Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 19

ตอนที่ 19
ตอนที่ 19 เส้นทางการบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง

“ไว้ชีวิตด้วยเถิด ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วยเถิด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดขอรับ” กู่กานหลัววิงวอนโดยไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย แม้เขาจะรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงมีความหวัง ในสายตาของเขา หากจะฆ่าเขา เกรงว่าคงจะฆ่าไปตั้งนานแล้ว ปล่อยเขาเอาไว้จนถึงตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะเหลือทางรอดไว้ให้เขาสักสายหนึ่ง และก็เป็นไปได้เช่นกันว่าอีกฝ่ายรู้จัก ‘องค์บรรพชนกู่’ ท่านอาจารย์ของเขา

ถึงอย่างไรองค์บรรพชนกู่นั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขีดสุดท่านหนึ่ง สถานะและอิทธิพลล้วนสูงส่งอย่างยิ่ง สุนัขป่าสีดำตรงหน้าตัวนี้คงจะคร้ามเกรงท่านอาจารย์ของตนอยู่บ้าง

“ไว้ชีวิตรึ”

กรงเล็บของสุนัขป่าสีดำคว้ากู่กานหลัวเอาไว้ หัวสุนัขนั้นเอียงคอมองเขา “แฮ่…เจ้าโง่นี่ มาหลับใหลอยู่ภายในจักรวาลนี้มาตั้งหลายยุค ข้าก็ยังพอจะทำเหมือนเจ้าไม่มีตัวตนได้ เจ้าห้ำหั่นกับพวกคมมีดโลหิตยกหนึ่งแล้วหนีไปก็แล้วไปเถิด แต่ตอนที่หนีไปกลับคิดจะทำลายล้างจักรวาลที่นายท่านของข้าสร้างขึ้นมาให้เกลี้ยง ทำลายล้างยุคจักรวาลนี้น่ะหรือ เจ้านี่ช่างรนหาที่ตายเองจริงๆ!”

กู่กานหลัวฟังแล้วหัวใจก็หวาดหวั่นขึ้นมา แต่จากนั้นก็อึดอัดใจจนต้องพูดขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “ผู้อาวุโส นายท่านของท่านเป็นผู้สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาหรือ”

อย่าว่าแต่กู่กานหลัวเลย แม้แต่เหล่าผู้ปกครองซึ่งอยู่ในที่นั้น เช่นผางอี ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพ บรรพชนหุบเหวลึกและเจ้าแม่กานเหอต่างพากันเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบรำพึงในใจ เห็นทีผู้ที่รู้ว่า ‘บรรพชนเทียนอวี๋เป็นผู้สร้างจักรวาล’ นี้ขึ้นมายังคงมีน้อยนัก ตนก็รู้เรื่องนี้ตอนที่พบกับผู้ท่องอากาศกู่ฉีนั่นเอง…เมื่อตนเข้าไปในสถานที่แรกเริ่ม เพิ่งเริ่มต้นก็ถือว่าเจ้าของสถานที่แรกเริ่มเป็นยอดฝีมือผู้เร้นลับคนหนึ่งแล้ว แต่มิได้ตระหนักเลยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา ตนผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกและได้เข้าไปในกระท่อมฟาง แล้วพบกับเงาร่างของบรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนเทียนอวี๋จึงได้บอกว่าเป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมาเอง

คนที่รู้ว่าบรรพชนเทียนอวี๋เป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมานั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!

สุนัขป่าสีดำและชายชราผมขาวในสถานที่แรกเริ่มต่างก็รู้…แต่พวกเขาไม่พูด! ผู้ท่องอากาศกู่ฉีก็รู้ แต่ก็แค่บอกให้ผู้สืบทอดเช่นเขาคนนี้ล่วงรู้เท่านั้น คาดว่าผู้ที่ผ่านจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบการทดสอบขั้นบุกเบิกทั้งหลายในประวัติศาสตร์แต่ละคนก็คงจะรู้เช่นกัน แต่เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ พวกเขาก็มิอาจบอกกับคนรุ่นหลังทั้งหลายได้ง่ายๆ หากพลังอ่อนแอ รู้ไปก็ไร้ประโยชน์!

