Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 20

ตอนที่ 20
ตอนที่ 20 การสิ้นชีพของบรรพชนมารดำ

ในส่วนลึกของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขเกาะกาลมิติ บรรพชนหุบเหวลึก เจ้าแม่กานเหอ ประมุขตำหนักหมื่นเทพ และประมุขหยวนชู ร่างจริงของพวกเขาแปดคนล้วนอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งสิ้น หนึ่งในนั้น ผางอีหยิบเอาสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ขึ้นมาแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ทุกท่าน พวกเราออกไปกันเถิด”

“พี่ผางอี ช้าก่อน” เสียงหนึ่งดังขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาคือสมาชิกคนหนึ่งของกองทัพทำลายล้าง ก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาจากโลกภายนอกเข้ามาได้โดยตรง

“ตงป๋อหรือ”

“เจ้าต้องมาเพราะเรื่องเล็กๆ อย่างการอพยพนี่ด้วยหรือ”

เหล่าผู้ปกครองแต่ละคนคุยไปยิ้มไป ในโลกของผู้บำเพ็ญนั้นผู้แกร่งกล้าเป็นใหญ่ พลังยุทธ์อันน่าหวาดหวั่นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมาย่อมทำให้ทุกคนนับถือเขา นอกจากนี้ในใจของทุกคนยังเข้าใจลางๆ ว่าความเร็วในการบำเพ็ญรวดเร็วเช่นนี้ ถ้าหากบอกว่ายุคจักรวาลของพวกเขานี้จะยังมีผู้ใดมีหวังจะไล่ตามจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ ก็เกรงว่าคงจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว

“มีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งต้องการจะรบกวนสักหน่อย ปล่อยบรรพชนมารดำในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ออกมาเสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางประมุขเกาะกาลมิติ “ประมุขเกาะกาลมิติโปรดอภัยด้วย ความแค้นของอาจารย์ ข้าไม่ชำระแค้นไม่ได้”

ประมุขเกาะกาลมิติขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง

ไม่ว่าอย่างไรบรรพชนมารดำก็ยอมจำนนเป็นเบี้ยล่างแก่เขาแล้ว ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงแสดงอย่างชัดเจนว่าต้องการสังหารบรรพชนมารดำ แต่ก็มีชื่อว่า ‘ล้างแค้นให้อาจารย์’ ทำให้ประมุขเกาะกาลมิติเดือดดาลยิ่งนัก เขาก็เข้าใจดีว่า… ตอนนี้จะปลดปล่อยบรรพชนมารดำหรือไม่ ก็ขึ้นกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เพราะสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เป็นของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เขาอยากจะหยุดยั้งก็มิอาจหยุดยั้งได้!

“เฮอะ” ประมุขเกาะกาลมิติเอ่ยเสียงเย็น “เป็นถึงผู้ปกครองแต่มาสังหารสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง จะรังแกชนรุ่นหลังมากเกินไปแล้วหรือไม่”

“ข้าบอกแล้ว ความแค้นของท่านอาจารย์ อย่างไรก็ต้องถูกชำระ!” น้ำเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เย็นชาลง

ตนพูดขึ้นมาเอง แค่นี้ก็ไว้หน้ามากแล้ว

หากตนจะสังหาร ประมุขเกาะกาลมิติจะสามารถต้านทานได้หรือไร

“หึๆ” ประมุขเกาะกาลมิติหัวเราะเสียงเย็น “พลังยุทธ์ของผู้ปกครองตงป๋อนั้นสูงส่งกว่าข้า ภายในอาณาเขตของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ เจ้ากับผางอีไม่ได้รับการขัดขวางแต่อย่างใด ข้ามิอาจปกป้องเขาได้ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถสังหารเขาได้หรือไร”

“ร่างแยกหนึ่งของเขามิได้อยู่ที่จักรวาลแห่งนี้หรอกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นหัวเราะ

เขาค้นพบตั้งนานแล้ว

ผลของการรับสัมผัสผ่านเหตุปัจจัยทั่วทั้งจักรวาล ทำได้เพียงค้นพบร่างหนึ่งของบรรพชนมารดำ ส่วนร่างแยกอีกร่างนั้นมิอาจหาพบ หรือว่าจะหลบซ่อนอยู่ในสถานที่แรกเริ่มหรือสถานที่ที่คล้ายคลึงกัน หรือไม่ก็ไปยังจักรวาลแห่งอื่น! อ้อ ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีร่างแยก บรรพชนมารดำมีเพียงชีวิตเดียว ไม่บำเพ็ญร่างแยกต่างหากจึงจะเป็นเรื่องน่าขัน ถ้าหากไม่บำเพ็ญแล้วสังหารร่างจริงของเขาโดยตรง เขาก็จะตายเช่นเดียวกัน

