จารใจรัก 45

ตอนที่ 45

เซี่ยฟางหวาเพิ่งกลับมาถึงเรือนลั่วเหมย เข้ามาในห้องพร้อมทั้งเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสบายๆ แทน ทันใดนั้นสี่ซุ่นก็มารายงานว่าเยี่ยนหลันมาหา

 

 

           เซี่ยฟางหวามองฟ้า แม้ฟ้ายังไม่มืดสนิทแต่ก็เย็นมากแล้ว หย่งคังโหวเองก็กลับจวนไปแล้วด้วย แล้วเยี่ยนหลันมาทำอันใดกัน นางเอ่ยบอก “เชิญท่านหญิงน้อยเยี่ยนมาที่นี่”

 

 

           สี่ซุ่นขานรับแล้วรีบออกไป

 

 

           ไม่นานเยี่ยนหลันก็กางร่มมายังเรือนลั่วเหมย

 

 

           เซี่ยฟางหวารอนางในห้องรับรอง เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก จึงรีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น ฮูหยินป่วยอีกแล้วหรือ มีอาการแพ้ท้อง?”

 

 

           “ไม่ใช่แม่ข้า” เยี่ยนหลันวางร่มลงแล้วมองนาง “ท่านพ่อกลับจวนมาแล้ว พอท่านแม่ทราบว่าพี่

 

 

หลี่อวิ๋นปลอดภัยดีก็โล่งใจ ทราบว่าท่านอ๋องน้อยนำพี่หลี่อวิ๋นกลับจวนอิงชินอ๋อง เดิมคิดอยากให้ข้าพานางมาขอบคุณเจ้ากับท่านอ๋องน้อย แต่ข้ากลับรีบมาก่อนด้วยเรื่องอื่น”

 

 

           “เรื่องใด” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “จินเยี่ยน เกิดเรื่องกับนางแล้ว” เยี่ยนหลันตอบ

 

 

           “จินเยี่ยนไปยังอารามลี่อวิ๋นนอกเมืองร้อยลี้แล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้น” เซี่ยฟางหวาตกใจ

 

 

           “ฟังว่าตั้งแต่บ่ายเมื่อวานก็หลับตลอดมา จนถึงเที่ยงวันนี้เขย่าตัวนางเช่นไรก็ไม่ยอมตื่น เด็กรับใช้กับสาวใช้ที่ติดตามนางไปด้วยจึงหวาดกลัวขึ้นมา รีบส่งข่าวกลับมาที่เมืองหลวง จวนองค์หญิงใหญ่ในยามนี้วุ่นวายมาก เจ้าก็รู้ว่าองค์หญิงใหญ่รักจินเยี่ยนมาก หากนางเป็นอะไรขึ้นมา องค์หญิงใหญ่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” เยี่ยนหลันตอบ “ข้าทราบข่าวจึงจะไปหานางที่อารามลี่อวิ๋นกับองค์หญิงใหญ่ด้วย แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวข้าไม่รู้วิชาแพทย์ ถึงไปก็ได้แต่เยี่ยมอาการนาง ทำประโยชน์ใดไม่ได้ นึกขึ้นได้อีกว่าเจ้ากลับเมืองมาแล้วจึงรีบมาหา ถึงอย่างไรหมอหลวงซุนก็ตายไปแล้ว ยามนี้ไม่มีหมอหลวงคนใดมีฝีมือดีไปกว่านี้”

 

 

           “ข่าวส่งกลับมาตั้งแต่เมื่อไร” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “เมื่อครู่นี้เอง คนของจวนองค์หญิงใหญ่กำลังเตรียมรถม้าออกเดินทาง” เยี่ยนหลันตอบ

 

 

           เซี่ยฟางหวานึกถึงวันที่นางเข้าไปรอออกเรือนในวังหลวง จินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันไม่สนว่ามีวัตถุประสงค์ใด แต่ก็ยอมเข้าวังหลวงมาอยู่กับนางเพื่อกวนน้ำขุ่นนี้ด้วยกัน เพื่ออยู่รอออกเรือนเป็นเพื่อนนาง สองวันนั้นมีพวกนางอยู่ข้างกาย นางจึงสงบใจลงได้มาก วันนี้เกิดเรื่องขึ้นกับจินเยี่ยน เยี่ยนหลันมาหานาง นางย่อมไม่อาจนิ่งดูดายไม่ให้ความช่วยเหลือได้

