Telesma 13

ตอนที่ 13

  แล้วไหงมันถึงเป็นงี้ได้ล่ะ…

  “อธิบายมาดีๆ เลยนะเซร!”

  ฉันฝันว่าตัวเองนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแสนน่าเบื่อนั่นอยู่นานราวกับผ่านไปเป็นวัน และพอตื่นมาอีกทีก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่ประเด็นรอง ไอประเด็นหลักก็คือตอนนี้ทุกคนในบ้านดันรู้ถึงการมีอยู่ของเซรแล้ว แถมพี่วาซิลิซาก็ใช้ดวงตาสีครามของเธอจ้องเขม่นมาที่เซรราวกับจะฆ่าให้ได้เลย

  “เรื่องมันยาวน่ะ~ เอาเป็นว่าขอฝากตัวอย่างเป็นทางการด้วยนะ~”

  เซรบินมาเกาะที่ไหลของฉัน และดูเหมือนว่านั่นจะทำให้พี่โมโหถึงขีดสุด แต่แล้วพี่ก็แค่ใช้กำปั้นชกลงไปที่โต๊ะเบาๆ พร้อมกับจิ๊ปากก่อนที่จะเชิดหน้าแล้วเดินออกห้องไปด้วยท่าทีงุ่นง่าน

  “พี่ลงไปก่อนนะ”

  พี่ลิซาหันมาพูดกับฉันก่อนที่จะปิดประตูห้องลงในแบบที่เบาที่สุดเท่าที่อารมณ์ของพี่ตอนนี้จะทำได้

  (ยัยโชตะค่อนเอ้ย)

  เซรพึมพำไล่หลังเบาๆ หลังจากประตูห้องถูกปิดลง

  “โชตะค่อน?”

  ถึงจะไม่รู้ความหมายแต่ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันเป็นคำที่ไม่ได้สื่อถึงสิ่งที่ดีแน่ และฉันเองก็ไม่ชอบให้ใครมาว่าร้ายคนพี่ลิซาด้วย

  “คำแสลงของพวกภูตน่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอก~”

  เซรที่ดูเหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไรหันมาตอบคำถามในใจของฉันอย่างตรงไปตรงมา

  “แล้วสรุปบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

  แล้วเซรก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฉันฟัง ซึ่งมันก็แอบทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยที่พ่อกับแม่ตัดสินใจทำสัญญากับบุคคลที่แทบไม่รู้ภูมิหลังอะไรเลยแถมที่ฟังๆ มานี่ยังเจอกันยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำมั้ง

  เฮ้อ… ตัดสินใจง่ายกันไปแล้ว…

  และในจังหวะที่ฉันถอนหายใจก็ดูเหมือนเซรจะรู้ว่าฉันคิดอะไรก็เลยพูดขึ้นมาต่อ

  “ไม่หรอก~ ฉันว่ามนุษย์สองคนนั้นมององค์ราชาของพวกเราได้ทะลุปรุโปร่งซะมากกว่า ถึงจะดูชั้วร้ายแบบนั้นจริงๆ เขาเป็นมิตรมากเลยน้า~”

  “ทำอย่างกับฉันเจอองค์ราชาของพวกเธอแล้วอย่างนั้นแหละ”

  ก็อก ก็อก

  เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดการสนทนาของพวกเรา และเสียงที่ตามมาหลังจากเสียงเคาะนั้นก็คือเสียงของพ่อ

  “อาหารเย็นเตรียมเสร็จแล้วนะ ”

  “คร้าบ~”

  เมื่อพ่อเดินขึ้นมาเรียกให้ลงไปรับประทานอาหารฉันก็ลงไปอย่างว่าง่าย ตอนนี้แค่จินตนาการถึงภาพของเวลาครอบครัวอันสุขสันที่ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศแต่ความตรึงเครียดมันก็ทำให้ฉันไม่สุขใจเท่าไหร่แล้ว ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉันแท้ๆ

  “เฮ้อ… ทั้งที่แม่พึ่งกลับมาแท้ๆ”

  “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอกน่า~”

  เซรใช้อุ้งมือเล็กๆ จองตัวเองมาขยี้ที่หัวจองฉันพร้อมกับปลอบใจระหว่างที่พวกเรากำลังเดินลงบรรไดกัน

  และเมื่อเดินมาถึงที่ห้องอาหารมันก็ทำให้ฉันแปลกใจพอสมควร เพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมันดูปกติดีทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

  ไม่สิ… บรรยากาศแบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้นี่แหละที่น่ากลัวกว่า