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบด้านแวบหนึ่ง “ท่านอาจารย์ของข้าและประมุขหยวนชู สองท่านนั้นก็คล้ายว่าจะทราบแล้วหรือ”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองตงป๋อเสวี่ยอิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะยิ้มพลางถ่ายเสียงพูดว่า “เสวี่ยอิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะสำเร็จเป็นศิษย์ของวังทวีสูญ” ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็รู้ว่าจักรวาลแห่งนี้สร้างขึ้นโดยบรรพชนเทียนอวี๋ ทว่า ‘วังทวีสูญ’ เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่จักรวาลส่งถ่ายตรงเข้ามาสู่ห้วงสมองของเขาหลังจากสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีข้อมูลของวังทวีสูญอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีข้อมูลของโลกทิพย์ทั้งห้าอยู่ด้วย และยังมีภาพเส้นทางไปยัง ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ และอื่นๆ ด้วย

“ต้องผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกในสถานที่แรกเริ่มจึงจะกลายเป็นศิษย์ของวังทวีสูญได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“ท่านบรรพชนเป็นบรรพชนต้นตระกูลของพวกเราในจักรวาลแห่งนี้ พวกเราก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของวังทวีสูญเป็นธรรมดา” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า

……

ทางฝ่ายพวกเขานั้นรู้สึกสบายใจมาก

กู่กานหลัวกลับตื่นตระหนกเหลือแสน นายท่านหรือ สิ่งมีชีวิตระดับนี้จะยินยอมเป็นบ่าวรับใช้ได้อย่างไรกัน ทั้งยังอยู่ในจักรวาลแห่งนี้มายาวนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน นี่ไม่เท่ากับว่าถูกจองจำอยู่ในคุกหรือไร เขารู้ซึ้งถึงพลังของสุนัขป่าสีดำตรงหน้าตัวนี้เป็นอย่างดี หากอยู่ในโลกภายนอกย่อมสามารถเป็นท่านบรรพชนของฝ่ายหนึ่งได้อย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่การบำเพ็ญบรรลุถึงระดับขั้นสุดเท่านั้น จึงมีคุณสมบัติพอจะทำให้พวกเขายอมก้มหัวได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้แกร่งกล้าก็มีความหยิ่งทระนงในตนเอง เมื่อถึงระดับนี้แล้ว คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่ยอมเป็นบ่าวรับใช้!

ต่อให้แปลกพิกลจริงๆ พลังอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ก็ยังยินดีเป็นบ่าวได้ แต่โดยทั่วไปก็มักจะต้องมีความปรารถนาที่มากกว่านี้ ไม่มีทางป้องกันอยู่ภายในจักรวาลแห่งเดียวอย่างยาวนานได้! ภายในจักรวาลไหนเลยจะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สำหรับพลังแล้วก็ไม่มีส่วนช่วยในการขัดเกลาแต่อย่างใด เมื่ออยู่ที่นี่ก็เท่ากับถูกขังคุก

ดังนั้นจึงมีคำตอบเพียงอย่างเดียวก็คือสามารถจัดการได้

“สุนัขป่าสีดำตัวนี้มิใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่ถูกหลอมขึ้นมา” กู่กานหลัวพูดพึมพำ เพราะว่ามิใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง ดังนั้นจึงเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างเต็มที่

“แต่ว่า…” กู่กานหลัวคิดถึงตรงนี้ก็ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่

สิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุด สามารถหลอมหุ่นเชิดที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ขึ้นมาได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้! เพราะมิใช่ว่าทุกคนจะเชี่ยวชาญทางด้านการหลอมไปเสียหมด เช่นบรรพชนเทียนอวี๋…เป็นถึงสิ่งมีชีวิตซึ่งบรรลุถึงขั้นสุดในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ก็เชี่ยวชาญด้านการหลอมเช่นกัน ส่วนระบบลัทธิจอมมารดาหรือระบบผู้ท่องอากาศนั้น…ด้านการหลอมก็ด้อยกว่ามากทีเดียว!

“การหลอมหุ่นเชิดที่ใกล้เคียงกับ ‘ขั้นอลวน’ ของอากาศนั้น ยากกว่าการสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมามากนัก ทุ่มเทอะไรไปมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อหลอมหุ่นเชิดพรรค์นี้ขึ้นมาแล้วทิ้งขว้างเอาไว้ในจักรวาลแห่งหนึ่งเช่นนี้น่ะหรือ” กู่กานหลัวรู้สึกว่าบ้าไปแล้ว

เข้าไปในจักรวาลแห่งหนึ่ง

จักรวาลนี้ถูกสร้างขึ้นมา! เรื่องนี้ก็แล้วไปเถิด แต่ภายในจักรวาลนี้กลับยังมีหุ่นเชิดอันน่าหวาดหวั่นตนหนึ่งถูกหลอมขึ้นมาด้วยหรือนี่