 

 

           “เจ้าพูดถูก ข้ามีวิชาแพทย์ บางทีอาจช่วยอะไรได้บ้าง หากนั่งรถม้าไปคงล่าช้ากว่าเดิม เราขี่ม้าไปกันดีกว่า” นางพยักหน้ารับ

 

 

           “เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะได้ออกเดินทางทันที” เยี่ยนหลันรีบพยักหน้า

 

 

           “พวกเจ้าไปบอกท่านแม่ด้วยว่า ข้าจะไปอารามลี่อวิ๋นกับท่านหญิงน้อยเยี่ยน นอกจากนี้ส่งอวี้จั๋วไปยังจวนหานเพื่อบอกท่านอ๋องน้อย แล้วบอกให้สี่ซุ่นเตรียมม้าด้วย” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ ก่อนสั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ

 

 

           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบออกไปทันที

 

 

           เซี่ยฟางหวาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง

 

 

           ผิ่นจู๋ทราบเรื่องก็เข้ามาข้างใน เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ให้พวกเราแปดคนไปกับท่านด้วยเถิด ซื่อจื่อให้พวกเราทั้งแปดคุ้มครองท่าน นอกจากซื่อฮว่ากับซื่อม่อ พวกเราทุกคนก็ว่างงานอยู่ในจวนทุกวัน ตอนนี้เย็นมากแล้ว ทั้งฝนตกหนักถึงเพียงนี้อีก หากต้องเดินทางไปนอกเมืองร้อยลี้ พวกบ่าวไม่สบายใจ”

 

 

           “พวกเจ้าได้ฝึกค่ายกลและวิชากระบี่ด้วยกันแปดคนมาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดก่อนถามขึ้น

 

 

           “เจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋รีบตอบ “แม้วิทยายุทธ์ของเราแปดคนไม่ได้สูง แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกัน เทียบกับชิงเกอที่มีฝีมือสูงแล้วอาจจะเป็นคู่ต่อสู้ได้”

 

 

           “ดี พวกเจ้าไปเก็บของ สวมเสื้อกันฝนด้วย แล้วก็หาเสื้อกันฝนมาให้ท่านหญิงน้อยเยี่ยนที่อยู่ข้างนอกด้วยตัวหนึ่ง ติดตามข้าไปด้วยกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาตอบตกลง

 

 

           ผิ่นจู๋รีบขานรับด้วยความดีใจ ก่อนวิ่งกลับออกไป

 

 

           เซี่ยฟางหวาเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ผ้าไหมคล่องตัว ทั้งตรวจสอบขวดยาที่มักนำติดตัวไปด้วยก่อนเดินออกมาจากห้อง

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยให้เจ้าไปหรือ” เยี่ยนหลันมองนาง

 

 

           “น่าจะให้ไป” เซี่ยฟางหวายิ้ม

 

 

           “ถึงอย่างไรฟ้าก็มืดแล้ว ต้องเดินทางตอนกลางคืน ทั้งฝนตกหนักขนาดนี้…” เยี่ยนหลันมองท้องฟ้า

 

 

           “ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาหยิบมุกเรืองแสงกลางคืนออกมาสองเม็ด ยื่นเม็ดหนึ่งให้เยี่ยนหลัน

 

 

           “มีสิ่งนี้ก็ดี ต่อให้ฝนตกหนักกว่านี้มันก็ยังส่องแสงได้ ไม่ต้องกลัวฝน” เยี่ยนหลันรับมุกเรืองแสงมา

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           พวกผิ่นจู๋ก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน นางนำเสื้อกันฝนออกมา เซี่ยฟางหวาบอกให้เยี่ยนหลันสวมไว้

 

 

