จารใจรัก 109-2 ขอร้องซื้อใจ

ตอนที่ 109-2 ขอร้องซื้อใจ

หย่งคังโหวพยักหน้า “ที่ท่านพูดมามีเหตุผล ข้าจะไปหาคุณหนูฟางหวา” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป ทว่ารีบเดินไปได้เพียงสองก้าวก็คิดว่ามิถูกต้องจึงหันกลับไปคว้าตัวเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาถามเสียงเบา “ท่านเสนาบดี ท่านมีแผนการใดกันแน่ อยากให้ข้าไปหยั่งเชิงถามคุณหนูฟางหวาที่มีจุดยืนในพระราชหฤทัย

 

 

ฝ่าบาท หรือว่า…”

 

 

“ข้ามิใช่ว่าชี้ทางสว่างให้ท่านโหวหรอกหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายปัดมือเขาออก

 

 

“แม้เรามีไมตรีจิตต่อกัน แต่ในใจเราต่างทราบดีว่าไมตรีจิตนั้นมิได้ยั่งยืน ท่านบอกความจริงกับข้ามาดีกว่า อย่าช่วยข้ามิได้แล้วลอบทำร้ายกันเลย” หย่งคังโหวถลึงตามอง

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองหย่งคังโหว หย่งคังโหวเองก็จ้องมองเขา

 

 

ทั้งสองถลึงตาจ้องมองกันพักหนึ่ง ก่อนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเป็นฝ่ายลากเขาไปยังที่ลับตาคนด้วยความจำใจ กล่าวเสียงเบา “ท่านนี่ช่างเล่ห์โดยแท้ ลื่นไหลราวกับปลาไหลก็มิปาน มิน่าจวนหย่งคังโหวถึงได้รับการดูแลจากอดีตฮ่องเต้อย่างดีตลอดมา มิใช่ไม่มีเหตุผล”

 

 

“ถึงพูดแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์” หย่งคังโหวปัดมือ “พูดเรื่องตอนนี้มา”

 

 

“ตอนนี้ก็คือ เมื่อก่อนคุณหนูฟางหวามิชอบฝ่าบาทอย่างยิ่ง เราต่างมองออก แต่ยามนี้หลังกลับมาจากเมืองหลินอันก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ดูปรองดองกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง นั่งราชรถหยกคันเดียวกัน อย่างกับเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกระซิบกล่าว “แม้แต่ข้ายังสับสน มิค่อยเข้าใจนัก หรือว่าฝ่าบาทจะทรงอภิเษกสมรสกับคุณหนูฟางหวา”

 

 

“เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นจริง” หย่งคังโหวกล่าว “ถึงอย่างไรตอนนี้คุณหนูฟางหวาก็มีอิสระ ออกเรือนกับผู้ใดก็ย่อมได้ ทั้งมีคุณูปการต่อแผ่นดินหนานฉิน ตั้งแต่ช่วยเมืองหลินอัน ประชาชนต่างยกย่องสรรเสริญ ต่างกล่าวว่านางกับฝ่าบาทช่างเหมาะสมกัน”

 

 

“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ฝ่าบาทก็ต้องไว้ทุกข์แก่อดีตฮ่องเต้อย่างน้อยหนึ่งปี แต่ถ้าหากมีสิ่งใดเปลี่ยนไปอีกเล่า” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวขึ้นอีก

 

 

หย่งคังโหวมองเขา ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว คุณหนูฟางหวามิค่อยชอบท่านตลอดมา ท่านกลัวว่าเพราะมีนางอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท ภายภาคหน้าหากฝ่าบาททรงแต่งตั้งเป็นฮองเฮาจริง เช่นนั้นขอเพียงนางเอ่ยประโยคเดียว ท่านก็จะเสียความน่าเชื่อถือและไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป”

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายหน้าแดงด้วยความอับอาย แต่ก็มิได้ปฏิเสธ “ท่านโหว ท่านก็ทราบว่าการเป็นขุนนางในราชสำนักนั้นไม่ง่ายเลย” พูดจบก็ตบบ่าเขา “ระหว่างเราเอื้อประโยชน์ต่อกัน ถ้าท่านพูดคุยกับคุณหนูฟางหวาได้ หยั่งเชิงถามนางดู เรื่ององค์ชายสามและองค์ชายห้าฝั่งนี้ ข้าจะช่วยคิดหาวิธีให้ท่านผ่านเรื่องในอดีตไปได้”

 

 

“เอาเถอะ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน” หย่งคังโหวพยักหน้า “ข้าไปหาคุณหนูฟางหวาก่อน”

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า

 

 

เมื่อทั้งสองตกลงร่วมกันได้ หย่งคังโหวก็รีบเดินไปยังที่พำนักของเซี่ยฟางหวา

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายรอจนอีกฝ่ายออกไป มองไปยังตำหนักปลีกวิเวกขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าที่ถูกทหารองครักษ์ปิดล้อมไว้แวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าเอือมระอา

 

 

หลังฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาออกมาก็กลับมาที่ตำหนัก

 

 

ฉินอวี้มิได้กลับไปที่ตำหนักตนเอง แต่เข้ามาในตำหนักของเซี่ยฟางหวาก่อน ตลอดทางที่เดินมา ใบหน้ายังคงนิ่งขรึมดั่งน้ำค้างแข็ง

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพอจะได้ยินเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าจัดงานรื่นเริงมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองกลับมาก็รีบรินน้ำชามาให้

 

 

ฉินอวี้ดื่มน้ำชารวดเดียวจนหมด วางถ้วยชาลง แล้วกล่าวด้วยโทสะ “พวกเขาเป็นถึงองค์ชาย นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำเรื่องแบบนี้ ราษฎรต่างแขวนธงขาวและสวมเสื้อผ้าสีเรียบเพื่อไว้อาลัยแก่เสด็จพ่อ ทั้งงดสุรานารี เลื่อนงานรื่นเริงออกไป แต่พวกเขาเป็นลูกชายของเสด็จพ่อแท้ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะฝังศพของเสด็จพ่อก็กระทำเรื่องเช่นนี้แล้ว น่ารังเกียจยิ่งนัก”

 

 

เซี่ยฟางหวาเองก็คิดว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าไม่รู้จักกาลเทศะเช่นกัน มิน่าถึงเทียบฉินอวี้มิได้แม้แต่ปลายเล็บ

 

 

“เสียแรงที่เสด็จพ่อโปรดปรานพวกเขามาหลายปี เพื่อปกป้องพวกเขาถึงแค่เนรเทศมาที่ราชสุสาน” ฉินอวี้โกรธจัด “คนแบบนี้ถึงตายลงที่นี่ก็แปดเปื้อนอาณาเขตราชสุสานของราชวงศ์เสียเปล่าๆ”

 

 

เซี่ยฟางหวายกกามารินน้ำชาให้เขาอีกแก้วหนึ่ง มิได้เอ่ยคำใด

 

 

ฉินอวี้มองนางแวบหนึ่ง พบว่าใบหน้านางเรียบสงบ จึงค่อยๆ สะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ “โชคดีที่วันนี้ข้าไปตำหนักใต้ดินกับเจ้าด้วย มิฉะนั้นคงมิทราบว่าพวกเขากล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้”

 

 

“อย่าโกรธเลย” เซี่ยฟางหวาสื่อทำนองให้เขาดื่มน้ำชา “นำความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง ไม่คุ้มค่ากัน”

 

 

“จะมิให้โกรธได้อย่างไร” ความโกรธของฉินอวี้ยังไม่คลายลง ทว่าสีหน้าดีขึ้นบ้างแล้ว ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มเชื่องช้า “เดิมทีข้ามิอยากกำจัดพี่น้องหลังเสด็จพ่อจากไป อย่างไรก็มีรากเหง้าเดียวกัน แต่พวกเขากระทำเช่นนี้ จะให้ข้าอภัยให้พวกเขาได้อย่างไร”

 

 

“ตระกูลหลิ่วกับตระกูลเฉินย้ายออกจากเมืองหลวงแล้ว หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต หลิ่วเฟยกับ

 

 

เฉินเฟยก็กลายเป็นไท่เฟยในวังหลวง มิอาจคุกคามหรือทำอันใดได้อีกแล้ว อำนาจราชสำนักขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าถูกถอนรากถอนโคนไปก่อนแล้ว ยามนี้เหลือเพียงแค่ฐานะองค์ชายเท่านั้น พูดตามตรงแล้วเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์” เซี่ยฟางหวากล่าว “ถึงสังหารพวกเขาไปก็เป็นเพียงการระบายความโกรธชั่วคราว หากมิปิดบังเรื่องนี้ มีการเผยแพร่ออกไปก็จะทำให้ราชสำนักมีข่าวฉาวโฉ่ แต่หากปิดบัง มิเผยแพร่ออกไป ประชาชนใต้หล้าก็จะกล่าวกันว่าพระบรมอัฐิของอดีตฮ่องเต้ยังมิทันเย็น ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็สังหารพี่น้องร่วมสายเลือดเสียแล้ว คุณงามความดีที่เจ้าสั่งสมไว้อย่างยากลำบากตอนที่ยังเป็นรัชทายาทก็จะสูญเปล่า”

 

 

“ความหมายเจ้าคือ มิให้สังหารพวกเขาหรือ” ฉินอวี้ตวัดตามองเซี่ยฟางหวา

 

 

“สังหารคนไร้ประโยชน์ไปทำให้เจ้าติดกับดัก เดิมคนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ชื่อเสียงของเจ้ามีหรือจะไม่สำคัญกว่าชีวิตของสองคนนั้น” เซี่ยฟางหวามองเขา

 

 

“แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อครู่ ข้าก็แทบอยากสังหารพวกเขาให้จบๆ ไป หรือว่าคนไร้ประโยชน์แบบนี้ยังต้องเก็บไว้อีก” ฉินอวี้โมโห

 

 

“ดังนั้นน้ำทำให้เรือลอยได้ก็ย่อมทำให้จมได้เช่นกัน ราษฎรนับล้านในหนานฉินต่างเฝ้ามองบทบาทของจักรพรรดิองค์ใหม่หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคตไปอยู่ หากเจ้าเพิ่งฝังพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ก็สังหารพี่น้องแล้ว ใต้หล้าวิพากษ์วิจารณ์กันวงกว้าง อุดอย่างไรก็อุดไม่อยู่” เซี่ยฟางหวากล่าว “ผลดีผลเสีย เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”

 

 

ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ยกพระหัตถ์นวดหว่างคิ้ว หลับตาพิงพนักเก้าอี้อย่างท้อใจ

 

 

เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใดอีก

 

 

ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเฝ้าอยู่หน้าประตู มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เมื่อเห็นคนที่มาเยือนชัดเจนก็บอกกับคนข้างในเสียงเบา “ฝ่าบาท คุณหนู หย่งคังโหวมาเจ้าค่ะ”

 

 

“เขามาทำไม” พระหัตถ์ที่นวดหว่างคิ้วอยู่ชะงัก

 

 

เซี่ยฟางหวามองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ไตร่ตรองชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “น่าจะมาขอความเมตตาเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้า”

 

 

“ขอความเมตตาหรือ” ฉินอวี้ฟังแล้วก็โกรธอีก “ยังมีคนกล้ามาขอความเมตตาให้พวกเขาอีกรึ”

 

 

“หย่งคังโหวน่าจะไม่มีทางเลือกเช่นกัน” เซี่ยฟางหวามองหย่งคังโหวที่กำลังเดินพลางเช็ดเหงื่ออย่างระวัง ก่อนยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนข้าไม่ค่อยรู้จักหย่งคังโหวคนนี้มากนัก ต่อมาเมื่อได้คุยด้วยก็พบว่าปลิ้นปล้อนกว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเสียอีก หลายปีที่ผ่านมาช่วงที่อดีตฮ่องเต้กุมอำนาจก็ให้การสนับสนุนจวนหย่งโหว มิใช่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาคนนี้เสียทีเดียว”

 

 

ฉินอวี้ลืมตาขึ้น พยักพระพักตร์เห็นด้วย “ปลิ้นปล้อนเกินไปก็มิน่าชื่นชอบ”

 

 

เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าไม่ชอบเขา เจ้าชอบประเภทเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เชื่อฟัง เมื่ออยากให้เขาแสดงความสามารถ เขาก็จะแสดงความสามารถเต็มที่ แต่เมื่ออยากให้เขากระดิกหาง เขาก็จะกระดิกหางสินะ”

 

 

“ถูกเจ้ารู้เข้าแล้วสิ” ฉินอวี้หัวเราะ

 

 

เซี่ยฟางหวาเห็นเขาหัวเราะแล้วก็ถือโอกาสกล่าวขึ้น “ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในระหว่างบริหารจัดการคน ถึงแม้เจ้ามิชอบ แต่ก็มิอาจกำจัดทิ้งมิใช้ประโยชน์ตามใจชอบ คนแบบหย่งคังโหวหากใช้ให้ดี แท้จริงแล้วมีประโยชน์อย่างที่สุด ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเหลือเพียงจวนเปล่า ตระกูลสร้างผลงานเลื่องชื่อสืบทอดมามีจวนหย่งคังโหวเป็นหลักแล้ว ตามความเห็นข้า อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว เจ้าเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ อยู่ในระหว่างซื้อใจคน มิสู้ถือโอกาสนี้ไว้หน้าหย่งคังโหวสักครั้ง ทำให้หลังจากนี้เขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าไปจนตาย”

 

 

ฉินอวี้มองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับมามองนางเชื่องช้า สติปัญญาความตื่นรู้ค่อยๆ กลับมา “เขามาเพื่อขอความเมตตากับเจ้าหรือ”

 

 

เซี่ยฟางหวายกน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนวางลงเชื่องช้า “ถึงมาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามิใช่เจ้าเป็นคนออกปากเองก็เท่านั้น”

จารใจรัก

จารใจรัก

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เซี่ยฟางหวา บุตรสาวของจวนจงหย่งโหว ยอมสละตนเองไปเข้าร่วมการฝึกฝนกับองครักษ์เงาที่ภูเขาไร้นามตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเพื่อค้ำจุนวงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า ผ่านไปแปดปี นางทำลายภูเขาไร้นามจนสิ้น ปลอมตัวกลับเข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกให้นางต้องพบกับเขา อ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง พบกันเพียงครั้งนางกลับสลัดเขาไม่หลุด ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมของตนได้ ทั้งยังต้องไปเป็นหญิงใบ้คอยรับใช้ข้างกายเขาอีก กลยุทธ์ วิชาแพทย์ นางล้วนฝึกฝนจนแตกฉาน แต่กับ ฉินเจิง ผู้นี้ นางกลับจนปัญญาที่จะต่อกรด้วยจริงๆ

Options

not work with dark mode
Reset