“สิ่งมีชีวิตที่สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาตัดใจได้อย่างไรกัน” กู่กานหลัวมิอาจทำใจเชื่อได้ หากเป็น ‘องค์บรรพชนกู่’ ท่านอาจารย์ของเขามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ก็จะต้องเอาไว้ข้างกายอย่างแน่นอน มีเรื่องราวมากมายที่สามารถมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ไปทำได้ เพราะพวกเขาซื่อสัตย์ภักดีอย่างแน่นอนพลังก็แข็งแกร่งพอตัวด้วย

แต่บรรพชนเทียนอวี๋กลับทิ้งสุนัขป่าสีดำตัวนี้เอาไว้ที่นี่เสียแล้ว!

……

“เดิมทีจะไม่ตายก็ได้ แต่เจ้ากลับรนหาที่ตายเอง แน่นอนว่าข้าต้องทำให้เจ้าสมปรารถนา คมมีดโลหิต ตงป๋อ คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าคงไม่มีความเห็นแย้งอันใดกระมัง หากไม่มีข้าก็จะกินเขาแล้ว” สุนัขป่าสีดำมองไปทางกลุ่มคนด้านข้างรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็พยักหน้า

ไม่มีความเห็นหรอก! แต่ละคนล้วนต้องการจะสังหารกู่กานหลัวจึงจะมีความสุขได้

“กินข้าหรือ” กู่กานหลัวตกใจจนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ความคิด เขามองไปยังสุนัขป่าสีดำตรงหน้าแล้วขอร้องว่า “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส ไว้ชีวิตด้วยเถิด ไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด”

“แฮ่ๆ…” สุนัขป่าสีดำกลับคำรามออกมาสองครั้ง มันจงใจแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีขาวปานหิมะ พูดพลางกรงเล็บก็คว้าตัวกู่กานหลัวแล้วยัดเข้าปากไปอย่างเชื่องช้า

กู่กานหลัวเห็นเข้าก็ร้อนใจขึ้นมา “ข้า ข้าคือศิษย์ในสำนักขององค์บรรพชนกู่! ข้าคือบุตรทิพย์คนที่เจ็ด สังหารข้ามิได้นะ หากท่านสังหารข้า องค์บรรพชนกู่ไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่”

“องค์บรรพชนกู่รึ” สุนัขป่าสีดำชะงักแล้วเบ้ปาก “วังทวีสูญของข้าจะไปกลัวโครงกระดูกชรานั่นได้อย่างไรกัน หากเก่งจริงก็ให้เขามาวัดกำลังกับเจ้านายของข้าเสียหน่อยปะไร”

สิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุด พลังก็มีระดับสูงต่ำแตกต่างกันไป

บรรพชนเทียนอวี๋ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นมาก องค์บรรพชนกู่น่ะหรือ บรรพชนเทียนอวี๋นั้นไม่แยแสเลยจริงๆ

“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปฟังแล้วก็ลอบส่ายหน้า ตอนแรกบรรพชนเทียนอวี๋ก็ไม่แยแสองค์บรรพชนกู่เพียงคนเดียว บัดนี้วังทวีสูญของตนมีสิ่งมีชีวิตอยู่ถึงสองท่าน…ได้แก่บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! บัดนี้ความแข็งแกร่งของขุมอำนาจใช่สิ่งที่องค์บรรพชนกู่แห่งเขตหนึ่งๆ จะมาเทียบเทียมได้ด้วยหรือไร นอกจากนี้บรรพชนเทียนอวี๋ยังมีชื่อเสียงเรื่องการปกป้องคนของตนเอง เป็นผู้ที่ใส่ใจศิษย์และชนรุ่นหลังมากเกินไป ดังนั้นจึงได้หลอมสุนัขป่าสีดำเอาไว้ภายในจักรวาลที่สร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มกันโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น!