           “เป็นเจ้าที่ไตร่ตรองรอบด้าน ข้ามัวแต่รีบร้อน” เยี่ยนหลันเองก็ไม่เกรงใจ สวมพลางพูดพลาง

 

 

           เซี่ยฟางหวาสวมเสื้อกันฝนเรียบร้อยแล้ว ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็กลับมารายงาน “คุณหนู พระชายาบอกว่าถ้าท่านจะไปนางก็ไม่ห้าม แต่ท่านต้องนำผู้คุ้มกันไปด้วยมากหน่อย นางเตรียมผู้คุ้มกันให้ท่านแล้วสองร้อยคน บอกว่าให้ท่านนำไปด้วย มิฉะนั้นฝนตกหนักทั้งฟ้ามืดสนิท ช่วงนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางไม่วางใจ”

 

 

           “ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           “อวี้จั๋วไปรายงานท่านอ๋องน้อยแล้ว เรารอให้ท่านอ๋องน้อยตอบกลับแล้วค่อยออกเดินทางเถิด” ซื่อฮว่าบอกอีก

 

 

           “พวกเจ้าไปแต่งตัว เราจะออกไปรอที่หน้าประตูจวนก่อน” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า รีบไปสวมเสื้อกันฝนพร้อมเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากเรือนลั่วเหมย

 

 

           เยี่ยนหลันหันกลับมามองแวบหนึ่ง สาวใช้ทั้งแปดตามมาด้วย นางได้เห็นเหตุการณ์วันสมรสของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาวันนั้นแล้ว ทราบดีว่าทั้งแปดต่างมีวิทยายุทธ์

 

 

           ออกจากเรือนลั่วเหมยมาถึงหน้าประตูใหญ่ อวี้จั๋วก็กลับมาด้วยความรีบร้อนพอดี เขาเอ่ยบอกอย่างทั้งหายใจไม่ทัน “พี่สะใภ้ ท่านพี่อนุญาตแล้ว บอกว่าให้ข้าไปกับท่านด้วย นอกจากนี้เยว่ลั่วจะนำสายลับหนึ่งร้อยคนของรัชทายาทคุ้มกันท่านไปด้วยกัน”

 

 

           “เยว่ลั่วกับสายลับหนึ่งร้อยคนของรัชทายาท?” เซี่ยฟางหวาชะงัก

 

 

           อวี้จั๋วพยักหน้า “ท่านพี่บอกว่า ถึงอย่างไรท่านหญิงจินเยี่ยนก็เป็นคนในราชสกุล ยามนี้เกิดเรื่องขึ้น องค์รัชทายาทก็น่าจะไม่ยอมอยู่เฉยเช่นกัน” พูดจบก็ชี้ไปข้างหลัง “เยว่ลั่วตามมาแล้ว”

 

 

           เขาเพิ่งพูดจบ เยว่ลั่วก็ขานรับพร้อมปรากฏกายขึ้นก่อนความเคารพเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย!”

 

 

           “เจ้ารายงานรัชทายาทให้ทราบหรือยัง” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “ตอนทราบข่าวนั้นได้ส่งข่าวกลับไปบอกแล้ว ตอนนี้องค์รัชทายาทมอบพวกข้าให้ท่านอ๋องน้อย ย่อมต้องฟังคำสั่งท่านอ๋องน้อยทุกอย่าง” เยว่ลั่วตอบ

 

 

           “ดี!” เซี่ยฟางหวายกมือให้สัญญาณ

 

 

           เยว่ลั่วเร้นกายหายไปในความมืด

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่งสัญญาณให้เยี่ยนหลันขึ้นม้า

 

 

           เดิมทีเยี่ยนหลันค่อนข้างกลัวกับการเดินทางไปนอกเมืองร้อยลี้ตอนกลางคืนท่ามกลางฝนตกหนักเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยฟางหวานำสาวใช้ประจำตัวทั้งแปดไปด้วย มิหนำซ้ำพระชายาอิงชินอ๋องยังส่งผู้คุ้มกันฝีมือดีประจำจวนอีกสองร้อยคนมาด้วย ยังมีสายลับอันดับหนึ่งประจำกายองค์รัชทายาทและสายลับหนึ่งร้อยคนติดตามอยู่ในที่มืด นางพลันรู้สึกไร้ความหวาดกลัว สูดหายใจเต็มปอดแล้วกระโดดขึ้นม้า