  ฉันเดินไปนั่งที่โต๊ะและรับประทานอาหารอย่างเงียบเชียบแบบทุกที และก็ไม่รู้ตอนไหนเหมือนกันที่ฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของเซรแล้ว

  “ลูกดูกินน้อยกว่าทุกทีนะ อาหารวันนี้ไม่อร่อยหรอ”

  แม่คงจะสังเกตเห็นว่าฉันเขี่ยอาหารในจานไปมาไม่ยอมตักใส่ปากสักทีก็เลยถาม

  “ป่าวครับ ก็แค่…”

  “ภูตนั่นเล่าเรื่องให้ลูกฟังแล้วสินะ”

  แม่เป็นคนเปิดประเด็นก่อนเหมือนทุกครั้ง

  “ครับ…”

  “ไม่ต้องคิดมากหรอก มันเป็นธุระของพวกผู้ใหญ่น่ะ”

  “แต่ว่า-”

  “มันไม่ใช่ความผิดของลูก นาคาซ ในข้อสัญญานั้นมันไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเชิงปัจเจกแต่มันคือปัญหาที่ต่อให้รุ่นแม่ไม่แก้ รุ่นพวกลูกก็ต้องหาทางแก้ไขอยู่ดี”

  “แต่การไปทำสัญญากับสิ่งที่แค่อ้างตัวว่าเป็นราชาภูตเนี่ยนะครับ? เมื่อก่อนขนาดรู้ภูมิหลังคู่เจรจาว่าเป็นใครมาจากไหนแม่ยังตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกเลยนะครับ!”

  “เพราะแม่เห็นความจริงไงนาคาซ ตอนนี้ลูกอาจจะยังไม่เข้าใจแต่พอถึงพิธีเบิกเนตรลูกจะเข้าใจมุมมองของแม่เอง”

  “อึฮึ่ม”

  พ่อกระแอมเสียงขึ้นมาขัดการสนทนาของพวกเรา

  “มารยาทหน่อย”

  พอได้สติฉันก็รีบดึงมือทั้งสองข้างที่ไม่รู้ว่ายกขึ้นมาตบโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ลง พร้อมกันพี่วาซิลิซาที่รั่งอยู่ข้างๆ ก็เอามืออันแสนนุ่มนวลของเธอมาลูบที่หัวฉันเบาๆ จนจิตใจสงบลง

  “ต้องโทษตัวพี่เองเหมือนกันนั่นแหละที่ปกป้องเธอไม่ได้ตั้งแต่แรก”

  พอพี่ลิซ่าพูดเสียงอ่อนแบบนั้นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเจ็บใจมากกว่าเดิมซะอีก

  “ขอโทษครับ…”

  “เอาเถอะ ที่ลูกทำไปก็เพราะเป็นห่วงใช่มั้ยล่ะ แต่ครั้งหน้าหัดใจเย็นกว่านี้หน่อยนะ”

  พ่อพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเป็นเชิงตำหนิกลายๆ

  “ครับ…”

  หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จไม่นานฉันก็ตัดสินใจที่จะไปอาบน้ำ ถึงมันจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่สำหรับอากาศช่วงนี้ที่เริ่มหนาว แต่เพราะรู้สึกเหนียวตัวอย่างบอกไม่ถูกก็เลยตัดสินใจอาบน้ำไปทั้งแบบนี้เลย ยังไงแช่น้ำอุ่นที่ใส่สมุนไพรและดอกไม้ไว้ในอ่างมันก็ช่วยผ่อนคลายความเครียดตอนนี้ลงได้แหละนะ

  ฉันสัมผัสได้ถึงเสียงประตูที่เปิดออกในระหว่างที่กำลังหลับตาเพื่อสงบจิตใจลง บางครั้งพ่อก็ชอบโผงผางเข้ามาอาบน้ำด้วยอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อประเมินจากสถานการณ์เมื่อกี้แล้วมันก็ไม่แปลกที่พ่อจะเข้ามาปรับความเข้าใจแบบทุก…ที….

  “พี่ลิซา!?”

