I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class 52

ตอนที่ 52

อาซานางิอยู่ที่บนดาดฟ้าอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ

 

โดยปกติแล้วปประตูชั้นดาดฟ้าจะถูกล็อค แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเวลากิจกรรมและอาซานางิก็เป็นคณะกรรมการด้วย ทำให้เธอมีกุญแจติดตัวอยู่

 

“โย้”

 

“…โย้”

 

อาซานางิกำลังจับรั้วของชั้นดาดฟ้าพร้อมกับมองลงไปข้างล่างด้วยสายตาคลุมเครือ

 

“ทำไมทำหน้ามืดมนแบบนั้น? ดูไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ”

 

“หนวกหูน่ะตาบ้า ฉันบอกว่าอยากอยู่คนเดียว นายไม่ได้ยินหรือไง?”

 

“สิ่งที่เธอต้องทำก็แค่ล็อคประตูจากด้านใน เธอสามารถทำแบบนั้นได้ถ้าอยากอยู่คนเดียวจริงๆ แต่เธอก็ไม่ทำ นั่นมันก็เหมือนเธอบอกว่าให้ผมไล่ตามมานั่นแหละนะ”

 

“ฉันเกลียดนาย มาเอะฮาระคนบ้า”

 

“ครับ ครับ …อะนี่ ทิชชู่ เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาซะ”

 

“……”

 

อาซานางิคว้ากระดาษทิชชู่ไปจากมือของผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก่อนนำมันไปสั่งน่ำมูกพรืดใหญ่

 

อาซานางิในตอนนี้นั้นดูเป็นเด็กขี้แยอย่างมากซึ่งไม่เหมือนกับเธอยามปกติเลย…ไม่สิ อาจจะเป็นเพราะในตอนปกติเธอจะพยายามอย่างเต็มที่ และในตอนนี้ก็คือตอนที่เธอถอดหน้ากากออก บางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนจริงๆของเธอก็ได้

 

“อาซานางิ”

 

“…หือ”

 

“เธอนี่เป็นคนที่สุดยอดจริงๆนะ…ยังคงทำตัวเป็นปกติได้ทั้งๆที่แบกเรื่องมากมายไว้บนบ่าแบบนี้”

 

ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนเล่าออกมาเอง ทั้งผมทั้งอามามิซังก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น

 

ความรู้สึกระแวงจากการที่โดนเพื่อนหักหลัง ความรู้สึกคับข้องใจ ความรู้สึกโดดเดียวจากการที่คนรอบตัวค่อยๆหายไป และยิ่งไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่ออามามิซัง…ผู้ที่เป็นเพื่อนรักของตัวเอง

 

ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ คงไม่สามารถทนต่อเรื่องราวเหล่านี้ได้

 

“เธอทำได้ดีที่สุดแล้วล่ะ อาซานางิ สุดยอดไปเลยล่ะ”

 

“…ใช่ไหมล่ะ ฉันทำดีที่สุดแล้ว ชมฉันอีกเยอะๆสิ”

 

“อา…เธอทำได้ดีแล้ว ทำได้ดีมากจริงๆ”

 

ฉันพูดพร้อมกับลูบหัวของอาซานางิไปด้วย…เหมือนกับตอนที่เธอเคยช่วยปลอบผมในตอนนั้น

 

“อ่า~~ ฉันพูดออกไปหมดแล้วจริงๆ ทั้งเรื่องที่ชอบ ทั้งเรื่องที่เกลียด ทั้งหมดเลย…แต่มันกลับไม่รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ฉันนี่มันแย่จริงๆ แย่ที่สุด…”

 

“อาซานางิเกลียดตัวเองงั้นหรอ?”

 

“มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ฉันทั้งพูดทำร้ายความรู้สึกของยู แล้วก็เรื่องที่เก็บเรื่องมาเอะฮาระไว้เป็นความลับ ทั้งโกหกเพื่อที่จะได้แอบไปเที่ยวเล่นไปกับมาเอะฮาระด้วย…คนแบบนี้น่ะ จะไปชอบลงได้ยังไง”

 

และยิ่งไปกว่านั้น เธอทำเรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นหลายครั้ง เพราะแบบนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเธอทำเรื่องเลวร้ายกับอามามิซังมากกว่าสองคนนั้นซะอีก

 

อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความผิดของผมด้วยที่ทำให้เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ เพราะว่าผมบอกให้อาซานางิเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากทุกคนในชั้นเรียน รวมไปถึงอามามิซังด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่เข้ากับสถานการณ์ทางฝั่งของอาซานางิพอดี ทำให้เธอสามารถโกหกได้ง่ายขึ้น

 

เอาเถอะ มาจนถึงตอนนี้แล้วก็คงจะแก้ไขหรือทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ

 

“นี่ อาซานางิ”

 

“…อือ”

 

“อาซานางิ หลังจากนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”

 

“นั่นมันหมายถึงเรื่องไหนล่ะ?”

 

“ผมหมายถึงเกี่ยวกับอามามิซังน่ะ ต่อจากนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ จะทำตัวเหมือนปกติ? หรือว่าจะเว้นระยะห่างกันสักพัก?”

 

คำพูดที่เธอพูดออกมาไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว และรวมถึงความรู้สึกของเธอที่ล้นออกมาในตอนนั้นเองก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้เช่นเดียวกัน

 

ดังนั้นผมเลยต้องมาพูดกันถึงเรื่องที่เราต้องทำต่อจากนี้ไป ทั้งส่วนของอาซานางิกับอามามิซัง และส่วนของผมและอาซานางิด้วย

 

“…งั้นฉันของถามหน่อยสิ หลังจากนี้มาเอะฮาระจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”

 

“ผมเป็นคนถามก่อนนะ…เอาเถอะ จะตอบก่อนก็ได้”

 

“…อืม”

 

“ผมคิดว่าควรจะรักษาระยะห่างไว้จะดีกว่าไหมนะ?”

 

“นั่นนายหมายถึงใครล่ะ?”

 

“ผมกับอาซานางิ”

 

อันที่จริงผมเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ที่โดนอามามิซังจับได้แล้วล่ะ

 

เนื่องจากโดยนิสัยของทั้งผมและอาซานางิแล้ว ถึงเราจะเล่นด้วยกันต่อไป พวกเราก็คงจะไม่สามารถสนุกกันได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าเราจะพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่ออามามิซังที่โดนพวกเราหลอกมาจนถึงตอนนี้คงจะตามมาหลอกหลอนพวกเราอยู่ตลอดแน่นอน

 

และถึงพวกเราจะชวนอามามิซังมาเล่นด้วยกัน แต่สุดท้ายมันก็มีแต่จะทำให้อาซานางินึกย้อนไปถึงวันเก่าๆสมัยที่เธออยู่ม.ต้น มันคงจะเป็นบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนน่าดูเลยล่ะ

 

ดังนั้นผมจึงคิดว่าพวกเราควรที่จะหยุดความสัมพันธ์แบบนี้เอาไว้ก่อน อาซานางิควรที่จะให้ความสำคัญไปกับการคืนดีกับอามามิซังเป็นอันดับแรก แล้วค่อยมาคิดถึงเรื่องของเราหลังจากนั้น หรือรอให้เรื่องต่างๆสงบลงไปก่อน

 

“ไม่เป็นไรน่า การเว้นระยะห่างไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะเลิกเป็นเพื่อนกันสักหน่อยนี่นา…เราแค่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันสักพักเอง”

 

“แต่ว่า มาเอะฮาระ…”

 

“ยังไงเราก็ยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันดังนั้นเราก็ยังได้เจอกันอยู่ตลอดทุกวันนั่นแหละนะ แล้วอีกอย่างพวกเรายังสามารถส่งข้อความหากันได้เหมือนเดิม นอกจากนี้เพราะพวกเราเป็นคณะกรรมการ การที่เราจะมีพูดคุยกันบ้างตอนอยู่ในห้องเรียนก็คงไม่มีปัญหาอะไร…”

 

“มาเอะฮาระ!”

 

“อุ…”

 

อาซานางิเขย่าไหล่ของผม ผมจึงกลับมามีสติอีกครั้ง

 

“มาเอะฮาระ ใจเย็นๆ ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆพูดก็ได้ ฉันจะคอยรับฟังนายเอง เพราะฉะนั้นช่วยใจเย็นลงหน่อยนะ”

 

“อา…”

 

เมื่อผมใจเย็นลงแล้ว พอมองย้อนกลับไปถึงประโยคที่ผมพึ่งพูดออกไป ทั้งๆที่บอกว่าคิดถึงเรื่องของอาซานางิ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย…ผมคิดแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น

 

แม้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกของอาซานางิ แต่ผมกลับพยายามยัดเยียดความคิดเห็นของตัวเองให้กับอาซานางิ

 

“…ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าผมจะสติแตกเกินไปหน่อย”

 

“อืม~ ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วย ฉันมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเองไปจนลืมไปว่านายไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้มาก่อน”

 

ใช่…นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีเพื่อนและก็เป็นครั้งแรกที่ผมมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความสัมพันธ์กับคนอื่น

 

คนโดดเดียวแบบผมกลับคิดว่าตัวเองจะสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานของอาซานางิกับอามามิซังได้…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากที่ไหนกัน

 

“มาเอะฮาระ เอานี่ จับมือฉันแล้วหายใจเข้าลึกๆ”

 

“…อืม”

 

ผมทำตามที่อาซานางิบอก หายใจเข้าลึกๆสอง ถึงสามครั้ง

 

นี่มันเหมือนกับตอนที่ผมทำกับเธอเมื่อตอนช่วงเช้าที่ผ่านมาเลยนี่นา

 

“เป็นไง? ใจเย็นลงหรือยัง? นายเห็นไหมว่านี่มีกี่นิ้ว?”

 

“สามนิ้ว…เฮ้ ฉันไม่ไปได้หัวกระแทกมานะ”

 

“ฮะๆ ดูเหมือนนายจะไม่เป็นอะไรแล้วนะ แต่ว่า…ขอจับมือต่ออีกหนน่อยได้ไหม?”

 

“…อืม ได้สิ”

 

สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนที่โดนอาซานางิปลอบจนได้สินะ

 

แม้ว่าผมจะทำเป็นพูดเท่ๆกับอามามิซัง แต่พอได้มาอยู่ต่อหน้าอาซานางิ ตัวผมก็กลายมาเป็นแบบนี้ไปซะได้…นี่มันไม่เท่เลยสักนิด

 

“มาเอะฮาระ ขอถามอะไรนายหน่อยสิ?”

 

“…จะถามอะไรล่ะ?”

 

“นายช่วยตอบมาตามตรงทีสิ…ถ้านายไม่ได้เล่นกับฉัน นายจะรู้สึกเหงาบ้างไหม?”

 

“…..เอ่อ”

 

ถึงผมจะแสร้งทำเป็นบอกว่าไม่เหงา ยังไงอาซานางิก็คงจะดูออก ดังนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ

 

“…เหงาสิ”

 

สุดท้ายถึงผมจะทำตัวเข้มแข็ง แต่นี่ก็คือความรู้สึกจริงๆของผม

 

จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ผมคิดว่าตัวเองเหมาะกับการที่จะต้องอยู่คนเดียวมากกว่า การเข้าสังคมเป็นเพียงเรื่องยุ่งยากและเป็นสิ่งที่ไม่ควรก้าวเท้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน

 

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดผิด…ความจริงแล้วผมไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย…ผมแค่มีชีวิตอยู่มาโดยไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรับรู้ถึงความสบายใจของการที่ได้อยู่กับใครสักคนที่ผมห่วงใย

 

แต่แน่นอนว่าการมีเพื่อนย่อมมีปัญหาตามมามากมาย แต่ผมก็ยังรู้สึกสนุกไปกับช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับอาซานางิ และผมก็สามารถที่จะหัวเราะให้กับปัญหาทั้งหมดที่เข้ามาได้

 

และก็อย่างที่ผมบอก การเว้นระยะห่างไม่ได้หมายความว่ามิตรภาพของผมกับอาซานางิจะหายไป แต่ยังไงก็ตาม…ความรู้สึกเหงาก็คือความจริงเช่นกัน

 

“นี่มาเอะฮาระ”

 

“คราวนี้อะไรอีกล่ะ?”

 

“มาเอะฮาระ เรื่องของเรา นายยังอยากที่จะสานความสัมพันธ์กับฉันต่อไปไหม?”

 

“อยากสิ แล้วผมก็อยากให้เธอคืนดีกับอามามิซังด้วย”

 

“ฮะๆ นายนี่โลภมากจริงๆ แต่ถ้าเป็นยูเธออาจจะเห็นด้วยกับนายก็ได้นะ”

 

“ระ-เรื่องแค่นั้นฉันรู้หรอกน่า เพราะงั้นก็เลยบอกให้พวกเราห่างกันสักพักยังไงล่ะ”

 

“นั่นสินะ พวกเราหลอกยูมานาน คงต้องรีบปรับความเข้าใจกับเธอก่อน ไม่งั้นเรื่องของฉันกับมาเอะฮาระคงไม่สามารถเดินต่อไปได้”

 

ถ้าหากผมหวังที่จะให้อามามิซังให้อภัยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และยังสามารถสานความสัมพันธ์กับอาซานางิต่อไปได้ มันดูออกจะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมต้องคิดให้รอบคอบ

 

“แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของมาเอะฮาระแล้วล่ะ ขอบคุณนะ ที่ยอมบอกกับฉันตามตรง”

 

“ด้วยความยินดี…ว่าแต่เธอตัดสินใจได้แล้วหรอ?”

 

“อืม…ถึงจะยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่…แล้วก็สำหรับยูด้วย”

 

ใบหน้าที่ดูหดหู่ของอาซานางิหายไปแล้ว และตอนนี้เธอก็กลับมาดูเป็นอาซานางิที่สุดเท่เหมือนกับปกติ

 

“เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปหาอามามิซังกันเลยไหม?”

 

“อือ”

 

พวกเรารีบเดินกลับไปหาอามามิซังที่กำลังรอการกลับไปของพวกเราอยู่เพียงลำพัง

 

พวกเรายังคงจับมือกันไปจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะเจอกับอามามิซัง และอามามิซังก็ไม่ได้ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย…

 ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆

 

ปล. เอาล่ะครับ ได้เวลาบ่นท้ายตอน ช่วงนี้ผมปรับสำนวนการแปลนิดหน่อย(จริงๆไม่นิด) คือตอนนี้เรียกได้ว่าแปลเอามันครับ โดยไม่ได้อิงตามต้นฉบับญี่ปุ่น 100% คิดคำแบบไหนออก แล้วมันเข้ากับบริบทผมใส่ยับครับ(ฮา) ถ้าไม่ชอบแบบนี้ก็บอกกันได้นะครับ

ปล2. ตอนนี้จะมีบางส่วนที่มาเอะฮาระใช้คำว่า ฉัน แทรกมาบ้างแล้ว ตามรูปแบบบริบทที่ผมมองว่ามันควรจะพูดว่าฉันสิ ไม่ใช่ผม แต่ก็ยังไม่ได้ปรับแบบทุกอันนะครับ จะมีแค่บางประโยคไปก่อนนะครับ ตามระดับความเป็นกันเองกับอุมิจัง

ปล3. จริงๆผมตามเสพนิยายจากเพจแปลอื่นๆด้วยนะครับ แต่ยิ่งดูแล้วยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโคตรจะขี้เกียจในการทำภาพประกอบเลยครับ(ฮา) เอาจริงๆตอนแรกก็มีแผนจะแปลมังงะด้วย แต่พอไปศึกษาขั้นตอนการทำมาจริงๆก็ขอลาก่อยแล้วกันนะครับ แค่นึกว่าตัวเองต้องมาคลีน มานั่งจดประโยคที่ตัวละครพูด มานั่งเรียงประโยคใหม่ บัยครับ ขอแปลนิยายแบบสบายๆอย่างนี้ดีกว่า(ฮา)

ปล4. อันนี้พิมพ์เองไม่ใช้การพิมพ์ด้วยเสียง ก็จะมีการตรวจคำผิดมาบ้างแล้ว แต่ถ้าเจอก็แจ้งได้นะครับ

 

ขอบคุณที่ติดตามครับ ยังไงก็ขอฝากเพจ Facebook ด้วยนะครับที่ –> Durimtok Channel <–

 

I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class

I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class

Score 10
Status: Completed
ผมชื่อ มาเอะฮาระ มากิ คนที่ไม่เพื่อน หรือคนรู้จักในโรงเรียนม.ปลาย แต่ในที่สุดก็มีคนที่ผมสามารถออกไปเที่ยวด้วยกัน ภายนอกรั้วโรงเรียนด้วยได้ เธอคือเด็กสาวคนหนึ่ง เธอชื่อ อะสะนางิซัง เด็กสาวที่พวกนักเรียนชายในชั้นเรียนต่างเรียกเธอว่า 'สาวน่ารักอันดับสองของชั้นเรียน'

Options

not work with dark mode
Reset