 

 

           เยี่ยนหลันมีทักษะขี่ม้าไม่เลว ดังนั้นทั้งหมดจึงออกจากจวนอิงชินอ๋องอย่างรวดเร็ว

 

 

           ม้าสองตัวเพิ่งแล่นออกมาจากถนน ก็พบม้าอีกตัวหนึ่งมาขวางทางไว้

 

 

           เซี่ยฟางหวาพินิจดูแล้วนึกไม่ถึงว่าเป็นเซี่ยอวิ๋นหลาน นางดึงเชือกแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พี่อวิ๋นหลาน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานสวมอาภรณ์ผ้าไหมแบบเดียวกัน สวมทับด้วยเสื้อกันฝน เห็นได้ชัดว่ามารออยู่พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาก็กวาดตามองทุกคนข้างหลังนางก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าได้ข่าวว่าเจ้าจะไปอารามลี่อวิ๋น ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงัก เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เขามารออยู่ตรงนี้ทันที รีบเอ่ยขึ้น “ท่านร่างกายไม่แข็งแรง ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากตากอากาศเย็น…”

 

 

           “ร่างกายข้าขอเพียงคำสาปเผาใจไม่กำเริบก็ไม่มีปัญหา ฉินเจิงไม่ไปด้วย เจ้าไปคนเดียวข้าไม่ค่อยวางใจนัก” เซี่ยอวิ๋นหลานบอก

 

 

           “เช่นนั้นก็ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           เยี่ยนหลันพินิจมองเซี่ยอวิ๋นหลาน ก่อนขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาแล้วกระซิบว่า “มีคนเป็นห่วงเจ้าเยอะแยะ ตั้งแต่ท่านพี่ออกจากบ้านไปก็ไม่มีใครสนใจข้าแล้ว”

 

 

           “จวนหย่งคังโหวก็มีต้นตระกูลเดียวกัน เพียงแต่เจ้ากับพวกเขาไม่สนิทกันเท่านั้นเอง” เซี่ยฟางหวายิ้ม

 

 

           “ก็จริง ที่ผ่านมาข้าวางตัวสูงส่งใช้อำนาจมากเกินไป หลายครั้งก็อวดดีในฐานะตนเอง ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ท่านพ่อท่านแม่ก็รักข้า ดังนั้นหลังท่านพี่ออกจากบ้าน ข้าถึงพบว่าไม่มีใครสนใจข้าเลย” เยี่ยนหลันถอนหายใจออกมา

 

 

           “พี่ชายเจ้าต้องกลับมาแน่” เซี่ยฟางหวายกมือปลอบ

 

 

           เยี่ยนหลันพยักหน้า

 

 

           ฝนตกหนักทำให้บนถนนไร้ผู้คนสัญจร เซี่ยฟางหวา เซี่ยอวิ๋นหลาน และเยี่ยนหลันขี่ม้า ข้างหลังตามมาด้วยพวกซื่อฮว่าทั้งแปดคน ตามมาด้วยผู้คุ้มกันสองร้อยนายรั้งท้าย

 

 

           ผ่านประตูเมืองมาก็วิ่งไปบนถนนทางการ มุ่งหน้าสู่อารามลี่อวิ๋น

 

 

           หลังเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก็มองเห็นขบวนคนและม้าอยู่เบื้องหน้า

 

 

           “รีบร้อนเดินทางเหมือนกัน น่าจะเป็นขบวนของจวนองค์หญิงใหญ่” เยี่ยนหลันเอ่ยขึ้น

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           ไล่ตามขบวนเบื้องหน้าจนทัน เยี่ยนหลันดึงเชือกแล้วตะโกนขึ้น “ข้างหน้าใช่องค์หญิงใหญ่หรือไม่”

 

 

           “ผู้ใด” หลังนางตะโกนจบ หัวหน้าผู้คุ้มกันขบวนก็ตอบรับทันที

 