“ท่าน ท่าน…” กู่กานหลัวก็รู้จักชื่อเสียงของวังทวีสูญดี เขาอดร้อนใจขึ้นมามิได้ “ท่านจะสังหารข้า ไยไม่สังหารข้าเสียเลยเล่า ยังจับข้าทั้งเป็น แล้วตอนนี้ก็จะสังหารข้าอีกอย่างนั้นหรือ”

“ข้าจับเจ้ามาทั้งเป็น ก็เพื่อจะดุด่าเจ้าเสียหน่อย จากนั้นค่อยปล่อยให้เจ้าตายไปท่ามกลางความสิ้นหวังและความหวาดหวั่น” ฟันของสุนัขป่าสีดำทั้งคมกริบ ทั้งขาวเต็มปากไปหมด

กู่กานหลัวตะลึงงันไป

จับมาทั้งเป็นเพื่อจะดุด่าเขาอย่างนั้นหรือ เพื่อจะทำให้เขาหวาดหวั่นยิ่งขึ้นน่ะหรือ นี่มัน…

“ตายเสียเถอะ” สุนัขป่าสีดำยังคงจับตัวกู่กานหลัวเอาไว้อย่างเชื่องช้า กู่กานหลัวดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่อานุภาพอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุมเขาเอาไว้ เขามิอาจต้านทานได้เลย ทำได้เพียงมองดูปากใหญ่โตนั้นเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสิ้นหวัง

“ฟิ้ว”

กู่กานหลัวถูกทิ้งเข้าไปในปากแล้ว

สุนัขป่าสีดำตัวใหญ่เคี้ยวเสียงกรอบแกรบสองทีก่อนจะกลืนเขาลงท้องไป จากนั้นก็มองไปทางกลุ่มคนที่มีจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดอะไรไม่ออกอยู่บ้าง ผู้อาวุโสสุนัขป่าสีดำท่านนี้ก็ ‘ร่าเริง’ พอสมควรทีเดียว เขาจงใจสั่งสอนศัตรูเสียก่อน แล้วค่อยจัดการกับศัตรู

“แต่ละคนนมองข้าทำไมกัน” สุนัขป่าสีดำถลึงตา “หรือว่ายังต้องการเรือบินอลวนลำนั้นอีก”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ตงป๋อเสวี่ยอิง ผางอี ผู้ครองชิงและคนอื่นๆ ต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย

สุนัขป่าสีดำแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต้องการเรือบินอลวนไปก็ไร้ประโยชน์ แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็ยังมีแรงดึงดูดมากทีเดียว

“อย่าแม้แต่จะคิด!” สุนัขป่าสีดำยิ้มหยัน “นายท่านบอกแล้วว่า เส้นทางการบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง! ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ลงแรง กู่กานหลัวผู้นี้เป็นข้าที่สังหารเขา เรือบินอลวนเป็นข้าที่ชิงมา แน่นอนว่าต้องตกเป็นของข้า!”

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงอับจนคำพูด

ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เอาเรือบินอลวนลำหนึ่งไปแล้วจะมีประโยชน์หรือไร

“แน่นอนว่าเรือบินต้องเป็นของผู้อาวุโสอยู่แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “ข้าและคนอื่นๆ ล้วนคิดไม่ถึงว่าจักรวาลของเรายังมีผู้อาวุโสคอยคุ้มครองด้วย หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าเป็นเช่นนี้ สงครามครั้งนี้ก็คงไม่ต้องสู้สุดกำลังอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้แล้ว”

“เฮอะๆ หากมิใช่เพราะกู่กานหลัวจะทำลายล้างยุคจักรวาลนี้ ข้าก็ไม่มีทางลงมือง่ายๆ หรอก” สุนัขป่าสีดำแค่นเสียงพูด “นายท่านเคยกล่าวว่า การบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง! สงครามกับลัทธิจอมมารดาก็เป็นการขัดเกลาพวกเจ้า หากพวกเจ้าตาย ก็เพราะมีพลังไม่พอ เนื่องจากลัทธิจอมมารดาของพวกเขาจวนใกล้จะตั้งแท่นบูชาและเปลี่ยนแปลงจักรวาลแล้วจริงๆ ข้าจึงได้ลงมือ”

“เฮอะๆ จอมมารดาช่างเหิมเกริมแท้ๆ เคราะห์ดีที่นายท่านของข้าเก่งกาจและทิ้งกลเม็ดเอาไว้เบื้องหลัง คิดจะบิดเบือนจักรวาลที่นายท่านสร้างขึ้นมาให้กลายเป็นจักรวาลลัทธิจอมมารดาของพวกเขา ช่างฝันหวานเสียจริง” สุนัขป่าสีดำยิ้มหยัน

