่ชั้นหก สนใจไหมค่ะ?”

แม้ว่าเหลียวเซียวหยุนจะเป็นทายาทเศรษฐีเจ้าของบริษัทหัวโหย้ว แต่เธอก็มีเงินติดตัวแค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น เงินเพียงเท่านี้เพียงพอสำหรับแค่ห้องอาหารชั้นหนึ่งหรือสองเท่านั้น ชั้นหกมีราคาเปิดห้องที่แพงเกินไป และเธอเองก็ไม่อยากยืมเงินพ่อต่อให้จ้าวเฉียน แต่จะให้เดินจากไปแบบนี้ก็เสียหน้า

จ้าวเฉียนไม่อยากทำให้เหลียวเซียวหยุนรู้สึกแย่ เขาเลยก้าวออกมากล่าวว่า

“หรือเราไปกินที่อื่นก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก”

เหลียวเซียวหยุนพยายามหาทางลงจากหลังเสือ พอได้ยินแบบนี้ขณะที่เธอกำลังจะเห็นดีเห็นงามด้วย ทันใดนั้นพนักงานต้อนรับก็เอ่ยกล่าวขึ้นมาพร้อมท่าทีรังเกียจว่า

“คุณลูกค้าตัดสินใจให้ดีนะค่ะ การได้ทานอาหารที่นี่สักครั้งนับว่าเป็นเกียรติอย่างมาก แค่ครั้งเดียวก็เอาเรื่องนี้ไปคุยโวโอ้อวดในกลุ่มเพื่อนได้อีกนานเลยนะคะ สำหรับคนจน การกินคือการเลี้ยงชีพไปวันๆ แต่สำหรับคนรวยคือการเพิ่มพูนหน้าตาในอีกรูปแบบหนึ่ง ลองคิดดูให้ดีนะคะ บางทีถ้าคุณลูกค้ายอมลงทุนสักหน่อย อาจได้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจดีๆ กับแขกคนอื่นๆ แต่ถ้าพวกคุณไม่มีเงินจริงๆ ก็เชิญค่ะ ออกไปกินอาหารข้างทางเถอะ”

ประเภทพนักงานที่จ้าวเฉียนไม่ชอบที่สุดคือพวกดูถูกลูกค้า การที่พูดจาแบบนี้กับเขามันหมายความว่าอะไรได้อีก?

“คุณคงเพิ่งมาใหม่ใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถาม

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเหรอค่ะ?”

พนักงานต้อนรับตอบกลับพร้อมน้ำเสียงคล้ายจะหาเรื่อง

“มารยาทไม่ผ่านนะ เก็บข้าวของแล้วออกไปจากที่นี่ซะ!”

จ้าวเฉียนชี้ไปที่ประตูทางออก

พนักงานต้อนรับคนนั้นปิดปากขำคิกคักไม่หยุด เธอเหลือบมองจ้าวเฉียนราวกับกำลังมองคนโง่และตอบกลับไปว่า

“คุณลูกค้า เห็นดิฉันว่างเล่นด้วยขนาดนั้นเลย?”

พนักงานต้อนรับคนนั้นหัวเราะใส่คำหนึ่งและเดินออกไปทันทีอย่างไม่แยแส

เหลียวเซียวหยุนโกรธจัดถึงขั้นบ่นพึมพำไม่หยุด พนักงานบ้าอะไรกล้าดูถูกลูกค้า

“จ้าวเฉียน! นายต้องคิดหาวิธีไล่เธอออกไปนะ!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งราวกับกำลังสั่งการ

จ้าวเฉียนเหลือบมองเธอเล็กน้อย

“แล้วผมจะได้อะไร?”

“ฉันให้หมื่นหนึ่งพอไหม?”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับด้วยความมั่นใจ

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางพลางส่ายหัว

“ผมไม่ได้ต้องการเงิน ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่มีค่ากว่านี้”

เหลียวเซียวหยุนอารมณ์เสียอย่างมาก เธอทนให้พนักงานต่ำต้อยแบบนั้นดูถูกเธอไม่ได้เด็ดขาด พนักงานแบบนี้ต้องถุกไล่ออกสถานเดียว!

“ถ้า…ถ้านายไล่เธอออกไปได้ ฉัน…ฉันจะจูบนาย…ว่าไง?”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวเจือท่าทีเก้อเขิน

จ้าวเฉียนเหลือบมองใบหน้าของเธอที่แดงฉ่า ยิ้มตอบกลับไปว่า

“มันไม่ใช่จูบแรกของเธอ คงไม่มีค่าพอ”

“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! นี่น่ะ…นี่น่ะเป็น…จูบแรกของฉันเลยนะ…”

ทั่วใบหน้าแดงก่ำลามไปยังใบหู เหลียวเซียวหยุนไม่เคยเขินอายขนาดนี้มาก่อน

จ้าวเฉียนยิ้มตอบเล็กน้อย

“งั้นไม่มีปัญหา แต่แค่จูบเองเหรอ?”

“แค่จูบยังไม่พอรึไง?!”

เหลียวเซียวหยุนตะคอกตอบ

“งั้นมาลองพนันดูไหม ถ้าผมสามารถเปิดห้องอาหารได้โดยไม่เสียเงินสักหยวน คืนนี้คุณไม่ต้องกลับบ้าน มานอนที่บ้านผมแทนว่าไง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

เหลียวเซียวหยุนใจเต้นแรงในทันที ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่งแล้ว และทราบดีว่าที่จ้าวเฉียนพูดไปมันหมายความว่ายังไง

“นาย….นี่นายคิดแบบนี้กับฉันตั้งแต่แรกแล้วงั้นเหรอ?! ไม่! อย่างมากที่สุดก็จูบ! จะจูบกี่ครั้งก็ได้ แต่ไม่ไปบ้านนายเด็ดขาด แล้วอีกอย่างนะ ฉันไม่เชื่อว่านายจะสามารถเปิดห้องได้โดยไม่เสียเงิน!”

เมื่อพินิจจับจ้องท่าทางเก้อเขินของเหลียวเซียวหยุน จ้าวเฉียนก็อดหัวเราะไม่ได้

“งั้นนับเป็นอันตกลง!”

จ้าวเฉียนโบกมือเรียกพนักงานต้อนรับที่อยู่ใกล้ที่สุดและหยิบบัตรVIPสีทองคำออกมาโดยไว

“ช่วยเปิดห้องอาหารที่ดีที่สุดบนชั้นเจ็ดให้หน่อย สมาชิกหมายเลข68 จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วเรียกด้วย”

พนักงานต้อนรับคนนั้นรีบรับบัตรและกล่าวตอบด้วยความเคราพว่า

“เรียนลูกค้าvip ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมตงไห่ พวกเราจะพยายามบริการเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการของคุณลูกค้าให้ได้มากที่สุด ขอเชิญคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงขึ้นไปนั่งรอในโซนรับแขกที่ชั้นเจ็ดก่อนนะคะ”

เหลียวเซียวหยุนตกตะลึงโดยสมบูรณ์ เธอคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า จ้าวเฉียนจะมีบัตรVIPสีทองซึ่งเป็นระดับสูงสุดของที่นี่ เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย ในขณะที่จ้าวเฉียนเพียงกล่าวไม่กี่คำ ปัญหาทั้งหมดก็ถูกคลี่คลาย

เดี๋ยวนะ? หรือเจ้าหมอนี่มันแสร่งมำเป็นหมูกินเสือกัน?

“จ้าวเฉียน! นายนี่มันเลวจริงๆ! นายจงใจหลอกฉันตั้งแต่แรก! เจ้าเล่ห์! ไร้ยางอายสิ้นดี! ใช้ประโยชน์ฉวยโอกาสฉัน!”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวตอบด้วยความโกรธจัด

จ้าวเฉียนเหลือบมองเธออย่างไม่แยแส เอ่ยตอบกลับไปแค่ว่า

“ก็คุณเต็มใจพนันกับผมเอง ยังไม่ได้หลอกอะไรเลย”

“นายรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะชนะ แต่ก็ยังกล้าพนันกับฉัน นี่มันจงใจหลอกกันไม่ใช่เหรอไง? เจ้าเล่ห์จริงๆ! เหอะ!”

“อ้อ งั้นไปกินอาหารริมทางล่ะกัน”

จ้าวเฉียนหมุนตัวหันหลังเตรียมกลับ แต่เหลียวเซียวหยุนกลับรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งสิ! ก็จองห้องอาหารไปแล้วไม่ใช่เหรอไง? จะมาเปลี่ยนแบบนี้ได้ยังไงกัน? ในฐานะผู้หญิงอย่างฉัน ก็ควรห่วงเนื้อห่วงตัวเป็นธรรมดา นายนั้นแหละที่จงใจเอาเปรียบ! ไม่คิดจะขอโทษหน่อยเหรอ?”

“ว้าว ที่พูดแบบนี้คือจงใจจะผิดสัญญาไม่จูบผมแล้ว?”

เมื่อเห็น ‘คู่รักหนุ่มสาว’ ทะเลาะกัน เหล่าพนักงานโดยรอบก็อดหัวเราะไม่ได้

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกอายอย่างมาก เธอแตะจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งก่อนวิ่งขึ้นลิฟต์ทันที

ในขณะเดียวกัน หยางหู่ก็ส่งข้อความผ่านWechatถึงจ้าวเฉียนพอดี

“คุณชายจ้าว เรื่องเมื่อช่วงกลางวันทุกอย่างคลี่คลายแล้วนะครับ ฟู่เอ๋อร์คงไม่กล้าหยิ่งผยองไปอีกยาย อย่างำรก็ตาม พ่อของเขาเป็นหัวหน้าแก๊งเหล่ยอู่ ผลที่ตามมาอาจทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากเล็กน้อย แต่ใช้เงินจำนวนหนึ่งตบใส่น่าจะแก้ปัญหาได้อยู่ครับ”

ตราบใดที่มีเงินมากพอก็ไม่มีปัญหา

จ้าวเฉียนส่งข้อความตอบหยางหู่กลับไปว่า

“เอาเลย ฉันจะบอกเรื่องเงินให้พ่อทราบอีกทีเอง”

ตอนที่152 ไม่พอใจกับความหยิ่งผยองของนาย

“คิดหนีเหรอ? ตอนนี้เริ่มสำนึกแล้วใช่ไหมว่าเล่นด้วยผิดคนแล้ว? แต่จะบอกอะไรให้นะ…มันสายเกินไปแล้ว!”

ฟู่เอ๋อร์ตะโกนขู่เข็ญเสียงดังลั่น

บรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเหลียวเซียวหยุนที่เพิ่งเดินพ้นผ่านออกจากประตูมหาลัยไป เพื่อเดินทางไปซื้อชุดเสื้อผ้า ก็ดันเห็นข้พอดีและเร่งรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว

“มันจบแล้ว! ฟู่เอ๋อร์หัวเสียจริงๆ ถึงขั้นเรียกพวกมารุมงี้เลย!”

“ไม่นะ…พวกเราจะทำยังไงดี? ถ้าเขาถูกกระทืบจนส่งโรงพยาบาล พวกเรายังจะไปฝึกงานที่สองบริษัทนั้นได้อยู่ไหมเนี่ย?”

“แต่เราจะทำอะไรเ? อีกฝ่ายคือฟู่เอ๋อร์เชียวนะ! ใครจะกล้าเข้าไปหยุด?”

พวกเขาเหล่านักศึกษาต่างเศร้าสลดใจอย่างยิ่งยวด เพราะต่างคิดกันไปว่าจ้าวเฉียนไม่รอดแน่นอน ดันมาซวยที่ทำให้ฟู่เอ๋อร์หงุดหงิดแท้ๆ

ถึงจะมีคนที่รวยและดีกว่าฟู่เอ๋อร์ในมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีใครเกเรเท่าเขาอีกแล้ว

กล่าวได้ว่า จ้าวเฉียนชะตาขาดแล้วก็ว่าไก้

จ้าวเฉียนชักมือกลับและเหลือบสายตาหันมาพูดกับฟู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มว่า

“ผมเองก็ไม่ได้อยากหนีไปไหน แต่เหลียวเซียวหยุนเห็นขี้หน้าคุณไง ดังนั้นเธอเลยอยากหนีไปให้ไกลๆ จากคุณ เห้ออ…คุณนี่มันไม่มีใครอยากคบหาด้วยจริงๆ นะว่าไหม?”

เหลียวเซียวหยุนกลอกตามองบนในทันใด ก่อนจะต่อยแขนจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและกล่าวว่า

“ยังจะมาพูดไร้สาระอยู่อีก รีบวิ่ง…”

ทันใดนั้นเหลียวเซียวหยุนพลันรู้สึกผิดขึ้นมาทันควัน ตลอดทั้งวันนี้เธอหลอกให้จ้าวเฉียนมาใช้ประโยชน์ อีกฝ่ายเองก็หัวเสียไม่น้อยเช่นกัน แต่ถ้าจะให้มาโดนทำร้ายเพราะเธอแบบนี้ มันก็….

จ้าวเฉียนตบไหล่เหลียวเซียวหยุนแสนทะนุถนอม หันมากล่าวกับฟู่เอ๋อร์ว่า

“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ เธอลงทุนถึงขนาดเอาผมมากันคุณไว้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เธอรังเกียจคุณขนาดไหน แต่คุณก็ยังหน้าด้านตามตื้อไม่หยุด คำว่า ‘ยางอาย’ มีบ้างรึเปล่าครับ?”

“มึง…”

ฟู่เอ๋อร์โกรธจัดจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง ถึงขั้นสำลักน้ำลายไอออกมาอย่างรุนแรง

บรรดาผู้คนโดยรอบที่เห็นภาพฉากแบบนั้น ต่างพากันหัวเราะ

“โอ้ โอ้…คุณชายฟู่ไม่สบายรึเปล่าครับ? ถ้าเป็นแบบนี้ผมยิ่งปล่อยเสี่ยวหยุนไว้กับคุณไม่ได้เลย เดี๋ยวแพร่เชื้อให้เธอขึ้นมา เชื้อ ‘สันดานหมา’ อาจส่งต่อไปถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”

ประโยคอันสุดแสนจะยั่วยุนี้ของจ้าวเฉียนยิ่งทำให้ความโกรธของฟู่เอ๋อร์ทวีเป็นหลายเท่าตัว

“มึงพล่ามอะไรของมึง! ถ้ายังไม่หุบปากกูจะกระทืบมึงให้พิการไปเลย!”

จ้าวเฉียนยิ้มแย้มเชิงต้อนรับด้วยความยิ่งดีปรีใจ นอกจากนี้ยังกวักมือยั่วยุให้เข้ามา

ฟู่เอ๋อร์โกรธจัด คำรามเสียงดังสนั่น

“มึงอยากตายจริงๆ ใช่ไหม!? ได้! มึงเตรียมตัวตาย! พวกนายไปล็อกตัวมันมา! ฉันจะสั่งสอนมันเอง!”

ฟู่เอ๋อร์ออกคำสั่งในทันใด บรรดาพี่น้องเหล่านี้รับเงินจากเขามาในจำนวนไม่น้อย ย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง

“ฉันบอกให้ออกไป! ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย?!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยอุทานพึมพำกับตัวเองด้วยความกังวล

“นายมันบ้าไปแล้วรึไง! ไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน คิดว่าตัวเองเป็นเฉินหลงเหรอ?”

เธอหันมาบ่นกับจ้าวเฉียน

เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเลิกคลาส นอกจากกลุ่มนักศึกษาที่ทยอยออกมา ยังมีคณะอาจารย์ที่กำลังเดินทางกลับด้วยเช่นกัน

และบังเอิญว่า อาจารย์คณะบริหารที่เหลียวเซียวหยุนอยู่ก็ออกมาเห็นพอดีเช่นกัน พอเห็นว่าจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนกำลังถูกดักล้อม อาจารย์คนนั้นจึงรีบวิ่งไปถามทันทีว่า

“เกิดอะไรขึ้นกัน?!”

ฟู่เอ๋อร์และบรรดาพี่น้องของเขาที่ล้อมจ้าวเฉียนถึงกับผงะในทันใด พวกเขากำลังเหลียวซ้ายแลขวาหาทางหนี

“ไอ้เด็กพวกนี้! นี่มันหน้ามหาลัยนะ! ไม่ใช่ข้างถนนที่พวกคุณจะทะเลาะตบตีกัน! จะรีบไสหัวออกไปหรือต้องให้โทรแจ้งตำรวจ!”

อย่างไรก็ดี อาจารย์ที่เป็นคณบดีที่อยู่ในคลาสเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ของเหลียวเซียวหยุนก็ตามออกมาสมทบ เขาค่อนข้างมีสถานะศักดิ์สูงมากในมหาลัยแห่งนี้ และเป็นที่เคารพของทุกคน ฟู่เอ๋อร์ที่เห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ แต่เขาเองก็ไม่ยอมปล่อยให้จ้าวเฉียนรอดออกไปเช่นกัน

“มึง! ถ้ามึงยังเหลือความเป็นผู้ชายอยู่บ้าง ออกไปที่ภูเขาทางเหนือกับกูแล้วตัดสินกันที่นั่น! ถ้าปอดแหกก็ไสหัวไปซะ มึงไม่มีคุณสมบัติมายุ่งกับเสี่ยวหยุนของกู! แต่จำเอาไว้เลย ครั้งหน้าที่เจอ กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!”

เหลียวเซียวหยุนตะคอกสวนกลับไปว่า

“ฟู่เอ๋อร์พอได้แล้ว! เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฉันเอง เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย! ถ้าจะมาหาเรื่องก็มาหาเรื่องฉัน!”

ฟู่เอ๋อร์หัวเราะเย้ยเยาะ เอ่ยตอบกลับไปว่า

“นี่มันการต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชาย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ! ถ้ามึงแน่จริงก็ตามกูมา!”

จ้าวเฉียนส่ายหัวเล็กน้อย ฟู่เอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะทันที

“มึงเริ่มกลัวแล้วใช่ไหม? งั้นคุกเข่าขอโทษกูก่อน และสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่มายุ่งกับเสี่ยวหยุนของกูอีกต่อไป! แล้วกูจะปล่อยมึงไป!”

ฟู่เอ๋อร์เหยียดยิ้มอย่างผู้มีชัย

ทว่าจ้าวเฉียนกลับระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยตอบไปอย่างเฉยเมยว่า

“ผมเกรงว่าทั้งพี่น้องของคุณรวมไปถึงตัวคุณคงต้องนอนติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน ผมเตือนแล้วนะ ไสหัวไปซะ”

ทันทีที่คำกล่าวของจ้าวเฉียนเปล่งดังออกมา ฝูงชนบริเสณจุดเกิดเหตุพลันระเบิดความโกลาหลออกมาในทันใด โดยส่วนใหญ่คนพวกนี้ไม่รู้จักจ้าวเฉียน

“พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมถึงหยิ่งผยองได้ขนาดนี้? อย่าว่าแต่ฟู่เอ๋อร์เลย แค่โดนพวกพี่น้องที่อีกฝ่ายจ้างมาก็ปางตายแล้ว เขาไม่กลัวเลยรึไง?”

“บางทีเขาอาจแสร้งทำเป็นเก่งต่อหน้าแฟนนั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้นต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ เป็นฉันก็ลงจากหลังเสือไม่ได้หรอก”

“แต่ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาแย่แน่!”

“เห้ออ…ฉันหวังว่าฟู่เอ๋อร์จะเว้นไว้สักคนนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริง มีหวังอดฝึกงานแน่นอน!”

“จะเป็นไปได้ยังไง? พูดยังกับไม่รู้จักฟู่เอ๋อร์ หมอนี่ส่งคนนอนโรงพยาบาลไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว ซวยจริงๆ …”

ฟู่เอ๋อร์ไม่คิดจะมอบโอกาสจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อรนหาที่ตายเองแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ เขาตะโกนลั่นขึ้นว่า

“มึงรนหาที่ตายเองนะ ก็อย่าโทษกูล่ะกันว่าไม่ให้โอกาสมึงกลับใจ พวกเรา! กระทืบมัน!”

“ฮ่าฮ่าๆๆ …ผมกลัวจังเลยครับ”

สองมือล้วงกระเป๋า จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเย้ยหยันเป็นคำตอบ

“ได้! งั้นมึงอยู่เฉยๆ นะอย่าขยับ! พี่เป่ย น้องซาน จัดการ!”

ฟู่เอ๋อร์คำรามลั่นสั่งการทันที

“เห้ยพวกมึงอ่ะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”

แต่ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงแสนเกรี้ยวกราดของอันตพานก็ดังขึ้นสนั่นทั่วบริเวณ ทุกคนต่างชะงักหยุดโดยพลัน สถานการณ์ทั้งหมดเงียบสงัดไปชั่วขณะ เจ้าของเสียงตะโกนโหลั่นนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก โจวเฉิง เจ้าถิ่นในเขตมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาได้ชื่อว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของหนึ่งในสองขั้วอำนาจแห่งโลกมืดในเมืองตงไห่,หยางหู่ จะเห็นได้ว่าเขาผู้นี้มีอิทธิพลขนาดไหน

แต่ไม่ว่าโจวเฉิงจะแข็งแกร่งหรือมีอำนาจเพียงใด แต่เขาก็ซื่อสัตย์ต่อพี่ใหญ่หยางหู่เป็นอย่างยิ่ง

บรรดาพี่น้องนับหลายสิบคนที่หู่เอ๋อร์เรียกมาถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หยาดเหงื่อรินไหลทั่วทั้งหน้าผากด้วยความยำเกรง หนึ่งในผู้นำกลุ่มพี่น้องเหล่านั้นมีชื่อว่า หม่าซือ ซึ่งเขาคนนี้ก็เป็นลูกน้องของโจวเฉิงอีกที

“ลูกพี่เฉิง!”

“ลูกพี่เฉิง…”

เมื่อเห็น ‘ลูกพี่ใหญ่’ ทุกคนถึงกับยืนตรงและโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง

ฟู่เอ๋อร์เองรีบยืนตรงพร้อมโค้งหัวทำความเคารพทันที

“พี่เฉิง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”

โจวเฉิงเหลือบมองฟู่เอ๋อร์อย่างเย็นชา และตอบกลับไปว่า

“ฉันได้ยินมาว่า มีเรื่องกันแถวนี้ ก็เลยต้องรีบออกมาดู”

“ฮ่าฮ่า…ต้องเกรงใจพี่เฉิงแล้ว! ผมแค่กำลังจะสั่งสอนบทเรียนให้ไอ้หมอนี่ มันไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูงกล้ายุ่งกับคนของผม พี่เฉิงมาที่นี่อย่าได้เสียเที่ยวเปล่า หลังจากที่ผมสั่งสอนมันเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมขออาสาเลี้ยงอาหารพี่เฉิงสักมื้อนะครับ”

ฟู่เอ๋อร์กล่าวขึ้นพร้อมทีท่าอวดเบ่งราวกับผู้มีชัย

ในเวลานั้นเองหยางหู่ก็ส่งข้อความผ่านWechatถึงจ้าวเฉียน

“คุณชายจ้าว ผมส่งโจวเฉิงไปแล้ว คุณชายกลับได้ตามสะดวกเลยครับ ที่เหลือเดี๋ยวเขาจะจัดการเอง”

จ้าวเฉียนเก็บโทรศัพท์มือถือไปและกล่าวกับโจวเฉิงขึ้นว่า

“พี่เฉิง งั้นผมฝากจัดการที่เหลือต่อด้วยนะครับ เจ้าหนุ่มคนนี้หยิ่งผยองเกินไป ฝากดัดสันดานให้ทีนะครับ”

“เข้าใจแล้วครับ! ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง!”

โจวเฉิงหันมาโค้งศีรษะให้จ้าวเฉียนด้วยความเคารพ

ทุกคนที่เห็นต่างตะลึงเป็นอย่างยิ่ง! นี่มันเรื่องอะไรกัน?

โดยเฉพาะกับฟู่เอ๋อร์ที่ตื่นตระหนักสุดขีด เขาเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“พี่เฉิง นี่…นี่หมายความว่ายังไงครับ?”

“แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? คุณชายผู้นี้บอกว่าแกหยิ่งผยองเกินไป ฉันต้องดัดนิสัยแกสักหน่อยแล้ว ไอ้เป่ย ไอ้ซาน! จับตัวมันไว้!”

โจวเฉินออกคำสั่งเบ็ดเสร็จ ฟู่เอ๋อร์ไม่มีแม้แต่โอกาสพูดอธิบายใดๆ เสี้ยวอึดใจต่อมาเขาก็ถูกเหล่าพี่น้องที่จ้างมาล็อกตัวทันที

“ไม่! ไม่…ไม่พี่เฉิง พี่จะทำแบบนี้กับผมไม่ได้!”

ฝูงชนโดยรอบถึงกับอ้าปากค้าง ขากรรไกรแทบร่วง

“นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พี่เฉิงมาช่วยเขาแทนงั้นเหรอ?”

“เขาเป็นใครกันแน่? ขนาดพี่เฉิงยังต้องสุภาพกับเขาขนาดนั้น! กลับเป็นฟู่เอ๋อร์แทนที่เล่นผิดคนแล้ว!”

“สมแล้วที่เป็นดาวมหาลัย! เธอสายตาเฉียบคมเกินหยั่งถึง! ภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้เป็นยังไงกันแน่? ขนาดลูกพี่ใหญ่อย่างพี่เฉิงยังต้องให้ความเคารพ!”

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ …”

ตอนที่151 ปิดล้อม

ทั่วทั้งคลาสเรียนจากร้ายกลายเป็นดี ทุกคนต่างเอ่ยปากขอร้องให้จ้าวเฉียนรับพวกเขาเข้าไปฝึกงานในบริษัทเกมฟางนี่ ซึ่งนี่ทำให้อาจารย์โกรธอย่างมาก

เธอเคาะโต๊ะอีกหลายคราด้วยความโมโหและตะโกนลั่นคลาสว่า

“นักศึกษาทุกคนเงียบ! คิดว่าตัวเองอยู่ในสนามเด็กเล่นรึไง? ส่วนคุณเชิญออกไปด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้นดิฉันจะโทรเรียกรปภ.มาเชิญตัวคุณออกนะคะ”

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนัก เขาจึงยิ่งและกล่าวตอบอย่างสุภาพขึ้นว่า

“ผมต้องขอโทษคุณครูที่รบกวนเวลาสอนนะครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

ทันทีที่พูดจบ จ้าวเฉียนก็เดินออกจากคลาสเรียนห้องนั้นทันที และเดินเข้าไปยังอีกคลาสเรียนหนึ่ง หาที่นั่งพักพึงและหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็คิดได้ว่า เป็นการดีกว่าที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับพวกฟู่เอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงโทรหาหยางหู่ทันที เพื่อวานขอลูกน้องของอีกฝ่ายให้มาดักล้อมพวกนั้นเอาไว้ก่อน

“เสี่ยวหู่ เดี๋ยวฉันส่งโลเคชั่นที่อยู่ไป มีนักเลงตัวน้อยชื่อฟู่เอ๋อร์ มันกำลังระดมพวกมากระทืบฉัน ขอยืมลูกน้องนายหน่อย”

หยางหมิงกล่าวตอบทันที น้ำเสียงของเขาดูค่อนข้างวิตกกังวลยิ่ง

“แล้วตอนนี้คุณชายจ้าวปลอดภัยดีใช่ไหมครับ?”

“ไม่เป็นไร ฉันสบายดี ก็แค่เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งจะไปทำอะไรฉันได้ ฉันแค่อยากขู่พวกมันสักหน่อย ขอแบบเอาให้มันจำไปจนวันตาย!”

หยางหู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเปิดโลเคชั่นที่จ้าวเฉียนส่งไปให้ทางWeChat ก่อนจะกล่าวว่า

“เข้าใจแล้วครับ อยู่ในตัวมหาลัยเลยใช่ไหมครับ? ผมจะทักหาคนที่อยู่แถวนั้นให้ไปรวมตัวที่หน้าประตูทางเข้ามหาลัยนะครับ รอจนกว่าพวกนั้นจะมาล้อมคุณชาย ถึงเวลานั้นลูกน้องผมจะออกมาดักอีกทีหนึ่งเอง”

“โอเค ขอบใจมากเสี่ยวหู่”

จ้าวเฉียนวางสายไปพลางเล่นมือถืออย่างสงบ ในขณะเดียวกันภายในคลาสเรียนที่เหลียวเซียวหยุนเล่นอยู่ นักศึกษาแต่ละคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก ทุกคนต่างอยากได้รับโอกาสได้เข้าฝึกงานในบริษัทเกมฟางนี่ หากเป็นไปได้ กลายมาเป็นพนักงานประจำได้เลยยิ่งดี

แต่น่าเสียดายที่นักศึกษาพวกนี้อยู่คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของบริษัทในขณะนี้ได้ หากเป็นนักศึกษาด้านโปรแกรมเมอร์คงไม่ต้องพูดถึง จ้าวเฉียนคงรับมาฝึกงานในทันที และหากพวกเขามีศักยภาพที่สามารถต่อยอดไปได้ไกล บางทีจ้าวเฉียนอาจจะให้พวกเขาบรรจุเป็นพนักงานประจำทันที

ไม่นานหลังจากนั้น เหลียวเซียวหยุนก็เรียนเสร็จ เธอรีบออกไปหาจ้าวเฉียนที่นั่งรออยู่ในคลาสข้างๆทันที แต่ที่แตกต่างจากตอนแรกคือ มีบรรดานักศึกษาในห้องเรียนตามหลังเธอมาเป็นขบวน ที่พวกเขาตามมาก็เพื่อขอร้องให้จ้าวเฉียนรับเด็กฝึกงานเข้าไป

จ้าวเฉียนถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวตอบตามความจริงไปว่า

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพาทุกคนไปฝึกงานหรอกนะ แต่สิ่งที่บริษัทของเราขาดแคลนในตอนนี้คือแผนกพัฒนา หรือก็คือโปรแกรมเมอร์น่ะ พนักงานในฝ่ายบริหารกับการตลาดมันเต็มแล้วนี่สิ ถ้าเอาพวกเธอมาฝึกงานตอนนี้คงไม่ได้เรียนรู้งานอะไรแน่นอน นอกจากชงกาแฟให้คนอื่น พวกเธอทุกคนที่สามารถสอบติดมหาลัยนี้ได้ ฉันเชื่อว่าทุกคนมีความรู้ความสามารถมากพอที่จะสร้างอนาคตที่ดีได้ด้วยตัวเองนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ชงกาแฟผมก็ยอม!”

“ใช่ครับ ขอแค่ได้เข้าทำงานในบริษัทนี้ ให้ขัดส้วมก็ไม่บ่นครับ”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

เหล่านักศึกษาปีสุดท้ายจำเป็นต้องออกไปฝึกงานเพื่อเก็บหน่วยกิตให้ครบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากเลือกฝึกงานที่บริษัทฟางนี่ แต่เรื่องนี้เคยมีคนเสนอไปแล้วในที่ประชุม และจางหยางก็บอกเองว่าไม่เห็นด้วย เพราะเปลืองงบมาดูแลเด็กๆพวกนี้ ขนาดจ้าวเฉียนที่เป็นพนักงานประจำ จางหยางยังรังเกียจ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กๆเหล่านี้?

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาในตอนนี้ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงอะไรมากในบริษัทฟางนี่ แต่ถ้าหากเป็นบริษัทเฉียนเก๋อ ไม่ก็แพลตฟอร์มเทียนซูว บางทีอาจจะเหมาะสมกับพวกเขากว่า และจ้าวเฉียนสามารถพานักศึกษาเหล่านี้ไปฝึกงานได้โดยไม่มีใครกล้าคัดค้าน ถึงอย่างไรทั้งสองบริษัทนี้เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง ควรมีพนักงานเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงจะดีที่สุด

“อย่างที่บอกไปนั้นแหละ บริษัทของเราต้องการโปรแกรมเมอร์ในอัตราที่มากในขณะนี้ ส่วนแผนกอื่นๆมันเต็มกันหมดแล้ว แต่ถ้าพวกเธอทุกคนต้องการหาที่ฝึกงานจริงๆ ฉันมีคนรู้จักอยู่ในแพลตฟอร์มเทียนซูวกับบริษัท เฉียนเก๋อที่กำลังถ่ายทำซีรีย์เรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรค์’อยู่น่ะ ไม่รู้ว่าพวกเธอจะสนใจกันหรือเปล่า? แต่พอเข้าไปได้แล้ว ห้ามทำให้ฉันขายหน้าเด็ดขาดเลยนะ”

บรรดานักศึกษากลุ่มนั้นที่ได้ยินต่างตื่นอกตื่นเต้นกันใหญ่ ทั้งสองบริษัทดังกล่าวล้วนมีชื่อเสียงอย่างมาก จนนักศึกษาบางคนคันปากเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า จ้าวเฉียนต้องการเท่าไหร่ เขายอมจ่ายทั้งหมดที่มีเพื่อได้ฝึกงานที่นั่น

จ้าวเฉียนตอบติดตลกไปว่า

“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ขอแค่ทำผลงานออกมาให้ดีก็พอ ฉันไม่อยากโดนเพื่อนด่าที่หลัง”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะทันที

“พี่ชายแน่ใจนะว่าเป็นแค่พนักงานธรรมดา? บริษัทเกมฟางนี่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสองบริษัทนี้ได้เลย?”

“หรือพี่ชายเป็นทายาทมหาเศรษฐีแฝงตัวมาแบบในหนัง?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยและเอ่ยตอบไปว่า

“ทายาทมหาเศรษฐีที่ไหนกันล่ะ? บริษัทของเราร่วมงานกับแพลตฟอร์มเทียนซูว ไม่สังเกตเหรอว่า เกม League of Glory มีสตีมแค่ในแพลตฟอร์มนี้ที่เดียว? ส่วนบริษัทเฉียนเก๋อ พอดีมีเพื่อนเป็นผู้จัดการอยู่ที่นั่นน่ะ เขาบอกว่าบริษัทกำลังขาดแคลนเด็กใหม่ไฟแรง มารับตำแหน่งครีเอทีฟ[1]พอดี”

พออธิบายออกไปขนาดนี้จึงไม่มีใครสงสัยอันใดอีกต่อไป และกล่าวตอบไปทันทีว่า อยากไปฝึกงานที่เหล่านั้น

จ้าวเฉียนพยักหน้าและวานให้เหลียวเซียวหยุนหยิบกระดาษออกมาสองแผ่น

“ถ้าใครต้องการฝึกงานที่เทียนซูว ให้กรอกชื่อละข้อมูลติดต่อลงบนใบนี้ ส่วนใครอยากฝึกงานที่เฉียนเก๋อให้กรอกลงอีกใบได้เลย เนื่องจากนี่เป็นวันจันทร์ ฉันจะส่งข้อมูลพวกนี้ให้เพื่อนฉันในวันอังคาร ใครที่เข้าตาจะมีคนโทรกลับไปติดต่อและเรียกมาสัมภาษณ์ในวันพุธ ถ้าฉันสะดวกจะไปเชียร์พวกเธอทุกคนนะ”

นักศึกษากลุ่มนั้นรีบกล่าวขอบคุณจ้าวเฉียน และต่อแถวเขียนชื่อและข้อมูลติดต่อลงในกระดาษแต่ละแผ่นโดยตรง

เหลียวเซียวหยุนทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอดึงจ้าวเฉียนออกมาและกระซิบถามไปว่า

“เจ้าบ้า! คนตั้งมากมายขนาดนี้ ทั้งสองบริษัทนั้นจะรับสักกี่คนเชียว? ทางนั้นทราบก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้! นายเล่นพูดเองเออเองหมดเลย!”

“คุณจะกลัวอะไร พวกเขาไม่ได้มาเป็นภาระบริษัทสักหน่อย ทั้งสองแห่งนั้นเองก็คงรับเยอะเช่นกัน จะได้เทียบกันไปเลยว่าใครมีศักยภาพมากพอที่จะคู่ควรอยู่ต่อไปถ้าไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาทดลองงาน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า พวกเขามีดีอะไรกันบ้าง?”

พอพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินละออกไปทันที เหลียวเซียวหยุนดูหงุดหงิดไม่ใช่น้อย เธอต้องการจะเอาชนะเขาให้ได้

หลังจากที่นักศึกษาพวกนั้นจดชื่อและข้อมูลส่วนตัวกันเสร็จ จ้าวเฉียนก็หยิบกระดาษทั้งสองแผ่นนั้น อวยพรทุกคนขอให้ได้เข้าฝึกงานทั้งสองแห่ง และจากไปทันที

เหลียวเซียวหยุนกังวลว่า บรรดาเพื่อนร่วมคลาสจะแห่เข้ามาถามอะไรเธออีก จึงรีบวิ่งติดตามจ้าวเฉียนออกไปเช่นกัน

“โอ้…ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมดาวมหาลัยของเธอถึงเลือกผู้ชายคนนี้ มีเส้นสายรอบทิศขนาดนี้ใครๆก็อยากได้เขามาเป็นคู่ชีวิต!”

“เราคงไม่มีหวังที่จะได้เธอมาเป็นแฟนแล้วจริงๆสินะ… แต่ก็ยังดีที่พวกเราจะได้ทำงานในที่ดีๆสักที ต้องขอบคุณแฟนของเสี่ยวหยุนมากเลย”

“ตื่นเพื่อนตื่น! เขาก็บอกอยู่ว่ามีการสัมภาษณ์ แสดงว่าต้องมีคนได้และไม่ได้ ฉันไม่มีเสียเวลาฝันกลางวันแบบแกหรอกนะ ตอนนี้ต้องรีบไปซื้อชุดทำงานแล้ว! ภาพลักษณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!”

พอนักศึกษาคนนั้นพูดจบก็รีบแจ่นออกจากมหาลัยทันทีเพื่อไปเลือกซื้อชุดสำหรับวันสัมภาษณ์ ส่วนคนอื่นๆเองก็ไม่น้อยหน้ารีบวิ่งออกไปตามๆกัน

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนที่กำลังเดินออกจากประตูมหาลัย จู่ๆเขาก็ถามขึ้นว่า

“ตอนนี้ผมเป็นอิสระแล้วรึยัง?”

“ยัง! ฉันหิวข้าวแล้ว นายต้องมาดินเนอร์กับฉัน หลังจากนั้นก็ไปดูหนังด้วยกันก่อนถึงจะกลับได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาหาฉันตอนเก้าโมงเพื่อดิลคู่ค้า”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างจนใจและจงใจชะลอความเร็วลงฉับพลัน

เหลียวเซียวหยุนสังเกตเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามทันทีว่า

“ไม่ออกมาเหรอ? เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ยังมีบางเรื่องที่ไม่ได้คิดบัญชีน่ะ รอผมก่อนสักเดี๋ยวนะ”

จ้าวเฉียนกล่าวออกไปลอยๆท่าทีติดตลก

เหลียวเซียวหยุนสบถด่าทันที

“หมายถึงไอ้โง่นั่นน่ะเหรอ? นายจะรอสู้กับมันตรงนี้จริงๆรึไง? เลิกคิดได้เลย นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน รีบไปกันเถอะ”

จ้าวเฉียนย่างเท้าก้าวมาหยุดตรงหน้าเหลียวเซียวหยุน พลางยกมือปัดปอยผมของเหลียวเซียวหยุนด้วยความเอ็นดู และกล่าวตอบไปว่า

“ก็นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักที่คุณอยากให้ผมมาที่นี่หรอกเหรอ? ผมไม่ปล่อยให้คุณมีไอ้โรคจิตแบบนั้นตามติดแน่นอน รีบจัดการรีบไปดินเนอร์กันดีกว่า”

เหลียวเซียวหยุนพยายามดึงแขนจ้าวเฉียนและรีบหนีไป แต่นั้นกลับสายเกินไปเสียแล้ว

“เอามือสกปรกของมึงออกไปซะ! ไอ้สวะ!”

เสียงโกรธตวาดลั่นจากปากของฟู่เอ๋อร์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลดังขึ้นทันที ด้านหลังของเขามากล้นไปด้วยกลุ่มพี่น้องพร้อมแท่นเหล็กในมือนับหลายสิบคน ดูราวกับพวกอันตพาธกำลังจะดักปล้นอยู่กันไม่ปาน

เมื่อเห็นแบบนี้เหลียวเซียวหยุนฉุดกระชากร่างของจ้าวเฉียนสุกแรงเกิด พยายามลากเขาหนีไปด้วยกัน

ฟู่เอ๋อร์ที่เห็นแบบนั้นรีบสั่งการเหล่าพี่น้องของตนทันที

“หยุดพวกมันอย่าให้หนีไปไหน!”

ผู้คนนับหลายสิบวิ่งดักหน้าดักหลัง เข้าปิดล้อมจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนเป็นวงกลม ปราศจากทางหนีอื่นใดได้อีก

[1] ตำแหน่งของคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ภาพเพื่อสื่อสารและเล่าเรื่องในสิ่งที่ อยากจะนำเสนอ

ตอนที่150 ไม่พอใจ

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกว่า เธอต้องรีบหยุดทุกอย่างในเวลานี้โดยเร็ว มิฉะนั้นจ้าวเฉียนอาจสงสัยเธอได้

“ฟู่เอ๋อร์พอได้แล้ว! ถ้ากล้าแตะต้องเขา ฉันเอานายตายแน่!”

ฟู่เอ๋อร์สูดหายใจชืดเย็นเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอนกำปั้นออกมาและกล่าวกับเหลียวเซียวหยุนว่า

“ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ เราสามารถสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นได้ ถ้าพวกเราแต่งงานกัน ด้วยความยิ่งใหญ่ของพวกเราสองตระกูล พวกเราสามารถโค่นซิงหยวนได้ในพริบตา และหัวโหย้วของเธอจะขึ้นกลายมาเป็นอันดับหนี่งแห่งอุตสาหกรรมเกมตลอดกาล ยอมรับเถอะ ที่นายเลือกคบกับไอ้หมอนี่ก็แค่ประชดฉันใช่ไหม?”

เหลียวเซียวหยุนไม่แม้แต่สนใจฟู่เอ๋อร์ แต่การที่เขากล่าวออกมาแบบนี้กลับยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้นไปอีก เหลียวเซียวหยุนกระชับกอดจ้าวเฉียนแน่น ภาพฉากนี้ทำให้ฟู่เอ๋อร์เจ็บปวดใจยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

ฟู่เอ๋อร์เดือดดาลถึงขีดสุด เขาชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนในทันที

“มึงอย่าเพิ่งหนีไปไหน! หลังเลิกคลาสมึงเจอดีแน่!”

คล้อยหลังพูดจบ ฟู่เอ๋อร์ก็พาบรรดาลูกน้องตัวเองออกจากห้องสมุดไป

“เจ้าหนุ่มนั้นเป็นแฟนใหม่ของเหลียวเซียวหยุน? แต่ก็ไม่คุ้มอยู่ดีที่ต้องมาเป็นศัตรูกับฟู่เอ๋อร์ หมอนั่นฆ่าตัวตายชัดๆ”

“แต่ดูเหมือนว่า ที่เหลียวเซียนหยุนคบกับชายคนนั้นก็แค่ประชดให้ฟู่เอ๋อร์เห็นรึเปล่า? ยิ่งทำแบบนี้เขาก็ยิ่งเกลียดชังผู้ชายคนนั้นมากขึ้น”

“โอ้…คราวนี้เจ้าหนุ่มโชคร้ายนั้นเตรียมตัวซวยได้เลย ขัดแย้งกับใครไม่ว่า ดันมาขัดแย้งกับฟู่เอ๋อร์นี่สิ”

“รอดูไปอีกสักพักดีกว่า อาจมีการแสดงสนุกๆรออยู่”

….

บรรดานักเรียนในห้องสมุนเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระสากกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และโดยส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องว่า ฟู่เอ๋อร์จะต้องสั่งสอนจ้าวเฉียนสักหนึ่งบทเรียนให้หลาบจำ

จ้าวเฉียนกระตุกแขนเขากลับไปอย่างไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก ปริปากเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า

“นี่คุณขอให้ผมมาทำอะไรกันแน่?”

“นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่ขอให้นายมามหาลัยเป็นเพื่อนฉันเฉยๆ ไม่ใช่ว่าจะให้นายมาจัดการพวกตามตื้อฉันสักหน่อย ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ฉันคงไม่พานายมาตั้งแต่แรกหรอก!”

เหลียวเซียวหยุนเล่นลิ้นเปลี่ยนโวหาร

“ผมไม่ฟังคำอธิบายคุณแล้ว ผมจะเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้ามีอะไรก็ให้บอกกันล่วงหน้าก่อน ผมไม่ชอบที่คนอื่นต้องมาหาเรื่องก่อปัญหาให้อย่างไม่จบไม่สิ้น และคุณเองก็อย่ามาเล่นแง่กับผม! ถ้าคราวหน้าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ช่วยคุณแน่!”

แต่อย่างไรเหลียวเซียวหยุนก็ไม่ได้สนใจฟังจ้าวเฉียนเลย เพราะเธอเคยชินแล้วกับเรื่องอะไรพวกนี้ตั้งแต่เด็ก จึงคิดว่าผลสรุปสุดท้ายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และคิดว่าตัวเธอเองนั้นแหละที่ฉลาดที่สุด

ฟู่เอ๋ออร์หัวเสียอย่างมากจนโดดคลาสช่วงบ่ายในที่สุด เขาออกไปติดต่อระดมเหล่าพี่น้องคนสนิทมา ในห้องสมุดเขาเสียหน้าเกินรับได้ ดังนั้นแค้นนี้จักต้องเอาคืน!

ไม่นานนัก เหลียวเซียวหยุนก็พาจ้าวเฉียนเข้าคลาสเรียน และเป็นอาจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เดินเข้ามา

เหลียวเซียวหยุนเรียนคณะบริหาร วิชาเอกคือเศรษฐศาสตร์

ในฐานะที่จบคณะวิทยาศาสตร์มาอย่างจ้าวเฉียน นอกจากนี้เขายังมีปรมาจารย์ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์อยู่ข้างกายเสมอมาอย่างจ้าวฝู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเนื้อหาพวกนี้เลยสักนิด  แต่เนื่องจากข้างนอกอากาศร้อนเหลือเกิน บวกกับความเหนื่อยล้าตั้งแต่เช้า ประจวบเหมาะกับคลาสเรียนแอร์เย็นๆ ไม่นานจ้าวเฉียนก็เผลอหลับไป

“นักศึกษาคนนั้น สนใจจะเอาผ้าห่มด้วยไหม ดิฉันจะได้หยิบมาห่มให้? เข้าใจนะว่าอากาศร้อน แต่มานานในคลาสต่อหน้าดิฉัน ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่จริงไหม?”

อาจารย์คนนั้นเหลือบมองไปที่จ้าวเฉียนที่ฟุบหลับไป แววตาคู่สวยราวกับเพชฌฆาตสาดวาบเข้าใส่ สีหน้าการแสดงออกของเธอดูรังเกียจอย่างมาก

เหลียวเซียวหยุนอดหัวเราะไม่ได้ และสะกิดเรียกจ้าวเฉียนสองสามที

จ้าวเฉียนสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาทันใด ลุกขึ้นยืนพรวดพร้อมหันไปถามเหลียวเซียวหยุนว่า คลาสเรียนรจบแล้วใช่ไหม เขาจะได้รีบๆกลับบ้านไปสักที

แต่แล้วจ้าวเฉียนก็เพิ่งค้นพบว่า บรรยากาศภายในนี้กลับไม่ถูกต้อง ทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ตนพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ

จ้าวเฉียนตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหันมากล่าวขอโทษกับอาจารย์คนนั้นและนั่งลงไป

แต่อาจารย์คนดังกล่าวกลับยิ่งหัวเสียเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของจ้าวเฉียน

“นักศึกษา ดิฉันคิดว่าคุณเองก็โตแล้วเช่นกัน ยิ่งไม่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้คนอื่นในคลาสเห็น แถมดูจากการแต่งตัวก็ไม่ได้มาจากครอบครัวมีเงินมีทองอะไร แล้วทำไมยังไม่ตั้งใจศึกษาหาความรู้อีก? พ่อแม่ของคุณจ่ายค่าเทอมเพื่อให้ตัวคุณพัฒนา แต่กลับมาหลับแบบนี้น่ะเหรอ? หรือต้องโทษดิฉันที่ไม่มีความสามารถพอจะสอนคุณ!?”

เหลียวเซียนหยุนลอบแสยะยิ้มเล็กน้อย และยกมือขึ้นกล่าวว่า เธอวานให้จ้าวเฉียนมานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่นักศึกษา

อาจารย์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ตวาดลั่นคลาสด้วยความโกรธว่า

“เล่นอะไรไร้สาระจริงๆ ถ้าคุณไม่อยากฟังก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ อย่ามาขัดขวางเวลาเรียนของคนอื่นเขา!”

จ้าวเฉียนไม่อยากจะอยู่ที่นี่อยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ดี กลับถูกอาจารย์ขับไล่ไสส่งแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการดูถูกศักดิ์ศรีเขาเลย นี่ทำให้รู้สึกแย่ไม่น้อย

“คุณครูท่านนี้ ผมขอพูดอะไรสองข้อนะครับ หนึ่ง คุณเป็นครูประสาอะไรถึงจำหน้านักศึกษาของคลาสตัวเองไม่ได้ คุณสมบัติความเป็นครูคือการใส่ใจนักเรียนนักศึกษาทุกคนไม่ใช่เหรอครับ? และสอง สิ่งที่คุณกำลังสอนไปทั้งหมดเป็นเพียงภาคทฤษฎี ผมที่เรียนรู้จากภาคปฏิบัติมาตลอด บอกได้เลยว่าทุกอย่างในเนื้อหาไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องฟัง”

อาจารย์ท่านนั้นพลันหยุดชะงักในทันใด เนื้อหาภาคทฤษฏีเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจอย่างมากในการทำงานฐานะอาจารย์ผู้สอน

และอีกหนึ่งข้อสำคัญคือ นี่เพิ่งจะเปิดภาคเรียนใหม่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น มีคุณครูสักกี่คนในมหาวิทยาลัยที่สามารถจำหน้านักศึกษานับร้อยในคลาสได้?

“นี่เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน ดิฉันยังไม่สามารถจดจำได้ทุกคน บางคนย้ายเซคเรียนไปช่วงเช้าบ้างก็มี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยังไม่คุ้นหน้าคุ้นตากัน แล้วสิ่งที่คุณกำลังหมายถึงคือ ความรู้ในหน้าหนังสือไม่มีประโยชน์ใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนนั่งนิ่งชนิดไม่มีกลัวเกรงใดๆและตอบกลับไปว่า

“ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ทุกสิ่งอย่างที่นักศึกษาเหล่านี้เรียนรู้ไปมีแต่ภาคทฤษฎี แต่สำหรับผมที่อยู่ในวัยทำงานแล้ว อยากเสนอแนะให้ลองสร้างโครงการจำลองบริการธุรกิจขึ้นมาดู เพื่อเรียนรู้ถูกผิดจากภาคปฏิบัติ ทุกอย่างมีประโยชน์ในแบบของมันครับ”

“แต่ถ้าบางคนฐานด้านทฤษฏีไม่แน่น แล้วจะอยู่รอดในภาคปฏิบัติได้ยังไง?”

อาจารย์โต้กลับด้วยเหตุผล

“จริงเหรอครับ งั้นคุณลองแต่งตั้งนักศึกษาคนหนึ่งมาเป็นเจ้านาย ส่วนอีกคนเป็นลูกน้อง จากนั้นก็ลองสร้างปัญหาระหว่างพวกเขาดู ผมอยากรู้ครับว่า นักศึกษาทั้งสองคนนั้นจะสามารถกลับมาปรองดองอีกครั้งได้ยังไงโดยใช้ภาคทฤษฎีที่เรียนมา?”

“ถ้าตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น คนที่มีความรู้ภาคทฤษฎีมากกว่าย่อมแก้ปัญหาได้แน่นอน หลังจากปัญหาหมดสิ้นไป โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมจะกลับมาปรองดองอีกครั้งเอง”

อาจารย์อธิบายตอบ

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะยกตัวอย่างสถานการณ์การทำงานจริงๆให้ฟัง คุณครูช่วยแก้ปัญหาดังต่อไปนี้ให้ทีครับ กรณีที่สามีของประธานบริษัทมีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอ แต่ก็ยังพยายามอวดเบ่ง และเข้าแทรกแซงหน้าที่งานของฝ่ายอื่นๆ ทั้งหมดทำไปเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง และจงใจทำให้พนักงานคนนั้นอับอาย แม้ผลที่ต้องแลกมานั้นจะกระทบกับบริษัทโดยตรงก็ตาม แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือออกมาเรียกร้อง เพียงเพราะเขาเป็นสามีเจ้าของบริษัท ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ผมอยากจะทราบว่าภาคทฤษฎีของคุณครูยังมีประโยชน์อยู่ไหมครับ?”

อาจารย์คนนั้นนิ่งไปสักพักราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ สักพักหนึ่งเธอก็ตอบกลับไปว่า

“สิ่งที่ควรแก้ไขคือทัศนคติของสามีเจ้าของบริษัทคนนั้น ส่งเขาไปเรียนด้านบริหารมนุษย์สักคลาส น่าจะดีขึ้นนะ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“เขาคนนั้นจบMBA[1]จากอเมริกา คิดเหรอครับว่าจะไม่เคยเรียนวิชาบริหารมนุษย์มา? เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อแล้วใช่ไหมครับ?”

อาจารย์คนนั้นถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยิน เพราะสุดท้ายเมื่อนำมาซักถามกันอย่างจริงจัง ทฤษฎีก็คือทฤษฎีวันยังค่ำ ไม่ผิดที่เขาจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในส่วนทฤษฎีเหล่านั้น แต่สิ่งที่จ้าวเฉียนกำลังจะอธิบายให้อาจารย์ฟังก็คือ การที่ทฤษฎีหรือความรู้ในหัวแน่น มันไม่สามารถการันตีได้ว่า เขาคนนั้นจะสามารถอยู่ร่วมกับสังคมการทำงานได้เสมอไป ไม่อย่างนั้นจางหยางจะเป็นแบบนี้เหรอ?

ทันใดนั้นเอง บรรดานักศึกษาก็เริ่มซุกซิบกันอีกครั้ง

“เจ้าหนุ่มนี่ไม่รู้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงเลย ทำให้ฟู่เอ๋อร์หัวเสียไม่พอ นี่ยังไปหาเรื่องกับคณบดีมหาลัยอีก!”

“สงสัยชีวิตของเขาคงผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะคงพูดแบบนี้ออกมาได้ แต่อย่างไรวันนี้ถือเป็นวันซวยของเขาจริงๆ ดันหาเรื่องสองคนนี้ในวันเดียว!”

“ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า ทำไมดาวมหาลัยของเราถึงตาบอดคบหากับนายกะหล่ำปลีแบบมัน?”

สุ้มเสียงในห้องเริ่มดังขึ้นในคลาส อาจารย์ตบโต๊ะสองสามคราด้วยความโกรธ ก่อนที่เธอจะหันมากล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“เงียบหน่อย! นี่มันในคลาสเรียนนะ อย่าเสียงดัง! พ่อหนุ่มทำงานอยู่บริษัทไหนกันหื้ม?”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“บริษัทเกมฟางนี่ครับ ถ้าวิธีแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่ในหน้าหนังสือจริง ผมคงกลายเป็นหนอนหนังสือไปแล้ว”

อาจารย์ท่านนี้ไม่ทราบว่า บริษัทเกมฟางนี่คืออะไร แต่บรรดานักศึกษาต่างทราบกันดียิ่ง เพราะทุกคนในคลาสเรียนนี้เล่นเกมมือถือยอมนิยมแห่งยุคอย่าง‘League of Glory’กันหมด กล่าวได้ว่าเป็นเกมที่กำลังฮิตอย่างมากในขณะนี้

ปัจจุบัน ทุกคนต่างตระหนักทราบกันดีแล้วว่า พวกเขาประเมินจ้าวเฉียนต่ำเกินไป และไม่คู่ควรกับเหลียวเซียวหยุน แต่ตอนนี้ทุกำคนรู้กันดีแล้วว่า จ้าวเฉียนนี่แหละของจริง

ณ ขณะนี้ทัศนคติของทุกคนในคลาสที่มีต่อจ้าวเฉียนได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาเอ่ยปากถามจ้าวเฉียนทันทีว่า

“พี่ชายเป็นคนของบริษัทเกมฟางนี่ ค่ายที่สร้างเกม League of Gloryใช่ไหมครับ?”

“เกม League of Glory ควรได้รับรางวัลเกมยอดเยี่ยมประจำปี! แถมยังสร้างรายได้ถล่มถลาย แสดงว่าคุณคงมีเงินเยอะน่าดูจริงไหม?”

“ฮ่าฮ่า…พี่ชาย บริษัทพี่ตอนนี้รับเด็กฝึกงานรึเปล่าครับ?”

“ผมขอไปฝึกที่นั่นได้ไหม!? ผม…ผมไม่รับค่าจ้างเลยสักแดง!”

“ฉันเองก็อยากไปฝึกงานที่นั่นเหมือนกัน!”

[1] ย่อมาจาก Master of Business Administration  คณะบริหารระดับสูง(ป.โท)

ตอนที่149 เข้าเรียน

ไม่นานหลังจากที่จ้าวเฉียนออกมา เขาก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อเขาดังมาแต่ไกลจากข้างถนน พอเหลียวหลังเงยออกไปก็พบว่าเป็นจางหยางกับหวังเฉียงที่กำลังขับรถออกมาด้วยกันฃ

“จ้าวเฉียน ไม่ใช่ว่านายต้องอยู่ในบริษัทหัวโหย้วหรอกเหรอ? ทำไมถึงมาเที่ยวเล่นอยู่ที่พิพิภัณฑ์สัตว์น้ำได้?”

จางหยางเอ่ยถามพร้อมสีหน้ารังเกียจ

หวังเฉียงยิ้มและกล่าวเสริมต่อไปว่า

“ผู้จัดการจาง นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? เขาแอบออกมาเที่ยวเล่นโดยอ้างว่าทำงานนี่ไงครับ! ความผิดนี้ของนายเตรียมจบไม่สวยได้เลย! ไม่ว่าใครจะช่วยแก้ตัวยังไงหลักฐานก็คาหนังคาเขา! นายโดนไล่ออกแน่นอน!”

จ้าวเฉียนขี้เกียจมาเสวนากับคนพวกนี้ จึงตัดคำพูดอีกฝ่ายกล่าวสวนกลับไปว่า

“แล้วพวกคุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่ ออกมาเที่ยวอาบอบนวดโดยอ้างว่าอยู่ในระหว่างทำงานเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนพูดติดตลกกลับไป

สีหน้าของจางหยางแดงก่ำขึ้นในทันใด เขาตำหนิออกไปทันทีว่า

“ระวังคำพูดของตัวเองหน่อย ฉันแต่งงานแล้ววนะ ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปจนถึงหูฟางนี่เข้า มีหวังความสัมพันธ์ระหว่างพวกฉันคงพังแหง! แล้วนายจะมีตราบาปติดตัวไปชั่วชีวิต!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเอ่ยตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า….ผู้จัดการจางเป็นคนตลกดีนะครับ ผมรู้ว่าคุณคงไม่คิดเรื่องแบบนี้แน่นอน แต่ระหว่างอย่าให้รองผู้จัดหารหวังพาไปเสียคนก็แล้วกันนะครับ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ได้อาจเลวร้ายเกินคาดคิด”

หวังเฉียงตะคอกสวนตอบไปทันที

“จ้าวเฉียน! พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันห่ะ? ระวังคำพูดตัวเองให้ดีเถอะ ตัวนายนั้นแหละที่ควรระวังให้ดีจำไว้!!”

จ้าวเฉียนโบกมือปัดพลางหัวเราะอีกคราว และกล่าวต่อไปว่า

“เอาน่า เอาน่า ฉันแค่หยอกเล่นเฉยๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอก จะว่าไปแล้วขับรถออกมาทำอะไรกันครับ?”

หวังเฉียงเอ่ยตอบไปตามจริงว่า

“ผู้จัดการจางกับฉันกำลังจะไปดิลกับบริษัทอื่นน่ะ ตราบเท่าที่ดิลสำเร็จ ผลกำไรรอบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าบริษัทซิงหยวนที่นายไปดิลได้แน่นอน!”

“โอ้! งั้นขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ! ผมจะรอไปงานเลี้ยงฉลองเลย ฮ่าฮ่า…ทางผมเองก็จะพยายามเต็มที่ครับ”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบกลับไปด้วยความจริงใจ

“ไม่ว่านายจะคิดยังไง แต่ครั้งนี้ฉันต้องชนะนายให้ได้! ฉันแค่ต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า บริษัทของฉันอยู่ได้โดยไม่มีนาย!”

จางหยางยืดอกกล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจ

จ้าวเฉียนได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาไม่เคยเห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตัวเขาเลย อวยพรต่อไปพวกเขาก็คงไม่รับฟังจริงไหม?

“โอเคครับ งั้นผมไม่รบกวนแล้ว”

จ้าวเฉียนโบกมือลาพวกเขาและเดินกลับที่จอดรถไป

จางหยางและหวังเฉียงแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีชัย

“ฮ่าฮ่า…คงตลกน่าดู เวลาตอนที่เห็นมันผิดหวัง!”

หวังเฉียงจ้องมองแผ่นหลังของจ้าวเฉียนที่ค่อยๆเคลื่อนออกไป

จางหยางเองก็หัวเราะเช่นกัน เขากล่าวเสริมว่า

“เขาหลงตัวเองมามากเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ทำให้เขาตื่นจากฝันสักที!”

“ฮ่าฮ่า…”

ทั้งสองระเบิดหัวเราะอย่างสนุกสนาน บรรยากาศกลิ่นอายภายในรถอบอวลไปด้วยความสุข

เหลียวเซียวหยนุที่เห็นจ้าวเฉียนหยุดคุยกับรถข้างทาง ด้วยความสงสัยเธอจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“เมื่อกี้นายไปคุยกับใครมา?”

“เจ้านายฉันน่ะ เขาเข้าใจผิดคิดว่าฉันแอบมาเที่ยวระหว่างทำงาน ก็เลยโดนดุยกใหญ่เลย พวกเรากลับกันเลยไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งสงบ

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด และรีบขอโทษไปว่า

“ฉันขอโทษ ที่ทำให้นนายโดนด่า แต่ไม่กังวลพรุ่งนี้มาเจอที่บริษัทเก้าโมงเช้า ฉันจะช่วยคุณให้ดิลผ่านได้แน่นอน!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“โอเค ผมเชื่อใจคุณนะ พรุ่งนี้พบกันที่บริษัทตอนเก้าโมงเช้า งั้นวันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”

เหลียวเซียวหยุนรีบหยุดเขาไว้ทันทีและกล่าวว่า

“อย่าเพิ่งไป…ไหนๆวันนี้พวกเราก็ออกมาด้วยกันแล้ว จะกลับไปทั้งแบบนี้ก็แปลกๆอยู่นะ อืม…อย่าเพิ่งกลับไปเลยได้ไหม?”

จ้าวเฉียนถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างจนใจและเอ่ยถามไปว่า

“แล้วจะไปไหนต่อ? ถ้าไปอยู่กับพวกนั้นอีก ผมไม่เอาแล้วนะ!”

เหลียวเซียวหยุนโบกมือปัดพลางส่ายหน้า

“ไม่ไม่ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่กับเจ้าพวกนั้นแล้วเหมือนกัน ฉันต้องกลับไปเรียนคาบบ่ายน่ะ ไปมหาลัยกับฉันที”

มหาลัยคงเป็นสถานที่ที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเช่นกัน

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบตกลงไป จากนั้นก็ตามเธอไปยังมหาวิทยาลัยตู๋ไห่

แต่อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนคิดง่ายเกินไป มหาลัยนี่แหละคือแหล่งแบ่งแยกชนชั้นอย่างดี รวมไปถึงสถานที่รวมปัญหาการดูถูกกลั่นแกล้งชั้นเยี่ยม

ภายในมหาวิทยาลัยมีการแบ่งแยกระหว่างนักเรียนจนกับรวยอย่างชัดเจน แต่การแต่งการของจ้าวเฉียนเองก็ดูเป็นเพียงพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป กล่าวได้ว่ามองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าจน เขากับเหลียวเซียวหยุนเดินเข้าไปในตัวอาคารด้วยกัน ซึ่งนี่ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันใด

“บัดซบ! เทพธิดาของฉันมีแฟนแล้วอย่างงั้นน่ะเหรอ! ฉันคงไม่มีโอกาสแล้ว?”

“ไม่มีโอกาสตั้งแต่แรกแล้วแกน่ะ! เธอหัวสูงซะขนาดนั้นจะไปมองนายเพื่ออะไร?”

“แล้วไอ้หมอนี่มันดีกว่าฉันตรงไหน?”

“เห้ออ…ไม่เคยดูเรื่อง Beauty and the Beast เหรอ? เจ้าหญิงผู้แสนงดงามคู่กับสัตว์ป่า! นางฟ้าของพวกเรากลับตกบ่อโคลนไปซะแล้ว…”

สุ้มเสียงสนทนาของบรรดานักศึกษา ดังแทงเข้าหูของจ้าวเฉียนเต็มๆ เขาสะกิดแขนเหลียวเซียวหยุนเล็กน้อยและเอ่ยกระซิบถามไปว่า

“นี่เธอเป็นดาวมหาลัยรึไงกัน! ทำไมนผู้ชายถึงได้สนใจเธอมากขนาดนี้?”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวด้วยสีหน่ารังเกียจว่า

“โดยพื้นฐานมหาลัยแห่งนี้มีเด็กที่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดามากกว่า ดังนั้นเด็กที่มาจากตระกูลร่ำรวยอย่างฉันจึงเป็นจุดเด่นเป็นธรรมดา มีน้อยคนที่สามารถเดินเคียงข้างกับฉันแบบนี้ได้”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสอบเข้ามหาลัยแห่งนี้ได้ ถ้าไม่รู้จักถ่วงดุล มันก็ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ที่คนรวยใช้รังแกคนจน!”

จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปพร้อมแววตาเจือรังเกียจเช่นกัน

เหลียวเซียวหยุนดูท่าจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา โดยเธอกล่าวตอบไปว่า

“คนรวยรังแกคนจน? นี่มันไม่ใช่นวนิยายนะ นายมองทุกอย่างโลกสวยขนาดนี้เลยรึเปล่า? สังคมในปัจจุบันมันได้หล่อหลอมผู้คนจนเคยชินไปแล้ว รวมไปถึงเรื่องคนรวยมีสิทธิ์พิเศษมากกว่าคนจน เรียกได้ว่าพบเห็นเป็นประจำจนชินตาไปแล้วล่ะ ชีวิตใครใครก็รัก ถ้าเป็นฉัน ฉันคงเลือกคบเพื่อนที่มีฐานะใกล้เคียงกันน่ะ”

ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องสมุด จ้าวเฉียนปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีกต่อไป แจ่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมานั่งอ่าน

ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มประมาณสามถึงสี่คนเดินเข้ามา และหนึ่งในนั้นก็ดูเหมือนกับว่าจะเป็นทายาทเศรษฐีมีเงินไม่น้อยเช่นกัน และชายหนุ่มอีกสองสามคนที่อยู่ด้านหลัง น่าจะเป็นลูกน้องของเขา

“เสี่ยวหยุน ไอ้หมอนี่เป็นใคร?”

ฟู่เอ๋อร์ตวาดถาม

เหลียวเซียวหยุนไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองอีกฝ่าย และเอ่ยตอบเจือน้ำเสียงรำคาญไปว่า

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?”

“ฉันตามจีบเธอก็นานแล้วนะ แต่เธอไม่แลฉันเลยด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าไอ้เวรนี่คือแฟนเธอ?!”

ฟู่เอ๋อร์ตวาดซ้ำอีกระลอกด้วยความโกรธ

“ฟู่เอ๋อร์ นี่ฉันบอกนายไปหลายครั้งแล้วนะว่า ฉันไม่สนใจนาย! จะไปไหนก็ไป นี่แฟนใหม่ฉันเอง มีปัญหารึไง?”

เหลียวเซียวหยุนสวนตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

ฟู่เอ๋อร์ชะงักค้างในทันใด และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ถ้าจะมีอแฟนทั้งทีก็หาคนที่ดีกว่าฉันให้ได้สิ! ไม่ใช่เอาขอทานจากไหนไม่รู้มาควงแขน! เธอตาบอดไปแล้วรึไง!!”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดอันแสนน่ารังเกียจของอีกฝ่าย แต่อย่างไรเขาก็ยังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างไม่ได้สนใจอะไร

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับไปว่า

“แล้วคนอย่างนายมีสิทธิ์อะไร? ตราบเท่าที่ฉันชอบ ต่อให้เขาเป็นขอทานจริงๆฉันก็ยังรักเขา ส่วนนายต่อให้ร่ำรวยแค่ไหน มันก็ไม่มีค่าให้ฉันเหลียวมองด้วยซ้ำ!”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวน้ำเสียงเข้ม แต่ลึกๆแล้วเธอจงใจยั่วให้ฟู่เอ๋อร์มีเรื่องกับจ้าวเฉียน

เห็นเหลียวเซียวหยุนดูเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาแบบนี้ แต่ความจริงแล้วภายในใจเธอกลับเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมไม่ใช่น้อยเลย เธอขอให้จ้าวเฉียนมามหาลัย เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอคือ ต้องการยืมมือเขาจัดการกับหู่เอ๋อร์ที่ตามตื้อเธอมาโดยตลอด

แน่นอนว่าฟู่เอ๋อร์ไม่พอใจอย่างมากที่ถูกเหลียวเซียวหยุนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าไปที่จ้าวเฉียนทันที

“พี่ชาย ออกมาคุยกันหน่อย!”

ฟู่เอ๋อร์ทักจ้าวเฉียนน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือต่ออย่างเฉยเมย เขากล่าวตอบไปแค่ว่า

“ผมไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น มีอะไรก็พูดมาตรงนี้เลย”

“เหอะ เหอะ…กลัวผมลากไปกระทืบเหรอไงครับ?”

ฟู่เอ๋อร์เอ่ยถามเชิงยั่วยุ

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุปากอย่างเย้ยหยัน และตอบไปว่า

“ผมกลัวว่าจะพลั้งมือกระทืบคุณจนสาหัสมากกว่า ขี้เกียจขึ้นโรงพักน่ะ เข้าใจพี่ด้วยนะไอ้หนู”

ฟู่เอ๋อร์พยักหน้าเจือหัวเราะเยาะคำหนึ่ง เขากล่าวขึ้นตามตรงไปว่า

“จะบอกเลิกเธอตรงนี้หรือจะให้เรื่องมันจบลงที่โรงพยาบาล?”

“พูดจริงเหรอ? มีปัญญาทำอะไรผมได้?”

สายตาของจ้าวเฉียนยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้า แต่น้ำเสียงที่เปล่งดังออกไปกลับเต็มไปด้วยความสมประมาท

ฟู่เอ๋อร์รู้สึกได้ทันที ตอนนี้มีหลายคนกำลังเฝ้ามองภาพฉากดังกล่าวอยู่ และถ้าเขาไม่เคลื่อนไหวอะไรตอบโต้กลับไป เขายังจะเหลือหน้าอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ได้อย่างไร?

“มึงตาย!”

ฟู่เอ๋อร์สบถเสียงดังสนั่น มือขวากระชับกำปั้นซัดไปที่จ้าวเฉียนสุดแรงเกิด

ตอนที่148 พบหน้า

คำถามของเจียงหลี่หลินทำเอาทุกคนหยุดหัวเราะในทันใด การขี่หลังวาฬแบบนั้นขอได้ยากกว่าการสัมผัสตัววาฬไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

แล้ว…จ้าวเฉียนทำได้ยังไงกัน?

ในเวลานั้นเอง หยางหมิงคลี่ยิ้มบางกล่าวขึ้นว่า

“เธอเข้าใจเขาผิดไปนิดหน่อยน่ะ ที่จริงแล้วเจ้านั่นไม่ได้ยากจนอะไรขนาดนั้นหรอก แถมยังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ก็เลยนำเงินมาลงกับบริษัทที่ตัวเองทำงานเพื่อขึ้นเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ก็เลยพอมีเงินก้อนติดตัวบ้าง ที่ครั้งนี้สามารถทำให้เหลียวเซียวหยุนขึ้นขี่วาฬได้คงใช้เงินจำนวนไม่น้อย ส่วนครูฝึกคนนั้นคงได้เงินไปเยอะพอตัว ไม่อย่างนั้นคงปล่อยให้เธอขี่วาฬไม่ได้แน่นอน”

เมื่อรับฟังสิ่งที่หยางหมิงกล่าวออกไป ทัศนคติของทุกคนที่มีต่อจ้าวเฉียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน ในทางตรงข้าม มันยิ่งทำให้พวกเขามองจ้าวเฉียนในแง่ลบ มีเงินเพิ่มขึ้นนิดหน่อยก็ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอ ทั้งอวดเบ่งและหยิ่งผยองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กังวลว่า ถ้าจ้าวเฉียนยัดเงินให้พวกเจ้าหน้าที่กับครูฝึกจริงๆ แสดงว่าทุกคนอาจไม่มีโอกาสได้สัมผัสวาฬแล้ว?

อวู่เฉียนเขย่าแขนหยางหมิงและกล่าวตื้อว่า

“หยางหมิง คุณลองไปถามเจ้าหน้าที่อีกรอบที สุดท้ายเราจะได้สัมผัสวาฬเบลูก้าจริงๆใช่ไหม?”

หยางหมิงพยักหน้าและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วง สิบนาทีต่อมทาเขาเดินกลับมาพร้อมความผิดหวังทั่วทั้งใบหน้า

เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ทั้งหมดพลันขนลุกซูวในทันใด

“เป็นยังไงบ้าง? พวกนั้นบอกว่าอะไร?”

หยางหมิงจับจ้องไปทางอวู่เฉียนด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเบนสายตากวาดไปทางคนอื่นๆพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอบไปว่า

“พวกเขาบอกว่าไม่สะดวกที่จะให้พวกเราออกไปสัมผัสกับวาฬในเวลานี้ คราวหน้าเดี๋ยวผมขอให้ใหม่แล้วกัน”

“อะไรนะ!?”

ทุกคนต่างอุทานลั่น

อวู่เฉียนโกรธจัด เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“คราวหน้า? นี่มันหมายความว่ายังไง?! ฉันอยากจับมันวันนี้ ไม่ใช่ครั้งหน้า บอกกพวกนั้นไปว่า ฉันต้องได้สัมผัสมันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งให้พ่อทุบที่นี่ทิ้งไปซะ! หมอนั่นมันให้เท่าไหร่ ฉันจ่ายให้ได้มากกว่า!”

หยางหมิงกล่าวว่าอวู่เฉียนจะสติแตกหนักไปกว่านี้ เขาจึงเข้าโอบกอดเธอทันทีและพยายามปลอบโยนขึ้นว่า

“ใจเย็นๆก่อนนะ ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งหน้าเดี๋ยวผมพาเธอมาสองต่อสองเองเนอะ? ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ออกไปทานอาหารกลางวันกันดีกว่า พวกเจ้าหน้าที่กับครูฝึกเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน ไม่งั้นหลังกินข้าวเสร็จ เดี๋ยวผมไปคุยให้ใหม่ดีไหม?”

“ไม่! ฉันจะจับมันตอนนี้และเดี๋ยวนี้!! ไม่อย่างนั้นเหลียวเซียวหยุนที่รออยู่ข้างนอก ต้องหัวเราะเยาะฉันแน่นอน!!”

อวู่เฉียนแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น

คราวนี้เป็นคนอื่นๆที่รีบเข้ามาปลอบเธอเช่นกัน ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว พวกเขาเริ่มหิวกันเต็มแก่

“แต่ถ้าเหลียวเซียวหยุนรู้ว่า ฉันไม่ได้สัมผัสวาฬ เธอต้องหัวเราะเยาะฉันจนตาย! ฉันไม่มีทางปล่อยให้เธอหัวเราะเยาะฉันได้! ฉันไม่ยอม!”

หยางหมิงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้และลากอวู่เฉียนออกไปทั้งแบบนั้น และเสี้ยวจังหวะทีเผลอนั้นเอง เธอก็สะบัดมืออย่างแรงและวิ่งตรงออกไปเพื่อจับวาฬตัวนั้น

“เห้ย! คุณจะทำอะไร!? จะออกไปดีๆหรือต้องให้ผมเรียกรปภ.!!”

ครูฝึกที่กำลังเก็บข้าวเก็บข้าวตวาดขู่ทันที

หยางหมิงไม่พูดไม่จา วิ่งออกไปฉุดร่างของอวู่เฉียนออกมาราวกับผู้ปกครองห้ามเด็ก ก่อนจะลากออกไปตรงประตูทางออก

“ได้สัมผัสมันแล้ว เธอพอใจรึยัง?”

หยางหมิงเอ่ยกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิด

อวู่เฉียนเองก็สัมผัสได้เช่นกันว่าหยางหมิงในตอนนี้ไม่พอใจเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอยังคงกล่าวตอบอย่างดื้อรั้นว่า

“ไม่! ฉันไม่พอใจ! แต่อย่างน้อยเหลียวเซียวหยุนก็หัวเราะเยาะฉันไม่ได้แล้ว!”

หยางหมิงถอนหายใจเล็กน้อยเอ่ยถามไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราออกไปทานข้าวได้รึยัง?”

“อืม ไปกินข้าวกันเถอะ”

หลังจากอวู่เฉียนพูดจบเธอก็คลี่ยิ้มกว้างราวกับยกหินออกจากอก และกอดแขนหยางหมิงเดินตรงออกไป

คนอื่นๆล้วนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรและติดตามเธอออกไป

เมื่อพวกเขาออกจากเวทีแสดงโชว์สัตว์น้ำ อวู่เฉียนก็โทรหาเหลียวเซียวหยุนทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เธออยู่ไหน?”

“กำลังกิน”

เหลียวเซียวหยุนตอบสวนกลับไปอย่างไม่แยแส พร้อมเสียงเคี้ยวดัง

“มันจะตายให้ได้เลยใช่ไหม กับแค่รอกินพร้อมพวกเรา? นั่งกินอยู่แถวไหน?”

อวู่เฉียนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ

“ฟาสต์ฟู้ดแถวๆโซนการแสดงนั้นแหละ เรากินกันใกล้เสร็จพอดี พวกเธอนั้นแหละอยู่ไหน เดี๋ยวออกไปหา”

“ทางเข้าเวทีการแสดง รีบมาเลย!”

“โอเค!”

“แล้วก็…! เดี๋ยวก่อน!”

เหลียวเซียวหยุนตัดสายทิ้งในทันใด และนั่งดื่มเมล่อนโซดากับจ้าวเฉียนเพื่อเติมความสดชื่น ก่อนจะออกไปพบกับพวกอวู่เฉียนและคนอื่นๆ

เนื่องจากนี่เป็นเวลาเที่ยงตรง อากาศจึงค่อนข้างอบอ้าวและร้อนมาก อวู่เฉียนและคนอื่นๆยืนรอทั้งคู่จนเหงื่อแตก ทันทีที่เห็นเหลียวเซียวหยุนกับจ้าวเฉียนเดินเคียงคู่กันอย่างไม่รีบไม่ร้อนพร้อมกับเมล่อนโซดาแก้วเย็นในมือ ทุกคนต่างหัวเสียในทันใด

“นี่มันหมายความว่ายังไง? แล้วซื้ออะไรมาฝากพวกเราบ้าง?”

“เกินไปแล้วนะ แยกตัวออกไปทานข้าวก่อนคนอื่นเขา ทำไมไม่มากันส่วนตัวเลยล่ะ?”

“คราวหน้าฉันไม่ออกมากับเธอแล้ว!”

….

เหลียวเซียวหยุนแสร้งอุทานจอมปลอม และกล่าวตอบไปอย่างไร้เดียงสาว่า

“นี่เป็นเครื่องดื่มที่ทางร้านฟาสต์ฟู้ดให้มาน่ะ ฉันรู้ว่าพวกเธอทุกคนมีรสนิยมที่สูงขนาดไหน คงกินของจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชั้นต่ำไม่ได้หรอกจริงไหม? แล้วเป็นยังไงบ้าง? ได้สัมผัสวาฬเบลูก้ารึยัง?”

คนอื่นๆรู้สึกละอายใจและกระดากปากเกินจะตอบ มีเพียงอวู่เฉียนที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและตอบกลับไปว่า

“ไร้สาระ! คิดว่าคนอย่างฉันน่ะเหรอจะไม่มีปัญญาลงไปสัมผัสมัน? หยางหมิงพาฉันลงไปสัมผัสกับตัว ไม่เชื่อถามพวกเขาสิ! จริงไหม!!”

ทุกคนต่างคลี่ยิ้มแห้งอย่างเชื่องช้า พร้อมพยักหน้าตอบอย่างจนใจ

เหลียวเซียวหยุนหันไปจ้องจ้าวเฉียนด้วยสายตาราวกับมีไฟถาโถมท่วมออกมา

“ไม่ใช่ว่านายบอกว่า เธอจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันแล้วไม่ใช่เหรอ? นายโกหกฉัน!”

จ้าวเฉียนหันไปจ้องอวู่เฉียนเขม็งพร้อมเอ่ยถามอย่างแช่มช้าว่า

“คุณได้สัมผัสมันจริงๆงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณแอบวิ่งไปจับมันโดยพละการ เพราะผมคุยกับเจ้าของที่นี่แล้ว เขารับปากว่าไม่อนุญาตห้ามพวกคุณแตะต้องมันเด็ดขาด”

อวู่เฉียนตื่นตระหนกอย่างยิ่งภายในใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียหย้า เธอจำต้องแสร้งปั้นสีหน้าสงบและกล่าวตอบไปว่า

“ตลกชะมัด! นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ทำไมคนอื่นต้องเชื่อฟังนาย? หยางหมิงเป็นถึงทายาทเฟยอวี่ กรุ๊ป คำพูดของเขาย่อมมีน้ำหนักมากกว่านายจริงไหม? หัดสำเนียกซะบ้าง!”

เดินทีจ้าวเฉียนไม่คิดที่จะสนใจอวู่เฉียนอยู่แล้ว แต่เธอล้ำเส้นเขามากเกินไปแล้ว ในเมื่อเธอหาญกล้าและมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ เขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่า หลังจากนี้เธอยังจะหยิ่งผยองได้แบบนี้อีกไหม

จ้าวเฉียนหยิบมือโทรศัพท์มือถือโทรออกไปหาเจ้าของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ทันที เพื่อขอให้อีกฝ่ายออกมาพบเขาโดยด่วน

ห้านาทีต่อมา เจ้าของพิพิธภัณฑ์ก็ถึงกับวิ่งออกมาหาด้วยตัวเอง

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความโกรธว่า

“มีอะไรจะบอกกับผมไหม? ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า ห้ามให้ใครก็ตามสัมผัสวาฦเบลูก้าเด็ดขาด แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?”

“ไม่นะครับ! ผมแจ้งเรื่องนี้ให้กับเจ้าหน้าที่และครูฝึกทราบแล้ว พวกเขาไม่มีทางขัดคำสั่งแน่นอน! เพื่อคาวมสบายใจของคุณชายจ้าว ผมจะรีบโทรถามพวกเขาโดยด่วนครับ!”

เจ้าของพิพิธภัณฑ์เอ่ยตอบด้วยความเคารพ

สามสิบนาทีต่อมา บรรดาครูฝึกและเจ้าหน้าที่ดูแลในส่วนนั้นก็วิ่งกรูกันเข้ามาอย่างตื่นตระหนก

เจ้าของพิพิธภัณฑ์บ่นตำหนิทันทีว่า

“มีอะไรจะสารภาพไหม! ที่ผมสั่งไปมันเหมือนสั่งขี้มูกรึไง! ผมกำชับไปแล้วว่า ห้ามให้ใครแตะต้องวาฬตัวนั้นไม่ใช่เหรอ!!”

“เจ้านายครับ พวกเราห้ามไม่ให้คนพวกนั้นสัมผัสแล้วจริงๆ แต่เธอคนนี้กลับใช้จังหวะทีเผลอ แอบวิ่งไปสัมผัสมันครับ”

“ใช่ครับ! เรากำลังเก็บข้าวเก็บของกันอยู่ แต่จู่ๆเธอคนนี้ก็วิ่งผ่านด้านหลัง ฉวยโอกาสนั้นแตะตัววาฬ ถึงพวกเราอยากจะหยุดเธอ แต่ก็สายเกินไปแล้ว ก็เลยตะโกนขู่ไปว่าจะเรียกรปภ.ให้มาลากตัวออกไป”

ทั้งจ้าวเฉียนและเหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะลั่นออกมาในทันใด

จ้าวเฉียนโบกมือปัดและบอกไปว่า ครั้งนี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ดังนั้นเขาจะไม่เอาผิดใดๆ และปล่อยให้เจ้าของและบรรดาครูฝึกกลับไปพักผ่อนตามสะดวก

ทั่วทั้งใบหน้าของอวู่เฉียนในขณะนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างยิ่ง เธอแทบอยากจะดำดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตั้งแต่เด็กจนโต เธอไม่เคยพบเจอเรื่องน่าอับอายขนาดนี้มาก่อน!

เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน และหันมาพูดกับอวู่เฉียนว่า

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง เสแสร้งทำตัวหัวสูง แต่สุดท้ายกิริยามารยาทกลับต่ำทรามสิ้นดี ฮ่าฮ่าๆๆ…ฉันหัวเราะจนจะตายแล้วเนี่ย! ขอโทษนะที่เคยคิดว่าเธอจะมาเป็นคู่แข่งฉันได้ สุดท้ายก็พวกคุณหนูกำมะลอ สันดานเสียคนหนึ่งเท่านั้น จ้าวเฉียน ฉันเบื่อที่จะอยู่กับพวกโง่เหล่านี้แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ ฮ่าฮ่าๆๆ…”

เหลียวเซียวหยุนควงแขนจ้าวเฉียนและจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ

อวู่เฉียนกรี๊ดลั่นดังสนั่น เธอกระทืบเท้าอย่างแรงซ้ำๆไปมาด้วยความโกรธจัด แต่ไม่ว่ายังไงเธอกลับไม่สามารถหาที่ระบายออกไปได้เลย ส่วนคนอื่นๆเองก็ไม่มีอารมณ์กินข้าวกับเธอแล้วเช่นกัน เพราะอายเกินกว่าจะแบกหน้ามองคนอื่นไหว แต่ละคนจึงหาข้อแก้ตัวและขอตัวกลับในทันที

อวู่เฉียนสวมกอดหยางหมิงแน่น เธอระเบิดน้ำตาออกมาทันที ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก ทางด้านหยางหมิงก็ลูบหลังเธออย่างแผ่วเบาและกล่าวปลอบโยนไปว่า

“อย่าร้องไห้ไปเลย อย่าร้องไห้เลย…นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย หากในอนาคตบริษัทของผมเติบโตขึ้นไปกว่านี้ ในวันนั้นผมจะล้างแค้นให้คุณเอง”

“แล้วจะทำยังไงให้บริษัทคุณเติบโตขึ้นล่ะ?”

อวู่เฉียนเอ่ยถามอย่างโง่เขลา

“แน่นอน ถ้าผมมีเงินทุนมากกว่านี้เพื่อขยายขอบเขตของบริษัท ทุกอย่างจะต้องเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขอเพียงมีธนาคารสักแห่งให้กู้ตราสารเท่านั้น เธอคิดเห็นว่ายังไง”

อวู่เฉียนไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอสามารถแยกแยะได้ทันทีว่า สิ่งที่หยางหมิงพูดในขณะนี้มันหมายความว่าอย่างไร

“ได้เลย! ทันทีที่กลับไป ฉันจะขอร้องให้พ่อปล่อยเงินกู้ให้คุณในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด! คุณต้องตั้งใจทำงานให้หนักและกลับไปค้างแค้นมัน เอาให้พวกมันทั้งคู่กลายมาเป็นขอทานข้างถนนไปเลย!!”

อวู่เฉียนกรนด่าสาปแช่งด้วยแววตาแสนเหี้ยมโหด

ในที่สุดกลอุบายของหยางหมิงก็บรรลุผล เขาตบอกตัวเองด้วยความมั่นใจและเอ่ยปากสัญญาว่า

“ไม่มีปัญหา ผมสาบานเลยว่า ตราบเท่าที่ผมมีเงินมากพอ ถึงเวลานั้นผมจะต้อนให้มันไม่เหลืออนาคตเลย!”

อวู่เฉียนยิ้มแย้มออกมาได้ในทันที เธอกระโดดกอดหยางหมิงอีกครั้ง

หยางหมิงแอบแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีชัย หลังจากเขากลายมาเป็นมหาเศรษฐีได้เมื่อไหร่ เขาจะเหยียบจ้าวเฉียนให้จมดิน!

ตอนที่147 ไม่รอแล้ว

เหลียวเซียวหยุนรีบวิ่งไปทางครูฝึกสอนและเอ่ยถามอย่างมีความสุขว่า

“สวัสดีค่ะ หนูชื่อเหลียวเซียวหยุน เป็นแฟนของเขาเอง มีอะไรมาเซอร์ไพรส์หน่อยค่ะ?”

“สวัสดีครับ แฟนของคุณได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณ และนั้นก็คือ…การได้ขึ้นขี่ลูกวาฬตัวนี้! เป็นยังไงบ้างครับมีความสุขไหม?”

“ฮิฮิ…แน่นอนค่ะ! มีความสุขมาก!”

เหลียวเซียวหยุนจงใจตะโกนใส่ไมค์ของครูฝึก เพื่อให้ทุกคนในอัฒจันทร์ได้ยินโดยเฉพาะกับอวู่เฉียน

อวู่เฉียนโมโหอย่างมากที่เธอพ่ายแพ้ในครั้งนี้ แถมยังต้องให้เงินอีกฝ่ายไปตั้งล้านนึง

ครูฝึกสอนเหลียวเซียวหยุนโดยสังเขปถึงข้อควรระวังและวิธีการขี่ที่ถูกต้อง จากนั้นก็พาเธอขึ้นขี่บนหลังของลูกวาฬตัวนั้น แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากวาฬสายพันธุ์เบลูก้ามีนิสัยขี้กลัว เธอนั่งขี่ได้แปปเดียวก็ต้องรีบให้ครูฝึกช่วยดึงเธอขึ้นมา

หลังจากเล่นกับมันได้สักพักหนึ่ง เหลียวเซียวหยุนค่อยวิ่งกลับอัฒจันทร์อย่างมีความสุข

“อวู่เฉียน เธอจะให้เงินหนึ่งล้านเมื่อไหร่? ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายก็คุกเขาขอโทษ และสำนึกผิดซะนะ แล้วฉันจะไม่เอาเงินเธอ”

เหลียวเซียวหยุนแบมือทวงอีกฝ่ายด้วยถ่อยคำสุภาพ

ตอนนี้อวู่เฉียนไม่มีเงินติดตัวถึงล้าน และเธอจำต้องขอพ่อแม่ เพียงอย่างไรสถานะของเธอในกลุ่มเพื่อนฝูงล้วนอยู่เหนือหัวทุกคน ด้วยความหยิ่งผยองนี้เธอไม่มีทางแสดงความอ่อนแอต่อเหลียวเซียวหยุนแน่นอน

“ไร้สาระ! คิดเหรอว่าฉันจะให้เงินล้านจริงๆ? แล้วเรื่องขอโทษอะไรนั่นเลิกฝันได้แล้ว!”

อวู่เฉียนโต้กกลับทันทีอย่างไม่สบอารมณ์

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าเล็กน้อย และหันไปพูดกับคนอื่นว่า

“ทุกคนคงได้ยินกันแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้โอกาสเธอ แต่เธอไม่ต้องการขอโทษแถมยังจะเชิดเงินอีก เป็นถึงลูกประธานธนาคารใหญ่ แต่กลับไม่มีเงินซะงั้น?”

“เสี่ยวเฉียน จ่ายๆไปเถอะ เรื่องจะได้จบ”

เจียงหลี่หลินพยายามเกลี้ยกล่อม

“ถูกต้อง เซียวหยุนแก่ที่สุดในกลุ่มพวกเราแล้ว เราควรให้เกียรติเธอหน่อยนะ ไม่ใช่เอ่ยปากให้สัญญาซี่ซั่ว”

“ครั้งนี้ก็จำเป็นบทเรียน ครั้งหน้าเวลาจะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีก่อน”

หวางฉิงเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรงเช่นกัน

…..

ทุกอากัปกิริยาและคำพูดของพวกเขาล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ อวู่เฉียนต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

อันที่จริง ถึงไม่มีบรรดาเพื่อนฝูงคอยพูดเกลี้ยกล่อม อวู่เฉียนก็อยากจ่ายเงินไปให้มันจบๆ เพียงแต่สถานที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายเกินไป และเธออายเกินกว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้

อวู่เฉียนสวนตอบทันที

“นี่ไม่เกี่ยวกับเงิน! แต่มันเป็นเรื่องหน้าตาและศักดิ์ศรี! โตกว่าแล้วยังไง ฉันกลัวที่ไหน!”

เมื่อเป็นประจักษ์แล้วว่า พวกเขาไม่สามารถโน้มโน้วใจอวู่เฉียนได้สำเร็จ ทั้งหมดจึงหยุดพูดไปโดยปริยาย เงินกู้ดอยเบี้ยต่ำจากธนาคารของพ่อเธอมีค่าเกินกว่าจะมาเสี่ยงกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ดังนั้นสงบปากสงบคำไว้เป็นดีที่สุด

ในเวลานั้นเองหยางหมิงเข้ามาสวมกอดอวู่เฉียนและสัญญาว่า

“ก็แค่เงินล้านเดียวเอง ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก เดี๋ยวผมจ่ายให้ก่อนก็ยังได้”

อวู่เฉียนกระชับกอดหยางหมิงแน่นในทันใด และประกบริมฝีปากจูบกันทั้งน้ำตาคลอ พลางกล่าวอย่างมีความสุขว่า

“ฉันไม่รู้แล้วว่าจะขอบคุณคุณยังไงดี ขอบคุณนะที่เข้ามาปกป้องในเวลาวิกฤตแบบนี้”

“ตาบ๋อง ผมเป็นแฟนคุณนะ ถ้าไม่ให้ปกป้องคุณแล้วจะให้ปกป้องใครที่ไหนล่ะ? ดูโน้นสิ ถึงเวลาได้สัมผัสลูกวาฬเบลูก้าแล้ว”

หยางหมิงพยายามปลอบโยนเธอ

อวู่เฉียนเช็ดน้ำตาและหันไปมองเหลียวเซียวหยุนเชิงยั่วยุอีกฝ่าย จากนั้นก็หันมาพูดติดตลกกับบรรดาเพื่อนฝูง

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกว่าตอนนี้มันน่าเบื่อมาก เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว และอยากออกไปหาจ้าวเฉียน แต่ขณะนั้นเองอวู่เฉียนกลับหยุดเธอไว้

“จะรีบออกไปไหน? ฉันจะพาเธอไปจับลูกวาฬ”

อวู่เฉียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

แต่เหลียวเซียวหยุนตอบชนิดไร้ซึ่งเยื่อใยว่า

“เมื่อกี้ฉันได้ขี่มันไปแล้ว เธอยังอยากให้ฉันลงไปจับมันอีกงั้นเหรอ? แล้วแน่ใจนะว่าครูฝึกสอนจะอนุญาตให้จับ? เสียเวลาจริงๆ ฉันออกไปทานข้าวดีกว่า”

คล้อยหลังพูดจบ เหลียวเซียวหยุนก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกต่อไป จากนั้นก็โทรหาจ้าวฉียนทันที

ขณะเดียวกัน จ้าวเฉียนก็กำลังเฝ้าดูนกเพนกวิกเดินเตาะแตะไปมาอย่างน่ารักน่าชัง ในเวลานั้นเองสายเรียกเข้าจากเหลียวเซียวหยุนก็ดังขึ้นมา เขากดรับสายในทันใด

“ว่าไงครับ? ยังไม่จบอีกเหรอ?”

จ้าวฉัยนเอ่ยถามขึ้น

“พวกนั้นกำลังลงไปสัมผัสวาฬกันอยู่ ฉันจะไปหานาย ตอนนี้อยู่ไหน?”

“โซนเพนกวินครับ”

“โอเค เดี๋ยวฉันไปหาเดี๋ยวนี้แหละ!”

เหลียวเซียวหยุนวางสายและรีบวิ่งไปหาทันที แต่เมื่อเธอมาถึงโซนเพนกวิน ปรากฏว่าไม่เห็นจ้าวเฉียนเสียแล้ว เธอจึงต้องโทรหาอีกครั้ง

“ฮาโหล นี่นายอยู่ไหนกันแน่? ทำไมไม่เห็นนาย?”

เหลียวเซียงหยุนเอ่ยถามเจือน้ำเสียงโกรธ

“ผมเดินมาที่โซนนางเงือกแล้ว”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบด้วยท่าทีแสนใจเย็น

“แล้วทำไมถึงไม่บอกฉัน!”

เหลียวเซียวหยุนตวาดใส่เสียงหนึ่ง

“แล้วทำไมผมต้องบอกคุณ?”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ตัดสายทิ้งไปทันที มีหรือที่เหลียวเซียวหยุนจะทนไหว? เธอรีบวิ่งไปที่โซนนางเงือกต่อทันที

เวลานี้เองมีสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่แต่งตัวเป็นนางเงือกมาโชว์ตัว จ้าวเฉียนยืนมองอย่างใจจดใจจ่อ แต่กลับไม่รู้เลยว่า เหลียวเซียวหยุนยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้ว เหลียวเซียนหยุนที่เห็นภาพฉากแบบนั้นก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ เธอยืนอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้ว แต่จ้าวเฉียนไม่แม้กระทั่งสังเกตเห็นเธอด้วยซ้ำ

“สวยใช่ไหมล่ะห่ะ? สวยจนไม่ทันสังเกตเห็นฉันเลย! ทำไมไม่อุ้มเธอกลับไปดูที่บ้านเลยละ!!”

เหลียวเซียวหยุนตวาดใส่ด้วยความโกรธ

จ้าวเฉียนเบนสายตาเหลือบมองเหลียวเซียวหยุนเล็ฌกน้อย คลี่ยิ้มบางประดับมุมปากกล่าวว่า

“ไม่สังเกตเห็นอะไร? ฉันเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอยืนอยู่ข้างหลังผม แค่ว่าผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคุณ”

“โกหก! ทำตัวหื่นแล้วทำไมยังมาปากแข็งอีก? มองขนาดนั้น ไปนอนกับเธอเลยดีไหม?!”

เหลียวเซียวหยุนสวนตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา

บรรดานักท่องเที่ยวที่ยืนชมการแสดงนางเงือกอยู่ข้างๆ ทุกคนต่างหัวเราะทันที สงสัยเจอแฟนมาตาม แต่ละคนอยากรู้อย่างมากว่า จ้าวเฉียนจะตอบกลับไปว่าอะไร?

จ้าวเฉียนรู้สึกขายหน้าเล็กน้อยภายในใจ แต่บนผิวเผินย่อมดูสุขุมและเยือกเย็น เขาตอบกลับไปว่า

“ผมว่าผมไม่ใช่คนเริ่มทะเลาะนะ แถมอีกอย่างผมจะนอนกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักได้ยังไง ต่อให้จ้างนอน ผมยังไม่นอนเลย ถ้าผมกับคุณอยู่กันในห้องสองต่อสอง ผมขอนอนพื้นยังดีซะกว่า”

“ฮ่าฮ่า…”

เหล่านักท่องเที่ยวรอบข้างที่แอบฟังอยู่ถึงกับหลุดขำออกมา

“นี่นาย…นายกำลังพูดถึงฉันงั้นเหรอ!?”

เหลียวเซียวหยุนมองจ้าวเฉียนตาขวาง

จ้าวเฉียนทนฟังเธอมามากพอแล้ว และไม่อยากสนใจอีกต่อไป จึงหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นเองเหลียวเซียวหยุนก็รีบกุมแขนของเขาแน่นและเอ่ยขึ้นว่า

“นี่นายจะไปไหน? นาย…ต้องพาฉันไปด้วย!”

