Telesma 14

ตอนที่ 14

  ท่ามกลางเสียงของแมลงที่ร้องประสานยามราตรี ภูตสายลมผู้ครอบครองดวงเนตรสีไวโอเล็ตได้บอนลอดหน้าต่างเข้ามาในห้องทำงานของอสรพิษสาวที่กำลังนั่งรอเธออยู่

  “ทั้งคู่หลับไปแล้วหรอ”

  ลีเวียถามภูตสาวระหว่างเขียนอะไรบางอย่างอยู่

  “ให้ตายเถอะ~ โตป่านนั้นแล้วทำไมไม่ให้ยัยเด็กนั่นนอนแยกล่ะ นี่เธอเป็นห่วงลูกตัวเองจริงรึป่าวเนี่ย~”

  “ให้เด็กสาวกลับไปนอนที่บ้านคนเดียวมันไม่อันตรายกว่ารึไง อีกอย่างนั่นมันก็เป็นหนึ่งในสัญญาที่พวกฉันให้กับเด็กคนนั้นไว้ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องไปขัดคอ นอกจากนาคาซจะขอเอง”

  “พวกเธอไม่กลัวสังคมรอบข้างมองด้วยสายตาประหลาดเลยรึไงกัน~”

  “มนุษย์ย่อมมีการแก้ปัญหาแบบมนุษย์ อมนุษย์ไม่ต้องมาคิดแทนหรอกนะ”

  “เฮ้อ… แล้วเรียกฉันมามีเรื่องอะไรล่ะ~”

  เมื่อเริ่มเข้าประเด็นลีเวียก็วางปากกาขนนกของตนลงแนบพื้นโต๊ะไม้มันเงาพร้อมกับหมุนเก้าอี้ไปมองยังภูตจิ๋วที่นั่งอยู่ ณ ขอบหน้าต่าง

  “พวกภูตมีอาณาเขตที่แน่ชัดมากขนาดไหน”

  “อืม… ก็พูดยากนะ~ พวกเราส่วนใหญ่ก็อยู่แบบใจไปไหนตัวไปนั่น ไม่ได้มีอาณาเขตชัดเจนเหมือนพวกสัตว์นักล่าหรอกนะ~”

  เมื่อได้ยินเช่นนั้นลีเวียก็หันไปหยิบบางสิ่งออกมาจากใต้โต๊ะทำงานของตน มันคือม้วนกระดาษบางสีขาวเนียนตาที่ดูจะไม่ใช่อะไรที่มนุษน์ในยุคสมัยปัจจุบันจะสามาระทำได้ไปให้กับภูตสีหยก

  “กระดาษขาวหรอ~ ไม่คิดว่าจะได้เห็นของแบบนี้จากมนุษย์ในยุคนี้นะเนี่ย ผลิตกันได้แล้วงั้นหรอ~”

  “เมื่อวานฉันเจอกับภูตตนนึงบนขบวนจักร”

  “แล้ว~?”

  “มันอ้างตัวว่าชื่ออาเปป แล้วก็พูดภาษาประหลาดเหมือนกับพวกเธอ สุดท้ายมันก็ทิ้งเจ้าสิ่งนี้ไว้ในกระเป๋าของฉัน”

  ภูตสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงความสนใจต่อสิ่งที่ตนพึ่งได้ยิน พร้อมกันก็ลองหันไปอ่านสิ่งที่อยู่ในกระดาษแผ่นบางๆ นั่น

  “เธอบอกว่ามันชื่ออาเปปงั้นสินะ มีรูปลักษณ์เป็นยังไง”

  “กลุ่มควันสีดำรูปร่างคล้ายคน บางช่วงก็รู้สึกเหมือนเป็นเงาของมนุษย์มากกว่า”

  “แล้วมีอะไรที่ดูเหมือนเป็นแกนกลางมั้ย~”

  “แกนกลาง?”

  อสรพิษสาวแสดงสีหน้าสงสัยอออกมา

  “ฟังแล้วก็เก็บเงียบไว้ซะล่ะ~”

  เซรดีดนิ้วสร้างกำแพงเสียงขึ้นมาเพื่อไม่ให้ข้อมูลที่จะพูดหลังจากนี้รั่วไหลออกไป เพราะสิ่งนี้มันมีผลถึงความเป็นอยู่ของเผ่าพันธุ์ของเธอ และเมื่อได้ทราบข้อมูลทั้งหมดแล้วภูตสาวก็เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่ลีเวียพึ่งเจอมานั้นมันห่างไกลกับภูตพรายอย่างพวกเธอออกไปไกลลิบแน่นอน

  “นั่นมันพวกดีบีไม่ผิดแน่”

  “ดีบี?”

  “สิ่งมีชีวิตที่มีองค์ประกอบพื้นฐานเป็นสสารมีด สำหรับพวกเธอมันก็คือวิญญาณนั่นแหละ แต่เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจหรอก สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือพฤติกรรมและองค์ความรู้ของมันต่างหาก”

  “ขยายความหน่อย”

  “พวกดีบีมีพฤติกรรมและความฉลาดไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน พวกมันแค่ล่าเหยื่อไปตามสัญชาตญาณและก็มีความฉลาดแค่เรื่องล่าเหยื่อ ขนาดตัวที่ฉลาดที่สุดยังฉลาดแค่พอวางแผนเป็นเอง~”

  “งั้นหมายความว่าตัวนี้แปลกกว่าตัวอื่นงั้นสินะ”

  “แปลกมากเลยต่างหากล่ะ~ ทั้งกระดาษนั่นทั้งชื่อนั่นทุกอย่างมันบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอเจอมันคือตัวตนที่เก่าแก่กว่าพวกฉันซะอีก”

  “แล้วเธออ่านสิ่งที่อยู่ในนี้ออกมั้ย”

  “เสียใจด้วยนะแม่อสรพิษ~ ภาษาที่อยู่ในนี้มันเป็นหนึ่งในหลายร้อยภาษาที่หายสาปสูญไปก่อนที่พวกฉันจะกำเนิดซะอีก แถมต่อให้พวกเราจะพยายามศึกษาพวกมันมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ดี~”

  ภูตสาวสาธยายพลางใช้นิ้วของตนเคาะย้ำไปที่ขมับของตัวเองเบาๆ

  “แต่ถ้าถามว่ามีตัวตนที่อ่านมันได้มั้ยคำตอบก็คือมี ขั้นต่ำตอนนี้ก็สองตัวตนแน่ๆ~”

  “อธิบายหน่อย”

  “ตัวตนแรกคือตัวตนที่เขียนเจ้านี่ขึ้นมา อาจจะเป็นดีบีที่เรียกตัวเองว่าอาเปปนั่น หรืออาจจะเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าเจ้านั่นอีกทีในกรณีที่เจ้าอาเปปมันเป็นแค่ผู้ส่งสาร ส่วนตัวตนที่สอง…”

  เสียงของเซรแผ่วเบาลงพร้อมกับนิ้วชี้ที่ค่อยๆ ลดระดับลงมาอย่างมีนัย

  “ตัวตนที่สองยังไง”

  “เจ้าสิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจ”

  ภูตสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ทันทีเมื่อต้องนึกถึงสิ่งที่เธอจะพูดออกมา มันคือสิ่งมีชีวิตที่ภูตพรายอย่างพวกเธอไม่อาจจะรู้สึกอะไรได้มากไปกว่าเกลียดชังและสาปแช่ง

  “ถ้าจะใช้ภาษาที่ทำให้พวกเธอเข้าใจและใกล้เคียงกับความหมายเดิมมากที่สุดก็คือคำนั้นแหละนะ~” 

  “ดูท่าจะไปก่อวีรกรรมอะไรไว้ล่ะสิท่า”

  “มันก่อไปเรื่อยนั้นแหละ~ ตัวตนอย่างเออาเองก็เป็นผลจากความบ้าคลั่งของมันเหมือนกัน เพียงแต่นางยินดีและมีนิสัยที่คล้ายกับมันก็เลยให้ความรู้สึกเหมือนพวกคู่รักโรคจิตแทน~”

  ลีเวียแสดงท่าทีสนใจถึงสิ่งที่ภูตสาวกล่าว เพราะเธอจำได้ว่าราชาพรายเรียกตัวตนที่มีนามว่าเออาว่าเป็นมารดาแห่งสรรพชีวิต และถ้าหากนางเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความบ้าคลั่งของตัวตนน่ารังเกียจนั่นแล้ว เจ้าสิ่งนั้นจะทรงพลังขนาดไหนกัน

  “รู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วหรอ~”

  “ข้อมูลใหม่มาส่งถึงหน้าบ้านถ้าไม่รับไว้มันก็คงเสียเปล่าน่าดู”

  อสรพิษสาวแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับจิบเครื่องดื่มสีดำลงไปด้วยความพึงพอใจ