 

           “เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลัน ฟังว่าท่านหญิงจินเยี่ยนล้มป่วยที่อารามลี่อวิ๋น เราก็จะไปเยี่ยมดูอาการด้วย” เยี่ยนหลันตะโกนตอบ

 

 

           หัวหน้าผู้คุ้มกันได้ยิน ทั้งพินิจมองฝ่าสายฝนก็มองออกว่าเป็นเยี่ยนหลัน เซี่ยฟางหวา และเซี่ย

 

 

อวิ๋นหลาน จากนั้นก็เดินไปรายงานยังรถม้าซึ่งอยู่ตรงกลาง

 

 

           ม่านรถม้าถูกเลิกออกจากภายใน พร้อมด้วยใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ยื่นออกมา ออกคำสั่งกับเขา “หลีกทางให้ หยุดขบวนก่อน ให้พวกนางมาข้างหน้า”

 

 

           หัวหน้าผู้คุ้มกันยกมือให้สัญญาณเปิดทาง

 

 

           เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันขี่ม้ามาข้างหน้า

 

 

           “ท่านป้า!” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นก่อน

 

 

           “องค์หญิงใหญ่!” เยี่ยนหลันสมทบ

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานก็เข้ามาคำนับเช่นกัน

 

 

           “พวกเจ้าบอกว่าจะไปหาเยี่ยนเอ๋อร์ที่อารามลี่อวิ๋นด้วยหรือ” องค์หญิงใหญ่คงร้อนใจเหมือนถูกไฟลน ดังนั้นจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

 

 

           เยี่ยนหลันบอกเรื่องที่นางทราบข่าวจึงไปหาเซี่ยฟางหวา จากนั้นก็พูดต่อ “เราสามคนมีไมตรีต่อกัน ทราบว่าจินเยี่ยนล้มป่วย ประจวบเหมาะที่พระชายาน้อยมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ดังนั้นคิดว่าไม่ควรล่าช้า จึงจะตามไปดูอาการด้วย”

 

 

           องค์หญิงใหญ่ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเซี่ยฟางหวามีวิชาแพทย์ จึงรีบเอ่ยขึ้น “จริงด้วย ท่าทางข้าคงยุ่งจนหลงลืมไป ยังให้คนไปตามหมอหลวงที่สำนักหมอหลวง” พูดจบก็กล่าวต่อ “ขอบใจพวกเจ้ามาก รีบเดินทางกันเถอะ!”

 

 

           “ท่านป้า ขบวนของท่านเคลื่อนตัวได้ค่อนข้างช้า พวกเราจะล่วงหน้าไปก่อน” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ใครก็ได้ จูงม้ามาให้ข้าตัวหนึ่ง ข้าก็จะขี่ม้าไปด้วย” องค์หญิงใหญ่ตะโกนขึ้นทันที

 

 

           “องค์หญิง ร่างกายท่าน…นั่งรถไปดีว่า” เยี่ยนหลันรีบห้าม

 

 

           “ตอนข้ายังเยาว์วัยก็มีทักษะขี่ม้ายิงธนูไม่แพ้พวกเจ้า เพียงแต่หลายปีนี้ไม่ต้องเดินทาง อีกอย่างระยะทางแค่หนึ่งร้อยลี้ข้าทนไหวอยู่แล้ว” องค์หญิงใหญ่บอก

 

 

           เยี่ยนหลันไม่เอ่ยคำใดอีก

 

 

           มีคนจูงม้ามา องค์หญิงใหญ่สวมเสื้อกันฝนบนรถม้า จากนั้นก็เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ไปกันเถอะ”

 

 

           “พวกเจ้ามาขนาบท่านป้า คอยคุ้มครองนาง” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะแล้วมองพวกซื่อฮว่าแวบหนึ่ง

 

 

           “เจ้าค่ะ คุณหนู” ทั้งแปดขานรับ

 

 