  ร่างกายผอมเพรียวที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังสีขาวราวหิมะในเสื้อแขนยาวที่บางจนเปรียบได้ว่าเหมือนไม่ใส่อะไรเลยเดินอ้อมฉากกั้นมายืนอยู่ข้างหน้าอ่างอาบน้ำพร้อมกับแสยะยิ้มให้ฉัน

  พี่ก้าวขาเข้ามาในอ่างที่เต็มไปด้วยสมุนไพรอย่างช้าๆ ในขณะที่ฉันพยายามจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่มาห่อหุ้มตัว

  “ถ้าพี่จะใช้ห้องน้ำก็น่าจะบอกกันหน่อยสิครับ”

  แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกจากขอบอ่างพี่ลิซาก็ยกขาขึ้นมาพาดขวางไว้

  “เอาน่า~ เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกันมานานแค่ไหนแล้วฮึ?”

  พี่ใช้ขาเกี่ยวและฉุดตัวฉันไปเข้าไปตัวแนบเนื้อ

  “ทั้งที่กว่าจะได้เจอกันแท้ๆ พอเจอกันมีก็มีแต่เรื่องแต่ราวเต็มไปหมดเลยเนอะ”

  พี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าๆ พร้อมกับกอดรัดฉันไว้แน่นจนรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวของพี่

  “อารมณ์ไหนของพี่เนี่ย…”

  “รู้รึป่าวว่าตลอดหนึ่งปีมานี้พี่คิดถึงเธอมากขนาดไหนน่ะ”

  เมื่อเสียงอันแสนนุ่มนวลของพี่ผสมเข้ากับกลิ่นหอมของสมุนไพรที่อยู่ในอ่างแล้วมันจึงทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากแม้แต่จะขยับตัวไปไหนเลย

  ใช่ หนึ่งปีที่พี่ลิซ่าไม่ติดต่อมาเลยมันช่างรู้สึกหงอยเหงาเหลือเกิน แถมพอกลับมาก็มีแต่เรื่องเกิดขึ้นมากมายจนไม่ได้คุยกันอย่างสงบสักครั้งเลย เพราะฉะนั้นแล้วขอแค่ตอนนี้ก็ยังดี ต่อให้คนอื่นจะมองยังไงแต่ขอให้ฉันได้อยู่แบบนี้อีกสักพักเถอะ

  “ผมเองก็คิดถึงพี่เหมือนกันครับ”

  ฉันไซร้คอพี่ลิซาเบาๆ และดูเหมือนมันจะให้พี่ส่งเสียงแปลกๆ ออกมาพร้อมออกอาการกระตุกนิดหน่อย แต่พอฉันจ้องไปที่ใบหน้าของพี่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ไม่น่าเป็นอะไรหรอกมั้ง?

_________________________________

  เมื่อหนึ่งปีก่อน ท่ามกลางเสียงปะทะกันที่เกิดขึ้นจากการดาบไม้ของเด็กทั้งสองคน วินเซนต์ ลีเวียและแซกกำลังจ้องมองไปที่วาซิลิซาและนาคาซที่สวนหลังบ้านของตระกูลอายบลัด

  “เด็กสองคนนั้นนี่ตัวติดกันตลอดจริงๆ เลยนะ”

  ชายหนุ่มกล่าวโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันกลับเป็นการเปิดประเด็นที่ยากจะพูดถึงสำหรับพวกเขา

  “ก็ไอแบบนั้นแหละที่น่ากลัว”

  ในมุมมองของพวกเขาทั้งสามคนแล้วความสนิทสนมของนาคาซและวาซิลิซานั้นมีมากเกินกว่าที่คนนอกจะทำความเข้าใจ และเมื่อคำนึงถึงวาระที่ทั้งคู่เกิดต้องแยกทางกันขึ้นมาอย่างกระทันหันมันก็คงไม่ส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของทั้งสองฝ่ายมากนัก และตัวลีเวียเองก็คำนึงถึงความเป็นไปได้นั้นแล้วจึงได้เตรียมการบางอย่างไว้และเลือกที่จะนำมันมาปรึกษากับทั้งสองคนที่กำลังนั่งร่วมโต๊ะอยู่ในตอนนี้

  “นี่วินเซนต์ คุณจะเห็นด้วยมั้ยถ้าฉันจะแยกเด็กสองคนนั้นออกจากกันสักปีนึง”

  เมื่อได้ยินคำถามนั้นดวงตาสีฟ้าทั้งสองดวงก็เหลือบไปจ้องมองอสรพิษสาวด้วยความสงสัย

  “ไม่เห็นด้วยหรอ?”

