จารใจรัก 108-2 มั่วสุรานารี

ตอนที่ 108-2 มั่วสุรานารี

สถานที่ตั้งราชสุสานของหนานฉินเป็นบริเวณฮวงจุ้ยที่ติดภูเขาใกล้น้ำ ในรัศมีสิบลี้ไม่มีบ้านเรือนปลูกรบกวน เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ตำหนักราชนิเวศน์ใหญ่มาก ทุกคนรอการจัดแจงที่พัก

 

 

เซี่ยฟางหวายังคงเข้าพักในปีกตำหนักที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักฉินอวี้ เป็นเรือนที่ตั้งอยู่อย่างอิสระ

 

 

หลังจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ฟ้าก็มืดสนิทลงโดยสิ้นเชิง

 

 

ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ไม่ว่าขุนนางราชสำนัก หรือโอรสลูกท่านหลานเธอ หรือแม้แต่ทุกคนที่อาศัยในวังหลวงต่างมิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลังผ่านความวุ่นวายในช่วงเวลาอันสั้นทั้งในและนอกราชสุสานก็เข้าสู่ความเงียบสงบ บ่งบอกว่าหลายคนทนมิไหวแล้ว เมื่อพิธีการจบลงก็รีบพักผ่อนทันที

 

 

เซี่ยฟางหวาพักรักษาตัวในตำหนักตลอดเจ็ดวันก่อน วันนี้ถึงเดินทางมาตลอดทั้งวันก็มิได้รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด

 

 

พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่ออยู่กับนางตลอดเวลา มิได้เหนื่อยเช่นกัน

 

 

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางดึก เซี่ยฟางหวาก็ลุกขึ้นแล้วสั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “นำชุดพรางตอนกลางคืนมาให้ข้าชุดหนึ่ง”

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อชะงัก “คุณหนู ท่านจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ”

 

 

“ออกไปเดินดูรอบราชสุสานหน่อย” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

“บ่าวสองคนไปกับท่านด้วยเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบบอก

 

 

เซี่ยฟางหวากำลังจะส่ายหน้า ภายนอกพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “เป็นฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว”

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนหย่อนกายนั่งลงใหม่ ทั้งสองออกไปต้อนรับ

 

 

ไม่นานฉินอวี้ก็เข้ามาในตำหนัก เห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งดื่มชาหน้าโต๊ะก็เอ่ยขึ้น “กลางคืนมิควรดื่มชามาก มิฉะนั้นจะกระทบกับการนอน”

 

 

เซี่ยฟางหวามองเขา วันนี้เขานั่งอยู่ในราชรถหยกตลอดเวลา เทียบกับหลายวันก่อนที่ยุ่งตลอดเวลาแล้วนั้นผ่อนคลายลงเยอะมาก สีหน้าดีขึ้นแล้วหลายส่วน เอ่ยปากกล่าวขึ้น “ดึกขนาดนี้แล้วไฉนถึงยังออกมาอีก เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ควรพักผ่อนถึงจะถูก”

 

 

ฉินอวี้นั่งลงตรงข้ามนาง แย้มยิ้มกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าเพิ่งมาราชสุสานครั้งแรกน่าจะอยากเดินดูรอบๆ จึงมาเป็นเพื่อนเจ้า ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางกลับแต่เช้า”

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าสนใจราชสุสาน อยากเดินดูรอบๆ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว

 

 

ฉินอวี้หลุดยิ้ม “ด้วยนิสัยของเจ้า ในเมื่อมาถึงราชสุสานแล้ว ไฉนเลยจะไม่สนใจราชสุสาน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่า เจ้ามิได้สนใจราชสุสานฮ่องเต้แต่ละยุคสมัย สิ่งที่เจ้าสนใจน่าจะเป็นของที่วางไว้ในราชสุสานต่างหาก”

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

“ราชสุสานของหนานฉินมีองครักษ์เงารักษาการอยู่ บางพื้นที่ติดตั้งกลไกลไว้อย่างแน่นหนา ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ภายในหนึ่งเดือนห้ามใช้พลังภายใน ภายในครึ่งปีห้ามใช้วิชาภูตผี ดังนั้นหากเกิดอันตรายจะทำเช่นไร ข้าไม่สบายใจ จึงอยากไปเดินดูกับเจ้าด้วย” ฉินอวี้กล่าวขึ้นอีก

 

 

เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “ก็ได้”

 

 

ฉินอวี้ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไปกันเถอะ”

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ในเมื่อไปกับฉินอวี้ เขาในตอนนี้เป็นจักรพรรดิของแผ่นดินหนานฉินแล้ว ราชสุสานที่มีทหารเฝ้าอย่างแน่นหนาทั้งในและนอก ย่อมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพรางตัวแล้วเช่นกัน

 

 

ทั้งสองออกจากห้อง เดินตรงไปยังด้านในราชสุสาน

 

 

ระหว่างทางคนลาดตระเวนเห็นทั้งสองเข้า ขณะกำลังจะก้มกราบคารวะ ฉินอวี้ก็ยกมือปรามเสียก่อน คนลาดตระเวนเข้าใจในทันทีจึงเงียบเสียงลง รอให้ทั้งสองผ่านไปด้วยความเคารพ

 

 

กระทั่งมาถึงราชสุสาน

 

 

“เจ้าอยากดูราชสุสานของเสด็จปู่หรือไม่” ฉินอวี้ถามเสียงทุ้มต่ำ

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

ฉินอวี้มิได้เอ่ยคำใดอีก พานางไปยังหน้าตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง

 

 

ทั้งสองเพิ่งมาถึงหน้าทางเข้า พลันมีบุรุษชุดดำปรากฏตัวขึ้นจากข้างในอย่างไร้สุ้มเสียง ก่อนทำความเคารพด้วยความนับถือ “ผู้ดูแลตำหนักใต้ดินรุ่นที่สิบห้าคารวะจักรพรรดิองค์ใหม่”

 

 

ฉินอวี้พยักหน้า พินิจคนผู้นั้นแวบหนึ่ง อีกฝ่ายสวมอาภรณ์สีดำสนิท มิได้สวมผ้าปิดใบหน้า ทว่าใบหน้านั้นขาวซีดแบบคนที่มิได้เห็นแสงตะวันมาหลายปี หน้าตาธรรมดาอย่างยิ่ง แต่วิทยายุทธ์เกรงว่าจะฝีมือบรรลุขั้น อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี

 

 

เผชิญหน้ากับสายตาพินิจของเขา คนผู้นั้นยืนนิ่งอย่างสงบ

 

 

สักพักถัดมา ฉินอวี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น “เปิดตำหนักใต้ดิน”

 

 

“ขอถามว่าฝ่าบาทมีตราตำหนักใต้ดินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นประสานมือกล่าว

 

 

“ตราตำหนักใต้ดินรึ” ฉินอวี้เลิกคิ้ว

 

 

“เป็นตราที่ใช้เข้าออกตำหนักใต้ดิน และโยกย้ายสายลับตำหนักใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นตอบ

 

 

“เราไม่มี” ฉินอวี้ตอบ

 

 

คนผู้นั้นจึงเอ่ยขึ้น “ตำหนักใต้ดินมีกฎของตำหนักใต้ดิน หากไม่มีตราคำสั่ง ถึงแม้ฝ่าบาทเสด็จมาเอง ประตูตำหนักใต้ดินก็มิเปิดเช่นกัน”

 

 

“ตราตำหนักใต้ดินควบคุมโดยผู้ใด” ฉินอวี้เลิกคิ้ว

 

 

“ตราตำหนักใต้ดินถือโดยฮ่องเต้แต่ละรุ่นพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นตอบ

 

 

“ก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคต นอกจากให้โองการสั่งเสียกับเราแล้ว ก็มิได้ให้ตราตำหนักใต้ดินกับเรา” ฉินอวี้บอก “แผ่นดินหนานฉิน นับจากนี้เราสูงศักดิ์ที่สุด ถึงแม้ไม่มีตราตำหนักใต้ดิน หรือว่าเราก็เข้าไปมิได้”

 

 

“สายลับตำหนักใต้ดินรู้จักเพียงตราตำหนักใต้ดินเท่านั้น” คนผู้นั้นส่ายหน้า

 

 

“เช่นนั้นเจ้าบอกเรามา อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ตอนนี้ตราตำหนักใต้ดินอยู่ไหน” ฉินอวี้เคร่งขรึมขึ้นมา

 

 

“หลายวันก่อน ท่านอ๋องน้อยเจิงถือตราตำหนักใต้ดินมาที่นี่ครั้งหนึ่ง” คนผู้นั้นตอบด้วยความสงสบ

 

 

ฉินอวี้ชะงัก ผินหน้ามองเซี่ยฟางหวา

 

 

เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าให้เขา

 

 

ฉินอวี้ตรัสถามคนผู้นั้น “หลายวันก่อนคือกี่วัน เจ้าบอกเราให้ชัด”

 

 

“ประมาณยี่สิบวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นตอบ

 

 

ฉินอวี้เม้มปาก ยี่สิบวันก่อนตนยังอยู่ที่เมืองหลินอัน เป็นช่วงที่เมืองหลินอันเผชิญหน้ากับโรคห่าระบาดพอดี และเป็นช่วงเวลาที่เซี่ยฟางหวาออกจากเมืองไปยังเมืองหลินอัน เขาเงียบลงพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เขามาตำหนักใต้ดินทำไม”

 

 

“สายลับปฏิบัติตามคำสั่งผู้ถือตราตำหนักใต้ดิน ถึงแม้เป็นฝ่าบาทก็มิอาจบอกได้” คนผู้นั้นส่ายหน้า

 

 

ฉินอวี้ได้ยินแบบนั้นก็มิได้โมโห ตรัสกับเซี่ยฟางหวา “ดูท่าเราคงเข้าไปไม่ได้แล้ว”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ความอยากรู้ ถึงเข้าไปมิได้ก็ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวากล่าว

 

 

ฉินอวี้พยักพระพักตร์ ตวัดพระหัตถ์ไล่คนผู้นั้น แล้วออกจากตำหนักใต้ดินไปพร้อมเซี่ยฟางหวา ย้อนกลับไปยังตำหนักราชนิเวศน์

 

 

ระหว่างเดินทั้งสองมิได้พูดคุยกัน เพียงเดินฝ่าแสงจันทร์กลับไป กระทั่งเดินมาได้ครึ่งทางก็พลันได้ยินเสียงรื่นเริงแว่วดังมาจากระยะไกล

 

 

ฉินอวี้หยุดเท้า หันไปมองเซี่ยฟางหวา “เจ้าได้ยินเสียงอันใดหรือไม่”

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนชี้ไปยังทิศตะวันออก “คล้ายดังมาจากทางนั้น”

 

 

“ไปกันเถอะ เราเดินไปดูหน่อย” ฉินอวี้บอก

 

 

เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะแล้วตามเขาไป

 

 

ทั้งสองเดินมาได้เป็นเวลาราวหนึ่งถ้วยชา ก็มาถึงตำหนักหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษแต่รกชัฏ ได้ยินเพียงเสียงสนุกสนานดังออกมา มีเสียงหยอกล้อของบุรุษ เสียงครางออดอ้อนของสตรี บ่งบอกว่าข้างในกำลังมีการมั่วสุรานารีกันอยู่

 

 

ใบหน้าของฉินอวี้เคร่งขรึมลงทันใด

 

 

เซี่ยฟางหวาเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน อดีตฮ่องเต้สวรรคต เพิ่งจะฝังพระบรมศพไป นึกไม่ถึงว่าจะมีคนดื่มสุราสร้างความรื่นเริง มั่วโลกีย์อย่างไม่รู้จักกาลเทศะในราชสุสานเสียแล้ว ถึงแม้ที่ผ่านมานางมิได้รู้สึกดีต่ออดีตฮ่องเต้ แต่ด้วยเติบโตมาในตระกูลเซี่ยที่ยึดถือหกคัมภีร์ขงจื๊อมาหลายชั่วคน ด้วยฐานะคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว ย่อมไม่ชอบพฤติกรรมไร้ยางอายเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

ฉินอวี้มาถึงหน้าประตูตำหนัก คนเฝ้าประตูเห็นแล้วก็หน้าซีดลงถนัดตา มีคนจะวิ่งเข้าไปรายงานข้างใน ทว่าฉินอวี้ตวัดฝ่าพระหัตถ์ขัดขวาง คนผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้นทันที

 

 

คนที่เหลือตกใจจนคุกเข่าตาม ขณะจะเอ่ยปากกล่าวฉินอวี้ก็ชำเลืองมอง คนเหล่านั้นเงียบเสียงลงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มิกล้าส่งเสียงใดขึ้นอีก

 

 

ฉินอวี้สาวเท้าก้าวเข้าไปข้างใน

 

 

คนในตำหนักเห็นแล้วก็ขาแข้งอ่อน รีบคุกเข่าทันที

 

 

ฉินอวี้เดินมาถึงหน้าประตูตำหนักชั้นใน เสียงข้างในยิ่งไม่เข้าหู พระพักตร์เขาเยือกเย็นขึ้นมา ก่อนยกพระบาทถีบประตูตำหนักออก

 

 

ประตูเกิดเสียง ‘ผัวะ’ แล้วเปิดออก ความสนุกสนานข้างในหยุดชะงักลง

 

 

ฉินอวี้ข้ามธรณีประตูเข้ามา แวบแรกมองเห็นความระเกะระกะข้างในอันแปดเปื้อนลูกตา เขายกพระหัตถ์ห้ามเซี่ยฟางหวา “ไม่ต้องตามเข้ามา”

 

 

เมื่อครู่เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงหยอกล้อขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าและสตรี ย่อมเดาสถานการณ์ข้างในได้ เดิมมิได้คิดจะเข้าไปอยู่แล้ว ตอนที่ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ห้าม นางจึงหยุดเท้า

 

 

ภายในตำหนัก องค์ชายสามกับองค์ชายห้า นอกจากนี้ยังมีคนที่ลักษณะคล้ายเป็นผู้คุ้มกันหลายคน รวมไปถึงสตรีอีกจำนวนหนึ่ง ถ้วยจานระเนระนาด บางคนสวมเพียงผ้าเนื้อบางชั้นเดียว กลิ่นเหล้าและนารีคลุ้งทั่วตำหนัก องค์ชายสามกับองค์ชายห้าต่างโอบสตรีไว้สองคน ผู้คุ้มกันเหล่านั้นเองก็กอดสตรีไว้เช่นเดียวกัน บ้างก็นึกไม่ถึงว่ากำลังทำเรื่องโสมมต่อหน้าผู้อื่น

 

 

หลังฉินอวี้เปิดประตูออกก็มองคนข้างในด้วยพระพักตร์เยือกเย็น แววตาที่อบอุ่นดุจหยกราวกับกลายเป็นก้อนน้ำค้างแตกร้าวและดาบแหลมคมในทันที

 

 

องค์ชายสามกับองค์ชายห้าดื่มไปหนักมาก ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดก็หันมามอง พบว่าเป็นฉินอวี้

 

 

องค์ชายสามแย้มยิ้มทันใด ก่อนกวักมือเรียก “น้องสี่ เจ้ามาแล้วหรือ ดีเลย รีบมาดื่มสักจอกเถิด”

 

 

องค์ชายห้าเองก็ยิ้มตาม “เอ๋ ลมอันใดพัดพี่สี่มาถึงนี่ได้”

 

 

ฉินอวี้ไม่พูดไม่จาสักคำ มองทั้งสองด้วยความเย็นชา

 

 

ในหมู่ผู้คุ้มกันมีบางคนมิได้ดื่มหนัก รีบผลักสตรีในอ้อมกอดออกแล้วรีบคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย…”

 

 

เวลานี้มีคนตกใจจนสร่างแล้วเช่นกัน รีบเอ่ยตามด้วยความเกรงกลัว “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต…”

 

 

สตรีทั้งหมดมิดื่มหนัก ใบหน้าสะสวยถอดสี “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกบ่าวถูกบังคับ…”

 

 

จากเสียงดนตรี นารี และสุราทั่วห้อง พลันเปลี่ยนเป็นเสียงร้องขอชีวิตทันที

 

 

องค์ชายสามกับองค์ชายห้าตกใจจนตัวสั่นระริกทันที สร่างขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ชั่วเวลานั้นมือที่ถือจอกสุราป้อนเหล้าให้หญิงงามแบบปากต่อปากก็ปล่อยจอกตกลงพื้นคล้ายไม่รู้ตัว มือที่โอบหน้าอกหญิงงามอยู่ก็รีบผละออกทันที ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราเปลี่ยนเป็นซีดขาวในชั่วพริบตา

 

 

ฉินอวี้มองพักหนึ่งก่อนหมุนตัวกลับออกไปนอกตำหนัก ตวัดฝ่าพระหัตถ์ปิดประตูตำหนัก ก่อนตรัสด้วยเสียงทุ้มต่ำอันแฝงไปด้วยจิตสังหารที่เยือกเย็น “ใครก็ได้”

 

 

“ฝ่าบาท” มีคนรีบปรากฏตัวขึ้นด้านหน้า

 

 

“ปิดตายสถานที่นี้ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ห้ามบินเข้าไป งดน้ำงดอาหาร หลังตายกันหมดแล้วค่อยฝังไปพร้อมกับอดีตฮ่องเต้” ฉินอวี้ออกคำสั่ง

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” คนนั้นขานรับ

 

 

ฉินอวี้ดึงมือเซี่ยฟางหวาราวกับไม่อยากอยู่ต่อแม้สักวินาทีเดียว สาวเท้าออกไปจากตำหนักหลังนี้

 

 

เสียงร้องไห้ระคนร้องขอชีวิตอย่างสะเทือนฟ้าดินดังออกมาจากข้างใน

จารใจรัก

จารใจรัก

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-4 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เซี่ยฟางหวา บุตรสาวของจวนจงหย่งโหว ยอมสละตนเองไปเข้าร่วมการฝึกฝนกับองครักษ์เงาที่ภูเขาไร้นามตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเพื่อค้ำจุนวงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า ผ่านไปแปดปี นางทำลายภูเขาไร้นามจนสิ้น ปลอมตัวกลับเข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกให้นางต้องพบกับเขา อ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง พบกันเพียงครั้งนางกลับสลัดเขาไม่หลุด ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมของตนได้ ทั้งยังต้องไปเป็นหญิงใบ้คอยรับใช้ข้างกายเขาอีก กลยุทธ์ วิชาแพทย์ นางล้วนฝึกฝนจนแตกฉาน แต่กับ ฉินเจิง ผู้นี้ นางกลับจนปัญญาที่จะต่อกรด้วยจริงๆ

Options

not work with dark mode
Reset