           เซี่ยฟางหวา เยี่ยนหลัน และเซี่ยอวิ๋นหลานนำหน้า องค์หญิงใหญ่อยู่ข้างหลังทั้งสาม พวกซื่อฮว่าแปดคนคอยคุ้มครององค์หญิงใหญ่ขนาบซ้ายขวา ส่วนผู้คุ้มกันจากทั้งสองจวนที่เหลืออยู่รั้งท้าย

 

 

           ขบวนหลายร้อยคนเคลื่อนตัวไปอย่างอึกทึกครึกโครม

 

 

           เดินทางไปได้หนึ่งชั่วยาม ยามกลางคืน ฟ้ามืดมิด ทั้งฝนกระหน่ำเทลงมา ถนนทางการเต็มไปด้วยน้ำท่วมขัง เดินทางลำบากอย่างยิ่ง

 

 

           เซี่ยฟางหวา เยี่ยนหลัน และเซี่ยอวิ๋นหลานถือมุกเรืองแสงอย่างต่อเนื่อง

 

 

           รอบด้านสว่างไสวเสมือนตอนกลางวันทันที

 

 

           เดินทางไปได้อีกครึ่งชั่วยามก็พ้นเขตถนนทางการ เข้าสู่เส้นทางภูเขา

 

 

           เนื่องจากฝนตกหนักมาสองวันสองคืน เส้นทางภูเขาจึงไม่สะดวกอย่างยิ่ง เศษหินกลิ้งไถลลงมา ม้าหยุดลังเลไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความลำบาก

 

 

           “เจ้าเคยไปอารามลี่อวิ๋นหรือไม่” เซี่ยฟางหวาประเมินเส้นทางภูเขาข้างหน้าก่อนเอ่ยถามเยี่ยนหลัน

 

 

           เยี่ยนหลันส่ายหน้า

 

 

           “จากตรงนี้ไปยังอารามลี่อวิ๋นยังเหลือระยะทางอีกสามสิบลี้ เป็นเส้นทางภูเขาทั้งหมด ทั้งขรุขระและสูงชัน บางจุดพอจะให้แค่รถกับม้าเคลื่อนผ่าน ถึงเวลาจำเป็นดูท่าเราคงต้องลงเดินเท้า” เซี่ยอวิ๋นหลานเอ่ยขึ้น

 

 

           “หลายวันก่อนตอนมาส่งเยี่ยนเอ๋อร์ เนื่องจากอากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่ได้ลำบากเช่นนี้ ความจริงยังมีอารามอื่นที่ดีกว่าอารามลี่อวิ๋น แต่นางอยากได้สถานที่ที่เงียบสงบจึงเลือกอารามลี่อวิ๋น เมื่อเส้นทางสัญจรไม่สะดวก ผู้คนที่ไปอารามลี่อวิ๋นจึงน้อยตาม” องค์หญิงใหญ่เอ่ยต่อ

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           เดินทางไปได้อีกระยะหนึ่ง ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าก็ยิ่งลำบากจริงดังคาด กีบเท้าม้าเหยียบลงบนหินเปียกน้ำจึงลื่นมาก ครึ่งชั่วยามถัดมาจึงได้แต่ต้องลงเดินเท้า

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่มีปัญหากับการเดินบนเส้นทางเช่นนี้ เยี่ยนหลันเองก็ยังไหว ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับทนไม่ไหวแล้ว

 

 

           “ท่านป้า ท่านขึ้นไปขี่ม้าดีกว่า! ข้าจะให้สาวใช้สองคนมาช่วยจูงม้าเอง” หลังเดินเท้าไปได้ระยะหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น

 

 

           องค์หญิงใหญ่พยักหน้ารับ ซื่อฮว่ากับซื่อม่อจูงม้าให้นาง

 

 

           แม้เป็นเส้นทางภูเขาสามสิบลี้ หากเป็นตอนกลางวันที่อากาศปลอดโปร่ง แค่ครึ่งชั่วยามต้องไปถึงแล้วเป็นแน่ แต่เนื่องจากฝ่าสายฝนโหมกระหน่ำ ทั้งยังเดินทางกลางคืนและต้องดูแลองค์หญิงใหญ่ ต้องเดินทางถึงสองชั่วยามกว่าจะมาถึงจุดพักอารามลี่อวิ๋น

 

 

           ตลอดการเดินทางแม้ลำบาก แต่โชคดีที่มาถึงโดยราบรื่น

 

 

           ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เรือนพักในอารามลี่อวิ๋นจุดโคมสว่าง จากตีนเขามองไปยังยอดเขาเห็นว่าอารามลี่อวิ๋นตั้งอยู่ในตำแหน่งส่วนเว้ากลางภูเขา นับว่าเป็นอารามแม่ชีขนาดไม่ใหญ่นัก จึงมีเรือนพักแค่ไม่กี่หลัง

 

 

           ทุกคนปล่อยเชือกแล้วเดินเท้าขึ้นภูเขาแทน เมื่อมาถึงประตูอารามลี่อวิ๋นก็เคาะประตู

 

 

           เคาะไปเพียงครู่หนึ่งก็มีคนรีบมาเปิดให้ เป็นบุรุษแต่งกายด้วยชุดเด็กรับใช้ เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่ก็ดีใจ “องค์หญิง ท่านมาแล้วหรือ”

 

 

           “รีบพาพวกเราไปหาท่านหญิง” องค์หญิงใหญ่แม้มีแรงใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ยกมือสั่งงาน

 

 

           คนผู้นั้นรีบนำทาง

 

 

           หลังเข้ามาในอารามก็มีแม่ชีออกมาต้อนรับ บอกกับองค์หญิงใหญ่ว่าหลายวันก่อนที่ท่านหญิงจินเยี่ยนมาถึงทุกอย่างยังเป็นไปด้วยดี ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่บ่ายเมื่อวานก็ไม่ยอมตื่น ตอนเช้านึกว่านางแค่คัดคัมภีร์จนเหนื่อย ดังนั้นจึงไม่เข้าไปปลุกนาง กระทั่งตอนเที่ยงก็ยังไม่ตื่นจึงร้อนใจ หากแต่พอไปปลุกแล้วก็ไม่ตื่นจึงรีบส่งข่าวบอกจวนองค์หญิงใหญ่

 

 

           “ตอนนี้เล่า” องค์หญิงใหญ่รีบถาม           

 

 

           “นางยังหลับอยู่เลยเพคะ” แม่ชีตอบ

 

 

           องค์หญิงใหญ่ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานกระทั่งกลางดึกวันนี้ หากเป็นคนธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะหลับนานถึงเพียงนี้

 

 

           ทั้งหมดมายังเรือนพักโดยมีแม่ชีนำทาง เข้าไปยังห้องกลางที่ตั้งหันไปทางทิศเหนือด้วยความรีบร้อน

 

 

           ข้างในจุดโคมสว่าง สาวใช้ประจำตัวจินเยี่ยนเฝ้าอยู่ทั่วห้อง

 

 

           องค์หญิงใหญ่ข้ามธรณีประตูเข้าไปก่อน เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันตามเข้าไปทีหลัง เซี่ยอวิ๋นหลานไม่สะดวกเข้าไปจึงหยุดเท้าอยู่ที่ห้องโถงชั้นนอก

จารใจรัก

จารใจรัก

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เซี่ยฟางหวา บุตรสาวของจวนจงหย่งโหว ยอมสละตนเองไปเข้าร่วมการฝึกฝนกับองครักษ์เงาที่ภูเขาไร้นามตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเพื่อค้ำจุนวงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า ผ่านไปแปดปี นางทำลายภูเขาไร้นามจนสิ้น ปลอมตัวกลับเข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกให้นางต้องพบกับเขา อ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง พบกันเพียงครั้งนางกลับสลัดเขาไม่หลุด ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมของตนได้ ทั้งยังต้องไปเป็นหญิงใบ้คอยรับใช้ข้างกายเขาอีก กลยุทธ์ วิชาแพทย์ นางล้วนฝึกฝนจนแตกฉาน แต่กับ ฉินเจิง ผู้นี้ นางกลับจนปัญญาที่จะต่อกรด้วยจริงๆ

Options

not work with dark mode
Reset