จารใจรัก 33-1 หากว่าเจ้าอาย

ตอนที่ 33-1 หากว่าเจ้าอาย

 

 

 

           รถม้าของฉินเจิงแล่นจากไปจนไม่เหลือเงา ทุกคนในจวนเสนาบดีฝ่ายขวายังคงเรียกสติกลับมามิได้  

 

 

           “คำพูดของฉินเจิงหมายความว่าอะไร” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเดือดดาล   

 

 

           หลี่มู่ชิงมองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวานิ่ง ไม่ตอบคำถาม แต่หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในจวน  

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาปั้นหน้าขึงตึง กล่าวกับฮูหยินด้วยโทสะ “เจ้าพอได้แล้ว วันนี้ทั้งวันเจ้าไหนเลยจะยังมีฐานะของฮูหยินเสนาบดีเหลืออยู่อีก เจ้ากลับไปส่องกระจกดูตัวเองสิ สภาพเป็นอย่างไรแล้ว มีแม่แบบเจ้า ลูกสาวจะได้ดีได้อย่างไร แม้แต่ชิงเอ๋อร์ยังพูดกับเจ้าน้อยลง เจ้ายังมองไม่ออกอีกรึ ยังมัวแต่ก่อเรื่องอีก เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับจวนอิงชินอ๋อง เกี่ยวอันใดกับเซี่ยฟางหวา เกี่ยวอันใดกับฉินเจิง เจ้าจะกัดพวกเขาและจ้องจับผิดไม่เลิกไปทำไม”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาแม้มิใช่ครองคู่กับเสนาบดีฝ่ายขวาถึงขั้นจงรักภักดี แต่ที่ผ่านมาก็ปรองดองกัน เคารพซึ่งกันและกันเสมือนแขก ทว่าแค่วันนี้วันเดียว นางมิทราบว่าถูกเสนาบดีฝ่ายขวาตำหนิไปกี่ครั้งแล้ว เวลานี้จึงทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้ออกมาทันที “นายท่านเสนาบดี นี่ท่านกำลังโทษข้าหรือ บุตรีถูกใครก็ไม่รู้ทำร้าย กลับโทษข้าที่เป็นแม่นั้นไม่ปกป้องลูกให้ดี ลูกชายก็โทษข้าเช่นกัน ข้าทำไม่ถูกเลยสักเรื่องหรือ เช่นนั้นข้ามิสู้ตายไปเสียยังดีกว่า”  

 

 

           “เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย” เสนาบดีฝ่ายขวาสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ หมุนตัวกลับเข้าไปในจวน  

 

 

           ฮูหยินไม่เคยถูกเสนาบดีฝ่ายขวาปฏิบัติใส่ด้วยท่าทางรังเกียจเช่นนี้มาก่อน เวลานี้ความรู้สึกทั้งหมดก็พังทลายลง หอบหายใจไม่ทัน หมดสติล้มพับลงไป  

 

 

           สาวใช้วัยชราประจำกายตกใจใหญ่ ตะโกนขึ้นด้วยความตระหนกทันที  

 

 

           มีคนตะโกนเรียกเสนาบดีฝ่ายขวาที่เดินออกไปแล้วทันใด  

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาหันมามองแวบหนึ่ง บอกด้วยโทสะ “ตามหมอหลวง” สั่งจบก็ตรงไปยังห้องหนังสือ  

 

 

           มีคนวิ่งไปตามหมอหลวงทันที และมีคนวิ่งไปรายงานหลี่มู่ชิงที่กลับเข้าไปในเรือนแล้วด้วย  

 

 

           หลี่มู่ชิงได้ยินว่ามารดาเป็นลมไป ทำได้เพียงเดินย้อนกลับมา สั่งงานว่า “นำฮูหยินกลับไปส่งที่ห้อง แล้วรีบไปตามหมอหลวงมา”  

 

 

           มีคนประคองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากลับไปที่เรือนหลักทันที  

 

 

           หลี่มู่ชิงมิได้รีบร้อนตามไป หากแต่มองไปทางเจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูจวน พร้อมกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล ทว่าท่าทางกลับเย็นชา “จวนเสนาบดีฝ่ายขวาสงบสุขมาหลายปี แต่พอตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเข้าเมืองมา จวนเสนาบดีฝ่ายขวากลับเสมือนถูกคลื่นลมโหมกระพือใส่ก็มิปาน”  

 

 

           เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงมองหน้ากัน ก้าวขึ้นมาแสดงความขอโทษทันที “คุณชายหลี่ ขออภัยด้วยจริงๆ พวกข้าก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พูดไปแล้วต้องโทษเซี่ยวหยาง เป็นพวกข้าสั่งสอนมาแบบผิดๆ”  

 

 

           หลี่มู่ชิงเหยียดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มแฝงไปด้วยความหนาวเหน็บ “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางสั่งสอนคุณชายรองมาแบบผิดๆ หรือไม่ ตามความคิดข้าน่าจะสอนมาถูกวิธีแล้ว คุณชายใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะดีกว่าคุณชายรอง”  

 

 

           เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงหน้าหงาย  

 

 

           หลี่มู่ชิงสะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา กล่าวอย่างตามอำเภอใจ “ข้าให้เวลาเจิ้งเซี่ยวฉุนสามวัน หากเขาทำให้น้องสาวข้าลั่นวาจาตอบตกลงหมั้นหมายกับเขาไม่ได้ ข้าจะไล่เขาออกไปจากจวนเสนาบดีฝ่าย ขับไล่ออกจากเมือง ทำให้กลับมาเหยียบเมืองหลวงมิได้อีกเลยตลอดชีวิต” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “นอกจากเจิ้งเซี่ยวหยางที่มีสัญญาหมั้นหมายกับจวนองค์หญิงใหญ่ ต่อไปทุกคนในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอย่าได้คิดมาเหยียบเมืองหลวงอีกตลอดกาล”  

 

 

           เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงต่างตกใจไปครู่หนึ่ง  

 

 

           “ทั้งสองท่านจะทำหูทวนลมกับสิ่งที่ข้าพูดก็ได้ ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจนัก ถึงอย่างไรตระกูลเจิ้งแห่ง  

 

 

สิงหยางก็อดทนเก่งอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าจะเห็นข้าหลี่มู่ชิงอยู่ในสายตา” หลี่มู่ชิงพูดจบก็หมุนตัวเดินไปยังเรือนหลัก น้ำเสียงของเขาดั่งสายลมเย็นยามรัตติกาลดังแว่วมาหลังเขาเดินจากไปแล้ว “ดึกแล้ว วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ท่านปู่เจิ้งกับนายท่านใหญ่ไปพักผ่อนเถอะ”  

 

 

           เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงมองแผ่นหลังหลี่มู่ชิงเดินจากไป ถึงแม้เขาเดินหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว แต่ทั้งสองยังคงสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ทำเอาหนาวสั่นขึ้นมาพร้อมกัน  

 

 

           ว่ากันว่าคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา สืบทอดความนุ่มนวลทว่าปลิ้นปล้อนมาจากเสนาบดีฝ่ายขวา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยล่วงเกินผู้ใดง่ายๆ   

 

 

           วันนี้ทั้งสองเข้ามาในเมือง จากจวนอิงชินอ๋อง มาถึงจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ตลอดทั้งวันนี้คุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาท่านนี้ล้วนไม่เอ่ยขึ้นแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความนุ่มนวลเรียบง่าย ถึงแม้คุณหนูหลี่ถูกทำร้ายจนใบหน้าเสียโฉม เจิ้งเซี่ยวหยางก่อเรื่องในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา หรือแม้แต่ฮูหยินเดือดดาลหลายครั้ง แต่คุณชายหลี่ท่านนี้ก็ไม่เคยแสดงท่าทางหรือถ้อยคำรุนแรงออกมาเลย  

 

 

           ยามนี้ ครั้นกล่าวถ้อยคำเหล่านี้โดยใช้น้ำเสียงตามอำเภอใจ เย็นชา ทว่าละมุนละม่อมออกมา กลับทำให้ชายชราวัยเจ็ดสิบกว่าคนหนึ่ง กับคนมีอายุครึ่งร้อยอีกคนหนึ่งรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่าง  

 

 

           ผู้นำตระกูลกับนายท่านใหญ่ของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ตลอดมาอวดตนว่าเห็นเรื่องราวสับสนวุ่นวายมานักต่อนัก ทว่าในคืนนี้กลับต้องตื่นตกใจ และยิ่งจดจำถ้อยคำของคุณชายหลี่ท่านนี้ไว้ในใจแล้ว  

 

 

           ผ่านไปเนิ่นนาน เจิ้งอี้ก็ส่งสายตาสื่อให้เจิ้งเฉิงกลับไปยังห้องพักที่ถูกจัดแจงไว้  

 

 

           เมื่อทั้งสองกลับมาถึงห้อง เจิ้งอี้ก็ทอดถอนใจกล่าว “เมืองหลวงหนานฉิน จากเบื้องบนถึงคนต่ำต้อย อนุชนวัยเยาว์ล้วนมีพรสวรรค์อยู่เต็มไปหมด”  

 

 

           เจิ้งเฉิงผงกศีรษะเห็นด้วย “ฝ่าบาทก็ทรงสมคำร่ำลือ ท่านอ๋องน้อยเจิงก็สมคำร่ำลือ คุณชายหลี่เองก็สมคำร่ำลือเช่นกัน”  

 

 

           “ใช่แล้ว ล้วนสมคำร่ำลือทั้งนั้น และล้วนไม่ธรรมดา” เจิ้งอี้กล่าว  

 

 

           เจิ้งเฉิงพยักหน้ารับด้วยท่าทางเคร่งเครียด  

 

 

           “เดิมทีเซี่ยวหยางก่อปัญหาขึ้นมา เรื่องระหว่างตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ทำให้ฝ่าบาททรงแทรกอยู่ตรงกลาง ทว่าเมื่อฝ่าบาททรงมอบสมรสพระราชทานที่ต่างฝ่ายต่างยินดีให้แล้ว ก็ปลีกตัวออกห่างจากเรื่องนี้อย่างง่ายดาย ให้พวกเราสองจวนตัดสินใจกันเอง ส่วนท่านอ๋องน้อยเจิงมองรถม้าแวบหนึ่งก็มองออกแล้ว คุณชายหลี่ยังลั่นวาจาเช่นนั้นอีก น่าขนลุกขนพองยิ่งนัก” เจิ้งอี้กล่าว  

 

 

           เจิ้งเฉิงมองเจิ้งอี้ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านอา ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร”  

 

 

           เจิ้งอี้ถอนหายใจออกมา “ยังทำอะไรได้ รออีกสองวัน ดูว่าเซี่ยวฉุนทำให้คุณหนูหลี่ตอบตกลงได้หรือไม่”  

 

 

           “หากทำไม่ได้เล่า” เจิ้งเฉิงถามเสียงต่ำ  

 

 

           “เขาไร้ความสามารถขนาดนี้ ย่อมต้องไสหัวกลับสิงหยางไป ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางของเราไม่ต้องมาเหยียบเมืองหลวงอีกตลอดกาล” เจิ้งอี้กล่าวเสียงเย็น   

 

 

           เจิ้งเฉิงตกใจ  

 

 

           “ประเดี๋ยวเจ้าไปบอกเรื่องนี้กับเซี่ยวฉุน ให้เขาจัดการเองเถอะ” เจิ้งอี้บอกเขา   

 

 

           เจิ้งเฉิงเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ แล้วถามอีกว่า “แล้วเซี่ยวหยางเล่า”  

 

 

           “ลูกชายสุดประเสริฐของเจ้า” เจิ้งอี้กระดกเครา   

 

 

           เจิ้งเฉิงก้มหน้าลง  

 

 

           เจิ้งอี้โบกมือไล่  

 

 

           เจิ้งเฉิงออกมานอกห้อง มองท้องฟ้าแวบหนึ่ง ก่อนเดินไปหาเจิ้งเซี่ยวฉุนที่ยังคงเฝ้าอยู่นอกเรือนหลี่หรูปี้  

 

 

           หมอหลวงมาถึงจวนเสนาบดีฝ่ายขวาอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจชีพจรให้ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา หลังตรวจอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ประสานมือกล่าวกับหลี่มู่ชิง “คุณชายหลี่ ฮูหยินมีอาการโทสะโจมตีหัวใจ เพลิงโทสะพลุ่งพล่านเกินเหตุ ผนวกกับมีความกลัดกลุ้มและเหนื่อยล้า ทำให้ช่องท้องทำงานหนัก ชี่พร่อง เป็นเหตุให้เป็นลมหมดสติไปขอรับ”  

 

 

           “ร้ายแรงหรือไม่” หลี่มู่ชิงถามทันที  

 

 

           หมอหลวงส่ายหน้า “ผู้น้อยเขียนเทียบยาให้ ฮูหยินต้องทานยาตรงตามเวลา เลี่ยงการกระตุ้นโทสะ ต้องทำจิตใจให้สงบ มิฉะนั้นความกลัดกลุ้มติดอยู่ในใจ ตกตะกอนกลายเป็นความทุกข์ใจ นั่นจะยิ่งเป็นปัญหา”  

 

 

           หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ “รบกวนเขียนเทียบยาเถอะ”  

 

 

           หมอหลวงพยักหน้า เดินไปยังโต๊ะทันที แล้วเขียนเทียบยาให้ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา  

 

 

           หลี่มู่ชิงหยิบเทียบยามาอ่านแวบหนึ่ง ก่อนให้คนไปส่งหมอหลวงออกจากจวน  

 

 

           หลังหมอหลวงกลับออกไปแล้ว ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เห็นหลี่มู่ชิงเฝ้าตนอยู่หน้าเตียง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา เอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ชิงเอ๋อร์ เจ้าใช่โทษแม่ด้วยหรือไม่”  

 

 

           หลี่มู่ชิงไม่ตอบ  

 

 

           “เป็นแม่ที่สองมือคู่นี้ไม่เคยสะสมคุณธรรมความดี ยามนี้กรรมตามสนองแล้ว” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาร้องไห้กล่าว   

 

 

           หลี่มู่ชิงถอนหายใจ ลูบมือปลอบนาง “ข้ามิได้โทษท่าน เกิดเรื่องแบบนี้กับน้อง ท่านพ่อก็กระวนกระวายใจเช่นกันจึงพูดจาแบบนั้นออกมา ท่านแม่ก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ถึงอย่างไรพวกเราก็ครอบครัวเดียวกัน เรื่องบางเรื่อง ถึงวิตกกังวลหรือเดือดดาลเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้สงบจิตสงบใจแล้วคิดหาวิธีการจัดการให้เหมาะสม”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาร้องไห้กล่าว “ยังมีวิธีการใดเหมาะสมไปมากกว่านี้อีก ชีวิตน้องสาวเจ้านับว่าจบสิ้นแล้ว”  

 

 

           “ท่านแม่ทึกทักเอาเองแล้ว” หลี่มู่ชิงมองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้นาง “น้องเพิ่งเลยวัยปักปิ่นไปเท่านั้น ชีวิตของนางยังอีกยาวไกลนัก”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นผู้ชาย ย่อมไม่เข้าใจ ใบหน้าของผู้หญิงเมื่อเสียโฉมแล้วก็ถือว่าชีวิตนี้จบลงแล้วเช่นกัน”  

 

 

           หลี่มู่ชิงส่ายหน้าหน่าย ถอนหายใจออกมา “สตรีผู้มีจริยาดั่งฮุ่ยหลาน* [1] ที่แท้จริง มิได้อาศัยเพียงหน้าตา หากแต่เป็นกิริยาและพรสวรรค์”  

 

 

           “น้องสาวเจ้าตอบตกลงเจิ้งเซี่ยวฉุนหรือยัง” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาถาม  

 

 

           “ยัง” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาร้องไห้ขึ้นมาอีกหน “เจิ้งเซี่ยวฉุนเป็นตัวเลือกที่ดี น้องสาวเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ตอบตกลง นางยังตัดใจจากฉินเจิงไม่ได้ นี่จะทำอย่างไรดี”  

 

 

           “ข้าบอกกับคนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแล้วว่าจะให้เวลาเจิ้งเซี่ยวฉุนสามวัน หากทำให้น้องตอบตกลงมิได้ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็จงไสหัวไปจากเมืองหลวง” หลี่มู่ชิงบอกนาง   

 

 

            ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาตกใจ หยุดร้องไห้ทันควัน “ชิงเอ๋อร์ เจ้า…หมายความว่าอย่างไร”  

 

 

           “หมายความตามที่ท่านได้ยิน” หลี่มู่ชิงตอบ  

 

 

           “ตอนนี้เจิ้งเซี่ยวฉุนเป็นสุจริตชน เจ้าไล่เขาออกจากเมือง แล้วจากนี้น้องสาวเจ้าจะทำอย่างไร” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองเขา   

 

 

           “เขาเป็นสุจริตชนหรือไม่ข้ามิทราบ แต่ความรู้สึกที่เขาปกป้องน้องชายนั้นเป็นความจริง ข้าให้เวลาเขาสามวัน หากเขาทำให้น้องตอบตกลงมิได้ ท่านแม่คิดว่าการบังคับให้นางออกเรือนกับเขา นางจะมีความสุขหรือ” หลี่มู่ชิงมองนาง   

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาพูดไม่ออกชั่วขณะ  

 

 

           หลี่มู่ชิงให้คนยกยามา ก่อนป้อนฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาดื่มยาเอง “ท่านแม่ ท่านเหนื่อยแล้ว ระวังสุขภาพด้วย ดื่มยาเสร็จแล้วก็พักผ่อนเถิด หากท่านล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ ไฉนเลยจะยังเป็นห่วงเรื่องน้องได้อีก”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนดื่มยาจนหมด  

 

 

           หลังดื่มยาเสร็จแล้ว ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองลูกชายก็พลันปลื้มใจ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกชายของตน เป็นที่พึ่งพาให้นางได้ดีกว่าสามีเป็นไหนๆ เดิมยังอยากพูดคุยกับหลี่มู่ชิงต่ออีกครู่หนึ่ง ทว่าหนังตาก็หนักอย่างช่วยมิได้ ยาออกฤทธิ์แล้ว ไม่นานก็หลับไป  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]  *จริยาดั่งฮุ่ยหลาน มาจาก ฮุ่ย คือหญ้าหอมชนิดหนึ่ง แทนจิตใจอันบริสุทธิ์ ส่วน หลาน คือดอกกล้วยไม้ แทนความสูงส่งเพียบพร้อม ในที่นี้อุปมาว่า สตรีผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องและมีกิริยาสง่างามเรียบร้อย  

จารใจรัก

จารใจรัก

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เซี่ยฟางหวา บุตรสาวของจวนจงหย่งโหว ยอมสละตนเองไปเข้าร่วมการฝึกฝนกับองครักษ์เงาที่ภูเขาไร้นามตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเพื่อค้ำจุนวงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า ผ่านไปแปดปี นางทำลายภูเขาไร้นามจนสิ้น ปลอมตัวกลับเข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกให้นางต้องพบกับเขา อ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง พบกันเพียงครั้งนางกลับสลัดเขาไม่หลุด ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมของตนได้ ทั้งยังต้องไปเป็นหญิงใบ้คอยรับใช้ข้างกายเขาอีก กลยุทธ์ วิชาแพทย์ นางล้วนฝึกฝนจนแตกฉาน แต่กับ ฉินเจิง ผู้นี้ นางกลับจนปัญญาที่จะต่อกรด้วยจริงๆ

Options

not work with dark mode
Reset