อันที่จริงแล้ว

บรรดาสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญมาถึงขั้นสุด ก็คงมีไม่กี่คนที่ทิ้งหุ่นเชิดอันน่าหวาดหวั่นซึ่งล้ำค่ากว่าจักรวาลเป็นสิบเท่าเอาไว้ภายในจักรวาลหรอก

“บำเพ็ญให้ดีๆ เสียเถิด” สุนัขป่าสีดำกวาดตามองพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง “ภายในจักรวาล พวกท่านได้รับการปกป้อง แต่ด้านนอกนั้นอันตรายกว่ามาก อ้อ ใช่แล้ว เรือรบของลัทธิจอมมารดาลำนั้นจะให้ข้าช่วยพวกท่านจัดการหรือไม่เล่า” สายตาของสุนัขป่าสีดำตกต้องลงบนเรือรบซวีมู่ลำนั้น นัยน์ตามีประกายสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันชอบการเก็บรวบรวม!

“ไม่ต้องๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ข้าใช้เวลาสักหน่อยก็สามารถจัดการได้แล้ว”

“อื้ม”

สุนัขป่าสีดำขานรับเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนกายไปช้าๆ เมื่อก้าวออกไปก้าวหนึ่งเงาร่างก็เลือนรางไป จากนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขายังคงต้องการจะได้สมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามา เมื่อสุนัขป่าสีดำลงมือ ก็ไปอยู่กับมันเสียแล้ว

“คมมีดโลหิต เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาผู้นั้นเล่า” บรรพชนหุบเหวลึกชี้ไปทางเจ้าลัทธิซางตานซึ่งกำลังหมดสติล่องลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไป

“ทำลายทิ้งเสียเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็หันไป สายตาจับอยู่ที่เรือรบซวีมู่

“ทุกท่าน บัดนี้ข้ามีเพียงร่างเดียว จึงรบกวนพวกท่านช่วยพาชาวเผ่าที่อยู่ในโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบอพยพออกมาด้วย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “สงครามยุติแล้ว”

“อื้ม” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างเผยรอยยิ้มออกมา ใช่แล้ว ควรอพยพออกมาได้แล้ว

“ทว่าเมื่อผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว ได้เห็นผู้อาวุโส ก็รู้สึกว่าพลังของพวกเราช่างอ่อนแอนัก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “หลังสงครามจงตั้งใจฝึกฝนให้ดี ไม่แน่ว่ายุคจักรวาลนี้ของพวกเราอาจจะอ่อนแอกว่ายุคจักรวาลที่สามก็เป็นได้”

ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผางอี ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติและคนอื่นๆ ต่างก็เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันแรงกล้าพวกเขาได้รับแรงกระตุ้นจากพลังของตงป๋อเสวี่ยอิง จากการบรรลุของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต จากวิกฤตที่ยุคจักรวาลจะแตกทำลาย รวมทั้งความแข็งแกร่งของสุนัขป่าสีดำ…การกระตุ้นเหล่านี้ทำให้พวกเขาอยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

………………………………

ปรัชญาคลื่นลม

แม้เวลาจะล่วงเลยไป แต่บรรพคีรีมารกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ รอบด้านมีไอหมอกสีดำรายล้อมและเย็นเยียบอยู่เป็นนิจ มีผู้แกร่งกล้าหลายสิบท่านบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ที่เหลือก็คือบ่าวรับใช้หุ่นเชิดที่คอยปรนนิบัติตนโดยเฉพาะและผู้ดูแลเขาเท่านั้น

นอกคูหาบนยอดเขา

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งพลิกคัมภีร์สีทองดูอยู่ตรงนั้น คัมภีร์หลอมขึ้นมาจากโลหะแปลกประหลาดแผ่นแล้วแผ่นเล่า ด้านบนมีอักษรโบราณชนิดหนึ่งแกะสลักเอาไว้อย่างแน่นขนัด แม้จะไม่เข้าใจอักษรนี้ แต่ตัวอักษรกลับส่งถ่ายข้อมูลเข้าไปในห้วงสมองเองตามธรรมชาติ หลายปีมานี้ เขาจดจำข้อมูลภายในคัมภีร์เล่มนี้ได้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงนำคัมภีร์เล่มนี้มายังคูหาด้วย ทั้งยังพลิกอ่านเป็นประจำ

ภายในบรรพคีรีมารมีคัมภีร์ล้ำค่าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปอ่านในคูหาได้ เพียงแต่ห้ามนำออกไปจากบรรพคีรีมารเป็นอันขาด!