“นี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว ผมอยากกินอะไรรองท้องสักหน่อย ถ้าเป็นคนรวยแบบพวกคุณแค่ได้ต่อปากต่อคำกันก็คงอิ่มพอดี แต่ผมต้องหาอะไรลงท้องสักหน่อย”

“ไม่ รอไปกินพร้อมกันสิ!”

จ้าวเฉียนกลอกตาใส่เล็กน้อยและเอ่ยถามไปว่า

“ผมพอกับคนพวกนั้นแล้ว สร้างปัญหาอะไรไม่รู้จบ ผมไม่ได้มีหน้าที่เป็นเครื่องมือแก้แค้นให้คุณนะ”

“ขอร้องนะ! พวกนั้นกำลังเล่นกับวาฬอยู่อีกแปปเดี๋ยวเอง นายรอก่อนได้ไหม? ไม่นานหรอก!”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยปากขอร้อง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะใส่ทันทีที่ได้ยินและตอบไปว่า

“ไม่ได้ยินที่ผมพูดรึไง โทรให้พวกเขาออกมาหาผมเองแล้วกัน ผมขอล่วงหน้าไปหาอะไรทานก่อนแล้ว ทำไมต้องเสียเวลารอคนพวกนั้น?”

เหลียวเซียวหยุนไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่นักที่จะปล่อยจ้าวเฉียนออกไปตามลำพัง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายพูดจริงนะ?”

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ผมไม่อยากเสียเวลารอพวกนั้น! อ่อ…ผมสั่งเจ้าของพิพิธภัณฑ์แล้วว่า ห้ามไม่ให้เพื่อนของคุณสัมผัสวาฬเด็ดขาด ถ้าพวกนั้นถามก็บอกไปตามนี้”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็เดินจากออกไปทันทีที่พูดจบ ไม่ว่าเหลียวเซียวหยุนจะพยายามฉุดรั้งเขาไว้ยังไง แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงจากออกไป

เหลียวเซียวหยุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโทรหาอวู่เฉียนโดยไว และบอกไปว่า

“รีบหน่อยได้ไหม เขาบอกว่า เขาคุยกับเจ้าของพิพิธภัณฑ์แล้ว และสั่งห้ามไม่ให้พวกเธอสัมผัสวาฬ อย่าเสียเวลาอยู่อีกเลย รีบมาทานข้าวเถอะ”

อวู่เฉียนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นและตอบกลับไปว่า

“นี่เธอพูดจาไร้สาระอะไรอีก? เขานี่นะ? จะคุยกับเจ้าของพิพิธภัณฑ์? มันมีคุณสมบัติอะไรถึงสามารถสั่งคนใหญ่คนโตขนาดนั้นได้?”

“เหอะ เหอะ…แค่เขาทำให้ฉันขึ้นขี่วาฬได้มันก็พิสูจน์อะไรให้เธอเห็นมากพอแล้วนะ ฉันแค่โทรมาบอก ถ้าช้าฉันไม่รอแล้วนะ!”

เหลียวเซียวหยุนกดวางสายทิ้งทันที จากนั้นก็รีบวิ่งติดตามจ้าวเฉียนไป

อวู่เฉียนยิ้มเยาะพร้อมสีหน้าสุดแสนจะดูถูก เธอกล่าวขึ้นว่า

“เหลียวเซียวหยุนเป็นคนตลกจริงๆ เธอโทรมาสั่งให้ฉันรีบไปกินข้าว แถมยังบอกอีกว่า แฟนหนุ่มของเขาคุยกับเจ้าของพิพิธภัณฑ์แล้วว่า ไม่อนุญาตให้เราแตะต้องวาฬ พวกเธอคิดว่า มันน่าตลกไหม?”

“ฮ่าฮ่า…”

ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาน และไม่มีใครเชื่อสักคน

“นี่มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ใหญ่คับฟ้ามาจากไหน?”

แฟนของเจียงหลี่หลินกล่าวดูแคลน

คนอื่นๆต่างก็หัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน จ้าวเฉียนหลงตัวเองเกินไปจริงๆ

แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นหวางฉิงที่จู่ๆก็ตั้งคำถามขึ้นว่า

“แต่ฉันกลัวว่าสิ่งที่เขาพูดไปจะเป็นความจริง ไม่อย่างนั้นทางพิพิธภัณฑ์จะยอมให้เหลียวเซียวหยุนขี่วาฬเบลูก้าได้เหรอ?”

ตอนที่146 เป็นไปไม่ได้

เมื่อคนอื่นเห็นว่าทั้งคู่เปิดฉากกันแล้ว แต่ละคนก็คลี่ยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาคิดเช่นเดียวกับอวู่เฉียน น้ำหน้าอย่างจ้าวเฉียนไม่มีทางขออนุญาตเจ้าหน้าที่ได้อยู่แล้ว

“เสี่ยวเฉียน เธอชนะเดิมพันตั้งแต่เริ่มแล้ว!”

“ไอ้หมอนั่นจะมีปัญญาพาเซียวหยุนไปยืนบนหลังลูกวาฬได้ยังไง? ไร้สาระ!”

“อย่างที่บอกไปนั้นแหละ ต่อให้สวมชุดคลุมมังกรก็ดูออกว่าเขายากจนขนาดไหน ต่อให้แต่วตัวดี หน้าตาดี แต่ก็แค่คนจนที่ไร้ซึ่งภูมิหลังครอบครัวที่ดี”

…….

กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่ได้สนใจเลยว่า เหลียวเซียวหยุนจะรู้สึกอย่างไร ขอแค่ได้ด่าคนแล้วสนุกปากก็พอแล้ว

เหลียวเซียวหยุนไม่ได้โกรธอะไรเท่าไหร่นัก ประการแรก จ้าวเฉียนไม่ใช่แฟนจริงๆของเธอ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องโกรธแทนเขาเลย และสอง ด้วยความสามารถของจ้าวเฉียน เธอสามารถขึ้นไปยืนบนหลังลูกวาฬได้อย่างแน่นอน

ห้านาทีต่อมา หยางหมิงเดินกลับมาพร้อมรอยยิ้ม เขากล่าวกับอวู่เฉียนว่า

“เสี่ยวเฉียน ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ให้แล้ว เขาจะไปบอกครูฝึกให้พาลูกวาฬมาตรงนี้เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสมัน”

“หุหุ…น่ารักที่สุดเลย! จุ๊บ…”

อวู่เฉียนกระโดดกอดพร้อมจุ๊บหยางหมิงไปทีหนึ่งฟอดใหญ่ บรรดาเพื่อนฝูงที่อยู่เคียงข้างต่างสบถติดตลกขึ้นว่า

“มากเกินไปแล้ว มากเกินไปแล้ว นี่มันสาธารณะ!”

“กลิ่นอายความรักฉุนเหลือเกิน!”

“นายน้อยหยางพูดจริงใช่ไหม พวกเราจะได้จับมันทุกคน?”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราต้องได้จับมันด้วยนะ”

หยางหมิงพูดกับทุกคนอย่างสถภาพว่า

“แน่นอนครับ พวกคุณทุกคนเป็นเพื่อนของเสี่ยวเฉียน ดังนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ยังไงก็ตาม คนที่ได้ขึ้นไปบนเวทีคงมีแค้เสี่ยวเฉียนคนเดียวนะครับ เพราะเธอคือคนพิเศษสำหรับผม”

อวู่เฉียนยืดอกอวดเบ่งต่อหน้าเหลียวเซียวหยุนด้วยความภาคภูมิใจ

“เธอเห็นไหมล่ะว่า ทำไมพวกเราถึงควรมีแฟนเป็นคนในวงการธุรกิจ เพราะพวกเขามีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่แบบเธอที่เก็บมันขึ้นมาเลี้ยงจากข้างถนน”

หยางหมิงเอ่ยถามอย่างงุนงงขึ้นว่า

“จะว่าไปจ้าวเฉียนออกไปไหน? เห็นเขาโทรคุยกับใครสักคนหน้าประตูทางออก?”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นต่างหัวเราะท้องแข็ง

“ดูเหมือนว่ามันเองก็คงสำเนียกตัวเองอยู่บ้าง รู้ตัวว่าทำไม่ได้อย่างนายน้อยหยางก็เลย แอบไปยืนถ่วงเวลาตรงทางออก ตอนกลับมาหาก็คงแก้ตัวไปว่า ผมทำเต็มที่แล้ว แน่ๆเลย! ขอทานอย่างมันใครจะให้หน้าเกรงใจมันกัน? ฮ่าฮ่าๆๆ…”

อวู่เฉียนกล่าวสบประมาทอย่างสนุกปาก

เสียงหัวเราะเยาะระเบิดดังลั่นรอบตัวเหลียวเซียวหยุน

รอบยิ้มบนใบหน้าของเธอเริ่มจางอ่อนลงแล้ว และตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นเล็กน้อย

“หรือฉันจะประเมินความสามารถของหมอนั่นสูงเกินไป? แต่คนที่สามารถเป็นพี่น้องคนสนิทกับลุงห้าได้ ก็ไม่ควรยากจนจริงไหม? กับแค่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ถ้ายังไม่มีเส้นสายอะไรบ้างเลย แล้วเขาจะเป็นคนสนิทของลุงห้าได้ยังไงกัน?”

เหลียวเซียวหยุนยิ่งคิดยิ่งสงสัยมากขึ้น

ทุกคนต่างเห็นว่า สีหน้าการแสดงออกของเหลียวเซียวหยุนดูอึดอัดอย่างมาก ดังนั้นบรรดาเพื่อนๆจึงรีบเข้ามาปลอบประโลมว่า ไม่ต้องเสียใจไป สุดท้ายจะเป็นยังไงก็แค่โยนภาระทั้งหมดให้กับจ้าวเฉียนก็สิ้นเรื่อง

ไม่นานนัก จ้าวเฉียนก็กลับมา

“เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเริ่มการแสดงครูฝึกจะเรียกชื่อคุณให้ขึ้นไปยืนบนตัวลูกวาฬ ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมลุกแล้วกัน”

จ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม

ตอนนี้ธุระของจ้าวเฉียนก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงนั่งลงและหลับตาพักผ่อนไป แต่ไม่วายที่อวู่เฉียนและคนอื่นๆจะเอ่ยปากล้อเลียนอย่างอดไม่ได้

“โหวโห่! เขาทำได้จริงๆน่ะเหรอ? เมื่อกี่นายออกไปคุยกับนายกที่หน้าประตูทางออกมา?”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ ไม่ใช่ว่าเขาออกไปโทรคุยกับนายกจริงๆหรอกนะ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง? ที่โทรไปคงโทรไปขอเบี้ยยังชีพเพิ่มมากกว่า ฮ่าฮ่าๆๆ…”

“ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจฟังอะไรทั้งสิ้น ในเวลานี้ไม่มีใครสามารถทำให้เขาโกรธได้

“ปากก็เหม็น พูดก็มาก ปากของพวกคุณสร้างมลพิษยิ่งกว่าขยะอีกนะ”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ลุกขึ้นไปโทรศัพท์สักครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม

เหลียวเซียวหยุนไม่พอใจอย่างยิ่งกับคำสบประมาทของอวู่เฉียนและคนอื่นๆ จึงตวาดคำโตไปว่า

“พวกเธอช่วยหุบปากสักทีได้ไหม? ไม่รำคาญตัวเองกันบ้างเหรอ?”

ทุwกคนต่างรู้ว่า เหลียวเซียวหยุนกำลังหัวเสียอย่างชัดเจน ดังนั้นจึไม่มีใครพูดอะไรตอบ อวู่เฉียนรู้สึกได้ว่าตัวเองชนะเดิมพันแล้ว และเธอกำลังคิดว่าจะตบหน้าจ้าวเฉียนยังไง ให้มันรู้สึกอับอายชนิดไม่มีหน้ามาพบพวกเธออีกเลย

“เหลียวเซียวหยุน เราควรทำตามสัญญาที่เดิมพันไว้ได้แล้วนะ เท่านี้ก็รู้ผลแล้วจริงไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีด้วยความงุนงงว่า

“เดิมพันอะไร?”

อวู่เฉียนเหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยสายตาแสนดูถูกเหยียดหยาม และกล่าวขึ้นว่า

“พวกเราเดิมพันกันไว้ว่า ถ้านายไม่สามารถทำให้เธอขึ้นไปยืนบนลูกวาฬได้ ฉันจะตบหน้านายสิบครั้ง ยื่นหน้ามาให้ฉันตบได้แล้ว!”

จ้าวเฉียนหันควับไปมองเหลียวเซียวหยุนด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาพยายามสงบสติอารมณ์ลงและเอ่ยถามไปว่า

“ทำไมถึงต้องเอาผมไปเดิมพัน?”

“เอ่อ…ก็ทีแรกฉันคิดว่านายจะทำได้หนิหน่า นายนั้นแหละที่ผิด ทำให้ฉันผิดหวังอย่างมาก แถมยังทำให้ฉันต้องอับอายอีกด้วย!”

จ้าวเฉียนอยากจะหัวเราะดังๆสักคำหนึ่ง และตอบกลับไปว่า

“ตลกมากใช่ไหม?”

“นี่เป็นความผิดของผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงต้องผิดหวัง นายสมควรโดยตบแล้ว! ถ้าคิดหนีถือว่านายไม่ใช่ผู้ชาย!”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับอย่างไร้เหตุผล

เมื่อเห็นเหลียวเซียวหยุนเริ่มมีปากเสียงกับจ้าวเฉียน ทั้งหยางหมิง อวู่เฉียนและคนอื่นๆต่างเฝ้ามองอย่างมีความสุข

“คุณเหลียว อย่าไปโกรธเขาเลยครับ หลายสิ่งอย่างบนโลกไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน แต่นี่ยังต้องหวังเพิ่งเส้นสายและคนรู้จัก”

อวู่เฉียนกล่าวต่อทันที

“ไอ้ขยะรีบยืนขึ้นแล้วยื่นหน้ามาให้ฉันตบเดี๋ยวนี้ แล้วหลังจากนี้อย่ามาให้พวกเราเห็นหน้าอีก สถานะต่ำต้อยอย่างแกไม่เหมาะสมกับพวกฉันแม้สักนิด!”

“ใช่แล้ว! คิดว่าตัวเองดีมาจากไหน อย่าว่าเป็นคนรู้จักในแวดวงธุรกิจเลย คงเป็นได้แค่ไอ้ขอทานเกาะผู้หญิงกิน!”

“ไสหัวไปซะ! นี่ถือว่าพวกเราเห็นแก่หน้าเซียวหยุนมากแล้วนะ!”

“ออกไปซะ…”

ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะอารมณ์เป็นยังไง แต่เขาไม่เสียเวลามานั่งโมโหเกหล่านกโง่กลุ่มนี้แน่นอน

“นี่ปากคนหรือปากสุนัขกันครับ? ทำไมถึงได้เหม็นเน่าแบบนี้ ของเสียแบบพวกคุณสักวันย่อมไม่มีใครเอาแน่นอน อย่างมากก็คบหาเพื่อหวังผลประโยชน์ได้เสร็จก็จากไป คุณค่าของคนๆหนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทอง คนแบบพวกคุณคงเกินเยียวยาแล้วจริงๆ สักวันจะรู้เองครับว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันแย่ขนาดไหน โชคดีนะครับพวกขยะ!”

หลังจากจ้าวเฉียนด่าจบ เขาก็ลุกขึ้นและจากไปทันที

อวู่เฉียนและคนอื่นๆยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ และพวกเขาไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้แน่นอน

“หยุดเดี่ยวนี้! กล้าด่าพวกฉันว่าขยะงั้นเหรอ?!”

“มึงเก่งมาจากไหนวะถึงกล้าด่าพวกเรา!”

“ไอ้เวรนี่ กูต้องสั่งสอนสักหน่อย! ไม่งั้นคง…”

“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ! โปรดปรบมือต้อนรับคุณเหลียวเซียวหยุนออกมาบนเวที แฟนของคุณได้เตรียมของขวัญเซอร์ไพรส์สุดพิเศษเอาไว้ให้แล้ว โปรดเชิญครับ!”

ขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งไล่ตามจ้าวเฉียนไป ผู้ฝึกสอนที่อยู่บนเวทีโลว์ก็ป่าวประกาศออกมาเสียงดังชัดเจน

เพียงได้ยินสามพยางค์ ‘เหลียวเซียวหยุน’ ทุกคนต่างเงียบสงัดลงในทันใด

ทุกคนหันควับมองไปที่ผู้ฝึกสอนวาฬบนเวทีด้วยความมึนงง

“คุณเหลียวเซียวหยุน แฟนของคุณได้เตรียมของขวัญเซอร์ไพรส์สุดพิเศษเอาไว้ให้แล้ว คุณเหลียวเซียวหยุนครับ คุณเหลียวเซียวหยุน…”

ครูฝึกสอนวาฬตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทุกคนแน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง เขากำลังเรียกเหลียวเซียวหยุนอยู่จริงๆ!

“ฮ่าฮ่า…”

เหลียวเซียวหยุนเพิกเฉยต่อท่าทางการแสดงออกของทุกคน และวิ่งออกไปทางเวทีอย่างรวดเร็ว

กลุ่มหนุ่มสาวคนที่เหลือต่างอ้างปากค้างด้วยความตกตะลึงยิ่ง นี่มันเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้!

“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้!! นี่ต้องมีอะไรผิดพลาด! ขยะอย่างมันจะมีอำนาจขนาดนั้นได้ยังไง?”

“ใช้เงินตบหน้ารึไงกัน…”

“ไม่มีทาง! นี่ถึงขั้นขึ้นไปยืนบนตัวลูกวาฬเลยนะ! อย่างน้อยๆต้องซื้อวาฬตัวนั้นมาได้ ไม่อย่างนั้นใครคงไม่ยอมให้คนแปลกหน้าขึ้นมาเหยียบเล่นๆได้แน่นอน แถมวาฬชนิดนี้ทั้งแพงทั้งหายาก ไม่มีเศรษฐีคนไหนในเมืองตงไห่กล้าซื้อมาเพียงเพื่อเรื่องแค่นี้…”

“แล้วที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้จะอธิบายยังไง?”

“ไม่…ฉันไม่รู้!”

“แล้วไอ้ขยะนั้นหายไปไหนแล้ว?”

“มันไปแล้ว…”

ตอนที่145 เล่นเดิมพัน

เหลียวเซียวหนุนก้าวตรงไปหาจ้าวเฉียนและเอ่ยถามเสียงเบาว่า

“หยางหมิงพูดอะไรกับนาย?”

จ้าวเฉียนตอบกลับอย่างว่างเปล่าว่า

“เขาขอร้องไม่ให้ผมกับอวู่เฉียนทะเลาะกัน เขาจะพยายามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่อง แต่เธอไปหาเพื่อนพวกนี้มาจากไหน มันน่าเบื่อมาก”

เหลียวเซียวหยุนรวนหัวเราะเล็กน้อย เอ่ยตอบกลับไปว่า

“จะโทษฉันก็ไม่ถูกนะ นายโชคร้ายที่ดันมาเจรจากับบริษัทของฉันในวันนี้ เดิมทีถ้ามาวันอื่นฉันคงยกหูคุยกับผู้จัดการด้วยตัวเองให้ไปแล้ว แต่นี่ดันมาระหว่างสงครามกำลังเดือด เอาแบบนี้ดีกว่า จัดการอวู่เฉียนให้อยู่หมัด แล้วพรุ่งนี้เตรียมฟังข่าวดีเรื่องความร่วมมือได้เลย”

“นี่ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ ในเมื่อไม่ชอบก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้เลย แต่ทำไมยังเลือกที่จะคบอยู่ล่ะ? คุณต้องการอะไรกันแน่”

จ้าวเฉียนปริปากถามด้วยความมึนงง

ในมุมมองของจ้าวเฉียน เมื่อเรียกพวกเขาว่าเพื่อน สิ่งแรกคือความเป็นมิตรที่มีให้กัน มีความสนใจในสิ่งที่คล้ายกัน และยอมรับในการตัดสินของเพื่อนไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี แต่สำหรับคนพวกนี้ไม่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้เลยด้วยซ้ำ นี่มันศัตรูที่เอาแต่ข่มขวัญกันไปมา

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับอย่างจนใจเช่นกันว่า

“แล้วคิดว่าฉันต้องการเป็นเพื่อนกับเธอเหรอ? พ่อของเธอเป็นประธานธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีน หากไม่สานสัมพันธ์กับเธอไว้ แล้วบริษัทฉันจะขอเงินทุนมาได้ยังไง? ถ้ามีเส้นสายที่ดีการขอสินเชื่อหรือกู้เงินมาลงทุนย่อมง่ายกว่าจริงไหม? อันที่จริงนะ ไม่มีใครชินกับความหัวสูงของเธอหรอก ที่คนอื่นๆเข้าหาเธอก็ล้วนแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน มันก็ใช่นะที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้ แต่นายนั้นแตกต่างออกไป”

ท้ายที่สุดนี้ก็วกกลับมาที่เรื่องผลประโยชน์ แต่สำหรับตัวจ้าวเฉียนเอง เขามีอิสระมากพอว่าตนจะเลือกใครมาเป็นเพื่อนเคียงข้างเขา ส่วนเรื่องเส้นสายหรือเงินทอง จ้าวเฉียนเคยกังวลที่ไหน?

แต่เหลียวเซียวหยุนกลับทำไม่ได้ เธอต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทพ่อเธอก่อนเป็นอันดับแรก ไม่แม้แต่มีสิทธิ์เลือกเพื่อนด้วยซ้ำ

กลุ่มวัยหนุ่มสาวตรงมาถึงโรงละครสัตว์อย่างรวดเร็ว มาถึงล่วงหน้าห้านาทีก่อนการแสดงจะเริ่มต้นขึ้น

ทันทีที่การแสดงเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างปรบมือส่งเสียงต้อนรับอย่างมีความสุข ที่อวู่เฉียนต้องการมารับชมในครั้งนี้ก็เพราะอยากเห็นลูกปลาวาฬเบลูก้า จึงไหว้วานให้หยางหมิงคิดหาทางให้เธอสมหวัง

หยางหมิงคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันคุยกับเจ้าหน้าที่ให้”

อวู่เฉียนพยักหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เธอกล่าวตอบไปว่า

“โอเค ฉันอยากลองสัมผัสมันสักครั้ง และคิดว่าคนอื่นๆเองก็คิดแบบเดียวกับฉันเช่นกัน คุณช่วยหน่อยนะ”

 คนอื่นๆต่างหันมากล่าวขอบคุณอววู่เฉียนและหยางหมิงโดยไว แต่จ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนกลับนั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลย

อวู่เฉียนไม่พอใจอย่างมากที่ทั้งคู่ไม่สำนึกในบุญคุณในครั้งนี้ เธอเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า

“เหลียวเซียวหยุน เธอไม่อยากจับมันดูรึไง?”

เหลียวเซียวหยุนส่ายหัวอานอย่างเฉยเมย พร้อมเอื้อมไปจับมือจ้าวเฉียนแทนและตอบว่า

“ไม่เลย ไม่มีอะไรดีไปกว่าจับมือกันแฟนตัวเองแล้ว”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นต่างระเบิดหัวเราะเยาะลั่น

“สัมผัสมือสากๆของมันงั้นเหรอ? แค่เห็นฝ่ามืออีกฝ่ายแวบเดียวก็รู้แล้วว่า เขาทำงานหนักแค่ไหน  ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกหรอกว่า แต่ถ้าฉันบอกว่าจะให้100ล้านกับเขาเพื่อแลกให้มาจับมือฉันแทน หมอนั่นคงจะสะบัดมือเธอทิ้งทันทีเชื่อไหม?”

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกไม่พอใจอย่างมากเมื่อได้ยิน เธอสวนโต้กลับทันทีว่า

“เธอก็แค่อยากจับมือเขาไม่ใช่รึไง? ต่อให้200ล้านเขาก็ไม่อยากจับกับเธอหรอก”

“น่าตลกดีหนิ อย่าว่าแต่100ล้านเลย แค่หมื่นเดียวเขาก็กราบแทบเท้าฉันแล้ว!”

อวู่เฉียนตอบกลับไปด้วยสายตาสุดรังเกียจ

เหลียวเซียวหยุนผลักร่างของจ้าวเฉียนออกไปต่อหน้าและกล่าวขึ้นว่า

“ได้! งั้นก็ลองถามเขาดูสิ หมื่นหนึ่งแลกกับจับมือของเขา ขอดูหน่อยว่าเขาจะยอมไหม?”

ตอนนี้จ้าวเฉียนแทบจะบ้าตายเต็มแก่ ไม่ใช่ว่าสมองของสองคนนี้ตายไปแล้วเหรอ?

ทะเลาะได้ตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่ เพื่อนแบบนี้มีไว้เพื่ออะไร?

หยางหมิงกังวลหนัก กลัวว่าอวู่เฉียนจะประเคนปัญหาให้จ้าวเฉียนอีกระลอก ดังนั้นเขาจึงรีบก้าวออกไปหยุดเธอทันที

“เสี่ยวเฉียน ใจเย็นก่อนนะ ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า คนแบบนี้อย่าไปเกลือกกลั้วด้วยเลย อยากเห็นคลิปตัวเองทะเลาะกับอีกฝ่อนว่อนลงอินเตอร์เน็ตเหรอ?”

อวู่เฉียนเค้นเสียงหึเย็นคำโตใส่หน้าทั้งคู่ และไม่ได้ปริปากพูดอะไรอีกเลย

หยางหมิงกระชับกอดอวู่เฉียนอย่างทะนุทะหน่อมและปลอบโยนขึ้นว่า

“เอาน่า เอาน่า เดี๋ยวผมขอตัวไปหาเจ้าหน้าที่ก่อนนะ รออยู่ที่นี่ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

“อืม รีบๆกลับมานะ”

อวู่เฉียนขานเสียงหวานตอบ

จ้าวเฉียนรู้สึกเบื่อเกินบรรยาย เขาต้องการนั่งพักผ่อนอยู่เงียบๆคนเดียว แต่เหลียวเซียนหยุนกลับนำปัญหาให้เขาอีกครั้ง โดยกล่าวกับเขาว่า

“จ้าวเฉียน ฉันเองก็อยากสัมผัสลูกปลาวาฬเบลูก้าเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะ ฉันต้องการยืนบนตัวลูกปลาวาฬด้วย”

จ้าวเฉียนมองตาขวางภายในใจแทบคลั่ง

อวู่เฉียนและคนอื่นๆต่างระเบิดหัวเราะลั่นในทันมด นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าพวกเขาเคยได้ยินมา

“เหลียวเซียวหยุน ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? เธอจะให้เจ้าหน้าที่พาเธอไปยืนบนตัวลูกปลาวาฬจริงๆเหรอ?”

อวู่เฉียนระเบิดหัวเราะดังลั่นชนิดไม่มีเกรงอกเกรงใจ

“เซียวหยุน แฟนของเธอยังต้องให้เธอเลี้ยง แล้วเขาจะปัญญาไปขอเจ้าหน้าที่ได้ยังไง?”

เจียงหลี่หลินเอ่ยเยาะ

“ถูกต้อง เขาไม่ได้มีหน้ามีต่างในแวดวงธุรกิจอะไรเลย ใครจะไปรับฟังคำขอของเขา ไม่แม้แต่ชายตามองด้วยมั้ง”

หวางฉิงเอ่ยเตือน

“เหอะ! เลิกไร้สาระได้แล้วเธอน่ะ อย่าทำให้ฉันต้องอับอายไปกว่านี้เลย ถ้ายังฝืนต่อไปมีหวังทุกคนในที่นี่ต้องหัวเราะเยาะพวกเราแน่!”

อวู่เฉียนตะคอกเสียงเย็น

…………..

ทุกคนต่างไม่พอใจจ้าวเฉียนอย่างมาก จะอย่างไรก็ตาม ในสายตาของพวกเขามันก็เปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูก แต่ละคนเป็นถึงทายาทเศรษฐีชื่อดังในเมืองตงไห่ คนยากจนแบบจ้าวเฉียนไม่สมควรเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มพวกเขาด้วยซ้ำ

เหลียวเซียวหยุนไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้ตบหน้าอวู่เฉียนแน่นอน เธอกล่าวโต้ทันทีว่า

“จ้าวเฉียน ถ้ายังอยากทำให้ฉันอารมณ์ดีอยู่ ก็ออกไปจัดการได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาหา ฉันไม่อยากเจอหน้านายอีกแล้ว”

จ้าวเฉียนไม่ใช่ของเล่นที่เหลียวเซียวหยุนจะทำอะไรก็ได้ตามใจ เขาไม่สามารถทนต่อความเอาแต่ใจของเธอได้อีกแล้ว

“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะสั่งผมแบบนี้! ผมจัดการเอง!”

“จ้าวเฉียนกัดฟันกรอดพร้อมกล่าวขู่สุ้มเสียงเย็น”

“ได้! จัดการให้ฉันหน่อย!”

เหลียวเซียวหยุนพยักไล่ตอบกลับไป

จ้าวเฉียนพยักหน้าและลุกขึ้นออกไปทันที

“โอ้ว! น่าละอายใจจริงๆ เธออย่าทำให้พวกเราต้องขายหน้าไปมากกว่านี้เลย!”

“ถูกต้อง! เซียวหยุน เธอรีบเรียกเขากลับมาเดี๋ยวนี้เลย ถ้าดันไปมีเรื่องกับพวกเจ้าหน้าที่ พวกเราคงไม่เหลือหน้าออกไปไหนอีกแล้ว”

“เราเองก็มียางอายเหมือนกันนะ ถ้าเขาดันไปมีเรื่องกับคนอื่น อย่าโทษเราล่ะกัน ระหว่างพวกฉันกับเธอคงต้องทำตัวราวกับไม่รู้จักกัน โอเคไหม?”

เหลียวเซียวหยุนแสยะยิ้มกว้างอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ไม่ต้องห่วง เขาไม่มีทางก่อปัญหาแน่นอน นั่งรอดูฉันขึ้นไปยืนบนตัวลูกวาฬได้เลย”

ทุกคนต่าส่ายหัวพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เฮ่ออ…คลั่งรักเกินไปแล้ว”

“นี่สินะที่เรียกว่า…ผู้หญิงมีความรักจะโง่ยิ่งกว่าหมู”

เจียงหลี่หลินและคนอื่นๆสบถกับตัวเองอย่างหมดหนทาง

แต่ทันใดนั้นเอง เหมือนว่าอวู่เฉียนจะคิดอะไรขึ้นได้ เธอจึงหันมาพูดกับเหลียวเซียวหยุนว่า

“เหลียวเซียวหยุน ในเมื่อเธอเชื่อมั่นในตัวมันมาก ถ้าอย่างนั้นกล้าเดิมพันกับฉันไหม?”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าตอบแบบมไม่คิด เอ่ยตอบอย่างมั่นใจว่า

“ได้เลย เดิมพันอะไรดีล่ะ?”

“ถ้ามันสามารถทำให้เธอขึ้นไปยืนบนตัวลูกวาฬได้ ฉันจะให้เขา100,000หยวน แต่ถ้าทำไม่ได้ เธอต้องให้ฉันตบหน้าเขาสั่งสอน โอเคไหม?”

“แสนเดียว? เป็นถึงลูกสาวประธานธนาคารยักษ์ใหญ่ ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอไงที่เสนอเดิมพันมาแค่แสนเดียว? หรือเธอรวยไม่จริง?”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับพร้อมสีหน้ารังเกียจ

อวู่เฉียนตระหนักดีว่า ตนเองเป็นคุณหนูที่ร่ำรวยขนาดไหน ดังนั้นจึงเอ่ยถามไปว่า

“เข้าใจแล้ว งั้นต้องการเดิมพันเท่าไหร่?”

“อย่างน้อยหนึ่งล้าน ก็แค่ค่าอาหารมื้อเดียวเอง อย่าบอกนะว่าจ่ายไม่ไหว?”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวเสียดเชิงยั่วยุ

หนึ่งแสนหยวนอวู่เฉียนยังพอควักออกมาในกระเป๋าตัวเองได้ แต่เงินล้านหนึ่งเธอต้องขอพ่อแม่ของเธอก่อนที่จะถอนออกมา เนื่องจากเธอยังเป็นเด็ก แต่อย่างไรอวู่เฉียนไม่ได้รู้สึกกลัวแม้สักนิด เพราะเธอมั่นใจอย่างยิ่งว่าจ้าวเฉียนไม่มีวันขอเจ้าหน้าที่ได้แน่นอน

“หนึ่งล้าน? ไม่มีปัญหา! แต่แลกกับตบหน้าเธอทีหนึ่งต่อหน้าทุกคนถือว่ายังไม่คุ้ม! งั้นฉันขอตบสิบที!”

“ไม่มีปัญหา! เป็นอันตกลง!”

เหลียวเซียวหยุนเอื้อมไปจับมือกับอวู่เฉียนทันทีหลังจากกล่าวจบ

ตอนที่144 อย่าไปยุ่งกับเขา

บรรดาทายาทเศรษฐีทั้งหลายต่างคิดแค่ว่า จ้าวเฉียนกำลังเล่นตลกฉากใหญ่ และพวกเขาก็เตรียมซ้ำเติมหวังทำให้อีกฝ่ายอับอาย แต่ใครจะไปคิดว่า หยางหมิงกลับสั่งให้อวู่เฉียนขอโทษเขาจริงๆ

อวู่เฉียนโกรธจัด ตวาดเสียงดังลั่นว่า

“นี่ฉันได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า? ให้ฉันขอโทษมัน? คุณคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร?!”

หยางหมิงรีบแย้งขึ้นทันที

“ดูผู้คนรอบตัวสิ พวกเขากำลังจับตาดูเราอยู่ เลิกทำตัวให้ดูน่าอายได้แล้ว รีบขอโทษจะได้จบๆ หรืออยากกลายเป็นกระแสดังในอินเตอร์เน็ตกัน?”

จ้าวเฉียนอดยิ้มไม่ได้ที่เห็นหยางหมิงพยายามหาเหตุผลแถสุดกำลัง

ไม่รู้เลยว่าอวู่เฉียนเป็นเด็กไอคิวต่ำหรือเธอไร้เดียงสาจริงๆ กลับเชื่อเรื่องไร้สาระของหยางหมิงเข้าอย่างจัง และกลัวตกเป็นข่าวบนโลกอินเตอร์เน็ต

“ถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นชนชั้นสูง จะให้มีข่าวว่าเกลือกกลั้วกับพวกชั้นต่ำไม่ได้เด็ดขาด ถ้าทุกคนเห็นภาพถ่ายที่พวกเรามาเที่ยวกับไอ้ขยะแบบนี้ขึ้นมา จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน? จงภูมิใจซะนะที่คนต้ำต้อยอย่างนายได้รับเกียรติฟังคำขอโทษจากฉัน ขอโทษพวกเธอทั้งคู่แล้วกัน”

อวู่เฉียนเหลือบหางตามองจ้าวเฉียนด้วยความรังเกียจ

ไม่ว่าอวู่เฉียนจะขอโทษจากใจจริงหรือไม่เต็มใจขอโทษ ถึงอย่างนั้น ถือว่าคำขอของจ้าวเฉียนได้สิ้นสุดลงแล้ว

จ้าวเฉียนหันมาพูดกับเหลียวเซียวหยุนว่า

“พอใจแล้วรึยัง?”

“ฉันไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ชั่งมันเถอะ ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวตอบออกไปอย่างเฉยเมย

จ้าวเฉียนนึกไม่ออกเลยว่า แท้จริงแล้วเหลียวเซียวหยุนเป็นคนแบบไหนกันแน่ ทีแรกก็ดูน่ารักไร้เดียงสา แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ซ่อนความเจ้าเล่ห์อยู่ไม่น้อย

กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวตรงเข้าสู่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เพื่อเยี่ยมชมบรรดาสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล พวกเขากำลังมุ่นอยู่กับการถ่ายรูป ซึ่งสถานที่แบบนี้จ้าวเฉียนมาแทบทุกเดือนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก และค่อนข้างคุ้นชินกับสัตว์ชนิดต่างๆในทะเลเป็นอย่างดี

แต่กลุ่มคนพวกนี้คิดว่า จ้าวเฉียนเป็นคนจน คงไม่มีโอกาสมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้แน่นอน เรื่องชนิดสัตว์น้ำยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาไม่มีความรู้แน่นอน ดังนั้นจำต้องใช้โอกาสนี้อวดเบ่งต่อหน้าเขา

“แฟนของเซียวหยุน รู้ไหมว่าสัตว์ชนิดนี้คืออะไร?”

เจียงหลี่หลินเอ่ยถามพร้อมชี้นิ้วออกไป จ้าวเฉียนมองไปยังแมงกะพรุนตัวหนึ่งมีชั้นใยแก้วสีใสขนาดใหญ่ก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาส่ายหน้าและตอบไปแค่ว่า

“ไม่รู้ครับ คุณทราบหรอว่ามันคืออะไร?”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะเยาะ

“ไม่แปลกหรอกที่คนจนอย่างนายจะไม่รู้ คงเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกสินะ? ช่างน่าสงสารจริงๆ!”

อวู่เฉียนพยายามกลั้นขำจนเนื้อตัวสั่นเทา

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจเธอหรือคนอื่นใดแม้แต่น้อย และเดินไปดูปลาอีกฝั่งหนึ่งอย่างสนอกสนใจ ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างแห่กันเดินติดตามเข้าไปเช่นกัน

“หยางหมิง คุณรู้ไหมว่าปลาตัวนั้นมีชื่ว่าอะไร?”

อวู่เฉียนเอ่ยถามขึ้นพร้อมชี้ปลาตัวที่จ้าวเฉียนกำลังดูอยู่

หยางหมิงคลี่ยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า

“มันคือปลา แอลเจิ้ลฟิช อาศัยอยู่ในน้ำลึกบริเวณเขตร้อน ต้นกำเนิดสายพันธุ์มาจากมหาสมุทรอินเดีย”

อวู่เฉียนปรบมือชื่นชมและกล่าวขึ้นว่า

“ว้าว! สุดยอดจริงๆ! ฉันไม่ยักรู้เลยว่าคุณจะมีความรู้รอบตัวขนาดนี้!”

ในเวลาเดียวกัน เจียงหลี่หลินก็ชี้ไปที่ปลาหลากสีสันตัวหนึ่งที่แวกว่ายอยู่ เธอเอ่ยถามแฟนหนุ่มขึ้นว่า

“ปลาตัวนั้นสีสวยจังเลย มันมีชื่อว่าอะไรเหรอที่รัก?”

แฟนหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าวตอบไปว่าสุขุมว่า

“มีชื่อภาษาถิ่นว่า ปลาเทวดา เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในตรักูลเกียวกับปลาหมอ โดยส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเขตน้ำอุ่น ถ้าจับมาเลี้ยงดูให้ดี อาจเพาะพันธุ์เป็นสีน้ำเงิน หรือทองก็ได้”

“เก่งจัง นายไม่เพียงหาเงินเก่งเท่านั้นนะ แม้แต่ความรู้รอบตัวก็ยังมีมาก เวลาว่างหลังจากทำงานแฟนฉันชอบอ่านหนังสือน่ะ”

ครึ่งแรกเจียงหลี่หลินเอ่ยชื่นชมแฟนหนุ่มของตน ก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะหันมาบอกกับเพื่อนๆ

“เวลาว่างผมชอบอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอน่ะครับ ถ้าเป็นคนทั่วๆไปคงเอาแต่เล่นเกมหรือไปเที่ยวจีบสาว แต่สำหรับผมการอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้สำคัญที่สุดครับ”

เจียงหลี่หลินกอดแขนแฟนหนุ่มแน่นอย่างมีความสุข พร้อมกล่าวว่า

“ฉันโชคดีจริงๆที่มีแฟนอย่างนาย หุหุ…”

……

จ้าวเฉียนและเหลียวเซียวหยุนดูพวกนั้นอวดแฟนกันใหญ่ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่จ้าวเฉียนอีกครั้ง

‘เป็นยังไงล่ะ? แฟนของพวกฉันสุดยอดไปเลยใช่ไหม? ไอ้แฟนขยะของเธอมันเทียบชั้นไม่ติด!’

นี่คือความคิดของกลุ่นวัยรุ่นหนุ่มสาวเหล่านั้นที่สอดคล้องกันอย่างน่าประหลาด

อวู่เฉียนเป็นพวกคุณหนูขี้แต่ใจตัวเอง เธอต้องสร้างความอับอายให้จ้าวเฉียนมากกว่านี้ ดังนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ปลาอีกตัวและเอ่ยถามว่า

“แฟนของเซียวหยุน รู้ไหมว่าปลาตัวนั้นชื่ออะไร?”

ทันใดนั้นทุกคนต่างระเบิดหัวเราะเยาะลั่นทันที

“อวู่เฉียน หาปลาธรรมดาๆให้เขาทายหน่อยสิ ปลาหายากแบบนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะไปรู้ได้ยังไง?”

“ถูกต้อง อย่างน้อยๆก็เกรงใจเซียวหยุนหน่อยจะตีสุนัขต่อหน้าเธอไม่ได้นะ”

“ใช่แล้วๆ เปลี่ยนคำถามเถอะ เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”

…….

จ้าวเฉียนจำได้ในทันทีว่านั้นคือ ปลาปักเป้าหกแฉก แต่เขาไม่คิดที่จะอยากอวดอ้างกับกลุ่มคนไร้สาระพวกนี้ ขณะที่กำลังจะส่ายหัวและตอบไม่รู้นั้น เหลียวเซียวหยุนก็กล่าวแทรกขึ้นทันควันว่า

“เรื่องง่ายๆแบบนี้เขาจะไม่รู้ได้ยังไง จ้าวเฉียนบอกพวกเขาไปสิว่า ปลาตัวนี้ชื่ออะไร คิดซะว่าเพิ่มพูนความรู้ใส่สมองพวกนั้น”

ทัศนคติของเหลียวเซียวหยุนค่อนข้างชัดแจ้งอย่างยิ่ง เธอต้องการให้จ้าวเฉียนแข่งกับพวกเขา

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบไปว่า

“ปลาชนิดนี้ชื่อว่า ปลาปักเป้าหกแฉก จุดเด่นของปลาชนิดนี้คือ ส่วนครีบและหางจะสั้นประมาณ2-3เซนติเมตร หนามของมันมีพิษร้ายแรง เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำแน บริเสณแนวปะการังน้ำจืด…”

จ้าวเฉียนแนะนำปลาชนิดนี้อย่างละเอียด รายยาวจนไปถึงวงจรการวิวัฒนาการของมันในรอบ100ปีภายในอึดใจเดียว ทุกคนรอบข้างได้อ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

อวู่เฉียนกล่าวน้ำเสียงรวนเรดูไม่ค่อยมั่นใจว่า

“พูดมัวๆออกมาแบบนี้ใครก็พูดได้! ใครจะไปรู้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้น? คำพูดของไอ้หมอนี่ไร้สาระจริงๆ”

เหลียวเซียวหยุนเหลือบมองอีกฝ่ายเจือสีหน้ารังเกียจ และกล่าวสวนไปว่า

“อวู่เฉียน ถ้าหุบปากไปบ้างก็ไม่มีใครว่าเธอโง่หรอกนะ เธอจงใจขัดขาแฟนฉัน ที่จ้าวเฉียนพูดไปเป็นความจริงหรือไม่ก็ลองค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตดูสิ ไม่ใช่พูดจาไร้สาระกล่าวหาคนอื่นส่งเดช”

บรรยากาศเย็นยะเยือกลงในชั่วอึดใจ ทุกคนกังวลอย่างหนักว่า เหลียวเซียวหยุนจะเปิดฉากทะเลาะกับอวู่เฉียน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบชักชวนพาทั้งคู่ออกไปดูสัตว์น้ำชนิดอื่นๆแทน

จ้าวเฉียนจงใจชะลอความเร็วลงอย่างชัดเจน เดินห้อยท้ายกลุ่มคล้ายว่ากำลังรอใครบางคน

ไม่นานนัก หยางหมิงเองก็ชะลอความเร็วลงเช่นกันเพื่อรอจ้าวเฉียน

“วันนี้พวกเราถือซะว่ามาเดินเล่นแล้วกัน พยายามอย่าก่อเรื่องแล้วกัน แล้วไอ้มือถือเครื่องนั้นเก็บได้เก็บไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันเสียวภาพหลุด!”

หยางหมิงกระซิบกระสากข้างหู่จ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เขาตอบไปว่า

“ผมยังไม่ได้ก่อปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ นายน้อยหยางควรเฝ้าอวู่เฉียนให้สงบปากสงบคำหน่อยนะครับ เห่าไม่เลิกแบบนี้ ถ้าผมเหลืออดขึ้นมาก็อย่าหาว่าไม่สุภาพดลยนะครับ บางทีทั้งไฟล์คลิปกับไฟล์ภาพทั้งหมดอาจจะหลุดวอนอินเตอร์เน็ตในชั่วอึดใจ!”

หยางหมิงทั้งกลัวและโกรธจัดในเวลาเดียวกัน แต่ต่อหน้าจ้าวเฉียนที่ถือไพ่ในมือเหนือกว่า เขาจำใจกล่าวเสียงอ่อนว่า

“เข้าใจแล้วน่า ไม่ต้องห่วง”

คล้อยหลังพูดจบ หยางหมิงก็รีบวิ่งตามกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวไปติดๆ เขาจะต้องทำให้อวู่เฉียนอารมณ์ดีและไม่ให้ไปก่อปัญหาแก่จ้าวเฉียนอีกเด็ดขาด

“คุณไปคุยอะไรกับมัน?”

อวู่เฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

หยางหมิงยิ้มหวานให้โดยปราศจากร่องรอยความน่าสงสัย

“ไม่มีอะไร แค่ไปเตือนให้เขาหยุดก่อปัญหาเฉยๆ ระดับชนชั้นของพวกเรากับมันห่างกันเกินไป ทางที่ดีเธอไม่ควรไปยุ่งกับเขาแล้วดีกว่านะ”

อวู่เฉียนจับจ้องหยางหมิงด้วยความหลงใหล เธอยิ้มตอบไปว่า

“คุณเป็นคนใจกว้างจริงๆ ให้ความเมตตากับพวกเดนมนุษย์ได้ แต่มันบังอาจทำให้ฉันต้องขุ่นเคือง คุณต้องเอาคืนให้ฉันนะ”

หยางหมิงโอบกอดอวู่เฉียนแน่นพร้อมปลอบโยนไปว่า

“โอเค โอเค แต่ตอนนี้เราออกมาเดทกัน ดังนั้นปล่อยวางเรื่องพวกนี้ไปก่อนดีกว่าจริงไหม? โลกใต้ท้องทะเลยังรอเราอยู่ตรงหน้า ไปเดินต่อกันเถอะ”

“ค่ะ”

อวู่เฉียนยิ้มตอบอย่างมีความสุข

จากนั้นทั้งสองก็ควงคู่เดินเที่ยวชมสัตว์น้ำกันต่อ

ตอนที่143 ใครควรขอโทษ

ในไม่ช้ากลุ่มหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ตรงไปที่จุดจำหน่ายตั๋ว เหลียวเซียวหยุนสุดท้ายก็ทนไม่ได้ เพื่อนเข้ามาง้อจนต้องกลับไปรวมกลุ่มกันใหม่ พวกเขารอให้อวู่เฉียนกับหยางหมิงไปซื้อตั๋วกลับมาแจกจ่าย

ประมาณสิบนาทีต่อมา อวู่เฉียนตรงเข้ามาพร้อมควงแขนของหยางหมิงเข้ามา

“เอานี่ตั๋วสำหรับทุกคน”

อวู่เฉียนแจกจ่ายอย่างยิ้มแย้ม

ในขณะเดียวกัน ลึกๆแล้วเหลียวเซียวหยุนก็อดใจไม่ได้เช่นกัน ที่จะได้เห็นจ้าวเฉียนกับหยางหมิงปะทะกัน

“ขอบคุณนะจ๊ะ”

เหลียวเซียวหยุนยิ้มตอบจากนั้นก็รับตั๋วมาสองใบ

อวู่เฉียนกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มแสนเหยียดหยันบนมุมปากว่า

“เซียวหยุนอย่าลืมแนะนำแฟนจนๆของเธอให้ว่าที่แฟนใหม่ฉันได้รู้จักด้วยนะ”

“โอ๋?”

หยางหมิงอุทานขึ้นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

ในเวลานั้นเองจ้าวเฉียนที่มัวแต่หันหลังอยู่ ก็เหลียวกลับมาสบตากับหยางหมิงโดยตรง

“นายน้อยหยาง ช่าบงเป็นเรื่องบังเอิญอะไรแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะพบกันอีกแล้ว หรือเป็นไปได้ไหมว่า มันจะเป็นพรมลิขิต? ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ผมคงขอคุณแต่งงานแล้ว”

จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นพร้อมยิ้มเยาะ

หยางหมิงถึงกับสะดุ้งโหย่วกระโดดชี้หน้าใส่ทันควัน ตะโกนลั่นว่า

“ทำไม…ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่ได้? นาย…นายเหรอแฟนใหม่ของคุณหนูเหลียวเซียวหยุน? แล้วหวานเจียงล่ะ? นี่นายควบสองเลยงั้นเหรอ?!”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก กล่าวตอบกลับไปว่า

“ผมมาเดทกับแฟนสาวอีกคนเหมือนกับคุณนั้นแหละ ถ้าว่าผมควบสอง คุณเองก็ควบสองไม่ใช่เหรอ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมไม่พูดคุณไม่พูด ไม่มีใครรู้”

“นี่นายไม่กล่าวเลยรึไงว่า หวานเจียงจะโกรธขนาดไหนถ้าเธอรู้เข้า?”

หยางหมิงเอ่ยถามเชิงข่มขู่

“ถ้าคุณไม่บอก ผมไม่บอก แล้วเธอจะรู้ได้ไง? เว้นเสียแต่นายน้อยหยางของผมเป็นพวกใส่กระโปร่ง ลิ้มสองแฉก พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับผมออกไปหลับหลัง”

จ้าวเฉียนยิ้มกล่าวพร้อมใบหน้าแสนทะเล้น

หยางหมิงมองตาข้างด้วยความโกรธ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ในเวลานั้นเองอวู่เฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไมคุณถึงรู้จักคนจนๆแบบไอ้หมอนี่ด้วย? มันไปทำอะไรให้คุณหรือเปล่า?”

หยางหมิงไม่กล้าบอกความจริงไป เพียงแต่แต่งเรื่องไร้สาระออกไปเท่านั้น

“ก็เรื่องเล็กน้อย ขัดแย้งในด้านธุรกิจน่ะ เวลาเจ้านี่ทำธุรกิจชอบข่มขู่คนอื่น ขยี้จุดอ่อนจนต้องยอมทำตามมัน ช่างเถอะ พูดไปก็อารมณ์เสีย วันนี้ไปเดินเที่ยวกันให้สนุก!”

“เดี๋ยวก่อน! แล้วผู้หญิงที่ชื่อหวานเจียงคือใคร?”

อวู่เฉียนยังคงเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย

“แฟนสาวของเจ้านั่นแหละ คุณหนูคนโตแห่งฮวาหยิน กรุ๊ป”

หยางหมิงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเจือเศร้าสร้อย

“โอ้โห? ที่แท้มันก็เป็นแมงดามืออาชีพเลยไม่ใช่เหรอ? หลอกเอาเงินโดยการคบหาผู้หญิงรวยๆ เซียวหยุนได้ยินที่แฟนฉันพูดไหม? ไอ้หมอนี่มันหลอกคบกับเธออยู่นะ! ไร้ยางอายจริงๆ!”

อวู่เฉียนถึงกับชี้หน้าด้านจ้าวเฉียนด้วยถ่อยคำหยาบคาย

จ้าวฉเฉียนไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะปะทะกับหยางหมิง และเขาเองก็ไม่คิดที่จะเถียงกับผู้หญิงโง่แบบอวู่เฉียนด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงยิ้มตอบกลับเสียงเรียบไปว่า

“คุณอวู่ พูดกันอย่างสุภาพชนนะครับ คุณมีหลักฐานอะไรที่มากล่าวหาผม? ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรเลยก็หยุดเห่าสักทีเถอะครับ มันน่ารำคาญ”

“ไอ้เวร! แกว่าใครเห่ากันห่ะ?!”

อวู่เฉียนตะโกนสวนกลับไปทันที

“ใครมาเห็นก็รู้ว่าคุณกำลังเห่าอยู่ไงครับ ถ้างั้นผมเปลี่ยคำเรียกก็ได้ หญิงเสียสติแล้วกัน”

จ้าวเฉียนตอกกลับอย่างไร้ปราณี

“เซียวหยุน เธอยังจะเอาผู้ชายต่ำทรามแบบนี้ลงอีกงั้นเหรอ?! ถ้าเธอยังโง่อยู่แบบนี้ ฉันจะทำให้เลิกกันเอง!”

อวู่เฉียนแหกปากโวยวายเสียงดังลั่น

หยางหมิงตบไหล่อวู่เฉียนเบาๆ กล่าวปลอบโยนไปว่า

“ใจเย็นน่า ใจเย็น เดิมทีเขามีชีวิตที่ลำบากมาก แต่ก่อนเป็นพนักงานกินเงินเดือนจนๆ แต่ดันโชคดีถูกล็อกเตอรี่เลยได้เงินมาสร้างตัวก้อนหนึ่ง ส่วนแฟนเก่าของเขาก็คิดกลับใจ อยากมาคบกับเขาใหม่ เพราะเห็นแก่เงิน แค่นี้ชีวิตของเขาก็ยากลำบากพอแล้ว อย่าไปซ้ำเติมเลย”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น

“ที่แท้ก็มีประสบการณ์เลวร้ายมาก่อนี่เอง! อย่าโทษผู้หญิงพวกนั้นเลย ถ้านายไม่ทำแบบนี้คงอยู่รอดในเมืองตงไห่ยาก!”

“ถูกต้อง ที่ดินทุกตารางนิ้วของที่นี่แพงมาก บ้านหลังหนึ่งก็ตกหลายล้าน แค่ที่อยู่ยังไม่มีปัญหาซื้อ ก็เลยต้องเกาะคนอื่นกิน?”

“ฮ่าฮ่าๆๆ….”

วันนี้จ้าวเฉียนไม่ใช่จ้าวเฉียนคนเดิมเมื่อห้าปีก่อนอีกแล้ว ในระยะเวลาที่ผ่านมา เขาต้องทำงานอย่างหนัก ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเพ่งมาโดยตลอด และทั้งหมดนั้นทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมาก

แม้คนเหล่านี้จะพูดจาไม่ดียังไง แต่เขาก็ไม่คิดที่จะหาเรื่องทะเลาะกับพวกเขา สุดท้ายนี้เขายังมองเป้าหมายมาก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากวันนี้ผ่านพ้นไป เขาจะดิลกับบริษัทคู่ค้าได้สำเร็จ

แต่เหลียวเซียวหยุนไม่ยอมโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน ที่เธอขอให้เขามาด้วยก็เพื่อสั่งสอนอวู่เฉียน หญิงสาวสันดานสุนัขคนนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงวันนี้ เหลียวเซียนหยุนจะต้องทำให้อวู่เฉียนอับอายชนิดที่ว่าต้องแทรกแผ่นดินหนี!

ตอนนี้ยังปล่อยไปก่อน เธอยังมีเวลาเหลืออีกมากพอที่จะทำให้อวู่เฉียนอับอาย ดังนั้นเหลียวเซียวหยุนจึงสวนตอบกลับไปอย่างไม่แยแส แม้กระทั่งจ้าวเฉียนที่อยู่ข้างๆยังต้องตะลึง

“ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะมีแฟนกี่คน ขอแค่เขารักฉันมากกว่าเธอคนนั้นก็พอ ว่าไงล่ะ…นายรักใครมากกว่ากัน?”

“เอ่อ…ถามแบบนี้มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เอ่อ…หมายถึง…คุณไม่ควรแกล้งผมเล่นแบบนี้นะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างลังเล

คนอื่นๆต่างไม่เข้าใจเช่นกันว่า เพราะเหตุใดเหลียวเซียวหยุนถึงพูดออกไปแบบนั้น พวกเขาต่างสบตากันไปมาด้วยความงงงวย

“หึ! ฉันไม่มีอารมณ์เที่ยวแล้ว! ถ้ารักเธอคนนั้มากกว่าก็ไปขอร้องเธอแล้วกัน พรุ่งนี้หรือวันไหนๆก็ไม่ต้องมาหาฉันแล้ว!”

จู่ๆเหลียวเซียวหยุนก็หัวเสียอย่างไม่มีเหตุผล เธอสะบัดหน้าหนีและเดินจากออกไปทันที แต่จ้าวเฉียนก็รีบคว้าแขนเธอเอาไว้ได้ทัน

ถ้าอีกฝ่ายบอกว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องมาหาเธอแล้ว นั้นหมายความว่าการเจรจาขอความร่วมมือก็จะตกเป็นโมฆะเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าอะไรจ้าวเฉียนก็จำใจต้องยอมเธอไปก่อน

“นายน้อยหยาง เห็นไหมคุณทำให้เธอโกรธแล้ว รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้เลย!”

จ้าวเฉียนหันไปพูดกับหยางหมิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เปล่งดังออกมา ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะกันลั่น

“ฮ่าฮ่าๆๆ…คุณจ้าวไปเอาความมั่นใจขนาดไหนถึงกล้าพูดแบบนี้ออกมา? คุณรู้ไหมว่าเขาคือใคร? เขาเป็นถึงทายาทเฟยอวี่ กรุ๊ป อายุเท่าไหร่แล้วห่ะ? ถึงทำอะไรไร้เดียงสาแบบนี้? ฮ่าฮ่าๆๆ…ฉันขำจะตายแล้ว!”

แฟนหนุ่มของเพื่อนเหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามอย่างเย้ยหยัน

“ฮ่าฮ่า…เขาคงคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เป็นทายาทมหาเศรษฐีล็อคเตอรี่มั่ง ไม่ก็ฝันกลางวันอยู่ ถึงแยกไม่ออกระหว่างความฝันกับความเป็นจริง จนคิดว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง!”

คนอื่นๆต่างระเบิดหัวเราะเยาะและพยายามเอาชนะจ้าวเฉียนด้วยคำพูดถากถาง

อวู่เฉียนยิ่งเดือดจัด เธอชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนโดยตรงว่า

“แกมันต้องโง่ขนาดไหนถึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! เหลียวเซียวหยุน ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นแก่หน้าเธอหรอกนะ แต่แฟนจนๆของเธอ มันทำตัวน่ารังเกียจเกินไป! อย่าให้มีครั้งต่อไปนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตบหน้ามันสั่งสอน! แล้วจะกลับไปฟ้องพ่อให้ระงับบัญชีธนาคารของมัน! รู้ไว้ด้วยว่าพ่อฉันเป็นถึงเจ้าของธนาคาร ถ้าไม่รีบกราบเท้าฉันกับหยางหมิง ก็เตรียมตัวไปเป็นขอทานได้เลย!”

ที่อวู่เฉียนกล้าทำแบบนี้เพราะตัวเองเป็นถึงลูกคุณหนู และยังมีว่าที่แฟนหนุ่มที่เป็นถึงทายาทเศรษฐีอย่างเฟยอวี่ กรุ๊ป ดังนั้นมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องกลัวจ้าวเฉียน?

ไม่ว่าบริษัทที่จ้าวเฉียนก่อตั้งมาจะใหญ่โตแค่ไหน แต่ถ้าโดนปิดบัญชีและยัดข้อหาโกงเข้าไปก็จบเห่อยู่ดี แถมการจะยัดหนี้สินจำนวนแสนล้านให้โดยไร่ร่องรอยยังทำได้ไม่ยาก เพราะพ่อของเธอเป็นถึงเจ้าของธนาคารใหญ่ในเมือง

เหลียวเซียวหยุนยังเป็นแค่นักศึกษา ความคิดวิเคราะห์ยังไม่ละเอียดและลึกเท่าจ้าวเฉียน และเธอเองก็คาดไม่ถึงเลยว่า อวู่เฉียนจะใช้วิธีนี้เล่นงานจ้าวเฉียน

ถ้าลำพังเงินออมของเธอจ่ายหนี้ให้จ้าวเฉียนไม่พอ เธอต้องไปหาให้พ่อของเธอช่วยแน่นอน แต่นั้นก็จะยิ่งทำให้เรื่องมันบานปลายเข้าไปใหญ่

แล้วอีกอย่างถึงจะช่วยจ้าวเฉียนได้ เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของตระกูลหยางไหวไหม?

คนอื่นๆต่างคลี่ยิ้มกว้างราวกับกำลังเฝ้าดูเรื่องตลกของจ้าวเฉียน คนประเภทนี้ในสายตาของพวกเขา มันไม่ต่างอะไรจากขอทานเลย การที่มีขยะแบบนี้มาร่วมวงด้วย ไม่เพียงรู้สึกว่าโดนดูถูกศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังทำให้สถานะของพวกเขาต่ำลงอีกต่างหาก

จ้าวเฉียนเหลืบอมองหยางหมิงอย่างเมยเฉย ไม่มีท่าทาโกรธเกรี้ยวหรือหวาดกลัวเลยสักนิด พร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบไปว่า

“นายน้อยหยาง คุณคิดว่าเธอควรตบผมไหม?”

หยางหมิงย่อมเป็นต่อจ้าวเฉียนอยู่ในขณะนี้ เพราะอีกฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าเขา

“อย่าไปตำหนิเสี่ยวเฉียนเลย เธอก็โวยวายไปตามภาษาผู้หญิงนั้นแหละ ฉันสัญญาเลยว่า จะไม่ปล่อยให้เธอละลานนายอีก แต่นายต้องขอโทษเธอก่อน”

หยางหมิงกล่าวตอบกลับไปด้วยความรู้สึกผิด

“ฮ่าฮ่า…นายน้อยหยาง ไม่ทราบว่าหูหนวกหรือเปล่าครับ? ผมบอกว่าให้คุณขอโทษแฟนผม ไม่ใช่ให้มาขอโทษผม แล้วไม่ทราบว่าเหตุใดผมต้องขอโทษเธอด้วย? คงคิดว่าเท่มากใช่ไหมครับที่ได้พูดคำนี้ ลองพูดอีกทีสิครับ…ไม่งั้น…”

คล้อยหลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็หยิบมือถือตัวเองขึ้นมา และชี้ไปที่ไฟล์คลิปและภาพหลุดบนนั้น

หยางหมิงถึงกับเหงื่อนตกในทันใด ถ้าหากภาพกับคลิปพวกนั้นหลุดว่อนอินเตอร์เน็ต มีหวังเฟยอวี่ กรุ๊ปถึงคราวขะตาขาดเป็นแน่!

“เสี่ยวเฉียน ผมว่าคุณควรขอโทษเขานะ รีบๆขอโทษเรื่องจะได้จบไป”

เมื่อหยางหมิงกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ทุกคนที่กำลังเฝ้ามองอย่างร่าเริงก็พลันเงียบสงัดลงทันใด

ตอนที่142 ทายาทเศรษฐี

จ้าวเฉียนถูกเหลียวเซียวหยุนกอดแขนลากออกมาอย่างแนบแน่นผ่านแผนกต้อนรับไป พนักงานสาวคนนั้นถึงกับตกตะลึงอย่างมาก เพียงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาทั้งคู่ก็สนิทสนมกันถึงขนาดนี้แล้วเหรอ?

ในฐานะลูกสาวของประธานบริษัทหัวโหย้ว รถของเหลียวเซียวหยุนย่อมไม่ใช่ธรรมดา เป็นถึง lamborghini huracanสีน้ำเงิน ส่วนรถของจ้าวเฉียนเป็นแค่จากัวร์ธรรมดา ชิดซ้ายไปได้เลย

“สีน้ำเงินดูมีภูมิฐาน เหมาะสมกับคุณดีนะครับ”

จ้าวเฉียนกล่าวชื่นชม

เหลียวเซียวหยุนรู้สึกขบขันไม่ใช่น้อยกับคำพูดของจ้าวเฉียน เธอกล่าวตอบไปว่า

“นี่นายพูดจริงใช่ไหม? ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อท่าไหร่ บางที…นายอาจจะพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนก็ได้?”

“ผมโกหกคุณไปก็ไม่ได้อะไร แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ…ทำไมต้องพาผมไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ?”

เหลียวเซียวหยุนคลี่ยิ้มแปลกๆ เธอกล่าวตอบไปว่า

“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยดีกว่า ไปถึงที่นั่นเดี๋ยวก็รู้เอง รีบขับรถไปเถอะ ไม่งั้นอาจสายได้นะ”

จ้าวเฉียนรีบพยักหน้าและขึ้นรถขับไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ

รถlamborghiniคันนี้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนตลอดทางไป แต่อย่างไรตอนนี้เขาไม่ได้ชื่นชอบรถสปอร์ตเหมือนในอดีตแล้ว เพราะเขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของคนอื่น

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หลังจากจอดรถเสร็จ เหลียวเซียวหยุนก็โทรศัพท์หาใครบางคน พลางเดินควงคู่ไปพร้อมกับจ้าวเฉียน

“เซียวหยุน ทางนี้!”

เธอรีบลากจ้าวเฉียนตามสุ้มเสียงเรียกไปทันที

จ้าวเฉียนมองไปยังกลุ่มวัยรุ่นที่ส่งเสียงเรียก ปรากฏว่าเป็นบรรดาหนุ่มสาวที่กำลังโบกมือให้ เท่าที่นับดูมีทั้งหมดเก้าคนสี่คู่ ซึ่งอีกคนเป็นสาวโสด

ตอนนี้จ้าวเฉียนเข้าใจอย่างกระจางแจ้งแล้วว่า ทำไมเหลียวเซียวหยุนถึงต้องพาเขามาที่นี่ บรรดาเพื่อนฝูงล้วนมากันเป็นคู่ คงน่าอายไม่น้อยถ้าเหลือเธอเป็นส่วนน้อยที่โสดสนิท

เหลียวเซียวหยุนรีบเอ่ยปากทักทายเพื่อนๆ จากนั้นก็แนะนำตัวจ้าวเฉียนให้คนอื่นฟัง

“ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือแฟนฉันเอง เขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย หวังว่าพวกเธอจะไม่แกล้งเขากันนะ”

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เขาคาดเดาจุดประสงค์ของเหลียวเซียวหยุนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

เหลียวเซียวหยุนหันมาพูดกับจ้าวเฉียนไปว่า

“จ้าวเฉียน พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง หวังว่าจะเข้ากับพวกเขาได้นะ?”

เธอกังวลว่าจ้าวเฉียนจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ จึงกระพริบตาส่งซิกให้อย่างลับๆ

ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากทำให้เหลียวเซียวหยุนต้องขายหน้า จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มให้ทุกคนและกล่าบทักทายอย่างสุภาพว่า

“สัวสดีครับ ผมชื่อจ้าวเฉียน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อยด้วยความเคารพ แต่ความเป็นมิตรของเขากลับไม่ได้แลกมาซึ่งความเป็นมิตรของพวกเขาที่มีให้เลย

“เซียวหยุน เธอยังสติดีอยู่รึเปล่า? ทำไมถึงหาแฟนได้สถุนแบบนี้?”

“นั้นสิ! เขาดูหล่อก็จริงแหละ แต่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งตัวแล้ว คงเป็นพวกยากจนอ่ะ ภูมิหลังครอบครัวคงไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”

“เซียวหยุน พวกเราบอกไปก่อนหน้าแล้วไงว่า พวกเราไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเธอยังหาแฟนไม่ได้ แต่ไม่เห็นต้องลงไปเกลือกกลั้วกับคนจนแบบนี้เลย”

เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนดูถูกจ้าวเฉียนชนิดที่ว่าไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เขาไม่ดีพอสำหรับเหลียวเซียวหยุน

เหลียวเซียวหยุนยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก และตอบกลับไปว่า

“พวกเธอคิดมาเกินไปแล้ว ฉันชอบเขาจริงๆนะ ดังนั้นช่องว่างระหว่างสถานะจึงไม่เกี่ยวเลย ถึงตอนนี้เขายังมีเงินไม่มากนัก แต่ครอบครัวของฉันก็รวยพอที่จะเลี้ยงเขาไปจนตาย”

ทุกคนต่างไม่ยอมแพ้และพยายามเกลี้ยกล่อมเหลียวเซียวหยุนต่อไป

“แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าคุณพ่อของเธอรู้เข้าจะรู้สึกยังไง? จะเห็นด้วยกับพวกเธอสองคนงั้นเหรอ?”

“ถูกต้อง ค่อยๆหาไปเดี๋ยวก็เจอคนที่ใช่เองนั้นแหละ พวกเธอสองคนคบกันไปก็มีแต่หายนะ”

“เสี่ยวหยุน ฟังที่พวกเราแนะนำหน่อยเถอะ รีบๆบอกเลิกมันซะ ไม่อย่างนั้นเธอได้เสียใจทีหลังแน่นอน”

เหลียวเซียวหยุนก็ยังเอาแต่ชื่นชมจ้าวเฉียนไม่หยุดหน่อย เธอเคยเห็นความกล้าหาญของจ้าวเฉียนมากับตาในงานราตรีคืนนั้น และเหตุการณ์นั้นเองก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกชอบจ้าวเฉียนมากยิ่งขึ้น

เมื่อได้ฟังคำเกลียกล่อมของบรรดาเพื่อนฝูง เธอกลับคิดว่านี่มันตลกมาก และอดหัวเราะดังลั่นไม่ได้

จ้าวเฉียนดูลำบากใจไม่น้อยในขณะนี้ และไม่คิดเลยว่าบรรดาเพื่อนๆของเหลียวเซียวหยุนจะดูถูกดูแคลนเขาถึงขนาดนี้ และข้อสำคัญคือ เขาไม่ใช่แฟนของเหลียวเสี่ยวหยุน ถ้าคนรู้จักมาเห็นเขาอาจกระทบกับชื่อเสียงของตนได้

เจียงหลี่หลินกล่าวโอ้อวดขึ้นทันที

“เสี่ยวหยุน นี่เธอกำลังหน้ามืดตามัวเข้าขั้นวิกฤตเลยนะ อย่างน้อยๆคนที่จะคู่ควรกับพวกเราต้องมีภูมิฐานที่ดีหน่อย อย่างแฟนฉันเนี่ย ที่บ้านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีเงินตั้งหลายพันล้านหยวน”

หวังชิงกล่าวชมแฟนตัวเองเช่นกัน

“จางซูแฟนของฉันเองก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ครอบครัวของเขาผูดขาดกับตลาดนี้เกือบทั้งหมดในเขตไห่เป่ย”

เจวียนหมิงเอ่ยก็เหลือบหางตามองจ้าวเฉียนด้วยความรังเกียจ และหันไปกอดแขนแฟนหนุ่มอย่างแนบแน่น โดยกล่าวว่า

“หวางกันแฟนฉันทำงานกับการสร้างโครงการบ้านจัดสรรเหมือนกัน กำลังปีหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยล้าน”

เฉินเสี่ยวเฉียงเห็นทุกคนต่างอวดแฟนก็ไม่ยอม กล่าวชื่นชมแฟนตัวเองขึ้นว่า

“เฉียนหมินแฟนฉันเองก็เปิดธุรกิจร้านอาหารกว่า30สาขาภายในเมืองนี้ ลำพังแค่สาขาเดียวยังไม่มีปัญหาซื้อมาเลยมั่งแฟนเธอน่ะ? อย่าเอามาเทียบชั้นกับแฟนพวกเราเชียวล่ะ!”

และสาวโสดเพียงคนเดียวในบรรดาเพื่อนฝูงของเหลียวเซียวหยุนมีชื่อว่า อวู่เฉียน เธอเองก็พยายามกล่าวโอ้อวดเหมือนกันว่า

“ถึงคนที่ฉันกำลังคุยอยู่ยังไม่ได้คบหาเป็นแฟน แต่เขาเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดเฟยอวี่ กรุ๊ป! แพลตฟอร์มไลฟ์สตีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศ! เมื่อเร็วๆนี้แพลตฟอร์มเฟยอวี่ มีมูลค่าทรัพย์สินพุ่งสูงขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อน เมื่อไหร่ที่ฉันเป็นแฟนกับเขา คงสบายไปอีกนาน!”

จ้าวเฉียนหันไปมองเหลียวเซียวหยุพร้อมรอยยิ้มขื่นบนใบหน้า เธอเองก็ยิ้มตอบอย่างรู้สึกผิดเช่นกัน เธอไม่รู้มาก่อนเช่นกันว่า คนที่อวู่เฉียนกำลังคุยด้วยจะเป็นหยางหมิง

ในเวลานั้นเอง แฟนของเจียงหลี่หลินก็ก้าวออกมาตวาดใส่จ้าวเฉียนว่า

“เฮ้! นายกล้าดียังไงมาคบหากับเสี่ยวหยุน? อยากมีหน้ามีตาในสังคมขนาดนั้นเลยรึไง? ทุกคนในแวดวงทายาทเศรษฐีต่างคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แล้วแกมาจากไหนว่ะ? คิดจะมาเกาะผู้หญิงกินรึไง? หน้าอย่างแกมีคุณสมับัติอะไรมาควงแขนกับเธอหะ?! กลับจากอเมริกาแล้วยังไง ทำงานประจำจะได้เงินเดือนสักเท่าไหร่เชียว? หรือต้องให้เธอจ่ายค่าเลี้ยงดูเพิ่ม?”

“ฮ่าฮ่าๆ! ดูเสื้อผ้ามันก่อน ทั้งตัวรวมแล้วราคายังไม่ถึงหมื่นหยวนเลย! กระโปรงของเสี่ยวหยุนแค่ตัวเดียวก็หลักแสนแล้ว น่าสมเพชวะ!”

แฟนของเจวียนหมิงกล่าวเยาะเย้ยซ้ำเติมอีกระลอก

คนอื่นๆเองก็เตรียมซ้ำต่อแล้ว แต่จ้าวเฉียนไม่อยากทนฟังอีกต่อไป จึงรีบกล่วาแทรกขึ้นทันทีว่า

“พวกคุณต่างหากที่ใช้ชีวิตได้น่าสมเพชจริงๆ ใช้เงินที่พ่อแม่หามาแถมยังพูดจาดูถูกคนอื่นได้อย่างหน้าไม่อาย แล้วอีกอย่างนะ ไม่ใช้คนรวยทุกคนที่ต้องทำตัวรวยตามฐานะ ผมชอบใส่ชุดง่ายๆสบายๆ และไม่อยากเป็นจุดเด่น ก็เลยเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าราคาถูก ถ้าพวกคุณไม่มีครอบครัวคอยหนุนหลัง คิดเหรอว่าจะมีปัญญายืนอยู่บนจุดนี้กันได้? ถึงเสื้อผ้าการแต่งตัวของคุณจะดูดี แต่ภายในของพวกคุณทุกคนเน่าเฟะซะยิ่งกว่าหนอนแทะศพอีก”

“เซียวหยุนได้ยินที่มันพูดไหม?! มันกล้าพูดจาทุเรศๆแบบนี้กับพวกเรานะ! เธอต้องเลิกกับไอ้หมอนี่เดี๋ยวนี้!”

“ใช่แล้ว! พวกเราไม่ต้อนรับคนแบบมัน! มันดูถูกพวกเราเกินไป!”

“เธอต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วนะ ว่าควรฟังคำแนะนำของพวกเราหรือไอ้หมอนี่!”

……

คนเหล่านี้ต่างพูดจาสบถด่าจ้าวเฉียนอย่างเดือดดาล ในเวลาเดียวกันนั้นเองคนที่กำลังคบหาดูใจอยู่กับอวู่เฉียนก็เดินมาพอดี นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางหมิงจริงๆ

เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวเฉียนเริ่มไม่สู้ดีนัก เหลียวเซียวหยุนจึงจับมือของเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว

“พอได้แล้ว! พวกเธอนั้นแหละกล้าดียังไงมาด่าแฟนต่อหน้าฉัน! ถ้ายังไม่หุบปากแบบนี้ก็แยกย้ายกันเดินเถอะ!”

เหลียวเซียวหยุนกอดแขนจ้าวเฉียนและจากออกไปโดยตรง ปล่อยให้คนอื่นๆยืนถอนหายใจพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

“นี่! อย่าเพิ่งไปสิ! รอว่าที่แฟนฉันก่อน! เขากำลังเดินมาโน้นแล้ว!”

อวู่เฉียนตะโกนไล่หลัง

จ้าวเฉียนเหลือบมองไปเห็นเงาหยางหมิงตรงเคาน์เตอร์ ดูท่ากำลังซื้อตั๋วให้ทุกคนอยู่ร

จ้าวเฉียนหัวร่อคำหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณรู้ว่าหยางหมิงจะมาด้วย ก็เลยจงใจลากผมมา?”

“เหอะ เหอะ…ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคนที่อวู่เฉียนกำลังคุยด้วยเป็นหยางหมิง ช่วยทนให้ผ่านวันนี้ไปก่อนนะ ฉันสัญญาว่าพรุ่งนี้นายดิลกับผู้จัดการได้สำเร็จแน่นอน”

เหลียวเซียวหยุนหยุดเดินพลางยิ้มแห้งให้

จ้าวเฉียนรู้สึกว่าเงื่อนไขดังกล่าวคุ้มค่าไม่ใช่น้อยเลย แต่เดิมเป้าหมายของเขาคือการมเจรจาความร่วมมืออยู่แล้ว ถ้าเธอสามารถรับประกันจากปากได้ถึงขนาดนี้ ทุกอย่างหลังจากนี้ก็ปราศจากอุปสรรค์ใดอื่นแล้ว

ตอนที่141 ขอความร่วมมือ

จ้าวเฉียนไม่ต้องการให้พวกเพื่อนร่วมงานของตนรู้เยอะเกินไป เขาจึงสะบัดหน้าส่ายกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ใช่แบบนี้ เด็กคนนี้เอาท่อนเหล็กมาทุบรถฉัน ฉันแค่สั่งสอนเขาไปไม่กี่คำเอง แล้วพวกนายก็เข้ามาเจอพอดี”

จ้าวเฉียนรีบพาเฉียงกุยหลงไปยังจุดที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน เพื่อพูดคุยต่อ

“นายจะบอกความจริงกับฉันได้รึยัง? ตราบใดที่นายยอมพูดความจริงออกมา ฉันสัญญาว่าจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดให้พี่สาวเธอเอง ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากที่พี่สาวเธอถูกตัดสินต้องจำคุกขึ้นมา โอกาสเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของนายเองก็พลอยจะหลุดลอยไปด้วย เพราะคดียาเสพติด มันจะสืบสาวไปต่อถึงญาติพี่น้อง นั้นหมายความว่าทั้งนายและพี่สาวจะต้องติดคุกตลอดชีวิต”

จ้าวเฉียนอธิบายให้ฟังไปตามความจริง

นี่ไม่ใช่คำข่มขู่แต่อย่างใด อนาคตของสองพี่น้องคู่นี้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของคนอื่นโดยปริยาย ขอเพียงอีกฝ่ายต้องการ พวกเขาอาจเน่าตายอยู่ในคุกเลยก็เป็นได้

เฉียงกุยหลงตื่นตระหนกอย่างมาก เขายิ่งร้องไห้หนักพร้อมกล่าวว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยผมกับพี่สาวได้ไหม? มีเงินสี่แสนพอให้ผมยื่มไหมครับ?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันที ตอบกลับไปว่า

“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่านายกำลังถูกใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลัง ตราบเท่าที่นายยอมบอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ฉันจะรับผิดชอบทั้งเรื่องหนี้สินและชีวิตพี่สาวนายเองแบบฟรีๆ ขอแค่เราสามารถจับคนร้ายตัวจริงมาได้ ไม่ว่าคดีความของพี่สาวเธอจะใหญ่ขนาดไหน มันยอมถูกคลี่คลายโดยง่ายทันที สุดท้ายนี้นายนั้นแหละคือคนกำหนดชะตากรรมตัวเองหลังจากนี้แล้ว เอานี่ไป นามบัตรของฉัน ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทรมา แต่ทางที่ดีอย่าตัดสินใจนานนัก ไม่อย่างนั้น…ทุกอย่างอาจ‘สาย’เกินแก้แล้ว”

คล้อยหลังพูดจบจ้าวเฉียนก็หยิบนามบัตรให้เฉียงกุยหลง และเดินกลับเข้าไปในตัวตึกทันที

เมื่อจ้าวเฉียนมาถึง บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างก็แห่กันเข้ามาถามทันที

“จ้าวเฉียน นี่นายจะเอายังไงกับเด็กนั่น? ตอนนี้นายก็รวยมากอยู่แล้ว หวังว่าจไม่ไถ่เงินเด็กมานะ?”

“อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ นายคงไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอใช่ไหม?”

“ถูกต้อง นายมีเงินไม่รู้เท่าไหร่ ค่าซ่อมอย่างมากก็แค่พันสองพันหยวน?”

คนเหล่านี้ล้วนแต่เห็นอกเห็นใจเด็กหนุ่มคนนั้น หากจ้าวเฉียนปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาเองก็ต้องการร้องเรียนแทนเสียงของเด็กคนนั้นเช่นกัน

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบไปว่า

“เขากำลังจะเข้าเรียนต่อมหาลัย แถมสภาพการเงินของครอบครัวก็ไม่ค่อยจะดี ฉันจึงตำหนิไปสองสามคำและเตือนไปว่าอย่าทำแบบนี้อีกก็แค่นั้น ทุกคนเตรียมตัวไปทำงานเถอะ เดี๋ยวผู้จัดการมาเห็นเข้าก็มาบ่นฉันอีก”

ทันทีที่สิ้นเสียงจ้าวเฉียน ก็เป็นสุ้มเสียงของจางหยางที่ดังต่อขึ้นมาทันใด

“นี่นายนินทาอะไรฉันอีกแล้ว! จ้าวเฉียน นายนี่มันหน้าไห้วหลังหลอกจริงๆ! ต่อหน้าทำเป็นสุภาพเรียบร้อย แต่หลับหลังแอบด่าฉันงั้นเหรอ?”

จางหยางหัวเสียตั้งแต่เช้า

จ้าวเฉียนทราบดีว่า อีกฝ่ายแค่จงใจโวยวายเอะอะเสียงดัง และเขาเองก็ไม่อยากยุ่งกับตัวปัญหาแบบนี้เช่นกัน จึงกล่าวน้ำเสียงอ่อนไปว่า

“ผู้จัดการจางพูดถูกต้องแล้วครับ คราวหน้าผมจะไม่พูดจาให้คุณเสียหายหลับหลังใครอีกแล้ว”

จางหยางตะคอกสวนอย่างเย็นชาตอบไปว่า

“ฉันไม่สนใจนายอีกแล้ว ส่วนตอนนี้นายก็หัดสนใจเรื่องงานตัวเองบ้าง เรื่องดิลกับบริษัทคู่ค้าใหม่ไปถึงไหนแล้ว? รู้จักเตรียมตัวหาข้อมูลบ้างรึยัง? เพราะทางฉันเพิ่งจ้างวิศกรเทคนิคมาเพิ่มอีกหลายอัตราเข้ามาแล้ว! รีบไปทำงานตัวเองให้เสร็จ!”

“ผมกำลังจะเดินทางไปที่หัวโหย้วพอดีคครับ รอฟังข่าวดีได้เลย”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากรับคำด้วยความมั่นใจ

“ฮ่าฮ่า…ทำให้ดีที่สุดล่ะกัน ถ้านายทำไม่สำเร็จเตรียมยื่นใบลาออกได้เลย! ฉันไม่อนุญาตให้นายสร้างความอับอายให้แก่บริษัทเราอีกต่อไปแล้ว เราต่างก็ลูกเป็นลูกผู้ชายกันทั้งคู่ พูดแค่นี้ก็คงจะเข้าใจนะ?”

หัวโหย้วกับซิงหยวนเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่บริษัทฟางนี่จะร่วมมือกับทั้งสองบริษัทนี้ได้พร้อมกัน จางหยางเชื่อว่า จ้าวเฉียนไม่มีทางร่วมมือกับบริษัทหัวโหย้วได้แน่นอน ซึ่งนั้นหมายความว่า จ้าวเฉียนเตรียมตัวลาออกได้เลยในอีกไม่ช้า

จางหยางใฝ่ฝันมานานแล้วว่า สักวันจ้าวเฉียนจะต้องไสหัวออกไปจากบริษัทแห่งนี้สักที มิฉะนั้นเขาจะไม่มีวันเฉิดฉายได้อีกเลย เขาจะผลักดันบริษัทนี้ด้วยปรัชญาทางธุรกิจของตัวเอง

ในขณะเดียวกัน จ้าวเฉียนก็จัดแจงข้อมูลเตรียมตัวขั้นสุดท้าย กินออกเดินทางไปลุยศึกใหญ่

ในฐานะที่เป็นบริษัทใหญ่บนอุตสหกรรมเกม หัวโหย้วเป็นที่รู้จักกันดีในด้านความเข้มงวด คนที่นี่ไร้ซึ่งมนุษย์สัมพันธ์โดยสิ้นเชิง และทำงานอย่างหนักชนิดที่ว่าอุทิศตัวให้กับบริษัทยิ่งกว่าข้าวสามมื้อ จนเจ็บป่วยกันไปข้าง หากพวกเขาต้องการคุณจริงๆ เขาจะเสาะหาโอกาสมาเข้าพบเอง ไม่อย่างนั้นใครก็ตามที่เข้ามารบกวนเวลาทำงานอันมีค่า จะถูกขับไล่ไสส่งอย่างไม่ไยดี

หลังจากเข้ามาในบริษัทนี้ได้ไม่นาน จ้าวเฉียนก็ถูกพนักงานต้อนรับหยุดไว้ทันที

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรที่นี่ค่ะ?”

แม้ท่าทางการแสดงออกของเธอจะไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร แต่เบื้องหลังของน้ำเสียงกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความร้อนรน ใครก็ตามที่ได้ยินล้วนรู้สึกไม่สบายใจ

“สวัสดีครับ ผมต้องการเข้าพบผู้จัดการ รบกวนติดต่อเขาให้หน่อยได้ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงสุภาพอย่างมาก

พนักงานต้อนรับสาวคนนั้นกวาดตามองจ้าวเฉียน ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยตอบสวนกลับไปด้วยสีหน้ารังเกียจ

“ขอโทษนะคะ ถ้าต้องการเข้าพบผู้จัดการ ต้องมีนัดหมายล่วงหน้าค่ะ”

“ขอโทษนะครับ พอดีนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางมาที่นี่ เพื่อต้องการดิลเป็นบริษัทคู่ค้า ครั้งต่อไปที่มาผมจะทำการนัดหมายก่อนล่วงหน้าแน่นอนครับ”

จ้าวเฉียนยังคงมารยาทสุภาพนอบน้อม

“ไม่ได้ค่ะ! ถ้าไม่มีนัดหมายล่วงหน้า ไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่สามารถเข้ารบกวนการทำงานของผู้จัดการได้ กรุณาอย่าสร้างปัญหาจะดีกว่านะคะ!”

พนักงานต้อนรับกล่าวปัดอย่างไม่แยแส

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะกล่าวต่อ ทันใดนั้นเสียงสาวงามแสนหวานฉ่ำก็ดังขึ้นในทันใด

“จ้าวเฉียน นายมาทำอะไรที่นี่?”

จ้าวเฉียนเหลือบสายตาไปมองปรากฏว่าเป็น สาวสวยดูอ่อนหวาน แต่เขาไม่ยักจะจำได้เลยว่าเคยพบเจอกับเธอคนนี้มาก่อน แล้วอีกฝ่ายรู้ได้ยังไงว่าเขาชื่อจ้าวเฉียน?

ในเวลานั้นเอง พนักงานต้อนรับสาวรีบโค้งคำนับและกล่าวทักทายทันที

“สวัสดีค่ะคุณหนูเซียวหยุน ทำไมไม่โทรหาดิฉันก่อนละค่ะว่าจะมาที่นี่? เดี๋ยวดิฉันจะรีบโทรแจ้งท่านประธานเหลียวเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

แต่เหลียวเซียวหยุนรีบโบกมืดปัดกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทรไปบอกพ่อเอง จะว่าไปจ้าวเฉียน นายมาทำอะไรที่นี่?”

ดูเหมือนว่าสาวงามตรงหน้าน่าจะเป็นลูกสาวของประธานบริษัทหัวโหย้ว หรืออย่างน้อยที่สุดต้องเป็นหลานสาว เพียงแต่…จ้าวเฉียนไม่เห็นจะจำได้เลยว่า เขาเคยไปรู้จักเธอที่ไหนมาก่อน?

พนักงานต้อนรับสาวกล่าวรายงานให้เหลียวเซียวหยุนทราบทันทีว่า

“คุณหนูเซียวหยุน ชายคนนี้เข้ามาขัดขวางการทำงานของผู้จัดการ โดยไม่มีนัดหมายล่วงหน้า จะให้ดิฉันจัดการยังไงดีค่ะ?”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและยิ้มตอบไปว่า

“เดี๋ยวฉันรับแขกแทนเอง จ้าวเฉียน ตามฉันมา”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินตามเหลียวเซียวหยุนเข้าไป ในขณะเดียวกัน พนักงานหญิงเป็นห่วงอย่างมากว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับคุณหนู จึงเร่งโทรหาผู้จัดการและรายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟังทันที

ท้ายที่สุดนี้ เหลียวเซียวหยุนยังเป็นแค่นักศึกษามหาลัย แถมยังเป็นถึงลูกสาวประธานบริษัท ดังนั้นจะปล่อยให้เธออยู่กับชายแปลกหน้าสองต่อสองในห้องส่วนตัวเธอไม่ได้เด็ดขาด

“ถ้านายอยากดื่มอะไรก็หยิบเอาในตู่เย็นได้เลยนะ”

เหลียวเซียวหยุนหันมาทักจ้าวเฉียนด้วยท่าทีสบายๆ

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางพลางโบกมือปัด

“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ได้อยากดื่มอะไรเป็นพิเศษ จะว่าไปแล้ว…ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่น่ะครับ คือ…คุณรู้จักชื่อผมยังไง?”

เหลียวเซียวหยุนยกมือป้องปากหัวเราะคิกคักเสียงหวาน และยิ้มตอบไปว่า

“ไม่ใช่นายหรอกหน่อยที่โดดเด่นที่สุดแล้วในงานราตรีคืนนั้น? ฉันจะไม่รู้จักนายได้ยังไง?”

จ้าวเฉียนนึกออกในทันใดที่ได้ยิน และกล่าวตอบไปว่า

“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง แต่ทำไมผมจำคุณไม่ได้กันนะ? ทั้งๆที่คุณสวยซะขนาดนี้ กลับไม่ได้แลกนามบัตรกับผมได้ยังไงกัน? วันไหนว่างๆผมคงต้องไปตรวจสายตาหน่อยแล้วล่ะ”

เหลียวเซียวหยุนหัวเระคิกคักอย่างมีความสุขยิ่ง และกล่าวว่า

“นายนี่มันปากหวานจริงๆ มีสาวกี่คนแล้วที่หลงเสน่ห์นายน่ะ?”

“นี่ผมไม่ได้โกหกเลยนะครับ ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง สำหรับผมแล้ว…คุณสวยมากเลย”

จ้าวเฉียนตอบน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา

เหลียวเซียวหยุนรู้ตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายหยอดคำหวาน เธอระเบิดหัวเราะพลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้ววันนี้มาหาผู้จัดการหลี่ทำไม? มีธุระสำคัญ?”

ในที่สุดจ้าวเฉียนก็ได้โอกาสเข้าเรื่องสักที เขารับนั่งบนเก้าอีกแขกและกล่าวตอบทันทีว่า

“ผมมาในนามบริษัทผลิตเกม แน่นอนว่าบริษัทนี้มีผมเป็นหุ้นส่วนด้วยเช่นกัน ที่ต้องการมาที่นี่เพื่อขอความร่วมมือกับบริษัทของคุณ ก็เลยอยากเจรจากับผู้จัดการน่ะ”

“อ่อเรื่องนี้นี่เอง งั้นนายช่วยพาฉันไปเดทที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นเวลาหนึ่งวัน แล้วฉันจะให้นายเข้าพบผู้จัดการหลี่ในวันพรุ่งนี้แทน ตกลงไหม?”

เหลียวเซียวหยุนคลี่ยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ

จ้าวเฉียนรู้สึกสับสนไม่ใช่น้อยเมื่อได้ยิน เขาเอ่ยถามย้ำทันทีว่า

“ผมไม่ได้ยินอะไรผิดไปใช่ไหมครับ? เอ่อ…เราเพิ่งพบกันไม่นาน แถมยังแทบไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ จะบอกให้พาคุณไปเดทที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคงไม่ค่อยเหมาะสมไปสักหน่อยจริงไหมครับ?”

“ก็ถือซะว่าใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกันไปเลย! ถ้านายสัญญาว่าจะไปเดทกับฉัน พรุ่งนี้นายได้พบผู้จัดการหลี่ตามต้องการแน่นอนในวันพรุ่งนี้ และตราบใดที่นายทำให้ฉันพอใจได้ รับประกันได้เลยว่า บริษัทหัวโหย้วของพ่อฉันจะให้ความร่วมมือกับบริษัทนายเป็นอย่างดี เป็นข้อตกลงที่ง่ายดีใช่ไหมล่ะ?”

เหลียวเซียวหยุนแสยะยิ้มหวานให้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงจ้าวเฉียนรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาโดยพลัน

ถึงไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอคืออะไร แต่แค่ไปเที่ยวกันวันเดียว คงไม่มีปัญหาอะไรจริงไหม?

“งั้นตกลงครับ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วย

“เยี่ยมไปเลย!”

เหลียวเซียวหยุนคว้ากระเป๋าสะพายและพาจ้าวเฉียนตรงออกไปในทันที

ตอนที่140 ลอบทำร้าย

จ้าวเฉียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า

“ถ้าแบบนั้นทำไมถึงมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ฉันล่ะ? เจ้านั่นสั่งมา?”

เฉียงกุยหลิงพยักหน้าตอบว่า

“เขาสั่งให้ฉันมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณ เขาแค่ต้องการให้หนูรับความผิดทั้งหมดไว้ตัวคนเดียว แต่นี่ก็สมควรแล้วล่ะค่ะ หนูทำเรื่องผิดกฎหมายไปจริงๆก็สมควรแบกรับผมที่ตามมา หนูไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยคุณไปง่ายๆหรอกนะคะ หลังจากนี้รีบหนีไปจากเมืองนี้ให้ไกลดีกว่าค่ะ”

ไม่ว่าสิ่งที่เฉียงกุยหลิงพูดไปจะเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามจ้าวเฉียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่ายาเสพติดเหล่านั้นไม่ใช่ของเธอที่เป็นเจ้าของ ตามกฎหมายยังพอมีโอกาสที่ทำให้คดีพลิก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่คดีอาญาแบ่นอน ซึ่งตราบเท่าที่ไม่ใช่คดีอาญา มันย่อมจัดการได้ง่ายกว่าโดยธรรมชาติ นอนคุกสักสิบวันก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้านได้แล้ว

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว มีอะไรจะพูดอีกไหม? ถ้าไม่ฉันจะกลับไปนอนต่อ”

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นเย็นชาใจแข็งใส่

เฉียงกุยหลิงส่าวหัวและกล่าวเสียงแผ่วขึ้นว่า

“ไม่ หนูยังมีอีกสองเรื่องที่อยากขอร้อง หวังว่าตอนนี้ยังพอเห็นใจหนูบ้างสักนิดก็ยังดี”

“เหอะ จะให้ดูแลพ่อแม่กับน้องชายของเธอ?”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

นั้นคือคำขอที่เฉียงกุยหลิงคิดไว้ในใจ แต่เธอรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเกินกว่าจะพูดออกมาตรงๆได้ เธอก้มหน้าก้มตาลงแสดงให้เห็นว่าเธอยอมรับโดยปริยาย

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวตอบไปว่า

“พ่อแม่ของเธอป่วยหนัก นี่เป็นหน้าที่ของลูกต้องดูแล ส่วนเรื่องหนี้สินของน้องชายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเหมือนกัน ฉันไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องช่วยเหลือคนที่คิดร้ายต่อฉัน เอาเถอะ คดีของเธออาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด นอนคุกไม่กี่คืนเดี๋ยวก็ได้ออกมาแล้ว”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ลุกออกไปโดยตรง

พอออกจากโรงพักมาได้ จ้าวเฉียนก็หันมาพูดกับหยางหู่ทันที

“เสี่ยวหู่ฝากเรื่องนี้ด้วย จัดการลากเฉินกวงหัวเข้าคุกให้ได้”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ขึ้นแท็กซี่กลับคฤหาสน์ไปทันที หยางหู่เองก็รีบเดินทางกลับเช่นกันและใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี เพื่อเตรียมตัวจัดการกับเฉินกวงหัว

เฉินกวงหัวได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการดาวรุ่งที่โด่งดังอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หยางหู่จะลอบเก็บบุคคลที่มีแสงไฟส่องจากทุกหนทุกแห่งแบบนี้ โชคยังดีที่หยางหู่ยังมีคนสนิทที่เป็นคนในรัฐสภา ขอเพียงเพื่อนคนนี้ของเขารับปากว่าจะไม่เข้ามาสอดเรื่องของเฉินกวงหัว หยางหู่ย่อดำเนินการไปต่อได้อย่างราบรื่น

หยางหู่กำลังขับรถอยู่บนท้องถนน จู่ๆเฉินกวนหัวก็เร่งโทรหาเขาไม่ยั้งมือจนทนไท่ไหวต่อสายรับในท้ายที่สุด

“ฮาโหล จ้าวเฉียนออกมาแล้ว นายจะส่งมอบหลักฐานให้ฉันตอนไหน?”

หยางหู่เอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบ

“นี่คุณเฉินรีบมากขนาดนั้นเลยรึไง? ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน มาที่Pearl Barตอนดึก แล้วจะเจอผมที่นั่น”

“โอเค! อย่าให้รู้นะว่าพี่หู่กลับคำ! ไม่อย่างนั้นฉันม่าปล่อยมันไปแน่!”

เฉินกวงหัวกล่าวขู่

“คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่จะวางแผนอะไรก็ได้? มาเจอกันตอนห้าทุ่ม ไม่อย่างนั้นหลักฐานทั้งหมดส่งตรงถึงตำรวจ!”

ทันทีที่พูดจบหยางหู่ก็ตัดสายทิ้งและรีบขับรถกลับทันที

ในเช้าวันจันทร์ จ้าวเฉียนขับรถมาทำงานตามปกติ เขายังคงจอดรถที่ชั้นใต้ดินตามปกติ แต่ทันทีที่เปิดประตูลงรถกลับมีใครบางคนวิ่งเข้ามาพร้อมแท่นเหล็กหวดเข้าใส่สุดแรง แต่โชคยังดีที่จ้าวเฉียนปิดประตูหลบเข้ารถได้ทัน

เมื่อขยับขยายสายตาเข้าจับจ้อง ปรากฏว่าเป็นเจ้าหนุ่มอายุน่าจะน้อยกล่าวยี่สิบ

“นายเป็นใคร? ใครส่งนายมา?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามน้ำเสียงเย็น

“ไม่มีใครส่งมาทั้งนั้น! แต่ฉันมาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้พี่สาว!”

หนุ่มน้อยตะคอกด้วยความเคียดแค้น

“ล้างแค้นให้พี่สาว? พี่สาวของเธอชื่ออะไร? มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับฉัน?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พี่สาวฉันชื่อเฉียงกุยหลิง นายคงจำได้แล้วใช่ไหมว่าทำอะไรเอาไว้!?”

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด แถมยังเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกว่า

“โอ้ นายนี่กตัญญูดีนะ กล้าล้างแค้นให้พี่สาวกลางวัยแสกๆ ชื่ออะไรล่ะ?”

“ชื่อกุยหลง สกุลเฉียง พร้อมตายแล้วใช่ไหม?!”

จ้าวเฉียนอดระเบิดหัวเราะไม่ได้ เขาเอ่ยถามต่อว่า

“นายกล้าฆ่าฉันจริงๆงั้นเหรอ?”