  ลีเวียหันไปถามเขา

  “ไม่หรอก แค่ตกใจว่าคนที่โอ๋ลูกสุดๆ อย่างเธอจะกล้าตัดสินใจอะไรแบบนี้”

  “ก็เพราะโอ๋นั่นแหละถึงต้องทำ”

  “ช่วยขยายความให้ฟังหน่อย”

  “พอมานั่งคิดดูแล้วว่าถ้าไม่จับสองคนนั้นให้ห่างกันสักพักทั้งคู่ก็คงจะไม่มีแรงกระตุ้นในการพัฒนาทักษะด้านอื่นเลย ถ้าเป็นครอบครัวปกติมันก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่คุณก็น่าจะเข้าใจหนิ ใช่มั้ย?”

  ชายชราเคาะนิ้วไปที่โต๊ะพลางไตร่ตรองอยู่สักครู่ก่อนที่จะหันไปมองลูกสาวของตัวเองที่กำลังยิ้มร่าอย่างมีความสุขอยู่

  “เอาสิ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของวาซิลิซาเป็นของจริงหรือแค่เป็นไปตามวัย แต่เธอแน่ใจนะว่าจะยอมรับผลลัพธ์ได้น่ะ”

  “ในฐานะคนเป็นแม่มันก็พูดยากอยู่นะคะ”

  เธอยกแก้วชาที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลายความเครียดขึ้นมากระดกอึกใหญ่ก่อนที่จะรินเพิ่มแล้วกระดกจนหมดไปอีกแก้วแล้วหันไปถามสามีของตนที่ดูจะนิ่งเฉยกับบทสนทนาในครั้งนี้มาก

  “นี่เซนจิไม่มีความเห็นอะไรมั้งเลยหรอ”

  “มีครั้งไหนที่ฉันห้ามเธออยู่ด้วยงั้นหรอ อย่าทำให้มันเกินพอดีก็พอ”

  “เข้าใจแล้วน่า~”

  เมื่อความเห็นของทุกคนเป็นไปในทิศทางเดียวกันพวกเขาก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่รู้สึกโหดร้ายต่อลูกๆ ของตัวเอง และหลังจากนั้นสามวันวาซิลิซาก็ถูกเรียกตัวมายังห้องที่กำแพงทั้งสองด้านถูกทดแทนด้วยชั้นหนังสือสูงมิดเพดาน รวมถึงกองเอกสารงานวิจัยและหนังสือที่ถูกจัดเรียงอย่างหยาบๆ ที่นี่คือห้องทำงานซึ่งอยู่บนชั้นสองของบ้านตระกูลอายบลัด

  “มีงานสำคัญเข้ามาหรอคะ”

  เด็กสาวยืนเกร็งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกเรียกตัวมาตอนกลางดึกแถมท่าทีของผู้อยู่เบื้องหน้าของเธอก็ดูจริงจังเป็นพิเศษ

  “ก็ไม่เชิงหรอก”

  ลีเวียทำแค่ยื่นซองเอกสารไปให้ลิซาเปิดอ่านด้วยความเงียบงัน และเมื่อกวาดสายตาอ่านดวงตาของเธอมันก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นตระหนก

  “ปีหน้าน้องต้องเข้าโรงเรียนแล้ว และพี่ก็อยากให้เธอไปกับน้องในฐานะผู้ติดตามน่ะ”

  “เรื่องนั้นหนูยินดีอยู่แล้วค่ะ… แต่มันเกี่ยวกับภารกิจในเอกสารนี่ยังไงหรอคะ”

  คำสั่งที่อยู่ในเอกสารนั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน และมันก็ทำให้เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อย

  “นั่นเป็นภารกิจที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาตัวเธอให้เหมาะกับการเป็นผู้ติดตามของนาคาซน่ะ จะเรียกว่าเป็นการสอบครั้งสุดท้ายจากฉันก็ได้”

  “แต่ว่าห้ามติดต่อน้องตลอดระยะเวลาภารกิจนี่มันไม่เกินไปหน่อยหรอคะ…”

  ดูเหมือนประเด็นที่วาซิลิซาสนใจจะไม่ใช่เรื่องเนื้อหาของภารกิจ แต่มันกลับเป็นเรื่องอย่างการห้ามติดต่อกับนาคาซที่เธอหวงแหนแทน

  “ภารกิจนี้มันไม่ใช่แค่การทดสอบความแข็งแรงทางกายภาพหรอกนะ แต่มันยังเป็นการพิสูจน์ด้วยว่าเธอมีจิตใจที่มั่นคงพอจะยืนเคียงข้างนาคาซได้ และถ้าทำมันสำเร็จฉันก็ยินดีที่จะให้เธอเป็นตัวเลือกแรกและให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์ที่เธอจะได้รับแล้วระยะเวลาแค่ปีเดียวมันยังจัดว่าน้อยไปด้วยซ้ำนะ”

  “หมายความว่าถ้าทำสำเร็จหนูก็จะได้อยู่ข้างน้องไปตลอดเลยใช่มั้ยคะ”

  “ฉันก็รับประกันให้เธอไม่ได้ซะทีเดียวหรอกนะ เพราะมันก็ขึ้นกับตัวน้องและพฤติกรรมของเธอในอนาคตด้วย แต่ถ้านาคาซไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลยจนอายุสิบแปดฉันก็การันตีให้เธอได้แน่นอน”

  •อย่างว่าแหละนะ ถึงเวลานั้นมันก็คงต้องใช้วิชามารกันมั้ง•

  เด็กสาวยังคงแสดงสีหน้าลังเลออกมาให้เห็นอยู่เล็กน้อย และเมื่อเห็นโอกาสลีเวียจึงเริ่มรุกเพิ่ม

  “หลังจากน้องเรียนจบซึ่งตอนนั้นก็ไม่น่าเกินอายุสิบสอง นาคาซจะต้องเริ่มทำงานแทนฉันหลายอย่างและภารกิจหลักๆ ก็คือการเดินทางทั่วทวีปเพื่อแก้ปัญหาตามจุดต่างๆ เพราะฉะนั้นแล้วการหาคนที่รู้จักเส้นทางและมีประสบการณ์มาเป็นผู้ช่วยมันก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งพอพิจารณาเรื่องความน่าไว้ใจแล้วคำตอบแรกมันก็คือเธอ ลิซา”

  แต่ถึงจะพูดไปขนาดนั้นเด็กสาวก็ยังคงลังเลในการตัดสินใจอยู่ แต่ต่อให้แผนนี้จะล่มลีเวียก็ยังมีแผนสำรองเตรียมไว้อีกมากมาย

  “แต่ถ้าเธอจะปฏิเสธพี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เพราะยังไงนี่ก็เป็นแค่ภารกิจอาสา-”

  “หนูจะทำค่ะ! ถ้ามันช่วยแบ่งเบาภาระของน้องได้หนูก็จะทำค่ะ”

  เมื่อได้ยินคำตอบที่ทั้งหนักแน่นและน่าพึงพอใจลีเวียก็ถึงกับฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับดวงตาสีโลหิตที่เปร่งประกายขึ้นอย่างมีเลศนัย

  “งั้นก็ไปเตรียมตัวซะ วินเซนต์จะไปส่งเธอที่สถานีเบลเทมไฮม์พรุ่งนี้ช่วงเช้าตรู่”

  “เช้าตรู่งั้นหรอคะ!?”

  “ใช่ ฉันจัดเตรียมแผนการเดินทางไว้ให้หมดแล้ว หลังจากเธอเซ็นเอกสารเสร็จก็ถือว่าเริ่มภารกิจทันที”

  “แต่ถ้าแบบนั้นมันก็หมายความว่าหนูไม่มีโอกาสบอกลาน้องเลยนะคะ…”

  เพราะตามธรรมเนียมของอาณาจักรเวทมนตร์แล้วการเดินออกจากห้องไปโดยไม่เซ็นยอมรับคำสั่งถือเป็นการปฏิเสธภารกิจ และในกรณีนี้การเซ็นยอมรับคำสั่งก็ถือเป็นการเริ่มภารกิจทันทีด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าเธอไม่มีตัวเลือกให้บอกลานาคาซตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรอ

  °ไม่สิ ยังพอมีทางออกอยู่°

  “งั้นถ้าหนู-”

  ไม่ทันที่จะได้พูดเกินครึ่งประโยคอสรพิษสาวก็ส่งสัญญาณมือเป็นการบอกให้เธอเงียบลงในทันที

  “ห้านาที ฉันให้เธอได้แค่นั้นแหละ”

  เมื่อเด็กสาวได้ยินคำพูดของลีเวียเธอก็รีบทำความเคารพเพื่อแสดงความขอบคุณ

  “ขอบคุณค่ะ!”

  “งั้นฉันออกไปรอข้างนอกละกัน”

  หลังจากที่ลีเวียปล่อยให้วาซิลิซาทำตามอำเภอใจเสร็จ เธอก็ไปส่งเด็กสาวกลับบ้านและกลับมานั่งที่ห้องทำงานอีกครั้งพลางกับจิบเคนื่องดื่มสีดำที่พึ่งชงมาพร้อมกับนั่งดูสิ่งที่ลิซาทิ้งไว้ให้กับลูกชายของตน

  “เฮ้อ…”

  “เสร็จเรื่องแล้วหรอ”

  ชายหนุ่มที่เห็นแสงไฟลอดออกมาจากทางประตูเดินเข้ามาพร้อมกับถือหนังสือไว้ในมือ

  “อืม ลูกหลับแล้วหรอ”

  “หลับไปได้สักพักใหญ่แล้ว”

  เขานำหนังสือไปเก็บไว้ที่ชั้นวางพร้อมกับเดินไปยืนข้างๆ ผู้เป็นภรรยาที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

  “นายคิดว่าลูกจะเป็นยังไงถ้ารู้เรื่องนี้”

  เธอหันไปถามผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

  ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องทำงานแห่งนี้อยู่สักพักในระหว่างที่ดวงตาสีอำพันของเขาทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างซึ่งมีแสงสลัวส่องออกมาจากฝูงแมลงแสงที่บินอยู่

  “มัวกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็เท่านั้นแหละ ตอนนี้รอดูผลลัพธ์และเตรียมแก้ไขปัญหาก็พอ”

  “เป็นคำพูดที่ฟังดูสมเป็นนายจริงๆ เลยนะ”

_________________________________

  “อึฮึ่ม! จะแช่น้ำกันอีกนานมั้ยจ๊ะเด็กๆ~”

  ภูตสายลมปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งที่บริเวณหน้าต่างเหนืออ่างอาบน้ำ เสียงของเธอมันทำให้ฉันที่เกือบจะเคลิ้มหลับตื่นขึ้นมา แต่ฉันก็ไม่สามารถขยับตัวได้เพราะพี่ลิซากอดฉันไว้แน่นพอสมควร

  นี่เกือบเผลอหลับไปแล้วหรอเนี่ย…

  “เธอนี่มันขยันขัดคอชาวบ้านจริงๆ เลยนะ”

  พี่ลิซาจิกตามองไปที่เซรพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจนัก

  “ถ้ามันเป็นฤดูอื่นฉันก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่หรอกนะ แต่นี่มันย่างเข้าฤดูหนาวแล้วนะยะ! เดี๋ยวนาคาซของฉันก็ไม่สบายกันพอดีสิ!”

  “นาคาซไม่ใช่ของหล่อนย่ะ! เป็นแค่กาฝากอย่ามาพูดอวดดีให้มันมากนักนะ”

  พี่ลิซ่ากอดรัดร่างของฉันไว้แน่นกว่าเดิมจนตอนนี้เริ่มรู้สึกอึดอัดแทนแล้ว

  “พี่ครับ- ผมหายใจไม่ออก-”

  “พะ-พี่ขอโทษ”

  พี่ลิซารีบปล่อยตัวฉันออก และเพียงแค่เซรตวัดปลายนิ้วเบาๆ ฉันก็ผละออกจากร่างของพี่จนมาชนที่ขอบอ่างอีกฝั่ง

  “แม่อสรพิษนั่นให้ฉันมาตามพวกเธอ ฉะนั้นก็รีบขึ้นมาได้แล้ว~”

  หลังจากเช็ดตัวจนแห้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพฉันก็กลับมาที่ห้องนอนของตัวเองพลางกับกำลังคิดว่าจะอ่านอะไรก่อนนอนดี

  “จะว่าไปไอกลิ่นหอมๆ นี่มันมาจากไหนกันนะ? รู้สึกสดชื่นดีจัง”

  มันเป็นกลิ่นหอมชวนคุ้นจมูกแต่พอนึกดูแล้วก็ดันไม่มีความทรงจำอยู่เลย ขนาดเซรคืนความทรงจำตอนสอบให้ยังรู้สึกเหมือนภาพตัดอยู่เลย นี่ฉันมีความทรงจำสมบูรณ์จริงๆ รึป่าวเนี่ย

  “ของกำนัลจากองค์ราชาน่ะ~ ดูเหมือนว่าแม่จองเธอจะเอามันไปตรวจสอบดูหลังจากทำสัญญาเสร็จเลยนะ~”

  สมเป็นแม่เลยแฮะ ยืนยันความอันตรายของของแบบนี้เสร็จได้ภายในเวลาไม่ถึงวันเนี่ย

  “ฉันยังคาใจอยู่นิดหน่อยว่ามนุษย์อย่างพวกฉันจะรู้ได้ยังไงว่าภูตตนไหนมีฐานะเป็นอะไร เพราะพวกเราแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเธอเลยนะ”

  “พวกเราไม่ได้มีระบอบการปกครองยุ่งยากไร้ความหมายแบบพวกมนุษย์หรอกนะ~ ฉันจะบอกให้คร่าวๆ แล้วกันว่านอกจากองค์ราชาและราชินีแล้วก็ไม่มีภูตสติดีที่ไหนกล้าอ้างตนเป็นผู้ปกครองแดนเยาวชนหรอกนะ”

  “หมายความว่าถ้าสติไม่ดีก็มีโอกาสแอบอ้างว่างั้น?”

  “ก็ลองดูสิรับรองว่าไม่เกินสามวิได้กลับไปเป็นฟองแน่~”

  เซรตอบแบบไม่คิดอะไร แต่พอลองจินตนาการว่าเราแอบอ้างเป้นใครสักคนแล้วอยู่ดีๆ ฟ้าก็ผ่ากลางหัวนี่ก็น่ากลัวพิลึก แต่พูดถึงแล้วมันก็เป้นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกันแฮะ ยิ่งตระกูลเราเป็นตระกูลมีชื่อมีเสียงแบบนี้ด้วย คงต้องวางมาตรการจัดการพวกแอบอ้างแบบเด็ดขาดมั้งแล้ว

  “งั้นตาฉันถามบ้างล่ะ สรุปแล้วบ้านหลังนี้เป็นครอบครัวแบบไหนกันแน่~”

  ภูตสายลมยิงคำถามที่ฟังดูน่าแปลกใจใส่ฉันอย่างชวนฉงน แอบซุกหัวนอนสามวันแล้วยังจะถามอะไรแปลกๆ แบบนี้อีกหรอ

  “คำถามกว้างเกินไปนะ”

  ฉันหันไปสบกับดวงตาสีไวโอเล็ตของเซรพลางเอาปลายนิ้วแตะไปที่สันหนังสือที่ตัดสินใจจะอ่าน

  “ตอนแรกฉันก็มองว่าเธอน่าจะเป็นพวกผู้ถูกเลือกหรืออะไรประมาณนั้น~ แต่หลังจากที่ฉันสู้กับพ่อแม่ของเธอเมื่อเช้าแล้วก็พอเข้าใจได้แล้วว่าทำไมเธอถึงให้ความรู้สึกเหมือนกับองค์ราชาและองค์ราชินีของพวกฉันมากนัก~”

  “หมายความว่าไง?”

  ไม่ทันที่ฉันจะเซรจะได้ขยายความของคำถามนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังออกมาจากข้างหน้าห้อง

  “พี่เข้าไปได้รึป่าว?”

  เสียงอันนุ่มนวลที่ดังมาจากอีกฟากของประตูคือเสียงของพี่วาซิลิซาที่กำลังถามฉันพอเป็นมารยาท เพราะเดิมทียังไงฉันก็ให้พี่เข้ามาในห้องได้อิสระอยู่แล้ว

  “ครับ เข้ามาได้เลยครับ”

  ประตูถูกเปิดออกและแสงไฟจากตะเกียงข้างนอกก็สาดเข้ามาในห้องของฉัน พี่ลิซาในชุดนอนที่ดูมิดชิดและสบายตัวเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหลังของฉันก่อนที่จะก้มลงมากระซิบเบาๆ

  (คืนนี้จะอ่านอะไรหรอ?)

  ปลายนิ้วเรียวยาวจากแขนทั้งสองข้างของพี่กำลังไต่ไปตามเอวของฉันพร้อมกับแก้มนุ่มๆ ที่กำลังไถกับหน้าฉันเบาๆ

  ดูเหมือนว่าพี่จะจำกิจวัตรก่อนนอนของฉันได้ดี นั่นคือการอ่านหนังสือก่อนนอน แต่ดูเหมือนคำตอบที่พี่ต้องการจะได้ยินจะไม่ใช่ว่าฉันอยากอ่านอะไรในคืนนี้

  (ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว งั้นพี่ก็เล่าเรื่องการเดินทางของพี่ให้ผมฟังหน่อยสิครับ)

  ฉันหันไปกระซิบข้างใบหูของพี่เบาๆ และเมื่อได้ยินประโยคนั้นพี่ลิซาก็แลดูมีความสุขจนฉีกยิ้มกว้างออกมา

  “รู้ใจดีจริงๆ เลย~นะ!”

  พี่อุ้มร่างของฉันขึ้นมาก่อนที่จะโยนตัวพวกเราลงไปบนเตียงนอนของฉันจนมันส่งเสียงดังเอียดออกมาราวกับจะหักยังไงอย่างนั้น

  “เบาๆ หน่อยสิยะ! เดี๋ยวคนอื่นเขาก็เข้าใจผิดหรอก!”

  เซรที่นั่งอยู่บนปลายเตียงตำหนิพวกเราพร้อมกับบินมายืนอยู่ข้างหน้าของฉัน

  “ชิ นี่ยังอยู่อีกหรอ”

  “แหงสิยะ ฉันต้องอยู่คุ้มกันไม่ให้มีพวกตัณหากลับมาทำให้หนุ่มน้อยผู้แสนบริสุทธิ์คนนี้ต้องแปดเปื้อนยังไงล่ะ~”

  “เป็นคนก่อเรื่องไว้แล้วยังจะปากดีอีกน-”

  “พอแค่นั้นแหละครับ”

  ฉันออกปากห้ามทั้งคู่ก่อนที่เรื่องมันจะลุกลามแล้วกลายเป็นสงครามยามราตรีอีกรอบ ขอเถอะแค่ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตอนนี้ก็ยังปวดหัวไม่หายเลย 

  “เซรออกไปก่อน”

  “เข้าใจล่ะ~”

  ภูตสีหยกพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนที่จะสยายปีกบินออกไปข้างนอกหน้าต่าง ส่วนฉันก็พลิกตัวหันไปจ้องตากับพี่ลิซาที่ดูจะใจเย็นลงมั้งแล้วฉันก็เลยเอามือลูบไปที่แก้มของพี่ดูเบาๆ

  “นี่นาคาซ… รู้รึป่าวว่าเมื่อเช้าพี่ปกป้องเธอแทบไม่ได้เลย…”

  พี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรู้สึกผิดปนความรู้สึกไร้ค่า เวลาที่พี่แสดงมุมแบบนี้ออกมานี่แหละที่มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย และฉันก็อยากเก็บมุมนี้ไว้เห็นแค่คนเดียวจริงๆ

  “แต่พี่ก็ทำเต็มที่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ?”

  ดูจากรอยพันแผลที่แขนก็พอเดาได้แล้วว่าพี่เองก็เจ็บหนักพอตัวเหมือนกัน ในทางกลับกันฉันต่างห่างที่ต้องรู้สึกผิดกับการที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยในระหว่างที่มีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย

  “ก็ใช่… แต่เพราะแบบนั้นแหละ… เพราะทำเต็มที่แล้วแต่ยังสร้างไม่ได้แม้แต่ช่องโหว่ให้พี่ลีเวียใช้โจมตีได้เนี่ย พี่ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะสามารถเป็นผู้ติดตามที่ดีให้เธอได้รึป่าว…”

  “พี่ไม่ได้อ่อนแอเลยครับ จริงๆ พี่เป็นผู้หญิงที่เก่งที่สุดรองจากแม่เลย บางทีการที่แม่ยอมเจรจาในทันทีก็อาจจะเพราะว่าแม่ประเมินแล้วว่าถ้ายังดื้อดึงอยู่คงเกิดความเสียหายวงกว้างแน่ เพราะฉะนั้นข้อสรุปเดียวมันก็แค่ว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าเราเกินไป”

  เพราะเอาเข้าจริงตามประวัติศาสตร์หน่วยอัศวินที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกภูตมากที่สุดอย่างเบวูลฟ์ยังทำได้แค่ขับไล่และจับกุมแล้วนำไปปล่อยที่อื่นเลย แถมพวกผู้ใช้ภูตก็มีน้อยชนิดนับหัวได้แถมยังตามตัวยากอีก พอคิดๆ ดูแล้วก็พอเข้าใจความคิดของแม่ขึ้นมามั้งแล้วซิ

  “ตัวแค่นี้ก็หัดปากหวานแล้วเหรอเนี่ย โตไปอย่าไปหยอดสาวมั่วๆ ซะล่ะ”

  “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”

  พี่ลิซาเอาขาของของตัวเองเกี่ยวเข้ากับขาของฉันพร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้จนจมูกของพวกเราเกือบชนกัน

  (แน่ใจนะ~)

  ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่พอยิ่งอยู่แบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าพี่ลิซ่าช่างน่าหลงไหลจนไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกที่เอ่อล้นนี่ยังไงดีนอกจากเอาหัวไปซุกไว้ใต้คางของพี่ลิซา

  (แน่ใจครับ)

_________________________________

Options

not work with dark mode
Reset