“ความเข้าใจที่ผู้อาวุโสต่างเผ่าท่านนี้มีต่อระลอกคลื่น ทำให้ข้าต้องยกย่องอย่างแท้จริง หากเขาเป็นดวงดารากลางฟากฟ้า ข้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาบนผืนดินคนหนึ่งที่แหงนมองฟากฟ้า” ทุกครั้งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูก็อดเกิดความรู้สึกเทิดทูนขึ้นมามิได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคัมภีร์ล้ำค่าที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้ อย่างเช่นคัมภีร์อันขาดตกบกพร่องซึ่งเป็นเล่มเดี่ยวนี้ ขาดส่วนข้างหน้าและข้างหลังไปเป็นจำนวนมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้แม้แต่ชื่อของคัมภีร์เสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่รู้จากข้อมูลภายในเล่มว่าผู้ที่เขียนคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีนามว่า ‘ประมุขเกาะคลื่นสวรรค์’

“หากไร้ซึ่งคัมภีร์เหล่านี้ ข้าจะคิดค้นศาสตร์ลับขึ้นมาก็ยากกว่ามาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

เขามีจิตคิดร้าย

จิตคิดร้ายอย่างใหญ่หลวง

เช่นจักรพรรดิผลาญเอกาก็อาศัยคัมภีร์มารโลหิตครึ่งหลัง จากนั้นก็คิดค้นศาสตร์ลับที่เหมาะสมกับตนเองขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้อาศัยเคล็ดลับ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของจักรวาลเทวทูต ใช้วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นผสานกันแล้วสร้างเป็น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนขึ้นมา

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่คิดค้นขึ้นโดยอ้างอิงจากแนวความคิดของผู้อาวุโสทั้งสิ้น

แต่เนื่องจาก ‘วิถีระลอกคลื่น’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ล้วนแต่เหมาะกับการต่อสู้เป็นอันมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงคิดจะนำวิถีทั้งสองสายนี้ผสานเข้าด้วยกันและคิดค้นศาสตร์ลับการต่อสู้ขึ้นมาโดยตลอด! ถึงอย่างไร ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็ค่อนไปทางด้านบริเวณอยู่แล้ว สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ ไปจนถึงเคล็ดวิชาที่เหมาะจะให้วิถีหอกใช้สำแดง!

ทว่าไม่มีคัมภีร์จำพวกนี้อยู่เลย ไม่มีผู้อาวุโสที่ทำเช่นนี้! อาจจะมีก็เป็นได้ แต่หาจากคัมภีร์ของทางบรรพคีรีมารไม่พบ เพราะการจะหาศาสตร์ลับการต่อสู้อันสูงส่งลึกล้ำที่เชี่ยวชาญทางด้านวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นในขณะเดียวกัน ทั้งยังต้องผสานเข้าด้วยกันให้พบก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก

เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เบื้องหน้าก็มีแต่หมอกมัว ทางเบื้องหน้าควรจะเดินไปอย่างไรกันเล่า

ก็ต้องให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาเอง ต้องให้ความเข้าใจทางด้านการเข่นฆ่าและระลอกคลื่นของเขาบรรลุถึงระดับขั้นที่สูงส่งลึกล้ำขึ้นหรือกว้างขวางยิ่งขึ้น เคราะห์ดีที่เขาอยู่ในบรรพคีรีมาร มีคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากให้เขาพลิกอ่านได้ ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาได้กว้างไกลขึ้น และมองเห็นความเป็นไปได้ของการบำเพ็ญในหลายๆ ทาง

เมื่อมีคัมภีร์ต่างๆ คอยหล่อเลี้ยง มีพื้นฐานของวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น อีกทั้งการบำเพ็ญภายในคูหาของบรรพคีรีมารก็มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง บวกกับการรับรู้ของเขา บัดนี้เขาก็ได้คิดค้นบทที่หนึ่งของศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมขึ้นมาจนได้ ที่เป็นบทที่หนึ่งนั้น ก็เพราะวิถีทั้งสองสายของตนล้วนยังมิได้บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล ตามความคิดของตน ศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมยังสามารถยกระดับขึ้นไปได้อย่างไม่หยุดหย่อน

จากนั้นเพียงแค่บทแรก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทุ่มเทสุดกำลังแล้ว อาศัยแค่บทนี้ก็เพียงพอให้เทียบเคียงกับผู้ปกครองได้แล้ว!