“แน่นอน! พี่สาวของฉันต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะแก ดังนั้นฉันนี่แหละจะเอาชีวิตแกไปสังเวย!”

เฉียงกุยหลงสวนตอบทันทีด้วยคำกล่าวสุดไร้เดียงส่า

เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป จ้าวเฉียนอดส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า

“ใครบอกว่าพี่สาวของนายถูกตัดสินประหารชีวิต? แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันทำงานอยู่ที่นี่? มีอะไรบอกฉันมาตรงๆ ฉันช่วยพี่สาวนายได้”

“แล้วคุณมีเหตุผลอะไรที่จะช่วยพี่สาวผม? คุณไม่ใช่คนใหญ่คนโต ไม่ใช่ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เลิกโกหกเหมือนกับฉันเป็นเด็กสาวขวบได้แล้ว!”

เฉียงกุยหลงกระชับท่อนเหล็กแน่น  ตวาดน้ำเสียงเดือดดุอย่างมั่นอกมั่นใจ

จ้าวเฉียนคิดว่า เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องถูกใครบางคนยุยงให้มาดักทำร้ายแน่นอน ดังนั้นแล้วเขาจึงเปลี่ยนวิธีการสนทนาในทันใด

“ฉันได้ยินมาว่านายเป็นหนี้อยู่สี่แสนหยวน เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะให้ยืนสี่แสนหยวนเป็นกรณีพิเศษ โอเคไหม?”

เฉียงกุยหลงส่ายหัวอย่างแน่วแน่ และตอบกลับไปว่า

“ไม่จำพเป็น ตราบใดที่ฉันจับนายไปที่โรงพยาบาลได้ จะมีคนจ่ายเงินให้ฉันมากพอที่จะใช้หนี้! เลิกถ่วงเวลาสักที แกเตรียมตัวตาย!”

เฉียงกุยหลงยกท่อนเหล็กขึ้นและหวดตีจ้าวเฉียนอย่างแรงอีกครา แต่บังเอิญว่ารปภ.แถวนั้นดันมาแห็นและเข้ามาห้ามปรามได้ทันเวลา พร้อมสุ้มเสียงตะโกนดังลั่นมาแต่ไกล

“นี่แกกำลังทำอะไร?”

“หยุดเดี๋ยวนี้เจ้าหนู!”

เฉียงกุยหลงเป็นพวกเด็กเก็บตัว ไม่ค่อยเข้าสังคม ทันทีที่เห็นว่าบรรดการปภ.แห่งกันเข้ามาจำนวนมากมาย เขาก็ตื่นตกใจอย่างยิ่ง โยนท่อนเหล็กในมือทิ้งและพยายามวิ่งหนีตายสุดกำลัง

แต่มีหรือที่เขาจะฝ่าปราการเหล่ารปภ.พวกนี้ได้? วิ่งหนีไปได้ไม่นานนักก็ถูกรปภ.คนหนึ่งไล่ตามได้ทันในที่สุด พร้อมจับตัวล็อกไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน

“ปล่อยผม! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้! พวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาจับผม!”

รปภ.ไม่ได้ปริปากบอกเหตุผลใดๆ พอเห็นแบบนั้นเฉียงกุยหลงจึงบอกเหตุผลไปตามตรงว่า ทำไมเขาถึงต้องมาดับทำร้ายจ้าวเฉียน

“มันฆ่าพี่สาวผม! ผมจะล้านแค้นให้พี่สาวของผม! ทำไมถึงไม่จับมันแทน มันคือคนร้ายตัวจริง!”

เหล่ารปภ.พวกนั้นที่ได้ฟังก็ตกตะลึงกันเป็นแถบ หัวหน้ารปภ.หันมาเอ่ยถามทันทีว่า

“คุณอยู่บริษัทไหนครับ?”

จ้าวเฉียนโค้งหัวให้เขาเล็กน้อยและตอบไปว่า

“ปล่อยเขาไปเถอะครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมอยู่บริษัทเกมฟางนี่ที่ชั้น6 ชื่อจ้าวเฉียน”

“แล้วที่บอกว่าคุณฆ่าพี่สาวของเขามันหมายความว่ายังไง?”

หัวหน้ารปภ.สักถามต่อไป

“ผมก็บอกไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่สาวของเขาถูกตำรวจจับ แล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าใครไปเป่าหูจนคิดว่าผมฆ่าเธอ เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่าครับ”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ก้าวย่างตรงไปหยุดต่อหน้าและดึงร่างของเฉียงกุยหลงขึ้นมาจากพื้น แต่เขาก็ยังพยายามดิ้นหลุด และสบถด่ามีท่าทีไร้ซิ่งความสุขโดยสิ้นเชิง จนจ้าวเฉียนก็กล่าวกระซิบข้างหูว่า

“เลิกดิ้นได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งให้ยามพวกนี้ทุบตีนายจนพิการ เอาให้กระดูกแตกกันไปข้างเลย”

เฉียงกุยหลงถึงกับเสี่ยวสันหลังวาบ และสงบสติลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเข้าไปในตึก จ้าวเฉียนเอ่ยปากให้สัญญากับเขาด้วยความจริงใจว่า

“ฉันจะช่วยพี่สาวเธอเอง กลับไปรอฟังข่าวดีได้เลย ไม่ว่าใครจะเป็นคนเป่าหูนายอยู่มันไม่มีเจตนาดีแน่นอน”

เฉียงกุยหลงดูมึนงงเล็กน้อย คล้อยหลังครุ่นคิกดอยู่สักพัก เขาก็กล่าวถามขึ้นว่า

“ทำไมนายถึงอยากช่วยพี่สาวฉัน? เพราะตกหลุมรักเธองั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนอดหัวเราไม่ได้และตอบไปตามตรงว่า

“เพราะความกตัญญูของพี่สาวนาย ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเลย เธอในวัยเพียงเท่านี้แต่กลับต้องแบกรับภาระของครอบครัวไว้เต็มสองบ่า แต่ในอนาคตต่อไป หวังว่านายจะไม่ถูกหลอกอะไรง่ายๆแบบนี้แล้วนะ เข้าใจที่ฉันพูดไหม? แค่ค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ก็มากเกินพอแล้ว ถ้ายังต้องจ่ายหนี้แทนนายอีก เธอจะรอดได้ยังไง?”

เฉียงกุยหลงก้มหัวก้มตาลงทันทีดูเศร้าสลดไม่น้อย คล้อยหลังไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จู่ๆเขาก็ร้องไหลออกมาจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาในตึกเริ่มชายตามองกันบ้าง

และบังเอิญเสียเหลือเกิน หวังเฉียงและคนอื่นๆที่นั่งรถบัสที่ทำงานมาก็เข้าตึกกันมาพอดี พอเห็นภาพฉากแบบนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าจ้าวเฉียนกำลังรังแกเด็กไม่มีทางสู้อยู่ จึบรีบวิ่งไปหาโดยตรง

“จ้าวเฉียน นี่นายรังแกเด็กแต่เช้าเลยรึไง?”

หวังเฉียงกล่าวดุน้ำเสียงเย็นชา

“คุณชายจ้าว โดนกลั่นแกล้งจนเป็นปมรึเปล่า? พอตอนนี้มีโอกาสก็ลงไปลงกับคนอื่น?”

เจวียงหยวนกล่าวเสริมอย่างเข้าขา

“จ้าวเฉียน อีกฝ่ายยังเก็กอยู่เลยนะ นายก็ทำได้ลงคอ?”

“ไม่ใช่ว่าโตกว่าก็จะทำอะไรก็ได้หรอกนะ โอ้ๆ เจ้าหนูพี่คนนี้รังแกอะไรเธอเหรอ?”

คำด่าตักเตือนมากมายของบรรดาเพื่อนร่วมงาน ถาโถมเข้ามาหาจ้าวเฉียนชนิดไม่มีหยุดพักหายใจ เล่นเอาซะเขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง

ตอนที่140 ลอบทำร้าย

จ้าวเฉียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า

“ถ้าแบบนั้นทำไมถึงมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ฉันล่ะ? เจ้านั่นสั่งมา?”

เฉียงกุยหลิงพยักหน้าตอบว่า

“เขาสั่งให้ฉันมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณ เขาแค่ต้องการให้หนูรับความผิดทั้งหมดไว้ตัวคนเดียว แต่นี่ก็สมควรแล้วล่ะค่ะ หนูทำเรื่องผิดกฎหมายไปจริงๆก็สมควรแบกรับผมที่ตามมา หนูไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยคุณไปง่ายๆหรอกนะคะ หลังจากนี้รีบหนีไปจากเมืองนี้ให้ไกลดีกว่าค่ะ”

ไม่ว่าสิ่งที่เฉียงกุยหลิงพูดไปจะเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามจ้าวเฉียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่ายาเสพติดเหล่านั้นไม่ใช่ของเธอที่เป็นเจ้าของ ตามกฎหมายยังพอมีโอกาสที่ทำให้คดีพลิก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่คดีอาญาแบ่นอน ซึ่งตราบเท่าที่ไม่ใช่คดีอาญา มันย่อมจัดการได้ง่ายกว่าโดยธรรมชาติ นอนคุกสักสิบวันก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้านได้แล้ว

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว มีอะไรจะพูดอีกไหม? ถ้าไม่ฉันจะกลับไปนอนต่อ”

จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นเย็นชาใจแข็งใส่

เฉียงกุยหลิงส่าวหัวและกล่าวเสียงแผ่วขึ้นว่า

“ไม่ หนูยังมีอีกสองเรื่องที่อยากขอร้อง หวังว่าตอนนี้ยังพอเห็นใจหนูบ้างสักนิดก็ยังดี”

“เหอะ จะให้ดูแลพ่อแม่กับน้องชายของเธอ?”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

นั้นคือคำขอที่เฉียงกุยหลิงคิดไว้ในใจ แต่เธอรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเกินกว่าจะพูดออกมาตรงๆได้ เธอก้มหน้าก้มตาลงแสดงให้เห็นว่าเธอยอมรับโดยปริยาย

จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวตอบไปว่า

“พ่อแม่ของเธอป่วยหนัก นี่เป็นหน้าที่ของลูกต้องดูแล ส่วนเรื่องหนี้สินของน้องชายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเหมือนกัน ฉันไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องช่วยเหลือคนที่คิดร้ายต่อฉัน เอาเถอะ คดีของเธออาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด นอนคุกไม่กี่คืนเดี๋ยวก็ได้ออกมาแล้ว”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ลุกออกไปโดยตรง

พอออกจากโรงพักมาได้ จ้าวเฉียนก็หันมาพูดกับหยางหู่ทันที

“เสี่ยวหู่ฝากเรื่องนี้ด้วย จัดการลากเฉินกวงหัวเข้าคุกให้ได้”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ขึ้นแท็กซี่กลับคฤหาสน์ไปทันที หยางหู่เองก็รีบเดินทางกลับเช่นกันและใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี เพื่อเตรียมตัวจัดการกับเฉินกวงหัว

เฉินกวงหัวได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการดาวรุ่งที่โด่งดังอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หยางหู่จะลอบเก็บบุคคลที่มีแสงไฟส่องจากทุกหนทุกแห่งแบบนี้ โชคยังดีที่หยางหู่ยังมีคนสนิทที่เป็นคนในรัฐสภา ขอเพียงเพื่อนคนนี้ของเขารับปากว่าจะไม่เข้ามาสอดเรื่องของเฉินกวงหัว หยางหู่ย่อดำเนินการไปต่อได้อย่างราบรื่น

หยางหู่กำลังขับรถอยู่บนท้องถนน จู่ๆเฉินกวนหัวก็เร่งโทรหาเขาไม่ยั้งมือจนทนไท่ไหวต่อสายรับในท้ายที่สุด

“ฮาโหล จ้าวเฉียนออกมาแล้ว นายจะส่งมอบหลักฐานให้ฉันตอนไหน?”

หยางหู่เอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบ

“นี่คุณเฉินรีบมากขนาดนั้นเลยรึไง? ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน มาที่Pearl Barตอนดึก แล้วจะเจอผมที่นั่น”

“โอเค! อย่าให้รู้นะว่าพี่หู่กลับคำ! ไม่อย่างนั้นฉันม่าปล่อยมันไปแน่!”

เฉินกวงหัวกล่าวขู่

“คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่จะวางแผนอะไรก็ได้? มาเจอกันตอนห้าทุ่ม ไม่อย่างนั้นหลักฐานทั้งหมดส่งตรงถึงตำรวจ!”

ทันทีที่พูดจบหยางหู่ก็ตัดสายทิ้งและรีบขับรถกลับทันที

ในเช้าวันจันทร์ จ้าวเฉียนขับรถมาทำงานตามปกติ เขายังคงจอดรถที่ชั้นใต้ดินตามปกติ แต่ทันทีที่เปิดประตูลงรถกลับมีใครบางคนวิ่งเข้ามาพร้อมแท่นเหล็กหวดเข้าใส่สุดแรง แต่โชคยังดีที่จ้าวเฉียนปิดประตูหลบเข้ารถได้ทัน

เมื่อขยับขยายสายตาเข้าจับจ้อง ปรากฏว่าเป็นเจ้าหนุ่มอายุน่าจะน้อยกล่าวยี่สิบ

“นายเป็นใคร? ใครส่งนายมา?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามน้ำเสียงเย็น

“ไม่มีใครส่งมาทั้งนั้น! แต่ฉันมาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้พี่สาว!”

หนุ่มน้อยตะคอกด้วยความเคียดแค้น

“ล้างแค้นให้พี่สาว? พี่สาวของเธอชื่ออะไร? มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับฉัน?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พี่สาวฉันชื่อเฉียงกุยหลิง นายคงจำได้แล้วใช่ไหมว่าทำอะไรเอาไว้!?”

จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด แถมยังเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกว่า

“โอ้ นายนี่กตัญญูดีนะ กล้าล้างแค้นให้พี่สาวกลางวัยแสกๆ ชื่ออะไรล่ะ?”

“ชื่อกุยหลง สกุลเฉียง พร้อมตายแล้วใช่ไหม?!”

จ้าวเฉียนอดระเบิดหัวเราะไม่ได้ เขาเอ่ยถามต่อว่า

“นายกล้าฆ่าฉันจริงๆงั้นเหรอ?”

“แน่นอน! พี่สาวของฉันต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะแก ดังนั้นฉันนี่แหละจะเอาชีวิตแกไปสังเวย!”

เฉียงกุยหลงสวนตอบทันทีด้วยคำกล่าวสุดไร้เดียงส่า

เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป จ้าวเฉียนอดส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า

“ใครบอกว่าพี่สาวของนายถูกตัดสินประหารชีวิต? แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันทำงานอยู่ที่นี่? มีอะไรบอกฉันมาตรงๆ ฉันช่วยพี่สาวนายได้”

“แล้วคุณมีเหตุผลอะไรที่จะช่วยพี่สาวผม? คุณไม่ใช่คนใหญ่คนโต ไม่ใช่ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เลิกโกหกเหมือนกับฉันเป็นเด็กสาวขวบได้แล้ว!”

เฉียงกุยหลงกระชับท่อนเหล็กแน่น  ตวาดน้ำเสียงเดือดดุอย่างมั่นอกมั่นใจ

จ้าวเฉียนคิดว่า เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องถูกใครบางคนยุยงให้มาดักทำร้ายแน่นอน ดังนั้นแล้วเขาจึงเปลี่ยนวิธีการสนทนาในทันใด

“ฉันได้ยินมาว่านายเป็นหนี้อยู่สี่แสนหยวน เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะให้ยืนสี่แสนหยวนเป็นกรณีพิเศษ โอเคไหม?”

เฉียงกุยหลงส่ายหัวอย่างแน่วแน่ และตอบกลับไปว่า

“ไม่จำพเป็น ตราบใดที่ฉันจับนายไปที่โรงพยาบาลได้ จะมีคนจ่ายเงินให้ฉันมากพอที่จะใช้หนี้! เลิกถ่วงเวลาสักที แกเตรียมตัวตาย!”

เฉียงกุยหลงยกท่อนเหล็กขึ้นและหวดตีจ้าวเฉียนอย่างแรงอีกครา แต่บังเอิญว่ารปภ.แถวนั้นดันมาแห็นและเข้ามาห้ามปรามได้ทันเวลา พร้อมสุ้มเสียงตะโกนดังลั่นมาแต่ไกล

“นี่แกกำลังทำอะไร?”

“หยุดเดี๋ยวนี้เจ้าหนู!”

เฉียงกุยหลงเป็นพวกเด็กเก็บตัว ไม่ค่อยเข้าสังคม ทันทีที่เห็นว่าบรรดการปภ.แห่งกันเข้ามาจำนวนมากมาย เขาก็ตื่นตกใจอย่างยิ่ง โยนท่อนเหล็กในมือทิ้งและพยายามวิ่งหนีตายสุดกำลัง

แต่มีหรือที่เขาจะฝ่าปราการเหล่ารปภ.พวกนี้ได้? วิ่งหนีไปได้ไม่นานนักก็ถูกรปภ.คนหนึ่งไล่ตามได้ทันในที่สุด พร้อมจับตัวล็อกไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน

“ปล่อยผม! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้! พวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาจับผม!”

รปภ.ไม่ได้ปริปากบอกเหตุผลใดๆ พอเห็นแบบนั้นเฉียงกุยหลงจึงบอกเหตุผลไปตามตรงว่า ทำไมเขาถึงต้องมาดับทำร้ายจ้าวเฉียน

“มันฆ่าพี่สาวผม! ผมจะล้านแค้นให้พี่สาวของผม! ทำไมถึงไม่จับมันแทน มันคือคนร้ายตัวจริง!”

เหล่ารปภ.พวกนั้นที่ได้ฟังก็ตกตะลึงกันเป็นแถบ หัวหน้ารปภ.หันมาเอ่ยถามทันทีว่า

“คุณอยู่บริษัทไหนครับ?”

จ้าวเฉียนโค้งหัวให้เขาเล็กน้อยและตอบไปว่า

“ปล่อยเขาไปเถอะครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมอยู่บริษัทเกมฟางนี่ที่ชั้น6 ชื่อจ้าวเฉียน”

“แล้วที่บอกว่าคุณฆ่าพี่สาวของเขามันหมายความว่ายังไง?”

หัวหน้ารปภ.สักถามต่อไป

“ผมก็บอกไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่สาวของเขาถูกตำรวจจับ แล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าใครไปเป่าหูจนคิดว่าผมฆ่าเธอ เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่าครับ”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็ก้าวย่างตรงไปหยุดต่อหน้าและดึงร่างของเฉียงกุยหลงขึ้นมาจากพื้น แต่เขาก็ยังพยายามดิ้นหลุด และสบถด่ามีท่าทีไร้ซิ่งความสุขโดยสิ้นเชิง จนจ้าวเฉียนก็กล่าวกระซิบข้างหูว่า

“เลิกดิ้นได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งให้ยามพวกนี้ทุบตีนายจนพิการ เอาให้กระดูกแตกกันไปข้างเลย”

เฉียงกุยหลงถึงกับเสี่ยวสันหลังวาบ และสงบสติลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเข้าไปในตึก จ้าวเฉียนเอ่ยปากให้สัญญากับเขาด้วยความจริงใจว่า

“ฉันจะช่วยพี่สาวเธอเอง กลับไปรอฟังข่าวดีได้เลย ไม่ว่าใครจะเป็นคนเป่าหูนายอยู่มันไม่มีเจตนาดีแน่นอน”

เฉียงกุยหลงดูมึนงงเล็กน้อย คล้อยหลังครุ่นคิกดอยู่สักพัก เขาก็กล่าวถามขึ้นว่า

“ทำไมนายถึงอยากช่วยพี่สาวฉัน? เพราะตกหลุมรักเธองั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนอดหัวเราไม่ได้และตอบไปตามตรงว่า

“เพราะความกตัญญูของพี่สาวนาย ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเลย เธอในวัยเพียงเท่านี้แต่กลับต้องแบกรับภาระของครอบครัวไว้เต็มสองบ่า แต่ในอนาคตต่อไป หวังว่านายจะไม่ถูกหลอกอะไรง่ายๆแบบนี้แล้วนะ เข้าใจที่ฉันพูดไหม? แค่ค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ก็มากเกินพอแล้ว ถ้ายังต้องจ่ายหนี้แทนนายอีก เธอจะรอดได้ยังไง?”

เฉียงกุยหลงก้มหัวก้มตาลงทันทีดูเศร้าสลดไม่น้อย คล้อยหลังไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จู่ๆเขาก็ร้องไหลออกมาจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาในตึกเริ่มชายตามองกันบ้าง

และบังเอิญเสียเหลือเกิน หวังเฉียงและคนอื่นๆที่นั่งรถบัสที่ทำงานมาก็เข้าตึกกันมาพอดี พอเห็นภาพฉากแบบนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าจ้าวเฉียนกำลังรังแกเด็กไม่มีทางสู้อยู่ จึบรีบวิ่งไปหาโดยตรง

“จ้าวเฉียน นี่นายรังแกเด็กแต่เช้าเลยรึไง?”

หวังเฉียงกล่าวดุน้ำเสียงเย็นชา

“คุณชายจ้าว โดนกลั่นแกล้งจนเป็นปมรึเปล่า? พอตอนนี้มีโอกาสก็ลงไปลงกับคนอื่น?”

เจวียงหยวนกล่าวเสริมอย่างเข้าขา

“จ้าวเฉียน อีกฝ่ายยังเก็กอยู่เลยนะ นายก็ทำได้ลงคอ?”

“ไม่ใช่ว่าโตกว่าก็จะทำอะไรก็ได้หรอกนะ โอ้ๆ เจ้าหนูพี่คนนี้รังแกอะไรเธอเหรอ?”

คำด่าตักเตือนมากมายของบรรดาเพื่อนร่วมงาน ถาโถมเข้ามาหาจ้าวเฉียนชนิดไม่มีหยุดพักหายใจ เล่นเอาซะเขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง

ตอนที่139 เธอนี่เอง

ข่าวที่ว่าจ้าวเฉียนถูกจับกุมตัวถึงหูหยางหู่อย่างรวดเร็ว เขารีบเดินทางไปที่โรงพักเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และขอพบจ้าวเฉียน

“คุณชายจ้าว ทำไมไม่โทรบอกผมล่ะครับ”

หยางหู่เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบกลับไปว่า

“ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก สถานการณ์ตอนนี้มันเกินการควบคุมของฉันไปแล้ว ติดต่อหยวนตงไห่กับพ่อของฉันเดี๋ยวนี้เลย พวกเขารู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ”

หยางหู่พยักหน้าตอบว่า

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าวันนี้พวกเราผ่านมันไปได้ ผมสัญญาว่าจะล้างแค้นพวกที่ใส่ร้ายคุณชายให้สาสม!”

หลังจากพูดจบหยางหู่ก็รีบไปหาหยวนตงไห่

ทางหยวนตงไห่เองก็เก็บรวบรวมหลักฐานที่ใช้เอาคืนเฉินกวงหัว เตรียมให้กับหยางหู่ไว้แล้ว พอมาถึงก็ส่งมอบให้และกล่าวทิ้งท้ายไปว่า

“ฉันคัดแยกเอาไว้แล้ว ชุดแรกนายไปส่งให้พวกสื่อมวลชน และอีกส่วนเอาไปเป็นข้อต่อรองกับเฉินกวงหัว มันต้องยอมเจรจาด้วยแน่นอน จากนั้นค่อยส่งมันไปโรงพักจัดการ”

หยางหู่พยักหน้าและเปิดซองเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่ใช้เอาผิดเฉินกวงหัวได้หมดเลย ทั้งหลักฐานการฟอกเงิน เลี่ยงภาษี และการใช้เงินตราอย่างผิดกฎหมาย เป็นต้น

ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีโทษหนักเบาต่างกันไป แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างภาพลักษณ์แย่ๆให้กับเฉินกวงหัว แน่นอนว่าถ้าข้อมูลเหล่านี้หลุดออกไป เขาไม่เหลือเครดิตแน่นอน และที่แย่ที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทของเขา

หยางหู่รีบลงมือทันที เช้าวันรุ่งขึ้นบรรดาสื่อและเว็บไซต์หลักต่างๆ ได้เปิดโปงหลักฐานการฟอกเงินและหลีกเลี่ยงภาษีอย่างผิดกฎหมาย ทั้งยังรวมไปถึงปัญหาการปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำสาธารณะ ซึ่งนี่กระทบต่อภาพลักษณ์ของเฉินกวงหัวเต็มๆ เรียกได้ว่าเช้านี้ มือถือของเฉินกวงหัวแทบระเบิด เพราะมีทั้งบรรดานักข่าวและหน่วยงานรัฐโทรจี้เข้ามาชนิดไม่หยุดหย่อน

เฉินกวงหัวไม่รอช้า เขาหงุดหงิดอย่างมากเมื่อเห็นข่าวพวกนี้ จึงรีบต่อสายตรงไปหาสื่อต่างๆทันที

หยางหู่ฝากฝังบรรดาสื่อพวกนั้นก่อนหน้าไปว่า ถ้าเฉินกวงหัวโทรมาถาม ให้บอกไปว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของหยางหู่

เมื่อรู้ความจริงดังนั้น เฉินกวงหัวจึงโทรไปหาหยางหู่ต่อทันที

“พี่หู่นี่มันหมายความว่ายังไง? เราไม่เคยมีข้อข้องใจกันมาก่อน แล้วทำไมถึงโจมตีผมแบบนี้?”

หยางหู่เข้าเรื่องทันที

“จ้าวเฉียนเป็นแขกคนสำคัญของฉัน คุณเฉินใส่ร้ายเขาขนาดนั้น คิดว่าฉันจะอยู่เฉยได้งั้นเหรอ?”

เฉินกวงหัวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ตอบกลับไปว่า

“แขกคนสำคัญ? มันมีคุณสมบัติอะไรกันถึงพี่หู่ต้องให้ความสำคัญกับมันขนาดนั้น? หรือมันเป็นเพื่อนของคุณ? มันร่ำรวยขนาดนั้นเชียว?”

หยางหู่โมโหอย่างมากทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จึงขู่สวนไปว่า

“คุณเฉินพูดให้มันดีๆ ผมบอกไปแล้วว่าเขาคือแขกคนสำคัญของฉัน ถ้าไม่อยากเป็นศัตรูกับฉันก็อย่าจุ่นเรื่องของเขาอีก ไม่อย่างนั้น เตรียมใจรับผลหลังจากนี้ได้เลย”

โดยธรรมชาติแล้ว เฉินกวงหัวไม่ต้องการปล่อยให้เรื่องนี้มีผลกระทบต่าอบริษัทแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่ยอมปล่อยจ้าวเฉียนไปง่ายๆเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องการทดสอบว่า หยางหู่มีหลักฐานเอาผิดในมือมากน้อยแค่ไหน

“พี่หู่เองก็ควรทราบนะครับว่า ตอนนี้มันอยู่ในกำมือผมเรียบร้อยแล้ว จะให้ปล่อยไปง่ายๆได้ยังไง?”

หยางหู่เค้นเสียงเย็นทุ้มต่ำอย่างเย็นชา เอ่ยถามไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณเฉินเองก็อยากเข้าคุกเหมือนกันใช่ไหม? ผมยังมีข้อมูลผิดกฎหมายของคุณอีกมาก ทั้งการลักลอบซื่อขายเงินตราต่างประเทศ บัญชีการเงินปลอมของบริษัท แล้วก็อาชญากรรมอื่นๆที่สามารถจับคุณเข้าตารางได้อย่างง่ายดาย ถ้าจะใช้เงินแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้ คงต้องขายบริษัททุ่มกันไปข้าง!”

ความหมายของหยางหู่ค่อนข้างชัดเจนมาก เขายังมีหลักฐานอีกหลายชิ้นในกำมือ

เฉินกวงหัวไม่กล้าพูดเล่นอี่กต่อไป เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงความมั่นคงของเขาในยอนาคต จึงตอบไปตามตรงทันทีว่า

“โอเค ผมสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาได้ แต่พี่หู่แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าไม่ได้เก็บหลักฐานพวกนี้สำรองไว้ที่อื่น?”

“ไม่มีปัญหา แต่นายจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขายังไง?”

หยางหู่ซักถามต่อทันที

“ฉันสั่งให้เฉียงกุยหลิงนำยาเสพติดไปไว้ในห้องนวดของมันเอง เฉียงกุยหลิงจะสารภาพผิดแทนเขา และทุกอย่างจะจบเรียบร้อยดี”

เฉินกวงหัวกล่าวตอบตามความจริง

“โอเค ทันทีที่จ้าวเฉียนย่างเท้าออกมาจากโรงพัก ฉันจะส่งมอบข้อมูลให้นายทันที”

หยางหู่กล่าวตอบเสียงเย็น

หลังจากวางสายไป หยางหู่ก็โทรหาหยวนตงไห่และเอ่ยถามขึ้นว่า

“มีสาวนวดที่ชื่อเฉียงกุยหลิงอยู่ในโรงแรมนายไหม?”

“มีๆ บอสจ้าวถูกอกถูกใจเธออย่างมาก ทันทีที่มาถึงก็รีเควสให้เธอมานวดให้”

หยางหู่กัดฟันแน่น คำรามด้วยความโกรธว่า

“เฉินกวงหัวบอกว่า มันสั่งให้เธอแอบเอายาไปซ่อนในห้องนวดของคุณชายจ้าว! รีบจับตัวเธอไว้!”

“อะไรนะ?!”

หยวนตงอุทานลั่นทันทีด้วยความตกใจ

หยวนตงไห่ไม่อยากเชื่อเลยว่า ทั้งๆที่จ้าวเฉียนดีกับเฉียงกุยหลิงขนาดนั้น แต่เธอกลับทรยศเขาได้ลงจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เฉียงกุยหลิงถึงได้หายตัวไปเลย เธอคงรู้สึกผิดต่อเขาอย่างมากและก็หนีไปแล้ว

“พี่หู่ไม่ต้องกังวล ฉันจะรีบตามตัวเธอมา!”

หยวนตงไห่เอ่ยปากสัญญาด้วยความโกรธจัด

หยางหู่ระเบิดหัวเราะเล็กน้อย ตอบไปอย่างไม่ค่อยพอใจว่า

“นายไม่จำเป็นต้องตามหาแล้ว ปล่อยให้เฉินกวงหัวตามหาเธอเอง ฉันคุยกับมันหมดแล้ว ทันทีที่คุณชาวจ้าวก้าวออกจากโรงพักอย่างปลอดภัย ฉันจะส่งหลักฐานทั้งหมดคืนให้ มีคนลอบแทงข้างหลังคาบ้านนายขนาดนี้ รู้ไหมว่านายประมาทแค่ไหน? คุณชาวจ้าวเป็นคนใจกว้างก็จริง แต่ฉันคงไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน นายจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง?”

หยวนตงไห่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กล่าวว่า

“ฉันประมาทไปจริงๆ ฉันยอมรับผิด พี่หู่มาสั่งสอนผมได้เลย แล้วสัญญาว่าผมจะไม่ทำพผิดพลาดอีกแล้วในอนาคต”

“ก็ดี ครั้งนี้ถือว่าฉันเตือนสตินายให้ระวังตัวมากกว่านี้ ถึงยังไงมันก็เป็นธุรกิจของนาย และคุณชายจ้าวก็ไว้ใจนายมากเช่นกัน เอาล่ะ ฉันต้องไปดูคุณชายจ้าวแล้ว แค่นี้นะ”

เมื่อได้ฟังว่าเฉียงกุยหลิงตัดอนาคตตัวเองโดยการทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ จ้าวเฉียนก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เขาเห็นใจเธอ อยากให้เธอได้เข้าทำงานที่ดี แต่ดูสิ่งที่เธอตอบแทนมาสิ?

อย่างไรก็ตาม ตัวการของเรื่องนี้คือเฉินกวงหัว หากไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้อยู่หมด มันจะกลับมาล้างแค้นแน่นอนในเร็วๆนี้ หลังออกจากโรงพักไปได้ สิ่งแรกที่จ้าวเฉียนต้องทำคือ หากไม่ซื้อก็สั่งปิดบริษัทของเฉินกวงหัวไปเลย

ตกเย็น จ้าวเฉียนเดินกลับจาโรงพักอย่างราบรื่นดี

“คุณชายจ้าวเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? แล้วจะทำยังไงต่อดี?”

หยางหู่เอ่ยถาม

จ้าวเฉียนตอบกลับด้วยความโกรธว่า

“แน่นอน จัดการเฉินกวงหัวไม่ให้ลืมตาอ้าปากได้! ถ้าไม่ทำลายชีวิตมัน ก็ยากที่จะลบล้างความขุ่นเคืองภายในใจนี้ได้!”

“เข้าใจแล้วครับ! คุณชายจ้าวรอดูผลงานได้เลย ผมจะลากเฉินกวงหัวเข้าคุกเอง!”

หยางหู่ตบปากรับสั่งในทันใด

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่ในขณะที่กำลังจะจากไป กลับมีตำรวจนายหนึ่งวิ่งตามทั้งคู่มา และบอกว่าเด็กสาวที่ชื่อเฉียงหุยหลิงมาขอพบ

หยางหู่รีบสวนกลับไปทันควัน

“ไร้สาระ! เธอกล้าหักหลังคุณชายจ้าวเพียงเพราะเงินเล็กๆน้อยๆ คนแบบนี้เลี้ยงไปก็เหมือนเลี้ยงงูพิษไว้ใกล้ตัว รีบไล่เธอกลับไปซะ!”

เนื่องจากหยางหู่ไม่ได้ทราบถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ที่เฉียงกุยหลิงกำลังประสบในปัจจุบัน ก็เลยไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น แต่จ้าวเฉียนที่ทราบถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอดี จึงคิดว่าเธอคงจนตรอกแล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เพราะเรื่องนี้มันก็เกือบทำลายชีวิตของเขาแล้วเช่นกัน ไม่พบเจอกับเธออีกเลยคงเป็นการดีที่สุด

“คุณตำรวจ ฝากบอกเธอไปทีครับว่า ผมไม่อยากพบเธอ”

จ้าวเฉียนตอบปฏิเสธ

“แต่เธอบอกว่า ถ้าคุณปฏิเสธ ให้ตอบคุณกลับไปว่า ทั้งหมดที่เธอทำก็เพื่อน้องชายของเธอ”

เมื่อพูดถึงน้องชายของเฉียงกุยหลิง จ้าวเฉียนก็ใจอ่อนลงทันที ถ้าเธอต้องเข้าคุกทั้งแบบนี้ ชีวิตของสมาชิกที่เหลือในครอบครัวของเธอต้องถูกทำลายตามไปแน่ พ่อแม่ของเธอเตรียมรอวันตายได้เลย ส่วนน้องชายก็คงถูกเจ้าหนี้ตามล่า ชีวิตที่เหลือหลังจากนั้นคงทรมานราวกับนรกบนดิน

หยางหู่ไม่เข้าใจท่าทีของจ้าวเฉียนเท่าไหร่นักำ แต่เขาก็เป็นถึงคุณชายจ้าว คงทำอะไรไม่เมากนักนอกจากพยักหน้าทำตาม

ในไม่ช้าจ้าวเฉียนและเฉียงกุยหลิงก็ได้พบหน้ากันอีกครั้ง

ทันทีที่เฉียงกุยหลิง เธอก็ร้องไห้ออกมาทันที

“หนูขอโทษ หนูขอโทษ…หนูไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณเลย แต่หนี้ของน้องชายหนูมันพุ่งไปกว่าสี่แสนหยวนแล้ว และเฉินกวงหัวก็ได้ปลอดหนี้ก้อนนั้นให้หมดแล้ว แล้วกลายเป็นว่าเขามาทวงเงินที่หนูแทน ถ้าไม่ทำตามที่เขาต้องการ เขาจะจับหนูเข้าคุก อย่างน้อยก็อย่าทำร้ายครอบครัวหนูเลยนะคะ ถ้าไม่พอใจหนูจริงๆ หนูยินดีเข้าคุกเพื่อชดใช้กรรมค่ะ แต่อย่าทำอะไรน้องชายกับพ่อแม่หนูเลยนะคะ”

เมื่อต้องมาเห็นเฉียงกุยหลิงร้องห่มร้องไห้ จ้าวเฉียนก็เริ่มจะรวนเรใจแล้วเช่นกัน

ตอนที่138 นอนข้างถนน

เฉินกวงหัวยิ้มแย้มดูมีความสุขอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกได้ทันทีว่า มีใครบางคนกำลังคว้าแขนหิ้วปีกเขาออกไป หันควับกลับไปมองพบว่าบรรดาลูกน้องของหยวนตงไห่ที่จับตัวเขาลากออกไป

“นี่พวกนายทำบ้าอะไร? เข้าใจผิดแล้ว! เจ้านายพวกนายสั่งให้จับมันไม่ใช่ฉัน! เป็นลูกน้องประสาอะไรวะโง่ชิบหาย!”

เฉินกวงหัวตะโกนดุด่าอย่างเกรี้ยวโกรธ

พวกลูกน้องของหยวนตงไห่ไม่สนใจฟังเรื่องไร้สาระ พวกเขาลากร่างของเฉินกวงหัวออกจากประตูทันที

“เห้ย! หูหนวกรึไงวะ! กูบอกว่าให้ไปจับคนบนเตียงไม่ใช่กู! กล้าแตะเนื้อต้องตัวกูเหรอ? พวกมึงรู้ไหมว่ากูกับเจ้านายของพวกมึงสนิทกันแค่ไหน? ประธานหยวนหยุดพวกเขาทีครับ!”

เฉินกวงหัวเอาแต่โวยวาย แถมยังเอาแต่ใจตัวเองอีก ช่างเป็นเรื่องน่าตลกจริงๆ

หยวนตงไห่เย้ยเยาะกล่าวตอบไปว่า

“คุณเฉิน ผมเคารพในตัวคุณ แค่คุณกลับไม่เคารพผมเลย อีกฝ่ายเป็นถึงแขกคนสำคัญของผม จนมารุกรานคนอื่นแบบนี้ไม่ได้”

เฉินกวงหีวรีบอธิบายตอบทันทีว่า

“ผมยังไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เลยนะครับ เขาต่างหากที่มาจุ่นเรื่องของผมก่อน ตอนแรกเสี่ยวหลิงกำลังนวดให้ผมดีๆ แต่หัวหน้าพนักงานกลับเรียกเธอออกไปเฉยเลย โดยบอกว่ามีแขกคนสำคัญเรียกตัวไป ที่ผมปล่อยเธอไปเพราะเห็นแก่หน้าคุณ แต่ตั้งนานแล้วก็ยังไม่กลับมาสักที หรือจะให้ผมนอนรอในห้องนวดสักคืนเลยล่ะ?”

หยวนตงไห่ยิ้มและกล่าวน้ำเสียงเข้มว่า

“น้องชายคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากของทางเรา เชิญคุณเฉินกลับห้องนวดของตัวเองไปก่อนครับ เดี๋ยวผมส่งสาวนวดมือดีอีกคนไปให้ ถ้าไม่พอใจอีก เกรงว่าทางเราต้องเชิญคุณออกแล้ว! เข้าใจที่พูดไหมครับ?”

เหล่าลูกน้องของหยวนตงไห่หลายคนจับล็อกเฉินกวงหัวไว้แน่นอน และพยายามบังคับให้เขาออกจากห้องนี้ไป

เฉินกวงหัวโมโหอย่างมาก เขาตวาดดังลั่นว่า

“หยวนตงไห่! ฉันให้หน้านายมาเยอะพอแล้วนะ! คิดจริงๆ หรือว่าที่ฉันสุภาพด้วยเพราะกลัวนาย? อย่าลืมนะว่าผมเป็นใคร กล้าทำให้ฉันขุ่นเคือง คงทรราบผลที่จะตามมาใช่ไหม?”

หยวนตงไห่ตะคอกสวนตอบ น้ำเสียงเฉียบเย็นขึ้นหลายส่วน

“ถ้าคุณเฉินต้องการจะตอบโต้ผมก็เชิญเลย ผมจะรอ! แล้วเตรียมรับศพพวกนี้คุณจ้างมากลับไปด้วย!”

“ได้! หยวนตงไห่ มึงเจอกูแน่!”

เฉินกวงหัวคำรามอย่างบ้าคลั่ง และสะบัดแขนอย่างแรงจนหยุดจากพันธนาการของบรรดาลูกน้อง พร้อมเดินจากออกไปโดยตรง

หยวนตงไห่ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย แต่รีบตรงเข้ามาพูดกับจ้าวเฉียนด้วยรอยยิ้มว่า

“บอสจ้าว ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ปล่อยให้คนแบบนี้มารบกวนคุณ”

“ไม่เป็นไร ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ นายออกมาช่วยได้ทันเวลาพอดี”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

หยวนตงไห่กล่าวตอบกลับด้วยความนอบน้อมว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ เธอก็นวดให้บอสจ้าวดีๆ ล่ะ อย่าทำให้เขาต้องผิดหวังเด็ดขาด”

“ได้เลยค่ะ”

หยวนตงไห่รีบพาเหล่าลูกน้องคนที่เหลือถอยออกไป พร้อมปิดประตูให้อย่างเบามือ

เฉียงกุยหลิงรีบตรงไปล็อกประตูและถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวถามขึ้นว่า

“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้จริงๆ นั่นแหละ ลองเปลี่ยนที่ทำงานดูไหม?”

ดวงตาของเฉียงกุยหลิงฉายแววดูหม่นประกาย เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่สักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“หนูไม่เคยเรียนหนังสือ แถมไม่มีทักษะความสามารถอะไรเลย ถ้าต้องการอาชีพที่มีรายได้สูงแต่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไร ก็มีแต่งานแบบนี้เท่านั้นแหละค่ะ”

จ้าวเฉียนยิ้มถามต่อว่า

“เธอแต่งหน้าเองรึเปล่า? ถ้าใช่ถือว่าฝีมือดีมากเลยนะ สนใจทำงานในด้านนี้ไหม ตัวอย่างเช่นช่างแต่งหน้าประจำกองถ่ายอะไรแบบนี้น่ะ?”

เฉียงกุยหลิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เธอตอบกลับไปว่า

“ใช่ค่ะ หนูชอบเรียนแต่งหน้าด้วยตัวเองผ่านคลิปสอนบนอินเตอร์เน็ต อืม…แต่หนูเคยแต่แต่งหน้าให้ตัวเอง ไม่เคยแต่งให้คนอื่นมาก่อนเลย”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“เข้าใจแล้ว งั้นฉันจะส่งที่อยู่กับหมายเลขโทรศัพท์ให้นะ ถ้ามีเวลาก็ลองไปพบอีกฝ่ายดู แล้วบอกกับทางนั้นว่า ฉันแนะนำให้เธอเข้ามาสมัครเป็นช่างแต่งหน้า จากนั้นเธอก็สอบสัมภาษณ์ ตราบใดที่ผลการสัมภาษณ์ไม่เลวร้ายอะไรนัก ทางนั้นจะต้องรับเธอเข้าทำงานแน่นอน รายได้ค่าตอบแทนค่อนข้างสูงมาก ถ้างานแต่งหน้ามีคุณภาพพอ ขั้นต่ำที่ได้คงสักวันละหนึ่งพันหยวน”

พอได้ยินคำว่าวันละหนึ่งพันหยวน เฉียงกุยหลิงตอบตกลงโดยไม่คิดเลย เธอกล่าวขอบคุณจ้าวเฉียนว่า

“หนูต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะ ถ้าฉันได้เข้าทำงานที่ใหม่จริงๆ ขอเชิญคุณไปทานอาหารด้วยกันสักมื้อนะคะ”

จ้าวเฉียนยิ้มพลางโบกมือปัด

“ฮ่าฮ่า…อย่าสุภาพนักเลย นวดฉันให้ดีก็พอ”

เฉียงกุยหหลิงหัวเราะคิกคักดูมีความสุขอย่างมาก เธอรีบกดจุดนวดจ้าวเฉียนต่อทันทีด้วยความประณีต

วันนี้จ้าวเฉียนเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก หลังจากนวดไปได้ไม่นาน เขาก็คล้อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขากลับตื่นขึ้นท่ามกลางความงุนงง เพราะได้ยินเสียงใครบางคนพยายามพังประตูเข้ามาด้วยความเกรี้ยวกราด จ้าวเฉียนรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที พอเปิดออกมาก็พบว่าเป็นตำรวจกลุ่มใหญ่

“โอ้! คุณตำรวจมีอะไรหรือเปล่าครับ หรือจะมาจับผม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากบ่น

“ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนจับครับ เราขอตรวจสอบบัตรประชาชนของคุณหน่อย”

จ้าวเฉียนมองดูสภาพเปือยกาย นุ่งแค่ผ้าขนหนูตัวเดียวและตอบกลับไปว่า

“คุณตำรวจ คิดว่าผมที่อยู่ในสภาพนี้จะพกบัตรประชาชนมาด้วย?”

“ถ้าอย่างนั้นทางเราก็ขอโทษด้วยครับ ออกไปยังห้องแต่งตัวพร้อมเราด้วยครับ”

จ้าวเฉียนรีบยื่นมือห้ามไม่ให้ตำรวจเข้าใกล้ตัว และกล่าวสวนขึ้นว่า

“ผมไปเองได้!”

“เอาล่ะ งั้นส่งคนไปที่ห้องแต่งตัวสักสองสามนายพอ”

จ้าวเฉียนเดินนำตำรวจอีกสามนายเข้าไปยังห้องแต่งตัว เขาไขกุญแจเปิดล็อกเกอร์และหยิบบัตรประชาชนส่งให้ ในเวลาเดียวกัง หยวนตงไห่ก็มาถึงพอดี จ้าวเฉียนบอกอีกฝ่ายไปว่าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป รอดูการเคลื่อนไหวของทางตำรวจก่อน

ตำรวจตรวจชอบบัตรประชาชนของจ้าวเฉียนโดยละเอียด ก่อนหมุ่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย

จ้าวเฉียนรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย จึงเอ่ยถามไปว่า

“คุณตำรวจ ผมขอถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมแค่มานวดเฉยๆ มันผิดกฎหมายเหรอคครับ? ถึงขั้นตรวจค้นบัตรประชาชนกันแบบนี้?”

“มีคนรายงานว่า มีเด็กผู้หญิงทำงานผิดกฎหมาย และลูกค้าบางคนทำการเสพยา เพื่อความแน่ใจ ทางเราต้องค้นทุกห้อง”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มกว้างในทันใด เฉินกวงหัวนี่มันเล่นไม่ซื่อจริงๆ

จ้าวเฉียนยังคงยื่นนิ่งอยู่เคียงข้างตำรวจทั้งสามนายและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หลังจากนั้นทางตำรวจก็บุกเข้าไปตรวจสอบห้องนวดทุกซอกทุกมุมอย่าบงละเอียด ก่อนจะแงะพรมบนพื้นออกมาทันที

จ้าวเฉียนในตอนนี้ยังมัวปั้นหน้าผ่อนคลายได้ยังไง ถึงเขาจะไม่ได้ทำ แต่เฉินกวงหัวต้องทำอะไรสักอย่างในระหว่างที่เขาประมาทแน่นอน

และมันก็เป็นจริงตามนั้น เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในทันใด ตำรวจพบซองที่บรรจุผงสีขาวไว้อยู่ข้างใน ดูจากน้ำหนักประมาณ50กรัมเห็นจะได้

จ้าวเฉียนและหยวนตงไห่ถึงกับผงะ ทำไมถึงมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ในห้องได้?

“คุณจ้าวเฉียน โปรดตามพวกเรากลับไปยังโรงพักเพื่อสอบสวนด้วยครับ”

ขณะที่กำลังกำลังตรงเข้ามาจับกุมจ้าวเฉียน หยวนตงไห่ก็พยายามที่จะเข้ามาหยุดไว้ แต่จ้าวเฉียนกลับยกมือส่งสัญญาณว่าไม่ต้องเข้ามา

“หยวนตงไก่ ฝากนายตรวจสอบเรื่องนี้ให้ที หวังว่าชื่อเสียงของฉันจะไม่ถูกทำลายเพราะเรื่องไร้สาระเหล่านี้ อาจจะมีลูกค้าบางคนไม่พอใจ เลยกลั่นแกล้งผมแบบนี้”

จ้าวเฉียนจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ลูกค้า’ เพื่อเตือนสติให้หยวนตงไห่หวนนึกถึงเฉินกวงหัว เพราะสถานที่แห่งนี้มีเพียงเฉินกวงหัวคนเดียวที่ไม่พอใจจ้าวเฉียน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเอาคืน

หยวนตงไห่เป็นคนฉลาดหัวไวและทันเกม เขาเข้าใจได้ทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหมายถึงอะไร และไม่ควรปะทะกับตำรวจโดยไม่จำเป็น

จ้าวเฉียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินทางไปที่โรงพักพร้อมกับบรรดาเจ้าหนเที่ตำรวจอีกหลายนาย

หยวนตงไห่เข้าสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็พบว่ามันเป็นฝีมือข้างเฉินกวงหัวจริงๆ เขาให้เส้นสายของตัวเองโทรหานักการเมือง เพื่อกระตุ้นให้ทางตำรวจเคลื่อนไหว

เนื่องจากมั่นใจแล้วว่านี่เป็นฝีมือของเฉินกวงหัว หยวนตงไห่จึงรีบโทรหาอีกฝ่ายทันที

“คุณเฉิน รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังเล่นกับไฟอยู่?”

เฉินกวงหัวแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร และกล่าวตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสาว่า

“ประธานหยวนพูดแบบนี้หมายความว่าอะไรเหรอครับ? ผมกำลังเล่นกับไฟตรงไหน?”

หยวนตงไห่ระเบิดหัวเราะเยาะดังสนั่น กล่าวตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่าๆ …คุณกำลังทำอะไรลงไปคงรู้อยู่แก่ใจ ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่า เลิกทำเรื่องโง่ๆ ดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นคุณเตรียมนอนข้างถนนได้เลย!”

แน่นอนว่าเฉินกวนหัวไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด แต่อย่างใดเขายังกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“ในเมื่อมันกล้าเล่นกับผม ผมก็ไม่มีอะไรต้องกลัวมันเช่นกัน โอ้? คิดจะทำอะไรผมงั้นเหรอ? ผมได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบผู่ประกอบการดาวรุ่ง ถ้ากล้าก็ลองดูได้!”

หยวนตงไห่ขบฟันแน่นพร้อมตัดสายทิ้งไปทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว เนื่องจากว่าเฉินกวงหัวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดังนั้นถึงคราวที่เขาต้องสั่งสอนให้อีกฝ่ายหลาบจำเสียแล้ว

ตอนที่137 ตลกแล้วที่ใครจะมารัก

จ้าวเฉียนเห็นอกเห็นใจเฉียงกุยหลิงอย่างยิ่ง เธออุทิศตัวเพื่อครอบครัวมามากเกินไปแล้ว ช่างน่าสงสารจริงๆ ใช้ความโลภเพื่อล่อลวงน้องชายของเธอ ด้วยความเป็นเด็กย่อมถูกคล่อยตามได้ง่าย แต่จะอย่างไร จ้าวเฉียนไม่ใช่นักบุญที่สักแต่จะช่วยใครก็ได้ที่น่าสงสาร แต่ถึงอย่างไรเขาก็ควรเตือนเธอไว้ก่อน

“ไม่มีธุรกิจไหนที่มีอัตราผลตอบแทนต่อเดือนเกิน20% หากมากกว่านั้นไม่โดนหลอกก็เป็นการฟอกเงิน”

เฉียงกุยหลิงไม่เข้าใจสักเท่าไหร่จึงเอ่ยถามไปว่า

“หมายความว่ายังไงเหรอค่ะ?”

“พูดตามตรงเลยนะ น้องชายของเธอถูกหลอกแล้ว ไม่มีธุรกิจอะไรที่โยนเงินไปเฉยๆ แล้วจะได้ผลตอบแทนสูงขนาดนี้บนโลก หรือไม่ก็บางทีน้องชายของเธอกำลังทำสิ่งผิดกฎหมาย อย่างมีส่วนร่วมในธุรกิจฟอกเงิน ไม่ก็หนักกว่านั้นคือการค้าขายยาเสพติด”

จ้าวเฉียนกล่าวอธิบายไปตามความเป็นจริง

เฉียงกุยหลิงไม่เชื่อว่าน้องชายของเธอจะทำเรื่องผิดกฎหมายแน่นอน จึงรีบกล่าวตอบไปว่า

“อาตจเป็นเพราะหนูไม่ได้ทราบเรื่องดังกล่าวดีขนาดนั้น ก็เลยทำให้คุณลูกค้าคิดว่าน้องชายมีส่วนพัวพันกับอะไรแบบนี้ แต่หนูรับประกันเลยว่า น้องชายหนูไม่ใช่คนแบบนั้น”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและกล่าวว่า

“ฉันจะยกตัวอย่างให้ฟังนะ ต่อให้มีคนล่อลวงน้องชายของเธอให้ไปเกี่ยวพันกับเรื่องผิดกฎหมาย ตำรวจไม่สนหรอกนะว่าที่มาจะเป็นยังไง ถ้าหน้างานเห็นว่าน้องชายของเธอมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ต้องรับโทษเหมือนกันหมด”

พอได้ยินแบบนั้น เฉียงกุยหลิงก็หวาดกลัวขึ้นมาทันที เธอรีบขอตัวไปโทรหาน้องชายทันทีและสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของอีกฝ่าย

หลังจากวางสายไป เฉียงกุยหลิงรีบกล่าวกับจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“คุณลูกค้า โปรดรอฉันหน่อยได้ไหม ช่วงเที่ยงๆ น่าจะกลับมาฉันต้องรีบไปพบน้องชาย มันเป็นไปตามที่คุณบอกไว้ไม่มีผิด มันเป็นธุรกิจผิดกฏหมาย ถ้าหาเงินสองแสนไม่ได้ พวกมันจะเรียกตำรวจมาจับ แต่เงินเก็บหนูรวมๆ แล้วยังไม่ไม่ถึงแสนเดียวเลยด้วยซ้ำ”

เฉียงกุยหลิงพูดจบเธอก็หลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือเรื่องเงิน

พอจ้าวเฉียนเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสารขึ้นจับใจ เขามักจะใจอ่อนกับเรื่องน่าสงสารแบบนี้ เขาพยักหน้าและกล่าวว่า

“เอาล่ะ งั้นฉันจะนอนพักที่นี่ก่อน ถ้าเสร็จแล้วค่อยโทรมาหาฉันนะ”

“ได้เลยค่ะ ได้เลย ตอนนี้ยังพอมีเวลา ให้ดิฉันคลายเส้นสักหน่อยก่อนดีไหมค่ะ?”

เฉียงกุยหลิงขอบคุณอย่างซึ้งอกซึ้งใจ

“ฮ่าฮ่า…ก็ดีเหมือนกัน วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้มีเวลาว่างเยอะ ฉันก็เลยทำความสะอาดบ้านชุดใหญ่ จนปวดเมื่อยตัวไปหมดแล้วเนี่ย งั้นช่วยกดจุดให้ฉันหน่อยแล้วกัน”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็หลับตาและนอนลง เฉียงกุยหลิงเริ่มจับเส้นหาจุดนวดในทันที

แต่ทันทีที่เธอลงน้ำมันบนหลังจ้าวเฉียน กลับมีเสียงทุบประตูดังลั่นจากด้านนอก

จ้าวเฉียนลืมตาตื่นขึ้นทันที เผยให้เห็นแววเย็นยะเยือกเฉียบคมดุจมีด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธอย่างมาก

เฉียงกุยหลิงหันควับมองไปที่ประตูและกล่าวขึ้นว่า

“คุณลูกค้าขอเวลาสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันเรียกหัวหน้ามาจัดการเองค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าพร้อมหลับตาลงอีกครั้ง

“รีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้! กูอยากเห็นหน้าไอ้เวรที่แย่งเสี่ยวหลิงตัดหน้าไป! ไอเวร! กดเส้นให้กูได้ครึ่งทางแล้วเปลี่ยนคนเฉย! ออกมาหากูเดี๋ยวนี้!”

คนที่อยู่นอกประตูเริ่มตะโกนสบถด่าไม่หยุด จากนั้นก็ทุบประตูอย่างแรงอีกหลายครั้ง

เฉียงกุยหลิงรีบโทรแจ้งหัวหน้า หลังจากนั้นไม่นานหัวหน้าคนดังกล่าวก็ไปตามหยวนตงไห่มา

จ้าวเฉียนลืมตาตื่นขึ้นพร้อมแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย เพราะเขาจำเสียงของคนที่อยู่ด้านนอกได้เป็นอย่างดี เจ้าหมอนี่ไม่ใครอื่นนอกเสียจาก เฉินกวงหัว น้องชายของเฉินกวงอวี่ที่เปิดร้านขายเครื่องประดับปลอมบนเกาะซ่งต้าว

“ไปเปิดประตูให้หน่อย ฉันอยากเจอเจ้านั้น”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากสั่งทันที

เฉียงกุยหลิงกังวลว่า จ้าวเฉียนอาจจะไปหาเรื่องกับคนข้างนอกได้ เธอจึงรีบโน้มน้าวทันทีว่า

“คุณลูกค้ารอจนกว่าหัวหน้าจะมาก่อนดีกว่า ปล่อยให้เขาจัดการกับแขกพวกนี้เอง บางทีประธานหยวนอาจจะมาด้วย”

จ้าวเฉียนหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“คราวนี้ฉันจัดการเองได้ ไม่ต้องถึงมือหยวนตงไห่หรอก เชื่อฉันเถอะ ไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา”

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฉียนมั่นอกมั่นใจถึงขนาดนั้น เฉียงกุยหลิงจึงพยักหน้าและออกไปเปิดประตูทันที

“เหอะ! เสี่ยวหลิง กว่าเธอจะเปิดประตูได้ทำไมนานแบบนี้! ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งรึไง?”

เฉินกวงหัวเค้นเสียงเย็นเอ่ยถามขึ้น ประดับคู่รอยยิ้มแสนชั่วร้าย

“ประธานหยวนสั่งให้หนูรับแขกคำสำคัญ หวังว่าจะไม่มีรบกวนนะคะ”

เฉียงกุยหลิงกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เฉินกวงหัวเดือดดาลขึ้นทันทีที่ได้ยิน เขาตะคอกใส่เสียงดังลั่น

“ฉันไม่สน! ทำแบบนี้ถือเป็นการไม่ให้หน้าฉัน!”

เฉินกวงหัวผลักเฉียงกุยหลิงจนเซถอย พอตรงเข้ามาในห้องก็ค้นพบว่าจ้าวเฉียนกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์

“แก…ทำไมถึง…”

เฉินกวงหัวอุทานขึ้นทันควันด้วยความประหลาดใจ

“โย่! คุณเฉินบังเอิญจังนะครับ อยากมาสนุกด้วยคนไหม?”

จ้าวเฉียงจงใจเย้าเยาะอีกฝ่าย

เฉินกวงหัวรีบโต้กลับโดยไวว่า

“หุบปากไปเลย! ฉันมาที่นี่ก่อนแก กำลังผ่อนคลายอยู่ดีๆ แกก็เข้ามาจุ่นจ้าน! ขอบอกไว้อย่างนะ เสี่ยวหลิงไม่ใช่เด็กสาวขายตัว เอามือสกปรกออกไปจากเธอซะ!”

เฉียงกุยหลิงยิ้มแห้ง แต่ไม่ได้เอ่ยตอบอันใด

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่น กล่าวว่า

“ทำไมคุณเฉินถึงมีความคิดที่น่ารังเกียจแบบนั้นล่ะครับ? ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย หลังจากนี้ผมจะพาเธอออกจากที่นี่ด้วยกัน ถ้าไม่อยากมีเรื่องกับลุงห้า คุณเฉินอย่ามายุ่งกับเธอดีกว่า”

คำกล่าวของจ้าวเฉียนทำเอาเฉินกวงหัวเสียวสันหลังวูบ และนั้นก็ยังทำให้เฉียงกุยหลิงโล่งใจไปได้เปาะหนึ่ง

เฉินกวงหัวกำหมัดกระชับแน่นด้วยความโกรธ เขาหัวเราะเยาะสวนตอบไปว่า

“เธอเป็นของฉันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่หัวจรดเท้าเธอเป็นของฉัน แม้แต่เลือดของเธอก็ตาม!”

“คุณเฉิน…คุณ…ระวังคำพูดด้วยค่ะ!”

เฉียงกุยหลิงตะโกนขึ้นสุดเสียง เธอทั้งโกรธทั้งอาย

เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ เฉินกวงหัวก็หยุดแกล้งเธอทันทีและขู่ไปว่า

“เธอเลิกแสร้งไร้เดียงสาได้แล้ว มาทำงานในสถานที่แบบนี้มีผู้หญิงดีๆ คนไหนเขาทำกัน? ที่เธอวิ่งไปหามันเพราะมันให้เงินดีกว่าใช่ไหม?”

“คุณเฉินโปรดระวังคำพูดตัวเองด้วยนะ! อย่ามาดูถูกอาชีพของหนู ถึงนี่จะเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย แต่หนูก็ยังมีศักดิ์ศรีนะคะ อย่ามาพูดจาดูหมื่นกันแบบนี้!”

เฉียงกู่หลิงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

“ศักดิ์ศรีงั้นเหรอ? แล้วมันเท่าไหร่ล่ะ? ฉันจะให้เธอเท่าที่จะพอใจเลย ฉันขอซื้อตัวเธอกลับในราคาห้าหมื่นหยวน! ถ้ายังกินไม่อิ่มพอก็เอาไปเลยหนึ่งแสนหยวน! ตราบเท่าที่เธอพอใจ ฉันจะซื้อบ้านสักหลังให้เธอยังได้! เอาแบบนี้เป็นไงบ้านสักหลังกับเงินเดือน เธอย้ายไปอยู่ที่นั้นเลยในอนาคต ไม่ต้องกลับมาทำงานในสถานที่แบบนี้อีกแล้ว! เป็นทาสรักของฉันคนเดียวว่าไง?”

เฉียงกุยหลิงโกรธจัดจนพูดไม่ออก เธอเหลียวหน้าหนีจากใบหน้าอันหื่นกระหายของเฉินกวงหัวทันที

“เฮ้…เสี่ยวหลิง ตอนนี้เธอดูสวยมากเลยนะ ฉันชอบที่สุดแล้วเวลาผู้หญิงโกรธ มันทำให้ฉันหวนนึกถึงรักแรก เธอคนนั้นก็โกรธง่ายพอๆ กับเธอเลย แต่ยิ่งเธอโกรธมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งชอบ…”

“คุณเฉิน! เลิกฝันกลางวันเถอะค่ะ ฉันยังติดนวดให้ลูกค้าอยู่ เชิญออกไปค่ะ!”

จ้าวเฉียนไม่สามารถทนฟังต่อไปได้อีกแล้ว ชายคนนี้พูดมากเกินไป เอะอะก็จะเอาเธอออกไปให้ได้ท่าเดียว

เฉินกวงหัวโมโหอย่างมาก เขาวิ่งเตะขาเตียงกลางห้องนวดอย่างแรง พร้อมตะโกนสาปส่งไปว่า

“ลืมกูแล้วใช่ไหมนังนี่! กูได้เสี่ยวหลิงก่อนมึงอีก หวังว่าเธอจะนวดให้แกพอใจ!”

“คุณเฉิน เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว! หรือต้องให้ผมเรียกรปภ.ให้ลากออกไป?”

ในเวลาเดียวกับ สุ้มเสียงของหยวนตงไห่ก็ดังลั่นจากด้านนอก

เฉินกวงหัวรีบหันไปทักทายทันทีอย่างยิ้มแย้ม

“โอ้! ประธานหยวนอยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ ดูพนักงานนวดคนนี้สิ เธอเอาแต่ใจมาก ระหว่างนวดให้ผมอยู่ เธอก็หนีออกมานวดให้เจ้าหมอนี่เฉยเลย เห็นอ้างด้วยว่าคุณเรียกตัวเธอมา เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะครับ ประธานหยวนต้องสั่งสอนเธอให้เชื่องกว่านี้ ส่วนเจ้าหมอนี่เดี๋ยวผมจัดการมันเอง”

เฉินกวงหัวคิดว่า หยวนตงไห่มาที่นี่เพื่อช่วยเขา แต่ช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ ที่เขาเข้าใจผิดแบบนี้

หยวนตงไห่ไม่มามัวพูดจาไร้สาระกับเฉินกวงหัว เขาโบกมือเรียกเหล่าลูกน้องที่อยู่ด้านหลังให้เคลื่อนไหวทันที

“พาเขาออกไป อย่าให้เข้ามารบกวนแขกคนสำคัญได้อีก”

เฉินกวงหัวระเบิดหัวเราะเยาะอย่างภาคภูมิใจ และกล่าวเย้ยจ้าวเฉียนว่า

“ไอ้หนู แกอย่าโทษฉันเลยนะ ลูกพี่หยวนมาลากแกโยนออกไปแล้ว นี่แหละคือโทษฐานที่ทำให้ฉันต้องขุ่นเคือง! ฮ่าฮ่า…”

ตอนที่136 โดนโกง

จ้าวเฉียนพาหยางหู่ขึ้นมาในรถของเขาและสั่งว่า

“นายช่วยส่งคนไปตามสืบการเคลื่อนไหวของสองพ่อลูกตระกูลหยางที ฉันอยากจะรู้ว่าพวกมันนอนกับใครบ้าง เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะสั่งให้ลูกน้องที่เคยประจำหน่วยรบพิเศษไปตามสืบโดยเฉพาะ งานนี้ต้องสำเร็จอย่างราบรื่นครับ”

หยางหู่ตอบกลับด้วยความเคารพ

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอในและกล่าวต่อว่า

“แล้วหลิวเปาเป็นยังไงบ้าง?”

“หลิวเปาจ่ายเงินให้หลิวซีไปรับผิดทั้งหมดแทน ตอนนี้เขาสบายดีและกำลังจะได้รับการปล่อยตัวในอีกไม่กี่วัน”

น้ำเสียงของหยางหู่ดูไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่นัก

“โอ้ ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เราทีพลังและอำนาจมากพอ มันจะจัดการพวกเราได้ยังไง แต่หลังจากนี้นายต้องระวังตัวให้ดี หลังจากถูกปล่อยตัวออกมา มีความเป็นไปได้ว่าหลิวเปาจะเปิดศึกจู่โจมพวกนายได้ เตรียมรับมือไว้ก่อนไม่เสียหาย”

จ้าวเฉียนกล่าวแนะนำด้วยความเป็นห่วง

หยางหู่รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากพร้อมกล่าวขอบคุณไปว่า

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงครับ ผมจะระวังตัวให้ดี ส่วนทางคุณชายจ้าวเองก็ต้องระวังตัวเช่นกันนะครับ สองพ่อลูกตระกูลหยางคงกำลังคิดแผนร้ายจัดการคุณชายแน่นอน”

คู่คิ้วของจ้าวเฉียนมุ่นขึ้นเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าเบาๆ เขาตอบกลับไปว่า

“อืม ฉันจะระวังตัวให้ดี ช่วงนี้คงไม่ค่อยออกไปข้างนอกโดยไม่จำเป็น ไปกลับเฉพาะที่ทำงานกับบ้านเท่านั้น เพราะถึงพวกนั้นจะบุกมาถึงบริษัท แต่มันไม่กล้าลงมือลงไม้กับฉันแน่นอน ภายในออฟฟิศมีทั้งกล้องวงจรปิดและคนอื่นๆอีกมากมาย แต่ยังไงก็ตาม ช่วงนี้นายต้องเปิดมือถือตลอด24ชม.นะ ในกรณีฉุกเฉินนายต้องมาช่วนฉันโดยเร็วที่สุด”

หยางหู่เหยียดหลังยืดตรงในทันใด พร้อมตบปากรับคำกับจ้าวเฉียนว่า

“ไม่ต้องกังวลครับ ผมจะค่อยเฝ้ามือถือตลอดเวลา หากมีอันตรายใดๆเกิดกับคุณชายจ้าว รีบโทรหาผมทันที ผมจะไปช่วยโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”

“ฉันเชื่อมั่นในตัวนายนะ เอาล่ะเดินทางกลับดีๆ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม

หยางหู่บอกลาจ้าวเฉียนและเดินลงจากรถไป และขึ้นรถตัวเองเพื่อขับกลับบ้าน

ไม่นานหลังจากนั้นจ้าวเฉียนก็ถึงคฤหาสน์ ในเวลาเดียวกันหวานเจียงก็ส่งข้อความมาหาผ่านWeChatถึงเขา

“ถึงบ้านรึยัง?”

จ้าวเฉียนกำลังอาบน้ำอยู่ ก็เลยไม่ได้ตอบเธอกลับในทันที

พอออกมาจากห้องน้ำ เขาก็พบว่าหวานเจียงส่งข้อความมาหาตนเองยาวเป็นหางว่าว เธอคงพยายามสื่อสารกับเขาว่า ไม่ว่าพ่อของเธอจะพูดหรือข่มขู่อะไรก็อย่าไปฟังเขา อย่าได้สนใจหรือต้องกลัว พ่อของเธอไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าเธอจะมีเพื่อนเป็นใครบ้าง จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและส่งข้อความตอบกลับจำนวนมากให้แก่เธอไป

“เมื่อกี้ฉันอาบน้ำอยู่ เลยไม่ได้ตอบ”

“คำพูดของพ่อเธอไม่มีผลอะไรกับฉันอยู่แล้ว”

“ถ้าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ ไม่มีใครสามารถหยุดฉันได้”

“และถ้าคนไหนที่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนด้วย ต่อให้ตื้อยังไงก็ไม่มีทาง”

อ่านแชทตรงหน้าเป็นเวลาเนินนาย หวานเจียงเหม่อลอยไปสักใหญ่ก่อนจะได้สติกลับมา พิมพ์ตอบไปว่า

“แล้วนายอยากเป็นเพื่อนกับฉันไหม?”

ถ้าในฐานะเพื่อนธรรมดาทั่วไปจ้าวเฉียนยังคงเต็มใจ แต่ถ้ามากไปกว่านั้นกลับรู้สึกอึดอัดแล้ว อย่างน้อยที่สุดตอนนี้หวานเจียงก็ไม่ใช่สเปคของเขา

“แน่นอน ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ ขอตัวไปนอนก่อนนะ วันนี้เจออะไรนิดหน่อย อยากนอนพักแล้ว แค่นี้นะ บาย”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ปิดWeChat และเปิดแอปอ่านนิยายขึ้นมาแทน จากนั้นก็เริ่มอ่านนิยายเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ตอนล่าสุด

ในวันหยุดสุดสัปดาห์ จ้าวเฉียนไม่มีแผลนออกไปไหนทั้งสิ้น เขาจึงตั้งใจว่าจะทำความสะอาดคฤหาสน์หลังนี้สักรอบ ถือซะว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว แต่ไม่นานหลังจากนั้นหยางหมิงก็โทรสายเข้ามาหา

จ้าวเฉียนรับโทรศัพท์และเปิดฉากถามก่อนทันทีพร้อมรอยยิ้ม

“สวัสดีครับนายน้อยหยาง ไม่ได้ออกไปเดินสายที่ไหนเหรอครับในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้? แล้วโทรหาผมมีอะไรรึเปล่า คิดถึง?”

หยางหมิงฝืนยิ้มจนบิดเบี้ยวเสียทรง พยายามเอ่ยน้ำเสียงหวานตอบไปว่า

“อย่าเรียกผมว่านายน้อยหยางอีกต่อไปเลย ผมต่างหากที่ควรเรียกคุณว่านายน้อยจ้าว ไม่ทราบว่าวันนี้พอมีเวลาออกมาททานอาหารด้วยกันไหม? ผมอยากเลี้ยงคุณ เลือกสถานที่และเวลามาได้เลย เรื่องนี้…ไม่เกี่ยวข้องกับหลักฐานแบล็คเมล แค่อยากพานายน้อยจ้าวออกมาทานข้าวด้วยกันเฉยๆ”

ถึงได้ยินไปแบบนั้น แต่จ้าวเฉียนยังคงมั่นใจว่า ที่หยางหมิงทำไปทั้งหมดก็เพื่อภาพถ่ายและคลิปที่ใช้แบล็คเมลแน่นอน

“ถ้าคุณว่าง ผมก็ว่างเช่นกัน นายน้อยหยางออกหน้าชวนผมไปทานข้าวด้วยกันแบบนี้ ผมมีความสุขจังเลย แต่ก็ควรรู้ไว้นะครับว่านี่เป็นเพียงการกินข้าวเฉยๆ ไมมีการทำเพื่อขอร้องให้ผมลบคลิปหรือภาพถ่ายใดๆทั้งสิ้น”

หยางหมิงรีบอธิบายตอบทันทีว่า

“ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน ผมไม่ได้ทำไปเพื่อเรื่องพวกนั้นเลย เชื่อว่าด้วยนิสัยของนายน้อยจ้าว คงไม่มีวันนำมันออกไปเปิดโปงง่ายๆเพียงเพราะความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆจริงไหมครับ? ผมอยากขอโทษแทนคุณพ่อที่ทำเรื่องไม่ดีต่อคุณเมื่อคืนนี้ หวังว่าจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นลูกใช่ไหมครับ?”

จ้าวเฉียนระบเดหัวเราะลั่น ตอบไปว่า

“ถ้าจะมาในนามของพ่อคุณ ผมก็ไม่คิดว่าจะมีความจำเป็นอะไรต้องทานอาหารด้วยกัน เพราะนี่เป็นความขับข้องใจส่วนตัวระหว่างผมกับเขา คุณไม่มีสิทธิ์มาแก้ไขความผิดพลาดของคนอื่น แม้จะเป็นพ่อของคุณเองก็ตาม เข้าใจที่ผมพูดไหมครับ?”

หยางหมิงยังคงไม่ยอมแพ้ เขาพูดต่อไปว่า

“โอเค ถ้าอย่างนั้นเรามานัดทานอาหารกับเฉยๆโอเคไหม? ไม่มีการพูดถึงเรื่องพวกนี้ทั้งสิ้น”

“ฮ่าฮ่า…นายน้อยหยางขี้เล่นจริงๆนะครับ เคยนัดคู่ค้าทางธุรกิจไปทานอาหารกันแบบเล่นๆไหมครับ? มีแต่เพื่อนกันเท่านั้นที่ชวนกันออกไปเที่ยวเล่นโดยไม่คิดอะไร แล้วผมขอถามสักข้อ…พวกเราเป็นเพื่อนกันเหรอครับ?”

หยางหมิงถึงกับสำลักไปชั่วขณะต่อคำพูดของจ้าวเฉียน และไม่รู้เลยว่าควรจะตอบยังไงกลับไป

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มฉีกกว้างและกล่าวต่อว่า

“ถ้านายน้อยหยางไม่มีอะไรจะพูดแล้ว งั้นแค่นี้นะครับ”

“ยะ-อย่า…อย่าเพิ่ง…”

หยางหมิงพยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย

จ้าวเฉียนหัวร่อทิ้งทวนไปคำหนึ่งพร้อมกดตัดสายทิ้งทันที จากนั้นก็หยิบเครื่องดูดฝุ่นไปทำความสะอวาดต่อ

หลังจากวันอันแสนวุ่นวายได้จบลง จ้าวดฉียนก็รู้สึกอ่อนล้าจัดราวกับร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นเขาจึงต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อผ่อนคลาย และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไปนวด พอนึกถึงทางเลือกดังกล่าว ภาพของเฉียงกุยหลิงก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที

จ้าวเฉียนขับไปยังโรงแรมดังกล่าวและนั่งแช่อยู่ในห้องซาวน่าสักพักใหญ่ ก่อนจะตบท้ายด้วยอ่างน้ำเย็น และขึ้นไปรับประทานอาหารชั้นบน

หลังจากมื้ออาหารค่ำสิ้นสุดลง จ้าวเฉียนก็เดินขึ้นไปยังชั้นนวดสปาและสั่งพนักงานให้ไปเรียกเฉียงกุยหลิงมาบริการ แต่รอเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นวี่แววใครมา จนเขารอไม่ไหวอีกต่อไป

เขาต่อสายตรงโทรหาหยวนตงไห่ทันทีและกล่าวว่า

“หยวนตงไห่ ฉันรีเควสให้เฉียงกุยหลิงมานวดให้ฉัน แต่นี่รอเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นมีใครมาเลย ช่วยถามทีว่าเกิดอะไรขึ้น?”

หยวนตงไห่ตกใจอยากมากเมื่อได้ยินแบบนั้น จึงรีบตอบไปว่า

“ต้องขออภัยด้วยครับ แล้วทำไมคุณชายจ้าวไม่โทรมาบอกผมล่วงหน้าก่อน จะได้เตรียมตัวไว้”

“เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นหรอก แค่ช่วยตามเรื่องนี้ให้หน่ยอก็พอ”

จ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงดูอ่อนแรง

หยวนตงไห่ตอบตกลงโดยไว หลังจากวางสายไปเขาก็รีบไปหาเฉียงกุยหลิงด้วยตัวเอง

ประมาณสิบนาทีต่อมา เฉียงกุยหลิงก็เข้ามาพร้อมตระกล้าเครื่องไม้เครื่องมือนวด แต่ถึงอย่างไรสีหน้าของเธอกลับดูอารมณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก

จ้าวเฉียนปิดปากหาวเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนะ ไม่อยากนวดให้ฉันก็พูดมาตรงๆก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรเธออยู่แล้ว”

เฉียงกุยหลิงยกมือปัดทันทีและกล่าวว่า

“ไม่ใช่นะคะ…ไม่ใช่ คือมีเรื่องเกิดขึ้นกับที่บ้านฉัน มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลยค่ะ”

ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางบ้าน จ้าวเฉียนก็นึกถึงพ่อแม่ของเธอเป็นอันดับแรก เพราะก่อนหน้านี้เขาสัญญาไปว่า จะคุยกับทางโรงพยาบาล เพื่อให้พวกเขาดูแลพ่อและแม่ของเธออย่างดีที่สุด ซึ่งเขายังไม่ได้ไปพูดเลย

“อาการของคุณพ่อคุณแม่เธอเป็นยังไงบ้าง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีด้วยความกังวล

เฉียงกุยหลิงส่ายหัว เธอตอบไปว่า

“ไม่ใช่ค่ะ ทริปของคุณครั้งที่แล้วมันก็มากพอสำหรับค่ารักษาเป็นระยะเวลาหนึ่งเลย แต่คราวนี้กับเป็นเรื่องน้องชายฉันเอง เขาเป็นหนี้คนอื่น แล้วฉันก็หาเงินขนาดนั้นไปจ่ายไม่ไหว”

“หื้ม? เป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นทันที

“สองแสนค่ะ…”

เฉียงกุยหลิงตอบกลับไปอย่างรู้สึกผิด

“สองแสน? ฉันเข้าใจแล้ว แต่ไม่ใช่เธอเคยบอกว่า เขาเรียนอยู่หรอกเหรอ? แถมผลการเรียนก็ดีมากด้วย ถ้างั้นเขาก็ไม่น่าจะใช้คนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายนะ แล้วจะเป็นหนี้ได้ยังไง?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามเจือน้ำเสียงสงสัย

เฉียงกุยหลิงคล้ายว่าต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป เธอลังเลอยู่สักหนึ่งก่อนฝืนยิ้มตอบไปว่า

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณลูกค้ามาที่นี่เพื่อพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องฟังเรื่องไร้สาระของหนูหน่อย งั้นเรามาเริ่มนวดกันเลยนะคะ”

เฉียงกุยหลิงเริ่มจัดแจงเครื่องไม้เครื่องมือนวดออกจากตระกล้าอย่างเร่งรีบ แต่จ้าวเฉียนก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมน้อยชายของเธอถึงไปติดหนี้จำนวนมากมายขนาดนี้ได้

“เธอบอกคาวมจริงมาเถอะ ทำไมน้องชายของเธอถึงติดหนี้คนอื่นมากขนาดนั้น”

จ้าวเฉียกล่าวถามไปตามจริง

เฉียงกุยหลิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงไปและตัดสินใจเล่าให้ฟังไปว่า

“เขาบอกว่าเอาเงินไปลงทุนในธุรกิจของคนอื่น ทำไปก็เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ช่วยหนูอีกแรง แต่นั้นแหละค่ะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้ แล้วหนูเองก็ไม่กล้าตำหนิน้องชายด้วย เขาทำไปเพราะเจตนาดี…”

“ลงทุนธรกิจ? แต่น้องชายของเธอยังเรียนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”

“หนูก็รู้ไม่เยอะเท่าไหร่ ได้ยินว่าทุกคนในห้องเรียนระดมเงินคนละ50,000หยวน ลงทุนโครงการอะไรสักอย่าง โดยให้สัญญาไว้ว่า หลังจากนี้หนึ่งเดือนทุกคนจะได้เงินคืนกลับไปคนละ60,000หยวน พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวนมาก”

เฉียงกุยหลิงเล่าพร้อมทั้งสีหน้าแสนเศร้าโศก

จ้าวเฉียนที่ได้ยินก็รู้ทันที ว่านี่มันธุรกิจแช่ลูกโซ่ น้องชายของเธอโดนโกงชัดๆ

ตอนที่135 ความสัมพันธ์คงไม่พัฒนาไปไกลกว่านี้

หยางเฉิงถึงกับตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจ้าวเฉียนจะกล้าทวงคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้จริงๆ

“นายมีคุณสมบัติอะไรที่ฉันต้องขอโทษ?”

หยางเฉิงถามกลับพร้อมสีหน้าดูถูก

“โอ้ ทำกับผมไว้ตั้งเยอะ แล้วจะไปง่ายๆแบบนี้เลยใช่ไหมครับ?”

สีหน้าของจ้าวเฉียนเริ่มทมิฬมืดลง พร้อมน้ำเสียงเย็นยะเยือกทุ้มต่ำ

แต่หยางเฉิงไม่กลัวเด็กหนุ่มตัวน้อยตรงหน้าเลยสักนิด กล่าวตอบไปทันทีว่า

“ใช่ ฉันจะไปแล้วทำแกจะทำไม? คิดว่าตัวเองมีดีอะไรมาหยุดฉันได้?”

“หุหุ…ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านปลอดภัยนะครับ หวังว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายอะไร!”

คำกล่าวของจ้าวเฉียนข่มขู่อย่างชัดเจน ทว่าทั่วทั้งใบหน้ากลับเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม สำหรับเขาแล้ว หยางเฉิงเป็นเพียงศัตรูที่อายุมากกว่าหยางหมิงแค่นั้น และไม่จำเป็นต้องกลัวเลย

หยางเฉิงสยะยิ้มมุมปาก นัยน์ตาคู่นั้นสาดสะท้อนเห็นเป็นเงาจ้าวเฉียนอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวจากออกไปโดยตรง

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังเดินจากไป เซียนเชียงกฌวิ่งเข้ามาหา ยิ้มร่ามาแต่ไกล

“คุณชายจ้าว ผมลำบากใจเกินกว่าจะรับเงินก้อนนี้ไว้จริงๆ ผมขอบัญชีธนาคารหน่อยครับ หลังจากนี้เดี๋ยวทางผมโอนเงินเก้าล้านเข้าไปให้โดยเร็วที่สุด”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบพร้อมพยักหน้า และส่งหมายเลขบัญชีธนาคารของตนให้แก่เซียนเชียง เขากล่าวขอบคุณทิ้งท้ายไปว่า

“ยังไงก็ขอบคุณลุงห้ามากนะครับ งานเลี้ยงสนุกมากเลย อ่อแล้วก็…ไว้ผมมีเวลาว่างจะนัดคุณมาทานอาหารกันสักมื้อนะครับ”

“ฮ่าฮ่า….ได้เลยครับ ว่างเมื่อไหร่โทรหาผมได้ตลอดเลย”

เซียนเชียงกล่าวตอบอย่างสุขอกสุขใจ

จ้าวเฉียนพยักหน้าและโบกมือลาเซียนเชียงไปทันที

หวานเจียงกับคนอื่นๆเองก็ต่างพากันแยกย้ายกันกลับอย่างรวดเร็ว

พอเธอออกจากงานเลี้ยง หวานเจียงก็วิ่งไปหาจ้าวเฉียนพร้อมยิ้มถามขึ้นว่า

“นายวางแผนยังไงกับเงินเก้าล้าน?”

“ก็เก็บไว้ในธนาคาร ถ้าอยากได้อะไรค่อยถอนมาใช้ ไม่รู้สิ…มันแค่เงินจำนวนเล็กน้อยน่ะ จะเก็บหรือจะทิ้งก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว”

จ้าวเฉียนพูดติดตลกกลับไป

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่อีกครั้ง เธอกล่าวต่อว่า

“งั้นก็เอาเงินส่วนนั้นมาลงทุนกับฉันสิ อย่างน้อยๆก็ได้ดอกเบี้ยมากกว่าฝากธนาคารแหละนะ”

แม้เธอจะไม่รู้ว่าจ้าวเฉียนมีเงินอยู่ในมือมากเท่าไหร่ แต่หวานเจียงคาดการณ์ไว้ว่าคงมีไม่ต่ำกว่า300ล้านหยวน เพราะอย่างน้อยที่สุดก็มีเงินค่าลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ของเธออยู่จำนวนไม่น้อย ดังนั้นต่อให้ไม่มีเงินเก้าล้าน เขาก็ใช้ชีวิตกินอยู่อย่างสบาย สู้เอาเงินก้อนนี้มาอัดฉีดโปรเจคซีรีย์นิยายไม่ดีกว่าเหรอ?

โดยปกติแล้ว จ้าวเฉียนไม่ได้ใส่ใจเงินจำนวนแค่นี้มากนัก แต่ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้ เขาเองก็อายเกินปฏิเสธเช่นกัน

“คุณคิดว่าคนอย่างผมจะสนใจลงทุนกับคุณมากนักเหรอ?”

หวานเจียงพยักหน้าตอบไปว่า

“นายไม่ค่อยสนใจในเรื่องที่ควรสนใจเท่าไหร่ ถึงแบบนั้นมันก็เศษเงินไม่ใช่รึไง? หรือจะเก็บออมให้ว่าที่ภรรยาในอนาคต?”

“โว้…ต้องเป็นภรรยาแบบไหนถึงใช้เงินเป็นร้อยพันล้านได้ในคราวเดียว? เป็นเทพรึไงกินทองคำเป็นอาหาร? ถ้ามีแบบนั้นตจริง คงไม่ต่างอะไรกับเอากองเงินกองทองเททิ้งขยะเลย!”

“ถ้าอย่างนั้นยังไม่สนใจมาลงทุนกับฉันอีกเหรอ? จำสัญญาระหว่างเราไม่ได้แล้วรึไง ภายในห้าปีนายต้องหาเงินให้ได้ไม่น้อยกว่า800ล้าน ไม่อยากแต่งงานกับเทพธิดาคนนี้รึไง?”

จ้าวเฉียนถึงกับพูดไม่ออกไปขณะหนึ่ง คำขอร้องของเธอไม่ได้เกินความเป็นจริงอะไรเลย แต่อวยตัวเองแบบนี้ชักจะน่าหมั่นไส้เช่นกัน ถึงอย่างไรมันก็เป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง มีทายาทเศรษฐีหนุ่มมากมายต้องการได้เธอมาครอบคู่ด้วย แต่นั้นยกเว้นจ้าวเฉียน

ณ ขณะเดียวกัน หวานหลินที่เพิ่งกล่าวอำลาบรรดาเพื่อนฝูงเสร็จ ก็กำลังเดินมาทางนี้เช่นกัน

“เสี่ยวเจียง รีบกลับบ้านกันเถอะ ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ลูกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนมาไหนตามใจอีก จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากพ่อในอนาคต!”

หวานหลินสั่งหลานเจียงพลางเหลือบตามองจ้าวเฉียนด้วยความเกลียดชัง

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันทีและกล่าวว่า

“ประธานหวาน นี่มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ? กำลังจะบอกว่าห้ามไม่ให้ผมกับหวานเจียงติดต่อกันอีกในอนาคต?”

หวานหลินยิ้มตอบกลับไปว่า

“นายเองก็เข้าใจหนิ แล้วยังจะถามอีกทำไม? อย่าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่อย่างนั่นฉันจะไม่สุภาพกับนายแล้ว”

กล่าวตามสัตย์จริง หวานหลินแค่คิดว่า จ้าวเฉียนไม่คู่ควรกับหวานเจียง และอีกฝ่ายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อสื่อสารกับฮวาหยิน กรุ๊ปอีกต่อไปในอนาคต บริษัทของจ้าวเฉียนยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก ยังไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจ แล้วหวานหลินจะเปิดตัวลูกสาวของเขากับคนแบบนี้ได้ยังไง?

หวานเจียงไม่รับฟังอีกต่อไป เธอกล่าวเถียงเสียงแข็งทันทีว่า

“พ่อ! กำลังพูดอะไรอยู่รู้ตัวไหม? ตอนนี้หนูก็แทบไม่เหลืออิสรภาพแล้ว ถ้าไม่ให้ติดต่อกับจ้าวเฉียนอีก หนูก็ไม่เหลือเพื่อนแล้วมั้ง? ใครก็ตามที่พ่อชอบและพยายามจับคู่ให้หนู เลิกพฤติกรรมแบบนีเถอะค่ะ หนูโตแล้วหนูจัดการเรื่องตัวเองได้!”

หวานหลินตระหนักดีว่า ตำแหน่งคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยิน กรุ๊ปมันดูสูงส่งและหอมหวานเพียงใด มีผู้ชายมากมายที่เข้ามาเพราะหวังแค่ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ แล้วเขาจะปล่อยให้เธอเลือกคบหาเพื่อนหรือแฟนตามอารมณ์พาไปได้อย่างไร?

“ลูกพ่อ ทำไมลูกถึงไม่เข้าใจความหวังดีขอพ่อคนนี้เลย พ่อเองก็ไม่อยากทำลายอนาคตลูก จะคิดหรือทำอะไรก็ต้องให้พ่อตรวจสอบดูก่อนว่า มันดีหรือเหมาะสมไหม ไม่อย่างนั้นชีวิตของลูกอาจพบจุดจบที่ไม่ดีอย่างแน่นอน”

หวานหลินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขาพยายามเกลี้ยกล่อมลูกสาวตัวเองเพื่อสื่อว่า จ้าวเฉียนไม่เหมาะสมกับเธอ ถ้าคบหากันต่อไปผู้ชายคนนี้อาจนำพาเธอไปสู่ความลำบากในอนาคต

“โอเค พ่อหยุดพูดได้แล้ว! กลับ!”

ทันทีที่พูดจบหวานเจียงก็เหลียวตัวควับเดินไปยังลานจอดรถโดยไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น

หวานหลินตรงเข้ามากระซิบกับจ้าวเฉียนว่า

“จ้าวเฉียน พูดกันแบบลูกผู้ชายเลยนะ นายควรเข้าใจความรู้สึกของฉันในฐานะพ่อคนหนึ่ง สักวันในอนาคต ถ้านายมีลูกสาวสักคน นายเองก็จะทำแบบที่ฉันทำนี่แหละ ถือว่าฉันขอร้อง…หยุดติดต่อกับเธอได้ไหม?”

จ้าวเฉียนเริ่มคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ดีแล้ว ดูภายนอกเขาไม่มีทั้งเงินและชื่อเสียงใดๆ แถมยังดูจากนิสัยยังเป็นพวกใช้เงินฟุ่มเฟือย นับประสาอะไรกับการแต่งงานมีลูก?

ในตอนแรกก็เป็นเจียงเสี่ยวปิงที่ขอเลิกกับเขาเพราะฐานะที่ยากจน เธอทิ้งเขาอย่างไม่ไยดีและหันไปคบหากับหวังเฉียงแทน แม้ว่าหวานเจียงจะไม่เคยดูถูกเขาเรื่องเงินมาก่อนก็ตาม ไม่แม้แต่มายุ่งเรื่องฐานะการเงินเลยด้วยซ้ำ แต่จะอย่างไรสถานะและจุดยืนทางสังคมระหว่างทั้งสองมันแตกต่างกันเกินไปจริงๆ เขาจะต้องถีบตัวเองขึ้นอีกมากถึงจะคู่ควรกับเธอ

แน่นอนว่านั้นเป็นกรณีที่จ้าวเฉียนต้องการ เพราะถ้าเขาต้องการแต่งงานกับหวานเจียงจริงๆ แค่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา ก็ไม่มีใครกล้าพูดแล้วว่าเขาไม่เหมาะสมกับหวานเจียง ซ้ำร้ายอาจเป็นฝ่ายผู้หญิงมากกว่าที่ไม่คู่ควรกับจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบและให้คำมั่นกับหวานหลินไปว่า

“ไม่ต้องกังวลครับประธานหวาน ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอคงไม่ไปไหนไกลกว่านี้แล้ว ถ้าคุณต้องการแบบนั้นผมก็จะมาพบเธออีกต่อไป”

“อืม ถือว่านายยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง พูดแล้วห้ามคืนคำ!”

หวานหลินพยักหน้าอย่างมีความสุข

จ้าวเฉียนยิ้มบางเป็นคำตอบ ไม่ทันไรก็เป็นหวานเจียงที่ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกลว่า

“ทั้งสองคนจะยืนคุยกันอีกนานไหม? หรือคืนนี้จะนอนค้างที่นี่เลยหะ!?”

หวานหลินโบกมือให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้จ้าวเฉียนและจากไป

จ้าวเฉียนยังไม่ได้กลับในทันที ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขามีอะไรบางอย่างต้องคุยกับเซียงเชียนและที่เหลือภายในห้องจัดเลี้ยง

พอแขกออกกันไปหมดแล้ว จ้าวเฉียนค่อยเดินวกกลับไปยังตัวงาน และเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังรอเขาอยู่เช่นกัน

“คุณชายจ้าวกลับมาแบบนี้ สงสัยว่ามีเรื่องให้ปรึกษาแน่นอน งั้นเชิญทางนี้ดีกว่าครับ”

เซียนเชียงกล่วาทักทายอย่างสุภาพ

จากนั้นเขาก็นำทางจ้าวเฉียนและคนอื่นๆออกจากสถานที่จัดเลี้ยง ตรงเข้ามาที่ห้องทำงานส่วนตัวของตน

เนื่องจากตอนนี้คุณชายจ้าวอยู่ที่นี่ในปัจจุบัน เซียนเชียงไม่กล้านั่งที่ตำแหน่งประธาน เขารีบผายมือเชิญให้จ้าวเฉียนเข้าไปนั่งแทนทันที ส่วนเขากับหยางหู่กลับยืนฟังแทน

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวขึ้นว่า

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก นั่งคุยกันสบายๆเถอะ”

พวกเขากล่าวขอบคุณคุณชายจ้าว จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“ฉันไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรจะมารปรึกษาหรอก แค่จะมาอธิบายให้ทุกคนฟังว่า ห้ามเปิดเผยตัวตนของผมเด็ดขาด ลุงห้า โดยเฉพาะกับสองพ่อลูกตระกูลหยาง จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผมเข้าใจที่พูดใช่ไหมครับ?”

เซียนเชียงรีบพยักหน้า กล่าวตอบไปว่า

“ไม่ต้องกังวลเลยครับ ผมไม่มีวันเปิดเผยเรื่องส่วนตัวแบบนี้อยู่แล้ว แต่หากวันหน้ามีเรื่องต้องการความช่วยเหลือ อย่าได้เกรงใจนะครับ โทรหาผมได้ทุกเมื่อเลย ผมจะรีบไปหาโดยเร็วที่สุด”

“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องห่วง ถ้าเรื่องไหนเกินควบคุมจริงๆ ฉันโทรหาลุงห้าแน่นอน เอาล่ะผมต้องแล้ว เสี่ยวหู่ไปส่งฉันที”

หลังจากที่จ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็ลุกออกไปทันที เซียนเชียงและหวังฉีรีบลุกขึ้นเดินออกไปส่งทันที

จ้าวเฉียนหยุดทั้งสองเอาไว้ได้ทัน และกล่าวว่า

“อย่าออกมาส่งแบบนี้ ถ้ามีใครเห็นเข้าจะสงสัยเอา แค่เสี่ยวหู่คนเดียวก็พอแล้ว”

“โชคดีครับคุณชายจ้าว!”

“โชคดีครับคุณชายจ้าว!”

ได้ยินดังนั้นทั้งคู่จึงโค้งคำนับให้แทน

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินไปที่จอดรถพร้อมกับหยางหู่

ตอนที่134 รับความจริงไม่ได้

“ปรากฏว่าเป็นประธานหยางเฉิงที่ได้รับรางวัลมูลค่า50,000หยวนไป! น่าเสียดายจริงๆ ครับ!”

เสียงประกาศของเซียนเชียงดังขึ้น หยางเฉิงและลูกชายเสียวสันหลังวาบ นี่หมายความว่าจ้าวเฉียนยังมีโอกาสชิงเงินเก้าล้านอยู่!

หานเจียงคลี่ยิ้มเชิดมุมปากเล็กน้อย เธอหันมาพูดกับจ้าวเฉียนขึ้นว่า

“นายนี่มันดวงดีจริงๆ! เดาไม่ได้เลยว่าสุดท้ายนายจะได้รางวัลใหญ่ไหม!”

“งั้นเธอช่วยส่งดวงมาให้ฉันเพิ่มทีสิ”

จ้าวเฉียนถามกลับพลางหัวเราะคำหนึ่ง

หวานเจียงสวนตอบด้วยคำถามไปทันทีว่า

“ให้ฉันช่วย? ฉันเพิ่งได้10,000หยวนไปเองนะ จะให้ส่งดวงจากไหนไปให้นาย? มีแต่ดวงซวยจะเอาไหมล่ะ?”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะอีกครา กระซิบตอบกลับอย่างแผ่วเบาว่า

“ก็ตั้งแต่ที่ฉันพบเธอ ชีวิตฉันก็เจอแต่เรื่องดีๆ มาโดยตลอด บางที…เธออาจจะเป็นเทพธิดาแห่งโชคลาภของฉันก็ได้นะ อืมมม…ขอจูบประทานพรหน่อยได้ไหมครับคุณเทพธิดา?”

หวานเจียงผู้แสนเย็นชาคนนนั้น ตอนนี้แข้งขากับอ่อนระทวย ก้มหัวก้มตาลงอย่างรวดเร็วด้วยความเขินอาย

“อ้าว…คุณเทพธิดาเป็นอะไรไปเหรอครับ? เร็วๆ เข้าก่อนที่เขาจะประกาศรางวัลต่อไป ถึงตอนนั้นอาจสายเกินไปแล้ว”

จ้าวเฉียนอดแซวเธอไม่ได้

หวานเจียงเงยมองจ้าวเฉียนประดับคู่ใบหน้าแดงก่ำ เธอตอบสวนกลับไปทันทีว่า

“อีตาบ้า!”

“เอาอย่างงี้ดีไหม จูบผมตอนนี้แลกกับเงินรางวัลใหญ่ครึ่งหนึ่งถ้าฉันชนะ!”

จ้าวเฉียนยังคงกล่าวโน้มน้าวไม่หยุด

“แล้วถ้า…นายไม่ชนะรางวัลใหญ่ล่ะ?”

หวานเจียงถามสวนกลับไป

“ถ้าไม่ได้รางวัลใหญ่ ฉันจะโอนเงินให้เธอเองสี่ล้าน ง่ายๆ คือขอแค่เธอจูบฉัน ไม่ว่ายังไงเธอก็ได้สี่ล้านอยู่ดี!”

ด้วยนิสัยของหวานเจียงแล้ว โดยธรรมชาติเธอไม่ยอมจูบกับใครเพื่อแลกเงินแค่สี่ล้านหรือสี่ล้านครึ่งแน่นอน อย่างไรก็ตามแต่ ไม่รู้ทำไม ภายในใจของเธอกลับสั่งห้ามไม่ให้เธอปฏิเสธคำขอของเขา

หลังจากลังเลอยู่สักพักใหญ่ ยังไงเธอก็ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่

“ฝันไปเถอะ ฉันไม่จูบกับใครเพื่อเงินหรอก ไม่รู้เลยรึไงว่าฉันมีเงินเก็บอยู่เท่าไหร่?”

จ้าวเฉียนต้องการราดน้ำมันบนกองไฟของพ่อลูกตระกูลหยางให้มากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงอยากให้หวานเจียงจูบเขาต่อหน้าพวกนั้น หากเป็นภายใต้สถานการณ์อื่น จ้าวเฉียนไม่สนใจจูบของเธอเลยด้วยซ้ำ

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“เข้าใจแล้ว โอกาสได้เงินสี่ล้านง่ายๆ แบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว กำไรสุทธิโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลยมากขนาดนี้ แน่ใจนะ?”

“หยุดพูดไปเลย ต่อให้เป็นสี่สิบล้านฉันก็ไม่จูบนาย! นี่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินนะ แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีต่างหาก!”

หวานเจียงตะคอกสวนกลับไป เธอเริ่มมีน้ำโหแล้ว

จ้าวฉัยนยิ้มอย่างสุขใจ และไม่ได้ปริปากพูดอะไรต่ออีกเลย

ในขณะเดียวกัน เซียนเชียงก็เริ่มจับรางวัลครั้งสุดท้าย มูลค่า200,000หยวน

“เอาล่ะทุกคน รางวัลที่สองและหนึ่งจะถูกประกาศพร้อมกันทันทีที่ฉลากลูกนี้ถูกคลี่ออกมา ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดมาถึงแล้ว!”

เซียนเชียงชูมือข้างที่ถูกลูกบอลกระดาษขึ้นฟ้า

มือทั้งสองข้างของหยางหมิงกระชับกำหมัดแน่นจนสั่นเทา หากมองบริเวณหน้าผากของเขาจะพบเส้นประสาทที่ปูดโปนออกมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าความกดดันถึงขีดสุดแล้ว

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงผ่อนคลาย คลี่ยิ้มกว้างกล่าวขึ้นว่า

“ทำไมนายน้อยหยางถึงดูกังวลขนาดนั้น? เศษเงินเล็กๆ น้อยๆ เองไม่ใช่เหรอครับ? ยังไม่เท่าค่าอาหารของคุณเลยด้วยซ้ำ?”

“ฮ่าฮ่าๆ …ตาบอดเหรอ? ฉันนี่นะดูกังวล? นายนั่นแหละดูกังวลเกินไปรึเปล่า? เงินเก้าล้านหยวนคงเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับชีวิตนาย อย่าเสแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนหน่อยเลย!”

หยางเมิงโต้กลับไปอย่างเย้ยหยัน

จ้าวเฉียนแกล้งปั้นหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าหยางหมิงกำลังหมายถึงอะไร เขายังคงยิ้มตอบไปว่า

“ฮ่าฮ่า….นายน้อยหยางหมายถึงอะไรเหรอครับ? ผมไม่เห็นเข้าใจเลย?”

หยางหมิงหัวเราะแขวะใส่และด่าจ้าวเฉียนว่าไอ้โง่ ไม่เข้าใจสิ่งที่ตนกล่าวไป

เซียนเชียงค่อยคลี่ลูกบอลกระดาษออกมา และเปิดเผยรายชื่อที่อยู่ด้านในสู่สาธารณะชนทันที

“หมายเลข698 หยางหมิง!”

เซียนเชียงประกาศเสียงดังกึกก้อง

“ขอแสดงความยินดีด้วยกับนายน้อยหยาง รางวัลมูลค่า200,000หยวน!”

โดยธรรมชาติใครจับได้รางวัลใหญ่ขนาดนี้คงต้องดีใจเป็นธรรมดา แต่การจับฉลากคืนนี้กลับพิเศษกว่าครั้งไหนๆ ตราบเท่าที่ชื่อของตัวเองยังไม่ถูกประกาศออกมา ก็ถือว่ายังมีสิทธิ์ได้รับเงินจำนวนเก้าล้าน ทั่วใบหน้าของหยางหมิงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับม่วง ดูอึดอัดใจเกินพรรณนา จนคนรอบข้างไม่กล้าแสดงความยินดีกับเขา

หวานเจียงตบไหล่จ้าวเฉียน สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข

“สุดยอด! นายนี่มันดวงดีชะมัด! ถ้าให้ฉันส่งกำลังใจให้คงชวดแน่นอน ฮ่าฮ่าๆ ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งยังไม่น่าดีใจเท่าจับฉลากได้รางวัลใหญ่นี่เลย!”

จ้าวเฉียนหัวเราะและเอ่ยถามกลับไปว่า

“เป็นยังไง? เสียดายไหมที่ไม่ได้จูบฉัน? ถ้าก่อนหน้านี้จูบไปตั้งแต่แรก ปานนี้ก็แบ่งกันคนละสี่ล้านกว่าแล้ว อนิจจา…”

หากเปลี่ยนจากหวานเจียงเป็นสาวๆ คนอื่น พวกเธอคงตัดสินใจที่จะจูบกับจ้าวเฉียนโดยไม่ลังเล จูบหนุ่มหล่อฟรีไม่พอ ยังได้เงินติดมือมาอีกตั้งสี่ล้านกว่า!

หวานเจียงตอกสวนทันทีเจือน้ำเสียงขุ่นมัวไปว่า

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่! ประเด็นมันไม่ได้อยู่กับเรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรี! ฉันไม่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อเงินโดยเด็ดขาด ขอร้องเถอะ เลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว มันทำให้ฉันหงุดหงิด”

ทันใดนั้นเอง ยังไม่ทันที่จ้าวเฉียนจะเอ่ยปากตอบเธอ หยางหมิงก็ตะโกนแทรกขึ้นกลางคันว่า

“ลุงห้า ยังเหลือลูกบอลกระดาษอันสุดท้าย คลี่ออกมาให้ดูเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่านี่มีการโกงกันเกิดขึ้น?”

หยางหมิงกลัวว่า เซียนเชียงจะจงใจโกงเพื่อโยนเงินก้อนนี้ให้กับจ้าวเฉียน

หยางหมิงและคนอื่นๆ ต่างแห่กันทักท้วง โดยพวกเขาอ้างว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่เชื่อใจเซียนเชียง แต่อยากยืนยันเพื่อบรรเทาความปวดใจในครั้งนี้

จ้าวเฉียนรู้สึกว่านี่มันก็ดึกมากแล้ว ถ้าหยางหมิงยังคงหาเรื่องต่อไปแบบนี้ มีหวังได้กลับบ้านดึกกันพอดี นี่ก็จวนจะเลยเวลานอนที่เหมาะสมของเขาแล้วด้วย นอนไม่เต็มอิ่มแล้วไม่หล่อขึ้นมาจะทำไง? ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงตะโกนขึ้นลั่นว่า

“ลุงห้าครับ ในเมื่อทุกคนมีข้อกังขาอยู่ในใจ งั้นก็เปิดลูกสุดท้ายออกมาเลย ยังดีกว่าต้องโดนพวกเขาเอาเรื่องนี้ไปนินทาในตอนหลัง!”

คนอื่นๆ ที่ได้ฟังต่างคิดว่านี่เป็นข้อเสนอแนะของจ้าวเฉียนเท่านั้น แต่สำหรับตัวเซียนเชียงเองแล้ว เขาทราบดีอยู่ในใจว่านี่เป็นคำสั่งจากคุณชายจ้าวส่งตรงถึงเขา

“หึ! ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อใจ งั้นก็ได้!”

เซียนเชียงกรนเสียงพึมพำด้วยความโกรธ และหยิบลูกบอลกระดาษลูกสุดท้ายออกมาพร้อมเปิดเนื้อในคลี่ให้ทุกคนได้เห็นเป็นประจักษ์

“หมายเลข105 จ้าวเฉียน”

เซียงเชียนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“นายน้อยหยาง ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม?”

ชื่อของจ้าวเฉียนเป็นสีขาวดำ หยางหมิงเห็นแบบนั้นก็ยิ่งรับความจริงไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถแก้ตัวใดๆ ได้เช่นกัน ความในใจของเขาชัดเจนมาก เงินเก้าล้านจะเป็นของใครก็ได้ยกเว้นจ้าวเฉียน!

“ลุงห้าถึงจะมีชื่อของจ้าวเฉียนเขียนอยู่ แต่ดูแล้วไม่ใช่ลายมือเขียน หรือเป็นไปได้ไหมว่ามันถูกพิมพ์เตรียมไว้อยู่แล้ว? นี่มีรางวัลถึงเก้าล้านเป็นเดิมพัน ก็ต้องตรวจสอบกันเข้มงวดหน่อยไม่ใช่เหรอ?”

คล้อยหลังพูดจบ หยางหมิงก็เหลือบไปมองบรรดาชายแกที่อยู่รอบข้างหยางเฉิง พวกเขาที่เห็นสายตาอันเดือดดุนั้น ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกันทันใด

เซียนเชียงได้ฟังแบบนั้นก็เดือดขึ้นมาทันที เขาต้องการสั่งสอนบทเรียนให้แก่หยางหมิงสักครา

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนก็กล่าวแทรกขึ้นมาในเวลานี้ว่า

“ดูท่านายน้อยหยางคงทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ที่ผมได้รับรางวัลใหญ่ เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะเขียนชื่อพร้อมหมายเลขลงบนกระดาษอีกครั้ง แล้วเอามาเทียบกันดูว่าลายมือมันตรงกันไหม”

เซียรเชียงรีบเรียกลูกน้องคนหนึ่งให้นำกระดาษกับปากกาส่งให้จ้าวเฉียนทันที จ้าวเฉียนเดินไปเขียนที่หน้าโต๊ะต่อหน้าสายตาของทุกคน และวางทาบแผ่นกระดาษทั้งสองชิ้น ปรากฏว่าลายมือเหมือนกันทุกประการ

หวานเจียงหัวเราะเยาะขึ้นว่า

“หยางหมิง มีอะไรจากพูดอีกไหม? อย่าคิดมากเลย ก็แค่นายไม่มีโชค ยอมรับความจริงซะเถอะ!”

ใบหน้าของหยางหมิงหม่องหม่นเกินบรรยาย กรนเสียงเย็นคำโตอย่างเดือดดาลและหมุนตัวเดินจากไปทันที

หยางเฉิงก็ไม่เหลือหน้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเช่นกัน จึงเดินตามลูกชายออกไปติดๆ

แต่ทันใดนั้นเอง จ้าวเฉียนก็เอ่ยปากหยุดเขา

“ประธานหยาง คุณเพิ่งสัญญากับผมไปเอง ลืมไปแล้วเหรอ?”

หยางชะงักฝีเท้าโดยพลัน หันกลับมาถามว่า

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนกล่าวเสียงแข็งว่า

“อย่างแรกเลย คุณกล้าเอาเงินมาฟาดหน้าผม คุณต้องขอโทษก่อน แล้วใครบอกว่า ผู้ใดได้รับรางวัลใหญ่จะปรบมือแสดงความยินดีให้กัน?”

ตอนที่133 ใช้โชคช่วย

ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วย และเซียนเชียงก็สั่งให้คนไปเตรียมฉลากสำหรับทุกคนมาทันที

จ้าวเฉียนแก้ตัวแสร้งขอเข้าห้องน้ำและเดินไปพบเซียนเชียงที่อยู่ด้านหลังเวที

“คุณชายจ้าว ทำแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยเงินสิบล้านออกไปง่ายๆหรอกเหรอครับ?”

เซียนเชียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

จ้าวเฉียนยิ้มและส่ายหัว ตอบไปว่า

“ทำไมต้องปล่อยออกไปง่ายๆ? ด้วยวิธีนี้จะช่วยกู้ชื่อเสียงของนายกลับมาได้ แถมฉันยังได้เงินก้อนนี้กลับมาด้วย”

“นี่คุณชายจ้าวหมายความว่ายังไงครับ?”

เซียนเชียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ก็ไม่ใช่คนของนายหรอกเหรอที่เป็นคนเขียนฉลาก?”

จ้าวเฉียนยักคิ้วถามสวนกลับไป

เซียนเชียงเข้าใจได้ในบัดดลว่านี่หมายความว่าอย่างไร เขายิ้มตอบทันทีว่า

“ผมเข้าใจแล้วครับว่าต้องทำยังไง ไม่ต้องกังวล เอ่อ…ไม่ทราบว่าวันเกิดของคุณชายจ้าววันที่เท่าไหร่ครับ?”

“5 ตุลาคม”

“โอเคครับ งั้นหมายเลขของคุณชายจ้าวคือ105 รางวัลใหญ่จำนวนเก้าล้าน ส่วนที่เหลืออีกล้านนึงจะแจกจ่ายมอบให้คนอื่นๆนะครับ”

“หัวใสดีมาก ผมพอใจจริงๆที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ วันไหนมีโอกาสกลับไปเยี่ยมพ่อ ฉันจะขอให้เขาเพิ่มเงินลงทุนให้นายนะ หลังจากนี้ก็ตั้งใจทำงานให้หนักอย่างสม่ำเสมอ”

“ฮ่าฮ่า…แน่นอนเลยครับคุณชายจ้าว! น้ำใจของคุณช่างยิ่งใหญ่เกินตอบแทน! ผมจะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ครับ!”

จ้าวเฉียนเดินมาตบไหล่เซียนเชียงเล็กน้อยพร้อมส่งยิ้มให้

เซียนเชียงยามนี้เต็มไปด้วยความฮึกเหิม ถึงตอนนี้อายุจะห้าสิบแล้ว แต่ปัจจุบันร่างกายของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยพลังราวกับสี่สิบอีกครั้ง

จ้าวเฉียนเดินกลับไปยังตัวงานด้านหน้าเพื่อรอ ขณะเดียวกันหยางเฉิงก็ตรงเข้ามาเย้ยหยั่นอีกคำโต

“ไอ้โง่ บังอาจขโมยเงินของฉันไป จับฉลากคราวนี้แกไม่เหลืออะไรแน่นอน!”

หยางเฉิงกระซิบข้างหูเจือน้ำเสียงเคียดแค้นยิ่ง

“คุณหยางพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ผมไปขโมยเงินของคุณตอนไหน? อีกอย่างที่ผมเสนอวิธีจับฉลากไปก็เพื่อช่วยคุณแล้วนะ ส่วนจะจับได้เท่าไหร่ อันนี้ต้องใช้โชคช่วยแล้วจริงไหมครับ?”

จ้าวเฉียนกล่าวเยาะพร้อมรอยยิ้ม

หยางเฉิงกรนเสียงเย็นด้วยความหงุดหงิดและหมุนตัวจากออกไป

คล้อยหลังไม่นานนัก หยางหมิงก็เดินเข้ามาหาเป็นคนต่อไป

จ้าวเฉียนเห็นแบบนั้นถึงกับหลุดขำ ถามไปว่า

“คุณพ่อของคุณเพิ่งมาหาผมตะกี้เอง ตอนนี้กลับเป็นคนลูก? มีอะไรหรือเปล่าครับ? จะมาพูดจากระทบจิตใจอะไรกันอีก?”

“นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่มาที่นี่เพราะต้องการขอโทษนายต่างหาก”

หยางหมิงเอ่ยเสียงแผ่วอย่างสุภาพ

จ้าวเฉียนรวนหัวเราะในทันใด แต่แทนที่เขาจะรู้สึกดี นั่นกลับไม่ใช่เลย เขาหัวเราะเยาะในความหัวหมอของหยางหมิง

สองพ่อลูกตระกูลหยางเสียหน้าอย่างแรงต่อหน้าทุกคน ซ้ำร้ายยังเสียไปอีกสิบล้าน ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่อีกฝ่ายจะมาขอโทษจ้าวเฉียนด้วยใจจริง

เหตุผลที่หยางหมิงต้องพูดเช่นนี้มันง่ายมาก เพราะเขาไม่ต้องการให้จ้าวเฉียนเคลื่อนไหวใดๆ เพราะในมือถือของอีกฝ่ายยังมีภาพและคลิปที่สามารถแบล็คเมลได้อยู่ ถ้าถูกปล่อยออกไป มีหวังเฟยอวี่ กรุ๊ปถึงคราวชะตาขาดแน่นอน

จ้าวเฉียนไม่รับประกันใดๆให้อีกฝ่ายสบายใจทั้งสิ้น แค่ตอบไปว่า

“เป็นเรื่องดีที่รู้ตัวว่าคุณผิด หวังว่าหลังจากนี้จะปฏิบัติตนกับผมให้สุภาพมากขึ้นนะครับ? ไม่อย่างนั้นมที่ตามมาอาจเลวร้ายเกินจินตนาการ”

“อืม ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ…”

หยางหมิงพยักหน้าตอบพร้อมโค้งคำนับให้เล็กน้อยราวกับญาติผู้ใหญ่ตัวเอง

“อืม ไปเถอะ ฉันกำลังเตรียมตัวจับฉลาก อย่าเพิ่งมารบกวนตอนนี้”

น้ำเสียงที่จ้าวเฉียนเอ่ยกล่าวคล้ายว่าสั่งการอีกฝ่าย

“เข้าใจแล้ว”

หยางหมิงโค้งให้พร้อมเดินจากออกไป

ทันทีที่หันหลังกลับไป สีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าของหยางหมิงก็เปลี่ยนไปทันควัน

“ไอ้เวร เดี๋ยวก่อนเถอะ อย่าทำมาได้ใจให้มันมากนักนะ!”

หยางหมิงสบถกับตัวเองไม่หยุดหย่อน

ในขณะเดียวกัน หวานเจียงก็เดินเข้ามาหาจ้าวเฉียนเช่นกัน เธอเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า

“พวกนายสองคนคุยอะไรกัน?”

จ้าวเฉียนได้ยินดังนั้นพลันหันมายกนิ้วโป้งให้ เอ่ยชื่นชมขึ้นทันทีว่า

“สมแล้วที่ได้ชื่อว่าราชินีน้ำแข็งแห่งวงการธุรกิจ ไหวพริบดีใช้ได้ คู่ควรกับคุณชายไอคิวสูงอย่างฉันแล้ว”

หวานเจียงถึงกับมองบนใส่ ประเคนกำปั้นหนึ่งหมัดทุบอกจ้าวเฉียนไปที เธอกล่าวว่า

“ทำไมนายถึงหลงตัวเองได้ขนาดนี้กันห่ะ? นายน่ะเหรอไอคิวสูง? สูงขนาดนั้น? แล้วถึงจะสูงแต่ก็ใช่ว่าจะอวดอ้างเชิดชูตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลา!”

“เธอก็พูดไม่ถูกต้องนะ ไม่ใช่ว่าฉันต้องการอวดอ้างไปทั่ว แต่เฉพาะกับพวกที่ดูถูกฉันเท่านั้น ล้ำเส้นฉันก่อนย่อมกรรมสนอง บนโลกใบนี้มีเส้นแบ่งระหว่างคนจนและคนรวยอย่างชัดเจน แค่ว่าทุกคนควรใช้ชีวิตในบทบาทที่ตนได้รับให้ดีที่สุดเท่านั้น แต่กลับมีพวกคนรวยบางคนชอบเอาความเหนือกว่านี้ไปรังแกคนจน แล้วฉันจะทนอยู่เฉยได้ยังไง?”

“ที่นายพูดไปก็มีเหตุผลนะ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ที่ไปสร้างศัตรูกับคนรวยพวกนั้น แล้วในอนาคตนายจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง?”

หวานเจียงกล่าวน้ำเสียงอ่อนปลอบประโลมอีกฝ่าย

จ้าวเฉียนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ สำหรับคนอื่นอาจเข้าใจ แต่สำหรับจ้าวเฉียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาต้องกลัวบนโลกใบนี้ อย่างน้อยๆก็พวกระดับผู้นำประเทศต่างๆ

แต่จะอย่างไรนี่คือสิ่งที่หวานเจียงปรารถนาให้เขาเป็น เธอถึงได้พยายามเล้าโลมถึงขนาดนี้ จ้าวเฉียนอดใจอ่อนไม่ได้

“เอาล่ะ เอาล่ะ เข้าใจแล้วคนสวย ฉันจะยอมฟังเธอสักครั้ง”

หวานเจียงกลอกตาใส่จ้าวเฉียนอีกระลอก มองตาขวางราวกับโกรธกัน แต่อย่างไร รอยยิ้มสีจางบนใบหน้าสวยของเธอกลับไม่สามารถปกปิดความสุขเอาไว้ได้เลย

ณ เวลานี้เอง เจ้าหน้าที่ได้นำกล่องจับฉลากขนาดใหญ่ออกมา พวกเขาขอให้ทุกคนสุ่มเขียตัวเลขที่ชอบมาสามหลักพร้อมลงชื่อทิ้งไว้ จากนั้นก็นำมาใส่ในกล่อง วิธีการเล่นก็ง่ายมาก แค่สุ่มหยิบหมายเลขออกมาจากกล่อง หมายเลขจะถูกกำหนดไว้หมดแล้วในแต่ละรางวัล

ทุกคนรีบรับแผ่นกระดาษและเขียนหมายเลขที่ชอบลงไป จากนั้นก็ขยำเป็นลูกบอลและนำใส่ในกล่อง

การจับฉลากกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสองพ่อลูกตระกูลหยาง จ้าวเฉียนตะโกนขึ้นลั่นว่า

“นายน้อยหยาง ประธานหยางครับ จะถอนทุนกลับมาเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับโชคพวกคุณเองแล้ว ถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งในงานนี้ได้ไป หวังว่าจะไม่โกรธเคืองกันนะครับ!”

หยางเฉิงตวาดสวนกลับไปทันทีว่า

“ฉันหยางเฉิงไม่เคยกลัว! กับแค่เศษเงินสิบล้าน ฉันเต็มใจแจกให้ทุกคนอยู่แล้ว! คนไหนได้ไปไม่เพียงจะไม่เสียใจ แต่ฉันจะปรบมือแสดงความยินดีกับเขาด้วย!”

หยางหมิงกล่าวเสริมตามมาติดๆ

“ใครได้ไปถือว่าดวงสมพงกับมันแล้ว! ฉันเองก็ไม่ถือสา!”

“ฮ่าฮ่า…ใครที่ได้ไปคงต้องมีโชคลาภน่าดู ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ถ้าผมชนะขึ้นมา พวกคุณทั้งคู่อย่าลืมปรบมือแสดงความยินเดีให้นะครับ มีผู้คนมากมายเป็นพยานให้แบบนี้ ถ้ากลับคำกันขึ้นมา…หมานะครับ”

จ้าวเฉียนจงใจยั่วยุทั้งคู่

จำนวนผู้คนเริ่มกลับมาชุกชุมอีกครั้งภายในงานเลี้ยง ทุกสายตาต่างเฝ้าจับตามองอยู่ หยางเฉิงอับอายเกินกว่าจะกลืนน้ำลายลงคอในตอนนี้ จึงกลั้นใจตอบไปว่า

“ไม่ต้องกังวล! ฉันหยางเฉิงพูดคำไหนคำนั้น! ใครได้รางวัลใหญ่ไปฉันย่อมแสดงความยินดีอยู่แล้ว แต่อย่างนายคงโชคไม่ดีขนาดนั้น รอดูกันดีกว่าว่าใครกันจะเป็นผู้โชคดี”

หยางเฉิงกล่าวขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ

บรรดาคนแก่รอบข้างหยางเฉิงกลับปิดปากเงียบเป็นจั้กจั่นยามฤดูหนาว พวกเขากลัวว่า ถ้าพูดมั่วโมโหอะไรไปจนจ้าวเฉียนโกรธเคืองขึ้นมา เขาอาจนำรูปภาพและคลิปแบล็คเมลออกมาเปิดโปงก็เป็นได้

“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบนะครับ ผมจะเป็นคนจับฉลากด้วยตัวเอง และผมไม่มีส่วนร่วมใดๆกับการจับฉลากครั้งนี้ทั้งสิ้นเพื่อความยุติธรรม รางวัลในส่วนแรกมูลค่ารางวัลละ10,000หยวน ผู้ที่ได้ไปคือ…”

เซียนเชียงเอื้อมมือล่วงเข้าไปในกล่องทันทีหลังพูดจบและหยิบลูกบอลกระดาษออกมาลูกหนึ่ง เขาคลี่ออกมาโชว์ต่อหน้าทุกคนพร้อมประกาศว่า

“หมายเลข303เจิ้งหรง ได้รับรางวัลจำนวน10,000หยวน!”

โดยปกติทั่วไปแล้ว คนที่ได้รับรางวัลมักจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ไป แต่เจิ้งหรงคนนี้กลับดูเสียใจอย่างน่าประหลาด เพราะทุกคนมีโอกาสถูกรางวัลได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเขาถูกรางวัลมูลค่า10,000หยวนไปแล้ว นั้นหมายความว่าเขาหมดโอกาสที่จะได้รางวัลใหญ่จำนวนเก้าล้านหยวนไปครอง

“ผู้โชคดีที่จะได้รับรางวัลมูลค่า10,000หยวนคนต่อไปได้แก่….”

เซียนเชียงยังคงล้วนมือจับต่อทันที

ลูกบอลกระดาษอีกลูกหนึ่งถูกหยิบขึ้นมา เขาเปิดโชว์ต่อหน้าทุกคนอีกครั้งเพื่อแสดงความโปร่งใส พร้อมป่าวประกาศว่า

“หมายเลข456 หวันจิ้ง!”

“ขอแสดงความยินดีกับผู้กำกับหวันจิ้งด้วยนะครับ ได้รับรางวัลมูลค่า10,000หยวน!”

ปฏิกิริยาของหวันจิ้งเหมือนกับเจิ้งหรงก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน เขาชวดรางวัลใหญ่จำนวนเก้าล้านแล้ว

…….

“ยังเหลือลูกบอลกระดาษอีกสามลูกและเหลือเพียงสามรางวัลเท่านั้น ท่านผู้มีเกียรติคนใดยังไม่ได้รางวัลโปรดยกมือขึ้น”

เซียนเชียงป่าวประกาศด้วยความตื่นเต้น

ในขณะนั้นเอง หยางเฉิง, หยางหมิงและจ้าวเฉียนก็ยกมือขึ้นโดยพร้อมเพรียง

“โอ้? ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าประธานหยางกับนายน้อยหยางจะสามารถมาไกลได้ถึงขนาดนี้ มีหนึ่งในสามในหมู่พวกเราที่จะได้ชิงรางวัลใหญ่ไป ผมขอดูหน่อยว่าใครจะได้มันไป?”

“ว้าว! มันต้องเป็นนายแน่ๆ! จงใช้โชคทั้งชีวิตที่มีเพื่อคว้า50,000หยวนไปเถอะ!”

หยางหมิงตอบสวนกลับไปด้วยท่าทีสุดหยามเหยียด

หยางเฉิงไม่ได้ปริปากตอบใดๆ เขารู้สึกประหม่าอย่างยิ่งในเวลานี้ จะถอนทุนหรือเข้าเนื้อก็ขึ้นอยู่กับลูกบอลกระดาษลูกต่อไปแล้ว ตราบใดที่จ้าวเฉียนได้รางวัล50,000หยวน นั้นก็เท่ากับว่าสองรางวัลสุดท้ายเป็นของสองพ่อลูก และถอนทุนกลับมาคืนได้เก้าล้านสองแสน

เซียนเชียงป่าวประกาศเสียงดังฟังชัด

“โปรดอยู่ในความสงบ ผู้โชคดีที่จะได้รับรางวัลมูลค่า50,000หยวน ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะเป็นของประธานหยางหรือลูกชาย หรืออาจจะเป็นพ่อหนุ่มสุดหล่อของเรา!”

ทันทีที่พูดจบเซียนเชียงก็ล้วงหยิบลูกบอลกระดาษจากนั้นก็คลี่เปิดออกมาโชว์โดยตรง

ทุกคนต่างกลั้นหายใจแทบจะในเวลาเดียวกัน รางวัลนี้เป็นตัวกำหนดแล้วว่า ระหว่างสองพ่อลูกตระกูลหยางหรือจ้าวเฉียน ใครกันที่จะเป็นผู้ชนะไป?

ตอนที่132 จับฉลาก

จ้าวเฉียนหยุดฝีเท้า เอ่ยถามขึ้นว่า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“น้องชาย พูดมาตามตรงเถอะ ต้องการเท่าไหร่?”

“ใช่แล้ว! ขอเพียงไม่ใช่จำนวนที่มากเกินไป เท่าไหร่เราก็จ่าย”

“บอกมาเลย น้องชายต้องการกี่ล้านดี?”

จ้าวเฉียนอดขำไม่ได้ คนพวกนี้คิดว่าเขาต้องการเงินจริงๆ

“ทำไมคุณถึงไม่ถามต้องเองแทนว่า ตัวพวกคุณเองต้องการเท่าไหร่ ผมจะใช้เงินพวกคุณตามที่ต้องการเลย แต่ขออย่างเดียว ในภายภาคหน้าอย่ามาทำตัวน่าสงสารขอเงินผมก็พอ เพราะผมไม่อยากหัวเราะเยาะพวกคุณในภายหลัง เข้าใจที่พูดไหม?”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หยางเฉิงและคนอื่นๆต่างระเบิดหัวเราะลั่นในทันใด

“ฮ่าฮ่าๆ…อะไรนะเจ้าหนู? จะบอกว่าตัวเองมีเงินมีทองไม่หวาดไม่ไหวขนาดนั้นเชียว? ใครเชื่อก็บ้าแล้ว”

“ฉันได้ยินมาว่า น้องชายใช้เงินไม่กี่ล้านตีสนิทกับหยางหู่ได้ จะบอกอะไรให้นะ เขามองน้องชายเป็นเพียงลูกค้าเท่านั้น อย่าตีตัวเสแสร้งทำเป็นสูงส่งกว่าเราไปหน่อยเลย!”

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะและตอบกลับไปว่า

“จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามาแล้วกัน ผมของไปดื่มก่อนละกัน ประธานหยาง คุณมีโอกาสก่อนงานเลี้ยงจบนะ ถ้าหลังจากนี้ต่อให้กราบแทบเท้ายังไง ผมก็ไม่ยกโทษให้แล้ว”

หยางเฉิงตะคอกสวนตอบพร้อมเพลิงโทสะที่อัดแน่นอยู่กลางอก

“อยากให้ฉันขอโทษแกนักเหรอ? ฝันไปเถอะ!”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจฟังอีกฝ่ายเลยสักนิด เขาหมุนตัวกลับไปในงานและเดินไปหาหวานเจียง แต่ระหว่างนั้นเองก็มีหลายต่อหลายคนในงาน ต่างเดิมถือแก้วไวน์ เข้ามาทักทายและขอแลกนามบัตร

มีทั้งระดับผู้บริหารและดาราคนดังระดับแนวหน้ามากมายล้อมรอบ เด็กหนุ่มที่สามารถสนิทกับลุงห้าดั่งพี่น้องได้ สานไมตรีเผื่อไว้ยังไงก็ไม่เสียหาย หากเป็นคนอื่นคงมีความสุขอย่างมากที่เหล่าคนดังมีหน้ามีตาในสังคม ถาโถมเข้ามา อยากทำความรู้จัก

แต่จ้าวเฉียนไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเลือกแค่บางคนเท่านั้นที่ยื่นนามบัตรทองคำขาวให้ กลุ่มเป้าหมายที่เขาเล็งเห็นในขณะนี้คือ เหล่าผู้กำกับและดาราดังที่หาตัวจับได้ยากเท่านั้น

เขาสนใจคนแค่สองประเภทนี้ สำหรับคนอื่นๆเขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ เพียงมอบนามบัตรบริษัทเกมฟางนี่ให้

พอทุกคนจากออกไป จ้าวเฉียนก็หันมาคุยกับหวานเจียงอีกครั้ง แต่ไม่นานก็มีผู้กำกับคนดังนามว่าหวังจิ้ง เดินเข้ามาทักทายพร้อมขอจับมือด้วย

“สวัสดีครับผู้กำกับหวัง”

หวังจิ้งตอบกลับอย่างสุภาพว่า

“สวัสดีครับคุณจ้าว”

“ผู้กำกับหวัง เร็วๆนี้ผมต้องการสร้างโปรเจคหนังจอเงินสักเรื่อง”

หวังจิ้งยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ผมว่างเสมอครับ ไม่ทราบว่าคุณจ้าวมีบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อยู่แล้วรึเปล่าครับ?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบาง โดยไม่ต้องเอ่ยกล่าวอันใด เขาหยิบนามบัตรทองคำขาวยื่นให้แก่หวังจิ้งทันที

“นี่เป็นนามบัตรพิเศษของผม มอบให้เฉพาะกับคนที่ผมสนใจร่วมงานด้วยเท่านั้น ผมเป็นประธานบริษัท เฉียนเก๋อ ผู้ถือครองลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’อย่างเต็มรูปแบบครับ”

หวังจิ้งวางแก้วไวน์ลงทันที จับจ้องไปที่จ้าวเฉียนด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน และเอ่ยถามย้ำไปว่า

“คุณจ้าวไม่ได้โกหกผมใช่ไหมครับ?”

“ผู้กำกับหวังคิดว่าผมล้อเล่นรึเปล่าล่ะครับ?”

จ้าวเฉียนสวนกลับด้วยคำถาม

“ไม่เลยครับ ถ้าคุณจ้าวไม่รังเกียจ ผมขอไปเยี่ยมชมบริษัทของคุณสักครั้งได้ไหมครับ? ไม่ทราบว่าคุณจ้าวจะสะดวกเป็นวันพรุ่งนี้รึเปล่าครับ?”

จ้าวเฉียนทราบดีว่า หวังจิ้งต้องการยืนยันให้แน่ใจว่า สิ่งที่เขาพูดไปเป็นความจริงหรือไม่

“ไม่มีปัญหาครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ ผมว่าพอดี เจอกันที่ทางเข้าตึก หลู่เจียจุย เซ็นเตอร์ ตอนเก้าโมงเช้าครับ”

“เข้าใจแล้วครับ พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าเจอกันที่ตึก หลู่เจียจุย เซ็นเตอร์ครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินจากออกไป

ชางอี้เชี่ยวชาญด้านการบริหารต้นทุนสร้างภาพยนตร์ เพราะเธอเคยเป็นผู้กำกับมาก่อนจึงทราบถึง ต้นทุนที่แท้จริงและด้วยศักยภาพการคำนวณของเธอ จะสามารถทำให้จ้าวเฉียนสร้างหนังดีออกมาได้ในราคาทุนที่เหมาะสมที่สุด ในขณะที่หวังจิ้งเป็นผู้กำกับมือฉมัง หนังจอเงินโดงดังหลายต่อหลายเรื่องล้วนมีเบื้องหลังการกำกับเป็นเขาทั้งนั้น

ถึงอย่างไร หวังจิ้งก็ยังไม่เชื่อสนิทใจว่า จ้าวเฉียนจะเป็นคนถือหยิบนิยายดังเรื่อง‘ล่ำฟ้าย่ำสวรรค์’มาครองได้อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นเขาจึงต้องการนัดพบกับจ้าวเฉียน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าทั้งหมดเป็นความจริง

ไหนๆพรุ่งนี้ต้องรับแขกอยู่แล้ว สู้ไม่นำสองผู้เชี่ยวชาญไปเยี่ยมชมบริษัทเฉียนเก๋อ พร้อมกันเลยล่ะ? คิดได้ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงเดินไปถามชางอี้ทันทีว่า

“ผู้อำนายการชาง สนใจไปเยี่ยมชมบริษัทผมพร้อมกับผู้กำกับจิ้งในวันพรุ่งนี้ไหมครับ? ถ้าไม่รังเกียจพบกันหน้าตึก หลู่เจียจุย เซ็นเตอร์ ตอนเก้าโมงเช้าครับ”

ชางอี้ยินดีอย่างมากที่จะได้ทำความรู้จักกับหวังจิ้ง เธอจึงตอบกลับไปทันทีว่า

“ไม่มีปัญหาค่ะ ดิฉันไปกับผู้กำกับหวังได้อยู่แล้ว แต่ประธานจ้าวควรถามอีกฝ่ายมากกว่าว่า รังเกียจไหมที่ต้องไปกับดิฉัน”

“ฮ่าฮ่า…ไม่มีปัญหา ผมจะไปแจ้งให้เขาทราบในภายหลังครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

“เจอกันค่ะ”

จ้าวเฉียนโบกมือลาอีกฝ่าย และเดินไปทักทายเข้าหาบรรดานักแสดงชื่อดัง แต่อย่างไรผลที่ได้รับกลับต้องทำให้ผิดหวังอย่างมาก นักแสดงชื่อดังเหล่านี้ มีสังกัดเป็นของตัวเองไม่สามารถรับงานมัวซั่วได้ แถมช่วงนี้ตารางงานก็เต็มชนิดที่ว่าอัดแน่น ราคาค่าตัวก็แพงหูฉี่ จ้าวเฉียรู้สึกว่า ถึงได้ตัวไปก็ไม่คุ้มทุนจึงตัดใจยอมแพ้ในที่สุด ในไม่ช้า งานราตรีก็ดำเนินไปถึงช่วงท้ายและกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว เซียนเชียงเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง เพื่อขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมงานในวันนี้ และก่อนจากกันก็มีเกมสนุกๆส่งท้ายอย่างการจับฉลาก

ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวสำหรับการจับฉลาก ทันใดนั้นหยางหมิงก็วิ่งขึ้นมาบนเวที กระชากไมโครโฟรออกจากมือพิธีกรพร้อมตะโกนลั่นว่า

“ลุงห้าไถ่เงินพ่อของผมไปสิบล้านหยวน เขาให้สัญญาว่าจะกำจัดจ้าวเฉียน แต่ตอนนี้หมอนั่นกลับยังสบายดี นี่หมายความว่ายังไง? ไม่ต่างอะไรกับหลอกเงินพ่อผมไปกินฟรีๆหรอกเหรอ? คิดว่าใหญ่โตแล้วจะมารังแกกันง่ายๆแบบนี้เหรอ? ถ้าไม่คืนเงินมาเรื่องนี้ไม่จบแน่นอน!”

พอเห็นภาพฉากดังกล่าว คนอื่นๆต่างคิดแค่ว่าหยางหมิงยังเด็กและไม่มีวุฒิภาวะพอ ถึงพูดจาทวงเงินจากลุงห้าแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เซียนเชียงรู้ดีว่า นี่ต้องเป็นการเตี้ยมกันระหว่างสองพ่อลูก

ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องวงการธุรกิจมีกฎง่ายๆ จ้างค่าจ้างไปก็ใช่ว่าจะสำเร็จไปทุกครั้ง และนี่ก็เช่นกัน ต่อให้มอบเงินแก่ลุงห้าไปมากเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจาสำเร็จหรือไม่กลับไม่สามารถเรียกเงินคืนได้ในภายหลัง

แม้นี่จะไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก แต่ใครๆล้วนทราบดีว่าเซียนเชียงมีอำนาจอิทธิพลกล้าแกร่งเพียงใด ถึงเป็นกฎที่ไม่ค่อยยุติธรรมนัก แต่ทุกคนก็จำต้องยอมรับให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

หยางหมิงเป็นส่วนน้อยที่กล้าทำลายกฎดังกล่าว และออกมาป่าวประกาศให้ทุกคนทราบโดยทาวกัน หลายคนที่เฝ้ามองอยู่กับอายเกินกว่าจะทนดูต่อ เซียนเชียงที่เห็นการกระทำอันกระโตกกระตากของหยางหมิง ก็อายเกินกว่าจะบอกว่า ตนเอาเงินไปจริงเช่นกัน แต่หากให้บอกว่า เขาจะยอมคืนเงินให้ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ประการแรก นี่ไม่ใช่นิสัยโดยส่วนตัวของเขา และประการที่สอง นี่เป็นคำสั่งของจ้าวเฉียนที่ต้องไถ่เงินอีกฝ่ายมาให้มากที่สุด เพื่อสร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่าย แล้วจะยอมคืนไปง่ายๆได้ยังไง?

“ฮ่าฮ่า…นายน้อยหยางพูดถูก ฉันไม่ควรรับเงินก้อนนี้มาก็จริง แต่ไม่ว่ายังไง ทุกคนในที่นี้ล้วนทราบกฎของวงการธุรกิจกันดี ทุกการกระทำมีความเสี่ยงเสมอ จะมางองแงกันแบบนี้ก็ไม่ถูกจริงไหม?”

สีหน้าของเซียนเชียงตอนนี้บิดเบี้ยวน่าเกียจยิ่ง คู่สายตาของเขาจ้องเขม็งใส่หยางหมิงราวกับทีคมมีดสีเย็นพุ่งออกมาได้

แวบแรกที่เห็น หยางหมิงพลันรู้สึกสั่นกลัวภายในใจ แต่ท้ายที่สุดนี้ นั้นเป็นเงินจำนวนตั้งสิบล้าน เขาทำได้เพียงข่มกลั้นต่อความหวาดกลัวที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทวงเงินสิบล้านคืนมาให้ได้

จ้าวเฉียนไม่ต้องการทำให้เซียนเชียงตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้ จึงก้าวออกมาประกาศกร้าวเสียงดังว่า

“ลุงห้า ในเมื่อนายน้อยหย่างต้องการให้คุณสั่งสอนผมมากนัก งั้นมาเถอะ สั่งสอนสักครั้งจะเป็นไรไป?”

“น้องชาย ล้อเล่นกันแล้ว? พวกเราถือเป็นพี่น้องคนสนิท แล้วจะทำแบบนั้นกับน้องชายได้ยังไง?”

เซียนเชียงกล่าวเสียงแผ่วอย่างสุภาพ

จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นพลันตระหนักว่า ด้วยนิสัยของเซียนเชียน อีกฝ่ายสั่งสอนเขาไม่ลงแน่นอน จึงริเริ่มคิดหาวิธีอื่นทันที

“อย่างงี้แล้วกัน ลุงห้าทำตามคำขอของผมสักข้อได้ไหม?”

“น้องชายพูดมาเลย”

“ก็สมเหตุสมผลนะครับว่าลุงห้าไม่ควรเก็บเงินก้อนนี้ไว้คนเดียว ถึงแม้ทุกคนจะเข้าใจในกฎดังกล่าวดี แต่ปล่อยไปแบบนี้ก็เท่ากับไม่ให้หน้าสองพ่อลูกตระกูลหยาง ดังนั้นทางที่ดี สู้เอาเงินก้อนนี้นำมาเป็นรางวัลจับฉลากกันเถอะครับ ยอดเงินทั้งหมดที่ได้มามีจำนวนเท่าไหร่ หารเฉลี่ยเป็นจำนวนเงินที่แตกต่างกัน ใครได้รางวัลใหญ่ก็ได้มากหน่อย ส่วนใครได้รางวัลเล็กก็ถือว่าโชคไม่ดีนัก ไม่แน่พอสิ้นสุดงานจับฉลาก สองพ่อลูกคู่นี้อาจถอนทุนกลับไปได้บ้าง”

คนนอกฟังดูเหมือนกับว่าจ้าวเฉียนกำลังเสนอความคิดเห็น แต่สำหรับเซียนเชียงนี่คือคำสั่งของจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาต้องปฏิบัติตามโดยธรรมชาติ

“ฮ่าฮ่า…เป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว น้องชายหัวไวจริงๆ ทุกคนว่ายังไง เห็นด้วยไหม?”

มีโอกาสจับเงินล้านฟรีๆโดยไม่ต้องทำอะไร ใครจะไม่เอา?

“ลุงห้า วิธีนี้เข้าท่าดีครับ ผมขอสนับสนุน!”

“ใช่แล้ว ดิฉันขอสนับสนุนอีกแรง!”

“ผมด้วย ผมด้วย…”

ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามคล้อยตามกันใหญ่ จนพ่อลูกตระกูลหยางอายเกินกว่าจะตอบปฏิเสธได้ แต่อย่างไร พวกเขาก็ไม่มีหลักประกันเลยว่า พวกตนจะถอนทุนกลับคืนมาเท่าไหร่ ถึงอย่างไรถ้าไม่ลองจับฉลากก็ไม่รู้จริงไหม?

เซียนเชียงเห็นว่าท่าทีของสองพ่อลูกคู่นั้นดูไม่จืดเลย เขายืดอกกล่าวขู่ซ้ำทันทีว่า

“แผนนี้ถือเป็นการคืนเงินที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว และทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน ถ้าคุณหยางยังไม่เห็นด้วย ก็เท่ากับว่าจงใจหาเรื่องเซียนเชียงคนนี้!”

น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำเยือกเย็นลงในยบัดดล แววตาเฉียบคมสาดสะท้านขวัญสองพ่อลูกเป็นอย่างยิ่ง

บรรดาชายชราที่อยู่ด้านหลังหยางเฉิงรีบกระซิบ เกลี้ยกล้อมให้ยอมเห็นด้วยกับวิธีดังกล่าวไป ไม่อย่างนั้น มันไม่ใช่แค่จะทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองเพียงคนเดียวแล้ว แต่อาจทำให้คนในงานทุกคนขุ่นเคืองตามกันด้วย

หยางเฉิงกัดฟันดังกรอดด้วยความโกรธจัด สองมือกระชับกำหมัดแน่น ก่อนจะปริปากยอมกล่าวว่า

“ฉัน…ฉันเห็นด้วย!”

จ้าวเฉียนถึงกับแสยะยิ้มมุมปาก อย่าลืมไปว่า สถานที่จับฉลากคือบ้านของเขาเอง ดังนั้นเขาจะทำยังไงกับฉลากเหล่านั้นก็ได้ สามารถทำให้เงินสิบล้านไหลเข้ากระเป๋าของเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นขอดูสิว่า สองพ่อลูกตระกูลหยางจะปั้นหน้ายังไงเมื่อถึงตอนนั้น?

ตอนที่131 รู้ไหมว่าต้องทำยังไง

เครื่องดนตรีเริ่มบรรเลง ทุกคนยังคงดามด่ำอยู่กับบทเพลงและท่วงท่าการเต้นรำ

แตกต่างไปกับชางอี้โดยสิ้นเชิง เธอกำลังคุ้ยถังขยะอย่างไม่หยุดหย่อน เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองเพิ่งทิ้ง‘อนาคตอันสดใส’ลงในถังขยะโดยการโยนนามบัตรของจ้าวเฉียนไปอย่างไม่ไยดีก่อนหน้า

ตอนนี้เธอตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า จ้าวเฉียนผู้นี้ทรงอำนาจเพียงใด ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเอานามบัตรคืนมาให้จงได้

“ผู้อำนวยการชาง กำลังทำอะไรอยู่เหรอค่ะ? เอ่อ…ให้ฉันช่วยไหม?”

นักแสดงหญิงคนหนี่งในระแวกนั้นเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไร ไปเต้นเถอะ”

ชางอี้กล่าวปัดตอบทันทีด้วยความหงุดหงิด

“โอ้ สวัสดีค่ะผู้อำนวยการชาง เอ่อ…ไปทำอะไรแถวถังขยะค่ะ? ให้ดิฉันช่วยอีกแรงไหม?”

นักแสดงสาวอีกคนที่ผ่านไปมาเอ่ยถามขึ้น

“ไปเต้นตรงโน้นไป!”

ชางอี้จะไม่ทน เธอตะโกนไล่ออกไป ท่าทีเดือดดุราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“อะ-โอเคค่ะ งั้น…ค่อยๆหาไปนะคะ ใจเย็นๆ…เดี๋ยวก็เจอค่ะ”

นักแสดงสาวคนนั้นเดินจากไปพร้อมท่าทีประหม่า

“โอ้! ผู้อำนวยกาชาง มีอะไรให้ผม…”

“โอ้ย! น่ารำคาญจังโว้ย! ไปเต้นกับพวกเธอเลยไป! น่ารำ….”

ชางอี้เบื่อเต็มทนที่ต้องมาพูดอะไรซ้ำๆซากๆ พอได้ยินเสียงสุ้มเสียงชายคนหนึ่งเอ่ยดังขึ้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นด่าสาปแช่งออกไปทันที แต่ทันทีที่ค้นพบว่า เจ้าของเสียงดังกล่าวคือจ้าวเฉียน เธอก็หุบปากแทบไม่ทันและรีบขอโทษออกไปแทน

“โอ้! ประธานจ้าวนี่เอง! ขอโทษค่ะ! ขอประทานโทษด้วยค่ะ! ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ!”

จ้าวเฉียนโบกมือปัดและยิ้มถามขึ้นว่า

“กำลังมองหาอะไรเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าคุณเอานามบัตรผมไปทิ้ง พอตอนนี้ก็กำลังหามันอยู่?”

ท่าทีของชางอี้ดูประหม่าในทันใด ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย และโค้งศีรษะต่อหน้าจ้าวเฉียน เธอแบกหน้าขอโทษทันทีว่า

“ดิฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ! พอดี…ก่อนหน้านี้เห็นว่าประธานจ้าวทำให้ลุงห้าขุ่นเคือง เลยคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันแล้ว… ก็เลย…ก็เลย…ขอโทษจริงๆนะคะ! จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ประธานจ้าวอย่าโกรธดิฉันเลยนะคะ!”

จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นค่อยยื่นนามบัตรคืนให้แก่ชางอี้

“ผู้อำนวยการชาง ดีใจนะครับที่คุณตอบผมตามความจริง ซึ่งผมเองก็ผิดเช่นกันที่ปิดบังตั้งแต่แรก ดังนั้นผมไม่ว่าหรอกครับที่คุณจะโยนนามบัตรทิ้งไปแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อครู่คุณโกหก ผมคงไม่ขอร่วมมือกับคุณแล้วเช่นกัน”

ชางอี้รีบหยิบนามบัตรกลับเข้ากระเป๋าทันที เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

“ประธานจ้าวทราบได้ยังไงว่า นามบัตรใบนี้เป็นของดิฉัน?”

จ้าวเฉียนชี้ไปที่รหัสQRบนนามบัตรและตอบไปว่า

“นามบัตรแต่ละใบจะมีรหัสQRแตกต่างกันไปครับ ทันทีที่คุณหยิบมือถือมาสแกน ข้อมูลส่วนตัวของคุณจะถูกอัปโหลดเข้ามาในมือถือของผมทันที และนามบัตรใบนี้จะผูกกับข้อมูลของคุณทันที แค่ผมคลิกเข้าแอปที่สั่งทำมาเฉพาะจะทราบได้ทันทีว่า นามบัตรแต่ละใบที่ให้ไปเป็นของใครบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ ข้อมูลที่เซฟเป็นแค่ข้อมูลพื้นฐานเท่านั้นครับ”

ชางอี้ถึงกับอ้างปากค้างเมื่อได้ฟัง เธอไม่คิดเลยว่านามบัตรบางๆแค่ใบเดียวจะแฝงไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงขนาดนี้ แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำของแบบนี้ขึ้นมาได้แน่นอน แม้แต่คนรวยยังไม่ทำกันด้วยซ้ำ ต้องเป็นมหาเศรษฐีที่เงินเหลือจริงๆถึงจะทำอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้

“แล้วคุณจ้าวรู้ได้ไงครับว่า ดิฉันโยนนามบัตรทิ้ง?”

ชางอี้เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“พอดีว่าพนักงานทำความสะอาดไปพบนามบัตรนี้เข้าขณะเก็บขยะ แต่เธอสังหรณ์ใจว่า นามบัตรที่ทำจากทองคำขาวคงมีมูลค่าแพง ก็เลยส่งคืนให้ทางพนักงานดูแลงาน ผู้อำนวยการจางตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปดื่มก่อน”

“เข้าใจแล้วค่ะ อย่าดื่มเยอะนะคะประธานจ้าว”

ชางอี้เฝ้ามองจ้าวเฉียนจากไปจนลับสายตาด้วยความเคารพ และรีบหยิบนามบัตรของเขาออกมากอดแน่นอน และครั้งนี้นำเอาเสียบลงในกระเป๋าสตางค์ส่วนตัวทันที นามบัตรใบนี้เปรียบเสมือนตั๋วทองคำเบิกทางสู่อนาคตอันสดใส ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต นามบัตรใบนี้ก็ห้ามหายไปไหนอีกเด็ดขาด

จ้าวเฉียนเดินไปหาหวานเจียงและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขึ้นว่า

“คนสวย เต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหม?”

หวานเจียงยกมือป้องปากขำคิกคัก ก่อนจะยื่นมือออกไปให้จ้าวเฉียนพาเธอออกไปเต้นรำด้วยกัน

ทั้งหยางหมิงและหวานฮันซูโกรธแค้นอย่างมากเมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว

“จ้าวเฉียน ฉันอยากรู้จริงๆนะว่านายเป็นใคร มาจากไหนกันแน่? ไปรู้จักกับคนพวกนี้ได้ยังไง?”

หวานเจียงเอ่ยถามประดับยิ้มสวย

จ้าวเฉียนไม่สามารถเอ่ยตอบไปตามตรงได้ จึงโกหกไปว่า

“ฉันใช้ทั้งเวลาและเงินไปหลายล้านกับหยางหู่ จนกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ ไม่สิ…เขาทำไปเพื่อปกป้องลูกค้ารายใหญ่ของตัวเองมากกว่า ดังนั้นฉันก็เลยมีโอกาสทำความรู้จักกับคนอื่นๆไปในตัว”

หวานเจียงพยักหน้าพลางหรี่ตาแคบเล็กน้อยด้วยความสงสัยไม่เสื่อมคลาย เขาตอบไม่ค่อยจะตรงคำถามสักเท่าไหร่ และเค้นต่อยังไง ในเมื่อเขาไม่อยากตอบก็คงไม่ได้คำตอบเช่นกัน เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อทันที สนทนาอย่างสนุกสนานระหว่างเต้นรำบนฟลอร์

ในเวลานี้เอง หยางหมิงก็เดินมาเซียนเชียง เขายังคงยิ้มแย้มเช่นเคย และเอ่ยถามด้วยความเคารพว่า

“ลุงห้า ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”

เซียนเชียงทราบดีว่าหยางเฉิงต้องการจะคุยกับเขาเรื่องอะไร จึงพยักหน้าตอบและปลีกตัวออกไปคุยกันสองต่อสอง

หยางเฉิงยิ้มถามขึ้นว่า

“ลุงห้า ไม่ใช่ว่าคุณเคยสัญญากับผมเหรอว่า เช็คสิบล้านใบนี้แลกกับทำให้ไอ้เด็กนั่นพิการ?”

เซียนเชียงเอ่ยตอบน้ำเสียงเย็นกลับไปว่า

“หยางเฉิง ตอนที่นายยังอายุไม่มาก เคยเจอใครบางคนที่เกินมือเราจะควบคุมได้ไหม? ใช่ ฉันรับเงินของนายและให้สัญญาว่าจะจัดการกับเขา แต่ใครจะไปรู้ว่าเส้นสายของเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ เขารู้จักหยางหู่และก็ยังรู้จักเลขาของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของตึกแห่งนี้ด้วย ถ้านายมาเป็นฉัน นายจะกล้าไหมล่ะ?”

“ในเมื่อทุกคนรู้ความจริงกันหมดแล้ว แต่คุณเองก็ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ เอ่อ…คุณก็ควรที่จะคืนเงินผมใช่ไหม?”

หยางเฉิงเอ่ยถามเจือท่าทีกล้าๆกลัวๆ

 ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เซียนเชียงก็ตวาดสวนกลับไปด้วยความโกรธทันที

“นี่ยังกล้าขอเงินคืนอีกเหรอ? พูดอย่างกับว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลย? นายคิดผิดหยางเฉิง ฉันพยายามทำทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้มากลับไม่คุ้มเงินสิบล้านที่นายให้มาด้วยซ้ำ! ดังนั้นนี่มันสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ไม่ว่าฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่นายจะไม่ได้เงินคืน!”

อย่างไรก็ตามนั้นเป็นเงินถึงสิบล้าน หยางเฉิงไม่ยอมมอบให้กับเซียนเชียงไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน

“ลุงห้า ถ้าคุณคิดจะทำแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้อาจจะหลุดถึงหูทุกคนได้นะครับ นั้นอาจส่งผลกระทบไปถึงชื่อเสียงของคุณที่สั่งสมมานาน”

หยางเฉิงกล่าวขู่ทันที

คู่แววตาของเซียนเชียงหม่นประกายลงในทันใด เขาตอบไปว่า

“อะไรนะ? นี่คุณกำลังข่มขู่ผมอย่างนั้นเหรอ? เอาล่ะ คุณออกไปได้แล้ว และไปป่าวประกาศให้ทุกคนรู้กันไปเลยว่า ผมรับเงินมา! ถ้าไม่ทำผมจะถือว่าคุณไม่กล้า!”

หยางเฉิงเห็นท่าทีที่แสนดุดันของเซียนเชียงก็ถึงกับหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่เงินสิบล้านเองก็ไม่ใช่น้อยๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะโยนทิ้งไปฟรีๆเพียงเพราะความกลัว

“ลุงห้าเป็นที่เคารพนับถือของผมและคนอื่นๆ ผมไม่กล้าล้ำเส้นคุณแน่นอนครับ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องยอมให้คุณรังแกเช่นกัน เงินตั้งสิบล้านมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ จะชักดาบกันหน้าตาเฉยแบบนี้คงจะไม่ดี?”

เซียนเชียงกระแอมคำโตอย่างเยือกเย็น เขาตอบกลับไปว่า

“ฉันจะไม่พูดจาไร้สาระกับนายอีกแล้ว! ถ้านายไม่กล้าบอกกับทุกคน เฟยอวี่ก็ควรเปลี่ยนที่นั่งประธานได้แล้ว!”

หลังจากพูดจบ เซียนเชียงก็เดินกลับไปยังงานเลี้ยงทันที ปล่อยให้หยางเฉิงยืนกำหมัดแน่นอย่างโกรธเกรี้ยว

ไม่นานนัก เขาก็เรียกบรรดาเพื่อนสนิทมาปรึกษาหารือกัน

คนพวกนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก บรรดาชายชราที่ติดตามหยางเฉิงอยู่ด้านหลังตลอดที่ผ่านมา บางคนถือหุ้นเฟยอวี่ กรุ๊ป ดังนั้นพวกเขาต้องเข้าข้างหยางเฉิงแน่นอน

“คุณหยาง นั้นก็แค่สิบล้านเอง ถ้าปล่อยหุ้นออกไปสู่สาธารณะ อย่างน้อยๆก็ต้องได้กลับมากว่าพันล้านหยวน ไม่จำเป็นต้องมีปัญหากับผู้มีอิทธิพลกับเงินจำนวนแค่นี้เลย”

“แต่ฉันไม่เห็นด้วย ถ้าคูณหยางปล่อยไว้แบบนี้ วันหน้าเซียนเชียงก็จะกลั่นแกล้งพวกเขาได้เรื่อยๆในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยหยางกับๆไอ้เด็กเหลือขอสกุลจ้าวก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ใครจะรับประกันได้ว่า มันจะไม่กลับมาแก้แค้นในอนาคต? ถ้าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ นับเป็นความสูญเสียของเฟยอวี่ กรุ๊ปโดยตรงเลยไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นอาจมากกว่าสิบล้านไม่ใช่รึไง?”

“ทำไมเราไม่ร่วมมือกับเพื่อหาผู้มีอิทธิพลเทียบเท่าเซียนเชียงมาจัดการล่ะ? ถ้าอย่างนั้นไม่เพียงแค่ฝ่ายนั้นจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่เราอาจจะได้โอกาสเอาคืนพวกมันกลับ!”

“ฉันว่านี่เป็นความคิดที่ดีเลยนะ คนที่มีอิทธิพลใกล้เคียงกับเซียนเชียงใช่ว่าจะไม่มีสัดหน่อย อาจจะต้องลงทุนกันหน่อย แต่ผลลัพธ์ในอนาคตนับว่าคุ้มค่ามากนะครับ คุณหยางคิดเห็นยังไงบ้าง?”

หยางเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังคำแนะนำของเหล่าชายชรา

แต่ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนที่เต้นรำกับหวานเจียงเสร็จแล้ว ก็เดินออกไปหาหยางเฉิงและกลุ่มชายชราพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ

“ประธานหยาง มาคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้เหรอครับ? หาวิธีจัดการผมกันอยู่เหรอ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมน้ำเสียงแสนเย้ยหยัน

หยางเฉิงที่เกลียดจ้าวเฉียนเข้าไส้เป็นทุนเดิม ยิ่งได้ฟังแบบนั้นยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ จึงตอกสวนอย่างเย็นชาไปว่า

“เป็นอะไรของแก? ถ้าพวกเรากำลังหารือเพื่อคิดหาวิธีจัดการแกจริง แล้วแกจะทำไม? ทุบตีพวกเรารึไง? แต่ลองดูก็ได้นะ ถ้ากล้าลงไม้ลงมือกับใครคนใดคนนึงในนี้ แกจบไม่สวยแน่!”

“โอ้จริงเหรอครับ? ผมกลัวจังเลย… แต่จะว่าไป มีบางอย่างน่ากลัวกว่านี้อีกนะครับ สนใจดูไหม?”

จ้าวเฉียนปั่นหน้าไร้เดียงสา ทั้งยังเอ่ยถามไปอย่างกวนๆ

หยางเฉิงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างมึนงง พลางเอ่ยถามไปว่า

“อะไรของแก?”

“เอ๋า นายน้อยหยางยังไม่ได้บอกคุณอีกเหรอครับ ก็เรื่องรูปถ่ายในมือถือผมไง?”

“รูปถ่ายอะไร?”

ตอนนี้หยางเฉินเริ่มจะอยากรู้อยากเห็นเข้าจริงๆแล้ว

จ้าวเฉียนไม่รีรอ หยิบมือถือตัวเองออกมาและเปิดภาพถ่ายตอนที่หวงต้าหมิงกำลังเล่นสารเสพติด และมัวกับสาว

หยางเฉิงตกใจอย่างมาก ทันใดนั้นมือข้างนึงก็พุ่งออกไปคว้ามือถือของจ้าวเฉียนทันที

แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของจ้าวเฉียนเองก็เร็วไม่แพ้กัน เขารีบเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงโดยตรง

“ทำไมประธานหยางต้องดูร้อนรนขนาดนั้นด้วยครับ? ถึงเอามือถือผมไปได้ แต่ก็ยังมีข้อมูลสำรองเซฟเก็บไว้อีกเยอะแยะเลย ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”

ทั่วทั้งใบหน้าของจ้าวเฉียนเต็มไปด้วยความเหยียดหยามขณะเอ่ยกล่าวออกมา

“แกต้องการอะไร?”

หยางเฉินเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด

“ผมเสียใจมากเลยนะครับ ตอนที่คุณเอาเงินล้านฟาดหน้าผม ถ้าประธานหยางยอมขอโทษดีๆ ผมคงสบายใจขึ้นไม่น้อย คงรู้จะครับว่าผมหมายความว่ายังไง?”

หยางเฉินไม่มีทางทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นแน่นอน เขาตอบกลับไปทันที

“อย่าได้ฝัน! ฉันไม่มีทางขอโทษแก!”

จ้าวเฉียนพนักหน้าตอบว่า

“โอ้งั้นเหรอครับ? งั้นหวังว่าคุณจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเลือกไปในภายหลัง!”

หลังจากพูดจบล จ้าวเฉียนก็หมุนตัวกำลังจะจากออกไปทันที

แทบจะขณะเดียวกับ บรรดาชายแก่ที่ถือหุ้นเฟยอวี่ กรุ๊ปเคียงข้างหยางเฉิง ก็ทนอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เขารีบวิ่งไปหยุดจ้าวเฉียนทันที

“น้องชาย อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไป…”

“น้องชาย พวกเราคนกันเอง มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า…”

ตอนที่130 เราเพื่อนกัน

เซียนเชียงควรค่าแก่การเป็นผู้เจนจัดด้านวิการธุรกิจและบันเทิงอย่างแท้จริง หนนึ่งโอกาสแล่นผ่านย่อมฉกฉวย สร้างราคาเล่นจิตวิทยากับหยางเฉิง

แต่อย่างไร เมื่อเทียบกับได้สิทธิ์การควบคุมฮวาหยิน กรุ๊ปในอนาคตมาในมือ แค่สิบล้านกลับไม่นับเป็นอะไรเลย หยางเฉิงกัดฟันแน่นพยักหน้าเห็นด้วยทันควัน

“ไม่มีปัญหาเลยครับ สิบล้านก็สิบล้านครับ แต่ลุงห้าก็ลงดาบมันให้เด็ดขาด แล้วเก็บหลักฐานให้สะอาด อย่าให้พวกสื่อสืบได้ว่าเป็นฝีมือของพวกเรา”

เซียนเชียงระเบิดหัวเราะขึ้นในทันใด เขาตอบไปว่า

“คุณคิดว่าฉายาลุงห้าแห่งวงการบันเทิงของผมมันได้มาง่ายๆเหรอ? ในแวดวงพวกนี้ ด้วยอิทธิพลของผม ถ้าบอกไม่อนุญาตให้เผยเพร่ คิดหรือว่าพวกสื่อจะกล้าหือกับผม? และแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ แต่ยังไงผมก็หาคนมารับแทนได้อยู่แล้ว”

ราคาสิบล้านเพื่อซื้อชีวิตของจ้าวเฉียน นับว่าคุ้มค่าแล้ว แต่อย่างไร หยางเฉิงเองก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งในวงการธุรกิจ เขาย่อมไม่สามารถเชื่อใจคนพวกนี้ได้เต็มอก หากเกิดอะไรขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า อีกฝ่ายจะไม่โยนภาระความรับผิดชอบทั้งหมดลงแก่เขา

แต่อย่างไร เซียงเชียงค่อนข้างมีเครดิตที่สูงมาก เขาเป็นผู้มีอิทธิพลเจ้าเก่าที่อยู่ในวงการนี้มานาน และที่สำคัญเขายังมีชื่อเสียงในด้านความกตัญญู เคยมีเรื่องเล่าว่า ครั้นหนึ่งมหาเศรษฐีรายใหญ่แห่งจีนอย่างจ้าวฝู่ เคยช่วยเซียนเชียงให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็กตัญญูกับจ้าวฝู่ตลอดมาจวบจนวันนี้ กล่าวได้ว่า เขาไม่มีวันทำร้ายผู้มีพระคุณโดยเด็ดขาด

หยางเฉินเซ็นเช็คราคาสิบล้านให้เซียงเชียนอย่างรวดเร็ว โดยกล่าวต่อว่า

“นี่ครับ เช็คจำนวนสิบล้าน ทำให้ไอ้เด็กนั่นพิการไปตลอดชีวิต!”

เซียนเขียงยิ้มตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้องห่วง ไปรอผมที่งานเถอะ หลังจากนี้เตรียมรอฟังข่าวดีได้เลย”

“ฮ่าฮ่า…ขอบคุณมากครับลุงห้า ผมเตรียมรอฟังข่าวดีเลย!”

หยางเฉินเดินจากไปอย่างมีความสุข

ไม่กี่อึดใจต่อมา จ้าวเฉียนก็เดินออกมาจากหลังห้อง พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง

เซียนเชียงรีบโค้งศีรษะคำนับจ้าวเฉียนทันทีด้วยความเคารพยิ่ง และกล่าวทักทายอย่างสุภาพขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว ผมทำตามคำแนะนำของคุณแล้ว ไถ่อีกฝ่ายได้มาสิบล้านครับ ผมคิดว่าราคานี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”

จ้าวเฉียนไม่ได้เหลือบมองเช็คใบนั้นด้วยซ้ำ เขากล่าวตอบไปว่า

“คุณเก็บเช็คใบนี้ไปเถอะ รู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้ต้องพูดยังไงต่อ?”

“ผมทราบดีครับ ไม่ต้องกังวลครับคุณชายจ้าว”

เซียนเชียงรีบตอบกลับทันที

“หวังฉี คุณช่วยให้ความร่วมมือกับลุงห้าด้วยนะครับ ผมไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนตอนนี้”

ทันทีทันใด จ้าวเฉียนก็หันไปพูดชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา

“เข้าใจแล้วครับ! ไม่ต้องห่วงนายน้อย ผมจะให้การร่วมมือกับลุงห้าเป็นอย่างดี”

หวังฉีเอ่ยปากตอบด้วยความเคารพ

“อืม…อีกสักพักหยางหู่คงมาถึงที่นี่แล้ว”

หวังฉีและเซียนเชียง ทั้งคู่รีบพยักหน้าให้ด้วยความเคารพ และเชิญให้จ้าวเฉียนนั่งลงบนโซฟาเพื่อพักผ่อน ในขณะที่พวกเขาทั้งสองยืนขนาบข้างอยู่

ตอนนี้เซียนเชียงยังคงรู้สึกผิดไม่หาย ที่เมื่อครู่นี้เขาทำให้จ้าวเฉียนต้องอับอายต่อหน้าสาธารณะชน

“เอ่อ…คุณชายจ้าว… ก่อนหน้านี้เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าคุณคือใคร ก็เลยทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าคุณเป็นอย่างมาก โปรดยกโทษให้ผมด้วยนะครับ หลังจากนี้ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อกู้หน้าคุณชายจ้าวกลับมา ผมต้องขอโทษจริงๆครับ…”

เซียนเชียงกล่าวเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง

จ้าวเฉียนตระหนักทราบดี เซียนเชียงเป็นคนที่จงรักภักดีต่อตระกูลจ้าวยิ่งกว่าอะไร และที่อีกฝ่ายกล่าวเย้ยเยาะเขาไปก่อนหน้าในงานเลี้ยง เป็นเพราะยังไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา ดังนั้นความผิดเหล่านี้ย่อมเพิกเฉย ลืมเลือนกันไปได้โดยธรรมชาติ

“เพราะก่อนหน้านี้ลุงห้ายังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร เรื่องนี้ผมไม่ถือสา”

“ไม่ต้องกังวลนะครับคุณชายจ้าว หลังจากนี้ผมจะกู้ศักดิ์ศรีของคุณชายจ้าวกลับมาเอง ใครก็ตามที่กล้าให้ร้ายหรือดูถูกคุณ ผมจะไม่สุภาพกับคนพวกนั้นแน่นอน!”

เซียงเชียนรีบให้สัญญากับจ้าวเฉียนทันที

“ผมเชื่อใจคุณครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“เอ่อ…ดูเหมือนว่าหยางเฉิงกำลังคิดปางร้ายคุณชายจ้าวอยู่นะครับ เรื่องนี้ให้ผมจัดการให้เลยไหมครับ?”

เซียนเชียงเอ่ยถามขึ้นเจือน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ

จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“เรื่องนี้ผมขอจัดการเองครับ ผมจะให้หยางหู่ในเร็วๆนี้ ส่วนลุงห้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวเกินจำเป็นจะดีกว่านะครับ มันอาจส่งผลทำให้ความแตกได้ในอนาคต เข้าใจความหมายรึเปล่าครับ?”

“เข้าใจแล้วครับ แต่ยังไงผมขออนุญาตใช้เส้นสายที่มีในวงการบันเทิงช่วยเคลียร์ทางให้คุณชายจ้าวในอนาคตนะครับ ยังไงผมก็อยากช่วยผลักดันบริษัทเปิดใหม่ของคุณชายจ้าวให้ประสบความสำเร็จให้ได้ครับ”

เซียนเชียงกล่าวตอบด้วยความเคารพ

จ้าวเฉียนพยักหน้าขอบคุณอีกฝ่าย ขณะเดียวกันสายของหวังซีก็วิ่งเข้ามารายงานว่า หยางหู่มาถึงที่นี่แล้ว

หวังฉีจึงสั่งให้ลูกน้องคนนั้นไปพาหยางหู่ผ่านประตูหลังตึกมา ไม่นานนักหยางหู่ก็มาพบกับจ้าวเฉียน

“เสี่ยวหู่มากแล้ว ถึงเวลาของพวกคุณทั้งสาม ไปได้แล้ว”

จ้าวเฉียนสั่งการทั้งสาม พวกเขาพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเดินออกไปยังงานเลี้ยง เซียนเชียงกับหวังฉีก็เตี้ยมกับหยางหู่ไว้ก่อน ว่าหลังจากนี้ควรพูดอะไรออกไปบ้าง

ในเวลานั้นเอง หยางเฉินก็เดินถือแก้วไวน์ ตรงเข้ามาคุยกับหวานหลิน

“ประธานหวาน คุณคิดยังไงกับเรื่องเด็กสองคนนั่น?”

หวานหลินยิ้มตอบไปว่า

“ผมไม่มีความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้นครับ ตราบเท่าที่ลูกสาวของผมมีความสุข ไม่ว่าอะไรผมก็เห็นด้วยครับ”

“ประธานหวาน ที่ผมถามแบบนี้ไม่ใช่จะจู้จี้หรอกนะครับ แต่เราในฐานะผู้ใหญ่ บางครั้งก็ต้องตัดสินใจแทนพวกเขาไปเลย อย่าปล่อยให้อารมณ์ของพวกเขามาครอบงำ ไม่อย่างนั้นอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายเกินจินตนาการได้ ถูกต้องไหมครับ?”

บรรดาปะธานบริษัทคนอื่นๆที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับหยางเฉิง ก็รีบเอ่ยปากช่วย หวังจะจำกัดโคลนเน่าออกไปให้พ้นตัวลูกสาวของหวานหลิน

“ประธานหวาน ผมคิดว่าคุณหยางพูดถูกต้องนะครับ เด็กสองคนนั้นควรแต่งงานกันได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคต ตำแหนางของคุณในแวดวงบันเทิงจะเป็นจุดสนใจของทุกคน ดังนั้นควรคำนึงถึงหน้าตาเป็นสำคัญนะครับ”

“ประธานหยางไม่ต้องห่วง ผมเพิ่งมอบเงินจำนวนสิบล้านให้ลุงห้าช่วยสั่งสอนเจ้าหมอนั่นให้หนัก หลังจากนี้มันคงไม่กล้าตอแยกับลูกสาวคุณแล้วแน่นอน”

“นอกจากนี้ ไอ้เด็กนั่นยังทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองอย่างมาก ต้องขอบคุณหยางด้วยซ้ำที่ยอมจัดการมันขั้นเด็ดขาด ฮวาหยิน กรุ๊ปของประธานหวานรอดพ้นจากวิกฤตแล้ว”

หวานหลินรู้สึกไม่พอใจอย่างมากพอได้ยินแบบนั้น จึงตอบกลับไปว่า

“ผมเข้าใจความหวังดีของพวกคุณ แต่ผมไม่สามารถบังคับเสี่ยวเจียงให้รักใครชอบใครได้ นี่มันเรื่องของเด็กๆ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเรา”

“แน่นอน ตราบใดที่ประธานหวานไม่คัดค้านความคิดของเด็กๆ จับให้อยู่ด้วยกันสักพักเดี๋ยวก็ชอบกันเองนั้นแหละ เดี๋ยวผมช่วย….”

ทว่ายังไม่ทันที่หยางเฉิงจะกล่าวจบ จ้าวเฉียนก็ก้าวเข้ามาในงานพร้อมท่าทีแสนหยิ่งผยอง

ทุกคนในงานต่างปิดปากเงียบฉับพลัน จับจ้องไปทางจ้าวเฉียนจนเป็นตาเดียวด้วยความตกตะลึงยิ่ง

ทันใดนั้นเอง เบื้องหลังที่เดินติดสอยตามมาคือ เซียนเชียง, หวังฉี, หยางหู่และคนอื่นๆตามลำดับ ทุกคนภายในงานต่างจับกลุ่มสนทนากันทันที ภายในงานแทบระเบิดความโกลาหนออกมา ต่างคนต่างถามกันเองว่า เด็กหนุ่มคนนี้กลับเข้ามาโดยปราศจากรอยขีดข่วนได้ยังไงกัน? เขาทำได้ยังไง?

หวานเจียงดีใจอย่างมากพอเห็นแบบนั้น และระเบิดหัวเราะอย่างสุขอกสุขใจ

“ตาบ้านี่มันจริงๆเลย! ชอบทำอะไรให้คนอื่นกังวลอยู่เรื่อย! แต่อยากรู้จริงๆว่าเขารอดออกมาได้ยังไง? แถมยังไม่เป็นอะไรเลยด้วย?”

ยิ่งหวานเจียงคิดกับตัวเธอเองเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งสนใจในตัวจ้าวเฉียนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

สีหน้าของหยางเฉิงและลูกชายของเขาดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก หลังจากจ่ายเงินไปมากถึงสิบล้าน แต่ทำไมจ้าวเฉียนยังเดินคล่องป๋อ? นี่ไม่ต่างอะไรกับเอาเงินสิบล้านไปโยนทิ้งถังขยะเล่นเลยงั้นเหรอ?

เซียนเชียงรู้ดีว่าทุกคนกำลังรอให้เขาอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“ทุกคน ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยครับ น้องชายคนนี้เป็นเพื่องของคุณหวัง เลขาประธานบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ป ดังนั้นตึกไข่มุขแห่งนี้ก็ถือเป็นสถานที่ของเขาเช่นกัน ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่ทันได้ไถ่ถามถึงภูมิหลังของน้องชายคนนี้ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ทางผมได้ขอโทษกับน้องชายคนนี้เรียบร้อยแล้ว”

หวังฉียังกล่าวเสริมอีกว่า

“น้องชายคนนี้เป็นเพื่อนของผมเอง เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน รู้จักผ่านคุณหยางหู่อีกทีหนึ่ง ดังนั้นผมู้สึกขำแทบตายพอได้ยินเรื่องขัดแย้งกันในทีแรก เอาล่ะ เพื่อแสดงความขอโทษต่อเหตุเข้าใจผิดนี้ ผมและน้องชายของผมขอเป็นเจ้ามือจ่ายค่าไวน์และอาหารในงานนี้เอง! อย่าได้เกรงใจครับ!”

ทันใดนั้น ทั่วทั้งบริเวณระเบิดความโกลาหลแทบจะในทันที เมื่อได้ทราบถึงภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้ ปรากฏว่าเส้นสายของเขายอดเยี่ยมไร้ที่ติโดยแท้!

หลายต่อหลายคนต่างส่งเสียงเชียร์พร้อมปรบมือ กล่าวยกย่องจ้าวเฉียนและชนแก้วให้

“ไม่คิดเลยว่าพ่อหนุ่มหล่อคนนี้จะมีความสามารถตั้งแต่ยังเด็ก! แถมลุงห้ายังเรียกเขาว่าน้องชาย! เขาไม่ธรรมดาจริงๆ!”

“ใครมันบอกก่อนหน้าหว่า ว่าให้สั่งสอนพ่อหนุ่มคนนี้?”

“ตีปาก! ฉันตีปากตัวเองครบสามครั้งแล้ว! ถือว่าก่อนหน้าฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น!”

“อย่างไรก็ตามเถอะ เขายังเป็นเพื่อนกับคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยิน กรุ๊ปอีกด้วย จะต้องเป็นทายาทเศรษฐีจากที่ไหนสักแห่งแน่นอน! ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเส้นสายใหญ่โตขนาดนี้หรอก!”

……..

เดิมทีทุกคนต่างคิดว่า จ้าวเฉียนเตรียมตัวกลายไปเป็นชายหนุ่มไร้อนาคตได้เลย แต่ใครจะไปคิดว่า ในตอนจบ ขายหนุ่มคนดังกล่าวกลับเจิดจรัสที่สุดภายในงานราตรีครั้งนี้!

หยางเฉิง, หยางหมิง,หวานฮันซูและกลุ่มชายชรา ทุกคนล้วนเผยใบหน้าที่สุดแสนจะขมขื่นเกินบรรยาย

หวานฮันซูว่าหนักแล้ว หยางเฉิงยังรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงแค่เขาจะผิดหวังเท่านั้น แต่ยังสูญเสียเงินจำนวนสิบล้านไปฟรีๆ!

ตอนที่129 ลบหลู่

เมื่อเห็นว่าลุงห้าสีหน้าท่าทางดูจริงจังขึ้นมาทันตา บางคนถึงกับสะกิดเรียกให้จ้าวเฉียนรีบขอโทษ

“พ่อหนุ่มอย่าโง่ไปหน่อยเลย เอ็งชื่อแซ่อะไรห่ะ? ทำไมถึงทำตัวใหญ่โตแบบนี้ รีบๆขอโทษแล้วไสหัวไปดีกว่า!”

“ถูกต้อง! ยังไงซะพวกเขาทุกคนก็เข้าข้างเจ้าบ้านอย่างลุงห้าอยู่แล้ว นายยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจโลก!”

“รีบขอโทษไปเถอะ ไม่มีใครสนใจแกแล้ว”

“รีบๆขอโทษซะ…”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจฟังคนพวกนี้อีกต่อไป เหลือบมองเซียนเชียงพร้อมรอยยิ้มประดับกว้างบนใบหน้า

ความหยิ่งหยองของเขามันมากจนใครหลายคนเริ่มจะทนไม้ไหว

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันพบเจอ ไอ้หนุ่มที่โง่งมไม่รู้อะไรเป็นอะไรขนาดนี้! กระทั่งจะโดนกระทืบอยู่แล้วยังมัวยิ้มอยู่ได้!”

“เออนั่นสิ! อย่าให้มันสันดารเสียแบบนี้ต่อไปจนโต! ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำ!”

“ลุงห้าครับ! พวกเราสนับสนุนให้คุณสั่งสอนมันให้หนัก!”

“ใช่ครับ! สั่งสอนมันให้เข็ด!”

“ผมเห็นด้วยครับ…”

สองมือยื่นล้วงกระเป๋ากางเกง เชิดศีรษะเหลือบหางตามองอย่างหยิ่งผยอง จ้าวเฉียนไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจแม้แต่น้อย ทว่ายังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกอดขึ้น

หยางเฉิงต้องการราดน้ำมันลงกองไฟอีกระลอก จึงกล่าวกระตุ้นไปว่า

“ลุงห้า เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ไอ้หนุ่มนี่หยิ่งผยองขนาดไหน ขนาดคนอื่นๆพูดขนาดนี้ยังไม่ฟัง! ไม่เพียงแค่นั้นยังยิ้มท้าทายคุณอีก ดูสายตาของมันสิ! สำนึกที่ไหน!! สันดานเสียตั้งแต่วัยรุ่น โตไปสักวันต้องเจอปัญหาแน่นอน ลุงห้าต้องดัดสันดานให้เลิกทำตัวสถุนได้แล้ว!”

นัยน์ตาคตู่นั้นของเซียนเชียงเหยียบเย็นลงทันที เค้นเสียงเรียกบอดี้การ์ดเหล่านั้นลากจ้าวเฉียนออกไป

จ้าวเฉียนยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ คำรามสั่งคำโต

“อย่าขยับ! ฉันออกไปเองได้! ไม่ต้องเข้ามาใกล้!”

หวานเจียงทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เธอรีบเร่งเดินเตรียมวิ่งออกไปทันที ทว่ายังไม่ทันได้ยกขา  หลานหลินก็รั้งเธอไว้ไม่ให้ออกไป

“เสี่ยวหลิน! ถ้าอยากออกไปก็ข้ามศพพ่อไปก่อน!”

หวานหลินยื่นคำขาดท่าทีหงุดหงิดอย่างมาก

“แต่หนูเป็นคนพาเขามาที่นี่นะ หนูก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ? ถ้าเขาเป็นอะไรหลังจากนี้ มันจะกลายเป็นตราบาปของหนูไปตลอดชีวิต!”

หวานเจียนเถียงสวนกลับไป

“แล้วยังไง? ลูกเป็นลูกพ่อนะ! ถ้าออกไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับลูก พ่อจะทำยังไง!?”

หวานหลินไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ ถึงตัวหวานเจียงเองจะไม่สนว่าตัวเองจะเป็นหรือตาย แต่อย่างน้อยๆคนหนึ่งที่เป็นกังวลเรื่องของปลอดภัยของเธอ นั้นก็คือหวานหลิน

“ฮ่าฮ่า…”

หยางหมิงระเบิดหัวเราะอย่างสะอกสะใจยิ่งนัก

หวานฮันซูเองก็หัวเราะเยาะไม่หยุด

ทั้งสองรู้สึกราวกับได้แก้แค้นด้วยตัวเอง

ชางอี้ที่เพิ่งได้นามบัตรของจ้าวเฉียนมา เธอถอนหายใจด้วยความเศร้าใจยิ่ง ก่อนจะส่ายหัวและโยนนามบัตรทองคำขาวของจ้าวเฉียนทิ้งถังขยะไป

ในความคิดของเธอแล้ว จ้าวเฉียนที่ออกไปกับบอดี้การ์ดพวกนั้น คงมีสภาพไม่สวยแน่นอน ถึงเขาจะร่ำรวยขนาดไหน แต่มีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงแบบนี้ ยังไงก็ไม่เหลืออนาคตแน่นอน และเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ทั้งสองจะสามารถร่วมมือกันได้อีกต่อไป เก็บนามบัตรของเขาไว้ก็เป็นขยะเสียเปล่า

เซียนเชียงส่งผู้ช่วยของเขาออกไปป่าวประกาศกับทุกคนเสียงดังว่า

“ทุกท่านครับ กระผมต้องขอโทษจริงๆที่สร้างความเดือดร้อนให้ภายในงาน หลังจากนี้คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วนะครับ ฟลอร์เต้นเปิดให้บริการแล้ว เชิญทุกคนเต้นรำให้สนุกนะครับ!”

ณ สถานที่เกิดเหตุยามนี้ได้สงบลงแล้ว เพราะตัวปัญหาอย่างจ้าวเฉียนถูกเชิญออกไป ทุกคนต่างรีบพาคู่ของตัวเองออกไปยังฟลอร์เพื่อเต้นรำในทันที

หยางหมิงรู้สึกว่าโอกาสนี้ได้มาถึงแล้ว เขารีบเดินตรงไปหาหวานเจียงเพื่อเชื้อเชิญให้มาเต้นรำด้วยกัน

“เสี่ยวเจียง มาเต้นกันเถอะ”

“ไสหัวไป!”

หวานจัยงสวนตอบกลับไปทันที

หยางหมิงได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกอับอายไปชั่วขณะ แต่ก็ยังหน้าด้านกล่าวต่อว่า

“ครั้งนี้เจ้าหมอนั่นมันไม่รอดอยู่แล้ว เลิกหวังกับคนแบบมันได้แล้ว หรือเธออยากเลี้ยงดูคนพิการไปชั่วชีวิตกัน? ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวมัน เธอรับได้เหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…ถ้ายังไม่หุบปาก ฉันจะประเคนหมัดใส่หน้านายแน่!”

หวานเจียงไม่แม้แต่ให้หน้าหยางหมิงเลยสักนิด เธอถึงขั้นยกหมัดขึ้นขู่ในทันใด

จะว่าอย่างไรได้ หยางหมิงเป็นถึงลูกชายของประธานเฟยอวี่ กรุ๊ป ทายาทมหาเศรษฐีแห่งเมืองตงไห่ แต่เธอกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด ย่อมเลี่ยงสายตาของผู้คนโดยรอบไม่ได้

อย่างไรก็ตามหวานหลินคิดว่า ลูกสาวของเธอควรจะออกไปเต้นรำกับหยางหมิง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ แม้ลูกสาวของเธอจะไม่ชอบหยางหมิง แต่อย่างน้อยที่สุด เขาทั้งดีและเหมาะสมกว่าจ้าวเฉียนเยอะ ลูกสาวของเขาควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

“เสี่ยวเจียง หยางหมิงมาชวนขนาดนี้แล้ว ควรให้เกียรติไปเต้นกับเขาหน่อยนะ”

หวานเจียงส่ายหัว ตอบอย่างหัวเด็ดตีนขาดว่า

“ไม่!”

“เป็นเพราะลูกไม่ค่อยมีเพื่อน นั้นเป็นสาเหตุที่ลูกสับสนในตัวเองอยู่ในตอนนี้ มีผู้ชายอีกเยอะแยะที่ดีกว่าเจ้าหมอนั้น ตราบใดที่ลูกยอมเปิดใจ พ่อมั่นใจเลยว่า ลูกจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน ออกไปเต้นรำกับหยางหมิงเถอะ”

น้ำเสียงในประโยคสุดท้ายของหวานหลิน เน้นหนักคล้ายเป็นคำสั่งการ

ตอนนี้เธอเป็นกังวลอย่างมาก จะเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวเฉียนข้างนอกนั่น? แค่ยืนอยู่ที่นี่เฉยๆยังร้อนใจราวกับมดในกระทะร้อน แล้วนับประสาอะไรจะออกไปเต้นรำกับหยางหมิง?

“พ่อเลิกสั่งหนูได้แล้ว ตอนนี้หนูไม่มีอารมณ์มาเต้นกับใครทั้งนั้น อย่าทำให้หนูต้องเกลียดหยางหมิงไปมากกว่านี้เลย”

หวานเจียงกล่าวตอบไปตามตรง

หยางหมิงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งไม่พอใจขึ้นไปใหญ่ เขาเอ่ยถามขึ้นว่า

“เซียวเจียง ฉันมีดีน้อยกว่าไอ้พิการนั่นเหรอ? ทำไทเธอต้องปฏิเสธฉันตลอด ทั้งๆที่ยังไม่เคยให้โอกาสด้วยซ้ำ?”

“ฉันไม่อยากให้โอกาสนาย รีบๆไสหัวไปได้แล้ว”

ความอดทนของเธอถึงขีดสุด ตวาดไล่อีกฝ่ายไปให้พ้นๆหน้าโดยไว

หยางหมิงทราบดีว่า ถ้ายังฝืนรั้งพูดต่อไป ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดเขามากขึ้นเท่านั้น เธอควาดไล่ส่งเสียงดังลั่นแบบนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเธอไม่ให้หน้าเขาเลยสักนิด หยางหมิงจึงเดินจากไปหาพ่อและกล่าวขึ้นด้วยความหงุดหงิดว่า

“พ่อ ช่วยอะไรผมหน่อย ไปบอกลุงห้าทีว่า ให้บอดี้การ์ดพวกนั้นสั่งสอนจ้าวเฉียนให้หนัก ขอแบบพิการไปตลอดชีวิตเลยยิ่งดี ไม่อย่างนั้นหวานเจียงคงไม่ตัดใจจากมันแน่นอน!”

หยางดฉิงพยักหน้าตอบว่า วางใจพ่อได้เลย ขอให้ลูกชายคนนี้มั่นใจ อีกไม่ช้าหวานเจียงจะต้องเหลียวมองลูกอย่างแน่นอน คล้อยหลังพูดจบ หยางเฉิงก็ตรงไปหาผู้ช่วยของเซียนเชียงทันที

“สวัสดีครับ คุณผู้ช่วยรบกวนติดตามลุงห้าให้หน่อยได้ไหม? พอดีผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา”

หยางเฉิงกล่าวตอบอย่างสุภาพ

“เอ่อ…ขอโทษนะครับคุณหยาง พอดีลุงห้าเพิ่งสั่งการมาว่า ถ้าไม่มีธุระสำคัญจริงๆ ยังไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนน่ะครับ”

ผู้ช่วยตอบปฏิเสธกลับไปอย่างจนใจ

หยางเฉิงดึงดันไม่ยอมแพ้ แอบยัดเช็คราคาหนึ่งแสนหยวนลงในมืออีกฝ่ายโดยตรง

“ถือว่าช่วยผมสักครั้งนะ ผมมีธุระสำคัญจริงๆ”

หยางเฉิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

ผู้ช่วยเหลือบมองเช็คในมือมูลค่าหนึ่งแสนหยวนเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบและกระซิบเสียงแผ่วว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมจะลองไปคุยให้ดู แต่ได้ไม่ได้ยังไงอีกเรื่องนึงนะครับ”

“ฮ่าฮ่า…เข้าใจแล้ว ต้องรบกวนน้องชายหน่อยนะ”

“ไม่มีปัญหาครับ รออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ”

“ได้เลย”

หยางเฉิงยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยความคาดหวัง รอให้ผู้ช่วยของเซียนเชียงกลับมาเรียกตัวตนเองไป

ห้านาทีผ่านไป ผู้ช่วยคนดังกล่าวก็เดินออกมา หยางเฉินร่วนหัวเราะอย่างสุขใจและรีบยกมือทักอีกฝ่ายทันทีว่า

“น้องชาย เป็นยังไงบ้าง? ลุงห้าว่างไหม?”

หยางเฉิงเอ่ายถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น

“ลุงห้าเรียกคุณหยางให้เข้ามาได้ครับ เชิญทางนี้เลย”

“ฮ่าฮ่า…ขอบคุณน้องชายมากนะ”

หยางเฉิงดูมีความสุขอย่างมากและรีบเดินเข้าไปหา ติดตามผู้ช่วยที่นำทางเขาไปเพื่อเข้าพบกับเซียนเชียง

ไม่นานหลังจากนั้น หยางเฉิงก็พบเซียนเชียง อีกฝ่ายกวาดตามองทุกคนรอบบริเวณ เชิงสัญญาณว่าให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน

“พวกนายออกไปรอข้างนอก ฉันจะคุยกับคุณหยาง”

เซียนเชียงกล่าวสั่งอีกรอบหนึ่ง

ทุกคนโดยรอบบริเวณเดินออกไปทันที เหลือเพียงเซียนเชียงกับหยางเฉิงเท่านั้นภายในห้อง

“ลุงห้า เจอเด็กไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ ใช้แค่ไม้อ่อนกลัวว่าจะไม่หลาบจำเอาน่ะสิครับ”

หยางเฉิงกล่าวเปิดประเด๋นในทันที

อยู่ด้วยกันสองต่อสองกลับเปิดประเด็นเรื่องนี้มา คงไม่ได้ง่ายดายดั่งผิวเผินแน่นอน เซียนเชียงเอ่ยถามไปตามตรงว่า

“คุณหยาง มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

“งั้นผมขอพูดตรงๆเลยนะครับ เด็กนั้นมีปัญหากับลูกชายผมมาก็นานแล้ว หวังว่าลุงห้าจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนมันให้หนัก ขอให้พิการเลยยิ่งดีครับ”

เซียนเชียงเหล่มมองหยางหมิงโดยไม่พูดไม่จาใดๆเป็นเวลานาน หยางเฉิงเห็นท่าทีแบบนั้นยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมันหมายความว่ายังไง? เต็มใจหรือไม่เต็มใจทำให้เขากันแน่?

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยคุณหยางหรอกนะครับ แต่นี่ก็งานราตรีที่ผมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นมาเอง จะให้เกิดเรื่องรุนแรงแบบนั้นคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แถมเจ้าเด็กนั่นเองก็ดูไม่ใช่ธรรมดา ถ้าทางบ้านอีกฝ่ายเรียกร้องค่าเสียหามา ผมจะทำยังไง? เดี๋ยวนี้พอมีอินเตอร์เน็ต ข่าวหลุดมันเร็วและควบคุมยากนะครับ อย่างน้อยๆก็ใช้เงินกว่าหลายล้านเพื่อระงับข่าวพวกนี้ไม่ให้แพร่หลาย คุณหยางเข้าใจที่ผมพูดไหมครับ?”

ตราบใดที่สามารถกำจัดจ้าวเฉียนออกจากชีวิตได้ หยางเฉิงยินดีจ่ายเงินห้าถึงสิบล้านได้ เพราะถ้าหากหยางหมิงสามารถแต่งงานกับทางบ้านหวานเจียงได้ ในอนาคตเขาก็จะสามารถเข้าไปควบคุมฮวาหยิน กรุ๊ปได้เช่นกัน พอถึงเวลานั้น ตัวเขาคงมีทรัพย์สินส่วนตัวไม่น้อยกว่าหลักหลายพันล้าน แล้วเงินเพียงกี่ไม่ล้านในตอนนี้ยังมีความหมายอะไรอีก?

“ลุงห้า ตราบเท่าที่ผมจ่ายไหว ยังไม่ก็ไม่มีทางปเสธแน่นอน”

เซียนเชียงที่ได้ยินแบบนั้นพลันยิ้มแปลกๆให้ และปริปากกล่าวตอบไปสั้นๆว่า

“สิบล้าน”

ตอนที่128 เริ่มกลัวรึยัง

ไม่แม้แต่สนใจท่าทางการแสดงออกของเซียนเชียงเลยสักนิด จ้าวเฉียนไม่เกรงกลัวใดๆ เขารู้ดีว่าตึกไข่มุกแห่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลจ้าว ดังนั้นจะให้คนอื่นมาสอนในบ้านตัวเองได้ยังไง? ไม่มีทาง!

จ้าวเฉียนชี้ที่พื้นแล้วกล่าวขึ้นว่า

“หยางเฉิงมันคงคิดว่าผมยากจนมั่ง เลยเซ็นเช็คให้ล้านหนึ่งนำไปพัฒนาชีวิต ซึ่งผมเองก็เห็นว่าหยางเฉิงใบหน้าแก่เกินวัย ก็เลยเซ็นเช็คห้าล้านให้เขาไปซื้อครีมบำรุงผิวหน้า จะทำไงได้เป็นถึงประธานเฟยอวี่ กรุ๊ป ออกงานสังคมบ่อย แต่หน้าดันเหี่ยวขนาดนี้ ใครเห็นก็ต้องส่ายหน้ากันทั้งนั้น”

คำกล่าวของจ้าวเฉียนทำให้เซียนเชียงหลุดขำออกมา

หลังจากหัวเราะได้พักหนึ่ง เซียนเชียงก็พาจ้าวเฉียนกับหยางหมิงออกไปยังมุมหนึ่ง

เซียนเชียงคลี่ยิ้ม ท่าทางการแสดงออกดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า

“อย่ามีปัญหาในวันแบบนี้เลยนะ งานราตรีจัดขึ้นโดยมีฉันเป็นเจ้าภาพ อย่างน้อยก็ให้มันจบลงด้วยดีเถอะ ถือว่าเห็นแก่หน้าฉันนะพวกคุณ มีเรื่องขับข้องใจอะไรวันหน้าค่อยสะสางว่าไหม?”

แม้ว่าน้ำเสียงของเซียนเชียงจะค่อยไปทางเคร่งขรึม แต่จะเห็นได้ว่าเขายังคงไว้ซึ่งความสุภาพไว้อยู่หลายส่วน เพราะทุกคนที่มาในงานนี้ได้ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเขาจึงกล่าวอ้อมๆเชิงสั่งว่าห้ามมีปัญหากันในงานจะดีกว่า

แน่นอนว่าเซียนเชียงไม่รู้ว่าจ้าวเฉียนเป็นใคร แต่ถ้ารู้เขาคงไม่กล้าพูดแบบนี้แน่นอน และอีกเหตุผลสำคัญที่เขาต้องสุภาพขนาดนี้คือ เขายังเห็นแก่หน้าหยางเฉิงกับหวานหลินอยู่ไม่น้อย

หยางเฉิงนับว่าเจนจัดดน้าแวดวงธุรกิจ เปรียบได้ดั่งทหารผ่านศึกสงครามมาแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว จึงพยักหน้าตอบตกลงไปว่า

“ไม่มีปัญหา ผมให้หน้าลุงห้าเสมอ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมจะไม่สนใจเจ้าเด็กนี่สักวัน”

เซียนเชียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขายิ้มกล่าวขึ้นว่า

“โอเค งั้นก็ขอขอบคุณคุณหยางล่วงหน้าเลยแล้วกัน ส่วนน้องชาย…โอเคไหม?”

จ้าวเฉียนไม่รู้จักเซียนเชียงด้วยซ้ำ นับประสาอะไรจะต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย? ตึกแห่งนี้เป็นทรัพย์สินของตระกูลจ้าว ทำไมจะต้องให้หน้าใครอื่น?

“โดยปกติแล้วผมไม่คิดที่จะมีปัญหากับใครอยู่แล้วในงานสังคมแบบนี้ แต่คุณหยางใช้เงินฟาดหน้าผม นี่มันเป็นการดูถูกเกินไป แม้ผมจะอายุน้อย แต่ก็ใช่ว่ายืนให้ใครก็ตามกลั่นแกล้งได้ ผมขอความเป็นธรรมหน่อยแล้วกัน ให้เขาขอโทษผมตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องไม่จบลงง่ายๆแน่!”

จ้าวเฉียนตอบกลับอย่างหนักแน่น

หยางเฉิงสวนกลับทันทีด้วยความไม่พอใจว่า

“ขอโทษงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ! นี่แกเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน? คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรที่จะให้ฉันก้มหัวขอโทษแก? ลุงห้า เห็นรึยังว่าไอ้เด็กนี่มันหยิ่งแค่ไหน? มันไม่แม้แต่ไว้หน้าพี่เลยในบ้านของพี่เอง สงสัยที่บ้านไม่เคยสั่งสอนมันจริงๆ!”