  “ฮิๆ ฉันชักถูกใจเธอขึ้นมาแล้วซิ~”

  โดยสาระแล้วสิ่งที่ลีเวียได้รับรู้จากการสนทนากับภูตสีหยกคือ ตัวตนที่เหล่าผู้ไร้กายหยาบรังเกียจนั้นคือตัวตนที่เก่าแก่จนยากจะประมาณ มันคือสิ่งมีชีวิตตนแรกที่บรรลุและสามารถก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่สามได้จากความทะเยอทะยานที่มีมากเกินกว่าที่ความตายจะฉุดรั้งมันไว้ได้ สิ่งที่มันโหยหาไม่ใช่ความเป็นชีวิตนิรันดร์และพลังอำนาจ แต่คือองค์ความรู้ใหม่ที่ยังไม่ถูกค้นพบหรือหายสาปสูญไป เพราะฉะนั้นมันจึงได้ใช้ชีวิตอย่างทิ้งขว้างและกระโจนเข้าหาความตายนับล้านครั้งเพื่อแลกแม้เศษเสี้ยวแห่งความจริง

  “แปลกดีนะ ถ้าเก่าแก่ถึงขนาดประมาณไม่ได้แต่ทำไมเธอถึงรู้เรื่องของมันละเอียดได้ขนาดนั้นล่ะ”

  “เพราะฉันอยากจะเจอกับมันสักครั้งยังไงล่ะ~ พูดตรงๆ เลยว่าฉันเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องจริงมากแค่ไหน เพราะทั้งหมดนั่นอาจจะเป็นแค่สิ่งที่มันต้องการให้พวกเราเห็นเท่านั้น~”

  “แล้วฉันจะไปเจอมันได้ยังไง”

  “นั่นแหละประเด็น เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน~ รู้แค่ว่ามันเคยปรากฏตัวต่อหน้าแค่องค์ราชากับองค์ราชินีและเออาเท่านั้นแหละ~”

  “หรือพูดง่ายๆ ก็คือจะเจอได้ก็ต่อเมื่อฝั่งนั้นอยากเจอเองสินะ”

  “ถูกต้อง~”

  ลีเวียพับกระดาษแผ่นนั้นให้เล็กลงก่อนที่จะนำมันไปเก็บไว้ในกล่องไม้ที่ภายในถูกบุไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่อย่างดีและนำมันไปเก็บไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะ

  “แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะ~?”

  “ถ้าอีกฝ่ายให้สิ่งนี้มาทั้งที่รู้ว่าพวกเราอ่านมันไม่ออกก็หมายความว่าพวกเราจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการเร่งรีบไปมันก็ไม่ส่งผลดีต่อสิ่งที่เราต้องค้นหา”

  เอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะถูกจัดวางให้เป็นระเบียบ ก่อนที่ตะเกียงไฟถูกหิ้วขึ้นมาด้วยมือของหญิงสาว ตอนนี้เธอได้ข้อมูลที่ต้องการมามากพอแล้ว และนี่ก็ถึงเวลาที่ควรจะพักผ่อน การหักโหมทำงานนั้นมันจะมีแต่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี

  “พอแล้วงั้นหรอ~”

  “ฉันไม่ใช่พวกฝืนทำอะไรโดยไม่จำเป็นหรอกนะ ยังไงเธอก็ถูกสัญญานั้นพันธนาการไว้อยู่แล้ว ไว้มีอะไรฉันค่อยถามเพิ่มทีหลังก็ได้”

  “อย่าใช้งานกันหนักนักล่ะ~”

  “งั้นเธอก็สิ้นหวังแล้วล่ะ”

  เมื่อประตูห้องถูกปิดลงทั้งสองก็แยกย้ายไปยังที่ของตน แต่เพราะภูตพรายไม่จำเป็นต้องหลับไหลเพื่อฟื้นพลังงาน ยามราตรีของเซรจึงช่างยาวนานเมื่อเทียบกับมนุษย์ที่ต้องหลับนอน

  เธอจ้องมองไปยังอสรพิษหนุ่มที่ถูกโอบกอดไว้ด้วยร่างของเด็กสาวที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าเขามากพลางกับนึกถึงสิ่งที่เธอพึ่งได้รับรู้

  “อาเปปงั้นหรอ… เซ้นส์การตั้งชื่อโคตรเห่ยเลย~”

_________________________________

Options

not work with dark mode
Reset