“ฟิ้ว”

หุ่นเชิดสาวตนหนึ่งเข้ามาจากที่ไกลโพ้น เงาร่างกะพริบวาบหลายครั้งจนเข้ามาใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิง

“ผู้เคารพตงป๋อ” หุ่นเชิดสาวพูดด้วยความเคารพ “ข้ารับบัญชาจากผู้เคารพเลี่ยยางนายท่านของข้ามาที่นี่ เพื่อแจ้งให้ผู้เคารพตงป๋อทราบเรื่องการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

“ผู้เคารพเลี่ยยางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “ในที่สุดก็มาเสียที! ผ่านไปหกล้านปี ในที่สุดการเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญของผู้เคารพเลี่ยยางก็สิ้นสุดลงเสียที”

“ดี เช่นนั้นก็ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้เถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา

หุ่นเชิดสาวโค้งคารวะ จากนั้นก็หมุนกายจากไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นแล้วมองดูหุ่นเชิดสาวตนนั้นจากไปจนลับตา นัยน์ตาเปี่ยมแววรอคอย “ทำให้ข้าต้องคอยตั้งหกล้านปี พลังของข้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งจะเข้ามายังบรรพคีรีมารมากแล้ว ได้ยินมาว่าเลี่ยยางเคยเอาชนะผู้ปกครองมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือไม่”

แม้การบำเพ็ญในบรรพคีรีมารจะก้าวกระโดดก็จริง แต่เขากลับไม่เคยต่อสู้เลยมาโดยตลอด

*******

วันต่อมา

เอี๊ยด

ประตูไม้ถูกผลักออก ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากภายในคูหาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขามุ่งหน้าไปตามทางภูเขาอันคดเคี้ยว ทิ้งร่องรอยอันเลือนรางสายแล้วสายเล่าเอาไว้บนเส้นทาง บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชราก็ตามหลังไปอย่างเคารพนบนอบ

“ตงป๋อ ได้ยินมาว่าเจ้าจะไปต่อสู้กับเลี่ยยางแล้วหรือ” สตรีนางหนึ่งผู้มีเกล็ดสีแดงชาดทั่วร่างและมีเกราะสีทองหุ้มห่อซึ่งอยู่ในคูหาอีกแห่งหนึ่งพูดยิ้มๆ

“ท่านชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ข้ากำลังจะขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้แล้ว”

สตรีตรงหน้านางนี้ก็คือ ‘เจียวอวิ๋นฉาน’ บุตรคนที่สองจากสามคนของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดทิ้งห่างพี่ชายและน้องชายของนางไปไกลลิบ จนได้เข้ามาในบรรพคีรีมารตั้งนานแล้ว แม้บัดนี้ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวจะสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวของเขาแล้ว พลังก็ยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

“จะตัดสินผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไปด้วยกันเถิด” เจียวอวิ๋นฉานผู้นี้ก้าวออกมาก้าวหนึ่งก็มาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง

“ดี ไปพร้อมกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจียวอวิ๋นฉานผู้นี้เดินไปเคียงข้างกัน

“พลังของเลี่ยยางผู้นั้นร้ายกาจนัก ตอนนั้นเมื่อปรากฏกายครั้งแรกก็กลายเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างรวดเร็ว และเข้าไปยังชั้นในของบรรพคีรีมารได้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยเข้าไปเลย เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างนั้นหรือ” รูปโฉมของเจียวอวิ๋นฉานงดงามยิ่งนัก คิ้วทั้งสองกลับประหนึ่งกระบี่คมกริบ เมื่อบำเพ็ญตามปกตินางก็จะสวมเกราะสีทองเอาไว้ จะเห็นได้ถึงนิสัยของนาง

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่ ก็หลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้มิได้แล้ว อีกทั้งข้าก็อยากจะเห็นนักว่าที่แท้แล้วเขาแข็งแกร่งสักเพียงใดกัน”

“เหมือนจะมั่นใจมากทีเดียว”เจียวอวิ๋นฉานมองยิ้มๆ

เดินไปตลอดทาง

บนเส้นทางนั้นก็มีผู้ปกครองคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงอย่างไรศึกตัดสินผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด…ก็ไม่เหมือนกับการต่อสู้อันน่าเบื่อระหว่างพวกอันดับสองอันดับสาม ที่หลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ท้าทายกันใหม่อีก! การต่อสู้ระหว่างคนหน้าใหม่ที่เพิ่งโผล่มาและผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้ หาชมได้ยากนัก