สีหน้าของเซียนเชียงเริ่มืดทมิฬลงในทันใด เขาขู่เข่นเสียงทุ้มต่ำใส่จ้าวเฉียนไปว่า

“น้องชาย ที่ฉันสุภาพกับนายมากขนาดนี้ เพราะเห็นแก่หน้าประธานหวานนะ ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกับลูกสาวเขา ปานนี้ฉันเตะส่งนายออกไปให้พ้นๆที่ของฉันแล้ว!”

หยางเฉิงแสดงท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส เขาคิดว่าถ้าจ้าวเฉียนทำให้เจ้าบ้านอย่างเซียนเชียงต้องขุ่นเคืองเมื่อไหร่ หวานหลินคงสั่งให้หวานเจียงออกห่างจากไอ้หมอนี่แน่นอน และตอนนั้นหยางหมิงลูกชายเขาจะกลับมามีโอกาสอีกครั้ง

“ลุงห้า เด็กนี่มันหลงตัวเองเกินไป บางทีคงไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ใครเป็นเจ้าของ!”

หยางเฉิงกล่าวเสริมเพิ่มชนวนไฟ

เซียนเชียนพนักหน้าเห็นด้วย ความน่าเกรงขามของพวกเขากลับถูกเด็กน้อยบดขยี้ในวันนี้ ถ้าข่าวหลุดออกไปจะน่าอับอายเพียงใด

เซียนเชียงหันไปขยิบตาให้บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าติดตามเขา ในทันใดพวกนั้นก็เดินมาหาทันที

มุมปากของหยางเฉิงหลี่ยิ้มส่องเล่ห์สไน เฝ้าจินตนาการไว้ว่า หลังจากนี้จ้าวเฉียนจะตายอีท่าไหน เซียนเชียงเป็นถึงคนใหญ่คนโตในวงการบันเทิง ใครก็ตามที่ไปมีเรื่องด้วยล้วนไม่จบลงด้วยดี

หวานเจียงที่เห็นว่าทางนั้นดูท่าไม่ดีแล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปหาโดยไว

“ลุงห้า…”

หวานเจียงกล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้ม

เซียนเชียงหัวเราะเสียงแผ่วตอบไปว่า

“โอ้ว่าไงหลานสาว แล้วพ่อเธออยู่ไหนแล้วล่ะ?”

หวานเจียงชี้ไปยังทิศทางที่หลานหลินยืนอยู่และตอบไปว่า

“คุณพ่ออยู่ตรงนั้น น่าจะมาหาเร็วๆนี้แหละค่ะ”

“ฮ่าฮ่า….หลานสาว แฟนของเธอค่อนข้างหัวรั้นมากเลยนะ ยังไงซะลุงอาจต้องสั่งสอนเล็กๆน้อยๆ”

จากนั้นเซียนเชียงก็ตรงออกไปหาหลานหลินทันที

“ประธานหวาน ลูกเขยของคุณขี้หงุดหงิดน่าดูเลย คงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าผมจะสั่งสอนเขาหน่อย”

โดยธรรมชาติแล้ว หวานหลินไม่คิดจะสร้างความบาดหมางกับเซียนเชียงอยู่แล้ว เขารีบตอบกลับไปทันทีว่า

“ลุงห้าเข้าใจผิดแล้ว เจ้าหนุ่มนั้นไม่ใช่ลูกเขยตระกูลผม เป็นแค่เพื่อนธรรมดาของลูกสาวผม ถ้าอีกฝ่ายทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองก็สั่งสอนได้ตามสบายเลยครับ ไม่ต้องไว้หน้าผมเลย”

เซียนเชียงเหล่มองหวานหลินเสี้ยวแวบหนึ่ง พลันสันนิฐานไปว่า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดโกหก ถึงแววตาของหวานเจียงที่จับจ้องจ้าวเฉียนจะดูมากกว่าเพื่อนก็ตาม แต่ในเมื่อคนเป็นพ่อตบปากรับประกันแบบนี้แล้ว จ้าวเฉียนก็แค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น

ในเมื่อหลานหลินปฏิเสธที่จะปกป้องจ้าวเฉียนแล้ว ดังนั้นเซียนเชียงก็สามารถทำอะไรก็ตามตามประสงค์

“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”

เซียนเชียงกล่าวน้ำเสียงขึงขัง

หลานหลินคลี่ยิ้มอย่างแช่มช้า กล่าวตอบไป

“ลุงห้าต้องพูดเล่นแล้ว ไม่ต้องเกรงใจผมเลยครับ ถ้าอย่างนั้นขอตัวไปทักทายเพื่อนเก่าก่อนนะครับ จัดการหมอนั่นได้ตามสบายเลย”

หลังจากพูดจบหวานหลินก็เดินออกไปหาหวานเจียง และบังคับให้เธอออกไปจากจุดเกิดเหตุโดยเร็ว เขาปล่อยให้เธอมาหลบมุมหนึ่งในงาน

หยางหมิงที่เห็นแบบนั้นรู้สึกได้ทันทีว่า โอกาสของเขามาถึงแล้ว จึงรีบเดินตามหวานเจียงและกล่าวขึ้นว่า

“เสี่ยวเจียง เจ้านั้นทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองแล้ว คงรู้ใช่ไหมว่าผลลัพธ์ของมันจะจบลงยังไง? อย่างน้อยถ้าไม่ตายก็ไม่เหลืออนาคตแล้ว คนที่มือเท้าทำอะไรไม่ได้ เธอจะดูแลขยะอย่างมันไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ?”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไม? เกี่ยวอะไรกับนาย?”

หยางหมิงที่โดนโต้กลับไปแบบนั้นพลันหน้าชาเล็กน้อย แต่เพื่อให้ได้หุ้นส่วนของฮวาหยิน กรุ๊ปมาตามที่พ่อของเขาปรารรถนา เขาจำต้องอดทนอดกลั้นต่อทุกอย่างตรงหน้า

“นี่ไม่ใช่เรื่องของฉันก็จริง แต่ฉันก็ไม่อยากเห็นเธอทนอยู่กับความเสียใจไปชั่วชีวิต แล้วอีกอย่างถ้าเธอรับคนที่สร้างความขุ่นเคืองกับลุงห้าเข้ามาในตระกูล จะเท่ากับว่าฮวาหยิน กรุ๊ปไม่ถูกกับลุงห้าเช่นกัน ผลลัพธ์หลังจากนั้นจะเป็นยังไงเคยคิดบ้างไหม?”

เมื่อได้ยินหยางหมิงพูดแบบนั้น หวานเจียงก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลเช่นกัน เธอไม่สนหรอกว่าตัวเองจะต้องเผชิญอะไรกับวันข้างหน้า แต่เธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อชะตากรรมของฮวาหยิน กรุ๊ปได้ ถ้ามีปัญหากับลุงห้าในอนาคต มันเท่ากับว่าเตรียมอำลาวงการบันเทิงได้เลย

แต่จ้าวเฉียนล่ะ? เขาจะสามารถรับมือกับศัตรูจำนวนมากมายขนาดนี้เพียงลำพังได้ยังไง? จ้าวเฉียนเป็นพวกสวะในสายตาของคนเหล่านี้ แม้ว่าจ้าวเฉียนจะถูกทุบตีต่อหน้าต่อคนผู้คนภายในงานจำนวนมาก แต่ย่อมไม่มีใครกล้ายอมเป็นพยานให้การกับตำรวจแทนเขาแน่นอน หรือว่านี่อาจจะเป็นจุดจบของจ้าวเฉียนแล้วจริงๆ?

อย่างไรก็ตามแต่ จ้าวเฉียนยังคงยืนนิ่งดั่งทองไม่รู้ร้อน เสมือนว่าไม่ได้ตระหนักถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานมาเลย ท่าทางการแสดงออกของเขาข่างดูผ่อนคลายประดุจกำลังยืนรับลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ผลิ

ผู้คนจำนวนมากภายในงานต่างแอบมองมาทางจ้าวเฉียน พร้อมจับกุมนินทากันอย่างสนุกปาก

“ไอ้หมอนั่นมันโง่จริงๆ เป็นลูกวัวแรกเกิดแท้ๆกลับไม่กลัวพญาเสือ อยากจะเห็นจริงๆว่า หลังจากนี้มันยังมีหน้ายิ้มอยู่ได้ไหม?”

ขณะเดียวกัน เซียนเชียงก็เดินตรงเข้ามาถามจ้าวเฉียนด้วยความสงสัยว่า

“ไม่มีใครปกป้องนายได้แล้ว เริ่มกลัวขึ้นบ้างรึยัง?”

“กลัวเหรอ? ทำไมผมต้องกลัวด้วย? มีผู้คนมากมายเป็นพยาน กล้าลงไม้ลงมือกับผมต่อหน้าพวกเขาเหรอ?”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทันใดนั้นเซียนเชียงก็ระเบิดหัวเราะเยาะลั่น ทำเอาสถานที่จัดงานทั่วสารทิศพลันเงียบสงัดลงในทันใด

“ทุกคน! ชายหนุ่มคนนี้บอกว่า ผมไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเขาต่อหน้าพวกคุณทั้งหมด หลังจากนี้ผมจะกระทืบมัน! มีใครกล้าเป็นพยานให้มันไหม?”

เซียนเชียนจงใจสร้างความอับอายให้แก่จ้าวเฉียน ตอนนี้เขายืดอกป่าวประกาศออกไปอย่างภาคภูมิใจ และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไรเลยเช่นกัน

คนพวกนี้กำลังเฝ้าดูเรื่องตลกฉากใหญ่หลังจากนี้เท่านั้น และไม่มีทางยื่นมือไปช่วยอีกฝ่ายแน่นอน

หวานฮันซู หยางหมิงและคนอื่นๆต่างแอบหัวเราะเยาะภายในใจอย่างสุขอกสุขใจยิ่งนัก จ้าวเฉียนเตรียมชดใช้ต่อความหยิ่งผยองในราคาที่สูงลิบลิ่ว

หวานเจียงเริ่มวิตกกังวลหนักข้อ เธอรีบขอร้องให้พ่อของเธอไปช่วยเขาทันที

หวานหลินกล่าวน้พเสียงเย็นตอบไปแค่ว่า

“เลิกฝันสักทีเถอะลูก พ่อช่วยเขาไม่ได้ แล้วนับจากนี้พ่อไม่อนุญาตให้คบหากับเขาอีก ไม่อย่างนั้น…ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ!”

“แต่…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา หนูก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน!”

“แล้วมันยังไง!? ไอ้สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือความตาย ลูกจะไปตายแทนมันรึไง? เลิกหลงมันได้แล้ว อย่าพูดเรื่องมันให้พ่อได้ยินอีกถ้าไม่อยากมีปัญหา!”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสักคนกล้ากล่าวแทรกขึ้นมา เซียนเชียงจึงแสยะยิ้มมุมปากเอ่ยท้าทายขึ้นว่า

“แล้ว…มีใครกล้าโทรแจ้งตำรวจ เป็นพยานให้ไอ้หมุ่นนี่ไหม?”

ทุกคนยังปิดปากเงียบ ไม่มีใครตอบสักคน

เซียนเชียงหันเหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยหางตาอย่างพึงพอใจ และเอ่ยถามซ้ำว่า

“เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างรึยัง?”

จ้าวเฉียนแสร้งทำตัวประหม่ากล่าวว่า

“ผมกลัวแล้ว…ผมกลัวแล้ว…”

“ฮ่าฮ่า…แค่บอกว่ากลัวมันไม่จบง่ายๆแบบนั้นหรอก! ฉันจะไม่ใหโอกาสแกได้คุกเข่าขอโทษฉัน เพราะมันสายเกินไปแล้ว! ทุกคนดูไว้! ถ้าใครกล้าทำให้ฉันขุ่นเขือง ผลลัพธ์ที่ได้จะโหดร้ายเกินจินตนาการอย่างที่ไอ้หมุ่นนี่โดน! พวกนายจัดการ!”

เซียนเชียงโบกมือส่งสัญญาณให้เหล่าบอดี้การ์ด พวกนั้นตรงเข้ามารุมล้อมรอบตัวจ้าวเฉียนในทันที

ตอนที่127 พ่อลูกคู่วิบัติ

จ้าวเฉียนยิ้มเยาะขึ้นบนมุมปากและหยิบเช็คใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พร้อมฉีกมันต่อหน้าต่อตาทุกคนอย่างช้าๆ และโยนใส่หน้าหยางเฉิง

“ไอ้เด็กเวร! รนหาที่ตาย!”

“กล้าทำตัวหยาบคายกับคุณหยางงั้นเหรอ?! แกอย่าอยู่เลย!”

“คุณหวาน ทำไมลูกสาวของคุณถึงเป็นเพื่อนกับพวกสันดารเสียแบบนี้ได้!”

บรรดาชายชราที่อยู่เบื้องหลังหยางเฉิงกล่าวตำหนิจ้าวเฉียน โวยวายไม่หยุดหย่อน และลากให้หวานเจียงต้องพัวพันไปด้วย

หวานหลินรู้สึกอับอายอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรดาผู้มีอิทธิพลในวงการธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงดึงหวานเจียงให้ออกไปทันที

แต่หวานเจียงผละมือของพ่อออก เธอกล่าวว่า

“พ่อจะดึงหนูทำไม? ลุงหยางใช้วิธีสกปรกแบบนี้รังแกผู้เยาว์ ไม่คิดว่ามันน่าสมเพชบ้างเหรอ?”

“หุบปาก! ลูกก็รู้ว่าลุงหยางถือเป็นผู้อาวุโส ช่วยให้เกียรติเขาหน่อยได้ไหม? ไม่งั้นพ่อก็ช่วยลูกไม่ได้เหมือนกันนะ!”

จ้าวเฉียนยิ้มให้หวานเจียงและกล่าวขึ้นว่า

“ไม่ต้องห่วง เธอออกไปนั่งพักผ่อนตรงโน้นก่อนไป ในเมื่อตาแก่พวกนี้มาสร้างปัญหา ฉันขอเวลาจัดการแปปหนึ่ง”

“อย่าลืมคำนึงถึงผลกระทบทที่ตามมาด้วย ระวังตัวให้ดีนะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบ จากนั้นก็ยกสองมือล้วงกระเป๋า เดินตรงเข้าไปประจันหน้ากับหยางเฉิง ชนิดที่ว่าถึงเล่นข้ามรุ่นก็ไม่มีเกรงกลัวแม้แต่น้อย

พอเห็นว่าพ่อตัวเองกับจ้าวเฉียนกำลังมีปัญหากันอยู่ หยางหมิงก็รีบวิ่งตรงเข้ามา ณ ที่เกิดเหตุและมีหวานฮันซูตามเข้ามาติดๆ

“พ่อ เกิดอะไรขึ้น?”

หยางหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

หยางเฉิงยิ้มและหันหน้าเข้าเผชิญกับจ้าวเฉียน แววตาแข็งกระด้างและตอบไปว่า

“ฉันให้มันไปล้านหนึ่ง ให้ไสหัวออกไปจากแกและเสี่ยวเจียง”

หยางหมิงถึงกับพูดไม่ออกพอได้ยินว่าล้านหนึ่ง เพราะไม่ใช่อะไรเลยถ้าจะแสร้งอวดเบ่งต่อหน้าจ้าวเฉียน แค่หนึ่งล้านจะไปพออะไร? พ่อประเมินไอ้หมอนี่ต่ำเกินไป!

“พ่อ! เรื่องนี้ผมแก้ปัญหาของผมเองได้! ไม่เห็นต้องเข้ามายุ่งด้วยเลย”

“เหอะ เหอะ…แกมันลูกฉันนะเว้ย ถ้าไม่ให้ยุ่งเรื่องแกแล้วจะไปยุ่งเรื่องใคร? อีกอย่าง ฉันเองก็อยากคุยกับหนุ่มสาวพวกนี้บ้าง เผื่อหน้าฉันจะดูอ่อนเยาว์ลงบ้าง ฮ่าฮ่า…”

ความหมายในคำกล่าวของหยางเฉิงชัดแจ้งดีอยู่แล้ว เขาต้องการลงมาสู้กับจ้าวเฉียน

อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนยังเข้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายพร้อมสองมือล้วนกระเป๋ากางเกงอย่างเฉยเมย ทันใดนั้นเขาหยิบสมุดเช็คขึ้นมาเซ็นจำนวนห้าล้าน

หยางหมิงรู้ได้ทันทีว่า นี่ไม่ดีแล้ว จ้าวเฉียนกำลังใช้เงินข่มเหงพ่อเขา แต่ยังไม่ทันคิดได้ถึงไหน จ้าวเฉียนก็ฉีกเช็คใบหน้าออกมา และปาใส่หน้าหยางเฉิงใส่โดยตรง

จ้าวเฉียนเอ่ยปากกล่าวขึ้นทันทีพร้อมท่าทางแสนเหยียดหยันว่า

“นี่คือเช็คจำนวนห้าล้าน คุณหยางเอาไปซื้อครีมลดรอยเหี่ยวๆบนหน้าตัวเองเถอะครับ เผื่อจะดูอ่อนเยาว์ขึ้นบ้าง”

ซึ่งที่น่าอับอายที่สุดคือ ในขณะนี้ผู้คนแทบจะทั้งหมดในงานกำลังจับตาดูภาพฉากระหว่างทั้งคู่อยู่

โดนหนุ่มน้อยโยนเช็คใส่หน้าพร้อมถ่อยคำแสนเย้ยหยันแบบนี้ หยางเฉิงรู้สึกอับอายเกินจะรับไหว

“ไอ้หนุ่ม แกอยากตายจริงๆใช่ไหม?”

หยางเฉิงเค้นเสียงเย็นข่มขู่ใส่ทันที

ในเวลานั้นเอง บรรดาไทยมุงรอบข้างต่างจับกลุ่มสนทนากันเจือแจว

“เด็กคนนั้นเป็นใคร? ทำไมถึงกล้าหักหน้าประธานเฟยอวี่ กรุ๊ปขนาดนี้?”

“ฉันเองก็ไม่รู้! แต่ไม่เห็นคุ้นหน้ามาก่อนเลย พวกนักธุรกิจหน้าใหม่รึเปล่า?”

“ก็น่าจะเป็นพวกหน้าใหม่ ถึงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยแบบนี้!”

“หยางหมิงนิสัยเป็นยังไงก็รู้กันอยู่ ไปหักหน้าพ่อของเขาขนาดนี้ เจ้าหนุ่มนั้นชะตาขาดแล้ว”

….

คนเหล่านี้ต่างคิดไปว่า จ้าวเฉียนเป็นพวกหน้าใหม่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และพวกเขาก็รอดูเรื่องตลกฉากใหญ่อยู่

หยางหมิงรู้สึกทรมานใจยิ่งยวด ในมือจ้าวเฉียนกุมชพตากรรมของเฟยอวี่ กรุ๊ปอยู่ ถ้าออกโรงฉีกหน้าอีกฝ่ายตอนนี้ ทั้งคลิปและภาะหลุดมีหวังปลิวว่อนทั่วอินเตอร์เน็ตแน่นอน แต่ตอนนี้พ่อตัวเองก็โดนเช็คฟาดหน้า ในฐานะลูกชาย ถ้าไม่ออกมาปกป้องตอนนี้ ในอนาคตเขายังมีศักดิ์ศรีอะไรหลงเหลืออยู่อีก?

หยางเฉงเห็นคนจำนวนมากกำลังเฝ้ามองเขาอยู่แบบนี้ ก็ไม่สามารถข่มขู่อะไรได้มากเช่นกัน เพราะอาจกระทบถึงภาพลักษณ์ได้ พอเหลือบมองไปที่ลูกชาย แทนที่จะเข้ามาช่วยกลับยืนเป็นใบ้ไม่ขยับ

หยางหมิงในเวลานี้เองก็หมดสิ้นหนทางเช่นกัน คนที่เข้าร่วมงานราตรีในคืนนี้ล้วนเป็นบุคคลมีชื่อเสียงทั้งในวงการธุรกิจและบันเทิง

นอกจากนี้เอง ความแข็งแกร่งของเฟยอวี่ กรุ๊ปมันไม่ใช่สิ่งที่จ้าวเฉียนจะหยิบมาเล่นได้เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับกำลังบดขยี้หน้าตาของเฟยอวี่ กรุ๊ปต่อหน้าทุกคนชนิดไม่สนใจใครทั้งสิ้น

หลังจากตัดสินใจอยู่สักพักหนึ่ง หยางหมิงก็กัดฟันออกมากล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“จ้าวเฉียน นายชักจะเกินไปแล้ว ทำไมต้องเอาเรื่องความขัดแย้งระหว่างเราไปลงกับพ่อฉันด้วย? ถ้าฉันทำแบบนี้กับพ่อแม่นายบ้างจะรู้สึกยังไง?”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเย็นคำหนึ่ง กล่าวตอบไปว่า

“พล่ามอะไรของคุณครับนายน้อยหยาง? ก็เห็นกันอยู่ว่าพ่อของคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือลูกสันดาษไม่ต่างกันเลยนะครับ”

หยางหมิงตะคอกสวนตอบทันทีด้วยความโกรธจัด

“มึง!! คนอย่างมึงมีอะไรให้พวกกูชายตามองนักวะ?! เป็นแค่พนักงานกระจอก มึงคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมีคุณสมบัติพูดแบบนี้กับพวกกู!”

“โอ้ ทำไมนายน้อยหยางพูดจาไม่มีหางเสียงเลย? ที่บ้านไม่ได้สอนเรื่องมารยาทมาเหรอครับ? หุหุ…ก็พ่อของคุณเขียนเช็คล้านนึงมายันใส่ผม จงใจสร้างความอับอาย ผมก็เลยโยนเช็คห้าล้านกลับไปแค่นั้น หรือน้อยไปเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบกลับไปอย่างเย้ยหยัน

ในเวลานั้นเอง บรรดาชายชราที่อยู่ด้านหลังหยางเฉิง ก็เริ่มแหกปากด่าจ้าวเฉียนอีกครั้ง

“ไอ้เด็กเวร! ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! แค่เงินห้าล้านสำหรับคุณหยางก็แค่เศษเงินเท่านั้นแหละ!”

“ถูกต้อง! ค่าอาหารมื้อนึงของคุณหยางก็มากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าแล้ว! แกควรละอายตัวเองมากกว่า คิดจะโชว์ทำได้แค่เซ็นเช็คห้าล้าน!”

“หนุ่มสาวสมัยนี้มารยาทหายไปไหนกันหมด! คนพวกนี้ไม่รู้เลยรึไงว่า แผ่นฟ้ามันกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน! หัดมีกาลเทศะต่อผู้ใหญ่บ้าง!”

…..

จ้าวเฉียนทนไม่ไหวแล้วกันเสียงหึ่งหึ่งของยุงเฒ่าพวกนี้ เขาจึงกล่าวสวนตอบไปว่า

“แก่จนจะลงโล่งกันอยู่แล้ว ยังพล่ามไร้สาระอยู่อีก มีกาลเทศะต่อผู้ใหญ่งั้นเหรอ? พวกคุณก็หัดทำตัวให้มันน่าเคารพกว่านี้หน่อยสิ?”

ชายชราเหล่านี้ล้วนเป็นตัวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ พวกเขาหรือจะยอมทนต่อความอัปยศอดสูที่จ้าวเฉียนนำมาให้ไหว?

“ไอ้เด็กคนนี้หยิ่งเหลือเกินนะ! กล้าปีนเกลียวขนาดนี้แล้ว?”

“วันนี้คงต้องสั่งสอนเด็กน้อยให้หลาบจำสักหน่อย อย่าหาว่ารังแกเด็กเลยนะ ก็ดันทำตัวแบบนี้กันเอง!”

“ใช่แล้ว! พวกเราอยู่ในวงการนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว แล้วไอ้หนุ่มนี่เป็นใคร? พอประสบความสำเร็จนิดๆหน่อยๆก็ตั้งตัวอยู่สูงกว่าพวกเราแล้ว? ไอ้หนู เคยได้ยินคำนี้ไหม เหนือฟ้ายังมีฟ้า?”

พอหวานฮันซูเห็นภาพฉากเหล่านี้ เขาก็มีความสุขอย่างมาก เขาปรารถนามานานแล้วที่จะสั่งสอนจ้าวเฉียนให้เข็ดหลาบ และในที่สุดโอกาสนี้ก็มาถึง! เขาก็แค่ยืนดูจ้าวเฉียนกลายมาเป็นตัวตลกของทุกคน รอยยิ้มมากเล่ห์เหลี่ยมแสยะขึ้นบนมุมปากของเขา เช่นเดียวกับหยางหมิง ตอนนี้เขาเองก็กำลังรู้สึกมีความสุขอย่างมาก

“ฮ่าฮ่าๆๆ….”

ทุกคนภายในงานต่างรวนหัวเราะเยาะ จับจ้องจ้าวเฉียวด้วยความสมเพช เล่นกับใครไม่เล่นดันไปปีนเกลียวเหล่าบุคคลมากอิทธืพลในวงการอย่างชายแก่เหล่านี้ สมกับคำว่า ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่อย่างแท้จริง

ทันใดนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามา เขาเป็นที่รู้จักในนามเซียนเชียง

เมื่อสี่สิบปีก่อน เซียนเฉียน พ่อของเซียนเชียงก่อตั้งธุรกิจเล็กๆขึ้นมา ในตอนนั้นเซียนเฉียนกำลังไปได้ดีกับธุรกิจดังกล่าว อยู่ในยุคเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ส่วนเซียนเชียงก็ช่วยพ่ออีกแรง สั่งสมความมั่นคั่งจนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว จนกลายมาเป็นมหาเศรษฐีรายให้แห่งท้องถิ่น

เซียนเชียงรับสืบทอดธุรกิจของพ่อต่อ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ปรัชญญาการใช้ชีวิตและวัฒนธรรมเริ่มมีการแปรเปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงโยกย้ายไปธุรกิจสายการบันเทิง และเน้นไปทางการสร้างภาพยนตร์ ดังนั้นจึงก่อตั้ง ย้งเชิง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ขึ้นมา

บริษัท ย้งเชิง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่ปะปนกันไป โชคยังดีที่มีบรรดาสายเลือดรุ่นใหม่ของตระกูลเซียนคอยออกมาเป็นผู้นำทิศทางต่อไป มีการผลิตหนังและซีรีย์โทรศัพท์อยู่หลายสิบเรื่องในทุกปี จนกลายมาเป็นตัวใหญ่ในวงการบันเทิงในเวลาต่อมา

มีคำกล่าวกันว่า ถ้าเซียนเชียงกระทืบเท้าครบสามครั้ง วงการบังเทิงทั้งหมดจะต้องสั่นสะเทือน นี่จะเห็นได้ว่า สถานะของเขาอยู่สูงเพียงใด ทว่าอย่างไร ที่เซียนเชียงมีทุกสิ่งแบบทุกวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะ เงินสนับสนุนของจ้าวฝู่ตั้งแต่ครั้นอดีต

และตึกไข่มุกแห่งนี้ก็ถือเป็นทรัพย์สินร่วมกันระหว่างตระกูลจ้าวและตระกูลเซียน หากเป็นสมาชิกตระกูลจ้าวมาอยู่ที่นี่ ก็กล่าวได้ว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นแล้ว มีเหตุผลอะไรหรือไม่ที่จ้าวเฉียนต้องกลัวตาแก่พวกนี้?

เซียนเชียงวิ่งเข้ามาทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร แต่อย่างไรเป้าหมายที่เขาวิ่งมาในครั้งนี้คือจ้าวเฉียนและหยางเฉิง เขาจึงเดินข้ามทุกคนไป หยางเฉิงเห็นดังนั้นชิงทักทายก่อนทันที

“ลุงห้า ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”

“ฮ่าฮ่า…ฉันก็อายุเริ่มมากแล้ว คงปล่อยให้หนุ่มสาวบริหารจัดการต่อกันไปแหละ”

พอเซียนเชียงพูดจบก็หันไปมองหยางหมิงเล็กน้อย

หยางเฉิงที่เห็นแบบนั้นก็สามารถบอกได้ทันทีว่า เซียนเชียงเองก็กำลังจะบอกเขาเป็นนัยๆว่า นี่ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเกษียณตัวเอง และปล่อยให้เด็กรุ่นใหม่รับช่วงสืบทอดต่อไป

“ฮ่าฮ่าๆ…ลุงห้าพูดถูกต้องแล้ว แต่ผมคงโชคไม่ดีเท่าพี่หรอก ได้ข่าวว่าลูกๆของพี่แต่ละคนล้วนมีความสามารถ ถ้าถึงเวลานั้นจริงผมคงปล่อยให้เจ้าหยางหมิงดูแลเฟยอวี่ กรุ๊ปต่อไปนั้นแหละ”

เซียนเชียนระเบิดหัวเราะอย่างสนุกสนาน และหันไปทางจ้าวเฉียนพร้อมถามว่า

“โทษที โทษที นานๆทีคนแก่จะเจอกันก็แบบนี้แหละ เจ้าหนุ่มวันนี้มาสนุกทั้งทีอย่ามีเรื่องกันเลย อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าซียนเชียงคนนี้หน่อยเนอะ?”

จ้าวเฉียนยกมือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าอีกครั้ง ท่าทางการแสดงออกดูหยาบกระด้างอย่างยิ่ง เล่นเอาบรรยายกาศภายในงานกลับมาตึงเครียดอีกระลอกในทันใด

ตอนที่126 ผู้อำนวยการ

จ้าวเฉียนไม่ถือโทษโกรธเคืองคำกล่าวของหวานหลินใดๆ ก็เป็นฝ่ายเขาที่จ่ายเงิน ถ้าไม่บ่นอะไรหน่อยคงแปลก?

“ฮ่าฮ่า…คุณหวานพูดก็ไม่ถูกสักทีเดียวนะครับ แต่ในระยะยาวผมว่ากลับเป็นฮวาหยิน กรุ๊ปมากกว่าที่ได้รับชัยชนะไป นักลงทุนระยะยาวมักจะทำเงินได้มากกว่า นักลงทุนระยะสั้นแบบผม ผมก็แค่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง คุณหวานคงไม่สนใจแค่แตงโมสองสามลูกในมือผมแน่นอน ถือซะว่าทำบุญทำทานให้เด็กตาดำๆ จริงไหมครับ?”

หวานหลินระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจ ทัศนคติของเขาที่มีต่อจ้าวเฉียนดีขึ้นไม่ใช่น้อย ไอ้เด็กคนนี้มีหัวทางธุรกิจอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของพวกหนุ่มสาวมากเกินควรหรอกนะ แต่ขอเตือนอะไรไว้สักอย่าง ลูกสาวของหวานหลินคนนี้ไม่ใช่ของเล่น จะคิดหรือทำอะไรใช้สติอย่าใช้อารมณ์ ฉันรู้สึกว่านายเป็นคนฉลาดไม่เบา พูดเท่านี้ก็คงเข้าใจแล้วจริงไหม? เอาล่ะ หวานเจียง พ่อขอไปทักทายเพื่อนเก่าสักหน่อย ตามสบายเลย”

หวานหลินยิ้มกล่าว

“คุณหวานค่อยๆเดินนะครับ”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

พอพ่อของเธอเดินจากไป หวานเจียงก็หยิกจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง

จ้าวเฉียนสะดุ้งเล็กน้อย เหลือบมองไปทางหวานเจียงเจือแววงุนงง

“หยิกฉันทำไมเนี่ย?”

“ทำไม? ก็แค่อยากหยิก ไม่ได้รึไง? ไปทางนั้นเถอะ เดี๋ยวพานายไปเจอเพื่อนอีกคน”

พอหลังพูดจบ หวานเจียงก็เดินนำออกไปก่อน ปล่อยให้จ้าวเฉียนเดินติดตามไปอย่างใกล้ชิด

“ผู้อำนวยการชาง ไม่ได้พบกันซะนาน”

พอชางอี้เห็นว่าเป็นหวานเจียง จึงรีบตอบกลับไปทันทีว่า

“ฮ่าฮ่า…ไม่ได้เจอคุณหวานตั้งนานจริงค่ะ แล้วทำอะไรมา? ถึงได้สวยวันสวยคืนแบบนี้?”

หวานเจียงคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปว่า

“ผู้อำนวยการชางยังปากหวานเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ได้ข่าวแล้วช่วงนี้ผู้อำนวยการชางช่วงนี้ฟิตร่างกายอยู่หนิ ดูท่าน่าจะเป็นความจริง หุ่นดีมากค่ะ เล่นเอาฉันอิจฉาเลย โอ้ใช่แล้ว ฉันมีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จัก ผู้อำนวยการชาง เขาคนนี้มีชื่อว่าจ้าวเฉียน เป็นประธานบริษัทเฉียนเต๋อ และเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’อย่างเต็มรูปแบบ”

พอชางอี้ได้ยินแบบนั้นท่าทางการแสดงออกของเขาดูจริงจังขึ้นทันตา รีบวางแก้วไวน์ในมือและยื่นออกไปจับมือกับจ้าวเฉียนทันที

“ปรากฏว่าคุณนี่เองที่มอบโอกาสสรรสร้างซีรีย์เรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง! ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะอายุน้อยขนาดนี้ แต่เดิมยังหลงคิดไปว่าคุณน่าจะเป็นผู้เจนจัดในวงการบันเทิง แต่นี่เกินคาดจริงๆ ฉายแววตั้งแต่หนุ่มเลยนะคะ”

ชางอี้กล่าวชื่นชม

จ้าวเฉียนยิ้มพลางโบกมือปัด กล่าวตอบด้วยท่าทีแสนนอบน้อมว่า

“ผู้อำนวยการชางชมเกินไปแล้วครับ ผมก็แค่โชคดีเฉยๆที่ชอบอ่านนิยายมาตั้งแต่เด็ก พอมีเงินก้อนหนึ่งเลยคิดว่า ถ้าจะลงทุนกับอะไรสักอย่าง ก็ควรลงทุนกับสิ่งที่เรารู้จักนี่แหละ แล้วช่วงนี้ผู้จัดการชางกำลังดูแลโปรเจคหนังเรื่องไหนอยู่เหรอครับ ว่างๆถ้ามาแชร์ประสบการณ์ให้ผมบ้างคงจะดีไม่น้อยเลย”

ชางอี้เป็นสาววัยสามสิบต้น ด้วยประสบการณ์ในแวดวงบันเทิงของเธอ ย่อมดูคนออกว่าอีกฝ่ายคิดเห็นยังไง และเธอรู้ดีว่าที่จ้าวเฉียนเข้าหาด้วยความจริงใจ ดังนั้นเธอเองย่อมจริงใจตอบเช่นกัน

ในฐานะที่ชางอี้อยู่ในวงการนี้มานานแล้ว เธอเองก็อยากลองอะไรในเส้นทางใหม่ๆเช่นกัน

“ฮ่าฮ่า…ช่วงนี้ว่างอยู่ค่ะ ถ้าประธานจ้าวมีโปรเจคดีๆมาใหม่ อย่าลืมชวนฉันไปดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อนะคะ”

จ้าวเฉียนรีบยิ้มตอบทันทัว่า

“ผู้อำนวยการชางเป็นคนสุภาพจริงๆนะครับ ถ้าวันไหนเรามีเวลาว่างตรงกัน ลองหาโอกาสนั่งคุยกันสักครั้งจะดีมากเลยครับ ได้ข่าวว่าก่อนจะมาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนัง เคยเป็นผู้กำกับสาวดาวรุ่งมาก่อน ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของผู้อำนวยการชาง หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสร่วมงานกันนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็หยิบนามบัตรพิเศษของตัวเองออกมา และมอบให้ชางอี้ไปโดยกล่าวเสริมไปว่า

“อันที่จริง วันไหนที่ผู้อำนวยการชางสะดวกออกมา อย่าลืมโทรหาผมนะครับ ผมจะนัดเวลาและสถานที่ให้ทันทีเลย”

ชางอี้รับนามบัตรของเขาขึ้นมาดู ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งโหย่วทันทีด้วยความตกใจ

จ้าวเฉียนมักจะพพกนามบัตรไว้สองชนิดอยู่เสมอ หนึ่งคือนามบัตรของบริษัทเกมฟางนี่ ภายในนั้นจะระบุถึงตัวตนของเขาในฐานะพนักงานของบริษัททั่วไป และอีกแบบหนึ่งคือนามบัตรพิเศษที่เขาเป็นคนทำขึ้นมาเองโดยเฉพาะ และแบบที่เขามอบให้กับชางอี้คือแบบพิเศษ

นามบัตรส่วนตัวของจ้าวเฉียนเองคิดว่ามันจะมีโปรไฟล์ยอดเยี่ยมขนาดไหน? นามบัตรชนิดนี้มีความพิเศษตั้งแต่ตัวบัตรแล้ว ตัวบัตรทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ และแต่ละใบจะมีรหัสคิวอาร์โค้ดที่แตกต่างกัน

ผู้ที่ได้รับนามบัตรทองคำขาวนี้จะสามารถใช้มือถือตัวเองสแกนเข้าไปในAPPพิเศษที่จ้าวเฉียนจัดทำขึ้นมาเองโดยเฉพาะได้ และจะทำการบันทึกทันทีว่า รหัสนามบัตรนี้ใครเป็นผู้ถือครอง

หากคิดว่านี่เป็นเพียงระบบฟังก์ชั่นสุดแสนธรรมดา คุณคิดผิด

ระบบจะเข้าตรวจสอบข้อมูลโทรศัพธ์มือถือของผู้ที่สแกนโค้ดดังกล่าวโดยอัตโนมัติ เพื่อดึงเอาข้อมูลบัตรประชาชนของบุคคลนั้นๆมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จ้าวเฉียนต้องการทราบว่าบุคคลที่เขามอบนามบัตรพิเศษให้ เป็นใครและมีภูมิหลังยังไง

นอกเหนือจากฟังก์ชั่นสุดล้ำนี้แล้ว นามบัตรที่ทำมาจากทองคำขาวบริสุทธิ์ยังสวยงามอย่างมากเมื่อนำออกมาสู่สายตาสาธารณะ ใครก็ตามที่ได้รับนามบัตรพิเศษของจ้าวเฉียนไป ล้วนต้องคิดว่าจ้าวเฉียนไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป และยังเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอย่างยิ่ง ใครๆก็อยากร่วมมือกับคนแบบนี้

ชางอี้รีบเก็บนามบัตรพิเศษของจ้าวเฉียนลงทันที เพราะว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอจะมาเห็นเข้า และเข้ามาตีสนิทกับจ้าวเฉียนแทน

แม้แต่นามบัตรยังทำมาจากทองคำขาวอันมีมูลค่าหาประเมินไม่แบบนี้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าเธอทรงอิทธิพลเพียงใด อย่างน้อยที่สุด เรื่องเงินทุนสำหรับโปรเจคทำภาพยนตร์ย่อมไม่ขาดมือแน่นอน ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเปิดโปรเจคใหม่ขึ้นมา เธอจะต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน

“ประธานจ้าว ดิฉันภูมิใจจริงๆที่ได้รู้จักคุณ ช่วงสามวันนี้ดิฉันว่างค่ะ ถ้าประธานจ้าวสะดวกวันไหนนัดมาได้เลยค่ะ!”

ชางอี้ยิ้มกล่าวพร้อมน้ำเสียงที่ดูอ่อนน้อมขึ้นหลายส่วน แม้แต่สรรพนามเรียกแทนตัวเองยังดูสุภาพขึ้นทันตาเห็น

แค่พินิจจากนามบัตรทองคำขาวบริสุทธิ์ มันก็สามารถบอกอะไรได้หลายอย่างแล้วสำหรับภูมิหลังของหนุ่มหล่อผู้นี้

จ้าวเฉียนพยักหน้าและยิ้มตอบไปว่า

“งั้นผมจะจองห้องอาหารที่โรงแรมตงไห่เวลาบ่ายสามโมงของวันอังคาร พอผู้อำนวยการชางมาถึงก็แจ้งชื่อกับพนักงานได้เลย เดี๋ยวพวกเขาจะพาคุณขึ้นไปชั้นบนสุดเอง”

พอชางอี้ได้ยินคำว่าชั้นบนสุดของโรงแรมตงไห่ เธอก็ยิง่ประหลาดใจเป็นเท่าตัว และมั่นใจยิ่งกว่าเดิมทันทีว่า จ้าวเฉียนต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน แค่ค่าอาหารทั่วไปในโรงแรมตงไห่ต่อมื้อก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงชีพในเมืองใหญ่ตั้งปีหนึ่งเต็มๆ แล้วนี่…เป็นถึงชั้นบนสุดของโรงแรมตงไห่ แค่ค่าเปิดห้องเธอก็ไม่กล้าจินตนาการแล้ว

“ฮ่าฮ่า…ประธานจ้าวใจดีมากเลยค่ะ แล้วถ้าดิฉันพาผู้ช่วยไปด้วยสักสองคนจะได้ไหม เพื่อคุยเรื่องแนวทางในอนาคตกันไปเลย หวังว่าประธานจ้าวจะไม่รังเกียจใช่ไหม?”

ชางอี้เอ่ยถามอย่างถ่อมตัว

จ้าวเฉียนส่ายหัวกล่าวตอบไปว่า

“เรื่องแค่นี้เองครับ แถมดีซะกว่า ยิ่งคนเยอะยิ่งสนุกครับ ถือซะว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้มื้ออาหาร ฮ่าฮ่า…ผมไม่รบกวนผู้อำนวยการชางแล้วดีกว่า เชิญพักผ่อนตามสบายเลยครับ”

“โอเคค่ะ ประธานจ้าว คุณหวาน ขอให้สนุกกับงานวันนี้นะคะ”

ชางอี้โบกมือส่งทั้งสองออกไปพร้อมท่าทีสุภาพยิ่งยวด

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเดินแยกออกไปหยิบไวน์ในแต่ละโซนมา พร้อมยกขึ้นจิบกันเล็กน้อย

หวานเจียงเดินแบมือมาแต่ไกล ตรงมาหยุดตรงหน้าจ้าวเฉียน เอ่ยถามขึ้นว่า

“ขอนามบัตรหน่อย”

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามไปว่า

“ยังไม่รู้จักฉันอีกรึไง ถึงได้ขอนามบัตร?”

“อย่ามาพูดไร้สาระ! เอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย!”

หวานเจียงคำรามสั่งในทันใด

จ้าวเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ และหยิบนามบัตรธรรมดาออกมาให้หวานเจียง เธอเก็บใบนั้นใส่กระเป๋าถือทันที และแบมือขึ้นตรงหน้าจ้าวเฉียนอีกครั้ง

“ฉันต้องการนามบัตรแบบเดียวกับที่ผู้อำนวยการชางได้”

“โอ้ว…นามบัตรแบบนั้นใบละตั้ง30,000หยวนเชียวนะ จะหยิบให้คนอื่นง่ายๆได้ยังไง?”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หวานเจียงรู้สึกไม่พอใจอย่างมากและกล่าวขึ้นว่า

“นี่นายหมายความว่ายังไง? จะบอกว่าให้ความสำคัญกับเธอมากกว่าฉันงั้นเหรอ? นี่คิดจะดูถูกกันรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบแบบส่งๆไปว่า

“ไม่ได้หมายความแบบนั้น ก็เธอรู้จักฉันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดปังแสร้งทำเป็นคนจน แล้วจะเอานามบัตรแบบนั้นไปทำไม?”

หวานเจียงไม่ได้สนใจฟังคำอธิบายใดๆของเขาทั้งสิ้น เธอยื่นมือไปคว้านามบัตรทองคำขาวในกระเป๋าชุดสูทจ้าวเฉียน และยัดใส่กระเป๋าถือของเธอโดยตรง

ในเวลานั้นเอง หวานหลินก็พาหยางเฉิงและชายชราอีกสองสามคนตรงเข้ามาหา สีหน้าของเขามืดมนเล็กน้อย คิดว่าลูกสาวของเขามีปัญหากับชายหนุ้มที่พามาด้วย

“เสี่ยวเจียง เกิดอะไรขึ้น? เจ้าหนุ่มนี่ทำอะไรลูกรึเปล่า?”

หวานเจียงกระจางในทันทีว่าพ่อกำลังเข้าใจผิด เธอกล่าวตอบทันทีว่า

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่หนูแกล้งเขานิดหน่อย”

ในเวลานั้นเองหวานเฉินก็เหลือบมองจ้าวเฉียนเล็กน้อย ก่อนจะแอ่ยถามลูกสาวตัวเองต่ออีกครั้งว่า

“เสี่ยวเจียง ยังมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มคนนี้ที่ยังไม่ได้บอกพ่ออีกไหม?”

หวานเจียงหันไปเห็นหยางเฉิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง พลันเข้าใจเรื่องทั้งหมดโดยเร็ว เธอรีบอธิบายทันทีว่า

“พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆค่ะ ลุงหยาง ลุงเองก็น่าจะทราบดีนะคะว่าหนูคิดยังไงกับหยางหมิง หนูไม่อยากแต่งงานกับเขาจริงๆ หนูเองก็บอกไปตั้งนานแล้ว ก็เลยให้จ้าวเฉียนมาช่วยกันไว้เท่านั้น…”

หยางเฉิงไม่มีหน้าไปตำหนิหวานเจียงต่อหน้าพ่อของเธอได้ ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าไปที่จ้าวเฉียนแทน

“เจ้าหนุ่ม นายคือคนที่ลุกขึ้นต่อสู้กับตระกูลหยางของฉันใช่ไหม?”

หยางเฉิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุดหมองหม่น

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเชิดขึ้นบนมุมปาก เขาไม่มีท่าทีประหม่าแม้แต่น้อยแม้จะยืนอยู่ต่อหน้าหยางเฉิง แถมยังแสร้งตอบไปอย่างไร้เดียงสาไปว่า

“ผมไม่เห็นเข้าใจในสิ่งที่คุณหยางพูดมาเลย ทำไมผมต้องลุกขึ้นสู้กับคุณด้วย?”

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ถึงความขับข้องใจระหว่างนายกับหยางหมิงลูกชายฉัน ในฐานะคนเป็นพ่อ ฉันจะเพิกเฉยได้ยังไง? อย่าคิดจะทำเรื่องเสียหายไปถึงเฟยอวี่ กรุ๊ปเชียว ฉันคิดว่านายเป็นคนฉลาดนะ คงเข้าใจดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร นี่คือเช็คมูลค่าหนึ่งล้านรับไป คงรู้ใช่ไหมว่าควรประพฤติตัวอย่างไรในอนาคต?”

ตอนที่หยางเฉิงพูดจบ เขาก็เซ็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนและยัดในกระเป๋าเสื้อสูทของจ้าวเฉียน พร้อมท่าทีแสนหยิ่งผยอง

บรรดาชายชราที่อยู่ด้านหลังหยางเฉิงต่างแสยะยิ้มอย่างดูถูกดูแคลน ในความคิดของพวกเขา แค่เศษเงินจำนวนหนึ่งล้านจะต้องทำให้จ้าวเฉียนตาลุกวาวอย่างมากเป็นแน่

ตอนที่125 พี่ชายของคุณโง่เกินเยียวยา

หวานเจียงไม่เคยพบเจอใครกล้าตัดสายเธอทิ้งแบบนี้มาก่อน เธอรีบโทรกลับไปหาจ้าวเฉียนอีกครั้ง เตรียมดุอีกฝ่ายยกใหญ่

จ้าวเฉียนมองบนจอโทรศัพท์เล็กน้อยและกดตัดสายทิ้งโดยตรง

“ไอ้จ้าวเฉียน! ฉันจะรอดูว่านายจะมาสายไหม!?”

หวานเจียงโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด

ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนก็มาถึงที่บ้านของหวานเจียง ทันทีที่ทั้งคู่เจอกัน เธอก็วิ่งเข้าไปเตะต่อยอีกฝ่ายไม่ยั้ง

“ฉันบอกแล้วไงว่า จริงจังกับฉันหน่อย! จริงจังกับฉันหน่อยได้ไหม!!”

หวานเจียงบ่นพึมพำไม่หยุด พลางขบริมฝีปากสวยอย่างแผ่วเบา

จ้าวเฉียนไม่ได้ขัดขืนใดๆ ยังคงยืนนิ่งให้เธอตบตีระบายอารมณ์ หญิงสาวเจ้าอารมร์ตรงหน้าเขาได้ชื่อว่าเป็น ราชินีน้ำแข็งแห่งฮวาหยิน กรุ๊ปราวกับกุหลาบน้ำแข็งแสนเย็นชา ทว่ากลับงดงานเกินพรรณนาได้ เวลาอยู่กับจ้าวเฉียน เธอมักจะดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกลับที่เคยได้ยินมาเลย

ทุบตีไปสักพัก หวานเจียงเริ่มรู้สึกเหนื่อยจนหยุดมือในที่สุด

“พอแล้ว พอแล้ว ไปงานราตรีกันเลยเถอะ”

จ้าวเฉียนยิ้มกล่าว

หวานเจียงเพิ่งนึกได้ว่า เธอยังมีธุระที่ต้องทำอยู่ ดังนั้นจึงรีบลากจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องนอนของเธอทันที

“นี่นายต้องใส่ชุดนี้ พอดีช่วงนี้ฉันว่าง ก็เลยซื้อมาเผื่อเฉยๆน่ะ แต่งตัวเสร็จแล้วเรียกฉันนะ เดี๋ยวจะเข้าไปแต่งหน้าต่อให้”

คล้อยหลังหวานเจียงพูดจบก็เดินจากออกไป

จ้าวเฉียนรีบคว้าแขนเธอไว้และกล่าวว่า

“ฉันไม่แบบนี้ไม่ได้ มันดูทางการเกินไป ฉันไม่ค่อยชินน่ะ แถมอีกอย่าง…ฉันเป็นผู้ชายนะ ทำไมต้องแต่งหน้าด้วย? ถ้าบังคับกันขนาดนี้ ฉันไม่ไปดีกว่า”

“แต่พวกเรากำลังไปงานใหญ่นะ ถ้าไม่แต่งตัวให้สมฐานะ มีหวังคนอื่นๆคงหัวเราะเยาะตาย”

หวานเจียงกล่าวเสียงขรึม

ซึ่งสิ่งที่เธอพูดไปก็สมเหตุสมผลเช่นกัน นี่คืองานสังคมมีคนใหญ่คนโตรวมไปถึงพวกคุณนายและคุณหนูมากมาย แต่อย่างไร จ้าวเฉียนก็ไม่ชินกับการแต่งตัวแบบนี้อยู่ดี

พอเห็นว่าจ้าวเฉียนเริ่มดูลังเล หวานเจียงจึงรีบเกลี้ยกล่อมทันทีว่า

“ถือว่าฉันขอร้องนายเถอะนะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว…เพื่อฉันได้ไหม?”

สาวสวยระดับคุณหนูแห่งฮวาหยิน กรุ๊ปถึงขั้นเอ่ยปากขอขนาดนี้ ถ้ายังกล้าปฏิเสธ จ้าวเฉียนก็หน้าด้านเกินคนแล้ว เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย

หวานเจียงพยักหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขอย่างมาก และหมุนตัวกลับออกไปรอด้านนอก

จ้าวเฉียนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าชุดสูทนี้มันเข้ากับเขาขนาดไหน เกือบจะเรียกได้ว่า เหมือนเธอสั่งตัดสูทชุดนี้ให้เขาโดยเฉพาะ

“หวานเจียง เธอเข้ามาได้แล้ว”

จ้าวเฉียนตะโกนเรียก

หวานเจียงเข้ามาเชยชมผลงานอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นนัยน์ตาคู่สวยของเธอถึงกับสว่างวาบ

นี่มัน…คุณชายชัดๆ ราวกับว่าเป็นเจ้าชายสุดหล่อที่หลุดออกมาจากหนังอย่างไงอย่างงั้น ไม่เพียงแค่ดูดีมาก แต่ยังเสริมสง่าราศีของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่เคยรู้จักกันก่อน เธอคงคิดว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐีหนุ่มจากสักแห่งหนหนึ่ง?

“ชุดเข้ากับนายขนาดนี้ แต่ยังไม่อยากแต่งอีกงั้นเหรอ?”

หวานเจียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

จ้าวเฉียนยิ้มแห้งตอบไปว่า

“ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับชุดทางการแบบนี้น่ะ หลังจากทำงานอย่างหนักมาห้าปีเต็ม เลยสไตล์การแต่งตัวมันเป็นเพียงเปลือกนอกไปแล้ว ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องจุกจิกแบบนี้เท่าไหร่แล้วล่ะ”

พอได้ยินแบบนั้น จู่ๆหวานเจียงพลันสนใจเรื่องราวในอดีตของจ้าวเฉียนขึ้นมาเฉยเลย เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

“ห้าปีที่ผ่านมานายเป็นมายังไงเหรอ? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ?”

จ้าวเฉียนเปลี่ยนเรื่องทันทีและบอกให้หวานเจียงดูนาฬิกาเสียหน่อย นี่มันจะสายแล้ว

“ฉันว่าถ้าให้เล่า พวกเราคงไปงานราตรีไม่ทันอีกรอบแน่นอน ยังจะฟังอยู่อีกไหม?”

“โอ๊ะ! ใช่แล้ว ยังมีงานราตรีอยู่หนิ! แต่ให้นายเข้าร่วมทั้งแบบนี้ไม่ได้หรอก ต้องแต่งหน้าก่อน!”

หวานเจียงกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีกระตือรือร้นอย่างยิ่ง

แต่อย่างไร ครั้งนี้จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างแน่วแน่

“ขอสักเรื่องนะ ไม่เอาแต่งหน้าได้ไหม? ไม่งั้น…ฉันไม่ไป!”

“อ่าๆ ตามใจ งั้นไปกันได้แล้ว”

หลังจากพูดจบหวานเจียงก็หยิบกระเป๋าถือ และรีบออกไปกับจ้าวเฉียนทันที

จ้าเฉียนจ้องหวานเจียงแขม็งราวกับมีอะไรบางอย่าง ซึ่งนี่ทำให้เธออึดอัดไม่น้อยเลย จนท้ายที่สุดต้องเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า

“นี่นายจ้องอะไรฉันตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว? มองขนาดนี้กินฉันเข้าไปเลยไหมห่ะ?”

หวานเจียงแอบจิกกัดเบาๆ

จ้าวเฉียนเองก็ไม่คิดจะปิดบัง กล่าวตอบตามความรู้สึกไปตรงๆว่า

“จะให้ฉันพูดยังไงดี คงดูไม่เหมาะจริงๆนั้นแหละที่ฉันจ้องเธอขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งเธอดูสวยบอกไม่ถูก เพราะว่าบุคคลิกที่เย่อหยิ่งก็ดี หรือท่าทีที่ดูเย็นชาก็ดี เอาเป็นว่า ถ้าเป็นฉันขอมองอยู่ห่างๆดีกว่า ไม่กล้าเข้าไปใกล้น่ะ”

พอได้ยินแบบนั้น หวานเจียงไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะต้องดีใจหรือร้องไห้ดี? จ้าวเฉียนมันกำลังชมหรือด่าเธอทางอ้อมกันแน่หว่า? บอกว่าสวยก็ดีอยู่หรอก แต่ไอ้ที่ไม่กล้าเข้าใกล้มันหมายความว่ายังไง?

ทั้งสองเดินขึ้นรถของตัวเองขับกันออกไป ไม่นานก็ถึงสถานที่จัดงานอย่างตึกไข่มุก

และเจ้าของตึกไข่มุกแห่งนี้มีชื่อว่า จ้าวอี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขาคนนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจ้าวเฉียนแน่นอน ซึ่งดูได้จากนามสกุลที่ทั้งเสียงและตัวอักษรเดียวกัน

หวานเจียงตรงเข้ามาควงแขนจ้าวเฉียนและเดินเข้าไปในสถานที่จัดงานด้วยกัน อย่างไรเสียเธอได้ชื่อว่าเป็น ราชินีน้ำแข็งแห่งฮวาหยิน กรุ๊ป และมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในเมืองตงไห้ ทันทีที่เธอเข้าไปในงานก็กลายมาเป็นจุดสนใจของผู้คนโดยส่วนใหญ่ในทันที

จ้าวเฉียนกวาดสายตาไปรอบๆอย่างระมัดระวัง ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่มีใครรู้จักเขาเลยสักคน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี กวาดสายตามองไปอีกสักพักกลับเจอคนคุ้นเคย ทั้งหวานฮันซูและหยางหมิง

หวานเจียงเดินเข้าไปแวะเวียนทักทายเหล่าผู้คนภายในงาน โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจเช่นกัน

ในเวลานั้นเอง ก็มีสาวงามท่าทีหยิ่งผยอง สวมชุดราตรีและเครื่องประดับหรูหราเดินคู่มากับผู้ชายของเธอ ตรงเข้ามาทักทายหวานเจียงว่า

“ผู้บริหารหวาน ไม่ได้พบกันตั้งนาง ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”

หวานเจียงยิ้มทักทายทันที คลี่ยิ้มหวานตอบไปว่า

“มาคุยกับมุมนั้นเถอะ ทั้งคุณเฉินและคุณหนูเหลียงนับว่ายิ่งดูอ่อนวัยลงเรื่อยๆ มีเคล็ดลับอะไรแบ่งน้องสาวคนนี้ด้วยสิ!”

“ฮ่าฮ่า…”

ทั้งคู่ต่างรู้สึกขมขันอย่างมากกับคำกล่าวของหวานเจียง ก่อนจะชวนไปคุยกัน ณมุมหนึ่งของสถานที่จัดงาน

สาวสวยคนนั้นเหลือบไปเห็นจ้าวเฉียน เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“หนุ่มหล่อคนนี้กำลังคบหาดูใจอยู่กับผู้บริหารหวานรึเปล่า? แหมมม…มีแฟนแล้วเหรอไม่ยักจะรู้?”

หวานเจียงส่ายหัว เอ่ยตอบไปว่า

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น เจ้าหมอนี่บ้างานจะตายแทบไม่มีเวลาหยุดพัก เลยลากมางานสังคมซะบ้าง”

ชายหนุ่มสกุลเฉินรีบยื่นมือเข้าทักทายจ้าวเฉียนทันทีอย่างยิ้มแย้มว่า

“สวัสดีครับ ผมชื่อ เฉินกวงหัว เป็นประธานบริษัท ตงไห่ เรเวนนาเวิล ถึงผมจะไม่ทราบว่าน้องชายเป็นคนจากที่ไหน เลยไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย แต่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้บริหารหวานได้ แสดงว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน”

เมื่อจ้าวเฉียนได้ยินคำแนะนำตัวของเฉินกวนหัว เขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ประธานเฉิน รู้จักคนที่ชื่อเฉินกวงอวี่หรือเปล่าครับ?”

“แน่นอน! เขาเป็นพี่ชายฉันเอง”

เฉินกวงหัวเอ่ยตอบไปตามความเป็นจนิง

“มีอะไรหรือเปล่า แล้วน้องชายรู้จักพี่ผมด้วยเหรอ?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันที ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน

“ผมรู้จักดีเลยครับ เพิ่งจะสั่งปิดร้านของเขาบนเกาะซ่งต้าวไปเอง”

ทันทีที่กล่าวขึ้นมาแบบนี้ บรรยายกาศโดยรอบก็เริ่มหมองหม่นในทันใด

จากสีหน้ายิ้มแย้มของเฉินกวงหัว กลับกลายมาเป็นเคร่งขรึมทันตา น้ำเสียงแปรเปลี่ยนฟังดูเย็นยะเยือกขึ้นหลายส่วน เปล่งขึ้นว่า

“ที่แท้ก็เป็นไอ้เลวที่ทำลายธุรกิจร้านเครื่องประดับของพี่อวี่นี่เอง แถมยังเป็นเพื่อนกับผู้บริหารหวานอีก บังเอิญจริงๆนะครับ ผมอยากรู้เหมือนกัน พี่ผมไปทำอะไรให้คุณถึงได้ลงมือลงไม้แรงขนาดนี้?”

“คุณเฉินก็พูดเกินไป ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ ก็พี่ชายของคุณดันโง่เกินเยียวยา ไม่เข้าใจถึงความหมายของโครงการกวาดล้างบนเกาะซ่งต้าว ก็เลยโดนไปตามระเบียบ ผมแนะนำให้พี่ชายคุณกินโสมบำรุงสมองเยอะๆหน่อยนะครัย เผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง”

คำกล่าวเหล่านี้มันอัปยศเกินกว่าที่ใครจะทนฟังได้ แถมในงานสังคมแบบนี้อย่างกับว่าจ้าวเฉียนลากพี่ชายของเขามาตบหน้าให้ทุกคนหัวเราะเยาะ แล้วตัวเฉินกวงหัวยังจะหลงเหลือหน้าไปสู้คนอื่นได้ยังไง?

หวานเจียงยิ้มแห้ง แอบยกศอกสะกิดหลังจ้าวเฉียนเชิงว่าให้หุบปากได้แล้ว

แต่จ้าวเฉียนกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนำตัวเฉินกวงอวี่ไปสอบสวนที่โรงพัก ไม่นานเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา สักวันมันจะต้องหวนกลับมาแก้แค้นจ้าวเฉียนแน่นอน และแทนที่เขา‘จะนั่งรอ’อยู่เฉยๆ สู้ลุกขึ้นชิงตอบโต้ก่อนเลยไม่ดีกว่าเหรอ?

ดังนั้นแล้วจ้าวเฉียนไม่สนใจทั้งสิ้นว่าหวานเจียงจะให้เขาหยุดพูดหรือไม่ เขากล่าวขึ้นต่อว่า

“อย่าโกรธกันเลยนะครับคุณเฉิน หลังจากเหตุการณ์นี้พี่ชายของคุณคงจะเติบโตขึ้นไม่น้อย ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างเลย”

น้องชายในวัยยี่สิบปีเศษต้องแบกรับความอัปยศอดสูของพี่ชาย ในขณะที่ตัวพี่ชายในวัยสามสิบปีเศษต้องรู้สึกแย่ที่ต้องเป็นหนึ่งในความอัปยศติดตัวน้องชาย

“น้องชาย ไม่ทราบว่าแม่ของน้องชายเคยสอนเรื่องมายาททางสังคมบ้างไหม? ในงานแบบนี้ก็ยังทำตัวสถุลอีกงั้นเหรอ?”

เฉินกวงหัวสบถด่าจ้าวเฉียนด้วยถ้อยคำแสนเรียบง่าย สมแล้วที่เป็นน้องชายของเฉินกวงอวี่ บุคลิกท่าทีแสนเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองเหนือกว่าทุกสิ่ง ไม่ว่าพี่หรือน้องสันดานกลับคล้าบคลึงกันจริงๆ

หวานเจียงไม่กล้าปล่อยให้จ้าวเฉียนกับเฉินกวงหัวคุยกันต่อแล้ว เธอจึงรีบกล้าแทรกขึ้นทันทีว่า

“คุณเฉิน คุณหนูเหลียง ฉันขอไปทักทายคุณพ่อก่อนนะ แหะๆ…”

ตอนนี้หวานเจียงจำต้องแยกมวยคู่นี้ออกไปโดยเร็วที่สุด

“แหะ แหะ…โอเคเลย”

สาวสวยอีกคนเห็นดีเห็นงามด้วยทันทีและรีบแยกย้ายโดยเร็ว

“ตามสบาย!”

เฉินกวงหัวเค้นน้ำเสียงสุดเย็นชาเป็นคำตอบ

จากนั้นหวานเจียงก็ลากจ้าวเฉียนไปหาพ่อของเธอทันที

“พ่อ ฉันมีเพื่อนจะมาแนะนำให้รู้จัก นี่จ้าวเฉียนเพื่อนสนิทหนูเอง จ้าวเฉียน เขาคนนี้คือพ่อฉันเอง”

หวานหลินกวาดสายตามองจ้าวเฉียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะคลี่ยิ้มบางยื่นมือออกไปจับ

“จ้าวเฉียนใช่ไหม? ประธานบริษัท เฉียนเต๋อ?”

จ้าวเฉียนยื่นมือออกไปจับและกล่าวตอบว่า

“คุณหวานเข้าใจถูกแล้วครับ พวกเราเป็นแค่หุ้นส่วนกันเท่านั้น”

“ฮ่าฮ่า…หุ้นส่วนแต่เข้มงวดมากเลยนะ ครั้งหน้าผมไม่ปล่อยไปแน่ แต่ครั้งนี้ให้คุณชนะไปก่อน”

มีนัยยะเร้นแฝงในคำกล่าวของหวานหลิน เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของเขามองจ้าวเฉียนเป็นคู่แข่งทางธุรกิจคนหนึ่ง

ตอนที่124 คุณชายจ้าวน่าทึ่งมาก

จ้าวเฉียนหัวเราะขบขันกับคำกล่าวของหยางหมิง เขาปริปากขึ้นว่า

“ในเมื่อนายน้อยหยางถูกหลอกใช้แบบนี้ ผมคงไม่ต้องลงมือเองแล้วมั่ง?”

หยางหมิงพยักหน้าตอบทันทีว่า

“อืม แต่นายต้องส่งรูปถ่ายกับคลิปทั้งหมดให้ฉัน ห้ามสำรองข้อมูลชุดนี้ไว้ที่อื่นเด็ดขาด”

“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ผมจัดการเรื่องหุ้น แล้วคุณจัดการเรื่องของคุณเสร็จทั้งหมด ถึงตอนนั้นถึงจะไว้ใจพอสำหรับส่งมอบหลักฐานพวกนี้ ขอเพียงทำในสิ่งที่ควรทำให้เข้าที่ พวกเราก็คุยกันง่ายขึ้นจริงไหม?”

จ้าวเฉียนเอ่ยกล่าวไปตามความเป็นจริง

หยางหมิงพยักหน้าตอบพร้อมให้สัญญาว่า ปัญหาเรื่องโปรเจคเขาจะจัดการเองไม่ต้องห่วง จากนั้นทั้งคู่ก็เดิงเคียงข้างกันออกมาจากห้องประชุม ท่าทางของพวกเขาช่างดูร่าเริงอย่างมากราวกับสหายเก่ามากกว่าศัตรู ไม่ใช่น้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้แต่อย่างใด

“ประธานฟาง ผมจะให้เวลาคุณอีกหนึ่งเดือนสำหรับการแก้ไขจุดที่มีปัญหา ที่จริงแล้วผมก็พูดแรงเกินไป จริงๆแล้วมันเป็นแค่ปัญหาเล็กๆน้อยๆเท่านั้น อย่างไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะครับ”

หยางหมิงกล่าวกับฟางนี่อย่างสุภาพและโบกมือลาออกไป

พอเห็นหยางหมิงพากลุ่มคนทั้งหมดออกจากออฟฟิศ ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่ง เขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหากับฟางนี่โดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ? แล้วจ้าวเฉียนไปคุยอะไรกับเขากันแน่ ถึงยอมกลับแต่โดยดีแบบนี้?

หวานฮันซูถึงกับมึนตึบ รีบตามหยางหมิงไปทันทีและถามว่า

“นายน้อยหยาง นี่เกิดอะไรขึ้น? มันพูดอะไรกับคุรถึงยอมจากไปง่ายๆแบบนี้”

“ช่วยไม่ได้ ฉันโดนแบล็คเมล ต่อให้นายจะพูดยังไงฉันคงหยุดแล้ว เป็นคนดังในอินเตอร์เน็ตมันเหนื่อย!”

หยางหมิงตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

“อะไรนะ? มันใช้วิธีสกปรกขนาดนี้เลยงั้นเหรอ! ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริงๆ!”

หวานฮันซูสบถด่าเร้าอารมณ์เดือด

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ช่างเถอะแค่ต่อชีวิตให้ฟางนี่ไปก่อน คราวหลังฉันจะระวังตัวไม่ให้มันแอบถ่ายฉันได้”

หลังจากหยางหมิงพูดจบ เขาก็แสร้งทำเป็นกระทืบเท้าสองสามที พร้อมสบถเสียงแผ่วใต้ลมหายใจ

ทัศนคติของหวานฮันซูที่มีต่อจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินทีเขาคิดแค่ว่าจ้าวเฉียนเป็นพวกขี้งก ไร้ทางสู้ แต่ใครจะไปคิดว่า จะเป็นคนโหดร้ายและไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้กัน?

ฟางนี่เดินเข้าไปถามจ้าวเฉียนทันทีด้วยความสงสัย

“จ้าวเฉียน นายไปพูดอะไรกันแน่? ทำไมหยางหมิงถึงดูกลัวนายขนาดนั้น?”

“ถูกต้อง! แถมยังโดนโค๊กสาดเละจนเปียกชุ่มทั้งตัว นายนี่มันโคตรเจ๋งเลย อีกฝ่ายไม่ได้ใช้กำลังตอบโต้เลยเหรอ?”

“บอกมาเถอะน่า พวกเราแทบรอไม่ไหวแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในห้องประชุม พวกเราแอบส่องแค่ครึ่งแรกเอง!”

บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างแหแหนไถ่ถามจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน พวกเขาอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน ว่าจ้าวเฉียนสามารถกำราบหยางหมิงผู้หยิ่งผยองได้โดยวิธีไหน?

จ้าวเฉียนไม่สามารถบอกความจริงได้โดยธรรมชาติ เขาจึงสร้างเรื่องขึ้นมา

“อยากรู้เหตุผลจริงๆเหรอ?”

“อยากสิ! เกิดอะไรขึ้นในนั้นกันแน่?”

“บอกมาเลย! ฉันเองก็อยากรู้…”

จ้าวเฉียนอธิบายขึ้นว่า

“ฉันมักจำไปนั่งดื่มที่Emgrand KTV เปิดไวน์นั่งจิบชมบรรยายกาศยามค่ำคืนอยู่บ่อยครั้งน่ะ จึงค่อนข้างสนิทกับพี่หยางหู่ เจ้าของEmgrand KTV ก็เลยให้เขาช่วยเจรจากับหยางหมิง ยังไงซะทายาทมหาเศรษฐีหรือจะสู้เจ้าพ่อวงการมาเฟียจริงไหม?”

“ว้าว! สุดยอด! การที่นายชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกลับไม่ได้สูญเปล่าจริงๆ อย่างน้อยก็ทำให้นายมีเส้นสายใหญ่คอยหนุนหลัง ถึงขั้นเรียกคุณหยางหู่ว่าพี่ชายได้ นับว่านายน่าเกรงขามจริงๆ!”

“ฉันเคยคิดว่านายเป็นพวกเสเพล วันๆเอาแต่เที่ยวอย่างเดียว แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ทุกอย่างที่ทำไปล้วนมีผลประโยชน์ทั้งสิ้น นายมองการณ์ไกลจริงๆ ใช้เงินซื้อความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหยางหู่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครในเมืองตกไห่กล้ายั่วยุนายแล้ว!”

“ดีจังเลย… เอาล่ะ! วันนี้ฉันจะไปเหมาล็อตเตอร์รี่ให้หมดแผงเลย! รางวัลที่1ต้องเป็นของฉันบ้างล่ะ จะได้รวยแบบคุณชายจ้าวได้ ถึงเวลานั้นฉันก็คงมีคนค่อยหนุนหลังอยู่บ้างแน่นอน!”

เหล่าเพื่อนร่วมงานต่างยกย่องชมเชยจ้าวเฉียนไม่หยุดปาก ซึ่งภาพฉากเหล่านี้ยิ่งทำให้เจี่ยงเสี่ยวปิงรู้สึกขื่นขมระทมใจเข้าไปใหญ่ ยิ่งจ้าวเฉียนมีชีวิตดีเลิศเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้นเท่านั้น เสียงหัวเราะชื่นชมของทุกคนที่มีให้แก่จ้าวเฉียน ประดุจเหมือนเสียงหัวเราะเยาะซ้ำเติมความผิดพลาดของเจียงเสี่ยวปิง เพราะสายตาอันห่วยแตกของเธอ จึงทำให้หยิบเมล็ดงาขึ้นมาแทนเมล็ดแตงโม[1]

จ้าวเฉียนยิ้มแย้มให้แก่ทุกคนและโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง และกล่าวขึ้นว่า

“ที่ฉันมีทุกวันนี้ได้แค่โชคดีเท่านั้น ถึงพวกนายจะไม่ถูกล็อตเตอร์รี่ แต่บางทีอาจจะโชคดีในด้านอื่นๆนะ”

“อย่าถ่อมตัวเลย อย่าลืมสิ นายยังมีแฟนสาวทั้งรวยทั้งสวย!”

“ใช่ๆ พวกเราเห็นกันหมดนะ เธอมีเรือยอทช์ไว้เที่ยวเล่นส่วนตัว ถ้าไม่รวยก็บ้าแล้ว นายซ่อนเรื่องนี้จากเราไม่ได้หรอก!”

“ฉันอยากรู้จริงๆ นายไปเจอสาวสวยระดับนี้จากที่ไหน เผื่อฉันจะไปตามนายบ้าง?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะดังลั่นและจงใจตอบเสียงดังฟังชัดไปว่า

“ฮ่าฮ่า… นี่จริงแล้ว…ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณเจียงเสี่ยวปิงนะ ถ้าเธอไม่บอกเลิกฉันในวันนี้ พวกเราคงไม่ได้คบกันในวันนี้! เอาล่ะ อย่ามัวคุยเล่นกันเลย ใกล้เวลาเลิกงานแล้วด้วย รีบเคลียร์งานค้างแล้วรีบกลับบ้านกันดีกว่า!”

หลังจากที่จ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งมือถือค้นหาข้อมูลของบริษัทหวงโหย้วต่อไป

ฟางนี่ปรบมือเรียกสติทุกคนและสั่งให้แยกย้ายกันไปทำงาน บรรยายกาศในออฟฟิศแห่งนี้กลับมาสงบอีกครั้งในไม่ช้า

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงเวลาเลิกงานและทุกคนต่างเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านกัน จ้าวเฉียนยังคงนั่งค้นหาข้อมูลของบริษัที่ต้องไปดิลด้วยอย่างขยันขันแข็ง ในเวลานั้นเองฟางนี่ก็เดินมาเรียกจ้าวเฉียน ให้ไปคุยด้วยที่ห้องทำงานของเธอ

จางหยางเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน สายตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนดูไม่พอใจขึ้นมาทันตา

“จ้าวเฉียน นายต้องการจะลดมูลค่าหุ้นในมือหวานฮันซูสักกี่เปอร์เซ็นต์?”

“ไม่เกิน10% เอาแค่นี้ไปก่อน”

จ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

ทันใดนั้นจางหยางระเบิดอารมณ์ใส่จ้าวเฉียนทันที ลุกขึ้นพรวดทุบโต๊ะดังปัง ตวาดขึ้นว่า

“นี่แกคิดว่าตัวเองใหญ่โตขนาดนั้นจริงๆใช่ไหม? นายรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับตัวหวานฮันซู? เจ้าหมอนั่นอยู่ในบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่างWall Street เคยเป็นผู้บริหารหนุ่มดาวรุ่งจากบริษัทGoldman Sachs! ภูมิหลังของเขาแข็งแกร่งมาก แล้วนายจะไปสู้อะไรเขาได้! แค่จะทนแรงเสียดทานเล็กน้อย ร่างของแกก็ถูกบดบี้ไม่เหลือแล้ว! หากหวานฮันซูนำเรื่องนี้ไปรายงานกับสำนักงานใหญ่ ว่าตัวเองถูกบังคับให้ถือหุ้นที่เหลือมูลค่าแท้จริงต่ำแบบนั้น คงไม่ต้องบอกสินะว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้! แล้วน้ำหน้าอย่างแกจะสามารถแบกรับผลที่ตามมาได้ไหม?”

นับประสาอะไรกับแค่ธนาคารเพื่อการลงทุนอย่างWall Street ต่อให้หวานฮันซูเป็นคนของธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีน จ้าวเฉียนเองก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย

อย่างไรก็ตามแต่ จ้าวเฉียนไม่คิดเปิดเผยเรื่องของตัวเองให้มันมากนัก จึงตอบปัดแค่ว่า

“ทำไมผู้จัดการจางชอบตีตัวไปก่อนไข้จังครับ? หวาดระแวงขนาดนี้ อย่าออกจากบ้านไปไหนเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวโดนหมากัดเอย รถชนเอย และอีกยอะครับ ถ้ากลัวทุกอย่างไปซะขนาดนี้ แล้วทำไมคุณต้องพูดอย่างกับว่าอเมริกาเหนือกว่า? เฮ้ออ…พรุ่งนี้ผมอาจจะลาพักร้อนนะครับ ไม่ได้เข้าออฟฟิศ ประธานฟางคงไม่ว่ากันใช่ไหม?”

ฟางนีรีบพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“แน่นอน ในเมื่อนายสามารถบริหารจัดการงานของนายได้ จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ที่จริงไม่ต้องได้รับคำยืนยอมจากฉันก็ได้นะ เพราะฉันเชื่อว่านายไม่ได้หยุดเพราะขี้เกียจไปเฉยๆหรอก”

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม และลุกขึ้นจากออกไป

แม้ว่าจางหยางจะรู้สึกระทมใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดแทรกใดๆอีกต่อไป ตอนนี้รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่า เธอไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่ ถ้าพูดอะไรขึ้นมาตอนนี้มีหวังได้ทะเลาะกันแน่นอน

ในฐานะสามี จางหยางต้องกู้หน้ากลับคืนมาให้จงได้ พอคิดได้ดังนั้นจางหยางจึงรีบไปหารือกับหวังเฉียง เพื่อหาลูกค้ารายใหญ่ที่ไม่แพ้บริษัทหวงโหย้ว ตราบใดที่เขาสามารถดิลกับคู่ค้ารายใหญ่ได้สำเร็จ ฟางนี่จะต้องกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขาอีกครั้งแน่นอน

จ้าวเฉียนกำลังเก็บข้าวของและกำลังจะลงตึกไป ทันใดนั้นเองหวานเจียงก็โทรมาหา

“นี่นายอยู่ไหน? รอบก่อนเกิดเรื่องจนไม่ได้ไปงานราตรี ครั้งนี้อย่าลืมสัญญาด้วย!”

ฟังจากน้ำเสียงหวานเจียง เธอกำลังอารมณ์เสียได้ที่

จ้าวเฉียนนึกขึ้นได้ทันทีว่า คืนนี้มีงานราตรีที่เขาจะต้องไปกับเธอ

“เพิ่งเลิกงาน แล้วเธอยู่ไหน?”

น้ำเสียงของหวานเจียงดูไม่พอใจขึ้นมาทันตา

“ก็รอนายอยู่ที่บ้านไง! งานจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง ช้าขนาดนี้หรือคิดจะเบี้ยวแล้ว?”

“เหลืออีกตั้งสองชั่วโมงมากกว่า ฉันไม่ไปสายหรอกน่า ไม่ต้องกังวล”

จ้าวเฉียนกล่าวย้ำสร้างเสริมความมั่นใจให้แก่เธอ

“ก็ใช่ไง! เหลือแค่สองชั่วโมง! ไหนจะอาบน้ำแต่งตัว แต่งหน้าไม่ใช่รึไง? ขอโทษนะ…นายช่วยจริงจังกว่านี้ได้ไหม?”

เห็นได้ชัดว่า หวานเจียงในขณะนี้เริ่มโมโหเล็กน้อยแล้ว เธอรู้สึกว่าจ้าวเฉียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอเลย

จ้าวเฉียนขี้เกียจอธิบายอะไรให้มากความ จึงตัดสายทิ้งและขับรถไปหาเธอทันที

[1]เลือกหยิบของไม่ดีแต่ทิ้งของดีไว้

ตอนที่123 แค่อยากทำให้อับอาย

ฟางนี่ชี้ไปที่ตู้กดน้ำมุมหนึ่งและกล่าวว่า

“ตู้นั้นมีโค้ก”

หย่างหมิงเค้นเสียงเย็นคำโตด้วยความหงุดหงิดกและเดินไปกดโค้กมาสองขวด จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องประชุมไปโดยตรง เขารู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับคนภายนอกภายใต้สถานการณ์แบบนี้

หยางหมิงปิดประตูห้องประชุมดังปัง วางโค้กขวดหนึ่งไว้ต่อหน้าจ้าวเฉียน ขณะที่อีกขวดเขาเปิดฝาเกลียวดื่มเอง

จ้าวเฉียนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆ แต่กล่าวกับหยางหมิงว่า

“นายน้อยหยาง จู่ๆ ผมก็รู้สึกเจ็บมือ เปิดฝาให้หน่อย”

“เลิกสำออยได้แล้ว! นี่แกยังมีกระเจี๊ยวอยู่ป่าววะ! ทำตัวอย่างกับผู้หญิง!”

หยางหมิงคำรามใส่ทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว

“งืออ…ดูท่านายน้อยหยางไม่อยากคุยกับผมแล้ว ก็ได้ครับ…ผมออกไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่า”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นและเดินจากไปทันทีที่พูดจบ หยางหมิงตกใจอย่างยิ่งพอเห็นแบบนั้น มือหนึ่งรีบคว้าเอวจ้าวเฉียนดึงเข้ามาทันที และขออร้องว่า

“อย่า อย่า อย่า! ถ้ามีอะไรก็สั่งมาได้เลย! แค่เปิดฝาขวดใช่ไหม? เดี๋ยวฉันเปิดเอง”

หยางกหมิงเร่งคว้าขวมโค้กมาเปิดให้ทันทีและส่งให้จ้าวเฉียน แต่จ้าวเฉียนกลับไม่ได้หยิบมาดื่มแต่อย่างใด ทว่าทันใดนั้น เขาก็เขย่งเท้าขึ้นและเทโค้กราดลงบนหัวหยางหมิงโดยตรง

โค้กขวดนี้เพิ่งออกมจากตู้กดน้ำ เย็นซ่าถึงใจ ทั่วร่างของหยางหมิงถึงกับสั่นเทาในบัดดล ทั้งตกใจทั้งเย็น

“ไอ้แม่เย…”

“อย่าขยับ! ไม่งั้นเตรียมข่าวหลุดได้เลย!”

ก่อนที่หยางหมิงจะด่าจ้าวเฉียนจบ ตนกลับหุบปากแทบไม่ทัน ยืนแข็งค้างไม่กล้าขยับตัว และปล่อยให้จ้าวเฉียนเทโค้กราดบนหัวจนหมด

จ้าวเฉียนโยนขวดโค้กลงพื้น และเอ่ยปากสั่งการอีกฝ่ายน้ำเสียงจริงจังว่า

“หยิบขวดแล้วเอาไปทิ้งข้างนอก”

หยางหมิงกัดฟันดังกรอดอย่างสุดจะอาฆาต

“มึง…จ้าวเฉียน…มึงมากเกินไปแล้ว! เรื่องในวันนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ! ในครั้งนี้ถึงตากูเอาคืนบ้าง…กูจะสั่งให้มึงกระโดดตึก!”

ทีท่าของจ้าวเฉียนยังดูสงบและผ่อนคลาย เขายิ้มตอบไปว่า

“โอเค! ถ้านายไม่หยิบขวดออกไปทิ้งข้างนอก งั้นนายก็ไปโดดตึกแทนแล้วกันนะ เอายังไง? ให้ฉันเรียกหยางหู่มาไหม?”

หยางหมิงกำหมัดแน่น บังคับตัวเองไม่ให้ทำเรื่องโง่ๆ อย่างสุดจะทน ถึงกับหลับตาทำสามธิ พร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ สามคราว จากนั้นก็ก้มไปหยิบขวดโค๊กและเดินออกไปทิ้งขยะด้านนอก

ทุกคนที่รออยู่หน้าห้องประชุมยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ ร่างของหยางหมิงเปียกชุ่มไปด้วยโค้กทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า จ้าวเฉียนหาญกล้าเกินไปแล้ว ถึงขนาดฉีกหน้าหยางหมิงขนาดนี้เชียว?

เหล่าช่างเทคนิคและแก๊งอันตพาลที่มากับหยางหมิง ถึงกับผงะ

“นายน้อยหยาง มันกล้าทำกับคุณถึงขนาดนี้เลยเหรอ?!”

“พวกเราไม่ยอมแน่ เดี๋ยวพวกผมสั่งสอนมันให้เอง!!”

“ไปกระทืบมัน!”

ทุกคนกู่เสียงตะโกนลั่นและรีบวิ่งเข้าห้องประชุมในทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้!!”

หยางหมิงตะโกนหยุดพวกนั้นทันตา

“ปล่อยมันไป กูจัดการของกูเองได้!”

หลังจากถูกหยางหมิงดุยกใหญ่ พวกเขาก็เดินคอตกกลับเข้าประจำที่ บรรดาเพื่อนร่วมของในบริษัทฟางนี่ ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หยางหมิงจนเป็นตาเดียว บางคนถึงกับหลุดขำ

“ขำเหี้ยอะไรของพวกมึง! อยากโดนตบปากฉีกนักใช่ไหม?!”

หยางหมิงตะคอกเสียงสั่น พอโยนขวดโค๊กลงถังขยะเสร็จ ก็รีบกลับเข้าห้องประชุมทันที

“หุหุ…จ้าวเฉียนเอาเรื่องวะ ถึงกล้าท้าทายหยางหมิงขนาดนี้!”

“ต้องบ้าบิ่นขนาดไหน ถึงกล้าเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับหยางหมิงแบบนี้?”

“ฉันเริ่มชอบคุณชายจ้าวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ”

บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างกระซิบกระซาก เอ่ยปากชื่นชมจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน

จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตะคอกสวนตอบทันควันว่า

“เอาเรื่องกับผีน่ะสิ! เขาทำให้ทายาทบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องขุ่นเคืองขนาดนี้ พวกนายคิดว่าจุดจบของเขาจะลงเอยยังไง?”

หวังเฉียงกล่าวเสริมขึ้นทันทีว่า

“ผู้จัดการจขางพูดถูกต้องแล้ว พวกเราทุกคนต่างเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป จะเอาอะไรไปงัดกับทายาทมหาเศรษฐีอย่างอีกฝ่าย? แต่พวกนายยังมีหน้ามาชื่นชมจ้าวเฉียนอีกอย่างงั้นน่ะเหรอ? เพราะแต่ละคนยิ่งส่งเสริมคนแบบนี้ไง มันก็เลยยิ่งได้ใจมากขึ้น! ถ้ายังไม่รีบตัดเนื้อร้ายแบบมันออกไป พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายซวยกันหมด!”

ทั้งผู้จัดการและรองผู้จัดการถึงขั้นกล่าวออกมาเองแบบนี้ ย่อมไม่มีใครกล้ากล่าวขัดแน่นอน ก่อนจะหุบปากลงในทันที

หยางหมิงเดินกลับเข้าห้องประชุมพร้อมสีหน้าสุดหม่นหมอง และเอ่ยถามขึ้นว่า

“พอได้แล้ว เข้าเรื่องกันเถอะ”

“เข้าเรื่องอะไร? ผมมีเรื่องอะไรต้องคุยกับคุณอย่างงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มอย่างดูถูกดูแคลน

จ้าวเฉียนค่อนข้างผิดหวังอย่างมากที่หยางหมิงเลือกที่จะจ้างมือสังหารมาเก็บเขา สิ่งนี้จ้าวเฉียนจะสลักจำไปชั่วชีวิต และในวันนี้เองเขาก็อยากทำให้หยางหมิงได้จดจำความอัปยศนี้ไปตลอดชีวิตจะหาไม่เช่นกัน

“จ้าวเฉียน! แกพอได้แล้ว! นี่ชักจะมากเกินไปจริงๆ แล้วนะ นายเลิกแกล้งได้แล้ว!!”

หยางหมิงแทบจะเสียศูนย์อยู่แล้วในขณะนี้

ทว่าอย่างไร ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงดูผ่อนคลายสบายตัว ราวกับตากอากาศอยู่ท่ามกลางสายลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ผลิ

“นายน้อยหยางทนไม่ไหวแล้วเหรอ? แต่ผมยังอยากเล่นต่ออีกสักนิด แต่ถ้าไม่สามารถทนต่อได้ไหวแล้วจริงๆ งั้นผมคงไม่มีอะไรจะคุยกับคุณอีกต่อไปแล้ว!”

หยางหมิงตระหนักได้ในทันใด ทั้งหมดที่จ้าวเฉียนทำไปก็เพื่อสร้างความอับอายฝังใจเขา จึงถามไปตรงๆ ว่า

“เมื่อไหร่นายจะยอมพูดความจริงออกมา? ถ้ามีข้อแม้หรือเงื่อนไขอะไรก็พูดมาเถอะ อย่าลากคนอื่นไปเสียเวลาด้วยเลย ถ้าไม่มีหลักฐานก็เลิกเล่นได้แล้วน่า”

จ้าวเฉียนไม่กล่าวอธิบายถามตอบใดๆ ทั้งสิ้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและเปิดภาพที่หวงต้าหมิงกำลังเสพยาไอซ์กับกลุ่มเพื่อนให้หยางหมิงดูโดยตรง ทั้งยังมีภาพที่หวงต้าหมิงกำลังมีเซ๊กส์หมู่กับบรรดาสาวๆ

กล่าวได้ว่าในเครื่องของจ้าวเฉียน เก็บภาพพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของสองสตีมเมอร์ดังแห่งเฟยอวี่ไว้ทุกรูปแบบ

ในฐานะที่เป็นถึงสตีมเมอร์ชื่อดัง ถ้าภาพพวกนี้หลุดออกไปได้ล่ะก็ อนาคตของทั้งคู่ต้องพังพินาศอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังโดนจับกุมในข้อหามีสารเสพติดไว้ในครอบครอง

และผลกระทบดังกล่าวจะตกอยู่กับเฟยอวี่ กรุ๊ปเต็มๆ ไม่ต้องพูดถึงแค่เรื่องในแพลตฟอร์มไลฟ์สตีมมิ่ง แต่นี่ยังส่งผลไปถึงละครฟอร์มยักษ์ที่เฟยอวี่ กรุ๊ปและบริษัทภาพยนตร์ในเครือของบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ปอีกด้วย ถ้ามีปัญหาขนาดนี้ทางเฟยอวี่ กรุ๊ปจะต้องโดนฉีกสัญญา และโดนค่าเสียหายบานฤทัย อย่างน้อยที่สุดเฟยอวี่ กรุ๊ปต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนหลายพันล้านหยวน ซึ่งทำให้ระบบเงินหมุนเวียนของเฟยอวี่ กรุ๊ปเสียหายขั้นร้ายแรง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้น หยางหมิงจะต้องเล่นตามเกมที่จ้าวเฉียนต้องการ

“นายน้อยหยาง ยังคิดว่าผมล้อเล่นกับคุณอยู่อีกเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับเย็นยะเยือกกัดขั้วกระดูกดำของหยางหมิง

“ไม่…ไม่กล้าครับ…”

หยางหมิงโดนปราบปรามโดยสมบูรณ์ น้ำเสียงอันแข็งกระด้างก่อนหน้ากลายมาเป็นอ่อนนุ่มทันควัน

จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวต่อว่า

“ถ้าไม่กล้าหือแล้ว แสดงว่านายน้อยหยางของผมยังคงว่านอนสอนง่ายอยู่บ้าง ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง จัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง อะไรควรไม่ควรน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ไม่อย่างนั้นทั้งภาพทั้งคลิปเต็มปลิวว่อนทั่วอินเตอร์เน็ตได้เลย”

“แค่ต้องการยังไงนายพูดออกมาได้เลย ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

เพื่อตอบสนองความต้องการของจ้าวเฉียน หยางหมิงรีบเอ่ยปากตอบทันทีอย่างเชื่อฟัง

“ฉันเพิ่งกล่าวชี้แนะฟางนี่ไป นายเองก็น่าจะได้ยินไม่ใช่เหรอ?”

หยางหมิงหัวไวใช่ย่อย เขาพยักหน้าเข้าใจในทันทีและกล่าวว่า

“นายหมายความว่า จะไม่ให้ฉันเข้ามายุ่งเรื่องแผนขยายหุ้นส่วน? เพื่อลดมูลค่าหุ้นที่หวานฉันซูถืออยู่?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะคำโต พร้อมยกนิ้วโป้งให้หย่างหมิงกล่าวชมเชยขึ้นทันที

“นายน้อยหยางของผมฉลาดใช่ย่อยนะครับ ถูกต้อง ผมจะค่อยๆ กินเงินลงทุนของหวานซูโดยการขยายหุ้นส่วนขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าหุ้นในมืออีกฝ่ายแทบไม่เหลือค่า”

หยางหมิงเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“งั้นฉันถามอะไรนายอย่างได้ไหม ทำไมนายถึงทำขนาดนี้กับอีกฝ่าย? ระหว่างพวกนายไปแค้นเคืองกันมาจากไหน?”

“ถ้าให้พูดออกไปจริงๆ คุณคงเกลียดเขายิ่งกว่าผมอีก”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบ

“โอ๊ะ? ขนาดนั้นเลย? นายลองพูดให้ฟังฟังหน่อย?”

หยางหมิงเอ่ยถามเจือท่าทีไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก

“หวานฮันซูกับหวานเจียงเคยเป็นเพื่อนร่วมคลาสเรียนกันตอนอยู่อเมริกา แล้วเขาก็ตามตื้อเธอมาโดยตลอด แค่ชอบเฉยๆ พอเข้าใจได้นะ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของหมอนั่นกลับร้ายใช่เล่น ที่ตามจีบหวานเจียงไม่หยุดหย่อนเพราะเขาต้องการฮุบฮวาหยิน กรุ๊ปมาเป็นของตัวเอง ทีนี้เชื่อรึยังว่าคุณคงเกลียดเขามากกว่าผมอีก?”

“อะไรนะ? หมายความว่ามันเองก็เป็นทายาทเศรษฐีเหมือนกัน?”

หยางหมิงคำรามขึ้นทันที

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“ใช่ แถมยังดูโลภมากอีกด้วย”

“ให้ตายเถอะ! ฉันคิดมาตลอดเลยว่า ฉันที่มีเฟยอวี่ กรุ๊ปหนุนหลังอยู่จะไม่มีใครทำอะไรได้ แล้วดูมันสิ! …จงใจปกปิดทุกอย่างแล้วแสร้งทำมาร่วมมือกับฉัน มันกะแทงข้างหลังกันนี่หว่า!! ถ้ารู้แบบนี้ฉันไม่ร่วมมือกับมันแต่แรกแน่นอน!”

หยางหมิงแทบรอไม่ไหวแล้ว ตอนนี้แทบจะพุ่งออกไปกระโดดถีบหวานฮันซูสักชุดหนึ่ง ความโกรธที่ครอบงำภายในใจพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงสบายๆ ไม่เปลี่ยน เขายิ้มเล็กน้อยและถามว่า

“แล้วจะทำยังไงต่อไปละ?”

“เหอะ! มันก็แน่อยู่แล้ว…กระทืบมันไง!!”

หยางหมิงกัดฟันแน่นเค้นเสียงคำรามอย่างเดือดดุ เกลียดชังหวานฮันซูราวกับมันไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ตัวเองมา อย่างจ้าวเฉียนยังกล่าวได้ว่าต่อสู้กับเขาอย่างเปิดเผย แต่ไอ้เวรนี่กลับคิดแทงข้างหลังเขา และแย่งภรรยาอันเป็นที่รักไป!

ตอนที่122 ขอคุยกันส่วนตัว

ฟางนี่เดินไปหาจ้าวเฉียน เอ่ยปากขอร้องขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน นายช่วยฉันได้ไหม?”

“คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่สำคัญที่สุดถือ ผมผิดหวังกับทัศนคติความเป็นผู้นำของพวกคุณเหลือเกิน ผมลงทุนในบริษัทนี้ก็มาก แต่กลับไม่ได้ความเคารพเท่าที่ควร ผู้จัดการจางมองผมเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง ไม่ให้สิทธิ์ให้เสียงผมยื่นมือมาช่วยตั้งแต่แรก ดังนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เว้นเสียแต่บริษัทนี้จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับผมมากพอ ที่จะบีบให้ผมออกโรงได้”

ในตอนนี้จ้าวเฉียนกำลังใช้ไฟให้เป็นประโยชน์ หรือก็คือใช้สถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อบีบให้ฟางนี่ยอมขายหุ้นส่วนเพิ่ม อย่างไรก็ตามฟางนี่ไม่ได้หัวเสียกับคำตอบของจ้าวเฉียนเลย แถมยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะอย่างไรกลับเป็นจางหยางที่ผิดตั้งแต่แรก และไม่ยอมให้จ้าวเฉียนเข้ามาช่วยเอง ตอนนี้ให้มาขอร้องย่อมมีเงื่อนไขเข้ามาเพิ่มเติมโดยธรรมชาติ

“แล้วต้องการอะไรล่ะ ว่ามาตามตรงเลย ตราบเท่าที่ฉันจ่ายไหว อะไรก็ยอม!”

ฟางนี่เร่งเร้ากล่าวอย่างร้อนใจ

“มีสองทางเลือก หนึ่ง โอนหุ้นส่วนที่เหลือของคุณให้ผมเพิ่มเป็น40% และให้สิทธิ์ในการควบคุมบริษัทแห่งนี้ในอนาคตต่อไป หรือสองขยายส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่ม และสิทธิ์ในการตัดสินใจเลือกผู้ถือหุ้นเพิ่มมีแค่ผมกับคุณเท่านั้น”

จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า

ตราบเท่าที่ฟางนี่ไม่ได้โง่เกินเยียวยา เธอจะต้องเลือกแบบที่สองอย่างแน่แท้ ซึ่งนั้นก็เป็นทางเลือกที่จ้าวเฉียนต้องการบีบให้เธอเลือก

ขยายส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มและผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกมีเฉพาะแค่จ้าวเฉียนกับฟางนี่ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของฟางนี่และจ้าวเฉียนจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ก็ยังทำให้อัตราส่วนตามมูลค่าจริงของหวานฮันซูลดลงอีกด้วย

เป้าหมายของจ้าวเฉียนค่อนข้างชัดเจนมาก เขาไม่ได้ต้องการหุ้นในมือของหวานฮันซู แต่ต้องการลดมูลค่าแท้จริงของหุ้นที่อยู่ในมืออีกฝ่ายต่างหากอย่างช้าๆ

ตามอัตราส่วนของหุ้นในมือหวานฮันซูในปัจจุบัน จะสามารถได้รับเงินปันผลทุกปีในจำนวน100,000หยวน

แต่หลังจากขยายส่วนผู้ถือหุ้น มูลค่าแท้จริงต่อหุ้น1ตัวจะลดลงถึงหนึ่งในสามส่วน ด้วยเหตุนี้จากที่หวานฮันซูถือหุ้นส่วนอยู่31% จะเหลือแค่10%เศษในทันที

หวานฮันซูแทบระเบิดลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนทันทีว่า

“จ้าวเฉียน! มึง! ที่มึงไม่อยากซื้อหุ้นต่อจากกูเพราะมึงคิดจะโกงกูตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?! แต่มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า ตามหนังสือสัญญา การกระทำการใดๆ ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากกู ฟางนี่จะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งสิ้น! ถ้าไม่เชื่อจะให้หยิบสัญญาอ่านให้มึงฟังเลยไหม?!”

ฟางนี่อ้าปากกล่าวตะกุกตะกักว่า

“ในหนังสือสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า ฉันไม่มีสทธิ์กระทำการใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับอัตราส่วนหุ้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเขา”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มขึ้นทันที

“ข้อตกลงระบุไว้ว่า ห้ามไม่ให้ฟางนี่กระทำการใดๆ แค่คนเดียวถูกไหม?”

“ก็ใช่…”

ฟางนี่ดูเหมือนจะเริ่มคิดอะไรออกแล้ว

“ไม่…ไม่…”

หวานฉันซูส่ายหัวตอบทันที หวังว่าจ้าวเฉียนจะไม่เล่นไม้นี้กับเขา

“เนื่องจากมีปัญหาด้านอัตราส่วนผู้ถือหุ้น ผมในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกคน ตัดสินให้มีการขยายส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม อนึ่งเพื่อพยุงบริษัทให้อยู่รอดต่อไป ส่วนถ้าคุณหวานอยากได้มูลค่าหุ้นเพิ่มก็มาคุยกับผมหลังจากนี้ก็ได้นะครับ…ถ้ามีเงินพอ โอเคไหมครับ?”

จ้าวเฉียนใช้คำพูดป่าวประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ ทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะอย่างผู้ชัย

หวานฮันซูตวาดสวนทันทีว่า

“แกอำมหิตเกินไป! ถ้าเป็นแบบนี้จริงฉันตายแน่!”

จ้าวเฉียนแสร้งตีหน้าใสซื่อ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแสนไร้เดียงสาว่า

“คุณหวานพูดแบบนี้ผมก็เสียหายหมดนะครับ เรื่องแบบนี้พบบ่อยจะตายในวงการธุรกิจ บริษัทที่จดทะเบียนทุกแห่งย่อมต้องการเติบโต ถ้าไม่ขยายส่วนผู้ถือหุ้นก็เท่ากับย่ำอยู่ที่เดิมจริงไหมครับ? แล้วผมกลายเป็นคนอำมหิตตั้งแต่ตอนไหนกันครับเนี่ย?”

“หุบปากมึงไปเลย! ฉันให้สัญญากับสำนักงานใหญ่ซะดิบดีว่าจะกำไรภายในสามปี แล้วนายที่ทำให้มูลค่าแท้จริงในส่วนที่ฉันถือเจือจางขนาดนี้ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำไรภายในสามปี ไม่สิ…แค่จะถอนทุนคืนในสามปียังยากเลย! ถ้าทำไม่ได้ตามเป้า กูจะไปเอาหน้าไปบอกกับสำนักงานใหญ่ได้ยังไง?”

“หุหุ…นั้นไม่ใช่เรื่องของผม”

จ้าวเฉียนตอบกลับพร้อมทีท่าแสนผ่อนคลายสบายใจ

หากหวานฮันซูถูกไล่ออกทั้งแบบนี้ การลงทุนในเฟยอวี่เองก็คงพังไม่เป็นท่าแน่นอน แล้วหยางหมิงจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?

หยางหมิงตรงเข้ามาเผชิญหน้าจ้าวเฉียนและกล่าวขู่ว่า

“จ้าวเฉียน ฉันจะแนะนำอะไรแกสักอย่างนะ อย่าทำตัวมีปัญหา ไม่อย่างนั้นแกคงมีจุดจบไม่สวยแน่ แกจ้างมือสังหารมาฆ่าฉัน ฉันยังไม่ได้ติดตามเรื่องนี้เลย”

เมื่อทุกคนได้ยินว่า จ้าวเฉียกล้าถึงขั้นจ้างมือสังหารมาลอบฆ่าหยางหมิง ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนที่แสนใจดีกับทุกคนมาโดยตลอด เบื้องหลังกลับทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ยังไง?

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบาง กวาดสายตาจับจ้องทุกคนและหันมากล่าวกับหยางหมิงว่า

“ลองถามคนเขาสิว่าเชื่อไหม? ผมน่ะเหรอจ้างมือสังหารมาฆ่าคุณ?”

หยางหมิงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เอ่ยตอบขึ้นว่า

“ฉันมีความจำเป็นอะไรต้องถามคนพวกนี้? มือสังหารก็พูดเองกับปากว่านายคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ฉันสั่งตำรวจเข้าสอบสวนเรื่องนี้หมดแล้ว แกโดนจับแน่นอนในอีกไม่ช้า!”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างเมินเฉยไปว่า

“เอาล่ะ ต่อให้คุณบอกว่าคนทั้งโลกสามารถเป็นพยานได้ แต่ตอนนี้ตำรวจก็ยังไม่ออกหมายจับฉัน แสดงว่าฉันคือผู้บริสุทธิ์ เลิกพล่ามเรื่อิงไร้สาระได้แล้ว ผมกำลังรอให้ประธานฟางตัดสินใจอยู่นะครับ”

ทางเลือกที่สองจะส่งผลดีต่อฟางนี่ในอนาคตแน่นอน และเธอเต็มใจที่จะยอมรับ

“ไม่มีปัญหา ฉันจะสัญญาต่อหน้าทุกคน แต่ก็มีเงื่อนไขเช่นกันว่า ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะโอนหุ้นให้นายเท่าไหร่ แต่สัญญาเลยว่าจะไม่น้อยกว่า20%แน่นอน นายพอใจไหม?”

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น แค่ได้ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มก็พึงพอใจแล้ว ขอแค่สามารถลดมูลค่าแท้จริงของหุ้นในส่วนของหวานฮันซูได้ก็พอ

“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว ตอนนี้ช่วยเชิญหยางหมิงออกจากที่นี้ไปได้สักที”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหันไปส่งสัญญาให้หยางหมิงเข้าห้องประชุมไปเพื่อเจรจา

แต่หยางหมิงระเบิดหัวเราะเยาะลั่น กล่าวกับจ้าวเฉียนอย่างเย้ยหยั่นว่า

“มีอะไรก็พูดกันต่อหน้าทุกคนเลยสิ ทำไมต้องไปคุยที่ห้องประชุมด้วย? ฉันเป็นคนตรงไปตรงมา หรือนายมีเรื่องอะไรที่กลัวทุกคนจะได้ยินเข้า?”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มบนมุมปากเล็กน้อย พลางยักไหล่ท่าทีไม่แยแส กล่าวไปตามตรงว่า

“ผมแนะนำให้คุณเข้าไปคุยในห้องประชุมดีกว่านะครับ เพราะเรื่องที่กำลังจะคุยต่อจากนี้เกี่ยวพันไปถึงชะตากรรมของเฟยอวี่ ถ้าทุกคนได้ยินแล้วเผลอหลุดไปถึงคนนอก…เกิดอะไรขึ้นกับเฟยอวี่หลังจากนี้ ก็อย่ามาโทษผมแล้วกัน”

ได้ฟังแบบนั้นหยางหมิงพลันประหม่าเล็กน้อย แต่ยังไงเฟยอวี่ กรุ๊ปก็เป็นถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ ชะตากรรมอันใหญ่ยิ่งของเฟยอวี่ กรุ๊ปจะถูกแขวนอยู่บนมือไอ้กระเจี๊ยวเล็กแบบนี้ได้ยังไง?

“โอ้…ฉันต้องกลัวมากใช่ไหมเนี่ย? มีอะไรก็พูดต่อหน้าทุกคนเลยดีกว่า ฉันเองก็อยากรู้จริงๆ ว่า มันเป็นเรื่องอะไรที่ถึงขั้นทำให้เฟยอวี่ กรุ๊ปตกอยู่ในที่นั่งลำบาก?”

หยางหมิงยังคงกล่าวตอบโต้กลับไปพร้อมใบหน้าแสนเย้ยหยัน

“หวงต้าหมิงกับหลี่เสี่ยวปิง เป็นสตีมเมอร์สังกัดเฟยอวี่ใช่ไหม?”

“เรื่องไร้สาระแบบนี้ใครๆ ก็รู้”

หยางหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สวนตอบกลับไปเจือรำคาญ

“ฉันได้ยินมาว่า พวกเขาชอบเล่นสวิงกิ้งกัน แถมแต่ละคนยังมีเสี่ยเลี้ยงกับแม่ทูนหัวคอยเลี้ยงดูอย่างดี ที่พูดไปจริงไหม?”

สีหน้าของหยางหมิงแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน เขารีบปฏิเสธกลับไปทันทีว่า

“นี่แกอย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ! เจตนาทำให้ภาพลักษณ์สตีมเมอร์ในสังกัดฉันต้องเสือมเสีย ฉันฟ้องแกได้นะ!”

“เหอะเหอะ…จะเรื่องจริงหรือเท็จก็รู้อยู่แก่ใจนะครับ? แต่ที่ผมกล้าพูดขนาดนี้เพราะมีหลักฐานแน่นพอที่จะมัดตัวยืนยันได้ เอาล่ะนายน้อยหยาง ยังอยากคุยกันตรงนี้ต่อหน้าทุกคนอีกไหมครับ?”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็แสร้งปั้นหน้าใสซื่อ แบมือยักไหล่ตอบอย่างกวนประสาท หยางหมิงที่เห็นแบบนี้สีหน้ายิ่งมืดหม่นเข้าไปใหญ่

ทุกคนโดบรอบต่างปิดปากเงียบรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ รอฟังจ้าวเฉียนว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้อีก พอหยางหมิงเห็นทุกคนตั้งท่าฟังขนาดนี้ ก็รีบดึงจ้าวเฉียนลากเข้าห้องประชุมโดยตรง

“ไอ้เวร แกได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนวะ!?”

หยางหมิอเค้นเสียงต่ำเอ่ยถามด้วยความโกรธ

จ้าวเฉียนดึงเก้าอี้ห้องประชุมมานั่งอย่างใจเย็น จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า

“อ่า…ทำไมรู้สึกกระหายน้ำขนาดนี้น๊า~ ขาดันมาเป็นเหน็บชาตอนนี้พอดีอีก นายน้อยหยางช่วยรินน้ำให้ผมสักแก้วหนึ่ง”

“แก…”

ทั่วทั้งใบหน้าของหยางหมิงตอนนี้แดงก่ำด้วยความโกรธจัด แถมบนหน้าผากเหงื่อยังออกไม่หยุด ไม่รู้เลยว่าเขากำลังประหม่าหรือโกรธกันแน่

แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของฟยอวี่ กรุ๊ปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็ต้องยอม

หยางหมิงเดินไปรินน้ำแก้วหนึ่งด้วยตัวเอง ขณะที่กำลังเดินกลับไปเสิร์ฟให้ จ้าวเฉียนก็ตะโกนแทรกขึ้นกระทันหัน

“นายน้อยหยางครับ ผมไม่อยากดื่มน้ำเปล่าแล้ว ขอโค้กเย็นๆ มาสักขวด”

ทุกคนที่กำลังแอบส่องหน้าประตูห้องประชุมต่างตกตะลึงกันสุกขีด พวกเขาล้วนเห็นอย่างชัดแจ้งว่า หยางหมิงกำลังรินน้ำมาเสิร์ฟให้จ้าวเฉียนจริงๆ!? แถมเจ้าตัวยังเรื่องมากขอเปลี่ยนเป็นโค้กอีก? นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หยางหมิงโกรธจัดจนบีบถ้วนกระดาษเละเป็นก้อนกลม และโยนลงพื้นอย่างเดือดดุ เขาตรงออกจากห้องประชุมผลักประตูเสียงดังปัง หันไปหาฟางนี่และตะโกนถามขึ้นว่า

“ตู้โค้กอยู่ไหนวะ!?”

ตอนที่121 การสมรู้ร่วมคิด

สายที่โทรออกติดขึ้นในไม่ช้า หวานฮันซูเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่

“มีอะไรอีก?”

จางหยางรีบกล่าวอธิบายทันที

“นายจำหยางหมิงคนที่ฉันเล่าให้นายฟังได้ไหม? ตอนนี้อีกฝ่ายมาก่อปัญหาถึงออฟฟิศฉันแล้ว!”

หวานฮันซูหัวเราะเยาะคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า

“ก็ไปเรียกจ้าวเฉียนสิ โทรหาฉันทำไม? ไม่ว่ามันจะพูดอะไรนายก็เชื่อฟังมันทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ ให้มันช่วยสิ!”

“มันเองก็แก้ปัญหาไม่ได้ หยางหมิงเอาตายถึงขั้นยุบบริษัทเลยนะ! ถามเป็นแบบนั้นเงินทุนทั้งหมดที่นายลงไปจะหายไปในพริบตา!”

ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ขอเพียงอย่าให้บริษัทฟางนี่ต้องล้มละลายก็พอ ไม่อย่างนั้นหวานฮันซูในฐานะผู้ถึอหุ้นพลอยล้มจมเป็นแน่

“เดี๋ยวฉันโทรคุยกับเขาเอง”

คล้อยหลังพูดจบหวานฮันซูก็กดตัดสายทิ้ง และโทรไปหาหยางหมิงแทน

“ฮาโหลครับ นายน้อยหยาง มาทำอะไรที่บริษัทเกมฟางนี่ครับ?”

หยางหมิงไม่คิดปกปิดเรื่องนี้อยูแล้ว จึงกล่าวตอบตามตรงไปว่า

“มาบังคับให้พวกมันจ่ายค่าชดเชย”

“ผมมีเงินลงทุนอยู่ในบริษัทนั่น20ล้าน คุณเองก็น่าจะทราบดีว่าผมมีสำนักงานใหญ่ที่อเมริกาหนุนหลังอยู่ ถ้าเงิน20ล้านก้อนนี้กลายเป็นทุนจมขึ้นมา ทางสำนักงานใหญ่ไม่นิ่งนอนใจแน่นอน แถมสำนักงานใหญ่ที่ผมอยู่ได้ข่าวว่าเป็นหนุ้ในหุ้นส่วนใหญ่ของเฟยอวี่ กรุ๊ปด้วยหนิครับ เรื่องนี้คุณพอจะทราบใช่ไหม?”

หยางหมิงเริ่มลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินหวานฮันซูกล่าวไปแบบนั้น สำหรับการลงทุนครั้งนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตก็ไม่เกินจริง และถ้าหยางหมิงยังคงบีบต้อนอีกฝ่ายต่อไป มีหวังกระทบถึงเฟยอวี่ กรุ๊ปจริงๆแน่

ทว่าอย่างไรโอกาสแบบนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วเช่นกันที่จะจัดการจ้าวเฉียน ถ้าทำลายบริษัทฟางนี่ให้สิ้นซากได้ ก็เท่ากับว่าล้มจ้าวเฉียน ศัตรูคู่ปรับคนนี้ได้เช่นกัน

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพีกใหญ่ หยางหมิงก็ปลีกตัวเดินออกมาจากฝูงชน มาหลบมุมอยู่ด้านหนึ่ง หวังไม่ให้ใครได้ยินบทสนทนาที่เขากำลังจะกล่าวกับหวานฉันซูต่อจากนี้

“ฉันได้ยินมาว่า จ้าวเฉียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของฟางนี่ ทำไมนายไม่รีบโอนหุ้นในมือให้มันไปก่อน แค่นี้ก็ถอนทุนคืนมาได้ แล้วทางสำนักงานใหญ่ของนายเองก็คงไม่ว่าอะไรจริงไหม?”

หวานฮันซูถอนหายใจเฮือกหนึ่งกล่าวว่า

“พูดง่ายแต่ทำยากน่ะสิ ที่ผมลงทุนไปไม่ใช่หลักพันหมื่น แต่มากถึง20ล้าน! แล้วไอ้หมอนั่นจะมีปัญญาซื้อไปหมดได้ยังไง?”

“นายถามมันไปสิว่า อยากได้เงินรึเปล่า ถ้าอยากนี่เป็นโอกาสดีแล้ว เพราะถ้ารวมส่วนผู้ถือหุ้นของนายกับมัน ก็เกินครึ่งแน่นอน นั้นหมายความว่าจะมีสิทธิ์ควบคุมบริษัทนี้ได้โดยชอบธรรม พยายามขายฝันมันเข้าไว้ จาดนั้นฉันจะทำลายบริษัทฟางนี่ให้เละ! ครั้งนี้แหละ…มันตายแน่นอน! ฮ่าฮ่า…”

หวานฮันซูเงียบไปสักพักคล้ายว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ ก่อนเอ่ยตอบไปว่า

“ถ้าแบบนั้นผมเองก็เห็นด้วยนะ อย่าเพิ่งทำอะไรจนกว่าผมจะให้สัญญาณอีกทีแล้วกัน ถึงตอนนั้นคุณค่อยลงมือ”

“โอเค ฉันจะถ่วงเวลาพวกมันเอาไว้ก่อน แล้วรอจนกว่านายจะมาถึงที่นี่แล้วกัน”

หวานฮันซูพยักหน้าและรีบไปที่บริษัทฟางนี่ในทันที

หยางหมิงจงใจหาเรื่องฟางนี่กับคนอื่นๆเพื่อถ่วงเวลาจนหวานฉฮันซูมาถึง

จางหยางที่เห็นแบบนั้นพลันมีความสุขอย่างมาก และรีบวิ่งไปทักทายเขาอย่างรวดเร็ว

“ฮันซู ในที่สุดก็มาถึงสักที รีบไปแผนกพัฒนาเดี๋ยวนี้เลย แล้วพาอีกฝ่ายออกไปด้วย!”

หวานฮันซูส่ายหัวและตอบกลับทันทีว่า

“ไม่ ฉันจะไปหาจ้าวเฉียนก่อน”

จางหยางเอ่ยถามอย่างงุนงงว่า

“นี่นายจะคุยอะไรกับเขาในเวลาแบบนี้?”

หวานฮันซูเอ่ยตอบเสียงเย็น และเดินผ่านหน้าจางหยางไปอย่างไม่แยแส

“นี่เป็นความลับ นายไม่จำเป็นต้องรู้”

จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นถึงขั้นวิตกในทันใด พลางครุ่นคิดกับตัวเองว่า

“หวานฮันซู…นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หวานฮันซูเดินไปหาจ้าวเฉียน พลางเคาะโต๊ะสองสามคราเพื่อเรียกเขา

“จ้าวเฉียน ออกมาคุยกันหน่อย”

จ้าวเฉียนเงยหน้าขึ้นมองหวานฮันซู จากนั้นก็ก้มศีรษะปัดมือถือหาข้อมูลบนจอไปต่อ โดยไม่มีท่าทีสนใจอีกฝ่ายแม้สักนิด

หวานฮันซูเห็นแบบนั้นถึงกับหัวเสียทันที แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้มีแต่จำต้องข่มกลั้นความโกรธลงท้องไปอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะโน้มหัวเข้ากระซิบข้างหูจ้าวเฉียนว่า

“ฉันจะคุยกับนายเรื่องโอนหุ้นส่วน นายไม่สนใจได้เพิ่มเหรอ?”

จ้าวเฉียนกดปิดจอโทรศัพท์มือถือและลุกออกไปพร้อมกับหวานฮันซูทันทีโดยไม่พูดไม่จาใดๆ

ทั้งสองหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าต่างระหว่างทางเดิน

“ขอแบบตรงไปตรงมาเลยครับ ผมไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระ”

จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นน้ำเสียงเรียบนิ่ง

หวานฮันซูพยักหน้าและเข้าเรื่องไปในทันทีว่า

“ฉันไม่ต้องการถือหุ้นส่วนของที่นี่อีกแล้ว นายสนใจซื้อต่อไหม?”

ทว่ากลับผิดคาด จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบไปว่า

“ผมต้องการหุ้นส่วนของที่นี่ก็จริง แต่ไม่เอาของในมือคุณ”

หวานฮันซูถึงกับไปไม่เป็นไปชั่วครู่ และเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า

“ทำไม? จะหุ้นของฉันหรือฟางนี่มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…ผมไม่รู้ว่าคุณจะแทงข้างหลังผมเมื่อไหร่ อยู่ดีๆก็ขายหุ้นให้ผมตั้ง31% ผมว่ามันแปลกๆนะ แถมอีกอย่างราคาตั้ง20ล้านหยวน ถ้า20หยวนยังว่าไปอย่างจริงไหม?”

หากไม่สามารถระบายหุ้นในมือเขาออกไปได้ ก็เท่ากับว่าหวานฮันซูยังลงเรือดำเดียวกับฟางนี่อยู่ และไม่สามารถดำเนินการแผนต่อไปได้ เขาตะคอกใส่จ้าวเฉียนคำโตด้วยความหงุดหงิดและเดินจากไปหาหยางหมิง

หยางหมิงปลีกตัวเองออกมาจากทุกคนแอละออกไปสูดอากาศด้านนอกกับหวานฮันซูตามลำพัง

“ไอ้เวรจ้าวเฉียนไม่ยอมซื้อหุ้นของฉัน ถ้าแบบนี้เราจะโค้นบริษัทฟางนี่ได้ยังไง? ฉันต้องหาวิธีระบายหุ้นส่วนพวกนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด จากนั้นคุณจะทำอะไรต่อก็ตามสบายเลย”

หวานฮันซูยื่นซองบุหรี่ให้หยางหมิง นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขากำลังเอาใจอีกฝ่ายอยู่

หยางหมิงเองก็ไม่ต้องการสละโอกาสทองเช่นนี้ไปเช่นกัน แต่ตอนนี้เงินทุนของหวานฮันซูยังติดอยู่ในบริษัทฟางนี่ เขาจึงยังเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้มากเท่าที่ควร

“ฉันจะรอ แต่นายต้องสัญญาก่อนว่าจะเอาเงินทุนก้อนนั้นมาอัดฉีดให้กับเฟยอวี่ กรุ๊ปโดยเร็วที่สุดหลังจากนี้”

หวานฮันซูยื่นมือทุบอกตัวเองอย่างภาคภูมิและกล่าวว่า

“ไม่ต้องห่วงเลยครับ เรื่องนี้อยู่ในการดูแลของผมแล้ว ไม่เพียงแค่20ล้านก้อนนั้น แต่ผมกำลังรอให้ทางสำนักใหญ่อนุมัติเช็คอีกใบ เงินทุนระลอกสองใกล้จะมาถึงเร็วๆนี้แล้ว ด้วยแรงสนับสนุนจากสำนักงานใหญ่ในครั้งนี้ จะต้องดันให้แพชตฟอร์มเฟยอวี่ ขึ้นแทรกเทียนซูวและกลายมาเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในอนาคตแน่นอน! ถึงเวลานั้นนายน้อยหยางอย่าลืมให้เครดิตผมด้วยล่ะกัน”

หยางหมิงพึงพอใจอย่างยิ่งกับคำกล่าวของหวานฮันซู เขายื่นมือออกไปจับด้วยทันทีและให้สัญญาว่า

“ไม่ต้องกังวล ถ้าแพชตฟอร์มเฟยอวี่ของฉันกลายมาเป็นเบอร์หนึ่งแห่งอุตสาหกรรมไลฟ์สตีมเมื่อไหร่ ฉันจะยกความดีความชอบให้นายหมดเลย บางทีฉันอาจจะซื้อบ้านติดแม่น้ำตงไห่พร้อมรถอีกสักคนให้เป็นค่าตอบแทน”

หวานฮันซูพยักหน้าตอบอย่างสุขใจยิ่งยวด และกล่าวต่อว่า

“นายน้อยหยางสุภาพเกินไปแล้ว เพราะพวกเรามีเป้าหมายร่วมกันต่างหาก แถมผลประโยชน์ยังได้ร่วมกันทั้งคู่ ต้องขอบคุณนายน้อยหยางจริงๆ”

“ฮ่าฮ่า…กลับเข้าไปกันเถอะ เล่นให้เนียนๆหน่อยล่ะ!”

หยางหมิงยิ้มตอบและทั้งสองก็เดินกลับเข้ามาทันที ทุกคนที่กำลังเฝ้ารอพวกเขาอย่างใจจดใจ่จ่ออยู่ ก็พลันไปเห็นสีหน้าของหยางหมิงและหวานฮันซูบึ้งตึงยิ่งกว่าอะไร ฟางนี่และที่เหลือเห็นแบบนั้นก็คาดการณ์ได้ทันทีว่า การเจรจาระหว่างทั้งสองคงไม่ลงรอยกัน ดูท่าคงเหลืออยู่แค่วิธีเดียว เธอต้องโทรแจ้งตำรวจให้มาจัดการโดยเร็วที่สุด

ฟางนี่หยิบมือถือออกมา ขณะกำลังจะกดโทรออก หยางหมิงที่เหลือบไปสังเกตเห็นก็เอ่ยขึ้นว่า

“ประธานฟาง ยังอยากโทรเรียกใครให้มาช่วยอีก? หรือเป็นไปได้ไหมว่ายังเหลือผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลังอยู่อีก?”

ฟางนี่เอ่ยตอบเจือแจวน้ำเสียงขุ่นมัวไปว่า

“ฉันไม่มีใครคอยหนุนหลังทั้งนั้น แต่จะโทรหาตำรวจ! ฉันเชื่อว่ากฎหมายยังคงศักดิ์สิทธิ์เสมอ!”

“โทรหาตำรวจ? พวกตำรวจนี่แหละยิ่งตัวดีเลย สมองเธอยังดีอยู่ใช่ไหม?”

หยางหมิงเอ่ยถามด้ยวาจาแสนหยามเหยียด

“อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ฉันยอมเสี่ยง!”

ฟางนี่ตอบกลับเสียงแข็ง

ทั้งสองแยกออกไปทันทีคนละด้าน ทุกคนต่างเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

ในเวลานี้เอง ก็เป็นหวานฮันซูที่แสร้งรับบทเป็นคนดี หวังจะเป็นคนปิดเกมนี้ในทันที

“นายน้อยหยาง เห็นแก่ประโยชน์ระหว่างความร่วมมือของเราเถอะนะ ถอยกันคนละก้าวดีกว่าไหม?”

“ไม่ใช่ว่าฉันต้องการฉีกหน้าคุณหรอกนะ แต่เจ้าพวกนี้มันเกินเยี่ยวยาแล้วจริงๆ ฉันบอกว่าโปรเจคนี้มีปัญหาไปตั้งนานนมแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่แก้ไข ผิดพลาดปัญหาซ้ำซาก ช่วยไม่ได้นะ ตราบใดที่คุณฟางเลี้ยงอาหารสักมื้อในโรงแรมตงไห่ บางทีฉันอาจจะใจเย็นลงและยอมให้เวลาแก้ไขเพิ่ม แต่ถ้าไม่ฉันจะบอกเลิกสัญญาทันที และเดินทางไปฟ้องศาลเพื่อร้องเรียนค่าชดเชย!”

ทุกคนต่างทราบดีว่า การรับประทานในโรงแรมตงไห่มีค่าใช้จ่ายสูงเพียงใด ถ้าหยางหมิงจงใจแกล้ง เขาสามารถสั่งไวน์ราคาแพง หรืออาหารจานหรูได้ตามต้องการ กล่าวได้ว่าสามารถลั่นราคามื้ออาหารได้ถึงหลักหลายล้านภายในคืนเดียว

แน่นอนว่าฟางนี่ไม่เต็มใจจ่ายเงินในจำนวนมหาศาลขนาดนั้นอยู่แล้ว เธอเหลือบไปมองจ้าวเฉียนแวบหนึ่ง หวังให้เขาออกโรงช่วยเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าจ้าวเฉียนยอมช่วยจริงๆ บางทีอาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้ในอึดใจ สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับฟางนี่ในขณะนี้คือ การที่เธอต้องจ่ายค่าดินเนอร์ให้หยางหมิงในจำนวนหลายล้านหยวน ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ

ตอนที่120 ไร้เหตุผล

แม้จะไม่มีใครรู้ว่าหยางหมิงกำลังโทรไปหาใคร แต่ดูจากท่าทีอันเกรี้ยวโกรธและน้ำเสียงแสนหยาบกระด้างนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ฟางนี่รีบขอโทษหยางหมิงทันที

“นายน้อยหยาง อย่าหัวเสียเลย ทำธุรกิจกันต้องมีขัดแย้งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวทางดิฉันจะรีบหาทางแก้ไขโดยด่วนเลยค่ะ”

“แก้บ้อแก้บออะไรอีก! เดือนที่แล้วฉันก็บอกไม่ใช่เหรอว่า โปรเจคนี้มีปัญหาให้รีบแก้ไขโดยด่วน พอมาวันนี้มีอะไรเปลี่ยนบ้าง? ก็ยังแย่เหมือนเดิม! กูไม่อยากคุยกับพวกโง่แล้วโว้ย!”

ท่าทางการแสดงออกของฟางนี่ดูลุกลี้ลุกลนอย่างมาก เธอรีบเอ่ยถามไปว่า

“แล้วนายน้อยหยางต้องการอะไร ดิฉันจะทำตามทุกอย่าง!”

“ง่ายชิบหาย ค่าชดเชยไง! ค่าชดเชย!! ตามสัญญาเป็นราคาสามเท่าจากเดิม ถ้าไม่ยอมให้ กูจะทุบออฟฟิศมึงให้แหลก!”

จางหยางยิ่งเดือดดาลจัดเข้าไปใหญ่พอได้ยินแบบนั้น ปรากฏว่าหยางหมิงมันจ้างคนมาทำลายข้าวของในออฟฟิศนี่เอง! เขาตะคอกเสียงดังลั่นไปว่า

“คุณกล้าเหรอ!? คิดจะทำเรื่องผิดกฎหมายต่อหน้าต่อตากันแบบนี้เลยใช่ไหม?!”

หยางหมิงหันควับไปจ้องจางหยางตาเขม็ง เค้นเสียงตอบทีละคำอย่างหนักแน่นว่า

“กู ไม่ กลัว! ”

ในเวลานี้เอง จู่ๆ เจียงเสี่ยวปิงก็รีบวิ่งเข้ามา

“ประธานฟางแย่แล้ว! มีพวกอันตธานกลุ่มนึงบุกเข้ามาในออฟฟิศ ไล่ทุบคอมพิวเตอร์ในแผนกพัฒนาไม่หยุดเลย”

“อะไรนะ?!”

ฟางนี่ตกใจอย่างมากที่มีคนบุกเข้ามาทำลายข้าวของในออฟฟิศ ทั้งเธอ จางหยางและหวังเฉียงรีบวิ่งออกไปดูทันที

ปรากฏว่ามรแก๊งอันตธานกลุ่มหนึ่งกำลังอาลวาดไม่หยุด ถึงขั้นไล่กระทืบพนักงานแผนกพัฒนาไม่ยั้ง

ฟางนี่ตะโกนลั่นด้วยความตื่นตระหนก

“หยุด! หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! พวกแกเป็นใคร! มาก่อเรื่องที่นี่ทำไม?!”

ในตอนนั้นเอง สุ้มเสียงของหยางหมิงพลันตะโกนขึ้นจากด้านหลัง

“เจ้าพวกนั้นเป็นคนของฉันเอง ก็บอกไปแล้วไงว่าจะจ่ายค่าชดเชยมาหรือจะทุบออฟฟิศนี้ให้เละ! คอมพิวเตอร์สำหรับออกแบบเกมข้างค้างมีมูลค่าสูงนะ ถ้าพังทีจะเป็นยังไง?”

“หยางหมิง อย่าให้เรื่องมันเกินไปกว่านี้เลย!”

ฟางนี่ตะโกนลั่นด้วยความโกรธ

ในที่สุดฟางนี่ที่ข่มกลั้นความโกรธอยู่นานก็ถึงขีดจำกัด หยางหมิงที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกชื่นใจเสียเหลือเกิน พร้อมตะโกนตอบกลับอย่างหน้าด้านๆ ไปว่า

“เกินกว่านี้แล้วยังไง? น้ำหน้าอย่างคุณทำอะไรผมได้?”

ทันทีที่เห็นภรรยาถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ จางหยางก็ไม่สามารถทนดูได้เช่นกัน แต่เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะหยุดอีกฝ่ายได้ จึงทำได้แค่ขยิบตาส่งสัญญาณแก่หวังเฉียง กระตุ้นให้ทำอะไรสักอย่าง นี่ถือเป็นสถานการณ์วัดใจเช่นกันว่า ลูกน้องคนนี้มีมิตรภาพต่อเขาเหนียวแน่นเพียงใด

หวังเฉียงตระหนักถึงอำนาจอิทธิพลของหยางหมิงเป็นอย่างดี รองผู้จัดการบริษัทเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ แต่เขาเองก็ไม่อยากทำให้จางหยางต้องผิดหวังเช่นกัน ดังนั้นจึงคิดหาวิธีโยนภาระหน้าที่ไปให้คนอื่นโดยเร็ว

หวังเฉียงคลี่ยิ้มประจบ กล่าวกับหยางหมิงขึ้นว่า

“นายน้อยหยาง เหตุผลที่ทำให้คุณโกรธขนาดนี้เพราะจ้าวเฉียนใช่ไหม? ไม่ใช่เป็นเพราะตัวผลิตภัณฑ์ เราจะลากมันให้มาขอโทษต่อหน้าคุณเดี๋ยวนี้เลย”

หยางหมิงเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากจ้าวเฉียน เพื่อหาโอกาสโทรเรียกกลุ่มอันตพาลที่เขาจ้างบุกเข้ามาเท่านั้น แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการทำลายบริษัทเกมฟางนี่ จ้าวเฉียนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในขณะนี้จะต้องแบกรับหนี้อันมหาศาลหลังบริษัทล้มละลาย

ดังนั้นต่อให้จ้าวเฉียนออกมาขอโทษ หยางหมิงย่อมไม่ยอมหยุดง่ายๆ แน่นอน

“อะไร? เป็นถึงรองผู้จัดการ แต่กลับเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับส่วนรวม? นี่กำลังทำธุรกิจกันนะเว้ย ไม่ใช่เล่นขายขนม! เกมที่พวกแกพัฒนามามันห่วย! ดังนั้นก็ต้องชดเชยตามที่สัญญาระบุไว้!”

ราวกับว่าหยางหมิงตบหน้าหวังเฉียงฉะใหญ่ต่อหน้าทุกคน โดยปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้กับพื้นพร้อมกับความอับอาย

ถึงจ้าวเฉียนออกมาขอโทษ ทางด้านหยางหมิงก็ยังไม่ยอม นี่แสดงให้เห็นว่า การประเมินครั้งนี้มันต่ำกว่ามาตรฐานที่หยางหมิงกำหนดไว้จริงๆ

ฟางนี่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ในฐานะผู้เป็นสามีของเธอ จางหยางลุกขึ้นออกมาปกป้องแทนทันที

“หยางหมิง ถ้าคุณคิดว่าพวกเราพัฒนาเกมออกมาไม่ได้มาตรฐานจริงๆ ก็สามารถไปฟ้องศาลได้เลย แล้วค่อยไปต่อสู้กันอย่างถูกกฎหมาย ไม่ใช่ลอบกัดจ้างคนมาทำลายข้าวของแบบนี้ แถมมาพังคอมพิวเตอร์ก็ยิ่งทำให้การพัฒนาล่าช้าไปอีกไม่ใช่รึไง? นี่ส่งผลกระทบไปถึงโปรเจคพัฒนาของซิงหยวนอีก! ท้ายที่สุดนี้กลับเป็นคุณที่ต้องแบกรับผลกรรมทั้งหมด!”

สีหน้าของหยางหมิงมืดทมิฬลงทันใด ก่อนจะค่อยๆ ย่างสามขุมตรงเข้าประจันหน้ากับจางหยาง และปริปากกล่าวขึ้นอย่างดูถูกดูแคลนว่า

“ได้ งั้นแกก็โทรหาซิงหยวนสิ ถ้าพวกเขายอมออกมาปกป้องแก ฉันเองก็จะยอมออกไปทันที!”

จางหยางหันไปหาหวังเฉียง ขอให้อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาซิงหยวนโดยตรง

แต่ขณะที่จางหยางยกหูขึ้นโทร กลับเป็นจ้าวเฉียนที่ยกมือมาหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าหมอนี่ คุณเอามันไม่อยู่หรอก ให้ผมช่วยดีกว่านะ”

ทีท่าของจางหยางดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วเช่นกัน หยางหมิงเรียกแก๊งอันตพาลมานับสิบ เข้ามาทำลายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในพริบตาเดียว

แม้ภายในใจจางหยางจะทราบดีว่า ด้วยฝีมือตนเองคงไม่มีหวังนัก แต่หากเป็นจ้าวเฉียนที่สามารถโทรหากัวหมิงต้าแค่กริ๊งเดียว ก็สามารถแก้วิกฤตในตอนนั้นได้ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มีแต้มต่อดีกว่าเขามาก

จางหยางไม่ค่อยจะเต็มใจยอมรับ เอ่ยขู่ไปว่า

“ถ้าเกิดมันกระทบกับโปรเจคเดิมของเรา นายต้องรับผิดชอบ!”

“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นมาจริง เราสามารถนำภาพจากกล้องวงจรปิดในออฟฟิศ นำไปแจ้งตำรวจและยื่นคำร้องในชั้นศาล เพื่อเอาผิดกับทางนายน้อยหยางได้ แล้วทำไมต้องลากให้ผมมารับผิดชอบด้วย?”

“ไม่! แค่ฉันก็จัดการทุกอย่างได้แล้ว พนักงานตัวเล็กๆอย่างแกไม่ต้องมายุ่ง!”

ต่อหน้าภรรรยาแบบนี้ จางหยางไม่ยอมให้จ้าวเฉียนได้หน้าไปอีกเด็ดขาด

“ก็ตามใจนะครับ มีอะไรก็เรียกล่ะกัน ผมขอตัวไปชงกาแฟก่อน”

พูดจบจ้าวเฉียนก็เดินตรงออกไปดั่งทองไม่รู้ร้อน

จางหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนกัดฟันกดต่อสายตรงโทรไปหาบริษัทซิงหยวนทันที เขาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง และกล่าวทิ้งท้ายว่า

“หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าวของแผนกพัฒนาของเรา มันจะกระทบไปถึงโปรเจคระหว่างเรากับทางคุณด้วย ช่วยออกหน้าให้ความช่วยเหลือทีครับ!”

“นี่ไม่ใช่ธุรกิจของทางเราค่ะ ถ้าไม่สามารถพัฒนาโปรเจคได้ทันตามที่กำหนด ทางเราจะส่งเรื่องนี้ต่อศาลเพื่อร้องเรียกค่าชดเชยจากทางคุณตามที่สัญญาระบุไว้ อย่าลากซิงหยวนของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ขอโทษค่ะ ตู๊ด..ตู๊ด..”

จางหยางแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินแบบนั้น โทรศัพท์มือถือร่วงลงจากในมืออย่างไร้เรี่ยวแรง ฟางนี่เห็นแบบนั้นพลันส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

หยางหมิงระเบิดหัวเราะสียงดังสนั่น กล่าวเย้ยหยันไปว่า

“ฮ่าฮ่าๆๆ … พวกซิงหยวนก็ไม่ยอมยื่นมือมาช่วยงั้นเหรอ? ไม่ต้องกลัว แค่เตรียมชำระค่าชดเชยมาให้พร้อม!”

ฟางนี่สุดจะทานทนได้ไหวแล้ว เธอตะโกนลั่นว่า

“หวังเฉียง! นายไปเรียกจ้าวเฉียนกลับมาเดี๋ยวนี้!!!”

จางหยางตะโกนหักห้ามไว้ในทันใดด้วยความโกรธจัด

“ทำไมเธอถึงเข้าใจยากเข้าใจเย็นขนาดนี้! แม้แต่จ้าวเฉียนก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว!!”

หวังเฉียงที่กำลังตั้งท่าจะวิ่งออกไปถึงกับชะงักฉับพลัน

“หวังเฉียงไม่ต้องฟังเขา! ฉันบอกให้ไปเรียกจ้าวเฉียนมา!!”

“อะไรๆ ก็จ้าวเฉียน! จ้าวเฉียน!! จ้าวเฉียน!!! แต่งงานกับมันแทนผมเลยไหม!!?”

“พอได้แล้ว! หุบปากไปเดี๋ยวนี้! หวังเฉียง นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดไปรึไง?! หรือเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟังคำพูดฉันแล้ว?!!”

หวังเฉียงพยักหน้าโดยเร็ว พุ่งตัววิ่งออกไปโดยไว ชนิดไม่กล้าผ่อนแรงเลย

ขณะนั้นเองจ้าวเฉียนกำลังยืนพิงเคาน์เตอร์ชงกาแฟ พลางค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหวงโหย้วให้ได้มากที่สุดทางอินเตอร์เน็ต เพื่อเตรียมตัวสำหรับการดิลคู่ค้า

หวังเฉียงวิ่งเข้ามาหาพร้อมท่าทีเหนื่อยหอบ กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน… แฮ่ก แฮ่ก…ประธานฟางเรียกตัวด่วน…”

จ้าวเฉียนชูแก้วกาแฟในมือและเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นขึ้นว่า

“ขอดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อนนะ”

“ยังจะมาใจเย็นอยู่อีก! ที่หยางหมิงบ้าดีเดือดขนาดนี้ก็เพราะแกนั่นแหละ รีบไปได้แล้ว!!”

“ก็ผู้จัดหารจางบอกเองว่าจัดการเองได้ แล้วอีกอย่าง…ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ที่ฉันต้องรับผิดชอบด้วย นี่มันหน้าที่ของผู้นำอย่างพวกนายมากกว่านะ ฉันก็แค่พนักงานตัวกระจ้อยคนหนึ่งเท่านั้น”

หวังเฉียงโกรธมาก เหวียงมือขึ้นทุบเตาน์เตอร์ชงกาแฟจนแก้วที่วางอยู่สั่น กล่าวขู่ขึ้นคำหนึ่งว่า

“อย่างแรกนะ นี่คือความผิดของนาย! อย่างที่สองคือ ฉันเป็นรองผู้จัดการมีสิทธิ์สั่งพนักงานตัวกระจ้อยอย่างแก! ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปซะ! อย่าบ่น!”

จ้าวเฉียนแค่พยักหน้าตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะวางแก้วกาแฟและก้มหน้าดูมือถือเดินออกไป

หวังเฉียงวิ่งกลับมารายงานฟางนี่และบ่นให้เธอฟังทันทีว่า

“ประธานฟาง! จ้าวเฉียนมันบอกว่า นี่ไม่ใช่ขอบเขตหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ เป็นแค่พนักงานตัวกระจ้อย มันไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรบริษัทเราเลย!”

ฟางนี่ตระหนักได้ทันทีว่า จ้าวเฉียนจะต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ยื่นมือมาช่วย

เวลานั้นเองจ้าวเฉียนก็ก้มหน้าดูมือถือเดินเข้ามาอย่างไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย

“จ้าวเฉียน ต้องทำยังไงนายถึงจะช่วยพวกเรา?”

ฟางนี่เอ่ยถามด้วยความกังวล

จ้าวเฉียนเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ ปั้นหน้าตาไร้เดียงสากล่าวตอบไปว่า

“ไม่รู้สิครับ ทีแรกผมก็อยากจะช่วยอยู่หรอก แต่พอผู้จัดการจางกล่าวตอบแบบนั้น ผมก็ตระหนักขึ้นได้ว่า พนักงานตัวเล็กๆ อย่างผมคงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรบริษัทได้ เรื่องแบบนี้ต้องปล่อยหะดับผู้นำจัดการไปแหละครับ ประธานฟาง คุณมีตั้งผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวังอยู่ทั้งคน อุ่นใจได้หลายเปราะ”

จู่ๆ จางหยางก็กระชากแขนของฟางนี่มาหลบมุม ณ ด้านหนึ่ง และกล่าวขึ้นด้วยความโกรธจัด

“นี่เธอช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม? ช่วยเลิกทำตัวงี่เง่าและเลิกทำให้ฉันรู้สึกว่าด้อยกว่ามันได้แล้ว! เวลามีปัญหาก็เรียกหาแต่มัน! ช่วยมองมาที่ผมบ้างได้ไหม? ผมเป็นสามีของคุณนะ!!”

ฟางนี่เบื่อหน่ายเต็มทนแล้วกับความไร้เหตุผลของจางหยาง เธอจึงเดินออกมาและกล่าวต่อหน้าทุกคนเสียงดังฟังชัดว่า

“เอาล่ะ! ฉันจะให้โอกาสคุณพิสูจน์ตัวเอง มีวืธีไล่หยางหมิงออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ได้ไหม? ถ้าทำได้ฉันจะฟังคุณนับตั้งแต่บัดนี้ แต่ถ้าไม่ได้ก็เลิกทำตัวงี่เง่าได้แล้ว! ไม่ก็ลาออกไปจากบริษัทนี้ไปเลย!!”

เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ จางหยางไม่สามารถถอยออกไปไหนได้อีกแล้ว หากเขาไม่สามารถแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ไปได้ คงไม่เหลือหน้าอยู่ในบริษัทนี้ต่อแล้วเช่นกัน

“ดี! ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นเองว่า ฉันเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่ามันเลย!”

ทันทีที่พูดดจบ จางหยางก็หยิบมือถือขึ้นมาและโทรหาหวานฮันซูโดยเร็ว เพราะนี่คือความหวังเดียวของเขาแล้ว

ตอนที่119 คุณไม่มีคุณสมบัติมาสนทนากับผม

ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องดูเอกสาร จ้าวเฉียนก็เดาได้ในทันทีว่า จางหยางไม่ได้มอบหมายบริษัทที่ง่ายต่อการรับมือแน่นอน

พอจ้าวเฉียนเปิดเอกสารขึ้นมาก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจางหยางถึงดูร่าเริงขนาดนั้น ปรากฏว่าบริษัทที่เขามอบหมายหน้าที่ให้จ้าวเฉียนไปดิลด้วยก็คือ บริษัทหวนโหย้ว คู่แข่งของซิงหยวน

อำนาจอิทธิพลของหวนโหย้วเทียบเท่าได้กับซิงหยวน แต่บริษัทนี้ไม่ได้เป็นของบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์ กรุ๊ป ถ้าต้องการดิลกับคู่ค้ารายนี้ให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเล็กน้อย

แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจ้าวเฉียนเท่าไหร่ ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เขาจะได้วอมมือเล็กน้อย

จางหยางกำลังจิบกาแฟอย่างมีความสุขในห้องทำงาน พร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า

ในเวลานั้นเองหวังเฉียงก็เคาะประตูเดินเข้ามาและเอ่ยถามว่า

“ผู้จัดการจาง ส่งเอกสารไปให้หมอนั่นรึยัง?”

“เรียบร้อยแล้ว”

“แล้วมันว่ายังไงบ้าง?”

“มันไม่ได้มองด้วยซ้ำ แต่บอกกับฉันว่าไม่มีปัญหา”

“ฮ่าฮ่า…ไอ้หมอนี่ถูกอีโก้บังตาไปหมดแล้วจริงๆ ! หยิ่งได้หยิ่งไปเถอะ! หวงโหย้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดต่อด้วยเลย คราวนี้ผมขอดูมันสักหน่อยว่า หลังจากล้มเหลวกลับมา มันจะแก้ตัวยังไง!”

“ฉันบอกมันไปว่า ถ้าทำไม่ได้ก็รับโทษแล้วลาออกไปซะ เจ้าหมอนั่นก็ยังยิ้มร่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ฮ่าฮ่า…รอฟังข่าวดีได้เลย”

“ฮ่าฮ่าๆๆ …”

ทั้งหมดคือแผนการที่ทั้งสองวางเอาไว้ ตั้งใจจะปั่นหัวจ้าวเฉียนให้สิ้นหวังและบีบให้ต้องออกไปเอง

ประมาณบ่ายสามโมงเห็นจะได้ หยางหมิงพากลุ่มคนจำนวนหนึ่งเข้ามาในออฟฟิศฟางนี่ นี่คือการต่อสู้ศึกใหญ่ หยางหมิงขนช่างเทคนิคมืออาชีพนับสิบคนมาตรวจสอบโปรเจคเกมที่มอบหมายให้ทางบริษัทฟางนี่พัฒนาขึ้นโดยละเอียด

หวันชวงรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง ถึงขั้นกลัวจนมือไม้สั่นไปหมด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่หยางหมิงพาคนมาประเมินโปรเจคอีกครั้ง

“นายน้อยหยาง…สวัสดีครับ…”

“ไปให้พ้นหน้าฉัน อย่ามาขวาง!”

หยางหมิงไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น หวันซวงที่โดยตะคอกถึงกลับไม่กล้าปริปากกล่าวอะไรขึ้นอีกเลย

หลังจากที่ตะคอกออกไป หยางหมิงก็เดินตรงมาหาจ้าวเฉียน ระเบิดหัวเราะเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า

“ฉันได้ยินมาว่า นายกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทนี้แล้วเหรอ? แต่เสียใจด้วยนะ…ถึงจะเป็นผู้ถือหุ้นแต่ถ้าไม่มีกำไร ก็เท่ากับซื้อหนี้สินมาแบกเล่นไว้บนบ่า!”

จ้าวเฉียนเหลือบมองไปที่หยางหมิง แทบจะกลั้นขำไม่อยู่เมื่อเห็นผ้าก๊อชพันหัวของอีกฝ่าย ดูยังไงก็โคตรตลกเลย

หยางหมิงทราบทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหัวเราะเยาะเรื่องอะไร จึงตะคอกสวนตอบไปทันที

“หัวเราะหาบิดาแกเหรอ? พาฉันไปประเมินเดี๋ยวนี้! ขอดูหน่อยว่าพอถึงตอนนั้นยังมีหน้าหัวเราะอยู่อีกรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย เอ่ตอบไปเพียงว่า

“มาประเมินได้นะ แต่ผมกังวลว่าคุณจะมาก่อปัญหามากกว่า”

หยางหมิงกัดฟันแน่นไม่พูดไม่จา แต่ท่าทางการแสดงออกดูยังไงก็รู้ว่าหงุดหงิดขนาดไหน เขาหมุนตัวกลับเดินไปที่แผนกพัฒนาทันทีเพื่อนำช่างเทคนิคไปประเมินโปรเจค

ทั้งฟางนี่, จางหยางและหวังเฉียง ต่างคนต่างรีบวิ่งออกมาถามจ้าวเฉียนทันทีว่า เกิดอะไรขึ้น

จ้าวเฉียนเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ พลางเอ่ยตอบน้ำเสียงสุดแสนจะใจเย็นว่า

“พวกคุณไม่ต้องกังวลกันหรอก หยางหมิง ไม่สามารถสร้างปัญหาได้แน่นอน”

หวังเฉียงตอบสวนกลับไปทันทีว่า

“ก็เพราะอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ จะไม่ให้เรากังวลได้ยังไง? ที่จริงแล้วโปรเจคเดิมพวกเราทำตามข้อกำหนดของอีกฝ่ายหมดแล้ว แต่นายนั่นแหละที่มีปัญหาส่วนตัวกับอีกฝ่าย จนทำให้เขาจงใจมาก่อปัญหาที่นี่ แค่เขาบอกว่าประเมินไม่ผ่าน เราก็ต้องเสียเงินชดเชยแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นนายจ่ายไหวไหม?”

จางหยางกล่าวเสริมต่อว่า

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างพวกนายมีเรื่องข้องใจอะไรกัน แต่คิดว่าตัวเองเก่งนักรึไง? ถึงไปมีปัญหากับทายาทผู้สืบทอดเฟยอวี่ กรุ๊ป? แล้วนายเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ มีคุณสมบัติอะไรไปมีปัญหากับเขาห่ะ?”

หวันชวงรีบทิ้งจ้าวเฉียน และกล่าวเห็นด้วยกับทั้งสองทันที

“เดิมทีบริษัทของเราสามารถทำกำไรได้มหาศาลจากโปรเจคนี้ แต่ปัจจุบันบริษัทอาจต้องขาดทุนครั้งใหญ่ก็เพราะนาย! แล้วอย่ามาปัดความรับผิดชอบให้ฉันด้วย หัดรู้จักโทษตัวเองน่ะเป็นไหม?”

ฟางนี่กังวลว่า คำพูดของจางหยางและคนอื่นๆ จะทำให้จ้าวเฉียนโกรธ จึงเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเขาโดยไว

“โอเค เลิกโทษกันเองได้แล้ว จ้าวเฉียนบอกว่าไม่มีปัญหาก็คือไม่มีปัญหา ปล่อยให้เขาจัดการนั่นแหละ”

จางหยางเอ่ยถามขึ้นเจืออย่างไม่สบายใจว่า

“ทำไมเธอต้องไปช่วยมัน? สร้างปัญหาซ้ำๆ ซากๆ ให้บริษัท แล้วเธอยังจะกล้าเชื่อใจมันอีก?”

ฟางนี่อธิบายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเธอขี้เกียจมาอธิบายอะไรซ้ำซาก ดังนั้นเธอจึงตอบไปว่า

“ฉันรู้จักเขาดีกว่าคุณ และฉันเชื่อว่าเขาสามารถแก้ปัญหาได้”

หลังพูดจบ ฟางนี่ก็เดินกลับไปยังห้องทำงานของเธอเอง จางหยางรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก เขาไล่ตามเธอไปทันทีและถามไปตามตรงว่า เธอยังเห็นเขาเป็นสามีคนนึงอยู่ไหม? ทำไมต้องปฏิบัติต่อเขาแบบนี้?

“ฟางนี่ ผมคิดว่าพวกเราต้องเปิดอกคุยกันอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้งแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจกันแบบนี้ มันจะส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราในอนาคตได้นะ”

“โอเค คุณอยากคุยอะไรว่ามาเลย?”

“ผมรู้สึกว่า ความรู้สึกที่คุณมีให้จ้าวเฉียนมันเกินคำว่า เจ้านายกับลูกน้องไปแล้ว คุณเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด เชื่อยิ่งกว่าผมที่เป็นสามีคุณอีก! เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขาผิด แต่คุณก็ยังเลือกที่จะเชื่อใจเขา! บอกมาเลยดีกว่าว่าคุณรู้สึกยังไงกับจ้าวเฉียนกันแน่?”

“จางหยาง นี่ฉันอธิบายให้คุณฟังไม่รู้กี่รอบแล้ว ฉันเชื่อในความสามารถของจ้าวเฉียน โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัวใดๆ เข้าไปพัวพันเลย นอกจากนี้ถ้าคุณมีวิธีที่ทำให้บริษัทของฉันไปต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาก็บอกมาสิ ไม่ใช่ไม่ช่วยแล้วยังสร้างปัญหาอยู่แบบนี้ ถ้าบริษัทซิงหยวนตัดขาดความร่วมมือของเราอีกครั้ง บริษัทนี้คงไปต่อไม่ได้แน่ ถ้าฉันเลือกที่จะไม่เชื่อใจจ้าวเฉียน แล้วคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะแทนที่เขาไหม?”

ข้อต้องห้ามร้านแรงสำหรับบรรดาผู้ชายคือ การเปรียบเทียบตนกับชายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ภรรยานำสามีไปเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่น และกล่าวหย่ามในเชิงด้อยกว่า ซึ่งในเรื่องนี้เอง จางหยางย่อมรับไม่ได้โดยธรรมชาติ

“ดี! ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเองว่า ผมมีดีกว่ามันหลายเท่า! ผมจะไปดิลกับบริษัทที่ใหญ่กว่าซิงหยวนให้ดู! เพื่อจะให้คุณเลิกหลงในตัวของไอ้หมอนั่นสักที!”

คล้อยหลังพูดจบ จางหยางก็เดินจากไปด้วยความโกรธส่องสุมอยู่แน่นอก เขาเรียกหวังเฉียงเข้ามาคุยในห้องทำงานตนทันที และเริ่มปรึกษาหารือว่าจะทำยังไงให้จ้าวเฉียนตกกระป๋อง

อีกสองชั่วโมงต่อมา หยางหมิงนำช่างเทคนิคกลุ่มใหญ่ออกจากแผนกพัฒนา และตรงเข้าห้องทำงานของฟางนี่ สีหน้าการแสดงออกดูไม่พอใจอย่างที่สุด

ฟางนี่รู้สึกตัวทันทีว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอจึงยิ้มถามไปว่า

“นายน้อยหยาง ประเมินโปรเจคเสร็จสิ้นแล้วเหรอค่ะ? เป็นยังไงบ้าง พอใจกับผลการพัฒนาของบริษัทเรารึเปล่า?”

หยางหมิงรวนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้และกล่าวน้ำเสียงขรึมไปว่า

“ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนครับ? ยังกล้าถามอีกเหรอว่าผมพอใจไหม? เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันดีกว่า ตามสัญญาระบุไว้ว่าทางคุณต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนสามเท่า รีบๆ จ่ายค่าชดเชยมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องถึงศาลแน่นอน!”

ฟางนี่ตระหนักดีว่า คุณภาพของผลิตภัณฑ์บริษัทตนเองเป็นยังไง หยางหมิงตั้งใจหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่สนเลยว่าเกมที่พัฒนาออกมาจะดีแค่ไหน จุดหมายที่มาในวันนี้มาเพื่อเรียกร้องค่าชดเชย

ฟางนี่โต้หยางหมิงชนิดไม่มีเกรงกลัว เค้นน้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นว่า

“นายน้อยหยางจะอ้างสิทธิ์ชดเชยโดยไร้ซึ่งเหตุผลไม่ได้นะคะ ถ้าอยากจะได้ค่าชดเชยจริงๆ ทางคุณจำเป็นต้องระบุปัญหา และสิ่งที่ไม่พอใจมารายจุด ถ้ามาเรียกร้องทั้งๆ แบบนี้ ดิฉันเองก็สามารถฟ้องกลับได้นะคะ”

เนื่องจากหมางหมิงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับซอฟแวร์ ดังนั้นเขาจึงเรียกช่างเทคนิคข้าง ๆ มาตอบแทน นี่เป็นช่างเทคนิดที่หยางหมิงเลี้ยงดูมาอย่างดี ถึงในความเป็นจริงโปรเจคดังกล่าวแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลยก็จริง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยกปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาติเตียนได้อยู่ดี ทั้งยังทิ้งท้ายไปอีกว่า ผิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ พนักงานของบริษัทฟางนี่ไร้ประสิทธิภาพ

พอได้ยินว่าพวกหยางหมิงทำแบบประเมินเสร็จสิ้น และกำลังเจรจากับฟางนี่อยู่ในห้องทำงาน จางหยางและหวังเฉียงก็ตามเข้ามาฟังด้วย และได้ยินจังหวะที่ช่างเทคนิคของหยางหมิงกำลังระบุปัญหาพอดี

จางหยางและหวังเฉียงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องซอฟแวร์เท่าไหร่เช่นกัน แต่เท่าทีสังเกตจากท่าทางการแสดงออก คงไม่ได้กล่าวชมอยู่แน่นอน

จางหยางยังพอมีไหวพริบ จึงเร่งเข้ามาและพยายามแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทันที

“นายน้อยหยาง พูดตามตรงเลยนะครับ ผมว่าทางคุณจงใจหาเรื่องให้พวกเราจ่ายค่าชดเชยมากกว่า แม้บริษัทของเราจะสู้เฟยอวี่ กรุ๊ปไม่ได้เลยก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะมารังแกกันง่ายๆ แบบนี้นะครับ ผมไม่เชื่อว่าศาลจะตัดสินเรื่องนี้โดยฟังความของคุณแค่ฝ่ายเดียว”

สุ้มเสียงหัวเราะของหยางหมิงเปล่งดังขึ้นพร้อมท่าทีหยามเหยียดดูแคลน เขาไม่ได้หวาดกลัวฟางนี่แม้สักนิด แล้วนี่นับประสาอะไรกับหจางหยาง?

“คิดยังไงถึงกล้าขู่ผมแบบนี้? ทำไม? พอผมข่มขู่เมียคุณหน่อยถึงกับออกมาปกป้องแทน? ขอโทษนะครับ คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะสนทนากับผมด้วยซ้ำ

ต้องถูกทำให้อับอายต่อหน้าภรรยาและลูกน้องตัวเองแบบนี้ จางหยางผู้ซึ่งมองตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นเสมอ โดยธรรมชาตินี่ถือเป็นเรื่องอัปยศอย่างที่สุด

“คุณ…คุณ…นี่เราทำธุรกิจกันนะ ผมพัฒนาเกมให้คุณ ส่วนคุณก็จ่ายค่าตอบแทนกลับมา ผมไปขอเงินคุณตอนไหนถึงมีสิทธิ์มาดูถูกกันแบบนี้!”

“ฮ่าฮ่าๆๆ …อยากจะหัวเราะให้ตายแม่งไปข้างจริงๆ ! แค่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมก็สูงเหยียบหัวคุณมิดแล้ว คนชนชั้นล่างแบบคุณยังกล้าออกความคิดเห็นกับผมอีกงั้นเหรอ?”

หลังจากหยางหมิงพูดจบ ก็เหลือบหางตามองจางหยางด้วยสีหน้าสุดเย้ยหยัน ขาทั้งสองข้างยกขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงานเหยียดปลายเท้าใส่หน้าฟางนี่ด้วยท่าทีแสนหยิ่งผยอง

ความอัปยศอดสูเกินพรรณนานี้ มันเกินกว่าที่จางหยางจะรับได้ไหวแล้ว

“ไสหัวออกไป! นี่ยังไม่ถึงเวลาส่งมอบโปรเจคตามกำหนด! เมื่อถึงเวลานั้นถ้าคุณไม่พอใจก็ค่อยเจอกันในชั้นศาล! เราจะเอาผิดกับคุณให้ถึงที่สุด!!”

หยางหมิงคลี่ยิ้มกว้าง ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับค่อยๆ เย็นยะเยือกลง เขาวางขาลงจากโต๊ะ พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาโทรทันที

“พวกแก! เข้ามาได้เลย!”

ตอนที่118 ร้อยล้าน

จ้าวเฉียนกลับเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัว แม่ของเขาเอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า

“ใครโทรมางั้นเหรอ? เห็นออกไปคุยตั้งนาน หวานเจียงรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอบไปว่า

“แม่ชอบเธอจริงๆเหรอ?”

“ก็ไม่ได้ขนาดนั้น แค่คิดว่าเธอเหมาะสมที่สุดกับลูกแล้ว แล้วอีกอย่างการจะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจ้าวจะต้องมีหน้ามีตาทางสังคมด้วยเช่นกัน ต้องผ่านการประเมินอย่างเข้มงวด และอย่างน้อยที่สุดภูมิฐานครอบครัวของฝ่ายหญิงจะต้องขาวสะอาด เพราะไม่อย่างนั้นอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ตระกูลจ้าวของเราได้”

“เธอเป็นคุณหนูคนโตของฮวาหยิน กรุ๊ป ภูมิฐานครอบครัวจัดอยู่ในระดับดี แต่ผมได้ยินมาว่า เฟยอวี่ กรุ๊ปจับเธอให้มาแต่งงานกับทายาทของพวกเขา แต่เธอกลับปฏิเสธ”

“เฟยอวี่ กรุ๊ป? บริษัทกระจอกแบบนั้นนี่นะ? จะว่าไปแม่ได้ยินมาว่า ลูกชายเจ้าของเฟยอวี่ กรุ๊ปมีปัญหากับลูกหนิ? ทำไมไม่จ้างคนไปอุ้มฆ่ามันให้สิ้นเรื่องล่ะ?”

ไม่จำเป็นต้องถามถึง คนที่คาบข่าวเรื่องนี้มาบอกแม่จะต้องเป็นหยางหู่ไม่ก็จ้าวฝู่ พ่อของเขานั่นแหละ ที่นำเรื่องของหยางหมิงไปรายงานให้ฟัง

ท้ายที่สุดนี้จ้าวฝู่มีลูกชายแค่คนเดียว นั้นก็คือจ้าวเฉียน แม้ว่าเขาในฐานะผู้เป็นพ่อจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกชายได้ตลอดเวลา แต่เขาเองก็จำต้องรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับลูกชายของเขาเสมอ อย่างน้อยที่สุด ใครบ้างที่เป็นศัตรูกับลูกเขา จ้าวฝู่ต้องรู้จักทั้งหมด

จ้าวเฉียนตระหนักดีว่า เรื่องนี้ไม่อาจหลบซ่อนจากแม่ได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

ด้วยความสวยของอวีกุ้ยเฟิง ในอดีตเธอยังเคยได้ชื่อว่าเป็น‘ราชินีแห่งวงการธุรกิจ’ ไม่เพียงเรื่องความงามเท่านั้นที่ยืนหนึ่ง แต่เรื่องความโหดและเด็ดขาดของเธอเองก็ไม่แพ้เหล่าพญาเสือแห่งวงการนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเธอจะมาเป็นภรรยาของจ้าวฝู่ได้ยังไง? เธอกล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า

“จะให้เก็บทิ้งก็บอกได้ตลอด ถึงยังไงแม่กับพ่อก็ไม่เมินเฉยเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่าให้มันล้ำเส้นมามากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นแม่คงต้องเข้าไปแทรกแซงแล้วจัดการเองนะ ลูกก็รู้ดีว่า ถ้าถึงมือพ่อลงมาเอง ผลลัพธ์จะเป็นยังไง?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“ผมเข้าใจในความปรารถนาดีของแม่กับพ่อดีนะ แต่ปีนี้ผมก็อายุ24แล้ว มันถึงเวลาที่ต้องเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง ถ้าไม่ปล่อยให้ลองบิน แล้วลูกนกจะรู้จักวิธีบินได้ยังไง? ถ้าในอนาคตเกิดปัญหาขึ้นอีก ผมคงไม่ต้องเดินไปหาหน้าหลุมศพพ่อกับแม่ แล้วขอร้องให้ฟื้นมาช่วยเลยเหรอ?”

อวีกุ้ยเฟิงกลอกตาเล็กน้อยพร้อมเหลือบมองลูกชายของเธอ แต่สิ่งที่เขาพูดไปก็จริงเช่นกัน ยังไงสักวันทั้งพ่อและแม่ก็ต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้าก็เร็ว ถ้าลูกของเขาได้ลองเผชิญหน้ากับความลำบากตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ยังพอมีพ่อแม่คอยสนับสนุน ยังดีกว่าเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีตั้งแต่ตอนนี้ แล้วไปลำบากโดยไม่มีใครช่วยไม่อนาคต

หลังจากคุยกันอีกสักพัก ทั้งสองก็กลับบ้านไปพักผ่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนรีบไปบริษัททันทีหลังจากส่งแม่ของเขาขึ้นเครื่องเสร็จ พอเดินเข้ามาในออฟฟิศ เขาก็พลันได้ยินเสียงโวยวายลั่นมาจากในห้องประชุม เท่าทีฟังดูน่าจะเป็นเสียงตะโกนของหวานฉันซู อีกฝ่ายน่าจะมาที่นี่เพื่อร้องเรียนความยุติธรรม

จ้าวเฉียนครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ จากนั้นเขาก็เดินไปหาทันที หลังจากเคาะประตูอยู่หลายครา จางหยางก็เป็นเปิดประตูให้ ทันทีที่เห็นว่าเป็นจ้าวเฉียน สีหน้าการแสดงออกของจางหยางก็ฉายแววโมโหมาแต่ไกล

“มาสักทีเจ้าตัวดี! หวังว่าแกจะช่วยแก้ปัญหาได้นะ!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใจใดๆ ปริปากขึ้นกล่าวอย่างใจเย็นว่า

“ผู้จัดการจางมีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูกังวลใช่ย่อย? แล้วให้ผมแก้ปัญหาอะไรงั้นเหรอครับ?”

“ก็แหกตาดูส! ยังจะปัญหาอะไรอีก!!”

“อ่า…ตกลงครับ ผู้จัดการจางคงเหนื่อยแย่ ฮ่าฮ่า…”

จ้าวเฉียนเดินเข้าไปในห้องประชุมทันทีหลังพูดจบ ทางด้านหวานฮันซูก็จ้องเขม็งมาทางเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง สีหน้าของฟางนี่ในขณะนี้เองก็เลวร้ายไม่ต่าง แต่เธอไม่กล้าว่าจ้าวเฉียน เพราะเธอทราบดี บริษัทนี้ไปต่อไม่ได้แน่นอนถ้าไม่มีเขา

จ้าวเฉียนและหวานฮันซูจ้องหน้ากันสักครู่ใหญ่ ก่อนจะเป็นจ้าวเฉียนที่แสยะยิ้มคิกคัก เอ่ยปากแซะถามไปว่า

“ทำไมวันนี้คุณหวานถึงมาที่นี่ได้ครับ? คงว่างมากเลยใช่ไหม?”

น้ำเสียงหงุดหงิดดดังตอบจากปากหวานฮันซูทันทีว่า

“ก็มาเพื่อสืบสวนเรื่องนายนั่นแหละ! ฉันได้ยินมาว่านายต้องการหุ้น31%ของบริษัทนี้ จริงเหรอ?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

หวานฮันซูเดือดจัดตบโต๊ะเสียงดังปัง พร้อมลุกขึ้นพรวดในทันใด เขาตะคอกขึ้นว่า

“นี่แกรู้ไหมว่า ฉันมีสิทธิ์ถอดถอนสิทธิ์การถือหุ้นของแก! ฉันไม่เห็นด้วยที่แกจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทแห่งนี้!”

จ้าวเฉียนยังคงนั่งไขว้ห้างอย่างสบายอารมณ์ ราวกับกำลังนั่งชื่นชมสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ เอ่ยปากตอบโดยไม่มีท่าทีประหม่าใดๆไปว่า

“ถ้าจำไม่ผิด ประธานฟางบอกว่า คุณไม่ให้สิทธิ์ซื้อขายหุ้นส่วนกับเธอ?”

“ใช่! รู้แบบนี้แล้วยังจะหน้าด้านขอหุ้นส่วนไปอีกงั้นเหรอ?!”

“ฮ่าฮ่า….แล้วทำไมผมต้องขอคุณด้วยล่ะ? ประธานฟางใจดีโอนหุ้นจำนวน31%ให้ผมแบบฟรีๆ แถมยังเป็นส่วนของเธอเองไม่ใช่ส่วนของคุณ ดังนั้นคุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องนี้เช่นกัน คุณหวาน…นี่ไม่ได้เรียกว่าการซื้อขายนะครับ แต่เรียกว่าให้ด้วยความเสน่หา”

หวานฮันซูถึงกับชะงักไปสองสามอึดใจ ก่อนจะตะคอกใส่อีกระลอกว่า

“นี่แก…แกกล้าเล่นคำกับฉันงั้นเหรอ? ไร้ยางอาย!”

“คุณหวานพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ คุณเองก็ควรเคารพในสิทธิเสรีภาพของประธานฟาง ผมกู้บริษัทจากหายนะขึ้นมาได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นรางวัลที่ผมควรได้รับเช่นกัน คุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงนะครับ แล้วอย่ามาก้าวก่ายในส่วนหุ้น31%ของผมด้วย”

หวานฮันซูถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอจ้าวเฉียนกระหน่ำใส่มาชุดใหญ่ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้เลย เขาต้องทุ้มเงินกว่า20ล้านเพื่อเข้าซื้อหุ้น แต่จ้าวเฉียนกลับได้หุ้นส่วนจำนวน31%ไปแบบฟรีๆ? ดังนั้นเขาจึงคิดหาวิธีอื่นเพื่อจัดการกับจ้าวเฉียนทันที

“โอเค! ฉันเข้าใจแล้ว! แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ…นายต้องอัดฉีดเงินทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายอัตราส่วนของผู้ถือหุ้น ให้มากกว่า32%ขึ้นไป!”

ฟางนี่ส่ายหัวและตอบไปว่า

“ไม่! บริษัทฉันไม่สามารถขยายส่วนของผู้ถือหุ้นได้มากกว่านี้แล้ว! ไม่อย่างนั้นฉันจะสูญเสียคุณสมบัติประธานบริษัทไป!”

“ไม่! คุณให้ผม32% ส่วนเขา31% คิดได้เป็น63%จากทั้งหมด และคุณยังเหลือตั้ง37% ถึงจะขยายยังไงคุณก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ตราบเท่าที่คุณไม่โอนหุ้นให้ใครมัวซั่วอีกในอนาคต!”

ในความเป็นจริงจะเพิ่มขึ้นแค่1หรือ2% มันก็ไม่ได้กระทบกับเธอมากเท่าไหร่นัก แต่เพราะถ้ายอมรับข้อตกลงไป ก็ไม่ต่างอะไรกับหักหลังจ้าวเฉียนเลยเช่นกัน ได้หุ้นไปแล้วยังต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เขาจะไปจ่ายไหวได้ยังไง?

จ้าวเฉียนยิ้มตอบหวานฮันซูไปว่า

“คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าขยายขึ้นสัก2% กลับเป็นคุณเองที่ได้ผลประโยชน์ เอาแบบนี้แล้วกันถ้าอยากได้หุ้นส่วนเพิ่มมากนัก ผมจะขายให้ คำนวณจากกมูลค่าปัจจุบันของบริษัท 2%ผมขายให้ในราคา100ล้านล่ะกันครับ”

ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เปล่งดังออกมา ทุกคนก็แทบลุกขึ้นทันที หุ้นส่วนแค่2%มีมูลค่าตั้ง100ล้าน ถ้า100%มูลค่ารวมบริษัทไม่ปาเข้าไป5,000ล้านหยวนเลยเหรอ?

หวานฮันซูตบโต๊ะอีกรอบเสียงดังลั่น

“นี่แกเอาบ้าอะไรมาคำนวณ!”

เสียงหัวเราะดังลั่น จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปว่า

“ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายไหวก็ไม่ต้องถามครับ ถึงตอนนี้มูลค่าของบริษัทจะไม่มากนัก แต่ในไม่ช้าบริษัทนี้จะต้องพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น2%ในราคา100ล้านถือว่าคุ้มค่ามากครับ”

“นี่แกคิดว่าฉันโง่มากรึไง! 2%ท่ากับ100ล้าน ก็หมายความวามูลค่าโดยรวมของบริษัทจะสูงถึง5,000ล้านหยวน บริษัทเกมเล็กๆแบบนี้บริหารยังไงก็ไม่มีทางมีมูลค่าสูงขนาดนั้นได้ นอกจากต้องฟอกเงิน!”

“คุณไม่เชื่อก็ตามใจครับ ผมเองก็ไม่ได้ต้องการเงินจากคุณเช่นกัน”

หวานฮันซูรู้สึกได้ว่า ต่อปากต่อคำกับจ้าวเฉียนต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาจึงหันมาถามฟางนี่แทนว่า บริษัทนี้เป็นของเธอหรือเป็นของจ้าวเฉียนกันแน่ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงประธาน แต่ทำไมให้ลูกน้องมากดขี่ได้ถึงขนาดนี้?

ฟางนี่รู้สึกอับอายอย่างมากเมื่อได้ยิน แต่เธอก็ทราบดี บริษัทแห่งนี้อยู่ไม่ได้โดยปราศจากจ้าวเฉียน ถึงยังไงเธอก็จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเขา

ทว่าจางหยางไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย เขาจึงตอบแทนฟางนี่ทันทีว่า

“ชื่อบริษัทก็บอกอยู่ว่าเป็นของฟางนี่ ดังนั้นบริษัทแห่งนี้เธอสร้างมากับมือแน่นอน แล้วจะให้คนอื่นมาบงการได้ยังไง? ถ้านายอยากได้หุ้นส่วนเพิ่มจริงๆก็ต้องใช้เงินแหละนะ เอาอย่างงี้ดีกว่า2%ในราคาสิบล้านเป็นไง?”

“จางหยาง นี่เห็นฉันลงทุนในบริษัทของนายเพราะเห็นแก่เพื่อนงั้นเหรอ? ฉันเพิ่งลงทุนไป20ล้านเพื่อแลกกับ30% แต่ตอนนี้กลับมาเสนอขายหุ้น2%ในราคาตั้งสิบล้าน แกบ้าไปแล้วเหรอ?”

“ในเวลานั้นกับเวลานี้มันต่างกัน บริษัทของเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เรทราคาจึงแตกต่างกันออกไปน่ะ”

จ้าวเฉียนขี้เกียจมานั่งฟังสองคนนี้เถียงกันแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกจากห้องประชุมทันที ก่อนทิ้งท้ายไว้ว่า เรื่องจำนวนหุ้นส่วนของบริษัท ห้ามให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายบริษัทนี้ทิ้งด้วยมือเขาเอง

ประโยคนี้ที่จ้าวเฉียนกล่าวออกไปก็เพื่อเตือนใจฟางนี่ไม่ให้สับสน ตราบเท่าที่เขาเต็มใจ เพียงโทรกริ๊งเดียวจ้าวเฉียนก็สามารถทำให้บริษัทซิงหยวนถอนความร่วมมือออกไปได้ทันที และนั้นจะส่งผลให้บริษัทเกมฟางนี่ ตกสู่หายนะอีกครั้ง

จางหยางกับหวานฮันซูย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดโดยธรรมชาติ ทั้งคู่ถามสวนกลับไปทันทีว่า ที่พูดไปหมายความว่ายังไง? คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้รึเปล่า?

จ้าวเฉียนไม่ได้ให้ความสนใจใดๆต่อคำถามของพวกเขาเลย พร้อมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเก่ง เพื่ออ่านนิยายอย่างสบายใจเฉิ่ม

สุ้มเสียงฉกเฉียงยังคงดังลั่นภายในห้องประชุมอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะหยุดลงในท้ายที่สุด และเป็นหวานฮันซูที่เดินออกมาด้วยความเดือดจัด ปิดประตูห้องประชุมเสียงดังปัง ขณะเดินกลับเขาหันมามองจ้าวเฉียนด้วยสายตาสุดแสนจะดุร้ายและลงลิฟต์ไปโดยตรง

คล้อยหลังไม่นานนัก จางหยางก็เดินมาหาจ้าวเฉียนที่โต๊ะทำงานและโยนเอกสารปึกหนึ่งลงต่อหน้า

“จ้าวเฉียน นายพูดเองใช่ไหมว่า บริษัทของเราจะเติบโตจนมีมูลค่ากว่าหลายพันล้าน? อาศัยแค่พึ่งพาซิงหยวนเพียงบริษัทเดียวเองงั้นเหรอ? เห็นได้ชัดว่าเราไม่มีทางประสบความสำเร็จไปถึงจุดนั้นได้เลย เราต้องการดิลกับคู่ค้ารายใหม่ เอกสารชุดนี้คือข้อมูลบริษัทที่ฉันอยากให้นายไปดิลด้วย นี่เป็นหน้าที่ของนายแล้ว ถ้าทำไม่ได้เตรียมรับโทษและลาออกไปได้เลย”

จ้าวเฉียนไม่ได้มองเอกสารปึกหนาตรงหน้าด้วยซ้ำ แค่ยิ้มตอบไปว่า

“ไม่มีปัญหาครับ”

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนมุมปากของจางหยาง เขาเอ่ยถามขึ้นว่า

“ยังไม่ได้เปิดอ่านด้วยซ้ำว่าเป็นบริษัทไหน แล้วนายมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”

จ้าวเฉียนสะบัดปอยผมเล็กน้อย เอ่ยตอบไปว่า

“แน่นอนครับ มั่นใจมาก”

“ฮ่าฮ่า…หวังว่าจะทำได้อย่างที่พูด!”

จางหยางเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์บนมุมปาก

ตอนที่117 ลงมือในนามของหลิวเปา

ดั่งคำว่า หมาสู้ฟัด คงจะเป็นเรื่องจริง อาศัยแรงสนับสนุนของหวันเจี้ยง โดยธรรมชาติแล้ว เซียวลี่ไม่จำเป็นตองกลัวจ้าวเฉียนหรือคนพวกนี้เลย เขาได้กำลังมาจากเงินปันผลร้านค้าเป็นจำนวนหลายล้านทุกปี ดังนั้นเซียวลี่ย้อมคิดว่าตัวเองใหญ่พอ

“มึงกล้าสู้มือพวกกู เตรียมตัวตายได้เลย! ไม่ว่าร้านนี้จะมีอะไรก็ตาม แต่ตำรวจไม่มีทางปิดร้านได้แน่!”

จ้าวเฉียนไม่ได้หมาดกลัวเขาแม้สักนิด เอ่ยตอบทันทีว่า

“โอ๊ะ? ดูมั่นใจดีนะ แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่า คุณจะมีเส้นสายขนาดนั้น ลูกพี่ลูกน้องของคุณเตรียมติดคุกได้เลย”

“ฮ่าฮ่า…มึงคอยดูได้เลย!”

เซียวลี่พยักหน้าให้หวันเจี้ยงและทั้งสองก็เดินกลับไปที่ห้องทำงานของหวันเจี้ยง เพื่อไปปรึกษาหาแผนการรับมือกันต่อไป

“คุณหวันต้องแก้แค้นให้ลูกพี่ผม ร้านของเขาสามารถทำกำไรได้ปีละไม่ต่ำกว่าหลายล้าน ถ้าถูกปิดไปท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ของพวกไม่เหลือแน่”

ดวงตาคู่นั้นของหวันเจี้ยงเผยแววเหยียบเย็นสาดสะท้อนวูบวาบ เขากล่าวขึ้นว่า

“จะให้ฉันทำอะไรล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า…ยังต้องให้ผมพูดอีกเหรอ? คุณหวันต้องไปเยี่ยมผู้อำนวยการเฉิงสักรอบหนึ่ง หลังเลิกงาน เรื่องใหญ่จะได้กลายมาเป็นเรื่องเล็ก ทีนี้ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ของเราก็ยังคงอยู่”

หวันเจี้ยนแสยะยิ้มกล่าวตอบไปว่า

“ไอ้สารเลวนั่น ฉันจะสั่งสอนมันเองว่าเล่นด้วยผิดคนแล้ว!”

“ไม่ต้องห่วง ผมจัดการกับพวกมันเอง ฮ่าฮ่า…”

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนก็กำลังปลอบแม่ของเขาให้อารมณ์เย็นลง จะหัวเสียกับเรื่องเล็กๆน้อยๆรั้งแต่จะเสียแวลาเปล่า แต่อวีกุ้ยเฟิงโกรธเป็นอย่างมาก เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ให้เย็นลงได้เลย

สิ่งที่จ้าวเฉียนเป็นกังวลที่สุดคือ แม่จะใช้เส้นสายของตระกูลจ้าวจัดการเรื่องทั้งหมดลงในคราเดียว แต่ถ้าทำแบบนั้น ทุกคนในเมืองตงไห่ได้รู้กันหมดพอดีว่า จ้าวเฉียนแท้จริงแล้วเป็นใคร เขาจึงขอให้หวานเจียงและคนอื่นๆกลับไปก่อน ส่วนตนจะพาแม่กลับบ้านไปเอง

ทันทีที่ถึงบ้าน อวีกุ้ยเฟิงก็เดือดจัดจนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมกดโทรหา CEOของบริษัทซินหงจิน เรียลอีสเตอร์ในบัดดล เพื่อสั่งให้อีกฝ่ายลงดาบไอ้พวกมีตาหามีแววไม่เหล่านั้นให้สิ้นซาก

จ้าวเฉียนรีบวิ่งเข้ามานวดไหล่ คลึงขมับคุณแม่โดยไวหวังให้เธอผ่อนคลายลงบ้าง พร้อมกับพูดเกลี้ยกล่อมไปว่า

“โถ่วคุณแม่สุดที่รัก ผมจะล้านแค้นพวกมันเองนะไม่ต้องห่วง ตอนนี้แม่ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักไม่ใช่เหรอ? ถ้าทุกคนในเมืองตงไห่รู้ว่าผมเป็นใคร มีหวังโดนจับเรียกค่าไถ่ขึ้นมาจะทำยังไง?”

“หยุด! ไม่ต้องพูดแล้ว!”

“ถ้าแม่เปิดเผยตัวตนของพวกเราออกมา สิ่งที่ผมคาดเดาไว้ทั้งหมดจะเป็นความจริงนะแม่ สังคมสมัยนี้ผู้คนยากจนแร้นแค้น ทำมาหากินยังไงก็ไม่ขึ้น เรียกได้ว่าสิ้นหวังกันหมดแล้ว บางทีอาจทำอะไรที่เหนือความคาดหมายก็ได้ อย่างเช่นการลักพาตัว หวังหาเงินทางลัด หรือวางเพลิงคฤหาสน์หลังนี้เพราะอาฆาตแค้นคนรวย อะไรก็เกิดขึ้นได้นะแม่ในเศรษฐกิจแบบนี้!”

สิ่งที่อวีกุ้ยเฟิงเป็นห่วงที่สุดมาเป็นอันดับหนึ่งเลยก็คือ ความปลอดภัยของลูกชายตัวเอง พอได้ฟังแบบนั้นเธอก็พยักหน้ารับฟังแต่โดยดี และสัญญาว่าจะไม่โทรไปสั่งCEOบริษัท ซินหงจิน อีก ซึ่งจ้าวเฉียนก็ยืนยันคำเดิมว่าจะแก้แค้นคนพวกนั้นแทนแม่ของเขาให้จงได้

จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวว่า

“ผมจะจัดการพวกมันให้หนัก แม่ไม่ต้องห่วงนะ”

“อืม พรุ่งนี้แม่จะกลับหยานจิ้งแล้ว มีอะไรจะฝากบอกพ่อไหม?”

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่ฝากบอกให้เขาสัญญาสุภาพ มั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ แล้วไม่ต้องห่วงผมนะ จ้าวเฉียนคนนี้จะต้องทำได้ดีกว่าพ่อแน่นอน!”

“ฮ่าฮ่า…แม่จะบอกพ่อตามที่ลูกฝากให้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นแม่นอนพักอยู่บ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะออกไปเลือกของขวัญให้พ่อสักชิ้นไปฝากหน่อย”

อวีกุ้ยเฟิงพยักหน้าและขึ้นไปนอนชั้นบน

ส่วนจ้าวเฉียนก็รีบออกไปเลือกของขวัญให้พ่อ หลังจากซื้อเสร็จเขาก็โทรหาหยางหู่

“เสี่ยวหู่ ฝากนายไปทักทายตำรวจที่โรงพักเขตหน่อยสิ กำชับคนในนั้นด้วยว่า ชายที่ชื่อเชิงเซี่ยง อย่าปล่อยหมอนั่นออกมาง่ายๆ แล้วลงโทษมันให้หนัก”

“เข้าใจแล้วครับ ให้ผมจัดการนอกรอบอีกทีไหม?”

“ไม่ต้อง ถึงเวลาฉันแค่อยากรู้ว่าตำรวจจะจัดการยังไงกับมัน ถ้าผลเป็นที่น่าพอใจนายก็ไม่ต้องเคลื่อนไหว แต่ถ้าไม่ก็ลากมันไปกระทืบสักวันสองวัน แล้วอีกอย่าง ไปสืบเรื่องของรองผู้จัดการทั่วไปของห้างตงไห่ อินเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซ็นเตอร์ที่ชื่อ หวันเจี้ยงมา กับคนที่ชื่อเซียวลี่ เห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ขออย่างเร็วที่สุด ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ยิ่งดี”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะส่งคนไปตรวจสอบทันที คุณชายจ้าวต้องการอะไรอีกไหมครับ?”

จ้าวเฉียนลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า

“อย่าลืมตามเรื่องมือสังหารที่ตามล่าหยางหมิงด้วย ไม่ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ พวกเราจะต้องจับมันส่งตำรวจโดยเร็วเช่นกัน”

“เข้าใจแล้วครับ”

“โอเค ขอให้โชคดี”

“โชคดีเช่นกันครับคุณชายจ้าว”

ขณะที่จ้าวเฉียนวางสายไป และกำลังขับรถกลับบ้าน จู่ๆหวานเจียงก็โทรหาเขา

“ฮาโหล นายกำลังทำอะไรอยู่?”

“ถ้าบอกว่ากำลังคิดถึงเธอ เธอจะเชื่อไหม?”

“เหอะ เชื่อก็บ้าแล้ว แม่นายอารมณ์ดีขึ้นรึยัง?”

“โอ้ว ถึงขนาดเป็นห่วงแม่ฉันแล้วเหรอ? ตอนนี้ตกหลุมรักฉันจริงๆแล้วใช่ไหมล่ะ?”

หวานเจียงกลอกตาพลันมองบนโดยไม่ตั้งใจ เธอไม่คิดจะอ้อมค้อมและเอ่ยถามจ้าวเฉียนไปตามตรงว่า

“นี่นายเป็นใครกันแน่? พอสังเกตจากบุคลิกนิสัยของแม่นายที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ขนาดนั้นในหนึ่งวัน บอกตรงๆนะ ครอบครัวของนายเป็นมหาเศรษฐีใช่ไหม?”

“ฮ่าฮ่า….ที่จริงแล้วแม่ของฉันไม่รู้จึกสินค้าแบรนด์เนมด้วยซ้ำ! ไม่เห็นเธอใส่เสื้อผ้าเหรอ มีแบรนด์ที่ไหน? ทุกหยวนที่ฉันทำงานหาเงินมาก็ให้แม่หมดนั้นแหละ รวมๆแค่ไม่กี่ล้านเอง นั้นก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ของฉันจึงดูเหมือนรวย”

“นี่นายพูดจริงเหรอ?”

“แน่นอนสิ! ถ้าครอบครัวของฉันดีเลิศแบบครอบครัวเธอจริง ฉันคงกลับบ้านไปรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวแล้ว ทำไมต้องออกมาทำงานหลังขดหลังแข็งแบบนี้จริงไหม?”

หวานเจียงที่ได้ฟังดังนั้นก็พลันคล้อยตาม สิ่งที่จ้าวเฉียนอธิบายไปก็สมเหตุสมผลดี แต่ถึงยังไง เธอก็รู้สึกแปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าจ้าวเฉียนกำลังปกปิดเรื่องอะไรบางอย่างกับเธออยู่?

หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนก็รีบกลับบ้าน พรุ่งนี้แม่ของเขาก็จะกลับแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากพาเธอไปดินเนอร์มื้อหรูในตอนดึก ทั้งคู่เดินทางมาถึงโรงแรมตงไห่อีกครา

ระหว่างรับประทานอาหารไปได้ครึ่งทาง หยางหู่ก็โทรมาหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรีบเดินละออกจากโต๊ะอาหารและรับสายถามหยางหู่ไปว่ามีอะไรรึเปล่า

“คุณชายจ้าว มือสังหารที่ว่าคนนั้นหมดพิษสงแล้ว หยางเฉิงจ้างบอดดี้การ์ดมาหลายสิบเพื่อปกป้องหยางหมิงโดยเฉพาะ ทำให้ภารกิจของมือสังหารล้มเหลว ตอนนี้ถูกจับส่งโรงพักเรียบร้อยแล้วครับ”

“ฮ่าฮ่า…นับว่าหยางหมิงยังโชคดีอยู่บ้าง คราวนี้ปล่อยให้มันรอดไปก่อน แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่ มันถึงขั้นจ้างมือสังหารสี่คนมารุมฉัน อืม…เอาแบบนี้แล้วกัน พอมือสังหารถูกจับตัวไปบอดี้การ์ดที่จ้างมาคงแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ใช้จังหวะนี้จับตัวหยางหมิงมาเรียกค่าไถ่หน่อยดีกว่า เรียกสัก20ล้านพอ ถ้าไม่ยอมก็ขู่มันว่าจะจับถ่วงหินโยนทิ้งแม่น้ำ เตรียมทรมานก่อนตายได้เลย”

“ไม่มีปัญหาครับ เพียงว่าแผนนี้จะจัดการยากนิดหน่อย เพราะก่อนหน้าแก๊งของหลิวเปาเพิ่งลักพาตัวหยางเฉิงไปเอง ตอนนี้เราจำต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ตำรวจคงให้ความสำคัญกับตระกูลหยางมากกว่าปกติ ถ้าพลี่พลามลงมือ อาจเป็นฝ่ายเราที่ตกที่นั่งลำบาก”

“เหอะ เหอะ มีอะไรต้องกลัว? ลงมือทุกอย่างในนามหลิวเปาก็จบ”

“ฮ่าฮ่า…เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบลงมือเลย!”

“ดีมาก”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็วางสายและออกไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินกลับมาหยางหมิงก็โทรเข้ามา

จ้าวเฉียนกดรับสายและเอ่ยทักทายขึ้นว่า

“นายน้อยหยางมีอะไรหรือเปล่าครับ? ไม่ได้เจอกันแค่แปปเดียว ผมเริ่มคิดถึงคุณอีกแล้ว”

“คิดถึงกับผีสิ! จ้าวเฉียน! ครั้งนี้แกทำได้แสบมาก! ใช้เงิน100ล้านซื้อตัวให้มันกลับมาฆ่าฉันงั้นเหรอ! โชคยังดีที่พ่อฉันค่อนข้างมองการณ์ไกล และจ้างบอดี้การ์ดมาเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว! ฮ่าฮ่าๆ…คงคาดไม่ถึงสินะว่าแผนการของแกจะล้มเหลว!”

“นายน้อยหยางหมายความว่ายังไงเหรอครับ? ผมเห็นเข้าใจอะไรเลย?”

“อย่าแกล้งตีหน้าซื่อ! ฉันจะจดจำแค้นครั้งนี้ไว้ แล้วเราสองคนจะได้เห็นดีกัน!”

“นายน้อยหยางส่งคนมาฆ่าผมแท้ๆ ตอนนี้ยังจะแค้นอะไรกันอีก? ถ้าไม่มีอะไรแล้ว แค่นนี้นะครับผมกำลังดินเนอร์กับเสี่ยวเจียวตัวน้อยของผมอยู่ จากนั้นก็ไปโรงแรม…”

“แก…”

“กร๊ากกกๆๆ…”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะดังสนั่นด้วยความสะใจ เขารู้อยู่แล้วว่าหยางหมิงจะไม่เลิกตามราวีแน่นอน ดังนั้นจึงสั่งการหยางหู่ให้เคลื่อนไหวเตรียมไว้แล้ว

หยางหมิงเขวี้ยงมือถือในมือทิ้งด้วยความขมขื่น เขาอัดเสียงไว้ตั้งแต่เริ่มการโทรเพื่อหาหลักฐานว่า จ้าวเฉียนจ้างคนมาฆ่าคตน แค่ถึงอย่างไรจ้าวเฉียนก็ไม่หลุดออกมาสักคำ

ตอนที่116 ถ้าไม่มีเงินก็แก้ปัญหาไม่ได้

ผู้จัดการร้านเอ่ยถามจ้าวเฉียนพร้อมท่าทางสุดเย่อหยิ่งว่า

“พ่อหนุ่ม ยังมีไม้ไหนอีก? ลองเพิ่มเงินดูไหม! ฮ่าฮ่า…ผมอยากรู้จริงๆ ว่าหน้าอย่างคุณจะเพิ่มได้อีกสักเท่าไหร่เชียว!”

ที่จริงแล้ว เสี่ยวหงเองก็เก็บงำความไม่พอใจต่อวิธีการของผู้จัดการร้านฝังใจใช่เล่น และเธอก็ต้องการเงินหนึ่งล้านก้อนนี้มาก แต่เธอก็กังวลว่า ในอนาคตตนจะเป็นดั่ง ‘ดอกไม้ไร้ชีวิต’ ที่ไม่สามารถมีความสุขกับเงินตรงหน้าได้ และสักวันก็ต้องหมดไป ส่วนบรรดาพนักงานสาวคนอื่นๆ ต่างแอบโล่งใจอยู่ลึกๆ เพราะถ้าหากเสี่ยวหงไม่ย้ายฝังกลับมาแบบนี้ พวกเธอเองก็จะตกที่นั่งลำบากเช่นกัน

จ้าวเฉียนไม่พูดไม่จาหรือแสดงสีหน้าใดๆ ออกมาแม้สักนิด พร้อมเซ็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านอีกหนึ่งใบมาวางทับ เท่ากับมีเช็คราคาสองล้านวางไว้อยู่บนเคาน์เตอร์

“ใครก็ตามที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่ผมได้ และให้การณ์กับตำรวจได้ เอาไปเลยสองล้านหยวน ด้วยเงินก้อนนี้พวกเธอสามารถหอบกลับยังบ้านเกิด ปลูกบ้านหลังโตและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับครัวครอบไปทั้งชีวิต โดยไม่ต้องทำงานทำการด้วยซ้ำ หรือถ้าใครกลัวว่านี่เป็นเช็คปลอม ผมให้โอกาสพวกคุณโทรตรวจสอบกับธนาคารได้เลย”

ทันทีที่เห็นเงินสองล้านวางไว้อยู่ตรงหน้า ทุกคนรวมไปถึงผู้จัดการร้านแทบเสียศูนย์ และเป็นเสี่ยวหงเช่นเคยที่วิ่งไปคว้าเช็คทั้งสองใบนั้นไว้ในกำมือได้ก่อน

“ฉัน…ฉันพิสูจน์ได้ว่าเขามีความผิด! คุณรีบโทรแจ้งตำรวจเลย แล้วฉันจะพูดทุกอย่าง! ฉันมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าผู้จัดการทำสิ่งผิดกฎหมาย!”

ผู้จัดการที่ได้ยินแบบนั้นก็กรนด่าสาปแช่งด้วยความโกรธ

“นังสารเลว! มึงต้องให้กูจัดการจริงๆ ใช่ไหม?! รีบกลับมานี่ กลับมาหากูก่อนจะไม่ให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง! ถ้าไม่มึงจบไม่สวยแน่!”

เสี่ยวหงใจสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว แต่พอมองไปที่เช็คมูลค่าสองล้านภายในมือ เธอจึงกัดฟันแน่นยอมเผชิญหน้ากับสิ่งตรงหน้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วตอนนี้

“เชิงเซี่ยง คุณอย่ามาขู่ฉันให้กลัวเลย ยอมรับมันเถอะว่าคุณไม่เคยซื่อสัตย์กับลูกค้าเลยสักครั้ง ต่อให้ลูกพี่ลูกน้องคุณจะใหญ่โตแค่นั้น ก็ไม่มีทางใหญ่ไปกว่ากฎหมายได้! แม้แต่ตำรวจก็ช่วยคุณไม่ได้เช่นกัน!”

ผู้จัดการหนุ่มแว่นคนนี้ชื่อว่า เชิงเชี่ยง เขาตะโกนลั่นด่าสาปส่งไม่หยุด และเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขานามว่าเซียวลี่ที่กล่าวขึ้นว่า

“เสี่ยวหง เธอรู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่? ร้านนี้ฉันเองก็มีหุ้นส่วนนะอย่าลืม ทั้งฉันทั้งเชิงเชี่ยงสามารถเอาผิดเธอได้หลังจากนี้ เธอได้ติดคุกหัวโตแน่ข้อหาใส่ความให้ร้านของพวกฉันเสียหาย! กับอีกแค่เงินสองล้าน ฉันขอดูหน่อยว่ามันจะช่วยเธอได้ไหม!?”

จ้าวเฉียนขี้เกียจเสวนากับสองพี่น้องคู่นี้แล้ว จึงต่อสายโทรแจ้งตำรวจต่อทันที

เสี่ยวหงก้มศีรษะครุ่นวิตกอย่างหรัก จับจ้องเช็คสองใบในมือ ภายในใจของเธอรู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้แล้วว่าเธอควรทำยังไงต่อไป

ท่าทางการแสดงออกของเซียวลี่ยังคงนิ่งสงบอย่างยิ่ง เขาดูไม่เกรงกลัวเลยสักนิดที่จ้าวเฉียนโทรแจ้งตำรวจ

เขาหยิบมือถือออกมาเช่นกันและโทรไปหาหวันเจี้ยนที่เป็นรองผู้จัดการทั่วไปของห้างแห่งนี้ เพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยขอให้อีกฝ่ายช่วยประสานงานกับทางตำรวจเช่นกัน

หวันเจี้ยนตอบตกลงทันที

“ไม่มีปัญหา ฉันช่วยแกแน่นอน เดี๋ยวจะประสานงานกับตำรวจที่บูธหน้าห้างให้ เรื่องนี้จัดการได้สบายมาก”

“ขอบคุณมากครับคุณหวัน เดี๋ยวเดือนนี้ผมจ่ายเงินปันผลไปให้เพิ่ม! อิอิ…”

“ฮ่าฮ่าๆ … ดีมากน้องชาย ดีมากน้องชาย…”

เซียวลี่วางสายโทรศัพท์เดินกลับเข้ามาอย่างมีชัย เขายกมือส่งสัญญาณโอเคให้กับทางผู้จัดการร้าน เพื่อแสดงให้รู้ว่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมากังวลอะไรอีกแล้ว

ด้วยความเชื่อมั่นในตัวลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เชิงเซี่ยงยิ่งหยิ่งผยองเป็นเท่าตัว เขาหันมาตะคอกใส่เสี่ยวหงด้วยน้ำเสียงดุดันว่า

“มึงเตรียมตัวตายได้เลย! กูจะทำให้มึงหางานไม่ได้ไปตลอดชีวิต! กล้าทรยศกูต้องสั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าผลที่ได้จะเป็นยังไง!”

เสี่ยวหงวิตกกังวลจนเกินจะทานทน เธอระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมาทันที รีบขอโทษขอโผยเชิงเซี่ยงว่า

“บอส หนูขอโทษ หนูขอโทษจริงๆ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่หนูมันเยอะขนาดไหน เงินสองล้านก้อนนี้มันสำคัญต่อชีวิตพวกท่านมาก อย่างน้อยที่สุดไม่พ่อก็แม่ คนใดคนหนึ่งอาจได้รับโอกาสปลูกถ่ายไตใหม่ เห็นแก่หนูที่ทำงานหนักมาตลอดห้าปีเถอะค่ะ ปล่อยหนูไปเถอะ ฮือ..ฮือ….”

เชิงเซี่ยงยิ้มเยาะและตอกกลับไปว่า เขาจะเหยียบเธอลงดินไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีกตลอดไปเลย ซึ่งในเวลานั้นเอง ก็มีนายตำรวจแก่นายหนึ่งวิ่งเข้ามา ดูจากยศแล้วน่าจะเป็นสารวัตรของสถานที่ตำรวจแห่งนี้ อายุเกือบห้าสิบปีแล้ว เขาเอ่ยถามทันทีว่า

“ใครกันที่โทรหาตำรวจ?”

จ้าวเฉียนยกมือขึ้นเพื่อระบุว่าเป็นตน จากนั้นก็เริ่มอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นให้แก่ตำรวจนายนั้นได้ฟัง เชิงเซี่ยงไม่รอช้า กล่าวแทรกขึ้นทันทีพร้อมตำหนิว่าจ้าวเฉียนและพวกของมันขโมยของ แล้วยังใช้เงินฟาดหัวพนักงานของเขาอีก

นายตำรวจแก่คนนั้นหันมาถามจ้าวเฉียนว่า เขามีหลักฐานอะไรเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือไม่ จะได้พ้นข้อกล่าวหาของอีกฝ่าย ถ้าขโมยของจริงคงต้องนำตัวไปสอบปากคำต่อที่สถานีตำรวจ

จ้าวเฉียนหันไปมองเสี่ยวหงและถามขึ้นว่า

“ตอนนี้ถึงหน้าที่เธอแล้ว พูดทุกอย่างที่รู้ให้ตำรวจฟังและเป็นอิสระจากวงจรอุบาทว์นี่ หรือจะปิดปากเงียบแล้วทนอยู่ที่นี่ต่อไป?”

เสี่ยวหงดูลังเลใจอย่างมาก แถมยังมีเชิงเซี่ยงยืนพูดข่มขู่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง

“เสี่ยวหง เธอคิดให้ดีก่อนจะพูดอะไรออกไปนะ ตอนนี้มีตำรวจอยู่ตรงหน้า ถ้าพูดอะไรไร้สาระออกไป เธอจะต้องแบกรับผลที่ตามมา!”

เสี่ยวหงมองไปที่เช็คในมือเธอ คิดถึงตอนที่พ่อแม่ต้องนั่งฟอกไตอย่างทุกข์ทรมาน เธอต้องเห็นภาพเหตุการณ์สะเทือนใจแบบนี้แทบทุกวัน และเธอไม่สามารถทนเห็นพ่อแม่เจ็บปวดได้อีกต่อไปแล้ว

คิดได้ดังนั้น เธอกำมือแน่นเงยหน้ากล่าวกบัตำรวจทันทีว่า

“คุณตำรวจค่ะ ฉันสามารถเป็นพยานได้ค่ะ เชิงเซี่ยงหลอกขายของปลอมและชอบใส่ร้ายลูกค้าเพื่อเรียกค่าชดเชยในราคาที่สูง รายนี้เองก็เช่นกัน พอเห็นว่าคุณป้าแต่งตัวดูมีภูมิฐาน เขาจึงสั่งให้รองผู้จัดการร้านแอบยัดผ้าพันคอลงในกระเป๋า และใส่ร้ายว่าคุณป้าเป็นคนขโมยไปค่ะ!”

เชิงเซี่ยงโมโหอย่างมากเมื่อได้ยิน เขาพุ่งตัวไปหวังที่จะกระชากร่างของเสี่ยวหงกลับมาทันที แต่คิดหรือว่านี่จะสามารถหลบสายตาประดุจเหยี่ยวของจ้าวเฉียนได้ทัน เขาใช้มือรวบเอวเสี่ยวหงและดึงเธอมากอดในอ้อมแขนโดยตรง พร้อมใช้มืออีกข้างผลักเชิงเซี่ยงจนกระเด็นออกไป

จ้าวเฉียนกล่าวตำหนิขึ้นทันที

“คิดทำร้ายพยานต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยเหรอ? กล้าดีหนิ! คิดว่าตัวเองใหญ่โตจนกฎหมายทำอะไรไม่ได้เลยรึไง?”

เชิงเซี่ยงโต้กลับไปว่า

“นี่มันพนักงานร้านฉัน มึงเกี่ยวอะไรด้วย? กูแค่จะสั่งสอนพนักงานของกู! สัญญาว่าจ้างของเธอยังมีอายุอีกสองปี ดังนั้นกูที่เป็นเจ้านายย่อมมีสิทธิ์ในตัวลูกจ้าง! มึงนั่นแหละมาเสือกอะไรด้วยวะ?”

เสี่ยวหงเพิ่งนึกได้ว่า เธอยังเหลือสัญญาว่าจ้างกับเชิงเซี่ยง และถ้าหากเธอฉีกสัญญาลาออกอยู่ฝ่ายเดียว ทางเชิงเซี่ยงเองก็มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย ได้สูงสุดไม่เกิน200,000หยวน แล้วเธอเองก็ไม่เต็มใจเท่าไหร่นักที่ต้องจ่ายเงินให้อีกฝ่ายไปฟรีๆ

พอเห็นว่าเสี่ยวหงเริ่มวิตกจริตอีกครั้ง จ้าวเฉียนก็รีบปลอบประโลมเธอทันที

“อย่าไปกลัวคนพวกนี้เลย ถ้าเธอมั่นใจว่า อีกฝ่ายทำสิ่งผิดกฎหมายแน่นอน สัญญาว่าจ้างงานก็จะกลายมาเป็นโมฆะเช่นกัน ตราบเท่าที่เธอมีหลักฐานเพียงพอ มันจะไม่สามารถเอาอะไรจากเธอไปได้ แม้กระทั่งอนาคตอันสดใสของเธอเช่นกัน!”

เสี่ยวหงพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาทันที

“ฉันมีคลิปวีดีโอหลายอันเลยที่จะเอาผิดเขาได้ ลองเปิดดูเลยค่ะคุณตำรวจ”

ตำรวจนายนั้นหยิบมือถือของเธอขึ้นมาละเปิดดูทีละคลิปอย่างละเอียด

คลิปวีดีโอเหล่านั้นมีทั้งคลิปแสดงสต็อกสินค้าของปลอม รวมไปถึงคลิปตอนที่เชิงเซี่ยวสั่งลูกน้องให้แอบเอาสินค้าในร้านไปยัดให้ลูกค้า เพื่อเรียกค่าเสียหาย รวมไปถึงบัญชีรายรับรายจ่ายปลอมเวลายื่นส่งภาษี และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งนี่มันก็มากเกินพอแล้วที่จะเอาผิดเชิงเซี่ยง พอตำรวจแก่นายนั่นดูจบก็ส่งสัญญาให้ตำรวจนายอื่นๆ เข้าจับกุมเชิงเซี่ยงทันที

“เชิงเซี่ยง คุณมีความผิดหลายข้อหาเลยนะ เราจะนำตัวไปสอบสวนอีกครั้งที่โรงพัก และส่งคนมาตรวจสอบร้านค้าของคุณอีกที มีอะไรค่อยไปสู้กันในชั้นศาลแล้วกัน พวกนาย! รีบกุมตัวเขาออกไป!”

เซียวลี่เห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว เขาจึงรีบโทรไปหารองผู้จัดการทั่วไปของห้างทันที

“คุณหวัน นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตำรวจจับตัวลูกพี่ไปแล้ว! แถมยังโดนคดีร้ายแรง ร้านโดนสั่งปิดแน่นอนถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป!”

“อะไรนะ? ไอ้พวกตำรวจโง่มันทำบ้าอะไรของมัน! รอฉันอยู่ตรงนั้นแหละ! เดี๋ยวฉันจะโทรหาผู้กำกับของพวกมันเอง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

ตำรวจแก่คนนั้นและที่เหลือนำตัวเชิงเซี่ยงออกมา และสั่งปิดร้านชั่วคราวทันที ขณะที่กำลังจะไปโรงพัก หวันเจี้ยงก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาและถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมต้องนำตัวอีกฝ่ายไปด้วย?”

ตำรวจแก่นายนั่นอธิบายกับหวันเจี้ยงทันที ทั้งยังเตือนไปอีกว่า ถามมีข้อสงสัยใดๆ ค่อยไปว่ากันที่โรงพักเขต

“เหอะ เหอะ ฉันรู้จักกับผู้กำกับเฉิน หัวหน้านาย ทำไมถึงยังทำตัวมีปัญหาอีกห่ะ?”

นายตำรวจแก่คนนั้นแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาทันที เขาตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ผมเป็นตำรวจมีหน้าที่ปกป้องประชาชน ผมจะใช้อำนาจที่มีมอบความยุติธรรมแก่ทุกคนที่บริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่คุณกล่าวไปมันหมายความว่ายังไง? รู้จักกับผู้กำกับเฉินของเรามันหมายความว่าคุณสามารถทำผิดกฎหมายได้อย่างงั้นเหรอ? หวันเจี้ยน คุณรู้จักอายตัวเองซะบ้าง ตำแหน่งก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่กลับทำตัวน่าอับอาย ทุกคนกำลังเฝ้ามองนายอยู่ นี่จะไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ห้างเลยรึไง? คุณควรคำนึงถึงเรื่องนี้บ้าง”

“นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของนาย! ถ้ายังกล้าจับเขาไปโรงพักก็เชิญ แต่เตรียมตัวโดนทัณฑ์บนได้เลย!”

ตำรวจแก่เค้นเสียงเย็นคำโตอัดหน้าหวันเจี้ยน และยกมือส่งสัญญาญให้ลูกน้องตำรวจคนอื่นๆ คุมตัวเชิงเซี่ยงออกไป

เชิงเซี่ยงในเวลานี้รู้สึกวิตกกังวลอย่างยิ่ง เขาตะโกนร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากลูกพี่ลูกน้องทั้งหลาย

“น้องเซียว พี่หวัน…ช่วยผมด้วย…ช่วยผมด้วย…”

เซียวลี่รีบกล่วาปลอบทันที

“ลูกพี่ไม่ต้องกลัว พี่บริสุทธิ์อยู่แล้ว ตำรวจจะต้องมอบความยุติธรรมแก่พี่แน่นอน!”

เชิงเซี่ยงที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดออกไปแบบนั้น แทบจะด่าสวนกลับไป บริสุทธิ์ห่าอะไรล่ะ? หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้!

ทันทีที่ตำรวจจากออกไป เซียวลี่ก็ปั้นหน้ามืดขรึม และเดินตรงไปหาจ้าวเฉียนด้วยความโกรธจัด

ตอนที่115 ลูกพี่ลูกน้อง

ผู้จัดการร้านเริ่มหวั่นวิตกรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด แต่ผู้ช่วยผู้จัดการร้านรีบมากระซิบข้างหูทันทีว่า

“อย่าไปฟังมันโม้ค่ะผู้จัดการ เด็กหนุ่มอายุแค่นี้จะไปใช้เงินหลักล้านจริงๆ ได้ยังไง? ดิฉันว่ามันขู่เพื่อให้พนักงานของเรากลัวเท่านั้น”

ผู้จัดการร้านระเบิดหัวเราะลั่นทันที และตอบผู้ช่วยไปว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันแผนสูง แต่น่าเสียดายที่ผู้ช่วยของเขารู้ทัน และอีกอย่างเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกลัวด้วย เพราะตัวผู้จัดการเองก็พอมีเส้นสายในแวดวงธุรกิจอยู่บ้าง

ผู้จัดการ้านรู้สึกมั่นใจขึ้นมากและหันไปกล่าวเย้ยจ้าวเฉียนว่า

“พ่อหนุ่ม แค่สมุดเช็คเล่มเดียวใครๆ ก็หาซื้อมาเขียนเล่นได้ เราไม่ใช่เด็กนะที่จะมาหลอกให้กลัวกับเรื่องแค่นี้ แล้วอีกอย่างพนักงานทุกคนของร้านแห่งนี้ถือคติความซื่อสัตย์ อย่ามายัดเหยียดให้พนักงานคนอื่นลำบากใจโดยเปล่าเลย คุณเป็นแม่เขาแท้ๆ สั่งสอนลูกตัวเองยังไงให้โกหกคนอื่นแบบนี้ เขียนเช็คเป็นล้านมาเที่ยวหลอกคนอื่นไปทั่ว ไม่ต้องเช็คก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอม หรือสันดานมันเป็นทั้งแม่ทั้งลูกกันครับ?”

จ้าวเฉียนเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยนิสัยของแม่กับพวกหวานเจียงไม่มีทางขโมยของแน่นอน นับประสาอะไรกับแค่ผ้าพันคอ? ตอนนี้เขามั่นใจแน่แล้วว่า ร้านนี้จะต้องโกงพวกเธอเพื่อขู่รีดเงินค่าชดเชยแน่นอน ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงยังยืนยันคำเดิม เลื่อนเช็คมูลค่าหนึ่งล้านตรงหน้าออกไป และกล่าวย้ำว่า

“ตาดีได้ตาร้ายเสีย จะเช็คหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้ว ใครสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ให้แม่ผมได้ เอาเช็คใบนี้ไปขึ้นเงินได้เลย”

เห็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านพร้อมลายเซ็นยินยอมต่อหน้าทุกคน พนักงานเหล่านั้นถึงกับนั่งไม่ติดก้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังหวาดกลัวว่า การทำแบบนี้จะทำให้เจ้านายของพวกเขาเกลียดขี้หน้าได้

เมื่อเห็นว่าพนักงานแต่ละคนเริ่มอกสั่นขวัญหาย จ้าวเฉียนก็ยังกล่าวปลอบพร้อมวาดฝันอนาคตอันสดใสมอบให้แก่พวกเขาต่อว่า

“ด้วยเงินจำนวนหนึ่งล้านตรงหน้า พวกคุณสามารถเปิดร้านและกลายมาเป็นนายตัวเองได้เลยนะ ทำไมต้องก้มหัวทำงานหนักให้คนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้อะไรเลยล่ะ? โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียว ถ้าพลาดไปแล้วก็คงต้องก้มหน้าทำงานใต้เท้าคนอื่นไปตลอดชีวิต”

พอได้ยินจ้าวเฉียนพูดแบบนั้น กลับมีพนักงานสาวคนหนึ่งวิ่งไปคว้าเช็คใบนั้นและไปหลบอยู่หลังจ้าวเฉียนทันที ทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายให้ผู้จัดการร้านอีกว่า

“ผู้จัดการค่ะ ดิฉันเองก็ไม่ค่อยพอใจกับวิธีหลอกเงินลูกค้ามาอยู่แล้ว หนูจะเป็นคนเปิดเผยทุกอย่างเอง!”

สีหน้าการแสดงออกของผู้จัดการคนนั้นมืดทมิฬลงทันใด

“แน่ใจแล้วเหรอ? เธอยังมีภาระค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ที่ต้องรับผิดชอบตลอดทั้งปีอีกนะ แน่ใจเหรอว่าจะเอาชีวิตพ่อแม่ของเธอแลกกับเงินแค่ล้านเดียว? เป็นเช็คจริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย?”

“ผู้จัดการ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าถ้าไม่มีเงินล้านก้อนนี้ ดิฉันก็จะเผิดเผยเรื่องของคุณในไม่ช้าอยู่ดี ตอนนี้ดิฉันไม่สามารถทนกับการทำงานแบบนี้ได้ไหวอีกแล้ว! ต้องขอโทษพวกเธอทุกคนด้วยนะ ฉันรู้ว่านี่มันไม่ส่งผลดีสำหรับพวกเธอ แต่ยังไงความก็ต้องแตกในไม่ช้าอยู่แล้ว!”

ผู้จัดการรีบกล่าวให้เธอใจเย็นลงทันที เพราะเขาทราบดีว่าตนไม่สามารถปล่อยพนักงานที่เก็บความลับของทางร้านไว้เยอะขนาดนี้ได้

“เสี่ยวหง เธอจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน เอาอย่างงี้แล้วกัน ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้เธอเอง เอ่ออ…ให้ทุกคนเป็นสองเท่าเลย! ด้วยรายได้ที่มั่นคงแบบนี้ ไม่เพียงจะช่วยจ่ายหนี้สินที่ค้างชำระกับทางโรงพยาบาลได้เท่านั้น แต่เธอยังเหลือเงินเก็บไว้ในอนาคตอีกนะ ไม่ดีกว่าเหรอ?”

เสียงหัวเราะจ้าวเฉียนดังขึ้น เขาเอ่ยถามเสี่ยวหงไปว่า

“พ่อแม่ของเธอป่วยเป็นอะไร? รักษาอยู่โรงบาลไหน?”

เสี่ยวหงทราบดีว่า คนที่สามารถเขียนเช็คใบละล้านได้โดยไม่เสียดายแม้แต่น้อยแบบนี้ เขาไมใช่คนธรรมดาแน่นอน บางทีชายหนุ่มคนนี้อาจจะมีเส้นสายกับทางโรงพยาบาลอยู่บ้าง เธอกล่าวตอบทันทีว่า

“ต้องฟอกไตเป็นประจำในโรงพยาบาลน่ะค่ะ เป็นโรงพยาบาลรัฐในเมือง”

“โรงพยาบาลรัฐประจำเมืองนี้หรือเปล่า?”

“ใช่ค่ะ!”

“ฮ่าฮ่า…งั้นไม่ต้องห่วงเลย ฉันรู้จักกับคณบดีของโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นพอดี หลังจากจบเรื่องนี้เดี๋ยวฉันต้องแวะไปทักทายเขาหน่อย แล้วจะฝากเคสของพ่อแม่เธอให้เป็นผู้ป่วยระดับพิเศษเอง บางทีอาจจะได้ส่วนลดค่ารักษามาบ้าง ว่าไงดีไหม? หรือถ้าพ่อแม่ของเธอต้องการปลูกถ่ายไตใหม่ ฉันจะลองไปคุยกับคณบดีคนนั้นให้เอง ทั้งหมดฉันจัดการให้เอง ส่วนเธอไม่ต้องออกเงินสักสตางค์”

เสี่ยวหงไม่ลังเลและตอบตกลงกับจ้าวเฉียนทันที

“เข้าใจแล้วค่ะ คุณโทรหาตำรวจได้เลยตอนนี้ แล้วฉันจะอธิบายทุกอย่างให้ทางตำรวจฟังเอง อย่างไรก็ตามฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งค่ะ คุณต้องพาฉันออกจากร้านแห่งนี้ รวมไปถึงช่วยจัดการเรื่องค่าฉีกสัญญาว่าจ้างให้ด้วย”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างไร้กังวล และตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้องห่วง ถ้าเธอพูดทุกอย่างที่ควรพูดออกไปให้กับทางตำรวจ เธอถือเป็นผู้มีบุญคุณกับฉัน และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอเอง”

พนักงานทุกคนต่างจับจ้องมาทางจ้าวเฉียน เคียงประดับคู่กับแววแสงสุดหม่นหมองในสายตา มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเธอกำลังหวาดกลัวอยู่

ผู้จัดการร้านรีบเกลี้ยกล่องเสียงอ่อนทันทีว่า

“พ่อหนุ่มสุดหล่อ ทำไมถึงต้องจริงจังถึงขั้นนั้นด้วย? ผมคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น ดูจากภูมิฐานคุณกับแม่ของคุณแล้ว ต่อให้ตาบอดก็รู้ว่าร่ำรวยแค่ไหน จะไปขโมยของที่ร้านได้ยังไงจริงไหมครับ? ผมจะทำการตรวจสอบพนักงานพวกนี้เองว่า มีใครแกล้งคุณแม่ของสุดหล่อหรือเปล่า เรื่องนี้ผมจัดการเองครับไม่ต้องห่วง”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเย็นยะเยือกพร้อมกล่าวว่า

“มันสายไปแล้วที่จะแก้ตัว ผมเขียนเช็คออกไปแล้ว ไม่รับตีคืนครับ”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือโทรแจ้งตำรวจทันที

ผู้จัดการร้านคนนั้นโกรธมาก จึงโอกาสจังหวะทีเผลอพุ่งตัวออกไป หวังฉกโทรศัพท์ในมือจ้าวเฉียน

ปฏิกิริยาจ้าวเฉียนเองก็ไวใช่ย่อย แววตาปราดวาบแสงเย็นสะท้อนนัยน์ตาจับจ้อง พร้อมเหลียวตัวหลบเลี่ยงจากฝ่ามือของผู้จัดการคนนั้นได้อย่างว่องไว

“นี่คุณกำลังทำบ้าอะไร? คิดจะปล้นกันต่อหน้าสาธารณชนเลยงึไง?”

“ไอ้เวร! มึงต้อนให้กูจนมุมเองนะ ถ้าหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นก็โทษความดื้อด้านของตัวเองเถอะ!”

“โอ๊ะ? ข่มขู่กันเหรอครับ? เพิ่มข้อหาอีกสักกระทงดีไหม?”

“อย่าทำตัวอวดดีให้มากนะมึง! ลูกพี่ลูกน้องกูเป็นผรอผู้จัดการทั่วไปของห้างแห่งนี้! ถ้ามึงกล้ายั่วโมโหกู เรื่องไม่จบแค่นี้แน่นอน!”

สิ่งที่พูดจัดการร้านพล่ามออกไปล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจ้าวเฉียนโดยธรรมชาติ แต่สำหรับอวีกุ้ยเฟิง เธอจะไม่ทนแน่นอนที่มีเดนมนุษย์มาด่าลูกชายเธอแบบนี้

“ก็แค่รองผู้จัดการห้างกระจอก คิดว่าตัวเองใหญ่มากแล้วรึไง?”

ผู้จัดการร้านตอบกลับด้วยความมั่นใจว่า

“กูไม่จำเป็นต้องต่อปากต่อคำกับพวกมึงแล้ว! พวกมึงรู้ไหมว่าห้างแห่งนี้เป็นของบริษัทไหน? ที่นี่เป็นทรัพย์สินของบริษัทซินหงจิง เรียลอีสเตอร์นะเว้ย! คิดหรือว่าตำรวจจะเข้าข้างพวกมึง? เดี๋ยวเจอลูกพี่ลูกน้องกูเล่นงานแน่!”

และก็เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน มีคนรู้จักของรองผู้จัดการห้างเดินผ่านหน้าร้ามาพอดี แลเห็นภายในทะเลาะกันเสียงดังก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“อ้าวลูกพี่ มีอะไรหรือเปล่า?”

พอผู้จัดการร้านเห็นว่าเจอคนรู้จักก็รีบยกมือขึ้นทักทายทันที และบ่นระหว่างเดินไปหาว่า

“น้องพี่ อีแก่นี่กับลูกของมันแอบขโมยผ้าพันคอในร้านน่ะสิ แถมพอเรียกค่าชดเชยก็ไม่ยอมจ่าย ยิ่งบไปกว่านั้นลูกชายของป้านั่นยังใช้วิธีสกปรก ซื้อตัวลูกน้องฉันด้วยเงินหนึ่งล้านหยวน กะให้มาใส่ร้ายและเอาผิดฉัน! นายไปตามคนมาเดี๋ยวนี้เลย!”

ทันทีที่อวีกุ้ยเฟิงได้ยินว่า ไอ้หนุ่มแว่นสี่ตาเรียกเธอว่า อีแก่ เธอก็อารมณ์ขึ้นทันที

“ไอ้แว่น! แกเรียกใครอีแก่ห๊ะ?!!”

“ฮ่าฮ่า…แล้วใครแก่สุดในนี้ล่ะ?”

“แก…ฉันจะฉีกปากแกไอ้แว่น!!”

อวีกุ้ยเฟิงอยากจะพุ่งไปซัดหน้าผู้จัดการสักหมัดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่เธอกลับถูกจ้าวเฉียนหยุดไว้เสียก่อน

“แม่ไม่ได้บอกเองเหรอว่า จะปล่อยให้ผมจัดการ? รอดูเงียบๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อน เดี๋ยวรอดูอะไรสนุกๆ ได้เลย โอเคไหม?”

อวีกุ้ยเฟิงเค้นเสียงหึด้วยความโกรธจัด ก่อนจะพยักหน้ากลับไปยืนเงียบๆ ที่ด้านหนึ่ง

ลูกพี่ลูกน้องคนของผู้จัดการร้านเหลือบมองมาทางจ้าวเฉียน พร้อมสีหน้าและแววตาอันแสนดูถูก เขากล่าวยิ้มแย้มขึ้นว่า

“ที่นี่มันห้างหรูที่สุดภายในเมืองตงไห่ของเรา ไม่ต้องห่วง มีสถานที่ตำรวจประจำอยู่ในบูธหน้าห้าง ดังนั้นไม่ต้องใจร้อนไปเลยลูกพี่”

จ้าวเฉียนขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับไอ้พวกไร้สาระ จึงหันกลับมากล่าวกับเสี่ยวหงว่า

“เธอแน่ใจนะว่ามีหลักฐานมัดตัวเขา?”

เสี่ยวหงเริ่มลังเลแล้วในขณะนี้ ใครมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งกว่าย่อมมีชัย ลูกพี่ลูกน้องของผู้จัดการร้านเป็นถึงรองผู้จัดการห้างแห่งนี้ ซึ่งห้างแห่งนี้ดป็นทรัพย์สินของบริษัท ซินหงจิน เรียลอีสเตอร์ ถ้าเธอยังช่วยจ้าวเฉียนต่อไป นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอที่เป็นเพียงหญิงสาวตัวน้อยๆ กำลังยั่วยุบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่หรอกเหรอ?

เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว เสี่ยวหงก็ตีดสินใจได้แล้วว่า ถ้ายังเข้าข้างจ้าวเฉียนต่อไป เรื่องนี้จบไม่สวยแน่นอน

เสี่ยวหงวางเช็คคืนลงบนเคาน์เตอร์และรีบเดินกลับไปหาผู้จัดการ เธอกล่าวว่า

“ฉัน…ฉันไม่มีหลักฐานหรอก แค่อยากโกรธคุณเฉยๆ ว่าเช็คเป็นของจริงหรือเปล่า ฉันว่า…ฉันไม่เสี่ยงดีกว่า คุณก็สู้ๆ นะคะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ …”

ผู้จัดการระเบิดหัวเราะยั่น ในความเห็นของเขา ถ้าฝ่ายจ้าวเฉียนไม่มีเสี่ยวหง มันก็ไม่มีพิษสงอีกต่อไป

ตอนที่114 ผิดพลาด

ถึงแบบนั้นในตรอกซอกซอยแบบนี้ก็ยังอยู่ในห้าง ดังนั้นจึงมีผู้คนเดินผ่านไปมาไม่เหมาะเท่าไหร่สำหรับการพูดคุย จ้าวเฉียนจึงพาชายหัวโล้นไปนั่งร้านกาแฟในระแงกใกล้เคียงแทน

เลือกที่นั่งหัวมุมลึกสุดของร้าน ทั้งสองนั่งประจำที่ กลับเป็นชายหัวโล้นที่นั่งลังเลอยู่สักครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณหาผมเจอได้ยังไง?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า

“พอดีแฟนฉันชอบถ่ายเซลฟี่น่ะ แล้วไปเห็นนายในรูปถ่ายเข้าโดยบังเอิญ”

“เอ่อ…พวกเธอทั้งหมดนั่นคือแฟนคุณงั้นเหรอครับ?”

“ใช่แล้ว แต่คนที่ยืนคุยด้วยตลอดคือแม่ฉันเอง พาพวกเธอมาเจอผู้ปกครองสักหน่อย ฮ่าฮ่า…”

“สุดยอด! หล่อเหล่าไม่พอ ยังมีพลังเหลือล้น! แล้วคุณทำยังไงให้พวกเธอไม่ตีกันเหรอครับ? เผื่อผมจะเอาเคล็บลับไปใช้บ้าง”

จ้าวเฉียนไม่พูดพล่ำทำเพลง ใช้มือขวาควักเงินที่ถอนออกมาและนั่งนับให้ดูกันแบบต่อหน้า พลางกพูดขึ้นว่า

“เคล็ดลับอย่างงั้นน่ะเหรอ…ก็เงินนี่ไง! มีเงินก็ทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ คิดว่าไม่จริงเหรอ?”

“จริงแท้แน่นอนครับ! คนเราจะสามารถทำอะไรก็ได้ถามมีเงิน! ผมเองก็อยากใช้ชีวิตแบบคนรวยดูสักครั้งเหมือนกันครับ! จะว่าไปแล้ว…เรื่องเงินร้อยล้านที่คุณให้สัญญาเอาไว้ ยัง…เหมือนเดิมใช่ไหมครับ?”

“แน่นอน แต่ฉันได้ยินมาว่าเพื่อนของนายอีกสามคนถูกจับแล้ว ถ้าเป็นอย่างงี้นายยังปฏิบัติภารกิจตามที่ฉันสั่งได้อยู่อีกเหรอ?”

“แน่นอนครับ ยังทำได้แน่นอนครับ! ไอ้เวรหยางหมิงมันทำให้พี่น้องร่วมสาบานของผมถูกจับ แค้นนี้ต่อให้คุณไม่บอกผมก็ต้องชำระอยู่แล้วครับ! เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ผมไม่เอา100ล้านก็ได้ครับ ขอแค่50ล้านและคุณช่วยล้างประวัติผมให้ขาวสะอาดก็พอ!”

“ตราบเท่าที่นายทำให้ฉันพอใจได้ ฉันเองก็จะจ่ายในราคาที่นายพอใจเช่นกัน เอาล่ะ ฉันต้องรีบไปแล้ว ถ้าถูกแอบถ่ายในเวลานี้ พวกเราคงบำลากแน่”

“เอ่อ…คุณชายครับ ผม…ผมขอเงินสักก้อนใช้ก่อนได้ไหมครับ ผม…ไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว”

จ้าวเฉียนวางเงินปึกใหญ่ทั้งหมดในมือลงบนโต๊ะ และจากออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชายหัวโล้นรีบหยิบเงินปึกนั้นใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองและจากออกไปเช่นกัน

กลับมาที่รถของเขา จ้าวเฉียยส่งข้อความหาหวานเจียงถามถึงแม่ตัวเองว่าเป็นยังไงบ้าง ด้านเธอก็ส่งภาพเซลฟี่กลับมาให้เขาดู เห็นแบบนั้นก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยด้วยความอุ่นใจ ก่อนจะส่งภาพเซลฟี่ของหวานเจียงก่อนหน้าให้หยางหู่ พร้อมโทรประกบทันที

“ฮาโหล เสี่ยวหู่ เห็นรูปที่ฉันส่งไปไหม?”

“เห็นแล้วครับคุณชายจ้าว ให้ผมไปลักพาตัวผู้หญิงในภาพมาใช่ไหม?”

“ฮ่าฮ่า…ไม่ใช่ ไม่ใช่! นายเห็นผู้ชายหัวโล้นที่อยู่ด้านหลังเธอไหม?”

“สักครู่นะครับ ขอผมซูมดูหน่อย”

หยางหู่เปิดรูปดังกล่าวและขยายซูมดูชายหัวโล้นที่อยู่ด้านหลังหวานเจียง จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า

“คุณชายจ้าว ผมเห็นแล้วครับ ชายหัวโล้นคนนี้คือใครกันครับ?”

“หยางหมิงจ้างมือสังหารมาเก็บฉัน แต่เดิมมีกันสี่คนแต่ถูกตำรวจจับไปแล้วสาม เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่ยังหนีรอดออกมาได้ ฉันให้สัญญากับเขาไว้ว่า จะให้เงิน100ล้านถ้าหมอนั่นสามารถจัดการหยางหมิงได้ แต่ยังไงก็ตาม ที่ฉันสั่งไปแบบนั้นก็เพื่อซื้อเวลาควบคุมไม่ให้มันมาลอบกัดฉันได้ นายช่วยจับเขาส่งตำรวจที”

“เข้าใจแล้วครับ”

“อืม แล้วหมอนี่เป็นมือสังหารมีประสบการณ์ บอกลูกน้องนายให้ระวังตัวเป็นพิเศษด้วยล่ะ”

“คุณชายจ้าวไม่ต้องกังวลครับ ผมจะส่งลูกน้องที่เคยประจำอยู่หน่วยรบพิเศษออกไปจัดการโดยเฉพาะเลยครับ มือสังหารแล้วยังไง? มีหรือจะสู้อดีตทหารสังกัดหน่วยรบพิเศษได้?”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงท่าทางอารมณ์ดีและกดวางสายไป จากนั้นก็ขับรถกลับเข้าคฤหาสน์โดยเร็ว

แต่ยังไม่ทันจะขับออกพ้นที่จอดรถ แม่ของเขาก็โทรหาทันมด

“ฮาโหลลูก ตอนนี้แม่ยังอยู่ที่เดิม ร้านชุดไฮไว่ชั้นสาม รีบมาแม่เดี๋ยวนี้เลย!”

พอได้ยินน้ำเสียงของแม่ก็ดูท่าจะไม่พอใจอย่างมาก จ้าวเฉียนรีบถอยรถกลับไปจอดที่เดิมทันที และรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสาม

ในไม่ช้า จ้าวเฉียนก็พบแม่และคนอื่นๆกำลังยืนเถียงกับพนักงานร้านคนหนึ่ง

จ้าวเฉียนรีบวิ่งไปหาและดึงแขนแม่ออกมาถามว่า

“แม่เป็นอะไรไหม? ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านกันอีก?  แล้วมายืนเถียงอะไรอยู่แถวนี้?”

อวีกุ้ยเฟิงเดือดจัดเกินกว่าจะพูดออกมาได้ และเป็นหยวนมี่ที่รีบอธิบายให้ฟังแทน

“พวกเรากำลังจะกลับแล้ว แต่ขณะเดินผ่านร้านนี้คุณป้าก็อยากซื้อผ้าพันคอขึ้นมา เลยแวะเข้าไปเลือกดูหน่อย แต่พอไม่มีชิ้นไหนถูกใจเลยเดินออกมา แต่ทันทีที่เดินออกสัญญากันขโมยก็ดังขึ้น ไม่รู้ว่าใครเป็นคนยัดผ้าพันคอผืนนี้ลงในกระเป๋าของคุณป้า พนักงานพวกนี้เลยโบยว่า พวกเราขโมยของ แถมยังให้เราต้องจ่ายค่าชดเชยอีก ยังไงพวกเราก็ไม่คิดที่จะขโมยอยู่แล้ว ทำไมเราจ้องยอมจ่ายกับเรื่องที่เราไม่ผิดด้วยล่ะ?”

ทันทีที่พูดจบ ผู้ช่วยเจ้าของร้านก็เถียงกลับทันทีว่า

“ระวังคำพูดตัวเองหน่อยนะคะ จับได้คาหนังคาเขาว่าพวกคุณขโมยของจากในร้านไปชัดๆ แถมยังทำผ้าพันคอชำรุดอีก ตามกฎของทางร้านต้องจ่ายค่าเสียหายมาค่ะ”

“ถ้าขโมยของแล้วไม่ยอมชดใช้ ทางเราจะโทรแจ้งตำรวจ!”

อวีกุ้ยเฟิงโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ เธอคะตอกขึ้นลั่นว่า

“แล้วฉันจะขโมยผ้าพันคอเกรดต่ำแบบนี้ไปทำไม? ถ้าฉันต้องการจริงๆ ฉันสามารถซื้อกิจการของร้านนี้เลยก็ยังได้!”

ผู้ช่วยเจ้าของร้านยกมือขึ้นมาป้องปากทันทีและหัวเราะคิกคักไม่หยุด

“นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดตั้งแต่ฉันเคยได้ยินมาเลยค่ะ คุณป้าปากเก่งจังนะคะ หวังว่าจะเก่งพอเมื่ออยู่ต่อหน้าตำรวจ!”

“ถึงพวกเราจะไม่รู้ว่าคุณป้าใส่เสื้อผ้ายี่ห้ออะไร แต่เนื้อผ้าก็สวยดีนะคะ ดูจากภูมิฐานไม่น่าจะยากจนนะ แต่ทำไมถึงทำตัวต่ำทรามแบบนี้กัน?”

อวีกุ้ยเฟิงเอ่ยตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ฉันพูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่ได้ขโมยของ! ฉันขอเตือนพวกเธอเอาไว้อย่างนะ อย่าทำให้ฉันหงุดหงิด ไม่อย่างนั้นอนาคตพวกเธอไม่มีงานทำแน่!”

พอเห็นแม่ตัวเองกำลังจะหลุดปาก เปิดเผยตัวตนออกมา จ้าวเฉียนก็โมโหอย่างมาก เขาเดินเข้าไปตบไหล่แม่และบอกว่าเดี๋ยวเขาจะจัดการเอง

“ผมว่าแม่เกลือกกลั้วกับคนพวกนี้มากไปแล้วครับ ให้ผมจัดการต่อเองดีกว่า”

“ไม่! ถ้าวันนี้ไม่ได้สั่งสอนพวกนี่ซะบ้าง คงนอนไม่หลับแน่นอน!”

“ดี งั้นผมจะสั่งสอนให้คนพวกนั้นเข็ดหลาบเอง สบายใจได้”

“โอเค! ตราบเท่าที่ลูกทำระบายอารมณ์แทนแม่ได้ก็เอาให้เต็มที่!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบและกอดแม่เข้ามาในอ้อมแขน พลางเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับบรรดาพนักงานและผู้ช่วยผู้จัดการที่ยังกล่าวดูถูกดูแคลนไม่หยุดประดับคู่กับสายตาสุดน่ารังเกียจ

จ้าวเฉียนไม่สนใจพวกมดปลวกเหล่านี้อยู่แล้ว จึงถามหาผู้จัดการโดยตรง

“ใครคือผู้จัดการร้านนี้?”

ในขณะนั้นเองก็ปรากฏชายสวมแว่นเดินออกมา ถึงแม้เขาจะยิ้มให้แต่รอยยิ้มนั้นต่างทำให้ผู้คนชวนรู้สึกอึดอัดอย่างมาก

“ฉันเองเจ้าของร้าน พ่อหนุ่มมีอะไรรึเปล่า?”

จ้าวเฉียนไม่อยากทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก จึงเอ่ยถามไปตรงๆว่า

“เนื่องจากคนของคุณยืนยันว่า แม่ของผมขโมยของจากทางร้านไป ถ้าอย่างนั้นขอตรวจสอบกล้องวงจนปิดหน่อยได้ไหม?”

“ฮ่าฮ่า…เสียใจด้วยนะพ่อหนุ่ม บังเอิญว่ากล้องวงจรปิดของทางร้านเสียพอดี แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็มีพยานรู้เห็นตั้งมากมาย คงตรวจสอบได้ไม่ยากว่าใครผิดใครถูก”

จ้องพินิจไปยังชายสี่ตาท่าทีสุภาพต่อหน้า จ้าวเฉียนคาดเดาได้ทันทีว่า เจ้าหมอนี่แหละคือตัวการของแผนชั่วทั้งหมด

อย่างไรก็ตามแต่ มาพบกับจ้าวเฉียนในวันนื้ถือเป็นโชคร้ายสำหรับเขาอย่างแท้จริง

จ้าวเฉียนกล่าวตอบพลางหัวเราะขึ้นว่า

“ถ้าจะเอาแบบนี้ผมคงไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายพูดกับคุณแล้ว ต้องการอะไร?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า….พ่อหนุ่มเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? ฝ่ายที่ต้องถามกลับเป็นผมมากกว่า ทั้งหมดเป็นของผิดของแท่คุณเอง ควรจะแสดงคำขอโทษหรือทำอะไรสักอย่างที่ดูมีความรับผิดชอบกว่านี้นะครับ?”

“หุหุ…หมายความว่าจะให้ผมรับผิดชอบให้ได้ว่างั้น? ต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”

ชายหนุ่มสี่ตายังคงคลี่ยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มและตอบไปว่า

“ค่าชดใช้เท่ากับสามเท่าของราคาสินค้าที่ขโมยไป ถ้าไม่รีบจ่ายมาผมจะโทรแจ้งตำรวจทันที”

ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนเหยียบเย็นชั่วขณะ เขาหยิบสมุดเช็คขึ้นมาและเซ็นเช็คใบหนึ่งมูลค่าหนึ่งล้าน วางกระแทกเคาน์เตอร์พนักงานอย่างแรง และกล่าวกับบรรดาพนักงานร้านว่า

“ผมมีคำนิยามประจำใจอยู่เสมอ เงินสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง! ใครก็ตามที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่ผมได้ หยิบเช็คหนึ่งล้านใบนี้ไปขึ้นเงินได้เลย หรือจะโทรเช็คกับธนาคารก่อนก็ได้ผมไม่ว่า!”

พอป่าวประกาศออกไปแบบนั้นบรรยากาศร้านพลันเงียบสงัดลงทันที แม้ที่แห่งนี้จะเป็นร้านขายเสื้อผ้าหรู แต่พนักงานร้านก็มีรายได้ต่อปีประมาณ100,000หยวนเท่านั้น เช็คหนึ่งล้านใบนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้พนักงานเหล่านี้สุขสบายไปหลายปี ทางด้านผู้จัดการร้านเองก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นอีกฝ่ายตีดสินใจแบบนี้ เขานึกไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฉียนจะมาไม้นี้ ซื้อตัวพนักงานเพื่อให้มาทรยศเขา!

ตอนที่113 มือสังหารหัวโล้น

จ้าวเฉียนพาแม่และสาวๆไปที่ห้าง ตงไห่ อินเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซ็นเตอร์ สถานที่แห่งนี้คือศูนย์รวมแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับภาพลักษณ์ของอวีกุ้ยเฟิง

ทันทีที่เดินผ่านประตูเก็ตห้างเข้าไป อวีกุ้ยเฟิงก็ประเดิมเอ่ยปากกล่าวกับทั้งสามสาวทันทีว่า

“ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆเลย ฉันอยากจะใส่คอลเลคชั่นฤดูร้อนสักหน่อย พวกเธอสามคนช่วยไปเลือกชุดให้ฉันที”

หวานเจียงและอีกสองสาวถึงกับผงะในทันใด จ้าวเฉียนไม่ได้บอกว่ามาเป็นเพื่อนช็อปปิ้งให้แม่ของเขาหรอกเหรอ? แล้วทำไมต้องมาเป็นลูกมือช่วยแม่เขาเลือกแทน?

จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีว่า

“แม่กำลังทำอะไรอยู่น่ะ? ทำไมถึงไปใช้พวกเธอ?”

อวีกุ้ยเฟิงตอบไปอย่างไม่แยแสว่า

“ใช้อะไรกัน? แม่ก็แค่คิดว่า หนุ่มสาวสมัยนี้รู้เรื่องแฟชั่นดีกว่า ก็เลือกอยากเปิดรับความคิดของพวกเธอ แล้วก็มาเลือกชุดให้แม่เฉยๆ อืมม…ขอคอลเลคชั่นฤดูร้อนนะ เน้นใส่สบายเรียบหรู หวังว่าคงไม่ลำบากพวกเธอมากเกินไปนะ?”

หงซิ่วกับหยวนมี่แทบจะเอ่ยตอบเป็นเสียงเดียวกันทันทีว่าไม่มีปัญหา พวกเธอสามารถตระเวนหาชุดที่แม่ของจ้าวเฉียนต้องการได้ทันที แต่อย่างไรท่าทีการแสดงออกของหวานเจียงกลับค่อนข้างแข็งกระด้าง ทว่าในกรณีนี้เธอทำได้เพียงตามน้ำเอ่ยปากเห็นด้วยตามคำกล่าวของหยวนมี่กับหงซิ่ว

อวีกุ้ยเฟิงปรบมือดีใจ เธอเอ่ยตอบไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น จ้าวเฉียนกับฉันจะรออยู่ที่นี่นะ หลังจากเลือกได้แล้วก็เอาบัตรฉันไปรูดกันได้ตามสะดวกเลย ส่วนรหัสผ่านเป็นวันเดือนปีเกิดของจ้าวเฉียนเขานะ”

จากนั้นอวีกุ้ยเฟิงก็แจกจ่ายเครดิตการ์ดให้แก่ทั้งสามสาวโดยตรง

จ้าวเฉียนกล่าวแทรกขึ้นทันทีว่า

“นี่แม่ทำอะไรกันเนี่ย? ไหนบอกว่าอยากเดินช็อปปิ้ง? แล้วไปใช้พวกเธอทำไม?”

อวี่กุ้ยเฟิงคลี่ยิ้มตอบว่า

“ลูกเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ พอถึงเวลาก็ต้องแต่งงานหาภรรยา ดังนั้นแล้วก็ต้องหาคนที่สามารถออกไปเดินช็อปปิ้งกับแม่ได้ แถมอีกอย่างนะ ลูกที่สามารถชวนสาวๆเหล่านี้ออกมาเที่ยวได้กะทันหันแบบนี้ แสดงว่าพวกเธอเองก็ต้องมีใจให้ลูกบ้างไม่มากก็น้อย ต่อไปแม่จะเป็นคนคัดสาวให้ลูกเอง ลูกของแม่ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น”

จ้าวเฉียนกลอกตาใส่พลางอ้าปากค้างแต่พูดไม่ออก ที่แท้แม่ของเขามีแผนการอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเธอถึงต้องการให้เขาโทรชวนสาวๆมากมายแบบนี้

“แม่หยุดล้อเล่นได้แล้ว ถ้าพวกเธอรู้เรื่องนี้เข้า ผมจะมีหน้าไปเจอพวกเธอยังไงในอนาคต!”

“ทำไมต้องอายด้วย? ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งหาภรรยายากขึ้นนะ”

นี่แม่ก็คือแม่จริงๆ คล้อยหลังทราบถึงจุดประสงค์ที่แม่มาในวันนี้ จ้าวเฉียนก็รู้สึกอาบเล็กน้อยก่อนจะนั่งรออยู่เฉยๆไม่พูดอะไรใดๆ

หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง หวานเจียงและคนอื่นๆก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าตามที่แต่ละคนเลือกมา

ทั้งสามต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า อวีกุ้ยเฟิงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน แต่เป็นระดับคุณนายที่เลือกใช้แต่แบรนด์สากลเท่านั้น ทั้งหงซิ่วกับหยวนมี่เลือกชุดเสื้อผ้าของหลุยส์ วิตตอง ในขณะที่หวานเจียงเลือกของชาแนล

ซึ่งอันที่จริงแล้ว อวีกุ้ยเฟิงไม่ได้ใส่เสื้อแบรนด์พวกนี้บ่อยนัก โดยส่วนใหญ่จะสั่งตัดโดยดีไซน์เนอร์ส่วนตัวมากกว่า เธอแค่ต้องการวิเคราะห์บุคคลิกของพวกเธอแต่ละคนผ่านเสื้อผ้าที่เลือกกันมาเท่านั้น

หงซิ่วเลือกชุดลายดอกไม้ซึ่งกูเหมาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงสาวระดับคุณนาย แต่นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า เธอคนนี้เป็นหญิงสาวทั่วๆไป ไม่มีจุดใดเปล่งประกายเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่เลย

ส่วนหยวนมี่เลือกชุดสูทหรูใส่สบาย เธอคนนี้ต้องเป็นสาวแกร่งขยันทำงาน แต่ถ้าอยู่กับจ้าวเฉียนคงน่าเบื่อเกินไป ต่างคนต่างเอาแต่ทำงาน ซึ่งชีวิตคู่อาจเหี่ยวเฉาได้ในอนาคต

หวานเจียงเลือกชุดเสื้อผ้าเรียบงานแต่มีสง่าราศี ถึงจะดูไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ดูฉูดฉาดเกินไป ชุดนี้จะสามารถเพิ่มความสูงส่งและสง่างามของอวีกุ้ยเฟิงไปได้อีกระดับเมื่อใส่ เด็กสาวที่ชื่อหวานเจียง รสนิยมของเธอดูโดดเด่นกว่าคนอื่นจริงๆ

ถึงอย่างไร หวานเจียงก็เป็นถึงคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยิน กรุ๊ป รสนิยมของเธอย่อมสูงกว่าหยวนมี่และหงซิ่วเป็นธรรมดา

อวีกุ้ยเฟิงสามารถวิเคราะห์บุคลิกของทั้งสามได้อย่างรวดเร็วผ่านชุดเสื้อผ้าที่พวกเธอเลือกกันมา และอวีกุ้ยเฟิงก็ได้เลยเลือกหวานเจียง เธอคนนี้นี่แหละที่เหมาะสมกับจ้าวเฉียนที่สุด

“หุหุ…ชุดที่พวกเธอสามคนเลือกมาก็ไม่เลวเลยนะ แตกต่างตามสไตล์ของแต่ละคน ฉันชักจะถูกใจพวกเธอแล้วสิ ไปเดินกันต่อเถอะ เดี๋ยวฉันจะซื้อชุดที่พวกเธอชอบให้เอง”

ทั้งสามสาวรีบปฏิเสธทันทีด้วยความเกรงใจ ทั้งยังบอกอีกว่าไม่ต้องสุภาพกับพวกเธอนักก็ได้ ยังไงทุกคนก็เป็นเพื่อนของจ้าวเฉียน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้กับพวกเธอ

จ้าวเฉียนตระหนักทราบดีว่า แม่ของเขากำลัง‘วางแผน’อะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่น และไม่ได้เรียบง่ายอย่างแค่ ไปซื้อเสื้อผ้าให้เฉยๆแน่นอน หวานเจียงเองก็ดูไม่เกรงใจเช่นกัน แม่ของจ้าวเฉียนพูดมาซะขนาดนี้ เธอจึงหมุนตัวกลับไปเดินช็อปเสื้อผ้าของตัวเองต่อทันที

เห็นหวานเจียงจากไป หยวนมี่กับหงซิ่วรีบกล่าวขอบคุณอวีกุ้ยเฟิงและแยกย้ายออกไปช็อปปิ้งเช่นกัน

ทันทีที่พวกเธอทั้งสามจากออกไป อวีกุ้ยเฟิงก็หันมาพูดกับจ้าวเฉียนอย่างสุขอกสุขใจว่า

“ลูก แม่คิดว่าหวานเจียงดูเหมาะสมกับลูกที่สุดแล้ว ไม่เพียงแต่รสนิยมดี แต่ดูจากอากัปกิริยาแล้วน่าจะมาจากครัวครอบที่มีภูมิฐานดีมากเช่นกัน ให้แม่ไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ของอีกฝ่ายหน่อยสิ”

จ้าวเฉียนรีบกล่าวตอบไปทันทีว่า

“แม่ อย่ามายุ่งกับเรื่องของผมเลย ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยจริงๆ”

อวีกุ้ยเฟิงคลี่ยิ้มบาง เอ่ยตอบว่า

“ลูกยังจะมาโกหกแม่อีกเหรอ ถ้าพวกเธอไม่สนิทกับลูกในระดับนึงจริงๆ แล้วทำไมพวกเธอถึงรู้วันเดือนปีเกิดของลูกได้?”

 ไม่มีอะไรผิดแปลกไปแม้แต่น้อย อวีกุ้ยเฟิงใบ้บัตรเครดิตกับทั้งสามคนไปและบอกแค่ว่ารหัสผ่านคือ วันเดือนปีเกิดของจ้าวเฉียน แต่ไม่ได้บอกไปตรงๆว่าเลขอะไร แต่การที่ทั้งสามสามารถหยิบชุดเสื้อผ้าออกมาถึงหน้าอวีกุ้ยเฟิงได้ ก็แสดงว่าทั้งสามรูดบัตรผ่านกันหมด พวกเธอล้วนทราบวันเดือนปีเกิดของจ้าวเฉียนทั้งสิ้น แล้วถ้าไม่ใช่เพราะพวกเธอมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจ้าวเฉียนจริงๆ แล้วจะรู้วันเกิดเขาได้ยังไง?

จ้าวเฉียนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขารีบพยายามอธิบายกับเธอทันทีว่า

“พูดตามตรงเลยนะแม่ หงซิ่วกับหยวนมี่เป็นลูกน้องของผม ส่วนหวานเจียงเป็นหุ้นส่วนในบริษัท พวกเธอทั้งสามย่อมต้องเคยได้เห็นบัตรประชาชนของผมกันทุกคน ไม่น่าแปลกหรอกที่จะจำวันเกิดผมได้ ผมไม่ได้มองพวกเธอเกินคำว่าเจ้านายกับลูกน้องจริงๆ ส่วนหวานเจียงก็แค่หนึ่งในหุ้นส่วนแค่นั้นเอง เลิกจับคู่ให้ผมได้แล้วหน่าแม่”

อวีกุ้ยเฟิงยังคงไม่ยอมแพ้ เธอตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้สนใจก็ยังไม่ต้องแต่งงานกับเธอก็ได้ ของแบบนี้ต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป ถึงยังไงพ่อกับแม่ก็ยังรออุ้มหลานชายได้ตลอด ไม่มีปัญหา”

“แม่นี่ก็แม่จริงๆ ผมปล่อยแม่อยู่คนเดียวได้ไหมเนี่ยแบบนี้? ถ้ากลับไปเจอพ่อแล้วแม่เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟัง ผมไม่โดนคลุมถุงชนเลยเหรอ?”

“นี่ลูกไม่เข้าใจความหวังดีของแม่เลยใช่ไหม? ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวลูกเองทั้งนั้น!”

“ก็ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าอะไรดีไม่ดี ดังนั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยแม่!”

อวีกุ้ยเฟิงเค้นเสียงเย็นใส่แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ประมาณสิบนาทีต่อมา หวานเจียงและอีกสองคนก็เดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่พวกเธอเลือก

พวกเธอคืนบัตรเครดิตให้กับอวีกุ้ยเฟิง และกล่าวขอบคุณที่ซื้อของขวัญเหล่านี้แก่ทั้งสาม

หวานเจียงขยิบตาให้จ้าวเฉียนเล็กน้อยคล้ายว่ามีเรื่องอะไรบางอย่าง ทั้งคู่จึงปลีกตัวออกมาคุยกัน ณ มุมหนึ่ง

จ้าวเฉียนเดินเข้าใจอีกฝ่ายทันทีว่าต้องเกิดเรื่องอะไรแน่นอน และเดินตามหวานเจียงไปคุยอย่างลับๆ เขาเอ่ยถามขึ้นก่อนเลยว่า

“มีอะไรรึเปล่า?”

หวานเจียงหยิบมือถือขึ้นมาทันทีโดยไม่พูดไม่จาใดๆ และเปิดรูปถ่ายให้จ้าวเฉียนดู

จ้าวเฉียนหรี่ตาแคบจับจ้องโดยละเอียด ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็มืดทมิฬลงทันใด นี่คือภาพเซลฟี่ของหวานเจียงเอง แต่ฉากหลังกลับปรากฏชายหัวโล้นที่กำลังจับจ้องไปที่ทิศทางหนึ่ง ซึ่งทิศทางที่ว่าก็คือจ้าวเฉียนและอวีกุ้ยเฟิงที่กำลังสนทนากันอยู่

“ตอนที่ฉันกำลังกลับมาจากซื้อชุดเสร็จก็บังเอิญเห็นชายหัวโล้นคนนี้เข้า หมอนี่จ้องนายอยู่นานแล้ว ฉันก็เลยแกล้งเซลฟี่ตัวเองเพื่อให้นายดู ฉันว่านายรีบพาแม่กลับไปก่อนดีกว่า”

จ้าวเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตอบไปว่า

“เขามาหาฉันเฉยๆ รบกวนอะไรหน่อยสิ เธอช่วยกลับบ้านไปกับแม่ก่อนได้ไหม เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง แล้วอย่าให้เธอลูกเด็ดขาดนะ”

“จะบ้ารึไง! เพราะเขามาหานายนี่แหละยิ่งไม่ควรปล่อยนายไว้คนเดียว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นมานายไม่แย่เลยรึไง? อีกอย่าง นายจะกำลังจะทำอะไรกันแน่?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมยกมือขึ้นมาเชยคางของหวานเจียง เอ่ยกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า

“นี่เธอกำลังเป็นห่วงฉันอยูรึไง? ก็เข้าใจนะว่าผู้ชายอย่างฉันมันดีเลิศขนาดไหน คงเริ่มตกหลุมรักแล้วใช่ไหมล่ะ?”

หวานเจียงปัดมือจ้าวเฉียนออกโดยตรงและรีบตอบไปว่า

“นี่ฉันกำลังจริงจังอยู่นะ! อย่ามาเล่นในเวลาแบบนี้! รีบบอกมา เขาคนนั้นเป็นใคร? ศัครูนายงั้นเหรอ?”

“พี่ชายของแฟนเก่าฉันเอง สงสัยยังตัดใจเรื่องฉันกับน้องสาวเขาไม่ได้แหละ ไม่มีอะไรใหญ่โตหรอกน่า พาแม่ฉันกลับไปก่อนเถอะ”

“แล้วทำไมต้องกลัวว่าคุณป้าจะรู้ล่ะ?”

“จะบ้ารึไง! ถ้าเป็นเธอจะพูดเรื่องน่าอับอายแบบนี้กับพ่อแม่ฟังเหรอ?”

หวานเจียงยกมือปิดปากพลันขำคิกคัก

“เข้าใจแล้วหน่า รีบจัดการให้เสร็จแล้วกัน”

“อืม เข้าใจแล้ว”

จากนั้นไม่นานจ้าวเฉียนก็พาหวานเจียงไปหาแม่และกล่าวว่า

“แม่ ผมมีธุระที่ต้องจัดการหน่อย เดี๋ยวให้พวกเธอกลับบ้านไปพร้อมแม่นะ หรือออกไปซื้อของทำอาหารแล้วกลับไปทำกินที่บ้านก็ได้ ขอบอกไว้ก่อนเลย สามสาวทำอาการอร่อยมาก! ต้องให้พวกเธอแสดงฝีมือกันหน่อย”

อวีกุ้ยเฟิงระเบิดหัวเราะคิกคักในทันใด เธอพยักหน้าตอบตกลงและกลับบ้านไปพร้อมกับสามสาว

ทางด้านจ้าวเฉียนรีบเดินไปยังมุมหนึ่งของห้าง และพาชายหัวโล้นไปยังตรอกที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน

ตอนที่112 การต่อรอง

จ้าวเฉียนงุนงงกับคำกล่าวของแม่อย่างมาก เธอไม่สนด้วยความว่าคู่สายที่กำลังคุยอยู่คือใคร แล้วทำไมเธอถึงต้องการเพื่อนไปช็อปปิ้งมากขนาดนี้?

“แม่ มาบอกให้ผมหาเพื่อนไปช็อปปิ้งเยอะขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ผมก็ทำเต็มที่แล้ว อีกอย่างเธอคนนี้ที่ผมกำลังคุยด้วยก็เรื่องมากเหลือเกิน แค่ไหนแค่นั้นแหละแม่!”

อวีกุ้ยเฟิงระเบิดหัวเราะลั่น เธอตอบกลับไปว่า

“โอ๊ะ? น่าสนใจดีหนิ งั้นแม่เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ขอแค่เธอคนที่ลูกกำลังคุยด้วยอยู่อีกคนก็พอ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะเป็นใคร แต่ลูกต้องพาเธอมาให้ได้! ไม่อย่างงั้นไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่!”

หลังพูดจบอวีกุ้ยเฟิงก็ปิดประตูใส่ทันใด อย่างไรเสียเธอไม่ได้ออกไปไหนแต่อย่างไร ทว่าเธอเอาหูแนบประตูแอบฟังว่าจ้าวเฉียนจะทำยังไงต่อไป

หวานเจียงที่ได้ยินสถานการณ์ทั้งหมดผ่านโทรศัพท์ ความมั่นใจก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งพร้อมกล่าวเย้ยว่า

“ว่ายังไง? ขนาดแม่นายยังเข้าข้างฉันเลยนะ?”

“แล้วฉันมีทางเลือกอื่นด้วยรึไง? กี่โมงว่ามา?”

“พรุ่งนี้ตอนหนึ่งทุ่ม งานจัดขึ้นที่ตึกไข่มุก คนที่เข้าร่วมงานครั้งนี้มีแต่บุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและธุรกิจทั้งนั้น กรุณาแต่งตัวให้ดีด้วย อย่าทำให้ฉันอาย”

“เข้าใจแล้วน่า แล้วบ้านเธออยู่ไหน ฉันจะขับไปรับเอง”

“เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งที่นายต้องตกลง”

จ้าวเฉียนเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย นี่ไม่ใช่การใช้ประโยชน์จากความเสียเปรียบปล้นกันหรอกเหรอ? แต่แม่ของเขาก็ชี้ขาดขนาดนั้นแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

“เธอมีอะไรอีก?”

“ข้อตกลงที่เราพูดกันบนเกาะซ่งต้าว จะต้องได้รับการเซ็นอนุญัติอย่างถูกกฎหมาย ฉันต้องการความยุติธรรมน่ะ แล้วก็…สิทธิ์ในการร่วมพัฒนาเรื่อง ‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ อย่างเต็มรูปแบบ”

“ฉันจะคุยกับเธออีกทีหลังจากที่แม่ฉันกลับไปแล้ว”

“ไม่ได้ นายต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน ฉันถึงจะยอมไปกับแม่นาย”

อย่างไรเสีย หวานเจียงไม่ใช่เด็กสาวใสซื่อแบบอู๋ซิน ที่จ้าวเฉียนพูดอะไรต้องคล้อยตามไปเสียหมด เธอถือเป็นหนึ่งในนักธุรกิจสาวที่แข็งแกร่งอย่างมากในวงการนี้ มีหรือจะไม่ทันเกมของจ้าวเฉียน

อย่างไรเสียนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะอาศัยโอกาสจากจุดนี้เอาเปรียบจ้าวเฉียน

“ได้ ฉันตกลง แต่อย่างที่เคยบอกไป ทุกอย่างบนโลกมีราคาแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม หุ้นส่วนจำนวน20%ของฮวาหยิน กรุ๊ปแลกกับสิทธิ์เต็มรูปแบบในบริษัทฉัน!”

“จะบ้ารึไง? ขนาดพ่อของฉีนยังเป็นเจ้าของหุ้นแค่51%เท่านั้น แล้วจะให้นายถือตั้ง20%ได้ยังไง เผลอๆ ยังจะมากกว่าสมาชิกครอบครัวฉันบางคึนอีก!”

“นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อเทียบกับการต้องเป็นศัตรูกับผมในอนาคต ตราบใดที่ไม่ใช่ศัตรู พวกเราก็เป็นมิตรกัน และผมจะช่วยเหลือคุณในทุกๆ ทางที่ร้องขอแน่นอน ลองเก็บไปคิดเอาเองแล้วกันนะว่า ตัวเองจะเลือกเส้ยทางไหน อะไรดีไม่ดีควรจะคิดได้นะ”

หวานเจียงไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น ฮวาหยิน กรุ๊ปเป็นบริษัทผลิตซีรีย์และภาพยนตร์ ครอบคลุมไปถึงรายการโทรศัพท์ ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการ ดังนั้นมูลค่าหุ้นเพียง20% มันก็เทียบไม่ได้กับบริษัท เฉียนเต๋อ ของจ้าวเฉียนเลย

“นี่…ฉันไม่รู้หรอกนะว่า นายไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน แต่หุ้นจำนวน20%ของฮวาหยิน กรุ๊ปมันก็เกินพอแล้วที่จะซื้อบริษัทของนายได้สักสิบรอบ! ราคาที่ฉันต้องจ่ายมันสูงเกินไป! อย่างมากฉันให้ได้มากที่สุดแค่10%เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้คงต้องคุยกับพ่อฉันแล้ว!”

“งั้นก็เก็บส่วน30%ให้ลูกชายเราไปเลยเป็นไง! ฉันไม่ขออะไรทั้งสิ้นนั้นแหละ แค่30%ในส่วนของลูกเราโอเค?”

“นี่เรากำลังทำธุรกิจกันอยู่นะ! จริงจังหน่อย!”

“ฉันจริงจังตลอด! ก็เธอนั่นแหละที่คิดเอาเปรียบฉันก่อน บอกว่านี่กำลังคุยเรื่องธุรกิจ แล้วเอาเรื่องของแม่ฉันมาเป็นข้ออ้างทำไม? ฉันว่าเธอโลภมากเกินไป ถ้าฉันอธิบายเรื่องนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง เธอต้องเข้าใจแน่นอน”

“โอเค โอเค! ช่างมันเถอะ เอาแบบเดิมที่ตกลงกันบนเกาะซ่งต้าวนั่นแหละ! มีอะไรก็ต้องไปฟ้องแม่หมดรึไง? ถ้าอนาคตจะต้องแต่งงาน คงต้องถามแม่ด้วยใช่ไหม? บ้าบอที่สุด! เหอะ! เอาตามนี้ไปก่อนก็ได้หลังจากนี้ฉันค่อยวางแผนใหม่! พรุ่งนี้มารับฉันที่ตึกทอมซันตอนเช้า”

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยและกดวางสายไป ทันใดนั้นอวีกุ้ยเฟิงก็รีบเปิดประตูพุ่งมาหาในทันใด และเอ่ยถามอย่างตื่นอกตื่นเต้นว่า

“ลูกแม่ เมื่อกี้คุยอยู่กับใครกันแน่? แม่ได้ยินนะ ลูกกำลังมีลูกชายเหรอ? คนที่คุยด้วยเป็นแม่เด็กหรือเปล่า? แล้ว…แล้วกำหนดคลอดวันไหน? แม่ต้องรีบโทรไปบอกพ่อแล้ว! แม่จะรออุ้มหลานเลย!”

จ้าวเฉียนกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้ และรีบแก้ข้อเข้าใจผิดในทันที

“แม่ฝันไกลไปโน้นแล้ว! เมื่อกี้แค่ประชดอีกฝ่ายไปเฉยๆ ไม่ได้มีลูกกันจริงๆ เรากำลังคุยเรื่องธุรกิจกันอยู่ นี่ก็ดึกแล้วนะแม่ ไปนอนเอาแรงสำหรับช็อปปิ้งพรุ่งนี้ดีกว่าไหม?”

“ยังไงก็ตาม แม่ขอเตือนลูกไว้ก่อน ถ้ามีจริงๆ ห้ามเอาเด็กออกเด็ดขาด ครอบครัวของเราไม่เคยขาดแคลนเรื่องเงิน ตราบใดที่ใครก็ตามให้กำหนิดลูกชายในสายเลือดเราได้ ฉันจะให้เธอคนนั้น100ล้านหยวน!”

“แม่กังวลเกินไปแล้ว ถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ อย่ามาแค่100ล้านเลย ต่อให้เป็นพันหมื่นล้าน ถ้าเป็นสายเลือดของผมจริงๆ ก็ย่อมให้มาให้ได้ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากนะแม่ ไปนอนเถอะ”

อวีกุ้ยเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความผิดหวัง และหันกลับไปเปิดประตูเข้าห้องนอน

จ้าวเฉียนส่งข้อความไปหาหวานเจียงผ่านWeChat เตือนให้เธอพูดเรื่องไร้สาระกับแม่ของเขาในวันพรุ่งนี้ ถ้าแม่บังเอิญไปรู้เรื่องว่า เขากับหวานเจียงมีอะไรกันเข้า มีหวังแม่บังคับให้ทั้งคู่แต่งงานกันสายฟ้าแล่บแน่นอน แล้วปัญหานี้จะผัวพันไปถึงอู๋ซินที่เขาจดทะเบียนกันไว้อีก

หวานเจียงไม่ได้รู้เรื่องภูมิหลังของตระกูลจ้าว เธอจึงตอบไปว่า

“ฉันไม่ปล้นแม่นายหรอกน่า”

“ตอนนี้เธอไม่ทำแน่นอน แต่ฉันกลัวว่าสักวันที่เธอรู้อะไรเขา เธอจะคุกเข่าขอฉันแต่งงานเข้าน่ะสิ ผู้ชายดีเลิศแบบฉันมีแค่คนเดียวในโลกซะด้วย เธอต้องเข้าใจด้วยนะ…คนอย่างฉันดีมานด์ [1] สูง”

“โอ้ยจะอ้วก! เมื่อไหร่นายจะเห็นความบกพร่องในตัวเองบ้างห่ะ? หรือตาบอดตั้งแต่เกิด? ไม่ใช่ว่าฉันเป็นพวกชอบดูถูกคนหรอกนะ แต่นายทำตัวหยิ่งผยองให้น่าดูถูกเอง ถ้าผู้ชายทั้งโลกเหลือแค่นาย ฉันขอขึ้นคานตลอดชีวิตยังดีกว่า”

ทั้งสองคนแชทคุยกันจนกระทั้งตีสองถึงจะแยกย้ายกันเข้านอน

แสงอรุณแรกแย้มสาดกระทบหน้าต่างในยามเช้า ไม่ทันไรอวีกุ้ยเฟิงก็เดินเข้ามาเคาะประตูห้องลูกชายเธอรัวๆ

“ลูกแม่! ตื่นเร็วเข้า! แม่อยากไปช็อปปิ้งแล้ว!”

จ้าวเฉียนถึงกับทุกอะไรไม่ถูก ลุกขึ้นพรวดจากเตียงโดยไวและรีบวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็เตรียมจะขึ้นรถขับไปรับแต่ละคน แต่ขณะกำลังจะออกจากคฤหาสน์ เขาก็เพิ่งคิดได้ว่า ทุกคนที่ชวนมาล้วนทราบกันดีว่าเขาเป็นคนมีเงิน ดังนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องซ่อนเรื่องที่อยู่เลย

จ้าวเฉียนโทรหาหงซิ่ว, หยวนมี่และหวานเจียตามลำดับ และระบุที่อยู่ตัวเองไป พร้อมขอให้พวกเธอขับรถกันมาเอง

หงซิ่วกับหยวนมี่ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้านาย แต่หวานเจียงกลับไม่ค่อยพอใจ ทั้งยังบอกอีกว่าชวนเองก็ต้องมารับเธอเองเช่นกัน

จ้าวเฉียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขับรถไปยังตึกทอมซันเพื่อไปรับหวานเจียง

ทางด้านหวานเจียงเองก็จงใจไปสาย ปล่อยให้จ้าวเฉียนนั่งแห้งอยู่ในรอกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะเผยตัวออกมาพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง แต่อย่างไร ครั้งนี้จ้าวเฉียนกลับไม่ได้โมโหสักนิด เพราะวันนี้เธอแต่งตัวสวยอย่างมาก

หวานเจียงเอ่ยถามประกับใบหน้าไม่ค่อยเป็นสุข

“มองอะไรของนาย? ไม่เคยเห็นหน้าฉันมาก่อนรึไง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะไปคำ ตอบไปว่า

“ก็ฉันคิดไม่ถึงน่ะสิ ว่าวันนี้เธอจะแต่งตัวมาซะสวย”

“ไร้สาระ! เบ้าหน้าฉันดีแต่ไหนแต่ไรแล้ว! นายนั่นแหละเพิ่งมาเห็นรึไง?”

“จะทำไงได้ ที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยทำตัวสมหญิงเท่าไหร่ ใช้แต่ความรุนแรงจนหลงคิดว่าเธอเป็นยผู้ชายน่ะ ใครจะคิดว่าพอเอาเข้าจริงๆ ก็สวยเหมือนกันนี่หน่า? อืม…บางทีฉันอาจจะยอมแต่งงานกับเธอก็ได้ในอนาคต ฉันจะลองเก็บไปพิจารณาดู”

หวานเจียงระเบิดหัวเราะเยาะดังสนั่น โบกกระเป๋าสะพายใส่หน้าจ้าวเฉียนไปสักดอก พลางเอ่ยถามแบบติดตลกไปว่า

“นี่นายไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนถามจริง? ฟังยังกับการแต่งงานกับนาย คือของขวัญล่ำค่าที่สุดในชีวิตฉัน? เชื่อไหมว่า คุณชายทุกคนในเมืองตงไห่ต่างก็อยากแต่งงานกับฉัน?”

จ้าวเฉียนปั้นหน้าแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยถามอย่างเหยียดหยามไปว่า

“อืม….ทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ!”

หวานเจียงหันควับหน้ามุ่ยเป็นตูดลิงทันที กระชับกำปั้นขึ้นขู่ราวกับจะทุบจ้าวเฉียน เธอกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“โถ่วนายดีเลิศเหลือเกิ๊นนน! นายชอบหยุดทำตัวน่าหมั่นไส้สักนาทีหนึ่งได้ไหม? ถ้าไม่พูดสักคำคงไม่มีใครด่านายโง่หรอกน่า! รีบๆ ขับรถไปได้แล้ว! ระหว่างนี้ฉันไม่อนุญาตให้นายพูด! ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดลิ้นนาย!”

แม่ของเขายังคงรออยู่ที่คฤหาสน์ จ้าวเฉียนจึงไม่ขี้เกียจโต้เถียงใดๆ กับหวานเจียงอีกต่อไป และสตาร์ทรถรีบกลับไปทันที

เมื่อถึงคฤหาสน์ หงซิ่วกับหยวนมี่ก็มาถึงกันแล้ว อวีกุ้ยเฟิงกวาดสายตามองสามสาวตรงหน้า แต่ละคนทั้งสวยและมีเสน่ห์เกินบรรยายจริงๆ แต่จะมีคนหนึ่งที่ออร่าจับ โดดเด่นกว่าคนอื่น แต่เสียดายที่ตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นเธอยิ้มเลยสักครั้ง

จ้าวเฉียนพาทั้งสามไปแนะนำตัว และทุกคนต่างก็เอ่ยปากทักทายกันเล็กน้อย จากนั้นก็ออกเดินทางไปช็อปปิ้งกันทันที

[1] อุปสงค์ หรือปริมาณความต้องการต่อสินค้า แต่ในที่นี้หมายถึงความฮอต

ตอนที่111 เงื่อนไขแลกเปลี่ยน

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปไวชั่วพริบตา เฉียงกุยหลิงก็ทำการนวดครบสูตรเสร็จสรรพ เธอเอ่ยถามจ้าวเฉียนอย่างระมัดระวังว่า

“คุณจ้าว เสร็จแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าให้หนูเพิ่มเติมตรงไหนไหมค่ะ?”

หลังจากอบซาวน่า แช่งอ่างน้ำเย็นและปิดท้ายด้วยการนวดสปา จ้าวเฉียนก็รู้สึกผ่อนคลายจนง่วงนอนจัด เอ่ยตอบแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า

“อืมมม…ไม่เลวเลย พอแล้วล่ะ ฉันขอนอนตรงนี้อีกสักชั่วโมงนะ ค่อยมาปลุกฉันแล้วเรียกเช็คบิล ระหว่างนี้ก็ไปบริการคนอื่นต่อเถอะ จะได้ไม่เสียรอบ”

เฉียงกุยหลิงพยักหน้าตอบ ฮัมเพลงเบาๆพลางเก็บข้าวเก็บของออกไปจากห้อง ระหว่างนั้นเอง ภายในหัวของเธอยังคงมีคำถามเดิมๆในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จ้าวเฉียนคนนี้เป็นใครกันแน่? แล้วทำไมเจ้าของสถานที่แห่งนี้ยังต้องสุภาพกับเขาขนาดนั้น?

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉียงกุยหลิงเดินเข้ามาปลุกจ้าวเฉียนอีกครั้งพลางกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“คุณจ้าว นี่ครบหนึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ”

จ้าวเฉียนตื่นขึ้นท่ามกลางท่าทีสะลึมสะลือ หยิบมือถือเปิดเข้าแอปAilpay และถามขึ้นว่า

“ขอบัญชีAilpayของเธอหน่อย”

เฉียงกัวหลิงรีบระบุหมายเชขโทรศัพท์ตัวเองให้ จ้าวเฉียนกดเพิ่มเพื่อนกับเธอและโอนเงินไปให้20,000หยวนในทันที

“โอเค ขอบคุณมาก”

หลังจากที่จ้าวเฉียนพูดจบก็ลุกขึ้นจากเตียง บิดขี้เกียจไปทีหนึ่งและกำลังจะเดินออกจากห้องไป เวลานั้นเองเฉียงกุยหลิงก็ก้มมองไปยังข้อความเงินเข้าที่แจ้งขึ้นมาในมือถือ พอเห็นว่าอีกฝ่ายให้ทิปมาตั้ง20,000หยวน เธอก็ตกใจอย่างมากและรีบหยุดจ้าวเฉียนทันที

“คุณจ้าวค่ะ! เออ…ทิปที่ให้มาหนูว่ามันมากเกินไปหน่ยอนะคะ หนูว่าหนูคืนเงินให้ดีกว่าค่ะ ขอแค่ร้อยสองร้อยหยวนพอค่ะ”

จ้าวเฉียนหัวเราะร่า กล่าวปลอบโยนขึ้นว่า

“อย่ากังวลไปเลย ต่อให้บอสหยวนของเธอรู้ เขาก็ไม่ตำหนิเธแน่นอนถ้ารู้ว่าเป็นฉันให้น่ะ ไว้ฉันจะมาใช้บริการใหม่นะ เธอนี่นวดสุดยอดจริงๆ!”

เฉียงกุยหลิงพยักหน้ายิ้มแย้มด้วยความสุขใจ และกล่าวขอบคุณไปว่า

“ขอบพระคุณมากค่ะคุณจ้าว ครั้งหน้าหนุจะพยายามเต็มที่ค่ะ!”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินออกจากห้องนวดทันที

นี่มันสายแล้ว แม่ของเขายังคงนั่งรออยู่บ้านไม่ไปไหน จ้าวเฉียนรีบส่งข้อความถึงทุกคนว่าขอตัวก่อน จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับคฤหาสน์โดยไว

ทันทีที่กลับมาอวีกุ้ยเฟิงก็เริ่มสวดจ้าวเฉียนทันที

“นี่แม่มาเยี่ยมไกลจากหยานจิ้ง ลูกออกไปเที่ยวไม่พอ แทนที่จะกลับมาหาพาแม่เที่ยว กลับไปใช้บริการอาบอบนวด? แม่เห็นตำแหน่งของลูกตลอดนะว่าอยู่ไหน คุณแม่คนนี้คงเทียบไม่ได้กับสาวนวดของลูกเลยใช่ไหม? ไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูสาวนวดด้วยเลยล่ะ?”

จ้าวเฉียนรีบพนมมือขอโทษคุณแม่บังเกิดเกล้าในทันที

“แม่จ๋า ลูกขอโทษ พอดีทริปเที่ยวบริษัทล้มน่ะ เลยจัดกิจกรรมเสริมไปใช้บริการอาบอบนวดและบุฟเฟ่ต์อาหารแทน ส่วนพรุ่งนี้ผมขอลาพักร้อนไว้เรียบร้อย เตรียมให้สำหรับคุณแม่ที่รักของผมโดยเฉพาะ! ไม่ว่าอยากไปเดินห้างไหน หรืออยากได้อะไร ลูกคนดีคนนี้จะทำให้คุณแม่สมความปรารถนาแน่นอน”

“ไอ้ออกน่ะออกแน่ยนอนอยู่แล้ว แต่คงน่าเบื่อตายถ้าไปกับผู้ชายตายด้านอย่างลูก ไปหาสาวๆมาสักสองสามคนออกไปช็อปกับแม่พรุ่งนี้เลย อย่างน้อยก็น่าจะมีเรื่องเมาท์มอย เป็นเพื่อนฉันช็อปปิ้งบ้าง”

จ้าวเฉียนถึงกับเกาหัว ไม่ได้คิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้ก่อนเลย แต่เขายังคงยิ้มตอบไปว่า

“ไม่มีปัญหา! ผมจะรีบโทรหาเพื่อนให้ไปช็อปปิ้งกับแม่แน่นอนพรุ่งนี้ ลูกคนนี้จะทำให้คุณแม่สุดที่รักพึงพอใจที่สุด!”

อวีกุ้ยเฟิงฮัมเพลงเสียงไพเราะอย่างพออกพอใจ และกล่าวต่อว่า

“ไหนๆก็กลับมาวันนี้แล้ว พาแม่ออกไปทานข้าวเนอะ เริ่มหิวแล้วเนี่ย”

 แม้ว่าเขาจะไม่หิวข้าว แต่จ้าวเฉียนก็ยังพาแม่ของเขาไปดินเนอร์กันที่โรงแรมตงไห่ และขอให้พ่อครัวที่เก่งที่สุดมาทำอาหารมื้อนี้ให้แก่ทั้งคู่ จ้าวเฉียนไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ กินไปได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลงเสียแล้ว ในขณะที่อวีกุยเฟิงกินไม่หยุดปาก เนื่องจากตอนที่จ้าวเฉียนไม่อยู่เธอกินนอนมาก

หลังจากนั้นไม่นานเสียงเรียกเข้ามือถือของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นหวงฉิงที่โทรมาหา จึงกดรับสายยกขึ้นกล่าวว่า

“คุณหวงมีอะไรรึเปล่า?”

“คุณชายจ้าว แย่แล้วครับ มือสังหารทั้งสี่ที่ทางเราจับมาได้มีเพียงสามคนเท่านั้น อีกคนหลุดรอดหนีไปได้ ช่วงนี้จะทำอะไรไปไหนต้องระมัดระวังตัวให้ดีนะครับ!”

“อืมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากที่โทรมาบอก”

“ไม่ว่าคุณชายจ้าวจะเดินทางไปไหนต้องระวังตัวให้มากๆนะครับ”

จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่ายามนี้ตนต้องเตรียมเงินสดไว้สักก้อนที่บ้าน เผื่อในกรณีที่มือสังหารคนนี้หลบหนีออกมา เขาจะได้ใช้เงินฟาดหัวเพื่อจบปัญหา

จ้าวเฉียนกดวางสายไป ทันใดนั้นอวีกุ้ยเฟิงก็เอ่ยปากถามทันทีว่า

“นั่นใคร? สำคัญขนาดต้องรับสายต่อหน้าแม่เลยเหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องเล็กน้อยในบริษัทของผมเอง ผมจัดการได้ ตอนนี้แม่กับพ่อแก็เหนื่อยมาเยอะแล้ว ไม่อยากรบกวนน่ะครับ”

“จะไม่ให้พ่อกับแม่กก้าวก่ายเรื่องของลูกได้ยังไง? เผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นมา พ่อกับแม่จะได้ช่วยสนับสนุนอีกแรง ส่วนเรื่องธุรกิจของลูกก็ทำให้เต็มที่ ถ้ารุ่งก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ก็กลับมารับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว”

“ไม่ว่าผมจะทำได้ดีหรือไม่ ยังไงซะทรัพย์สมบัติทั้งหมดในครอบครัวก็ตกเป็นของผมอยู่ดี พ่อกับแม่ลงไม่เอาสมบัติทั้งหมดไปบริจาคจริงไหม?”

“นั้นขึ้นอยู่กับผลงานของลูกด้วย ตราบเท่าที่พ่อกับแม่พอใจ จะยกให้การกุศลหรือผู้บริหารมืออาชีพให้จัดการต่อก็ย่อมได้”

“เอ่อ…นี่ยังเป็นแม่ผมอยู่รึเปล่า? นี่ลูกนะ! จะยกสมบัติให้คนอื่นแบบนี้ไม่ได้!”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระน่า! แม่คุยกับพ่อไว้หมดแล้ว ไม่สนใจด้วยว่าลูกจะคิดยังไง! รีบกินรีบกลับบ้านนอนเถอะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้า อีกสักพักใหญ่ เขาก็เรียกเช็คบิล

ในไม่ช้าทั้งสองก็เดินทางมาถึงบ้าน อวีกุ้ยเฟิงเข้าอาบน้ำแช่งอ่างจากุชซี่อย่างสบายอารมณ์ และเข้านอนไปในท้ายที่สุด

ส่วนจ้าวเฉียนยังคงนั่งไขว้ห้างอยู่ในห้องรับแขก เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่า จะโทรเรียกใครช่วยดีเพื่อหาเพื่อนไปเดินช็อปปิ้งกับแม่เขา

หลังไตร่ตรองอยู่นานสองนาน ในที่สุดจ้าวเฉียนก็เลือกเป็นหงซิ่วกับหยวนมี่ ทั้งสองเป็นลูกจ้างและพอทราบถึงตัวตนของเขาบ้างเล็กน้อย ดังนั้นการไปเดินช็อปปิ้งกับแม่ของตนคงไม่ใช่ปัญหา

จ้าวเฉียนต่อสายตรงหาหยวนมี่ก่อนและเอ่ยถามไปว่า

“หยวนมี่ พรุ่งนี้ลางานได้ไหม?”

“ก็ได้นะคะ มีอะไรหรือเปล่าประธานจ้าว?”

“มี แม่ผมมาจากหยานจิ้ง เธอต้องการเพื่อนไปช็อปปิ้งด้วยพรุ่งนี้ ผมเลยต้องหาผู้หญิงสักสองสามคนไปกับเธอ ในเมืองตงไห่ผมเองก็ไม่ค่อยรู้จักใครด้วย เธอต้องไปช็อปปิ้งเป็นเพื่อนแม่ผม”

“ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจะไปเดินช็อปกับคุณแม่เองค่ะ”

“โอเค เจอกันพรุ่งนี้ เดี๋ยวผมขับรถไปรับตอนแปดโมงเช้า”

หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนก็รีบโทรหาหงซิ่วต่อทันที พอเธอได้ยินว่า ตัวเองกำลังจะได้ไปช็อปปิ้งกับแม่ของจ้าวเฉียน เธอก็ตอบตกลงทันที

จ้าวเฉียนเคาะห้องนอนแม่และกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“ผมโทรหาเพื่อนแล้ว มีสองคนจะไปเดินเที่ยวกับแม่พรุ่งนี้”

“ห่ะ? แค่สองคนเองเหรอ? ไม่ยังไม่พอ อย่างน้อยอีกสักคนสองคน เวลาไปช็อปปิ้งกันก็พากันไปเยอะๆ จะได้ช่วยตัดสินใจได้ถูก ขนาดตอนนั้นพ่อยังพาเพื่อนไปช็อปกับแม่ตั้งหลายสิบคน สุดท้ายวันนั้นยังเลือกกันไม่ได้จนต้องเหมามาหมด ดังนั้นต้องหาคนมาเดินกับแม่มากกว่านี้”

“เอ่อ… แม่ครับ แม่ต้องเข้าใจก่อนนะว่า ลูกชายของแม่คนนี้ไม่ได้เหมือนกับตอนห้าปีก่อนแล้ว ตอนนี้ผมรู้จักเพื่อนที่เป็นผู้หญิงน้อยมาก มีแค่นี้แหละครับที่หามาได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แม่โทรไปฟ้องพ่อดีกว่า…”

“อย่าแม่อย่า…ผมจะลองดูครับๆ”

จ้าวเฉียนปาดเหงื่อเย็นไปทีหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปยังห้องรับแขกและโทรหาเพื่อนผู้หญิงที่พอจะนึกออกต่อไป ในตอนนี้ผู้หญิงที่เขารู้จักเหลือแค่อู๋ซิน,หวงหยิงเมิ่งและหวานเจียง

สองคนแรกตัดไปได้เลย จ้าวเฉียนไม่ต้องการให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยออกมาโดยเด็ดขาด ดังนั้นไม่สามารถโทรเรียกทั้งอู๋ซินกับหวงหยิงเมิ่งมาได้แน่นอน ดังนั้นก็เหลือแค่คนเดียวให้เลือกแล้ว และนั้นก็คือหวานเจียง

จ้าวเฉียนโทรหาหวานเจียงทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“พรุ่งนี้เธอว่างไหม มาช่วงฉันหน่อย แม่ฉันต้องการเพื่อนไปช็อปปิ้ง เรื่องนี้สำคัญมากนะ ถ้ามาได้ฉันจะซื้อของขวัญเป็นคำขอบคุณเลย เธอจะเลือกอะไรก็ได้ที่มีราคาไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน ฉันจะจ่ายให้เอง!”

“โอ๊ะ? คุณบอสจ้าวของฉันถึงขั้นสลัดความขี้เหนียวได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ! แต่ฉันไม่ต้องการของขวัญอะไรทั้งสิ้น ฉันจะทำตามแน่นอน ถ้านายมากับฉันในงานราตรีคืนพรุ่งนี้”

เป็นเวลานานมากแล้วที่จ้าวเฉียนเข้าร่วมงานสังคมระดับไฮโซแบบนี้ เขาตอบกลับทันทีว่า ตกลง! แต่ภายในงานต้องการการเต้นรำร่วมกันแน่นอน ถ้าหากใครถามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา จะให้ตอบไปว่าอะไร?

“รอบนี้นายต้องบอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน! เพราะพ่อฉันก็อยู่ด้วย บอกไม่ได้เด็ดขาดว่าเราเป็นแฟนกัน”

“ถ้างั้นไม่เอา! ฉันไม่ไปแล้ว!”

“ถ้านายไม่ไป ฉันก็ไม่ไปช็อปปิ้งกับแม่นายเหมือนกัน”

จ้าวเฉียนรู้สึกปวดหัวตุบในทันใด ถ้าไม่มีหนึ่งก็ไม่มีทางถึงร้อยแน่นอน ถ้าเธอไม่ไปเขาเองก็จบเห่เช่นกัน เขาแทบอยากจะกดตัดสายทิ้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่ขณะนั้นเองอวีกุ้ยเฟิงก็บุกเข้ามาถึงห้งอรับแขก

“ลูกแม่ จะโทรชวนใครแม่ไม่สน แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเพื่อนมาซื้อของกับแม่เป็นเพื่อน ก็อย่าหวังได้สมบัติตระกูลจ้าว!”

ตอนที่110 กวาดล้างภายในสิบวัน

เฉียงกุยหลิงเป็นเพียงสาวน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าแข็งข้อกับหวงตงเทียนที่กำลังหัวเสียได้โดยธรรมชาติ เธอรีบพนมมือขอโทษขอโพยเขาอย่างรวดเร็ว และขอร้องให้เวลาเธอหน่อยสักสิบนาที จากนั้นจะรีบตามไปให้บริหารเขาทันที

แต่หวงตงเทียนกลับใจร้อน ไม่รอคอยใดๆ อีกต่อไป เขากระชากแขนพยายามลากเธอออกจากห้อง นอกจากนี้ยังกล่าวขู่จ้าวเฉียนอีกว่า ให้รู้จักประมาณตัวเสียบ้าง อย่ามาทำตัวกร่างแถวนี้

จ้าวเฉียนไม่ทนอีกต่อไปแล้ว เขาลุกขึ้นจากเตียงและตรงเข้าไปขวางหวงตงเทียนไม่ให้อีกฝ่ายได้ออกไปไหน เฉียงกุยหลิงรีบตะโกนขัดเพื่อหยุดไม่ให้จ้าวเฉียนเข้ามายุ่งโดยไว

“คุณลูกค้าอย่าทำแบบนี้เลย เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญของที่นี่ แถมยังรู้จักกับหัวหน้าหนูอีกด้วย เขารวยมาก อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะคะ”

หวงตงเทียนและผู้ติดตามทั้งสี่ระเบิดหัวเราะเยาะลั่นอย่างสุขใจ พวกเขาบอกให้จ้าวเฉียนควรรับฟังเธอไว้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องหน้าแตกโดนกระทืบต่อหน้าสาวสวย

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเยาะกล่าวขึ้นว่า

“รู้จักกับหัวหน้า? ฉันไม่อยากเชื่อเท่าไหร่วะ! ลองโทรหาแล้วถามดูสิว่า ระหว่างฉันกับพวกนาย เขาจะให้หน้าใครมากกว่ากัน?”

สีหน้าหวงตงเทียนเจื่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามน้ำเสียงเดือดจัดกลับไปว่า

“ไอ้หนู รู้จักบาร์แบล็คเพิร์ลไหม? นั้นเป็นธุรกิจของกูเอง! แล้วมึงรู้ไหมว่าใครเป็นพี่ใหญ่คอยสนับสนุนกูอยู่เบื้องหลัง? คุณหลิวเปาเลยนะเว้ย! เขาคือเจ้าถิ่นแห่งเมืองตงไห่ ส่วนอีกคนคือคุณหยางหู่ มึงรู้จักหรือเปล่าว่าพวกเขาคือใคร? ฮ่าฮ่าๆ มึงเล่นด้วยผิดคนแล้ว ถ้ายังไม่ถอยมึงไม่ตายดีแน่!”

ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวพาดพึงไปถึงหลิวเปา หวงตงเทียนเชื่ออย่างยิ่งว่า พอจ้าวเฉียนได้ยินชื่อนี้ มันต้องเลิกตามตื้อเขาแน่นอน

“หลิวเปางั้นเหรอ? เหอะ เหอะ…ตอนนี้ขนาดตัวมันเองยังตกที่นั่งลำบากเลย มันจะเอาเวลาไหนมาช่วยแก? ตอนนี้คงวิ่งวุ่นขอร้องคนใหญ่คนโตให้ช่วยมันอยู่เลย!”

สีหน้าของหวงตงเทียนมืดทมิฬลงทันที

“มึงรู้จักคุณหลิวเปาด้วยงั้นเหรอ?”

“เออ…ยิ่งกว่ารู้จักอีก ฉันเพิ่งถอนฟันน้องชายมันไปเองที่ชื่อหลิวซีน่ะ ล่าสุดก็เล่นมันจนเกือบเอาตัวไม่รอด ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกพวกนายหรือหลิวเปาหรอกนะ แต่มดน้อยแบบนี้เรียกว่าเจ้าถิ่นได้แล้วงั้นเหรอ?”

หวงตงเทียนเริ่มรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ลูกน้องของเขาที่อยู่ด้านหลังกลับยั่วยุตอบไปว่า จ้าวเฉียนแค่ขู่เท่าไหร่ ดูยังไงก็แค่เด็กตัวกระเปี๊ยกคนหนึ่ง มันพยายามแสร้งทำเป็นหมูกินเสือเท่านั้น

หวงตงเทียนเองก็รู้สึกเช่นกันว่า สิ่งที่ลูกน้องกล่าวไปนั้นสมเหตุสมผล ชายหนุ่มอายุแค่นี้จะมีเส้นสายใหญ่โตขนาดนั้นได้ยังไง? มองข้ามเรื่องรู้จักหลิวเปาไปได้เลย มาใช้บริการในโรงแรมเกรดแค่นี้ จะมีเงินสักเท่าไหร่เชียว?

“ไอ้เวร ขู่ซะกูกลัวเลยนะ จะขี้โม้ไปถึงไหนวะ? ถือเป็นโชคร้ายของมึงแล้วกัน ที่วิ่งมาเจอกูวันนี้! พวกเรา! ไปกระทืบมัน!”

เฉียงกุยหลิงรีบก้าวออกไปหยุดทันทีและเอ่ยขอร้องน้ำเสียงสั่นว่า

“นายท่านหวง หนูขอร้อง อย่าทำอะไรเขาไปมากกว่านี้เลย เดี๋ยว…เดี๋ยวหนูจะรีบออกไปกับนายท่านตอนนี้เลย!”

หวงตงเทียนแสยะยิ้มเย้ยหยั่นกล่าวขึ้นว่า

“ฮ่าฮ่าๆๆๆ …ต้องว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิวะ! แต่สายไปแล้ว ยังไงกูก็ต้องสั่งสอนมันอยู่ดี! เห้ย! จัดการ!”

ระหว่างนั้นเอง หวงตงเทียนก็เอื้อมมือไปโอบกอดเฉียงกุยหลิงไว้ในอ้อมแขนและเดินออกไป แต่จ้าวเฉียนพุ่งเข้าไปกระชากร่างบางของเธอออกมาไว้ในอ้อมกอดตัวเองแทน

“ตอนนี้เธอกำลังนวดฉันอยู่ จะพาออกไปก่อนกำหนดไม่ได้!”

หวงตงเทียนโกรธจัด ตะคอกใส่ว่า

“มึงอยากตายจริงๆ ใช่ไหม! พวกมึงปล่อย! กูจะฆ่ามันเอง!”

เฉียงกุยหลิงรีบผละออกจากอ้อมกอดจ้าวเฉียนทันที และกล่าวปลอบโยนขึ้นว่า

“คุณลูกค้าอย่าทำแบบนี้เลยค่ะ นายท่านหวงไปกันเถอะ อย่าใช้ความรุนแรงในที่แห่งนี้เลยค่ะ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างสำราญใจนัก ตอบไปว่า

“ฉันบอกแล้วไง เธอยังนวดให้ฉันอยู่ จะไม่มีใครสามารถพาเธอไปไหนได้!”

“ไอ้เด็กเวร! มึงตาย!!”

หวงตงเทียนคำรามเสียงดังกึกก้อง หวดเท้าเตะถังที่อยู่เคียงข้าง

“ใครมันทำลายข้าวของในที่ของฉันวะ!”

ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงหนึ่งที่ฟังดูน่าเกรงขามอย่างยิ่งก็แผดดังขึ้น

หวงตงเทียนระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ และกล่าวทักทายทันทีว่า

“หัวหน้า! ไอ้เด็กนี่มันรนหาที่ตาย!”

พอพูดจบหวงตงเทียนก็รีบวิ่งออกไปโค้งหัวให้ชายคนนั้นทันที และเอ่ยขึ้นว่า

“หัวหน้าหยวน ในที่สุดก็มาแล้ว!”

“ฮ่าฮ่า…ตงเทียน เด็กคนไหนแข็งข้อกับนายห่ะ? บอกฉันมาเดี๋ยวสั่งสอนให้เอง”

หวงตงเทียนรีบส่ายหัวและกล่าวตอบว่า

“ไม่ใช่เด็กของหัวหน้าครับ แต่เป็นไอ้เด็กเวรไร้หัวนอนปลายเท้าตรงนั้น! มันหาเรื่องพวกผมครับ”

“ใครกัน? กล้าท้าทายพวกฉันงั้นเหรอ?”

หยวนตงไห่เดินเข้ามาไปห้องนวดสาปทันที โดยมีหวงตงเทียนติดตามอยู่ท้ายหลัง เดินตามอย่างมีความสุข

หวงตงเทียนชี้นิ้วไปที่จ้าวเฉียนและกล่าวกับหยวนตงไห่ว่า

“หัวหน้าหยวน ไอ้เด็กเวรนี่แหละ! มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรปฏิบัติตัวยังไงในที่แห่งนี้ มันสู้มือผมไม่พอยังขู่อีกบอกว่า รู้จักยิ่งกว่ารู้จักกับคุณหลิวเปา ดูมันพูดเข้าสิ! คิดว่าตัวเองใหญ่มากจากไหนห่ะ? หัวหน้าหยวนช่วนสั่งสอนมันทีครับ”

ทันใดนั้นเอง หยวนตงไห่ระเบิดหัวเราะลั่นเงยหน้าชี้ขึ้นฟ้าทันที หวงตงเทียนที่เห็นแบบนั้นก็พลันหัวเราะตาม

แต่ทันใดนั้นสีหน้าการแสดงออกของหยวนตงไห่ก็เปลี่ยนไป เขาหันมาพูดกับหวงตงเทียนว่า

“ฉันคิดว่า แกนั้นแหละที่ควรหยุด ถ้ายังกล้าทำอะไรอีกฝ่าย ฉันบอกได้เลยว่า ครอบครัวที่นายรักเตรียมถูกอุ้มได้เลยในวันรุ่งขึ้น รวมไปถึงบาร์ของแกได้ถูกเผาวอดแน่นอนเชื่อไหม?”

หวงตงเทียนแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เอ่ยถามน้ำเสียงติดขัดอย่างตื่นตกใจว่า

“เอ่อ…เอ่อ…หัวหน้าหยวน นี่หมายความว่ายังไงกันครับ? พี่ต้องช่วยผมสนไม่ใช่ไปช่วยมัน?”

“ฮ่าฮ่า…ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดไปอีกงั้นเหรอ? ก็ลองตัดสินใจเอาเองแล้วกันว่าควรปฏิบัติตัวยังไง หากชีวิตยังไม่อยากชิบหาย?”

หวงตงเทียนเริ่มรู้สึกลังเลใจคล้อยเอียงขึ้นมาทันควัน

“เอ่อ…อย่างน้อยก็ช่วยบอกผมได้ไหมครับว่า อีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน?”

สีหน้าการแสดงออกของหยวนตงไห่มืดหม่นลงทันใด เขาเอ่ยตอบน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า

“แกไม่เข้าใจที่ฉันพูดรึไง? อย่าทำตัวให้มีปัญหาเลยดีกว่า แล้วเลิกถามคำถามโง่ๆ แบบนี้ได้แล้ว เข้าใจไหม?”

ท้ายที่สุดนี้ นี่เป็นอาณาเขตของหยวนตงไห่ หวงตงเทียนไม่กล้าแข็งข้อด้วยอยู่แล้วจึงรีบตอบกลับไปว่า

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”

เมื่อหวงตงเทียนพูดจบก็สั่งให้ลูกน้องทั้งสี่ออกไปก่อน ก่อนลาจากเขาหันมากล้าขู่จ้าวเฉียนว่า

“ไอ้หนุ่ม วันนี้ถือว่าแกโชคดีไปนะ แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้แน่นอน วันหน้าฉันจะสอนแกเองว่าลูกผู้ชายเขาคุยกันยังไง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะตอบไปว่า

“โอเค ฉันจะรอให้นายสอนละกันว่า ลูกผู้ชายเขาคุยกันยังไง”

หวงตงเทียนเค้นเสียงเย็นคำโตและจากไปด้วยคาวมโกรธ

ขณะเดียวกัน หยวนตงไห่ก็ยิ้มและโค้งศีรษะขอโทษจ้าวเฉียน หวังว่าจะไม่รังเกียจเพราะเรื่องแค่นี้

เฉียงกุยหลิงตกใจอย่างมากเมื่อพบเห็นภาพฉากอันน่าตะลึงเช่นนี้เข้า คุณลูกค้าคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมเจ้าของสถานที่ทำงานของเธอต้องสุภาพกับเขาขนาดนี้

จ้าวเฉียนหัวร่อคำหนึ่งตอบว่า

“ไม่เป็นไร โชคยังดีที่นายมาทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นฉันคงอัดพวกนั้นเละแน่ เห้ออ…ก็ฉันเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้วล่ะนะ ไม่อยากทำบาปกับคนอื่น เอาล่ะ ส่วนแม่หนูนวดต่อเลย”

“เอาล่ะ หมายเลข68 เธอต้องดูแลปรนนิบัติบอสจ้าวให้ดีเข้าใจไหม? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหรือแม้แต่ทำให้บอสจ้าวไม่พอใจเพียงเล็กน้อย ฉันไล่เธอออกแน่นอน!”

เฉียงกุยหลิงรู้กลัวหวาดกลัวอย่างมาก เธอรีบพยักหร้าและหันกลับมารวดให้โดยเร็ว

“เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะปรนนิบัติรับใช้คุณจ้าวเป็นอย่างดีเลยค่ะ!”

หยวนตงไห่เค้นเสียงฮึมถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่เธอ ก่อนจะหันมาโค้งศีรษะให้จ้าวเฉียนอีกระลอกและจากไป

เฉียงกุยเฉินเดินตามไปปิดประตูห้องและเดินกลับเข้ามาอย่างแช่มช้า ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมายหลายหลาก บอสจ้าวนี่มันหมายความว่ายังไง? ทำไมเจ้าของสถานที่ที่เธอทำงานต้องสุภาพกับเขาขนาดนี้?

จ้าวเฉียนเหลือบไปเห็นว่าเธอกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ จึงเอ่ยทักขึ้นว่า

“แม่หนู ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดพอ บางสิ่งบนโลกนี้ไม่ควรเอ่ยถามเป็นดีที่สุด”

เฉียงกุยหลิงพยักหน้ารัวเป็นไก่จิก และรีบจุดเครื่องหอมสมุนไพร และนวดสปาให้จ้าวเฉียนต่อทันที

ยังดีที่เจ้าของแห่งนี้คือหยวนตงไห่ ในอดีตตอนที่จ้าวเฉียนยังเป็นคุณชายแสนเอาแต่ใจ ก็ได้เขาคนนี้นี่แหละที่คอยจัดหาผู้หญิงมาประเคนถึงเตียง ถึงอย่างไรเขาต้องรีบหาวิธีจัดการไอ้พวกอันตธานที่มาหาเรื่องให้สิ้นซาก ถ้าพบเจอกันบนท้องถนนพร้อมอาวุธปืน กลับเป็นตัวจ้าวเฉียนแทนที่จะเสียเปรียบได้ ดังนั้นเขาจึงส่งข้อความหาหยางหู่ผ่านทางWechatทันที

“เก็บพวกมันให้เร็วที่สุด ไอ้พวกกุ๋ยกระจอกตามท้องถนนกวาดให้สะอาด”

หยางหู่ที่เห็นข้อความของจ้าวเฉียนจากWechatเด้งขึ้นมา เขาก็รีบตอบกลับทันที

“เข้าใจแล้วครับ! ไม่ต้องกังวลคุณชายจ้าว ผมจะกวาดล้างให้หมดภายในหนึ่งเดือน”

จ้าวเฉียนรู้สึกว่าหนึ่งเดือนมันนานเกินไป เขาจึงขีดเส้นตายให้หยางหู่ไปตามตรง

“นานเกินไป ขอภายในสิบวัน เริ่มจากแก๊งในบาร์แบล็คเพิร์ลก่อน เก็บพวกมันให้เรียบ สิบวันต่อมา ถ้าฉันยังเห็นหวงตงเทียนอยู่ ถือว่าครั้งนี้นายทำล้มเหลวนะ”

หลังจากได้รับข้อความดังกล่าว หยางหู่ก็ไม่รอช้าตอบกลับทันทีว่าไม่มีปัญหา พร้อมระดมพลคนของแก๊งตัวเองเป็นการด่วน

จ้าวเฉียนวางโทรศัพท์มือถือลงด้วยความพอใจ และใช้เวลาที่เหลือเพลิดเพลินไปกับทักษะการนวดของเฉียงกุยหลิง ที่เรียกได้ว่าชำนาญระดับชั้นครู! คลอไปกับบรรยากาศห้องนวดที่แสนเงียบสงบ อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรหอม เล่นเอาซะจ้าวเฉียนเคลิ้บเคลิ้มผ่อนคลาย

ตอนที่109 นวดสปา

เมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับ‘ความบ้าคลั่ง’อย่างฉันพลันของจ้าวเฉียน หวานเจียงพลันรู้สึกหวาดกลัว เสียศูนย์ไปชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ใบหน้าเธอแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตะคอกน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธว่า

“นาย…นายกำลังทำบ้าอะไร ออกไป! อยากให้ฉันโทรหาตำรวจจริงๆใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนพุ่งเข้าไปค่อมร่างของหวานเจียง ยกมือขึ้นบีบคางเธอ แสยะยิ้มมุมปากกล่าวตอบน้ำเสียงสุดแสนเย็นยะเยือกว่า

“คนทั้งโลกรู้ว่าเธอเป็นแฟนฉัน แล้วคิดเหรอว่าตำรวจจะทำอะไรได้? ไม่ว่าฉันจะรุมโทรมเธอสักกี่ร้อยพันครั้ง เอาให้มันจนเบื่อยังไง ก็ไม่มีใครทำอะไรฉันได้! จำไว้ซะ!”

“ไอ้หน้าด้าน! น่ารังเกียจจริงๆ! ลุกเดี๋ยวนี้! ไม่งั้น…ไม่งั้นฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ!!”

“เอาเลย! โกรธสิ! โกรธฉันเลย!! จะยอมรับเงื่อนไขของฉันไหม? ถ้าไม่ ฉันจะทำให้เธอท้องจริงๆแน่!”

“ไปให้พ้น!”

หวานเจียงพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างสูงใหญ่ของจ้าวเฉียนออกไป ทว่ากลับไม่เป็นผล คล้อยหลังดิ้นอย่างแรงอยู่สองสามคราใหญ่ สักพักหนึ่งเธอก็หยุดเคลื่อนไหวไปดื้อๆคล้ายว่าอ่อนแรงเสียแล้ว

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มบาง ยื่นมือออกไปปลดกระดุมคอเสื้อของเธอ ไล่ลงมาเรื่อยๆจนเห็นเนินอกสีขาวเนียนดุจหิมะ หวานเจียงเริ่มกลัวจริงๆแล้ว ถึงขั้นรีบคว้ามือของเขาไว้โดยเร็วเพื่อหยุด

“นายกำลังจะทำอะไรฉัน!? นาย…นายเสียสติไปแล้วรึไง?”

“จะกลัวอะไร? นอนหุบปากอยู่เฉยๆไม่ได้รึไง? เอาน่า นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเราสักหน่อย ทำไมต้องอาย?”

พอจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็สะบัดมือเธอออกและไล่ปลดกระดุมต่อทันที

“โอเค! โอเค!! ฉันจะแบ่งหุ้นส่วนให้นาย! แต่ตั้ง30%คงไม่ไหวหรอก อย่างน้อยก็จ่ายเงินจริงมาแลกเปลี่ยนกับหุ้นส่วนพวกนี้บ้าง ไม่ใช่เอาไปเฉยๆ นายควรมีความเป็นมนุษยธรรมบ้างนะ อย่าเอาเปรียบกันขนาดนั้นเลย”

“แล้วเธอจะส่งเพื่อนฉันกลับเมืองตงไห่ตอนไหน?”

“ส่งแน่นอน ส่งตอนนี้ให้ไวเลย!”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอ่อนพลางติดกระดุมให้หวานเจียงกลับคืนไป ก่อนจะดึงร่างของเธอขึ้นมาจากบนเตียง

“รีบๆเก็บข้าวของเธอซะแล้วออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย เพื่อนร่วมงานแต่ละคนแตกตื่นหมดแล้ว ต้องรีบกลับ”

“อืม ฉันเก็บกระเป๋าก่อนนะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและหันไปเก็บข้าวของตัวเองลงในกระเป๋าเป้ ส่วนหวานเจียงก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าจากไม้แขวนลงในกระเป๋าเดินทาง จากนั้นก็เดินออกไปเปิดประตูห้อง

ฟางนี่และทุกคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกประตู พอเห็นหวานเจียงเปิดประตูออกหา ทุกคนก็พากันยิ้มให้และถามว่าเป็นยังไงบ้าง

หวานเจียงปั้นทีท่าเย็นชาใส่และเอ่ยกลับทุกคนแค่ว่า

“พวกคุณรีบแยะย้ายไปเก็บข้าวของเถอะ แล้วไปเจอกันที่ท่าเรือเฟอร์รี่ภายในครึ่งชั่วโมง นี่มาสายแล้ว!”

ทุกคนรีบวิ่งกลับห้องตะวเองทันทีเพื่อเห็บข้าวของและลงไปเช็คเอาท์ จากนั้นก็รวมกลุ่มเดินทางไปรอที่ท่าเรือดังกล่าว ในเวลานั้นจ้าวเฉียนกำลังยืนรอทุกคนอยู่บนเรือยอทช์ลำนั้นอยู่นานแล้ว

พอแต่ละคนทยอยขึ้นเรือยอทช์กันเสร็จ ท่าทางการแสดงออกของทุกคนก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก

“ตอนแรกฉันคิดว่าจะใช้ช่วงเวลานี้ สนุกสุดเหวี่ยงสักทีหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ เล่นซะหมดอารมณ์เลย”

“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณจ้าวเฉียนที่หาแฟนรวยๆแบบนี้มานะ ไม่อย่างงั้น คืนนี้พวกเราได้นอนผวากันทั้งคืน!”

“ยังไงซะ จ้าวเฉียนนี่ก็น่าทึ่งจริงๆ ไปหาแฟนร่ำรวยขนาดนี้มาได้จริงๆ มีเรือยอทช์ส่วนตัวไว้เที่ยวเล่น นี่ต้องเศรษฐีระดับไหนกัน? ทำไมฉันถึงหาแฟนรวยๆแบบนี้ไม่ได้บ้าง!”

“โอ้ย แค่ถูกรางวัลที่หนึ่งแบบจ้าวเฉียนสักครั้งก็พอแล้ว ฉันไม่หวังสูงขนาดนั้นหรอก”

“ฮ่าฮ่าๆๆ…”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาของบรรดาเพื่อนร่วมงาน เจียงเสี่ยวปิงที่อยู่ในวงพลันรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง ตอนนี้เธอรู้สึกเศร้าใจเหลือเกินที่ตัดสินใจเลิกกับจ้าวเฉียนไป ไม่อย่างนั้นเธอคงมีบ้านหลังใหญ่โต ขับรถหรูไปเที่ยวเล่น แต่งงานกับจ้าวเฉียนและมีลูกกันไปนานแล้ว แล้วที่สุกคัญที่สุด…เธอคงไม่ถูกพวกลูกน้องหยางหมิงรุมโทรมในคืนนั้นแน่นอน นี่เปรียบเสมือนเงามืดติดตัวเธอไปตลอดชีวิต

ไม่นานเรือยอทช์ก็เข้าเทียบท่า ณ เมืองตงไห่ ทุกคนรีบลงมาและรอรถบัสกลับบ้าน

จ้าวเฉียนบอกลาหวานเจียงอยู่คำสองคำ และเดินทางกลับบริษัทไปพร้อมกับทุกคน

จางหยางรู้สึกว่า กิจกรรมทริปเที่ยวของทุกคนในครั้งนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก และไม่มีใครสนุกไปกับมันแน่นอน เพื่อเป็นการกู้หน้าคืนมา เขาจึงตัดสินใจพาทุกคนไปรับประทานอาหารเย็นกันในตอนกลางดึก

พอบอกไปว่าบริษัทจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทุกคนต่างบอกตกลงโดยไม่มีลังเล หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็รีบเดินทางไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง

ท้ายที่สุดนี้ มีพนักงานงานกว่า60คน จะไปใช้บริการโรงแรมระดับไฮเอนด์อย่าง โรงแรมตงไห่คงจ่ายไม่ไหว

หลังจากคัดกรองเลือสรรอยู่นาน จางหยางก็เลือกโรงแรมแห่งนี้ที่เกรดต่ำลงมาหน่อย แต่มีส่วนกลางที่เป็นศูนย์รวมความบันเทิง ทุกคนสามารถเข้าไปนวดหินร้อนภูเขาไฟ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานได้ ทั้งยังมีอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ร้องคาราโอเกะ ทั้งหมดนี้มีค่าเข้าเพียงคนละ98หยวนเท่านั้น ซึ่งคุ้มค่าอย่างมาก

จางหยางต้องการกู้หน้าของตัวเองกลับคืนมา โดยพื้นฐานแล้วย่อมไม่เลี้ยงแค่นี้แน่นอน เขายังให้พ็อกเก็ตมันนี่อีกคนละ300หยวนติดตัวไว้ใช้มนการอัฟเกรดบริการนวด หรือสั่งอาหารจานพิเศษที่มีนอกเหนือจากในบุฟเฟ่ต์ เป็นต้น

จ้าวเฉียนไม่ได้ใช้บริการนวดหินภูเขาไฟ เขาเพียงเข้าอบอยู่ในห้องซาวน่าอยู่พักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบท้ายด้วยการแช่งอ่างน้ำเย็นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และอายน้ำขึ้นมาทานบุฟเฟ่ต์กับทุกคนต่อ ซึ่งเขาเองก็กินเร็วมากจนจางหยางต้องร้องทัก

“จ้าวเฉียน นายกินเร็วมาก! กินเสร็จแล้วจะไปไหนต่อ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปว่า

“กะจะไปนวดสปาต่อครับ กินกันเสร็จแล้วอย่าลืมตามผมมานะ”

พอพูดจบจ้าวเฉียนก็โบกมือลาทุกคนและขึ้นไปยังชั้นบน เพื่อจองคิวนวดและเข้าห้องส่วนตัวไป

สาวนวดคนที่มาบริการให้จ้าวเฉียนยังดูเด็กมาก เธอยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ โดยส่วนใหญ่สาวๆในสถานที่แบบนี้ล้วนเป็นสาวเซ็กซี่ดูร้อนแรงมาก แต่เธอคนนี้กลับต่างออกไป แววตากลับดูใสซื่อ ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักดั่งสาวน้อยวัยแรกแย้มดูเหมือนกับนักศึกษาปีหนึ่งหรือเด็กกว่านั้นด้วยซ้ำ

จ้าวเฉียนอดถามขึ้นไม่ได้ว่า

“นี่เธออายุเท่าไหร่?”

“สิบเก้าค่ะ?”

“โอ๊ะ? ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

“คุณพ่อหนูเป็นอัมพาตนอนติดเตียงค่ะ ส่วนแม่ก็เป็นวัณโรค แต่เดิมคุณปู่กับคุณยายจะรับจ้างหาเงินมาช่วย แค่ตอนนี้พวกท่านก็อายุเยอะแล้ว ทำไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ฉันก็เลยต้องออกมาทำงานแทน แล้วยังต้องหาเงินส่งน้องเรียนอีกค่ะ”

เนื่องด้วยภาระทางครอบครัวที่มากขนาดนี้ เด็กสาวอายุสืบเก้าจึงจำเป็นต้องออกมาทำงานแบบนี้

จ้าวเฉียนที่ได้ฟังดังนั้นพลันรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก จึงกล่าวขึ้นว่า

“เธอยังเด็กมาก จะนวดไหวไหม?”

“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลูกค้า เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่ฝีมือดีนะคะ หนูจะต้องทำให้คุณลูกค้าพอใจแน่นอน”

“โอ้ ขยันขันแข็งดีจัง ถ้านวดดีฉันจะให้ทิปหนักสักก้อน อ่อ…ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนหักค่านายหน้าจากหัวหน้าเธอนะ ฉันโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารผ่านมือถือโดยตรงเลย”

แววตาคู่ใสของสาวน้อยเปล่งประกายขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่า เธอกำลังขาดแคลนเงินอย่างหนักจริงๆ เธอรีบกล่าวขอบคุณในทันที

“ขอบคุณมากค่ะคุณลูกค้า หนูจะกดจุดให้หายเมื่อยเลยค่ะ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็พยักหน้าและล้มตัวนอนลง สาวน้อยคนนั้นก็เริ่มนวดทันที

การนวดสปาแบบนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ จ้าวเฉียนจึงเปิดประเดเนชวนสาวน้อยคุยไปพลาง

“สาวน้อย เธอชื่ออะไร? มาจากไหน?”

“หนูชื่อเฉียงกุยหลิง มาจากเมืองซุนยี่”

“นี่เธอไม่มีโอกาสเรียนหนังสือเลยเหรอ? เคยไปโรงเรียนไหม?”

เฉียงกุยหลิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนคลี่ยิ้มอย่างแสนขมขื่นใจออกมา เธอตอบไปว่า

“โลกนี้มันไม่ยุติธรรมค่ะ คนรวยใช้เงินคืนหนึ่งสามารถต่อชีวิตครอบครัวของหนูได้เกือบปี พวกคุณหนูคุณชายที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่ต้องดิ้นรนอะไรก็ได้เรียนสูงๆกันทั้งนั้น แต่ยังไงหนูก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อย ยังสร้างให้หนูมีร่างกายครบสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นหากเจ็บป่วยกันหมด ใครจะเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวจริงไหมค่ะ?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยและเอ่ยปากขึ้นชมเชยเธอว่า

“ในเรื่องร้ายก็ยังพอมีเรื่องดีอยู่นะ เพราะเป็นแบบนี้ก็เลยทำให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้ เด็กสาวที่ขยันขันแข็งใฝ่รู้ และพร้อมไขว้ขว้าโอกาสอยู่เสมอ ถ้าเธอยังมานะอดทนแบบนี้ต่อไป ฉันเชื่อนะว่าสักวันโอกาสที่ดีจะมาถึงแน่นอน แล้วผลการเรียนของน้องชายเธอเป็นยังไงบ้าง?”

เฉียงกุยหลิงหัวเราะขึ้นทันทีอย่างสุขอกสุขใจ เธอตอบอย่างภาคภูมิใจว่า

“น้องชายฉันเรียกได้ว่า อัจฉริยะเลยก็ว่าได้ ผลการเรียนติดอันดับหนึ่งทุกเทอม แล้วตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงอ่านหนังสือเตรียมสอบข้ามระดับไปเรียนมหาลัยแล้วค่ะ ดังนั้นช่วงนี้หนูก็เลยต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ จะได้ส่งเขาไปเรียนพิเศษได้ ถ้าเขาสอบติดแล้วได้ทุน ไม่ว่าฉันจะเหนื่อยแค่ไหน ก็คุ้มค่าแล้ว”

ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆประตูห้องก็เปิดออก ชายวัยกลางคนพุงพลุ่ยพร้อมกับชายอีกสี่คนก็เดินเข้ามาหาอย่างหยิ่งผยอง

“เสี่ยวหลิง! ฉันมาหาเธอน่ะ ไปบ้านฉันเดี๋ยวนี้!”

“นายท่านหวง หนูต้อขอโทษจริงๆค่ะ ตอนนี้กำลังติดลูกค้าอยู่ ทำไมไม่ออกไปรอข้างนอกก่อนสักครู่หนึ่ง แล้วดิฉันจะตามไปให้บริการค่ะ”

“นังกระหรี่! กู หวงตงเทียนไม่เคยรอใคร! ไอ้หนุ่มที่นอนอยู่อ่ะ มึงไปเปลี่ยนคนละกัน!”

จ้าวเฉียนคำรามตอบเสียงจริงจังทันทีว่า

“ออกไป!”

กลุ่มคนที่ติดตามหวงตงเทียนอยู่ด้านหลัง รีบตรงเข้ามาหาเรื่องทันที

“ไอ้เวร! มึงเป็นใครวะ กล้าพูดแบบนี้กับบอสหวงได้ไง?!”

“มึงนั้นแหละที่ออกไป บอสกูกำลังมีอารมรณ์ได้ที่ หรืออยากให้นังนี่นวดหำให้ขนาดนั้น?”

“นี่เตือนแล้วนะ รีบออกไปก่อนที่พวกเราจะลงมือ!”

เฉียงกุยหลิงรีบร้องขอกับหวงตงเทียนทันทีว่า

“นายท่านหวง อย่าทำแบบนี้เลยนะคพะ เขาเป็นลูกค้าของหนู ถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมาแล้วไปร้องเรียนกับหัวหน้า หนูถูกไล่ออกแน่ค่ะ หนู…หนูยังมีที่บ้านต้องเลี้ยงดูอีกนะคะ”

หวงตงเทียนเอ่ยตอบพร้อมแววตาเปี่ยมล้นความเจ้าเล่ห์ แสยะยิ้มกล่าวว่า

“เหอะ! กูบอกมึงกี่ทีแล้ว ตราบใดที่กูต้องการมึง ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหนมึงก็ต้องมาปรนนิบัติให้กู กูว่าก็ให้เงินมึงเดือนละ100,000หยวนทุกเดือนแล้วนะ ทำไมยังมาทำงานนวดหำให้คนอื่นอยู่ที่นี่อีก?”

“บอสหวง แต่หนูไม่ได้ต้องการเงินแสนเลยนะคะ ฉันก็แค่คนบ้านนอก เข้ามาเมืองใหญ่ก็เพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว อย่างทำแบบนี้เลยนะคะ ฉันต้องการยืนด้วยลำแข้งและความสามารถตัวเองค่ะ ไม่ใช่มาขายตัวแบบนี้”

หวงตงเทียนระเบิดหัวเราะลั่น ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“หุบปาก แล้วเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว! จะออกไปกับฉันไหม!?”

ตอนที่108 บอกเงื่อนไข

ในไม่ช้า จ้าวเฉียนก็กลับไปที่ห้องพักโรงแรม พอเห็นเขากลับมา หวานเจียงก็ปั้นสีหน้าท่าทางสูงส่งดุจราชินีนั่งรอให้เขามาขอร้องเธอ

ทว่ากลับผิดคาด จ้าวเฉียนเดินตรงมาหาพร้อมยิ้มเยาะ และนั่งลงบนเตียงแทน

เรียวคิ้วทรงคันธนูสวยของหวานเจียงมุ่นขมวดในทันใด เธอเอ่ยถามว่า

“นี่นายกำลังจะทำอะไร?”

“ฉันเหนื่อย อยากนอนน่ะ”

“เจ้านายของนายไม่ได้บอกอะไรเลยรึไง? ลืมอะไรไปไหม?”

“ลืมอะไรเหรอ?”

สีหน้าการแสดงออกของหวานเจียงเปลี่ยนไปทันที เธอยกเท้าขึ้นมาถีบกลางหลังจ้าวเฉียนจนล้มขมำ

“ยังกล้ามาถามอีกเหรอห๊ะ?! ถ้าคิดไม่ได้ก็ห้ามขึ้นเตียงฉัน!”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นพลางประคองหลังด้วยสองมือ เอ่ยสวนไปว่า

“เดี๋ยวก่อนนะ เธอเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า? ที่นี่คือห้องของฉัน ส่วนนั้นก็เตียงของฉันเช่นกัน แล้วมันกลายมาเป็นเตียงของเธอตอนไหมมิทราบ?”

หวานเจียงแสยะยิ้มเยาะขึ้นบนมุมปาก ตอบติดตลกไปว่า

“เลดี้เฟิร์สจ๊ะ!”

“ออกไป! นี่มันเตียงของฉัน ลงมาจากเตียงของฉันเดี๋ยวนี้!”

“โอ๊ะ!ได้ข่าวว่านายใช้ฉันให้แกล้งเป็นแฟน ดังนั้นแฟนก็มีอภิสิทธิ์นอนบนเตียงนี้ได้ แหม แหม…ไม่อยากนอนกอดแฟนคนนี้แล้วรึไงห่ะ? แต่ฉันไม่ให้ขึ้นหรอกนะ ลองดูได้! ขึ้นมางั้นฉันถีบส่ง! ฮ่าฮ่าๆๆ…รีบๆขอร้องฉันก่อนเร็ว!”

จ้าวเฉียนกรอกตามองบนขึ้นรอบหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดนี้ เขายังต้องพูดในสิ่งที่ควรพูดอยู่ดี

“ฉันเยินมาว่า เกาะแห่งนี้ไม่ปลอดภัย พวกเพื่อนร่วมงานของฉันก็เลยอยากกลับบ้าน บังเอิญว่าเธอมีเรือยอทช์ส่วนตัว ถ้าสะดวกใจก็เชิญพาพวกเราติดไปด้วย…”

น้ำเสียงของหวานเจียงดูเย็นยะเยือกลงฉับพลัน กล่าวแซะไปว่า

“อะไรนะ? นายก็ตัวสูงใหญ่ดีนะ แต่ทำไม…เวลาจะขอร้องใครถึงพูดเสียงเบาจังฮึ่ม?”

“นี่เธอจะให้ฉันเอายังไง? คุกเข่าขอร้องเลยไหม?”

“ไม่ ไม่ ฉันไม่ต้องการให้นายคุกเข่าซะหน่อย แต่นายต้องแสดงความจริงใจให้ฉันเห็นก่อน”

“เอาล่ะ เธอต้องการอะไร ไหนว่ามา?”

“ฉันต้องการสิทธิ์การมีส่วนร่วมในการตลาดและโปรโมทเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ และฉันต้องการถือหุ้นจำนวน40%ในบริษัทของนายด้วย!”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ข้อแม้แบบนี้นี่มันปล้นกันชัดๆ ถ้าจะให้เอาจริง เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถโทรเรียกเรือยอทช์มาได้เช่นกัน แล้วทำไมต้องมาวิตกกังวลกับการแลกเปลี่ยนในราคาที่สูงลิบแบบนี้?

“ฉันว่าเธอคิดเยอะเกินไปหน่อยนะ ฉันขออยู่บนเกาะนี้นอนกับเธอบนเตียงต่อดีกว่า”

หวานเจียงลุกขึ้นพรวดจากเตียงด้วยความโกรธเกรี้ยว เดินไปตรงหน้าและประเคนส้นเท้าใส่อีกดอก พร้อมพูดกับจ้าวเฉียนว่า

“นี่นายยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ไหม? เห็นผู้หญิงเป็นอะไรกันห่ะ? คำพูดคำจาหัดใช้ให้มันดีๆหน่อย”

“ตามที่เธอพูดนั้นแหละ ฉันมันปากหมาแบบนี้อยู่แล้วขอยอมรับแต่โดยดี ที่ขอขนาดนี้ไม่ใช่ว่าหน้าเงินรึไง? ฉันจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้เธอสักครึ่งหนึ่ง แลกกับมานอนกับฉันสักคืนเป็นไง? หรือจะสูบให้ฉันหมดตัวเลย?”

“นายนี่มันยังไงห่ะ? ต้องการให้ฉันแกล้งเป็นแฟนนาย อย่างน้อยก็หัดปฏิบัติให้เหมือนแฟนหน่อยไม่ได้รึไง นี่ทำอย่างกับฉันเป็นทาส! หรือไม่รู้จักวิธีอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อผู้หญิงกัน? ยังเป็นผู้ชายอยู่รู้เปล่า?”

จ้าวเฉียนลุกขึ้นยืนพร้อมหัวเราะดังสนั่น จู่ๆเขาก็ถอดกางเกงออกมาและยิ้มกล่าวว่า

“ฉันเป็นผู้ชายรึเปล่าใช่ไหม? งั้นจะถอดกางเกงในให้เธอเช็คดูเดี๋ยวนี้แหละ!”

หวานเจียงรีบยกมือปิดตาทันที เธอกรี๊ดลั่นว่า

“ไอ้บ้า! อย่ามาถอดตรงนี้! ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจแน่!”

จ้าวเฉียนเดินไปหาหวานเจียงทั้งเปลือยท่อนล่างแบบนั้น และโอบกอดร่างบางของเขาเข้ามาในอ้อมแขน แสยะยิ้มบางกล่าวว่า

“โทรหาตำรวจเหรอ? ก็ลองดู เป็นแฟนกันทำเรื่องแบบนี้กันใครจะมาเอาผิด หื้ม?”

“นาย…นายถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”

หวานเจียงผลักร่างจ้าวเฉียนออกไปสุดแรง และวิ่งไปอีกมุมหนึ่งของห้อง เธอพยายามหาที่ซ่อนตัว

จ้าวเฉียนหัวเราะร่า ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอย่างสบายใจและกล่าวกับหวานเจียงว่า

“มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฉันจะยอมรับเงื่อนไขนี้ แต่ฉันก็ไม่ปล่อยให้เธอไม่ได้อะไรไปเลยหรอกนะ ถ้าอยากได้เธอต้องจ่ายเงินกันหน่อย”

หวานเจียงรีบเอ่ยถามทันทีว่า จ้าวเฉียนต้องการเท่าไหร่

“ที่ต้องจ่ายไม่ใช่เงิน ฉันจะให้เธอสองทางเลือก หนึ่งต้องมีลูกผู้ชายให้ฉัน ถ้าคลอดออกมาเป็นผู้หญิง เธอต้องท้องจนกว่าจะได้ลูกผู้ชาย หรือสอง…ยกหุ้นฮวาหยิน กรุ๊ปให้ฉัน30% จะเลือกข้อไหนดีล่ะ?”

หวานเจียงระเบิดอารมณ์ใส่ทันทีที่เธอได้ยิน เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าทางไหน เขาก็จงใจที่จะแกล้งเธอชัดๆ

“ที่พูดออกมาเนี่ยใช้สมองคิดแล้วใช่ไหม? คิดหรือว่าฉันจะยอมรับเงื่อนไขบ้าบอพวกนี้จริงๆ?”

“ก็สิ่งที่เธอขอฉันไปก็มากไม่ใช่น้อยเลย ทุกสิ่งบนโลกย่อมมีราคาแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม หรือเคยได้ของดีมาฟรีๆกัน? เธอต้องการของดีจากฉัน ฉันเองก็ต้องการของดีจากเธอเหมือนกัน”

“แต่ตอนนี้พวกเราเป็นแฟนกัน ดังนั้นนายก็ควรให้ของขวัญแบบที่คู่แฟนให้กันจริงไหม? ฉันไม่เอาหรอกนะ ช่อดอกไม้หรือรถน่ะ แต่ฉันขอหุ้นส่วนจากนาย!”

ในขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูกันดังขึ้นจากด้านนอก

จ้าวเฉียนรีบลุกขึ้นจากเตียงและกระซิบข้างหูหวานเจียงไปว่า

“ส่วนผู้ถือหุ้นฮวาหยิน กรุ๊ปไม่น้อยกว่า20% หรือมีลูกชายให้ฉัน ลองคิดดูให้ดี!”

คล้อยหลังกล่าวจบ จ้าวเฉียนก็เร่งไปเปิดประตู ด้านนอกปรากฏเป็นฟางนี่และบรรดาเพื่อนร่วมงานที่มาหา และเอ่ยถามจ้าวเฉียนทันทีว่า ตกลงกับแฟนได้รึยัง สรุปว่าพวกเขาทั้งหมดสามารถกลับเมืองตงไห่ได้หรือเปล่า?

จ้าวเฉียนรีบเอ่ยชักชวนทันที

“แต่อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเลยนะ แค่ทางเจ้าหน้าที่เกาะทำการปราบปรามบุคคลเสี่ยงอันตรายเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลกันเลย ยังมีเวลาเที่ยวอีกตั้งสองวันแหนะ”

“มีเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มทริปแล้ว ตอนนี้พวกเราไม่เหลืออารมณ์เที่ยวเล่นกันต่อแล้วล่ะ”

“ใช่ นี่เพิ่งมาวันแรก แต่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ ขอใช้เวลาที่เหลือกลับบ้านนอนหลับให้ฝันดี แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อดีกว่า”

“อยู่ต่อไปทุกคนก็ไม่มีความสุขกันแล้ว จ้าวเฉียน นายคุยกับแฟนรึยัง? สรุปว่าเธอจะพาเรากลับไหม?”

ยามนี้จับจ้องไปที่แววตาอันแสนอ้อนวอนของทุกคน จ้าวเฉียนพลันรู้สึกอับอายเกินแถต่อได้ไหว แต่อย่างไร เงื่อนไขที่หวานเจียงต้องการกลับมากเกินจะรับได้จริงๆ ทันใดนั้นหวานเจียงก็เดินออกมา เธอยิ้มทักทายทุกคนและกล่าวว่า

“อันที่จริงฉันก็อยากพาทุกคนกลับนะ แต่จ้าวเฉียนไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษเกินไป อะไรที่ขัดต่อผลประโยชน์เขา กลับปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใย ให้ของขวัญแฟนสักนิดสักหน่อยบ้างได้ไหม? หรือถามคำถามฉันให้ชื่นใจหน่อย ชอบดอกไม้ไหม? อยากได้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้หรือเปล่า?”

บรรดาเพื่อนร่วมงานสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของหวานเจียงทันที และบอกว่า เขาเป็นแบบนั้นจริงๆ

‘กลเม็ดพิชิตบุรุษด้วยศักดิ์ศรี’ของหวานเจียงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เธอกล่าวต่อว่า

“ใช่ไหมล่ะ? นี่คือสิ่งที่แฟนหนุ่มควรทำให้สาวๆอย่างเรา แต่จ้าวเฉียนไม่เต็มใจทำอะไรให้ฉันสักอย่าง เป็นพวกเธอจะยินดีช่วยเขาคืนไหม?”

ทันใดนั้นเอง บรรดาเพื่อร่วมงานผู้หญิงต่างเริ่มเอ่ยปากตำหนิจ้าวเฉียนทันควัน

“จ้าวเฉียน นี่เป็นความผิดของนายเลย ในฐานะที่เป็นแฟนกันก็ควรทำให้อีกฝ่ายมีความสุข หรือนายหวังคบเพื่อเอาเปรียบอย่างเดียว?”

“ถูกต้องที่สุด ทีนายยังซื้อขอขวัญให้คนอื่นได้ ถ้าอย่างนั้นให้เรารวมเงินให้นายไปซื้อขอขวัญให้แฟนนายดีไหม?”

พวกเพื่อนร่วมงานชายเองก็พยายามเซ้าซี้กล่าวช่วย

“จ้าวเฉียน ทำไมจู่ๆวันนี้นายก็ขี้เหนียวเฉยเลย ปกตินายใจกว้างพาพวกเราไปเลี้ยงก็บ่อย?”

“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า? ผู้หญิงน่ะต้องรู้จักเอาใจหน่อยรู้ไหม?”

จ้าวเฉียนถึงกับพูดไม่ออก โดนเพื่อนร่วมงานต่างร่วมกันสวดไม่หยุด หวานเจียงปิดปากเงียบเฝ้ามองภาพฉากนี้ด้วยท่าทีสนุกสนาน

พอเห็นจ้าวเฉียนเริ่มลังเล จางหยางได้โอกาสกล่าวซ้ำไปว่า

“จ้าวเฉียน นายไม่อยากให้พวกเราได้กลับไป หรืออยากให้เราตกอยู่ในอันตรายบนเกาะนี้? กับแค่ให้ของขวัญแฟนสักชิ้นมันยากนักรึไง? เห็นได้ชัดว่านายไม่อยากให้พวกเรากลับไปจริงๆ ทำไม? หรือเห็นพวกเราเป็นตัวปัญหา พวกเราจะเป็นยังไงก็ช่าง แล้วไปมีความสุขกับแฟนสองต่อสอง?”

หวังเฉียงกล่าวเสริมต่อทันใด

“ผู้จัดการจางพูดถูก ผมเองก็คิดว่าต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นกับแค่เงื่อนไขง่ายๆทำไมถึงทำไม่ได้กัน? สภาพการเงินย่ำแย่แล้วรึไง?”

เจวียงหยวนส่ายหัวเล็กน้อย กล่าวว่า

“จ้าวเฉียน ฉันเพิ่งจะมองนายใหม่เองนะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่านายจะทำตัวแบบนี้ เห็นชีวิตพวกเราไม่มีค่าเลยรึไง? ตอนนี้มันเกี่ยวพันไปถึงความปลอดภัยของทุกคนนะ? นายไม่อยากพาพวกเรากลับไปจริงๆงั้นเหรอ?”

หลังจากที่ได้ยินทั้งสามพูดบิ้วอารมณ์แบบนั้น ทุกคนก็เริ่มเชื่อแล้วว่า จ้าวเฉียนอาจจะต้องการทิ้งทุกคนไว้จริงๆ

“จ้าวเฉียน นาย…นายไม่อยากพาพวกเรากลับไปจริงๆเหรอ?”

“พวกเราเชื่อใจตัวนายนะ นายจะมาทิ้งเราแบบนี้ไม่ได้!”

“ถูกต้อง! ฉันทั้งมองและปฏิบัติกับนายราวกับคุณชายจ้าวจริงๆ แต่จะมาทิ้งกันในช่วงเวลาตับขันแบบนี้ไม่ได้!”

คราวนี้จ้าวเฉียนหมดหนทางแล้วจริงๆ เขาไม่สามารถบอกกับทุกคนได้เลยว่า เงื่อนไขของหวานเจียงแท้จริงแล้วเป็นยังไง อย่างไรเสีย มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยกผลประโยชน์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ให้แก่เธอง่ายๆ

“เอาล่ะ ฉันจะคุยกับเสี่ยวเจียงอีกที ขอเวลาห้านาทีแล้วจะให้คำตอบ”

หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็ปิดประตูใส่หน้าทุกคน ออกแรงจับร่างของหวานเจียงกระชับแน่น ทันใดนั้นเขาก็โยนเธอลงบนเตียงโดยตรง

ตอนที่107 ในอันตรายยังมีโอกาสเช่นกัน

เมื่อได้ยินหวงฉิงบอกว่ามีบุคคลอันตรายบนเกาะ ทุกคนก็รีบถามทันทีว่า อีกฝ่ายเป็นใคร

หวงฉิงไม่ต้องการที่จะอธิบายใดๆ ให้พวกเขาฟังมากกว่านี้ จึงไล่พวกเขาพร้อมทิ้งทวนเพียงว่า

“ทางเรายังไม่ทราบ ว่าบุคคลอันตรายที่ว่าเป็นใคร และต้องการอะไร แต่ตำรวจบอกให้พวกเรารับนำนักท่องเที่ยวทั้งหมดกลับเข้าโรงแรมโดยด่วน หรือไม่ก็เดินทางออกจากเกาะซ่งต้าวในทันที”

ตอนนี้ทุกคนต่างไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป แต่ละคนรีบถอนอุปกรณ์คืนเจ้าพนักงานสนามและวิ่งขึ้นรถกลับโรงแรมกันในทันที

พอคำนึงถึงบุคคลอันตรายบนเกาะ ก็ไม่มีใครเหลืออารมณ์เที่ยวแล้ว พวกเขาจึงขอให้ฟางนี่หาทางพาพวกเขากลับเมืองตงไห่โดยเร็วที่สุด

แต่ตอนนี้เรือข้ามฟากเองก็ถูกยกเลิกเที่ยวออกแล้วเช่นกัน ไม่มีใครสามารถออกไปจากเกาะซ่งต้าวได้อีกไป เพราะตำจวรกลัวว่าบุคคลอันตรายที่ว่าจะหลบหนีผ่านช่องทางนี้

ในเวลานั้นเอง เจวียงหยวนสติแตกอีกครั้ง

“ประธานฟาง บางทีจ้าวเฉียนอาจจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ได้! ขนาดเขายังไปคุยกับคนดูแลตอนนั้นได้เลย ครั้งนี้เองก็ไม่น่าจะมีปัญหา?”

ทุกคนที่ได้ฟังดังนั้นต่างเห็นว่าสมเหตุสมผล ถ้าจ้าวเฉียนออกโรงช่วยเหลือ ปัญหานี้จะต้องคลี่คลายได้ไม่ยาก

“ประธานฟาง ผมเองก็คิดว่าครั้งนี้เจวียงหยวนพูดเข้าท่า จ้าวเฉียนน่าจะมีวิธีดีๆ ช่วยพวกเราได้ ประธานฟางลองคุยกับเขาดู เผื่อจะมีวิธีอะไรบ้าง”

“ใช่ครับ! ลองดูไม่เสียหาย ยังดีกว่าต้องเสี่ยงอยู่บนเกาะแบบนี้!”

“ใช่ค่ะ หนูเองก็เห็นด้วย…”

ฟางนี่พยักหน้าและขอให้ทุกคนรออยู่ในห้องพักของเธอ ขณะที่เคาะประตูห้องของจ้าวเฉียน เรียกหาเขาสองสามครา กลับเป็นสุ้มเสียงของหวานเจียงที่ดังออกมาแทน

“จ้าวเฉียนยังไม่กลับมาเลย โทรหาเขาเอาเองแล้วกันนะ มีอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”

พอฟางนี่ได้ยินเป็นเสียงของหวานเจียง เธอก็รีบตอบกลับทันทีว่า

“โอเคค่ะ ขอโทษนะที่มารบกวน จะว่าไปแล้วจ้าวเฉียนบอกเธอแล้วใช่ไหมว่า ตอนนี้บนเกาะมีบุคคลอันตรายหลบอยู่ คุณรีบหาวิธีหนีออกจากเกาะนี้จะดีกว่านะ”

“อ้อ ไม่เป็นไร ฉันมาด้วยเรือยอทซ์ส่วนตัวน่ะ จะกลับตอนไหนก็ได้”

คู่ดวงตาของฟางนี่เปล่งประกายขึ้นฉับพลัน ถ้าเธออาศัยเรือยอทซ์ของหวานเจียงออกไปด้วยกัน ปัญหานี้ก็คลี่คลายได้ไม่อยากเลย?

“เอ่อ…นั้นคุณหวานเจียงใช่ไหมค่ะ? คุณสามารถเอาเรือยอทซ์ออกแล้วให้พวกเราติดไปด้วยได้ไหม? อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าจ้าวเฉียนนะคะ พวกเรามีทั้งหมดประมาณสิบหกสิบเจ็ดคนเอง น่าจะโดยสารไหวนะคะ”

“อืมม…ถ้ามองเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เรือยอทช์ของฉันรับคนได้ถึงหกสิบคนต่อครั้ง ถ้าทั้งหมดเป็นผู้หญิงสามารถรับได้ถึงเจ็ดสิบคนก็ไม่ใช่ปัญหา ยังไงก็ตามแต่ คุณต้องขอให้จ้าวเฉียนมาพูดขอร้องฉันให้ได้ ไม่งั้นไม่ช่วยค่ะ”

ฟางนี่ตะลึงไปชั่วขณะแล้วเธอก็หัวเราะคิกคักออกมา แฟนคู่นี้ชอบทำอะไรแปลกๆ ซึ่งเธอเองก็พอจะเข้าใจ

“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะรีบโทรหาเขาเดี๋ยวนี้เลย จากนั้นจะให้เขาคุยกับคุณดู จะออกตอนไหนก็เรียกนะคะ ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว”

ฟางนี่รีบโทรหาจ้าวเฉียน และทางด้านพนักงานแจ้งให้ผู้เข้าพักทุกคนปิดเครื่อง ดังนั้นจึงติดต่อไม่ได้เลย

ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฉียนก็กำลังให้คำปรึกษาหวงฉิงและคนอื่นๆ ในที่ทำงานกันอยู่

ตอนนี้หวงฉิงรู้สึกประหม่าแทบตาย ต่อความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเกาะแห่งนี้ เขาไม่รู้เลยว่าควรจะจัดการส่วนไหนก่อนดี

“คุณชายจ้าวช่วยผมด้วย! ถ้าเกาะซ่งต้าวยุ่งเหยิงไปกว่านี้ ผมจะไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทุกคนได้”

ทว่าอย่างไร จ่าวเฉียนดูสงบเสงียมและผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด ไม่เห็นมีท่าทีกังวลใจเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจในทรัพย์สินของตัวเอง แต่เขารู้สึกจริงๆ ว่า เรื่องแค่นี้มันไม่มีอะไรให้น่ากังวลเลย

“คุณหวง คุณรู้จักคำว่าวิกฤตไหม?”

“รู้ครับ…รู้…”

“คำนี้มีอักษรอยู่สองตัว อักษรตัวแรกคืออันตราย และอักษรตัวที่สองคือโอกาส นั้นหมายความว่าในอันตรายยังมีโอกาสรั้งรอน เพียงว่าตอนนี้คุณยังมองไม่เห็นโอกาสที่ว่านั้น”

“คุณชายจ้าว ผมค่อนข้างโง่นะครับ โดยเฉพาะกับสถานการณ์แบบนี้ ช่วยอธิบายง่ายๆ ให้ฟังที”

จ้าวเฉียนแนะนำหวงฉิงไปว่า หากทุกคนรู้ถึงการมีอยู่ของบุคคลอันตรายบนเกาะ จะส่งผลกระทบไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามแต่ หวงฉิงก็แค่จัดโครงการความร่วมมือระหว่างพนักงานและหน่วยงานตำรวจบนเกาะ เข้าปราบปรามบุคคลที่มีแนวโน้มเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยว และให้แก้ข่าวไปว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่บุคคลอันตราย แต่เป็น ‘บุคคลที่มีแนวโน้มเสี่ยงอันตราย’ เท่านั้น เพื่อกวาดล้างเกาะให้ขาวสะอาด เตรียมต้อนรับสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ ทั้งในด้านความปลอดภัยและการจับจ่ายซื้อของของทุกคน

ซึ่งอันที่จริงแล้ว บนเกาะแห่งนี้ก็มีกลุ่มคนที่มีแนวโน้มเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อยเช่นกัน อาจจะมาในรู้แบบร้านค้าที่หลอกเงินนักท่องเที่ยว รวมไปถึงโจรที่ดักปล้นก็มี และก็ยังมีพวกนี้อยู่นานมากแล้ว เพียงว่าเจ้าหน้าที่ไม่เคยออกปราบปรามอย่างจริงจัง

จ้าวเฉียนเลยต้องการใช้โอกาสนี้จัดการเบ็ดเสร็จ ถือเป็นการทำความสะอาดเกาะซ่งต้าวครั้งใหญ่ไปในตัว เปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส หลังจากปราบปรามทั้งหมดเสร็จสิ้น บ้างก็ควรมีจัดกิจกรรมลดค่าห้องพักและห้องอาหาร เพื่อกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวดูเป็นครั้งคราว

หวงฉิงพยักหน้าตอบเป็นไก่จิก โดยส่วนใหญ่เขาจะมองปัญหาเพียงด้านเดียวอยู่เสมอ และไม่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเท่าจ้าวเฉียน

“ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำของคุณชายจ้าว ผมจะรีบรายงานให้บริษัทแม่ทราบและออกแผนงานจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

“อืม ถามตำรวจชายฝั่งทีว่าหยางหมิงเป็นยังไงบ้าง?”

“โอ้ ผมส่งคนไปแล้วครับ น่าจะได้คำตอบในเร็วๆ นี้”

ทันทีที่หวงฉิงพูดจบเสียงมือถือก็ดังขึ้น คนของเขาโทรมาหาเพื่อรายงานสถานการณ์บริเวณน่านน้ำให้ฟัง คุยเสร็จวางสายไป หวงฉิงก็รีบแจ้งสถานการร์ให้จ้าวเฉียนทราบทันที

“คุณชายจ้าว ลูกน้องผมรายงานมาว่า หยางหมิงและเพื่อนๆ ถูกนำตัวส่งกลับไปโดยตำรวจ ตอนนี้กำลังสอบสวนอยู่ที่โรงพัก เพื่อไต่สวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

“เหอะ เหอะ…หยางหมิงคงถูกปล่อยตัวในไม่ช้า มันพอมีเส้นในกรมตำรวจอยู่บ้าง หวงฉิง นายไปช่วยหนึ่งในสี่มือสังหารมาได้ไหม ขอแค่คนเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกสามคนจะถูกประหารหรือปล่อยไปยังไงก็ช่าง แต่ต้องช่วยคนหนึ่งเอาไว้ให้ได้”

หวงฉิงครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ ตำรวจลาดตระเวนชายฝั่งกำลังตามล่าพวกมือสังหาร มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยเหลือเป้าหมายการจับกุมแบบนี้ออกมา จ้าวเฉียนเองก็ทราบดีว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยเช่นกัน แต่เหตุผลที่เขาต้องช่วยหนึ่งในมือสังหารพวกนั้นคือ เขาต้องการหาหลักฐานไปมัดตัวหยางหมิงให้ได้ หยางหมิงทำการติดต่อจ้างวานมือสังหารให้มาฆ่าเขา ยังไงก็ไม่สามารถปล่อยผ่านไปแบบนี้ได้เด็ดขาด

“โอเค งั้นฉันกลับห้องพักไปก่อนล่ะ หลังจากนี้รายงานให้ฉันทราบตลอดทุกเมื่อ ฉันว่านายเป็นคนๆ หนึ่งที่มีศักยภาพการทำงานที่ดีเยี่ยมเลยนะ แต่ดูจะขี้กังวลไปหน่อย ถ้าจะอยู่วงการธุรกิจใจต้องนิ่ง กล้าได้กล้าเสี่ยง เอาล่ะ ถ้านายสามารถแก้ปัญหาในครั้งนี้ได้ ฉันรับประกันได้เลย อนาคตของนายต้องไร้ขีดจำกัด!”

หวงฉิงในยามนี้ไม่ต่างจากเด็กได้รับคำชื่นชมจากผู้ใหญ่เลย

“คุณ…คุณชาย…คุณชายจ้าว…ผม…ผม…จะตั้งใจทำงานให้หนักครับ!”

“ฮ่าฮ่า…นายขยันตั้งใจทำงานแบบนี้ก็ดี แล้วอย่าลืมคำที่ฉันสอนล่ะ วิกฤตเกิดจาก อันตรายและโอกาส มองสถานการณ์ให้แตกฉาน แล้วนายจะเห็นโอกาสเอง”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ! จากนี้ผมจะอุทิศทั้งกายใจเพื่อเกาะซ่งต้าวแห่งนี้ครับผม!”

“ขอบคุณที่เสียสละเพื่อบริษัทขนาดนี้ ตั้งใจล่ะ”

“อืม ไม่ต้องออกมาส่งนะ เดี๋ยวคนอื่นสงสัย”

“ครับผมคุณชายจ้าว!”

จ้าวเฉียนเดินออกจากห้องทำงานของหวงฉิง พลางเปิดเครื่องมือถือแลไปเห็นข้อความแจ้งเตือนให้โทรกลับของฟางนี่

เห็นแบบนั้นเขาจึงต่อสายตรงโทรไปหาทันที พร้อมถามไปว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

“จ้าวเฉียน นายอยู่ไหน?”

“อยู่ชั้นล็อบบี้ครับ มีอะไรรึเปล่า?”

“ตอนนี้ทุกคนอยากกลับบ้านกันแล้ว แค่เรือข้ามฟากถูกสักให้หยุด ก็เลยกลับกันไม่ได้ แต่เมื่อกี้ตอนไปเคาะห้องนาย แฟนนายบอกฉันว่า เธอมีเรือยอทช์เตรียมพร้อมให้พวกเราโดยสารกลับไป แต่แฟนของนายบอกว่า ต้อยให้นายเอ่ยปากขอร้องเธอ ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมให้ขึ้นมาด้วยกัน”

“โอ้ เรื่องเล็กน้อยมากครับ ผมจะกลับไปบอกเธอเดี๋ยวนี้แหละ แล้วฝากบอกทุกคนด้วยนะครับว่า ไม่ต้องวิตกกังวลกัน ผมถามคนในมาแล้ว เขาบอกมาว่า เป็นโครงการปราบปรามการร่วมมือระหว่างทางเกาะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อกวาดล้างบุคคลที่สุ่มเสี่ยงอันตรายเท่านั้นครับ นี่มันเรื่องเล็กน้อยมาก และว่าเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย ทางโรมแรมจึงได้รับคำสั่งให้นำนักท่องเที่ยวเข้าโรงแรมไปก่อน หลังจากปราบปรามเสร็จ ก็สามารถออกมาเที่ยวได้ดังเดิมแล้วครับ”

พอฟางนี่ได้ยินแบบนั้น เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นอย่างมาก ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง

“โอเค ฉันจะไปบอกกับทุกคนเอง นายก็อย่าลืมไปคุยกับแฟนนายด้วยล่ะ เผื่อว่าทุกคนยังอยากกลับไปกันอยู่ จะได้ติดเรือยอทช์เธอไปได้”

“เข้าใจแล้วครับ”

จ้าวเฉียนวางสายไปและเดินจะไปขึ้นลิฟต์

ตอนที่106 เงินดีผีคุ้ม

พอได้ยินว่าจ้าวเฉียนจะให้100ล้าน ชายหัวโล้นตกใจอย่างยิ่ง พร้อมเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำทันที

“นายมีเงินร้อยล้านจริงๆใช่ไหม?”

ท่าทีของจ้าวเฉียนดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย ตราบเท่าที่ความภักดีของชายหัวโล้นคนนี้ สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรอันตรายแล้ว

“ไปคุยกันที่เงียบๆกันเถอะ ตรงนี้ดูจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”

ชายหัวโล้นพยักหน้าและเตือนจ้าวเฉียนไปว่า อย่าคิดเล่นตุกติกไม่งั้นเขาลั่นไกใส่ทันที

จ้าวเฉียนหัวเราะ เอ่ยตอบอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรว่า

“ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ นายได้ตามต้องการแน่”

ชายหัวโล้นเอะใจเล็กน้อยก่อนจะคุมตัวจ้าวเฉียนไปคุย

จ้าวเฉียนเข้าประเด็น ถามอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาทันทีว่า

“หยางหมิงจ้างพวกนายมาใช่ไหม? นายไม่ต้องปฏิเสธไป ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมมันถึงเกลียดฉันขนาดนี้ ถึงขั้นจ้างมือสังหารมาจัดการจริงๆ แล้วฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันจ่ายพวกนายเท่าไหร่ แต่ฉันขอจ้างพวกนายกลับ100ล้านไปจัดการหยางหมิงคืน ว่ายังไง?”

ชายหัวโล้นเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

“มีเงิน100ล้านแน่นะ?”

จ้าวเฉียนไม่ปริปากตอบใดๆ เพียงหยิบมือถือเข้าแอปธนาคารเปิดโชว์ให้อีกฝ่ายดู

“เอาไปดูตามสบาย นี่คือยอดเงินในบัญชีของฉัน ของพวกนี้เป็นข้อมูลจากธนาคาร คงปลอมแปลงกันไม่ได้อยู่แล้วจริงไหม?”

ชายหัวโล้นรีบคว้ามือถือมาดู ก่อนพบว่ามียอดเงินที่สามารถใช้ได้กว่า300ล้านหยวน เห็นแบบนี้เขาก็ใจชื้นขึ้นมาทันควัน ถ้าได้งินร้อนล้านมาอยู่ในมือ พวกเขาจะสามารถล้างมือในอ่างทองคำ กลับไปใช้ชีวิตดั่งคนธรรมดาทั่วไปได้อย่างมีความสุข

จ้าวเฉียยังคงกล่าวเสริมต่ออีกว่า

“เงินที่ได้ในธุรกิจแบบนี้เป็นยังไงก็คงทราบดี ได้เงินค่าจ้างเก็บคนต่อหัวต้องแบ่งใต้โต๊ะให้ใครต่อใครอีกกว่าจะถึงมือตัวเอง? สู้เอาเงินร้อนล้านไปแบ่งกับอีกสามคน สามารถเอาไปซื้อรถซื้อบ้าน ใช้ชีวิตประจำวันอย่างคนทั่วไป ในอนาคตถ้ารัฐเกิดข้อสงสัย ก็เจียดเงินมาสักก้อนเป็นธุรกิจก็ยังได้ เพื่อส่งบัญชีถึงที่มาของกำไรได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างน้อยก็ยังดีกว่าโดนจับเพราะฆ่าคน ติดคุกติกตารางหัวโต”

ชายหัวโล้นทึ่งไปชั่วขณะ เขาไม่ใข่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“แล้วจะรับประกันได้ยังไงว่า นายจะทำตามสัญญา? ถ้าหลังจากปล่อยตัวไป แล้วนายเรียกตำรวจมาจับล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า…พวกนายเองก็น่าจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อที่ตำรวจต้องการตัวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้านายไม่มีความสามารถพอที่จะหนีการจับกุมของตำรวจไปได้ คงไม่อยู่รอดถึงทุกวันนี้หรอกจริงไหม? อีกอย่างถ้าฉันโกหกจริงๆ หลังจากพวกนายหนีไปได้ค่อยมาตามฆ่าฉันใหม่ก็ยังไม่สาย แถมยังได้ไปเต็มๆ300ล้าน แต่นั้นก็ต้องแลกกับการใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆไปตลอดจนวันตาย แต่ถ้าเลือก100ล้านที่ฉันจะมอบให้ นายจะได้ล้างมือออกจากวงการนี้ และกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุข ว่าไง…เลือกอย่างไหนดี?”

ชาวหัวโล้นเองก็คิดว่ามันเข้าท่า ยอมตัดใจเอา100ล้านแลกกับอิสรภาพของชีวิตในอนาคต ถึงได้เพิ่มมาอีก200ล้าน แต่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆแบบนี้ มีเท่าไหร่ก็ใช้จ่ายไม่ได้เหมือนกัน

“แล้วถ้าฉันเลือก100ล้าน นายมีวิธีล้างมือให้พวกฉันยังไง? เพราะวงการนี้มันไม่ได้ออกกันง่ายๆ?”

“ฉันพอมีเพื่อนที่รู้จักอยู่ในวงการนี้เหมือนกัน เขาค่อนข้างมีอิทธิพลและเชื่อถือได้ พวกเขาจะช่วยล้างประวัติให้พวกนายเอ ส่วนเรื่องเงิน ถ้าโอนผ่านบัญชีธนาครจำนวนขนาดนี้อาจถูกทางตำรวจสงสัยว่าฟอกเงิน ดังนั้นฉันจะโอนใส่ลงในบัญชีหุ้นของนายแทนเป็นจำนวน10ล้าน แล้วเข้าซื้อหุ้นตัวนึงตามที่ฉันสั่ง ภายในหนึ่งเดือนฉันจะปั่นมูลค่าให้ถึง100ล้าน จากนั้นนายก็แค่ขายหุ้นพวกนั้นไป แต่ถ้าไม่สันทัดเรื่องหุ้นเท่าไหร่ จะให้โอนเงินผ่านการประมูลรูปศิลปะก็ได้ มันมีหลายวิธีที่จะจ่ายเงินเข้ากระเป๋านาย ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลย”

ชายหัวโล้นเชื่อจ้าวเฉียนสนิทใจและพยักหน้าเห็นด้วยในทันที ทั้งสองเดินกอดคอกลับมาพลางร่วนหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ชายหัวโล้นกวักมือเรียกสหายทั้งสามและจากออกไปทันที

พอมือสังหารทั้งสี่เดินทางจากออกไป จู่ๆจ้าวเฉียนก็ระเบิดหัวเราดังลั่นโดยไม่มีสาเหตุ

“เป็นยังไงบ้าง? การแสดงของสี่คนนั้นเนียนดีไหม? หลอกให้พวกนายเชื่อสนิทเลย! ฮ่าฮ่าๆๆ…”

ทุกคนโกรธไม่น้อยพอได้ยินแบบนั้น จึงรีบเอ่ยถามจ้าวเฉียนทันทีว่านี่หมายความว่ายังไงกันแน่? ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงงั้นเหรอ?

จ้าวเฉียนจงใจทำหน้าเก็บอาการไม่อยู่และตอบไปว่า

“ก็นะ…แค่อยากให้ทุกคนเลือดสูบฉีดกันหน่อย!”

จางหยางโมโหอย่างมาก เขาเดินเจ้ามาผลักอกจ้าวเฉียนและสบถด่าขึ้นว่า

“สมองแกมีปัญหาเหรอ? มาเล่นอะไรบ้าบอแบบนี้! คิดว่าคนอื่นๆเขาสนุกกับแกไหม?”

เจวียงหยวนยังดุซ้ำว่า

“นี่มันเกินไปแล้ว จะเล่นอะไรให้มันมีขีดจำกัดหน่อย ทุกคนต่างกังวลถึงความปลอดภัยของนาย นี่คิดว่าตัวเองมีค่าพอที่จะเล่นอะไรแบบนี้จริงๆเหรอ?”

บรรดาเพื่อนร่วมงานของเขาเองล้วนปริปากล่นไม่หยุด ติเตียนไปว่าเล่นอะไรควรมีขอบเขต

มีเพียงหวังเฉียงเท่านั้นที่ไม่พูดอะไรสักคำ เพราะเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องอำเล่นของจ้าวเฉียน แต่เป็นการบุกจับตัวจริงๆ ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า ทำไมมือสังหารเหล่านั้นถึงยอมกลับไปแต่โดยดี? ไอ้หัวโล้นนั่นคุยอะไรกับจ้าวเฉียนกันแน่? จากดุกลายเป็นเชื่องซะอย่างงั้น?

จ้าวเฉียนไม่ต้องการอธิบายเรื่องให้ใครฟัง เพราะกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่เกินควบคุม เขาหยิบปืนเลเซอร์ขึ้นมาทันทีและยิงเจวียงหยวนรัวๆไม่หยุด พร้อมตะโกนลั่นว่า

“เลิกเล่นตลกได้แล้ว! ถึงเวลาตาย! ฉันจะยิงให้หมดแม็กเลย!”

เจวียงหยวนยกปืนขึ้นสู้ตอบทันที จากนั้นทั้งสองก็รีบวิ่งไปหาที่กำบังแล้วสู่กันอย่างดุเดือด พอคนอื่นๆเห็นดังนั้นก็รีบยกปืนขึ้นยิงกันอย่างสนุกสนาน จนดูเหมือนว่าความไม่พอใจก่อนหน้า ทุกคนจะลืมเลือนกันไปหมดแล้ว

หยางหมิงรอข่าวดีบนเรือยอทช์หรู ไม่นานนักมือสังหารทั้งสี่ก็กลับมา แต่เมื่อเห็นพวกเขากลับมามือเปล่า หยางหมิงพลันขมวดคิ้วแน่น ถามด้วยความโกรธขึ้นว่า

“พวกแกทำบ้าอะไร? จ้าวเฉียนอยู่ไหน!?”

ชายหัวโล้นตอบไปว่า

“ขอโทษจริงๆครับ ฝ่ายนั้นมีคนเยอะกว่าก็เลยไม่มีโอกาสลักพาตัวออกมาได้ รอให้พวกเราออกจากเกาะซ่งต้าวก่อนดีกว่า ค่อนหาโอกาสใหม่ครับ”

หยางหมิงฟังดันนั้นก็พลันคิดไปว่า คงทำได้เท่านี้จริงๆ จึงสั่งให้ออกไปและพักผ่อนตามอัธยาศัย

ในอีกด้าน ระหว่างที่เล่นเลเซอร์เกมส์กัน ยิ่งหวังเฉียงครุ่นคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ดังนั้นจึงรีบแอบส่งข้อความถึงหยางหมิง

“คนที่คุณส่งมาเชื่อถือได้จริงๆใช่ไหม? เห็นไอ้หัวโล้นคนนั้นกอดคอหัวเราะกับจ้าวเฉียนด้วย ไม่ใช่ว่ามันทรยศคุณแล้ว?”

หยางหมิงได้อ่านข้อความดังกล่าวก็เริ่มวิตกกังวลหนัก ถ้านักฆ่าเหล่านี้ถูกจ้าวเฉียนซื้อตัวไปแล้วจริงๆ การออกทะเลครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากนำส่งพวกเขาสู่แม่น้ำสายมรณะ?

เมื่อหยางหมิงกำลังจิตตกหนัก จู่ๆก็มีเสียงไซเรนดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล ปรากฏว่าเป็นเรือนตำรวจลาดตะเวนของเกาะมา

หยางหมิงดีใจอย่างที่สุดคิดว่าตัวเองรอดแล้ว เขารีบวิ่งไปที่ดาดฟ้าและตะโกนขึ้นว่า

“ช่วยด้วยตำรวจ! ช่วยด้วย! มีคนมาทำร้ายผม รีบจับมันโยนทะเลเลย!”

บรรดาพวกพ้องของหยางหมิงต่างตื่นตระหนกยิ่งพอได้ยินแบบนั้น รีบกระโดดลงทะเลพยายามจ้ำอ้าวว่ายไปทางเรือตำรวจ ส่วนพวกมือสังหารก็รีบวิ่งไปที่ห้องครัว เปลี่ยนเสื้อผ้าซ่อนปืนมิดชิด แสร้งว่ากำลังทำอาหารอยู่

ไม่นาน เรือจตำรวจก็แล่นเข้ามาเทียบกับเรือยอทช์

“พวกเราเป็นตำรวจชายฝั่งของเกาะซ่งต้าว ขออนุญาตขึ้นเรือเพื่อตรวจสอบครับ หวังว่าทางคุณจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”

หยางหมิงผงกหัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“คุณตำรวจช่วยด้วย มีมือสังหารอยู่บนเรือ แถมพวกมันยังมีปืนอีกด้วย”

พอได้ยินคำกล่าวของหยางหมิงแบบนั้น ก็ทำให้บรรดาเพื่อนฝูงหวาดกลัวเข้าไปใหญ่ รีบวิ่งไปหลบในเรือตำรวจทันที

มือสังหารทั้งสี่ที่ดักฟังการเคลื่อนไหวด้านนอก ก็ตระหนักได้ทันทีว่าโดนจับได้แล้ว ก็เลยรีบหยิบปืนออกมาเตรียมสู้ พวกเขาไม่ยอมจำนนแบบนี้แน่นอน ประวัติของแต่ละคนฆ่าคนมาก็เยอะ ถ้าโดนจับกุมคงหนีไม่พ้นโทษประหารอยู่ดี

ที่ตำรวจชายฝั่งแล่นมาหา ที่จริงแล้วแค่อยากเข้ามาสอบถามเฉยๆว่า ทำไมเรือยอทช์ของหยางหมิงจู่ๆถึงออกแล่นตอนกลางดึกแค่นั้น

แต่พอตำรวจได้ยินแบบนั้นก็รีบแจ้งศูนย์ใหญ่โดยด่วนทันที

ขณะที่ก่อเกิดสถานการณ์การไล่ล่ากันอย่างดุเดือดภายในน่านน้ำ พวกจ้าวเฉียนและคนอื่นๆกำลังมีช่วงเวลาอันดีบนเกาะ ต้องบอกเลยว่า กิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคีครั้งนี้ที่ฟางนี่จัดขึ้นมันได้ผลจริงๆ ทุกคนต่างทำกิจกรรมร่วมสนุกกันจนลืมเรื่องขับข้องใจส่วนตัว จ้าวเฉียนกับเจวียงหยวนเล่นกันอย่างสนุกสนาน

แต่ในเวลานั้นเอง หวงฉิงก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับตำรวจกลุ่มหนึ่ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวเฉียน มีหวังพวกเขาไม่เพียงตกงาน แต่หัวได้หลุดจากบ่าแน่นอน

จ้าวเฉียนมุ่นคิ้วดูไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะแบบนี้ ส่วนด้านหวงฉิงเองก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของจ้าวเฉียน จึงรีบอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่า

“ทุกท่านครับ ทางเราต้องขอโทษจริงๆ ตอนนี้มีบุคคลอันตรายอยู่บนเกาะ จึงจำต้องยุติกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิด และให้ทั้งหมดรีบกลับเข้าโรงแรมโดยเร็ว เชิญขึ้นรถที่เราจัดเตรียมไว้ให้เลยครับ”

ตอนที่105 นักฆ่ามืออาชีพ

จ้าวเฉียนกำลังครุ่นคิดถึงแผนการที่หยางหมิงตละเตรียมเอาไว้ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน และเขาเองก็ไม่มีอารมณ์มาเล่นเลเซอร์เกมส์แม้สักนิด แต่หวังเฉียงอารมณ์ดีจนผิดแปลก วิ่งมามอบหมายหน้าที่ให้ประจำจุดของแต่ละคน

“จ้าวเฉียน นายไปเป็นมือสไนเปอร์คอยซุ่มยิง ไปหาที่ซ่อนให้มิดชิด เดี๋ยวให้อีกสองคนไปสอดแนมหาตำแหน่งศัตรูมาให้ จากนั้นนายก็ไล่เก็บรายคนได้เลย มีอะไรอยากจะเพิ่มเติมไหม?”

จ้าวเฉียนส่ายหัวบ่งบอกไปว่าตนไม่มีปัญหา เขาหยิบปืนสไนเปอร์ไรเฟิลและรีบไปหาที่ซ่อนตัวทันที

หวังเฉียงรีดจัดแจงตำแหน่งยืนของคนอื่นๆเสร็จสรรพ ก็ไปซ่อนตัวยังมุมหนึ่งและเหลือบมองจ้าวเฉียนที่กำลังดักซุ่มพรางตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“จากทางประตูเข้ามา เลี้ยวซ้ายประมาณสองร้อนเมตรจะมีต้นไม้ใหญ่สูงเด่น บริเวธถังน้ำมันรอบต้นไม้ต้นนั้นแหละคือจุดที่จ้าวเฉียนซ่อนตัวอยู่ ฉันจะสั่งให้ทุกคนเคลื่อนที่ออกไป เวลานั้นจะเหลือแค่มันคนเดียวก็เข้าจัดการได้เลย”

หยางหมิงได้รับข่าวจากหวังเฉียงก็รีบส่งคนลอบเข้าไปให้สนามเลเซอร์เกมส์ทันที เพื่อตามหาจ้าวเฉียน

ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนก็ได้รับข้อความจากหวงฉิงเช่นกันว่า

“คุณชายจ้าว ลูกน้องผมเพิ่งได้รับรายงานมาว่า พบเห็นลูกน้องหยางหมิงกำลังตีกรอบเข้ามาในสนามเลเซอร์เกมส์ ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะรีบรายงานให้ทราบทันที คุณชายจ้าวระวังตัวด้วยครับ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะพร้อมท่าทีพึงพอใจยิ่ง พลางกล่าวกับตัวเองว่า

“หยางหมิง นี่แกกล้าลงมือลงไม้กับฉันจริงๆ ถ้าอย่างงั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่สุภาพแล้วกัน!”

หยางหมิงจะไปรู้ได้ยังไงว่า ผู้คนทั่วทั้งเกาะแห่งนี้ล้วนแต่เป็นคนของจ้าวเฉียน ต้องการลักพาตัวจ้าวเฉียน นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ

สิบนาทีต่อมา หยางหมิงส่งข้อความถึงหวังเฉียง เพื่อขอให้อีกฝ่ายยืนยันตำแหน่งซ่อนตัวของจ้าวเฉียนอีกครั้ง หวังเฉียงรีบวิ่งไปหลบมุมด้านหนึ่งของสนามและส่งข้อความระบุตำแหน่งจ้าวเฉียนหาหยางหมิง

หยางหมิงตอบกลับหวังเฉียนในทันใด

“คนของฉันกำลังเข้าไปแล้ว พวกเขาจะข้ามรั้วเข้ามาในสนาม แกรีบพาทุกคนออกจากบริเวณนั้นโดยเร็วภายในห้านาที”

หวังเฉียงตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เขารีบวิ่งไปหาเจียงเสี่ยวปิงและที่เหลือ และสั่งให้กระจายตำแหน่งกันออกไป

ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนก็ได้รับรายงานมาเช่นกัน

“คุณชายจ้าว ผมเพิ่งรับรายงานกลับมาว่า มีคนกระโดดข้ามรั้วสนามเลเซอร์เกมส์บุกเข้ามา เป้าหมายคือนายน้อยจ้าวจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว ผมจะรีบส่งคนไปช่วย ระหว่างนี้นายน้อยรีบไปหาที่ซ่อนตัวก่อนครับ”

หลังจากรับทราบดังนั้น จ้าวเฉียนก็รีบเร่งกระโดดข้ามถังน้ำมันที่เป็นจุดซ่อนตัวเก่า ปีนขึ้นต้นไม้หลบเลี่ยงและเข้าระวังด้วยความเงียบสงัด ตามที่ได้รับรายงานมาไม่มีผิด อีกประมาณห้านาทีต่อมา มีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาค้นหาอะไรบางอย่างแถวถังน้ำมันรอบต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันใด

จ้าวเฉียนรีบส่งข้อความถึงหวงฉิงโดยพิมพ์ไปว่า

“พวกมันยังคงวิ่งหาในสนาม ดูท่าแต่ละคนจะแข็งแกร่งมากเลย ฝากนายเตือนทุกคนด้วยว่าให้ระวัง ใส่ใจความปลอดภัยเป็นหลัก”

หวงฉิงตอบกลับโดยเร็ว

“เข้าใจแล้ว”

ไม่กี่วินาทีต่อมา หวังเฉียงก็รีบวิ่งกลับมาดูบริเวณถังน้ำมันซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวจ้าวเฉียน แต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว จึงโทรสายหาจ้าวเฉียนทันที

“ฮาโหล จ้าวเฉียน นายหายไปไหน?”

“ฉันรู้สึกว่าตำแหน่งเดิมที่ฉันซ่อนตัวมันดูเงียบเกินไปหน่อย ก็เลยเปลี่ยนตำแหน่งน่ะ”

“แล้วไปอยู่ไหนแล้ว?”

“บนต้นไม้ทางทิศเหนือ”

หวังเฉียงหันควับมปรายตาจับจ้องไปทางต้นไม้ทางเหนือ และรีบวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฉียบนโบกมือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายและกล่าวขึ้นว่า

“ตำแหน่งนี้ดีกว่าเยอะเลย เกือบจะมองเห็นทั้งสนาม เหมาะสำหรับมือสไนเปอร์อย่างฉัน เราชนะแน่นอน!็น”

หวังเฉียงยิ้มตอบในทันทีและยกนิ้วโป้งให้ทีหนึ่ง บอกว่าไม่มีปัญหา จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่จุดเดิมเพื่อรายงานหยางหมิง

“ฮาโหล จ้าวเฉียนหายหัวไปไหน?”

“หมอนั่นเปลี่ยนที่ซ่อนเป็นบนต้นไม้สูงทางทิศเหนือ ฉันจะพาทุกคนเคลื่อนพลออกจากตำแหน่งนี้ก่อน แล้วค่อยส่งคนไปจับตัวอีกรอบ”

ทันใดนั้นก็มีชายร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งตรงมาที่ใต้ต้นไม้ทางเหนือ หรือก็คือจุดที่จ้าวเฉียนซ่อนตัวอยู่

ดูท่าชายร่างกำยำคนนี้จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีจุดเด่นที่หัวโล้น เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“เจ้าหนุ่มลงมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

จ้าวเฉียนตอบแค่ว่า

“บอกตรงนี้ได้เลย ผมได้ยิน”

“ไม่ค่อยสะดวกน่ะ ลงมาคุยกันดีๆ”

“ไม่เอา”

“อย่าให้พวกฉันต้องบังคับ!”

ชายหัวโล้นยกมือข้างหนึ่งที่ห่อด้วยผ้าสีทึบ ถ้าให้พูดรูปทรงมันคล้ายกับปืนพกมาก

จ้าวเฉียนใจหายวับในทันใด เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า คนพวกนี้จะเป็นมือสังหารมืออาชีพ ถึงขนาดที่ว่าพกอาวุธปืนมาพร้อมแบบนี้

ไม่ว่าจะเป็นปืนจริงหรือปลอม แต่จ้าวเฉียนไม่ยอมเสี่ยงกับเรื่องนี้แน่ เขาจึงรีบลงจากต้นไม้อย่างช่วยไม่ได้ พลางคิดแค่ว่าหยางหมิงแค่ต้องการจะสั่งสอนเขาสักบทเรียน คิดไม่ถึงว่าจะเล่นของหนักแบบนี้จริงๆ

ผ่านไปได้ครึ่งทางระหว่างที่จ้าวเฉียนปีนลงมาจากต้นไม้ กลุ่มคนที่หวงฉิงส่งมาก็รีบตรงเข้ามา ล้อมกรอบกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นอีกชั้นหนึ่ง

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่หยิบผ้าคลุมมือโยนทิ้ง ปรากฏเป็นวัตถุสีดำคลับคล้ายกับปีนพกอยู่ในมือกระชับแน่น

คนของหวงฉิงที่เห็นดังนั้นร่นถอยไปสองก้าว บอดี้การ์ดสวมแว่นดำคนหนึ่งพยายามกล่าวประณีประนอมขึ้นว่า

“พี่ชาย ถ้ามีเรื่องขับข้องใจอะไรค่อยว่ากันหลังเดินทางออกจากเกาะซ่งต้าวดีกว่าไหม? ลงไม้ลงมือตรงนี้เท่ากับสังหารนักท่องเที่ยวและอาจตกเป็นข่าว ส่งผลกระทบไปถึงอุตสหกรรมการท่องเที่ยวของที่นี่ได้ เอาล่ะ วางปืนลงก่อน…”

ชายหัวโล้นท่าทียังคงแน่วแน่ เขากล่าวตอบไปว่า

“เราจะรีบลงมือรีบเก็บงาน ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ให้เป็นข่าวแน่นอน พวกแกนั้นแหละวางปืนลง!”

บอดี้การ์ดเหล่านี้คือลูกน้องของหวงฉิง พวกเขาได้รับคำสั่งมาว่า ต่อให้พวกเขาต้องแลกมาด้วยชีวิต แต่ห้ามให้จ้าวเฉียนเป็นอะไรเด็ดขาด แม้กระทั่งรอยขีดข่วนก็ต้องไม่มี ถึงจะไม่รู้ว่าจ้าวเฉียนแท้จริงแล้วเป็นใคร ทว่าโดนสั่งเข้มชนิดที่ว่าหัวเด็ดตีนขาด แสดงให้เห็นได้ว่า นี่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน บอดี้การ์ดสวมแว่นดำตระหนักดี เป็นตายอย่างไร พวกเขาต้องปกป้องตัวประกันให้จงได้

เนื่องด้วยกลัวว่าตัวประกันจะได้รับอันตราย พวกบอดี้การ์ดจึงจำต้องลงปืนลงอย่างจำนนใจ

ในเวลานี้เอง ฟางนี่และคนอื่นๆสังเกตเห็นด้ามปืนชัดแจ้ง ทั้งยังพบว่าจ้าวเฉียนกำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ล้อมไว้อยู่อีก ก็ค้นพบได้ในทันใด จ้าวเฉียนกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว จึงรีบวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว

“พวกนายเป็นใคร? คิดจะทำอะไรกัน?”

ได้ยินเสียงตะโกนของฟางนี่ ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบยุติการเล่นลงทันที และรีบวิ่งไปหา

ในไม่ช้า เหล่าพนักงานบริษัทเกมฟางนี่กว่าหลายสิบก็เข้ารวมพลกัน

มือสังหารทั้งสี่ชะงักชะงันไปชั่วขณะหนึ่ง ส่วนจ้าวเฉียนไม่กล้าลงมาจากลำต้น ปีนค้างอยู่แบบนั้นเพื่อหาทางหนีทีไล่

ซึ่งจ้าวเฉียนไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานพวกนี้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง จึงตะโกนตอบกลับไปว่า

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกนาย อย่ามาขวาง รีบหนีไปซะ!”

จางหยางคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด

“แกเป็นบ้าอะไรอีก?! คิดว่าพวกเราอยากช่วยแกนักรึไง! ถ้าแกมาตายแบบนี้ บริษัทเราต้องจ่ายค่าชดเชยเพื่อรับผิดชอบ! รีบๆขอโทษพวกนั้นและหยุดสร้างความเดือดร้อนได้แล้ว!”

ฟางนี่รีบเอ่ยปากถามชายฉกรรจ์ทั้งสี่ทันทีว่า

“ดิฉันต้องขอโทษทุกคนในนามหัวหน้าเขาแทนด้วยค่ะ ถ้าต้องการอะไรสามารถบอกได้เลยนะคะ ขอแค่อย่าทำอะไรเขาก็พอ”

ชายฉกรรจ์อีกสามคนหันมาถามชายหัวโล้นว่าจะทำยังไงกันต่อ? จะหนีถอยไปตั้งหลักหรือรีบเก็บงานให้เสร็จไปเลย

ชายหัวโล้นดูลังเลเล็กน้อย ชั่วครู่ถัดมาเขากัดฟันแน่นและหยิบกระบอกเก็บเสียงจากเสื้อหนัง มาติดตั้งไว้กับปากกระบอกปืนพกของตน อุปกรณ์เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ สมกับเป็นมืออาชีพจริงๆ

“มีคนจ่ายพวกเราให้มาสังหาร โดยมีเป้าหมายคือชายนามว่าจ้าวเฉียน ใครไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาก็หุบปากแล้วหมอบลงไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าทิ้งให้หมด!”

หลังจากพูดจบ ชายหัวโล้นก็ยิงขู่ลงเพื้นไปนัดหนึ่ง

ฟางนี่และคนอื่นๆรีบนั่งยองด้วยความตกใจ ปรากฏว่านี่เป็นปืนพกของแท้ ไม่ใช่ปืนอัดแก๊สแต่อย่างใด

จางหยางสบถขึ้นว่า

“ไอ้เวร มันสร้างปัญหาให้พวกเราได้ทุกเวลาจริงๆ! คราวนี้ฉันจะขอดูหน่อยว่า มันจะมีปัญญาจ่ายเงินให้เรื่องจบอีกไหม!!”

หวังเฉียงเสแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก เอ่ยปากขึ้นลั่นว่า

“เรียก…เรียกตำรวจเถอะ”

หวังเฉียงจงใจตะโกนเสียงดังเพื่อให้ชายหัวโล้นและพรรคพวกของมันได้ยิน

ชายหัวโล้งเล็งปากดระบอกปืนไปที่หัวหวังเฉียงและขู่ว่า

“มึงลองโทรหาตำรวจดูสิ!”

หวังเฉียนเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆบ้างแล้ว เขาร้องลั่นขอความเมตตาโดยไวว่า

“อย่า อย่า ผมแค่ล้อเล่น พี่ชายอย่าฆ่าผมเลย ผมเองก็เกลียดไอ้หมอนั่นมานานแล้ว ผม…ผมเป็นพวกเดียวกับพี่ชาย”

ชายหัวโล้นยกปืนหันไปจ่อหัวจ้าวเฉียนแทนและสั่งให้รีบๆลงมาจากต้นไม้

จ้าวเฉียนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรูดตัวลงมาโดยไว

ชายหัวโล้นคว้าร่างจ้าวเฉียนพร้อมปากกระบอกปืนหลังแนบชิด กล่าวขึ้นว่า

“ไปกับฉัน ขอสัญญาเลยว่าแกยังสบายดีแน่นอน แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ปืนอาจจะลั่นได้นะ!”

จ้าวเฉียนเอ่ยเตือนขอให้อีกฝ่ายใจเย็นๆค่อยพูดค่อยจา

“พี่ชาย อย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายนอนตารางแบบนี้ ก็คงทำไปเพื่อเงินใช่ไหม? เอาแบบนี้ดีกว่า ผมจะให้พี่ชาย100ล้าน จ้างพี่ชายไปจับตัวคนสั่งมาอีกที?”

ตอนที่104 เอาตัวผู้ชายคนนี้ออกไป

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเอ่ยถามหยางหมิงว่า

“นายน้อยหยาง สู้ไหมราคานี้? ถ้าไม่ก็เก็บเพื่อนๆ ของคุณออกไปจากที่นี่ซะ”

หยางหมิงเดือดดาลถึงขีดสุด คำรามลั่นกล่าวว่า

“กูไม่มัวมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนี้กับมึงหรอก! จ่ายเงินสามล้านกับเรื่องไร้ประโยชน์แบบนี้น่ะเหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…งั้นก็หมายความว่า นายน้อยหยางยอมรับความพ่ายแพ้แล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็ ผู้จัดการรีบไสหัวพวกมันออกไปได้แล้วครับ”

ผู้จัดการรีบยิ้มประจบพร้อมพยักหน้าให้ และหันมากล่าวกับหยางหมิงว่า

“ตามที่คุณจ้าวพูดมาเลยครับ นายน้อยหยางทางเราต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถให้บริการคุณและคนของคุณได้ ทางเราตัดสินอย่างยุติธรรม ในเมื่อทางนายน้อยไม่สามารถให้ราคาเราสามล้านได้ดังนั้นก็ต้องทำตามกฎนะครับ หวังว่าจะเข้าใจกัน เชิญพาเพื่อนๆ ออกไปจากที่นี่ด้วยครับ”

หยางหมิงเดือดจนไม่รู้จะเดือดยังไงแล้ว

“มึงมันเห็นแก่เงิน! มันเป็นแค่พนักงานบริษัทกระจอกแห่งหนึ่ง คิดหรือว่าจะให้แกได้สามล้านจริงๆ? โง่! โง่ชิบหาย! กล้าดียังไงวะ มาไล่ฉันด้วยเศษเงินแค่นี้! ในอนาคต กูคือประธานเฟยอวี่ กรุ๊ปนะเว้ย มึงจะโง่ไม่เข้าใจสถานการณ์ไปถึงไหน!!?”

ผู้จัดการสวนตอบทันทีอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“แล้วยังไงเหรอครับ? พวกเราเองก็มีบริษัทที่ใหญ่กว่าเฟยอวี่ กรุ๊ปค่อยหนุนหลังอยู่! หวังว่าไม่ต้องให้ผมสาธยายมากไปกว่านี้นะครับ ต่อหน้าบริษัทนั้น เฟยอวี่ กรุ๊ก็แค่บริษัมเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น กลับเป็นนายน้อยหยางมากกว่าที่ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย! ถ้ายังไม่ออกไปผมจะเรียกรปภ.จับตัวออกไปนะครับ แต่ถ้าอยากจะอยู่ต่อก็ย่อมทำได้แน่นอน จ่ายในราคาที่มากกว่าสามล้านหยวน พวกเรายังพอคุยกันได้นะครับ”

จากคำกล่าวของผู้จัดการโรงแรมทำให้หยางหมิงและบรรดาเพื่อนฝูงโมโหจนเสียสติไปแล้ว

“กูจ่ายให้มึงเอง! อดยากปากแห้งมาจากไหนวะ ถึงร้อนเงินขนาดนี้!? ได้! กูจัดให้เอง!!”

“เอาเลยนายน้อยหยาง! ผมเห็นด้วย! สั่งสอนให้ไอ้พวกชนชั้นต่ำรู้ไปเลยว่า นายน้อยหยางของเรามีเงินเหลือกินเหลือใช้แค่ไหน!!”

“ฉันเองก็เห็นด้วย! เอาเลยค่ะ!”

บรรดาเพื่อนฝูงและสตีมเมอร์สาวต่างให้การสนับสนุนหยางหมิง พวกเขายังกล่าวเสริมอีกว่า เป็นถึงทายาทเฟยอวี่ กรุ๊ปยังมีอะไรต้องกลัวอีก?

หยางหมิงเซ็นเช็คห้าล้าน พร้อมกระแทกอัดเคาน์เตอร์อย่างแรง พร้อมเอ่ยถามจ้าวเฉียนด้วยท่าทีแสนหยิ่งผยองว่า กล้าสู้หรือไหม

จ้าวเฉียนหัวเราะร่าเสียงดังสนั่น ฉีกเช็คมูลค่าสามล้านที่วางอยู่ก่อนหน้าทิ้งไป และเขียนเช็คอใหม่ใหม่ในราคาแปดล้าน วางแทบบนโต๊ะโดยตรง

“ถ้าฉันมีเงินแปดล้าน คงเอาไปซื้อบ้านซื้อรถ ไม่เอามาหักหน้าใครโง่ๆ แบบนี้แน่นอน!”

“ก็นะ พวกเราไม่ได้มีฐนะร่ำรวยอะไร คงไม่เข้าใจพวกเขาหรอกว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ แต่พอแบบนี้แล้ว นายน้อยหยางยังกล้าสู้ต่อไหมเนี่ย?”

พอทุกคนได้เห็นเช็คมูลค่าแปดล้านก็อุทานลั่น

“จ้าวเฉียนเสียสติไปแล้ว! แค่เอาหน้าถึงกับยอมจ่ายแปดล้านให้คนอื่นจริงๆ! เงินตั้งแปดล้านเอาไปซื้อบ้านหรูๆ สักหลังได้แล้วนะ!”

“ประธานฟางอุตส่าห์ให้เงินลงทุนคืนพร้อมส่วนแบ่งกำไร แต่เจ้านี่กลับนำมาใช้สุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้เลยเหรอ จ้าวเฉียนทำอะไรหัดใช้สมองคิดหน่อย! แปดล้านเชียวนะแปดล้าน!”

ฟางนี่แทบจะร้องทั้งน้ำตา พลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

จางหยางและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกสึขใจอย่างหาที่เปรียบไม่ ระเหาะร่าสุขใจ

จ้าวเฉียนเสียเงินทั้งหมดไปแล้ว พอไม่มีเงินแบบนี้ มาดูกันหน่อยว่าจะหาทางกลั่นแกล้งมันยังไงดีในอนาคต

เจียงเสี่ยวปิงรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดแทงหัวใจ ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ ถ้าปานนี้เธอยังคบกับจ้าวเฉียนอยู่ คนที่ถือเงินแปดล้านก้อนนี้ไว้ต้องเป็นเธออย่างแน่นอน น่าเสียสายเหลือเกิน เธอตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตผิดพลาด

หยางหมิงและบรรดาเพื่อนฝูงต่างตกตะลึงจนไม่มีใครกล้าปริปากกล่าวอีกต่อไป เงินแปดล้านไม่ใช่เล็กน้อยแล้ว แม้พวกเขาเองจะเป็นทายาทระดับเศษรฐีเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยจนถึงโยนเงินแปดล้านทิ้งขว้างได้เล่นๆ

จ้าวเฉียนเริ่มยั่วยุหยางหมิงต่อเนื่อง เขาขยิบตาให้และกล่าวชงขึ้นว่า

“อย่าเพิ่งออกไป ผมว่ารอให้รปภ.มาลากตัวพวกนายออกไปเองดีกว่า ทุกคนครับ! เตรียมถ่ายรูปไว้เลย! ทายาทเฟยอวี่ กรุ๊ปกำลังจะถูกรปภ.ถีบส่งออกจากโรงแรมแห่งนี้! นี่มันข่าวใหญ่ประจำวันเลย! ไม่สิ…ประจำเดือนเลย! อย่าลืมไปโพสต์ลงในWeido, Douyinและเว็บอื่นๆ กันนะครับ!”

ทันทีที่สิ้นเสียงจ้าวเฉียน ทุกคนต่างยกมือถือและชี้เข้าหาหยางหมิงอย่างรวดเร็ว

“พวกมึงจะถ่ายหาพระแสงอะไรกันวะ! เก็บมือถือลงเดี๋ยวนี้ กูบอกให้เก็บลงไง!”

หยางหมิงตะโกนเสียงดังโหลั่นราวกับคนบ้า แต่ดั่งคำกล่าวที่ว่า ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ทุกคนไม่ได้สนใจฟังแม้สักนิดและยังอัดคลิปถ่ายลงบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง

หากอยู่ที่นี่ต่อไปก็รั้นแต่อาบอัยเสียชื่อเสียง หยางหมิงทำได้เพียงสะกิดเรียกเพื่อนคนอื่นๆ และออกจากโรงแรมเดี๋ยวนี้

ก่อนจากกันหยางหมิงหันมาขู่ทิ้งมวนไปว่า

“เดี๋ยวมึงเจอกู! ครั้งนี้มึงเจอกูแน่!”

หยางหมิงกล่าวซ้ำถึงสองรอบ จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็สังหรณ์ใจได้ทันทีว่า อีกฝ่ายยังไม่เลิกตามราวีง่ายๆ ไปแน่ และต้องกลับไปวางแผนหาทางแก้แค้นเขา

หวานเจียงตีมือจ้าวเฉียนเบาๆ ไปที เอ่ยถามเสียงต่ำกระซิบว่า

“พวกมันไปหมดแล้ว ยังไม่ปล่อยฉันอีก! หรือยังไง? กอดฉันแบบนี้ไปจนเช้าเลยไหม?”

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางพลางปล่อยมือออกจากอ้อมกอด และกระซิบตอบว่า

“ฉันคิดว่าครั้งนี้หยางหมิงยังไม่ปล่อยพวกเราไปง่ายๆ แน่ ทางที่ดีเธออยู่ในโรงแรมจะปลอดภัยกว่านะ ไม่หาอะไรทำในโรงแรมก็ไปนอนเล่นที่ห้องฉันรอ อยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวซื้อกลับมาให้?”

“อะไรกัน? เป็นห่วงฉันรึไง? เอ๋…หรือจะว่าแอบชอบฉันเข้าจริงๆ แล้ว?”

“ฉันว่าเธอเลอะเลือนไปใหญ่แล้ววนะ ตัวเองเป็นถึงคุณหนูคนโตแห่งฮราหยิน กรุ๊ป หัดดูแลตัวเองหน่อย!”

หลังจากที่กล่าวจบ จ้าวเฉียนก็จงใจเดินเหยียบเท้าของหวานเจียงไปหมับหนึ่ง เธอไม่คิดยอมอีกฝ่ายจึงกระชับหมัดเสยท้องน้อยไปดอกหนึ่งสวน จากนั้นพลันปรายตามองค้อนใส่และวิ่งหนีขึ้นลิฟต์โรมแรมทันที

ผู้จัดการร้านเดินยิ้มเข้ามาถามอาการว่าเจ็บตรงไหนรึเปล่า เขาหยิบเช็คใบนั้นขึ้นมาและกล่าวขอบคุณจ้าวเฉียนว่า

“คุณจ้าว ผมขอรับเช็คใบนี้ไปก่อนนะครับ ทางเราขอตอบแทนด้วยสิทธิ์เข้าพักที่แห่งนี้ฟรีเป็นเวลาสามปี”

“โอเค! แต่ต้องจัดเตรียมห้องVIPให้พร้อมทุกสถานการณ์นะ เพราะผมขี้เกียจโทรไปจองก่อนล่วงหน้า”

“ไม่มีปัญหาครับ! ตราบใดที่ทราบข่าวว่าคุณจ้าวจะเดินทางมา ทางเราจะจัดเตรียมห้องVIPให้ทันทีเลยครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินตรงไปหาบรรดาเพื่อนร่วมงานที่รออยู่

“ฉันขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เสียเวลากันนะ อืมม…รู้สึกว่าจะเป็นเลเซอร์เกมส์ [1] กันใช่ไหมที่ลงมติกัน?”

พวกเพื่อนร่วมงานยังคงยืนอึ้งกับการประชันเงินกันไม่หาย และรีบถามทันทีว่า จ้าวเฉียนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? นั้นเงินตั้งแปดล้านเชียวนะ

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะกล่าวตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยจนมาก่อน เลยรู้สึกไม่ชินน่ะเวลามีเงินเยอะๆ ต้องระบายออกไปบ้าง”

แต่ละคนถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว อย่างไรเสีย จางหยางและพวกหวังเฉียงต่างรู้สึกสุขอกสุขใจอย่างมาก ทั้งยังกล้าชื่นชมจ้าวเฉียนอีกว่ากล้ามาก

ฟางนี่ปรบมือส่งสัญญาณเรียกทุกคนให้มารวมตัวกัน และออกเดินทางไปยังสนามเลเซอร์เกมส์

ไม่นานทุกคนก็มาถึงที่หมาย นี่เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วและเจ้าหน้าที่สนามอนุญาตให้พวกเขาเล่นได้แค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ที่แห่งนี้จะต้องปิดเวลาเที่ยงคืนอย่างช้าที่สุด

ฟางนี่รีบพาทุกคนไปในสนามสวมอุปกรณ์และเครื่องป้องกันต่างๆ และเริ่มต่อสู้กัน จุดประสงค์การเล่นแบบเป็นทีมคือ การปลูกฝังความสามัคคีและความร่วมมือ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มเล่น ฟางนี่จึงอาสาขอเป็นคนแบ่งทีมให้เอง โดยให้จ้าวเฉียน, เจียงเสี่ยวปิง, หลิวเหม่ย, หวังเฉียงและเจวียงหยวนอยู่ด้วยกัน

จ้าวเฉียนไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลยกับการแบ่งทีมแบบนี้ เขาเล่นกับใครก็ได้ แต่หวังเฉียงและที่เหลือกลับส่ายหน้าปฏิเสธทันที และให้เหตุผลไปว่า พวกเขารู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ทีมเดียวกับจ้าวเฉียน และไม่รู้สึกสนุกเลยสักนิด

หวังเฉียงร้องขอให้ฟางนี่จัดทีมใหม่อีกครั้ง จะให้อยู่กับใครก็ได้ขอไม่ใช่จ้าวเฉียนเป็นพอ ทว่าฟางนี่ส่ายหัวตอบปฏิเสธเช่นกันว่า

“ไม่ ฉันจงใจจับพวกนายมาอยู่ด้วยกัน เพื่อปลูกฝังความสามัคคี ไม่อย่างนั้นจะทำงานร่วมกันได้ยังไงในอนาคต?”

“ประธานฟาง พูดยังกับไม่รู้ว่าผมกับมันไม่ถูกกันขนาดไหน แถมยังมีเจียงเสี่ยวปิงอยู่ด้วยอีก หลิวเหม่ยไม่อึดอัดตายเลยเหรอครับ?”

“นี่นายไม่เข้าใจที่ฉันพูดไปเลยใช่ไหม นี่ถือเป็นโอกาสที่จะให้พวกนายปรับความเข้าใจกันบ้าง ไปๆ ลงสนามได้แล้ว เวลายิ่งน้อยๆ อยู่ด้วย!”

หวังเฉียงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะรีบพาเจวียงหยวนและคนอื่นๆ ลงสนามไป

จ้าวเฉียนยังคงออกกำลังกายวอร์มอัพร่างกาย และยืดกล้ามเนื้อให้พร้อม

อีกด้านหนึ่งในสนาม มือถือของหวังเฉียงก็ดังขึ้น เมื่อเขาหยิบออกมาดูก็รีบเดินไปยังมุมหนึ่งที่ไม่มีใครอยู่เพื่อรับสาย

“นายน้อยหยาง มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ตอนนี้พวกแกอยู่ไหน?”

“ในสนามเลเซอร์เกมส์ครับ”

“จ้าวเฉียนอยู่ด้วยรึเปล่า?”

“อยู่ครับ”

“ดีมาก แกคอยแจ้งตำแหน่งของมันไว้แบบตามติดเลยนะ ฉันจะส่งคนไปมัดตัวมา! หนี้แค้นวันนี้ฉันจะชำระทั้งต้นทั้งดอก!”

“ไม่มีปัญหาครับ!”

หวังเฉียงวางสายไปอย่างมีความสุข ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึงเสียที!

“ฮ่าฮ่าๆๆ … จ้าวเฉียน หน๋อ…จ้าวเฉียน วันนี้ฉันจะคอยดูว่าแกจะรอดไปได้ยังไง!”

หวังเฉียงพึมพำร่างเริงบันเทิงใจยิ่ง เก็บมือถือใส่กระเป๋าและรอจ้าวเฉียนเข้าสนาม ก่อนจะเริ่มแบทเทิล

[1] กีฬาจำลองการรบด้วยปีนยิงแสงเลเซอร์

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

Score 10
Status: Completed

เนื้อเรื่องย่อ

จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา!

“ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว”

“ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?”

“ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!”

“ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”

Options

not work with dark mode
Reset