“ถูกต้อง ร่างแยกอีกร่างหนึ่งของเขาอยู่ที่จักรวาลแห่งอื่นจริงๆ ตลอดมาก็มิได้กลับมาเลย” ประมุขเกาะกาลมิติยิ้มเยาะ “ผู้ปกครองตงป๋อ ตอนนี้ยังมีความมั่นใจในการสังหารเขาอยู่อีกหรือไม่เล่า”

ผางอีแย้มยิ้มอยู่ข้างๆ เมื่อกำหนดจิตคราหนึ่ง บรรพชนมารดำก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ

เพราะเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ก็ได้อาศัยบริเวณของกฎเกณฑ์ตัดขาดวิธีการต่างๆ เช่นการถ่ายเสียงผ่านเหตุปัจจัยและการส่งสารทั้งมวลออกไป ภายในบริเวณของกฎเกณฑ์ของตน…ก็สามารถตั้งกฎเกณฑ์เองได้ วาจาที่เอ่ยออกไปก็คือกฎ! เว้นแต่ว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็ใช้บริเวณของกฎเกณฑ์บังคับต่อต้าน แต่ทุกคนก็เข้าใจในสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร้องขอนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์กับตงป๋อเสวี่ยอิงในเวลานี้ ประมุขเกาะกาลมิติก็ไม่มีวิธีเตือนบรรพชนมารดำได้

“ท่านประมุขเกาะ” บรรพชนมารดำมองประมุขเกาะกาลมิติปราดหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็เห็นผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งอยู่รอบๆ ในเวลาเดียวกันก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน แต่เคราะห์ดีที่ร่างแยกอีกร่างได้เข้าสู่จักรวาลอีกแห่ง ดังนั้นเขาก็ยังสามารถใจเย็นอยู่ได้

“บรรพชนมารดำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

น้ำเสียงสั่นเครือ บรรพชนมารดำรู้สึกเพียงว่าคล้ายกับโลกตรงหน้าบิดเบี้ยวไป

เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ต่างก็พบว่าแววตาของบรรพชนมารดำทึบทึมไปแล้ว ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าบรรพชนมารดำหลงกลเสียแล้ว

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” หลังจากนั้นบรรพชนมารดำคล้ายจะมีสติฟื้นคืนมา เขาชี้ไปยังอากาศด้านข้างแล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “เจ้าคิดจะสังหารข้าหรือ น่าเสียดายนักที่ข้าเคราะห์ดี ร่างแยกอีกร่างหนึ่งของข้ามิได้อยู่ที่จักรวาลแห่งนี้ เจ้าก็ย่อมไม่สามารถสังหารข้าได้ แม้กระทั่งร่างจริงร่างนี้ของข้า…ฮ่าฮ่า เจ้าอยากฆ่าก็ให้เจ้าฆ่าเสียเลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

“ปัง!”

บรรพชนมารดำพลันระเบิดออก ตามหลังเสียงหัวเราะลั่น

“นับถือ” ผู้ปกครองนรกโลกันตร์เปิดปากพูด “การตัดขาดจักรวาลก็ถึงกับทำให้มารดำฆ่าตัวตายเสียแล้ว”

“ร่างแยกของมารดำชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน หลังจากนั้นร่างจริงนี้จึงฆ่าตัวตาย” ประมุขหยวนชูพูดอย่างชื่นชม “ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง”

สีหน้าของประมุขเกาะกาลมิติที่อยู่ด้านข้างยิ่งไม่น่าดูยิ่งขึ้นอีก

“ก็แค่เขตลวงนิดหน่อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

วิถีโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นผู้ปกครอง พูดถึงการควบคุมเขตลวงนั้น เขาก็เป็นที่หนึ่งในจักรวาลผู้บำเพ็ญ ก็แค่สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น… เผชิญหน้ากันคราหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้เขาตกเข้าไปในเขตลวง ความทรงจำของร่างจริงร่างแยกเชื่อมโยงกัน แล้วเข้าสู่เขตลวงไปพร้อมกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงชักนำให้หนึ่งร่างแยก หนึ่งร่างจริงของบรรพชนมารดำฆ่าตัวตายตามกัน หลังจากที่ร่างแยกฆ่าตัวตายแล้ว วิญญาณของร่างจริงก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง ประมุขหยวนชูก็อาศัยเคล็ดลับสอดแนมจนพบในส่วนนี้แล้วตัดสินใจได้ว่าให้ร่างแยกฆ่าตัวตายก่อน ร่างจริงฆ่าตัวตายตาม

“ไปเถิด ออกไปเสีย” ประมุขเกาะกาลมิติพูดอย่างเย็นชา

“ไป”