การต่อสู้ของคนหน้าใหม่เช่นนี้ มีหวังที่จะเอาชนะผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้มากกว่า เพราะจู่ๆ พวกเขาก็โผล่มา พลังก็ยากเกินคาดเดาได้ จึงมีความหวังมากกว่า ส่วนพวกที่เคยพ่ายแพ้มาหลายครั้งเหล่านั้น ต่อให้ท้าทายอีก ความหวังก็ริบหรี่นัก

“ตงป๋อ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ง่ายเลย”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เลี่ยยางผู้นั้นเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดมานานเกินไปแล้ว เอาชนะเขาเสีย”

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงเวทีการต่อสู้ บรรดาผู้ปกครองหลายคนที่มาถึงก่อนแล้วก็พูดขึ้นเสียงดัง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้ปกครองซึ่งบำเพ็ญอยู่ ณ ชั้นนอก จึงย่อมเอนเอียงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นธรรมดา หลายปีมานี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะไปยืมคัมภีร์มาอ่านเป็นประจำ และได้รู้จักกับผู้ปกครองหลายคนที่มาอ่านคัมภีร์เช่นกัน ทุกคนล้วนมีความรู้สึกอันดีต่อผู้เคารพหนุ่มซึ่งมีอัธยาศัยค่อนข้างดีผู้นี้

เวทีการต่อสู้สีเขียวเข้มตั้งอยู่ในอาณาเขตของบรรพคีรีมารชั้นนอก

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงครู่หนึ่ง ตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งของการต่อสู้ครั้งนี้ก็มาถึงแล้ว

“ผู้เคารพเลี่ยยาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปไกล

เงาร่างสองสายเดินออกมาจาก ‘ชั้นใน’ ที่ลึกเข้าไปในบรรพคีรีมารซึ่งมีไอหมอกปกคลุมอยู่ ผู้ที่เดินตามหลังมาคือหุ่นเชิดสาวตนนั้น ส่วนด้านหน้าก็คือบุรุษที่สวมเสื้อแต่แขนทั้งสองกลับเปล่าเปลือย ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลอมเหลือเงาวับ เขามีผมสีเงินยวงซึ่งถักเป็นเปียเล็กละเอียดหลายเส้น เมื่อมองไปปราดหนึ่ง ก็เหมือนน่าจะมีอยู่หลายสิบเส้นเลยทีเดียว

เขาเดินเท้าเปล่าเข้ามาโดยมิได้สวมรองเท้า

ทว่าทั้งร่างของเขากลับมีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นโหมซัดอยู่รางๆ เขาสาวเท้าออกมาก้าวใหญ่ เบื้องหลังยังมีดาบรบเล่มหนึ่งอยู่ในฝัก นัยน์ตาคมกริบทั้งคู่แฝงแววกดดันเอาไว้

“ตงป๋อ รูปร่างของเขาและเจ้าละม้ายคล้ายกัน เจ้ากับเขามาจากจักรวาลเดียวหันหรือไม่” ท่านชายเจียวอวิ๋นฉานซึ่งนั่งอยู่ริมขอบตะโกนถาม

“ไม่ใช่”

ผู้เคารพเลี่ยยางที่เดินเข้ามาจากที่ไกล กลับเอ่ยปากขึ้นมาเอง นัยน์ตาคมกริบจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้จักผู้เคารพจากจักรวาลบ้านเกิดของข้าแทบทั้งหมด เขาต้องมิใช่อย่างแน่นอน! อีกทั้งผู้เคารพของจักรวาลเราล้วนแต่ถักเปียด้วยกันทั้งนั้น แต่เขามิได้ถัก!”

พูดจบ เขาก็สาวเท้าตรงออกไปก้าวหนึ่งทันที แล้วถลาขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้เสียงดังสวบพลางจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “มาเถิด ผู้เคารพตงป๋อ ให้ข้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าหน่อยสิ”

“ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานตรงขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้เช่นกัน

เมื่อพวกเขาทั้งสองขึ้นไปยืนบนเวทีการต่อสู้แล้ว รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือผิวเวทีการต่อสู้สีเขียวเข้มอันเก่าแก่นี้ก็สว่างวาบและหมุนเวียนขึ้นมาทันที กลางอากาศโดยรอบเริ่มมีค่ายกลสีดำอันแน่นขนัดปรากฏขึ้น แล้วปกคลุมเวทีการต่อสู้เอาไว้อย่างสิ้นเชิง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset