Telesma 3

ตอนที่ 3

ฉันกับโลล่าเดินมาถึงสนามสอบแรก มันเป็นลานประลองเวทแบบ 1ต่อ1 หวังว่าคงไม่ใช่การประลองเวทกับนักเวทฝึกหัดด้วยกันหรอกนะ….

  “การสอบแรก “ควิกซ์แคสท์” เป็นการประลองระหว่างผู้คุมสอบและนักเวทฝึกหัด ห้ามใช้แค่เวทที่มากกว่าระดับ 1และระดับ 2ในการประลอง”

ก็ยังดีกว่าประลองเวทปกติล่ะนะ ควิกซ์แคสท์เป็นการแข่งขันยอดนิยมในหมู่นักเวท มันเป็นกีฬาที่เร็วและมีกติกาไม่ที่ซับซ้อนขอแค่ร่ายเวทพื้นฐานเป็นก็สามารแข่งได้แล้วและกฎของมันนั้นก็ง่ายมาก นั่นคือให้นักเวท 2คนไปยืนที่ลานประลองทิ้งระยะห่างทั้ง 2 ฝั่งร่วม 4 เมตร โดยทั้ง 2ฝั่งจะต้องใช้แค่เวทสายหลักของตนเองในการประลองเท่านั้น เมื่อกรรมการให้สัญญาณนักเวททั้ง 2ฝ่ายจะเริ่มร่ายเวทและยิงออกไปโดยที่จะต้องตะโกนชื่อเวทที่ตนเองร่ายไปด้วยเช่นกันและฝ่ายที่โจมตีโดนอีกฝั่งก่อนถือว่าเป็นผู้ชนะ เป็นเกมที่นักเวททุกคนต้องเคยแข่งกันอย่างน้อยๆ 1ครั้งล่ะนะ พวกผู้คุมสอบเองก็คงไม่เอาจริงขนาดเด็กสู้ไม่ได้หรอกมั้ง(ก็ถ้าทุกคนไม่ได้นิสัยเหมือนแม่ฉันอ่ะนะ)

ฉันหันไปเห็นโลล่า เด็กสาวทำตาเป็นประกายราวกับพึ่งจะได้แข่งครั้งแรก

  “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรอ?”

  “แน่นอนสิ ฉันเคยเห็นแต่พ่อแข่งหนิไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้ลงแข่งเองแบบนี้” บ้านยัยนี่สอนอะไรมั่งเนี่ย ถ้าคิดจะให้ยัยนี่เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปจริงๆก็ควรจะสอนอะไรที่มันมีสาระมากกว่าแค่ให้ร่ายเวทเป็นเถอะนะ

  “นี่ๆ นายน่ะเคยแข่งใช่มั้ย”

  “อ่า ก็…2 3 ครั้งน่ะ” 53 ครั้ง นั่นคือจำนวนที่ฉันสู้กับแม่ เอาจริงๆ อย่าเรียกว่าแข่งเลย เรียกว่าโดนสังหารโหดน่าจะใกล้เคียงมากกว่า เหอะๆ

ระหว่างนั้นผู้คุมก็อธิบายกติกาและข้อห้ามต่างๆ พร้อมกับสาธิตวิธีการแข่งซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก พูดตามตรงเลยว่าฟังจนรู้สึกง่วงสุดๆ เลย ฉันน่าจะหาวไปไม่ต่ำกว่า 5รอบได้ล่ะมั้งจนกระทั่งเริ่มประกาศชื่อผู้เข้าสอบ ผู้คุมสอบหยิบกระดาษรายชื่อออกมาพร้อมกล่าวชื่อผู้เข้าสอบคนแรก

  “งั้นจะเริ่มประกาศชื่อผู้เข้าสอบคนแรก” … “นาคาซ อายบลัด” …?!

  “คะ…ครับ” ทำเอาฉันอึ้งไปพักนึงเลยแฮะ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนแรก

  “คิดดีแล้วหรอครับที่เรียกผมเป็นคนแรก”

  “อะ…อ่าแน่นอน” ผู้คุมสอบตอบด้วยน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อย

  “ไม่ต้องมาทำหน้ามุ่ยเลยยัยนี่” โลล่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันแสดงสีหน้าริษยาขึ้นมานิดหน่อย เฮ้อ~มันใช่เรื่องที่ควรจะมาอิจฉามั้ยเนี่ย

ฉันเดินขึ้นไปยังลานประลองและพบกับร่างของชายร่างสูงโปร่งวัยกลางคนที่มีสีผิวค่อนข้างเข้มถือไม้คทาที่ทำจากต้นเฟลมเทล มันถือเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติที่ทนไฟได้ดี น้ำหนักเบาและหาง่าย จึงได้รับความนิยมมากในหมู่นักเวทไฟเพราะฉะนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าเวทสายหลักขแงเขาต้องเป็นเวทไฟแน่นอน พวกเราเดินเข้าหากันและแนะนำตัวและปฏิญาณ

  “ผมนาคาซ อายบลัด”

  “ฉันรอน โคลท์”

“ขอปฏิญาณต่อคทาเวทว่าจะแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์และกติกาที่กำหนดอย่างบริสุทธิ์ใจ และจะไม่ขุ่นเคืองต่อผลลัพธ์ที่ออกมา” พวกเราทำการแลกคทากันเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์เวทของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็เดินไปประจำตำแหน่ง และกรรมการก็เตรียมให้สัญญาณ

  “ทั้ง 2ฝ่ายเตรียมตัว” พื้นเป็นดินทรายซะด้วย

  “เริ่ม!!”

  “วินตัส ชิอัส” (กระสุนลม)

  “เฟลมม่า ชิอัส” (กระสุนไฟ)

ตู้ม!! กระสุนเวทของพวกเราปะทะกันเปลวไฟแตกกระจายออกและหักเหกลับไปยังฝั่งตรงข้ามนิดหน่อย นั่นหมายความว่าเราร่ายเวทได้เร็วกว่าสินะหรือจะบอกว่าอีกฝ่ายอ่อนให้ดีล่ะแต่ขอเตือนก่อนเลยว่าอย่าประมาทฉันมากนักล่ะ ฉันชี้คทาลงพื้นพร้อมกับร่ายเวท

  “เวนตัส” (ลมพัด) สายลมพุ่งลงไปยังพื้นดินทำให้ลานประลองถูกปกตลุมไปด้วยฝุ่นและควัน ทีนี้ก็วิ่งอ้อมไปข้างหลัง

  “วินตัส ชิอัส วินตัส  ชิอัส วินตัส  ชิอัส!!” กระสุนลมทั้ง 3ลูกพุ่งไปยังเป้าหมายซึ่งเป็นตำแหน่งล่าสุดของผู้คุม

  “เฟลมม่า ไรอัส!” (โล่เปลวเพลิง) เปลวเพลิงโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและสกัดกั้นกระสุนลมของเราได้

  “อิกนิส กลาเดียส!” (ดาบเพลิง) ดาบเพลิงพุ่งทะลุกำแพงเพลิงและม่านควันพุ่งมาที่เรา

โว้ว ดาบเพลิงพุ่งเฉียดหน้าฉันไป ถ้าไม่เห็นประกายไฟก่อนหน้านี้คงจะหลบไม่ทันแล้ว

  “วินตัส ฮัซตา!” (หอกวายุ) ดูเหมือนว่าจะใช้เมจซีกเกอร์ในการระบุตำแหน่งแทนการมองด้วยตาเปล่าสินะ พวกเมจซีกเกอร์เวลาใช้เนตรเวรนั่นจะต้องเพ่งสายตามากกว่าปกติทำให้ดวงตาเปิดกว้าง นั่นเป็นข้อเสียเพียงไม่กี่อย่างที่ฉันศึกษามาจากการโดนแม่ยำเละตลอด 1ปีล่ะนะ

  “เวนตัส!” สายลมพัดพาฝุ่นไปยังตำแหน่งล่าสุดของผู้คุมสอบ

  “ระวังฝุ่นมันจะเข้าตาเอานะครับคุณโคลท์” ฉันพุ่งกระโจนไปพร้อมกับสายลมที่พัดพาฝุ่นไปพร้อมกับร่ายเวทบทต่อไปไว้ใช้ปิดฉาก ทีนี้ก็เหลือแค่ร่ายให้โดนก็ถือว่าเช็คเมทแล้ว

  “ไม่อยู่” ตำแหน่งที่ควรจะมีผู้คุมอยู่นั้นว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่องรอยของศัตรู

  “คิดว่าฉันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอ” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างหลังพร้อมกับคทาที่จี้หัวฉันอยู่

  “จบแค่นี้แหละไอ้หนู”

  “ผมยังไม่อยากกลับบ้านไปโดนแม่สวดหรอกนะครับ” ผู้คุมสอบทำสีหน้างุนงงนิดหน่อย ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นวงเวทที่ฉันร่ายทิ้งไว้บนคทา สีหน้างุนงงแปลงเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกพร้อมกับกระโดดถอยออกห่างเพื่อที่จะหนีเวทบทนี้

  “ฉิบ-”

“วินตัส เทมเพลส!!” ลมพายุปริมาณมหาศาลพวยพุ่งออกจากคทาโหมกระหน่ำใส่ผู้คุมสอบที่พยายามจะหลบมัน เวทบทนี้มันแรงเทียบเท่ากับเวทระดับ 3ซึ่งมันแรงพอที่จะทำให้กำแพงอิฐถล่มลงมาและเพียงพอที่จะสร้างบาดแผลภายนอกจำนวนมากให้กับศัตรู

เพราะในกติกาไม่ได้มีบอกไว้ว่าห้ามใช้เวทผสมด้วยแหละนะฉันถึงกล้าร่าย การสอบมันก็คือการโชว์ภูมิและไหวพริบอย่างนึงมีอะไรก็ควรจะงัดออกมาให้หมดแหละนะ แถมแบบนี้สนุกกว่าร่ายเวทแลกกันแค่บทเดียวแล้วก็จบด้วย ฉันเองก็ไม่อยากเสียชื่อว่าเป็นถึงลูกของคนๆ นั้นด้วยแหละนะ

  “เหนื่อยชะมัด” ถ้าสู้กับแม่แล้วชนะได้ง่ายแบบนี้ได้ก็ดีสิ เฮ้อ~คนๆ นั้นไม่เคยคิดจะอ่อนข้อให้เราด้วยซ้ำให้ตายเถอะ

จะว่าไปนี่ไม่เงียบไปหน่อยเรอะขอเสียงเชียร์หรือไม่ก็เสียงโห่ร้องหน่อยสิ

พอฉันหันไปทางอัฒจันทร์ก็เห็นคณะผู้คุมสอบและผู้เข้าสอบคนอื่นๆแสดงสีหน้าตกตะลึงกันเล็กน้อยยกเว้นโลล่าที่ทำตาเป็นประกายเพราะความตื่นเต้น? คงไม่คิดว่าจะมีเด็ก 6ขวบที่ร่ายเวทผสมได้ล่ะสิท่า

  “ผะ ผู้ชนะนาคาซ อายบลัด”

ฉันกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับให้แก่ผู้ชมการสอบในครั้งนี้

  “ขอบคุณครับ ขอบคุณครั-” และอยู่ๆก็มีเสียงดังมาจากข้างบนอัฒจันทร์ 

  “เจ้านั่นมันโกงเห็นๆ”

  “เมื่อกี้มันเวทระดับ 3ชัดๆ เลยหนิ หมอนั่นมันโกงไม่ใช่รึไง” นักเวทฝึกหัดคนนึงตะโกนลงมาจากข้างบนนั้น ในขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากบรรยายสรรพคุณของเวทผสมก็โดนขัดจากเสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากข้างหลังฉัน

  “เว-” 

  “เวทผสมน่ะ” คุณโคลท์กล่าวขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นมาจากพื้นสนามประลองและเดินมาบริเวณหน้าอัฒจันทร์

  “อันตรายชะมัด ไม่นึกเลยแฮะว่าจะมีเด็กที่ใช้เวทผสมเป็นด้วย”

“เพราะในกติกาไม่ได้ห้ามใช้เวทผสมก็เลยไม่ถือว่าผิดกฎน่ะ จัดว่าเป็นการวัดเชาว์ปัญญาด้วยอย่างนึง แต่เวทผสมค่อนข้างอันตรายสำหรับนักเวทฝึกหัดก็เลยไม่คิดว่าจะมีใครใช้เป็นน่ะทำเอาฉันอึ้งไปเลยแฮะ ฝีมือไม่เลวเลยนะไอหนู” คุณโคลท์พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่เต็มไปด้วยแผลถลอกพร้อมกับยกนิ้วโป้งมาที่ฉัน

  “เอาล่ะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็คนต่อไป….” ผู้คุมสอบอีกคนประกาศชื่อผู้เข้าสอบรายต่อไป ระหว่างที่ฉันเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่ไม่พึงพอใจซักเท่าไหร่จากเด็กคนนั้น 

  “เฮ้อ~ให้ตายเถอะ” ดูเหมือนว่าวันนี้จะต้องรับมือกับตัวปัญหา 2ตัวพร้อมกันสินะ

  “นี่ๆ นายน่ะโกหกฉันสินะ” โลล่าพูดขึ้นมาตอนที่ฉันกลับมานั่งที่ของตัวเอง

  “โกหกหรอ เรื่องอะไรล่ะ”

  “ที่บอกว่าเคยแข่งแค่ 2-3 ครั้งน่ะ”

  “ก็ 2-3 ครั้งจริงๆนะ ถ้าไม่รวมกับที่ฉันโดนแม่ยำเละไปอีก 50กว่าครั้งน่ะ….” เชื่อฉันเถอะนะจะได้จบๆ

จ้อง~เด็กสาวจ้องฉันเขม่งด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

  “ช่างเถอะ ว่าแต่ไอเวทผสมที่ร่ายไปเมื่อกี้น่ะนายพึ่งผสมไปตอนที่โดนผู้คุมรุกใส่สินะ”

  “ก็ใช่อยู่หรอก มีปัญหาอะไรหรอ”

  “ต่อให้จะเป็นนักเวทระดับ 3หรือ4การร่ายเวทผสมย่อมต้องใช้เวลาแถมต้องมีความแม่นยำพอสมควรด้วย แต่นายกลับผสมมันด้วยเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ให้ตายเถอะบ้านนายนี่มันมีแต่พวกปีศาจตามคำร่ำลือจริงๆ สินะ”

  “ก็…นะ” ถึงเด็กสาวจะพูดตรงไปหน่อยแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนั้นได้จริงๆ นั่นแหละนะ

  “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ยอมแพ้ให้นายหรอกนะ” เด็กสาวหันมากล่าวอย่างมั่นใจ

  “ตอนแพ้ก็อย่ามาร้องไห้ฟูมฟายใกล้ผมก็แล้วกันนะคุณลูน่าไชน์” เอาเถอะไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงฉันก็กะจะเรียกเธอว่าโลล่าอยู่ดีนั่นแหละนะ ยังไงซะชื่อมันก็สั้นกว่านามสกุลตั้งหนึ่งพยางค์ แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นการดูถูกอีกฝั่งมั้ยหว่า? นั่นสินะ ถ้าทำแบบนั้นก็อาจจะสร้างความบาดหมางให้กับทั้ง 2ตระกูลในอนาคตด้วยสิ เฮ้อ~ยุ่งยากชะมัด ไว้ค่อยหาโอกาสดีๆแทนก็แล้วกันเพราะยังไงฉันก็ไม่คิดจะยอมแพ้ให้ยัยนี่ด้วยเหตุผลไม่เป็นเรื่องแบบนี้ซะด้วยซิ

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เหล่านักเวทฝึกหัดค่างพ่ายแพ้ให้กับผู้คุมสอบคนแล้วคนเล่า ให้ตายเถอะจะรอดกันซักกี่คนเนี่ยและแล้วก็ถึงคิวของเด็กสาว

[คนต่อไปโลล่า ลูน่าไชน์] ผู้คุมสอบประกาศชื่อของเด็กสาวขึ้น โลล่าลุกขึ้นและเดินไปอย่างเงียบงัน

  “ขอให้โชคดีนะคุณลูน่าไชน์”

  “….” เด็กสาวเดินจากไปโดยไร้ซึ่งการตอบรับ ดูเหมือนว่าเธอจะเอาจริงแล้วสินะ งั้นฉันขอดูอิทธิฤทธิ์ของอัจฉริยะแห่งตระกูลลูน่าไชน์ซักหน่อยก็แล้วกัน

เด็กสาวเดินลงไปยังสนามประลองพร้อมกับกำคทาในมือไว้แน่นซะจนฉันที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ยังสังเกตเห็น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่านี่จะเป็นครั้งแรกของยัยนั่นสินะหรือว่าเธอจะเกร็งงั้นหรอ? ก็คงเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง

รอบนี้คุณโคลท์เป็นกรรมการตัดสินงั้นหรอ หมายความว่าผู้คุมสอบที่แข่งกับยัยนั่นก็เป็นคนอื่นงั้นสินะ

  “เริ่มได้!”

  “วินตัส ชิอัส” กระสุนลมพุ่งไปหาโลล่าด้วยความเร็วสูง แต่ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะหลบได้ทันและร่ายเวทบางอย่างออกมาหลังจากนั้น 16วินาที

  “อควาโทป” (คนโทน้ำ) เลือกที่จะไม่ร่ายเวทโจมตีแต่เปลี่ยนไปใช้เวทเสริมแทนงั้นหรอ เพราะเวทน้ำเป็นเวทที่ใช้เวลาในการร่ายนานที่สุดในบรรดาเวทพื้นฐาน การร่ายอควาโทปขึ้นมาเพื่อช่วยลดเวลาในการร่ายเวทอื่นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดี

  “อควา ชิอัส” (กระสุนน้ำ) กระสุนน้ำออกมาจากอควาโทปและคทาของเด็กสาวพุ่งไปยังบริเวณที่ผู้คุมสอบยืนอยู่

  “วินตัส โนวาคู” (ใบมีดสายลม) ผู้คุมสอบเลือกที่จะผ่ากระสุนน้ำทิ้งแทนการใช้ไรอัส และเธอก็ได้ปาหอกวายุสวนกลับไปแทบจะทันที

  “วินตัส ฮัซตา!”

  “อควา ไรอัส”(โล่วารี) โลล่าแปลงเปลี่ยนคนโทน้ำให้กลายเป็นโล่วารีเพื่อปัดป้องหอกวายุที่ผู้คุมสอบปามา และเด็กสาวก็ค่อยๆเปลี่ยนโล่วารีให้กลายเป็นตรีศูลชลาลัย แต่มันก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น

  “อควา ไทรเดนไทน์…กลาเชียส ฟอร์ม่า” ตรีศูลกลืนกินคทาเวทในมือของโลล่าและมันก็ค่อยๆ แข็งตัวจนกลายเป็นตรีศูลเยือกแข็งสีครามหลังจากนั้นโลล่าก็ได้ท่องอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่เสียงของเธอเบามากจนแม้แต่ผู้คุมสอบที่อยู่ข้างล่างก็ยังไม่อาจได้ยิน

  “คิดว่าฉันจะปล่อยให้ท่องเสร็จรึไง วินตัส โนวาคู! วินตัส ฮัซตา! เทมเพสต้า โนวาคูล่า!!” สมกับเป็นจอมเวทระดับ 4ร่ายเวทระดับ 2ติดกันภายในเวลาไม่ถึง 5วินาทีและผสมเวทเทียบเท่าระดับ 4ได้ภายในเวลา 25วินาที

ทั้งหอก ใบมีดและศาสตราวุทธวายุทั้งหมดได้โหมกระหน่ำไปยังโลล่า เด็กสาวยังคงนิ่งเฉยและท่องคาถาต่อไป

  “นิกรัมกราเชียลโอเปร่า”

  “มูรูส” กำแพงน้ำแข็งสีดำสนิทพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและปัดป้องการโจมตีของผู้คุมสอบทิ้งทั้งหมด

จะว่าไปเราก็เคยได้ยินอยู่ว่าเวทน้ำแข็งของยัยนั่นแตกต่างจากเวทน้ำแข็งแบบทั่วไป “ผลึกน้ำแข็งสีนิลที่มีความเยือกเย็นยิ่งกว่าความพิโรธแห่งบาล็อค”งั้นสินะ… ถ้าให้พูดเดิมทีสิ่งนั้นควรจะถูกสร้างขึ้นจากเวทระดับ 2ถึง4มากกว่า 23บทแถมต้องทำพิธีกรรมอีก แต่ยัยนี่กลับสร้างมันขึ้นมาด้วยการร่ายเวทระดับ 1และ2ไม่ถึง 5บทด้วยตัวคนเดียว นี่มันเหนือกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก คงจะประมาทยัยนี่มากไม่ได้แล้วสินะ

  “กลาเชียส ชาร์ด” (แท่งน้ำแข็ง) กำแพงน้ำแข็งพังทลายกลายเป็นแท่งน้ำแข็งจำนวนนับไม่ท้วนและพวกมันก็พุ่งไปหาผู้คุมสอบ

  “วินตัส มูรูส!” (กำแพงวายุ) ผู้คุมสอบสร้างกำแพงวายุขึ้นมาสกัดการโจมตีของโลล่า แท่งน้ำแข็งกระเด็นไปปักคาพื้นสนามประลองคนละทิศทาง

  “อนูรัสพรูเนีย” (วงแหวนน้ำแข็ง) แท่งน้ำแข็งที่ปักอยู่บนพื้นได้ละลายลงและค่อยๆ กลืนกินพื้นสนามสอบทีละนิด พอฉันรู้ตัวอีกทีทั้งพื้นที่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีนิลและมันก็กำลังจะกลืนกินผู้คุมสอบที่แข่งกับโลล่าอยู่ เธอหันมาสบตากับพวกเรา ภายในดวงตาของเธอมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสิ้นหวังสุดจะหยั่งถึง เธอกล่าวบางอย่างขึ้นมาพร้อมน้ำเสียงที่สั่นเทา

  “ช่วยด้ว-” น้ำแข็งนิลกาฬได้กลืนกินหญิงสาวผู้สิ้นหวังไปโดยสมบูรณ์ แต่พื้นน้ำแข็งนั้นยังคงเคลื่อนที่ปกคลุมพื้นสนามข้างล่างเรื่อยๆจนมันเริ่มที่จะลามขึ้นมายังบนอัฒจันทร์

  “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย” เฮ้ยๆๆ ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย นี่มันเกินกว่าที่เด็ก 6ขวบจะควบคุมได้แล้วแน่ๆ

  “ทุกคนอพยพออกจากสนามสอบเดี๋ยวนี้!” ผู้คุมอสอบตะโกนบอกให้พวกเราหนีออกจากสนามสอบ เหล่านักเวทฝึกหัดต่างกรีดร้องรนรานด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว

ยัยนั่นฝืนตัวเองจนได้สินะ ถึงได้บอกไงว่าเป็นตัวปัญหาให้ตายเถอะ

ฉันเดินสวนทางกับพวกนักเวทฝึกหัดไปยังพื้นที่ที่ถูกน้ำแข็งปกคลุม

  “แกคิดจะทำอะไร” เด็กหนุ่มที่เคยกล่าวหาว่าฉันโกงฉุดตัวฉันไว้

  “ก็ไปจัดการยัยนั่นไง”

  “พวกเราเป็นแค่นักเวทฝึกหัดจะไปทำอะไรได้ แกไม่เห็นผู้คุมสอบที่กลายเป็นแท่งน้ำแข็งกลางสนามนั่นรึไง”

  “อย่าเอาฉันไปรวมกับพวกแก การจัดการตัวปัญหาคือหนึ่งในหน้าที่ของสมาชิกสภาแกนั่นแหละที่ต้องถอยไปซะ”

ฉันปัดมือของเด็กคนนั้นออกและมุ่งหน้าไปหากลุ่มของคณะกรรมการ คุณโคลท์และคณะผู้คุมสอบกำลังร่ายเวทไฟเพื่อสกัดกั้นไม่ให้น้ำแข็งลามไปมากกว่านี้

  “ไม่ไหว แทบทำอะไรน้ำแข็งนั่นไม่ได้เลย” …. “ยังไม่หนีไปอีกหรอไอหนูเดี๋ยวก็เดี้ยงหรอก” คุณโคลท์เหลือบมาเห็นฉันพอดีและถาม

  “ถ้าผมหนีไปอีกคนก็คงต้องรอให้แม่ผมมาจัดการเองแล้วล่ะครับ”

  “แล้วเธอพอทำอะไรได้มั่งล่ะ” คุณโคลท์ถามฉันด้วยความสงสัย

  “นั่นสินะ” พอมาคิดดูดีๆเราก็ไม่ได้มีเวทดีๆใข้แบบยัยนั่นด้วยซิ….เดี๋ยวนะถ้าลองใช้เจ้านั่นอาจจะต้านไหวก็ได้ ถึงตัวเราเองจะเคยเห็นแม่ใช้มันแค่ครั้งเดียวก็เถอะ การที่เราใช้มันอาจทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงมากกว่าเดิมก็ได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเลยคงจะเลวร้ายมากกว่านี้ล่ะนะ หายใจเข้าลึกๆ

[ทำการดึงข้อมูลจากความทรงจำ] นึกถึงตอนนั้น ตอนที่เราเห็นแม่ใช้มันครั้งนั้น ตอนที่แม่สอนให้เราใช้มัน สติปัญญาคือกุญแจสู่การพัฒนา เจอตัวแล้ว~

[เสร็จสิ้น] ดวงเนตรโลหิตที่เส้นทางแห่งปัญญาเปิดทั้ง 22เส้นให้เปิดออก 

อสรพิษผู้ก้าวข้ามอัตลักษณ์แห่งดารพัฒนาทั้ง 10

อันตัวเราคืออสรพิษแห่งปัญญาผู้ท้าทายอำนาจแห่งพระเจ้า

นามของเราคือนาคาซ โคคุจา ผู้ทำลายผลไม้แห่งปัญญา

_____________________________________________________________________________________

  “เป็นอะไรไปไอหนูไหวรึป่าว” เมื่อกี้เจ้าหนูพึมพำอะไรสักอย่างแล้วอยู่ๆ ก็วูบลงไป

  “ตอบฉันหน่อยสิไอหนูอย่างนี้ฉันสังหรณ์ใจไม่ดีนะ” ท่าไม่ดีล่ะ

  “เฮ้ ใครว่างมาแบกเจ้าหนุ่มนี่ออกไปที” เด็กหนุ่มอีกคนวิ่งมารับเจ้าหนูไป

  “ฉันถึงบอกให้แกหนีไปด้วยกันไง หัดเจียมตัวซะมั่ง”

เวรเอ้ยเย็นเป็นบ้า น้ำแข็งก็ไม่มีท่าทีจะหยุดลามเลยต้องทำอะไรซักอย่างก่อนที่จะมีคนโดนแช่เพิ่มอีก

  “โคลท์ เราถอยกันก่อนเถอะ”

  “อืม ทุกคนถอยไปตั้งหลักก่อน”

อยู่ดีๆเด็กผู้ชายคนเมื่อกี้ก็ตะโกนขึ้นมา

  “เฮ้ย บอกว่าอย่าฝืนไงกลับมาก่อน!!”

  “เกิดอะไรขึ้น” 

  “อยู่ดีๆหมอนั่นก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปเลย บอกว่าอย่าฝืนแล้วแท้ๆแต่ก็ไม่ฟังกันเลย” 

  “เวรล่ะ ไอหนูกลับมาก่อนน” 

  “นี่ไอหนูหยุดก่อน” เด็กอะไรเดินเร็วเป็นบ้า นี่ขนาดเราวิ่งกันเต็มกำลังแล้วนะเนี่ย

  “หยุดก่อ-” “โอ๊ย!” อะไรกัน เมื่อกี้เรากำลังจะขว้าตัวเจ้าหนูนั่นแล้วอยู่ดีๆก็เหมือนมีอะไรมาฟาดโดนที่มือเรา มันรู้สึกชาไปทั้งมือเลย

  “โอ๊ย ยังจะฟาดมาอี-….” อะไรวะเนี่ย…นี่มันวันมหาวิปโยครึไง…. รยางค์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม มัน…หน้าตาเหมือนกับแซ้หรืออะไรทำนองนั้น มันไม่เหมือนกับอะไรที่ควรจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ยิ่งกว่าไอน้ำแข็งสีดำนั่นซะอีก ตอนนี้เราไม่มีแรงแม้แต่ก้าวขาออกมาซะด้วยซ้ำมันเหมือนกับว่า…เราโดนเจ้านั่นสั่งให้อยู่เฉยๆอะไรทำนองนั้น สิ่งที่เราควรจะต้องจัดการจริงๆคืออะไรกันแน่ น้ำแข็งเวรนั่นหรือรยางค์นับพันที่อยู่ตรงหน้าของเรากันแน่ ให้ตายเถอะไม่ว่าจะอันไหนมันก็เห็นประตูนรกแง้มออกมาพอๆกันเลย

  “ทำการตรวจสอบสิ่งมีชีวิตนอกขอบเขตมิติ” 

  “เสร็จสิ้น”

  “ยืนยันตัวตน ตรวจพบ personal realityของเทวทูตเทียม แ_เ_รี__” 

  “ทำการกำจัดด้วย Ma___k F_a_in_ __ord” เจ้าหนูนี่พูดอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย เทวทูตเทียม? สิ่งมีชีวิตนอกขอบเขตมิติ?อะไรวะเนี่ย ไม่เข้าใจเลยสักนิด แล้วอยู่ดีๆก็มีบางสิ่งที่เหมือนแสงกำลังไปรวมตัวกันที่มือขวาของเด็กหนุ่ม มันค่อยๆก่อตัวขึ้นมาเป็นสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายกับดาบ?ที่บิดเบี้ยวและคดงอ มันก็ค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องเอามือขึ้นมาบังแต่มันก็ทะลุผ่านมือเข้ามา สุดท้ายฉันก็มองเห็นเพียงแค่แสงสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น

ท่ามกลางแสงอันเจิดจรัสนั้นฉันรับรู้ได้ถึงบางอย่างสิ่ง มันคือเสียงของงูตัวหนึ่งเสียงของมันใกล้กับหูของฉันมากราวกับว่ามันกำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับฉัน

  “ซี่~” อ้า~ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเสียจริง

————————————————————————–

Options

not work with dark mode
Reset