ตอนที่ 523 เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ
“เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ หากตีพวกนางตายแล้ว ข้าจะรับผิดชอบเอง” เสียงกังวานใสดังมาจากประตู หญิงชราและหลิวซื่อหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที
โจวอาอู่และจ้าวซู่เอ๋อกลับยิ้มแย้ม “อาจื่อ เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
ไป๋จื่อก้าวเท้าเข้ามาในประตู นางยิ้มให้พวกเขาสองคน แล้วปรายตาไปยังเตียงไม้ มองจ้าวหลานที่มีสีหน้าเป็นกังวล และกำลังมีน้ำตานองหน้า “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
ครั้นเห็นบุตรสาวกลับมาอย่างปลอดภัย จิตวิญญาณที่หายไปมากกว่าครึ่งของจ้าวหลานก็กลับมารวมกลุ่มกัน นางมีชีวิตชีวาในทันที
ไป๋จื่อหันไปมองหญิงชราและหลิวซื่อ กล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าคิดว่าพวกข้าแม่ลูกรังแกง่ายนักหรือ คิดว่าถึงแม้จะรังแกพวกข้าแล้ว พวกข้าก็จะไม่กล้าทำอะไรกับพวกเจ้าใช่หรือไม่”
หญิงชราและหลิวซื่อหน้าเคร่งไม่พูดจา ไป๋จื่อจึงพูดอีก “วันนี้ข้าจะบอกกับพวกเจ้าอย่างชัดเจน ว่าพวกข้าก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้น เพราะหากลงมือขึ้นมา พวกเจ้าก็รอนอนบนเตียงไปทั้งชีวิตได้เลย”
หลิวซื่อเท้าเอว “เจ้ากล้า? เจ้าอย่าคิดว่าพวกข้าไม่รู้กฎหมาย หากเจ้ากล้าลงมือ ข้าจะไปฟ้องร้องพวกเจ้าที่ศาลาว่าการ ให้เจ้าไปนอนในคุก”
ไป๋จื่อเอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นหรือ? เจ้านอนขยับไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว ยังจะไปฟ้องร้องพวกข้าได้อย่างไร”
“ข้าไปไม่ได้ แต่บุตรชายของบ้านข้าก็ยังไปได้ไม่ใช่หรือ เจ้าพูดจาข่มขู่ข้าให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก” หลิวซื่อแค่นหัวเราะ
“เจ้าพูดถูกต้อง บุตรชายของพวกเจ้าไปฟ้องร้องแทนเจ้าได้ แต่เงื่อนไขแรกก็คือหากข้ายอมจ่ายเงินชดเชยอย่างลับๆ พวกเขาจะยังไปฟ้องร้องอยู่หรือไม่” ครั้นเห็นความปีติปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวซื่อ หัวใจของไป๋จื่อก็พลันต่อว่านาง ‘โง่นัก’ อยู่ในใจ ก่อนจะกล่าวอีกว่า “เจ้าก็อย่าเพิ่งวาดฝันไว้สวยหรู เพราะเมื่อข้าให้เงินชดเชยกับเจ้าใหญ่ของบ้านเจ้า เขาก็นับว่าร่ำรวยขึ้นมาทันที แล้วเขายังจะเก็บคนพิการไร้ประโยชน์อย่างเจ้าไว้หรือ ข้าว่าเขาน่าจะแต่งอนุเข้าบ้านมากกว่า เจ้าพยายามหาเงินแทบตาย จนสุดท้ายเจ้าได้ใช้เงินนั้นหรือไม่ ทันทีที่อนุเข้าบ้านก็จะคลอดบุตรชายออกมาสองคน ส่วนบุตรชายสองคนที่เจ้าคลอดออกมาจะยังมีชีวิตที่ดีได้อีกหรือไร”
วาจาของไป๋จื่อจี้ใจดำนางทุกคำ ทำเอานางเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง
หญิงชราเห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงรีบกล่าวว่า “อย่าไปฟังนางพูดเพ้อเจ้อ เจ้าใหญ่ไม่ใช่คนเช่นนั้น นางก็แค่ยุแหย่ให้พวกเจ้าแตกคอกัน”
แน่นอนว่าหลิวซื่อรู้ว่านี่คือการยุแหย่ แต่ทุกคำพูดของไป๋จื่อมีเหตุผล ด้วยนิสัยของเจ้าใหญ่แล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วสิ่งที่นางพยายามทำลงไปทั้งหมดจะมีความหมายอะไร
เมื่อเห็นหลิวซื่อเริ่มตีกลองถอย หัวใจของหญิงชราก็พลันรู้สึกถึงความเย็นเยียบ ก่อนหน้านี้ที่มาหาเรื่องถึงที่นี่ ก็เพราะเรื่องที่ไป๋จื่อไปหาหูเฟิงที่ค่ายทหาร คิดว่าเด็กสาวจะกลับมาไม่ได้แล้ว ขอเพียงนางกลับมาไม่ได้ จ้าวหลานก็จะป่วยตาย ครั้นถึงเวลานั้น ทุกอย่างของพวกนางสองแม่ลูกก็จะตกมาอยู่ในมือตน ทว่าตอนนี้ไป๋จื่อกลับมาแล้ว ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว
ไป๋จื่อบอกกับอาอู่ว่า “ข้าจะนับถึงสาม หากพวกนางยังไม่ไป ก็ลากพวกนางจากชั้นบนลงไป ถึงแม้ตกลงไปตาย ข้าก็จะจ่ายเงินชดเชยเอง”
อาอู่ยิ้มแป้น “ตกลง เจ้ารีบนับเถอะ ข้าคันไม้คันมือมานานแล้ว”
ยังไม่ทันที่ไป๋จื่อจะเริ่มนับ สองแม่สามีและลูกสะใภ้ก็รีบร้อนวิ่งหายไปไม่เห็นเงา ราวกับหนูข้ามถนนก็ไม่ปาน
ข้างนอกประตูมีคนยืนอยู่อีกคนหนึ่ง ตอนพวกนางออกไปไม่ทันได้มองให้ชัดว่าเป็นผู้ใด ยังคิดว่าเป็นหูจ่างหลินเสียด้วยซ้ำ
หลังจากหญิงชราและหลิวซื่อจากไปแล้ว โจวกังที่ยืนอยู่ข้างนอกถึงจะเข้ามา เขาเห็นใบหน้าของอาอู่มีรอยแผลเป็นจากดาบเพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับแรก จึงร้องด้วยความตื่นตกใจ “อาอู่!”
อาอู่ชะงักงัน เขาหันกลับไปมอง พบเงาร่างสูงใหญ่ปรี่เข้ามาหาตน ยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้านั้นก็ยิ่งชัดแจ้ง แม้จะผอมลงไปมาก ทว่าเขาก็ยังจำได้ตั้งแต่แรกเห็น
……….
ตอนที่ 524 ลวี่เฉียวและจื่อเฟิงหลาน
“พี่ใหญ่? เป็นท่านจริงๆ หรือ” เขาปรี่ไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น สองมือประคองไหล่ของโจวกังเอาไว้ พลางพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
โจวกังก็ตื่นเต้นเช่นกัน บัดนี้สกุลโจวเหลือเพียงพวกเขาสองคนพี่น้องแล้ว
สองพี่น้องท้องเดียวกันมีเรื่องต้องคุยกัน ครั้นเห็นพวกเขากำลังจะเริ่มบทสนทนา จ้าวซู่เอ๋อก็รีบดึงแขนเสื้อของอาอู่ ขยิบตาให้เขาเป็นการบอกให้ไปคุยข้างนอก ไป๋จื่อเพิ่งกลับมา นางมีเรื่องราวมากมายอยากบอกกล่าวกับจ้าวหลานแน่ พวกเขาอยู่ที่นี่เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม
อาอู่พาโจวกังขึ้นไปชั้นบน ไปยังห้องชั้นลอยที่เสี่ยวเฟิงอาศัยอยู่
ไป๋จื่อนั่งลงข้างกายของจ้าวหลาน ดวงหน้ามีแต่ความรู้สึกผิด “ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรปิดบังท่านเลย แต่ข้าเกรงว่าท่านจะไม่ยินยอม ถึงได้แอบไปเช่นนั้น”
จ้าวหลานเม้มปากไม่พูดจา ความจริงในใจนางให้อภัยบุตรสาวแล้ว แม้นางจะโกรธก็ดี หรือจะป่วยก็ช่าง สิ่งเหล่านั้นไม่ล้วนไม่สำคัญเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือจื่อเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัย
ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องอื่นใดก็ไม่สำคัญทั้งสิ้น
ไป๋จื่อเข้าไปใกล้ โอบกอดร่างของจ้าวหลานเอาไว้ ก่อนพิงศีรษะลงในอกของผู้เป็นมารดา เอ่ยออดอ้อนว่า “ท่านแม่…ท่านให้อภัยข้าเถอะนะเจ้าคะ ข้าสาบานว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ไม่ว่าทำอะไรข้าล้วนบอกท่าน ท่านยินยอมแล้วข้าค่อยทำ ดีหรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวหลานไหนเลยจะหลงกลท่าทีออดอ้อนของจื่อเอ๋อร์ นางยกมือที่อยู่ข้างลำตัวขึ้น แล้วลูบหลังของเด็กสาวเบาๆ “เด็กคนนี้นี่นะ ช่างไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย”
ครั้นเห็นสองแม่ลูกสนทนากันแล้ว จ้าวซู่เอ๋อก็ไปเติมโจ๊กใส่ถ้วยกลับมา “อาจื่อ รีบให้แม่เจ้ากินอะไรหน่อยเถอะ นางไม่ได้กินอะไรให้อิ่มท้องมาหลายวันแล้ว”
ไป๋จื่อรู้สึกเสียใจมากจนต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะตั้งแต่นางก้าวเข้ามาในบ้าน นางก็พบว่าจ้าวหลานผอมลงมาก สีหน้าไม่ค่อยสดใส นางรู้ว่านั่นเป็นเพราะจ้าวหลานห่วงนางมากเป็นแน่
นางรับถ้วยโจ๊กมา “ท่านแม่ ข้าป้อนท่านนะเจ้าคะ”
จ้าวหลานส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้ากินเองได้” นางรับถ้วยโจ๊กในมือไป๋จื่อมา แล้วเริ่มกินอย่างช้าๆ ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกอยากอาหาร จึงกินหมดทั้งถ้วยอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้กินอะไรบ้างแล้ว จ้าวหลานก็รู้สึกง่วงขึ้นมา เพราะหลายวันนี้นางนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อหลับตาก็ฝันเห็นไป๋จื่อเลือดโชกล้มลงในกองผู้คน ทำเอานางหวาดกลัวจนแทบจะไม่กล้าหลับตา
ไป๋จื่อรอจนจ้าวหลานหลับ นางถึงจะออกจากห้องไปพร้อมซู่เอ๋อ ก่อนจะถามว่า “สมุนไพรในที่ดินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
จ้าวซู่เอ๋อกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ “เจ้านี่นะ ช่างกลับมาได้ทันเวลาเสียจริง สมุนไพรในที่ดินเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เถ้าแก่เฉินมาดูอยู่หลายครั้ง พวกข้าส่งรายการอาหารให้เขาแล้วด้วยเช่นกัน แต่เขาอยากให้เจ้าไปสอนพ่อครัวที่ร้านสือเค่อด้วยตนดแงมากกว่า เมื่อวานเขาก็มาที่นี่ครั้งหนึ่ง เอาแต่ถามอยู่ตลอดว่าเจ้าไปที่ใด แต่พวกข้าก็ไม่กล้าพูดมาก”
เด็กสาวพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปหาเขาสักครั้ง” ถึงอย่างไรก็เป็นอาหารเป็นยา มีความแตกต่างกับอาหารชนิดอื่น พี่ใหญ่เฉินจะระมัดระวังสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
หลังจากพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง นางก็พาจ้าวซู่เอ๋อที่ยังที่นารอบหนึ่ง เก็บต้นเฉียวเขียวและต้นเฟิงหลานม่วงกลับมาด้วย ตอนนี้ต้นเฟิงหลานม่วงออกดอกแล้ว ดอกของมันเป็นสีชมพูอ่อน ส่วนใบเป็นสีม่วง ทั้งสองสีต่างขับเน้นซึ่งกันและกัน งดงามยิ่งนัก
“ดอกไม้นี้งามจริงๆ กินได้ด้วยหรือนี่” จ้าวซู่เอ๋อถาม
ไป๋จื่อพยักหน้า “แม้ดอกของมันจะไม่มีสรรพคุณทางยา แต่ก็มีรสหวาน กินได้เช่นกัน เมื่อกินรวมกับใบเฟิงหลานม่วงแล้วอร่อยอย่าบอกใครเชียว!”
จ้าวซู่เอ๋อฟังแล้วก็กลืนน้ำลาย จากนั้นนางก็ชี้ไปยังต้นเฉียวเขียว “ใบของต้นเฉียวเขียวเล็กจ้อยขนาดนั้น แต่กลับมีลำต้นหนามาก ไม่ใช่ว่าต้องกินที่ลำต้นหรอกหรือ”