(wnแปล)Shimotsuki-san wa mobu ga suki 30

ตอนที่ 30

การเปลี่ยนที่นั่งโดยการทุจริตผ่านไปได้ด้วยดี

ขอบคุณเรื่องนั้นทำให้ที่นั่งผมได้อยู่ด้านหลังฝั่งขวา ถัดมาจากระเบียง ออกมาหนึ่งที่นั่ง และคนที่อยู่สุดมุมก็คือชิโมสึกิ

 

หรือก็คือ เธออยู่ที่นั่งที่ผมนั่งมาก่อนจนถึงเมื่อกี้นี้

 

“ดีจังเลย…..ก็คิดอยู่หรอกว่าจะทำไงดี ถ้าต้องอยู่ใกล้คนคนนั้นอีก”

 

ชิโมสึกิพูดออกมาเบาๆ พร้อมผ่อนแรงทิ้งตัวลงบนโต๊ะ

เธอเอาแก้มแนบโต๊ะและมองมาที่ผม

 

“แผนการ ผ่านไปได้ด้วยดี ขอบคุณนะ”

 

ส่ายหัวบอกไม่เป็นไร ให้ชิโมสึกิที่พูดออกด้วยความรู้สึกขอบคุณ

 

ถ้าเพื่อเธอไม่ว่าอะไรผมก็ทำได้ ไม่ว่าจะต้องถูกรบกวนขนาดไหน ไม่ว่าจะถูกพูดในสิ่งที่ไร้เหตุผล ถ้าเพื่อจะทำให้ชิโมสึกิมีความสุขได้ล่ะก็ ผมก็ยินดีถวายชีวิตให้เลย

 

สำหรับผมเธอนั้น คือตัวตนประมาณนั้นแหละ

 

“ฟู่ว……”

 

แต่ว่า ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอดูเหมือนจะอึดอัดอยู่

 

ดูเหมือนเธอมีอะไรมากมายที่อยากจะพูด แต่พอเธอเปิดปากก็มีแต่เสียงเล็กๆออกมา เสียงเธอหยุดไปรวดเร็วอย่างน่าแปลก

เพราะปกติเธออยู่ในสภาพที่ดูจะพูดไม่หยุด ตอนนี้ดูจะไม่ใช่อารมณ์แบบนั้น

 

เหตุผลคืออะไรกันนะ?

ผมกังวลอยู่ แต่เพราะคาบเรียนเริ่มแล้ว การพูดคุยจึงต้องจบลงทันที

 

คาบภาษาญี่ปุ่นเริ่มขึ้น จึงเปิดหนังสือและมองไปที่กระดานดำ

จากนั้น ริวซากิที่อยู่กลางห้องก็เข้ามาอยู่ในสายตา…….และก็ สบตากัน

 

(อะไรกันล่ะ? จ้องมาอย่างนั้น……หึงตัวประกอบอย่างงั้นหรอ?)

 

ความรู้สึกดำมืดหลอมรวมอยู่ในใจผม และต้องระวังไม่ให้มันแสดงออกมาทางสีหน้า

แสดงสีหน้างงๆหลอกออกไป ให้ดูเป็นตัวประกอบที่ไร้ความคิด

 

ริวซากิเดาะลิ้นใส่ผมที่ทำแบบนั้น จากนั้นก็หันหน้าออกไปทั้งแบบนั้น และมองไปด้านหน้า ระหว่างคาบคงจะเอาแต่มองด้านหลังตลอดไม่ได้สินะ……เยี่ยมเลย ถ้าหมอนั่นอยู่ข้างหลังล่ะก็ คงต้องทนกับสายตาตลอดแน่ๆ

 

พูดตรงๆ ผมอยากจะเลี่ยงการพูดกับชิโมสึกิต่อหน้าริวซากิให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

เพราะในมุมมองของหมอนั่น ผมเป็นตัวประกอบอากาศธาตุ ผมอยากจะอยู่ในตำแหน่งหมาตัวนึงที่มีรักไม่สมหวัง แค่เครื่องมือบนเวที ที่ไม่ส่งผลอะไรต่อเรื่องราว แบบนั้นจะทำให้ชิโมสึกิสบายใจได้

 

แต่ว่าการที่มีที่นั่งติดกันก็หมายความว่า จะมีโอกาสได้คุยกันตามธรรมชาติมากขึ้น…..เรื่องนั้น ถ้าถูกริวซากิเห็นเข้าคงจะเป็นปัญหานั่นแหละน้าーตอนที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องนั้นเอง

 

จู่ๆ ก็มีสมุดโน๊ตมาจากโต๊ะข้างๆ

 

(……นี่มันอะไรเนี่ย?)

 

ถึงจะรับมันมาแบบอัตโนมัติ แต่เพราะไม่รู้จุดประสงค์เลยได้แต่งง

สมุดโน๊ตธรรมดาๆสีน้ำตาล ที่ดูไม่มีอะไรเลย หน้าปกเองก็ไม่มีอะไรเขียนเอาไว้ ทำให้เป็นไม่รู้ว่าเป็นสมุดโน๊ตอะไร

 

ไม่รู้ทำไมถึงส่งไอ้นี่มา ผมเลยหันหน้าไปหาคนที่ส่งมา

จากนั้นชิโมสึกิ ก็ทำท่าทางให้เปิดสมุดพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแหย่กัน

 

อะไรกันแน่นะ?

พอเปิดไปหน้าแรก ก็มีข้อความเขียนเอาไว้แบบนี้

 

‘ไดอารี่แลกเปลี่ยนของชิโฮะกับนากายะมะคุง่

 

…..เอ๊ะ? เด็กประถม??

