I Found A Planet 50

ตอนที่ 50

50 จดทะเบียนบริษัท “บริษัท โอยงเซียงไฮเทคโนโลยี จำกัด”

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ สำนักอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ เฉินจินได้พาพ่อของเขาไปทำเอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลกรรมสิทธิ์ถือครองทางกฏหมายของโรงงาน

มันเกี่ยวกับโรงงานขนาดเล็กในย่านอุตสาหกรรมเบ่าฉาง ที่ปกติแล้วใช้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง โดยเปลี่ยนชื่อจากพ่อของเขาซึ่งรับตำแหน่งชั่วคราวในฐานะซีอีโอมาเป็นเวลาสองสามเดือนมาเป็นเฉินจินเองให้ขึ้นมาเป็นซีอีโอคนใหม่ และพ่อขอเขากลายเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคแทน ส่วนแบ่งที่พ่อของเขาถือก็ลดลงเหลือ 0% กลายเป็นเฉินจินถือหุ้นของโรงงานใน บริษัทนี้ทั้งหมด 100% แม้ว่าจะไม่มีสินทรัพย์ใดอยู่ภายในโรงงานก็ตาม

เฉินกังเองไม่กล้าเสี่ยงที่จะเล่นเล่ห์เหลี่ยมทางกฏหมายในตอนนี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเฉินจินกำลังคิดอะไรอยู่ เฉินกังเลยเดินออกจากสำนักอย่างรวดเร็วหลังจากที่เซ็นต์ชื่อในแบบฟอร์มเพื่อมอบอำนาจให้กับเฉินจินอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เฉินกังรู้แล้วว่าเขาไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของลูกชายเขาและควรตั้งใจทำงานของเขานั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

“ อย่างที่รู้กันดีอัตราความล้มเหลวของการทำธุรกิจขนาดใหม่นั้นสูงมากขึ้นในทุกวันนี้ และลูกชายตัวเล็กๆของฉันคนนี้ยังต้องการที่จะสร้างผลกำไรปีละ 10,000 ล้าน ฉันคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้กับสิ่งที่ลูกชายของฉันคิดขึ้นมา!” ในความเป็นจริงเฉินกังไม่เห็นด้วยกับลูกชายของเขาที่เริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ในอดีตมีเพื่อนร่วมงานที่มีทักษะด้านเทคนิคและเป็นคนที่ยอดเยี่ยมในแวดวงการทำงานของเขาที่เขาลาออกจากงานเพื่อมาเป็นเจ้าของธุรกิจ ในท้ายที่สุดธุรกิจส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ล้มเหลวและพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ไป ด้วยเหตุนี้มันมีอยู่สองสามกรณีที่พวกเขาต้องเจอ คือการเป็นหนี้เป็นหนี้จำนวนมหาศาลจนเพื่อนคนนั้นของเฉินกังตัดสินใจฆ่าตัวตาย

แน่นอนว่าก็มีผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่มันเป็นเรื่องที่ยากมากถ้าเปรียบเทียบกับคนที่ทำงานให้กับรัฐวิสาหกิจ คนเหล่านี้ค่อนข้างจะมั่นคงกว่าการทำธุรกิจ แต่มันยากมากที่พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นมหาเศรษฐี แต่มันก็ปลอดภัยกว่าและง่ายต่อการมีเก็บเล็กๆน้อยๆถ้าขยันเก็บเงินจริงอาจกลายเป็นเศรษฐีขนาดย่อมๆได้ มันจะไม่เหมือนการเป็นนักธุรกิจที่เหมือนนั่งอยู่ในรถไฟเหาะตลาดเวลา มีทั้งขาขึ้นและขาลง

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เฉินกังก็อายุ 50 ปีแล้ว เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานสูงเหมือนสมัยวัยรุ่นอีกต่อไป สำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญหลายครั้งของเขาในตอนนี้ เขาค่อนข้างโน้มความคิดไปทางเลือกแบบอนุรักษ์นิยมและเน้นความมั่นคงมากกว่า อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ต่อต้านเฉินจินในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ท้ายที่สุดลูกชายของเขาอายุเพียง 24 ปี เขามีโอกาสมากมายที่จะได้ลองผิดลองถูกและทำผิดพลาด ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำผิดพลาดในเรื่องที่ใหญ่โต มันคงเป็นการดีสำหรับเฉินจินที่จะได้ออกไปกางปีกโลดแล่นในชีวิตจริงช่วงสองสามปีนี้

ผู้อำนวยการดงเหล่ยผู้รับผิดชอบในการรับเคสของเฉินจินที่สำนักอุตสาหกรรมและการพาณิชย์รู้สึกตกใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจของเฉินจิน ลูกชายของเฉาหลี่เพิ่งเปิดร้านขายเครื่องประดับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาและตอนนี้เฉินจินก็กำลังเปิดบริษัทเพิ่มอีกครั้ง ตอนนี้มันมีการจดทะเบียนภายใต้หมวดหมู่ของ“ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง” เฉินจินตัดสินใจที่จะทำธุรกิจในภาคการวิจัยและพัฒนาขั้นสูง

ในระหว่างกระบวนการบริหารการเปลี่ยนสิทธิผู้ถือครองของบริษัท เธอถึงกับอึ้งไปสักพัก แต่ก็ยิงคำถามไปให้เฉินจินสองสามข้อ “ หลานเฉินร้านขายเครื่องประดับของหลาน ไม่ได้เปิดเพื่อทำธุรกิจหรอ ทำไมหลานถึงมาเปิดบริษัทใหม่อีกแล้วล่ะ หลานสามารถจัดกับการควบคุมบริษัทหลายๆที่ได้หรอ?”

เฉินจินอธิบายว่า“ ร้านขายเครื่องประดับเป็นเพียงงานอดิเรกของผมครับ ผมมีผู้จัดการร้านชิวคอยจะจัดการร้านให้ผมอยู่ ส่วนบริษัทนี้เป็นธุรกิจหลักของผม มันอาจเป็นอนาคตที่ผมกำลังตามหาอยู่ครับ!”

“ โอ้ ~” ดงเหล่ยพยักหน้าและเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เฉินจินพยายามจะบอกเธอ เธอรู้ว่าเด็กชายที่อยู่ข้างหน้าเธอนั้นเป็นคนฉลาดมาก ทุกวันนี้ในอุตสาหกรรมที่ซื้อขายสินค้าสวยงามอย่างเช่น ร้านค้าเครื่องประดับถือเป็นหนึ่งในร้านที่สามารถอยู่รอดได้ดี นอกจากนี้การเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองก็เป็นการเสี่ยงโชค ที่ค่อนข้างจะต้องลงเดิมพันสูงส่ะหน่อย

เธอเคยเห็นรายงานสถิติจากสำนักของเธอ มีตัวเลขบางอย่างที่ทำให้เธอตกใจ อัตราความล้มเหลวของสตาร์ทอัพในภาคเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตสูงกว่า 80% อายุขัยเฉลี่ยของ บริษัท เทคโนโลยี / อินเทอร์เน็ตขั้นสูงอยู่ไม่เกิน 18 เดือน ดังนั้นจึงมี บริษัท หลายแห่งที่เข้ามาในตลาดด้วยที่มีทุนจดทะเบียนหลักร้อยไปจนถึงทุนจดทะเบียนหลักล้านที่ล้มเหลว อย่างไรก็ถ้าหากบริษัทเหล่านี้ไม่มีมีจุดเด่นมากกว่าบริษัทอื่นหรือไม่สามารถแข่งขันทางการตลาดกับคนอื่นๆได้ บริษัทก็จะเข้าสู่ประสบภาวะล้มละลายถูกบังคับให้ออกจากตลาดหรือถูกซื้อโดย บริษัท อื่นแทน ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ อาจภายในสองหรือสามเดือน

เมื่อพิจารณาว่าเขากำลังเผชิญกับความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะเตรียมพร้อมมาอย่างดีแม้ว่าทุกอย่างจะอาจจะมองดูว่าการทำธุรกิจนี้มีแต่ภาพแง่ลบ แต่หากการเริ่มต้นบริษัทของเฉินจินนั้นประสบความสำเร็จบริษัทเขาจะขยายตัวต่อไปและไปสู่เป้าหมายได้อย่างแน่นอน ถ้ามันล้มเหลวเขายังสามารถพึ่งพาร้านขายเครื่องประดับเป็นแผนสำรองได้ แน่นอนว่าเฉินจินจะไม่มีวันล้มละลายง่ายๆอย่างแน่นอน

ดงเหล่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล“ หลานเฉิน ทำไมหลานถึงต้องการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมไฮเทค เพราะโรงงานเหล่านี้นี้มีอุปสรรคมากมายในการเข้าสู่ระยะยาวการวิจัยและพัฒนาที่ยาวนานและต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ตลาดมีการแข่งขันสูงมากเช่นกัน หลานมั่นใจจริงแล้วนะ?” เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงจริงจัง แม้ว่าเฉินจินจะเป็นเพียงลูกชายของเพื่อนเธอ แต่เธอก็ให้ความสนใจกับเฉินจินมากกว่าเจ้าของธุรกิจรายอื่น เธอเป็นห่วงว่าธุรกิจของเฉินจินอาจจะล้มเหลวได้

“ ป้าดงมั่นใจได้เลย ผมจะทำมันให้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!” แววตาของเฉินจินเปล่งประกายความมั่นใจราวกับว่าเขาวางแผนทุกอย่างไว้ในใจ สิ่งนี้เขาไม่ได้คิดไปเอง เขาอธิบายเหตุผลของเขา “ ผมเชี่ยวชาญด้านการออกแบบเครื่องกลในมหาวิทยาลัยและจบการศึกษาในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้! ผมมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ผมกำลังจะเข้าไปทำและผมก็คุ้นเคยกับมันมาก นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่ผมวางแผนจะทำ R&D นั้นเป็นหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่ขนาดเท่ากับหม้อหุงข้าว มันไม่ใหญ่และไม่ต้องการเงินทุนจำนวนมากสำหรับการวิจัยและพัฒนา แน่นอนผมสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยการลงทุนเพียง 20,000,000 หยวน ถึง 30,000,000 หยวนยิ่งกว่านั้นพ่อของผมทำงานใน บริษัท อากาศยานเชิงพาณิชย์ หากผมพบกับปัญหาทางเทคนิคใด ๆ ผมจะขอคำแนะนำจากเขา ปัญหาพวกนั้นคงจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว!”

จบการศึกษาจากชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ + การลงทุนขนาดเล็ก + การสนับสนุนด้านเทคนิคที่เยี่ยมยอด ผลรวมของข้อได้เปรียบทั้งสามนี้คล้ายกับการสวมปีกสามคู่ มันจะเป็นความท้าทายที่ถึงแม้จะไม่สามารถบินขึ้นไปบนสวรรค์ได้ก็ตามแต่ก็แข็งแรงพอที่จะบินอยู่ในอุสาหกรรมแห่งนี้ได้! ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทของผมจะล้มเหลว

ดงเหล่ยพยักหน้าซ้ำๆ เธอรู้ซาบซึ้งกับสิ่งที่เฉินจินพยายามสื่อสารมามันดูมั่นคง มั่นคงมาก หลานชายคนนี้ได้ประเมินความยากลำบากที่เขายังมาไม่ถึงตัวเขา แต่ในไม่ช้าเขาจะต้องเผชิญกับความจริง เฉินจินอาจมองโลกในแง่ดีในตอนนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าของธุรกิจรุ่นเยาว์บางรายที่เธอเคยพบเจอเฉินจินคล้ายกับคนเหล่านั้นมาก เจ้าของธุรกิจการรุ่นเยาว์เหล่านี้มีความมั่นใจมากเกินไป เขาวาดฝันอนาคตของเขาไว้อย่างยิ่งใหญ่ คิดว่าตัวเองเก่งพอที่จะพาธุรกิจให้ไปถึงฝั่งและหัวสูงคิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะ บิลเกต(เจ้าของไมโครซอฟ) ได้ง่ายๆ

ด้วยประสบการณ์การทำงานหลายสิบปีในสำนักอุตสาหกรรมและการพาณิชย์และการมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของธุรกจิไม่ถ้วนเธอทำให้ดวงตาคู่หนึ่งของเธอนั้นมองคนออกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการมองพฤติกรรมของพวกเขาเธอสามารถบอกได้ว่าใครจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เธอมีอัตราความแม่นยำมากกว่า 95% เมื่อถึงเวลาเดาตอนจบ!

เมื่อเฉินจินอธิบายถึงข้อได้เปรียบทั้งสามที่เขามีไว้ดงเหล่ยให้การประเมินทั่วไปแก่เขา ความน่าจะเป็นที่ธุรกิจของเขาจะไม่ล้มเหลวคือ 50% เธอทำได้เพียงให้ความน่าจะเป็น“ ไม่ใช่ความล้มเหลว” มันยากเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ องค์ประกอบก่อนหน้าที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จมีมากมาย แม้ว่าเฉินจินจะพัฒนาหุ่นยนต์และนำมันเข้าสู่ตลาดเธอไม่กล้าอ้างว่ามันจะประสบความสำเร็จเพราะตัวผลิตภัณฑ์กับการหาตลาดสองสิ่งนี้มันแยกออกจากในการทำธุรกิจ!

“ หลานเฉิน หลานจะต้องทำมันออกมาได้ดี ป้าเชื่อในความสำเร็จของหลาน! หลานสามารถติดต่อป้ามาได้หากหลานเจอปัญหาอะไร รวมถึงปัญหาเรื่องเงินทุน ป้าจะช่วยในเรื่องที่ป้าช่วยได้อย่างแน่นอน!” ดงเหล่ยส่งเสียงเชียร์ให้เขาแม้จะแสดงว่าเธอสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทางการเงินที่เขาอาจพบได้ เธอไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับเจ้าของธุรกิจรายอื่น

การทำสัญญาที่เสร็จสมบูรณ์เฉินจินกล่าวอย่างจริงใจว่า“ ไม่เป็นไรครับ ผมมีเงินทุนเพียงพอแล้วครับ ป้าดงขอบคุณที่ใส่ใจผมเป็นอย่างมาก เมื่อบริษัทนี้ประสบความสำเร็จผมจะขอนัดป้าไปทานอาหารด้วยกันสักครั้งนะครับ”

ดงเหล่ย ยิ้ม“ ตกลงป้าจะไปเมื่อหลานประสบความสำเร็จ!แล้ว” เธอเฝ้าดูเขาขณะที่เฉินเดินออกไป

คืนนั้นในห้องนอนของเขาเฉินจินยิ้มเมื่อเขามองดูชื่อบริษทัที่เป็นตัวหนาและใหญ่ขึ้นในหน้าชื่อของผู้ติดต่อ

“ บริษัทโอยงเซียงไฮเทคโนโลยีจำกัด !” เฉินจินเรียกชื่อบริษัทย่อๆว่า“ เซียงไฮเทคโนโลยี”

นี่เป็นชื่อที่เขามอบให้กับบริษัทไฮเทคที่เขาได้ก่อตั้งขึ้น เมื่อเขาจดทะเบียนบริษัทของเขา เขาต้องการที่จะใช้ชื่อ “ชิงไห่เทคโนโลยี” แต่ชื่อนี้มีคนจดทะเบียนไปก่อนหน้านี้แล้ว

อาจทิเช่น ชิงเฉินเทคโนโลยี ดาไห่เทคโนโลยี เซงฟู ซิงกง, เฮาฮ่าน เซียงไฮ เทคโนโลยี … .. ชื่อทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการจดทะเบียนไปกันจนหมดแล้ว!

ดังนั้นเฉินจินจินสามารถจะจดทะเบียน“ โอยงเซียงไฮเทคโนโลยี”ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น แม้ว่าเฉินจินจะไม่ค่อยชอบชื่อนี้ก็ตาม ชื่อนี้ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานหลังจากการจดทะเทียนดังนั้นจึงเป็นโมฆะและสามารถนำกลับมาใช้ได้

“ เมื่อบริษัทของฉันมีเงินมากเพียงพอฉันจะซื้อบริษัทที่ ‘เซียงไฮเทคโนโลยี’ ฉันจะลบชื่อที่เป็นของบริษัทของฉันออก!” ชื่อ บริษัทของ“ โอยงเซียงไฮเทคโนโลยี” จะถูกใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

การเข้าไปในห้องน้ำช่วยเขาเห็นวาวาถือแปรงหมุนอยู่และขัดโถชักโครกด้วยความแข็งแรงทั้งหมด ประตูมิตถูกขัดเพื่อทำความสะอาด ตอนนี้วาวาหันก้นให้เขา มันคล้ายกับก้นของทารกจริงๆ

เขาโบกมือเข้าหามันเขาพูดว่า“ วาวา วางแปรงลงมาให้ฉันนี้”

“อีดอ๊าด, ตุดตุด, ประมวลคำสั่ง เรียบร้อบ ~” วาวาโยนแปรงสีฟันลงและก็วิ่งเข้าหาเฉินจนิงอย่างเชื่อฟัง

I Found A Planet

I Found A Planet

Score 10
Status: Completed

ชื่อภาษาจีน : 捡到一个星球
เรื่องย่อ

เฉินจินเด็กหนุ่มโอตะคุที่วันหนึ่งบังเอิญเปิดเข้าไปในห้องน้ำและพบว่าภายในห้องของเขานั้นมีประตูมิติที่จะนำพาเขาเข้าไปสู่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ล้มสลายจากสงครามจักรกล เศษซากมากมายของหุ่นรบกระจายไปทั่วดาวเคราะห์แห่งนี้ การมาของประตูมิติในครั้งนี้จะทำให้ชีวิตของเฉินจินเปลี่ยนไป เพราะเขาต้องเผชิญกับความโกลาหนทั้งโลกใบเดิมที่เขาอยู่ในตอนนี้และ ดาวเคราะห์ดวงใหม่ อีกทั้งเฉินจินจะทำอะไรกับดาวเคราะห์ดวงนี้ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาอาจเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลกใบใหม่ ใบนี้ไปตลอดการ

Options

not work with dark mode
Reset