ผางอีพยักหน้า

พรึ่บ

ทันใดนั้นก็พาทุกคนเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่ง ก็ออกมาจากโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบมาถึงกลางฟากฟ้าของโลกภายนอก ท่ามกลางท้องฟ้าอันพร่างพรายไปด้วยแสงดาว ผางอีก็เริ่มต้นเคลื่อนย้ายผู้บำเพ็ญจำนวนมากจากในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ เหล่าผู้เคารพ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าเทพโลกาจำนวนมาก แม้กระทั่งบรรดาคนเยาว์วัยที่มีพรสวรรค์ เคลื่อนย้ายเอาเหล่าบุคคลขั้นสุดยอดของจักรวาลผู้บำเพ็ญออกมาทั้งหมด

“อ้างอิงจากการวางแผนการอพยพก่อนหน้านี้” ผางอีพูด

“รับทราบ” บรรดาเหล่าผู้เคารพ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนต่างรับคำสั่ง พวกเขาผู้แกร่งกล้าหลายร้อยคนรับผิดชอบแต่ละส่วนของการอพยพ เพียงแต่ว่าสายตาของพวกเขาล้วนไปจับอยู่บนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างช่วยมิได้ พวกเขาสามารถรู้สึกได้ว่า… ‘จ้าวตงป๋อ’ หนึ่งในสามบรรพชนแห่งตำหนักเทพคมมีดโลหิต ตอนนี้อยู่ด้วยกันกับเหล่าผู้ปกครอง กลิ่นอายอันไร้รูปร่างก็มิได้ด้อยไปกว่าเหล่าผู้ปกครองเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้พวกเขาต่างก็พรั่นพรึงอยู่บ้าง

พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่บำเพ็ญด้วยระยะเวลาอันแสนสั้นเช่นนั้นจะเป็นผู้ปกครองได้ แต่ฉากเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาอดคิดมิได้

“จ้าวตงป๋อเป็นผู้ปกครองแล้วอย่างแน่นอน หากไร้ซึ่งจ้าวตงป๋อ การต่อสู้กับลัทธิจอมมารดาก็ไม่มีทางสิ้นสุดลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หรอก” ผางอีพูดขึ้น

พวกผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็พยักหน้า

ทันใดนั้นความเงียบก็ปกคลุม

ในที่นั้นนอกจากบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มากมายแล้ว คนอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะรวมทั้งเทพโลกาของจักรวาลผู้บำเพ็ญ กับบรรดาผู้เยาว์วัยจำนวนมาก พวกเขาต่างก็ได้ยินกันอย่างกระจ่างชัดว่า… จ้าวตงป๋อที่เล่าลือกันนั้นไปถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว นี่ทำให้พวกเขารู้สึกพรั่นพรึง นี่ก็คือตำนานบทหนึ่งแล้ว!

……

สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มแยกย้ายกัน ทั้งจักรวาลผู้บำเพ็ญก็กลับสู่ความเงียบสงบ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับยอดสุดต่างก็รู้ว่า นอกจากจ้าวตงป๋อกลายเป็นผู้ปกครองแล้ว บุคคลที่เป็นที่ยอมรับในโลกเทพหุบเหวลึกว่ากล้าแกร่งที่สุด อย่าง ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ก็ไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งที่สูงยิ่งกว่าแล้ว ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่พากันตกตะลึงพรึงเพริดด้วยเหตุนี้

เมื่อศิษย์พี่ฮุ่ยหมิงและบรรพชนเพลิงชาดรู้ว่าบรรพชนมารดำตายแล้ว ต่างก็คลายใจลง เทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ความสัมพันธ์ที่พวกเขาสองคนมีต่อจอมเทพธุลีแดงนั้นลึกล้ำยิ่งกว่า!

ความสัมพันธ์ระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงกับจอมเทพธุลีแดงนั้นผิวเผินยิ่งนัก แม้กระทั่งสังหารบรรพชนมารดำ ฝ่ายหนึ่งทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ ส่วนอีกฝ่ายนั้น ไม่มีเรื่องชั่วร้ายใดที่บรรพชนมารดำไม่กระทำ กระตุ้นจิตสังหารของเขาขึ้นมา

“ข้าเป็นผู้ปกครองแล้ว เรื่องราวมากมายที่อยากทำในอดีต ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ “แต่เกรงว่าประมุขเกาะกาลมิติคงจะต่อต้านอย่างร้ายกาจยิ่งทีเดียว”

…………………………………..

ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด

บนเวทีการต่อสู้อันเก่าคร่ำคร่า ตงป๋อเสวี่ยอิงประจันหน้ากับผู้เคารพเลี่ยยางอยู่ไกลๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป หอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ขณะเดียวกัน ตู้มมมม…เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตซึ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลางโหมซัดและแผ่กำจายออกไป เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตที่ม้วนตัวอยู่นั้นแทบจะถาโถมเข้าไปตรงหน้าผู้เคารพเลี่ยยางในพริบตา เนื่องจากนี่เป็นกระบวนท่าจำพวกบริเวณ จึงแผ่คลุมไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ ผู้เคารพเลี่ยยางหลบหลีกอย่างไรก็มิอาจหลบพ้นได้ จนถูกปกคลุมมิดในทันใด

บริเวณการเข่นฆ่า!

ตอนนี้วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้วทั้งสิ้น ห่างจากความสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าก้าวนั้นห่างไกลราวฟ้ากับเหว! การยกระดับขั้นบวกกับศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมที่คิดค้นขึ้นมาเองก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่งสมพื้นฐานได้แน่นหนาขึ้น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นขึ้นเช่นกัน

“เอ๊ะ” สีหน้าของผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นสีแดงโลหิตเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นที่ซ่อนอยู่ลับๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าแทรกซึมเข้าไปในร่างเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำเอาทุกอณูในร่างเขาสั่นสะเทือนไปหมด หมายจะทำลายร่างของเขาให้แหลกละเอียดไปให้ได้ อีกทั้งระลอกคลื่นชั้นแล้วชั้นเล่าก็พันพาดเข้ามาไม่หยุดหย่อนประหนึ่งใยแมงมุมอย่างไรอย่างนั้น

“เป็นบริเวณที่น่ากลัวนัก สามารถทำร้ายร่างกายข้าได้ด้วย อีกทั้งเมื่ออยู่ในบริเวณนี้นานเข้า อาการบาดเจ็บของข้าก็จะยิ่งสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ด้วย พันธนาการที่ได้รับก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน” ผู้เคารพเลี่ยยางถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคู่ค่อสู้ระดับผู้เคารพที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทันที “ต้องรีบสู้รีบจบ! จะยืดเยื้อไม่ได้!”

อย่างจักรพรรดิเทพมารแดงยังมีท่าไม้ตายที่สามารถกดดันบริเวณการเข่นฆ่าได้

แต่ข้อแรก บัดนี้บริเวณการเข่นฆ่าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้อต่อมาคือผู้เคารพเลี่ยยางก็ไม่เชี่ยวชาญลูกไม้ทางด้านบริเวณเสียด้วย

ทว่าเขามีวิธีการร่อสู้ของเขาเอง!

ผู้เคารพเลี่ยยางพลันแค่นเสียงเฮอะด้วยตวามโมโห

ตู้ม!!!

กลิ่นอายเหนือผิวกายของเขาพลันปะทุขึ้นมา เสื้อผ้าก็พองตัวขึ้นมา ผิวหนังซึ่งเดิมเป็นมันเงาก็เริ่มมีเยื่อผิวหนังซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ผิวหนังพองตัวขึ้นมาจนหมด อานุภาพภายในโหมซัด เหนือผิวกายมีเยื่อผิวหนังชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น แม้แต่ดวงตาก็ยังมีเยื่ออันโปร่งใสปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน กลิ่นอายร่างกายก็ปะทุขึ้นเป็นอันมาก

สวบ!

เขาชักดาบรบที่ด้านหลังออกมาในพริบตา ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็ถลาตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ดาบอันโหดเหี้ยมพลันไปถึงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด

“เคร้ง!!!” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น แต่หอกยาวในมือของเขากลับเลื้อยลอดออกไปสกัดกั้นดาบนี้เอาไว้ประหนึ่งอสรพิษ พละกำลังที่โหมซัดภายในกายแทรกซึมเข้าไปในหอกนี้

ผู้เคารพเลี่ยยางรู้สึกเพียงว่าพละกำลังอันยิ่งใหญ่ปานฟ้าถล่มดินทลายส่งผ่านหอกยาวมา อีกทั้งพละกำลังนี้ยังแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันพิสดาร ระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้เขารู้สึกยากเกินทานทน โลหิตภายในกายเดือดพล่านและกระเทือนเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไปโดยมิอาจควบคุมได้ แล้วกระอักโลหิตสดๆ เต็มปากออกมาอย่างทนไม่ไหว

“พละกำลังแข็งแกร่งกว่าข้าอีกหรือนี่” ผู้เคารพเลี่ยยางไม่อยากจะเชื่อ ในด้านพละกำลัง เขาแข็งแกร่งกว่าผู้ปกครองเสียอีก แต่กลับตกเป็นรองอย่างนั้นหรือ ถูกกระแทกจนกระอักโลหิตเลยหรือ

แม้ผู้เคารพเลี่ยยางจะถูกแทงจนกระเด็นลอยไปในหอกเดียว แต่ผมสีเงินยวงซึ่งถักเป็นเปียมากมายของเขากลับปะทุออกมาในพริบตา ก่อนจะเข้าพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง

แม้หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเปียเรียวยาวถึงเก้าสิบสามเส้นพันพาดเข้ามาพร้อมกัน อีกทั้งแต่ละเส้นยังอ่อนนุ่ม บิดแปรอย่างพิสดารและรวดเร็วอย่างยิ่ง เขามิอาจต้านทานเอาไว้ได้ทันกาล ก็ถูกผมเปียสีเงินเหล่านี้พันรัดร่างเอาไว้อย่างรวดเร็ว เปียเส้นแล้วเส้นเล่าพันพาดเข้ามาเป็นวงล้อม และพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

“ยุ่งยากเสียแล้ว” ผู้ปกครองซึ่งชมการต่อสู้อยู่เหล่านั้นก็ทอดถอนใจ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและดุเดือดเกินไปจริงๆ เห็นได้ชัดว่าจะตัดสินแพ้ชนะกันในเวลาอันสั้น

“ตู้ม!” ชั่วขณะที่ถูกผมเปียสีเงินพันธนาการเอาไว้ แขนทั้งสองข้างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกแรงแล้วสั่นสะท้านในพริบตา ฟึ่บๆๆ…ผมเปียสีเงินทั้งหมดพลันขึงตึงเข้าหากันและสั่นสะท้าน แต่กลับต้านรับพละกำลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ได้

ผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งถูกซัดจนกระเด็นลอยออกไปพลันหยุดลง บัดนี้เปียของเขาขยายตัวออกไปหลายร้อยลี้แล้ว บ ดบังฟ้าและดวงตะวันจนสิ้น ทั้งยังพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์ เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “พละกำลังแข็งแกร่งนัก ข้าเกือบจะพันธนาการเขาเอาไว้ไม่ได้แล้ว”

“ดิ้นไม่หลุดเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจมาก เมื่ออยู่ในบรรพคีรีมาร ความเร็วก็รวดเร็วนัก เวลาหกล้านปีเพียงพอจะสยบการบำเพ็ญสามสิบล้านปีก่อนหน้านี้ได้ บัดนี้วิชาลับผู้ท่องของเขาก็ถูยกระดับขึ้นไปจนถึงชั้นที่แปดแล้ว เมื่อครู่ที่หอกหนึ่งของเขาเพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามถูกกระแทกเสียจนกระอักโลหิตก็ทำให้เขาตกตะลึงมากแล้ว

ตอนนี้เมื่อผมมาพันธนาการตนเอาไว้ พละกำลังของตนก็ยังดิ้นไม่หลุดเช่นนั้นหรือ

“แตก!”

ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีประกายสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ประกายสีดำชั้นนี้ไหลเวียนอยู่เหนือผิวกาย แต่ละสายคมกริบราวกับคมมีดซึ่งสามารถเชือดเฉือนทำลายได้ทุกสิ่ง ซึ่งนั่นก็คือ ‘เกราะพล’ ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงที่สุดของทางสายผู้ท่องอากาศ

เกราะพลปกคลุมผิวกาย ตงป๋อเสวี่ยอิงดุจดั่งเทพมารซึ่งเดินออกมาจากความมืดมิดก็มิปาน ทุกบริเวณทั่วกายรวมทั้งเส้นผมสีดำล้วนแต่มีเกราะพลอันน่าหวาดหวั่นไหลเวียนอยู่

ทั้งร่างของเขาปลดปล่อยพลังออกมาอีกครา!

ตู้มมม…

เปียสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าซึ่งพันธนาการเขาเอาไว้ขึงตึงและสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เกราะพลอันคมกริบหาใดเปรียบเหนือผิวกายของของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทำให้เปียสีเงินที่ขึงตึงเริ่มขาดสะบั้นเสียงดัง ‘ปัง ปัง ปัง’ ทำให้ผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งเดิมทีกำลังจะฉวยโอกาสโจมตีสีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างใหญ่หลวง เปียที่ขาดลงจำนวนมากลอยกลับไปอย่างรวดเร็ว เขาจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง ที่ผ่านมาการต่อสู้ของเขามีชื่อเสียงเรื่องความเหิมเกริม ผู้ใดจะไปคิดว่าเมื่อตาต่อตา ฟันต่อฟันในวันนี้จะตกเป็นรองอย่างน่าอดสูเสียได้

พูดแล้วเหมือนจะเนิ่นช้า แต่อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่สั่นสะเทือนสองครั้งเท่านั้น ครั้งที่สองเขาอาศัยเกราะพลก็ทำลายเปียสีเงินเหล่านี้จนพังทลายลงไปได้

“ฆ่า” ผู้เคารพเลี่ยยางกลับแค่นเสียงเฮอะขึ้นมาด้วยความโมโห เขากุมดาบบุกเข้ามาสังหารอีกครั้ง

เมื่อต่อสู้ประชิดตัวในครั้งนี้ เปียสีเงินกลับปัดไปซ้ายทีขวาที แต่ละอันล้วนอยากเคลื่อนไหวอย่างโง่งม

“ฟิ้ว”

เงาดาบกะพริบวาบคราหนึ่ง เฉียดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป เปียสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าก็ลอบโจมตีอย่างอันตราย

ขณะเดียวกันเมื่อเผชิญหน้ากับเปียจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นและดาบรบเล่มหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้างแล้ว

“ปรัชญาคลื่นลม…คลื่นคู่พิฆาต!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันสำแดงศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมซึ่งคิดค้นขึ้นมาเองในช่วงหลายปีมานี้ออกไป นี่คือศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ชนิดหนึ่ง

ฟิ้ว!

ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันยิงเกราะพลสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าออกไปพร้อมกัน เกราะพลสามารถปกคลุมวัตถุภายนอกเช่นอาวุธต่างๆ แล้วทำการต่อสู้ได้ และสามารถใช้ต่อสู้โดยตรงได้เช่นกัน! ทันใดนั้นเหนือผิวของเกราะพลสีดำสายหนึ่งกลับมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันพิสดารสองสายรายล้อมและพลิกหมุนไปราวกับมัจฉาแห่งหยินหยาง ชั่วขณะที่ระลอกคลื่นสองสายรายล้อมและปะทะกันนั้น ก็ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา

ฟึ่บๆๆ…เกราะพลสีดำจำนวนมากพุ่งตรงออกไปพร้อมกัน ทำให้ผู้เคารพเลี่ยยางรับมือไม่ทัน เขาทำได้เพียงกัดฟันแน่นและเชื่อมั่นในร่างกายของตนเอง แล้วใช้ร่างกายฝืนต้านทานเอาไว้!

“ตายเสียเถอะ” เปียสีเงินของเขายังคงพุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง เขายอมทนบาดเจ็บหมายจะจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงให้ได้ในรวดเดียว

แต่เกราะพลสีดำสายแล้วสายเล่าก็ทะลุเข้าไปในร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางราวกับปลาอย่างไรอย่างนั้น ใช่แล้ว เกราะพลซึ่งแฝงไว้ด้วยความเร้นลับ ‘ปรัชญาคลื่นลม…คลื่นคู่พิฆาต’ อานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางไม่แพ้ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนที่เพิ่งจะเข้าสู่บรรพคีรีมาร แต่ก็ยังคงมิอาจต้านทานได้ จนถูกแทงทะลุไป เกราะพลสายแล้วสายเล่าเริ่มทำลายร่างกายของเขา

แอ่งโลหิตแน่นขนัดทำให้สีหน้าของผู้เคารพเลี่ยยางเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ แม้แต่ท่าทางในการโจมตีก็ยังได้รับผลกระทบ เพราะถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บก็ยังคงหนักหน่วงเกินไป นอกจากนี้เกราะพลจำนวนมากก็ยังทำลายภายในร่างกายของเขาด้วย

เคราะห์ดีที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง หากเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอกว่านี้เกรงว่าร่างกายก็คงแหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว

“ฟิ้ว” หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งเข้ามา

พละกำลังทั้งร่างถ่ายทอดลงไปบนหอกยาว เกราะพลหมุนเวียนอยู่เหนือหอกยาว ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตสองสายไขว้ทับกันอยู่ตรงปลายหอกอย่างไม่ขาดสายทั้งยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วพุ่งตรงไปทางผู้เคารพเลี่ยยาง บัดนี้ร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำก็แปรเปลี่ยนไป เดิมทีดาบรบในมือนั้นไม่มั่นใจพอที่จะสกัดกั้นกระบวนท่านี้ได้ แต่ทันใดนั้นเปียสีเงินจำนวนมากก็พันพาดออกไปอย่างรวดเร็ว

ฟึ่บๆๆ…

แม้หอกยาวจะถูกเปียสีเงินพันพาด แต่ก็ยังคงฝืนแทงเข้าไปในร่างของผู้เคารพเลี่ยยาง เมื่อกระเทือนอย่างรุนแรงคราหนึ่งก็แทงทะลุแผ่นอกของเขาจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ว่าเกราะพลจำนวนมากภายในกายกำลังเคลื่อนไหว ยังเผาผลาญไปไม่หมด

ส่วนระลอกคลื่นบริเวณการเข่นฆ่าก็แทรกซึมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ทำเอาผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งอยู่แล้วแต่เดิมมีอาการบาดเจ็บเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

“ข้ายอมแพ้” ผู้เคารพเลี่ยยางเอ่ยปาก โลหิตสดเต็มปากเขาไปหมด

รอบด้านเงียบงันไปหมด

บริเวณการเข่นฆ่าสลายหายไปทันที หอกยาวซึ่งเดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะโจมตีออกไปอีกครั้งก็ชะงักลงแล้วเก็บกลับมา เกราะพลที่หลงเหลืออยู่บ้างก็บินกลับมาอย่างรวดเร็ว

ผู้เคารพเลี่ยยางมองตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อไม่มีเกราะพลทำลายร่างกายแล้ว บาดแผลก็ค่อยๆ ฟื้นตัว เปียซึ่งเดิมยาวเหยียดก็หดสั้นลงและคืนสู่สภาพปกติ เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพยักหน้าพูดว่า “ข้าแพ้ทั้งปากและใจ เมื่อห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ข้าก็แพ้เสียแล้ว เจ้าเก่งกาจกว่าข้าเสียอีก”

“ท่านก็แข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากโดยแท้

หากไร้ซึ่งการฝึกฝนหกล้านปีในบรรพคีรีมาร มิได้คิดค้นปรัชญาคลื่นลมขึ้นมา ลำพังแค่เปียสีเงินเหล่านั้น ตนก็มิอาจฝ่าออกไปได้ จำเป็นต้องหลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม ถึงตอนนั้นตนก็จะต้องอาศัยฟ้าดินโลกเทียมและการหลบหลีกในอากาศเพื่อลอบโจมตี ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายฝ่ายตรงข้าม และมีเปียจำนวนมากคอยเสริม การลอบโจมตีของตนจะคว้าชัยได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่

เพียงแต่ว่า…

เมื่อได้บำเพ็ญไปหกล้านปี ตนก็ยกระดับขึ้นอย่างรอบด้าน ต่อให้มิได้สำแดงฟ้าดินโลกเทียมและเคล็ดการหลบหลีกในอากาศออกมา หากตาต่อตาฟันต่อฟันกันตนก็สามารถกดดันอีกฝ่ายและคว้าชัยได้อยู่ดี

“ร้ายกาจ”

“ยินดีกับผู้เคารพตงป๋อด้วย ที่ได้กลายเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งบรรพคีรีมารแล้ว”

“ฮ่าฮ่า การต่อสู้ระหว่างผู้เคารพตงป๋อและผู้เคารพเลี่ยยางในครั้งนี้ช่างอาจหาญจริงๆ” เหล่าผู้ปกครองที่ชมดูอยู่ด้านข้างต่างพากันอ้าปากค้าง การต่อสู้อันดุเดือดเช่นนี้ ผู้ปกครองโดยทั่วไปล้วนรับมือไม่ไหว

ตงป๋อเสวี่ยอิงและผู้เคารพเลี่ยยางต่างก็นับถืออีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาทั้งสองต่างก็พบโอกาสต่างๆ มามากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่าหากไร้ซึ่ง ‘มรดกผู้ท่องอากาศ’ ตนก็ไม่มีโอกาสชนะเอาเสียเลย ผู้เคารพเลี่ยยางก็ทอดถอนใจ “ข้าพบโอกาสมามากมาย ทั้งยังได้เข้าไปบำเพ็ญยังบรรพคีรีมารชั้นในมานานแสนนาน แต่กลับพ่ายแพ้เสียนี่”

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงร่ำลาผู้ปกครองทั้งหลาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังชั้นในของบรรพคีรีมารภายใต้การนำทางของบ่าวรับใช้หุ่นเชิดใหม่…ซึ่งก็คือหุ่นเชิดสาวตนนั้นที่เดิมเป็นบ่าวรับใช้ของผู้เคารพเลี่ยยางนั่นเอง

ณ บรรพคีรีมารชั้นใน

“นายท่าน บรรพคีรีมารชั้นในมีคูหาทั้งหมดเก้าแห่ง ซึ่งอยู่ตรงแกนค่ายกลทั้งเก้าของบรรพคีรีมาร” หุ่นเชิดสาวเดินเข้าไปสู่ไอหมอกสีดำ เข้าไปยังส่วนลึกของบรรพคีรีมาร “คูหาทั้งเก้าแห่งแบ่งออกเป็นผู้ปกครองแปดท่านและผู้เคารพท่านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็มีผู้ปกครองจากชั้นในหลายท่านไปร่วมชมการต่อสู้ด้วย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ดูสิเจ้าคะ” หุ่นเชิดสาวชี้ออกไปไกล