 

ไม่คิดเลยว่าขึ้นม.ปลายมาแล้วยังต้องมาแลกเปลี่ยนไดอารี่อยู่อีก เผลอจะแอบสงสัยนิดหน่อยแล้วว่า จริงๆเธอเป็นเด็กประถมรึป่าว

 

ไม่สิ ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว

ถึงตัวเธอจะผอมบางร่างน้อย แต่ชิโมสึกินั้นเป็นนักเรียนม.ปลายอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ง่ายๆก็คือเธอนั้น แค่อยากจะลองแลกเปลี่ยนไดอารี่ดู

 

‘ถึงนากายะมะคุง เพราะชาดที่แล้วฉันเป็นสัดตัวน้อยที่ต้องระวังการถูกล่า ทำให้ไม่สามาดพูดคุยในห้องได้ เพาะแบบนั้นก็เลยคิด……ถูกต้อง ถ้าพูดไม่ได้ก็แลกเปี่ยนไดอารี่กันก็ได้ไม่ใช่หรอ น่ะ’

(ก็อยากจะแปลให้มันอินอยู่นะครับ คือนางเขียนเป็นฮิรางานะเกือบ100% ถ้าให้เทียบกับภาษาไทยคงประมาณเขียนตัวอักษรตรงตามมาตราตัวสะกดล้วนๆละมั้ง)

 

มองข้อความที่อยู่ถัดมา

เพราะเธอคงตั้งใจจะเริ่มเขียนไดอารี่อย่างจริงจังล่ะมั้ง เมื่อเทียบกับครั้งก่อน เธอพยายามใช้คันจิมากกว่าเดิมอีก เพียงแต่ เพราะดูเหมือนจะไม่รู้คันจิที่ยากและเส้นเยอะ ทำให้มันดูเหมือนเรียงความของเด็กประถมจริงๆนั่นแหละ

 

อย่างไงก็เถอะ ความรู้สึกส่งมาถึงแล้วล่ะ

พอมีคนอื่นอยู่ด้วยจะทำให้ประหม่าจนพูดไม่ได้ แต่เธอก็ยังอยากจะสื่อสารกันอยู่ดี จนกลายมาเป็นแลกเปลี่ยนไดอารี่กันอย่างที่เห็น

 

….ยังมีเด็กที่ไร้เดียงสาแบบนี้อยู่สินะ

ถึงจะคิดว่าเธอเหมือนเด็กประถมก็เถอะ……แต่ไม่ได้หมายความในทางแย่ๆ

 

เด็กม.ปลายที่ยังทำตัวไร้เดียงสาแบบเด็กๆนี่ มันจับใจผู้ชายจริงๆ

 

ผมคิดว่าชิโมสิกึไม่ได้ถูกย้อมด้วยสีอะไรเลยแน่นอน

ไม่มีสีสัน โปร่งใส……เพราะแบบนั้น เลยทำให้ตกอยู่ในภวังค์ของความต้องการที่จะย้อมสีเธอด้วยสีของตัวเองทั้งหมด

อยากจะครอบครองหัวใจของเธอคนเดียวーเธอมีเสน่ห์ที่จะเผลอทำให้มีความต้องการแบบนั้น

 

ดังนั้นริวซากิเองก็น่าจะติดกับชิโมสึกิเหมือนกัน

รู้สึกได้ว่า เหมือนเธอจะครอบครองเสน่ห์ร้ายทำนองนั้นอยู่

 

ถ้าหากผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นตัวประกอบแล้วล่ะก็ อันตรายแน่ๆ

คงจะเข้าใจผิด และมองชิโมสึกิในฐานะคนต่างเพศอย่างหนัก

 

แบบนั้นถือว่าทำเกินตัว

เป็นเพื่อนกันอยู่ก็ดีแล้วแท้ๆ ถ้าเป็นมากกว่า……ก็ใฝ่ฝันอยู่หรอก แต่คงไม่ไหวจริงๆและได้ล้มเลิกไป

 

อย่างน้อยๆ เป็นตัวประกอบแบบนี้ต่อไปถือว่าเจียมตัว

เพราะอย่างนั้นผมจะไม่เข้าใจผิด หยิบปากกาขึ้นมา และใส่ความรู้สึกในฐานะเพื่อนลงไป

 

‘เข้าใจแล้ว ฝากตัวด้วยนะ’

 

เขียนไปสั้นๆ และส่งคืนชิโมสึกิ

เธอทำหน้าตื่นเต้นและรับไป แต่ไม่ได้อย่างที่เธอต้องการและเธอก็ทำปากดูเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย

 

บางที เธออาจจะอยากให้เขียนยาวขึ้นกว่านี้ก็ได้ ไม่สิ มันคงจะดูเย็นชาไปละมั้ง?

 

…..เอาเถอะ แบบไหนที่ชิโมสึกิจะพอใจ ค่อยๆตามหาไปพร้อมๆกับแลกเปลี่ยนไดอารี่กับเธอก็ได้

 

แต่ว่า แบบนี้ดีจังเลยน้า

แบบนี้ก็สามารถสื่อสารกับชิโมสึกิได้โดยไม่ต้องใส่ใจสายตาของริวซากิ เป็นไอเดียที่ดีมาก……

(wnแปล)Shimotsuki-san wa mobu ga suki

(wnแปล)Shimotsuki-san wa mobu ga suki

Score 10
Status: Completed

ผมนั้น ก่อนที่จะขึ้นชั้นมัธยมปลาย ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองเป็นตัวประกอบ ไม่สิ ผมคิดว่าตัวเองคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า'ตัวเอก'ด้วยซ้ำ

 

แต่ทว่า ตั้งแต่ที่ขึ้นชั้นมัธยมปลายและได้พบกับหมอนั่น ผมก็รู้ตัวทันทีว่าผมเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ

Options

not work with dark mode
Reset