ไกลออกไปมีลำแสงหลากสีรายล้อมสถานที่แห่งนี้เอาไว้ กลางอากาศมีคูหาอันวิจิตรงดงามซึ่งมีขอบเขตถึงร้อยลี้ลอยคว้างอยู่ นั่นคือคูหาสำหรับบำเพ็ญ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าแกนของบรรพคีรีมาร

“นั่นคือคูหาซึ่งจะเป็นสถานที่บำเพ็ญของนายท่านนับจากนี้ไปเจ้าค่ะ” หุ่นเชิดสาวกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไป

สายตาของเขากวาดมองไป ก็เห็นว่าอีกหลายทิศก็มีแสงหลากสีให้เห็นรางๆ และมีคูหาลอยคว้างอยู่เช่นกัน เขาเข้าใจว่าเป็นคูหาชั้นในแห่งอื่นๆ

ฟิ้ว

เขาบินถลาไปทางคูหา ประตูใหญ่ของคูหาเปิดกว้าง เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปแล้ว กลับรู้สึกว่าเสียงอันไพเราะเสนาะโสตดังขึ้นข้างหู ดังก้องขึ้นในวิญญาณ

“อูจี๋ลา…” เสียงอันว่างโหวงล่องลอยดังก้องขึ้นในวิญญาณ ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ หรี่ลง จากนั้นเขาก็ปิดเปลือกตาลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสิ้นเชิง

มิใช่เพียงแค่ร่างนี้เท่านั้น

บนดวงดาราอันรกร้างแห่งหนึ่งของจักรวาลคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงซึ่งกำลังบำเพ็ญอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ล้มลงบนผืนหญ้าและตกเข้าสู่ห้วงนิทราทันทีเช่นเดียวกัน

ภายในโลกภูผาศิลาแดงแห่งโลกเผ่าเซี่ยในจักรวาลผู้บำเพ็ญ

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีกำลังพูดคุยกับอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยากลับหลับตาลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา แล้วล้มพับลงกับพื้น

“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวสะดุ้ง สีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างใหญ่หลวง “เสวี่ยอิง ท่านเป็นอะไรไปน่ะ ตื่นเร็ว ตื่นเร็วเข้า!”

……

ณ บรรพคีรีมาร

ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งตกเข้าสู่ห้วงนิทรายังคงแย้มยิ้ม ร่างของเขายังคงบินตรงไปทางประตูใหญ่ของคูหาอย่างไม่รู้ตัว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เคารพตงป๋อผู้นี้ก็เริ่ม ‘บำเพ็ญในห้วงนิทรา’ แล้วเช่นกัน” ผู้ปกครองในคูหาอีกแปดแห่งของบรรพคีรีมารชั้นในก็จับตามองที่นี่อยู่ห่างๆ จึงมองเห็นภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตกเข้าสู่ห้วงนิทรา

“นี่คือโอกาสอันใหญ่หลวงซึ่งมีแต่ในบรรพคีรีมารชั้นในเท่านั้น การบำเพ็ญในห้วงนิทรา ถึงจะร้องขอก็มิใช่ว่าจะได้มา”

“เมื่อบำเพ็ญในห้วงนิทราแล้ว มิอาจหยุดกลางคันได้ ต้องบำเพ็ญให้จบจึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะบำเพ็ญนานสักเท่าใด”

“เห็นกลิ่นอายวิญญาณของผู้เคารพตงป๋อคนนี้อ่อนเยาว์นัก เห็นได้ชัดว่าการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง บวกกับที่นี่เป็นการบำเพ็ญในห้วงนิทราครั้งแรก ระยะเวลาในการบำเพ็ญจะต้องยาวนานมากอย่างแน่นอน ข้าว่า อย่างน้อยต้องห้าร้อยล้านปีแน่”

“ห้าร้อยล้านปีหรือ ข้าว่าคงจะมีสักสิบล้านปีกระมัง”

“ถึงอย่างไรยิ่งเวลานาน ก็ยิ่งได้รับอะไรมากขึ้น! ฮ่าฮ่า…”

ผู้ปกครองซึ่งอยู่ในบรรพคีรีมารชั้นในเหล่านี้ล้วนผ่านการบำเพ็ญในห้วงนิทรามาหลายครั้งแล้ว จึงเข้าใจการบำเพ็ญในห้วงนิทราอย่างดียิ่ง เช่นผู้เคารพเลี่ยยาง ที่ก่อนหน้านี้มิอาจรับศึกได้ก็เพราะกำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญด้วยการบำเพ็ญในห้วงนิทรานั่นเอง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset