Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 184

ตอนที่ 184

ส่วนหัวอวบกดลึกลงยังปากทางรักแล้วแหวกผนังเนื้อเข้ามา จากนั้นฮาจุนถึงได้สะดุ้งเฮือกแล้วหันหลังไปอย่างยากลำบาก

“ไม่ เอา… ใส่เข้ามาทั้งอย่างนั้น ฮึกกก ได้ยังไง…!”

“มันเล็กอยู่แล้ว… แค่ใส่เข้าไปก็น่าจะไม่เป็นไร”

มูคยอมตอบพร้อมกับไสเอวเข้า โพรงเนื้ออ่อนนุ่มลงเพราะวุ่นอยู่กับการหดรัดสลับคลายตัวมายาวนาน จึงรองรับท่อนเนื้อที่ขยายใหญ่เข้ามาได้อย่างไม่เกินกำลัง

โพรงเนื้อถูกใช้งานอย่างทารุณอยู่พักใหญ่โดยให้กลืนกินลูกแก้วหลายลูกแล้วคายออก จากนั้นก็ยังกักเก็บของเล่นที่สั่นได้เอาไว้ วันนี้มันจึงโอบชิดแกนกายอย่างเหนียวหนึบมากกว่าเดิม ความหฤหรรษ์ที่ทำให้ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างเสียวซ่านทันทีที่แทรกช่องทางด้านหลังเข้ามา ทำให้มูคยอมกัดฟันพร้อมหายใจลึก กล้ามเนื้อด้านหลังทุกส่วนทั่วร่างกายตั้งแต่แผ่นหลังลงไปถึงท้องน่อง ต่างก็หดเกร็งขึ้นเป็นก้อน

ผ่านไปไม่นานนัก ท่อนเนื้อที่แหวกผนังด้านในคับแคบเข้ามาก็สัมผัสกับสิ่งเรียวรีที่สั่นอยู่ข้างใน เสียงร้องไห้ของฮาจุนดังลั่นขึ้น

“อ๊าาา! อ๊า ฮื่อออ…!”

“อ๊า… นี่ รู้สึกแปลกชะมัด”

มูคยอมเองก็ขมวดคิ้วแล้วครางลอดไรฟัน เมื่อแรงสั่นรัวเร็วที่เบียดลงตรงส่วนหัว ผนวกเข้ากับการกระตุ้นจากผนังเนื้อที่บีบเค้นแกนกาย ความเสียงซ่านที่ยากจะอธิบายก็ชักจูงให้มูคยอมขยับเอว

เมื่อมูคยอมรั้งกระดูกเชิงกรานที่อยู่ตรงหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นแล้วค่อยๆ หมุนควงเอวเป็นวงกว้าง ฮาจุนก็ส่ายหน้าพร้อมกับพ่นลมหายใจหอบหนักๆ ออกมา เขาเหยียดแขนไปด้านหลังแล้วใช้ฝ่ามือดันหน้าท้องของมูคยอมพร้อมทั้งพึมพำด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

“อ๊า อื้อออ เดี๋ยว… เอาออก เอาออกก่อน…”

ทว่ามูคยอมไม่หยุด

มูคยอมยึดข้อมือของฮาจุนที่ดันตนเองออกแล้วยิ่งเพิ่มแรงเสือกไสเอวมากขึ้น เมื่อแกนกายเสียบเข้าไปถึงจุดลึกในพรวดเดียว ฮาจุนก็ทนไม่ไหวแล้วคว่ำหน้าแนบร่างกายท่อนบนลงกับเตียงหมดทุกส่วน เสียงกรีดร้องระเบิดออกมาราวกับตระหนกและเสียวซ่าน

“อา” มูคยอมครางเสียงทุ้มอย่างพึงพอใจราวกับทนไม่ไหว

“ลองใช้ อึก ของเล่น ครั้งแรกเลยนะ”

“ฮื่อ อ๊า ฮ้า… อ๊า อ๊า…!”

“ฉันก็ สงสัย… ว่าจะรู้สึกยังไง”

มูคยอมพูดต่อพร้อมกับเริ่มบดเอวเข้าออกอย่างหนักหน่วง

“อ๊ะ อ๊า! อ๊าาา อื้อ ฮ้า…! ฮึกกก!”

ท่วงท่าที่ยกเอวขึ้นเล็กน้อยแล้วโด่งก้นไปด้านหลัง ทำให้สิ่งที่อยู่ด้านในปักหลักลึกในท้อง มูคยอมจับกระดูกเชิงกรานของฮาจุนโยกพร้อมกระแทกเอวอย่างรุนแรง ไข่สั่นเบียดเสียดด้านในอย่างสะเปะสะปะไปทั่วตามมุมที่แกนกายสอดเข้าไป

หากมูคยอมทุ่มแรงตอกเข้าปั้กๆ ของเล่นทรงรีเล็กก็จะกระดอนหน้าหลังตามการเคลื่อนไหวนั้น ถ้าบดวนเอวอย่างนุ่มนวลราวกระแสน้ำแล้วขยับตัวสวนจากล่างขึ้นบน ของเล่นก็จะถูกท่อนเนื้อใหญ่โตดุนดัน แล้วแรงสั่นหนักหน่วงก็แผ่ลามไปทั่วผนังด้านใน ฮาจุนรู้สึกเหมือนกับแรงสั่นที่กระเทือนต่อมลูกหมากมันเขย่าอย่างเสียววาบไปจนถึงผิวหนังหน้าท้องและแกนกายที่พองขยาย

ความซาบซ่านที่ไม่เคยประสบมาก่อน ถ่ายทอดสัมผัสที่เหมือนกับกระแสไฟฟ้าสู่ร่างกายของกันและกันโดยตรง และวิ่งพล่านไปมาระหว่างร่างกายของคนทั้งสอง เสียงบ่งบอกความประทับใจเล็ดลอดออกมาจากปากของมูคยอมอย่างต่อเนื่อง ความเปียกชื้นและเสียงร้องก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตากับปากของฮาจุน

เพราะถูกจัดท่าให้เอวลอยขึ้นเล็กน้อย ส่วนปลายแกนกายของฮาจุนจึงสัมผัสกับผ้าปูที่นอนนุ่มละไม ทุกครั้งที่ร่างกายแกว่งไกว ส่วนปลายนั้นก็จะถูกถูไถ ก่อเป็นความเสียดเสียวเกินต้านทาน เขาพยายามที่จะคลานหนีไปข้างหน้าหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น มือของมูคยอมที่ยึดเชิงกรานไว้ก็จะออกแรงมากขึ้น ฮาจุนขยำผ้าปูเตียงพร้อมสะอึกสะอื้น

“อึก ฮึกกก! พะ ฮื้อ พอแล้ว…! อ๊า อื๊อ…! ทำต่อไปต้องตาย ต้องตาย…!”

“ฮ้าาา ฉันรู้ ฉันก็ เหมือนกัน…”

ประสาทสัมผัสที่ได้รับการกระตุ้นจากการสั่นของเครื่องจักรกับการสอดใส่อันดุเดือดพร้อมกันในทีเดียว ทั้งชาหนึบและแสบร้อน ฮาจุนพยายามกะพริบตาที่ทำท่าจะปรือปิดอยู่เรื่อยเพราะสติรับรู้เลือนราง

เขาอยากมองหน้ามูคยอมก่อนมันจะจบลง แต่แขนขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง อีกทั้งมูคยอมก็กระแทกเข้าด้านหลังต่อเนื่อง ไม่ยอมปล่อยให้ได้พัก แค่จะหันหน้าไปก็ยังไม่ง่าย

ฮาจุนพยายามหมุนตัวไปหลายครั้ง แต่ก็ต้องยอมแพ้และโยกเอวตามที่โดนกระแทกพร้อมกับร้องไห้ฮือ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่ามูคยอมโน้มร่างกายท่อนบนลงมา ลิ้นไล้เลียหลังใบหูอย่างร้อนรุ่ม

“ฮู่ววว นายอยาก เปลี่ยนท่าไหม”

“ฮื้อ อ๊า…!”

“ถ้าอยากก็บอก”

“อื้อ มอง…หน้า…”

“แต่ว่า…ฮาจุนเสียวที่สุดตอนทำแบบหันหลังนะ”

มูคยอมยิ้มราวกับบอกว่าน่ารักพร้อมกับจับตัวฮาจุนพลิกนอน พูดให้ถูกคือแค่ครึ่งเดียว อีกคนจับต้นขาแค่ข้างเดียวพาดบนไหล่ของตัวเองแล้วเสือกไสร่างเข้ามาดังปั้กๆ เมื่อท่าทางสับเปลี่ยน วัตถุทรงรีในร่างกายก็เปลี่ยนตำแหน่ง จุดที่ส่วนปลายแกนกายแข็งขึงกระทุ้งเข้ามาก็เปลี่ยนไปด้วย ท่อนเนื้อแดงก่ำที่เหยียดตัวตั้งอยู่กลางหว่างขาอ้ากว้าง แกว่งไกวอย่างควบคุมไม่ได้ ฮาจุนแหงนคอพร้อมร้องไห้

ถึงแม้น้ำตาจะหยดแหมะๆ แต่ฮาจุนก็เงยหน้ามองมูคยอม เขาทอดสายตามองคิมมูคยอมที่กำลังมองเขาด้วยดวงตาร้อนแรงตรงๆ มองดูภาพลักษณ์ที่เหมือนกับเปลวไฟลุกโหมอย่างร้อนระอุยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

สีหน้าของมูคยอมที่ก้มลงมองมา ทำให้อารมณ์ของฮาจุนพลุ่งพล่านยิ่งกว่าอุปกรณ์ที่กำลังสั่นอยู่ด้านในร่างกายหรือท่อนเนื้อที่ลากรูดและครูดเสียดเนื้อเยื่อนุ่มจนความรัญจวนสาดซัด สีหน้าอีกคนหนักแน่นราวกับเหล็ก ถึงอย่างนั้นก็ยังร้อนรุ่ม ฮาจุนลูบคลำอีกฝ่ายเท่าที่มือจะเหยียดไปสัมผัสได้ ต้นขาที่พองใหญ่ราวกับจะระเบิดกับหัวเข่าแข็งราวกับหิน แผงอกกับหน้าท้องแน่นๆ ที่สะท้านขึ้นลงพร้อมขยายสลับหุบตามการหายใจเน้นหนัก ลาดไหล่ แก้มเกลี้ยงเกลาใต้โหนกแก้มสวย ท่อนแขนราวกับถูกแกะสลักสร้างขึ้น หลังมือที่มีเส้นเลือดขึ้นชัด

การหายใจของมูคยอมถี่กระชั้นขึ้นอีกระดับตั้งแต่ตอนที่นิ้วขาวๆ ลูบไล้หน้าอก แล้วในที่สุด แกนกายผงาดก็ตอกปั้กเข้าไปจนสุดโคน ไข่สั่นก็ถูกดันเข้าไปสุดโพรงรักพร้อมกัน ปกติเมื่อมูคยอมทิ้งน้ำหนักเข้ามา ฮาจุนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรและปล่อยน้ำตาไหลออกมาก่อนอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงกดแนบลงตรงจุดที่ลึกและคับแคบเพิ่มด้วย

“อ๊า อ๊าาา!”

ร่างกายของฮาจุนสะท้านอย่างหนัก หลังแผดเสียงร้องออกมาสั้นๆ ร่างกายก็สั่นระริกและเสียวซ่านไปทั้งตัวโดยไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรออกมาได้อีก

เมื่อแตะปลายทาง กลับมีเพียงของเหลวเหนียวหนืดคล้ายน้ำหล่อลื่นไหลออกมาจากแกนกายอ่อนปวกเปียกนิดเดียวเท่านั้น ก้นกับโคนขาเกร็งแข็งจนเนื้อเต้นตุบๆ บริเวณเชิงกรานกับกล้ามเนื้อเอวกระตุกเกร็งถี่ยิบ

“ฮู่ว อึก ฮ้าาา บ้าฉิบ”

มูคยอมเองก็ปลดปล่อยไม่ต่างกัน อีกคนพ่นลมหายใจหอบหนักพร้อมขยับเอวออกไปด้านหลัง น้ำเชื้อสีขุ่นกำลังไหลจากปลายแกนกายที่ถูกถอดออกมา

อีกฝ่ายเอาของเล่นที่ยังคงสั่นสะเทือนด้านในร่างกายของฮาจุนออกมาแล้วโยนทิ้งไป ทำท่าราวกับว่าตอนนี้เบื่อมันแล้ว ของเล่นที่ถูกปาทิ้งลวกๆ หล่นลงพื้นพร้อมเสียงดังกึก จากนั้นก็คงพังไปเลย มันจึงเงียบลง

แขนหนากระชับตัวฮาจุนกอดไว้ในอ้อมอก ไถลแกนกายที่อยู่ระหว่างการขับน้ำเข้าไปในรูรักที่กำลังจะหุบลงแล้วบดเอวเร็วๆ จากนั้นก็สลับมาหยัดเอวเชื่องช้า แกนกายแทงเข้าลึกและฉีดพ่นในโพรงเนื้อที่สั่นเทิ้มแม้ไม่มีของเล่นคอยสั่นสะเทือนอย่างท่วมล้น

ผนังด้านในร้อนระอุ ลนลานโอบรัดลำกายมูคยอมอย่างแนบชิดราวกับรออยู่ โดยสัมผัสกันทุกส่วน ไร้สัมผัสอื่นมาขวางกั้น ฮาจุนรองรับมูคยอมทั้งที่ยังไม่มีสติเพราะดำดิ่งอยู่ในฝั่งฝันที่ทำให้การมองเห็นมืดมิด เขาโอบแขนรอบลำคอของอีกคนพร้อมส่งเสียงครางแล้วร้องสะอื้น

ริมฝีปากชื้นบดเบียดกันอย่างดูดดื่มโดยไม่สนลมหายใจหอบระรัว ราวกับจะทำให้อีกคนหายใจไม่ออก ถึงแม้ว่าจะหายใจหอบถี่เพราะแน่นหน้าอก แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะผละริมฝีปากที่ละเลียดกันอย่างชุ่มชื้นออกไปก่อนเลยสักคน

ในสถานที่ที่กิจกรรมอันแสนเนิ่นนานและอึดทนเสร็จสิ้น มีเพียงความเงียบสงบที่ขาวโพลนและว่างเปล่า ไร้ซึ่งความคิดต่างๆ นานา ปกคลุมลงมาเท่านั้น

ทั้งสองคนปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอในอ้อมกอดของกันและกัน ฮาจุนยังคงเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปครึ่งหนึ่งแต่ก็ไม่ได้หมดสติ มูคยอมซึ่งเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อน ใช้มือเสยเส้นผมเปียกชื้นของฮาจุนขึ้น สัมผัสจากมือที่ไล่ตั้งแต่ขอบตา ขมับ และสางเข้าไปถึงหนังศีรษะที่อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เขารู้สึกดี ฮาจุนกลั้นเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ยังเล็ดลอดออกจากปากตามอำเภอใจจนกระทั่งตอนนั้น แล้วกะพริบตาช้าๆ

มูคยอมที่เงียบอยู่พักหนึ่ง เผยความรู้สึกอันซื่อตรงออกมาแผ่วเบา

“ขอโทษนะ ฉันเอาแต่ใจมากเกินไป”

ฮาจุนปรือตาขึ้นอย่างรู้สึกหนัก เขาฝังตัวสู่อ้อมอกของมูคยอมพร้อมกับพยักหน้าโดยมีความหมายว่าเห็นด้วย จากนั้นก็ตอบอีกคนอย่างอ่อนแรง

“คราวหน้าถ้าจะใช้… ก็อย่าใช้หลายๆ อันในครั้งเดียวแล้วกัน…”

ความหฤหรรษ์ที่ไม่คุ้นเคยและการทดลองแปลกใหม่มันก็ดีอยู่หรอก แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ต่างก็หมกมุ่นกับสถานการณ์ที่มีประสบการณ์ไม่มากกันเกินไป ฮาจุนคิดอย่างเหม่อลอยแล้วพูดต่อ

“ถ้าคิดว่าเป็นที่ระลึกสำหรับส่งท้ายปี… ก็ไม่แย่นะ”

“สนุกพอตัวใช่ไหม”

“แต่ก็เหนื่อยมาก คงทำบ่อยๆ ไม่ไหวหรอก”

ฮาจุนลูบท้องช้าๆ เพราะรู้สึกเหมือนยังคงเกิดอาฟเตอร์ช็อคในร่างกายอย่างต่อเนื่อง เมื่อทำแบบนั้น มูคยอมก็ขมวดคิ้วพร้อมถามขึ้น

“เจ็บเหรอ”

“เปล่า… ไม่เจ็บ”

มูคยอมเริ่มนวดหน้าท้องเขาเหมือนเวลาปลอบประโลมอาการปวดท้อง ฮาจุนไม่รู้สึกปวดแต่ฝ่ามืออุ่นที่ช่วยลูบไล้ตรงท้องก็ทำให้รู้สึกดี เขาจึงปล่อยให้อีกคนทำไป

ในขณะที่ยังมึนเบลอ เขาก็ลงบทสรุปได้ว่าพวกของเล่นผู้ใหญ่ก็คล้ายกับอุปกรณ์ส่วนใหญ่ เหมือนกับเวลาฝึกซ้อม เมื่อยืมความสามารถของอุปกรณ์หรือเครื่องมือแต่ละอันมา ประสิทธิภาพก็จะเพิ่มสูงขึ้นหน่อย หรือไม่ก็ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งยากที่จะไปถึงตรงนั้นได้ด้วยการออกกำลังกายตัวเปล่า แต่สุดท้าย การออกกำลังก็คือการขยับร่างกาย เซ็กส์เองก็เช่นเดียวกัน

ฮาจุนพยายามกะพริบตาที่จวนจะปิด ความสุขสมรูปแบบใหม่กับจุดสุดยอดอันต่อเนื่องทำให้ร่างกายอ่อนล้าเหมือนกระสอบสำลีเปียกๆ หากเป็นแบบนี้ ฮาจุนกังวลว่าจะไม่ได้ดูพลุแล้วผล็อยหลับไป

“เดี๋ยวฉันปลุก นายพักสายตาสักแป๊บสิ”

คงอ่านความคิดแบบนั้นของฮาจุนได้ มูคยอมซึ่งกำลังใช้มือสางผมชื้นเหงื่อจึงกระซิบถ้อยคำหวานอันแสนยั่วยวนที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้

“ข้าวเย็นล่ะ…”

“นายนอนสักหน่อยแล้วค่อยสั่งรูมเซอร์วิสมากินกัน โรงแรมนี้อาหารอร่อย”

เมื่อได้ยินคำว่ารูมเซอร์วิส ในท้องของฮาจุนก็ส่งเสียงโครกครากดังลั่นราวกับพร้อมเดินเครื่อง เสียงนั้นคงส่งไปถึงฝ่ามือของมูคยอม อีกฝ่ายจึงหัวเราะออกเสียง

“จะกินข้าวก่อนไหม”

ฮาจุนส่ายหน้า ตอนนี้ความต้องการนอนหลับนำหน้าความอยากอาหารอย่างไม่ทิ้งฝุ่น

ถึงอย่างนั้น ขนตาดำยาวก็ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้าอีกหลายครั้งอย่างดื้อดึงไม่น้อย แล้วในที่สุดก็ปิดสนิท ฮาจุนฝากร่างกายไว้กับคลื่นความง่วงงุนที่โหมซัดราวกับคลื่นยักษ์แล้วเคลิ้มหลับไปราวกับหมดสติ

มูคยอมกำลังคุยกับใครบางคนทางโทรศัพท์ที่ถูกจัดไว้ในโรงแรม

ฮาจุนเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นแต่ยังไม่ลุกขึ้น ฟังเสียงของอีกฝ่ายทั้งที่ยังมุดหน้ากับหมอน เสียงพูดที่ลดให้แผ่วเบาราวกับพยายามจะไม่ปลุกฮาจุนทั้งสงบและน่าฟัง

สีหน้ายามพูดคุยจริงจังไม่น้อย ฮาจุนสงสัยว่าคุยเรื่องอะไรจึงตั้งใจฟังแล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังสั่งรูมเซอร์วิสที่พูดถึงก่อนเขาหลับ มูคยอมกำลังพลิกหน้าหนังสือเมนูอาหารที่จัดเตรียมไว้ในห้องพร้อมกับพูดชื่ออาหารนู่นนี่ออกมา ในที่สุดฮาจุนก็หลุดหัวเราะเบาๆ

ถึงคุยโทรศัพท์อยู่แต่ก็คงได้ยินเสียงหัวเราะของฮาจุน มูคยอมจึงหันหน้ามา เมื่อสบตากัน อีกคนก็จบบทสนทนาด้วยการพูดว่า “รบกวนด้วยนะครับ” แล้วเดินมาที่เตียง

“ตื่นก่อนปลุกอีกนะเนี่ย”

“ฉันหลับไปนานไหม”

“ประมาณสองชั่วโมง”

มูคยอมสวมชุดคลุมอาบน้ำ ฮาจุนลดสายตาลงสำรวจร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง คราบน้ำรักและเหงื่อไคลถูกทำความสะอาดจนผิวลื่น แต่หัวที่ไม่ได้สระก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่เล็กน้อย เขาลุกขึ้นเพราะอยากอาบน้ำอีกรอบ

“ฉันจะอาบน้ำสักหน่อย”

“โอเค ระหว่างนั้นฉันจะขอให้เขาเปลี่ยนผ้าปูให้ด้วย นายค่อยๆ อาบก็ได้”

ฮาจุนส่งยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ แค่อาบน้ำก็กี่รอบต่อวันแล้วล่ะเนี่ย เมื่อจุ่มตัวลงในอาบอ่างน้ำกว้างสบาย ความง่วงที่คั่งค้างอยู่ถึงตอนนี้ก็ถูกน้ำชำระล้างไปหมด สติคมชัดมากขึ้น แล้วความรู้สึกสมจริงที่ว่าวันนี้เป็นการใช้เวลาข้ามปีร่วมกันกับมูคยอมเป็นครั้งแรกก็คืบคลานเข้ามาอย่างฉับพลัน

พอคิดว่าจะได้ต้อนรับปีใหม่ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าควรทำแบบนั้น ฮาจุนจึงล้างร่างกายทุกซอกทุกมุมอีกหนึ่งรอบ เสร็จแล้วจึงสวมชุดคลุมอาบน้ำสีขาวตัวนุ่ม เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ผ้าปูที่นอนก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีใหม่ในระหว่างนั้นตามที่มูคยอมพูดไว้ พอมองดูเตียงนอนขาวสะอาดที่เป็นระเบียบขึ้นราวกับกิจกรรมเริงรมย์ก่อนผล็อยหลับเป็นเรื่องโกหก ฮาจุนก็รู้สึกสดชื่น

รูมเซอร์วิสก็มาส่งเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก เมนูที่มูคยอมสั่งมา ถูกจัดเป็นเซ็ตตรงตามความชอบของฮาจุนเป๊ะๆ ซึ่งตัวฮาจุนชอบกินอย่างหนำใจจนกว่าจะยัดต่อไปไม่ไหว มีทั้งซุปที่ใส่เบซิลกับมะเขือเทศ ผักย่างที่มีดอกกะหล่ำรวมถึงเห็ดหลากหลายชนิด ซี่โครงแกะที่ถูกปรุง และเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทาเนยกระเทียม สเต๊กเนื้อวัว ซีซาร์สลัดใส่ล็อบสเตอร์ ขนมปังกับปาเตและชีส เชอร์เบทที่ทำจากเสาวรส

“ฉันสั่งมาให้เรากินกันพอ ถ้าเยอะไปค่อยเหลือไว้”

มูคยอมพูดแบบนั้นแต่ฮาจุนไม่คิดจะกินเหลือ มูคยอมเองก็น่าจะเหมือนกัน คนสองคนค่อนข้างหิวจัดจึงกินอาหารไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดคุยอะไรอยู่พักหนึ่ง

“อร่อยใช่ไหม”

“สุดๆ”

มีการสนทนาโต้ตอบกันสั้นๆ เป็นครั้งคราว

จานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ หมดเกลี้ยงไปทีละจานสองจานตามที่คาด มูคยอมรวมจานเปล่าไปวางไว้ใกล้ๆ ประตูด้วยตัวเองแล้วกลับมาที่โต๊ะ

ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกถังน้ำแข็งใส่แชมเปญกับน้ำมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยแล้วนั่งลงบนโซฟาที่หันออกไปทางหน้าต่างกระจกกว้างเต็มหนึ่งด้านผนัง ฮาจุนดูเวลา พอกินอาหารมื้อค่ำกว่าปกติเสร็จ ตอนนี้จึงเหลือเวลาอีกไม่เท่าไรที่จะถึงช่วงจุดพลุ

“ชนแก้วกันก่อนระหว่างรอไหม”

มูคยอมรินแชมเปญใส่แก้วทรงเรียวยาว สองคนที่นั่งเคียงข้างกันชนแก้วที่บรรจุน้ำสีทองเบาๆ เสียงใสกังวานลอยมาจั๊กจี้หูเล็กน้อย

ฮาจุนอมยิ้มแล้วเอ่ยปากพูดขึ้น

“คิมมูคยอม ปีนี้ก็เหนื่อยมามากเลยนะ”

“โค้ชต่างหาก มัวแต่ใช้ชีวิตแบบมีคิมมูคยอมติดสอยห้อยตามก็เลยลำบากมากเลย”

ทั้งสองคนกลืนแชมเปญรสหวานอมเปรี้ยวหนึ่งอึกให้พอชุ่มคอ จากนั้นก็ถือแก้วไว้พร้อมก้มลงมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ

เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ในตัวเมืองลอนดอนน่าจะกำลังรอคอยปีใหม่โดยกกกอดความรู้สึกตื่นเต้นคล้ายๆ กันไว้ พร้อมทั้งมองย้อนกลับไปดูหนึ่งปีที่ผ่านมาและบอกเล่าความปรารถนาสำหรับปีที่ใกล้จะมาถึง บางคนน่าจะกำลังถูจมูกที่รู้สึกเย็นเยียบอยู่นอกบ้านโดยไม่สนใจความหนาวเหน็บ บางคนก็น่าจะกำลังจับจองพื้นที่ริมหน้าต่างเหมือนพวกเขาสองคนพร้อมกับรอให้ท้องฟ้าส่องสว่างขึ้นอย่างคาดหวัง

‘ที่เกาหลีน่าจะเข้าสู่ปีใหม่ไปแล้วสินะ เดี๋ยวต้องโทรศัพท์ไปหาทีหลัง’ ฮาจุนคิด เขารู้สึกว่าหนึ่งปีก่อนที่เคยดูถ่ายทอดตีระฆังคืนส่งท้ายปีในทีวีกับครอบครัวนั้นผ่านมาเนิ่นนานแล้ว

“จริงๆ แล้ว ต่อให้บอกว่าเป็นวันสุดท้ายของปี แต่จนถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่เคยใช้เวลาแบบนี้มาก่อนเลย”

เสียงของมูคยอมที่ทอดสายตามองวิวกลางคืน ดังแหวกบรรยากาศตื่นเต้นเข้ามาอย่างแผ่วเบา ฮาจุนเบนสายตาไปหาอีกฝ่าย มูคยอมยังคงจับจ้องไปนอกหน้าต่าง

“อื้อ”

“หันกลับไปดูหนึ่งปีที่ผ่านมา… ก็ไม่แย่นะ ไม่สิ ดีเลยละ”

มูคยอมยิ้มแห้งเจือความรู้สึกผิดแล้วทอดสายตามองฮาจุน

“ถึงจะเต็มไปด้วยเรื่องที่ทำให้นึกเสียใจทีหลังหลายๆ แบบเมื่อมองย้อนกลับไปก็เถอะ”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ การใช้ชีวิตแบบไม่ให้มีเรื่องเสียใจมันยากเกินไป”

“ก่อนได้เจออีฮาจุน ฉันคิดว่าชีวิตของฉันไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเสียใจทีหลังแล้ว… ไม่ใช่เพราะฉันเก่งกาจอะไรหรอก แต่ก็แค่ไม่ชอบมองย้อนกลับไปเฉยๆ”

ฮาจุนรับรู้ถึงความจริงใจที่แฝงอยู่ในคำตอบรับสบายๆ เขามองหน้ามูคยอมครู่หนึ่งแล้วยกยิ้มบาง

“ฉันก็ด้วย เพราะถ้ายึดติดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็จะเหนื่อยมากกว่า”

“แต่ปีนี้มันต่างออกไปนิดหน่อย เรื่องที่ฉันอยากนึกย้อนกลับไปมีมากขึ้น

ถึงไม่ใช่เรื่องดี ถึงจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังก็ตาม ทั้งที่ฉันเคยเอาแต่ตั้งใจสลัดเรื่องที่ผ่านไปแล้วทิ้งไปอยู่ตลอดแท้ๆ”

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วย่อมทำอะไรไม่ได้ การขบคิดเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ จึงทำได้เพียงตั้งใจทุ่มสุดกำลังกับเรื่องที่อย่างน้อยก็สามารถทำได้ในตอนนี้เท่านั้น ต้องก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันหลัง เช่นเดียวกับม้าแข่งที่รู้จักแค่การมุ่งตรงไป

ที่กล่าวมาคือวิธีการที่คิมมูคยอมใช้ชีวิตมา คิมมูคยอมในตอนนี้เป็นแบบนั้น วิ่งมาโดยเชื่อมั่นว่าวิธีการของตัวเองไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไขว่คว้าความสำเร็จที่ปรารถนาอย่างแรงกล้าไว้ได้ จึงไม่เคยนึกเสียใจกับเรื่องนั้นเลย

แต่ถ้าคิมมูคยอมเป็นคนที่รู้จักหย่อนใจลงสักหน่อยจะดีมากแค่ไหนกัน

ถ้าหากรู้ว่าการที่ม้าแข่งหยุดพักแล้วหันกลับไปมองหลังเป็นครั้งคราวไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แถมเป็นกระบวนการตามธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ

ถ้าหากมูคยอมได้เรียนรู้เร็วขึ้นอีกหน่อย ว่าชีวิตของคนเราไม่ได้ประกอบขึ้นเป็นเส้นตรงเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับถนนหนทางทั่วๆ ไป มีทั้งเส้นทางที่ต้องเบี่ยงออกหรือหักเลี้ยว บางครั้งจึงต้องผ่านพื้นที่นั้นไปก่อนจึงจะมุ่งต่อไปข้างหน้าได้…

ถ้าเป็นแบบนั้น คิมมูคยอมก็คงจะไม่หวาดกลัวอีฮาจุนที่ทำให้ตัวเองต้องหันกลับไปมองเส้นทางที่ผ่านมาแล้วอยู่บ่อยๆ และคงจะไม่สร้างบาดแผลให้อีฮาจุนอย่างไร้ประโยชน์ด้วย คงจะบอกรักเร็วขึ้นกว่าเดิม และทำให้อีฮาจุนมีความสุขยิ่งขึ้นกว่านี้…

มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่นเพื่อกล้ำกลืนความเสียใจที่กระหน่ำเข้ามาเป็นแถวอีกครั้ง เหมือนกับที่มีมาเป็นร้อยๆ รอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ฉัน… ขี้ขลาดกว่าที่เห็นนะ ทำเป็นก้าวต่อไปข้างหน้า แต่จริงๆ ก็คงกลัวเลยไม่อยากมองย้อนกลับนั่นแหละ เพราะถ้ามองกลับไปก็รู้สึกเหมือนจะมีพวกวิญญาณไล่ตามมา ฟังดูงี่เง่าใช่ไหม”

“ไม่หรอก ฉันก็เข้าใจว่าเป็นยังไง ถึงในกรณีของฉันจะเหมือนมีหินกลิ้งตามมามากกว่าวิญญาณก็เถอะ”

ทั้งสองคนยิ้มให้กันแล้วมูคยอมก็จับมือของฮาจุนก่อน โชคดีแล้วที่การใช้ชีวิตแบบพยายามไต่เต้าและมุ่งไปข้างหน้าอย่างกดดัน หลงเหลือความสำเร็จเอาไว้ให้

“ทั้งปีก่อน แล้วก็ปีนี้ ฉันยังบกพร่องอยู่อีกเยอะ”

“ฉันก็ด้วยนั่นแหละน่า…”

“แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่คิมมูคยอมเป็นคนมุ่งมั่น เป็นคนพัฒนาเร็ว สองเรื่องนี้ ทั้งฉันทั้งคนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับกันหมดนี่ ปีหน้าฉันก็จะเป็นคนที่ดีขึ้น มีเรื่องนั้นเรื่องเดียวที่ฉันสัญญาได้จริง”

“ฉันต้องรู้ดีที่สุดอยู่แล้วว่า คิมมูคยอมเป็นนักกีฬาแบบไหน”

ฮาจุนพยักหน้าแล้วทิ้งตัวพิงโซฟาพลางกลอกตา

“นั่นสินะ ตั้งเป้าหมายสำหรับปีหน้าไว้ก็น่าจะดี ปีหน้าฉันจะฝึกทำอาหาร

ฉันก็อยากทำของอร่อยๆ ให้นายเยอะๆ เหมือนกัน”

“บอกว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไรไง ยังจะพูดแบบนั้นอีก”

“ฉันอยากทำ”

“อืม… ถ้าฝึกเดี๋ยวก็เก่งขึ้น เพราะเรื่องใช้มีด เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องมือที่ใช้แทนกันได้อีกเยอะ การทำอาหารขั้นพื้นฐานน่ะ แค่ทำตามลำดับเป็นระบบก็ทำได้แล้ว นายเก่งอะไรแบบนั้นนี่ ตอนนี้นายคิดไปก่อนว่าทำไม่ได้ก็เลยจับจุดไม่ถูกน่ะสิ”

คำพูดของมูคยอมทำให้ฮาจุนทำสีหน้าพึงพอใจ มูคยอมพูดต่อ

“ปีหน้าฉันอยากชนะเลิศในแชมเปียนส์ลีก”

“ฉันด้วย”

“อยากลองคว้าสักสามแชมป์ ถ้าทำได้สักครั้งก่อนเลิกเล่นฟุตบอลก็คงดี”

“สักวันต้องทำได้แน่”

“ถ้าได้กลับบ้านที่โซลช่วงใบไม้ผลิก็ดีเหมือนกัน ฉันอยากดูดอกไม้กับนาย”

“ใช่ๆ ไปกันให้ได้นะ ตอนดอกไม้บานน่ะสวยมากจริงๆ”

“ถ้าได้ไปเที่ยวเยอะๆ ด้วยก็คงดี ปีนี้งานยุ่งเกินไป ขนาดใกล้ๆ ยังแทบไม่ได้ไปเลยใช่ไหมล่ะ”

“ปีหน้าก็น่าจะยุ่งอยู่ดี… แต่นับจากปีหน้าเป็นต้นไป ฉันก็เป็นโค้ชอย่างเป็นทางการแล้ว น่าจะมีเวลาว่างมากขึ้น คนอื่นพูดอยู่ตลอดเลยว่าช่วงเป็นอินเทิร์นน่ะยุ่งที่สุด”

“ปีนี้ฉันเล่นเปียโน เพราะงั้นปีหน้าก็จะหาเรียนอย่างอื่นแล้วมาเซอร์ไพรส์อีฮาจุน”

ฮาจุนหัวเราะออกเสียง มูคยอมทอดสายตามองท่าทีของอีกคนโดยหลงลืมคำพูดไปชั่วขณะ อีฮาจุนที่กำลังหัวเราะอย่างไม่มีเรื่องคาใจ ส่องประกายยิ่งกว่าแสงไฟที่ส่องสว่างให้ทิวทัศน์ยามค่ำคืน ไม่สิ ยิ่งกว่าแสงแดดยามเช้าด้วยซ้ำ

มูคยอมนึกถึงอีกคนตอนเจอกันครั้งแรก ถึงกำลังฉีกยิ้มแต่ก็บอบบางเหมือนกระดาษที่พร้อมจะยับยู่ยี่ในอีกไม่ช้า ทั้งยังเหมือนกับดอกไม้ป่าก้านยาวที่ถูกก่อกวนด้วยลมฝนตลอดทั้งคืน จากนั้นทำให้กลีบของตัวเองแห้งลงภายใต้แสงแดดอย่างยากลำบาก

ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฮาจุนเหมือนต้นไม้ที่ใบโบกสะบัดอย่างอารมณ์ดียามสายลมพัดและจะไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ใบหน้าที่ยิ้มอย่างสดใส แม้จะทำท่าเหยเกแต่ก็คงจะไม่ยับยู่ยี่ เวลาอยู่ด้วยกันฮาจุนมักทำสีหน้าแบบเดียวกับคนที่รับรู้ว่าตนเองถูกรัก

นี่คือภาพลักษณ์ตามธรรมชาติของผู้ชายที่ชื่อว่าอีฮาจุน อาจจะน่าหมั่นไส้ไปบ้าง แต่พอคิดว่าคิมมูคยอมน่าจะมีอิทธิพลต่อการที่อีกคนแปรเปลี่ยนมาเป็นเหมือนตอนนี้ เขาก็หัวใจเต้นรัวแรงยิ่งกว่าตอนได้ถือถ้วยชนะเลิศเสียอีก

“ได้เวลาแล้ว”

เขายื่นมือไปหาอีกคนโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วฮาจุนก็มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมพูดขึ้น มูคยอมก็เบนสายตาไป

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ปีใหม่ก็ขยับใกล้เข้ามาจนอยู่เพียงแค่ปลายจมูก ป้ายไฟอันมหึมาตรงลอนดอนอายเข้าสู่ช่วงนับถอยหลัง แสงไฟกะพริบวิบวับทุกครั้งที่วินาทีผันเปลี่ยน

แก็ง–

เสียงระฆังหนักอึ้งของหอนาฬิกาบิกเบนดังขึ้นบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน พร้อมกันนั้น พลุชุดแรกก็พุ่งทะยานขึ้นมา ไฟสีแดงลากยาวเป็นเส้นตรงสามเส้นขึ้นไปบนผืนฟ้าอันมืดมิดแล้วระเบิดออกเป็นวงใหญ่บนจุดสูงสุด ไม่นานท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เริ่มส่องสว่างสีแดงฟ้าสลับกันไม่มีหยุด ระฆังเคาะต่อเนื่องจนครบ

สิบสองครั้ง

ด้านในห้องที่จงใจปิดไฟให้มืดไว้ สีของดอกไม้ไฟที่ละเลงบนท้องฟ้าสะท้อนมาเปลี่ยนสีใบหน้าของคนทั้งสอง เสียงพลุระเบิดดังทะลุหน้าต่างบานใหญ่

ฮาจุนจับจ้องท้องฟ้าตาไม่กะพริบ มูคยอมที่เคยทอดมองทิวทัศน์นั้นด้วยกันกลับเบนสายตามาทางฮาจุนที่กำลังดูพลุอยู่ พลุแต่งเติมลวดลายให้แผ่นฟ้าอย่างสวยงามไม่หยุดพัก ใบหน้าด้านข้างสะท้อนกับแสงสีทอง ทำให้กรอบหน้าทอออกมาเป็นสีส้มอมแดงดูอบอุ่น

ขอแค่ได้มองดูภาพนี้อยู่ข้างๆ กันไปทั้งชีวิต

เขานับเลขเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อทะลักขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮาจุนพูดเรื่อยเปื่อยราวกับคุยคนเดียว

“พอได้เห็นกับตาก็สุดยอดจริงๆ…”

“อือ”

มูคยอมตอบสั้นๆ แล้วเบนสายตากลับไปมองด้านหน้าเช่นกัน การจุดพลุที่ถูกจัดขึ้นเป็นอีเวนต์ต้อนรับปีใหม่ในทุกปี ปีนี้กลับทำให้อารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ

สำหรับคิมมูคยอม สิ่งที่เรียกว่าชีวิตก็คงจะคล้ายคลึงกับพลุพวกนั้นไม่ใช่เหรอ พุ่งทะยานขึ้นสูงเท่าที่จะทำได้แล้วเผาไหม้อย่างตระการตา มักจะนึกถึงวินาทีนี้กับวันพรุ่งนี้ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ไม่เคยปรารถนาอะไรมากเกินกว่านั้นเลย

เขารู้ว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองก็จะอายุมากขึ้น แล้ววันที่ไม่สามารถลงไปยืนบนสนามได้ก็จะมาถึง วันที่ต้องถอยลงมาจากจุดสูงสุด มองสิ่งต่างๆ ตามสัจธรรมมากขึ้น และยอมรับว่าชีวิตที่ไม่สามารถเจิดจรัสได้อีกคือส่วนหนึ่งของตัวเองก็จะมาถึงเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากจุดพลุให้ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ อยากบดบังการมองเห็นด้วยแสงแสบตาและมัวเมาอยู่ในเกียรติยศและความเพลิดเพลินของห้วงเวลาหนึ่ง

มูคยอมจินตนาการถึงอนาคตอันห่างไกลเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรือวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง แต่เขาลองฝันถึงคืนวันที่ยังไม่ใกล้เข้ามา ตอนนี้เขาทอดมองทุกสิ่งที่เคยหลีกเลี่ยงและเพิกเฉยมาตลอดโดยไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับขบคิดเรื่องความสุข ไม่ใช่แค่เรื่องการมีชีวิตอยู่

“อีฮาจุน”

“หืม”

“ขอบคุณนะ”

ฮาจุนหันหน้ามาจากที่ทอดมองด้านนอกหน้าต่าง มูคยอมพูดต่ออย่างจริงจัง

“ตั้งแต่ได้เจอกับนาย… ฉันก็รู้สึกเหมือนโลกมันเปลี่ยนไป แค่มีนายอยู่ข้างๆ ฉันก็ไม่หวาดกลัวสิ่งที่เคยกลัว และสามารถทำสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ เมื่อก่อนถึงจะขึ้นปีใหม่ ฉันก็ไม่ได้มีความประทับใจอะไรเลยสักนิด แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม”

“…เพราะฉันเหรอ…”

“แน่นอนสิ เรื่องนี้มีแค่โค้ชอีคนเดียวที่สามารถทำได้”

ฮาจุนจ้องมองมูคยอมครู่หนึ่งพร้อมกับกระอึกกระอักราวกับทำอะไรไม่ถูก จากนั้นไม่นานก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดตอบ

“ได้ยินตัวทำคะแนนของทีมพูดแบบนั้น สำหรับโค้ชก็เป็นคำชมที่ดีที่สุดแล้วละ”

“ฉันยังบกพร่องอยู่เยอะ… แต่จากนี้ไป ฉันก็จะพยายามเป็นคนแบบนั้นสำหรับนายเหมือนกัน”

ทันใดนั้น ฮาจุนก็ทำตาโต ตาขาวสะท้อนแสงพลุนอกหน้าต่างจึงถูกระบายเป็นหลากสีสัน ดวงตาเบิกกว้างราวไม่อยากจะเชื่ออยู่นิดหน่อย แต่ไม่นานก็โค้งหยี

คราวนี้อีกคนยกยิ้มในแบบที่ดอกไม้ไฟซึ่งสว่างไสวในความมืดก็ยังอาย จากนั้นก็ตีไหล่มูคยอมเบาๆ พร้อมพูดขึ้น

“พูดอะไรของนาย คิมมูคยอมเป็นคนแบบนั้นสำหรับฉันมาเสมอตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมเองก็ลืมตาค้างเหมือนฮาจุนเมื่อครู่นี้ ไม่นานก็ขยับตัวเข้าหาคนที่นั่งอยู่ข้างกายให้แนบชิดยิ่งขึ้นแล้วรั้งอีกคนเข้ามากอด สุดท้ายน้ำตาก็ซึมออกมานิดหน่อย แต่คนรักผู้รอบคอบก็ไม่เอ่ยล้อหรือกล่าวถึงความจริงเรื่องนั้น เมื่อเขาประทับริมฝีปากลงบนแก้มที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ก็ได้รับจูบกลับคืนมา รอยยิ้มที่คั่งค้างอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ดูน่าดึงดูดราวกับผลไม้สุกงอม

หลังได้คบหากับฮาจุน ความคิดที่เคยสงบอยู่เสมอก็โผล่ขึ้นมาอย่างเงียบงันตรงซอกหนึ่งลึกๆ ในใจของมูคยอม ความสงสัยว่าสุดท้ายแล้วความรู้สึกที่เรียกว่าความรักจะคงอยู่ต่อไปนานแค่ไหน ความกังวลว่าคิมมูคยอมผู้มีความรักจะสั่นคลอนและแตกสลายง่ายดายกว่าคิมมูคยอมก่อนได้รู้จักความรัก ความรู้สึกผิดว่าการเป็นคนรักกับตัวเองอาจกำลังทำให้อีฮาจุนเป็นคนที่อ่อนแอและรู้สึกขาดแคลนยิ่งกว่าเดิม ความสงสัยเกี่ยวกับจุดบกพร่อง ความไม่แน่นอน และผลลบทั้งหมดนั้น

คำถามใหม่ถูกโยนมาให้ราวกับย้ำความมั่นใจแล้วก่อให้เกิดคลื่นวงกลมระลอกใหญ่บนผิวน้ำที่พวกเขาจมดิ่งอยู่

“โค้ช สวัสดีปีใหม่นะ”

“สวัสดีปีใหม่ นายด้วยนะ”

ความรักทำให้คนเราอ่อนแอหรือเปล่า

พลุที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้ ทลายความมืดมิดไม่เหลือชิ้นดี ราวกับได้ตอบคำถามของมูคยอม ชิ้นส่วนของแสงที่กระจายตัวออกอย่างพร้อมเพรียง ร่อนลงสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้าราวฝูงปลาที่แหวกว่ายบนท้องฟ้า แฮปปี้นิวเยียร์ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกราวกับได้ยินเสียงกู่ร้องที่ผู้คนตะโกนเป็นเสียงเดียวกันอยู่รางๆ

หลังการจุดพลุจบลง ท้องฟ้าก็ยังสะท้อนแสงจากพื้นดินที่คึกคักเมื่อเข้าสู่วันปีใหม่จึงยังไม่มืดสนิท สองคนบนโซฟาก็ยังพูดคุยว่าสวยมากจริงๆ และโปรยยิ้มพร้อมชวนกันให้มาดูอีกครั้งในปีหน้า

ทั้งสองบอกเล่าเรื่องที่อยากทำและสถานที่ที่อยากไปในปีใหม่หนึ่งปีนี้

รวมถึงเป้าหมายที่อาจจะฟุ้งซ่านไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ทำไม่ได้เสียทีเดียว เสียงพูดดังก้องขึ้นไปสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับโคมลอยแล้วประกาศให้ความมืดมิดได้รับรู้ คืนแรกของปีที่ได้ใช้เวลาร่วมกันเป็นครั้งแรกดูท่าจะไม่จบลงจนกว่าดวงตะวันจะโผล่พ้นขึ้นมา

ลูกฟุตบอลกลมๆ เกลือกกลิ้งไปไม่หยุดพัก แม้ยิงเข้าประตูได้แล้ว การแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป และถึงแม้การแข่งขันจะสิ้นสุดลงแล้ว ลีกก็ยังคงยาวนานต่อเนื่อง บางวันก็คว้าชัยชนะ บางครั้งก็แพ้พ่าย เพียงแต่การร่วมทีมของทั้งสองเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นตอนนี้เท่านั้น

ฮาจุนค่อยๆ เอาเครื่องนวดที่ถูไถหัวไหล่ของตัวเองมาตรงหน้าพลางพึมพำ

“ถ้างั้น…หรือว่าพวกนี้ทั้งหมด…”

“คงงั้นแหละ กะแล้ว ไม่มีทางที่จะใส่ของปกติทั่วไปหรอก”

มูคยอมหยุดบ่นพึมพำสั้นๆ ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันแล้วก้มลงจ้องมองสิ่งของที่มีวิธีใช้ไม่แน่ชัดซึ่งวางแผ่อยู่บนเตียงจนถึงตอนนี้ราวกับแผงขายอย่างไม่ละสายตา ฮาจุนเหลือบมองมูคยอม

“นายก็ไม่รู้เหรอ ว่านี่ เป็นของ…แบบนั้นทั้งหมด”

“ฉันก็ไม่เคยให้ความสนใจกับของแบบนี้เป็นพิเศษเลยไม่ค่อยรู้”

“คราวก่อน กุญแจมือ… นายก็ซื้อมานี่”

“ตอนนั้นก็มองหาแค่ของที่คล้ายๆ กันอย่างเดียว ฉันรู้ว่านั่นเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน แต่ว่า…ของพวกนี้นี่อะไรเป็นอะไรนะ”

มูคยอมพินิจพิเคราะห์แท่งลูกแก้วที่มีรูปร่างเหมือนเอาลูกกวาดหลายๆ ลูกมาเสียบไว้กับไม้เสียบยาว ตามที่อีกฝ่ายพูด เขาเดาไม่ออกเลยว่าของพวกนี้ใช้อย่างไร เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กเกินกว่าจะมองว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับสอดใส่เพียงอย่างเดียวเหมือนอวัยวะเพศปลอม

ทว่ามูคยอมกลับตั้งอกตั้งใจดูสิ่งของพวกนั้นเป็นอย่างมาก ขัดกับที่บอกว่าไม่สนใจ ฮาจุนเองก็เช่นเดียวกัน ของเล่นที่ร้อยลูกแก้วเข้าด้วยกันมีหลายรูปทรง มีทั้งแบบลูกแก้วใหญ่ ลูกแก้วเล็ก ขนาดโดยรวมก็มีทั้งยาวและสั้น อันที่มีรูปทรงเป็นแท่งจะมีแกนอยู่ด้านในจึงทำให้แข็ง ส่วนอันที่ทำให้มีลักษณะเป็นเชือกก็จะโค้งงอไปทางนู้นทางนี้ได้

ในบรรดาของพวกนั้นมีสิ่งที่ดูหน้าตาเหมือนเครื่องมือทางการแพทย์อยู่ด้วย แท่งโลหะเรียวบางคล้ายตะเกียบทำให้งงเป็นไก่ตาแตกกับวิธีการใช้มากที่สุดแล้ว ของบางอย่างยาวและผิวเรียบ ของบางอย่างมีความขรุขระทั่วทั้งอัน แถมยังดูเหมือนเป็นไม้ที่เอาไว้นวดกดจุดอีกต่างหาก

ยังมีอุปกรณ์ที่เป็นวงรีเรียวๆ อยู่อีก ขนาดมันใหญ่กว่าไข่นกกระทาอยู่นิดหน่อย แล้วถ้ากดปุ่มควบคุมก็จะสั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง พอบอกว่าเป็นของแบบนั้น ก็น่าจะเป็นประเภทที่เอาไว้ใช้แทนอวัยวะเพศชาย แต่ของเล็กๆ แบบนี้จะทำหน้าที่นั้นได้แน่เหรอ ฮาจุนกดเปิดแล้วก็ปิดซ้ำๆ ด้วยความสงสัย พร้อมกับวางมันบนฝ่ามือตัวเองแล้วพิจารณาดู

“อืม”

ทั้งสองต่างก็สำรวจสิ่งของที่แต่ละคนสนใจอยู่เงียบๆ ราวกับทำการวิจัย มูคยอมที่สำรวจหมดทุกซอกทุกมุมอย่างแข็งขัน อุทานเบาๆ ออกมาก่อน

“อันนี้ ฉันรู้แล้วว่าใช้ยังไง”

“ใช้ยังไงล่ะ”

“ดูนี่”

มูคยอมยื่นของเล่นชิ้นหนึ่งจากในบรรดาของเล่นที่ร้อยลูกแก้วเข้าด้วยกันมาตรงหน้า หน้าตามันต่างกับพวกที่รูปร่างคล้ายๆ กันอยู่นิดหน่อย มีก้อนขนสีขาวติดอยู่ใกล้ๆ ห่วงที่ดูเป็นที่จับตรงปลายสุดของลูกแก้วที่ร้อยต่อกันเป็นเส้นเดียว มูคยอมชี้ไปที่ก้อนขนนั้น

“ฉันนึกๆ ดูว่าทำไมต้องห้อยไอ้นี่ไว้ มันคือหาง”

“หางเหรอ”

“ลองคิดดูสิ ถ้าหากเอาอันนี้… ใส่เข้าไปตรงนี้”

มูคยอมพูดคำว่า ‘ถ้าหาก’ พร้อมกับถ่ายน้ำหนักตัวของตัวเองกดฮาจุนนอนลง ฮาจุนอยู่ในสภาพไม่พร้อมป้องกันตัวจึงล้มตัวฮวบลงบนเตียงตามที่ถูกมูคยอมดัน จากนั้นมูคยอมก็คลำมือตรงกลางบั้นท้ายของเขา

“นายก็จะมีหาง”

“…”

“กระต่ายก็จะมีหางกระต่ายโผล่มา”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วหัวเราะราวกับค่อยๆ รู้สึกสนุกขึ้นมา ฮาจุนย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

“นายเพิ่งจะบอกว่าเป็นลูกวัวอยู่เลย”

“เพราะบางครั้งนายก็เหมือนกระต่ายน่ะสิ ไหนๆ ก็ได้รับมาแล้ว มาลองใช้กันเถอะ นายไม่สนใจเหรอ”

ฮาจุนไม่สามารถตอบกลับได้ในทันทีแล้วทำเพียงแค่อ้าปากพะงาบๆ

ไม่สนใจ… เขาไม่สามารถตอบอย่างเด็ดขาดแบบนั้นได้ เพราะเขาเองก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นจึงจับนู่นดูนี่อยู่จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ เพียงแต่กะทันหันแบบนี้เลยเหรอ

…บรรยากาศโรแมนติกมากๆ หลังมูคยอมเล่นเปียโนเสร็จจนถึงเมื่อสักครู่ แต่ทำไมหัวข้อสนทนาถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ อ๋อ ฉันชวนให้แกะของขวัญเองสินะ

ฮาจุนขบคิดและกลัดกลุ้มหลากหลายเรื่องในหัว เขามองแท่งลูกแก้วอันเล็กจุ๋มจิ๋มสลับกับใบหน้าของมูคยอมแล้วพูดขึ้นอย่างระแวดระวัง

“แค่อันนี้อันเดียวนะ”

“ของเล่นที่ฉันอยากลองใช้ก็มีแค่ของประมาณนี้ ต่อให้มันเป็นของปลอมก็เถอะ แต่ฉันคงต้องขอปฏิเสธที่จะใส่ของหน้าตาเหมือนจู๋คนอื่นพวกนั้นเข้าไปในตัวนาย แต่นี่มันไม่เหมือนไง ใครมาเห็นก็รู้ว่ามันคือหางของอีฮาจุนชัดๆ”

ฮาจุนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม รูปลักษณ์ที่มีลูกแก้วกลมๆ ร้อยต่อกันหลายลูกราวไม้เสียบลูกกวาดแล้วติดหางไว้ตรงปลายก็ดูน่ารักไม่หยอก แน่นอนว่าสิ่งที่น่ารักมีเพียงก้อนขนสีขาวเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ภาพชายหนุ่มที่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มวัย ติดหางกระต่ายไว้ตรงก้นนั้นยังห่างไกลกับความน่ารักอยู่มากโข

พอนึกถึงภาพลักษณ์น่าเกลียด เขาก็อายอยู่เหมือนกัน แต่มูคยอมก็สนุกถึงขนาดนั้น แค่นั้นมันจะน่าอายสักแค่ไหนกันเชียว ใครคนอื่นมาได้ยินเข้าคงจะหัวเราะเยาะ แต่อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคิมมูคยอม ตัวเขามีภาพลักษณ์ที่ดูเทียบเคียงได้กับสัตว์อย่างพวกลูกวัว กระต่าย หรือไม่ก็กวางอยู่แล้ว

ถ้าเทียบกับความเป็นชายของมูคยอม ขนาดของลูกแก้วแต่ละลูกก็จัดได้ว่าเล็กจิ๋วจึงน่าจะไม่สร้างภาระให้กับร่างกายถึงขนาดนั้น เขาคิดว่าหากบอกว่าเป็นของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ คงจะรู้สึกขยะแขยงมันนิดๆ เสียอีก แต่พอได้ดูของหลายชิ้นแล้วก็คงความรู้สึกเอนเอียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ฮาจุนถอดเสื้อคลุมอาบน้ำที่สวมอยู่ลวกๆ ออกแล้วมาอยู่ในร่างเปล่าเปลือยไร้สิ่งปิดบัง มูคยอมจับส่วนที่เป็นห่วงจับแล้วหมุนแท่งแก้วดูรอบๆ พร้อมพูดขึ้น

“ไม่ค่อยใหญ่เท่าไรนะ แค่ทาเจลก็น่าจะใส่เข้าไปได้แล้วใช่ไหม”

“อื้อ… ทำแค่นั้นก็น่าจะได้มั้ง”

ฮาจุนก็พยักหน้า มูคยอมเอาเจลออกมาทาลูกแก้วทีละลูกอย่างไม่ตกหล่นราวกับทาน้ำผึ้ง ไม่นานตรงกลางบั้นท้ายของฮาจุนก็ถูกทาให้ลื่นด้วย

มูคยอมทาเจลลงตรงปากช่องทาง จากนั้นก็ยังไม่ลุกขึ้น อีกฝ่ายกอดฮาจุน ดูดดุนใบหูพร้อมกดคลึงและลูบคลำราวกับหยอกล้อรอยจีบเปียกชื้น ทั้งที่เมื่อครู่นี้ทำท่าเหมือนจะสอดใส่ของเล่นเข้ามาทันที มูคยอมหัวเราะเสียงทุ้มราวกับขำการเคลื่อนไหวของปากทางรักที่ขมิบทุกครั้งเมื่อนิ้วปัดผ่าน

ในที่สุดนิ้วก็แหวกเข้ามาด้านในแล้วเบียดแทรกผนังเนื้ออย่างต่อเนื่อง ฮาจุนกลั้นเสียงครางพร้อมบ่นอุบ

“ทำไม ฮ้า… ใช้มือทำแบบนั้น…”

“มีเวลาตั้งเยอะ สัมผัสสักหน่อยแล้วค่อยใส่จะเป็นไรไป”

เมื่อมือหยอกเย้านานขึ้น แกนกายด้านหน้าก็ขึ้นสีชมพูเข้มแล้วตั้งตรงขึ้นมาตามกันในทันที ทันใดนั้น มูคยอมก็ใช้มือลูบไล้ด้านหลังแล้วใช้ลิ้นลากเลียส่วนกลางกาย มือที่เริ่มสัมผัสอย่างแผ่วเบาค่อยๆ ลามไปเป็นการสัมผัสอย่างลึกล้ำมากขึ้น

“อื๊อ ฮื่อ…”

ความกำหนัดอันหวานหอมและซาบซ่าน กวาดผ่านร่างกายราวคลื่นถี่ๆ ฮาจุนยกเอวกับก้นลอยจากที่นอนหลายครั้งพร้อมครางหวะหวิว

มูคยอมทำแบบนั้นอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็ดันตัวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

“ดูตัวแดงขึ้นสิ ตอนนี้เหมาะเจาะที่จะใส่หางกระต่ายแล้ว”

สีเลือดฝาดจางๆ ปรากฏให้เห็นตรงขอบตากับอีกหลายจุดบนร่างกายเรียบร้อยแล้ว ฮาจุนพรูลมหายใจเบาบางพร้อมกับทอดสายตามองสิ่งที่อยู่ในมือมูคยอม หางสีขาวที่ห้อยต่องแต่งนั้นดูเป็นธรรมชาติ

มูคยอมทาเจลให้ของเล่นเพิ่มอีกครั้งจนชุ่ม แล้วคราวนี้ก็ขยับลูกแก้วมาชิดกับปากช่องทาง เมื่อสิ่งแปลกปลอมที่แข็งและไม่คุ้นเคยสัมผัสลงมา ปากทางที่อ่อนนุ่มลงเต็มที่แล้วก็บีบหดพร้อมทำท่าจะหุบเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมูคยอมออกแรงกดลงไปเบาๆ ลูกแก้วกลมก็ผลุบหายเข้าไปในตัวของฮาจุนราวกับถูกดูดทันที

ฮาจุนเปล่งเสียงคราวแผ่วเบาสั้นๆ มูคยอมสังเกตด้านหลังของเขาด้วยสีหน้าระมัดระวังอย่างมาก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตา

“เป็นไง”

“…ไม่รู้สิ… ไม่แน่ใจ รู้สึกว่ามันเข้ามาอยู่แหละ…”

ฮาจุนกลอกตารอบหนึ่งด้วยสีหน้าคลุมเครือแล้วตอบกลับ

เป็นเพราะเขารองรับแกนกายของมูคยอมที่ขนาดพอๆ กับท่อนแขนหรือไม่ก็นิ้วที่ทั้งยาวทั้งหนาทีละสามสี่นิ้วเป็นประจำหรือเปล่านะ แค่ลูกแก้วแท่งเดียวที่กะขนาดด้วยสายตาแล้วทำให้หลุดคำว่าน่ารักออกมาโดยอัตโนมัติ ตอนแหวกช่องทางเข้ามาก็แค่ทำให้รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมและก่อให้เกิดความความใคร่เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากเข้ามาในตัวแล้วก็ไม่มีความรู้สึกผิดปกติใดๆ

มูคยอมก็พยักหน้าราวกับเข้าใจ

“อืม ดูท่าจะเป็นของที่ใช้เพื่อติดหางเฉยๆ จริงๆ นะ”

“คงจะอย่างงั้น เพราะอันที่จริง ถ้าทำเป็นเส้นตรงเรียบๆ ก็คงจะหลุดง่าย”

“ถ้างั้นก็ลองใส่จนเหลือแค่หางกันดูเถอะ”

มูคยอมคงสนุกกับการทดลองใหม่ไม่น้อย อีกคนจึงยิ้มร่าพร้อมกับดันลูกแก้วเข้าไปเพิ่มอีกลูก อีกลูก แล้วก็อีกลูก ลูกแก้วกลมดิกเข้ามาในตัวฮาจุนทีละลูกๆ

ในตอนที่สัมผัสลื่นๆ เย็นๆ ต่างกับเนื้อหนังของคน แหวกรอยจีบเปียกชื้นออก ฮาจุนก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อยจึงสะดุ้งอยู่เรื่อยๆ แต่ก็อ้าขาออกกว้าง นอนเอนตัวพิงหมอนอิงกับหมอนหนุนอย่างว่าง่ายจนกระทั่งลูกแก้วทั้งหมดเข้ามาในตัว

“อึ๊ อือ…”

มูคยอมซึ่งเอาแต่กดเข้ามาข้างใน ดันห่วงเข้าสลับชักออกสั้นๆ พร้อมทำให้ลูกแก้วเข้าๆ ออกๆ ในร่างกายราวกับอยากเย้าหยอก เมื่อฮาจุนครางเสียงแผ่วเพราะส่วนโค้งเว้าระหว่างลูกแก้วกับลูกแก้วกระตุ้นบริเวณใกล้ๆ ปากช่องทางอย่างแผ่วเบา มูคยอมก็ขยับมันอีกหลายครั้งราวกับสนุก แต่การทำให้เขามีหางคงน่าสนใจยิ่งกว่าจริงๆ ไม่นานอีกฝ่ายจึงจดจ่ออยู่กับการดันมันเข้ามาอีกครั้ง

ในที่สุด กระทั่งลูกแก้วลูกสุดท้ายก็ผลุบหายไปไม่ทิ้งร่องรอย ทั้งสองคนเริ่มจากความรู้สึกสบายๆ แต่พอใส่ลูกแก้วเข้ามาในร่างกายจนหมดจริงๆ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงเพราะรู้สึกราวกับเพิ่งทำเรื่องยิ่งใหญ่เสร็จไป แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น มูคยอมยิ้มอวดฟันพร้อมกับจับขาฮาจุนให้แยกออกกว้างขึ้น

หางสีขาวกลมปุกปุยและนุ่มนิ่ม จับจองพื้นที่ตรงกลางก้นขาวและเต่งตึงไม่น้อยหน้ากันอย่างเด่นเป็นสง่า ราวกับเดิมทีตรงนั้นเป็นที่ที่มันควรอยู่ ‘โว้ว ว้าว’ มูคยอมส่งเสียงอุทานไม่รู้ความหมายออกมาสองสามครั้งแล้วรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมา คำพูดของอีกคนรัวเร็ว

“นี่มัน… พูดได้แค่ว่าบ้าไปแล้ว ถ่ายรูปกันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อน! ถ่ายอย่าให้เห็นหน้านะ”

“ถ่ายแค่รูปเดียวไม่ได้เหรอ เป็นรูปพิเศษนี่นา”

“ไม่ได้ เผื่อใครเห็นเข้าล่ะ”

ฮาจุนพูดเตือน จากนั้นก็มุดใบหน้าตัวลงหมอนเพื่อที่ว่าอย่างน้อยถ้าติดเข้าไปในรูปก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมา เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหลายครั้ง อีกฝ่ายจับขาของเขาอ้าออกแล้วหุบเข้าหากันนิดหน่อย แล้วก็จับเปลี่ยนท่าโพสตามอำเภอใจพร้อมกับถ่ายรูปอย่างเริงร่า คราวนี้มูคยอมจับให้ฮาจุนนอนคว่ำ

“ไม่ได้ล้อเล่นนะ เหมือนก้นกระต่ายจริงๆ นายมีหางแล้วดูเป็นธรรมชาติกว่าตอนไม่มีหางอีก ห้ามเอาออกแล้วก็ต้องใช้ชีวิตแบบติดมันต่อไปเรื่อยๆ แล้วสิ”

มูคยอมชื่นชมไม่หยุดพร้อมกับใช้มือลูบๆ คลำๆ ก้นกลมนูน จากนั้นก็สะกิดหางเบาๆ แล้วตบก้นเขาดึ๋งๆ

เมื่อมูคยอมก่อกวนมากเกินไป ความเขินอายที่สะกดกลั้นไว้เป็นอย่างดีก็ล้นทะลักออกมาอย่างพุ่งพรวด ฮาจุนยกใบหน้าที่ฝังอยู่กับหมอนขึ้น หันไปมองอีกคนพร้อมพูดเร่ง

“ถ้าจะถ่ายก็รีบถ่ายแล้วเอาออกได้แล้ว”

“รู้แล้วๆ แป๊บเดียว”

ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังแชะๆ จากด้านหลังอีกรอบ เสียงหยุดเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงคิดว่าในที่สุดก็ถ่ายเสร็จแล้วอย่างนั้นสินะ แต่แล้วมูคยอมก็จับกระดูกเชิงกรานของฮาจุนดึงขึ้นด้านบน ฮาจุนกัดฟันเมื่อกลายมาอยู่ในท่าที่ยกแค่ก้นโด่งขึ้นหาเพดานทั้งที่ยังนอนคว่ำ

ตอนมีเซ็กส์ ต่างคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายจึงพอจะมองข้ามไปได้ แต่เมื่อมีสติเต็มร้อยกันทั้งคู่ แล้วเขาถูกจับให้อยู่ในท่าน่าอายเพียงคนเดียว แถมยังถึงกับถูกถ่ายรูปอีก ความร้อนจึงตีวูบวาบขึ้นมาจากในท้อง ฮาจุนดันร่างกายท่อนบนขึ้นแล้วพลิกตัวหันหน้าไปอย่างว่องไว

“พอได้แล้ว จะถ่ายกี่รูปกัน”

มูคยอมก้มลงมองหางพลางทำสีหน้าเสียดาย

แต่คงคิดว่าหากเอาแต่ถ่ายภาพนู้ดต่อไปอีกก็คงไม่ได้ใช้เวลาด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะยังติดใจ แต่อีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้แล้วประทับริมฝีปากลงบนแก้มแดงจัดพร้อมออดอ้อน

“คราวหน้าเล่นกันอีกเถอะ ฉันจะไปหาซื้อของที่เอาใส่เป็นหางแบบอื่นมาไว้ ทั้งลูกวัว ลูกม้า แกะ กวาง… ฉันจะสั่งทำแยกตามชนิดเลย”

“รู้แล้ว เพราะงั้นวันนี้พอแค่นี้นะ”

เมื่อตอบกลับเสียงบ่นอู้อี้ของอีกคนตามสมควร ความสงสัยอย่างหนึ่งก็แวบผ่านหัวของฮาจุนไป

ถ้านี่เป็นของเล่นเพื่อเอาไว้ประดับก้นคนให้มีหาง แล้วของเล่นลูกแก้วอันอื่นที่ไม่ได้ติดหางไว้ จะเอาไว้ใช้ทำอะไรล่ะ

ในขณะที่คิดแบบนั้น มูคยอมก็เอานิ้วเกี่ยวห่วงที่ติดอยู่ตรงปลายสุดของลูกแก้ว

อีกคนไม่รอช้าแล้วดึงแท่งลูกแก้วที่ดันใส่ไว้ในร่างกายออกเป็นทางพรวดเดียว ลูกแก้วหลายลูกหลุดออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เว้นจังหวะให้ช่องทางได้หุบกลับเข้าที่

“…!”

ไม่มีเสียงถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่อ้าค้าง

คอของฮาจุนแหงนเหยียดไปด้านหลังจากที่เคยก้มลงมองส่วนล่างของตัวเอง จากนั้นร่างกายท่อนบนที่ดันให้เอียงขึ้นอยู่ก็ซวนเซแล้วล้มฮวบลงบนเตียง

ท้อง เอว และขาสั่นระริกอย่างหนักในคราวเดียว ด้านหลังที่โล่งว่างหดรัดตัวราวกับบีบเค้น ก้นหดเกร็ง ส่วนตรงท้องน้อยก็แบนราบ ปลายเท้าขดเข้าหากันแล้วน้ำกามก็ทะลักไหลลงมาจากแกนกายชูชันอย่างไม่ทันตั้งตัว

“…ฮึกกก… อื๊อ…!”

แผ่นหลังเปียกโชกในพริบตา กระทั่งจะส่งเสียงครางออกมาก็ยังเกินกำลัง มูคยอมก้มลงมองฮาจุนน้ำตาไหลออกมาเป็นระยะพร้อมกระตุกเกร็งไปทั้งตัวอย่างงงงัน อีกฝ่ายยังคงเอานิ้วเกี่ยวห่วงของแท่งลูกแก้วที่ชักออกมาทั้งอัน

ไม่นานอีกคนก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจือความประทับใจราวกับรับรู้แล้ว

“อันนี้… ตอนดึงออกแล้วรู้สึกดีสินะ”

มูคยอมโฉบร่างหนังอึ้งของตัวเองทับบนตัวฮาจุน ความสุขสมที่กระหน่ำซัดร่างกายอย่างกะทันหันทำให้ฮาจุนดิ้นเร่าๆ อย่างไม่มีสติ มูคยอมรั้งฮาจุนเข้ามากอดในอ้อมแขน

“ดูท่าพวกเราจะโง่กันทั้งคู่ มันไม่ได้ใช้ติดเป็นหางเฉยๆ จริงๆ ด้วย”

วิธีการพูดของมูคยอมบ่งบอกว่าขำขันกันกับความโง่เขลาของตัวเอง แต่หูของฮาจุนกลับรับเอาใจความนั้นเข้ามาไม่ได้อย่างชัดเจน ความเสียวกระสันในรูปแบบแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสจากการมีเซ็กส์มาจนถึงตอนนี้ ทำให้ในหัวถูกฟอกขาวแล้วการมองเห็นก็หมุนติ้วจนตาลาย

ตอนที่สติกลับคืนมาคือตอนที่สัมผัสลื่นๆ ของสิ่งไม่มีชีวิตแตะลงด้านหลังอีกครั้ง ฮาจุนเงยหน้าพรวดแล้วก้มลงมองส่วนล่างของตัวเอง ลูกแก้วกำลังถูกดันเข้ามาในตัวเขาอีกแล้ว

คราวนี้คืออันใหม่ที่ไม่มีหางห้อยติด ลูกแก้วแต่ละลูกใหญ่ขึ้นนิดหน่อยและมีขนาดโดยรวมยาว มันไม่ได้เป็นแบบแท่งแต่ถูกร้อยเข้าด้วยกันเหมือนเชือกจึงพลิ้วไหวไปได้ทั่วทุกทิศ ฮาจุนส่ายหน้า

“มะ ไม่เอา… อย่าใส่…”

“แค่ครั้งเดียว”

ฮาจุนไม่สามารถต้านทานลูกอ้อนอีกต่อไป ทั้งที่มูคยอมไม่ได้ใส่ของตัวเองเข้ามาแท้ๆ แต่กลับมีอารมณ์จนหายใจหนัก มือดันลูกแก้วเข้ามาในร่างกายเขา ส่วนริมฝีปากก็โฉบลงดูดดุนยอดอกไปพร้อมกัน ฮาจุนสั่นกลัวไปชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากความเสียวซ่านรุนแรงในแบบที่ทำให้ขนลุกเกรียวทั่วทั้งตัวโดยอัตโนมัติลากผ่านไป หัวนมของฮาจุนก็ตั้งแข็งแม้ไม่ได้ถูกแตะต้อง

“ฮื่อ อ๊าาา พอ หยุดใส่ ได้แล้ว…”

“ใช้แบบไม่เข้าใจก็เลยจบแบบน่าเสียดายเกินไป”

“ฮ้า อ๊าาา…”

“ลองทำอีกแค่ครั้งเดียวกัน”

มูคยอมจูบหน้าผากพร้อมโอบไหล่ของฮาจุน ฮาจุนเองก็ถูไถแก้มของ

ตัวเองเข้ากับลำคอของมูคยอม

เส้นผ่าศูนย์กลางของลูกแก้วใหญ่ขึ้น อีกทั้งร่างกายยังทะยานสู่จุดสุดยอดอย่างฉุกละหุกจึงรู้สึกไวขึ้น ส่งผลให้สัมผัสตอนสอดใส่แปรเปลี่ยนไปด้วย ทุกครั้งที่ลูกแก้วหนึ่งลูกเข้าไปอย่างเชื่องช้า ผนังด้านในก็จะคลายตัวออกพร้อมหดบีบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่คุ้นเคยไว้แน่น

ลูกแก้วที่ร้อยเรียงหลวมๆ กับเชือก ต่างกับลูกแก้วที่ยึดอยู่กับแท่งซึ่งแค่ดันตรงห่วงจับก็ยัดเข้าไปด้านในได้โดยธรรมชาติ แบบเชือกจะต้องดันลูกใหม่เข้าไป ลูกที่ใส่ไว้ก่อนหน้าจึงจะถูกชนเบาๆ แล้วผลุบเข้าลึกด้านในกว่าเดิม ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ผนังเนื้อก็จะถูกเบียดดันและถูกกระตุ้นจนทำให้ฮาจุนเอวส่ายไปมาโดยอัตโนมัติ

“ฮึก…”

ถึงอย่างนั้น ในระหว่างที่ใส่เข้าไปก็ยังพอทนไหว เพียงแค่ไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกของสิ่งแปลกปลอมเท่านั้นเอง แรงกระตุ้นกลับเบาบางกว่าตอนนิ้วของมูคยอมถ่ายน้ำหนักกดลงผนังเนื้อด้านในไม่หยุดเสียอีก

แต่เมื่อลูกแก้วเข้ามาในช่องทางด้านหลังครบจนลูกสุดท้าย เหงื่อไคลก็ไหลซึมเพราะความรู้สึกเต็มแน่นไปถึงจุดลึกในตัว ฮาจุนนึกถึงสัมผัสเมื่อครู่ซึ่งเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดแล้วความกลัวก็ค่อยๆ คืบคลาน ฮาจุนปากสั่นพร้อมจับมือของมูคยอม เมื่อเขาทำแบบนั้น มูคยอมก็กดริมฝีปากย้ำๆ ลงบนปลายนิ้ว ข้อมือ ใบหู และลำคอของฮาจุน

“อย่าเกร็งสิ”

“อึก มัน… ไม่เป็น ตามใจนึก…”

ความทรงจำจากความเสียวกระสันอันทารุณที่โฉบตะครุบเข้ามาในสภาพไม่พร้อมรับมือ ทำให้ร่างกายของฮาจุนเกร็งขึ้นอย่างคุมไม่อยู่

เพราะออกกำลังกายมาอย่างยาวนาน ฮาจุนจึงผ่อนคลายร่างกายได้ดีพอสมควรแม้แต่ตอนที่แทบไม่มีประสบการณ์ เขากำลังตึงเครียดอยู่จริงๆ มูคยอมแลบลิ้นเลียลำคอของฮาจุนยาวๆ

อีกคนดูดริมฝีปากของฮาจุนสลับโลมเลียเนื้ออ่อนนุ่มหลายครั้งราวกับตั้งใจจะปลอบประโลมประสาทสัมผัสที่ลุกฮือ มูคยอมสัมผัสลำคอ กระดูกไหปลาร้า และหัวไหล่ จากนั้นก็จับฮาจุนให้นอนคว่ำ

จูบแผ่วเบาและเหือดแห้งกดลงบนบริเวณลำคอด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ตอนแรกฮาจุนรู้สึกตัวอ่อนเปลี้ยเพราะความรู้สึกดีอันเบาบางและอ่อนโยนคล้ายจะจั๊กจี้ และในตอนที่ริมฝีปากกดลงตรงจุดเดิมเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ฮาจุนก็สะดุ้งเบาๆ พร้อมส่งเสียงครวญครางลอดมาจากในลำคอ ริมฝีปากไต่ลงมาตามผิวกายและโฉบผ่านกลางกระดูกสะบักกับข้างใต้นั้น ปัดผ่านบนกระดูกสันหลัง และในตอนที่เฉียดผ่านแผ่นหลังและเอวทั่วทุกหนแห่ง ปากของฮาจุนก็เผยอออกอยู่เรื่อยๆ และทั่วทั้งร่างก็สั่นกระตุกไปด้วย

สัมผัสที่ตามองไม่เห็นปลุกเร้าร่างกายได้มากอย่างไร้สิ่งเทียบเทียม ทั้งยังโอบหุ้มบนผิวอย่างอบอุ่น ทำให้ความตึงเครียดอันหนักหน่วงแตกกระเซิงไป ทุกครั้งที่รู้สึกได้ถึงริมฝีปากหยุ่น ฮาจุนก็จะปรือตาลงอย่างเชื่องช้าแล้วลืมตาขึ้นพร้อมทำสีหน้ามึนเบลอเหมือนคนเคลิ้มจะหลับ

“อ๊า…!”

ริมฝีปากแตะลงตรงส่วนเว้าลึกของปลายกล้ามเนื้อแนวสันหลังซึ่งเชื่อมเอวกับสะโพก ในขณะเดียวกัน ลูกแก้วหนึ่งลูกก็ถูกดึงออกจากตัวของฮาจุนโดยไร้ซึ่งคำเตือน

เมื่อสิ่งของทรงกลมแหวกออกไปจากปากช่องทางที่ไวต่อความรู้สึกอย่างเต็มที่ การสั่นสะท้านด้วยความเสียวซ่านก็สะเทือนภายในท้องกับก้นอย่างวาบหวิว ฮาจุนไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างลงได้ ต้นขาด้านหลังกับปลายเท้าขาวหดเกร็งโดยอัตโนมัติ น่องขาที่เคยวางลงอย่างสงบบนเตียงนอนก็ตั้งขึ้นและสั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่

มูคยอมดึงห่วงที่ติดอยู่กับลูกแก้วออกไปอย่างเชื่องช้า ลูกแก้วแหวกรูรักที่หุบสนิท ไถลหลุดออกมาลูกสองลูก เมื่อส่วนกว้างตามเส้นผ่าศูนย์กลางคาอยู่ตรงปากช่องทาง บริเวณนั้นก็ตึงจนรอยจีบหายสิ้น แล้วเมื่อหลุดออกมาทั้งลูก มันก็จะหุบปิดราวกับไม่เคยเป็นเช่นนั้น

เป็นสัมผัสที่แตกต่างกับตอนแกนกายสอดเข้าออกโดยสิ้นเชิง ตอนรองรับท่อนเนื้อหนา โพรงเนื้อจะต้องอ้าค้างอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ในตอนที่ดึงลูกแก้วออกไป มันจะอ้าหุบสลับกันซ้ำๆ ประสาทสัมผัสที่ว่องไวต่อความกระสันตรงบริเวณปากช่องทางกับโพรงเนื้อตื้นถูกกระตุ้นไม่จบไม่สิ้น

“อื้อ อ๊า… ฮ้า อ๊า…!”

ฮาจุนทำท่าคุกเข่าขึ้นราวกับจะคลานไปข้างหน้า แต่คงไม่มีแรง เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่แล้วทิ้งร่างกายท่อนบนฮวบลงบนเตียงตามเคย

ในตอนนั้นที่ก้นยกโด่งขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ มูคยอมก็จับห่วงดึงแรงมากขึ้น

“อ๊า! อะ อ๊าาาา!”

ฮาจุนตัวสั่นเทาพร้อมแผดเสียงกรีดร้อง ลูกแก้วที่เคยฝังอยู่ในร่างกาย

หลุดเป็นทางออก กระตุ้นและครูดช่องทางที่เปิดอ้าอย่างรุนแรงไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าที่เคยจนถึงตอนนี้

ในตอนที่ลูกสุดท้ายหลุดออกมา การมองเห็นก็ลุกลามเป็นสีขาว เสียงเงียบหายไปแต่ทั่วทั้งร่างกลับส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด ทั้งตัวกระตุกเกร็งราวของที่ใช้การไม่ได้

ด้านหลังขมิบรัวหลังคายลูกแก้วออกติดต่อกัน มูคยอมลูบปลอบก้นที่สั่นงกๆ อย่างอ่อนโยนแล้วกดริมฝีปากประทับลงก้อนเนื้อขาว

“ฉันไม่เคยสนใจ ใช้อุปกรณ์แบบนี้เวลามีเซ็กส์เลยนะ…”

“อะ ฮึก… ฮื่อ อื๊อ”

“แต่นายชอบมันมาก ฉันก็พลอยมีอารมณ์ไปด้วย”

“อะ อื๊อ ไม่ใช่ นะ… ที่ชอบ อันที่ชอบ นั่นมัน…”

คำพูดเรียงสลับกันไม่เป็นภาษา เมื่อมูคยอมกดลิ้นเลียบนรูรักที่ยังหุบไม่สนิทและสั่นระริก เพียงเท่านั้นฮาจุนก็ไม่สามารถพูดต่อไปได้ และในที่สุดก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา

สัมผัสด้วยความรักใคร่อาบปากทางรักบวมแดงจากการถูกกระตุ้นด้วยสิ่งแปลกปลอมแข็งๆ อย่างนุ่มนวล ชุ่มชื้น และหอมหวานจนน่ากลัว ทว่าในตอนนี้ ความรู้สึกอ่อนไหวขึ้นจนหลุดเสียงร้องออกมาเพียงแค่เฉียดผ่าน ฮาจุนจึงรู้สึกถึงความทรมานที่ซ่อนไว้ในสัมผัสหวานล้ำนั้นชัดเจนเกินความจำเป็นด้วยเช่นกัน

ฮาจุนรู้สึกเหมือนอยากอ้อนวอนร้องขอให้ทำต่อไปอีก แต่ก็เหมือนอยากปรามให้หยุดด้วยเช่นกัน เขาไม่สามารถแสดงออกทางใดทางหนึ่งได้เลย ฮาจุนจิกเล็บลงบนผ้าปูพร้อมกับตัวสั่นสะท้าน ในที่สุดเมื่อลิ้นของอีกคนแหวกเนื้อเยื่อเข้ามาอย่างอ่อนโยนแล้วบดคลึงด้านใน ฮาจุนก็น้ำตาไหล ร้องไห้ฮือราวกับเด็กน้อย ด้านหน้าขับน้ำออกมาอีกครั้งจนเปียกนอง

ทันใดนั้น มูคยอมก็คร่อมทับขึ้นมาบนแผ่นหลังแล้วประทับริมฝีปากลงบนแก้ม เค้าของความรู้สึกผิดเจือบางๆ อยู่ในน้ำเสียง

“ทรมานขนาดนั้นเลยเหรอ”

“…รู้สึก… แปลกๆ… ไม่เหมือนตอน… ฮึก ทำกับนาย…”

เมื่อเปิดปากตอบอย่างยากลำบาก มูคยอมจึงขมวดคิ้วราวกับไม่แน่ใจ

“มันดีกว่าจู๋ฉันหรือเปล่า”

“เปล่า… ไม่ได้ดีกว่า มันไม่เหมือนกัน…”

สำหรับอีกคนน่าจะเข้าใจยาก แต่เขาก็ไม่มีวิธีการจะอธิบายแบบอื่นอีก มูคยอมโอบแขนไปทางด้านหน้า ตรงบริเวณหน้าอกของฮาจุนเพื่อกกกอด แกนกายอีกคนตื่นตัวจนร้อนลวกและยังไม่ได้สอดใส่เลยสักครั้ง มูคยอมถูไถมันกับปากช่องทางอย่างแนบชิด

ฮาจุนผวาทุกครั้งที่ส่วนหัวแข็งขึงกับเส้นเลือดขรุขระปัดผ่านรอยจีบ มูคยอมกอดฮาจุนแน่นแล้วแนบริมฝีปากชิดใบหูพลางกระซิบ

“ลองใช้อย่างอื่นด้วยไหม”

“อื๊อ… ตอนนี้ไม่เอา…”

“คราวนี้นายเลือก อันที่ใช้เมื่อกี้ฉันเลือกแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนหันหน้าไปนิดหน่อยแล้วกะพริบตา

ถึงแม้ว่าน้ำตาจะเอ่อคลอตรงขนตาล่าง ส่วนใบหน้าก็เปียกชุ่มไปหมด แต่ความอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไว้ไม่มิดก็แสดงออกมาทางสีหน้า มูคยอมหลุดยิ้มกว้างพลางพรมจูบลงบนแก้มเปียกชื้นดังจุ๊บๆ

ทั้งสองคนลุกขึ้นนั่ง ฮาจุนไล่สายตามองอุปกรณ์ที่ยังคงวางสะเปะสะปะอยู่ทั่วเตียงทีละอัน สิ่งของที่ไม่แน่ใจวิธีใช้ เขาปัดมันตกรอบทั้งหมด ฮาจุนอยากเลี่ยงไม่ให้เผชิญกับสถานการณ์เหมือนตอนใช้ของเล่นลูกแก้วเมื่อครู่นี้ ที่มือใหม่สองคนใช้มันอย่างไม่รอบคอบโดยไม่มีการศึกษาก่อน แล้วมันก็เกินขอบเขตที่คาดการณ์ไว้

“อันนี้…”

เมื่อยื่นมือไปช้าๆ มูคยอมก็หยิบสิ่งนั้นขึ้นมาทันทีแล้วขยับตัวเข้ามาชิด มันเป็นของชิ้นที่ฮาจุนเคยวางไว้บนฝ่ามือแล้วมองพิจารณา

รูปทรงเป็นวงรีเล็กกว่าไข่ไก่แต่ใหญ่กว่าไข่นกกระทา พร้อมทั้งเชื่อมกับรีโมทควบคุมที่บางและน้ำหนักเบาผ่านสายเคเบิล มูคยอมหัวเราะหึๆ

“ฉันรู้จักอันนี้”

“เคยใช้เหรอ”

“ไม่เคย แต่พออยู่ๆ ไปก็รู้จักเอง ตอนเด็กเหมือนจะเคยเห็นในพวกหนังโป๊สองสามครั้ง”

มูคยอมกดปุ่มบนรีโมท ตัวไข่สั่นไหวอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงครืด ฮาจุนก็คาดเดาวิธีใช้ได้พอสมควร มันเป็นอุปกรณ์ที่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณมากกว่าอันอื่นๆ

มูคยอมจับส่วนวงรีแล้วเอาส่วนนั้นที่สั่นพล่านไปแตะตรงหัวนมของฮาจุน ฮาจุนสะดุ้งเฮือกพร้อมหดตัวเข้าหากันเล็กน้อย

“อ๊ะ…!”

“ชอบไหม”

“มันก็… ไม่เชิง… ว่าชอบ มัน… แปลกๆ…”

สัมผัสที่แบ่งแยกออกมาจากการแตะต้องด้วยมือหรือลิ้นทำให้คำพูดของฮาจุนยานคางขึ้น ไม่รู้ทำไมเรี่ยวแรงถึงเหือดหาย ตัวก็อ่อนปวกเปียกและหนักอึ้งเหมือนตอนเป็นไข้อ่อนๆ หรือตอนเมา

ฮาจุนกำลังนั่งเอนหลังพิงหน้าอกของมูคยอม เขาถูหัวด้านหลังกับไหล่ของมูคยอมอย่างเชื่องช้าพร้อมกับรับเอาแรงสั่นสะเทือนรัวแรงที่ละเลงลงตรงยอดอก แรงสั่นที่ถูกมอบให้อย่างสม่ำเสมอไม่ขาดหาย แม้บางครั้งจะสะเทือนลึกลงไปในร่างกายอย่างไม่มีสาเหตุ แต่โดยรวมก็ยังพอทนไหว ในทางกลับกัน ยอดอกอีกฝั่งที่นิ้วของมูคยอมคลึงสลับบิดดันเสียวซ่านยิ่งกว่า

“ฮ้าาา…”

ไปๆ มาๆ การสัมผัสในรูปแบบแปลกใหม่ก็ยาวนานขึ้น ถึงแม้ในความเป็นจริงจะยังไม่ได้ผสานร่างเป็นหนึ่งเลยสักครั้ง แต่เหงื่อก็ซึมออกมาจากร่างกายคนทั้งสอง ทำให้ส่วนที่แนบชิดกันเปียกลื่น

ฮาจุนยื่นมือไปด้านหลัง แกนกายที่ตั้งโด่ตั้งแต่เมื่อครู่ใหญ่ๆ ชนเข้ากับหลังมือ ฮาจุนกำสิ่งที่เหมือนกับไม้กระบองให้กระชับแล้วขยับข้อมือขึ้นลง มูคยอมหัวเราะพร้อมกับออกแรงกอดรัดราวกับจะรวบลำตัวกับแขนของฮาจุนให้อยู่รวมกัน

“ทำไม ค่อยๆ ใส่ให้ไหม”

“ไม่ใช่อย่างนั้น… เหมือนมีแค่ฉัน ที่รู้สึกดีน่ะ…”

“เวลาทำแบบนี้ ถ้านายเห็นก็จะรู้ว่ามันแข็งมากจริงๆ… โค้ชอีดูท่าจะไม่รู้จัก ความรู้สึกดีทางจิตใจนะ…”

มูคยอมกระซิบข้างหู

“กับของเล่นที่ใช้ชิ้นแรก นายก็รู้สึกกับมันดีมากๆ… จนตอนนี้ในหัวฉันรู้สึกเหมือนปล่อยไปแล้วตั้งกี่น้ำก็ไม่รู้”

“ฮื่อ อ๊า…”

ไม่ใช่ไม่รู้ ฮาจุนเงยหน้าขึ้น เมื่อสบตากัน มูคยอมก็ค่อยๆ ยกยิ้มพร้อมกับเบียดริมฝีปากเข้ามา ฮาจุนแลบลิ้นยาว ไล้เลียริมฝีปากของอีกฝ่าย

ดวงตาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่แสร้งทำเป็นสบายๆ ฉายชัดให้เห็นถึงความกำหนัดอันรีบเร่งและความร้อนรุ่มที่ล้นทะลักออกมาอย่างดิบเถื่อนโดยไม่ได้กลั่นกรอง แต่ก็ยังมีความอ่อนหวานซุกซ่อนอยู่ในนั้น ฮาจุนมองเห็นดวงตาคู่นั้นอย่างไร้ซึ่งการเติมแต่ง

อีกฝ่ายเริ่มทอดมองเขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ บางทีอาจจะตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วยิ่งกว่าที่คิดก็ได้ เพียงแต่ตัวเขาไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก ก็เลยรู้สึกกดดันทั้งที่ไม่มีใครบีบบังคับว่าต้องก้าวเท้าไปให้พอดีกับมูคยอม จึงไม่ทันได้รับรู้อย่างถูกต้องเท่านั้น

ถ้าเขาพยายามที่จะทำความรู้จักอีกคนว่าเป็นคนแบบไหนให้เร็วขึ้น มันจะต่างจากเดิมไหมนะ ถ้าไม่กลัวว่าจะถูกเหยียดหยามจนยอมแพ้ที่จะเข้าหาไปก่อน มันจะเป็นอย่างไรกัน

หากทอดมองอีกคนวิ่งอยู่บนสนาม สายลมก็จะพัดมาถึงเบื้องลึกในตัวเขาที่ไม่อาจหยั่งถึง แล้วสิ่งที่เหมือนกับต้นอ่อนแตกหน่อซึ่งซุกซ่อนอยู่ในหัวใจก็จะสั่นไหว บางครั้งฮาจุนก็ตระหนักขึ้นมาได้ด้วยว่า ยังหลงเหลือความรู้สึกที่พอจะสั่นไหวภายในใจเมื่อตอนนั้นอยู่เลย

ในวินาทีนี้ที่ทอดมองกันและกันในฐานะคนรักกับไอดอลที่ตัวเองเชิดชูมาเนิ่นนาน เขาจะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกดีทางจิตใจได้อย่างไร

ในขณะที่ลิ้นสอดเข้าออกไปมาในปากของทั้งสองคนอย่างลื่นไหล ของเล่นที่เคยหยอกเย้าบนยอดอกก็เฉียดเฉี่ยวผิวกายทุกจุด พร้อมลดต่ำลงด้านล่างทีละนิด จนไปกดลงตรงส่วนปลายแกนกายที่ชูชัน เมื่อแรงสั่นของตัวอุปกรณ์แนบกับหัวของส่วนกลางกาย ฮาจุนก็กระเด้งตัวขึ้นชั่วขณะพร้อมกรีดเสียงร้อง ต้นขาที่อ้าอยู่อย่างผ่อนคลายรวบเข้าชิด ในขณะเดียวกัน ลำตัวที่ถูกโอบรัดในอ้อมแขนของอีกคนก็ดีดดิ้น

“ตอนนี้ยังแปลกอยู่ไหม”

“อ๊า สั่น แรงไป… ตรงนั้น พอแล้ว…”

“พอก็พอ”

มูคยอมพูดแบบนั้นพร้อมกับค่อยๆ ลากไข่สั่นที่เคยวางอยู่ตรงส่วนหัวลงไปตามลำท่อนเฉอะแฉะ สัมผัสที่ทำให้สั่นงึกไปทั้งหว่างขาทำให้ฮาจุนกัดริมฝีปากกลั้นเสียงคราง โคนขาด้านในเกร็งจนกล้ามเนื้อนูนขึ้นรูป

“เพราะฉันก็เริ่มจะเครื่องร้อนแล้วน่ะสิ”

สิ่งเรียวรีแตะตรงปากทางรักที่คลายตัวลงแล้ว อุปกรณ์ชิ้นจิ๋วที่ส่งเสียงวือๆ ถูกดันเข้ามาในตัวพร้อมกับนิ้วของมูคยอม ฮาจุนส่ายเอวไปมาถี่ๆ

“อ๊า… อ๊ะ… อื๊อ ฮึก ฮื่อออ…!”

เมื่อผลุบเข้ามาในร่างก็แทบไม่ได้ยินเสียงสั่น

ทว่ามีเพียงเสียงที่เงียบหาย เพราะฮาจุนยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นของตัวเครื่องที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้ มันต่างกับความเสียวที่รู้สึกตอนของเล่นนั้นขยับไปมาบนหัวนมหรือส่วนกลางกาย ตอนมันมุดผนังเนื้อคับแคบเข้ามา ฮาจุนรู้สึกว่ามันกระเทือนภายในท้องเป็นจังหวะอย่างรวดเร็วไม่หยุดจนเสียงวือๆ สะท้อนขึ้นไปถึงบนหัว

ขนาดมันเล็กมาก เขาจึงสงสัยว่าสิ่งนี้จะทำหน้าที่แทนเครื่องเพศชายได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้เหมือนจะรู้ชัดแล้ว ถ้าขนาดมันใหญ่ไปด้วย เขาอาจจะแย่เลยก็ได้

“ฮื่อ อ๊า อ๊าาา…!”

ฮาจุนร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ มูคยอมกอดฮาจุนแล้วยังไม่หยุดใช้นิ้วดันไข่สั่นขึ้นไปอีก ตัวเครื่องแทรกเนื้อเยื่อที่โอบรัดเข้ามาแล้วขยับเข้าไปพร้อมสั่นไหว เมื่อมันจับจองบริเวณจุดกระสันใกล้ต่อมลูกหมาก ฮาจุนก็ทำท่าจะร้องไห้พร้อมดิ้นตะเกียกตะกายทันที เขาแอ่นหลังที่เคยพิงตัวมูคยอมพร้อมกับหอบ

สัญชาตญาณตั้งใจจะต้านทานแรงสั่นที่สะเทือนในท้อง ส่งผลให้ด้านหลังตอดรัดเข้าหากันอย่างแนบแน่นถี่รัว แต่ก็ได้แค่รู้สึกถึงความสั่นไหวที่กระทบผนังเนื้อจนด้านในบีบหดตัวมากขึ้นเท่านั้น

ร่างกายเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กับความนึกคิดอย่างมีเหตุผล ด้านหลังขมิบรัดโดยอัตโนมัติ และเมื่อถูกจู่โจมด้วยแรงสั่นที่ทำให้หัวมึนเบลอ มันก็จะคลายออกหลวมๆ อย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นก็จะหุบลงอีกครั้ง แล้วคลายออกเมื่อผวาเฮือกขึ้นมาอีกรอบ

“อ๊า อะ อึก ไม่ ไม่ได้ ตอนนี้… อื๊อ ฮึกกก…!”

ฮาจุนรู้สึกเหมือนตกหลุมพรางที่ตนขุดเองจึงร้องสะอื้นโดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร การสั่นสะเทือนด้านในกำลังปลุกให้ก้อนแห่งความสุขสมที่ไม่ใช่ก้อนเล็กๆ ก่อตัวขึ้นมาก็จริง แต่มันก็ควบคู่ไปกับข้อจำกัดที่ทำให้เขายังไม่สาแก่ใจ ราวกับเพียงแค่นี้ไม่สามารถพาไปแตะปลายทางได้ และจุดนั้นก็คือปัญหา

ในระหว่างนั้น มูคยอมก็ยังพรมจูบลงบนลาดไหล่กับคอขาวที่ยืดยาวซ้ำไปซ้ำมา แล้วอีกคนก็คุกเข่าขึ้นนั่ง จากนั้นก็ดันหลังของฮาจุน เมื่อฮาจุนยันมือลงบนเตียงพร้อมกับค้อมตัวเอียงต่ำ มูคยอมก็จับหว่างขาเขาให้พาดกับต้นขาแน่นๆ ของตัวเองแล้วเดินด้วยแขนมานอนคว่ำทาบลง

มูคยอมแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาของฮาจุนที่อ้าออกกว้าง บีบเจลอีกรอบแล้วป้ายลงบนปากช่องทางจนเปียกชุ่ม จากนั้นก็กระทุ้งส่วนหัวแข็งขึงบนรูรักหุบสนิทที่มีสายเคเบิลยาวห้อยออกมา ฮาจุนจมอยู่ในความเสียวซ่านที่ไม่จบสิ้นอย่างสมบูรณ์ เขาไม่เหลือแรงจะคิดว่ามูคยอมตั้งใจจะทำอะไรแล้วร้องครางไปกับการปลุกเร้าที่ถูกมอบให้

ในวันนี้หลังเสร็จสิ้นการฝึก มูคยอมขับรถอย่างเร่งรีบเป็นพิเศษ มีครั้งหนึ่งที่สัญญาณไฟยังไม่เขียวแต่ก็เกือบจะเหยียบคันเร่งไปเสียแล้ว

ฮาจุนชวนให้สลับที่กัน ขณะที่มูคยอมเอ่ยขอโทษพร้อมบอกว่าจะระวัง ก็ยังบอกกับฮาจุนอีกว่า นายเร่งความเร็วรถตามอารมณ์ เพราะอย่างนั้นถ้าขับรถในเวลาแบบนี้จะยิ่งอันตราย และไม่ยอมปล่อยมือจากพวงมาลัย

‘เวลาแบบนี้’ คือเวลาแบบไหนกัน ฮาจุนชอบขับรถเร็วเฉพาะตอนที่อารมณ์ดี และต้องเป็นการขับบนถนนเขตชานเมืองที่มีจำนวนรถน้อยเท่านั้น กังวลโดยไม่จำเป็นเอาเสียเลย

ทั้งสองคนมาถึงบ้านแล้วเดินไปถึงห้องรับแขกโดยไม่ได้พูดอะไร ‘ฟุ่บ’ แม้นั่งลงบนโซฟาแล้วก็ยังไม่คุยอะไรกันเลยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาคือมูคยอม

“ฉันพูดก่อนได้ไหม”

“อื้อ”

มูคยอมหันหน้ามองฮาจุนตรงๆ ด้วยสีหน้าตึงเครียด อีกคนพูดย้ำอย่างเชื่องช้าและชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์

“ข่าวนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด”

“…เรื่องนั้นนายบอกเมื่อกี้แล้วนี่ เรื่องที่ฉันสงสัยคือนายไปบ้านหลังนั้นทำไม ร็อบบี้ก็ไม่ยอมตอบตรงๆ บอกแค่ว่ามีนัดเจอกัน”

ลูกกระเดือกของมูคยอมขยับจากการกลืนน้ำลาย มันเป็นเรื่องที่พูดยากอะไรขนาดนั้นกันแน่ อีกคนเท้าหน้าผากด้วยท่าทีกลัดกลุ้มแล้วถอนหายใจออกมายาว

“ฉันมีงานที่เตรียมด้วยกันกับคนนั้น”

“…งาน? พี่สาวของร็อบบี้ทำอาชีพเกี่ยวข้องกับกีฬาเหรอ”

ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรือการสัมภาษณ์ ถ้าเป็นคนที่ทำงานสายนั้นก็มีทางเลือกให้เข้าใจได้อยู่ มูคยอมประสานนิ้วเข้าหากันแล้วกระดิกนิ้วยาวๆ เคาะลงบนหลังมือของตัวเองเรื่อยๆ ราวกับติดอยู่ในความกลุ้มใจ จากนั้นจึงปริปากพูดขึ้น

“งานแบบไหน…”

“…”

“เอาไว้บอกพรุ่งนี้ได้ไหม”

“…ฉันรู้ไม่ได้เหรอ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมคิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วตอบกลับด้วยความเงียบ

ฮาจุนเองก็ครุ่นคิดอยู่ในหัว

ถึงจะไม่สบายใจเลยสักนิดก็เถอะ… แต่ถ้าแค่วันเดียวก็น่าจะพอทนได้

ฮาจุนค่อยๆ เรียบเรียงความคิด ร็อบบี้ก็บอกว่าเรื่องที่อยู่ด้วยกันเป็นความจริง เพราะฉะนั้นหากสงสัยในความสัมพันธ์ที่ผิดปกติอย่างที่คิดมากเกินไป ทั้งเขาทั้งคิมมูคยอมก็มีแต่จะเหนื่อยขึ้น อีกอย่างคือนี่เป็นช่วงของวันเปิดกล่องของขวัญที่สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลงหรือได้รับบาดเจ็บกันบ่อยครั้ง เขาจำเป็นต้องเล่นสงครามประสาทต่อไปเพียงเพื่อจะฟังคำตอบที่จะได้รู้แน่ๆ ก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันด้วยอย่างนั้นเหรอ

ฮาจุนกัดเนื้อด้านในริมฝีปากเบาๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อยพร้อมพูดสรุป

“เข้าใจแล้ว คิมมูคยอม ฉันเชื่อนายนะ”

“…ขอบใจนะ”

เป็นการพูดโต้ตอบกันสั้นๆ แต่เหมือนกับว่าความรู้สึกของมูคยอมยังไม่ผ่อนคลายลงเสียทีเดียว อีกคนจึงทอดสายตามองฮาจุนด้วยสีหน้าแปลกประหลาดและลึกล้ำราวกับอาบไปด้วยทุกความรู้สึกของมนุษย์ เขารับฟังเพราะอีกฝ่ายขอร้องอย่างจริงจัง แต่เหตุผลที่ดูไม่ดีใจเลยคืออะไรกัน

ทว่าฮาจุนก็ฉีกยิ้มโดยไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความรู้สึกอื่นแอบแฝงหลังจากคุยกันจบเรียบร้อยแล้ว

“ถ้างั้นฉันจะจำไว้จนถึงพรุ่งนี้เลย พรุ่งนี้ต้องบอกฉันให้ได้นะ เราวางแผนกันไปนอนค้างนอกบ้านทั้งทีนี่นา เรื่องแบบนี้ต้องเคลียร์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนรับปีใหม่สิ”

“ฉันมีเหตุผลก็เลยบอกวันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างแน่นอน

ฉันสาบานว่าไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้นายต้องอับอาย”

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นเรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้ ตอนนี้ทำเรื่องที่ต้องทำกันเถอะ”

เมื่อคุยกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะเริ่มทำตามกิจวัตรประจำวันเช่นปกติ

สิ่งที่ต้องเริ่มทำเป็นอย่างแรกสุดคือการฝึกร่างกายส่วนตัวของคิมมูคยอม จากนั้นก็คือการเรียบเรียงบันทึกการฝึกซ้อมในวันนี้ กินมื้อเย็น แล้วก็การบ้านที่โรงเรียน… ฮาจุนจัดลำดับงานที่จะต้องทำทีละอย่างพร้อมกับเดินไปทางห้องเทรนนิ่งพร้อมกันกับมูคยอม

จากห้องรับแขกจนถึงห้องเทรนนิ่งจะต้องเดินตามทางเดินไปอีกนิดหน่อย ฮาจุนเดินนำหน้า ส่วนมูคยอมเดินตามหลังอยู่เล็กน้อย ทั้งสองคนเดินไปโดยไม่ได้คุยอะไรกัน มีเพียงเสียงฝีเท้าเหลื่อมจังหวะของคนทั้งคู่ที่เหยียบย่ำบนทางเดินเท่านั้นที่ทิ้งร่องรอยไว้ในความเงียบ

และแล้วในชั่วขณะหนึ่ง เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็หยุดกึกลงอย่างกะทันหัน น้ำเสียงประหลาดใจดังตามหลังฝีเท้าที่หยุดนิ่ง

“ฮาจุน…”

ก่อนที่มูคยอมจะทันได้พูดจบ ‘หมับ’ มือเนียนขาวก็คว้าขยำเข้าที่คอเสื้อของเขา ปกเสื้อยับย่นและแรงเหนี่ยวรัดลำคอ ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้นมา

คิมมูคยอมไม่เคยถูกใครผลักได้ แม้ใช้ร่างกายทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงบนสนามก็ตาม แต่อาจเป็นเพราะกำลังตื่นตระหนก เขาจึงถูกดันไปตามแรงผลัก

‘ปึง’ เสียงทุ้มหนักไม่น้อยดังขึ้นพร้อมกันกับที่แผ่นหลังของมูคยอมกระแทกเข้ากับกำแพง ถึงเสียงจะดังก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกเจ็บ แต่มูคยอมกลับตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้น ดวงตาเบิกโพลงและไม่แม้แต่จะกะพริบตาได้ด้วยซ้ำ

คนถูกผลักกับคนผลัก ดวงตาของคนทั้งสองสบมองกัน ฮาจุนยกแขนอีกข้างที่เหลือกดลงบนแผ่นอกของมูคยอม

ดวงตาที่อ่อนโยนและเจือรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ กลับมืดมนและลุกโชนแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตาขาวที่มีเงาทาบทับดูเหมือนกับมีน้ำสีฟ้าเคลือบอยู่

มูคยอมกลืนน้ำลายเสียงดัง ริมฝีปากของฮาจุนที่ปิดสนิทและเกร็งตึงค่อยๆ เปิดออกพูด แทรกเข้ามาในความเงียบอันเคร่งเครียด

“ฉันพูดอย่างชัดเจนแล้วนะ ก่อนจะมาลอนดอน”

น้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แต่การออกเสียงชัดเจนและสะท้อนลึกลงไปในใจ ดวงตาที่ดูสงบเสงี่ยม บิดเบี้ยวอยู่เล็กน้อย

“บอกว่าห้ามมีความสนใจให้คนอื่น…”

“…”

“บอกว่าถ้ามีพวกข่าวฉาวจะไม่ยกโทษให้ บอกว่าถ้านายนอกใจ ฉันจะฆ่านายทิ้งไปซะ!”

วิธีการพูดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจร้อนผ่าว ทว่าเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งแห้ง สัมผัสลงตรงลำคอของมูคยอม ความรู้สึกที่แบ่งแยกได้ไม่ชัดเจนว่าร้อนระอุหรือหนาวเหน็บ มูคยอมรู้สึกเสียววาบจนขนลุกไปทั่วร่าง

มูคยอมรอคำพูดต่อไปของอีกคนโดยที่ยังหยุดหายใจ แต่ฮาจุนคงพูดสิ่งที่จะพูดจบแล้ว จึงเพียงหลับตาและปิดปากอย่างเกร็งเครียดราวกับปิดหน้าต่างเพื่อสกัดกั้นการกระตุ้นจากภายนอก คางของฮาจุนสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด

เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของฮาจุนจึงปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆ สบตากับมูคยอมอีกครั้ง แววตาคู่นั้นมีความอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนในตอนปกติหมุนวนเวียนอยู่ ความเดือดดาลอันหม่นมืดที่เจืออยู่ในน้ำเสียงก็จางลงแล้วเช่นกัน

“ฉันไม่ได้เริ่มพูดก่อนเองด้วย แต่นายโน้มน้าวให้ฉันพูด นายก็จำได้ใช่ไหม”

“…ฉันรู้”

“ถ้าไม่อยากตายก็เตรียมคำอธิบายที่ฉันพอจะยอมรับได้ซะ”

ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ปล่อยมือที่ยึดคอเสื้อของมูคยอมออก เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองเพดานครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจสั้นๆ ราวกับห่อเหี่ยวแล้วก็เคอะเขินอย่างไรชอบกลแล้วพยักเพยิดไปทางที่เคยเดินไป

“ไปต่อกันเถอะ”

“ฆ่าฉันสิ”

ทว่ามูคยอมดันตอบกลับอย่างคาดไม่ถึง ฮาจุนเพิ่งก้าวเท้าออกไปแต่ก็ต้องหันกลับมามองอีกครั้ง

มูคยอมก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้หนึ่งก้าวแล้วเกี่ยวเอวฮาจุนเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว ดวงตาของมูคยอมสั่นไหวอย่างรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ถูกฮาจุนขู่เสียอีก ต่างกับฮาจุนที่กลับมาสงบลงแล้ว

คราวนี้ฝ่ายที่ทำอะไรไม่ถูกกลับเป็นฮาจุนเอง มูคยอมหัวเราะราวกับคนรื่นเริงเสียเต็มประดา

“ถ้านายไม่ชอบใจ จะทำแบบนั้นเมื่อไรก็ได้”

“…”

“ฉันก็บอกแล้วนี่ ชีวิตของฉันทั้งหมดเป็นของนาย ต่อให้นายฆ่าฉัน ฉันก็รักนายอยู่ดี”

มูคยอมจับมือของฮาจุนยกขึ้นมา ก้มหัวลงประทับริมฝีปากลงบนหลังมือหลายครั้งแล้วถูไถแก้มของตัวเองบนนั้นราวกับแสดงออกถึงความจงรักภักดีดังเช่นทุกที จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงมือของเขาขึ้น ฝ่ามือของฮาจุนแตะลงตรงต้นคอของมูคยอม เป็นท่าที่หากออกแรงก็คงจะสามารถบีบคอของอีกคนได้ทั้งอย่างนั้น

ฮาจุนแบมือออกกว้างราวกับหวาดกลัวว่าจะบีบคออีกคนตามแรงอารมณ์ เมื่อทำแบบนั้น มูคยอมก็จับมือเขาลูบลำคอของตัวเองตามอำเภอใจ พร้อมทั้งส่งเสียงครางทุ้มในลำคอราวกับเสือที่ถูกมือของมนุษย์ลูบ

“ถึงตายก็ไม่เป็นไร เพราะงั้นโลภในตัวฉันหน่อยนะ”

“คิมมูคยอม”

“ฉันให้ไปหมดแล้วนี่… ฉันให้นายไปหมดทุกอย่างแล้ว นายทำให้ไม่มีใครสามารถแตะต้องฉันได้เพราะฉันเป็นของนาย แล้วนายก็ใช้ฉันตามใจนายได้เลยเพราะฉันเป็นของนาย ถ้าบอกให้ยอมสยบก็จะสยบ ถ้าบอกให้ตายก็จะตาย ถ้านายสั่ง ไม่ว่าอะไรฉันก็เตรียมพร้อมจะทำตามทุกอย่างอยู่แล้ว แต่นายใจดีเกินไปก็เลยไม่เคยใช้อะไรฉันเลย”

มูคยอมร่ายคำพูดอันบ้าระห่ำออกมาราวกับมัวเมาในรสเหล้าอันหวานหอม ดวงตาที่ทอดมองมูคยอมพูดแบบนั้นซีดขาวและสั่นระริก ฝ่ามือที่เคยลูบไล้บนลำคอ ตอนนี้ถูกดึงขึ้นไปวางบนแก้ม ฮาจุนกัดริมฝีปากที่สั่นเทาไว้แน่นพลางกัดฟัน

…ช่วงความรักจืดจาง? นอกใจ?

ฮ่าๆ ฝืนหัวเราะออกมา ฮาจุนยกมืออีกข้างที่อีกคนไม่ได้จับ ขึ้นไปวางบนแก้มของมูคยอมด้วยเช่นกัน เมื่อถ่ายน้ำหนักลงไป หลังของมูคยอมก็ชนกับผนังอีกครั้ง ริมฝีปากของทั้งสองทาบทับกันอย่างดูดดื่มและดุเดือด มันร้อนระอุ เสียงที่เต็มไปด้วยความเปียกชื้น ดังแทรกขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและชุ่มฉ่ำภายในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงัดลง

ฮาจุนใช้ปลายลิ้นสะกิดเรียวเนื้อร้อนรุ่มที่หวังจะแทรกเข้ามาในปากของตน เช่นเดียวกับที่มูคยอมทำกับเขาเป็นบางครั้ง เมื่อทำแบบนั้น มูคยอมก็สงบเสงี่ยมลงจริงๆ

วันนี้ฮาจุนจูบอย่างไม่รีบเร่งลนลาน เขาส่งลิ้นเข้าไปลึกในปากของมูคยอมแล้วกวาดไล้เนื้อเยื่อภายในปากกับลิ้น ไปจนถึงเพดานปากแข็งอย่างทั่วถึง แบบเดียวกันเป๊ะกับที่มูคยอมทำ ฮาจุนทบทวนจูบของอีกคนในหัวพร้อมกับทำตามอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“อา…”

เมื่อจูบเสร็จแล้วผละหน้าออกไป เสียงครางที่เจือความประทับใจกับความรู้สึกดีผสมรวมกัน ก็ดังลอดออกมาจากริมฝีปากของมูคยอม

“โค้ชอี จูบวันนี้… ดีที่สุดจากที่เคยจูบมาจนถึงตอนนี้เลย… ถ้าตั้งใจก็ทำได้จริงๆ สินะ”

“ไม่ฆ่าหรอก”

“จะไว้ชีวิตฉันเหรอ”

“ใช่ เพราะนายเป็นสิ่งที่ดีและมีค่าที่สุดในบรรดาของที่ฉันมี… ฉันจะใช้นายอย่างทะนุถนอมไปตลอดชีวิต”

ทั้งสองพูดโต้ตอบบทสนทนาที่เริ่มคลอเคล้าไปด้วยลมหายใจร้อนรุ่มราวกับหยอกเย้า ในขณะเดียวกันก็ลูบคลำไปตามร่างกายของกันและกันอย่างใจร้อน

“แล้วก็คิมมูคยอมต้องไม่ยอมสยบสิ ไม่ว่ากับใคร หรือแม้แต่ฉันก็ตาม…”

เมื่อมือขาวลากลงบนแผ่นอกแน่นสีทองแดง มูคยอมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วฝังใบหน้าลงตรงลำคอของฮาจุน

ร่างกายของทั้งสองไหลครูดผนังลงแล้วเกลือกกลิ้งไปบนพื้นแข็งๆ เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างรีบร้อน ลอยหวิวไปหล่นลงไกลๆ อย่างไร้เสียง ทั้งคู่กลายสภาพมาอยู่ในร่างเปลือยเปล่าหมดจด ต่างคนต่างทิ้งรอยฟันบนผิวกายตามจุดที่ขบกัดอีกฝ่ายแล้วฝังริมฝีปากลงดูดดึงตามความปรารถนา รู้สึกได้ว่ากระทั่งแผงฟันก็ยังอาบย้อมไปด้วยความร้อนรุ่ม

การลูบสัมผัสในวันนี้ไม่ได้ยาวนาน ทั้งคู่พลิกตัวนอนสลับหัวไปคนละทาง หันสู่เบื้องล่างของอีกคนแล้วใช้ปากทำให้รูรักกับแกนกายชุ่มโชก ลิ้นกับนิ้วของมูคลอมสลับกันไล้เลียและชักเข้าออกรูรัก แต่ในวันนี้ฮาจุนเองก็ลืมสิ้นความเขินอาย เขาร้องสุดเสียงพร้อมกับดันเอวเข้าหาราวกับตั้งใจจะดึงลิ้นของมูคยอมซึ่งไล้เลียด้านหลังของตัวเองให้เข้ามาด้านในมากขึ้น

มูคยอมซึ่งส่งเสียงครางได้อย่างน่าเอ็นดูไม่น้อยเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับคำรามอย่างดิบเถื่อน อีกฝ่ายบดเคล้าหว่างขาของตัวเองลงกับด้านหลังของฮาจุนพร้อมทั้งสอดแทรกเข้ามาในช่องทางที่คลายตัวลงแล้ว ร่างเปลือยของทั้งคู่หายใจหอบอย่างรวดเร็วพร้อมกับโถมเข้าหากันราวกับสัตว์ป่า

แม้ไม่ใช่ห้องนอนกว้างกับเตียงราคาแพง หรือโซฟาตัวนุ่มที่ใหญ่ไม่น้อยไปกว่าเตียงนอน ภายในบ้านก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์หรูที่พอจะรองรับร่างกายทั้งสองได้อย่างสบายอยู่อีกเยอะ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็ไม่ผละห่างจากกันเลยแม้แต่ก้าวเดียว ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความคิดที่จะสละแม้แต่เศษเสี้ยวเล็กๆ ในวินาทีนี้ไป

* * *

การฝึกในวันต่อมาเสร็จสิ้นลงเร็วกว่าปกติ

ต่อให้บอกว่าเป็นช่วงวันเปิดกล่องของขวัญอันแสนยุ่งแต่มันก็เป็นวันสุดท้ายของปี ทั้งนักกีฬาทั้งสตาฟต่างก็บอกว่าไว้เจอกันปีหน้าพร้อมบอกสวัสดีปีใหม่แก่กัน จากนั้นจึงออกจากสนามฝึกไป

มูคยอมกับฮาจุนวางแผนว่าจะตรงไปยังโรงแรมที่จองไว้แทนที่จะกลับบ้าน ฮาจุนลอบส่งสายตามองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมซึ่งกำลังขับรถอยู่หนึ่งครั้ง

อีกฝ่ายบอกว่าจะอธิบายสถานการณ์ในวันนี้ ถึงแม้จะคุยเรื่องอื่นกันเป็นปกติแต่กลับไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนั้นเลย ราวกับลืมบทสนทนากับการปะทะฝีปากเมื่อวานไปแล้ว

ฮาจุนเองก็เช่นเดียวกัน เขาปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับปกติ ราวกับว่าการกระทำเมื่อวานที่เขาข่มขู่มูคยอมและกระโจนเข้าใส่อีกคนไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจาก ‘วันนี้’ ยังไม่หมดวัน

โรงแรมที่ตัดสินใจเข้าพักดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไรนัก ความแวววาวอันเป็นเอกลักษณ์ของตึกสร้างใหม่ยังไม่เลือนหาย อีกทั้งยังสูงชะลูด ลอนดอนยังคงมีตึกเก่าแก่อยู่เยอะ ต่างกับโซลที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้าในทุกจุดที่มองไป เขานึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินมาว่าตึกสูงแบบนี้ เพิ่งจะเริ่มนิยมสร้างขึ้นมาได้ไม่นานสักเท่าไร ในขณะที่เดินไปยังลิฟต์ที่เชื่อมอยู่กับลานจอดรถด้วยกันกับมูคยอม ฮาจุนก็ถามขึ้น

“ชั้นไหนเหรอ”

“ห้องพักชั้นบนสุด”

คงคุยกันไว้ล่วงหน้าแล้วจึงไม่จำเป็นต้องเช็กอินที่ฟรอนต์ เมื่อมูคยอมแตะการ์ด ลิฟต์ก็พาทั้งสองคนเคลื่อนขึ้นไปทันที

ฮาจุนนึกถึงความสูงของตัวตึกที่เห็นจากด้านนอก เขารู้สึกเหมือนกับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ฮาจุนไม่ชินกับห้องนอนบนชั้นสูงๆ เพราะจนถึงตอนนี้ก็เคยอาศัยอยู่ชั้นสูงสุดเป็นแค่ชั้นกลางๆ ในอะพาร์ตเมนต์ของการเคหะ

ด้านบนสุดของชั้นที่เป็นห้องพัก มีเพียงห้องที่ทั้งสองคนจะเข้าพักเท่านั้นที่กำลังรอพวกเขาอยู่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใด เมื่อมูคยอมเปิดประตูออก ห้องกว้างใหญ่ราวสนามกีฬาซึ่งมีกำแพงด้านหนึ่งเป็นกระจกทั้งหมดก็ต้อนรับพวกเขาทั้งคู่

“ว้าว…”

ฮาจุนอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

ฮาจุนคิดว่าพออาศัยอยู่ด้วยกันกับมูคยอมก็ได้ลองไปสถานที่หรูหรามาหลายหน แต่นี่มันให้คนละความรู้สึกกันเลย ถึงแม้ว่าเคยขึ้นมาบนที่สูงๆ อยู่หลายครั้งเพื่อชมทิวทัศน์หรือวิวยามค่ำคืนแล้วก็ตาม

ลอนดอนในฤดูหนาวมีช่วงกลางวันสั้น ถ้าเวลาล่วงเลยไปหลังสี่โมงเพียงนิดเดียว พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงแล้ว ตัวเมืองที่เข้าสู่ช่วงเย็นพอดีอาบแสงอาทิตย์อัสดงสีเข้ม ทำให้ตึกทุกตึกดูทอแสงสีม่วงอ่อนประกายแดง

เมื่อเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าต่างที่ล้อมด้วยผนังทั้งหมดแล้วก้มลงมองก็ได้เห็นสถานที่สำคัญต่างๆ อยู่ด้านล่าง อย่างเช่น ลอนดอนอาย หรือวิหารเวสต์มินสเตอร์ และสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์หลายแห่ง ไม่ใช่สถานที่ไกลตัว แต่พอได้ทอดมองที่เหล่านั้นอยู่ใต้เท้าก็รู้สึกเหมือนจะวิงเวียนอยู่นิดหน่อย ฮาจุนจึงก้าวถอยหลังสองสามก้าว

“เจ๋งมากเลย”

“ไม่เลวสำหรับที่จะใช้เวลาส่งท้ายปีใช่ไหม ตอนจุดพลุหลังจากนี้ก็น่าจะวิวดีทีเดียว”

ฮาจุนพยักหน้าโดยที่ปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด ฤดูหนาวปีที่แล้ว มูคยอมมาอังกฤษก่อน ฮาจุนตามมาอยู่ด้วยหลังเข้าสู่เดือนมกราคมไปแล้ว เขาจึงได้ดูพลุฉลองปีใหม่ซึ่งทางลอนดอนจัดขึ้นทุกปีในวิดีโอที่มูคยอมส่งมาให้เท่านั้น

“อืม”

ในระหว่างนั้น มูคยอมที่ถอดเสื้อโค้ทไปแขวนก็ส่งเสียงในลำคอสั้นๆ ราวกับตั้งใจจะพูดเรื่องสำคัญบางอย่าง

ฮาจุนหมุนตัวกลับมาจากหน้าต่างทั้งตัวเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ในที่สุดก็มีทีท่าว่าจะอธิบายเกี่ยวกับข่าวฉาวสักที

ทว่ามูคยอมไม่เริ่มพูดเรื่องอะไรเลยสักอย่างแล้วทอดสายตามองฮาจุนนิ่งๆ จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ ขึ้นสีแดงอยู่คนเดียว

เมื่อฮาจุนจ้องอีกคนไม่กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ มูคยอมจึง ‘ฟู่ววว’ พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาราวกับหยุดหายใจไปเมื่อครู่

“…เขินมากกว่าที่คิดนะ”

“อะไร”

มูคยอมเดินเนิบๆ เข้ามาใกล้แล้วคว้าหมับเข้าที่มือของฮาจุนพร้อมดึงไป กระทั่งฝ่ามือของอีกคนก็ยังร้อนวูบวาบ

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน คิมมูคยอมก็แทบจะไม่รู้สึกขวยเขิน เรื่องที่ทำให้คิมมูคยอมคนนั้นเขินอายจนตัวร้อนวูบได้ขนาดนี้คืออะไรกันแน่ มีความรู้สึกอับอายอยู่สินะ ความอยากรู้อยากเห็นของฮาจุนงอกเงยขึ้นราวกับหนวดของแมลง

อีกฝ่ายกำลังเดินไปยังที่หนึ่ง ทั้งสองคนเดินอยู่ในห้องพักกว้างขวางของโรงแรมพร้อมเดินผ่านเฟอร์นิเจอร์หรูหราไปหลายตัว พรมเนื้อดีที่มีลวดลายประณีต เก้าอี้เบาะกำมะหยี่ที่ดูนุ่มละมุน โซฟาบุหนัง โต๊ะเนื้อเรียบตัวกว้าง โทรทัศน์เครื่องใหญ่ เตาผิงประดับห้อง ชั้นวางของขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์น แล้วก็…

“ก่อนอื่นก็… อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ”

มูคยอมบอกแบบนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง แล้วจับฮาจุนนั่งลงบนเก้าอี้เบาะนวมสำหรับนั่งคนเดียว จากนั้นเจ้าตัวก็เดินตัวแข็งทื่ออย่างกับหุ่นยนต์ไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่มีพนักพิงหลัง

เรื่องที่อยากถามไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง แต่ฮาจุนก็ปิดปากเงียบไปก่อนตามที่อีกคนบอก ภาพที่สะท้อนเข้ามาในการมองเห็นไม่คุ้นตาจนเหมือนไม่ใช่ความเป็นจริง จึงทำให้เขาสับสนไปด้วยว่าควรต้องพูดเรื่องอะไรก่อน การจับคู่ของสิ่งที่เขาไม่เคยจินตนาการเลยแม้แต่ครั้งเดียวอย่างแท้จริง กำลังแสดงออกมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า

สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ที่มูคยอมนั่งคือเปียโน

เปียโน แถมยังเป็นแกรนด์เปียโนที่ดูราคาแพงไม่น้อยด้วย

ถ้าบอกว่าเอามาตั้งไว้เฉยๆ ก็คงคิดว่าเป็นหนึ่งในการตกแต่งภายในของโรงแรมไปแล้ว ของที่ทำให้น่าจะคิดแบบนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮาจุนปิดปากเกร็งโดยไม่รู้ตัวแล้ววางมือลงบนหัวเข่าอย่างเรียบร้อย เขาทำตัวนอบน้อมขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ต่อหน้าภาพฉากที่ต่อให้บอกว่าผิดแผกไปจากที่เคยเป็นก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง และหากให้ใครดูก็คงไม่มีใครเชื่อพร้อมบอกว่ามันเป็นภาพตัดต่อ

ไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนเจียนตัวเข้ามาก็คงจะไม่ตกใจอีกแล้ว ถึงแม้จะเป็นภาพที่เหมือนจับแพะมาชนแกะในศิลปะลัทธิเหนือจริง ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยนำเอาสองสิ่งที่ห่างไกลกันมากที่สุดในโลกมาอยู่รวมกัน แต่ใบหน้าด้านข้างแสนหล่อเหลาและเกลี้ยงเกลาของคิมมูคยอมกับแกรนด์เปียโนกลับเหมาะสมราวกับภาพเขียนชิ้นหนึ่ง เหมาะสมกันกระทั่งท้องฟ้ายามเย็นซึ่งทอแสงสีม่วงเข้มขึ้นทีละนิดด้านหลังอีกฝ่าย

มูคยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเคยเห็นท่าทีอีกคนประหม่าแบบนี้ไหมนะ แม้ลองหวนนึกไปในความทรงจำก็เป็นภาพลักษณ์ที่แทบไม่เคยเห็นชัดๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกประหม่าตามไปด้วย ฮาจุนจึงรวบมือทั้งสองข้างที่เคยวางอยู่บนเข่ามากำกันไว้

นิ้วมือยาวที่มีเค้าโครงข้อชัดวางลงบนคีย์บอร์ด จากนั้นโน้ตตัวแรกก็ส่งเสียงดังขึ้น

ต่อเนื่องไปยังตัวที่สอง และตัวที่สาม…

เสียงโน้ตทยอยตามกันออกมา ภายด้านในห้องกว้างที่เงียบเชียบลงราวกับน้ำทะเลที่ซัดขึ้นอย่างสงบ

ต่อให้เป็นแค่การพูดเล่นก็พูดไม่ได้ว่าการบรรเลงของอีกคนยอดเยี่ยม มันตะกุกตะกักและกดโน้ตผิดคีย์เป็นบางครั้ง หรือคร่อมจังหวะไปก็มี

ทว่าเสียงที่คีย์บอร์ดเปียโนคุณภาพดีสรรค์สร้างออกมา แม้บรรเลงจากการมือที่เคลื่อนไหวอย่างไม่เชี่ยวชาญ ก็ชัดเจนและลุ่มลึกอย่างเป็นธรรมชาติมาก เวลาผ่านไปพร้อมกันกับที่มูคยอมเหมือนจะลืมความเขินอายไปทีละนิด อีกฝ่ายจึงกำลังก้มลงมองเปียโนอย่างใจจดใจจ่อด้วยสีหน้าแบบเดียวกับตอนก่อนเตะลูกโทษ

ฮาจุนร้องเพลงฮึมฮัมในใจตามท่วงทำนองที่มูคยอมเล่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจู่ๆ ก้อนอะไรบางอย่างก็ตีขึ้นแล้วจมูกเขาก็ร้อนวูบ ฮาจุนยกยิ้มแบบที่น่าจะไม่มีใครได้เห็น เพื่อควบคุมอารมณ์ที่ทำท่าจะอ่อนไหวลงอยู่เรื่อย

เป็นการบรรเลงที่ใครมาได้ยินก็รู้ชัดว่าเป็นฝีมือของมือใหม่ แต่มูคยอมก็ไม่ได้หยุดกลางคัน อีกคนพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดจนถึงที่สุดแล้วกดโน้ตที่เป็นเหมือนกับจุดฟุลสต๊อบอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงหยุดมือลง

เมื่อเสียงของเปียโนคลายหายไป ความเงียบสงัดก็ปกคลุมลงมาราวกับปิดม่าน เสียงถอนหายใจยาวของมูคยอมเขย่าบรรยากาศนิ่งงันอย่างแผ่วเบา

“อ่า…”

อีกคนหันมามองฮาจุนด้วยสีหน้าหมดแรงพร้อมกับยิ้มแห้ง

“นายว่าฉันทำเรื่องแบบนี้ทำไม”

ต่อให้บอกว่า เป็นการบรรเลงอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ซาบซึ้งใจ

ฮาจุนกำลังจมอยู่ในความรู้สึกที่การบรรเลงเพื่อเขาเพียงคนเดียวเหลือทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองมูคยอมอย่างเหม่อลอย ตอนนั้นเมื่อได้สติกลับคืนมาอย่างฉับพลันจึงปรบมือ

“พูดอะไรของนาย เท่มากเลย จริงๆ นะ นายเล่นดีจริงๆ”

“ก็ขอบคุณที่ชมอยู่หรอก แต่เล่นผิดอยู่ตลอดเลยไม่ใช่หรือไง”

“นายเคยเรียนเปียโนเหรอ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นสักครั้ง”

“ฉันเรียนประมาณสามเดือนมานี้ เขาบอกว่าถึงเป็นมือใหม่ ถ้าท่องจำให้แม่นก็น่าจะเล่นได้สักเพลง เห็นว่าเวลาไปที่ไหนแล้วเปิดเพลงนี้ นายก็บอกว่าชอบตลอดเลย”

ฮาจุนมึนงงขึ้นมาพร้อมอ้าปากลืมตาค้าง

เพลงที่มูคยอมเล่นคือเพลงที่ตัวเอกสองคนขับร้องพร้อมกับดีดเปียโนในหนังที่ดูด้วยกัน เป็นหนังโรแมนติกที่น่าตื้นตันใจพอสมควร ห่างไกลจากความชอบของฮาจุนในยามปกติอยู่นิดหน่อยแต่เพลงเพราะดีและทิ้งอารมณ์ค้างไว้นาน จึงเป็นหนังโรแมนซ์ที่เขาดูแล้วติดตรึงใจอย่างที่ไม่ค่อยจะมีมากนัก

ทว่านับจากวันนี้ไป หากนึกถึงหนังเรื่องนั้น เขาคงจะคิดถึงเสียงบรรเลง

เพลงเพี้ยนๆ ของคิมมูคยอมมากกว่าความประทับใจที่หนังหลงเหลือไว้ให้ ด้านในดวงตาของฮาจุนอุ่นร้อนขึ้นมานิดหน่อย

“นายนี่ทำให้คนอื่นเขาตกใจไม่จบไม่สิ้นจริงๆ…”

เดิมทีมูคยอมก็ชอบสร้างอีเวนต์นู่นนี่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เปียโน

เนี่ยนะ ถ้าลองคิดดูดีๆ ถึงแม้แบบนี้จะเป็นพื้นฐานและวิธีการมาตรฐานของอีเวนต์ออกเดทที่มูคยอมน่าจะชอบ แต่เปียโนก็เป็นสิ่งของที่ดูไม่สัมพันธ์กับอีกฝ่ายสักเท่าไรจริงๆ

ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ร้อยเรียงเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกันออกมาเป็นเส้นเส้นหนึ่งในหัว เขาสบตากับมูคยอมอย่างเต็มตา

“…ถ้างั้นหรือว่า…”

“พี่สาวของร็อบบี้สอนเปียโน พอดีว่าเรียนกับคนรู้จักมันดีกว่ากับคนไม่รู้จักในหลายๆ ด้านน่ะ ฉันสาบานเลย ไม่มีเรื่องที่จะทำให้นายต้องขายหน้าอย่างเด็ดขาด”

มูคยอมลูบหน้าราวกับกำลังล้างหน้าแบบไม่ใช้น้ำ

“เพื่อจะทำเรื่องแค่นี้ ฉันเลยทำให้นายเดือดเลยไม่ใช่เหรอ ถึงฉันจะคิดเองก็รู้สึกโง่เง่านิดๆ พอจะพูดอธิบาย เดี๋ยวแผนก็แตกหมดอีก แล้วยังเสียดายที่ทุ่มเทไปสามเดือนด้วย… เมื่อวานฉันเลยไม่กล้าพูดออกมา”

“เรื่องแค่นี้งั้นเหรอ คิมมูคยอม นายเท่มากจริงๆ เรียนสามเดือนแต่ได้ถึงขนาดนี้เนี่ย นาย… ไม่มีอะไรที่นายทำไม่ได้เหมือนที่นายพูดเลย”

คราวนี้น้ำตาคลอขึ้นมาแล้วจริงๆ เมื่อเช็ดมันอย่างฉับไวก่อนที่จะไหลลงมา มูคยอมจึงยิ้มพร้อมกับกวักมือ

ฮาจุนรีบลุกขึ้นเดินไปอยู่ข้างๆ อีกคน เมื่อนั่งลงเคียงข้างอีกฝ่ายบนเก้าอี้เปียโนตัวยาว มูคยอมก็โอบแขนรอบไหล่ของเขา

“พอฟังได้ไหม”

“นายไม่มีความรู้เฉพาะทางด้านดนตรี… แต่สำหรับฉันมันยอดเยี่ยมที่สุดเลย ฉันจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต”

แน่นอนว่าคืนนี้ รวมถึงทุกวันพิเศษที่ใช้เวลาร่วมกัน ทั้งหมดเลย

“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่สงสัย…”

“ขอโทษอะไรเล่า สถานการณ์มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่หรอก เป็นเกียรติจริงๆ ที่รู้ว่าอีฮาจุนก็หวงฉันถึงขนาดนั้น”

ฮาจุนประทับริมฝีปากลงบนแก้มของมูคยอม ตอนนั้นมูคยอมจึงป้อนจูบกลับมาหลายครั้งด้วยใบหน้าที่ฉายชัดให้เห็นถึงความอิ่มอกอิ่มใจมากยิ่งกว่าความเขินอาย จากนั้นก็ถอยออกไปด้านข้างอีกนิดพร้อมกับชี้เปียโน

“นายก็ลองเล่นดูสิ”

“หา?”

“นายบอกว่าเคยเรียนตอนเด็กนี่”

“จะเป็นไปได้ยังไงเล่า ลืมไปหมดแล้ว เล่นครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาเกินสิบปีแล้ว”

ฮาจุนส่ายหน้า แต่มูคยอมก็ตื๊อ บอกให้ลองวางมือลงสักครั้งก็ยังดี ฮาจุนเอาชนะคำรบเร้าของอีกคนไม่ได้จึงยกแขนขึ้นมาวาง

“ไม่มั่นใจเลยแฮะ น่าจะเล่นได้แค่ ‘ช็อปสติกส์’ นะ…”

ฮาจุนเอียงหัวพร้อมกับพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดด้วยสีหน้าลังเล เมื่อทำแบบนั้น ท่วงทำนองสนุกสนานที่มีจังหวะรวดเร็วพอสมควรก็เรียงร้อยออกมาจากปลายนิ้ว ในขณะที่ฮาจุนขยับนิ้วอยู่ก็ยังงุนงงกับตัวเองแล้วเบิกตากว้าง

เขาเพียงแค่เล่นท่อนเริ่มต้นสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานก็หยุดมือก่อนที่การบรรเลงจะซับซ้อนขึ้น แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถปิดดวงตาตกตะลึงได้ มูคยอมพูดชื่นชมออกมาอย่างใหญ่โต

“โอ้โห อีฮาจุน! อะไรกัน! นายเล่นเก่งสุดๆ ไปเลยนี่!”

“…ตอนนี้ก็ยังเล่นได้อยู่เหรอเนี่ย แต่ฉันจำได้ถึงแค่ตรงนี้เอง”

“อันนี้อะไรน่ะ เพลงอะไร”

“ชื่อว่า ‘โซนาต้าหมายเลขเก้า’… ตอนเด็กฉันเคยฝึกเอาไว้ไปแข่ง”

“มันให้ความรู้สึกกรุ๊งกริ๊งๆ ดี เหมาะกับลูกวัวเลย”

มูคยอมยิ้มยิงฟัน สีหน้าไร้เดียงสาราวกับเด็กหนุ่ม

การบรรเลงเพลงอันติดขัดของมูคยอม เปียโนที่ได้ลองเล่นในรอบสิบกว่าปี และรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทำให้หัวใจของฮาจุนเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาพยายามบรรเทาหัวใจที่เต้นถี่รัวแล้วยกยิ้มพร้อมกับลูบไล้แก้มสีเกรียมแดดกว่าเขา

“แอบไปเรียนมาตั้งสามเดือนแต่ฉันดันไม่รู้ได้ยังไงนะ… ฉันละเลยเรื่องการเอาใจใส่คิมมูคยอมเกินไปหรือเปล่า”

“รับรู้ถึงความร้ายแรงแล้วเหรอ โค้ชน่ะปล่อยฉันเป็นอิสระมากเกินไป ลองคุมฉันให้เข้มขึ้นอีกสักหน่อยดูสิ”

มีเพียงเสียงริมฝีปากประกบกันอย่างหยอกล้อราวกับเครื่องเคาะจังหวะดังอยู่เรื่อยๆ แทนเสียงเปียโน ถึงลุกขึ้นยืนแล้วก็ยังสวมกอด บดเบียดริมฝีปากพร้อมเดินไปจนถึงเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนนั้น มูคยอมหัวเราะคิกคักราวกับไม่อยากจะเชื่อ

“เพราะอีฮาจุน ฉันถึงได้ลองเล่นเปียโนจนจบเพลง ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องให้ได้แตะมันมาก่อนในชีวิต แต่พี่สาวร็อบบี้ก็บอกว่าฉันมีพรสวรรค์นะ บอกว่ามือใหญ่ก็เลยดีสำหรับการเล่นเปียโน”

“ฉันมากกว่าเถอะ… ถ้าไม่ใช่เพราะนายก็คงไม่รู้เลยว่าตัวเองยังจำวิธีเล่นเปียโนได้อยู่”

“ถ้านายเรียนอีกครั้ง แป๊บเดียวก็น่าจะเล่นเก่งเลยนะ”

“อืม… แต่ฉันไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ตอนเด็กก็ไม่ได้เรียนอย่างสนุกสนานอะไรขนาดนั้น ถึงไม่เรียนก็งานยุ่งมากอยู่แล้ว ไม่เอาดีกว่า”

ฮาจุนพูดอ้อมแอ้มพร้อมยิ้มเขิน แต่ก็ครุ่นคิดอยู่รางๆ ว่าแอบไปเรียนมาเซอร์ไพรส์เหมือนมูคยอมดีไหม ไม่สิ มูคยอมเลือกใช้เปียโนไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาอะไรอย่างอื่นแทน

ฮาจุนคิดแผนลับในใจพร้อมกับกอดมูคยอมแน่น วินาทีนี้ที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเกินตัวอย่างหอมหวานโดยมีอีกคนอยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกมีความสุขราวอยู่ในสรวงสวรรค์

ฮาจุนลองนึกถึงตัวเองเมื่อประมาณสองปีก่อน ก่อนที่จะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ที่เคยทอดสายตามองเพียงฝ่ายเดียวแล้ว ‘เผชิญหน้า’ กับคิมมูคยอมอย่างจริงจัง มันเป็นคืนวันที่เขาเคยพยายามไม่คาดหวังว่าวันข้างหน้าคงดีกว่าตอนนี้ ช่วงเวลาที่ความเหนื่อยล้า ความไม่ยินดีและความหวาดกลัว ถาโถมเข้ามาเป็นความรู้สึกแรกๆ ในการกระทำที่ซุกซ่อนความปรารถนาไว้ จุดไหนสักจุดตรงส่วนปลายสุดของร่างกายยังคงจดจำความรู้สึกในตอนนั้นได้

ทั้งตอนเริ่มความสัมพันธ์ที่คาดไม่ถึงกับคิมมูคยอม และตอนที่เขาลังเลเพราะอีกคนทำตัวแปรปรวน สลับไปมาระหว่างเย็นชากับอบอุ่น แต่แล้วก็ทำใจกล้าสารภาพรักออกไปอย่างไม่สมกับเป็นตัวเอง กระทั่งตอนที่เขาเคยเดือดดาลเพราะการกระทำที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ของมูคยอม ช่วงเวลาเหล่านั้นก็ยังดีกว่าตอนก่อนได้พบเจอกับอีกฝ่าย

เพราะว่าอย่างน้อยหลังจากที่ได้เจอกับมูคยอม เขาก็มองดูตัวเองอย่างละเอียดพร้อมกับขบคิดอย่างหนัก มันดีกว่าตอนที่เขาเฝ้าสังเกตชีวิตของตัวเองราวกับว่ามันเป็นของคนอื่น พร้อมทั้งพยายามที่จะปิดบังความอ่อนแอด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

ถ้าให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับช่วงความรักจืดจาง ช่วงเวลานั้นต่างหากที่เป็นช่วงจืดจางของอีฮาจุน ช่วงเวลาแห่งความจืดจางที่เกิดขึ้นระหว่างกลางชีวิตกับตัวเขาเอง เขาไม่เคยแม้แต่คิดฝันว่าวันที่เจิดจรัสแบบนี้จะมาถึง

ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงเวลาจุดพลุฉลองปีใหม่ แต่ก็ยังเร็วเกินกว่าจะกินมื้อเย็น พวกเขาตรงมายังโรงแรมทันทีหลังฝึกซ้อม อีกทั้งคงเพราะตื่นเต้นไปกับการแสดงดนตรีอันกะทันหัน ทั้งสองคนจึงรู้สึกเหนื่อยกันนิดหน่อย

พวกเขาอาบน้ำที่สนามฝึกเสร็จแล้วค่อยมา แต่ก็แช่ตัวในอ่างอาบน้ำอีกหนึ่งรอบแล้วถึงออกมาเอนตัวบนเตียงโดยใส่ชุดคลุมอย่างไม่เรียบร้อยนัก ริมฝีปากชื้นบรรจบกันอย่างเชื่องช้าราวหยุดพักชั่วคราว ในระหว่างนั้น ฮาจุนก็นึกเรื่องที่สมองหลงลืมไปขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

“แกะของขวัญกันเถอะ”

“ของขวัญเหรอ”

“วันนี้ได้มาไง ที่แลกกันในทีม”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมยิ้มเจื่อนพร้อมดันตัวขึ้น

“อย่าคาดหวังอะไรเป็นพิเศษล่ะ มีแต่ของไม่มีประโยชน์ใส่มาทุกปี ปีก่อนฉันจับได้อะไรรู้ไหม ไอ้เจ้าเอร์นันเอากางเกงในสกรีนหน้าตัวเองอัดใส่มาจนเต็มกล่อง ของแบบนั้นใครจะไปใส่ลง”

“ยังไงฉันก็อยากรู้อยู่ดี”

สำหรับมูคยอม มันอาจเป็นเรื่องที่เกิดซ้ำๆ ทุกปี แต่สำหรับฮาจุน มันเป็นงานปลายปีของกรีนฟอร์ดที่เขาได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรก มูคยอมบอกว่าเอาสิ พร้อมดันตัวลุกขึ้น แล้วทั้งสองคนก็เอากล่องของขวัญของแต่ละคนมาที่เตียง

กล่องของมูคยอมใหญ่นิดหน่อย ส่วนของฮาจุนเล็กกว่าเมื่อเทียบกัน พวกเขาลองแกะโบว์ของขวัญของฮาจุนก่อน

“ว้าว”

ฮาจุนลืมตาโต มูคยอมเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน จากนั้นไม่นานก็ขมวดคิ้วพลางบ่นงึมงำ

“เดี๋ยวสิ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีของธรรมดาๆ ใส่ไว้นี่นา…”

สิ่งที่ใส่อยู่ในกล่องของขวัญของฮาจุนคือกล่องดนตรีเซรามิก มันถูกห่อไว้หลายชั้นเพื่อกันแตก

พอเปิดฝา เสียงเพลงที่ไม่รู้จักชื่อก็ดังออกมา มันดูราคาสูงทีเดียวและดูเป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างมีรสนิยมและพิถีพิถันเป็นอย่างมาก

“สวยจัง ถ้าวางตกแต่งบ้านก็น่าจะเข้านะ ต้องวางไว้ในห้องฉันซะแล้ว”

“น่าจะเป็นของที่สต๊าฟเตรียมมานะ ในกลุ่มนักกีฬา ไม่มีทางที่จะมีใครเตรียมของขวัญธรรมดาแบบนี้แน่”

“นายจับได้แต่ของแปลกๆ มาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เหรอ นายก็ลองแกะดูเร็ว”

มูคยอมเขม้นมองกล่องของขวัญที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ ไม่นานก็แกะโบว์ออก เมื่อเปิดฝากล่องของมูคยอม ฮาจุนเองก็ก้มหัวลงไปมองของที่อยู่ในนั้น

“นี่อะไรน่ะ”

ในกล่องอัดแน่นไปด้วยสิ่งของเล็กใหญ่หลายอย่าง แต่ละอันถูกห่อแยกไว้อีกชั้น มองผ่านๆ จึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร ฮาจุนหยิบของที่วางไว้บนสุดขึ้นมาแกะห่อออก

สิ่งของที่หน้าตาเหมือนไมโครโฟนโผล่ออกมา มันมีด้ามจับยาว เชื่อมกับหัวทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่และโค้งมน เมื่อกดสิ่งที่ดูจะเป็นสวิตช์เปิดจากหลายๆ ปุ่มที่ติดอยู่กับด้ามจับ หัวของมันก็เริ่มสั่นพร้อมส่งเสียงครืดคราด

“เครื่องนวดหรือเปล่า แรงสั่นพอใช้ได้แต่เสียงดังไปหน่อยนะ”

ฮาจุนพูดพร้อมกับเอาส่วนหัวที่สั่นครืดๆ มาวางบนไหล่ของตัวเอง มูคยอมก็เอียงหัวราวกับไม่แน่ใจตัวตนของมันเช่นกัน จากนั้นก็หยิบของในกล่องขึ้นมาทีละอย่าง

ทุกครั้งที่แกะห่อ สิ่งของที่ไม่รู้วิธีการใช้สอยเลยก็ปรากฏออกมา สีหน้าของฮาจุนกับมูคยอมดูไม่แน่ใจมากขึ้นทีละนิด มูคยอมทำหน้าแบบนั้นอยู่ แล้วชั่วขณะหนึ่งก็ขมวดคิ้วเขาหากันทันควัน

“โว้ย ไอ้บ้าคนไหนเนี่ย”

มูคยอมตะโกนเสียงดัง เมื่อฮาจุนกะพริบตาปริบ มูคยอมก็เอาของในกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมายื่นให้ ดวงตาของฮาจุนก็เบิกโพลง

“นั่นอะไรน่ะ”

“ดูเหมือนอะไรล่ะ”

สิ่งที่อยู่ในมือของมูคยอมคืออวัยวะบ่งบอกความเป็นชาย

ไม่สิ พูดให้ถูกคือของปลอมที่ทำขึ้นเลียนแบบเครื่องเพศของผู้ชาย มูคยอมเขวี้ยงมันลงพื้นอย่างรวดเร็วแล้วปัดมือพึ่บพั่บราวกับจับของสกปรก

ผู้คนต่างถามว่าเป็นวันครบรอบหนึ่งปีของอะไรกันแน่ถึงได้ทำท่าฉลองแบบนั้นจนได้ใบเหลือง พร้อมกับคาดเดาต่างๆ นานา แต่มูคยอมปิดปากเงียบ ส่วนฮาจุนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้เวลาเดินมาถึงปลายปีซะแล้ว

“ต่อให้รักกันปานจะกลืนกินแค่ไหน แต่สักวันหนึ่ง ช่วงจืดจางก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน มันเหมือนกับโรคแหละ ถ้าผ่านไปได้สบายๆ เหมือนไข้หวัดก็โชคดีไป แต่สำหรับหลายคน มันหนักพอๆ กับโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย สุดท้ายก็ทำลายความสัมพันธ์”

ฮาจุนไม่เคยพูดคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับแฮร์รี่มาก่อน แต่อีกคนแอบดูมีมุมเจ้าบทเจ้ากลอนเหมือนกัน แต่เขาไม่มีจังหวะจะประทับใจคำพูดโรแมนติก ความนึกคิดของฮาจุนกำลังค่อยๆ เกาะติดกับความไม่สบายใจที่อาบย้อมหัวใจ ราวกับผงเหล็กที่ถูกแม่เหล็กดูด

“ต่อให้ทั้งสองคนไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเป็นพิเศษน่ะเหรอครับ มันเกิดขึ้นแน่ๆ กับใครก็ได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยเห็นคู่ที่หนีมันพ้นนะ รวมถึงฉันด้วย”

“อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ”

“เหตุผลเหรอ ช่วงความรักจืดจางมีเหตุผลของมันด้วยงั้นเหรอ ก็แค่เบื่อขึ้นมาเฉยๆ นั่นแหละ เพราะคุ้นเคยกับอีกคนมากเกินไป”

แฮร์รี่พูดแบบนั้นแล้วส่งสายตาให้ฮาจุนแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

“จุนก็มีคนที่เดทอยู่ด้วยล่ะสิ นายไม่เคยพูดถึงก็เลยคิดว่ายังโสดซะอีก

หรือว่าเพิ่งเริ่มเดท”

“เปล่าครับ ก็แค่สงสัย”

ฮาจุนเลิกพูดแล้วจิบเบียร์เข้าปาก การพูดคุยกันเรื่องช่วงความรักจืดจางของคู่รักดำเนินต่อเนื่องไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น แต่ฮาจุนกลับดึงตัวเองออกมาจากความคิดนั้นไม่ได้ง่ายๆ

‘ความรู้สึกเบื่อหน่าย: ความเบื่อหน่ายหรือเกียจคร้านที่เกิดขึ้นเนื่องจากหมดสิ้นความสนใจในสถานการณ์หรือสิ่งใดๆ’

ไม่ใช่ว่าฮาจุนไม่รู้ความหมายของคำศัพท์แต่ก็ลองเสิร์ชหาโดยไม่จำเป็น ในพจนานุกรมภาษาเกาหลีให้คำนิยามความหมายของคำว่าความรู้สึกเบื่อหน่ายไว้แบบนี้

‘หมดความสนใจ… แล้วก็เหนื่อยหน่าย…แล้วก็เบื่อ’

ฮาจุนไม่แม้แต่คิดจะสั่งเบียร์ที่ดื่มหมดแล้วเพิ่มอีก และทำเพียงแค่ก้มลงมองแก้วว่าเปล่าอย่างเหม่อลอย

เขาลองจินตนาการดู จินตนาการว่าคิมมูคยอมเบื่ออีฮาจุน คิมมูคยอมหมดความสนใจในการคบหากับอีฮาจุนขึ้นมาแล้ว ทั้งเหนื่อยหน่าย ทั้งรู้สึกเบื่อ

ดวงตาของฮาจุนสั่นเทานิดๆ ราวกับสะเทือนใจ

‘…ฉันคบแฟนแบบสบายใจมากเกินไปหรือเปล่านะ’

แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เดินหน้ามาจนถึงตรงนี้โดยผ่านความทุกข์ใจน้อยเสียเมื่อไร ตัวฮาจุนเองก็มั่นใจว่าความเหนียวแน่นในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ขาดสะบั้นลงง่ายดายขนาดนั้น เหมือนที่

มูคยอมเน้นย้ำอยู่หลายครั้ง เขากับอีกฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์เพียงผิวเผินที่ผูกมัดกันไว้ด้วยคำว่าคนรัก

แต่ฮาจุนเพิ่งเคยมีแฟนครั้งแรกจึงไม่มีคนอื่นให้เปรียบเทียบ และเขารู้ดีว่าตัวเองก็ค่อนข้างความรู้สึกช้าในหลายๆ ด้านเมื่อเทียบกับคนอื่น แถมยังมีนิสัยชอบมองโลกในแง่ดีและไม่คิดอะไรให้รอบคอบเป็นบางครั้งอีกด้วย

เอาเข้าจริง… เขาน่ะ เหมือนว่าไม่มีความคิดที่คิมมูคยอมจะเบื่อหน่ายเขาเลยสักครั้ง

ความจริงที่เพิ่งตระหนักถึง ทำให้เขามึนงงไม่น้อยจนถึงกับตกใจด้วยซ้ำ

อีฮาจุนเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่เคยลองจินตนาการดูเลยสักครั้งแม้แต่ตอนที่เป็นคู่นอนกัน ว่าคิมมูคยอมจะรู้สึก ‘เบื่อหน่าย’ ตนเอง

มั่นอกมั่นใจอะไรนัก ถึงลองถามตัวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่เริ่มต้นคิดไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าคิมมูคยอมอาจเบื่อเขาได้อย่างไม่มีเหตุผล

กระทั่งตอนที่คิมมูคยอมเข้าใจผิดไปเองคนเดียวจึงเมินเฉยและไม่สนใจเขา ฮาจุนก็ยังเชื่อมั่นจนถึงที่สุดว่าการกระทำของอีกคนน่าจะมีเหตุผล เขาไม่เคยคาดคะเนไปในทางที่ว่า อีกคนนิ่งเงียบ ไม่อธิบายสถานการณ์ใดๆ เพียงเพราะแค่อึดอัด แล้วก็เกิดเบื่อหน่ายกันขึ้นมาจึงเมินเฉยใส่ตน

ถึงแม้ในตอนนี้จะคาดเดาว่าอีกคนคงไม่ชอบเขาแล้วเกิดรำคาญ แต่ฮาจุนคิดว่าในรากฐานของความรำคาญนั้นก็น่าจะมีเหตุผลที่อีกคนไม่ยอมบอกเขาอย่างที่คิด เขาไม่ได้คาดคะเนผิดเพราะมันมีสาเหตุจริงๆ แต่ว่า… ตอนนั้นถ้าหากมูคยอมไม่พูดอ้อมค้อมไปมาแล้วตัดขาดเขาอย่างไม่ซับซ้อนโดยบอกว่า ‘ฉันเบื่อนายแล้ว’ เขาก็อาจจะแยกตัวออกห่างอีกคนไปโดยไม่มีกำลังจะไปพูดคุยหรือซักไซ้อะไรมากกว่านี้ก็ได้

เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนค่อนข้างสงบเสงี่ยมมาจนถึงตอนนี้แต่อาจจะไม่ใช่แบบนั้น ฮาจุนเสยผมด้านหน้าขึ้นแล้วสั่งเบียร์เพิ่มอีกหนึ่งแก้วทีหลัง

‘ป้องกันไม่ให้ความรักจืดจาง’

‘อาการเมื่อความรักจืดจาง’

‘แก้ปัญหาความรักจืดจาง’

ระหว่างทางนั่งรถบัสกลับบ้าน ฮาจุนจ้องโทรศัพท์มือถือตลอดทางและไม่สามารถหยุดค้นหาคีย์เวิร์ดที่คล้ายๆ กันได้

ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงจะใช้รถส่วนตัวไปแล้ว แต่เขาดื่มแอลกอฮอล์มาจึงไม่สามารถขับรถได้ และวันนี้ก็เป็นวันที่มูคยอมมีนัดอื่นตามลำพัง มูคยอมบอกว่าถ้าแยกย้ายกันแล้วให้โทรไปหาเพราะเดี๋ยวจะไปรับ แต่ฮาจุนก็ไม่อยากทำให้อีกคนต้องแยกตัวออกมาเร็วเพราะเขาทั้งที่นัดกับทางนั้นแล้ว

ฮาจุนเช็กโปรแกรมแช็ตในโทรศัพท์ ห้องแช็ตกับมูคยอมเงียบสนิท

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังคิดอะไรแบบนี้อยู่หรือเปล่า ถึงได้รู้สึกแปลกๆ แต่ว่า… วันนี้แทบจะไม่มีการติดต่อมาจากมูคยอมเลย

ปกติถ้าฮาจุนไปสังสรรค์หรือออกไปตามนัดคนเดียว อีกคนมักจะส่งข้อความมาเซ้าซี้เกินยี่สิบข้อความจนกว่าเขาจะกลับ ทั้งบอกว่าคิดถึงบ้างล่ะ หรือไม่ก็ถามว่ากลับเมื่อไรบ้างล่ะ แต่วันนี้มีเพียงข้อความที่ส่งมาบอกว่า ‘ไปเที่ยวเล่นให้สนุกนะ’ กับ ‘ถ้าเสร็จแล้วก็ทักมา’ เมื่อประมาณสองชั่วโมงก่อนกับอีโมติคอนไม่กี่อัน หลังจากนั้นก็ไม่มีทั้งสายเข้าหรือข้อความอีกเลย คิดเพียงแต่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมูคยอมและเขามั่นคงกันดีแล้ว

‘ความคิดเห็น’

‘ติดต่อมาหาน้อยครั้งลงก็เป็นอาการหลักๆ ในช่วงความรักจืดจาง! ช่วงแรกที่คบกันน่ะ โทรหาทุกสองสามชั่วโมง ข้อความก็ตอบกลับในไม่กี่วินาที แต่แล้วก็มีหลายครั้งขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่อ่านข้อความแถมยังส่งมาแค่ตัวย่ออีก… ถ้าถึงขั้นขี้เกียจติดต่อหากันก็เลิกไปเลยดีกว่า’

เมื่อฮาจุนค้นหา ‘อาการเมื่อความรักจืดจาง’ แล้วเห็นความคิดเห็นที่บุคคลไม่เปิดเผยชื่อคอมเมนต์เอาไว้ ความวุ่นวายใจก็ก่อตัวใหญ่ขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถติดต่อไปหามูคยอมก่อนและทำได้เพียงลูบโทรศัพท์เท่านั้น การโทรไปหาอีกคนไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เพราะกังวลอย่างไม่มีเหตุผล พอตั้งใจจะโทรไปจึงรู้สึกละอายใจตัวเอง

อารมณ์ของฮาจุนจมดิ่งลงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจึงพิงหัวกับหน้าต่างรถแล้วทอดสายตามองวิวยาวค่ำคืนเท่านั้น แต่จู่ๆ โทรศัพท์ในมือก็สั่นครืดคราด ฮาจุนเช็คดูว่าใครเป็นคนโทรมาแล้วจึงรีบรับสาย

“มูคยอม”

‘อยู่ไหนน่ะ แยกย้ายกันหรือยัง’

เสียงที่ได้ยินจากปลายสาย สดใสเหมือนในตอนปกติ

“อื้อ กำลังนั่งรถบัสกลับบ้าน”

‘บอกว่าถ้าเสร็จแล้วให้โทรมาไง ทำไมถึงขึ้นรถบัสเล่า’

“นายก็น่าจะกำลังไปเจอคนอื่นอยู่นี่นา กลัวว่านายต้องแยกตัวมาเร็วอย่างไม่จำเป็นเพราะฉันน่ะ”

‘ยังไงก็เป็นคนดีซะจริงๆ เลย ถ้างั้นเจอกันที่ป้ายรถ ถ้าถึงก่อนเดี๋ยวฉันรอ

อีกเดี๋ยวเจอกันนะ’

“โอเค อีกนิดเดียวฉันก็จะถึงแล้ว”

ฮาจุนตัดสายแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง ทิวทัศน์ยามค่ำคืนในฤดูหนาวซึ่งเมื่อสักครู่นี้ดูเงียบเหงา จู่ๆ ก็มีสีส้มแดงมาปะปนทำให้ดูอบอุ่น ฮาจุนยกยิ้มบางพร้อมกับนั่งตัวตรง

‘กังวลอะไรไม่มีประโยชน์น่า จองคยูก็แต่งงานจนมีลูกแล้ว แต่ยังชอบกันเหมือนตอนแรกอยู่เลยนี่’

ตอนนี้ใกล้ตัวมีคู่สามีภรรยาที่ห่างไกลกับช่วงความรักจืดจางอยู่มากโขแท้ๆ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ได้ คงเพราะเป็นมือใหม่ในการคบหาใครสักคนเลยคิดมาก ฮาจุนวิเคราะห์ตัวเองชั่วครู่ที่คล้อยตามคำพูดของคนอื่นไปอย่างง่ายดายมากเกินไป

ฮาจุนลงจากรถบัสแล้วมองซ้ายมองขวาหารถของมูคยอม ไม่เห็นรถคันไหนคุ้นตาเลยแม้แต่คันเดียว เป็นเวลาดึกมากแล้ว บนถนนจึงเงียบสงบและมีเพียงแสงสว่างจากไฟของร้านค้าประปราย ฮาจุนเดินวนอยู่กับที่เพราะดูท่าอีกคนจะยังมาไม่ถึง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากด้านข้าง ฮาจุนหันหน้าไป

“ฉันยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่นายจำกันไม่ได้เลยนะ”

มูคยอมสวมหมวกแก๊ปและพันผ้าพันคอปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง อีกคนหัวเราะพลางเดินเข้ามาใกล้ ฮาจุนเบิกตากว้างแล้วหัวเราะตามอีกฝ่าย

“มัวแต่มองหารถก็เลยน่าจะมองผ่านไปน่ะ นายก็ไม่ได้เอารถมาเหรอ”

“วันนี้อากาศอบอุ่นทั้งทีนี่ นานๆ ทีเดินกลับบ้านก็น่าจะดี ถือซะว่าเดินเล่นด้วย ก็เลยจอดรถไว้ที่ลานจอดเสียค่าบริการน่ะ เดี๋ยวค่อยไปเอาทีหลัง”

มูคยอมพูดแบบนั้นพร้อมกับโอบไหล่ของฮาจุนเข้ามากอดแล้วประทับริมฝีปากลงบนแก้มเขาทันที ฮาจุนก็โอบแขนรอบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเช่นกัน

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันบนถนนที่ตอนนี้คุ้นชินมากแล้ว ย่านที่พักคนรวยซึ่งถูกครอบครองพื้นที่ไปด้วยบ้านหลังโตอย่างกับปราสาท ก็เป็นที่ที่มีคนอาศัยอยู่เหมือนกัน บนถนนก่อนเข้าเขตที่พักอาศัยจึงมีร้านค้าทั้งเล็กใหญ่ตั้งอยู่เรียงราย ร้านรวงต่างๆ อย่างเช่น ร้านหนังสือกับร้านอาหาร ผับกับคาเฟ่ที่เคยไปนั่งหลายครั้งจนนับจำนวนครั้งไม่หวาดไม่ไหวผ่านเลยไปตามข้างทาง

บางครั้งทั้งสองคนก็ไปสั่งเบียร์กันคนละแก้วแล้วพูดคุยกัน บางวันก็นั่งทำงานของใครของมันในคาเฟ่ที่เปิดเพลงถูกใจบ่อยๆ จริงๆ แล้วมูคยอมไม่มีงานให้นั่งทำเยอะมากนัก แต่คงชอบที่ได้ใช้เวลาด้วยกันกับฮาจุนที่คาเฟ่ อีกคนจึงมักจะถือหนังสือหรือไม่ก็แท็บเล็ตมานั่งฆ่าเวลาอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

มูคยอมเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม

“ไปดื่มมาสนุกไหม”

“อื้อ สนุกดี”

“ไม่มีใครพูดอะไรแปลกๆ ใช่ไหม จู่ๆ ก็แสดงออกว่าชื่นชอบแบบผิดปกติ หรือไม่ก็ยกมือมาจับที่แปลกๆ…”

“คนเจอหน้ากันทุกวัน จู่ๆ จะทำแบบนั้นได้ยังไงเล่า”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถึงจะไม่รับรู้จนถึงเมื่อวานก็ตามที แต่ทำไมจะไม่มีคนที่ตาค้างเพราะเสน่ห์ของอีฮาจุน อาจมีพวกที่เล็งจังหวะหาโอกาส แล้วก็มาทำตัวใกล้ชิดในวงเหล้าอยู่อีกเยอะเลยก็ได้”

มูคยอมถอนหายใจราวกับกังวลจากใจจริง

“พวกคนที่มาชวนคุยนู่นนี่ที่ร้านเหล้าล่ะ”

“บอกว่าไม่มีคนทำแบบนั้นไง ไม่เคยมีเลย”

ฮาจุนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนพร้อมกับตบไหล่มูคยอมปุๆ

เขาตอบคำถามที่ตอนนี้รู้สึกเคยชินไปเสียแล้ว แต่คำถามก็ยาวนานต่อเนื่องเสียจนเอือมระอา และในตอนที่มาถึงบ้าน ความกลัดกลัดกลุ้มที่ลากยาวมาตั้งแต่ร้านเหล้าจนถึงตอนนั่งรถบัสก็สลายหายไปราวกับหิมะละลาย

* * *

ความกลุ้มใจที่เคยสลายไป กลับมาตั้งเค้าราวกลุ่มเมฆฝนอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น

เป็นวันธรรมดาที่มูคยอมจูบปลุกฮาจุนมากินมื้อเช้าด้วยกัน จากนั้นก็รีบอาบน้ำสวมเสื้อผ้าแล้วออกมาทำงาน

ทั้งสองคนแยกย้ายกันตรงทางเข้าตึกของสนามฝึกซ้อม ฮาจุนมุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์ของสตาฟ ส่วนมูคยอมก็ไปยังห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬา

“สวัสดีครับ”

ฮาจุนเปิดประตูเข้าไป คนอื่นๆ รวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งและกำลังดูอะไรสักอย่าง ฮาจุนเก็บกระเป๋าในล็อกเกอร์ของตัวเอง จากนั้นจึงเดินไปหาคนอื่นๆ แล้วเอียงหัว

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ดูนี่สิ ข่าวด่วนที่รายงานตอนเช้าวันนี้”

พาดหัวข่าวที่ถูกพิมพ์ด้วยตัวอักษรแบบโกธิคขนาดใหญ่ ตรึงเข้าในดวงตาของฮาจุน

“คิม, พบเจอความรักครั้งใหม่หลังจากห่างหายมานาน?”

ฮาจุนใจหล่นฮวบในชั่วขณะหนึ่งเพราะคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกจับได้ แต่ในวินาทีต่อมา หัวใจของเขาก็ดีดกระดอนด้วยความตกใจสุดขีด

มีรูปอยู่ใต้พาดหัวข่าว ภาพแตกนิดหน่อยเหมือนกับขยายรูปแอบถ่ายจากไกลๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เพียงพอให้สามารถแยกแยะสีหน้าหรือใบหน้าได้

มูคยอมกำลังออกมาจากสถานที่ที่เป็นเหมือนกับบ้านธรรมดา โดยสวมหมวกแก๊ปพร้อมกดปีกหมวกยาวๆ ลงต่ำราวกับตั้งใจจะหลบหลีกสายตาของผู้คน แล้วฮาจุนก็มองเห็นผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยสักครั้งอยู่ด้านในประตูบานนั้น

“ช่วงนี้ไม่มีข่าวลือเรื่องผู้หญิงเลยไม่ใช่เหรอ พวกเรายังคิดอยู่เลยว่าตอนนี้คงหมดยุคเพลย์บอยของมูมูแล้ว”

“คงจะไม่ใช่แล้วละ ไม่ได้มีมานาน พวกนักข่าวเลยตื่นเต้นดีใจกันใหญ่”

ฮาจุนมองข่าวนั้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา นอกจากรูปที่ใหญ่ที่สุดใต้พาดหัวข่าวแล้วก็ยังมีรูปอื่นอีก เป็นรูปที่ถ่ายคนทั้งสองตอนอยู่ในบ้านผ่านทางหน้าต่าง

สองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันและกำลังหัวเราะ ทั้งยังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมแนบชิด ทั้งคู่กางหนังสือพิมพ์หรือหนังสือเล่มใหญ่อะไรไม่รู้ไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งหันหน้าเข้าหากัน ก้มดูมันด้วยกัน ภาพนั้นถึงกับดูอบอุ่นจับใจ

ข้อความในข่าวไม่ถูกป้อนเข้าหัวอย่างครบถ้วนด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นเขาก็สะดุดตากับบางย่อหน้า ‘…การพบกันครั้งนี้ดูต่างกับการพบกันชั่วข้ามคืนที่คิมเคยทำให้เห็นอยู่มากทีเดียว เท่าที่ทางหนังสือพิมพ์ได้ตามติดอย่างใกล้ชิด ทั้งสองคนแอบพบกันลับๆ อย่างต่อเนื่องมากว่าสองเดือนแล้ว’

ฮาจุนตั้งหน้าตั้งตานึกย้อนไปในความทรงจำ บางทีอาจเป็นคนที่เขาเองก็รู้จักก็ได้ แต่ต่อให้ขุดค้นไฟล์ข้อมูลในหัวมากแค่ไหนก็เป็นคนที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอยู่ดี ไม่ใช่คู่นอนคนก่อนของมูคยอมหรือคนที่เคยเป็นข่าวฉาวด้วย

มันเป็นข่าวฉาวเรื่องใหม่

ฮาจุนจ้องรูปนั้นเขม็งแล้วสังเกตเห็นอีกอย่าง หมวกที่สวมอยู่บนหัว ผ้าพันคอที่พันรอบคอ การแต่งตัว ทุกอย่างเป็นแบบเดียวกันกับที่อีกคนสวมเมื่อวาน ริมฝีปากของฮาจุนเกร็งตึง

‘เมื่อวาน… ไปเจอคนนี้มางั้นเหรอ’

ฮาจุนยื่นหนังสือพิมพ์ซุบซิบวงการกีฬาให้ใครก็ไม่รู้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วเดินไปทางล็อกเกอร์ของตัวเอง เขาเปลี่ยนเสื้อด้วยท่าทีเหมือนหุ่นยนต์พร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเหม่อลอย

…เมื่อวานมูคยอมติดต่อมาหาเขาน้อยผิดปกติ อีกคนก็ไปเจอใครบางคนอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นก็อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่คิมมูคยอมที่ฮาจุนรู้จักเป็นคนที่ไม่ปล่อยปละละเลยที่จะติดต่อหาเขาทุกครั้งที่มีจังหวะแม้ว่าตัวเองจะมีนัดอยู่ก็ตาม

พอลองคิดดู ช่วงล่าสุดมานี้มีหลายครั้งมากขึ้นที่มูคยอมมีนัดไปไหนคนเดียวบ่อยๆ ไม่สิ เป็นประจำตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้… เหมือนจะพักใหญ่แล้ว นักข่าวบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดำเนินต่อเนื่องมากว่าสองเดือน

เดิมทีอีกคนก็มีกิจกรรมนอกบ้านอย่างการไปประชุมงานอยู่เยอะ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่พอลองคิดทบทวนดูทีละอย่างก็มีหลายครั้งแล้วเหมือนกันที่มูคยอมไม่อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทุกครั้งที่ออกไปตามนัดที่กำหนดวันล่วงหน้าชัดเจน การติดต่อจากอีกคนก็จะห่างหายมากขึ้นเป็นพิเศษด้วย… พอนึกย้อนดูแบบละเอียด นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

ทำไมกันแน่ คนที่ไม่เคยเป็นแบบนั้น จู่ๆ กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป มันก็น่าจะมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ

‘…เหตุผล…’

ความคิดของฮาจุนหยุดชะงักลงชั่วขณะหนึ่ง

อาจจะไม่มีเหตุผลอะไรก็ได้ แบบที่คนอื่นพูดกัน ถ้าคบกันมาได้กว่าหนึ่งปีก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงความรักจืดจางไปตามธรรมชาติ ถ้าหากมูคยอมเองก็ใกล้เข้าสู่ช่วงนั้นแล้วล่ะ ไม่ต้องเอาแต่พยายามตามหาสาเหตุจากภายนอก แต่ถ้าหากต้นเหตุเกิดจากความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองล่ะ

ทว่าท่าทีของมูคยอมไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เมื่อวานก็ยังกังวลเรื่องที่คงจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แถมยังรัวคำถามทุกสิ่งอย่างว่ามีใครคนอื่นมาทำตัวใกล้ชิดเขาหรือเปล่า

ในตอนนั้น ประตูก็เปิดออกโผง บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงจนกระแทกกับผนังดังปังแล้วดีดกลับไปที่เดิม เสียงนั้นทำให้ทุกคนมองไปตรงทางเข้า

มูคยอมยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเปลี่ยนเสื้ออยู่แล้วหยุดกลางคัน อีกคนจึงสวมเพียงกางเกงของยูนิฟอร์มสำหรับฝึกซ้อมเท่านั้น ส่วนร่างกายท่อนบนก็เปิดโล่งให้เห็นร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง ซ้ำยังหายใจกระหืดกระหอบราวกับรีบร้อนมาหา

“เหลวไหลทั้งเพ!”

มูคยอมตะโกนเสียงดังแล้วก้าวฉับๆ เข้ามาฉวยหนังสือพิมพ์ที่คนอื่นถืออยู่ อีกฝ่ายฉีกแควกๆ ทั้งฉบับแล้วปาทิ้งลงถังขยะอย่างแรง

คนอื่นๆ ต่างตกใจกับท่าทีอารมณ์ร้อนของมูคยอมจึงพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียวแล้วได้แต่กะพริบตามองอีกฝ่ายปริบๆ ฮาจุนก็เช่นเดียวกัน

ฮาจุนเพิ่งเอานาฬิกาจับเวลากับนกหวีดคล้องคอ สายตาของฮาจุนกับมูคยอมมองสบกัน มูคยอมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันควัน ส่วนฮาจุนก็กลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก คนที่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตรงนี้ไม่ใช่มูคยอมแต่ควรจะเป็นเขามากกว่า

“เรื่องนี้เป็นข่าวโคมลอยทั้งหมด เป็นข่าวฉาวที่แต่งขึ้นมาเหมือนที่เคยมีตลอดนั่นแหละ ไม่ได้เชื่อมันใช่ไหม”

“อือ…”

ทั้งคู่กำลังคุยกันเป็นภาษาเกาหลี แต่ฮาจุนก็คอยเหลือบตามองคนอื่นๆ เขาตบหลังมูคยอมป้าบๆ พร้อมกับฉีกยิ้มเหมือนตอนปกติ

“ฉันเข้าใจแล้ว ออกไปคุยข้างนอกกัน”

“อีฮาจุน”

“คนอื่นมองอยู่นะ ไปคุยกันข้างนอกเถอะ แล้วก็ใส่เสื้อด้วย นี่หน้าหนาว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มแต่น้ำเสียงกลับฟังดูเหมือนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฮาจุนเอาเสื้อกันหนาวขนเป็ดรอบอกกว้างออกมาจากในล็อกเกอร์แล้วคลุมลงบนตัวเปลือยเปล่าของมูคยอม จากนั้นจึงกึ่งลากกึ่งดันอีกคนออกมานอกประตู

เมื่อเดิมตามทางเดินมาถึงใกล้ๆ ประตูฉุกเฉินที่มีคนให้เห็นบางตา ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเกิดเดจาวู ที่โซลก็เคยมีสถานการณ์คล้ายๆ กันนี้ไม่ใช่เหรอ… เมื่อยืนเผชิญหน้ากันแล้ว มูคยอมก็เริ่มแก้ตัวทันที

“คนนั้นน่ะ พี่สาวของร็อบบี้”

“อะไรนะ”

“ร็อบบี้ กองกลางทีมเราไง เธอเป็นพี่สาวของหมอนั่น ลองไปถามดูว่าฉันโกหกหรือเปล่า”

ฮาจุนนึกถึงกองกลางผู้มีใบหน้าตกกระ ร็อบบี้เป็นนักกีฬาที่สนิทกับมูคยอมไม่น้อย ถ้าเป็นพี่สาวของทางนั้นก็เท่ากับว่ายืนยันตัวตนเธอได้แล้ว

แต่ฮาจุนเพียงแค่กะพริบตาแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“แล้วมัน… เกี่ยวกันยังไง”

“อะไรนะ”

“เรื่องที่คนนั้นเป็นพี่สาวของร็อบบี้กับข่าวฉาวน่ะ มันเกี่ยวกันตรงไหน กับพี่สาวของเพื่อนร่วมทีม… ก็อาจเป็นแบบนั้นได้นี่”

มูคยอมตาเหลือกแล้วอ้าปากพะงาบ อีกฝ่ายโบกมือไปมาอย่างใหญ่โต

ยกหนึ่งราวกับเป็นวาทยากร

“โค้ชอี นายรู้เกี่ยวกับข่าวฉาวฉันทุกเรื่องนี่ เมื่อก่อนฉันก็ไม่แตะต้องครอบครัวของเพื่อนร่วมทีม… ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้!”

“…”

“เป็นแค่คนรู้จัก ส่วนรูปน่ะ ถ้าตั้งใจจะถ่ายแล้วก็ถ่ายออกมาให้ดูมีเรื่องราวได้หมดแหละ เมื่อวานฉันมีธุระเลยแวะไปแป๊บเดียว ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้เจอกันอีกแล้ว ร็อบบี้ก็อยู่ด้วยนะ! ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน ถ้าไปหาที่บ้านก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้พูดคุยกับเจ้าของบ้านไม่ใช่เหรอ ข่าวมันจัดฉากให้ดูเป็นแบบนั้น…”

“เรื่องอะไร”

“หือ”

“มีเรื่องอะไรถึงไปที่นั่น ดูเหมือนไม่ใช่แค่ไปเที่ยวเล่นเฉยๆ…”

มูคยอมเปลี่ยนมาทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ว่าพลาดไปเสียแล้ว สีหน้าของอีกคนเหมือนกำลังคิดว่าแก้ตัวพลาดไป คิ้วของฮาจุนค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน เสียงของเขาเย็นเยียบลงเหมือนอากาศในฤดูหนาว

“ถ้าจะโกหกก็อย่าแม้แต่จะพูดออกมานะ”

“ฉันไม่ได้โกหกนะ”

“ช่างมัน เลิกคุยกันเถอะ”

ฮาจุนพูดแทรกมูคยอม เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ

“ตอนนี้ต้องออกไปแล้ว ถึงเวลาฝึกแล้ว”

“ฮาจุน”

“ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้… ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยเรื่องแบบนี้หรอกใช่ไหม”

ฮาจุนหันตัวขวับ เขาเดินไปบนทางเดินด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองว่ามูคยอมตามมาหรือทำอย่างไร พวกสตาฟกรูกันออกมาพอดี

“อ้าว จุน คุยกับคิมเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ”

“ไม่ได้คุยกันเรื่องเมื่อกี้เหรอ เขาบอกว่าเป็นอะไรยังไง”

“บอกว่าพวกนักข่าวปล่อยข่าวโคมลอยน่ะครับ ก็เลยดูเหมือนจะโกรธ”

“หืม งั้นเหรอ”

ฮาจุนรีบปรับสีหน้าแล้วเข้าไปรวมในกลุ่มคน

บรรยากาศการฝึกซ้อมเป็นเช่นเดียวกับปกติ สิ่งที่ไม่เหมือนปกติมีเพียง

ฮาจุนเท่านั้น ฮาจุนลืมที่จะจับเวลาวิ่งของพวกนักกีฬาตั้งแต่เริ่ม เขาลุกลี้ลุกลนขอโทษพร้อมทั้งต้องจับเวลาใหม่

จู่ๆ จะให้ไปหาร็อบบี้แล้วถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็อย่างไรชอบกล ฮาจุนจึงสังเกตสถานการณ์แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ พวกนักกีฬาซึ่งอยู่ระหว่างการฝึกซ้อมอย่างเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ฮาจุนกระแอมไอข้างๆ ร็อบบี้ที่กำลังดื่มน้ำหลังจากฝึกฝนพละกำลังของร่างกายจบไปหนึ่งเซ็ต

“ร็อบบี้”

“อ้าว จุน”

เจ้าตัวก็ดูมีท่าทีสับสนไม่น้อยราวกับรับรู้เรื่องข่าวฉาวเหมือนกัน

…ถึงอย่างนั้นก่อนจะถามมีเรื่องอะไรให้สับสนด้วยล่ะ ฮาจุนแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ยกความคิดอื่นขึ้นมาพูดก่อน

“เมื่อวานมูคยอมไปบ้านพี่สาวนายนี่นะ”

“อื้อ พูดเรื่องนั้นเพราะเห็นข่าวใช่ไหม ถูกแล้วล่ะ ฉันเองก็อยู่ด้วย ข่าวนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลย”

“ไปทำอะไรเหรอ มีนัดพบปะกันอะไรแบบนี้เหรอ”

“อ่า…เรื่องนั้น… อืม ใช่แล้ว มีนัดเจอกันน่ะ”

จิตใจที่เคยผ่อนคลายลงเพราะคำพูดก่อนหน้า กลับมืดมนลงอีกครั้ง

ร็อบบี้พูดว่า ‘มีนัดเจอกัน’ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าตัวก็ดูเหมือนเป็นคนประเภทที่โกหกไม่เก่ง ที่ถ่วงเวลาตั้งแต่ก่อนตอบออกมาก็น่าสงสัย แต่ในขณะที่บอกว่ามีนัดเจอกัน อีกคนก็หลบตากันอย่างไม่ปิดบังด้วย

ทั้งสองคนสนิทกัน ไม่ใช่ว่าตกลงกับมูคยอมล่วงหน้าว่าจะพูดอะไรแล้วตั้งใจจะหลอกเขาเหรอ

“…อย่างนั้นเองเหรอ เข้าใจแล้ว”

ฮาจุนยังไม่หายสงสัย แต่ถึงจะซักไซ้ต่อไปก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะตอบอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งถ้าหากเค้นไม่ปล่อยก็คงมีแต่เขาที่จะกลายเป็นคนแปลกๆ ฮาจุนจึงยอมล่าถอย

กระทั่งการเขียนตัวหนังสือลงสมุดโน้ตที่จดบันทึกอย่างแข็งขันเช่นเดียวกับทุกๆ วันก็ยังเหนื่อยยาก ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ตั้งมั่นว่าต้องทำแล้วขยับปากกาซึ่งรู้สึกว่ามันหนักขึ้นเป็นหมื่นเป็นพันเท่าในวันนี้

ฮาจุนกำลังเขียนหนังสือด้วยลายมือหวัดเสียจนมีเขาเพียงคนเดียวที่เข้าใจ แต่แล้วใครบางคนก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ฮาจุนเงยหน้าขึ้น

“จริงหรือเปล่าครับ”

นักกีฬาหนุ่มเจ้าของดวงตาสีโอลีฟซึ่งเคยก่อเรื่องวุ่นวายให้ความสัมพันธ์ของเขากับมูคยอมช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยืนเด่นเป็นสง่าด้วยสีหน้าตึงเครียด

“…อะไร”

“ผมอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าครับ ข่าว เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

ตอนนี้ภาษาอังกฤษก็พูดเก่งแล้ว เข้ากันกับทีมได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงสนิทกับพวกนักกีฬามากขึ้นแล้วด้วย ตอนนั้นดูเป็นคนขี้กลัวและชอบเก็บงำอะไรอยู่คนเดียว แต่คงแค่ปรับตัวช้าเฉยๆ เวลาเห็นอีกคนในช่วงนี้จึงไม่เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว

เขาเคยคิดว่าอีกคนดูขี้กลัวเกินไปอย่างไรชอบกลสำหรับการเป็นผู้เล่นตัวรุกอย่างนั้นเหรอเนี่ย ฮาจุนปิดสมุดพลางส่ายหน้า

“ก็ต้องเป็นข่าวโคมลอยอยู่แล้วสิ ข่าวฉาวที่แต่งขึ้นมาน่ะ”

“ก็ไม่แน่หรอกนะครับ เพราะเดิมที คิมก็เป็นเพลย์บอยนี่ครับ ว่ากันว่าคนเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายขนาดนั้น”

“มาร์โค ระวังคำพูดหน่อยดีกว่า”

น้ำเสียงของฮาจุนเย็นชาขึ้น รูปประโยคเป็นแบบจูงใจ แต่วิธีการพูดเป็นเหมือนกับคำสั่ง มาร์โคชะงักไปครู่หนึ่ง สังเกตท่าทีของเขาแล้วพูดต่อ

“…จุน ตอนไหนเหนื่อยก็มาคุยกับผมได้เสมอเลยนะครับ จุนคอยรับฟังเรื่องของคนอื่นเสมอ แต่ในเวลาแบบนี้ มีคนที่จะพูดคุยเรื่องที่กลุ้มใจอยู่หรือเปล่า”

ฮาจุนไม่คิดว่ามาร์โคเป็นคนประเภทที่พึ่งพาได้ขนาดนั้น แต่น่าตกใจเหมือนกันที่คำพูดนั้นทำให้จมูกของเขาปวดตื้อชั่วขณะ ฮาจุนรีบคุมสีหน้าแล้วโบกสมุดโน้ตพร้อมกับส่งยิ้มให้

“ถ้ามีเรื่องกลุ้มใจ ฉันจะไปคุยด้วยนะ แต่ตอนนี้ไม่มีหรอก ขอบใจที่เป็นห่วงนะ มาร์โค แต่ตอนนี้เป็นเวลาฝึกซ้อม นายต้องตั้งใจซ้อมสิ”

“ครับ”

ถึงจะตอบแบบนั้นแต่อีกคนก็ยังเหลือบมองมาทางนี้อย่างหนักใจหลายครั้งในขณะที่เดินกลับไปยังที่ของตัวเอง ฮาจุนถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นก็ปราดตามองดูสนามฝึกซ้อมแล้วสบตาเข้ากับมูคยอมซึ่งกำลังมองมาทางทีอยู่พอดี

คงเห็นฉากที่เขาพูดคุยกับมาร์โค สีหน้าของมูคยอมจึงไม่ดีเลย แต่คงเป็นเพราะมีเรื่องค้างคาใจกันอยู่ มูคยอมถึงไม่สามารถมาขัดคอได้เช่นเคยแล้วทำเพียงแค่ทอดมองมาด้วยสีหน้าร้อนใจตรงที่ของตัวเองเท่านั้น

ฮาจุนละสายตาที่สบมองกันมาก้มลงมองดูสมุดโน้ต แล้วเขาก็ดำดิ่งไปในความว่างเปล่าทันที

‘…ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แฮะ ว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่’

จู่ๆ สมมติฐานหลากหลายอย่างที่ไม่สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็แตกแขนงแยกออกไปทั่วพร้อมกันกับที่เขารู้สึกเหนื่อยล้า ฮาจุนแยกไม่ออกเลยว่าความคิดในหัวของเขาตีกันวุ่นวายหรือว่างเปล่า

ไหล่ของฮาจุนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและลู่ลงอย่างฉับพลัน เขาไม่ครุ่นคิดอะไรอีกต่อไปแล้วเดินเข้าไปหาแฮร์รี่

“แฮร์รี่”

“หืม เป็นอะไรไป”

“ผมปวดหัวนิดหน่อยน่ะครับ ผมไปห้องพยาบาลสักเดี๋ยวได้ไหม”

แฮร์รี่ถามว่าเมื่อวานดื่มหนักไปหรือเปล่าแล้วพยักหน้าบอกให้รีบไป ไม่นึกเลยว่าเขาจะใช้วิธีแกล้งป่วยซึ่งเป็นวิธีประจำตัวคิมมูคยอม

มูคยอมวุ่นอยู่กับการฝึกแบบลิงชิงบอลซึ่งจะคอยแย่งบอลอยู่ตรงกลางวงล้อมของคนหลายๆ คน ฮาจุนอาศัยจังหวะนั้นแล้วเดินไปทางตึกสำนักงาน

ฮาจุนเข้ามาในตึก เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาลแต่ไปยังห้องประชุมที่ว่างอยู่ ฮาจุนนั่งลงตรงขอบโต๊ะตัวกว้างสำหรับนั่งรวมหลายคนแล้วกางสมุดโน้ต

ฮาจุนเปิดมาถึงหน้าหลังสุดซึ่งเป็นกระดาษสีขาวที่ยังไม่ได้เขียนอะไรไว้ เขายกปากกาขึ้นมาจดโน้ตที่ตัวเองเรียกแทนมันว่า ‘บันทึกประจำวัน’ ลงไปราวกับขีดเขียนเล่น เวลาที่ความคิดพันกันยุ่งเหยิงและอารมณ์เสียก็ให้เรียบเรียงมันเป็นข้อความ มันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาตอนเรียนเป็นโค้ช

‘- ความจริงที่เกิดขึ้น: คิมมูคยอมมีข่าวฉาวใหม่

– ความรู้สึกที่มีต่อเขา: โกรธนิดหน่อย

– วิธีการแก้ไข: จำเป็นต้องคุยกันให้ละเอียด คิมมูคยอมยืนกรานว่าไม่ใช่

– ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริง: ดูไม่สูงขนาดนั้น ร็อบบี้ก็บอกว่าอยู่ด้วย’

ถ้าอย่างนั้น เหตุผลที่โกรธตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ความจริงยังไม่เปิดเผยล่ะ

“ก็แค่อารมณ์ไม่ดี”

ฮาจุนพึมพำแผ่วเบา

เช่นเดียวกับช่วงความรักจืดจางที่มาถึงได้แม้ไม่มีสาเหตุ ถึงความจริงจะยังไม่เปิดเผย ถึงเหตุผลจะยังไม่ชัดเจน แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าอารมณ์เสียอยู่ไม่ใช่หรือไง

ถ้าหากช่วงความรักจืดจางมาถึงแล้วจริงๆ ล่ะ…

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าคิมมูคยอมมีความสนใจให้คนอื่น เขาจะต้องทำอย่างไร

ฮาจุนนึกถึงข้อความเกี่ยวกับ ‘การฝ่าฟันช่วงความรักจืดจาง’ ที่ค้นหาอยู่หลายรอบบนรถบัสเมื่อวานนี้ เขาอยากเตรียมรับมือสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนก่อนคุยกับมูคยอมอีกครั้ง

ผู้คนแลกเปลี่ยนคำปรึกษามากมายในอินเตอร์เน็ต คำชี้แนะบอกให้ลองแสดงออกถึงภาพลักษณ์ที่ต่างกับปกติ ถ้าเป็นคนจำพวกถมึงทึงก็ให้ลองทำตัวออดอ้อน ในทางกลับกัน ถ้าเป็นคนจำพวกที่ทำตัวน่ารักมากๆ อยู่แล้วก็ให้ลองปฏิบัติต่ออีกคนอย่างเคร่งขรึมสักหน่อย และมีคำชี้แนะว่าอย่าทำท่าทีวุ่นวายเพราะจะทำให้กลับมารู้สึกเครียดได้

ให้ลองหางานอดิเรกที่สามารถทำร่วมกันได้ แสดงออกถึงความรักมากขึ้นแต่อย่าคาดหวังว่าต้องมีสิ่งตอบแทนความรู้สึกนั้น จดจ่อกับเรื่องคนรักให้น้อยลงและทุ่มเทกับงานของตัวเองให้มากขึ้นอีกหน่อย ให้เวลาอีกคนได้อยู่คนเดียวและอย่ายึดติดกับการติดต่อหากัน… อีกทั้งยังมีพวกคำชี้แนะอีกมากมายจนไม่สามารถอ่านทั้งหมดได้

‘ต้องลองทำตัวออดอ้อนหรือเปล่านะ ฉันทำตัววุ่นวายขนาดนั้นต่อหน้าคิมมูคยอมหรือเปล่า ตอนนี้เวลาที่อยู่ร่วมกันก็ดูจะไม่น้อย และฉันก็ไม่เคยต้องการสิ่งตอบแทน ฉันทุ่มให้กับงานของตัวเองมากพออยู่แล้ว และฝ่ายที่ยึดติดกับการติดต่อหากันกลับเป็นฝ่ายคิมมูคยอมซะมากกว่า…’

ฮาจุนตอบทีละเรื่องในใจแล้วขีดเส้นแกรกๆ ทับบนข้อความที่ตัวเองเขียน ตัวอักษรที่เขียนไว้ถูกฆ่าทับด้วยเส้นสีดำที่ลากอย่างหยาบๆ ฮาจุนดึงกระดาษหน้าที่จดเมื่อครู่นี้ออกแล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งลงถังขยะ

ฮาจุนหลุบสายตาห่อเหี่ยวลงมองกระดาษที่ถูกฉีกพร้อมกับเม้มปาก

…ไม่ใช่ว่าต้องการพยายามเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้

ถ้าหากถึงเวลาที่อีกคนเบื่อที่จะคบเขาแล้ว และถ้าหากมูคยอมสนใจคนอื่นขึ้นมาจริงๆ…

เขาก็ทำได้แค่เศร้าสร้อยกับการที่ช่วงเวลาแบบนั้นมาถึงเท่านั้นเอง

วันนี้คือวันที่สามสิบธันวาคม เพียงวันเดียวก่อนถึงวันสุดท้ายของปีที่จองโรงแรมไว้เพื่อใช้เวลาท้ายปีอันแสนพิเศษกับมูคยอม

“…แต่นี่ก็คิดไปเองเกิน”

ฮาจุนนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งพร้อมกับเตือนตัวเองอย่างสุขุม

ถ้าลองคิดดู คำพูดของมูคยอมไม่ผิดเลย ยิ่งไปกว่านั้น คิมมูคยอมก็เป็นคนที่เคยเห็นภาพเขาเข้าไปในโมเต็ลกับแชฮุนแล้วเข้าใจผิดไม่ใช่เหรอ

หากลองคิดแบบสลับกัน เขาก็เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนั้น คราวนี้มองว่าเป็นฝ่ายตัวเองที่ได้เห็นฉากคิมมูคยอมเข้าโรงแรมกับคนอื่นก็พอแล้ว

ไม่สิ ถ้าลองพิจารณาดูทีละอย่าง สถานการณ์นี้น่าสงสัยน้อยกว่าของเขาในตอนนั้นด้วยซ้ำ สถานที่ก็ไม่ใช่โมเต็ลแต่เป็นบ้านธรรมดาทั่วไป รูปที่ถ่ายออกมาก็ไม่สามารถจับภาพช่วงเวลาที่เกินกว่าเหตุได้ เพียงแต่ตัวหลักในภาพนั้นคือคิมมูคยอม และอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวสวย จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าพวกนักข่าวคงจะปั้นเรื่องทั้งสองคนขึ้นมาตามอำเภอใจด้วยเหตุผลนั้น

หากเมื่อตอนนั้น ใครบางคนถ่ายภาพด้านในห้องของโมเต็ลเพื่อที่จะใส่ร้ายเขา ใครคนนั้นก็คงปรับมุมไม่ให้โฟกัสคนอื่นๆ แล้วสร้างบรรยากาศละมุนละไมออกมามากแค่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ให้ดูเหมือนกับมีเพียงเขากับแชฮุนแค่สองคน

เมื่อคิดแบบนั้น เขาก็ค่อยๆ สบายใจขึ้น ฮาจุนลุกขึ้นยืนสูดหายใจลึกๆ หลายครั้งอยู่กับที่ จากนั้นจึงเปิดประตูห้องประชุมออกมา

ในตอนที่เขากำลังเดินไปบนทางเดินเพื่อกลับไปยังสนามฝึกซ้อม

“ไปอยู่ไหนมา”

ฮาจุนได้ยินเสียงคุ้นหูจากทางด้านหลังจึงหันหน้าไป มูคยอมกำลังรีบร้อนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ได้ยินว่าปวดหัวเลยขอไปห้องพยาบาล…”

ปลายประโยคของมูคยอมที่เดินมาอยู่ตรงหน้าฮาจุนเสียงเบาบางลง ฮาจุนฟังคำพูดส่วนที่ถูกละเว้นนั้นออกอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า ‘แต่นายไม่อยู่ที่ห้องพยาบาลเลยกำลังตามหาอยู่’ เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึกลงด้วยความคอแห้ง

“พอได้พักแป๊บหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ต้องถึงกับไปห้องพยาบาล ฉันเลยกำลังจะออกไปพอดีน่ะ”

“ฮาจุน เป็นเพราะฉันเหรอ”

“ฉันบอกให้คุยเรื่องนั้นกันทีหลังไง ไปคุยกันที่บ้านนะ”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วยิ้ม ความรู้สึกคงผ่อนคลายลงแล้วหากเทียบกับเมื่อเช้า คราวนี้เขาจึงสามารถยิ้มออกมาได้แม้กำลังสนทนากันอยู่

รอยยิ้มนั้นคงทำให้มูคยอมวางใจเช่นกัน ใบหน้าที่เคยเศร้าหมองจึงกลับมามีชีวิตชีวา อีกฝ่ายถามขึ้น

“กลับก่อนเวลาดีไหม”

“ไม่ได้”

ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังสนามฝึก พระอาทิตย์ยังคงลอยอยู่กลางท้องฟ้า

รอบด้านมืดมิดลง แสงจากภายนอกซึ่งแทบจะเป็นสีเทาซีดลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กซึ่งเจาะติดไว้ใกล้ๆ เพดาน ‘ครืนนน’ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากไกลๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝน

ดูเหมือนว่าฝนไล่ช้างกำลังตก มูคยอมเงี่ยหูฟังเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้านนอกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงประทับริมฝีปากลงบนแก้มของฮาจุน อีกฝ่ายกระซิบพร้อมกับเริ่มขยับเอวอย่างไร้ซึ่งความกังวลใดๆ

“สงสัยจะไฟดับน่ะ”

ถึงแม้สนามฝึกจะไฟดับแต่ด้านนอกก็ยังเงียบสงัด ไม่ได้ยินพวกเสียงพูดคุยหรือเสียงฝีเท้าของคนที่จะทำให้ไฟกลับมาติดอีกครั้งเลย มีเพียงเสียงหายใจกับเสียงครวญคราง เสียงกระซิบ และเสียงเนื้อกระทบกันอย่างเฉอะแฉะของคนทั้งสองคนเท่านั้น

ฮาจุนค่อยๆ ปรือตาปิดลง เขารู้สึกราวกับถูกขังไว้กับมูคยอมในที่ที่เป็นเหมือนกับถ้ำลึกซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกภายนอก

เวลาหนึ่งวันที่ได้รับมาเป็นวันหยุดสั้นๆ หลังจบการแข่งขัน ดูเหมือนว่าสนามฝึกซ้อมซึ่งเงียบสงบลงจะกลายมาเป็นโลกที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น

* * *

เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นการบอกว่ามีแขกมาเยือน

ฮาจุนรีบออกไปรับ บ้านถูกสร้างขึ้นเป็นแบบดั้งเดิม ประตูใหญ่จึงอยู่ห่างจากตัวคฤหาสน์ ปกติเป็นเส้นทางที่ใช้รถขับไปมาจึงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่แขกในวันนี้กลับตัดสินใจว่าจะปั่นจักรยานมาเสียอย่างนั้น

ภาพของชายหนุ่มที่กำลังปั่นจักรยานใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ฮาจุนโบกมือ ชายหนุ่มลงมายืนพลางกะพริบตาราวกับไม่อยากจะเชื่อพร้อมกับลดเสียงลงถาม

“ฉัน เข้าไปได้จริงๆ เหรอ”

“แหงอยู่แล้ว”

“ฉันเอาอันนี้มาเป็นของขวัญ จะโอเคใช่ไหม”

“เอาอะไรมาอีกล่ะเนี่ย บอกให้มาแบบสบายๆ ไง”

อู่เฉินกลอกตาแล้วเข้าไปในบ้านตามหลังฮาจุน มูคยอมซึ่งออกมาอยู่ตรงห้องรับแขกลุกขึ้นยืน

“เชิญเข้ามาเลยครับ อู่เฉิน ยินดีต้อนรับ”

อู่เฉินตาเป็นประกาย จากนั้นก็ก้มหัวลงแล้วเงยกลับขึ้นมา

“คิม! ขอบคุณจริงๆ นะครับที่ชวนมา ตัวผมเป็นแฟนคลับกรีนฟอร์ดมาตั้งแต่สิบขวบ แล้วก็เชียร์คิมมาตั้งแต่สมัยอยู่โดเวอร์ครับ! ผมได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ได้เห็นคิมสมัยหนุ่มๆ เพราะตัวเองไม่ใช่คนเกาหลี วันนี้จุนบอกว่าจะให้ดูแฟ้มรวบรวมข้อมูลสมัยก่อนด้วย ผมก็เลยมาแบบคาดหวังสุดๆ ไปเลยครับ!”

อู่เฉินพ่นคำพูดฉอดๆ ออกมาราวกับเตรียมเอาไว้ โดยไม่เว้นจังหวะจะให้มูคยอมได้ตอบ จากนั้นก็ยื่นถุงกระดาษที่ถืออยู่ให้

“นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ครับ ผมรู้สึกว่าถึงจะซื้อของแพงๆ โดยวัดจากเกณฑ์ของผมมาให้ก็คงไม่มีความหมาย เลยเอาชาที่พ่อแม่ส่งมาให้มาฝากครับ ชาทำมาจากพุทรา มะกล่ำตาหนู แล้วก็ถั่วเขียว ดีต่อสุขภาพนะครับ อันที่จริง… เดิมทีมันเป็นของขวัญที่ทำขึ้นให้คู่แต่งงานใหม่ มีความหมายว่าจากนี้ไปก็ขอให้ใช้ชีวิตอย่างดีมีความสุขน่ะครับ แต่ก็ช่วยรับไปแบบนึกถึงแค่ความหมายของมันก็พอครับ”

มูคยอมซึ่งรับถุงไปแล้วฟังคำพูดของอู่เฉินนิ่งๆ กลับขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นก็ย้อนถามสิ่งที่พูดเพื่อยืนยัน

“คู่แต่งงานใหม่เหรอ”

“ครับ ฮ่าๆ ไม่ต้องคิดถึงส่วนนั้นหรอกครับ พอดีผมคิดว่าให้เป็นของขวัญในการมาเยี่ยมบ้านครั้งแรกก็น่าจะโอเคน่ะ”

“คู่แต่งงานใหม่”

มูคยอมทวนคำพูดนั้นซ้ำอย่างจริงจังพร้อมกับพยักหน้าแล้วบีบไหล่ของ

อู่เฉินแน่น

“อู่เฉิน คุณเป็นคนที่ประเสริฐจริงๆ ครับ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง พักผ่อนให้สบายใจแล้วค่อยกลับนะครับ”

ถึงแม้ไม่รู้เหตุผลที่ตัวเองได้รับคำชม แต่อู่เฉินก็เพียงแค่ทำตาเป็นประกายด้วยความประทับใจอย่างสุดซึ้งกับความจริงที่ว่ามูคยอมพูดคุยกับตัวเองเป็นอย่างดี

“ถ้างั้น… อันนี้ฉันจะไปต้มมาให้”

ฮาจุนมองดูคนทั้งสองพูดคุยกันไปคนละเรื่องแล้วเล็งจังหวะเหมาะเจาะหลบออกมาเพื่อไปยังห้องครัว แม้การทำอาหารจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าแค่ต้มน้ำชา ไม่ว่าจะมากแค่ไหนเขาก็สามารถทำได้

ฮาจุนเพิ่งจะเข้ามาในครัวแต่แล้วมูคยอมก็รั้งฮาจุนไว้ จากนั้นก็แย่งของขวัญในมือเขาไปถือ

“มีแขกมาหาก็ไปเล่นด้วยกันสิ เดี๋ยวฉันจะต้มน้ำชาให้เอง”

“ได้เหรอ นายบอกว่าห้ามอยู่กันแค่สองคนไง”

“ก็แบบ… หมอนั่นก็ดูไม่แย่เท่าไร”

มูคยอมเบนสายตามองไปทางอื่นพร้อมกับลูบคอด้านหลังราวกับเขินอาย ฮาจุนหัวเราะคิกคักแล้วบีบแก้มของอีกฝ่ายที่พองขึ้นอย่างไม่จำเป็นเบาๆ

“ถ้างั้นฉัน… จะไปอยู่ในห้องฉันนะ”

“เข้าใจแล้ว”

ฮาจุนใช้ห้องหลากหลายห้องอย่างอิสระ แต่ห้องที่ฮาจุนเลือกที่จะเรียกว่า ‘ห้องของฉัน’ อย่างชี้ชัดคือห้องที่เป็นเหมือนกับห้องรับแขกและเป็นพื้นที่ทำงานอดิเรกของเขาเองด้วย แน่นอนว่าแฟ้มเก็บข้อมูลคิมมูคยอมที่เอามาจากโซลกับคอลเล็กชั่นยูนิฟอร์มย่อมถูกเก็บรวมกันไว้ในนั้น ทั้งยังมีอัลบั้มรูปสมัยเด็กของ

ฮาจุนซึ่งมูคยอมดูซ้ำๆ สองสามวันครั้ง และของที่ระลึกที่ซื้อมาจากสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่จัดการแข่งขันไกลๆ ด้วย

ฮาจุนชอบเก็บสะสมของเล็กๆ น้อยๆ โดยเริ่มจากแม็กเน็ตที่เอาไว้ติดประดับพวกแผ่นแม่เหล็ก ขยับขยายไปจนถึงพวกศิลปะขนาดเล็กจนตอนนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเยอะแล้ว ช่วงล่าสุดมานี้ก็สนใจจิ๊กซอว์จึงซื้อมาเก็บไว้สองสามอัน และเมื่อมีเวลาก็มักจะลองต่อมันดู

ในห้องของฮาจุนสมัยอยู่อะพาร์ตเมนต์ที่โซลไม่มีของพวกนั้นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในตอนแรกมูคยอมจึงรู้สึกว่าเกินคาดนิดหน่อย แต่ไม่นานก็เข้าใจเหตุผลนั้น เพราะตัวเขาเองก็รู้เป็นอย่างดีว่าการประดับตกแต่งของรอบตัวหรือเอาของเล่นมาเล่นโดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหวังผลประโยชน์อะไร เป็นเรื่องที่สามารถทำได้เมื่อทั้งร่างกายและจิตใจมีความสุขสบาย

ฮาจุนเดินห่างออกไปพร้อมเส้นผมปลิวว่อน มูคยอมทอดสายตามองฮาจุนด้วยรอยยิ้มแล้วรีบเตรียมน้ำต้มชา เขาไม่ได้มีความกังวลอะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากเพิ่มเวลาให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

มูคยอมจัดชาที่ได้รับมาเป็นของขวัญกับครีมพายที่ฮาจุนชอบลงถาด

จากนั้นก็ถือมันเดินมาตามทางเดินแล้วเปิดประตูห้องออกเบาๆ ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่ามูคยอมเปิดประตูเข้ามา และกำลังพูดคุยกันอย่างร่าเริงโดยมีแฟ้มรวบรวมข้อมูลวางคั่นกลางระหว่างทั้งคู่

“นี่เป็นตอนม. ต้น ข้อมูลตอนนี้ฉันเองก็แทบไม่มี มันเป็นช่วงที่เขาเพิ่งเริ่มจะได้รับความสนใจก็เลยยังไม่ได้ออกข่าวเยอะเท่าไร แต่เขามีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลเกาหลีมากๆ เลยนะ ฉันดูคิมมูคยอมเล่นฟุตบอลแบบเกาะขอบสนามมาตั้งแต่ช่วงนี้แหละ ไม่ได้โกหกนะ ตอนดูครั้งแรกถึงกับตะลึงไปเลย”

“นายเป็นแฟนคลับที่ประสบความสำเร็จจริงๆ นะเนี่ย แถมยังเคยเป็นนักกีฬาอีก ก็น่าจะได้ดูในมุมของสถานการณ์จริงเลยไม่ใช่เหรอ ยังไงก็เถอะ รูปนี้ถ่ายออกมาได้ดีมาก รู้สึกว่าหน้าตาเขาแทบจะไม่ต่างกับตอนนี้เลยนะ”

“หน้าตาเหมือนเดิมแต่ตอนนี้ดูดื้อกว่าใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนกำลังยิ้ม มูคยอมจ้องฮาจุนที่มีท่าทีแบบนั้นไม่ละสายตาจากด้านนอกประตู

เพลินตาดี ถ้าบอกว่าตอนที่แสดงความรักพร้อมกับจูบเขา ฮาจุนน่ารักและนุ่มนิ่มแล้ว ในตอนเล่าเรื่องของคิมมูคยอมให้คนอื่นฟัง ฮาจุนก็น่ารักและเปล่งประกายไปอีกแบบ มูคยอมมองภาพลักษณ์ที่เหมือนกับดาวประกายพรึก ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ถ้าพูดถึงความตะลึง เขาเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นกับฮาจุนเหมือนกัน ตอนได้เห็นพวกแฟ้มรวบรวมข้อมูลที่จัดเรียงไว้ในห้องของฮาจุนเป็นครั้งแรก

จิตใจที่แท้จริงของอีกคนซึ่งกักเก็บเขาไว้ในฐานะคนสำคัญและเอาใจใส่กันมาเนิ่นนาน ก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าตะลึงงันแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้มูคยอมตกใจอีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งของที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกเจ้าตัว ซึ่งอีฮาจุนสร้างมันขึ้นโดยสั่งสมความรู้สึกของตัวเองทีละนิดมาเป็นเวลายาวนาน

ของพวกนี้ก้าวข้ามขอบเขตของความหลงใหลในตัวนักกีฬาที่ชอบ และเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่ผู้ชายชื่ออีฮาจุนประกอบขึ้นมา… ตอนนั้นมูคยอมคิดแบบนั้น

‘เพราะอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่จะอยากอวด’

ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เคาะประตูก๊อกๆ ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมาจากที่มัวแต่คุยกันจนไม่รับรู้อะไร ฮาจุนยิ้มกว้างพร้อมพูดทักมูคยอมอย่างยินดี

“กำลังคุยกันเรื่องนายเลย”

“ด่าฉันหรือเปล่า”

มูคยอมวางถาดลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างฮาจุน ฮาจุนที่เคยเล่านู่นนี่เสียงดังอย่างสนุกสนานตอนเขาไม่อยู่กลับปิดปากเงียบด้วยท่าทีขวยเขิน มูคยอมเลิกคิ้วขึ้น

“เหมือนตั้งหน้าตั้งตาเล่าอะไรไม่หยุดจนถึงเมื่อกี้เลยนี่ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ ฉันออกไปดีไหม”

“พอจะเล่าเรื่องนายโดยที่นายอยู่ข้างๆ มันก็อายนิดหน่อย”

“ถึงได้บอกให้ฟังเรื่องที่ไม่รู้อย่างตอนนี้ยังไงล่ะ ถ้าคุยกันแบบให้ฉันนั่งอยู่ด้วยก็อาจจะมีเรื่องที่ไม่รู้หรือเคยรู้มาผิดจนถึงตอนนี้ก็ได้นะ ใช้โอกาสนี้อัปเดตซะสิ”

“…งั้นเหรอ”

คงคิดว่าคำพูดนั้นมีเหตุผล ฮาจุนจึงกระแอมสองสามทีแล้วเริ่มเล่าเรื่อง

มูคยอมให้อู่เฉินฟังอีกครั้ง ตอนแรกคงตะขิดตะขวงใจที่มูคยอมนั่งอยู่ข้างๆ นิดหน่อยจึงเหลือบมองมาเป็นครั้งคราว แต่ไม่นานทั้งสามคนก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างลื่นไหล

บางครั้งเมื่อมูคยอมเล่าเรื่องที่ไม่เคยพูดมาก่อนจนถึงตอนนี้ ฮาจุนก็จดจ้องมาด้วยดวงตาดำขลับอย่างใจจดใจจ่อเพราะเป็นเรื่องที่ตัวเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก สีหน้าของอีกคนน่ารักจนมูคยอมพูดๆ อยู่แล้วต้องหัวเราะออกมาเป็นบางครั้งทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องน่าขำอะไรเลย

เหมือนที่คนเขาพูดกันว่า น้ำที่เจิ่งนองคือน้ำเสีย มูคยอมคงต้องยอมรับแล้วว่า โลกที่มีกันแค่สองคนมันหวานซึ้งจนไม่สามารถสละให้อะไรได้เลยก็จริง

แต่บางทีก็จำเป็นจะต้องขยายรัศมีของโลกให้กว้างขึ้นเหมือนกัน เพราะเพียงแค่มีแขกมาหาที่บ้านคนเดียวก็ทำให้ได้เห็นอีฮาจุนผู้เต็มไปด้วยความน่ารักในมุมมองใหม่ และได้บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยพูดจนถึงตอนนี้ด้วย

ฮาจุนแสดงออกถึงความรักใคร่ที่มีต่อคิมมูคยอมออกมาหมดราวกับกางปีกและวันนี้ก็ดูเปล่งประกายเป็นพิเศษ มูคยอมมองฮาจุนพร้อมกับจารึกอีกหนึ่งบทเรียนลงในใจ

แฮปปี้นิวเยียร์

ถนนของลอนดอนในฤดูหนาวมักมีภาพลักษณ์ไร้สีสันและเงียบสงบ แต่เมื่อใกล้จะถึงปลายปีก็จะเต็มไปด้วยแสงสีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา

สถานที่มีชื่อเสียงอย่างเช่นร้านค้าโดยรอบพิคคาดิลลี่ โคเวนต์การ์เด้น หรือถนนอ็อกซ์ฟอร์ด ต่างก็มีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน และไม่ว่าที่ไหนก็ตกแต่งต้นไม้กับหลอดไฟระยิบระยับแสบตาไปหมดทุกที่ ผับกับคาเฟ่เล็กๆ ละแวกบ้านก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นและปล่อยบรรยากาศของสิ้นปีออกมาอย่างเต็มที่ ความผ่อนคลายฉายชัดให้เห็นบนใบหน้าของผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนเช่นกัน

ทว่า หากบอกว่าช่วงสิ้นปีของคนอังกฤษทั่วๆ ไป เป็นช่วงเวลาที่ได้เพลิดเพลินไปกับวันหยุดคริสต์มาสด้วยจิตใจที่ไม่ต้องรีบเร่งหลังใช้ชีวิตมาหมดทั้งหนึ่งปี ช่วงสิ้นปีสำหรับนักกีฬาฟุตบอลที่ลงแข่งในอังกฤษก็เป็นช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยล้าและวุ่นวายมากที่สุดแล้ว

พรีเมียร์ลีกอังกฤษจะจัดการแข่งขันขึ้นสามวันครั้ง นับตั้งแต่วันที่ยี่สิบหกเดือนธันวาคมซึ่งเป็นวันถัดจากคริสต์มาส ไปจนถึงต้นเดือนมกราคม ต่างกับ

ลีกอื่นๆ ของยุโรปที่ได้หยุดพักผ่อนช่วงคริสต์มาสเช่นเดียวกันบุคคลทั่วไป มันคงจะเป็นช่วงเวลาอันแสนเบิกบานสำหรับผู้ชมที่พักผ่อนในวันหยุด แต่สำหรับเหล่านักกีฬา มันเป็นระยะเวลาที่ต้องฝ่าฟันตารางงานอันแน่นเอี้ยดที่สุดในหนึ่งปี และคงเพราะแบบนั้นจึงได้รับบาดเจ็บกันอยู่บ่อยๆ ด้วย

มูคยอมกับฮาจุนก็มัววิ่งวุ่นทำงานตามตารางจนไม่สามารถที่จะแบ่งเวลามาได้อีก ถึงอย่างนั้น ทั้งสองคนก็ไปเดทกันอย่างเรียบง่ายในที่ใกล้ๆ เป็นการฉลองที่ได้ใช้เวลาคริสต์มาสร่วมกัน

ในทีมจัดปาร์ตี้คริสต์มาสในสัปดาห์ที่สองของเดือนธันวาคมไปแล้วเรียบร้อย และกำลังเตรียมอีเวนต์เล็กๆ ให้สมาชิกทีมได้จับฉลากแลกเปลี่ยนกล่องของขวัญที่จัดเตรียมมาเพื่อส่งท้ายปี เป็นอีเวนต์ที่ทางกรีนฟอร์ดจัดขึ้นทุกปี

พอเป็นของขวัญที่พวกนักกีฬาขี้เล่นแลกเปลี่ยนกันแบบไม่เปิดเผยชื่อ จึงเป็นเรื่องธรรมดาหากจะมีของที่ทำให้คิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่า ‘จะให้ใช้เจ้านี่ที่ไหนกัน’ ถึงแม้จะมีของที่ไม่เลวแทรกอยู่บ้างก็ตาม การแข่งขันกันว่าจะใส่ของที่น่าตลกและ

ไร้สาระแบบไหนลงในกล่องของขวัญ เป็นพิธีส่งท้ายปีเล็กๆ น้อยๆ ของเหล่านักกีฬากรีนฟอร์ด

ทั้งสองคนตัดสินใจจองโรงแรมที่มีวิวสวยๆ เพื่อนอนค้างคืนในวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคมที่จะมาถึง ตามคำยืนกรานของมูคยอมซึ่งบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาวันหยุดมาให้ได้สักวันในสองวันนี้ ระหว่างคริสต์มาสกับปีใหม่ อย่างไรก็ตาม หนึ่งปีนี้ยังไม่ผ่านพ้นไป

“เร็วไปหน่อยแต่ก็แฮปปี้นิวเยียร์นะ”

เมื่อคำอวยพรเรียบง่ายของหัวหน้าโค้ชจบลง คนที่นั่งอยู่จึงพากันชนแก้วเบียร์อย่างพร้อมเพรียง ฮาจุนเองก็ยกแก้วขึ้นดื่มท่ามกลางผู้คนที่ซดเบียร์กันอึกๆ

คืนวันอันแสนยุ่ง แต่ถึงอย่างไรสิ้นปีก็คือสิ้นปี สตาฟของกรีนฟอร์ดตกลงว่าจะไปรวมตัวกันเพื่อส่งท้ายปี ทุกคนยังคงไม่สบายใจที่จะจัดปาร์ตี้อย่างครึกโครมจึงมานั่งดื่มเหล้าด้วยกันอย่างเรียบง่ายในผับใกล้ๆ นี้

เขามาลอนดอนได้ครบหนึ่งปีแล้ว ฮาจุนหัวเราะพร้อมกับพูดคุยกับผู้คนที่สนิทกันมากขึ้นในระหว่างนั้น เพราะไม่ได้นั่งดื่มด้วยกันแค่เพียงคนที่สนิทสนมกัน บรรยากาศจึงเคอะเขินนิดหน่อยในตอนแรก แต่ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเมื่อกรึ่มๆ ได้ที่

“ยังไงฉันก็คงจะถูกแฟนทิ้งแล้วละ”

เหล้าคงออกฤทธิ์แล้ว เทรนเนอร์คนหนึ่งจึงโอดครวญออกมาแบบนั้น

เมื่อเรื่องความรักถูกยกขึ้นมาพูด หลายๆ คนจึงให้ความสนใจคนคนนั้น

“ลินดาน่ะนะ ทำไมล่ะ กำลังไปได้สวยไม่ใช่เหรอ”

“เหมือนเป็นช่วงเบื่อๆ กัน พูดให้ถูกก็คือลินดากำลังเบื่อฉันแหละ แต่ฉันก็ยังชอบเธอดีอยู่”

“คบกันมานานแค่ไหนแล้วนะ”

“ประมาณเจ็ดเดือน”

แฮร์รี่กลืนมันฝรั่งทอดลงคอแล้วพูดเสริม

“เร็วหน่อยก็ในสามเดือน หรือไม่งั้นครึ่งปีก็ถึงช่วงนี้แล้วละ ช่วงประมาณหนึ่งปีก็แทบจะมั่นใจได้เลยว่าจะมีช่วงความรักจืดจางนี้แน่”

“ลองห่างกันหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ ช่วงความรักจืดจางก็เหมือนกับชื่อมันนั่นแหละ มาถึงช่วงนี้ได้ก็เพราะว่าไม่มีความสดใหม่ไง”

“ลองไปเดทกันแบบตอนคบกันแรกๆ อีกครั้งดูไหม ลองรื้อฟื้นความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นดู”

เมื่อหลายคนต่างก็พยายามออกความเห็น เทรนเนอร์ที่เป็นคนยกเรื่องนี้มาพูดจึงถอนหายใจพลางคอตก

“ถ้าพูดถึงเดทตอนคบกันแรกๆ ตอนนี้ก็กำลังเดทแบบเดียวกันอยู่”

“…เพราะอย่างนั้นถึงได้รู้สึกเบื่อไม่ใช่หรือไงเล่า”

ฮาจุนฟังเรื่องราวแล้วถามแฮร์รี่ด้วยความลังเล

“ช่วงความรักจืดจางมันมาเร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“โดยรวมแล้วก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ฉันมองว่าระยะเวลาที่คนเราจะคบกันแบบคงความกระชุ่มกระชวยไว้ได้ก็คือหนึ่งปีพอดี ยาวมากๆ เลยก็สองปี ฉันเองก็ไม่เคยพ้นหนึ่งปีเลยสักครั้ง พอถึงช่วงประมาณนั้น ทั้งฉันทั้งอีกคนก็จะเบื่อกันไปก่อน แบบว่า… รู้สึกได้ถึงความเบื่อหน่ายที่มีต่อกันน่ะ พวกที่คบกันไปจนแต่งงานได้คือพวกพระเจ้าอวยพร”

ถ้าสั้นก็หนึ่งปี ถ้ายาวก็สองปี…

ฮาจุนกลืนน้ำลายด้วยความคอแห้ง เขาลองนับวันเวลาด้วยมือที่ซุกอยู่ใต้โต๊ะโดยไม่ให้ใครรู้

ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เริ่มคบกันหลังพูดว่า ‘เรามาคบกันเถอะ’

แต่มูคยอมผู้ชื่นชอบการสร้างอีเวนต์ก็อยากจะกำหนด ‘วันที่หนึ่ง’ ขึ้นมา ถึงจะคลุมเครือ แต่ทั้งสองคนก็ตกลงว่าจะนับวันที่ฮาจุนดูการถ่ายทอดแล้วตกใจจึงไปหามูคยอมที่บ้าน เป็นวันแรกที่พวกเขาเริ่มคบหากัน

หากลองคำนวณตามนั้นก็เลยหนึ่งปีมาแล้ว เพราะมีแข่งในวันครบรอบหนึ่งปีพอดี วันนั้นหลังทำประตูได้ มูคยอมจึงทำท่าฉลองโดยถอดยูนิฟอร์มโยนทิ้งไป เปิดให้เห็นเสื้อตัวในเขียนไว้ว่า ‘1st Anniversary’ แล้วก็ได้รับใบเหลืองมาเป็นค่าตอบแทนเสียด้วย

มูคยอมยังคงอยู่ในชุดยูนิฟอร์มเช่นเดียวกับฮาจุนที่ยังไม่ได้ถอดเครื่องแบบโค้ชออก เสื้อท่อนบนสีเขียวเข้มที่มีคอเสื้อสีขาวกับกางเกงสีขาวซึ่งเห็นมาตลอดทั้งฤดูกาล ยูนิฟอร์มประจำทีมกรีนฟอร์ด

ฮาจุนฝังจมูกลงใกล้ๆ ลำคอของมูคยอมแล้วสูดดมกลิ่นโดยไม่รู้ตัว

นึกเสียดายที่กลิ่นเหงื่อของอีกคนหายหมดเพราะอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น กลิ่นกายที่แฝงไปด้วยความร้อนรุ่มหลังลงแข่งก็ยังส่งกลิ่นฟุ้ง

เขาเคยมีเซ็กส์โดยที่ตัวเองสวมเครื่องแบบของอีกคน แต่ไม่เคยมีเซ็กส์กับคิมมูคยอมที่ใส่ยูนิฟอร์มมาก่อน แผ่นหลังรู้สึกวาบหวิวขึ้นมาหลายครั้ง เพียงแค่แต่งตัวไม่เหมือนกับปกติเท่านั้นเอง แต่ฮาจุนก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นอีกคนถึงอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“ทำไมมองแบบนั้น”

มูคยอมอมยิ้มแล้วถามขึ้น ริมฝีปากของมูคยอมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ป้อนจูบสั้นๆ ให้หลายทีจนทำให้คำตอบของฮาจุนขาดๆ หายๆ

“นาย ก็… เซ็กซี่”

“ฉันเหรอ มองฉันชักให้ตัวเองแล้วนายก็มีอารมณ์เหรอ”

“อือ ยั่วดี…”

ขนตายาวของฮาจุนสั่นระริก ตอนนี้คิมมูคยอมที่เหมือนกับวิ่งเข้ามาหากันทันทีจากบนสนาม กำลังกระหายในตัวเขา ภาพลักษณ์ที่เหมือนกับม้าป่าอายุน้อยซึ่งเขาเคยทอดมองโดยไม่อาจกะพริบตาได้ในสมัยมัธยมต้น แวบขึ้นมาในหัวอย่างชัดเจน และไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้น แต่กระทั่งในใจก็ร้อนวูบวาบขึ้นด้วย ตอนนั้นฮาจุนไม่รู้ชื่อเรียกที่ถูกต้องของความรู้สึกอันยากจะเข้าใจนั้น แต่ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าคิมมูคยอมคือรักแรกของเขาตั้งแต่ตอนนั้น

ฮาจุนกัดริมฝีปากของอีกคนซึ่งละเลียดบนริมฝีปากของตัวเองอย่างอ่อนโยนก่อนตามความต้องการ มูคยอมครางเสียงทุ้มพร้อมกับออกแรงมือมากขึ้น เสียงครางกับลมหายใจหอบกระชั้นผสมปนเปกันอย่างละครึ่งท่ามกลางริมฝีปากของคนทั้งสอง

ฮาจุนผละริมฝีปากออกมาอย่างยากลำบากแล้วก้มลงมองด้านล่าง

ท่อนเนื้อที่ถูไถแนบชิดกันดูลามกมากเกินไป

“ต้องให้อยู่ชิดแบบแนบกันเลยนะ”

“อะ อือ”

ฮาจุนพยักหน้าทั้งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายว่า แล้วมูคยอมก็ปล่อยมือออก ฮาจุนขยับเข้าชิดร่างของมูคยอมตามที่อีกคนสั่ง ท่อนเนื้อของทั้งสองยังคงเบียดเสียดกันไม่ห่าง

“อ๊า…!”

ฮาจุนโยกเอวอย่างต่อเนื่องพร้อมเปล่งเสียงดังออกมาสั้นๆ แล้วปิดปากเงียบลง นิ้วเปียกชื้นของมูคยอมแหวกชั้นในตัวบางออกไปแล้วสอดเข้ามาตรง

กลางบั้นท้ายที่อ้ากว้าง เมื่อฮาจุนชะงักมือแล้วตัวสั่นไปกับสัมผัสนั้น มูคยอมก็กระซิบชิดใบหู

“ทำต่อ ฮ้าาา ทำต่อไป อย่าหยุดมือ”

ฮาจุนดิ้นเร่าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นพร้อมกับทำตามที่อีกคนสั่ง เขาจับส่วนปลายท่อนของมูคยอมกับของตัวเองรวบเข้าด้วยกันแล้วเพิ่มความเร็วรูดรั้งอย่างลื่นไหล ยิ่งชักรูดมันแรงมากเท่าไร เอวของฮาจุนก็ยิ่งขยับโยกมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ในระหว่างนั้น เสียงสอดแทงเฉอะแฉะทางด้านหลังก็ดังขึ้นเรื่อยๆ นิ้วที่ใส่เข้ามาในตัวเขากลายเป็นสามนิ้วอย่างรวดเร็วแล้วแทรกลึกเข้าด้านใน เมื่อมูคยอมถ่ายน้ำหนักลงกับนิ้วมือแล้วกดลงตรงจุดกระสัน แรงกระตุ้นที่ปลุกเร้ามากขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็ฟาดลงบนหัวของฮาจุนราวกับสายฟ้า ‘เฮือก’ ฮาจุนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“อ๊าาา… พอ ฮื่อ… มือ ตรงนั้น…”

“ไม่ได้สิ โค้ช วันนี้นายสัญญา… ว่าจะฟังคำขอของฉันนี่ ทำต่อไป”

“อ๊า ฮึก อื๊อ”

มือที่หยุดขยับครู่หนึ่งกลับมาขยับแก่นกายอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง มูคยอมเปลี่ยนมายกก้นของฮาจุนขึ้น จากที่เคยแทรกนิ้วเข้ามาทางด้านหลัง ตอนนั้นท่อนเนื้อสองท่อนที่แนบชิดกันถึงได้หลุดห่างกันไป

มูคยอมขยับปากช่องทางด้านหลังของฮาจุนให้ตรงกับด้านบนแกนกายที่แข็งตัวตั้งโด่ของตนเอง จากนั้นก็จับร่างที่ยกขึ้นให้ทิ้งตัวลงด้านล่างทันที

ส่วนหัวที่ชูผงาดดุนดันเข้าไปในช่องทางที่คลายออกจนนุ่มนิ่มอย่างไร้ซึ่งความลังเล ฮาจุนแหงนหน้าขึ้นสุดพร้อมเปล่งเสียงครางหวิว เขานั่งทับลงบนตักของมูคยอม ขาที่เคยลอยคว้างกลางอากาศเกี่ยวรอบแผ่นหลังของอีกคน ท่อนเนื้อขรุขระครูดกับเนื้อเยื่อร้อนรุ่มเป็นทางพร้อมกับแหวกโพรงเนื้อคับแคบออกกว้างอย่างเชื่องช้า เมื่อแกนกายใหญ่โตเติมเต็มพอดิบพอดีด้านในโพรงเนื้อที่ขยายตัวออกอย่างยากเย็น มูคยอมก็ขยับมือรองรับเอวของฮาจุนไว้แล้วหยัดร่างกายท่อนล่างขึ้นอย่างรุนแรง

“อ๊า อ๊ะ! อ๊าาา ฮ้า…!”

“เรื่องที่โค้ชจะต้องทำในวันนี้… คือไม่ปล่อยมือจากท่อนของโค้ชเองจนกว่าจะเสร็จ ทำได้ใช่ไหม”

“อื๊อ อือ…”

เมื่อฮาจุนส่งเสียงงึมงำโดยไม่รู้ว่าเป็นคำตอบหรือเสียงคราง มูคยอมก็ลุกขึ้น โดยโอบอุ้มฮาจุนที่เคยนั่งอยู่บนตักของตัวเองขึ้นด้วย ถึงอีกคนบอกว่าให้สัมผัสช่วงล่างต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อถูกอุ้มขึ้นอย่างกะทันหัน ฮาจุนก็ตกใจมากจึงโอบแขนทั้งสองข้างรอบไหล่ของมูคยอม

มูคยอมเดินเนิบๆ ไม่กี่ก้าวไปตรงหน้าล็อกเกอร์ของตัวเองทั้งที่ยังสอดใส่ เมื่อแผ่นหลังของฮาจุนแนบกับประตูล็อกเกอร์ มูคยอมก็ขยับยืนติดกับฮาจุนอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม อีกคนหยัดเอวขึ้นอย่างเชื่องช้าในท่านั้นพร้อมกับเร่งเร้าฮาจุน

“ฉันจะไม่ทำนายตกหรอก ไม่ต้องกลัว”

“อื๊อ อ๊ะ…! ไม่ได้…”

ทว่าแขนของฮาจุนที่คล้องรอบลำคอของมูคยอมกลับไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยออก มันยิ่งออกแรงยึดเกาะมากกว่าเดิม ท่าทางนั้นทำให้มูคยอมหัวเราะราวกับบอกว่าช่วยไม่ได้พร้อมกับขยับเปลี่ยนท่า มูคยอมเอาขาข้างหนึ่งของฮาจุนลงยืนบนพื้น ส่วนอีกข้างที่เหลือก็ยึดไว้กับท่อนแขนของตนอยู่

“ทีนี้โอเคแล้วใช่ไหม”

มูคยอมถามพร้อมกับถอนแกนกายที่ฝังคาไว้ออกมาเป็นทาง ส่วนที่หลุดออกไปเป็นแนวยาวไสจากล่างขึ้นบนแล้วแทงเข้าในจุดลึกของร่างกาย ตัวของฮาจุนซึ่งยืนพิงล็อกเกอร์อยู่ กระแทกเข้าหามันเสียงดังทั้งตัว

“ฮื้อออ…!”

“เร็วสิ”

ฮาจุนคลำมือจับลำท่อนของตัวเองซึ่งหลั่งน้ำหล่อลื่นออกมา เรี่ยวแรงของเขาเหือดหายจนปลายนิ้วสั่นไม่หยุดต่างกับเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างนั้น มือที่จับท่อนเนื้อก็ยังพยายามรูดรั้งมันไม่ปล่อย มูคยอมเองก็สวนเอวขึ้นราวกับปรับจังหวะให้ตรงกับความเร็วนั้น เสียงหายใจปะปนกับเสียงครวญครางดังกระจายไปทั่ว

อีกคนขยับเข้าออกอย่างไม่รีบเร่งและอ่อนโยน ทว่าผนังด้านในอันร้อนรุ่มกลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันเชื่องช้าทุกการเคลื่อนไหว ส่งผลให้ฮาจุนแผดเสียงร้องออกมาไม่หยุด สัมผัสของส่วนหัวมนอวบอัดซึ่งเสียดถูผนังเนื้อที่ไวต่อความรู้สึกขึ้นมาแล้วกวาดลากลง ทั้งเชื่องช้าและแจ่มชัดราวกับภาพสโลว์โมชั่น

ความเสียดเสียวอย่างหนักหน่วงยามส่วนนั้นของมูคยอมกดเข้ามาตรงจุดกระสันภายในท้องกับความเสียวซ่านอันหอมหวานยามใช้มือรูดรั้งแกนกายของตัวเอง ผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วโอบล้อมทั่วทั้งร่างราวกับร่างแห ภาพตรงหน้าของฮาจุนพร่ามัวขึ้น

“-อ๊า…! อะ ฮึก มูคยอม ฉัน ไม่ไหว… ฮ้าาา… อ๊า! ตรงนี้ ไม่ได้…”

“ทำไม จะกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่เหรอ”

ได้ยินเสียงหายใจของมูคยอมซึ่งก้มตัวลงเล็กน้อยอยู่ชิดข้างหู เมื่อฮาจุนพยักหน้า ริมฝีปากของมูคยอมก็เลื่อนลงมาบนลำคอที่สั่นระริก

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ฉันเช็กดูหมดแล้ว”

ต่อให้ได้ยินอีกคนพูดแบบนั้นก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ร่างกายที่ตึงเครียดยิ่งรู้สึกไวมากขึ้น สิ่งที่สอดเข้ามาอีกครั้งไม่ได้ฝังลึกสุดด้านใน เพียงแหวกโพรงเนื้อให้กว้างออกประมาณหนึ่ง จากนั้นจึงถอนออกไปด้านหลังตามความยาว

เนื้อเยื่อที่พร้อมจะรับแกนกายเข้ามา ขมิบตอดพร้อมเต้นตุบๆ เพราะแรงกระตุ้นในระดับสูงสุดซึ่งสวนกลับขึ้นไปในทิศทางที่เคยคาดการณ์ไว้ เมื่อฮาจุนตัวสั่นกระตุกพร้อมกับขยับเอวขึ้นลง ส่วนที่หลุดออกไปครึ่งหนึ่งก็รุกล้ำเข้ามาด้านในอย่างรุนแรงและฉับพลัน ‘ฮึกกก’ ฮาจุนตัวสั่นระริกพร้อมกลั้นหายใจ

ฮาจุนยกมือตัวเองขึ้นปิดปาก เสียงครวญครางแผ่วเบาลงราวกับเสียงร้องด้วยความทรมาน และมีเพียงเสียงหายใจอย่างยากลำบากเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในห้องล็อกเกอร์

คนร้อนใจคงมีแค่ฮาจุนเพียงคนเดียว มูคยอมจึงไม่มีทีท่าว่ารีบร้อนเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนกลั้นเสียงร้องที่จะหลุดออกมาอยู่เรื่อยๆ ไว้หลายครั้ง เรียวขาสั่นอย่างคุมไม่อยู่ รู้สึกถึงท่อนเนื้อร้อนที่เสียดถูด้านในได้อย่างชัดเจน เหมือนกับกำลังก่อไฟในร่างกายของเขา

“ต้องรูด ฮ้า ต่อไปสิ”

“ฮื่อ ฮ้า… อึก!”

มือของมูคยอมสัมผัสกับแกนกายที่เขาได้แต่จับเอาไว้และลืมที่จะลูบไล้มันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อีกคนกำแล้วรูดขึ้นอย่างแรง ฮาจุนบิดเอวพล่าน ดวงดาวสีขาวกระเด็นกระดอนระยิบระยับอยู่ตรงหน้า

มูคยอมใช้มือรูดไล้แกนกายของเขา ในขณะเดียวกันก็เพิ่มแรงให้เอวที่ขยับโยก การสอดใส่อันหนักหน่วงแทรกลึกเข้ามากระแทกด้านในอย่างรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่า ‘แฮ่ก ฮึก’ ทุกครั้งที่ขยับแบบนั้น เสียงร้องครางก็ระเบิดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่แล้วดังสะท้อนไปในอากาศอย่างแผ่วเบา ถึงอย่างนั้นเสียงลมหายใจของฮาจุนก็ยังคงหอบหายใจอย่างหนัก

เป็นตอนที่ส่วนนั้นถอนออกไปจนเกือบสุดส่วนปลายแล้วสวนกลับเข้ามาอย่างแรงจนเสียงดัง ปั้ก ฮาจุนต้านทานแรงกระเทือนจากความเสียวซ่านไว้ไม่ไหว มือของเขายันตู้ล็อกเกอร์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังอย่างสุดแรง ‘ปัง’ เสียงกระแทกประตูตู้ดังลั่นขึ้นจนรู้สึกเหมือนจะเล็ดลอดไปถึงตรงทางเดิน

ฮาจุนแทบหยุดหายใจราวกับมีใครมาบีบหลอดลมไว้ ลมหายใจหอบอ่อนแรงกระทบลงด้านล่างริมฝีปากที่อ้าค้างนิดๆ ราวกับหยดน้ำ

“ฮาจุน หายใจสิ”

“ฮู่ว ฮ้าาา”

“ประตูก็ล็อกแล้ว ทุกคนก็กลับไปหมดแล้ว ถึงจะแทบเป็นไปไม่ได้เลยแต่ถ้าหากมีใครสักคนมา… นายคิดว่าฉันจะยอมให้คนอื่นเห็นนายในสภาพนี้เหรอ นายจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

มูคยอมเอนตัวมาแนบชิดมากขึ้นแล้วโอบกอดฮาจุน อีกคนประทับริมฝีปากลงมาบนแก้มอย่างต่อเนื่องราวกับตั้งใจจะปลอบโยนความกังวลของเขา

ฮาจุนพยักหน้าช้าๆ แล้วฝังริมฝีปากลงบริเวณไหล่หนาแน่นของมูคยอมราวกับนึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน เขาใช้ร่างกายกับเสื้อของมูคยอมปิดปากของตัวเองราวกับกัดที่อุดปากไว้แล้วหายใจหอบฟืดฟาด

เมื่อแขนที่โอบรอบลำคอออกแรงรัดมากขึ้น ตอนนั้นมูคยอมจึงเริ่มขยับเอวช้าๆ อีกครั้ง แรงที่หยัดเข้าใส่แรงขึ้นพอๆ กับลมหายใจของฮาจุนที่หนักหน่วงขึ้น ‘อื๊อออ ฮึก’ เสียงครางผสมเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเหนือผิวเสื้อบนผิวเนื้อของมูคยอม

“ฮ้าาา ฉันจะคลั่งอยู่แล้ว”

เมื่อเสียงครางกับลมหายใจร้อนลนอยู่ตรงหัวไหล่ มูคยอมก็พึมพำราวกับความร้อนเร่าตีรวนขึ้น ฮาจุนรู้สึกได้ว่าแผ่นอกกับหัวไหล่ที่อยู่แนบติดกับใบหน้า เกร็งจนขึ้นโครงชัด แกนกายที่ผลุบโผล่ในตัวเขาก็กำลังแข็งขึงมากขึ้นด้วย

“ฮาจุน ดี ตอนนี้ฉัน รู้สึกดีมาก”

มูคยอมครางทุ้มพร้อมกับเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความกำหนัดกรอกหูของเขา เอวกระแทกปั้กๆ เข้ามาอย่างไร้ความปรานี ส่วนหัวตอกเข้าถึงจุดคับแคบและอ่อนนุ่มซึ่งซุกซ่อนอยู่ลึกด้านในโพรงเนื้ออย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ผิวกายกระทบกัน เจลเหลวๆ ก็ดีดกระเซ็นจากจุดที่สอดประสาน

ฮาจุนน้ำตาไหลจนหยดแหมะอย่างรับมือไม่ได้ เสื้อของมูคยอมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตากับน้ำลาย แขนกับมือของฮาจุนกอดรัดตัวของมูคยอมแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“ฮื่อ อึก! อื๊อ ฮื้อออ อื้อๆ อึก…!”

แกนกายของฮาจุนซึ่งถูกรูดรั้งในอุ้งมือพ่นน้ำเชื้อสีขาวร้อนระอุออกมา ร่างที่ถูกกอดแนบชิดกับร่างกายท่อนบนของมูคยอม ทรงตัวไม่อยู่แล้วกระตุกเกร็งอย่างหนัก

เมื่อความสุขสมที่กระหน่ำซัดเข้าใส่อย่างรุนแรง ล้นทะลักออกมาเมื่อเผชิญกับปลายทางแห่งกามารมณ์ ขาของฮาจุนก็เรี่ยวแรงเหือดหายไปอย่างกะทันหัน พอฮาจุนตัวสั่นสะท้าน แขนของมูคยอมก็กอดรัดเอวกับหลังเอาไว้แน่น

แกนกายที่เคยกระทุ้งตรงจุดลึกในร่างกายอย่างดุเดือด ไถลหลุดออกไป

มูคยอมยังคงไปไม่ถึงฝั่งฝัน ในขณะที่ฮาจุนสติเลือนหาย ถึงแม้น้ำตายังไหลออกมาแต่ก็ทอดสายตามองมูคยอมด้วยสีหน้าที่ถามว่าทำไมถึงหยุดทำแล้ว

อีกฝ่ายคุกเข่านั่งลง จับโคนแกนกายของฮาจุนซึ่งยังหลั่งน้ำรักออกมาไม่หยุดแล้วรูดขึ้นยาวๆ พลางครอบปากลงตรงส่วนหัว

“อ๊า อึก ฮ้าาา!”

มูคยอมอมแกนกายที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำรักไว้ในปากแล้วดูดมันอย่างไม่ลังเล อีกฝ่ายกลืนกินน้ำเชื้อที่ไหลออกมาตรงรอยแยกแล้วเลียลงไปจนถึงพวงเนื้อกลมกลึง

เมื่อแกนกายได้รับการกระตุ้นโดยตรงทั้งที่ยังอยู่ระหว่างการขับน้ำกาม ความเสียวกระสันในระดับที่ทรมานก็สาดซัดทั่วทั้งร่าง ฮาจุนไม่สามารถประคองร่างที่สั่นสะท้านเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาเอนหลังพิงตู้ล็อกเกอร์แล้วไหลลงมาทรุดฮวบลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า มูคยอมดึงฮาจุนซึ่งอยู่ในระดับสายตาเดียวกันเข้ามากอดโดยหันหน้าเข้าหา ฮาจุนยังตัวสั่นสะท้านเพราะความรู้สึกคั่งค้างจากจุดสุดยอด จึงไม่สามารถพูดอะไรยืดยาวได้

“ทำไม…”

“ถึงฉันจะทำอย่างอื่นให้ไม่ได้ แต่จู๋นายจู๋เดียว จากนี้ไปก็จะตั้งใจดูดให้เอง”

“ไม่ต้อง ทำให้ ฮึก ก็ได้…”

“ไม่ได้สิ จู๋เจ้าลูกวัวของฉันแท้ๆ ฉันก็ต้องสัมผัสให้ ดูดให้ ต้องทำให้ทุกอย่างเลย”

ฮาจุนปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของมูคยอม ทันใดนั้น มูคยอมก็หัวเราะหึๆ

“นมลูกวัวอร่อยใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนเพียงแค่กดจูบโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดหยาบโลน เขาบดเบียดริมฝีปากและเกี่ยวกระหวัดลิ้นอย่างเร่าร้อนจนเกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบ จากนั้นมูคยอมก็อุ้มฮาจุนขึ้นอีกครั้ง แล้วก็จับเขานอนลงบนม้านั่ง

กางเกงในของฮาจุนเปียกเลอะเทอะ กระทั่งผ้าตัวแคบก็ยับย่น ทั้งยังถูกดันออกจนทำหน้าที่เป็นชุดชั้นในไม่ได้และเผยให้เห็นช่องทางรักกับแกนกายที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำรักหมดทุกซอกทุกมุม กางเกงในสีดำกับผิวขาวๆ เป็นสีที่ตัดกันจนเจ็บตา

แน่นอนว่าหว่างขาที่อ้าออกกว้างอย่างอ่อนแรง รวมถึงด้านในโคนขาขาวกับบริเวณใกล้ๆ หัวเข่าก็เหนียวเหนอะไปด้วยน้ำรักที่ไหลลงมา เสื้อยืดปักตราสัญลักษณ์ยับไม่เป็นทรง ซ้ำยังเปื้อนน้ำรักเป็นหย่อมๆ ตรงชายเสื้ออีกด้วย

มูคยอมก้มลงมองฮาจุนในสภาพแต่งกายไม่เรียบร้อยราวกับสัตว์หลังกินอาหารจนอิ่มหนำ พร้อมกับเลียริมฝีปากของตัวเองแวบหนึ่งราวกับกำลังพิจารณาว่าจะฉีกกินชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่ ในตอนนั้นเองมูคยอมถึงได้ดึงกางเกงในตัวจ้อยลงมาจนถึงข้อเท้าแล้วพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงถอดเสื้อของตัวเองโยนทิ้งไปเช่นกัน ความร้อนเดือดพล่านในร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นจึงทำให้ดูตัวใหญ่โตยิ่งกว่าปกติ

มูคยอมค้อมหลังลงมาถูไถปลายจมูกของตัวเองลงตรงหว่างขาที่เปื้อนเปรอะ เหมือนกับที่ชอบใช้ปลายจมูกของตัวเองทำแบบนั้นบ่อยๆ เวลาปลุกฮาจุนให้ตื่นจากการหลับใหล เมื่อสูดฟุดฟิดราวกับดมกลิ่น ฮาจุนตื่นตกใจพลางดิ้นไปมา

“ยะ อย่าทำนะ! มันสกปรก”

“สกปรกอะไรกัน นมลูกวัวก็กลิ่นหอมดี”

มูคยอมดันตัวขึ้น จับข้อเท้าของฮาจุนซึ่งยังคงสวมรองเท้ากับถุงเท้าอยู่แล้วแยกขาออกกว้าง จากนั้นจึงจับส่วนหัวแกนกายให้ตรงกับรูรักที่ยังไม่ปิดสนิทดี

“ฮ้า… จากนี้ไป ทุกครั้งที่เข้ามาในห้องแต่งตัวสนามฝึก… ทุกครั้งที่ยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ จะต้องนึกถึง วันนี้แน่ๆ เลยใช่ไหม”

“อ๊า ถ้างั้น ฮึก… ทำยังไง ดีล่ะ…”

“จะทำยังไงล่ะ… ทุกครั้งที่ฝึกซ้อม… ฮู่ว… ก็คงจะมีความสุขจริงๆ นะครับ โค้ชอี”

แกนกายกดลงตรงจุดลึกในร่างกายอีกครั้ง ฮาจุนดูดกลืนท่อนเนื้อที่ทั้งแข็งและอวบเข้ามาแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้เพียงร้องไห้ให้กับความสุขสมและแรงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง พอมูคยอมบอกว่าทุกครั้งที่ฝึกก็คงจะนึกถึงวันนี้แล้วสุขใจ เขาเองก็ใจสั่นอย่างมากเช่นกัน

มูคยอมเปลี่ยนท่าหลายรอบแม้อยู่บนม้านั่ง ในขณะที่ฮาจุนห้อยขาลงด้านล่างแล้วนอนคว่ำรับการสอดใส่อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จู่ๆ ไฟในห้องล็อกเกอร์ก็ดับลงหมดทุกดวง

ฮาจุนสะดุ้งโหยงจนตัวแข็งทื่อ ช่องทางรักพลอยบีบรัดเข้าหากันไปด้วย ทำให้มูคยอมกัดฟันและส่งเสียงครางสั้นๆ ลอดไรฟันออกมา ตัวของอีกฝ่ายทาบทับลงบนหลังฮาจุน

ผู้ที่ครอบครองลูกฟุตบอลซึ่งลอยกลางอากาศเป็นคนสุดท้ายคือมูคยอม ผู้มีจุดแข็งในการโหม่งลูก เนื่องด้วยมีรูปร่างสูงใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมูคยอมกระโดดขึ้นสูงแล้วใช้หัวโหม่งลูกบอลที่ไม่มีใครยึดครอง บอลที่ลอยคว้างก็พุ่งไปยังมุมหนึ่งของโกล ผู้รักษาประตูซึ่งตั้งหลักประจำที่อยู่อย่างวุ่นวาย ไม่สามารถรับมือได้ทันจึงเปิดให้เห็นช่องโหว่

“โกล-!”

เหล่าสมาชิกตรงม้านั่งส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ฮาจุนเองก็ลืมความกังวลใจเมื่อก่อนหน้านี้ไปครู่หนึ่งแล้วลุกพรวดขึ้นจากที่พลางปรบมือ

มูคยอมโบกมือให้ทางอัฒจันทร์เชียร์เป็นที่แรกด้วยสีหน้ายิ้มกว้าง แล้วคราวนี้ก็วิ่งไปทางฝั่งที่เคยได้ยินเสียงเพลงล้อเลียนตนเอง จากนั้นอีกฝ่ายก็ชี้นิ้วลงด้านล่างราวกับบอกให้ดูหว่างขาของตนเองพลางส่ายหน้าไปมาพร้อมส่งรอยยิ้มเย้ยหยัน ถ้าหนักกว่านี้อีกแค่นิดเดียว ท่าทีของอีกฝ่ายอาจได้รับการตักเตือนได้ แต่ก็เลี่ยงไปได้อย่างหวุดหวิด

ในตอนที่กองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามพากันเดือดดาลแล้วเริ่มขว้างปาพวกเศษขยะ มูคยอมก็วิ่งกลับมายังที่ของตัวเองแล้ว คราวนี้เสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากทางม้านั่งกับอัฒจันทร์ คนที่ไม่หัวเราะมีแค่ฮาจุนเพียงคนเดียว

การแข่งขันเสร็จสิ้นลงโดยรักษาสถิติชนะรวดเอาไว้ได้ เหล่านักกีฬามาถึงสนามฝึกแล้วบอกลากันด้วยความร่าเริงก่อนจะแยกย้ายกันไป

วันที่มีการแข่งขันมักไม่มีกำหนดการฝึกใดๆ อีก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้จัดการทีมซึ่งไม่รู้สาเหตุของการที่มูคยอมนอนซมอย่างแน่ชัด คงคิดว่าช่วงที่ฤดูกาลเริ่มต้นขึ้นและแข่งขันจบไปหลายนัดแล้ว เป็นเวลาที่พวกนักกีฬาจำเป็นจะต้องพักผ่อน

ผู้จัดการทีมจึงสั่งให้หยุดพักในวันต่อไปทั้งวันด้วย

เหล่านักกีฬาและสตาฟที่ได้รับวันหยุดพักผ่อน ต่างก็รีบร้อนกลับบ้านกันเร็วกว่าปกติ แล้วสนามฝึกก็เงียบเหงาลงอย่างรวดเร็ว

“จุนไม่กลับเหรอ”

“มีงานที่ต้องจัดการนิดหน่อยน่ะครับ เดี๋ยวก็กลับ กลับก่อนเลยครับ”

ฮาจุนบอกลาคนที่ถามไถ่มาว่าจะกลับตอนไหนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเมื่อเขากลายเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ฮาจุนก็ออกมาจากห้องสตาฟ การแข่งขันวันนี้ถูกจัดขึ้นเร็วกว่าปกติ แม้กลับมาถึงสนามฝึกแล้วพระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกดิน

ฮาจุนเดินไปตามทางเดินอันเงียบงันแล้วเปิดประตูห้องแต่งตัวสำหรับนักกีฬาที่อยู่ตรงสุดทางเดิน คนที่ยังอยู่ในห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬามีเพียงคนเดียว เหมือนที่ในห้องสตาฟเหลือเพียงฮาจุนคนเดียวเช่นกัน

“โค้ช มาแล้วเหรอ”

ฮาจุนไม่ตอบ เขาไม่ขยับตัวออกมาจากหน้าประตูแล้วยืนนิ่งเฉย เพียงแค่ทำใบหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยพร้อมทอดสายตามองมูคยอมซึ่งทักทายเขาอย่างยินดีเท่านั้น คิมมูคยอมปิดการแข่งขันลงด้วยชัยชนะแล้วเปลี่ยนมาใส่ยูนิฟอร์มตัวใหม่ อีกฝ่ายดูสุขสบายทั้งกายและใจ

มูคยอมเดินเข้ามาใกล้แล้วรวบตัวฮาจุนที่ทำท่าทีแบบนั้นไปกอดแน่น พร้อมกับขยับขาไปด้านข้างราวกับเต้นวอลซ์ ฮาจุนเองก็ก้าวตามมูคยอมพร้อมกับเดินไปอย่างทุลักทุเล เมื่อฝีเท้าหยุดลง ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าล็อกเกอร์ของมูคยอม อีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมาบนสันจมูกของฮาจุนสั้นๆ ดังจุ๊บ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น แถมยังทำใส่นักกีฬาที่ชนะกลับมาวันนี้อีก”

“ถามเพราะไม่รู้หรือไง”

“ยังไงก็ตัดสินใจว่าจะทำแล้ว มาทำไปพร้อมกับรอยยิ้มกันเถอะ โค้ชอีก็พูดบ่อยๆ ระหว่างฝึกนี่ ว่าถึงจะเหนื่อยแต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่ต้องทำก็ให้ทำมันอย่างสนุกสนานซะ”

ฮาจุนได้แต่พรูลมหายใจที่แฝงไปด้วยสัญญาณของการยอมแพ้ออกมา

มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับเหยียดยิ้มกว้างขึ้น

“ถ้างั้น โค้ช ช่วยฟังคำขอของนักกีฬาคิมมูคยอมผู้ว่านอนสอนง่ายหน่อยนะครับ”

“ลองบอกว่าไม่สบายแล้วให้ช่วยดูแลอีกครั้งสิ จะสติกเกอร์หรืออะไร

ฉันจะยกเลิกให้หมด”

เพราะอีกคนไม่สบาย แถมวันนั้นก็ยังทำตัวเป็นเด็กดี ฮาจุนจึงใจอ่อนยวบแล้วไม่เอาความเรื่องที่อีกคนเอาแต่ใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ทำมาเป็นร้องจะให้เขาฟังคำขออย่างไม่มีเหตุผล

ฮาจุนบ่นงึมงำว่าจะไม่ยอมปล่อยผ่านอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งโดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้ในทันที มูคยอมรอให้เขาขยับตัว จากนั้นจึงยื่นมือมา

“ฉันช่วยไหม”

“-ไม่เป็นไร”

เมื่อมูคยอมทำท่าจะดึงขอบกางเกงของเขาลง ฮาจุนจึงปัดมือของอีกฝ่ายออก เขาหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งแล้วถอดกางเกงออกด้วยตัวเองราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว

ร่างกายท่อนบนยังคงสวมเสื้อยืดสำหรับสตาฟซึ่งถูกแจกจ่ายให้โค้ชทีมกรีนฟอร์ด ทั้งยังไม่ได้ปลดนกหวีดที่ห้อยอยู่ตรงลำคอ ถุงเท้ากับรองเท้าสตั๊ดก็ยังสวมอยู่เช่นเดิม

สายตาของมูคยอมไล่มองเรียวขาเปลือยเปล่าใต้ร่มผ้าของฮาจุนซึ่งปรากฏให้เห็นหลังถอดกางเกงออก แล้วหยุดลงตรงหว่างขาของเขา ส่วนลับถูกบดบังอย่างวับๆ แวมๆ ใต้เสื้อยืดคอปกที่มีความยาวค่อนข้างพอดี มูคยอมกระตุกยิ้มแล้วหงายฝ่ามือกระดิกนิ้วขึ้นข้างบนเหมือนเวลาเรียกลูกสุนัข

“ลองยกขึ้นให้เห็นชัดๆ ซิ”

ฮาจุนเพียงแค่ถอนหายใจด้วยความวุ่นวายใจและไม่กล้าที่จะยกชายเสื้อยืดขึ้น ทันใดนั้น มูคยอมซึ่งยืนพิงล็อกเกอร์อยู่ก็ดันตัวขึ้นมาจับแขนของฮาจุนดึงเข้าหาตัว ร่างกายของฮาจุนโอนเอนไปโดยไม่ทันจะได้เปล่งเสียงร้องตกใจด้วยซ้ำ เขากลายมาอยู่ในท่ายืนหันหลังให้อีกฝ่ายโดยตัวพิงกับล็อกเกอร์ของมูคยอมอย่างไม่ทันตั้งตัว

มูคยอมสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดของฮาจุนแล้วเลิกชายเสื้อขึ้นพรวดเดียว ร่างกายท่อนล่างซึ่งอยู่ในสภาพเปิดโล่งกว่าปกติ ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างหมดจดท่ามกลางบรรยากาศโดยรอบ

มูคยอมกางมือออกแล้วกวาดไล้ลงบนก้นขาวเต่งตึงอย่างนุ่มนวล มองเห็นกล้ามเนื้อเอวบางแต่แข็งแรงหดเกร็งอยู่ข้างใต้ชายเสื้อที่ถูกเลิกขึ้น

“อายอะไรขนาดนั้น ตอนเป็นนักฟุตบอลอาชีพ นายก็น่าจะเคยใส่ยูนิฟอร์มแบบไม่ใส่ชั้นในไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใส่อะไรเลยยังจะดีกว่า…”

มูคยอมหัวเราะเสียงทุ้มต่ำให้กับคำบ่นของฮาจุน เรื่องที่มูคยอมร้องขอเมื่อหายไข้สนิทแล้ว ถ้าจะบอกว่าเป็น ‘คำขอ’ ที่เคยสัญญากันไว้ ก็ไม่ได้ผิดไปจากการคาดการณ์ของเขามากนัก

สิ่งที่มูคยอมยื่นมาให้พร้อมขอให้เขาใส่ในวันที่มีการแข่ง คือกางเกงชั้นใน

จีสตริงสีดำสำหรับผู้ชาย หากมองจากด้านหน้า มันดูเหมือนกางเกงชั้นในชายทรงสามเหลี่ยมตัวแคบนิดหน่อย แต่ด้านหลังกลับเปิดโล่ง เผยให้เห็นก้นแจ่มชัด

มูคยอมถูไถแกนกายของฮาจุนผ่านกางเกงในที่บดบังไว้อย่างหมิ่นเหม่

น้ำหล่อลื่นซึมออกมาจากตรงส่วนหัว ทำให้ผ้าตัวบางเปียกชื้นขึ้นในทันที ความรู้สึกที่ได้รับการเล้าโลมตรงส่วนปลายแกนกายโดยมีผ้าเนื้อนุ่มขวางกั้นกลาง ทำให้รู้สึกหวิวๆ ในท้องต่างกับตอนสัมผัสแบบแนบเนื้อ ฮาจุนจึงครางออกมาแผ่วเบาพร้อมหลับตาลง

“ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่เห็นจะต้องอาย ฉันตั้งใจว่าจะเตรียมตัวที่ดูโป๊กว่านี้อีก แต่ก็เลือกประมาณนี้มาเพราะรู้สึกว่าน่าจะเหมาะกับอีฮาจุนแล้ว ถึงที่เกาหลีจะหายาก แต่ที่อเมริกาหรือยุโรป พวกผู้ชายก็ใส่กันเยอะ”

ถึงมูคยอมจะอธิบายแต่รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบหกปี เขาก็อาศัยอยู่แค่ที่เกาหลี จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการด้วยซ้ำว่าตัวเองจะใส่กางเกงชั้นในแบบนี้ แน่นอนว่าถ้าได้ลองไตร่ตรองดู เรื่องมากมายที่เกิดขึ้นหลังได้เจอคิมมูคยอม ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ต่างก็รวมกันอยู่ในขอบเขตที่ไม่เคยลองจินตนาการมาก่อนทั้งนั้น…

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้บอกว่าผู้ชายหลายคนก็ใส่กางเกงในจีสตริงเป็นครั้งคราว แต่ดีไซน์แบบนี้คงจะไม่ใช่แบบที่ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวันสักเท่าไร ส่วนผ้าสีดำที่ปิดด้านหน้า ทำจากวัสดุผ้าซีทรูซึ่งมองทะลุถึงด้านในเล็กน้อย อีกทั้งยังตกแต่งด้วยลูกไม้ให้เห็นรางๆ ด้วย

“ในทีมก็มีคนที่ใส่แล้วบอกว่าเวลาฝึกมันสบายตัวดีด้วยนะ ตอนเห็นหมอนั่นใส่เดินไปทั่วดันดูอุจาดตา ฉันไม่เคยคิดว่าเซ็กซี่เลยสักครั้ง…”

มูคยอมหยุดพูดกลางคันพร้อมกับบีบเค้นบั้นท้ายที่เคยลูบไล้อย่างแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือไต่เข้ามาใกล้ๆ ปากช่องทางแล้วแหวกแก้มก้นที่แนบชิดออกเล็กน้อย ได้ยินเสียงฮาจุนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ มูคยอมเองก็พรูลมหายใจร้อนรุ่มออกมาเช่นกัน

“…แต่พอคิดว่าโค้ชอีใส่เจ้านี่แล้วนั่งอยู่ตรงม้านั่ง… ขนาดแข่งอยู่ก็ยังนึกขึ้นมาอยู่เรื่อยจนแทบเป็นบ้า แรงกระตุ้นที่โค้ชย้ำอยู่บ่อยๆ ฉันได้รับมันเต็มๆ เลย วันนี้ฉันเก่งใช่ไหม”

“พูด…ไปเรื่อยเลยนะ ฉันอึดอัด ฮึก จนคิดว่าจะตายอยู่แล้ว”

“ได้ยินเพลงที่ผู้ชมฝั่งแซนเดอร์สเตดร้องเมื่อกี้ไหม ทางนั้นล้อว่าคิมมูคยอมใช้ท่อนเก่งกว่าใช้เท้า เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยตอบให้ ถามว่ารู้ได้ยังไง”

มูคยอมงอเข่านั่งลงด้านหลังฮาจุนซึ่งยืนหันหลังให้เขา เพียงแค่ถูกมองก็คงเกร็งแล้ว กล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ใต้ก้นเต่งตึงจึงกำลังขยับเบาๆ

มูคยอมพรมจูบซ้ำๆ ลงบนเนินเนื้อขาว ก้มหน้าก้มตาใช้ฟันกัดพร้อมกับยกยิ้มแบบไม่สามารถปิดบังความรู้สึกพึงพอใจได้ ทุกครั้งที่ริมฝีปากกดลงบนผิวเนื้อที่ขนอ่อนลุกเกรียวกราว ฮาจุนก็จะสะดุ้งทั้งที่ยังยืนพิงล็อกเกอร์ มูคยอมกระซิบ

“ผ่อนคลายสิ”

แม้บอกว่าทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นห้องล็อกเกอร์ในสนามฝึกซ้อม เป็นพื้นที่ที่พวกนักกีฬาอาบน้ำล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า และพูดคุยกันเป็นประจำแบบหาที่อื่นมาเทียบไม่ได้

มันต่างกับบนเรือยอชต์ของสถานที่พักร้อน หรือสวนหย่อมของที่จัดงานปาร์ตี้ ทั้งยังต่างกับที่พักของสนามฝึกซ้อมนอกสถานที่ ไม่ใช่ที่ที่แวะไปชั่วคราว แต่เป็นที่ทำงานของคิมมูคยอมและอีฮาจุนซึ่งต้องเข้าออกในทุกๆ วัน ทั้งวันพรุ่งนี้และวันมะรืนก็ด้วย

ถ้าเกิดยังมีคนอยู่จะทำอย่างไรล่ะ ถ้ามีใครกลับมาเพราะมีงาน… ลิ้นของ

ฮาจุนแห้งผาก ภายในหัวมึนงงจนกลายเป็นสีขาวโพลน

“เร็วๆ… รีบทำแล้วก็ไปกัน…”

“ได้สิ บางครั้งทำแบบรีบๆ ก็เสียวดี”

“อึก…”

เรียวเนื้อเปียกชื้นไต่ขึ้นไปบนบั้นท้ายอย่างเชื่องช้าโดยทิ้งร่องรอยเฉอะแฉะเอาไว้ แล้วในที่สุดก็ไปถึงร่องลึกกลางเนินเนื้อ สายผ้าเรียวเล็กเส้นหนึ่งบดบังรูรักไว้อย่างน่าหวาดเสียว มูคยอมกดลิ้นลงบนนั้นแทนที่จะแหวกหรือถอดชั้นในออกไป เส้นใยบางดูดซับน้ำลายไว้ในทันทีแล้วแนบสนิทไปกับผิวของฮาจุนยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเอานิ้วเกี่ยวสายผ้าที่ปิดกั้นช่องทางลับออกไปด้านข้าง ปากช่องทางก็เผยออกให้เห็นชัดเต็มตา รอยจีบที่ชื้นแฉะขึ้น บีบหดเข้าหากันแน่นราวกับเขินอาย เมื่อมูคยอมหัวเราะเสียงทุ้มพร้อมกับปล่อยสายผ้าที่เกี่ยวไว้ มันก็ดีดลงบนปากช่องทางของฮาจุนเบาๆ พร้อมกลับไปอยู่ที่เดิมของมันอย่างมีความยืดหยุ่น ฮาจุนหน้าแดงก่ำแล้วยื่นมือมาด้านหลังเพื่อดันศีรษะของมูคยอมออกไปอย่างแรง

“อย่าเล่นซนนะ”

มูคยอมลุกขึ้นทั้งที่ยังไม่ลบเลือนรอยยิ้มไป อีกฝ่ายเดินไปตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหนึ่งในห้องแต่งตัว มูคยอมนั่งลงโดยกอดฮาจุนให้หันหน้าเข้าหากันแล้วประทับริมฝีปากลงบนแก้มที่พองขึ้นหลายครั้ง ฮาจุนทอดสายตามองมูคยอมอย่างขุ่นเคือง ทว่าลมหายใจที่พ่นออกมาจากริมฝีปากก็เต็มไปด้วยความร้อนเร่าเรียบร้อยแล้ว

มูคยอมเองก็ดึงขอบเสื้อผ้าท่อนล่างของตัวเองลง ส่วนที่ตื่นตัวแข็งขึงดีดเด้งปรากฏออกมาเหนือกางเกง มูคยอมบดเบียดริมฝีปากลงบนลำคอขาวผ่องพลางพูดกระซิบ

“วันนี้ก็ใช้มือทำกันเถอะ”

“…พูดจริงเหรอ”

ถ้าทำแบบนั้นได้ก็ค่อยโล่งอกหน่อย ฮาจุนกะพริบตาด้วยความสนใจ

“จริงสิ นายบอกให้รีบทำแล้วจะได้ไปกันนี่ ฉันก็ไม่คิดจะทำแบบยืดเยื้อในที่แบบนี้หรอก”

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้น…”

ฮาจุนขยับมือไปหาความเป็นชายของมูคยอมที่ปรากฏออกมา แต่มูคยอมกลับรั้งมือของฮาจุนไว้

“ฉันยังพูดไม่จบ”

“นายบอกให้ใช้มือทำนี่”

“ใช้มือ ทำของใครของมัน”

“ห๊ะ”

ฮาจุนจ้องมูคยอมเขม็งราวกับไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น จากนั้นไม่นานก็ดูเหมือนจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ใบหน้าจึงค่อยๆ ขึ้นสีแดงจัด คำพูดตะกุกตะกักถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่อ้าออก

“ทะ… ทำไมต้องทำ แบบนั้น ไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย… อยู่กันสองคน”

“พอได้ฟังเรื่องเมื่อครั้งก่อน ฉันก็สงสัยขึ้นมาก ว่าเวลาโค้ชอีทำคนเดียวจะทำยังไง ตอนอยู่เกาหลีเมื่อก่อน ฉันขอดูเป็นคลิปแต่นายบอกว่าไม่ได้เพราะอยู่กับครอบครัวนี่ วันนี้ไม่มีเหตุผลที่จะทำไม่ได้ใช่ไหม”

มูคยอมทาเจลลงบนมือแล้ววางมือที่วาววับลงบนของตัวเอง ฮาจุนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ต่อหน้าอีกฝ่ายซึ่งเริ่มลูบไล้ส่วนที่ตั้งชูชันอย่างเชื่องช้า

ฮาจุนนึกถึงวันที่ตามมูคยอมไปที่บ้านแล้วมีเซ็กส์กันครั้งแรกอย่างไม่มีสติ ทั้งที่ในหัวยังเรียบเรียงสถานการณ์อันกะทันหันให้เข้าที่เข้าทางไม่ได้ด้วยซ้ำ

นึกถึงภาพที่มูคยอมพูดว่า “มันตื่นขึ้นเพราะนาย” พร้อมกับรูดรั้งแกนกายของตัวเอง นึกออกกระทั่งความเสียวซ่านที่รู้สึกขึ้นมาเมื่อมองภาพอีกฝ่ายทำแบบนั้น

มูคยอมยกมุมปากขึ้นยิ้มพร้อมกับโพล่งขึ้นราวกับยั่วเย้าเหมือนตอนนั้น

“ดูนี่สิ ฉันก็ทำนี่ไง โค้ชก็จะทำใช่ไหม”

ฮาจุนไม่ขัดขืนอีกต่อไป เขาแบมือออกราวกับหลงกลแล้วรอให้มูคยอมบีบเจลลงบนมือนิ่งๆ จากนั้นก็กางขาออก นั่งหันหน้าเข้าหาอีกคนตรงระหว่างต้นขาแข็งแน่นแล้วจับของของตัวเอง

กางเกงชั้นในตัวแคบจิ๋วเมื่อเทียบกับชั้นในที่สวมใส่ประจำ ถึงแม้จะใส่อยู่แต่ก็ไม่มีอุปสรรคในการจับเอาแกนกายออกมา

“อื๊อ…”

มนุษย์เราไม่สามารถทำให้ตัวเองจั๊กจี้ได้ เพราะจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่สมองคาดการณ์ไว้แล้ว ความรู้สึกทางเพศก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างนั้นตอนสัมผัสตัวเองจึงยากที่จะรู้สึกเสียวซ่านเหมือนตอนถูกสัมผัสด้วยมือของคนอื่น

แต่ในวันนี้ กระทั่งสัมผัสจากมือของตัวเองที่แตะลงบนผิวก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชิน ฮาจุนกัดริมฝีปากเพราะรู้สึกเหมือนจะหลุดครางออกมา จากนั้นก็รูดไล้ส่วนกลางกายขึ้นลงช้าๆ มือที่ทาเจลข้นหนืดกับแกนกายเสียดสีกันพร้อมส่งเสียงเฉอะแฉะเบาๆ มูคยอมจับตาดูท่าทางของฮาจุนพร้อมรั้งเอวเข้ามาใกล้กันยิ่งกว่าเดิม

“ต่างกับตอนที่ทำให้ฉันเมื่ออาทิตย์ก่อนนิดหน่อยไม่ใช่เหรอ”

“อะไร ยังไง…”

“ลองทำแบบตอนนั้นดูสิ ตอนนั้นทักษะการใช้มือโค้ชของฉันยอดเยี่ยมกว่านี้อีกนะ โค้ชบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เลยทำได้ขนาดนั้น”

มูคยอมจุ๊บลงบนใบหูจนเกิดเสียง ฮาจุนหอบหายใจกระชั้นพร้อมกับเพิ่มความเร็วในการขยับมือขึ้นทีละนิด

เขามองใบหน้าที่หันเข้าหากัน จากนั้นก็หลับตาลงแล้วดำดิ่งไปกับความรู้สึก แล้วก็จ้องมองร่างกายส่วนล่างของมูคยอมซึ่งกำลังรูดรั้งของตัวเองอยู่เช่นเดียวกัน ทำแบบนั้นวนไปมาซ้ำๆ มูคยอมกำลังทอดมองฮาจุนอย่างไม่ละสายตาด้วยแววตาจดจ่อ เมื่อสายตาคมกริบจดจ้องผิวกาย มันก็คลอเคลียอยู่ไม่ห่างไปไหนอย่างลุ่มหลง

การเคลื่อนไหวมือของฮาจุนค่อยๆ รุนแรงและเฉอะแฉะขึ้น เขาใช้นิ้วโป้งบดลงบนส่วนปลายแกนกายของตัวเองแล้วขยับฝ่ามือที่เคยรูดชักลำท่อนขึ้นไปโอบหุ้มตรงส่วนปลาย

“ฮึก…”

คงเพราะความเกร็งเครียดที่สถานที่มอบให้ หรือคงเพราะสายตาที่ทอดมองมาทางตนราวกับจะจับกิน ความสุขสมในระดับที่การแอบช่วยตัวเองโดยไม่ให้คนอื่นรู้เป็นครั้งคราวนั้นเทียบไม่ติด และแผ่ซ่านขึ้นมาตามกระดูกสันหลังของฮาจุน มูคยอมเลียลำคอกับใบหูของเขา นิ้วบดคลึงยอดอก ประสาทสัมผัสที่รู้สึกไวขึ้นทำให้หัวไหล่สั่นเทิ้ม ความร้อนรุ่มจนทรมานแผดเผาภายในช่องท้องให้รู้สึกวาบหวิว

“ฮ้าาา อ๊ะ อา…”

“สมัยอยู่ที่บ้าน… นายทำคนเดียวยังไง ในห้องเหรอ”

“อะ อือ… ปกติ ทำตอนอาบน้ำ… เพราะว่า อึก… คนที่บ้านอาจเข้ามา ในห้อง…”

“ก่อนมีความสัมพันธ์แบบนี้กับฉัน… ก็เคยคิดถึงฉันพร้อมทำไปด้วยหรือเปล่า…”

“-อ๊า ฮึก…”

ฮาจุนไม่ตอบแล้วพิงใบหน้าลงกับไหล่ของมูคยอม ท่าทีของฮาจุนซึ่งร่างสะท้านราวกับความกำหนัดตีรวนขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกับส่งเสียงครางกระท่อนกระแท่นเป็นเหมือนกับคำตอบรับ ทำให้มูคยอมเองก็กัดฟันอย่างอดกลั้น

มูคยอมทาบมือใหญ่ลงบนมือของฮาจุนแล้วรวบท่อนเนื้อของทั้งสองให้แนบติดพร้อมรูดรั้งเหมือนคราวที่แล้ว ท่อนเนื้อที่ผงาดจนร้อนระอุทั้งสองท่อนเสียดถูกันอย่างลื่นไหล เสียงเนื้อเปียกชื้นเสียดสีกันอย่างเฉอะแฉะดังขึ้นเรื่อยๆ

“ฮื่อ ฮ้า อ๊า…!”

“แม่ง… ดูนายชักให้ตัวเองคนเดียวแล้วเหมือนหัวจะระเบิดเลย”

เสียงของมูคยอมร้อนรุ่มราวกับเหล็กเขี่ยไฟ ฮาจุนเองก็จ้องมองท่าทีของมูคยอมอย่างไม่คลาดสายตา เส้นเลือดจึงปูดโปนขึ้นบนลำคอของมูคยอมราวกับว่านั่นไม่ใช่คำพูดที่แค่พูดไปอย่างนั้น

อีฮาจุนเกิดมาพร้อมกับความยั่วยวนที่มีติดตัวจริงๆ ในขณะที่บอกว่าเซ็กส์กับเขาเป็นเซ็กส์ครั้งแรก อีฮาจุนก็ทำให้เขาเชื่อผิดๆ อย่างสนิทใจเลยว่านั่นเป็นครั้งที่สองที่ฮาจุนได้มีอะไรตรงช่องทางด้านหลัง ใครจะจินตนาการออกกันว่า นี่เป็นร่างกายที่มีอารมณ์คล้อยตามไปเมื่อได้รองรับแกนกายที่สอดใส่ในช่องทาง มูคยอมขบเคี้ยวริมฝีปากสีแดงก่ำของฮาจุน พลางพูดหยอกขึ้น

“ลองมาคิดดูก็น่าเสียดายแทนโค้ชของฉันเหมือนกันนะ”

“เสียดายอะไรเหรอ…”

“ทั้งๆ ที่มีของดีไม่น้อยหน้าใครติดตัวแท้ๆ แต่ยังไม่เคยได้ไปใช้เสียบใครเลยสักครั้ง นายไม่เคยอยากลองใช้มันบ้างเหรอ”

ทันทีที่มูคยอมถามเช่นนั้น ฮาจุนก็ยิ้มบางๆ ราวกับว่ากำลังขวยเขิน ก่อนจะลังเลแล้วเปิดปากพูดขึ้น

“เอาจริงๆ… ฉันก็เคยคิดอะไรแบบนั้นนะ”

“…เคยคิดด้วยเหรอ”

“ก็… ทุกครั้งที่เราทำกัน ฉันดูมีความสุขมากกว่านายเยอะเลย… อืม… แล้วก็เสร็จบ่อยกว่าด้วย ดูเหมือนว่าฉันจะกลั้นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่… อืม น่าจะเพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนด้วย ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ… แต่คนที่เป็นฝ่ายรับน่าจะรู้สึกดีมากกว่าหรือเปล่า”

ระหว่างที่พูดวกไปวนมาฮาจุนก็กำลังถูกลูบไล้ไปตามเนื้อตัว จากนั้นฮาจุนก็หลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีกครั้งราวกับว่าตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ แววตาดำขลับที่แข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อยจ้องตรงไปยังมูคยอม

“คิมมูคยอม ถ้านายต้องการฉันก็จะพยายามลองทำดู ถึงจะไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีเหมือนนายก็เถอะ…”

ไม่ทันได้เปิดเผยการตัดสินใจที่เคร่งเครียดได้จนจบ หัวไหล่และหน้าท้องของมูคยอมก็ขยับขึ้นลง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่พยายามกลั้นไว้ในทีแรกไม่สามารถกลั้นต่อไปได้ และสุดท้ายมูคยอมก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมา

มูคยอมกอดฮาจุนที่ทำหน้าตาเหรอหราเหมือนกับไม่รู้ถึงสาเหตุที่มูคยอมหัวเราะ เขาหัวเราะแบบนั้นอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอนตัวไปด้านหลัง เมื่อเช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกจนเกือบหมด มูคยอมก็สงบสติอารมณ์ลง

“ฉันรู้สึกขอบคุณมากนะ ฮ่าๆ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า”

“ที่ถามไม่ใช่เพราะว่านายอยากลองเหรอ”

“ไม่สิ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ถ้าฮาจุนต้องการฉันเองก็จะลองพยายามดูเหมือนกัน แต่ฉันจะโอเคกว่านะ ถ้านายไม่ต้องการมัน”

มูคยอมหยุดเสียงหัวเราะลงและกอดฮาจุนแน่น ความรู้สึกที่พุ่งสูงเป็นตัวจุดความเร็วให้กับมือที่กำลังลูบไล้ มูคยอมใช้สองมือบีบขย้ำเนื้อก้นของฮาจุน พลางคิดว่าหากเขาเสือกไสตัวตน กระทั้นเข้าไปยังช่องว่างระหว่างก้นที่ทั้งนุ่มเหมือนกับดินปั้นสีขาวและเด้งสูมือเหมือนกับยางเหนียวๆ ไข้น้อยๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จะต้องหายเป็นปลิดทิ้งแน่

เมื่อใช้นิ้วเขี่ยไปยังช่องทางด้านหลังที่ไวต่ออารมณ์เพราะเพิ่งเสร็จสมไปไม่นาน เสียงครางหวานหูราวกับน้ำผึ้งก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ในตอนนี้ความพึงพอใจของเราทั้งสองต่างก็ลงตัวดีมากแล้ว ดังนั้น ‘ความพยายาม’ ที่ไม่จำเป็นนั่นจึงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเลยสักนิด เพราะฮาจุนน่ะอ่อนไหวกับทุกร่องรูบนร่างกายเลยไงล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเซ็กส์หรือเรื่องการทำอาหาร คนเราต่างก็มีสิ่งที่ถนัดเป็นของตัวเอง ดังนั้นแค่ให้แต่ละคนรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“คิมมูคยอม ทำไมเหมือนนายกลับมาตัวร้อนกว่าเดิม…”

ต่างกับมูคยอมที่กำลังเพลิดเพลิน ฮาจุนที่ก่อนหน้านี้ถูกดึงให้ดื่มด่ำอยู่กับการจูบและเนื้อตัวที่แนบชิด กลับค่อยๆ เผยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมา

เขารีบยืดตัวตรงขึ้นแล้วแตะมือลงบนหน้าผากของมูคยอม ใบหน้าที่ยังคงสีแดงระเรื่อจางๆ เพราะความต้องการทางกามารมณ์ยังคงไม่หมดไปนั้นบูดบึ้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่สิ นี่ตัวร้อนกว่าเดิมอีก ดูสิ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำ”

“ที่อกฉันร้อนขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช้เพราะพิษไข้ แต่เพราะความรักต่างหาก”

“อยากจะบ้าตาย ฉันนี่มันโง่จริงๆ ที่หลงกลนาย”

“ฉันอยากใส่เข้าไปในรูนายจัง”

“ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด ครั้งนี้ไม่ว่านายจะทำอะไร หรือพูดคำไหน ฉันก็จะไม่ยอมเด็ดขาด”

มูคยอมถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ทว่าคำที่บอกว่าตัวของเขาร้อนมากกว่าเดิมนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง เมื่อเขารู้สึกได้ถึงอาการวิงเวียนศีรษะแม้จะเอนตัวนอนอยู่บนเตียงก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถดันตัวลุกออกจากเตียงได้เหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้เพราะฤทธิ์ของยาที่เริ่มทำงานหรือเปล่า สติของมูคยอมถึงได้ค่อยๆ ริบหรี่ลง

แม้ความต้องการที่อยากเล่นต่อจะเปี่ยมล้นสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะสติที่เริ่มเลือนรางได้ จนแรงของเขาค่อยๆ หายไปเหมือนกับเด็กที่ใกล้จะผล็อยหลับ ไม่ทันได้รู้ตัวฮาจุนก็ไปเอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวที่ชุ่มเหงื่อของมูคยอม คนป่วยจับมือขาวที่กำลังสวมชุดคลุมตัวใหม่ให้ และงอแงขึ้นมา

“เข้าใจแล้ว วันนี้ฉันจะอดทน แต่คราวหน้านายต้องฟังคำขอจากฉันหนึ่งข้อนะ”

“สติ๊กเกอร์สักดวงก็ยังไม่ได้… แล้วจะให้ฉันฟังคำขอเพราะอดทนไม่มีเซ็กส์ครึ่งเดียวเนี่ยนะ”

“ก็ฉันป่วย ถือเป็นค่าปลอบขวัญไง”

ฮาจุนเปิดปากออกราวกับว่าต้องการจะพูดบางอย่าง ก่อนจะปิดปากฉับลงไปอีกครั้งราวกับตัดสินใจที่จะไม่พูดออกมา จากนั้นฮาจุนก็วาดยิ้มที่แสนอ่อนโยนและใจดีขึ้นเหมือนเมื่อตอนก่อนที่จะทำซุปมันฝรั่ง และถามขึ้น

“คำขอเหรอ นายจะขออะไรล่ะ”

“ฉันจะเริ่มคิดตอนนี้แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็หยุดคิดเรื่องอื่นซะ แล้วก็นอนลงไป เป็นเด็กดีหน่อย”

“ห้ามไปไหนนะ นายต้องนอนกับฉัน”

“รู้แล้ว ฉันขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวมา”

ฮาจุนที่ยังไม่ได้จัดการเช็ดช่วงล่างของตัวเองให้ดีเพราะมัวแต่เช็ดร่างกายของมูคยอมที่กลับมาร้อนขึ้นอีกครั้ง ขยับรอยแยกหน้าเสื้อคลุมใต้ลิ้นปี่ให้ปิดเรียบร้อยดี เมื่อเห็นฮาจุนหันหลังและเดินห่างออกไปมูคยอมก็พยายามที่จะกระพริบตา เพราะกลัวว่าตัวเองจะผล็อยหลับไปก่อนที่ฮาจุนจะกลับมาถึงเตียง และพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่ง

10 นาทีให้หลังฮาจุนก็กลับมา พร้อมเส้นผมที่ยังคงเปียกชื้น ฮาจุนก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ คนบนเตียงโดยไม่สนใจผมที่เพิ่งแห้งไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มูคยอมฝังจมูกลงบนกลุ่มผมดำของฮาจุน หลังจากที่ไปอาบน้ำมาตอนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าของฮาจุนมีกลิ่นของสบู่และยาสระผมแบบเดียวกับเขา ช่างเป็นอะไรที่น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ

ทั้งสองนอนก่ายเกี่ยวกันเป็นก้อนกลม มูคยอมยกมือขึ้นลูบหัวของฮาจุนช้าๆ ฮาจุนเองก็ตบหลังของมูคยอมอย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไรราวกับว่าตั้งใจจะกล่อมให้นอน แต่จู่ๆ ฮาจุนก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ว่าแต่ที่นายพูดก่อนหน้านี้ว่าฉันเป็นผลงานที่หลายคนสร้างขึ้นมา… มันหมายความว่ายังไงเหรอ”

“ก็อย่างที่พูดไป ทั้งคุณแม่ มินคยอง ฮาคยอง ยุนแชฮุน อิมจองคยู คนที่ชอบนายมีเยอะแยะเลย ขนาดนับเอาแค่คนที่ฉันรู้จักนะ คนที่นายทำดีด้วยก็เยอะเหมือนกัน นายคิดว่าการสร้างอีฮาจุนในตอนนี้ขึ้นมาได้ จะใช้คนแค่คนสองคนหรือไง บอกเลยว่าใช้เยอะจนนับไม่ถ้วนเลย่ะ เยอะถึงขนาดที่ว่าเอามาทำเป็นบัญชีรายชื่อผู้สร้างได้เลยนะ”

“นายก็เหมือนกันนั่นแหละ มีทั้งผู้จัดการทีมพัค ทั้งจองคยูที่สนิทด้วย ไหนจะคนในกรีนฟอร์ดอีก”

“ที่นายพูดก็ถูก แต่ไม่รู้สิ… การจะพูดว่าคิมมูคยอมเป็นคนเดียวที่สร้างนายขึ้นมาหลังจากที่ได้มาเจอนาย ก็น่าจะเป็นอะไรที่ฟังดูไม่โอเคเท่าไหร่ไหม เพราะก่อนหน้านี้คนอื่นๆ ต่างก็ช่วยมัดรวมโครงร่างของตัวนายเข้าด้วยกันไว้ให้แล้ว”

มูคยอมหยุดคิดสักพัก แล้วพยักหน้าออกมา

“ตอนที่ได้มาเจอฉันในตอนนั้นอีฮาจุนสมบูรณ์แบบแล้ว แต่คิมมูคยอมน่ะ ได้อีฮาจุนช่วยขัดเกลาเยอะเลย ลองคิดดูสิ นายเป็นคนที่ช่วยชีวิตฉัน แล้วก็สร้างฉันขึ้นมาด้วย”

“…”

“หากเราเป็นต้นไม้ที่ต้องให้คนมารดน้ำให้ถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ สำหรับคิมมูคยอมแค่ได้อีฮาจุนคนเดียวมารดน้ำให้ ฉันก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว แต่สำหรับนายมันไม่ใช่ ทั้งคุณแม่ น้องๆ และเพื่อนๆ ต่างก็ต้องรดน้ำให้นาย เพราะนายใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด มาจนถึงตอนนี้นายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้หรอก ที่ฉันคิดก็ประมาณนี้แหละ”

ฮาจุนที่ฟังอยู่นิ่งๆ ออกแรงกระชับวงแขนที่พาดวางอยู่บนหลังมูคยอม แม้จะเป็นแรงที่บางเบา แต่มูคยอมก็รู้สึกถึงแรงกอดรัดจากฮาจุนได้ในทันที และกอดกลับไปด้วยแรงที่มากกว่า เขาประทับริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่มและหน้าผากที่อยู่ติดกัน ฮาจุนที่เงียบอยู่ในตอนแรกค่อยๆ เปิดปากขึ้น

“ก็ถูกนะ… ที่นายบอกว่าคนอื่นๆ สร้างฉันขึ้นมา”

“อื้อ”

“แต่ในนั้นก็มีนายอยู่ด้วย ท่ามกลางคนที่สร้างอีฮาจุนในตอนนี้มีคิมมูคยอมรวมอยู่ด้วยนะ”

“…”

“นายเป็นคนที่สำคัญสำหรับฉันก่อนที่นายจะรู้จักฉันอีก… ถ้าไม่มีคิมมูคยอมก็คงไม่มีฉันในตอนนี้หรอก”

ฮาจุนมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เขา แต่ผู้คนที่เขาไม่รู้จักอีกมากมายก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังวิ่งอยู่บนสนามหญ้าและใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักฟุตบอล ผู้คนที่จดจ่ออยู่หน้าจอรอดูการแข่งขันซึ่งจัดในประเทศอันไกลโพ้นทุกค่ำคืน แม้วันรุ่งขึ้นจะต้องตื่นเช้าเพื่อไปใช้ชีวิตในวันอันแสนเหน็ดเหนื่อย หรือแม้กระทั่งเหล่าผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาส่งเสียงเชียร์ในการแข่งขันเวิลด์คัพครั้งที่ผ่านมา

ผู้คนที่เหนื่อยเกินทนกับชีวิตในแต่ละวัน จนรู้สึกว่าการจดจำแสงสีแห่งความฝันหรือความหวังเป็นเรื่องยาก ผู้คนที่รักและปรารถนาถึงความสำเร็จและเกียรติยศของผู้อื่น แม้ในความเป็นจริงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม ผู้คนที่ช่วยเติมแต่งแสงดวงน้อยในวันนี้ด้วยพลังนั้น

อีฮาจุนโชคดีกว่าใครอื่นที่คล้ายๆ กัน เขาสามารถลงเล่นในสนามเดียวกับคนที่ฝันถึง ทั้งยังได้เฝ้ามองคนคนนั้นกับตาตัวเองเลยด้วย หากการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกลายเป็นผลลัพธ์มากมายอะไรได้กลายเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ให้กับใครสักคน แน่นอนว่าคิมมูคยอมก็เป็นผู้มีพระคุณของอีฮาจุน มูคยอมคือคนที่เขาอยากจะมอบคำขอบคุณให้อย่างไม่สิ้นสุด

เพียงแค่คำว่าหน้าที่หรือความรับผิดชอบไม่สามารถทำให้เราอดทนใช้ชีวิตที่ยากลำบากได้ หากในวันวานที่แสนเหนื่อยล้านั้นเขาไม่สามารถที่จะรักคิมมูคยอมได้ ฮาจุนคงไม่สามารถตอบได้อย่างมั่นใจ หากถูกถามว่ามีอะไรเป็นแรงผลักดันให้มาถึงจุดนี้

“บางครั้งฉันก็สงสัยอยู่นะ… ว่าฉันคู่ควรที่จะครอบครองนายไว้เพียงคนเดียวไหม”

“…ทำไมล่ะ”

“ถ้าคนอื่นๆ เป็นบัวรดน้ำ นายก็คือหยาดฝน บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ต้องการนาย ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าคิมมูคยอมควรจะเป็นของทุกคน”

วันที่มูคยอมย้ายเข้ามาสังกัดในกรีนฟอร์ดเป็นครั้งแรก และสามารถทำประตูได้ในชั่วพริบตานั้น มีนักข่าวชาวอังกฤษคนหนึ่งได้อธิบายเอาไว้ว่ามูคยอม ‘เหมือนกับฝนห่าใหญ่’ คำบรรยายนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในหัวของฮาจุนมาจนถึงทุกวันนี้

มูคยอมไม่พูดอะไร และมือที่ลูบผมมของฮาจุนอยู่ก็หยุดชะงักลง ฮาจุนเหลือบตาขึ้นมองมูคยอม พลางคิดว่าอีกคนหลับไปแล้วหรือเปล่า

แต่มูคยอมไม่ได้หลับตาอยู่ และทำเพียงแค่จ้องมองฮาจุนที่นอนอยู่ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แต่ก็ดูจริงจังอยู่เล็กน้อย เมื่อสบสายตากัน รอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูคยอม เป็นรอยยิ้มที่เปรียบเหมือนกับเม็ดทรายที่ปลิวว่อนไปโดยไร้ความชื้น

“แปลกจัง ฉันคิดกลับกันเลยนะ”

“คิดกลับกันเหรอ”

“ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นของอีฮาจุนเพียงคนเดียว แต่อีฮาจุนน่ะ ไม่สามารถที่จะเป็นของฉันเพียงคนเดียวได้”

คำพูดนั้นทำเอาฮาจุนที่นอนอยู่ถึงกับยันตัวขึ้นมาครึ่งหนึ่ง กล้ามเนื้อระหว่างคิ้วเกร็งตัวขึ้นอัตโนมัติ ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเด็ดขาด

“ไม่ใช่สิ”

“ไม่เหรอ”

“แน่นอนว่าคนที่ฉันชอบมีหลายคน คนพวกนั้นเองก็น่าจะชอบฉันด้วยเหมือนกัน… แต่ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อน เพียงคนเดียวที่จะสามารถพูดออกมาได้ว่าฉันเป็นของตัวเองคือคิมมูคยอมเท่านั้น ถ้าไม่ใช่นาย แล้วเกิดเป็นใครคนอื่นที่มาพูดว่าเป็นเจ้าของฉัน ถึงจะพูดเล่น แต่บอกเลยว่าฉันไม่อยู่เฉยแน่ ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันเป็นของนาย”

“จริงเหรอ”

มูคยอมดึงฮาจุนที่เอนตัวขึ้นให้นอนลงไปเหมือนเดิม เขากักตัวฮาจุนเอาไว้ในอ้อมกอดที่แน่นขนัดและร้อนรุ่มเหมือนกับท่อนเหล็กลนไฟ เนื่องจากอาการไข้ที่ย้อนคืน

“ฉันเองก็เหมือนกัน คนที่ชอบฉันมีเยอะก็จริง แต่ฉันก็ไม่ใช่สมบัติของพวกเขาใช่ไหมล่ะ คนที่เป็นที่ต้องการและเป็นที่รักของผู้คนทั่วไปคือนักเตะคิมมูคยอม แต่คนที่มอบความรักให้กับมนุษย์ที่โง่เขลาที่ชื่อคิมมูคยอม มีแค่อีฮาจุนคนเดียว”

เพราะแบบนี้ไง ฉันเลยรู้จักนายดีที่สุดแล้ว

ฮาจุนคิดเช่นนั้น ก่อนจะหน้าแดงอยู่คนเดียว อัจฉริยะตั้งแต่เกิด นักกีฬาผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ผู้ที่เปรียบดั่งฝนห่าใหญ่ ผู้ที่เป็นดวงดาวของทุกคน

เขาคือคนที่ได้รู้ใบหน้าที่แท้จริงของคิมมูคยอมมากที่สุด แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้ตามข่าวหรือเรื่องราวของมูคยอมแล้วเอามาตัดเก็บไว้เหมือนเมื่อก่อน

แต่ฮาจุนคิดว่าเขาได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของมูคยอมมากกว่าตอนนั้นเสียอีก

“ใช่… ฉันชอบนายที่สุดเลย”

ตอนนี้เขาสามารถพูดออกมาได้อย่างมั่นใจ คิมมูคยอมที่อีฮาจุนรักในตอนนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือคนในจินตนาการที่เขาเคยสร้างขึ้นเพื่อปลอบโยนตัวเองอีกต่อไป เขาอยู่ในฐานะคนรักที่ได้รับรู้ทุกสิ่งอย่าง ทั้งข้อดีข้อเสีย จุดแข็งจุดอ่อน ความลับที่ปิดบังเอาไว้ ความดำมือที่สุดที่มี ไปจนถึงความทุกข์ยากในชีวิต ทั้งยังร่วมประสบ และได้เฝ้ามองมา

รอคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง มูคยอมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา คงเพราะไม่มีอะไรจะพูดอีก ฮาจุนจึงได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ ดังขึ้นเหนือหัว

วันนี้ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน หากไม่นับอาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดของมูคยอม เราก็ไม่ได้ทะเลาะกัน และบรรยากาศก็ยังดีอีกด้วย บทสนทนาที่ได้แลกเปลี่ยนกันก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เรื่องราวน่าเศร้าเลยสักนิด แต่ที่ดวงตาของฮาจุนกลับคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

ชัดเจนว่าฮาจุนทั้งได้รักและเป็นฝ่ายถูกรัก และความจริงนั้นสร้างความสุขให้เขาทุกนาทีทุกวินาทีแบบที่ไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีก ทำไมพอได้รู้จักกันมากขึ้น น้ำตาของเขาถึงได้พาลไหลออกมาอยู่เรื่อยนะ

การคบกันแบบคนรักเป็นสิ่งน่าแปลกจริงๆ

* * *

นี่คือโชคชะตาของการเป็นคนดังที่จะต้องถูกเปิดเผยทุกความเคลื่อนไหวให้คนมากมายได้รู้กันทั่ว ข้อมูลข่าวเกินจริงที่บอกว่าคิมมูคยอมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่หนัก จนต้องขาดซ้อมเป็นเวลา 2 วันถูกรายงานออกไปอย่างรวดเร็ว แบบไม่เปิดโอกาสให้ได้แก้ไข้ความจริงเลยด้วยซ้ำ

ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาแล้วประมาณหนึ่งสัปดาห์ มาจนถึงวันนี้วันที่มีการเปิดการแข่งขันใหม่ขึ้น ทุกครั้งที่มูคยอมได้ลูกฝั่งที่นั่งผู้ชมในสนามก็จะมีเสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพลงที่ใช้ร้องเพื่อข่มขวัญทีมฝั่งตรงข้ามที่เหมือนกับเพลงเชียร์ใหม่ที่ถูกแต่งขึ้นมาแบบปุบปับถูกร้องขึ้น

‘คิม คิม โรงพยาบาลไม่เหมาะกับนายหรอก อย่าป่วยนะ ห้ามป่วยนะ พวกเรารักนายมากกว่าที่นายคิดอีกนะ’

‘คิม คิม ครั้งนี้ไปสอยใครมาจนป่วยเลยใช่ไหม เปลี่ยนงานเป็นอีตัวดูไหม

ดูเหมือนนายจะใช้จู๋เก่งกว่าใช้เท้าอีกนะ’

ราวกับว่ากำลังตอบรับเพลงเชียร์ในท่อนที่ร้องว่าไม่เหมาะกับโรงพยาบาล สภาพร่างกายของมูคยอมในวันนี้ก็ดีแบบสุดๆ แม้เพลงที่ร้องขึ้นมาจะมีความหมายไปทางคุกคามทางเพศจะดังขึ้นจากเสียงร้องของแฟนคลับทีมฝั่งตรงข้าม ดวงตาของมูคยอมก็ไม่ได้กระพริบเลยสักครั้ง

มีเพียงฮาจุนที่มีรอยยับย่นขึ้นที่ระหว่างคิ้ว แม้จะเป็นเพลงที่ร้องขึ้นมาเพื่อข่มขวัญทีมฝั่งตรงข้าม แล้วถ้าเกิดเด็กๆ ที่มาดูการแข่งขันในสนามได้ยินเข้าล่ะ

แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่ความคลั่งในการเชียร์ของแฟนบอลในอังกฤษก็มีให้เห็นทั้งในแฟนบอลของทีมเราและทีมฝั่งตรงข้าม ทั้งยังมีช่วงที่การเชียร์นั้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรงด้วย

ทั้งผู้จัดการทีมและสตาฟต่างก็มองท่าทางที่มีชีวิตชีวาของมูคยอมกันอย่างพึงพอใจ และแฮร์รี่ก็หันมาโค้งหัวให้ฮาจุน

‘หลังได้พักไป 2 วัน ก็ดูเหมือนร่างกายจะแข็งแรงดีกว่าเดิมอีกนะ ฉันว่าต้องเป็นผลมาจากการที่มีโค้ชส่วนตัวแน่ๆ บอกเคล็ดลับกันหน่อยสิ’

‘ไม่มีเคล็ดลับอะไรหรอกครับ ผมแค่ให้เขาพักผ่อนเยอะๆ แค่นั้นเอง’

ฮาจุนโน้มตัวลงไปนั่งท้าวคาง เรียวนิ้วขาวที่วางทาบอยู่บนใบหน้าเคาะเบาๆ ลงบนแก้มตัวเอง แฮร์รี่มองฮาจุนที่อยู่ในท่าทางเช่นนั้นอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ

‘แต่วันนี้ร่างกายนายดูไม่โอเคเลย ไม่ใช่ว่าติดไข้มากจากคิมนะ”

‘อะไรนะครับ… ไม่ใช่หรอกครับ เขาแค่เป็นไข้ธรรมดา แล้วหมอก็บอกด้วยว่าไม่ใช่โรคติดต่อ น่าจะเป็นเพราะว่าผมจดจ่อมากไปน่ะครับ’

‘ค่อยๆ ดูสิ อย่าให้โดนหิ้วออกไปนอกสนามอีกละ’

เมื่อแฮร์รี่แหย่ขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ฮาจุนก็รีบลดมือที่ท้าวคางอยู่ลง หลังที่โค้งไปข้างหน้าเล็กน้อยในตอนแรก เปลี่ยนเป็นเอนพิงไปกับพนักม้านั่ง

ทั้งสองแลกเปลี่ยนบทสนทากันได้ไม่นาน การแข่งขันอันแสนดุเดือดก็ดำเนินขึ้นบนสนาม ลูกเตะมุมที่ถูกเตะจนลอยของจากฝั่งแซนเดอร์สเตดทีมคู่ต่อสู้ในวันนี้ ไม่ได้ตกเป็นของใคร และลอยข้ามไปมาจากการถูกโหม่ง

แต่ค้างอยู่ในท่านั้นได้ไม่นาน ฮาจุนที่ในตอนแรกดิ้นไปมาขณะถูกทาบทับด้วยร่างที่ค่อนข้างหนัก ก็ออกแรงกดต้นแขนลงบนไหล่ของมูคยอมแล้วเบี่ยงตัวหนีออกมา เมื่อมีช่องว่างบริเวณวงแขน ฮาจุนก็ใช้ขาเกี่ยวตัวมูคยอมให้ล้มนอนลง จนพลิกกลับมาเป็นฝ่ายที่อยู่ด้านบนแทน

เหตุการณ์กลับตาลปัตร มูคยอมหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน กลับกันฮาจุนก็กำลังขมวดคิ้วมุ่นอย่างจริงจัง

“อย่าให้ฉันต้องใช้แรงกับคนป่วยสิ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบริการคนไข้หน่อยสิครับ คุณหมอ”

มูคยอมเถียงกลับด้วยรอยยิ้มสบายอกสบายใจ ก่อนจะพลิกตัวกลับไปอยู่ด้านบนอีกครั้ง หลังจากสลับพลิกกันไปมาโดยใช้เตียงเป็นเวทีมวยปล้ำขนาดย่อม ฮาจุนก็ตัดสินใจเอาตัวออกมาจากการต่อสู้ที่ดูท่าว่าจะไม่จบสิ้นลงสักที และพยายามคลานลงจากเตียงไปยืนที่พื้นห้อง

แต่มือของมูคยอมกับคว้าข้อเท้าของคนที่กำลังจะหนีเอาไว้แน่น ฮาจุนลื่นไถลไปบนผ้าคลุมเตียง และถูกดึงเข้าหามูคยอมเหมือนกับเหยื่อที่ถูกจับได้

“ฉันบอกว่าไม่ได้ไง!”

แม้ฮาจุนจะพยายามยึดขอบเตียงเพื่อรั้งตัวเองเอาไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไป เขาหมดทางหนีแล้วจริงๆ ทันใดนั้นมูคยอมก็ขยับตัวเข้าทาบทับทั้งเรือนร่างของฮาจุนทันที

ฮาจุนที่พยายามเบี่ยงตัวให้หลุดจากการจับกุมอีกครั้งหยุดชะงักทุกการเคลื่อนไหว แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็ยังดูไร้เรี่ยวแรง

“นายป่วยจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย ทำไมแรงเยอะขนาดนี้”

“ฉันบอกไปแล้วไง ว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”

“ทำแบบนี้เดี๋ยวไข้ก็กลับมาอีก”

“จัดสักยกให้เหงื่อออกเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง การได้มีเซ็กส์กับโค้ชอีหลังแข่งเสร็จ มันเป็นความเคยชินและสิ่งที่ต้องทำสำหรับฉันไปแล้วนะ ถ้าข้ามครั้งนี้ไปและไม่ได้ทำฉันจะต้องรู้สึกไม่สบายใจแน่ๆ”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่อุณหภูมิร่างกายของมูคยอมที่สัมผัสได้ผ่านแผ่นหลังของฮาจุนก็ยังสูงอยู่พอสมควร เมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนจากตัวมูคยอม ในหัวของ

ฮาจุนก็รีบชั่งน้ำหนักสองตัวเลือกที่วางไว้

ระหว่างสู้กันแบบนี้จนเหนื่อยกันไปข้าง หรือมีเซ็กส์กันจนเหนื่อยพับกันไป หากทั้งสองตัวเลือกไม่ได้ช่วยให้สภาพร่างกายของมูคยอมกลับมาดีขึ้น ในทางกลับกันมันอาจทำให้อาการไข้ของมูคยอมทรุดหนักกว่าเดิม

ลมหายใจบางเบาถูกพ่นออกจากริมฝีปากของฮาจุน เขาลดเสียงเบาลงขณะที่แตะมือลงบนแขนของมูคยอมราวกับว่ากำลังเกลี้ยกล่อม

“โอเค เข้าใจแล้วคิมมูคยอม นายหลบออกไปก่อน”

“ไม่ได้จะหนีใช่ไหม”

“ไม่หนีหรอกน่า ฉันสัญญา”

เมื่อมูคยอมผ่อนแรงแขนลง ฮาจุนก็คลานออกมาจากอ้อมแขนที่หนักอึ้ง ราวกับว่าเพิ่งหลุดออกจากการโดนหินทับ เขาถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วผลัก

มูคยอมให้นอนลง

ทำทีเหมือนไม่เห็นแววตาเคลือบแคลงที่กำลังมองมา ฮาจุนหยิบเอาเจลหล่อลื่นออกมาจากลิ้นชักข้างเตียง แล้วคลานไปนั่งคุกเข่าคร่อมอยู่บนต้นขาของมูคยอม เมื่อดึงชั้นในที่ทาบทับอยู่บริเวณกระดูกเชิงกรานของมูคยอมลง คนด้านล่างก็เบิกตาโตขึ้น

“จะใส่เข้าไปเลยเหรอ ไม่ได้สิ นายจะเจ็บเอานะ คิดจะทำแบบปุบปับให้จบไปเลยหรือไง”

“อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ”

อาจเพราะที่ผ่านมาแค่คิดจะทำฮาจุนก็โอนอ่อนตามไปง่ายๆ ระหว่างที่เกิดการลงไม้ลงมือกันในช่วงสั้นๆ ส่วนนั้นของมูคยอมถึงได้เริ่มแข็งตัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แม้จะตัดสินใจไปแล้ว ฮาจุนก็ยังอดกังวลไม่ได้ และจ้องเขม็งไปยังท่อนเนื้อที่อยู่ตรงหน้า

ราวกับว่าตอบสนองกับสายตาที่มองมา ส่วนกลางกายของคนใต้ร่างก็กระตุก ทั้งยังค่อยๆ แข็งตัวและขยายใหญ่กว่าเดิม แม้จะเคยได้กกกอดไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่บ่อยนักที่ฮาจุนจะมีโอกาสได้มานั่งมองแบบเต็มสองตาในช่วงเวลาที่ท่อนเนื้อกำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเหมือนพืชพันธุ์ที่กำลังเติบโต ข้างแก้มของฮาจุนเห่อร้อนจนมีริ้วสีแดงพาดขึ้นมา

มารีบทำให้จบดีกว่า หลังตกลงกับตัวเองเสร็จฮาจุนก็รีบบีบเจลลงบนฝ่ามือ มูคยอมเลือกที่จะรอเงียบๆ ไม่ถามอะไรออกไป ไม่แม้กระทั่งห้ามปราม ราวกับกำลังสงสัยว่าฮาจุนตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

เรียวมือขาวชุ่มโชกไปด้วยเจลเนื้อใสและเหนียวเหนอะหนะ นิ้วมือที่ทั้งเรียวยาวและห็นข้อนิ้วชัดดูอ่อนโยนและเรียบร้อยก็จริง แต่หลังมือที่เผยให้เห็นแนวกระดูกอย่างชัดเจนและรูปทรงที่งดงามราวกับถูกปั้นแต่งนั้น ไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องมองว่าเป็นมือของชายหนุ่มที่แข็งแรงกำยำอย่างแน่นอน เมื่อได้เห็นมือที่ปลุกเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดีทั้งยังหาที่ไหนบนโลกนี้ไม่ได้อีก มูคยอมก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“เพราะว่าวันนี้นายป่วย…”

ฮาจุนปล่อยคำพูดท้ายประโยคให้ลอยหายไป เขาใช้มือเฉอะแฉะกอบกุมแกนกายที่แข็งตัวเต็มที่อย่างระมัดระวัง แต่ก็เต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว

ลูกกระเดือกของฮาจุนขยับเล็กน้อย ภายในฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนจนพาลให้คิดว่าตอนนี้เจลเย็นที่ชโลมลงไปคงจะถูกหลอมละลายจนรุ่มร้อนไปหมดแล้วแน่ๆ เป็นความรู้สึกเหมือนกำลังจับแท่งเหล็กที่ร้อนลวก ไม่ใช่ท่อนเนื้อแกนกาย

“ใช้แค่มือนะวันนี้… นายจะไม่ได้เหนื่อยมาก ไว้ค่อยจัดเต็มตอนที่นายหายดีแล้วกัน”

“คิดว่าจะทำให้ฉันเสร็จได้โดยใช้แค่มือเหรอ นายมั่นใจเหรอ”

“ถ้าไม่เอามือ… ฉันใช้ปากให้ก็ได้นะ”

ขณะที่พูดเช่นนั้น ฮาจุนก็ใช้มือที่ชุ่มโชกบีบนวดแกนกายของมูคยอมช้าๆ แม้จะอยู่ในกำมือที่ไม่ได้จัดว่าเล็กของชายหนุ่มวัยผู้ใหญ่ อวัยวะที่กำลังถูกกำปล่อยกำปล่อยก็ถูกดูดกลืนไปกับฝ่ามือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเจลจนเกิดเสียงแจ๊ะแจ๊ะ ทำเอามูคยอมผ่อนลมหายใจร้อนผ่าวออกมา

“ฮะ… นานๆ ทีทำแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ”

เมื่ออีกฝ่ายแสดงความพึงพอใจ ฮาจุนก็กล้าที่จะขยับมือมากขึ้น มือที่ขยับไปมาช้าๆ จากบนลงล่าง ค่อยๆ เพิ่มความเร็วในการนวดเค้นแกนกายจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ

ไม่เพียงแค่ขยับขึ้นลง แต่ฮาจุนยังหมุนข้อมือไปทางซ้ายทีขวาที และใช้นิ้วโป้งบดขยี้ลงที่ปลายหัว จนส่วนยอดนั้นเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยเมือกเหนียวอันเกิดจากเจลที่ผสมรวมกับน้ำหล่อลื่นที่ถูกขับออกมา จนมูคยอมพ่นลมหายใจเคล้าด้วยเสียงหัวเราะ

“ไหนบอกว่าไม่เก่งงานที่ต้องใช้มือ ฉันว่าการใช้มือของนายนี่อยู่ในระดับหัวกระทิเลยนะ”

“…ชอบไหม”

ขณะที่ถาม ความสงสัยและความต้องการเอาชนะที่ซุกซ่อนอยู่ก็เผยให้เห็นผ่านแววตาของฮาจุนอย่างกระหายหิว มูคยอมพยักหน้าราวกับว่าต้องการจะมอบความมั่นใจให้ จากนั้นจึงใช้มือกุมพวงแก้มของฮาจุนแล้วดึงเข้าหาตัว ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนอวัยวะเดียวกัน

“นายนี่มีพรสวรรค์ในเรื่องลามกตั้งแต่เกิดเลยนะเนี่ย เป็นไปได้ยังไง น่าประทับใจจัง”

แม้นั่นจะไม่ใช่คำพูดที่มีจุดประสงค์ในการหยอกล้อ แต่ตอนนี้ฮาจุนกลับกำลังพยายามปิดซ่อนความต้องการที่เผยออกมาและหลบตาอีกคน กระนั้นมือของเขาก็เริ่มขยับถี่รัวขึ้น มือที่รูดรึงท่อนเนื้อเริ่มขยับขยายไปบดขยี้ลงบนปลายหัว พลางลูบคลำด้วยความคล่องมือมากกว่าเดิม

“พรสวรรค์อะไรกันล่ะ… ฉันก็เป็นผู้ชายนะ เรื่องแค่นี้ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ”

“งั้นเหรอ… อื้มม นายช่วยตัวเองบ่อยไหม”

“ก็เท่าๆ กับคนอื่นนั่นแหละ…”

“เท่ากับคนอื่นเหรอ ฮึก เท่าไหนกันนะ ฉันต้องลองไปถามคนอื่นดูไหม”

แทนที่จะตอบกลับไป ฮาจุนกลับก้มลงตรงรอยแยกระหว่างชุดคลุมที่หลุดลุ่ย ขยับใบหน้าเข้าใกล้กับแผงอกของมูคยอม เพราะเพิ่งผ่านพ้นฤดูร้อนไปได้ไม่นานนัก แผ่นอกสีแทนที่ทั้งแน่นและกว้างจึงมีสีที่เข้มกว่าในช่วงก่อนวันหยุด

เรียวลิ้นแลบเลียออกมาจากริมฝีปากของฮาจุนเล็กน้อย ไม่ทันได้คาดเดาว่าคนบนตัวตั้งใจจะทำอะไร ฮาจุนก็ไล้เลียลงบนกล้ามเนื้อบริเวณสีข้างที่เรียงตัวแน่นอยู่ใกล้กับกระดูกซี่โครง

“อ่า แม่ง”

ความรู้สึกดีเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นอยู่ในร่างทำเอาช่วงสะบักของมูคยอมกลัดเกร็งขึ้นในทันที ทั้งต้นขาและกล้ามเนื้อที่หลังแน่นต่างก็ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน

มูคยอมพ่นคำหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว และยกมือขึ้นลูบเบาๆ ไปที่หัวของฮาจุนซึ่งก้มอยู่บนตัวของเขา ไม่รู้เพราะชอบใจกับการตอบรับจากมูคยอมหรือเปล่า ฮาจุนถึงได้เพิ่มแรงในการลูบคลำ และไล้เลียเนื้อหนังเป็นทางยาวและกว้างขึ้น ฮาจุนขยับย้ายริมฝีปากไปตรงนู้นทีตรงนี้ที ทั้งยังกัดลงบนลำคอของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อถูกฟันขบลงไป กล้ามเนื้อบริเวณไหปลาร้าก็กลัดเกร็งขึ้น

โดยไม่คิดแม้แต่จะจัดการกับลมหายใจที่ค่อยๆ กระชั้นถี่ขึ้น มูคยอมก็ยื่นมือไปรั้งขอบกางเกงของฮาจุนลง ในตอนที่พยายามจะดึงชั้นในใต้กางเกงที่ถูกถอดออก ฮาจุนก็หยุดชะงักทุกความเคลื่อนไหว แล้วเงยหน้าขึ้น

“บอกไปแล้วไงว่าวันนี้จะใช้แค่มือ”

“ใครบอกกัน ฉันก็จะใช้แค่มือนี่ไง”

“ไม่ได้ นายอยู่เฉยๆ ไปเลย”

“ขยับต่อสิ อย่าหยุด”

ฮาจุนที่กำลังสับสนปิดปากฉับเมื่อได้ยินเช่นนั้น แล้วจึงสานต่อการกระทำก่อนหน้า แม้แกนกายของเขาจะยังไม่ถูกนำออกมานอกร่มผ้า แต่ริ้วแดงระเรื่อก็พาดผ่านบริเวณขอบตา ราวกับว่ากำลังรู้สึกกระดากอาย

พอทำท่าจะหันหลังกลับทั้งๆ ที่เป็นคนเริ่มก่อน ความอายก็เริ่มก็ตัวขึ้น เมื่อฮาจุนถูกถอดกางเกง ชั้นใน รวมไปถึงเสื้อ จนร่างกายเปลือยเปล่า มูคยอมก็ชโลมเจลท่วมฝ่ามือ และกอบกำเข้าที่ความเป็นชายกลางตัวของฮาจุน อ่า เสียงครางสั้นดังขึ้นพร้อมกับที่การเคลื่อนไหวของฮาจุนหยุดลงอีกครั้ง

สิ่งที่อยู่ในกำมือของมูคยอมค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เจ้าของของมันก็กำลังกดกลั้นเสียงครวญครางขณะที่สะโพกเริ่มสั่นเทิ้ม มือของมูคยอมสัมผัสเข้ากับแผ่นหลังที่เริ่มร้อนรุ่มของคนซึ่งไม่ใช่แม้แต่คนป่วยด้วยซ้ำ ไม่มีเวลาให้ได้ตกใจ ร่างของฮาจุนก็ถูกดึงเข้าหาจนแผ่นอกของทั้งคู่แนบชิด

ถัดลงไปจากร่างกายส่วนบนที่ติดกันอย่างแนบแน่น มือของทั้งคู่ต่างก็กำลังมอบสัมผัสให้แกนกายที่แข็งขันของกันและกันอยู่ มือที่ในตอนแรกแยกย้ายกันไปทำหน้าที่กลับมาประสานรวมกันราวกับว่ากำลังกุมมือกัน เมื่อมือสองมือมาบรรจบจนเกิดช่องว่างเหมือนรังนกขึ้น แกนกายทั้งสองก็แนบชิดกันจนไม่เหลือที่ว่าง และในตอนที่มูคยอมหยัดเอวเข้าไปจนท่อนเนื้อที่เลอะเฉอะแฉะถูไถกันไปมา ฮาจุนก็สำลักลมหายใจออกมาในทันที

“อ๊ะอึก ฮ้า”

“โค้ชก็ชอบใช่ไหม”

“ฮึก นาย…ล่ะ”

“ชอบสิ ฮืม ชอบจนแทบบ้าเลย”

เมื่อแกนกายที่แข็งตัวเต็มที่จนรู้สึกได้อย่างรวดเร็วของทั้งคู่แนบชิดกันอย่างแน่นแฟ้น ความลื่นไหลก็พาให้รู้สึกเสียวซ่านขึ้น

ส่วนนั้นของฮาจุนไม่ได้อยู่ในระดับที่เล็ก มันมีลักษณะที่ตรงและเกลี้ยงเกลาเหมือนกับเจ้าของ มูคยอมยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกว่าไม่ใช่แค่ได้เจาะทะลวงเข้าไปในตัว แต่เขายังได้ใช้ส่วนนั้นของตัวเองสำรวจอวัยวะส่วนเดียวกันของอีกคน ราวกับว่าได้ตกลงไปในห้วงแห่งความสุขสม ฮาจุนก็กำลังหยัดสะโพกเข้าออกกับอุ้งมือ ขณะที่นอนคว่ำอยู่บนตัวมูคยอม

มูคยอมตาค้างมองฮาจุนที่กำลังทำเช่นนั้น ใบหน้าของฮาจุนทั้งงดงามและสวยน่ามอง แต่ก็ดูหล่อสมชายในเวลาเดียวกัน แม้จะเติบโตโดยผ่านเรื่องยากลำบากมาอย่างมากมาย แต่หากมองแค่ภายนอกก็เหมือนได้เห็นใบหน้าของทายาทที่เกิดมาในตระกูลชั้นสูง เฉกเช่นเรือนร่างที่ในตอนนี้ยังคงมีเสื้อปกปิดอยู่ ด้วยรูปร่าง เค้าโครงที่สูงยาว และผิวขาวใสที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด แค่การขยับตัวธรรมดาก็ดูสง่างามมากแล้ว

เพราะมัวแต่ให้ความสนใจไปกับเรือนร่างที่น่าภิรมย์ ตอนนี้สายตาที่เริ่มเลือนรางจนหลุดโฟกัส เสียงครางแผ่วและลมหายใจถี่รัวจากริมฝีปากที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง และผิวที่เห่อร้อนจนแดงเรื่อกำลังหลอมละลายบรรยากาศที่สะอาดสะอ้านและเกลี้ยงเกล้าอย่างไม่น่าเชื่อ พอคิดว่าในโลกใบนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แค่ได้มองมูคยอมก็อารมณ์พุ่งพล่านไปหมดแล้ว ความร้อนที่เริ่มก่อตัวจากร่างกายส่วนล่างตีซัดขึ้นมาถึงอก จนเขาร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่าง

“อ๊ะ อึก!”

“อ่า ฮาจุน ดีมาก”

มูคยอมเพิ่มแรงมือขึ้น และเมื่อเขากระหน่ำหยัดสะโพกใส่เข้าไป แกนกายที่ติดกันอยู่ก็ถูไถกันรุนแรงกว่าเดิม

“อ๊ะ อ๊า!”

ขณะที่การเสียดสีรุนแรงดำเนินซ้ำไปมาอยู่หลายครั้งจนเกิดเสียงเฉอะแฉะขึ้น ฮาจุนก็ครางไม่หยุดปาก และเพิ่มความเร็วในการขยับสะโพกขึ้นอย่างฉับพลัน ฮาจุนที่กำลังเสือกไสแกนกายเข้าออกอุ้งมือเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงสั่นเครือจากลำคอในตอนที่ยังคงนอนคว่ำอยู่บนตัวมูคยอม ไม่นานน้ำกามก็พุ่งออกจากแกนกายแดงก่ำที่ตั้งชัน ไหลลงไปเปรอะเปื้อนมือและหน้าท้องของมูคยอม

เมื่อสิ้นสุดปลายทางแห่งกามารมณ์ ฮาจุนก็อ่อนแรงและฟุบลงเหมือนลูกหมาเพิ่งเกิด ร่างกายของฮาจุนที่แนบชิดไปกับมูคยอมกำลังร้อนรุ่ม มูคยอมออกแรงดึงฮาจุนที่ตัวแดงก่ำและร้อนพอๆ กับเขาในตอนที่ไข้ขึ้นเข้ามาในอ้อมกอด แล้วขบเม้มไปที่ใบหูแดงระเรื่อ

แม้จะไปแตะปลายทางมาแล้ว แต่ส่วนนั้นของฮาจุนก็ยังไม่สงบลง เช่นเดียวกับมูคยอม เขาไม่ปล่อยมือออกจากแกนกายที่ยังคงตั้งลำแข็งขัน ทั้งยังขยับมือด้วยแรงที่มากกว่าเดิม เมื่อโดนสัมผัสและนวดเค้นอย่างรุนแรงหลังจากที่เพิ่งเสร็จไป ฮาจุนก็ส่ายหัวและพยายามดันตัวให้หลุดจากอ้อมกอด

“อ๊ะ พอแล้ว… อะ อึก เดี๋ยวฉันทำ…”

“ฮ่ะ ทนอีกนิดนะ ฉันก็ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“อะ… ฮ้า! ฮึก อื้อ…!”

มูคยอมสัมผัสได้ถึงแรงรัดแน่นเป็นช่วงๆ จากต้นขาขาวที่กางอยู่บนตัวเขา เรือนร่างที่สั่นระริกกำลังมอบความเสียวซ่านที่ช่วงอกให้กับเขา กลิ่นกายที่หอมราวกับปรุงแต่งจากแสงแดดและเกล็ดน้ำตาลลอยฟุ้งจากเรือนร่างที่ร้อนรุ่มเสียยิ่งกว่าคนที่กำลังป่วยด้วยพิษไข้ มากระตุ้นประสาทสัมผัสรับกลิ่นของมูคยอม

มูคยอมฝังจมูกลงบนลำคอของฮาจุนและส่งเสียงครางต่ำออกมา น้ำกามของฮาจุนยังคงไหลออกมา จนมือและแกนกายที่ชุ่มโชกไปแล้วครั้งหนึ่งของทั้งคู่ถูกชโลมจนเปียกชื้นอีกครั้ง

ไร้ซึ่งคำพูดใด มีเพียงเสียงหายใจถี่รัวของทั้งสองที่ลอยวนอยู่รอบหู ฮาจุนวางใบหน้าลงบนลาดไหล่ของมูคยอม และ เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับคนตรงหน้าขณะที่ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ

เพราะทำแบบนี้มาเนิ่นนานจนติดเป็นนิสัย ลึกลงในแววตาดำขลับจึงฉายให้เห็นความปรารถนาที่จะขออนุญาตบางอย่าง ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ มูคยอมสามารถอ่านเจตนารมณ์ที่ไม่ใช่ของเขาออกได้ไม่ยาก เขาแค่นยิ้มพลางพูดตอบรับความต้องการของคนตรงหน้า

“อีฮาจุน จูบหน่อย”

ทันทีที่มูคยอมพูดเช่นนั้น ฮาจุนก็กระพริบตาอยู่สองสามครั้งเหมือนกับคนที่เพิ่งรู้อะไรบางอย่างเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงวาดยิ้มจางๆ ออกมาอย่างเชื่องช้า แต่เต็มไปด้วยความสดใส เหมือนกับได้ดวงจันทร์มาช่วยผลักเมฆดำยามค่ำคืนให้ลอยลิ่วและส่องสว่างใบหน้า ฮาจุนผงกหัวและก้มหน้าเข้าหามูคยอม

เมื่อรู้สึกได้ไอร้อนและความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากที่กดสัมผัสลงมายังอวัยวะเดียวกัน มูคยอมก็อ้าปากออก เป็นลิ้นของฮาจุนที่ดุนดันเข้ามาก่อน และกวาดต้อนในโพรงปากของมูคยอมด้วยความเร่งเร้าและจริงจังไม่ต่างกับตอนทำซุป

มูคยอมแอบเผยอปากขึ้น ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้สกิลการจูบของฮาจุนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยพัฒนาขึ้นสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด ซุปมันฝรั่งเมื่อก่อนหน้านี้ที่ถูกปรุงขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้ทักษะที่เชี่ยวชาญอะไร สำหรับมูคยอมนั่นเป็นอาหารที่ต่อให้ได้มิชลินสตาร์ 3 ดาวก็ยังน้อยไป จูบเงอะงะนี่ก็เช่นกัน

“ฮือ อึก…”

เมื่อมูคยอมขยับปากตอบอย่างจริงจัง เสียงครางแผ่วก็เล็ดลอดออกมาจากในลำคอของฮาจุน มูคยอมใช้ลิ้นกวาดต้อนลิ้นของฮาจุน ไล้เลียตั้งแต่หลังแนวฟันไปจนถึงเพดานปาก จากที่ในตอนแรกเป็นฝ่ายรุกเข้าไปในโพรงปากของมูคยอมก่อนแม้จะไม่คล่องแคล่วนัก ผ่านไปไม่นานฮาจุนก็กลายเป็นฝ่ายที่ถูกควบคุมจนหอบหายใจถี่รัวและต้องรั้งคอของมูคยอมไว้

เมื่อริมฝีปากห่างออกจากกันเล็กน้อย และทั้งสองได้ประสานสายตาอีกครั้ง ดวงตาของฮาจุนก็เคล้าคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเลือนราง ราวกับรู้สึกเสียดายจูบที่เพิ่งจบลงไป ฮาจุนจึงได้แลบลิ้นออกมาเล็กน้อยและจ้องมองมูคยอมอย่างล่องลอย

“อืมม… ฮ้า…!”

เมื่อมูคยอมใช้มือที่นิ่งไปกลับมาสัมผัสแกนกายของฮาจุนอีกครั้งและดูดดึงเรียวลิ้นของฮาจุนด้วยความอ่อนโยน เสียงครางกระเส่ากว่าเมื่อก่อนหน้านี้ก็หลุดออกมาจากปากของฮาจุน แผ่นท้องและเรียวขาที่แยกออกของฮาจุนซึ่งแนบติดอยู่กับตัวของมูคยอมก็กำลังสั่นเทิ้มอยู่น้อยๆ

ความสั่นไหวที่ส่งผ่านมาทางผิวหนังพาให้ร่างกายส่วนล่างร้อนรุ่ม และดึงอารมณ์ของมูคยอมให้พุ่งสูงอีกครั้ง หากเป็นในเวลาปกติแล้ว เขาสามารถที่จะจินตนาการได้อย่างชัดเจนถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

หากทิ่มแทงเข้าไปยังจุดที่อ่อนไหวเป็นพิเศษนั่น ฮาจุนคงจะตัวสั่นระริกและร้องไห้ออกมาแน่ หากสอดใส่ตัวตนเข้าไปยังจุดที่ลึกด้านในแล้วหมุนคว้างสะโพกในนั้น ฮาจุนคงจะไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เป็นคำและสั่นเป็นลูกนก ฮาจุนคงจะตอบสนองกลับมาอย่างเทียบไม่ได้กับการที่เขาช่วยแค่ด้านหน้าเหมือนในตอนนี้

ฮาจุนจับผ้าห่มคลุมไหล่มูคยอมให้อย่างมิดชิด แล้วนำแก้วชาอุ่นๆ มาวางไว้ให้ตรงหน้า พลางเอ่ยเตือนมูคยอมอย่างระมัดระวัง

“ถ้ารู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ ให้กลับไปนอนที่เตียงทันทีเลยนะ ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาดเข้าใจไหม”

“อย่ากังวลไปเลยน่า ฉันโอเค”

มูคยอมเริ่มวางชามลงบนชั้นวางและหยิบมีดกับมันฝรั่งขึ้นมา สิ่งที่ฮาจุนต้องพยายามอยู่ช่วงหนึ่งจนเลือดตกยางออกอย่างน่าสงสาร มูคยอมกลับสามารถปอกเปลือกมันฝรั่งออกมาเป็นเส้นยาวได้โดยไม่ขาดช่วง และผ่านไปชั่วพริบตามันฝรั่งก็เริ่มเผยโฉมหน้าที่ขาวใสให้ได้เห็นทีละลูก ฮาจุนไม่สามารถกระพริบตาได้อย่างเป็นปกติ และจ้องเขม็งไปที่มูคยอมเหมือนกำลังมองการร่ายเวทมนตร์อยู่

และระหว่างนั้นเองของทุกอย่างก็ถูกเตรียมจนเสร็จเรียบร้อย มูคยอมยื่นชามคืนให้กับฮาจุนที่ยืนเหม่ออยู่

“นี่”

“ขอบใจนะ”

ฮาจุนโค้งตัวขอบคุณมูคยอมโดยไม่รู้ตัวเหมือนเมื่อตอนที่ตัวเองยังเล่นกีฬาอยู่ และรีบคว้าเอาชามนั้นมาวางที่เคาน์เตอร์ทำอาหาร ฮาจุนหั่นและปอกหอมใหญ่เอง เนื่องจากมันไม่ใช่อะไรที่ทำยาก หากไม่นับเรื่องที่ทำให้แสบตา และตรวจเช็กเครื่องปรุงที่ต้องใช้เป็นที่เรียบร้อย

‘※ ละลายเนยบนกระทะที่ร้อนเล็กน้อย และใส่หอมใหญ่กับมันฝรั่งลงไปผัดในกระทะ’

ตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรที่ยากๆ แล้ว แม้ว่าฝีมือการทำอาหารของเขาจะแย่แค่ไหน แต่การเอาวัตถุดิบมาผัดรวมกันก็เป็นเรื่องที่ง่ายเลยทีเดียว

ฮาจุนวางกระทะลงบนเตาไฟฟ้า แล้วหันไปเปิดตู้เย็น เขาหยิบเนยออกมาเปิดฝา และระหว่างที่กำลังหามีดตัดเนยอยู่นั้น มูคยอมก็เรียกฮาจุนขึ้นมาจากข้างๆ

“ยังไงก็ไม่ได้จะย่างเนื้ออยู่แล้ว ฉันว่าเราลดไฟให้เบาลงหน่อยดีกว่าไหม ถ้าวางทิ้งไว้อย่างนั้น กระทะจะต้องร้อนเกินไปแน่ๆ”

“อ่อ อื้อ เข้าใจแล้ว”

ฮาจุนรีบลดไฟ แล้วโยนเนยที่ตัดออกมาหนึ่งก้อนลงกระทะ ไม่รู้เพราะกระทะร้อนเกินไปอย่างที่มูคยอมบอกหรือเปล่า เนยถึงได้ละลายอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ทำไมการได้เห็นเนยที่เปลี่ยนรูปร่างจนเหลวเหมือนน้ำอย่างรวดเร็ว

ถึงทำให้จิตใจของเขาร้อนรนขึ้น ฮาจุนรีบเทมันฝรั่งและหอมใหญ่ที่ถูกหั่นเอาไว้ใส่ลงกระทะ ซู่ เสียงที่คล้ายกับเสียงฝนดังขึ้นก้องหู เสียงนั้นดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกันกับเสียงพูดของมูคยอม

“น้ำมันไม่กระเด็นเหรอ!”

“นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”

อาจจะเป็นเพราะน้ำที่อยู่ในมันฝรั่งและหอมใหญ่น้ำมันถึงได้กระเด็นมาโดนปลายแขนของเขา ฮาจุนเช็ดน้ำมันที่กระเด็นมาโดนแบบลวกๆ ขณะตอบมูคยอม อยู่ๆ มูคยอมก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทำให้ฮาจุนขมวดคิ้วและชี้นิ้วสั่งออกมา

“ฉันบอกว่าให้นั่งรอเฉยๆ ไง”

“…ก็ได้”

มูคยอมตอบเหมือนถอนหายใจ และนั่งกลับลงไปที่เดิม

ตอนนี้ก็เหลือแค่ขั้นตอนง่ายๆ แล้ว แค่ผัดหอมใหญ่กับมันฝรั่งให้สุกดีก็เป็นอันใช้ได้ ฮาจุนตั้งอกตั้งใจผัดวัตถุดิบในกระทะเป็นอย่างดี หอมใหญ่เริ่มสุกจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและใสแล้ว เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้วสินะ

‘※ นำมันฝรั่งกับหอมใหญ่ที่ผัดเสร็จ ใส่ลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องผสมอาหาร ปั่นให้ละเอียดดี จากนั้นใส่ครีมสดหรือนมลงไป แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน สามารถโรยหน้าด้วยชีส ขนมปังกรอบ เบคอน หรือถั่วลันเตาได้ หากใช้ชีสกรุณาลดความเค็มในการปรุงซุปลงเล็กน้อย’

ฮาจุนรื้อชั้นวางของจนเละเทะไปหมดเพราะหาเครื่องปั่น และแน่นอนว่าในครั้งนี้เสียงของมูคยอมดังมาจากทางด้านหลังอีกครั้ง

“เครื่องปั่นอยู่ตรงชั้นที่ 2 ฝั่งซ้าย”

ดูเหมือนว่ามูคยอมจะรู้หมดเลยว่าต้องใช้อะไรตอนไหน โดยไม่ต้องดูสูตรเลยด้วยซ้ำ ฮาจุนยิ้มออกมาด้วยความอาย ก่อนจะเปิดชั้นวางของออก

เขานำมันฝรั่งและหอมใหญ่ที่ผัดเอาไว้มาบด และเทส่วนผสมที่ข้นเหนียวใส่ลงในหม้อ ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะใส่ครีมสดหรือนมดี ฮาจุนก็ตัดสินใจใส่มันลงไปทั้งคู่อย่างละนิด

ตอนนี้แค่เคี่ยวซุปด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เฮ้อ ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเริ่มปรุงรสซุปด้วยเกลือและพริกไทย เมื่อตั้งหม้อลงบนเตาเสร็จ ฮาจุนก็หมุนตัวกลับด้วยความพึงพอใจ

“ตอนนี้แค่เคี่ยวให้เดือดก็เสร็จแล้ว”

“เก่งมากเลย ไหนโค้ชมานั่งนี่ซิ มาพักหน่อยเร็ว”

“ฉันไม่ใช่คนป่วยสักหน่อย ทำไมต้องนั่งพักด้วยล่ะ แล้วฉันก็ต้องทำสลัดอีกอย่างนะ”

“สลัดเหรอ… ถ้าแค่นั้นก็โอเคอยู่”

เมื่อความยากลำบากสิ้นสุดลง อาหารเช้าของทั้งสองคนก็ได้ถูกตระเตรียมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ฮาจุนกำลังรู้สึกหิวเป็นอย่างมาก เพราะได้กินข้าวช้าไปกว่าเวลาที่เคย เขารีบตักซุปที่ทำเสร็จแล้วใส่ถ้วยอย่างรวดเร็ว ตามด้วยโรยเบคอนที่ถูกหั่นลงไปด้านบน แม้จะใส่น้ำสลัดลงไปเยอะกว่าที่คิดเนื่องจากความผิดพลาด แต่สลัดที่หน้าตาไม่ได้ดูแย่นักก็ได้ถูกตักลงชามเช่นกัน

“ฉันทำนานเลยใช่ไหม ขอโทษด้วยนะ นายก็รีบกินแล้วไปกินยาดีกว่า”

“ขอบคุณที่ถึงจะได้แผล แต่ก็ทำจนเสร็จเลยนะ แต่นึกไม่ถึงเลยที่นายกล้าใช้ไฟด้วย”

“นึกไม่ถึงเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

เพราะไม่อยากที่จะพูดอะไรยาวๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองไม่ถนัดสักเท่าไหร่ ฮาจุนจึงเลือกที่จะถามอ้อมแอ้มออกมา แทนที่จะซักไซ้อะไรต่อ

“ไปกินที่เตียงดีไหม นั่งกินแบบนี้นายจะลำบากหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอก”

มูคยอมจุ่มช้อนลงไปในซุปอุ่นๆ พร้อมรอยยิ้มที่ประดับขึ้นมาบนริมฝีปาก

ฮาจุนเองก็ยกช้อนขึ้นมาแล้ว แต่แทนที่จะใช้ช้อนนั้นตักซุปเข้าปาก เขากลับทำเพียงแค่ลอบสังเกตสีหน้าของมูคยอม

ฟู่ หลังจากเป่าซุปร้อนๆ ด้วยลมเบาๆ หนึ่งครั้ง มูคยอมก็ยกช้อนเข้าปาก

เมื่อลูกกระเดือกขยับหนึ่งครั้ง รอยยิ้มบางเบาก็เผยให้เห็นตรงมุมปาก

“อร่อยเลยนี่”

“เฮ้อ โล่งใจไปที ฉันคิดว่าตัวเองใส่เกลือเยอะไปนิด ไม่เค็มเหรอ”

“นายก็ลองชิมสิ เดี๋ยวก็รู้”

ฮาจุนที่หิวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ รีบกลืนซุปคำแรกลงคอ ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ถึงจะมั่นใจแบบสุดๆ ว่าหากมูคยอมเป็นคนทำรสชาติจะต้องอร่อยกว่านี้มากแน่ๆ แต่พอได้ลิ้มรส มันก็ไม่ได้แย่เลย เทียบกับที่เป็นเมนูที่เพิ่งเคยได้ลองทำเป็นครั้งแรก ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว

ถึงรสชาติจะไม่ออกมาแย่ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังติดใจฮาจุนอยู่ ฮาจุนก้มมองถ้วยตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“จากรูปในสูตรซุปมันเป็นสีขาวนะ แล้วทำไมที่ฉันทำสีถึงได้เข้มขนาดนี้ล่ะ… คงไม่ใช่ว่าฉันใส่ส่วนผสมอะไรผิดใช่ไหม”

“ไม่ใช่ว่านายผัดหอมใหญ่นานเกินไปเหรอ ผัดจนสีเปลี่ยนเลยนี่”

“โอ๊ะ!”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม โลกช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ แค่เก่งเรื่องฟุตบอลอย่างเดียวก็เหลือล้นแล้ว ยังจะให้มูคยอมทำอาหารเก่งอีกเหรอ

“แต่แบบนี้อร่อยกว่านะ สีเข้มก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

“งั้นนายกินเยอะๆ เลยนะ ในหม้อยังเหลืออีกเพียบ”

มูคยอมกลืนซุปลงไปอีกคำ แล้วยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ

“ถึงขั้นตอนการทำจะเห็นแล้วไม่สบายใจนิดหน่อย แต่การได้กินอาหารที่คุณแฟนทำให้ก็เป็นอะไรที่ไม่แย่เลยนะ”

“…ไว้เดี๋ยวเร็วๆ นี้ฉันจะทำให้นายกินอีก คราวหน้าจะให้กินของที่อร่อยกว่านี้เลย”

“อืม… ไม่ ฉันว่าปีละครั้งก็น่าจะพอแล้วนะ”

“แล้วถ้าเป็นวันเกิดล่ะ”

มูคยอมพยักหน้า ฮาจุนเองก็ส่งยิ้มกลับไป แล้วตักซุปขึ้นกินบ้าง

สำหรับซุปมั่นฝรั่งที่ได้ลองทำเป็นครั้งแรก แม้สีจะออกมาเข้มไปสักหน่อย แต่รสชาติก็ออกมาเข้มข้น กลมกล่อม และปรุงออกมาได้อย่างพอดิบพอดี ซุปที่ไม่ได้หนักท้องถูกกลืนลงท้องอย่างต่อเนื่องจนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ฮาจุนคิดว่าตัวเองทำไว้เยอะมาก แต่เมื่อกินไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ได้เห็นก้นหม้อ

ถือว่าโชคดีที่ดูเหมือนว่าความอยากอาหารของมูคยอมจะไม่ได้ลดลงไปมากนัก ฮาจุนรีบเอาจานเปล่าไปใส่ในเครื่องล้างจาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้

มูคยอม แล้วขยับผ้าห่มที่คลุมอยู่บนไหล่

“กลับห้องนอนกันดีกว่า นายนั่งนานเกินไปแล้วตอนนี้”

มูคยอมจับมือของฮาจุนแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง และไม่รู้ว่ามีอะไรน่าหัวเราะนักหนา มูคยอมถึงได้หัวเราะคิกคักอีกครั้ง เมื่อฮาจุนหันกลับไปจ้องราวกับต้องการถามว่า หัวเราะอะไร แขนแกร่งของเจ้าของเสียงหัวเราะก็โอบไหล่ของฮาจุนเอาไว้ และประทับริมฝีปากร้อนผ่าวลงบนแก้มของฮาจุน

“ดูเหมือนวันนี้ร่างกายฉันจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”

“ทำไม เวียนหัวมากเลยเหรอ”

“ฉันคงอุ้มนายไปไม่ไหวแน่ๆ”

คำพูดนั้นทำฮาจุนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ถึงจะบอกว่ามูคยอมสูงกว่า แต่ทั้งคู่ก็ต่างกันแค่ 10 เซนติเมตรเท่านั้น แล้วทำไมมูคยอมถึงได้อุ้มฮาจุนได้อย่างสบายๆ แบบนั้นล่ะ แน่นอนว่ามูคยอมมีทั้งพละกำลังและแรงที่ดี ไม่เพียงเท่านั้นมูคยอมยังมีเคล็ดลับในการใช้แรงที่มีอยู่ได้อย่างดีอีกด้วย

มูคยอมชอบที่จะอุ้มฮาจุนไปไหนมาไหนตามใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ทั้งคู่อาบน้ำด้วยกันเสร็จหลังจากทานมื้อเช้า หรือตอนที่ฮาจุนจะต้องกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือเพราะมีงานต้องทำ แม้กระทั่งในตอนที่มีเซ็กส์กัน แต่ต่อให้

มูคยอมจะแข็งแรงสักแค่ไหน ในตอนที่มีไข้แบบนี้ก็ดูจะไม่มีแรงพอที่อุ้มเขาได้

ฮาจุนหันหลังให้มูคยอม แล้วกางแขนทั้งสองข้างออก

“วันนี้ฉันจะแบกนายไปเอง”

“เล่นไปเล่นมาแล้วเกิดเจ้าลูกวัวปวดหลังมา คนเจ็บนี่เป็นฉันนะ”

“ไม่หรอก ฉันแบกนายได้จริงๆ นะ”

ฮาจุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ดูเหมือนมูคยอมจะตีความว่าเป็นคำพูดที่หยอกกันเล่น มูคยอมเลือกที่จะเดินเอาแขนพาดไหล่ของฮาจุนเอาไว้และยิ้มออกมา

ฉันแบกนายได้จริงๆ นะ ฮาจุนบ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่สามารถไปบีบบังคับให้คนป่วยทำอะไรที่ปกติไม่เคยทำได้ คงจะดีกว่าหากเขาขอแบกมูคยอมขึ้นหลังในตอนที่อีกคนหายดีแล้ว

แม้ว่าในตอนที่นั่งกินมื้อเช้ามูคยอมจะยังดูปกติดี แต่ทันทีที่เหยียบเข้ามาในห้องนอน มูคยอมก็ทรุดนอนลงบนเตียงทันที ราวกับว่าความอ่อนล้าได้ถาโถมเข้ามา มองออกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้ร่างกายของมูคยอมไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี เปลือกตาของคนป่วยค่อยๆ หรี่ลง และตามมาด้วยลมหายใจยาวเหยียดที่ถูกผ่อนออกมา

ฮาจุนรีบไปเอายายาเม็ด 2 เม็ดกับยาน้ำอีก 1 แก้วมา ทันทีที่เปิดถุงยา

มูคยอมก็อ้าปากออกโดยไม่พูดอะไร ฮาจุนผุดยิ้ม จากนั้นจึงค่อยๆ ใส่ยาเข้าไปในปากที่อ้ารออยู่ทีละเม็ด เขายกแก้วใบบางที่ถูกใส่น้ำจนเต็มขึ้นชิดริมฝีปากของ

มูคยอมและเอียงแก้วให้ราวกับว่าทำเช่นนี้บ่อยๆ ลูกกระเดือกทรงสวยก็ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่มูคยอมกลืนน้ำ

เมื่อกินยาหมด ฮาจุนก็นั่งลงข้างๆ แล้วลูปหน้าผากของคนป่วย

“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าให้เอาข้าวมากินในห้องนอนดีกว่า”

“จะกินที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังไงซะ การกินตอนป่วยก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว”

“นายไม่ได้ฝืนกินเข้าไปใช่ไหม จริงๆ ถ้ารู้สึกไม่อยากอาหารกินนิดเดียวก็ได้นะ”

“อาหารฝีมือของโค้ชรสชาติก็ไม่ใช่เล่นๆ สักหน่อย ไม่รู้เพราะใส่ความรักลงไปด้วยหรือเปล่า นายใส่ลงไปเยอะแบบนี้แล้วฉันจะทำยังไงเนี่ย”

ฮาจุนยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย แม้ครั้งแรกเขาจะทำออกมาสำเร็จโดยรสชาติอยู่ในระดับที่กินได้ แต่ถ้าเทียบกับอาหารที่มูคยอมทำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นซุปหรือสลัดในวันนี้ก็ไม่สามารถที่จะเรียกว่าอาหารได้เลย

เพราะมูคยอมเป็นคนที่มีนิสัยใจร้อน ในตอนที่ต้องมาคอยยืนดูข้างๆ คนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรแบบเขา ก็เป็นไปได้ที่จะรู้สึกอยากพูดแทรกหรือบ่นออกมา

ทว่ามูคยอมกลับไม่ได้พยายามที่จะโออ้วดหรือสอนเขา เดาว่าเจ้าตัวคงจะต้องอดกลั้นคำที่ตั้งใจจะพูดออกมาอยู่หลายครั้งแน่ๆ

“ขอบใจที่รอกันนะ คิมมูคยอม”

“รออะไรเหรอ”

“ก็ที่นายรอกันเมื่อคืน แล้วก็ที่รอฉันทำมื้อเช้าวันนี้ด้วย”

แทนที่จะแสดงอาการดีใจ มูคยอมกลับถอนหายใจ ฟู่ ออกมาให้กับคำพูดนั้น

“ปกติฉันต้องทำตัวน่าขอบคุณน้อยแค่ไหนกัน ถึงได้รับคำชมกับเรื่องแค่นี้เนี่ย”

“เรามาทำกระดานแปะสติ๊กเกอร์กันไหม ถ้าทำอะไรที่น่าชม เราก็จะได้สติ๊กเกอร์ 1 ดวง พอสติ๊กเกอร์ครบ 10 ดวงเมื่อไหร่ ก็จะสามารถขอสิ่งที่ต้องการได้”

“ฟังดูเข้าท่าเลย ฉันชอบนะ โค้ชอีนี่เป็นนักเตะได้เพราะมีความสามารถจริงๆ”

หลังจากที่ตอบกลับไปเช่นนั้น มูคยอมก็หรี่ตาลงและตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะจับมือของฮาจุนขึ้นมา

“ส่วนเพื่อนคนที่หน้าเหมือนเกี๊ยวนั่น”

“อย่าเรียกคนอื่น…”

“ไว้วันไหนชวนเขามาที่บ้านสิ ชวนมากินข้าวด้วยกัน”

ข้อเสนอที่อยู่ๆ ก็ถูกยื่นมาให้แบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาฮาจุนเบิกตากว้าง เขากระพริบตาอีกสองสามครั้งราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ

“ให้พามาที่บ้านเหรอ ทำไมล่ะ นายไม่ชอบอู่เฉินนี่”

“ต่อให้ไม่ชอบแต่เขาก็เป็นเพื่อนนาย และถึงจะไม่ได้เกลียดเท่ายุนแชฮุน แต่เขาก็คือคนที่นายสนิทที่สุดในลอนดอนเลยใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย คนที่ฉันสนิทด้วยที่สุดคือคิมมูคยอมต่างหาก”

คำพูดนั้นทำเอามูคยอมหัวเราะออกเสียง จากนั้นความพึงพอใจในน้ำเสียงจึงถูกเผยออกมาให้ได้ยิน

“ถ้าอย่างนั้น คุณเพื่อนสนิทครับ ไปชวนคนสนิทลำดับที่ 2 มานะ แล้วเราก็มากินเลี้ยงต้อนรับแขกกันหน่อยเป็นไง คนรู้จักของฉันหรือพวกคนในทีมก็มาเยี่ยมฉันเป็นบางครั้งเหมือนกัน แล้วนี่ก็ไม่ใช่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่คนเดียวด้วย เป็นบ้านที่คิมมูคยอมและอีฮาจุนอยู่ด้วยกัน ดังนั้นแขกของอีฮาจุนเองก็ควรมาที่นี่ได้ด้วยเหมือนกัน”

“แต่ฉันไม่ได้จ่ายเงินค่าเช่าบ้านนะ…”

“ฉันจะทำเรื่องน่าชื่นชมให้สมกับที่ไม่ได้ทำมานาน ดังนั้นนายต้องให้สติ๊กเกอร์ฉัน แล้วก็อย่ามาทำให้เสียเรื่องด้วย”

ในขณะที่มูคยอมพูดเช่นนั้น ฮาจุนก็กำลังยิ้มอยู่ จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ มูคยอมที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง และดึงตัวคนป่วยเข้ามาในอ้อมกอด

“ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ เพราะเมื่อวานฉันโมโหใส่เหรอ”

“เพราะฉันเพิ่งรู้ต่างหากว่าฉันแค่คนเดียว ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเจ้าลูกวัวที่แข็งแรงและแสนน่ารักตัวนี้ได้”

“แล้วทำไมอยู่ๆ มาพูดถึงลูกวัวได้…”

“ไม่ว่าจะเป็นลูกวัว ลูกม้า หรือกระต่าย ต่างก็เป็นสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูง พอลองมาคิดดูดีๆ อีฮาจุนที่ฉันรักน่ะ คือผลงานที่เกิดจากความร่วมมือของคนหลายคนเลยนะ ดังนั้นตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะคิดว่าฉันคนเดียวจะสามารถรักษานายเอาไว้ได้ รู้ไหมว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของคิมมูคยอม การมีรูปร่างที่ดีและพรสวรรค์ของอัจฉริยะติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือกระทั่งการมีหน้าตาที่ดูดีมีออร่าคนดังที่ดึงดูดผู้คนได้ มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากก็จริง แต่ฉันก็ต้องรู้จักวิเคราะห์ใจความสำคัญของแต่ละสิ่งให้ดีด้วย ฉันจะต้องจำแนกออกมาให้ชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันทำได้ดี อะไรคือสิ่งที่ฉันสามารถทำได้และไม่สามารถทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับมัน แล้วหมั่นฝึกฝน เพื่อให้ตัวเองสามารถพัฒนาขึ้นได้”

“…”

“นายเคยบอกใช้ไหมว่าให้ฉันใช้ชีวิตไปตามแบบที่ตัวเองเป็น ฉันก็จะบอกให้อีฮาจุนใช้ชีวิตไปตามแบบที่ตัวเองเป็นเหมือนกัน”

มูคยอมพูดเช่นนั้นและเงียบลงไปในช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นจึงพูดต่อขึ้นมาราวกับว่ากำลังเค้นเสียง

“แต่ไม่ได้ให้อยู่กันตามลำพังสองคนนะ… นายต้องพาเขามาตอนที่ฉันอยู่ด้วย อยู่เล่นในบ้านด้วยกันสามคน แบบนี้ถึงจะได้ อ้อ แล้วก็ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน อันนี้ห้ามเด็ดขาดเลย”

“มูคยอม”

“ว่าไง”

จริงๆ นายไม่ต้องลงทุนถึงขนาดให้ฉันชวนเขามาบ้านก็ได้นะ ถึงจะสนิทกัน แต่ฉันกับอู่เฉินก็แค่เจอกันบ้างนานๆ ทีเท่านั้น แถมปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยชอบพาคนอื่นมาบ้านด้วย”

“งั้นเหรอ”

“อื้อ ฉันชอบที่จะได้พักผ่อนใจสบายๆ อยู่กับนายสองคนที่บ้านมากกว่า”

มือของฮาจุนยกขึ้นลูบหน้าผากของมูคยอมอีกครั้ง อุณหภูมิที่หน้าผากลดลงไปจนไม่ร้อนแล้วเมื่อเทียบกับเมื่อเช้า แต่ก็ยังมีไข้อ่อนๆ อยู่ ดูท่าวันนี้มูคยอมน่าจะต้องพักต่ออีกสักหน่อย

“แต่ขอบใจนะที่นึกถึงใจฉัน จะเอายังไงไว้ค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้นายนอนพักก่อนดีกว่า”

“ขอบใจเหรอ”

“อื้อ”

“ถ้าอย่างนั้นเรามาทำอะไรที่ไม่ได้ทำกันเมื่อวานไหม”

ดวงตากลมโตของฮาจุนที่ซุกซ่อนไปด้วยความสงสัยมองไปที่มูคยอม

“เราไม่ได้ทำอะไรด้วยเหรอเมื่อวาน”

“นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ เมื่อวานเป็นวันที่มีแข่งนะ แล้วฉันก็ทำประตูสุดยอดเยี่ยมไปด้วย”

“…แล้วยังไงต่อ”

“ทำไมต้องทำเป็นไขสือด้วยล่ะ เวลาแข่งจบเราก็ทำกันตลอดนี่ เมื่อวานนายบอกให้รอ ฉันก็อดทนรออยู่คนเดียว บอกเลยว่าวันนี้ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่ๆ”

ฮาจุนทำตาโตยิ่งกว่าเดิม พลางคิดตาม ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วขึ้น

“คิมมูคยอม! ตอนนี้นายป่วยอยู่ ไม่ได้ยินที่หมอพูดเหรอ นายต้องพักผ่อนจนถึงพรุ่งนี้เลยนะ”

“ฉันก็ต้องรู้สภาพร่างกายตัวเองดีกว่าหมออยู่แล้วสิ”

“อย่าพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย อะไรกัน… นี่ใช่คำพูดของคุณตาที่ดื้อเพราะกลัวการไปโรงพยาบาลหรือเปล่าเนี่ย”

เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เริ่มมาเยือน ฮาจุนก็พยายามจะยันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มูคยอมกลับใช้ความเร็วที่มากกว่าในการใช้แขนรัดเอวและอกของฮาจุนไว้ มูคยอมหมุนตัวหนึ่งรอบ ขึ้นทับร่างของฮาจุนเหมือนกำลังเล่นมวยปล้ำในชั่วพริบตา

“ฉันดีใจมากเลยนะตอนที่นายทำประตูแรกได้ ดีใจจนคิดเรื่องอื่นไม่ออกเลยละ… แล้วในจุดนั้นแทนที่จะดีใจกับการทำประตูของนาย ฉันควรจะต้องมานั่งระวังไม่ให้ใครแตะตัวเหรอ”

ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้น พร้อมทั้งสีหน้าที่เคร่งเครียดและริมฝีปากที่เปิดออกเล็กน้อย

ครั้งนี้ความเศร้าที่ออกมาจากใจไม่ใช่การแกล้งป่วยหรือการแสดงอะไร ได้เผยออกมาให้เห็นบนใบหน้าของมูคยอม

“ไม่ใช่นะ”

“…”

“ไม่สิ อีฮาจุน ฉันพูดจาโง่เง่าแถมยังใจแคบอีกแล้ว ฉันแม่ง นายช่วยทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดทั้งหมดก่อนหน้านี้ทีนะ”

“…โอเค ต่อให้อีกฝั่งเป็นผู้ชายเหมือนกัน นายก็อาจจะรู้สึกไม่ดี เพราะความสัมพันธ์ของเราคือทั้งฉันและนายเป็นผู้ชาย แต่ถ้านายอารมณ์เสียกับอะไรแบบนี้ นายก็ควรจะพูดกับฉันสิ วันนี้อู่เฉินก็เป็นแค่แขกคนหนึ่งที่นั่น แล้วอยู่ๆ นายไปทำแบบนั้น คนที่พาเขามาแบบฉันจะโดนมองยังไงล่ะ คนที่จะเข้าใจสิ่งที่นายพูดก็ต้องเป็นฉันสิ”

ในช่วงเวลาสั้นๆ ใบหน้าของฮาจุนก็กลับมาเป็นปกติ ฮาจุนจ้องมองมูคยอมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ที่ซุกซ่อนแววความเศร้าอยู่เพียงเล็กน้อย

“ที่ฉันบอกว่ายุ่งกับเรื่องงานอันนี้เรื่องจริงนะ ดูเหมือนวันนี้จะต้องทำจนดึกเลยด้วย วันนี้นายไปนอนก่อนเลย”

“ฮาจุน”

“ฉันไม่ได้บอกแบบนั้นเพราะโมโหเลย แต่เพราะว่าฉันยุ่งจริงๆ”

แน่สิ อีฮาจุนยุ่งตลอดเวลาอยู่แล้ว คุณโค้ชน่ะ ทั้งต้องทำงานเป็นโค้ช ไหนจะต้องเรียนอีก ในทุกๆ วันก็ต้องยุ่งมากกว่าอยู่แล้ว เมื่อมาเทียบกับมูคยอมที่เล่นฟุตบอลเพียงอย่างเดียว

แต่ถึงจะยุ่งแค่ไหน ทุกคืนฮาจุนก็ไม่เคยบอกปัดว่าจะมานอนด้วยกัน ฮาจุนมักจะบอกว่าคงจะต้องทำต่อพรุ่งนี้ ก่อนจะปิดหนังสือหรือโน้ตบุ๊กลง แล้วลุกมานอนข้างๆ มูคยอม บางครั้งเราก็ใช้เวลาในช่วงค่ำคืนร่วมกันอย่างร้อนแรงหรืออ่อนหวาน หรือบางทีก็นอนคุยกันไปยาวๆ จนผล็อยหลับไปเอง

เมื่อมองภาพที่ฮาจุนกำลังจะเดินออกไปยังห้องอ่านหนังสือและไล่ให้ไปนอนก่อน มูคยอมก็รู้สึกเหมือนได้เห็นภาพซ้อนทับขึ้นมา มันเหมือนกับคืนนั้นเลยไม่ใช่เหรอ วันที่เขาได้ทำความผิดใหญ่หลวงลงไป แล้วเขาก็บอกให้ฮาจุนไปนอนก่อน เพราะกลัวตัวเองจะโมโหหรือไปพาลใส่ฮาจุน

ทว่าตอนนี้มูคยอมกลับคิดว่าอย่างน้อยถ้าฮาจุนตะโกนใส่เขาก็คงจะดี เขาสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าฮาจุนกำลังโมโหอยู่ แต่แค่ไม่แสดงมันออกมา ดังนั้นความวุ่นวายใจจึงถูกอัดแน่นขึ้นเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าจนเกือบจะแตก

“โค้ชครับ จะไม่มานอนด้วยกันจริงๆ เหรอ”

“คิมมูคยอม ฉันบอกไปแล้วไง”

ฮาจุนลังเลครู่หนึ่ง และพูดต่อ

“บางครั้งนายก็ช่วยรอกันหน่อยสิ”

เป็นความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาที่ได้รับคำสั่งให้ ‘รอ’ มูคยอมที่ไม่มีอะไรจะพูดต่อทำเพียงแค่ส่งเสียงออกมาจากลำคอเท่านั้น

“ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสิ้นสุดการแข่งแล้ว นายก็พักผ่อนให้สบายเถอะ รีบเข้านอนเร็วๆ ด้วย”

พูดจบฮาจุนก็ยังลังเลเพราะไม่สามารถที่จะหมุนตัวเดินออกไปได้ในทันที หลังบอกให้มูคยอมรอ

มูคยอมมองฮาจุนด้วยสีหน้าหงอยที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ แต่คุณโค้ชลูกวัวทำเพียงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ราวกับว่าได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะพัฒนาร่างเป็นคุณโค้ชเสือโฮก

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันนะ”

แม้จะเป็นฝ่ายที่เดินออกไปก่อน แต่ไม่รู้เพราะไม่กล้าพอที่จะหันหลังให้หรือเปล่า ฮาจุนถึงได้โบกมือ แล้วเลือกที่จะเดินถอยหลังออกจากห้องนอนแทน จนเมื่อเดินเกือบถึงกรอบประตู ฮาจุนถึงได้หมุนตัวให้ได้เห็นแผ่นหลัง เมื่อเห็นว่าฮาจุนเหลือบมองเข้ามาในห้องครั้งหนึ่งขณะที่ปิดประตู มูคยอมก็เผลอกัดฟันโดยไม่รู้ตัว

ในตอนที่ประตูถูกปิดสนิทลงเป็นที่เรียบร้อย และบุคคลที่เหมือนกระต่ายป่าถูกบดบังจนลับจากสายตาไป ในตอนนั้นเองมูคยอมก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แล้วเริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่เหลือเชื่อนี้

วันนี้คือวันที่มีการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นวันที่เขายิงลูกเตะสุดเท่แบบไม่มีที่ติได้อีกด้วย แม้มูคยอมจะเคยได้รางวัลปุสกัส อวอร์ด ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับลูกยิงยอดเยี่ยมประจำปีที่ฟีฟ่าจัดทำขึ้นไปแล้วก็ตาม

ถ้าไม่มีไอ้คนหน้าเหมือนเกี๊ยวนั่น ทันทีที่กลับถึงบ้าน มูคยอมคงจะได้เกลือกกลิ้งสองสามรอบบนเตียงหลังนี้กับเจ้าลูกวัวที่เขาต้องการแล้ว! ทั้งๆ ที่เป็นวันดีขนาดนี้แล้วเชียว ฮาจุนเองก็อารมณ์ดี จนน่าจะเป็นโอกาสที่เขาจะได้ใช้เวลาในช่วงค่ำคืนได้สุขสมกว่าปกติแท้ๆ

“…”

…แต่เรื่องทำประตู เขาจะทำมันอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นการมีเซ็กส์ฉลองเขาก็สามารถทำมันตอนไหนก็ได้

เหนือสิ่งอื่นใด ปัญหาก็คือการที่เขาทำให้ฮาจุนเสียใจไปแล้วต่างหาก

‘ลองมาคิดดู นี่ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่แปลกนัก หากฮาจุนจะเกิดอาการคิดถึงบ้านขึ้นมา’

ตอนนี้อีฮาจุนก็มาอยู่ที่อังกฤษได้ครึ่งปีกว่าแล้ว

ในตอนแรกเจ้าตัววุ่นวายไปกับการปรับตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่ และมัวแต่กังวลไปกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ทำให้ไม่มีเวลาให้ได้สัมผัสถึงความเปล่าเปลี่ยวหรือความไม่กลมกลืนไปกับสถานที่ จนพอจะใช้ชีวิตได้ขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นเองอาการคิดถึงบ้านก็ได้คืบคลานเข้ามา และในตอนนี้ฮาจุนกำลังอยู่ในช่วงเวลานั้นอย่างแน่นอน

แม้การได้เข้ามาอยู่กับทีมในยุโรปจะเป็นสิ่งที่มูคยอมใฝ่ฝันถึงนักหนา แต่แน่นอนว่าในช่วงแรกที่ได้มาใช้ชีวิตที่อังกฤษ หลายครั้งมูคยอมเองก็มีความรู้สึกอยากกลับเกาหลีอยู่เหมือนกัน ทั้งอึดอัดกับภาษาที่ไม่สามารถจะสื่อสารได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไหนจะที่ต้องมาหงุดหงิดกับพฤติกรรมเบ่งกล้ามของพวกสมาชิกในทีมที่อยู่มาก่อนหน้า ทั้งเรื่องถนนหนทาง หรือแม้กระทั่งสภาพอากาศ ทุกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็สร้างความไม่พึงพอใจให้เขา

ในช่วงแรกที่ไม่รู้วิธีทำอาหาร หลังได้เป็นนักฟุลบอลอาชีพเต็มตัว ก็มีช่วงที่มูคยอมไปซื้อรามยอนจากร้านสะดวกซื้อเกาหลีในอังกฤษมากินเป็นมื้อเย็นติดต่อกันอยู่หลายวัน

แต่ไม่ว่าเขาจะไต่ขึ้นไปในจุดที่สูงได้มากแค่ไหน การใช้ชีวิตลำพังในต่างประเทศทั้งๆ ที่อายุยังน้อยก็เป็นสิ่งที่ยากลำบากเกินกว่าที่คิดไว้ ความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาที่ต้องการประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะตัวท็อป บางครั้งมันก็หดเล็กลงเหมือนกับกระดาษหนังสือพิมพ์เปียกน้ำ

หากมีผู้คนที่จะอยู่เคียงข้างเขาอย่างแน่นอน บางทีมูคยอมเองก็อาจจะสะอื้นไห้เพราะอยากกลับไปที่เกาหลีก็ได้ แต่พอได้กลับไปจริงๆ คนที่มีอยู่ กลับไม่ใช่คนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันที่เขาจะไปพึ่งพิงหรือรับความรักความเอ็นดูได้ มีเพียงผู้มีพระคุณที่เขาจะต้องตอบแทนบุญคุณด้วยความสำเร็จเท่านั้น นั่นจึงทำให้มูคยอมเลือกที่จะกัดฟันทนและผ่านมันมา เมื่อลองมาคิดดูตอนนี้ มากกว่าที่จะเป็นความอดทนหรือความใจสู้ เขาคิดว่ามันคือความดื้อรั้นและความเย่อหยิ่งมากกว่า

แต่ฮาจุนมีครอบครัวที่ไม่สามารถบรรยายถึงความรักทั้งหมดที่มีอยู่ที่เกาหลี มีทั้งแม่ที่รักลูกอย่างสุดหัวใจและน้องๆ ที่รักใคร่สนิทสนมทั้งยังอุ้มเลี้ยงมากับมือ ต่อให้ตอนนี้ฮาจุนจะยอมแพ้กับการใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษ แล้วตัดสินใจกลับไปที่เกาหลี ก็จะมีผู้คนที่พร้อมจะบอกว่ากลับมาอย่างปลอดภัยเลยนะพร้อมรอยยิ้มและมอบอ้อมกอดให้ และด้วยความที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน ฮาจุนจึงมีเพื่อนเยอะ แถมยังมีแฟนคลับที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนเป็นนักเตะอีกด้วย

แน่นอนว่าอีฮาจุนยินยอมที่จะต้องมาใช้ชีวิตในลอนดอนและถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับเจ้าตัว ฮาจุนไม่จำเป็นต้องกินแค่รามยอน ทั้งยังเก่งภาษาอังกฤษ และอีกไม่นานก็จะได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับทีม ต่อให้มองแบบไม่เข้าข้าง เขาก็คิดว่าในตอนนี้ฮาจุนไม่ได้มีปัจจัยรอบตัวที่เลวร้ายเลย

แม้ว่าฮาจุนจะมาอยู่ในสถานที่นี้เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง ทั้งยังได้รักกับคิมมูคยอม แต่ก็คงไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่ฮาจุนจะรู้สึกอยากกลับบ้าน โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัจจัยรอบตัวสักนิด แค่เพียงฮาจุนไม่เคยบอกมันกับเขาเท่านั้นเอง

ฮาจุนคือคนที่ได้รับความรักมาอย่างมากมายตลอดช่วงชีวิต หากภายในใจมีกระถางดอกไม้ที่ต้องรดน้ำอยู่เพียงหนึ่งกระถาง สำหรับมูคยอมเขาก็มีเพียงฮาจุนที่เป็นเจ้าของกระถางนั้นแต่เพียงผู้เดียว ทว่าภายในใจของฮาจุนนั้น กลับมีกระถางอยู่หลายใบสำหรับปลูกพันธุ์ไม้แต่ละชนิดที่ต่างกันออกไป

กระถางเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนประกอบหนึ่งของมนุษย์ที่ชื่อว่าอีฮาจุน ดังนั้นตราบใดที่กระถางนั้นยังไม่แตกสลายไป มันก็ต้องการให้มีคนคอยรดน้ำอยู่เรื่อยๆ คงจะดีหากมูคยอมเพียงหนึ่งคนสามารถเติมเต็มทุกช่องว่างที่มีได้โดยไม่ให้มีน้ำหลงเหลือสักหยด ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำมันได้

…ไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นการเปรียบเทียบที่สุดยอดเลยจริงๆ!

มูคยอมลุกพรวดขึ้น อย่างน้อยตอนนี้เขาควรจะไปที่ห้องอ่านหนังสือ บอกฮาจุนถึงสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้ทั้งหมดออกไป แล้วพูดคำที่แสดงถึงความสำนึกผิดว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก

‘บางครั้งนายก็ช่วยรอกันหน่อยสิ’

อย่างไรก็ตามคำพูดจริงจังที่ฮาจุนทิ้งเอาไว้ ก็เหมือนกำลังจับข้อเท้าของเขาเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

เมื่อลองมาไตร่ตรองดูดีๆ ด้วยความใจร้อนของตัวเขา มูคยอมไม่เคยอดทนรอฮาจุนได้เลยสักครั้ง แม้สุดท้ายเขาจะได้กลับเข้าไปอยู่ข้างๆ อีฮาจุน แต่บนโลกใบนี้การใช้วิธีเดิมก็ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้งไป

เมื่อตระหนักขึ้นได้ ความเศร้าเล็กๆ ก็ทิ่มแทงลงบนหัวใจของมูคยอม ที่ผ่านมาเพราะเขามันเป็นคนที่ไม่มีความอดทนแบบนี้สินะ…

เทียบกันแล้ว ฮาจุนจะต้องอดทนแค่ไหนในการรอคอยเขา แม้ความโกรธของฮาจุนจะถูกสุมกองจนสูงขึ้น แต่ทุกครั้งมูคยอมก็เอาแต่กระทืบเท้าตึงตังใส่และไม่เคยให้เวลากัน สำหรับฮาจุนระดับเสน่ห์ของผู้ชายที่ชื่อคิมมูคยอมคงจะลดลงต่ำลงทุกวัน จนอาจจะแตะพื้นเข้าสักวันก็ได้

มูคยอมกำหมัดขึ้นและตัดสินใจ ได้ ถ้าอย่างนั้นมารอกันเถอะ มารอจนกว่าฮาจุนจะจัดการความคิดตัวเองเสร็จและอารมณ์ดีขึ้น จนกลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง

“…รู้สึกเหมือนจะตายเลย…”

แต่แค่ฮาจุนออกจากห้องไปไม่ถึง 30 นาที เขาก็รู้สึกหายใจไม่ออกแล้วสิ นี่คือมูคยอมที่ไม่มีให้ได้เห็นบ่อยมากนัก มูคยอมที่กำลังอดทนอดกลั้นต่อความต้องการของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเขาคุ้นชินกับการได้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองอยากทำมาตลอด ความอดทนมันเป็นสิ่งที่ยากขนาดนี้เลยสินะ มูคยอมครวญครางด้วยความเศร้าใจอยู่อย่างนั้น และปล่อยลมหายใจหนักหน่วงออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะมุดหัวของตัวเองลงไปใต้หมอน…

ขณะที่ทำสงครามกับตัวเองและเอะอะโวยวายแบบนั้นอยู่บนเตียง ความเหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจและจากการแข่งขันก็เข้าเล่นงาน จนมูคยอมผล็อยหลับไปในท้ายที่สุด

* * *

น่าแปลกที่เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นฮาจุนที่ลืมตาขึ้นก่อนมูคยอม

มูคยอมที่มีร่างกายแข็งแรงดีมักจะตื่นเช้าเสมอ ทำให้ส่วนใหญ่การเริ่มต้นวันของฮาจุนคือการถูกมูคยอมปลุก แต่ในวันนี้กลับตรงกันข้าม

ฮาจุนขยับตัวลุกขึ้นนั่งและหันไปมองข้างตัว แม้ฮาจุนจะขยับตัวไปมา

แต่มูคยอมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ทั้งยังนอนหลับสนิทไม่ไหวติง ฮาจุนยื่นมืออกไปหวังจะปลุกมูคยอมที่นอนตะแคงโชว์หลังให้อยู่ และวาดยิ้มออกมา

เมื่อคืนหลังที่เคลียร์งานเสร็จฮาจุนก็กลับมาที่ห้องนอน และได้เห็นภาพที่มูคยอมกำลังหลับปุ๋ยอยู่ ในสภาพที่วางหมอนไว้บนหน้าและไม่ได้ห่มผ้าอยู่ ระหว่างที่สงสัยว่ามูคยอมจะหายใจออกหรือเปล่า ฮาจุนก็หัวเราะออกมาให้กับท่านอนที่แปลกประหลาดนั่น เขายิ้มน้อยๆ ในตอนที่จัดท่านอนใหม่ให้กับมูคยอม

วางหมอนไว้ใต้หัว แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้

ในตอนที่กลับมายังห้องนอน ทั้งความโกรธและความเศร้าของฮาจุนต่างมลายหายไปจนหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ที่มูคยอมวู่วามและเสียใจขึ้นมาก็เป็นเพราะว่าชอบเขา ดังนั้นมันเลยยากเหลือเกินที่จะให้เขาโมโหจริงๆ

กลับกัน ในครั้งนี้เขาไม่ได้โมโหเพราะมูคยอมไปต่อว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งในเรื่องของวิธีการ ถึงมันจะดูเด็กก็จริง แต่ที่มูคยอมทำไปเพียงเพราะอยากขอโทษเขาเท่านั้น

‘แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องใช้โอกาสนี้ดัดนิสัยชอบแกล้งป่วยของมูคยอมให้ได้’

การแสดงตบตาของมูคยอมไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้ง เขาคิดว่าการแสดงแบบนั้นให้มูคยอมเอาไว้ทำตอนประท้วงการฟาล์วของทีมตรงข้ามในสนามก็พอแล้ว ฮาจุนเอนตัวนอนลงข้างๆ มูคยอม เอียงตัวไปหาและมองคนที่หลับอยู่

เพียงได้มองใบหน้าที่ประกอบไปด้วยดวงตาและริมฝีปากที่ปิดสนิท ฮาจุนก็รู้สึกขึ้นมาว่ามูคยอมหล่อมากจนคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มที่เพิ่งงอแงและแกล้งป่วยเมื่อก่อนหน้านี้ สายตาของฮาจุนเลื่อนไปยังแผงอกที่เหมือนกับรูปปั้นซึ่งเผยให้เห็นระหว่างรอยแยกเสื้อคลุม

ฮาจุนหวนนึกถึงคำชมที่อู่เฉินได้บอกเอาไว้ คิมมูคยอมคนเท่ คิมมูคยอมคนสมบูรณ์แบบ คนที่ไม่รู้จักก็คงจะมองมูคยอมแบบนั้น เมื่อก่อนฮาจุนเองก็คิดเช่นเดียวกัน

ฮาจุนโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากลงบนแก้มของมูคยอม ตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายกอดมูคยอมก่อนในยามเช้า หากเขาบอกออกไปว่าขอบคุณที่รอกันและขอโทษที่อ่อนไหวเกินไป พูดด้วยอย่างใจเย็น มูคยอมจะต้องเข้าใจกันอย่างแน่นอน แม้จะขี้หึงมากแค่ไหน แต่มูคยอมก็เป็นพวกจินตนาการสูง ไม่รู้เพราะแบบนี้หรือเปล่า แม้มูคยอมจะทำตัวดื้อเหมือนคนหัวรั้นขนาดไหน แต่ถ้าได้มาพูดคุยกันแค่นิดหน่อย มูคยอมก็จะเข้าใจอย่างรวดเร็ว

‘เรื่องจินตนาการสูงเนี่ยมันจะต้องเกี่ยวกับพรสวรรค์ทางด้านฟุตบอลของ

มูคยอมด้วยแน่ๆ’

เมื่อคืนวานคือครั้งสุดท้ายที่ฮาจุนหลับตาคิดเช่นนั้นขณะกกกอดความรู้สึกภูมิใจเอาไว้ ฮาจุนที่อ่านหนังสืออยู่จนดึกดื่นก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ถาโถม

“มูคยอม เช้าแล้วนะ”

คนที่นอนหันหลังอยู่ถูกฮาจุนเขย่าไหล่เบาๆ แต่มูคยอมก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ

“คิมมูคยอม”

ปกติแล้วตอนเช้ามูคยอมตื่นยากขนาดนี้เลยเหรอ ความรู้สึกไม่คุ้นเคยทำให้ฮาจุนเลือกที่จะก้มตัวลงไปใกล้กว่าเดิม แล้วจับตัวมูคยอมให้พลิกมาทางฝั่งตัวเอง

หลังถูกพลิกมานอนอยู่ในตำแหน่งที่เห็นหน้าเห็นตาได้ชัดเจน ฮาจุนก็ก้มมองใบหน้าของมูคยอมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วยกหลังมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของมูคยอมอย่างรวดเร็ว

“…อือ…”

มีเพียงเสียงสั้นๆ ที่แสดงถึงความตกใจและไม่สามารถประกอบรวมกันเป็นคำได้ที่หลุดออกมาจากปากของฮาจุน เขาผุดลุกจากที่นอนด้วยความลุกลี้ลุกลน รีบจ้ำเท้าไปทางชั้นวางของ และเปิดกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกวางเอาไว้ที่เดิมตั้งแต่เมื่อคืน

ฮาจุนรีบใช้ปรอทวัดไข้ที่ไปหยิบมาสอดไปที่หูของมูคยอมและกดปุ่มให้ทำงาน เมื่อเสียงติ๊ดดังขึ้น บนจอก็ปรากฏตัวเลขให้ได้เห็น และในตอนนั้นเองแววตาของฮาจุนก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างสังเกตได้ ตามมาด้วยเสียงเบาหวิวที่พูดออกมาเพียงลำพัง

“38.2 องศา…”

ความนิ่งงันอันหนักอึ้งลอยผ่านห้องนอนไป

ฮาจุนเพ่งมองปรอทวัดไข้ราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะรีบวางปรอทลงเพื่อไปหาโทรศัพท์มือถือ ระหว่างที่สัญญาณรอสายดัง ฮาจุนก็ขบริมฝีปากไปขณะที่หายใจอย่างติดขั้น จนเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย ฮาจุนถึงได้หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วเปิดปากพูด

‘สวัสดีครับคุณผู้จัดการทีม ผมจุนนะครับ พอดีวันนี้ผมมีเรื่องจะแจ้งน่ะครับ’

ฮาจุนเริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่วันนี้มูคยอมไม่สามารถเข้าร่วมการฝึกได้ เนื่องจากเป็นไข้ อย่างไรก็ตามวันนี้ก็เป็นหลังจากที่มีการแข่งขัน ตารางการฝึกซ้อมวันนี้จึงเน้นไปที่การฟื้นฟูร่างกายอยู่แล้ว อีกทั้งที่สโมสรเองก็รู้ว่าฮาจุนกับมูคยอมอาศัยอยู่ด้วยกัน พวกเขาเลยฝากเรื่องการดูแลสภาพร่างกายที่บ้านของมูคยอมให้เป็นหน้าที่ของฮาจุน

ต่อไปก็ต้องหาหมอ ไม่ว่าจะเป็นมูคยอมหรือเขา เราทั้งคู่ต่างก็แข็งแรงถึงขนาดที่ว่าหลังจากมาลอนดอน เรายังไม่เคยไปพบแพทย์กันเลยสักครั้ง แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ได้รู้มาจากทางสโมสรว่าพวกเขามีแพทย์ประจำที่สามารถมารักษาให้นอกสถานที่ได้ในตอนที่เราเจ็บป่วย ทันทีที่ต่อสายไปยังเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ เสียงที่ไม่คุ้นเคยก็กล่าวทักทายฮาจุนขึ้นมา หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าจากฮาจุนแล้ว หมอปลายสายก็แจ้งว่าจะเดินทางมาทันที แล้ววางสายไป

ราวกับว่าได้ยินเสียงวิ้งดังขึ้นข้างหู ความเงียบงันอันยุ่งเหยิงก่อตัวขึ้นโอบล้อมฮาจุน เขานั่งเหม่อถือโทรศัพท์อยู่ข้างๆ มูคยอม ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้า

แล้วพูดคนเดียวด้วยเสียงที่เคล้าไปด้วยเสียงถอนหายใจอันหนักอึ้ง

“อ่า จะทำยังไงดีเนี่ย”

ฮาจุนที่นั่งอยู่อย่างนั้นราวกับว่ากำลังใจสลาย จากนั้นเขาก็ตบแก้มตัวเองแปะๆ ขณะที่ลุกขึ้น ก่อนเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องนอน จัดการเอาผ้าขนหนูไปชุบน้ำอุ่น และรินน้ำใส่แก้ว

ในตอนที่ฮาจุนค่อยๆ ดึงผ้าห่มออก แล้วแหวกชุดคลุมออก มูคยอมก็เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ทันทีที่ทั้งคู่สบสายตากัน ใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยจากการนอนหลับของมูคยอม ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา แต่ฮาจุนไม่สามารถยิ้มกลับไปได้ และจ้องมูคยอม

“เจ้าลูกวัว”

ในตอนที่พยายามจะยันตัวขึ้นมา ระหว่างคิ้วของมูคยอมก็ยับย่นขึ้น

ราวกับว่าต้องการจะตรวจสอบความรู้สึก มูคยอมก้มมองมือของตัวเองในขณะที่กำและคลายมันออก จากนั้นจึงบ่นพึมพำออกมา ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ…”

“นายไข้ขึ้น ตั้ง 38 องศากว่าเลย”

ฮาจุนตอบกลับขณะที่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปยังต้นคอของมูคยอมที่มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของมูคยอมจะเบิกกว้างขึ้น

“ไข้ขึ้นเหรอ”

“ใช่”

มือของฮาจุนหยุดลง

“ปวดตัวมากไหม”

“อืม… พอได้ยินนายพูด ก็เริ่มรู้สึกเหมือนปวดตรงนู้นตรงนี้เลย… นี่ฉันเป็นไข้จนปวดตัวเลยหรือเปล่าเนี่ย แต่ถ้าได้คุณโค้ชของฉันมาช่วยนวดให้ ก็น่าจะดีขึ้นนะ”

ระหว่างที่พูดมูคยอมก็เหลือบมองฮาจุนไปด้วย แต่ฮาจุนกลับไม่สนใจและเอาแต่ก้มมองลงไปด้านล่าง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาราวกับกำลังพยายามควบคุมสีหน้า แต่ไม่นานนักคิ้วของฮาจุนก็ลดระดับลง และใบหน้าก็เปลี่ยนไปเหมือนกับคนที่กำลังจะร้องไห้ จากนั้นเสียงที่สั่นเครือก็ถูกเปล่งออกมา

“ขอโทษนะ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนายก็บอกฉันแล้วว่าป่วย…”

“หือ”

“แต่ฉันก็ไปหาว่านายแกล้งป่วย แล้วยังโมโหใส่อีก… ฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นโค้ชเลยจริงๆ”

แม้เรี่ยวแรงของฮาจุนหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก็ยังวุ่นอยู่กับการขยับไม้ขยับมือเช็ดเหงื่อให้มูคยอม เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตั้งแต่หลังคอไปจนถึงหลัง

แล้วเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ให้กับมูคยอม ระหว่างนั้นเองมูคยอมก็ไม่สามารถจะพูดอะไรต่อได้ ทำเพียงแค่กระพริบตาและปิดปากเงียบเท่านั้น

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จฮาจุนก็ขยับไปนั่งบริเวณขอบเตียง และวางมือลงบนหน้าผากของมูคยอม หลังวางมือจากหน้าที่ในสถานการณ์ที่เศร้าหมอง ฮาจุนก็ไม่กล้าที่จะสบตามูคยอมตรงๆ เหมือนกับคนที่ทำความผิดเอาไว้

“เดี๋ยวหมอก็มา แล้วก็ขอโทษนะ ที่เมื่อวานไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่นายพูดให้ดี”

“ฉันบอกแล้วว่าปรอทวัดไข้มีปัญหา ก็ช่วยไม่ได้นี่”

“แต่ฉันก็ไม่ควรจะตัดสินง่ายๆ ว่านายโกหกสิ แล้วฉันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นถึงโค้ชกายภาพเลยนะ ทั้งๆ ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่กับนายแท้ๆ…”

มูคยอมกลืนน้ำกลายเหนียวหนืดลงคอ ฮาจุนบ่นงึมงำเหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง จากนั้นม่านตาของฮาจุนก็เบิกกว้างขึ้นมา

“ทั้งโดนสั่งให้ออกจากสนามเพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ระหว่างการแข่งขัน ไหนจะเมินเฉยกับคำพูดของนักเตะที่บอกว่าตัวเองป่วย แล้วยังไปบอกอีกว่าเขาแกล้งป่วยโดยที่ไม่ยอมตรวจดูให้ดีก่อน… ทำไม… ช่วงนี้ฉันถึงเป็นแบบนี้นะ ดูเหมือนฉันจะทำมันได้แย่ลงทุกทีเลย ในฐานะคนรักก็ยังไม่ได้เรื่องอีก”

“นี่ๆๆ โค้ชครับ อย่าร้องนะ”

“ฉันขอโทษจริงๆ นะ”

“ไม่สิ เมื่อวานฉันไม่ได้รู้สึกป่วยอะไรเลยจริงๆ นะ แบบว่า… แทบจะแข็งแรงแบบสุดๆ ไปเลย!”

“ถึงจะนิดหน่อย แต่นายก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี นายบอกเองนี่ว่ารู้สึกเหมือนตัวร้อน”

ท้ายที่สุดมูคยอมก็ถอนหายใจยาวออกมาเหมือนเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความยอมจำนน จากนั้นเขายักไหล่ขึ้นขณะที่นอนอยู่ และปิดเปลือกตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ไม่สิ เมื่อวานนี้ฉันแกล้งป่วยจริงๆ นะ เพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากนายไง”

คำสารภาพถูกปล่อยออกมาหลังไม่สามารถเก็บกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ดวงตาดำวาวและกลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเบาบางเหมือนกับผืนม่านกระพริบปริบๆ ขณะมองไปยังมูคยอม

เหมือนลูกวัวไม่มีผิดเลยละ เจ้าลูกวัวขาวที่น่ารักที่สุดในโลกของฉัน ระหว่างที่มูคยอมกำลังชื่นชมคนรักอยู่ในใจ จนแล้วจนรอดหยดน้ำตาเม็ดกลมก็ร่วงหล่นลงจากดวงตาของฮาจุน เจ้าตัวรีบยกข้อมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วพยักหน้า

“ขอบใจนะ ที่ช่วยพูดแบบนี้”

“…”

“ฉันเองก็จะหยุดงอแงแล้ว นายยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า”

ตรงหัวใจฉันนี่ไง…!

มูคยอมกัดฟันแน่น และเพราะไม่มีอะไรที่จะพูดต่ออีก เขาจึงทำเพียงแค่ส่งเสียงโอดครวญอยู่ในปากเท่านั้น และในตอนนั้นเองเสียงกริ่งก็ดังขึ้น

“หมอน่าจะมาแล้วนะ”

ฮาจุนรีบลุกยืนขึ้น สาวเท้าวิ่งออกจากห้องนอน มูคยอมที่ไม่สามารถตามออกไปได้ ทำเพียงแค่มองตามไปจากด้านหลังในขณะที่ยังนอนอยู่บนเตียง แล้วจึงกลับมาจ้องไปยังเพดานด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

“เป็นไข้น่ะครับ เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องกังวลขนาดนั้น แล้วก็ไม่ใช่โรคติดต่อด้วย ตอนที่ดูแลก็ไม่ต้องจำเป็นระวังอะไรเลยครับ พักผ่อนอีกสักสองสามวันอาการจะดีขึ้นเอง”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

หลังได้ยินคำวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำจากหมอ ฮาจุนก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ คุณหมอหยิบห่อยาและขวดยาน้ำออกมาจากกระเป๋าสำหรับใช้ปฏิบัติการนอกสถานที่ แล้ววางลงบนโต๊ะ

“ผมเตรียมยาให้สำหรับสองวัน แค่นี้น่าจะพอครับ อันนี้ให้ทานหลังอาหารนะครับ นานแล้วเหมือนกันนะที่ผมไม่ได้มาบ้านคิม’

“เมื่อก่อนเขาก็มีป่วยบ้างเหรอครับ”

“ไม่นะครับ เอาจริงๆ เขาสุขภาพดีมากจนแทบจะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลย แต่ตอนที่มาอยู่กรีนฟอร์ดแรกๆ หลังจบการแข่งใหญ่ก็มีไข้ขึ้นอยู่ครั้งสองครั้งครับ น่าจะเกิดจากความเครียด”

“ความเครียด…”

มูคยอมที่ฟังอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้น

“อย่าพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกันสิครับ’

“พอเห็นว่ามีคนดูแลผมก็โล่งใจครับ เดี๋ยวทานยาลดไข้ไป ไม่นานไข้ก็จะลดเอง ถ้าอุณหภูมิร่างกายกลับไปเป็นปกติเมื่อไหร่ ก็สามารถกลับไปลงสนามได้ทันทีแบบไม่มีปัญหาเลยครับ แต่ผมก็แนะนำให้พักสักสองวันจะดีกว่า ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ได้มีอะไรที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษครับ แค่พยายามเลี่ยงอาหารมัน ทานอะไรที่ย่อยง่ายๆ แล้วก็ทานผักกับผลไม้ให้เยอะๆ ด้วยนะครับ”

“ได้เลยครับ ขอบคุณมากนะครับ ลาก่อนครับ”

ฮาจุนเดินออกไปส่งหมอถึงบริเวณทางเข้าบ้าน จากนั้นเขาก็กลับมายืนพิงหลังกับประตูที่ถูกปิดลง เขายืนเหม่ออยู่สักพักและเดินกลับไปที่ห้องนอนด้วยความอิดโรย

“เพราะความเครียดเหรอ… ”

ตอนนี้ฮาจุนกำลังมึนหัวไปหมด ไม่ว่าจะคิดยังไง เมื่อวานเรื่องที่พอจะทำให้มูคยอมเครียดได้ ก็มีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว เรื่องที่มีปากเสียงกับเขา

พอลองนึกย้อนกลับไป นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่โซลหลังจากที่ทะเลาะกับเขา มูคยอมก็ไม่สามารถกินข้าวได้เหมือนปกติ ทั้งยังมีไข้น้อยๆ อยู่ตลอด จนคนทั้งทีมไม่สบายใจกันไปหมด

เพราะเป็นเรื่องที่เคยเจอมาก่อน เขาก็ควรจะต้องเดาได้สิว่าเรื่องจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นเมื่อคืนพวกเขาควรจะเคลียร์กันให้จบ ปรับอารมณ์ให้ดีก่อน แล้วค่อยให้มูคยอมไปนอนสิ

มูคยอมที่ยังคงพลังล้นเหลือ แม้จะเพิ่งจบจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกมา ไม่มีทางจะรู้สึกกดดันมากถึงขนาดที่จะป่วยจนไข้ขึ้นเพราะการแข่งขันในลีกเกาหลีใต้ที่แปลกใหม่สำหรับเจ้าตัว เมื่ออยู่บนสนามคิมมูคยอมไม่เคยอยู่หลังใครไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการต่อสู้ทางร่างกาย ทางคำพูด หรือแม้แต่ทางจิตใจ

การที่เมื่อวานทำประตูสุดยอดเยี่ยมและพาทีมไปสู่ชัยชนะได้ แทนที่ความดีใจนั้นจะไปช่วยลบล้างมาความเครียด แต่กลับกลายเป็นว่ามาเครียดเพิ่มเพราะทะเลาะเรื่องเล็กน้อยกับเขาจนไข้ขึ้นเลยเนี่ยนะ

‘…ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตกลงแล้วมูคยอมเป็นคนที่แข็งแกร่งหรือเปราะบางกันแน่…’

สำหรับฮาจุนการที่เครียดจนไข้ขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ

หากเป็นในกรณีที่เป็นเรื่องส่วนตัวก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่นี่คือภาระหน้าที่ซึ่งสำคัญที่สุดของโค้ชทางด้านกายภาพที่จะต้องดึงเอาศักยภาพทางด้านร่างกายและจิตใจของนักเตะแต่ละคนที่แตกต่างกันทั้งพละกำลังทางกาย ลักษณะนิสัย พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ รวมถึงจุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อที่จะสร้างทีมที่เหมาะสมที่สุดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่อยู่ในตำแหน่งโค้ชฮาจุนก็ยังอยู่ในตำแหน่งคนรักของมูคยอมด้วยไม่ใช่เหรอ

แม้เขาจะชอบมูคยอมอยู่ฝ่ายเดียวมาเป็นเวลา 10 ปี แต่ช่วงเวลาที่เราคบกันนั้นยังไม่ถึง 1 ปีเลยด้วยซ้ำ คนเรานี่ก็เปลี่ยนไปมากเลยนะ เมื่อเริ่มคุ้นชินกับความสัมพันธ์ใหม่ เราก็จะค่อยๆ ปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำการกระทำ

หากเป็นเมื่อก่อน ฮาจุนจะโมโหแล้วถามออกไปทันทีเลยว่าแกล้งป่วยใช่ไหม ง่ายๆ แบบนี้เลยไหมนะ จากนั้นมูคยอมก็ตัวติดหนึบอยู่กับเขาแล้วบอกกลับมาว่าอยากอยู่ด้วย ถ้าเป็นตอนนั้นเขาจะลุกออกจากที่นั่งแล้วทิ้งงานไว้โดยอ้างว่าจะเป็นอะไรไปถ้าเลื่อนทำไปสักวัน แล้วทิ้งให้มูคยอมงอแงอยู่คนเดียวไหมนะ

“ฉันมันแย่มากเลย…”

ฮาจุนยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเองเอาไว้ราวกับว่ากำลังรู้สึกละอายใจ เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องเขม็งขึ้นมาเหมือนคนที่ตัดสินใจบางอย่างได้

ไม่นานนักฮาจุนก็เคลื่อนเท้าเดินไปทางห้องนอน เขาเข้าไปใกล้มูคยอมที่นอนอยู่แล้วจึงนั่งลง

“เป็นไงบ้าง”

“จะเป็นยังไงได้ ฉันไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นสักหน่อย”

“ขนาดนี้ก็ถือว่าไข้สูงแล้วนะ”

“รู้แล้วๆ ฉันจะระวังตัวให้ดี”

มูคยอมตอบกลับไปอย่างไม่จริงจังพลางกระตุกยิ้มขึ้นมา จากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าท้องของฮาจุน

“โค้ชครับ นี่เลยเวลาหิวของนายไปแล้วนะ ไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า หมอบอกให้กินอะไรที่ย่อยง่ายๆ งั้นต้มซุปมันฝรั่งกินกันไหม ครั้งที่แล้วนายก็กินซุปที่ฉันทำให้อย่างอร่อยเลยนี่ หรือจะทำซุปถั่วลันเตากันก็ได้”

“เอาสิ”

“รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปทำให้”

พูดเช่นนั้นจบ มูคยอมก็ทำท่าจะลุกขึ้น จนฮาจุนตกใจรีบกดตัวคนบนเตียงให้นอนลงอีกครั้ง

“แล้วทำไมคนไปทำถึงได้เป็นนายล่ะ”

“ก็นายทำอาหารไม่ได้นี่”

“…เพราะว่าฉันไม่ได้ทำบ่อยเลยดูเหมือนทำไม่ได้ต่างหาก ถ้าให้ทำจริงๆ ฉันก็ทำได้นะ ตอนที่อยู่บ้านเวลาแม่ไม่ว่างหรือไม่สบายฉันเป็นคนทำอาหาร ยังไงบนอินเทอร์เน็ตก็มีสูตรอาหารบอกหมดอยู่แล้ว”

“แต่แม่นายบอกนะ ว่านายทำอาหารไม่ได้เลย”

“เรื่องนั้น… แม่พูดแบบนั้นเพราะว่าฉันไม่ได้ทำอร่อยมากต่างหาก”

“แต่ฉันอยากกินอะไรอร่อยๆ นะ”

ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับไป และหันกลับมาจัดผ้าห่มให้เรียบร้อยแทน เขาตบแก้มของมูคยอมเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“อยู่รอเฉยๆ ให้มันว่าง่ายหน่อย ฉันจะไปทำอาหารเช้าให้นายเอง หลังจากกินข้าวก็กินยาซะ วันนี้นายห้ามทำอะไรเด็ดขาด ฉันจะเป็นคนทำทุกอย่างให้เอง”

“ป่วยแค่นี้ เดี๋ยวไข้ก็ลดแล้ว ฉันไม่ได้เป็นหนักขนาดขยับตัวไม่ได้สักหน่อย”

“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว แต่ถึงจะขยับตัวได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปทำอาหารได้สักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นไปที่ครัวด้วยกันเถอะ อย่างน้อยฉันขอไปยืนดูข้างๆ ก็ได้”

ฮาจุนตบลงบนอกของมูคยอมเป็นเชิงบอกว่าจงนอนอยู่นิ่งๆ ซะ จากนั้นจึงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่นจนไม่ว่าใครก็ต้องยอมเชื่อ

“ถ้าให้ฉันบอกพักก็คือพัก ถ้านายไม่สบายใจล่ะก็ ฉันจะมาขอความช่วยเหลือจากนายตอนที่รู้สึกว่ามันทำยาก แบบนี้โอเคไหม”

มูคยอมจ้องมองใบหน้าที่น่าเชื่อถือนั้นด้วยแววตาที่ไม่สบายใจ ทว่าสุดท้ายเขาก็ตอบตกลงออกไป เมนูซุปก็แค่เอาส่วนผสมไปผัด บด แล้วก็ต้มเท่านั้น… คงไม่เป็นอะไรหรอก

“เข้าใจแล้ว งั้นฝากท้องด้วยนะ”

“อื้อ นอนไป เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันมาปลุก”

นี่ โค้ชครับ หลังปล่อยกระต่ายป่าให้ไปเล่นอยู่ริมน้ำ แล้วใครเขาจะหลับลงกันล่ะครับ

ถึงจะคิดแบบนั้น แทนที่จะตอบกลับไปตรงๆ มูคยอมกลับทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

หลังจากตัดสินใจเลือกเมนูมื้อเช้าเป็นซุปมันฝรั่งและสลัด ฮาจุนก็เริ่มต้นด้วยการปอกเปลือกมันฝรั่งก่อน

แม้เขาแทบจะไม่เคยเข้าครัวในบ้านหลังนี้ด้วยตัวเองเลยสักครั้ง แต่ทุกครั้งที่มูคยอมทำอาหารเขาก็มาคอยยืนดูข้างๆ อยู่บ่อยๆ แถมยังมีหลายครั้งที่ได้ช่วยทำ จึงยังพอโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็พอจะรู้ว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน อย่างที่คิดไว้บนอินเทอร์เน็ตมีสูตรอาหารที่แสดงส่วนผสมทุกอย่างแบบละเอียดเลยจริงๆ

‘※ เริ่มจากนำมันฝรั่งไปล้างน้ำ ปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป’

ลำบากตั้งแต่เริ่มเลยสินะ

อย่างที่แม่ของฮาจุนเคยพูดไว้ อาจเป็นเพราะเขาทำได้ไม่ดีในเรื่องงานฝีมือ ฮาจุนถึงได้ใช้มีดไม่เก่งอย่างนี้ ดังนั้นเมื่อเจอผลไม้อย่างแอปเปิ้ลหรือพีช ฮาจุนก็มักจะกินมันทั้งเปลือก เขาจะได้กินมันแบบปอกเปลือกก็ต่อเมื่อมีใครมาปอกให้เท่านั้น

ไม่ใช่ว่าไม่เคยลอง แต่ความสามารถทางด้านนี้ของฮาจุนไม่เคยพัฒนาขึ้นเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม คำพูดที่ว่าถ้าตั้งใจเราก็จะทำสำเร็จนั้น เป็นคำที่พูดที่ใช้ได้ก็ต่อเมื่อเรามีเวลาพอจะทำมัน ปกติแล้วหากเราใช้เวลาพยายามทำอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีการพัฒนาขึ้นเลยสักนิด เรื่องที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่คนรอบข้างเลือกที่จะไม่รอ แล้วเอางานนั้นไปทำเอง

มันอาจไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นเสมอในการทำงานหาเงินหรือการเรียน แต่ยิ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดเพิ่มเข้ามา มันก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น ฮาจุนเองก็ไม่ได้เติบโตมาอย่างสบายมากนัก แต่เขากลับโตมาเป็นคนที่มีความสามารถในการเข้าครัวเป็นศูนย์

มูคยอมเป็นคนที่ทำอาหารเก่ง ทั้งยังหยิบจับอะไรก็คล่องมือไปหมด เวลาที่ทำอาหารจึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรมากมาย มูคยอมสามารถจัดการกับส่วนผสมทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ปลา หรือผัก ที่จะนำไปใส่ในอาหารด้วยมีดทำครัวเพียงไม่กี่เล่ม แต่ว่าตอนอยู่บ้านในโซลก็มีที่ปอกเปลือกมันฝรั่งนี่…

‘นายทำได้ อีฮาจุน’

ฮาจุนเอ่ยเลียนแบบคำพูดติดปากของมูคยอมขึ้นในใจ ขณะที่หยิบมีดขึ้นมาถือไว้

มือซ้ายถือมันฝรั่งผิวขรุขระ มือขวาถือมีด ค่อยๆ ปอกเปลือกออกทีละนิด เปลือกของมันฝรั่งถูกปอกไปได้ประมาณ 1 เซนติเมตร ก็ขาดออกในทันที และหล่นลงในชามที่รองเอาไว้ด้านล่าง

คิ้วของฮาจุนขมวดมุ่นขึ้นขณะพยายามเพิ่มสมาธิในการจดจ่อ และถึงแม้เวลาจะผ่านไปพอสมควร แต่เปลือกมันฝรั่งกลับถูกปอกไปยังไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ มีดเอาแต่ลื่นมาชนเข้ากับเล็บของเขา จนเปลือกมันฝรั่งขาดท่อนและร่วงลงชามเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด

“อ๊ะ!”

มีดลื่นแฉลบไปบนผิวของมันฝรั่งและทิ่มลงไปที่นิ้วโป้งของฮาจุน ปลายนิ้วซึ่งถูกบาดเพียงตื้นๆ เริ่มมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาอย่างรวดเร็ว

ฮาจุนสบถเบาๆ ในลำคอ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานและถอนหายใจพ่นลมออกจากปาก จนผมหน้าม้าด้านหน้าปลิวไสวไปตามลมเป่า ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ มีหวังคงไม่ได้กินมื้อเช้า แต่ได้กินเป็นมื้อเที่ยงแน่ๆ

‘หรือจะแค่ต้มโจ๊กดี’

แต่ถึงอย่างนั้นถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องต้มข้าวให้ข้นๆ เรื่องวัตถุดิบอื่นๆ ก็ไม่ได้ยุ่งยากน้อยไปกว่ากันเลย ฮาจุนยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปล้างมือ แล้วเดินถือมีดกับมันฝรั่งออกไปยังทางเดิน

เมื่อเปิดประตูห้องนอนอย่างเงียบเชียบ ก็พบว่าตรงฝั่งเตียงนอนนั้นไร้ซึ่งสิ้นเสียง ฮาจุนลดเสียงฝีเท้าลงให้เงียบพลางคิดว่าหากมูคยอมนอนหลับอยู่ เขาคงทำได้แค่เดินกลับไปที่ครัว แต่ไม่ทันได้ก้าวต่อ เสียงของคนตรงเตียงก็ดังขึ้นมา

“ทำเสร็จแล้วเหรอ”

“ยะ ยังเลย”

มูคยอมดันตัวขึ้นนั่ง จากนั้นฮาจุนก็เอาของที่ถือมาด้วยซ่อนไว้ข้างหลัง แล้วเดินเข้าไปใกล้หัวเตียง คนป่วยที่นอนอยู่เอ่ยถามขึ้นมาก่อนที่ฮาจุนจะได้พูดอะไร

“ให้ฉันช่วยอะไรไหม”

“…ห้ามเข้าไปในครัวนะ แต่นายอยู่ตรงนี้แล้วปอกมันฝรั่งให้หน่อยได้ไหม”

ฮาจุนสองจิตสองใจ ยื่นชามที่ใส่มันฝรั่งและมีดออกไป

ทันทีที่ได้เห็นสภาพที่น่าสยดสยองของมันฝรั่งที่ไม่ได้ถูกปอกเปลือกโชว์ผิวให้เห็นมากนัก มูคยอมก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้และระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ที่ออกไป ได้แค่นี้เองเหรอ”

“ฉันทำอย่างอื่นได้น่า แค่ใช้มีดไม่เก่งเท่านั้นเอง…”

“ถ้าใช้มีดลำบาก นายใช้ช้อนขูดเอาก็ได้”

“โอ๊ะ…!”

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินไปแล้วที่จะออกไปอีกครั้ง มูคยอมกวักมือเรียกให้ฮาจุนเข้ามาใกล้ แล้วรับชามนั้นมา

“บอกแล้วไงว่าให้ฉันทำดีกว่า”

“ถ้านายช่วยแค่ตรงนี้ ฉันสามารถทำที่เหลือได้หมดเลย”

มูคยอมหยิบมีดมาถือและหัวเราะไปด้วย ทว่าอยู่ๆ คนบนเตียงก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา ก่อนจะดึงข้อมือของฮาจุนขึ้นมา และเพ่งมองไปยังปลายนิ้ว

“โดนมีดบาดมือเหรอ”

“โดนเฉี่ยวๆ นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันไปปิดพลาสเตอร์เอา”

“อย่าดื้อได้ไหม ก็แค่ให้ฉันทำก็จบแล้ว ทำไมต้องทำเองด้วย”

“เพราะแบบนี้ฉันก็เลยมาขอให้นายช่วยนี่ไง ฝากปอกมันฝรั่งหน่อยนะ เดี๋ยวฉันไปปิดพลาสเตอร์ก่อน”

ฮาจุนค่อยๆ แอบขยับตัวไปเปิดกล่องปฐมพยาบาลที่เขาวางเปิดฝาทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาในตอนที่กำลังปิดพลาสเตอร์ลงบนนิ้วโป้งที่มีเลือดซึมออกมา เมื่อเหลือบขึ้นไปมอง มูคยอมก็พูดเสียงแข็งขึ้นมาในตอนที่วางชามลงบนเข่า

“ซื้อกินเอาเถอะน่า หรือสั่งมากินก็ได้”

“ไม่เอา ฉันจะทำให้นายกินเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่ครัวด้วยกัน”

“แต่นายป่วยอยู่นะ”

“ฉันเป็นผู้ป่วยโคม่าหรือไง ก็แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อยเอง หลังกินยาลดไข้เข้าไป ตอนนี้ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

มูคยอมถือถ้วยและผุดลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่เปิดโอกาสให้ฮาจุนได้เอ่ยห้าม ทว่าหลังจากที่ลงมายืนข้างล่างเตียงมูคยอมก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง

ฮาจุนรีบโยนกล่องปฐมพยาบาลทิ้ง แล้วเดินเข้าไปหามูคยอม กอดประคองเอวของผู้ชายที่ตัวหนักกว่าตนเอาไว้

“นายมีไข้อยู่นะ ลุกพรวดพราดขึ้นมาแบบนี้ได้ยังไง”

เมื่อถูกตำหนิจากฮาจุน มูคยอมก็ทำเพียงแค่เงียบและขมวดคิ้วขึ้นมา ดูจากสีหน้าก็เห็นได้ถึงอาการวิงเวียนที่ยังคงมีอยู่ แม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม

หลังจากกระพริบตาสองสามครั้ง มูคยอมก็ยืนตัวตรงและพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“ไปกัน ไปด้วยกันนี่แหละ”

“ไม่ได้สิ ถ้าเกิดอาการนายแย่ลงล่ะ”

“ปล่อยนายไปเข้าครัวคนเดียว แล้วทิ้งฉันให้รออยู่ที่นี่ แทนที่จะได้พัก ฉันคงได้เครียดลงกระเพาะก่อนน่ะสิ”

เครียด…

คำพูดนั้นทำเอาฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ฮาจุนเดินวนไปมาเหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะพูด ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“แต่นายต้องทำแค่นั่งอยู่ข้างๆ จริงๆ นะ”

“เข้าใจแล้วน่า”

ฮาจุนรีบไปหยิบผ้าห่มคลุมตัวมาให้ มูคยอมที่สวมชุดคลุมอาบน้ำอยู่เดินฉึบฉับเหมือนปกติ และไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างชั้นวางของในครัว

ลิ้นที่มีรสชาติของไวน์หวานจัดจ้านหลงเหลืออยู่ รุกล้ำเข้าไปในปากของกันและกันพร้อมเกี่ยวกระหวัดโดยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แสงแดดสดใสทำให้การมองเห็นเป็นสีขาวสว่าง

มูคยอมยกหน้าขึ้น เลียริมฝีปากของฮาจุนแล้วเคลื่อนริมฝีปากลงไปตามร่างกายพร้อมเสียงดังจุ๊บๆ จากนั้นก็เหลือบขึ้นมามองด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว

“ไม่มีใครสักหน่อย จะเป็นอะไรไป”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เข้าไปข้างใน… อื๊อ…”

กระทั่งกางเกงว่ายน้ำตัวหลวมก็ถูกถอดออกไป EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq บนผืนทะเลส่องประกายระยิบระยับ ภายใต้ท้องฟ้าตอนกลางวัน

ฮาจุนหุบขาเข้าหากันทั้งที่เอนตัวนอน ราวกับคนไม่มีที่ให้หนี มูคยอมกดจูบแผ่วเบาลงบนแกนกายที่ยังไม่ตื่นตัว

“ฉันแพ้ เพราะฉะนั้นจะอมให้หนึ่งชั่วโมง”

“ไม่เป็นไร!”

“ถ้างั้นก็แค่มีเซ็กส์ธรรมดาๆ เล่นกันไหม”

มัน ‘ธรรมดา’ ตรงไหนกัน ฮาจุนมองท้องทะเลสีเขียวอมฟ้าที่เข้ามาเติมเต็มสายตาในทันทีที่หันหน้าไปพร้อมกับมึนงงขึ้นมา แต่แล้วความชื้นจากริมฝีปากที่บดเบียดต้นขาด้านในก็ทำให้เอวกระตุกเฮือก

“ไม่รู้เลยว่าคุณแฟนชอบเซ็กส์เอาต์ดอร์ขนาดนี้ แต่จริงๆ แล้วก็สังเกตได้ตั้งแต่เมื่อก่อนที่สนามฝึกซ้อมนอกสถานที่แล้วแหละ ว่านายชอบความตื่นเต้น”

มูคยอมพูดล้อเขาอย่างน่าหมั่นไส้ ฮาจุนหน้าแดง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธได้

หลังจากมาถึงที่นี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาสร้างสัมพันธ์กันข้างนอก ทั้งสองคนบดเบียดร่างกายกันหลายรอบแล้ว ในสถานที่อย่างเช่นทางเดินเล่นแถวที่พัก สระว่ายน้ำส่วนตัวในห้อง หรือกระโจมที่สามารถปิดม่านได้

ตอนแรกฮาจุนตกใจมากกับการพยายามอันใจกล้าของมูคยอม แต่หลังจากตระหนักได้ว่าบนเกาะที่เป็นเอกเทศกับภายนอกแห่งนี้ คนอื่นต่างก็เพลิดเพลินกับการเล่นสนุกคล้ายๆ กันนี้เช่นเดียวกัน สุดท้ายฮาจุนก็ปรับตัวเข้ากับแบบแผนอันยุ่งเหยิงของที่นี่เพียงที่เดียวทีละนิดๆ

ทุกครั้งที่สานสัมพันธ์กันข้างนอก ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ฮาจุนจะรู้สึกและไปถึงปลายทางได้อย่างรวดเร็วกว่าปกติ เพราะอย่างนั้นต่อให้ถูกล้อ เขาก็ไม่มีโอกาสให้โต้เถียง

“อ๊า…”

แกนกายชูชันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มูคยอมเลียไล่มันขึ้นไปเป็นทางยาว ฮาจุนตัวสั่นระริกพร้อมส่งสายตาไปบนผิวน้ำส่องสว่าง จากนั้นก็ต้องหลับตาลงด้วยความสติที่เลือนหาย

รู้สึกเหมือนกำลังกลายเป็นคนปล่อยตัวปล่อยใจอย่างหนัก หากวันหยุดพักร้อนยาวนานต่อไปอีก ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายความคิดคงแปลกประหลาดขึ้น แสงแดดที่สาดส่องมาสะท้อนไปทั่วทุกทิศทางจนรู้สึกแสบตาแม้อยู่ใต้ร่มเงา

* * *

วันหยุดพักร้อนแสนหอมหวานในรีสอร์ตลับซึ่งแยกตัวห่างไกลออกไปอยู่กลางทะเลก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน มูคยอมลงจากเครื่องบินแล้วบ่นงึมงำว่าอยากกลับไปทันทีที่เท้าแตะพื้น

“ปีนี้พักร้อนสั้นเกินไป ฉันอยากกลับไปรีสอร์ตอีกรอบแล้ว”

“ไม่นะ กำลังพอดีเลย”

วันหยุดพักร้อนสุดหรูที่ได้เพลิดเพลินเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมา ฮาจุนมีความสุขมากเหลือล้นราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน คิดว่าเวลาแบบนั้นยาวนานประมาณนี้ก็กำลังพอดี

ฮาจุนรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวเอกในเรื่องเล่าปรัมปรา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า ตัวเอกได้รับเชิญไปงานเลี้ยงฉลองในพระราชวังใต้ท้องสมุทร EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq พอกลับขึ้นมาบนบกก็ผ่านไปแล้วหลายสิบปี เขาเอาแต่กลิ้งไปกลิ้งมาแล้วเล่นสนุกตามที่ตัวเองอยากทำทั้งวันทั้งคืน จนไม่รู้วันเวลาไปโดยสิ้นเชิง

แทนที่จะมุ่งตรงไปลอนดอนทันที ทั้งสองคนกลับแวะที่เอเธนส์ก่อนเพราะที่นี่มีงานปาร์ตี้ที่มูคยอมได้รับเชิญ ดูเหมือนจะเป็นงานที่มีคนที่ต้องเจอมารวมตัวกันอยู่เยอะ อีกคนจึงถือโอกาสนี้คิดจะจัดการเรื่องเล็กเรื่องน้อยหลายๆ เรื่องให้เสร็จเรียบร้อยลงในครั้งเดียว

“วันนี้พักสักหน่อยแล้วช่วงเย็นๆ ไปชอปปิงกันเถอะ นายก็ต้องไปปาร์ตี้ด้วยสิ”

“ฉันด้วยเหรอ”

ฮาจุนย้อนถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง มูคยอมตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติราวกับถามว่าแปลกตรงไหน

“ใช่ เรายังไม่เคยไปงานสังคมแบบนี้ด้วยกันเลยนี่ ถ้าจะไปปาร์ตี้ก็ต้องมีชุดนะ”

“อีกแล้วเหรอ เสื้อผ้าที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้ใส่มีอีกตั้งเยอะ”

เพราะมูคยอมซื้อเสื้อผ้าใหม่มาเก็บไว้บ่อยๆ ห้องแต่งตัวของฮาจุนจึงอัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าที่ยังไม่เคยแม้แต่ลองสวม อย่างไรซะ เวลาทำงานเขาก็ต้องใส่ชุดเทรนนิ่งที่ทางสโมสรจัดหาให้เป็นเรื่องปกติ และเวลาไปสถาบันภาษาหรือไปข้างนอกก็สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีพื้นกับกางเกง เวลาอากาศหนาวก็แค่ใส่เสื้อง่ายๆ เท่านั้น

งานที่จะได้สวมพวกชุดสูทที่มูคยอมซื้อเก็บไว้ให้ตั้งหลายชุด ในหนึ่งปีมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เสื้อผ้าอย่างพวกกางเกงขาสั้นเกินต้นขาไปครึ่งขา หรือเสื้อฮู้ดลายวัวนมที่ฮาจุนบอกแล้วว่าไม่จำเป็น แต่อีกคนก็บอกว่าน่ารักพร้อมจ่ายเงินเรียบร้อยโดยฮาจุนไม่มีโอกาสได้เลือก ในความเป็นจริงก็ได้ลองใส่แค่ครั้งสองครั้ง… พูดให้ชัดเจนเลยก็คือ มันถูกเก็บเงียบในตู้เสื้อผ้าหลังจากฮาจุนลองใส่แล้วมีเซ็กส์กัน

มูคยอมเช็กอินโรงแรมเสร็จแล้วถอดแว่นกันแดดพร้อมกับหันมามองฮาจุน

“เสื้อผ้าน่ะ ไม่ได้ซื้อมาเพื่อใส่ไปไหนมาไหนสักหน่อย”

“ถ้างั้นเพื่ออะไร…”

“ซื้อเพื่อที่จะได้สนุกเวลาซื้อน่ะสิ”

“…”

คิมมูคยอมเป็นทั้งนักฟุตบอลและเซเลบริตี้ เมื่อก่อนมูคยอมเพลิดเพลินกับการเที่ยวกลางคืนเป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากพบกับฮาจุน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แต่ก็ยังมีงานที่ต้องไปโดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุผลแบบนั้น

ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังห้องของโรงแรม มูคยอมอธิบายเกี่ยวกับปาร์ตี้ให้ฟังคร่าวๆ อีกฝ่ายบอกว่าปาร์ตี้ที่ได้รับเชิญคราวนี้เป็นปาร์ตี้การกุศลเพื่อรับบริจาคเงินเป็นกองทุนค่ารักษาโรคหายาก ซึ่งมีผู้คนจากหลายวงการมารวมตัวกัน อย่างเช่น ผู้บริหารธุรกิจหลายประเภทที่เป็นสปอนเซอร์ให้นักกีฬาหรือสโมสร บรรณาธิการนิตยสาร รวมถึงคนในแวดวงบันเทิงอีกด้วย แน่นอนว่าเหล่าสปอนเซอร์และผู้เกี่ยวข้องของสินค้าที่มูคยอมเป็นนายแบบโฆษณาหลายๆ ที่ก็มีกำหนดการว่าจะมา อีกฝ่ายจึงเข้าร่วมงานนี้ด้วย

สถานที่คือคฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชายทะเล เป็นบ้านพักตากอากาศของเศรษฐีคนหนึ่งและเป็นสถานที่ที่ถูกใช้จัดงานปาร์ตี้หลากหลายงานเป็นครั้งคราวตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วด้วยความใจดีของเจ้าของ

ฮาจุนฟังคำอธิบายแล้วเอียงหัวพร้อมถามขึ้น

“ถ้าไปแล้ว… ฉันจะทำอะไรล่ะ”

คนธรรมดาแบบเขา ถ้าไปเข้าร่วมงานรวมตัวของเหล่าบุคคลมีชื่อเสียงแบบนั้นแล้วจะทำอะไรนะ

ฮาจุนรู้สึกเกร็งขึ้นมาตั้งแต่ตอนนี้ มูคยอมน่าจะยุ่งวุ่นวายเพราะต้องไปเจอคนนู้นคนนี้ ถ้าเขาตามหลังอีกคนต้อยๆ แบบไม่มีประโยชน์อะไรก็จะได้แต่รบกวนอีกฝ่ายไม่ใช่เหรอ

“ก็จะทำอะไรล่ะ แค่สนุกไปกับมันก็พอแล้วสิ อาหารอร่อยๆ ก็เยอะ เหล้าก็มี ดาราดังๆ ก็มาเยอะ บางทีพวกนักบอลก็น่าจะมากันจำนวนหนึ่งนะ… ยังไงก็เถอะ แค่ไปชมงานเฉยๆ ก็น่าจะไม่เบื่อแล้วแหละ นายเตรียมพร้อมที่จะดูดีขึ้นในพรุ่งนี้ก็พอ แล้วอีกเดี๋ยวไว้ไปซื้อเสื้อผ้ากัน”

ทว่ามูคยอมก็เอาแต่บอกว่ามันจะสนุก ราวกับว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงเรื่องแบบนั้น มันไม่ใช่ที่ที่ไปเพื่อทำงานอย่างเข้มงวดสักหน่อย ถือเสียว่าไปเที่ยวเล่นก็ได้ และการกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ดูจะเป็นการกระทำไร้ประโยชน์ ฮาจุนจึงไม่กังวลอะไรเพิ่มมากกว่านี้แล้วปิดปากเงียบไป

* * *

คืนวันต่อมา ทั้งสองคนขึ้นมาบนรถที่ฮาจุนเป็นคนขับ

รถยนต์ขับออกจากถนนที่มีผู้ร่วมสัญจรมากมายแล้วเข้าสู่ถนนที่มองเห็นรถแค่บางตา ตัวถนนโล่งแต่คนที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกันคงมีจำนวนพอสมควร จึงเห็นรถหรูคันใหญ่อยู่เรื่อยๆ

ตอนนี้ฮาจุนก็ขับรถคล่องแล้ว ตอนอยู่กับมูคยอมสองคน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แต่การได้ขับบนถนนเงียบโล่งแบบนี้เป็นครั้งคราวทำให้ฮาจุนอารมณ์ดี สายลมกับเสียงทะเลที่ได้ยินจากไกลๆ ทำให้รู้สึกสบาย

ฮาจุนเพลิดเพลินกับอากาศสดชื่นด้านนอกหน้าต่างที่เปิดออกไว้ แล้วจู่ๆ ก็ส่งสายตาไปทางด้านหน้า เขาเริ่มมองเห็นตึกขนาดใหญ่ที่ส่องสว่างราวกับปราสาทเวทมนต์ ตั้งอยู่ใกล้ชายหาดที่แทบไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใด

รถเข้าไปในคฤหาสน์โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ่านประตูมาแล้ว รถวิ่งอยู่บนบริเวณด้านนอกกว้างขวางและมีไฟเปิดสว่างพักหนึ่ง ข้างถนนมีลำธารเทียม หลอดไฟ และรูปปั้นตั้งเรียงรายเป็นแถว ตึกที่มองเห็นด้านนอกหน้าต่างรถ คือคฤหาสน์ทรงสูงตระหง่านที่มีประตูทรงโค้งบานมหึมาและกระทั่งหลังคาก็สูงลิ่ว ฮาจุนคิดว่าบ้านของมูคยอมก็เหมือนปราสาทมากพอแล้ว แต่เมื่อเทียบกับที่นี่ อย่างไรก็ยังให้ความรู้สึกเหมือน ‘บ้าน’ มากกว่า

ที่นี่ไม่ใช่บริษัทหรืออาคารสาธารณะ ไม่ใช่บ้านอีกต่างหาก แต่เป็นบ้านพักตากอากาศเนี่ยนะ ในระหว่างที่ฮาจุนอ้าปากค้างเล็กน้อยพร้อมกับชื่นชม มูคยอมก็พูดขึ้น

“หยุดรถเลย ลงไปกัน”

“ไม่เอาไปจอดเหรอ”

“คนที่นี่จะจอดให้”

เมื่อเข้าไปได้ระยะหนึ่ง มูคยอมก็ลงจากรถไปเสียดื้อๆ ฮาจุนเองก็ลงรถตามหลังไป EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เสร็จแล้วก็ยื่นธนบัตรให้ บางทีคงจะเป็นทิป

ไม่ว่าจะเป็นริมถนนในย่านคึกคักหรือสวนสาธารณะเงียบสงบ ไม่ว่าจะเป็นสนามฝึกหรือสนามแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่โซลหรือคฤหาสน์เศรษฐี ถ้าบอกว่ามีสิ่งที่เท่าเทียมกันของสถานที่เหล่านั้นก็คืออากาศภายนอก เมื่ออากาศอบอุ่นยามกลางคืนโอบล้อมร่างกาย ฮาจุนก็เบาใจเพราะคิดขึ้นมาว่า สุดท้ายที่นี่ก็เป็นที่ที่ผู้คนดำเนินชีวิตเหมือนกัน

“ไปกัน”

ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้เพราะมูคยอมกวักมือ แต่อีกคนกลับปราดตามองพร้อมกระตุกยิ้ม ฮาจุนถามขึ้นอย่างระแวง

“ทำไม”

“ดูดีนะ แฟนฉัน หน้าตานายดีเกินกว่าจะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่แค่ที่สนามฝึกนะ”

“พูดอะไรของนาย นายหน้าตาดี หน้าตาดีกว่าอีก…”

ฮาจุนถึงกับพูดตะกุกตะกัก ตอนนี้เห็นคิมมูคยอมอยู่ทุกวัน แต่เขาก็ยังไม่ชินภาพคิมมูคยอมใส่สูทซึ่งได้เห็นเป็นบางครั้ง เพราะอย่างนั้นการสบตากับอีกฝ่ายจึงไม่ง่ายเลย

มูคยอมรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง อีกทั้งผิวก็เป็นสีแทน ถ้าอีกฝ่ายสวมสูท สูทก็จะห่อหุ้มร่างกายของฃราวกับเป็นชุดอีกชุดหนึ่งที่ไม่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ต่างกับพวกคนที่ทำงานในออฟฟิศ จะว่ายังไงดีล่ะ ต้องบอกว่าดูอันตรายนิดๆ หรือเปล่านะ ถึงเขาจะไม่เคยพูดแบบนี้กับมูคยอมตรงๆ ก็เถอะ

ว่ากันว่าถ้าตัวใหญ่และแน่นเพราะมีกล้ามเนื้อ ก็จะได้ชื่อว่าเป็น ‘ไม้แขวนเสื้อ’ ที่ไม่ดี แต่สำหรับมูคยอมนั้นต่างออกไป ไหล่ แผ่นหลังและหน้าอกของอีกฝ่ายกว้างแต่เอวคอดเพราะต้องสร้างสมดุลให้ร่างกายอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดเป็นหุ่นทรงรูปสามเหลี่ยมคว่ำที่แสนจะดูดี แขนขาแน่นๆ ก็เหยียดยาวจึงไม่ให้ความรู้สึกว่าดูล่ำตัน ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อจะเติบโตดีก็ตาม

พอเสื้อเชิ้ตออกงานสีขาวพอดีตัวกับทักซิโด้สีดำถูกสวมลงบนหุ่นแบบนั้น มูคยอมก็ดูเหมือนกับเป็นบุคคลสำคัญที่แฝงตัวเข้ามาในงานปาร์ตี้แบบลับๆ ปกเสื้อเชิ้ตที่ไม่กว้างนัก เข้ากันกับลำคอเหยียดตรงและสันกรามคมเป็นอย่างดี เนื้อผ้าที่เหมือนกับตัดเย็บให้เข้ากับผิวสีเข้มอย่างพอดิบพอดี ปรับภาพลักษณ์โดยรวมแล้วปล่อยกลิ่นอายบรรยากาศเซ็กซี่ออกมา

“หล่อมากๆ เลย…”

“ไม่ใช่ว่าเพิ่งคิดตอนนี้ใช่ไหม”

“คนเขาชมแล้วยังจะว่าอีก”

มูคยอมหัวเราะเสียงดังพลางถามขึ้น แต่ฮาจุนกลับตอบโต้กลับไปโดยแกล้งทำเป็นว่าไม่ใช่แล้วปิดปากเงียบทันควัน

ปาร์ตี้ที่มาร่วมกันนี้ ทำให้เขารู้สึกลำบากใจอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งก่อนมา แต่พอคิดว่าจะได้เห็นภาพลักษณ์แบบนี้ของมูคยอมตั้งหลายชั่วโมง ฮาจุนก็คิดว่าดีแล้วที่มา EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เขาก็รู้สึกเหมือนเจอสมบัติแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับได้เป็นคู่ออกงานกับเจ้าตัวเลยทีเดียว

หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์ กระทั่งเศษซากความกังวลที่เคยหลงเหลืออยู่เล็กน้อยก็ปลิวหายไปหมด ด้านในโอ่โถงและหรูหรา ทั่วทุกหนแห่งสว่างไสวไปด้วยโคมระย้าเพื่อรับรองงานปาร์ตี้ เพียงทัศนียภาพนั้นก็มีค่ามากพอที่จะดูชม และทันทีที่เข้ามาในโถง ฮาจุนก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะได้เผชิญหน้ากับเหล่าคนดัง

ตามที่มูคยอมพูด แน่นอนว่างานนี้เป็นงานที่แค่นั่งอยู่ที่ไหนสักที่นิ่งๆ แล้วกินอาหารพร้อมกับมองดูผู้คนก็เพียงพอที่จะทำให้เพลิดเพลินได้แล้ว ฮาจุนกำลังมองดูรอบๆ เล็กน้อยพร้อมกับเดินอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย แต่แล้วหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็ทำเหมือนจะรู้จักมูคยอม

“คิม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

“ไม่ได้เจอกันนานเลยครับ เทเลอร์”

“คุยเรื่องงานกันทันทีที่ได้เจอก็ดูจะไม่สมควรเท่าไร แต่คุณได้รับเอกสารที่ทางเอเจนซี่ส่งไปหรือยังคะ”

“ผมตอบตกลงไปแล้วครับ น่าจะเหลือแค่ขั้นตอนแลกเปลี่ยนครับ”

การมองดูมูคยอมพูดคุยเรื่องงานก็สนุกพอสมควร พอได้เห็นแบบนี้ ถ้าไม่บอกว่าเป็นนักฟุตบอลก็คงจะไม่รู้เลย หญิงวัยกลางคนที่พูดคุยกับอีกฝ่าย

มองฮาจุนพร้อมถามขึ้น

“คุณคนนี้?”

“คู่ควงของผมในวันนี้ครับ”

คำตอบนั้นทำให้ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเบิกกว้าง เธอมองฮาจุนกับ

มูคยอมสลับกันแล้วปริปากพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงเล็กน้อย

“โอ้ คิม ขอเสียมารยาทหน่อยนะคะ หรือว่า…”

“ปีที่แล้วอยู่ทีมเดียวกันที่เกาหลี แต่เขาอยากเรียนรู้งานจากทางนี้น่ะครับ เป็นโค้ชของทีมเราแล้วก็อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับผม วันนี้มาด้วยกันเพราะคิดว่าน่าจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ครับ”

“อ๋อ อย่างนั้นเองสินะคะ”

หญิงวัยกลางคนยิ้มพร้อมกับพูดแนะนำตัวอย่างมีมารยาท สำหรับกรรมการบริษัทแฟชั่นแบรนด์ดังแล้ว ตัวตนของเขาน่าจะถูกลืมในไม่ช้า ฮาจุนรู้อยู่แล้วแต่ก็ยิ้มพร้อมกับทักทายตอบ

เมื่อเธอเดินไปไกลแล้ว ฮาจุนจึงกระซิบกับมูคยอม

“ถ้าบอกว่าเป็นคู่ควงแล้วจะเข้าใจเป็นความหมายเชิงนั้นเหรอ”

“ก็ คงจะสงสัยขึ้นมาสักครั้งแหละ”

“งานนี้มากับฉันแล้วไม่เป็นไรจริงหรือเปล่า ถ้าคนอื่นเข้าใจผิดกันโดยเปล่าประโยชน์ล่ะ”

“ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็แค่คาดเดากันเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ฮาจุนเฝ้ามองมูคยอมกระทั่งตอนที่อีกฝ่ายได้รับความยากลำบากเพราะพวกข่าวฉาวทั้งหมดในระหว่างนั้น สำหรับฮาจุนแล้ว คำพูดของอีกคนไม่ได้ทำให้อุ่นใจสักเท่าไร เขาสังเกตรอบข้างอย่างระมัดระวังเพราะสงสัยขึ้นมาว่าอยู่ด้วยกันที่นี่ได้จริงๆ ใช่ไหม แต่แล้วมูคยอมก็โอบไหล่เขา

“พูดให้ถูกต้องก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดสักหน่อยนี่ ปล่อยข่าวลือสักหน่อยดีไหม แต่ก็เป็นความจริงนี่นะ”

“อย่าพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆ นะนาย”

ทว่ามูคยอมเพียงแค่หัวเราะหึๆ แล้วดึงฮาจุนให้เข้าไปด้านในมากกว่าเดิม ฮาจุนอยากคลายความตึงเครียดจึงดื่มแชมเปญไปประมาณสองแก้ว และในระหว่างนั้น มูคยอมก็ทักทายกับหลายๆ คนแล้วแนะนำฮาจุนให้รู้จักอีก

ฮาจุนสนุกกับบรรยากาศที่เพิ่งเคยประสบครั้งแรกในชีวิตก็จริง แต่ก็เหนื่อยล้าอย่างรวดเร็วเนื่องจากความเกร็งในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมอบให้ เขาเห็นโซฟาว่างจึงตั้งใจว่าจะไปนั่งตรงนั้นสักหน่อย แต่แล้วชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินมาหามูคยอม

“คิม อยู่ตรงนี้เอง”

“อ้อ แม็กก็มาเหรอครับ”

ฝ่ายนั้นดูเหมือนคุ้นเคยกันกับมูคยอม แต่สำหรับฮาจุนแล้ว เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ชายคนนั้นทักทายฮาจุนสั้นๆ เช่นเดียวกัน จากนั้นก็หมุนตัวไปหา

มูคยอม

“คุยกันแค่สองคนสักครู่ได้หรือเปล่า”

“ที่นี่เหรอครับ ถ้าคุยเรื่องงาน เอาไว้ทีหลังก็ได้”

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะไปทำงานนอกสถานที่ที่อเมริกา ไหนๆ วันนี้ก็เจอกันแล้ว ถ้าได้คุยคร่าวๆ ก็คงดี”

มูคยอมยักไหล่ราวกับบอกว่าช่วยไม่ได้ จากนั้นก็หันมามองฮาจุน

“นายพักอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันไปคุยแป๊บเดียว เสร็จแล้วเดี๋ยวกลับมา”

“อื้อ ค่อยๆ คุยแล้วค่อยมานะ”

“ใครมาชวนไปไหนก็อย่าตามเขาไปล่ะ อยู่ตรงนี้”

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงน่า”

“สัญญาแล้วนะ”

“บอกว่ารู้แล้วไง สัญญา”

ฮาจุนหยิบแชมเปญหนึ่งแก้วซึ่งวางไว้บนถาดของพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านไปพอดี จากนั้นก็ยิ้มพลางนั่งลงบนโซฟา

มูคยอมหันมามองเขาอีกหนึ่งครั้งพร้อมพูดเสียงดังว่า “อยู่ตรงนั้นนะ” ราวกับไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนโบกมือให้อีกคนเป็นความหมายว่าไม่ต้องกังวล แล้วดื่มแชมเปญหนึ่งอึกด้วยความรู้สึกสบายใจขึ้น

“อร่อยจัง…”

เขาพึมพำและมองไปยังภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว แสงไฟระยิบระยับเป็นประกายด้วยแสงสีทองอร่ามทุกหนทุกแห่ง หญิงสาวในชุดสวยๆ และชายหนุ่มในชุดสูทสง่างาม ดอกไม้ประดับและบันไดสูง ถึงแม้จะนั่งเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่อะไรเจ๋งๆ เต็มไปหมด

ในขณะที่ฮาจุนกำลังเพลิดเพลินกับปาร์ตี้อย่างเงียบๆ คนเดียวนั้นก็มีคนนั่งลงข้างๆ และทันทีที่นั่งลง หญิงสาวที่มีผมสีน้ำตาลทองเข้มในชุดเดรสสีฟ้าก็หันหน้าไปทางฮาจุน ฮาจุนกลืนน้ำลายแห้งให้กับรูปร่างที่เจิดจรัสโดยอัตโนมัติ

เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่กลับดูคุ้นหน้าคุ้นตา ยิ่งไปกว่านั้น แทนที่จะนั่งพักเฉยๆ แต่สายตาของเธอกลับดูเหมือนว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ฮาจุน เธอเป็นฝ่ายที่ส่งรอยยิ้มให้และทักทายฮาจุนก่อน

“หวัดดี”

“…หวัดดี”

“ได้ยินมาว่าคุณเป็นคู่นอนคนใหม่ของคิมเหรอคะ”

จากคำพูดนั้นทำให้ฮาจุนเบิกตาโพลง เขาจำได้แล้วว่าเธอคือใคร โคลเอ้ ครอว์ฟอร์ด เธอคือหนึ่งในคนที่เคยสนิทกับมูคยอมอย่างแนบแน่นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

น่าจะประมาณเมื่อช่วง 3 ปีก่อน เดิมทีเธอทำงานทางด้านเดินแบบเท่านั้น แต่ภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอเมื่อปีที่แล้วได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและนั่นทำให้เธอมีชื่อเสียงในฐานะนักแสดง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับมูคยอมแล้ว ฮาจุนก็โกรธตัวเองเล็กน้อยที่รู้ดีไปหมด แม้กระทั่งข้อมูลแบบนี้ ฮาจุนจึงแค่นหัวเราะออกมา

“ตอนที่อยู่เกาหลีพวกเราอยู่ทีมเดียวกันครับ ตอนนี้ผมเป็นหนี้บุญคุณเขาอยู่เพราะได้เข้าร่วมกรีนฟอร์ดน่ะครับ”

“คิมกับฉัน เราค่อนข้างเข้ากันได้ดีเลยค่ะ แล้วก็รู้จักกันมาค่อนข้างนานเลยน่ะค่ะ”

เธอคงรู้จักเขาแน่ๆ ใช่ไหมนะ เพราะว่าท่าทางของเธอที่เข้ามาคุยต่อทันทีโดยไม่แม้แต่จะแนะนำตัวเองเลยสักนิดช่างมุทะลุเสียจริง อีกฝ่ายอยากจะพูดเรื่องอะไรกันนะ ฮาจุนไม่สามารถหาคำมาตอบโต้ได้จึงใช้มือลูบบนเข่าของตนเองหนึ่งครั้ง

“เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือเรื่องดนตรี พวกเราก็มีรสนิยมที่คล้ายกัน”

“อย่างนั้น…เองเหรอครับ”

หญิงสาวคนนั้นนั่งไขว่ห้างและใช้ปลายรองเท้าส้นสูงแตะหน้าแข้งเขาเบาๆ ฮาจุนตกใจจนหุบขาเข้าหากันและมองไปยังหญิงสาว รอยยิ้มที่ลึกซึ้งและมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าเดิมหันไปทางฮาจุน

“ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันจะสื่อเหรอคะ”

“อะไรนะครับ”

“ที่ฉันบอกว่าคิมกับฉันเรามีรสนิยมที่คล้ายกันยังไงคะ”

ใบหน้าของฮาจุนที่กะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที เขาชะเง้อมองไปรอบๆ เพื่อหามูคยอมอย่างไม่รู้ตัว แต่มูคยอมกลับไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีผู้คน แม้แต่เส้นผมสักเส้นก็ยังหาไม่เจอ ฮาจุนลุกขึ้นจากโซฟาอย่างลุกลี้ลุกลน

“ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมมีธุระนิดหน่อย”

“เฮ้อ”

ฮาจุนยืนขึ้นแล้วรีบออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เขาปล่อยให้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาราวกับเสียใจ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน แต่เขาก็อยากหนีจากสถานการณ์นี้อยู่ดี

แน่นอนอยู่แล้วว่า มูคยอมเคยคบกับผู้หญิงที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาก ฮาจุนจึงไม่แปลกใจเลยที่พวกเธอจะปรากฏตัวในที่แบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถเดาได้เลยว่าคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับมูคยอมนั้นจะเข้าหาเขา

ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเข้าหาเขาเพื่อจุดประสงค์นั้นอีก ฮาจุนรู้สึกมึนงงที่ได้เห็นด้านหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาของคิมมูคยอม ที่ในช่วงเวลาหนึ่งเรื่องแบบนี้อาจจะไม่นับเป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

‘ที่บอกว่าคู่นอนคนใหม่คืออะไรกัน ข่าวลือแปลกๆ แพร่สะพัดไปแล้วเหรอ ไม่สิ เขาเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นานก็มีข่าวลืออะไรแบบนี้แล้วเหรอ’

ความกังวลและความคิดต่างๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวของฮาจุนอย่างวุ่นวายนั้น ท้ายที่สุดแล้วมันก็ถูกทำให้เจือจางลงแล้วสลายไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าเกี่ยวกับคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อครู่

‘ช่าง…ช่างสวยจริงๆ’

ฮาจุนจำเรื่องอื้อฉาวของมูคยอมได้ทุกปี และเขาก็รู้แม้กระทั่งผู้หญิงที่อีกฝ่ายเคยคบหาด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ฮาจุนเคยเห็นพวกเธอในรูปถ่ายหรือในวิดีโอเพียงเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอพวกเธอในชีวิตจริง เข้ามาประชิดอยู่ตรงหน้าเลย

บางครั้งคนดังก็มาเยี่ยมชมสนามฟุตบอลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน ตอนที่ยังเป็นนักเตะ เขาเองก็เคยได้สัมภาษณ์สั้นๆ ฮาจุนคิดว่าบรรดาคนที่เขาได้พบในตอนนั้นสวยมากแล้ว แต่ทันทีที่หญิงสาวเมื่อครู่นั่งลงข้างๆ เขา เธอก็สวยจนทำเอาเขาพูดไม่ออกและลืมกะพริบตาไปเลย

มูคยอมเจอคนแบบนั้นมาโดยตลอด แค่จินตนาการถึงพวกเขาที่ยืนเคียงข้างกันก็เหมือนกับเป็นภาพวาดกว้างๆ ภาพหนึ่งแล้ว ช่างเข้ากันได้ดีราวกับดอกไม้ที่ถักทอกันเป็นช่ออันสวยสดงดงามที่สุดในโลก

ขณะที่มัวแต่เดินไปเรื่อยๆ ฮาจุนก็สบตากับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกติดผนังที่ประดับด้วยกรอบหรูหรา เขาหยุดฝีเท้าและจ้องมองตัวเองในกระจกที่อยู่ตรงหน้า

ฮาจุนไม่ได้ไม่พอใจในรูปลักษณ์ภายนอก ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินบ่อยๆ ว่าตนเองดูดี แต่ว่าก็เทียบไม่ได้เลยกับนักแสดงที่เพิ่งพบเมื่อสักครู่นี้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะใส่ชุดสูทราคาแพง แต่ก็ไม่สามารถสร้างบรรยากาศที่ทั้งมีเสน่ห์และเซ็กซี่เหมือนกับคิมมูคยอมได้

มูคยอมที่เคยพบเจอแต่บรรดาผู้คนที่งดงามราวกับเทพธิดา แต่แล้วกลับมาคบกับฮาจุนที่สุดแสนจะธรรมดาอย่างนั้นเหรอ

‘ดูท่าทางคิมมูคยอมคงจะชอบฉันมากเลยสินะ…’

ขณะที่พึมพำกับตัวเองอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้น ฮาจุนก็ตระหนักได้ว่าเขากำลังหลงตัวเองอยู่หน้ากระจกเพียงลำพัง และใบหน้าของเขาก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย

นี่เขากำลังทำตัวเหมือนคิมมูคยอมที่มั่นใจในตัวเองอยู่เสมอหรือเปล่านะ เขารู้สึกอยากรับลม เพื่อให้หัวใจที่เต้นตึกตักสงบลงจากการเจอกันโดยบังเอิญอย่างกะทันหันกับคนที่เขาไม่ได้รู้จักมักคุ้น

ระหว่างที่เดินอยู่นั้น ฮาจุนก็ชะเง้อมองไปรอบๆ และมุ่งหน้าไปยังหน้าต่างบานยาวที่ต่อไปจนถึงเพดาน ไม่รู้ว่ามันเป็นหน้าต่างอัตโนมัติหรือเปล่า เพราะในขณะที่ฮาจุนสงสัยและผลักออกไป หน้าต่างที่มีน้ำหนักก็เปิดออกราวกับถูกพับเอาไว้ เผยให้เห็นระเบียงกว้าง

ระเบียงเปิดออกไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ ฮาจุนลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นและเบิกตาโตพร้อมกับชื่นชม สวนกว้างสไตล์ฝรั่งเศสที่มองไม่เห็นจากด้านหน้าของอาคาร ตอนนี้มันเปิดกว้างอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับแสงไฟที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน

ฮาจุนไม่ใช่แขกเพียงคนเดียวของระเบียง เช่นเดียวกันกับคนจำนวนน้อยที่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ต่างก็เอนกายพิงราวระเบียงมองออกไปที่สวน หรือไม่ก็พูดคุยกระซิบกระซาบกันเอง

ฮาจุนเหลือบมองผู้คนไปรอบๆ ภาพของชายหญิงสองคนที่กำลังสูบบุหรี่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเขา ฮาจุนลืมแม้กระทั่งความคิดที่ว่ามันไร้มารยาทและจ้องมองควันที่พวยพุ่งออกมา

เขาไม่ได้แตะบุหรี่เลยตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตอยู่กับมูคยอม เดิมทีฮาจุนสูบบุหรี่ในปริมาณที่ไม่มากนัก ดังนั้นเขาจึงเลิกสูบบุหรี่ได้ไม่ยาก แต่ท่ามกลางความวุ่นวาย เมื่อได้เผชิญกับภาพการสูบบุหรี่ของคนอื่น จู่ๆ ควันที่ทำให้ใจของเขาสงบลงจากอาการตกอกตกใจ ก็ดึงดูดเขาได้มากเลยทีเดียว

“ถ้าหากว่าคุณต้องการมัน ผมให้คุณสักมวนไหมครับ”

ชายหนุ่มที่กำลังสูบบุหรี่ในตอนนั้นเอ่ยออกมา จากนั้นฮาจุนจึงตระหนักได้ว่าตนเองจ้องมองพวกเขาอย่างชัดเจนเกินไปและส่ายหน้าด้วยความตกใจ

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ถ้าเจอกันในสถานที่แบบนี้ ก็ถือว่าทุกคนคือเพื่อนกันหมดเลยใช่ไหมล่ะ”

ชายหนุ่มที่สวมสูทและปัดผมไปด้านหลังนั้นดึงกล่องบุหรี่ออกมาแล้วยื่นบุหรี่ให้ด้วยท่าทางสง่างาม ฮาจุนลังเลเล็กน้อยและรับมันมา

“ไฟไหม”

“รบกวนด้วยครับ”

ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอีกต่อไป ชายคนนั้นหยิบไฟแช็กออกมาจุดไฟ จากนั้นฮาจุนก็เข้าไปใกล้ๆ แล้วสูบบุหรี่เข้าไป

ปลายบุหรี่ไหม้อย่างรวดเร็วและควันก็เข้าไปในปอด จิตใจที่วุ่นวายของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ฮาจุนเห็นพวกเขาแย้มรอยยิ้มออกมา

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณอะไรกันครับ ขอให้สนุกกับค่ำคืนนี้นะครับ”

ฮาจุนยืนพิงราวบันไดอีกครั้ง เขามองสวนและสูบบุหรี่ต่อไป มันเป็นบุหรี่ที่มีลักษณะที่แตกต่างจากบุหรี่ของเกาหลีและมีกลิ่นที่เฉพาะตัว

เขาอาจจะถูกมูคยอมจับได้ว่าสูบบุหรี่ แน่นอนว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เคยบอกให้เขาเลิกสูบบุหรี่ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ต้องการที่จะบังคับให้เขาต้องทำอะไร อย่างเช่นการให้สูดควันจากบุหรี่ของคนอื่นเช่นกัน และเมื่อได้ฟังเรื่องที่พูดเกี่ยวกับผู้จัดการทีมพัคนั้น เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีทัศนคติที่ดีต่อการสูบบุหรี่นัก

ทันทีที่ได้สูบบุหรี่หลังจากที่ไม่ได้สูบมานาน ฮาจุนก็พ่นควันออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างไม่มีเสียงเมื่อนึกถึงภาพของคิมมูคยอมที่เคยเจอกันเมื่อตอนยังเด็ก ขณะที่ทำอย่างนั้น เขาก็รู้สึกถึงการจ้องมองจึงได้หันหน้าไป ชายหนุ่มที่ให้ยืมบุหรี่เมื่อสักครู่กำลังมองที่เขาอยู่

มองทำไมเหรอ ทันทีที่ฮาจุนจ้องมองพวกเขาทั้งสองคนด้วยท่าทางเช่นนั้น หญิงสาวก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“สไตล์ของคุณเท่มากเลยนะคะ”

ผู้คนจะใจกว้างมากขึ้นเมื่อมางานปาร์ตี้เหรอ ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็กำลังได้ยินคำพูดอันเป็นมิตรเป็นพิเศษ หรืออาจจะเป็นเพราะเสื้อผ้าเป็นปีก จากสูทตัวใหม่ที่

มูคยอมซื้อให้และทรงผมที่จัดแต่งก่อนจะมาที่นี่

“ขอบคุณครับ”

ฮาจุนก้มหัวเล็กน้อยเพื่อรับคำชมด้วยรอยยิ้มบางเบาและหันกลับไปมองที่สวนอีกครั้ง

ขณะที่เขากำลังมองหาที่ที่จะทิ้งก้นกรองบุหรี่อันเล็กนี้ ความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นก็ค่อยๆ บรรเทาลง ภูมิทัศน์อันน่าประหลาดใจก็เข้ามาในสายตาของฮาจุน

* * *

มูคยอมที่กลับมายังโซฟาที่ฮาจุนเคยนั่งอยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มีเพียงคนที่เขาไม่รู้จักที่นั่งอยู่บนโซฟาเท่านั้น และพอกวาดตามองไปรอบๆ มูคยอมก็ไม่พบกับคนรักของตนเองอยู่ใกล้ๆ เลย โอ๊ย เสียงของความเจ็บปวดดังออกมาโดยอัตโนมัติ

ไหนบอกว่าจะนั่งรออย่างเรียบร้อยไง ลูกวัวที่ถูกปลดสายบังเหียนหายไปไหนแล้วล่ะ

“ไม่ทราบว่า เห็นผู้ชายเอเชียที่นั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่าครับ คนที่หน้าขาวๆ สูงประมาณ 6 ฟุตและหน้าตาดีมากๆ เลยน่ะครับ” มูคยอมเอ่ยปากถามคนที่อยู่แถวๆ นั้นก่อน

“ไม่ครับ ไม่เห็นเลยนะครับ”

มูคยอมจึงลองต่อสายหาอีกฝ่ายดู แต่กลับมีเพียงแค่เสียงสัญญาณและไม่มีคนรับสาย ทั้งสถานที่จัดงานปาร์ตี้นั้นอึกทึกครึกโครมและทั้งสติที่วุ่นวาย มันจึงง่ายต่อการพลาดสายโทรศัพท์

มูคยอมกระเดาะลิ้น งานปาร์ตี้วันนี้เป็นงานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ ตัวอาคารจึงมีขนาดใหญ่และซับซ้อนเช่นกัน ดังนั้นเมื่อแยกตัวออกไปแล้ว ถ้าไม่โทรศัพท์ติดต่อกันก็คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเจอกันอีกครั้ง ไม่รู้เลยว่าฮาจุนไปถึงไหนแล้ว

ถึงแม้ว่าการระดมทุมจะเป็นข้ออ้างการจัดงานปาร์ตี้ของชนชั้นสูง แต่ลักษณะของงานปาร์ตี้ที่จัดในบ้านพักตากอากาศสำหรับการพักผ่อนในฤดูร้อนก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้เลย แม้ว่าจะแสร้งทำเป็นว่ามีมารยาท แต่ยิ่งเวลาผ่านไปดึกขึ้นเท่าไร ยิ่งเผยให้เห็นถึงธาตุแท้มากขึ้นเท่านั้น

มูคยอมกังวลขึ้นมาในทันที เขาชะเง้อมองไปรอบๆ ห้องขณะที่ขยับเท้าก้าวเดิน โชคดีที่เขาเป็นคนตัวสูง เพราะมันเป็นประโยชน์ในการมองไปรอบๆ ทั่วทั้งห้องโถง

“โอ๊ะ คิม”

ในตอนนั้น มูคยอมหยุดเดินเพราะเสียงของใครบางคนที่เอ่ยออกมาราวกับรู้จักเขา หญิงสาวที่ใส่เดรสสีฟ้ากำลังเดินมาหาเขาจากทางด้านข้าง มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่น

“โคลเอ้”

“นานมากเลยนะเนี่ย นายยังคงสบายดีใช่ไหม”

“แน่นอนสิ แต่ตอนนี้ฉันยุ่งมาก ขอตัวนะ”

“ฉันเจอคู่ขาคนใหม่ของนายด้วย หน้าตาดีเลยนะ ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่ารสนิยมของนายจะกว้างขึ้นนะ”

หลังจากทักทายกันสั้นๆ มูคยอมที่กำลังจะย้ายที่ก็หยุดยืนอยู่กับที่

“เธอเจอฮาจุนเหรอ”

“ใช่ เมื่อกี้นั่งอยู่โซฟาตรงโน้นน่ะ”

“แล้วเขาไปไหนแล้ว”

“ฉันเองก็ไม่รู้ พอเปิดฉากคุยกัน เขาก็ไปเลย”

“เธอบอกว่าคุยกันเหรอ ไม่ได้พูดเรื่องอะไรที่มันแปลกๆ ใช่ไหม”

“เรื่องแบบไหนล่ะที่เรียกว่าแปลก”

“อย่าบอกนะว่าพูดเรื่องที่พวกเราเคยคบกันเมื่อนานมาแล้ว”

“มันเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรพูดเหรอ นายใส่ใจเรื่องแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

มูคยอมเสยผมขึ้นแล้วถอนหายใจสั้นๆ ต่อหน้าหญิงสาวที่กำลังยักไหล่สงสัยในระหว่างที่พวกเขาทั้งคู่เอาแต่ถามคำถามกันซ้ำไปซ้ำมา

คำพูดของหญิงสาวไม่ผิดเลย คิมมูคยอมใส่ใจเรื่องพวกนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เรารู้จักกันมานานหลายปี ไม่มีทางที่หญิงสาวจะไม่รู้ มูคยอมก้าวเท้าโดยไม่พูดอะไรต่อ

แน่นอนว่าแม้เธอจะไม่ได้พูดมันออกมา มันก็มีความเป็นไปสูงที่ฮาจุนจะจำเธอได้ก่อน เพราะโค้ชอีฮาจุนผู้มีความสามารถนั้นรับรู้ถึงเรื่องอื้อฉาวที่เล็กที่สุดของเขาหมดแล้ว

ถ้ามันเป็นการสนทนาธรรมดาๆ ฮาจุนคงไม่แม้แต่จะลุกจากที่นั่งโดยไร้คำพูดหรอก แล้วหล่อนพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ แน่นอนว่ามูคยอมสามารถตรวจสอบเรื่องนี้กับหญิงสาวได้ แต่เขาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดไปมากกว่านี้ เขาเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหลังจากที่ฮาจุนได้ฟังเรื่องราวในอดีตอันไร้ประโยชน์พรรค์นั้น อีกฝ่ายจะเจ็บปวดใจหรือโมโหหรือเปล่า

มูคยอมเพิกเฉยต่อผู้คนที่เดินมาคุยกับตนเอง และในขณะที่ก้าวเดินด้วยระยะฝีเท้าอันกว้างนั้นเขาก็มองไปรอบๆ สถานที่จัดงานปาร์ตี้ และมีสถานที่ที่หนึ่งที่ผู้คนไปรวมตัวกัน มีอะไรสนุกขนาดนั้นเหรอ พวกเขาเหล่านั้นถึงได้หัวเราะคิกคักกันเองอย่างนั้น มูคยอมที่ตั้งใจจะผ่านไปเฉยๆ หยุดเดินในทันที ภาพด้านหลังของชายหนุ่มที่ยืนหันหลังอยู่ช่างดูคุ้นตาเขาเหลือเกิน

ในขณะที่มูคยอมสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ การพูดคุยกันของพวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป

“แล้วผมล่ะ ผมเหมือนอะไรครับ” ชายผมหยักศกถามชายที่ยืนหันหลัง

“ไม่ใช่แพนด้าเหรอครับ ตรงนี้ ตรงนี้มันดำปี๋แบบนี้เลยนี่ครับ”

จากนั้นผู้คนก็หัวเราะจนเอนไปด้านหลังอีกครั้ง มูคยอมแตะมือเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่มที่ยืนหันหลังอยู่

“หืม”

ชายหนุ่มที่หันกลับมาก็คือลูกวัวที่ถูกปลดสายบังเหียนที่เขาเดินตามหาอยู่นั่นเอง

มูคยอมถอนหายใจ แต่ฮาจุนกลับยิ้มกว้างและเรียกชื่อของเขาด้วยความยินดี

“มูคยอม”

ระหว่างที่หายตัวไปจากสายตา ดวงตาสีนิลของอีกฝ่ายก็เบิกโตขึ้นอย่างชัดเจนและเป็นประกายราวกับมีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้น มูคยอมยิ้มและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อหาอีกฝ่ายเจอแล้ว แต่แล้วไม่นาน เขาก็ทำหน้าบูดเบี้ยวและตำหนิอีกฝ่าย

“จะไปไหนทำไมไม่บอก ฉันเป็นห่วงแทบแย่”

“ขอโทษนะ ฉันอยากรับลมนิดหน่อยเลยออกมาที่ระเบียง แต่ว่า…”

ในตอนนั้นเองที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวของฮาจุนนั้นเร่งอีกฝ่าย

“จุน คุณจะไม่ตั้งชื่อเล่นให้อีกเหรอครับ”

ชายคนหนึ่งที่ดูเมานิดหน่อยยื่นแขนไปให้ฮาจุน มูคยอมจ้องตาเขม็งแล้วปัดมือนั้นออก

คนที่ถูกสัมผัสมือในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นไม่ได้โกรธและมองไปที่มูคยอมอย่างเหม่อลอย ปกติแล้วฮาจุนควรจะบ่นถึงการกระทำของมูคยอม แต่อีกฝ่ายกลับตอบพวกเขาเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเท่านั้น

“ขอโทษครับ เจอเพื่อนร่วมทางแล้วครับ”

“ถ้าได้เจอกันอีกก็คงจะดีนะครับ”

หลังจากที่ฮาจุนบอกลา พวกเขาก็ทิ้งบรรยากาศของเมื่อครู่นี้แล้วหัวเราะออกมาในทันที เป็นสีหน้าที่ดูรู้สึกเสียดายจากใจจริง สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มูคยอมถามพลางเดินตามฮาจุนที่คว้าข้อมือของตนเองไปด้วย

“ชื่อเล่นงั้นเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันแค่เห็นคนอื่นแต่งตัวดูน่าสนุกดีเลยถามออกไปว่าไม่ได้แต่งตัวไปสำหรับแสดงเหรอ ทุกคนก็เลยบอกให้ทายว่าพวกเขาแต่งเป็นอะไร ฉันก็เลยกำลังบอกพวกเขาอยู่น่ะ นี่คืองานเลี้ยงสวมหน้ากากเหรอ มีคนที่แต่งตัวแบบนั้นแล้วมาที่งานด้วยแฮะ”

มูคยอมหันกลับไปมองยังผู้คนที่คุยกับฮาจุน เป็นคนที่มางานปาร์ตี้ในชุดทักซิโด้และชุดเดรส ในสถานที่ธรรมดาๆ มันก็คงจะดูหรูหรา แต่ในสถานที่แบบนี้ มันไม่มีส่วนไหนโดดเด่นพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นการแต่งตัวเพื่อการแสดงเลย

“แต่งตัวแบบนั้นมันแปลกเหรอ”

“ตอนแรกฉันก็เดินเตร็ดเตร่ตามหานายไปทั่ว แล้วก็ถูกรั้งเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจจนเรื่องมันยาว”

ประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวเลยจริงๆ มูคยอมเขม้นมองที่ใบหน้าของผู้คนที่รายล้อมฮาจุนเมื่อครู่นี้

ผู้คนที่มีใบหน้าเป็นมิตรที่เคยจ้องมองฮาจุนเมื่อสักครู่เต็มไปด้วยความสงสัย ดูท่าทีที่คนพวกนั้นเอื้อมมือออกมาอย่างตามอำเภอใจนั่นสิ ถ้าหากเขาเจอฮาจุนช้าไปอีกนิดเดียวล่ะก็ ใครสักคนในนั้นคงจะเผยจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นเอาไว้ออกมาอย่างแน่นอน งานปาร์ตี้แบบนี้ก็ยังคงมีอะไรอย่างนั้นอยู่

“ไอ้คนพวกนั้นไม่ได้เซ้าซี้อะไรใช่ไหม แตะตัวนายอะไรอย่างนั้นน่ะ”

“หืม ไม่นะ พวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้น”

“นายควรจะโทรหาฉันสิไม่ใช่ว่าไปเดินตามหา”

“อ่า… ลืมคิดไปเลยแฮะ สงสัยใจร้อนไปหน่อย คือฉันมีอะไรจะให้นายดูน่ะ”

มีอะไรจะให้ดูอย่างนั้นเหรอ

ฮาจุนเดินนำพร้อมกับดึงข้อมือของมูคยอม พอตามไปอย่างเงียบๆ อีกฝ่ายก็หยุดอยู่หน้าระเบียง

มูคยอมสังเกตเห็นสิ่งที่ฮาจุนพยายามจะโชว์ให้ดู มีสวนสไตล์ฝรั่งเศสที่สวยงามอยู่ด้านหลังคฤหาสน์หลังนี้ หากมองลงมาจากที่สูง จะมองเห็นต้นไม้ในสวนที่มีรูปทรงสมบูรณ์และดอกไม้นานาชนิดได้ในคราวเดียว ซึ่งมันเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าของสวน

เห็นอันนั้นเองสินะ แล้วเขาก็ฉีกยิ้มกว้างออกไป เมื่อก่อนมูคยอมก็เคยได้รับเชิญให้มางานที่ถูกจัดขึ้นที่นี่และเขาได้ลงไปชื่นชมสวนนั้นด้วยตัวเองมาแล้ว แต่ถ้าฮาจุนแนะนำให้เขาชมแล้วล่ะก็ เขาคิดว่าเขาคงจะต้องแสร้งทำเป็นทึ่งราวกับเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก

ประตูระเบียงเปิดออก และไม่น่าแปลกใจเลยที่ภูมิทัศน์ของสวนอันกว้างใหญ่นี้จะแผ่ขยายออกไป แม้ว่ากลางคืนจะมองไม่เห็นทิวทัศน์โดยรอบ แต่มันก็ยังคงได้รับแสงไฟจากสถานที่แห่งนี้และสร้างบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในยามค่ำคืนเท่านั้น ขณะที่มูคยอมกำลังเตรียมที่จะชื่นชมความงดงามของสวน ฮาจุนก็เหลียวกลับไปมองที่มูคยอม

ดวงตาสีนิลที่สะท้อนแสงเล็กๆ นั้นเปล่งประกายราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน เพราะว่าดวงตาของฮาจุนงดงามมากยิ่งกว่าสวนแห่งนี้เสียอีก ในตอนนี้มูคยอมจึงยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ฮาจุนกวักมือบอกให้เขาออกไปที่ระเบียง

“สุดยอดไปเลยใช่ไหม”

“สวยนะเนี่ย ตอนนี้ว่าสวยแล้ว ถ้าได้เห็นตอนกลางวันคงจะสวยกว่านี้”

“เหรอ เพราะเป็นตอนกลางคืนมันเลยน่าทึ่งกว่าไม่ใช่หรอกเหรอ”

มูคยอมเอียงหัวเล็กน้อย แน่นอนว่ามันเป็นสวนที่งดงาม แต่ก็น่าทึ่งเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาก็พยักหน้าอย่างพอดีๆ และปรับให้เข้ากับอารมณ์ของอีกฝ่าย ฮาจุนจึงพูดต่อไป

“ทำไมถึงมีรุ้งในตอนกลางคืนได้กันนะ”

มูคยอมกะพริบตาถี่ให้กับคำพูดนั้น

“ดูนั่นสิ ฉันเพิ่งเคยเห็นดอกไม้แบบนั้นเป็นครั้งแรกเลย กลีบดอกไม้มันเป็นประกายระยิบระยับนี่นา สงสัยคงติดไฟตรงดอกไม้ด้วย อยากลงไปดูจังเลย”

ขณะที่ชี้ไม้ชี้มือลงไปด้านล่าง น้ำเสียงที่ตื่นเต้นก็ดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็วประมาณหนึ่ง มูคยอมที่ฟังอยู่เงียบๆ คว้าไหล่ของฮาจุนเข้ามากอดอย่างรวดเร็วและถามด้วยท่าทีที่อ่อนโยน

“เจ้ากวางดาวของฉัน ดื่มเหล้าเยอะเหรอ”

“หืม ไม่นี่ แชมเปญแค่ไม่กี่แก้วเอง”

“แล้วนายมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ”

จู่ๆ ฮาจุนก็รีบเหลือบตามองลงไปด้านล่างและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“…ฉันสูบบุหรี่ไปหนึ่งมวนน่ะ”

“บุหรี่เหรอ นายพกมาด้วยเหรอ”

“เปล่าหรอก… คนที่อยู่ตรงนี้เมื่อกี้ให้มาหนึ่งมวนน่ะ”

ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่ที่ฮาจุนชี้ไปเลยสักคน มูคยอมจ้องมองไปยังที่นั่งว่างครู่หนึ่ง แล้วฝังจมูกของตนเองไว้ในผมของฮาจุน หลังจากที่เขาดมกลิ่นฟุดฟิด ฮาจุนก็ถอยไปข้างหลังราวกับเขินอาย

“กลิ่นแรงไหม อย่าตั้งใจดมแบบนั้นสิ ฉันรู้มาว่ากลิ่นมันมีเอกลักษณ์นิดหน่อย”

มันไม่ใช่บุหรี่ที่ดาษดื่นทั่วๆ ไป มันมีกลิ่นเหมือนกับหญ้าแห้งที่ถูกเผาฟุ้งขึ้นมา

‘โค้ช… ผมคิดว่ามันไม่ใช่บุหรี่ครับ!’

มูคยอมอยากตอบออกไปเช่นนั้นแต่เขาก็อดทนเอาไว้ ท้องไส้เริ่มเดือดพล่าน ดูเหมือนว่าเมื่อเขาอ้าปากออกไป ก็คงจะพูดเรื่องที่ไม่อยากได้ยินออกมาอีก

“นายดูไม่ตื่นเต้นเลย”

เสียงของฮาจุนที่ตามหามูคยอมเพื่อโชว์ให้เขาเห็นถึงทิวทัศน์ที่แปลกใหม่นั้นจางลงไปเล็กน้อย ช่วยไม่ได้นี่ เพราะดวงตาของมูคยอมนั้นมองไม่เห็นสายรุ้งหรือดอกไม้ที่ส่องแสงระยิบระยับในตอนกลางคืน

ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีอะไรจะน่าสนใจไปกว่าการได้เห็นกระต่ายที่เห็นภาพหลอนเนื่องจากเมายาเพราะไปรับลูกกวาดจากคนแปลกหน้ามาเคี้ยวกินนี้อีกแล้ว

“ไม่หรอก ตื่นเต้นจะตาย ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นสายรุ้งตอนกลางคืนเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”

“ใช่ไหมล่ะ ที่กำลังบินอยู่นั่นใช่หิ่งห้อยไหม สวยมากเลย เหมือนวิวในเทพนิยายเลย”

“มันเจ๋งมากจริงๆ ยูนิคอร์นได้เดินทางไปสู่ดินแดนแห่งความฝันแล้ว”

“ยูนิคอร์นเหรอ ไหนล่ะ”

มูคยอมดึงฮาจุนที่พิงราวและยื่นตัวออกไปด้านนอกเพื่อมองหายูนิคอร์นอย่างจริงจังในสวนยามค่ำคืนอันมืดมิด

อย่างรวดเร็ว แม้ว่าห้องโถงจะอยู่ชั้นแรก แต่เนื่องจากโครงสร้างของบ้านนั้นประกอบจากบันไดยาว มันจึงมีความสูงที่สูงกว่าระดับพื้นดิน

แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้ว ถ้าหากเขาหาอีกฝ่ายไม่เจอและปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง แล้วอีกฝ่ายมาเล่นแถวๆ ราวระเบียงแบบนี้ไม่แน่อาจจะตกลงไปก็ได้

มันเป็นปาร์ตี้ที่มีผู้คนหลากหลายสัญชาติมารวมตัวกัน สำหรับบางคนแล้ว มันเป็นแค่ความบันเทิงธรรมดาๆ และไม่ผิดกฎหมาย ดังนั้นในงานงานปาร์ตี้ฤดูร้อนหรือวันหยุด ยาเสพติดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น กัญชา ก็จะถูกเผยแพร่ในรูปแบบความบันเทิงเบาๆ เหมือนกับบุหรี่

ปกติแล้วมูคยอมไม่ได้คิดอะไรกับความสนุกของคนอื่นนัก อย่างไรก็ตาม เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่มีความเกี่ยวข้องหรือสนใจ มันก็คงถูกแล้วที่จะบอกว่าเขาไม่แยแสมันเลย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้คิดที่จะเตือนฮาจุนก่อนที่จะมาที่งานปาร์ตี้

“ตอนเด็กๆ แม่ไม่ได้สอนเหรอว่าอย่ารับของจากคนแปลกหน้ามากินอย่างพร่ำเพรื่อ”

“แต่ฉันกินแค่อาหารที่เสิร์ฟในห้องโถงนะ”

“ฉันหมายถึงทั้งอย่ารับมากิน ทั้งอย่ารับมาสูบแบบไม่คิดอะไร”

มูคยอมเลื่อนริมฝีปากไปใกล้ๆ ใบหูของฮาจุน น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แต่เสียงของเขาเบาลงอย่างน่าหวาดเสียว

“ถ้าฉันตัดสินใจที่จะรออย่างใจเย็น แล้วระหว่างนั้นถ้าฉันเกิดกังวลใจขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ”

“ฉันออกมาแค่แป๊บเดียวจริงๆ… และที่ฉันเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ก็เพราะว่าจะตามหานาย”

หลังจากที่เห็นฮาจุนแก้ตัว มูคยอมก็ก้มศีรษะลง มูคยอมที่ไม่พอใจเล็กน้อยใช้จังหวะที่ไม่มีคนอยู่ตรงนั้นกัดเข้าที่ใบหูของอีกฝ่าย

“อะ อื้อ!”

พอเสียงครวญครางดังขึ้นทันที ไหล่ของฮาจุนก็สั่นเทา อีกฝ่ายก้มหน้าลงซบมูคยอมและกะพริบตาอย่างรีบร้อน

“อ๊ะ อ้า…”

ใบหน้าของเจ้าตัวแฝงไปด้วยความลำบากใจเล็กน้อย ดวงตาของมูคยอมเองก็เบิกกว้าง

เดิมทีฮาจุนมีใบหูที่ไวต่อความรู้สึก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อ่อนไหวจนถึงขนาดที่ว่าเขากัดไปเพียงแค่เล็กน้อยแล้วร่างกายจะสั่นไหวขนาดนี้ มูคยอมขมวดคิ้วแล้วใช้นิ้วลากไปที่ด้านข้างลำคอสีขาวนวลเบาๆ

“อ๊ะ ฮ๊าา”

ฮาจุนคร่ำครวญอีกครั้งและคว้าไหล่ของมูคยอมเอาไว้ มูคยอมจับเอวของอีกฝ่ายด้วยแขนข้างเดียวและมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็วางไว้บนแก้มสีขาวใสนั้น

ใบหน้าของฮาจุนเริ่มร้อนจนหายใจหอบ มูคยอมถอนหายใจออกมายาวๆ

“บ้าไปแล้วจริงๆ”

“ฉันรู้สึกแปลกๆ… นี่ฉันเมาเหรอ”

“ถูกต้อง นายเมาแล้ว”

“ดื่มแชมเปญไปไม่กี่แก้วเองนะ…”

ไม่ใช่แค่กัญชาหรอกเหรอ หรือไม่ก็การที่ยาออกฤทธิ์แบบนี้ก็อาจจะเป็นแบบเฉพาะของอีฮาจุน

อะไรกันที่ทำให้ยูนิคอร์นแสนบริสุทธิ์กลายเป็นสิ่งที่เสื่อมโทรมแบบนี้ มองหน้าแล้วยังดูไม่ออกเหรอ แม้จะแสร้งทำเหมือนว่าไม่ข้องเกี่ยวอะไรกับเรื่องแบบนั้น… ไอ้ลูกหมาพวกนั้น ไปลงนรกให้หมดเลย!

ท้ายที่สุดเมื่อกล่าวโทษคนที่ไม่รู้จักแล้ว มูคยอมก็กอดฮาจุนและลูบหลังอีกฝ่าย ความกำหนัดที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาคงไม่สงบลงไปง่ายๆ สินะ ฮาจุนถึงไม่สามารถหยุดหอบได้ราวกับทุกข์ทรมาน อีกฝ่ายกอดมูคยอมแน่น หัวใจของมูคยอมเริ่มเต้นด้วยแรงกดบางๆ ของนิ้วที่จับที่ด้านหลังไหล่ของเขาเอาไว้ราวกับห้อยอยู่ และเขาก็กลืนน้ำลายแห้งเข้าไป

“คิมมูคยอม…”

“อื้อ ก็ได้”

“อ๊ะ ทำไงดี ฉันรู้สึกแปลกจริงๆ…”

ฮาจุนก้มหน้าและฝังหน้าผากไว้ที่คอของมูคยอม ถึงอย่างนั้นเสียงที่ต่ำและแผ่วเบา และไม่สามารถซ่อนความเร่าร้อนได้นั้นก็ได้ส่งผ่านเข้าไปในหูของ

มูคยอม

“วันนี้นายเซ็กซี่มากๆ เลย”

“…หา”

“ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ฉันอยาก…”

“…อยากอะไร”

“…อะ…”

“ว่าไงนะ”

“อันนั้นน่ะ…เซ็กส์…”

ฮาจุนพูดและเอามือข้างหนึ่งปิดตาที่เริ่มเป็นสีแดงก่ำของตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

“จู่ๆ ก็อยากทำในสถานที่แบบนี้… ฉันคงเป็นบ้าไปแล้ว อ๊ะ ขอโทษนะ….”

มันไม่ใช่เรื่องที่โค้ชจะต้องมาขอโทษสิ!

มูคยอมหยุดคิดเรื่องไร้สาระเรื่องอื่นแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกขี้ยาเฮงซวยนั่นก็ไม่ได้ยื่นยาให้ฮาจุนด้วยจุดประสงค์อะไร แค่นั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจแล้ว

โชคดีที่เขาเจอฮาจุนก่อนที่ใครคนอื่นจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกลายเป็นแบบนี้ จะมีประโยชน์อะไรที่ต้องมาเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอคือการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

“มานี่สิ”

เมื่อเปิดหน้าต่างระเบียง มูคยอมกลับเข้าไปในห้องโถงโดยประคองไหล่ของฮาจุนเอาไว้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำอะไรในที่ตรงนี้ได้เลย เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าใครจะเปิดหน้าต่างออกมาเมื่อไหร่

“โอ๊ะ คิม ตามหาตั้งนานเลยค่ะ เรื่องเป็นทูตรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด…”

“ผมเห็นด้วยกับจุดประสงค์ครับ แต่ไว้คุยกันคราวหน้านะครับ ตอนนี้ผมยุ่งน่ะครับ”

มูคยอมปฏิเสธผู้คนที่รั้งเขาเอาไว้อย่างสุภาพและก้าวต่อไปข้างหน้า เขาเปิดประตูหลังที่เชื่อมจากห้องโถงไปยังสวน

การขึ้นไปบนชั้นสองที่มีห้องรับแขกนั้นก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้เต็มไปด้วยแขกที่มาเยี่ยมเยียนเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ หลายอย่าง แถมยังมีพวกนักข่าวในห้องโถงอีกด้วย เขาพาฮาจุนที่ตกอยู่ในสภาพนี้ไปที่สวนดีกว่าไปเคาะประตูเพื่อหาห้องว่าง

สวนในยามค่ำคืนนั้นถูกปิดกั้นเอาไว้ นอกจากนั้น แน่นอนว่าในสวนที่สวยงามแห่งนี้ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับการพักผ่อนหรือสนุกสนานไปกับการนินทาผู้อื่นเบาๆ ในระหว่างที่เพลิดเพลินกับการเดินเล่น

ก่อนเข้าไปในสวน มูคยอมมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยเขาขอให้อีกฝ่ายไม่เข้าไปใกล้เรือนกระจกทางทิศตะวันตก และเขาไม่ลืมที่จะจ่ายทิปให้อีกฝ่ายด้วย

“ทางนี้”

มูคยอมแทรกเข้าไปในเงาร่มไม้เพื่อปลอบฮาจุนที่ตอนนี้น้ำตาเริ่มไหลแล้ว ถึงแม้จะอยากเริ่มทำทันทีเพราะว่าเขาเองต้องการเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ มูคยอมจุมพิตที่แก้มและหน้าผากของฮาจุนเป็นระยะๆ เขาอาศัยความรู้สึกและความทรงจำเกี่ยวกับเส้นทางที่เขาเคยเดินเข้ามาเมื่อครั้งก่อนๆ

โชคดีที่เขาไม่หลงทางและพบเรือนกระจกที่ซ่อนอยู่ในสวนยามค่ำคืน เขาเกรงว่ามันอาจจะล็อค แต่โชคดีที่มันเปิดอยู่ ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ จะรีบขึ้นไปหาห้องว่าง เพราะที่นี่ไม่มีทั้งแขกหรือผู้เยี่ยมเยียนคนอื่นมาก่อนหน้าพวกเขา

ห้องนี้จะค่อนข้างร้อนในตอนกลางวัน แต่ตอนนี้มันกลับอุ่นพอดีเนื่องจากความร้อนได้ลดลงในตอนกลางคืน มูคยอมพาฮาจุนเข้าไปด้านในเรือนกระจก ทันทีที่ล็อกประตูที่ปิดอยู่ เขาก็ผลักฮาจุนไปที่ประตูและประกบริมฝีปากทันที

“อื้ออ…!”

ขณะที่ค่อยๆ ถูไถริมฝีปากเข้าหากัน ลิ้นของฮาจุนก็ยื่นออกมาจากริมฝีปากอย่างเร่งรีบ ราวกับร้องขอให้เขารีบๆ ดูดมันเสีย ร่างกายของมูคยอมร้อนขึ้นราวกับเตาหลอมเหล็กในพริบตา

“นายอยู่เฉยๆ”

แต่มูคยอมนั้นต้องการที่จะเอาแต่ใจตัวเองสักหน่อย เขาเข้าใจสถานการณ์อันยากลำบากของฮาจุนแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อปลอบใจตนเองที่มันว่างเปล่าจากการที่อีกฝ่ายลุกจากที่นั่งโดยไม่บอกกล่าวสักคำ หรือแม้กระทั่งที่อีกฝ่ายรับยาจากคนแปลกหน้ามาสูบ

คิ้วของฮาจุนย่นลงราวกับว่ารู้สึกถึงความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างของมูคยอมกับของตนเอง ฮาจุนน้ำตาไหลเอ่อออกมาและมองขึ้นไปยังมูคยอมด้วยตาเปียกชื้นแล้วส่งเสียงร้องไห้ออกมา

“ฮ๊าา คิมมูคยอม ขอร้อง…”

“ขอร้องอะไรเหรอ”

“…จูบหน่อย….”

ฮาจุนไม่ได้ต้องการแค่จูบ แต่อีกฝ่ายไม่สามารถขออะไรอย่างอื่นได้ในทันทีเพราะยังเขินอายอยู่ และฮาจุนก็เป็นฝ่ายดึงมูคยอมเข้ามากอดก่อน อีกฝ่ายคลำหาส่วนเว้าส่วนโค้งบนแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ผ่านเสื้อผ้าราวกับไม่มีสติ มูคยอมหัวเราะคิกคักโดยไม่รู้ตัวและเลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ๆ อีกครั้ง

ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ประกบกันนั้นอุ่นขึ้นเพราะร่างกายอันเร่าร้อนที่แนบชิดกัน ฮาจุนดูเหมือนจะสังเกตเห็นบรรยากาศที่ไม่ราบรื่นของมูคยอม ฮาจุนรอด้วยปากที่อ้าออกอยู่เล็กน้อย โดยไม่แลบลิ้นหรือแสดงท่าทางเร่งรีบเหมือนเมื่อครู่ มูคยอมยิ้มกว้าง

เห้อ น่ารักจัง ใจอ่อนเลย

“อ๊ะ อื้ออ ฮื่ออ!”

เมื่อมูคยอมกอดฮาจุนไว้แน่นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวและสอดลิ้นลึกลงไปในโพรงปาก อีกฝ่ายก็ตัวสั่นและส่งเสียงครวญครางออกมา สงสัยคงจะรู้สึกดี เพราะฮาจุนเอาแต่อ้าปากกว้างเหมือนกับตอนที่ใช้ปากเลย มูคยอมคิดว่าอีฮาจุนชอบจูบที่นุ่มนวลมากกว่า แต่เมื่อเห็นเขาแนบตัวติดขนาดนี้ สงสัยว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่คิด

ลึกเท่าที่ต้องการ เขาใช้ฝ่ามือดึงรั้งด้านหลังศีรษะของฮาจุนเอาไว้ แลบลิ้นออกมาจนเกือบสุดปลาย และลูบไล้ราวกับว่าจะสอดมันเข้าไปในโพรงปาก ทันทีที่ครูดเน้นย้ำเพดานปากที่อยู่ส่วนลึกเข้าไปด้วยปลายลิ้น ร่างกายที่ยืนอยู่ระหว่างประตูและมูคยอมก็สั่นเบาๆ ราวกับถึงจุดสุดยอดแล้ว

มูคยอมแตะเข้าที่ชุดท่อนล่างของฮาจุนที่ซ่อนอยู่ในชุดทักซิโด้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่อย่างอ่อนน้อม รู้สึกถึงการแข็งตัวที่เห็นได้ชัดอย่างเต็มไม้เต็มมือ แม้ว่าเขาจะสัมผัสมันบนเสื้อผ้า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ และการหายใจของฮาจุนก็เร็วขึ้น เสียงครวญครางผสมกับลมหายใจออกทำให้มูคยอมจักจี้ที่ใบหูจากเสียงที่ไม่สม่ำเสมอและเปียกชื้น

“ฮ๊าา อื้อ อ๊า…!”

มูคยอมพยายามที่จะควบคุมตัวเอง แต่ร่างกายของเขาเองก็จมดิ่งลงไปในความต้องการอย่างรวดเร็ว เขากัดริมฝีปากเล็กน้อย และเช็ดเยื่อเมือกด้านในของทั้งริมฝีปากบนและล่างด้วยลิ้น เมื่อฟันสัมผัสกับเยื่อเมือก ฮาจุนก็ครางดังขึ้นอีก ส่วนล่างที่มือของเขายังคงสัมผัสอยู่นั้นดูเหมือนว่ามันจะแน่นตึงขึ้นไปอีก ถ้าขืนเป็นแบบนี้มันก็แค่จูบแล้วก็จบไม่ใช่เหรอ

มูคยอมพินิจพิจารณาเรือนกระจกด้วยดวงตา มันเป็นพื้นที่กว้างขวาง หรูหรา มีเพดานสูงที่เข้ากับขนาดของคฤหาสน์ ผนังด้านหนึ่งทำจากกระจกบานกว้าง

น่าเสียดายที่เพราะจุดประสงค์ของสถานที่แห่งนี้ ทำให้มันไม่มีเตียง แต่โซฟาที่ค่อนข้างยาวและโต๊ะที่ดูมีน้ำหนักนั้นดูเหมือนจะเพียงพอที่จะใช้แทนเตียงได้

ถ้าเป็นสถานที่ที่แขกไม่ควรเข้ามาจริงๆ ก็คงไม่ยอมเปิดในวันที่มีงานปาร์ตี้แบบนี้หรอก พูดได้เลยว่ามันเป็นเรื่องที่ได้รับการอนุมัติจากเจ้าของคฤหาสน์แล้ว

มูคยอมที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปทางไหนดีก็เดินไปยังโต๊ะพร้อมกับกอด

ฮาจุนเอาไว้ ในระหว่างนั้น การจูบก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่สะดุด ขณะที่ประคองหลังฮาจุน เขาก็โค้งตัวลงและวางฮาจุนลงบนโต๊ะโดยไม่ผละริมฝีปากออกมา

จากนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่สับสนของอีกฝ่ายก็ช้อนมองขึ้นไปที่มูคยอม

“ไม่พอเหรอ”

“อะ อื้อ…”

“เราไม่สามารถเอาแต่จูบกันได้ตลอดทั้งคืนหรอก นี่ไม่ใช่บ้านเราสักหน่อย”

‘นี่ไม่ใช่บ้านเราสักหน่อย’ ฮาจุนหรี่ตาลงราวกับว่ารู้สึกอายกับคำพูดเหล่านั้น อีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจสภาพของตัวเอง สีหน้าที่ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า จู่ๆ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ในงานปาร์ตี้ที่มีผู้คนมารวมตัวกัน

มูคยอมปลดกระดุมกางเกงของฮาจุนอย่างรวดเร็ว พอลองคิดดูแล้ว ตอนที่อยู่ที่โซลมีครั้งหนึ่งที่เขาเคยเกือบจะมีอะไรกับฮาจุนในชุดสูทสักรอบ แต่ก็ดันหยุดไปเสียก่อน ตอนนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาพของฮาจุนที่ห้อยติดกับร่างกายของเขานั้นไม่ได้ดีเท่าไร เขาเลยรู้สึกสนุกอยู่คนเดียวและสอดดันเข้าไป

เขาหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต

เมื่อถอดกางเกงออกหมดแล้ว ขาเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายที่ขาวซีดก็เปล่งประกายท่ามกลางแสงจากสวนที่สาดส่องเข้า สายรัดถุงเท้าสีดำที่พันรอบน่องนั้นโดดเด่นจากทัศนวิสัยเป็นพิเศษ เมื่ออีกฝ่ายสวมแค่กางเกงใน แกนกายที่แข็งตัวของอีกฝ่ายก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก

“วันนี้ลูกวัวของฉันเกิดอาการติดสัดนะเนี่ย”

มูคยอมที่ถอดแจ็กเก็ตของตัวเองออกแย้มรอยยิ้มและเลื่อนริมฝีปากไปบนกางเกงใน

“ฮ๊ะ ฮ๊าา!”

และดวงตาของมูคยอมก็เบิกกว้างทันที

ทันทีที่เขากดแกนกายที่แข็งตัวแล้วลูบบริเวณส่วนหัวแกนกายของอีกฝ่ายด้วยลิ้น ทันใดนั้น จู่ๆ ร่างของฮาจุนก็ขยับขึ้นลง และในชั่วพริบตาชายเสื้อของอีกฝ่ายก็เริ่มเปียกทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไร

“อ๊ะ อ้าา อ๊า…!”

“ไม่สิ… ฉันไม่ทันจะได้ทำอะไรเลยนะ”

อีกฝ่ายชูชันมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว มันจึงเป็นการหลั่งน้ำอสุจิออกมาหลังจากที่อดทนแล้วอดทนเล่า มูคยอมดึงกางเกงในลง น้ำอสุจิของฮาจุนที่เพิ่งหลั่งไหลออกมานั้นไหลออกมาและติดอยู่อย่างเหนียวเหนอะหนะ

กางเกงในถูกถอดออกจากใต้ข้อเท้า เขาใช้ลิ้นของเขาเลียแกนกายที่ยังคงตั้งชูชันซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น

“แล้วนายกลั้นไว้ได้ยังไงตอนที่เราจูบกัน”

“อ๊า! อ๊ะ อ้า ฉันกลัวว่าจะต้องทิ้งกางเกง…”

“เพราะนายกลัวการสัมผัส… ก็คงจะทำไม่ได้แล้วละ”

ขณะที่พูดอย่างนั้น มูคยอมก็ไม่ลังเลที่จะแลบลิ้นออกมาและเช็ดแกนกายที่เปียกสิ่งนั้นออกอย่างขยันขันแข็ง ตรงขาหนีบยังคงเหลือรอยจูบที่เขาได้ประทับไว้เมื่อวานนี้

เขาวางริมฝีปากของเขาบนร่องรอยนั้นแล้วดูดมันราวกับว่าจะแกะสลักลวดลายที่หายไปแล้วให้กลับมาอีกครั้ง เมื่อสะโพกของอีกฝ่ายขึ้นไปอยู่บนโต๊ะ หน้าแข้งและปลายนิ้วก็มีแรงยืดออกไปกลางอากาศ

ทุกครั้งที่เขาขยับริมฝีปากทีละเล็กทีละน้อยเพื่อสร้างรอยจูบอันใหม่

เสียงครวญครางที่กระตุ้นอารมณ์ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของมูคยอม กระดูกเชิงกรานและเอวที่เขาประคองไว้ก็ดิ้นพล่านไปมา

เขาถอดแจ็กเก็ตของฮาจุนและปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด เผยให้เห็นเนื้อใต้ร่มผ้าที่เย้ายวนผ่านปกเสื้อที่เปิดออก เขาไม่สามารถรอจนกว่าจะปลดกระดุมออกจนหมดได้ มูคยอมเอามือล้วงเข้าไปในช่องนั้น แล้วจับยอดถันแล้วนวดเคล้นผิวเปลือย ทำแค่นั้น ฮาจุนก็ตัวสั่นแล้วเกร็งต้นขาด้านในเพื่อรวบขาของตนเองให้เข้ามาชิดกัน

“ฮื่อ อ้า อะไรน่ะ อะไรกัน… ทำไมวันนี้ฉัน… ฉันถึงเป็นแบบนี้…”

“ไม่รู้สิ ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ”

มูคยอมแลบลิ้นออกมาเลียลากยาวไปบนใบหู ฮาจุนหันศีรษะหลีกหนีจากลิ้นราวกับว่าการกระตุ้นนั้นมันมากเกินไป

“แล้วโค้ชล่ะคิดว่าไง”

“ฮึก มะ ไม่รู้… อะอ๊า!”

มูคยอมยกขาที่ห้อยอยู่ใต้โต๊ะของอีกฝ่ายพาดไว้เหนือไหล่ของเขาและเอามือของไขว้ไปด้านหลังทันที เพียงแค่สัมผัสมือของฮาจุน ช่องทางเข้าก็กระตุ้นโดยการกระตุกและขมิบแน่นขึ้น

มูคยอมขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถใช้เป็นสารหล่อลื่นได้

เขาควรจะเอาน้ำมันจากห้องโถงมาด้วย

ขณะที่เขาถูที่ช่องทางเข้าและครุ่นคิดถึงความผิดพลาดอยู่ในใจนั้น ฮาจุนก็สั่นสะโพกร้องครวญคราง

“ฮู่ อ้า คิมมูคยอม ทำให้หน่อย…”

“ทำให้งั้นเหรอ ทำอะไร”

“ฮึก ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย…”

“ถ้าใส่เข้าไปตอนนี้นายจะเจ็บ”

ฮาจุนส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ฮึก อ้า ฉันโอเค ขอร้องละ…”

“ทั้งๆ ที่นายเสร็จไปแล้วหนึ่งรอบน่ะนะ”

ไม่เป็นไรได้ยังไงกัน มูคยอมถอนหายใจอย่างเป็นกังวล ก่อนที่จะลงมายังสวนนั้นเขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าด้านหน้ามันแข็งขึ้นมาแล้ว

แต่เวลาที่ฮาจุนตื่นเต้นมากเกินไปแบบนี้เขาจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

มีบางครั้งที่มันรุนแรงกว่าที่เห็น ดังนั้นเขาจึงสามารถโน้มน้าวตัวเองในขณะที่รีบร้อนได้ อีกฝ่ายอาจจะบาดเจ็บก็ได้ถ้าในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ถูกอารมณ์ครอบงำ…

“ฉัน ฉันจะขยายช่องทางเอง”

“ช่างเถอะ”

ระหว่างที่กำลังขบคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นฮาจุนเอามือไปที่ช่องระหว่างบั้นท้าย มูคยอมจึงรีบจับข้อมือของอีกฝ่ายขึ้นมา

“ถ้าเป็นแบบนี้ นายได้เลือดเลยนะ”

มูคยอมวางนิ้วไว้บนริมฝีปากของฮาจุน

“ทำให้เปียกสิ”

แล้วก็อ้าปากทันที เพราะรสจูบเมื่อครู่นี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปาก อีกฝ่ายจึงค่อยๆ ดูดนิ้วกลางและนิ้วนางเข้าไป เนื้อด้านในก็เปียกชุ่มและอุ่นขึ้น

ปกติแล้วในปากของฮาจุนมักจะไวต่อความรู้สึก ตอนแรกอีกฝ่ายก็ดูดจนเกิดเสียงดัง ทั้งม้วนลิ้นและทั้งเลียนิ้ว แต่ไม่นานนักก็อ้าปากค้างไว้แล้วดวงตาก็คลอไปด้วยน้ำตา ฮาจุนไม่สามารถขยับลิ้นได้อย่างที่ควรจะทำ เพราะคงรู้สึกเกินเรี่ยวแรงเมื่อนิ้วที่ทั้งหนาและยาวสองนิ้วถูเข้าไปข้างในโพรงปาก

“เลียดีๆ สิ หยุดทำไม”

“อะอื้อ ฮื่อ อื้อ…!”

มูคยอมยิ้มพลางขยับนิ้วไปมา เขาค่อยๆ แทงเข้าไปในปากของอีกฝ่าย

ลิ้นที่ไวต่อความรู้สึกสั่นและน้ำลายใสก็ไหลออกมาจากริมฝีปาก

ไม่ใช่สิ่งนี้…สิ่งที่เติมเต็มมากกว่านี้ จู่ๆ ฮาจุนก็คิดอย่างนั้นด้วยหัวที่ว่างเปล่า และเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจกับตัวเอง

มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้แต่การแสดงออกบนใบหน้าของอีกฝ่ายในขณะที่เขาควานในปากก็แสดงถึงความปรารถนาอันแรงกล้าออกมา เขาโน้มตัวลงมาราวกับอ่านความคิดของฮาจุนออก ฮาจุนรับความเจ็บปวดที่เข้ามาบดจูบที่ราวกับการกดลงอย่างแรงโดยไม่พูดอะไรสักคำ อีกฝ่ายรู้สึกได้ว่ามูคยอมปล่อยมือและปลดกางเกงด้านหน้าของตนเองออก

มูคยอมวางเข่าไว้บนโต๊ะและขึ้นมาด้านบนอย่างพรวดพราด ลำกายหนาอันแจ่มชัดเข้ามาใกล้ตรงด้านหน้าของใบหน้าของฮาจุน

มูคยอมไม่ได้บังคับสอดใส่หรือถูแกนกายเข้าไปในปากของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ฮาจุนก็อ้าปากของตนเองออกก่อนที่มูคยอมจะพูดอะไร

“อื้อ อึ้ก…!”

ฮาจุนครวญครางกับน้ำหนักที่กดทับลิ้นที่สั่นไหวและจังหวะที่มันบิดตัวไปมาด้านในช่องปากจนแตะทั่วทั้งเยื่อเมือก

มูคยอมที่บางครั้งมักจะสอดใส่ของตนเองไปจนถึงช่องคอนั้น วันนี้กลับควงเอวอย่างช้าๆ และสั้นๆ แต่คนที่ร้อนใจกลับกลายเป็นฮาจุน แค่นอนอยู่เฉยๆ แล้วรับแกนกายที่ทิ่มเข้าไปในปากก็คงจะเหนื่อยแล้ว แต่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นแล้วพยายามที่จะกลืนของมูคยอมให้เข้าไปลึกกว่าเดิม

มูคยอมครางออกมา ไม่สิ มันเหมือนหัวเราะมากกว่า เขากดเอวของเขาช้าๆ ส่วนหัวแกนกายที่อยู่ด้านในของริมฝีปากครูดผิวที่บอบบางในปากและลื่นไถลไปอย่างช้าๆ ทันทีที่ส่วนหัวหนากวาดไปทั่วเพดานปากและดันเข้าไปจนถึงช่องคอ ร่างของฮาจุนที่นอนอยู่บนโต๊ะก็กระเพื่อมขึ้นและลงเบาๆ

มูคยอมไม่ได้ควงเอวในปากของอีกฝ่ายตามปกติอย่างที่เคยทำ เขาดึงสิ่งที่เขาสอดใส่เข้าไปในปากออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฮ๊า แฮ่ก อ้าา”

ริมฝีปากที่เป็นอิสระของฮาจุนส่งเสียงครางออกมาราวกับร้องไห้ มูคยอมกอดแล้วลูบหัวอีกฝ่าย

“โอเคไหม”

“ฮ๊าา อื้อ…อื้อ”

ฮาจุนพยักหน้า คว้าไหล่ของมูคยอมแล้วบิดตัวไปมา มูคยอมที่รู้ว่าอีกฝ่ายหลั่งออกมาอีกครั้งโดยได้รับการกระตุ้นจากการกระทำสั้นๆ ในปากและลำคอถอนหายใจสองสามครั้ง ราวกับพยายามทำให้ความพลุ่งพล่านสงบลง

มูคยอมที่ลงจากโต๊ะแล้วทำให้นิ้วของตนเองเปียกชุ่มไปด้วยน้ำอสุจิที่ฮาจุนหลั่งออกมา ทันทีที่นิ้วอันเปียกชื้นแตะเข้าที่ช่องทางด้านหลัง ฮาจุนก็กัดฟันแน่นและเอียงคอ เพราะการสัมผัสนี้มันทำให้อีกฝ่ายไวต่อความรู้สึกยิ่งกว่าการกระทำเมื่อครู่ รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูคยอม ขณะที่ดันนิ้วกลางและนิ้วนางเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย เขาก็พูดกับตัวเอง

“ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหัวเสียที่โดนไอ้พวกไร้มารยาทพวกนั้นหลอก… แต่ก็มีอารมณ์เลยแฮะ”

“ฮื่อ อื้อ อ๊าา…อ้าา!”

ทันทีที่นิ้วไถเข้ามา ความรู้สึกของความเสียวซ่านก็ไหลผ่านร่างกายของ

ฮาจุนราวกับกระแสไฟฟ้า อีกฝ่ายครางอย่างไร้สติราวกับว่ากำลังโยกขยับเอวไปมาด้วยตนเองจนถึงขีดสุด แม้ว่าเขาจะไม่ได้กดตรงที่รู้สึก หรือขยับไปมา หรือควานเข้าไปข้างในก็ตาม

ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะสั้นๆ ของมูคยอม แต่แทนที่ใส่ใจกับความอับอาย ตอนนี้อีกฝ่ายต้องการที่จะแก้ปัญหาความต้องการแปลกๆ ที่กำลังแผดเผาร่างกายอยู่

นิ้วของมูคยอมขยับอย่างช้าๆ และถูเยื่อเมือกที่ร้อนขึ้นไปทุกทิศทุกทาง น้ำตาไหลเอ่อออกมาเมื่อรู้สึกได้ว่านิ้วสัมผัสไปทั่วทั้งด้านในของร่างกาย มืออีกข้างของมูคยอมลูบเหนือแก้มของฮาจุนที่กะพริบตาปริบๆ อย่างเบามือ

“ฮาจุน อีฮาจุน”

“อื้อ อะ อื้อ”

“วันนี้ร่างกายของนายหอมหวานมาก เพราะงั้นตอนนี้ช่องทางนายก็คลายแล้ว ดูเหมือนว่าจะใส่เข้าไปได้แล้วนะ”

“ถ้างั้น ฮ๊าา เร็วเข้า…”

“งั้นก็ลองพูดอีกครั้งสิ ว่านายอยากให้ฉันทำอะไร”

ฮาจุนจ้องมองมูคยอมด้วยความสับสน เขายังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอย่างเคย เด็กน้อยที่มีความซุกซนเล็กน้อย พูดตรงๆ ก็คือ ใบหน้าที่พยายามอดกลั้นความปรารถนาที่กำลังแผดเผา

อย่างไรก็ตาม ฮาจุนรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหนักใจ ตอนนี้ฮาจุนควบคุมตัวเองไม่ได้จนจะบ้าอยู่แล้ว แต่คิมมูคยอมดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น

“เราเคยคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ ว่าต่อไปเราจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา”

“อะ อะไร….”

“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้”

มูคยอมกดแกนกายที่ช่องทางเข้าแล้วถูไถมัน

“เฮือก!”

ช่องทางเข้าที่ร้อนจนได้ที่นั้นรู้สึกได้ถึงเนื้อสัมผัสและความเทอะทะของสิ่งที่มันต้องการ เมื่อสลัดความวุ่นวายที่ทำให้ความสุขลดลงออกไป พื้นที่ว่างภายในร่างกายก็สั่นเทิ้ม

ความรู้สึกเหมือนร่างกายขอร้องให้ช่วยเติมเต็มเร็วๆ ช่วยทิ่มถูข้างในให้เหมือนกับตอนปกติมันชัดเจนมากๆ ฮาจุนกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากเมาแชมเปญเพียงสองสามแก้ว ก็คงจะขาดสติไปแล้วสิ แต่ทำไมมันถึงไม่สมเหตุ

สมผลเลยที่ต้องมารู้สึกเขินอายที่ร่างกายยังคงมีสติตอบสนองอยู่แบบนี้

ในระหว่างที่อีกฝ่ายไม่สามารถตอบคำถามเขาได้พร้อมกับเผยอริมฝีปากออกมานั้น มูคยอมก็ถูแกนกายขึ้นลงๆ เหนือช่องทางเข้า ของเหลวในร่างกายที่ทำให้ช่องด้านหลังเปียกชุ่มก็เปรอะเปื้อนที่แกนกายด้วย มันจึงทำให้เกิดเสียงชื้นๆ ขึ้นมาเล็กน้อย การเคลื่อนไหวมันทำให้ช่องทางเข้าดูเหมือนเป็นปาก

รุ่มร้อนจนเหมือนกับว่าร่างกายนั้นจะระเบิดออกมา ฮาจุนที่ครางจนเหมือนว่าน้ำลายไหลลงมาที่ริมฝีปากนั้นไม่สามารถทนได้อีกต่อไป อีกฝ่ายน้ำตาจะไหลและเอ่ยปากออกมา

“ฮือ ฮึก ใส่เข้ามาหน่อย…”

“ใส่อะไร”

“อันนั้นของนาย…”

“เคยสัญญากันไว้แล้วไง ต้องระบุ บอกให้ชัดเจน”

ส่วนหัวแกนกายหนากดทางเข้าออกแน่นราวกับว่ากำลังจะเข้ามา ลมหายใจของฮาจุนหอบถี่

“อ้าๆ ฮ๊าาา…!”

“เร็วเข้า ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ ตอนนี้พวกเรากำลังเสียมารยาทอยู่ ต้องรีบทำแล้วรีบไปสิ”

มูคยอมคว้ามือทั้งสองข้างของฮาจุนที่กำลังจับขาของเขาอยู่ออกไปไว้ด้านล่าง น่องสัมผัสเข้าที่ไหล่ของมูคยอม

ในท้ายที่สุด ฮาจุนที่ใบหน้าแดงก่ำขึ้นนั้นสะอึกสะอื้นเอ่ยคำตอบตามที่

มูคยอมร้องขอ

“อึก ควย…ของนาย…”

“อื้อ”

“ใส่มัน…เข้ามาหน่อย….”

มูคยอมขบกรามแน่น กล้ามเนื้อที่ลำคอตั้งตรงขึ้นมา มองเห็นเงากระดูกไหล่และกล้ามเนื้อด้านหลังที่อยู่ราวๆ ทรวงอกเต้นตุบๆ พาดผ่านเชิ้ตขาวอย่างทะลุปรุโปร่ง

มูคยอมดันสะโพกเข้าไปหลังจากที่ฮาจุนพูดจบ สิ่งที่เหมือนไม้กระบอง

ที่ชูชันตั้งตรงราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดได้เลื่อนไปเติมเต็มร่างกายอันเร่าร้อน

“……!”

แม้ว่าจะขอร้องให้ใส่มันเข้าไป แต่ฮาจุนก็เอียงศีรษะไปด้านหลังและไม่สามารถส่งเสียงออกไปดีๆ ได้เลย ทำได้เพียงแค่อ้าปากและขากรรไกรบนที่สั่นเทิ้มอย่างเงียบๆ น้ำตาที่ไหลออกมาก่อนหน้านี้ก็ไหลยาวจนผมด้านข้างเปียกชุ่ม

การสอดใส่เข้าไปครั้งแรกโดยการบังคับให้ผนังด้านในที่แคบๆ เปิดออกมักจะทำให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงระหว่างความเจ็บปวดและความสุข แต่ในวันนี้มันไม่มีอะไรให้เทียบได้เลยกับสถานการณ์ปกติ เมื่อส่วนหัวหนาเข้าไปในทางเข้าที่ละเอียดอ่อนและส่วนลำกายดันเข้าไปในร่างกาย ดูเหมือนว่าเส้นประสาทในร่างกายจะลุกเป็นไฟ มันเสียวซ่านไปจนทั่วทั้งร่าง

ฮาจุนหายใจลำบากเมื่อรู้สึกถึงเส้นเลือดบนลำแกนกายครูดผนังด้านในชัดมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยทำมา ฮาจุนไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว หรือแม้แต่การครวญครางเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

“อื้ออ…”

มูคยอมที่ค่อยๆ ดันแกนกายเข้าไปจนสุดนั้นสูดลมหายใจที่เคยกลั้นเอาไว้ มันแตกต่างจากตอนปกติอย่างแน่นอน แม้ว่าร่างกายของฮาจุนจะดีที่สุดเสมอ แต่เห็นได้ชัดว่าวันนี้ผนังด้านในกำลังร้อนรุ่มเพื่อไล่ตามความสุขอันซาบซ่านอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่าเคย

“อ๊ะ อ้าา อื้อ… ฮื่อ…”

เมื่อมูคยอมหยุดการเคลื่อนไหว ฮาจุนเองก็รีบผ่อนหายใจที่ค้างไว้ทันที

อีกฝ่ายหายใจอย่างเร่งรีบและหอบถี่ราวกับคนเพิ่งหายจากอาการสำลัก

มูคยอมรอจนกว่าฮาจุนจะสงบลง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้า แล้วในครั้งนี้เขาได้ถอนสะโพกถอยกลับออกไป ผนังด้านในกระชับลำกายที่กำลังจะหลุดออกไปให้แน่นยิ่งขึ้น เยื่อเมือกที่บวมนั้นถูกปัดผ่านไปอย่างเบาๆ

ทันใดนั้นเองฮาจุนก็ตกใจและส่ายหน้า

“ฮ๊าา มะ มะ ไม่ได้ ฮื่อ ไม่ได้…”

“ไม่ได้เหรอ ฮ่าา อะไรที่ไม่ได้”

“ถ้าขยับ อ๊ะ อย่าขยับ ฮื่อ อื้อ!”

“ขอให้เสียบเข้าไปเมื่อไหร่ ถ้าไม่ขยับแล้วจะมีเซ็กส์ได้ยังไง”

“อ๊ะ… ฮ๊าา ไม่ได้ อ้าา! อะอ๊า!”

มูคยอมค่อยๆ ผลักและถอยเอวของเขาไปมาโดยไม่ถ่วงเวลาราวกับกำลังถามอีกฝ่ายว่าพูดอะไรของนายกัน คำพูดอันน่าอายของฮาจุนที่บอกว่าอย่าขยับ แต่ช่องทางด้านหลังนั้นค่อนข้างนุ่มกว่าปกติ ดังนั้นมันจึงคลายออกได้อย่างพอดิบพอดีเมื่อใช้แรงกระแทก และเมื่อถอนแกนกายออกมา มันก็โอบรัดลำกายให้แน่นแล้วตอดรัดอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากร่างกายไม่ตอบสนองต่ออาการเจ็บปวด การกระแทกจึงค่อยๆ เร็วขึ้น

มูคยอมหายใจถี่ขึ้นเพื่อปรับจังหวะให้มันประสานเข้ากับความเร็วในการกระแทก ด้านในที่ตอดรัดราวกับขบกัดแกนกายนั้นก็ดีเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย และภาพที่เห็นมันก็ทำให้น่าตื่นเต้นจนเกินไปอีกด้วย แม้ว่าจะถอดแจ็กเก็ตออกแล้วก็ตาม แต่เสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมออกอย่างลวกๆ ยังคงสวมอยู่บนร่างกายของฮาจุน

สายรัดถุงเท้าสีดำที่รัดไว้เหนือน่องสีขาวนวลที่สวมเอาไว้แบบน่าอึดอัดเพราะเพิ่งเคยใส่อะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกเซ็กซี่มากขึ้นเช่นกัน เขาไม่ได้ให้เป็นของขวัญเพราะคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นนะ ขณะที่มูคยอมเลียเข่า

ที่สั่นเทาใกล้ใบหน้านั้นช่องทางด้านในของอีกฝ่ายก็ตอดรัดมากยิ่งขึ้น

ทุกครั้งที่มูคยอมกระแทกเอว ร่างกายของฮาจุนก็จะบิดไปมา มูคยอมปล่อยข้อมือที่ยึดเอาไว้ แล้วดึงต้นขาของฮาจุนให้ชิดกับหน้าอกของตนเอง เขาคว้าข้อเท้า แบะขาของอีกฝ่ายออกจากกัน แล้วดันเข้าไปข้างในให้ลึกยิ่งกว่าเคย ฮาจุนกรีดร้องขณะที่ส่ายหัวไปมาพร้อมกับกัดริมฝีปาก

“อื้อออ ฮ๊าาา ฮึก…!”

ฮาจุนจงใจกลั้นเสียงคราง ราวกับว่าต้องการปิดกั้นความสุขอันเปี่ยมล้นนี้ถึงแม้ว่าจะทำได้เพียงแค่น้อยนิดก็ตาม และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจที่ทำให้ใบหน้าร้อนขึ้นจนแดงก่ำหรือร่างกายที่กระตุกไปมา แต่ดอกไม้แดงๆ ที่เบ่งบานอยู่ทุกหนแห่งบนร่างกายนั้นก็แสดงให้เห็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่อีกฝ่ายรู้สึกแล้ว

เสียวซ่าน

มูคยอมโน้มตัวลงไปกอดร่างกายที่สั่นเทา ขาที่ยังวางอยู่บนไหล่ของมูคยอมนั้นมันจึงเอียงตามไปด้วย ฮาจุนจึงต้องอ้ารับมูคยอมจนร่างกายแทบจะถูกพับครึ่ง เมื่อพวกเขาแนบเข้าหาให้ชิดกันจนมันกดลงไปยังบริเวณลึกๆ ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พอถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เสียงครางของฮาจุนก็ปะปนไปกับเสียงอื่น

ในตอนแรกเขาสงสัยว่าตนเองได้ยินผิดหรือเปล่า มูคยอมจึงโยกเอวต่อไปอย่างช้าๆ เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้คิดไปเองจึงลุกขึ้นมา

“…ทำไม มีอะไรสนุกขนาดนั้นเหรอ”

ฮาจุนกำลังยิ้ม

มูคยอมดันสะโพกเข้าไปแตะผนังด้านในอย่างแรง เมื่อเขาออกแรงกด ร่างกายของฮาจุนก็สั่นและส่งเสียงร้องครางออกมา แต่เมื่อเขาถอยสะโพกกลับออกไปฮาจุนก็หัวเราะคิกคักทันที

แก้มแดงระเรื่อและดวงตาที่เปียกชื้นจากความตื่นเต้นของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายกำลังสุกงอมจากความกำหนัด ฮาจุนเอามือปิดปากตนเองไว้และหัวเราะคิกคักเหมือนกับว่าทนไม่ไหว มูคยอมขมวดคิ้วเบาๆ พลางจงใจกระแทกเอวเข้าไปอย่างรุนแรง

“หัวเราะทำไม”

“อ๊า! ฮึก…!”

ขณะที่แกนกายถูกสอดเข้าไปในท้องจนลึก ฮาจุนก็ร้องครางและขยับร่างกายไปมา แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ทันทีที่มูคยอมถอนสะโพกไปด้านหลัง

อีกฝ่ายก็เริ่มหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“เป็นอะไร เจออะไรที่มันน่าทึ่งอีกแล้วเหรอ”

“ฮื่อ ไม่ ก็มันดี…”

“ดีเหรอ อะไร”

“รู้สึกดี… ตอนที่นายขยับอยู่ข้างในนั้นมันเหมือนจะจั๊กจี้น่ะ…ดีจังเลย…”

เหอะ เมื่อพูดเช่นนั้น คราวนี้มูคยอมควงกระดูกเชิงกรานเบาๆ แล้วแสร้งทำเป็นหัวเราะ

“เพราะว่ารู้สึกดีเลยหัวเราะออกมางั้นเหรอ”

“อื้อ ฮื่อ ฮ่าๆ จะ จั๊กจี้”

“วันนี้น่ารักมากเลยแฮะ ลูกวัวของฉัน พอฉันกระแทกนายก็เอาแต่หัวเราะแล้วก็บอกว่าจั๊กจี้”

มือของมูคยอมตบเบาๆ ที่แก้มของฮาจุน ฮาจุนจับที่มือนั้นแล้วใช้มันถูไถแก้มของตนเอง

“อะ อื้อ คิมมูคยอม… ชอบจัง ชอบมากเลย”

“ชอบที่ฉันควงเอวเหรอ”

“ไม่ ฉันบอกว่าฉันชอบนาย มูคยอม”

จากคำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของมูคยอม

“พูดอีกทีหน่อย”

“ฉันชอบนาย…”

มูคยอมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

“ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน จริงๆ นะ… ชอบจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

มูคยอมวางมือลงบนแก้มทั้งสองข้างของฮาจุน เขาจูบไล่ตามสายตาไปเรื่อยๆ และจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากันนิ่งๆ ช่องว่างระหว่างคิ้วแคบลงตามรอยยิ้ม

“น่ารักดีนะ แต่… ฉันหงุดหงิดนิดหน่อยที่คิดว่ามันเป็นเพราะยาจากคนแปลกหน้าที่เอามาให้นาย”

“หืม…”

มือที่จับใบหน้ากดลงบนไหล่ของฮาจุน เอวที่หยุดไปชั่วครู่เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา

ปั๊กๆ

เสียงกระแทกเนื้อนั้นดังก้องทั่วทั้งห้องด้วยความเร็วสูงอย่างไม่หยุดพัก

“ฮื่อ อื้อ! ฮ้าาา! อะอ๊า!”

“ดูเหมือนว่ายาจะออกฤทธิ์เต็มขีดจำกัดแล้วละ”

“อ๊ะ อ้าๆๆ! ฮ่าา อ๊าา!”

เสียงหัวเราะที่เล็ดลอดออกมาระหว่างการครวญครางได้จางหายไปแล้ว ร่างกายที่เคยรู้สึกมีความสุขเหมือนถูกจั๊กจี้ ตอนนี้กลับสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกรุนแรงราวกับโดนเฆี่ยนตี

ฮาจุนส่งเสียงครางอย่างต่อเนื่อง แม้แต่โต๊ะที่ค่อนข้างใหญ่และหนักก็พลอยส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดไม่สามารถทนต่อมูคยอมได้ แกนกายของฮาจุนปล่อยน้ำกามออกมาอีกรอบบนร่างกายของตนเอง ในขณะเดียวกันมูคยอมก็ปล่อยน้ำกามเข้าไปในจุดลึกของร่างกายฮาจุนเช่นกัน ผนังด้านในที่มีความรู้สึกแน่นเล็กน้อยเปียกโชกไปหมด บนเสื้อที่กระจัดกระจายอยู่เหนือร่างกายท่อนบนเองก็มีของเหลวกระเด็นแพร่กระจายออกมาเช่นกัน

“อ้าา อื้อ ฮื่อออ…”

“มันไม่ใช่เวลาที่จะมาหัวเราะนะโค้ช”

มูคยอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงถอนหายใจพลางพยุงหลังและบั้นท้ายของคนที่นอนราบไปกับโต๊ะขึ้นมา ทันทีที่เขากอดร่างกายที่แนบติดอยู่กับร่างกายส่วนบนของเขา ขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายก็โอบรอบเอวของเขาไว้ทันที ยูนิคอร์นได้เปลี่ยนสถานะเป็นหมีโคอาล่าเสียแล้ว

มูคยอมเดินไปที่ผนังด้านหนึ่งทั้งๆ ที่กอดเอาฮาจุนไว้ มันเป็นผนังกระจกที่ในช่วงกลางวันแสงแดดจะส่องลงมา ขณะที่ก้าวเดินโดยไม่ถอนการสอดแทรกออกไปนั้น ฮาจุนที่ถูกทิ่มแทงเข้าไปข้างในทุกการย่างก้าวก็ฝังใบหน้าของตนเองไว้ที่ไหล่ของมูคยอมและส่งเสียงครางออกมา มูคยอมกระชับอ้อมกอดฮาจุนแล้วหมุนตัวเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถมองออกไปนอกหน้าต่างได้ แล้วเอ่ยถาม

“ตอนนี้ยังมองเห็นสายรุ้งไหม”

ฮาจุนเงยหน้าที่เปียกชื้นขึ้นมาและมองออกไปเลยไหล่ของมูคยอมแล้วส่ายหัว

“ไม่… หายไปแล้ว”

“อย่างอื่นด้วยเหรอ ไม่มีอะไรเลยเหรอ”

“ไม่มีรุ้ง แต่ดอกไม้มันกำลังบินไปบินมา…”

มูคยอมระเบิดหัวเราะปนถอนหายใจ

“ดอกไม้งั้นเหรอ ดอกไม้กำลังบินไปบินมาอยู่บนท้องฟ้างั้นเหรอ”

“อื้อ มะ มันก็สวยดีนะ… แต่ทำไมดอกไม้มันถึงบินได้ล่ะ”

ในที่สุดฮาจุนที่เริ่มรู้สึกถึงความไม่เข้ากันของทิวทัศน์ภายนอกก็พึมพำ

ออกมาในเชิงสงสัย

อย่างไรก็ตาม การได้เห็นทิวทัศน์ที่เพ้อฝันเช่นนี้ ก็ถือว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะชื่นชมมันต่อไปจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์ มูคยอมขยับเอวเบาๆ แต่ถี่ยิบแล้วถามต่อ

“นั่นน่ะสิ แปลกเนอะ ทำไมดอกไม้ถึงบินไปบินมากันนะ”

“ฮ๊า อื้อ มะ ไม่รู้ ฮื่อ มีใครโปรยลงมาหรือเปล่า…”

“แต่ว่านะอีฮาจุน ฉันไม่เห็นมันเลย”

“จะ จริงเหรอ ฮึก ทำไมล่ะ…”

มูคยอมที่อุ้มฮาจุนไว้วางอีกฝ่ายลง เมื่อเท้าแตะลงบนพื้น แต่ขาของฮาจุนที่ยังคงสั่นนั้นไม่สามารถรองรับร่างกายของเขาได้อย่างที่ควรจะเป็น ฮาจุนจึงยังคงเกาะและพิงร่างกายของตนเองไว้กับมูคยอม

แกนกายที่ถูกล็อกไว้ลึกภายในร่างกายเปลี่ยนมุมตามที่ต้องการ มันแทงที่เยื่อเมือกแล้วเลื่อนไถลออกไปด้านนอก ฮาจุนตัวสั่นเทา

“ตอนนี้นายเมายา”

“ยาเหรอ”

“ที่นายสูบเมื่อกี้น่ะ ไม่ใช่บุหรี่”

ตอนนั้นเองที่ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้น

อีกฝ่ายอ้าและหุบริมฝีปากของตนเองหลายครั้งราวกับตกใจ และถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

“หา… ยาเหรอ อย่าบอกนะว่า…ยาเสพติดเหรอ”

“ใช่ ถึงแม้ว่าจะเป็นสารประเภทเบาๆ ก็เถอะ”

“เป็นไปไม่ได้…”

ใบหน้าที่เคยร้อนผ่าวตอนนี้กลับซีดเผือด มูคยอมรีบจูบลงบนแก้มเพื่อปลอบฮาจุน เขาตั้งใจจะบอกให้รู้ถึงสถานการณ์ ไม่ได้ตั้งใจทำให้อีกฝ่ายตกใจ

“อย่ากังวลไปเลย ถ้าสูบเหมือนบุหรี่ มันก็ออกฤทธิ์แค่เบาๆ พอยาหมดฤทธิ์แล้วก็จะดีขึ้น มีคนที่สูบแล้วก็ไม่เกิดอาการอะไร แต่สงสัยคุณโค้ชคงอ่อนในเรื่องนี้นิดหน่อย”

“ยะ ยาเสพติดมันผิดกฎหมายนี่…”

“ไม่เป็นไร ไม่มีใครแจ้งความหรอก”

“มะ มะ มิน่าละ อ๋อ… มิน่าล่ะ ฉันถึงคิดว่ารสชาติมันแปลกๆ…”

การที่เขาบอกกับอีฮาจุน คนที่เกิดมาไม่เคยทำผิดกฎหมายว่าได้เสพยาโดยที่ไม่รู้ตัวนั้น คงจะทำให้อีกฝ่ายสะเทือนใจมากเกินไป

ฮาจุนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดวงตาสั่นไหวและซบใบหน้าของตนเองไว้ที่ไหล่ของมูคยอมราวกับว่าต้องการที่จะปฏิเสธความจริง จากนั้นก็อีกเบิกตามองออกไปข้างนอกและพึมพำ

“พอมองดอกไม้ไปเรื่อยๆ…”

“มันสวยใช่ไหม”

“…อื้อ”

“ไหนๆ ก็เห็นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูให้หนำใจเลยนะ ถ้ายาหมดฤทธิ์ก็จะไม่เห็นแล้ว”

จู่ๆ น้ำตาของฮาจุนก็ไหลพรั่งพรูออกมา สงสัยคงเป็นเพราะเสียใจจากคำพูดของเขา มูคยอมตบหลังของฮาจุนเบาๆ

“รู้นะว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังไงวันนี้มันก็เป็นความผิดของโค้ชที่รับยามาจากคนแปลกหน้ามาสูบโดยไม่คิดหน้าคิดหลังนะครับ”

“…ถูกแล้วละ ฉันทำผิดไปแล้ว…”

“ถ้าเกิดคนเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี เกือบจะเกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะ แฟนของฉันบอกว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ฉันไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ”

“อื้อ นายพูดถูกแล้ว… ฉัน…ผิดเอง”

ฮาจุนที่หายใจคงที่มาระยะหนึ่งหอบขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเนื่องจากอาการตกใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองมูคยอมด้วยสายตาแดงก่ำและเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอโทษนะ ฉันผิดไปแล้ว…”

มูคยอมก้มลงสบตาฮาจุนนิ่งๆ เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอียงศีรษะเล็กน้อยและครุ่นคิดสั้นๆ

และราวกับว่าได้ข้อสรุปแล้ว เขาจึงแย้มรอยยิ้มออกมาและขยำบั้นท้ายของฮาจุน เมื่ออ้าแก้มก้นออกจากกัน น้ำอสุจิก็ไหลออกมา และเขาก็ใช้นิ้วลูบที่รูชื้น แล้วลูบแกนกายที่ยังตั้งชูชัน ทั้งๆ ที่เปียกอยู่อย่างนั้น

“อะ อื้อ…”

“ผิดไปแล้วงั้นเหรอ”

“อื้อ ผิดไปแล้ว… ฉันผิดไปแล้ว”

“โค้ชคงอยากโดนทำโทษสินะ”

“หะ หืม… เปล่า เปล่าสักหน่อย…”

“ไม่หรอกเหรอ แต่โค้ชเป็นคนผิด ดังนั้นวันนี้ฉันจะลงโทษโค้ช ไม่ชอบงั้นเหรอ”

“เปล่า ไม่ ไม่ได้ไม่ชอบ…”

“ถ้าไม่ได้ไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าชอบสินะ”

มูคยอมประกบจูบราวกับจิกกัด เขาดันนิ้วเข้าไประหว่างบั้นท้ายของอีกฝ่ายแล้วดึงกลับไปกลับมาพลางแลกจูบเสียงดังจ๊วบจ๊าบ

อื้อออ

ระหว่างที่ประกบริมฝีปากอยู่นั้นฮาจุนก็ส่งเสียงเจ็บปวดออกมา

มูคยอมที่ประกบจูบอยู่พักหนึ่งหันร่างของฮาจุนและคว้าข้อมือทั้งสองข้างแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะกดข้อมือแนบติดอยู่กับผนังกระจก

ฮาจุนอยู่ในท่าทางที่ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นราวกับกำลังเกาะผนังกระจกและมองออกไปด้านนอก

“ตอนเด็กๆ เคยโดนลงโทษแบบนี้ใช่ไหม ยืนนิ่งๆ ชูมือขึ้นแล้วมองผนังน่ะ” มูคยอมปล่อยมือแล้วกระซิบที่ใบหู

“หา อะ อื้อ…”

หลังจากปรับท่าทางของฮาจุนที่พยักหน้าอย่างเหม่อลอยแล้วทั้งสองมือของมูคยอมก็แหวกบั้นท้ายสีขาวนวลออกทันที ขณะที่ฮาจุนไหวเอวของตนเองเพื่อตอบสนองต่อการกระทำอันกะทันหันนั้น มูคยอมก็ตีที่บั้นท้ายฮาจุนเบาๆ

“อะอ๊าา… อ้า!”

“กำลังรับบทลงโทษอยู่นะ อยู่นิ่งๆ สิ”

“อื้อ อะ อื้อ”

ขณะที่เขาจับบริเวณกระดูกเชิงกรานของอีกฝ่ายแล้วดึงออกมาเบาๆ ขาของฮาจุนที่ยืนติดอยู่กับหน้าต่างก็เดินถอยหลังโซซัดโซเซไปสองสามก้าวแล้วก็ยื่นบั้นท้ายออกมา

แฮ่ก

การหายใจของฮาจุนเริ่มหอบขึ้นตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

มูคยอมตรวจสอบสภาพโดยการกดนิ้วโป้งเหนือช่องทางเข้า ช่องทางด้านหลังที่เคยทะลวงด้วยแกนกายหนาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนั้นยังคงมีเรี่ยวแรงและผ่านเข้าไปได้โดยไม่จำเป็นต้องทำให้ผ่อนคลายอีก อีกทั้งมันยังเปียกชื้นด้วยน้ำกามที่ไหลเยิ้มออกมา

เมื่อเขาดันนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าไปเพียงแค่สองสามครั้ง เสียงครวญครางอย่างเร่าร้อนก็ระเบิดออกมาในทันที มูคยอมที่ควงเอวไปมาครู่หนึ่งได้จับเอาแกนกายของตนเองขึ้นมาวางมันไว้ตรงทางเข้า แล้วดึงกระดูกเชิงกรานของอีกฝ่ายให้เข้ามาอีกและดันสะโพกของตนเองเข้าไป แกนกายที่แข็งชูชันและขรุขระได้ฝ่าผนังด้านในที่ติดกันอย่างร้อนระอุเข้าไปรวดเดียว

“อ๊าา! ฮื่ออ อะอื้ออ…!”

และในที่สุดฮาจุนก็ระเบิดเสียงครางยาวออกมา ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างหอบถี่

“ฮ๊าา อ้า อ๊าาาาา อ๊ะ….”

แม้จะดูไม่น่าตกใจขนาดนั้นเพราะร่างกายของอีกฝ่ายได้ถูกเปิดออกเรียบร้อยแล้ว ฮาจุนโค้งตัวลงทั้งที่สั่นระริก

ผิวขาวนวลบอบบางที่แม้จะฟาดเบาๆ ก็ขึ้นสีเล็กน้อย และต้นขาที่เกร็งจนกล้ามเนื้อที่เรียบลื่นนั้นปูดขึ้นมาเพื่อที่จะค้ำยันร่างกายเอาไว้ปรากฏเข้ามาในสายตาของมูคยอม แค่มองดูภาพนี้ก็ทำเอาขบฟันจนแตกและแกนกายนูนโป่งไปหมดแล้ว มูคยอมค่อยๆ ลูบตั้งแต่ต้นขาของฮาจุนจนไปที่บั้นท้ายของอีกฝ่าย

และเลิกชายเสื้อขึ้นไปคลุมที่หลังของฮาจุนเอาไว้

เสื้อเชิ้ตเลิกขึ้นตามรอยย่นเผยให้เห็นร่องลึกตามกระดูกสันหลังที่ยาวพาดผ่านแผ่นหลังสีขาวนวล กล้ามเนื้อหลังที่แม้จะแข็งแรง แต่ก็ยังเรียวยาวกำลังขยับไปขยับมาปะปนกับเงาสีฟ้าอมเขียว

เมื่อมูคยอมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายอันเปลือยเปล่าราวกับชุดเกราะของเขาก็ขยายและเสื้อเชิ้ตของเขาก็รัดแน่นขึ้น มูคยอมปลดกระดุมเสื้อของตนเองด้วยมือข้างเดียวแล้วบอกฮาจุนในสิ่งที่ต้องทำ

“โค้ช ฉันจะกระแทกตั้งแต่ตอนนี้ไปจนกว่าจะแตก”

“ฮู่ อะ อื้อ”

“อดทนไว้อย่าเอามือลง”

“ฮ้าาา! อ๊ะ อ้าๆ!”

มูคยอมเลียริมฝีปากของฮาจุนขณะที่แกนกายยังคงฝังไว้ที่ผนังด้านในอย่างแน่นหนา เขาดึงสะโพกกลับมาพอที่จะใส่ส่วนหัว แล้วก็กระแทกอย่างแรง

“ฮ่ะ อ๊าาา!”

เนื้อกระทบกันจนเกิดเสียงดัง ฮาจุนจับกระดูกเชิงกรานไว้แน่นเพื่อไม่ให้เอวเคลื่อนไปข้างหน้าหรือข้างหลังมากจนเกิดไป และมูคยอมยกบั้นท้ายขาวนวลขึ้นอย่างไม่ลดละ ทุกครั้งที่กระดูกหัวหน่าวอันแข็งแรงกับท่อนบนของต้นขากระทบกับบั้นท้าย เขาจะเห็นเนื้อบั้นท้ายมันเด้งกระจายออกไปแล้วก็กลับมาเป็นทรงเดิม

เมื่อกระบอกอันแข็งแรงและหยาบกระด้างตอกเข้าไปอย่างไม่มียั้ง ฮาจุนที่อดกลั้นไว้ได้แค่ชั่วครู่นั้น ไม่นานนักก็เริ่มทำท่าจะร้องไห้ออกมาทันที ฮาจุนไม่แม้แต่จะล้มพับลงไปได้เลยด้วยซ้ำ แม้ว่าเอวและขาจะสั่นตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วก็ตาม นั่นก็เพราะได้มูคยอมจับกระดูกเชิงกรานและกระแทกแกนกายที่เกือบจะแทงทะลุร่างกายของฮาจุนเอาไว้อยู่

“เฮือก! อ๊ะ อ้าๆ! เดี๋ยวก่อน…! อ๊ะ ดะ เดี๋ยวก่อน… อ๊ะ อ๊า!”

“ฮ่าา บอกแล้วไง ว่าจะกระแทก จนกว่าจะแตก”

“อึก อ๊ะๆ อ้า อ๊าาา!”

เขากระแทกเร็วและแรงมากจนขนาดที่ว่าไม่รู้สึกเสียใจกับคำว่าลงโทษเลย ยิ่งกระแทกเข้าไปเท่าไร ข้างในก็ยิ่งร้อนและติดหนึบแคบขึ้นเท่านั้น ลมหายใจหอบอันหยาบกระด้างก็พ่นออกมาจากปากของมูคยอมเช่นกัน

ร่างกายของฮาจุนกระตุกราวกับกำลังจะล้มลงไป น้ำอสุจิตกย้อยลงมาอีกเป็นครั้งที่สองจากปลายแกนกายที่สั่นไหว ภายในร่างกายถูกกระตุ้นโดยไม่หยุดพักจนทำให้ถึงจุดสุดยอดอยู่เรื่อยๆ ฮาจุนร้องไห้พลางส่ายหัวอย่างรุนแรง เมื่อยกศีรษะขึ้น มือที่ติดกับหน้าต่างก็ขูดกระจกอย่างเป็นไปแบบธรรมชาติ จากนั้นก็เอามือทั้งสองข้างมาประสานซ้อนทับกันไว้

“อื้ออ! พอก่อน…! พอ ก่อน ผิดไป ฮื่อ! จากนี้ืจากนี้ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว…! อึก อื๊อ!

“แน่นอนว่าจะทำแบบนั้นอีก ฮู่ ไม่ได้สิ ก็มันเป็นสารเสพติดนี่นา หืม”

ปั๊ก มูคยอมกระแทกสิ่งนั้นของตนเองลงไปจนถึงโคน เขายืดแขนออกไปข้างหน้าและดันร่างของฮาจุนที่เอียงตัวให้ยืนขึ้น

เมื่อถูกผลักด้วยน้ำหนักของมูคยอม ฮาจุนจึงขยับเข้าไปใกล้และเกาะติดอยู่ที่หน้าต่าง มันต่างจากเมื่อครู่นี้ เมื่อยืนอยู่โดยปล่อยสะโพกไปทางด้านหลัง ร่างกายของฮาจุนก็เกือบจะเป็นเส้นตรงติดกับกระจก

ขณะที่ผิวอันร้อนระอุของฮาจุนสัมผัสกระจกที่เย็นยะเยือก ร่างกายของอีกฝ่ายก็หดลง ยอดถันที่ชูชันและแกนกายที่ยังคงตั้งตรงหลังจากที่หลั่งออกมาหลายต่อหลายครั้งก็ถูกกดทับลงบนกระจกเช่นกัน

มูคยอมคลุมร่างกายของอีกฝ่ายที่สั่นสะท้านจากความหนาวเย็นอันแข็งและราบเรียบจากด้านหลัง ความร้อนแผ่ออกมาจากร่างกายของมูคยอมที่ไม่รู้ว่าถอดเสื้อออกไปตั้งแต่ตอนไหน เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ จากส่วนที่แหลมคมราวกับถูกแกะสลักด้วยมีดและกล้ามเนื้อหนาราวกับถูกขัดเกลาแล้วติดแปะด้วยก้อนดินเหนียว ด้านหน้าร่างกายของเขาถูกกดลงบนหลังของฮาจุน แขนหนาโอบกอดเอวเอาไว้

ผนังกระจกสะท้อนภูมิทัศน์ภายนอกที่ปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้ มันจึงทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ต่างจากการมีเซ็กส์แบบเอาต์ดอร์

ฮาจุนส่ายหน้าไปมา

“ไม่ได้ เดี๋ยวมีใครมาเห็น….”

“ไม่มีใครมาหรอก นายชอบมีอะไรกันข้างนอกนี่นา”

“กระจกมันจะเปื้อน ไม่…ได้…. ที่นี่ไม่ใช่บ้านของพวกเรานะ….”

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนจะกลับค่อยให้ทิปผู้ดูแลสักหน่อยก็ได้”

ในระหว่างที่เห็นภาพหลอนนั้น ฮาจุนก็มัวแต่กังวลเพราะกลัวว่าจะต้องได้ทิ้งกางเกงและทำกระจกบ้านคนอื่นเปื้อนเลยอดกลั้นการหลั่งเอาไว้

“จริงๆ แล้ว ก็เพราะนายเป็นแบบนั้น ฮ่าาา ตกใจเลยใช่ไหมล่ะเรื่องสูบยาน่ะ”

“เฮือก! อ๊า อ๊าาา!”

มูคยอมกดฮาจุนเอาไว้ระหว่างกระจกกับตนเอง แล้วกระแทกฮาจุนจากด้านล่างขึ้นด้านบน เมื่อการสอดแทรกเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ฮาจุนจึงยกปลายเท้าขึ้นในขณะที่ขายังสั่นเพื่อพยายามที่จะลดแรงกดลงมา

มือสีขาวนวลที่ติดอยู่กับหน้าต่างเลื่อนไถลไปกดที่ต้นขาของมูคยอม

มูคยอมหยุดกระแทกเอวแล้วกระซิบเข้าที่ใบหูของฮาจุน

“ฟู่ว… เอามือออกไปครับ โค้ช”

“อึ้ก อื้ออออ…!”

“เอามือออกไปครับ”

มูคยอมมองฮาจุนที่สูดน้ำมูกแล้วยกมือขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้งอย่างเงียบๆ แม้ว่าข้อต่อจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่มือขาวนวลที่มีลักษณะรูปร่างที่งดงามก็สั่นเทาและเกาะอยูบนกระจก

ดวงตาที่ไหม้เกรียมจนเป็นสีดำสนิทมองตามอย่างมั่นคง ตัณหาที่อันตรายกำลังมีอิทธิพลกับหัวใจอันเดือดพล่านของเขา

เห็นได้ชัดว่าตัณหานั้นอันตรายยิ่งกว่าสารเสพติดเสียอีก มูคยอมกัดริมฝีปากเบาๆ แล้ววางมือของตนเองไว้บนหลังมือของฮาจุน เขาประทับรอยจูบลงไปที่ใบหูสุกงอมสีแดง

“อ๊ะ อ้าา….”

จุ๊บๆ

ริมฝีปากที่ค่อยๆ จูบคลำใบหูจนมีเสียงเล็กๆ ออกมาลากจูบจนไปถึงติ่งหู เขาจูบต่อไม่หยุด และจูบระหว่างเสื้อที่แหวกแผ่ออกราวกับว่าทิ้งรอยเท้าไว้บนข้างลำคอสีขาวนวล

ด้านในของฮาจุนสั่นอย่างหนักจากการลูบไล้อันอ่อนโยนที่เริ่มอย่างกะทันหันในระหว่างการกระทำที่รุนแรง ทุกครั้งที่ริมฝีปากและมือของมูคยอมลูบไล้ผิวที่เปียกชื้น ผนังด้านในที่กลืนแกนกายจะตอดรัดและโอบพันเอาไว้โดยไม่หยุดพัก มูคยอมจึงควงเอวอย่างช้าๆ จากการกระตุ้นนั้น เสียงต่ำเล็ดลอดผ่านช่องฟันของเขาออกมาราวกับเสียงคำราม และเสียงครางของฮาจุนเปลี่ยนเป็นเสียงสะอึกสะอื้นแสนหวาน

“อะอื้อ ฮึก… อ้าๆ อ๊าา….”

“ฮะ ฮา… ฮาจุน เสียวไหม”

“สะ… อ้าา อื้อ เสียว อ้า เสียววว… เสียวมาก…”

“อ้า… ถ้าเสียวมากมันก็ไม่ใช่บทลงโทษสิ”

ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มย้อนกลับไปยังแก้มที่มีน้ำตาไหลรินรดอยู่

“ฮึก ตอนนี้พอได้แล้ว… ไม่รับบทลงโทษแล้ว…” ฮาจุนพูดงึมงำ

มูคยอมระเบิดหัวเราะแล้วเอ่ยออกมาจากคำพูดที่บอกให้พออย่างผิดเวลาริมฝีปากของเขาที่ปัดป่ายไปทั่วแก้มฮาจุนจนส่งเสียงเล็กๆ ออกมาจูบลงไปอย่างรุนแรง

“อ้า โค้ชจะกำหนดว่าจะให้ลงโทษนานแค่ไหนเหรอ นี่ฉันเป็นคนลงโทษนะ”

“จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว…”

“หมายถึงจะไม่เสพยาเหรอ”

“จะ จะไม่รับของ จะ จากคนแปลกหน้า….”

ในที่สุด รอยยิ้มก็แผ่ไปทั่วใบหน้าของมูคยอมที่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกพึงพอใจของตนเองเอาไว้ได้

“จะไม่หายไปไหนโดยที่ไม่บอกฉันใช่ไหม ฉันเป็นห่วงนะ”

“อื้อ จะไม่ทำอย่างนั้น ขอโทษ ฉันขอโทษ…”

“ฮาจุน นายรักฉันไหม”

“รัก ฮื่อ มันแน่นอนอยู่แล้วนี่นา”

“ฟู่ว… ถ้างั้นพูดว่า ‘มูคยอม ฉันรักนายนะ’ หน่อยสิ”

“อื้อ มูคยอม ฉันรักนายนะ….”

ฮาจุนรู้สึกอย่างรวดเร็วว่าของของมูคยอมที่ถูกฝังเอาข้างในนั้นโป่งขึ้นมาอย่างหนัก ฮาจุนจึงพิงกายไว้ที่ไหล่ของมูคยอมที่กอดตนเองอยู่ แล้วเงยหน้าร้องไห้ออกมา ฮาจุนคว้าข้อมือของมูคยอมที่กอบกุมมือของตนเองที่ชูขึ้นไว้บนผนังกระจก มูคยอมไม่ได้เร่งเร้าให้ชูมือขึ้นอีกต่อไป

แขนอันแข็งแรงที่โอบเอวอยู่เลื่อนขึ้นไปด้านบนแล้วดันนิ้วเข้าปาก เขาทำเหมือนตอนที่มีเซ็กส์กันบนโต๊ะเมื่อครู่ ฮาจุนดูดนิ้วที่ถูเพดานปากและลิ้นของตนเองราวกับว่าไม่อยากให้มันหลุดออกไป

มืออีกข้างที่เหลือจับแกนกายที่ตอนนี้กำลังหลั่งน้ำรักหลังจากที่เสร็จไปแล้วหลายรอบ ทันทีที่มือสัมผัสลงไปกระตุ้นร่างกาย ร่างกายของฮาจุนก็สั่นสะท้านเล็กน้อยราวกับถูกไฟดูด

“เสร็จพร้อมกันนะ”

มูคยอมก้มลงกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาและเร่าร้อนที่ข้างหูอีกครั้ง

จุ๊บ

หลังจากที่จูบเขาก็แหย่ลิ้นเข้าไปในรูหู

“อ๊ะ ฮ๊าา…!”

ร่างกายของฮาจุนบิดเร่าราวกับกำลังจะล้มลงเพราะถูกกระตุ้นไปทั่วร่างกายในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หน้าต่างกระจกด้านหน้าและมูคยอมที่อยู่ด้านหลังก็รองรับเอาไว้อย่างมั่นคง

สิ่งอวบหนาที่เติมเต็มร่างกายเคลื่อนไหวกลับไปกลับมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง กระแทกเน้นย้ำไปยังจุดที่เสียวที่สุด และยังเข้าไปจนถึงปุ่มกระสันคับแคบที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในร่างกายของฮาจุนอย่างไม่ลังเล ก่อนที่การสั่นสะท้านที่ทำให้ร่างกายรู้สึกชาสงบลงไปนั้น เขาก็กระแทกสอดใส่เข้าไปอีกครั้ง

ผนังด้านในที่ไวต่อความรู้สึกมากเกินไปใกล้กับต่อมลูกหมากบวมถูกบดขยี้และควานออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดูเหมือนจะเป็นลมแค่โดนกระแทกด้านหลังตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่ร่างกายของฮาจุนร้อนรุ่มราวกับว่ามันกำลังระเหยลงไปกับพื้นเมื่อเขาใช้ฝ่ามือจับแกนกายที่เปียกชื้นแล้วลูบที่ส่วนหัว

ทุกครั้งที่นิ้วที่อยู่ในปากล้วงเข้าไปในลิ้นและเยื่อเมือกลึก น้ำลายก็ไหลหยดติ๋งๆ หัวก็มึนงงด้วยความเสียวซ่าน แม้แต่ปลายลิ้นที่แหย่เข้าไปแล้วเลียรูหู ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะฮาจุนจะทนไหว

“อ๊า…! ฮื่ออ! อื้ออ…!”

ฮาจุนคงกลัวว่าจะเผลอไปกัดนิ้วของมูคยอมจึงไม่สามารถออกแรงที่กรามหรือหุบปากได้เลย ฮาจุนวางศีรษะลงบนไหล่ของมูคยอมแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างยอมรับสภาพ ร่างกายทั้งตัวนั้นสุกงอมจนยากที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรู้สึกนี้กับความรู้สึกนั้น ฮาจุนรู้สึกว่าราวกับกำลังถูกหลอกล่อจากคิมมูคยอมหลายคน

ร่างกายของฮาจุนกระตุกราวกับเป็นลมชัก รูที่เขมือบกินแกนกายตอดรัดอย่างแนบแน่นและดูดดึงไปมา ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่จบลงโดยสิ้นเชิง ขณะที่ตะเกียกตะกายเพื่อความสุขสมที่เปรียบเหมือนหนองน้ำที่สร้างจากน้ำผึ้ง ท่อนเสาที่ฝังลึกลงไปช่องทางด้านในก็เต้นเป็นจังหวะ

“อู้ว อือ อื้ออออ! อ๊ะ อึ้ก!”

“ฮ่า อ้า อื้ออ!”

เสียงลมหายใจและเสียงครวญครางของมูคยอมดังก้องอยู่ในหู ฮาจุนที่แทบทนไม่ไหวเพราะถูกความร้อนเปียกชื้นจากข้างในที่ซึมแพร่กระจายจนทำให้ละลายลงไปอย่างเสร็จสมบูรณ์ ขนลุกเกรียวเมื่อของเหลวที่ฉีดเข้าไปในร่างกายร้อนราวกับเหล็กหลอมเหลว แก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา นอกเหนือจากความรู้สึกของการหลั่งน้ำอสุจิ ความรู้สึกที่รุนแรงของการถ่ายปัสสาวะก็เคล้าเข้ามาอย่างรวดเร็วในท้องน้อย

ในขณะเดียวกัน ดอกไม้หลากสีสันที่โบยบินอยู่เหนือกระจกใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็ค่อยๆ พองตัวขึ้น กลีบดอกไม้บานสะพรั่งอย่างเต็มที่ จากนั้นก็ระเบิดแตกกระจายดังปังๆ ราวกับประทัด ทัศนวิสัยที่พร่ามัวจากน้ำตาเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ ฮาจุนเบิกตากว้างตกอยู่ในสภาพงวยงงไร้สติ

มันเป็นทิวทัศน์ดังภาพฝัน

“ฮึก อื้ออออ…!”

จุดสุดยอดและแสงระเรื่อระยิบระยับราวกับสีของกลีบดอกไม้ที่แต่งแต้มท้องฟ้านั้นกระทบลงมาปกคลุมไปทั้งตัว

ฮาจุนที่ตัวสั่นพร้อมกับส่งเสียงครางออกมาเป็นเวลานานทรุดตัวลงทันที หมดแรงตั้งแต่หัวจรดเท้า แขนแข็งแรงของมูคยอมรองรับร่างกายที่กำลังทรุดลงไป

น้ำใสหยดกระเซ็นและไหลออกมาจากแกนกายที่หมดแรงลงมาตามต้นขา ปกติแล้วฮาจุนจะต้องรู้สึกเขินอายกับอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่มีสติเหลือพอที่จะทำแบบนั้นแล้ว เปลือกตาสีขาวที่มองลงมายังด้านล่างของตนเองสั่นสะท้านราวกับถูกลมพัดแล้วก็ปิดเปลือกตาลงไปทั้งอย่างนั้น

* * *

เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าอยู่บนโซฟายาว

ฮาจุนที่นอนบนเบาะที่มีงานปักอันหรูหราและอ่อนนุ่มไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในทันที จึงได้แต่จ้องมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย

เขาเคยเข้าไปในห้องหลายห้องในบ้านของมูคยอมและเรือนกระจกที่อยู่ในสวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทิวทัศน์ที่มองเห็นตอนนี้มันเป็นอะไรที่แปลกตามาก ทั้งแจกันดอกไม้แบบโบราณ โต๊ะ โซฟา หรือแม้กระทั่งหมอนอิงซึ่งไม่ใช่รสนิยมของมูคยอม

เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันนะ ขณะที่ค่อยๆ นึกย้อนกลับไปอย่างช้าๆ คำว่า ‘งานปาร์ตี้’ ก็ผุดขึ้นมาทันที เรื่องก็คือ เขามางานปาร์ตี้กับมูคยอม

เมื่อนึกไปถึงจุดนั้น เขารู้สึกแปลกๆ ขณะที่ฮาจุนลุกพรวดพราดขึ้นมา สะโพกเขากลับไร้เรี่ยวแรง เขาจึงใช้ศอกค้ำยันไว้แล้วนอนคว่ำแบบเอียงๆ

ตอนนั้นเองที่ฮาจุนสังเกตเห็นว่าแขนที่ไร้อาภรณ์นุ่งห่มของเขาเผยให้เห็นผิวเปลือยเปล่า สิ่งที่ปกคลุมร่างกายของเขาคือผ้าห่มนุ่ม ไม่ใช่ชุดทักซิโด้ที่

มูคยอมเป็นคนซื้อให้ เขารู้สึกกลัวขึ้นมาโดยทันที ทำไมถึงได้ถอดชุดล่ะ ฮาจุนดึงผ้าห่มขึ้นไปไว้ที่ไหล่และกลั้นหายใจ

“หืม ตื่นแล้วเหรอ”

ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามาก็มองฮาจุน แล้วก็พูดอย่างไม่ตกใจอะไร

ทันทีที่เห็นใบหน้ามูคยอม เขาก็โล่งใจและผ่อนคลายราวกับว่าได้นวดให้กับร่างกายที่ตึงเครียด

“นายไปไหนมา” ฮาจุนเอ่ยถามโดยไม่สามารถซ่อนความยินดีไว้ได้

“ฉันออกไปยืมอะไรบางอย่างที่ด้านหน้านู้นมาน่ะ นอนต่อเถอะ ฉันคิดว่าถ้ากลับไปนอนพักที่โรงแรมเลยก็น่าจะดีกว่านะ”

ฮาจุนมองของที่อยู่ในมือของมูคยอม ตอนนี้มูคยอมใส่ชุดสำหรับงานปาร์ตี้และกำลังถือของที่ไม่เข้ากับอีกฝ่ายมากที่สุด

ฮาจุนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ามึนงง แล้วก้มหน้าลงตรวจสอบสภาพของตนเองและถามอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย

“คือฉัน… เมาเหล้าแล้วก็อ้วกใช่ไหม…”

“นายไม่ได้ดื่มเหล้าเยอะนี่”

“ก็… มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นน่ะ ฉันสงสัยว่าภาพมันตัดหรือเปล่าน่ะสิ…”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะไม่คิดแบบนั้น แต่หลังจากเจอประสบการณ์ที่ภาพตัดเพราะดื่มมากจนเกินไป เขาจึงรู้สึกสงสัยในตัวเอง ฮาจุนคลุมร่างกายอันเปลือยเปล่าราวกับเสื้อคลุมด้วยผ้าห่มสีไวน์แล้วลุกขึ้นจากโซฟา

สวมรองเท้าเสร็จแล้วก็เดินหามูคยอม คิมมูคยอมที่ทั้งเท่และเซ็กซี่ราวกับสายลับไปเอาผ้าขี้ริ้วผืนใหม่มาจากที่ไหนสักที่ ผ้าขี้ริ้วผืนนั้นเปียกชื้น อีกฝ่ายจึงม้วนแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงข้อศอกแล้วนำผ้าขี้ริ้วไปเช็ดโต๊ะ

“คิมมูคยอม เดี๋ยวฉันทำเอง” ฮาจุนห้ามปรามอีกฝ่ายอย่างเร่งร้อน

“บอกว่าจะทำแล้วรู้ไหมว่ามันคืออะไร”

“ฉันคงเป็นคนทำสินะ…”

จากคำพูดนั้นทำให้มูคยอมหัวเราะคิกคักออกมา

“ถ้าจะให้พูดตรงๆ นะ นายก็เห็นนี่นา ว่าฉันทำอยู่ นายไปพักเถอะ”

หลังจากพูดอย่างนั้น มูคยอมก็หยุดครู่หนึ่งแล้วมองขึ้นไปที่ฮาจุนอีกครั้ง

“จำไม่ได้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”

“…จำได้ว่าออกไปรับลมที่ระเบียง”

“แล้วที่เห็นสายรุ้งล่ะ”

“สายรุ้งเหรอ”

ฮาจุนขมวดคิ้วพลางเอียงคอ เขากลอกตาราวกับจะเค้นเอาความทรงจำออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยาก มูคยอมเด้งตัวขึ้นมา

“นายจำสายรุ้งไม่ได้เหรอ ที่นายบอกว่าดอกไม้มันเป็นประกายแล้วลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าน่ะ”

“หืม ฉันเนี่ยนะ… สงสัยคงจะเมา”

“อะไรเนี่ย นายลืมแล้วเหรอ แม้ว่ามันจะเป็นของปลอม แต่ฉันว่ามันน่าจะเจ๋งออก เสียดายจัง!”

มูคยอมที่ถอนหายใจและบ่นราวกับว่าสำหรับฮาจุนแล้วมันน่าเศร้าใจเสียยิ่งกว่าอีก เดินมุ่งหน้าไปยังผนังกระจก จากนั้นก็คุกเข่าลงนั่งเริ่มเช็ดกระจก

“อย่างที่คิดเอาไว้เลย ยาหมดฤทธิ์แล้ว”

“ยาเหรอ”

“จำได้ไหมว่ารับบุหรี่มาสูบ”

“อื้อ”

“อันนั้นมันไม่ใช่บุหรี่นะ นายสูบกัญชา”

มูคยอมพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ดวงตาของฮาจุนนั้นเบิกกว้างราวกับว่ามันกำลังจะถลนออกมา ฮาจุนที่ขมวดคิ้วสามารถตอบกลับไปได้อีกครั้งหลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ลงครู่หนึ่ง

“ฉันพูดไม่ออกเลย… มิน่าล่ะ รสชาติมันถึงได้ต่างออกไปนิดหน่อย”

“นายลืมไปหมดเลยแฮะ เรามีอะไรกันในห้องเรือนกระจก แล้วนายก็สัญญาว่าจะไม่รับอะไรจากคนแปลกหน้ามาดูดอีก”

“เรามีอะไรกันที่นี่เหรอ!”

คราวนี้ เสียงของฮาจุนสูงขึ้นมาราวกับตกใจ คงเมาจนอ้วกออกมาแล้วก็ถอดเสื้อผ้าแหละ คงไม่ได้หมายถึงมีอะไรกัน…ในสวนของคฤหาสน์ที่จัดงานปาร์ตี้หรอก

แต่พอฟังดูแล้ว ความอ่อนล้าของร่างกายหรือความรู้สึกแน่นๆ ที่คั่งค้างอยู่ที่ท้องน้อยหรือก้นนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากมีอะไรกัน มันต่างจากอาการเมาค้างโดยสิ้นเชิง

บ้าไปแล้ว ใบหน้าร้อนผ่าว ความคิดของเขาไหลไปตามการกระทำของมูคยอมที่ตอนนี้กำลังเสยผมม้าที่เคยถูกเซตไว้จนคลายออกแล้วไปด้านหลังศีรษะ

ลำคอแน่นขนัดเพราะเขินอาย และในขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บคอเหมือนกับว่าต่อมทอนซิลบวม

“คิมมูคยอม ฉันไม่แน่ใจว่า…”

“หืม”

“คือฉันไม่แน่ใจว่า…”

‘ฉันฉี่ราดอีกแล้วเหรอ’

ฮาจุนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดนั้นออกไปจากปาก เขาจึงได้แต่กลืนน้ำลายแห้งอยู่อย่างนั้น แต่มันก็เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องถามออกไปเสียด้วยซ้ำ เขานึกไม่ออกแล้ว มันไม่มีเรื่องอะไรที่จะเช็ดถูตรงนั้นด้วยซ้ำหลังจากที่มีเซ็กส์

ไม่ใช่ว่านอนบนโซฟา แต่อยากโดนกดบนโซฟาต่างหาก เมื่อฮาจุนพยายามจะแย่งผ้าขี้ริ้ว มูคยอมก็ชูแขนขึ้นให้ไกลๆ และหลบหลีกอย่างรวดเร็ว

“เอามานี่ ฉันบอกว่าจะทำเองยังไงละ”

“เพิ่งตื่นก็มาบังคับขืนใจกันเลยแฮะ ไปพักเถอะ ร่างกายของนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“…อื้อ”

หลังจากที่ใช้ผ้าขี้ริ้วเปียกน้ำถูเสร็จแล้ว ครั้งนี้มูคยอมก็เช็ดกระจกด้วยผ้าแห้ง เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่ท่าทางที่ดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากับชุดสูทเท่ๆ นั้น กลับเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด

แล้วสรุปว่าไปทำอะไรกันแน่ถึงได้เปื้อนไปถึงกระจกขนาดนั้นน่ะ

ฮาจุนทำหน้ามุ่ย แต่มูคยอมกลับอธิบายแบบไม่รู้สึกอะไร

“ปกติแล้วไม่ต้องทำเองก็ได้ ถ้าหากให้ทิปคนดูแล เขาก็จะทำความสะอาดให้อยู่หรอกนะ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้มันเป็นร่องรอยที่นายทิ้งไว้นี่นา ถ้าเป็นผ้าปูเตียงก็คงพอรับได้ แต่พอเป็นอะไรแบบนี้ฉันเลยไม่อยากเหลือไว้โชว์ให้คนอื่นเห็นน่ะ”

เนื่องจากสถานที่นั้นมันพิเศษ ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่จึงปรากฏอย่างโทนโท่อยู่หลายแห่ง ฮาจุนคลุมผ้าห่มและยืนราวกับกระสอบข้าวบาร์เลย์ที่ยืมมาแล้ววางไว้เฝ้ามองมูคยอมทำความสะอาด ถ้าต้องทำความสะอาดขนาดนั้น

มูคยอมก็คงจะทำอะไรไปแล้วหลายอย่างแล้ว อีกทั้งร่างกายของเขาก็สะอาดไม่มีส่วนที่สกปรกเลย เห็นได้ชัดเลยว่ามูคยอมเอาผ้าเช็ดตัวที่เปียกแล้วมาเช็ดตัวให้เขาก่อน เพราะว่าที่นี่ไม่มีห้องน้ำแยกออกมาต่างหาก

“ขอบคุณนะ…”

ด้วยคำพูดเหล่านั้น มูคยอมที่กำลังล้างมือหลังจากเช็ดหน้าต่างเสร็จแล้วก็หัวเราะราวกับเด็กซุกซน

“ถ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่เพิ่งได้ นายคงจะไม่ขอบคุณฉันหรอก เพราะว่าฉัน สนุก-มาก-เลย อย่างไรละ”

มีตอนที่ไม่สนุกด้วยเหรอ…

ฮาจุนไม่พูดความคิดของเขาออกมา

มันเป็นเรื่องน่าตกใจที่รู้ว่าบุหรี่ที่เขาสูบจากคนแปลกหน้าเป็นสารเสพติด

ดังนั้นเขาจึงไม่มีอารมณ์จะบ่นมูคยอมในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

สุดท้าย ฮาจุนก็นั่งลงบนโซฟาตามที่โดนบังคับ เขานั่งชันเข่าด้วยความรู้สึกเขินอายแล้ววางคางไว้บนเข่าของตนเอง มูคยอมที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วก็มานั่งลงข้างๆ

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ปวดหัว หรือปวดท้องหรือเปล่า”

“อื้อ ไม่เป็นอะไรเลย”

“ถึงอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ให้คุณหมอตรวจสักหน่อยเถอะ”

ไม่มีแม้กระทั่งอาการเมาค้างใดๆ เลย เขาปกติดีจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองเมายา มูคยอมที่จัดผมให้ฮาจุนดูอ่อนเพลียเล็กน้อย

“ฉันเหนื่อยที่จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“พูดอะไร”

“ที่บ่นนายเมื่อกี้นี้ไง ว่าอย่ารับยาจากคนแปลกหน้ามาสูบอีก”

“…ก็ฉันนึกว่ามันคือบุหรี่ จากนี้จะไม่ทำอีกแล้ว”

“นายตัดสินใจที่จะนั่งรออยู่ที่โซฟาแล้วทำไมถึงได้ลุกออกจากที่นั่งล่ะ ไม่บอกไม่กล่าวอีก”

จากคำพูดนั้นฮาจุนก็กระแทกปลายเท้าของตนเองเข้าหากันแล้วพลั้งปากออกไปอย่างห้วนๆ

“ก็ตรงนั้นมีผู้หญิงที่นายเคยคบอยู่นี่นา โคลเอ้ ครอว์ฟอร์ด เธอมางานนี้ด้วย นั่งอยู่ข้างๆ ฉันเลย”

“…”

พอมาคิดดูแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น

มูคยอมกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกยกขึ้นเมื่อนึกถึงความจริงที่เขาได้ลืมไป ในขณะที่ถูกหลอมละลายด้วยเซ็กส์อันเร่าร้อน

“เธอถามฉันว่าฉันเป็นคู่นอนคนใหม่ของนายหรือเปล่า แล้วฉันควรจะนั่งอยู่ต่อเหรอ แถมยังหานายไม่เจออีก”

มูคยอมลนลานด้วยสีหน้าพะวักพะวน แล้วพรวดพราดเข้าไปกอดไหล่ฮาจุน

“ขอโทษ นายคงรู้สึกแย่มากเลยใช่ไหม”

“เธอสวยมาก อย่างกับเทพธิดาเลย”

ฮาจุนพูดโดยไม่ได้มีสีหน้าอารมณ์เสียอย่างที่มูคยอมคิดเอาไว้ มูคยอมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คลายกำลังแขนที่โอบกอดแล้วเอ่ยถามออกไป

“…ครอว์ฟอร์ดพูดว่าอะไรเหรอ”

“บอกว่าฉันตรงสเปคเธอเลย”

“…”

“แล้วเธอก็…ใช้ปลายรองเท้ามาจิ้มที่ขาของฉันแบบนี้”

“เหอะ จริงๆ เลย!”

ฮาจุนเลียนแบบเธอโดยไขว้ขาและจิ้มหน้าแข้งของมูคยอมด้วยปลายนิ้วเท้า มูคยอมแผดเสียงดังขึ้น ถึงแม้ว่าจะใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าและระเบิดความโกรธออกมา แต่จะโทษใครได้ เพราะมันคือความผิดพลาดจากในอดีตของตนเอง

มูคยอมกังวลว่าหล่อนจะทำร้ายความรู้สึกของฮาจุนด้วยการเล่าเรื่องในอดีตที่ไร้ประโยชน์ให้ฮาจุนฟัง หรือว่ามันจะเป็นแผน

“บ้าไปแล้วสินะ เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงต้องไม่ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว มันไม่ใช่ความหวาดระแวงของฉันแน่นอน”

“เธอคงแค่ล้อเล่นใช่ไหม”

ในแวบแรก มูคยอมอมยิ้มด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงตอบด้วยการปรายตามองฮาจุน ฮาจุนเบิกตากว้างขึ้นมาเล็กน้อย

“เป็นอะไรไป”

“ยังไงก็ได้แค่ชอบ… แล้วโค้ชไม่หึงเหรอครับ”

“อย่างไรซะ มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่จบลงมาแล้วหลายปีนี่นา”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”

ถ้าฮาจุนมีแฟนเก่าหรืออะไรทำนองนั้นมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาตอนนี้

มูคยอมจะเดือดร้อนใจขนาดไหนกันนะ แต่โชคดีที่เขารู้ว่าฮาจุนไม่มี แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน แต่มูคยอมก็เข้าใจความรู้สึกอย่างชัดเจน

แต่เขาไม่เคยแสดงอารมณ์แบบนั้นออกมาให้ฮาจุนเห็นเลย พอลองมาคิดดูแล้ว ก่อนที่จะชวนให้มาอยู่ลอนดอนด้วยกัน รวมถึงตอนที่ฮาจุนคิดไปเองว่าตนเองกับมูคยอมเป็นคนรักระยะไกล และก็เป็นตัวอีฮาจุนเองที่ร้องขออย่างไม่ตรงประเด็นว่าถ้ากลับไปแล้ว ถึงมูคยอมจะไปออกเดตกับคนอื่นก็ขอว่าอย่าทำจนถึงขั้นสุดท้าย

แม้ว่าอีกฝ่ายจะสารภาพออกมาก่อนอย่างกล้าหาญ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คบกันตั้งแต่แรก และสีหน้าที่รู้สึกดีใจเพียงเพราะมีความสัมพันธ์แบบคู่นอนกับเขาก็ไม่ได้เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีความโลภเลยหรืออย่างไร หรือเพราะว่าเชื่อในตัวเขามากหรือเปล่านะ มูคยอมรู้สึกขอบคุณที่เชื่อใจเขา แต่เขาหวังว่าจะมีอย่างน้อยสักครั้งที่อีฮาจุนนั้นพยายามที่จะครอบครองคิมมูคยอมให้มากกว่านี้หน่อยก็คงจะดี สำหรับอีฮาจุนที่มีความอยากเอาชนะอยู่พอควรนั้น คิมมูคยอมไม่ถือว่าเป็นถ้วยรางวัลของชัยชนะหรอกเหรอ

มูคยอมลูบผมของฮาจุนขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิดต่างๆ นานา ฮาจุนที่กำลังเพลิดเพลินกับสัมผัสที่อ่อนโยนราวกับเพลงกล่อมเด็กและความรู้สึกที่อ่อนเพลียคล้ายกับอาการง่วงนอนก็พึมพำขึ้นมาในทันใด

“แต่ฉันรู้สึกดีนะ”

“…เรื่องอะไร”

“ทั้งที่นายเจอแต่คนที่สวยงามอย่างนั้น แต่กลับมาคบกับคนธรรมดาๆ อย่างฉันนี่นา”

“…”

“เพราะงั้นนายคงชอบฉันมากแน่ๆ เลยสินะ…. ฉันก็เลยคิดแบบนั้นแหละ”

มูคยอมกะพริบตา

ใบหน้ามุ่ยที่เกรียมแดดจากแดดหน้าร้อนและมีประกายความโกรธอยู่ในนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ฮาจุนเบิกตามองท่าทางของมูคยอมที่ลนลานซึ่งไม่ค่อยมีใครเห็นได้ง่ายๆ และพวกเขาทั้งคู่ก็สบตากัน

“แน่นอนอยู่แล้ว ชอบมากๆ สิ! นายจะพูดอะไรที่มันแน่นอนอยู่แล้วทำไมเนี่ย”

“อื้อ ขอบใจนะ”

“แล้วก็นะอีฮาจุน นายเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไหนกัน นายเป็นคนที่พิเศษจนฉันตามไม่ทันแม้แต่กระทั่งปลายเท้าเลยด้วยซ้ำ”

“เวลาคุยเรื่องอะไรแบบนี้ ช่วยคิดให้มันเป็นรูปธรรมหน่อยเถอะ ยอมรับได้แล้วว่ามันแค่ในสายตาของนายเท่านั้น”

“ถ้ามันแค่ในสายตาของฉันเท่านั้นก็นับว่าโชคดีมากเลย แต่วันนี้มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าคนอื่นเห็นแบบนั้นเหมือนกัน”

“โอเค… ฉันเป็นคนพิเศษมากเลยสินะ ที่คิดว่าสารเสพติดเป็นบุหรี่เลยสูบมันเข้าไป”

ฮาจุนลุกขึ้น คลุมผ้าห่มแล้วเดินไปใกล้ๆ โต๊ะ

บนโต๊ะมีเสื้อผ้าที่ฮาจุนถอดออกวางพับไว้อยู่ หลังจากที่ฮาจุนกางชุดดูแล้วจึงถอนหายใจออกมา มันเป็นเสื้อที่เพิ่งซื้อใหม่เพื่อมางานปาร์ตี้นี้โดยเฉพาะ

แต่หลังจากที่ใส่ได้แค่ครั้งเดียวก็ยับยู่ยี่

“เละเทะมาก”

“ซื้อใหม่ก็ได้นี่นา”

แทนที่จะตอบ ฮาจุนกลับวางผ้าห่มไว้บนโต๊ะ ผิวขาวนวลราวกับเครื่องเคลือบดินเผา ร่างเปลือยที่ผอมเพรียวแต่ถูกถักทอขึ้นมาอย่างแข็งแรงด้วยสัดส่วนที่ดีเผยออกมาในทันทีและถูกห่อหุ้มด้วยสีมืดสนิทของท้องฟ้ายามค่ำคืน

เป็นท่าทางที่ถ้ามองแว่บๆ ก็น่าที่จะเชื่อได้ ถ้าหากบอกว่าเป็นประติมากรรมตกแต่งในเรือนกระจก มูคยอมนั่งลงบนโซฟาแล้วจ้องมองคนรักอย่างเงียบๆ

ฮาจุนมองไปรอบๆ ประมาณหนึ่งหรือสองครั้งเหมือนกับว่ากังวลเรื่องผนังกระจก เหมือนกับว่ากำลังติดสินใจที่จะทำให้เสร็จอย่างรวดเร็วแล้วจึงรีบแต่งตัวเพื่อออกไป

บางครั้งมูคยอมก็รู้สึกประหลาดใจกับการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันแบบนี้ของฮาจุน การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่มีอะไรจุกจิกราวกับจะแสดงให้เห็นถึงความลำเค็ญในอดีต อีกฝ่ายที่หลับเยอะในยามเช้านั้นไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะอืดอาดอยู่ในผ้าห่ม และมันดูเป็นท่าทางที่ตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่อย่างรวดเร็ว

มันเป็นเพียงแค่นิสัยสบายๆ ของฮาจุนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ใช้ได้จริงอย่างเรียบง่าย นี่อาจจะเป็นภาพหลอนของเขา แต่ทุกครั้งที่มูคยอมพบร่องรอยเล็กๆ เช่นนี้ เขาก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาบ้างและรู้สึกหวงแหนชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้มากขึ้นไปอีก

ฮาจุนที่แต่งตัวเรียบร้อยมองไปรอบๆ ตัวของตนเองพร้อมกับถือเนคไทไว้ในมือ

“พอใส่แล้วก็เลยดูไม่ค่อยยับเท่าไร”

“อย่างไรก็จะไปโรงแรมอยู่แล้ว แค่ใส่ปิดร่างกายได้ก็พอแล้ว”

มูคยอมเดินไปหาอีกฝ่ายแล้วตบที่บั้นท้ายหนึ่งครั้ง

“ไม่ได้ใส่กางเกงในใช่ไหม ยั่วมาก”

“…ก็มันเปียกหมดแล้วคงใส่ไม่ได้หรอก…”

มูคยอมเปิดประตูเรือนกระจกพร้อมคล้องแขนไว้บนไหล่ของฮาจุนที่พูดอ้อแอ้ ภายในเรือนกระจกนั้นค่อนข้างสดชื่น แต่เมื่อออกมา อากาศยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวาของสวนฤดูร้อนก็ปกคลุมคนทั้งคู่ ฮาจุนสูดหายใจลึก

ในระหว่างที่ฮาจุนกำลังจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนและสูดลมหายใจ มูคยอมที่ได้กลิ่นหญ้าด้วยก็เอ่ยถามขึ้นมา

“จำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ”

“อืม…”

ฮาจุนหรี่ตาลง นึกถึงเสียงประทัดที่ดังปังที่หูอย่างรางๆ ขึ้นมาได้ ราวกับว่ามีสีสันลวดลายหลากสีและประกายระยิบระยับอย่างเลือนรางอยู่ตรงหน้า ถ้าพยายามอีกหน่อยคงจะคิดออก… ขณะที่ขุดลึกลงไปในความทรงจำ ฉากที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็แวบเข้ามาในหัวราวกับชิ้นส่วนจิ๊กซอว์

ฮาจุนกดชัตเตอร์ในหัวของตนเอง ท่ามกลางความสุขที่แทรกเข้ามาอย่างฉับพลัน หนึ่งในนั้นเป็นตอนที่มูคยอมจับมือฮาจุนไว้ตอนที่กำลังร้องไห้

…ถ้าเป็นเรื่องที่จบแบบไม่มีปัญหาอะไร มีความจำเป็นอะไรที่ต้องจำให้ได้ไหม

“เออนี่ ฉันกังวลว่าข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของนายกับฉันจะแพร่ออกไปแปลกๆ ในสถานที่จัดงานปาร์ตี้ ไม่ต้องไปแก้ข่าวเหรอ” ฮาจุนเปลี่ยนเรื่อง

“ปกติแล้วในที่แบบนี้ก็มีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงแหละ มันเป็นแหล่งซุบซิบนายไม่ต้องไปสนใจหรอก”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”

“งั้นก็ต้องไปแก้ข่าวสิ อีฮาจุนไม่ใช่คู่นอนของคิมมูคยอม แต่เป็นแฟนต่างหาก”

ฮาจุนมองมูคยอมอย่างกังวล

“ไม่ได้พูดจริงใช่ไหม มันต่างจากตอนที่บอกกับครอบครัวเลยนะ”

“ถึงจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่สักวันมันก็ต้องถูกเปิดเผยไม่ใช่เหรอ”

จากนั้นมูคยอมก็หัวเราะเบาๆ

“เริ่มจากข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่แย่นะ”

อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องของอนาคต มันไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาต้องมาถกเถียงกันที่นี่ ทั้งสองเดินไปตามทางเดินในสวนอันเงียบสงบรับสายลมยามค่ำคืน เมื่อเข้าใกล้คฤหาสน์มากขึ้น เสียงหัวเราะของผู้คนและเสียงเพลงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

แทนที่ทั้งคู่จะกลับไปยังคฤหาสน์สุดหรูที่จัดปาร์ตี้กัน พวกเขากลับตรงไปที่ลานจอดรถทันที ฮาจุนรู้สึกกังวลขึ้นมาในขณะที่ขึ้นรถที่พวกเขาฝากทิ้งไว้

“เป็นเพราะฉันนายเลยไม่ได้คุยกับคนที่นายต้องมาพบเหรอ”

“แค่ไปให้เห็นหน้าก็พอแล้ว ไว้ค่อยคุยรายละเอียดยิบย่อยทีหลังก็ได้

นายไม่เสียดายเหรอ ถ้าอยากกลับไปอีก ตอนนี้ก็กลับไปได้นะ”

“ไม่หรอก… ชุดก็เละเทะ และตอนนี้ฉันอยากกลับไปพักผ่อนกับนาย”

คฤหาสน์ที่สว่างไสวด้วยแสงสีทองในความมืดนั้นเหมือนกับปราสาทในสวนสนุกที่เปิดในเวลากลางคืน มูคยอมใช้สายตาไล่มองตามคฤหาสน์ที่สะท้อนอยู่ในกระจกข้างเหลือบมองดูภาพลักษณ์ด้านข้างของฮาจุนพลางกัดริมฝีปากด้านในแล้วกลั้นหัวเราะไว้

บอกว่าจำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ มูคยอมทั้งรู้สึกโล่งอกและเสียดายไปในเวลาเดียวกัน ท่าทางที่คุยกันระหว่างมีเซ็กส์ซึ่งต่างไปจากตอนปกติน่ารักมากจริงๆ ผนังกระจกของเรือนกระจกเปียกก็เป็นภาพงดงามเช่นกัน ถ้าหากจำได้คงต้องโดนล้อเป็นร้อยรอบแน่ๆ แล้วมูคยอมก็คงอาจจะต้องโดนตีหลังเป็นร้อยรอบด้วยก็เป็นได้

มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะอธิบายว่าทำอะไรลงไปบ้าง ถ้าอ่านมันออกมาเหมือนนิยายโป๊ ฮาจุนก็คงจะเขินอายและใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อสินะ

มันต้องน่ารักมากพอๆ กับที่เขาตั้งใจจะพูดมันออกมา แต่ในครั้งนี้มูคยอมตัดสินใจที่จะอดทนเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ามันดีเพราะอีฮาจุนเสพยา

มันคงจะเกินไปหน่อยหากไปล้ออีกฝ่ายในเรื่องแบบนั้น

เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เขาคลายมุมปากที่กลั้นไว้แล้วหัวเราะคิกคักออกมา

“นายหัวเราะทำไม” ฮาจุนหันหน้ามาถาม

“เพราะว่าเจ้าลูกวัวน้อยน่ารักมากน่ะสิ”

“ปุบปับเลยเนี่ยนะ”

เขามองด้านข้างของคนรักที่หัวเราะด้วยกันราวกับว่ามันไร้สาระ และมูคยอมก็หักพวงมาลัยอย่างนุ่มนวล แต่ถึงอย่างนั้นความโล่งอกที่ไม่มีปัญหาใหญ่ๆ อะไรเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการพักร้อนครั้งแรกนั้นก็โถมเข้ามาอย่างช้าๆ

เมื่อกลับมาที่ลอนดอน เขาต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลหน้าแล้ว การหนีออกจากชีวิตประจำวันอย่างสั้นๆ นั้นก็ได้สิ้นสุดลงตรงนี้เอง

เด็กเลี้ยงแกะ

แม้ว่าความเหนื่อยล้าที่ฟุตบอลโลกทิ้งไว้ให้กับนักเตะจะยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลใหม่ของกรีนฟอร์ดก็ได้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นักเตะที่กลับมาจากการพักร้อนกำลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยและถามถึงสารทุกข์สุกดิบในระหว่างเวลาที่ผ่านมา และได้แสดงความยินดีกับการย้ายเข้ามาทีมใหม่และกล่าวคำอำลากับผู้ที่ย้ายไปทีมอื่น ในบรรดาคนที่ย้ายไปทีมอื่นนั้นมี

นักเตะที่สนิทสนมกับมูคยอม และมูคยอมก็เศร้าอยู่สองสามวันเลยทีเดียว

ชีวิตของฮาจุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฮาจุนออกจากสถาบันภาษาที่เขาไปเรียนภาษาอังกฤษที่นั่น และลงทะเบียนในสถาบันการศึกษาเพื่อฝึกอบรมความเป็นผู้นำอย่างมืออาชีพแทน เนื่องจากเป็นสถาบันที่มีความสัมพันธ์กับทีม ดังนั้นการลงทะเบียนจึงเป็นไปได้ไม่ยาก เพราะฮาจุนได้รับการยอมรับจากประสบการณ์การทำงานในช่วงนั้น มันอาจจะยุ่งนิดหน่อยเมื่อต้องเรียนเพิ่มขึ้น แต่มันก็เป็นขั้นตอนที่เขาจำเป็นต้องผ่านอยู่ดี

“จุน ได้ยินว่าจบฤดูกาลนี้แล้ว นายจะได้เป็นโค้ชอย่างเป็นทางการเหรอ”

“ไม่รู้สิ คงต้องรอดูก่อน”

“แน่นอนว่าต้องได้เป็นสิ ตอนนี้ถ้าไม่มีนายเนี่ยไม่ได้เลยนะ แรงตกเลย”

นักเตะที่ยืดเส้นยืดสายกับฮาจุนส่งกำลังใจและยื่นหมัดออกมาให้ ฮาจุนเองก็หัวเราะและเหวี่ยงหมัดเข้าไปเบาๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของกรีนฟอร์ดหรือเป็นเรื่องปกติในลีกอังกฤษ หรือไม่ก็เป็นความสนิทสนมของเอสกับ ‘ผู้สนับสนุน’ แต่อย่างไรก็นับว่าทีมได้ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่กับโค้ชฝึกหัด ไม่เพียงแค่ระหว่างการฝึกซ้อมสอนเท่านั้น แต่ทั้งก่อนการประชุมและหลังการประชุม ฮาจุนก็ได้เข้าร่วมและแสดงความคิดเห็นเสมอ แฮร์รี่และสต๊าฟโค้ชคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พยายามที่จะมองข้ามความคิดเห็นของเขาด้วย

เหตุผลที่นักเตะคนที่เพิ่งยืดกล้ามเนื้อกับฮาจุนถึงได้เป็นมิตรมากนั้น ก็เป็นเพราะข้อเสนอของฮาจุนที่ให้เปลี่ยนโปรแกรมการฝึกซ้อม อีกฝ่ายเป็นนักเตะที่ฝึกยกน้ำหนักเป็นหลัก เพราะต้องเสริมกำลังด้านการเตะ แต่ในมุมมองของฮาจุน

อีกฝ่ายเป็นนักเตะที่มีมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงเพียงพอแล้ว

แต่เมื่อถึงเวลาที่สำคัญๆ กลับไม่สามารถแสดงพลังที่มีออกมาจนหมดได้ เพราะว่ายังขาดการฝึกฝนความสมดุล หลังจากที่ได้พูดคุยและส่งวิดีโอไปให้แชฮุนแล้ว เขาก็ได้ออกความคิดเห็นในการแก้ไขโปรแกรมในที่ประชุม ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้เห็นผลช้าเกินไป เพราะอย่างนั้น จำนวนนักเตะที่ชื่นชอบฮาจุนจึงเพิ่มขึ้นมาอีกคน

ทุกอย่างราบรื่นราวกับแล่นเรือใบในสายลมอ่อนๆ หลังจากที่เริ่มฤดูกาล

กรีนฟอร์ดก็เริ่มต้นได้ดีด้วยคะแนน 1 ต่อ 0 ในการแข่งขันนัดแรก พวกเขาเสมอกันในนัดที่สองและชนะการแข่งขันนัดที่สามด้วยคะแนน 2-0 ในสามเกมนั้นมูคยอมทำคะแนนได้สองประตูและเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว

มีตัวแปรเกิดขึ้นในนัดที่สี่ ใบแดงใบแรกออกมาค่อนข้างเร็วจากกรีนฟอร์ด

มันไม่ใช่การสะสมการเตือน แต่มันคือการไล่ออกทันทีเมื่อผู้ตัดสินดึงใบแดงออกมา

“วิ่งต่อไป! เลี้ยงบอลไปจนสุด อย่าส่งบอลต่อ!”

เสียงตะโกนของผู้จัดการทีมพร้อมกับ บรรดานักเตะก็วิ่งบนสนามอย่างวุ่นวาย ด้วยความปรารถนาที่จะเก็บสถิติที่ไม่เคยแพ้ให้กับทีมใด กรีนฟอร์ดจึงสร้างบรรยากาศที่ดุเดือดตั้งแต่ช่วงแรกของการแข่งขัน

ครึ่งแรกผ่านไปแล้ว 40 นาที คะแนนยังคงอยู่ที่ 0-0 เพื่อที่จะได้ชัยชนะต่อไปนั้น มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องบุกทำประตูให้ได้เพื่อขึ้นนำก่อน ความตึงเครียดไม่ได้คลี่คลายลงง่ายๆ จนกระทั่งจบครึ่งแรก ทั้งสองทีมไม่สามารถรักษาระดับเอาไว้ได้ เพราะพวกเขารีบร้อนและไม่ได้อบอุ่นร่างกายอย่างเหมาะสม และการส่งบอลก็ถูกชิงไปอยู่เรื่อย นักเตะไม่สามารถวิ่งได้อย่างดีๆ เลย พวกเขาต้องวิ่งอย่างฉวัดเฉวียนไปมา

‘ถ้าเป็นแบบนี้อีกสักหน่อย คงจะหมดแรง’

ฮาจุนที่นั่งอยู่บนม้านั่งนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยและจดจ่ออยู่กับการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาหนึ่งในการแข่งขันที่ดูเหมือนจะแน่นขนัด เกิดการส่งบอลพลาดข้ามไปยังกรีนฟอร์ด และกองกลางทางด้านซ้ายก็วิ่งไล่ตามลูกบอลจนเข้าใกล้เส้นข้างสนามฟุตบอล ขณะที่วิ่งไปพลางกันนักเตะของทีมตรงข้ามที่วิ่งไล่ตามติดอย่างยากลำบากนั้น นักเตะคนนั้นก็เตะลูกบอลไปตรงกลางเมื่อมันยากที่จะต้านทานไหว

นักเตะที่วิ่งตามอีกฝ่ายเข้าไปรับลูกบอลทันที คนนั้นก็คือคิมมูคยอมนั่นเอง บรรดาผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ยังไม่ทันได้สกัดการส่งบอลเข้าไปขวางทางด้านหน้ามูคยอมทันทีราวกับฟ้าแลบ

เสียงเชียร์ของผู้ชมปกคลุมทั่วทั้งสนามแข่งขัน มูคยอมเลี้ยงบอลและแสร้งทำเป็นวิ่งต่อไป เมื่อแนวรับหวั่นไหว อีกฝ่ายก็ส่งบอลลอดผ่านคนตั้งรับสองคนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า เมื่อเห็นชายหนุ่มที่สูงกว่า 190 เซนติเมตรแหวกแนวป้องกันอย่างพริ้วไหวราวกับสายน้ำ นั่นจึงทำให้ทุกคนในสนามแข่งขันรู้สึกตื่นเต้น

มันเป็นโอกาสทำประตู ถึงแม้ระยะห่างจะค่อยข้างไกลนิดหน่อย แต่ก็สามารถที่จะทำประตูได้ ฮาจุนที่มีสมาธิจดจ่อมากกำหมัดแน่นและไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนั้นมันเป็นตอนที่เขารอประตูที่กำลังจะระเบิดในไม่ช้า

โห่ๆๆๆ!

ในครั้งนี้เสียงโห่เยาะเย้ยดังก้องสนามแทนที่เสียงร้องเชียร์ บรรดานักเตะเองก็หยุดวิ่ง

กองหลังฝ่ายตรงข้ามที่ไม่สามารถสกัดกั้นมูคยอมด้วยการป้องกันแบบตามปกติได้อีกต่อไปนั้นได้ทำการจู่โจมเข้าแย่งลูกบอลโดยเจตนา มูคยอมที่ถูกโจมตีจากการเล่นผิดกฎกติกาจับเข่าและข้อเท้าแล้วล้มลงบนสนามหญ้า เมื่อเห็นใบหน้าอันเจ็บปวดของอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ ฮาจุนจึงลุกขึ้นจากม้านั่ง

“ใบแดง! ใบแดง!”

“ออกจากสนาม!”

ขณะที่เสียงโห่ร้องทำให้สนามสั่นสะเทือนราวกับฟ้าร้อง กรรมการตัดสินก็เข้ามาใกล้มูคยอมที่ทรุดตัวลงและนักเตะที่สกัดกั้นมูคยอม นักเตะที่เข้าปะทะยักไหล่สองสามครั้งแล้วประสานมือเอาไว้ ดูเหมือนจะพยายามหาข้อแก้ตัวอะไรบางอย่าง

มูคยอมลุกขึ้นนั่ง แต่ยังคงจับข้อเท้าและขมวดคิ้วราวกับว่าเจ็บขาอยู่

ทีมแพทย์วิ่งเข้ามาฉีดสเปรย์บรรเทาอาการที่ขาของมูคยอม

กรรมการตัดสินบันทึกอะไรบางอย่างและประกาศการเตะฟรีคิกของกรีนฟอร์ด แม้ว่าจะเป็นการชดเชยในการฟาวล์ แต่เสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจในคำตัดสินของผู้ชมก็ไม่ได้สงบลงเลย แม้แต่ตรงม้านั่งเองก็มีเสียงบ่นออกมา

“ให้แค่ใบแดงก็ไม่พอหรอก นี่ไม่ให้เลยเหรอ”

“คงคิดว่ามูมูทำล่ะมั้ง”

ดวงตาที่เบิกกว้างของฮาจุนหรี่ลงและคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น

“ทำไมไม่ให้ใบเตือน”

ขณะที่ฮาจุนพูดกับตัวเองเป็นภาษาเกาหลีอย่างเหม่อลอย สต๊าฟบางคนก็หันมามองเขา ในขณะนั้น กรรมการตัดสินก็กลับไปนั่งที่ของตนเองที่อยู่ใกล้ม้านั่ง ฮาจุนก้าวเข้ามาหากรรมการและขึ้นเสียง

“นักเตะเกือบได้รับบาดเจ็บหนักเลยนะครับ ทำไมถึงไม่ให้คาดโทษตามความเหมาะสมเลยล่ะครับ”

“จุน นั่งลง”

แฮร์รี่ผวาปรามเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ ฮาจุนไม่สนใจการเตือนจากอีกฝ่าย กรรมการตัดสินเตือนฮาจุนด้วยสายตาและโบกมือห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้ในขณะที่ฮาจุนเดินไปหา

“ต้องปกป้องนักเตะอย่างที่ควรจะทำสิครับ ถ้าตัดสินแบบนี้จะให้วางใจแล้วเล่นต่อไปได้อย่างไรครับ”

“กลับไปยังที่นั่งของคุณเถอะครับ”

“ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์นี้ คุณจะรับผิดชอบไหม!”

ฮาจุนแผดเสียงขึ้นมาราวกับยั่วยุ แต่แทนที่จะตอบ กรรมการตัดสินส่ายหน้าสองสามครั้งแล้วเลื่อนมือไปยังกระเป๋าเสื้อด้านหน้า

บรรดานักเตะและผู้ชมที่สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติบนม้านั่งต่างก็ส่งเสียงอึกทึกและมองไปในทิศทางเดียวกัน กล้องเองก็ฉายไปทางนั้นเช่นเดียวกัน

นักเตะและผู้ช่วยกรรมการตัดสินที่กำลังเตรียมเตะฟรีคิกหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำและมองไปที่ม้านั่งของกรีนฟอร์ด EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq 1 EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq มันเป็นภาพที่ยากที่จะเห็นอีกครั้งในสนามฟุตบอลในลอนดอน แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน จุนต้องออกจากสนามเหรอ”

บรรดานักเตะกระซิบกระซาบกัน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq กลืนน้ำลายแห้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจากสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

มีนักเตะคนหนึ่งเดินเข้ามาถามมูคยอม

“มูมู นายเตะฟรีคิกไหวไหม”

“อ๋อ…ได้สิ”

“แล้วขานายล่ะ”

“ไม่เป็นไร ฉันเตะไหว”

มูคยอมยืนจับที่จับทาง ถอยกลับไปสองสามก้าวเพื่อกลั้นหายใจ แล้ววิ่งไปเตะลูกบอลอย่างแรงเพื่อปิดการป้องกัน มันเป็นการเตะออกไปด้านหน้าที่วาดเส้นโค้งยาวอย่างประณีตราวกับภาพวาด

ลูกบอลลอยข้ามแนวตั้งรับ มันพลาดออกจากมือของผู้รักษาประตูและเข้าไปในตาข่าย หลังจากเหตุการณ์เล็กๆ ที่ทำให้สนามกีฬาวุ่นวายสักพัก

เสียงเชียร์ของผู้คนก็ได้กระหึ่มเต็มสนาม การแข่งขันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

มูคยอมไม่เดินโซเซหรือแสดงสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดอีกต่อไป

จบด้วยคะแนน 2 ประตูต่อ 1 กรีนฟอร์ดชนะ มูคยอมผู้ทำประตูแรกออกจากสนามด้วยรอยยิ้มในขณะที่ได้รับเสียงเชียร์ว่าเป็นฮีโร่ของวันนี้ อย่างไรก็ตาม

เมื่อเข้าใกล้ห้องแต่งตัวมากขึ้นเรื่อยเท่าไร ใบหน้าก็ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นเท่านั้น

ฮาจุนที่รอบรรดานักเตะอยู่หน้าประตูสบตากับมูคยอม มูคยอมขมวดคิ้วอย่างรวดเร็วเล็กน้อยและแสดงท่าทีเจ็บปวด มูคยอมแก้ตัวหลังจากที่พิจารณาความรู้สึกของฮาจุนที่จับจ้องมาที่ตนเอง

“โค้ชครับ เมื่อกี้เจ็บจริงๆ นะ”

“แล้วใครว่าอะไรนายหรือยัง”

“ก็แค่จะบอกว่าเจ็บจริงๆ นะ ไม่ได้เล่นละครเลยด้วย”

“อย่าพูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลกสิ อันนั้นมันจะเล่นละครได้ไง นายล้มเพราะไอ้หมอนั่นมันทำผิดกติกานะ ตอนนี้โอเคแล้วใช่ไหม”

“อื้อ โอเคแล้ว”

ท่าทีที่สุขุมในฐานะโค้ชที่ตรวจสอบสภาพร่างกายของมูคยอมอย่างใกล้ชิดยังคงเหมือนเดิม แต่สีหน้าของฮาจุนกลับเคร่งเครียดเล็กน้อย คงเป็นเพราะผลพวงจากการถูกไล่ออกจากสนามอันน่าตกใจ

ควรจะเดินกะโผลกกะเผลกอีกหน่อยไหม มูคยอมรู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ พูดได้เลยว่ามันเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก

การทำฟาวล์ที่เห็นได้ชัดตำตา ถึงแม้จะไม่ได้ใบแดง แต่ก็ควรที่จะได้ใบเหลืองสิ กรรมการเฮงซวยเอ๊ย มูคยอมที่มองย้อนกลับไปยังการสังหารที่ทิ้งไว้เพียงแค่ความสูญเสียโดยไร้ผลสำเร็จเดาะลิ้นก่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำ

รถบัสที่กลับมายังสนามซ้อมหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวด้วยเสียงของบรรดานักเตะที่ซึมซับความสุข

แห่งชัยชนะ

* * *

“แบบนี้สงสัยว่าจุนคงมีสัญชาตญาณความเป็นดาราอยู่นะเนี่ย”

“อย่ามาล้อกันนะ แฮร์รี่”

“ได้ยินว่าตอนที่อยู่เกาหลีเองก็ดังพอควรนี่ ฉันว่าฉันรู้เหตุผลแล้วละ

หล่อเหลา บึกบึน”

ในห้องล็อกเกอร์ของสต๊าฟ ฮาจุนหน้าแดงและปิดปากเงียบเมื่อการล้อเลียนจากเพื่อนร่วมงานยังคงดำเนินต่อไป ห้ามไปก็ไร้ประโยชน์

ราคาของการที่ไม่สามารถเอาชนะได้ในตอนนั้นและขึ้นเสียงใส่กรรมการตัดสินมีมากกว่าที่เขาคาดไว้ การได้รับใบแดงและโดนไล่ออกจากสนามทันทียังไม่เท่าไร

แต่กล้องถ่ายทอดสดที่ไม่พลาดฉากอันน่าทึ่งที่โค้ชหนุ่มผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมทีมและกำลังเรียนรู้การทำงาน ไม่ใช่ทั้งผู้จัดการทีมหรือหัวหน้าโค้ชถูกไล่ออกจากที่นั่ง แน่นอนว่ารูปถ่ายใบหน้าโกรธของฮาจุนที่ออกอากาศไปนั้น ถูกตีพิมพ์ไปตามหนังสือพิมพ์กีฬาและถูกพูดถึงในกระดานสนทนาทางอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ

หัวข้อสนทนานั้นหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าอีฮาจุนเป็นอดีตแบ็กซ้ายที่เล่นให้กับทีมชาติเกาหลี และพวกเขาได้เจอกันที่นั่นเมื่อคิมมูคยอมย้ายถิ่นฐานเป็นเวลาหนึ่งปีด้วยสัญญายืมตัวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และตอนนี้มาทำงานร่วมกันที่กรีนฟอร์ด ความจริงที่ว่าทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันถูกสร้างเป็นบทความด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

ฮาจุนจ้องไปที่รูปหนังสือพิมพ์กีฬาที่ถูกตัดและติดไว้บนผนังเพื่อล้อเลียนตัวเขา EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ฮาจุนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ผมยังห่างชั้นอีกไกลสินะครับ”

“เพราะยังหนุ่มอยู่น่ะสิ ไฟแรงน่ะมันก็ดีอยู่หรอก”

“การแข่งขันครั้งต่อไปคงต้องไปดูบนอัฒจันทร์สินะครับ”

“คิดว่ามันเป็นวันหยุดพักผ่อนแล้วกัน”

เขากังวลว่าจะโดนตำหนิ เพราะสร้างเรื่องตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นโค้ชอย่างทางการ แต่ผู้จัดการทีมก็ได้ตักเตือนเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น โล่งอกไปที

ที่ดูเหมือนว่าทีมจะสนุกกับเหตุการณ์นี้ ที่จริงแล้ว โค้ชฝึกหัดแค่คนเดียวที่ไม่สามารถนั่งบนม้านั่งได้นั้น ไม่ได้มีผลอะไรต่อการแข่งขันเท่าไร

ฮาจุนออกไปที่สนามฝึกซ้อมกับสต๊าฟคนอื่นๆ มูคยอมปรากฏเข้ามาในสายตาของฮาจุนอย่างเคย ไม่จำเป็นต้องตั้งใจมอง เขาก็หาอีกฝ่ายเจอราวกับเครื่องจักรอัตโนมัติ

มูคยอมนั่งลงบนสนามหญ้าและยืดเส้นยืดสายพลางพูดคุยกับบรรดาเพื่อนร่วมงาน ในวันนี้ กองหน้าเอซของกรีนฟอร์ด ความหวังของฟุตบอลเกาหลี และดาวฟุตบอลเอเชียก็ยังแข็งแรงและมีพลังเหมือนเดิม

ฮาจุนหัวเราะออกมาเพราะเขาพูดไม่ออก กี่ครั้งแล้วที่ถูกหลอกโดยการ

เสแสร้งของคิมมูคยอม เขาบอกว่าถ้าจะหลอกศัตรู ต้องหลอกพันธมิตรให้ได้ก่อน และมันเป็นแบบนั้นเป๊ะ แต่ในครั้งนี้ดันมีเพียงพันธมิตรเท่านั้นที่ถูกหลอก

‘มีทั้งจินตนาการมากมาย ทักษะการแสดงที่ดี และแม้กระทั่งหน้าตาอันหล่อเหลา คงเป็นนักแสดงได้หลังจากที่ปลดเกษียณแล้ว’

ก่อนจะเริ่มฝึกซ้อม ฮาจุนเปิดสมุดบันทึกและตรวจสอบตารางของวันนี้

ขณะเดียวกันโทรศัพท์ก็สั่นเบาๆ เมื่อเช็กดูโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็พบว่าเขาได้รับข้อความจากเพื่อนที่แทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย

ฮาจุนอมยิ้มเล็กน้อย เวลาแห่งการฝึกซ้อมจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ฮาจุนจึงตอบกลับข้อความอย่างสั้นๆ และเดินขึ้นไปบนสนามหญ้า

ระหว่างการฝึกส่วนตัวหลังจากการวิ่งรวม ฮาจุนก็ตรวจสอบการฝึกร่างกายของมูคยอม มูคยอมที่กำลังพักสั้นๆ หลังจากออกกำลังกายดื่มน้ำและโอบไหล่ของฮาจุนทันที

“โค้ชอี ฉันขอโทษนะ”

“เรื่องอะไร”

“เป็นเพราะฉันแท้ๆ นายถึงเข้าร่วมในการแข่งขันครั้งต่อไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่นายตั้งใจทำงานหนักขนาดนี้”

“มันก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนี้อยู่แล้ว ทำไมนายเอาแต่ขอโทษอยู่เรื่อยเลย

ฉันผิดเองที่ทนไม่ไหวแล้วก็โกรธ โล่งอกไปทีที่นายไม่ได้รับบาดเจ็บ”

“เพราะคนเดียวที่ฉันห่วงใยคือเจ้าลูกกวางที่น่ารักนี่นา”

ตอนแรกมูคยอมมองมาที่เขาด้วยความลังเลเพื่อเช็กดูว่าเรื่องที่เสแสร้งมันกวนใจฮาจุนอยู่หรือเปล่า แต่หลังจากที่รู้ว่าฮาจุนไม่ได้โกรธ มูคยอมก็ไม่ได้ปิดซ่อนความสุขของตนเองเอาไว้อีก มูคยอมรู้สึกดีและภูมิใจที่ฮาจุนโกรธเพราะคิดว่าเขาบาดเจ็บ

ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็น่ารักดีที่อีกฝ่ายมีความสุข และเอาแต่จูบแก้มเขาอยู่เรื่อย ดังนั้นฮาจุนจึงตัดสินใจที่จะปล่อยผ่านโดยไม่บ่นอะไรอีก การเข้ามาสกัดแบบนั้นมันอันตราย โชคดีแค่ไหนที่อีกฝ่ายไม่บาดเจ็บ ไม่ว่านักเตะจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ก็ตาม ฮาจุนคิดว่ากรรมการตัดสินจะต้องให้บทลงโทษที่เหมาะสมอยู่ดี

มันเป็นความผิดของเขาเองที่ขึ้นเสียงโดยไม่ควบคุมอารมณ์ในสนาม และมูคยอมก็ตอบสนองต่อการฟาล์วที่คุกคามตนเองด้วยการเล่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในฐานะนักเตะ ฮาจุนจัดการเรื่องในครั้งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ฮาจุนที่ช่วยมูคยอมผ่อนคลายร่างกายเอ่ยออกมาเพราะมีความคิดบ้าๆ อยู่เต็มหัว

“ฉันว่าจะไปเจออู่เฉินแหละ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน”

“อู่เฉินเหรอ”

“นายลืมแล้วเหรอ ก็เพื่อนที่เจอกันเมื่อตอนที่เรียนสถาบันสอนภาษายังไงละ”

มูคยอมกระตุกคิ้วเบาๆ

“อ๋อ ไอ้คนที่ไม่หล่อคนนั้นน่ะเหรอ ทำไม”

“ต้องขอบคุณนายเลย ฉันถึงได้ออกโทรทัศน์และได้ลงหนังสือพิมพ์ เขาถึงได้ทักมาถามสารทุกข์สุกดิบ อย่างไรเสีย การแข่งขันครั้งหน้าฉันก็ต้องไปดูบนอัฒจันทร์อยู่แล้ว เลยว่าจะไปดูด้วยกัน”

“เป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนแท้ๆ…แต่ชวนให้ไปดูด้วยกันเนี่ยนะ”

ฮาจุนหรี่ตาลงกับปฏิกิริยาตอบกลับอันละเอียดอ่อนที่ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไร เขาใช้ปลายสมุดบันทึกจิ้มตรงกลางหน้าอกของมูคยอมพร้อมกับขู่ไว้ล่วงหน้า

“อย่าคิดอะไรบ้าๆ ฉันไม่สามารถคบค้าสมาคมแค่เฉพาะกับเพื่อนร่วมงานได้ตลอดนี่นา แค่ดูการแข่งขันฟุตบอลกับเพื่อนแล้วมันทำไม”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็จะไปดูการแข่งขันแค่สองคนงั้นเหรอ นั่นมัน…เหมือนไปเดตเลยนี่นา”

“พูดอะไรของนายเนี่ย ผู้ชายสองคนที่มาสนามแข่งขัน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ไหนนายบอกว่าไม่สนใจอู่เฉินไงละ แล้วเขาก็เป็นแฟนคลับนายนะ”

มูคยอมยักไหล่ด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ

“ฉันมีแฟนคลับแค่คนสองคนหรือไง”

“ยังไงก็ตาม ในการแข่งขันครั้งหน้าฉันจะไปดูกับอู่เฉิน แค่มาบอกนายให้รู้ไว้เฉยๆ ถ้าไม่บอกไว้ล่วงหน้าเดี๋ยวก็งอนอีก”

“ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ”

“ไม่เอาด้วยไม่ได้หรอก ฉันตกปากรับคำไปแล้ว”

ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับหน้าปกนิตยสารด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลายเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ยังไม่ลดละ เขารู้ว่าความหึงหวงของมูคยอมมีเยอะกว่าใครคนอื่นมาก แต่เขาไม่สามารถใช้ชีวิตโดยรับมือกับมันได้ตลอดชีวิต

เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่มาอยู่ที่ลอนดอน ในตอนแรก ฮาจุนไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ นอกจากมูคยอมกับเพื่อนสนิทไม่กี่คนในสโมสร และในระหว่างนั้นเขาก็มีเพื่อนแค่ไม่กี่คน และในอนาคตเขาวางแผนที่จะเรียนกับสถาบันการศึกษาเหมือนตอนที่อยู่ที่โซล คิมมูคยอมมีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความสัมพันธ์ส่วนตัวอื่นๆ ของอีฮาจุน

อย่างที่มูคยอมพูดมาเสมอว่า ต่อให้เป็นคนที่ซ่อนความใจดำเอาไว้แล้วเข้าหาฮาจุน ฮาจุนก็ไม่คิดจะเอาเปรียบคนพวกนั้น แต่เขากับอู่เฉินนั้นเป็นเพื่อนที่จริงใจต่อกันจริงๆ ถึงจะเป็นเรื่องที่รู้สึกเสียใจกับอู่เฉิน แต่มูคยอมก็เคยด่าออกมาจากปากของตนเองจริงๆ ว่า ‘ฉันไม่สนใจหรอก เพราะเขาหน้าตาไม่ดี’

แม้แต่รูปลักษณ์ของแชฮุน อีกฝ่ายก็พูดจาหยาบคายบอกว่าเหมือนกังฉินและตอนนี้ก็พูดแบบเดียวกันกับอู่เฉิน ถึงมันยากที่จะเรียกอู่เฉินว่าคนหล่อ แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนเพรียบพร้อมก็ยังพอไหว ช่างมีอะไรหลายอย่างให้น่าหมั่นไส้จริงๆ

ในกรณีของแชฮุน มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้มูคยอมเกิดความเคลือบแคลงใจ แต่ถ้าบอกว่าไม่อยากให้เขาคบค้าสมาคมกับคนที่ไม่น่าสงสัยเท่านั้น แสดงว่าเขาก็ต้องทำทุกอย่างในชีวิตกับมูคยอมเพียงคนเดียวอย่างนั้นเหรอ เขาเข้าใจว่าการต้องการครอบครองเพียงแค่คนเดียวมันต่างไปจากปกติ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยในชีวิตจริง

“ถ้างั้นฉันขอเวลาสักวันในวันหยุดพักผ่อนนะ”

มูคยอมที่นิ่งเงียบพูดอย่างโผงผาง มันเป็นการเจรจาประนีประนอมให้ตัวเอง การขอเวลาหนึ่งวันเหมือนกับตอนที่อยู่โซลหลังจากฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดจบลง นั่นหมายถึงขอมัดมือชกให้ทำตามใจอีกฝ่าย

หลังจากกลับมาถึงลอนดอน ก็ได้ใช้วันแบบนี้สักสองครั้งเห็นจะได้ บอกตามตรง ฮาจุนไม่ได้ไม่ชอบวันเวลาเหล่านั้น แม้จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาต้องอดกลั้นความเขินอายอยู่บ้าง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ถือว่าเป็นความรู้สึกที่มีค่าซึ่งหาจากที่ไหนไม่ได้อีก มันหอมหวานมากเสียจนเขากังวลว่า

ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้อีกต่อไปมันจะเป็นการเอาใจเขาจนเสียคนหรือเปล่า

การเจรจาต่อรองที่ดีเป็นที่พอใจซึ่งกันและกัน ฮาจุนแย้มรอยยิ้ม

“เอาสิ”

มูคยอมหัวเราะขึ้นจมูกราวกับว่าอารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทั้งสองคนแปะมือกันเบาๆ และฝึกซ้อมที่ตามตารางที่เหลือต่อ

วันแห่งการแข่งขันที่ฮาจุนไม่สามารถนั่งลงบนม้านั่งได้มาถึงแล้ว

การแข่งขันจะเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม ฮาจุนยืนจิบเบียร์คนเดียวที่โต๊ะใกล้ทางเข้าในบาร์ยืนละแวกสนามเหย้ารอคู่นัด

ก่อนการแข่งขันนัดแรกในฤดูกาล ถนนเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดมากกว่าปกติ ไม่นานใบหน้าที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน อีกฝ่ายยกมือขึ้นโบกทักทายไปมา ฮาจุนเองก็โบกมือด้วยเช่นกัน

“จุน! ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“สบายดีไหม”

“ฉันยุ่งมากเพราะมัวแต่ทำงานน่ะสิ นายล่ะ”

ฮาจุนก็เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาและอู่เฉินก็หางานทำ ต่างคนต่างยุ่งกันมาก ในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งคู่ไปโรงเรียนสอนภาษาและเจอกันทุกวัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันหลังฤดูร้อน ระหว่างที่แลกเปลี่ยนเรื่องความเป็นไปในช่วงนี้ อู่เฉินก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับคร่ำครวญ

“ฉันอิจฉานายที่สุดในโลกเลย! ทำงานกับกรีนฟอร์ดนี่ เจอพวกนักเตะทุกวันเลยไม่ใช่เหรอ”

“พอได้เจอกันทุกวัน พวกเขาก็แค่คนในที่ทำงานแหละน่า”

“ช่วงนี้นายก็ดังระเบิดไปเลยนะ ยังอยู่กับคิมเหมือนเดิมใช่ไหม”

“อื้อ”

“วันนี้ฉันขอถ่ายรูปกับคิมสักรูปได้ไหม นายขอให้หน่อยสิ ฉันรู้สึกขอบคุณมากเลยสำหรับลายเซ็นที่ได้เมื่อครั้งที่แล้ว แต่พอได้ลายเซ็นแล้วมันก็โลภอยากถ่ายรูปด้วยน่ะ”

ฮาจุนกลอกตา เขาบอกกับมูคยอมแค่ว่า จะมาดูการแข่งขันกับอู่เฉิน แต่ไม่ได้ขอถ่ายรูปด้วยล่วงหน้า

แต่ฮาจุนก็เป็นสต๊าฟของกรีนฟอร์ด เพราะว่าเขาได้ใบแดง ดังนั้นวันนี้จึงไม่สามารถนั่งบนม้านั่งได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถเข้าออกห้องพักได้อย่างอิสระ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ฮาจุน แต่ครอบครัวและเพื่อนๆ ของสต๊าฟก็มักจะใช้ประโยชน์จากเส้นสายเพื่อขอลายเซ็น ถ่ายรูปกับนักเตะ หรือแม้กระทั่งได้รับชุดยูนิฟอร์มของทีมด้วย

“เอาสิ หลังจากจบการแข่งขันก็น่าจะพอมีเวลาอยู่”

“จุน รักนะ! พูดจริงใช่ไหม ฉันโชคดีมากที่ได้มาเจอนายที่อังกฤษ!”

“ถ้าการแข่งขันเป็นไปได้ด้วยดี ก็คงโอเค แต่ถ้าการแข่งขันมันแย่ล่ะก็ พวกเขาก็คงจะอ่อนไหวกันน่ะ”

“สงสัยวันนี้ฉันคงต้องสวดภาวนาให้ชนะแล้วสินะ ขอให้คิมทำแฮตทริกได้!”

ทั้งสองเทเบียร์ที่สั่งไว้และเตรียมตัวเข้าสู่สนามแข่งขัน เมื่อเข้าใกล้สนามแข่งบรรยากาศที่สัมผัสได้ก็เริ่มร้อนระอุแล้ว

ครั้งแรกที่มาถึงลอนดอน ก่อนที่จะเหยียบที่กรีนฟอร์ด ฮาจุนได้ดูการแข่งขันอยู่บนอัฒจันทร์ด้วย มูคยอมเสนอให้จองที่นั่งวีไอพีที่เตรียมไว้สำหรับสต๊าฟของสโมสรและคนรู้จักของนักเตะ แต่เขาต้องการที่จะแช่ตัวเองอยู่ในความร้อนระอุของคนธรรมดา ดังนั้นเขาจึงนั่งในกลุ่มผู้ชมทั่วไป

มันก็นานมาแล้วที่เขาไม่ได้ดูกรีนฟอร์ดเล่นในฐานะผู้ชม ขณะที่นั่งลง ก็เห็นบรรดานักเตะกำลังอุ่นเครื่องกันอยู่ บรรดานักเตะที่วิ่งระยะสั้นบนสนามหญ้าหรือรับส่งลูกบอลกันในชุดฝึกซ้อมนั้นดูไร้เดียงสา มูคยอมยังคงซ้อมส่งบอลกับนักเตะคนอื่นเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน

ในขณะที่มองลงไปยังบรรดานักเตะด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกจ้องมองจึงหันหน้าไป ผู้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังจ้องมองฮาจุนอยู่ เมื่อสบตากัน พวกเขายิ้มอย่างเขินอายและเริ่มพูด

“มิสเตอร์ลี ใช่ไหมครับ โค้ชของกรีนฟอร์ด”

“เอ่อ…ใช่ครับ”

“ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ”

ฮาจุนลังเลว่าจะตอบไปว่าได้หรือไม่ได้ดี เมื่อไม่ได้ตอบไปในทันที พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นการปฏิเสธ พวกเขาขอโทษที่เสียมารยาทและละสายตาไปจากฮาจุน

ฮาจุนถอนหายใจด้วยความตกใจและมองไปยังด้านหน้า ยิ่งทีมดังมากเท่าไร สต๊าฟก็จะยิ่งได้รับความสนใจจากสาธารณชนได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด สักพักหนึ่ง เขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองกำลังนั่งชมการแข่งขันบนอัฒจันทร์สำหรับผู้ชมทั่วไปอยู่

ก่อนเริ่มการแข่งขัน กองเชียร์ก็ยังคงร้อนแรง สมกับเป็นคู่แข่งระดับภูมิภาค ที่นั่งของผู้สนับสนุนจึงยุ่งวุ่นวายเหมือนกับเตรียมผู้ดูแลอารักขาเอาไว้

นักเตะที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วได้เข้าไปในสนามและยืนต่อแถวกันอยู่ วันนี้เป็นการแข่งขันครั้งที่ 5 ซึ่งแข่งกับทีมฟินส์เบอรี ความตึงเครียดที่คมชัดระหว่างนักเตะแพร่กระจายจนสัมผัสได้ถึงบนอัฒจันทร์

การแข่งขันเริ่มต้นด้วยการส่งลูกบอลระยะสั้นครั้งแรก ลูกบอลย้ายจากนักเตะคนหนึ่งไปยังนักเตะอีกคนอย่างรวดเร็ว เป็นการส่งต่อที่สั้นและรวดเร็วเพื่อไม่ให้สูญเสียความเป็นฝ่ายนำ

แต่ฟินส์เบอรีไม่ปล่อยให้นักเตะของกรีนฟอร์ดรับส่งบอลกันเอง พวกเขารีบเร่งในชั่วขณะราวกับสัตว์ป่าที่พยายามจะตะครุบเหยื่อ และทีมที่ครอบครองลูกบอลก็สลับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ ขณะที่ลูกบอลหมุนไปตรงกลาง รัศมีของการจ่ายบอลก็ค่อยๆ ยาวขึ้นเรื่อยๆ และทันทีที่กองกลางของกรีนฟอร์ดครอบครองลูกบอลได้ คราวนี้จึงได้ลองพยายามส่งต่อไปยังฝ่ายบุก

หลังจากส่งลูกบอลต่อไม่กี่ครั้ง ลูกบอลก็ถูกส่งต่อให้กับมูคยอม มูคยอมคิดว่าตำแหน่งของตนเองพอเหมาะพอดี จึงได้พยายามยิงทันทีโดยไม่ต้องส่งต่อหรือเดินหน้าต่อไป ลูกบอลลอยไปอย่างรวดเร็วแต่ก็เด้งกลับออกมาหลังจากเตะโดนเสาประตู เสียงตะโกนที่น่าเสียดายครอบคลุมทั้งสนามแข่งขัน อู่เฉินลุกพรวดจากที่นั่งด้วยความรู้สึกเสียดาย

“ถ้ายิงเข้านะ คงเท่ระเบิดไปเลย! คิมมีเซนส์การยิงประตูที่สุดยอดมาก เพราะไม่ว่าจะยิงจากตรงไหนก็เข้าอยู่ดี”

“ถูกเผง นี่มันความสามารถพิเศษสินะ”

“เขาสามารถยิงเข้าจากที่ที่คิดว่าไม่น่าจะเข้าประตูได้ ช่างเกิดมาเป็นกองหน้าจริงๆ มันเป็นสัญชาตญาณ ท่าทางตอนอยู่บนสนามของเขาดูเหมือนสัตว์ร้ายเลย”

“ดูเหมือนแบบนั้นเหรอ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคิมมูคยอมก็คือเขาไม่ได้พึ่งพาแค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ดูจากเมื่อกี้สิ ลูกบอลยังคงหมุนอยู่ฝั่งนั้น แต่เขาคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าลูกบอลจะมาตรงไหนและก็ไปรออยู่ตรงนั้นแล้ว การเลือกตำแหน่งให้ได้ดีต้องมีความฉลาดในการเล่นฟุตบอล มันเป็นความจริงที่ว่าเขาสามารถทำประตูได้ดีจากทุกที่ แต่มันมักจะเป็นผลลัพธ์จากการคำนวณ นั่นเป็นเรื่องที่เจ๋งมากๆ เลยละ”

คนที่ได้รับคำชมคือคิมมูคยอม แต่ฮาจุนพูดยาวราวกับโอ้อวดเรื่องของตนเอง เวลาดูการแข่งขันบนม้านั่ง สต๊าฟก็มักจะชื่นชมหรือทึ่งกับนักเตะด้วยกัน แต่ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยชมกันถึงระดับนี้เลย

แม้ว่าจะเป็นแฟนคลับของคิมมูคยอมมานาน แต่เนื่องจากเป็นนักเตะเหมือนกัน ฮาจุนจึงไม่ค่อยได้พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับมูคยอมกับคนอื่นๆ มากนัก อย่างน้อยที่สุด เขาสงสัยว่าตอนที่เขาสามารถแสดงความรักได้อย่างอิสระก็น่าจะเป็นตอนที่ได้พูดคุยกับน้องๆ ละมั้ง

มันอาจจะเป็นการเข้าใจตัวเองมากเกินไป เมื่อก่อนเขากลัวว่าถ้าเขาเปิดเผยว่าเป็นแฟนคลับจนมากเกินไป คนอื่นคงจะจับสังเกตจนเห็นความรู้สึก หรือมันอาจจะเข้าหูมูคยอมและเกิดความเข้าใจผิดได้

ขณะที่พูดคุยกับอู่เฉิน ฮาจุนรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อได้ชมการแข่งขันในวันนี้ การแข่งขันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เสียงเชียร์และเสียงห้ามก็ล้นทะลักสนามแข่ง

“คิมๆ ครั้งนี้เขาบอกว่าจะพาพวกเราไป เขาบอกว่าจะพาไปที่ที่มีถ้วยรางวัล นั่นคือที่สำหรับคุณต่างหาก”

“คิมๆ กลับประเทศของคุณไปซะ หนังสือเดินทางของคุณกำลังรออยู่ในลิ้นชัก ประเทศอังกฤษไม่ต้องการคุณ”

ในช่วงครึ่งแรกประมาณ 30 นาที เมื่อเสียงของฝูงชนเพิ่มสูงขึ้น ลูกบอลก็เข้าไปใกล้ประตูของฝั่งฟินส์เบอรีแต่ถูกสกัดกั้นไว้โดยแนวรับ นักเตะที่บุกไปข้างหน้าส่งบอลกลับไปยังแดนกลาง ลูกบอลที่เตะผ่านเท้าของทางกรีนฟอร์ดหมุนกลับไปแถวๆ เส้นกลางสนาม และมันก็ลอยไปไกลอีกครั้งหนึ่งในภาพเส้นโค้งจากการส่งลูกสูง และทันใดนั้น เสียงเชียร์ของผู้คนก็สั่นสะเทือนสนามแข่งขัน

“ว้าว!”

อู่เฉินตะโกนออกมาเสียงดัง ฮาจุนเองก็กลืนลมหายใจเข้าไปด้วยเช่นกัน

เผลอแป๊บเดียว มูคยอมก็รับลูกบอลที่กลิ้งมาใกล้เส้น เตะมันขึ้น แล้วหลังจากพักลูกบอลไว้ที่อก ก็เตะมันขึ้นไปในอากาศอย่างแรงด้วยการเตะลูกวอลเลย์

มองจากระยะไกล ลูกบอลลอยข้ามศีรษะของนักเตะจำนวนมากที่ยืนอยู่ข้างหน้าและตกลงสู่ประตูอย่างราบรื่น

แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงต้นฤดูกาล แต่ก็เป็นการทำประตูที่ยอดเยี่ยมที่จะได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของฤดูกาลได้เลยในอนาคต ผู้ชมดุเดือดขึ้นราวกับเบ้าหลอม ฮาจุนกอดไหล่ของอู่เฉินและร้องตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว

ในขณะที่สนามกีฬาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น มูคยอมก็วิ่งไปยังทิศทางที่นั่งของฮาจุน นักเตะที่กำลังตื่นเต้นดีใจก็วิ่งตามมูคยอมไป

วันที่ฮาจุนเดินทางมาถึงลอนดอนเพื่อดูการแข่งขันของกรีนฟอร์ดครั้งแรกจากที่นั่งผู้ชมบนอัฒจันทร์ มูคยอมก็ทำประตูและวิ่งมายังทิศทางที่เขาอยู่แล้วยกแขนขึ้นมาทำเป็นรูปหัวใจขนาดใหญ่ มูคยอมกำลังวิ่งมาพร้อมกับยิ้มกว้างบอกใบ้เป็นลางเช่นนั้น ‘เห็นไหมโค้ชอี’ ฮาจุนมองไปยังอีกฝ่ายอย่างมีความสุข ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของมูคยอมพูดออกมาแบบนั้น ถึงจะไม่ได้ทำรูปหัวใจให้แต่ก็คิดว่าแค่โบกมือก็ได้เหมือนกัน

เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าพวกเราทั้งคู่สบตากัน ฮาจุนนั่งที่นั่งที่ค่อนข้างอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าของอัฒจันทร์ และสนามเหย้าของกรีนฟอร์ดก็อยู่ไม่ไกลจากอัฒจันทร์และสนามมากนัก

มูคยอมที่กำลังวิ่งมาพร้อมกับเสียงหัวเราะดังกึกก้องเข้ามาใกล้อัฒจันทร์ผู้ชมและหยุดชะงัก รอยยิ้มหายจากใบหน้าของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของนักเตะที่ทำประตูได้อย่างยอดเยี่ยมซึ่งยากที่จะทำได้ถึงสองประตูในฤดูกาลนี้ดูแข็งกร้าวเกินไป

แต่มันก็เป็นเช่นนั้นเพียงครู่เดียว และในไม่ช้า มูคยอมก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง มูคยอมชูกำปั้นออกไปยังอัฒจันทร์แล้วนำกำปั้นนั้นกลับมาทุบที่ตราสัญลักษณ์บนหน้าอกซ้ายสองครั้ง เสียงโห่ร้องของผู้คนดังขึ้นราวกับฟ้าแลบเมื่อมูคยอมแสดงถึงความจงรักภักดีต่อทีม

“ว้าว ให้ตายเถอะ! คิมนี่มัน นี่มันสุดยอดไปเลย! คนเราจะสมบูรณ์แบบขนาดนั้นได้ด้วยเหรอ”

อู่เฉินตื่นเต้นและคว้าไหล่ของฮาจุนมาเขย่าอย่างแรง

ถูกเผง นายพูดถูกแล้ว ขณะที่ฮาจุนตอบ เขารู้สึกได้ว่าที่มุมหัวใจมันดังเอี๊ยดเบาๆ

อย่างไรก็ตามเกมการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป และด้วยความร้อนแรงที่พุ่งออกมาจากทั้งสองฝั่งของสนามและจากอัฒจันทร์ผู้ชม ความขัดแย้งชั่วขณะนั้นก็ถูกลืมไปทันที

การแข่งขันรอบแรกของฤดูกาลจบลงด้วยชัยชนะของกรีนฟอร์ด หลังจากทำประตูแรกสำเร็จมูคยอมก็ไม่ได้เกียจคร้าน ซ้ำยังวิ่งเหมือนรถถังและทำแต้มได้อีกหนึ่งประตู แน่นอนว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เล่นที่มีค่ามากที่สุดของวันนี้

หลังจากจบการแข่งขัน ผู้คนไม่ได้ลุกจากที่นั่งทันที แต่ไปถ่ายรูปและร้องเพลงกัน

ฮาจุนและอู่เฉินเก็บกวาดที่นั่งและลุกขึ้น หลังจากอู่เฉินได้ชมการแข่งขันอันยอดเยี่ยมด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าความตื่นเต้นจะไม่ลดลงเลย

“จุน ฉันไปเจอบรรดานักเตะได้จริงๆ ใช่ไหม”

“ได้สิ วันนี้จบการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”

“ว้าว มีเพื่อนดีเป็นศรีแก่ตัวสินะเนี่ย”

ฮาจุนและอู่เฉินเดินลงจากอัฒจันทร์และมุ่งหน้าไปยังนั่งบนม้านั่งที่ไม่สามารถนั่งได้ก่อนหน้านี้ นักเตะเกือบทั้งหมดเข้าไปในห้องแต่งตัว เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นักเตะที่กำลังดื่มน้ำนั้นยิ้มและเอ่ยคำพูดออกมา ฮาจุนและนักเตะคนนั้นชกหมัดกันเบาๆ แล้วพูดคุยกัน

“หนุ่มบึกบึน วันนี้คุ้มค่าที่มาดูการแข่งขันไหม”

“ดูจากอัฒจันทร์ก็แปลกใหม่ดีนะ”

“แล้วคนนั้นใคร”

“เพื่อนน่ะ”

อู่เฉินที่จ้องมองไปยังนักเตะชื่อดังที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเฉียดปลายจมูกไปนิดเดียวได้สติหลุดลอยไปแล้ว ถ้ารู้ว่าชอบมากขนาดนี้ เขาคงจะพาอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้แล้ว… ฮาจุนรู้สึกผิดเล็กน้อย

ไม่มีใครมาตำหนิในส่วนนั้น แต่จนกระทั่งเมื่อถึงฤดูกาลที่แล้ว เขายังอยู่ในช่วงปรับตัว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่จะพาคนที่เขาสนิทสนมมานั่งที่ที่นั่งของผู้เกี่ยวข้องด้วย แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้

“มูมูเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้ว”

ยังไม่ทันได้ถาม แต่ก็บอกเลยว่ามูคยอมอยู่ไหน ฮาจุนพยักหน้าเดินลงบันไดไป นักเตะกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการอะไรต่างๆ ทั้งแบ่งปันความสุขแห่งชัยชนะ ถอดเสื้อผ้าและพูดคุยกัน และดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยมีคนเข้าไปในห้องอาบน้ำ

“มูคยอม!”

การตามหามูคยอมนั้นไม่ยาก มูคยอมถอดเสื้อออก เผยให้เห็นถึงไหล่และแผ่นหลังอันกว้างและแข็งแรง มูคยอมหันมาทันทีที่ฮาจุนเรียก รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของชัยชนะต้อนรับฮาจุน

“โค้ช มาแล้วเหรอ”

“วันนี้นายก็ยอดเยี่ยมที่สุดเลย! พรุ่งนี้คงจะคุยแต่เรื่องของนายกันหมดแน่”

ฮาจุนยังคงชื่นชมโดยไม่ลบรอยยิ้มสดใสที่ออกมาอย่างอัตโนมัติ มูคยอมสบตาอย่างอารมณ์ดี แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองด้านหลังไหล่ของฮาจุน คิ้วหนาและหล่อของอีกฝ่ายเลิกขึ้นเล็กน้อย

“คนนั้นคือ…”

“จำไม่ได้เหรอ อู่เฉินที่มาดูการแข่งขันด้วยกันวันนี้ไง เขาบอกว่าอยากถ่ายรูปกับนายเลยลงมาด้วยน่ะ”

ขณะที่ฮาจุนกวักมือเรียก อู่เฉินก็เดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของอู่เฉินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“สวัสดีครับ คิม ผมชื่อว่าอู่เฉินครับ ประมาณช่วงฤดูใบไม้ผลิ เราเคยเจอกันแค่แป๊บๆ ที่หน้าโรงเรียนสอนภาษาที่ผมกับจุนไปเรียนด้วยกัน จำได้ไหมครับ”

“จำได้ครับ”

“ผมจะไม่ลืมการทำประตูในวันนี้เลยครับ มันเป็นความรู้สึกของรางวัลปุสกัส[1]เลยครับ! ผมโชคดีมากที่ได้เห็นการทำประตูที่ยอดเยี่ยมจากสัญชาตญาณที่ไม่ได้เห็นมามานานมากเลยครับ คิม ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ถ่ายรูปด้วยกันสักรูปได้ไหมครับ”

“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก แต่…”

มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย อีกฝ่ายเหลือบมองฮาจุนชั่วครู่ แล้วกลับไปจ้องที่อู่เฉินอีกครั้ง

“ผมทราบมาว่าคุณไม่ได้เจอกับโค้ชอีมานานมากแล้ว”

“ครับ ใช่ครับ พอพวกเราทั้งคู่เลิกเรียนที่โรงเรียนสอนภาษา ต่างคนก็ต่างยุ่งจนไม่ได้เจอกันนานเลยครับ”

“ไม่ได้เจอกันนาน ก็ต้องโฟกัสที่เพื่อนสิ…”

มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่งยิ้มขมขื่นราวกับว่าปวดใจแล้วเอ่ยออกมา

“ถึงขั้นตามมาถึงที่นี่เพื่อมาถ่ายรูปกับผม คงไม่ได้นัดเจอเพื่อหลอกใช้โค้ชอีหรอกใช่ไหมครับ”

“คิมมูคยอม!”

ฮาจุนที่กำลังฟังบทสนทนาอยู่ข้างๆ ขึ้นเสียง อู่เฉินทำได้เพียงปล่อยให้เหงื่อไหล ไม่สามารถตอบกลับคำพูดถากถางที่เข้ามาอย่างกะทันหันได้

ฮาจุนรีบแทรกเข้าไประหว่างสองคนนั้น แล้วลดเสียงกระซิบกับมูคยอม

“เป็นอะไรของนาย หลอกใช้อะไรกัน นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น”

“ฉันจะไปรู้ใจไอ้คนที่ฉันเคยเจอแว่บๆ แค่ครั้งเดียวได้ยังไง”

“เขาจะมาขอยืมเงินนายหรือไง เขาก็แค่อยากถ่ายรูปด้วย มาพูดว่าเขาหลอกใช้ฉันได้ยังไง”

“จากที่ขโมยเข็มกลายเป็นขโมยวัวไงละ เริ่มต้นแบบนั้นแล้วต่อมาเขาอาจจะหลอกเอาก็ได้ใครจะไปรู้”

………………………………….

[1] รางวัลลูกยิงยอดเยี่ยมประจำปี

“นี่นายจะหลอกฉันด้วยคำพูดที่ฟังไม่ขึ้นแบบนั้นเหรอ คิดว่าฉันโง่หรือไง”

“ไม่โง่สิ นายน่ะ ทั้งน่ารักแล้วก็แสนดีมากเลยนะ”

ฮาจุนงุนงงไปครู่หนึ่งเมื่อได้รับคำชมซึ่งโพล่งออกมาในเวลาที่ไม่คาดคิด แต่กระนั้นเขาก็รีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่านี่คือการแสดงของมูคยอม

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้บอกนายล่วงหน้านะ ว่าจะไปดูการแข่งกับเขา เมื่อปีที่แล้วนายก็ไปทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าพี่แชฮุน จนฉันลำบากไปหมด ครั้งนี้ยังจะทำซ้ำอีกเหรอ”

“…”

“ถ้าตอนนั้นพูดคำว่าขอโทษออกมาแล้ว นายก็ไม่ควรทำมันอีกเป็นครั้งที่สองสิ”

แม้บทสนทนาที่เป็นภาษาเกาหลีจะทำให้อู่เฉินไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่สองคนกำลังพูดอยู่ได้ แต่ราวกลับรับรู้ได้ถึงความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวขึ้นในบทสนทนา

อู่เฉินจึงได้พูดแทรกขึ้นมา

‘จุน ฉันไม่เป็นไร อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่เสียมารยาทจริงๆ นั่นแหละ ที่ฉันเข้ามาในถึงพื้นที่ของผู้เกี่ยวข้องโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า’

‘ไม่สิ สตาฟคนอื่นเขาก็พาเพื่อน พาครอบครัวมา แล้ววันนี้ฉันก็มาที่นี่กับนายครั้งแรกด้วย’

ไม่รู้เพราะมีอะไรไปสะกิดให้ใจเจ็บขึ้นมา ขณะที่พูดอยู่ขอบตาของฮาจุนก็แดงขึ้นมาน้อยๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น มูคยอมจึงรีบคว้าแขนของฮาจุนอย่างรวดเร็ว

“ฉันขอโทษ”

“…”

ระหว่างที่ฮาจุนกำลังปรับทิศทางสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด มูคยอมก็รีบขยับเข้าไปใกล้อู่เฉินอีกครั้ง

“อู่เฉิน ขอโทษนะครับ ผมเป็นพวกใจแคบ บางครั้งเลยอาจทำตัวเอาแต่ใจใส่คนอื่นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลย ช่วยเข้าใจผมด้วยนะครับ”

‘ฮ่าฮ่า! ไม่เป็นอะไรเลยครับ นิสัยหัวรั้นนิดๆ ก็เป็นเสน่ห์ของคิมเลยนี่ สำหรับผมเมื่อกี้ก็เหมือนกับแฟนเซอร์วิสแหละครับ’

ทั้งๆ ที่โดนคำพูดก้าวร้าวของมูคยอมสาดใส่อย่างไม่ตั้งตัว แต่อู่เฉินกลับมองว่านั่นเป็นเรื่องขบขันที่สามารถมองข้ามไปได้ จนไม่ทันให้ได้รู้สึกอารมณ์เสีย จากนั้นอู่เฉินก็ได้ไปยืนยิ้มและถ่ายรูปร่วมกับมูคยอม

มูคยอมถึงกับเอาเสื้อทีมที่มีลายเซ็นของตนมาให้อู่เฉิน ก่อนจะทิ้งท้ายกับอู่เฉินว่าสามารถมาหากันได้เสมอและบอกลาตามมารยาท

“คิมนี่เพอร์เฟ็กต์กระทั่งมารยาทในการแฟนเซอร์วิสเลยนะเนี่ย สุดยอดจริงๆ”

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่อู่เฉินเอ่ยชมมูคยอม ฮาจุนก็มักจะเป็นลูกคู่พูดชมเขาขึ้นมาอีกสองเท่าสามเท่า แต่ในครั้งนี้ฮาจุนกลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วอู่เฉินที่ออกมาจากห้องแต่งตัวก็ถามขึ้น

‘“แล้วเราล่ะ จะเอายังไงกันดี ไปหาผับนั่งดื่มกันสักหน่อยไหม”

‘“…วันนี้เราแยกย้ายกันกลับก่อนดีกว่าไหม ฉันมีงานจากสถาบันที่ต้องทำเยอะเลย”

“เอางั้นเหรอ จริงๆ พรุ่งนี้ฉันเองก็ต้องเข้างานเช้า ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกัน ดูเหมือนว่าตอนนี้นายสองคนจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในลอนดอนแล้วนี่ ดังนั้นต่อไปต้องมาเจอกันบ่อยๆ นะ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”

“อื้อ เดี๋ยวฉันไปที่สนามแข่งเลยแล้วกัน”

“โอเค แล้วเจอกันนะจุน! ”

อู่เฉินหอบหิ้วรอยยิ้มอิ่มเอมใจเดินออกไปตามทางเดิน เพียงแค่เดินตามบันไดไปยังที่นั่งผู้ชมอีกครั้ง ไม่นานก็จะถึงทางออก อู่เฉินเลยคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ฮาจุนจะต้องเดินไปส่งเขา

ฮาจุนพูดคุยกับสตาฟคนอื่นๆ ขณะที่ขยับฝีเท้าเดินไป แม้จะไม่สามารถไปนั่งบริเวณม้านั่งข้างสนามแข่งได้ แต่บนรถบัสของทีมที่จะมุ่งหน้าไปยังสนามซ้อม ในวันนี้ก็มีที่นั่งสำหรับฮาจุนอยู่ และเฉกเช่นเมื่อตอนอยู่ในทีมซิตี้โซล ที่ของเขาคือที่นั่งข้างๆ คิมมูคยอม

ฮาจุนปิดปากสนิทและนั่งประจำที่ เพราะเพิ่งอาบน้ำไปได้ไม่นาน มูคยอมจึงปราศจากกลิ่นตัวที่ควรมีหลังเล่นกีฬาเสร็จ และหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นของแชมพู

ทั้งยังมีความเปียกชื้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนเส้นผม เมื่อฮาจุนนั่งลงข้างๆ มูคยอมก็เอนตัวเข้าหาทันที และเอ่ยคำขอโทษออกมาอีกครั้ง

“ขอโทษนะ ที่ฉันอดทนไม่ได้ ทำตัวเหมือนกับเด็กๆ ไปก้าวร้าวใส่คนอื่นอีกแล้ว”

“…ช่างเถอะ ยังไงอู่เฉินก็อารมณ์ดีกลับไปแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องเพื่อนคนนั้นสิ แต่เป็นเรื่องที่ฉันจะต้องทำให้คุณโค้ชหายอารมณ์เสียไง”

“ปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวฉันก็หายเองน่า”

นั่นเป็นคำพูดที่ถูกเลยละ ต่อให้มีเรื่องน่าโมโหหรือน่าหงุดหงิดใจแค่ไหน ความขุ่นเคืองของฮาจุนก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นนานมากนัก ซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับที่เป็นเหตุผลมาจากความรู้สึกและอารมณ์ส่วนตัว

ที่มูคยอมเลือกจะพูดขอโทษซ้ำๆ ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ว่าเวลาจะเป็นตัวช่วยจัดการทุกอย่าง มันคงจะฟังดูย้อนแย้งหากมูคยอมบอกฮาจุนว่าอย่าโมโหกัน ในขณะที่ตัวเขาเองก็ชอบทำเรื่องยั่วโมโหอยู่เรื่อย แต่ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ไม่ชอบเอาซะเลยเวลาที่ฮาจุนโมโหใส่ ไม่สิ ถ้าไม่ได้เป็นคนโรคจิต ก็คงไม่มีใครชอบที่โดนโมโหใส่อยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่ามูคยอมรู้สึกกลัวมากกว่า

หากฮาจุนโมโหแบบนี้จนระเบิดลง แล้วต่อยกำแพงอีกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ และถ้าเป็นแบบนั้นมือของฮาจุนก็อาจจะเจ็บไปด้วย เขาจึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด มูคยอมกำลังทำตัวไม่ถูกและพยายามสำรวจท่าที่ของฮาจุน ทว่าใบหน้าด้านข้างที่เรียบร้อยนั้น กลับปรากฏเพียงความเศร้าหมอง ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังโกรธเคืองอะไร

“โค้ชครับ ฉันขอโทษจริงๆ นะ”

เมื่อเอ่ยคำว่า ‘ขอโทษ’ ออกมาอีกครั้งเพราะไม่มีคำใดที่จะพูดออกไปอีก ฮาจุนก็หันมองมูคยอมแล้วพูดขึ้น

“เมื่อก่อนนี้นายก็เคยพูดไปแล้วนี่ คำว่าขอโทษ”

ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัยที่จะต้องมานั่งกังวลเรื่องปัญหาข้อต่อแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้มูคยอมถึงได้รู้สึกเจ็บไปถึงกระดูกเลยนะ

เมื่อรถบัสมาถึงสนามซ้อม พวกเขาย้ายไปขึ้นรถตัวเองเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั้นมูคยอมก็ปิดปากเงียบสงบเสงี่ยมมาตลอดทาง ทว่าเขาก็ยังสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุที่ฮาจุนโมโหจนกลับออกไปคนเดียว หรือกระทั่งสาเหตุที่ฮาจุนไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นรอบสองต่อกับอู่เฉิน

หลังจากเข้ามาในบ้าน ฮาจุนแยกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่มูคยอมนั่งรอฮาจุนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ฮาจุนในชุดนอนเดินเข้ามาหามูคยอม และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลงเล็กน้อย

“ฉันว่าจะไปนั่งทำงานที่ห้องอ่านหนังสือ ส่วนนายก็ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ คงจะเหนื่อยมากแน่ๆ วันนี้”

“ฮาจุน ไม่เอาแบบนี้สิ ไปนอนพักด้วยกันนะ”

“ที่ไม่ไปเพราะฉันงานยุ่งจริงๆ”

ฮาจุนวาดยิ้มออกมาและตบไหล่มูคยอมเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป มูคยอมมองแผ่นหลังนั้นพลางถอนหายใจยาวเหยียด ขณะเอนตัวนอนตะแคงลงบนโซฟา

เพราะเอาแต่พูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา สิ่งที่ฮาจุนรู้สึกในตอนนี้อาจจะมีแค่ความเบื่อหน่ายก็ได้

ฮาจุนก็บอกก่อนแล้วแท้ๆ ว่าจะมาดูการแข่งกับเพื่อน ซึ่งนั่นก็แน่นอนว่ามูคยอมจะต้องได้เห็นภาพที่ทั้งสองคนนั่งชมการแข่งขันอยู่ข้างกัน แต่ว่า

‘บ้าเอ๊ย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วการไปกอดกันแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงล่ะ!”

ในกีฬาฟุตบอล ทุกการทำประตูมีค่าเท่ากับ 1 คะแนน ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ยิงจากหน้าประตูหรือลูกที่ยิงจากเส้นแบ่งแดน คะแนนที่ออกมานั้นก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ยิ่งทำประตูได้จากจุดที่ไกล ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ยาก หรือยิ่งทำออกมาได้เท่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้ชมได้มากเท่านั้น

หลังทำประตูที่ตัวเขาเองสุดแสนจะภูมิใจจนคิดว่านี่อาจะเป็นการลูกยิงที่ดีที่สุดในฤดูกาลของเขาเลยก็ว่าได้ มูคยอมก็วิ่งไปยังจุดที่ฮาจุนอยู่ ในตอนนั้นเองถ้าเขาไม่ได้เห็นภาพที่ไอ้คนที่ชื่ออู่ฉงอู่เฉินอะไรนั่นกำลังเอาข้อมือพาดอยู่บนไหล่ฮาจุนและดึงเข้าหาตัวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ มูคยอมก็คงไม่เผยนิสัยเอาแต่ใจออกไปแบบนั้น

มิหนำซ้ำเขายังเห็นฮาจุนที่ร่วมหัวเราะคิกคักสนุกสนานไปด้วยโดยไม่คิดอะไรอีก แล้วจะให้เขาทำยังไง

‘ฮาจุนเคยสัญญาแล้วนี่ ว่าต่อไปจะระวังไม่ให้ใครมามือไวใส่ ครั้งนี้ก็เป็นความผิดของโค้ชอีด้วยเหมือนกันนะ’

มูคยอมพยักหน้าหงึกหงักอยู่คนเดียว พยายามลองหารความผิดของตัวเองอยู่ในใจ แต่ต่อให้คิดแบบนั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลง และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นด้วย

ขณะที่คิดว่าหรือเขาควรจะไปหาฮาจุนที่ห้องอ่านหนังสือแล้วขอโทษอีกสักครั้ง แต่เมื่อลองมาคิดดู มูคยอมก็รู้สึกว่ามันก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญมากพอตัว กับคำขอโทษที่ถูกพูดซ้ำไปซ้ำมายาวเกือบสี่ท่อน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เพลงชาติด้วยซ้ำ พอจะมีทางไหนที่เขาจะเนียนพาเจ้าลูกวัวไปที่ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น เพื่อที่จะเปลี่ยนบรรยากาศไหมนะ

หลังจากที่นอนเอานิ้วท้าวคางและติดอยู่ในห้วงความคิดด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง มูคยอมก็ยืดตัวตรงขึ้น

ประตูบานสูงของห้องอ่านหนังสือถูกเปิดออกอย่างไร้สิ้นเสียง ฮาจุนที่นั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะและกำลังจัดเอกสารบางอย่างอยู่เงยหน้าขึ้นมอง

“มีอะไรเหรอ”

ตอนนี้สีหน้าของฮาจุนดูสงบลงเล็กน้อยแล้ว มูคยอมจึงคิดว่าคงไม่ยากในการพาฮาจุนไปใช้เวลาที่อ่อนหวานด้วยกันที่เตียงหรือโซฟา จากประสบการณ์ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าได้ผล มูคยอมรู้ดีเลยละ ถึงวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าหาฮาจุนในช่วงเวลาแบบนี้

มูคยอมเบ้หน้าเล็กน้อยแล้วเอามือทาบลงบนหน้าผากตัวเอง

“โค้ชครับ”

“อื้อ”

“ฉันว่าฉันตัวร้อน”

“ตัวร้อนเหรอ เป็นไข้หรือเปล่า ช่วงนี้มีคนเป็นไข้เยอะด้วยนี่”

อย่างที่คาดไว้ ฮาจุนผุดลุกจากที่นั่งด้วยความตกใจ โยนเอกสารที่ดูอยู่ก่อนหน้าทิ้งจากมือและเดินเข้ามาใกล้ มูคยอมเองก็เดินเข้าไปหาฮาจุนขณะที่ฮัมเพลงอยู่ในใจ

เมื่อเรียวมือขาวของฮาจุนทาบลงบนหน้าผากของเขา มูคยอมก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา สัมผัสอ่อนโยนจากมือของฮาจุนช่างน่ารักน่าเอ็นดูแบบไม่มีที่สิ้นสุดเลยจริงๆ

“ตัวร้อน…เหรอ แค่ใช้มือวัดฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”

ฮาจุนเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ลองแตะมือตัวเองที่วางแนบอยู่บนหน้าผากของมูคยอม และกลอกตาไปมาด้วยความสับสน

ท่าทางนั้นน่ารักจนมูคยอมเกือบหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็พยายามกัดฟันกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ด้วยความยากลำบาก และแล้วมือที่สัมผัสอยู่บริเวณหน้าผากอยู่ช่วงหนึ่งก็ผละออกไป

“เดี๋ยวลองใช้ปรอทวัดไข้ดู ถ้าอาการไม่ดี อย่างน้อยตอนนี้ฉันจะได้รีบโทรบอกผู้จัดการทีม แล้วให้นายพักจะดีกว่า”

ถ้าเอาปรอทวัดไข้มาวัด ต้องความแตกแน่ๆ ว่าเขาป่วยการเมือง…

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่มูคยอมก็เดินตามฮาจุนที่จับมือเขานำอยู่ด้านหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้ามีโอกาสที่ทำให้เราได้คุยอยู่ในที่เดียวกัน มูคยอมก็อาจจะสามารถคลายอารมณ์ที่ขุ่นมัวของฮาจุนได้

ส่วนเรื่องแกล้งป่วย มูคยอมจะดื้อด้านเถียงกลับไปว่าเป็นความผิดของปรอทวัดไข้ก็ย่อมได้ และเขาก็ยังยืนยันได้อีกว่าต่อให้ไม่มีไข้ แต่สภาพร่างกายของเขาก็ไม่สู้ดีนัก ไม่ต่างจากเวลาที่โดนพิษไข้เล่นงานเลยสักนิด

ฮาจุนเดินเข้ามาในห้องนอน จับตัวมูคยอมให้นั่งลงบนเดียง แล้วไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเปิดออก นำปรอทวัดไข้สอดไปที่หูของมูคยอมและกดปุ่มให้เครื่องทำงาน หลังเสียงติ๊ดเบาๆ ดังขึ้น ฮาจุนก็ตรวจสอบตัวเลขที่โชว์อยู่บนจอของปรอทวัดไข้

“ไม่มีไข้นี่”

ฮาจุนพูดงึมงำและก้มมองคนที่นั่งอยู่ ก่อนที่มูคยอมจะยักไหล่ขึ้นมาน้อยๆ

“น่าจะเพราะไข้ต่ำ เลขก็เลยไม่ขึ้นในปรอท แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกหนาวๆ สั่นๆ เหมือนตอนเป็นไข้เลย”

“ฉันต้มชาให้ไหม ถ้าไม่ได้เป็นหนักมาก แค่ดื่มอะไรอุ่นๆ แล้วนอนพักสักหน่อย อาการอาจจะดีขึ้นก็ได้”

“ชาน่าสนใจเลยนะ… แต่ฉันอยากได้ฮาจุนมานอนข้างๆ กันมากกว่า”

มูคยอมรีบคว้าเอวของฮาจุนอย่างรวดเร็ว และดึงลงไปที่เตียง

ฮาจุนถูกดึงลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัวและไม่ทันจะได้ส่งเสียงอะไรออกมา สุดท้ายก็ถูกแขนของมูคยอมกักตัวเอาไว้ให้ลงไปนอนอยู่บนเตียง เมื่อหมุนตัวกลับมาดีๆ ทั้งสองก็หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะเปลี่ยนท่าและนอนตะแคงข้างเข้าหากัน มูคยอมวาดยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูออกมา

“ให้นอนคนเดียว ฉันก็เหงาแย่เลยสิ”

ฮาจุนยังคงไม่พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ประสานสายตากับมูคยอม และกระพริบตาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่แล้วรอยยับน้อยๆ ก็ปรากฏขึ้นที่ระหว่างคิ้วของฮาจุน

ฮาจุนสลัดแขนที่มาก่ายตัวเองไว้ให้หลุดออก และระหว่างที่มูคยอมกำลังอยู่ในอาการงุนงง ฮาจุนก็ผุดลูกขึ้นนั่งบนเตียง

“นี่นายแกล้งป่วยอีกแล้วเหรอ”

“หืม ไม่ใช่นะฮาจุน ไม่ใช่แบบนั้น”

ฮาจุนเสยผมหน้าม้าที่ยุ่งเหยิงขึ้น เขาถอนหายใจสั้นๆ แล้วกดเสียงต่ำลง

“ถ้าไม่ได้มองว่าฉันโง่มาก แล้วทำไมนายถึงได้ทำแบบนี้ทุกครั้ง”

“ไม่สิ! โง่อะไรกัน ฉันจะไปคิดอย่างนั้นกับนายได้ยังไง!”

มูคยอมรีบคว้ามือของฮาจุนเอาไว้ ดึงขึ้นมาใกล้อกเหมือนท่าทางที่กำลังอธิษฐานบางอย่าง จากนั้นจึงพูดต่อขึ้นมา

“ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันอยากขอโทษ แต่การที่จะมาคุยกันได้ ก็ต้องเป็นตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคนใช่ไหมล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะพูดตรงๆ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือสิ ทำไมต้องมาโกหก แล้วแกล้งกันแบบนี้ด้วยล่ะ”

“ก็นายบอกว่าเบื่อคำว่าขอโทษ แล้วฉันก็อยากอยู่กับนายด้วย เลยทำแบบนี้”

“…เวลาที่นายบอกขอโทษฉัน แล้วฉันต้องตอบว่า ‘โอเค ฉันไม่เป็นไร’ กลับไปทันทีเลยเหรอ นายช่วยรอให้ฉันได้จัดการความคิดตัวเอง แล้วอารมณ์ดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้เหรอ”

มูคยอมไม่สามารถตอบกลับได้ในทันที เขาสูดลมหายใจเข้าทางปาก และพูดออกมาด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง

“ก็ดูเหมือนนายกำลังโมโหอยู่ แล้วจะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง…”

บอกเช่นนั้นเสร็จ มูคยอมก็รีบพูดต่อ

“ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าจะทำถึงขนาดนั้นสักหน่อย แต่ไอ้นั่นมันไม่ระวังตอนแตะตัวนายเลยนี่ แถมยังดึงนายเข้าไปกอดอีกด้วย มันร้ายมากเลยนะ”

“ตอนไหนกัน เขาไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย”

“ไม่สิ! ฉันมองเห็นชัดแจ๋วเลยนะว่าเขาทำอะไรบ้างตรงที่นั่งคนดู ตอนฉันฉลองที่ทำประตูได้ ฉันรู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่แรกแล้ว ที่หลังออกจากสถาบันภาษาก็แทบจะไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลยใช่ไหมล่ะ แต่จู่ๆ ก็ชวนมาดูการแข่งด้วยกันเนี่ยนะ อย่างที่คิดไว้เลย มันจะมาทำตัวแบบนั้นในที่สนามแข่งไง”

“ทำตัวแบบนั้นเหรอ”

“ใช่ เจ้านั่นอาจทำลงไปทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ แต่ก็แค่ยังไม่ได้คิด ถ้าเกิดพวกนายไปเจอกันสองคนถึงสองสามครั้งและเริ่มสนิทกัน ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่ท้ายที่สุดเจ้านั่นอาจจะตกหลุมรักนายก็ได้ ไม่มีพล็อตละครไหนที่เกลื่อนเท่ากับการที่มิตรภาพเปลี่ยนเป็นความรักอีกแล้วล่ะ”

คำพูดนั้นฟังดูเด็ดขาดและมั่นคง ฮาจุนจมอยู่ในความคิดอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังมูคยอม

“อย่าบอกนะว่านายกำลังพูดถึงตอนที่ตัวเองเตะบอลเข้าประตู แล้วฉันโดนดึงเข้าไปกอดแค่แป๊บเดียว มันแค่แป๊บเดียวเลยจริงๆ นะ”

“แต่มันก็แตะตัวนายนี่”

“คิมมูคยอม นายไม่รู้เหรอว่าคนเราเวลาเชียร์บอลจะเป็นยังไง ไม่มีใครเขามีสติหรอกนะ บางทีเวลาลูกเข้าประตูก็หันไปกอดคนกับที่ไม่รู้จักที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือบางทีก็ตะโกนเสียงดังออกมา มันเป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนาที่ไม่ดีหรือไง

อู่เฉินเขาเป็นแค่เพื่อนของฉัน ดังนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย ถ้าอย่างนั้นทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ฉันจะต้องผลักคนที่เข้ามาใกล้ออกให้หมดเลยเหรอ”

“แล้วนายทำแบบนั้นไม่ได้เหรอ ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวนายเลย”

“นายลองเปลี่ยนมุมมองแล้วคิดตามนะ เวลาที่นายทำประตูได้ นักเตะคนอื่นก็เข้ามากอดมาแตะตัวนายแล้วแสดงความยินดีด้วย ถ้าฉันบอกว่า ฉันไม่ชอบให้นายทำแบบนั้น นายจะไม่ทำให้ฉันได้ไหม”

“ถ้านายห้ามไม่ให้ทำ ฉันก็ไม่ทำให้ได้นะ”

คำตอบที่โพล่งออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิดสักนิดของมูคยอม ทำเอาฮาจุนถึงกับยกมือขึ้นแปะหน้าผากราวกับรู้สึกปวดหัว เสียงพูดของฮาจุนอ่อนแรงลงเล็กน้อย

“โอเค ฉันก็พอจะรู้ แต่นายก็รู้นี่ว่าตอนซ้อมฉันก็พยายามระวังตัวเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะฉันรู้ว่านายไม่ชอบ”

“ฉันรู้น่า แล้วฉันก็รู้สึกขอบคุณอยู่ตลอดเลยด้วย แต่วันนี้… ที่ฉันพูดจาหยาบคายกับเพื่อนคนนั้นไป มันคือความผิดของฉันเอง ต่อไปฉันจะไม่ให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว”

ฮาจุนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาลดสายตามองต่ำลงพร้อมกับคิ้วที่ตกลงเล็กน้อย เป็นสีหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าเสียใจ มากกว่าที่จะเป็นความขุ่นเคือง

มูคยอมเม้มปากแน่น ใบหน้าเศร้าเสียใจที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นทำเอามูคยอมตั้งตัวตรงขึ้น ฮาจุนขยับปากอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะส่งเสียงพูดออกมา

“ระหว่างที่ดูการแข่งวันนี้ฉันสนุกมากจริงๆ นะ แล้วหมอนั่นก็เป็นทั้งแฟนคลับของกรีนฟอร์ดแล้วก็แฟนคลับนาย เขาพูดถึงนายเยอะเลยด้วย… นายเองก็น่าจะรู้ว่าในกลุ่มนักเตะด้วยกันเอง การพูดถึงนักเตะคนอื่นอย่างเป็นธรรมชาติมันยากมากเลยนี่ ถ้าไม่รวมเพื่อนร่วมทีมในลอนดอน ฉันก็ยังไม่มีใครที่สนิทด้วยจริงๆ เลย”

“…”

ใครบางคนกำลังลูบเส้นผมเขาขึ้นอย่างอ่อนโยน ฮาจุนลืมตาตื่นขึ้น ด้วยความรู้สึกเหมือนจมอยู่ในแอ่งดินนุ่มๆ แล้วถูกดึงขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

เขากะพริบตาสองสามครั้ง ไม่นานภาพคนรักที่ช่วยปลุกเขาตื่นขึ้นในทุกวันก็เข้ามาสู่การมองเห็น ฮาจุนตรึงสายตาไว้ที่อีกฝ่ายไม่ละไปไหน แล้วไม่นานก็ขยับใบหน้าง่วงงุนให้ยกยิ้ม ริมฝีปากนิ่มกดลงมาสองสามครั้งบนแก้มที่ป่องขึ้นเล็กน้อยเพราะมัวแต่ยิ้ม

“หลับสบายไหม”

ฮาจุนพยักหน้าให้คำถามของมูคยอม จากนั้นจึงตั้งสติขึ้นมาได้ในทันทีแล้วมองดูนาฬิกา เป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว ฮาจุนดันตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจพร้อมกับถามมูคยอม

“น้องๆ กับแม่ล่ะ”

“ออกไปแล้วสิ แม่บอกว่าไม่ต้องปลุกนาย ฉันเลยไปส่งคนเดียว”

ฮาจุนเสยผมที่ปรกลงมา เขานอนตะแคงลงกอดหมอนแล้วพูดพึมพำ

“โอ๊ย… สงสัยเมื่อวานดื่มเหล้ามา เลยนอนไม่ตื่นเลย”

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ แม่ไปแค่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ก็กลับมาแล้ว”

ฮาจุนลองคำนวณวันที่จะอยู่เกาหลีในหัว ตารางเวิลด์คัพของทีมชาติเกาหลีซึ่งคว้าชัยชนะมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ยืดยาวออกไปกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ทุกอย่าง ในระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้ที่จะได้อยู่โซล มูคยอมต้องตามถ่ายโฆษณาที่ทำสัญญาไว้และต้องให้สัมภาษณ์ออกรายการจำนวนหนึ่งด้วย

มูคยอมสร้างผลงานในการแข่งขันเวิลด์คัพฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ เพราะอย่างนั้น ผู้สนับสนุนโฆษณาที่ต้องการตัวมูคยอมจึงไม่ได้มีแค่รายสองราย พอมาดูตารางงานแล้วฮาจุนรู้สึกเหมือนกำลังดูแคตตาล็อกสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีทั้งแชมพู เครื่องสำอาง แบรนด์แฟชั่นที่แบ่งแยกย่อยออกไปเป็นชุดสูท ชุดใส่สบายๆ เสื้อผ้ากีฬา ชุดชั้นใน แล้วยังมีอะพาร์ตเมนต์ รถยนต์ เครื่องโกนหนวด ธนาคาร บริษัทประกัน บริษัทโทรคมนาคม เกม ขนม ไอศกรีม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เบียร์ โซจู โค้ก เครื่องหอม เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ… ข้อเสนอถ่ายโฆษณาที่เสนอเข้ามาให้มูคยอมคนเดียว แค่ของใช้ในชีวิตประจำวันก็เยอะแยะเหลือเฟือจนสร้างห้างขึ้นมาได้ห้างหนึ่งแล้ว แน่นอนว่ามูคยอมไม่สามารถตอบรับทั้งหมดนั้นได้จึงเลือกมาไม่กี่อย่างเท่านั้น

“นายบอกว่าโฆษณาจะเริ่มถ่ายตั้งแต่พรุ่งนี้ใช่ไหม ทันทีที่กลับเกาหลีมาก็ไม่มีเวลาให้พักเลยนะ ยุ่งมากเลย”

“ตอนหาเงินได้ก็ต้องรีบหาไว้ ถึงจะทำให้เจ้าลูกวัวกินอยู่อย่างราชาได้ไม่ใช่เหรอ”

คำที่พูดออกมาพร้อมกับถูปลายจมูกทำให้ฮาจุนหัวเราะคิก

“ชีวิตตอนแก่ของผม ผมจะจัดการเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ตอนนี้ลองคิดดู รายได้ต่อปีก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เลย ไม่แน่นะ ในอนาคตฉันอาจได้เป็นผู้จัดการทีมผู้โด่งดังแล้วหาเงินได้เยอะกว่านายก็ได้”

“นายพูดเรื่องน่าเสียใจแบบนั้นอีกแล้ว ได้โปรดใช้เงินฉันให้เหมือนใช้น้ำทีเถอะ นายบอกว่าการสร้างแรงผลักดันให้นักกีฬาเป็นสิ่งสำคัญนี่ โค้ชต้องสร้างแรงบันดาลใจให้นักกีฬาอยากตั้งใจแข่งเพื่อหาเงินสิ”

เมื่อเสร็จงานแล้ว ต่อไปก็จะไปเที่ยวพักร้อนสักพัก แล้วหลังจากนั้นก็กลับลอนดอนไปเข้าร่วมทีม

ฮาจุนรู้สึกประหลาด แน่นอนว่าครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนว่า บ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกันกับมูคยอมที่ลอนดอน เหมาะจะใช้คำว่า ‘กลับไป’ มากกว่า ทั้งที่อยู่มาเพียงครึ่งปีเท่านั้น

ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ด้วยกันกับครอบครัวตลอดสามร้อยหกสิบห้าวันในหนึ่งปี แต่ตอนนี้ วันที่ได้เห็นหน้าและใช้เวลาด้วยกลับน้อยลงจนนับนิ้วได้ เพราะอย่างนั้น การได้ทักทาย บอกว่าไปดีมาดีในแต่ละวันจึงมีคุณค่ามาก แต่เขาก็พลาดมันไป ในขณะที่ฮาจุนกำลังคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องส่งข้อความไปหาทีหลัง มูคยอมก็พูดขึ้น ทำลายความคิดภายในหัวของฮาจุน

“กินข้าวเช้ากันเถอะ มีน้ำซุปต้มไว้ จะได้แก้เมาค้าง”

“แม่ทำไว้ให้ก่อนไปเหรอ”

“เปล่า ฉันต้มเอง”

คำพูดของมูคยอมทำให้ฮาจุนหลุดหัวเราะเขินๆ ทั้งที่ยังมุดหน้าอยู่กับหมอน

‘ทำอีท่าไหน เขาถึงกลายมาเป็นคนที่ได้กินซุปแก้เมาค้างที่คิมมูคยอมต้มให้ด้วยตัวเองนะ’ ฮาจุนยังจำได้ ว่าเช้าวันนั้นที่ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ในหัวของเขาร้องโอดครวญเพราะอาการเมาค้างที่เพิ่งเคยประสบครั้งแรกในชีวิต และทันทีที่เปิดประตูออกไป เขาก็ยืนอึ้งกิมกี่ เมื่อเห็นภาพด้านหลังของอีกฝ่ายซึ่งยืนอยู่ในห้องครัวที่บ้านของเขาเอง

เมื่อวานเขาไม่ได้ดื่มหนักมากเท่านั้น ความทรงจำก็ครบถ้วนดี อาการท้องไส้ปั่นป่วนหรือปวดหัวก็ไม่มีเลย ในระหว่างที่นอนหลับ กระเพาะและลำไส้ของเขาคงจะทำการย่อยอาหารอย่างขันแข็ง เขาจึงเพียงแค่หิวกว่าปกติเท่านั้น ฮาจุนกำลังจะลุกขึ้นจากเตียง แต่แล้วมูคยอมก็พูดขึ้น

“ว่าแต่”

“หืม”

“จำเรื่องที่สัญญากันเมื่อวานได้ไหม”

“หือ”

ฮาจุนกะพริบตาพร้อมกับเงยหน้ามองมูคยอมที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็นึกถึงบทสนทนาที่คุยกันก่อนนอนขึ้นมาได้ทีหลัง

เมื่อนึกออก ฮาจุนก็กะพริบตาปริบๆ พร้อมกับสังเกตท่าทีของมูคยอมไปโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนก้มหน้าลงแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นยืนข้อมือไปให้อีกฝ่ายอย่างลังเลพร้อมถามขึ้น

“หรือว่า เดี๋ยวนี้เลยเหรอ…”

“ถ้านายโอเค”

“นายชวนกินข้าวเช้านี่ ฉันก็หิวด้วย”

“กินสิ”

คำพูดหน้าหลังของมูคยอมไม่สัมพันธ์กัน เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้ว่าชวนกินข้าวเช้า หรือชวนมีเซ็กส์ หรือชวนกินแล้วค่อยมีเซ็กส์ หรือว่า… คงไม่ใช่ชวนกินไปด้วยมีเซ็กส์ไปด้วยใช่ไหม

“ฉัน… ก็โอเคอยู่หรอก”

“ถ้างั้นรอแป๊บหนึ่ง”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วเปิดกระเป๋าเดินทางของตัวเอง

‘หรือเขาเตรียมกุญแจมือมาด้วยงั้นเหรอ…’

ฮาจุนคิดว่าถ้าอีกฝ่ายทำแบบนั้นก็ถือว่าเตรียมการมาอย่างพิถีพิถันจนน่ากลัว แล้วเขาก็ต้องพูดอะไรไม่ออก เมื่อมูคยอมไม่ได้เอากุญแจมือออกมาแต่เป็นเนกไทหลายเส้น

“ฉันไม่รู้ว่าจะได้ทำแบบนี้ทันที ก็เลยมีของที่เหมาะจะใช้แทนกันได้แค่นี้”

“อ๋อ อื้อ…”

ถึงจะเป็นคิมมูคยอมก็ไม่ได้พิถีพิถันขนาดนั้น ฮาจุนนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนเตียงด้วยใบหน้าขวยเขินเล็กน้อย พร้อมทอดสายตามองอีกฝ่ายถือเนกไทจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา

“ถ้านายอยากเตรียมให้พร้อมๆ แล้วค่อยทำ ก็เอาไว้ทำทีหลังก็ได้นะ”

“ไม่หรอก ไหนๆ คุยกันแล้วก็ทำเลย”

มูคยอมตอบอย่างเฉียบขาด

ในระหว่างที่มาอยู่เกาหลีรวมถึงช่วงฝึกซ้อมเวิลด์คัพ ไม่ได้มีงานที่ต้องสวมสูทเยอะอะไรขนาดนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย ชุดสูทจำเป็นสำหรับตอนเข้าร่วมงานอีเวนต์ภายนอกอย่างเช่นงานเมื่อวาน และในบรรดานักฟุตบอล มูคยอมก็ค่อนข้างจะมีงานพบปะสังสรรค์เยอะแยะมากมาย เวลาแบบนั้นจึงต้องสวมสูทเพื่อไปพบปะผู้คนอยู่หลายครั้ง

ตอนนี้ มูคยอมในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงทั่วไป วางเนกไทสี่ห้าเส้นในสีที่ต่างกันลงบนเตียงแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าฮาจุน มือของฮาจุนซึ่งวางประสานไว้ระหว่างเข่า ถูกมูคยอมจับไว้

“ยื่นมาข้างหน้าสักเดี๋ยวสิ”

ฮาจุนทำตามคำสั่งโดยไม่ได้พูดอะไร มือขาวที่เคยประสานนิ้ว แยกออกจากกันเพื่อขยับข้อมือให้ชิดกันแล้วยื่นไปตรงหน้ามูคยอม

ตอนนี้ฮาจุนเพิ่งจะตื่นนอน เส้นผมชี้โด่เด่ และสวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้นตัวบางและหลวมโคร่งกับกางเกงชั้นในเท่านั้น ต่างกับมูคยอมซึ่งตื่นแต่เช้าจึงอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ฮาจุนจึงไม่ดึงดันร้องขอ

หากลองคิดดูก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กัน ในครั้งแรก ฮาจุนปิดบังเรื่องที่ตัวเองสภาพร่างกายไม่ดีและพยายามจะรองรับอีกฝ่าย แต่ก็ทนไม่ไหวจนถึงขั้นอาเจียนแล้วทำทุกอย่างพังไปหมด วันนั้นมูคยอมก็อยากใช้เทกไทปิดตาและมัดข้อมือของเขา

วันนั้นจบลงด้วยการสารภาพรักอย่างเงอะงะและอกหักอย่างแรง วันนั้นก็ตั้งเมื่อไรมาแล้วนะ พอลองคิดๆ ดูตอนนี้ มูคยอมดูเหมือนมีความสนใจในการมัดตัวเขามากๆ มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว

ครั้งที่สองคือวันที่อีกฝ่ายเห็นเขาเกือบถูกมาร์โคจูบ ฮาจุนได้มีประสบการณ์ถูกมูคยอมผู้เมาเหล้ากักกุมตัว ไม่ใช่ด้วยเนกไทแต่เป็นถึงกุญแจมือ พูดตามตรงว่าถึงเขาลองนึกถึงความทรงจำในวันนั้นดูอีกครั้ง มันก็ไม่ได้น่ารื่นรมย์สักเท่าไรเลย

หลังจากวันนั้น มูคยอมก็ไม่ให้เหล้าโดนปากตัวเองเลยแม้แต่หยดเดียว หากฮาจุนไม่อยู่ร่วมโต๊ะด้วย ตามที่อีกฝ่ายเคยสัญญาไว้กับเขา เพราะรู้ว่ามูคยอมสำนึกผิดเท่าที่ทำได้ ฮาจุนจึงไม่คิดจะยกเรื่องที่ผ่านมาแล้วมาดันทุรังพูดถึง ในมุมมองของฮาจุน ความโกรธและความขุ่นเคืองจะต้องได้รับการคลี่คลายในตอนนั้นๆ ทันที การขุดคุ้ยเรื่องพวกนั้นมาพูดหลังผ่านมาพักหนึ่งแล้ว เป็นการกระทำที่ไม่เอาใจใส่กัน

เพราะในใจของฮาจุนเชื่อมั่นว่านิสัยตอนเมาเหล้าที่แท้จริงของมูคยอมไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาจึงถึงกับรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ช่วงนี้อีกฝ่ายควบคุมตัวเองไม่ให้เมามากเกินไป ถ้าคิมมูคยอมเมา บางครั้งก็น่ารักขึ้นมากแท้ๆ

ทว่าเพราะมีความผิดที่เคยก่อ ฮาจุนจึงไม่จำเป็นต้องผ่อนปรนการควบคุมที่มูคยอมเสนอด้วยเองตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคต ไม่ช่วงปลายปีนี้ก็ช่วงต้นปีหน้า เขาลองดื่มเหล้าด้วยกันจนกว่าอีกคนจะเมาดีไหมนะ… ฮาจุนครุ่นคิดอย่างละเอียด มูคยอมเหลือบมองฮาจุนแล้วปริปากพูดขึ้น

“ตั้งใจคิดอะไรถึงขนาดนั้น”

“…คิดว่านายนี่ชอบมัดฉันเอาไว้มากจริงๆ”

“ตอนนี้ก็คงจะโกหกว่าไม่ใช่ไม่ได้แล้วสินะ”

ในตอนที่ฮาจุนตกอยู่ในห้วงความคิดสั้นๆ มูคยอมผู้ชำนาญก็หัวเราะคิกคักพร้อมทั้งผูกข้อมือของฮาจุนอย่างคล่องแคล่วไปด้วย มูคยอมใช้เนกไทสองเส้นผูกปมเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา แล้วเอามันมาผูกข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้ด้วยกัน จากนั้นก็คล้องเนกไทไว้หลังคอของฮาจุน ฮาจุนไม่ถามอีกฝ่ายว่าตั้งใจจะทำอย่างไรแล้วรอคอยให้มูคยอมทำไป

มูคยอมผูกเนกไทที่คล้องบนคอของฮาจุนให้เป็นวงกลมเหมือนบ่วงหลวมๆ แล้วเอาข้อมือที่มัดชิดกันอยู่ มามัดต่อกับบ่วงนั้นอีกที และแล้วฮาจุนก็กลายมาอยู่ในท่าที่มือสองข้างรวมอยู่ตรงแถวๆ หน้าอกของตัวเอง

ฮาจุนลองดึงข้อมือตัวเองไปข้างหน้าแล้วก็ลงด้านล่างโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่มูคยอมจะได้สั่งเสียอีก มือของเขาทำได้แค่ขยับโยกในระยะสั้นมากๆ เท่านั้น ขยับออกจากบริเวณหน้าอกไปไกลๆ ไม่ได้ มูคยอมดูท่าทีของเขาแล้วยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“ดูเหมือนจะแน่นหนาดีแล้วนะ”

“ฝีมือนายดีจริงๆ”

ฮาจุนพูดชมออกมานิดหน่อยพร้อมก้มลงมองปมที่มูคยอมมัดซ้อนกันไปมา ถ้าเขาผูกปมแบบเดียวกันนี้ มันคงจะหลวมและพันกันนุงนัง ไม่ได้รัดแน่นหนาและดูดีเหมือนในตอนนี้แน่นอน

“ฉันจะไม่มัดขานายแล้วกัน”

ฮาจุนไม่คิดว่าจะถูกมัดกระทั่งขาด้วยตั้งแต่แรก เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดประมาณหนึ่ง

มูคยอมก้มตัวลง สอดมือเข้าไปใต้ต้นขาและแผ่นหลังของฮาจุนที่นั่งอยู่บนเตียง จากนั้นก็ยกตัวเขาขึ้นพรึ่บ

เมื่อโดนกอดในสภาพถูกมัดมือไว้ ฮาจุนจึงไม่สามารถเกี่ยวแขนรอบคอของอีกคนเหมือนปกติได้ เขาเลยรู้สึกไม่ปลอดภัยนิดหน่อย พอฮาจุนเอียงตัวไปด้านหน้า แขนของมูคยอมจึงโอบด้านหลังแผ่นหลังเขาอย่างมั่นคง

เมื่อลงบันได้มา กลิ่นหอมน่าอร่อยก็ลอยมาจากห้องนั่งเล่น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ไม่ได้นานอะไร แต่คงผลาญแคลอรี่ไปมากกว่าที่คิด เสียงโครกครากจึงดังออกมาจากในท้องของฮาจุน

มูคยอมจับฮาจุนให้นั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว ข้าว เครื่องเคียงสองสามอย่าง และซุปปลาพ็อลแล็คที่มูคยอมบอกว่าต้มเอง ถูกวางเรียงกันไว้ ฮาจุนกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมก้มลงมองอาหารตรงหน้า จากนั้นจู่ๆ ก็ตระหนักถึงสภาพตัวเองขึ้นมาได้จึงถามอย่างร้อนรน

“ตอนกินข้าวก็ต้องอยู่แบบนี้เหรอ”

มูคยอมจับช้อนกับตะเกียบขึ้นมาพอดี อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างหน้าพร้อมพูดตอบ

“แหงสิ”

“จะให้ฉันกินข้าวยังไง นายทรมานฉันโดยให้ดูอย่างเดียวแต่กินไม่ได้เหรอ”

มูคยอมหัวเราะแล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวหนึ่งคำ อีกฝ่ายตั้งใจจะคุมสถานการณ์โดยการกินข้าวคนเดียวต่อหน้าเขาเพื่อเย้าแหย่กันอย่างน่ารังเกียจแบบนั้นงั้นเหรอ

ฮาจุนหิวข้าวจึงรู้สึกน้อยใจ เขาทอดสายตามองมูคยอมด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่อีกฝ่ายกลับยื่นมือ เลื่อนช้อนมาจ่อปากฮาจุนใกล้ๆ

“อา”

ฮาจุนเพียงแค่กะพริบตาปริบๆ มูคยอมเลิกคิ้วเล็กน้อยขึ้นพร้อมกับเร่งเขาอีกครั้ง

“เร็วสิ อ้าปาก อา”

“ฉันจะกิน…”

“บอกแล้วไงว่าทั้งวันทั้งคืน”

ที่บอกว่าถูกมัดสองมือตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ายันกลางคืน

ฮาจุนเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดอีกฝ่ายในตอนนี้ ใบหน้าของฮาจุนค่อยๆ ขึ้นสีเรื่อ

“นาย นายก็ต้องกินข้าวเช้าด้วยสิ ป้อนฉันทีละช้อนแล้วเมื่อไร…”

“ฉันกินก่อนที่นายจะตื่นแล้ว”

มูคยอมเตรียมพร้อมอย่างถี่ถ้วนตามที่คิด อีกฝ่ายเร่งเป็นครั้งที่สาม

“จะอดข้าวใช่ไหม”

เสียงโครกครากเหมือนฟ้าร้องดังมาจากในท้องอีกหนึ่งครั้ง ฮาจุนไม่คิดจะอดข้าวเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจึงค่อยๆ อ้าปากด้วยความลังเล ช้อนกินข้าวร้อนๆ เข้ามาในปาก ในใจเขินอายจนความอยากอาหารที่เคยพุ่งสูง เหือดหายไปครู่หนึ่ง แต่ฮาจุนก็ตั้งอกตั้งใจเคี้ยวแล้วกลืนลงไป

มูคยอมหยิบตะเกียบขึ้นมา ชังโจริม[1]ที่แม่ทำเข้ามาในปากของฮาจุน แล้วเขาก็กินข้าวที่ถูกตักให้อีกคำ จากนั้นก็ลองชิมซุปปลาพ็อลแล็คที่มูคยอมทำ

“เป็นไง ถูกปากไหม”

“อาหารที่นายทำอร่อยหมดทุกอย่างเลย…”

มูคยอมหัวเราะให้กับวิธีพูดที่งึมงำเล็กน้อยเพราะความเขินอาย อีกฝ่ายขยับช้อนตะเกียบสลับกัน คีบอาหารเข้าปากฮาจุนทีละอย่างราวกับพอใจ

ตอนแรกจะกลืนอาหารก็ยังยาก เพราะรู้สึกอายจนเหมือนลำคออุดตัน แต่มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ และฮาจุนก็ค่อนข้างจะได้รับคำชมมากมาย ว่าความสามารถในการปรับตัวเป็นเลิศตั้งแต่สมัยเป็นนักกีฬา คราวนี้เขาก็ค่อยๆ ปรับตัวในสถานการณ์อันไม่คุ้นเคยไปทีละนิด

“ขอซุปอีก”

“อื้อ เอาอะไรอีก”

“จะกินผัดมันฝรั่ง”

ใช้เวลากินข้าวนานกว่าปกติ แต่พอตั้งอกตั้งใจกินอาหารตามที่อีกคนป้อน อาหารก็ค่อยๆ พร่องลงไปถึงก้นถ้วย ตอนนี้อีกไม่กี่ช้อนก็คงจะเกลี้ยงถ้วยแล้ว ในตอนนั้น มูคยอมก็ตบหน้าตักของตัวเอง

“มานั่งตรงนี้สิ”

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองมูคยอมทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารในปากหนุบหนับ เขาคุ้นเคยกับการกินข้าวแบบถูกตักป้อนให้โดยสมบูรณ์แบบแล้ว จึงกำลังเพลิดเพลินโดยไม่รู้สึกขัดแย้งอะไร แต่สุดท้ายก็รู้สึกเหมือนสะดุดลูกระนาดดังโครมอีกหนึ่งครั้ง ตอนนี้อาหารเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ต่อให้มูคยอมไม่ป้อน ปริมาณอาหารเท่านี้แค่เหลือไว้ก็จบ

ทว่าฮาจุนกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกจากที่ไปหย่อนก้นลงบนตักของมูคยอมอย่าระมัดระวัง แล้วก็เป็นอย่างเคย ต้นขาแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น ไม่มีความรู้สึกว่าอ่อนยวบลงเลยแม้มีน้ำหนักของฮาจุนกดลงบนนั้น

ฮาจุนยังเหลือพื้นที่ในท้อง และไม่ชินกับการเหลืออาหารทิ้ง อีกทั้งหลังจากที่เริ่มอาศัยอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ อาหารที่มูคยอมทำให้ก็ยังไม่เคยกินเหลือเลยสักครั้งเดียว

มูคยอมยิ้มบางๆ แค่ตรงริมฝีปาก จากนั้นก็โอบแขนรอบเอวของฮาจุนแล้วตักอาหารให้ทีละช้อน พออ้าปากรับอาหารในสภาพที่ใบหน้าใกล้กันขึ้นอีกระดับ ก็กลายเป็นว่าเขาเอาแต่ก้มลงจ้องตาของมูคยอมอย่างเดียว ต่างกับเมื่อครู่นี้ ฮาจุนกำลังเคี้ยวเหมือนเครื่องจักร แต่แยกไม่ออกสักเท่าไรว่าอะไรเข้ามาในปากของตัวเอง ไม่รับรู้รสชาติอย่างถูกต้องชัดเจนด้วย

“กินหมดแล้ว”

ชั่วขณะหนึ่ง มูคยอมก็บอกให้รู้ว่ามื้ออาหารจบลงแล้ว ฮาจุนซึ่งอ้าหุบปาก เคี้ยวและกลืนอาหารซ้ำๆ ตามการเคลื่อนไหวมือของมูคยอมอย่างเหม่อลอยราวกับตุ๊กตาใส่ถ่าน ตอนนั้นถึงตั้งสติขึ้นมาได้แล้วตั้งใจจะลุกจากตักของมูคยอมทันที แต่แขนที่เกี่ยวรอบเอวเขากลับไม่ยอมคลายแรงรัดให้

แก้วน้ำเคลื่อนเข้ามาตรงหน้าริมฝีปากของฮาจุน เขาอ้าปากที่เคยปิดสนิทเล็กน้อยแล้วงับแก้ว ฮาจุนอ้าปากรับอาหารที่ช้อนตะเกียบส่งมาให้อย่างฉับไวเหมือนลูกนกก็จริง แต่แก้วน้ำที่คนอื่นเอียงให้ ฮาจุนไม่สามารถปรับองศาให้พอดีกันได้เลย ‘อึกๆ’ เขากลืนน้ำลงไปในคอเสียงดัง แต่น้ำที่กลืนไม่ได้ก็ไหลลงมาใต้ริมฝีปากเป็นทาง

………………………………….

[1] 장조림 ชังโจริม (เนื้อเคี่ยวซีอิ๊ว) เป็นเครื่องเคียงที่ใส่เนื้อลงไปเคี่ยวในซีอิ๊ว

ริมฝีปากของมูคยอมกดซับสายน้ำที่ไหลลงมา การเคลื่อนไหวที่บดเบียดริมฝีปากโดยไม่มีเสียงอะไรพร้อมกับซับคางให้ ทำให้ใบหน้าของฮาจุนร้อนผะผ่าวขึ้นทีละนิด ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ด้านหน้าโต๊ะกินข้าวที่มีเสียงช้อนตะเกียบกับถ้วยชามกระทบกันหรือเสียงพูดคุยโต้ตอบกันสั้นๆ จนถึงเมื่อครู่ เงียบสงบลงเหมือนไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว

ริมฝีปากของมูคยอมไต่ขึ้นมาจากตรงคางด้านล่างแล้วในที่สุดก็แตะลงบนริมฝีปากชื้นน้ำของฮาจุน ฮาจุนหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว ‘จุ๊บๆ’ มูคยอมประทับริมฝีปากลงมาราวกับนกจิกจนเกิดเสียงแผ่วเบา

ทุกครั้งที่ริมฝีปากทาบทับกัน หัวใจของฮาจุนก็เต้นตึกตัก ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มเข้าประเด็นหลักเพราะกินข้าวเสร็จแล้วเลย

“กินข้าวหมดแล้ว คราวนี้ก็อาบน้ำดีไหม”

ในตอนนั้น ฮาจุนลืมตาขึ้นทันควันจากเสียงกระซิบที่ข้างหู

ก่อนที่จะตอบอะไรออกไป มูคยอมก็ลุกขึ้นจากที่ ฮาจุนซึ่งนั่งทับขาของอีกคนก็พลอยลุกตามไปด้วย เขางุนงงราวกับฝันอยู่แล้วตื่นขึ้นมา

เมื่อยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำด้วยสภาพถูกมัดข้อมือ ภาพของตัวเองซึ่งถูกมัดข้อมือด้วยบ่วงที่ทำจากเนกไทสีม่วงกับสีกรมท่าเข้มๆ ก็ถูกสะท้อนให้เห็นอย่างแจ่มชัด คงเพราะเป็นเนกไทคุณภาพดี ปมที่มัดไว้อย่างไม่ประณีตจึงกลายเป็นเหมือนเชือกหลากสีโดยที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเก้งก้างอะไร และกำลังมัดอยู่บนผิวขาวๆ อย่างแน่นหนาราวกับเป็นของที่มีไว้ใช้การแบบนี้อยู่แล้ว ฮาจุนเขินอายขึ้นมานิดหน่อยจึงหลุบตาลงด้านล่าง

ตามที่อีกฝ่ายพูด เขาต้องอาบน้ำให้สะอาดก่อนทำ ยิ่งไปกว่านั้น มูคยอมยังชอบทำหน้ากระจกหรือไม่ก็ทำในห้องน้ำด้วย…

“เริ่มจากแปรงฟันแล้วกัน”

มูคยอมบีบยากสีฟันใส่แปรงแล้วขยับเข้ามาใกล้ มูคยอมเชยคางฮาจุนขึ้นพร้อมกับพูดคำเดียวกันกับตอนอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวซ้ำอีกครั้ง

“อา”

ฮาจุนลังเลแล้วแบมือออกทั้งที่ยังถูกมัดอยู่

“มือใกล้กับหน้า แค่นี้ฉันทำเองได้”

“อีฮาจุน ยังไม่รู้อีกเหรอ เรื่องหลักของวันนี้คือนายจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีฉัน”

“นายอย่าพูดเรื่องแปลกๆ อย่างผ่าเผยสิ”

ฮาจุนหน้าแดง ทว่ามูคยอมจริงจัง อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้แล้วอ้าปากพร้อมพูดคำว่า ‘อา’ แบบไม่มีเสียงอีกครั้ง

ฮาจุนอ้าปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าหมอฟัน ตอนนั้นมูคยอมถึงได้ยิ้มอย่างพอใจแล้วใส่แปรงเข้าไปในปาก มูคยอมแปรงฟันอยู่ แล้วก็พูดชมออกมาเสียงเบา

“ฉันไม่เคยดูข้างในปากอย่างละเอียดแบบนี้เลยนะ ฟันนายเรียงสวยสุดๆ เลย”

“อาอาอ้ออั๋วอ๊ะ”

“ยิ่งกว่าฉันอีก ขนาดฟันยังลักษณะเหมือนนายเลย ขาวแล้วก็ตรง”

ฮาจุนจำได้รางๆ ว่าตอนเด็กมากๆ แม่เอาแปรงสีฟันลวดลายหลากสีที่บีบยาสีฟันรสผลไม้ ใส่ปากเขาแล้วแปรงฟันให้แทน เป็นความทรงจำที่นานมากๆ จนเลือนราง อีกทั้งยังเป็นภาพจำสีจาง ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาไม่ได้เจ็บมือหรือแขน แต่มีใครบางคนมาแปรงฟันให้แทนทั้งที่อายุตั้งเท่านี้แล้ว

ช่วงเวลาของการแปรงฟันที่ไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น แต่รู้สึกเหมือนจะนานไปตลอดกาล จบลงแล้ว เมื่อฮาจุนบ้วนปาก คราวนี้มือใหญ่ของมูคยอมก็จับให้เขาก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วล้างหน้าให้ ฮาจุนรู้สึกแค่ว่า เหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยไปแล้วจริงๆ ในระหว่างที่อีกฝ่ายซับหน้าให้ด้วยผ้าขนหนูผืนใหม่ที่มีกลิ่นน้ำยาซักผ้าหอมฟุ้ง จู่ๆ ฮาจุนก็เผชิญกับปัญหาที่นึกไม่ถึง

“ทีนี้นายออกไปหน่อยไหม”

ฮาจุนก้าวถอยหลังสองสามก้าวเพื่อหลบแขนของมูคยอมที่หวังจะอุ้มเขาอีกครั้ง มูคยอมทำหน้างง

“ทำไม”

“…ออกไปก่อน”

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหน บอกแล้วไงว่าวันนี้นายต้องทำทุกอย่างกับฉัน”

“อย่าดื้อสิ”

ฮาจุนหลบตาจากมูคยอมอย่างไม่ค่อยจะมีสติ เขากระอึกกระอัก พูดออกไม่ได้ในทันที แล้วจึงเขย่าข้อมือ

“แล้วก็ปลดอันนี้ออกให้หน่อยแป๊บเดียว”

“ไม่ได้ แป๊บเดียวได้ที่ไหน นายสัญญาแล้วนี่ ว่าวันนี้จะอยู่แบบนี้ทั้งวัน”

“แค่มัดใหม่อีกรอบก็ได้นี่”

ฮาจุนขมวดคิ้วพร้อมเร่งเร้าอีกฝ่ายด้วยความงุ่นง่านใจ ท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อยแบบไม่สมกับเป็นฮาจุน ทำให้มูคยอมเอียงหัวพร้อมเดินเข้ามาใกล้

“นายเป็นอะไร เจ็บหรือไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นก็บอกมาได้เลย”

“ไม่ใช่แบบนั้น…”

แก้มของฮาจุนขึ้นสีจัด เมื่อมูคยอมมายืนอยู่ข้างหน้าในระยะประชิดเข้าจริงๆ เสียงของเขาก็อ่อยลงอีกครั้ง เสียงที่แผ่วเบาลงพูดกระซิบตอบแทบจะไม่ได้ยิน

“ฉัน… อยากถ่ายเบา…”

ทันทีที่ตื่นนอน เขาก็ไปกินข้าวเลยทันที ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยสักครั้ง แปรงฟันก็แปรงแล้ว หน้าก็ล้างแล้ว แต่ถ้านอนทั้งคืนแล้วตื่นมา ไม่ว่าใครก็ต้องจัดการกับสภาวะที่เกิดขึ้นด้วยกลไกร่างกายกันโดยธรรมชาติ แต่ฮาจุนยังไม่ได้ทำแบบนั้น ใบหน้าของฮาจุนแดงก่ำ

ฮาจุนข่มความอายแล้วพูดออกมา เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจไปมากกว่านี้แล้ว ถึงแม้ว่าหน้าจะยังขึ้นสีจัดอยู่ แต่ฮาจุนก็ลืมตามองตรงๆ พร้อมเขย่ามือ

“ก็นั่นแหละ ช่วยปลดให้แป๊บเดียว”

“จริงๆ เลย จะฉี่แล้วทำไมต้องปลดมือออกด้วยล่ะ มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสุดยอดยังไงกัน”

มูคยอมโอบแขนรอบเอวฮาจุนแล้วยกตัวขึ้นต่ำๆ พรวดเดียว ฮาจุนประมาทไปจึงต้องเคลื่อนตัวสองสามก้าวอย่างไร้ซึ่งแผนรับมือโดยที่ตัวถูกมูคยอมยกไว้ เพราะห้องน้ำไม่ได้กว้างถึงขนาดนั้น ตอนฮาจุนได้ลงมายืนจึงอยู่ตรงหน้าที่หมายแล้ว

มูคยอมดึงกางเกงชั้นในด้านหน้าของฮาจุนลง เมื่อแกนกายซึ่งถูกเก็บไว้ใต้ร่มผ้า ปรากฏออกมาเหนือขอบกางเกงที่ถูกดึงลง มือใหญ่ก็จับเข้าที่ส่วนนั้นซึ่งโผล่ออกมาให้เห็น ฮาจุนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกแล้วได้แต่ก้มลงมองส่วนล่างของตัวเองเท่านั้น ต่อให้สัญญากันไว้ก็เถอะ แต่การหวนย้อนกลับไปสู่วัยเด็กก็ต้องมีขอบเขตบ้าง

“อยู่ในท่านี้แล้วจะทำยังไง…”

“ผู้ชายด้วยกันจะเป็นอะไรไป เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะก็มองหน้าผู้ชายที่ไม่รู้จักกันแล้วฉี่ด้วยซ้ำ”

“มันจะไปเหมือนกับอันนั้นได้ยังไง”

“มันขึ้นอยู่กับที่นายคิด นายจะอั้นต่อไปเหรอ ถ้าอั้นเดี๋ยวเป็นโรคนะ”

ฝ่ามืออีกข้างของมูคยอมค่อยๆ กดลงตรงท้องน้อยของเขา บอกว่าท้องน้อยก็จริง แต่ถ้าให้พูดชัดเจนหน่อยก็ตรงตำแหน่งที่มีกระเพาะปัสสาวะอยู่ น้ำตาเอ่อขึ้นมาตรงหางตาของฮาจุน ส่วนใบหน้าก็ร้อนวูบวาบ

แรงกดที่เพิ่มลงมาที่ท้องไม่ได้รุนแรง แต่สถานการณ์ถูกชักจูงมาถึงเวลาขับปัสสาวะแล้ว เมื่ออีกคนผ่อนแรงกดออกครั้งหนึ่ง ฮาจุนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปราวกับเปิดวาวล์ก๊อกน้ำ แกนกายในมือมูคยอมกระตุกเบาๆ แล้วไม่นานก็ฉีดของเหลวออกมา ฮาจุนหลับตาลงเพราะเสียงเหมือนน้ำประปาที่ถูกเปิดไว้ให้ไหลเอื่อยๆ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพร้อมกับพูดเตือนลอดไรฟันออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ทีหลังฉันไม่ปล่อยเอาไว้แน่ คิมมูคยอม…!”

“บางครั้งนายก็ฉี่ออกมาระหว่างมีเซ็กส์นี่ ไม่เข้าใจเลยแฮะว่านายเขินอะไร เหมือนไม่เคยไปได้”

“เงียบไปเลย!”

มูคยอมจัดการทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย คราวนี้อีกฝ่ายพาฮาจุนที่แดงเถือกลงไปจนถึงคอด้านล่าง มาตรงหน้าอ่างล้างหน้า การตีคนอื่นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการของเขา แต่เขาก็พูดขู่ว่าสักวันจะต้องตีมูคยอมจริงๆ สักครั้งให้ได้ ฮาจุนมองสีหน้าตัวเองที่สะท้อนบนกระจกแล้วรู้สึกท้อใจ

เขาทำสีหน้าแบบนี้ในตอนนี้ เพราะฉะนั้นมูคยอมไม่มีทางกลัวคำที่เขาพูดแน่ๆ แก้มฮาจุนขึ้นสีแดง ส่วนดวงตาก็ถูกความร้อนตีขึ้นจนดูชุ่มน้ำ ใบหน้าของฮาจุนเพียงแค่ดูรู้สึกงุ่นง่านใจและไม่ยุติธรรม ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นใบหน้าที่กำลังพูดข่มขู่เลยแม้แต่ปลายก้อย

มูคยอมล้างมือของตัวเองโดยจับให้ฮาจุนยืนด้านหน้า จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูที่วางบนชั้นออกมาชุบน้ำอุ่นแล้วเช็ดนิ้วของฮาจุนทีละนิ้วหมดทุกซอกทุกมุม ในระหว่างที่ทำแบบนั้นก็จ้องมองใบหน้าของฮาจุนที่สะท้อนบนกระจกไปด้วย แล้วจู่ๆ ก็ประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา

“เจ้าวัวน้อย วันนี้น่ารักมากๆ”

“อือ เอ็นดูให้เต็มที่นะ ตอนนี้บอกว่าน่ารักใช่ไหม”

“ลูกวัวหัวร้อน น่ารักเป็นสองเท่าเลย”

ลองลิ้มรสความหัวร้อนหน่อยไหมล่ะ ฮาจุนเอนหัวขวับไปด้านหลังเพื่อลองเอาหัวโขกมูคยอมเบาๆ แต่มูคยอมก็เอียงหน้าหลบอย่างฉับไว

อย่างไรซะ ด้วยสภาพที่ถูกมัดมือไว้แบบนี้ การต่อต้านใดๆ ก็เป็นเพียงการกระทำไร้ประโยชน์เท่านั้น ในตอนที่ตัวสั่นด้วยความอับอายหลายอย่างตีรวนกัน กางเกงชั้นในก็ถูกถอดออกไปทั้งตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฮาจุนมองมูคยอมเริ่มล้างร่างกายท่อนล่างของเขาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง

‘ปล่อยวางจิตใจกันเถอะ’

วันนี้วันเดียว เขาเลือกเองว่าจะให้อำนาจการควบคุมตัวเขาเป็นของคิมมูคยอม แม้คาดไม่ถึงว่ามันรวมถึงพวกรายละเอียดปลีกย่อยแบบนี้ด้วย และคิดว่าเป็นเรื่องบนเตียงเพียงอย่างเดียวจึงอนุญาตให้ทำ ‘ทั้งวันทั้งคืน’ ไป แต่ส่วนนั้นก็เป็นความผิดพลาดของเขาเอง มูคยอมไม่ได้เป็นคนอ้อนขอก่อน อีกทั้งเขาก็พูดออกไปเพราะไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องที่เคยสัญญาเมื่อก่อนไปได้

ไม่ว่าจะเป็นตอนโค้ชชิ่งให้เยาวชนหรือโค้ชชิ่งให้ผู้ใหญ่ก็ความรู้สึกเหมือนกัน จะต้องรักษาสัญญาที่พูดออกไปเพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจให้ได้ ถึงมานึกเสียใจทีหลังก็ช่วยไม่ได้แล้ว ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็หวนย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องมุ่งทำต่อไปโดยลดความเสียหายลงให้น้อยที่สุด

“น่าจะถอดเสื้อก่อนมัดมือนะ อาบน้ำไม่ค่อยสะดวกเท่าไรเลย”

“เมื่อวานอาบก่อนนอนแล้ว แค่นี้ก็น่าจะพอนี่”

พออีกฝ่ายถึงกับจะให้อยู่แบบตัวเปลือยเปล่าในระหว่างนี้ ฮาจุนก็อยากจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

มูคยอมดูไม่คิดที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่นเลยแม้อยู่ในห้องน้ำ ฮาจุนก้มลงมองสันจมูกโด่งของมูคยอมซึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดขากับก้นเปียกชื้นอย่างใจจดใจจ่อ แล้วฮาจุนก็เอนคอเงยหน้ามองเพดานอย่างไร้ซึ่งหนทาง

สถานที่ที่เขาถูกมูคยอมอุ้มมาหลังซับน้ำออกจนแห้งแล้ว ก็คือโซฟาในห้องนั่งเล่น

…ฮาจุนคิดว่าพอพามาโซฟา คราวนี้คงกะจะทำแล้ว แต่มูคยอมกลับชวนดูหนังพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ขึ้นมาแล้วเริ่มไล่ดูช่องภาพยนตร์แบบเสียค่าบริการ ฮาจุนกำลังนอนหนุนตักมูคยอมและดูรายชื่อภาพยนตร์ด้วยกัน

ความอับอายพร้อมทั้งความขุ่นเคืองใจที่เกิดขึ้นในห้องน้ำวันนี้คงอันตรธานหายไปหมดแล้ว ฮาจุนรู้สึกว่าเรี่ยวแรงเหือดหายและเหนื่อยอ่อน เขาตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนสัตว์ที่ถูกบังคับอาบน้ำจนหมดแรง และเพียงแค่มองดูทีวีอยู่เงียบๆ เท่านั้น มูคยอมไล่ดูรายชื่อภาพยนตร์ทีละอันๆ แล้วกดคำอธิบายหนังแอ็กชันหุ่นยนต์เรื่องหนึ่งให้ขยายขึ้นมาปรากฏบนหน้าจอ

“ดูเรื่องนี้กันไหม ยอดขายตั๋วสูงอันดับหนึ่งอยู่พักหนึ่งเลย ตอนนั้นเรายุ่งกันจนไม่ได้ดูนี่”

“ฉันดูได้ ดูที่นายอยากดูกัน”

ในขณะที่ฮาจุนขยับตัวสองสามทีเพื่อเปลี่ยนท่านอนหนุนต้นขาแข็งแรงให้เป็นท่าที่สบายที่สุด มูคยอมก็กดให้หนังเริ่มเล่นราวกับตัดสินใจแล้ว

พวกเขาปิดไฟในห้องและปิดม่านเพื่อดูหนัง ห้องนั่งเล่นจึงมืดสลัว มีเพียงแสงที่ส่องออกมาจากหน้าจอ ที่ทำให้ห้องนั่งเล่นกับทั้งสองคนสว่างขึ้นมาแบบพอมองเห็นรางๆ โลโก้ของบริษัทภาพยนตร์กับผู้จัดจำหน่ายเลื่อนผ่านไปตามลำดับ และทันทีที่หนังเริ่มขึ้น หน้าจอก็ปรากฏให้เห็นภาพหุ่นยนต์ที่กำลังต่อสู้กันพร้อมเสียงดังกระหึ่ม

มูคยอมผู้คล่องแคล่วไปหมดทุกเรื่อง กลับชื่นชอบหนังประเภทซาบซึ้งตรึงใจและเงียบๆ หรือไม่ก็หนังที่ดูแล้วอารมณ์ดิ่งอย่างเกินความคาดหมาย ที่อีกคนเลือกหนังแอ็กชันแบบนี้เป็นเพราะคำนึงถึงความชื่นชอบของฮาจุน

หนังเริ่มต้นมาได้ไม่นาน แต่ฉากต่อสู้ตระการตาก็ดำเนินอยู่บนหน้าจอแล้ว โทรทัศน์ที่มูคยอมซื้อมาใหม่ตอนแต่งบ้านใหญ่มากก็จริง แต่ถ้าดูในโรงหนังก็คงน่าดูยิ่งกว่านี้ ฮาจุนจับจ้องหน้าจอที่ดึงดูดสายตาเขาไปอย่างเหม่อลอย

ทว่าเขาไม่มีสมาธิกับหนังเลย ก่อนที่บทพูดกับซับไตเติลจะถูกซึมซับเข้าไปในดวงตากับหู หุ่นยนต์ในหนังก็ถูกดีดกระเด็นออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนที่ถูกยิง มือของมูคยอมลูบหัวของฮาจุนซึ่งนอนหนุนตักอยู่แล้วคลำลงมาใต้คาง อีกทั้งยังไล้ลงมาตามใบหูกับลำคอด้วย

สัมผัสจากมืออีกฝ่ายเหมือนคิดว่าใบหน้าของเขาคือลูกหมาที่นั่งอยู่บนขา ฮาจุนหันหน้าไปเล็กน้อยแล้วเหลือบขึ้นมองมูคยอม อีกคนกำลังทอดสายตามองหน้าจอราวกับจดจ่ออยู่กับหนังพอสมควร

‘…จะทำเมื่อไรกันนะ’

ไม่รู้ทำไมด้านในคอถึงรู้สึกขัดๆ ขึ้นมา ฮาจุนจึงกลืนน้ำลาย เขาเตรียมใจซ้อมตายโดยการถูกสูบกำลังกายออกไปจนหมดเพราะคำว่า ‘มัดมือ’ กับ ‘ทั้งวันทั้งคืน’ แต่เรื่องราวกลับดำเนินไปอย่างแปลกประหลาด

หรือเซ็กส์ไม่ได้รวมอยู่ในกำหนดการที่มูคยอมคิดไว้ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้นะ

ดูเหมือนมูคยอมจะไม่ได้คิดอะไรเลย มีเพียงเขาที่คิดแปลกๆ ขึ้นมาบ่อยครั้ง ความเขินอายจึงแผดเผาภายในใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สัมผัสจากมือที่ลูบไล้ใบหน้าเขาอย่างเชื่องช้าเริ่มจั๊กจี้ขึ้นเรื่อยๆ นิ้วมือยาวที่มีข้อนิ้วชัดลูบลงบนแก้มแล้วแหวกเข้าไปในเส้นผม ทุกครั้งที่ปลายนิ้วปัดผ่านผิวเนื้ออ่อนใต้คางหรือแถวๆ ใบหูอย่างอ่อนโยน ดวงตาของฮาจุนก็ปรือลงจนพร่ามัวอยู่เรื่อย ราวกับตอนรู้สึกได้ถึงความง่วงรำไรเพราะแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ

“อือ…”

เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากในชั่วขณะเดียวกับที่ปล่อยตัวปล่อยใจ

ฮาจุนตื่นตกใจแล้วปิดปากเงียบทันควัน ทว่าเสียงฉากต่อสู้ที่มีการใช้อาวุธล้ำสมัยดังกึกก้องออกมาจากทีวีพอดี มูคยอมจึงแค่ลูบหัวที่หนุนอยู่บนตักอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา

ใบหน้าของฮาจุนร้อนวูบวาบขึ้น ความรู้สึกที่รับรู้ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่มือของมูคยอมปัดผ่านแก้มแล้วแตะลงบนลำคอด้านในอีกครั้ง ฮาจุนก็ทนไม่ไหวแล้วส่ายหน้าโดยที่ตัวสั่น

“ทำไม”

มูคยอมก้มหน้าลงถามอย่างนิ่งเฉย ฮาจุนนอนตะแคงแล้วตอบกลับด้วยร่างแข็งทื่อ

“…จั๊กจี้น่ะ”

ปลายนิ้วที่ถูกรวบไว้บริเวณหน้าอกสั่นระริกอย่างแผ่วเบา มูคยอมหัวเราะแล้วละมือออกจากใบหน้า

“ถ้างั้นลูบตรงอื่นให้ไหม”

ในขณะเดียวกันกับที่พูดอย่างหยอกล้อ มือของอีกฝ่ายก็สอดเข้ามาใต้เสื้อยืดของฮาจุนแล้วไล้เอวเนียนลื่นย้อนขึ้นมา ชายเสื้อยืดถูกรั้งขึ้นไปพร้อมกัน ทำให้ผิวเปลือยเปล่าปรากฏออกมาให้เห็น เมื่อสัมผัสที่ทำให้ขนอ่อนลุกเกรียว กวาดลากไปทั่วทั้งร่าง ‘ฮึก’ เสียงครางก็เล็ดลอดออกมาจากปากของฮาจุนอีกครั้ง คราวนี้มูคยอมคงจะได้ยินอย่างแน่นอน

มูคยอมจับตัวฮาจุนที่นอนหนุนขาของตัวเองให้ลุกขึ้นแทนที่จะพูดอะไร แล้วคราวนี้ก็จับให้นั่งทับบนต้นขาของตัวเองแล้วหันหน้าเข้าหากัน ดวงตาของทั้งสองสบมองกันใกล้เพียงปลายจมูก ใกล้มากเสียจนมองไม่เห็นเงาของกันและกันซึ่งสะท้อนในรูม่านตาภายใต้แสงสลัว

ถ้าเป็นตอนปกติ ฮาจุนคงคล้องแขนรอบลำคอของมูคยอมแล้วมุดใบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อเลี่ยงไม่ให้ตัวเองรู้สึกอาย แต่ข้อมือสองข้างที่ถูกยึดไว้อย่างแน่นหนาตรงบริเวณหน้าอก กลับขัดขวางไม่ให้เขาเคลื่อนไหวตามที่เคยชิน กระทั่งจะหลบตาก็ยังทำไม่ได้ และในตอนที่สบตากับมูคยอมอยู่นั้น มือที่สอดเข้ามาใต้เสื้อยืดก็ไต่ขึ้นมาบนผิวทีละนิดแล้วปลายนิ้วก็เฉียดเฉี่ยวยอดอกของเขา

“อ๊ะ…!”

เพียงแวบเดียวเท่านั้น เป็นเพียงสัมผัสในชั่วเวลาสั้นๆ ที่แผ่วเบาและนุ่มนวล

ทว่าความหวามไหวที่พุ่งทะยานขึ้นมาบนแผ่นหลังเป็นเหมือนกับกระแสไฟแรงสูง ฮาจุนไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองที่เริ่มสั่นได้ ทำได้เพียงแค่กำมือที่ถูกมัดเท่านั้น

หนังที่เอามาฉายซ้ำด้านหลังยังคงดำเนินการต่อสู้กันเสียงดัง แต่เสียงหายใจที่กระชั้นขึ้นของคนทั้งสองกลับวนเวียนอยู่ท่ามกลางกันและกันอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเสียงเพลงหรือเสียงในหนังเสียอีก

มูคยอมม้วนเสื้อยืดของฮาจุนขึ้นไปหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จากนั้นก็แตะลิ้นลงมาบนยอดอกที่ปรากฏให้เห็นอย่างแจ่มชัด มูคยอมทำให้คนอื่นกระวนกระวายว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำเมื่อไรกันแน่ แล้วท่าทีของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทันทีราวกับกดสวิตช์เปิดปิด ลมหายใจหนักๆ ทำให้ผิวหน้าอกเปลือยเปล่าของฮาจุนร้อนรุ่ม ราวกับภาพลักษณ์นิ่งเฉยจนถึงเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องโกหก

“อื๊อ ฮึ อา…”

ริมฝีปากเขี่ยปลายยอดอกราวกับจั๊กจี้แล้วไม่นานก็ครอบลงบนวงปาน ลิ้นกดคลึงพร้อมดูดดุนติ่งเนื้อเล็กและบริเวณโดยรอบ ฮาจุนทำท่าจะยกแขนขึ้นปิดใบหน้า แล้วในตอนนั้น อะไรบางอย่างก็ถูกดันเข้ามาในปาก สัมผัสที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับมาแล้วทำให้ฮาจุนกัดมันแน่นทั้งที่ยังไม่ได้ยืนยันว่าสิ่งที่เข้ามาในปากคืออะไร ชายเสื้อยืดที่สวมอยู่ถูกฟันกัดไว้จนเปียกชุ่ม

“อือ…”

ฮาจุนสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรมานิดหน่อย ต่อให้ตัวบางลงเมื่อเทียบกับแต่ก่อนเพราะเลิกเป็นนักฟุตบอลมาหลายปีแล้ว แต่ตลอดช่วงการเจริญเติบโต เขาก็ออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงอย่างต่อเนื่องจนร่างกายมีกล้ามเนื้อและโครงกระดูกแข็งแกร่งได้รูป เพราะอย่างนั้น คนธรรมดาทั่วไปที่ใช้ชีวิตโดยไม่รู้จักการออกกำลังกายย่อมเทียบไม่ได้กับหุ่นแบบฮาจุน

หัวนมเป็นเพียงแค่ส่วนที่เล็กจิ๋วจริงๆ บนร่างกายแบบนั้น เป็นอวัยวะในร่างกายที่เหมือนกับไม่มีอยู่ ซึ่งเขาใช้ชีวิตมาโดยไม่รับรู้ถึงมันด้วยซ้ำ ก่อนที่มูคยอมจะเลียหรือสัมผัสมัน

ทว่าตอนนี้ ตรงนั้นราวกับเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากร่างกายมากที่สุด เปลวไฟเล็กๆ ถูกจุดขึ้นบนหน้าอกทั้งสองฝั่งสลับกัน แล้วถ้ามูคยอมละริมฝีปากออกไป เปลวไฟก็จะแผ่วลงครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกเหมือนหลงเหลือเพียงเชื้อไฟและกำลังจะมอดดับ ติ่งเนื้อนิ่มก็จะถูกดูดอย่างตะกรุมตะกรามจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ และถูกบดบี้ภายใต้ลิ้นหยุ่น ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เปลวไฟที่สร้างความเปียกชื้นและร้อนระอุให้ผิวเนื้อก็จะโหมใหญ่ขึ้นทีละนิด

“ฮ้า…!”

เมื่ออ้าปากอย่างทนไม่ไหว เสื้อที่คาบอยู่ก็ร่วงผล็อยลงมา มูคยอมถูกเสื้อยืดคลุมลงไปบนหัวแล้วจงใจส่งเสียงดัง “อ๊ะ” พร้อมขบกัดหัวนมที่ชูชันขึ้น สัมผัสของฟันลื่นๆ แข็งๆ ครูดเขี่ยติ่งเนื้อที่ไวต่อความรู้สึกลงมา

ความเสียวแปลบปลาบพุ่งขึ้นมาจากร่างกายท่อนล่างทั้งที่ส่วนที่ถูกกัดคือยอดอก แล้วตีตื้นขึ้นมาจนถึงลำคอด้านหลัง เอวกับขาที่ถูกมือของมูคยอมจับไว้ สั่นระริกโดยไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร

ฮาจุนปิดปากเงียบด้วยความทำอะไรไม่ถูก เพราะเขาคิดเรื่องร้ายกาจคนเดียวตั้งแต่เมื่อกี้หรือเปล่านะ เดิมทีหน้าอกของเขาไม่ได้รู้สึกช้าก็จริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกมากถึงขนาดนี้…

“ดูเหมือนว่าอีฮาจุนจะยั่วอารมณ์ขึ้นอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดเลยนะ”

“อ๊า อื๊อ…!”

ลมหายใจร้อนผ่าวของมูคยอมพ่นกระทบหน้าอกชุ่มชื้น มือของอีกฝ่ายไถลลงจากเอวแล้วไต่เข้าไปในกางเกงในด้านหน้า เมื่อแกนกายที่ตื่นตัวแล้วถูกผิวของคนอื่นปัดผ่าน ฮาจุนก็สั่นกระตุกสองสามครั้งแล้วหอบหายใจทันที

มูคยอมขยับมือด้านในกางเกงในอย่างเชื่องช้าแล้วยกมือขึ้นมาตรงหน้าฮาจุน ดวงหน้าขาวซึ่งร้อนวูบวาบอยู่แล้วกลับสุกจัดเป็นสีแดงมากขึ้นไปอีกระดับ มือที่ยื่นมาอยู่ในสภาพเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวหนืดสีขุ่น

“นี่ไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์ของฉันเลยสักนิด… ฉันไม่คิดเลยว่าจู่ๆ นายจะเสร็จระหว่างถูกดูดหัวนม”

อีกฝ่ายพูดราวกับหยอกล้อ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีวี่แววของความล้อเล่นเจืออยู่ในนั้น มูคยอมดึงกางเกงในของฮาจุนลงทั้งตัว ความร้อนรุ่มอัดแน่นอยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย

ฮาจุนขยับขาให้ตามมือที่ถอดกางเกงชั้นในออกอย่างรีบร้อน แต่แล้วร่างกายของเขาก็เอนเอียงไปด้านข้าง มือของเขาถูกมัดอยู่จึงทรงตัวไม่ได้ แต่มูคยอมก็ใช้แขนแข็งแกร่งประคองร่างกายที่เกือบจะล้มลงไปบนโซฟาอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วค่อยๆ จับให้นอนลง

นิ้วชุ่มน้ำกามคลำด้านหลังอย่างเร่งรีบ เมื่อมือของมูคยอมเขี่ยบนปากทางที่ประสาทสัมผัสไวขึ้นเรียบร้อยแล้ว ร่างกายก็เริ่มสั่นราวกับคาดหวังเหตุการณ์หลังจากนั้น ฮาจุนร้องขอด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว

“มูคยอม มูคยอม ช้าๆ หน่อย…”

“ให้ทำอะไรช้าแค่ไหน ยังไม่ได้สอดนิ้วเข้าไปสักนิ้วเลยนะ”

มูคยอมย้อนถามพร้อมประทับริมฝีปากลงบนแก้มสองสามครั้ง ปะปนกับลมหายใจร้อนระอุ ริมฝีปากของอีกฝ่ายสัมผัสลงมาอย่างรีบร้อนไม่ได้หยุด

ฮาจุนได้แต่หายใจหอบโดยไม่มีอะไรจะพูดตอบกลับ ตามที่อีกคนพูด สิ่งที่รวดเร็วในตอนนี้ไม่ใช่การกระทำของมูคยอมแต่เป็นร่างกายของเขาต่างหาก EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ราวกับลูกบอลบนสนาม ร่างกายที่ไปถึงจุดสุดยอดเพียงแค่ถูกสัมผัสยอดอก กำลังคาดเดาถึงความหนักหน่วงและความใหญ่โตของแกนกายที่ยังไม่แม้แต่จะเข้ามาในร่างกาย และกำลังบีบเค้นความสุขสมออกมาตั้งแต่ตอนนี้แล้ว

นิ้วของมูคยอมดันเข้ายาวๆ ด้านในที่เริ่มกระตุกตอดทั้งที่ในนั้นยังว่างเปล่า นิ้วที่ใช้เพียงน้ำแห่งความใคร่ซึ่งตัวเองขับออกมาเป็นสารหล่อลื่น ทำให้ผนังเนื้อแห้งตึงหดแนบติดอย่างรีบเร่ง เสียงครางกระเส่าระเบิดออกมาอย่างไร้ซึ่งโอกาสที่จะอดกลั้น

“อ๊ะ อา…! ฮ้าาา…!”

“ฮาาา…”

หากสอดนิ้วเข้าไปในร่างกายคนอื่น นิ้วนั้นย่อมไม่มีทางที่จะรู้สึกถึงความหวามไหวทางร่างกายเหมือนกับแกนกาย แต่มูคยอมกลับพรูลมหายใจร้อนออกมายาวๆ ตรงหูฮาจุน ราวกับอีกฝ่ายก็รู้สึกดีจนแทบจะทนไม่ไหว

กระทั่งเสียงหายใจนั้นก็ยังกระตุ้นความกำหนัด หางตาของฮาจุนมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาแล้ว นิ้วที่สอดเข้ามาจนถึงโคนค่อยๆ เสียดถูโพรงเนื้อพร้อมกับถอนออกไป

“อื๊อ ฮึกกก!”

“ฉันยังไม่คิดว่าจะทำเลยนะ”

ตอนกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง นิ้วก็เพิ่มจำนวนเป็นสองนิ้ว ฮาจุนเอนหัวไปด้านหลังพร้อมเอวที่สั่นกระตุก

“เพราะถ้าเริ่มครั้งหนึ่งแล้วฉันน่าจะไม่ทำให้จบลงง่ายๆ… ฉันกะจะมัดนายไว้ เสร็จแล้วก็กินข้าว ดูหนัง ออกไปรับลมที่สวนแล้วก็ดื่มชาด้วย… ตั้งใจไว้ว่าค่อยทำหลังจากนั้น”

แม้ว่าจะหายใจหอบอยู่แต่ฮาจุนก็ไม่อยากจะเชื่อ มูคยอมขอให้เขาอยู่ในสภาพถูกมัดเต็มๆ วันอย่างเคร่งขรึมสุดขีด แต่กำหนดการที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างมากแบบนั้นมันคืออะไรกัน

เพราะการสอดใส่แห้งและขัดตึงพอสมควร รูปทรงของนิ้วที่ขยายช่องทางด้านในโดยผลุบเข้าออกอย่างเชื่องช้าและตื้นเขิน จึงติดตรึงอยู่ในโพรงเนื้ออย่างแจ่มชัด ฮาจุนพูดออกมา ปะปนกับเสียงครวญครางเป็นครั้งคราว

“ตลกน่า คิมมูคยอม… ฮื่อ ถ้าจะทำแบบนั้น แล้วนี่เพื่ออะไร…”

“อะไร”

“ฉันน่ะ เห็นนายบอกว่า… ทั้งวันทั้งคืน ก็เลยคิด… ว่าจะเหนื่อย สุดๆ… ฮ้าาา… นายบอกว่า ฮึก อยากทำ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว…”

มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหัวเราะราวกับเขินอายนิดหน่อยอย่างไม่สมกับเป็นอีกฝ่าย

“ที่ฉันอยากทำมาตั้งแต่เมื่อก่อนก็คือแบบนั้นไง”

“…”

“ไม่ว่าจะกินข้าว หรือจะใส่จะถอดเสื้อผ้า หรือเข้าห้องน้ำ… ฉันต้องเป็นคนทำให้ทั้งหมด ฉันต้องเป็นคนอุ้มพาไป… ถ้าไม่มีฉัน นายจะทำอะไรไม่ได้ แล้วก็จะไปไหนไม่ได้ด้วย… แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร นายไม่จำเป็นต้องขยับมือเองเลย ถ้าต้องการอะไรก็แค่บอกฉัน เพราะฉันจะทำให้หมดทุกอย่าง…”

มูคยอมพูดเรื่อยเปื่อยราวกับสารภาพความใฝ่ฝันหรือความคิดโรแมนติกที่มีมาเนิ่นนาน ฮาจุนเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอยด้วยใบหน้าตกใจนิดหน่อย และไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น

มูคยอมแนบหน้าผากลงมาแล้วประทับริมฝีปากโดยที่ยังไม่ลบเลือนรอยยิ้มออกไปจากใบหน้า มือที่ใหญ่และแห้งของอีกคนโอบรอบลำคอของเขา ฮาจุนครวญครางเสียงยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกของเขาไวมากขึ้นและผิวหนังก็เสียวซ่านขึ้น

ลิ้นร้อนรุ่มสอดเข้ามาในปาก ฮาจุนหลับตาลงแล้วดูดเรียวเนื้อเปียกชื้นอย่างเชื่องช้าและหยอกล้อ เขารู้สึกได้ว่ามุมปากของมูคยอมยกยิ้มขึ้น

มูคยอมส่งลิ้นตัวเองเข้ามาทักทายพักหนึ่ง แล้วไม่นานก็ขบลิ้นของฮาจุนเบาๆ อีกฝ่ายขบงับโดยไม่ให้เขาเจ็บแล้วดูดลิ้นของเขาเข้าไปในปาก ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นถูกกลืนกินพร้อมเสียงชื้นแฉะ

“ฮื้อ อุ๊บ… อือ อึ๊…”

ฮาจุนตัวสั่นระรัว ลิ้นที่ถูกกักไว้ในปากของมูคยอม มือที่ถูกมัด เอวกับขา รวมถึงปลายเท้า ไม่มีส่วนไหนที่ไม่สั่นเลยสักแห่งเดียว ทั้งตัวของฮาจุนหนาวสั่นราวกับคนจับไข้

ในระหว่างที่จูบซึ่งกวาดควานทั่วทุกซอกทุกมุมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เมื่อโพรงชื้นถูกกระตุ้นทั้งส่วนบนส่วนล่างอย่างพร้อมเพรียงกัน ความหฤหรรษ์ที่แผ่ซ่านจนทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวก็โหมซัดเข้าใส่ราวน้ำทะเลที่สูงขึ้น แม้เตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้าแล้วก็ตาม ฮาจุนไม่ขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียวแล้วหดแอ่นตัวสลับกันซ้ำๆ พร้อมยอมรับคลื่นน้ำนั้นมาทุกหยาดหยด

เมื่อจูบอันแสนยาวนานสิ้นสุดลง เสียงพูดของมูคยอมซึ่งหายใจไม่เป็นจังหวะ ก็ดังกระเส่าออกมาทำให้จั๊กจี้หู

“ฮาจุน เสื้อ ถอดได้ไหม ฮาาา ฉันอยากมองนายเปลือย”

“อ๊า อือ… แล้วแต่นาย ทำตามที่นายต้องการให้หมดเลย…”

มูคยอมหาอะไรสักอย่างที่พอจะตัดเสื้อได้อย่างรีบร้อน อีกฝ่ายเอากรรไกรที่มีอยู่ในลิ้นชักโต๊ะหน้าโซฟาพอดีออกมาแล้วดึงชายเสื้อยืดตัวบางให้ตึง

‘แควกๆ’ เสียงตัดเส้นใยผ้าอันน่าหวาดเสียวดังขึ้น แล้วไม่นาน โลหะบางและเรียบก็เฉียดผ่านบนท้องและหน้าอกของฮาจุนขึ้นไป เมื่อสัมผัสเย็นเยียบที่ต่างกับปกติแตะต้องโดนผิวเปลือยที่ร้อนเร่า ตัวของฮาจุนก็ดีดขึ้นอย่างคุมไม่อยู่

“ฮื่อออ มัน เย็น…”

“แป๊บเดียว… อย่าขยับ”

น้ำเสียงของมูคยอมร้อนรุ่มอย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามกับโลหะเย็นเฉียบที่แตะลงบนผิวเนื้อให้ได้เสียววาบอยู่บ่อยๆ

การขยับกรรไกรอย่างระมัดระวังดำเนินไปพักหนึ่ง เสื้อยืดถูกตัดเป็นชิ้นๆ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ในตอนนั้น ฮาจุนก็น้ำตาคลอพร้อมทั้งตัวสั่นเทิ้มเพราะความเย็นที่เฉียดเฉี่ยวไปบนผิวราวกับการสัมผัสอันเสียวซ่าน เนกไทที่ผูกมัดราวกับเชือกป่านปรากฏให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นบนร่างกายที่ถูกทำให้เปล่าเปลือย

มูคยอมก้มลงมองสภาพของเขานิ่งๆ แล้วก้มตัวลงเหมือนพุ่งเข้าใส่ ริมฝีปากเริ่มซุกซอนไปบนร่างกายที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ตำแหน่งที่โลหะเย็นๆ เคยเฉียดผ่าน ถูกโฉบคลุมด้วยสัมผัสอบอุ่นและอ่อนนุ่ม ทุกครั้งที่ริมฝีปากกับลิ้นย้ายที่ไป ฮาจุนก็จะรู้สึกได้ว่าด้านในร่างกายร้อนระอุราวกับเตาเผา

“ฮ้าาา… อ๊ะ อ๊า!”

ความร้อนนั้นทำให้ฮาจุนหวาดกลัว อีกฝ่ายเพียงแค่กำลังสัมผัสแบบจะว่าเบาก็เบา แต่ร่างกายที่ร้อนขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัดกลับรู้สึกเหมือนจะหลอมละลายหรือไม่ก็ถูกแผดเผาอย่างเดียวเลย

มูคยอมเองก็ถอดเสื้อในขณะที่การสัมผัสดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้อมัดใหญ่ไหวขึ้นลงอย่างแรงตามการหายใจไม่เป็นจังหวะ การเคลื่อนไหวอันไม่คงที่ของร่างกายอีกฝ่ายกำลังบอกให้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่อารมณ์พลุ่งพล่าน และนั่นกลับทำให้ฮาจุนวางใจ

ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากเสื้อยืดบางๆ หนึ่งตัวนั้นไม่น้อยเลย อุณหภูมิร่างกายร้อนแรงแผ่ไอร้อนไปจนถึงอากาศที่อยู่รอบตัวของทั้งสองคน โดยไม่มีจังหวะจะให้รู้สึกถึงอุณหภูมิเย็นเฉียบภายในห้อง

ทั้งสองคนตัวซ้อนชิดกันอย่างแนบแน่นบนโซฟายาว มูคยอมสัมผัสใบหูของฮาจุนไม่ปล่อย โดยกอดรัดตัวฮาจุนไว้ใต้ร่างของตัวเอง อีกฝ่ายดูดดุนติ่งหูของเขาอย่างกับจะกลืนเข้าไปในปาก จากนั้นก็ใช้ลิ้นเลียใบหูจนทั่ว ไล่ขึ้นไปงับส่วนปลายสุดด้านบน แล้วเกร็งลิ้นให้เรียวแหลมพร้อมแหย่แยงเข้าไปด้านใน

ด้านหลังลูกตาของฮาจุนร้อนวูบวาบ ภายในหัวแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน เสียงครวญครางพรูออกมาเรื่อยๆ โดยไม่มีจังหวะจะให้กลั้นไว้

“ฮื่อ ฮ้า ฮ้าาา อ๊าาา…!”

มูคยอมขมกัดหูของเขาอยู่พักใหญ่จนนึกกลัวว่าหูจะขาดรุ่งริ่งหรือเปล่า จากนั้นจึงรังแกลำคอของเขาคล้ายๆ กัน มูคยอมกวาดลิ้นขึ้นเลียลูกกระเดือกที่ไหวขึ้นลงเบาๆ หลายครั้งแล้วใช้ปลายลิ้นลากผ่านส่วนกระดูกไหปลาร้าที่เว้าเป็นแอ่ง มือใหญ่ฟอนเฟ้นหน้าท้อง เอว และหว่างขาอย่างไม่หยุดพัก เมื่อจุดรวมความรู้สึกถูกสัมผัสเน้นๆ ความเสียวซ่านที่ควบคุมได้ยากก็ทำให้ฮาจุนอยากผลักมูคยอมออกไปโดยอัตโนมัติ

ทว่ามือของเขาถูกมัดไว้อยู่ ฮาจุนจำต้องหยุดชะงักมือที่หวังจะดันมูคยอมออกหลายครั้ง ส่วนมูคยอมก็จะเน้นการสัมผัสให้ดุเดือดยิ่งขึ้นทุกครั้งที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนั้น

ลิ้นแตะลงมาบนหัวนมที่ได้รับการกระตุ้นจนถึงขีดจำกัดอีกครั้ง และในวินาทีที่ริมฝีปากกลืนกินติ่งเนื้อเล็ก ฮาจุนก็ตัวสั่นเทิ้มพร้อมแอ่นหลังโค้ง

“อ๊า พอ… แล้ว ฮ้าาา ไม่ เอา พอแล้ว…!”

เสียงเหมือนจะร้องไห้ปนอยู่ในน้ำเสียงครึ่งหนึ่ง มูคยอมลากลิ้นเป็นทางยาวเช่นเดิม พร้อมกับไล้ไปตามลำคอแล้วบดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างดูดดื่มอีกหนึ่งครั้ง

ยังแค่ลูบไล้อยู่เลย แต่ฮาจุนกลับตัวอาบเหงื่อเหมือนตอนหลังไปถึงจุดสุดยอด มูคยอมใช้มือสางเส้นผมของฮาจุนเพื่อเสยไปด้านหลัง

“ฮ้าาา ตอนแรก คิดว่าจะลองค่อยๆ ทำจริงๆ นะ…”

“แฮ่ก ฮึก…”

“แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องดันทุรังทำแบบนั้นสักหน่อย… ทั้งที่ไม่ได้จะมีใครมาตามไล่ แต่ไม่รู้ทำไม เวลาทำกับนายถึงได้ใจร้อนขึ้นมาตลอดเลย… แค่เลียให้แบบนี้ คุณแฟนก็สั่นกลัวไปหมดแล้ว ฉันยังบริการคุณแฟนไม่ดีพอทุกครั้งเลยสิ”

ฮาจุนส่ายหน้าเหมือนคนตกใจ

“ไม่เคย เลย… ไม่เคย ฮึก ไม่ดีพอ…”

“ดูดตรงไหนให้อีกดีล่ะ บอกมาสิ”

“อื๊อ ฮึก…! ตอนนี้ พอ…”

เมื่อลิ้นลากยาวใต้ท้องแขน คำพูดของฮาจุนก็ขาดหายไป ฮาจุนตัวแดงเถือกจนถึงตรงหน้าอก ทั้งตัวสะท้านเบาๆ ดวงตาพร่ามัวและชุ่มน้ำ ปลายนิ้วของมือที่ถูกมัด ขดงอโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมทั้งพรรณนาความเสียวกระสันที่เขารู้สึกออกมาราวกับบรรเลงตัวโน้ต

ริมฝีปากแตะลงบนปลายนิ้วที่สั่นระริกทั้งที่ถูกมัดมือไว้เช่นกัน มูคยอมลามเลียนิ้วของเขา ลำคอของอีกฝ่ายเต้นตุบๆ อย่างหนักราวกับกลืนลูกไฟลงไป

ริมฝีปากที่ทั้งกัดทั้งดูดผิวทุกหนแห่งของฮาจุนเลื่อนลงมาด้านล่าง ลงไปเรื่อยๆ จนไปถึงกระดูกเชิงกราน ลิ้นเลื้อยเลียไปบนแผลเป็นที่ทิ้งรอยไว้ตรงเอวด้วย เสียงครางหวิวดังออกมาอย่างน่าขายหน้าที่เคยบอกว่าประสาทสัมผัสตายด้านไปแล้ว

มือใหญ่ช้อนลึกด้านหลังต้นขาแล้วยกขึ้น เอวที่เคยแนบชิดกับโซฟาลอยขึ้น ในขณะเดียวกัน ก้นก็ถูกยกสูงจนตั้งไปหาเพดาน

มูคยอมฝังใบหน้าลงตรงกลางบั้นท้ายอย่างไม่ลังเล เมื่อลิ้นแตะลงตรงปากช่องทางด้านหลัง ฮาจุนก็ส่ายต้นขาพร้อมกับดิ้นเบาๆ ภาพมูคยอมแลบลิ้นออกมาเลียด้านหลังของเขา เข้ามาสู่การมองเห็นทั้งอย่างนั้น ทำให้ฮาจุนกะพริบตาโดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จากนั้นเมื่อตระหนักได้ถึงวิธีการที่จะหลีกหนีสถานการณ์นี้ขึ้นมาได้ในตอนหลัง เขาจึงหลับตาปี๋

“อา อ๊า…! ฮื่อ อื๊อ อึก…!”

ทว่าปากกลับไม่หุบลงดั่งใจ ต่อให้เคยได้รับมากี่ครั้ง ฮาจุนก็ยังไม่คุ้นเคยกับสัมผัสดิบเถื่อน

ลมหายใจของมูคยอมร้อนรุ่มและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจนั้นสัมผัสลงตรงรอยจีบเปียกชื้นไปตามสภาพ ฮาจุนดึงมือที่ถูกบ่วงมัดมาทางใบหน้าแดงจัด ส่วนเอวก็สั่นระริก ต้นขาขาวและยืดหยุ่นกระตุกเกร็งในมือของมูคยอม

อีกฝ่ายดูดปากช่องทางที่ไวต่อความรู้สึกอย่างอ่อนโยนแล้วลิ้นกับลมหายใจร้อนๆ ก็รุกล้ำเข้ามาจนถึงเนื้อเยื่อภายใน ทุกครั้งที่ก้อนเนื้อชื้นแฉะกับสิ่งแปลกปลอมไร้รูปร่างโลมเลียผนังด้านในสลับกันไปมา น้ำหล่อลื่นเหนอะหนะก็จะไหลย้อยเป็นทางยาวจากแกนกายชูชัน แล้วหยดติ๋งๆ ลงบนหน้าท้องที่งอเข้าหากันจนแบนราบ

ฮาจุนอยากยึดอะไรสักอย่างไว้เพื่อระงับมวลก้อนความสุขสมที่ก่อตัวใหญ่ขึ้น แต่มือที่ถูกมัดแน่นกลับทำได้เพียงขยับนิดหน่อยอยู่ข้างใต้คางเท่านั้น ฮาจุนค่อยๆ เอนหัวอย่างไร้ซึ่งหนทาง เรี่ยวแรงคงเหือดหายไปจากกล่องเสียง จึงมีเพียงคำพูดไม่เป็นภาษาลอดออกมาจากปากอย่างขาดๆ หายๆ เท่านั้น กระทั่งจะพูดห้ามปรามว่าให้หยุดก็ยังทำไม่ได้ง่ายๆ

‘จุ๊บ’ หลังจากริมฝีปากกดลงตรงบริเวณใต้โคนแกนกาย มูคยอมถึงเงยหน้าขึ้นมาได้ อีกฝ่ายก้มลงมองดูรูรักที่ขมิบตอดและชื้นแฉะขึ้นจากสัมผัสของตัวเองด้วยแววตาพึงพอใจ จากนั้นจึงเลียนิ้วของตัวเองทั้งความยาวของมัน

เมื่อก้นที่เคยถูกยกขึ้นสูง ลดต่ำลงอย่างไม่รีบเร่ง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ดันเข้ามาอย่างเชื่องช้าราวกับตั้งใจจะทำให้รู้สึกถึงข้อต่อแต่ละข้ออย่างแจ่มชัด

“ฮ้าาา อะ อ๊ะ อ๊าาา…!”

“คราวนี้จะเข้าไปรวดเดียวสามนิ้วนะ”

มูคยอมพูดราวกับภาคภูมิใจกับการสัมผัสอันทุ่มเท

ฮาจุนไม่มีจังหวะจะได้พูดตอบรับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ นิ้วแข็งๆ ครูดผนังเนื้อที่อ่อนตัวลงแล้วขึ้นมา ฮาจุนรู้สึกอย่างกับว่า มันทะลุผ่านท้องแล้วแหวกเข้ามาจนถึงในหัวอย่างวุ่นวาย ปลายเท้าขดงอเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวแล้วร่างกายก็สะท้านขึ้นลง ต้นขากับก้นเกร็งแข็ง ส่วนแผ่นหลังด้านล่างก็ลอยหวิวจากโซฟาโดยสมบูรณ์

นิ้วของมูคยอมเพิ่มเป็นสี่นิ้วตามปกติ มันล่วงล้ำเข้ามาอย่างเชื่องช้าและลึกสุดแค่ตรงส่วนที่เชื่อมต่อกับฝ่ามือ จากนั้นก็ถอนออกไปด้านหลังด้วยความเร็วเท่าๆ เดิม นิ้วออกแรงบดเคล้าเนื้อเยื่ออ่อนพร้อมขยับเข้าออก ทุกครั้งที่มูคยอมสอดเข้าแล้วถอนออก อีกฝ่ายก็จะหมุนข้อมือแล้วเปลี่ยนทิศทางที่เบียดถูลงไปในร่างกายหลายต่อหลายครั้ง

ท้องนิ้วแบนราบบดคลึงตรงใกล้ๆ ต่อมลูกหมากที่อยู่ฝั่งหน้าท้อง เนื้อเยื่อด้านล่างที่อยู่ฝั่งแผ่นหลัง และผนังเนื้อด้านข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามลำดับ

“อ๊า อ๊า…! ฮื่อออ… อ๊าาา ฮึก…”

สัมผัสที่กระตุ้นผนังด้านในซึ่งไวต่อความรู้สึกมากพอสมควรอยู่เรื่อยๆ ทำให้ฮาจุนบิดเอวไปมาโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นมูคยอมก็ขยับข้อมือแรงขึ้น แรงกดก็กดน้ำหนักลงมาเพิ่มขึ้นจนรู้สึกเหมือนสั่นสะเทือนตรงใกล้ๆ ต่อมลูกหมากที่ขยายใหญ่ เสียงหวีดครางแผ่วเบาดังออกมาจากปากที่อ้าค้าง ฮาจุนใช้ปลายเท้าเขย่งบนโซฟาแล้วยกเอวกับก้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ร่างกายที่เกร็งเครียดสั่นสะท้าน

น้ำกามสีขาวขุ่นไหลเป็นหยดลงมาจากปลายแกนกายที่ชี้โด่ไปทางหน้าท้อง ฮาจุนถึงกับรู้สึกทรมานกับการปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง มูคยอมบีบเค้นหน้าท้องที่เปียกน้ำรักเป็นมันวาวอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็แตะริมฝีปากลงบนนั้นแผ่วเบาพร้อมพูดขึ้น

“ทีนี้จะใส่เข้าไปแล้วนะ”

ฮาจุนตัวอ่อนปวกเปียกเพราะก้าวไปถึงปลายทางเป็นครั้งที่สอง ไหล่ของเขาสั่นเบาๆ แม้รู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังแผดเสียงร้องบอกว่ายังไม่ได้ แต่ก็เหมือนกับมันยืนกรานว่าทำได้มากกว่านี้เช่นเดียวกัน

ในระหว่างที่ฮาจุนไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลยสักคำเพราะไม่รู้ว่าต้องตั้งใจฟังจุดยืนทางฝั่งไหน มูคยอมก็เอาซองเจลหล่อลื่นเล็กๆ ออกมาจากในกระเป๋ากางเกง อีกฝ่ายทำตัวราวกับไม่คิดที่จะเริ่ม แต่ดูท่าจะเตรียมพร้อมไว้แล้วอย่างที่คิด

เจลเหลวใสหยดจากในซองฟอยล์ลงตรงกลางบั้นท้ายทันที ปากช่องทางไม่ได้หุบลงสนิทเพราะกลืนกินนิ้วมือจนกระทั่งเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกที่สารหล่อลื่นเย็นๆ ไหลเข้าไปด้านในทั้งอย่างนั้น ทำให้ฮาจุนเชิดหน้าขึ้นแล้วพรูลมหายใจชุ่มชื้นออกมาสั้นๆ

ความเป็นชายของมูคยอมสัมผัสกับปากช่องทาง แกนกายที่มีเส้นเลือดปูดโปนขรุขระและผงาดอย่างน่าเกรงขาม กำลังแสดงออกให้เห็นถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง มูคยอมแนบแกนกายของตัวเองลงบนปากช่องทางแล้วถูไถแทนที่จะสอดใส่ในทันที ราวกับตั้งใจจะใช้เจลที่เปียกชุ่มด้านหลังฮาจุน ทำให้ลำท่อนของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วย

“ฮื่อ ฮึก”

เมื่อเข่าของฮาจุนขยับเข้าชิดกันเพราะความเสียวซ่านที่เหมือนบีบกระชับร่างกายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มูคยอมก็ลุกพรวดขึ้น อีกฝ่ายยกต้นขาของฮาจุนขึ้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง ส่วนตัวเองก็ใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนโซฟา อีกข้างเหยียบอยู่บนพื้น อยู่ในท่าที่เกือบจะเหยียดยืนขึ้นเต็มตัว

“อา…”

มูคยอมกดร่างกายลงมาในท่านั้นพร้อมครางเสียงทุ้ม อีกฝ่ายถ่ายน้ำหนักตัวจากบนลงล่าง ทำให้แกนกายดันเข้ามาอย่างหนักหน่วงและล้ำลึก

ถึงแม้ว่าจะใช้ทั้งนิ้วทั้งปากเพื่อคลายออก แต่ช่องทางก็ยังคับแคบมากเกินไปอยู่เสมอเมื่อเทียบกับแกนกายของมูคยอม โพรงเนื้อรับน้ำหนักที่กดเข้ามาภายในอย่างคับแน่นพร้อมขยายออกกว้าง

“ฮ้าาา อ๊า… อึก อ๊า อ๊าาา…!”

ฮาจุนดึงมือที่ถูกมัดไปด้านหน้าเต็มแรงด้วยจิตใต้สำนึก ถ้าเป็นตอนปกติ เขาคงจะเหนี่ยวรั้งแผ่นหลังหรือไหล่ของมูคยอม หรือดันอีกคนออก ไม่ก็ดึงเข้ามากอด หรือถ้าไม่ทำแบบนั้น อย่างน้อยก็คงจะเกาะยึดโซฟาไว้ แต่บ่วงที่ถูกมัดจนตึงกลับยึดมือของฮาจุนไว้อย่างแน่นหนาและไม่ยอมคลายหลุดเลย ฮาจุนทำได้เพียงเอนลำคอขาวผ่องไปด้านหลังเท่านั้น

“เสียงนายก็ วาบหวิวมากซะจน…”

มูคยอมพูดแบบนั้น เสียงของอีกฝ่ายร้อนรุ่มเช่นเคย เค้าโครงร่างราวรูปแกะสลักของคนตัวใหญ่กำลังแผ่ไอร้อนออกมาด้วยความฉุนเฉียว

ส่วนหัวอวบแหวกช่องทางที่ตอดรัดไม่ปล่อย ลำท่อนที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดขรุขระเสียดถูโพรงนุ่มที่ทำท่าจะบีบหดลงดังเดิมพร้อมผลุบตามหลังเข้าไป ท่อนเนื้อครูดเนื้อเยื่อที่อ่อนไหวมากขึ้นเข้าไปเป็นทางยาว

“อ๊า มัน… ลึก ลึก…!”

“ฮู่ว… ยัง เข้าไป… ไม่หมดเลย…”

มือถูกมัด ส่วนขาก็ถูกมูคยอมยึดไว้ สภาพฮาจุนไม่ต่างอะไรกับถูกจองจำไว้ทั้งแขนและขาสองข้าง เพียงแค่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง แต่ทำไมฮาจุนถึงรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาราวกับว่าการหายใจก็ถูกอุดกั้น ร่างกายแข็งแรงและหนักอึ้งกดลงบนตัวเขาจากบนลงล่าง ความองอาจของร่างกายทำให้รู้สึกถึงความรู้สึกถูกกดขี่ที่ต่างไปจากตอนปกติ ถึงแม้ว่าจะร่วงล้ำเข้ามาตื้นเขินกว่าปกติตามที่มูคยอมพูด แต่ฮาจุนก็พูดปรามการสอดใส่อย่างรวดเร็วกว่าทุกครั้ง

มูคยอมพรูลมหายใจออกมาแล้วถอนกายออกไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ดันกลับเข้ามาสั้นๆ อีกฝ่ายเคลื่อนไหวแบบนั้นหลายครั้งแล้วกดน้ำหนักตัวเองลงให้แกนกายตรงกับบริเวณใกล้ๆ ต่อมลูกหมากอย่างแนบชิด แทนที่จะสอดเข้าไปลึกกว่าเดิม

ส่วนหัวสัมผัสลงตรงจุดหนึ่งราวกับเล็งเป้าพร้อมกับตอกผนังด้านในถี่รัวและต่อเนื่อง ความเสียวกระสันอย่างแรงกล้าโหมซัดด้านในร่างกายของฮาจุนอย่างหนักหน่วง ความหฤหรรษ์ที่กดลงมาพร้อมเพิ่มความเร็ว ไม่ยอมมอบจังหวะให้ร่างกายได้ผ่อนคลายแล้วแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างอย่างฉับไว

“ฮ้าาา ฮื่อ อ๊า อ๊ะ อ๊า!”

ความรู้สึกพลุ่งพล่านไปถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว ความสุขสมทางเพศพุ่งทะยานถึงขีดสุดแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อนแม้ตอนถูกบีบบังคับให้อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นในฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือนเร็วกว่าปกติ มันทำให้ตัวของฮาจุนสั่นสะท้านแม้ถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อย

ทุกครั้งที่ส่วนหัวปูดยื่นราวตะปูกับผิวแกนกายที่ไม่ราบเรียบ เบียดถูและเสียดแทงผนังเนื้อพร้อมผลุบโผล่ภายในร่างกาย เนื้อเยื่อที่ตอดแกนกายของมูคยอมไม่ปล่อยก็ยิ่งบีบรัดพร้อมเต้นตุบๆ ฮาจุนทำท่าจะกอดหลังมูคยอมโดยลืมอยู่เรื่อยว่าทำไม่ได้ ในขณะที่ยืดเหยียดมือที่ถูกจำกัดอย่างเปล่าประโยชน์ ลมหายใจของฮาจุนก็หอบหนักขึ้นทุกที

ชั่วขณะหนึ่ง มูคยอมก็หยัดเอวดันแกนกายให้แนบชิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยกระทุ้งย้ำๆ ลงบนต่อมลูกหมาก แกนกายที่ถูกไสเข้าลึก แหวกโพรงเนื้อส่วนลึกด้านในที่ยังไม่เคยถูกรุกล้ำมาจนถึงตอนนี้ ฮาจุนส่ายหน้าแรงยิ่งขึ้น เอวกระเด้งพรวดขึ้นมา

“อื๊อออ อ๊า ไม่ เอา… ค่อยๆ…! อื๊อ อ๊าาา…!”

“กำลัง อึก ค่อยๆ อยู่”

ความวุ่นวายใจอ่อนๆ เจืออยู่ในน้ำเสียงของมูคยอม แต่ฮาจุนกลับไม่รับรู้ถึงสิ่งนั้น เขาเพียงแค่ตัวสั่นสะท้านเพราะสัมผัสของส่วนที่แข็งขืนและร้อนระอุซึ่งสอดเข้าออกพร้อมเติมเต็มในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

“ชะ ช้าๆ หน่อย… ฮึกกก อย่าทำ แรงมากไป…”

“ฮาาา… ทำไม เหนื่อยแล้วเหรอ”

มูคยอมเองก็อารมณ์พุ่งสูงจนหายใจไม่เป็นจังหวะเพราะความสุขสมที่สูงลิ่วอยู่ใกล้เพียงปลายจมูกเท่านั้น ฮาจุนมองอีกฝ่ายแทนที่จะตอบกลับในทันที

ดวงตาที่ละเลงด้วยความปรารถนาซึ่งเขามักจะได้เผชิญหน้าด้วยเสมอหากมีเซ็กส์กัน ดวงตาที่วาววับเป็นประกายก้าวร้าวยิ่งกว่าตอนเริ่มบทเพลงรัก ดวงตาคู่นั้นอยู่ตรงนั้น ฮาจุนมองหน้าอีกฝ่ายราวกับจะสูบเข้าไปแล้วพึมพำขึ้น

“มัน ดีน่ะ…”

“หืม”

“ช่วงนี้ฉันหมดสติ… ระหว่างทำ อยู่เรื่อย… อ๊า… วันนี้… ฮึก ไม่อยาก อ๊าาา!”

จู่ๆ มูคยอมก็หยัดตัวเข้าลึกทำให้คำพูดของฮาจุนขาดหาย ลมหายใจกระหืดกระหอบกระทบชิดใบหู

“ดียังไง”

“อึก ยะ…ยังไง เหรอ…”

“ตอนนี้รูนายกำลังดูดท่อนฉันไม่หยุดเลย แล้วถ้าเอาออกแค่นิดเดียวแบบนี้…”

“ฮ้าาา…!”

“ฮู่ว… ทั้งตรงท่อน ทั้งตรงเอว ก็เหมือนมันละลายไปหมด ฉันอยากเอาออกจนสุดแล้วกระแทกให้มันแตะถึงตรงนี้… หรือไม่ทำแบบนั้นดี”

มูคยอมพูดว่า ‘ถึงตรงนี้’ พร้อมกับคลำมือลงบริเวณสะดือแล้วกดลงอย่างแนบแน่น ตัวของฮาจุนสั่นระริก เมื่อมีเพียงปากที่อ้าพะงาบโดยไม่ได้ตอบอะไร แกนกายก็ถอนออกไปจากปากช่องทางโดยไม่ทันตั้งตัวแล้วส่วนหัวที่เคยวนเวียนอยู่ด้านในก็ถลำกลับเข้ามาในร่างกาย

“อื๊อ… อ๊า ฮ้าาา!”

ข้อมือที่ถูกมัด ถูกจับแน่นในมือของมูคยอมอีกหนึ่งครั้ง ท่อนเนื้อที่ทั้งร้อน ยาว และอวบ แทรกเข้ามาในตัวของเขาซึ่งขยับไปไหนไม่ได้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งการสอดใส่ลึกมากขึ้นเท่าไร เจลหล่อลื่นที่ทาไว้จนทั่วก็ยิ่งไหลซึม ทำให้เสียงเฉอะแฉะดังชโลมหูของฮาจุน

มูคยอมบดเน้นลงตรงจุดกระสันของฮาจุนแล้วซอยสั้นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมดันลึกเข้ามาทีละนิด ราวกับกำลังข่มกันว่า ‘นายจะทนสิ่งที่รู้สึกดีถึงขนาดนี้ได้จริงๆ เหรอ’ ฮาจุนรู้สึกเหมือนท่อนเนื้อร้อนกำลังควานกวาดผนังด้านใน การมองเห็นของฮาจุนพร่ามัว ความสุขสมที่ทำให้ท้องน้อยหลอมละลาย อัดรวมกันเป็นมวลก้อนแล้วแพร่กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมในตัวของฮาจุนราวกับน้ำ ภายในหัวถูกย้อมไปด้วยสีขาวราวกับหน้าต่างที่มีฝ้าเกาะ

หว่างขาของคนทั้งสองแนบติดกัน ในตอนที่พวงเนื้อของมูคยอมกดลงบนผิวก้น ฮาจุนก็อ้าปากจนน้ำสีใสไหลซึมพร้อมสะอื้นออกมา แกนกายบุกรุกเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ จนสุดทางด้านในแล้วส่วนหัวมนแข็งขึงก็บดขยี้ลงอย่างหนักหน่วง แหวกช่องทางที่เคยปิดสนิทออกอย่างยากลำบาก

“ฮ้าาา อึก…! ฮื้อออ… ฮึก อ๊า…!”

ในตอนที่ฮาจุนตอบไม่ได้ กระทั่งความคิดก็ยังเป็นอัมพาตแล้วทำได้เพียงดิ้นเร่าๆ สิ่งที่กดลงมาเติมเต็มด้านในพร้อมทำให้ทั่วทั้งร่างชาหนึบ ก็ถอนออกไปจนเกือบสุดปากช่องทาง ส่วนหัวที่ฝังคาอยู่ครึ่งหนึ่ง แหวกรอยจีบที่ทำท่าจะหุบสนิทอย่างอ่อนโยน แล้วคราวนี้ก็ไสรวดเดียวเข้าไปในช่องทางที่เคยถอนออก จนบดลงตรงจุดเดิมอย่างแรงซ้ำๆ

เสียงหวีดครางระเบิดออกมาจากปากของฮาจุน การจ้วงเข้าออกอย่างลึกล้ำและรุนแรงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

“ฮู่ว ฮาาา อา”

“อ๊า อ๊า! อ๊ะ! ฮึก ฮ้าาา…!”

ฮาจุนร้องเสียงดังขึ้นเท่าที่จะเค้นออกมาได้ ตัวสั่นคลอนไม่เป็นท่า เขาถูกรังแกด้วยความสุขสมที่โหมกระหน่ำอยู่พักหนึ่ง มูคยอมลูบผิวด้านนอกของต้นขาขาวอย่างเชื่องช้าพร้อมกับผ่อนเอวลง ลมหายใจของอีกฝ่ายก็ระรัวไม่เป็นจังหวะเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ก็ดีจนจะหมดสติเลยหรือเปล่า”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ฮาจุนหอบหายใจพร้อมพยักหน้าในช่วงที่อีกคนให้หยุดพักสั้นๆ เขาดึงรั้งมือที่ถูกมัดโดยอัตโนมัติพร้อมกับพูดตอบหลังจากนั้นจังหวะหนึ่ง

“ฮึก ฮื้อออ อื้อ ก็ ดี สิ…มันก็ดี…”

“มันก็ดี?”

“ฮ้าาา มู คยอม แต่… อ๊าาา วันนี้… เบาๆ…”

มูคยอมกลั้นหายใจไปทั้งอย่างนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนท่าที่เกือบจะเหยียดยืนทั้งตัวกดร่างฮาจุนเอาไว้ มาคุกเข่านั่งลงบนโซฟา อีกฝ่ายก้มตัวลงพรมลมหายใจร้อนๆ ลงบนผิวกายของฮาจุน แล้วกดริมฝีปากลงจนเกิดเสียงจุ๊บจั๊บ

“เอาแบบนั้นสินะ”

“ฮึ อ๊ะ…!”

มูคยอมสอดแขนเข้ามารองแผ่นหลังของฮาจุน ร่างกายท่อนบนของฮาจุนที่เคยนอนอยู่ ถูกดันขึ้นในทันทีอย่างไม่ได้รีบร้อนมากนัก แล้วอีกคนก็เอนตัวไปด้านหลังอย่างเชื่องช้าเช่นเดียวกัน เมื่อมูคยอมพิงตัวกับที่วางแขนของโซฟา ตำแหน่งของทั้งสองก็สลับทางกัน มาอยู่ในท่าที่ฮาจุนนั่งด้านบน ส่วนมูคยอมก็นั่งอยู่ด้านล่าง ต่างกับเมื่อสักครู่นี้

ความอบอุ่นอันน่าเบิกบานใจในยามปกติ กลับเข้ามาอยู่ในดวงตาของมูคยอมที่เคยจ้องมองฮาจุนตาวาววับจนถึงเมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับไล้มือตรงขอบตาของเขา

“ทำแบบนี้โอเคใช่ไหม วันนี้ฉันจะทำช้าๆ จริงๆ ฉันพูดจริง”

ฮาจุนกะพริบดวงตาชื้นน้ำพร้อมก้มลงมองมูคยอม จากนั้นก็กลั้นก้อนสะอื้นครั้งหนึ่งแล้วพยักหน้า ท่านี้ทำให้น้ำหนักตัวของตัวเองถ่ายลงไปด้านล่างหมดมันจึงลึกขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้น ความอึดอัดเหมือนถูกผูกมัดทั้งแขนทั้งขาก็หายไปแล้ว ฮาจุนจึงสบายใจอย่างมาก

มูคยอมจับขาข้างหนึ่งของเขาลงด้านล่างของโซฟาเหมือนอย่างเคย เมื่อเท้าแตะพื้น จุดกระตุ้นความรู้สึกด้านในคงเปลี่ยนไป เพียงแค่นั้นจึงทำให้กดบี้เนื้อเยื่ออ่อนนุ่มตรงจุดที่ไม่เคยถูกกระทุ้งง่ายๆ ในยามปกติ สัมผัสกับส่วนปลายแกนกาย ความรัญจวนอันกระจ่างชัดเพราะไม่คุ้นเคย โจมตีศีรษะของฮาจุนในตอนที่ยังไม่รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ฮาจุนปากสั่นทั้งที่ยังมึนงง มูคยอมต้องหยัดตัวจากด้านล่างขึ้นมาเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อน เขาถึงเริ่มขยับเอวช้าๆ เสียงร้องครวญครางอู้อี้ดังออกมา

“ฮึก อ๊า อื๊อออ… อ๊า อื๊อ…”

“อา… เหมือนจะเป็นบ้าเลย…”

ฮาจุนไม่สามารถยึดเหนี่ยวอะไรไว้ได้ แต่มือใหญ่ของมูคยอมก็ช่วยประคองเอวกับหลังอยู่อย่างมั่นคงแทน ขาข้างหนึ่งที่เหยียบพื้นก็ประคองร่างกายของฮาจุนไว้เช่นกัน

ทุกครั้งที่ฮาจุนขยับโยกเอวขึ้นลงสลับหน้าหลังแล้วหมุนควง ท่อนเนื้ออวบก็จะเคลื่อนไหวไปด้วยกันพร้อมทั้งสอดเข้ามาครูดทั่วทุกจุดในโพรงเนื้อ แกนกายมูคยอมเติมเต็มด้านในอย่างคับแน่นจนไม่มีที่ว่างจะให้เคลื่อนไหว ฮาจุนแทบจะรู้สึกแปลกใหม่กับการที่มันขยับไปพร้อมๆ กับการขยับเอวของเขา แล้วแหวกตัวเขาเข้ามา ก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่งอีกครั้ง รวมถึงการที่ความสุขสมอย่างแรงกล้าถึงขนาดนี้ ก่อตัวขึ้นมาตรงจุดเล็กๆ ที่ส่วนหนึ่งกับส่วนหนึ่งของร่างกายสอดประสาน แล้วสั่นคลอนทั่วทั้งร่างของเขาก็ด้วย

“อ๊า อ๊าาา ฮึก ฮ้าาา…!”

“ตอนนี้เวลาขึ้นให้ นายก็เก่งมาก ฮ้าาา จนฉันรู้สึกเหมือนจะแตกก่อนเลย”

“อ๊า อ๊าาา!”

มูคยอมพึมพำด้วยน้ำเสียงประทับใจ จากนั้นก็ยึดกระดูกเชิงกรานของฮาจุนไว้แล้วจับขยับหน้าหลังอย่างรุนแรงและดุเดือด ก้นเปียกแฉะกับต้นขาแข็งแรงถูไถกันอย่างลื่นไหล

ฮาจุนกรีดร้อง ก้นกลมกลึงเกร็งเครียด เอวหยุดเคลื่อนไหวแล้วแต่ขากลับสั่นเทิ้มตั้งแต่โคนลงไปจนถึงปลายเท้า ท้องน้อยที่ห่อหุ้มแกนกายใหญ่โตไว้ก็แบนแฟบลง กล้ามเนื้อหน้าท้องก็บิดเกร็งจนสั่นระรัว

การหยัดกายเข้าออกอย่างดิบเถื่อนไม่จบสิ้นในครั้งเดียว ฮาจุนขยับเอวด้วยตัวเองเหนือร่างมูคยอมแล้วเดินทางไปถึงจุดสุดยอดเป็นครั้งที่สาม น้ำรักฉีดออกมาเรื่อยๆ จากส่วนปลายและทิ้งร่องรอยไว้บนกล้ามหน้าท้องของมูคยอม

มูคยอมเองก็ครางเสียงทุ้ม ผนังด้านในตอดรัดแกนกายของเขาอย่างนุ่มนวลทว่าถี่ยิบ การตอดรัดของโพรงเนื้อด้านในที่รัวเร็วและไม่หยุดลงง่ายๆ กับภาพคนตัวขาวกระตุกเกร็ง นำพาความรู้สึกดีมาให้เขาเช่นเดียวกัน มูคยอมรู้สึกพลุ่งพล่านไปหมดตั้งแต่ตรงท้องน้อยซึ่งหว่างขาของฮาจุนเสียดถูอยู่ จนถึงกล้ามเนื้อหน้าอกหนา แล้วความรู้สึกพลุ่งพล่านนั้นก็สร้างเงาดำมืดขึ้นมา

แรงอารมณ์ของมูคยอมถูกกระตุ้นขึ้นจากจุดสุดยอดที่ฮาจุนไปถึง แล้วพุ่งทะยานขึ้นมาเป็นเส้นตรงดิ่ง เขาจับขาของฮาจุนที่หย่อนลงด้านล่างโซฟา แล้วยกขึ้นมาให้อีกคนนั่งเอาขาแนบชิดเอวของตัวเอง

“อ๊า!”

ฮาจุนร้องเสียงดังเหมือนคนตกใจ จากที่ได้แต่หอบหายใจแฮ่กๆ อย่างหนัก

ในขณะที่อีกฝ่ายตัวสั่นและยังไม่หลุดออกมาจากฝั่งฝันอันลึกซึ้ง มูคยอมก็หยัดเอวขึ้นไปอย่างแรงจนเสียงดังปั้กทั้งที่ยังจับกระดูกเชิงกรานของฮาจุนเอาไว้แน่น

แรงตอกขึ้นด้านบนรุนแรงมากจนส่วนที่ฝังคาไว้เกือบจะหลุดออกมา ร่างกายของฮาจุนลอยหวิวกลางอากาศแล้วหล่นลงมาสู่ด้านล่าง

“…!”

ความเสียวซ่านที่ตรึงอยู่ในหัวราวกับเสาเข็ม ทำให้ฮาจุนทำไม่ได้แม้แต่จะส่งเสียงร้อง ทำได้เพียงอ้าปากค้างแล้วหยุดหายใจไปเท่านั้น ในตอนที่อีกฝ่ายคางสั่นเบาๆ มูคยอมก็ค่อยๆ เพิ่มความเร็วให้ร่างกายท่อนล่างของตัวเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“ฮื่อ อ๊า เดี๋ยว ก่อน… อ๊า…! อ๊า! อ๊าาา”

“ฮู่ววว อา”

เสียงเนื้อกระทบกันดังเฉอะแฉะเพราะเจลที่หลอมเหลวจนเปียกเหนอะ ทุกครั้งที่มูคยอมจ้วงขึ้นมาอย่างเต็มที่จนถึงจุดลึก ร่างกายของฮาจุนก็จะถูกดันขึ้นไป และเมื่อหล่นลงมาด้านล่างโดยธรรมชาติ แกนกายก็จะสอดทะลวงเข้ามาลึกกว่าตอนแรก ฮาจุนยันมือกับหน้าท้องหรือไม่ก็หน้าอกของมูคยอมเป็นบางช่วง พยายามจะควบคุมความลึกและความเร็วของการสอดใส่ แต่ตัวเขาในวันนี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้

มูคยอมไม่ได้รีบเร่งตามที่ให้คำยืนยัน แต่ก็ไม่ยอมหยุดง่ายๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตีเบาๆ สลับลูบปลอบตรงบั้นเอว กระดูกเชิงกรานและสะโพก พร้อมทั้งให้ฮาจุนได้พัก แต่ก็ยังทำให้ฮาจุนทิ้งตัวฮวบลงอย่างรุนแรงต่อเนื่องไป เสียงกรีดร้องกับเสียงครวญครางดังสลับกันออกมา

ในชั่วขณะหนึ่ง มูคยอมซึ่งนั่งเอนตัวอยู่ด้านล่างเองก็ส่งเสียงครวญครางออกมายาวๆ จากนั้นฮาจุนก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของท่อนเนื้อที่ล่วงล้ำด้านในร่างกายของตัวเอง และอุณหภูมิที่ถ่ายเทออกมาอย่างร้อนรุ่ม เนื้อเยื่อที่ไวต่อสิ่งเร้าเปียกลื่นเพราะของเหลวที่มูคยอมขับออกมา

ฮาจุนซึมซับความรู้สึกจากการปลดปล่อยของมูคยอมในร่างกาย แล้วไปถึงจุดสุดยอดแผ่วเบาอีกรอบหนึ่งเช่นทุกครั้ง เอวที่ถูกจับไว้ในอุ้งมือใหญ่กับต้นขาที่อ้าคร่อมร่างกายของมูคยอมกระตุกเกร็งถี่รัว แล้วด้านในก็บีบรัดตัวอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ

“อา ฮาจุน… รู้สึกดีมาก ฮู่ววว ดีเป็นบ้าเลย”

“ฮ้าาา อื๊อ ฮื่อออ ฉัน ด้วย อ๊าาา… ดีจัง อ๊า ดี…!”

ราวกับว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองแม้กระทั่งกับเสียงของมูคยอมด้วย ฮาจุนจึงทำท่าจะร้องไห้พร้อมทั้งโค้งร่างกายท่อนบนลง เขาสูญเสียการทรงตัวโดยสมบูรณ์แล้วเอนตัวทิ้งลงด้านหน้า

ร่างกายท่อนบนชื้นเหงื่อของทั้งคู่แนบชิด การเต้นของชีพจรที่ส่งผ่านออกมาทางผิวกลายเปลือยเปล่าของคนทั้งสอง ดังประสานกันเป็นหนึ่ง มูคยอมเล็มเลียริมฝีปากของฮาจุนที่เอนตัวลงบนร่างของตัวเองราวกับจะดับกระหาย ภายในปากของทั้งสองคนเร่าร้อนขึ้น ลิ้นที่มีกลิ่นอายหอมหวานเกี่ยวกระหวัดกันอย่างดูดดื่ม

แม้กำลังบดจูบกันอยู่ แต่แกนกายที่ฝังคาไว้ในจุดลึกก็ยังกดสอดในร่างกายที่ถูกจุดสุดยอดอันเนิ่นนานก่อกวน เป็นการคลอเคลียหลังจบบทรักที่ปลอบประโลมฮาจุน โดยดุนดันเนื้ออ่อนนุ่มที่อยู่ลึกด้านในเบาๆ แล้วลากไล้อย่างเชื่องช้า ต่างกับตอนที่ตอกเข้ามาอย่างดุดัน เมื่อส่วนที่เคยเติมเต็มในท้องจนรู้สึกร้อมรุ่ม ไถลออกไปด้านหลังเป็นทาง ฮาจุนก็พรูลมหายใจสั่นระรัวออกมาจากปาก

“ฮึก… อึก ฮ้าาา ฮึก อื๊อ…!”

ร่างอ่อนปวกเปียกถูกกอดไว้ในอ้อมอกแข็งแกร่ง กลิ่นอายความหอมหวานจางๆ ตลบอบอวลอยู่ในเสียงครางหวิวของฮาจุน ฮาจุนบดถูแกนกายของตัวเองลงกับหน้าท้องแข็งๆ ส่วนแก้มขาวเห่อร้อนก็ถูไถตรงแถวๆ ลำคอของมูคยอม เขาต้านทานความสุขสมเอาไว้ไม่ได้แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลแหมะ ถึงแม้ว่าจะถูกนำพามาถึงฝั่งฝันอย่างอ่อนโยนไม่น้อย แต่ร่างกายที่ไปถึงปลายทางอย่างต่อเนื่องสองสามครั้งก็ไม่สามารถหยุดยั้งอาการกระตุกเกร็งที่เกิดจากความรู้สึกคั่งค้างนั้นได้เลย

มูคยอมทอดสายตามองคนรักที่ร้องไห้พร้อมกับหายใจหอบราวกับถูกสะกดจิต เขาพรูลมหายใจที่เจือปนไปด้วยความอดกลั้นในระดับที่เกินความสามารถ ร่างกายที่ดำดิ่งในความสุขซาบซ่านกำลังร้องขอให้ขยับต่อไป แกนกายตั้งผงาดยิ่งขึ้นและต้องการปลดปล่อยรอบที่สอง พร้อมกับกระดิกตัวอยู่ในช่องทางที่ตอดแน่นของฮาจุน

ทว่ามูคยอมกลับเพิกเฉยต่อการเร่งเร้าของสัญชาตญาณและผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอ ไม่ว่าอีกกี่ครั้ง เขาก็สามารถทำได้ เขาจะเติมเต็มร่างกายของฮาจุนด้วยน้ำรัก ตอกกายเข้าไปในช่องทางเฉอะแฉะ ทำให้มันเปียกชุ่มอีกครั้งแล้วสอดทะลวงเข้าไปอีกรอบ…

ยังมีเวลาอยู่เยอะ ฮาจุนบอกว่าจะมอบวันนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืนให้เขา เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องรีบร้อนเหมือนคนถูกตามไล่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลามื้อเที่ยง ไปอาบน้ำในห้องน้ำพร้อมกับทำรอบสอง หลังจากนั้นค่อยกินข้าวกันก็น่าจะดี

“ทีนี้ไปอาบน้ำกันไหม”

“อือ…”

น้ำเสียงแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงร้องไห้หรือคำตอบ มูคยอมกอดร่างของฮาจุนที่พิงตัวเขาไว้เต็มอ้อมแขน เขาลูบไล้ผิวกายของอีกคนโดยไม่ตกหล่นไปแม้แต่จุดเดียว ราวกับตั้งใจจะเติมเต็มในส่วนของฮาจุนที่สัมผัสเขาไม่ได้เพราะมือถูกมัดด้วย

ทำไมเวลาคนรักผู้เข้มแข็งอ่อนแอลงถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ มูคยอมเสพติดภาพตอนที่รอยยิ้มเรียบร้อยๆ นั้นบูดเบี้ยวพร้อมเบะออกเหมือนจะร้องไห้ แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาอยากรังแกอีกฝ่ายบ่อยๆ ก็เป็นเพราะแบบนั้น มูคยอมไม่สามารถทำอะไรกับความสงสารที่ซึมออกมาจากหัวใจราวกับความเปียกชื้นได้ จากนั้นจึงออกแรงกระชับอีกฝ่ายในอ้อมแขนอีกครั้งแล้วประทับริมฝีปากลงบนศีรษะพลางกระซิบ

“รักนะ ฉันรักนาย อีฮาจุน รักที่สุดในโลกเลย”

“อื้อ… ฉัน…”

‘ฉันก็รักนาย’ บางทีฮาจุนน่าจะตอบมาแบบนั้น แต่คำพูดของอีกฝ่ายกลับแผ่วเบาแล้วขาดหายไป

ความเงียบปลุกคลุมยาวนานขึ้น มูคยอมยกยิ้มแล้วรอคอยคำพูดหลังจากนั้นของอีกคน แต่แล้วก็ก้มลงมองกระหม่อมของฮาจุนด้วยแววตาแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ

อีกฝ่ายสูดหายใจหอบกระชั้นพร้อมกับกำลังมุดใบหน้าลงแถวๆ หัวไหล่ของมูคยอม การหายใจยังไม่สงบลง ซ้ำยังหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วสะเทือนมาจนถึงหัวไหล่กับหน้าอกที่แนบติดกัน ในตอนนั้น มูคยอมถึงได้ตื่นตกใจแล้วโอบตัวฮาจุนให้ลุกขึ้น แกนกายที่ฝังไว้ในตัวของอีกคนจนถึงตอนนั้นก็พลอยหลุดออกไปด้วย

“อา ปล่อยฉัน…”

ฮาจุนทำอะไรไม่ถูกแล้วตั้งใจจะปิดบังใบหน้าของตัวเอง แต่มือที่ถูกมัดไว้ก็ไม่ได้ยกขึ้นจนปกปิดใบหน้าของอีกฝ่ายทั้งใบได้ เมื่อมือยกไม่ขึ้น คราวนี้ฮาจุนจึงก้มใบหน้าเปรอะน้ำตาลงอย่างเอาเป็นเอาตาย

มูคยอมขมวดคิ้ว คนรักของเขาน้ำตาไหลให้เห็นแทบจะทุกครั้งเวลาทำกิจกรรมบนเตียง แต่มูคยอมแบ่งแยกน้ำตาที่ไหลเพราะรู้สึกดี กับน้ำตาที่ไม่ได้ไหลเพราะแบบนั้นได้อย่างฉับไว เขากุมแก้มทั้งสองข้างของใบหน้าที่ก้มลงด้านล่างแล้วจับเงยขึ้น

“เป็นอะไร”

“รู้สึกดีน่ะ…”

“โกหก ฉันแยกออกนะตอนที่นายร้องไห้เพราะรู้สึกกับไม่ได้รู้สึกน่ะ ถ้าไม่พูดก็ไม่ปล่อย”

มูคยอมแย้งกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดโดยไม่ทิ้งระยะห่างแม้ช่วงสั้นๆ พวกเขามีเซ็กส์แบบรู้สึกดีจนถึงขีดสุดกันเสร็จ แล้ว จู่ๆ อีกคนก็เริ่มร้องไห้ มูคยอมไม่เข้าทิศทางความคิดของอีกคนเลยแม้แต่น้อย

คงรู้สึกได้ถึงท่าทีที่จะไม่ยอมถอยให้ง่ายๆ ฮาจุนจึงทอดสายตาไปตรงใต้คางของมูคยอมแค่จุดเดียว แทนที่จะพูดอ้างเรื่องอื่นๆ ฮาจุนนิ่งเงียบพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงค่อยๆ กลอกตาฉ่ำน้ำมาสบตากับมูคยอม

“ก็นายบอกว่าอยากทำแบบมัดฉันไว้… บอกว่าอยากทำแบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”

“อือ”

“ฉันคิดว่านายตั้งใจจะทำเหมือนที่เคยทำที่ลอนดอน ฉันคิดว่านายชอบอะไรแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้…”

“…”

“แต่ว่าไม่ใช่… อืม… ฉันไม่รู้ว่าควรต้องอธิบายว่าอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่น่าร้องไห้แบบนี้หรอก แต่วันนี้ฉันรู้สึกดีมากก็เลย… คงจะนึกถึงน่ะ”

ใบหน้าของมูคยอมแข็งทื่อและไร้ซึ่งความรู้สึก ฮาจุนพูดอย่างสงบราวกับอดทนไว้อย่างเต็มที่ แต่ความรู้สึกคงล้นทะลักออกมา น้ำตาของฮาจุนจึงไม่หยุดลงโดยง่าย อีกฝ่ายเอาแต่ทำท่าจะยกมือที่ปกปิดใบหน้าไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกับพูดต่อไปเรื่อยๆ

“ขอโทษนะ ฉันไม่ควรเป็นแบบนี้เพราะเรื่องที่ผ่านมาพักใหญ่แล้วเลย…”

“…อะไรนะ นายบอกขอโทษไม่ได้สิ เรื่องตอนนั้นเป็นความผิดของฉันร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไง นี่เป็นเพราะว่านึกถึงเมื่อตอนนั้นเหรอ”

มูคยอมที่เคยงงงวยอยู่ ได้สติขึ้นมาฉับพลันแล้วจับข้อมือของฮาจุนพร้อมพูดตอบ ฮาจุนทอดสายตามองมือที่จับตัวเองไว้พร้อมกับหลุบตาลงด้วยสีหน้าสับสนเพราะไม่รู้ว่าต้องพูดเรื่องอะไรก่อน

และแล้วหลังจากเงียบกันไป ฮาจุนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ราวกับคนสารภาพผิด

“คิมมูคยอม…”

“อือ”

“ตอนนั้นฉัน… กลัวนิดหน่อย”

คำสารภาพอันกะทันหันของฮาจุน ทำให้คิ้วของมูคยอมขมวดเข้าหากันราวกับหน้าเสียแต่ก็เพียงแวบเดียวแทบมองไม่เห็น ฮาจุนมองเห็นจิตใจอันกระสับกระส่ายฉายชัดผ่านใบหน้าของมูคยอม จึงปิดปากเงียบไปพลางกลืนน้ำลาย

ทว่ามูคยอมกลับไม่หยุดอยู่แค่ตรงนั้น เขาถามต่อราวกับความคิดเดินทางไปจนถึงเรื่องใหม่

“อะไรอีก”

“หือ…”

“แค่ตอนนั้นเหรอ ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นครั้งไหนอีกเหรอ”

ฮาจุนกระอึกกระอักราวกับคนโดนจี้จุดอ่อน

มูคยอมมองดูท่าทีของอีกคนซึ่งตอบว่า ‘มีแค่ตอนนั้น’ ไม่ได้ในทันทีด้วยดวงตาเหม่อลอย ริมฝีปากพะงาบๆ ราวกับลังเล จากนั้นจึงพูดขึ้น

“ตอนอยู่โซล นายโกรธ… แล้วจู่ๆ ก็ชวนทำในห้องประชุมสโมสร ตอนนั้นก็นิดหน่อย”

“…”

ฮาจุนพูดจบแล้วใบหน้าค่อยๆ แดงเรื่อ อีกคนทำท่าจะซ่อนใบหน้าไว้ตรงกลางแขนอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา

“อ่า นี่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้วจริงๆ ฉันทำตัวน่าอายเกินไปใช่ไหม”

“น่าอายงั้นเหรอ อะไรที่น่าอาย”

มูคยอมแก้ปมที่ผูกมัดข้อมือขาวไว้ออกหมดอย่างรวดเร็ว ปมแน่นหนาที่เหมือนจะไม่คลายออกเลยถ้าเอาแต่ใช้แรงกระชาก กลับหลุดลุ่ยออกอย่างง่ายดายกว่าที่คิดตรงระหว่างนิ้วเรียวยาว

ฮาจุนก้มลงมองมือที่เป็นอิสระพร้อมกับหมุนข้อมือสองสามครั้ง ไม่มีจุดที่ชาเพราะเลือดไม่ไหลเวียนหรือจุดที่รู้สึกเจ็บเลย ฮาจุนเหลือบตาที่น้ำตาแห้งไปแล้วในระหว่างนั้นขึ้นมองตรงๆ แล้วถามมูคยอม

“จะพอแล้วเหรอ…”

“สัตว์ก็ไม่ใช่ คุยเรื่องแบบนี้แล้วจะทำต่อได้ยังไง”

“ขอโทษนะ ฉันทำลายบรรยากาศหมดเลย”

“ไม่สิ ฉันไม่ได้จะโทษนาย พวกเรา… ควรต้องคุยกันอีกหน่อยไม่ใช่เหรอ”

มูคยอมไม่คิดว่าฮาจุนจะเก็บเรื่องในตอนนั้นเอาไว้ในใจมาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ที่ลอนดอนแต่รวมกระทั่งเรื่องตอนอยู่ที่โซลด้วย

เขานี่โง่จริง ทั้งที่รู้ว่าถ้าเป็นเรื่องคิมมูคยอม อีกฝ่ายจะจดจำอย่างละเอียดและเก็บรักษาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ความรักที่เขามอบให้ แต่รวมถึงบาดแผลและความรู้สึกด้านลบต่างๆ ทั้งหมดเลย

ถึงขั้นบอกว่ากลัวเลยนะ ถ้าอย่างนั้นจะคุยกันแค่สองคนได้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าต้องรับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือเปล่า ในระหว่างที่มูคยอมสับสนวุ่นวายขึ้นมาและความคิดของเขากำลังแตกระแหงออกไปอย่างรวดเร็ว ฮาจุนก็ส่ายหน้า

“ฉันก็พูดเรื่องที่จะพูดหมดแล้วนะ”

“…ทำไมตอนนั้นถึงไม่บอก ทำไมทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลยล่ะ”

“เรื่องที่โซล… ก็รู้สึกแบบนั้นแค่ตอนแรกแหละ แป๊บเดียวก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนั้นจู่ๆ นายก็บอกให้ถอดเสื้อผ้าออกก่อนในทันทีเลยไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยตกใจเพราะนายทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวนาย แต่พอทำแล้วก็… ไม่ค่อยต่างกับปกติสักเท่าไรน่ะ”

“…”

“แล้วตอนนั้นฉันก็แสดงออกว่าโกรธนายเท่าที่ฉันโกรธแล้วนี่”

ฮาจุนหัวเราะแก้เก้อ แต่มูคยอมไม่ขำเลย เพราะจนถึงตอนนี้ มูคยอมไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยว่าตอนนั้นฮาจุนจะรู้สึกหวาดกลัว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเกิดความรู้สึกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความโกรธหรือความเหยียดหยาม จากประสบการณ์ทางร่างกายที่เขาบีบบังคับให้อีกคนได้รับเพราะอยากให้ตัดใจจากเขา

“แล้วก็คราวก่อน…”

ฮาจุนเงียบไปด้วยท่าทีกลัดกลุ้มแทนที่จะพูดต่อ มูคยอมเหยียบจิตใจอันร้อนรนไว้แน่นแล้วอดทนที่จะไม่เร่งเร้า แต่แล้วฮาจุนก็ส่ายหน้าแล้วร้องขอเขา

“มูคยอม ฉันคอแห้ง เอาน้ำมาให้หน่อยได้ไหม”

“หา? อือ ได้สิ”

มูคยอมพยักหน้าแล้วรีบไปเอาน้ำเย็นหนึ่งแก้วมาจากในครัว ฮาจุนนั่งตัวตรงบนโซฟาแล้วดื่มมันสองสามอึก จากนั้นก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาราวกับดื่มเหล้า ดื่มเสร็จแล้วอีกคนก็พูดเรื่องอื่นอีก

“ฉันอยากอาบน้ำหน่อยๆ แล้ว ตัวเหนียวหนึบไปหมดเลย”

“…เอางั้นไหมล่ะ”

มูคยอมสงสัยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อจากคำว่า ‘คราวก่อน’ จนแทบบ้า แต่คราวนี้เขาก็อดทนอย่างเต็มที่แล้วจับมือฮาจุนให้ลุกขึ้น ในขณะที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ฮาจุนก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา

ทั้งสองคนทำความสะอาบคราบน้ำรัก เหงื่อไคล และร่องรอยของความสุขสมที่มีอยู่เต็มทั่วตัวจนกระทั่งเมื่อครู่นี้อย่างสะอาดหมดจด ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำด้วยร่างกายที่สดชื่นขึ้น ทั้งคู่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นไปบนห้องของฮาจุน

พวกเขานั่งพาดตัวกับเตียงแล้วเปิดหน้าต่าง ก้มลงมองลานหน้าบ้านที่ถูกย้อมด้วยสีเขียวขจีด้วยกัน สายลมอุ่นในช่วงกลางฤดูร้อนพัดมาคลอเคลียเส้นผมเปียกชื้นเรื่อยๆ

ชั่วขณะหนึ่ง ฮาจุนยิ้มอย่างขมขื่นเงียบๆ แล้วตอนนั้นถึงได้ปริปากพูดขึ้น

“…จริงๆ แล้ว ช่วงที่ผ่านมา ฉันคิดอะไรเยอะแยะมากเลย แต่ถ้าให้เรียบเรียงเป็นคำพูดมันก็…ยากนิดหน่อย”

“เรื่องอะไร”

“นายคิดว่าคนบนโลกชอบนายกันทุกคนใช่ไหมล่ะ เพราะอย่างนั้นถึงได้กังวลอยู่ตลอดว่าคนอื่นจะมาชอบฉัน แล้วก็กลัวว่าฉันจะไปจากนาย…”

มูคยอมตอบกลับด้วยแววตาเหมือนบอกว่าอีกคนถามเรื่องที่แน่ชัดอยู่แล้ว

เรื่องที่อีกฝ่ายเชื่อมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะมีคนไม่ชอบอีฮาจุน แน่นอนว่าตอนอยู่เกาหลี เขาเคยเห็นไอ้ขี้หมาตัวหนึ่งหาเรื่องอีกฝ่ายก็จริง แต่นั่นก็เป็นแค่กรณีที่หาได้ยากมากๆ เท่านั้น ใครมาเห็นก็คงมองว่าฝ่ายที่ทำตัวถ่อยไม่ใช่อีฮาจุนแต่เป็นไอ้เลวนั่นไม่ใช่หรือไงกัน

“แต่ว่าไม่ใช่นะ”

“…”

“คนที่ไม่ชอบฉัน… มีอยู่เยอะเลย”

ท้ายประโยคของอีกฝ่ายเลือนรางลงราวกับขอบกระดาษที่ไฟลุกลาม มูคยอมไม่สามารถจัดการกับภายในใจที่รู้สึกคาดไม่ถึงและความรู้สึกเหมือนถูกตีหัว แล้วทอดสายตามองฮาจุนด้วยสีหน้าที่เผยความรู้สึกเหล่านั้นออกมาให้เห็นจนหมด ฮาจุนยกสองมือลูบหน้าแล้วเสยผมด้านหน้าขึ้น

“ไม่รู้ว่านายรู้หรือเปล่า แต่ถ้าพูดถึงนักฟุตบอลอีฮาจุนก็จะมีเรื่องที่พูดถึงตามมาอยู่สองสามอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ว่าฉันได้รับการประเมินช้าไป”

“…ฉันรู้”

คงจะไม่เท่ากับความเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายสร้างสมผลงานอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับคิมมูคยอมอย่างต่อเนื่องมาสิบปี แต่ตอนนี้ มูคยอมก็รู้เกี่ยวกับเรื่องสมัยที่ฮาจุนเป็นนักบอลอาชีพเท่าที่จะรู้ได้ เขาถึงกับจินตนาการว่าได้ย้อนเวลากลับไปลงแข่งกับอีกฝ่ายหลายครั้งเลยด้วย

“คิดว่าฉันพูดเรื่องแบบนั้นทำไมล่ะ”

ฮาจุนสบตาเขาพร้อมถามขึ้น มูคยอมไม่ตอบ ทว่าดวงตากับริมฝีปากที่ไร้ซึ่งคำพูดค่อยๆ เกร็งเครียดขึ้นอย่างเต็มที่

ฮาจุนพิจารณาสีหน้าของมูคยอมอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นคงรับรู้ว่าเขาเข้าใจคำพูดของตน จึงหันหน้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางอันแสนขมขื่น ฮาจุนก้มลงมองสวนอีกครั้งพร้อมพูดต่อ

“ตอนเด็กๆ ฉันเป็นนักกีฬาขี้ขลาดที่เชื่อฟังคำพูดของผู้จัดการทีมเป็นอย่างดี เพราะยังเด็กอยู่ แล้วก็ขาดความมั่นใจในตัวเองด้วย แต่เวลาก็ผ่านไปพร้อมกับได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาทีมชาติ แล้วก็ได้เป็นมืออาชีพ จากนั้นฉันก็มีเวลาพักแล้วก็มีพวกรุ่นน้อง เพราะอย่างนั้นถึงได้เปลี่ยนไป”

“…”

“ถ้าแม่เมาเหล้า บางทีเขาก็บ่นว่าอย่าใช้ชีวิตเหมือนพ่อ บอกว่าพ่อของลูกน่ะมุมานะมากเกินไป มีแค่ความสามารถแต่ไม่มีชั้นเชิงในการใช้ชีวิตก็เลยจากไปอย่างไม่ยุติธรรมแบบนั้น… แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้ต่างกับเขาสักเท่าไร แต่ก็นะ ถึงจะคิดว่าดีกว่าพ่อก็เถอะ”

แม้ไม่ได้ฟังคำอธิบายโดยละเอียดแต่มูคยอมก็คาดเดาได้ ผ่านอุปนิสัยกับการกระทำของฮาจุนที่เห็นมาจนถึงตอนนี้และผ่านผู้คนที่รายล้อมอีกฝ่าย

สมัยที่อยู่ซิตี้โซล นักกีฬามากมายไล่ตามฮาจุน ในมุมมองของมูคยอม เขาถึงกับประหลาดใจและงุนงงพอสมควรกับความจริงที่ว่ามีพวกคนที่ไล่ตามรุ่นพี่แบบนั้นอยู่ในทีมฟุตบอลด้วย

พวกที่ไล่ตามส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาที่เด็กกว่าฮาจุนหรือไม่ก็อายุเท่าๆ กัน แน่นอนว่าฮาจุนรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสตาฟคนอื่นหรือพวกคนที่อายุมากกว่าตัวเองด้วย แต่ก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดกับพวกนักกีฬาอายุน้อยที่ส่ายหางเหมือนลูกหมาเพียงแค่ได้เห็นฮาจุน

อีฮาจุนอ่อนโยนและใจดี ในขณะเดียวกัน ถ้าคิดว่ามันไม่ถูกต้องก็จะไม่ระงับความโกรธไว้ ช่วงสมัยที่อีกฝ่ายเป็นนักกีฬาย่อมไม่มีทางที่จะราบรื่น ถ้าเพื่อเพื่อนร่วมทีมกับรุ่นน้องแล้ว อีกฝ่ายก็คงจะทะเลาะกับรุ่นพี่ ถ้าคิดว่ามันผิด อีกฝ่ายก็คงจะบอกเล่าความคิดของตัวเองกับผู้จัดการทีม เผลอๆ อาจจะแสดงออกถึงความโกรธพร้อมกับถีบประตูออกไปทั้งที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยซ้ำ

ในกีฬาฟุตบอล อำนาจและสิทธิของผู้จัดการทีมถือเป็นเด็ดขาด ที่ยุโรป นักกีฬาที่เคยวิ่งบนสนามก็หลุดออกนอกสายตาของผู้จัดการทีมด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง จึงได้แต่นั่งร้อนใจอยู่ตรงม้านั่งแล้วย้ายสังกัดไปอย่างเงียบเหงา บางครั้งก็ก่อเรื่องทะเลาะกันจนเกิดความวุ่นวายขึ้นด้วย ผู้จัดการทีมกับสโมสรมักเปิดเผยสถานการณ์สู่ภายนอกว่าเป็นเพราะ ‘เหตุผลทางด้านแผนการเล่น’ ราวกับกำหนดเอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป

“ฉันก็ไม่คิดหรอกว่าการที่ฉันถูกมันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ก็คิดว่าผิดนะ

ฉันเลยแกล้งทำตัวเหมือนเห็นด้วยไม่ได้ เรื่องนั้นฉันทำไม่ได้จริงๆ พอฉันเป็นแบบนั้น ก็มีทั้งคนที่บอกว่าฉันพูดมากเลยไม่ชอบฉัน มีทั้งคนที่บอกว่าฉันแกล้งทำเป็นใจดีก็เลยไม่ชอบ แล้วบางครั้งก็มีคนที่บอกว่าคราวก่อนเข้าไปยุ่งวุ่นวายแต่คราวนี้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็เลยไม่ชอบฉันด้วย… มีหลายเหตุผลเลยละ ยังไงก็เถอะ มันก็กลายเป็นแบบนั้นไป”

ใบหน้าด้านข้างที่ผ่อนลมหายใจสั้นๆ ออกมาดูสงบนิ่งเกินคาด อีกฝ่ายกลับยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ

“แต่ว่า… จริงๆ แล้วฉันไม่ค่อยสนใจว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบฉันสักเท่าไร ตอนนี้นายก็น่าจะรู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่คนที่ละเอียดอ่อนขนาดนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะคิดว่าทุกคนเป็นคนดีแล้วอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะทำแบบนั้นมันช่วยให้สบายใจ โดยเฉพาะกับเวลาทำงาน เพราะอย่างนั้นฉันถึงพยายามที่จะใจดีกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ทุกครั้ง เวลาแบบนั้นฉันก็จะคิดว่ามันช่วยไม่ได้แล้วจัดการให้เรียบร้อยตามสมควร”

“…”

“ฉันแค่ทำตัวตามที่ฉันตัดสินใจในแต่ละครั้ง แล้วก็ได้เจอกับคนที่ชอบและสนับสนุนฉันที่เป็นแบบนั้นเยอะแยะเลย แค่นั้นก็พอแล้ว พอลองใช้ชีวิตมา แค่ทุ่มพลังให้คนที่ชอบเราก็ยุ่งจะแย่แล้วใช่ไหมล่ะ ตอนที่การงานเกือบจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วฉันดันบาดเจ็บ ฉันทั้งโทษคนอื่น ทั้งเกลียดคนอื่น ทั้งเกลียดชังโลกใบนี้ แต่ว่า… ต่อให้ย้อนเวลากลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ตัวเลือกของฉันก็คงจะไม่เปลี่ยนหรอก”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ฉันไม่เคยกลัวว่าใครจะไม่ชอบฉัน ไม่เคยกลัวว่าจะถูกคนอื่นเกลียด ไม่เคยพยายามที่จะได้รับการยอมรับถึงขนาดนั้น”

“…แล้วยังไงต่อ”

สีแดงเรื่อแผ่ซ่านไปบนแก้มที่ก้มลงกับขอบตาที่ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย

ท่าทีที่เหมือนกับกำลังขัดเขินผิดเวลาทำให้มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่สามารถคาดเดาความสอดคล้องของความรู้สึกที่ฮาจุนรู้สึกได้เลย มูคยอมใจร้อนขึ้นแล้วเร่งให้อีกฝ่ายตอบ

“ตอนนี้กลัวขึ้นมาแล้วเหรอ”

“…ฉันไม่อยากถูกนายเกลียด ฉันอยากได้รับการยอมรับจากนาย”

ดวงตาของมูคยอมโตเป็นไข่ห่าน ความรู้สึกเหมือนถูกอะไรฟาดหัวอย่างแรงอีกครั้งทำให้เขามึนงงแล้วทำได้เพียงอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง

นี่มันเป็นความกังวลไร้สาระที่สุดในโลกอะไรกันเนี่ย คิมมูคยอมจะเกลียดอีฮาจุนเนี่ยนะ เขามองไม่เห็นหนทางที่จะทำแบบนั้นได้เลยด้วยซ้ำ!

“ต่อให้นายฆ่าฉันให้ตายตรงนี้ตอนนี้ ฉันก็รักนายอยู่ดี”

“อย่าพูดเรื่องน่ากลัวสิ ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนั้นหรอก…”

ฮาจุนประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วพูดแหย่

“ตอนนั้นถ้าโมโหใส่ หรือตะโกน หรือร้องขออย่างจริงใจตรงนั้นเลย บางทีนายกับความสัมพันธ์ของเราอาจจะเปลี่ยนไป… ดูเหมือนว่าฉันคงกลัวเรื่องนั้นแหละ”

“…”

“เพราะอย่างนั้นฉันถึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่… พยายามคิดในแง่ดี ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้น แล้วที่ผ่านมาฉันก็มีส่วนผิดที่มองว่าคำพูดของนายไม่มีทางเป็นจริงด้วย นายชอบฉันมากถึงได้เป็นแบบนี้ เพราะอย่างนั้นถ้ายิ่งทำดีกับนายแล้วอยู่ข้างนาย ต่อจากนี้ก็จะไม่เป็นไร ฉันต่างกับนายที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่ฉันสามารถทำให้นายได้ก็มีแค่ชอบนายให้มากขึ้น ให้อภัยนายมากขึ้น แล้วก็ช่วยตอบรับในสิ่งที่นายต้องการ… เรื่องที่ฉันทำได้มีแค่เรื่องพวกนั้น ฉันถึงคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องทำมันให้ดี”

หัวคิ้วของฮาจุนย่นเข้าหากัน คิ้วของอีกคนลู่ลงราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ มูคยอมจึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตามไปด้วย

“ที่ฉันรู้สึกเศร้าขึ้นทีละนิดทุกครั้งที่คิดแบบนั้น น่าจะเป็นเพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงทั้งหมดใช่ไหม”

“…”

“ก่อนคบกัน ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องแบบนี้เลยนะ ไม่เคยคิดว่านายจะชอบฉัน ไม่เคยแม้แต่จะลองคิดว่าไม่อยากสูญเสียนายไป”

“ฮาจุน”

“ตอนฉันชอบฝ่ายเดียว แค่รู้สึกชอบก็พอแล้ว มันเลยง่าย แต่การเป็นคนรักกันมันยากจัง”

ฮาจุนยิ้มอย่างขมขื่น เขาพูดต่อทันทีไม่ได้แล้วก้มลงมองมือของตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือวันนี้ ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นจากการถูกผูกมัดก็เป็นความรู้สึกเดียวกัน คือความรู้สึกอ่อนล้าที่ไม่สามารถต้านทานพละกำลังที่ปฏิบัติต่อตัวเองตามใจชอบได้

แต่ถ้าบอกว่าความรู้สึกอ่อนล้าที่เคยประสบคราวก่อน บดขยี้เขาลงอย่างหนังหน่วงให้บี้แบนจนจมดิน วันนี้ก็ทำให้ตัวเขาลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับขนนก แทนที่จะมองว่าเป็นการรุกรานอย่างไร้ความปรานี มันกลับใกล้เคียงกับการปกป้องอันแสนสงบสุขที่โอบล้อมทั้งตัวของเขาไว้และทำให้ร่างกายกับจิตใจของเขาหลอมละลายลงมากกว่าเดิม

มือกับแขนที่โอบกอดเขา ลิ้นกับริมฝีปากที่หยอกล้อผิวกาย เป็นของคนคนเดียวกัน คนที่บีบคั้นและล่วงล้ำเขาในวันนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น วินาทีที่รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ น้ำตาก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะทันได้เข้าใจเหตุผลในหัวเสียอีก

“…ฉันมันขี้ขลาด ฉันพยายามที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองพร้อมกับแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองมากจริงๆ…”

“อีฮาจุน ไม่ใช่นะ”

มูคยอมจับแขนทั้งสองข้างของฮาจุนแล้วดึงเข้าหาตัว ถึงแม้จะหันตัวไปแล้วแต่ฮาจุนก็ยังไม่สามารถมองมูคยอมตรงๆ ได้

“ทำไมเอาแต่โทษตัวนายเองล่ะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ด่าฉันให้สบายใจยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ตีฉันไม่ยั้งจนกว่านายจะหายโกรธสิ”

“ฉันดูเหมือนพูดเรื่องแบบนี้เพราะโกรธเหรอ ตอนนั้นมันตั้งเมื่อไรมาแล้ว ต่อให้โกรธ ตอนนี้ก็หายโกรธหมดแล้วละ”

ฮาจุนพูด ใบหน้าของฮาจุนมีเพียงความเขินอายกับความเสียใจทีเหลือซุกซ่อนอยู่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีสีหน้าแห่งความโกรธแค้นหรือขุ่นเคือง

มูคยอมกัดริมฝีปาก ทั้งการทำตัวขี้ขลาด ทั้งการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองพร้อมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งหมดคือเรื่องที่เขาก็ทำ การไม่อยากถูกเกลียดก็เป็นความรู้สึกที่เหมาะสมกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ

วันนั้น ตอนที่สติกลับมาโดยสมบูรณ์ เขากลัวว่าฮาจุนจะระเบิดความโกรธเกลียดใส่กันจริงๆ ทั้งกลัว ทั้งกังวล ไม่อยากเต็มใจยอมรับเรื่องที่ตัวเองก่อเลยพูดกระทั่งคำขอโทษในทันทีไม่ได้ และทำเพียงแค่สังเกตท่าทีของฮาจุนเหมือนคนโง่เท่านั้น

ทว่าคนรักผู้ใจกว้างของเขากลับไม่แม้แต่จะปลดปล่อยความโกรธออกมา ไม่แม้แต่จะร้องไห้ ไม่แม้แต่จะต่อว่าหรือขุ่นเคืองใจ อีกคนแค่พูดสิ่งที่เขาอยากฟังอย่างเข้าอกเข้าใจเช่นเคย เหมือนเรื่องที่ความต้องการครึ่งๆ กลางๆ กระทำลงไปเป็นเพียงการหยอกล้อกันแบบต่างจากปกติแค่คืนเดียว แต่นั่นกลับผูกมัดเขาให้รู้สึกกังวลและกระวนกระวายใจ

แม้การกระทำนั้นจะจบลงแล้ว อีกฝ่ายก็ยังปลอบโยนพร้อมสัญญาว่าจะไม่จากไปไหน ฮาจุนกอดเขา ถึงกระทั่งบอกว่าถ้าต้องการก็ไว้ทำกันอีกทีหลัง อย่างกับว่ามันเป็นเกมที่แสนสนุก

สัตว์เดรัจฉานหน้าไม่อายรู้สึกวางใจเพราะการให้อภัยจากเจ้าของของมัน ไม่แม้แต่จะลองคิดดูว่า การให้อภัยนั้นก่อเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกแบบไหน ทั้งยังปลอบใจตัวเองว่าโชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับอีกฝ่าย มันเป็นเพียงวันที่ต่างจากวันอื่นๆ เท่านั้น พร้อมทั้งหนีจากความละอายต่อความผิดในคืนนั้นไปโดยการพูดคุยให้เรื่องมันผ่านๆ ไป ส่วนตัวเองก็รู้สึกสุขสงบในอ้อมกอดของอีกคน

มูคยอมกัดฟันจนกรามขัดตึง คนที่น่าจะกลัวจริงๆ คือใครกัน แต่เขากลับช่วงชิงกระทั่งความหวาดกลัวในสถานการณ์นั้นมาอย่างหน้าไม่อาย ต่อให้ละโมบและไม่ได้เรื่องแค่ไหน มันก็ต้องมีขอบเขตบ้าง

“แน่นอนว่าตอนนั้นฉันทั้งอึดอัด ทั้งโกรธ อยากร้องไห้ด้วย แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาตั้งหลายอย่าง… แต่รีบจัดการความรู้สึกให้เร็วๆ น่าจะดีกว่า ฉันคิดว่าการทำแบบนั้นเป็นวิธีการที่ฉันจะอดทนเพื่อนาย น่าขำใช่ไหมล่ะ ถ้าเพื่อนายแล้ว ฉันยิ่งไม่ควรทำแบบนั้นด้วยซ้ำ”

“ขอร้องล่ะ ฮาจุน ฉันไม่ดีเอง นายโทษฉันสิ อย่าโทษตัวเองเลย”

มูคยอมกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มที ฮาจุนหัวเราะด้วยใบหน้าทำอะไรไม่ถูก

“ถ้าโทษนายตอนนี้ นายน่าจะร้องไห้นะ แล้วฉันจะด่านายได้ยังไง”

“ร้องไห้แล้วยังไง ร้องสักหน่อยแล้วมันจะตายเหรอ”

“ไหนๆ ก็พูดแล้ว นายรู้ไหมว่าที่น่าตลกกว่านั้นคืออะไร”

ยังจะมีเรื่องน่าขำยิ่งกว่านี้จากเรื่องนี้อีกเหรอ มูคยอมเดาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“ตอนนั้นฉัน… รู้สึกดีนิดหน่อย”

“…”

“อ้อ ไม่ได้หมายถึงเซ็กส์นะ… หมายถึงว่า ฉันชอบที่นายพะวักพะวนเพราะฉันถึงขนาดนั้น คิมมูคยอมที่เก่งกาจคนนั้นชอบฉันก็เลยหวั่นไหวถึงขนาดนี้สินะ คิมมูคยอมก็กระวนกระวายเพราะฉันสินะ ฉันคิดแบบนั้นอยู่เรื่อย… ก็เลยยุ่งยากใจสุดๆ”

สีหน้าของมูคยอมแข็งทื่อด้วยความทำอะไรไม่ถูก รอยยิ้มของฮาจุนแปรเปลี่ยนไปราวกับเย้ยหยันตัวเอง

“นั่นน่ะขี้ขลาดมากเลยใช่ไหม”

“ทำไมเอาแต่บอกว่าตัวเองขี้ขลาดอยู่เรื่อย…”

“ฉันไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นมนุษย์ประเภทที่จะรู้สึกดีใจทั้งที่คนอื่นกระวนกระวาย เพราะฉันไม่ชอบคนแบบนั้นน่ะสิ อีกอย่าง ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นนายด้วย”

ฮาจุนเอนตัวไปด้านหลัง ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วมองขึ้นไปบนเพดานด้วยสายตาเหมือนกำลังมองไปยังท้องฟ้าไกลแสนไกล

“จนตอนนี้แล้ว ฉันไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากนายอีกครั้งหรอกนะ… ตอนนี้ก็คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น แต่พอได้พูดขึ้นมาแล้วก็โล่งเลยแฮะ ฉันเคยคิดว่าการยกเรื่องที่ผ่านมาแล้วมาพูด มันไม่มีความหมายและน่าอาย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้น”

“เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ”

มูคยอมพูดลอดไรฟัน เขาจ้องมองไปกลางอากาศต่ำๆ ด้วยดวงตาเศร้าหมอง

“ฉันขืนใจนาย”

ฮาจุนเพียงแค่กะพริบตาและไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายลุกพรวดขึ้นมาจากที่เคยนอนอยู่แล้วเสยผมด้านหน้าขึ้นด้วยสีหน้าละล้าละลังพอสมควรพร้อมพูดพึมพำราวกับพูดคนเดียว

“อืม… ฉันตั้งใจว่าจะไม่ใช้คำที่แรงถึงขนาดนั้นนะ…”

ทว่าต่อให้หลีกเลี่ยงการใช้คำก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสองคนรับรู้ทุกอย่าง ว่าในเมื่อไม่ได้ปิดหูปิดตาก็ไม่สามารถหลีกหนีข้อสรุปนั้นได้ ความเงียบเคร่งขรึมชวนกดดันยิ่งกว่าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้คืบคลานเข้ามา มูคยอมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่ยาวต่อเนื่องพักหนึ่งก่อน

“ฉันขอโทษ”

“คิมมูคยอม”

“ตั้งแต่ต้นจนจบ… ขอโทษทุกอย่างเลย”

มูคยอมกัดฟัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีเวลาขังตัวเองไว้ที่ไหนสักที่แล้วสาปแช่งตัวเอง อย่างน้อยในวันนี้เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะมองหน้าฮาจุนตรงๆ แล้วแสร้งทำตัวเป็นคนรักที่ดีได้เลย

ทว่ามูคยอมรู้อยู่แล้วว่าอีฮาจุนคงจะคิดว่าตัวเองฟื้นฝอยหาตะเข็บ ยกเรื่องที่ไม่มีประโยชน์มาพูด คนรักของเขาอาจคิดทบทวนแบบผิดๆ ว่าจากนี้ไปต้องไม่พูดเรื่องแบบนี้แล้ว เมื่อมูคยอมคิดไปจนถึงตรงนั้น ความเศร้าใจผสมความโกรธก็พลุ่งพล่านและโหมซัดเข้าใส่ดั่งคลื่นน้ำ

ทำไมทุกครั้งต้องได้แค่นี้ทุกทีเลยนะ เขาคิดว่าใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปีโดยพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่ทำไมถึงเป็นได้แค่มนุษย์แบบนี้กัน ต่อให้มีเงินกับชื่อเสียงติดอยู่เป็นพรวน แต่ของพวกนั้นมีประโยชน์อะไรในห้วงแห่งความทุกข์แบบตอนนี้บ้าง

“ฉันขอโทษมากจริงๆ ที่คนไม่ดีพอตกหลุมรักคนดีแบบนาย”

“คิมมูคยอม อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เล่าให้ฟังเพื่อให้นายคิดแบบนั้นนะ”

ฮาจุนลนลานราวกับกำลังหาคำพูดปลอบใจมูคยอม แล้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“ไม่เป็นไร ดูท่าฉันคงจะชอบนายเพราะนายยังมีข้อบกพร่องนิดหน่อย ไม่สิ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ข้อบกพร่องของนาย ฉันก็ชอบ”

ดวงตาของมูคยอมีน้ำตาเอ่อคลอเล็กน้อย โชคดีที่ใจเย็นลงได้ก่อนที่มันจะฉ่ำน้ำมากเกินไป

แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายแบบนี้ อีฮาจุนตรงหน้าก็ยังดูน่ารักและดูดีขึ้นเรื่อยๆ มูคยอมคิดว่าลูกตาของตัวเองที่มองแบบนั้นช่างไม่มีความละอายใจเลยจริงๆ พร้อมกับรั้งฮาจุนเข้ามาในอ้อมแขนทั้งที่ยังนั่งอยู่

การโอบกอดกันอย่างกะทันหันทำให้ฮาจุนตัวแข็งทื่อไปนิดหน่อยแต่ไม่นานก็ยืดแขนไป โอบรอบแผ่นหลังมูคยอมตอบแล้วถอนหายใจสั้นๆ

“ใช่แล้ว วันนั้นนายทำผิดกับฉันมากๆ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วใช่ไหม”

มูคยอมพยักหน้าเหมือนคนบ้า

“ฉันขอโทษ ที่ผ่านมานายเหนื่อยเพราะฉันใช่ไหม”

“…ไม่ใช่แค่เพราะนายหรอก เพราะฉันเองก็ขี้ขลาด ถ้าอดทนเพื่อนายจากใจจริงก็คงจะไม่มีเหตุผลให้เหนื่อยเลย และคงจะไม่มีเรื่องค้างคาใจมาเรื่อยๆ ด้วย ฉันพยายามทำตัวเลียนแบบนางฟ้าใจดี ทั้งที่แค่จะทำให้ดียังไม่ได้”

“นายไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย ทุกอย่างเป็นเพราะฉันทั้งโง่แล้วก็ไม่ดีเอง นายแค่เสียสละให้ฉันมากเกินไปเท่านั้น”

น้ำเสียงของมูคยอมเว้าวอนและฟังดูเหมือนจะร้องไห้

“ขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ขอโทษนายเท่าที่อยากขอโทษเถอะ เพราะยังไงซะ ฉันก็ได้แค่พูดแบบนี้ ให้ห่างจากนายไปไม่ได้หรอก”

“ฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้เพื่อจะให้เราห่างกันนะ”

ฮาจุนตอบแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างผ่อนคลายทั้งที่ยังไม่คลายแรงจากท่อนแขน

“การเก็บข้อมูลจุดอ่อนของคิมมูคยอมที่ฉันเคยคิดว่าสมบูรณ์แบบก็… สนุกพอสมควร”

“ค่อยโล่งอกหน่อย”

“จากนี้ไปฉันจะไม่อดทนกับเรื่องแบบนี้แล้วนะ นายเลิกกับฉันไม่ได้นี่ บอกว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตนายใช่ไหมล่ะ”

“…ไม่ใช่เพราะเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตแต่เพราะชอบถึงแยกทางกับนายไม่ได้ต่างหาก ต่อให้นายไม่ได้ช่วยชีวิตฉันไว้แต่ตั้งใจจะฆ่าทิ้ง ตอนนี้ฉันก็… ห่างจากนายไม่ได้อยู่ดี”

ในตอนนั้นจึงยิ้มออกมาได้ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มฝืนๆ ก็ตาม ทั้งสองคนเงยหน้าสบตากัน จากที่มุดใบหน้าลงกับไหล่ของกันและกัน แล้วจากนั้นก็ประทับริมฝีปากเข้าหากัน

* * *

บทสรุปของเรื่องราวที่ฮาจุนใช้คำว่า ‘เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น’ พร้อมกับสลัดมันทิ้งไปกระทั่งเศษตะกอนที่เคยหลงเหลือไว้โดยไม่มีใครรู้ ดูเหมือนจะผ่านไปได้อย่างอบอุ่นแบบนั้น ทว่าในใจของมูคยอมกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย

ตอนอยู่ต่อหน้าฮาจุน เขาแกล้งทำตัวปกติดี แต่จิตใจของมูคยอมเศร้าซึมมาสองสามวันแล้ว ซ้ำยังทิ้งไว้เพียงรอยขีดข่วนสีดำทะมึน

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ฮาจุนถึงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่ามูคยอม ‘จะไม่ทำแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง’ แต่มูคยอมคิดต่างกัน เขาไม่สามารถเชื่อใจตัวเองได้

ความทรงจำในคืนวันนั้นที่เมาเหล้าแล้วมัวเมาอยู่ในความต้องการ ลบเลือนหายไปจนแทบไม่เหลือ ซ้ำยังเลือนรางอีกต่างหาก แต่ก็มีหลายส่วนที่เขาจำได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

วินาทีที่เห็นมาร์โคทำท่าจะจูบฮาจุน ความรู้สึกแรกที่ครอบงำมูคยอมคือความโกรธ อย่างที่สองคือความเกลียดชังที่ทำให้อยากฆ่าไอ้เด็กอ่อนต่อโลกนั่นทิ้งไปอย่างเหี้ยมโหด เพราะมันเดินเตร่ไปมารอบๆ พร้อมกับมองเห็นช่องว่างแล้วสุดท้ายก็เกิดละโมบในตัวคนรักของเขาอย่างเปิดเผย โดยไม่ได้ทำความเข้าใจสถานะเอาเสียเลย

พอฮาจุนถูกความรู้สึกอันรุนแรงนั้นกระทำไปครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายก็หวาดกลัวมากขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีเรื่องอะไรเลยไม่ใช่หรือไง การขโมยจูบนั้นก็ยังไม่สำเร็จ และถึงแม้ว่าไอ้เด็กนั่นตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง แต่ฮาจุนเองก็คงจะไม่ยอมคล้อยตามไปง่ายๆ ขนาดนั้น เพราะอีฮาจุนไม่ใช่คนง่าย

ในหัวเขารับรู้ความจริงเรื่องนั้น แต่มุมมองอีกมุมหนึ่งของมูคยอมกลับค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมองเห็นความไม่แน่ใจที่กัดเซาะภายในใจเขา เขาไม่สามารถฟังคำยั่วยุภายในใจที่กระซิบอยู่ตรงหู แล้วปล่อยคำยั่วยุนั้นให้ไหลผ่านไปได้

ในที่สุด เหตุการณ์ที่เขาเคยกังวลก็เกิดขึ้นจริง เรื่องของยุนแชฮุนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ส่วนอดีตที่มากประสบการณ์ของอีฮาจุนก็เป็นเรื่องโกหก การคาดเดาว่าอีกคนคงจะเคยมีสัมพันธ์ทางกายกับนักกีฬาคนอื่นก็เป็นเพียงความเพ้อพกไปเอง

ทว่ามาร์โค รามิเรซผู้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อฮาจุน ไม่ได้เป็นทั้งความเข้าใจผิด เรื่องโกหก และความเพ้อไปเอง สุดท้ายคนที่ปรารถนาในตัวอีฮาจุนก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างแท้จริง

‘คิดอยู่แล้วว่าสักวันต้องกลายมาเป็นแบบนี้ จากนี้ไปก็คงจะโผล่มาเรื่อยๆ เลยใช่ไหม’

ตลอดทางกลับบ้านกับฮาจุน มูคยอมดำดิ่งอยู่ในความสิ้นหวังราวกับกำลังจมลงไปในหนองน้ำทีละนิด ความรู้สึกต่อต้านในตัวเองที่เสียสติไปก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง ลากยาวต่อเนื่องไปเป็นความไม่ไว้วางใจอันคุ้นเคยของตัวเองโดยธรรมชาติราวกับการหายใจ ฮาจุนผู้ไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องใดๆ กลับเป็นฝ่ายพูดขอโทษก่อนพร้อมเข้ามาปลอบโยนเขา แต่ในวันนั้น มูคยอมกลับคิดว่าต้องกันตัวเองให้อยู่ห่างๆ ฮาจุนไว้

อย่างน้อยก็จนกว่าความกระวนกระวายของเขาจะสงบลงได้ หากอยู่ข้าง

อีฮาจุนต่อไปในสภาพนี้ ก็อาจทำร้ายอีกฝ่ายด้วยพฤติกรรมที่ไม่อยากจะเชื่ออีก ความกระวนกระวายนั้นซุกซ่อนอยู่ในใจ มองแค่ผ่านๆ ก็รู้ว่าอีฮาจุนอยากจะคุยกันถึงได้มาแอบสังเกตดูท่าทีเขา แต่เขากลับบอกให้ฮาจุนไปนอนที่ห้องนอนก่อน วันนั้นเขาคิดจะนอนคนเดียว

ทว่าเขากลับไม่สามารถพักผ่อนอย่างสบายใจในยามค่ำคืนได้เลย มูคยอมอึดอัดกับความรู้สึกที่มีแต่จะดุดันขึ้น เขาจึงตัดสินใจที่จะพึ่งพาฤทธิ์เหล้าสักหน่อย จนกว่ามันจะปลอบประโลมความกังวลใจอันไร้ประโยชน์แล้วทำให้เขาสามารถนอนหลับลงได้

ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น เพราะถ้าความตึงเครียดหรือกระวนกระวายคืบคลานเข้ามาก่อนถึงงานใหญ่ๆ มูคยอมก็มักจะพึ่งพาเหล้าสักแก้วสองแก้วจนกว่าจะถึงตอนนั้นเพื่อให้นอนหลับสนิท เขาคิดว่าถ้าผ่านคืนเดียวไปได้ วันต่อไปก็น่าจะพูดคุยกับฮาจุนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้แน่นอน

มันคือความผิดพลาด ความตึงเครียดนำพาไปสู่การดื่มเหล้าหนักเกินขนาด และความเมามายไม่ได้ผ่อนคลายความเครียดให้ลง ซ้ำร้ายยังกระตุ้นให้ความกระวนกระวายเพิ่มสูงขึ้น พร้อมทั้งทำให้เสียงกระซิบกวนประสาทชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ความมองโลกในแง่ร้ายก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วพยายามจะฉีกทึ้งความคิดในหัวของเขาทีละเรื่อง

คิมมูคยอมคือคนรักคนแรกของอีฮาจุน ตอนนี้ฮาจุนเพิ่งจะเคยเปิดโลกการคบหาใครสักคน ต่างกับเขาที่ผ่านคนมากหน้าหลายตามาแล้ว อัตราความน่าจะเป็นที่คนรักคนแรกจะได้เป็นคู่ชีวิตคนสุดท้ายมันจะมีสักเท่าไรกันเชียว สำหรับเขา อีฮาจุนคือคนสุดท้าย แต่สำหรับฮาจุน เขาอาจจะเป็นแค่คนแรกก็ได้

จากนี้ไป คนที่ปรารถนาในตัวฮาจุนก็น่าจะโผล่มาเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าใครต่างก็น่าจะรักอีกฝ่ายโดยไม่แบ่งแยกชายหญิง ในบรรดาคนพวกนั้น จะไม่มีคนที่เหมาะจะเป็นคนรักที่ดีกว่าคิมมูคยอมเลยเชียวเหรอ ตอนนี้อีฮาจุนคลั่งไคล้ในตัวเขามาก แต่ความรู้สึกนั้นจะคงอยู่ตลอดไปได้หรือเปล่า

หัวใจคงจะแตกสลาย เพราะคนที่อีฮาจุนมอบใจให้มาเป็นสิบปี ไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอไม่เอาถ่าน และเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดเมื่อไร ม่ใช่ชายหนุ่มโง่เขลาที่กับแค่ความกังวลเพียงเท่านี้ก็ยังเอาชนะไม่ได้ และนั่งดื่มเหล้าจนดึกดื่น

คิมมูคยอมของอีฮาจุนเป็นดาวเด่นผู้ส่องประกายอย่างไร้ความสั่นคลอนซึ่งทุกคนอยากไขว่คว้า อีฮาจุนยังรักเขาด้วยความรักจากการเฝ้ามองมาเนิ่นนาน แต่ถ้าได้เผชิญหน้ากับคิมมูคยอม ‘ตัวจริง’ บ่อยๆ สุดท้ายอีฮาจุนก็น่าจะผิดหวังไม่ใช่เหรอ เมื่อถึงตอนนั้นก็น่าจะจากเขาไปใช่ไหม

‘ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ผลลัพธ์มันถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว อีฮาจุนจะจากนายไป แค่ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น’

ในคืนนั้น คิมมูคยอมตัดสินใจ ความหวาดกลัวที่เริ่มต้นจากจุดกำเนิดเล็กๆ ราวกับเศษด้ายที่หลุดรุ่ย แปรเปลี่ยนเป็นน้ำเฉอะแฉะสีดำมืดแล้วเริ่มเอ่อขึ้นมาตั้งแต่ข้อเท้าจนท่วมมิดหัว

กุญแจมือของเล่นที่แอบซื้อมาไว้ด้วยความหวั่นไหวเพราะอยากลองใช้หากถ้าฮาจุนอนุญาตในสักวัน ในคืนนั้นมันได้เปลี่ยนไปเป็นอาวุธที่แท้จริง

“นักกีฬาคิมมูคยอม”

มูคยอมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่างเหม่อลอย เขาได้สติกลับมาทันทีเพราะเสียงเรียกชื่อตัวเอง หญิงสาวในชุดทางการกำลังเดินเข้ามาหาตรงหน้า

“คิดเรื่องอะไรถึงได้จดจ่อขนาดนั้นคะ”

มินแจยอง นักข่าวผู้คุ้นหน้าสมัยอยู่ซิตี้โซลกำลังหัวเราะ

ฤดูกาลของเวิลด์คัพที่วนกลับมา มูคยอมสัญญาว่าจะเลือกมาออกรายการที่เธอดำเนินรายการเป็นอย่างแรก แล้ววันนี้เขาก็ออกมาอยู่ที่สตูดิโอเพื่อรักษาสัญญา ไม่ใช่แค่มูคยอมคนเดียวเท่านั้น

“ดูซึมๆ ไม่สมกับเป็นนายเลยนะวันนี้”

จองคยูคงรู้สึกตึงๆ หัวไหล่ จึงหมุนไหล่พร้อมกับพูดออกมาคำหนึ่ง มูคยอมซึ่งยืนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของสตูดิโอ เดินไปหาพวกเขาพร้อมหัวเราะเบาๆ

“กำลังกลุ้มใจนิดหน่อยว่าวันนี้จะไปเดทที่ไหนดีน่ะครับ”

“ในระหว่างนั้นมีคนอื่นอีกเหรอคะ”

แจยองคงคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นจึงหัวเราะ แต่จองคยูกลับทำสีหน้าเอือมระอา มูคยอมนิ่วหน้าแล้วผลักคนที่กระซิบว่า ‘ไอ้นี่ เดี๋ยวก็ถูกจับได้’ ออกไป บอกแล้วไงว่าอย่ามากระซิบกระซาบกัน…

วันนี้มูคยอมกับจองคยูเป็นแขกรับเชิญหลักมาออกทอล์คโชว์ที่แจยองเป็นผู้ดำเนินรายการ เธอบอกว่ายังเป็นรายการทดลองอยู่ แต่ถ้าการออกอากาศคราวนี้ราบรื่นดี ก็เป็นไปได้ที่จะกลายมาเป็นรายการประจำด้วย แจยองบอกว่าเทปการออกอากาศครั้งแรกถ่ายทำสำเร็จลงด้วยดีเพราะมูคยอมช่วยมาออกรายการ

แต่มูคยอมปฏิเสธท่าเดียว บอกว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะได้รับคำขอบคุณ เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาสัญญาไปเพราะมีเหตุผล

การบันทึกเทปเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น แล้วมูคยอมกับจองคยูทั้งสองคนก็ตอบรับคำชวนของแจยองที่บอกว่าถ้าโอเคก็ไปกินเลี้ยงง่ายๆ กัน อีกไม่นาน

มูคยอมก็จะเดินทางออกจากเกาหลีอีกครั้งจึงไม่น่าจะนัดกันทีหลังได้

“ตายแล้ว น่ารักมากเลย! ปาร์ตี้วันเกิดครั้งหน้าก็ชวนฉันไปด้วยนะคะ!”

“เชิญมาได้ตามสบายเลยครับ ผมต้อนรับคนที่มาแสดงความยินดีกับฮีมังของผมทุกคนเลยครับ”

ทั้งสองคนจ้องอัลบั้มรูปในโทรศัพท์มือถืออย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

มูคยอมทอดสายตามองทั้งคู่ด้วยแววตาเหงาๆ ฮาจุนไม่อยู่ตรงนี้ด้วย มูคยอมจึงสั่งแค่ม็อกเทลหนึ่งแก้วแล้วนั่งร่วมอยู่ในวงเหล้าด้วยกัน

มินแจยองดูเหมือนจะกรึ่มๆ นิดหน่อย ส่วนอิมจองคยูปกติดี แต่จองคยูเป็นผู้ชายที่สามารถพูดคุยตอบโต้กันสนุกสนานกับคนเมาได้ แม้ตัวเองจะไม่เมาก็ตาม อีกฝ่ายมองมูคยอมแล้วพูดขึ้นมาหนึ่งคำ

“ทำไมนายถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะวันนี้ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

“ฉันเคยพูดจ้อยๆ เหมือนนายตอนไหนด้วยหรือไง”

“ถ้างั้นนายพูดน้อยนักเรอะ ระดับนายน่ะเรียกว่าพูดมาก”

แจยองเองก็ช่วยเสริม

“วันนี้มีเรื่องอะไรไม่ดีหรือเปล่าคะ ตอนอัดเทปฉันไม่ทันสังเกต แต่คุณดูซึมๆ นะคะ”

“ซึมอะไรกัน”

ในระหว่างนั้น โทรศัพท์ของแจยองก็ดังขึ้น

“คุณ PD นี่เอง ฉันขอไปรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ พอดีว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญด้วย”

“ครับ ค่อยๆ คุยแล้วค่อยเข้ามาเถอะครับ”

จองคยูพูดกับแจยองด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันหน้ามาหามูคยอมด้วยใบหน้าที่ลบรอยยิ้มออกไปหมด

“นายมีเรื่องอะไรกันแน่”

“…”

“ทะเลาะกับฮาจุนเหรอ”

“ถ้าทะเลาะกัน”

คำพูดนั้นทำให้จองคยูหรี่ตาลงราวกับเปลี่ยนความสงสัยเป็นความมั่นใจ

อีกฝ่ายลงบทสรุปตามอำเภอใจโดยไม่ถามเหตุการณ์ก่อนหลัง

“ไปกราบขอขมาซะ”

“พูดแบบนี้นี่รู้เรื่องอะไรแล้วหรือไง”

“ต่อให้ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่นายก็คงจะทำผิดใช่ไหมล่ะ ฮาจุนน่ะจิตใจดีก็เลยน่าจะไม่ถือสาด้วย เขายกโทษให้นายง่ายเกินไปก็เลยเจ็บในใจจนหน้าบูดอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ ถึงฮาจุนจะยกโทษให้ก็เถอะ แต่ก็ไปขอโทษเขาจนกว่านายจะพอใจซะ ถ้าทำแบบนั้น อารมณ์ก็จะผ่อนคลายลงหน่อย”

ถ้าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้านเขามาตลอดชีวิตแล้วจะกลายเป็นหมอดูหรือไงกันนะ… เมื่อมูคยอมเถียงไม่ออก จองคยูก็คงคิดว่าตัวเองทายถูกต้องแล้ว อีกฝ่ายจึงทำสีหน้าลำพองใจ

มูคยอมเพียงแค่ก้มลงมองแก้วม็อกเทลเงียบๆ จองคยูคงจะคิดว่ามูคยอมจะตะคอกใส่ว่าอะไรสักคำ อีกฝ่ายจึงค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า ลดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม

“ดูท่าสถานการณ์จะตึงเครียดนะ”

“ที่ลอนดอนมีคนที่ชอบอีฮาจุนโผล่มา”

“คนชอบฮาจุนมีแค่คนสองคนหรือไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงชอบแบบอยากเป็นแฟน”

“ที่ผมพูดก็คือชอบแบบเป็นแฟนนี่แหละครับ ฉันถามว่านายคิดว่าคนที่ชอบฮาจุนมีแค่คนสองคนหรือไง บอกแล้วไงว่าเขาฮ็อต ก่อนที่ฉันจะได้ฟังเรื่องนายจากฮาจุน ฉันนึกว่าเขาแค่ยุ่งอยู่กับการทำมาหากินแล้วก็รสนิยมสูงจนไม่คบใครด้วยซ้ำ”

มูคยอมเบิกตากว้าง

…ฟังๆ ดูแล้วก็ใช่ พวกคนที่มีความรู้สึกชอบพอแบบอยากคบหากับฮาจุน แน่นอนว่าในอดีตก็มีเยอะ ตอนนี้เองก็มีเยอะ แล้วต่อไปก็น่าจะมีเยอะด้วยสินะ เพียงแค่คนที่มูคยอมเห็นจะๆ กับตามีเพียงมาร์โคคนเดียวเท่านั้น

มูคยอมเพิ่งจะตระหนักถึงความจริงอันเรียบง่ายมากๆ ได้ในตอนนี้ เขากลืน

ม็อกเทลลงไปหนึ่งอึก ความคิดที่ว่าตัวเองทำเรื่องโง่ๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการอะไรเอาไว้ ทำให้เหงื่อไคลไหลซึมออกมาอย่างฉับพลันราวกับตกใจอย่างรุนแรง

“…ยังไงก็เถอะ เพราะอย่างนั้นฉันถึงสติแตก แล้วพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดกับโค้ชอี”

เขาไม่กล้าแม้แต่จะใช้คำว่า ‘กระทำ’ ด้วยซ้ำ จองคยูเดาะลิ้นปากดังจิ๊ๆ

มูคยอมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสบตากับจองคยูราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่

“นายก็ได้ดูรายการเมื่อปีที่แล้ว ก็ต้องรู้ใช่ไหม ว่าพ่อแท้ๆ ของฉันเป็นโรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจ”

“…รู้สิ”

“ไม่ว่ายังไง ดูเหมือนว่าฉันคงได้รับโรคนั้นมาเป็นกรรมพันธุ์ ฉันพยายามจะเชื่อมั่นว่าฉันต่างกับพ่อ แต่พอเกิดเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้ฉันเลยไม่มั่นใจในตัวเองจริงๆ”

“…”

“พอคิดแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้ควรต้องทำยังไง ฉันคิดว่าจะทำให้ดีได้แล้วไปจนถึงลอนดอนด้วยกัน…”

ในเมื่อไม่สามารถเชื่อมั่นในตัวเอง บทสรุปที่มูคยอมสามารถตัดสินได้ก็มีอยู่อย่างเดียว

บอกแล้วว่าวันที่จะต้องเลิกกันอาจใกล้เข้ามาในสักวัน ตอนนี้เขาไม่ได้กังวลล่วงหน้าถึงวันที่อีฮาจุนผู้รักใคร่คิมมูคยอมถึงขนาดนั้นจะไปจากเขา แต่ลางสังหรณ์ที่ว่าบางทีอาจมีวันที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือไป ทำให้ความหดหู่อันแสนมืดมนกระจายตัวอยู่ในหัวใจเขาทั้งดวงราวกับเมฆฝน

แต่อย่างไรล่ะ ถ้าหากมีวันที่เขาจะพูดเรื่องการจากลาออกมาก่อน ตอนนั้นก็น่าจะเป็นวันที่คิมมูคยอมตัดสินใจตาย เพราะก่อนจะได้เจออีฮาจุน ชีวิตของ

คิมมูคยอมสว่างไสวมากพอ แต่ในตอนนี้ ชีวิตที่เขาหนีออกมา ทุกอย่างน่าจะถูกเผามอดไปแล้วเหลือเพียงเถ้าถ่านเท่านั้น

ถึงแม้ว่าความรู้สึกของฮาจุนจะเปลี่ยนแปลงไป เขาก็ยังมั่นใจว่าจะรักอีกคนอยู่ฝ่ายเดียวต่อไปได้เรื่อยๆ ทั้งยังมีเหตุผลที่จะยึดติดอีกฝ่าย แต่ถ้าถูกยึดกระทั่งสิทธิ์ที่จะยึดติดไปด้วย ตอนนั้นเขาจะทำอะไรได้ล่ะ จะมีหนทางไหนเหลืออยู่นอกจากพังทลายไปหรือเปล่า

แล้วอีฮาจุนจะเป็นอย่างไรบ้าง เดิมทีอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่อดทนไม่พูดเรื่องที่อยากพูดแล้วเจ็บปวดกับความทุกข์ที่เก็บไว้คนเดียวมาตั้งหลายเดือน แต่ในขณะที่คิมมูคยอมคนโง่กลิ้งเกลือกอยู่บนสวนดอกไม้ อีกฝ่ายก็กำลังฆ่าตัวเองให้ตายลงอย่างช้าๆ ทั้งคิมมูคยอมและอีฮาจุนต่างก็เคยเข้มแข็งกันมากกว่านี้ และเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากกว่านี้ ก่อนที่จะได้มาเจอกันไม่ใช่เหรอ

‘พอคิดว่าจะได้อยู่ข้างๆ นายอีกครั้ง ทำไมฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ…’

เมื่อนึกถึงคำที่ฮาจุนเคยพูดพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ภาพตรงหน้าก็ยังคงมืดมนลงเช่นเดียวกันในตอนนั้น ตอนนี้คิดว่าต่อให้อีกฝ่ายอยู่ข้างเขาก็คงจะไม่เหนื่อยแล้ว แต่เขาคิดผิดไปเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

คิมมูคยอมที่ติดอยู่กับการตอบแทนบุญคุณอยู่คนเดียวและมีความสุขอยู่คนเดียว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีฮาจุนคิดอะไร มิหนำซ้ำยังเอาแต่บ่นอย่างไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ว่าอีกคนเหมือนยังอึดอัดใจกับเขาอยู่

“มาถ่ายรายการก็มีด้านที่รู้สึกสบายใจเหมือนกันนะ ได้พูดคุยเรื่องแบบนี้กับนายด้วย”

เมื่อมูคยอมเหม่อลอย จองคยูก็ทำหน้าเจื่อน มูคยอมหัวเราะเบาๆ ออกมา ไอ้คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นที่ชอบดุด่าเขามากที่สุดในโลก กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ก็เลยน่าจะอึดอัดใจ

“นี่ มูคยอม”

“เออ”

“ไอ้โรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจนั่นน่ะ… ควรต้องเรียกว่าทำจนติดเป็นนิสัยมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

‘ระดับฉันนี่ก็ถือว่าติดเป็นนิสัยมากๆ เลยสินะ’

มูคยอมตอบในใจพร้อมกับพยักหน้าอย่างไม่คิดอะไร จองคยูลดเสียงพูดลงราวกับกำลังจะเล่าความลับ

“เรื่องที่ฉันจะพูดจากนี้ไป นายต้องเก็บไว้เป็นความลับให้มิดเลยนะ เรื่องนี้ไม่ว่าจะกับใครก็ห้ามเล่าให้ฟังเด็ดขาด”

“ฉันฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เก็บความลับนายไว้ในหัวแล้วจะเอาไปทำอะไรได้”

แม้พูดอย่างนั้นแต่จองคยูก็ยังลังเล ไม่นานจึงปริปากพูดขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับรู้สึกว่าแจยองจะกลับมา

“จริงๆ แล้ว ตอนฉันเป็นแฟนกับคุณยอนซู… หมายถึงว่าก่อนแต่งงาน

เราเคยเกือบเลิกกันไปครั้งหนึ่ง”

“นายกับคุณยอนซูน่ะนะ”

เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คู่ของคิมจองคยูซึ่งแค่เจอกันก็เหมือนจะบินปรื๋อเข้าหากัน เคยมีช่วงเวลาคับขันจนจะเลิกรากันด้วยเนี่ยนะ

“ถ้านักกีฬากับพนักงานบริษัททั่วไปคบหากัน มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นี่ นักกีฬาน่ะเดินทางไปแข่งบ่อยแล้วก็ต้องค้างคืนกันบ่อย ก็เลยทำให้ห่างกันบ่อยๆ ไปด้วย ตารางงานก็ต่างกับคนอื่น เพราะอย่างนั้นทุกอย่างมันเลยเวลาไม่ตรงกันไปหมด คุณยอนซูเหนื่อยกับเรื่องนั้นก็เลยมีคนแนะนำผู้ชายคนอื่นให้ แล้วก็บอกเลิกฉัน ฉันน่ะบอกว่าเลิกไม่ได้ แต่ในมุมของคุณยอนซู ตอนนั้นก็คือเลิกกันเรียบร้อยไปแล้วรอบหนึ่ง”

“แล้วไงต่อ”

เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย มูคยอมเอียงหัวพร้อมฟังอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ตัว เสียงของจองคยูแผ่วเบาลง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเยือกเย็น

“ฉันก็เลย… คิดว่าถ้าไม่มีไอ้ผู้ชายคนนั้น คุณยอนซูก็จะกลับมาหาฉัน”

“…”

“นักฆ่ารับจ้าง…”

“อะไรนะ บ้าไปแล้วเหรอ!”

เสียงของมูคยอมดังขึ้นในทันที ‘ชู่’ จองคยูตื่นตกใจ ยกนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากพร้อมมองเลิ่กลั่กรอบๆ มูคยอมเองก็รีบลดเสียงลง

“บ้าไปแล้วหรือไง หมายความว่ายังไง”

“ฟังคนอื่นเขาพูดให้จบสิวะ หมายถึงว่าฉันลองเสิร์ชหานักฆ่ารับจ้างในอินเตอร์เน็ต”

“…อ๋อ โอเค”

“แบบว่า ฉันโมโหแล้วทำไปในจังหวะที่กำลังโกรธ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ แต่ฉันก็คลิกสุ่มๆ ไปแล้วหาช่องทางติดต่อของพวกคนที่รับทำเรื่องแบบนั้นมาจริงๆ อาจเป็นเรื่องหลอกกันเล่นก็ได้ แต่ก็… ไม่รู้สิ เท่าที่ฉันดูตอนนั้น มันก็เหมือนของจริงอยู่”

มูคยอมขนลุกขึ้นมาราวกับกำลังฟังเรื่องลี้ลับ ใบหน้าของมูคยอมเกร็งเครียดแล้วรอฟังเรื่องต่อจากนั้น

“แน่นอนว่าฉันไม่มีความคิดจะฆ่าคนอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นบ้าสักหน่อย ฉันเสิร์ชเป็นการระบายความโกรธจริงๆ แต่เอาเข้าจริง พอได้ช่องทางติดต่อมา ฉันก็คิดพล่อยๆ ว่าลองติดต่อไปจริงๆ ดีไหม เพราะถ้าเป็นของปลอมหรือเรื่องล้อเล่น

ก็ปล่อยไปตามนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

“…”

“ฉันคิดเรื่องนั้นอยู่สองสามวัน โห ชีวิตคนเรานี่มันอ่อนระโหยโรยแรงได้ถึงขีดสุดเลยละ ฉันอยู่ในสภาพนั้นแล้วก็มีจังหวะที่ได้สติกลับคืนมาว่าฉันเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ สินะ ฉันเลยทิ้งช่องทางติดต่ออันนั้นไปทันที เสร็จแล้วก็ไปหาคุณยอนซู สารภาพอย่างจริงจังอีกครั้งแล้วคุยกันเป็นชั่วโมงๆ เพราะอย่างนั้นถึงได้แต่งงานกันแล้วมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้”

มูคยอมกลืนน้ำลาย เขาคิดว่าการที่อิมจองคยูได้รับฟังข้อมูลที่ไม่จำเป็นของเขากับฮาจุน เป็นค่ายุ่งเรื่องชาวบ้านของอิมจองคยู แต่คราวนี้ สุดท้ายเขาก็ได้รับรู้ข้อมูลที่ไม่อยากรู้ของอิมจองคยูมาเพิ่ม มูคยอมจ้องอีกฝ่ายที่สารภาพเรื่องน่าตกใจออกมาอย่างกะทันหันแล้วถามขึ้น

“ทำไมถึงเอาเรื่องนั้นมาเล่าให้ฟังล่ะ ตั้งใจจะบอกว่าถ้าไม่เป็นไปตามตั้งใจ นายก็สามารถฆ่าได้หรือไงกัน”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันอยากบอกว่า ถ้าจมอยู่กับความคิดที่ไม่ชอบใครคนหนึ่งมากเกินไป คนที่ไม่เคยเป็นบ้าก็สติแตกได้เป็นบางครั้งเหมือนกัน ฉันคิดว่าพอคนเราใช้ชีวิตมาก็อาจเป็นแบบนั้นขึ้นมาได้สักครั้ง”

จองคยูเกาคางอย่างกระดากอาย

“เพราะฉะนั้น ต่อให้นายบอกว่าพ่อนายเป็นแบบนั้นก็อย่าคิดว่าตัวเองต้องเป็นแบบเดียวกัน ทั้งโรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจ หรือโรคหวาดระแวงว่าสามีจะนอกใจ ต่างก็เป็นโรคที่ก่อกวนคนเราวันละหลายครั้งและทำให้คนเราทุกข์ใจกันเป็นเรื่องธรรมดา นายเองก็จะเป็นแบบนั้น ถ้าชอบใครสักคน มันก็ต้องมีหึงมีสงสัยกันสักนิดแหละ เรื่องนั้นมันเป็นธรรมชาติไม่ใช่เหรอ”

มูคยอมรู้ว่าอีกคนยกเรื่องนี้มาพูดเพื่อที่จะทำให้เขาสบายใจ แต่สำหรับ

มูคยอม มันไม่ได้ทำให้อุ่นใจขึ้นเลยสักนิดเดียว

จองคยูเล่าเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้สถานการณ์อย่างละเอียด สิ่งที่เขาทำลงไปกับที่จองคยูทำ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การกระทำอันผิดพลาดที่เกิดจากความสงสัยของคิมมูคยอม ไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้ ‘สักครั้งหากได้ใช้ชีวิตมา’ และไม่ได้จบลงโดยเป็นแค่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงมันจะจบลงในจินตนาการแต่จองคยูก็ตั้งใจที่จะกำจัดศัตรูหัวใจ ทว่าเขาทำให้ฮาจุนเจ็บปวด มันจะจบสวยลงแบบนี้ได้ยังไง บางทีถ้าหากจ้างคนไปฆ่ามาร์โค เขาอาจจะไม่รู้สึกเศร้าหมองมากเท่านี้ก็ได้

“คุยอะไรกันอยู่คะ”

มินแจยองกลับมาในตอนนั้นแล้วถามขึ้น จองคยูยิ้มพร้อมปั้นเรื่องขึ้นมา

“กำลังคุยกันว่า ถ้าคิดเรื่องบ้าๆ อยู่บ่อยๆ คนที่ไม่เคยบ้าก็คงจะค่อยๆ กลายเป็นบ้าไปน่ะครับ”

“คิดบ้าๆ งั้นเหรอ คิดแบบไหนกันคะ”

“เรื่องแบบนั้นมีอยู่เยอะแยะนี่ครับ คนที่เคยปกติดี จดจ่ออยู่กับอะไรอย่างหนึ่ง ก็เลยนึกถึงแต่เรื่องนั้นแล้วค่อยๆ แปลกไป ก็นะ อย่างเช่น… ในละครที่ผมดูล่าสุด ตำรวจสายสืบที่สะกดรอยตามฆาตกร คิดอะไรเยอะแยะมากไปแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนฆาตกรเองเลยครับ ดูเหมือนว่าคนเราคงจะเป็นไปตามที่เราคิดนี่ล่ะครับ”

“อ๋อ…เหมือนจะรู้แล้วค่ะว่าความรู้สึกประมาณไหน เหมือนที่นีทเชอเคยพูดไว้ใช่ไหมคะ”

“นีทเชอเหรอครับ”

“‘ตอนต่อสู้กับสัตว์ประหลาดก็ต้องระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปด้วย’ ดังออกนี่คะ”

จองคยูกับมูคยอมเบิกตาจับจ้องไปทางเธอเขม็งเป็นตาเดียว แจยองประหม่าไปกับความเงียบ แล้วในตอนที่เธอหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ขึ้นมาอย่างเคอะเขิน จองคยูก็พยักหน้าพร้อมกับพูดชื่นชม

“สมกับที่เป็นนักข่าว ความรู้รอบตัวเยอะเลยนะครับ พวกเราได้แต่ไล่เตะบอลอยู่ทุกวันเลยไม่รู้เรื่องอะไรยากๆ สักเท่าไร”

“ตายจริง ดูเหมือนว่าฉันจะแกล้งทำเป็นฉลาดไปน่ะค่ะ จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้เฉยๆ”

“ไม่ครับๆ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”

ในระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยราวกับหยอกล้อ มูคยอมก็นิ่งเงียบลงอีกครั้ง จนกระทั่งวงเหล้าจบลง มูคยอมก็เพียงแค่พูดเออออไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรเยอะแยะมากมาย

ถึงอย่างนั้น จองคยูกับแจยองที่ดื่มเหล้ากันกรึ่มๆ ก็ดูเหมือนได้ใช้เวลาอย่างสนุกสนามพอสมควร ก่อนจะแยกกัน แจยองขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับบอกลา

มูคยอมกับจองคยู จองคยูผู้มีครอบครัวก็รีบกลับบ้านไปเช่นเดียวกัน

มูคยอมขึ้นไปบนรถแล้วเอนเบาะคนขับลงนอนเหยียด เวลาเลยสี่ทุ่มไปแล้ว ฮาจุนรู้ว่าเขามีงานแล้วจะกลับบ้านดึก จึงไม่ได้ส่งข้อความมาถามว่าจะมาเมื่อไรเลยสักข้อความเดียว

มูคยอมรู้สึกได้ถึงความไม่ใส่ใจแต่เขาก็ไม่ได้เสียใจอะไร เนื่องด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ส่งข้อความมาเช็ก เพราะอีฮาจุนเชื่อใจคิมมูคยอม ต่างกับเขา

ที่ขี้ระแวงและทำอะไรไม่คิดรอบคอบ เหตุผลที่เขาบ่นกับฮาจุนว่า ‘นายไม่คิดถึงฉันเหรอ’ เป็นบางครั้ง น่าจะเป็นเพราะอยากให้อีกคนยืนยันความรักมากกว่าเป็นเพราะเศร้าเสียใจ

มูคยอมรู้สึกแค่ว่า ข้อความที่ได้ฟังเป็นครั้งแรกเหมือนจะสลักลึกลงในหัวตั้งแต่เมื่อครู่นี้ มูคยอมทอดสายตามองเพดานรถมืดๆ พร้อมนึกถึงประโยคนั้นซ้ำๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครพูดคำนั้นขึ้นมาเพราะอะไร และไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าคนนั้นพูดขึ้นมาโดยมีความหมายเหมือนที่เขาคาดเดาไหม แต่เขาก็พูดคำนั้นอยู่ในปากมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

“สัตว์ประหลาด”

คำสามพยางค์ที่โพล่งขึ้นในรถที่เงียบสนิท หายเงียบไปเหลือไว้เพียงความเงียบงันโดยไม่ได้ทิ้งเสียงสะท้อนอะไรไว้เป็นพิเศษ

มูคยอมหยุดนิ่งไปกับเสียงพูดอันไร้เรี่ยวแรงครู่หนึ่งแล้วหัวเราะดัง หึ

ออกมาอย่างขมขื่น มูคยอมยิ้มอยู่คนเดียวพักหนึ่ง แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทีละนิดอย่างเชื่องช้า

เขาไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ทางกายจะกลายมาเป็นเครื่องมือที่สามารถครอบครองคนคนหนึ่งได้ ถ้าตัวเขาผู้ซึ่งคิดมาตลอดว่าเซ็กส์เป็นเพียงการเล่นสนุกชั่วคราว กลับคิดแบบนั้น มันก็คงจะเป็นความขัดแย้งที่ไม่มีในโลกนี้อีกแล้วไม่ใช่เหรอ

แต่ทำไมวันนั้นเขาถึงล่วงเกินฮาจุนด้วยวิธีนั้นกัน ทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถผูกมัดคนคนหนึ่งไว้ได้ด้วยวิธีนั้น เพราะเขาอยากยืนยันเรื่องอะไรกันแน่

มูคยอมปรับเบาะที่เอนนอนอยู่ให้ตั้งตรง ติดเครื่องรถยนต์แล้วเคลื่อนรถออกไป คนที่สัญจรไปมาบนถนนยามค่ำคืนมีไม่น้อยเลย

มูคยอมมาถึงละแวกบ้านแล้ว แต่ไม่กลับเข้าบ้านในทันทีแล้วจอดรถลงตรงปากซอย ใบหน้าขาวใสที่เขาจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวจากไกลๆ จำรถของ

มูคยอมได้แล้วโบกมือพร้อมกับเดินเข้ามาหาพลางขึ้นมานั่งตรงเบาะข้างคนขับ

ทันทีที่ฮาจุนขึ้นมาบนรถ มูคยอมก็เอนตัวไปประทับริมฝีปากลงบนแก้มของอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก ฮาจุนจูบแบบเดียวกันคืน

ฮาจุนออกมารอมูคยอมข้างนอกเพราะมูคยอมงอแง ขอให้อีกคนออกมารับในระหว่างทางกลับ เมื่อประทับริมฝีปากสั้นๆ เป็นการทักทายไปในตัวเสร็จ ฮาจุนก็ถามขึ้น

“บันทึกเทปโอเคดีไหม”

“อื้อ”

“คุณมินแจยองบอกว่าสบายดีหรือเปล่า”

“ก็ดูสบายดี”

ฟังผ่านๆ เหมือนจะคุยกันอย่างลื่นไหลดี แต่มูคยอมกำลังนับเลขอยู่ในใจ เขาเริ่มนับทันทีที่เห็นใบหน้าของฮาจุน

มูคยอมพยายามอย่างหนักเพื่อระงับขอบตาที่มันร้อนผ่าวขึ้นอยู่เรื่อย แต่ในตอนที่นับถึงเลขสิบสาม ความพยายามของเขาก็พังทลาย น้ำเป็นสายล้นทะลักแล้วไหลลงมาบนแก้มเป็นทาง ฮาจุนเบิกตากกว้างพร้อมกับลนลาน

“คิมมูคยอม เป็นอะไร! ใครแกล้งนายที่สตูดิโอเหรอ”

มูคยอมสูดน้ำมูกฟืดฟาดสองสามครั้งแทนคำตอบแล้วเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง

“ฮาจุน”

“อื้อ เล่ามาเลย ใครทำแบบนั้น”

“จากนี้ไปฉันจะใช้ชีวิตตามที่มันเป็นไปแล้ว”

คำประกาศกร้าวที่ถูกพูดออกมาตัดบท ทำให้สีหน้าของฮาจุนงงงวยขึ้น แต่ไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นการพูดเห็นด้วยทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวก่อนหลัง

“ฉันบอกให้ทำแบบนั้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วไง”

“ใช่ คำพูดของโค้ชอีทุกคำ ถูกต้องเสมอเลย”

มูคยอมจับหลังมือของฮาจุนขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปโดยไม่แม้แต่จะจัดการกับใบหน้าเลอะน้ำตา ฮาจุนคงเขินอายจึงหัวเราะออกเสียง มูคยอมแนบแก้มกับหลังมือของอีกฝ่ายแล้วพูดต่อ

“จากนี้ไปฉันก็จะรักนายคนเดียว”

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นแล้วเล่ามาซิ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างอัดเทปใช่ไหม”

“ไม่ใช่ ไม่มีจริงๆ”

“…ไปรับลมกันสักหน่อยไหม กินไอศกรีมที่นายชอบด้วยก็ได้”

มูคยอมไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินเคียงคู่กัน ขอบตาของ

มูคยอมที่เคยเปียกชื้นก็แห้งลงในทันทีเพราะสายลมอุ่นที่พัดเข้ามา

ถนนเส้นหลักที่อยู่ติดกับย่านที่พักอาศัย เงียบสงบแบบที่ถนนในย่านคึกคักเปรียบเทียบไม่ได้ ต้นไม้ข้างทางและรั้วของบ้านแต่ละหลังอัดแน่นไปด้วยใบไม้สีเขียวขจีและกำลังส่งกลิ่นของความเป็นฤดูร้อนอย่างสดชื่น

ฮาจุนไม่ถามซักไซ้ถึงเหตุผลของท่าทีแปลกประหลาดที่มูคยอมทำไปเมื่อครู่นี้อีก ถึงแม้จะเดินกันไปโดยไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ไม่อึดอัดหรือเบื่อหน่ายเลยสักวินาทีเดียว มูคยอมรู้สึกว่าเมื่ออยู่ข้างกายคนรัก กระทั่งความรู้สึกที่พุ่งสูงจนทำให้เขาร้องไห้ ก็ยังแปรเปลี่ยนรูปแบบของมันเป็นความอบอุ่นทีละนิด

ทิศทางของชีวิตถูกกำหนดไว้ในย่อหน้าหนึ่งของหนังสือเล่มเก่าที่เขาจำกระทั่งชื่อเรื่องไม่ได้ ในวันฤดูร้อนที่เคยวิ่งบนสนามหญ้าด้วยกันกับฮาจุน โชคชะตาแทรกกลางคนทั้งสองเข้ามาราวกับกลิ่นดอกไม้หอมหวาน เรื่องที่เขาตระหนักขึ้นมาได้ก็เป็นแบบนั้น โชคชะตาจะมาหาคนเราจากที่ที่คาดไม่ถึงในสักวันหนึ่งแบบนี้ โดยไม่มีหนังสือเล่มไหนบันทึกความจริงแท้หรือการวิจัยอันน่าคลั่งไคล้นี้เลย

มูคยอมทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนกับไฟข้างถนน และป้ายร้านค้าต่างๆ ที่เห็นเป็นระยะ เขาก้มลงมองใบหน้าด้านข้างของคนน่ารักที่เดินอยู่ข้างกายกัน และมองมือเปล่าๆ ที่แกว่งไกวอยู่ในตำแหน่งที่สามารถคว้ามาจับเมื่อไรก็ได้ ชีวิตประจำวันกับคนสำคัญกำลังรักษาพื้นที่ข้างกายเขาอย่างมั่นคง

ทว่าไม่มีสัตว์ประหลาด

มันตายและหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ซากศพที่ถูกเผาไฟ

หลังจากได้ฟังเรื่องราวของจองคยูกับแจยอง มูคยอมก็ลองนึกย้อนไปถึงวินาทีที่ฮาจุนสารภาพว่ากลัวอยู่ตลอด เพราะตอนนี้เขารับรู้แล้ว ว่าจุดที่เหมือนกันในการกระทำสองครั้งซึ่งหลงเหลือรอยขีดข่วนไว้ในใจของอีกฝ่ายคืออะไร

ครั้งแรกเป็นเพราะเขาไม่อยากให้อีฮาจุนผู้ดูเหมือนจะเป็นคนทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาด เข้ามาใกล้กันมากกว่านี้

ครั้งที่สองเป็นเพราะเขาอยากเหนี่ยวรั้งอีฮาจุนเอาไว้ เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนว่าสุดท้ายก็คงจะจากเขาผู้มีนิสัยที่แท้จริงเหมือนสัตว์ประหลาดไปสักวัน

สัตว์ประหลาดหายไปแล้ว แต่เงาของมันกลับตามติดตัวทุกวินาทีที่เขามอบบาดแผลให้ฮาจุนและทำให้อีกฝ่ายเสียใจ ทุกครั้งที่มูคยอมคิดว่าไม่อยากกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้น ก็กลับกลายเป็นว่าเขายิ่งเลียนแบบมันกว่าครั้งไหนๆ คิมมูคยอมผู้หวาดกลัววิญญาณไร้กายหยาบ ทำให้อีฮาจุนเจ็บปวด

ถ้าเป็นคิมมูคยอมผู้ไม่หวาดกลัวต่อสัตว์ประหลาด ในวันนั้น เมื่อเห็นฮาจุนกับยุนแชฮุนหน้าโมเต็ลก็น่าจะบุกเข้าไปในห้องทันที ถึงแม้จะเปิดประตูเข้าไปในทันที หวังว่าจะจับเหตุการณ์ผิดศีลธรรมให้ได้คาหนังคาเขา แต่กลับต้องขายหน้าเพราะเข้าใจผิด และอายมากเสียจนสะบัดผ้าห่มแรงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับความรู้สึกที่เปิดเผยออกมาให้รับรู้ แล้วตอนนั้นก็อาจได้เข้าไปใกล้ชิดฮาจุนอย่างเป็นธรรมชาติด้วยท่าทีและคำพูดแบบอื่น

ในวันนั้นที่เขาโมโหเพราะมาร์โค ถ้าไม่หวาดกลัวอยู่คนเดียว เขาก็คงจะพูดคุยกับฮาจุนทันทีหลังกลับถึงบ้าน แทนที่จะถูกความกระวนกระวายและความเพ้อไปเองซึ่งล้นทะลักออกมา เข้าครอบงำจนตัวสั่นแล้วก่อการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เขาคงจะด่าไอ้เด็กที่บังอาจมีจิตใจคิดเกินเลยกับฮาจุนจนกว่าจะสบายใจ แล้วขอให้อีกฝ่ายถอยห่างออกมา รบเร้าอีกคนไม่ให้แม้แต่ชายตามองไอ้เด็กคนนั้น แล้วรับฟังคำสัญญาว่าจะรักเขาไม่เปลี่ยน จากนั้นก็คงจะนอนหลับไปด้วยกันบนเตียงเดียวกัน

ทุกครั้งที่นึกถึงคนที่ตายไป เขาก็คิดอย่างหมกมุ่นว่าถ้าไม่ใช่คิมมูคยอมแต่เป็นคนคนนั้น จะคิดและกระทำตัวอย่างไร จิตใจที่พยายามจะต่อต้านกลับทอดทิ้งเขาไว้อย่างไร้ความรับผิดชอบ ราวกับว่าเป็นกับดัก ราวกับขู่บังคับให้เขาคิดและกระทำตัวเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ทุกครั้งไป

ทว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่มีตัวตนอยู่แล้ว

มันมีชีวิตอยู่แค่ในความทรงจำของมูคยอมเพียงที่เดียว

เพราะอย่างนั้น ถ้าไม่จดจำ มันก็จะไม่มีทั้งชีวิตและพลังอีกต่อไป ไม่สิ ไม่ใช่ทั้งสัตว์ประหลาดหรืออะไร ต่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ สำหรับคิมมูคยอมในวัยยี่สิบเจ็ดปี มันก็คงเป็นเพียงหมาแก่ๆ ที่ฟันหลุดหมดและทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

“คิดอะไรคนเดียวถึงขนาดนั้น”

เสียงของฮาจุนที่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้มูคยอมหลุดออกจากห้วงความคิดส่วนตัว เขาสบมองกับดวงตาสีดำที่มีความอยากรู้อยากเห็นเจืออยู่บางๆ

คุณโค้ชมีความอยากรู้อยากเห็นมากมายสมกับที่เป็นโค้ช มูคยอมนึกอยากเห็นภาพอีกคนยกสมุดโน้ตขึ้นจดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วค้นคว้าหาแผนการฝึกบนสนามขึ้นมาให้เร็วขึ้นอีกสักวัน

ความต้องการกักขังอีกฝ่ายไว้ในที่ที่มองเห็นได้คนเดียวก็น่าจะเป็นของเขาเองอย่างช่วยไม่ได้ แต่มาตอนนี้ คิมมูคยอมจะลงวิ่งบนสนามหญ้าที่ไม่มีอีฮาจุนได้หรือเปล่านะ

มูคยอมส่งยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็จับมือของฮาจุน ฮาจุนตกใจแล้วมองเช็กรอบข้างๆ แต่ย่านที่อยู่อาศัยในยามค่ำคืนแทบไม่มีวี่แววของคนเลย

“โค้ช”

“นายนี่จริงๆ เลย บนถนน…”

“ทำเรื่องที่อยากทำให้หมดเลยนะ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ทำให้หมดเลย”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็จงใจหัวเราะเยาะราวกับจะล้อมูคยอมพร้อมกับพูดตอบ

“ตอนนี้ก็ทำอยู่มากพอแล้ว ไม่มีเวลาก็เลยทำรวดเดียวไม่ได้น่ะสิ ไม่มีเหตุผลอื่นหรอก”

“ต่อให้ฉันรบเร้าว่าให้อยู่แค่กับฉันคนเดียว ก็ต้องรู้จักไล่ฉันไปอย่างเย็นชาได้นะ เพราะนายเป็นโค้ช”

“แน่ะ เริ่มอีกแล้วนะ”

ฮาจุนบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายอย่างเกินจริง มูคยอมมองใบหน้าด้านข้างของฮาจุนอย่างสงบเสงี่ยมแล้วถามขึ้นใหม่อีกรอบ

“อีฮาจุน จริงๆ แล้วนายก็รู้ใช่ไหม”

“อะไร”

“ว่าถ้านายต้องการจริงๆ ฉันก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้เลย”

ฮาจุนที่เคยโต้ตอบอย่างไม่จริงจังนัก เพราะคงเขินอายกับการจับมือกันบนถนน ตอนนั้นถึงได้จ้องมองมูคยอมอย่างเต็มตา อีกฝ่ายมองใบหน้าจริงจังของเขาตรงๆ แล้วเพียงแค่ยกยิ้มบางโดยไม่แฝงท่าทีใดๆ แทนที่จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับฟองสบู่

ความรู้สึกเหมือนได้ฟังคำตอบแล้ว ทำให้มูคยอมเองก็ยิ้มอย่างเขินๆ เขาก้าวเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วอ้อมๆ แอ้มๆ ถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ

“ถึงอย่างนั้นก็… ไม่ใช่แค่เหนื่อยอย่างเดียวใช่ไหม ที่คบกับฉัน”

“…อะไรนะ”

“ถึงจะไม่ได้สนุกและมีความสุขมากมายขนาดนั้น… แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบแค่อย่างเดียวใช่ไหม”

ฮาจุนเบิกตากว้างพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม

“ใครบอกว่าไม่ชอบ จู่ๆ นายพูดเรื่องอะไรเนี่ย”

“ฉันทำให้นายเจ็บปวดแล้วก็ทำให้นายเหนื่อยนี่…”

“พูดอะไรของนาย ฉันหมายถึงว่ามันก็มีตอนที่เหนื่อย ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความสุขสักหน่อย แน่นอนว่าตอนที่สนุกแล้วก็มีความสุขมันมากกว่าตั้งเยอะ! ดูสิ ถ้าปล่อยคิดว่าไม่ชอบแล้วไม่ทำอะไรเลย คิดว่าฉันจะพูดได้อย่างสบายใจงั้นสิ ครั้งก่อนก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ”

ฮาจุนพูดเสียงดังเล็กน้อยราวกับโมโห จากนั้นก็นึกขึ้นได้ทีหลังว่าอยู่ข้างนอกจึงลดเสียงลง

“ว่าตอนนี้ต่อให้มีเรื่องอะไร… ฉันก็เลิกอยู่ข้างนายไม่ได้หรอก”

“จากนี้ไปฉันจะไม่ทำให้นายต้องเหนื่อย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วจริงๆ”

คำตอบอย่างไม่รีรอของมูคยอมทำให้ฮาจุนยกมุมปากราวกับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่

“ต้องทำแบบนั้นนะ คราวนี้ฉันจะไม่ยกโทษให้แล้ว”

‘โกหก’

มูคยอมตอบในใจ ถ้าเป็นคนที่จะไม่ยกโทษให้จริงๆ เขายังจะสบายใจเสียกว่า แต่อีฮาจุนคนใจดีกลับเตรียมพร้อมที่จะให้อภัยเขาอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าจากนี้ไป เขาจะไม่นึกถึงเงาหรือเปลือกนอกที่ถูกเผามอดไปหมดอีกต่อไป และจะไม่คิดว่าตัวเองคล้ายกับคนคนนั้นอีกแล้วก็เถอะ…

แต่ต่อให้ไม่ใช่เพราะแบบนั้น เขาก็อยากจะติดตั้งกลไกความปลอดภัยที่เล็กน้อยที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้คนสำคัญของเขาต้องมีบาดแผล เพราะต่อให้เขาไม่ทะเลาะกับเงาของคนตาย แต่ก็เหมือนกับคำพูดของอิมจองคยู ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดาที่จำเป็นจะต้องหยุดพักบ้างเป็นบางครั้ง

“ฮาจุน”

“อื้อ”

“ก่อนออกเดินทางจากเกาหลี พวกเราไปคุยกันดีไหม”

“คุยอะไร”

“คุยกับครอบครัวนายแล้วก็ลุง เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”

ร่องรอยของรอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของฮาจุน

อีกฝ่ายดูเหมือนสับสนไปนิดหน่อยกับข้อเสนออันฉับพลัน แต่ก็กลับมายิ้มได้ในทันที มูคยอมรู้ว่าเป็นเพราะอีกคนคิดว่าคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ จะยอมรับความลำบากใจของตัวเอง

ในระหว่างที่รอโดยไม่เร่งเร้า ฮาจุนที่กำลังครุ่นคิดโดยไม่ได้พูดอะไรก็พยักหน้า รอยยิ้มจากใจจริงของอีกฝ่ายงดงามและอ่อนน้อม มันผลิบานราวกับดอกไม้ที่เปล่งประกายเป็นสีขาวแม้ในตอนกลางคืน

“กลับบ้านไปแล้วคุยกันเถอะว่าตอนไหนดี ยังไงก็ต้องบอกแบบพยายามไม่ให้เขาตกใจให้ได้มากที่สุดนี่”

“…มินคยองกับฮาคยองนอนหรือยัง ถ้ายังไม่นอน แวะร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อขนมสักหน่อยไหม”

“เอาสิ ไปซื้อกัน น่าจะดีใจกันใหญ่”

พอเดินไปทางป้ายไฟที่ส่องแสงให้ตอนกลางคืนสว่างไสว ก็ได้ยินเสียงเพลงกับกีตาร์เบาๆ ดูเหมือนว่าผู้คนที่สนุกสนานไปกับช่วงฤดูร้อนคงกำลังร้องเพลงอยู่ที่ไหนสักแห่ง

เสียงนั้นทำให้มูคยอมนึกถึงตอนที่ออกเดินทางไปแข่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนขึ้นมา เมืองนั้นกำลังจัดงานเทศกาลกันอย่างตระการตา คนที่นู่นเรียกกันว่าคาร์นิวัล ใครบางคนแอบกระซิบมูคยอมว่า จริงๆ แล้วขบวนพาเหรดที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี การเต้นรำ และรอยยิ้ม เป็นสิ่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมา โดยดัดแปลงจากความเชื่อที่ว่าจะขับไล่ปีศาจร้ายได้

ที่นี่ก็มีงานเฉลิมฉลอง มูคยอมกับฮาจุนได้ครอบครองชัยชนะแล้วขึ้นไปบนรถสำหรับแห่ขบวนพาเหรดด้วยกัน จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปตามถนนอย่างเชื่องช้าพร้อมกับฟังเสียงชื่นชมและเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ผู้คนที่เบียดเสียดกันจนล้นถนน ร้องเพลงและเต้นรำกันจนดึกดื่น อีกทั้งยังเพ้นท์ใบหน้าหรือไม่ก็สวมหน้ากากด้วย วันนั้นทั่วทุกซอกทุกมุมแออัดไปด้วยผู้คนที่เริงร่าและยินดี บางทีเงาดำมืออันโสมมก็น่าจะถูกกวาดทิ้งจนหายไปหมดในคืนแห่งการเฉลิมฉลองนั้น

คนตายไปถูกฝังลงดิน คนที่มีชีวิตก็อยู่บนนั้น ส่วนบนท้องฟ้าก็มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว คิมมูคยอมต้องตั้งอกตั้งใจเตะฟุตบอลอยู่ภายใต้ท้องฟ้าผืนนั้น ส่วนยูนิคอร์นก็ต้องบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าอันไร้จุดสิ้นสุด แล้วลูกวัวก็ต้องเดินเล่นไปมาไม่หยุดบนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกันกว้างขวาง เป็นแบบนี้ถึงจะถูก

บางครั้งถ้ามีวันที่คิมมูคยอมคนใจแคบ เกิดทนไม่ไหวขึ้นมาแล้วเรียกร้องว่าอยากครอบครองคนรักผู้ยุ่งวุ่นวายแต่เพียงผู้เดียว คนรักที่จิตใจดีและรักเขามากก็คงจะเสนอให้เขาครอบครองตัวเองเพียงคนเดียวสักหนึ่งวันด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าคิดตามคำพูดนั้น คิมมูคยอมก็ขี้หึงและมีพลังแห่งจินตนาการสูงมากทีเดียว

งานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นสี่ปีครั้งจบลงแล้ว และในคืนที่ชีวิตประจำวันกลับเข้าสู่ปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หวนกลับสู่ที่เดิมของมัน กลับสู่ความสุขสงบ

โค้ชอีในประเทศที่แปลกไป

ท้องทะเลใสแจ๋ว ไม่ใช่แค่บนผิวน้ำเท่านั้นแต่ลึกลงไปใต้น้ำก็ยังเป็นสีเขียวมรกตทั่วทั้งผืน ปลาสีน้ำเงินผสมเหลืองซึ่งน่าจะเคยปรากฏให้เห็นในการ์ตูนแอนิเมชันของดิสนีย์แหวกว่ายรวมกันเป็นฝูงกลางแนวปะการังสีขาวสลับแดง

ทั้งปลาใหญ่ปลาเล็กดูเหมือนกับภูติในท้องทะเล มันเต้นระบำตัวใครตัวมันพร้อมกับไหลพลิ้วไปตามเส้นทางของมันเองอย่างว่องไว ราวกับไม่สนใจมนุษย์ที่จู่ๆ ก็ลงมาว่ายน้ำในโลกของพวกมันอย่างผ่าเผย

ฮาจุนใช้เท้าตีน้ำช้าๆ พร้อมกับว่ายออกไปในท้องทะเลสีเขียวเข้มเรื่อยๆ จิตใจที่ดำดิ่งลงไปในทิวทัศน์แปลกใหม่โดยสมบูรณ์กับหูที่จมอยู่ในน้ำไม่ได้ยินเสียงภายนอก อะไรบางอย่างต้องเฉี่ยวเอวเขาไปก่อน ฮาจุนถึงได้รู้ว่าอีกคนว่ายเข้ามาใกล้ถึงข้างตัวแล้ว

ฮาจุนเอาขาลงยืนทำให้ตัวโผล่พ้นขึ้นมาบนผิวน้ำ ชายหนุ่มที่ว่ายน้ำมาข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน ฮาจุนถอดอุปกรณ์ดำน้ำขึ้นคาดไว้บนหัวแล้วพรูลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา มูคยอมที่เปียกไปทั้งตัวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดเตือน

“อย่าไปไกลมากนะ ต่อให้ดูสงบแต่ยังไงก็เป็นทะเล ถึงเรือจะจอดอยู่ข้างๆ แต่ถ้าไหลไปจนถึงจุดที่กระแสน้ำเปลี่ยนทิศก็จะอันตราย”

“มาถึงตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนน่ะ”

ฮาจุนเบิกตากว้างราวกับตกใจแล้วกะพริบตาปริบๆ เขาคงเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ใต้ทะเลแล้วมัวแต่ว่ายน้ำอย่างเหม่อลอยจึงไหลตามน้ำมาพักหนึ่ง เรือยอร์ชที่นั่งมาจึงอยู่ไกลออกไปทางนู้น ฮาจุนดูเหมือนจะงุนงงนิดหน่อย แต่แล้วก็ยิ้มกว้างด้วยใบหน้าที่ขาวซีดลงกว่าปกติเพราะเปียกน้ำเย็น

“ไม่ต้องเป็นห่วงมากไปหรอก ฉันว่ายน้ำเก่ง”

“แต่ยังไงเวลาอยู่ในทะเลก็ต้องระมัดระวังอยู่ตลอดสิ”

“นึกถึงตอนที่นายโมโหฉันเมื่อปีที่แล้วเลย บอกว่าว่ายน้ำในทะเลตอนกลางคืน”

เมื่อฮาจุนตีแขนขา พยุงให้ตัวลอยกระเพื่อมอยู่กับที่ มูคยอมก็หัวเราะฝืดๆ ออกมา

“ตอนนั้นฉันตกใจจริงๆ”

“นายโมโหฉันมาก ตอนหลังฉันเลยยิ่งตกใจกว่าเดิมอีก”

มีเพียงพวกเขาสองคนในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ รอบข้างมีเพียงทะเล ทะเล แล้วก็ทะเลเท่านั้น ไม่มีใครคนอื่นอยู่เลย หากจะบอกว่าเรืออัปปางก็ยังน่าเชื่อ

แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องกระทบผิวน้ำแล้วกระจายออกไปเหมือนเศษกระดาษสีที่ถูกฉีกออก เขาแสบตา ฮาจุนทอดสายตามองเรือยอร์ชที่ลอยอยู่ไกลมากนิ่งๆ แล้วพูดท้าอีกฝ่าย

“มาแข่งกันไหมว่าใครจะไปถึงเรือยอร์ชก่อน”

“โอ้… ดูเหมือนว่าลูกวัวน้อยจะมั่นใจเรื่องว่ายน้ำจริงๆ นะ ชนะแล้วได้อะไร”

“นายเลือกเลย”

“อืม คนแพ้ต้องใช้ปากทำให้อีกคนหนึ่งชั่วโมง”

“หนึ่งชั่วโมง! ตรงนั้นคงจะเปื่อยหมดแน่…”

ฮาจุนตื่นตกใจเพราะคิดว่าน่าจะเจ็บมากกว่ารู้สึกดี แต่มูคยอมกลับขำอะไรไม่รู้ถึงได้เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ถึงพลาดท่าแพ้ ฮาจุนก็ไม่อยากจะเอาตรงนั้นออกมาให้อีกคนเล่นนานถึงชั่วโมงหรอก แต่เขาก็ตอบตกลง

มูคยอมผู้กระหายชัยชนะไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอที่มีคำศัพท์อย่างเช่นคำว่า เดิมพัน แข่งขัน หรือต่อสู้อยู่ในประโยค นักกีฬาคนอื่นๆ ในกรีนฟอร์ดก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากมาย สมาชิกในทีมจึงสนุกกับการเล่นวิดีโอเกม เกมไพ่ หรือเกมปาเป้าโดยเดิมพันอะไรบางอย่างอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะเล่นอันนี้ก็ไม่ได้ อันนู้นก็ไม่ได้ บางครั้งพวกนักกีฬาก็จะรวมกลุ่มกันบนสนามหญ้าของสนามฝึกแล้วเดิมพันด้วยการเป่าหญ้าให้ปลิวไปไกลๆ หรือไม่ก็โยนรองเท้าสตั๊ดไปไกลๆ นักกีฬาพวกนั้นแค่ค่าตัวก็ปาไปแสนล้านวอนแล้ว เมื่อได้มองดูนักกีฬาชั้นนำของโลกทำแบบนั้นกันอยู่ข้างๆ เขาก็จะอดหัวเราะไม่ได้โดยอัตโนมัติ

ฮาจุนยกยิ้มมุมปากพร้อมตั้งท่า

“ระวัง”

“ไป!” ทันทีที่คำนั้นดังขึ้น ทั้งสองคนก็ดิ่งหัวลงน้ำก่อนเลยจนเสียงดังตูม พร้อมกับใช้กำลังทั้งหมดที่มีเริ่มแหวกว่ายไป

ถ้าใครบางคนมองมาจากไกลๆ ก็อาจเข้าใจผิดได้ ว่าพวกเขาเป็นสัตว์ตัวใหญ่ไม่น้อยที่อาศัยอยู่ในทะเล ไม่ใช่มนุษย์ ฮาจุนเหวี่ยงแขนอย่างแรงเพื่อจ้วงลงบนผิวน้ำ เสียงน้ำที่ดังจนแทบเรียกได้ว่าสนั่น กระแทกหูจนรู้สึกอื้ออึงไปหมด

“เดี๋ยวสิ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พอพาลูกวัวมาทะเลก็กลายเป็นโลมาเฉยเลยงั้นเหรอ”

มูคยอมในสภาพเปียกโชก จับบันไดเรือยอร์ชแล้วไต่ขึ้นไปพร้อมบ่นงึมงำ

ฮาจุนขึ้นมาบนเรือก่อนและใช้ฝักบัวล้างน้ำทะเลออกไปเรียบร้อยแล้ว เขาฉีดน้ำใส่อีกฝ่าย เมื่อมูคยอมล้างหน้าเสร็จ ฮาจุนก็ส่งผ้าเช็ดตัวให้พร้อมพูดปนขำ

“ตอนเด็กฉันเรียนมาหลายสถาบันมากเลยนะ ว่ายน้ำนี่ก็เรียนตั้งแต่สี่ขวบ”

“นายเรียนพิเศษด้วยงั้นเหรอ นายดูเหมือนไม่ชอบความพ่ายแพ้นิดๆ นะ”

“แน่นอนสิ อย่าลืมว่าฉันก็เคยเป็นนักกีฬานะ”

“ไม่ลืมเด็ดขาด”

เขาพูดโดยหวังจะให้อีกคนขำ แต่น้ำเสียงของมูคยอมที่ตอบมากลับจริงจังขึ้นนิดหน่อย ฮาจุนจึงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากก็ยกยิ้มโดยไม่ได้หัวเราะออกมา

มูคยอมใช้ผ้าขนหนูแห้งเช็ดน้ำบนหัวออกลวกๆ แล้วพูดเสียงดังราวกับนึกขึ้นได้

“คิดดูแล้ว นาย ตอนเจอกันครั้งแรกก็ดูบรรยากาศเหมือนกำลังจะไปพวกสถาบันสอนพิเศษนะ”

“ตอนแรกเหรอ…”

“หมายถึงตอนเด็กน่ะ”

‘อ๋อ’ ฮาจุนย้อนกลับไปขุดคุ้ยความทรงจำอันเลือนราง สิบสองขวบ ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ได้เจอเด็กผู้ชายที่เขาเคยจับแขนดึงมาก็…

“แบบแม่นๆ ก็จำไม่ได้หรอก แต่น่าจะกำลังเรียนพิเศษเปียโนน่ะ”

“เปียโนเหรอ โค้ชอี เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ”

“ไม่เป็น ตอนนี้ก็ต้องลืมไปหมดแล้วสิ ตอนเด็กเคยไปแข่งด้วยนะ ถึงจะตกรอบคัดเลือกก็เถอะ… ถ้านายเห็นฝีมือของฉันก็น่าจะรู้ ว่าฉันไม่ค่อยมีพรสวรรค์เท่าไร”

“แข่งเหรอ เจ๋งแฮะ! โค้ชอีนี่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้เลยสินะ”

“ไม่ได้เจ๋งหรอก เด็กๆ ที่เรียนสถาบันเดียวกันตอนนั้นก็ไปแข่งคนละครั้งกันหมด”

ฮาจุนรู้สึกอายขึ้นมาก็เลยเล่าต่อ แต่มูคยอมคงปลื้มใจอะไรสักอย่างจึงยิ้มเหมือนเด็กๆ ฮาจุนเองก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น เขาอารมณ์ดี ต่อให้กำลังท่องสูตรคูณหรือ ABC อยู่ก็รู้สึกว่าจะหัวเราะออกมาท่าเดียว โดยไม่ได้มีความหมายอื่นใด เป็นวันหยุดพักร้อนครั้งแรกที่ทั้งสองคนใช้เวลาร่วมกัน

วันหยุดพักร้อนของนักฟุตบอลสั้นกว่าที่คิด ปีที่จัดเวิลด์คัพเแบบปีนี้ก็ยิ่งสั้นเข้าไปใหญ่ ก่อนเลือกสถานที่ไปเที่ยวพักร้อนกัน มูคยอมบอกว่าถ้าไปพวกที่ท่องเที่ยวดังๆ หรือสถานที่พักผ่อนดีๆ ก็จะหนีพวกปาปารัสซีไม่พ้นอย่างแน่นอน แล้วอีกฝ่ายก็ขบคิดอย่างหนัก มูคยอมอยากใช้เวลาพักผ่อนอันล้ำค่าในสถานที่ที่มีอิสระอย่างแท้จริงโดยปราศจากสายตาของพวกสื่อมวลชน

ฮาจุนก็เข้าใจความรู้สึกของอีกคนเป็นอย่างดี เพราะสมัยที่เขาค้นคว้าหาข้อมูลของมูคยอมในอินเตอร์เน็ตคนเดียว แม้อยู่ในห้องของเขาที่โซลก็ยังรับรู้ได้อย่างละเอียดมากเกินไป ว่าฤดูร้อนปีนี้ คิมมูคยอมคนดังกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน

หลายคนตามหนักถึงขั้นตามไปจนถึงที่พักแล้วยังคอยถ่ายรูปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวพักร้อนในทุกๆ ปี ถึงแม้จะไม่ใช่มูคยอม ก็ยังมีนักกีฬาดังหลายคนที่ต้องปวดหัวกับปัญหาคล้ายกันนี้

สุดท้าย มูคยอมก็เลือกสถานที่พักร้อนร่วมกันครั้งแรก เป็นรีสอร์ตบนเกาะหนึ่งในประเทศเซเชลส์ซึ่งเป็นประเทศกลุ่มเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเกาะนั้นแยกห่างจากเกาะอื่นๆ พอสมควรและจะต้องนั่งเรือเฟอร์รีส่วนตัวเท่านั้นจึงจะเข้าไปถึง

ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ยังไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากปาปารัสซีเลยสักครั้งเดียวจนถึงตอนนี้ บุคคลมีชื่อเสียงที่ต้องการหลีกหนีสายตาคนอื่นจึงมากันบ่อยครั้ง มูคยอมบอกว่าปาปารัสซีเป็นคนจำพวกที่น่าหงุดหงิดอยู่เสมอก็จริงแต่ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็เพิ่งเคยมาเที่ยวที่ที่ไกลขนาดนี้ครั้งแรกเหมือนกัน แล้วอีกคนก็หัวเราะ

เกาะที่พวกเขามาเยือนตามที่เล่ามานั้น เป็นโลกอื่นที่แยกตัวออกมาจากความเป็นจริง ถ้าออกมาจากรีสอร์ตแล้วเดินไปแค่นิดเดียว ก็จะมีอากาศที่ร้อนแต่ไม่ชื้น แสงแดดจ้าแสบตา ทะเลใสสะอาดสีเขียวอมฟ้าซึ่งมองเห็นปลาตัวจิ๋วแหวกว่ายมาจนถึงใกล้ๆ ชายฝั่ง และหาดทรายสีขาวงดงามที่ไม่มีก้อนกรวดปะปนเลยแม้แต่ก้อนเดียว ที่คอยต้อนรับคนทั้งสองอยู่ สีสันจากทั่วทุกทิศทางทั้งสดและชัดยิ่งกว่าโลกที่พวกเขาเคยรู้จัก ถึงจะอธิบายเป็นคำพูดว่า ‘ทะเลสีน้ำเงินเขียว’ เหมือนกัน แต่สีน้ำเงินเขียวนั้นเป็นเฉดสีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้

ภายในห้องหรูที่ตกแต่งด้วยสีขาว ถ้าไปเล่นน้ำอย่างสนุกสนานแล้วกลับเข้ามาก็จะถูกเก็บกวาดให้เหมือนห้องใหม่อยู่เสมอ ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยนอกเหนือจากกิน เล่น แล้วก็นอน

ถึงอย่างนั้น แม้มาเที่ยวพักร้อนมูคยอมก็ยังคงตื่นนอนในเวลาเดิมทุกวัน ถึงแม้ว่าจะเที่ยวเล่นอย่างสนุกสุดเหวี่ยงโดยทิ้งสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทุกอย่างไว้ แต่ก็ยังเทรนนิ่งเบื้องต้นในตอนเช้าไม่ขาด

การนอนหลับครอกๆ อยู่คนเดียวทั้งที่นักกีฬาออกกำลังกายอยู่ ดูไม่ใช่การกระทำที่เหมาะสมสักเท่าไรในฐานะโค้ช ฮาจุนจึงบอกว่าตัวเองก็จะออกไปตอนเช้าด้วยเหมือนกัน แต่มูคยอมห้ามไว้ บอกว่าแค่ตื่นมาออกกำลังแบบง่ายๆ เฉยๆ เพราะฉะนั้นอย่ารู้สึกกดดันมากเกินไปทั้งที่มาพักร้อนอยู่เลย

เมื่อมูคยอมออกกำลังตอนเช้าเสร็จแล้วกลับมา ฮาจุนก็ค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล บางครั้งทั้งสองคนก็จะกินมื้อเช้าโดยสั่งเป็นรูมเซอร์วิส หรือถ้าอยากก็จะไปกินที่ห้องอาหารในรีสอร์ต เมื่อกินเสร็จเรียบร้อยก็ยังคงเหลือวันอันแสนยาวนานอยู่อีกทั้งวัน ราวกับของขวัญที่ยังไม่ได้เปิดออกดู

ทั้งคู่ทั้งเดินเล่น ว่ายน้ำ นอนกลางวันบนเก้าอี้อาบแดดริมหาด นอนๆ อยู่แล้วรู้สึกร้อนขึ้นมาหน่อยก็จะกลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง แล้วมูคยอมก็จะลูบไล้ผิวเปลือยเปล่าของฮาจุนบนเตียงนอนที่ถูกจัดเป็นระเบียบทุกครั้งเมื่อกลับเข้ามา ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักพร้อมผลัดกันป้อนจูบหรือจุ๊บกันไปมา หากอยู่กันแบบนั้นแล้วจู่ๆ ความร้อนรุ่มก่อตัวขึ้นก็ดำเนินต่อไปจนถึงเซ็กส์ด้วย เป็นการใช้ชีวิตแบบปล่อยวางทุกอย่างเป็นที่สุด

ฮาจุนพาดลำตัวบนราวเรือยอร์ชแล้วทอดสายตามองผืนทะเลออกไปไกลๆ นับจากสมัยเป็นเด็กวัยประถม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้เวลาแบบไม่ต้องกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อยแบบนี้

ฮาจุนใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปทะเลสีฟ้าหลายรูป บนเรือสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยดี เขาจึงคิดว่าจะส่งรูปให้ครอบครัวพร้อมข้อความถามสารทุกข์สุกดิบเมื่อกลับไปยังที่พัก

…สองวันก่อนออกเดินทางมาจากเกาหลี มูคยอมกับฮาจุนบอกเล่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองกับแม่ของฮาจุนเป็นคนแรก เธอตกใจมากแล้วบอกว่าเอาไว้คุยกันทีหลังพร้อมกับเงียบไม่พูดไม่จาไปประมาณครึ่งวัน แต่แม่ก็ขึ้นมาบนชั้นสองตอนใกล้จะถึงเวลามื้อเย็น จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับจับมือของมูคยอม

‘แม่ใช้ชีวิตมาโดยทำอะไรไม่ได้ดีเลยสักอย่าง แต่ดูเหมือนจะโชคดีมากถึงได้รับลูกชายแบบมูคยอมมาอีกคน แม่ใหม่คนนี้ยังมีสิ่งที่บกพร่อง แต่จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ’

คำพูดของเธอทำให้มูคยอมบอกว่าจะทำให้ดีที่สุดพร้อมก้มหัวหงึกๆ ให้หลายครั้งด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า ทั้งสามคนกินอาหารเย็นกันเต็มอิ่มด้วยดวงตาแดงช้ำเล็กน้อย จากนั้นจึงเรียกมินคยองกับฮาคยองซึ่งกลับถึงบ้านช้ามาบอกความจริงให้รับรู้อย่างกะทันหัน

‘หนูรู้อยู่แล้วนะ’

‘อะไรนะ จริงเหรอ’

‘พี่นี่จริงๆ เลย ถึงจะสงวนท่าทีแค่ไหนก็ต้องรู้อยู่แล้ว มีใครถึงกับซื้อบ้านให้คนที่เป็นแค่เพื่อนบ้าง แถมยังอาศัยอยู่ด้วยกันอีกต่างหาก…’

มินคยองไม่สะทกสะท้านต่อหน้าฮาจุนที่ตื่นตกใจ

แต่ฮาคยองลุกจากที่แล้วกลับไปห้องตัวเองราวกับกระทบกระเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็หลบหน้าทั้งสองคนจนกระทั่งวันที่พวกเขาออกจากเกาหลี ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องให้เวลาสักหน่อย

“ทำอะไรอยู่”

“ถ่ายรูป เดี๋ยวจะส่งไปในห้องแชตครอบครัว”

“…ฮาคยองยังไม่คุยอะไรกับนายสักคำอีกเหรอ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงมากไปหรอก ยังไงรูปโปรไฟล์ก็ยังเป็นรูปยูนิฟอร์มของนายนี่ ตอนเจอกันคราวหน้าก็น่าจะโอเคแล้วล่ะ”

เมื่อให้ดูหน้าจอโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้ม มูคยอมก็หัวเราะเบาๆ ฮาจุนพูดต่อ

“ถึงอย่างนั้นก็โล่งอกไปทีที่ทุกคนยอมรับกันอย่างดีกว่าที่คิด”

“นั่นสิ ฉันไม่คิดเลยว่าลุงจะดีใจแบบไม่มีอคติเลยแบบนั้น…”

เมื่อทั้งสองคนไปหาแล้วเล่าเรื่องสถานะให้ฟัง ตอนแรกผู้จัดการทีมพัคจุนซองก็เบิกตาโพลงแล้วลุกลี้ลุกลน ถามนู่นถามนี่ตั้งหลายครั้งราวกับไม่เข้าใจคำพูดของทั้งสอง

ทว่าหลังจากเข้าใจบทสรุปอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการทีมก็หัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ มีเพียงความดีใจ บอกว่าโล่งอกมากแค่ไหนที่มูคยอมเจอคู่ของตัวเอง ทั้งยังบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าพร้อมกับพาทั้งสองคนไปร้านอาหารแล้วเมาแอ๋อยู่คนเดียว ในตอนหลัง ทั้งสองคนต้องประคองเจ้าตัวที่พูดซ้ำๆ ไม่หยุดว่าโล่งใจดีจริงๆ เข้าไปถึงในบ้าน

ฮาจุนหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โซลอย่างเหม่อลอย แล้วมูคยอมก็ถามเขา

“เล่นน้ำพักใหญ่เลยนี่ ไม่หิวเหรอ ค่อยๆ กินมื้อเที่ยงกันเถอะ”

ฮาจุนมองโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วอุทานด้วยความประทับใจ ดูเหมือนมูคยอมจะจัดเตรียมอาหารอยู่บนเรือยอร์ชในระหว่างที่ฮาจุนดำน้ำตื้น ไวน์ขาวเย็นเจี๊ยบกับชีส ขนมปัง ส้ม และกุ้งย่างพร้อมซอส ถูกจัดเรียงอย่างง่ายๆ บนโต๊ะ

“น่าอร่อยจัง ดูความเด้งของมันสิ”

ฮาจุนเอื้อมมือไปหากุ้ง เมื่อฮาจุนขยับนิ้วมือขาวเรียวยาวแกะเปลือกกุ้งอย่างขะมักเขม้นโดยไม่สนอย่างอื่น มูคยอมซึ่งมองภาพนั้นอยู่อย่างสนใจจึงหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบตัวอื่นขึ้นมาหนึ่งตัว

“อย่าแกะให้เลอะมือเลย รอแป๊บหนึ่ง”

ในขณะที่ฮาจุนหยุดมือตัวเองด้วยใบหน้าเขินๆ มูคยอมก็แกะเปลือกกุ้งออกไปอย่างรวดเร็ว กุ้งที่ถูกแกะเปลือกอย่างสวยงาม ถูกวางเรียงรอบจานใบใหญ่เป็นวงกลมราวกับเป็นของประดับ ฮาจุนกำลังมองภาพนั้นด้วยความประทับใจ แต่แล้วจู่ๆ มูคยอมซึ่งวางกุ้งลงบนจานเป็นตัวที่เท่าไรแล้วไม่รู้ก็ปริปากพูดขึ้น

“อา”

“หืม”

“ฉันแกะเปลือกกุ้งอยู่ มือไม่ว่าง โค้ชป้อนหน่อยสิ”

ฮาจุนทำตาโตแล้วกลอกตา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับเขินอายพลางหัวเราะ จากนั้นไม่นานก็ใช้ส้อมจิ้มกุ้งขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วยื่นให้มูคยอม

“เอ้า”

“เอามาใกล้ๆ อีก”

ฮาจุนขยับไปข้างๆ มูคยอมพร้อมเก้าอี้ทั้งตัว เมื่อมือเคลื่อนเข้าไปใกล้ปากของมูคยอมอย่างเต็มที่ ตอนนั้นมูคยอมจึงอ้าปากรับกุ้งไปกิน เขาเองก็กิน สลับกับป้อนมูคยอมคำแล้วคำเล่าจนตัวที่เท่าไรก็ไม่รู้ มูคยอมจึงจับข้อมืออีกข้างที่เหลือของฮาจุน

“นายจับไปทั่วแล้วมือมันก็สกปรกเลยเนี่ย”

“ล้างก็ได้นี่…”

มูคยอมกัดนิ้วของฮาจุนที่เปื้อนทั้งน้ำมัน เกลือและเครื่องปรุงรสในตอนที่จับกุ้งครู่หนึ่ง มูคยอมใช้ฟันกัดหนุบหนับแบบไม่ให้เจ็บ จากนั้นก็แลบลิ้นเลียนิ้วมือขาวที่มันวับแล้วดูดจนเสียงดังจุ๊บจั๊บ

ในตอนที่มูคยอมใช้ลิ้นดุนดันตรงปลายนิ้วย้ำๆ ฮาจุนก็เรี่ยวแรงหายไปจากร่างกายอย่างไม่ทันตั้งตัว

“นายหิวนี่ กินอีกสิ”

มูคยอมเอากุ้งใส่ปากฮาจุน ฮาจุนเคี้ยวสิ่งที่เข้ามาในปากแล้วกลืนลงไปราวกับเครื่องจักร เมื่อนิ้วถูกดูดเลียเสร็จแล้ว กุ้งก็ถูกส่งมาให้ พอกลืนลงไปอีกสองสามตัวแบบนั้น คราวนี้แก้วไวน์ก็แตะลงบนริมฝีปาก

‘อึกๆ’ เมื่อฮาจุนดื่มมันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความคอแห้ง มูคยอมเองก็ดื่มแก้วเดียวกันจนหมดแล้วลุกขึ้นจากที่

สิ่งที่ปกปิดร่างกายของฮาจุนมีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวเท่านั้น มูคยอมก็อยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวสั้นที่แนบสนิทไปกับร่างกาย อีกฝ่ายจับมือของฮาจุนดึงขึ้น ร่างกายของคนทั้งสองที่แทบจะเปลือยเปล่า เบียดเสียดกันโดยไม่ได้สนใจอะไร ภายใต้ร่มเงาเย็นสบายของหลังคาเรือ บนเรือยอร์ชที่แสงแดดสว่างแสบตาสาดส่องลงมา

“หายหิวไปพอสมควรแล้ว เล่นกันสักหน่อยแล้วค่อยกินให้หมดไหม”

“ที่นี่เหรอ…”

ฮาจุนถามขึ้นพร้อมกับลูบแผ่นหลังแข็งแรงที่มีความโค้งเว้าและตรงกลางเป็นร่องลึกลงไปราวกับคันธนู มูคยอมโฉบริมฝีปากลงมาทาบทับแทนคำตอบ

“จะดูด้วยกันอีกใช่ไหม”

“…ดูก่อน”

“คราวหน้าลองทำให้ตรงตามผู้บรรยายตั้งแต่ต้นจนจบกันดีไหม”

“ฉันบอกให้เงียบแล้วนะ”

“ไม่งั้นก็มาเดิมพันกัน ถ้าทีมที่เชียร์ชนะก็ต้องฟังคำขอของคนนั้น”

ฮาจุนมีลางสังหรณ์เลวร้าย ว่าต่อให้ฝ่ายไหนชนะก็จะกลายเป็นผลดีต่อมูคยอมทั้งนั้น

มูคยอมคงจินตนาการสารพัดเรื่องอีกแล้ว ฮาจุนมองดวงตาของมูคยอมที่เหม่อลอยราวกับกำลังมองดูโลกใบอื่นที่ไหนสักแห่งอยู่ แล้วฮาจุนก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าควรต้องเปลี่ยนทีมที่เชียร์ตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไปจริงๆ หรือเปล่า

บ้านที่ดอกไลแลคผลิบาน

ศึกรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกปีนี้ถูกจัดขึ้นที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส แม้เป็นช่วงกลางคืน แต่ด้านบนสุดของสนามกีฬาก็ถูกรอบล้อมไปด้วยหลอดไฟสีขาวจ้าอย่างยิ่งใหญ่ จึงสว่างไสวจนรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ได้เห็นเมื่อเงยหน้าเป็นเหมือนกับอุปกรณ์จัดฉากปลอมบนเวที

ประเทศฝรั่งเศส สถานที่ที่เขาเกือบจะได้มาเยือนในฐานะนักกีฬา แต่สุดท้ายก็ได้มาเหยียบหลังแขวนสตั๊ด สำหรับฮาจุนแล้ว เขารู้สึกว่าการที่ที่นี่เป็นสนามแข่งรอบชิงชนะเลิศ เป็นเหมือนกับลางบอกเหตุดีๆ อะไรบางอย่างที่โชคชะตากำหนดให้

ฮาจุนรู้ว่าการที่เขายกเรื่องโชคชะตามาอ้างทั้งที่ไม่ได้จะลงแข่งด้วยตัวเองมันดูเหมือนคนโง่ แต่พอนึกย้อนไปย้อนมา จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ เขาก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะอย่างนั้นจึงรู้สึกราวกับว่า ท้องฟ้ามอบความโชคดีและอนุญาตให้เขาได้จับตาดูชัยชนะอยู่ข้างๆ

ต่อให้เชื่อว่าจะชนะ ก็ใช่ว่าจะไม่ตื่นเต้น ไม่สิ ปกติแล้ว คนที่หวังพึ่งความเชื่อที่ไม่มีอะไรยืนยันได้แบบนี้ กลับยิ่งกังวลง่ายกว่าเสียอีก

เหล่านักกีฬาแต่ละคนเช็กสภาพร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย หรือไม่ก็กำลังยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือวิ่งอยู่กับที่เพื่ออบอุ่นร่างกาย มีนักกีฬาที่กำลังพูดหยอกล้อกันหรือไม่ก็ฟังเพลงอยู่ด้วย ฮาจุนสังเกตสถานการณ์เพียงเล็กน้อย พร้อมกับคิดว่าการที่ตัวเองประหม่าอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ไม่ใช่นักกีฬา ช่างน่าขำเสียจริง

ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อื่นใด แต่เป็นเวทีแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกเชียวนะ เวทีที่ต้องมีทั้งความสามารถและความโชคดีคอยค้ำจุนถึงจะก้าวขึ้นมาได้ พวกนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในอาชีพพอสมควร บางคนก็เลิกเล่นฟุตบอลไปโดยที่ยังมาถึงตรงนี้ไม่ได้เลยสักครั้งในชีวิต แต่มูคยอมมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว

ที่ที่ทำให้หัวใจเต้นรัวเพียงแค่ได้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ แต่เขากลับได้มาเข้าร่วมในฐานะสมาชิกทีมเลยเนี่ยนะ แม้มาถึงสถานที่จริงแล้ว ฮาจุนก็ยังงุนงงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง

หลังฟังคำสั่งของผู้จัดการทีมอย่างรอบคอบแล้ว ฮาจุนก็ตรวจเช็กนักกีฬาอย่างยุ่งวุ่นวาย วันนี้เขาตั้งใจเช็กสภาพร่างกายนักกีฬาคนอื่นที่ไม่ใช่มูคยอมก่อน เวลาตื่นเต้นจนกระสับกระส่ายแบบตอนนี้ ฮาจุนไม่สบายใจเพราะกลัวว่าถ้ายืนอยู่ตรงหน้ามูคยอม อารมณ์ของอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบโดยไม่จำเป็นไปด้วย

เพราะตอนอยู่ต่อหน้านักกีฬาคนอื่น เขาสามารถแกล้งทำเป็นเฉยแล้วยิ้มอย่างนุ่มนวลได้ก็จริง แต่เขาไม่สามารถหลอกมูคยอมให้มองข้ามไปได้

“ตื่นเต้นเหรอ”

‘นั่นไง’

ทันทีที่มายืนตรงหน้ามูคยอม อีกฝ่ายก็กระตุกยิ้มพร้อมถามออกมาแบบนั้น ฮาจุนไม่ดันทุรังฝืนยิ้ม

“โทษที ฉันไม่ควรตื่นเต้นเลย…”

“ครั้งแรกก็ตื่นเต้นกันทุกคนแหละ จะนักกีฬาหรือสตาฟก็รู้สึกได้ทั้งนั้น”

มูคยอมพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างสบายๆ ราวกับไม่ประหม่าเลยสักนิด ฮาจุนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วคุกเข่านั่งลง

เขาอยู่ในสถานะที่ไม่เหมาะจะเป็นฝ่ายเชียร์และเพิ่มกำลังใจให้มูคยอมก่อน บอกให้อีกฝ่ายสู้ๆ หรือไม่ก็บอกว่า ไม่ต้องเครียด แต่ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาในตอนนี้ดันรู้สึกอยากถูกกอดอยู่ในอ้อมอกกว้างของมูคยอม และอยากให้มือใหญ่คู่นั้นตบเขาปุๆ อย่างปลอบโยน อยากฟังถ้อยคำที่บอกว่าเชื่อมั่นในตัวเขา บอกว่าไม่ต้องกังวลและคอยเอาใจช่วยอยู่ ฮาจุนกัดเนื้อด้านในปากเบาๆ

ดูท่าว่าเขาคงเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ก็เพราะแบบนี้ เพราะเขาไม่มีความแน่วแน่ แถมยังหวั่นใจง่ายอีก

ฮาจุนตรวจดูสภาพข้อเท้า เข่า และกล้ามเนื้อขาด้านหลังของมูคยอม เสร็จแล้วก็จับมือกับอีกคนแล้วดึงร่างกายท่อนบนเพื่อช่วยยืดกล้ามเนื้อรอบสุดท้าย จากนั้นเมื่อลุกขึ้นยืน ฮาจุนก็ไม่มีงานอะไรต้องทำมากกว่านี้แล้ว

“สู้ๆ นะ คิมมูคยอม”

เมื่อพูดออกไปแบบนั้น ฮาจุนก็รู้สึกว่าจะต้องทำให้อีกฝ่ายยิ้ม ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เขาจึงยกมุมปากขึ้น มูคยอมจ้องฮาจุนเขม็งโดยไม่ได้ตอบอะไร

และแล้ว ‘พรึ่บ’ แขนแข็งแกร่งที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วราวสายลมก็จับตัวของเขาดึงเข้าไปหา ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ มูคยอมดึงเขาเข้าไปกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากของอีกฝ่ายป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ หู เสียงที่ดังออกมาทุ้มต่ำ ทว่าฟังเหมือนกับเสียงเพลง

“ถ้าแข่งรอบชิงเสร็จแล้วได้ชูถ้วยรางวัลขึ้น”

“…”

“ก็จะรู้สึกดีจริงๆ ความรู้สึกเหมือนได้ครอบครองโลกทั้งใบก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ ฉันไม่เคยเสพก็จริง แต่ยาเสพติดชนิดไหนก็คงให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มมากเท่านั้นไม่ได้”

มูคยอมคลายแขนออก ถึงแม้ว่าร่างกายจะถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว แต่ฮาจุนก็ยังไม่คิดที่จะผละตัวออกมา และทำเพียงแค่เงยหน้ามองอีกคนเท่านั้น

“วันนี้ฉันจะทำให้นายได้รับรู้ถึงความรู้สึกแบบนั้นให้ได้”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนพยักหน้าราวกับถูกดึงให้คล้อยตาม มูคยอมพูดถึงขนาดนั้นแล้ว มันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

มูคยอมยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย อีกฝ่ายจับมือของฮาจุนยกขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากลงตรงปลายนิ้ว

“…นายมองมาแบบนั้น ฉันเลยรู้สึกมีแรงขึ้นมาเลยจริงๆ”

เป็นการประทับริมฝีปากเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ฮาจุนจะได้ครุ่นคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายว่าสีหน้าของตัวเองเป็นอย่างไร เวลาที่ต้องออกไปก็ใกล้เข้ามาแล้ว เหล่านักกีฬายืนรวมกันเพื่อออกสู่สนาม ส่วนพวกสตาฟก็ยืนรวมกันเพื่อที่จะไปตรงม้านั่ง

ศึกชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกที่ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สงครามของเหล่าดาวเด่น’ สนามหญ้าที่มีแสงจากหลอดไฟสีขาวสาดส่อง ทอประกายสีเงินระยิบระยับราวกับเอาเศษผงของดวงดาวมาโปรยลงบนนั้นจริงๆ

* * *

หลังจบฤดูกาล กว่าจะถูกเรียกตัวเข้าร่วมทีมชาติเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเวิลด์คัพยังมีเวลาเหลืออยู่ก็จริง แต่มูคยอมกับฮาจุนก็ตัดสินใจว่าจะกลับประเทศกันเร็วหน่อย อย่างไรเสีย พวกเขาก็ได้หยุดพักร้อนช่วงฤดูร้อนหลังจบเวิลด์คัพอยู่แล้ว และคลาสเรียนภาษาของฮาจุนก็จบคอร์สไปแล้วด้วย เพราะอย่างนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงที่เหมาะจะหยุดพักผ่อนในระยะสั้น

ใช้เวลาอยู่ที่ลอนดอนก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ฮาจุนน่าจะคิดถึงครอบครัว ฮาจุนต้องคิดถึงแม่อยู่แล้ว แต่คงจะคิดถึงน้องๆ ที่รักมากเป็นพิเศษ ฮาจุนตั้งอกตั้งใจดูแลน้องๆ แล้วส่งทั้งสองคนเข้ามหาวิทยาลัยไปพร้อมกัน แล้วพอน้องๆ ได้กลายเป็นนักศึกษาเข้าจริงๆ ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น มินคยองยังได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดังซึ่งนับเป็นหนึ่งในที่ที่ดีที่สุดด้วย

ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็ไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากชวนให้กลับเกาหลีก่อน เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ พอถามไปว่ากลับเกาหลีเร็วหน่อยดีไหม ฮาจุนก็ปิดบังความรู้สึกดีใจเอาไว้ไม่มิด มูคยอมมองท่าทีของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกช้ำใจขึ้นมานิดหน่อย

เรื่องแค่นั้น บอกเขาอย่างสบายใจก็ได้แท้ๆ ต่อให้อีกฝ่ายยืนกรานว่า ‘คิมมูคยอม ไม่ว่ากำหนดการของนายจะเป็นยังไงก็ปรับให้ตรงกับฉันซะ’ เขาก็ไม่ว่าอะไรสักนิด

เมื่อไรอีฮาจุนจะมองเขาเป็นครอบครัวคนหนึ่งได้อย่างสบายใจสักทีนะ

“เรื่องนั้นน่ะเพื่อนรัก นายต้องทำให้คนอื่นสบายใจก่อน เขาถึงจะคิดอย่างสบายใจได้ไง”

จองคยูที่ไม่ได้เจอกันนานโต้กลับอย่างหยาบคายราวกับได้ยินเรื่องราวหยุมหยิมนั้นทั้งหมด

“นายกำลังบอกว่าฉันทำให้เขาไม่สบายใจหรือไง”

“นายน่ะ แบบว่า นายไม่ใช่คนที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจด้วยสักเท่าไรนี่นา ถามอย่างกับไม่รู้ตัว”

“นายก็รู้สึกไม่สบายใจกับฉันเหรอ”

“เออ มากๆ”

ถึงอย่างนั้น ไหนๆ ก็ได้มาเจอคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกันมายาวนานทั้งที มูคยอมจึงยอมลดศักดิ์ศรีแล้วลองพูดอะไรคล้ายๆ กับการปรึกษาเรื่องกลุ้มใจไป แต่สรุปสุดท้ายก็ได้คำตอบอะไรกลับมาก็ไม่รู้

มูคยอมตั้งใจจะพูดอะไรสักคำกับอิมจองคยูที่หัวเราะออกจมูก แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น ภรรยาของอีกคนก็เดินเข้ามา

“สวัสดีค่ะ นักกีฬาคิมมูคยอม รู้สึกว่าเพิ่งจะได้เจอกันครั้งแรกหลังจากที่เจอกันเมื่องานแต่งงานนะคะ”

“สวัสดีครับ”

แขนของเธอกำลังโอบกอดเด็กคนหนึ่งอยู่ เด็กน้อยส่งสายตามองมาทางมูคยอมอย่างแจ่มชัดพร้อมกับก้มหัวให้ ราวกับไม่ได้กลัวคนแปลกหน้าสักเท่าไร จากนั้นก็พูดทักทายด้วยเสียงดังฟังชัดพอๆ กับสายตา ทว่าการออกเสียงยังไม่ชัดเจนนัก

“ชาหวัดดีค่ะ”

“…หวัดดี”

เด็กน้อยรับคำทักทายของมูคยอมด้วยท่าทีนิ่งเฉย จากนั้นก็ส่งสายตาจ้องมองมาอย่างชัดเจนอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือมาหาเขา มูคยอมมองเด็กน้อยด้วยใบหน้าเกร็งๆ พร้อมกับทำเพียงแค่กะพริบตา ภรรยาของจองคยูหัวเราะแล้วกระชับตัวลูกสาวกอดให้แนบชิดขึ้น

“ฮีมังชอบผู้ชายหน้าตาดีน่ะค่ะ… ดูเหมือนจะชอบนักกีฬาคิมมูคยอมซะแล้ว”

“โธ่ ฮีมัง ผู้ชายแบบนี้ห้ามชอบเด็ดขาด มีดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ นิสัยเนี่ยแย่มากๆ เลย”

“พูดแค่ประโยคแรกก็พอแล้วมั้ง เฮอะ”

จองคยูไม่แม้แต่จะตอบแล้วสบตากับภรรยา

“คุณยอนซู ไม่หนักเหรอครับ เปลี่ยนกันไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ได้เจอเพื่อนตั้งนาน อยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเหนื่อย ฉันแค่วางลูกลงก็ได้”

ตัวอิมจองคยูพาภรรยากับลูกมาด้วย เพราะอย่างนั้นจึงดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันตา มูคยอมรู้สึกขัดตาจึงมองหาคนของตัวเองเช่นกัน

ฮาจุนเล่นกับเด็กน้อยแล้วทำน้ำผลไม้หกจึงไปล้างมือ แล้วก็เพิ่งกลับเข้ามาในโถงพอดี มูคยอมกวักมือเรียก

“โค้ชอี มานี่เร็ว”

“ทำไม มีอะไรเหรอ”

“อิมจองคยูแกล้งฉัน”

เมื่อแกล้งทำเป็นขมวดคิ้วพร้อมทำหน้าเบ้ ฮาจุนที่เดินเข้ามาใกล้โต๊ะก็วางมือลงบนไหล่ของมูคยอม จากนั้นก็แกล้งทำเป็นพูดขู่จองคยู

“ทำไมนายต้องแกล้งมูคยอมด้วย”

คำพูดนั้นทำให้จองคยูอ้าปากค้าง เมื่อถูกฮาจุนต่อว่า จองคยูก็เขม้นมองมูคยอมราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง

คราวนี้มูคยอมแค่นหัวเราะออกจมูก เขารู้สึกมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ว่าอิมจองคยูจะต้องวาดภาพในหัวว่าอีฮาจุนผู้จิตใจดีและใสซื่อ ใช้ชีวิตโดยถูกคิมมูคยอมจูงจมูกแบบผิดๆ อย่างแน่นอน

…แน่นอนว่าถึงจะไม่ได้ผิดหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คนที่สารภาพว่าชอบก่อนก็คืออีฮาจุน และคนที่รุกเขาครึ่งทางก่อนเพราะอยากใช้เวลาตอนกลางคืนร่วมกันก็คืออีฮาจุน นั่นเป็นเพราะเขาไม่ยอมรับหัวใจของตัวเองในทันทีแล้วทำตัววกไปวนมา ถ้าเขาตอบตกลงคำสารภาพรักของอีกฝ่ายด้วยดี หากดูตามความเป็นจริง ก็คงต้องมองว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ฮาจุนเป็นฝ่ายนำจนลงเอยกันได้

‘คุณแฟนของฉันทั้งน่ารัก ทั้งไร้เดียงสา น่าเอ็นดู แถมยังฉลาดล้ำลึก แล้วก็ไม่กลัวอะไรเลยด้วย’

มูคยอมกำลังคิดอย่างปลื้มปริ่มในใจ แล้วฮาจุนก็นั่งลงตรงที่นั่งข้างๆ พลางถามขึ้น

“ฮีมังล่ะ”

“อยู่กับคุณยอนซู”

มูคยอมมองแม่กับลูกสาวที่นั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะตัวอื่นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก เด็กน้อยอยู่ในชุดกระโปรงตัวสวยที่ดูคล้ายกับชุดเดรส

วันนี้เป็นวันเกิดครบสองขวบของฮีมัง ลูกสาวของอิมจองคยู กลับเกาหลีมาได้ไม่กี่วันก็ตรงกับวันเกิดของฮีมังพอดี ทั้งสองคนจึงมาฉลองวันเกิดของเด็กน้อยในวันนี้

เห็นว่าช่วงนี้มีหลายคนที่ไม่จัดงานทลจันชี แต่อิมจองคยูผู้ชอบโอ้อวดลูกสาวเป็นพิเศษ กลับจัดกระทั่งปาร์ตี้วันเกิดครบสองขวบแล้วคุยโวจนทำให้คนรอบข้างรำคาญ เมื่อฮาจุนนั่งลงที่โต๊ะ จองคยูจึงเทเบียร์ใส่แก้วเปล่าทีละแก้วซึ่งวางอยู่ตรงหน้าของแต่ละคน

“ขอบใจที่มานะ ยังไงก็เถอะ เพราะนายแท้ๆ เลยฮาจุน คิมมูคยอมถึงเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง จนถึงตอนนี้ ไอ้หมอนี่ไม่เคยมาหาฮีมังของฉันเลยสักครั้ง เมื่อปีที่แล้ว สุดท้ายก็ไม่มาแล้วไปเฉยเลย”

“นายเป็นแบบนี้ฉันเลยไม่มาไง มาแล้วก็ไม่ได้ยินอะไรน่าฟังแล้วจะมาหาเพื่ออะไร”

“ครับผมๆ ผมซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านมาเยี่ยมเยียนสถานที่โกโรโกโสแบบนี้ ท่านชายคิมมูคยอมผู้โด่งดังระดับโลก”

‘เคร้ง’ แก้วเบียร์ชนกันเบาๆ คนทั้งสามที่ไม่เจอกันมานาน หยุดถกเถียงกันแล้วพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อปาร์ตี้วันเกิดจบลง ทั้งสามก็ย้ายที่ไปที่บาร์ที่อยู่ในโรงแรมเดียวกัน ตอนแยกกันกับจองคยูแล้วออกมาจากโรงแรมก็เข้าสู่ช่วงดึกและท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว พวกเขาขับรถไม่ได้เพราะดื่มเหล้ามากันทั้งคู่ จึงเรียกบริการคนขับรถแทนแล้วขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังรถเคียงข้างกัน มูคยอมบิดขี้เกียจ

“ไม่ได้มางานแบบนี้ตั้งนาน เหนื่อยเหมือนกันนะ”

“ขอบใจนะ ที่มาด้วยกัน”

คำพูดของฮาจุนทำให้มูคยอมขมวดคิ้วครู่หนึ่งพลางหัวเราะ

“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอบคุณก็ได้”

“ยังไงก็เถอะ… ฉันอยากมา นายเลยมาด้วยกันนี่”

“เดิมทีก็ควรต้องมางานนี้อยู่แล้ว แต่ฉันเลื่อนไปเรื่อยเอง”

ปีนี้ก็คิดไว้ว่าจะส่งเงินแสดงความยินดีไปให้ตามสมควรแล้วเบี้ยวไม่ไปงาน แต่สำหรับฮาจุนที่ไปหาและเล่นกับเด็กน้อยบ้างเป็นครั้งคราวตอนอยู่โซล ปาร์ตี้วันเกิดของฮีมังคืองานที่ต้องไปร่วมให้ได้

เมื่อมูคยอมทำท่าอิดออดราวกับไม่ค่อยอยากไปเท่าไร ฮาจุนจึงบอกว่าจะไปคนเดียว แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ไปคนเดียวอีกนั่นแหละ วันนี้จึงมาด้วยกันจนได้

ถึงอย่างนั้น ในช่วงที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ลูกสาวของจองคยูก็โตขึ้นมาก เดินคนเดียวได้ แถมยังพูดได้แล้ว ด้วย มูคยอมเคยจินตนาการภาพสมัยเป็นเด็กแรกเกิด แต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านไปอย่างว่องไว ตอนนี้ถึงแม้เด็กน้อยจะเข้ามาใกล้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านเท่าเดิม

“ฉันไม่รู้ว่านายไม่ชอบเด็ก นายไปร่วมพวกอีเวนต์ที่จัดขึ้นเพื่อเด็กๆ เป็นบางครั้งนี่นา”

“ถ้าเด็กโตพอที่จะมางานแบบนั้นได้ก็โอเคน่ะ เพราะปกติต้องอายุสักห้าขวบถึงจะมาอีเวนต์ฟุตบอลได้”

มูคยอมเอนตัว เอาหัวพิงไหล่ฮาจุน สัมผัสจากมือของฮาจุนที่ลูบหัวเขาทำให้รู้สึกดี

“เด็กตัวเล็กเกินไป ฉันก็เลยกลัว”

“…”

“ถ้าแตะต้องผิดแค่นิดเดียวก็เหมือนจะบาดเจ็บได้ตลอดเลย ไม่ชอบลูกหมาหรือลูกแมวตัวเล็กๆ ด้วย”

“ถ้ากอดอย่างระวังหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”

มูคยอมหลับตาลง เสียงแผ่วเบาของฮาจุนวนเวียนอยู่รอบหู

“ฉันกับน้องอายุห่างกันมากใช่ไหมล่ะ ตอนพวกเขาเกิด ฉันก็อายุเจ็ดขวบแล้ว”

“อื้อ”

“ตอนเด็กๆ มินคยองงอแงหนักมาก ไม่ยอมนอนแล้วร้องไห้ทั้งคืนจนแม่ลำบากสุดๆ เลย”

“เป็นเด็กดื้อสินะ”

“พ่อกับแม่สลับกันไปปลอบ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็มาปลุกฉัน ปกติก็สักตีสี่ตีห้าได้… พ่อกับแม่ปลอบแล้วปลอบอีก แล้วน้องก็ยังไม่เลิกร้อง พอถึงช่วงราวๆ เช้ามืดก็เลยต้องปลุกฉันน่ะ”

มูคยอมเงยหน้า

“ทำไมต้องปลุกนายล่ะ”

“แปลกมากที่มินคยองจะหยุดร้องแบบหยุดกึกเลยถ้าฉันกอด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จะถามเด็กแรกเกิดก็ไม่ได้ มินคยองตอนนี้ก็คงจำเรื่องนั้นไม่ได้ด้วยแน่ๆ”

“…”

“ตอนนั้นฉันก็ยังเด็ก คงจะไม่ชอบถูกปลุกให้มาปลอบน้องตอนเช้ามืดเหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้สึกลำบากเลย เพราะถึงน้องจะร้องไห้แงๆ ไม่หยุด แต่แค่ถูกฉันกอดเท่านั้นแหละ ก็จะหยุดทันควัน ฉันแปลกใจมาก แล้วก็รู้สึกว่าน่ารักดี”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วยิ้มเขินๆ

“ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ต่อให้นายจับเด็กเล็กแบบเก้ๆ กังๆ เด็กก็ไม่ได้บาดเจ็บง่ายขนาดนั้นหรอก”

มูคยอมกะพริบตาปริบๆ แล้วพิงหน้ากับหัวไหล่ของฮาจุนอีกครั้ง ไม่สิ คราวนี้เอนตัวลงไปอีกหน่อยแล้วตะแคงตัวซบหน้าลงกับตักของฮาจุนด้วย

“กอดฉันด้วยสิ”

ฮาจุนหัวเราะพร้อมกับก้มตัวลง โอบแขนรอบร่างกายท่อนบนของมูคยอมซึ่งแทบจะนอนลงไปทั้งตัวแล้วลูบหัว

“ฤดูกาลนี้ก็ทำได้ดีมากจริงๆ คิมมูคยอม”

“ผิดแล้ว”

“ฤดูกาลนี้ก็ทำได้ดีมากจริงๆ มูคยอม”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมหันมานอนหงายหน้า รอยยิ้มพอใจและสบายใจทาบทับบนใบหน้าของเขา

“ทั้งหมดเป็นเพราะแรงสนับสนุนและคำแนะนำของโค้ชอีฮาจุนครับผม”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”

“ถ้าไม่มีโค้ชอี ขาผมคงไม่มีแรงจนเตะบอลอย่างเต็มที่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น…”

ในตอนนั้น ‘ก๊อกๆ’ ใครบางคนก็เคาะประตูรถ ทำให้คำพูดของมูคยอมถูกตัดบทไป ใครคนนั้นถามเสียงดังจากด้านนอก

“สวัสดีครับ เรียกบริการขับรถแทนหรือเปล่าครับ”

“ใช่แล้วครับ”

ฮาจุนตอบแล้วกระแอมฮึ่มฮั่ม ตีหน้ามูคยอมเบาๆ เป็นความหมายว่าเร่งให้เขารีบลุกขึ้น มูคยอมดันตัวขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อปลดล็อกรถ คนขับรถก็ขึ้นมาตรงที่นั่งคนขับ

“เห็นว่าไม่รับโทรศัพท์ ผมเลยเสียมารยาทเคาะประตูไปน่ะครับ”

“ขอโทษด้วยครับ พวกผมมัวแต่คุยกันก็เลยน่าจะไม่ทันเห็นว่ามีคนโทรมา”

“ถ้างั้นออกรถแล้วนะครับ”

ทั้งสองคนนั่งเรียงข้างกันตรงเบาะหลังอย่างเรียบร้อยแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ฮาจุนกะพริบตาไปเรื่อยๆ ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองโซลอันแสนคุ้นเคยที่ได้เห็นในรอบหลายเดือน ทำให้ฮาจุนรู้สึกสบายตา

รู้สึกได้ว่ามือใหญ่ๆ ทับลงมาบนมือที่วางอยู่กับเบาะแล้วสอดประสานนิ้ว มือของคนทั้งสองแนบสนิทกันในที่ที่กระจกมองหลังส่องสะท้อนไม่ถึง

เมื่ออ้าปากก็มีเพียงเสียงกรีดร้องกับครวญครางพรั่งพรูออกมาเท่านั้น ฮาจุนไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างชัดเจนและฉะฉาน น้ำกามที่ถูกขับออกมาจนเต็มด้านใน ไหลย้อนออกมาด้านนอกพร้อมเสียงเฉอะแฉะทุกครั้งที่แกนกายขยับเข้าออก

ฮาจุนเหยียดแขนสั่นๆ เพื่อดันหน้าท้องของมูคยอมออกอย่างยากลำบาก แต่ทำได้เพียงถูกยึดข้อมือไว้เท่านั้น

“อ๊า… อ๊ะ ฉัน เหนื่อย อา พอแล้ว พอ ฮื้อ ได้แล้ว…!”

“ฮู่ว เป็นฝ่ายขึ้น ให้ก่อน ก็อย่าพูด อะไรอ่อนหัดสิ”

“อา ไม่ได้ มาก มากไป… อึก ช้าๆ หน่อย…”

แกนกายที่เคยตอกเข้ามาตามอำเภอใจ จู่ๆ ก็ถอนออกไปพรวดเดียว ในขณะที่ฮาจุนไม่สามารถควบคุมความรู้สึกที่เกิดจากสิ่งที่เคยเต็มแน่นภายในท้องถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็วได้ ร่างกายของเขาก็ถูกจับพลิกคว่ำหน้าลง

ในระหว่างมูคยอมก็ถอดเสื้อผ้าท่อนบนของตัวเองออกไปแล้วเช่นกัน มือของมูคยอมจับลงตรงกระดูกเชิงกรานของเขา หน้าอกกับแก้มของฮาจุนแนบลงกับโต๊ะ และก่อนที่เขาจะได้จัดท่าทางให้มันดี ลำกายของอีกคนก็ไสเข้ามาในรูรักที่ยังไม่หุบลงอย่างฉับไว

“อื๊อออ!”

เมื่อเปลี่ยนท่า อีกฝ่ายก็ออกแรงกับการสอดใส่มากขึ้นกว่าเดิม เป็นเซ็กส์ที่กระหน่ำใส่ไม่ยั้งราวกับมีไม้กระบองกระทุ้งเข้ามาภายในร่างกาย

ความสุขสมกลืนกินความเจ็บปวดไปนานมากแล้ว แต่ความสุขสมที่ถึงกับกลืนกินความเจ็บปวดไปได้นั้นก็ทำให้ทรมานด้วยตัวมันเองอยู่ดี

น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาใหม่แล้วล้นไหลลงไปตามสันจมูก ถึงแม้ว่าจะตัวโยนไปตามการโยกของมูคยอม แต่ฮาจุนก็แย้งขึ้นมาเพราะความรู้สึกไม่ยุติธรรมด้วยเสียงขาดๆ หายๆ ปนเสียงร้องหวิว

“ฉัน ถึงบอก ฮึก ว่า อย่าดู…”

“อะไรนะ”

“บอกแล้ว ว่าอย่า ดู… อ๊ะ ทำไมต้องตามมา รังแก ฮึก คนอื่น…!”

เสียงพูดที่เจือไปด้วยความไม่พอใจปะปนกับเสียงครางและเสียงสูดน้ำมูก ทำให้เอวของมูคยอมชะงักไปเล็กน้อย

ฮาจุนอาศัยจังหวะที่อีกคนขยับตัวช้าลงแล้วหันหน้าไปหายใจหอบมองอีกฝ่าย มูคยอมรีบโน้มตัวลง กดแผ่นอกตัวเองกับหลังของฮาจุนพร้อมกอดรอบไหล่ไว้ จากนั้นก็พรมจูบลงบนแก้มเปียกชื้นอย่างเร่าร้อน

“แล้วฉันบอกให้ดูผู้ชายคนอื่นยิงประตูแล้วมีอารมณ์หรือไง”

“ใคร! ก็แค่ทำคะแนนได้ เลยดีใจเท่านั้นเอง!”

“…ยังไงก็เถอะ”

“ฉันจะ… ฮู่ว ไม่ดู กับนายอีกแล้ว…”

ฮาจุนกำชับด้วยเสียงลอดไรฟัน แต่แล้วตอนนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชมตะโกนโหวกเหวกอีกครั้งและผู้บรรยายก็พูดเสียงดังขึ้น แม้ในจังหวะที่กำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่ ทั้งสองก็ยังเงยหน้าขวับ ส่งสายตาไปจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์

‘โถ่ น่าเสียดายจังนะครับ! พลาดเป้าไปซะงั้น’

‘เกือบจะได้เป็นโกลที่สองของเซบาสเตียนแล้วนะครับเนี่ย’

‘ตอนทะลวงฝ่าไปก็ยังยอดเยี่ยมมากจริงๆ แต่ตอนสุดท้ายน่าเสียดายนิดหน่อยนะครับ’

‘หน้าที่ของตัวรุกก็คือยิงให้เข้าในตอนที่ต้องยิงประตู น่าเสียดายจริงๆ ครับ’

บนหน้าจอ นักกีฬาที่ปล่อยโอกาสทำคะแนนหลุดมือไป กำลังยืนบีบหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าเสียดาย มูคยอมจ้องหน้าจอโทรศัพท์เขม็งแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะคิกคัก

“ใช่แล้ว เป็นตัวรุกก็ต้องยิงให้เข้าตอนที่ต้องยิงสิ”

“หืม อ๊ะ!”

ส่วนที่ถูกดึงออกไปยาวๆ สวนกลับเข้ามาพรวดเดียว

“ถ้าทะลวงเข้าไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องยิงประตูอย่างสุดความสามารถ”

“พูดอะไร อื๊อ ฮ้า อ๊าาา!”

มูคยอมบดเอวอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เป็นการกระแทกใส่แรงๆ เหมือนตอกเข้ามาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังแบบเมื่อครู่นี้

ส่วนที่เคยกดสอดเข้าลึกแล้วถอนออกไป กลับเข้ามาหยุดลงตรงใกล้ๆ ต่อมลูกหมาก ส่วนหัวกระทุ้งถี่ๆ พร้อมบดบี้ลงตรงจุดที่ฮาจุนรู้สึกไว เมื่อผนังด้านในถูกครูด สัมผัสเสียดเสียวที่แผ่ซ่านจากตรงนั้นก็ทำให้ฮาจุนเชิดคอขึ้นส่งเสียงคราง ในระหว่างนั้น มูคยอมก็ถอนลำกายออกมาจนถึงปากช่องทางแล้วเสือกไสเข้าไปอย่างแรง

มูคยอมหยัดกายเข้าออกอย่างหนักหน่วงอยู่ไม่กี่ครั้งแล้วเปลี่ยนจังหวะมาเชื่องช้าและนุ่มนวล จากนั้นก็กระหน่ำใส่เข้ามาอีกรอบแล้วสลับมาซอยสั้นๆ พร้อมบดขยี้บริเวณใกล้กับต่อมลูกหมากอย่างอ่อนโยน การสอดใส่แบบนั้นเกิดขึ้นสลับกันครั้งแล้วครั้งเล่า ขาของฮาจุนสั่นระรัว ปลายเท้าค่อยๆ เขย่งขึ้นสูง เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกำหมัดแน่นพลางหายใจหอบ

“อ๊า อ๊า อึก ฮื้อ…!”

‘ฝ่ายตั้งรับอัดกันแน่นมากเลยนะครับ เวลาแบบนี้ควรต้องเปิดออกให้เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วบ้าง’

“เขาบอกให้เปิดออกแน่ะ”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วจู่ๆ ก็ยกขาข้างหนึ่งของฮาจุนขึ้นพาดบนโต๊ะ หว่างขาของเขาถูกจับแยกกว้าง ส่วนใบหน้าก็ขึ้นสีแดงเถือก

‘โอ้ เมื่อกี้บุกเข้าไปได้ดีเชียวครับ’

‘การไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนั้นหลุดมือไปก็เป็นเรื่องสำคัญนะครับ ถ้ามีนักกีฬาคนไหนครองพื้นที่นั้นอยู่ก็ต้องฝ่าทะลวงเข้าไปให้ลึกๆ เลยครับ’

“อื๊อ… ฮึก!”

ทันทีที่ผู้บรรยายพูดจบ มูคยอมก็กระแทกเอวอย่างแรงพร้อมกับตอกกายเข้ามาด้านในดังปั้กราวกับดำเนินการตามคำสั่ง เพราะขาทั้งสองข้างถูกจับอ้ากว้าง แกนกายของอีกฝ่ายจึงถลำลึกเข้ามายิ่งกว่าเดิม ฮาจุนถูกยึดครองพื้นที่ภายในร่างกาย แต่ก่อนที่จะได้ระเบิดเสียงครางออกมา เขาก็ได้ยินเสียงบรรยายการถ่ายทอดอีกครั้ง

‘ฝ่าไปทางซ้ายอีกหน่อยน่าจะดีกว่านะครับ’

‘ใช่แล้วครับ เวลาแบบนี้ยิ่งต้องใจเย็นและคำนวณเส้นทางให้แม่นยำครับ’

เป็นไปตามที่คาดไว้ แกนกายถูกดึงออกไปยาวๆ มูคยอมบิดตัวเปลี่ยนมุมให้เอียงเล็กน้อยแล้วกดสอดให้ท่อนเนื้อบดเคล้าเนื้อเยื่อทางซ้ายอย่างหนักหน่วง ช่วงเอวของฮาจุนเสียวแปลบจนรู้สึกราวกับเส้นผมชี้ขึ้น

“อ๊าาา อ๊ะ!”

ความเสียวกระสันและความทำอะไรไม่ถูกผสมปนเปกัน ฮาจุนรู้สึกไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้อย่างมาก จึงไม่สามารถตอบสนองอะไรออกไปได้ในทันที ฮาจุนตัวสั่นสะท้านพร้อมขูดเล็บลงบนโต๊ะ

“อย่า นาย อย่าเล่น ฮึก..!”

“ฉันก็เพิ่งรู้วันนี้นะ ว่าการถ่ายทอดฟุตบอลมันเร้าอารมณ์ขนาดนี้”

น้ำเสียงเจือความขบขันทำให้ความรู้สึกเสียใจทีหลังถาโถมเข้าใส่ฮาจุน ‘ควรฟังถ่ายทอดเป็นภาษาสเปนจริงๆ ด้วย ไม่สิ จริงๆ ไม่ควรเปิดดูการแข่งอีกรอบด้วยซ้ำไป’

ฝ่ามือของมูคยอมกดแนบลงบนหลังมือที่ครูดโต๊ะ ในขณะที่ฮาจุนกำลังนึกเสียใจทีหลังอย่างสุดซึ้ง การเคลื่อนไหวของมูคยอมก็ดุเดือดขึ้นอีกครั้ง

ทุกครั้งที่ท่อนเนื้ออวบผลุบเข้าผลุบออกตรงกลางบั้นท้าย ผนังเนื้อด้านในที่อ่อนยวบก็โอบแนบชิดท่อนเนื้อนั้นราวกับติดหนึบอยู่ด้วยกัน ความเสียวซ่านจนขนลุกเกรียวโฉบไปทั้งร่างกาย

“อ๊า… อ๊าาา ฮ้า! อ๊าาา…!”

‘แหม ทะลวงเข้าไปอย่างโหดเลยนะครับ’

‘ในสถานการณ์แบบนี้จะมัวมาคิดอะไรยุ่งยากไม่ได้หรอกครับ อย่างแรกก็ต้องยิงเข้าไปก่อน’

หัวของฮาจุนหมุนติ้ว เหมือนไม่ได้เป็นการบรรยายฟุตบอลแต่กำลังจับตาดูการกระทำของพวกเขาทั้งคู่อยู่แล้วพูดล้อเลียน หุบปากเงียบไปซะ อยากจะตะโกนบอกให้พวกผู้บรรยายที่ทำให้รู้สึกแปลกยังไงชอบกลพวกนั้น แต่สิ่งที่ออกมาจากปากมีเพียงเสียงครวญครางและเสียงกรีดร้องเท่านั้น เมื่อทั้งสองคนทิ้งน้ำหนักตัวลงไปกันทั้งคู่ โต๊ะที่ทั้งใหญ่ทั้งหนักอึ้งก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด

“อ๊า อ๊า ฮา อ๊าาา!”

“ฮู่ว ฮ้าาา”

เสียงของคนอื่นหลุดออกไปจากขอบเขตการได้ยินอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มีเพียงเสียงชื้นแฉะดังออกมาจากส่วนที่สอดประสานกันแล้วดังก้องในหูของทั้งสองคนเป็นพิเศษ มูคยอมเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีกเพื่อปิดริมฝีปากที่ส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุดราวกับจะกลืนกิน

ลิ้นอีกฝ่ายสอดเข้ามาถูไถกับลิ้นและเนื้อเยื่อนุ่มของเขา ริมฝีปากทั้งบนและล่างถูดดูดดึงสลับกัน ฮาจุนเองก็ส่งลิ้นของตัวเองเข้าไปในปากของมูคยอมเช่นกัน เรียวลิ้นของคนทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดกันยุ่งเหยิง

การหันหลังไปจูบอย่างดูดดื่มทั้งที่อยู่ในท่าคว่ำย่อมมีขีดจำกัด ท่าทางถูกสับเปลี่ยนอีกครั้ง ฮาจุนกลายมานั่งตัวเอียงอยู่บนโต๊ะ มือที่เคยจิกเล็บลงบนหน้าโต๊ะไม้ ปัดป่ายขึ้นไปตามกล้ามเนื้อหนาแกร่งแล้วโอบแขนรอบลำคอของมูคยอม

ลิ้นถูกดูดดึงและสอดลึกจนรู้สึกเหมือนจะแตะกับลำคอด้านใน หลังจูบกันอย่างลึกซึ้ง ฟันของมูคยอมก็ขบริมฝีปากล่างของฮาจุนแล้วกัดลงตรงคางที่สั่นเทาอย่างแผ่วเบา ปากของมูคยอมปัดผ่านแก้มไปขบเม้มใบหู และเมื่องับแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาแวบหนึ่ง ฮาจุนก็หลุดครางอย่างร้อนรุ่มออกมาพร้อมกับบีบรัดภายในร่างกายมากขึ้น

ขาทั้งสองข้างที่เคยแกว่งไกวกลางอากาศ ย้ายมาตวัดเกี่ยวรอบเอวของมูคยอม มือของมูคยอมลูบไล้แผ่นอกกับเอวเนียนลื่นซึ่งมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยแบบผ่านๆ

การเคลื่อนไหวของแกนกายที่เสียดแทงด้านล่าง รัวเร็วยิ่งขึ้น ส่วนหัวอวบกับลำท่อนขรุขระครูดขึ้นไปบดบี้ลงตรงต่อมลูกหมากที่บวมขึ้นเพราะถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่ซ้ำๆ

“ฮ้าาา! อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

“อึก…!”

ก้นของฮาจุนที่แผดเสียงออกมาเป็นระยะขณะสอดใส่เข้าจังหวะหดตัวเกร็ง ผนังภายในขมิบรัดราวกับจะบีบสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นให้หลุดออก มูคยอมเองก็ส่งเสียงครางแหบพร่าในลำคอและปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง แกนกายที่ฝังคาไว้ลึก กระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับฉีดพ่นน้ำรักร้อนระอุเข้าไปในร่างกายของฮาจุนหลายระลอก

ทุกครั้งที่ท่อนเนื้ออีกฝ่ายพองตัวขึ้นเบียดในร่างกาย และทุกครั้งที่น้ำกามทะลักพรวดๆ ออกมา ฮาจุนก็จะกระตุกตามไปด้วย เส้นเลือดสีน้ำเงินเขียวปรากฏเด่นชัดบนลำคอขาว ฮาจุนยืดคอเอนไปด้านหลัง ลมหายใจขาดห้วงไปหลายครั้งและน้ำตาก็ไหลริน จากนั้นก็กลับมาหายใจหอบอีกครั้งพร้อมบิดเอวไปมา

“อา… ฮื้อ…”

เสียงครางเชื่องช้าและเบาบาง ไม่ได้เป็นเพราะอารมณ์สงบลง แต่เหมือนจะเป็นเสียงที่เล็ดลอดออกมาในตอนสุดท้าย ขณะพยายามฝืนระงับอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูงมากกว่า

มูคยอมรู้สึกได้ถึงแกนกายที่กระดุกกระดิกราวกับใกล้จะปลดปล่อย เพราะขาและหว่างขาที่เชื่อมติดกับกระดูกเชิงกรานและต้นขาด้านในที่สั่นระรัว เกี่ยวรอบเอวของเขาเอาไว้ มูคยอมกระชับกอดร่างในอ้อมอกของตัวเองให้แน่นขึ้น ฮาจุนที่เคยร้องคร่ำครวญราวกับพยายามจะอดกลั้น กลับสะอื้นออกมาเพราะไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร

“ฮึก อึก ฉัน ทำยังไง ทำยังไงดี อ๊ะ อา”

“อื้อ ไม่เป็นไรนะ เวลาแบบนี้แค่ซึมซับความรู้สึกเฉยๆ ก็พอแล้ว”

“ฮื้อออ อือ ฮา อ๊า…!”

ในตอนที่มูคยอมแลบลิ้นเลียหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาบนแก้มขาวแล้วกดริมฝีปากซับ ฮาจุนก็ส่งเสียงครางหวิวออกมาไม่หยุดพร้อมกับตัวสั่นสะท้านราวกับรับมือไม่ได้ ฮาจุนทิ้งตัวลงนอนบนโต๊ะทั้งตัว

มูคยอมไม่ได้ถอนส่วนอ่อนไหวของตัวเองที่ยังคงแข็งขึงออกจากด้านในร่างกายของฮาจุน ริมฝีปากของเขาปัดป่ายไปบนแก้มขาว ใบหู และลำคอ เมื่อขยับไปมาด้านในอย่างเชื่องช้าทั้งที่ยังสอดคาไว้ ฮาจุนก็แอ่นเอวลอยขึ้นหลายครั้ง ขมิบตอดรัดท่อนเนื้อที่เติมเต็มในร่างกายอย่างแนบแน่นจนตัวเองยังรู้สึกได้ ถ้าไม่มีน้ำหนักตัวของมูคยอมกดเอาไว้ ร่างของฮาจุนคงลอยหวิวขึ้นมากลางอากาศ

เมื่ออาการสั่นสะท้านที่ยาวต่อเนื่องกันพักใหญ่สงบลงในระดับหนึ่ง มูคยอมจึงยกร่างกายท่อนบนขึ้นครึ่งตัว มีเพียงของเหลวสีใสเหนียวหนืดคล้ายน้ำหล่อลื่นไหลออกมาจากแกนกายของฮาจุนนิดหน่อยเท่านั้น อีกฝ่ายยังไม่ได้ปลดปล่อย

มูคยอมโน้มตัวลงลูบหัวฮาจุนซึ่งตัวอ่อนปวกเปียกและเหงื่อแตกพลั่กราวกับคนไข้ขึ้น

“สงบลงหน่อยหรือยัง”

“ฮื้อ…”

ร่างกายของทั้งคู่ยังคงสอดประสานกันอยู่ ฮาจุนกะพริบดวงตาชุ่มน้ำช้าๆ พร้อมกับทอดสายตามองมูคยอมซึ่งก้มลงมองตนเองนิ่งๆ

จากนั้นก็เหมือนกับตัดสินใจอะไรบางอย่างเป็นที่เรียบร้อย ฮาจุนทำคิ้วตกพร้อมกับพูดขึ้นเสียงแผ่วราวกับกำลังขอร้อง

“ทีนี้ ก็พอได้แล้ว…”

ฮาจุนรั้งคอของมูคยอมลงมาประทับริมฝีปากพร้อมเสียงดังจุ๊บ มูคยอมกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหวแล้วยกตัวที่เคยโค้งลงขึ้น ควรจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าถ้าบอกว่าให้พอแต่ทำตัวแบบนี้ก็ยิ่งเสียเปรียบกว่าเดิม

มูคยอมดันเอวเข้าไปยาวๆ ช้าๆ ทั้งที่ยังไม่ลบเลือนรอยยิ้ม ฮาจุนส่ายหน้าพร้อมกับพยายามจะผลักมูคยอม

“ฮ้าาา ไม่ ฮึก พอ พอ…!”

“เขาบอกว่าถ้าเสร็จแบบไม่หลั่งครั้งหนึ่งแล้ว ถึงจะกระตุ้นแค่นิดเดียวก็จะเสร็จได้เรื่อยๆ เลยนะ”

มูคยอมกดมือที่ผลักตัวเองออกลงบนโต๊ะพร้อมสอดประสานนิ้ว

เมื่อขยับเข้าออกรัวเร็วขึ้น ขาของฮาจุนที่เคยห้อยลงด้านล่าง ก็ไต่ขึ้นมาตามต้นขาด้านหลังของเขาแล้วตวัดรอบเอว อีกฝ่ายออกแรงราวกับตั้งใจจะหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของมูคยอมแต่ก็ไร้ประโยชน์

“ฮึก อ๊า! อา อ๊า…!”

“นายไม่อยากรู้เหรอ”

“ไม่อยากรู้ ฮ้า อ๊ะ ไม่อยากรู้”

คราวนี้มูคยอมประทับริมฝีปากลงบนปากของฮาจุนที่กำลังส่ายหน้าจนเสียงดังจุ๊บ จากนั้นก็จับมือของฮาจุนที่เคยกดไว้ ยกขึ้นมาให้ฝ่ามือของอีกฝ่ายถูไถแก้มของตัวเอง

“นักกีฬาที่สำคัญที่สุดสำหรับโค้ชอีคือใครนะ”

“ต้องเป็นนายอยู่แล้วสิ คิมมูคยอม อื๊อ สำหรับฉัน นายดีที่สุด เสมอ…”

“วันนี้คุณโค้ชรู้สึกไวไปหมด แล้วก็น่ารักจนอยากทำมากกว่านี้อีกนะ… แต่ทำไม่ได้เหรอ”

ฮาจุนสบตามูคยอมที่จ้องมองมาทางตนอย่างมุ่งมั่นพร้อมทำสีหน้าออดอ้อนเล็กน้อย ฮาจุนอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วใบหน้าแดงเถือก ไม่มีความมั่นใจเจืออยู่ในคำที่ตอบออกมาอย่างรีรอเลย

“ถ้างั้น… อีกแค่นิดเดียว…”

มูคยอมเหยียดยิ้มจนริมฝีปากเป็นเส้นโค้งขึ้นพร้อมโอบหลังฮาจุนให้ลุกขึ้นมา เขาช้อนก้นกับเอวของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นอย่างสบายๆ จากนั้นก็ก้าวเดินไป

ทุกครั้งที่ก้าวไปหนึ่งก้าว ก็จะได้ยินเสียงเฉอะแฉะจากส่วนที่ประสานเป็นหนึ่งเดียว ฮาจุนโอบแขนรอบลำคอของมูคยอมแล้วมุดใบหน้าลงกับไหล่ของเขา เสียงครางเลือนรางและแผ่วเบาดังออกมาจากปากของอีกฝ่ายราวกับเสียงร้องไห้

ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก โดยที่โทรศัพท์ยังอยู่ระหว่างการถ่ายทอดและถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ

“เล่นกับคุณแฟนนี่สนุกกว่าดูประเทศอื่นเล่นบอลอย่างที่คิดจริงๆ”

เสียงของมูคยอมดังขึ้นอย่างแผ่วเบาตรงทางเดินที่เชื่อมไปยังห้องนอน

* * *

พวกนักกีฬาที่วิ่งเสร็จเรียบร้อยกำลังพักชั่วคราวไปพร้อมๆ กับดื่มน้ำหรือไม่ก็ใช้ผ้าเช็ดตัวสำหรับเล่นกีฬาซับเหงื่อ ฮาจุนกำลังถือสมุดโน้ตยืนเหม่อราวด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนชอบกล แล้วแฮร์รี่ก็ตีไหล่ของเขาเบาๆ

“ดูเหนื่อยๆ นะ เมื่อวานจุนก็ดูเอลกลาสิโกหรือเปล่า”

ฮาจุนยิ้มขมขื่นพร้อมกับพยักหน้า

“ครับ ถึงจะดูไม่จบก็เถอะ”

“งั้นเหรอ ช่วงท้ายครึ่งหลังสนุกจริง แข่งจบด้วยคะแนนสองต่อสอง แต่ก็ทะเลาะแล้วกระชากคอเสื้อกันจนได้ใบแดง วุ่นวายกันไปหมด เมื่อวานร้านเหล้าที่คนมีเรื่องกันก็น่าจะเยอะแยะเลย”

“ศึกคู่ปรับในประเทศเดียวกันก็เป็นแบบนั้นบ่อยนี่ครับ”

“เพื่อนฉันคนหนึ่งก็เป็นแฟนคลับมาดริด ส่วนแฟนมันเป็นแฟนคลับบาร์เซโลนาน่ะ ถึงช่วงนี้ทีไรก็ดูแข่งด้วยกันแล้วทะเลาะกันตลอดเลย ถ้าจะเป็นแบบนั้น แค่แยกกันดูก็พอแล้วแท้ๆ ไม่รู้มันทำบ้าอะไร สงสัยจะสนุกอยู่ลึกๆ”

ฮาจุนส่ายหน้า

“ไม่มีทางหรอกครับ”

“เป็นแบบนั้นทุกปีเลยนะ”

“…ไม่เข้าใจเลยนะครับ ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ดูด้วยกันเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด”

“ใช่ไหมล่ะ”

ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันแบบนั้น ใครบางคนก็เข้ามาแทรกจากด้านหลังอย่างฉับพลัน

“คุยอะไรกันอยู่”

มูคยอมปิดฝาขวดน้ำพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าสดใส ต่างกับฮาจุนที่ดูไม่มีแรงอย่างไรชอบกล

“เรื่องเอลกลาสิโก คิม นายก็ดูด้วยไหม”

“ดูไม่จบหรอก มีธุระอื่นขึ้นมากลางคันน่ะ”

“กำลังคุยเรื่องเพื่อนของฉันอยู่ มันเชียร์คนละทีมกับแฟนแต่ดูด้วยกันทุกปีแล้วทะเลาะกันตลอดเลย จุนเขาบอกว่าไม่เข้าใจ บอกว่าถ้าเป็นเขาก็จะไม่ดูด้วยกันอีก”

มูคยอมทำตาโตอย่างเกินจริง

“โถ่ ฉันชอบดูด้วยกันนะ”

“ทั้งที่ทะเลาะกันทุกปีน่ะนะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดูด้วยกันสนุกออกนี่”

จากนั้นมูคยอมก็เดินเข้ามาหาฮาจุนแล้วพาดไหล่

“ใช่ไหม”

ฮาจุนเหล่ตามองมูคยอมแทนคำตอบ แล้วในระหว่างที่แฮร์รี่ชวนนักกีฬาคนอื่นคุย เขาก็ดีดหน้าผากมูคยอมเข้าให้

“มาใช่ไหมอะไรล่ะ ฉันจะไม่ดูกับนายอีกแล้ว”

“ไหงงั้นล่ะ เมื่อวานก็ออกจะดี”

“นายดีอยู่คนเดียวน่ะสิ”

“ใจร้ายจัง เพิ่งจะร้องไห้บอกรักนะ เหมือนจะตายเลย ดีมากเลย แล้วเกาะตัวฉันแน่นไปเองแท้ๆ… ฉันน่าจะอัดเสียงไว้ให้หมด”

“จะไม่เงียบใช่ไหม”

ฮาจุนหน้าแดงก่ำแล้วคราวนี้ก็ใช้สมุดโน้ตฟาดลงบนหลังของอีกคน แต่มูคยอมไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย กลับยิ้มร่าพร้อมกับกอดฮาจุนจากด้านหลัง ฮาจุนถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยืนพิงตัวของมูคยอมราวกับยอมแพ้

“อ๊ะ อื๊อ!”

“ถ้าดูดรูนายตอนนี้คงจะหวานน่าดู”

“ยะ อย่านะ ถ้านายทำล่ะก็…”

เสียงของฮาจุนสั่นไปหมดเพราะกลัวว่ามูคยอมจะทำแบบนั้นจริงๆ มูคยอมหัวเราะคิกคักพร้อมกับดันนิ้วชุ่มครีมเข้าไปหนึ่งนิ้วโดยไม่ทิ้งจังหวะนานมากนัก

พายครีมคัสตาร์ดที่มูคยอมเอามา เป็นของหวานที่ฮาจุนชอบ มันขายอยู่ในคาเฟ่ใกล้ๆ สนามฝึก ฮาจุนได้ลองชิมจากโค้ชสักคนแล้วทำตาโต ชมว่าอร่อยไม่หยุด จากนั้นเป็นต้นมา มูคยอมก็จะเตรียมพายอันนี้ให้มีติดบ้านไว้เสมอ

เมื่อสิ่งที่ตัวเองกินอย่างเพลิดเพลิน ถูกป้ายลงตรงด้านหลังจนหนาเตอะแล้วดันลึกเข้ามาถึงด้านใน ฮาจุนก็รู้สึกแปลกๆ จนหน้าร้อนวูบวาบ มูคยอมคงไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น หรือไม่ก็รู้เลยยิ่งทำแบบนั้น มูคยอมกระซิบข้างหูของเขา

“นายชอบครีมพายอันนี้นี่ กินทางด้านหลังแล้วรสชาติเป็นไงบ้าง”

มูคยอมที่เพิ่มนิ้วเป็นสองนิ้วแล้วชักเข้าออกยกตัวขึ้นก้มลงมองด้านล่างแล้วหัวเราะ

“รู้สึกอย่างกับว่านายกินๆ อยู่แล้วคายออกมาเลย”

“ขอทีเถอะ หยุดพูด แบบนั้น อ๊าาา อา…”

ฮาจุนพูดขึ้นมาคำหนึ่ง หวังจะหยุดคำพูดลามกพวกนั้น แต่มูคยอมก็งอนิ้วที่ฝังลึกอยู่ แล้วกดพร้อมกับถูนิ้วลงตรงเนื้อเยื่อด้านในที่ไวต่อความรู้สึกซึ่งอยู่ใกล้ๆ ต่อมลูกหมากที่เชื่อมต่อกับแกนกายอย่างแรง คำพูดของฮาจุนขาดห้วงและ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางสั่น ความรู้สึกหวานล้ำราวกับครีมจริงๆ ก่อตัวขึ้นตรงหน้าท้องส่วนล่าง ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก

มูคยอมถอดเสื้อเชิ้ตให้เขา จากนั้นใช้มืออีกข้างหยิบพายชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วบี้มันลงบนหัวนมของฮาจุนทั้งชิ้น ครีมนุ่มๆ เปรอะกระจายไปทั่วแผ่นอก

เมื่อนิ้วถูไถลงบนติ่งเนื้อแข็งเป็นไต ฮาจุนก็ชาไปทั้งแผ่นหลัง มูคยอมใช้ลิ้นกวาดเลียหัวนมเฉอะแฉะกับแผ่นอกทั่วทุกจุดที่เปื้อนครีม จากนั้นมูคยอมก็หัวเราะขึ้นมาราวกับกำลังสนุก

“หวาน”

“ฮ้า ฮา อ๊า…”

ในขณะที่ลิ้นของมูคยอมกวาดกินครีมที่เปื้อนบนหน้าอก นิ้วมือก็จำนวนเป็นสามนิ้วและสี่นิ้วตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้พร้อมกับขยับเข้าออกช่องทางด้านหลังและบดถูลงตรงจุดรวมความรู้สึก มูคยอมควงนิ้วเบียดด้านในเป็นวงกลมพร้อมเขย่าและหมุนข้อมือ

ฮาจุนรู้สึกเหมือนกลายเป็นอาหารที่เตรียมจะถูกมูคยอมกิน ร่างกายที่ทั้งถูกดูดดึง ทั้งถูกกดสอดทั้งด้านบนด้านล่าง รู้สึกอ่อนปวกเปียกราวกับจะหลอมละลายกลายเป็นครีมจริงๆ ความรู้สึกนั้นทำให้ฮาจุนส่ายหน้าไปมา

ทว่าต่อให้พยายามตั้งสติมากแค่ไหน ความกระสันที่กลืนกินตัวเขาเข้าไปไม่ปล่อยก็เพียงแค่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ศีรษะที่สั่นคลอน เอนไปด้านหลังมากขึ้นทีละนิด พร้อมกันนั้น การมองเห็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนและพร่ามัวขึ้นเพราะความสุขสม และในตอนนั้นเอง

‘โกล!’

เสียงตะโกนของผู้บรรยายที่เคยฟังดูห่างไกล จู่ๆ ก็ดังลอดเข้ามาในหูอย่างแจ่มชัด ฮาจุนหันหน้าขวับไปมองโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างกาย มูคยอมเองก็เช่นกัน

“ยิงเข้าไปแล้วนี่”

ฮาจุนพูดเสียงดังอย่างชัดถ้อยชัดคำ ข้อความบอกคะแนนเปลี่ยนเป็นสองต่อหนึ่ง ตัวรุกของมาดริด วินเทอร์ผู้ซึ่งถูกมูคยอมปรามาสไว้ในห้องโฮมเธียเตอร์ ว่าขาอ่อนเปลี้ยจนน่าจะออกกำลังยามค่ำคืนไม่ได้เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ กำลังวิ่งไปพร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มที่ บางทีน่าจะเป็นการทำประตูของวินเทอร์เอง

“สองต่อหนึ่งแล้ว!”

ฮาจุนมองหน้ามูคยอมตรงๆ พร้อมกับพูดขึ้น

แผ่นอกของมูคยอมถูกดันออกไปทันควัน ฮาจุนไม่ได้ใช้แรงเยอะขนาดนั้น แต่การกระทำอันฉับพลันก็ทำให้มูคยอมก้าวถอยหลังไปตั้งหลักราวกับทำอะไรไม่ถูก นิ้วของมูคยอมที่เคยฝังลึกในร่างกายลื่นหลุดออกไปตามธรรมชาติ ส่วนขาของฮาจุนที่เคยยกสูงก็ร่วงผล็อยลงด้านล่าง ฮาจุนรีบดันตัวลุกขึ้นจากที่เคยนอนอยู่บนโต๊ะ

มูคยอมสนใจการกระทำอันไม่คาดคิดของฮาจุน มากกว่าความเป็นไปของการแข่งที่มาดริดพลิกสถานการณ์ได้สำเร็จ คราวนี้มูคยอมเป็นฝ่ายถูกดันมานั่งฮวบลงบนเก้าอี้

“โค้ชอี”

“นายอยู่เฉยๆ”

มือของฮาจุนดึงขอบกางเกงกับชั้นในของมูคยอมลงอย่างแรง แกนกายที่ตื่นตัวในระหว่างลูบไล้ฮาจุน ดีดออกมาด้านนอกอย่างแข็งขัน

ฮาจุนเอาแกนกายที่ตั้งตระหง่านออกมา แล้วคุกเข่าขึ้นบนเก้าอี้อย่างใจร้อน ในขณะที่มูคยอมกะพริบตาปริบๆ ฮาจุนก็ยกก้นขึ้นให้ช่องทางรักของตัวเองตรงกับปลายหัวมนของท่อนเนื้อที่ตั้งชันและขยายใหญ่

“อา… อือ”

เมื่อกดเอวลงทั้งอย่างนั้น ช่องทางที่มือของมูคยอมขยายไว้เรียบร้อยก็กลืนกินท่อนเนื้ออวบเข้าไปได้อย่างไม่ยากอะไรนัก

ทว่าท่าขึ้นคร่อมที่ถ่ายน้ำหนักตัวลงมา เป็นท่าที่ฮาจุนมักจะรู้สึกลำบากใจเสมอ เพราะอย่างนั้น แทนที่จะลองทำท่านี้ตั้งแต่เริ่มแรก หลายครั้งจึงมักจะเปลี่ยนท่าหลังเซ็กส์ดำเนินไปได้ประมาณหนึ่ง จนร่างกายของฮาจุนชินกับการรองรับตัวของมูคยอมแล้วมากกว่า

เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮาจุนหายใจหอบพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนทรมานกับการสอดใส่ที่รุกล้ำเข้ามาถึงอวัยวะด้านใน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หยุดกดเอวลงมา

“อ๊า ฮ้าาา”

ในตอนที่แกนกายถูกกลืนกินเข้าไปจนถึงโคน พนักพิงเก้าอี้ที่สามารถเอนหลังได้ จู่ๆ ก็เอนไปข้างหลังรวดเดียวจนเกือบเป็นแนวราบ ตัวของฮาจุนที่เคยยึดไหล่มูคยอมไว้ก็เซไปด้านหน้าเช่นกัน ฮาจุนรีบกดมือลงบนอกแกร่งของชายหนุ่มที่นอนอยู่ใต้ร่าง พร้อมกับประคองร่างกายของตัวเองที่เกือบจะล้มลงไว้

“อื๊อ อึก”

“มีอารมณ์เหรอ”

ด้านในร่างกายบีบรัดแน่นโดยอัตโนมัติเพราะตื่นตกใจที่ตัวเอนเอียงอย่างกะทันหัน ฮาจุนพ่นลมหายใจหอบออกมาทางปาก มูคยอมเองก็หอบอยู่เช่นกัน ฮาจุนไม่สามารถแม้แต่จะส่ายหน้าหรือพยักหน้าได้ เขามองหน้ามูคยอมตรงๆ โดยมีน้ำตาที่ไหลออกมาตามกระบวนการการทำงานของร่างกายเกาะอยู่ตรงขนตาล่าง

“จู่ๆ ก็อยาก รีบทำเร็วๆ ขึ้นมา…”

เมื่อพูดออกไป ใบหน้าก็ร้อนผ่าว จู่ๆ ฮาจุนรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นเพราะสถานการณ์ของเกมพลิกผัน แล้วอยากกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมูคยอมเร็วๆ ขึ้นมา เขาไม่รู้มาก่อนเลยเพราะไม่เคยมีเซ็กส์พร้อมกับดูการแข่งขันไปด้วยสักครั้ง แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากอย่างหนึ่ง กลับเชื่อมโยงกับอีกอย่างไปด้วยเสียอย่างนั้น

ฮาจุนตื่นเต้นดีใจเพราะคะแนนที่พลิกกลับมาเป็นสองต่อหนึ่ง จึงพุ่งเข้าหามูคยอมแล้วจับใส่เข้ามาโดยไม่ได้คิดอะไร จนถึงตอนก่อนนี้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่มันคงกะทันหันไปจริงๆ เมื่อสิ่งใหญ่โตเข้ามาเติมเต็มร่างกายจึงลำบากไม่น้อย ฮาจุนรู้สึกจุกมากทีเดียว รู้สึกเหมือนอวัยวะด้านในถูกดันขึ้นมาจนในท้องอัดแน่นไปหมด

“ฮู่ว อื๊อ…”

รู้สึกคิดผิดนิดหน่อยที่ขึ้นคร่อมมูคยอมด้วยอารมณ์อยาก แต่ถ้าถามว่ามีแต่ทรมานอย่างเดียวไหม ก็ไม่ใช่ ฮาจุนชินกับความคับแน่นของแกนกายที่แทรกเข้ามาเบียดเสียดโพรงเนื้อด้านในทีละนิด พร้อมกันนั้น ความเสียวกระสันที่ร่างกายคุ้นเคยก็โหมกลับเข้ามา

แม้ว่าไม่ได้กำลังขยับ แต่ท่อนเนื้ออวบที่บดเบียดอยู่ลึกด้านในก็ทำให้ตัวสั่นเทิ้ม เมื่อฮาจุนยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้มันหลุดออกไปนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าเข้ามาลึกเกิน ส่วนหัวอวบกับเส้นเลือดปูดโปนบนแกนกายที่แนบชิดกับเนื้อเยื่อนุ่มก็ครูดผนังด้านในที่ไวต่อความรู้สึกอย่างแนบแน่น ทำให้ฮาจุนต้องตัวสั่นเบาๆ

นิ้วของมูคยอมสอดใส่เข้ามาครู่หนึ่งแล้วก็จริง แต่ด้านในยังคงคับแคบ และคงเพราะใช้ครีมไม่ใช่เจล ด้านในจึงขัดตึงกว่าปกติ และเพราะอย่างนั้น เนื้อเยื่ออ่อนนุ่มจึงแนบติดสนิทกับแกนกาย ทำให้รู้สึกถึงเค้าโครงของมันอย่างแจ่มชัดมากขึ้น

ในขณะที่ยกเอวขึ้นช้าๆ ก้นของฮาจุนก็สั่นงึกแล้วเสียงครางหวิวก็ดังลอดออกมา

“ฮ้า อื๊อ ฮึก”

“ลองขยับดีๆ ดูสิ”

มูคยอมยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นพร้อมกับพูด

“จับฉันนอนอย่างฮึกเหิมแท้ๆ แต่ทำไมสงบเสงี่ยมแบบนี้”

“อ๊า!”

มูคยอมหยัดเอวขึ้นดังปั้ก ปั้ก เมื่อก้นที่เคยลอยคว้างกดลงชิดด้านล่าง ความเสียวแปลบปลาบราวกระแสไฟฟ้าก็วิ่งพล่านตามกระดูกสันหลังขึ้นมาจนถึงลำคอ ฮาจุนเอนหัวเงยหน้าขึ้นหาเพดานแล้วร้องเสียงหวะหวิว มูคยอมจับข้อมือของฮาจุนดึงเข้ามาหาตัว

ฮาจุนรู้ว่าในเวลาแบบนี้ ถ้าอีกฝ่ายจับมือหรือข้อมือของเขาก็หมายความว่าให้ขยับ ฮาจุนพยายามขยับเอวขึ้นลงอย่างตั้งใจ แล้วมูคยอมก็หยุดการเคลื่อนไหว ฝากร่างกายไว้กับการขยับโยกเอวของฮาจุน รอยยิ้มของเขาค่อยๆ กว้างขึ้น

“อ๊า อ๊าาา อึก อา ฮ้า…”

เสียงครางอันเร่าร้อนพรูออกมาไม่หยุด ทุกครั้งที่ตัวขยับขึ้นลง แกนกายที่เหยียดตรงของตัวเองก็แกว่งไกวตามไปด้วย เมื่อทิ้งตัวนั่งลงแล้วลำกายอีกคนเบียดแทรกเข้าไปด้านใน กล้ามเนื้อหน้าท้องเนียนสวยก็จะบีบหดตัวอย่างเห็นได้ชัด

มูคยอมปล่อยข้อมือข้างหนึ่งแล้ววางมือลงบนหน้าท้องของฮาจุน เพลิดเพลินกับการสัมผัสความใหญ่โตของท่อนเนื้อตัวเองและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อจากด้านในนั้น มูคยอมกวาดฝ่ามือไล้หว่างขาเนียนอย่างอ่อนโยน

มือของมูคยอมสัมผัสลงมาอย่างนุ่มนวล แต่ฮาจุนผู้ซึ่งบดเอวสุดแรงกลับรู้สึกว่าสัมผัสนั้นเหมือนกับเข็มที่ปักลงมาให้รู้สึกเสียวแปลบ ฮาจุนหยุดขยับเอว ตัวสั่นเทิ้มเบาๆ

มือของมูคยอมไล้ขึ้นมาตรงท้องน้อยกับซี่โครง แล้วไต่ขึ้นมาจนถึงยอดอกที่มันวาวเพราะเปื้อนครีม นิ้วของอีกฝ่ายบดคลึงติ่งเนื้อเล็ก ไม่ผละไปไหนพร้อมพูดขึ้น

“อย่าหยุดสิ”

เมื่อหยัดเอวขึ้นดังปั้กอีกครั้ง ฮาจุนก็ส่งเสียงร้องเหมือนจะขาดใจ

ฮาจุนทิ้งน้ำหนักลงบนตัวมูคยอมมากกว่าเดิมราวกับทรุดฮวบลงไป แกนกายถลำลึกเข้าไปถึงด้านในยิ่งขึ้น เขาตั้งใจจะดึงตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งแต่ขาที่คุกเข่านั่งอยู่กลับอ่อนเปลี้ย จึงเบียดก้นลงกับบริเวณต้นขากับกระดูกหัวหน่าวของมูคยอมพร้อมขยับโยกเอวไปทางหน้าหลัง

ฮาจุนรู้สึกได้ว่าส่วนปลายแกนกายที่ฝังอยู่ลึก แหวกโพรงเนื้อให้ขยายกว้างขึ้นอีกระดับพร้อมกระทุ้งด้านใน มันไม่มีทางเป็นไปได้ก็จริง แต่เขารู้สึกเหมือนหูได้ยินเสียงทุ้มหนักที่กระแทกกระทั้นอยู่ในท้องของตัวเอง

“ฮ้าาา ฮา อ๊า อ๊า”

ความรู้สึกถูกกระแทกแบบนั้นก็แผ่ลามไปทั่วร่างกายทีละนิดเช่นกัน พวกเขามีเซ็กส์กันครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วนและตอนนี้ก็คุ้นเคยกับการทำแบบนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ ทุกวินาทีที่ความเจ็บปวดผสานเข้ากับความหวามไหวแล้วร่างกายถูกความรู้สึกอย่างหลังยึดครอง ฮาจุนกลับรู้สึกแปลกใหม่อยู่เสมอราวกับมันเป็นบานประตูที่เขาได้เผชิญเป็นครั้งแรก

ในตอนที่ความรู้สึกทั้งสองอย่างตีรวนอยู่ในร่างกาย มีเขาเพียงคนเดียวที่ดิ้นเร่าๆ น้ำตาไหลเพราะความสับสนของความรู้สึก และในตอนที่ความรู้สึกทั้งสองพันกันยุ่งแล้วรวมเป็นก้อนเดียว…

“ฮึก อ๊า อา อ๊าาา อ๊า…!”

มวลคลื่นความสุขสมที่หนาทึบ ลึกล้ำ และแนบแน่นก็โหมกระหน่ำเข้ามา

ทั้งตัวเริ่มสั่นระริก เมื่อความรู้สึกใกล้จะถึงจุดสุดยอดโฉบตะครุบร่างกาย ฮาจุนก็ขยับไม่ได้อีกต่อไปแล้วทิ้งตัวนั่งลงร้องครวญคราง มูคยอมจับข้อมือเขาดึงกลับไปแล้วเสือกเอวขึ้นด้านบนดังปั้กๆ อย่างไร้ความปรานีตั้งแต่ตอนนั้น แก่นกายยังคงย้ำอย่างหนักหน่วง ร่างกายที่ถูกกระทุ้งตรงจุดที่ลึกที่สุดหลายครั้งและถูกบดเคล้าโพรงเนื้อด้านในที่ไวต่อความรู้สึกอย่างรัวเร็ว ร่างกายของฮาจุนมาถึงขีดจำกัดอย่างสมบูรณ์

“อ๊า อ๊า อ๊าาา!”

ฮาจุนเชิดหน้าขึ้นหาเพดานที่ทั้งตัวสั่นสะท้านเอนตัวไปด้านหลัง มูคยอมเห็นอย่างนั้นก็เลยยกยิ้มออกมา

น้ำรักไหลออกมาจากส่วนหัวมนสีแดงจัดแล้วหยดติ๋งๆ ลงบนหน้าท้องส่วนล่างอันแข็งแกร่งของมูคยอม ฮาจุนนั่งตัวตรงและสั่นเทิ้มแบบนั้น แล้วชั่วขณะหนึ่งก็ทิ้งร่างกายท่อนบนลงซบกับแผ่นอกของมูคยอม

มูคยอมดูดดึงริมฝีปากของฮาจุนซึ่งหายใจหอบระรัวอยู่ทันที

“อึก อือ ฮื้อ…”

เมื่อปัดป่ายลิ้นภายในปาก ด้านหลังที่ไปถึงฝั่งฝันแล้วก็กระตุกบีบรัดเข้ามาอีก เรียวลิ้นลื่นและชื้นแฉะที่เกี่ยวพันกัน กวาดควานภายในปากของมูคยอมเพื่อเสาะหาความหฤหรรษ์อย่างไม่ยอมแพ้ มูคยอมส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

“คราวนี้ขย่มคนเดียวตั้งแต่แรกแล้วก็เสร็จซะด้วยสิ”

มูคยอมพูดแล้วจู่ๆ ก็ดันตัวขึ้นมา มือสอดเข้ามาด้านหลังเข่าเพื่อช้อนสะโพกของฮาจุนแล้วลุกจากเก้าอี้ทั้งอย่างนั้น

สิ่งที่ฝังคาลึกอยู่แล้ว ยิ่งถลำเข้าไปด้านในมากกว่าเดิม ความรู้สึกนั้นทำให้ฮาจุนโอบแขนรอบคอมูคยอมพร้อมส่งเสียงร้อง

“ฮ้าาา อ๊ะ เดี๋ยว ฉันเพิ่ง…!”

มูคยอมทำให้คำพูดของฮาจุนหยุดลงโดยการอัดสะโพกโยกอย่างรุนแรงและรัวเร็วทันทีที่ลุกขึ้น เมื่อตอกร่างเข้าไปด้านในอย่างหนัก เสียงที่เกิดขึ้นยามโพรงเนื้อถูกสอดทะลวงตามอำเภอใจ และยามผิวกายกระทบกัน ก็แผ่ลามไปจนถึงด้านใน แล้วสั่นสะเทือนร่างกายที่เพิ่งเผชิญจุดสุดยอดตั้งแต่ตรงจุดลึก

“อ๊าาา อ๊า! อ๊า! ดะ เดี๋ยว ฮึก เดี๋ยว ก่อน…!”

ความซ่านเสียวสาดซัดร่างกายที่อ่อนไหวขึ้นจนเกินจะรับไหว ฮาจุนกระเสือกกระสนเพื่อที่จะดึงตัวออกให้ได้ แต่ไม่มีหนทางไหนเลยเพราะอยู่ในท่าที่มีร่างกายของมูคยอมเพียงคนเดียวที่รองรับตัวเองไว้ แม้ฮาจุนที่ตัวไม่ได้เล็ก พลิกตัวทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย แต่แขนขาของมูคยอมก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

ฮาจุนทำท่าจะร้องไห้พร้อมกับออกแรงแขนที่โอบยึดรอบลำคอของมูคยอม เขากระชับขาที่เกี่ยวรอบเอวของอีกฝ่ายแล้วพยายามที่จะดึงตัวเองขึ้นแม้จะแค่นิดเดียวก็ยังดี

ทว่ามันกลับขัดแย้งกันไปหมด ยิ่งดึงตัวขึ้นเพื่อที่จะหนีมากเท่าไร ฮาจุนก็ต้องร่วงลงด้านล่างอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงการสอดใส่ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ท่อนเนื้อแข็งขึงและอวบใหญ่ยังไม่ปลดปล่อยออกมาเลยสักครั้ง มันสอดทะลวงเข้ามาในร่างกายจนเสียงดังปั้กๆ กลางอากาศโดยที่ไม่ฟังคำอ้อนวอนจากเขาเลย

ฮาจุนอยากหนีเพราะรู้สึกไม่มีสติ แต่ด้วยสภาพที่ถูกอุ้มอยู่กลางอากาศ เขาจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ เมื่อใจร้อนรนมากขึ้น แขนที่โอบรอบคอของมูคยอมก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีกระดับ

น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ ไหลลงมาบนแก้ม ลิ้นของมูคยอมเลียหยาดน้ำตาแล้วก็พูดขึ้นว่า

“ถ้ารูนาย ร้องไห้ได้ ก็คงจะดี… ฮู่ว มันแห้งก็เลย ฝืดไปหน่อย ใช่ไหม”

ครีมคัสตาร์ดที่ทาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ตอนนี้มันไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นได้อย่างดีแล้ว มูคยอมเบียดริมฝีปากลงบนลำคอของฮาจุนหนักๆ

“ถ้าฉันปล่อยข้างในสักครั้ง ฮ้าาา เดี๋ยวก็แฉะ แล้วจะสบายขึ้น”

“ฮื้อ! อ๊า อ๊าาา!”

ทันทีที่พูดจบ แกนกายที่ฝังอยู่ในร่างก็พ่นของเหลวออกมา แล้วด้านในร่างที่สอดประสานก็ร้อนวาบ

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะยึดตัวอีกฝ่ายไว้แน่น แต่ขาก็เหยียดยาวไปกลางอากาศและตัวสั่นงึก เพราะอุณหภูมิของน้ำรักที่ฉีดพ่นราวกับทะลักใส่บริเวณใกล้กับต่อมลูกหมากนั้นตรงจุดไวต่อความรู้สึกอย่างแม่นยำ ท้องน่องยกแนบติดกับแผ่นหลัง กล้ามเนื้อโคนขาขาวเกร็งเครียดจนขึ้นรูปชัด ของเหลวสีอ่อนจากปลายแกนกายที่เพิ่งจะปลดปล่อยได้ไม่นานหยดติ๋งๆ อีกครั้ง จนเลอะเทอะไปบนท้องของตัวเอง

มูคยอมขับน้ำรักออกมาอย่างเนิ่นนาน อีกฝ่ายยังอุ้มฮาจุนและไม่ยอมหยุดขยับเอว จนกระทั่งขับของเหลวออกมาหมดจึงก้มตัวลงทั้งที่กอดอยู่ในท่านั้น ตอนนี้ฮาจุนสัมผัสได้ถึงพื้นที่รองรับแผ่นหลังของตัวเองอย่างมั่นคง เขาผ่อนคลายความตึงเครียดไปชั่วขณะหนึ่ง

แต่ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าตัวเองถูกจับนอนลงบนโต๊ะอีกครั้ง มูคยอมก็จับขาทั้งสองข้างของเขาชิดกันแล้วกระแทกเอวเข้ามายังร่างของเขาอย่างหนักหน่วงราวกับกำลังตีก้น การสอดใส่ต่อเนื่องโดยไม่มีจังหวะให้พักหายใจหายคอ ทำให้มือของฮาจุนที่ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว ขูดกับหน้าโต๊ะอย่างเลี่ยงไม่ได้

“อา ฮ้า! อึก อื๊อ!

“ที่นายใจร้อน แล้วรุกฉันก่อน ฮ้าาา มันยั่วอารมณ์ดีจริงๆ ฮาจุน”

เพียงแค่เปลี่ยนท่าเท่านั้น ไม่มีเวลาให้ได้พักเลยสักนิด เมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในท่าที่รู้สึกมั่นคงกว่า กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนร่างกายถูกจ้วงเข้าออกลึกและถี่รัวยิ่งกว่าเมื่อสักครู่ จนทำให้ฮาจุนต้องกัดฟัน

มูคยอมพูดลอดไรฟัน เสียงของอีกฝ่ายดังลอดเข้ามาในหู

“ดูผู้ชายคนอื่น ทำประตู แล้วมีอารมณ์ ได้ยังไง หืม”

“อ๊าาา ไม่ ไม่ใช่นะ อ๊า ฮ้า อื๊อ…!”

‘ไม่ใช่เพราะคนอื่นยิงประตูได้ แต่เพราะสถานการณ์พลิกกลับก็เลยรู้สึกดีเฉยๆ ต่างหาก…!’

ในความเป็นจริง เขาไม่ได้เห็นฉากทำประตูด้วยซ้ำ แต่สัมผัสที่ทะลวงเข้าออกในร่างกายหนักๆ ไม่หยุดก็ดิบเถื่อนเกินกว่าจะอธิบายสาเหตุนั้นให้มูคยอมฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้

วินเทอร์ซึ่งเป็นตัวรุกเริ่มวิ่งเลี้ยงบอลไปตรงขอบสนาม ฮาจุนแอบมองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมทันที มูคยอมในตอนที่วิ่งเลี้ยงลูกจากเส้นแบ่งเขตสนามไปทำประตูเหมือนภาพที่ฉายขึ้นบนหน้าจอในตอนนี้ ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วจริงๆ รวมทั้งตอนเตะลูกสุดแรงจากบริเวณนั้นเพื่อยิงประตูระยะกลางด้วย

ถ้าคิมมูคยอมคนนั้นพูดว่า ‘ได้เพราะโชคช่วย’ ทั้งที่เป็นการยิงระยะกลางในแบบคล้ายๆ กัน ก็เท่ากับว่าเขากำลังวิจารณ์ตัวเอง ต้องรู้สึกวุ่นวายใจอยู่แล้วละ

การเลี้ยงลูกหลบหลีกคู่แข่งหรือยิ่งประตูระยะไกล ถ้าเอว กล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อต้นขาด้านนอก และข้อเท้าที่แข็งแรง ออกแรงได้ไม่ทั่วถึง ต่อให้เทคนิคดีแค่ไหนก็ยากที่จะส่งลูกเข้าประตูไปได้ มูคยอมมีทั้งพละกำลังและเทคนิค ในตอนที่เลี้ยงลูกหลบคู่แข่ง จนกระทั่งส่งบอลเข้าประตูไป มูคยอมก็ยังคงความสุขุมไว้ได้

กลับกันเห็นว่าวินเทอร์ในจอเริ่มกระสับกระส่ายและไม่สามารถหลบหลีกคู่แข่งอย่างมีพลังไปจนถึงโกลได้ สุดท้ายจึงถูกฝั่งบาร์เซโลนาแย่งลูกไป แล้วการเลี้ยงลูกหลบหลีกที่เริ่มต้นอย่างมุ่งมั่นก็จบลงด้วยความงงงวย

น่าเสียดาย แต่ไม่ว่าใครต่างก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นประสิทธิภาพแบบนั้นได้ ฮาจุนจิบไวน์พร้อมกับรู้สึกภาคภูมิใจในตัวมูคยอมซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขึ้นมาโดยไม่จำเป็น

“เป็นแบบนั้นแล้วออกกำลังตอนกลางคืนจะได้เรื่องเหรอ”

“…หืม”

ฮาจุนเบิกตากว้างมองมูคยอมเพราะคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอีกฝ่ายโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยในตอนนั้น

“วิ่งนิดหน่อยก็ขาเปลี้ยสั่นงกๆ ไปหมด แล้วตอนกลางคืนจะออกแรงได้อย่างเต็มที่หรือไง”

“ใคร วินเทอร์เหรอ”

“ใช่ อ่อนแอเกินไปที่จะได้ชื่อว่าเป็นตัวรุกนะ”

น้ำเสียงอีกฝ่ายหาเรื่องอย่างชัดเจน แต่ฮาจุนกลับพยักหน้าเห็นด้วยแทนที่จะโกรธ เพราะเขาเคยชินกับการสังเกตร่างกายของพวกนักกีฬาในฐานะโค้ชกายภาพ

“นายพูดถูก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโปรแกรมฝึกซ้อมของมาดริดทำกันแบบไหน แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเน้นฝึกกล้ามเนื้อสะโพกกับกล้ามเนื้อขาด้านหลังในการฝึกขั้นพื้นฐาน ถ้ามองด้วยตา ขาดูแข็งแรงขนาดนั้นก็จริง แต่ถ้ามีกำลังไม่พอ มันก็จะไม่ใช่ปัญหาของร่างกายท่อนล่างเพียงอย่างเดียวแล้ว กลับเป็นปัญหาของแกนกลางลำตัว เอว แล้วก้นด้วยซ้ำ”

“…”

“สาเหตุที่วินเทอร์มีอาการบาดเจ็บเป็นระยะก็เหมือนกัน ฉันคิดว่านั่นก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเขาก็ค่อนข้างดีมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นถ้าปรับใช้โปรแกรมการฝึกให้เหมาะสมก็คงจะมีประสิทธิภาพขึ้นแน่ๆ ทีมใหญ่ขนาดนั้นทำไมถึงไม่ปรับ…”

“ดูละเอียดจังนะ อย่างกับพินิจพิจารณาดูทีละส่วนๆ เลย”

มูคยอมพูดแทรกขึ้นทันควัน ฮาจุนละสายตาที่เคยจ้องมองหน้าจอแล้วเบนไปหามูคยอมอีกครั้ง

“…นายพูดแบบนี้เพื่อจะบอกอะไรอีก”

“อย่างที่นายพูด ร่างกายมีแรงไม่พอก็เลยเล็งได้ไม่แม่น แล้วก็จะทำได้แค่วิ่งฉิวไปยิงประตูแบบโชคช่วยเท่านั้น ฉันหมายความว่าวินเทอร์น่ะทำได้แค่ส่งบอลให้คู่แข่งเท่านั้นแหละ”

ฮาจุนเองก็ระงับความโกรธที่เดือดปุดๆ ขึ้นมาไม่ไหวแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งตัวรุกพูดเรื่องอะไรอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คำพูดเย้ยหยันเบาๆ ถูกโพล่งออกไปจากเจ้าของใบหน้าที่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย

“ทำไม นายก็ชอบส่งลูกให้คู่แข่งนี่”

“นายกำลังบอกว่าฉันก็ส่งลูกให้คู่แข่งงั้นเหรอ”

‘ตึง!’ ฮาจุนตอบกลับคำโต้เถียงราวกับไม่อยากจะเชื่อของมูคยอมโดยการวางแก้วเปล่าลงกับโต๊ะเสียงดัง

ชายหนุ่มผู้ขึ้นเสียงชะงักไปพร้อมหดไหล่กว้างๆ เข้าหากันแล้วปิดปากเงียบ ฮาจุนถอนหายใจอย่างอ่อนแรง

“แยกกันดูเถอะ”

“…”

“มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่ามาตั้งแต่แรกแล้วละ การดูศึกคู่ปรับด้วยกันทั้งที่เชียร์คนละทีมกันเนี่ย”

“อีฮาจุน”

“นายดูอยู่นี่แหละ ฉันจะไปดูในห้องเอง”

“ห้องไหน”

“ไม่รู้ ไม่ห้องนอนก็ห้องหนังสือ ห้องไหนก็ได้”

ถึงพูดแบบนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่มีอารมณ์จะดูแข่งต่อแล้ว การดูฟุตบอลมันก็เป็นการดูเพื่อความสนุกนี่นะ ตอนนี้มันเหือดหายไปจนหมดแล้ว ต่อให้มีใครโชว์ฟอร์มการเล่นน่าสนใจแบบไหนก็ตาม อารมณ์สนุกที่หมดไปก็คงจะไม่กลับคืนมาอีก

‘รู้ดีกว่าใครว่าคิมมูคยอมนิสัยเด็กน้อยแล้วยังจะคาดหวังอะไรอีกนะ… ต่อให้ชอบคนละทีมแล้วมันจะเป็นอะไร ยังไงก็เป็นแค่ฟุตบอล เพิ่งจะทำเป็นเท่พร้อมบอกยิ้มๆ ว่าจะไม่ยุ่งกับทีมของอีกคนเมื่อกี้นี้เองแท้ๆ ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ลมปากอย่างที่คิดไว้เลย’

คิดดูแล้ว จนถึงตอนนี้ ถึงพวกเขาจะไปที่ผับ แต่ก็แค่ดูการแข่งที่ตรงกับเวลานั้นเฉยๆ ไม่เคยดูการแข่งของทีมที่ชอบจนเชียร์เลยสักครั้ง เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้

ฮาจุนลังเล แต่แล้วก็เข้าไปในห้องหนังสือ ไหนๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เขาจึงคิดจะทำงานที่หยุดไปกลางคันเมื่อกี้ต่อให้เสร็จ พอนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือที่มูคยอมซื้อให้ใหม่ตอนอยู่ลอนดอนแล้วเปิดคอมพิวเตอร์กับกางสมุดโน้ต เขาก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทีหลังจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

‘เรื่องแค่นั้นมันจะทำไมนัก’

ความรู้สึกเสียใจทีหลังว่าน่าจะทำใจให้โล่งๆ เพื่อที่มูคยอมจะได้ดูการแข่งอย่างสนุกสนาน ถาโถมเข้าใส่ฮาจุนอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาในห้องหนังสือแล้วตั้งใจจะทำงานจริงๆ จึงคิดได้ว่าตั้งแต่งานที่ทำ ยันบ้านหลังโอ่อ่าที่ตัวเองซุกหัวนอน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่มูคยอมจัดเตรียมให้

โต๊ะเขียนหนังสือที่มองแค่ผ่านๆ ก็รู้ว่าทำจากไม้เนื้อดีอย่างพิถีพิถัน เก้าอี้ตัวโตที่นุ่มนิ่มแต่ก็รองรับส่วนเอวเป็นอย่างดี แม้นั่งนานก็ไม่เมื่อยล้า เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีใครบางคนซื้อให้ เหล้ากับอาหารที่กินอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อครู่นี้ก็เป็นสิ่งที่ใครบางคนเตรียมให้

รับจากอีกฝ่ายมาเยอะตั้งเท่านี้ ต่อให้ไม่สามารถคืนเป็นสิ่งของมูลค่าเท่ากันได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกแย่ ไม่สิ ควรต้องทำต่างหาก

ฮาจุนมุ่งมั่นที่จะปรับตัวให้เข้ากันกับมูคยอมหมดทุกอย่าง แต่เขาก็เป็นเพียงคนที่มีจิตใจเป็นของตัวเองและเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปที่มีรักข้างเดียวมาเนิ่นนาน การลบเลือนความเป็นตัวเองไปหมดแม้กระทั่งส่วนเล็กๆ น้อยๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้

ฮาจุนซึมลง จึงทำได้แค่กางสมุดโน้ตไว้ และในระหว่างที่กวาดตาอ่านตัวหนังสือครบทุกตัว ประตูบานคู่ขนาดใหญ่ของห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงดังแอ๊ด

“อยู่นี่เหรอ”

มูคยอมเดินฝ่าประตูที่เปิดไว้เข้ามา ฮาจุนเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้ามุ่ยเล็กน้อย

“ทำไมไม่ดูต่อ”

“ลูกวัวน้อยโกรธจนวิ่งหนีไป เหลือตัวคนเดียวมันจะสนุกได้ไงล่ะ”

อีกฝ่ายเดินเนิบๆ เข้ามา วางถ้วยใส่ของหวานซึ่งไม่ใช่อาหารที่กินเป็นกับแกล้มเมื่อครู่นี้ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เข้ามาตรงข้างๆ ฮาจุนแล้วทรุดตัวนั่งลงกับพื้นข้างเก้าอี้ทันที อีกทั้งยังวางศีรษะลงบนตักของฮาจุนด้วย

“ฉันขอโทษ”

“…ไม่หรอก ฉันก็ทำตัวไม่ค่อยดีเหมือนกัน”

“ฉันนึกว่าแค่นายไม่มองในฐานะผู้ชายคนหนึ่งก็น่าจะไม่เป็นไร แต่ฉันประเมินตัวเองสูงไป”

ฮาจุนเบิกตากว้างเล็กน้อยให้กับคำพูดนั้น ‘หมายความว่ายังไง’ สีหน้าของเขาถามออกไปแบบนั้น มูคยอมจึงยิ้มอย่างขมขื่น

“ฉันอิจฉา ที่นายสนใจนักกีฬาคนอื่น”

“อะไรนะ นายรับปากว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนั้นแล้วนี่ ยังไงก็ต้องดูที่สนามฝึกทุกวันอยู่แล้ว”

“นั่นมันงานไง ฉันคิดว่านักกีฬาที่นายชอบแบบเป็นแฟนคลับมีแค่ฉันคนเดียว”

ฮาจุนทำตาโตยิ่งกว่าเดิม

“ใครเป็นแฟนคลับใคร คนที่ฉันชอบจนเรียกว่าเป็นแฟนคลับได้มีแค่นายนะ”

ทั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่าย ทั้งซื้อยูนิฟอร์ม การแข่งขันก็ดูแบบไม่ตกหล่นเลยสักนัด ตอนอีกฝ่ายดูไม่คืบหน้าก็วิเคราะห์การแข่งอีกต่างหาก พร้อมทั้งค้นคว้าด้วยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ต้องทำขนาดนั้นถึงจะเรียกว่าแฟนคลับได้ไม่ใช่เหรอ

เขารู้สึกว่า เพียงแค่ดูการแข่งเป็นครั้งคราวแล้วคิดว่าเก่งหรือไม่เลว ก็ไม่อาจบอกว่าเป็นแฟนคลับได้ ถ้าเขาไม่รู้สึกประทับใจหรือสนุกมากเท่านั้นก็คงไม่มีเหตุผลให้ดูการแข่งฟุตบอลตั้งแต่แรก ‘นายก็พูดเองว่ามีนักกีฬาที่ชอบไม่ใช่หรือไงกัน’

คำอธิบายของฮาจุนทำให้มูคยอมพยักหน้าราวกับเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดต่อ

“ฉันไม่ชอบให้นายพิจารณาร่างกายนักกีฬาคนอื่นทุกซอกทุกมุมด้วย”

‘นั่นแค่ดูไว้เป็นการศึกษาเฉยๆ เองนะ…จากนี้ไป ถ้าอยู่ต่อหน้ามูคยอมก็คงต้องคิดแค่อย่างเดียวโดยไม่พูดออกมาแล้วสิ’ ฮาจุนตัดสินใจแบบนั้นพร้อมกับลูบใบหน้าของชายหนุ่มที่ซบแก้มลงบนหน้าตักของเขา ฮาจุนรู้อย่างแน่ชัดว่ามูคยอมเป็นคนขี้หึง แต่บางครั้งก็ยากที่จะคาดคะเนขอบเขตของความหึงหวงนั้นได้

“ถ้าให้เลือกหนึ่งในสองทีม ฉันก็ชอบมาดริดมากกว่านั่นแหละ แต่ยังไงก็มีทีมที่ชอบที่สุดอยู่อีกทีมนะ”

“ทีมไหน”

“จะทีมไหนล่ะ ก็ต้องเป็นทีมที่คิมมูคยอมอยู่น่ะสิ ตอนดูวินเทอร์เลี้ยงลูกหลบฝ่ายตรงข้ามเมื่อกี้ ฉันก็ยังคิดถึงแต่นาย เพราะคิดว่าถ้าเป็นนายก็คงไม่ถูกแย่งลูกไปจนเคว้งขนาดนั้น”

มูคยอมยกยิ้มบางๆ ให้เห็นราวกับอารมณ์ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์แบบเพราะคำพูดของฮาจุนแล้ว ฮาจุนลูบแก้มของมูคยอมที่กำลังกดจูบลงตรงต้นขาของเขาดังจุ๊บๆ แล้วสอดมือเข้าไปในเส้นผมของอีกฝ่าย มูคยอมเงยหน้าพร้อมถามขึ้น

“ทำงานอยู่เหรอ”

“ว่าจะทำ”

“จะไม่ดูแข่งจริงๆ เหรอ ดูด้วยกันเถอะ”

“นายมั่นใจไหมว่าจะไม่พูดหาเรื่อง”

มูคยอมลูบๆ คลำๆ โทรศัพท์มือถือโดยที่ยังนั่งอยู่บนพื้นข้างฮาจุน

‘ในการแข่งครึ่งแรก แค่เมื่อกี้นี้เอง บาร์เซโลนาดูเป็นต่อกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยนะครับ แต่พอเข้าครึ่งหลังกลับทัดเทียมกันพอสมควร ไม่มีฝ่ายไหนทำประตูได้ด้วยครับผม’

‘เพราะนี่คือศึกคู่ปรับแสนดุเดือดยังไงล่ะครับ การเตรียมความพร้อมของพวกนักกีฬาต้องพิเศษกว่าใครอย่างแน่นอน’

จู่ๆ ในห้องหนังสืออันเงียบเชียบ กลับมีเสียงผู้บรรยายและเสียงร้องตะโกนที่มีทั้งเสียงเชียร์และเสียงพูดเหน็บแนมของผู้คนปะปนกัน กระจายไปทั่วทั้งห้องอย่างแผ่วเบา มูคยอมยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปตรงหน้าของฮาจุน

ทิ้งห้องที่ติดตั้งอุปกรณ์โฮมเธียเตอร์แบบใหม่ล่าสุดมาทำอะไรอยู่แบบนี้กันนะ มูคยอมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะโดยให้มันพิงไว้กับขาตั้ง ฮาจุนหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ฉันจะไปเอาเก้าอี้นายมาให้”

“ไม่เป็นไร ฉันนั่งดูตรงนี้ก็ได้”

“จะนั่งพื้นเพื่ออะไรล่ะ”

ฮาจุนพูดปราม แต่มูคยอมก็จับเขานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง อีกฝ่ายนั่งอยู่กับพื้น ซบใบหน้าลงกับตักของเขาเหมือนเมื่อครู่นี้

“ตรงนั้นมองเห็นชัดไหมล่ะ”

ที่ว่างระหว่างพื้นและโต๊ะก็สูงเอาเรื่องอยู่ ฮาจุนคิดแบบนั้นจึงดึงโทรศัพท์มือถือมาด้านหน้าอีกหน่อย ขณะปรับองศาแท่นวาง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงแล้วก้มลงมองด้านล่าง

“นายทำอะไร”

“รักนายไง”

มูคยอมดึงขอบกางเกงกับชั้นในของฮาจุนลงพร้อมกันโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็จับส่วนอ่อนไหวของฮาจุนซึ่งยังสงบอยู่แล้วเลียส่วนปลายเป็นวงกลมก่อนที่ฮาจุนจะทันได้ห้ามอะไร เส้นขนบนแผ่นหลังของเขาลุกเกรียวในชั่วพริบตา ฮาจุนยกหลังมือขึ้นปิดตรงมุมปากด้วยความตระหนกแล้วก้มลงมองอีกฝ่ายทำแบบนั้น แต่แล้วมูคยอมก็เหลือบตาขึ้นสบมองเขาตรงๆ

ลิ้นที่แลบยาวไล้ขึ้นไปตามลำท่อนแล้วบดบี้ย้ำๆ ตรงรอยหยักส่วนปลาย อีกฝ่ายอมส่วนหัวเอาไว้แล้วปัดป่ายลิ้นซ้ายทีขวาทีเพื่อถูไถมัน ความวาบหวามแพร่กระจายออกไปราวกับไอร้อนยามจับไข้

“นายบอกว่าจะดู อึก แข่งนี่…”

“ยังไงก็ยังทำประตูไม่ได้นี่ ดูผ่านๆ ก็พอแล้ว”

ในขณะที่กำลังทำออรัลเซ็กส์ เสื้อผ้าท่อนล่างก็ถูกถอดออกจนหมด ฮาจุนนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว เขาก้มลงมองมูคยอมดูดส่วนกลางลำตัวของตัวเองพร้อมนวดเค้นโคนขาด้านใน

ปากร้อนระอุของอีกฝ่าย ดูดเลียร่างกายของเขาไว้ด้านในแล้วควานลิ้นราวกับกำลังกินลูกกวาด ร่างกายของฮาจุนเรี่ยวแรงเหือดหายไปทีละนิด มีเพียงมือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเท่านั้นที่ออกแรงเกร็ง ปลายนิ้วขดงอ

เมื่อมูคยอมใช้ปลายลิ้นขยี้ลงตรงจุดที่ส่วนหัวกับลำท่อนเชื่อมต่อกันอย่างเชื่องช้า ต้นขาที่เคยอยู่อย่างสงบบนเก้าอี้ก็สั่น จากนั้นอีกฝ่ายก็ลากลิ้นกวาดยาวตั้งแต่โคนลำกายไปจนถึงปลายหัวมน กระแสความซาบซ่านเบาบางที่ให้ความรู้สึกเหมือนใกล้จะปลดปล่อย แล่นจากปลายเท้าไปจรดศีรษะอย่างรวดเร็ว

ถ้ากระตุ้นมากกว่านี้อีกหน่อย อีกไม่นานก็คงจะถึงฝั่งฝัน ฮาจุนจึงหอบหายใจพร้อมกับขยับโยกเอว แต่มูคยอมคงไม่คิดจะใช้ปากทำให้จนเสร็จ อีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมา ลำกายแข็งชูชันเคลือบไปด้วยน้ำลายวาววับ

“มองตอนไหนก็ดูดี”

คำพูดที่อีกฝ่ายพูดขึ้นพร้อมใช้มือสะกิดแกนกายของเขาเบาๆ ทำให้ฮาจุนหน้าแดงเถือก เมื่อสัมผัสขาดตอนไปก่อนที่จะได้ปลดปล่อย ในท้องน้อยจึงบีบรัดและร้อนผ่าวขึ้นเพราะรู้สึกเสียดายลึกๆ

มือใหญ่จับชายเสื้อเชิ้ตตัวหลวมของเขาเลิกขึ้น ลิ้นของมูคยอมไล้ขึ้นมาจากตรงหว่างขา หน้าท้อง ลิ้นปี่ ไปจนถึงหน้าอก ยอดอกของฮาจุนเต่งตึงและชูชันด้วยความเกร็งตั้งแต่ก่อนถูกดูดเสียอีก เมื่อมันผลุบหายเข้าไปในปากของอีกฝ่าย ฮาจุนก็พิงตัวลงกับพนักเก้าอี้พร้อมส่งเสียงร้องผะแผ่ว

“อา อ๊า…”

สัมผัสด้วยความรักจากมูคยอม ก่อกวนร่างกายของเขาพร้อมค่อยๆ เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับน้ำที่โหมซัดกลับ เมื่อมูคยอมใช้ลิ้นกวาดควานวงปานหน้าอกแล้วดูดกลืนยอดอกเสียงดังจุ๊บ ท้องน้อยของฮาจุนก็ยิ่งหดเกร็ง กล้ามเนื้อหน้าท้องนูนขึ้นจนเห็นเป็นลอนชัด

มูคยอมที่เคยคุกเข่านั่งอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ ลุกขึ้นมาครึ่งตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วกดริมฝีปากซอกซอนอยู่ตรงลำคอและใบหูของเขา อีกฝ่ายไล้ลิ้นลงตรงกระดูกอ่อนที่นูนออกมาด้านในใบหูแล้วชอนไชปลายลิ้นเข้าไปถึงหูส่วนใน

เสียงดังสวบสาบราวกับมีอะไรสักอย่างถูกขยำขยี้ดังก้องภายในหู ความหวามไหวที่ตีตื้นขึ้นมาจนถึงศีรษะด้านหลัง ตกกระทบลงภายในหัวจนทำให้สติพร่าเลือนทั้งที่มูคยอมผละออกไปแล้ว เรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมด ทำให้ตัวไหลเป็นทางไปตามเก้าอี้จนเขาอยู่ในท่าทีตัวราบต่ำลง ฮาจุนไม่ได้ยินเสียงถ่ายทอดการแข่งขันมาพักใหญ่แล้ว

แขนของมูคยอมยกร่างกายที่อ่อนปวกเปียกให้ลุกขึ้น ตัวที่เคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกจับไปนั่งลงบนโต๊ะในจังหวะที่เจ้าของร่างไม่มีสติ ริมฝีปากทั้งสองบดเบียดกันอย่างลึกซึ้ง

ก้อนเนื้อเปียกชื้นกวาดเลียเนื้อเยื่อภายในปากอย่างนุ่มนวล เมื่อลมหายใจหอบกระชั้น ลิ้นก็ถอยออกไปเลียบนริมฝีปาก เมื่อฮาจุนแลบลิ้นออกมาขยับไปตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว มูคยอมกระตุกยิ้ม แล้วคราวนี้ใช้ฟันขบดึงริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ

เมื่อมูคยอมดูดริมฝีปากเขาอย่างเชื่องช้าสองสามครั้ง เพียงแค่นั้นก็รู้สึกได้ว่าภายในท้องร้อนวูบวาบและบิดหดตัว ส่วนแผ่นหลังก็สั่นเทา ฮาจุนโอบแขนรอบลำคอของมูคยอมแล้วรั้งร่างของอีกฝ่ายให้แนบชิด

พอมือใหญ่ยกขาของเขาขึ้น ร่างกายท่อนบนของฮาจุนก็เอนไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ มูคยอมจับขายกขึ้นไปพาดบนไหล่ของตัวเองแล้วลูบต้นขาจนทั่ว มือที่แผดเผาผิวกายจนร้อนผะผ่าวค่อยๆ เลื่อนไปทางก้นด้านหลัง

“โอ๊ะ”

น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ามีอะไรผิดพลาดนิดหน่อย ถูกเปล่งออกมาจากปากของมูคยอมซึ่งพูดขึ้นกับตัวเอง ฮาจุนพยายามควบคุมร่างกายที่ร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนแต่เป็นห้องหนังสือ

ไม่ใช่ครั้งแรกที่มูคยอมพยายามทำเรื่องลามกที่นี่ แต่ปกติ เวลาฮาจุนอยู่ในห้องหนังสือ ส่วนใหญ่เขาจะกำลังทำงานอยู่จริงๆ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยทำกันจนเสร็จกิจเลย

“จากนี้ไปต้องเอาเจลมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วสิ”

มูคยอมพูดอย่างเสียดายแล้วกวาดตามองรอบข้าง จากนั้นสายตาเขาก็หยุดลงตรงจุดจุดหนึ่ง

“อันนี้ก็น่าจะได้”

“…อะไรนะ อันนั้น”

ก่อนที่ฮาจุนจะทันได้พูดต่อจนจบ มูคยอมก็ขยับตัวอย่างฉับไว มูคยอมงอนิ้วกวาดครีมบนพายคัสตาร์ดที่เอามาเป็นอาหารว่างให้กระจายทั่วๆ

ความรู้สึกมันต่างกับสารหล่อลื่นที่มีความเหมือนเจลหรือโลชั่นสูง ในขณะที่ครีมนุ่มลื่นถูกป้ายลงตรงด้านหลังจนรู้สึกชุ่ม ขาของฮาจุนก็ถูกแย่งชิงอิสรภาพไป ฮาจุนจำต้องถูกมูคยอมทิ้งน้ำหนักกดลงให้ร่างกายของเขานอนนิ่งอย่างไร้ซึ่งทางสู้

ช่วงนี้ทีมมีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ฟินส์เบอร์รีที่เคยทำคะแนนนำ จู่ๆ กลับแพ้สองนัดรวด ในทางกลับกัน กรีนฟอร์ดคว้าชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องจนแทบจะมั่นใจได้แล้วว่าจะครองอันดับหนึ่งในพรีเมียร์ลีก

เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะยังเหลือการแข่งขันอยู่ แต่พวกนักกีฬาที่ทุ่มเทกับการเตรียมพร้อมสำหรับแชมเปียนส์ลีกเพียงอย่างเดียวได้ก็กำลังฝึกซ้อมกันอย่างมุ่งมั่นและเปี่ยมพลังอย่างถึงขีดสุดในช่วงนี้

“ช่วงนี้มาร์โคทำหน้าที่ตัวเองได้ดีเชียว”

“ตอนแรกเคลื่อนที่ทับซ้อนเส้นทางคนอื่นอยู่เรื่อยแต่ตอนนี้เล่นเข้ากับมูมูได้ดีเลยละ ฉันคาดหวังมากที่สุดในกลุ่มหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อเดือนมกรานี้เลย”

ฮาจุนเองก็ได้ยินเรื่องที่คนพูดคุยในขณะวิเคราะห์ดูการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา ตรงจุดที่ผู้จัดการทีมกับพวกโค้ชมารวมกลุ่มกัน

ความสัมพันธ์ของมาร์โคและมูคยอมเคยบิดเบี้ยวเสียจนครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงเป็นเรื่องใหญ่ แต่หลังจากเรื่องในวันนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็พัฒนาขึ้นอย่างราบรื่น เป็นเพื่อนร่วมงานที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน และช่วงนี้ทั้งสองคนก็ผนึกกำลังกันในตำแหน่งกองรุกและเล่นฟุตบอลอย่างมีชีวิตชีวากันบ่อยๆ บนหน้าจอจับภาพมูคยอมรับบอลต่อมาจากกลางสนาม

นักกีฬาฝั่งคู่แข่งพุ่งเข้าไปหามูคยอมซึ่งเลี้ยงลูกบุกไปด้านหน้า มูคยอมเหลือบตามองด้านข้างแล้วส่งลูกต่อทันที มาร์โคที่กำลังวิ่งตามเส้นทางของมูคยอมอยู่ข้างๆ รับลูกมาอย่างแม่นยำแล้วเตะเข้าประตู

“อาการคนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง ออสการ์กับชาร์ลีจะลงแข่งนัดหน้าได้ไหม”

“ออสการ์ลงแข่งได้ครับ ส่วนชาร์ลีคงต้องติดตามอาการจนถึงที่สุดก่อน ให้เปลี่ยนตัวลงแข่งครึ่งหลังสักครู่หนึ่งแล้วสังเกตสภาพร่างกายไปด้วยก็น่าจะดีครับ”

เมื่อตอบคำถามของผู้จัดการทีมอย่างคล่องแคล่ว แฮร์รี่ โค้ชรุ่นพี่ซึ่งมอบหมายให้ฮาจุนรับหน้าที่ตอบคำถามจึงยื่นกำปั้นมาให้ใต้โต๊ะ ฮาจุนเองก็กำหมัดชนกับอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ให้มีเสียง

หลังสังเกตการณ์และสรุปแผนการเล่นแบบคร่าวๆ เสร็จแล้ว ฮาจุนก็เตรียมเลิกงาน วันนี้เขาเลิกงานช้ากว่าพวกนักกีฬา เมื่อออกมาจากออฟฟิศ มูคยอมซึ่งเปลี่ยนเสื้อออกมาจากห้องล็อกเกอร์อยู่ก่อนแล้ว ก็ส่งยิ้มพร้อมยกแขนพาดไล่เขา

“สีหน้าดูดีเชียวนะ โดนชมเหรอ”

“ตอนนี้รายงานเวลาประชุมไม่ค่อยยากเท่าไรแล้ว”

“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าแค่แป๊บเดียว”

ถึงแม้ว่าการพูดคุยสัปเพเหระจะต่างจากการรายงานในที่ประชุมแต่มันมันเป็นคำตอบที่เตรียมมาล่วงหน้าแทบจะทั้งหมดเลยก็เถอะ แต่ถึงอย่างไร ฮาจุนก็โอ้อวดอย่างภาคภูมิใจอยู่ดี มูคยอมกดริมฝีปากลงบนแก้มเขาดังจุ๊บ ฮาจุนตกใจมากจึงมองรอบข้างเลิ่กลั่ก มูคยอมค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น

“ฉันสังเกตดูหมดแล้วถึงได้ทำ นายไม่ต้องสะดุ้งโหยงทุกครั้งที่ทำก็ได้ ไม่รู้เหรอว่าฉันดังเรื่องสายตาดีนะ”

“ต่อให้เป็นนายก็ไม่ใช่ว่าจะมีตาหลังสักหน่อยนี่ ระวังหน่อยเถอะขอร้อง”

“เห็นนายเวลาสะดุ้งโหยงทีไรแล้วเหมือนกวางจริงๆ นะ ทำตาโตๆ ยืดคอยาวๆ มองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ทำแบบนั้นแล้วยิ่งน่าจับกินขึ้นไปอีก”

“นายเก่งเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วนี่ อย่างน้อยถ้าจะกินก็ค่อยกลับไปกินที่บ้าน”

“ถ้างั้นกลับบ้านไปแล้วกินจริงนะ”

สุดท้ายมือของฮาจุนก็ตีลงบนหลังของมูคยอมเบาๆ ในระหว่างนั้น พวกเขาก็มาถึงลานจอดรถจึงขึ้นรถไปนั่งข้างกัน

ทั้งสองคนไม่ได้มีปากเสียงอะไรกันเลย เพียงแค่บรรยากาศเย็นยะเยือกลงไปชั่วครู่เท่านั้น ตอนที่ศึกการแข่งเจ้าปัญหาใกล้เข้ามา ฮาจุนก็ลืมบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ไปแล้ว ทั้งสองคนกลมเกลียวกันดีในฐานะทีมเดียวกัน และยุ่งอยู่กับการฝึกซ้อมเกินกว่าจะเล่นสงครามประสาทกันต่อเพราะการแข่งขันของทีมอื่นได้

“วันนี้ก็ไปดูที่ผับกันไหม”

เพราะอย่างนั้น ในตอนที่มูคยอมถามแบบนั้นออกมา ฮาจุนจึงไม่เข้าใจความหมายของคำถามอีกฝ่ายในทันที

“หืม อะไร”

“วันนี้ไง เอลกลาสิโก”

“อ้อ”

ฮาจุนคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า

“วันนี้ดูที่บ้านกันเถอะ คนน่าจะเยอะมาก ไหนๆ แล้วก็อยากดูจอใหญ่ด้วย”

“ดีเลย ดูที่บ้านก็สร้างบรรยากาศมากแค่ไหนก็ได้เหมือนกัน”

บ้านของมูคยอมมีห้องที่ถูกติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นห้องโฮมเธียเตอร์ พวกเขาจึงสามารถดูหนังและต่อช่องโทรทัศน์ดูในห้องนั้นได้ ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่ยังดึงดันไปถึงโรงหนังหรือผับก็เป็นเพราะอยากสนุกสนานไปกับบรรยากาศที่มีเฉพาะที่นั่น

ฮาจุนคิดอย่างรอบคอบแล้วตัดสินใจว่าจะยื่นเงื่อนไขกับมูคยอมล่วงหน้าเป็นการเผื่อไว้

“…เรามาสัญญากันว่าเถอะว่าวันนี้จะไม่พูดถึงทีมที่อีกฝ่ายเชียร์”

“แหงอยู่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ กันสักหน่อย ถ้าอารมณ์เสียกับแค่เรื่องฟุตบอลก็ยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ”

“ใช่เลย ถึงยังไงก็เป็นการเล่นฟุตบอลของคนอื่นนี่”

ทั้งสองหัวเราะร่าพร้อมกับพูดคุยเรื่องที่ใครมาได้ยินเข้าก็คงจะคาดเดาได้ยากว่าเป็นบทสนทนาของโค้ชกับนักกีฬาฟุตบอล รถเคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างว่องไว

ตอนกลับมาถึงบ้านก็ยังเหลือเวลาอยู่บ้างก่อนการแข่งขันจะเริ่ม ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะกินอะไรสักอย่างพร้อมกับดูการแข่งไปด้วย แทนที่จะกินอาหารเย็น

อย่างไรซะก็ยังเหลือเวลา เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงบอกว่าจะทำอาหารด้วยตัวเองพร้อมกับเริ่มทำอาหารในครัว ฮาจุนก็ตั้งใจว่าจะช่วย แต่โดนมูคยอมห้ามไว้ บอกว่าวันนี้จะทำอย่างจริงจังนิดหน่อย เพราะฉะนั้นห้ามช่วย แค่นั่งตรงโต๊ะด้านข้างอีกฝ่ายเฉยๆ แล้วเรียบเรียงเรื่องการฝึกวันนี้ก็พอ

“เป็นการแข่งของสเปน ฉันเลยลองทำเป็นอาหารสเปนดู”

มูคยอมวางอาหารลงบนโต๊ะที่อยู่ระหว่างเก้าอี้สองฝั่ง

อาหารที่ทำด้วยมันฝรั่งกับปลาหมึก อาหารที่มีแฮมหน้าตาเหมือนเบคอนสีแดงบางๆ วางไว้บนเมลอนหั่นชิ้น และอาหารขนาดพอดีคำเล็กๆ ที่มีอะไรหลากหลายอย่างวางอยู่บนขนมปังฝรั่งเศส ถูกจัดเรียงตามลำดับ ทุกอย่างเป็นอาหารที่ฮาจุนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาจึงตาลุกวาว

“ขอโทษที่เอาแต่กินอย่างเดียวนะ รู้สึกเหมือนต้องจ่ายเงินซื้อกินเลย”

“ไม่ปฏิเสธหรอกนะ คราวหน้าให้เงินด้วย จะเอาไปซื้อขนม”

ฮาจุนเอาขนมปังฝรั่งเศสที่โปะหน้าด้วยซอสกระเทียมมายองเนสกับแซลมอนมูสเข้าปากแล้วทำตาโต

“อร่อยสุดๆ”

มูคยอมหัวเราะพร้อมกับรินไวน์สเปนที่ชื่อว่า ‘กาบา’ ลงในแก้ว มันคือไวน์ขาวที่มีฟองฟูฟอด

เมื่อจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงนั่งลงบนเก้าอี้คนละตัว ห้องโฮมเธียเตอร์ของมูคยอม แน่นอนว่ามีหน้าจอขนาดใหญ่ซึ่งไม่ได้ใหญ่เท่าโรงหนัง แต่ก็สบายจนโรงหนังเทียบไม่ติดและมีโซฟานุ่มๆ อยู่หลายตัว เก้าอี้ที่โอบล้อมไปทั้งตัว สบายมากไปจนน่านอนมากกว่าน่าดูแข่งหรือเปล่านะ มูคยอมยื่นแก้วเหล้าให้เขาพร้อมพูดขึ้น

“ไม่ว่าฝั่งไหนจะแพ้หรือชนะ พวกเราก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

‘เคร้ง’ เสียงใสๆ ของแก้วที่กระทบกันดังขึ้น หน้าจอขนาดใหญ่ฉายภาพอุโมงค์ออกสนามที่มีนักกีฬาเดินออกมา ทั้งสองคนมองไปด้านหน้า จับจ้องหน้าจอพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นจิบโดยนั่งเรียงอยู่ข้างกัน

การแข่งขันเริ่มต้นด้วยความเคร่งเครียดตั้งแต่ครึ่งแรกอย่างที่คิดไว้ สมกับเป็นศึกของคู่ปรับแห่งศตวรรษ คงเพราะไม่สามารถสลัดความเครียดนั้นทิ้งไปได้ การเคลื่อนไหวของนักกีฬาทั้งสองทีมจึงดูติดขัด ทว่าเป็นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น พวกนักกีฬาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกายกับจิตใจ ไม่นานก็กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้วเริ่มเคลื่อนไหวราวกับล้อหยอดน้ำมัน

ปัญหาคือในขณะที่เวลาเดินไปก็เริ่มมองเห็นความต่างในบรรยากาศของทั้งสองทีมได้อย่างแจ่มชัด มูคยอมพูดขึ้น

“การจัดตำแหน่งของมาดริดต่างกับปกตินิดหน่อยนะ ไม่แน่ใจเลยว่าแผนการเล่นจะมีประสิทธิภาพไหม”

“ดูท่าผู้จัดการทีมคงอยากลองอะไรใหม่ๆ น่ะสิ”

ทว่าในใจฮาจุนก็เห็นด้วยกับมูคยอม ในการแข่งสำคัญแบบวันนี้ ผู้จัดการทีมกำลังเสี่ยงมากเกินไปในหลายแง่มุม หนึ่งในนั้นคือการจัดวางตำแหน่งที่เขารู้สึกไม่เห็นด้วยมากที่สุด ซึ่งเป็นการจัดให้ผู้ตั้งรับหลักอยู่ตรงตำแหน่งของกองกลาง

ผู้จัดการทีมดูเหมือนจะคิดว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ฝ่ายตั้งรับแข็งแกร่งขึ้น แต่ฮาจุนไม่เข้าใจ นี่เป็นการกระทำของผู้จัดการทีมที่เข้าใจเรื่องการจัดวางตำแหน่งอย่างนั้นเหรอ เดิมทีก็ไม่ใช่นักกีฬาที่รับบทบาทสองอย่างควบคู่กันอยู่แล้ว และต่อให้วางคนเพิ่มตรงกองกลางอีกคน ความสามารถในการตั้งรับก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีข้อแม้สักหน่อย

เทียบกันแล้วบาร์เซโลนากลับจัดตำแหน่งผู้เล่นในแบบที่ใครมาเห็นก็น่าจะรับได้หมด แน่นอนว่าบาร์เซโลนาเป็นฝ่ายจับจังหวะของทีมตัวเองได้ก่อน และเป็นไปตามที่คาดไว้ นักกีฬาทีมมาดริดไม่สามารถตอบโต้การส่งบอลที่สั้นและเร็วซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษของทีมบาร์เซโลนาได้ และถูกปั่นให้งงจนลนลานกันไปหมด

‘ทำไมถึงได้วางแผนการเล่นโง่ๆ แบบนี้กันแน่’

ฮาจุนอยากระเบิดความโกรธออกมา แต่ก็ระงับไว้แล้วเอาแต่กระดกเครื่องดื่มมึนเมา ไวน์รสอมเปรี้ยวกำลังดีและมีกลิ่นหอม ส่วนอาหารที่มูคยอมทำก็อร่อยมากจริงๆ ทุกอย่างดีไปหมด สิ่งที่ไม่ดีมีเพียงสถานการณ์การแข่งขันเท่านั้น

‘ผู้จัดการทีมการ์บานีลองอะไรแปลกใหม่มันก็ดีอยู่หรอก แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังบอกว่าเป็นตัวเลือกที่ดีอะไรขนาดนั้นได้ยากนะครับ’

‘ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ แทนที่จะมองว่าเป็นการลองอะไรแปลกใหม่ น่าจะมองว่าเป็นการทดลองอันไร้ซึ่งความรอบคอบไม่ดีกว่าเหรอครับ’

ไหนๆ ก็ดูอยู่บ้าน เพราะอย่างนั้นก็เลยอยากดูอย่างสบายใจจึงเลือกสัญญาณถ่ายทอดจากทางเกาหลี แต่มันกลับทำให้เขาฟังคำติเตียนแทงใจดำออกชัดเจนมากเกินไปอย่างไร้ประโยชน์ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้คงชวนอีกฝ่ายดูการช่องของอังกฤษไปแล้ว การถ่ายทอดของทางสเปนที่ฟังไม่รู้เรื่องเลยก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน

‘โอ้ ตอนคุณพูด ดิแอซก็ส่งลูกไปให้เซบาสเตียนแล้วนะครับ!’

‘โอ๊ยๆ ถ้ารับลูกนี้ไม่ได้ล่ะก็เป็นเรื่องแน่เลยครับ’

เซบาสเตียน กองหน้าของบาร์เซโลนาที่รับลูกต่อมาจากกลางสนาม วิ่งเปลี่ยนทิศไปทางนี้ทีทางโน้นทีเพื่อสลัดฝ่ายตั้งรับสองคนของมาดริดซึ่งเข้ามาสกัดตนใกล้เพียงปลายจมูกให้หลุด จากนั้นก็เตะบอลออกไปเบาๆ

บอลกลิ้งหลุนๆ ลอดใต้หว่างขาของผู้รักษาประตูเข้าไป สำหรับคนยิงเข้าประตู มันเป็นโกลที่หลักแหลม แต่สำหรับคนเสียแต้ม มันเป็นโกลที่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีใช่ย่อย

“เจ๋ง!”

หน้าจอฉายภาพเซบาสเตียนทำท่าฉลองหลังทำประตูได้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และใบหน้าของผู้ชมหลากหลายคนที่ส่งเสียงโห่ร้องยินดี มูคยอมพูดเสียงดังอย่างร่าเริงราวกับกลายเป็นหนึ่งในผู้ชมตรงนั้น

“แก้เกมได้ฉลาดตั้งแต่ช่วงแรกเลยนะ คงได้เป็นฝ่ายนำโดยไม่ต้องเสียแรงเยอะแน่ๆ”

“มันก็ใช่ แต่เพิ่งจะครึ่งแรกเอง ต้องคอยดูต่อไปแหละ”

“อืม ก็จริงนะ ยังเหลือเวลาอีกเยอะ”

มูคยอมยื่นแก้วไวน์มาหา ฮาจุนจงใจฝืนยิ้มแล้วชนแก้วกับอีกฝ่ายดังเคร้ง ทีมที่เชียร์กำลังเป็นฝ่ายนำ เพราะอย่างนั้นมูคยอมก็ย่อมอารมณ์ดีอยู่แล้ว ประตูที่ทำได้เมื่อครู่นี้เป็นประตูที่สนุกสนานไม่น้อยสำหรับคนเชียร์ทีมเดียวกัน

ทว่าบรรยากาศตลอดการแข่งไม่ได้พลิกผันอะไรขนาดนั้น ต่างกับคำโต้แย้งซึ่งแฝงไปด้วยความคาดหวังของฮาจุนที่บอกว่ามันยังแค่ครึ่งแรก ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนครึ่งแรกของการแข่งขันก็คงเละเทะไปแล้ว

ฮาจุนมองดูผู้รักษาประตูฝั่งมาดริด สกัดบอลที่บาร์เซโลนาบุกยิงเข้ามาอีกครั้งไว้ได้อย่างน่าโล่งใจ ตอนนี้เขาวางทุกอย่างลงหมดแล้ว และต้องการแค่ให้ไปถึงช่วงพักครึ่งโดยไม่เสียคะแนนไปมากกว่านี้ ถ้าหากผู้จัดการทีมมีความคิดก็คงจะวางแผนรับมืออะไรสักอย่างในครึ่งหลัง

ในตอนที่ครึ่งแรกเหลือเวลาอีกสองนาทีสามสิบวินาที บรรยากาศในสนามแข่งก็ดุเดือดและวุ่นวาย เมื่อกลยุทธ์การเล่นพังไม่เป็นท่า เหล่านักกีฬาซึ่งใจร้อนมากขึ้น ก็วิ่งไล่ตามลูกบอลตามสัญชาตญาณแทนที่จะคิดก่อน เป็นช่วงเวลาที่ฝั่งบาร์เซโลนาเองก็เริ่มกระสับกระส่าย เพราะถูกดูดกลืนเข้าไปในบรรยากาศของนักกีฬาฝั่งมาดริดที่วิ่งบุกเข้าใส่อย่างไม่เป็นระบบแต่ก็ฉับไว

‘อ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ!’

ผู้บรรยายพูดเสียงดังด้วยความตกใจ ลูกบอลถูกรับส่งไปมาไม่หยุดครู่หนึ่งท่ามกลางเหล่านักกีฬาในสนามที่ค่อยๆ ยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้น จากนั้นในตอนที่มันกลิ้งไปเจอพื้นที่โล่งๆ กองกลางของมาดริดก็เตะดังตู้มอย่างแรงเพื่อยิงประตูระยะไกล แล้วลูกบอลก็เข้าไปสะเทือนตาข่ายโกลของฝั่งบาร์เซโลนาทั้งอย่างนั้น

“โว้ว!”

ฮาจุนตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว เกร็ก กองกลางของมาดริดผู้เป็นคนทำคะแนนเมื่อครู่นี้ เป็นผู้คอยดูแลพื้นที่กลางสนามที่ยอดเยี่ยม แต่ปกติไม่ใช่นักกีฬาที่ทำประตูได้บ่อย เกร็กระเบิดประตูได้อย่างเหนือความคาดหมายในตอนที่แต่ละคนหลุดออกจากตำแหน่งของตัวเองและวิ่งวนไปมา ผู้รักษาประตูของฝั่งบาร์เซโลนาเองก็สะบัดศีรษะเบาๆ พร้อมยักไหล่ด้วยสีหน้าร้อนรน

เมื่อระเบิดประตูจนคะแนนตีเสมอกันอย่างไม่ได้คาดหวังเพราะสถานการณ์กำลังน่ากระวนกระวาย ผู้ชมจึงพากันกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง ส่วนฮาจุนก็ตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้นิดหน่อย แต่ถึงจะดีใจอยู่ ฮาจุนก็ยังเสียดาย ในเวลาแบบนี้ ถ้าเขาเชียร์ทีมเดียวกับมูคยอมก็คงจะตื่นเต้นดีใจได้เต็มที่แท้ๆ

“ชอบเกร็กเหรอ”

มูคยอมถาม ฮาจุนมัวแต่ยิ้ม เขาตอบกลับทั้งที่ยังหุบยิ้มลงไม่ได้

“อื้อ ทุกคนก็น่าจะชอบไม่ใช่เหรอ คุมเกมรุกก็เก่ง บางทีเวลาทีมกระสับกระส่ายแบบนี้ก็เป็นคนแก้เกมด้วย ต้องมีนักกีฬาแบบนี้สิ ทีมถึงจะเล่นได้ราบรื่น”

“ชอบเกร็กมากที่สุดในมาดริดเหรอ”

“อืม… ก็ถึงกับบอกว่าชอบที่สุดไม่ได้หรอก ฉันชอบพอๆ กันทั้งทีมน่ะ วินเทอร์ก็ชอบ เขาเป็นนักกีฬาเยอรมัน ฉันยังเคยคิดเลยว่าจะปรับตัวได้ไหม แต่เขาทำประตูได้เยอะกว่าที่คิดแล้วก็ดูเหมือนเล่นได้ดีอยู่นะ เฟเบียนก็ใช้ได้”

“นักกีฬาที่ชอบเยอะจังนะ”

“มันก็เป็นปกติไม่ใช่เหรอถ้าได้ดูบอลไปเรื่อยๆ นายชอบใครมากที่สุดในบาร์เซโลนา เซบาสเตียนแน่ๆ เลย”

เสียงเป่านกหวีดเพื่อบอกให้รู้ว่าจบการแข่งขันครึ่งแรก ดังขึ้นก่อนมูคยอมจะได้ตอบ

ในวันที่ถูกไล่ต้อนตลอดทั้งเกมแบบวันนี้ โชคดีแล้วที่คะแนนตีเสมอขึ้นมาเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง ในครึ่งหลังจะต้องลงแข่งกันโดยมีสติกว่านี้แน่ ฮาจุนคิดแบบนั้นด้วยความโล่งใจ แต่แล้วมูคยอมก็ยกขวดเปล่าขึ้นมาเขย่าให้เห็น

“ดื่มหมดแล้ว ฉันจะไปเอามาเพิ่มอีกขวดนะ ทำกับแกล้มเพิ่มให้ไหม”

“ไม่เป็นไร อิ่มแล้วละ ขอบใจนะ อร่อยมากๆ เลย”

มูคยอมยิ้มมุมปากพร้อมกับถือขวดเปล่าออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ฮาจุนก็ได้ยินเหมือนอะไรตกแตกเสียงดังเพล้ง ได้ยินไม่ชัดเท่าไรนักจึงเงี่ยหูฟัง แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นไปมากกว่านั้น ฮาจุนดูโฆษณาเบียร์ที่ถูกฉายขึ้นบนจอขนาดใหญ่ พร้อมทั้งคิดว่าอาจเป็นเสียงที่ดังออกมาจากในโฆษณาแล้วคิดไปเอง

มูคยอมกลับเข้ามา ในมือถือเครื่องดื่มมึนเมาขวดใหม่อยู่ด้วย พรุ่งนี้ก็เป็นวันฝึกซ้อม ดื่มหนักเกินไปไม่ได้ก็จริง แต่แค่ไวน์รสหอมหวานดีกรีต่ำสักขวดสองขวดคงไม่เป็นไร

เครื่องดื่มมึนเมาขวดใหม่คือสปาร์กลิงไวน์คล้ายๆ กันกับขวดเมื่อครู่ แต่รสเปรี้ยวแรงกว่าหน่อยจึงสดชื่นกว่า ความรู้สึกที่เคยห่อเหี่ยวกลับผ่อนคลายเพราะโกลที่ทำให้คะแนนขึ้นมาเสมอกันอย่างน่าอัศจรรย์ ฮาจุนจึงเพลิดเพลินไปกับไวน์ได้อย่างสบายใจไม่น้อย

“ว่าแต่”

มูคยอมซึ่งดื่มไวน์อยู่ด้วยกัน ปริปากพูดขึ้นก่อน

“โกลเมื่อกี้น่ะ พูดตามตรงก็โชคช่วยนิดหน่อยไม่ใช่เหรอ”

ฮาจุนเบิกตากว้างขึ้น เขาไม่คิดแม้แต่จะกลืนไวน์ที่เอาเข้าปากแล้วลงไป ได้แต่อมไว้อยู่ครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้แล้วจึงกลืนรวดเดียว ฮาจุนสำลักค่อกแค่กเบาๆ จากนั้นจึงพูดออกมาได้

“นายพูดอะไรเนี่ย ในสถานการณ์แบบนั้น จากตรงนั้นเนี่ยนะ”

“ก็เพราะว่าในสถานการณ์แบบนั้นแล้วก็จากตรงนั้นไง ยิงแบบส่งเดชแล้วมันก็เข้าไปนี่”

“จะส่งเดชหรือจะอะไรก็เถอะ แค่ยิงเข้าก็พอแล้วนี่ นายเป็นตัวรุกแบบไหนกันถึงได้พูดแบบนั้น”

เมื่อฮาจุนโต้ตอบพร้อมขมวดคิ้ว มูคยอมก็ปิดปากเงียบ ฮาจุนเองก็ไม่พูดอะไรต่ออีกแล้วทำเพียงจิบไวน์

ลาดเลาไม่ดีปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างสัญญาว่าจะไม่เอ่ยถึงอีกทีมพร้อมกับแสดงท่าทีว่ารู้สึกขอบคุณกันอยู่เงียบๆ หรือการดูการแข่งขันด้วยกันทั้งที่เชียร์คนละทีมจะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถจริงๆ นะ

ในขณะที่ทั้งสองคนเอาเครื่องดื่มกับกับแกล้มที่เหลือเข้าปากโดยไม่ได้พูดอะไรกันเลย การแข่งครึ่งหลังก็เริ่มต้นขึ้น ตามที่ฮาจุนคาดการณ์ไว้ มาดริดเลิกใช้แผนการเล่นแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวไปแล้ว ถึงแม้ว่าทีมที่ถูกจัดตำแหน่งใหม่ จะมีปัญหายุ่งยากคือต้องปรับฝีเท้าให้เข้ากันใหม่อีกครั้งตั้งแต่แรก แต่ก็สร้างบรรยากาศที่ดียิ่งกว่าการแข่งในครึ่งแรก

ดาร์บี้แมตช์ (Derby-Match)

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนลอนดอนที่เหมือนจะอากาศหนาวเย็นตลอดเวลาอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น ผู้คนก็ออกมาเดทกันอย่างมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด ฤดูกาลอันดุเดือดใกล้จะดำเนินถึงจุดไคลแมกซ์แล้ว จึงยากที่จะเดินทางไปสนุกกับการท่องเที่ยวได้ แต่หลังเลิกงานหรือในวันหยุดก็ออกไปข้างนอกกันบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ

มูคยอมเพลิดเพลินไปกับการทำสิ่งที่คนเรียกกันว่า ‘อีเวนต์’ ในวันเกิดของฮาจุนซึ่งผ่านมาไม่นาน มูคยอมตกแต่งบ้านทั้งหลังด้วยดอกกุหลาบจนบ้านแทบจะกลายเป็นสวนดอกไม้เพื่อเซอร์ไพรส์ฮาจุน แล้วไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เช่าเรือสำราญแบบเหมาลำ ไปล่องแม่น้ำเทมส์ ชมวิวยามค่ำคืนกันสองต่อสอง

คืนนั้นดุจดังภาพฝัน จนกระทั่งมูคยอมทำท่าจะมีเซ็กส์ด้วยบนเรือสำราญ ต่อให้เป็นเรือหรูที่มีห้องรับรอง แต่มันก็ต่างกับเรือสำราญขนาดใหญ่ที่ล่องบนทะเล ฮาจุนไม่สามารถตอบตกลงได้ เพราะบนเรือมีกัปตันเรืออยู่ใกล้ๆ และเพราะบนเรือมีพวกเขาอยู่กันเพียงสองคน ฮาจุนรู้สึกเหมือนมูคยอมชวนให้มีเซ็กส์กันในรสบัสที่มีคนขับอยู่ตรงหน้านี้เอง

เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายตอนลงเรือ มูคยอมก็หน้ามุ่ยไม่พูดไม่จา เพื่อเป็นการปลอบใจมูคยอม ฮาจุนจึงสัญญาว่าถ้าไปเที่ยวกันตอนวันหยุดพักร้อนก็ให้เช่าเรือยอชต์แล้วมีเซ็กส์กันบนนั้น แล้วในวันนั้น เดทก็จบลงด้วยการเล่นเข้าจังหวะกันบนรถที่จอดไว้ตรงลานจอดอย่างแฮปปี้เอนดิ้งพอสมควร

ฮาจุนไม่เคยคบหาใครมาก่อนจึงไม่รู้ความชอบของตัวเอง แต่พอได้ลอง ‘ออกเดทแบบพิเศษ’ แบบนั้นสองสามครั้ง ตอนนี้จึงเหมือนจะรู้สิ่งที่ตัวเองโปรดปรานเข้าแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เดทที่ประทับอยู่ในความทรงจำมากที่สุด กลับไม่ใช่อีเวนต์สวยหรูที่มูคยอมจัดขึ้น หรือการใช้เวลาในสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังที่คนเยอะและจอแจ

“นั่งตรงโน้นกัน”

ฮาจุนชี้นิ้วไปทางที่ว่างตรงมุมหนึ่ง มูคยอมซึ่งสวมหมวกมิดชิดเพื่อปิดบังหน้าตาพยักหน้า ด้านในมืดสลัวและมีผู้คนนั่งดื่มเบียร์ตรงที่ของตัวเองกันเยอะแล้ว บางคนก็พูดเอะอะเสียงดังเหมือนเมาไปแล้วด้วย

โทรทัศน์เครื่องโตที่ติดอยู่หลายจุด กำลังถ่ายทอดโฆษณาก่อนเริ่มออกอากาศการแข่งขันในวันนี้ และบนกำแพงมีพวกโปสเตอร์ตารางการแข่งขันฟุตบอลกับใบบอกรายละเอียดช่องถ่ายทอดกีฬาติดอยู่ด้วย

ฮาจุนเดินไปสั่งเบียร์สองแก้วที่เคาน์เตอร์บาร์ ฮาจุนเลือกเบียร์เอลใส่ส้มฝาน ส่วนของมูคยอมคือเบียร์ดำ พนักงานเสิร์ฟที่มีรอยสักเต็มท่อนแขน กดเบียร์ใส่แก้วทรงยาวจนเต็มแล้วส่งให้

“ลุยเลย ลุย โดเวอร์เรนเจอร์ส!”

“ทีมที่ได้ขึ้นอันดับรอบนี้ต้องเป็นเบอร์มิงแฮม ฉันวางเงินเดิมพันไปสิบปอนด์”

ฮาจุนหันหลังให้เสียงเชียร์ของทุกคนที่ดังตีกันเจี๊ยวจ๊าวแล้ววางแก้วเบียร์ที่รับมาลงบนโต๊ะทรงกลม ทั้งสองชนแก้วกันสั้นๆ มูคยอมกระดกแก้วเข้าปากแล้วยกยิ้ม

“ยูนิฟอร์มน่ะ ทำไมเอาแต่เก็บไว้แล้วไม่ใส่”

“นายนั่งอยู่แค่ข้างๆ ให้ใส่ชุดนายก็แปลกแย่”

วันนี้มีนัดแข่งของโดเวอร์เรนเจอร์สซึ่งเป็นทีมเก่าของมูคยอม พวกเขาจะดูการถ่ายทอดอยู่บ้านก็ได้ แต่เพราะบรรยากาศของผับนั่งดูบอลที่เคยมาสองสามครั้งมันสนุกดี วันนี้จึงตั้งใจแวะมาที่ผับใกล้บ้านกัน

ก่อนออกจากบ้าน มูคยอมบอกว่าไหนๆ ก็จะเชียร์โดเวอร์แล้ว ใส่ชุดยูนิฟอร์มของเจ้าตัวสมัยอยู่โดเวอร์ไปก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมฮาจุนถึงรู้สึกเขินๆ จึงปฏิเสธ

ถ้าพูดถึงความปลาบปลื้มในตัวนักฟุตบอลคิมมูคยอม ฮาจุนมั่นใจว่าตนเองจะไม่แพ้ใคร แต่เขาไม่ชินกับการสวมยูนิฟอร์มของอีกฝ่ายออกไปนอกบ้านแล้วแสดงออกถึงความเป็นแฟนคลับด้วยวิธีการแบบนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่ามูคยอมก็อยู่แค่ข้างๆ นี้เอง นี่น่าจะเป็นความกังวลใจของเขาเองคนเดียว แต่ถ้ามีใครจำมูคยอมได้ภาพของฮาจุนที่สวมชุดยูนิฟอร์มแล้วนั่งอย่างเป็นระเบียบนั้นก็อาจจะดูเป็นคนแปลกๆ ขึ้นมาด้วยก็ได้

“ความรักถึงจุดอิ่มตัวแล้วสิ ช่วงนี้แฟ้มตัดแปะข่าวฉันก็ไม่ขยันทำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

มูคยอมบ่นงึมงำ พูดตามตรงว่ามันก็เป็นความจริง ฮาจุนจึงตอบกลับแบบกระอึกกระอัก

“แค่ถ่ายรูปนายก็ได้นี่นา ไม่เห็นจำเป็นต้องหาข่าวเลย…”

ช่วงเวลาที่เขารู้สึกเสียดายพวกข่าวหรืออะไรก็ตามที่มีร่องรอยของมูคยอมแล้วค้นหาในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์ด้วยตาลุกวาว เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นานนักก็จริง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายก็อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาจริงๆ

ฮาจุนทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งรู้สึก ทั้งสัมผัสกับภาพลักษณ์หลากหลายแบบของอีกฝ่ายซึ่งหาไม่ได้ในข่าวด้วยตัวเอง จึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกขี้เกียจนิดหน่อยกับการรวมรวมสื่อต่างๆ ที่บุคคลที่สามเป็นคนสร้างขึ้น

“เหรอ ถ้างั้นยังรักฉันเท่าเดิมไหม”

“ก็ไม่”

“ไม่เหรอ”

มูคยอมดันลำตัวท่อนบนที่เคยพิงพนักเก้าอี้ขึ้นพรวดพราดพร้อมเบิกตากว้างราวกับจิตใจกระทบกระเทือนจริงๆ ฮาจุนหัวเราะร่า

“มากกว่าเดิมอีก”

“ฉันตกใจนะ เจ้าลูกวัวนี่”

ไม่นานมูคยอมก็หัวเราะคิกคักพร้อมกับยกแขนเกี่ยวไหล่เขา ดึงเข้าไปหาตัวเอง อีกฝ่ายกวาดตาสังเกตรอบข้างอย่างฉับไวแล้วกระซิบ

“ถ้างั้นก็จุ๊บหน่อย”

“เดี๋ยวมีใครมอง”

“ไม่มองหรอก กำลังดูทีวีกันหมดเลยนี่ไง”

ในระหว่างที่ฮาจุนยังมองซ้ายมองขวา การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น ผู้คนปรบมือพร้อมกันกับที่บอลแรกถูกเตะออกไปเพื่อเปิดเกม บางคนส่งเสียงโห่ร้องควบคู่ไปด้วยพร้อมทั้งหันหน้าไปทางโทรทัศน์ ฮาจุนเล็งจังหวะนั้นแล้วรีบประทับริมฝีปากลงบนแก้มของมูคยอมซึ่งอยู่ใต้ปีกหมวก

ลอนดอน เมืองแห่งฟุตบอล ผับนั่งดูบอลเปิดบริการอยู่ทั่วทุกหนแห่ง จำนวนพอๆ กับที่นั่งผู้ชมในสนามแข่งขัน ความคึกคักในผับยังคงเร่าร้อนเฉกเช่นทุกวัน ตามที่มูคยอมอธิบาย ค่าใช้บริการช่องถ่ายทอดกีฬาของอังกฤษมีราคาแพง แทนที่จะนั่งดูอยู่บ้านใครบ้านมัน ผู้คนจึงนิยมมาดูการแข่งขันที่ผับที่มีการถ่ายทอดกีฬากันอย่างแพร่หลาย

ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไรก็ตามฮาจุนชื่นชอบบรรยากาศในผับเป็นอย่างมาก การมารวมตัวอยู่ในผับมืดๆ ที่มีผู้คนจอแจ แล้วดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอย่างอิสระพร้อมทั้งเชียร์ฟุตบอลไปด้วย

อาจฟังดูฟุ้งเฟ้อไปหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนฮาจุนจะเพลิดเพลินกับตอนที่ได้อยู่ตัวติดกันกับมูคยอมแล้วใช้เวลาร่วมกันเพียงสองคน มากกว่าการไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนพลุกพล่าน หรือเดทที่ใช้พลังงานอย่างเต็มที่เสียอีก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยากอยู่แค่ที่บ้านอย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้อยากไปที่ที่ต้องวุ่นวายกับอะไรบางอย่างมากเกินไปบ่อยๆ ขนาดนั้นอีกเหมือนกัน

เหมือนกับในตอนนี้ ดูอะไรเหมือนๆ กัน เชียร์ทีมเดียวกันพร้อมกับพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกัน ดื่มเบียร์แล้วแอบจับมือหรือจูบแก้มกัน

“ไอ้พวกโง่! เอาแต่ส่งไปให้เบอร์มิงแฮมได้ยังไงวะ!”

…ถึงจะเป็นเรื่องแน่นอนว่า เวลาดูแข่งฟุตบอล บรรยากาศโรแมนติกไม่สามารถดำเนินต่อเนื่องไปได้ตลอดก็ตาม

มูคยอมตะโกนแว้ดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วเพราะนักกีฬาทีมโดเวอร์ส่งลูกพลาด จริงๆ แล้ว ฮาจุนก็แค่เชียร์เพราะเป็นทีมที่มูคยอมเคยสังกัดเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกชื่นชอบทีมที่ชื่อว่าโดเวอร์เรนเจอร์สเป็นพิเศษ

ถึงบอกว่ามูคยอมเคยอยู่ แต่อีกฝ่ายก็เข้าทีมไปในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ช่วงที่อีกฝ่ายอยู่ ทีมเปล่งประกายนิดหน่อยก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วเป็นทีมอันดับต่ำ เพราะอย่างนั้นจึงน่าจะพูดได้ว่า ไม่มีแรงจูงใจมากพอให้แฟนๆ ต่างประเทศได้สนับสนุนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็ยังจับตาดูการแข่งขันอย่างตั้งใจ แต่แล้วมูคยอมก็เอียงตัวมาข้างๆ พร้อมพูดขึ้น

“คราวหน้าหาเวลาไปโดเวอร์กันสักครั้งเถอะ ทะเลสวยนะ ถ้าไปแถวไบรท์ตันก็มีชายหาดที่ขึ้นชื่อว่าหน้าผาสวยอยู่ด้วย นายน่าจะชอบ ทุ่งสีเขียวๆ กว้างมาก เหมาะจะให้ลูกวัวน้อยไปเดินเล่นพอดีเลย ถ้าจบฤดูกาลแล้วก็ไปที่ที่ดีจริงๆ กันอีก ช่วงนี้คนไปฮันนีมูนที่เม็กซิโกกันเยอะ พวกเราก็ไปด้วยดีไหม”

“ถ้าจะไปตอนพักร้อนก็อีกตั้งพักใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ อย่าคิดแต่จะเที่ยวเล่นแล้วคิดเรื่องปิดฤดูกาลให้สวยๆ ก่อนสิ”

“ก็กำลังเป็นไปได้ด้วยดีนี่ อย่ากังวลเกินไปเลย เวลาพักก็ต้องพักผ่อนสิ”

ยังอีกนานกว่าจะไปเที่ยวพักร้อนได้ เพราะปีนี้หลังจบลีกก็ยังมีเวิลด์คัพรออยู่ มูคยอมเองก็พูดทั้งที่รู้อยู่แน่ชัด

ตอนนี้กรีนฟอร์ดอยู่ในระหว่างการแข่งขันอย่างดุเดือดกับฟินส์เบอร์รีซึ่งเป็นทีมคู่ปรับกัน และสลับกันขึ้นลงอันดับหนึ่งสองในลีกทุกการแข่งขัน อีกทั้งในแชมเปียนส์ลีกก็เข้ารอบสี่ทีมสุดท้าย แล้วไม่นานก็ใกล้จะถึงศึกรอบที่หนึ่งแล้วด้วย มูคยอมเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่พร้อมบอกว่าปีนี้จะต้องได้ชูถ้วยรางวัลชนะเลิศของทุกการแข่งขันทั้งพรีเมียร์ลีก แชมเปียนส์ลีก และเอฟเอคัพ

ในเดือนพฤษภาคม ฤดูกาลแรกของเขาในทีมกรีนฟอร์ดก็จะจบลง ฮาจุนมาลอนดอนเมื่อเดือนมกราคม เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าตอนนี้เขาอยู่กับทีมโดยผ่านมากว่าครึ่งฤดูกาลแล้ว รู้สึกเหมือนเพิ่งได้มาลอนดอนเมื่อวันก่อนนี้เอง พอฤดูกาลหนึ่งกำลังจะจบไป ฮาจุนก็รู้สึกงงๆ จึงนั่งจิบเบียร์โดยไม่ได้พูดอะไร

ในระหว่างนั้น เขาคุ้นเคยกับกรีนฟอร์ดอย่างเต็มที่แล้ว เขาไม่เอาแต่ไล่ตามหลังแฮร์รี่หรือเครียดจนจะเป็นประสาทเพราะกลัวว่าจะฟังคนอื่นพูดไม่ออกอีกต่อไป

แฮร์รี่แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ก็รีบเรียนคอร์สตามกำหนดให้จบแล้วเอาใบรับรองมา ทางนั้นบอกว่าเขามีประสบการณ์จริงเยอะจึงน่าจะเรียนเข้าใจได้ไม่ยากขนาดนั้น ถ้าทุ่มเวลาให้สักหกเดือนก็คงจะได้ระดับสอง และถ้าได้ระดับสอง ทางสโมสรก็จะเสนอสัญญาแบบประจำที่ไม่ใช่อินเทิร์นทันที

ถึงอีกฝ่ายไม่ได้ชี้แนะมา ฮาจุนก็คิดจะเริ่มเรียนอย่างจริงจังตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงอยู่แล้ว ตอนนี้เขามีความมั่นใจแล้วว่าจะประสบความสำเร็จได้ที่นี่

“โกล!”

ในตอนนั้น ใครบางคนในผับตะโกนขึ้น โดเวอร์ระเบิดประตูแรกเป็นที่เรียบร้อย

ในจอโทรทัศน์ นักกีฬาผมยาวและใบหน้าเปียกเหงื่อคนหนึ่งกำลังฉลองที่ทำคะแนนได้ด้วยความตื่นเต้นสุดขีด มูคยอมก็หัวเราะอย่างเริงร่าแล้วอาศัยจังหวะที่ผู้คนกำลังเสียงดังวุ่นวาย เอียงใบหน้าลงมาจูบลงบนลำคอของฮาจุนแวบหนึ่ง

ไม่กลัวอะไรเอาซะเลย แต่แทนที่จะต่อว่า ฮาจุนเองก็ชนแก้วกับอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองพร้อมยินดีกับโกลแรกที่ทีมเก่าของคิมมูคยอมทำคะแนนได้

“พอได้ดูพร้อมกับที่รักแล้ว รู้สึกว่าการแข่งมันราบรื่นดีซะจริง เร็วๆ นี้มีแข่งอะไรที่น่าดูด้วยกันอีกไหมนะ”

มูคยอมคิดครู่หนึ่งแล้วสบตากับฮาจุน

“คิดดูแล้ว อีกไม่นานก็มีเอลกลาซิโกนี่ แมตช์ใหญ่แบบนั้นก็ต้องดูด้วยอีกนะ”

“แน่อยู่แล้วสิ แมตช์นั้นฉันก็จะดูให้ได้เลย”

คนที่รู้เรื่องฟุตบอล มีใครไม่ดูการแข่งนั้นด้วยหรือไงกัน ฮาจุนตอบกลับไปราวกับตั้งใจแน่วแน่

ฟุตบอลมักถูกยกมาเปรียบเทียบกับสงคราม มันไม่เพียงแค่เป็นกีฬาที่มีการตั้งสมมติฐานว่าเริ่มมาจากการฝึกทหารเท่านั้น แต่วิธีการแข่งขันโดยแบ่งทีมออกเป็นสองฝั่งแล้วพยายามบุกทะลวงแนวป้องกันสุดท้ายของทีมคู่แข่ง ก็คล้ายคลึงกันกับการทำสงครามไม่น้อย ธรรมเนียมการแลกธงก่อนเริ่มแข่งก็เหมือนกัน อีกทั้งตราสัญลักษณ์ของแต่ละทีมก็ทำให้นึกถึงสัญลักษณ์ของกองทหารหรือไม่ก็อาณาจักรโบราณอยู่บ่อยครั้ง

ในบรรดาการแข่งขันฟุตบอล การแข่งของเรอัลมาดริดกับบาร์เซโลนาซึ่งถูกจัดขึ้นในลีกสเปน เป็นศึกอันยิ่งใหญ่ของคู่ปรับที่มีผู้ชมจำนวนราวห้าร้อยล้านคนจากทั่วโลก

อีกทั้งยังมีเรื่องความขัดแย้งกันด้านอาณาเขตซึ่งลากยาวต่อเนื่องมาเนิ่นนาน เพราะอย่างนั้น ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า จิตสำนึกในความเป็นปรปักษ์กันภายในประเทศสเปนจึงสูงลิบลิ่ว กระทั่งแฟนคลับต่างประเทศก็ยังได้รับผลกระทบจากความเผ็ดร้อนนั้น ถ้าศึกดาร์บี้ของทั้งสองทีมใกล้เข้ามา สงครามประสาทระหว่างแฟนๆ ผู้สนับสนุนทั้งสองทีมก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น

เดิมที ในช่วงนี้ทั้งสองทีมน่าจะเป็นทีมที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเข้ามาประชันเพื่อแย่งชิงชัยชนะของกรีนฟอร์ดในแชมเปียนส์ลีก แต่ในฤดูกาลนี้ โชคคงไม่เข้าข้าง ทั้งสองทีมจึงเรียงแถวตกรอบแปดทีมสุดท้ายไป เพราะอย่างนั้นจึงเท่ากับว่า พวกเขาทั้งสองคนจะสามารถนั่งกินป๊อบคอร์นไปพร้อมๆ กับดูศึกชิงชัยของภูมิภาคอื่นได้อย่างเพลิดเพลินโดยไม่มีเรื่องคาใจ ทั้งคู่ชนแก้วกันอีกครั้งพร้อมกับพูดอวยพรไปด้วย

“เพื่อชัยชนะของบาร์เซโลนา”

“ครั้งนี้มาดริดต้องเป็นฝ่ายชนะ”

โกล!

สักทีมหนึ่งคงจะทำประตูได้อีกแล้ว เสียงกู่ร้องของผู้คนจึงดังกระหึ่มในผับ ทว่ามูคยอมกับฮาจุนกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยอปากนิดหน่อย พร้อมกับทำเพียงแค่มองหน้ากันเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ ไม่มีใครสักคนที่คิดจะยกแก้วเบียร์กระดกเข้าปาก

“ก็อาจมีเรื่องแบบนี้บ้างแหละ”

คนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนคือมูคยอม อีกฝ่ายวางแก้วพร้อมยิ้มมุมปากอย่างสบายๆ

“ไม่มีกฎตายตัวว่าพวกเราต้องเชียร์ทีมเดียวกันเสมอไปนี่”

“ใช่แล้ว ถูกต้อง แค่เชียร์ทีมชาติกับกรีนฟอร์ดด้วยกันก็พอแล้ว”

ฮาจุนเองก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็หันไปสนใจแค่จอโทรทัศน์ เพียงครู่เดียวก็เหลือบตามองอีกฝ่ายพร้อมถามขึ้นราวกับสงสัย

“นายเคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนว่าชอบบาร์โซโลนาไหม ทำไมฉันไม่รู้มาจนถึงตอนนี้นะ”

“ชอบนักกีฬาคนไหน เป็นแฟนคลับทีมไหน ฉันไม่พูดเรื่องพวกนี้ออกสื่อหรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีนักกีฬาหรือทีมโปรดอยู่แล้วล่ะ ตอนเด็กๆ ฉันเอาโปสเตอร์นักกีฬาที่ชอบแปะผนังห้องเยอะแยะเลยด้วยนะ”

“ฉันไม่รู้เลย นึกว่านายสนใจแค่เรื่องทีมที่ตัวเองสังกัดซะอีก”

“ฉันต่างหากที่ไม่รู้ว่านายเป็นแฟนคลับมาดริด คิดว่าเป็นแฟนคลับคิมมูคยอมแค่คนเดียว”

“ไม่ได้มีนักกีฬาที่ชอบเป็นพิเศษหรอก ก็แค่ชอบสไตล์ของทีมเฉยๆ”

“งั้นเหรอ”

มูคยอมเอียงหัว

“กองหลังเก่าชอบมาดริดงั้นเหรอ เกินคาดเหมือนกันนะ ทีมนั้นขึ้นชื่อว่าค่อนข้างอ่อนเรื่องป้องกันนี่ ถึงนั่นจะทำให้กระตือรือร้นเรื่องเกมรุกมากขึ้นมาหน่อยก็เถอะ”

“ตอนลงแข่งเอง มันก็มีทั้งตอนที่ดีและไม่ดีตามแผนการเล่นนั่นแหละ แต่ตอนเป็นคนดู ฉันชอบฟุตบอลที่เน้นเกมรุกมากกว่า”

“ฟุตบอลสเปนมีเสน่ห์ตรงส่งบอลสั้นได้แม่นยำไม่ใช่เหรอ”

“ตีกีตากาน่ะ ถ้าถูกบีบจนทำประตูไม่ได้ แล้วได้แต่เลี้ยงบอลอยู่อย่างนั้นก็จบ อ่อนเรื่องโต้กลับด้วย”

“ถ้าตัวรุกเก่งๆ ครองบอล เรื่องนั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอก”

“ยังไงก็เป็นความจริงนะที่มันมีจุดอ่อน อย่างแรกเลยคือฉันชอบสไตล์แบบคล่องแคล่วมากกว่า”

ภาพการแข่งขันบนจอโทรทัศน์ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นทีละนิด และเสียงร้องตะโกนพร้อมปรบมือของผู้คนก็คึกคักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ทว่ามีเพียงโต๊ะของมูคยอมกับฮาจุนที่บรรยากาศเยือกเย็นลงกว่าเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ทั้งสองคนเพียงแค่จ้องมองไปทางหน้าจอพร้อมกับดื่มเบียร์โดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็สั่งเครื่องดื่มเพิ่มด้วยใบหน้าบึ้งตึงเท่านั้น

‘ทำตัวอย่างกับเด็ก’

สนามฝึกซ้อมในวันต่อมา ฮาจุนเป่านกหวีดดังปิ๊ดๆ เพื่อคุมการฝึกซ้อมพร้อมคิดทบทวนบทสนทนาเมื่อคืน

พวกเขาพูดคุยกัน ดื่มเบียร์กัน แถมยังแอบจุ๊บกันโดยไม่ให้คนอื่นรู้ จนถึงตอนนั้นมันดีจริงๆ นะ แต่ทำไมมูคยอมกับเขาต้องเล่นสงครามประสาทกันเพราะศึกการแข่งของทีมคู่ปรับที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาทั้งคู่เลยด้วย

ไม่ได้พูดดูถูกอีกทีมโดยไม่คิดก็จริง แต่ทันทีที่รู้ว่าเชียร์คนละทีมกัน ความไม่พอใจบางๆ ก็แฝงอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่อย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยตอนมูคยอมจัดการจบบทสนทนาไปตามสมควร เขาก็ควรที่จะไม่พูดต่อไปมากกว่านั้นอีกแล้ว แต่น่าอายจริงๆ ที่เขาดันเป็นฝ่ายยืดเยื้อหัวข้อนั้นต่อไปอีก

ฮาจุนคิดว่าตัวเองรู้ข้อมูลที่มูคยอมเผยออกสื่อเกือบหมดทุกเรื่อง แต่เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอีกฝ่ายชอบหรือเชียร์ทีมอื่นที่ไม่ใช่ทีมที่ตัวเองสังกัด เขาจึงอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ไหว

อันที่จริง เรื่องชอบนักกีฬาคนไหนหรือเป็นแฟนคลับทีมไหน ถ้าพูดไป เผลอๆ ก็กลายเป็นยอมรับว่านักกีฬาคนนั้นเหนือกว่าตัวเองหนึ่งระดับ และพอลองคิดดูแล้ว ถ้าเสนอตัวเกินหน้าเกินตาว่าอยากย้ายสังกัดไปทีมไหนก็ย่อมถูกนินทาแน่นอน เพราะอย่างนั้นฮาจุนจึงพอเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายยืนหยัดที่จะไม่เปิดเผยเรื่องนั้น

ฮาจุนเคยฝืนเล่นฟุตบอล แต่หลังได้เจอกับมูคยอมก็เกิดความคลั่งไคล้ในตัวฟุตบอลขึ้นมา เขาเก็บรวบรวมข้อมูลของมูคยอม วิเคราะห์ฟุตบอลของอีกฝ่าย พร้อมกับสนุกสนานไปกับการดูฟุตบอลด้วย พอสนุกไปกับมันแล้วก็เลยมีนักกีฬาคนโปรดกับทีมที่สไตล์การเล่นตรงกับแบบที่ชอบอยู่บ้างเหมือนกัน และเรอัลมาดริดคือหนึ่งในนั้น

ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ เขาจะชอบทีมเดียวกับมูคยอมมากขึ้นไหมนะ ฮาจุนจินตนาการไม่ออกง่ายๆ เพราะตัวเองเชียร์หนึ่งในทีมคู่ปรับแห่งศตวรรษอยู่ก่อนแล้ว

เชียร์คนนะทีมกับมูคยอมเนี่ยนะ เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย

เสี้ยวหนึ่งในใจรู้สึกอุ่นวาบขึ้น มูคยอมจึงประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมของฮาจุน ไม่รู้ทำไม มูคยอมถึงรู้สึกอยากทำให้อีกฝ่ายคลายกังวลมากขึ้น เขาจึงเปิดเผยความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันออกมา แม้ว่าจะพูดไม่เก่งก็ตาม

“ฉันก็รู้นะ”

“…อะไร”

“ยิ่งลำบากก็จะยิ่งอยากคิดดีด้วย ฉันก็รู้เรื่องนั้นเหมือนกัน”

ฮาจุนลูบแผ่นหลังมูคยอมโดยปราศจากคำพูด ความเงียบดำเนินต่อไปชั่วครู่ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่เรี่ยวแรงเหือดหายไปอย่างสมบูรณ์แบบแทรกเข้ามาระหว่างทั้งคู่

“ตอนนี้ฉันง่วงจริงๆ แล้ว…”

“ฉันจะทำความสะอาดให้เอง นายนอนเถอะ”

มูคยอมยกตัวขึ้น เขารู้สึกวุ่นวายใจไปหมด เมื่อก้มลงมองใบหน้าของลูกวัวน้อยที่ลดการระวังตัวจนเหลือศูนย์ และหลับตาลงด้วยความวางใจในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้คุมขังตัวเองไว้แล้วคุกคามจนถึงเมื่อครู่นี้

ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปแล้วถูกจับล็อกอีกหรือถูกจับกินอีกจะทำยังไง ไม่กังวลเรื่องแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียวสินะ

เขารู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าเพราะอีฮาจุน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถเป็นบ้าได้เพราะอีฮาจุนอีกนั่นแหละ

“คิมมูคยอม”

มูคยอมก้มลงมองฮาจุนโดยไม่ได้พูดอะไร เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะหลับไปในทันทีแต่อีกฝ่ายกลับเรียกชื่อเขา ในขณะที่มูคยอมกลืนน้ำลายลงลำคอแห้งผาก ฮาจุนก็เรียกชื่อเขาอีกครั้ง

“มูคยอม”

“…อื้อ”

“ชอบนะ”

“…”

“ต่อให้นายไล่ ฉันเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะหายไปได้ง่ายๆ… เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องกังวลนะ…”

ฮาจุนพึมพำราวกับละเมอแล้วไม่นานก็หลับเป็นตาย มูคยอมมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายแล้วเอนตัวลงนอนพร้อมถอนหายใจเพื่อควบคุมหัวใจที่เต้นตึกตักให้สงบ

เขาเจอโค้ชถูกคนมากๆ เลย ขอบตาของมูคยอมฉ่ำน้ำ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกอยากร้องไห้ มูคยอมจึงรั้งฮาจุนที่หลับไปแล้วเข้ามากอดกระชับ “ขอโทษนะ ขอโทษ” แม้ฮาจุนจะอยู่ในห้วงนิทราแต่เขาก็ยังกระซิบบอกอยู่หลายครั้ง จากนั้นถึงได้เงียบลงเพราะกลัวจะรบกวนการนอนของอีกฝ่าย

* * *

สองวันผ่านไป การแข่งขันใกล้เข้ามาแล้ว สนามฝึกของกรีนฟอร์ดห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศการฝึกซ้อมที่คึกคักถึงขีดสุดอย่างต่อเนื่อง

เหตุการณ์ถูกกักกุมตัวอันไม่คาดคิดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืน ทำให้ไหล่ เอว และขาของฮาจุนยังคงขัดตึงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดขยับตัวลำบาก ฮาจุนจึงออกมาทำงานโดยไม่ผัดวันเพิ่มอีก เขาไม่อยากสร้างภาพลักษณ์ว่า โค้ชหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มทำงานได้แค่ของสองเดือน กลับแกล้งทำเป็นป่วยไปเสียแล้วตั้งแต่ตอนนี้

เพราะยังเหลือปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วย นักกีฬาหน้าใหม่เจ้าของดวงตาสีเขียวมะกอก ซึ่งเข้าทีมมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเขา วันนี้ก็กำลังฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น

“มาร์โค”

เมื่อถึงเวลาพักเบรกชั่วคราวหลังวิ่งเสร็จ ฮาจุนก็เดินเข้าไปหาอีกคนซึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่

อีกฝ่ายตกใจจนชะงักแล้วหันมามองฮาจุน มีเรื่องโน้นเรื่องนี้หลายส่วนไปหมดที่ทำให้เขากลุ้มใจ แน่นอนว่ามีเรื่องที่ว่ามาร์โคทำแบบนั้นกับเขาเพราะคิดอะไรอยู่กันแน่ กับเรื่องที่ว่ามาร์โครับรู้สถานการณ์อะไรบางอย่างเพราะตอนนั้นมูคยอมเข้ามาแทรกแล้วกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายหรือเปล่า…

ฮาจุนไม่คิดจะเปิดเผยความสัมพันธ์กับมูคยอมให้คนอื่นได้รู้ที่นี่ ถ้าหากอีกฝ่ายรู้แล้ว เขาก็วางแผนว่าจะต้องขอร้องก่อนว่าให้เก็บเป็นความลับ

“เราคุยกันหน่อยไหม”

มาร์โคทำตามคำขอของฮาจุนอย่างว่าง่าย เมื่อก้าวเดินไปพร้อมส่งสายตา จึงเห็นว่ามูคยอมซึ่งเคยยืนอยู่อีกทางก็ขยับตัวตามมาด้วย

ทั้งสองเข้ามาในห้องรับรองที่ไม่มีคนใช้ แล้วฮาจุนก็ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“เมื่อวันก่อน นายอยากบอกว่าอะไร”

“…”

“ฉันอาจเข้าใจผิดไปก็ได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยคิดว่าต้องยืนยันให้มั่นใจน่ะ”

มาร์โคนิ่งเงียบ ส่วนฮาจุนก็รอ บางทีมูคยอมอาจจะกำลังฟังบทสนทนาอยู่ข้างนอกประตู ปากที่เคยปิดเงียบค่อยๆ เปิดพูดขึ้น

“อยากบอกว่าขอบคุณน่ะครับ”

“…”

“จุน”

“หืม”

“มีคนที่คบหากันอยู่หรือเปล่าครับ”

ไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ จริงๆ ด้วย

ฮาจุนรู้สึกลำคอตีบตันและลังเลที่จะตอบ เขาวิเคราะห์อย่างแน่ชัดไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายถามด้วยจุดประสงค์แบบไหน

ไม่รู้ว่ามาร์โคชอบเขาในเชิงนั้นจริงๆ เหมือนที่มูคยอมพูด หรือมาร์โคเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของเขากับมูคยอม แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ฮาจุนก็รับรู้อย่างแน่ชัดว่าไม่สามารถตอบกลับเป็นคำพูดที่อีกฝ่ายต้องการได้

“มี”

เป็นวิธีการพูดที่เหมือนกับตัดบทอย่างเด็ดขาด มาร์โคทำหน้านิ่ง

“เขาเป็นคนค่อนข้างขี้หึงเลยล่ะ แต่งานที่ฉันทำคืองานที่ต้องเข้าหาคนอื่นเยอะ ฉันอยากเลี่ยงเรื่องที่ทำให้เขากังวลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่อยากทำให้เขาเข้าใจผิดด้วย เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอะไร”

“…หรือว่า เพราะแบบนั้น เมื่อวานก็เลยไม่มาเหรอครับ เพราะผมเหรอ”

ถ้าหากไม่มีคนที่คิดเอาไว้ในใจว่าคนที่เขาคบคือใคร ก็คงไม่ถามคำถามนี้ออกมา

ฮาจุนหลับตาลงครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็ส่งยิ้มบาง

“มาร์โค”

“ครับ”

“ฉันเองก็ช่วยนายอยู่ แต่แฟนของฉันก็… เป็นคนที่จะช่วยเหลือนายได้มากยิ่งกว่าฉันอีกนะ”

“…”

“ถ้านายไม่ยกเรื่องนี้มาพูดอีก พวกเราสองคนสัญญาว่าจะอยู่ข้างนาย”

‘แต่ถ้าหากเอาเรื่องนี้มาพูดอยู่เรื่อยๆ การใช้ชีวิตในกรีนฟอร์ดก็คงต้องลำบากขึ้นทั้งสองฝ่าย’ ฮาจุนตัดคำพูดด้านหลังออก เพราะต่อให้ไม่พูด อีกฝ่ายก็คงจะเข้าใจ

ถ้ามาร์โคมีความรู้สึกให้เขาเกินกว่าความชื่นชอบในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีต่อโค้ชจริงๆ เรื่องที่คุยกันในตอนนี้คงเป็นคำพูดที่ใจร้ายไม่น้อย แต่ฮาจุนไม่มีวิธีการอื่นแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่จะจบลงอย่างมีความสุขกันทุกฝ่าย แต่สามารถชักจูงเรื่องราวไปในทิศทางที่คนจำนวนมากที่สุดจะมีความสุขได้

“เข้าใจแล้วครับ”

โชคดีที่มาร์โคยิ้มบางๆ ราวกับตัดสินใจว่าจะยอมรับข้อเสนอของเขา

“จุน จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะครับ”

“ฉันก็เหมือนกัน”

สำหรับนักกีฬาที่กำลังก้าวผ่านการปรับตัวแสนเหนื่อยยากหลังย้ายสังกัดมา การตั้งเป้าหมายของตัวเองในทีมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญมากเสียจน ถ้าเอาไปชั่งบนตาชั่งสองแขนพร้อมกันกับความชื่นชอบครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวด้วยแรงผลักดันของความเหงา จานชั่งก็จะเอียงไปทางสิ่งแรกทันทีโดยที่ไม่สามารถเทียบเคียงน้ำหนักให้ตาชั่งสมดุลได้

หลังจากจับมือกันครู่หนึ่ง มาร์โคก็เปิดประตูออกไปก่อน เจ้าตัวส่งสายตาทักทายราวกับเห็นมูคยอมยืนรออยู่ด้านนอก แล้วจึงเดินจากไป

มูคยอมเดินเข้ามาในห้องรับรอง อีกฝ่ายยักไหล่พร้อมพูดประชด

“เด็กๆ นี่ไม่มีความกระตือรือร้นเอาซะเลย”

“ปากเก่งจริง โชคดีแล้วนะที่จบลงด้วยดี ไม่งั้นจะดึงดันให้ทำอะไรอีกก็ไม่รู้”

“เห็นไหมล่ะ คำนวณมาแล้วชัดๆ บอกแล้วว่านายไม่จำเป็นต้องเห็นใจเด็กนั่นขนาดนั้น”

“ทำแบบนั้นมันไม่ดีตรงไหน ชีวิตของตัวเอง ตัวเองก็ต้องใส่ใจอยู่แล้ว”

มูคยอมพยักหน้าราวกับบอกว่ามันก็ใช่ จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้แล้วยกแขนพาดไหล่เขา

“แล้วยังไงต่อ สถานการณ์คือฉันต้องตามดูแลเด็กนั่นเหรอ”

“นายแค่คอยดูเวลามีคนอื่นมาเบ่งใส่สักหน่อยก็พอ นายทำเรื่องแบบนั้นได้ดีเลยถ้านายตั้งใจจะทำ เอาจริงๆ ตอนได้ฟังเรื่องมาร์โคครั้งแรก นายก็คิดว่าเขาน่าสงสารเหมือนกันนี่”

“ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องช่วยไอ้เด็กไม่รู้กาลเทศะคนนั้น…”

“คิมมูคยอม”

ฮาจุนเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่แฝงความดุเล็กน้อยราวกับปรามไม่ให้พูดแบบนั้น มูคยอมหัวเราะหึๆ แล้วหันหน้าเข้ามาหา

“ไม่เอาแบบนั้น”

“อะไร”

“เรียกแบบเมื่อวันก่อนดูสิ แบบน่ารักๆ”

เมื่อคืนก่อน ส่วนหนึ่งก็ด้วยบรรยากาศ แต่เพราะไม่อยากเซ้าซี้ฮาจุนที่เพิ่งได้นอนหลับด้วย มูคยอมจึงปล่อยให้คืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ยอมลืมคำเรียกชื่อแปลกใหม่นั้นไปเช่นกัน ฮาจุนขมวดคิ้วพร้อมถามว่าพูดเรื่องอะไร แต่ถึงอย่างนั้น แก้มก็ค่อยๆ ขึ้นสีเรื่อ

“ถ้านายไม่เรียก ฉันจะไม่ช่วยหมอนั่น”

“เฮ้อ…”

ฮาจุนโพล่งขึ้นเสียงเรียบราวกับยอมแพ้

“มูคยอม”

“อีกที”

“มูคยอม”

“อีกรอบหนึ่ง”

“มูคยอม! มูคยอม มูคยอม มูคยอม! พอใจหรือยัง นายนี่ไม่ปล่อยผ่านไปสักอย่างจริงๆ”

มูคยอมแสร้งแสร้งตะเบะความเคารพแล้วตอบรับกลับโดยจงใจทำเหมือนตัวเองเป็นนักกีฬาผู้ฮึกเหิม

“จงอย่าสร้างศัตรู ผมจะทำตามคำสั่งนะครับโค้ช ยิ่งเป็นคนที่อันตรายมากเท่าไร ยิ่งต้องเก็บไว้สังเกตการณ์ข้างๆ ตัว วิธีนี้ถูกต้องแล้ว”

ทั้งสองออกมาจากห้องเก็บของแล้วเดินเคียงข้างกันไป จู่ๆ ฮาจุนก็ถามขึ้นเพราะนึกขึ้นมาได้

“ว่าแต่นายน่ะ ทำไมถึงซื้อของแบบนั้นมา”

“ของแบบนั้นอะไร”

“กุญแจมือไง”

เมื่อฮาจุนลดเสียงลง มูคยอมถอนหายใจออกมาสั้นๆ ลังเลอยู่สักพักก่อนจึงหัวเราะแก้เขิน

“ก็แค่ อยากลองทำแบบล็อกนายไว้สักครั้งหนึ่ง”

“แบบเดียวกับเมื่อวันก่อนน่ะนะ”

“อืม ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น ฉันตั้งใจจะทำโดยให้นายเห็นชอบด้วยก่อนนั่นแหละ กลายเป็นรู้สึกผิดไปเลย”

‘อะไรกัน’ ฮาจุนหัวเราะอย่างอ่อนใจเล็กน้อย เขากังวลขึ้นมานิดหน่อยว่ามูคยอมอยากขังเขาไว้ในบ้านจริงๆ เลยซื้อมันมาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วหรือเปล่า แต่ดูเหมือนจะทำไปเพราะเมาจนขาดสตินั่นแหละ

“ถ้างั้นคราวหน้าไว้ทำกันอีกนะ”

คำพูดที่ตอบกลับมาอย่างชัดเจนทำให้มูคยอมเบิกตากว้าง อีกฝ่ายย้อนถามด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“นายพูดจริงเหรอ”

“อื้อ แต่ไม่เอาแบบนั้น ตกลงกันก่อนตั้งแต่แรกเหมือนที่นายพูด แล้ว…”

ฮาจุนกำลังจะพูดต่อว่า ‘ตอนวันหยุดครั้งต่อไป’ แต่ก็ตัดสินใจว่าจะกระตุ้นแรงบันดาลใจของนักกีฬาในฐานะโค้ชสักหน่อย

“…ถ้าชนะในลีกนี้หรือในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือไม่ก็เข้ารอบ 16 ทีมในเวิล์ดคัพ”

“จริงนะ อีฮาจุน ห้ามเปลี่ยนคำนะ”

จู่ๆ มูคยอมก็หัวเราะฮ่าๆ อย่างร่าเริงพร้อมกับวิ่งไปกระโดดล็อกคอนักกีฬาคนอื่น นักกีฬาที่โดนจู่โจมอย่างกะทันหัน ร้องโวยวายเสียงดังพร้อมกับเหวี่ยงแขนไปมา แต่มูคยอมเอนตัวหลบการโจมตีไปได้ด้วยความว่องไว

แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว สนามหญ้าก็ยังคงเป็นสีเขียวสด พอมองดูภาพนักกีฬาวิ่งอยู่บนนั้นจากไกลๆ ก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ยังคงมีพลังและสงบสุขเช่นเคย ฮาจุนรู้สึกเหมือนกำลังมองดูฝูงม้าวิ่งเล่นอยู่ในฟาร์ม

ฮาจุนหยิบสมุดโน้ตที่วางไว้ครู่หนึ่งขึ้นมาถือ เขากับโค้ชรุ่นพี่คอยดูนักกีฬาที่กำลังฝึกซ้อมโดยการเลี้ยงลูกผ่านสิ่งกีดขวางเพื่อส่งบอลเข้าโกลทีละคน ถ้ามีนักกีฬาที่เลี้ยงบอลพลาดไปโดนสิ่งกีดขวางล้ม หรือเท้าพันกันจนเซ โผล่มาเป็นครั้งคราว นักกีฬาคนอื่นๆ ที่ดูอยู่ก็จะปรบมืออย่างโอเวอร์แล้วส่งเสียงหัวเราะขำขัน

งานนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเป็นงานที่ต้องลงแข่งในสถานที่ที่กำหนดไว้เป็นระยะเวลาเก้าสิบนาทีแล้วคว้าชัยชนะมา ถ้าอยู่ในช่วงเพิ่งโยกย้ายสังกัด คนมากมายก็จะยกมาเป็นหัวข้อสนทนากันปากต่อปากราวกับเล่นเกม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้พวกเขาพูดถึงกันนานขนาดนั้น

ทั้งฮาจุนที่เคยเลิกอาชีพนักกีฬาเพราะอาการบาดเจ็บ แม้ใกล้จะถึงเวลาต้องย้ายสังกัดไปต่างประเทศอยู่แล้ว ทั้งมูคยอมซึ่งมีชีวิตเหลือรอดเพียงคนเดียวจากครอบครัวที่แตกหัก และตอนนี้ก็กำลังเตะบอลด้วยรอยยิ้มอยู่บนสนามหญ้าตรงโน้น ทั้งมาร์โคที่หันหลังจากบ้านเกิดมา และกำลังพยายามเพื่อให้ได้เข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ อยู่ ทั้งแฮร์รี่ เจ้าของรอยแผลเป็นยาวตรงต้นขาที่กำลังเป่านกหวีดอยู่ข้างๆ เขาในตอนนี้พร้อมกับออกคำสั่งกับพวกนักกีฬาไปด้วย… เป็นเหมือนกับที่มูคยอมพูด ไม่มีใครมายืนอยู่ตรงนี้ได้ง่ายๆ เลยสักคนเดียว

ลูกบอลถูกนักกีฬาคนหนึ่งใช้เท้าเตะอย่างแรงดังปัง มันเคลื่อนที่ออกจากจุดเดิมมาตกลงตรงหน้าแฮร์รี่กับฮาจุน แฮร์รี่แผดเสียงแว้ด

“เตะเบี้ยวอะไรขนาดนั้น หา เตะแบบนี้แล้วจะส่งลูกหรือทำประตูได้ไหม”

จากนั้นก็ยิ้มหนึ่งทีพร้อมกับบอกฮาจุน

“เตะกลับไปให้หน่อย”

“ครับ”

ฮาจุนเตะลูกบอลที่ตกอยู่ตรงหน้าตัวเองออกไปยาวๆ ลูกบอลที่ถูกเตะโดยผู้เล่นกองหลังซึ่งเคยโด่งดังในช่วงหนึ่ง ตกลงตรงหน้านักกีฬาที่ยืนอยู่อย่างแม่นยำ “ว้าว” พวกนักกีฬาต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องพร้อมปรบมือ

มูคยอมส่งเสียงร้องด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็สบตากับเขาแล้วชูนิ้วโป้งให้ ชายหนุ่มที่เคยเมาเหล้าแล้วมองเขาด้วยดวงตาดำทะมึนและมืดมนราวท้องทะเลยามค่ำคืน หายลับไปแล้วเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น มูคยอมที่วิ่งร่วมกันกับนักกีฬาคนอื่นๆ อยู่เหนือสนามหญ้า ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไรนัก จากภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มที่เขาเฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่สมัยอายุสิบหกปี

‘สำหรับฉัน คิมมูคยอมสำคัญที่สุด’

ฮาจุนพูดทวนคำที่เคยบอกกับมูคยอมเมื่อไม่นานมานี้ในใจ

ฟุตบอลที่เริ่มเล่มเพราะลุ่มหลงไปกับเงินสนับสนุนและอาหารว่าง กับชีวิตนักกีฬาที่วิ่งไล่ตามความเพ้อฝันซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นจริงเมื่อไร เพราะคำชี้แนะที่บอกว่าตัวเองมีความสามารถ แทนที่จะมองหาตำแหน่งงานที่ไม่น่าจะพอกินพอใช้ สู้ตั้งอกตั้งใจเล่นฟุตบอลแล้วตั้งเป้าว่าจะเป็นมืออาชีพเร็วๆ น่าจะดีกว่า

ผลลัพธ์ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จซึ่งเคยขยับใกล้เข้ามา กลับหายวับไปราวกับฝันกลางวัน การตัดสินใจอย่างหนักแน่นตามความเป็นจริงต้องมาเป็นอันดับแรกสุด เขาจึงหันหลังให้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตัดสินใจว่าจะเป็นโค้ชอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่มีทั้งเงินและเวลามากพอที่จะยึดติดกับความเป็นไปได้อันน้อยนิด ในสถานการณ์ที่ต่อให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ความเป็นไปได้ที่จะได้กลับไปทำอาชีพเดิมก็ต่ำมากเสียจนต่ำลงกว่านี้ไม่ได้แล้ว

สำหรับใครบางคน สนามหญ้าสีเขียวสดน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหล ความฝัน หรือความหวัง แต่สำหรับเขา มันคือความเป็นจริงที่เฉียบขาดเสมอมา มีแค่เขาคนเดียวหรือเปล่านะ บางทีคนที่มองพื้นที่สีเขียวนี้เป็นเวทีแห่งความฝัน อาจมีจำนวนน้อยกว่าคนที่ไม่ได้มองแบบนั้นก็ได้

มีใครคนหนึ่งโปรยผงระยิบระยับลงบนความเป็นจริงนั้น แล้วทำให้แต่ละวันอันแสนจืดชืด หอมหวานขึ้นมานิดหน่อย ชีวิตที่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนและได้รับมาในตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากเสียสละตัวเองเพื่ออีกฝ่ายได้อีกสักหน่อยก็คงจะไม่มีอะไรเสียหาย

ขอโทษนะ ขอโทษ….. นึกถึงน้ำเสียงเศร้าหมองที่เคยได้ยินข้างหูตอนหมดสติไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าแต่เหมือนว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันดีอยู่แล้ว ฮาจุนผลอยหลับไปพร้อมกับความคิด

ฮาจุนก้มลงมองข้อมือที่เคยถูกล็อกไว้ หวนนึกถึงความรู้สึกอันว้าวุ่นเมื่อสองคืนก่อน ความอึดอัดและความโกรธเคือง ความว่างเปล่าและความสับสน เขาจำได้กระทั่งความดีใจแปลกๆ ที่แหวกเข้ามาแทรกกลางความไม่พอใจที่ถูกกระทำเรื่องไม่ยุติธรรมใส่ ฮาจุนหลับตาลงนิ่งๆ แล้วลืมตากลับขึ้นมา ดวงตาของมูคยอมมืดมนและไม่ปรากฏความรู้สึกราวกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง

‘นายก็กังวลว่าจะเสียฉันไปเหมือนกันสินะ’

ฮาจุนคิดว่าความหึงหวงบ่อยๆ ของมูคยอม เป็นเหมือนกับความต้องการเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว หรือไม่ก็ความต้องการครอบครองที่เกิดจากนิสัยดื้อดึงและการสร้างจินตนาการที่พรั่งพรู แต่มูคยอมเองก็จะเป็นเหมือนกันกับเขาไหมนะ ที่ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาเป็นบางครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

ฮาจุนรู้สึกเขินอายกับความจริงที่ว่าตัวเองรู้สึกดีใจนิดๆ กับความกระวนกระวายของมูคยอม เช่นเดียวกับมูคยอมที่สาบานว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก เขาเองก็สาบานในใจว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน

เขาไม่มีอะไรเลย ต่างกับมูคยอมซึ่งเป็นเหมือนกับยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่ทำอะไรก็ตามให้มีจริงขึ้นมาได้ด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว สิ่งที่เขาสามารถมอบให้อีกฝ่ายได้จึงมีไม่มาก มีเพียงตัวเปล่าๆ กับคำพูดน่าฟังเท่านั้น

เพราะอย่างนั้น เมื่ออีกฝ่ายต้องการ ไม่ว่าเมื่อไร เขาก็จะยื่นแขนทั้งสองข้างไปโอบกอด ถ้ามีคำที่เจ้าตัวอยากฟัง ถึงจะน่าอายนิดหน่อย แต่เขาก็จะพูดให้ฟังกี่ครั้งก็ได้

ถ้าพวกถ้อยคำหวานหรือคำสัญญาของเขามีค่า ฮาจุนก็จะพูดจนกว่าคำพูดของเขาจะเข้าไปเติมเต็มในร่างกายของอีกฝ่าย แล้วขับไล่ความสงสัยหรือความกังวลใจให้หมดไป รวมถึงระลอกคลื่นของเมื่อวันก่อนที่ซัดไล่เข้ามาจนถึงข้อเท้าเป็นบางครั้ง เขาจะพูดจนกว่าอีกฝ่ายจะไม่จ้องมองมาด้วยสีหน้าเหมือนสัตว์ร้ายที่ปรารถนาในตัวเขาอีกเป็นครั้งที่สอง

ถ้าทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะไปถึง ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีอะไรไล่ตามพวกเขาทั้งสองคนอีกต่อไป

ฮาจุนบดเอวลงไม่หยุดราวกับคนที่พยายามจะไล่ตามเส้นด้ายที่พันกันไปกันมาเพื่อตามหาปมแรกที่มัดไว้ ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เสียงครวญครางที่ผสมปนเปไปด้วยความสุขสมและความทรมานก็พรั่งพรูออกมาจากปาก พลันทำให้น้ำตาทำท่าจะไหลออกมาด้วย น้ำเสียงของมูคยอมค่อยๆ สั่นเครือ

“ฮาจุน คุณแฟนครับ โค้ชครับ ปลดข้อมือให้หน่อยนะ หืม”

“ฮ้า ฮึก อา อ๊ะ…”

“เดี๋ยวฉันทำให้ จะทำไม่ให้เจ็บ ฮู่ว จะให้รู้สึกดีจริงๆ”

“อา เจ็บนะ อยู่ อื๊อ นิ่งๆ อ๊ะ อ๊า อ๊า…!”

ในตอนที่เอวของฮาจุนขยับเชื่องช้าลง มูคยอมก็ไม่รอช้าแล้วหยัดร่างกายท่อนล่างของตัวเองเด้งสวนขึ้นไป เรี่ยวแรงเหือดหายไปจากเสียงครวญครางของฮาจุนที่บอกว่าให้หยุด บอกว่าให้อยู่เฉยๆ

เมื่อร่างกายยกลอยขึ้นกลางอากาศแล้วกดลงมาทับบนร่างของมูคยอมจนเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นอีกครั้ง ความหฤหรรษ์อันซาบซ่านราวกับจะทะลวงขึ้นไปถึงกระหม่อม ก็ทำให้ฮาจุนเชิดหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ สะโพกที่ทับอยู่บนตัวของมูคยอมเกร็งแน่น

“ฮ้า อ๊ะ อ๊า!”

มูคยอมจ้องมองแนวลำคอที่ยืดตึงแล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า

เขาอยากใช้มือจับแล้วสัมผัสแกนกายที่ตั้งตรงและแกว่งไกวอยู่ตรงหน้า อยากฟอนเฟ้นหน้าท้องกับแผ่นอกเรียบเนียนที่บิดไปมาและเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกับของเหลวที่ขับออก ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็อยากจะลูบไล้ อยากประทับริมฝีปาก อยากรั้งมากอด ไม่ได้อยากจับมากระแทกตามอำเภอใจด้วยความเมามายเหมือนเมื่อครู่ แต่คราวนี้เขาอยากขยับร่างกายทำให้ฮาจุนรู้สึกดีจริงๆ และในขณะเดียวกันก็อยากปลดปล่อยแล้วด้วย

รู้สึกเหมือนดวงตามีไฟลุกโชนจนแดงก่ำ แต่ถึงจะเขย่าข้อมือมากเท่าไร วงล้อเหล็กอันแข็งแรงกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มันเป็นของที่เขาซื้อมาหลังได้อ่านคำอธิบายว่า เป็นวัสดุที่แข็งแรงซึ่งจะไม่แตกหักและปลดล็อกไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากไม่มีกุญแจ

‘บ้าฉิบ บ้าชะมัด!’

“โอ๊ย!”

ด้วยความวู่วามใจ มูคยอมกระชากข้อมือที่ถูกใส่กุญแจมือไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีตามความปรารถนา กุญแจมือด้านในขูดส่วนที่เชื่อมระหว่างข้อมือกับมือซึ่งเป็นจุดที่โค้งออกมา แล้วมูคยอมก็รู้สึกว่าผิวของเขาถลอก

กุญแจมือเอาผ้าซ้อนไว้ด้านในเพื่อไม่ให้บาดเจ็บ แต่ดูเหมือนเป็นเพราะเขากระชากแรงมากเกินไปจึงพลาดไปโดนตรงไหนเข้า ความเจ็บแปลบทำให้เขาร้องเสียงดังออกมาโดยไม่รู้ตัว เอวของฮาจุนที่ขยับโยกหยุดชะงักลงฉับพลัน อีกฝ่ายถามขึ้นทั้งที่ยังส่ายหน้าราวกับเวียนหัว

“ปะ เป็นอะไรไป…”

มูคยอมมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่งแล้วจึงขมวดคิ้ว ทำหน้าเหยเก

“เหมือนข้อมือถลอกแล้วเลือดออกเลย”

“อ่า…”

ความตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮาจุนราวกับเลือดฝาด มูคยอมพูดต่อทันที

“มือฉันคงจะเลือดไม่ไหลไปเลี้ยงแน่ๆ กุญแจมือเล็กเกินไปสำหรับฉันน่ะ”

“ขอโทษ ขอโทษนะ ฉันไม่คิดว่าจะทำนายเจ็บ”

ฮาจุนลุกลี้ลุกลนหยิบกุญแจซึ่งวางไว้ข้างกายคนที่นอนอยู่ เมื่อยกเอวขึ้น แกนกายที่ถูกกลืนกินก็หลุดออกมาเป็นทางยาว แกนกายเงาวาวกำลังกระดุกกระดิกด้วยตัวของมันเอง พร้อมทั้งรอคอยที่จะไปถึงฝั่งฝันซึ่งเหลืออีกไม่ไกลเท่าไรนัก

ฮาจุนรีบร้อนขยับเข้ามาใกล้ ในตอนที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมือเหนือศีรษะของเขา สายตาของมูคยอมก็จับจ้องเพียงแผ่นอกขาวและหัวนมบวมเป่งของอีกฝ่ายเท่านั้น

เมื่อได้ยินเสียงกุญแจมือถูกปลดดังแกร๊กด้านบนศีรษะและตระหนักได้ว่ามือได้รับอิสระแล้ว มูคยอมก็ยืดแขนไปรั้งเอวของฮาจุนแล้วโฉบร่างทับอีกฝ่ายราวกับตาข่ายกับดักทันที ฮาจุนตื่นตกใจพลางส่ายหน้า

“มะ ไม่ได้ อย่านะ ไม่ได้จริงๆ…”

ฮาจุนนอนแผ่ลงกับเตียงอีกครั้งแล้วดิ้นไปมา มูคยอมปิดปากของฮาจุนด้วยริมฝีปากของเขา

ฮาจุนพยายามจะหนี ส่วนมูคยอมก็พยายามยึดอีกฝ่ายไว้แน่น ขาของทั้งสองเกี่ยวพันกันอิรุงตุงนังอยู่พักหนึ่งบนเตียงยับยู่ยี่ราวกับกำลังเล่นมวยปล้ำ กระทั่งในตอนที่กำลังขยับไปมาอย่างวุ่นวายแบบนั้น มูคยอมก็ยังจับของตัวเองให้ตรงกับกลางบั้นท้ายของฮาจุนได้

ร่างของฮาจุนแข็งทื่อเพราะความตึงเครียด แต่ด้านหลังที่ขยายออกแล้วสามารถรองรับมูคยอมเข้าไปได้อย่างไม่หนักหนาเกินไป ส่วนที่ตื่นตัวจนแข็งผงาดยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ ไม่รีรอและสอดทะลวงเข้าไปในร่างที่สั่นสะท้านและกลั้นสะอื้นไม่อยู่

“อ๊า ไม่เอา ไม่เอา…! อื๊อ อึก!”

ฮาจุนพลิกตัวกลับ ตอนขยับเองเขาสามารถควบคุมได้ แต่ถ้ามูคยอมเป็นฝ่ายนำเมื่อไรก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว หากมูคยอมกดสอดเข้ามาอย่างเต็มที่ ด้วยสภาพในตอนนี้ก็คงจะรู้สึกเจ็บเพียงอย่างเดียวแน่นอน

มูคยอมคงโกรธเพราะถูกเขาล็อกมือไว้ตามอำเภอใจ ฮาจุนนึกกลัวไปก่อนว่ามูคยอมจะทำตัวหยาบกระด้าง ฮาจุนหลับตาปี๋

“บอกแล้วไง ว่าจะไม่ทำให้เจ็บ”

มูคยอมกระชับแขนให้มากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วโอบกอดตัวของฮาจุนไว้อย่างมั่นคง มือใหญ่ลูบศีรษะของฮาจุนที่สั่นสะเทือนเพราะมัวแต่ดิ้นไปมาอย่างปลอบโยน

แกนกายที่สอดเข้ามาได้ครึ่งลำค่อยๆ หมุนควงด้านใน เมื่อส่วนปลายที่สัมผัสตรงจุดใกล้กับต่อมลูกหมากบดเคล้าลงบนนั้นอย่างเชื่องช้า และกวาดไล้ผนังด้านในอย่างอ่อนโยน ตัวของฮาจุนที่เคยแข็งเกร็งจึงผ่อนคลายมากขึ้นทีละนิด

“ฮ้าาา อือออ อื๊อ…!”

มูคยอมโยกเอวช้าๆ และขยับตัวอย่างนุ่มนวลราวกระแสน้ำ แทนการตอกกายกระแทกอย่างดุเดือด ท่อนเนื้อแข็งขึงให้ความรู้สึกเหมือนลิ้นที่กำลังโลมเลียผนังด้านใน ไม่ใช่ความร้อนแรงแสนทรมาน แต่ความสุขสมที่ซาบซ่านและหวานฉ่ำจนขาสั่นไปโดยอัตโนมัติกำลังแพร่กระจายออกไปจากจุดที่ร่างกายสอดประสานกัน

กระทั่งความเจ็บแปลบเล็กๆ ซึ่งจำต้องสัมผัสอย่างเลี่ยงไม่ได้ในทุกคราที่มูคยอมบดเอว ก็ยังตีตื้นขึ้นมาทำให้มวลก้อนความสุขสมพองใหญ่ขึ้น ราวกับน้ำจิ้มที่ช่วยชูรสชาติ ดวงตาที่เคยปิดสนิทเพราะความเครียดกลับมาปรือเปิดขึ้นทีหลังแล้วมองประจันหน้ากับอีกฝ่าย มูคยอมประทับริมฝากลงมาบนแก้มของเขาพลางกระซิบ

“เจ็บหรือเปล่า”

“อ๊ะ ไม่…”

“เอาขาเกี่ยวรอบเอวฉันไว้”

ฮาจุนพยักหน้าพร้อมกับทำตามคำสั่ง ขาสองข้างตวัดรอบแผ่นหลังส่วนล่างอันแข็งแกร่งของมูคยอม

“ลองหมุนเอวแบบเมื่อกี้ดูสิ เหมือนตอนที่นายขึ้นให้”

“ฮึก ฮ้าาา แบบนี้ เหรอ…”

“ใช่ ช้าลงอีกหน่อย…”

มูคยอมเร่งความเร็วนิดหน่อยแล้วกลับมาลดความเร็วลง สลับกันไปมา แกนกายฝังลึกด้านในแล้วจดจ่ออยู่กับการบดคลึงลงตรงจุดที่ฮาจุนรู้สึก

ถ้าเพื่อจุดสุดยอดของเขาเพียงคนเดียว การกระแทกอีกคนแรงๆ จนเนื้อกระทบกันเสียงดังปั้กๆ ก็น่าจะเป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุด แต่หากทำแบบนั้นตอนนี้ มูคยอมก็จะไม่สามารถรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลังได้

“อ๊ะ ฮ้าาา… คิมมูคยอม แบบนี้ รู้สึก…”

ฮาจุนหมุนควงให้แกนกายที่ซอยถี่ๆ บดเบียดด้านในตนเองให้ทั่วทุกทิศทาง แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ริมฝีปากของมูคยอมกดจูบลงบนลำคอขาว

“เจ็บเหรอ รู้สึกไม่ค่อยดีหรือเปล่า”

“อื๊อออ ไม่ ดี… ดีมาก เลย… ฮ้าาา…”

ทั้งน้ำเสียงของอีกฝ่าย เสียงลมหายใจที่ผ่อนออกมาระหว่างที่พูด ดวงตาชุ่มน้ำที่ทอดมองเขา ขาที่เกี่ยวรัดรอบลำตัวกับสัมผัสในร่างกายที่ชวนให้ผสานร่างเป็นหนึ่ง

แค่เพียงตัวตนของฮาจุนในอ้อมกอดของตัวเองก็ทำให้มูคยอมรู้สึกได้แล้วว่าความรักใคร่กับความกำหนัดที่ปะปนกันมันพลุ่งพล่านถึงจุดสูงสุด เขาอยากจับอีกฝ่ายกระแทกตามใจชอบตอนนี้เลย มูคยอมกัดฟันพร้อมกับจับเอวที่สั่นกระตุกกดลง จากนั้นก็หยัดแกนกายที่ถอนออกมายาวๆ ให้สอดลึกเข้าไป

“อา อ๊า…!”

ภายในร่างเต็มตื้นไปหมดเพราะท่อนเนื้อที่กดสอดเข้ามาในผนังอย่างเชื่องช้า ตัวของฮาจุนสั่นระริก เมื่อมูคยอมแทรกตัวลึกสุดโคนจนพวงเนื้อกดแนบชิดกับก้นขาว เสียงกรีดร้องก็ระเบิดออกมา ริมฝีปากของฮาจุนอ้ากว้าง คางสั่นเทิ้ม

“ฮู่ว ฮื้อ… อึก อื๊อออ ฮึก…”

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะร้องครวญครางราวกับทรมานเพราะส่วนลึกในตัวถูกบดบี้ แต่ก็รู้สึกถึงคลื่นความสุขสมที่ซัดสาดไปในร่างกายอย่างถึงขีดสุด มือของมูคยอมปัดผมด้านหน้าที่ยุ่งเหยิงของอีกฝ่ายขึ้นไป ริมฝีปากปัดผ่านบนหน้าผากกลมกลึง บนโหนกคิ้ว บนขมับและแก้มที่น้ำตาแห้งเหือด ราวกับสัมผัสจากมืออันปลอบโยน

เอวยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว มูคยอมโยกเอวอย่างเชื่องช้าทว่ายาวและหนักแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า การสอดเข้าออกที่สั่นสะเทือนในร่างกายทำให้ฮาจุนแอ่นเอวและเชิดคอไปด้านหลังซ้ำๆ มูคยอมกดริมฝีปากลงบนลำคอขาวกระจ่างที่สั่นสะท้าน

เมื่อเอามือที่โอบรัดแผ่นหลังของเขาออกแล้วสอดนิ้วประสานกัน นิ้วขาวก็บีบกระชับแนบหลังมือของเขาราวกับกำลังรออยู่ สัมผัสของปลายนิ้วที่แตะลงบนหลังมือ เชื่อมเข้าไปถึงในอกแล้วทิ้งสัมผัสของมือไว้ในหัวใจของเขาด้วย ดังเช่นทุกครั้ง ความรู้สึกถาโถมขึ้นมาก่อนความคิดแล้วแปรเปลี่ยนเป็นคำพูดที่เปล่งออกมา

“ชอบนะ ฮาจุน ชอบมาก… ฉันรักนาย”

“อะ อื๊อ ฉันก็… รัก ฮึก… จริงๆ นะ รักจริงๆ มากๆ…”

“ฮ้าาา…”

หลังจากนั้น มูคยอมก็ยังกระซิบอีกหลายทีในทุกครั้งที่สอดกายเข้าออก ส่วนฮาจุน ถึงแม้จะหายใจสั่นๆ เพราะมีเสียงสะอื้นเจือปนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังตอบรับคำกระซิบของมูคยอมอย่างไม่ตกหล่น

น้ำรักร้อนผ่าวที่ทำให้ร้อนรุ่มอยู่เนิ่นนาน ไหลทะลักสู่จุดที่ลึกที่สุดในร่างกายของอีกฝ่าย แทบจะในเวลาเดียวกัน น้ำรักสีจืดจางก็ไหลออกมาจากส่วนปลายลำกายของฮาจุนราวกับน้ำลายเหนียวหนืดเช่นกัน

มูคยอมกอดร่างของคนรักที่ส่งเสียงสะอื้นเพราะถึงจุดสุดยอดซึ่งโหมซัดร่างกายที่ถูกเอาเปรียบอีกครั้ง จากนั้นจึงแตะริมฝีปากกดจูบอย่างลึกซึ้ง

กี่โมงแล้วนะ บางทีด้านนอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านผืนหนาปิดกั้นไว้ ท้องฟ้าอาจจะกำลังค่อยๆ สว่างขึ้นรำไรอยู่ก็ได้

มูคยอมนึกย้อนถึงค่ำคืนอันแปลกประหลาดที่เพิ่งเคยประสบครั้งแรกในชีวิต เขากินเหล้าเมามายอย่างเต็มที่ในระหว่างฤดูกาลสำคัญซึ่งนั่นไม่สมกับเป็นตัวเขาเลย และเพราะอย่างนั้น ฮาจุนถึงโดนทำเรื่องร้ายกาจตอนดึกดื่น พาลทำให้ชีวิตประจำวันที่หมุนเวียนไปของพวกเขาทั้งสองพังไม่เป็นท่าด้วย

ไม่ว่าเศษเสี้ยวที่ผิดพลาดจะเคยติดอยู่ติดกับชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ มูคยอมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ส่ายหน้าพร้อมตัดสินใจว่าจะลืมมันไปก่อน แม้นับรวมปีที่มาใช้ชีวิตในลอนดอนครบทุกปีก็ยังไม่เคยออกนอกลู่นอกทางแบบนี้สักครั้ง ความผิดพลาดนี้เขาต้องทำให้มันจบลงในวันนี้เป็นครั้งสุดท้ายให้ได้

มูคยอมที่รักใครสักคน จะมีความคิดวอกแวกและอ่อนไหวจนจิตใจว้าวุ่นไปหมด ยิ่งกว่ามูคยอมตอนก่อนที่จะมีความรัก เมื่อได้รับสิ่งสำคัญก็ย่อมมีความเสี่ยงที่มากพอๆ กันตามหลังมา เขาทำได้เพียงแค่ต้องรอบคอบและระมัดระวังอย่างต่อเนื่องไป

“ข้อมือไม่เป็นไรใช่ไหม”

ฮาจุนซึ่งกรีดร้องและร้องไห้ไม่หยุดอยู่พักใหญ่ ตอนนี้กลับมาสงบลงแล้ว เสียงที่อู้อี้นิดหน่อยของฮาจุน เหมือนกับท้องฟ้าทอแสงอ่อนยามเช้ามืดที่ไม่สงบเงียบมากเกินไปแต่ก็ไม่สว่างชัดมากเกินไป

ขนาดเกิดเรื่องวุ่นวายก็ยังเป็นห่วงข้อมือของเขาอย่างนั้นเหรอ มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่น ข้อมือของเขาเพียงแค่ถูกขูดนิดหน่อยตรงส่วนที่กระดูกนูนออกมา แล้วเห็นเป็นเส้นสีแดงบางๆ เท่านั้นเอง

“ไม่ต้องทายาเหรอ”

“เอาน้ำลายนายทาให้หน่อย”

คำตอบของมูคยอมทำให้ฮาจุนเองก็หัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ

“ฮาจุน”

“อื้อ”

มูคยอมโอบแขนรอบซี่โครงของฮาจุน ฝังใบหน้าลงตรงอกขาว ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายจากตรงแผ่นอกที่แนบชิดกับใบหน้า ‘ตุบๆ’ จังหวะการเต้นของชีพจรไม่ทิ้งช่วงนาน

“วันนี้ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”

“…นายต้องสำนึกผิดจริงๆ นะ เมื่อกี้ฉันตกใจมาก”

“ฉันจะไม่เป็นแบบนี้อีก ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแบบคาดไม่ถึง นายแจ้งตำรวจไปเลย จากนี้ไป เวลาอยู่คนเดียว ฉันจะให้เหล้าเป็นของต้องห้ามแล้ว เหล้าจะไม่ได้โดนปากฉันเด็ดขาดถ้านายไม่อยู่ด้วย ฉันไม่เคยเมาแล้วก่อเรื่องแบบนี้มาก่อน… ต้องระวังขึ้นแล้วละ”

ฮาจุนหัวเราะเบาๆ ราวกับขำอะไรบางอย่าง เพราะคำขอโทษที่ร่ายออกมาราวกับรอจังหวะอยู่

“มันต่างกับปกติเพราะนายเมาตอนอารมณ์ไม่ดีน่ะสิ ปกตินายไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”

“ปัญหาแบบนี้มันปกติได้ที่ไหนกัน ถ้าได้เมาอาละวาดครั้งหนึ่งแล้ว จากนี้ก็ต้องระวังแบบไม่มีข้อแม้เลย ฉันสัญญาแล้วว่าจะไม่เป็นแบบนี้เด็ดขาด แต่ถ้าเป็นบ้าอีก…”

มูคยอมขมวดคิ้ว ลูบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของฮาจุนแล้วพูดต่อ

“ที่ฉันพูดเมื่อกี้ ทุกอย่างเป็นเรื่องไร้สาระที่พูดไปเพราะฤทธิ์เหล้า นายไม่ต้องรับฟังความโลภแบบนั้นแล้ว มองข้ามมันไปเลยนะ ทำตามที่นายต้องการ อะไรก็ได้ทุกอย่างเลย”

แม้ไม่ได้ส่งเสียงแต่มูคยอมก็รับรู้ได้จากจังหวะการหายใจว่าฮาจุนหัวเราะ แขนอีกข้างของฮาจุนโอบกอดรอบศีรษะของมูคยอม ประทับริมฝีปากไล้ผ่านส่วนที่เชื่อมระหว่างหน้าผากกับเส้นผมของมูคยอมจากซ้ายไปขวาอย่างแผ่วเบา

“ไม่รู้สิ จะให้เมินเฉยแล้วทำตามใจฉันเองได้ยังไง เป็นคำพูดของคนที่ฉันชอบเชียวนะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นายจะทำตามทุกคำพูดไม่ได้สิ”

“ไม่รู้ละ ถ้างั้น ถ้าแม้แต่นายเองก็ยังคิดว่ามันเหมือนคำพูดไร้สาระ นายก็อย่าพูดแบบนั้นกับฉันตั้งแต่แรกสิ ถ้านายพูด ฉันก็จะอยากรับฟังขึ้นมา ฉันเองก็หาจุดที่มันพอดีลำบากเหมือนกัน”

มูคยอมไม่ตอบอะไรกลับไปให้คำพูดนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า

“จะพยายามนะ”

คำตอบสั้นๆ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าฮาจุนหัวเราะอย่างหมดแรงอีกครั้ง

ฮาจุนพูดถูก เขาต้องตั้งสติให้มั่น อีฮาจุนคือคนรักและผู้มีพระคุณของคิมมูคยอม เขาต้องมอบความรักให้และตอบแทนบุญคุณ เขาอยากทำให้อีกฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการทุกอย่าง อยากทำให้มีความสุข ถึงได้มาด้วยกันจนถึงที่นี่

ฮาจุนไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขาเลยแม้แต่น้อย มูคยอมอยากให้เรื่องที่ฮาจุนปรารถนา ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนบอลลูน แล้วให้อีกฝ่ายขึ้นมันไปยังที่ที่ต้องการ เป็นความปรารถนาที่ซ้ำซ้อนและไม่สมเหตุสมผล แต่เขารู้สึกแบบนี้จากใจจริง มูคยอมไม่ได้พาอีกฝ่ายมาถึงที่ไกลแสนไกลนี้ เพื่อที่จะฟังฮาจุนพูดว่า ‘ถ้าต้องการ ฉันก็จะทำตามความตั้งใจของนาย’ หรือ ‘ยังไงซะ ฉันก็ไม่เคยฝันถึงชีวิตแบบตอนนี้อยู่แล้ว นายก็เอากลับคืนไปก็ได้’

ในตอนที่เขาพูดจาดูถูกฮาจุนก่อน แต่กลับปล่อยมืออีกฝ่ายไปไม่ได้และวนเวียนตัวติดหนึบอยู่ข้างๆ ถ้าหากฮาจุนไม่มอบโอกาสให้เขาและผลักไสกันไปจากใจจริง ตอนนั้นเขาจะจับฮาจุนมัดขังไว้ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าและสติครบถ้วนสมบูรณ์ดีไหมนะ

ตอนเขาบอกอีกคนว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนแล้วไปให้พ้น ถ้าฮาจุนไม่กลับมาหลังไปพักร้อนห้าวันและไปเข้าทีมอื่นจริงๆ หรือถ้าอีกฝ่ายหายไปจากสายตาของเขาจริงๆ ในตอนนี้คงไม่มีใครรู้เลยว่า คิมมูคยอมผู้รับผิดชอบผลลัพธ์ของคำพูดตัวเองไม่ได้ จะทำอะไรลงไปบ้าง

เมื่อสถานะแปรเปลี่ยนเป็นคนรักแล้วใช้เวลาในทุกๆ วันอย่างหอมหวาน ตัวเขาก็เผลอเรอไป ในขณะที่หัวใจของมูคยอมเย็นวาบเมื่อนึกถึงหลายๆ ครั้งที่ไปจนถึงหน้าผา แล้วพอได้สติขึ้นมาก็ต้องถอยหลังกลับ ฮาจุนก็พึมพำขึ้นมาเสียงเรียบ

“ฉันน่ะ… ชอบคนดีนะ”

“…”

“ในโลกนี้มีคนไม่ดีอยู่เยอะ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากเชื่อว่ามีคนดีอยู่เยอะกว่า เพราะมีหลายครั้งมากกว่าที่เราจะได้รับความใจดีกลับมาถ้าพยายามที่จะทำตัวใจดีกับคนอื่น เวลาแบบนั้นฉันจะรู้สึกเหมือนได้รับของขวัญเลย”

“เรื่องนั้นน่ะ ไม่ใช่เพราะโลกเป็นที่ที่ดี แต่เพราะนายเป็นคนที่คิดดีต่างหาก”

“เดิมทีฉันก็คิดแบบนั้นอยู่แล้ว แต่พอพ่อไม่อยู่ก็ดูเหมือนจะคิดแบบนั้นหนักกว่าเดิมอีก เพราะฉันต้องยิ้มแย้มให้คนอื่นและทำดีด้วย อย่างน้อยถึงจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้สบายใจมากขึ้น… ถ้าทำให้คนอื่นเกลียดแล้วสร้างศัตรูขึ้นมาโดยไม่จำเป็นก็ไม่มีอะไรดีกับใครทั้งนั้นเลยนี่นา ฉันก็อยากทำตัวใจดีกับคนดีๆ เหมือนกัน ทำแบบนั้นแล้วจะรู้สึกดีทั้งสองฝ่าย เวลาทำงานก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ทั้งหมดก็แค่นั้นแหละ”

“โอเค เข้าใจแล้ว ขอโทษนะ”

“ฉันเฝ้าดูนักกีฬามาหลายคน แต่เหตุการณ์แบบครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกสำหรับฉันเหมือนกัน มาร์โคแตกต่างจากคนอื่น”

“บอกแล้วไงว่าฉันรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาย”

มูคยอมดันตัวขึ้น คราวนี้เขากอดฮาจุนไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง

“เพราะฉะนั้น นายทำตามที่เคยทำเถอะ อย่าถอยออกมาโดยเปล่าประโยชน์เลย คนที่ทำผิดในวันนี้คือฉันกับไอ้บ้ามาร์โคนั่น ไม่ใช่นาย”

ฮาจุนไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติมให้คำที่เขาพูดออกมาราวกับชี้แจง มูคยอมยืนยันอย่างหนักแน่น

“จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก… ฉันสาบาน”

มูคยอมรู้สึกได้ว่าแก้มที่แนบอยู่ตรงอกของตัวเอง ขยับเข้ามาแนบสนิทมากขึ้นราวกับถูไถใบหน้าอย่างระมัดระวังและแผ่วเบามากๆ

“ปิดตาทำไม! ฉันมองไม่เห็นนายนะ”

“…ก็ตอนนั้นนายมองฉันแบบไม่พอใจ…”

ตอนนั้นมูคยอมหวั่นเกรงขึ้นมาเพราะฮาจุนนิ่วหน้ามองเขา มูคยอมตอบราวกับแก้ตัว

“ปลดล็อกมือด้วย”

คำขอครั้งที่สองของฮาจุนทำให้มูคยอมเพียงแค่สังเกตท่าทีของอีกฝ่ายและนิ่งเงียบไม่ตอบ

“ฉันไม่ไปไหนหรอก สัญญา”

เมื่อกลับมามองเห็นและได้มองหน้ากันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะยังเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกอยู่ก็ตามแต่ฮาจุนซึ่งเคยร้องไห้โยเยจนถึงเมื่อครู่นี้ ก็กลายมาเป็นโค้ชที่ตำหนิคิมมูคยอมผู้ก่อเรื่องใช้ไม่ได้ในชั่วพริบตา

ในทางกลับกัน มูคยอมกลับเป็นฝ่ายห่อเหี่ยวใจ เขาถอนแกนกายที่ฝังคาไว้จนถึงตอนนี้ออกแล้วดันตัวขึ้น ความรู้สึกของสิ่งที่เคยเต็มแน่นในร่าง หลุดออกไปเป็นทางยาว ทำให้ฮาจุนตัวสั่นเบาๆ

มูคยอมเอากุญแจที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงมา รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กบนศีรษะสองสามครั้ง แล้วในที่สุด ห่วงเหล็กที่เคยยึดข้อมือไว้อย่างแน่นหนาก็ปลดออก

ฮาจุนถอนหายใจยาวแล้วลดแขนลงมาบนเตียงช้าๆ ผ้านุ่มนิ่มถูกซ้อนไว้ด้านในกุญแจมือ เพราะอย่างนั้น สะบักไหล่ที่ถูกยกขึ้นในท่าเดิมเป็นเวลานานจึงเจ็บกว่าข้อมือที่ถูกล็อก มีเรื่องที่เขาอยากทำถ้ามือเป็นอิสระ แต่ในตอนนี้ แขนกับไหล่ก็ปวด มือก็ยังสั่นอยู่ จึงดูเหมือนจะยังไม่สามารถทำอะไรได้

มูคยอมกำลังก้มลงมองฮาจุนราวกับเด็กน้อยที่ทำหน้าบึ้งไปก่อนเพราะตนเองทำผิดมาจึงกลัวว่าจะโดนทำโทษ

“คิมมูคยอม เข้ามาใกล้ๆ”

มูคยอมลังเล แต่ก็ขึ้นไปบนเตียงตามคำสั่ง จากนั้นก็ยกตัวคร่อมทับบนร่างกายของฮาจุน แล้วกอดรัดคนที่นอนอยู่ใต้ร่างของตัวเองแน่น ราวกับคราวนี้ตั้งใจจะใช้แขนล็อกตัวอีกฝ่ายไว้แทนกุญแจมือ

ฮาจุนถอนหายใจพลางพูดกระซิบ

“ฉันอยากจะตีหลังนายนัก แต่ปวดแขนจนน่าจะตีไม่ได้แล้ว”

“…ขอโทษ”

“ฉันปวดตัวไปหมด ถึงนายจะปลดล็อกกุญแจให้ พรุ่งนี้ก็คงไปทำงานไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ”

ฮาจุนสูดหายใจลึกพร้อมกับหลับตาลงเนิ่นนานแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ซ้ำๆ เมื่อได้ยินคำขอโทษสั้นๆ ของมูคยอม ตรงกลางหน้าอกก็เจ็บปวดขึ้นมาราวกับอึดอัด ทว่าในทางกลับกันก็รู้สึกว่างเปล่า และถึงแม้ว่าความโกรธจะพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างแรง เสียใจในขณะเดียวกันแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับความดีใจก็ไม่ได้เลือนหายไปไหน ซ้ำยังก่อตัวขึ้นมาเป็นมวลก้อน

จะทำยังไงดีนะ ถ้าเป็นแบบนี้จะรับมืออย่างไรดี ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องการอะไรกันแน่ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ขึ้นมา

ฮาจุนเป็นคนความรู้สึกไม่ซับซ้อน ถ้ามันซับซ้อนก็คงยากที่จะชอบคนที่ไม่แม้แต่จะจดจำเขาได้อย่างจริงใจถึงสิบปี แทนที่จะคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างน่าสับสนแล้วค่อยรู้สึก ฮาจุนกลับเรียบเรียงความคิด ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้มันเหลืออยู่ทางเดียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลงบทสรุปอย่างเรียบง่ายและยอมรับมัน เขาฝึกทำแบบนี้มานาน เพราะต้องทำแบบนี้ เขาจึงจะสามารถอดทนต่อเรื่องต่างๆ ได้หลายครั้งหลายครา

เพราะอย่างนั้น ฮาจุนจึงไม่ค่อยได้ฝึกฝนสักเท่าไร ว่าเขาจะต้องรับมือแต่ละความรู้สึกอย่างไร ในเวลาที่ความรู้สึกสับสนแบบนี้ถาโถมเข้ามา เขายังขาดแคลนวิธีการที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกที่แตกแขนงไปทั่วทุกทิศทางให้ทะลุปรุโปร่งแล้วประกอบมันเข้าด้วยกัน

“คิมมูคยอม ถ้านายอยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆ… ฉันก็จะไม่ไปไหนจริงๆ ฉันจะลาออกจากกงาน จะอยู่บ้านจนกว่านายจะสบายใจ”

“…”

“ยังไงซะ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันก็คงจะมาถึงที่นี่ไม่ได้ ฉันไม่เคยฝันว่าอยากเป็นโค้ชพรีเมียร์ลีกมาก่อนด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดว่าจะได้มาถึงลอนดอนแล้วเรียนภาษาอังกฤษ ได้ทำงานเป็นโค้ช แล้วยังได้เรียนหนังสือ… ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบนั้นเลย”

ไหล่ของมูคยอมบีบเข้ามาแล้วท่อนแขนก็โอบรัดแน่นมากขึ้น เอวกับหน้าอกที่อยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายถูกกระชับแน่น ทำให้ฮาจุนพรูลมหายใจออกมาสั้นๆ

เสียงพูดเชื่องช้าเพราะฤทธิ์เหล้าถูกเปล่งออกมาอย่างแหบพร่า

“…ฉันผิดเอง อย่าพูดแบบนั้นสิ”

“มันเป็นความจริงนี่ ทุกอย่างคือสิ่งที่นายมอบให้ เพราะฉะนั้นถ้านายอยากเอากลับไปก็ทำตามนั้นได้เลย”

ตอนนี้ไหล่ของฮาจุนรู้สึกชาขึ้นราวกับเลือดเริ่มหมุนเวียนแล้ว ฮาจุนยกแขนที่ยังสั่นขึ้นโอบแผ่นหลังของมูคยอม

“แต่การได้อยู่ข้างๆ นาย ได้ใช้ชีวิตด้วยกันกับนายน่ะ… ถึงฉันจะคืนอย่างอื่นให้ได้ แต่มีเรื่องนี้ที่ฉันไม่อยากจะยอมคืนให้ง่ายๆ หรอกนะ”

เสียงแผ่วเบาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ภายในอกกลับสั่นไหวหนักขึ้น หัวคิ้วของฮาจุนขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะไม่ชอบนาย เกลียดนาย แล้วก็จะปล่อยนายไปง่ายๆ แบบนั้น”

“…ฮาจุน”

“พูดว่าอะไรนะ จะหนีไปไหมเหรอ ฉันได้ฟังนายพูดเรื่องไม่น่าฟังมาหมดทุกเรื่องแต่ก็ยังไปไหนไม่ได้เลยนะ เพราะแบบนั้นฉันเลยดูไม่น่าไว้ใจเหรอ เพราะฉันดูเหมือนจะทำตัวกับคนอื่น แบบเดียวกับที่ทำกับนายง่ายๆ เหรอ”

ฮาจุนแค่นหัวเราะราวกับเยาะเย้ยตัวเอง

“นายอย่าคิดไปเองสิ ฉันไม่ได้ปล่อยตัวปล่อยใจกับคนอื่นง่ายขนาดนั้น นายคิดว่าในสิบปี ฉันอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครมาบอกว่าชอบเลยงั้นเหรอ ไม่ได้ยินที่จองคยูพูดหรือไง คนต่อแถวยาวเป็นขบวนแต่ใจฉันก็ไม่คล้อยตาม เพราะถ้าไม่ใช่คนที่ฉันชอบก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ฉันเลยไม่คบใครไง”

“ฉันรู้”

“ถ้ารู้”

ฮาจุนผ่อนลมหายใจหนึ่งครั้ง

“ถ้ารู้ นายก็อย่าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอีกนะ ว่าถ้ามีใครที่ดีกว่านายโผล่มาแล้วฉันจะเปลี่ยนใจ”

ฮาจุนทำท่าจะลุกขึ้น มูคยอมโอบกอดอีกคนไว้พร้อมกับถาม

“ไปไหน”

“ไม่ไปไหนหรอก”

มูคยอมผ่อนแรงที่แขนอย่างลังเล ฮาจุนดันตัวมูคยอมออกแล้วดันตัวขึ้น จากนั้นก็ดึงข้อศอกไปด้านหลังเพื่อหมุนหัวไหล่ พร้อมทั้งทุบเอวกับหลังเพื่อคลายกล้ามเนื้อลำตัว

ในขณะที่มูคยอมนอนอยู่บนเตียงอย่างละล้าละลัง ฮาจุนซึ่งนั่งอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก็เอี้ยวตัวมาเล็กน้อยแล้วไต่ขึ้นมาคร่อมทับใกล้ๆ กระดูกเชิงกรานของอีกฝ่าย

“นานแล้วละ ที่ฉันไม่ได้ชอบนายเพราะนายหล่อแล้วก็เท่”

“…ถ้างั้น ทำไมถึงชอบ”

“ฉันจะรู้เหรอ”

ฮาจุนบ่นออกมาสั้นๆ แล้วค้อมตัวต่ำลงพร้อมกับกวาดไล้ไปตามลำตัวของมูคยอม มือขาวทั้งสองข้างก่อกวนร่างสีแทนของอีกคน มูคยอมกลั้นหายใจก้มลงมองภาพฉากอันร้ายกาจของมือที่ไต่ขึ้นมา

มือเคลื่อนมาถึงบริเวณใกล้ๆ สะดือแล้วลูบไล้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งเป็นมัดๆ ฮาจุนลากมือผ่านลิ้นปี่และร่องลึกตรงกลางระหว่างกล้ามเนื้อหน้าอก กดน้ำหนักลงบนกระดูกไหปลาร้าพร้อมเลื่อนขึ้นไปยังส่วนล่างของลำคอยาวแข็งแกร่งราวกับบีบนวด จากนั้นจึงจับแขนทั้งสองข้างยกเหยียดขึ้นราวกับให้มูคยอมบิดขี้เกียจ

“ดูเหมือนว่าเพราะเป็นนายนั่นแหละคิมมูคยอม ฉันก็เลยชอบ”

คำพูดต่อมาทำให้ความร้อนตีวูบขึ้นมาจนถึงแถวๆ ลำคอของมูคยอมราวกับคลื่นซัด มูคยอมรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างร้อนรุ่มขึ้นอีกครั้งในชั่วพริบตา เขาดันตัวขึ้นพรวดเดียวหวังคว้าอีกคนเข้ามากอด

ไม่สิ คิดว่าดันตัวขึ้นต่างหาก

ร่างกายที่ตั้งใจจะยกขึ้น หล่นฮวบลงไปนอนกับเตียงตามเดิม ‘กริ๊ก’ เสียงเบาๆ นั้นดังขึ้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่มูคยอมกำลังจะยกตัว

มือของฮาจุนไล้ตามแขนของมูคยอมขึ้นมาถึงข้อมือแล้วก็จับวงล้อเหล็กสีเงินเอาไว้ แทบจะเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อครู่

“…อีฮาจุน”

แม้จะดึงมือมาแต่มือก็ยังคงอยู่ชิดเตียงเช่นเดิม มีเพียงเสียงดังแกร๊งก้องเข้ามาในหูเท่านั้น ในตอนที่ฤทธิ์เหล้าที่เคยกัดกินสติกับความนึกคิดสร่างลงอย่างรวดเร็วเมื่อบทสนทนาเนิ่นนานขึ้น มูคยอมก็รู้สึกเสียวสันหลัง

“โค้ชครับ”

เมื่อมูคยอมรีบร้อนเปลี่ยนคำแทนชื่อแล้วเอ่ยปากเรียก ฮาจุนที่เคยขยับใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกคน ก็ถอยกลับมานั่งตามเดิม ฮาจุนหัวเราะด้วยสีหน้าเหมือนหยอกเย้า

“วันนี้นายก็ต้องถูกทำโทษสักหน่อยเหมือนกัน”

“นายใจเย็นๆ นะ โค้ชกับนักกีฬาใช้ร่างกายในระดับเดียวกันได้ที่ไหน”

“ได้สิ”

ฮาจุนหัวเราะออกจมูกเบาๆ ดวงตากวาดมองทุกซอกทุกมุมของมูคยอมราวกับสัญญาณไฟตรวจจับ จากนั้นก็ทาบฝ่ามือลงบนร่างของมูคยอมอีกครั้งพร้อมกับโน้มร่างกายท่อนบนลงมา

“ฮ้า…”

ลมหายใจแผ่วเบาพรูออกมาจากปากของมูคยอม ริมฝีปากของฮาจุนกดลงบนลำคอของเขา

ฮาจุนบดเบียดริมฝีปากลงบนลำคอของเขา ใช้ฟันขบกัดเป็นครั้งคราว สัมผัสมูคยอมโดยให้ความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้เป็นประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมามาใช้ น่าเสียดายที่ผิวของมูคยอมไม่ไวต่อความรู้สึกและอ่อนนุ่มเท่ากับฮาจุน เขาจึงไม่รู้สึกถึงความซาบซ่านเท่ากับอีกฝ่าย แต่เพียงแค่สถานการณ์ที่ฮาจุนพรมจูบลงบนร่างกาย ก็ทำให้มูคยอมมีอารมณ์ขึ้นได้แล้ว

แกนกายที่เคยสงบลงครึ่งหนึ่งเพราะบรรยากาศเคร่งขรึม กลับมามีชีวิตชีวาในทันใด หน้าท้องขัดตึงจนเจ็บแปลบ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะจับฮาจุนลงนอนใต้ร่างอีกครั้งทั้งอย่างนี้ แต่ข้อมือถูกล็อกไว้ด้วยกุญแจมือแน่นหนาทำให้ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย

เส้นทางที่มือเคยไต่ขึ้นไป คราวนี้เป็นริมฝีปากที่ลากไล้ไปตามแนวนั้น สัมผัสนุ่มนิ่มกดลงบนกระดูกไหปลาร้าแล้วเลื่อนลงมาเย้าแหย่ยอดอก คงรู้สึกได้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างกับตนเอง ไม่นานฮาจุนจึงหยุดแล้วแตะปลายนิ้วเข้าด้วยกันเป็นวงกลมเหมือนเวลาจะดีดหน้าผาก แล้วก็ดีดลงไปตรงยอดอกของเขา

“โอ๊ย!”

เสียงที่มูคยอมเปล่งออกมาอย่างไม่พอใจทำให้ฮาจุนหัวเราะออกจมูกแล้วเลียลงตรงแถวๆ ลิ้นปี่เบาๆ

ฮาจุนถอยหลังไปทีละนิด มือแนบสนิทลงตรงส่วนข้างกระดูกซี่โครงแข็งแรงเพื่อค้ำร่างกายตัวเองที่โงนเงน ในตอนนั้น มูคยอมส่งเสียงแผ่วเบาออกมาพร้อมกับกัดฟันโดยไม่รู้ตัว

งานของฮาจุนคือการเฝ้าสังเกตสภาพร่างกายของนักกีฬา เวลามีเซ็กส์ จิตวิญญาณในอาชีพก็ยังคงแสดงออกมาให้เห็น แม้เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองเล็กๆ อีกฝ่ายจึงสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว

ริมฝีปากของฮาจุนบดคลึงผิวส่วนด้านข้างซี่โครงที่มือเคยไต่ขึ้นไป ลิ้นนุ่มหยุ่นแลบออกมาเลียกล้ามเนื้อเอวหนาและร่องระหว่างกระดูกซี่โครงทีละซี่ราวกับทาสี ถึงไม่ได้ทำแบบนั้น ร่างกายของมูคยอมก็ร้อนรุ่มจนท้องน้อยขัดตึงไปหมดแล้ว ความรู้สึกเสียวแปลบราวเปลวแดดก่อตัวขึ้นในร่างกาย

“อา ฮาจุน”

“…ชอบตรงนี้เหรอ”

ความอยากรู้อยากเห็นอัดแน่นอยู่ในเสียงที่ถามออกมา มันก็รู้สึกดีเหมือนที่อีกฝ่ายพูดนั่นแหละ แต่น้ำเสียงที่ถามขึ้นด้วยความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยมทำให้มูคยอมหัวเราะออกมาฉับพลันอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์

ฮาจุนคงตีความเสียงหัวเราะของเขาว่าเป็นการยอมรับ อีกฝ่ายจึงมุดหน้าลงตรงส่วนนั้นอีกครั้งแล้วใช้ฟันครูดสลับใช้ลิ้นเลีย พร้อมทั้งยังใช้ริมฝีปากดูดจุ๊บจั๊บและกดจูบซ้ำๆ อยู่พักใหญ่ มูคยอมตัวกระตุกเป็นครั้งคราวและส่งเสียงแหบพร่าด้วยความเสียวซ่านในลำคอ

ถ้าแสดงให้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองแค่เพียงนิดเดียว ฮาจุนก็จะยิ่งตั้งอกตั้งใจทำมากขึ้น มูคยอมคอแห้งจนกลืนน้ำลายลงไปหลายอึก เนื้อตัวทุกส่วนเต้นตุ้บๆ ราวกับทั้งตัวกลายเป็นหัวใจไปแล้ว เพราะความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นสัตว์กินเนื้อที่ถูกโซ่มัดให้ขยับตัวไม่ได้ ทั้งที่ตรงหน้ามีกระต่ายกำลังตะปบเท้าหน้าลงมาเพื่อยั่วยุ

“แบบนี้สนุกดี”

คงจะเพลิดเพลินกับการสัมผัสเขาอย่างเต็มที่ ฮาจุนจึงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง ร่างกายของมูคยอมกำลังเดือดพล่าน ต่างกับฮาจุนที่ดูบริสุทธิ์ใจสุดๆ เสียงที่แหบพร่าขึ้นนิดหน่อยของมูคยอมถูกเปล่งออกมา

“เล่นสนุกเสร็จหรือยัง”

“ก็พอสมควร”

“ถ้างั้นคราวนี้จะปลดข้อมือให้ไหม”

“ตอนนี้เลยเหรอ ยังไม่ได้หรอก นายต้องอยู่แบบนั้นให้นานเท่าที่เคยล็อกฉันไว้สิ”

“ยกโทษให้ฉันเถอะ ฉันทำผิดแบบสมควรตาย เมื่อกี้คงจะเมามากไป”

“ฉันเป็นพวกต่อต้านการลดหย่อนโทษเพราะบอกว่าเมาเหล้านะ”

ฮาจุนพูดเสร็จก็ชันเข่ายกตัวขึ้น เมื่อเดินเข่าถอยหลังไปอีกสองสามก้าว แกนกายตั้งผงาดก็เข้าไปสู่สายตาของฮาจุนเช่นกัน ฮาจุนพึมพำราวกับทำการยืนยัน

“นายยังไม่เสร็จสักครั้งเลยนี่”

‘ใช่ เพราะงั้นก็ปลดกุญแจมือออกให้หน่อยเถอะ

หรือการลงโทษในวันนี้คือหยุดไว้แค่นี้นะ’

มูคยอมปกปิดความปรารถนาที่เหมือนกำลังเดือดพล่านจนจะทะลักออกมาอย่างยากลำบากแล้วจ้องมองฮาจุน อีกฝ่ายกำลังก้มลงมองแค่ตรงแกนกายชูชันแทนที่จะมองใบหน้าของเขา

ฮาจุนถอยหลังไปอีกนิดหน่อยแล้วค้อมร่างกายท่อนบนลง อีกฝ่ายดูลังเลแต่ก็แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ท่อนเนื้อที่คับแน่นอย่างเต็มที่จนดูน่าเกรงขามราวกับกระบองโทแกบี ถูกดูดกลืนเข้าไปในปากอุ่นชื้น

“ฮู่ว…!”

การดูดเลียอย่างกะทันหัน เร้าอารมณ์จนร่างกายที่ถูกยึดไว้กระตุกสั่น ลมหายใจร้อนรุ่มพ่นออกมาจากปากของมูคยอม

ฮาจุนดูดท่อนเนื้อในปากที่อ้ากว้างจนสุดอย่างขะมักเขม้นจนเสียงดังบ๊วบๆ ทุกครั้งที่ส่วนหัวแกนกายถลำไปด้านหลังลิ้นไก่ เนื้อเยื่อหยุ่นนิ่มก็จะโอบรัดตรงส่วนปลาย และเนื้อนุ่มภายในปากก็จะลากไล้ทั่วทั้งลำอย่างอ่อนโยน

“ฮ้า อึก”

มูคยอมครางออกมาอย่างทนไม่ไหวพร้อมกับหยัดเอวขึ้นด้านบนทีละนิด มัดกล้ามหนาเป็นร่องลึกซึ่งถูกปกคลุมด้วยผิวสีแทน สะท้านราวกับคลื่นน้ำเอื่อยๆ

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะไอออกมาเบาๆ เพราะด้านในช่องคอถูกจิ้มย้ำๆ ทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังดูดอมแกนกายของเขาต่อไป เมื่อแกนกายพองขยายเหมือนมูคยอมใกล้จะปลดปล่อยในอีกไม่นาน ฮาจุนก็จะคายมันออกมา และถ้าสงบลงเมื่อไร อีกฝ่ายก็จะกลับมาดูดเลียอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง สลับกันไปอยู่หลายรอบ

ฮาจุนหยุดใช้ปากปรนเปรอแล้วหายใจหอบแรงพร้อมกับเงยหน้ามองมูคยอมไปด้วย จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูลังเลชอบกล

“คิมมูคยอม… ดีหรือเปล่า”

“ดูแล้วไม่รู้เหรอ เหมือนจะตายเลย…”

มูคยอมตอบกลับเหมือนกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ฮาจุนยกตัวที่เคยก้มลงขึ้น คลานกลับขึ้นมาด้านหน้าและทำท่าราวกับกำลังสังเกตท่าทีของเขาอยู่ สีหน้าของอีกฝ่ายครึ่งหนึ่งปรากฏให้เห็นความอยากรู้อยากลองอย่างชัดเจน ส่วนอีกครึ่งเจือไปด้วยความร้อนเร่า

ฮาจุนใช้เข่าพยุงตัวบนเตียงแล้วนั่งตั้งเอวตรง ส่วนปลายนิ้วก็ประคองส่วนนั้นของมูคยอมเบาๆ ราวกับล็อกให้มันอยู่กับที่ จากนั้น

“อื๊อ…”

มูคยอมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ฮาจุนกดเอวลงทั้งอย่างนั้นแล้วใช้ส่วนกลางบั้นท้ายกลืนกินตัวตนของเขาที่ตั้งแข็งขึง

ด้านหลังซึ่งเคยมีสิ่งที่เหมือนกับไม้กระบองฝังลึกอยู่พักใหญ่ ยังคงอ่อนนุ่มจึงสอดใส่เข้าไปได้ไม่ยากโดยไม่ต้องขยายเพิ่ม เพียงแต่ผนังด้านในที่บวมแดงเพราะถูกรังแกด้วยการตอกเข้าออกอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน รับรู้ถึงสัมผัสของท่อนเนื้อแข็งซึ่งแหวกร่างกายเข้ามา เป็นเหมือนสิ่งเร้าที่ใกล้เคียงกับความเจ็บปวดมากกว่าความสุขสม

ฮาจุนกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจหอบกระชั้น

“นาย ข้างใน… เหมือนจะบวมนะ”

ฮาจุนเพิกเฉยต่อความกังวลที่เป็นเพียงแค่ลมปากของตัวการที่ทำให้เนื้อบอบบางบวมเป่ง จากนั้นก็กดเอวลงจนสุด ความเสียวกระสันกับความปวดร้าวอย่างละครึ่งไต่ขึ้นมาตามแผ่นหลัง ทำให้ร่างกายรู้สึกหนาวจนขนลุก

ฮาจุนเพียงแค่หายใจโดยไม่ได้พูดอะไรจนกระทั้งอาการหนาวสะท้านคลายลงไประดับหนึ่ง จากนั้นจึงขย่มสะโพกขึ้นลงพร้อมกับทำให้ผนังด้านในของตัวเองถูกบดครูด เหมือนเวลาที่มูคยอมเป็นฝ่ายคุมจังหวะ

“ฮ้า อึก อ๊า”

“ฮ้า ไม่เป็นไร ใช่ไหม”

“อา อึก เจ็บ…”

“ถ้าเจ็บ ฮู่ววว ก็อย่าทำ”

“นายต่างหาก อย่าพูด สวนทางกับใจตัวเอง…”

ความร้อนวูบและเสียดเสียวทำให้น้ำตาที่เคยแห้งไป ซึมออกมาอีกครั้งจนชุ่มขนตาล่างของฮาจุน มูคยอมที่ถูกล็อกข้อมืออย่างแน่นหนาทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมองตาของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก พร้อมเกร็งลำคออยู่หลายครั้งด้วยความกระหาย

ฮาจุนขยับเอวที่เคยขย่มขึ้นลง หมุนควงเป็นวงกลมตามที่มูคยอมเคยสอน อีกทั้งยังขยับโยกหน้าหลังสลับไปด้วย เสียงหายใจหอบถี่ของฮาจุนกระชั้นขึ้น

ความรู้สึกเจ็บแสบที่เหมือนจะแผดเผาร่างกาย เริ่มจากตรงบริเวณใกล้ๆ ปากช่องทางแล้วลามขึ้นมาตามสันหลัง ทว่าความรู้สึกที่แผ่ซ่านขึ้นมานั้น ปะปนอยู่กับความสุขสมซึ่งเกิดจากการที่ด้านในเปียกชื้นถูกกระทุ้งด้วยส่วนหัวอวบถี่ๆ แล้วในที่สุด ภายในร่างกายก็รู้สึกหวานล้ำอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับอาบไปด้วยน้ำของผลไม้ที่สุกเต็มที่จนแตกกระเซ็น

ทั้งรู้สึกเจ็บ ทั้งรู้สึกดี รู้สึกอย่างนี้ควบคู่กันไป

ไม่รู้อะไรอีกแล้ว สัมผัสที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ จนสูงเท่ากับความรู้สึกที่ผสานเข้าด้วยกันเมื่อครู่นี้ ทำให้ร่างกายกับภายในหัวของฮาจุนตีกันยุ่งเหยิงราวกับไจด้ายที่ถูกพันเป็นก้อนอย่างลวกๆ

“สวยจัง”

ตัวของฮาจุนสั่นเทาและอ่อนปวกเปียกเพราะเรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างเหือดหาย มูคยอมลูบไล้ร่างกายของอีกฝ่ายทั่วทุกจุด จากนั้นจึงพึมพำขึ้นมาอย่างพอใจ พร้อมทั้งหยุดบดเบียดริมฝีปากลงมาตรงบริเวณด้านหลัง

“สวยมาก… จนกระวนกระวาย กลัวว่าใครหน้าไหนจะได้รู้จักนายในมุมนี้”

มูคยอมพูดเสร็จก็ดันตัวขึ้นแล้วใช้มือตัวเองจับตรงโคนแกนกายที่ตื่นตัวแข็งขึงทันที จากนั้นก็เล็งตรงกลางบั้นท้ายที่ตนฝังใบหน้าลงซุกไซ้จนถึงเมื่อสักครู่

ช่องทางรักขมิบถี่ราวกับจะดูดกลืนส่วนปลายแกนกายก่อนที่จะสัมผัสลงไปแนบชิดเสียอีก ส่วนที่พองตัวจนขยายใหญ่ แทรกตัวเข้าไปในช่องทางนั้นอย่างรุนแรงในรวดเดียว

“ฮื้อ…”

การสอดใส่ที่ลึกและเร็วทำให้ตัวของฮาจุนสั่นเทิ้มอย่างแรง เสียงครางดังเล็ดลอดออกมาเพียงเบาๆ ราวเสียงถอนหายใจเท่านั้น ไม่มีเสียงอื่นใดถูกเปล่งออกมาจากปาก มีเพียงกุญแจมือตรงข้อมือที่กระทบกันดังรัวเร็วอย่างต่อเนื่อง ราวกับเป็นเครื่องดนตรีที่กำลังบรรเลงด้วยแรงสั่นสะท้านจากทั่วร่าง

“ฮ้าาา…”

มูคยอมพ่นลมหายใจออกมา ผนังด้านในที่รองรับตัวตนของมูคยอมเข้ามาลึกจนเกือบสุดโคน สั่นระริกเหมือนร่างกายเจ้าของ พร้อมทั้งต้อนรับสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาด้วยความยินดี

ปกติแล้วมูคยอมกลับลิ้มรสสัมผัสของเยื่อเมือกด้านในที่โอบชิดตัวตนของตัวเองเอาไว้อย่างเชื่องช้า และนั่นทำให้ฮาจุนได้มีจังหวะหายใจหายคอเช่นกัน แต่ในวันนี้มูคยอมกลับเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่หลงเหลือความสบายใจไว้เลย

มูคยอมหยัดเอวอย่างรุนแรงทันทีพร้อมทั้งกระทุ้งส่วนลึกด้านใน

“ฮึก อือ อื๊อ! ฮ้า… อ๊า!”

เสียงครางขาดๆ หายๆ พรั่งพรูออกมาจากร่างกายที่สั่นคลอน ฮาจุนถูกมูคยอมกระแทกกายเข้ามาจนตัวโยน ในที่สุดร่างกายก็ทนไม่ไหวแล้วขาที่เคยตั้งยันไว้ก็ทรุดฮวบ

มูคยอมจับขาของฮาจุนมาชิดกันแล้วขยับเข้ามาด้านหน้ามากขึ้น เขาไต่ขึ้นมาราวกับคุกเข่านั่งทับบนสะโพกและโคนขาของร่างที่นอนคว่ำ

“อ๊าาา! อ๊ะ… อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า!”

ร่างกายอันหนักอึ้ง ทิ้งน้ำหนักตัว จ้วงกายเข้าออกต่อเนื่องจากบนลงล่างอย่างไร้ความปรานี เสียงกรีดร้องระเบิดออกมาจากปากของฮาจุน ผนังเนื้อด้านในที่เปียกชุ่มถูกบดเคล้าและเสียดถูไม่ยั้ง ราวกับดินเฉอะแฉะที่ถูกไม้ตะบองโขลกทุบอย่างแรง

ร่างกายท่อนล่างถูกกดให้แผ่ลงกับเตียงหมดทุกส่วน แล้วแรงกดที่ปล่อยออกไปก็ทำให้ทั้งร่างกายสั่นสะเทือนขึ้นลง เสียงโลหะดังแกร๊งๆ อย่างต่อเนื่องจากบนศีรษะ

ท่อนเนื้อแห่งความหฤหรรษ์ตอกอัดเข้าไปตรงจุดลึกในร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างดุดันและหนักหน่วง จนรู้สึกว่าถ้าทำต่อเนื่องไปก็อาจเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรสักอย่าง ท้องน้อยสะเทือนดังปั้กๆ ไม่รู้สึกว่าขับน้ำออกมาเลยแท้ๆ แต่ช่วงล่างกลับเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด

ฮาจุนมุดใบหน้าลงกับหมอน หัวส่ายไปมาอย่างหนักหน่วง “พอแล้ว พอ พอแล้ว!” เสียงกระท่อนกระแท่นดังเฉียดผ่านใบหูของมูคยอมแต่ไม่ลอดเข้าไป

ฮาจุนกวัดแกว่งน่องขาที่เป็นอิสระเพื่อจะหนีไปบ่อยครั้ง แต่ฝ่ามือของมูคยอมก็ออกแรงกดลงบนเอวของฮาจุนแน่น เมื่อเอวถูกล็อกไว้ ส่วนที่ตื่นผงาดราวกับอาวุธสังหารก็ถอดถอนออกไปจากกลางบั้นท้ายขาวแล้วฝังกลับเข้าไปอีกครั้งอย่างว่องไว มูคยอมเห็นภาพนั้นได้อย่างแจ่มชัด

มูคยอมมองดูภาพนั้นด้วยตาตัวเองพร้อมกับกัดฟันด้วยความใคร่ที่พลุ่งพล่านอย่างรุนแรงมากขึ้นทีละนิด คำชมเชยเปล่งออกมาโดยอัตโนมัติ

“อา ดี ฮาจุน ดีมาก ดีสุดๆ”

ดวงตาเมามายปรือลงครึ่งหนึ่ง เสียงครางทุ้มต่ำด้วยความลุ่มหลงไปกับความสุขในกาม ฟังดูแทบจะเหมือนกับเสียงร้องในลำคอของสัตว์ ทุกครั้งที่เสือกไสเอวลงมา เสียงหอบหนักๆ ก็จะดังขึ้น เงาที่เหมือนกับรอยสักทาบทับลงบนแผ่นหลังขาวผ่องที่สั่นสะเทือนภายใต้ความมืดสลัว

มัดกล้ามที่ไม่นูนชัดขนาดนั้นในที่สว่าง กลับเผยให้เห็นรายละเอียดสวยงามของมันท่ามกลางความมืด ทุกครั้งที่แกนกายจ้วงเข้าด้านใน เงาบนแผ่นหลังก็จะขยับโยกตามไปด้วย มูคยอมจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างหลงใหลด้วยความบริสุทธิ์ใจ ราวกับคนที่กำลังทอดสายตามองก้อนเมฆเปลี่ยนรูปร่าง

แม้สังเกตเพียงการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อก็สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของการทำท่าทางนั้นได้ ฮาจุนคงลืมว่าตัวเองถูกล็อกข้อมืออยู่บ่อยๆ จึงขยับมือมาด้านหลังอยู่เรื่อยเพื่อที่จะดันตัวมูคยอมออกไป ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ข้อมือของอีกฝ่ายก็จะถูกวงล้อที่ทำจากเหล็กรั้งไว้ ฮาจุนถูกความคิดไปเองของตัวเองทรยศเสียทุกครั้ง และในที่สุดจึงเริ่มเว้าวอนพร้อมร้องไห้

“อ๊าาา! อ๊ะ พะ พอ พอแล้ว! ฮึก! คิมมูคยอม ไว้ ไว้ชีวิต…! อ๊ะ อ๊า!”

‘ฉันต้องไว้ชีวิตนายแน่นอนอยู่แล้วสิ’ มูคยอมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกคนถึงพูดแบบนั้น ต่อให้ฮาจุนตั้งใจจะตายจากไป เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ดันมาร้องขอชีวิตจากเขาเนี่ยนะ

มูคยอมโน้มตัวลงประทับริมฝีปากบนลำคอด้านหลังกับหัวไหล่ที่สั่นกระตุก เมื่อเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ เขาจึงได้ยินเสียงสูดน้ำมูกร้องไห้อย่างชัดเจน

เวลามีเซ็กส์ กลิ่นกายของอีกฝ่ายจะลุ่มลึกขึ้น มูคยอมหลับตาลงซึมซับกลิ่นนั้นพร้อมกับขยับศีรษะของตัวเองไปด้านข้างใบหน้าของฮาจุนซึ่งคว่ำลงอยู่ เขายกคางขึ้น ไล่กดริมฝีปากลงบนใบหู แก้มเปียกชื้น ขมับ และริมฝีปากหลายครั้ง หลังจูบซับก็พึมพำออกมา

“อย่าไปไหนเลยนะ ฮาจุน”

ฮาจุนพยักหน้าอย่างหนักหน่วง

“อื้อ ไม่ไป จะไม่ไป ฉันจะไม่ไปไหน…”

“จริงเหรอ”

มูคยอมโยกเอวสวนกายเข้าไปชนดังปั้กอีกครั้งด้วยความอารมณ์ดีกับคำตอบของอีกฝ่ายที่บอกว่าจะไม่ไปไหน

“อื๊อ! แฮ่ก… ฮึก…”

ตัวของฮาจุนกระเด้งขึ้นพรวด มือที่ถูกยึดไว้ประสานนิ้วบีบเข้าหากันแน่นและสั่นเบาๆ

มูคยอมดันตัวขึ้นมา ปล่อยมือออกจากขาที่เคยกดทับแล้วจับตัวของฮาจุนให้พลิกนอนตะแคงข้าง ใบหน้าที่มุดลงถูไถกับหมอนอยู่พักใหญ่ๆ ขึ้นสีแดงจัด แก้มที่เปียกแฉะหยาดน้ำตาอยู่ทั่วสะท้อนกับแสงไฟ

ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้น ส่วนอีกข้างวางลงกับที่นอน มูคยอมเปลี่ยนท่าทางแล้วบีบเจลลงตรงส่วนที่ร่างกายสอดประสานจนชุ่มฉ่ำอีกครั้ง จากนั้นเมื่อเขาขยับโยกเอวหน้าหลังหนักๆ ช่องว่างระหว่างร่างกายของคนทั้งคู่ก็แนบสนิท แกนกายลื่นไถลเข้าไปถึงจุดที่ลึกเสียจนไม่สามารถเข้าไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว

“ฮ้า อ๊า…!”

“ฮ้า…”

คงเพราะบิดตัวแล้วฝังแกนกายเข้าไปเป็นแนวเอียงเล็กน้อย ความรู้สึกที่แก่นกายเข้าไปสัมผัสนั้นแตกต่างจากปกติ รู้สึกได้ว่าโพรงเนื้อด้านในบีบกระชับเข้ามาอีกหน่อยตรงจุดที่คับแคบลง มูคยอมครางออกมาเบาๆ กับสัมผัสนั้น

มูคยอมคิดว่าเคยเข้าไปทักทายด้านในตัวฮาจุนมาครบทุกจุดแล้วแท้ๆ แต่ยังมีส่วนที่สามารถสัมผัสได้มากกว่านี้อยู่อีกสินะ

มูคยอมหยัดเอวเน้นหนักทั้งที่ยังสอดคาไว้และแนบตัวชิดกับร่างกายท่อนล่างของอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทุกครั้งที่ส่วนหัวหนาบดขยี้เนื้อเยื่ออ่อนนุ่มซึ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผิวเนื้อด้านในที่ไวต่อความรู้สึกก็จะขมิบตอด กระตุ้นส่วนปลายแกนกายราวกับมีปากเล็กๆ

ฮาจุนหายใจหอบเพราะแรงกระตุ้นอันเสียดเสียวนั้น ทั้งตัวสั่นหงึกราวกับถูกไฟดูด ปากส่งเสียงกรีดร้อง ในขณะเดียวกันเอวก็บิดกระเสือกกระสน

“อ๊า! ฮ้าาา! อึก พอแล้ว เยอะ ข้างใน เยอะไป… อ๊า…!”

ปลายเท้าฮาจุนขดงอ ขาทั้งขาเกร็งกระตุก แกนกายชูชันกระดิกกวัดไกว หยาดน้ำตาซึมออกมาและไหลลงเบื้องล่างดวงตาที่ถูกปิด

มูคยอมรู้สึกได้ถึงแรงเกร็งกล้ามเนื้อด้านในต้นขาซึ่งวางอยู่บนเตียงกับเอวที่ถูกยึดไว้ ราวกับอีกฝ่ายตั้งใจจะดึงตัวเองออกไปด้านหน้าเพียงแค่นิดเดียวก็ยังดี ทว่ามีเพียงด้านในที่หดตัวรัดแน่นเท่านั้น ร่างกายที่นอนใต้ร่างแกร่งดั่งหินผาของมูคยอมไม่เขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ร่างที่เคยออกแรงเกร็ง กลับมาอ่อนปวกเปียกอีกครั้ง มีเพียงเสียงครางที่ดังลอดริมฝีปากออกมาอย่างหนักหนามากขึ้น

“จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เคยไม่พอใจขนาดท่อนฉันเลยนะ แต่วันนี้รู้สึกเสียดายนิดหน่อยแฮะ…”

มูคยอมเลียริมฝีปากของตัวเองแล้วกลับมาโยกเอวยาวๆ อีกรอบ

“ฮ้าาา! อ๊ะ อ๊า! ตรงนั้น ไม่เอา ไม่…!”

“ในตัวนาย ยังมี ส่วนที่ฉันสัมผัสไม่ถึง อยู่อีกงั้นเหรอเนี่ย…”

“อ๊า ขอร้อง ขอร้อง! เอา ออก…! ฮึก นิดเดียว แค่นิดเดียว…! อ๊าาา! อ๊า! อ๊า!”

เสียงโลหะดังขึ้นและถี่ขึ้นทีละนิด คลอเคล้ากันไปกับเสียงกรีดร้อง ท่อนเนื้อที่แทรกลึกในโพรงเนื้อที่บีบรัดแน่น ถูกถอนออกมาครึ่งลำแล้วทิ้งน้ำหนักเสียบกลับเข้าไปอีกครั้ง

ทุกครั้งที่มันสอดทะลวงเข้ามาในร่างกายและครูดกับผนังเนื้อ ตัวของฮาจุนก็จะดีดกระเด้งขึ้นมาเล็กน้อยแล้วสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ยังถูกกดทับด้วยน้ำหนักตัวอันหนักอึ้งของคนบนร่าง มูคยอมยื่นมือไปหาร่างขาวผ่องที่ดูซีดเซียวไปหมดทั้งที่อยู่ในระหว่างการร่วมเพศอันดุเดือด

“อ๊ะ อ๊าาา ฮ้า…!”

บริเวณกระดูกซี่โครงพองขยายแล้วหดกลับไม่เป็นจังหวะเพราะวุ่นอยู่กับการหายใจหอบถี่ ทันทีที่ปลายนิ้วของมูคยอมแตะลงบนนั้น ฮาจุนก็ขดตัวเข้าหากันพร้อมระเบิดเสียงครางออกมาไม่หยุดยั้ง เสียงโซ่เหล็กแกว่งกระทบกันดังกว่าเดิม

ทุกครั้งที่มูคยอมลากมือผ่านเอว หน้าท้อง และยอดอกของร่างที่ถูกพลิกตะแคง อีกฝ่ายก็จะตัวสั่นระรัวราวผิวน้ำที่แผ่กระจายออกรอบข้าง

“อา ยะ อย่า อย่าลูบ…ไม่…”

เพียงสัมผัสที่ถูกฝ่ามือกวาดลากอย่างแผ่วเบาก็ทำให้ฮาจุนดิ้นทุรนทุรายราวกับว่ามันเกินขีดจำกัดของเขาแล้ว ฮาจุนเอ่ยปากห้ามมูคยอมด้วยเสียงยานคางไร้เรี่ยวแรง มูคยอมไม่ฟังแล้วเลื่อนมือลงมาด้านล่างทีละนิด เขาลดมือลงไปถึงหว่างขาที่อ้ากว้าง ตรงส่วนบนรูรักของอีกฝ่ายซึ่งเป็นจุดที่ร่างของทั้งคู่สอดประสานกันแล้วไล้มือเป็นวงกว้าง

“…ฮื้อ อึก อ๊ะ อ๊าาา…!”

ต่อมลูกหมากกับจุดลึกที่ไวต่อความรู้สึก ได้รับการกระตุ้นอย่างหนักหน่วงและรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ความสุขสมก่อตัวจากด้านใน และตอนนี้ก็รู้สึกราวกับมันจะแผ่ซึมออกมาบนผิวกายทั่วทั้งตัว ปลายนิ้วของมูคยอมไม่ได้ถ่ายน้ำหนักลงไปด้วยซ้ำ มันเพียงแค่ปัดผ่านผิวกายของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล แต่ฮาจุนกลับไม่สามารถขยับร่างกายได้ดั่งใจและร้องครวญครางออกมาเพราะประสาทสัมผัสที่แทบจะใกล้เคียงกับการสั่นกลัว ราวกับการมองเห็นที่เคยมืดมิด สว่างวาบขึ้นมาในชั่วเวลาสั้นๆ

มูคยอมลดความเร็วในการบดเอวลงและเพลิดเพลินอยู่กับการลูบไล้ร่างกายของฮาจุน สัมผัสของเขาอ่อนโยนและน่าจะไม่ต่างอะไรกับการลูบไล้ด้วยความรักใคร่หลังเสร็จกิจในเวลาปกติ แต่ฮาจุนกลับตัวสั่นหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็กระตุกเกร็ง ทั้งหน้าท้องส่วนล่าง เชิงกราน และต้นขาด้านในต่างก็สั่นสะท้านอย่างถี่รัว

ของเหลวฉีดพุ่งออกมาจากรอยแยกตรงส่วนหัวมน แล้วไม่นานก็ไหลทะลัก น้ำสีใสหยดติ๋งๆ ลงมาจากส่วนปลายลำกาย

“ฮ้าาา ฮ้า…! อา อ๊ะ…”

ในขณะที่ขับออกมาอย่างยาวนานพอสมควร ฮาจุนก็ดิ้นตะเกียกตะกายราวกับหายใจไม่ออก ขาที่วางอยู่บนไหล่ของมูคยอม เหยียดตรงสลับห้อยลงซ้ำๆ พร้อมทั้งกวัดแกว่งไปมาอย่างคุมไม่อยู่ ปลายเท้าขดงอและสั่นระริก

มูคยอมฟังเสียงของอีกฝ่าย กับเสียงเหล็กที่ดังขึ้นทุกครั้งที่ตัวของอีกฝ่ายสั่น และมองดูฮาจุนไปถึงจุดสุดยอดเมื่อครู่นี้อย่างเหม่อลอย เขารู้สึกราวกับอยู่ในห้วงความฝัน

มูคยอมรวบรวมความคิดที่แตกกระเจิงให้กลับมาอย่างยากลำบาก แล้วมองสำรวจร่างกายของฮาจุนซึ่งนอนอยู่ใต้ร่างของตน ตอนนี้อีกฝ่ายตัวสั่นสะท้านอย่างหนักไปทั้งตัวราวกับคนถูกมีดเสียบแทงไม่ใช่แกนกาย ซ้ำยังร้องไห้ทั้งที่ศีรษะยังมุดอยู่ระหว่างแขนที่ถูกยึดไว้

“อึก…ฮือออ อึก ฮึก…!”

มูคยอมคลำมือไปตรงด้านในโคนขาที่ตัวเองกดทับไว้ ขาของอีกฝ่ายเปียกลื่นไปด้วยน้ำกาม มูคยอมก้มลงมองภาพฮาจุนหายใจหอบสะอึกสะอื้น แล้วถอนหายใจยาวออกมา

ลำคอขาวผ่องเหยียดยาวและสั่นเทาทุกครั้งที่น้ำตาจะไหล มันเผยให้เห็นเค้าโครงอย่างแจ่มชัด แก้มขาวเปรอะน้ำตาดูเรียบลื่นราวไข่มุกแม้มองในที่มืด แผ่นอกกับหน้าท้องมีกล้ามเนื้อชวนมอง เงาของมัดกล้ามบางๆ ทั่วร่างไหววูบหรือไม่ก็ปรากฏให้เห็นแล้วหายวับไป ราวกับลวดลายที่เคลื่อนไหวทุกครั้งยามตัวสั่นไหว โครงร่างของโคนขาและเอวที่มีกล้ามเนื้อแน่นแต่เรียบเนียน เผยออกให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อนอนตะแคงข้าง สัดส่วนเหล่านั้นทำให้มูคยอมรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นเพราะความจริงที่ว่าตนเองกำลังครอบครองอีกฝ่ายอยู่

คนเราก็เหมือนๆ กันหมด ในสายตาของเขา ฮาจุนสวยขนาดนี้ แล้วในสายตาคนอื่นจะมองต่างกันหรือไง คนที่ปรารถนาในตัวอีฮาจุนจะมีเพียงแค่เขาคนเดียวได้อย่างไรกัน

ต่อให้ฮาจุนไม่มีใจให้คนอื่นเลยสักนิดก็เถอะ แต่คงไม่มีทางไหนที่เขาจะปัดป้องสายตาโลมเลียร่างกายของอีกฝ่าย หรือกลอุบายลับๆ ที่หวังจะได้รับความชอบพอกลับไป และคำพูดพล่ามกระซิบบอกรักที่เล็ดลอดสายตาของเขาไปได้ เหลือเพียงทางเดียวคือซุกซ่อนอีกฝ่ายไว้ให้อยู่ในที่ที่ไม่สะดุดตาใคร

มันต่างกับเมื่อก่อนที่เขายังไม่คบหากับอีกฝ่ายเป็นคนรัก ‘ตอนนี้ฮาจุนเป็นของฉัน ฉันสละให้ใครไม่ได้อย่างเด็ดขาด ฮาจุนเป็นของฉัน…’

เมื่อมูคยอมก้มตัวลงไป ฮาจุนก็หดไหล่กับคอเข้าหากันพลางส่ายหน้า เสียงของอีกฝ่ายแหบเครือเล็กน้อย

“คิมมูคยอม พอแล้วจริงๆ จริงๆ นะ… ตอนนี้ฉัน เหนื่อยมาก ทำไม่ไหวแล้ว…”

เพราะร้องไห้จึงทำให้ทั้งเสียงพูดและเสียงหายใจขาดห้วงไม่เป็นจังหวะ มือของมูคยอมแตะลงบนแก้มเปียกชื้น มือของเขาลูบไล้ราวกับเช็ดน้ำตาออกให้จนแก้มของฮาจุนบู้บี้ไปหมด

แม้ว่าดวงตาจะถูกผ้าบดบังแต่แก้มก็ยังคงเปียกชุ่ม ฮาจุนร้องไห้หนักมาก มูคยอมขมวดคิ้วแวบหนึ่งแล้ววางขาของฮาจุนที่เคยยกพาดไหล่จนถึงตอนนี้ลง เมื่อจับร่างที่ยังคงสั่นเทิ้มของอีกฝ่ายให้นอนลงดีๆ แล้วดึงเข้ามากอด ฮาจุนจึงสะอื้นพร้อมกับพูดต่อ

“ปลดข้อมือฉัน ออกหน่อย… ตาด้วย ฮึก เอาที่บังตา ออกให้หน่อย”

“…ถ้าปลดออก นายจะตีฉันแล้วหนีไปหรือเปล่า”

“ไม่ไป จริงๆ นะ ไม่ไปจริงๆ…”

หัวใจของมูคยอมเจ็บปวดอีกครั้งเพราะเสียงร้องไห้ราวกับฝังใจ

นอกเหนือจากร้องไห้เพราะรู้สึกดีแล้ว เขาก็ไม่ชอบให้อีกฝ่ายร้องไห้เลย มูคยอมส่ายหน้าแรงๆ สองสามครั้งเพื่อสลัดความเมามายทิ้งไป ภายในหัวงงงวยและมึนเบลอ เขาแบ่งแยกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะรู้สึกดีหรือไม่

“ร้องไห้เพราะมันดีหรือเปล่า”

ฮาจุนตอบคำถามนั้นในทันทีไม่ได้ อีกฝ่ายเผยอปากขึ้นแล้วจึงตอบ

“…อื้อ…”

จากนั้นจู่ๆ ฮาจุนก็เริ่มร้องไห้ฮักๆ หนักขึ้น มูคยอมเองก็รู้สึกได้อย่างแน่ชัดแล้วเพราะอีกฝ่ายตัวแนบชิดในอ้อมแขน ว่ามันคือการร้องไห้จริงๆ หน้าอกสะท้านขึ้นลงอย่างแรง อาการของฮาจุนแบ่งแยกจากการตัวสั่นหรือสะอื้นเพราะความสุขสมทางเพศได้อย่างชัดเจน

“คิมมูคยอม ขอร้อง… ฮึก ฉันอยากเห็นนาย… เอาที่ปิดตาออกให้หน่อย”

มูคยอมได้สติขึ้นมาทันที ใจร่วงตกไปอยู่ตรงตาตุ่มจากเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน่าเห็นใจ

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ฮาจุน อย่าร้องไห้นะ”

มูคยอมรีบคลายปมเชือกที่ผูกไว้ด้านหลังศีรษะของอีกฝ่าย ปมเชือกที่มัดด้วยฤทธิ์เหล้าแน่นไม่น้อยจึงทำให้ต้องใช้เวลาในการปลดออก

ผ้าสีเข้มร่วงผล็อยลงมาบนใบหน้า ดวงตาที่เคยถูกบดบังอยู่ใต้ผืนผ้า ปรากฏออกมาให้เห็น มูคยอมรู้สึกราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขอบตาที่เดิมทีเคยขาวกระจ่าง ตอนนี้กลับแดงช้ำเพราะถูกผ้าปิดตาเสียดสีเปลือกตาอย่างต่อเนื่อง และเพราะน้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า

ฮาจุนยังติดอยู่ในความเสียวซ่านและแรงกระตุ้นเกินขีดจำกัด ถึงแม้ว่าจะกลับมามองเห็นแล้วแต่ก็ยังตั้งสติไม่ได้ อีกฝ่ายมองมาด้วยดวงตาที่สั่นเทาอย่างน่าเป็นห่วง และดวงตาคู่นั้นเข้ามาเขย่ากระทั่งหัวใจของเขาด้วย มูคยอมอยากจะชื่นชมมันให้เต็มที่เท่าที่ทำได้ ราวกับมีอัญมณีที่เพิ่งเคยค้นพบเป็นครั้งแรกในวันนี้อยู่ตรงหน้า

‘ทำบ้าอะไรลงไป’

ทิ้งภาพดวงตาเปียกรื้นไปด้วยน้ำตาไปสติที่เคยเลือนรางกลับมาชัดเจน มูคยอมจึงมองเห็นภาพอันน่าเจ็บช้ำใจที่ตัวเองก่อขึ้นอย่างแจ่มชัด เรื่องที่ฮาจุนสวยก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการกระทำที่ตัวเขาทำลงไปนั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน

ในขณะที่มูคยอมมองตาฮาจุนแล้วล็อกสายตาไว้ตรงนั้น ดวงตาที่เคยไร้จุดโฟกัสพักหนึ่งก็จับจ้องมาทางเขา ราวกับอีกฝ่ายกำลังรวบรวมสติและประสาทสัมผัสที่พร่าเลือนกลับมา หางคิ้วของอีกฝ่ายลู่ลงด้านล่าง ความรู้สึกที่ฉายชัดให้เห็นเป็นอย่างแรกบนใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไปทำท่าจะร้องไห้ คือความรู้สึกปลอดภัย ไม่ใช่ความโกรธแค้นหรือขุ่นเคือง

เมื่อแสงสว่างกลับเข้ามาสู่ดวงตา ริมฝีปากที่เคยสั่นระริกก็ขยับได้ดั่งใจกว่าเมื่อครู่ เสียงพูดที่เคยอู้อี้เพราะร้องไห้ก็ชัดถ้อยชัดคำขึ้นและเสียงก็ดังขึ้นเช่นกัน

“อื๊อ อ๊ะ พอ พอแล้ว…!”

ตอนนี้ฮาจุนถึงได้รู้ว่าผิวส่วนที่ใกล้กับแกนกายมันไวต่อความรู้สึกมากถึงขนาดนั้น

เดิมทีเขาได้ยินมาว่า เส้นขนของคนเราจะขึ้นมาตรงจุดที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง ทุกครั้งที่อีกฝ่ายใช้ฟันครูดลงบนผิวบอบบางที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องอย่างรุนแรงและดูดดุนหนักๆ ฮาจุนจะรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านจากกระดูกก้นกบไปตามกระดูกสันหลังจนเสียวแปลบปลาบ เอวของฮาจุนสั่นระริก และในที่สุด เขาก็พรูลมหายใจออกมาและทำท่าจะร้องไห้

“ฮึก อะ อึก…”

บริเวณหัวไหล่รู้สึกขัดตึงเพราะถูกยึดไว้ในท่าเดิมอย่างต่อเนื่องจนชูขึ้นด้านบนตลอดเวลา ฮาจุนทรมานกับสัมผัสอันหนักหน่วงและเนิ่นนานราวกับกำลังทารุณกัน พร้อมทั้งแรงกระตุ้นที่มากเกินไปซึ่งถูกมอบให้ในตอนนี้ เขาพยายามจะอดทน เพราะถ้าทำเสร็จรอบหนึ่งแล้ว มูคยอมก็น่าจะหัวเย็นลงด้วย แต่การอดทนนั้นไม่ง่ายเลย

การกระทำของมูคยอมดำเนินต่อไปอย่างไร้จุดหมายและคาดเดาไม่ได้ว่าจะเสร็จสิ้นลงเมื่อไร มีเพียงแผ่นอกที่ขยับขึ้นลง ฮาจุนกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แต่แล้วมูคยอมก็ยกใบหน้าที่เคยมุดอยู่ตรงหว่างขาของเขาขึ้นมา อีกฝ่ายชันร่างกายท่อนบนแล้วเท้ามือลงกับเตียงเพื่อคลานตัวขึ้นมาจนมองหน้ากันได้อีกครั้ง

“…ร้องไห้เหรอ”

มือของมูคยอมลูบตรงแก้มกับขอบตา เมื่ออีกฝ่ายแสดงออกว่ารับรู้ น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมากกว่าเดิม ฮาจุนหลุดเสียงร้องไห้ฮักๆ แต่ก็กัดฟันไว้พลางส่ายหน้า มูคยอมถามขึ้นอีกครั้ง

“เกลียดฉันหรือเปล่า”

“…ไม่เกลียด”

เมื่อเสียงตอบปฏิเสธฟังดูอู้อี้อย่างน่าอาย ฮาจุนจึงปิดปากเงียบ มูคยอมก้มหน้าลง ลากลิ้นเลียสันกรามชัดได้รูปที่เชื่อมระหว่างคางกับใบหู จากนั้นก็พูดต่อราวกับบ่นพึมพำ

“ฮาจุน นี่เป็นความลับนะ…”

“…”

“ฉันอยากให้นายอยู่แค่ที่บ้าน สถาบันเรียนภาษาก็ไม่ต้องไป สนามฝึกก็ไม่ต้องไป มหาวิทยาลัยก็ด้วย… ไม่ต้องเฉียดเข้าไปใกล้คนอื่น ไม่ต้องเจอใคร อยากให้นายอยู่กับฉันแค่คนเดียว”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วก้มลงมองฮาจุน แม้อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก แต่เพราะมีเพียงแสงไฟกับแสงสะท้อนในห้องนอนอันมืดมิด จึงมองเห็นใบหน้าของมูคยอมได้แค่รางๆ ฮาจุนอยากสบตากับอีกฝ่ายแต่ก็มองเห็นดวงตาที่มีเงาปกคลุมได้ไม่ชัดเจนนัก

ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็จินตนาการสีหน้าของอีกฝ่ายออก เขารู้สึกหายใจไม่ออกราวกับมีน้ำสีดำๆ ท่วมขึ้นมาจนถึงคอ

“นายคงจะอึดอัดนิดหน่อย… แต่บ้านก็กว้าง แถมยังมีสวนด้วยนี่… แล้วนายก็ออกไปนอกบ้านกับฉันเป็นบางครั้งได้…”

“…ทำไมล่ะ”

มูคยอมไม่ตอบเอาแต่เงียบ รู้สึกได้ถึงสายตาที่สบกันในความมืดมิด ฮาจุนจึงถามอีกครั้ง

“นายไม่เชื่อใจฉันเหรอ”

ฮาจุนไม่เคยเสียดายเวลาสิบปีที่ใช้ไปกับรักข้างเดียวโดยไม่เคยคบหาใครเป็นคนรักอย่างที่ใครเขาพูดๆ กัน ในช่วงที่กักเก็บอีกฝ่ายไว้ในใจโดยไม่ให้คนอื่นรู้ แม้พูดไม่ได้ว่ามีความสุข แต่ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่รู้สึกว่าโชคร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งในตอนที่มูคยอมจดจำมนุษย์ที่ชื่อว่าอีฮาจุนไม่ได้ เขาก็ยังคงมีมูคยอมเพียงคนเดียวเสมอมา

ตัวเขาจะไม่เชื่อใจคิมมูคยอมที่เคยเป็นคนเจ้าสำราญผู้เลื่องชื่อมาก่อนก็ไม่แปลก แต่เหตุผลที่มูคยอมไม่ไว้วางใจเขาถึงขนาดนี้คืออะไรกัน

ต่อให้ไม่ใช่มาร์โค ถ้ามีใครคนไหนเข้ามา เขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เปลี่ยน เขาไม่เคยปันใจให้คนอื่นเลยสักครั้งด้วยซ้ำ แม้แต่เศษเสี้ยวเล็กๆ เท่าคลื่นน้ำในบ่อเวลาแมลงตัวจ้อยแหวกว่ายก็ยังไม่เคย จนตัวเองยังรู้สึกอึดอัด

“ไม่เชื่อใจคนอื่นต่างหาก”

มูคยอมตอบเสียงห้วน อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะอย่างหม่นหมอง เหมือนเงามืดที่ทาบทับอยู่บนพื้น

“อีกอย่าง… คิมมูคยอมที่นายเคยชอบมาสิบปีน่ะ เป็นคนละแบบกับฉันไม่ใช่เหรอ”

“…”

“คิมมูคยอมที่อีฮาจุนชอบ ทั้งดูดี กล้าหาญ แล้วก็ไม่น่าหงุดหงิดแบบนี้ด้วย… ตอนกลางวันเตะบอลทำคะแนนอย่างเท่ ส่วนตอนกลางคืนก็ไปเจอผู้หญิงสวยๆ น่าจะเป็นผู้ชายยอดเยี่ยมแบบนั้นที่ใช้ชีวิตไปตามใจต้องการโดยไม่หวาดกลัวอะไรเลยสักอย่าง ใช่ไหมล่ะ”

“นายพูด…”

ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับความโมโหกำลังจะเดือดพล่านขึ้นมา แต่มือหนาและใหญ่ของอีกฝ่ายก็เลื่อนมาปิดปากไว้ มูคยอมถอนหายใจแล้วพูดต่อไปเรื่อย

“เพราะอย่างนั้น ถ้ามีคนที่ดีกว่าคิมมูคยอมปรากฏตัวขึ้นมา ใจของนายจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า… พูดตามตรงว่าฉันไม่มั่นใจเลย”

ฮาจุนเพียงแค่พรูลมออกจมูกมากระทบฝ่ามือของอีกฝ่ายแทนการโต้เถียง มูคยอมอยู่ในท่านั้นพักหนึ่ง จนลมหายใจของฮาจุนที่เคยถี่กระชั้น กลับมาสม่ำเสมอขึ้น อีกฝ่ายจึงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากปากของเขา

ถึงแม้ว่าปากจะเป็นอิสระแล้ว ฮาจุนก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ทำได้แค่เพ่งมองใบหน้าที่เศร้าสร้อยของมูคยอมเพียงเท่านั้น มูคยอมแหวกเสื้อคลุมที่สวมอยู่แล้วดึงเชือกผูกเอวที่มัดไว้หลวมๆ ให้หลุดออก

“ได้โปรด…..อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น”

อีกฝ่ายพูดคำที่คล้ายคลึงกับเมื่อก่อนหน้านี้เป็นคำสุดท้าย แล้วอะไรนุ่มๆ ก็ถูกวางทับลงบนดวงตา ในตอนที่ฮาจุนตระหนักได้ว่ามันคือเชือกผูกเอวซึ่งถูกดึงออกมาจากชุดคลุมที่มูคยอมสวมใส่ ปมเชือกก็ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาตรงด้านหลังศีรษะเสียแล้ว

ดวงไฟเปิดสว่างขึ้นแล้วก็จริง แต่ฮาจุนกลับถูกกักขังไว้ในความมืดมิดอีกครั้ง แม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่เขาก็ยังคงเขย่าแขนจนเสียงโลหะดัง จากนั้นฮาจุนก็ได้ยินเสียงเปิดปิดลิ้นชัก ไม่นาน เขาก็สัมผัสได้ถึงเจลหล่อลื่นที่ทำให้ด้านหลังของเขาเปียกชุ่ม

“อ๊ะ…”

อุณหภูมิภายในห้องน่าจะเท่าเดิม แต่ฮาจุนกลับรู้สึกว่าเจลมันเย็นกว่าปกติ เพราะอย่างนั้นเอวของเขาจึงเด้งขึ้นเหนือผ้าปูเตียง ร่างกายของฮาจุนเริ่มร้อนรุ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อครู่นี้เพราะสัมผัสอันต่อเนื่องและยาวนานของอีกฝ่าย เมื่อนิ้วลื่นๆ คลำตรงช่องทางด้านหลัง ความเสียวสยิวก็ตีรวนขึ้นมาจนขนลุกเกรียวในทันที

ฮาจุนอยากขยับ ถึงแม้ว่าตอนมีเซ็กส์จะไม่ต้องใช้มือหรือแขนของเขาก็จริง แต่ไม่ว่าจะเป็นการจิกมือกับผ้าปูที่นอน การกอดหมอน หรือการกอดรั้งไหล่กับลำคอของมูคยอม ตอนนี้เขาต้องการทำการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีความหมายพวกนั้นอย่างรุนแรง

“คิมมูคยอม ปล่อยมือฉันออกหน่อย”

ถ้าเป็นไปได้ ฮาจุนก็ตั้งใจจะรอจนกว่าอีกฝ่ายจะปลดให้ก่อน แต่เขาทนไม่ไหวจึงพูดแบบนี้ออกมา ทว่ามูคยอมกลับใช้เจลทำให้ด้านหลังของเขาเปียกแฉะแทนคำตอบแล้วสอดนิ้วลึกเข้าไปด้านในทันที

ฝ่ามืออัดกระแทกกับพวงเนื้อและผิวข้างใต้แกนกาย ความเจ็บแสบแผ่ซ่านขึ้นมาถึงท้อง

“อื๊อ…!”

มูคยอมชอบใส่นิ้วเข้ามาในด้านหลังของเขา ตอนแรก อีกฝ่ายทำแบบนี้เพื่อขยายปากช่องทางและโพรงเนื้อด้านในก่อนสอดใส่ แต่ช่วงหลังมานี้ ฮาจุนรู้ว่ามูคยอมสนุกกับการทำแบบนั้น

แต่ในตอนนี้ มูคยอมไม่ได้กำลังรู้สึกสนุกเลย อีกฝ่ายกำลังกดสอดช่องทางด้านหลังของเขาด้วยสัมผัสที่ทำเพื่อช่วยให้สอดใส่ของจริงเขาไปได้เท่านั้น ทั้งที่ไม่ได้ทำแบบนี้มานานแล้ว

เจลหล่อลื่นชุ่มมากพอ และร่างกายก็ร้อนรุ่มขึ้นจนไม่รู้สึกเจ็บ แต่ฮาจุนก็ต้องกัดฟันเพราะความรู้สึกขัดแย้งถึงขีดสุดที่ต่างกับตอนปกติ สัมผัสที่เหมือนกับเล็บและข้อนิ้วแข็งๆ วันนี้มันแตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก

ช่วงเวลาที่มักจะยาวต่อเนื่องไปหลายสิบนาที ตอนนี้กลับจบลงอย่างรวดเร็วกว่าที่เคย ฮาจุนรู้สึกได้ท่ามกลางความมืด ว่ามือใหญ่ช้อนตรงข้อพับเข่าแล้วจับให้ขาแยกออกจากกัน มูคยอมแทรกตัวเข้ามาตรงกลางโคนขาเกร็งแน่นที่ถูกจับอ้ากว้าง แกนกายที่ผงาดจนแข็งขืน เสียดแทงเข้ามาตรงกลางบั้นท้ายเพื่อพยายามที่จะสอดใส่

“ฮู่ว ฮ้า…!”

ไหล่ของเขาสั่น ฮาจุนรู้สึกได้ถึงทุกอย่างมากเกินไปจนประหลาดเพราะตามองไม่เห็นอะไรเลย

แน่นอนว่ามูคยอมตัวสูงกว่าเขา แต่ถ้าเหลือบตาขึ้นมองเพียงนิดเดียวก็จะสามารถสบตากับอีกฝ่ายได้ ไหล่กับแผ่นอกของอีกฝ่ายกว้างและหนา แผ่นหลังเต็มไปด้วยมัดกล้ามราวกับแผนที่แสดงแนวเทือกเขา กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อบริเวณซี่โครงแน่นหนา หน้าท้องกับเอวโค้งเว้าไปด้วยมัดกล้ามใหญ่และเล็ก ขาแข็งแกร่งราวก้อนหินที่ไม่มีความรู้สึกนุ่มหยุ่นเลยแม้ใช้นิ้วกด

ฮาจุนเห็นหลายรอบและสัมผัสมันมาแล้วหลายครั้งจึงนึกภาพออกแม้ถูกปิดตา แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าร่างกายแบบนั้นของอีกฝ่าย ฮาจุนก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กเลยสักครั้งเดียว

ถึงแม้จะคิดว่ามูคยอมคงไม่กักตัวเขาไว้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกกระวนกระวายว่าอาจเป็นแบบนั้นกลับเกิดขึ้นเสี้ยวหนึ่งในใจ ทำให้ร่างกายของฮาจุนถดหนีอยู่เรื่อย ปากช่องทางที่ขยายออกมากพอแล้ว พลันหุบลงก่อนแกนกายจะเข้ามาได้อย่างเต็มที่

ฮาจุนไม่ได้รู้สึกไม่อยากมีเซ็กส์กับมูคยอม ถึงแม้จะเป็นเซ็กส์แนวนี้ก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไม ปลายเท้าของเขาถึงถีบผ้าปูเตียงและตั้งใจจะหลีกหนีการสอดใส่ราวกับเป็นสัญชาตญาณ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายยึดกระดูกเชิงกรานของเขาไว้แน่น

“เฮือก ฮึก!”

จากนั้น ท่อนเนื้อที่รู้สึกได้ถึงขนาดอันใหญ่โตก็สอดเข้ามาด้านในราวกับตอกเข้ามาอย่างแรง

ฮาจุนใจหล่นฮวบพร้อมทั้งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าโพรงเนื้อที่ยังแห้งเหือดถูกบังคับให้เปิดออก บริเวณเชิงกราน ก้น และต้นขาเกิดอาการกระตุกเกร็งและตัวสั่นเทิ้ม ไม่ใช่เพราะรู้สึกดี แต่ร่างกายของฮาจุนกำลังเกร็งเครียดเกินขีดจำกัด

ริมฝีปากของเขาสั่นระริก อยากบอกว่าทำไม่ไหว หรือไม่ก็เหนื่อย หรือไม่ก็บอกว่าเจ็บ รู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักอย่างที่พอจะหยุดยั้งมูคยอมได้ แต่แม้กระทั่งเสียงของเขาก็ยังถูกปิดกั้นเพราะแรงกระเทือนจากการกดตัวสอดลึกอย่างหุนหัน นอกเหนือจากเสียงหายใจถี่เร็วและหอบรัวก็ไม่มีเสียงอื่นใดดังขึ้นมา

เมื่อร่างกายตึงเครียด ผนังด้านในก็บีบหดเข้ามาแน่นเช่นกัน เขาได้ยินเสียงมูคยอมผ่อนลมหายใจยาว

“ผ่อนคลายหน่อยสิ”

มูคยอมฝังร่างเข้ามาในตัวเขาราวกับเสาเข็มตามที่อีกฝ่ายเคยพูดครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ขยับโยกเอวราวกับเร่งเร้า ทุกครั้งที่มูคยอมขยับตัว ห่วงเหล็กที่คล้องอยู่กับหัวเตียงก็กวัดแกว่งเสียงดังตามไปด้วย

เสียงที่ไม่นุ่มนวลนั้นทำให้ทั่วทั้งร่างสะท้าน ตัวของฮาจุนสั่นเกร็งอยู่ตลอดจึงไม่มีทางที่เขาจะผ่อนคลายลงได้

“บ้าฉิบ…”

มูคยอมสบถออกมาเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า ถ้าอีกฝ่ายอารมณ์พลุ่งพล่านหรือใจร้อนขึ้นบนเตียงก็มักจะสบถแบบนี้ออกมาเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้

จนถึงตอนนี้ ฮาจุนไม่เคยใส่ใจกับคำพูดหยาบคายแบบนี้ของมูคยอมเท่าไรนัก แต่คงเพราะสถานการณ์ กระทั่งคำพูดนั้นก็ยังทำให้เขารู้สึกถูกขู่เข็ญ ร่างกายของฮาจุนเกร็งแข็งยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“อื๊อ อึก…”

เหงื่อไคลไหลหยดพร้อมด้วยเสียงครวญคราง แต่แล้วแกนกายที่เสียบลึกราวกับจะฝังรากลงด้านในก็ถูกถอนออกไปอย่างรวดเร็ว ฮาจุนรู้สึกราวกับร่างกายถูกทะลวงเป็นรูกลวงขึ้นมาชั่วขณะ ในขณะที่เขาสูดหายใจอย่างร้อนรนราวกับตั้งใจจะรีบเติมเต็มส่วนที่ว่างโล่งนั้น มือใหญ่ก็ลูบคลำไปตามร่างกายตามอำเภอใจ

ฝ่ามือแข็งกระด้างฟอนเฟ้นลงบนผิวที่ไวต่อความรู้สึก จากนั้นก็ทั้งบีบทั้งบิดยอดอกบวมเต่งเพราะถูกขบกัดและดูดดึงอยู่พักใหญ่เมื่อครู่นี้ สัมผัสด้วยความใจร้อนเพียงแต่สร้างความทรมานให้เขาเท่านั้น ฮาจุนส่ายหน้าพร้อมกับส่งเสียงครวญครางปนสะอึกสะอื้นออกมา

“อ๊า อึก เจ็บ เจ็บ…!”

เขาได้ยินเสียงถอนหายใจสั้นๆ แทนคำตอบ มือใหญ่ดันร่างกาย ทำท่าจะพลิกตัวเขา แล้วฮาจุนก็กลายมาอยู่ในท่าคว่ำตัวลง

มือที่เคยถูกล็อคเรียงไว้ข้างกัน ถูกจับไขว้ ส่วนข้อมือก็ถูกจับวางซ้อนทับกันไว้ วงล้อกุญแจมือที่ทั้งเย็นและแข็งกระทบกันทำให้เกิดเสียงดังแกร๊ง ฮาจุนแนบคางลงกับหมอนพลางหายใจเสียงดัง แล้วฟันแข็งๆ ก็ครูดเขี่ยบนบริเวณกระดูกก้นกบของเขา ฮาจุนส่ายเอวหนีด้วยความตกใจกลัว

“ฮึก ไม่เอา! อย่าทำ…”

ฮาจุนอ่อนไหวมากไม่ว่ามูคยอมจะทำอะไรก็ตาม เขาเหนี่ยวข้อมือที่ถูกล็อกไว้แล้วชันเข่าเพื่อยกร่างกายท่อนล่างขึ้นไป แต่ต่อให้เขาหนี ร่างกายของเขาก็ยังถูกกักขังไว้อยู่ดี และต่อให้เตียงกว้างแค่ไหน เขาก็ยังคงอยู่บนเตียง มือของมูคยอมจับข้อพับเข่าที่ตั้งขึ้นแล้วกดมันลงอย่างรวดเร็ว เมื่ออีกฝ่ายทำแบบนั้น ฮาจุนจึงขยับเขยื้อนไปไหนได้เลยแม้แต่น้อยเพราะถูกยึดไว้ทั้งมือและขา

ริมฝีปากของมูคยอมฝังลงตรงปากช่องทางของเขาราวกับบดเบียดริมฝีปากจนเกิดเสียงดังจุ๊บจั๊บ การกระทำที่จงใจทำให้เกิดเสียงดังอย่างชัดเจน ทำให้ใบหน้าของฮาจุนร้อนวูบวาบ

“อ๊า ขอร้อง ฉันขอร้อง! อย่าทำแบบนั้น ไม่เอา ไม่… ฮึก อื๊อ!”

เดิมทีมันเป็นการกระทำที่เขาไม่ชอบเพราะรู้สึกขัดเขินอยู่แล้ว ในเวลาแบบนี้ก็ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่

ถึงแม้ว่าจะถูกสอดใส่เป็นเวลาสั้นๆ แล้ว แต่ปากช่องทางก็หดแคบลงเพราะความเครียดเกร็งจนกลับไปเป็นเหมือนตอนแรก ก้อนเนื้อเปียกชื้นสัมผัสกับปากทางรัก ลิ้นของอีกฝ่ายร้อนกว่าปกติ และฮาจุนรู้สึกได้ถึงความสากราวกับปุ่มบนผิวลิ้นตั้งชันขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ น่าจะเป็นเพียงเพราะประสาทสัมผัสของร่างกายอ่อนไหวขึ้นกว่าเดิมด้วยความตึงเครียดเท่านั้น

ลิ้นของมูคยอมลากเลียปากช่องทางสั้นๆ เบาๆ เหมือนเวลาแมวเลียฝ่ามือ สัมผัสนั้นทำให้ฮาจุนขนลุกเกรียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ฮาจุนสั่นระริกตั้งแต่ตรงข้อเท้า ปลายเท้าของเขาขดงอ แม้รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่ฮาจุนก็ดึงข้อมือลงมาอยู่เรื่อยเพื่อที่จะยกตัวขึ้นไป

“อย่าเอาแต่ดึงข้อมือลงมา… ทำแบบนั้นเดี๋ยวเจ็บนะ”

มูคยอมโพล่งขึ้นราวกับกล่าวเตือน จากนั้นก็ฝังใบหน้าลงตรงกลางบั้นท้ายแล้วกดริมฝีปากให้แนบชิดอย่างลึกซึ้ง รู้สึกได้ถึงลมหายใจจากจมูกของอีกฝ่ายตรงแถวๆ ก้นกบ

เมื่อลิ้นแลบยาวออกมาสัมผัสและบดบี้ปากทางรัก ฮาจุนก็ร้อนรุ่มขึ้นทันทีราวกับมีไฟแผดเผาทั้งร่างกาย ใบหน้า รวมไปถึงอวัยวะภายใน

“…ฮื้อ! ฮึก ฮ้า พอ พอแล้ว… อ๊าาา!”

มูคยอมมอบความร้อนรุ่มให้ร่างกายที่สั่นกลัวแล้วบังคับให้มันผ่อนคลาย ทั้งความตึงเครียดและความหวาดผวา ไม่สามารถเอาชนะสัมผัสจากก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นที่ล่วงล้ำเข้ามาทางด้านหลังจนแทบคลั่งได้ และก่อเกิดเป็นความสับสน

ประสาทสัมผัสและประสาทรับรู้ทั่วทั้งร่างที่ลุกฮือขึ้นมา ไม่สามารถทนรับความรู้สึกถูกลูบไล้นี้ได้ ลิ้นของอีกฝ่ายกำลังกวาดเลียกระทั่งความรู้สึกกระสับกระส่ายออกไป “อ๊าาา อ๊ะ” เสียงครางหวิวปะปนกับเสียงสะอื้นไห้พรั่งพรูออกมาจากปากที่ปิดไม่ลงอย่างต่อเนื่อง

สายโซ่กุญแจมือที่ขอบเขตสั้นลงกว่าเมื่อครู่เพราะบิดไปแล้วครั้งหนึ่งเนื่องจากพลิกตัวคว่ำลง รั้งข้อมือที่ถูกไขว้เป็นกากบาทให้ใกล้กับหัวเตียงยิ่งขึ้น มือของฮาจุนแทบจะชิดกับหัวเตียง ทั้งที่ระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรลดน้อยลงเท่านั้น แต่เขากลับรู้สึกเหมือนถูกจองจำอย่างแน่นหนากว่าเมื่อครู่ ความปรารถนาที่จะหนีจึงเบาบางลงไปด้วย

เมื่อฮาจุนเลิกล้มที่จะคลานไปข้างหน้ามากกว่านี้ มือที่เคยกดลงตรงท้องน่องด้านหลังหัวเข่าจึงผละออกไป มือใหญ่เลิกยึดขาอีกฝ่ายไว้แล้วจับก้นทั้งสองข้างแหวกออกให้รูรักปรากฏเห็นชัดยิ่งขึ้น

ฮาจุนส่ายเอวเพื่อที่จะสะบัดมือของอีกฝ่ายให้หลุดออกโดยอัตโนมัติ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ลิ้นเปียกชื้นลากเลียยาวๆ ลงบนปากทางที่เผยให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า

“อ๊าาา! ฮ้า! อา…! ฮึกก อื๊อออ…!”

ในขณะที่ครวญครางออกมาอย่างไม่มีสติ ไม่นานน้ำตาก็ไหลซึมลงมาบนแก้มที่ซุกไว้กับหมอน ร่างกายของฮาจุนดิ้นพล่านโดยอัตโนมัติทำให้โลหะกระทบกันเสียงดัง แต่ตอนนี้ กระทั่งเสียงนั้นก็ไม่เข้าหูของเขาอีกต่อไป

เมื่อมือถูกยึดไว้และการมองเห็นถูกปิดกั้น ประสาทสัมผัสก็ว่องไวขึ้นแม้ถูกกระตุ้นเพียงจุดเดียว ราวกับในร่างมีปลาตัวจิ๋วแตกฝูงแล้วแหวกว่ายอย่างรวดเร็ว ความหฤหรรษ์ที่แผ่ลามเข้ามาในหัว ทำให้ความนึกคิดของฮาจุนหยุดนิ่ง

ลิ้นที่เคยกวาดเลียด้านหลังอยู่พักใหญ่หยุดเคลื่อนไหว แล้วคราวนี้ ความรู้สึกถูกดูดดุนก็ถาโถมเข้ามา เนื้อเยื่อบอบบางบริเวณปากช่องทางที่ไวต่อความรู้สึกสั่นเทิ้ม และสะเทือนจนถึงในท้องอย่างควบคุมไม่อยู่ ความหวาดกลัวที่ปลุกเร้าอารมณ์เพราะรู้สึกราวกับเนื้อด้านในจะปลิ้นออกมาด้านนอก และความรู้สึกที่ส่วนลึกด้านในสั่นระริกอย่างประหลาด โหมซัดเข้ามาในหัว

“อ๊า อ๊า อ๊า…!”

ปลายเท้าของฮาจุนถีบไถลไปบนเตียงครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับจะยันเท้าขึ้นทั้งที่อยู่ในท่าคว่ำหน้าลง เอวกับแผ่นหลังสั่นกระตุกไม่หยุด ก้นก็แข็งเกร็ง เมื่อมือของมูคยอมซึ่งสัมผัสอยู่บนสะโพก ไถลลงไปด้านหน้าเพื่อลูบไล้ส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวแล้วขึ้นลง เสียงร้องสั้นๆ ก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง

เหงื่อผุดพรายออกมาบนผิวขาวนุ่มลื่น ร่างกายที่สั่นระรัวทำให้นึกสภาพเมื่อครู่ที่เคยเกร็งเครียดราวกับผ้าติดกาวไม่ออกเลย

ฮาจุนกลับมาบ้าน พร้อมกับความเงียบชวนกดดัน และเตรียมใจรับมือกับความโกรธของมูคยอม เขาตัดสินใจว่าต่อให้อีกฝ่ายระบายความโกรธใส่เขา เขาก็จะอดทน เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยตัดสินใจในเรื่องที่คล้ายๆ กันนี้

เพราะถึงแม้ว่าจะเดาถูกเพียงหนึ่งจากร้อย แต่คราวนี้อีกฝ่ายทายถูกจริงๆ มูคยอมระแวงมาร์โคมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้และเตือนเขาว่าให้ระวังแล้วด้วย ถ้าเขาใส่ใจคำพูดของมูคยอม เขาก็จะไม่อยู่ในห้องเก็บของกับมาร์โคเพียงสองคนพักใหญ่แบบนั้นอย่างเด็ดขาด

ฮาจุนเศร้าใจ เรื่องที่ทำให้มูคยอมเสียความรู้สึกก็ด้วย และเรื่องที่เขาได้รับความรู้สึกดีแบบไม่ธรรมดา จากนักกีฬาที่ตนให้ความสนใจเป็นพิเศษในฐานะโค้ชเป็นครั้งแรกหลังจากมายังลอนดอน ก็ไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย

‘ฉันเข้าถึงง่ายเกินไปเหรอ’

หัวคิ้วของฮาจุนย่นเข้าหากัน เขาสามารถทำตัวเป็นคนที่เข้าถึงง่ายแค่ไหนก็ได้กับมูคยอม แต่กับคนอื่น เขาไม่ต้องการแสดงให้เห็นภาพลักษณ์แบบนั้น และในที่ที่เขาเป็นคนต่างชาติก็ยิ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้นมากขึ้นไปอีก

“เพราะนายใสซื่อมากไปน่ะสิ”

“…”

“คนใจดีแบบนายหรือไม่ก็อิมจองคยู คิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนตัวเองทุกคนใช่ไหมล่ะ”

ทว่า หลังกลับมาบ้าน มูคยอมซึ่งเขาเคยคิดว่าจะตวาดเสียงดัง กลับพูดเพียงแค่นั้นด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง

ฮาจุนลังเล แต่ก็รีบเดินเข้าไปหาแล้วจับมืออีกฝ่ายไว้

“ฉันขอโทษ”

“ทำไม ไอ้หมอนั่นทำตัวล้ำเส้นเอง มีเรื่องอะไรที่นายต้องขอโทษล่ะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… ฉันควรต้องฟังที่นายพูดแล้วระวังมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ฉันผิดเอง”

“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของฮาจุนในชั่วเวลาสั้นๆ แต่ฮาจุนกลับไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย

ถ้าให้พูดตามตรง ฮาจุนคิดว่าทันทีที่กลับมาถึงบ้าน มูคยอมจะตะคอกเสียงดังใส่เขา หรือไม่ก็มีเซ็กส์กันทันที

แต่มูคยอมเพียงแค่ทำสีหน้าเรียบเฉยและพูดน้อยลงราวกับหมดแรงเท่านั้น และอีกฝ่ายก็แตะต้องตัวฮาจุนน้อยกว่าปกติเสียอีก นอกเหนือจากจูบเด็กน้อยชั่วขณะเดียวก็ไม่มีการประทับริมฝีปากอย่างลึกซึ้งอีกเลย

แบบนี้ไม่ทำให้คลายกังวลได้เลยสักนิด เพราะถึงแม้การคาดการณ์กับความเป็นจริงมันจะผิดเพี้ยนไปจากกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่าทีของอีกฝ่ายก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังรู้สึกแย่

ให้โมโหก็ยังดีเสียกว่า อย่างน้อยก็รู้ว่าจะต้องตอบอะไร ทั้งสองกินอาหารเย็นเสร็จโดยไม่ได้พูดเรื่องอื่นอีก จากนั้นก็ใช้เวลาอยู่ในห้องใครห้องมัน ฮาจุนพยายามเล็งหาจังหวะที่มูคยอมจะเข้านอนแล้วพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่มูคยอมกลับไม่มีวี่แววว่าจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนมักเป็นฝ่ายเหนื่อยล้าก่อนมูคยอมทุกครั้งอยู่แล้ว สุดท้ายเขาก็ทนความง่วงไม่ไหวและไปเปิดประตูห้องที่อีกฝ่ายอยู่

“คิมมูคยอม ไม่นอนเหรอ”

“นอนก่อนเลย ฉันจะดูอะไรหน่อย”

ถ้าพูดถึงการดูการแข่งรอบก่อนอย่างละเอียด มูคยอมก็ดูจบพร้อมฮาจุนไปแล้ว มูคยอมนั่งจ้องโน้ตบุ๊กอยู่บนโซฟาหนึ่งที่นั่ง ใบหน้าด้านข้างของเขาเยือกเย็นและนิ่งเฉย

…แค่บอกว่าขอโทษที่ใกล้ชิดกับฝ่ายนั้น แล้วอ้อนให้หายโกรธดีไหมนะ เขาทำผิดเรื่องนั้นก็จริง แต่ว่า…

ฮาจุนคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง แต่มูคยอมเพียงแค่บอกให้ไปนอน จากนั้นก็ไม่แม้แต่จะหันมาทางเขาด้วยซ้ำ ฮาจุนทอดสายตามองใบหน้าด้านข้างของคนหัวรั้นแล้วยอมแพ้ไป

รักข้างเดียวที่ยาวนานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาสิบปีแบ่งออกได้สองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นความหวาดกลัวที่ฝังลึก ซึ่งมีมากเท่าๆ กับอีกส่วนซึ่งเป็นความรัก ความรู้สึกนั้นคงยังเหลืออยู่ภายในใจ พอมูคยอมสร้างเกราะแข็งแกร่งขึ้นมา เขาจึงไม่มีความกล้าที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน

พอเอนตัวนอนลงบนเตียงกว้างเพียงคนเดียว น้ำตาก็ไหลซึมออกมา เขากลัวว่ามูคยอมจะไม่หายโกรธอยู่แบบนี้ต่อไป กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมเชื่อใจในตัวเขาอีกครั้ง

* * *

เหมือนว่าจะนอนไม่หลับเพราะความรู้สึกไม่สบายใจแต่ดูเหมือนว่าจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ถ้าหลับไปแล้วรอบหนึ่ง ฮาจุนก็ไม่ได้เป็นคนประเภทที่จะตื่นขึ้นมากลางดึกง่ายนัก แต่คงเพราะก่อนนอนอารมณ์ไม่คงที่ ฮาจุนจึงลืมตาขึ้นทั้งที่ยังดึงสติกลับมาไม่ได้

ปกติแล้ว เขาจะดึงผ้าม่านลงให้มิดชิดก่อนนอน จึงยากที่จะแบ่งแยกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนด้วยแสงสว่างที่มีในห้องเพียงอย่างเดียว แต่ฮาจุนรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงกลางดึกและยังไม่เข้าสู่ช่วงเช้ามืด เขาคอแห้งนิดหน่อย ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ฮาจุนจึงตั้งใจจะดันตัวลุกขึ้นเพราะต้องการดื่มน้ำ

“…”

ฮาจุนตระหนักขึ้นมาได้สองอย่าง

มูคยอมยังคงไม่เข้ามานอนบนเตียง ช่วงหนึ่ง เขากับมูคยอมเคยใส่ชุดคลุมนอน แต่ช่วงนี้ พวกเขาสองคนจะนอนไม่ใส่เสื้อผ้าแทบทุกคืน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเซ็กส์กัน แต่มูคยอมชอบสัมผัสร่างเปลือยเปล่าของเขา ช่วงนี้จึงนอนโดยสวมแค่ชั้นในตัวเดียวหรือไม่ก็ถอดหมด จนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว

ฮาจุนไม่รู้สึกถึงน้ำหนักและอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายซึ่งมักจะนอนกอดร่างกายเปลือยเปล่าของเขาเหมือนกอดหมอน ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนบนร่างกายก็ตาม ทั้งหัวไหล่ หน้าท้อง เอว หรือว่าขา และอีกฝ่ายไม่ได้จงใจนอนแยกกันด้วย ที่นอนด้านข้างยังคงว่างเปล่า ไร้วี่แววว่ามีคนอยู่

อีกอย่างคือเขาไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ฮาจุนครุ่นคิดว่าตัวเองยังไม่ตื่นดีหรือกำลังถูกผีอำ แต่ประสาทสัมผัสนั้นชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้

ฮาจุนขยับเพียงศีรษะ หันไปมาเพื่อสังเกตรอบข้าง ดวงตาที่ตอนนี้เพิ่งตื่นเต็มตา มองไม่เห็นรูปร่างใดๆ ท่ามกลางความมืดสนิทเลย

“คิมมูคยอม”

ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็ยังเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง

เมื่อดึงข้อมือ เสียงดังแกร๊งคล้ายโลหะก็ดังลอดเข้ามาในหู มือฮาจุนหยุดอยู่เหนือศีรษะ เขาดึงมันลงมามากกว่านี้ไม่ได้ เขาหลับไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้เลยงั้นเหรอเนี่ย

“คิมมูคยอม”

ฮาจุนรออยู่พักหนึ่งแล้วเรียกอีกครั้ง ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ นอนหลับอยู่ตรงไหนสักที่ในห้องหรือไงนะ

“คิมมูคยอม ตอบฉันหน่อย…”

หรืออีกฝ่ายจะไม่อยู่จริงๆ เสียงท้ายประโยคของฮาจุนสั่นนิดๆ เมื่อคิดว่าในนี้มีเพียงเขาคนเดียว

ทันใดนั้น ในที่สุดคราวนี้ก็รับรู้ได้ว่ามีใครบางคนอยู่ เขาได้ยินเสียงขยับตัวตรงจุดที่ห่างจากเตียงไปเล็กน้อย เวลาผ่านไปไม่นาน การมองเห็นที่เคยมืดสนิทก็สว่างขึ้นมาพอให้มองได้แบบรางๆ โคมไฟสลัวอันหนึ่งที่ถูกติดตั้งไว้ในห้องนอนสว่างขึ้น

มูคยอมยืนอยู่ข้างโคมไฟ ฮาจุนทอดสายตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วกวาดตามองรอบข้างให้กว้างขึ้นอีกหน่อย ภายในห้องนอนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงเก้าอี้ตัวหนึ่งถูกวางไว้ตรงตำแหน่งที่เคยไม่มีอะไรวางอยู่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะลากเก้าอี้ที่เคยตั้งอยู่กับโต๊ะตัวเล็กในห้องนอนมา

มูคยอมเอื้อมมือไปเปิดไฟแล้วยืนอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนเก้าอี้มานั่งโดยไม่ได้พูดอะไร เขาจับเก้าอี้ให้พนักพิงมาอยู่ด้านหน้าแล้วเท้าแขนไว้บนนั้น มูคยอมค้อมแผ่นหลังกว้างมาด้านหน้าเพื่อวางคางลง ฮาจุนหงายหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองดูข้อมือของตัวเอง

“ก็แค่ ลองซื้อมาไว้เล่นกับนายก่อนนายมาน่ะ”

เสียงของมูคยอมดังขึ้น

“ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้แบบนี้”

น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงและราบเรียบ เสียงพูดของอีกฝ่ายฟังดูห่อเหี่ยวใจอย่างประหลาด ฮาจุนฟังแล้วจึงลองเขย่ามือดู เสียงโลหะดังแกร๊งจากเหล็กที่คล้องกับหัวเตียง ดังก้องอยู่รอบใบหู

มูคยอมบอกว่าไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้แบบนี้ แต่ฮาจุนเองก็ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ ข้อมือของตัวเองจะถูกของแบบนี้คล้องเอาไว้เหมือนกัน ลองย้อนมองดูเส้นทางการใช้ชีวิตของตัวเองทีละอย่าง เขาก็แทบไม่เคยทำเรื่องที่พอจะได้ชื่อว่าเป็นเรื่องผิดบาปเลยนะ

“ฉันติดต่อไปไว้แล้ว ว่าพรุ่งนี้นายไปไม่ได้เพราะไม่สบาย”

ฮาจุนมองดูข้อมือของตัวเองอย่างเหม่อลอยราวกับเป็นข้อมือของคนอื่น แต่แล้วก็ต้องตกใจกับคำพูดนั้นจนตั้งใจจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทว่า ‘แกร๊ง’ มีเพียงเสียงนี้ดังขึ้น ร่างกายที่เคยนอนอยู่ ล้มฮวบลงไปบนผ้าปูเตียงอีกครั้ง

มูคยอมมองท่าทางนั้นแล้วหัวเราะหึๆ ฮาจุนควบคุมหัวใจที่เริ่มเต้นรัวเร็วขึ้นมาทีละนิดแล้วถามขึ้น

“นาย…ดื่มเหล้ามาเหรอ”

รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของมูคยอม

“ฉันไม่ง่วงเลยสักนิด ก็เลยตั้งใจว่าจะดื่มแค่แก้วเดียวน่ะ…”

“…”

“แต่ก็ใช่ ดื่มมานิดหน่อย”

‘ทำแบบนี้เพราะเมาอย่างนั้นเหรอ’

ฮาจุนคิดแบบนั้น ตอนแรกเขารู้สึกเหมือนว่ากุญแจมือที่ล็อกติดข้อมือของเขาไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ แต่ร่างกายที่ถูกยึดไว้ กลับค่อยๆ ปวดเมื่อยและไม่สบายตัวขึ้น

“ฉันรู้ นายไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องที่นายพูดมักจะถูกต้องและสมเหตุสมผลทุกครั้ง”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง

“แต่ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครก็ตาม ถ้าพรุ่งนี้นายไปที่สนามฝึก ไอ้บ้านั่นก็จะได้เจอนายไม่ใช่เหรอ”

“…”

“มันคงตาลุกวาว คอยเล็งจังหวะว่าจะมีโอกาสได้อยู่กันสองคนอีกเมื่อไร หรือเล็งว่าจะมีเวลาให้ได้ลองสานต่อการกระทำที่ทำค้างไว้ไหม จ้องหาโอกาส เฝ้ามองนายตั้งแต่หัวจรดเท้า! เอาจริงๆ ไม่ว่าจะฉันหรือนาย ตอนนี้ต่างก็รู้ความจริงกันทั้งคู่แล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามันใช้สายตาอมทุกข์คู่นั้นมองนายพร้อมกับคิดอะไรอยู่”

น้ำเสียงที่เคยสงบนิ่งตอนเริ่มต้น ในตอนท้ายกลับกระโชกขึ้นเล็กน้อย ราวกับเจ้าตัวก็รับรู้ถึงเรื่องนั้นได้เหมือนกัน มูคยอมจึงหยุดพูดไปอย่างฉับพลันแล้วกระซิบกระซาบขึ้นมาอีกครั้ง

“เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง จะให้ไปควักลูกตามันออกมาเลยก็ไม่ได้”

“…”

“หรือว่าได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้สักหน่อยนี่นะ ฆ่ามันทิ้งไปเลยดีไหม”

มูคยอมหัวเราะคิกคักราวกับกำลังพูดเรื่องตลกอยู่ เมื่อก่อนฮาจุนก็รู้สึกได้ ว่าคิมมูคยอมพูดได้เป็นปกติดีแม้กำลังเมา เพียงแค่พูดในเรื่องที่ต่างกับมูคยอมในตอนปกติเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบบไหนก็ตาม

ฮาจุนควบคุมหัวใจที่เต้นรัวแล้วเรียกอีกฝ่าย

“คิมมูคยอม ใจเย็นๆ สิ”

“ฉันล้อเล่นน่า นายก็รู้ว่าฉันรักชีวิตตัวเองขนาดไหนใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก ฉันโชคดีที่ไต่เต้ามาจนถึงตรงนี้ได้ จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วมุดใบหน้าลงกับแขนของตัวเองให้มิดขึ้นอีก แล้วจู่ๆ ก็เซื่องซึมขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“ไอ้บ้านั่นยังฆ่าไม่ได้ แล้วคราวนี้จะฆ่าใครได้ล่ะ”

‘แกร๊ง’ เมื่อเสียงโลหะดังขึ้นอีกครั้ง มูคยอมก็เหลือบตาขึ้นมาแวบหนึ่งเพื่อมองฮาจุน ถึงแม้รู้ว่าตัวเองถูกล็อกไว้ แต่ฮาจุนก็ยังคงดึงแขนลงมาอยู่เรื่อย

“อยู่เฉยๆ สิ ทำแบบนั้นนายก็ได้แต่เจ็บข้อมือเท่านั้นแหละ มันไม่หลุดหรอก”

ฮาจุนมองมูคยอมโดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อก่อนก็เคยเกิดสถานการณ์ที่ต่างแต่ก็คล้ายคลึงกัน

อีกฝ่ายเคยสั่งให้เขาขึ้นไปนั่งบนโต๊ะแล้วตัวเองก็นั่งบนเก้าอี้ห่างออกไปหน่อย บอกให้เขาขยายช่องทางด้านหลังด้วยตัวเอง จากนั้นก็มุดใบหน้าลงกับแขนพร้อมทำสีหน้าเย็นชาเหมือนคนที่ไม่อยากมีเซ็กส์เลยสักนิด ตอนนั้นมูคยอมนั่งมองเขาด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวใจนิดหน่อย

หากคิดดูตอนนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำให้เขาอับอายก็จริง แต่ตอนนั้นเขากลับแทบจะไม่รู้สึกอาย แม้ว่าจะสับสนก็ตาม เพราะอย่างไรซะ เขาก็ไม่เคยมีเซ็กส์กับมูคยอมโดยยึดถือศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งในตอนนั้น เขานึกกลัวมูคยอมเพราะอีกฝ่ายทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน

แล้วตอนนี้ล่ะ

“คิมมูคยอม มาตรงนี้หน่อยสิ”

ตอนนี้… เขาเหมือนจะเข้าใจนิดหน่อยแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้น

ทั้งที่ตอนนั้นมองไม่เห็นเหตุผลอะไรเลยแท้ๆ

“ไม่ต้องปลดออกให้ก็ได้… แต่มาตรงนี้หน่อย”

“…”

“ฉันไม่โกรธหรอก ถึงทำแบบนี้ ฉันก็ไม่เกลียดนายด้วย มาตรงนี้ก่อนเร็ว”

เร็วเข้าสิ ถึงแม้ว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมแต่มูคยอมก็ยังเอาแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ เหมือนรากยึดและไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

ในห้องเปิดไฟ แต่แสงสลัวของโคมไฟสำหรับใช้ในห้องนอนทำให้รับรู้เพียงท่าทางกับเค้าโครงใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเลือนรางเท่านั้น มูคยอมดูคล้ายกับเป็นก้อนหินรูปคน ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดก็คงจะคาดเดาสีหน้าได้ลำบาก

โคมไฟขนาดเล็กทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่บนผนัง พักหนึ่งที่ฮาจุนจ้องมองเงาดำมืดซึ่งทาบทับลงมาเป็นรูปร่างของมูคยอมที่กำลังนั่งอยู่อย่างบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเงานั้นดูคล้ายกับรอยแผลเป็นที่เหลือทิ้งไว้ตรงเอวของเขาเลย

คำที่เคยพูดไม่ออกเมื่อคราวก่อน คราวนี้ถูกเปล่งออกมาจากปาก

“ฉันกลัว… มาตรงนี้หน่อยนะ”

คำพูดนั้นทำให้เงาของอีกฝ่ายกระดุกกระดิก ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ยังนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ฝีเท้าไร้เสียงเมื่อเดินบนพื้นปูพรมใกล้ๆ เตียง ฟูกราคาแพงไม่ส่งเสียงลั่นออกมาง่ายๆ ห้องนอนเงียบสงบอยู่ชั่วขณะแม้มูคยอมจะนั่งแบบหมิ่นเหม่ลงบนเตียงแล้ว

เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล้าก็ลอยคลุ้ง ดูท่าจะดื่มหนักกว่าที่คิด ‘พรุ่งนี้ก็เป็นวันฝึกซ้อมแท้ๆ เจ้านี่’ ฮาจุนนิ่วหน้าโดยอัตโนมัติแล้วบ่นงึมงำในใจ แต่แล้วคิ้วของมูคยอมก็ขมวดเข้าหากัน

“อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น”

ฮาจุนลืมสถานการณ์ไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาเพียงแค่ฉายแววตำหนิออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่พอใจที่อีกฝ่ายดื่มเหล้าเยอะ แต่มูคยอมดูเหมือนจะเข้าใจผิดไปในทิศทางอื่น

อีกฝ่ายโพล่งขึ้นแบบนั้นแล้วจู่ๆ ก็ก้มตัวลงมาจนชิด ราวกับจงใจให้ตัวเองอยู่ห่างออกไปจนถึงตอนนี้ มูคยอมขยับตัวรวดเร็วเหมือนสัตว์ที่ตั้งใจจะตะครุบเหยื่อที่ติดกับดัก

“ฮึก…!”

ฟันแข็งๆ ฝังลงบนลำคอของฮาจุน เหมือนกำลังกัด แต่ก็ทาบริมฝีปากลงมาดูดดุนอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บผิวทั้งอย่างนั้น

เป็นสัมผัสที่เหมือนกับการจู่โจม ฮาจุนตั้งใจจะผลักไสอีกฝ่ายออกโดยไม่รู้ตัว แต่ข้อมือด้านในกลับถูกรั้งไว้และมีเพียงเสียงโลหะดังขึ้นเหนือศีรษะเท่านั้น

“อึก อา…”

เมื่อฮาจุนรับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่าเขาไม่สามารถขยับตัวได้ ไม่ว่ามูคยอมจะทำอะไรก็ตาม ขนอ่อนทั่วทั้งร่างก็ลุกเกรียวทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว มูคยอมไม่คิดที่จะปล่อยผิวบอบบางตรงลำคอ ราวกับจะฉีกกระชากผิวแล้วดูดกินเลือดของเขา

ไม่ได้ถึงกับเจ็บ แต่เหงื่อของฮาจุนก็ไหลซึมเพราะสัมผัสที่ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถึงแม้ร่างกายจะนอนอยู่ แต่ด้วยสภาพที่ถูกเหนี่ยวรั้งแขนไว้เหนือศีรษะ จึงไม่ง่ายเลยที่จะอดทนในระยะยาว มูคยอมเคลื่อนริมฝีปากไปทีละนิดพร้อมกับไล้เลียลำคอทางด้านขวาและซ้ายทั่วทุกจุด จากนั้นก็ลากเลียตั้งแต่ส่วนลูกกระเดือกที่นูนออกมา ไปจนถึงสันกรามและลากยาวต่อมาตรงคางโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อย

มูคยอมฝังเขี้ยวลงบนไหล่ลีนๆ แล้วลากริมฝีปากผ่านไปถึงส่วนเนื้ออ่อนนุ่มของแขนท่อนบนและล่างอย่างไม่สะดุด ตัวของฮาจุนสั่นอยู่เรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายสำรวจอวัยวะแต่ละส่วน

มูคยอมขบกัดผิวใต้กระดูกไหปลาร้าแล้วเลื่อนริมฝีปากไปจนถึงยอดอกที่ชูชันอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ เมื่อใช้ลิ้นบดขยี้ลงบนติ่งเนื้อที่แข็งเป็นไตด้วยความตึงเครียด ฮาจุนก็รู้สึกเหมือนผิวถูกของแหลมคมบาด ทั้งที่เป็นเพียงลิ้นของอีกฝ่ายเท่านั้น ฮาจุนดิ้นโดยอัตโนมัติ

ไม่รู้ว่าพึงพอใจหรือขัดเคืองใจการเคลื่อนไหวของเขา มูคยอมจึงกอดเอวเขาไว้แน่นในอ้อมแขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็ดูดยอดอกของฮาจุนอย่างแรงราวกับจะให้มันขาดติดปาก แรงเท่ากับที่เคยทำตรงลำคอ

“อ๊า อึก!”

ฮาจุนส่งเสียงครวญครางออกมาราวกับกรีดร้อง เพราะความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความเจ็บปวดมากกว่าเสียวซ่าน มูคยอมไม่หยุดเพียงครั้งเดียว ฮาจุนรู้สึกเพียงแค่ว่า ตรงที่ถูกมูคยอมดูดดึงจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบเหมือนจะฉีกขาด

“อ๊า เจ็บ เจ็บนะ!”

คำพูดนั้นทำให้ริมฝีปากของมูคยอมผละออกไป แต่ก็แค่ครู่เดียว มูคยอมไม่ได้ใช้แรงเท่ากับเมื่อครู่นี้ที่ทำเหมือนจะกลืนกิน แต่ก็ดูดดุนหัวนมนิ่มทั้งสองข้างและบริเวณทั่วทั้งหน้าอกอย่างรุนแรงไม่หยุด ทุกจุดที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายลากผ่าน หลงเหลือความแสบซ่านเบาๆ ไว้ ทำให้ทั่วทั้งร่างร้อนวูบวาบ

ปกติแล้ว มูคยอมจะจบการสัมผัสทุกจุดด้วยจูบหนักๆ ที่ทำให้รู้สึกดี แต่ตอนนี้มูคยอมกลับสัมผัสอย่างเชื่องช้าและเน้นย้ำ ราวกับตั้งใจจะทิ้งรอยแดงๆ ไว้

“ฮึก อ๊าาา! อื๊อ ฮา…!”

ชั้นในถูกถอดออกจนรู้สึกว่างโล่ง ริมฝีปากของมูคยอมรูดไปบนผิวบางแถวๆ กระดูกซี่โครง ไล่มาตรงเอว ไปจนถึงหน้าท้องอย่างไม่พลาดเลยสักจุด คราวนี้ริมฝีปากนั้นกดลงบนผิวบริเวณเหนือแกนกาย ซึ่งเดิมทีน่าจะมีเส้นขนปกคลุมอยู่อีกชั้น

เขาลิ้นแลบออกมาเลียลงบนนั้นทันที มูคยอมลากเลียจนเสียงดังแผล็บแล้วดูดเนื้อนุ่มเข้าไปในปากเพื่อตีตราเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ

ในตอนนี้ พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเยอะอะไรขนาดนั้นด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสตาฟหรือนักกีฬาคนอื่นๆ หากสงสัยสตาฟคนอื่นหรือแฮร์รี่ที่ตัวติดกันทุกวันยังจะดูเข้าท่ากว่า

“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”

ต่อให้เถียงกันอยู่ในรถต่อไปก็ไม่ได้บทสรุป ฮาจุนลงจากที่นั่งข้างคนขับไปก่อน ไม่นานมูคยอมก็ตามลงมา แล้วทั้งสองก็เข้าไปในบ้านโดยไม่ได้พูดอะไร

ความเงียบชวนอึดอัดราวกับพรมปูพื้นหนักอึ้ง เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เขากับมูคยอมพัวพันอยู่กับความไม่เข้าใจและเข้าใจผิดกันหลายเรื่องตั้งแต่ตอนแรก แล้วผ่านมันมาจนถึงตอนนี้ได้ แต่ในระหว่างนั้น พวกเขายังไม่เคยไม่พูดไม่จากันเลย

พวกเขาทั้งคู่ต่างก็พูดเรื่องที่ตัวเองอยากพูดกับอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเข้าใจกันหรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่เห็นด้วยก็พูดไปตามที่ไม่เห็นด้วย ถ้ายอมรับก็พูดไปตามที่ยอมรับ… ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้ แต่พอคบกันเป็นคนรักเข้าจริงๆ แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรื่องราวมันกลับไม่เป็นไปอย่างเคย

ปัญหาที่จะต้องคิดไตร่ตรองดูไม่ได้มีเพียงเรื่องสองเรื่อง แค่ให้ตีตัวออกห่างมาร์โคทันทีเลยก็ไม่ใช่เรื่องยาก มูคยอมไม่ชอบถึงขนาดนี้แล้ว การเมินเฉยต่อมาร์โคตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่สบายที่สุดสำหรับฮาจุนด้วย

แต่การถอยห่างจากมาร์โคเพราะมูคยอมไม่ชอบคนที่เขาให้ความสนใจในฐานะโค้ช ไม่ชอบคนที่พึ่งพาเขาผู้เป็นโค้ชในฐานะนักกีฬานั่นแหละคือปัญหา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นเลยคิมมูคยอมมักจะยืนกรานว่าทุกคนต่างก็มีเจตนาแอบแฝงกับเขา การคาดเดานั้นผิดอยู่เรื่อยไป และครั้งนี้เองก็เช่นกัน

ในอนาคต ฮาจุนก็จะยังใช้ชีวิตอยู่บนสนามในฐานะโค้ช คิมมูคยอมเองก็ต้องการแบบนั้นถึงได้พาเขามาถึงลอนดอนไม่ใช่หรือไง ยิ่งสั่งสมประสบการณ์การทำงานมากขึ้นเท่าไร จำนวนนักกีฬาที่เขาต้องให้ความสนใจก็ต้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น เขากลับต้องเว้นระยะห่างออกมาและไม่สามารถโค้ชชิ่งได้เพราะมูคยอม

เขาต้องแก้ปัญหาเรื่องในครั้งนี้ให้ดี อย่างน้อยก็เพื่ออนาคต เขาจำเป็นต้องมีวิธีรับมือที่จะไม่ทำให้มูคยอมเสียใจและกำหนดทิศทางในอนาคตได้อย่างชัดเจน แต่ฮาจุนก็นึกวิธีที่ดีและเหมาะสมไม่ออกเลย

“ทำไมนายไม่เชื่อที่ฉันพูดล่ะ”

ในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด มูคยอมก็ถามขึ้นมาก่อน

“พอมาที่นี่แล้ว ฉันเคยพูดถึงพวกผู้ชายคนอื่น ว่าพวกนั้นมาพะเน้าพะนอ หยอกล้อนายเหมือนตอนนี้ไหม ที่ฉันพูดก็เพราะว่าหมอนั่นต่างจากผู้ชายพวกนั้น แค่สายตาก็ต่างแล้ว นายคงมองไม่เห็นหรอก นายรู้หรือเปล่าว่าหมอนั่นทำสีหน้ายังไงตอนออเซาะอยู่ข้างหลังนาย ฉันนึกว่ากำลังมองดูเด็กมอต้นใส่สร้อยคอให้คนที่ตัวเองชอบซะอีก”

“…”

“ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้นายโค้ชชิ่งนะ ฉันบอกให้นายรู้อย่างแน่ชัดแล้วควบคุมมัน เพราะหมอนั่นคิดเกินเลยกับนายแน่ๆ”

“…คิมมูคยอม เรื่องคิดเกินเลยที่นายพูดถึงน่ะ”

ฮาจุนถอนหายใจแล้วพูดเรื่องที่ไม่ค่อยอยากพูดสักเท่าไรขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“นายเคยเดาถูกสักครั้งไหม นายเคยสงสัยความสัมพันธ์ของฉันกับพี่แชฮุน ความสัมพันธ์ของฉันกับนักกีฬาคนอื่นก็ด้วย ไปๆ มาๆ ก็สงสัยไปถึงจองคยู… คราวนี้ก็เหมือนกัน ต่างกันตรงไหน”

“ต่างสิ”

“ยังไงล่ะ”

“คราวนี้มันจริงๆ นายลองคิดดู หมอนั่นข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงยุโรปด้วยตัวคนเดียวและไม่มีครอบครัวเหมือนที่นายพูด คุยกับคนอื่นก็ไม่รู้เรื่อง แถมยังอายุน้อยอีกใช่ไหม ฉันรู้เพราะฉันก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา ตอนนั้นฉันชอบคนที่ทำดีด้วยในทันที ตอนนี้หมอนั่นก็น่าจะกำลังคิดไปเองอยู่แน่ เห็นชัดๆ ว่าพูดยังไม่ค่อยเข้าใจ ใช้ร่างกายสื่อสารก็สบายกว่า เพราะอย่างนั้นถึงทำท่าทีแบบนั้นอยู่เรื่อยไงเล่า! หมอนั่นมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วว่านายเป็นคนใจอ่อน เลยแกล้งทำเป็นทุกข์ใจ เผลอๆ คงเรียกนายไปหาตามลำพังแล้วทำเรื่องอะไรต่อมิอะไรด้วยซ้ำ”

ฮาจุนเหลือบตาขึ้นแวบหนึ่งแล้วทำเพียงแค่ส่งเสียงอย่างหนักใจออกมา มูคยอมเริ่มจินตนาการและยืนหยัดในความคิดตัวเองแบบไม่มีหลักฐานอีกแล้ว เพราะแบบนี้ พวกเขาถึงคุยกันไม่รู้เรื่องสักที

“ถ้างั้นจากนี้ไป”

“…”

“ฉันคงจะต้องผลักไสนักกีฬาทุกคนที่นายมองว่าเป็นแบบนั้นสินะ พร้อมกับแค่ตรวจเช็กสภาพร่างกายของพวกนักกีฬาเหมือนหุ่นยนต์”

“อย่าไร้เหตุผลสิ”

“ถ้าคำพูดนายไม่ได้หมายความแบบนั้นแล้วหมายความว่าอะไรล่ะ นี่เป็นงานที่ฉันทำ ถ้าได้โค้ชชิ่งต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีนักกีฬาที่ฉันจำเป็นจะต้องดูแลมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แล้วในกลุ่มนักกีฬาก็จะมีคนที่พึ่งพาฉันมากขึ้นด้วย ปกติตัวงานมันเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้นายกำลังเอาส่วนพื้นฐานที่สุดของงานมาเป็นประเด็น ถ้าคอยจับผิดแบบนั้น สู้นายบอกให้ฉันลาออกจากงานไปเลยยังจะดีกว่า เพราะสิ่งที่นายพูดตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับการหมายความว่าแบบนั้นเลย”

มูคยอมขมวดคิ้วแทนที่จะตอบกลับ เพราะไม่สามารถหาเรื่องที่เหมาะสมมาโต้ตอบได้

ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้มูคยอม เขาจ้องมองใบหน้าที่ทำปากเกร็งทื่อ จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปก่อน

อ้อมกอดของฮาจุนโอบร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแรงไว้ได้ไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกอยากกอดปลอบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังทำตัวดื้อรั้น

“คิมมูคยอม เรื่องที่นายกังวลจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด”

“…”

“ฉันจะทำให้มันไม่เกิดขึ้นเอง”

ความไม่ไว้วางใจที่ปิดไม่มิด ไหววูบอยู่ในดวงตาของมูคยอมในตอนที่อีกฝ่ายถามว่าทำไมเขาถึงไม่เชื่อตน เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นก็ไม่สนุกเลยสักนิด ฮาจุนจึงอยากคุยเรื่องไม่น่าเบิกบานใจให้จบเรียบร้อยลงตรงนี้ ฮาจุนจับมือของมูคยอม

“ไปนวดกันเถอะ วันนี้แข่งเสร็จแล้ว ฉันก็ต้องคลายกล้ามเนื้อให้นายอีกสิ”

แม้เขาบอกแบบนั้น แต่มูคยอมก็ยังยืนนิ่ง จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาบนแก้มของเขาอย่างเชื่องช้า

สัมผัสนั้นลูบไล้เขาอย่างระมัดระวังราวกับกำลังขอโทษ ฮาจุนทาบฝ่ามือของตัวเองลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ในขณะที่สบตากันพร้อมกับสัมผัสนิ้วมือและกระดูกที่นูนขึ้นมาบนหลังมือใหญ่ ริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกันโดยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

* * *

ความขัดแย้งและความไม่ลงรอยเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถทำลายบรรยากาศของทีมซึ่งอยู่ในช่วงเอาชนะรวดติดต่อกันได้ ตลอดการฝึกซ้อมช่วงสองสามวันมานี้ซึ่งดำเนินต่อหลังจบการแข่งขัน บรรยากาศของกรีนฟอร์ดยังคงสดใสและท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกแห่งชัยชนะ

ในขณะที่กำลังจดบันทึกกรณีพิเศษในโปรแกรมฝึกซ้อมที่เพิ่งจบลงเมื่อครู่ สตาฟคนหนึ่งก็เรียกฮาจุน

“จุน ช่วยไปเอาบันไดพับมาให้สักสองอันหน่อยได้ไหม ดูเหมือนจะนับผิดไปน่ะ”

“อ้อ ครับ”

ฮาจุนปิดสมุดโน้ตแล้วขยับตัวเดินไปทันที เพราะสนามฝึกกว้างมาก เขาจึงต้องเดินพักหนึ่งจนกว่าจะถึงห้องเก็บของ

ฮาจุนเดินไปตามทางเดินของสนามฝึกซ้อมใหม่ที่ตอนนี้คุ้นเคยดีแล้ว เขาเดินผ่านประตูไม่กี่บาน ก่อนจะเปิดประตูของห้องเก็บของออก แต่ฮาจุนกลับไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้ทันทีและทำได้เพียงเบิกตากว้าง

“มาร์โค?”

นักกีฬาที่ควรจะต้องฝึกซ้อมอยู่ด้านนอก นั่งอยู่บนม้านั่งสำรองซึ่งวางไว้ในห้องเก็บของ อีกฝ่ายทอดสายตามองเขาราวกับตกใจ ฮาจุนเดินผ่านชายหนุ่มเข้าไปด้านใน เอาบันไดพับมาถือไว้พร้อมกับพูดขึ้นก่อน

“พักอยู่เหรอ ถ้าจะพักสักแป๊บหนึ่งก็ใช้ม้านั่งด้านนอกดีกว่านะ คนน่าจะตามหานายกัน”

“ขอโทษครับ จะออกไปแล้วครับ”

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษฉันสักหน่อยนี่”

แม้ว่าบรรยากาศของทีมจะสดใส แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำตัวเปล่งประกายได้ มาร์โคมีท่าทีเหมือนนักเรียนที่โดนเพื่อนแบน

…ป่านนี้แล้ว จะมองว่าเป็นเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเพียงอย่างเดียวก็ไม่น่าใช่ คนที่สนิทกันมากขึ้นแม้สื่อสารกันไม่เข้าใจเลย ก็มีอยู่เยอะแยะ มูคยอมบอกว่าตอนมาอังกฤษครั้งแรก เจ้าตัวก็รู้ภาษาอังกฤษแค่คำว่า ‘ฮาวอาร์ยู แอมไฟน์ แต๊งกิ้ว’ เหมือนกัน

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“ฉันเองก็เพิ่งมากรีนฟอร์ดได้สองเดือนเหมือนกัน พอๆ กับนายแหละ ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าที่นี่คือทีมของฉันนะ ทีมก็ต้องช่วยเหลือกันสิ”

“…ครับ”

“ถ้านายคิดว่าฉันเป็นโค้ชในทีมนาย ฉันก็อยากให้นายเล่าว่ามีเรื่องอะไรนะ”

พอพูดออกไปแล้ว ฮาจุนก็เหลือบเห็นบันไดพับในมือตัวเอง ต้องรีบเอาไปนี่นะ

แต่เขาก็รอคำตอบของมาร์โคโดยไม่สามารถออกไปเฉยๆ ได้ ความเงียบปกคลุมยาวนานขึ้น และฮาจุนกำลังจะเอ่ยปากว่า ถ้าลำบากใจที่จะพูดตอนนี้ ไว้คุยกันทีหลังก็ได้ ทว่าในตอนนั้นเอง

“ที่นี่ไม่ใช่ทีมของผมครับ”

“…”

“ผมอยากกลับไปกอสตานอวาครับ พวกเขาคือครอบครัวของผมครับ”

ฮาจุนคาดเดาว่า ที่อีกฝ่ายพูดอย่างอ่อนน้อมเป็นเพราะความยากลำบากในการสื่อสาร เป็นโรคคิดถึงบ้านหรือเปล่านะ ถ้าไม่งั้นก็…

ถึงไม่แน่ชัดเท่าไรแต่ฮาจุนก็รู้สึกเหมือนจะรู้ ทีมเดิมของมาร์โคครองอันดับต่ำในลีกโปรตุเกสและไม่ได้มีผลงานยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น แต่มีชื่อเสียงในเรื่องสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับแฟนๆ ที่บ้านเกิดและความเหนียวแน่นระหว่างนักกีฬาในทีม บ่อยครั้งที่ยิ่งเป็นทีมอันดับต่ำมากเท่าไร ความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างสมาชิกในทีมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

กรีนฟอร์ดเป็นทีมอันดับสูงในลีกระดับสูง ในทีมประกอบไปด้วยนักกีฬาที่ได้พิสูจน์ความสามารถและผู้เล่นอนาคตไกล ถ้าให้เปรียบเป็นโรงเรียนก็เหมือนโรงเรียนชั้นนำที่รวบรวมเพียงเด็กอันดับหนึ่งกับสองจากทั้งโรงเรียนมาไว้ เพราะอย่างนั้นความคาดหวังที่มีต่อตัวนักกีฬาในทีมจึงสูงตามไปด้วย

แน่นอนว่าการแข่งขันกันย่อมดุเดือด และการต่อสู้กันด้านจิตใจก็แปรผันไปตามนั้น พวกนักกีฬาที่เหลือรอดและลงแข่งมานานมักจะมีความนึกคิดที่พิเศษอยู่นิดหน่อย เพราะอย่างนั้นเมื่อมีเด็กใหม่เข้ามา แทนที่จะใจดีด้วยก็ดันมีท่าทีจะไปทดสอบพวกเขาแทน

ไม่ใช่แค่เรื่องบรรยากาศในทีมหรือความสัมพันธ์ระหว่างนักกีฬาด้วยกันเองจะดีหรือไม่ดี แต่นี่เป็นบทบาทในการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่เลี่ยงไม่ได้

“มาร์โค ก่อนอื่น นาย…”

ฮาจุนพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หยุดกลางคัน เขาไม่สามารถเสนอแนะอย่างเกินตัวได้ ฮาจุนจึงตัดสินใจที่จะพูดเรื่องที่เขาทำได้ดีแทน

“ไม่ว่าไปที่ไหน ตอนแรกก็จะไม่คุ้นเคยกันทั้งนั้นแหละ แต่อย่างน้อยถ้าหาเพื่อนที่จะอยู่ข้างนายสักคนสองคน จากนั้นไปก็จะง่ายขึ้นมาหน่อยแล้ว ถ้านายมองคนอื่นเป็นแค่คนกลุ่มหนึ่ง และมองทีมเป็นแค่สถานที่ นายก็จะยังรู้สึกผิดที่ผิดทางอยู่ดี ถ้านายคิดแค่ว่า ไม่มีใครที่จะมาสนิทกับฉันเลยเหรอ โดยยึดความคิดตัวเองเป็นหลักและไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบไหน มันก็ยากที่จะสนิทกับใครมากขึ้นนะ”

“…”

“ลองสังเกตดูเป็นคนๆ ไปสิ คนเราน่ะต้องรู้จักกัน ถึงจะรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นนะ”

ฮาจุนพูดอย่างตะกุกตะกักเพราะตั้งใจจะพูดเรื่องที่เป็นนามธรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษ เขาไม่รู้ว่าถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามที่ต้องการหรือเปล่า มาร์โคพยักหน้าราวกับเข้าใจได้พอประมาณ จากนั้นจึงลุกขึ้น

“มีจุนอยู่ด้วยก็เลยโอเคครับ อยู่ข้างผม เป็นเพื่อน”

“โล่งอกไปที ทีนี้ออกไปกันไหม ต้องลองหาเพื่อนคนอื่นด้วยสิ”

ฮาจุนยิ้มพร้อมกับพยักพเยิด แต่มาร์โคกลับเดินเข้ามาใกล้

“จุน”

“หืม”

“ผมลำบากจริงๆ ครับ ถ้าไม่มีคุณล่ะก็”

“ค่อยโล่งใจหน่อยที่ช่วยนายได้”

“ผมอยากรู้จักคุณครับ”

บรรยากาศแปลกๆ

ในตอนที่คิดแบบนั้น ใบหน้าของมาร์โคก็เคลื่อนเข้ามาใกล้มากแล้ว

“ไอ้สวะนี่”

คำด่าหยาบคายถูกโพล่งออกมาเป็นภาษาเกาหลีด้วยเสียงกดต่ำ เสียงนั้นดังแทรกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติมากเกินไปจนฮาจุนเกือบคิดว่าตัวเองเป็นคนพูดไปชั่วขณะ

ใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องเก็บของและกำลังคว้าคอเสื้อของมาร์โคไว้อยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“คิดอยู่แล้วว่าแกล้งทำตัวน่าสงสาร แล้วไม่นานก็จะทำแบบนี้”

‘พลั่ก!’ มูคยอมดันตัวมาร์โคไปชิดผนังทั้งที่ยังจับคอเสื้อไว้แน่น หลังของมาร์โคกระแทกผนังเสียงดัง ลูกบอลจำนวนหนึ่งซึ่งวางอยู่บนชั้น กลิ้งหล่นลงมาเสียงดังตุ้บตั้บเพราะแรงสั่นสะเทือน

มาร์โคตกใจจนพูดอะไรไม่ออกและไม่สามารถตอบสนองอะไรออกไปได้ ฮาจุนตั้งสติขึ้นมาได้ทีหลังจึงจับแขนของมูคยอมไว้

“คิมมูคยอม หยุดนะ”

“ฉันบอกว่ายังไง! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้เลวนี่มันจะทำอะไรบ้าๆ น่ะ”

“พอได้แล้ว! ที่นี่คือสนามฝึกนะ”

ถ้าก่อเรื่องทะเลาะกัน มูคยอมก็จะตกที่นั่งลำบาก จะเปิดเผยเหตุผลอย่างชัดเจนก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องก็คงกลายเป็นว่า รุ่นพี่ตัวเต็งของทีมทำตัวเบ่งใส่รุ่นน้องหน้าใหม่ที่ยังไม่แม้แต่จะมีตำแหน่งด้วยซ้ำ

เมื่อตะโกนเสียงดังขึ้น ตอนนั้นมูคยอมจึงหันมาหาฮาจุน อีกฝ่ายมองเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมทำสีหน้าเฉียบขาดแล้วจึงคลายมือออก คราวนี้สายตาของฮาจุนตวัดไปมองชายหนุ่มที่ตัวติดกับผนัง

‘ออกไป’

ดวงตาของฮาจุนบอกแบบนั้น ใบหน้าของมาร์โคเต็มไปด้วยความสับสนและมองฮาจุนราวกับยังมีเรื่องอะไรจะพูดอยู่ แต่ตอนนั้นฮาจุนไม่ได้มองมาร์โคแล้ว

“นายเข้าข้างหมอนั่นจริงๆ ใช่ไหม”

เมื่อมาร์โคออกไป มูคยอมก็ปิดประตูเสียงดังปังแล้วเอ่ยถาม ฮาจุนเสยผมด้านหน้าขึ้น

“นายก็รู้ว่าไม่ใช่ ถ้าทะเลาะกันที่นี่ตอนนี้ ก็จะมีแต่นายเท่านั้นแหละที่จะโดนมองเป็นคนแปลกประหลาดในสายตาคนอื่น”

ฮาจุนรับรู้ว่ามูคยอมกัดฟันเพราะมองเห็นโครงร่างจากคางของอีกฝ่าย ฮาจุนเองก็กัดเนื้อด้านในปากอยู่เช่นกัน คราวนี้ทั้งสองคนเพียงแค่แลกเปลี่ยนความเงียบกันเท่านั้น

ในหัวของฮาจุนสับสนวุ่นวาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จะบอกว่ามาร์โคมีความสนใจในเชิงนั้นกับเขาจริงๆ น่ะเหรอ ถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธและบอกว่าเขาแค่คิดไปเอง แต่เห็นได้ชัดว่ามาร์โคตั้งใจจะประทับริมฝีปากกับเขาจริงๆ

ไม่อยากจะเชื่อเลย การคาดเดาของมูคยอมที่ผิดมาตลอดจนถึงตอนนี้ วันนี้มันกลับถูกต้องเสียได้

เดาสุ่มร้อยครั้ง มันก็เป็นไปได้ว่าจะมีสักครั้งที่ถูก แต่ทำไมคำตอบนั้นมันต้องมาถูกหลังจากที่พวกเขาเลื่อนสถานะเป็นคนรักกันแล้วด้วยนะ

“โดนปากหรือยัง”

มูคยอมถาม ฮาจุนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ามึนงงแล้วจึงรีบร้อนส่ายหน้า ต่อให้มูคยอมไม่มาถึงห้องเก็บของแล้วกระชากคอเสื้ออีกคนไว้ในระหว่างนั้น มาร์โคก็คงจะจูบจู่โจมเขาไม่สำเร็จอยู่ดี เพราะมือของฮาจุนเองก็กำลังจะดันคางฝ่ายนั้นไว้อยู่แล้ว

เขาได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยอารมณ์เดือดพล่าน ถึงแม้มูคยอมจะนิ่งเงียบ แต่ฮาจุนก็มองเห็นความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับกองไฟขนาดใหญ่ลุกโหมอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย มูคยอมก้าวเข้ามาประชิดตัวฮาจุนหนึ่งก้าว มือใหญ่รั้งท้ายทอยเข้าหาตัวอย่างแรงและก้มหน้าเข้ามาใกล้

“จุน! หาบันไดพับไม่เจอเหรอ”

เสียงพูดอันแจ่มชัด คงรอจนเหนื่อยสตาฟที่มาจนถึงห้องเก็บของด้วยตัวเอง ส่งเสียงทำลายความเงียบ ฮาจุนอาศัยจังหวะที่การเคลื่อนไหวของมูคยอมหยุดชะงักแล้วรีบจัดท่าทางให้เรียบร้อย เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับพูดตอบ

“ขอโทษที่ช้าครับ หาเจอแล้วครับ”

“เอ๋ ทั้งสองคนทำอะไรอยู่ กำลังคุยเรื่องลับๆ กันอยู่เหรอ”

“เปล่าครับ เดินผ่านมาเลยแวะคุยนิดหน่อย”

“คิม ผู้จัดการทีมหาตัวอยู่แน่ะ ทั้งคู่รีบออกมาเร็วเข้า”

กระจกที่เกือบแตกถูกปิดเอาไว้ชั่วคราว แม้แค่ครู่เดียวแต่ฮาจุนก็นึกโล่งใจที่มีเวลาพอจะให้จัดการความคิด จากนั้นเขาก็ออกมาจากห้องเก็บของ มูคยอมเองก็ออกมาพร้อมกับ

เมื่อออกมาด้านนอกจึงเห็นว่ามาร์โคก็กำลังฝึกซ้อมร่วมกับนักกีฬาคนอื่นอยู่ ชายหนุ่มหันหน้ามาสังเกตสถานการณ์ทางนี้ แน่นอนอยู่แล้วที่ฝ่ายนั้นมีท่าทีไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตนเองถึงทำให้มูคยอมโมโห ฮาจุนได้ยินเสียงมูคยอมกัดฟันกรอดๆ อยู่ด้านข้างอย่างชัดเจน

“ดูท่าจะสนใจมากเลยนะ”

ฮาจุนส่ายหน้า

“รู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่ความสนใจแบบที่นายคิดน่ะ”

“ไม่รู้สิ มั่นใจเหรอ”

“ฉันรู้มาเมื่อก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้มายุโรปเพื่อเล่นฟุตบอลเฉยๆ”

“ถ้างั้นอะไรล่ะ มาเล่นบอลด้วยแล้วก็มาจีบคนอื่นด้วยงั้นเหรอ”

“ช่วงนี้บ้านเกิดมาร์โคเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหนักมาก แน่นอนว่าต้องมีคนย้ายถิ่นฐานเยอะอยู่แล้ว ถึงขั้นที่มีผู้ลี้ภัยเลยด้วย มาร์โคก็พยายามย้ายถิ่นฐานมากับพ่อแม่ แต่ดูเหมือนจะมาได้แค่คนเดียวอย่างยากลำบากเลยละ ระหว่างนั้น พ่อแม่ก็เสียชีวิตเพราะป่วยกันไปหมด ยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่น่าเลย”

มูคยอมทำหน้าบึ้งตึงโดยไม่ได้ตอบอะไร

“ไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปนี่นา เพราะอย่างนั้นเลยดูเหมือนจะยิ่งไม่มั่นใจในการสื่อสารกับคนอื่นมากกว่าเดิม ฉันก็เลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะคุยกับพวกโค้ชคนอื่นๆ แบบจริงจังสักหน่อย”

“โอเค คุยเสร็จแล้วก็รีบส่งเรื่องต่อให้ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นซะ ที่นี่มีที่ให้คำปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้อง นายไม่จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนี้หรอก”

ฮาจุนปิดสมุดโน้ตแล้วลุกขึ้นยืน ความยุ่งยากใจเจืออยู่ในใบหน้าเปื้อนยิ้ม

บ้าชะมัด ถึงไม่มีเรื่องนี้ หมอนั่นก็ทำให้อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ดันเป็นคนน่าสงสารด้วยซะได้ ลองคิดดูแล้ว สีหน้าก็ดูมีความลำบากและอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย เขารู้ดีที่สุดว่าอีฮาจุนพ่ายแพ้พวกคนน่าเวทนาที่จะต้องคอยเฝ้าสังเกตดูอย่างเห็นอกเห็นใจ

‘…ต่อให้แข่งกันน่าสงสาร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะเทียบไม่ได้ ก็เลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่!’

“ดึกแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวค่อยเคลียร์พรุ่งนี้ดีกว่า ไปนอนกันเถอะ”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วยื่นมือไปจับก่อน ราวกับปลอบโยนมูคยอมซึ่งยืนหน้ามุ่ยอยู่ มูคยอมก้มหน้ามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุดนอนสีกรมท่าที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าด้วยกัน เหมาะกับฮาจุนเป็นอย่างดี

ต้องรีบไปถอดออกซะแล้ว ถ้าได้ทำให้อีฮาจุนอ่อนระทวยจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบนเตียง อีกฝ่ายก็น่าจะลืมความคิดเรื่องงานไปหมด มูคยอมเดินตามมือของฮาจุนที่ชักจูงไปทางห้องนอนอย่างว่าง่าย

* * *

กรีนฟอร์ดกำลังอยู่ในช่วงเอาชนะได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเปลี่ยนผู้จัดการทีมที่เคยเข้ากันกับพวกนักกีฬาไม่ได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว อีกทั้งมูคยอมซึ่งเป็นกำลังสำคัญก็กลับเข้าทีมมาด้วย

ฮาจุนกำลังจ้องเขม็งไปทางสนามหญ้าอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ใช่แค่เพราะกำลังโค้ชชิ่งเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะได้ดูการแข่งขันจากม้านั่งมาสองสามรอบแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังได้เห็น ‘คิมมูคยอมแห่งกรีนฟอร์ด’ อยู่ตรงหน้านี้เอง ทั้งที่เคยดูแค่ในโทรทัศน์เสมอมา

ความเร็วของมูคยอมเมื่อได้มองดูใกล้ๆ เป็นอย่างที่เลื่องลือกันจริงๆ ความรู้สึกรีบร้อนและความรู้สึกมีชีวิตชีวาซึ่งถ่ายทอดผ่านทางจอโทรทัศน์ได้ไม่หมด รวมถึงต้นขาสีแทนที่เคลื่อนไหวอย่างมีพลังและมั่นใจก็ปรากฏให้ได้เห็น กระทั่งความเพลิดเพลินในตอนที่วิ่งฉิวแล้วเล็งช่องโหว่เล็กๆ เพื่อเตะบอลส่งเข้าประตูโดยไม่ปล่อยให้จังหวะนั้นหลุดมือไปก็ด้วย

มูคยอมเป็นผู้เล่นดาวเด่นอย่างแท้จริง

เมื่อครึ่งแรกผ่านไปราวสามสิบห้านาทีโดยคะแนนที่เคยตามหลัง พลิกกลับมาเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งเพราะการทำประตูของมูคยอม นักกีฬาตัวรุกคนหนึ่งของกรีนฟอร์ดพยายามใช้ศีรษะโหม่งลูก แต่แล้วก็ก้าวลงพื้นพลาดจนล้มลงไป ทีมแพทย์วิ่งเข้าไปหาเมื่อนักกีฬาคนนั้นส่งสัญญาณมาราวกับข้อเท้ากระทบกระเทือนเล็กน้อย จากนั้นในช่วงที่ทีมแพทย์ฉีดคูลลิ่งสเปรย์ตรงข้อเท้าให้ ผู้จัดการทีมก็ออกคำสั่งเปลี่ยนตัว

“รามิเรซ เตรียมตัว!”

ผู้ตัดสินชูป้ายไฟขึ้นเพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนตัว แล้วมาร์โคก็วิ่งออกไปในตอนที่นักกีฬาผู้บาดเจ็บเดินเข้ามา ช่วงนี้ผู้จัดการทีมมักจะให้นักกีฬาที่เพิ่งย้ายสังกัดเปลี่ยนตัวลงเล่น และกำลังทดลองแผนการเล่นหลากหลายแบบด้วย เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่สามารถใช้นักกีฬาที่เพิ่งเข้าทีมมาใหม่ได้อย่างเหมาะสม

เมื่อมาร์โคยืนประจำตำแหน่งบนสนาม สายตาของฮาจุนก็จ้องมองไปทางนั้นครู่หนึ่ง ฮาจุนสงสารมาร์โคในฐานะโค้ช

มาร์โคยังเด็กและมีศักยภาพโดดเด่น เป็นคนแบบที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถได้ยิ่งกว่านี้ถ้ามั่นใจในตัวเองมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่คงเพราะมีนิสัยชอบเก็บตัว หรือไม่ก็คงเพราะยังคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ความสามารถจึงมีแนวโน้มถดถอยลง ตอนนี้เพิ่งจะย้ายสังกัดมา ถ้าแสดงให้เห็นภาพลักษณ์แบบนั้นต่อไปก็จะพลาดโอกาสและยากที่จะต้องตาผู้จัดการทีม

เพียงแค่ย้ายสังกัดมาในทีมดังอย่างกรีนฟอร์ดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย หนทางนักกีฬาก็ง่ายดายกว่านักกีฬาคนอื่นๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเทียบกับนักกีฬาคนอื่น มาร์โคกลับเล่นไปเรื่อยอย่างไร้เป้าหมายและไม่กระตือรือร้นที่จะไขว่คว้าความสำเร็จ ท่าทีนั้นดูเหมือนกับฮาจุนในช่วงเวลาหนึ่ง เขาจึงเป็นห่วงเพราะรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องของคนอื่นคนไกล

ลูกบอลที่กลิ้งไปมาไม่ยอมหยุดลงที่เท้าใครท่ามกลางผู้คนมากมายและครอบครองสนามแข่งของกรีนฟอร์ด กองกลางส่งลูกไปให้ตัวรุกอย่างรวดเร็ว ตรงจุดที่ลูกบอลพุ่งไป มีมูคยอมอยู่ตรงนั้นเหมือนกับทุกครั้ง

“เฮ้ย!”

ใครบางคนตรงม้านั่งตะโกนออกมาไม่ดังมากนักด้วยน้ำเสียงตระหนก ทั้งผู้จัดการทีม โค้ชคนอื่นๆ และฮาจุนต่างก็ขมวดคิ้ว

มูคยอมกำลังจะได้โอกาสทองในการยิงประตู แต่ก็ต้องเบี่ยงตัวหลบมาร์โคซึ่งเกือบจะวิ่งชนกันจนล้มกลิ้งไปกับพื้นทั้งคู่ ลูกบอลพุ่งมาจนถึงกองรุกอย่างสุดกำลังแต่กลับกลิ้งวืดผ่านไปหาทีมคู่แข่งเสียอย่างนั้น

มูคยอมกระเด้งตัวลุกขึ้นก่อน ฮาจุนมองเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาเย็นชาไปให้มาร์โคซึ่งลุกขึ้นยืนทีหลัง ก่อนจะวิ่งไป เขาได้ยินเสียงผู้คนพูดถึงสองคนนั้น

“ระยะเคลื่อนที่ซ้อนทับกันสินะ”

“ยังเป็นเด็กใหม่อยู่ก็อาจจะเกิดเรื่องแบบนั้นได้แหละ”

ต่อให้บอกว่าเป็นกองรุก ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องวิ่งไล่ลูกบอลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสังเกตความเป็นไปของเกมโดยรวมด้วย โดยเฉพาะกรีนฟอร์ดที่ใช้กลยุทธ์การเล่นโดยให้มูคยอมเป็นตัวรุกหลักมานาน

เช่นเดียวกันกับที่ซิตี้โซล ที่กรีนฟอร์ดก็มีช่วงส่งลูกสุดท้ายให้มูคยอมอย่างต่อเนื่องอยู่เนืองๆ หากวิ่งไปมาโดยมองหาแต่ลูกบอล ก็อาจเกิดการขัดแข้งขัดขากันระหว่างนักกีฬาในทีมเหมือนตอนนี้ได้

‘ทำแบบนั้นไม่ได้นะ มาร์โค’

ฮาจุนพึมพำแบบนั้นในใจ เขารู้ว่ามูคยอมรู้สึกไม่ชอบใจมาร์โคอยู่แล้ว และรู้ด้วยว่าสาเหตุเป็นเพราะเขาเอง

ถ้าถึงกับทำพลาดโดยการรุกล้ำเข้าไปในระยะการเคลื่อนที่ระหว่างการแข่งขัน มูคยอมอาจเกลียดมาร์โคไปเลยจริงๆ ก็ได้ ถึงแม้ว่าจะตัดเรื่องปัญหากับคิมมูคยอมออกไปแล้ว แต่ถ้าซ้อนทับระยะการเคลื่อนไหวกับตัวทำคะแนนของทีมบ่อยๆ สุดท้ายก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกให้ออกจากสนาม เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง

‘…ควรต้องเว้นระยะห่างสักหน่อยจริงๆ ไหมนะ

แต่มาร์โคไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่’

ฮาจุนเพียงแค่ใส่ใจมาร์โคเพราะคิดว่าจำเป็นจะต้องให้ความสนใจมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อยในฐานะโค้ชเท่านั้น และการควบคุมความต้องการที่จะชี้แนะนักกีฬาเพราะเหตุผลส่วนตัวว่าเป็นคนรัก ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไปหน่อย

ในระหว่างนั้น การแข่งขันครึ่งแรกที่ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายก็จบลง แล้วการแข่งก็เข้าสู่ช่วงพักครึ่ง ไอเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวมูคยอมซึ่งเดินกลับมาตรงม้านั่ง อีกฝ่ายแสดงความโกรธออกมาตามใจชอบไม่ได้ก็จริง แต่ฮาจุนย่อมคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าเป็นเพราะใคร

ฮาจุนเข้ามาในห้องรับรองแล้วมองหามูคยอมเป็นคนแรกก่อนไปตรวจเช็กนักกีฬาคนอื่น เขาไม่ยกเรื่องการแข่งครึ่งแรกขึ้นมาพูด แล้วแสร้งทำเป็นตรวจเช็กร่างกายอีกฝ่ายเท่านั้น พร้อมทั้งสังเกตดูส่วนที่กระแทกกันเมื่อครู่นี้ด้วย โชคดีที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ฮาจุนทำเป็นบีบนวดบริเวณไหล่กับหลัง จากนั้นก็ลูบหัวกับลำคออีกฝ่ายอย่างลับๆ ล่อๆ โดยหลีกเลี่ยงสายตาของคนอื่น

มูคยอมเองก็ดูเหมือนจะไม่เมินเฉยต่อความตั้งใจที่แฝงอยู่ในสัมผัสจากมือของเขา ดวงตาของอีกฝ่ายที่เคยไร้ซึ่งความไม่สบายใจจนดูแข็งกระด้าง กลับอ่อนโยนขึ้นทีละนิด ตอนนั้นฮาจุนถึงได้พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

“พอลงแข่งไปเรื่อยๆ ก็อาจเกิดเรื่องแบบนั้นได้นี่ มีสมาธิกับการแข่งครึ่งหลังเถอะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก โค้ช”

มูคยอมจับมือของเขา ฮาจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ แล้วใครคนหนึ่งก็มายืนอยู่ข้างหน้าทั้งสองคนในตอนนั้น

เป็นตัวการที่ทำให้มูคยอมยิงลูกพลาดไปเมื่อครู่นี้ มาร์โคนั่นเอง

“คิม”

คิ้วของมูคยอมกระตุกเบาๆ ฮาจุนเองก็ทอดสายตามองฝ่ายนั้นด้วยความประหม่า ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีสักเท่าไรนัก ที่มาร์โคจะพูดอะไรกับมูคยอม

“เมื่อกี้ ขอโทษนะครับ”

เมื่อฟังคำขอโทษแล้ว มูคยอมที่เคยนิ่งเงียบก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งพร้อมตอบกลับ

“…ถ้าขอโทษเรื่องแบบนั้น ฉันก็กลายเป็นไอ้คนน่าหัวเราะเยาะสิ”

มาร์โคยังคงยืนหน้าเสียอยู่ ราวกับไม่สามารถรับมือกับน้ำเสียงประชดประชันได้ในทันที

มูคยอมลุกจากที่แล้วเดินเข้าไปหามาร์โค มูคยอมยื่นหน้าเข้าไปแทบชิดแล้วก้มลงมองอีกคนนิ่งๆ จากนั้นสุดท้ายก็หัวเราะหึๆ ออกมา

“ไม่เป็นไรน่า”

‘ตุ้บ’ มูคยอมใช้หลังมือที่กำหมัดตีลงบนแผ่นอกของอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็เดินไปหาพวกนักกีฬาคนอื่นๆ ฮาจุนลอบถอนหายใจแผ่วเบาในใจอีกครั้งแล้วหันไปหามาร์โค

ไม่ว่าอย่างไร การตรวจสอบสภาพร่างกายของมาร์โคก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโค้ชคนอื่นจะดีกว่า

“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”

“ครับ”

“ได้ยินคำอธิบายจากผู้จัดการทีมแล้วใช่ไหม นายใส่ใจกับการวิเคราะห์ความเป็นไปของเกมในระหว่างแข่งก็จะดีนะ”

“ครับ”

ดวงตาสีเขียวมะกอกไหววูบบนใบหน้าไร้อารมณ์ที่ฉายแววมัวหมอง ฮาจุนกำลังจะเดินแยกไป เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วจึงไม่กล้าที่จะหมุนตัวไปในทันทีพร้อมกับมองอีกฝ่าย

จิตใจอ่อนแอแบบนี้ แล้วจะอยู่รอดในห้องล็อกเกอร์ของทีมที่พวกนักกีฬาชั้นนำมารวมตัวกัน จนถึงฤดูกาลต่อไปไหมนะ

“…ร่าเริงหน่อยสิ เพิ่งเข้าทีมมาได้ไม่นาน ก็ต้องไม่คุ้นกับกลยุทธ์และบทบาทการเล่นอยู่แล้วละ จู่ๆ โดนก็เปลี่ยนตัวลงสนามเลยด้วย”

“ขอบคุณครับ จุน”

“ไม่เป็นไร ครึ่งหลังก็สู้ๆ นะ”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วกำลังจะหมุนตัวไป แต่มาร์โคก็เรียกเขาไว้

“จุน”

“หืม”

“อันนี้”

มาร์โคชี้ตรงลำคอ ฮาจุนจึงก้มหัวลงมองพิจารณาบริเวณลำคอของตัวเองแต่ก็ไม่มีอะไรที่สะดุดตา

“เดี๋ยวนะครับ”

มาร์โคขยับเข้ามายืนซ้อนตรงด้านหลังของฮาจุน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮาจุนก็รู้สึกได้ว่านิ้วของอีกฝ่ายเฉียดผ่านตรงด้านหลังลำคอของตัวเอง

ฮาจุนไม่รู้ว่ามาร์โคกำลังทำอะไรจึงได้แต่ยืนกะพริบตาอยู่นิ่งๆ มาร์โคยืนขยับนิ้วตรงแถวลำคอของเขาอยู่ด้านหลังแบบนั้น แล้วไม่นานก็กลับมายืนด้านหน้าของฮาจุนอีกครั้งพร้อมพูดขึ้น

“เชือก หลุดน่ะครับ กำลังจะ”

“อ๋อ”

ตอนนั้นฮาจุนถึงได้เข้าใจความหมาย เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้า ดูเหมือนว่าเชือกที่ห้อยป้ายชื่อโค้ชกำลังจะหลุด ฮาจุนเอื้อมมือไปคลำปมเชือกด้านหลังลำคอ ตอนนี้มันถูกผูกไว้อย่างแน่นหนาดีแล้ว

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ฮาจุนบอกลาอีกฝ่ายแล้วหันหลังไป เขาแบ่งเวลาให้มูคยอมกับมาร์โคไปซะเยอะจึงไม่สามารถใช้เวลาช่วงพักครึ่งอย่างเป็นประโยชน์ได้สักเท่าไร ต้องรีบไปดูนักกีฬาคนอื่น…

ฮาจุนคิดแบบนั้นพลางกวาดตามองห้องล็อกเกอร์หนึ่งครั้ง แล้วเขาก็สบตากับมูคยอม เขามองเห็นสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนแม้ยืนอยู่ห่างกันออกไปนิดหน่อย

แต่ตอนนี้เป็นช่วงพักครึ่งที่ยุ่งวุ่นวาย ทั้งฮาจุนและมูคยอมต่างก็มีคนที่ตัวเองต้องไปหา ทั้งคู่จึงต้องแยกกันไปโดยไม่สามารถพูดคุยกันอีกครั้งได้ ไม่นานเวลาพักครึ่งที่เหลืออยู่ไม่เท่าไรก็หมดลง

ในครึ่งแรก มูคยอมก็เคลื่อนไหวได้ไม่เลวอยู่แล้ว พอเข้าครึ่งหลังก็วิ่งไปทำประตูได้ถึงสองประตูอย่างรวดเร็วจนแทบจะเหมือนกับหัวรถจักรติดเทอร์โบ การแข่งขันจบลงด้วยคะแนนสามต่อหนึ่ง สนามกีฬาเสียงดังกระหึ่มไปด้วยเสียงร้องตะโกนของแฟนๆ ที่ร้องเพลงพร้อมกับตะโกนว่า ‘คิม’ กับ ‘มู’ สลับกัน

ชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ ชัยชนะอันงดงาม ทว่าหัวใจของฮาจุนกลับหนักอึ้งแบบที่ไม่เคยเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อทอดสายตามองมูคยอมเดินเข้ามาตรงม้านั่ง

“ไอ้หมอนั่น มันมีใจให้นาย”

หลังการแข่งขัน เมื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขากับมูคยอมก็ขึ้นรถกลับบ้านด้วยกัน มูคยอมไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง ฮาจุนรู้สึกว่าไม่เหมาะที่เขาจะเป็นฝ่ายยกเรื่องมาร์โคขึ้นมาพูดก่อน จึงรอให้มูคยอมเปิดฉากพูดอย่างสงบเสงี่ยม

จากนั้น เมื่อมูคยอมจอดรถในโรงรถเสร็จแล้ว ในที่สุดก็โพล่งออกมาคำเดียวแบบนั้น ‘ไม่ใช่หรอกน่า’ ฮาจุนตั้งใจจะตอบแบบนั้นกลับไปทันทีแต่ก็อดกลั้นเอาไว้

“เมื่อกี้ตอนพักครึ่ง เชือกคล้องป้ายชื่อฉันหลวม เขาก็เลยช่วยผูกให้”

“ถึงจะหลวมก็เถอะ แค่บอกก็จบแล้วนี่ ถ้าบอกแบบนั้น นายก็คงจะผูกใหม่ด้วยตัวเองไปแล้ว”

“เขายังพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งไง”

“เรื่องแค่นั้น ใช้แค่ท่าทางบอกก็ได้”

มูคยอมพูดถูก ถ้าถามว่าใช่เรื่องที่ต้องดันทุรังพูดออกมาอย่างเดียวไหม ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ แต่การจะตัดสินว่ามีใจหรือไม่มีใจกับแค่การผูกเชือกให้ใหม่ในสนามฟุตบอลซึ่งมีการแตะเนื้อต้องตัวกันบ่อยครั้งอยู่แล้ว ก็คงจะมีแค่เด็กน้อยที่ทำกัน

น้ำเสียงของมูคยอมห้วนตึงขึ้นอีกระดับ

“นายแพ้คนที่ผูกเชือกให้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”

“เดี๋ยวสิ พูดเรื่องอะไร… เทียบกันได้ที่ไหนล่ะ มันเหมือนตอนนั้นหรือไง ไม่มีอะไรจริงๆ น้ำใจแค่นี้ ไม่ว่าใครก็มีให้กันได้ทั้งนั้นแหละ”

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าช่วงนี้นายพูดเข้าข้างไอ้หมอนั่นอยู่เรื่อย”

“ฉันไม่ได้เข้าข้าง ฉัน…เป็นโค้ชนะ แน่นอนว่านายสำคัญที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็เลิกโค้ชชิ่งนักกีฬาคนอื่นด้วยเหตุผลแบบนี้ไม่ได้หรอก”

“ใช่ นายเป็นโค้ช โค้ชกายภาพ เรื่องเรียนภาษาอังกฤษก็ให้เป็นหน้าที่ของครูสอนภาษาอังกฤษ ส่วนเรื่องโค้ชชิ่งสภาพจิตใจก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษาสุขภาพจิตซะ”

ฮาจุนได้แต่ถอนหายใจ สภาพร่างกายและจิตใจไม่สามารถแบ่งแยกกันได้เหมือนเอามีดมาตัดสักหน่อย

โค้ชกายภาพก็เรียนรู้เกี่ยวกับการโค้ชชิ่งสภาพจิตใจ และต้องเน้นย้ำเรื่องความสำคัญของมันครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความตึงเครียดหรือความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ส่วนใหญ่จะปรากฏออกมาทางร่างกายแล้วส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน

ฮาจุนไม่ได้จดบันทึกเกี่ยวกับนักกีฬาเป็นเล่มๆ อย่างไร้เหตุผล แน่นอนว่าโค้ชกายภาพต้องเข้าใจถึงสภาพร่างกายของนักกีฬาอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจและรับมือกับสภาพจิตใจและอาการทางจิตของพวกเขาเช่นเดียวกัน

นั่นเป็นเรื่องแรกสุดซึ่งเป็นพื้นฐานเสียยิ่งกว่าพื้นฐานที่โค้ชกายภาพได้เรียนรู้ ยิ่งเป็นโค้ชกายภาพที่มีชื่อเสียงมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นความสามารถอันโดดเด่นในการวิเคราะห์และเข้าใจความผิดปกติของสภาวะร่างกายอย่างลึกซึ้ง เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงประสบความสำเร็จได้อย่างโดดเด่นและมีชื่อเสียง

ฮาจุนคิดอย่างอึดอัดอยู่ในใจ แล้วมูคยอมก็พูดต่อ

“ที่นี่ไม่ใช่ทีมฟุตบอลเยาวชน แต่เป็นที่ที่พวกมืออาชีพจากทั่วโลกมารวมตัวกันและลงแข่ง ถ้าจิตใจอ่อนแอแล้วทำตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็มาได้แค่นั้นแหละ หมดหนทางแล้ว คิดว่าคนที่นี่มาจนถึงตรงนี้ได้ง่ายๆ กันหรือไง หมอนั่นค่อนข้างโชคดีกว่าใครเลยด้วยซ้ำ”

คำโต้เถียงตีตื้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติด้วยความโมโหอย่างกะทันหัน แต่ฮาจุนก็กล้ำกลืนมันไว้อย่างยากเย็น เพราะเขารู้ดีที่สุดว่ากว่ามูคยอมจะมาถึงตรงนี้ได้นั้นยากลำบากขนาดไหนถึงพูดแบบนั้นได้

อีกทั้งมูคยอมเองก็ได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าทางจิตใจเช่นเดียวกัน สงครามประสาทแบบนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของอีกฝ่าย

‘ทำไมถึงทำตัวผิดปกติแบบนี้นะ’

ดูเหมือนว่าจะเป็นยิ่งกว่าตอนสงสัยความสัมพันธ์ของเขากับแชฮุนเสียอีก ฮาจุนไม่เข้าใจเอาเลย

แชฮุนกับเขาใช้เวลาด้วยกันมานาน และในความเป็นจริงก็สนิทกันมาก มูคยอมเห็นฉากที่พวกเขาสองคนเข้าไปในโมเต็ลด้วยกันกับตาตัวเองก็ย่อมเข้าใจผิดได้อยู่แล้ว เรื่องนั้นฮาจุนพอจะเข้าใจ

แต่มาร์โคเพิ่งจะย้ายสังกัดมาได้สองเดือน แถมยังคุยกันครั้งหนึ่งแค่ครู่เดียว และเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่มีในหนังสือการสนทนาภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน อย่างเช่นช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง สภาพร่างกายเป็นยังไง เมื่อวานทำอะไร เท่านั้นเอง

ฮาจุนเองก็กังวลในเรื่องเดียวกัน ดังนั้นในช่วงนี้เมื่อพวกเขามีเวลาว่าง ทั้งคู่ก็จะสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษอย่างงุ่มง่าม แน่นอนว่าฮาจุนเก่งกว่ามากเมื่อเทียบกับมาร์โค พวกเขารู้สึกว่ามีปัญหาในการสื่อสารเหมือนกัน และจุดเชื่อมโยงทางจิตวิทยานั้นก็ช่วยกระตุ้นความสามัคคี เวลาที่ได้คุยกับมาร์โค ฮาจุนก็รู้สึกคลายความเครียดได้เหมือนกัน

“ทำอะไร”

มูคยอมที่เพิ่งออกจากห้องล็อกเกอร์ เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่โดยอัตโนมัติ ฮาจุนยิ้มและตอบกลับไป

“กำลังคุยกันอยู่ว่าเมื่อเช้ากินอะไรมา”

“บทสนทนาแบบเกาหลีเลยแฮะ ทำไมต้องอยากรู้เรื่องบนโต๊ะอาหารของชาวบ้านด้วยนะ”

มูคยอมดึงฮาจุนเข้ามากอดจากด้านหลัง พลางจ้องมองมาร์โคเขม็ง

เมื่อนักเตะรุ่นพี่ เอซ และดาวเด่นของทีมพูดภาษาที่ฟังไม่ออก และแสดงท่าที่เป็นปฏิปักษ์กับตนเอง มาร์โคจึงทำตัวไม่ถูก และลังเลอยู่ที่เดิม ครั้งนี้ฮาจุนช่วยตอบแทนคนที่เสียกำลังใจ

“มาร์โคก็พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเหมือนกัน และการพูดคุยเรื่องง่ายๆ ก็ช่วยพัฒนาทักษะการสนทนาด้วย ฉันก็เลยเช็คเมนูอาหารกันเป็นประจำอยู่แล้ว”

“โค้ชอี นายเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษเหรอไง อุทิศตัวให้อาชีพหลักเถอะ จะสอนภาษาอังกฤษให้พวกนักเตะเลยเหรอไง”

“ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสอน แต่ฉันก็ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษเหมือนกัน คนไม่เก่งช่วยเหลือกันเอง มันก็ไม่แย่นี่”

พูดภาษาอังกฤษไม่ได้จริงๆ เหรอ มูคยอมสำรวจรอบตัวมาร์โค ราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์สิ่งของ

ในทีมมีนักเตะชาวอเมริกาใต้อยู่ไม่กี่คน และส่วนใหญ่คนเหล่านั้นก็พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง แน่นอนว่าคนเหล่านั้นอาศัยอยู่ที่อังกฤษมาหลายปีแล้ว จึงไม่สามารถเปรียบเทียบพวกเขาในระดับเดียวกันกับมาร์โคได้

น่าสงสัย เขาอาจจะพยายามเอาชนะใจฮาจุน ด้วยการแสร้งทำเป็นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้

ฮาจุนปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ได้เร็วกว่าที่คาดไว้ แต่เขาก็ยังมีปัญหาในการสื่อสารที่ละเอียดๆ อยู่บ้าง

โชคดีที่รุ่นพี่อย่างแฮร์รี่เป็นคนใจดี และหลังจากจัดการกับรายงานในวันนั้นๆ แล้ว ก็ยังมีการแบ่งปันการทำงานบนคลาวด์ ซึ่งถึงแม้มันจะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย แต่ฮาจุนก็รู้สึกกระวนกระวาย อยากสนทนาให้คล่องแคล่วเร็วๆ เสียที

มูคยอมเข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างถ่องแท้ เพราะตอนมูคยอมมาอยู่ที่อังกฤษครั้งแรก เขาก็พูดน้อยกว่าเล่นฟุตบอล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุด เมื่อเทียบกับตอนที่เขามาอังกฤษครั้งแรกแล้ว ฮาจุนนับว่าเก่งมากๆ เลยทีเดียว

“นายคิดว่ามันแปลกอีกแล้วเหรอ เขายังเป็นเด็กต่างถิ่นที่มาลำบากอยู่ตัวคนเดียว อย่าทำขนาดนั้นเลยนะ เรื่องแบบนี้ใช่ว่านายจะไม่เคยเจอ”

ฮาจุนพูดเตือนสติ เป็นคำพูดที่มีเหตุผล

“แล้วฉันก็คิดถึงมินคยองกับฮาคยองด้วย เพราะพวกเขาอายุเท่ากัน… การดูแลสภาพจิตใจของนักเตะก็เป็นหน้าที่ของโค้ชเหมือนกัน แล้วมันก็ไม่มีอะไรให้นายสงสัยเลยสักนิด ไม่ต้องกังวล”

“ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะมีหรือไม่มี นายแยกแยะออกงั้นเหรอ”

ความไร้เดียงสาจะทำให้อีกฝ่ายหลงกล ถึงคนอื่นจะคิดลามกอยู่ในใจ แล้วจะรู้ได้ยังไง มูคยอมจ้องมองมาร์โคที่ไปฝึกหยุดลูกอยู่ไกลๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อย่างไม่ปิดบัง

“ฉันน่ะแยกแยะออกอยู่แล้วสิ แต่นายมันแยกแยะไม่ได้ ถึงได้สงสัยคนนั้นคนโน้นไปทั่ว”

เมื่ออีกฝ่ายตอบอย่างมั่นใจ มูคยอมก็ตะลึงจนพูดไม่ออก ความตั้งใจที่จะมาคุยด้วยก็หายวับไป

สุดท้ายแล้ว การพูดเรื่องที่สงสัยกับฮาจุนก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง ถ้าไม่รู้อะไรก็คงไม่พูดหรอก มูคยอมคร่ำครวญอยู่ในใจ ขณะที่ฮาจุนพูดต่อทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย

“นายไม่เห็นทำแบบนั้นกับอู๋เฉิน”

“ทำไมล่ะ เพราะฉันแยกแยะได้ไง บอกแล้วว่าหมอนั่นมันไม่ได้อะไร”

“ถ้างั้นเพราะมาร์โคหล่อเหรอ”

“หล่อ? นั่นคือหล่อเหรอ อย่าไปชมใครต่อใครว่าหล่อ ขอละ ยกระดับสายตาตัวเองหน่อยเถอะครับ โค้ชอี”

“เปล่า ที่ฉันถามก็เพราะนายพูด…”

ฮาจุนและอู๋เฉินที่ทักทายกันในวันที่เริ่มเรียนที่สถาบันภาษาเป็นวันแรกหลังจากนั้นก็เริ่มสนิทสนมกับมากขึ้น ชอบอะไรเหมือนๆ กันทั้งฟุตบอลและคิมมูคยอม พอกลับมาถึงบ้านก็มาเล่าเรื่องของเขาให้ฟังอยู่สองสามครั้ง มูคยอมถึงกับดั้นด้นไปหาที่สถาบันสอนภาษาครั้งหนึ่งเพื่อไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ฮาจุนคิดว่าเรื่องที่เขากังวลไปเองนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องไร้สาระแต่ก็ไม่อยากไปตามแก้นิสัยเสียของมูคยอมหรือทิ้งเรื่องพวกนั้นแล้วมาทะเลาะเสียเอง พรสวรรค์ที่เหมือนกับการทักทอด้วยความละเอียดละออ หากผิดพลาดไปแคนิดเดียวส่วนอื่นๆก็คงจะพังไม่เป็นท่าเช่นกัน เพราะอย่างนั้นก็เลยจะต้องค่อยๆ เข้าหาอย่างระมัดระวัง ยิ่งไปกว่านั้นลางสังหรณ์ของคิมมูคยอมนั้นเหลวไหลเป็นอย่างมาก พอฟังแล้วแทนที่จะโมโหกลายเป็นว่าพูดไม่ออกก็มีให้เห็นอยู่หลายครั้ง

ดังนั้นหลังจากที่ฮาจุนไปเรียนที่สถาบันสอนภาษา มูคยอมก็จะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือนายคุยอะไรกับเขา ราวกับจะยืนยัน และสิ่งที่เขาตอบก็เป็นลำดับการทักทายตามมารยาทเท่านั้น ฮาจุนบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นโดยไม่ปิดบัง บางทีฮาจุนก็โชว์หน้าต่างแชทกับอู๋เฉินให้มูคยอมดูก่อนด้วย เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเดือดพล่านด้วยความระแวง

ถึงแม้จะวุ่นวายไปหน่อย แต่มูคยอมก็แค่ขี้หึงและมีพลังจินตนาการสูงไปเท่านั้น ระดับนั้นฮาจุนยังสามารถปรับตัวได้ แต่การมาบังคับเรื่องส่วนตัวเหล่านี้ในที่ทำงานด้วย เขาคงยอมปรับตัวตามที่อีกฝ่ายต้องการไม่ได้

“ทำไมถึงทำแบบนั้นเฉพาะกับมาร์โค ทั้งๆ ที่ฉันก็พูดแบบนี้กับนักเตะคนอื่นๆ เหมือนกัน”

“…”

“มาร์โคไม่แตะต้องฉันตามอำเภอใจด้วยซ้ำ เพราะฉันรู้ว่านายไม่ชอบ นายก็รู้นี่ว่าฉันแคร์นาย”

“รู้สิ นายทำดีมาก”

ในส่วนนั้นเขาขอบคุณจากใจจริง มูคยอมพยักหน้าและกระชับวงแขนที่กอดฮาจุนจากด้านหลัง

น่าชื่นชมที่ฮาจุนไม่ยอมให้พวกนักเตะดึงเข้ามากอด หรือปล่อยให้แตะต้องตัวเขาตามใจชอบเหมือนเคย อาจเพราะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก พวกนักฟุตบอลไม่ว่าจะเกาหลีหรืออังกฤษจึงไม่รู้ขอบเขตของการสัมผัสร่างกาย บางครั้งก็กอดใครเอาไว้แล้วเกลือกกลิ้งไปมา หรือเล่นอะไรแผลงๆ จับตรงไหนก็ได้

ฮาจุนหลบเลี่ยงไม่ยอมให้นักเตะแตะต้องตัว โดยอ้างเหตุผลปลอมๆ ว่า “ฉันไม่ชินเพราะไม่มีใครทำแบบนี้กันที่เกาหลี” ถึงแม้จะมีนักเตะบางคนที่เข้ามาแกล้งฮาจุน เพราะคิดว่าสนุกที่เขาหลบเลี่ยง แต่พวกนั้นก็เบื่อกับการถูกมูคยอมข่มเหงอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้เขาจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบร้อย

มูคยอมเฝ้ามองฮาจุนที่กำลังยืดเส้นยืดสาย และเช็คสภาพร่างกายของนักเตะ ระหว่างการฝึกซ้อม การที่ฮาจุนสัมผัสแขน ขา เอว และหลังของนักเตะคนอื่นๆ ยังคงบาดตาเขาไม่เปลี่ยน แต่เพราะมันคืองาน มูคยอมจึงพยายามปล่อยวางเหมือนที่เคยเป็นมา

มูคยอมพอจะปล่อยไปได้ เพราะมันเป็นภาพที่เขาคุ้นตาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซิตี้โซล แต่เขาก็อึดอัดใจทุกครั้ง ที่ได้เห็นอีฮาจุนแตะต้องตัวผู้ชายคนใหม่ๆ ที่เขายังไม่คุ้นหน้า ขนาดอีกฝ่ายทำแบบนั้นกับเพื่อนที่ร่วมงานกันมานาน เขายังรู้สึกน้อยใจ แล้วนับประสาอะไรกับตอนที่อีกฝ่ายสนิทชิดใกล้กับพวกน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามา

[“มาร์โค ครั้งก่อนที่บอกว่าต้นขาด้านนอกรู้สึกขัดๆ วันนี้เป็นยังไงบ้าง”]

“ตรงนี้โอเคแล้ว แต่เจ็บขาแทนครับ”

“ขา?”

“ขาท่อนล่าง”

“โอ้ น่องนี่เอง อย่ากังวลไปเลย แทนที่กล้ามเนื้อที่ใช้มานานจะผิดปกติ มันน่าจะเจ็บชั่วคราวมากกว่า”

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“อื้ม ไม่เป็นไร ลองดูโปรแกรมวันนี้ก่อน ถ้าเจ็บอีกค่อยบอกฉัน เข้าใจไหม”

“ครับ”

เป็นไปตามคาด ที่กรีนฟอร์ดโค้ชอีฮาจุนก็ฮ็อตมากเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่ใช่คนตัวเตี้ย ที่เกาหลีฮาจุนดูเหมือนลูกม้า ลูกวัว หรือยูนิคอร์น แต่เมื่อมองดูฮาจุนวิ่งไปวิ่งมาอย่างแข็งขันอยู่ในสนามของกรีนฟอร์ด ที่มีสัดส่วนสูงกว่าอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็เหมือนเห็นกวางดาวที่วิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงแรด และแกะตัวหนึ่งวิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า

พวกที่เคยพูดจาคล่องแคล่วเหมือนจงใจล้อเลียน ตอนที่ฮาจุนยังฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือพวกเด็กโข่งที่เคยบอกว่าผมดูนุ่มแล้วลองจับผมอีกฝ่ายเล่น ตอนนี้ก็สงบเสงี่ยมไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่สามารถเอาชนะคำตำหนิและการควบคุมของมูคยอมได้

แต่ถ้าทำอะไรสะดุดตาแบบนั้น แค่พูดตักเตือนอะไรสักคำก็น่าจะพอแล้ว

“ขอบคุณครับ จุน”

“ไม่เป็นไร มันเป็นงานของโค้ชอยู่แล้ว”

แต่ไอ้มาร์โคคนนี้เอาแต่ทำตามที่ฮาจุนสั่งอย่างว่าง่าย พอฮาจุนพูดอะไรให้กำลังใจหน่อย ก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าตาตื่นๆ เหมือนเขินอาย

ถึงแม้เขาควรจะตักเตือนด้วยคำพูดดีๆ เพื่อไม่ให้ทำแบบนั้นอีก แต่เขาก็ไม่สามารถไปโมโหใส่คนที่ทำแต่งานอยู่ในที่ของตัวเองเงียบๆ และบอกว่าห้ามทำแบบนั้นได้

เมื่อส่งยิ้มที่บริสุทธิ์ไปให้ แน่นอนว่าฮาจุนก็ยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มคล้ายๆ กัน ดูเหมือนว่าสำหรับคนที่ยากจะพูดคุยกับนักเตะของกรีนฟอร์ดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฮาจุนคงจะรู้สึกสบายใจกับปฏิกิริยาเงียบๆ ของเด็กหนุ่มที่ชื่อมาร์โคมากกว่า

ความสบายใจ นั่นละคือสิ่งที่มูคยอมไม่ชอบ

อย่างน้อยที่นี่ คิมมูคยอมก็ต้องเป็นความสบายใจที่สุดสำหรับฮาจุน จะด้วยเพราะใช้เวลาด้วยกันมานานเหมือนเป็นครอบครัวหรืออะไรก็ตามอย่างไอ้คุณยุนอะไรนั่น แต่ที่เกาหลีก็มีคนที่มูคยอมเอาชนะ ในด้าน ‘ความสบายใจ’ ได้ยากอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

แต่ที่นี่คือลอนดอน ที่ๆ ฮาจุนไม่รู้จักใครเลยสักคน คนที่ฮาจุนยิ้มให้จนตาปิด มีแค่เขาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนที่ภายนอกดูทึ่มๆ แบบนั้นจะซ่อนความคิดชั่วร้ายอะไรไว้ในใจ

ฮาจุนเช็คสภาพร่างกายนักเตะทีละคน สุดท้ายอีกฝ่ายก็นั่งลงตรงหน้ามูคยอม ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเพิ่งกวาดตามองดูบรรดานักเตะ ด้วยบรรยากาศที่ดูเป็นผู้ใหญ่และอ่อนโยน แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาของฮาจุนก็เปล่งประกายราวกับดีใจ

มูคยอมลืมความกังวลทั้งหมดและมองใบหน้าขาวที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ

“คิมมูคยอม”

“หืม”

“เมื่อวานฉันเพิ่งรู้อะไรมาใหม่ การออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของข้อเท้านายไง ถ้าออกกำลังกายแบบที่จะออกกันวันนี้ เขาบอกว่าไม่ใช่แค่ข้อเท้านะ แต่โคนขาก็จะทำงานไปพร้อมเพรียงกันและแข็งแรงขึ้น แล้วก็ไม่ต้องออกแรงที่ข้อเท้าโดยไม่จำเป็นด้วย”

“งั้นเหรอ”

“งั้นตั้งแต่วันนี้ไปลองทำแบบนั้นกันเถอะ อ้อ แน่นอนว่าต้องคลายกล้ามเนื้อก่อน เพราะงั้นอย่าลืมยืดเส้นยืดสายนะ”

การที่ได้รู้จักการออกกำลังกายแบบใหม่ที่จะสั่งให้เขาทำ มันน่าตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ เมื่อฮาจุนยื่นมือมาราวกับมีความคาดหวังสูง ความรู้สึกที่ไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ สงบลง เขาไม่อยากซ้อมหรืออะไรอีกแล้ว แค่อยากกอดอีกฝ่ายและนอนลงไปแบบนี้

“โค้ชอี”

“อื้อ”

“ฉันคือนักเตะคนสำคัญที่สุดสำหรับโค้ชอีใช่ไหม”

ฮาจุนเบิกตากว้างครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ และยิ้มอย่างเขินอาย น่ารักจนเขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ

“แน่นอนสิ ยังไงก็ไม่มีใครฟังภาษาเกาหลีรู้เรื่องอยู่แล้ว พูดดังๆ ก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ช่วยพูดหน่อยสิว่าคิมมูคยอมสำคัญที่สุด”

“คิมมูคยอมสำคัญที่สุดสำหรับฉัน”

“ดังอีก”

“คิมมูคยอมสำคัญที่สุดสำหรับฉัน!”

ทนไม่ไหวแล้ว!

มูคยอมดึงแขนของฮาจุนลงมา แล้วเอนหลังนอนลงกับพื้น ฮาจุนที่นอนคว่ำลงบนหน้าอกของมูคยอมอย่างกะทันหัน รีบผุดลุกขึ้นยืนทีนที

“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึง?”

“ไม่เห็นจะเป็นอะไร แค่แป๊บเดียวเอง”

“ฉันโกหกคนอื่นว่าที่เกาหลีไม่ทำแบบนี้กันนะ ถ้านายทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วใครจะเชื่อล่ะ”

“ถึงไม่เชื่อก็มาเซ้าซี้นายไม่ได้หรอก ฉันบอก… กับทุกคนแล้ว”

“นายคงไม่ได้บอก แต่ไปโมโหใส่ล่ะสิ”

ฮาจุนออกคำสั่งอย่างเข้มงวด

“ลุกขึ้น เรากำลังซ้อมอยู่นะ”

“ถ้านายจับมือฉัน”

“เฮ้อ….”

ฮาจุนถอนหายใจ อีกฝ่ายยิ้มและยื่นมือมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ มูคยอมจับมือทั้งสองข้างของฮาจุน ฮึบ ร่างกายที่เคยนอนราบก็พลันลุกขึ้น

ทันทีที่ลุกขึ้นยืน มูคยอมก็สบตากับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไหล่ของฮาจุนและกำลังมองมาทางนี้

ผมหยักศกสีเข้ม ดวงตาสีโอลีฟ สายตาที่ไร้อารมณ์และดื้อรั้นของไอ้เด็กอายุยี่สิบที่เพิ่งย้ายเข้ามา เมื่อสายตาปะทะเข้ากับมูคยอม ฝ่ายตรงข้ามก็สะดุ้งโหยงและเบือนหน้าหนี รอยย่นปรากฏที่หว่างคิ้วของมูคยอม รกตาจริงๆ

เขาเองก็พยายามที่จะไม่ระแวงอะไรไร้สาระเหมือนกัน แต่เขาก็ยังไม่ชอบใจ ความรู้สึกที่แตกต่างจากแบคทีเรียที่เคยเห็น ถ้าคนอื่นเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก เจ้านั่นมีกลิ่นของซูเปอร์ไวรัส

เมื่อมูคยอมเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบกับฮาจุนที่นั่งหน้าโต๊ะหนังสือ และกำลังจัดการบันทึกการฝึกซ้อมในวันนั้นอยู่

เขาเคยถามฮาจุนว่าให้เขาเตรียมห้องทำงานแยกให้ไหม แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่จำเป็น และขอให้เขาวางโต๊ะอีกตัวในห้องหนังสือของมูคยอมแทน

ห้องหนังสือของมูคยอมถูกสร้างขึ้นเพื่ออ่านหนังสือทุกประเภท ในตอนที่เขากำลังตรากตรำกับภาษาอังกฤษ เหมือนฮาจุนในตอนนี้ ครึ่งหนึ่งมีไว้โอ้อวด และบอกตามตรงว่าช่วงนี้เขาไม่ได้ใช้ห้องนี้เลย ห้องหนังสือที่เงียบเหงาก็คงจะดีใจที่ได้เจ้าของใหม่

แม้จะเปลี่ยนสถานที่ แต่นิสัยหรือวิธีการทำงานของคนเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทุกคืนฮาจุนจะจัดการเรียบเรียงการฝึกซ้อม และสภาพร่างกายของนักกีฬาที่เช็คในวันนั้นอย่างชัดเจน และใส่ไว้ในฐานข้อมูล สิ่งที่ฮาจุนจดบันทึกลงสมุดนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์พกพาและดูเหมือนว่าจะแชร์ร่วมกับแฮร์รี่ด้วย

“ยุ่งอยู่เหรอ”

มูคยอมขยับไปทางข้างหลัง แล้วประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมพลางเอ่ยถาม ฮาจุนแหงนมองมูคยอมอย่างความรู้สึกผิด

“เกือบเสร็จหมดแล้ว ขอโทษที่ช้านะ วันนี้มีอะไรต้องจัดการเยอะเลย”

จู่ๆ สายตาก็มองไปเห็นสมุดที่ถูกกางออก

[มาร์โค อคอสต้า รามิเรซ]

แล้วทำไมต้องเป็นตอนที่กำลังจัดเก็บบันทึกการฝึกซ้อมของไอ้เฮงซวยนั่นด้วยล่ะเนี่ย เนื้อหาบางส่วนที่ถูกเขียนเอาไว้ก็ปรากฏในกรอบสายตา

ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในการสื่อสารจะนำไปสู่ศักยภาพที่เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องรักษาอุปสรรคทางจิตใจก่อนการฝึกสมรรถภาพหรือทักษะ พิจารณาการเปลี่ยนแปลงตามเวลา และปรึกษาว่าการรักษาเฉพาะทางจำเป็นหรือไม่…

เมื่อเห็นว่ามูคยอมกำลังก้มลงมองสมุดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ ฮาจุนก็ปิดมันลง แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร มูคยอมก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน

“อ๊ะ อ๊า!”

ทันใดนั้นน้ำเสียงของฮาจุนก็ดังขึ้น ผนังด้านในฮุบแก่นกายราวกับถูกดูดจากข้างใน

“อ่า”

ขณะที่มูคยอมเองก็ครางสั้นๆ พลางโน้มกายลงมากกว่าเก่า มือของฮาจุนวางซ้อนลงบนหลังมือที่หลังกดลงมาบนหลังต้นขาของตนเอาไว้

“ฮ่ะะ อะ อึกกก”

“ฮ่า แม่ง… รู้สึกดีจัง”

มูคยอมถอนหายใจพลางขยับเอวให้เร็วขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะหันหน้าเข้าหากันอยู่ในท่ามิชชันนารี แต่ในท่าที่ยกก้นโด่งขึ้นนั้น แก่นกายจะเสียบลงในแนวตรง และแทงลึกเข้าไปในร่างกาย

เสียงกรีดร้องลั่นราวกับคนที่กำลังหวาดกลัว และเสียงหนักๆ ของเนื้อที่กระทบเนื้อดังก้องไปทั่ว เตียงนวดที่แข็งแรงและไม่เขย่าสั่นเลยแม้แต่น้อยขยับเบาๆ ส่งดังครืดคราด ฮาจุนร้องออกมาราวกับว่าตัวเขารับการเคลื่อนไหวที่เสือกไสเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็วและลึกล้ำไม่ไหวแล้ว

“เหนื่อยเหรอ”

“อื๊อออ อะ อ๊าาา!”

ทุกครั้งที่มูคยอมขยับเอวสอดใส่ สองขาที่แนบสนิทก็จะเลื่อนขึ้นลงโดยที่ยังชิดติดกันอยู่ มูคยอมรู้สึกเสียวซ่านเวลาที่ผิวลื่นซึ่งถูกชะโลมไปด้วยเจลแนบชิดถูไถกับผิวหนัง เขาจึงขยับกายเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้น

มูคยอมจับข้อเท้าที่อยู่เหนือไหล่ของตัวเองให้ลดต่ำลง ครั้งนี้เขากดต้นขาด้านในของฮาจุน แล้วแยกขาออกกว้างเหมือนตอนที่ยืดเส้นยืดสาย พลางลดตัวต่ำลง ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น มูคยอมสไลด์เอว จงใจถูไถผิวเปลือยอย่างแรง

กระแทกสะโพกรัวเร็วจนฮาจุนพูดไม่ออก ก่อนจะลดความเร็วลง ขยับไปมาอย่างเชื่องช้า และเมื่อร่างกายที่ถูกกอดสั่นสะท้าน เขาก็เร่งความเร็วอีกครั้งซ้ำไปซ้ำมา ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เนื้อที่กระทบเนื้อก็จะแนบชิดกันอย่างเหนียวแน่นราวกับกำลังลูบไล้กันและกันอย่างรักใคร่ และรวมตัวกันเหมือนตอนผสมแยมหรือครีมเข้าด้วยกัน

คนที่ครวญครางน้ำตาไหลอย่างฮาจุนส่ายศีรษะไปมา ราวกับจะบอกว่าทนไม่ไหวแล้ว

“ฮึกกก ทำแบบนั้น อ๊ะ มันเจ็บ…”

“เจ็บเหรอ ตรงไหน”

“นาย อึก ถูไถอยู่นั่น…”

ถึงแม้ว่ามูคยอมจะทาเจลไปทั่ว แต่ผิวหนังที่เพิ่งแว็กซ์เสร็จได้ไม่นานก็ระคายเคืองจนขึ้นสีแดง เหมือนกับถูกกระตุ้นด้วยแรงเสียดสี

เวลามีเซ็กซ์ แม้ไม่ถูกแตะต้องส่วนอื่นร่างกายที่ขาวสว่างไสวของฮาจุนก็มักจะเกิดรอยแดงอยู่แล้ว บอกตามตรงว่าเขาดีใจที่ได้เห็นผิวที่ย้อมด้วยสีชมพู ไปจนถึงส่วนที่อยู่เหนือแก่นกายในตอนนี้

“อื้อ ฉันจะระวังนะ”

แต่แท่งร้อนที่ฝังอยู่ในกายกลับแข็งตัวและปูดโปนขึ้น ต่างจากปากที่ยืนยันว่าจะระวัง มูคยอมตอบไปโดยอัตโนมัติ ก่อนยกสะโพกขึ้นน้อยๆ แล้วตอกตัวตนเข้าไปลึกๆ เมื่อถูกกระแทกเข้ามาพรวดเดียวจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดภายในกาย ฮาจุนก็แผดเสียงออกมาและสั่นไปทั้งตัว

“ฮ้าาา! “แฮ่ก อ๊า!”

คำพูดที่บอกว่าจะระวังนั้น มูคยอมไม่ได้พูดส่งเดช แต่เมื่อเขาเริ่มจดจ่ออยู่กับน้ำเสียงของฮาจุนและความสุขสมที่ครอบงำร่างกาย การควบคุมตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

มูคยอมกดตัวต่ำลงอีกครั้งระหว่างกระแทกเอว ผิวเปลือยเปล่าของพวกเขาสัมผัสกัน และถูไถไปมาทุกครั้งที่เคลื่อนไหว

“อ๊ะ บอก บอกว่าเจ็บ ไง อื้อ ฮึก…”

แก่นกายของฮาจุนถูกทับอยู่ใต้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแกร่งและมองเห็นได้ชัด และเมื่อถูกบดขยี้กับผิวที่เรียบเนียนหลายต่อหลายครั้ง ร่างที่ตกอยู่ในอ้อมแขนเขาก็ร้อนผ่าว และเมื่อถึงจุดหนึ่งอีกฝ่ายก็เริ่มกระตุกเกร็ง

“อะ อ๊ะ อาาา อ๊า…!”

ฮาจุนแตะถึงสุดจุดยอดเป็นรอบที่สี่ อีกฝ่ายบิดตัวและครางออกมา ผนังด้านในก็หุบเข้าและคลายออกอย่างรวดเร็ว ตอดรัดแก่นกายเขาจนแน่นไปหมด ขณะที่มูคยอมนิ่วหน้า พ่นลมหายใจพลางปลดปล่อยความปรารถนาที่สั่งสมไว้ออกมา

มูคยอมกอดร่างกายที่กระตุกแรงจนแขนแกร่งสั่นไหว มูคยอมกอดอีกคนไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อยระหว่างที่ปลดปล่อยออกมาอย่างยาวนาน ราวกับว่าผนังเยื่อบุที่คดเคี้ยวกำลังดูดซับส่วนหนึ่งของเขา ไม่ให้พลาดแม้แต่หยดเดียว ฮาจุนที่ถูกกอดและดิ้นไปมาก็โอบแขนรอบแผ่นหลังของมูคยอม และดึงเขาเข้ามาหาตัว

ร่างกายเขาร้อนระอุเร็วกว่าทุกครั้ง แต่กลับใช้เวลานานขึ้นกว่าจะถึงจุดสุดยอด ฟู่ว มูคยอมถอนหายใจสั้นๆ พลางถอนแก่นกายที่ยังคงแข็งขืนตั้งชันออก เขารู้สึกราวกับมีไอร้อนวูบระเหยออกจากร่างกายเขา

มีอะไรกันบนเตียงนวดแค่นี้ก็พอแล้ว ตอนนี้คงต้องย้ายไปในที่ๆ หายใจโล่งกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือทางเดิน

ฮาจุนคู้ตัวลง ราวกับผิวที่บอบบางรู้สึกได้ถึงความเย็น แม้เพียงสัมผัสด้วยฝ่ามือ มูคยอมพรมจูบสั้นๆ ไล้ไปตามหน้าผาก แก้ม และต้นคอราวกับกำลังปลอบโยนฮาจุน

“ย้ายที่กันไหม”

มูคยอมว่าอย่างนั้น พลางสบตากับฮาจุน เขาอยากลามเลียแม้กระทั่งดวงตาที่ฉ่ำน้ำเพราะความสุขสม ความปรารถนานั้นพลุ่งขึ้นมาชั่วขณะ แต่แทนที่จะทำแบบนั้น มูคยอมก็ยิ้มพลางประทับริมฝีปากลงบนแก้มแทน เมื่อฮาจุนมองเห็นริมฝีปากที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายก็เหลือบลงมองด้านล่าง

…บรรยากาศอึมครึมที่ปรากฎบนใบหน้านั้น ไม่เหมือนกับคนรักคนเดิมหลังจากมีอะไรกันเลยสักนิด มันจะเป็นความแตกต่างเล็กน้อยที่อาจถูกมองข้ามและไม่มีใครสังเกตเห็น แต่มูคยอมที่สังเกตเห็นก็พลันขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรไป”

“หืม”

“ทำไมถึงอารมณ์ไม่ดีล่ะ”

นั่นไม่ใช่สีหน้าของคนที่แตะถึงจุดสุดยอดหลายครั้ง

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้ แผดเสียง หรือออกแรงดิ้นรนระหว่างมีอะไรกัน แต่หลังจากถึงจุดสุดยอดและดื่มด่ำกับความสุขสม ถึงแม้ว่าบนใบหน้าของฮาจุนจะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็มักไร้วี่แววของความเศร้าหมองและความกังวลทั้งหมดทั้งมวล ปรากฏแต่สีหน้าที่เหมือนเด็กน้อยเพิ่งตื่นนอนขึ้นมาแทน

แตกต่างจากสีหน้าเมื่อเสร็จกิจของพวกผู้ใหญ่ที่ดูสดชื่นและบริสุทธิ์มากกว่าครั้งไหนๆ สีหน้าที่คล้ายกับแสงสีขาวกระจ่างที่ส่องสว่างผ่านหน้าต่างในวันที่หิมะตก

ถึงกระนั้นขอบตาแดงเรื่อ แก้มที่สุกปลั่ง ริมฝีปากฉ่ำ และน้ำตาที่ไหลรินก็เติมเต็มใบหน้าที่บริสุทธิ์นั้น ให้กลายเป็นภาพลามกอนาจารที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกใบนี้ มูคยอมชอบมองฮาจุนหลังถึงฝั่งฝันมากจริงๆ

แต่ทำไมวันนี้ มูคยอมดึงฮาจุนเข้ามาใกล้ ฮาจุนกระเดือกน้ำลายหนืดลงคอราวกับคนที่ถูกจับได้ แก้มของอีกฝ่ายกลับมาขึ้นสีแดงอีกครั้ง

“ยังอายเรื่องที่แว็กซ์ขนอยู่เหรอ”

มูคยอมมองหน้าฮาจุนและถามขึ้นด้วยความไม่รู้ ก่อนริมฝีปากที่ปิดสนิทจะระบายความไม่พอใจออกมา

“ทำไมวันนี้นายถึง…”

“อื้อ”

“ทำไมนายถึงทำต่อ ทั้งที่ฉันบอกว่าเจ็บล่ะ”

“หะ”

น้ำเสียงตกตะลึงหลุดออกมาจากปากของมูคยอม ความงุนงงทำให้เขาไม่ได้เอ่ยตอบไปในทันที มูคยอมได้แต่กะพริบตาปริบๆ

เพราะเขาเองก็เคยแว็กซ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีเซ็กซ์ต่อเลยในทันที…

มันอาจจะเจ็บแสบอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดมากมายขนาดนั้นมาก่อน เพราะเขาเป็นแบบนั้น เขาจึงเห็นเรื่องที่ฮาจุนบอกว่าเจ็บ เป็นเหมือนเรื่องธรรมชาติและไม่ได้คิดอะไร มูคยอมที่งุนงงรีบดึงฮาจุนเข้ามากอดและถาม

“ฉันขอโทษ เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะผิวนายบอบบางกว่าฉันรึเปล่านะ”

“ไม่ได้เจ็บมากหรอก ก็แค่แสบนิดหน่อยน่ะ…”

“แล้วทำไม”

“ถึงยังไงฉันก็บอกแล้วว่าเจ็บ ฉันบอกว่าเจ็บตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แต่นายก็เอาแต่หัวเราะ…”

เสียงบ่นที่คาดไม่ถึงทำให้มูคยอมอึ้งจนพูดไม่ออก เขาใช้ปลายนิ้วลูบปลายคางด้วยความประหม่า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และขอโทษอย่างสุภาพ

“ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้… ว่านายจะเจ็บมากขนาดนั้น”

“ไม่ มันไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้น”

เมื่อมูคยอมอุ้มฮาจุนที่กำลังบ่นขึ้นมา อีกคนก็ยกแขนขึ้นโอบรอบคอของเขาโดยไม่ได้ขัดขืนอะไร และท่อนขาที่ถูกถูไถด้วยแก่นกายของมูคยอมก่อนหน้านี้ ก็ยกขึ้นมาเกี่ยวหลังเอวของเขาไว้ด้วย

ตอนแรกๆ อีกฝ่ายมักจะตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก และบอกให้เขาวางลงทุกครั้งที่โดนอุ้ม แต่ตอนนี้แม้จะโดนอุ้ม ฮาจุนก็ปล่อยให้เขาทำไป และมีวิธีการกอดเขาแน่นเหมือนโคอาล่า ผมที่ยังไม่แห้งสนิทยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย จนจั๊กจี้ท้ายทอยของมูคยอม

มูคยอมออกมาจากห้อง และกลั้นหัวเราะที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในอก คำพูดที่คุณแม่ของฮาจุนเอ่ยกับเขาผุดขึ้นมาในความคิดอย่างได้จังหวะ

‘ฝากเจ้าฮาจุนด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนี้เพิ่งเคยใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก ฉันล่ะเป็นห่วงเหลือเกิน’

ตอนนี้มูคยอมรู้แล้วว่าเด็กชายหน้าขาวที่อาศัยอยู่ในบ้านไลแลคแสนสวยคือฮาจุน คุณชายที่ไปขอร้องแม่ให้ทายาให้เขา ซึ่งเติบโตขึ้นมาเหมือนกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่บานสะพรั่งงดงามอยู่ที่ลานบ้าน

ตอนแรกเขาคิดว่าแม่ของอีกฝ่ายที่ส่งข้อความมายามว่างนั้นพึ่งพาลูกชายจนผิดปกติ แต่ในความคิดเธอ เธออาจจะเป็นห่วงลูกชายที่เลี้ยงดูมาอย่างดีจนติดเป็นนิสัยก็ได้

มูคยอมก้าวเท้าไป ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะกลั้นต่อไปไม่ไหว ฮาจุนจึงรีบถามอย่างว่องไวเหมือนกับที่จับต้นคอของเขา

“หัวเราะอะไร”

“เปล่า”

วันนี้ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ฮาจุนก็จุดเตาผิงเอาไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มูคยอมเดินไปยังห้องรับแขกที่มีสีแสดเหมือนพระอาทิตย์ตก แล้วนั่งลงบนโซฟานุ่มทั้งที่ยังกอดฮาจุนอยู่

เขาหัวเราะคิกคักไม่หยุด ฮาจุนคงเขินอายกับเสียงหัวเราะนั้น อีกฝ่ายจึงมองเขาก่อนหลบสายตา มูคยอมลากนิ้วลูบลงบนแก้ม

“นายบอกว่าเจ็บเพราะฉันถอนขนตรงนั้นออกให้ แต่ฉันก็ไม่สนใจและเอาแต่ขำ นายก็เลยเสียใจงั้นเหรอ”

“ใครบอกว่าเสียใจกันเล่า”

“น่าประหลาดใจนะ โค้ชอี คนที่เสียใจเพราะฉันไม่เข้าใจว่านายเจ็บ ทนครั้งแรกไหวได้ยังไงกันเนี่ย”

“บอกว่าไม่ไง”

เมื่อเขาแกล้งหยอกล้อไปเรื่อย ฮาจุนก็ฟาดมือตีเข้าที่ไหล่เขา ถึงแม้จะมือหนัก แต่เขาก็ยอมโดนตี จะกี่ครั้งก็ได้ มูคยอมกลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว

อีฮาจุน คนที่มีร่องรอยบาดแผลใหญ่ที่เอว และไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ แต่ก็ยอมอดทนได้ทุกอย่างตอนที่มีเซ็กซ์ ไม่ว่าเขาจะขออะไร คือคนเดียวกับที่บึ้งตึงหลังทำบราซิลเลียนแว็กซ์เสร็จ เพราะเขาไม่สนใจ

ฮาจุนที่ที่หลบสายตาของเขาอยู่กลอกตาลงต่ำ ทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด ก่อนจะเอ่ยปากอย่างช้าๆ

“ถึงฉันจะไม่เคยพูด….”

“…”

“แต่นายก็ไม่เคยทำต่อทั้งๆ ที่ฉันบอกว่าเจ็บ”

ฉันทำแบบนั้นเหรอ

มีหลายเรื่องที่มูคยอมไม่อาจจดจำเวลาที่ผ่านพ้นไปได้อย่างละเอียดเท่าฮาจุน แต่พอเห็นอีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าโชคดีที่คิมมูคยอมในอดีตได้ฝึกควบคุมตนเอง

มันคงมีเหตุผลที่จะไม่หยิบยกคำว่าเจ็บปวดขึ้นมา หากคนที่เคยทนเจ็บและไม่พูดอะไรเลยอย่างฮาจุนรู้สึกเสียใจขึ้นมา เพราะถ้าหากอีกฝ่ายบอกว่าเจ็บตอนนี้ แล้วเขาก็ไม่สนใจล่ะก็ มันแปลว่าในที่สุด อีกฝ่ายก็ได้ในสิ่งที่คาดหวังและปรารถนางั้นเหรอ

จู่ๆ มูคยอมก็มีความสุข เขาจูบแก้มที่ของฮาจุนร้อนผ่าวที่อาจเป็นเพราะความร้อนจากไฟที่ลุกโชนอยู่ใกล้ๆ หรือเพราะความละอายจนเกิดเสียง พลางกดจูบที่ริมฝีปากหลายครั้ง อุณหภูมิที่ร้อนของไฟทำให้เส้นผมที่เคยเปียกอยู่ก่อนหน้าแห้งสนิท

เมื่อมูคยอมเริ่มลูบขมับและเสยเส้นผมนุ่ม ฮาจุนก็เข้ามาประทับริมฝีปากราวกับว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู

“คิมมูคยอม… ทำอีกรอบก็ได้นะ”

“ไม่ละ ไหนว่าเจ็บไง”

“ตอนนี้ฉันโอเคแล้ว แค่ไม่ถูไถเหมือนเมื่อกี้ก็พอ”

เขาคงซื้อคฤหาสน์สไตล์คลาสสิกแบบนี้มาเพื่ออยู่ดูแลคุณชายให้ดีสินะ มูคยอมแสยะยิ้มพลางแนบหน้าผากแตะกับหน้าผากของอีกคน

“เซ็กซ์น่ะ ไม่ต้องทำต่อก็ได้ แต่ขออะไรอย่างหนึ่งสิ”

“อะไรเหรอ?”

“มาถ่ายรูปตรงนั้น เนื่องในโอกาสที่นายแว็กซ์ขนกันเถอะ ไม่ถ่ายให้เห็นหน้า”

“…ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ สินะ”

เสียงลมหายใจที่พ่นออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะคิกคักของมูคยอม ฮาจุนตกอยู่ในภวังค์ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ถ้าถ่ายแต่ฉันมันก็ไม่ยุติธรรม งั้นถ่ายของนายด้วยสิ”

“ตามที่โค้ชต้องการเลย”

“และจากนี้ไปฉันจะจัดการช่วงล่างของนายให้เอง”

“…จะทำได้เหรอ”

“ฉันก็ฝึกเหมือนกัน กับนาย”

ฮาจุนว่าอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดไม่น้อย มูคยอมลองห้ามฮาจุนหลายครั้ง พลางบอกว่ากังวลเพราะนายยังไม่ชำนาญ แต่ไม่นานมูคยอมก็ต้องยอมแพ้ พร้อมกับบอกว่าตามใจ ทั้งคู่ต่างหัวเราะและนอนจมลงบนโซฟา

NEW FACE OF GREENFORD

หากจะมีการแข่งขันที่แฟนบอลให้ความสนใจพอๆ กับการแข่งขันฟุตบอล นั่นก็คือความเคลื่อนไหวของตลาดซื้อขายนักเตะที่จัดขึ้นปีละสองครั้ง ช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว

ช่วงนี้บรรดาแฟนบอลจะรู้สึกเหมือนตัวเองได้เป็นเจ้าของสโมสร และง่วนอยู่กับการถกเถียงในหมู่แฟนบอลว่าด้วยงบประมาณที่จำกัด นักเตะคนไหนจะต้องถูกเลิกจ้าง และนักเตะคนไหนจะถูกจ้างต่อ หากมีการจ้างนักเตะที่เหนือความคาดหมาย พวกเขาก็จะโห่ร้องด้วยความยินดี และเป็นกังวลหากไม่มีการจ้างนักเตะที่โดดเด่น มีผู้คนจำนวนมากที่สนุกกับขั้นตอนนี้ จึงมีเกมคอมพิวเตอร์มากมายที่จำลองสถานการณ์ให้ผู้เล่นเป็นผู้จัดการทีม หรือเจ้าของสโมสร ทำการซื้อขายนักเตะพร้อมบริหารสโมสรไปด้วย

หากถูกหลอกให้ซื้อนักเตะที่ไร้ความสามารถมาด้วยค่าตัวที่แพงเกินไป เหล่าแฟนบอลก็จะโกรธแค้นที่ถูกหักหลัง ทว่าหากรับคนที่มีอนาคตไกลมาด้วยค่าตัวที่ค่อนข้างต่ำ และเมื่อศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ระเบิดออกมา แฟนบอลก็จะดีใจเหมือนถูกล็อตเตอรี่ไปตลอดทั้งฤดูกาล

บางครั้งก็ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งเกิดดีลใหญ่ขึ้นในตอนสุดท้าย ก่อนตลาดซื้อขายนักเตะจะปิดลง นักเตะที่เคยโอ้อวดไว้ว่าจะไม่ไปไหนเด็ดขาดก็จะออกไปพร้อมกับเสียงก่นด่าว่าคนทรยศในตอนสุดท้าย หรือทำท่าเหมือนจะมาไม่มาราวกับจะเล่นตัวอยู่หลายรอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นต้น ตลาดซื้อขายนักเตะที่จัดขึ้นทุกปีเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่เสมอ

มูคยอมและฮาจุนมาอยู่ที่กรีนฟอร์ดได้สองเดือนแล้ว ไม่ทันไรสมุดบันทึกของฮาจุน ซึ่งบันทึกและรวบรวมข้อมูลของนักเตะก็เปลี่ยนไปหลายเล่มแล้วเหมือนกัน การจดจำใบหน้าและชื่อก็ต้องใช้เวลานานกว่าปกติถึงสองเท่า เพราะฮาจุนไม่คุ้นเคยกับใบหน้าหรือชื่อเหล่านั้น

ในช่วงที่มูคยอมย้ายกลับมาช่วงฤดูหนาว กรีนฟอร์ดก็มีนักเตะใหม่ๆ เข้ามา กรีนฟอร์ดในฤดูกาลนี้จ้างคนหน้าใหม่ที่มองเห็นความเป็นไปได้เป็นหลัก มากกว่านักเตะที่เป็นรู้จักและได้รับการพิสูจน์ฝีมือแล้ว การปลุกปั้นคนที่อนาคตไกลหน้าใหม่ๆเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการพัฒนาระยะยาวของสโมสร ฮาจุนกำลังพยายามเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว

“จุน สวัสดีตอนเช้า”

“สวัสดี มาร์โค”

“วันนี้ทานมื้อเช้าแล้วใช่ไหมครับ ทานอะไรมาเหรอ”

“ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง แล้วก็สลัดไก่”

พวกนักเตะที่ย้ายทีมมาใหม่ คนในนั้นที่สนิทกับฮาจุนในช่วงนี้ คือนักเตะอายุยี่สิบปี ที่ชื่อมาร์โค

“ใครทำอาหารเหรอครับ”

“ทำด้วยกัน ฉันไม่มั่นใจในการทำอาหาร แต่ก็พอทำขนมปังปิ้งหรือสลัดได้นะ มาร์โคล่ะ”

“ผมกินซีเรียล ไส้กรอก แล้วก็นมครับ”

“ผักไม่พอนะ”

“อ้อ กินมะเขือเทศด้วยครับ”

นักเตะดาวรุ่งจากเวเนซูเอลาที่ย้ายมากรีนฟอร์ด หลังจากอยู่ทีมอันดับต่ำในลีกโปรตุเกสจนถึงปีที่แล้ว และแสดงศักยภาพออกมาอย่างมาก นอกจากจะมีอนาคตแล้ว เขายังได้รับความนิยมในฐานะชายหนุ่มรูปหล่อ ที่มีหุ่นดีและเสน่ห์เฉพาะตัว ด้วยผมสีเข้มที่มีผมหยักศกน้อยๆ และดวงตาสีมะกอก

แต่เขาก็ยังมีความกังวลเรื่องหนึ่ง ตรงที่เขายังไม่เก่งภาษาอังกฤษ

“อ๊ะ… ได้โปรด หยุดทำแบบนี้เถอะ…”

มูคยอมไม่รู้ว่าฮาจุนหยุดใช้ปากปรนเปรอให้เขาตั้งแต่ตอนไหน อีกฝ่ายครวญครางและทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ครั้งนี้มูคยอมกลับไล้เลียที่กลางพวงอัณฑะแทนคำตอบ เขาอมมันเข้าไปในปากแล้วดูดทีละข้าง สุดท้ายก็ใส่แท่งร้อนที่เอียงเป็นเส้นทแยงเข้ามาในปาก

“อะ อ๊ะ อ๊าาา…!”

มูคยอมลูบไล้แก้มก้นด้วยมือทั้งสองข้างพลางใช้ลิ้นคลึงแก่นกายที่อยู่ในปากของเขา จากนั้นช่องทางที่ขมิบด้วยความตื่นเต้นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า มูคยอมสอดนิ้วยาวดันเข้าไปข้างใน

ฮาจุนกรีดร้องลั่นและสะบัดเอวไปมา ทำให้แก่นกายในปากของมูคยอมกระตุกขึ้นลงตามการเคลื่อนไหวของเอวโดยอัตโนมัติ

“เก่งนี่”

มูคยอมคายแท่งร้อนออกมา ก่อนพูดกลั้วหัวเราะ

“ลองตอกเข้ามาในปากฉันสิ”

“ฮืออ อึก! อื้อออ!”

“นายต้องตอกเข้ามาบ้างสิ”

มูคยอมครอบครองตัวตนของอีกคนเข้าไปในปากอีกครั้ง มูคยอมนอนนิ่งพลางลูบไล้บั้นท้ายของฮาจุนช้าๆ คนที่เคยหายใจหอบอย่างฮาจุนคงเริ่มสงบลงบ้างแล้ว จึงเริ่มขยับเอวช้าๆ แก่นกายเคลื่อนไหวอยู่ในปาก บดขยี้กับลิ้นและเยื่อบุทีละน้อย

เก่งมาก มูคยอมตบก้นของฮาจุนเบาๆ ราวกับว่ากำลังพูดแบบนั้น ตอนแรกฮาจุนทำท่าเหมือนจะขยับเอวช้าๆ ก่อนจะขยับขึ้นลงทีละนิด จากนั้นก็สอดลึกเข้ามาในปากของมูคยอม เสียงครวญครางที่ปนเปกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างกระสับกระส่ายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“แฮ่ก ฮ่ะ อะ อ๊ะ!”

ตัวตนของฮาจุนก็ไม่ได้เล็ก หากคิดจะทำละก็ อีกฝ่ายอาจจะแทงเข้ามาถึงหลอดลมเหมือนที่เขาทำก็ได้ ไม่ว่าฮาจุนจะตั้งใจทำแบบนั้นหรือทำเพราะไม่เคย อีกฝ่ายก็ทำเพียงกดส่วนปลายเข้ามาถึงลิ้นไก่แค่บางครั้งบางคราว แล้วถอนออกไปเท่านั้น ถึงกระนั้นตอนที่ฮาจุนหายใจหอบ พร้อมกับขยับเอวอย่างหนักหน่วงก็ยังน่ารักอยู่ดี

ฮาจุนช่างมีพรสวรรค์ในการดูดดุนแก่นกายทั้งที่หายใจหอบ มูคยอมพูดไม่ออก ปฏิกิริยาของฮาจุนที่ไม่สามารถเอาชนะความสุขสมได้ มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขแค่เพียงทางใจ แต่ขณะที่เขาถูกสอดใส่เข้ามาในปาก เขากลับไม่รู้สึกถึงความสุขทางกายเลย

มูคยอมเคลื่อนมือที่เคยลูบไล้แก้มก้น แล้วสอดนิ้วเข้าไปข้างในอีกครั้ง สะโพกของฮาจุนที่เคยเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงก็พลันกระตุกทันที

“อา อ๊ะะะ อ๊า…!”

ทุกครั้งที่ขยับเอว ฮาจุนจะถูกกระตุ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน อีกฝ่ายจึงเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและเบาลง มูคยอมกระทุ้งนิ้วที่แทรกลึกเข้าไป จนสะโพกของฮาจุนสั่นสะท้านรุนแรงอีกครั้ง ราวกับว่าอีกฝ่ายถูกโน้มน้าวด้วยการกระทำนั้น เสียงร้องเคล้าเสียงครางดังออกมาจากริมฝีปากที่เผยอออก

แก่นกายที่คาอยู่ในปากของมูคยอมกระตุก หลังจากนั้นรสขมฝาดก็แผ่ไปทั่วลิ้นในทันที มูคยอมห่อปากและแก้ม ดูดแก่นกายที่กำลังปลดปล่อยจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบ ฮาจุนขึ้นเสียงสูงและสั่นระริกไปทั้งท่อนล่าง

หลังจากคายสิ่งที่เคยอมเอาไว้ออกมา และปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง ฮาจุนก็ทิ้งสะโพกลงอย่างหมดแรง มูคยอมเลื่อนฝ่ามือไปลูบบั้นท้ายที่กระตุกเพราะความสุขสมเมื่อถึงจุดสุดยอดยังคงหลงเหลืออยู่ ก่อนจะหยัดกายขึ้น ผละออกมาจากส่วนล่างของฮาจุน แล้วล้มลงบนแผ่นหลังของอีกคน

ก่อนประทับริมฝีปากที่ข้างแก้ม ดวงตาที่ชื้นน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง ฮาจุนเหลือบมองมูคยอมที่แนบใบหน้าลงบนท่อนแขนเขา

“เป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกที่ได้ตอกเข้ามาในปากน่ะ?

“ไม่รู้สิ เจ้าโง่…”

“นายมีความสุขเต็มที่รึเปล่า ถ้านายบอกว่าชอบ ครั้งหน้าฉันจะจัดให้อีก”

มูคยอมหัวเราะคิกคักพลางสะบัดผม ขณะที่ฮาจุนก้มหน้าลงระหว่างท่อนแขนที่รวบเข้าหากัน ถึงแม้ว่าจะปกปิดใบหน้าไว้ แต่เขาก็ไม่อาจซ่อนส่วนหลังคอที่ขึ้นสีชมพูเข้มได้

มูคยอมกวนใจอีกคนด้วยการประทับริมฝีปากลงบนใบหูที่ร้อนฉ่า พลางพ่นลมหายใจร้อนผ่าวออกมา เขาอยากสอดใส่เข้าไปเลย แต่บางคนก็บอกว่าให้หลีกเลี่ยงการเสียดสีหลังจากแว็กซ์ขน และวันนี้เขาอยากจะสัมผัสร่างกายนี้ให้มากขึ้น มูคยอมจูบที่ต้นคอ หัวไหล่ และแผ่นหลัง พลางขึ้นมาทาบทับลงบนร่างกายที่สั่นระริกของฮาจุน ก่อนจะลงไปด้านล่าง

จากนั้นก็ทาเจลปลอบประโลมผิวที่เขาเคยทาให้ฮาจุนก่อนหน้านี้ลงบนมือ มือนั้นจับเท้าที่ยื่นออกมาจากปลายเตียงเอาไว้

“อ๊ะ! อะอึก จั๊กจี้…”

มูคยอมทาเจลที่เท้าทั้งสองข้างเหมือนกับกำลังนวด โดยไม่สนใจสิ่งที่ฮาจุนกำลังบ่น เท้าขาวอาบด้วยเมือกใสและเปล่งประกาย

มูคยอมมองดูเท้าที่อยู่ในมือเขาอย่างสนอกสนใจ ทั้งปลายนิ้วเท้าที่เรียบร้อยและส้นเท้ากลม บนร่างกายของอีกฝ่ายไม่มีส่วนไหนที่ไม่สวย

“อื้อออ…!”

เมื่อเขาถูไถแก่นกายแข็งๆ ลงบนฝ่าเท้า ฮาจุนก็บิดเอวและพยายามพับขา แต่มูคยอมก็คว้าข้อเท้าของฮาจุนเอาไว้ไม่ปล่อย ฮาจุนที่งุนงงหันไปมองว่ามูคยอมกำลังทำอะไรอยู่

“จะทำอะไร”

“ควรหลีกเลี่ยงการเสียดสีหลังแว็กซ์ขนน่ะสิ”

“แฮ่ก สะ เสียว”

“เดี๋ยวฉันจะใช้ที่อื่นจนกว่าผิวนายจะดีขึ้น”

“ถ้างั้นก็ใช้ปากหรือมือ อ๊ะ อึก…”

แท่งร้อนขยับไปมาบนส่วนเว้าของฝ่าเท้าเหมือนกำลังช่วยตัวเอง ฮาจุนกัดริมฝีปากและเบือนหน้าหนีความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งแผ่ซ่านขึ้นมาจากอวัยวะที่อยู่ต่ำที่สุดในร่างกาย

มันควรจะจั๊กจี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกจั๊กจี้ขนาดนั้น อาจเพราะเขาถูกถูไถด้วยแท่งร้อนอันเขื่อง ไม่ได้ถูกกระตุ้นเบาๆ ด้วยอะไรที่อ่อนนุ่ม

ตอนที่แท่งร้อนถูไถกับผิวลื่นอย่างรุนแรง บางทีความรู้สึกเหนียวหนืดที่แล่นปราดขึ้นมาบนหลัง อาจไม่ใช่อารมณ์ทางเพศก็ได้

มือของมูคยอมจับเท้าอีกข้างที่ยังวางอยู่บนเตียง จากนั้นก็วางเท้าอีกข้างทับลงบนเท้าที่เขากำลังถูไถตัวตนอยู่ก่อนแล้ว

“-ฮื่อออ…!”

“อ่า”

เมื่อฝ่าเท้าแนบชิดกันก็ยิ่งบีบรัดแก่นกายที่อยู่กึ่งกลางระหว่างนั้น เสียงครางต่ำที่เหมือนกับคำชื่นชมเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของมูคยอม

เขารู้สึกได้ว่าข้อเท้าที่เขาจับเอาไว้นั้นสั่นเบาๆ ปลายเท้าของฮาจุนกระตุกด้วยความประหม่าโดยไม่รู้ตัว หลังจากจับข้อเท้าของอีกคนเอาไว้ มูคยอมก็ขยับสะโพกไปมาอย่างรุนแรงราวกับกำลังสอดใส่ เสียงครางเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของฮาจุน

“อือ อื้อออ ฮ่ะ…!”

ความรู้สึกของการถูไถแก่นกายกับเท้าที่นุ่มลื่นนั้นไม่แย่ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรเทียบกับเยื่อบุที่เหนียวหนืดและร้อนฉ่าในร่างกายได้ ถึงกระนั้นมูคยอมก็พึงพอใจกับกิจกรรมที่แปลกใหม่นี้

เขาไม่สามารถละสายตาจากนิ้วเท้าที่จิกเกร็งสลับกับผ่อนคลายซ้ำไปซ้ำมาได้ และทำอะไรไม่ถูกทุกครั้งที่แก่นกายขยับไปมาหรือข้อเท้าที่บิดไปมาอยู่ในมือ และหลังน่องกับต้นขาที่เกร็งแน่นอยู่ตลอดได้

ร่างกายที่มีโครงกระดูกที่ตั้งตรงและแข็งแรง แต่ก็ผอมเพรียว ไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากจนเกินไป ไร้ไขมันส่วนเกิน และบนท่อนขาสมชายของคนที่เคยเป็นนักกีฬามานานก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยสมัยที่เตะและวิ่งบนสนามทิ้งไว้ อีกฝ่ายในตอนนั้นคงคล้ายกับม้าศึกผู้ห้าวหาญ ห่างไกลจากลูกวัวที่กำลังขาสั่นระริกแน่ๆ

เพราะความทรงจำที่เขาได้เห็นด้วยตาตัวเองช่างเลือนราง ภาพที่วาดฝันอยู่ในหัวจึงยิ่งสวยงาม

เขายอมแลกอายุขัยหลายปี หากสามารถย้อนเวลากลับไปตอนนั้นได้สักวันหนึ่ง

มูคยอมหายใจกระชั้น พ่นลมหายใจร้อนผ่าวออกมา เขาปล่อยมือออกจากเท้าที่เขาจับเอาไว้พักใหญ่ ก่อนโน้มตัวลงมากดริมฝีปากแช่บนเอ็นร้อยหวายเบาๆ แล้วจึงไล้ขึ้นไปบนน่อง เมื่อเขาแลบลิ้นเลียที่หลังเข่า ร่างกายของฮาจุนก็สะดุ้งโหยง

“ฮ่าา ฮู่ อึก”

มูคยอมบดขยี้ลิ้นลงบนจุดเดียวกันแรงขึ้นอีกนิด ก่อนจะลากลิ้นไปถึงหลังต้นขาที่ทั้งนุ่มและเต่งตึง

มันค่อยๆ ร้อนขึ้น มูคยอมคุกเข่าลงบนเตียงและขึ้นคร่อมฮาจุน ถึงแม้ว่าจะเป็นเตียงนวด แต่มันก็แตกต่างจากเตียงทั่วไปที่ใช้ในร้านโดยสิ้นเชิง เตียงนี้จึงไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

มูคยอมทาเจลลงบนก้นกลมที่กระดกขึ้นมาจนเกือบทั่ว ฮาจุนสะดุ้งและครางเบาๆ มูคยอมถูเจลที่เหลือลงบนแก่นกายของตัวเอง พลางทอดสายตามองแผ่นหลังที่บิดไปมา ก่อนจะลดกายลง

“ฮึก อื้อออ”

เมื่อเขาใช้มือแหวกแก้มก้น แล้วถูไถแท่งร้อนที่ตั้งชันรอบช่องทาง ฮาจุนก็ไม่ห้าม อีกฝ่ายครางออกมาพลางกระดกก้นน้อยๆหากมูคยอมจ่อส่วนปลายที่ช่องทางแล้วดันสะโพกเข้าไป เยื่อบุที่เหนียวหนืดก็คงจะบีบรัดแก่นกายเขาเหมือนโลมเลียไปทั้งตัว

แต่มูคยอมกลับสอดอวัยวะที่เคยถูไถที่ประตูลับ เข้าไปในที่ๆ คาดไม่ถึง

“อา”

มือของมูคยอมกดลงเบาๆ ระหว่างกระดูกสะบักของคนที่พยายามจะหันหลังมองด้วยความงุนงง ฮาจุนขยับตัวไม่ได้และก้มหน้าลงอีกครั้ง

ส่วนที่ร้อนผ่าวและแข็งขืนแทรกเข้าไปใต้บั้นท้าย ระหว่างบริเวณที่มีเนื้อต้นขามากที่สุด อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย เมื่อช่องขาทั้งคู่แนบชิดกันยิ่งกว่าเก่า

ฮาจุนบ่นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

“อึกกก ทำไมวันนี้ถึง… ที่แปลกๆ …”

“ที่ว่าแปลกน่ะ แปลกตรงไหน ตรงนี้ก็ร่างกายนายเหมือนกัน”

“แฮ่ก อ๊ะ”

มูคยอมหัวเราะพลางขยับสะโพก

“นายสวยไปทั้งตัว จนฉันอยากเสียบไปทุกที่เลย นายเองก็มีอารมณ์””

“ฮึก เปล่า…”

ผิวนุ่มและกล้ามเนื้อแน่น ต้นขาที่แนบชิดกันทั้งสองข้างบีบรัดแก่นกายอันเขื่องจนแน่น เมื่อเขาขยับเร็วขึ้น ทุกครั้งที่แท่งร้อนขยับไปมาระหว่างต้นขาส่วนปลายแก่นกายก็จะแทงเข้ามาถึงฝีเย็บและใต้พวงอัณฑะ

เสียงฉ่ำแฉะเล็ดลอดออกมาจากหว่างขาที่เต็มไปด้วยเจล ราวกับว่าพวกเขากำลังสอดใส่แก่นกายในช่องทางด้านหลัง มูคยอมมองเห็นใบหูและลำคอของฮาจุนที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

มือของมูคยอมดึงกระดูกเชิงกรานของฮาจุนขึ้น เขายกสะโพกที่เคยแนบพื้นขึ้นเล็กน้อย เมื่อสะโพกยกสูงขึ้นเล็กน้อยเหมือนตอนมีอะไรกันในท่าหมา ช่องว่างระหว่างต้นขาก็ยิ่งลึกขึ้น และทำให้เส้นทางที่แก่นกายขยับเข้าออกได้นั้นยาวขึ้นด้วย

ฮาจุนเผยอปากสะดุ้งเฮือก ทุกครั้งที่แท่งร้อนและส่วนปลายที่ปูดโปนเคลื่อนตัวไปกระทบฝีเย็บที่อวบอิ่มและใต้พวงอัณฑะที่เต็มแน่น ช่องว่างระหว่างท่อนขาของฮาจุนจะแคบลงเรื่อยๆ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายอึดอัดกับความรู้สึก ยามที่แก่นกายอันเขื่องผ่านพวงอัณฑะ และแทรกออกมาข้างหน้าจากช่องว่างระหว่างต้นขา

“ฮ่ะ แฮ่ก…”

ฮาจุนครวญครางออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแผ่นหลัง บั้นท้าย และต้นขาที่กระตุกสั่น ทุกครั้งที่เขาถูไถหว่างขา ฮาจุนไม่อาจซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเองได้ มูคยอมก้มลงมองด้านหลังของอีกคน ก่อนพ่นลมหายใจที่ร้อนผ่าวออกมา และยื่นนิ้วไปแตะระหว่างแก้มก้น

“-ฮือ อึก!”

เสียงครางสั้นๆ ที่ถูกสะกดกลั้นเอาไว้ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากของฮาจุน เมื่อมูคยอมแหวกก้นของอีกฝ่าย แล้วซุกนิ้วหัวแม่มือเข้าไป ก้นกลมก็ยิ่งเกร็งหนักขึ้นกว่าเก่า ทั้งแก่นกายที่สอดเข้ามากลางหว่างขาและนิ้วหัวแม่มือที่เพิ่งรุกรานเข้ามา ถูกรัดแน่นพร้อมกันจนเจ็บ

“ทั้งเท้าและต้นขาก็ทำให้มีอารมณ์ได้ทั้งนั้น เราก็ต้องใช้ให้หมดสิ น่าเสียดายนะ”

“อ่า มะ ไม่… แฮ่กก อาา อือ อึ๊ก!”

มันเป็นการปฏิเสธที่เหลือเชื่อ เมื่อมูคยอมหมุนนิ้วหัวแม่มือวนอยู่ข้างใน และกระแทกแก่นกายเข้าออกระหว่างต้นขาต่อ ฮาจุนก็ซุกใบหน้าลงกับแขน และพลิกตัวกระสับกระส่ายพลางทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เหมือนคนที่ไม่รู้จะทำยังไง

“ฟู่ว”

ในตอนที่ต้นขาด้านในถูกถูไถและเสียดสี จนเริ่มแสบร้อนและขึ้นสีแดง มูคยอมก็ปลดปล่อยน้ำกามออกมา โดยที่ส่วนปลายแก่นกายยังคงสอดลึกอยู่ท่ามกลางต้นขาทั้งคู่ เมื่อของเหลวขาวขุ่นไหลอาบหว่างขาที่ลื่นหลังจากเจลละลาย ผิวขาวก็เปียกชุ่มไปทั้งตัว

มูคยอมบดขยี้แก่นกายที่กำลังปลดปล่อยเข้ากับต้นขาด้านใน และป้ายน้ำรักจนกระจายไปทั่ว ก่อนที่ฮาจุนจะเอาแต่หอบหายใจ หุบขาชิดสนิทไม่อ้าออกจนถึงที่สุด

มูคยอมรั้งร่างกายของอีกคนขึ้น ครั้งนี้มูคยอมจ่อส่วนที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำกามที่ตนเองปลดปล่อยออกมาลงบนช่องทางที่อยู่ระหว่างแก้มก้น ซึ่งขึ้นสีแดงมาตั้งแต่ก่อนหน้า

สะโพกของฮาจุนกระตุกแรง มูคยอมใช้มือข้างหนึ่งจับบั้นท้ายอ้าออก จากนั้นก็สอดกายแหวกก้อนกลมที่เต่งตึงและนุ่มนิ่มเข้าไป

เมื่อส่วนหัวเข้าไปขยายช่องทาง มูคยอมลดตัวลงต่ำและสอดใส่เข้าไปอย่างช้าๆ ราวกับจะกดฮาจุนลง

“อะ อ๊า…! อ๊ะ อะ อ๊ะ อ๊าา…!”

ฮาจุนครางลั่นราวกับกลั้นสะอื้นมานาน

ทั้งร่างกายและข้างในที่กลืนกินตัวตนของเขาต่างสั่นสะท้าน ในร่างกายของฮาจุนรู้สึกเหมือนแตะจุดสุดยอดไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่ทันเริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ การขยับเอวช่างน่ากลัวจริงๆ

มูคยอมขมวดคิ้วน้อยๆ และถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะถอนกายที่กดเข้าไปจนสุดโคนออกช้าๆ เมื่อมูคยอมขยับเอวได้สองครั้ง เสียงครางของฮาจุนก็เปลี่ยนเป็นเสียงลากยาว

“ฮื่ออ อ่าาา… อือออ อึก”

“ในตัวนาย มันร้อนเกินไป…”

มูคยอมกดจูบลงบนต้นคอ หัวไหล่ที่ร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงเรื่อ และกระดูกสะบักที่เคลื่อนตัวไปมา เขากระซิบพลางขยับเอวช้าๆ มูคยอมจับแท่งร้อนถอนออกมาจากด้านในที่นุ่มนวลและเหนอะหนะ ขณะที่ฮาจุนก็ซึมซาบสิ่งที่เคลื่อนไหวเข้าออกไปมาภายในตัวเขาอย่างเอาแต่ใจด้วยความรู้สึกที่แสนสุขสม ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ และทำท่าเหมือนจะร้องไห้

“อา ดี… อ่า อื้อ ฮึก ดีจัง ดี อะ อ่า…”

น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสุขสม ซึ่งเอ่ยออกมาไม่ชัดเจนราวกับตกอยู่ในภวังค์นั้น ทำให้มูคยอมกัดฟันจนกรามขึ้น การกระทำลามกที่เท้าและต้นขาได้จุดไฟในตัวของฮาจุนด้วยงั้นเหรอ ข้างในร้อนผ่าวและเหนอะหนะมากกว่าปกติ

มูคยอมเสือกไสเข้าออกในกายอีกคนอย่างเชื่องช้าราวกับจะเบิกทาง เขากดกายแรงขึ้นกว่าเก่า จนน้ำเสียงของฮาจุนดังขึ้นและเริ่มคล้ายกับเสียงกรีดร้อง เช่นเดียวกับน้ำหนักและแรงที่เพิ่มขึ้นเมื่อมูคยอมกดกายแช่ไว้ข้างในไม่ขยับ ฮาจุนก็ค่อยๆ สงบลงและเปลี่ยนเป็นเสียงครวญคราง

ในตอนนั้นเองมูคยอมที่เข้าจังหวะถอนสะโพกอีกครั้งและดึงแก่นกายออกมา ฮาจุนเอนคอไปข้างหลังพร้อมกับไหล่ที่สั่นไหว ก่อนที่มือของมูคยอมจะลูบไล้ขึ้นไปตามลำคอ และประคองปลายคางของอีกคนเอาไว้

“ฮ้าาา อ๊ะ อืออึก ฮึก…!”

เสียงครางที่เหมือนกับเสียงถอนหายใจ บั้นท้ายและเอวสั่นไหวเหมือนระลอกคลื่น แม้ไม่ได้สัมผัสด้านหน้าเพื่อยืนยัน แต่มูคยอมก็รู้ว่าฮาจุนได้ถึงจุดสุดยอดอีกครั้งหนึ่งแล้ว

มุมปากของอีกคนยกขึ้นน้อยๆ แล้วหัวเราะออกมา คนที่สอดใส่อย่างเชื่องช้าทว่าทรงพลังซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาพักหนึ่งอย่างมูคยอมถอนหายใจแรง ก่อนจะพลิกร่างกายที่นอนคว่ำหน้าให้นอนราบลงโดยไม่พูดไม่จา

พวงแก้มของฮาจุนร้อนขึ้นระหว่างนอนคว่ำหน้า ดวงตาที่จุดโฟกัสพร่ามัวสบตากับมูคยอม ลิ้นที่ชุ่มฉ่ำในริมฝีปากที่เผยอออกนั้นแวววาว เมื่อเผชิญหน้ากับมูคยอม ความปรารถนาที่ก่อตัวในร่างกายและคล้ายจะปะทุก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเป็นเส้นตรง

มูคยอมทาเจลเย็นๆ ทั่วผิวหนังบริเวณหว่างขาที่ยังคงหลงเหลือรอยแดงอยู่เล็กน้อย จนรู้สึกว่ามันมากเกินไป ก่อนยกขาที่เหยียดยาวอยู่บนเตียงขึ้น แล้วดันด้านหลังต้นขาไปข้างหลัง มูคยอมเสือกไสเอวใส่บั้นท้ายที่ถูกยกขึ้นสูงชี้เพดานเต็มแรง จนเกิดเสียงดังปั้กๆ

ทันทีที่พูดจบมูคยอมก็ดึงแว็กซ์ที่ทาเอาไว้ออกพรวดเดียวโดยไม่บอกไม่กล่าว เกิดเสียงแคว่กดังลั่น ทันใดนั้นความเจ็บปวดที่ร้อนวูบวาบก็แล่นปราดเข้ามา ไม่เหมือนกับที่อีกฝ่ายให้คำมั่นว่า คงไม่เจ็บเท่าไหร่เลยสักนิด ฮาจุนเผลอกรีดร้องโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานน้ำเสียงที่ไม่พอใจก็ถูกเปล่งออกมา

“ช่วยบอกกันก่อนสิ”

“ทำตอนที่ไม่รู้ตัวน่าจะเจ็บน้อยกว่าไหม”

“อา ให้ตายสิ นายทำอะไรเนี่ย…”

ทั้งส่วนล่างที่ร้อนวูบวาบ สภาพเขาที่ไม่ได้กำลังมีเซ็กซ์ แต่กลับเปิดเผยร่างกายท่อนล่างที่ล่อนจ้อน ยอมให้มูคยอมทำทุกอย่าง และเหนือสิ่งอื่นใดเขารู้สึกอับอายกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เหลือเกิน ฮาจุนวางเบาะที่กอดเอาไว้บนหน้าอก กดแนบลงมาบนใบหน้า

ริมฝีปากของมูคยอมกระตุกยิ้มเมื่อเห็นแบบนั้น มูคยอมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาที่เขินอาย อีกฝ่ายจะชอบใช้หมอนหรือเบาะปิดใบหน้าเหมือนกันกับเขา ท่ามกลางความมืดมิดของฮาจุน น้ำเสียงที่เคล้าเสียงหัวเราะของมูคยอมแทรกผ่านเข้ามา

“เมื่อก่อนฉันคิดว่านายกับฉันแทบไม่เหมือนกันเลย”

มูคยอมพูดขึ้นพลางทาแว็กซ์ลงบนส่วนที่เหลืออีกครั้ง

“แต่ยิ่งนับวัน ฉันยิ่งรู้สึกว่าเราเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆ”

“อ๊า!”

ฮาจุนไม่ทันได้ตอบอะไร ความเจ็บปวดที่ร้อนวูบวาบก็แล่นเข้ามาที่ส่วนล่างอีกครั้ง ฮาจุนนอนตะแคงกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วบ่นอู้อี้

“ต้องทำอีกกี่ครั้งเนี่ย”

“ถ้าทำทีเดียวเยอะๆ มันจะยิ่งเจ็บ ฉันถึงทำทีละน้อย”

“นายบอกว่าคงไม่เจ็บไหร่ นี่มันโกหกกันชัดๆ”

“ครั้งแรกก็แบบนี้ พอทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

“ต้องทำแบบนี้จริงๆ เหรอ แค่ใช้เครื่องโกนหนวดโกนออกไม่ได้เหรอ”

“แล้วตอนที่มันยาวขึ้นมาอีกรอบ มันจะเจ็บจี๊ดจนนายร้องไห้เลย”

มือของมูคยอมจับฮาจุนนอนลงดีๆ อีกครั้ง พลางแยกขาออก

“แบบนี้มันเกินไป”

มูคยอมหัวเราะและทาแว็กซ์ลงบนผิวหนังของฮาจุนอีกครั้ง หลังจากนั้นความเจ็บปวดที่แสบร้อนก็แล่นเข้ามาเล่นงานส่วนล่างของเขาอีกหลายต่อหลายครั้ง ถึงแม้มันจะไม่ได้เจ็บปวดมากมายขนาดนั้น แต่พอคิดดูแล้ว นี่มันต่างอะไรจากการขยุ้มกระชากเส้นผมออกทั้งหมดในคราวเดียวงั้นเหรอ ฮาจุนน้ำตาเอ่อในตอนสุดท้าย

เขาปล่อยให้มูคยอมจัดการกับส่วนล่างอย่างไม่มีทางเลือกอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผ้าเปียกผืนนุ่มจะลูบลงบนผิวเปลือยเปล่า ราวกับกำลังเช็ดส่วนที่เหลืออยู่ออก หลังจากนั้นอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสำลีแอลกอฮอลล์หรือเจลเย็นๆ ก็ลากผ่านผิวหนัง ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของมูคยอมบอกว่าเสร็จแล้ว

ดวงตาคลอน้ำตาที่หลบอยู่ใต้เบาะค่อยๆ เปิดขึ้น หลังจากเห็นเขา มูคยอมก็หัวเราะคิกคัก

“โค้ชอีร้องไห้? เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ”

“บอกแล้วไงว่าเจ็บ…”

“ลุกขึ้นมาดูเอาเอง”

แต่ฮาจุนกลับไม่กล้ามองส่วนล่างของตัวเอง ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องกำจัดขนตรงนั้นออก

“อ๊ะ!”

ระหว่างที่กำลังนอนลังเลอยู่แบบนั้น ฮาจุนก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนนุ่มที่แตะลงมาบนส่วนนั้นที่เย็นวาบ

“สวยมาก ฮาจุน ไม่มีขนแล้วดูดีนะ”

“อย่าพูดแบบนั้น… อา…”

ริมฝีปากของมูคยอมลากผ่านไปทั่วบริเวณที่ตอนนี้กลายเป็นผิวหนังเรียบเนียนไปแล้ว มันเป็นจูบเบาๆ ที่ไม่มีแม้แต่เสียง แต่เพราะเขาอ่อนไหว จึงรู้สึกได้อย่างรุนแรงจนเผลอสะดุ้ง

“ปกติแล้วเขาบอกให้อดทน ไม่ให้ทำหลังจากนั้นทันที…”

“อื้อ ฮืออ”

มูคยอมลุกขึ้นแล้วทอดสายตามองร่างกายที่นอนอยู่เบื้องล่าง เมื่อลบความคล้ำเบาๆ ที่เคยอยู่บนเรือนร่างขาวเนียนและเรียบลื่นออกไป ทั่วทั้งร่างก็มันวาวราวกับเครื่องเคลือบสีขาว นอกจากรอยแผลที่เอวแล้ว บนร่างกายของเขาก็ไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ เลย

ในบรรดาคลาสเรียนที่มูคยอมเคยฟังเข้าหูเขาตอนเด็กๆ ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเขา มีเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องเคลือบอยู่ในนั้นด้วย สรุปก็คือเครื่องเคลือบโครยอนั้นงดงาม ขณะที่เครื่องเคลือบสีขาวโชซอนนั้นบริสุทธิ์หมดจด เขาจำได้ว่าอาจารย์สอนประวัติศาสตร์วัยชราเคยอธิบายเรื่องตลกที่ลามกอนาจารให้ฟัง

ตอนนั้นมูคยอมไม่เข้าใจคำอธิบายของอาจารย์ ในสายตาของคนวัยหนุ่ม เครื่องเคลือบสีขาวที่ไร้ลวดลายนั้นดูลามกมากกว่าเครื่องเคลือบสีน้ำเงินที่มีลวดลายหรูหราจนไร้ช่องว่างเสียอีก

และฮาจุนในตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น มูคยอมอยากลูบไล้โลมเลียให้ซีดไปทั้งตัว

มือใหญ่ควานย้อนเข้าไปลึกถึงต้นขาอ่อน ก่อนแยกขาออกกว้าง ฮาจุนเผลอเด้งเอว เพราะตกใจกับสัมผัสที่จู่ๆ ก็เข้ามาแตะที่แก่นกายของเขาอย่างนุ่มนวล

“อ๊ะ ฮ้าาา!”

“ให้มองข้ามไปเฉยๆ มันยากนะ ทำเบาๆ คงไม่เป็นไรใช่ไหม”

ตอนนั้นฮาจุนรีบใช้ศอกพยุงร่างกายท่อนบนของตัวเองขึ้น จนร่างกายท่อนล่างของตัวเองปรากฏสู่สายตา

เมื่อได้เห็นหว่างขาที่เรียบเนียนและยังคงแดงเรื่อหลังจากเพิ่งแว็กซ์เสร็จ ใบหน้าของฮาจุนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ฮาจุนพูดไม่ออก เขาพยายามจะยอมรับตัวเองในแบบใหม่ และในตอนนั้นเอง ลิ้นร้อนก็ลากเลียไปตามความยาวของแก่นกายอีกครั้ง

แต่ก่อนที่ฮาจุนจะหลุดพ้นจากวังวนของความสับสน แผ่นหลังและบั้นเอวของเขาก็เสียววาบ ทันใดนั้นสติของเขาก็แตกกระเจิง ฮาจุนดึงสะโพกกลับและพยายามจะลุกออกจากเตียง

“เดี๋ยวก่อนสิ ตอนนี้ฉันไม่…”

แต่เพราะท่อนแขนของมูคยอมที่โอบรอบต้นขาของเขาไว้ ร่างกายท่อนล่างของเขาจึงไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย และถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น ส่วนนั้นก็ยังคงอยู่ในมือของมูคยอม ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นเพราะความประหม่าและความระบมแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ทางเพศในทันที ร่างกายของเขาร้อนระอุเร็วกว่าปกติ

มูคยอมกลืนกินตัวตนของฮาจุนลึกเข้าไปในปาก ขณะที่ฮาจุนขบริมฝีปากกลั้นเสียงคราง แต่ไม่นานเขาก็ถึงขีดจำกัด

“อื้ออ, อึก… อือ ฮึกกก อะ… อ๊ะ!

เสียงครางที่กลั้นไม่ไหวค่อยๆ ดังขึ้น ในปากของมูคยอมทั้งกว้าง ลึก และร้อนผ่าว เมื่ออีกฝ่ายดูดกลืนแก่นกายของเขา ฮาจุนไม่ได้รู้สึกแค่นั้น แต่รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเขากำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในปากของอีกฝ่ายด้วย

ทุกครั้งที่แท่งร้อนถูกบดขยี้ด้วยลิ้น แรงกระตุ้นที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้าก็ไหลผ่านไปยังส่วนปลายสุดในร่างกาย ทำให้ปลายนิ้วมือและปลายเท้าเขามีเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

มูคยอมคายแก่นกายออกมาอย่างลื่นไหล แล้วใช้ลิ้นเลียแท่งร้อน ลากลงมาจนกระทั่งริมฝีปากบรรจบกับลูกอัณฑะกลม สลับไปมาทั้งสองข้าง ลูกอัณฑะเกลือกกลิ้งไปอยู่ในปากเหมือนลูกอม และมูคยอมก็ใช้ปากปรนเปรอต่อไป ก่อนใช้มือดันต้นขาด้านหลังของฮาจุน จนบั้นท้ายกลมปรากฏอยู่ตรงหน้า

“อ๊ะ…!”

เมื่อถูกเปิดเผยโดยไม่ทันตั้งตัว ฮาจุนก็ลนลาน ตัวแข็งทื่อ และรู้สึกได้ชัดเจนว่าช่องทางกำลังขมิบแคบลง

พอคิดว่ามูคยอมมองเห็นมันอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเขาก็เหมือนจะระเบิด

“อย่ามอง”

“ไม่ชอบเหรอ”

“อย่าทำ…”

“อะไรกัน ทั้งที่นายแข็งโด่ขนาดนี้แล้ว”

นิ้วยาวเคาะลงบนแก่นกายที่ตั้งชันราวกับกระดอนขึ้นมา ความอับอายทำให้ฮาจุนหาคำตอบที่เข้าท่าไม่เจอ ขณะที่ฮาจุนเบนสายตาไปมองเพดาน ก้อนเนื้อนุ่มที่ดันเข้ามาทางด้านหลังกำลังบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเริ่มต้น โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ

ฮาจุนหายใจไม่ออก แม้แต่เปล่งเสียงก็ทำไม่ได้ ลิ้นที่สอดเข้ามาในช่องทางและบดขยี้กับผนังด้านในขยับวนเป็นวงกลมราวกับจะขยายรูจีบให้อ้าออก และเมื่ออีกฝ่ายขยับลิ้นเข้าออกไปมาราวกับแก่นกาย พลางถูไถเยื่อบุรอบช่องทาง ฮาจุนก็เสียวซ่านไปจนถึงท้ายทอย พร้อมกับภาพตรงหน้าที่พร่ามัว

ฮาจุนกดเบาะรองนั่งลงบนใบหน้าของตัวเองอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้

“…ฮึกกก อือ อึก!”

“ฮ่าาา นาย”

ระหว่างนั้นมูคยอมก็ครางออกมาพลางลูบไล้บั้นท้ายด้วยความใคร่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น

“คงจะสับสนระหว่างอายกับไม่ชอบ”

สองนิ้วสอดพรวดเข้าไปในช่องทางที่ขมิบตอดและแดงเรื่อพอๆ กับใบหน้าในคราวเดียวจนสุด

ขณะเดียวกันลำคอของฮาจุนก็ตึงแน่นจนมองเห็นเส้นเลือด สะโพกลอยอยู่เหนือเตียงไม่นาน ก่อนจะตกลงมา

“ฮ่ะ อะอ่า อ๊ะ อื้อ!”

มือที่สอดเข้าไปไม่รอช้า บดเบียดและกดลงที่บริเวณต่อมลูกหมาก และสอดเข้าไปข้างใน ไม่นานของเหลวสีขาวขุ่นก็หลั่งไหลลงมาจากปลายแก่นกายที่ตั้งชันมาตั้งแต่ก่อนหน้า

ความเจ็บปวดก็เป็นตัวกระตุ้นทางร่างกายงั้นเหรอ ถึงเขาจะไม่ได้เล้าโลมอะไรมากมายเมื่อเทียบกับปกติ แต่ในร่างกายของฮาจุนที่ถูกรังแกส่วนล่างมาสักพักก็ร้อนระอุ เหมือนกับถูกลูบไล้และสัมผัสอย่างหนัก

น้ำกามไหลอาบแท่งร้อนและย้อยลงมาเยิ้มอยู่บนผิวหนังที่เคยมีเส้นขนดกดำ มูคยอมถอนหายใจยาวโดยไม่ส่งเสียง ช่องทางแดงเรื่อที่เผยอออกราวกับกำลังอ้อนวอนให้สอดใส่ และผิวเปลือยเปล่าเรียบเนียนไร้ขนก็ปรากฏต่อสายตาในคราวเดียว

มูคยอมขยับนิ้วให้กว้างขึ้นด้วยความรู้สึกประทับใจจนเกิดเสียงสวบสาบ

“ฉันว่าคนที่ไม่มีขนแล้วดูดีขนาดนี้มีไม่เยอะหรอกนะ”

“อื้อออ อือ ฮื่อ!”

เสียงกรีดร้องของฮาจุนไม่ได้ดังก้องอยู่ภายในห้อง แต่ถูกกลืนหายไปครึ่งหนึ่ง เพราะเบาะที่เขายื่นให้ก่อนหน้านี้ยังคงปิดอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย

ถึงกระนั้นตั้งแต่ส่วนล่างไปจนถึงลำคอขาวของฮาจุนก็กลายเป็นสีแดงอย่างชัดเจน มูคยอมแย่งเบาะนั้นไปจากอีกคน

“อย่าเอาของแบบนั้นมาปิดหน้าเวลามีอะไรกับแฟนสิ”

“ก็นายทำให้ฉันอยากปิด…”

“ลุกขึ้น”

มูคยอมคว้าแขนของฮาจุนพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น ฮาจุนลุกออกจากเตียงด้วยสีหน้างุนงง ขณะเดียวกันเขาก็โล่งใจและนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะหยุดตรงนี้งั้นเหรอ

แต่แน่นอนว่ามูคยอมไม่ได้คิดจะหยุด เขาก็แค่อยากจะชิมรสชาติกระต่ายที่ถูกถอนขนให้เต็มที่อีกหน่อยก็เท่านั้น มูคยอมนั่งลงบนเตียง พลางจูงแขนของฮาจุนเข้ามาอีกครั้ง

“นอนคว่ำลงบนตัวฉันสิ โชว์ก้นนายให้ดูหน่อย”

“อะ ไม่เอาแบบนั้น”

“เร็วสิ”

แม้ว่าจะถูกปฎิเสธทันทีแต่มูคยอมไม่ได้รีบเร่ง แม้แต่เสื้อคลุมที่เคยปกปิดร่างกายของเขา ก็ถูกถอดออกด้วยน้ำมือของมูคยอม มูคยอมไม่เร่งรีบและถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกช้าๆ ใบหน้าของฮาจุนที่หาสีของตัวเองเจอได้แค่ครู่เดียวก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นสีแดงดังเดิม ทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่า

“ฉันหมายถึงมันน่าอายเกินไป….”

“เมื่อก่อนก็เคยทำไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมวันนี้จะทำไม่ได้”

ฮาจุนไม่สามารถต้านแรงที่กำลังลากตัวเขาได้ เขาทาบทับลงบนขาของมูคยอม ราวกับคร่อมอยู่บนนั้น แขนแกร่งโอบเอวของเขา ขณะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายคลึงที่ยอดอก ก่อนจะขยับลิ้นเลียที่ปลายยอด มือใหญ่ตบลงบนก้นกลมเบาๆ ราวกับกำลังปลอบโยนเด็กน้อย

“ฮื้อ อึก…”

“ใช่แล้ว ทีนี้หันหลัง แล้วนอนคว่ำลง โอเค”

สุดท้ายคนที่ชวนฮาจุนมานอนคว่ำหน้าลงบนตัวเขาอย่างมูคยอม ก็เอนกายนอนลงบนเตียงอย่างช้าๆ สะโพกขาว ช่องทางแดงเรื่อที่ถูกดูดเลียและสอดใส่ไปแล้วครั้งหนึ่ง หว่างขาที่ไร้ขน รวมไปถึงแก่นกายก็ปรากฏสู่สายตา

“นายสวยมาก ฮาจุน”

มูคยอมอุทานออกมาโดยอัตโนมัติ เขาจูบลงบนก้นสวย ก่อนจะสอดแขนใต้กระดูกเชิงกราน และรั้งต้นขาขาวที่เต่งตึงเอาไว้แน่น ทำให้สะโพกกดลงมาใกล้ใบหน้าของเขายิ่งขึ้น

มูคยอมแลบลิ้นออกมาเตะส่วนที่เชื่อมระหว่างรูจีบกับโคนลึงค์ ซึ่งบวมแดงเล็กน้อยเป็นสิ่งแรก เขารู้สึกได้ว่าต้นขาที่ถูกจับเอาไว้ในอ้อมแขนกำลังเกร็ง พร้อมกับสะโพกที่สะดุ้งแรง มูคยอมมองเห็นช่องทางด้านหลังที่หุบแน่น และบั้นท้ายที่กำลังเกร็งอยู่ตรงหน้า

“อะ อือออ… ฮึกกก”

มูคยอมได้ยินเสียงครางที่เล็ดรอดออกมา ก่อนที่แก่นกายจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ร้อนระอุและฉ่ำแฉะ ฮาจุนเริ่มใช้ปากปรนเปรอให้เขาทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สั่ง

ในวันแบบนี้แค่ได้รับอะไรแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว มูคยอมหัวเราะพลางเลียช่องทางด้านหลังเป็นเวลานาน

“อ๊ะ อ๊า!”

“ทำไม เห็นจู๋อยู่ตรงหน้าแล้วอยากอมเหรอ”

“ก็นายนั่นแหละทำให้ฉัน อ๊ะ ฉันก็…”

อีกฝ่ายนอนคว่ำหน้าลงอย่างจำยอม เพราะไม่อาจเอาชนะความดื้อรั้นของเขาได้ แต่ยังใจดีบอกว่า ‘จะทำให้เขา’ อีก

มูคยอมชื่นชมคนรักของตัวเองในใจ พลางเคลื่อนริมฝีปากเข้าไประหว่างเนินก้น มูคยอมนึกถึงตอนแรกๆ ที่เขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับฮาจุน ตอนที่พวกเขาโอบกอดกันและกันในท่านี้เป็นครั้งแรก

69 คือท่าที่ทำรักกันด้วยปาก ตอนนั้นเขาไม่รู้อะไรเลย ได้แต่ช่วยตัวเองและคิดแย่ๆไปว่าจะไปเลียของๆ ผู้ชายลงได้ยังไง มูคยอมจึงตัดสินใจอมและเลียตัวตนของฮาจุนให้เต็มที่ด้วยความสำนึกผิด

“อือออ อึ๊ก!”

ลิ้นที่แลบยาวออกมาแล้วกดลงบนฝีเย็บ ค่อยๆ เพิ่มแรงและเลื่อนขึ้นไปด้านบน ลากกวาดบนช่องทางด้านหลังที่หดแคบลงเพราะความประหม่า แล้วลากยาวไปจนถึงใต้กระดูกก้นกบ และประทับริมฝีปากลงบนฝีเย็บอีกครั้ง

ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่… ก้นกลมที่ถูกลูบไล้ด้วยความรักใคร่อย่างเชื่องช้าทว่ายาวนานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สั่นสะท้านอย่างเอาแต่ใจ ฮาจุนขยับตัวแทบไม่ได้ ทำได้เพียงครอบครองแก่นกายของมูคยอมเท่านั้น

“ไหนๆ ก็ทำแล้ว ลองเลียดูสิ”

“อือ ฮึก…”

เมื่อมูคยอมเด้งเอวเล็กน้อยและสอดเข้าไปในปาก ริมฝีปากของฮาจุนที่ครอบครองแก่นกายอยู่ก็ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า

ถึงแม้มันจะเป็นการทำเฟอเลชิโอที่เอาแต่ใส่เข้าปากและผงกหัว เพราะริมฝีปากของอีกฝ่ายหมดเรี่ยวแรงจนดูดหรือเลียไม่ไหว แต่ตัวตนของมูคยอมก็ดิ้นไปมาและขยายขนาดใหญ่โตอยู่ในปากของฮาจุน ตอนนี้แค่ถูไถกับเยื่อบุที่นุ่มลื่น มูคยอมก็รู้สึกเสียวซ่านไปหมด

เขาจูบลงบนช่องทางที่ปิดสนิทอย่างดื้อรั้น เมื่อมูคยอมเกร็งปลายลิ้นและสอดเข้าไปขยายรอยจีบให้อ้าออก ร่างกายของฮาจุนก็เริ่มสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะหยัดกายขึ้นเหมือนคนที่พยายามจะหนี แต่ฮาจุนก็ไม่อาจหลุดพ้นจากแขนของมูคยอมที่พันธนาการต้นขาและกระดูกเชิงกรานเอาไว้ได้

มูคยอมดุนดันลิ้นเข้าไปข้างใน และเด้งเอวขึ้นเต็มแรง จนแก่นกายอันเขื่องแทงลึกเข้าไปในปากของฮาจุน ที่กำลังครอบครองตัวตนของมูคยอมอย่างเงอะงะ

“-ฮืออออ ฮื่อ อึ๊ก!”

ฮาจุนที่ถูกกระตุ้นทั้งด้านบนและด้านล่างในเวลาเดียวกัน กลืนก้อนสะอื้นลงคอพลางขยับร่างกายที่ถูกพันธนาการขึ้น มูคยอมแลบลิ้นให้ยาวขึ้นอีก

ตอนแรกมันคือการกระทำที่คาดไม่ถึง แต่มูคยอมชอบที่จะจูบช่องทางด้านหลังของฮาจุน จริงๆ แล้วช่องทางที่สอดใส่แก่นกาย ก็ถือเป็นปากล่างได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ

เพราะในช่องทางนั้นทั้งร้อนฉ่าและฉ่ำแฉะเสมือนปากอีกปากหนึ่งจริงๆ พอเลียแล้ว ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากตอนจูบเลยสักนิด ถึงแม้จะไม่มีอีกลิ้นหนึ่งเข้ามาเกี่ยวพันกับลิ้นของเขา แต่ความรู้สึกยามช่องทางขมิบตอดลิ้นนั้นมันก็ไม่แย่

“อะอา อ๊า! อ๊ะ อ๊ะ ฮ่าาา…!”

ทว่าสิ่งที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับจูบนั้น คือฮาจุนรู้สึกรุนแรงกว่าตอนจูบ

มูคยอมสอดลิ้นและกวัดแกว่งเข้าไปข้างในอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจยาว และเลิกเกร็งคอ ทันที่ที่ทิ้งศีรษะนอนราบลงกับเตียงมองเห็นช่องทางที่เผยอออกเล็กน้อยและกำลังขมิบอย่างชัดเจน มูคยอมเมียงมองด้วยสายตาพึงพอใจ แล้วขยับบั้นท้ายของฮาจุนไปด้านหลังอีก

“นี่! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาคือฟิตเนสโค้ชคนใหม่ เขาชื่ออีฮาจุน มาจากเกาหลี คิมเป็นคนแนะนำมา”

จากนั้นนักเตะคนหนึ่งก็พูดขึ้น ก่อนที่ฮาจุนจะได้แนะนำตัวเองเสียอีก

“อ๋อ เพื่อนคนนั้นที่บอกว่าจะอยู่กับมูมูน่ะเหรอ”

ได้ยินแล้วมูคยอมที่กำลังฉีกยิ้มและมองฮาจุนอยู่ก็ขมวดคิ้วในทันที

“ขอล่ะ อย่าเรียกฉันว่ามูมู”

“มูคโยมมันยากเกินไป เรียกมูคำเดียวก็ไม่ติดปาก ไม่ถนัด”

“เรียกนามสกุลก็ได้นี่!”

“อืมม คิมก็ธรรมดาเกินไป”

เหล่านักเตะหยอกเหย้ามูคยอมเล่นพลางหัวเราะคิกคัก ในขณะที่ฮาจุนเองก็เอ่ยพึมพำและหัวเราะ

“มูมู”

มูคยอมรีบปรี่เข้ามาหา แล้วพาดแขนลงบนไหล่ของฮาจุน

“ไม่ได้ ไม่ได้ นายห้ามเรียกแบบนั้น”

“ทำไมล่ะ น่ารักออก”

“ก็ฉันไม่ชอบไง”

อย่างที่ฮาจุนรู้ กรีนฟอร์ดมีนักเตะอาวุโสที่เล่นมานานหลายคน และมูคยอมก็ยังอายุน้อยในหมู่ดาวเด่นของที่นี่

เห็นได้ชัดว่าที่นี่อีกฝ่ายได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นเด็กน้อย ต่างจากซิตี้โซลที่มูคยอมวางมาด เพราะตนเองเป็นนักเตะต่างชาติดาวรุ่งที่ถูกยืมตัวมา และมีคนที่อายุมากกว่าตัวเขาอยู่แค่ไม่กี่คน

อันที่จริงคนอย่างกัปตันคงเห็นมูคยอมมาตั้งแต่ตอนอายุสิบเก้า ฮาจุนรู้สึกอิจฉาผู้คนที่กรีนฟอร์ดที่ได้เฝ้าดูอยู่ข้างๆ มูคยอมมาเป็นเวลานานอยู่ในใจ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ จุน”

“เช่นกันครับ ฝากตัวด้วยนะ”

“เช่นกันครับ”

เหล่านักเตะพากันยื่นมือเข้ามาหา ขณะที่ฮาจุนก็ตอบกลับว่ายินดีและรีบจับมือกับพวกเขา พอมูคยอมเห็นแบบนั้น ก็รีบเข้ามาแทรกและปัดมือทันที จนบรรดานักเตะพากันบ่นพึมพำ

“เป็นอะไรของนาย”

“จับเป็นพิธีก็พอ คิดจะจับเรียงคนเลยหรือไง โค้ชคนใหม่ผิวบอบบาง ถ้าจับตามอำเภอใจ เขาอาจจะแพ้ได้ บอกไว้ก่อน”

“ถ้าผิวหนังบอบบางจนแตะไม่ได้ แล้วจะทำงานเป็นฟิตเนสโค้ชได้ยังไง”

[รู้เอาไว้ก็พอ!]

ครั้งนี้ฮาจุนได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะมูคยอมและเหล่านักเตะพูดสวนกันไปมาอย่างรวดเร็ว ราวกับปืนใหญ่ที่รัวยิงกระสุนจนเขาตามไม่ทัน และระหว่างนั้นการฝึกซ้อมก็เริ่มต้นขึ้น ฮาจุนเดินตามหลังโค้ชอาวุโสราวกับเป็นหาง พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และเรียนรู้การทำงานในแต่ละวัน

การซ้อมฟุตบอลนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกันกับที่เกาหลีมากนัก แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันไปเสียทุกอย่าง อีกทั้งภาษาอังกฤษก็ไม่ได้คล่องแคล่วมากนักแถมยังจับตุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ได้อีก ถึงแม้ว่าโค้ชรุ่นพี่จะบอกเขาซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งหรือตั้งใจอธิบายอย่างช้าๆ แล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยากจะเข้าใจอยู่ดี บางครั้งมูคยอมก็เดินเข้ามาช่วยล่ามให้เขา แต่อีกฝ่ายก็ต้องซ้อมเหมือนกัน มูคยอมจึงทำแบบนั้นทุกครั้งไม่ได้

ระหว่างนั้นฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ฝนตกลงมาหลายครั้งแล้วนับตั้งแต่เขามาถึงลอนดอน ละอองฝนที่เหมือนกับหมอกหนาฟุ้งกระจายไปทั่ว แม้จะหลบอยู่ใต้ร่มก็ตาม โค้ชรุ่นพี่อย่างแฮร์รี่มองฮาจุนด้วยสายตาเป็นกังวล

“ไม่หนาวเหรอ มีหลายคนเลยนะที่เพิ่งเคยมาลอนดอนช่วงฤดูหนาวครั้งแรก แล้วต้องลำบากเพราะสภาพอากาศ”

“ผมโอเคครับ ผมว่ามันดีกว่าฤดูหนาวของเกาหลีเอามากๆ เลยละ”

การฝึกซ้อมดำเนินต่อไปโดยไม่คำนึงถึงสภาพอากาศ และเมื่อซ้อมเสร็จ ฮาจุนก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงไปหมด

เขามักจะรู้สึกเครียดในวันแรกของการทำงานมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ที่นี่คือต่างประเทศและการจะฟังสิ่งที่คนอื่นพูดให้เข้าใจทะลุปรุโปร่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฮาจุนจึงพะว้าพะวงตลอดเวลาฝึกซ้อม ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชื้นแฉะ ก็ทำให้เรี่ยวแรงและสมาธิของเขาหดหายไปอย่างรวดเร็วเป็นสองเท่า

แม้ผู้คนจะเป็นมิตรและบรรยากาศของการซ้อมก็ไปได้สวย แต่ฮาจุนก็ไม่สบายใจ เพราะเขายังปรับตัวไม่ได้ ฮาจุนเดินเข้ามาในร่ม แม้มันจะง่ายดายกว่าที่คิด แต่เขาก็ยังถอนหายใจในใจ หวังว่าภาษาอังกฤษของเขาจะพัฒนาขึ้นเร็วๆ

ทว่าหลังจากเดินเข้ามาในร่มแล้ว สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็กำลังรอคอยฮาจุนอยู่

การตากฝนทำให้ศีรษะของเขาเปียกโชก เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม และถึงจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน แต่ก็ต้องเปลี่ยนชุดที่นี่อยู่ดี

ฮาจุนลังเล เขาไม่อยากโชว์รอยแผลเป็นที่เอวให้คนที่ยังไม่สนิทเห็น ถึงกระนั้นฮาจุนก็เดินตามรุ่นพี่ เข้าไปในห้องล็อกเกอร์สำหรับสตาฟอย่างเงียบเชียบ แฮร์รี่ถอดเสื้อผ้าออกก่อนในพรวดเดียว

“หืม? จุน จะไม่เปลี่ยนชุดก่อนกลับเหรอ?”

“…มะ ไม่ละครับ”

ฮาจุนเผลอจ้องท่อนขาของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มลงมองตามสายตาของฮาจุน และหัวเราะคิกคัก

อ่า นี่เหรอ เมื่อก่อนผมเคยผ่าตัด หลังจากประสบอุบัติเหตุน่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง”

“ไม่ใช่ครับ ผมขอโทษ ที่เสียมารยาทมองคุณ”

“เห็นครั้งแรกก็ไม่แปลกหรอกที่จะสงสัย อย่าไปใส่ใจเลย”

บนต้นขาด้านซ้ายของแฮร์รี่หลงเหลือรอยแผลเป็นยาวที่ผ่ากลางด้านข้างจนเกือบสุด ฮาจุนลังเลสองจิตสองใจ ก่อนจะถอดเสื้อฟุตบอลและเสื้อเชิ้ตที่ชื้นแฉะออก

รอบนี้แฮร์รี่มองเอวของฮาจุนแล้วยิ้มแหย

“นี่วอร์ดผู้บาดเจ็บสินะ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นี่ ในบรรดาคนที่ทำงานนี้ มีคนที่เคยบาดเจ็บอยู่เยอะเลยละ”

“ผมก็เคยประสบอุบัติเหตุเหมือนกันครับ”

แฮร์รี่พยักหน้า พลางถอดกางเกงนอกและกางเกงในออก ฮาจุนแข็งทื่อไปอีกครั้ง หลังจากได้เห็นแฮร์รี่ในสภาพเปลือยเปล่า

“ผมเข้าไปอาบน้ำก่อนนะ”

“ครับ”

ฮาจุนพยักหน้า พลางเหม่อมองด้านหลังของผู้ชายที่กำลังเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าสตาฟคนอื่นๆ ก็เข้ามา จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าพลางพูดคุยกันเรื่องไร้สาระ ฮาจุนกวาดตามองพวกเขาเหล่านั้น แล้วหันขวับมาทางล็อคเกอร์ของตัวเอง ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะถามเขาที่เอาแต่ยืนมองกำแพง

จุน ไม่อาบน้ำเหรอ”

“อ๋อ ผม…จะกลับไปอาบที่บ้านครับ ผมว่าจะไปเปลี่ยนชุดอย่างเดียว”

หลังจากตอบโดยหลบสายตา ฮาจุนก็รีบเช็ดผมและเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูแห้ง แล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า โชคดีที่สายฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับหมอกนั้นเบาบาง ตัวเขาจึงไม่ได้เปียกแฉะจนถึงกางเกงใน และฮาจุนก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาทันทีหลังจากได้เปลี่ยนเสื้อผ้า

เมื่อมาถึงลานจอดรถ รถยนต์ของมูคยอมก็กะพริบไฟหน้าสั้นๆ ก่อนที่ฮาจุนจะรีบก้าวเท้าขึ้นรถ ราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนี มูคยอมนั่งแข็งทื่อ และไม่สามารถผ่อนคลายสีหน้าเคร่งเครียดลงได้

ฮาจุนที่เบิกตากว้างตื่นตระหนกขณะกระสับกระส่ายราวกับมีคนไล่ตาม มูคยอมจ้องไปที่เขาก่อนจะเอนตัวเล็กน้อยแล้วถามขึ้น

“เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“…หะ”

“ใครรังแกนาย เพราะนายมาใหม่งั้นเหรอ มันเป็นใคร บอกฉันมา ฉันจะไปจัดการมันให้”

ฮาจุนมองมูคยอมที่ว่าอย่างนั้น พลางส่ายศีรษะโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“แล้วยังไงล่ะ”

“…”

“ฮาจุน ทำไมล่ะ”

ใบหน้าของอีกฝ่ายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง มีใครมารังแกและล่วงละเมิดทางเพศลูกวัวที่ไร้เดียงสาของเขางั้นเหรอ เมื่อความสงสัยของมูคยอมเริ่มรุนแรงขึ้น ฮาจุนก็ค่อยๆ เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า

“คิมมูคยอม จริงๆ แล้ว”

“อื้อ”

“ตรงนั้นของคนอื่น ไม่มี… อันนั้น”

หลังจากพูดจบ ฮาจุนก็ปิดปากสนิทอีกครั้ง มูคยอมเอียงศีรษะและขมวดคิ้วไม่เลิก ราวกับไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาพูดถึงอะไร

พูดตรงๆ ก็คือทุกคนไม่ได้เรียบเนียน… เหมือนมูคยอม บางคนก็ยังมีขนอยู่ แต่ที่แน่ๆ คนเหล่านั้นมีการตัดแต่งหรือประดับบางสิ่งบางอย่างด้วย

ส่วนคนที่ปล่อยเอาไว้ราวกับทิ้งให้มันเติบโต มีเพียงเหล่าสตาฟวัยกลางคนที่อายุมากเท่านั้น ไม่มีใครที่ยังหนุ่มเลยสักคน ถ้าเป็นที่เกาหลี คนที่ดึงดูดสายตาคงจะเป็นคนที่ไม่มีขนหรือตั้งใจดูแลตรงนั้นมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะตรงกันข้ามอย่างที่มูคยอมว่าจริงๆ

มูคยอมที่เข้าใจสิ่งที่ฮาจุนพูดช้าเกินไปพลันหัวเราะลั่น ฮาจุนหน้าแดงขึ้นยิ่งกว่าเก่า

“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกนายว่ายังไง”

“ฉันนึกว่านายแกล้งฉัน”

“แว๊กซ์ขนจนเกลี้ยงโดยไม่จำเป็นเพื่อแกล้งนายเนี่ยนะ ฉันไม่ว่างขนาดนั้นหรอก”

มูคยอมสตาร์ทรถ แล้วจับพวงมาลัย ก่อนจะพูดขึ้น

“ปล่อยไว้แบบนั้นดีไหม ฉันไม่อยากให้นายถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่น เพราะถ้าปล่อยไว้ โค้ชอีก็คงจะอายและไม่กล้าถอดเสื้อผ้าในห้องล็อคเกอร์ต่อไป ฉันชอบแบบนั้นนะ”

“แล้วจะออกมาเฉยๆ ทุกครั้งได้ยังไง ฉันก็ไม่อยากถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน แต่เวลาทำงาน บางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้นี่”

ใช่แล้ว เลี่ยงไม่ได้ คนที่แสร้งทำเป็นล้อเล่นพลางเอ่ยความจริงในใจออกมาอย่างมูคยอมยิ้มแหย

สิ่งที่ทำให้ฮาจุนมาถึงลอนดอนได้มีอยู่สองอย่าง เพราะคิมมูคยอมกับอีฮาจุนต้องอยู่ด้วยกัน และเพราะเขาอยากทำให้ความฝันที่สองของอีกฝ่ายเป็นจริงและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

แต่ทุกคืนในสัปดาห์นี้พวกเขาไม่มีโอกาสได้สวมเสื้อผ้า ร่างกายเปลือยเปล่าตกอยู่ในอ้อมแขน และเมื่อได้มองหน้าของคนที่หายใจสม่ำเสมอ ความต้องการอื่นก็ผุดขึ้นมา กลับกลายเป็นว่ามูคยอมรู้สึกเสียดาย เพราะแม้แต่ตอนที่พวกเขาแยกกัน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาส่วนตัวนั้น มูคยอมก็ยังอยากทำให้มันเป็นเวลาของเขาอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่จู่ๆ เขาก็นึกอยากบอกให้อีกคนลาออกจากการเรียนและการทำงาน และเขาอยากมัดอีกฝ่ายไว้ข้างกาย

แต่มันก็เป็นแค่ความเพ้อฝันของเขาเท่านั้น มูคยอมรู้ว่าถ้าเขาพูดออกไปแบบนั้น ฮาจุนจะต้องโมโหและชกบานประตูด้วยกำปั้นเหมือนวันนั้น เขากลัวจึงไม่กล้าเอ่ยออกไป

และถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้โมโห เขาก็ไม่อยากเป็นคนแบบนั้น

“ถ้างั้น… ต้องทำยังไง ต้องไปที่ร้านเหรอ หรือว่าโรงพยาบาล”

ฮาจุนไม่เคยจัดการกับขนบนร่างกายเลยสักครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าต้องทำที่ไหนหรือทำอย่างไร ถึงกระนั้นเขาก็เคยได้ยินเรื่องการแว็กซ์ขนอยู่บ้าง เขาเดาว่ามันน่าจะมีร้านเฉพาะทาง เหมือนร้านทำเล็บหรือสกินแคร์

แต่มูคยอมกลับหัวเราะคิกคัก

“ร้านเนี่ยนะ นายจะยอมให้คนอื่นดูแลส่วนล่างของนายเหรอ”

“แล้วจะทำยังไงล่ะ”

มูคยอมชูมือทั้งสองข้างขึ้นมาข้างหน้า เหมือนกับคุณหมอที่กำลังจะผ่าตัด

“ฉันทำเอง”

“…ทำเป็นเหรอ”

“เรียนมา ในเมื่อคุณแฟนมา ฉันก็จะทำให้เอง”

“ทำ… ได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ มันเป็นงานที่คนอื่นทำแล้วได้เงินนี่”

“ทำได้ซี่”

รถยนต์เริ่มเคลื่อนตัว มูคยอมปรายตามองฮาจุน

“มีอะไรที่มูคยอมทำไม่ได้บ้างล่ะ”

ฮาจุนจ้องมองมูคยอมด้วยสายตาไม่มั่นใจ แต่อีกฝ่ายกลับฮัมเพลง ขณะที่รถแล่นไปตามถนน

ฮาจุนไม่รู้ว่าต้องถามอะไร ถามอย่างไร เพราะเขาไม่รู้อะไรเลย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย ไม่นานเขาก็ยอมแพ้ และเอนหลังฝังลงกับเบาะที่นั่ง

* * *

เมื่อกลับมาถึงบ้านฮาจุนก็อาบน้ำทันที จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมบางๆ ตัวหนึ่ง และเดินเข้ามาในห้อง

ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของมูคยอมนั้นมีทุกอย่าง รวมถึงห้องนวดด้วย ห้องนั้นเป็นห้องที่ใช้ เวลาเรียกนักกายภาพบำบัดหรือหมอนวดมารับการรักษาที่บ้าน เมื่อเร็วๆ นี้ฮาจุนก็ใช้ห้องนี้เพื่อตรวจสภาพร่างกายของมูคยอมหลังซ้อมเสร็จ หรือนวดให้อีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน

“มานี่สิ”

ทว่าวันนี้กลับต่างจากทุกวัน มูคยอมตีที่เตียงนวด พลางโน้มน้าวให้ฮาจุนนอนลง ขณะที่ฮาจุนยังคงมองอีกคนด้วยสายตาฉงน

“นายทำเป็นจริงๆ ใช่ไหม”

“บอกแล้วไงว่าเรียนมา ไม่รู้เหรอว่าฉันมีฝีมือ เชื่อสิ ฉันทำได้ละเอียดเลยละ”

ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ไม่ได้นอนลงบนเตียง เขายังคงยืนอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าไม่ยินดี สุดท้ายแล้วคนที่ลังเลก็ขมวดคิ้วและถามออกมา

“นายเรียนยังไง”

“หืม”

“ถ้าเรียนจริง ก็ต้องฝึกปฏิบัติไม่ใช่เหรอ แล้วนายทำให้ใคร”

มูคยอมเหม่อมองฮาจุน ก่อนจะวางเจลแว็กซ์ที่ถืออยู่ลง เขาเดินเข้าไปใกล้ฮาจุนที่ยืนอยู่ที่เดิม แล้วยิ้มน้อยๆ

“เป็นอะไรไป โค้ชอี หึงเหรอ”

“ตอบสิ”

มูคยอมไม่ยอมให้เขาไปที่ร้าน พลางถามว่าจะยอมให้คนอื่นจัดการกับส่วนล่างได้ยังไง ในขณะที่มูคยอมได้เห็นและสัมผัสส่วนลับของคนอื่น โดยใช้เรื่องเรียนแว็กซ์ขนเป็นข้ออ้าง พอคิดแบบนั้นแล้วใจเขาก็ร้อนรุ่มไปหมด

เขารู้ว่ามันคือขั้นตอนที่ต้องทำ หากต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิค ระหว่างการฝึกซ้อม ถึงแม้จะไม่ใช่หว่างขา แต่บางครั้งเขาก็ต้องนวดบั้นท้าย หรือขาหนีบของบรรดานักเตะด้วยเหมือนกัน

แต่ที่ฮาจุนทำก็เพราะมันคืองาน ส่วนมูคยอมถึงไม่เรียนเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ

“จะใครซะอีก ฉันให้พวกที่เจอก่อนหน้านี้นอนลง แล้วลองฝึกดู”

“…ก่อนหน้านี้?”

“พวกเขาก็ทักทายนายแล้วไง พวกที่เจอที่สนามซ้อมน่ะ”

“อ๋อ”

ฮาจุนย้อนนึกถึงนักเตะกลุ่มหนึ่งที่จับมือกับเขาที่สนามซ้อม ในขณะที่มูคยอมกลับขมวดคิ้วและส่ายศีรษะ ราวกับนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย

“สิ่งที่ฉันได้รู้แจ่มแจ้งเลยก็คือ จู๋ที่ไม่ใช่ของนายมันน่าอ้วกไปหมดเลย ฉันทำไปด่าไป นึกว่ามือกับตาฉันจะเน่าซะแล้ว”

“…ถ้าเกลียดขนาดนั้นแล้วจะเรียนไปทำไม”

“ฉันทนไหวแค่ให้นายอาบน้ำต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น คนอื่นห้ามแตะต้องตรงนี้ของนายเด็ดขาด เว้นแต่ว่านายจะบาดเจ็บ”

มูคยอมกวาดมือลูบหว่างขาของฮาจุนรอบหนึ่ง และจูงมืออีกคนเข้ามาอีกครั้ง

“นอนลงเร็วเข้า”

ครั้งนี้ฮาจุนยอมแพ้และยอมนอนลงบนเตียง มูคยอมหมุนฝาเจลเปิดออก พลางพูดคนเดียวราวกับกำลังฮัมเพลง

“พอโดนแฟนที่ละเลยหึงเข้า ถึงได้รู้ว่าการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มันมีประโยชน์จริงๆ”

“ฉันละเลยนายตอนไหน”

“เพราะโค้ชของฉันเอาแต่ยุ่งกับเรื่องเรียนและดูแลครอบครัวไง ฉันสามารถให้เวลาของฉันกับนายได้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่เตะฟุตบอล แต่นายทำไม่ได้”

“ฉันเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคืองาน… ส่วนครอบครัวก็…”

น้ำเสียงของฮาจุนเบาลง หลังจากที่พูดอ้ำอึ้ง ทันใดนั้นมูคยอมก็ยิ้มเยาะ

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ ยิ่งค่าตัวแพงก็ยิ่งมีเสน่ห์”

มูคยอมแกะเสื้อคลุมของฮาจุนเปิดออก แล้วหยิบถุงมือลาเท็กซ์เนื้อบางออกมา ฮาจุนกลืนน้ำลายหนืดลงคอ มันก็เป็นแค่การกำจัดขน แต่เขากลับเครียดเหมือนกำลังผ่าตัดจริงๆ

“เอาละ เจ้านี่”

มูคยอมวางก้อนนุ่มนิ่มลงบนหน้าอกของอีกคน ในขณะที่ฮาจุนเบิกตากว้างและทอดสายตามองมัน มันคือตุ๊กตาวัวสีขาวที่มีเขา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงจะเป็นเบาะรองนั่งที่เหมือนกับตุ๊กตาสินะ

“นี่มันอะไรเนี่ย”

“เพื่อนนาย มันอาจจะเจ็บนิดหน่อย กอดเอาไว้นะ”

พอได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาว่า มันอาจจะเจ็บ เขาก็ยิ่งเครียดหนักกว่าเก่า ฮาจุนปิดปากและกอดหมอนบนหน้าอกไว้แน่นตามที่มูคยอมสั่ง ฮาจุนกลัวจนเขาไม่แม้แต่จะมองลงไปด้านล่าง

มือของมูคยอมลูบลงบนเส้นขน ฮาจุนที่รู้สึกจั๊กจี้ จึงหุบขาเข้าหากันพลางส่งเสียงครางออกมา

“ขนนุ่มสวยเพราะเป็นขนกระต่าย ไม่ใช่ขนธรรมดา พอจะแว็กซ์เข้าจริงๆ ก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อยแฮะ”

“ขนกระต่ายสำหรับคน อะไรอีกล่ะเนี่ย…”

ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่ามือของมูคยอมค่อยๆ เกลี่ยสิ่งที่เหลวและเหนียวลงบนผิวหนังส่วนล่างอย่างระมัดระวัง มือของอีกฝ่ายสัมผัสส่วนนั้นของเขาจนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เขาเครียดก็เพราะจุดประสงค์ต่างหาก

มูคยอมหัวเราะเบาๆ

“ขนไม่ได้เยอะเลย คงไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก “

“อ๊าก!”

“ฉันว่าจะเข้าเรียนที่สถาบันสอนภาษาตั้งแต่วันนี้เลย”

มูคยอมเบ้ปากด้วยสีหน้าราวกับพังทลาย แต่ตอนนั้นฮาจุนคือคนที่ใจร้อนมากที่สุด และไม่นานมูคยอมก็เข้าใจและยินยอม เพราะจากนี้ไปฮาจุนจะอยู่ที่นี่ต่อ ยังมีโอกาสอีกมากมายนับไม่ถ้วนกำลังรออยู่ มูคยอมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

เขาลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนสอนภาษาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้อีกคนสามารถเข้าเรียนได้ทันทีที่มาถึง ตามความต้องการของฮาจุนที่ไม่อยากหยุดเรียนภาษาอังกฤษ ที่เรียนมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เกาหลี เหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนไปทำงานที่กรีนฟอร์ด

“ไม่หิวเหรอ กินมื้อเช้าก่อนค่อยไปนะ”

“อื้อ”

คนที่ต้องออกไปข้างนอก ไม่ได้มีแค่ฮาจุนคนเดียว วันนี้มูคยอมก็มีซ้อมตามปกติเหมือนกัน ฮาจุนสวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหนาทับร่างกายที่เปลือยเปล่า ก่อนเดินตรงไปที่ห้องครัว

คฤหาสน์หลังนี้ดูใหญ่โตโอ่อ่า จนเขานึกสงสัยว่าสถานที่อย่างห้องครัวนั้น จะเป็นเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในหนังหรือเปล่า ภายในมีครัวและโต๊ะแบบโมเดิร์นที่กว้างขวางและเป็นระเบียบถูกวางเอาไว้ อย่างที่มูคยอมเคยบอกว่าเขาปรับเปลี่ยนให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

“ฉันชอบกินมื้อเช้าง่ายๆ ที่นี่ละ มีห้องทานอาหารแยกด้วย แต่ฉันขี้เกียจย้ายอาหารไปกินที่นั่น”

“อื้อ ฉันก็ชอบ”

มูคยอมสวมกางเกงกีฬาขาสั้นเพียงตัวเดียว ต่างจากฮาจุนที่สวมชุดคลุมอาบน้ำ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยได้รูป ฮาจุนเห็นมูคยอมที่สวมผ้ากันเปื้อนทับบนร่างเปลือย แล้วเกือบจะพ่นน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมา มูคยอมหัวเราะคิกคัก

“เซ็กซี่เกินไปเหรอ มอนิ่งเซ็กซ์กันตรงนี้สักรอบไหมล่ะ”

ฮาจุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพลางกระแอมไอครั้งสองครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“นายจะทำอาหาร”

“ของง่ายๆ น่ะ”

เขาคิดว่าตอนอยู่ที่โซลอีกฝ่ายจะสั่งอาหารมากินตลอด นั่นก็แค่ ‘ชั่วคราว’ ด้วยงั้นเหรอ คิมมูคยอมในตอนนั้นไม่รู้ว่าอยากจะทิ้งตัวเขาไว้ที่เกาหลีหรือเปล่า พอคิดได้อย่างนั้นฮาจุนก็ลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวฉันช่วยเอง”

“ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก วันนี้รอกินก็พอ”

เมื่ออีกคนว่าอย่างนั้น ฮาจุนจึงนั่งมองมูคยอมทำอาหารอยู่ใกล้ๆ แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย มือใหญ่ก็ขยับได้อย่างชำนิชำนาญ

มูคยอมหั่นมะเขือเทศ หัวหอม และผักโขมออกเป็นชิ้นเท่าๆ กันบนเขียงจนเกิดเสียงฉับๆๆ ก่อนจะตอกไข่ แล้วหยิบเบค่อนที่อยู่ในช่องแช่แข็งออกมาจากภาชนะสุญญากาศ และวางลงบนกระทะตามลำดับอย่างไร้ที่ติ ฮาจุนจ้องมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกประทับใจ ถ้าเป็นเขา เขาคงทำอะไรหกหรือทำไหม้ไปบ้างแล้ว

ขณะที่ฮาจุนกำลังทอดสายตามองนิ้วยาวที่ขยับเคลื่อนไหวอย่างพิถีพิถัน อีกฝ่ายก็หันหลังให้เขา ฮาจุนจึงมองเห็นกล้ามเนื้อหลังที่ขยับทุกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเขย่ากระทะ ระหว่างสายคล้องคอและสายผูกเอวของผ้ากันเปื้อนได้อย่างชัดเจน ฮาจุนจิบนมที่มูคยอมรินให้เขาดื่มพลางเท้าคางมองอีกคน วิวสวยแต่เช้าเลย

“เป็นยังไง”

“อร่อย”

ฮาจุนกินไข่เจียวใส่ผักและเบค่อนย่างกับสลัดเต้าหู้ พลางอุทานออกมาด้วยความชื่นชม พอได้กินแล้ว ความคิดที่ว่าโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา

“ทำอาหารเก่งด้วยเหรอ”

“มีอะไรที่มูคยอมทำไม่ได้บ้างล่ะ”

ฮาจุนตั้งใจจะล้างจานหลังทานอาหารเสร็จ แต่เขาก็ถูกห้ามเอาไว้ อีกฝ่ายบอกว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะมีคนมาทำตอนที่พวกเขาไม่อยู่บ้าน สุดท้ายฮาจุนจึงก้าวหนักๆ ลุกออกไปจากห้องครัว

หลังจากอาบน้ำและเตรียมตัวออกไปข้างนอกเสร็จ มูคยอมก็ถามขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเดินไปที่โรงรถ

“จะขับรถเหรอ ตอนนี้นายคงยังไม่ชิน ให้ฉันไปส่งดีกว่าไหม”

“รบกวนด้วยนะ ฉันกลัวนิดหน่อย เพราะตำแหน่งที่นั่งคนขับไม่เหมือนกันน่ะ ฉันคงต้องฝึกขับรถหน่อยแล้ว”

ถึงแม้ฮาจุนจะมีใบขับขี่ และบางครั้งเขาก็ขับรถแทนรุ่นพี่อยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ฮาจุนจึงไม่ชินกับการขับรถเท่าไรนัก เขายังไม่กล้าขับรถในดินแดนอันไกลโพ้นอย่างลอนดอน มูคยอมหัวเราะพลางหยิบกุญแจออกมา

“ฝึกขับรถก็ดีนะ ถ้าอย่างนั้นเราไปตระเวนเที่ยวกัน แล้วให้อีฮาจุนฝึกขับรถไปในตัวด้วยดีไหม”

ฮาจุนยังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนเริ่มงาน ทั้งสองตั้งใจวางแผน เพราะพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ช่วงเวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด หลังจากฮาจุนเรียนที่สถาบันสอนภาษาเสร็จ และก่อนหรือหลังจากมูคยอมฝึกซ้อมเสร็จ พวกเขาต้องใช้เวลาที่เหลือไปเที่ยวด้วยกัน ดังนั้นการวางแผนที่รัดกุมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

เขาเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบวางแผนการเดินทางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เรื่องนี้เขากลับคิดว่ามูคยอมน่าจะเป็นพวกที่ชอบทำตามอารมณ์ตัวเองมากกว่า ทว่าหลังจากพูดคุยกัน ฮาจุนก็พบว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นคนจำพวกเดียวกัน ไม่รู้ทำไมเขาถึงดีใจ อันที่จริงมูคยอมก็เป็นคนที่รอบคอบไปทุกอย่าง และมีความเป็นเพอร์เฟคชันนิสท์ในเรื่องที่ตัวเองสนใจอยู่แล้ว

เพราะวันนี้เป็นวันแรก คลาสเรียนของโรงเรียนสอนภาษาจึงเป็นเหมือนการปฐมนิเทศมากกว่า บรรดานักเรียนจากหลากหลายประเทศต่างแนะนำตัวด้วยความเคอะเขิน หลังจากได้ฟังหลักสูตร และอ่านเอกสารประกอบการเรียนไม่กี่แผ่น คลาสเรียนในวันนั้นก็จบลง

ถึงกระนั้นฮาจุนก็เก็บกระเป๋าด้วยความพึงพอใจ เพราะเขารู้สึกว่าตนเองได้เริ่มต้นในสิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำจริงๆ แล้ว ออกมารออยู่ที่หน้าตึกยืมรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งใช้ว่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คแล้วแต่ก็รับรู้ได้ถึงการเข้าหาของคนด้านข้าง พอหันไปมองก็พบว่ามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันหน้าตาเป็นมิตรยืนอยู่ เขามีทีท่าเขินอายเล็กน้อยแต่ก็พูดขึ้นด้วยความสดใส

“สวัสดีจุน ตอนที่แนะนำตัวนายพูดชื่อน่ะ จำได้หรือเปล่า ฉันอู่เฉินนะ ได้ยินว่ามาจากเกาหลีใช่ไหม ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“อ่า อืม ยินดีที่ได้รู้จัก”

“นายทำงานอยู่ที่กรีนฟอร์ดจริงๆ หรอ อิจฉาจัง ฉันชอบฟุตบอลมากๆ เลยล่ะ”

“อื้อ ยังอยู่ช่วงฝึกงานอยู่เลย…”

ขณะที่บทสนทนาลื่นไหลไปกับความรู้สึกยินดีเหมือนว่าสามารถหาเพื่อนได้ตั้งแต่วันแรกนั้นดำเนินอยู่ โทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้น ฮาจุนขอตัวก่อนจะกดปุ่มรับสาย เป็นมูคยอมเอง

– เลิกหรือยัง

“อื้อ ออกมาข้างนอกแล้วล่ะ”

– วันแรก เป็นยังไงบ้าง

“ก็โอเคนะ แล้วก็นะ ฉันมีเพื่อนที่สถาบันสอนภาษาแล้ว”

– …หรอ ใกล้จะถึงแล้ว แนะนำให้ฉันด้วยนะ

“ห๊ะ เดี๋ยวสิ คิมมูคยอม”

จู่ๆ จะให้แนะนำงั้นหรอ ฟังเสียงสัญญาณขาดห้วงขณะที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจรถยนต์ที่คุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ประตูฝั่งคนขับเปิดออกเผยให้เห็นเจ้าของรถรูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าเย็นชาและมีสายตาเฉียบคมที่ไม่ได้หาที่ไหนได้ง่าย ๆ ลงจากรถมาด้วยความสง่าผ่าเผย

“โค้ชครับ”

“เอ๊ะ เอ๋…… คิมหรอ”

มูคยอมไม่ได้พูดอะไรค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านข้างของอู่เฉินแล้วปรายตามอง

“คนนี้น่ะหรอ”

“ใช่ เพื่อนสถาบันสอนภาษาที่เจอกันวันนี้น่ะ ชื่ออู่เฉิน มาจากไต้หวัน”

“หืม……”

มูคยอมปราดตามองเขาคนนั้นด้วยหางต่างอย่างสงสัย ดูเป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่สำหรับคนที่ชื่นชอบฟุตบอลอย่างอู่เฉินแล้วการเสียมารยาทของมูคยอมนั้นไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่นิดเดียว

“สวัสดีครับ คิม! ผมเป็นแฟนคลับของคิมเลยนะครับ พอได้มาเจอกันอย่างนี้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ ว้าว ได้ยินว่าจุนทำงานอยู่ที่กรีนฟอร์ดด้วยแต่ไม่คิดว่าจะสนิทกับคิมขนาดนี้….. ไม่ทราบว่าขอลายเซ็นต์หน่อยได้ไหมครับ”

“ครับ ผมก็เป็นเกียรติเช่นกันครับ”

เมื่อเทียบกับอู่เฉินที่เต็มไปด้วยดวงเป็นประกายและความยินดีแล้วท่าทีของมูคยอมก็รู้สึกไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอะไร แต่กลับกันเขาก็ตอบรับอย่างมีมารยาทและเซ็นต์ให้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยื้นสมุดโน็ตที่เซ็นต์แล้วให้กับอู่เฉิน มูคยอมค่อยๆ โอบหลังของฮาจุนเข้ามา

“ถ้าอย่างนั้น พวกเรายุ่งอยู่ ขอตัวก่อนนะครับ”

“ครับ! ขอบคุณมากๆ เลยครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ จุน เจอกันคาบหน้านะ!”

หันหลังให้เพื่อนใหม่ที่ดีใจจนเนื้อเต้น มูคยอมและฮาจุนก็ขึ้นรถไปด้วยกัน บทสนทนาของทั้งสองราบเรียบจนฮาจุนเองก็รู้สึกวางใจ อีกทั้งยังกังวลว่าจะสงสัยอะไรแปลกๆ หรือไม่หยิบเอามาเป็นประเด็นหรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าเป็นการเซอร์วิสแฟนคลับอย่างหนึ่ง แต่ว่าพอขึ้นรถ สิ่งที่ออกมาจากปากของมูคยอมก็ไม่เป็นอย่างที่ฮาจุนคาดคิด

“เรื่องหมอนั่นไม่น่าห่วงเลยสักนิด”

“ทำไมล่ะ”

“ก็หน้าตาไม่ดี”

ฮาจุนได้แต่พูดอะไรไม่ออก การเอาเรื่องหน้าตาคนอื่นมาพูดแบบนี้ยังไงมันก็เป็นการเสียมารยาทมากๆ อู่เฉินในสายตาของฮาจุนแม้ไม่ได้มองว่าหล่อเหลาอะไรแต่ก็เป็นรูปลักษณ์ที่น่าประทับเลยทีเดียว

‘แต่ถ้าเข้าข้างอู่เฉินก็คงจะหัวเสียมากกว่านี้ล่ะมั้ง……’

ขอโทษเขาด้วยแต่ขอเลือกฝั่งอย่างเงียบๆ ก็แล้วกัน ระงับอารมณ์ที่อยากโต้กลับไปอย่างยากลำบาก แต่มูคยอมก็ยังไม่รู้ตัวเลยพูดต่อ

“ถึงหมอนั่นดูไม่น่ามีเจตนาแอบแฝงอะไรกับนายก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีนะ เข้าใจไหม”

“เฮ้อ เข้าใจแล้ว”

ฮาจุนตำหนิราวกับขอให้หยุด มูตยอมหัวเราะชอบใจก่อนจะโน้มตัวไปประทับริมฝีปากที่ข้างแก้ม ทันทีที่ริมฝีปากแตะกันฮาจุนก็อารมณ์ดีขึ้นแล้วพวกเขาจูบกัน ก่อนที่มูคยอมจะถามขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังไม่น้อย

“ที่สถาบันเป็นยังไงบ้าง ชอบไหม”

“อื้อ วันนี้เพิ่งวันแรกก็เลยได้แต่ปฐมนิเทศน่ะ”

ฮาจุนหัวเราะออกมาอย่างเหลือเชื่อ

“ทุกคนก็ทำตัวไม่ถูกกันหมด ได้แค่แนะนำตัวเท่านั้นเอง”

ทั้งสองยุ่งตั้งแต่วันแรก ตอนบ่ายมูคยอมเดินเลียบไปตามถนนข้างกายฮาจุน โดยมีเสื้อฮู้ดตัวโคร่งและแว่นกันแดดปิดบังใบหน้า

แต่ถึงจะปิดบังใบหน้าแบบนั้นแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเหลือบมองเขาเลย ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครที่ถึงกับเดินเข้ามาใกล้ เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาคือมูคยอมหรือเปล่า มูคยอมหัวเราะอย่างประหลาดใจ พลางยกแขนขึ้นพาดไหล่อีกคน

“เป็นอะไร”

“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้สิบปีแล้ว แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันตั้งใจมาสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ ฉันเคยพาคุณลุงมาเที่ยวนะ แต่คุณลุงก็อยู่ไม่นานนักหรอก อะไรแบบนี้มันก็ตลกดี”

ทั้งสองค่อยๆ แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามแผนที่วางเอาไว้ เช่น หอนาฬิกาบิ๊กเบน มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ และพระราชวังบักกิงแฮม ที่มองเห็นไกลๆ ตั้งแต่นั่งอยู่ในรถ แม้ตัวอาคารจะอลังการงานสร้าง แต่อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่มืดครึ้มไปนิด เขาถึงรู้สึกว่ามันคือความสวยงามที่หมองหม่นมากกว่าความหรูหรา สถานที่ท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวนั้น ถึงแม้จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความโดดเดี่ยว ฮาจุนเผลอพูดกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว

“ช่วงนี้ยังเป็นฤดูหนาวอยู่ ที่ไหนก็หนาวไปหมดเลยแฮะ”

“นี่มันบรรยากาศของลอนดอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

มูคยอมตอบแบบนั้น พลางจับมือของฮาจุน หรือไม่ก็พาดแขนลงบนไหล่อีกคน ไม่คิดจะห่างกายไปไหน ฮาจุนเป็นคนเดียวที่วิตกกังวลว่าจะมีใครจำมูคยอมได้

พวกเขาถ่ายรูปด้วยกันหลายที่ด้วยโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่พวกเขาจะเดินผ่านไปเห็นร้านขายของที่ระลึกเข้าพอดี ฮาจุนแวะเข้าไปที่นั่นครู่หนึ่ง เพื่อเลือกซื้อของขวัญที่จะส่งไปให้ครอบครัวของตน

“อันนี้น่ารักนะ เอาอันนี้สิ”

ระหว่างที่ฮาจุนกำลังมองดูพวงกุญแจหลากหลายดีไซน์มูคยอมที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็พูดขึ้น มันคือพวงกุญแจรูปตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของลอนดอน ฮาจุนหัวเราะและหันมองอีกคน

“ถ้านายชอบ ฉันซื้อให้นายอันนึงดีไหม”

เขาอายที่จะถาม เพราะมันคงเป็นสิ่งของที่เล็กน้อยเกินไป สำหรับคนที่ใช้แต่ของแบรนด์เนมราคาแพงไปหมดทุกอย่างอย่างมูคยอม ดังนั้นฮาจุนจึงยิ่งรู้สึกขอบคุณ ที่อีกฝ่ายช่วยเลือกของขวัญให้เขาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นมูคยอมก็เบิกตากว้าง

“โอ้ จริงเหรอ จะให้ฉัน”

“แค่นี้เอง จะเท่าไหร่…”

“ดีอยู่แล้วสิ! โค้ชอีจะให้ของขวัญฉันทั้งที”

มันเป็นของที่ระลึกที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ฮาจุนกลับรู้สึกเขินอาย เพราะมูคยอมดูชอบมันมากกว่าที่คิด อีกฝ่ายรวยกว่าเขามาก เขาจึงยังไม่เคยให้ของขวัญที่สมกับเป็นของขวัญเลยสักครั้ง

แน่นอนอยู่แล้วว่าจำนวนเงินไม่ได้สำคัญเลยสำหรับของขวัญ ฮาจุนหน้าแดงเพราะรู้สึกละอายกับความใจแคบของตัวเอง ก่อนจะไปจ่ายเงิน

แล้วพวกเขาก็แวะตลาดขายอาหารที่มีร้านตั้งอยู่ริมทาง เคยได้ยินว่าที่อาหารที่อังกฤษไม่อร่อย แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย และฮาจุนก็ชอบฟิชแอนด์ชิปส์ด้วย พวกเขาแวะร้านที่มูคยอมชอบ และดื่มเบียร์อยู่ท่ามกลางกล่องกระดาษที่เต็มไปด้วยปลาและมันฝรั่งทอด ปกติแล้วมูคยอมเป็นคนที่ควบคุมอาหาร แต่ตอนเดทถือเป็นข้อยกเว้น

และแน่นอนว่าเขาไปชมการแข่งขันของกรีนฟอร์ดด้วย มูคยอมบอกว่าจะเตรียมที่นั่งวีไอพีให้เขาแล้ว แต่ฮาจุนก็ปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ ถึงเขาจะอยากรู้ว่าที่นั่งวีไอพีแบบที่เคยเห็นแต่ในทีวีนั้นของจริงเป็นยังไง แต่ฮาจุนก็อยากสัมผัสบรรยากาศที่แท้จริงแบบที่ควรจะเป็น ให้สมกับที่เป็นการแข่งขันที่กรีนฟอร์ดครั้งแรกที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองสักหน่อย

ฮาจุนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ประเดประดังเข้ามาทันทีที่มาถึงสนามแข่ง และถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้ว แต่ความคึกคักของแฟนๆ รอบสนามนั้นกลับเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก ในนั้นมีหลายคนที่สวมยูนิฟอร์มของมูคยอม และเขาก็ยังเห็นคนที่กำลังถือป้ายต้อนรับการกลับมาของมูคยอมอีกด้วย แถมยังมีคนที่ส่งเสียงเชียร์และตะโกนแผดเสียงเหมือนคนเมาเหล้าอีกต่างหาก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้าตาเข้มงวดหลายนายประจำการอยู่ใกล้กับสนามแข่ง และฮาจุนคิดว่าตัวเองพอจะรู้ว่าทำไม

เป็นครั้งแรกฮาจุนจับตามองการแข่งขันพร้อมกับกอดหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม หลังจากเริ่มครึ่งแรกได้ไม่นาน มูคยอมก็ทำประตูได้อย่างน่าภาคภูมิใจ บรรดาผู้ชมต่างโห่ร้องด้วยความยินดี และหลังจากได้เห็นมูคยอมทำท่าฉลองที่ทำประตูได้ พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงเบาๆ

[น่ารัก]

[ทำให้ฉันเหรอ]

ผู้ชมสองสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮาจุนต่างพากันตัวเราะคิกคักพร้อมกับรับส่งมุกตลกกัน ในระหว่างนั้นเองมูคยอมชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ และทำท่าหัวใจดวงโต โชว์ให้ที่นั่งของผู้ชมฝั่งหนึ่งได้เห็น ไม่มีใครรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของท่าทางที่มูคยอมทำนั้นคืออะไร ยกเว้นฮาจุนคนนี้ที่ใบหน้ากำลังขึ้นสีแดงเรื่อ

ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเขาก็ซื้อของหลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า ถึงแม้บางครั้งมูคยอมจะหาเวลาไปช็อปปิง ทว่าบางครั้งถึงพวกเขาจะเที่ยวชมสถานที่อื่นกันอยู่ แต่หากอีกฝ่ายเห็นห้างสรรพสินค้าหรือช็อปขายสินค้าแบรนด์เนมขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เป็นต้องชวนเสมอว่าไหนๆ ก็มาแล้วก็เข้าไปช็อปปิงกันเถอะ

ฮาจุนคงจะไม่ชินกับการช็อปปิ้งแบบที่เปิดประตูพรวดเข้าไป แล้วใช้เงินจนต้องอ้าปากค้าง ทิ้งไว้แต่ที่อยู่เพื่อรับสินค้า ก่อนจะออกไปมือเปล่า ฮาจุนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่กี่วัน ทั้งห้องแต่งตัวและในแต่ละห้องของคฤหาสน์ใหญ่โตนั้นก็เต็มไปด้วยของฮาจุนที่่ซื้อเข้ามาใหม่ไม่รู้จบ

เวลาเที่ยวเล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่แล่นฉิว ไม่ทันไรก็เหลือวันหยุดอีกแค่หนึ่งวันก่อนเริ่มงานเสียแล้ว ทั้งสองเดินวนรอบหอศิลป์แห่งชาติ ซึ่งเป็นเส้นทางสุดท้ายของแผนการเดินทางช้าๆ ตั้งแต่เช้า

พวกเขาไม่ได้มีความรู้ด้านการวาดภาพเป็นพิเศษ ทั้งสองจึงเดินช้าๆ และจริงจังกับการพูดคุยเรื่องไร้สาระ อย่างเช่น ภาพนี้ลงสีสวย สีหน้าของคนในภาพตลกดี แต่ระหว่างนั้น มูคยอมที่เพิ่งจะชื่นชมภาพนู้ดของวีนัสที่วาดขึ้นในช่วงปี 1500 ก็ถามขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้

“นายจะไม่จัดการจริงเหรอ”

“หือ”

“ตรงนี้น่ะ”

มือของมูคยอมชี้ไปที่หว่างขาขาวผ่องของเทพี นี่อีกฝ่ายคิดเชื่อมโยงอะไรแปลกๆ กับภาพวาดที่ถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุคตรงหน้างั้นเหรอ ฮาจุนมองไปรอบๆ แล้วรีบจับมือของอีกฝ่ายลง

“บอกว่าไม่ไง”

“พรุ่งนี้ต้องไปสนามซ้อมแล้วนะ จะไม่ทำจริงๆ เหรอ”

“ไม่ทำ “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องซ้อมสักหน่อย ถึงนายจะบอกว่านักเตะทำกันทุกคนก็เถอะ แล้วก็ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นเป็นนักกีฬาด้วย”

มูคยอมไม่ถามต่อ อีกฝ่ายยักไหล่แล้วย้ายไปดูภาพถัดไป

* * *

และในที่สุดวันแรกของการทำงานก็มาถึงจนได้

ฮาจุนที่รู้สึกตื่นเต้นกำลังเดินตามหลังโค้ชรุ่นพี่ที่ช่วยนำทางเขาไปทั่วสนามซ้อม เขาต้องลำบากกับการควบคุมความรู้สึกประทับใจที่หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

เขาคิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แต่สิ่งอำนวยความสะดวกในประเทศนั้นเทียบไม่ได้เลยในทุกๆ ด้าน นอกเหนือจากสนามซ้อมกลางแจ้งแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในร่มที่น่าประทับใจเป็นพิเศษ นอกจากจะมีสระว่ายน้ำทั่วไปแล้ว ยังมีสระส่วนตัวสำหรับให้นักกีฬาบำบัดใต้น้ำ สปากายภาพบำบัด อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการออกกำลังกายในร่มต่างๆ ตั้งแต่พิลาทิสไปจนถึงครอสฟิต และเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า เป็นต้น แน่นอนว่าที่นี่มีทุกอย่างที่นักกีฬาต้องการ รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับวัดสมรรถภาพทางกายที่ทันสมัยด้วย

ดีแล้วล่ะที่มา ฮาจุนรู้สึกภูมิใจในการเลือกของตัวเองอีกครั้ง

[ฝากด้วยนะ จุน หวังว่าคุณจะมีวันดีๆ ที่กรีนฟอร์ด]

[ครับแฮร์รี่ ฝากตัวด้วยนะครับ]

ฮาจุนยิ้มพลางจับมือกับโค้ชรุ่นพี่ที่ช่วยนำทางเขาเบาๆ เขาสามารถเข้าใจในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดมากกว่าที่เคยกังวลเอาไว้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตั้งใจพูดช้าๆ เพื่อช่วยเหลือฮาจุนที่เป็นชาวต่างชาติ

ป้ายชื่อที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษอยู่นั้นดูไม่คุ้นตา พลันหายใจเข้าลึกๆ เป็นระยะและพยายามอดกลั้นระงับหัวใจที่กำลังเต้นตูมตามพอได้สัมผัส

หลังจากกวาดตามองสิ่งอำนวยความสะดวกในร่มทั้งหมดแล้ว ฮาจุนก็เดินไปตามทางเดินไปเชื่อมไปยังสนามซ้อม ระหว่างทางเดินออกไปนั้น มีภาพนักเตะหลายคนจากอดีตจนถึงปัจจุบันของทีมแขวนอยู่บนผนังทั้งสองฝั่ง ฮาจุนมองผ่านภาพถ่ายด้านข้างของมูคยอมที่กำลังมองไกลออกไปที่ไหนสักแห่ง และออกมายืนอยู่ที่สนามซ้อมกลางแจ้งของกรีนฟอร์ด

มูคยอมปรากฏในกรอบสายตาของเขาอยู่ไกลๆ อีกฝ่ายยืนอยู่กับนักเตะสองสามคน พวกเขาพูดคุยกันและกำลังหัวเราะ

ในบรรดานักเตะ มีทั้งคนขาว คนดำ และบางคนก็ดูเหมือนจะมีเชื้อสายละติน และเพราะเขาไม่ได้เห็นคนที่เว้นระยะห่างและเข้ากับคนอื่นได้ยากอย่างที่เคยเห็นบ่อยๆ ที่ซิตี้โซลจากมูคยอม คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ความคิดหนึ่งจึงแวบเข้ามาในหัวของฮาจุน

อ่า สำหรับมูคยอมแล้วที่นี่คือบ้านจริงๆ สินะ

ฮาจุนเพิ่งได้ตระหนักว่ากว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เขาอยู่ข้างๆ มูคยอมก็ต้องใช้เวลามากพอสมควรเหมือนกัน

ทุกคนต่างบอกว่ามูคยอมเข้าถึงยาก เพราะบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่เป็นมิตร พวกเขาพูดถูก แต่มูคยอมไม่ใช่แค่ไม่เป็นมิตร แต่เป็นคนที่ระมัดระวังมากต่างหาก

มูคยอมเปิดใจช้า เพราะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ มูคยอมอยู่ที่กรีนฟอร์ดมาตั้งแต่อายุสิบเก้าปี และนั่นก็เกือบสิบปีแล้ว มูคยอมจึงแสดงท่าทีที่เป็นกันเองแบบนั้นออกมา

พอคิดอย่างนั้นแล้ว การที่เขากลายเป็นคนรักของอีกฝ่ายได้ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่พิเศษหรอกเหรอ

ฮาจุนรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ก่อนจะรู้สึกเขินอายที่มาคิดอะไรแบบนี้อยู่คนเดียว ฮาจุนกระแอมไอและให้กำลังใจตัวเอง จากนั้นโค้ชรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาใกล้ก็เตรียมที่จะแนะนำฮาจุนให้เหล่านักเตะได้รู้จัก ตั้งแต่ก่อนเขาจะได้พูดมูคยอมก็กำลังยิ้มด้วยความพึงพอใจ

มูคยอมจับเอวของเขาเอาไว้ ก่อนจะดันเบาๆ แล้วดึงกลับมาใหม่ ฮาจุนเผลอครางออกมา เมื่อถูกความอึดอัดอันแสนหนักหน่วงดันขึ้นมาจากด้านล่าง เขาจับต้นขาของมูคยอมเอาไว้ และพยายามจะหยัดกายขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่มูคยอมก็ไม่ยอมปล่อยเอวของคนที่พยายามจะลุกขึ้นให้เป็นอิสระ

“ฉันถึงกังวลไง นายไม่ควรทำแบบนั้นกับคนอื่นนะ นายจะไม่ทำอย่างนั้นใช่ไหม”

“อะ อึ๊ก ไม่ทำ กับคน อื่นหรอก อะ อ๊ะ!”

ฮาจุนส่ายศีรษะพลางตอบอย่างรวดเร็ว แต่เพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงมา ตัวตนของอีกฝ่ายจึงสอดใส่เข้ามาได้เร็วกว่าปกติ เมื่อมูคยอมเด้งเอวขึ้นเบาๆ แก่นกายก็แทรกเข้าไปจนสุดโคนในทันที ต้นขาที่แข็งแรงแนบชิดกับก้นที่นุ่มหยุ่นอย่างไร้ช่องว่าง

ระหว่างที่ฮาจุนกำลังเอนหลังพลางสูดลมหายใจ มูคยอมก็สอดแขนเข้าใต้เข่าของคนที่กางขาอยู่บนร่างตน แล้วยกขึ้น ท่อนขาของเขาถูกชูขึ้นสูงอยู่กลางอากาศ ฮาจุนมีเพียงร่างกายของมูคยอมเท่านั้นที่รองรับตัวเขาอยู่ และก่อนที่เขาจะจัดการกับความสับสนได้ ร่างกายของเขาที่ถูกจับเอาไว้ก็ขยับขึ้นลงเสียแล้ว

“ฮึก อะ อ๊ะ! อ๊า…!”

ความรู้สึกยามของแข็งครูดผนังด้านในและทะลุทะลวงไปจนสุดทาง ทำให้ฮาจุนน้ำตาซึม ร่างกายเขากระตุกราวกับหน้าต่างที่ต้องลม

“อ่า ได้ทำในรอบสิบวัน รู้สึกดี เป็นบ้า”

“ฮึกกก อะอึก อ๊ะ!”

แก่นกายรุกล้ำเข้ามาข้างในด้วยความเร็วที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทุกครั้งที่อีกฝ่ายดันตัวตนเข้ามาในกาย มันทะลวงลึกจนน่ากลัว ขนลุกชูชันทั่วร่างที่เปียกแฉะเพราะน้ำอุ่น และหลอมละลายเพราะความสุขสมอันนุ่มนวล

ทุกครั้งที่ร่างเขาขยับลงมา ฮาจุนมักจะดันต้นขาของมูคยอมออกโดยไม่รู้ตัว และทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้น มูคยอมก็จะกดร่างที่กำลังกอดเอาไว้ให้ลึกยิ่งขึ้น จากนั้นมูคยอมคงคิดว่าท่านี้มันยากเกินไป อีกฝ่ายจึงหยัดกายขึ้น แล้ววางฮาจุนลงในที่ที่ตนเองเคยนั่งอยู่

“นายคงเหนื่อยกับการเดินทางแล้ว นอนให้สบายเถอะ”

“อะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”

มูคยอมจับข้อเท้าเขายกขึ้นข้างหนึ่ง ปล่อยอีกข้างให้จมลงในน้ำ และเสือกไสลึกเข้ามาในร่างกายเขาอีกครั้ง เสียงน้ำที่สาดกระเซ็นกระทบเพดานสูงดังขึ้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเข้าออกผ่านหว่างขาที่อ้าออกกว้างอย่างสุดแรง

ขอบอ่างอาบน้ำที่เตี้ยและกว้างพอที่จะวางร่างกายท่อนบนนอนลงได้นั้น ทำจากหินอ่อนแปรรูป และไม่สามารถยึดร่างกายที่เปียกชุ่มไม่ให้เคลื่อนไหวได้ ร่างกายของฮาจุนที่ถูกกระแทกเลื่อนไถลไปด้านบนตามแรงของมูคยอม มูคยอมสอดประสานมือที่ห้อยลงบนพื้นและดึงเข้ามา เมื่อกระชับนิ้วมือขาวที่จับเอาไว้ ทันใดนั้นรอยยิ้มบางๆ ทว่าแฝงความอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของมูคยอม

“อ๊ะ อ๊า! อ๊า!”

ฮาจุนครางออกมาทุกครั้งที่อีกฝ่ายกระแทกเอว ใครก็ตามอาจจะหัวเราะเยาะว่าไม่เหมาะไม่ควรแต่มันคือการสานสัมพันธ์สิบวันที่ยาวนานเกินไปสำหรับพวกเขาทั้งคู่เท่านั้นเอง เส้นเลือดแดงที่ลำคอและกล้ามเนื้อของมูคยอมขยับไปมา กล้ามเนื้อทั้งหลายที่จารึกอยู่บนแผ่นอกหนา เชิงไหล่กว้าง และแผ่นหลังราวกับรูปสลักนั้น เกร็งแน่นแล้วค่อยๆ คลายตัวซ้ำไปซ้ำมา หากมีใครมองเขาจากทางด้านหลังแล้วล่ะก็ คนๆ นั้นคงเห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นขนาดไหน

มูคยอมกระแทกกระทั้นรัวเร็ว ขณะที่มูคยอมกำลังตอกกายเข้ามาจนสุดโคน กระทบก้นงอนจนเกิดเสียงดังเผียะๆ คนที่กำลังโยกเอวพลางบีบมือที่จับเอาไว้อย่างฮาจุนก็น้ำตาซึมออกมาราวกับทนไม่ไหว

“คิม มูคยอม ฮึกก! ชะ ช้า หน่อย…”

“โทษที ตอนนี้ฉัน ควบคุม แฮ่ก ตัวเองไม่ได้”

“อือฮึก ฮื่อ อ๊ะ! เร็ว เร็วไป แล้ว อึ๊ก!”

“อา ฟู่วว…”

อดทนไว้ ใจเย็นๆ

มูคยอมบอกตัวเองซ้ำๆ พลางโน้มตัวลงมากอดฮาจุนเอาไว้ พยายามไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นจนเกินไป

ในที่สุดแฟนหนุ่มผู้น่ารักของเขาก็ตามมาถึงลอนดอน ที่ๆ มีแค่พวกเขาสองคนตามลำพังจนได้ ใจจริงแล้ว มูคยอมอยากครอบครองฮาจุนตลอดทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ หากเสียสติไปเพียงนิดเดียว เขาอาจกระแทกอีกคนจนสลบไปเลยก็ได้

ร่างกายของฮาจุนยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางด้วยเครื่องบินกว่าสิบชั่วโมง หากถูกเขาเอาเปรียบ จนจับไข้แล้วสลบไสลเป็นวันๆ ล่ะก็ต้องแย่แน่ ฮาจุนเพิ่งมาถึง อีกฝ่ายคงมีหลายที่ที่อยากไป มีหลายสิ่งที่อยากทำ เขาจะทำให้ฮาจุนคิดว่าตัวเองมาเสียเที่ยวทันทีที่มาถึงไม่ได้

มูคยอมไม่ได้เข้าไปในร่างกายของฮาจุนมาเนิ่นนาน เขาลุ่มหลงกับร่างกายนี้มากกว่าความทรงจำที่คิดถึงทุกคืนเสียอีก มันทั้งร้อนรุ่ม ราบรื่น นุ่มนิ่ม และถึงแม้ช่องทางจะหดตัวคับแคบลง แต่มันก็ขยายออกเท่าขนาดแก่นกายของเขา และดูดกลืนตอดรัดแก่นกายอย่างหนักหน่วง ราวกับอยากให้เข้ามาลึกๆ เหมือนกับตอนที่ใช้ปากปรนเปรอให้กันก่อนหน้านี้

มูคยอมละมือจากร่างกายที่ขย่มอยู่บนตัวเขา ถึงแม้การอดทนจะไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่เมื่อต้องทำเขาก็ไม่มีทางเลือก มูคยอมคว้าอวัยวะที่เคยจับเอาไว้ในมือเข้ามาจรดที่ริมฝีปาก

“อ๊ะ มะ ไม่… อย่าทำ… มันสกปรก…”

มูคยอมจูบลงบนข้อเท้าที่ตัวเองเคยจับเอาไว้ จากนั้นก็อมนิ้วเท้าที่สะท้อนแสงระยับราวกับลูกปัดเข้าไปในปาก ก่อนจะดูดเลียมัน และเมื่อเขางับเข้าที่ปลายนิ้วก้อย ฮาจุนก็สั่นสะท้านและเกร็งไปทั้งท่อนขาในทันที อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าการทำแบบนั้น มันเกร็งมาถึงบั้นท้าย และตอดรัดข้างในจนแน่นไปด้วย

เมื่อมูคยอมแลบลิ้นออกมา แล้วลากผ่านส่วนที่เชื่อมนิ้วเท้ากับฝ่าเท้า ฮาจุนก็หงายศีรษะไปด้านหลังและส่งเสียงร้องออกมาทันที

“อย่า ฮ่ะ อึกก อย่าทำ…”

“ล้างแล้วนี่ สกปรกตรงไหน”

“ตะ แต่ อื้มม นั่นมันเท้านี่ อ๊ะ…”

มูคยอมไม่ตอบ เขาทำเพียงอมนิ้วเท้าของอีกคนไว้ในปาก แล้วดูดมันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ ราวกับว่าเขาจงใจทำแบบนั้น ความรู้สึกประหลาดหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากความรู้สึกจั๊กจี้ในจุดที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะถูกกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ นั่นทำให้ใบหน้าของฮาจุนร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

เขาเขินอายกับความรู้สึกนั้น จึงกัดริมฝีปากไว้แน่น และพยายามจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของอีกคน ทว่ามือแกร่งของมูคยอมนั้นไม่ต่างอะไรจากโซ่ตรวน

มูคยอมปล่อยนิ้วเท้า แล้วไล้ผ่านส่วนเว้าของฝ่าเท้า ก่อนจดจ่ออยู่กับการเลียหลังตาตุ่ม ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ขยับเอวช้าลง เมื่อผนังด้านในที่ร้อนระอุถูกเสียดสีเบาๆ ด้วยลูกสูบอันทรงพลัง ฮาจุนก็หายใจหอบราวกับขยับตามการเคลื่อนไหวของมูคยอมไม่ไหว มีความอ่อนหวานปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“อะ… อา แฮ่กก อ๊ะ….”

“ชอบให้ทำช้าๆ แฮ่ก มากกว่าเหรอ”

“อะ ชะ ฮึกก อื้อ ชอบ ชอบ…”

“แปลกแฮะ โค้ชอีของฉันน่ะ ถึงจะทำแรงๆ แต่เขาก็ชอบนี่… ผ่านไปไม่กี่วัน ก็เปลี่ยน ฟู่ รสนิยมซะแล้วเหรอ?”

“ชอบ อือ ฮึก! ชอบ แต่วันนี้ วันนี้มัน…”

ร่างกายของฮาจุนกระตุกสั่น เมื่อมูคยอมกดเอวเข้าไปจนสุดและกระตุ้นจุดกระสันอย่างช้าๆ

มูคยอมมองเห็นต้นขาที่แนบชิดกับร่างกายเขากำลังเกร็ง และเมื่อมูคยอมลามเลียไปถึงเข่าด้านใน ไม่นานฮาจุนก็เอนกายพิงไปข้างหลังและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระดูกเชิงกรานที่กระตุกสั่นราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ซิกแพคที่แบนเรียบ ก่อนจะกระเพื่อมขึ้นอย่างรวดเร็วซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มูคยอมทอดสายตามองฮาจุนที่ไม่สามารถอดทนต่อความสุขสม ที่รู้สึกได้ในส่วนลึกของร่างกาย และแสดงออกมาอย่างพึงพอใจ

“ฮื่อ อือ แฮ่ก อึ๊ก…! อั่ก อาอ๊ะ อ๊า!”

ฮาจุนปล่อยเสียงครวญครางอันหวานหูออกมาราวกับน้ำพุ ดูเหมือนว่าการกระตุ้นที่เชื่องช้าและบางเบาจะทำให้ร่างกายที่อ่อนแรงพบกับความสุขสมอันล้ำลึก

ภายในร่างเขาก็สั่นไหวไม่ต่างจากร่างกายที่มองเห็นภายนอก มูคยอมหอบหายใจ ทั่วทั้งร่างกายเขารู้สึกได้ถึงผนังด้านในของฮาจุน ที่ถึงแม้จะไม่ขยับก็ตอดรัดตัวตนของเขาจนแน่นขนัด และในวินาทีที่ห้วงอารมณ์กำลังไต่ระดับถึงจุดสูงสุด เขาก็จับต้นขาของอีกคนเอาไว้แน่น แล้วดันสะโพกจนสุดความยาว

ร่างกายของคนที่ถูกกระแทกลึกเข้าไปข้างในยามถึงจุดสุดยอดสั่นสะท้านแรงกว่าเก่า ฮาจุนร้องเสียงหลง ก่อนที่น้ำรักสีขาวขุ่นจะพวยพุ่งทะลักออกมาจากแท่งร้อนที่สั่นไหวเบาๆ ก่อนหน้านี้ และเปรอะเปื้อนหน้าท้องของทั้งสองคน มูคยอมใช้มือปาดของเหลวเหล่านั้นขึ้นมาเลีย เขาไม่ได้ชิมรสชาตินี้มานานแล้วเหมือนกัน

ฮาจุนอ่อนระโหยโรยแรงหลังจากปลดปล่อย ร่างกายสั่นสะเทือนอย่างหมดแรงทุกครั้งที่บั้นท้ายถูกกระทบเบาๆ มูคยอมมองลงที่เบื้องล่าง

เมื่อแว็กซ์ขนออกไปแล้ว เขาก็มองเห็นอวัยวะที่รุกล้ำเข้าไปในช่องทางของฮาจุนโดยไร้สิ่งใดบดบัง พอเห็นแบบนั้นแล้ว ความเป็นชายของเขาก็ตั้งชันและแข็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“เห็นตอนที่มันเข้าไปในตัวนายชัดเจนเลย”

“อืม ฮึ่กก อะไร…”

“ดูสิ”

มูคยอมวาดแขนโอบรอบแผ่นหลัง แล้วยกร่างกายท่อนบนของฮาจุนขึ้นเล็กน้อย ฮาจุนทอดสายตาลงตามอีกคนด้วยสายตาเหม่อลอย และเมื่อเห็นภาพแก่นกายอันเขื่องที่ชุ่มฉ่ำมันวาวค่อยๆ สอดใส่เข้ามาในตัวเขา เขาก็รีบเบือนหน้าหนีทันที มุมปากทั้งสองข้างของมูคยอมกระตุกยิ้ม

“รัดแน่นกว่าเดิมอีก แสดงว่านายตื่นเต้นล่ะสิ”

“อ๊ะ ฮึก! มะ ไม่…”

มูคยอมดึงร่างที่กำลังโอบเอาไว้เข้ามากอด แล้วนั่งลงในน้ำ เมื่อทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน ฮาจุนก็ยกแขนขึ้นคล้องคอมูคยอม มือใหญ่เสยผมหน้าม้าเปียกๆ ของฮาจุนไปด้านหลัง ก่อนประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากขาว

ฮาจุนหลับตาลง ทันทีที่มาถึงเขาก็ยุ่งอยู่กับการทำออรัลเซ็กซ์ และร่างกายที่รองรับตัวตนของมูคยอมทางด้านหลังก็หนักอึ้งเหมือนสำลีที่ชุ่มน้ำ หลังจากแตะจุดสุดยอดไปครั้งหนึ่ง สติเขาก็อ่อนล้าในทันที

แต่ร่างกายที่สอดประสานกันยังคงดำเนินต่อไป และแก่นกายที่เข้ามาเติมเต็มอยู่ในท้องก็ยังคงขยับไปมา

“อือ แฮ่ก อา…”

มือใหญ่ลูบบั้นท้ายกลมใต้น้ำ และค่อยๆ แหวกก้นทั้งสองข้างออกจากกัน ฮาจุนขนลุกซู่ เมื่อรู้สึกว่ารูจีบที่เคยปิดสนิทนั้นขยายออกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะเอาแต่กลืนกินแก่นกายอันเขื่อง เขาเผลอขมิบแน่นโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะรู้สึกว่ามีน้ำทะลักเข้ามาข้างใน

จากนั้นมูคยอมก็ถอนหายใจ พลางคว้าบั้นท้ายของฮาจุนเอาไว้ แล้วยกขึ้นช้าๆ ครั้งนี้มูคยอมกดลงบนกระดูกเชิงกราน และลากเข้ามาหาตน

“อา อึก ฮื่อออ…”

จ๋อมๆ เสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆ และช้าๆ ทิ้งช่วงห่างเป็นระยะๆ ขณะที่มูคยอมกำลังสอดใส่ทางด้านหลังอย่างช้าๆ ฮาจุนก็พิงใบหน้าลงบนไหล่ของมูคยอม และครางเบาๆ ไม่ต่างจากเสียงน้ำที่กระเพื่อมนั้นเลย หลังจากได้ลิ้มรสชาติของจุดสุดยอดไปครั้งหนึ่ง ภาพตรงหน้าเขาก็สั่นไหว แม้จะถูกกระตุ้นเบาๆ ก็ตาม

มูคยอมจับร่างของฮาจุนไว้บนตัก และขยับขึ้นลงแบบนั้น ก่อนจะเข้ามากระซิบด้วยน้ำเสียงที่เร่าร้อนอีกครั้ง

“ฉันอยากปล่อยใน อดทนต่ออีกนิดได้มั้ย”

“ฮ่ะะ อื้อ อื้มม”

“ถ้าทำในน้ำ ฟู่ว จะเหนื่อยน้อยกว่า”

หลังจากพูดจบ มูคยอมก็ดึงฮาจุนที่พยักหน้าเข้ามากอด และโยกกายอย่างสุดแรง เสียงน้ำที่กระเพื่อมเบาๆ ราวกับระลอกคลื่นริมทะเลสาบอันเงียบสงบ กลับรุนแรงขึ้นและขูดข่วนแก้วหูของฮาจุนราวกับคราด

“อึ๊ก ฮื่ออ อะ อึก”

ดูเหมือนว่าร่างกายจะเบาลงเมื่ออยู่ใต้น้ำจริงๆ อย่างที่มูคยอมพูด เขาจึงอดทนต่อแรงจากด้านล่างที่กระแทกเข้ามาที่บั้นท้ายได้ง่ายขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าแรงที่กระแทกลึกเข้ามาข้างในนั้นเบาบางลงไปด้วย

“อะ อ๊ะ อ๊า…!”

เมื่อร่างกายที่อ่อนล้าได้รับการผ่อนคลายในน้ำอุ่น ความสุขสมอันมหาศาลก็เหมือนกับสาดซัดมาจนถึงหลอดลม มันยิ่งทวีความรุนแรงและชัดเจนมากยิ่งขึ้น เส้นผมเปียกแฉะ เขารู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายหลอมละลายราวกับของเหลว และน้ำนั่นก็ไหลออกมาจากดวงตา

มูคยอมสอดใส่เข้าไปในตัวฮาจุนอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ปลดปล่อยออกมา ตอนนั้นคนที่ขยับอยู่บนตัวเขา และถูกแทงเข้าที่จุดกระสันลึกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างฮาจุน ก็ตัวสั่นเทาและหอบหายใจ พร้อมกับสติที่สูญหายไปแล้วเกือบครึ่ง

มูคยอมแช่แก่นกายที่กระตุกวูบ และฝากฝังน้ำกามเอาไว้ในร่างกายของฮาจุนอย่างมากมาย ราวกับทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรักที่ไม่ได้พบมานาน เขาถอนหายใจยาวๆ และจูบแก้มที่ร้อนผ่าว เสียงจูบดังก้องเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในห้องน้ำ

“ขอโทษนะ นายเหนื่อย แต่ฉันก็ทนไม่ไหว แล้วเอาเปรียบนาย”

“มะ ไม่ ฉันก็อยากทำเหมือนกัน…”

คนที่เหนื่อยล้าจนลืมตาแทบไม่ขึ้นอย่างฮาจุนปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงพลางส่ายศีรษะเบาๆ

มูคยอมรู้สึกเจ็บปวดในอกราวกับถูกเฉือนเบาๆ ก่อนได้พบกับฮาจุน เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดมาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้น มากน้อยเป็นบางครั้งบางคราว

เขาเช็ดเหงื่อและเช็ดผมให้อีกคน หลังจากที่เช็ดตัวของฮาจุนจนแห้งแล้ว มูคยอมก็อุ้มฮาจุนไปที่เตียง พวกเขาตรงดิ่งไปที่เตียงนอน ไม่แม้แต่จะสวมเสื้อผ้า

“วันนี้นอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปสำรวจบ้านกันเนอะ”

เมื่อมูคยอมกระซิบบอก ฮาจุนก็ซุกใบหน้าลงในอ้อมแขนโดยไม่ตอบอะไร และผล็อยหลับไปในทันที มูคยอมจ้องมองอีกคนนิ่งๆ อยู่ไม่กี่นาที ก่อนจรดริมฝีปากลงที่หน้าผาก พร้อมกับหลับตาลงเช่นกัน

* * *

แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามา ทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทอาบไปด้วยสีขาว แต่แทนที่จะตื่นเลย ฮาจุนกลับส่งเสียงครวญเบาๆ พลางพลิกตัวไปด้านข้าง

จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่า เจ้าของร่างกายอบอุ่นและแข็งแกร่งที่เคยนอนอยู่ข้างกันนั้นอยู่ใกล้ๆ ฮาจุนจึงควานหาไออุ่นนั่น พร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ตื่นแล้วเหรอ”

อ่า ถึงลอนดอนแล้วสินะ

โลกแห่งความจริงที่เคยถูกลืมเลือน และฝังอยู่ในห้วงนิทราลึกราวกับความตายนั้น ค่อยๆ เรียกสติของเขาให้ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ ฮาจุนยังคงงัวเงีย เขาเหม่อมองใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าตน ในขณะที่นิ้วยาวก็ไล้ผ่านเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงขณะนอนหลับของเขาราวกับหวี

สัมผัสที่แตะลงบนเส้นผม นอกจากจะไม่ทำให้สติกลับคืนมาแล้ว ฮาจุนกลับอ่อนล้า เขาปิดเปลือกตาที่เปิดขึ้นมาแล้วครึ่งหนึ่ง และหลับตาลงดังเดิม

“จะนอนต่อมั้ย”

“ไม่ละ…”

แค่สัมผัสคงไม่พอ มูคยอมจึงเคลื่อนเข้ามาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากและพวงแก้มของเขา ฮาจุนกอดและจูบอีกฝ่าย แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ทนไม่ไหว และหัวเราะคิกคักออกมา

ต่อจากนี้ไปมูคยอมจะปลุกเขาแบบนี้ทุกเช้างั้นเหรอ พอคิดแบบนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกจั๊กจี้ในอก เหมือนหัวใจจะหลุดออกมา แม้ฮาจุนจะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่มูคยอมก็ไม่ได้งงงวยเลยสักนิด อีกฝ่ายกลับยิ้มน้อยๆ และถามเขา

“ยิ้มอะไร มีความสุขที่ลืมตาขึ้นมา แล้วเห็นหน้าแฟนสุดหล่องั้นเหรอ”

“รู้ได้ยังไง”

พอฮาจุนว่าอย่างนั้น มูคยอมก็ยิ้มไม่หุบ ใบหน้าของอีกฝ่ายตอนที่ยิ้มแบบนั้น จะมองกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย

ฮาจุนที่กำลังนอนเขินยิ้มตอบ ก่อนกวาดสายตามองซ้ายมองขวา เตียงกว้าง ในความรู้สึกของเขา ฮาจุนคิดว่ามันกว้างกว่าเตียงนอนของมูคยอมที่โซลเสียอีก

“เตียงกว้างจัง”

“อืม ตอนเด็กๆ หมายถึงตอนที่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะ”

คำตอบที่ผิดไปจากที่คาด ทำให้ฮาจุนปิดปากเงียบ แล้วสบตากับมูคยอม

“เด็กยี่สิบกว่าคนต้องนอนรวมในห้องเดียวกัน ถึงทุกคนจะตัวเล็ก เพราะยังเป็นเด็ก… แต่ฉันก็หวังว่าถ้าหาเงินได้เมื่อไหร่ ฉันจะมีเตียงนอนส่วนตัวที่กว้างเท่าสนามกีฬาดูบ้าง ต้องบอกว่าบ้านหลังนี้ เตียงนี่ มันมีความขี้อวดที่สะสมมาตั้งแต่ตอนนั้นผสมอยู่ด้วยนิดหน่อยน่ะ”

“นั่นมันขี้อวดตรงไหน”

“ตอนอยู่คนเดียวฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอนายมา ฉันถึงรู้สึกว่าทั้งบ้านและเตียงนี่มันใหญ่เกินไปจริงๆ ขนาดกำลังดีพอให้ใกล้ชิดกันน่าจะดีกว่า”

มูคยอมว่าอย่างนั้น และดึงเขาเข้ามากอดใกล้กว่าเดิม ก่อนที่ฮาจุนจะวาดแขนโอบกอดแผ่นหลังของอีกคนเช่นกัน ฮาจุนใช้เวลาอยู่กับมูคยอมทั้งคืนหลังจากไม่ได้พบกันนาน จนไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องนอนซม หลังจากนั้นก็หลับลึกราวกับสลบ ก่อนจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับสภาพร่างกายที่ดีขึ้น

หลังจากอืดอาดอยู่บนเตียงได้ไม่นาน มือของมูคยอมก็เริ่มไล้ไปตามสะโพกเปลือยเปล่า ทันใดนั้นฮาจุนก็ตื่นขึ้นมาเหมือนคนที่มีสติครบถ้วนทันที

“หืม? โค้ชอีอายเพราะมันแปลกตางั้นเหรอ”

“จะไม่ให้อายได้ยังไง ก็ของที่เคยมีอยู่ มันไม่อยู่แล้วนี่”

มูคยอมที่เดิมตามหลังมา นั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับไม่เชื่อหู

“อีฮาจุน นายก็ทำบ้างสิ”

“…อะไร”

“ก็แว็กซ์ขนในที่ลับของนายไง”

ทันใดนั้น ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของฮาจุนก็ขึ้นสีแดงเรื่อในชั่วพริบตา

“เหอะ…! ไม่ ฉันไม่ทำ! จะทำไปเพื่อ?”

“ตรงนี้ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้นละน่า ถึงนายจะไม่ได้แก้ผ้าที่สนามซ้อมบ่อยๆ แต่พอทำงานที่สนามฟุตบอล คงได้อาบน้ำด้วยกันบ่อยๆ แน่ นายอยากให้คนอื่นเอาแต่จ้องของสงวนของนายเหรอ เขาไม่ได้มองเพราะน่ารักหรอกนะครับ เขามองด้วยสายตาแบบว่า ทำไมหมอนั่นถึงไม่ดูแลขนเลยล่ะต่างหาก แต่นายคงไม่สนงั้นสิ? ฉันน่ะไม่อยากเห็นอะไรแบบนั้นหรอกนะ”

“อย่ามาโกหก ขนตรงนี้บ้าบออะไร… ฉันไม่แว๊กซ์ ปล่อยคนอื่นมองไปเถอะ”

“เอาจริงสินะ แล้วนายจะเสียใจที่ไม่ยอมฟังฉัน หรือนายจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง มาขอร้องฉันทีหลังว่า มูคยอมอา ช่วยโกนขนฉันให้เกลี้ยงที ก็ได้นะ”

ไม่มีทาง ไร้สาระ

ฮาจุนรู้ว่าตอนนี้ที่เกาหลีเองก็มีคนที่แว็กซ์ขนในที่ลับกันอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ได้ยินมาเหมือนกัน ว่ามันคือการแว็กซ์ที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้หญิงที่อยากสวมชุดว่ายน้ำในช่วงฤดูร้อนและในวันหยุด อย่างน้อยในบรรดาผู้ชายใกล้ตัว ฮาจุนก็ไม่เคยเห็นใครตั้งใจโกนขนตรงนั้นมาก่อน

ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่มีคนอาศัยอยู่เหมือนกัน แล้วทำไมคนอังกฤษถึงต้องกำจัดขนตรงส่วนที่มองไม่เห็นกันด้วยนะ มูคยอมต้องแกล้งเขาอีกแล้วแน่ๆ ที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นเพราะตั้งใจจะแกล้งเขาคนนี้แน่ๆ

ความรู้สึกนั้นเรียกว่า ‘Guilty Pleasure ’ ใช่ไหมนะ ฮาจุนไม่อยากมอง แต่เขาก็ห้ามสายตาตัวเองไม่ได้ ฮาจุนเหลือบมองหว่างขาที่เกลี้ยงเกลาของมูคยอมอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาปี๋ พร้อมกับแผดเสียง

“อ๊า ตาฉัน!”

“อย่าทำแบบนั้นสิ ฉันเจ็บนะ!”

“…อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันอายต่างหากล่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากมอง”

“ถ้าอยากมอง งั้นก็มานี่”

ฮาจุนลังเล ก่อนจะหันไปด้านข้างและขยับเข้าไปใกล้มูคยอม แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ อีกฝ่ายก็คว้าแขนฮาจุนเอาไว้ แล้วกระชากเข้ามาหาตน ฮาจุนกลัวว่าร่างที่ถลาของตัวเองจะล้มลงไป เขาจึงรีบทาบมือลงบนหน้าอกของมูคยอม และทรุดนั่งลงในน้ำ

เมื่อฮาจุนนั่งลงตรงหน้ามูคยอมที่นั่งอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ หว่างขาของอีกฝ่ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาอย่างพอดิบพอดี ฮาจุนหน้าแดงทันที

“อะไรกัน ไม่นึกเลยว่ามันจะทำให้นายอายได้ขนาดนี้”

รอยยิ้มไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้าของมูคยอม อีกฝ่ายดึงมือของฮาจุนเข้ามา สัมผัสส่วนกลางกายของตน ทันทีที่สัมผัส ฮาจุนก็พลันสะดุ้งโหยงราวกับคนที่ถูกไฟดูด

“นายเคยอม เคยเลีย เคยกลืนกินมันด้วยช่องทางด้านหลังอยู่ทุกวัน ฉันก็แค่แว๊กซ์ขนนิดหน่อยเอง จะอายอะไรขนาดนั้น”

“…มันไม่ปกติ… มันแปลก…”

“พอฮาจุนบอกว่าไม่ปกติ เจ้ามูคยอมน้อยก็เสียใจเลย”

มูคยอมพูดเหมือนตอนที่เขาเสแสร้ง

นอกจากจะไม่คุ้นเคยกับขนที่หายไปแล้ว พอได้เห็นส่วนที่เคยบวมเป่งราวกับโมโหอยู่ตลอดเวลา ฮาจุนก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับแก่นกายที่แข็งตัวไม่เต็มที่ และงองุ้มลงน้อยๆ ด้วยเหมือนกัน เมื่อกี้มันยังตั้งชันเหมือนอย่างที่เคยเป็นอยู่เลย แต่ระหว่างที่พวกเขามัวแต่เถียงกันเรื่องขนในที่ลับ มันก็ค่อยๆ โน้มเอียงลง

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง ตอนที่ทั้งคู่เปลือยกายก่อนเริ่มมีเซ็กซ์กัน และมูคยอมก็กระตุ้นอารมณ์ขึ้นมาได้ไม่ยาก หากมีฮาจุนอยู่ตรงหน้าตน แต่เมื่อไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ไม่บ่อยนักที่ฮาจุนจะจ้องมองส่วนนั้นขนาดนี้…

“ดูสิ มันเสียใจจนหมดแรงแล้ว”

“อย่าทำให้ขำสิ เล่นตุ๊กตาอยู่หรือไง”

ถึงแม้ฮาจุนจะย้อนตอบไปแบบนั้น แต่พอได้ฟังน้ำเสียงและมองหน้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่ามูคยอมกำลังเสียใจและหมดเรี่ยวแรงอย่างที่ปากว่าจริงๆ ฮาจุนรู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าขันที่เขาก็เป็นเหมือนกัน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

ฮาจุนจ้องมองส่วนนั้นเขม็ง และออกแรงเคล้นคลึงมันด้วยกำมือ เหมือนกับตอนที่เขากอบกุมแก่นกายของมูคยอมไว้ในมือเป็นครั้งแรก เขาใช้มือที่เปียกโชกกุมมันไว้ แล้วลูบคลำอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นสิ่งที่เคยหดตัวลงก็กลับมาชูชันอีกครั้งในฝ่ามือของฮาจุน ราวกับปลาที่กำลังขยับ ใบหน้าที่บูดบึ้งในตอนแรกหายไปในทันที ท่อนเนื้อขยายตัวบวมเป่ง ยาวใหญ่จนฮาจุนกุมไม่มิด

“อ่า…”

เมื่อได้ยินเสียงครางต่ำๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะตน ฮาจุนก็เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ก่อนที่มือของมูคยอมจะกอบกุมมือที่จับแก่นกายของตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นลงเบาๆ

ส่วนที่ตั้งชันและแข็งปั๋งเหมือนท่อนไม้เคลื่อนขึ้นไปบนใบหน้าขาวผ่องที่ชื้นน้ำ เสียดสีกับพวงแก้ม ปลายคาง และใบหูอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งส่วนปลายแตะลงบนริมฝีปาก น้ำเสียงที่เคยประชดประชันก็เปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงเบาๆ ที่น่าเอ็นดูแทน

“โค้ช จุ๊บหน่อยสิครับ”

“ฮื่อ…”

ฮาจุนค่อยๆ ปรือตา เมื่อสัมผัสที่ร้อนระอุและใหญ่โตถูไถไปกับริมฝีปากของเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับจุดโฟกัสที่เลือนรางลง มูคยอมขยับเอวเล็กน้อย แทรกส่วนปลายอวบเข้าไปในริมฝีปากที่เผยอออกโดยอัตโนมัติ

ฮาจุนจ้องมองผิวหนังเรียบเนียนไร้ขนที่เขายังไม่ชินตา พลางดูดเลียรอบส่วนหัวจนเกิดเสียงจ๊วบๆ ใบหน้าของเขาค่อยๆ ขึ้นสีแดงเรื่อ ไม่ใช่เพราะไอน้ำร้อนเพียงอย่างเดียว ถึงแม้เขาจะเขินอยู่บ้าง แต่พอไม่มีขนแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันยิ่งลามกกว่าเดิมก็ไม่รู้

“อา วันนี้กะว่าจะอดทนใช้มือแท้ๆ… สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้อีกแล้ว”

“ฮือ อื้อ อึก”

มูคยอมพึมพำเหมือนลำบากใจ พลางวางมือลงบนท้ายทอยของฮาจุน แล้วค่อยๆ ดันศีรษะของอีกคนเข้าหาตน ฮาจุนอ้าปากกว้าง อมแท่งร้อนเข้าไปจนลึก

สมองเขาว่างเปล่าไปหมด เพราะความร้อนของน้ำที่เขาแช่ตัวอยู่ และความระอุของตัวตนของมูคยอมที่อัดแน่นอยู่ในปาก ฮาจุนโยกศีรษะไปมาอยู่สองสามที พลางใช้ลิ้นโลมเลียส่วนนั้นของมูคยอมหลายต่อหลายครั้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกล้าขึ้นมา ฮาจุนกำลังคิดจะพักในขณะที่เขากำลังอมแท่งร้อนไว้ในปาก ก่อนจะมีมือใหญ่ลูบเข้าที่แก้มและถามเขา

“เหนื่อยเหรอ”

ฮาจุนส่ายหัวเบาๆ จริงอยู่ที่เขาเพลีย แต่เขาก็ไม่อยากพยักหน้า

“แลบลิ้นสิ”

มูคยอมรั้งปลายคางของอีกคนพลางพูดขึ้น แก่นกายที่แทรกเข้าไปในปากของเขาได้ครึ่งท่อนถูกถอนออกมา ก่อนที่ฮาจุนจะแลบลิ้นยาวๆ ตามคำสั่งของอีกฝ่าย

เสียงน้ำดังขึ้นเบาๆ เมื่อมูคยอมลุกขึ้นจากขอบอ่างอาบน้ำ อีกฝ่ายคว้าแท่งร้อนของตัวเอง แนบส่วนปลายที่บวมเป่งลงบนลิ้นแดงที่แลบออกมา แล้วถูไถลงบนนั้นอย่างช้าๆ

“อือ อืมม”

ตอนแรกมูคยอมบดขยี้เพียงปลายลิ้นเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มรัศมี กวาดเข้าไปจนถึงโคนลิ้น

แทนที่จะรู้สึกว่ากำลังทำออรัลเซ็กซ์ให้มูคยอม ฮาจุนกลับรู้สึกแปลกๆ ราวกับอีกฝ่ายกำลังใช้แก่นกายลูบไล้ลิ้นเขาอย่างรักใคร่ และมันทำให้เขาจั๊กจี้ไปถึงกระดูกก้นกบ ขณะที่ลิ้นที่แลบออกมาจนพังผืดใต้ลิ้นตึงนั้นก็สั่นเทาไปหมด

แก่นกายของอีกฝ่ายค่อยๆ ขยับอย่างทิ้งช่วง จากนั้นก็แทรกสอดเข้ามาจนลึกเข้ามาในปากโดยที่เขาไม่รู้ตัว ก่อนจะถอนกายออกไป ขณะที่ฮาจุนก็เผลอขยับศีรษะของตัวเอง เพื่อครอบครองเสาเอกต้นอวบของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่

มูคยอมแตะที่บริเวณขมับทั้งสองข้าง เขารู้ว่าสัญญาณมือนั้นหมายถึงอะไร เมื่อฮาจุนสูดลมหายใจเข้า แก่นกายก็สอดเข้ามาลึกถึงลิ้นไก่ในทันที ความใหญ่โตของแท่งร้อนที่เข้ามาเติมเต็มจนเหมือนจะอุดปากเขา กับสัมผัสยามที่นิ้วมือแทรกเข้ามาในกลุ่มผมที่เปียกโชก ทำให้ฮาจุนกะพริบตาช้าๆ เพื่อปรับสายตาที่พร่ามัวให้ชัดเจนขึ้น

สิ่งที่ใหญ่โตและปูดโปนครูดผ่านเพดานปาก เยื่อบุและลิ้นที่ไวต่อความรู้สึก ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้ในปาก น้ำลายยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฮาจุนครอบครองสิ่งนั้นไว้ในปาก ทำให้ช่องคอของเขาเหลือพื้นที่น้อยลง หลังจากนั้น ส่วนปลายยอดที่เคยดุนดันเข้ามาถึงบริเวณนั้น ราวกับถูกกระตุ้นจากการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ก็ถูกดันเข้ามาอย่างช้าๆ จนเลยจุดนั้นไปในที่สุด

“ฮะ… ฮือ! ฮืออ อึ๊ก!”

ฮาจุนเผลอเด้งกายขึ้นโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็นที่ดังขึ้น ท่อนเนื้ออันเขื่องสอดเข้ามา ดุนดันเยื่อบุที่อยู่ลึกลงไปในลำคอ ฮาจุนหายใจไม่ออก ทุกครั้งที่มันแทรกเข้ามาอุดช่องคอที่คับแคบดั่งจุกไม้ที่ปิดขวด

แต่ในขณะเดียวกันนั้น อารมณ์ทางเพศที่ชัดเจนและเหนียวแน่นก็ก่อตัวเอ่อล้นเต็มพื้นที่ มันแตกต่างจากความสุขสมที่รุนแรงและหนักหน่วงจนน่ากลัว ตอนที่อีกฝ่ายกระหน่ำตัวตนใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง มันคงเหมือนกับความหอมหวานที่ซ่อนอยู่ หากไม่จดจ่อ ก็คงไม่รู้สึกถึงมัน และคงจะพลาดมันไป แต่หากไขว่คว้ามันมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ดวงตาก็จะพร่ามัวไปชั่วขณะ

ปกติแล้วถ้าฮาจุนอมเข้าไปลึกขนาดนี้ ปลายจมูกของเขาก็ต้องถูไถกับขนหัวหน่าวของมูคยอมไปแล้ว แต่วันนี้เขากลับสัมผัสได้แค่ผิวเรียบเนียน ความรู้สึกที่อธิบายยาก ทำให้ฮาจุนหลับตาลงโดยอัตโนมัติ ฮาจุนสะดุ้งทุกครั้งทุกครั้งที่อีกฝ่ายกดลงมาอย่างนุ่มนวล และครูดผ่านส่วนใดส่วนหนึ่งในปากที่อยู่ติดกับหลอดอาหาร

อีกฝ่ายแช่แก่นกายเพื่อลิ้มรสชาติอยู่ในลำคอได้ไม่นานนัก ก่อนจะถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ จากนั้นมูคยอมก็รอให้ฮาจุนหายใจ แล้วจึงสอดเข้ามาอีกครั้ง

“อือ อึก อืออ ฮือ อึก…”

เมื่อลำคอถูกปิดกั้นจนหมด การหายใจทางจมูกจึงทำได้ยากไม่ต่างกัน การทำออรัลเซ็กซ์กินเวลายาวนานขึ้น ขณะที่ลมหายใจของเขาก็หอบถี่กระชั้นขึ้นทุกที ศีรษะเขาร้อนผ่าว น้ำตาที่คลอหน่วยทำให้ขนตาของเขาเป็นประกาย

ฮาจุนพยายามหาช่องว่างเล็กๆ ในปากที่ถูกเติมเต็มด้วยสิ่งแปลกปลอมตามสัญชาตญาณ เขาจึงแกว่งลิ้นไปมาเพื่อดุนดันเสาเอกของอีกคน แต่กลับกัน การขยับลิ้นโลมเลียผิวด้านนอกของแก่นกายนั้น ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของมูคยอม ยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายขยับเข้าออก ถอนกายออกไปจนเกือบถึงริมฝีปาก ก่อนจะแทงเข้ามาจนถึงหลอดลม

“แฮ่ก”

มูคยอมพ่นลมหายใจออกมาสั้นๆ ราวกับเป็นสัญญาณ ก่อนจะขยับเอวอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกหนักหน่วงยามที่อีกฝ่ายเสือกไสเข้ามาลึกจนชิดลำคอ ทำให้ฮาจุนหลับตาปี๋

เขาไอเมื่ออีกฝ่ายแทรกตัวตนเข้ามาถึงลิ้นไก่ แต่เพราะปากของเขาถูกอุดกั้นเอาไว้ จึงมีเพียงเสียงต่ำๆ เท่านั้นที่เล็ดรอดออกมา พร้อมกับไหล่และหน้าอกของเขาที่กระเพื่อมขึ้นอย่างหนัก การสั่นไหวที่รุนแรงนั้นคงนำพาอีกฝ่ายไปถึงจุดสุดยอด เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ตัวตนของมูคยอมก็ปลดปล่อยออกมาและไหลทะลักอยู่ในปากเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะล่าถอยออกไป มูคยอมพาดส่วนปลายแก่นกายของตนไว้ระหว่างช่องว่างของริมฝีปากที่เผยอออก

“ฮึก อ่อก! แค่ก ฮู่ ฮื่อ”

ของเหลวที่อุ่นร้อนและคาวคลุ้งไหลออกจากมาปากของฮาจุนที่กำลังไอโขลกและหายใจหอบ ราวกับคนที่เพิ่งโผล่พ้นจากน้ำ

มูคยอมไม่ได้ปลดปล่อยในรอบสิบวัน มันจึงยาวนานและเหนียวหนืด ขณะที่น้ำกามกำลังหลั่งทะลักออกมา มูคยอมก็สอดแก่นกายเข้ามาในปากของเขาช้าๆ แล้วดุนดันไปทั่ว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อีกฝ่ายถึงยอมถอนกายออกไป น้ำรักที่ฮาจุนกลืนไม่หมดไหลย้อยลงมาอาบคางเขา

ฮาจุนหอบหายใจ เขาเอนศีรษะพิงลงบนต้นขาของมูคยอม ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับกำแพงหิน จากนั้นเขาก็อ้าปากแล้วล้วงมือเข้ามาแตะลิ้นของตัวเอง

ระหว่างที่กำลังควบคุมลมหายใจ ฮาจุนก็ลูบลงบนลิ้น แล้วขยับนิ้วมือไปมาเหมือนแก่นกายของอีกคน และเมื่อเริ่มรู้สึกจั๊กจี้ที่เพดานปาก เขาก็ดูดเบาๆ เหมือนกับตอนที่กลืนกินส่วนปลายของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ เสียงแผ่วเบาของความพอใจทำให้เขารู้สึกดี มูคยอมปล่อยให้ฮาจุนทำต่อไปราวกับกำลังเพลิดเพลินกับความรู้สึกนั้น

แต่มันก็แค่ชั่วครู่ ก่อนที่มือใหญ่จะสอดเข้ามาใต้วงแขน แล้วดึงร่างเขาที่แช่อยู่ในน้ำขึ้นมา เสียงน้ำที่ไหลลงมาจากตัวเขาดังขึ้น พร้อมกับร่างกายท่อนล่างของฮาจุนที่โผล่พ้นน้ำ

“ฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”

มูคยอมจับฮาจุนนั่งลงบนตักของตัวเอง แล้วยกมือขึ้นเคาะแก่นกายของเขา พลางหัวเราะคิกคัก ตัวตนของฮาจุนก็กำลังตั้งชันเต็มที่เหมือนกัน

“แต่นายลามกเกินไปแล้วนะ อมให้ฉันไปด้วย หอบไปด้วย แล้วยังตั้งโด่อีก แบบนี้ฉันก็แย่สิ”

“แฮ่ก ฉันลามกตรงไหน นายต่างหากที่ลามก…”

ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนที่ส่วนล่างเกลี้ยงเกลาแบบนั้น แถมเรื่องลามกอนาจารทั้งหลาย ตัวเองก็เป็นคนทำทั้งนั้น แล้วทำไมถึงได้โยนปัญหามาให้เขาทุกที ในขณะที่ฮาจุนพยายามดิ้นรนและบ่นด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง นิ้วมือของมูคยอมก็ลูบไล้ที่ด้านหลังของเขา และหาทางรุกล้ำเข้าไป

ทันทีที่นิ้วเปียกสัมผัสช่องทางที่ปิดอยู่ ร่างกายเขาก็พลันร้อนผ่าว แต่แผ่นหลังกลับเย็นยะเยือก ฮาจุนสูดลมหายใจเข้า พลางเอนศีรษะซบไหล่ของมูคยอม ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระซิบที่ข้างหู

“แล้วไม่ชอบเหรอ”

ปลายนิ้วที่ถูไถช่องทางด้านหลังนั้นไม่ยอมรีรอ มูคยอมสอดนิ้วเข้ามาข้างใน จนริมฝีปากที่เผยอออกและปลายคางของฮาจุนสั่นเบาๆ

“อือ ฮื่ออ… อ๊ะ…!”

“ชอบไหม”

ร่างกายที่เคยแช่อยู่ในน้ำอุ่น และร้อนผ่าวขณะที่เขาใช้ปากปรนเปรอให้อีกฝ่าย ตอนนี้กำลังอ่อนยวบ นิ้วมือที่เปียกน้ำรีบร้อนแทรกเข้ามาอย่างยากลำบากเมื่อไร้เจลหล่อลื่น และสอดเข้าไปจนสุดทาง

อีกฝ่ายดันแก่นกายเข้าไปจนสุดครั้งหนึ่ง ก่อนจะถอนออกมา จากนั้นนิ้วมือที่เคยกดลงบนช่องทางด้านหลัง ราวกับกดคีย์บอร์ดนั้น ก็ถูกดันเข้ามาข้างในตัวเขาอีกครั้ง อีกฝ่ายควานวนไปทั่วราวกับกำลังเล่นสนุกด้วยนิ้วมือ และเมื่อมูคยอมพลั้งมือเผลอกดแรงๆ ที่บริเวณต่อมลูกหมาก ฮาจุนก็ยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอของอีกคนทันที

“ฮื่อ ฮ่ะ อึก”

“โค้ช เวลาฉันถามก็ตอบสิ”

“อ๊ะ อือ ชอบ”

นายต้องพูดตรงๆ ฉันถึงจะเข้าใจ ทำไมถึงชอบ”

“อื้อ… เพราะมันลามก…”

ฮาจุนพึมพำอย่างเหม่อลอย ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงช้าไปหนึ่งจังหวะ ในขณะที่มูคยอมก็โน้มกายลงและหัวเราะออกมา หลังจากตอบโต้ไปได้แค่คำเดียว ฮาจุนก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายลงมือกับเขารุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า ฮาจุนจึงใช้ฝ่ามือทุบแผ่นหลังกว้างของมูคยอมไปหนึ่งที

แต่ถึงจะถูกทุบเข้าที่หลัง อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะเจ็บเลยสักนิด ครั้งนี้มูคยอมประกบริมฝีปากลงบนอวัยวะเดียวกัน ขณะที่นิ้วยาวก็ควานขยายช่องทางต่อไป นิ้วที่อยู่ในกายกับลิ้นที่อยู่ในปากได้ดุนดันเยื่อบุบางๆ ข้างในนั้น และปลุกอารมณ์ที่เคยสงบลง เพราะความกังวลและความอ่อนเพลียจากการท่องเที่ยวขึ้นมาอีกครั้ง มูคยอมส่งแรงเข้าไปในกายของอีกคน

“อือ อึก ฮื่อ… อื้อ!”

ดูเหมือนว่าห้วงอารมณ์ที่ร้อนรุ่มและยุ่งเหยิง เพราะลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดอยู่ในปากและนิ้วมือที่ขยับไปมาในช่องทางนั้น จะไปบรรจบและปนเปกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง ภายในท้องของเขา ฮาจุนพลิกตัวน้อยๆ แล้วโอบแขนรอบลำคอของมูคยอมให้แน่นขึ้น

นิ้วมือที่ขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าถูกเพิ่มจำนวนขึ้น ทีละนิ้วๆ โดยไม่บอกกล่าว จนในที่สุดมันก็เพิ่มเป็นสี่นิ้ว เสียงฉ่ำแฉะดังขึ้น ในขณะที่นิ้วยาวสอดเข้าสอดออกในร่างกายเขาอย่างยาวนาน

เสียงลมหายใจหนักหน่วงที่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่ถูกปิดด้วยจูบนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่บั้นท้ายบนตักของมูคยอมจะลอยหวือขึ้นอย่างงุ่นง่าน สองเท้าที่เกร็งจนนิ้วหงิกกระทบลงในน้ำจนเกิดเสียง และเมื่อมูคยอมงอนิ้วมือทั้งสี่นิ้วจนเหมือนตัวคียอก แล้วกดลงที่บริเวณต่อมลูกหมาก ฮาจุนก็เกร็งไปทั้งร่างและเอนคอไปข้างหลังทันที

“ฮ้าา! อ๊า อึก…!”

“ฮู่”

มูคยอมถอนหายใจยาว พลางพลิกตัวของฮาจุนให้กลับมานั่งลง ฮาจุนเอนหลังพิงกับหน้าอกของมูคยอม เมื่อทั้งคู่หันไปข้างหน้า ท่อนขาของฮาจุนก็แยกออกจากกันกว้างกว่าเก่า

มือใหญ่กวาดลูบจากหน้าท้อง เลื่อนขึ้นไปถึงลำคอ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วคลึงยอดอกของฮาจุน ริมฝีปากเคลื่อนเข้ามากระซิบที่ข้างหู

“เป็นยังไง ฮาจุนอา วันนี้ฉันคงใส่เข้าไปได้แล้วใช่ไหม”

“ฮึก ฮ่ะ อือ ได้ ได้เลย…”

จริงอยู่ที่เขาเพลีย แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากปฏิเสธมูคยอมที่กำลังมีอารมณ์ถึงขนาดนี้เหมือนกัน ฮาจุนเองก็ทรมานกับการถูกกระตุ้นจุดอ่อนไหวไม่ต่างกัน เขาสัมผัสได้ที่ข้างแก้มว่าริมฝีปากของมูคยอมที่กำลังยกยิ้ม

ราวกับว่าสีหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่การแสดง แก่นกายที่แข็งชูชันอย่างน่ากลัวถูไถบนช่องทาง

“พอวัวน้อยของฉันหายโกรธ ก็ปฏิเสธไม่เป็นเลยนะ”

“อึ๊ก อ๊า!”

ฮาจุนเดินตามอีกฝ่ายอย่างสติล่องลอยราวกับเดินอยู่บนปุยเมฆทันทีที่มาถึง และแล้วก็มาถึงลานจอดรถโดยไม่รู้ตัว รถที่มีที่นั่งข้างคนขับอยู่ฝั่งซ้ายกำลังรอทั้งคู่อยู่ ฮาจุนรู้สึกไม่คุ้นเคยกับโครงสร้างของรถที่มีทิศทางตรงกันข้ามกับที่เกาหลี หลังจากที่ขึ้นรถและจัดแจงท่านั่งสองสามครั้งแล้วก็หันไปมองรอบๆ โดยไม่จำเป็น

ช่อดอกไม้ที่ได้รับทันทีที่มาถึง มืออุ่นๆ ของมูคยอมที่จับต่อหน้าผู้คนมากมาย ตำแหน่งที่นั่งคนขับที่ไม่คุ้นเคย ป้ายภาษาอังกฤษ ทิวทัศน์ที่มองเห็นนอกหน้าต่าง

สมองที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลบนท้องฟ้าได้ไม่นานนักประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวจนตีกันไปหมด ฮาจุนกระวนกระวายใจและไม่รู้ว่าจะทำยังไง เหมือนกับเป็นคนที่มาครอบครองพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ของตนเอง ฮาจุนสอดส่ายสายตาไปทั่วเพื่อทำให้จิตใจที่กระวนกระวายขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุสงบลง และแล้วคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เรียกชื่อด้วยเสียงทุ่มต่ำราวกับเบี่ยงเบนความสนใจของฮาจุน

“ฮาจุน”

พอหันหน้ากลับมามอง ใบหน้าที่ทำสายตาราวกับถามว่า ‘ทิ้งฉันไว้แล้วมองไปที่ไหนกัน’ กำลังขยับใกล้เข้ามา ฮาจุนเองก็ขยับหน้าตัวเองเข้าไปใกล้เช่นกัน จูบที่เริ่มต้นขึ้นราวกับเป็นการทักทาย แนบชิดมากขึ้นเมื่อลิ้นของทั้งสองคลอเคลียกัน

มือใหญ่จับด้านหลังศีรษะและดึงเข้าหาตัว ลิ้นของมูคยอมกวาดไปทุกซอกทุกมุมภายในช่องปากราวกับจะเติมเต็มความว่างเปล่าตลอดสิบวันที่ผ่านมา ฮาจุนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ และสอดส่องไปทั่วช่องปากราวกับเลียนแบบอีกฝ่าย

แต่แล้วเมื่อลิ้นของมูคยอมตวัดขึ้นราวกับจะไปถูไถเพดานปาก ฮาจุนก็หมดเรี่ยวแรงและลืมที่จะเลียนแบบอีกฝ่ายไปเสียสนิท ฮาจุนปรับลมหายใจที่ถี่รัวและเปิดรับลิ้นที่โลมเลียทิ่มแทงไปทั่วทุกซอกมุมของเยื่อบุภายในปาก ราวกับกำลังตรวจสอบรูปร่างภายในปาก มูคยอมแลบลิ้นออกมาราวกับมอบลูกอมแสนหวานให้

และแล้วฮาจุนก็ดูดเลียลิ้นของอีกฝ่าย และรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของคนรักอย่างเต็มที่ มูคยอมที่ยุติการจูบที่ยาวนานกว่าที่คิดกำลังฝืนหัวเราะอย่างแผ่วเบา เขาเสยผมของฮาจุนที่กระเซิงเล็กน้อยขึ้นไปแล้วถามคำถามขึ้นแสร้งทำท่าไม่พอใจ

“มาถึงที่นี่แล้วเมินกันเลยแฮะ ตอนนี้มีอะไรที่น่าสนใจกว่าฉันเหรอ”

“โทษที ฉันแค่ประหม่านิดหน่อย… คงจะเป็นเพราะเพิ่งเคยมายุโรปครั้งแรกน่ะ”

ร่างกายที่สับสนแยกไม่ออกว่าตื่นเต้นหรือกังวล ได้พบคำตอบที่ถูกต้องแล้ว จังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่คงที่ก็สงบลง

หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หนึ่งครั้ง ฮาจุนก็มองเข้าไปในดวงตาของมูคยอมอย่างใจเย็น และฝังหน้าผากของตัวเองลงบนไหล่ของอีกฝ่าย

“ฉันคิดถึงนายนะ คิมมูคยอม”

มูคยอมยิ้มกว้างราวกับพอใจที่ได้ยินแบบนั้น

ถึงฮาจุนจะแทบไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่เคยเดินทางไปแข่งขันที่ต่างประเทศอยู่สองสามครั้งในฐานะนักกีฬาทีมชาติ แต่ก็เพิ่งเคยมายุโรปเป็นครั้งแรก

เพราะการแข่งขันแบบประเมินผลกับประเทศในทวีปยุโรปไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีการจัดการแข่งขันระดับโลกอย่างเวิลด์คัพหรือโอลิมปิก ถึงจะเป็นเรื่องน่าขมขื่น แต่ยุโรปก็วุ่นอยู่กับลีกของพวกเขาเอง และบรรดาประเทศในเอเชียก็แข่งขันกับประเทศในเอเชียด้วยกันหรือไม่ก็ประเทศในอเมริกาใต้ที่อยู่ห่างไกลเป็นปกติ

“ระหว่างทางมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

“ดูหนังไปเรื่องนึงแล้วก็นอนยาวเลย”

“มีใครมาเจ๊าะแจ๊ะด้วยหรือเปล่า”

“ไม่มีใครทำแบบนั้นเลย ที่นั่งดีสุดๆ เลยล่ะ ได้นั่งมาสบายๆ เพราะนายเลย ขอบใจนะ”

“ด้วยความยินดี”

ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสที่มูคยอมจองเอาไว้ให้แม้ว่าฮาจุนจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตามนั้น สบายจนไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่บนเครื่องบินเลยทีเดียว สามารถนอนเหยียดขาได้เหมือนนอนบนเตียง ส่วนผ้าห่มก็เป็นสีขาวและนุ่มเหมือนกับผ้าห่มในโรงแรม อีกทั้งยังประหลาดใจที่แม้แต่อาหารบนเครื่องยังมีเป็นคอร์ส

มูคยอมสตาร์ทรถทันทีที่รู้สึกว่าจูบและทักทายกันเพียงพอแล้ว ฮาจุนที่ถือช่อดอกไม้ที่มูคยอมให้เอาไว้ และใช้สายตานับกลีบดอกทีละใบๆ มองออกไปนอกหน้าต่างทันทีที่ขับรถออกมาจากสนามบินและแล่นไปบนเส้นทางธรรมดา ส่วนมูคยอมก็ยิ้มออกมาโดยไร้คำพูดใดๆ และไม่ได้ชวนคุยต่อ ปล่อยให้ฮาจุนได้สนุกกับทิวทัศน์ของลอนดอนที่เพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรกให้เต็มที่

ถึงแม้ว่าจะมีเส้นทางที่สามารถเข้าตัวเมืองได้เร็วกว่า แต่มูคยอมตั้งใจเลือกขับไปบนเส้นทางที่สามารถมองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวและย่านคึกคักที่มีผู้คนพลุกพล่าน ถึงจะเป็นสถานที่ที่ต่อไปจะได้มาเดินดูไปด้วยกัน แต่ตอนที่มาครั้งแรกก็มักจะตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งอยู่แล้ว

ด้วยความที่เป็นช่วงเย็น จึงมองเห็นดวงอาทิตย์จึงกำลังลับขอบฟ้าอยู่ไกลๆ ท้องฟ้าสีแดงที่มีเมฆประปรายอยู่เหนือตึกเก่าที่สร้างจากก้อนอิฐและหลังคาทรงแหลม

“เพราะเป็นเมืองใหญ่ ฉันก็เลยคิดว่าคงจะไม่ต่างกับโซลเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่แฮะ”

“ที่นี่มีตึกเก่าๆ เยอะน่ะ”

แต่ถึงยังไง แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าก็ไม่ได้ต่างกันนัก ระหว่างที่มองท้องฟ้านอกหน้าต่างก็ได้ยินเสียงระฆังมาจากที่ไหนสักที่ เป็นเสียงที่ดังมาจากหอนาฬิกาสูงที่ดูจะห่างจากถนนอีกฟากเล็กน้อย

ใช่เสียงระฆังของบิ๊กเบนที่เคยได้แต่ฟังมาเท่านั้นหรือเปล่านะ ฮาจุนไม่ถามมูคยอมและเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ พอตั้งใจขับรถอ้อมไกลๆ เหมือนแท็กซี่นำเที่ยวแล้ว ก็มาถึงบ้านพักสุดหรูทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวสต์ลอนดอนดึกกว่าที่คิดเอาไว้

หลังจากที่ขับผ่านบ้านสุดหรูที่มีพื้นที่กว้างขวางไม่กี่หลังแล้ว รถก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง ดูเหมือนว่าจะมาถึงบ้านของมูคยอมแล้ว ฮาจุนจึงจ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจแทนการมองออกไปข้างนอก เมื่อกดรีโมท ประตูหน้าบ้านก็เปิดอัตโนมัติ ฮาจุนถามออกมาระหว่างที่ผ่านประตูเข้ามายังเส้นทางเข้าบ้าน

“ที่นี่คือสวนเหรอ”

“ก็คงต้องบอกว่าอย่างนั้นใช่ไหมนะ”

ถึงจะผ่านประตูใหญ่เข้ามาแล้วก็ต้องขับเข้าไปอีกสักระยะ ภายนอกหน้าต่าง สนามหญ้าที่ดูแลเป็นอย่างดีเหมือนกับสนามกอล์ฟนั้นเขียวชอุ่ม และถูกปูเอาไว้เป็นอย่างดีเหมือนกับพรม และไกลออกไปก็มีต้นไม้ใบเขียวขนาดใหญ่รายล้อมบริเวณบ้านเอาไว้จนแทบจะเหมือนอยู่ในป่า กว้างเกินไปที่จะเรียกว่าสวนหรือลานหน้าบ้าน

ตอนแรกที่เข้ามา ฮาจุนคิดว่ากำแพงกับประตูเตี้ยเกินไปจนข้างนอกสามารถมองเข้ามาได้หรือเปล่า แต่ถ้าต้องเข้ามาไกลถึงขนาดนี้ถึงจะเห็นตัวตึกแล้ว คงแอบมองเข้ามาจากข้างนอกไม่ได้แล้วละ ในที่สุดภาพของตัวบ้านก็ปรากฎเข้ามาในสายตา

“…คิมมูคยอม นายเป็นเจ้าชายเหรอ”

ถึงจะเคยเห็นรูปมาบ้าง แต่พอเห็นของจริงใกล้ๆ แล้ว ก็พบว่าเป็นบ้านสุดหรูที่มีเสาสีขาวเหมือนกับคฤหาสน์หรือปราสาทของชนชั้นสูงที่เคยเห็นในหนัง ถ้าไม่นับตัวอาคารที่ค่อนข้างเตี้ยไปสักหน่อยก็เหมือนมากทีเดียว

“ถึงด้านนอกจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่ข้างในเป็นแบบโมเดิร์นนะ เพราะฉันเปลี่ยนใหม่หมดเลย”

“พอมาดูใกล้ๆ แล้วก็หลังใหญ่มากจริงๆ ดูแลบ้านคนเดียวไม่เหนื่อยเหรอ”

“ฉันไม่ได้ดูแลบ้านคนเดียวสักหน่อย ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอยู่นะ แต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกันหรอก ไม่ต้องห่วง”

ประตูที่ปิดเอาไว้ดูกลมกลืนกับตัวกำแพงตึกที่ดูคลาสสิกเปิดออกอัตโนมัติ ราวกับเป็นการพิสูจน์คำพูดของมูคยอมที่บอกว่าภายในบ้านเป็นแบบโมเดิร์น แล้วรถก็เคลื่อนตัวเข้าไปข้างในนั้น

ฮาจุนที่เข้ามาในโรงจอดรถใต้ดินยังคงปิดปากเงียบอยู่เช่นเดิม ฮาจุนคิดมาตลอดว่าแค่วิลล่าในโซลที่มูคยอมอยู่ก็กว้างมากแล้ว แต่ที่นี่น่าจะกว้างเป็นสองเท่า รถที่เรียงรายกันก็มีเยอะกว่ามาก

“ลงรถกัน”

รู้สึกเหมือนเข้ามาในตึกสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าเข้ามาในบ้านที่มีคนอาศัยอยู่เสียอีก ฮาจุนลงจากรถด้วยความรู้สึกประหลาด และเดินตามหลังมูคยอมที่เปิดประตูบานหนึ่งเข้าไป เมื่อเข้ามาข้างในแล้วก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ทันสมัยแตกต่างกับภายนอกของตัวบ้าน

เมื่อขึ้นลิฟต์และเปิดประตูเข้าไปก็เจอภายในของตัวบ้านทันที ฮาจุนที่เดินไปบนทางเดินยาวๆ จนมาถึงพื้นที่กว้างๆ ไม่มีแม้แต่แรงที่จะชื่นชมหลงเหลืออยู่

พื้นที่ที่มีเพดานสูง ปูเหมือนกระเบื้องหินอ่อนสองสี พร้อมบันไดขึ้นชั้นสองทั้งสองฝั่ง ทั้งเยือกเย็นและหรูหราเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นห้องรับแขก แต่ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างโซฟาอยู่ ราวกับว่าไม่ได้เอาไว้ใช้เป็นห้องรับแขกตั้งแต่แรก ต้องเรียกว่าอะไรนะ ล็อบบี้? ฮอลล์?

มูคยอมที่เฝ้ามองฮาจุนที่หันไปมองรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูประหม่าเล็กน้อย เป็นฝ่ายเปิดปากพูดออกมาก่อน

“ตอนเด็กๆ ฉันมองว่าบ้านแบบนี้น่ะเจ๋งสุดๆ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าบ้านมันกว้างเกินไป เลยคิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นดีไหม แต่ฉันก็ใช้ความพยายามไปเยอะเลยเพื่อปรับเปลี่ยนแต่ละจุดไปเรื่อยๆ ถ้านายอยู่แล้วรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย้ายไปที่อื่นได้เสมอ แค่บอกฉันก็พอ”

“ไม่หรอก!”

มูคยอมปิดปากเงียบเพราะคำตอบของฮาจุน ที่พูดด้วยเสียงอันดังราวกับตกใจ

“บ้านสวยขนาดนี้จะย้ายทำไม ถ้าจะเดินดูให้ทั่วคงใช้เวลาทั้งอาทิตย์เลย”

“ไม่นานขนาดนั้นหรอก”

พอมองฮาจุนที่ตาเป็นประกายเหมือนกับตอนที่มองสถานที่ท่องเที่ยวตอนขับรถผ่านก่อนหน้านี้แล้ว มูคยอมก็ยิ้มออกมา

“ไปอาบน้ำก่อนสิ นั่งเครื่องมานาน นายไม่เหนื่อยหรือไง”

ฮาจุนรู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน ที่นี่คือบ้านของคิมมูคยอม ถึงจะเคยเห็นภายนอกบ้านจากในข่าวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นภายในตัวบ้านเลย

มีกี่ห้องกันนะ แล้วห้องน้ำล่ะ ห้องนอนอยู่ไหนนะ ฮาจุนหันซ้ายหันขวามองไปทั่วพลางพูดคนเดียวอยู่ในใจไม่หยุด ขณะที่ถูกมูคยอมจับมือให้เดินไปด้วยกัน

มีทั้งโซพาตัวใหญ่และเก้าอี้ ชั้นติดผนังและโต๊ะที่สัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันหรูหราและสะอาดสะอ้าน มีแม้กระทั่งเตาผิงติดผนังในพื้นที่ที่ปูพรมหรูหรา ฮาจุนจึงถามออกมาพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง

“ตรงนั้นจุดไฟได้จริงไหม”

“แน่นอน เดี๋ยวมาจุดกันไหม”

“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แค่ใส่ฟืนเข้าไปเอง เป็นการจุดไฟด้วยไฟฟ้าน่ะ แค่กดรีโมทไม่นานก็ติดแล้ว”

ระหว่างที่หันไปมองรอบๆ ด้วยสายตาที่เป็นประกายก็เข้ามายืนอยู่ในห้องน้ำที่ทั้งกว้างและมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ถึงสองอ่าง ไม่ใช่สไตล์ที่มีกำแพงสูงขึ้นมาเหมือนกับอ่างอาบน้ำในอพาร์ตเม้นท์หรือบ้านทั่วไป แต่ใกล้เคียงกับสไตล์ที่ขุดให้ต่ำลงไปบนพื้นมากกว่า

คงจะเป็นเพราะขอบอ่างมีพื้นที่กว้างและมีระบบระบายน้ำที่ดี นอกจากพื้นที่ที่มีฝักบัวแล้ว พื้นที่อื่นก็แห้งไม่เปียกน้ำแม้ว่าจะไม่ได้มีการใช้แผงกั้นพื้นที่

ฮาจุนถอดเสื้อผ้าออกอย่างไร้สติและยืนอยู่ใต้ฝักบัวด้วยความช่วยเหลือจากมูคยอม เมื่อร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยน้ำอุ่นๆ ความอยากรู้อยากเห็นที่มีก็ลดลงไปหนึ่งระดับ พร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ ถึงจะคิดว่าเดินทางมาอย่างสะดวกสบายบนที่นั่งชั้นหนึ่ง แต่ก็เป็นการเดินทางระยะไกล ร่างกายคงจะเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว

ฮาจุนรู้สึกดีเสียจนส่งเสียงออกมา และแล้วมูคยอมที่ร่างกายเปลือยเปล่าเหมือนกันก็ขยับเข้ามาแนบชิด เมื่อพิงหัวลงบนไหล่กว้างๆ ของมูคยอม มูคยอมก็ถูฟองสบู่ลงบนเรือนร่างของฮาจุน สัมผัสมืออันอ่อนโยนของอีกฝ่าย ทำให้ฮาจุนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ฮาจุนเองก็วางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่าย และลูบไล้ไปตามเรือนร่าง

กล้ามเนื้อตั้งแต่คอลงมาถึงหลัง… ก็ยังคงเหมือนเมื่อสิบวันก่อน กล้ามเนื้อคอ… ก็ไม่ตึงแข็ง ฮาจุนกังวลว่าตอนที่อีกฝ่ายล้มในนัดแก้มือ อาจจะกระแทกไหล่ผิดท่าได้ แต่พอสัมผัสทั้งกล้ามเนื้อสะบัก กล้ามเนื้อหมุนข้อไหล่ และกล้ามเนื้อไหล่เบาๆ แล้ว… ทุกอย่างปกติดี

“โค้ชอี กำลังทำอะไรครับ”

มูคยอมถามราวกับซักไซ้ มือของฮาจุนกดลงไปบนกล้ามเนื้อหลังอันแข็งแกร่ง ไล่ไปตามช่วงกระดูกสันหลังลงไปจนถึงบริเวณกระดูกก้นกบ

“…สัมผัสนายไง”

“ฉันกำลังสัมผัสนายด้วยความรัก แต่ตอนนี้นายกำลังทำงานอยู่นี่”

มันก็จริงอยู่ที่สัมผัสร่างกายไปทั่วเหมือนกัน แต่ก็สังเกตได้ถึงความแตกต่าง ฮาจุนหน้าแดงพลางพูดแก้ตัว

“ฉัน ฉันก็ทำ… ด้วยความรัก ฉันอยากรู้ว่าที่ผ่านมาบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ก็เลยลองเช็คดู”

“เอาไว้ดูแลผู้เล่นทีหลังนะ ตอนนี้ดูแลแฟนก่อน”

เมื่อพูดแบบนั้นแล้ว นิ้วของมูคยอมเองก็ลูบไล้ไปตามกระดูกสันหลังของฮาจุน ราวกับว่าเกิดประกายไฟเล็กๆ ที่แม้แต่น้ำก็ไม่สามารถดับได้ ในทุกส่วนที่มือของมูคยอมลูบไล้ผ่านไป

“อะอือ…”

ริมฝีปากเปียกชื้นคลอเคลียอยู่ข้างต้นคอและไล่ขึ้นไปจนถึงคาง ลิ้นโลมเลียคางและแก้มของฮาจุน จนมาถึงริมฝีปาก เมื่อประกบปากอยู่ใต้ฝักบัว น้ำที่หลั่งไหลลงมาก็ไหลเข้าไปในปากด้วย ส่วนล่างของร่างกายที่เริ่มร้อนขึ้นมา สัมผัสเข้ากับหน้าท้องของกันและกัน

อาจจะเป็นเพราะน้ำและฟองสบู่ จึงได้รู้สึกว่าส่วนลับที่สัมผัสนุ่มลื่นเป็นพิเศษ มือใหญ่ของมูคยอมจับสะโพกทั้งสองข้างของฮาจุน และนวดคลึงราวกับจะทำให้ขยายออก

“สัมผัสของฉันทีสิ”

จากนั้นมูคยอมก็จับมือของฮาจุนไปที่ส่วนล่างของตนเอง เมื่อน้ำเสียงกระเส่าลอยเข้ามาในหู ร่างกายที่อ่อนเพลียก็เกร็งเล็กน้อย

มือที่เปียกน้ำจับสิ่งที่ลุกชูชันเหมือนกับไม้พลองเอาไว้ เมื่อค่อยๆ ขยับมือขึ้นลงโดยที่จับสิ่งนั้นเอาไว้ในมือ มูคยอมก็แทรกนิ้วเข้ามาระหว่างเส้นผมด้านหลังหัวด้วยความรู้สึกดี ประกบปากจูบกันอีกครั้งพร้อมกับเสียงชื้นแฉะ มืออีกข้างของมูคยอมแผ่เข้าไปด้านในสะโพก ราวกับจะสอดนิ้วเข้ามาในอีกไม่ช้า และตัวของฮาจุนจะกระตุกทุกครั้งที่นิ้วของมูคยอมเฉียดผ่านปากช่องทางรัก

เพราะสายน้ำอุ่นๆ ที่สาดลงมาเป็นเส้นบางๆ และฟองสบู่ที่สลายตัวไปส่วนหนึ่ง จึงทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายที่แนบชิดกันกำลังถูไถกันแม้จะแค่กอดกันเฉยๆ เท่านั้นก็ตาม

“ฮ้า อึก…”

แก่นกายของมูคยอมที่สั่นไหวอยู่ในมือกำลังถูไถอยู่กับแก่นกายของฮาจุนโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนที่หลับตาและหายใจกระเส่า เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา และลูบไล้ไปตามร่างกายส่วนล่างของมูคยอม

“ลื่นไปหมดเพราะฟองสบู่…”

แต่แล้วปากที่พูดออกมาแบบนั้นก็หยุดพูดโดยที่ปากยังเผยอออก ดวงตาของฮาจุนที่ปิดลงช้าๆ เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และการลูบไล้อย่างเชื่องช้าด้วยความรัก เบิกกว้างราวกับเพิ่งตื่นนอน

ฮาจุนปล่อยมือและถอยหลังออกห่างจากมูคยอมหนึ่งก้าวทันที ดวงตาที่ตื่นตกใจมองไปยังกลางลำตัวของมูคยอม

“เป็นอะไร”

“คิมมูคยอม นาย…!”

มูคยอมมองฮาจุนที่พูดไม่ออกได้แต่ทำปากพะงาบๆ ราวกับถามว่าเป็นอะไร ฉีกยิ้มออกมาทันทีพร้อมกับชี้ไปที่ร่างกายส่วนล่างของตัวเอง

“อ๋อ ตรงนี้เหรอ”

ดวงตาที่เบิกกว้างของฮาจุนไม่สามารถละสายตาจากส่วนนั้นของมูคยอมได้ มูคยอมแสยะยิ้มออกมา

“อย่ามองด้วยสายตาเร่าร้อนแบบนั้นสิ ฉันคิดว่านายน่าจะเหนื่อย แล้วก็เอาแต่นึกถึงนัดที่แข่งแพ้ แต่ก็ดันมีอารมณ์ขึ้นมา”

“อะไรเนี่ย นาย ทำไมตรงนั้นถึงเป็นแบบนั้นล่ะ…”

ฮาจุนที่ไม่รู้ว่าจะต้องสาธยายออกมาเป็นคำพูดยังไง ได้แต่ถามด้วยสีหน้าที่คลุมเครือเท่านั้น

มูคยอมที่ได้เจอกันในรอบสิบวัน ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง คออันแข็งแกร่งชวนมอง ไหล่และหน้าอกที่ทั้งกว้างและแข็งแกร่ง กล้ามหน้าท้อง ซี่โครงและกล้ามเนื้อเล็กๆ บริเวณเอวที่สรรค์สร้างให้มีรูปร่างที่หนาและเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน ร่างกายอันกำยำ และแก่นกายขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าขนาดโดยเฉลี่ยไปมากแม้จะยังไม่แข็งตัว แต่ว่า…

“พวกนักกีฬาก็ทำกันหมดนั่นแหละ ฉันเองก็ต้องไปฝึกซ้อมเหมือนกัน ก็เลยทำไง”

‘น่าอาย’ ฮาจุนยืมคำพูดที่แม่มักจะพูดออกมาเวลาที่ดูทีวีมาใช้ แล้วก็พูดอยู่วนไปวนมาแบบนั้นอยู่ในใจ

ส่วนอื่นยังเป็นเหมือนเดิม แต่ส่วนที่เปลี่ยนไป คือการที่ส่วนนั้นของมูคยอมมันราบเรียบขึ้นมาก

ในส่วนที่เคยมีขนลับอยู่นั้น ไม่มีแม้แต่ขนอ่อนอยู่เลยแม้แต่เส้นเดียว มีแค่ผิวหนังลื่นๆ เหมือนกับผิวหนังส่วนอื่นๆ เท่านั้น ตอนนั้นผิวหนังในส่วนนั้นที่เปียกน้ำและมีแสงไฟของอ่างส่องกระทบ จึงดูส่องประกายแวววาว

ตอนที่ยืนตัวแนบชิดกัน ฮาจุนไม่ได้มองให้ดีก็เลยไม่รู้ ที่รู้สึกว่าส่วนนั้นลื่นเป็นพิเศษก็ไม่ได้เป็นเพราะฟองสบู่ซะอย่างนั้น

เป็นภาพที่ลืมตามองดูได้ยากเหลือเกิน ฮาจุนเบือนหน้าราวกับเพิกเฉยต่อความเป็นจริง และค่อยๆ เดินไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ

“พูดตามตรง ฉันคิดว่าแม่ไม่ค่อยชอบที่ฉันเป็นโค้ช”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะคิดว่าฉันควรจะไปได้สวยกว่านี้ ถึงจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ก็คงจะเสียใจ ถึงแม่จะไม่พูดต่อหน้าฉัน แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนแม่ก็จะเล่าเรื่องสมัยฉันเป็นผู้เล่นให้คนอื่นฟังเสมอ ทั้งๆ ที่ฉันลาออกมา 3 ปีแล้ว”

“ก็เป็นอย่างนั้นกันหมดนั่นแหละ ลุงพัคเองก็ยังอวดอยู่ตลอดเลยว่าฮยองมิน ลูกชายของตัวเองได้ที่ 1 ของชั้นตอนเรียนมัธยม”

มูคยอมพรมจูบลงไปบนเส้นผมของฮาจุน

“พอฉันลาออกเมื่อไหร่ นายก็จะสนุกกับการพูดเรื่องสมัยที่ฉันรุ่งที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ”

คำพูดนั้น ทำให้ดวงตาสีดำกะพริบช้าๆ เหมือนกับลูกวัว และเผยรอยยิ้มออกมา

“งั้นเหรอ”

“ฉันว่าแม่คงจะสนุกกับการพูดคุยเรื่องราวในตอนนั้นกับคนอื่นๆ มากที่สุด ท่านคงไม่ได้เสียดายกับสิ่งที่นายเป็นอยู่ในตอนนี้หรอก ฉันบอกแล้วนี่ ว่าถ้านายไป ครอบครัวของนายก็จะยินดีด้วยกันหมด ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนไม่ตอบอะไรไปสักพัก แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย

“ใช่… นายพูดถูก”

รอยยิ้มของฮาจุนที่ตอบแบบนั้นช่างงดงาม แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีความเหงาจางๆ อยู่ที่ปลายริมฝีปากหรือที่ดวงตา มูคยอมจึงดึงคนรักที่หันหน้าเข้าหากันมากอดเอาไว้แน่น

แม้ว่าตอนนี้ฮาจุนจะอายุยี่สิบหกเท่ากับเขา แต่รอยยิ้มนั้นมีมุมที่คล้ายกับสีหน้าของภรรยาของผู้จัดการพัคที่เศร้าหมอง เพราะคิดว่าตนเองไม่ใช่คนสำคัญของทั้งผู้จัดการพัคผู้เป็นสามี และฮยองมินผู้เป็นลูกชาย

มูคยอมใช้ชีวิตโดยที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จของตัวเองเป็นอันดับ 1 และคิดว่าการที่ตัวเองไปได้สวยก็เป็นการทำเพื่อคนรอบข้างด้วยเช่นกัน ถึงจะเป็นความรู้สึกที่มูคยอมเข้าไม่ถึงซะทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าฮาจุนคงจะรู้สึกดีใจและสบายใจ ไปพร้อมกับรู้สึกว่างเปล่าเมื่อวางภาระที่แบกเอาไว้บนไหล่ลง

แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะต่อไปคิมมูคยอมจะเป็นภาระของอีฮาจุนเอง

“โค้ชอี”

มูคยอมที่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปแบบนั้น พรมจูบลงบนหน้าผากของฮาจุนพร้อมกับเสียงดังจุ๊บ

“ต่อไปก็ช่วยโฟกัสอยู่กับการดูแลคิมมูคยอมก็พอนะครับ”

ฮาจุนที่เบิกตากว้างยิ้มกว้างออกมาเพราะคำพูดนั้น และคราวนี้ฮาจุนก็เป็นฝ่ายพรมจูบลงบนแก้มของมูคยอม สุดท้ายทั้งสองที่พรมจูบไปทั่วราวกับกำลังแข่งกันพร้อมกับเสียงดังจุ๊บเบาๆ ก็หัวเราะคิกคักออกมา ทั้งสองต่างลูบไล้ใบหน้าของกันและกันจนผล็อยหลับฝันหวานไปทั้งคู่

“นี่พวกเธอไม่แม้แต่จะเก็บของ แต่มานอนอยู่แบบนี้น่ะเหรอ”

เมื่อแม่ของฮาจุนที่กลับมาบ้าน ปลุกทั้งสองให้ตื่นราวกับไม่อยากจะเชื่อ ทั้งสองที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกันลืมตาตื่นขึ้นมา

“ทำไมห้องถึงได้รกกว่าตอนแม่ออกไปล่ะ”

“ขอโทษครับ ผมจะส่งคนจากศูนย์บริการขนย้ายมาจัดการครับ”

มูคยอมยิ้มด้วยความประหม่า พร้อมกับพูดให้แม่ใจเย็นลง และเก็บแฟ้มเอกสารที่เสียบเอาไว้บนชั้นวางหนังสือลงในกระเป๋าเดินทางที่เอาติดมือมาด้วย ฮาจุนรู้สึกประหลาดใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดเล่น ไม่คิดว่าตั้งใจจะขนไปต่างประเทศด้วยจริงๆ มูคยอมที่เคยตั้งใจเก็บของหันไปมองฮาจุนราวกับนึกอะไรออก

“ใช่ๆ วันนี้ตั้งใจว่าจะเอาอัลบั้มรูปให้ดูนี่ เลือกรูปสวยๆ เก็บไปสัก 2-3 รูปสิ ถ้าเอาไปหมดเลยคุณแม่คงจะเหงาแย่”

“คราวหน้าฉันก็ขอดูรูปนายด้วยได้ไหม”

ฮาจุนยื่นอัลบัมรูปให้พร้อมกับถามด้วยความระมัดระวัง กังวลว่าส่วนเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะเป็นการไปยุ่งเรื่องของเขาตอนเป็นเด็ก แต่ถึงยังไงความโลภที่อยากจะเห็นคิมมูคยอมในแบบที่ไม่เคยเห็นก็ปิดเอาไว้ไม่มืด เลยต้องพูดออกมา

“ได้สิ เอามาเก็บไว้ด้วยกันซะสิ ยังไงฉันก็ไม่ดูรูปของตัวเองอยู่แล้ว”

มูคยอมที่ตอบด้วยความจริงใจส่งรูปภาพ 2-3 รูปในอัลบั้มของฮาจุนยิ้มไปด้วยแล้วเอ่ยชมไม่หยุด

“ว้าว อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง น่ารักสุดๆ ฮาจุนของฉัน น่ารักจริงๆ เลย เหมือนลูกวัวตั้งตอนนั้นเลยหรอ”

“พูดอย่างกับเคยเห็นแล้ว”

ฮาจุนที่เอาแจ่โวยวายก็ลอบยิ้มออกมา แต่มูคยอมก็ไม่ยอมแพ้แนบริมฝีปากไปที่แก้มของฮาจุนหลายต่อหลายที แต่แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง สุดท้ายก็อยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน และจากนั้นทั้งสองก็ลงมาที่ลานจอดรถของอพาร์ตเม้นท์ด้วยกัน

“แล้วเจอกันนะ”

“โอเค กลับดีๆ นะ”

ที่ลานจอดรถมีแค่พวกเขาเท่านั้น หลังจากที่เก็บกระเป๋าเดินทางไว้หลังรถแล้ว ทั้งสองที่กล่าวลากันเหมือนปกติต่างก็จ้องมองกันสักพักก็จูบกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อน

มูคยอมจะเดินทางไปลอนดอนในอีกสองวัน เลื่อนไปอีกไม่ได้แล้ว ฮาจุนยังมีเรื่องที่ต้องจัดการเพื่อไปประเทศอังกฤษอยู่อีกนิดหน่อย จึงตัดสินใจตามไปในอีกสิบวัน

ถึงจะไปส่งที่สนามบิน แต่การที่ต้องอยู่ห่างกับคนรักที่เจอหน้ากันทุกวันแม้จะแค่ไม่กี่วัน ก็เป็นความทรมานที่ทั้งสองเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก

ฮาจุนรู้สึกว่าตัวเองน่าขำสิ้นดี เขาใช้ชีวิตโดยที่มูคยอมไม่ได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเขามาตั้ง 10 ปี แต่ตอนนี้เขากลับไม่เคยคิดเลยว่าการที่ต้องแยกจากกันแค่ไม่กี่วันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนี้

“ดีนะที่ได้ใช้เวลาช่วงคริสมาสต์ด้วยกันก่อนไป ถ้าได้ไปดูพลุปีใหม่ด้วยกันที่ลอนดอนก็คงดี”

“ปีหน้าต้องได้ดูด้วยกันแน่”

ฮาจุนให้คำยืนยันเพื่อเป็นการปลอบใจเมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความเสียดายของมูคยอม พร้อมกับประสานมือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนแก้มของเขา ถึงวันนี้เขาก็อยากจะนอนหลับไปพร้อมกันกับมูคยอม แต่เขาเองก็มีเรื่องที่ต้องสะสางเพื่อการเดินทางอันยาวไกลเช่นกัน ตอนนี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องอยู่เคียงข้างครอบครัวที่อยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากร่วมกับเขา

มูคยอมถอนหายใจออกมาสั้นๆ และถามออกมาด้วยสายตาอันเฉียบคมราวกับสอบสวน

“ระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถ้ามีคนมาขอเบอร์นายจะทำยังไง”

“แกล้งทำตัวเป็นสมาชิกกลุ่มศาสนาที่ปฏิเสธอารยธรรมเครื่องจักรเลยไม่ใช้โทรศัพท์”

“แล้วตอนฝึกล่ะจะทำยังไง”

“ไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นแตะต้องตัวตามอำเภอใจ”

“ถูกต้อง ถึงฉันจะยอมทนให้นายไปแตะต้องตัวคนอื่นได้เพราะเลี่ยงไม่ได้ แต่ต่อไปนายจะปล่อยให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะนายไม่ได้ อย่ามองว่าพวกนั้นเป็นคน ให้คิดว่าเป็นแบคทีเรีย ถ้าทดลองอย่างระมัดระวังก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเกิดไปสัมผัสโดยที่ไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ นายก็จะติดเชื้อไง”

ให้มองคนเป็นแบคทีเรียงั้นเหรอ นี่มันอะไรกัน เพราะเอ็นดูในจินตนาการตลกๆ ของอีกฝ่ายก็เลยยอมเออออไปด้วย แต่จะมีผู้ชายสักกี่คนกันที่ตามตื๊อขอเบอร์ผู้ชายด้วยกัน ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่มูคยอมจินตนาการขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย

ช่วงนี้มูคยอมเอาแต่ถามคำถามแบบนั้นกับฮาจุนโดยไม่ทันตั้งตัวขึ้นมาบ่อยๆ ราวกับว่าเป็นการทบทวนความจำก่อนสอบซะอย่างนั้น มันน่าหมั่นไส้นักที่มูคยอมเอาแต่กำชับฮาจุนอยู่ฝ่ายเดียว ฮาจุนจึงเช็คเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งขึ้นมาขำๆ บ้าง

“นายไปลอนดอนแล้วจะทำยังไงบ้างนะ”

“ไม่ไปปาร์ตี้ ไม่ก่อเรื่อง ไม่มองคนอื่นแล้วก็ตั้งใจเตะฟุตบอลอย่างเดียวจนกว่าคุณโค้ชจะมา”

เมื่อเทียบกับข้อบังคับยิบย่อยของมูคยอมแล้ว ถึงจะค่อนข้างเรียบง่ายตามที่อีกฝ่ายพูด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้มีจินตนาการไปไกลเหมือนมูคยอม ตอนแรกก็เป็นแค่การพูดคุยตกลงกันก็น่าจะพอแล้ว แต่มูคยอมกลับกำหนดรายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด

ถึงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าลายเซ็นที่เซ็นไว้บนร่างกายไม่เลือนไปก่อนที่จะได้เจอกันอีกครั้งก็คงดี ภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เสียดายแม้แต่การที่ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายลบเลือนหายไป ตอนที่ถูกอีกฝ่ายกอดครั้งแรก ผุดขึ้นมาราวกับเดจาวู แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมูคยอมถึงอยากสัก

มูคยอมพรมจูบลงบนหน้าผาก แก้ม และริมฝีปากของฮาจุน และพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ อย่าไปมองคนอื่นนะ”

“ใครห่วงใครกันแน่เนี่ย… นายนั่นแหละดูแลตัวเองด้วย”

ฮาจุนเถียงกลับไปพลางใช้ปลายนิ้วตีหน้าผากของอีกฝ่าย ถึงจะกำลังยิ้มอยู่ แต่สายตาของมูคยอมก็ดุดันมาก ถึงจะพูดเหมือนพูดเล่น แต่ฮาจุนเองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น เพราะเขาเองก็ไม่ได้พูดเล่นเหมือนกัน

มูคยอมสตาร์ทรถและขับออกไป ฮาจุนมองด้านหลังของรถที่ขับออกจากลานจอดรถพลางโบกมือลาอยู่อย่างนั้น ตอนที่อยู่ด้วยกันเขาไม่รู้สึกหนาวเลย แต่พอมูคยอมจากไปสายลมเย็นๆ ก็พัดผ่านมา

ช่วงฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคม ในพื้นที่ห่างไกล การแข่งขันรอบคัดเลือกแชมเปี้ยนส์ลีกกำลังจะสิ้นสุดลง และการต่อสู้อันดุเดือดของพรีเมียร์ลีก รวมถึงบ็อกซิ่งเดย์ก็กำลังดำเนินต่อไป หัวใจสั่นไหวด้วยความกังวลและความรู้สึกอันซับซ้อนเหมือนกับคนที่ส่งคนรักไปสนามรบ

รักที่เป็นรักข้างเดียว กับรักที่รักกันทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันมาก ถึงจะมีประสบการณ์รักข้างเดียวมา 10 ปี แต่ก็ช่วยอะไรในความสัมพันธ์ครั้งแรกของเขาไม่ได้เลย แม้ว่ารถที่แล่นออกไปจะลับสายตาไป แต่ฮาจุนก็ยังคงยืนผ่อนลมหายใจที่กลายเป็นไอสีขาวออกมาอยู่ที่เดิม และหลังจากนั้นอีกสักพักจึงก้าวท้าวเดินออกมาจากตรงนั้น

ทำความเข้าใจวัฒนธรรมต่างประเทศ

ช่วงห้าโมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ ฮาจุนที่ลงจากเครื่องบินที่สนามบินลอนดอน ฮีทโธรว์หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลา 12 ชั่วโมง กำลังถือกระเป๋าและลากกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ เขาสวมชุดเรียบง่ายที่ดูไม่เหมือนคนที่จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ในอีกหลายปีต่อจากนี้ เพราะส่งของทั้งหมดไปที่บ้านของมูคยอมหมดแล้ว เลยไม่มีของที่ต้องถือมาเองมากนัก

ฮาจุนรีบต่อไวไฟที่อาคารผู้โดยสารที่เชื่อมต่อไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง การที่ต้องแยกจากคนรักที่มักจะอยู่ด้วยกันทุกวันเป็นเวลาสิบวัน โดยที่อยู่คนละประเทศกันนั้น ไม่ได้มีเรื่องที่อึดอัดใจแค่เรื่องสองเรื่อง

‘อยากเจอลูกวัวเร็วๆ จัง’

‘ฉันถึงสนามบินแล้ว’

‘เครื่องน่าจะลงจอดแล้วนะ’

‘ยังไม่ถึงเหรอ’

ทันทีที่โทรศัพท์ต่อไวไฟ โทรศัพท์ก็สั่นพร้อมกับแจ้งเตือนข้อความพูดคนเดียวของมูคยอม ฮาจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่เขาปัดหน้าจอขึ้นอย่างรวดเร็วและกวาดสายตาอ่านข้อความในช่วงสิบวันที่ผ่านมาที่กองรวมกันอยู่ในหน้าต่างแชท

สิบวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี สาเหตุไม่ใช่เพราะเสียใจที่ต้องอยู่ห่างกันเท่านั้น

บางครั้งตอนที่วีดีโอคุยกัน การที่อีกฝ่ายขอให้ช่วยตัวเองให้ดู มันก็ยังพอทนได้ แต่นอกจากจะน่าอายแล้ว จะให้เปิดกล้องช่วยตัวเองอยู่ในบ้านที่อยู่กับคนในครอบครัวได้ยังไง ทุกครั้งที่ปฏิเสธไปว่าทำไม่ได้ มูคยอมก็จะงอนและรบเร้ายิ่งกว่าเดิม

ที่จริงก็มีเรื่องที่ยากจะทนอยู่อีก ระหว่างที่อยู่ห่างกัน มูคยอมก็มักจะโทรหาหรือส่งข้อความมาตามตารางเวลาของฮาจุนไม่เคยขาด ทั้งตอนออกไปทำงาน ตอนเริ่มการฝึกซ้อม ตอนซ้อมเสร็จ และตอนเลิกงาน

แม้ว่าบางครั้งจะมีนัดหรือต้องออกไปข้างนอก มูคยอมก็จะมาเช็กทุกเช้า และโทรมาเช็กอีกครั้งเมื่อถึงเวลากลับบ้าน แม้ที่อังกฤษจะเป็นช่วงดึกหรือช่วงเช้ามืด อีกฝ่ายก็ติดต่อมาไม่ขาด

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อฮาจุนได้รับสายจากมูคยอมที่โทรมาเช็กตารางเวลาด้วยน้ำเสียงอู้อี้เหมือนตื่นขึ้นมากลางดึก เขาเองก็ทนไม่ไหวจึงขึ้นเสียงด้วยความโมโห

‘เวลาห่างกันตั้งเก้าชั่วโมง ทำอะไรของนายเนี่ย ถึงเวลานอนก็นอนซะสิ!’

‘เดี๋ยวค่อยนอนต่อก็ได้’

‘ตื่นระหว่างที่หลับอยู่บ่อยๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ นายไม่รู้เหรอ’

‘ถ้าเป็นห่วงก็รีบมาสิ’

เวลาที่ทำอย่างอื่นก็มีบางครั้งที่ไม่ได้รับโทรศัพท์หรือไม่ได้เช็คข้อความ พอนึกขึ้นได้ก็เช็คโทรศัพท์ และแน่นอนว่าจะมีข้อความของมูคยอมปรากฎอยู่เสมอ

เมื่อไม่กี่วันก่อน วันที่ไม่ได้รับสายจากมูคยอมเพราะนัดเจอโค้ชจองเพื่อที่จะพูดคุยและถ่ายทอดงานให้ ฮาจุนปรายตาลงไปมองข้อความที่มูคยอมรัวส่งมา

‘ทำอะไร อยู่กับใครหรือเปล่า’

‘คงมีแค่ฉันที่คิดถึงนาย’

‘คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า ฉันก็คิดถึงเรื่องอื่นอยู่บ้าง’

‘ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็เอาชนะมันได้ เพราะฉันแข็งแกร่ง’

‘โค้ชอี อ่านแล้วทำไมไม่ตอบล่ะ’

ไปสรรหาคำพูดชวนขนลุกแบบนี้มาจากไหนกัน…

มูคยอมไม่เคยส่งข้อความตามจิกเขาแบบนี้มาก่อนเลย ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจสุดๆ ที่จะไม่เจออะไรแบบนั้นอีกแล้ว ฮาจุนพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

‘ฉันก็ถึงแล้ว เดี๋ยวออกไป’

ฮาจุนตอบกลับไปสั้นๆ แบบนั้น แต่แล้วก็มองหน้าจอพลางครุ่นคิดอยู่สักพักก็ส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายถือหัวใจเอาไว้ในมือไปหาอีกฝ่าย แต่แล้วอีกฝ่ายก็รัวส่งสติ๊กเกอร์รูปสัตว์ต่างๆ ทั้งถือหัวใจอยู่ กอดหัวใจ โปรยหัวใจ และสติ๊กเกอร์จูบกัน กลับมาติดๆ กันไม่หยุด

อาคารผู้โดยสารที่มีแค่ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสเท่านั้นที่สามารถใช้บริการได้นั้นช่างเงียบเหงา ตรงหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองมีคนอยู่แค่คนสองคนเท่านั้น ฮาจุนส่ายหัวขณะที่ย้อนนึกถึงช่วงสิบวันที่ผ่านมา แต่พอเข้าใกล้เกท หัวใจของเขากลับเต้นแรง ตอนนี้แค่ผ่านประตูนั้นไปก็จะได้เจอมูคยอมแล้ว

ในที่สุดคนที่อยู่ข้างหน้าก็ออกจากเกทไป และฮาจุนก็เดินไปอยู่ตรงหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง เขากลัวว่าเจ้าหน้าที่จะถามอะไรที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่มีคำถามที่ยากถึงขั้นนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ผมสีน้ำตาลตรวจสอบวีซ่าแล้วถามว่ามีงานทำหรือยัง เขาก็ตอบไปว่าน่าจะได้ทำงานในทีมฟุตบอล เธอก็เบิกตากว้างราวกับตกใจและยิ้มออกมา

ฮาจุนเองก็ยิ้มและขอบคุณกับคำที่เธอพูดว่า ‘หวังว่าจะมีช่วงเวลาที่ดีที่ลอนดอน’ จากนั้นก็เดินออกมานอกเกท น่าจะใช้เวลาตรวจไม่ถึง 10 นาที

เมื่อออกมาที่ล็อบบี้ ภาพที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินไปเดินมาดูยุ่งวุ่นวายก็ปรากฎเข้ามาในสายตา เสียงประกาศก็เป็นภาษาอังกฤษ ป้ายไฟ ป้ายประกาศ ตัวหนังสือในโฆษณาที่ติดอยู่บนกำแพงก็เช่นกัน ความรู้สึกที่ว่าได้มาต่างประเทศจริงๆ แล้วถาโถมเข้ามา

ฮาจุนหันซ้ายหันขวามองหามูคยอมอยู่สักพัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย อีกฝ่ายยังคงสูงเป็นที่สะดุดตาแม้แต่ที่นี่ก็ตาม

“กวางน้อย มาแล้วเหรอ”

เพราะอีกฝ่ายค่อยๆ เดินเข้ามาดึงเขาไปกอดจากข้างหลังก่อนที่จะได้พูดทักทายกันเสียอีก

มูคยอมใส่แว่นกันแดดสีเข้มราวกับว่าจะมีคนจำได้ เสื้อโค้ทสีดำตัวยาวเหมาะกับมูคยอมที่เป็นคนตัวสูงมาก ฮาจุนจินตนาการถึงสายตาที่อยู่หลังเลนส์สีเข้มของอีกฝ่าย พลางโอบมือไปด้านหลังเพื่อกอดกลับและพักหายใจอยู่สักพัก

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมูคยอมถึงได้ฝังหน้าลงบนต้นคอของเขาและดมกลิ่นอยู่บ่อยๆ ถึงจะไม่ได้จมูกดีเหมือนมูคยอม แต่กลิ่นกายของอีกฝ่ายที่ไม่ได้กลิ่นมานาน ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่มี

แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน ฮาจุนที่หยัดตัวขึ้นก็ตีหน้าอกของมูคยอมพลางถามออกมา

“ตอนนั้นก็ลูกวัว แล้วกวางน้อยนี่อะไรอีก”

“ไม่ได้เจอกันมานาน ก็ต้องเรียกชื่อที่มันน่ารักกว่าลูกวัวสิ”

ก็คงจะอย่างนั้น ขณะที่ฮาจุนคิดแบบนั้น มูคยอมก็ยื่นมือออกมา

ฮาจุนได้แต่กะพริบตา ไม่ได้ยื่นมือไปจับในทันที ในมือของมูคยอมมีช่อดอกไม้ขนาดพอดีที่มีทั้งดอกกุหลาบ ดอกโคลเวอร์ และใบหญ้าที่ไม่ได้มีสีเข้มจนเกินไปอยู่

“จะมามือเปล่าก็ยังไงๆ อยู่ ของขวัญตอนรับน่ะ”

ระหว่างที่ฮาจุนรับช่อดอกไม้มาถืออย่างงุนงง มูคยอมก็แย่งกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือไปถือเองอย่างแนบเนียน สัมภาระก็มีอยู่แค่นั้น ไม่เห็นต้องให้ใครมาถือให้จึงตั้งใจจะเอากลับมาถือเอง แต่แล้วมูคยอมก็ยกมือห้ามฮาจุนโดยไร้คำพูดใดๆ ฮาจุนที่สบายตัวขึ้นลังเลและพูดขอโทษออกมา

“ขอโทษ ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”

“พูดอะไรของนาย ของขวัญอยู่นี่ไง ชิ้นเบอเริ่มเลย”

จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้ลากกระเป๋าเดินทาง คว้ามือของฮาจุนเอาไว้

ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาสิ พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ไม่อยากปล่อยมือของฮาจุนไปเลยจริงๆ ฮาจุนพยายามข่มใจที่เต้นรัวเอาไว้ และรีบร้อนก้าวเดินไปอยู่เคียงข้าง

มูคยอม รับรู้ได้ถึงนิ้วของมูคยอมที่แทรกอยู่ระหว่างมือของเขาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังลืมที่จะสนใจสายตาของผู้คนไปเสียสนิท

“ฮ้า… ตอนนี้คงเข้าไปอยู่ประมาณตรงนี้สินะ”

“อ๊ากก! ฮ้า อ๊า…!”

เมื่อมือของมูคยอมกดลงไปบริเวณสะดือ ฮาจุนที่ถูกกระตุ้นผนังด้านในทั้งข้างในและข้างนอกก็รู้สึกเสียวซ่านไปทั่วทั้งตัว มูคยอมยิ้มบางๆ ออกมา ราวกับรู้สึกทึ่งทุกครั้งที่ได้สัมผัส

หน้าท้องสวยๆ ที่มีกล้ามหน้าท้องแข็งแกร่งไร้ซึ่งไขมันส่วนเกิน และการมีอยู่ของแก่นกายที่เติมเต็มอยู่ภายในราวกับเจาะทะลุหน้าท้องบางๆ เข้าไปที่รู้สึกได้อย่างชัดเจน มูคยอมลูบไล้ลงไปบนนั้นอย่างแผ่วเบาและพูดออกมา

“ฉันจะเซ็นให้นะ ฮาจุน”

“อ๊า อึ๊ก!”

ส่วนปลายของปากกาเมจิกที่แม้จะทู่แต่ก็แหลมคม สัมผัสกับผิวอันเปลือยเปล่าโดยไม่ทันตั้งตัว ฮาจุนขนลุกไปทั่วทั้งตัวเพราะสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย ส่วนมูคยอมก็ไม่รีรอ เริ่มขยับมือในทันที

ปากกาด้ามที่ว่านั่นขยับเคลื่อนไหวไปมา และเริ่มจรดลงบนหน้าท้อง ฮาจุนบิดตัวพลางร้องครางออกมาเพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าจั๊กจี้หรือถูกกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาบนใบหน้า

“อ๊า มันแปลกๆ อะ อ๊า!”

“อยู่นิ่งๆ สิ เบี้ยวกันพอดี”

“ฮ้าาา อ๊า… อื้อ!”

มูคยอมค่อยๆ ขยับเอวราวกับตั้งใจจะปลอบใจฮาจุน นอกจากความรู้สึกที่ถูกขีดเขียนลงบนผิวเปลือยเปล่าแล้ว ผนังด้านในยังถูกถูไถปลุกเร้าอารมณ์อีก แก่นกายที่แข็งตัวจึงสั่นไหวไปกับความเสียวซ่าน

รู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมาถึงหัวทุกครั้งที่ปากกาขยับ แม้ว่ามูคยอมจะแทบไม่ได้ขยับตัวเลย แต่ฮาจุนก็เกร็งปลายเท้าโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่ปลายเท้าของฮาจุนกระตุก หว่างคิ้วของมูคยอมก็จะขมวดเข้าหากัน

ปากกาที่หยิบออกมาเพื่อที่จะเขียนชื่อลงบนกล่องที่ใส่ข้าวของเรียบร้อยแล้ว ถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์เสียได้ ระหว่างที่ฮาจุนหายใจหอบรัว มูคยอมคงจะแจกลายเซ็นเสร็จแล้ว จึงได้วางปากกาลงบนชั้นวางอีกครั้ง และลูบไล้ไปบนหน้าท้องอีกครั้งพร้อมกับพูดพึมพำออกมา

“อ่า… อีฮาจุนเป็นของฉันจริงๆ ด้วย ก็ฉันเซ็นชื่อกำกับไว้ว่าเป็นของฉัน”

เป็นน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังเมา ดวงตาของฮาจุนไม่ละออกจากใบหน้าของมูคยอมที่มองจ้องลงมาบนร่างกายของตนราวกับรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ระหว่างที่มองใบหน้าของมูคยอมอยู่อย่างนั้น คราวนี้มูคยอมก็ใช้หลังมือลูบแก้มฮาจุนพลางถามออกมา

“ได้ลายเซ็นครั้งแรก จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”

แม้แต่การแตะเนื้อต้องตัวเบาๆ อย่างการใช้มือลูบไล้แก้ม ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเป็นการลูบไล้ด้วยความรักที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้พลุ่งพล่าน ฮาจุนเกร็งต้นคอพลางตอบออกมาอย่างเหม่อลอย

“อะอื้อ อึก ขอบใจ…”

คำตอบนั่นทำให้ดวงตามูคยอมเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อย มูคยอมที่เอาแต่จ้องมองจนแทบจะทะลุ ดึงร่างที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นมา

เมื่อทิ้งน้ำหนักตัวลงไปด้านล่าง สิ่งที่สอดใส่อยู่จึงสอดเข้าไปลึกกว่าเดิม ฮาจุนที่ตื่นตกใจ คว้าไหล่ของมูคยอมเอาไว้และตั้งใจจะชันเข่า แต่แขนของมูคยอมก็รองรับสะโพกของฮาจุนไว้และลุกขึ้นจากเตียง

“อะ อ๊ะ อ๊า!”

ฮาจุนเอามือคล้องไว้ที่คอของมูคยอมอย่างลุกลี้ลุกลน ส่วนมูคยอมก็เริ่มก้าวเดิน ฮาจุนฝังหน้าไว้ที่ไหล่ของอีกฝ่ายและถามออกมา

“จะไปไหน ไปไหน…”

ความรู้สึกไม่สบายใจที่มีเซ็กซ์อยู่ในบ้านยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจมาตลอด แต่พอมูคยอมตั้งใจจะย้ายไปจุดอื่นแล้ว ผนังด้านในก็ยิ่งบีบรัดแน่นกว่าเดิมเพราะความกังวล

แต่ก็โชคดีที่มูคยอมเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็วางฮาจุนลง ระหว่างที่นอนอยู่แล้วถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นไปกอด และแม้กระทั่งตอนที่วางลง แก่นกายที่ทั้งยาวและหนาก็ยังคงฝังลึกอยู่ในตัวของฮาจุนอยู่อย่างนั้น พอถูกวางลงบนพื้นแล้ว ขาทั้งสองข้างก็สั่นเทา

จู่ๆ มูคยอมที่วางฮาจุนลงก็ถอนแก่นกายของตัวเองออกไป เมื่อสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในร่างจนรู้สึกอึดอัดถูกถอนออกไป ลมหายใจที่ติดขัดก็กลับมาหายใจได้เต็มปอด ฮาจุนจึงได้ผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ

แต่ก็เป็นเพียงการพักยกชั่วคราวเท่านั้น มูคยอมพลิกตัวฮาจุนและดันแก่นกายของตัวเองเข้าไปในช่องทางรักที่ยังไม่ปิดตัวลงอีกครั้ง ฮาจุนรีบคว้าแขนล่ำอันแข็งแกร่งที่คว้าเอวของตนเอาไว้แน่นทันที

“อื้ออออ อื้อ อ๊ะ…!”

“กัดนี่เอาไว้หน่อย”

ชุดเครื่องแบบที่ถูกดันขึ้นไปตอนที่นอนอยู่บนเตียง กำลังคลุมหน้าท้องอยู่ในตอนนี้ มูคยอมจับชายเสื้อเอาไว้แล้วเอาไปจ่อไว้ที่ปากของฮาจุน

ฮาจุนที่ตอนแรกไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร และได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา เข้าใจสิ่งที่มูคยอมพูดช้าไปหนึ่งจังหวะและใช้ฟันงับชายเสื้อที่จ่ออยู่ที่ริมฝีปากเอาไว้

“ดูสิ นายเองก็ต้องได้เห็น ว่าบนร่างกายของนายมีคำว่าคิมมูคยอมอยู่”

ในตอนนั้นเองฮาจุนจึงได้สติและมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จุดที่มูคยอมพาเขามาคือ ตรงหน้ากระจกเต็มตัวที่แขวนเอาไว้บนผนัง

ภายใต้ชายเสื้อที่คาบเอาไว้ที่ปาก มีทั้งยอดอกที่ถูกกัดและดูดคลึงจนกลายเป็นสีแดง ร่องรอยการจูบและรอยฟันบนผิวหนังที่ยังไม่หายไป รอยแดงทั่วทั้งตัว และหน้าท้องขาวๆ ที่มีลายเซ็นสีดำตัวหนา ของคิมมูคยอม ทั้งหมดล้วนทะท้อนอยู่ในกระจกอย่างชัดเจน

“อื้อ…”

ความรู้สึกแปลกประหลาดที่แยกไม่ออกว่าอายหรือรู้สึกดีกันแน่ ทำให้เวียนหัวและรู้ร้อนผ่าวเหมือนมีไข้ และแล้วมูคยอมก็ดึงสิ่งที่ฝังอยู่ในตัวออกไป

ความรู้สึกที่แก่นกายที่มีเส้นเลือดปูดออกมาเคลื่อนที่กวาดผนังภายในที่แนบติดอยู่ออกไปอย่างช้าๆ มันชัดเจนเหลือเกิน ฮาจุนกัดฟันที่งับชายเสื้อเอาไว้แน่นกว่าเดิม แต่แล้วสิ่งที่เคลื่อนที่ออกไปก็ดันเข้ามาใหม่อีกครั้งอย่างเต็มแรง

“อ๊า!”

ฮาจุนเปิดปากร้องทันที ชายเสื้อที่งับเอาไว้ก็ร่วงหล่นลง ชุดยูนิฟอร์มที่หลสมโคร่งก็ไปปกคลุมร่างกายอีกครั้ง ‘อ่า’ สมหายใจร้อนๆ ของมูคยอมรดใบหูชวนให้รู้สึกจักจี้

ขณะที่เอนหัวลงบนไหล่ของมูคยอมพลางอดทนกับร่างกายที่สั่นสะท้าน มือของมูคยอมก็เคลื่อนมาบริเวณริมฝีปากอีกครั้ง

“อย่าปล่อยสิ งับเอาไว้ ฉันอยากเสียบเข้าไปแล้วก็ดูไปด้วย”

“อือ อ๊าา อื้อ”

ถึงจะดูเป็นการบังคับ แต่ท่าทางการพูดเหมือนเป็นการรบเร้ามากกว่า ฮาจุนไม่สามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้ และงับชายเสื้อเอาไว้ให้แน่นกว่าเมื่อสักครู่

พอจับแขนของมูคยอมที่โอบหน้าอกและท้องน้อยของตนเอาไว้แน่น มูคยอมก็เริ่มขยับเอวกระแทกด้านในอย่างรวดเร็ว เสียงหอบครางของทั้งคู่ดังขึ้นเข้ากับจังหวะ

“ฮ้า อา ฮึก”

“ฮึก อื้อ! อ๊ะ อ๊ะ ฮืก อื้อ!”

ร่างกายของทั้งสองยืนแนบซ้อนกัน สะโพกของฮาจุนกระทบกับกระดูกหัวหน่าวและขาอ่อนของมูคยอมอย่างต่อเนื่อง ของของมูคยอมที่ดูจะตื่นตัวเป็นพิเศษในวันนี้ ทั้งแข็งตัวและมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างชัดเจน สมกับความเร่าร้อนที่แผ่นซ่านไปทั่วร่างของเจ้าของ

แท่งเนื้อร้อนๆ ที่ว่านั้น ทิ่มแทงภายในร่างกายที่หลอมละลายอย่างไร้ความปราณี ร่างกายของฮาจุนสั่นสะท้านด้วยความกลัวเมื่อถูกทิ่มแทงไปถึงจุดที่ไม่ควรไปสัมผัส

ส่วนปลายแก่นกายที่เกรี้ยวกราดกระแทกโดนส่วนที่อ่อนไหวที่สุดอย่างไม่ระมัดระวัง และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น เท้าของฮาจุนก็จะอ่อนแรง รู้สึกหนักหัวเหมือนมีกระแสไฟไหลผ่าน และน้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

ถึงจะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่ก็ยากที่จะกลั้นเสียงที่หลุดออกมาเอาไว้ ฮาจุนส่งเสียงร้องอยู่ในลำคอโดยที่ยังงับชายเสื้อเอาไว้แน่น ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น มูคยอมก็จะกระแทกเอวให้แรงขึ้น และมือข้างหนึ่งของฮาจุนที่จับแขนของมูคยอมเอาไว้ในตอนแรกก็ถูกพาดไปที่หลังคอของมูคยอม แม้ว่ามูคยอมจะใช้มือกดหน้าอกและหน้าท้องเอาไว้ แต่เอวของฮาจุนก็งอลงเล็กน้อยและกลับมาที่เดิมทุกครั้งตามจังหวะการกระแทกของมูคยอม

“จะปล่อยแล้วนะ”

เสียงกระซิบทุ้มต่ำของมูคยอมทำให้อารมณ์ของฮาจุนพลุ่งพล่านขึ้นมา แม้ว่าขาจะสั่นสะท้าน แต่ปลายเท้าก็ยังคงยืนหยัดเกาะติดกับพื้น

ฮาจุนรู้สึกได้ว่าของเหลวร้อนๆ สาดกระเซ็นอยู่ภายในร่างกาย ราวกับว่าถูกฝึกฝนมาให้ถึงจุดสุดยอดเมื่อมูคยอมขับน้ำรักออกมา ฮาจุนเองก็ใกล้จะไปถึงจุดสุดยอดครั้งที่สองเต็มทีแล้ว น้ำรักสีขาวขุ่นไหลออกมาจากแก่นกายที่กระตุก และหยดลงบนพื้นราวกับอาเจียนออกมาหลายต่อหลายครั้ง

ร่างกายไร้เรี่ยวแรง และเกร็งจนกระตุกไปทั่วทั้งตัว ยืนแทบจะไม่ไหว จึงได้แต่ออกแรงไปที่เท้าเพื่อทนเอาไว้

“ไม่ได้เสร็จพร้อมกันนานมากแล้วนะ”

ตรงกันข้าม มูคยอมกลับพูดพึมพำออกมาอย่างสบายอารมณ์ และดันแก่นกายที่เปียกชื้นขึ้นมา แม้จะขับน้ำรักออกมาแล้ว แก่นกายที่ยังไม่สงบก็ยังคงแทรกในส่วนที่ลึกที่สุด แล้วลูบไล้ไปที่หน้าท้องของฮาจุน

“ดูตรงนี้สิ ส่วนที่ฉันเขียนชื่อเอาไว้มันขยับด้วย… เห็นไหม”

“อื้อ อือออ อึก…”

แม้ว่าน้ำรักจะเปรอะเปื้อนไปบนร่าง แต่ลายเซ็นก็ยังไม่เลือนหายไป เมื่อสบตากับดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาผ่านกระจก มูคยอมก็ทิ่มแทงแท่นร้อนเข้าไปด้านในให้ลึกกว่าเดิมราวกับจะแสดงให้ดู

สุดท้ายก็เห็นว่าหน้าท้องที่มีลายเซ็นขยับหดเข้าและพองออกมาเล็กน้อยตามที่มูคยอมพูด ฮาจุนจึงหลับตาและก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว ถึงมูคยอมจะกดท้องของฮาจุนเอาไว้แล้วพูดว่ารู้สึกได้ผ่านมือ พลางหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ยังสอดใส่อยู่อย่างนั้นบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยลองพิสูจน์ด้วยตาของตัวเองเลยสักครั้ง

มือที่ไต่ตามร่างกายขึ้นมา ค่อยๆ ดึงชายเสื้อที่คาบเอาไว้ออก เมื่อเปิดปากออกอย่างไร้เรี่ยวแรง ชายเสื้อที่เปียกน้ำลายก็ตกลงไปคลุมหน้าท้องอีกครั้ง เมื่อปากที่ถูกอุดเอาไว้เป็นอิสระ ฮาจุนก็ผ่อนลมหายใจหอบรัวออกมา

“แฮ่ก ฮ๊า แฮ่ก!”

มูคยอมเชิดคางของฮาจุนเพื่อให้มองมาที่ตนเอง จรดริมฝีปากลงไปบนแก้มที่เปื้อนน้ำตา มูคยอมที่ใช้ลิ้นเลียหางตา และถามออกมาช้าเกินไป

“ก้มหน้าทำไม ไม่อยากเห็นเหรอ”

“ฮึก แฮ่ก ไม่ใช่ อย่างนั้น… อ๊ะ มัน…”

“มันวาบหวิวเกินไป”

มูคยอมพูดแทนฮาจุนที่พูดไม่จบ และโอบเอวของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนได้แต่หายใจหอบและไม่ตอบอะไรกลับไป คำว่า ‘วาบหวิว’ ดูจะเป็นการใช้คำที่ดูน่ารักเกินไปในการสื่อถึงการกระทำเมื่อสักครู่ของตัวเอง

“อีฮาจุน นายเป็นของใคร”

คำถามที่ไม่ทันตั้งตัวที่กระซิบถามแนบหู ทำให้ร่างกายที่เพิ่งขับน้ำรักออกไปไม่นานสั่นสะท้าน และผนังด้านในบีบรัดแนบแน่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกได้ถึงการตอบสนองทางร่างกายของตนเอง ฮาจุนขยับริมฝีปากตอบออกไปด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นไปอีกขั้น

“ของนาย… คิมมูคยอม แฮ่ก ฉันเป็นของนาย…”

“รู้สึกยังไงที่ได้เป็นของคิมมูคยอม”

“อ๊า ดี อื้อ อือ รู้สึกดี ดี… อ๊า อื้อ…”

“ไม่เอาคำนี้สิ ลองพูดคำอื่นดู โค้ชอีของเราแสดงความรู้สึกออกมาเรียบง่ายเกินไป”

มูคยอมควงเอวสะกิดผนังด้านในอย่างอ่อนโยนด้วยแก่นกายที่ยังแข็งตัว ผนังด้านในที่อ่อนไหวต่อการกระตุ้นหลังจากขับน้ำรัก สั่นสะท้านอย่างรุนแรงพลางซึมซับความรู้สึกดีที่มูคยอมมอบให้

สมองของฮาจุนขาวโพลนไปหมด คิดไม่ออกว่าจะแสดงออกมาเป็นคำพูดไหน

“ฮ้าา! อะ อ๊า…! อะอือ…”

ถึงจะทนไว้แต่ความอดทนก็มีขีดจำกัด แม้จะพิงมูคยอมเอาไว้ แต่ขาก็สั่นแรงจนยืนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลรินลงมาบนแก้มที่มูคยอมเพิ่งจะลบรอยน้ำตาด้วยริมฝีปากไปอีกครั้ง และไร้เรี่ยวแรงไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวลงมา

อาจจะถูกล้อว่าเป็นลูกวัวอีกก็ได้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีทางที่ฮาจุนจะมีกำลังขาอ่อนแอกว่าคนอื่นๆ เลย แต่พอทำกับมูคยอมแล้วก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ในที่สุดเสียงอันไร้เรี่ยวแรงก็ออกมาจากปากฮาจุน

“คิมมูคยอม…”

“หืม”

“กอดฉันหน่อย… เหนื่อย…”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมยิ้มออกมาอย่างสดใสจนเห็นฟัน

แก่นกายที่ยังคงเสียบคาเอาไว้ค่อยๆ ถอนออกมาอย่างช้าๆ เมื่อจุดที่ถูกอุดเอาไว้เปิดออก น้ำรักที่เติมเต็มอยู่ภายในก็หลั่งไหลออกมาตามร่องและระหว่างต้นขา

ร่างกายของฮาจุนกลับสั่นไหวแรงกว่าเดิมเพราะความรู้สึกจั๊กจี้เบาๆ ส่วนมูคยอมก็ใช้แขนโอบร่างกายส่วนล่างที่เปียกชื้นเอาไว้ และมุ่งหน้าไปที่เตียง มูคยอมนั่งกอดฮาจุนอยู่บนกองผ้าห่มที่ยับยู่ยี่เพราะกิจกรรมก่อนหน้า และใช้มือใหญ่ลูบหลังอันสั่นเทา

“ขอโทษนะ เหนื่อยมากไหม”

“ไม่หรอก ก็แค่… เหนื่อยแค่ตอนนี้เท่านั้นเอง”

“ฉันมีอารมณ์จนทนไม่ไหว เพราะเหมือนว่านายเป็นของฉันจริงๆ”

“…ไม่ใช่เหมือน แต่เป็นของนายนั่นแหละถูกแล้ว”

มูคยอมขบฟันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อได้ยินฮาจุนพูดเน้นย้ำแบบนั้น

“อ่า… ที่จริงต้องต่อรอบสองนะเนี่ย แต่ถ้าทำอีกมันคงจะนานเกินไปใช่ไหม”

“อื้อ ทำต่อไม่ได้แล้ว”

ฮาจุนพยักหน้าอย่างจริงจัง ถ้ามูคยอมทำต่อให้สาสมเท่ากับที่อยาก ก็คงจะใช้เวลาหลายชั่วโมง มันคงไม่จบจนกว่าแม่จะกลับมาบ้าน

มูคยอมถอนหายใจออกมาราวกับยอมแพ้ และเอาแต่งับใบหูของฮาจุนโดยไร้คำพูดใดๆ ไปสักพัก จึงถามออกมา

“เราไปสักกันไหม”

“อะไรนะ”

“ถึงจะเห็นคนอื่นๆ มีรอยสักกัน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะสักเลย แต่พอเห็นนายในวันนี้แล้วก็อยากจะสักขึ้นมา ฉันจะสักชื่อนาย ส่วนนายก็สักชื่อฉันไง แล้วพอคนอื่นเห็นรอยสักของนาย ก็จะรู้ว่านายเป็นของใครใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนไม่สามารถตอบออกไปได้ทันที และพูดออกมาด้วยความสงสัย

“ถ้าสักชื่อจริงๆ คนอื่นมาเห็นเข้าก็คงจะคิดว่าแปลกนะ”

“อะไรกัน ถึงจะไม่ค่อยมีคนสักชื่อเพื่อนสนิทก็เถอะ แต่มันก็มีนะ ถ้ากังวลก็สักอักษรตัวแรกของชื่อเอาก็ได้”

แน่นอนว่ามีผู้เล่นที่มูคยอมรู้จักบางคนสักชื่อของเพื่อนเอาไว้บนร่างกายด้วย นอกจากสักชื่อแล้ว ยังมีการสักลวดลายมากมายหลายอย่างเหมือนกับเสพติดการสัก ส่วนใหญ่จึงสักชื่อของเพื่อนลงไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะสักอะไรต่อดีแล้ว แต่ไม่มีคนที่สักแค่ชื่อของเพื่อนเลยสักคนเดียว

แต่ฮาจุนกลับกลอกตาราวกับถูกโน้มน้าวสำเร็จ และหัวเราะออกมาเบาๆ พลางพยักหน้า

“จะลองคิดดูแล้วกัน”

มูคยอมเองที่ได้ฟังคำตอบไปในทางที่ดีก็ยิ้มไม่หุบและพรมจูบหลายต่อหลายครั้งลงบนแก้มที่แดงเพราะความรู้สึกหลังการไปถึงจุดสุดยอดยังคงอยู่ ฮาจุนโอบคอของมูคยอม ส่วนมูคยอมโอบหลังของฮาจุนเอาไว้ ทั้งสองต่างโอบกอดกันเช่นนั้น และต่างพรมจูบไปทั่วไปหน้า ไม่ว่าจะเป็นหางตา แก้ม สันจมูก และเมื่อกำลังจะจูบกันอย่างจริงจัง ก็ดันมีเสียงแปลกๆ มาทำลายบรรยากาศเสียได้

โครก

เป็นเสียงที่ไม่รู้ว่าออกมาจากท้องของใคร ฮาจุนหลุดหัวเราะออกมาก่อน มูคยอมเองก็ดึงฮาจุนมากอดและหัวเราะไปด้วยเช่นกัน

ทั้งสองที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาๆ ลายเซ็นที่เขียนด้วยปากกาเมจิกนั้น ถึงจะล้างแล้วก็ลอกออกไปไม่หมดในคราวเดียว ฮาจุนถือเสื้อบอลที่ยับยู่ยี่ขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วจึงใส่เข้าไปในตะกร้าผ้า เขาคิดว่าอีกเดี๋ยวจะซักด้วยมือ

ระหว่างที่มูคยอมตักซี่โครงอบที่อยู่ในหม้อใส่ชาม ฮาจุนก็เตรียมข้าวเอาไว้สองถ้วย และทั้งสองก็นั่งหันหน้าเข้าหากันบนโต๊ะอาหาร ทั้งคู่ต่างก็กินกันไม่น้อย ซี่โครงตุ๋นที่มีอยู่เต็มหม้อในตอนแรก เหลือน้อยจนเห็นก้นหม้อ

หลังจากที่มีเซ็กซ์ กินอาหารจนอิ่มท้อง ล้างจาน แปรงฟัน และเก็บกวาดโต๊ะอาหารจนเสร็จแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา หลังจากตกลงกันว่าเอาไว้ค่อยมาเก็บของกันทีหลังแล้ว ทั้งสองก็นอนแนบชิดกันบนเตียงเล็กๆ มูคยอมที่สนุกกับความรู้สึกที่ได้ดึงผมของฮาจุนขึ้นมาและปล่อยให้ร่วงหล่นผ่านร่องนิ้วไป พูดขึ้นว่า

“แต่คุณแม่ก็ดูอารมณ์ดีนะ”

ฮาจุนที่นอนมองเพดาน พยักหน้ารับเล็กน้อย

“โล่งอกไปที ฉันนึกว่าแม่จะห้ามหรือเสียใจซะอีก ฉันเองก็ตกใจที่แม่ชอบถึงขนาดนั้น”

“เมื่อก่อนตอนที่เกือบจะได้ไปฝรั่งเศสน่ะ เป็นยังไง”

“ตอนนั้นแม่ก็ชอบ แต่สถานการณ์มันต่างกันนิดหน่อย…”

ฮาจุนพูดไม่จบและหันตัวมาหามูคยอม

“ตรงไหนล่ะ ฮาจุน พูดมาสิ”

สุดท้ายน้ำเสียงที่ปนกับเสียงครางก็เล็ดลอดออกมาจากปากที่เผยอออกของฮาจุน

“อ๊า อ๊ะ ทะ ทางซ้าย…”

“ทางซ้ายงั้นเหรอ”

“อือ อ๊ะ! อะอือ”

นิ้วของมูคยอมค่อยๆ ถูไปกับผนังด้านในอย่างช้าๆ พอคิดว่าน่าจะกดลงไปในจุดที่ต้องการแล้ว แต่ครั้งนี้ก็ยังเลยจุดที่ต้องการไปอยู่ดี

“ตรงนี้เหรอ”

“อ๊า อ๊ะ ขึ้นไปอีก อีกนิด… ฮึก อ๊ะ ตรงนั้น อ๊า…”

นิ้วที่เหมือนจะจิ้มไปถูกจุดแต่ก็ไม่ถูก ขยับวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นด้วยความกระวนกระวาย ฮาจุนหุบเข่าที่แยกออกจากกันเพื่อออกแรงไปที่ขาจนขาสั่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เอวและสะโพกสั่นไหวไปตามอารมณ์ และพามือของมูคยอมไปยังจุดที่ต้องการ

มูคยอมจับมือของฮาจุนที่วางอยู่บนหน้าท้องเอาไว้ แล้วก็เอามาซ้อนลงบนมืออีกข้างของตัวเองที่กำลังกวัดแกว่งอยู่ภายใน ดูเหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่สถานะของทั้งสองตรงกันข้ามกับในตอนนั้น

ถึงจะไม่อธิบายให้ยืดยาว แต่ฮาจุนก็จับมือของมูคยอมเอาไว้แน่นกว่าเดิม พอก้มลงไปมองด้านล่างด้วยใบหน้าอันแดงฉาน ก็หลับตาลงและเริ่มขยับมือที่หยุดนิ่งอยู่ภายในร่างกาย ปากเผยอออกในทันที

“อ๊ะ ฮ๊าาา อ๊า…!”

“อ๋อ ตรงนี้เหรอ”

ทั้งๆ ที่รู้ดีกว่าใคร แต่มูคยอมก็ยังถามออกมาราวกับเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก ฮาจุนเพียงแค่ขยับมือโดยไร้ซึ่งคำตอบ เป็นภาพที่ดูเหมือนว่า เขาใช้มือของมูคยอมเพื่อช่วยตัวเอง

จุดที่ความรู้สึกดีพุ่งพล่านอย่างรวดเร็วที่รอคอยการปลุกเร้ามาตั้งแต่เมื่อกี้ คงจะกระหายการสัมผัสและมีความอยากมากขึ้นจากการรอคอย จึงอ่อนไหวต่อมือของมูคยอมมากกว่าปกติ ปลายนิ้วและข้อนิ้วแข็งๆ ปลุกเร้าอารมณ์ที่รอมาตั้งแต่เมื่อครู่ และปลอบประโลมร่างกายอันเร่าร้อน

แม้จะเป็นการช่วยตัวเอง แต่มือของมูคยอมก็แตกต่างกับสิ่งของที่ไร้อารมณ์และความรู้สึก ทุกครั้งที่ฮาจุนขยับ มือของมูคยอมก็ออกแรงกดผนังด้านในไปด้วย และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นเอวและกระดูกเชิงกรานก็จะกระตุกโดยอัตโนมัติ

“อ๊าาา อึก อ๊ะอ๊า… อ๊า…!”

“ช้าๆ นะ”

มูคยอมเกร็งข้อมือเพื่อยับยั้งการใช้มือช่วยตัวเองอย่างรีบร้อนของฮาจุน การขอให้มูคยอมค่อยๆ ทำทุกครั้งที่เริ่มขยับเอว มักจะเป็นหน้าที่ของฮาจุนเสมอ ฮาจุนแยกไม่ออกเลยว่าการที่มูคยอมขยับเอวเข้าออกด้วยตัวเอง

กับการที่ตัวเขาใช้นิ้วหยอกล้อมันต่างกันตรงไหน

“ฉันเคยบอกนายแล้วนี่ เวลาที่นายทำเองน่ะ มันรุนแรงเกินไป”

“อ๊า ไม่รู้ ฉันไม่รู้เลย…”

มูคยอมแยกไม่ออกว่าการเบิกทางที่รุนแรงกับการที่ตัวเขาเองใช้มือช่วยอยู่ในตอนนี้ต่างกันยังไง พอฮาจุนส่ายหน้าปฏิเสธ มูคยอมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และในตอนนี้ก็มูคยอมก็ขยับมือเข้าไปด้านในลึกๆ และดึงเข้าดึงออกด้วยตัวเอง

“ทำแบบนี้สิ ตอนแรกให้ใช้ความเร็วประมาณนี้ ไม่งั้นนายจะอ่อนไหวแล้วไม่นานมันก็จะบวม เวลาที่ใช้มือมันจะบาดเจ็บได้ง่ายกว่าตอนที่ใช้ของจริง เลยต้องระวังมากกว่า”

ถึงแม้ว่ามูคยอมจะคอยแนะนำอย่างช้าๆ อยู่ข้างหู แต่ตอนนี้ฮาจุนไม่รับรู้อะไร

นอกจากสัมผัสด้วยความรักใคร่ของอีกฝ่าย

ถึงตอนแรกจะอธิบายว่าให้ทำช้าๆ แต่จริงๆ แล้ว ตอนนี้นิ้วของมูคยอมก็กวัดแกว่งอยู่ภายในร่างกายของฮาจุนมาได้สักพักแล้ว ระหว่างที่มูคยอมกำลังหยอกล้อ ภายในที่ถูกกระตุ้นมาตลอดก็เร่าร้อนไปจนถึงขีดสุด

“อ๊ะ! อะ อ๊า!”

มูคยอมที่กระซิบกระซาบราวกับช่วยสอนสั่ง สอดอีกสองนิ้วที่เหลือเข้าไป พลางขยับข้อมือกวัดแกว่งด้านในเหมือนที่เคยทำมาตลอด ฮาจุนที่สติเลือนรางไปชั่วขณะ คว้าไหล่ของมูคยอมเข้ามากอดในทันที

เสียงครางราวกับกรีดร้องหลุดออกมาจากปากที่ยังคงเผยอออก น้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา เมื่อรู้สึกราวกับว่าท้องน้อยที่เกร็งจนเกิดความร้อน หลอมละลายลง ฮาจุนก็ขับน้ำรักออกมาโดยไม่รู้ตัว

ของเหลวที่เหมือนกับโลชั่นเหลวๆ ตามที่มูคยอมได้พูดเปรียบเอาไว้ พุ่งออกมาและไหลลงไปตามแก่นกายที่ลุกชูชัน ฮาจุนดึงเสื้อขึ้นเล็กน้อยพลางหายใจหอบ เพราะกลัวว่าของเหลวที่ไหลออกมาจะเปื้อนชายเสื้อ

นิ้วที่ปลุกเร้าอารมณ์มาสักพัก ถูเข้าไปในผนังด้านในเบาๆ จนสุดแล้วก็ถูกดึงออกไป ริมฝีปากยังคงคลอเคลียอยู่กับคอและหูที่อ่อนไหวมากขึ้น ฮาจุนยังคงตกอยู่ในภวังค์จากการสัมผัสที่ไม่ยอมลดละของอีกฝ่าย และหมดแรงอยู่ภายใต้ร่างของมูคยอมโดยที่ขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน

“หมดแรงแบบนี้ไม่ได้นะ”

มูคยอมที่ทำท่าเหมือนจะสอดใส่เข้าไปทั้งอย่างนั้น หัวเราะพลางก้มตัวลงมา พรมจูบหลายต่อหลายครั้งลงไปบนใบหน้าที่ดวงตาแดงกล่ำจากการร้องไห้ มูคยอมดันขาที่แผ่ออกของฮาจุนให้หุบลงและดันไปด้านข้าง ฮาจุนที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ใช้ศอกหยัดร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเพื่อนอนคว่ำเผยให้เห็นแผ่นหลัง

ฮาจุนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ราวกับว่าถูกใจอะไรบางอย่างดังมาจากด้านหลัง มือใหญ่ที่ร้อนผ่าวจับสะโพกของฮาจุนให้แยกออก นิ้วมือหนาๆ นวดลงไปบนช่องทางรักที่ยังคงเปิดรับการกระตุ้นอยู่ จากนั้นก็จ่อแก่นกายชูชันที่ทั้งเร่าร้อนและแข็งแกร่งกว่ามือไปที่ช่องทางรักพลางบดขยี้ไปมา

ไหล่ของฮาจุนสั่นไหวเพราะสัมผัสของแท่งร้อนที่ถูไถช่องทางด้านหลัง

“อ่า ฮาจุน… ตอนนี้ฉันจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ”

“ทำไม อ๊า วันนี้นายเป็นอะไร”

วันนี้มูคยอมไล่ต้อนเขาตั้งแต่เริ่ม และถึงแม้จะแสร้งทำเป็นไม่ใช่ แต่วันนี้มูคยอมก็ตื่นตัวกว่าปกติ ชุดบอลนี่ก็ใส่อยู่ทุกวันแท้ๆ แม้ว่าฮาจุนจะยังตกอยู่ในภวังค์แต่ความขี้สงสัยก็ยังคงอยู่จึงได้ถามออกไป

“ตอนนี้ที่หลังของนาย แม่งเอ๊ย มันมีชื่อฉันอยู่นี่ เหมือนกับว่า ตอนนี้นายเป็นของฉันเต็มตัวแล้ว”

“อ๊า อี๊ก! ฮื้อ…!”

มูคยอมพูดพลางดันแก่นกายเข้าไปอย่างรุนแรง ด้านในที่ถูกนิ้วรังแกมาพักใหญ่ๆ หดตัวลงอย่างรีบร้อน และบีบรัดสิ่งแปลกปลอมหนาๆ ราวกับเป็นการเตือนว่าให้ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามา

ถ้ารออีกสักหน่อย ให้ผนังด้านในได้ผ่อนคลายลงก็คงจะเข้าไปได้ไม่ยาก แต่มูคยอมกลับมีท่าทีรีบร้อน กระแทกสะโพกของฮาจุน เพื่อให้ผนังด้านในที่แคบลงขยายออก และเสียบแก่นกายของตัวเองเข้าไปจนสุด ร่างที่อยู่ใต้ร่างของมูคยอมสั่นไหวไปตามจังหวะการกระแทก

“อ๊ะ อ๊า”

ส่วนลึกภายในที่ส่วนปลายแก่นกายสัมผัสถึง กระตุกราวกับมีชีวิต มูคยอมหยุดเคลื่อนไหว ทั้งๆ ที่ทิ้งน้ำหนักสอดแก่นกายเข้าไปจนสุด และดื่มดำความรู้สึกที่แก่นกายและผนังด้านในแนบชิดจนเป็นหนึ่งเดียว

“ฮู่ว…”

“อื้อ ฮึก อือ”

แม้จะไม่ขยับ แต่ผนังด้านในที่สั่นสะท้านก็บีบรัดแก่นกายที่ลุกล้ำเข้าไป มูคยอมผ่อนลมหายใจออกมาพลางหลับตาลงไปชั่วขณะ ฮาจุนที่ฝังหน้าลงบนที่นอน ทั้งไหล่และเอวสั่นสะท้านราวกับรู้สึกได้เพียงแค่การลุกล้ำของมูคยอม พลางส่งเสียงร้องครวญครางออกมาเบาๆ

มูคยอมเลียริมฝีปากที่ร้อนจนแห้งผากของตัวเอง หากร่างกายของฮาจุนทำให้ตัวเขาเร่าร้อนขึ้นมาได้ เขาก็จะมอบสิ่งตอบแทนที่สาสมให้ทันที เมื่อลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์ด้วยความรัก ฮาจุนก็จะรู้สึกได้แม้ว่าจะลุกล้ำเข้าไปแล้ว และยิ่งรู้สึกมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งบีบรัดแก่นกายของมูคยอมแน่นขึ้นเท่านั้น

เมื่อค่อยๆ ควงเอวโดยที่ยังสอดเข้าไปลึกๆ อยู่อย่างนั้น ฮาจุนก็เงยหน้าขึ้นพลางส่ายหัวส่งเสียงครวญครางออกมาราวกับทนไม่ไหว

“อะ อ๊ะ อ๊า!”

ราวกับว่าหูของมูคยอมหลอมละลายไปกับเสียงครวญครางนั้น ต้นคอขาวที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน เสื้อบอลสีขาว และชื่อของตัวเขาที่สลักเป็นสีน้ำเงินอยู่บนนั้น กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน ความรู้สึกเหมือนกับว่าชื่อของเขาถูกสลักลงบนแผ่นหลังของฮาจุน มันทำให้สมองของเขาขาวโพลนไปหมด

มูคยอมดึงฮาจุนที่นอนคว่ำอยู่เข้ามากอดจากด้านหลัง เมื่อดึงเข้ามากอดเอาไว้แน่นราวกับบดขยี้ ฮาจุนที่หายใจไม่ออกก็หายใจหอบรัว

“อ่า ฮาจุน นายรู้สึกยังไงที่ฉันเสียบเข้าไปจนสุดแบบนี้”

“อึก ฮ๊าาา อะ อ๊า”

“หืม พูดมาสิ”

“ฮึก ดี รู้สึกดี อะอ๊า! รู้สึกดี…”

“รู้ไหมตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง รู้สึกเหมือนถูกตรึงอยู่กับนายเลย นายเป็นของฉัน”

มูคยอมยังคงขยับร่างกายส่วนล่างอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงกระทบ โดยที่ยังคงโอบกอดฮาจุนเอาไว้อย่างนั้นราวกับผูกมัด เสียงครางพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

“ฮึก อ๊ะ อ๊า อ๊า อึก อ๊า!”

หลังจากขยับเอวด้วยความกระหายไปแบบนั้นได้สักพัก มูคยอมก็ค่อยๆ หยัดร่างกายส่วนบนขึ้น คว้าเชิงกรานของฮาจุนไว้และดึงให้ยกสะโพกขึ้น เสื้อบอลที่คลุมไปถึงสะโพก เลื่อนลงจนเผยให้เห็นส่วนที่อยู่ใต้เอวลงไป

เผยให้เห็นทั้งร่องหลัง กระดูกก้นกบ และส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างสวยงาม มูคยอมใช้สองมือลูบไล้ลงไปบนนั้น พลางสอดสิ่งที่ดึงออกมาจนถึงบริเวณปากทางเข้าของช่องทางรักและสอดเข้าไปอีกครั้งอย่างเต็มแรงภายในชั่วอึดใจ

“อะ อ๊ะ!”

เสียงของฮาจุนดังขึ้นในทันที มือสีขาวจับข้อมือสีแทนที่ค้ำอยู่ข้างๆ ใบหน้าเอาไว้ราวกับเสาอันแข็งแกร่ง มูคยอมที่ทำเป็นมองไม่เห็นสัญญาณจากฮาจุนที่ขอให้รออีกสักหน่อย เริ่มขยับเอวอย่างรวดเร็วในทันที

ภายในห้องเล็กๆ เกิดเสียงดังสนั่นจากเสียงสะโพกกระแทกกับต้นขาและหัวหน่าว เสียงสปริงของเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด และเสียงหายใจหอบกับเสียงครางของทั้งสอง ที่นอนราคาถูกส่งเสียงดังกว่าที่คิด แม้แต่โครงเตียงก็ยังสั่นไหว

ทำเอาสติกระเจิดกระเจิง ถึงจะไม่ดังจนขัดจังหวะการทำกิจกรรม แต่มูคยอมก็ไม่ชอบเสียงรบกวนที่ว่านี้เลย เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดที่แทรกอยู่ในเสียงครางชวนหวานหูของฮาจุนมันดังมากเกินไป เตียงที่บ้านของเขาหรือที่บ้านพักตากอากาศน่ะ ไม่ว่าจะขยับแรงแค่ไหนก็ไม่ส่งเสียงดังขนาดนี้

เขาอยากจะกระแทกไปตามอารมณ์ที่รู้สึก แต่พอเกิดเสียงดังรบกวนแล้วก็ทำให้หงุดหงิดทุกที มูคยอมขยับเอวช้าลงพลางขยับขึ้นลงราวกับคลื่น เพื่อควบคุมความใจร้อนของตัวเอง

“อ๊า ฮ๊าาาา อะอ๊า…!”

แต่นั่นก็เป็นการควบคุมจิตใจที่รีบร้อนของมูคยอมเพียงฝ่ายเดียว เมื่อส่วนปลายของแก่นกายทิ่มแทงถูไถไปโดนส่วนอื่นของผนังด้านใน เสียงของฮาจุนก็สูงขึ้นและออกแรงจับข้อมือของมูคยอมไว้แน่น

ทุกครั้งที่ด้านในสะบักหดตัวลงด้วยความเกร็งและคลายตัวออก ก็จะเกิดรอยยับบนเสื้อบอลเครื่องแบบ ชื่อของมูคยอมเองก็เกิดรอยย่นและคลายออกซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาของมูคยอมที่จ้องมองภาพนั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ จู่ๆ ก็หยุดอยู่บนชั้นวางเมื่อสักครู่นี้

มือใหญ่กดเอวลงไปให้ฮาจุนนอนคว่ำราบลงไปอีกครั้ง จัดแจงพับขาข้างหนึ่งของฮาจุนที่แผ่ออก แม้ระหว่างที่พลิกร่างที่เผยให้เห็นแผ่นหลังให้หันข้าง มูคยอมก็ยังไม่หยุดขยับเอว ไม่หยุดแม้จะให้ร่างที่คว่ำหน้าลงนอนราบลงไปกับที่นอนทั้งๆ ที่ยังมีการสอดใส่อยู่อย่างนั้น

“ฮ๊า อ๊ะอือ… เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…”

เมื่อกระแทกกระทั้นเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้งพลางปรับเปลี่ยนท่าไปด้วย ผนังด้านในที่แนบติดกับแก่นกายก็ถูกกวัดแกว่งลากยาวราวกับบิดให้แนบแน่นกว่าเดิม ฮาจุนสั่นไปทั้งตัวพลางวางมือลงบนต้นขาของมูคยอมและผลักออกไปอย่างไร้เรียวแรง ราวกับอยากจะหายใจให้เต็มปอด

จะนับว่าเป็นโชคดีของฮาจุนก็ได้ ที่แทนที่มูคยอมจะขยับเอวอย่างรุนแรงต่อ เขากลับก้มตัวลงและยื่นแขนออกไปบนชั้น ถึงจะคิดว่ามูคยอมจะทาโลชั่นเพิ่มหรือเปล่า แต่สิ่งที่อยู่ในมือของมูคยอมกลับเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน

ฮาจุนจ้องมองสิ่งนั้นราวกับสงสัย แต่มูคยอมก็จับมือที่ดันต้นขาของตัวเองเอาไว้เบาๆ และยกขึ้น จากนั้นก็ขยับเอวจนได้ยินเสียงดังมาจากในท้องอีกครั้ง มูคยอมก้มลงไปมองใบหน้าของฮาจุนที่เผยอปากโดยไม่ได้ถามอะไรออกมาอีกเพราะความรู้สึกดีที่ตีตื้นขึ้นมาจนถึงหน้าอกอยู่อย่างเงียบๆ

รอยยิ้มขี้เล่นปรากฎขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลา ฮาจุนที่เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม แหงนมองมูคยอมด้วยดวงตาที่เปียกชื้น ไม่สามารถหลบสายตาได้แม้จะกำลังส่งเสียงครางออกมา

ท่าที่ทำจากด้านหลัง ทำให้แก่นกายของมูคยอมเข้ามาลึกกว่าเดิม พอฝ่ายรับอยู่ในท่านอนคว่ำ แก่นกายที่ลุกล้ำเข้ามาก็ต้องพุ่งตรงลงไปด้านล่างตามธรรมชาติ ทุกครั้งที่แก่นกายของมูคยอมที่ขืนตัวไว้ลุกล้ำเข้ามา ก็จะกดและถูไถไปในบริเวณที่กระตุ้นอารมณ์ ถึงแม้ว่าฮาจุนจะพยายามแค่ไหนแต่ก็ยังกรีดร้องออกมา และน้ำตาไหลทุกครั้ง

ท่าที่หันหน้าเข้าหากันนั้น ถึงแม้ว่าจะปลุกเร้าอารมณ์ได้น้อยกว่า แต่ก็เห็นใบหน้าของมูคยอมอย่างชัดเจน เมื่อไหร่ที่ได้จ้องมองใบหน้าของมูคยอมที่มองลงมาที่เขาราวกับรักใคร่ หรือบางครั้งก็เหมือนกับอยากจะฟัดให้หายอยาก ความรู้สึกดีถึงขนาดที่สามารถเติมเต็มความต้องการทางร่างกายจนเต็มได้ ก็มักจะทำให้สติของฮาจุนเลือนรางเสมอ

มูคยอมก้มตัวลงไปมอบจูบให้ฮาจุน ฮาจุนเปิดปากรับจูบที่ได้รับโดยไม่ทันตั้งตัวราวกับดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย

“อ๊า อื้อ”

ลิ้นที่เข้ามาในช่องปากลูบไล้เยื่อบุอันเร่าร้อน และโลมเลียลิ้นของฮาจุนที่มาคลอเคลีย แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่ลิ้นของมูคยอมลูบไล้ไปทั่วช่องปาก ผนังด้านในที่ห่อหุ้มแก่นกายอยู่จะทั้งกระตุกและบีบรัด

ห้องที่เงียบไปชั่วขณะก็เกิดเสียงกระทบกับอากาศดังขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่ทั้งสองจูบกัน ฮาจุนที่จดจ่ออยู่กับการจูบ ลืมตาขึ้นมาราวกับตั้งสติได้ เป็นเพราะเสียงเปิดฝาของสิ่งที่อยู่ในมือมูคยอม

“…นายจะเอา มาทำ อะไร…”

มูคยอมหยิบเจ้าสิ่งนั้นออกมาขึ้นเป็นครั้งแรกเลยยังไม่รู้ว่าเอามาทำอะไรตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ฮาจุนจึงคิดดีไม่ได้และถามออกไป น้ำเสียงของฮาจุนขาดห้วง

จะเอาใส่เข้ามาในตัวของเขาอย่างนั้นเหรอ ฮาจุนปิดปากเงียบด้วยความกลัว ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเอาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่นิ้วและแก่นกายของมูคยอมเข้ามาในร่างกาย แต่ก็พอจะรู้ว่ามีคนที่นิยมใช้วิธีแบบนั้นอยู่ด้วย

แต่สิ่งที่อยู่ในมือมูคยอมมันเล็กเกินที่จะใช้สอดเข้าไปในร่างกาย เล็กกว่านิ้วของมูคยอมด้วยซ้ำ

“บางครั้งก็จะมีแฟนคลับที่เป็นแบบนั้น”

“อือ อะอือ…”

แก่นกายค่อยๆ ขยับเข้าไปจนถึงจุดที่อยู่ลึกเข้าไป และค่อยๆ ขยับออกไปเช่นกัน ถึงมูคยอมที่ขยับเอวให้ช้าลงจะดูผ่อนคลายกว่าเมื่อกี้ แต่ฮาจุนไม่เป็นแบบนั้น

เวลาที่มูคยอมสอดใส่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สติของฮาจุนก็กระเจิดกระเจิงไปหมด เวลาที่ค่อยๆ สอดใส่เข้ามา ก็รับรู้ได้ถึงปลายแก่นกายและเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาเคลื่อนผ่านผนังด้านในได้อย่างชัดเจนจนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพร่ามัวไปหมด

ฮาจุนหายใจติดขัด พลางค่อยๆ หลับตาลงและลืมตาขึ้นมาเพราะความรู้สึกที่แท่งเนื้อที่ทั้งแข็งและยาวถูไถผนังด้านในที่อ่อนไหว และเคลื่อนที่ออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด มูคยอมยังคงพูดคนเดียวต่อไป

“มีคนตั้งมากตั้งมายที่ขอให้ฉันเซ็นลายเซ็นลงบนเสื้อบอล… บางครั้งก็มีคนที่ขอให้เซ็นลงบนตัวด้วยนะ”

“ฮ้าาา อึก”

“ฉันว่า โค้ชอีก็น่าจะชอบเหมือนกัน ก็เป็นแฟนคลับของคิมมูคยอมนี่นา พอมาคิดดูแล้ว ฉันไม่เคยแจกลายเซ็น… ให้นายเลย”

“อะอื้อ!”

จู่ๆ มูคยอมก็กดตัวลงเพื่อดันเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดจนขนลับถูไถไปกับฝีเย็บ ร่างกายของฮาจุนที่กระตุกเพราะการขยับเอวช้าๆ ของมูคยอม แข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งและหน้าท้องสวยๆ ของเขาหดเกร็งจนแบนราบ

ปลายแก่นกายที่เข้าไปถึงจุดที่ผนังด้านในคับแคบลง กดลงไปบนเยื่อบุ มูคยอมรู้ได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า หากค่อยๆ กดลงไปในบริเวณนี้ แม้จะไม่ขยับเอว ฮาจุนก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัวจนถึงขั้นร้องไห้ออกมา ซึ่งมันก็แตกต่างกับตอนที่กระตุกเมื่อไปถึงจุดสุดยอด แต่ไม่ว่าจะแบบไหนก็ทำให้มูคยอมคลั่งจนแทบเป็นบ้าได้ทั้งนั้น

ด้วยสรีระหรือปริมาณกล้ามเนื้อที่ต่างกัน ความแตกต่างของน้ำหนักจึงมีมากกว่าเมื่อเทียบกับส่วนสูงที่ต่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร พอลองสวมชุดดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของรูปร่าง แน่นอนว่าเสื้อที่เหลือเนื้อที่เยอะเพราะรอบอกกว้างย่อมห้อยลงมาด้านล่าง เสื้อที่พอดีกับตัวมูคยอม แต่กลับห้อยลงมาคลุมต้นขาของฮาจุน

“พอใจแล้วใช่ไหม จะเปลี่ยนกลับแล้วนะ”

ถึงจะแกะป้ายเสื้อออกไปแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะเอาชุดบอลตัวใหม่ที่เคยเก็บเอาไว้อย่างดีมาใส่เป็นชุดทำงานตอนเก็บของย้ายบ้าน ฮาจุนจับชายเสื้อกำลังถอดออกแต่มูคยอมจับมือเอาไว้

“ถอดให้หมดสิ”

“อะไรนะ”

“ถอดกางเกงด้วย ไม่สิ เดี๋ยวฉันถอดให้”

“ถอดกางเกงทำไม อ๊ะ ปล่อยนะ คิมมูคยอม!”

ฮาจุนตีหลังมูคยอมเบาๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ มูคยอมโอบรัดเอวฮาจุนด้วยแขนข้างเดียวแล้วดึงกางเกงลงตามอำเภอใจ ร่างกายท่อนล่างขาวนวลของฮาจุนที่สวมกางเกงผ้ายืดเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บของเผยสู่สายตาในทันที มูคยอมโยนกางเกงที่ถอดออกมาทิ้งไปลวกๆ แล้วถึงปล่อยเอวฮาจุนให้เป็นอิสระ

“จัดของอยู่ดีๆ ทำแบบนี้ทำไม”

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองมูคยอมด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขายังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมูคยอมเลยสักนิดเดียว มูคยอมจับไหล่ฮาจุนไว้แล้วเอียงคอซ้ายขวาราวกับกำลังมองชุดที่ดูดีอยู่พลางอุทานออกมา

“ว้าว… ฉันไม่เคยเข้าใจพวกคนที่มีอารมณ์ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้ามาจนถึงทุกวันนี้เลย อันนั้นอ่ะ คอสเพลย์”

“คอส… อะไรนะ?”

“ไม่รู้เลยว่าอีฮาจุนตอนใส่ชุดบอลของฉันจะเซ็กซี่ขนาดนี้ เหมือนว่าตอนนี้ฉันจะเข้าใจคนพวกนั้นแล้วละ”

ฮาจุนรู้จุดประสงค์มูคยอมแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจอีกฝ่ายอยู่ดี

เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจินตนาการภาพแบบไหนอยู่ แต่ตัวเขาไม่สูงโย่งเกินไปที่จะใส่เสื้อหลวมๆ ตัวเดียวแล้วถูกบอกว่าเซ็กซี่เหรอ ฮาจุนได้แต่สงสัยอยู่อย่างนั้น แต่แล้วความร้อนจากมูคยอมก็ค่อยๆ แผ่ซ่านมาที่ริมฝีปาก

ปลายแขนแกร่งโอบเอวและหลังฮาจุนเข้ามาจูบอย่างกะทันหัน ฮาจุนลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วกำลังจะหันศีรษะออกเพราะรู้สึกกังวล แม้จะรู้อยู่แล้วว่าภายในบ้านมีแค่พวกเขาสองคน แต่มือของฮาจุนที่พยุงหลังเอาไว้กลับเลื่อนขึ้นมาตรงต้นคอแล้วประคองที่ท้ายทอยของเขา ศีรษะของฮาจุนถูกรั้งไว้จนแทบจะกดลงไป ส่วนริมฝีปากล่างก็ถูกมูคยอมใช้ฟันขบเม้ม

ฟันเรียบลื่นขบลงมาเบาๆ พลางบดขยี้ริมฝีปากของเขาแล้วดูดกลืนทั่วทั้งริมฝีปาก ร่างกายที่เคยเครียดเกร็งอ่อนแรงลงในทันที ฮาจุนเปิดปากรับลิ้นที่สอดเข้ามาข้างใน เขาขยับไปไหนไม่ได้และเอาแขนพาดไว้บนไหล่มูคยอมเพื่อพิงตัว

ไม่นานเสียงครางอันร้อนแรงก็ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก

“อือ อื้ม”

พอเห็นว่าฮาจุนไม่ได้ต่อต้าน มือที่ประคองอยู่ตรงศีรษะก็ค่อยๆ เลื่อนผ่านต้นคอกับสะบักลงไปโอบรอบเอวไว้แล้วสอดเข้าไปด้านในชั้นในอย่างรวดเร็ว มือหนารีบร้อนบีบขยำกล้ามเนื้อและก้อนเนื้อบนบั้นท้ายของอีกฝ่ายอย่างจาบจ้วง

ระหว่างนั้นมูคยอมก็ผละออกมาจากริมฝีปากที่กำลังขบเม้มและดูดดุนอย่างอ้อยอิ่ง ฮาจุนพยายามดิ้นอย่างอ่อนแรงด้วยสีหน้าลำบากใจบวกกับความไม่พอใจ

“เฮ้อ… ไหนนายบอกว่าจะช่วยเก็บของ มาขัดขวางแท้ๆ”

“ถ้าวันนี้ทำไม่เสร็จค่อยเรียกคนมาก็ได้”

มูคยอมแค่ตื๊อที่จะมาเท่านั้นเอง แต่ทีแรกมันก็ไม่ใช่งานที่พวกเขาต้องทำกันสองคนอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงจะออกนอกลู่นอกทางไปสักครู่ก็ไม่ใช่ว่าจะเก็บภายในวันนี้ไม่หมด

มูคยอมเอานิ้วเกี่ยวตรงขอบกางเกงบ็อกเซอร์และสุดท้ายก็ถอดออกไปจนหมด ขณะเดียวกันก็ผละออกจากริมฝีปากที่กำลังขบเม้มเอาไว้ เขาโอบเอวฮาจุนเอาไว้หลวมๆ แล้วทอดสายตาลงไปมองอีกฝ่ายราวกับกำลังเชยชม

ส่วนฮาจุนรู้สึกแค่ว่าตัวเองเหมือนเด็กอายุ 5 ขวบ ไม่ก็เด็กโข่งที่อยู่ในสภาพที่ท่อนบนสวมแค่เสื้อบอลตัวเดียวกับท่อนล่างที่ว่างเปล่า

มาคิดดูแล้วตอนที่มีอะไรกับมูคยอมครั้งแรกเขาก็ใส่แค่เสื้อยืดตัวเดียวแบบนี้ ตอนนั้นพวกเขาเริ่มมีอะไรกันทันที แต่ตอนนี้พอยืนอยู่ตรงข้ามกับมูคยอมที่แต่งตัวเต็มยศแล้วถูกอีกฝ่ายมองราวกับเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นเขาก็เริ่มรู้สึกอายขึ้นมา

“จะทำอะไรก็รีบทำ เอาแต่มองอยู่ได้”

“ตามันไปเองจะให้ทำไงล่ะ”

น้ำเสียงขี้เล่นแฝงความร้อนแรง ฮาจุนหายใจรับความเร่าร้อนจากอุณหภูมิร่างกายของมูคยอมที่ทวีคูณขึ้นมากกว่าเมื่อสักครู่โดยอัตโนมัติ

แรงแขนที่โอบรัดเอวเขาไว้เพิ่มขึ้น สุดท้ายพวกเขาสองคนก็ล้มลงไปบนเตียงนอนทั้งอย่างนั้น

“เคยได้ยินว่าอาหารที่ดูน่ากินมักจะอร่อย”

ฮาจุนได้ยินอีกฝ่ายพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วเหลือบมองไปข้างหลัง ชุดบอลหลายชุดที่มูคยอมหยิบมาไว้บนเตียงถูกทับจนยับอยู่ใต้ร่างของเขา

แม้จะรู้สึกกังวล แต่ไม่นานเขาก็ยอมแพ้ มันคือเสื้อผ้าที่เขาเก็บรักษามาอย่างดี แต่แน่นอนชุดบอลของคิมมูคยอมนั้นไม่สำคัญไปกว่าตัวคิมมูคยอมอยู่แล้ว นอกจากนั้นคิมมูคยอมยังบอกเองว่าจะเอาตัวใหม่ให้ ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ เขาก็คงต้องขอให้อีกฝ่ายเซ็นลายเซ็นบนเสื้อให้ด้วย

เตียงในห้องของฮาจุน เป็นเตียงเดี่ยวธรรมดาสำหรับให้ผู้ชายหนึ่งคนสามารถนอนได้แบบสบายๆ และราคาไม่แพงเท่าเตียงที่มูคยอมใช้ แค่นอนด้วยกันเฉยๆ สองคนเสียงสปริงก็ดังเอี๊ยดอ๊าดแล้ว ฮาจุนเลยรู้สึกกังวลไปล่วงหน้าว่าเตียงจะหักระหว่างที่พวกเขามีอะไรกัน พอจะทำกันที่ห้องตัวเอง กลับไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่องที่ต้องกังวล

แต่ดูเหมือนว่าจะมีแค่ฮาจุนที่รู้สึกกังวล เพราะมูคยอมนั้นประทับริมฝีปากลงบนซอกคอของเขาและดูดดุนจนเกิดเสียง อีกฝ่ายออกแรงดูดดุนมากกว่าปกติ ฮาจุนรู้สึกกังวลอยู่ครู่หนึ่งว่ามูคยอมจะทิ้งรอยเอาไว้ แต่มือของอีกฝ่ายกลับสอดเข้ามาใต้เสื้อบอลแล้วบดขยี้ตรงยอดอกเสียก่อน

ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่มูคยอมจะเข้าหาก่อน และทุกครั้งก็จะผ่อนคลายกว่าฮาจุนอยู่เสมอ แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับเริ่มออกแรงมืออย่างดุดันตั้งแต่ตอนที่บีบนวดบั้นท้ายของเขา ฮาจุนหดไหล่แล้วส่งเสียงครางออกมาเพราะความเสียวซ่านจากอีกฝ่ายที่ใช้ปลายนิ้วบดขยี้ตุ่มไตอย่างหยาบโลนแล้วบีบเคล้นมันขึ้นมาเล็กน้อย

“ฮึก เจ็บ เบาๆ หน่อย…”

“จะบ้าตาย พอนอนตรงนี้ก็เลยได้กลิ่นนายด้วย”

ฮาจุนรู้สึกเหมือนได้กลิ่นผ้าใหม่จากชุดบอลที่กระจัดกระจายอยู่เท่านั้น จมูกของคิมมูคยอมเป็นจมูกหมาหรือยังไง

ระหว่างคิดริมฝีปากที่เคล้าคลออยู่ตรงซอกคอก็เลื่อนลงมาถึงแผ่นอกแล้ว มูคยอมดูดเลียตุ่มไตจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบแล้วขบกัดเนื้อบางรอบๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ

“อา อึก”

ริมฝีปากค่อยๆ เคลื่อนลงมาตามผิวหนัง คลอเคลียบนกล้ามหน้าท้องและวนเวียนอยู่รอบๆ เชิงกราน เมื่อมูคยอมลามเลียและดูดดุนไปทั่วผิวหนัง เขาก็รู้สึกแสบเล็กน้อยตรงจุดที่ลิ้นของอีกฝ่ายสัมผัสโดน แม้จะไม่หนักหน่วงแต่ก็ทำให้ความรู้สึกวาบหวามค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ดูเหมือนว่าความรู้สึกนึกคิดของเขาเองก็ค่อยๆ เลือนหายไปเหมือนกัน

อะพาร์ตเมนต์เก่าๆ ไม่ได้เก็บเสียงได้ดีขนาดนั้น ฮาจุนกังวลว่าจะส่งเสียงดังเลยปิดปากแน่นและส่งเสียงครางด้วยความทรมาน ส่วนมูคยอมยกขาของเขาที่แผ่อยู่บนเตียงขึ้นพาดไว้บนไหล่ของตัวเอง หลังจากนั้นมูคยอมก็เริ่มลามเลียและดูดเม้มต้นขาด้านในของเขาอย่างรุนแรงราวกับจะทิ้งรอยห้อเลือดเอาไว้

ร่างกายของฮาจุนกระตุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อมูคยอมขบกัดตรงซอกขาด้านในใกล้กับขาหนีบเข้ามาอย่างเต็มที่ จนส้นเท้าของเขาเกือบจะเตะโดนมูคยอมอย่างแรง

“อะ อึก อย่ากัดสิ…”

“เจ็บเหรอ โทษที”

“อะ อือ ฮ้าา”

ทันทีที่เขาท้วงมูคยอมก็ยื่นลิ้นออกมาลามเลียตามรอยฟัน ความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทันทีโดยที่เขาไม่รู้ตัว มือที่บีบเค้นอยู่ตรงต้นขาเลื่อนไปที่ด้านหลังและลูบไล้บั้นท้ายเปลือยเปล่า

นิ้วแห้งๆ ที่ไม่ได้ผ่านการทาอะไร ลูบบนปากช่องทางไปมาหลายครั้งจนช่องทางเริ่มร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะบวมพองในอีกไม่ช้า ระหว่างที่เสียงหายใจหอบระรัวปะปนกันจนแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร มูคยอมก็ถามขึ้นด้วยความเร่งรีบ

“ไม่มีอะไรให้ทาเหรอ”

“อา จะ จะมีได้ไง…”

ฮาจุนที่ไม่ได้เตรียมเจลหล่อลื่นเอาไว้พร้อมเหมือนกับมูคยอม หันศีรษะที่สติเลือนรางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขาน่าจะมีเจลนวดที่ไม่ได้เตรียมเอาไว้สำหรับมีเซ็กส์อยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เพราะห้องที่เขาจัดไว้อย่างกลับหัวกลับหางทำให้มองไม่เห็นว่ามันอยู่ตรงไหน

ระหว่างที่ฮาจุนกำลังสับสน มูคยอมก็ยื่นมือออกไปก่อน ขวดโลชั่นบนชั้นหนังสือแบบติดผนังที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงที่ฮาจุนใช้ทาหลังล้างหน้าเสร็จก่อนออกไปข้างนอกในทุกๆ เช้า อยู่ในมือของมูคยอม

“ใช้อันนี้แล้วกัน”

มูคยอมขอความเห็นด้วยเหมือนกำลังพูดกับตัวเองแล้วบีบโลชั่นใส่มือ ฮาจุนไม่ชอบความรู้สึกเหนอะหนะ ดังนั้นโลชั่นที่ใช้เลยเป็นแบบเจลเนื้อบางเบา

มูคยอมหัวเราะคิกคักขณะที่ทาโลชั่นเนื้อลื่นสีขุ่นคล้ายกับเยื่อเมือกตรงร่องก้นของอีกฝ่ายจนมือเหนียวเหนอะหนะ

“เหมือนจะเสร็จแล้วเลย”

“เอาโลชั่นที่ทาหน้า อ๊ะ…!”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ นิ้วที่เปียกชุ่มก็แทรกเข้ามาด้านในช่องทางโดยไม่รีรอ ฮาจุนหายใจหอบพลางกัดฟันแน่นเพื่อเก็บเสียง อาจเพราะเพิ่งเคยทำกันที่นี่เป็นครั้งแรกเลยให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมีเซ็กซ์ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแม้ว่าจะเป็นห้องของตัวเองก็ตาม

ส่วนใหญ่พวกเขาจะทำกันที่บ้านของมูคยอม ไม่ก็ที่บ้านเก่าของฮาจุนที่กลายมาเป็นบ้านใหม่ของเขา ทั้งที่รู้ว่าแม่เพิ่งจะออกไป ดังนั้นคงจะยังไม่กลับมาในไม่กี่ชั่วโมงนี้ และมินคยองกับฮาคยองก็จะกลับมาเมื่อถึงเวลามื้อเย็น แต่ฮาจุนก็ยังใจเต้นตึกตัก มีแค่มูคยอมที่เอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน

“ทำไมไม่มีเจลอยู่แถวเตียงล่ะ ไม่ได้ช่วยตัวเองเลยเหรอ”

“อ๊ะ มะ ไม่ได้ทำ”

ห้องนี้เป็นห้องที่คนในครอบครัวเขาเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าตัวเขาเองก็เป็นมนุษย์ แน่นอนว่าต้องมีช่วยตัวเอง แต่ก็เป็นแค่การใช้มือกระตุ้นตอนอาบน้ำ ไม่เคยถึงขั้นใช้เจลและทำอย่างที่อีกฝ่ายกำลังจินตนาการอยู่

ฮาจุนหน้าแดงกับคำถามที่ตรงไปตรงมา แต่มูคยอมกลับพยักหน้าเหมือนนึกอะไรได้

“ฝีมือจากการทำคนเดียวเลยเป็นแบบนั้นเองสินะ คุณโค้ชของผม คุณต้องฝึกหน่อยนะ”

“จะฝึกไปเพื่ออะไร”

“ก็มันเซ็กซี่นี่”

มูคยอมค่อยๆ สอดนิ้วกลางเข้าไป แม้จะบอกว่าแค่นิ้วเดียว แต่รูปร่างของนิ้วซึ่งทั้งหนาและยาวกับข้อต่ออันเด่นชัดของอีกฝ่ายก็ทำให้รู้สึกตราตรึงทุกครั้งที่เคลื่อนตัวอยู่ภายในร่างกาย

การสอดใส่ครั้งแรกนั้นไม่เคยง่าย ไม่ว่าจะเป็นแก่นกายหรือว่านิ้วหนึ่งนิ้ว ฮาจุนปล่อยลมหายใจยาวๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวในขณะที่นิ้วเรียวสอดเข้ามาจนสุดข้อเริ่มขยับเข้าออกในช่องทางอย่างช้าๆ

“บางครั้งฉันก็นึกถึงครั้งแรกที่นายสอดนิ้วเข้าไปต่อหน้าฉัน”

ฮาจุนห่อไหล่เหมือนคนหนาวเมื่อเสียงทุ้มต่ำของมูคยอมดังขึ้นในหูราวกับเสียงสะท้อนในถ้ำ ฮาจุนรู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัดเมื่ออีกฝ่ายทำให้หวนนึกถึงการกระทำที่ไร้ยางอายในตอนนั้น

ทันทีที่รู้สึกว่าข้อนิ้วแกร่งเริ่มคุ้นชินกับการขยับเข้าออกด้านใน มูคยอมก็เพิ่มเป็นสองนิ้วแล้วขยับหมุนวนในช่องทางอย่างอดกลั้น

ถึงแม้ว่าจะทาไปเยอะก็ตาม แต่โลชั่นก็แห้งเร็วและให้ความรู้สึกฝืดเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเจล ฮาจุนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ความเจ็บปวดก็ถูกแทนด้วยความตื่นเต้น ร่างกายท่อนล่างมีนิ้วที่ขยับกระแทกเข้าออกจากปลายนิ้วลึกไปจนถึงข้อต่อหลังมือ ส่วนท่อนบนก็มีริมฝีปากของมูคยอมที่ขบกัดคอและหูของเขาอย่างต่อเนื่อง ฮาจุนทนไม่ไหวและส่งเสียงครางดังลอดไรฟันออกมาเบาๆ

“อื้อ ฮะ อา อึก”

“เดี๋ยวนี้ด้านหลังนายขยายออกได้เร็วมากเลย คงเพราะทำบ่อย”

มูคยอมกระแทกนิ้วเข้าไปลึกจนฝ่ามือกระทบกับบั้นท้ายราวกับจะพิสูจน์คำพูดนั้น

ฮาจุนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่และเกร็งตัวอยู่ในอ้อมแขนของมูคยอมจากการสอดใส่ที่เหมือนการโจมตีทำให้เขาตัวสั่นและชาวาบไปทั้งตัว

“เมื่อก่อนเวลาทำสองสามวันติดกันก็บอกว่าเหนื่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่พูดอย่างนั้นแล้ว”

“อ๊ะ อา ตะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว…”

“ฉันเลยจะเป็นบ้าอยู่นี่ไง เพราะอีฮาจุนรับแก่นกายของฉันเข้าไปได้เต็มความยาวเลย”

พอนิ้วที่ตอกเข้าไปภายในขยับขึ้นลงตามอำเภอใจ เสียงเสียดสีก็ดังออกมากระตุ้นหูอย่างหยาบโลน ฮาจุนสะดุ้งตัวขึ้น เขาคาดหวังให้มูคยอมสัมผัสตรงจุดกระสันโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนจิกปลายเท้าบนผ้าปูที่นอน มีเพียงเสียงลมหายใจพวยพุ่งออกมา

“ฮึก อือ… แฮก…!”

แต่วันนี้นิ้วที่ปกติจะกดจิ้มเข้ามาแถวๆ ต่อมลูกหมากอย่างไม่ลังเลจนทำให้เขารู้สึกคล้ายกับปวดปัสสาวะกลับกดนวดไปทั่ว แล้วถึงจะแตะโดนแต่ก็พยายามเลี่ยงจุดที่ไวต่อความรู้สึก ไม่มีทางที่มูคยอมจะหาจุดนั้นไม่เจอ แต่อีกฝ่ายจงใจหลีกเลี่ยงมัน

เพราะตั้งใจจะแกล้งเขาต่างหาก ฮาจุนกัดริมฝีปากแล้วบิดเอวด้วยความอ่อนแรงเมื่อรู้เจตนาของอีกฝ่าย ถึงจะกำลังขยับสะโพกไปตามนิ้วของอีกฝ่ายที่ควานอยู่ภายในช่องทาง แต่เขาก็ขยับไม่ได้อย่างเต็มที่เพราะความอับอายกับความต้องการอันชัดเจนของตัวเอง

“อ๊ะ ฮ้าา!”

ตอนนั้นเองที่นิ้วของมูคยอมเลื่อนไปกดโดนจุดไวสัมผัสราวกับมือพลาด ปลายเท้าของฮาจุนหงิกงอ บั้นท้ายและขาเกร็งขึ้นทันทีที่ความเสียวซ่านที่เขาเคยต้องการนั้นแล่นผ่าน ราวกับต้องการจะรั้งความรู้สึกนั้นเอาไว้

ฮาจุนรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกภายในท้องที่เริ่มบีบรัด ผนังด้านในตอดรัดเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วพยายามจะรั้งนิ้วของอีกฝ่ายเอาไว้

แต่นิ้วของมูคยอมกลับเลื่อนออกไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วเลี่ยงตรงแถวต่อมลูกหมากอีกครั้ง มูคยอมโน้มศีรษะลงมาถึงใบหูของอีกฝ่ายแล้วกระซิบขณะที่มือด้านล่างยังคงขยับต่อไป

“ฮาจุน บอกฉันหน่อยว่าตรงไหนที่นายรู้สึกดี”

“อื้อ ฮือ อะ อึก…”

“หืม นายต้องบอกฉันถึงกดถูกนะ”

“อะ อือ อึก ทั้งที่ รู้ อยู่แล้ว… จู่ๆ มาถาม อะไร…”

นิ้วมือที่เคยเติมเต็มอยู่ภายในช่องทางถอนพรวดออกมา ก่อนที่ปากทางที่ขยายออกจะหุบลงและบางอย่างที่อวบหนากว่านั้นก็แทรกเข้ามา ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยแทรกเข้ามาทางด้านหลัง

สิ่งที่เข้ามาข้างในช่องทางขยายรอยจีบตรงปากทางออกแล้วหมุนวนไปรอบๆ ผนังด้านในราวกับจะวาดลวดลายวงกลม เอวของฮาจุนสั่นสะท้านเมื่อถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากความวาบหวามตรงปากทางที่ไวต่อสัมผัส

“อา อ๊า! ฮ้า!”

“ให้ฉันทำตามใจตัวเองเลยเหรอ”

“ฮือ อื้อ อา”

“งั้นแค่ขยายตรงนี้ไปส่งๆ แล้วตอกเข้าไปเลยดีไหม”

ภายในช่องทางร้อนวูบวาบ ฮาจุนได้เรียนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์จากมูคยอม แต่ไม่ได้เรียนรู้วิธีอดกลั้นหรืออ้อนวอนเพื่อให้ได้รับความหฤหรรย์ เพราะเขาไม่จำเป็นที่จะต้องรอ

ฮาจุนรู้สึกอ่อนแรงเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยและโต้ตอบอะไรไม่ได้ นิ้วโป้งที่เคยทำให้ปากทางอ้ากว้างผละออกไปแล้ว ส่วนนิ้วกลางและนิ้วนางยาวๆ ก็ถูกดันกลับเข้ามาอีกครั้ง แค่สัมผัสที่เคลื่อนผ่านเข้ามาก็ทำให้เขาเสียสติแล้ว แต่มูคยอมกลับถามขึ้นราวกับหยอกล้อในขณะที่กดนวดผนังด้านในซ้ำอยู่จุดเดียว

การย้ายบ้านในฤดูหนาว

ปกติแล้วเมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้นผู้คนจะหลีกเลี่ยงการย้ายบ้าน เพราะถึงจะมีเหตุผลอันเหมาะสมที่จะย้ายที่พักท่ามกลางลมหนาว แต่ก็มีความเศร้าที่ยากจะอธิบายตามมา

ฮาจุนที่เคยต้องพาแม่และน้องๆ ย้ายไปยังห้องชุดอยู่หลายต่อหลายครั้งก่อนจะลงหลักปักฐานกันในอะพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ตอนนี้เกลียดการย้ายบ้านในฤดูหนาวจริงๆ

ทำไมพวกเจ้าของบ้านบางคนถึงชอบขอขึ้นค่าเช่าช่วงที่อากาศเริ่มหนาวราวกับว่ารออยู่ มันทำให้เขารู้สึกกลัวช่วงสิ้นปีที่กำลังจะมาถึง ตอนที่เสียบ้านหลังแรกไปและย้ายออกมา เขาก็โทษพ่ออยู่บ่อยๆ ว่าทำไมถึงต้องทิ้งพวกเขาไปตอนฤดูหนาวแบบนี้ด้วย

แม้จะมีบางกรณีที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตามคำพูดของคนพวกนั้นหากพิจารณาตามระยะเวลาสัญญาหรือการขอให้ย้ายออกที่ไม่เป็นธรรม แต่เพราะช่วงที่ย้ายออกฮาจุนยังคงเป็นเด็กนักเรียนที่สวมเครื่องแบบอยู่ พอซักไซ้และลองฟังข้อกฎหมายจากผู้ใหญ่อย่างละเอียดก็ไม่รู้เรื่อง ส่วนแม่เขาเถียงอะไรแบบนั้นไม่เป็น ยิ่งกว่านั้นเจ้าของบ้านที่ยอมมอบห้องเล็กๆ ให้กับครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยากจนพร้อมลูกอีกสามคนเช่าส่วนใหญ่ก็จะมีห้องว่างไม่เยอะ และแม่เขาก็เป็นคนประเภทที่จะตอบรับและเผชิญลมหนาวออกไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยนี่สิ

“สวัสดีครับคุณแม่”

“เข้ามาเลยค่ะ นักกีฬาคิม”

“ทำไมเกรงใจอย่างนั้นล่ะครับ เรียกผมว่ามูคยอมเฉยๆ ก็ได้ครับ”

“อุ๊ย เอางั้นเหรอจ๊ะ เข้ามาเลยจ้ะ มูคยอม”

วันนี้เขาตั้งใจว่าจะเก็บข้าวของล่วงหน้าเพื่อย้ายบ้านในช่วงฤดูหนาว ส่วนมูคยอมก็ยืนกรานที่จะช่วยเลยมาที่บ้านหลังจากที่ไม่ได้มาเป็นเวลานาน

ฮาจุนพลาดโอกาสที่จะเข้าไปแทรกระหว่างแม่กับมูคยอม เขาเลยยืนตรงประตูมองภาพของคนทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปพลางถามขึ้นจากข้างหลัง

“มาแล้วเหรอ”

ก่อนที่มูคยอมจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม่ของเขาก็พูดขึ้นมาก่อน

“เจอเพื่อนดีๆ นี่เป็นโชคดีจริงๆ มูคยอม ฝากเจ้าฮาจุนด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนี้เพิ่งเคยใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก ฉันล่ะเป็นห่วงเหลือเกิน”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะเหน็บโค้ชอีเอาไว้ที่เอวเลยครับ”

“จ้าๆ แม่เชื่อใจมูคยอมนะลูก”

ฮาจุนทิ้งแม่ที่กำลังยิ้มรับโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรเอาไว้ แล้วรีบคว้าข้อมือมูคยอมลากเข้าห้องอย่างรวดเร็ว

ตอนที่อยู่กันแค่สองคนเค้าไม่รู้สึกอะไร แต่เขากลับรู้สึกอับอายและประหม่าแปลกๆ ตอนอยู่ต่อหน้าครอบครัว เขารู้สึกเหมือนกำลังทำความผิดเวลาฟังแม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรพูดว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อน

ฮาจุนเอาหลังมือกุมแก้มไว้ให้หายเห่อร้อนแล้วหันไปหามูคยอม

“บอกว่าทำคนเดียวได้ก็ยังจะมาช่วยอีก”

“อยากทำอีกสักรอบก่อนที่ห้องจะว่างก็เลยมาไง”

มูคยอมพูดอย่างนั้นพลางหมุนคอหนึ่งครั้ง ฮาจุนคิดว่าบ้านที่เล็กกว่าห้องน้ำบ้านมูคยอมและห้องที่ซ่อมซ่อนั้นไม่มีอะไรน่าดูสักนิด มิหนำซ้ำห้องยังอยู่ในสภาพที่รกรุงรังกว่าปกติจากการแกะของกระจัดกระจายไปทั่ว

“มันต้องใช้คนไง อย่าดื้อ” มูคยอมจิ้มที่แก้มของฮาจุน

“เก็บแค่ของฉัน ไม่ได้ย้ายไปหมดสักหน่อย จะเยอะจนต้องใช้คนเลยเหรอ จ้างคนมาเขาคงขำ”

“คนทำงานชอบงานน้อยๆ กันอยู่แล้ว เพราะยังไงก็ได้เงินเท่าเดิม”

ยังพอเหลือเวลาก่อนออกเดินทางเนื่องจากเรื่องขั้นตอน ฮาจุนเลยจัดกระเป๋าใบใหญ่ไว้ล่วงหน้าและตั้งใจว่าจะส่งไปที่บ้านมูคยอม

พวกเขาสองคนวางแผนอนาคตเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษด้วยกันอย่างตั้งใจ ฮาจุนวางแผนว่าจะเริ่มจากการเรียนภาษาเพราะถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยไปตอนนี้ฮาจุนก็กังวลว่าจะเรียนไม่ทัน

ความสามารถทางภาษาอังกฤษของฮาจุนก็ไม่ได้จัดว่าแย่ ในช่วงหลายปีมานี้เขาทั้งติดตามฟังและอ่านบทความข่าวต่างประเทศกับบทสัมภาษณ์ของมูคยอม ทั้งค้นคว้าข้อมูลเป็นภาษาต่างประเทศอยู่ทุกวันตอนเรียนการฝึกสอน การฟังหรือการอ่านทั่วไปเลยพอรู้เรื่อง เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเรื่องการพูด

ฮาจุนที่มีประสบการณ์เป็นนักกีฬาที่ประเทศเกาหลีใต้และได้รับการยอมรับเรื่องการฝึกสอนเตรียมที่จะเริ่มฝึกงานในกรีนฟอร์ดเร็วๆ นี้ แต่กลับกังวลว่าจะสื่อสารไม่ได้อย่างเต็มที่

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“หือ”

“ทำหน้าเหมือนไม่อยากไป”

มูคยอมถามขึ้นเสียงเบาแล้วแกล้งเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่าย ฮาจุนที่เหม่อไปชั่วครู่และจมอยู่กับความกังวลเล็กน้อยส่ายหัวแล้วรีบยิ้มออกมา

“ไม่อยากไปอะไรล่ะ น่าจะเพราะคาดหวังมากกว่า”

“เครียดแล้วเหรอ”

ฮาจุนไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขาได้รับโอกาสที่ไม่เคยแม้แต่จะฝันถึง ความกังวลเลยมีมากพอๆ กับความคาดหวังที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

แต่ก่อนตอนที่เขาเกือบจะได้ไปฝรั่งเศส มันคือการได้รับข้อเสนอให้ย้ายไปยังทีมที่ดีกว่าจากผลงานของตัวเอง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ต่างจากการพึ่งพามูคยอม เขากังวลมากที่สุดเรื่องที่ตัวเองไม่ดีพอสำหรับมูคยอม

“เปลี่ยนคำพูดไม่ทันแล้วนะ ถ้าไม่มีนายฉันก็เตะบอลดีๆ ไม่ได้ จำได้ใช่ไหม”

ราวกับถูกใจ มูคยอมถูหน้าไปกับคอของฮาจุนแล้วแกล้งทำเป็นออดอ้อนเอาใจ ฮาจุนหัวเราะแล้วตีเข้าไปที่หลังของมูคยอมทันที

“ถูกต้อง ฉันมาเพื่อบอกให้คิมมูคยอมเตะบอลดีๆ ไง”

“อะไรจะสำคัญไปกว่านักกีฬาตั้งใจเตะบอลเพื่อโค้ชล่ะ นายตัดสินใจถูกแล้ว”

มูคยอมพูดอย่างนั้นแล้วประทับริมฝีปากลงบนคอเขาจนเกิดเสียงจุ๊บ ฮาจุนห่อไหล่ด้วยความตกใจเล็กน้อยแล้วกระซิบขึ้น

“อย่าสิ แม่ยังอยู่ตรงห้องนั่งเล่นอยู่เลย”

“จุ๊บทีเดียวเอง ทำหน้าเครียดทำไม

มูคยอมยิ้มออกมาแล้วเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พับแขนเสื้อและค้นดูหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ แต่ฮาจุนก็รีบลากอีกฝ่ายออกมา

“นายเอาของที่ฉันส่งให้จัดใส่ลังก็พอ อย่าจับอะไรซี้ซั้ว”

“ทำไมล่ะ มีอะไรซ่อนไว้หรือไง ไม่ใช่ว่าตอนนี้เรารู้กันหมดเปลือกแล้วเหรอ”

“ถึงจะรู้กันหมดเปลือกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะทำตัวตามใจได้นะ ต่อไปฉันจะแก้นิสัยที่ชอบจับของคนอื่นโดยพลการของนาย”

มูคยอมที่ตั้งใจจะเช็กว่าไดอารี่ยังอยู่หรือไม่เพื่อที่จะเผาทิ้ง กระแอมสั้นๆ เหมือนรู้สึกเสียดายพร้อมกับถามขึ้น

“แล้วจะทำยังไงกับเจ้าพวกนั้น”

สิ่งที่มูคยอมชี้ให้ดูและเรียกว่า ‘เจ้าพวกนั้น’ ก็คือพวกแฟ้มพอร์ตที่ถูกเสียบไว้ตรงชั้นหนังสือ ไม่มีอะไรต้องอายเพราะเนื้อหาทั้งหมดถูกเปิดเผยไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็แอบซ่อนความเขินอายเอาไว้แล้วตอบขึ้น

“ไม่รู้สิ มีหลายเล่มมากเลยว่าจะปล่อยทิ้งไว้น่ะ เพราะยังไงก็ไม่ใช่ของที่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้”

“ไม่ได้ กะแล้วว่านายต้องพูดแบบนั้น วันนี้ฉันเลยเตรียมตัวมาย้ายให้เป็นพิเศษ ฉันจะเอาไปเองตอนไปลอนดอนเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดโดยใช่เหตุระหว่างขนส่ง “

“อะไรจะขนาดนั้น”

“ถึงกับสั่งทำตู้เซฟสำหรับเก็บไว้ให้เลยนะ พอเอาไปแล้วฉันจะเอาไปใส่ไว้ในนั้น เขาบอกว่าเป็นวัสดุที่ถึงจะเกิดระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่แตกสลาย”

“…อะไรจะขนาดนั้น…”

“ถึงแม้ว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจริงๆ แฟ้มพวกนี้ก็จะยังอยู่ เพราะงั้นก็เลยเลยมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ถึงมนุษย์ล่มสลายไป แต่เรื่องที่นักกีฬาฟุตบอลคิมมูคยอมเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็จะยังอยู่และถูกส่งต่อไปยังโลกที่หนึ่งถึงโลกที่ร้อย ไม่น่าทึ่งเหรอ ถ้ามันกลายเป็นแบบนั้นก็ต้องขอบคุณนายเลยนะ”

ฮาจุนเลิกเถียงต่อแล้วพยักหน้า

“นิทานนั่นดูน่าสนุกดีนะ เอาไปทำหนังกันดีไหม”

ฮาจุนเริ่มเก็บของในตู้เสื้อผ้าระหว่างที่มูคยอมเก็บแฟ้มอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครสั่ง แม้มูคยอมจะคิดว่าค่อยไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาไป แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงออกไปไหนในต่างประเทศด้วยตัวคนเดียวไม่ได้จริงๆ

แม้ว่าฮาจุนจะได้เรียนรู้จากมูคยอมเมื่อไม่นานมานี้ว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยแบล็คการ์ดใบเดียวไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่เขาก็ต้องต้องเก็บของตามลำดับขั้นตอนเพื่อความสบายใจของตัวเองและความเป็นระเบียบว่าอะไรจำเป็นและไม่จำเป็น

เอาอะไรไปดีนะ

เขารื้อข้างในตู้เสื้อผ้า แล้วเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออก เป็นแม่ของฮาจุนที่ยื่นหน้าเข้ามา

“ฮาจุน มูคยอม แม่ออกไปก่อนนะ พอดีมีนัดตอนเที่ยง ทำยังไงดีล่ะ แขกสำคัญมาบ้านทั้งทีแต่ดันไม่อยู่บ้าน”

“ไม่เป็นไรเลยครับคุณแม่ เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“แม่เตรียมมื้อกลางวันไว้ให้แล้ว อีกสักพักถ้าหิวก็กินกันเลยนะ ได้ยินว่ามูคยอมชอบซี่โครงหมูตุ๋นใช่ไหม แม่ทำเอาไว้เต็มเลย ก่อนไปก็กินเยอะๆ ล่ะ”

“จริงเหรอครับ ได้ครับ จะทานให้อร่อยนะครับ”

หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาเช่นกันเมื่อหันไปเห็นสีหน้าดีใจของมูคยอมที่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นก็ก้าวเท้าไวๆ เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

มูคยอมที่เดินออกไปส่งแม่ของฮาจุนถึงประตูหน้าบ้านกลับเข้ามาในห้องแล้วหยิบแฟ้มทั้งหมดออกมา เขาพูดขึ้นเหมือนกับฮัมเพลงออกมา

“เพิ่งเคยเห็นคุณแม่แต่งหน้าครั้งแรก ดูสวยแปลกตาไปเลย ดูเหมือนจะคล้ายกับนายอยู่หน่อยนะ”

“อื้อ หลายคนบอกว่าฉันคล้ายแม่ ส่วนมินคยองกับฮาคยองคล้ายพ่อมากกว่า”

แม้ว่าอันที่จริงฝาแฝดจะสูญเสียพ่อไปตอนอายุ 5 ขวบ เลยจำพ่อได้จากแค่ในภาพถ่ายก็ตาม

“โอ๊ย ตกใจหมด” ฮาจุนที่กำลังเปิดตู้เลือกเสื้อผ้าที่จะเอาไปสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ

มูคยอมที่เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้โอบเอวเขาไว้จากด้านหลังแล้วจูบที่หลังคอ อีกฝ่ายหัวเราะคิกแล้วถามขบใบหูเขาเบาๆ

“คุณแม่ออกไปแล้ว งั้นแค่จูบคงได้ใช่ไหม”

“อย่ามาเงียบๆ สิ จู่ๆ มายืนข้างหลังฉันตกใจหมด”

“เลือกชุดได้แล้วหรือยัง”

มูคยอมยื่นมือเข้าไปรื้อในตู้เสื้อผ้า แต่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นก่อนที่ฮาจุนจะพูดห้าม

“…นี่อะไรเนี่ย”

มือที่ปัดป่ายไปมาภายในตู้เสื้อผ้าหยุดลงแล้วหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมา ฮาจุนอ้าปากเล็กน้อยและมองภาพนั้นด้วยความตกใจ เขายื่นมือเข้าไปห้ามแต่ก็สายเกินไป

“หยิบของตามใจตัวเองอีกแล้ว เอามานี่เลย”

มูคยอมยกแขนขึ้นสูงและไม่ส่งให้ง่ายๆ

เสื้อใหม่ถูกแขวนไว้อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมและยังไม่ได้ดึงป้ายออก เป็นเสื้อยืดแขนสั้นลายสีขาวกับสีฟ้า หน้าอกข้างซ้ายถูกประดับด้วยลายประภาคารที่คุ้นตามากสำหรับมูคยอม

“โดเวอร์ เรนเจอร์สเหรอ”

มูคยอมพลิกเสื้อด้านหลังมาดู ก็เห็นเลข 19 ซึ่งเป็นหมายเลขเสื้อเก่ากับตัวอักษรชื่อของตัวเองติดอยู่ที่หลัง

“นายมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”

มูคยอมรู้สึกทึ่งขณะที่พลิกเสื้อดูอย่างจริงจัง ฮาจุนอยากจะดันมูคยอมออก แต่อีกฝ่ายไม่ขยับเลยสักนิด

โดเวอร์ เรนเจอร์สคือทีมต่างประเทศทีมแรกที่มูคยอมย้ายสังกัดไป ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นทีมที่อยู่ในลีกระดับ 2 แล้วถึงได้เลื่อนชั้นเป็นระดับ 1 จากผลงานอันโดนเด่นของเขา และถึงแม้จะเป็นแค่ตั๋วระดับล่าง แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในระดับ 1 มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่ามูคยอมจะย้ายจากโดเวอร์ที่เป็นเมืองท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลอนดอนไปยังทีมอื่นแล้ว แต่จนปัจจุบันที่นั่นก็ยังชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสปอร์ตบาร์ที่ไหนก็จะมีชุดบอลหรือรูปถ่ายของเขาสมัยอยู่โดเวอร์แขวนเอาไว้

ถัดจากชุดบอลทีมโดเวอร์เรนเจอร์สก็เป็นชุดบอลทีมกรีนฟอร์ดซึ่งเป็นสังกัดในปัจจุบัน รวมถึงเสื้อบอลทีมชาติในแต่ละฤดูกาลที่ถูกแขวนไว้ ไม่ใช่เค่ชุดบอลทีมเหย้าแต่ยังมีชุดบอลทีมเยือนและเสื้อสำรองที่ใช้ใส่ในการแข่งขันนอกบ้านรวมอยู่ด้วย ชุดทุกตัวใหม่เอี่ยมเหมือนแค่ซื้อเก็บไว้และไม่แม้แต่จะลองสวมดูสักครั้ง รวมถึงป้ายเสื้อก็ยังไม่ถูกตัดออก

มูคยอมมองดูชุดบอลหลากสีทีละตัวในขณะที่ฮาจุนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ด้วยความหนักใจ มูคยอมอุทานขึ้นในระหว่างที่ถือชุดหลายชุดไว้ในมือ

“เยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

เป็นชุดบอลที่อีกฝ่ายสะสมมาประมาณ 10 ปี ปีละสองถึงสามตัว เสื้อแขนสั้นบางๆ ไม่ได้กินพื้นที่ขนาดนั้น แต่พอเอามาวางรวมกันแล้วก็เป็นจำนวนที่มากพอสมควร

“เฮ้อ จริงๆ เลย… ทำไมถึงหยิบของในตู้เสื้อผ้าคนอื่นตามใจ”

“ซื้อไว้ไม่เคยใส่สักครั้งเลยเหรอ เหมือนชุดใหม่ทั้งหมดเลย”

“ไม่ได้ซื้อมาใส่สักหน่อย” ฮาจุนละล่ำละลักตอบ

แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ต้องคิดหนักเวลาจะซื้อชุดบอลหลายๆ ชุดแล้ว แต่ในสมัยเรียนเขาค่อนข้างหนักใจกับการใช้เงินซื้อชุดบอลหนึ่งชุดมากทีเดียว

ชุดบอลของแท้ที่เขาสะสมมาทีละตัวด้วยเงินที่ออมมาในช่วงที่เรียกได้ว่าไม่มีเงินเหลือใช้ ตอนกลางวันเขาเตะฟุตบอล ส่วนตอนกลางคืนก็ไปช่วยงานพิเศษของแม่ และในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือเมื่อมีเวลาว่างเขาก็จะทำงานพาร์ทไทม์ระยะสั้นๆ พอสุดท้ายที่พลาดช่วงฤดูกาลไป ก็เลยมีพวกชุดที่ซื้อมาด้วยเงินค่าขนมหลังจากที่สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นด้วย

มันไม่ใช่ของที่เขาซื้อมาใส่เอง

“ไซส์ดูใหญ่นะเนี่ย” มูคยอมชูเสื้อตัวหนึ่งจากชุดที่หยิบออกมาแล้วเอามาแนบกับตัวของฮาจุน

“…ไม่ได้ซื้อมาใส่ก็เลยไม่ได้ซื้อไซส์ตัวเองน่ะ”

มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถามขึ้นขณะเดินเข้ามาใกล้ฮาจุน

“รู้ไซส์ฉันได้ยังไงเหรอ ไซส์ชุดไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการนะ”

“ดูข้อมูลส่วนตัวก็พอรู้นะ แล้วก็เอามาเทียบกับไซส์ตัวเอง…”

“งั้นเหรอ เลือกจากการตัดสินด้วยสายตาว่างั้น”

ฮาจุนที่เคยหลบสายตาของเขาอยู่ราวกับเขินอายหันกลับมามองอีกครั้งด้วยท่าทางที่เหมือนจะถามว่า ‘แล้วยังไง’

“มันแปลกมากขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันรู้ไซส์นาย ยังไงก็เก็บตัวด้วยกันตั้งหลายครั้ง”

“แอบดูไซส์ฉันเหรอ เจ้าเล่ห์นะเนี่ยโค้ชอี”

มูคยอมอมยิ้มแล้วก็ดึงป้ายของชุดที่ถืออยู่ออก มูคยอนที่กำลังยิ้มอยู่ต่างจากสีหน้าของฮาุนที่ซีดเผือก ฮาจุนอ้าปากค้างทำตาโต

“ดึงออกทำไม!”

“ให้ตัวใหม่อีกตัวก็ได้นี่ ฉันมีชุดฤดูกาลแบบละหลายตัวอยู่ที่บ้านในลอนดอน”

ฮาจุนเงียบไปเหมือนกับพูดไม่ออก แต่สีหน้าก็ยังคงแสดงถึงความไม่พอใจ

“เขินอะไรเล่า”

มูคยอมหัวเราะออกมาพลางจิ้มแก้มอีกฝ่าย ที่อีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะรู้สึกอับอาย ฮาจุนจะทำหน้าบึ้งเมื่อรู้สึกอับอายหรือเขิน เลยกลายเป็นว่าอีกฝ่ายมักจะบึ้งตึงใส่เขาอยู่บ่อยๆ ขัดกับเวลาปกติที่เป็นคนยิ้มเก่ง

“ลองใส่ดูสิ” มูคยอมยื่นเสื้อบอลที่ดึงป้ายออกแล้วมาให้

“ทำไมล่ะ”

“ลองใส่ดู เร็วๆ”

ฮาจุนมองค้อนที่อีกฝ่ายสั่งอะไรยิบย่อยแต่ก็รับเสื้อมาถือไว้ หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออกรวดเดียว เผยให้เห็นร่างขาวเปลือยเปล่า ฮาจุนสวมเสื้อผ่านศีรษะเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องการเปิดโอกาสกระตุ้นสายตามูคยอม

เสื้อบอลที่มีขนาดใหญ่กว่ารูปร่างของฮาจุนเลื่อนลงมาคลุมร่างกายแบบหลวมๆ อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

“ใหญ่ไปหน่อยจริงด้วย”

ฮาจุนลองสวมมันเป็นครั้งแรกหลังจากดูแลราวกับเป็นเจ้านายมาหลายปี เขาอุทานออกมาเบาๆ เมื่อมองลงไปยังแขนเสื้อหลวมๆ ที่คลุมอยู่ตรงแขนตัวเองและชุดโคร่งๆ ที่ห้อยอยู่บนตัว

“ถ้ากังวลเรื่องโรงพยาบาล ก็ให้พยาบาลประจำตัวตามไปดูแลด้วยเลยก็ได้ พยาบาลมืออาชีพน่าจะไว้ใจได้มากกว่านายที่เอาแต่ทำงานยุ่งนะ ถึงจะเคยพูดไปแล้ว แต่นายน่ะต้องฝึกอยู่ห่างจากครอบครัวบ้าง แล้วในความคิดฉัน แม่กับน้องนายก็คงไม่คัดค้านถ้านายบอกว่าจะไป อาจจะยินดีด้วยซ้ำ”

ฮาจุนมองอีกฝ่ายสวมรองเท้าอีกข้างให้แล้วตอบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ฉันก็ต้องติดหนี้นาย… ทั้งหมดนั่นเลยไม่ใช่เหรอ”

“หนี้? ของฉันก็คือของนายหมดนั่นแหละ”

“…พูดอะไรไร้สาระ”

“คนที่สอนฉันว่าชีวิตไม่ใช่การอยู่อย่างเดียวดายก็คือนาย ถ้านายพูดเหมือนว่าเป็นหนี้แบบนั้นฉันคงเสียใจแย่ ฉันให้นายอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง แล้วเงินคือทุกอย่างเหรอ ฉันก็ได้รับอะไรจากนายเหมือนกันต่างหาก”

มูคยอมผูกปมรูปผีเสื้อเอาไว้แน่น สายตาของฮาจุนที่มองอีกฝ่ายหลุดโฟกัสเล็กน้อยและเริ่มพร่ามัวจนคล้ายกับกำลังมองผีเสื้อในวันฤดูใบ้ไม้ผลิจริงๆ

“ได้ยินมาจากไหนนี่แหละ ว่าถ้าสวมรองเท้าดีๆ มันก็จะพาเราไปยังสถานที่ดีๆ ไปด้วยกันเถอะ แล้วมันจะดีเอง”

“…”

“ชีวิตที่เหลือของคิมมูคยอมเป็นของนายทั้งหมดแล้ว อย่าไล่ให้ฉันไปคนเดียวแบบเหงาๆ เลย”

มูคยอมเอามือประคองสองเท้าที่สวมรองเท้าฟุตบอลคู่ใหม่ขึ้นแล้วประทับริมฝีปากลงบนนั้นราวกับรู้สึกพอใจ

แม้จะเป็นรองเท้าใหม่แต่ฮาจุนก็ตกใจกับการที่อีกฝ่ายจูบลงมาบนเท้าของตัวเอง เขาจึงยกขาขึ้น ส่วนมูคยอมก็ขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นมาอุ้มฮาจุน ใบหน้าของพวกเขาจึงใกล้ชิดกันอย่างกะทันหัน

“พวกเราไปด้วยกัน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะทิ้งนายแล้วไปคนเดียวได้ยังไง พวกเหลือขอเต็มไปหมด พูดอะไรให้มันเข้าท่าหน่อย อยากเห็นฉันกังวลจนเตะบอลไม่ได้หรือไง”

“…เปล่านะ…”

“หรือจะให้อยู่ที่นี่ไปเหมือนเดิม จบชีวิตนักกีฬาในเคลีกดีไหม”

“อย่ามาเพ้อเจ้อนะ!”

ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ขึ้นเสียงสูงด้วยความตกใจราวกับเพิ่งคิดได้ มูคยอมจึงบ่นออกมาอย่างเต็มที่

“พูดออกมาได้ยังไงว่าอย่าไปมีเซ็กส์กับคนอื่น นี่มันบาปของฉันเหรอเนี่ย ถ้างั้นอีฮาจุน ถ้าฉันกลับไปคนเดียวแล้วทิ้งนายไว้ที่นี่ นายก็จะทำทุกอย่างยกเว้นมีเซ็กส์กับคนอื่นใช่ไหม”

“บ้าไปแล้วเหรอ ใครบอกจะทำแบบนั้น แต่เพราะนายบอกว่าต้องทำกันทุกครั้งหลังแข่งเสร็จ มันเลยเป็นปัญหามาตลอดไม่ใช่เหรอ”

“นั่นหมายถึงทำกับนายต่างหาก”

มูคยอมดีดลิ้นเบาๆ และประทับริมฝีปากลงมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะกำลังดูดดุนลิ้นซึ่งเคล้าไปด้วยกลิ่นไวน์ แต่ฮาจุนกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องจริง

มันเป็นจูบสั้นๆ แต่หนักแน่น มูคยอมไล้ลิ้นอย่างอ่อนโยนและถอนริมฝีปากออกไป แล้วพูดกระซิบด้วยน้ำเสียงที่หวานฉ่ำเสียยิ่งกว่าไวน์

“พูดมาสิ ว่าคิมมูคยอมเป็นของฉัน”

“…”

“เร็วเข้า”

เมื่อถูกเร่ง เสียงเล็กๆ ก็ดังเล็ดรอดออกมาอย่างไม่มั่นใจราวกับกำลังพูดคำต้องห้าม

“…คิมมูคยอม…เป็นของฉัน”

“พูดด้วยว่าอย่าไปนอนกับคนอื่น อย่าไปสนใจคนอื่น”

ฮาจุนจ้องตาของมูคยอมที่พูดแบบนั้นออกมาโดยไร้เสียง

สีหน้าที่เคยแข็งทื่อราวกับหุ่นขี้ผึ้งไม่สมกับเป็นคนที่เพิ่งจะผ่านบทรักอันเร่าร้อนบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย และอยู่ๆ ฮาจุนก็เอาแขนคล้องคอของมูคยอมเอาไว้แน่นแล้วเกี่ยวให้อีกฝ่ายก้มหน้าลงมา

เสียงที่พูดขึ้นราวกับอัดอั้นทำให้เกิดความร้อนเหมือนกับหยดน้ำที่เกิดจากไอน้ำ

“ห้ามนอนกับคนอื่น แล้วก็ห้ามสนใจคนอื่น”

“เข้าใจแล้ว”

“ห้ามจูบ แล้วก็ห้ามจับมือด้วย”

“ได้”

“ต่อไปจะไม่จะไม่ยกโทษให้กับเรื่องข่าวฉาวแล้วนะ ถ้านอกใจนายได้ตายในเงื้อมมือฉันแน่”

ฮาจุนรัวคำพูดตรงท้ายประโยค มูคยอมหัวเราะหึออกมาเหมือนสนุกกับอะไรบางอย่างและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ล้อเล่นครึ่ง ข่มขู่ครึ่ง

“รู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่พูดอยู่ตอนนี้นายก็ต้องทำตามเหมือนกัน”

พอได้ยินคำพูดที่ไม่คุ้นเคย ฮาจุนก็หน้าแดงระเรื่อและหายใจติดขัด ฮาจุนซุกหน้าลงบนไหล่ของมูคยอมเหมือนต้องการจะซ่อนใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมา แล้วพอผ่านไปสักพักฮาจุนถึงถามขึ้นด้วยความกังวล

“ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งจะเป็นไรไหม… เมื่อก่อนก็เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสแค่แป๊บเดียวเอง”

“ลองอยู่ไปเดี๋ยวก็รู้เรื่อง หรือไม่ก็เรียนภาษาเพิ่มต่างหากก็ได้”

แล้วมูคยอมก็มุ่งไปยังห้องโดยที่ยังอุ้มฮาจุนไว้ แม้ว่าตอนนี้มันจะถูกตกแต่งให้ต่างไปจากเดิม แต่มันก็คือห้องของเขาที่ฮาจุนเคยใช้สมัยเด็ก

ทั้งสองคนนอนคว่ำลงบนเตียงและคุยกันอย่างใจเย็นอยู่พักใหญ่ กรีนฟอร์ดเป็นสถานที่แบบไหน ระบบการฝึกเป็นอย่างไร อากาศที่ลอนดอนเป็นอย่างไร เปิดเทอมเมื่อไหร่ ก่อนหน้านั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เรียนภาษาเพิ่มเติมก่อนจะดีกว่าเข้ามหาวิทยาลัยทันทีหรือเปล่า โค้ชฝึกหัดต้องเข้าทำงานสัปดาห์ละกี่ครั้ง ระหว่างเรียนสามารถทำงานไปด้วยได้จริงหรือเปล่า หลากหลายเรื่องราวจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่

* * *

เสียงจากรอบตัวที่รวมกันเป็นคลื่นเสียงขนาดใหญ่ดังขึ้นตรงที่นั่งผู้ชม มีคนตะโกนคำว่าประเทศเกาหลี ฟาดกระบองลม ตีกลอง และบางคนก็เป่าแตรเชียร์

บรรยากาศตึงเครียดในสนามแข่งบดบังความวุ่นวายนั้น เหล่าผู้เล่นงเคร่งเครียดกันอย่างเห็นได้ชัดราวกับกำลังยืนอยู่บนเส้นด้าย

อีกฝ่ายคือประเทศเม็กซิโก ส่วนคะแนนคือ 1 ประตูต่อ 1 และตอนนี้เหลือเวลาแข่งไม่ถึง 5 นาที

มันแตกต่างกับการแข่งขันฟุตบอลโลกที่มูคยอมลงเล่นเป็นครั้งที่สองเมื่อสี่ปีที่แล้ว ตั้งแต่ต้นเกมมาจนถึงตอนนี้พวกเขามีทีมเวิร์คที่ยอดเยี่ยม ความสามัคคีระหว่างผู้เล่นก็ไปด้วยกันได้ดี ผู้เล่นและผู้ชมทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของชัยชนะ ความคาดหวังที่ว่าครั้งนี้มันจะแตกต่างออกไปพองโตขึ้นราวกับบอลลูน ถึงแม้ว่าโอกาสครองบอลและยิงเข้าเป้าจะสูงแต่ประตูตัดสินก็ยังไม่เกิดขึ้น

ในช่วงครึ่งหลังทั้งสองทีมต่างใจร้อนจึงเกิดความผิดพลาดขึ้นบ่อยครั้ง การครองบอลในครึ่งแรกที่เป็นไปได้ด้วยดีเริ่มติดขัด บอลจึงถูกสับเปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองทีม

กองกลางของทีมเม็กซิโกอาศัยช่วงที่ฝ่ายรับของทีมเกาหลีประมาท พยายามทำประตูจากระยะไกลทันที ลูกบอลลอยทะลุแนวตั้งรับของทีมเกาหลีไปจนเกือบจะเข้าประตู แต่อิมจองคยูพุ่งตัวขึ้นมาและเอามือรับเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเสียงพูดคุยของผู้คนดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งสนาม

‘เกือบจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะครับเนี่ย’

‘ถึงตอนนี้จะเหลือเวลาอีกไม่มาก แต่ก็ยิ่งต้องมีสมาธิและไม่ใจร้อนถึงจะขึ้นเป็นฝ่ายขึ้นนำได้นะครับ’

‘เพราะถ้าหากยิ่งใจร้อนก็จะยิ่งประมาท หวังว่าผู้เล่นประเทศเราจะมีกำลังใจสู้ไปจนจบเกมนะครับ’

เสียงวิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความโล่งอกเจือความกังวลดังออกมาจากจอภาพขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไว้ในสนาม ใครบางคนพูดปลุกขวัญขึ้นมาระหว่างที่ผู้คนต่างลืมที่จะส่งเสียงเชียร์และกำลังนั่งจดจ่อกับการแข่งขันในช่วงสุดท้ายอยู่บนพื้น จากนั้นเสียงปรบมือและเสียงตะโกนสโลแกนถึงดังขึ้น

จองคยูวิ่งออกมาข้างหน้าประตูและขว้างบอลออกไปราวกับนักทุ่มน้ำหนัก ลูกบอลเด้งออกไปรวดเดียวถึงกลางสนาม ผู้เล่นกองกลางรับส่งบอลกันหลายครั้งแล้วพยายามส่งต่อให้กับมูคยอม แต่ผู้เล่นทีมเม็กซิโกกลับวิ่งพุ่งเข้ามาแย่งบอลไป บอลจึงยังไม่พ้นไปจากกลางสนามและกลิ้งไปมาอยู่ระหว่างเท้าของผู้เล่น การแข่งขันเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษท่ามกลางสายตาที่กระวนกระวาย

‘ว้าว!’

ทว่าหลังจากนั้นเสียงของทุกคนก็ดังขึ้น ทีมเกาหลีตัดการส่งบอลของทีมเม็กซิโกและแย่งมาได้อย่างสวยงาม

บอลที่แย่งมาได้ถูกส่งกลับไปยังแนวตั้งรับทันที สุดท้ายลูกบอลไร้เจ้าของที่กลิ้งไปทางนู้นทีคนนี้ทีก็ลอยไกลออกไป กองหลังตัวกลางที่คอยสังเกตภาพรวมของสนามรับลูกเอาไว้ได้และเตะบอลยาวส่งไปทางด้านซ้ายทันที มันเป็นพื้นที่โล่งเพราะเมื่อสักครู่ผู้คนต่างรวมกลุ่มกันอยู่ที่ด้านขวา ผู้เล่นตำแหน่งแนวรับด้านซ้ายหลังเริ่มวิ่งเลี้ยงลูกมาหามูคยอมและส่งต่อให้โดยไม่รอช้า

มูคยอมคาดเดาตำแหน่งที่จะรับลูกและกำลังวิ่งไปตรงนั้น และทันทีที่มูคยอมรับลูก เหล่าผู้เล่นทีมเม็กซิโกที่รับรู้ถึงวิกฤตต่างก็วิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากหนึ่งประตูในครึ่งแรกเป็นคนอื่นที่ทำคะแนน ดังนั้นมูคยอมจึงยังไม่ได้ลิ้มรสการยิงประตู

ในครึ่งแรกผู้เล่นหลายคนต่างใส่กำลังกันไปอย่างเต็มที่ เมื่อเข้าครึ่งหลังก็เลยสูญเสียแรงและสมาธิไป อีกทั้งยังถูกสกัดบอลอยู่หลายครั้ง ถึงมูคยอมจะคิดอยากให้ลูกบอลฟลุคเข้ามาใกล้ๆ แต่เขากลับไม่สามารถครองบอลได้อย่างเต็มที่เพราะแทบจะถูกล้อมเอาไว้ หรือไม่ก็ถูกจงใจสกัดบอล แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ครองบอลได้สำเร็จและวิ่งเลี้ยงลูกไปด้วยสายตาวาววับราวกับสุนัขล่าเนื้อ

ผู้เล่นคนหนึ่งล้มตัวลงเพื่อเข้าสกัดบอล แต่มูคยอมเดาะบอลขึ้นด้วยปลายเท้าแล้วกระโดดข้ามอีกฝ่ายไป มูคยอมวิ่งเลี้ยงลูกหลบผู้เล่นสามสี่คนที่วิ่งเข้ามาด้านหน้าและด้านข้างแทบจะพร้อมกันอย่างรวดเร็ว

มูคยอมไม่ได้ดูเหนื่อยขนาดนั้น อาจเพราะถูกสกัดไว้ตลอดครึ่งหลังจึงมีแรงเก็บไว้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ผู้คนเริ่มส่งเสียงเชียร์อย่างบ้าคลั่งกับการฉายเดี่ยวอันน่าประทับใจที่ปรากฎขึ้นกะทันหัน

แม้แต่ผู้รักษาประตูก็เริ่มรู้สึกร้อนใจจึงก้าวออกมาข้างหน้า และเมื่อผู้เล่นกองหลังพุ่งตัวเข้ามา มูคยอมก็เปลี่ยนทิศทางโดยเขี่ยบอลไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว มูคยอมเตะบอลออกไปในระหว่างที่ผู้เล่นคนอื่นๆ กำลังลังเลและตามเขาไม่ทันจากการเปลี่ยนทิศทางโดยกะทันหัน ลูกบอลสไลด์ไปที่ด้านหลังของผู้รักษาประตู

สนามแข่งขันและลานกว้างเดือดพล่านราวกับได้กลายเป็นเตาหลอมขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่าเสียงร้องตะโกนกำลังจะพุ่งตัดผ่านท้องฟ้าขึ้นไป

‘โกล! เข้าโกลแล้วครับ! ทำประตูได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ!’

‘สมบูรณ์แบบ! เป็นการจบเกมที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ครับ! เมื่อสักครู่ผู้เล่นคิมมูคยอมยึดครองสนามได้อย่างไร้ที่ติเลยครับ!’

‘เข้ารอบ 8 ทีม! นี่มันเป็นการเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในรอบกี่ปีของประเทศเกาหลีกันครับเนี่ย!’

เสียงบรรยายที่สูงขึ้นเจือความตื่นเต้นอย่างปิดเอาไว้ไม่มิด ระหว่างนั้นมูคยอมที่เป็นตัวเอกในการทำประตูก็กำลังยกกำปั้นแล้ววิ่งไปบนสนาม เพื่อนร่วมทีมต่างก็วิ่งตามหลังมูคยอมมา บนสนามเต็มไปด้วยความคึกคัก

‘เป็นการจบเกมที่สวยงามจริงๆ! การทำประตูของคิมมูคยอมนี่มีผลเป็นอย่างมากกับการเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายจริงๆ ครับ ว่ากันว่าทีมเวิร์คในปีนี้ก็ดีมากด้วยครับ’

‘หลายๆ คนอาจจะคิดว่าการเข้ารอบ 16 ทีมก็เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว ซึ่งผมก็คิดแบบนั้นเช่นกันครับ แต่พอเป็นแบบนี้แล้วความคาดหวังก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะครับ ประสิทธิภาพของนักกีฬาประเทศเรานี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ’

‘ว่าแต่ทำไมผู้เล่นคิมมูคยอมถึงไม่ฉลองกับผู้เล่นคนอื่นๆ เขากำลังจะไปไหนครับนั่น’

กล้องที่เคยจับใบหน้ามูคยอมซูมออกมาถ่ายในระยะไกล เผยให้เห็นภาพที่อีกฝ่ายกำลังวิ่งตรงไปยังที่นั่งสำหรับนักกีฬา และกระโดดเข้าไปท่ามกลางทีมงานที่ออกมายืนอยู่เกือบจะข้างในสนามหลังจบการแข่งขัน

เลนส์กล้องกลับมาโฟกัสที่มูคยอมอีกครั้ง มูคยอมกำลังโอบกอดผู้ชายคนหนึ่งที่ห้อยป้ายโค้ชไว้ แล้วนักกีฬาคนอื่นๆ กับทีมงานก็เข้ามาโอบกอดรอบๆ คนทั้งสองแน่นราวกับกำลังซ้อนตัวกันในชั่วพริบตา ปรากฎให้เห็นผู้คนที่รวมตัวกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่บนสนาม เหล่าผู้บรรยายยิ้มออกมาและบรรยายถึงภาพตรงหน้า

‘อ๋อ โค้ชอีนี่เองครับ! เป็นที่ทราบกันว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันเป็นพิเศษก็เลยอาจจะอยากร่วมยินดีไปด้วยกันนะครับ’

‘โค้ชอีฮาจุนก็เพิ่งแขวนสตั๊ดไปได้ไม่กี่ปีนี้เองครับ ในเวิลด์คัพรอบก่อนเขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เข้าคู่กันได้อย่างยอดเยี่ยมกับผู้เล่นคิมมูคยอมครับ เรื่องที่ว่าการร่วมงานกันในทีมซิตี้โซลเป็นไปได้ดีมาก ผู้เล่นคิมมูคยอมก็เลยพาโค้ชอีฮาจุนมาถึงกรีนฟอร์ดด้วยเมื่อปีที่แล้วก็ดังมากเลยไม่ใช่เหรอครับ’

‘ใช่แล้วครับ ถ้ายังไม่ได้แขวนสตั๊ดไปวันนี้ก็คงจะเป็นการทำผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนครับ…’

‘…’

มูคยอมหลับตาลง

และทิ้งเสียงร้องตะโกนของผู้ชม เสียงของผู้สื่อข่าว เสียงกดชัตเตอร์ที่ค่อยๆ เบาลงเอาไว้ข้างหลัง

ตึก ตึก

เขาได้ยินแค่เสียงหัวใจเต้นของตัวเองและเสียงหายใจของชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังกอดอยู่ผ่านหูเข้ามาและดังก้องอยู่ในหัว

คิมมูคยอมและตัวแทนทีมประเทศเกาหลีใต้ได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันเวิลด์คัพครั้งนี้ เขารู้สึกดี ถ้าบังเอิญอาจเข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายและโชคดีได้เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศก็ได้ ใครจะไปรู้อนาคต?

บางครั้งเขารู้สึกอ่อนไหวแปลกๆ ก่อนทำประตูและหลังจากทำประตูได้ รู้สึกเหมือนได้ยินทุกคำพูดของผู้คน และเหมือนจะรับรู้ไปถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของหญ้าบนสนามด้วย

ฮาจุนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาตอนนี้ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มกว้างออกมา และเมื่ออีกฝ่ายซบหน้าลงบนไหล่ เขาก็รู้สึกเหมือนแขนที่รุดเข้ามาโอบกอดด้วยความจริงใจแน่นขึ้นกำลังเคลื่อนไหวช้าลง เส้นผมนุ่มลื่นทำให้ต้นคอที่ชุ่มเหงื่อของเขาจั๊กจี้

“คิมมูคยอม เก่งมากจริงๆ! วันนี้นายสุดยอดไปเลย!”

คำชื่นชมที่อีกฝ่ายร้องตะโกนขึ้นหลายต่อหลายครั้งเหมือนกลัวว่าเสียงจะถูกกลบอยู่ในอ้อมกอด กล่อมเข้ามาในหูราวกับเสียงเพลง แม้ว่ามันจะคล้ายกับเมื่อสี่ปีก่อนที่มูคยอมจำไม่ได้ แต่ภาพที่ต่างออกไปคือเขามีรอยยิ้มค้างอยู่บนริมฝีปากเมื่อลืมตาขึ้น

เรื่องที่ลืมไปแล้วก็แล้วไป เรามาสร้างความทรงจำที่น่าจดจำกนอีกครั้งก็ได้นี่ เหมือนกับตอนนี้

ที่ยังมีอีกหลายสนามจนนับไม่ถ้วนให้พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน

ขอบใจนะ คิมมูคยอม ที่เสียใจกับการไม่มีอยู่ของฉัน ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ขอบใจนะที่บอกว่าฉันเป็นพาร์ทเนอร์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนาย แล้วก็ขอบใจนะที่บอกว่าเสียดายและคิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยได้ลงสนามด้วยกัน ถึงจะไม่สามารถไปวิ่งข้างๆ นายได้อีก แต่ฉันก็หวังว่าตำแหน่งใหม่ที่นายมอบให้กัน จะมีความหมายสำหรับนายเหมือนกันนะ

จุดเริ่มต้นและจุดจบบนสนามหญ้าของฉัน ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ความจริงที่ว่านายคือเรื่องมหัศรรย์ตลอดกาลของฉันก็จะไม่เปลี่ยนไป

——————————————————

ปีนี้อากาศหนาวเร็วเป็นพิเศษ แม้จะเพิ่งกลางเดือนพฤศจิกายน แต่ตื่นเช้ามาก็เริ่มมีไอเย็นออกจากปากแล้ว

ฮาจุนซึ่งสวมที่อุ่นคออยู่กำแบมือของตัวเองที่อยู่ใต้ถุงมือ เมื่อก่อนนี้เขาคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกหนาวขนาดนี้กับอากาศแบบนี้ แต่หลังอาการบาดเจ็บนั้น เขาก็งีบตอนเช้าบ่อยขึ้น แถมยังมีเรื่องที่ต่างไปจากเดิมคือเขาไวต่ออากาศหนาวขึ้นมาก ต่อให้บอกว่าหายดีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของฮาจุนก็ไม่ได้กลับมาสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับว่าถูกเจาะรูใหญ่ๆ เอาไว้เลย และเมื่อไหร่ก็ตามที่สัมผัสได้ถึงอาการที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น ฮาจุนก็ว้าวุ่นใจขึ้นมา

ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงไออุ่นที่นาบเข้ามาบริเวณแผ่นหลัง แม้จะไม่ได้หันไปมอง ฮาจุนก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของไออุ่นที่ห้อมล้อมไปทั้งไหล่และหลังของเขาคือใคร เสียงที่ต่ำและอ่อนโยนกำลังหลอมละลายใบหูที่เย็นยะเยือกของฮาจุน

“หนาวมากเลยเหรอ”

“มันก็หนาวแค่ตอนเช้าแป๊บเดียวแหละ”

ถึงจะดีใจที่ได้อุณหภูมิร่างการช่วยขับไล่ความหนาวเย็น แต่เมื่อมูคยอมเริ่มถูไถใบหน้าเข้าที่ต้นคอและไหล่ของเขา ฮาจุนก็ต้องผลักออก

“ให้พอดีหน่อยสิ นี่มันที่สนามซ้อมนะ”

“ไม่มีใครเขาสนใจหรอกน่า”

“ฉันนี่ไงสนใจ”

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน แต่ลดเสียงลงจนไม่เหมือนการทะเลาะ ผู้จัดการทีมก็เป่านกหวีดเรียกเหล่านักเตะให้ไปรวมตัวกัน มูคยอมและฮาจุนออกวิ่งไปพร้อมกัน มูคยอมไปยังจุดของนักเตะ ส่วนฮาจุนก็รีบไปจับจองพื้นที่ข้างผู้จัดการทีม

เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เป็นการแข่งสุดท้าย ซึ่งฤดูกาลของทีมซิตี้โซลก็ได้จบลงไปอีกหนึ่งฤดูกาล แม้จะได้รับการยืนยันแล้วถึงผลชนะเลิศ แต่ซิตี้โซลก็ยังไปคว้าชัยชนะในการแข่งขันนัดสุดท้ายมาได้ และได้สร้างสถิติที่เข้าใกล้การชนะทุกครั้งได้แล้ว การแข่งขันสุดท้ายของซิตี้โซลได้สำเร็จลุล่วงลงไปภายใต้ความสนใจอันล้นหลามของผู้คน ถึงขนาดที่ว่าเกิดสงครามการแย่งบัตรชมขึ้นมาเลยทีเดียว หลังการแข่งขันจบลงมูคยอมก็ได้ไปเดินวนรอบสนามหนึ่งรอบ เพื่อบอกลาแฟนบอลของทีมซิตี้โซลและแสดงความรู้สึกขอบคุณ

และในตอนนี้ซิตี้โซลจะต้องหากลยุทธ์ที่จะมาอุดช่องว่างของมูคยอมที่จะไม่อยู่ตรงนี้อีกในฤดูกาลหน้า ต่อให้ขาดมูคยอมไปแค่หนึ่งคน แต่หากมีกลยุทธ์ล่ะก็ เกียรติยศที่ได้เป็นทีมชนะเลิศในฤดูกาลก่อนหน้าคงจะไม่มีทางย่อยยับแน่

การฝึกซ้อมเองก็จะสิ้นสุดลงในวันนี้ เหล่านักเตะก็เตรียมจะไปใช้วันหยุดพักผ่อนในช่วงหน้าหนาว ก่อนจะกลับมาฝึกซ้อมนอกสถานที่ ฮาจุนจ้องมองไปยังกลุ่มนักเตะที่กำลังวิ่งอยู่ โดยเฉพาะมูคยอม แล้วจึงลดระดับสายตาลงไปที่ปลายเท้า

…ฤดูกาลได้จบลงแล้ว

สัญญาของมูคยอมกับทีมซิตี้โซลจะจบลงในเดือนนี้ มูคยอมจะต้องกลับไปที่กรีนฟอร์ดในเดือนมกราคมที่ตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงหน้าหนาวเปิด และช่วงเวลานี้มูคยอมก็คงกำลังเล่นเป็นกองหน้าตัวหลักในการแข่งขันสุดดุเดือดอย่างพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนลีก ข่าวดังไกลมาถึงที่เกาหลีว่าคนที่นั่นต่างก็ร้อนรุ่มใจและรอคอยการกลับไปของมูคยอม

ความเป็นจริงที่เขาพยายามมองข้ามมาตลอดตอนนี้มันขยับเข้ามาใกล้และอยู่ตรงหน้าแล้ว มูคยอมจะต้องกลับไปที่ลอนดอน วันเวลาที่เหมือนฝันช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน เมื่อมูคยอมกลับไป แม้แต่ช่วงเวลาที่เคยเงียบเหงาหรือปวดร้าว เขาก็คงจะคิดถึงมันมากแน่ๆ

ล่าสุดนี้ฮาจุนกำลังพยายามที่จะเตรียมใจให้พร้อมล่วงหน้า คนคนนี้เป็นทั้งแฟนคนแรก เป็นทั้งมูคยอมที่เขาเฝ้ามองมาถึง 10 ปี ทุกครั้งที่พยายามสลัดความรู้สึกที่ติดอยู่กับฝันหวานในทุกๆ วัน ทุกครั้งที่ล้างหน้าช่วงเช้าของฤดูหนาวในห้องเดี่ยวที่ไม่มีแม้แต่น้ำอุ่น ความหนาวเย็นที่เคยได้สัมผัสก็แล่นริ้วเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับว่าความรู้สึกนั้นจะฟื้นคืนอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาจะต้องทำใจให้ชินไปกับความหนาวเย็นนั้นให้ได้

“ขอบคุณมากเลยนะที่ทำงานหนักในฤดูกาลนี้ กลับไปพักผ่อนกัน แล้วเจอกันวันเรียกรวมตัวฝึกซ้อมนอกสถานที่”

“ขอบคุณที่ทำงานหนักเช่นกันครับ!”

หลังคำบอกลาของผู้จัดการทีม เหล่านักแตะก็ตอบกลับด้วยเสียงดังก้อง ก่อนจะกระจัดกระจายกันออกไป หลังจากที่ได้รับชัยชนะ พวกเขาทั้งทีมก็ได้ไปกินเลี้ยงกันมาแล้ว จากนั้นเหล่านักเตะต่างก็แยกกลุ่มที่สนิทกันไป แล้วรีบย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

เมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ จองคยู มูคยอม และฮาจุน ทั้งสามคนก็ได้ไปสังสรรค์กันแค่สามคนแบบเบาๆ จองคยูที่ดูเหมือนพวกหัวโบราณที่ชอบพูดเรื่องแต่งงานของชายหญิงอยู่ทุกวัน กลับยินดีกับความสัมพันธ์ของมูคยอมและฮาจุนอย่างเกินคาด

‘ฉันดีใจนะที่ไอ้คิมมูคยอมที่ชอบร่อนไปทั่ว ได้ลงหลักปักฐานสักที ฮาจุนนายเองก็ด้วย พอเห็นนายได้คบกับคนที่ชอบฉันก็มีความสุข ฉันเองก็ไม่ต้องมานั่งจับตาดูพวกนายอีกแล้ว ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องดีๆ หรอกเหรอ’

ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

“พี่มูคยอมครับ ก่อนไปก็ติดต่อมาด้วยนะครับ”

“อย่าลืมผมด้วยนะครับ”

เป็นเรื่องจริงที่ว่านี่คือวันสุดท้ายของการเป็นนักเตะในทีมซิตี้โซลของมูคยอม หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากันในห้องแต่งตัวเสร็จ เหล่านักเตะก็เข้ามาบอกลามูคยอมกันก่อนที่จะเดินออกไป มูคยอมเองก็ตอบกลับไปอย่างพอประมาณ และจะเตรียมตัวออกจากที่นี่

ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังลานจอดรถ เขาก็เห็นว่าฮาจุนกำลังยืนรอกันอยู่ ฮาจุนเดินมาจนถึงป้ายจอดรถประจำทาง โดยที่ไม่มีใครรู้ และก็ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนรถด้วย ซึ่งน่าจะนานพอตัวเลย เพราะว่าทุกคนคิดว่ามูคยอมกับฮาจุนสนิทมาก ดังนั้นต่อให้พวกเขาทำตัวเหมือนคู่รักมากแค่ไหน คนอื่นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไร และขณะที่เปิดประตูรถมูคยอมก็พูดขึ้น

“วันนี้เรามาฉลองการจบฤดูกาลแค่สองคนกันเถอะ ไหนๆ พวกงานเลี้ยงส่งวุ่นวายนั่นก็จบลงไปหมดแล้ว”

“เอาสิ

หลังได้ยินคำพูของมูคยอม ฮาจุนก็วาดยิ้มขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะพยักหน้าแล้วขึ้นรถ

เอาจริงๆ ฮาจุนก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะฉลองการจบฤดูกาลอะไรแบบนั้นเลยสักนิด แต่การที่ฤดูกาลนี้จบลงมันหมายความว่ามูคยอมจะต้องกลับไปที่ลอนดอนแล้ว ฮาจุนเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมที่ดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ดีอกดีใจซึ่งต่างจากความรู้สึกของเขาในตอนนี้ จากนั้นเขาจึงเบนสายตากลับมา

มูคยอมกำลังโล่งใจใช่ไหมนะ

ถ้าไม่ใช่ผู้จัดการทีมพัค ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่มูคยอมจะต้องมาเหยียบประเทศเกาหลี ถ้าไม่นับรวมการแข่งขันสองสามนัดในช่วงแรก มูคยอมก็ไม่ได้เจอกับผู้จัดการทีมพัคเลย เพราะแบบนี้มูคยอมเลยอยากรีบกลับไปลอนดอนเร็วๆ แล้วเข้าร่วมลีกยุโรปจนตัวสั่นไปหมดแล้ว

ตอนนี้ใบของต้นไลแลคร่วงเกือบจะหมดต้น จนมันเริ่มที่จะโล่งตา นี่เป็นบ้านที่ฮาจุนอยากกลับมามากก็จริง แต่ภาพที่ได้เห็นกลับทำให้รู้สึกเงียบเหงา มากกว่าที่จะรู้สึกยินดี ถึงแม้จากสนามซ้อมมาจะไกลกว่า แต่ช่วงนี้เขาก็มาที่นี่บ่อยกว่าที่จะไปบ้านของมูคยอมเสียอีก

“ดื่มนี่สิ”

เมื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มูคยอมก็พาฮาจุนมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะ มูคยอมยื่นขวดไวน์ให้กับฮาจุน ซึ่งไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมมา จากนั้นของเหลวใสสีแดงเข้มก็ถูกเติมเต็มลงในแก้วไวน์ผิวบางใสโดยไร้เสียง

มูคยอมที่ในตอนนี้อยู่ในสถานะแฟนของเขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อนและใส่ใจมาก มากเสียจนฮาจุนไม่รู้ว่าควรจะต้องบอกว่าคาดไม่ถึง หรือบอกว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจกันแน่ เมื่อครั้งที่ผ่านมาฮาจุนได้รับการต้อนรับเป็นคอร์สอาหารพร้อมทั้งไวน์หลายประเภท มูคยอมไม่แน่ใจว่าฮาจุนจะจำไวน์ที่อร่อยที่สุดท่ามกลางไวน์เหล่านั้นได้ไหม แต่ในวันนี้เขาก็ได้เตรียมไวน์แบบเดียวกันนั้นมาให้สำหรับเราสองคน

“เป็นไงบ้าง”

“อร่อย”

หลังจากชนแก้วเบาๆ ฮาจุนก็ยกขึ้นจิบ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบออกมา ฮาจุนมองลงไปในแก้วและเอียงหัวน้อยๆ

“รสชาติมันต่างจากตอนนั้นนิดๆ นะ แต่ก็เหมือนกันเลย ทำไมล่ะ”

“เก่งเหมือนกันนะเนี่ย เพราะว่าครั้งนี้ฉันไม่ได้ดีแคนต์หรือถ่ายไวน์ออกจากขวดมาพักก่อนไง ถ้าทำแบบนั้นรสชาติมันจะจางน้อยกว่านี้ คราวหน้าฉันคงต้องเตรียมให้เนี๊ยบกว่านี้แล้วสินะ”

ฮาจุนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามูคยอมกำลังพูดเรื่องอะไร เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มและมองกลับไป ถึงรสชาติมันจะต่างไปจากตอนนั้น แต่วันนี้ก็อร่อยมากพอแล้ว มูคยอมวางแก้วไวน์ลง แล้วจึงพูดถ้อยทำคำที่เข้ากันได้ดีกับการส่งท้ายฤดูกาลแบบนี้

“โค้ชอี ขอบคุณที่ทำงานหนักตลอดฤดูกาลนี้เลยนะ”

“ฉันทำอะไร เรื่องโค้ชน่ะ โค้ชคนอื่นช่วยเยอะกว่าฉันอีก”

“อย่าถ่อมตัวสิ นายก็รู้นี่ ว่าถ้าไม่มีนายสักคน ฉันจะต้องขยับตัวแบบผิดๆ แน่”

ได้ยินแบบนั้นฮาจุนก็แค่นหัวเราะออกมา ต่อให้จะพูดแบบนั้น เขาก็วาดภาพของมูคยอมไว้แล้ว ว่าเมื่อกลับไปที่กรีนฟอร์ด มูคยอมจะสยายปีกบินไปได้ไกลกว่าใครแน่ๆ

การที่รับรู้ว่ารสชาติของไวน์ต่างออกไป ฮาจุนคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะว่าการดีแคนต์อะไรที่มูคยอมพูดหรอก แต่เพราะความแห้งผากในปาก ที่ทำให้ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากในการรับรสที่ควรจะได้ ฮาจุนยกไวน์ขึ้นจ่อที่ปากอีกครั้ง และมูคยอมก็เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน

“ฤดูกาลก็จบไปแล้วนี่ ฉันก็ต้องพูดอะไรแบบนี้สิ”

“…”

“ถึงฉันน่าจะพูดกับนายให้เร็วกว่านี้… แต่ฉันก็อดทนเก็บมันไว้ เพราะคิดว่าในช่วงฤดูกาลนายน่าจะอยากจดจ่อไปกับทีม”

“อื้อ”

“กลางเดือนธันวาฉันจะต้องกลับไปที่ลอนดอนแล้วนะ เพราะต้องไปรวมตัวกันตั้งแต่เดือนมกราเลย”

คำพูดที่เหมือนกับการแจ้งให้ทราบ ทำเอาฮาจุนพยักหน้าช้าๆ และยิ้มออกมา เขาพยายามทำเสียงให้สดใส และถามกลับไป

“ถ้าอย่างนั้นนายไม่ต้องรีบไปให้เร็วกว่าเดิมเหรอ อย่างน้อยก็เผื่อเวลาสักเดือนให้ปรับตัวกับสถานที่ ฉันว่าน่าจะดีกว่านะ”

“ฉันเคยอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้นหรอก”

ฮาจุนแอบสูดหายใจเข้าเบาๆ ไม่ให้มูคยอมได้ยิน สำหรับมูคยอม 1 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวหลุดออกมาจากวงโคจรที่จะได้พัฒนาขึ้นไป

ในตอนนี้มูคยอมเองก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเกาหลี และเริ่มยอมรับบทบาทของตัวเองในทีมซิตี้โซล และช่วงเวลาที่ได้ใช้อยู่เคียงข้างเขา แต่เมื่อกลับไปยังลอนดอน มูคยอมจะต้องรับรู้อย่างแน่นอน ถึงความจริงที่ว่าที่นั่นคือตำแหน่งของมูคยอมมาตั้งแต่แรก และเป็นโลกที่แท้จริงของเขา

แม้จะพยายามไม่คิดแบบนั้น แต่ทันทีที่ไปถึงมูคยอมก็อาจจะลืมกันไปเลยก็ได้ มันเป็นความกังวลที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ความรักอย่างเขา ฮาจุนก็พอจะรู้อยู่ว่ามีคู่รักที่เมื่อห่างไกลจากสายตากันไป ใจของทั้งคู่ก็ห่างตามไปด้วยเช่นกัน

ชีวิตประจำวันที่สวยงามที่เคยได้ยินในทุกๆ วันจากอีกฝั่งของทะเล หรือแม้แต่สนามหญ้า ก็คงจะเฝ้ารอการกลับมาของมูคยอม ช่างน่าสงสัยว่ามูคยอมที่กลับไปยังลอนดอน จะโหยหาแค่เขามากมายเหมือนในตอนนี้ไหม เมื่อเขาที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่โซล คนที่มีความต้องการทางเพศเหลือล้นจนแทบจะต้องนอนกับใครสักคนทันทีที่จบการแข่งขัน แล้วในตอนที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ ล่ะ จะเป็นถึงขนาดไหน…

ขณะที่คิดเรื่องนั้น ฮาจุนก็รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องวาดยิ้มต่อบนใบหน้า จึงเปลี่ยนไปจ้องมองมูคยอมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้ววางแก้วไวน์ลง

“คิมมูคยอม”

“หืม”

“…จริงๆ ฉันทำตัวดื้อใส่นายได้นะ…”

“ดื้อเหรอ ลองสิ ให้ฉันได้ชมอีฮาจุนตอนดื้อหน่อย”

ถึงจะพูดยาก แต่มูคยอมก็กระตุกยิ้มออกมา พร้อมรอดูด้วยสีหน้าสนอกสนใจ ฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เลียริมฝีปากอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะค่อยๆ พูดต่อ

“ต่อให้กลับไปที่นู่น… นายช่วยไม่ไปนอนกับคนอื่นอีกได้ไหม”

ตาของมูคยอมเบิกโตขึ้นในทันที แม้ฮาจุนจะพยายามหลบสายตาที่มองมา แต่ก็ยังไม่หยุดที่กำลังพูด

“บางทีฉันก็อาจจะทำไม่ได้ และมันก็เป็นคำขอที่ยากเกินไป แต่ต่อให้นายกลับไปแล้ว เราก็ยังคบกันอยู่นะ… ต่อให้เราอยู่ห่างกัน ฉันก็หวังว่านายจะไม่ไปนอนกับคนอื่น”

ฮึ ฮาจุนได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของมูคยอม เหมือนกับว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องไร้สาระ ฮาจุนไม่สามารถที่จะมองตามูคยอมได้ และเอาแต่ก้มมองไปที่โต๊ะด้านหน้า ก่อนที่เสียงเย็นยะเยือกจะลอยเข้าหู

“นี่นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”

“แต่ถ้าไปงานปาร์ตี้หรืออะไรแบบนั้น ก็พอได้อยู่นะ แต่ฉันหวังว่านายจะไม่ไปงานพวกนั้นจนกว่าจะกลับมา ช่วงนี้ฉันเองก็คิดเรื่องนี้เยอะมากเลย ถ้าเป็นขนาดนั้นฉันว่าฉันคงรับไม่ไหวแน่ๆ”

“อย่ามายิ้มนะ อีฮาจุน”

คำพูดเริ่มฟังดูไม่นุ่มนวล มูคยอมคงจะโมโหแล้วแน่ๆ ฮาจุนเหลือบมองขึ้นไป แอบพิจารณาใบหน้าบึ้งตึงของมูคยอม ก่อนที่จะลากสายตากลับมา จากนั้นเขาจึงเอาแต่ลูบไปที่ก้านแก้วที่ยังคงมีไวน์เหลืออยู่

“ฉันพูดไม่ออกเลยจริงๆ นี่คือเรื่องที่นายจะพูดกับฉันเหรอ มาพูดตอนนี้เนี่ยนะ”

“…ขอโทษ”

“ส่วนเรื่องที่นายก็ต้องรู้ คือเรื่องที่นายชอบทำให้คนอื่นตกใจเพราะเสียงปลุกอยู่เรื่อยเลย ตอนนี้ฉันจะโมโหแล้วนะ”

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหนายสักหน่อย”

มูคยอมลุกออกจากที่นั่ง เดินอ้อมโต๊ะมาเข้ามาใกล้เขา ฮาจุนสะดุ้งเฮือกและเงยหน้ามานิดๆ จากนั้นจึงมองขึ้นไปยังมูคยอมที่มายืนอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว สีหน้าที่มีรอยยับย่อนเกิดขึ้นระหว่างคิ้ว ดูออกชัดเลยว่ามูคยอมกำลังอารมณ์ไม่ดี

ตอนนี้เหลือเวลาที่จะใช้ด้วยกันอีกไม่มากแล้ว แต่ฮาจุนก็ยังมาพูดเรื่องไร้ประโยชน์ ฮาจุนรู้สึกเสียใจขึ้นมาที่เลือกจะพูดออกมา ในช่วงเวลาก่อนที่มูคยอมจะกลับไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ เขาไม่อยากทำให้มูคยอมต้องมาอารมณ์เสียเลย

มูคยอมที่เดินเข้ามาใกล้ก้มมองฮาจุนด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจนัก สูดหายใจหนึ่งครั้ง แล้วจึงนั่งคุกเข่าลง จากสายตาของฮาจุนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตอนนี้ชายตัวสูงใหญ่กำลังก้มมองอยู่ที่ช่วงเท้าของเขา และในตอนนั้นเองฮาจุนก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามูคยอมถือกล่องอะไรสักอย่างมาด้วย

“ไหนเอาเท้ามาให้ดูหน่อย”

เพราะเรี่ยวแรงที่หดหายไป ต่อให้มูคยอมจะพูดออกมาแบบนั้น ฮาจุนก็ไม่สามารถที่จะขยับตัวได้ และได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ เห็นแบบนั้นมูคยอมก็ใช้มือยกเท้าของฮาจุนขึ้นมาวางบนตัก แล้วเปิดกล่องที่ถือมา

มูคยอมจับบางอย่าง เขาจึงได้เห็นว่าข้างในกล่องมีรองเท้าฟุตบอลคู่ใหม่อยู่ มูคยอมหยิบมันออกมาถือไว้

“นี่คือตัวต้นแบบรองเท้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นคู่เดียวที่มีชื่อฉันสลักอยู่ มันจะถูกวางขายในฤดูกาลหน้า ตอนเอาไปวางขายมันจะไม่เป็นแบบนี้ ดังนั้นรองเท้านี่มีแค่คู่เดียวบนโลก”

มูคยอมสวมรองเท้าเข้ากับเท้าที่วางอยู่บนเข่าของตัวเอง ขนาดของมันตรงกับเท้าของฮาจุนอย่างพอดิบพอดี

ขณะที่ฮาจุนกำลังจ้องมองด้วยดวงตาเบิกโต มูคยอมก็เริ่มผูกเชือกรองเท้าให้ และในตอนนั้นเองฮาจุนที่เพิ่งตั้งสติไว้ว่ามูคยอมกำลังทำอะไร ก็อ้าปากออกน้อยๆ

ตอนนี้มูคยอมกำลังมีสีหน้าที่เขินอาย ซึ่งไม่มีให้ได้เห็นบ่อยนัก คนที่นั่งคุกเข่าอยู่เงยหน้าขึ้นมองฮาจุน ก่อนจะถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันหึงตัวเอง นายยังใจเต้นเหมือนเมื่อตอนม.ต้นไหม เอาจริงๆ มันควรจะดีกว่าตอนนั้นนะ แต่บรรยากาศดันโดนทำพังซะได้”

“…”

“ถ้านายอยากจะศึกษาเกี่ยวกับโค้ชกายภาพอย่างจริงจัง ถ้าจะอยู่ในเกาหลีอย่างเดียวมันก็มีข้อจำกัด นายเองก็รู้ดีที่สุดนี่ ไปด้วยกันเถอะ ที่อังกฤษมีสถาบันที่เปิดคอร์สผู้เชี่ยวชาญด้วย แถมในทีมกรีมฟอร์ดยังมีประกาศว่าต้องการโค้ชฝึกงานด้วย เนี่ยฉันบอกนายหมดแล้วนะ”

ฮาจุนไม่สามารถที่จะกลั่นกรองคำพูดของมูคยอมเข้าหัวได้ในทันที เขาเหม่อมองมูคยอมอยู่สักพัก ก่อนที่จะสติจะค่อยๆ กลับมา จากนั้นฮาจุนจึงได้พึมพำตอบออกมา

“ไม่สิ ฉันไปไม่ได้หรอก… แม่ก็สุขภาพไม่ดี น้องก็ต้องเข้ามหาลัย’ ถ้าฉันไม่อยู่…”

หลังจากผูกเชือกรองเท้าข้างซ้ายเสร็จ มูคยอมก็เงยหน้ามองฮาจุน แล้วประทับริมฝีปากลงบนหัวเข่าของคนที่นั่งเหนือกว่า ฮาจุนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา จากนั้นมูคยอมจึงพูดขึ้นราวกับกว่ากำลังตำหนิ

“นายจะทำตัวเป็นแค่ถุงเงินในบ้านไปถึงเมื่อไหร่กัน แต่ถึงนั่นจะเป็นปัญหา ตอนนี้มันก็ถูกจัดการแล้วนี่ นายจับแฟนที่มีเงินถุงเงินถังได้แล้วแท้ จะมากังวลอะไรอีกล่ะ”

“…”

“หรือไม่อย่างนั้น… อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ตอนนั้นจะได้ไปด้วยกันหมดก็ได้ น้องสาวนายมินคยองน่ะ เขาเรียนเก่งนะ แล้วก็ดูเหมือนจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ใหญ่เลยด้วย นายก็ลองบอกเขาดูสิว่าให้ลองคิดเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษหรือเยอรมันดู ถ้าไม่อยากไปยุโรปก็ไปอเมริกาก็ได้ ฉันรู้ว่านายก็กังวลเรื่องแม่ด้วย ไว้ค่อยไปตอนที่นายอยากจะไปก็ได้ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปชวนแม่ไปด้วยกันเลยเป็นไง”

และมูคยอมก็หยิบรองเท้าอีกข้างออกมา

“นายโมโหมากเลยเหรอ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ ฉันได้เจอหมอนั่นแค่ปีละครั้งสองครั้งเองมั้ง”

มูคยอมจ้องมองใบหน้าของฮาจุนนิ่ง

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกฮาจุนได้ ว่าไอ้เวรนั่นมันเรียกนายว่าของเก่าที่โละตัวเองออกไปแล้ว

“อีฮาจุน”

“หือ…”

เพราะยังไม่คุ้นกับการถูกเรียกชื่อเท่าไหร่ ฮาจุนเลยแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา แต่ก็ไม่ใช่สีหน้าที่แสดงออกว่าไม่ชอบใจ เรียกเสร็จมูคยอมก็ดึงเอวของฮาจุนเข้ากอด

“ที่ฉันจะพูด เป็นคำที่นายฟังแล้วอาจจะไม่สบายใจ”

“…จะพูดอะไรกันแน่ ถึงกับต้องเตือนก่อนเลยเหรอ ฉันกลัวนะเนี่ย”

มูคยอมนิ่งเงียบสบสายตาคนในอ้อมกอดสักพัก ก่อนจะพูดต่อ

“นาย… เคยคิดจะกลับมาลงสนามอีกครั้งไหม”

ฮาจุนเบิกตาโตราวกับรู้สึกตกใจ มูคยอมมองสีหน้านั้นอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจพูดต่อ เหมือนกับว่าจะต้องพูดสิ่งที่เกริ่นก่อนหน้าให้จบ

“เรื่องอาการบาดเจ็บของนาย เอาจริงๆ ฉันก็ได้ยินมาบ้างแล้วจากจองคยู แต่จองคยูบอกว่าดูเหมือนว่าเพราะปัญหาในชีวิตอย่างที่ไอ้เวรนั่นพูด นายเลยไม่สามารถที่จะกลับไปเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง จนต้องเปลี่ยนมาเป็นโค้ชแทน”

“…”

“ถ้าลองจริงจังกับมัน ผลอาจจะออกมาดีก็ได้ ตอนนี้นายไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว อายุก็ยังน้อยมากด้วย ถ้ากลับไปตั้งใจเริ่มใหม่ ใครจะรู้นายอาจจะได้กลับไปลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งก็ได้”

เรื่องราวที่คาดไม่ถึงทำเอาฮาจุนนั่งงงและได้แต่กระพริบตา เขารู้ว่ามันไม่ใช่คำพูดที่จะเอ่ยออกมาได้ง่ายๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงสีหน้าและแววตาของมูคยอม กระทั่งแรงแขนที่กำลังโอบกอดตัวเขาไว้ เหตุผลที่มูคยอมพูดออกมา มันไม่ใช่กระทั่งความต้องการหรือความแปรปรวนที่เพิ่งก่อตัวขึ้นวันนี้หรือเมื่อวาน

ฮาจุนมองใบหน้านั้นนิ่ง แล้วค่อยๆ หัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา

“ไม่ได้หรอก”

“…ทำไมล่ะ”

“จองคยูพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จริงสักหน่อย แล้วฉันก็ไม่ได้ยอมแพ้ทันทีเลยด้วย ที่ยอมแพ้ก็เพราะหมอบอกว่าทำไม่ได้ ไม่สิ บอกว่ามันลำบากต่างหาก ถึงฉันจะออกกำลังกายแบบทั่วไปได้ แต่หมอก็บอกว่ายากที่ไปจะออกกำลังกายแบบนักกีฬาอาชีพ”

“หมอบอกเหรอว่าเป็นไปไม่ได้เลย เขาบอกว่ามันไม่มีหวังขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ปกติหมอเขาก็ไม่พูดขู่น่ากลัวๆ แบบนั้นหรอกน่า”

หลังจากหัวเราะสั้นๆ ออกมา ฮาจุนก็ถอนหายใจเบาๆ

“นายคงคิดว่าก็น่าจะลองทำดูใช่ไหม แต่ว่าอีกไม่นานฉันก็จะ 27 แล้วนะ ลองคิดว่าถ้าต้องกลับไปเตรียมตัวลงสนามอีกครั้ง ผ่านไปแป๊บเดียวก็อายุ 29 และต่อให้อายุ 30 แล้วโชคดีได้ลงสนามเป็นนักเตะ แต่จะมีสักกี่ทีมกันที่จะรับนักเตะอายุเยอะที่ว่างงานตั้งสองสามปีไปเล่นด้วย ต่อให้ฉันกลับไปเล่นอีกครั้ง ทั้งกำลังกายแล้วก็ความสามารถของฉันก็คงจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ดังนั้นเรื่องการเข้าทีมตัวแทนน่ะ เลิกฝันไปได้เลย”

ขณะที่พูดเหมือนกำลังบ่น ฮาจุนก็ย่นคิ้วขึ้นมาน้อยๆ

“ก็คงจะมีคนที่คิดว่าการได้ไปวิ่งอยู่ที่ปลายม้านั่งข้างสนามก็ยังดีกว่าใช่ไหมล่ะ ต่อให้ได้อยู่ในทีมสำรองก็ตาม แต่ว่านะคิมมูคยอม ถึงจะไปทีมในต่างประเทศไม่ได้ แต่ฉันก็โอเคกับการได้อยู่ในทีมที่เกาหลีนะ พูดตามตรงว่าฉันเองก็ชอบมองไปที่สูงๆ เพราะแบบนี้จนถึงตอนนี้ฉันเลยไม่มั่นใจพอที่จะเริ่มต้นจากศูนย์เลยไง มองในมุมนายมันอาจจะเป็นความรักศักดิ์ศรีที่ดูน่าขำก็ได้”

“…”

“พอได้มาทำจริงๆ ฉันว่าการเป็นโค้ชเหมาะกับตัวฉันมากกว่าการเป็นนักเตะอีก แล้วฉันก็ภูมิใจที่ได้ทำด้วย แถมช่วงนี้ก็ยังสนุกมาก เพื่อที่จะมาเป็นโค้ช ฉันก็ต้องผ่านช่วงชีวิตการเป็นนักเตะมาก่อนด้วยไม่ใช่เหรอ”

ในครั้งนี้ฮาจุนก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นการหัวเราะอย่างแท้จริง มูคยอมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองใบหน้านั้น

ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาจุนจะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าฮาจุนพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาเองก็ควรที่จะโล่งใจได้แล้วสิ

“เข้าใจแล้ว…”

มูคยอมพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ

“ยังไงก็เถอะ หมอบอกแล้วนี่นะว่ามันยาก”

มูคยอมโน้มตัวไปด้านหน้าวางศอกลงบนเข่าของตัวเอง แล้วยกมือขึ้นเท้าคาง ท่าทางนั้นเหมือนกับเด็กที่กำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง

ในตอนนั้นเองรอยยิ้มที่วาดขึ้นบนริมฝีปากของมูคยอมก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างคิ้วลดแคบ ตามมาด้วยหางคิ้วที่ตกลง ฮาจุนที่จ้องมองท่าทางนั้นอยู่ เกิดอาการงงจนต้องถามออกมา

“คิมมูคยอม เป็นอะไร”

ดวงตาที่มักจะดูดุร้ายอยู่เสมอ อยู่ๆ ตอนนี้กลับมีหยดน้ำตาร่วงหล่นลงมา และคนที่กำลังตกใจกับการร้องไห้ที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก็คือฮาจุน

ปากก็ถามว่า ‘ว่าร้องไห้ทำไม’ แต่ตัวก็ก้มลงไปดูมูคยอมอย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ดูเหมือนว่าน้ำตาของมูคยอมไม่น่าจะหยุดไหลง่ายๆ ผ่านไปสักพักมูคยอมก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดดวงตาที่มีหยาดน้ำตาไหลออกมา และเอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

“ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ…”

“จำเหรอ เรื่องอะไร”

“ฉันเคยได้ยินว่าตัวเองเคยลงเตะกับนายด้วย ทำไมฉันถึงจำไม่ได้ล่ะ คนอื่นเอาแต่บอกว่าฝีมือแอสซิสต์ที่ช่วยให้คนอื่นทำประตูได้ของนายมันเหลือเชื่อมาก แล้วฉันก็ใช้เท้าตัวเองรับบอลจากนายไปแล้วด้วย ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ”

“…”

“ทำไมตอนนั้นฉันถึงได้ไม่คิดอะไร แล้วเอาแต่ทำตัวขี้รำคาญแบบนั้น แถมพอเล่นจบก็ยังไม่กลับไปย้อนดูอีกด้วย… ต่อให้ไม่ใช่เวิลด์คัพที่ผ่านมา ปกตินายเองก็น่าจะมาเล่นทีมตัวแทนเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนต้องเม้มปากลง

มูคยอมที่ได้เป็นตัวจริงอยู่เสมอ กับเขาที่มักจะเป็นตัวสำรองอยู่ตลอด ในความเป็นจริงก็ไม่ได้มีหลายนัดนักที่เราจะได้ลงเตะในสนามเดียวกัน การได้ลงเตะด้วยกันที่ฮาจุนประทับใจที่สุดคือการแข่งขันเวิลด์คัพที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นจากที่มูคยอมพูดมา การที่มูคยอมซึ่งเคยได้กินข้าวหม้อเดียวกันกับเขาถึงสองสามครั้งกลับจำกันไม่ได้ มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น

เพราะว่าเขาตั้งใจที่จะหลบหน้ามูคยอมยังไงล่ะ

เพราะฮาจุนกลัวจะถูกจับได้ว่ากำลังมองมูคยอมด้วยสายตาที่ต่างออกไป ดังนั้นถ้าไม่ใช่ในเวลาที่จำเป็นจริงๆ เขาเลยพยายามไม่ไปยืนประจันหน้ากับมูคยอม แม้บางครั้งจองคยูจะบอกว่ามูคยอมเป็นคนที่นิสัยโอเคกว่าที่เห็น อย่าคิดว่าเป็นคนที่เข้าหายาก ไหนๆ ก็รุ่นเดียวกันก็อยากชวนให้มาสนิทกันไว้ แต่ฮาจุนก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วตอบอ้อมแอ้มกลับไป พูดหลายครั้งเข้า จองคยูก็คิดว่าฮาจุนคงจะรู้สึกอึดอัดกับมูคยอมไปแล้วก็ได้ เลยไม่ได้มาตื้ออะไรอีก

ช่วงเวลาในการเรียกตัวของทีมตัวแทนนั้นไม่นานนัก มูคยอมเองก็เป็นพวกที่ไม่ค่อยจะสนใจสิ่งที่อยู่นอกวงโคจรของตัวเองสักเท่าไหร่ บวกกับเขาที่จงใจเดินหลบไปมาไม่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในวงโคจรของมูคยอม ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแน่นอนที่มูคยอมจะจำเขาได้แค่เลือนรางเท่านั้น

“ฉันไม่ใช่พวกที่ชอบขุดคุ้ยอดีตหรอกนะ ทำไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย เรื่องที่ในตอนนั้นฉันเคยทำให้นายไม่ได้ ตอนนี้ฉันก็ทำมันได้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่นายต้องการจะเป็นอะไร ฉันก็จะยอมทำหมดเลย”

“…”

“แต่…กับเรื่องนั้น เราทำอะไรกับมันไม่ได้แล้วนี่”

ดวงตาของมูคยอมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ปลายขนตา เหม่อมองไปกลางอากาศ

“เอาจริงๆ ฉันก็น่าจะจำได้อยู่นะที่นายเคยแข่งกับคนแบบไอ้เวรเมื่อกี้… ฉันอยากย้อนกลับไปตอนนั้น แล้วซัดหน้ามันสักที แต่นี่ฉันกลับไม่รู้อะไรเลยจริงๆ แม่ง…”

แต่แล้วน้ำตาก็กลับมาไหลพรากจากดวงตาของมูคยอมอีกครั้ง ราวกับว่าเขากำลังรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ฮาจุนจ้องมองมูคยอมในท่าทีนั้นด้วยปากที่อ้าออกเล็กน้อย ทั้งมีสีหน้าตกใจ เขาเรียกสติกลับมา แล้วรีบพูดขึ้น พร้อมกับกอดหัวของมูคยอมไว้ในอ้อมกอด

“อย่าร้องสิ”

“…ขอโทษนะ… ที่ฉันลืมไปหมดเลย”

“ไม่สิ ที่จำไม่ได้มันใช่ความผิดนายที่ไหนกัน”

ขณะที่ปลอบมูคยอม ฮาจุนก็กัดปากตัวเองและก้มหัวลง แม้จะเป็นตอนที่เขาคิดถึงเรื่องนี้เพียงคนเดียว ความรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กก็ก่อตัวใหญ่โตในใจของเขา

…ฮาจุนดีใจ

ทั้งน่าขำ แล้วก็น่าดีใจที่มูคยอมร้องไห้ให้กัน

ในตอนที่มูคยอมโมโหเลือดขึ้นหน้าและไปก่อเรื่องวุ่นวาย เพราะผู้ชายคนนั้นมาพูดหยาบคายหรือแสดงการกระทำที่ไร้มารยาทใส่เขา หลังจากนั้นมูคยอมกลับมาบอกว่าได้ขอโทษคู่กรณีไปแล้ว และสัญญาว่าต่อไปจะทำตัวดีๆ ถึงจะทำขนาดนั้น แต่เหตุผลที่เขาไม่ได้ซึ้งใจมากมาย ก็เพราะว่าจริงๆ แล้วเขาไม่เคยคาดหวังสิ่งเหล่านี้จากมูคยอมมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ

ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ได้อยู่เคียงข้างมูคยอม เขาไม่เคยร้องขอความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน หรือแม้กระทั่งการให้เกียรติเลย และถึงแม้เขาจะไม่อยากเจ็บปวดหรือไม่อยากโดนปฏิเสธ แต่ฮาจุนก็ไม่เคยร้องขอความใจดีจากมูคยอมให้กับตัวเองเลยสักครั้ง เขายอมอยู่ในฐานะเซ็กส์พาร์ทเนอร์เพื่อช่วยจัดการอารมณ์ใคร่ไปจนจบฤดูกาลตามที่มูคยอมต้องการ เพราะในใจของเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่านั้นเลย

“หยุดร้องได้แล้ว…”

แต่น้ำตาของมูคยอมในตอนนี้เหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิ ที่กำลังแทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเขา เหมือนจะมีบางอย่างต่างไปจากตอนนั้นหรือเปล่านะ ขณะที่ติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เขาก็พยายามปลอบมูคยอมด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง แต่แล้วดวงตาของฮาจุนเองก็เริ่มชื้นน้ำขึ้นมา

เอาจริงๆ เขาก็มีสิ่งที่หวังอยู่ ถึงจะไม่เคยฝันว่าจะได้ครอบครองความรักของมูคยอมมาก่อน แต่เขาอยากได้การยอมรับจากมูคยอม นั่นคือสิ่งที่เขาเฝ้าปรารถนามาอย่างเนิ่นนาน

การแข่งขันที่เขาได้ลงเล่นสนามเดียวกันกับมูคยอมเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย สำหรับมูคยอมเกมนั้นเป็นความทรงจำที่ต้องพบเจอกับความพ่ายแพ้ที่เจ้าตัวอยากจะลืมเลือน และมูคยอมก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาในตอนนั้นเป็นแบบไหน

แม้ทางเลือกของฮาจุนจะเป็นการหลบหน้ามูคยอม แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็เศร้าใจที่ภาพตัวตนของเขาบนสนามแข่งนั้นเลือนรางในสายตาของมูคยอม แต่มาจนถึงตอนนี้ที่ตัวเขาไม่สามารถไปลงแข่งสนามไหน และไม่สามารถเตะฟุตบอลได้อีกแล้ว ฮาจุนจึงได้ยอมถอดใจจากความฝันนั้นไป

แต่ว่าตอนนี้มูคยอมกำลังร้องไห้ มูคยอมกำลังรู้สึกผิดกับอีฮาจุนที่เคยเป็นนักเตะร่วมทีมกันอยู่ช่วงหนึ่ง และเสียใจที่ไม่สามารถจดจำช่วงเวลาที่เคยลงสนามด้วยกันได้ จนเจ้าตัวถึงกับถามออกมาว่าเขาจะสามารถกลับคืนวงการนักเตะ แล้วเรามาเล่นด้วยกันอีกครั้งได้ไหม

ฮาจุนรีบเช็ดดวงที่ตาชื้นน้ำขึ้นมานิดๆ ก่อนจะพยายามถามออกไปด้วยความเบิกบาน

“แล้วนายได้ไปหาลูกแอสซิสต์ของฉันดูหรือยัง”

“อือ มันเหลือเชื่อมากเลยจริงๆ นะ”

มูคยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบ

“น่าเสียดายจัง เราเตะบอลได้เข้าขากันดีพอๆ กับเรื่องเซ็กส์เลย ถ้าได้อีฮาจุนมาเล่นเป็นแบ็กซ้ายให้ ฉันเล่นได้ดีกว่านี้อีกบอกเลย”

ขณะที่พูดเช่นนั้นมูคยอมก็เอาหน้าผากมาแนบกับอวัยวะส่วนเดียวกันของเขา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างซุกซนของฮาจุน

“นี่นายกำลังชมว่าตอนนั้นฉันเล่นได้ดีหรือเปล่าเนี่ย”

“ฉันต้องการจะบอกอย่างนั้นแหละน่า”

ฮาจุนลูบใบหน้าของคนที่ตอบกลับด้วยการพูดหยอกเช่นเดียวกัน ในตอนที่มูคยอมขยับตัวเขาหาเขา ฮาจุนก็ประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตาคนในอ้อมอก ราวกับว่าทำเช่นนั้นอยู่บ่อยๆ น้ำตาของมูคยอมแอบหวานนิดๆ และมีรสเค็ม เหมือนกับคนอื่นๆ

ฮาจุนได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของเขา มันคือเงามืดที่ก่อตัวแข็งยะเยือกแม้ในวันที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ทั้งยังไม่ละลายลงไปง่ายๆ แม้ช่วงนี้เขาจะได้รับคำพูดหวานหูจากมูคยอมแทบทุกวัน ทว่าน้ำตาของมูคยอมกลับไหลรินไปถึงที่แห่งนั่น และแล้วสภาพอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นฤดูหนาว เคล้าเสียงแตกสลายที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก็ได้พาฤดูใบไม้ผลิให้มาเยี่ยมเยือนกันตรงหน้า

เมื่อฮาจุนเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนอวัยวะเดียวกันก่อน มือใหญ่ของมูคยอมที่ใช้เช็ดน้ำตาในตอนแรก ก็ได้วาดมาโอบเอวของเขาเหมือนในยามปกติ ก่อนที่ฮาจุนจะเรียกมูคยอมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“คิมมูคยอม”

“ว่าไง”

“เอาจริงๆ ตอนนี้ฉันชอบนะ เวลานายเรียกฉันว่าโค้ชอี”

มูคยอมแค่นยิ้มออกมา

“อย่างนั้นเหรอครับ คุณโค้ชอี”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยอกเย้าเสียเต็มประดา ฮาจุนก็เอนหัวเข้ากับมือของมูคยอมที่ลูบหลังคอกันอยู่ พลางจ้องมองไปที่นอกหน้าต่าง แล้วจึงปิดเปลือกตาลง

อยากให้ดอกไม้บานเร็วๆ แล้วสิ

* * *

หลังจากไปใช้เวลาหนึ่งคืนอยู่ที่ ‘บ้านพัก’ วันต่อมาหลังจากที่เสร็จการฝึกซ้อมฮาจุนก็กลับไปที่คอนโด เพราะมูคยอมเสียดายกระทั้งเวลาช่วงสั้นๆ ที่จะต้องห่างกันจนทนไม่ไหว ฮาจุนเลยต้องไปปลอบก่อนจะแยกออกมาได้ และตอนนี้เขาก็ได้กลับมาเหยียบบ้านที่เขาจะต้องอยู่ต่อไปอีกสักพักหนึ่ง

แม่ที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่บนโต๊ะกินข้าวเอ่ยต้อนรับฮาจุน

“ฮาจุนมาแล้วเหรอลูก”

“อื้อ แม่กินข้าวเย็นหรือยัง”

“อือ กินรองท้องไปบ้างแล้ว”

เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากลับจากโรงเรียนของเจ้าเด็กแฝด บ้านเลยยังคงเงียบเหงา ฮาจุนเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ก่อนจะเอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วกระพริบตา

เขาลุกขึ้นหยิบเอาแฟ้มที่ตัวเองตัดเก็บข่าวสารต่างๆ ของมูคยอมขึ้นมา แต่แทนที่จะกางออกมาดู ฮาจุนกลับเแง้มปกบางข้างหน้าที่ปิดอยู่ออกน้อยๆ ราวกับแอบซ่อนอะไรไว้ในนั้น

ขณะที่ยืนมองลงไปยังแฟ้มนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ฮาจุนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา และเมื่อหันกลับไป ก็พบว่าแม่ของตัวเองกำลังเดินเข้ามาพร้อมจานผลไม้ในมือ

“ช่วงนี้แอปเปิ้ลแดงดูน่ากินดี แม่เลยซื้อมาน่ะ กินสักหน่อยสิ”

“อื้อ ขอบคุณครับ”

“นั่นอะไรเหรอ”

คนเป็นแม่ชะโงกหน้าออกไปดู และได้เห็นกับเอกสารที่อยู่ในมือของฮาจุน ฮาจุนยิ้มออกมาและปิดแฟ้มลง

“สัญญาน่ะแม่ อันที่ผมเคยจะเซ็นเมื่อตอนเกือบจะได้ไปฝรั่งเศสไง”

“โอ้โห ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอ แม่ไม่เห็นนานแล้วนะ ก็นึกว่าทิ้งไปแล้วซะอีก”

“อื้อ… แค่อยู่ๆ ผมเกิดนึกถึงมันขึ้นมาน่ะ”

ฮาจุนหันไปพูดติดตลกกับแม่ตัวเอง

“กลัวจะเอาไปวางโชว์คนอื่นเขาที่ไหนอะสิ แต่เอาจริงๆ มันก็เป็นหลักฐานชั้นดีเลยนี่หน่า ว่าครั้งหนึ่งผมเคยเกือบได้เข้าไปเล่นในยุโรป”

“ตามใจเถอะ ลูกคนนี้นี่! เอาไปใส่กรอบแขวนในห้องนั่งเล่นด้วยเลยไหม”

“โธ่ แม่ ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นไหม…”

พอได้รับการหยอกล้อกลับมาฮาจุนก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะ หลังจากที่แม่เดินออกไปจากห้อง ฮาจุนก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ และเหม่อมองไปบนโต๊ะที่รกรุงรังและไม่เป็นระเบียบ ฮาจุนดึงแฟ้มหนึ่งในนั้นขึ้นมาเพื่อดึงออกจากที่ยึด

ภาพที่เขาเห็นคือภาพของมูคยอมที่กำลังถือถ้วยชนะเลิศสำหรับรายการแชมเปี้ยนลีกพร้อมรอยยิ้มร่วมกับเพื่อนๆ ในทีมกรีดฟอร์ด ฮาจุนเองก็ยิ้มน้อยๆ ออกมาอัตโนมัติ ใช่ตอนที่อายุ 21 ไหม ไม่สิ หรือ 22 นะ

ก่อนเริ่มการแข่งนี้ มูคยอมที่ได้ย้ายเข้าไปสังกัดในกรีนฟอร์ดเป็นที่เรียบร้อยต่างก็เป็นที่ต้องการ สถานีโทรทัศน์ในประเทศเกาหลีเดินทางไปหามูคยอมที่ได้รับชัยชนะมาตลอดถึงที่ลอนดอน เพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนข่าวในเวลาและสถานที่จริง ก่อนหน้านั้นมูคยอมเคยพาทีมไปสู่ชัยชนะแล้วครั้งหนึ่ง จนได้เป็นดาวเด่นระดับโลกสมคำร่ำลือ และนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์ก็ได้ยื่นไมค์ถามมูคยอมก่อนที่จะลงแข่งในรอบชิงชนะเลิศ

‘นักเตะคิมมูคยอม คิดเห็นยังไงกับผลการแข่งวันนี้บ้างครับ คิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะได้ไหมครับ’

แม้จะเป็นคำถามที่หุนหันพลันแล่นและไร้มารยาท ที่อยู่ๆ มาถามนักเตะที่กำลังจะลงสนามในอีกไม่ช้า แต่มูคยอมก็ทำเพียงมองตรงไปดานหน้าและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

‘ครับ ผมเอาชนะได้ครับ’

‘ตอนนี้คนในเกาหลีเองก็น่าจะดูการแข่งขันกันอยู่เยอะเลย ช่วยพูดอะไรหน่อยได้ไหมครับ’

ได้ยินเช่นนั้นมูคยอมก็หันไปมองที่กล้อง และยกมุมปากขึ้นยิ้มในทันที ทั้งยังส่งวิงค์ให้อีกหนึ่งครั้ง ฮาจุนยังจำได้ดี ถึงเสียงของนักข่าวที่หัวเราะออกมาแล้วบอกว่า ‘ดูจะมั่นใจน่าดูเลย’ และเขายังจำได้กระทั่งช่วงเวลาที่ได้เห็นฉากนี้จากโทรทัศน์ ขณะที่นั่งชันเข่าและจิกหมอนที่วางอยู่จนจะขาด

ตอนนั้นฮาจุนเองก็ยังคงวิ่งอยู่บนสนามหญ้าทุกวัน ในตอนแรกเขาก็เคยฝันว่าจะได้ไปเวิลด์คัพกับมูคยอม และเขาก็มีความปรารถนาอันแรงกล้าแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่งเลย พอลองมองย้อนกลับไป ดูเหมือนนั่นจะเป็นช่วงที่เขาได้กกกอดความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเอาไว้แล้ว

ฉันทำได้ เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่ท่องวนคำพูดที่มูคยอมชอบพูดติดปากในหัว ฮาจุนก็มักจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองก็สามารถทำทุกอย่างได้ ความรู้สึกสนุกไปกับการรอคอยวันพรุ่งนี้ที่เขาเคยลืมไปในตอนที่ยังเด็กมากๆ ความรู้สึกนั้นค่อยๆ ย้อนกลับมาหากัน ในยามที่ฮาจุนเตะลูกฟุตบอลไปด้วย

ฮาจุนไม่สามารถลบล้างความรู้สึกที่ถูกกักขังอยู่ใต้เงามืดมาเป็นเวลานาน ขณะวิ่งอยู่บนสนามหน้าที่มีแสงส่องลงมาได้ สุดท้ายต่อให้การบรรยายออกมาเป็นคำพูดสวยหรูน่จะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมองย้อนกลับไป การที่แสงอาทิตย์ได้โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาก่อนนั้น เหตุผลก็คือคนที่กำลังยิ้มอยู่ในภาพนี้ยังไงละ ฮาจุนพลิกแฟ้มไปมาสองสามหน้า แล้วจึงปิดมันลง ก่อนจะเก็บใส่ตู้หนังสืออย่างสวยงาม

ระหว่างที่ได้อาบแสงที่ส่องมาจากมูคยอมและวิ่งไป หากเขาไม่มีจุดมุ่งหมายเป็นมูคยอม ใครจะรู้ว่านั่นอาจจะกลายทางเดินก่อนที่เขาจะไปหาคำว่ายอมแพ้ก็ได้ ดูเหมือนว่าวันนี้ฮาจุนจะสามารถบอกลาช่วงเวลาในสมัยที่เป็นนักเตะได้แล้วจริงๆ สินะ

การแข่งแบบลีกได้เดินทางมาถึงรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ร่างกายของมูคยอมฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ และได้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีสุดๆ จนแอบรู้สึกเสียดายขึ้นมานิดๆ ที่จะต้องอยู่ในเกาหลีทั้งที่ฟิตปึ๊งปั๋งขนาดนี้ ถ้าเป็นตอนนี้ไม่ว่าจะให้ไปแข่งรอบชิงในลีกไหน มูคยอมคิดว่าเขาสามารถที่จะไปกวาดชัยชนะมาได้เรียบแน่ๆ

ก่อนการแข่งขัน ขณะที่เขากำลังยืนยืดแขนยืดขาเบาๆ อยู่ตรงอุโมงค์ทางออก ก็มีใครบางคนแตะลงบนไหล่ของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ได้พบกับยูนิคอร์นตัวขาวผ่องที่แปลงร่างเป็นคนลงมาจุติบนโลก มายืนอยู่ตรงเขา แม้จะอยู่ในอุโมงค์ที่มืดครึ้ม แต่ฮาจุนก็ยังเปล่งประกายได้ด้วยตัวเอง และสาเหตุที่ร่างกายของเขาอยูในสภาพที่ยอดเยี่ยมสุดๆ แบบนี้ ก็เพราะคุณแฟนที่น่ารักของเขาไม่ใช่เหรอ

มุมปากของมูคยอมยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว และในตอนที่เขามองใบหน้าของฮาจุนที่จ้องมองกลับมาแล้วส่งยิ้มให้กัน มูคยอมก็รู้สึกเหมือนได้เห็นทุ่งดอกไม้เบ่งบานเต็มหัวไปหมด แย่แล้วสิ จะแข่งแล้วแท้ๆ แต่แรงสู้กับเอาแต่ลดลงอยู่เรื่อยเลย

“โค้ชครับ ก่อนแข่งดูเหมือนว่าจะตาบอดเพราะว่าโค้ชสว่างจนแสบตาเลยล่ะครับ”

“พูดอะไรไร้สาระอีกแล้ว เดี๋ยวจะเช็คให้เป็นครั้งสุดท้าย มานั่งตรงนี้สิ”

ขณะที่มูคยอมพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเอง ฮาจุนก็จับมือของมูคยอมจูงไปให้นั่งบนเก้าอี้พับ ก่อนที่ตัวเองจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า แล้วก้มลง

“ไหนขอดูข้อเท้าอีกทีซิ ถึงนายจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เถอะ”

“ข้ออ้างล่ะสิ จริงๆ นายตั้งใจจะมาแตะตัวฉันต่างหาก”

“ยื่นข้อเท้ามาเถอะน่า”

พอแกล้งแหย่ออกไป ฮาจุนก็เสียงแข็งขึ้นมาทันที ถึงบางครั้งฮาจุนจะดูไม่ค่อยแสดงท่าทางน่ารัก แต่เขาว่านั่นก็คือเสน่ห์ของเจ้าตัว เพราะมูคยอมรู้อยู่แล้วยังไงล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วคำพูดกระโดกกระเดกแบบนี้ จะพังลงยังไงตอนที่อยู่บนเตียง

พอจินตนาการถึงสิ่งที่รอให้เกิดขึ้นหลังจบการแข่งขัน ความอยากเอาชนะก็ก่อตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

“อีฮาจุนเหรอ”

และในตอนนั้นเอง ก็มีใครบางคนจากที่นั่งอยู่ทางฝั่งทีมเยือนเรียกชื่อฮาจุนขึ้นมา คนที่กำลังนั่งคุกเข่าดูข้อเท้าอยู่หันหน้าไปทางต้นเสียง และมูคยอมเองก็ลากสายตาขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน

นักเตะคนหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มต่างทีมที่ยืนห่างออกไป กำลังมองลงมาที่พวกเขาสองคน

“ได้ยินว่ามาเป็นโค้ชอยู่ในโซล เรื่องจริงสินะ แล้วทำไมตอนแข่งรอบแรกฉันถึงไม่เห็นล่ะ”

ใครกัน

มูคยอมตากระตุกขึ้นในทันที นี่คือแบคทีเรียที่เขาเพิ่งเคยได้เห็นหน้าคร่าตาเป็นครั้งแรก แฟนที่แสนดีและไร้เดียงสาของเขาน่ะเนื้อหอมทั้งในและนอกทีม เพราะแบบนี้คงไม่มีวันที่เขาจะวางใจได้สักวินาทีหรอก

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ฮาจุนทำเพียงตอบรับคำทักทายที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนคำทักทายสักเท่าไหร่ของชายอีกคนด้วยสีหน้านิ่งเฉย ชายคนนั้นพูดต่อขึ้นมา ขณะที่ยืนรวมกลุ่มอยู่กับทีมตัวเอง และไม่ได้เดินเข้ามาใกล้

“ได้ยินว่าเคยไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กมานี่ ทำเสร็จแล้วเหรองานนั้น เป็นยังไงบ้างล่ะ พอมาโค้ชให้ทีมผู้ใหญ่แล้วพอจะทำไหวไหม”

“อืม ก็ทำแล้วภูมิใจดี แถมยังเป็นงานที่ถนัดด้วย”

“เอาจริงๆ ได้ยินว่าการมาเป็นโค้ชไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่นายกลับได้เป็นเร็วเชียว ก็อย่างว่า นอกจากเรื่องที่ยั่วเก่งมาตั้งแต่เมื่อก่อน นายจะไปเก่งอะไรอีกล่ะ ผู้ใหญ่คงจะเอ็นดูกันมากมายเลยสิ”

คำพูดนั้นสร้างความไม่พอใจให้ผู้ฟัง ส่งผลให้หว่างคิ้วของมูคยอมยับย่นขึ้นในทันที เขาตั้งใจว่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่ฮาจุนกลับกดไหล่กันเอาไว้ แล้วเป็นฝ่ายตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบนหน้า

“ก็เพราะว่าฉันตั้งใจแล้วก็ยังเก่งอีกไง ผู้ใหญ่ก็คงจะรักแบบที่นายบอกนั่นแหละ”

ชายจากทีมเยือนอ้าปากออกราวกับว่ามีบางอย่างที่จะพูดอีก แต่กลับถูกสตาฟของฝั่งนั้นเรียกขึ้นมา บทสนาจึงได้ถูกตัดจบไป นักเตะที่เป็นฝ่ายเข้ามาพูดจาหาเรื่องนั่นเหล่มองฮาจุนด้วยใบหน้าฉุนเฉียว ก่อนจำใจเดินออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

มูคยอมเสียงแข็งขึ้นมา

“ไอ้นั่นมันทำไม จะเข้ามาหาเรื่องกันเหรอ”

“อย่าไปสนใจเลย แค่เพื่อนร่วมโรงเรียนตอนม.ปลาย ฉันกับเขาไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่”

มูคยอมตาโตขึ้นราวกับว่าตกใจแบบสุดๆ ก่อนจะถามออกมา

“มีคนไม่ลงรอยกับนายด้วยเหรอเนี่ย”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วไหม คนเราก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในชีวิตบ้างสิ”

แม้ฮาจุนจะพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังถามว่า ‘ถามอะไรเพ้อเจ้อแบบนั้น’ แต่มูคยอมก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนที่เกลียดอีฮาจุนด้วย แค่ลองนับสมาชิกจำนวนมากในทีมซิตี้โซล ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่ดูจะคิดกับฮาจุนในแง่นั้น

ดังนั้นจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ ที่ไอ้คนที่เข้ามาทำเส้นประสาทเขาเต้นตุ้บๆ นั่นไม่ชอบฮาจุน ถ้าจะมีใครสักคนที่เข้ามาพูดจาเหน็บแนมใส่ฮาจุนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน เหตุผลก็คงจะเป็น…

“ฉันว่าไอ้นั่นมันแอบมีใจให้นายนะ”

“…คิมมูคยอม คนบนโลกนี้ไม่ใครเข้าหาฉันด้วยวิธีแบบที่นายทำหรอกนะ”

คำพูดของฮาจุนที่เคล้าไปกับเสียงถอนหายใจน้อยๆ ทำเอามูคยอมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับเจ้าลูกวัวอ่อนต่อโลกที่ไม่เคยแม้แต่จะไปเดตสักครั้ง วนเวียนอยู่แต่กับการเตะฟุตบอลอย่างกับนักเรียนตัวอย่าง จะไปตามใครเขาทันกันล่ะ

พอคิดว่าไอ้ผู้ชายคนนั่นน่าจะเกลียดฮาจุนจริงๆ มูคยอมกลับโล่งใจขึ้นมา วันนี้ระหว่างการแข่ง เขาคงจะต้องจดจ่อเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้มีโอกาสได้คุยกับไอ้นั่นเป็นครั้งที่สอง

ระหว่างที่กำลังยืดกล้ามเนื้อเป็นครั้งสุดท้าย เวลาเริ่มเตะลูกแรกก็ใกล้เข้ามา จากนั้นเหล่านักเตะก็เริ่มทยอยเดินออกไปยังสนามแข่งพร้อมกัน

“ว้าว นั่นมันอะไรน่ะ”

ก่อนเริ่มการแข่งขัน ขณะที่พวกเขากำลังยืนเรียงแถวกวาดตามองรอบสนามแข่ง จองคยูก็บ่นพึมพำขึ้นมาคนเดียวด้วยความตื่นตา มูคยอมเองก็กระพริบตามองภาพนั้น

เป็นเรื่องปกติที่จะได้เห็นป้ายเชียร์ของนักเตะดังๆ อย่างมูคยอมหรือจองคยูโชว์อยู่บริเวณที่นั่งของผู้ชม แต่ในวันนี้กลับมีป้ายเชียร์สองสามอันของใครบางคนที่ไม่ได้เป็นนักเตะอยู่ด้วยนี่สิ

‘รักนะ อีฮาจุนผิวขาวราวน้ำนม โค้ชอีฮาจุน สู้เขานะ L.O.V.E’

จองคยูหัวเราะฮ่าๆ ออกมา พร้อมกับหมุนต้นคอไปด้วย

“พลังจากการได้ออกโทรทัศน์นี่มันเยี่ยมเลยจริงๆ รายการนั้นถ่ายฮาจุนออกมาดีมากเลยนี่ พอยืนด้วยกันสองคน นายเหมือนเป็นตัวประกอบเลยอะ”

“ถ่ายดีแค่ไหนก็ออกมาดีได้ไม่เท่าตัวจริงหรอก กล้องเก็บความงดงามจากโค้ชอีของฉันไปได้ไม่หมดหรอกนะ”

ได้ยินแบบนั้นจองคยูก็เบ้หน้า ก่อนจะลดเสียงเบาลง

“โห… เอาจริงๆ ฉันก็เห็นด้วยกับที่นายพูดนะ แต่มันจะน่าหมั่นไส้เกินไปไหม ฉันดีใจนะที่พวกนายคบกันนะ แต่ช่วยคลั่งรักแต่พอดีหน่อย”

มูคยอมส่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นเหลวไหล

“แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ผ่านมาพฤติกรรมบ้าบอของนายทำใครเขาลำบากบ้าง คนเราถ้าหว่านเมล็ดลงไปแล้ว ก็ต้องรู้จักยอมรับผลที่จะออกด้วยสิ”

“…โอเค ฉันยอมแล้ว”

พอเริ่มพูดเรื่องผลกรรมที่สั่งสมมา จองคยูก็ห่อเหี่ยวลงเสียดื้อๆ มูคยอมชำเลืองมองจองคยูที่เป็นแบบนั้น เอียงหัวไปด้านข้างแล้วพูดขึ้นมา

“จะว่าไปก็เกินคาดเหมือนกันนะ ฉันคิดว่านายจะไม่พอใจเสียอีก ถ้าฉันกับฮาจุนคบกัน”

“ทำไมฉันต้องไม่พอใจด้วยล่ะ การที่นายสองคนคบกันแทนที่จะตีกันไปมา ไม่ว่าจะกับฉันหรือกับทีมมันก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว แค่อยู่ด้วยกันได้ดีๆ แบบไม่มีปัญหา ฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไรหรอก”

ระหว่างที่กระซิบคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากทีมฝั่งตรงข้าม

“น่าขำสิ้นดี มาทำป้ายเชียร์อะไรให้ของเก่าๆ ที่โละตัวเองทิ้งไปแล้ว”

มูคยอมและจองคยูหันหน้าไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ช่องว่างระหว่างคิ้วของมูคยอมลดระยะห่างลง มันคือไอ้คนเมื่อก่อนหน้านี้

“นี่ พอเถอะ เดี๋ยวเขาก็ได้ยิน”

“แล้วฉันพูดอะไรผิดหรือไง โค้ชได้ลงแข่งด้วยหรือเปล่าล่ะ พวกที่ไม่ได้สนใจฟุตบอลจริงๆ ก็คลานเข้ามาดูกันในสนามแข่งแค่เวลาแบบนี้นี่แหละ”

แม้นักเตะในทีมเดียวกันจะพยายามห้ามปราม แต่เจ้านั่นก็ยังพล่ามต่อ จองคยูที่จับสังเกตได้ว่าสีหน้าของคนข้างๆ ดูไม่ค่อยสู้ดี ก็ยกมือขึ้นจับไหล่ของมูคยอมไว้แน่นในทันที

“คิมมูคยอม ถ้าเรามีปัญหาแบบนั้นที่นี่ คิดให้ดีนะว่าใครจะเสียใจที่สุด”

“…ไอ้เวรนี่ฉันเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลย มันเป็นใคร”

“เป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของฮาจุนที่เคยเล่นทีมเดียวกัน แต่ว่าไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ได้ยินมาว่าเพราะว่าเล่นตำแหน่งเดียวกัน ก็เลยน่าจะแข่งกันมา แล้วเจ้านี่ก็น่าจะมีอะไรสักอย่างคิดค้างในใจ ซึ่งอาจจะเป็น… ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เอาเป็นว่านายทำเป็นไม่รู้เรื่องไปเถอะ ยังไงหลังจบนัดนี้ก็ไม่น่าจะมีงานที่ต้องมาเจอกันอีก”

“ถ้าไอ้พวกนั้นมันมาพูดถึงเมียนายแบบนี้ นายจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไหวหรือไง”

“…ถึงจะไม่อยู่เฉย แต่ไว้รอให้แข่งจบก่อนดีกว่า แล้วค่อยว่ากัน”

จากคำพูดบอกว่าไม่มีเรื่องที่จะต้องเจอกันอีก นั่นก็หมายความว่าความสามารถของชายคนนี้ไม่ได้มีมากพอที่จะได้เข้าไปเล่นในทีมตัวแทนด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับฮาจุนที่มักถูกเรียกตัวอยู่เสมอ แม้ส่วนใหญ่จะได้เป็นตัวสำรองก็ตาม ก็เป็นไปได้ที่ไอ้คนนี้น่าจะด้อยกว่าฮาจุนจริงๆ หากไม่นับรวมที่เคยอยู่ทีมเดียวกันเมื่อตอนม.ปลาย ก็น่าจะชัดเจนตามที่จองคยูบอกว่าไอ้คนที่ดูไม่น่าจะมีอะไรเหมือนฮาจุนเลยสักอย่างนี่ กำลังรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า

ถึงจะเป็นคนที่ไม่ควรค่าพอที่จะประเคนหมัดให้ แต่มูคยอมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมา และตอนนี้ภายในใจของเขากำลังเดือดปุดๆ ตั้งแต่ก่อนเริ่มแข่ง นักเตะคนอื่นๆ ยืนเรียงแถวกันอยู่ไม่นาน การแข่งขันก็เริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงนกหวีด

ความอยากเอาชนะที่ก่อนหน้าที่สงบลงไปได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง มูคยอมเล่นด้วยท่าทีที่ตั้งใจจะขยี้ฝั่งตรงข้ามให้แหลก นักเตะคนอื่นๆ ในทีมต่างก็ถูกโน้มนาวไปด้วยท่าทางนั้น จนตั้งอกตั้งใจเล่นกันราวกับอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ชนะไม่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ทีมตรงข้ามที่พ่ายแพ้ไปในการแข่งขันรอบที่ 1 น่าจะมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการแข่งนัดนี้มาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ก็น่าจะไม่สามารถสร้างผลงานที่มีเกียรติได้

ในการแข่งขันครึ่งแรก คะแนนก็ถูกตีห่างไปแล้วถึง 2 ประตูต่อ 0 และในช่วง 30 นาทีหลัง ทีมซิตี้โซลก็ได้โอกาสในการเตะลูกโทษไป และแน่นอนว่าผู้เตะลูกโทษในวันนี้ก็คือคิมมูคยอม เขาวางลูกฟุตบอลลงตรงหน้า ปรับลมหายใจให้คงที่ ก่อนไปยืนประชันหน้ากับนักเตะอีกทีมที่ยืนเรียงกันเป็นกำแพง ไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็มายืนสกัดอยู่ในกลุ่มนักเตะตรงหน้าด้วย

มูคยอมคงจะสบายใจขึ้น หากเขาเลือกที่จะไม่สนการแข่งสนอะไรทั้งนั้นแล้ววิ่งเข้าใส่ไอ้เวรนั่น จากนั้นกระชากคอเสื้อมันซะ แต่นี่คือบนสนามหญ้า เวลาที่อยู่บนสนามฟุตบอลก็มีแค่วิธีเดียวที่จะคุยกันได้ ก็คือการคุยด้วยลูกฟุตบอลยังไงละ

คะแนนในตอนนี้คือ 2 ต่อ 0 แม้จะยังเหลือเวลาอีก 15 นาที แต่แนวโน้มว่าทีมซิตี้โซลจะชนะก็นำไปไกล จนดูยังไงก็ไม่น่าจะแพ้ได้เป็นอันขาด แต่ถึงแม้จะแพ้ ผลชนะเลิศก็ยืนยันแล้วว่าเป็นของทีมซิตี้โซล

มูคยอมที่พยักหน้าลงหนึ่งครั้งและถอยหลังไปเล็กน้อย เขาวิ่งเข้าไปและเตะลูกหนังดัง ‘ตู้ม’ ลูกฟุตบอลลอยออกไปเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ ขณะเดียวกันผู้คนในสนามก็ส่งเสียง ‘ว้าว!’ ขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงที่ดังจอแจ

“ลูกเมื่อกี้นี่ถ้าถูกอัดเข้าตรงๆ คือตายเลยน่ะนั่น”

หนึ่งในโค้ชของทีมซิตี้โซลพูดขึ้นคนเดียวด้วยความตกใจ และตาของฮาจุนก็เบิกโพลงขึ้นเช่นกัน

ลูกฟุตบอลที่มูคยอมเตะไม่ได้ลอยไปยังประตู แต่กลับลอยไปที่กำแพงมนุษย์ข้างหน้า แน่นอนว่าบอลนั้นก็ลอยเข้าไปปะทะกับใบหน้าของนักเตะทีมฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ จนกรรมการต้องสั่งหยุดการแข่งขันชั่วคราว เพื่อเดินเข้าไปดูสถานการณ์

“เลือดกำเดาไหล”

“โอ๊ย คงจะเจ็บน่าดู ไปทำอีท่าไหนถึงเอาหน้ามารับบอลได้เนี่ย”

ระหว่างที่ผู้คนต่างถอนหายใจกันออกมา นักเตะทีมฝั่งตรงข้ามที่กำเดาแตกก็เดินเข้ามาใกล้มูคยอมพร้อมชี้นิ้วใส่ มูคยอมแสดงสีหน้าขอโทษ พร้อมยกสองมือขึ้นมา ทำไม้ทำมือว่าตนไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น

ไม่รู้เพราะอะไร ฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อได้เห็นว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนสมัยม.ปลายที่เหน็บแนมเขาอยู่ก่อนหน้านี้ กำลังเดินออกมานอกสนามด้วยสภาพที่เลือดกำเดาไหล

โชคดีที่ดูเหมือนว่านักเตะที่โดนบอลอัดจะไม่ได้บาดเจ็บมากมายอะไร และได้กลับลงไปเล่นในสนามอีกครั้งเมื่อเลือดกำเดาหยุดไหล ระหว่างนั้นเองมูคยอมก็ทำไปได้อีกประตู จนคะแนนตีห่างขึ้นมาอีก และสุดท้ายการแข่งขันก็จบลงโดยที่ซิตี้โซลเป็นฝ่ายชนะไปอย่างไม่มีการพลิกโผ

หลังแข่งเสร็จมูคยอมก็ถอดเสื้อยูนิฟอร์มทีมออก แล้วเดินไปหานักเตะที่ตัวเองเตะบอลอัดใส่ไปก่อนหน้านี้ อกเปลือยเปล่าเหมือนกับแนวเทือกเขาของมูคยอมที่อยู่ๆ ก็ปรากฏออกมาให้ได้เห็น บวกกับท่าทางที่ดูมีมารยาทราวกับว่าจะมาเพื่อปรองดอง ทำเอาผู้คนในสนามต่างก็ชอบใจ จนต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันเอาไว้

“เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะ”

พอเห็นมูคยอมที่เดินเข้ามาทำทีเหมือนว่าจะมาแลกเสื้อ นักเตะคนก่อนนี้ก็ทำท่าจะถอดเสื้อด้วยสีหน้าไม่พอใจ ร่างกายแข็งแรงกำยำของมูคยอมที่ถอดเสื้อออกแล้ว สร้างบรรยายกาศของการขมขู่ฝั่งตรงข้ามยิ่งกว่าตอนที่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่เสียอีก

ก่อนที่คนโดนบอลอัดไปจะได้ถอดเสื้อออก มูคยอมก็เดินเข้าไปโอบไหล่เอาไว้หลวมๆ และกระซิบเสียงเบาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ความสามารถก็ไม่มี แล้วยังอยากจะเล่นบอลต่ออีกเหรอ”

“‘…อะไร ว่าไงนะ…”

“ถ้าอยากจะเตะบอลในสนามต่อไป ก็อย่าปากพล่อยให้มันมาก เรื่องพูดฉอดๆ น่ะ ให้เป็นเรื่องของคนที่ต่อจะให้ทำตัวอย่างนั้นก็ยังมีคนมาเรียกตัวดีกว่า เหมือนฉันนี่ ดังนั้นถ้าไม่ใช่ตัวหลักอะไร ก็ควรใช้ชีวิตแบบเจียมตัวหน่อยสิ”

“…”

“พอดีว่าฉันสนิทกับโค้ชอีฮาจุนน่ะ เวลาได้ยินใครมาพูดไม่ดีใส่เขา ก็เลยไม่ชอบใจเท่าไหร่”

มูคยอมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นเสื้อของตัวเองให้

“มัวทำอะไรอยู่ล่ะ ถอดเสื้อแล้วยิ้มหน่อยเร็ว”

หลังจากได้เสื้อของอีกฝั่งมาถือไว้ มูคยอมก็เดินกลับมายังม้านั่งข้างสนาม และที่ตรงนั้นก็มีฮาจุนที่กำลังรออยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย มูคยอมเดินถือเสื้อมา และหันมอง

“ไปขอโทษมาแล้ว”

ฮาจุนที่ตั้งใจจะพูดบางอย่าง เอียงหัวน้อยๆ แล้วจึงเปิดปากออกมาอีกครั้ง

“เก่งมาก ทำไมวันนี้ถึงได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้ล่ะ”

ตอนนี้เหลือการแข่งอีกแค่ไม่กี่รอบสำหรับลีกนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรอดูผลของการแข่งขันที่เหลือ เพราะว่าชัยชนะของทีมซิตี้โซลได้รับการยืนยันแล้ว ส่วนทีมที่ไล่ลำดับต่ำลงไปยังคงอยู่ระหว่างการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เช่นเดียวกับผลการแข่งขันที่ยังคงขึ้นๆ ลงๆ กลับกันทางด้านของนักเตะทีมซิตี้โซล ตอนนี้พวกเขามีเวลาว่างแล้ว เมื่อขึ้นมาบนรสบัสที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายเนื่องจากความตื่นเต้น มูคยอมก็ไปนั่งข้างๆ ฮาจุน แล้วถามขึ้น

“วันนี้ไปบ้านพักกันไหม”

“ไปสิ

ฮาจุนพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม บ้านพักที่ว่าคือของขวัญที่มูคยอมเพิ่งซื้อให้กับเขาเมื่อไม่นานมานี้ ถึงก่อนหน้านั้นฮาจุนจะโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่ว่าอะไรเขาก็จะไม่รับเอาไว้แน่ แต่มูคยอมกลับหาของเพียงชิ้นเดียวที่เขาไม่สามารถปฏิเสธมาให้เขาจนได้

ในตอนแรกฮาจุนถึงกับงงไปเลย เพราะคิดว่ามูคยอมกำลังแกล้งกันเล่น แต่เมื่อมูคยอมได้พาเขาก้าวเท้าเข้าไปยืนในบ้านโล่งที่ไม่มีใครอยู่ ในตอนนั้นเองฮาจุนถึงได้รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าบ้านเก่าของเขา ไม่ได้เป็นของใครอื่นอีกแล้ว

บ้านเป็นจุดเริ่มต้นความทรงจำที่ย้อนกลับไปไกลที่สุดของฮาจุน ความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่เมื่อตอนที่พ่อยังมีชีวิต หลังจากที่พ่อจากไป เขาก็จับมือแม่กับน้องเอาไว้ พากันย้ายบ้านไปหลายต่อหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นห้องในชั้นกึ่งใต้ดิน ห้องบนดาดฟ้า ห้องชุดทั่วไป คอนโดสองห้องนอน มาจนถึงคอนโดปัจจุบันที่อยู่นี้ แต่สำหรับฮาจุนแค่ที่เดียวที่เป็น ‘บ้านของเรา’ มาเสมอ ก็คือบ้านหลังนั้น บ้านที่ไม่ใช่ของเขามานาน

แม้จะรู้ว่าเป็นฝันลมๆ แล้งๆ แต่นี่ก็เป็นบ้านที่เขาเฝ้าฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะเอามันกลับมาให้ได้ และถึงจะเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่มีทางเป็นจริง แต่ฮาจุนก็ได้พูดออกไปหลายต่อหลายครั้ง ว่าในอนาคตเขาจะต้องคืนหนี้ก้อนนี้ให้กับมูคยอมอย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะเผยหยดน้ำตาออกมาอย่างน่าอาย

แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วพอได้บ้านกลับมา ถึงได้รู้ว่ามันอยู่ไกลจากโรงเรียนของเด็กแฝดเอาซะมากๆ จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะย้ายกลับเข้าไปอยู่ในทันที แต่ก็ดูเหมือนว่าหลังจากที่น้องทั้งสองคนตัดสินใจเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เราก็น่าจะต้องมาคิดเรื่องย้ายบ้านกันอีกที

แต่มูคยอมกลับบอกว่าพอดีเลย และชวนให้ใช้บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศก่อนที่ทุกคนจะย้ายมา แค่พริบตาเดียว มูคยอมก็ซื้อเตียงซื้อเฟอร์นิเจอร์อะไรเข้ามาเต็มไปหมด ไปจนถึงกระทั่งการตกแต่งภายใน ผ่านไปไม่นานมูคยอมก็ได้เปลี่ยนบ้านที่เคยโล่งให้เป็นที่ที่คนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ เมื่อได้พบกับมูคยอม ฮาจุนถึงได้รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าขอแค่มีเงิน ไม่ว่าอะไรในโลกนี้เราก็สามารถที่จะจัดการกับมันในแค่เพียงชั่วพริบตาเดียว

ถ้าดอกไลแลคบานเร็วๆ ก็คงจะดี เขาอยากจะให้มูคยอมได้เห็นเหลือเกินว่าบานหลังนี้งดงามแค่ไหนในตอนที่ฤดูไม้ไม้ผลิมาเยือน

ทั้งสองเข้าไปยืนข้างกันในตัวบ้าน ถ้าเป็นปกติมูคยอมก็คงจะต้องฝังหน้าเข้าที่ลำคอหรือริมฝีปากของฮาจุนไปแล้ว แต่เขากลับเดินไปยังห้องนั่งเล่น แล้วถอดเสื้อบอลที่เพิ่งได้มาก่อนหน้านี้ออก แล้วโยนลงถังขยะ

เมื่อเห็นแบบนั้น ฮาจุนก็มั่นใจในความสงสัยที่เขามีก่อนหน้า และถามออกไป

“คิมมูคยอม เมื่อกี้นายตั้งใจทำแบบนั้นเหรอ”

“หืม”

“ตอนที่ยิงลูกโทษเข้าหน้าหมอนั่น นายตั้งใจแน่ๆ”

ฮาจุนขมวดคิ้วมุ่น แล้วเดินเข้ามาใกล้

“มันจะเป็นเรื่องเอานะ เกิดเขาบาดเจ็บใหญ่โตขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”

“ไม่มีใครโดนบอลอัดแล้วตายหรอกน่า”

“แล้วใครเขากลัวว่าหมอนั่นจะตายกัน ฉันกลัวว่านายจะโดนนินทาต่างหาก แค่ด่ากลับไปก็จบแล้ว เขาไม่ใช่คนที่เราต้องเจอบ่อยๆ เลยด้วยซ้ำ”

มูคยอมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงยักไหล่ขึ้นน้อยๆ แล้วก้าวเท้าไปนั่งที่โซฟา ฮาจุนเหม่อมองมูคยอมที่ทำเช่นนั้น ก่อนจะเดินตามไปนั่งข้างๆ

เพราะแบบนี้ไหมนะ ตอนที่เขาบอกให้ฮาจุนย้ายบ้าน เจ้าตัวถึงได้พูดออกมาว่ากำลังเก็บเงินอยู่ ถ้าเป็นบ้าน ราคาก็น่าจะประมาณหนึ่ง แถมยังไม่ใช่ของชิ้นเล็กๆ ด้วย เหมาะที่จะให้เป็นของขวัญเลยละ

“นั่นเป็นบ้านที่พ่อออกแบบเองเลยค่ะ เราโดนยึดไปช่วงที่ท่านเสีย หนูก็จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะตอนอยู่ที่นั่นหนูยังเด็กมากๆ แต่พี่ฮาจุนเคยบอกค่ะ ว่าจะต้องเก็บเงินซื้อบ้านหลังนั้นคืนมาให้ได้ แต่เงินเดือนโค้ช เก็บไปแล้วปีไหนจะซื้อได้ล่ะคะบ้านในโซลน่ะ เหมือนกำลังมองเด็กหยอดเหรียญใส่กระปุกหมู แล้วบอกว่าจะเอาเงินที่เก็บได้ไปซื้อบ้านเลยค่ะ แถมพี่ฮาจุนยังบอกอีกว่าไม่อยากเป็นหนี้ แล้วก็ไม่อยากไปกู้เงินเยอะแยะด้วย”

มินคยองถอนหายใจยาวเหยียด

“บ้านน่าจะแพงพอตัวเลยค่ะ เพราะละแวกนั้นราคาที่ดินสูง ถึงไม่มองเรื่องราคา แต่พี่ฮาจุนเขาก็กังวลมากเลย ด้วยความที่มันเป็นบ้านเดี่ยว พี่เขาเลยกลัวว่าจะมีคนมาทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่”

มูคยอมมองมินคยอง ก่อนจะเอ่ยชมออกมา

“เธอนี่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ”

“คนในครอบครัวหนูมีดีทุกคนแหละค่ะ อย่างหนูนี่ก็เรียนเก่ง หนูเลยตั้งใจว่าจะหาเงินเยอะๆ ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ แล้วมาช่วยสร้างฐานะให้ครอบครัวค่ะ”

“เท่จังเลย นี่มันเสือในโพรงกระต่ายนี่นา”

“กระต่ายเหรอคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก รีบๆ กินดีกว่า เธอช่วยบอกที่อยู่ของบ้านหลังนั้นให้ฉันหน่อยได้ไหม”

“ได้ค่ะ หนูรู้ค่ะ”

มินคยองพยักหน้ากลับมา หลังจากได้รับที่อยู่ผ่านทางข้อความมูคยอมก็ส่งต่อไปให้กับผู้จัดการส่วนตัวของตน เพื่อให้ช่วยหาช่องทางการซื้อบ้านหลังนั้น เสร็จแล้วเขาก็กระตุกยิ้มขึ้นและวางโทรศัพท์ลง จากนั้นเขาจึงสามารถกลับมาจัดการอาหารตรงหน้าด้วยใจที่โล่งขึ้นได้

* * *

‘ต่อให้มันสามารถรีโนเวทได้ หรือช่วงนี้เริ่มมีการขยายพื้นที่ย่านการค้า แต่บ้านหลังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างที่เราควรจะต้องรีบซื้อ แถมเจ้าของบ้านก็ยังไม่คิดจะขายทิ้ง เพราะตอนนี้เขายังอาศัยอยู่ นายจะต้องซื้อมันให้ได้เลยเหรอ’

ล่าสุดมานี้มูคยอมได้กำไรมาเยอะพอสมควรกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ แห่ง เช่น การซื้อคอนโดในฮาวาย แค่เขาเอ่ยปากบอกว่าจะซื้อบ้านเดี่ยวย่านที่พักอาศัยในโซล ทั้งผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและผู้จัดการส่วนตัวต่างก็ค้านหัวชนฝา แต่ในครั้งนี้จุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่เพื่อการลงทุน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไงเขาก็ว่าดีหมด ต่อให้เจ้าของบ้านจะเรียกราคาเท่าไหร่ ขอแค่เป็นสิ่งที่ฮาจุนต้องการ ไม่ว่าเท่าไหร่ เขาก็เต็มใจจ่าย

ในตอนแรกเจ้าของบ้านปฏิเสธการขายโดยบอกว่าตนไม่มีความคิดที่จะย้ายบ้าน แต่เขากลับเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วเมื่อมูคยอมเสนอราคาที่มากกว่าราคาประเมินในตลาดถึงสองเท่า ในวันนี้ที่เป็นวันหยุด มูคยอมจึงได้ตัดสินใจมาดูบ้านด้วยตาของตัวเอง และตอนนี้เขาก็มาถึงละแวกที่บ้านหลังนั้นตั้งอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้จะเป็นย่านของคนมีฐานะ แต่บรรยายกาศกลับดูล้าสมัยอยู่เล็กน้อย หากมีการสร้างสถานีรถไฟหรือมีคอนโดสักแห่งผุดขึ้นมา พื้นที่แบบนี้หลายแห่งมักจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนบ้านพักอาศัยต้องถูกทุบทิ้งและเต็มไปด้วยตึกอาคารให้เช่า เพราะแบบนี้มูคยอมเลยพอจะเข้าใจความกังวลของฮาจุน ที่กลัวว่าบ้านหลังนี้จะหายไป

ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นละแวกที่ไม่เคยมาเยือน แต่ทิวทัศน์ที่แปลกใหม่กลับดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด พอลองมาคิดดู ที่นี่ก็ไม่ได้ไกลจากสถานเลี้ยงเด็กที่เขาเคยอยู่เมื่อตอนเด็กๆ มากนัก เพราะว่าในตอนนั้นเขาขึ้นรถไฟใต้ดินหรือรถบัสร่อนไปขโมยเงินที่นู่นทีที่นี่ที จึงอาจจะเป็นไปได้ที่เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่นี่ก็ผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว ทุกอย่างก็คงจะเปลี่ยนไปมาก

“บ้านเลขที่ 367…”

มูคยอมจอดรถทิ้งไว้ และออกเดินไปตามที่อยู่ เดินไปบนถนนใหญ่ได้ไม่นานเขาก็เลี้ยวเข้าซอยกว้างที่เป็นทางลาดชันขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศนั้นเงียบสงบ แม้จะเต็มไปด้วยที่พักอาศัยหลายหลัง

เดินต่อไปไม่กี่ก้าวมูคยอมก็หยุดเท้าลง ไม่รู้เพราะอะไร แต่เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นภาพนี้มาก่อน หลังกวาดตามองรอบตัวช้าๆ มูคยอมก็เคลื่อนฝีเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง

หลังจากที่เข้ามาในซอย มูคยอมก็เดินตรงดิ่งเข้ามาเรื่อยๆ เดินไปได้สองสามนาทีเขาก็มาถึงที่หมาย มูคยอมยืนอยู่หน้าประตูไม้หลังใหญ่และตรวจสอบที่อยู่อีกครั้ง เขาถอยหลังกลับไปสองสามก้าวเพื่อสำรวจตัวบ้าน

“…”

เป็นเพราะรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ

มูคยอมยืนมองต้นไม้สองสามต้นที่โผล่พ้นเหนือกำแพงออกมา เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง บนกิ่งไม้จึงมีเพียงใบที่สีเขียวเริ่มจืดจางลง และไร้วี่แววของดอกไม้สีม่วงอ่อนที่อยู่ในความทรงจำ

กระนั้นโครงสร้างที่นี่ก็เหมือนกับบ้านหลังนั้นอย่างแน่นอน ขณะที่หวนนึกถึงความทรงจำอันเลือนราง มูคยอมก็ค่อยๆ ย่างกรายเข้าใกล้บานประตูและกดออด เจ้าของบ้านที่ดูเหมือนกำลังรอการมาเยือนของผู้ซื้อวิ่งออกมาในทันที เมื่อเห็นว่านักเตะดาวเด่นตัวเป็นๆ มาดูบ้านเอง เจ้าตัวก็ตกอกตกใจและต้อนรับมูคยอมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ค่อยๆ เดินดูได้เลยนะครับ ละแวกนี้เหมาะกับการอยู่อาศัยมากเลยครับ แถมตัวบ้านก็สร้างมาอย่างแข็งแรง จนทีแรกผมคิดว่าจะอยู่ไปยาวๆ เลยล่ะครับ นี่ถ้าไม่รู้ว่าคนซื้อเป็นนักเตะคิมมูคยอม ผมคงไม่ยอมปล่อยบ้านหลังนี้ให้หลุดมือไปแน่ๆ”

เมื่อก้าวเท้าผ่านบานประตูเข้ามาด้านใน ไม่ว่าจะเปรียบเทียบในมุมไหน ภาพของสวนที่ได้ลอบมองก่อนหน้าก็ต่างจากภาพในความทรงจำที่ไม่ชัดเจนอย่างลิบลับ เอาจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาดูอะไรนานเลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่มูคยอมต้องการจะดูในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

“คือว่าต้นไม้ต้นนั้น”

“อ๋อ ว่าไงเหรอครับ”

“ใช่ต้นไลแลคไหมครับ”

“ใช่ครับ มันสวยมากเลยนะครับ ปกติเขาจะนิยมปลูกต้นไลแลคแค่สักต้นในสวนในฤดูใบไม้ผลิ แต่บ้านหลังนี้ปลูกไว้สามต้นเลยละครับ พอย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ฤดูใบไม้ผลิผมก็แทบไม่ออกไปดูดอกพอดกดข้างนอกเลย ลานบ้านก็สวยน่ามองไปหมดเลยครับ”

เจ้าของบ้านที่ตอบคำถามด้วยความชื่นมื่นกำลังเดินนำอยู่ ก่อนจะหันกลับมามองด้านหลัง

“นักเตะคิมมูคยอมครับ”

“…อ่า”

มูคยอมที่ยืนมองต้นไม้จนใจลอยไปครู่หนึ่งหันกลับมามองเจ้าของบ้านราวกับว่าลืมสิ่งที่จะพูด ก่อนจะเปิดปากออกมา

“ผมว่าไม่ต้องดูเพิ่มแล้วละครับ”

“อะไรนะครับ แล้วเรื่องซื้อ…”

“ถ้าคุณตกลงเรื่องราคาก็จัดการได้เลยครับ เซ็นสัญญาเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะส่งหลักฐานการฝากเงินให้ทันที”

“เอ่อ เอาตามนั้นเลยเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเชิญเข้ามาก่อนครับ”

หลังยกกาแฟที่เจ้าของบ้านนำมาเสิร์ฟขึ้นดื่มตามมารยาท มูคยอมก็กรอกรายละเอียดในสัญญาพร้อมตรวจสอบค่ามัดจำ และบอกกับเจ้าของบ้านว่าตัวแทนของเขาจะเป็นคนจัดการในขั้นตอนที่เหลือ มูคยอมลุกจากที่นั่ง จากนั้นเขาได้ให้ลายเซ็นกับเจ้าของบ้านและถ่ายรูปกับเด็กๆ ต้องขอบคุณที่เจ้าของบ้านตัดสินใจขายบ้านให้ ทำให้เขาสามารถหาของขวัญที่คู่ควรมาให้ฮาจุนได้โดยไม่ใช่เรื่องยาก

บอกลากันเสร็จมูคยอมก็ก้าวออกมายืนนอกประตูบ้าน เขาเงยมองต้นไลแลคที่ยังไม่ออกดอกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปยืนพิงหลังเข้ากับกำแพงและต่อสายหาใครบางคน

‘อื้อ คิมมูคยอม’

เพียงแค่เสียงปลายสายเรียกชื่อกันขึ้นมาโดยต้องไม่เอ่ยคำใด ความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงที่โอบล้อมตัวเขาไว้ก็ได้กลายเป็นกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิในชั่วพริบตา

มูคยอมที่ไม่สามารถตอบกลับไปได้ในทันทีจ้องมองวิวทิวทัศน์ของซอยตรงหน้าที่มีแสงแดดตกกระทบลงมา และก่อนที่คนปลายสายจะเรียกอีกครั้ง มูคยอมก็กลับมาสานต่อบทสนทนา

“คุณแฟน ทำอะไรอยู่เอ่ย”

‘เตรียมเอกสารงานวิจัย นายล่ะ’

“วันหยุดก็ยังยุ่งอีกเหรอเนี่ยคุณโค้ช ฉันออกมาซื้ออะไรข้างนอกนิดหน่อย”

‘ไปซื้อไอศกรีมหรือเปล่านะ’

มูคยอมหลับตาลง ราวกับว่าเสียงหัวเราะแผ่วเบาหลังคำพูดนั้นดังอยู่ข้างหู

“อีฮาจุน”

‘อื้อ’

“นายเคยบอกว่าตอนเด็กๆ ได้อยู่บ้านที่มีสวนด้วยใช่ไหม”

‘ใช่ ทำไมอยู่ๆ ถามขึ้นมาล่ะ’

“อยู่ที่บ้านหลังนั้นจนถึงอายุเท่าไหร่”

‘12 ขวบได้’

มูคยอมพยักหน้าอยู่คนเดียว

“โอเค”

‘อย่างนี้สินะ’ หลังเสียงพูดพึมพำคนเดียวดังขึ้น ฮาจุนก็ถามกลับด้วยความแปลกใจ

‘ถามทำไมเหรอ’

“แค่อยู่ๆ ก็นึกถึงขึ้นมาน่ะ ในอนาคตฉันอยากอยู่กับนายในบ้านที่มีสวนนะ”

‘พูดอะไรของนาย’ ฮาจุนพูดขึ้นและขำกลบเกลื่อนอาจเพราะกำลังเขิน และมูคยอมก็หยุดเสียงนั้นลงอีกครั้ง

“มากินข้าวเย็นด้วยกันไหม”

‘เอ่อ… ขอโทษนะมูคยอม วันนี้น่าจะต้องเตรียมเอกสาร เหมือนช่วงนี้ฉันจะเล่นเยอะไปหน่อย งานค้างเพียบเลย’

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปหาหน้าบ้าน ขอเจอหน้าแค่แป๊บเดียวได้ไหม”

‘ถ้าแป๊บเดียวจริงๆ ก็พอจะได้อยู่’

พูดจบฮาจุนก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะนั้นสร้างรอยยิ้มขึ้นบนหน้าของมูคยอมโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทันได้ล่วงรู้ หลังนัดหมายว่าจะไปเจอกันตอนเย็น เขาก็วางสายลง มูคยอมมองไปที่ไหนสักแห่งข้างหน้า ราวกับว่ามีเด็กชายในความทรงจำยืนอยู่ตรงนั้น

ใบหน้าที่เลือนรางไปตามกาลเวลากลับปรากฏชัดเจนขึ้นตรงหน้าเหมือนกับว่าเพิ่งเห็นไปเมื่อวาน แต่บางทีนี่อาจเป็นใบหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเพราะได้รู้จักกับฮาจุนในตอนนี้ และอาจต่างออกไปจากหน้าตาจริงๆ ของเด็กชายก็ได้

เด็กตัวน้อยใบหน้าขาวใสที่เคยคว้าข้อมือของเขา พาเดินผ่านประตูเข้าไป เด็กคนนั้นอาศัยในบ้านที่มีดอกไม้สวยเบ่งบาน และมีแม่คอยทายาให้ในยามที่เจ็บตัว

แม้จะไม่สามารถพบกันได้อีก แต่มูคยอมก็มั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน

หากในตอนนั้นเขาไม่ยอมแพ้ และตามหาต่อไปอีกสักหน่อย…

ขณะที่ความรู้สึกสำนึกผิดกำลังห่อพันตัวเขาอย่างแผ่วเบาเหมือนกับผ้าคลุมที่ไม่สามารถจะสัมผัสได้ง่ายๆ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่างกรายเข้ามาช้าๆ แม้จะยืนอยู่บนพื้น แต่มูคยอมกลับรู้สึกล่องลอยราวกับว่าได้ย้อนกลับไปหาเด็กคนนั้น ทว่าเสียงเท้าที่ดังขึ้นดึงมูคยอมให้กลับมายังโลกความเป็นจริงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหันไปหาที่มาของเสียง

เด็กคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในซอยพร้อมสะพายกระเป๋านักเรียนราวกับว่าอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน บนใบหน้าบูดบึ้งของเด็กน้อยมีรอยแผลเล็กๆ ปรากฏอยู่ และในมือก็ถือลูกบอลเอาไว้ เมื่อมูคยอมสบสายตาเข้ากับเด็กชาย ดวงตาของที่ก่อนหน้าเต็มไปด้วยความโมโหและเศร้าเสียใจ ก็เบิกโตขึ้นด้วยความตกใจในทันที

“โอ๊ะ…”

ไม่รอให้เด็กน้อยได้ตื่นตระหนกหรือถามอะไรออกมา มูคยอมก็ยกมือขึ้นเรียกเป็นเชิงว่าให้เดินเข้ามาหา

“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เอาบอลมาสิ เดี๋ยวฉันเซ็นให้”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เด็กน้อยกลับไม่เดินเข้ามาใกล้ และยังยืนลังเลอยู่ตรงที่เดิม เด็กชายเหมือนกำลังพิจารณาว่าชายตรงหน้าใช้คิมมูคยอมตัวจริงหรือเปล่า จากนั้นจึงหันมองรอบตัว

“นี่ไม่ใช่รายการซ่อนกล้องเหรอครับ”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

เด็กสมัยนี้นี่ฉลาดดีจริงๆ และตอนนั้นเองเด็กชายถึงได้เริ่มเดินเข้ามา แล้วยื่นลูกฟุตบอลให้กับมูคยอม

เพราะก่อนหน้านี้ตอนให้ลายเซ็นเจ้าของบ้าน เขาเผลอเอาปากกาเมจิกติดใส่ประเป๋าเสื้อมาด้วย มูคยอมเลยหยิบปากกานั้นออกมาใช้เซ็นลงบนลูกฟุตบอล เพื่อให้ได้ความสูงที่ต้องการมูคยอมจึงคุกเข่าลงนั่ง แล้วยื่นลูกฟุตบอลคืนให้กับเด็กน้อย ก่อนจะถามออกไป

“หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ”

“ทะเลาะกับเพื่อนมาครับ”

“ทำไมทะเลาะกันล่ะ”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไรกันหรือเปล่า ช่วงนี้พวกเขาไม่ยอมให้ผมเข้ากลุ่มด้วยเลย ตั้งใจว่าจะซื้อบอลลูกใหม่ไปเตะเล่นด้วยกันแท้ๆ”

เด็กน้อยมองลูกบอลในมือ กระพริบตาปริบๆ แล้วถามออกมา

“ถ้าเอาลูกบอลนี้ไปให้ พวกนั้นจะให้ผมเข้ากลุ่มไหมครับ”

“…ไม่รู้สิ ก็อาจจะให้ หรืออาจจะไม่ก็ได้”

มูคยอมเหม่อมองไปในอากาศ แล้วเปล่งเสียงออกมาเหมือนกำลังพูดอยู่คนเดียว

“บางทีคนที่อยากสนิทกับนายอาจจะเป็นเด็กคนอื่น ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทในตอนนี้ก็ได้… คิดแบบนี้เข้าไว้ สักวันอาจจะได้เจอคนที่เข้ากับนายจริงๆ”

มูคยอมไม่รอฟังคำตอบจากเด็กน้อย

“ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งหรอกนะ ที่ฉันคิดว่า ‘ทำไมชีวิตของฉันถึงได้ห่วยแตกแบบนี้’ … แต่ฉันก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป และคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าเดิม จนสุดท้ายโอกาสก็เข้ามาหาฉัน แต่ถ้าเลือกที่จะยอมแพ้และใช้ชีวิตต่อไป ฉันก็อาจจะปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยก็ได้… ดังนั้นนายก็ต้องห้ามยอมแพ้ แล้วก็อย่าปล่อยโอกาสให้หลุดมือด้วย”

“โอ้… ได้เลยครับ…”

เด็กน้อยที่ได้ฟังคำพูดยืดยาวของมูคยอมโดยไม่ทันตั้งตัวทำเพียงกระพริบตา และถามกลับ

“ผมเอาไปลงในแชทหรือโพสต์บนอินเทอร์เน็ตได้ไหมครับ ว่าวันนี้เจอนักเตะคิมมูคยอมระหว่างทาง”

“…ตามใจนายสิ”

“แล้วก็ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ”

พูดเสร็จเจ้าตัวเล็กก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วไปยืนประกบข้างมูคยอม เมื่อกดถ่ายรูปเสร็จไปหนึ่งแชะ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“ขอบคุณครับ!”

เด็กน้อยวิ่งออกไปด้วยความร่าเริง ราวกับว่าความเศร้าก่อนหน้าได้มลายหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการทะเลาะกันในหมู่เด็กๆ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มูคยอมลากสายตามองตามไปจนเบื้องหลังของเด็กน้อยลับหายไป แล้วจึงหันกลับไปเบื้องหน้าหน้าอีกครั้ง เขาเงยมองร่มเงาของต้นไม้ที่ยังคงไร้ดอกเบ่งบาน

เวลาของการเป็นเด็กนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับตัวเขาในช่วงวัยนั้น 1 วินาทีข้างหน้า 1 นาทีข้างหน้า 1 ชั่วโมงข้างหน้า หรือแม้แต่วันพรุ่งนี้ คืออนาคตที่ยาวไกลจนเหมือนจะต้องเฝ้ารอไปตลอดกาล แม้ในตอนนี้จะยุ่งเหยิงไปสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่า 10 นาทีหลังจากนี้อาจจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นก็ได้

เพราะมัวแต่ฝันถึงช่วงเวลา 1 วินาที 1 นาที 1 ชั่วโมงข้างหน้า และวันพรุ่งนี้ จึงไม่มีเวลาให้ได้ย้อนนึกไปถึง 1 วินาทีก่อน 1 นาทีก่อน 1 ชั่วโมงก่อน หรือเมื่อวานเลย เพราะแบบนี้ไหมนะ ความขุ่นเคืองที่เคยโดนพ่อแท้ๆ และครูใหญ่กลั่นแกล้งจึงแทบจะไม่เหลือให้เห็นอีกต่อไป มูคยอมก็แค่ไม่อยากจะเป็นเหมือนคนพวกนั้น

อนาคตคือสิ่งที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ หากมีสัตว์ประหลาดหรือหมูที่มาร้องอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ 10 วินาทีหลังจากนั้น มันอาจจะล้มพับไปเพราะไม่สามารถเอาชนะความโกรธของเขาได้ หรือ 30 วินาทีหลังจากนั้น อาจมีใครบางคนที่เที่ยงธรรมและแข็งแรงมากพอ เข้ามาช่วยชีวิตพวกเราไว้ก็ได้

แม้วันนี้จะทำพลาด แต่วันพรุ่งนี้เขาอาจจะขโมยกระเป๋าสตางค์ของเศรษฐีสักคนได้สำเร็จ หรือในวันมะรืนเขาอาจจะเจอกล่องสมบัติสักใบ ซึ่งมันอาจจะทำให้เขาได้ไปที่ไหนสักแห่ง แทนที่จะเป็นที่ตรงนี้ก็ได้

เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นั่นจะเป็นที่แบบไหน เพราะไม่เคยได้ย่างกรายเข้าไปสักครั้ง เลยทำให้ไม่สามารถวาดภาพถึงมันได้อย่างชัดเจนนัก แต่ก็เคยจินตนาการเอาไว้ลางๆ ว่าคงจะเป็นสถานที่ที่มีความสุขตลอดกาลและมีแสงงดงามรอคอยเราอยู่

แม้สิ่งที่เขาเคยวาดฝันไว้จะไม่เป็นจริงเลยสักอย่าง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้ค่า เพราะท้ายที่สุดเส้นทางนี้ก็พาให้เขามาพบกับผู้จัดการทีมพัคจุนซอง และมาได้เป็นดาวเด่นในวงการฟุตบอล ทำให้ตัวเขาในช่วงเวลาหนึ่งก่อนหน้านั้นได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีดอกไลแลคเบ่งบาน และได้รับความช่วยเหลืออย่างหวุดหวิดจากสถานการณ์ที่เกือบจะพรากชีวิตของเขาไป

จนถึงตอนนั้น ทั้งหมดที่เขาทำมีเพียงการโอบกอดความหวังลมๆ แล้งๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ฮ่าๆ

เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดจากปากของมูคยอม เขายันตัวออกจากกำแพง แล้วเดินห่างไปสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับไปมองที่ตัวบ้านอีกครั้ง บ้านที่เหมือนกับภาพวาดในหนังสือนิทาน บ้านที่เขาเพิ่งซื้อไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ และอีกไม่นานมันก็กำลังจะกลายเป็นของฮาจุน

อีฮาจุน

ความรู้สึกที่เรียกว่ารักจะมั่นคงสักแค่ไหน จะดำเนินตลอดไปจริงไหม แล้วคนอย่างฉันจะไม่สร้างบาดแผลให้นายไปจนสุดทางได้หรือไม่ เพราะแบบนี้ฉันเลยไม่รู้ว่านายจะอยู่เคียงข้างกันไปเรื่อยๆ หรือเปล่า… แม้จะทุ่มเททั้งหมดที่มี แต่พูดตามตรง ว่าฉันก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

เพราะว่าหัวใจของนายไม่ใช่สิ่งที่ฉันได้รับมา แต่มันคือสิ่งที่นายเป็นคนมอบให้ และเพราะว่าจนถึงตอนนี้นายยังไม่เคยคาดหวังอะไรจากฉันเลยด้วยซ้ำ เมื่อไหร่ที่รักซึ่งอยู่เพียงคนเดียวไม่ได้ลำบากอะไร หรือความรักของนายที่ต้องอยู่ข้างฉันกลายเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยใจ นั่นขึ้นอยู่กับใจของนายเพียงคนเดียวแล้ว เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่นายก็สามารถที่จะเก็บมันกลับไปได้เลย

แต่ความจริงที่นายช่วยชีวิตฉันไว้ก็ยังไม่เปลี่ยนผันและจะคงอยู่ไปตลอดกาล เรื่องนั้นไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด นายได้ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันเป็นหนี้บุญคุณนาย และมนุษย์เราก็ต้องรู้จักทดแทนบุญคุณคน

ช่างโชคดี ที่ต่อให้วันที่นายไม่ได้รักฉันจะมาถึง ฉันก็ยังคงมีเหตุผลที่จะรักนายและอยู่ติดกับนายต่อไปได้อีก

เย็นวันนี้ในตอนที่ได้เจอกัน เขาจะบอกฮาจุนว่าจะมอบสิ่งที่เจ้าตัวอยากได้ที่สุดให้ ในทีแรกฮาจุนอาจจะตกใจและบอกปฏิเสธ แต่ก็คงไม่สามารถบอกปัดของขวัญแบบนี้ไปได้จนจบแน่ๆ แค่ยืนกรานบอกไปว่าซื้อมาแล้ว จะให้ทำยังไงล่ะ ขอเงินคืนก็ไม่ได้หรอกนะ สุดท้ายฮาจุนก็คงจะยอมรับมันไว้ ไม่แน่ฮาจุนอาจจะบอกขอบคุณพร้อมพวงแก้มที่แดงระเรื่ออย่างน่ารัก หรืออาจจะโชว์ใบหน้าที่เคยบอกว่าจะให้ดูแค่แป๊บเดียว ให้เขาได้ดูนานกว่าเดิมก็ได้

นี่คือของขวัญที่เขาเตรียมอย่างสุดความสามารถ แม้จะแอบเสียดายที่ไม่สามารถนำมันกลับมาในสภาพเดิมทั้งหมดได้ก็ตาม มูคยอมค่อยๆ เคลื่อนเท้าเดินห่างจากตัวบ้าน ถ้าจะรอให้ดอกไม้บาน จะต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีเลยสินะ

เมื่อดอกไลแลคเบ่งบาน ในตอนนั้นเขาคงจะต้องถามฮาจุนสักหน่อยว่าจำกันได้หรือเปล่า แต่ไม่ว่าคำตอบจะใช่หรือไม่ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพราะต่อให้ฮาจุนจะจำกันไม่ได้ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

ในที่สุดมือขาวที่คว้าจับข้อมือของเขาไว้ ก็ได้พาเขามาถึง ‘ที่นั่น’ สถานที่ซึ่งเขาเคยเฝ้าฝันถึงมาตั้งแต่ยังเด็ก และในอนาคตข้างหน้าก็ถึงทีของเขาแล้วที่จะเป็นฝ่ายจับมือของฮาจุนบ้าง โชคดีเหลือเกิน ที่มันยังไม่สายเกินไป

ฮาจุนพยายามคงสติที่เริ่มเลือนราง แม้มันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด คำพูดของมูคยอมที่บอกกันว่า ‘คิดแค่ว่าฉันชอบนายก็พอ’ ที่เหมือนดั่งมนตร์สะกดกำลังถูกท่องวนอยู่ในหัวของเขา ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของชายตรงหน้า เสียงพูดที่ดังต่อมาจึงเริ่มลอยวนรอบหูอย่างแผ่วเบา

“โอเค คิมมูคยอมชอบนายนะ อีฮาจุน ฮาจุนอ่า ฉันรักนาย”

แม้ในตอนนี้ฮาจุนจะนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับกำลงหมุนเคว้ง

ท้ายที่สุดความร้อนรุ่มและเฉอะแฉะก็เริ่มก่อตัวในร่าง ฮาจุนไร้สิ้นซึ่งสติสัมปะชัญญะ บิดร่อนสะโพกของตนราวกับว่ากำลังร้องขอของเหลวอุ่นร้อนที่ถูกอัดใส่ช่องทางด้านในหลายต่อหลายครั้งจนเอ่อล้น

ดวงไฟเล็กจิ๋วเหมือนดวงดาวเปล่งประกายอยู่บนเพดานห้อง หาใช่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน ทว่าไม่นานแสงนั้นก็ค่อยๆ มืดลงอย่างเชื่องช้า

* * *

ในตอนที่ลืมตาขึ้น มูคยอมยังคงนอนอยู่บนตัวของเขา

ราวกับว่ากิจกรรมก่อนหน้าได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย มูคยอมทำเพียงแค่นอนคว่ำและวางใบหน้าลงบนอกของคนใต้ร่าง เมื่อฮาจุนยกมือขึ้นลูบหัว มูคยอมก็เงยหน้า ก่อนดันตัวขึ้นพร้อมยิ้ม

“ตื่นแล้วเหรอ”

“…นายล่ะ ตื่นนานหรือยัง…”

“ไม่เท่าไหร่ สัก 5 นาทีได้มั้ง”

มูคยอมประทับริมฝีปากเหนือหน้าผากคนใต้ร่าง สายตาที่มองนิ่งลงมาจากคนซึ่งอยู่ห่างไปเพียงคืบ ทำเอาฮาจุนหน้าแดงเรื่อ จนต้องหันหน้าหนี

“ทำไมมองฉันอย่างนั้น”

“ก็นายสวย”

มุมปากของมูคยอมยกโค้งขึ้นอย่างไม่รู้วิธีที่จะเอาลง หากจะให้ยืมคำพูดจากที่ไหนสักแห่งมาอธิบาย สายตาของมูคยอมในตอนนี้หวานหยดเหมือนกับน้ำผึ้งเลยละ แม้จะสงสัยว่าคนตรงหน้าชอบใจอะไรนักถึงได้ยิ้มร่ามองกันแบบนี้ แต่ฮาจุนกลับไม่พูดอะไรออกไป เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องวางตัวยังไง ทั้งหลบสายตาไปทางนั้นทีทางนี้ทีก็แล้ว ทว่าสุดท้ายจุดวางสายตาของฮาจุนก็ไปหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า

มูคยอมถอนหายใจ แล้วลูบเส้นผมของฮาจุนขึ้น

“ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ละอายใจนะ”

“อะไรอีกล่ะ”

“ที่เมื่อกี้ฉันโมโห เพราะนายบอกแค่ว่าเจ็บ… แต่พอนายบอกว่าไม่ได้มีใครคนอื่นอีกแล้ว เอาจริงๆ ฉันก็รู้สึกดีนะ”

ฮาจุนส่งเสียงหัวเราะ หึ ออกมา

“ดังนั้นตอนนี้เลิกคิดอะไรแปลกๆ ได้แล้ว แล้วก็หยุดไปจับคนที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย”

“ถ้ารู้ก่อนฉันก็ไม่คิดแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอกน่า”

มูคยอมพึมพำตอบและเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแนบตัวเข้าชิด แล้วดึงฮาจุนเข้าอ้อมกอดราวกับว่าไม่สามารถต้านทานได้ แรงกอดแน่นที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาฮาจุนเกือบหลุดไอ เขาจึงทุบลงบนหลังของมูคยอม กระนั้นคนกอดก็หาได้สนใจแรงแขนที่เหวี่ยงใส่ มูคยอมพูดงึมงำคนเดียวราวกับว่ากำลังขบเคี้ยวอะไรอยู่ ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ตอนนี้ฮาจุนรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียงของมูคยอม

“ทำไงเนี่ย แม่ง… ฉันรู้สึกดีมากเลย…”

ดีขนาดนั้นเลยหรือไงนะ ทั้งๆ ที่ฮาจุนก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่เพราะมูคยอมบอกว่ามันดี เขาก็เลยไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ดังนั้นฮาจุนจึงวาดยิ้มแล้วถามกลับไป

“อะไรมันจะดีขนาดนั้นกัน ครั้งแรกของนายหรือไง”

มูคยอมถอนหายใจยาวเหยียดราวกับว่ากำลังด่ำดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์

“ไม่ใช่เพราะเป็นครั้งแรก แต่เพราะว่ามีแค่ฉันต่างหาก หมายความว่านอกจากฉันแล้วก็จะไม่มีใครได้เห็นนายร้องโยเยน่ารักๆ แบบเมื่อกี้อีกแล้วไง แค่ได้เป็นครั้งแรกอย่างเดียวฉันคงไม่รู้สึกดีถึงขนาดนี้หรอกน่า”

ผิดคาด คำพูดนั้นกลับเรียกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของฮาจุน

“ตัวโตขนาดนี้แล้วมาสะอึกสะอื้น น่ารักตรงไหน”

“…เพราะนายไม่รู้เรื่องนั้น ฉันก็เลยไม่สบายใจนี่ไง”

ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง มูคยอมก็จับมือของฮาจุนขึ้นตบแก้มตัวเองเบาๆ

“ครั้งแรกที่ทำแบบนั้น วันต่อมาร่างกายก็ดีขึ้นใช่ไหม”

“ถึงจะเจ็บนิดๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรนะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”

“ถึงฉันจะทำลงไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ แต่การที่ทำให้นายเจ็บฉันก็ควรโดนว่าสิ หรือให้ฉันเขียนจดหมายสำนึกผิดด้วยดีไหม”

“ช่างเถอะน่า เดี๋ยวก็ต้องมานั่งอ่านนั่งตรวจจดหมายอีก ฉันขี้เกียจนะ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะสำนึกผิดยังไงดี”

“ฉันเองก็โกหกนายเหมือนกัน ดังนั้นถือว่าเราต้องรับผิดกันคนละครึ่ง”

“อย่างน้อยรับเป็นของตอบแทนจากฉันหน่อยก็ได้”

“ของตอบแทนอะไร”

หลังคำถามนั้น มูคยอมก็ยกแขนขึ้นหนุนนอนและทำเสียงหงอยบ่นออกมา

“นายไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมหรือไง 10 ปีของนายมันน่าเสียดายมากเลยนะ ที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉัน ดังนั้นไม่ว่าอะไร นายก็ช่วยรับไว้เถอะนะ”

“ที่ฉันไม่คบใครไม่ใช่เพราะว่านายเป็นคนสั่งให้ทำสักหน่อย แล้วทำไมฉันต้องมารับของจากนายด้วยล่ะ”

“นาฬิกาข้อมือก็ไม่เอา รถก็ไม่เอา เงินสดก็ไม่เอา ถ้างั้นฉันควรให้อะไรนายดี เสื้อผ้าหลายตัวที่ซื้อให้นายก็ไม่ชอบ”

“ก็ฉันไม่ได้ชอบนายที่เงินสักหน่อย ทำไมจะต้องอยากได้ของพวกนั้นด้วยล่ะ”

ถ้าเป็นคนอื่นที่มาได้ยินก็อาจจะดีใจกับคำพูดนั้น แต่มูคยอมกลับแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอัดอั้น เขาขยับตัวเข้าชิดฮาจุน แล้วโอบเอวเอาไว้เหมือนกับคนหมดเรี่ยวหมดแรง

ฮาจุนเงียบไปพักหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาและตบไปที่ไหล่ของมูคยอมเบาๆ

“ถ้าเกิดฉันไปมีเซ็กส์หรือคบหากับคนที่ไม่ได้รู้สึกรักเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ตอนนั้นนายจะมาหวงฉันหรือไง มันไม่ใช่เพราะนายสักหน่อย แต่เพราะว่าตัวฉันไม่อยากทำ ฉันก็เลยไม่ทำมันต่างหาก”

มูคยอมกำลังรู้สึกติดหนี้ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เว้นแต่ว่าถ้าตอนนั้นเขาฝันถึงช่วงเวลาแม้เพียงน้อยนิดที่จะได้อยู่กับมูคยอมจนตั้งอกตั้งใจเก็บถนอมตัวเองเอาไว้ มูคยอมก็คงจะคิดแบบนั้นได้ แต่เหตุผลที่เขาไม่มีประสบการณ์เลยจนถึงตอนนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็เพราะมัวแต่ก้มหน้าทำมาหากินและดูแลครอบครัวจนไม่มีเวลาว่าง จนประเด็นเรื่องความรักกลายเป็นเรื่องที่อยู่นอกลำดับความสำคัญไป และเพราะว่าฮาจุนไม่อยากจะเอาปัญหาของตัวเองไปใส่บ่าใคร บวกกับช่วงหลายปีมานี้เขาก็วุ่นวายไปกับการเล่าเรียนจากการเปลี่ยนเส้นทางอาชีพแบบกะทันหันอีกด้วย

มูคยอมที่นิ่งเงียบมองมองฮาจุนอยู่ เอ่ยถามออกมาราวกับว่าแอบประหลาดใจ

“นายไม่สงสัยสักนิดเลยเหรอ ว่าการคบใครสักคนจะเป็นยังไง หรือเซ็กส์จะให้ความรู้สึกแบบไหน”

“ก็สงสัยนิดๆ แหละมั้ง ไม่รู้สิ ฉันไม่สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ตอนนั้นก็เลยไม่คิดอยากจะลองอะไร”

จากมุมของฮาจุนเขารู้สึกว่าคนที่คบคนนู้นคนนี้ทีแบบไม่ได้รู้สึกอะไรกับใครพิเศษเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ ไม่รู้สิ ถ้าเกิดเขาไม่ได้มีใจให้มูคยอม บางทีเขาอาจจะเหงามากกว่านี้ แล้วก็อาจจะอยากได้ไออุ่นหรือการปลอบโยนจากคนอื่นไหมนะ แต่ก็เหมือนกับเรื่องเด็กขายไม้ขีดไฟในช่วงก่อนไฟบนหัวไม้ขีดจะดับลง ฮาจุนคิดว่าแค่ดวงไฟดวงเล็กๆ ที่กักเก็บไว้ในใจ เท่านี้ก็เพียงพอให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องการสัมผัสจากใครอื่นอีกแล้ว

ดูเหมือนว่าตอนนี้มูคยอมกำลังใช้ความรักอันแสนบริสุทธิ์ ห่อหุ้มการกระทำและความรู้สึกที่เคยเคลือบแคลงใจว่าทำลงไปเพื่อปลอบโยนหรือสร้างความพึงพอใจให้ตัวเองหรือเปล่า จนเจ้าตัวเองก็เริ่มที่จะประหม่าขึ้นมานิดๆ แล้ว

ประสบการณ์ครั้งแรกกับมูคยอม แน่นอนว่ามันทั้งเจ็บและหนักหนา แต่หากตอนนั้นเขาพูดออกไปว่าเจ็บและขอให้หยุด เขาคิดว่ามูคยอมคงจะใจดีแล้วทำตามที่บอกอย่างแน่นอน ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้และอดทนทำไปจนจบ ซึ่งก็เป็นตัวเลือกที่ทำเพื่อความสุขของตัวเองทั้งนั้น เพราะแบบนี้มันจึงแปลกที่มูคยอมจะต้องมารู้สึกผิดหรือตอบแทนกัน

“คิมมูคยอม”

“หืม”

“ที่ฉันบอกไปก่อนว่าเจ็บน่ะ… เพราะตอนนั้นนายถามว่าชอบหรือเปล่า ฉันเลยอยากจะแกล้งนายต่างหาก เอาจริงๆ ฉันรู้สึกดีนะที่ได้มีครั้งแรกกับนาย”

“…”

ดวงตาที่จ้องมองฮาจุนอยู่เบิกกว้างขึ้น สิ่งที่เขาพูดออกไปมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ฮาจุนไม่ได้คิดอะไรเยอะเลยด้วยซ้ำตอนพูด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแล้วสิ

“ฉันต้องไปอาบน้ำหน่อยแล้วละ”

หลังคำพูดที่บอกว่าจะไปอาบน้ำ ฮาจุนก็ขยับจากที่ เอาตัวออกจากอ้อมแขนของมูคยอม แล้วลุกออกจากเตียง แต่ทันทีที่ลุกขึ้นเรี่ยวแรงที่ขาก็หดหาย ทำเอาเขาเซจนเกือบจะล้มลง

“ระวังหน่อยสิ”

มูคยอมเข้าไปประกบด้านหลังในทันที เขาช้อนเอวของฮาจุนเอาไว้ แล้วหัวเราะคิกคักขึ้นมา

“ลูกวัวหัดเดินนี่”

“…ครั้งก่อนนายก็มาเรียกฉันว่าลูกวัว ชื่อเรียกอะไรเนี่ย”

แทนที่จะตอบกลับไป มูคยอมกลับยกฮาจุนขึ้นอุ้มอีกครั้ง เสียงของมูคยอมที่ดังขึ้นตามทางเดินไปถึงห้องน้ำฟังดูสดใสเหมือนกับเสียงฮัมเพลง

“รู้สึกดีไหมที่ได้มีครั้งแรกกับฉัน”

“…แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องรู้สึกไม่ดีล่ะ”

ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ฮาจุนรู้ดีว่าทุกคนไม่สามารถที่จะมีครั้งแรกกับคนที่ชอบได้ และการที่ได้มีครั้งแรกกับคนที่ชอบ ไม่ว่าจะคิดยังไง เขาก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่เสียหายอะไรเลยด้วยซ้ำ

มูคยอมอมยิ้มขึ้นมาน้อยๆ แล้วย้อนถามกลับไปว่าจริงเหรอ ก่อนจะจับตัวฮาจุนที่อุ้มอยู่วางลง

“เดี๋ยวฉันอาบให้ เอาแบบสะอาดเอี่ยมอ่องจนถึงข้างในเลย”

“ไม่ต้องเลย! อย่ามาแตะนะ”

“เอาอีกแล้ว”

ประตูห้องน้ำปิดลงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น ในค่ำคืนมืดมิดเสียงหยดน้ำที่กระทบลงพื้นเหมือนก้อนกรวดกระจัดกระจายดังเคล้าไปกับเสียงของคนสองคน

——————————————————

รถยนต์สีบรอนซ์เงินจอดอวดเค้าโครงสุดโฉบเฉี่ยวอยู่ริมถนนที่เชื่อมต่อไปยังทางลาดชัน มูคยอมซึ่งประจำอยู่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับมองดูเวลา ขณะนั้นเองเด็กนักเรียนในชุดเครื่องแบบที่ทยอยเดินออกมาจากซอยก็เริ่มหนาตาขึ้น

ปี้น หลังเสียงแตรสั้นๆ หลายคนตรงนั้นก็หันมามองที่รถ ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นเด็กหญิงชายคู่หนึ่งที่เดินมาด้วยกันเบิกตาขึ้นกว้าง แล้วเดินเข้ามาใกล้รถต้นเสียง มูคยอมปรับกระจกรถลง จนเมื่อได้สบตากับเด็กทั้งสอง เขาก็ปลดล็อกรถ ไม่ทันได้เอ่ยปากชวน เด็กหญิงก็ขึ้นมาจับจองที่นั่งบริเวณเบาะหลังแล้วบ่นพึมพำออกมา

“พี่มารอใกล้ๆ แบบนี้ได้ยังไงล่ะคะ คนอื่นเขาก็มองกันหมดน่ะสิ”

“แล้วมันทำไม ให้คนอื่นเห็นไม่ได้หรือไงกัน”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย รถคันนี้ยี่ห้ออะไรเหรอคะ ใช่เฟอร์รารี่ไหม”

“คันนี้ปอร์เช่ ที่พูดแบบนั้นคืออยากให้พี่ขับเฟอร์รารี่มาหรือเปล่าเนี่ย”

โดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา รถเริ่มวิ่งออกสู่ท้องถนนและไปจอดลงตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อมูคยอมเดินไปถึงด้านหน้า เซ็นเซอร์จากในร้านก็สั่งการให้ประตูเปิดออก

เมื่อเดินผ่านประตูที่เปิดเข้าไป แม้จะพยายามไม่แสดงท่าที แต่เด็กทั้งสองก็ถึงกับต้องหันมองรอบตัวน้อยๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้ อาจเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศของร้านอาหารดูเป็นทางการมากจนเกินไป เด็กหนุ่มจึงได้กระซิบถามมูคยอมขึ้นมา

“พวกเราใส่ชุดนักเรียนเข้ามาในนี้ได้ใช่ไหมครับ”

“เครื่องแบบก็เป็นชุดสุภาพของนักเรียนไม่ใช่เหรอ นี่ก็แค่ที่กินข้าวเอง สบายๆ น่า”

เมื่อเด็กทั้งสองถูกพามานั่งที่โต๊ะ มูคยอมที่จองทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก็สั่งออกมาสั้นๆ เสร็จสรรพแล้วเขาก็หันไปพูดกับเด็กทั้งคู่ที่กำลังสนุกไปกับการใช้สายตากวาดมองภายในร้านอาหารที่เรียบหรู

“ที่ผ่านมาสบายดีกันไหม”

“สบายดีครับ พี่มาเล่นด้วยกันอีกสิ แม่ก็บอกว่าคิดถึงพี่นะครับ”

“ถึงนายไม่บอก พี่ก็ตั้งใจว่าจะไปหาอยู่แล้ว”

ก่อนเริ่มมื้ออาหารมูคยอมได้รับแชมเปญ ส่วนเด็กๆ ได้เป็นแชมเปญไร้แอลกอฮอล์มาดื่ม ใบหน้าของเด็กแฝดที่หันมาชนแก้วกันเบาๆ แดงเรื่อด้วยความเขินอาย หลังดื่มแชมเปญไปหนึ่งอึกมินคยองก็หรี่ตาลง

“ว่าแต่ ทำไมอยู่ๆ พี่ถึงชวนให้มาเจอกันล่ะคะ”

“หืม”

มูคยอมหัวเราะน้อยๆ

“ก็แค่อยากเลี้ยงข้าวน้องๆ ของเพื่อนสักมื้อเอง”

“ไม่ใช่เพราะมีเรื่องอะไรเหรอคะ”

เจ้าเด็กชื่อมินคยองนี่รู้ทันกันอย่างที่คาดไว้ เห็นแบบนี้มูคยอมก็วางแก้วลง

“โอเค เอาจริงๆ ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามอยู่”

ถึงฮาจุนจะทำเท่และบอกว่าที่ตัวเองไม่ได้คบใคร แค่เพราะว่าเจ้าตัวรู้สึกไม่อยากจะทำ แต่มูคยอมก็คิดว่าเขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ เป็นเวลากว่า 10 ปีเชียวนะที่ฮาจุนครองโสดและเฝ้ามองกันมา เพราะแบบนี้ความละอายใจที่เขามีจึงยิ่งทวีเทียบเท่าช่วงเวลาที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน

ทั้งพวงแก้มและขอบตาที่แต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ ใบหน้าที่มีหยาดน้ำตาร่วงหล่นเป็นเม็ด ผิวขาวใสที่ประดับไปด้วยดอกไม้สีอ่อนที่เบ่งบานขึ้นทันตาเมื่ออารมณ์วาบหวามก่อตัวจนร้อนรุ่ม หรือแม้กระทั่งเรือนร่างที่สั่นไหวเพียงแค่เขาสอดใส่ตัวตนเข้าไป ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีใครเคยได้สัมผัสหรือเชยชม คนที่ได้เห็นด้านเหล่านั้นของฮาจุนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้ ซึ่งก็คือเขา!

“ทำไมเอาแต่ยิ้ม แล้วไม่พูดอะไรเลยล่ะคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

มูคยอมกระแอมไอหนึ่งครั้ง แล้วตีหน้าขรึมเพื่อกดริมฝีปากที่วาดโค้งขึ้น

ไม่เพียงแค่การฉวยเอา 10 ปีของฮาจุนไปทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่เขาจะต้องชดใช้ความผิดที่ไปย่ำยีคืนแรกอันแสนพิเศษด้วยค่ำคืนที่เจ็บปวดนั่น

กระนั้นคนโดนกระทำก็ใจกว้างให้อภัยคนเลวอย่างเขาที่ไม่รู้กระทั่งความหมายที่แท้จริงของคำว่าเซ็กส์ ที่เกือบจะต้องเจอะเจอกับการแก้แค้นอย่างน่าหวาดกลัวจนคุกเข่าร้องไห้ ไหนจะที่ฮาจุนบอกอีกว่าชอบแค่ไหนที่ได้มีครั้งแรกกับเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ควรจะใช้เงินตอบแทนกลับไป

“พี่จะถามอะไรเหรอคะ”

“ครั้งนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณโค้ชอีฮาจุนครั้งใหญ่เลยละ ฉันก็เลยอยากจะหาของขวัญให้เขาสักหน่อย”

“พี่ก็หาของขวัญเองได้นี่คะ”

“ไม่ใช่แค่ของขวัญธรรมดาแบบนั้นสิ ฉันอยากให้ของดีๆ แต่ก็ถามฮาจุนไปแล้วนะว่าเขาอยากได้อะไรไหม หมอนั่นก็บอกว่าไม่มีอะไรที่อยากได้ ฉันก็เลยมานั่งเครียดอยู่นี่ไง”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ก็…”

เด็กทั้งสองพนักหน้าขึ้นลงราวกับว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน ในความคิดของแฝดทั้งสองพี่ชายของพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่อยากได้อยากมีอะไรเป็นพิเศษ ไม่สิ คงจะถูกกว่าถ้าบอกว่าพี่ชายของพวกเขาลืมความรู้สึกอยากได้ไปแล้ว เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตจนไม่มีเวลามาอยากได้อะไรเลยนี่สิ

แม้ในตอนที่พูดเรื่องการย้ายไปสังกัดลีกในยุโรป ทั้งๆ ในตอนนั้นก็พอจะมีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในมือแท้ๆ แต่ฮาจุนกลับไม่ได้ใช้เวลาสนุกไปกับเวลาพักผ่อนที่มีเลยแม้แต่น้อย มินคยองเองก็เคยได้ยินที่พี่ชายของตนคุยกับแม่ ว่าจะต้องเก็บเงินไว้สำหรับค่าลงทะเบียนเรียนในระดับมหาวิทยาลัยของพวกเขา

“คนในครอบครัวก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าปกติแล้วโค้ชอีอยากได้อะไร”

“อืม… แต่ว่าพี่ของพวกเราไม่ค่อยอยากได้อะไรเลยจริงๆ นะคะ”

เด็กๆ กำลังตั้งใจครุ่นคิดเป็นอย่างมากดูจากคิ้วที่ขมวดมุ่น แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องที่จะคิดออกง่ายๆ จนมูคยอมรู้สึกห่อเหี่ยวในใจ เป็นพระก็ไม่ใช่ คนเราจะไม่อยากได้อะไรขนาดนั้นเลยหรือไงนะ

“มีช่วงราคาไหมคะ”

“ไม่รู้สิ ก็สักพันล้าน หรือสองพันล้านวอน ไม่ๆ ฉันว่าอย่าไปคิดเรื่องราคาดีกว่า”

“หา เท่าไหร่นะคะ”

“ถ้าฉันเปลี่ยนคอนโดที่ฮาจุนอยู่ตอนนี้ให้ พี่พวกเธอเขาจะชอบไหม”

มินคยองเบิกตาโต เธอมองหน้ามูคยอม ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าเป็นฉันน่ะชอบแน่ๆ แต่พี่ฮาจุนคงไม่รับเอาไว้หรอกค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอ”

ตามมาด้วยฮาคยองที่ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น

“คอนโดเหรอพี่ พันล้านเลยเนี่ยนะ ต่อให้เป็นหนี้บุญคุณมากแค่ไหน ผมว่าเงินขนาดนั้นมันไม่เยอะไปหน่อยเหรอครับ”

“พูดถึงคิมมูคยอมก็ต้องนึกถึงความซื่อสัตย์สิ อีกอย่างเงินฉันก็มีเยอะจะตายไป”

“โห เอาจริงๆ ผมก็ได้ยินมานะว่าเพราะผู้จัดการทีม พี่เลยคืนเงินค่าตัวแล้วมาเล่นกับทีมนี้ พี่นี่สุดยอดเลยจริงๆ เลยนะเนี่ย”

ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอาหารว่างก็มาเสิร์ฟ มินคยองที่เพิ่งหั่นหอยเชลล์เบิร์นขนาดพอดีคำเข้าปากโพล่งถามมูคยอมขึ้นมา ราวกับว่าเพิ่งนึกบางอย่างได้

“เมื่อตอนนั้นคุณนักเตะมูคยอมก็ให้ตุ๊กตาแมวมาเป็นของขวัญนี่คะ”

“ใช่”

พอมานึกถึงในตอนนี้ เขาก็รู้สึกเขินๆ ขึ้นมา มินคยองมองมูคยอมที่ตอบฝืนๆ ออกมาอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ขึ้นกระดกอีกหนึ่งอึก

ระหว่างนั้นเองฮาคยองก็เอ่ยปากขอตัวไปเข้าห้องน้ำและลุกออกจากที่นั่ง เมื่อเห็นว่าแฝดของตัวเองเดินห่างออกไป มินคยองก็เปิดปากพูดขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“คือว่า คุณนักเตะคิมมูคยอม สำหรับหนูน่ะ ต่อให้พี่ฮาจุนจะบอกว่าชอบขวดแชมพูในห้องน้ำ หนูก็ว่าดีค่ะ”

“…หืม”

“เพราะพวกเรา พี่เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจตัวเองต้องการเลย ดังนั้นถ้าพี่ฮาจุนชอบอะไร หนูก็ชอบค่ะ”

มูคยอมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอโดยไม่ตอบอะไรกลับไป ส่วนมินคยองก็ตักหอยเชลล์ส่วนที่เหลือเข้าปาก

มูคยอมไม่ชินเท่าไหร่เมื่อต้องมาคุยกับคนที่เด็กกว่าตัวเองประมาณหนึ่ง ระหว่างที่กำลังคิดหาประเด็นอื่นเพื่อที่จะเปลี่ยนเรื่อง มินคยองก็อุทาน ‘อ้อ’ ออกมาราวกับว่านึกคำตอบดีๆ ออก แล้วจึงรีบพูดขึ้น

“เอาจริงๆ ก็มีสิ่งที่พี่ชายของหนูอยากได้อยู่นะคะ เป็นบ้านหลังเก่าที่เราเคยอยู่ค่ะ”

“บ้านเหรอ”

อยู่ๆ คำพูดเมื่อก่อนของฮาจุนที่บอกว่าตัวเองเคยอยู่ในบ้านที่มีสวน ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที

“ฮื้ออ อื้อ…”

มูคยอมยกขาข้างหนึ่งของฮาจุนขึ้นพาดบนแขนตัวเอง ก่อนกดน้ำหนักอย่างแผ่วเบาลงบนสะโพกที่กำลังสั่นไหว จนส่วนแข็งขืนได้สัมผัสทักทายกับช่องทางด้านหลัง ฮาจุนยกขาอีกข้างที่สั่นเทิ้มขึ้นเกี่ยวเอวคนตรงหน้า เรียกรอยยิ้มให้กับมูคยอม ทว่าการกระทำข้างต้นกลับกินเวลาไปมากพอสมควร

เมื่อฮาจุนร้องขอการสอดใส่โดยไม่สนอะไรอีกต่อไป มูคยอมก็เลือกที่จะเชื่อฟังอย่างหมดใจ และทำตามคำขอนั้น

ตอนนี้เขาได้พาฮาจุนไปถึงฝั่งฝันหลายต่อหลายครั้งด้วยการใช้มือเพียงอย่างเดียว และดูเหมือนฮาจุนจะรู้วิธีเร่งเร้าด้วยการยกขาขึ้นมาเกี่ยวเอวของเขาเอาไว้

แม้สถานการณ์จะคล้ายกันสักเพียงใด แต่หากเป็นเรื่องราวที่ล่วงเลยมาแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถย้อนคืนหรือกลับไปสร้างมันอีกครั้งได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ มีเพียงการสร้างค่ำคืนใหม่ที่สุขสมไปกับฮาจุน เขาจะสร้างมันขึ้นใหม่ ทั้งในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ และต่อไปในอนาคต

ขณะที่เย้าแหย่เพื่อให้ฮาจุนสารภาพออกมา มูคยอมเองก็กำลังข่มความต้องการเอาไว้ แกนกายเส้นเลือดปูดโปนที่ในวันนี้แข็งขืนมากกว่าปกติแทรกตัวผ่านช่องทางอุ่นร้อนอย่างเชื่องช้า ภายในทั้งนุ่มหยุ่นและรัดรึงเสียจนมูคยอมต้องผ่อนลมหายใจออกมาในทันที

“อ่า… แน่นจัง”

“อ่า อ๊ะ… ฮื้อ อึก!”

ช่องทางรัดแน่นบวกกับหน้าท้องที่หดเกร็งของฮาจุนแสดงอาการราวกับโหยหาการถูกเติมเต็ม กระนั้นมูคยอมกลับไม่พักการเคลื่อนไหว ทั้งยังดุนดันสะโพกเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน

เมื่อปลายหัวมนเคลื่อนผ่านจุดเสียวภายใน มูคยอมก็เริ่มขยับเข้าออกเบาๆ และกดกระแทกลงบนจุดนั้นอยู่หลายครั้ง ฮาจุนเอนลำคอเรียวไปด้านหลัง ส่งเสียงครวญครางเหมือนกำลังกรีดร้อง เป็นเสียงที่ทำให้มูคยอมนึกถึงเสียงร้องที่คล้ายคลึงกันเมื่อครั้งนั้น ต่างกันแค่วันนั้นคนตรงหน้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ในวันนี้ต้นเหตุของเสียงร้องคือความสุขสม

“อ๊ะ! ฮะ อ๊า…! คิมมูคยอม ดะ เดี๋ยว… ลึกไป ลึกไปแล้ว!”

“ยังใส่เข้าไปไม่สุดเลยนะ…”

“อ๊ะ! อ๊า! อึก…!”

“ถ้านายบอกให้รอ ฮะ ฉันต้องแย่แน่เลย”

มูคยอมถอนหายใจสั้นๆ ก่อนใช้แกนกายที่ฉุนเฉียวถูไถกับผนังลึกด้านในและดันผลุบเข้าไปในครั้งเดียว ภายในรัดแน่นราวกับต้องการรีดเค้นท่อนเนื้อที่แทรกตัวเข้าไป พร้อมกันนั้นเรือนร่างของฮาจุนก็กำลังสั่นเทิ้มและกระตุกเกร็ง

มูคยอมใช้แขนรวบร่างที่สั่นสะท้านเข้ามาในอ้อมกอด ลมหายใจหอบถี่พรั่งพรูออกจากริมฝีปากของฮาจุนราวกับกำลังสำลักลมหายหายใจที่กลั้นเอาไว้

“ฮ้า ฮะ…! ฮึก… อึก อ๊า!”

เมื่อแรงกระแทกส่งมาถึงบริเวณกระดูกเชิงกรานจนปลายแกนกายก็บดขยี้ไปยังจุดลึกสุดข้างใน ตอนนั้นเองความร้อนวาบก็ตีแผ่ที่หน้าท้องของฮาจุน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเปียกชุ่มของน้ำขาวขุ่นที่พุ่งออกมาจากปลายแกนกายจนเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องของทั้งสองคน

อาจฟังดูเกินจริงหากบอกว่าฮาจุนเสร็จหลังจากที่เขาสอดใส่และขยับเข้าออกเพียงไม่ถึง 5 วินาทีเท่านั้น แม้ในความเป็นจริงจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นก็ตาม มูคยอมหมุนควงสะโพกช้าๆ ให้แกนกายถูไถโดนทั่วทุกทิศของผนังด้านใน พลางกระซิบเคล้าเสียงหัวเราะ

“อีฮาจุน นายเสร็จทันทีที่ฉันใส่เข้าไปเลยนะ”

ฮาจุนยกฝ่ามือขึ้นปิดใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง ก่อนพูดงึมงำราวกับกำลังพยายามแก้ตัว

“ฮื้อ อ๊ะ… ก ก่อนหน้านี้ แค่มือนาย ก็มากเกิน…”

“ใครสนล่ะ โดนเสียบแล้วเสร็จทันทีเลยน่ารักจะตายไป”

“อ๊ะ รอก่อน… อย่าเพิ่งขยับ ฮื้ออ!”

แม้ร่างกายที่ถูกเล้าโลมจนถึงขีดจำกัดของฮาจุนจะแตะจุดสุดยอดไปแล้ว แต่มูคยอมกลับทำได้เพียงสอดใส่ตัวตนเข้าไปในช่องทาง และยังไม่มีโอกาสได้ขยับสะโพกเข้าออกอย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อถอดถอนสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายในช่องทางคับแคบออก เส้นเลือดปูดโปนและปลายหัวของท่อนเนื้อก็ครูดย้อนลงบนผนังด้านใน ฮาจุนสั่นสะท้านไปทั้งร่างและจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ กระนั้นน้ำกามที่ยังปล่อยออกไม่หมดก็ยังคงไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน มูคยอมใช้มือรูดรั้งแกนกายของคนตรงหน้าราวกับตั้งใจจะช่วยเช็ดคราบเปรอะเปื้อนให้ จนฮาจุนแอ่นตัวขึ้นอย่างกับคนที่ตกใจเสียเต็มประดา

“ฮึก อ๊า อึก! คิมมูคยอม ด เดี๋ยว…! อ๊ะ อ๊า!”

“ไม่เป็นไร อีฮาจุน ปล่อยไปตามความรู้สึกเลย”

เสียงกระซิบของมูคยอมพาความรู้สึกซาบซ่านให้แล่นริ้วไปทั่วใบหู ขณะเดียวกันเรี่ยวแรงของฮาจุนก็เริ่มหล่นหายไปตามเสียงลมหายใจ

“ทำไมนายจะทำไม่ได้ อย่ากลัวสิ อย่าเอาแต่หนีด้วย…”

“ฮ้า ฮะ อื้อ”

ฮาจุนกำลังนอนแผ่อยู่ใต้ร่างชายที่หนักกว่าพอตัวและไม่สามารถหนีออกจากวงแขนที่เกี่ยวรัดอยู่ได้ ในตอนนั้นเองมูคยอมดันสะโพกเข้าหาด้วยความเร็วจนท่อนเนื้อแข็งขืนสอดลึกไปในช่องทาง

“อ๊ะ อ๊า อึก…!”

ไม่นานหยาดน้ำตาก็ไหลร่วงจากดวงตาของฮาจุน

ลำพังแค่ความสุขสมที่มากล้นจนวิ่งแล่นไปถึงจุดที่ลึกภายในและบดขยี้ไปทั่วช่องท้อง นั่นก็เกินที่ฮาจุนจะรับไหวแล้ว ทว่ามือของมูคยอมที่กอบกุมแกนกายอยู่กลับไม่คิดจะปล่อยออก ส่วนลับถูกบีบจับด้วยน้ำมื้อของมูคยอมอยู่ช่วงหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ไม่ต่างกับที่ช่องทางด้านหลังต้องเจอ

สัมผัสที่สาดเทมาพร้อมกันทั้งหน้าและหลัง ทำเอาฮาจุนรู้สึกเหมือนจะสติหลุด แม้มูคยอมจะบอกว่าไม่ต้องกลัว แต่ความสุขสมที่ห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างกลับก่อตัวใหญ่โตขึ้นจนความคิดที่แล่นในหัวของฮาจุนหยุดชะงักไปเป็นบางช่วง เช่นเดียวกับความกลัวที่ปรากฏตัวอยู่บ่อยๆ แม้เนื้อตัวจะสั่นเทิ้ม แต่ฮาจุนก็พยายามที่จะคว้ามือที่กำลังขยี้ลงบนปลายหัวหยักของตัวเอง

เมื่อภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน เสียงเนื้อกระทบกันดังก้องหู และมวลความรู้สึกดีปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง อย่าว่าแต่แผดเสียงตะโกนออกมาเลย แค่จะเปล่งเสียงปกติยังไม่ใช่เรื่องง่าย

“ฮึก ม… ฮื้อ อ๊ะ! มือ เอา…มือออก…”

“นายชอบนี่ ให้ขยับข้างหน้าไปด้วยแบบนี้”

“ต ตอนนี้… ไม่… … ฮึก อื้อ อ๊ะ… ฮ้า ฮะ อ๊า…!”

มูคยอมไม่คิดจะปล่อยมือออก ทั้งยังเพิ่มความเร็วและเน้นแรงมือที่กำลังหยอกล้อและขยี้ที่ปลายหัว ร่างกายของฮาจุนกำลังสั่นไหว แผ่นอกและหน้าท้องหดคลายซ้ำไปมาอย่างถี่รัว เป็นความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั้งร่างเพราะไม่สามารถต้านทานความเสียวที่ได้รับไหว

‘หยุดเถอะ’ ‘หยุดนะ’ แม้ฮาจุนจะส่งเสียงอ่อนอ้อนวอนแค่ไหน ทั้งแกนกายที่กำลังเสือกไสอยู่ในช่องทางด้านหลัง และมือที่กำลังนวดคลึงส่วนหน้า ต่างก็ไม่ลดความเร็วลงเลยสักนิด

แม้จะเพิ่งถึงฝั่งฝันไป แต่ความรู้สึกอยากปลดปล่อยกลับตีตื้นขึ้นมาจ่ออยู่ที่ปลายแกนกายอีกครั้ง ถึงจะอยากระบายสิ่งที่อยู่ภายในออกเหมือนกัน ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างจากความต้องการที่จะเสร็จสม สัมผัสที่ได้พบเจอมาแล้วครั้งหนึ่งค่อยๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้น และทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่าง จนฮาจุนต้องรีบตะกายขึ้นมาจับมือของมูคยอมออกจากกลางกาย

เมื่ออีกคนไม่ยอมวางมือ ฮาจุนจึงหันไปจับที่วางแขนของโซฟา แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงร่างตัวเองขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เขาหลุดออกไปได้ ทว่ายิ่งพยายามสลัดตัวออกเท่าไหร่ มือของมูคยอมกลับยิ่งขยับแน่นขึ้น เช่นเดียวกับแกนกายที่สอดกระทุ้งเข้าไปลึกกว่าเดิม

“อย่ากลั้นไว้สิ อยากปล่อยก็ปล่อยออกมาเลย”

“ม ไม่ นี่ ฮึก หยุด หยุดขยับนะ…!”

“ไม่อะไรนะ?”

“ฉัน อยาก… ไปห้องน้ำ ฮะ นายช่วย”

มูคยอมแอบยกยิ้ม

“อ๋อ… ปวดแบบนั้นเหรอ”

แทนที่จะปล่อยมือออก มูคยอมกลับใช้อุ้งมือถูวนบนปลายแกนกาย สัมผัสของฝ่ามือกระจายตัวไปทั่วราวกับว่าความเสียวกำลังถูกรินรดลงในร่าง

“ไม่เป็นไร”

“ฮ่ะ อ๊าาา!”

ฮาจุนส่ายหัวไปมาและกรีดร้องขึ้นหลังได้รับสัมผัสประหลาดที่ทำให้การพูดสักคำยังเป็นเรื่องยาก ความรู้สึกที่บ่งบอกว่าสิ่งที่กลั้นเอาไว้กำลังจะออกมาในไม่ช้า สร้างความไม่เข้าใจถึงคำพูดที่บอกว่าไม่เป็นไรของมูคยอม

“หยุดนะ อ๊ะ คิมมูคยอม! ได้โปรด หยุดเถอะ!”

“ได้ แต่ฉันจะหยุดก็ต่อเมื่อนายปล่อยมันออกมา”

“อ๊า! อะ อ๊า!”

ร่างกายกระตุกสั่นอย่างรุนแรง ต้นขาที่เกี่ยวกระหวัดร่างกายส่วนบนของมูคยอมไว้ก็เพิ่มแรงรัดจนแนบแน่น

แกนกายในอุ้งมือมูคยอมขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนปลายหัวจะชุ่มโชกในชั่วพริบตา และปลดปล่อยมวลน้ำที่กลั้นไว้ออกมาในท้ายที่สุด

“ฮะ ฮื้อ อ๊า!”

ของเหลวที่ไม่ใช้น้ำกามไหลออกมาราวกับกำลังยืนยันคำพูดก่อนหน้าที่บอกว่าอยากไปห้องน้ำ น้ำสีใสพวยพุ่งเหมือนน้ำพุ ไหลตามหลังมือของมูคยอม ไปบนตัวของฮาจุน และหยุดลงที่ผิวโซฟา

เมื่ออาการปวดเบาที่กดกลั้นไว้จนถึงขีดสุดได้ถูกจัดการ ความรู้สึกดีที่เล่นงานจนทั้งร่างสั่นไหวก็ตีคู่มาพร้อมกับความกระดากอายที่พาให้มึนงงไปทั้งหัว แม้ร่างที่กระตุกเกร็งไปตามอารมณ์จะไร้เรี่ยวแรง แต่ฮาจุนก็พยายามหยุดยั้งของเหลวใสนั้นไว้ ทว่ามันก็ยังไม่หยุดไหลออกมาอยู่ดี เมื่อใช้แรงทั้งหมดที่มีเกร็งหน้าท้องส่วนล่างแล้วแต่กลับไม่เป็นผล ฮาจุนจึงยกมือขึ้นปิดหน้าในทันที

“ฮึก อื้อ… เพราะแบบนี้… ฉันเลยบอกให้หยุดไง…”

“ทำไมล่ะ ฉันชอบดูนะ บอกแล้วไงว่าถ้าอยากปล่อยก็ปล่อยออกมาเลย”

“อึก แล้วจะทำยังไงกับโซฟา…”

“…ยังมีแรงเหลือให้กังวลเรื่องโซฟาสินะ”

แกนกายฉุนเฉียวที่มุดกลับเข้าไปในตัวอีกครั้งทำเอาฮาจุนสะดุ้งเฮือก เขาเปิดปากกว้างและหายใจหอบถี่อย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อลองมานึกดู จนถึงตอนนี้มูคยอมยังไม่เสร็จเลยสักครั้ง

ความรู้สึกเมื่อท่อนเนื้อร้อนที่ตั้งชันและผิวสัมผัสขรุขระกระตุ้นผนังด้านในช้าๆ ทำเอาคนโดนกระทำรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอมละลาย ไม่ใช่แค่ในช่องท้องแต่ลามมาถึงศีรษะ ฮาจุนคิดว่าตัวเองไม่สามารถทนจนกว่ามูคยอมจะเสร็จได้เป็นอันขาด ทุกครั้งที่มูคยอมงัดแกนกายแตะโดนจุดอ่อนไหวด้านใน น้ำเหลวใสก็พุ่งกะปริบกะปรอยออกมาจากแกนกายของฮาจุนราวกับว่ายังปลดปล่อยออกมาไม่หมด และเมื่อไหร่ที่เป็นเช่นนั้นใบหน้าของฮาจุนก็เห่อร้อนจนเหมือนจะไหม้ทุกครั้ง

“ทะ ทำยังไงดี มันออกมาเรื่อยๆ เลย… ฮื้อ อ๊า!”

“ปล่อยไปตามความรู้สึก ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น…”

“อะ อ๊ะ อ๊า!”

“เรื่องเดียวที่คิดได้ คือเรื่องที่ฉันชอบนาย”

คำพูดนั้นหลอมละลายความคิดได้จริงๆ สินะ

มือของฮาจุนที่ปิดใบหน้าอยู่ในตอนแรกค่อยๆ ผละออก แล้วยกแขนขึ้นเกี่ยวหลังคอของมูคยอมที่กำลังก้มมองกัน จากนั้นมือใหญ่ก็โอบร่างที่นอนเอนอยู่ให้ขึ้นมานั่งบนตักของตัวเองอีกครั้ง เมื่อน้ำหนักตัวกดทับบนหน้าขาการสอดใส่ก็แทรกตัวได้ลึกกว่าเดิม แรงกระแทกที่สวนขึ้นอย่างรวดเร็วทำเอาฮาจุนสั่นสะท้านและหลุดเสียงครางยาวออกมา

จุดสุดยอดอันบางเบาคล้ายเสียงสะท้อนหนักหูซัดผ่านร่างกายของฮาจุนอยู่หลายระลอก น้ำสีใสที่ก่อนหน้าพวยพุ่งออกมาจนน่ากลัวว่าจะไม่หยุดตอนนี้กลับไม่ไหลออกมาแล้ว เมื่อเห็นว่าแกนกายของอีกคนที่ตั้งชันในตอนแรกเริ่มอ่อนตัวลง มูคยอมก็หยุดทุกการเคลื่อนไหว

“ฮะ…”

มูคยอมปล่อยลมหายใจยาวเหยียด พลางฝังจมูกลงบนต้นคอขาวอย่างที่ทำอยู่บ่อยๆ กลิ่นจากเรือนร่างของฮาจุนหอมหวานเสียยิ่งกว่าลูกกวาดเป็นไหนๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ฝังรดลงมา ฮาจุนก็ปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่งอย่างเหม่อลอย เขาตอดรัดแกนกายที่ยังคงสอดใส่อยู่ภายในและพิงกายที่เหนื่อยอ่อนลงตัวของมูคยอม

พักได้ไม่นาน ฮาจุนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาดที่แทรกตัวขึ้นมา ความร้อนรุ่มที่เหมือนเครื่องหมายบอกปลายทางยังคงหลงเหลืออยู่ ไร้ซึ่งคราบน้ำขาวขุ่นร้อนลวกที่ปลุกเร้าให้หลงคิดว่าช่องท้องคงจะล้นจนแน่น ตอนนี้ท่อนเนื้อที่สอดใส่อยู่ในช่องทางด้านหลังกำลังตั้งลำแข็งขืนเหมือนในตอนแรก และเจาะทะลวงเขามาในตัวของฮาจุน

จูบอุ่นร้อนพ่วงเสียงดังจ๊วบจ๊าบสร้างความรู้สึกจั๊กจี้บริเวณแก้ม สัมผัสนั้นทำให้ฮาจุนถึงกับต้องเผยอริมฝีปากขึ้น และหดไหล่น้อยๆ ราวกับว่ารู้สึกเสียว

“นายยังไม่เสร็จเลยนี่…”

ริมฝีปากที่จูบซับขึ้นมาบนพวงแก้มกระตุกยิ้ม

“เท่าที่นายไหวก็พอ ไม่ต้องแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ถ้าวันนี้ทำอย่างที่ฉันต้องการ จะไม่ดูเหมือนคนที่ไม่สำนึกไปหน่อยเหรอ ฉันแค่อยากลงโทษตัวเองบ้าง”

มูคยอมจับเอวคนตรงหน้าให้ตั้งตรงขณะที่พูด ฮาจุนครางแผ่วเมื่อสัมผัสได้ถึงความลื่นไหลเมื่ออีกคนพยายามดึงเอาแกนกายที่เสียบลึกอยู่ออก ทว่าคนบนตักกลับดื้อดึงกดตัวลงในตำแหน่งเดิมและลงไปนั่งแหมะอยู่บนต้นขาที่มั่นคงของมูคยอม

มูคยอมยักคิ้วขึ้นน้อยๆ กระนั้นฮาจุนกลับไม่สามารถเงยมองคนตรงหน้าได้ และเลือกที่จะพูดเสียงเบาออกมา

“เราควรเสร็จด้วยกันทั้งคู่สิ…”

“แต่นายเสร็จไปหลายครั้งแล้วนะ”

“เสร็จอีกก็ได้นี่”

แม้จะพยายามจะปล่อยตัวไปตามอารมณ์ และไม่คิดถึงเรื่องอื่น

แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถเอาชนะความเขินอายที่ก่อตัวขึ้นได้ เขาพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนเกือบจะเหมือนกระซิบ มูคยอมเหม่อมองคนตรงหน้าเหมือนคนสติหลุด และตัดสินใจสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขาเพื่อช้อนก้นของฮาจุน ก่อนจะลุกยืนขึ้น

“อ๊ะ…!”

“จับแน่นๆ เกร็งแขนไว้ด้วย”

เพราะอยู่ๆ ก็ถูกจับให้อยู่ในท่าทางที่ไม่มั่นคง ฮาจุนเลยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะตกจากอ้อมแขน เขาลืมกระทั่งว่าจะต้องบ่นมูคยอมว่าการทำแบบนี้อาจทำให้บาดเจ็บได้ และกลับใช้แขนกอดเกี่ยวมูคยอมให้แน่นขึ้นจนเนื้อตัวของทั้งสองแนบชิดกัน

เมื่ออุ้มฮาจุนให้เข้าที่เข้าทางมูคยอมก็เริ่มออกตัวเดิน ทุกครั้งที่ก้าวเท้าไปเขาก็ไม่ลืมที่จะขยับแกนกายที่สอดใส่อยู่ในช่องทางและออกแรงกระทุ้งเข้าช่องท้อง มูคยอมทำมันราวกับว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร กระนั้นความรู้สึกวาบหวามกลับต่างจากการหยัดสะโพกเข้าออกแบบปกติจนคนโดนกระทำสั่นหงึกไปถึงปลายคาง ฮาจุนเกาะเกี่ยวร่างกายที่โอบกอดตนเอาไว้และหลับตาดื่มด่ำไปกับสัมผัสที่ได้รับ

“ฮ้า…!”

เสียงครางของฮาจุนในตอนที่มูคยอมเริ่มเดินขึ้นบันไดผสมปนเปไปกับอารมณ์ร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เรียวแขนของเขาสั่นไหว อีกทั้งเรี่ยวแรงที่มีก็พลอยแต่จะหายไป แม้จะถูกอุ้มเอาไว้อยู่ แต่ฮาจุนกลับทิ้งทั้งตัวไปที่มูคยอมราวกับคนที่สลบไสล

ทุกครั้งที่ก้าวข้ามขั้นบันได ส่วนที่เชื่อมต่อกันอยู่ก็จะแนบชิดกันและถอนตัวออกเล็กน้อยวนไปมาแบบนี้ ร่างกายของฮาจุนเองก็ขยับขึ้นลงตามแรงเคลื่อนไหวนั้นด้วย ทุกฝีก้าวมอบสัมผัสที่สะเทือนไปถึงส่วนลึกในร่างกาย ทำให้ฮาจุนรู้สึกเหมือนว่าสติกำลังจะเลือนหายไปในไม่ช้า

หากเทียบกับการหยัดแกนกายเข้าออกตามปกติแล้ว ฮาจุนคิดว่าสัมผัสในท่าทางนี้ไม่ได้รุนแรงสักเท่าไหร่ ทว่าแรงสะเทือนที่วิ่งแล่นขึ้นมาจากปลายเท้าของมูคยอมกลับเป็นตัวการที่ก่อแผ่นดินไหวขนาดย่อมในตัวเขา ทุกครั้งที่คนกระทำขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นที่สูงกว่า ผนังนุ่มภายในก็ถูกทิ่มแทงด้วยท่อนเนื้อหนาและขรุขระอย่างไร้ทิศทาง

เมื่อทั้งร่างสั่นเทิ้มและแขนที่โอบอยู่เริ่มไร้เรี่ยวแรง ฮาจุนก็ตัดสินใจจิกนิ้วลงบนหลังของมูคยอมที่ปรากฏมัดกล้ามซึ่งเกร็งกว่าปกติ ขณะเดียวกันนั้นปลายแกนกายซึ่งยังไม่แข็งตัวเต็มที่ของฮาจุนก็กำลังปล่อยของเหลวเหนียวเหนอะเหมือนน้ำลายไหลลงมาตามความยาว

“ฮะ ฮ้าาา…”

น้ำลายไหลออกจากริมฝีปากที่เปิดออก กระนั้นฮาจุนก็ไม่สามารถปิดมันลงได้ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่การเกาะเกี่ยวร่างกายของมูคยอมเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แม้ระยะทางของบันไดสองชั้นจะไม่ได้ไกลมากนัก แต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นระยะทางที่ยาวราวกับว่าจะต้องเดินตลอดไป

เมื่อขึ้นมายืนอยู่บนพื้นราบมูคยอมก็เริ่มเคลื่อนฝีเท้าไปด้านหน้า หลังเสียงเปิดประตูดังขึ้นที่ด้านหลังของฮาจุน มูคยอมก็เดินไปนั่งลงบนเตียงนอน ก่อนยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของฮาจุนที่กำลังหายใจหอบถี่และเอนตัวเข้าหากัน

“ต้องมาปิดท้ายกันในห้องของฉันที่อีฮาจุนชอบสิ”

ไม่มีเวลาให้ได้ตั้งสติ ทันทีที่ฮาจุนเอนตัวลงบนเตียง มูคยอมก็เริ่มสอดใส่ตัวตนเข้าออกอย่างรุนแรงเพื่อที่จะไปแตะจุดสูงสุด ผนังด้านในที่โดนแกนกายตอกใส่เหมือนเสาเข็มเริ่มขยายตัวอ่อนนุ่มขึ้น จนปลายหัวสามารถแทรกตัวเข้าไปยังจุดที่ลึกกว่าเดิมได้

“อ๊ะ อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

“ฮู่ ฮะ อ่าา…”

เสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นห้องตามแรงสะโพกที่กระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง เคล้าคลอไปกับเสียงน้ำเฉอะแฉะเมื่อผนังภายในโดนกระทบเข้าออกอย่างรวดเร็ว การสอดใส่ที่ไม่ยั้งแรงทำเอาร่างกายที่ไวต่อสัมผัสจากการเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดของฮาจุนสั่นไหว จนสุดท้ายก็ระเบิดต่อมน้ำตาออกมา

ฮาจุนคิดว่าตอนนี้ความสามารถในการรับรู้ของตนกำลังลดน้อยลงจนรู้สึกว่าเสียงร้องไห้ของตัวเองเหมือนกับเสียงของใครอื่น ราวกับว่าถูกครอบงำ ฮาจุนสูญสิ้นซึ่งความรู้สึกตื้นตันรวมถึงความกระดากอาย เจ้าตัวพูดงึมงำ ขณะที่จะร้องไห้อยู่รอมร่อเหมือนกับเด็กตัวเล็กๆ

“อ่า อ๊ะ ชอบจัง ฮึก ช ชอบ ฉัน ชอบ…”

“ฮะ ฉันก็ ชอบมาก ฉันชอบนายจริงๆ นะ อีฮาจุน”

ขณะที่ความสับสนก่อตัวกระจัดกระจายอย่างบางเบาไปทั่วทั้งร่าง แขนของมูคยอมก็คว้าร่างของฮาจุนเอาไว้แน่น แล้วดึงเข้าหาตัวอีกครั้ง สัมผัสที่ได้รับเหนียวแน่นเหมือนกับตะขอที่เกี่ยวรั้งฮาจุนที่คิดจะหนีหาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขสมแสนหอมหวานที่พาให้ล่องลอย

ฉันชอบคิมมูคยอม และคิมมูคยอมก็ชอบฉัน ใช่ คิมมูคยอมก็…

ถึงแม้ว่าเขาจะแสร้งทำตัวสบายๆ แต่มูคยอมก็ถึงขีดจำกัดแล้ว คนคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปกป้องสุดชีวิตขนาดนี้

ถ้าเป็นคู่นอนคนแรก ดูเหมือนว่าประเด็นสำคัญคือในบรรดานักเตะในทีมซิตี้โซลนั้นไม่ได้มีแค่คนที่อายุน้อยๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นโค้ชหรือคนที่เขาผูกพันมานาน แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่คุณยุนแล้วล่ะก็…

“อย่าบอกนะว่าคืออิมจองคยู” มูคยอมจับไหล่ฮาจุนเอาไว้ขณะที่เบิกตาโพลงถามออกไป

แม้แต่คนที่รู้จักกันดีมากจนมูคยอมไม่สามารถวางไว้ในรายชื่อของผู้ต้องสงสัยก็ดูน่าสงสัยเช่นกัน

ไม่มีความเป็นไปได้ที่ระหว่างสองคนนี้จะทำเรื่องพรรค์นั้นในช่วง 10 ปีที่เขาไปอยู่ในประเทศอังกฤษ เมื่อมองย้อนกลับไป ถึงแม้ว่าจองคยูจะเป็นคนจุ้นจ้านที่ลิงโลดสนใจในทุกๆ เรื่อง แต่ก็มีสัญญาณที่จองคยูนั้นได้ให้ความสนใจฮาจุนเป็นพิเศษอีกด้วย แม้ว่าตอนนี้จองคยูจะสนใจแต่ภรรยาของตนเองเท่านั้น แต่จองคยูก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะแต่งงานโดยที่ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักสักหน่อย ฮาจุนพลอยเบิกตาโตไปกับมูคยอมด้วยเช่นกัน

“จะ…จะบ้าเหรอ ดูยังไงว่าจองคยูเหมือนคนที่จะนอนกับผู้ชาย”

“ก่อนที่จะเจอนาย ฉันก็ไม่คิดว่าจะนอนกับผู้ชายเหมือนกัน”

“ไม่ใช่แบบนั้น! นายไปสงสัยแม้กระทั่งจองคยูได้ยังไง”

“ยิ่งปฏิเสธหนักแบบนี้ก็ยิ่งน่าสงสัยน่ะสิ อิมจองคยู ฉันไม่ปล่อยไว้แน่ กล้าดียังไงมาทำให้…”

หลังจากพูดแบบนั้น ฮาจุนที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงกัดฟันกรอดของมูคยอมก็ปฏิเสธอีกครั้ง

“ไม่ใช่ ก็บอกว่าไม่ใช่อิมจองคยูไงเล่า”

“ไม่ต้องไปปกป้องมัน ไม่ว่าจะคิดยังไง คนที่น่าสงสัยในบรรดาคนที่ฉันกับนายรู้จักน่ะ นอกจากอิมจองคยูก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงละ ฟังฉันหน่อยสิ!”

ทันใดนั้น กระดูกที่โผล่ออกมาจากมือที่กำหมัดของฮาจุนก็กระทบเข้ากับหน้าผากของมูคยอมจนทำให้เกิดเสียงก้องเบาๆ มูคยอมที่โดนเขกหัวอย่างกะทันหันวางมือบนหน้าผากและขมวดคิ้ว เขาขึ้นเสียงราวกับว่ารู้สึกไม่ยุติธรรม

“นี่นายตีฉันเพราะเป็นห่วงอิมจองคยูใช่ไหม”

“ไม่ใช่อิมจองคยู อย่ากล่าวหาคนบริสุทธิ์!”

“ถ้าอย่างนั้นใครล่ะ”

อีฮาจุนถอนหายใจฟืดฟาดออกมายาวๆ แล้วเรียกชื่อเขา

“เฮ้อ… คิมมูคยอม”

“อะไร”

จากการย้อนถามนี้ ฮาจุนจึงดีดปลายนิ้วตีที่หน้าผากของมูคยอมอีกครั้งแล้วตะโกนออกมา

“ก็นายยังไงละ นาย!”

“ฉันทำไม”

“คนแรกของฉันก็คือนายไง!”

การพูดรัวไม่หยุดที่ใกล้เคียงกับการทะเลาะกันหยุดลงเหมือนลำโพงที่ถูกตัดเสียงอย่างกะทันหัน ห้องนั่งเล่นที่ไม่มีใครนอกจากพวกเขาสองคนนั้นเกือบจะเงียบงัน

มูคยอมลืมตาอย่างเหม่อลอยแล้วสบตากับฮาจุน ฮาจุนมองมาที่เขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นก้มหน้าลงทันทีและพยายามผลักมูคยอมออกไป อย่างไรก็ตาม มูคยอมกระชับแขนของเขาและท่ามกลางความโกลาหลนี้เขาก็จะไม่ยอมปล่อยฮาจุนไปแน่

ฮาจุนที่กำลังจะลงจากตักตีมูคยอมที่ไหล่ด้วยฝ่ามือจนมีเสียงดังแปะๆ ออกมา วันนี้เขาโดนตีไปกี่รอบแล้วนะ ถึงจะใช้มือตีเขาก็รู้สึกเจ็บแสบ ไหนบอกว่าจะไม่ตีอย่างไรล่ะ โกหกทั้งเพ

“ปล่อย”

“ไม่เอา”

แขนที่แข็งแรงงจับเอวของฮาจุนแน่น

“ทิ้งระเบิดเอาไว้แล้วจะหนีไปไหน พูดมาให้ชัดเลย คนแรกของนายอะไร ฉันงั้นเหรอ”

“…”

“จะเป็นฉันไปได้ยังไง เห็นได้ชัดเลยว่าครั้งแรกของพวกเราน่ะ…”

มูคยอมนึกถึงเหตุการณ์ในความทรงจำอย่างรวดเร็ว และย้อนกลับไปในคืนแรกที่เขาใช้เวลาอยู่กับฮาจุน

จากบรรยากาศที่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายหลบเลี่ยงเขา วันนั้นเป็นวันที่อีกฝ่ายเริ่มคุยกับเขาก่อน โดยเสนอตัวเป็นคู่ส่งบอลให้ ในครึ่งแรกของวัน เขาคิดว่าคงเป็นเพราะว่าพวกเขาจัดการอะไรๆ หลังจากที่จุนซองล้มเจ็บด้วยกัน ทำให้อีฮาจุนค่อยๆ หายน้อยใจเขาแล้ว

หลังจากที่ตากฝนรับส่งบอลให้กัน พวกเขาก็ไปอาบน้ำเพื่อที่จะได้กลับบ้าน แต่ก่อนที่จะออกจากอาคาร เมื่อเขาได้เห็นท่าทางของฮาจุนที่ปลอบโยนเขาอย่างนั้นอย่างนี้ และตอนนั้นเองที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของวันนั้น

โค้ชอีฮาจุนที่ใจดีกับทุกคน ให้คำปรึกษาที่ไม่น่ารำคาญ และเป็นที่นิยมในหมู่นักเตะ เพราะอีกฝ่ายคอยเชียร์ คอยให้ขวัญกำลังใจได้อย่างดีพอสมควร มูคยอมรู้สึกอึดอัดกับท่าทางของอีกฝ่ายที่เป็นกับเขาแค่คนเดียว เมื่อต้องพูดคุยกันมันก็เป็นไปได้อย่างลำบาก อีกทั้งยังไม่ยอมสบตากันตรงๆ ราวกับว่าถูกบีบบังคับให้ทำมัน

จูบที่เขาทำไปราวกับโยนหินถามทางในตอนนั้น ท้ายที่สุดแล้วมันก็ย้อนกลับมาหาเขา หลังจากนั้น ความรู้สึกที่ไม่เคยประสบมาก่อน ความปรารถนาที่จะมีเซ็กส์กับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็แผ่ปกคลุมมูคยอม และเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะยื่นข้อเสนอแก่อีกฝ่ายว่าให้ใช้เวลาสักคืนร่วมกัน

ฮาจุนตอบรับข้อเสนอโดยไม่ได้คิดนานนัก หลังจากการสนทนากันสั้นๆ รูปลักษณ์ด้านข้างของคนที่เดินเคียงข้างเขาช่างดูเฉยเมยไร้อารมณ์ใด มูคยอมจึงถามจึงคำถามเพิ่มเติม ณ ตอนนั้น

‘นายไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ครั้งแรกใช่ไหม’

‘อื้อ’

แน่นอนว่าฮาจุนตอบคำถามของเขาไปเช่นนั้น ที่บอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่นอนกับผู้ชาย และแม้กระทั่งที่เคยบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่วันไนต์แสตนด์อีกด้วย

เขาจำได้ถึงขนาดที่ว่าตนเองคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีประสบการณ์มาก่อน จึงขอให้สอน แถมอีกฝ่ายก็ยังยิ้มพลางตอบตกลงว่า “ได้สิ” มูคยอมขมวดคิดเล็กน้อย

“งั้นนายก็โกหกฉันเหรอ”

ฮาจุนไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของมูคยอม มีเพียงใบหน้าที่เขินอายและก้มศีรษะลงราวกับพยายามหลีกเลี่ยงการสบสายตา

ขณะที่ถามคำถาม เขาก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

เขาพาฮาจุนกลับมาที่บ้านและมีอะไรกันบนโซฟาตัวนี้ เห็นได้ชัดว่าการมีอะไรกับผู้ชายนั้นซับซ้อนกว่าการมีอะไรกับผู้หญิง ดังนั้นเมื่อเขาถามว่าจะต้องทำอย่างไร คำตอบของฮาจุนก็แสนจะเรียบง่ายอย่างคาดไม่ถึง

บอกว่าแค่ทำๆ ไป บอกว่าก็แค่ใส่เข้าไป…

“นายนี่มันจริงๆ เลย ทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

น้ำเสียงของมูคยอมเต็มไปด้วยความโกรธอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของฮาจุนที่รับรู้ได้ถึงวิกฤติขยับขึ้นแต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมา

ในตอนนั้น มูคยอมยังไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับผู้ชาย หรือการมีเพศสัมพันธ์จากทางด้านหลัง แม้จะไม่รู้ แต่คำพูดของฮาจุนมันฟังดูแปลก อีกฝ่ายเคยทำเรื่องแบบนี้บ่อยแค่ไหน ถึงขั้นที่บอกให้กระแทกเข้าไปเฉยๆ โดยไม่คิดอะไร เขาจึงกระเดาะลิ้นพลางเอาเจลออกมาจากกระเป๋า

ความตื่นเต้นที่ไม่เคยประสบมาก่อน ถ้าเกิดตอนนั้นเขาไม่มีความคิดที่จะใช้เจลหล่อลื่น ไม่รู้ว่าสภาพหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ในเซ็กซ์ครั้งต่อมา ฮาจุนจึงใช้มือของตนเองแยงเข้าไปในรูพลางบอกว่าต้องคลายด้านหลังก่อน

“เพราะตอนที่ทำครั้งแรกมันเจ็บ นายเลยทำอย่างนั้นสินะ” มูคยอมบ่นพึมพำอยู่คนเดียว เพราะคิดว่านั่นเป็นบริการจากอีกฝ่าย

“หา”

บอกว่าเจ็บจนจะเป็นลมอย่างนั้นเหรอ

ทำไมถึงจะไม่ใช่ล่ะ มูคยอมแค่ทาเจลลงไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ใช้มือช่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว จากนั้นก็เสียบลำกายเข้าไปเลย!

มูคยอมหัวร้อนขึ้นมาโดยทันที ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ถ้าในตอนนี้เขาทำกับฮาจุนที่เป็นคู่นอนกันโดยวิธีนั้น อีกฝ่ายคงต้องเจ็บแน่ๆ แค่ขบตรงผิวแรงๆ หน่อยก็แสร้งร้องบอกว่า ‘เจ็บ มันเจ็บ’ แล้วทำไมตอนนั้นถึงได้ทำแบบนั้นกัน

“เวรเอ๊ย ไอ้นั่นสมควรแล้วที่ขาจะหัก นายก็แค่ไล่ให้มันไปตายสิ!”

“คิมมูคยอม ได้โปรด! บอกว่าอย่าพูดแบบนั้นไง!”

“แล้วทำไมนายถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

รู้สึกเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นมาทั้งๆ ที่มันผ่านมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่ามันไร้ประโยชน์ที่มาถามเอาจนป่านนี้ แต่เขาก็ยังถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“พูดไปแบบนั้น แล้วถ้าเกิดว่าฉันทำให้นายเจ็บตัวจะว่ายังไง ฉันรู้ว่านายดื้อตอนที่กำลังรีบร้อน แต่นี่มันเกินไปนะ! ฉันก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นครั้งแรก แล้วฉันดูเหมือนเป็นคนที่ไม่สนใจคำขอคนอื่นแบบนั้นเหรอ เพราะงั้นนายถึงทำแบบนั้นเหรอ”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันไม่ได้โกหก”

“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไรล่ะ”

“ก็ถ้าบอกว่านี่เป็นครั้งแรก…”

เมื่อเอ่ยไปเช่นนั้น ฮาจุนก็กลืนน้ำลายแห้งและพูดต่อไปอย่างเศร้าหมองราวกับสารภาพความผิดของตนเอง

“ฉันคิดว่า…นายคงจะไม่ทำมันน่ะสิ”

ในครั้งนี้ มูคยอมอ้าปากเล็กน้อย และจับจ้องไปที่ใบหน้าของฮาจุนที่เต็มไปด้วยความลำบากอย่างโง่เขลา เขาต้องการที่จะแย้งทันทีว่ามันเป็นไปได้ด้วยเหรอ แต่เป็นเพราะคำพูดของอีกฝ่ายเขาจึงเกิดการย้อนถามกับตนเอง

สิ่งที่เขาต้องการในตอนนั้น คือต้องการที่จะทำให้มันดูสวยงาม แต่ในที่สุดมันกลับไม่มีความกดดัน และเป็นวันไนต์แสตนด์ที่แปลกใหม่ ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านั้น เขาคงจะหมดความตื่นเต้นไปแล้ว ถ้าหากฮาจุนบอกว่าคืนนั้นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของตนเอง

แต่ถึงจะอย่างนั้น คำโกหกเหล่านี้ก็ยัง… จะพูดว่าอย่างไรดีนะ มันเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดจนไร้เดียงสาหรือเปล่านะ

มูคยอมที่มองดูใบหน้าของฮาจุนอย่างตั้งอกตั้งใจเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงที่จริงใจเล็กน้อย

“อีฮาจุน”

“อื้อ”

“นอกจากฉันแล้ว…นายเคยคบกับคนอื่นไหม”

เขามองเห็นลูกกระเดือกของฮาจุนขยับ

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ แต่บรรยากาศตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนการสอบปากคำ มูคยอมโน้มหลังของอีกฝ่ายลงมาเพื่อจูบแก้ม และทันทีที่เลื่อนไปจูบที่ริมฝีปาก ริมฝีปากของฮาจุนก็เปิดออก

“ไม่…”

มูคยอมออกแรงดึงร่างที่อยู่บนขาของตนเองเข้ามากอด

“ฉันเป็นคนแรกที่มีอะไรกับนาย…แล้วจูบล่ะ”

“…อันนั้นก็ด้วย…”

“ออกเดตด้วยเหรอ”

“อือ…”

มูคยอมพ่นลมหายใจออกจากปากราวกับว่าพูดไม่ออก

บอกว่า 10 ปี หมายถึงอีกฝ่ายชอบเขามาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายถือว่าเขาสำคัญขนาดไหน แต่จนถึงเมื่อปีที่แล้วเขาก็ไม่ได้รู้จักคนที่ชื่อว่าอีฮาจุนเลย

มันเป็นความรู้สึกที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนไว้แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม เพราะเขาคิดว่าอีกฝ่ายก็ต้องใช้ชีวิตของตนเอง แน่นอนว่าจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้

แต่เป็นเพราะว่าฮาจุนมีใจให้กับมูคยอม อีกฝ่ายจึงไม่ได้มีความคิดเลื่อนความสัมพันธ์อื่นๆ เลยในตลอดระยะเวลาที่ยาวนานนั้น แต่สำหรับคนอย่างเขาแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ร่างกายกับใจไม่ตรงกันและไม่จำเป็นต้องตรงกันด้วย

เน้นย้ำหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่า ผู้คนสามารถดูได้เท่าที่รู้

มูคยอมขมวดคิ้วบางๆ ตาและสันจมูกที่ร้อนอยู่จนถึงเมื่อครู่นั้น ตอนนี้มันกลับเจ็บตื้อๆ

“ฉันถามว่าทำไมนายถึงทำตัวเหมือนเด็กโง่ล่ะ”

“คิมมูคยอม”

“นายไม่เสียดายเลยเหรอ”

ตัวเขาเองก็คิดว่าคิมมูคยอมเป็นคนที่พอใช้ได้นะเนี่ย ทั้งหล่อ ทั้งรูปร่างดี หาเงินก็เก่งอีกต่างหาก บางครั้งที่ไม่สามารถเอาชนะอารมณ์ของตัวเองได้เลยสบถคำหยาบ แต่บางครั้งทำเรื่องดีๆ บ้างประปราย และเขาก็ยังมีความคิดแบบมืออาชีพในฟุตบอลอาชีพของเขา เขามีทั้งความซื่อสัตย์ ทั้งความสามารถอันโดดเด่นและเลือดนักสู้

แค่นั้นแหละ ในความสัมพันธ์ที่ใช้ร่างกายพัวพันกันอย่างใกล้ชิดนั้น เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองมีค่าพอที่จะได้ครอบครองช่วงเวลาพิเศษครั้งแรกของใครบางคน เขาไม่เคยถือว่าคู่นอนนั้นพิเศษ ดังนั้น เขาจึงได้มอบตำแหน่งสิ่งของที่ใช้แล้วทิ้งสำหรับคู่นอนของเขา

แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับมูคยอมแล้ว หัวใจของฮาจุนนั้นเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่เขาไม่รู้จักจนไม่กล้าที่จะได้รับหรือทำให้หล่นหายไป แค่ช่วงนั้นมันก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่นอนคนแรกที่มีค่าและพิเศษของอีกฝ่าย

ดังนั้น ถ้าหากว่าเขารู้ความจริงเข้า มันอาจจะกลายเป็นเหมือนที่ฮาจุนเคยกังวล สมกับที่เป็นโค้ชอีฮาจุนที่เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขามาเป็นเวลากว่า 10 ปี อีกฝ่ายช่างรู้จักเขาดีจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถโกรธและตำหนิอีกฝ่ายที่ทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตนเองได้ ลูกธนูแห่งความโกรธพุ่งมาที่เขา ที่เป็นได้แค่ไอ้ลูกหมาที่ถูกสาปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“ตีสิ”

“หา”

“ตีอีก เขกหัวฉันอีกไหม นายอยากเตะอยากต่อยก็ทำตามใจนายเลย ตีให้เท่ากับที่นายเจ็บ หรืออย่างน้อยก็เขกหัวฉันไปเลยสักร้อยที”

“อย่าพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย เป็นเพราะว่าฉันไม่พูดออกไปตรงๆ แล้วนายคิดว่าฉันควรจะทำแบบนั้นกับนายเหรอ…”

เมื่อมองดูฮาจุนที่เอ่ยท้ายประโยคนั้นนอย่างแผ่วเบา มูคยอมก็โน้มแก้มของอีกฝ่ายเข้ามาแล้วก็ประกบริมฝีปากลงไป ริมฝีปากที่สารภาพผิดนั้นร้อนอย่างคาดไม่ถึง และริมฝีปากของอีกฝ่ายที่คงเปียกชื้นเพราะความร้อนเมื่อครู่นั้นซีดและแห้งผาก

มูคยอมเลียริมฝีปากอย่างรวดเร็วราวกับพยายามทำให้เปียกอีกครั้ง จากนั้นจึงแหย่ลิ้นของตนเองเข้าไปข้างใน ฮาจุนจูบตอบด้วยความผ่อนคลาย เพราะโล่งใจที่รอดพ้นจากคำถามที่ยุ่งยากไปได้

“ฮู่ อื้อ…”

เขาโน้มตัวไปด้านข้างแล้ววางฮาจุนลงบนโซฟาช้าๆ โดยที่ไม่ผละริมฝีปากออกไป เมื่อท่าทางที่เปลี่ยนไปโดยไม่บอกล่วงหน้า ฮาจุนจึงจ้องมองที่มูคยอมด้วยสีหน้าที่สับสนเล็กน้อย

มูคยอมมองย้อนกลับไปในความทรงจำที่ไหลเวียนในหัวของเขา สถานการณ์ในตอนนั้นก็เหมือนกับตอนนี้ เขาวางอีกฝ่ายลงบนตักแล้วก็ประกบจูบลงไป จากนั้นก็จับฮาจุนเอนลงบนโซฟาแล้วก็ดูดยอดถันของอีกฝ่ายเล็กน้อย

“อื้อ อ้าา!”

ฮาจุนครวญครางในขณะที่เขาละเลงลิ้นเหนือตุ่มบวมที่ถูกกัดและดูดในห้องน้ำไปแล้ว ยอดถันบวมแล้ว ถ้าหากเขาลูบไล้แรงไปก็อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บได้ พอเลียซ้ำไปซ้ำมาราวกับปลอบขวัญหลายๆ ครั้ง เสียงครวญครางก็พรั่งพรูออกมาอย่างหนักหน่วง

ลำกายที่ค่อยๆ หดลงไประหว่างที่คุยกันกลับมามีชีวิตอีกครั้งและชูชันอย่างมั่นคงด้วยการลูบไล้สั้นๆ มูคยอมมองลงไปยังร่างกายของอีกฝ่ายนิ่งๆ และวางมือลงบนรอยเปื้อนที่ใกล้กับกระดูกเชิงกรานของอีกฝ่าย ในตอนนั้นฮาจุนใส่เสื้อยืด อีกฝ่ายดึงชายเสื้อลงมาพลางเอ่ย

‘ไม่อยากเห็นใช่ไหม ขอโทษนะ ถ้าไม่ถอดออกหมดนายก็คงไม่เห็น’

เขาได้ตอบไปว่าเขาไม่สนใจมันหรอก ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นอุปสรรคในการมีอะไรกันหรือเปล่านะ

เขาจำไม่ได้ว่าตนเองตอบว่าอะไรกันแน่ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดในสิ่งที่เขาควรจะพูด

“คิมมูคยอม…”

ทันทีที่เขาไม่ขยับ ฮาจุนจึงเรียกชื่อเขาราวกับแปลกใจ

จุ๊บ มูคยอมประทับรอยจูบลงบนรอยแผลนั้น เขาประทับริมฝีปากลงไปหลายๆ ครั้งแล้วจึงถอนจูบออกมา ฮาจุนมองลงมาที่เขาด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร มูคยอมจึงเงยหน้าขึ้นและสบตาอีกฝ่าย

“ในตอนครั้งแรกนายพยายามที่จะไม่ให้ฉันเห็นตรงนี้ใช่ไหม”

“…มันดูน่าเกลียดนี่นา”

“ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดว่ามันน่าเกลียดเลยนะ”

ในตอนนั้นเขาควรจะพูดออกไปแบบนี้แท้ๆ บอกว่าไม่ใช่ว่าไม่อยากมอง เขาแค่ค่อนข้างตกใจเล็กน้อย

ลิ้นค่อยๆ เลื่อนไปตามรอยเปื้อนสีเข้มที่ไร้นูนคลื่น ที่ๆ อีกฝ่ายบอกว่าประสาทสัมผัสตาย ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย แต่ทว่าฮาจุนกลับตัวสั่นราวกับตกใจในการใช้ลิ้นลูบไล้เบาๆ นี้ เสียงของมูคยอมกระจัดกระจายราวกับสายลมที่พัดผ่านผืนดินเล็กๆ อันแห้งแล้ง

“ตอนนี้…ฉันคิดว่าตรงนี้ก็สวยเหมือนกัน”

“…”

“นายไม่ชอบที่ฉันพูดแบบนี้เหรอ”

ฮาจุนส่ายหน้าอย่างรีบร้อน

มูคยอมดึงร่างของฮาจุนขึ้นมาอีกครั้ง และเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับซ้อนทับกัน ริมฝีปากของพวกเขาประสานกัน ในขณะเดียวกับที่แหย่ลิ้นเข้าไปข้างในริมฝีปากนั้นนั้น เขาก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างบั้นท้ายของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

กล้ามหน้าท้องกระตุกอย่างสั้นๆ หลังจากที่ถูกสัมผัสมาเป็นเวลานาน ช่องทางด้านหลังก็ไม่มีอะไรให้คลายอีกแล้ว ร่างกายที่ทั้งนุ่มนวลและที่เคยโหมกระหน่ำก่อนที่จะเกิดการหลั่งก็ยังคงไม่ได้ปลดปล่อยความร้อนออกไป มันจึงทั้งเหนียวหนึบและอุ่นร้อน เมื่อขยับนิ้วไปตามผนังด้านใน เขาก็จะได้ยินเสียงหวานครางออกมาดังๆ จากริมฝีปากที่ประกบจูบกันอยู่

“นายก็เป็นผู้ชายคนแรกของฉันเหมือนกัน”

จากคำพูดนั้น ฮาจุนจึงกะพริบตา ทำให้หางตาของอีกฝ่ายดูเหมือนพระจันทร์เสี้ยวพลางตอบ

“ฉันรู้”

“หลังจากนั้น นายเป็นคนแรกที่ฉันเคยหลับนอนบนเตียงเดียวกัน”

“อื้อ”

“นายเป็นคนแรกที่ฉันบอกว่าชอบ”

“…”

“มันเป็นครั้งแรกของฉัน แต่ทุกอย่างมันดีมาก”

“ฉันด้วย…มันดีมาก” เสียงเล็กๆ พรั่งพรูออกมาบริเวณเหนือศีรษะ

จากนั้นมูคยอมก็ลืมตาขึ้นและถามออกไปพลางเสยเส้นผมบนหน้าผากไปทางด้านหลัง

“ครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง”

“ครั้งแรกเรื่องอะไร”

“เซ็กส์”

ทันใดนั้นฮาจุนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ถามอะไรเนี่ย… ฉันไม่ค่อยชอบคุยเรื่องแบบนี้เลย”

“ฉันเองก็ผ่านเรื่องนี้มามากพอแล้ว ฉันไม่หึงกับเรื่องที่ผ่านมาหรอกน่า แค่สงสัยก็เลยลองถามดูน่ะ”

เขาตอบโดยแทรกคำโกหกเล็กน้อยและจูบลงบนแก้มของฮาจุนที่ปิดปากเงียบอยู่อย่างไม่ลังเล มูคยอมจึงถามต่อ

“ครั้งแรกของนายก็เป็นผู้ชายเหรอ”

“…อืม”

“เป็นยังไงบ้าง ครั้งแรกดีเหมือนกับตอนนี้ไหม”

จากคำพูดนั้น ฮาจุนก็หัวเราะอย่างเจื่อนๆ และตอบอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นราวกับว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล

“เจ็บ”

“จริงเหรอ”

“ใช่ มันเจ็บมากจนเกือบจะเป็นลมเลย”

ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างราวกับตกใจ จากสีหน้าของเขา ฮาจุนจึงค่อยๆ ใช้นิ้วดันหน้าผากของมูคยอม และลุกขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับว่ามีอะไรน่าอายพลางกล่าวเสริม

“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดี”

“…”

“ฉันไปอาบน้ำนะ”

ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาก็จะตามอีกฝ่ายไปพร้อมกับขอให้อาบน้ำด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพที่ช็อกเล็กน้อย จึงได้แต่ผงกศีรษะรับคำและไม่สามารถคว้าฮาจุนได้เลย

ปัง หลังจากได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลง คิ้วของมูคยอมก็เริ่มขมวดขึ้นมาอย่างช้าๆ

บอกว่าเจ็บอย่างนั้นเหรอ

เกือบเป็นลมเพราะเจ็บ ไม่ใช่เพราะเสียวอย่างนั้นเหรอ

นั่นมันหมายความว่าอย่างไรน่ะ บอกว่าแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดีอย่างนั้นเหรอ

น้ำมันที่ค่อยๆ หยดลงทีละหยดถูกเทลงบนประกายไฟเล็กๆ ในทันที มูคยอมกัดฟันกรอดเมื่อใจเริ่มลุกเป็นไฟราวกับคบเพลิง

ไอ้ลูกหมาตัวไหนกัน เขาจะไปฉีกอกมัน

เมื่อนึกถึงที่ฮาจุนบอกว่าสำหรับฮาจุนแล้วประสบการณ์ครั้งแรกมันเป็นอะไรที่พิเศษ แต่ความรู้สึกแรกที่นึกออกคือมันเจ็บปวดมากจนแทบจะเป็นลมอย่างนั้นเหรอ

การที่จะทำให้ร่างกายที่รู้สึกดีได้ง่ายเจ็บปวดก็เป็นพรสวรรค์ที่น่าตกใจ ดูท่าทางแล้วคงเป็นผู้ชายที่ไม่รู้เรื่องเซ็กส์เสียด้วยซ้ำ ฮาจุนมีอะไรกับผู้ชายพรรค์นั้น แต่บอกว่าถึงอย่างนั้นมันก็ดีอย่างนั้นเหรอ ไอ้ตัวไหนกันวะ

มันทำเขาโมโหจนน้ำตาแทบจะไหลเลย ไอ้หน้าด้าน ไม่ยอมยกโทษให้แน่ เขาอยากสืบให้รู้ว่ามันเป็นใคร เขาอยากจะแก้แค้นให้สาสมจนกว่ามันจะร้องไห้อ้อนวอนขอร้อง!

มูคยอมพรวดพราดลุกขึ้นยืนจากโซฟาพร้อมกับความโกรธและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาเดินไปยังห้องอาบน้ำอย่างรวดเร็วแล้วเปิดประตูออกมา ทันใดนั้น ฮาจุนที่ยืนเปียกอยู่ด้านล่างฝักบัวที่เพิ่งปิดก็เอ่ยทักทายมูคอมด้วยรอยยิ้ม

“นายก็จะอาบเหมือนกันเหรอ”

ใบหน้าใสที่มีหยดน้ำเกาะอยู่นั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บหัวใจ มูคยอมเดินเข้าไปหาฮาจุนและกอดร่างกายที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย ราวกับว่าฮาจุนคุ้นเคยกับการกอดอย่างกะทันหัน อีกฝ่ายจึงโอบแขนรอบหลังเอวของมูคยอมทันทีพลางถอนหายใจออกมา

“เสื้อผ้านายเปียกหมดแล้วนะ…”

ท่าทางนั้นมันช่างน่าเอ็นดู มูคยอมจึงกระชับแขนพร้อมกอดให้แน่นขึ้น

“นายคงลำบากมากสินะที่ได้เจอกับไอ้สถุลพวกนั้น อีฮาจุน”

“อะไรนะ”

“ในอนาคตจะมีแต่กลีบดอกไม้โรยไว้ใต้เท้านายนะ เพราะว่าฉันจะทำให้เอง ลืมพวกไอ้ลูกหมาที่เคยพบเจอก่อนหน้านั้นเถอะ ไอ้คนแรกของนาย ไอ้คนที่ทำให้นายต้องเจ็บด้วย”

“…อือ…”

“ใช่ ฉันรู้ ที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้ทำดีกับนาย แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องเซ็กส์ของพวกเรามันก็เข้ากันได้ดีนี่นา ว่าไหม”

“อะ อือ ใช่”

ฮาจุนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ถ้าจะให้บอกออกไปอย่างสบายๆ ว่าอันที่จริงก็ไม่เคยทำดีอะไรแล้วล่ะก็ สิ่งที่มูคยอมเคยทำตัวขยะๆ ก็แย่ในระดับกองที่ทิ้งขยะเลยละ แต่อย่างไรก็ตาม ฮาจุนก็สนับสนุนคำพูดเขาด้วยความกระฉับกระเฉงอย่างน่าเอ็นดูมากขึ้น และในขณะเดียวกันความโกรธของมูคยอมที่มีต่อไอ้คนชาติหมาก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน

“ใจจริงแล้วสำหรับไอ้ลูกหมาที่เป็นคนแรกของนายน่ะ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังอยากตามหาแล้วทำให้มันวิงวอนร้องขอโทษที่ทำให้นายต้องเจ็บอยู่เลย ถ้าเกิดว่ามันเดินๆ อยู่แล้วโชคร้ายล้มคะมำจนขาหักก็คงจะดี”

“คิมมูคยอม อย่าพูดแบบนั้นสิ! ไม่รู้หรือไงว่าพูดแล้วมันจะกลายเป็นจริงน่ะ”

ฮาจุนตกใจพลางทำหน้าเคร่งขรึมต่อว่ามูคยอม มูคยอมจึงขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม

“แค่พูดถึงคนที่ผ่านมาแล้วทำไมต้องทำหน้าเคร่งขรึมขนาดนั้นด้วย ถึงอย่างนั้นแล้วนายก็ยังอยากที่จะเข้าข้างคู่นอนคนแรกอีกเหรอ”

“เข้าข้างอะไร ถ้าฉันจะเข้าข้างแล้วมีปัญหาอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่จะไปพูดกับคนอื่นโดยไม่คิดแบบนี้นี่นา”

น้ำเสียงของฮาจุนที่ดูสับสนนั้นหนักแน่นขึ้น

“ไหนว่าจะไม่หึงกับเรื่องที่ผ่านมาไงล่ะ”

“…ไม่ได้หึง ไม่ได้หึงสักหน่อย โกรธต่างหาก”

จริงๆ นะ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเจอผู้ชายมามากพอก่อนที่จะเจอเขา ดังนั้นมันจะมีเหตุผลอะไรกันที่เขาต้องหึงคนในอดีตที่เขาเองก็ไม่รู้จักแม้แต่ใบหน้าของคนคนนั้น เหนือสิ่งอื่นใด เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพูดถึงเรื่องราวในอดีต

แต่ว่าฮาจุนควรจะได้เจอผู้ชายที่ดีกว่านี้ ต่างกับตัวเขาที่มักจะอยู่ใช้เวลาแค่คืนสองคืนแล้วก็จบความสัมพันธ์ เขามีความสุขมากที่อีกฝ่ายบอกว่ามันพิเศษเพราะว่าเป็นครั้งแรก แต่เขาคิดว่าเขาก็คงไม่อารมณ์เสียหรอก ถ้าหากอีกฝ่ายอวดว่าคนที่เคยเจอในสมัยก่อนซื้อของที่อร่อยกว่านี้ให้ แน่นอนว่าถ้าอีกฝ่ายพูดไปแบบนั้นเขาก็ต้องหึงแน่นอน เขาพยายามที่จะแผดเผาเอาชนะพวกผู้ชายในอดีตของฮาจุน

ตอนนี้แทนที่จะอิจฉา เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังโกรธราวกับว่าตนเองได้กลายเป็นอีฮาจุนที่มีประสบการณ์ครั้งแรกอย่างไม่เป็นธรรม ใช่แล้ว นี่มันต่างจากการหึงหวงแน่นอน!

“ไอ้คนนั้นมันหล่อกว่าฉันไหม”

“ไม่ เลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ”

“รวยกว่าฉันไหม”

“ไม่”

“ของมันใหญ่กว่าฉันเหรอ”

“ไม่…”

“แล้วมีส่วนไหนที่ดีกว่าฉันไหม”

“ไม่มีหรอก แล้วตอนนี้ก็เลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ เพราะครั้งแรกมันก็ทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ”

พูดไม่ออกเลย ไอ้สารเลวที่ไม่ได้ดีไปกว่าเขา ทำให้ฮาจุนเสียประสบการณ์ครั้งแรกที่พิเศษไปแบบนั้น…

อีกฝ่ายบอกเขาว่าอย่าพูดเรื่องนี้มากกว่านี้อีกเลย เขาจึงไม่เอ่ยอะไรอีก แต่ข้างในใจเขาสาปแช่งไอ้คนนั้นพลางกอดเอวของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนมองไปที่ใบหน้าของมูคยอมนิ่งๆ และถอนหายใจออกมาเบาๆ

“นายยังคิดเรื่องนั้นอยู่ล่ะสิ”

“เปล่าสักหน่อย”

“ฉันไม่น่าเล่าให้นายฟังเลย ฉันโง่สินะที่เชื่อคำของนายที่บอกว่าแค่สงสัยก็เลยลองถามดู”

มูคยอมลังเลราวกับหาข้อแก้ตัว จากนั้นจึงยักไหล่

“เมื่อกี้ฉันสงสัยจริงๆ เลยลองถามดู แต่พอนายบอกว่าเจ็บ ฉันก็เลยโกรธน่ะ”

“…ฉันเห็นบนอินเทอร์เน็ต เขาบอกว่าปกติครั้งแรกก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องโมโหหรอก”

“อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นครั้งแรก แต่ถ้าหากทำดีๆ มันก็คงไม่ถึงขั้นที่จะบอกว่าเจ็บเป็นคำแรกหรือเปล่า นายไม่จำเป็นต้องคิดในแง่ดีขนาดนั้นหรอก ไอ้สารเลวที่ทำให้ประสบการณ์ครั้งแรกของคู่นอนไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากรู้สึกเจ็บก็คือไอ้ลูกหมาตัวหนึ่งนั่นแหละ มันเป็นคนที่ไม่มีธุระอะไรที่ต้องได้เจอกันอีก เอาเป็นว่าด่ามันหน่อยก็แล้วกัน ถ้าขาหักมันหนักไป งั้นเอาเป็นแขน…”

มูคยอมที่กำลังจะพูดว่าถ้าแขนมันหักก็คงจะดีนั้นถูกฮาจุนเอามือปิดปากไว้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของฮาจุนเต็มไปด้วยความพะวักพะวนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

เป็นคนดีจนเกินไป นี่มูคยอมอ่อนไหวขนาดที่ว่าถ้าได้ด่าคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเจอกันสักครั้งมันจะทำให้เขาอารมณ์เย็นลงเลยเหรอ

“ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้น อย่าแม้แต่คิดด้วย”

เขาไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้เพราะถูกปิดปากเอาไว้ มูคยอมขมวดและเลิกคิ้วเพื่อถามออกไปว่า ‘แค่ด่าก็ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ’ ฮาจุนกลอกตาครู่หนึ่งราวกับกังวล จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างประหม่าเล็กน้อย

“คิมมูคยอม ฟังฉัน แล้วก็ไม่ต้องตกใจนะ”

“…”

“ก็เพราะว่าคนๆนั้น เป็นคนที่นายเองก็รู้จักยังไงละ เพราะงั้นฉันเลยไม่อยากได้ยินนายด่า”

จากคำพูดนั้นมือของมูคยอมก็คว้าข้อมือของฮาจุนเอาไว้โดยทันที

“บอกว่าเป็นคนที่ฉันรู้จักงั้นเหรอ ใคร”

หรือว่านายยูนเหรอ ไม่สิ ไม่ใช่ว่านายบอกว่าไม่มีอะไรไม่ใช่หรือไง หนึ่งในพวกที่มาเกาะแกะอยู่บ่อยๆ อย่างนั้นเหรอ หรือไม่ก็สตาฟ อย่าบอกนะว่า…โค้ชจอง

คนที่ฮาจุนเองก็รู้จักและเขาก็รู้จักมีแค่ตัวแทนทีมหรือสมาชิกทีมซิตี้โซลเท่านั้น ในบรรดาคนที่พบปะแล้วทักทายกันโดยไม่คิดอะไร อาจจะมีคนที่เขาต้องการฆ่าปะปนอยู่ในนั้นด้วยก็ได้

“รู้แค่นี้ไม่ได้เหรอ ไม่ต้องรู้หรอกว่าเป็นใคร”

“ฉันต้องรู้”

ขณะที่เอ่ยคำพูดเหล่านั้น แขนข้างหนึ่งของมูคยอมก็โอบเอวของฮาจุนแน่นขึ้น เมื่อการกอดที่นุ่มนวลเปลี่ยนไปเป็นการกอดรัดอย่างแน่นหนาราวกับถูกคุมขังไว้ ทำเอาฮาจุนหอบหายใจอย่างเร็ว

มืออีกข้างของมูคยอมเลื่อนลงไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย นิ้วเรียบลื่นราวกับมัจฉาไล้ไปบนหลังอันเปียกชื้นของฮาจุน ริมฝีปากของมูคยอมที่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยนั้นขบเข้าที่ใบหูแล้วสอดลิ้นเข้าไปด้านใน

ร่างกายของฮาจุนอ่อนแรงไปกับเสียงและการสั่นสะเทือนที่กระตุ้นโสตประสาทของตนเองโดยตรง ฮาจุนเอามือไปคล้องคอมูคยอมไว้อย่างรีบร้อน มูคยอมกระซิบข้างใบหูของฮาจุนที่กำลังครวญครางและเอนตัวพิงร่างกายของเขาอย่างไร้ซึ่งหนทางเพราะการเล้าโลมที่ได้เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

“ได้โปรดบอกฉันหน่อยนะ ฉันไม่ไประรานหรอก จะรู้แค่ฉันคนเดียวและจะไม่เข้าไปถามด้วย”

“ฮื่อ งั้น ก็ไม่จำเป็น ตะ ต้องรู้ นี่นา…”

“ก็ฉันบอกว่าสงสัยยังไงละ!”

เมื่อพูดอย่างนั้น มูคยอมก็ดึงฮาจุนเข้ามากอดอย่างแนบแน่นอีกครั้ง

“อีฮาจุน ลองคิดกลับกันดู ถ้าหากพวกเราทั้งคู่ต่างก็รู้จักกับคนที่นอนกับฉันเป็นคนแรก นายจะสงสัยหรือเปล่าว่าคนคนนั้นเป็นใคร”

ดวงตาของฮาจุนสั่นเทาราวกับรู้สึกสับสนกับคำพูดนั้น มูคยอมเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น อีฮาจุนก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถปฏิเสธคำถามนี้ได้เลยว่าตนนั้นไม่สงสัย เพราะว่าบ่อเกิดของความอยากรู้อยากเห็นก็เหมือนกับสัญชาตญาณ

“สงสัยใช่ไหมล่ะ”

“…”

“ถ้าพูดขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมบอกเนี่ยถือว่าเป็นการทรมานเลยนะ ถ้าหากว่านายไม่บอก ฉันก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ จนกว่านายจะยอมบอก”

* * *

น้ำที่ไหลหยดลงติ๋งๆ มาจากปลายผมเปียกราวกับภาพวาดล้างหมึกนั้นตกลงบนช่องว่างของเรือนร่างที่เปลือยเปล่า ฮาจุนกังวลเพราะดูเหมือนว่าโซฟาจะมีราคาแพง

ฮาจุนมองดูคราบบนโซฟาและออกแรงบนมือที่วางบนไหล่ของมูคยอม ในไม่ช้า ความกังวลเรื่องคราบน้ำที่ดึงความสนใจนั้นก็หายไปจากความรู้สึกนึกคิดของเขา

“ฮ้า อื้อ…”

เสียงครางที่ออกมาดูเหมือนกับเสียงร้องไห้ แกนกายที่ชูชันถูกนวดถูในมือของมูคยอม มันเป็นการใช้มือสำเร็จความใคร่ที่ไร้แรงกดดันเพราะอีกฝ่ายทำเพียงแค่จับมันเบาๆ แล้วรูดถูมันเท่านั้น

“ฮ้า” ลมหายใจที่พรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากของมูคยอมกระทบใบหูของเขา และในขณะเดียวกัน นิ้วทั้งสี่ที่เพิ่งเข้ามาทำเอากลืนคำพูดในคราแรกกลับเข้าไปอย่างช้าๆในเวลาเดียวกัน กล้ามหน้าท้องเรียบแบนของฮาจุนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะการเคลื่อนเข้าไปที่ไม่รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่สิ มันค่อนข้างช้าเกินไปเลยด้วยซ้ำ

“ฮื่อ อื้อ คิมมูคยอม ตะ ตอนนี้ พอได้แล้ว…”

ครั้งหนึ่งด้านหน้า อีกครั้งหนึ่งด้านหลัง ฮาจุนได้รับการกระตุ้นที่เนิบช้าและนุ่มนวลมาหลายครั้งแล้ว ยอดถันที่เคยถูกดูดมาสักพักก็บวมขึ้นแล้ว ช่องทางด้านหลังที่เปียกชื้นตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำก็ค่อยๆ รับนิ้วทีละนิ้ว มันคลี่บานออกมาถึงแม้ว่าจะไม่ใช้เจลหรือสารหล่อลื่นอย่างอื่นเลยก็ตาม ตอนนี้ช่องทางด้านหลังกลืนกินนิ้วยาวทั้งสี่ของมูคยอมได้โดยไม่ยาก ราวกับอวดว่าได้เข้ามาจนถึงสุดทางแล้ว

นิ้วที่เคลื่อนไปจนสุดด้านในค่อยๆ งอเข้ามา และขูดเกาด้านในอย่างไม่สาแก่ใจ มันเป็นจุดที่ปกติแล้วมูคยอมจะขยับข้อมือเร้าจนเกิดเป็นเสียงเฉอะแฉะที่ทำให้ฮาจุนหูอื้อ แต่ในวันนี้นิ้วของมูคยอมเฉียดจุดจุดนั้นไปมาหลายครั้ง แต่เขาไม่แม้แต่จะขยับมือหรือเลื่อนให้ไปโดนจุดนั้นเลยสักครั้ง

“ถ้านายสารภาพ ฉันจะหยุดโดยที่นายไม่ต้องอ้อนวอนเลย”

มูคยอมกระซิบขณะที่ลูบแกนกายขึ้นมาอย่างสั้นๆ ด้วยมืออีกครั้ง ฮาจุนชักเอวของตนเองออกไปด้านหลังและพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัส แต่มือที่จับแน่นอยู่ระหว่างบั้นท้ายของฮาจุนยังคงไม่ไหวติง ดังนั้นมันจึงไม่มีช่องทางให้หลบหนีไปไหนได้เลยไม่ว่าจะทางด้านหน้าหรือด้านหลัง

“ฮ้า อื้อ…!”

นิ้วหัวแม่มือถูเบาๆ ที่ด้านบนของส่วนหัวที่เกิดการหลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาก่อนการหลั่งน้ำอสุจิ และนิ้วที่อยู่ในช่องทางด้านในก็ยังคงนิ่งและไม่ขยับเขยื้อน ท้องน้อยรู้สึกชาและปวดเมื่อยอย่างหนักมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสปลดปล่อยความร้อนออกมาได้อย่างปกติ

ฮาจุนคงจดจ่ออยู่กับการอดทนต่อการกระตุ้นอันรุนแรงที่ไม่สามารถรับมือได้เสมอ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฮาจุนได้รับการเล้าโลมเบาๆ เป็นเวลานาน ฮาจุนไม่รู้ว่าจะจัดการกับความสุขและความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้อย่างไร จึงเอาหน้าไปซบที่ไหล่ของมูคยอม แผ่นหลังและปลายนิ้วของอีกฝ่ายถูกวางพาดไว้บนไหล่ของเขา จากนั้นอีกฝ่ายก็ขมิบด้านหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อรู้สึกว่านิ้วหลุดออกไปจากร่างกาย

“อ๊ะ อ้าา…”

“ขืนทำแบบนี้ก็คงเสร็จสินะ”

มูคยอมที่พึมพำราวกับพูดกับตัวเองใช้มือใหญ่ทั้งสองข้างของตนเองจับบั้นท้ายแล้วกางมันออกพร้อมบีบนวด

มัน ไหล่ของฮาจุนสั่นสะท้านทุกครั้งที่ปลายนิ้วสัมผัสกับทางเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มูคยอมเลื่อนริมฝีปากไปชิดที่ใบหูและกระซิบออกมา

“ยังไม่คิดที่จะบอกอีกเหรอ ไม่อยากเสร็จหรือไง”

“ปะ เปล่า อยาก อยากเสร็จ…. อ๊ะ ฮื่อ”

“ถ้านายยอมบอก ฉันจะทำให้นายเสร็จเอง รูของนายมันร้อนแค่ไหนกันเนี่ย ดูเหมือนว่านิ้วของฉันมันจะละลายไปหมดเลยนะ”

ฮาจุนส่ายหน้าเบาๆ ราวกับไม่อยากได้ยินคำพูดลามก อย่างไรก็ตาม มูคยอมไม่ยอมปล่อยใบหูและดึงร่างของฮาจุนเข้ามาชิดตนเองอีกขั้นหนึ่ง เมื่อบั้นท้ายสัมผัสกับขาหนีบของเขา สิ่งที่ลุกขึ้นราวกับอาวุธก็ถูไถที่บริเวณฝีเย็บ

เมื่อลำกายที่ชูโด่ขึ้นไปด้านบนอย่างแข็งทื่อเสียดสีเข้ากับบริเวณระหว่างบั้นทายอย่างลับๆ มันจึงทำให้เกิดการจินตนาการถึงการสอดแทรกที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ “หยุดแกล้งฉันได้แล้ว อีฮาจุน” มูคยอมพูดต่อราวกับบ่น

“ใคร ใคร…อ๊ะ อ้า!”

“ฉันเองก็อยากจะเสียบเข้าทางด้านหลังนายเร็วๆ เหมือนกัน ถ้าฉันกระแทกเข้าไปแล้วขยับล่ะก็ ตอนนี้นายก็คงจะสลบไปแล้ว ไม่ถึง 5 วินาทีก็คงแตกด้วยซ้ำ”

“อ้า อย่าพูดแบบนั้น….”

ฮาจุนมุดเข้าไปในอ้อมอกของมูคยอม มุมที่หลบซ่อนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นมันจะน่ารักมากขนาดไหนกันนะ เพราะท่าทางตอนนี้มันเหมือนกระต่ายภูเขาที่มุดหัวและยื่นบั้นท้ายออกมาเลย

“อีฮาจุนเหรอ”

ฮาจุนยืนอยู่ในเสาฝั่งตรงข้ามที่มองไม่เห็นได้จากโต๊ะที่เขาอยู่ มูคยอมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังทำตัวประหม่าราวกับถูกจับได้

“นายมาทำอะไรที่นี่”

“…เพราะว่าคนจากสถานีโทรทัศน์มา ฉันเป็นห่วงนายเลยแวะมาดูสักพักน่ะ เผื่อว่าจะมีปากเสียงกัน…”

“คนที่จะทะเลาะด้วยไม่แม้แต่จะมาด้วยซ้ำ คนที่มาคือผู้ประกาศข่าวที่เจอเมื่อตอนนั้นน่ะ”

“ฉันรู้ ได้ยินเสียงแล้ว”

ฮาจุนยื่นใบหน้าออกมาจากหัวมุมเพื่อที่จะหันไปมองด้านหลัง มูคยอมจึงรีบโอบไหล่ของอีกฝ่ายให้หันไปมองด้านหน้า

“รีบไปกันเถอะ ในระหว่างฝึกซ้อมไม่ควรออกมานานอย่างนี้สิ”

เสียงที่น่าอึดอัดใจด้วยความไม่สบอารมณ์ออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มที่ออกมาจากสนามฝึกซ้อมตามอำเภอใจ สุดท้ายฮาจุนก็ไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลัง มูคยอมจึงกอดคอของอีกฝ่ายเดินออกจากประตูไป ตอนที่เดินคู่กันไปนั้น เขาหันไปมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย

มูคยอมดูเหมือนจะไม่สนใจ แต่ในวันนี้เขาได้ผูกเชือกรองเท้าของใครสักคนอีกครั้ง สำหรับตัวเขาแล้วมันอาจจะไม่มีอะไร แต่ความมีน้ำใจที่เหมาะสมที่สุดในเวลาที่จำเป็นที่สุดนั้นผู้รับจะจดจำมันเอาไว้เป็นเวลานาน

นี่มันเป็นส่วนที่ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นได้นอกจากบอกว่าเป็นอะไรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่านะ ถึงแม้ฮาจุนจะไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับแม่ของมูคยอมมากนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าบางทีมูคยอมอาจจะมีนิสัยที่คล้ายกับแม่ก็ได้ ต่างจากที่มูคยอมยืนกรานว่าเขานั้นคล้ายกับพ่อ

“คิมมูคยอม”

“หืม”

“ในความคิดฉัน ฉันว่านายไม่ต้องพยายามอย่างไร้ความความหมายเพื่อที่จะใช้ชีวิตหรอก นายใช้ชีวิตตามที่นายต้องการเลย ไม่จำเป็นต้องพยายามใช้ชีวิตแล้วนึกถึงพ่อไปด้วยเลย”

“ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”

“ก็แค่…นึกได้น่ะ”

มูคยอมมองฮาจุน ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ และก่อนที่จะเข้าไปในสนามฝึกซ้อม พวกเขาก็จูบกันอย่างรวดเร็วในมุมอับของอาคารที่ผู้คนมองไม่เห็น ฮาจุนเบิกตากว้าง แต่มูคยอมกลับยิ้มแล้วกลับไปกอดคออีกฝ่ายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อย่างไรก็ตาม ฉันชอบนะที่มันดูเหมือนคำชม”

“นายอย่าทำอะไรแบบนี้พร่ำเพรื่อสิ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร”

ฮาจุนที่มีใบหน้าแดงก่ำดุมูคยอมราวกับว่าตัวเขาวุ่นวายใจจริงๆ ที่มูคยอมทำเช่นนั้น ในขณะที่มูคยอมพูดอย่างหน้าไม่อายว่าบรรดานักเตะที่อังกฤษก็จุ๊บกันบ่อยนั้นเงียบไปทันทีเมื่อโดนขู่ว่า ถ้าขืนทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วล่ะก็คงยากที่พวกเขาจะอยู่ทีมเดียวกัน

* * *

หน้าจอกลายเป็นสีดำและเครดิตตอนจบก็ปรากฏขึ้นมา ฮาจุนจ้องมองไปที่หน้าจอด้วยสีหน้าว่างเปล่าราวกับยังคงตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่หลงเหลืออยู่ มันไม่ได้เป็นหนังที่แย่ แต่มูคยอมก็ไม่อาจตกอยู่ในห้วงอารมณ์เฉกเช่นฮาจุนได้ เพราะวันนี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการมองดูสีหน้าของฮาจุนมากกว่าดูหนัง

เมื่อฉากที่ตลกขบขันปรากฏขึ้นมา เขาหัวเราะแล้วหันไปดูว่าฮาจุนกำลังหัวเราะอยู่หรือเปล่า และเมื่อฉากเศร้าปรากฏขึ้นมา เขาก็หันไปดูเผื่อว่าฮาจุนจะร้องไห้ อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับขมวดคิ้วและจดจ่ออยู่กับหน้าจอ ฮาจุนที่ยิ้มออกมาทีหลังหันไปมองมูคยอม

“ที่นี่ดีจัง ฉันว่าดีกว่าดูที่โรงหนังอีก เราสามารถพูดคุยกันโดยไม่ต้องสนใจคนอื่น และมีแค่เราสองคนเท่านั้น”

“ใช่ไหมล่ะ เบาะก็สบาย เทียบกับเก้าอี้ในโรงหนังเลยหรือเปล่านะ”

“จากที่ดูแค่หนังแอคชั่น มันก็นานมาแล้วที่ฉันได้ดูหนังสบายๆ แบบนี้ สนุกกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย คงต้องดูหนังแนวนี้บ่อยๆ แล้ว”

แม้ว่ามูคยอมจะได้พบเจอกับผู้หญิงมานับไม่ถ้วนในสถานที่หรูหราในตอนกลางคืน แต่มูคยอมแทบไม่มีประสบการณ์ในการทำสิ่งใดที่พอจะเรียกว่าการออกเดตได้เลย และเมื่อคืนหลังจากทั้งคู่เล่าเรื่องสัพเพเหระจบร่างทั้งสองก็ซ้อนทับกันอีกครั้งและรุนแรงกว่าในครั้งแรกเสียอีก ขณะที่ฮาจุนผล็อยหลับไปขณะที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของมูคยอม ระหว่างนั้นเขาก็ศึกษาหลักสูตรการออกเดตอย่างขยันขันแข็งให้สมกับเป็นชายหนุ่มวัย 26 ปีทั่วๆ ไป

หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมของวันนี้ มูคยอมก็พาฮาจุนไปที่ซีเล็คต์ช็อปที่เขาจองเวลาส่วนตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนอื่นเลยก็ต้องซื้อเสื้อผ้าก่อน เขาบอกให้อีกฝ่ายเลือกรถที่อยากได้ได้เลย แต่กลับถูกปฏิเสธโดยบอกว่าไม่เป็นไร และเขายังพยายามให้บัตรเครดิตกับอีกฝ่ายเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ใช้มันได้อย่างตามใจชอบ แต่อีกฝ่ายบอกว่ามันมากเกินไป มูคยอมจึงยอมแพ้เพราะฮาจุนปฏิเสธด้วยความเกรงใจจนถึงวินาทีสุดท้าย

เพราะฮาจุนกลัวว่าถ้าเอาเสื้อผ้าและรองเท้าราคาแพงแบบนี้ที่ซื้อมานั้นกลับบ้าน ครอบครัวก็คงจะคิดว่ามันแปลกๆ อีกฝ่ายเลยตัดสินใจเก็บมันไว้ที่บ้านของมูคยอม ดีเสียอีก เพราะฮาจุนจะได้ไปนอนที่บ้านของเขาบ่อยขึ้น พรุ่งนี้เขาคิดว่าคงต้องเรียกคนมาจัดห้องอีกห้องหนึ่งให้กลายเป็นห้องแต่งตัวของฮาจุน

พวกเขาไปทานอาหารในร้านอาหารส่วนตัวที่จองไว้ล่วงหน้า และสุดท้ายก็ไปดูหนังกลางแจ้งในรถยนต์ส่วนตัว มันเป็นการออกเดตที่ค่อนข้างเรียบง่าย เป็นครั้งแรกเลยที่เขามาที่แบบนี้ แต่เขาก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่ฮาจุนดูมีความสุขมาก

ทันทีที่เอียงตัวไปจูบ ฮาจุนไม่แม้แต่จะปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังอ้าปากต้อนรับเขาอย่างอ่อนโยนอีกต่างหาก ถ้าเป็นในโรงหนัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนแต่ก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี เพราะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องกล้องวงจรปิด

“ฉันเพิ่งเคยมาที่แบบนี้เป็นครั้งแรก คนเยอะเลยจังเลยนะ”

ฉันเองก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน มูคยอมตอบฮาจุนในใจ และฟังอีกฝ่ายพูดด้วยความสุขใจ ทันใดนั้น จากคำพูดนั้นก็ทำให้รู้เขารู้สึกติดใจ

“นายเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเหรอ”

“อืม ร้านอาหารที่เพิ่งไปมาตะกี้ก็ครั้งแรกเหมือนกัน มันแพงมากเลยใช่ไหม ไวน์รสชาติดีมากเลยละ”

มูคยอมยิ้มออกมาอัตโนมัติกับคำพูดของฮาจุนที่บอกว่าไวน์รสชาติดี ทันทีที่อีกฝ่ายจิบเข้าไปเพียงแค่อึกเดียว ตาก็เบิกโตขึ้น และถึงแม้ว่าจะดื่มไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่รสชาติมันก็ต่างจากที่เคยดื่มไปอย่างสิ้นเชิง เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสไวน์แสนอร่อยอย่างนี้ และยังคงรู้สึกประทับใจกับรสชาติของมันอยู่เรื่อยๆ

เมื่อมองดูท่าทางเช่นนั้น ถึงจะบอกว่าไม่เคยกินแต่ก็รับรู้ได้ถึงรสชาติได้เป็นอย่างดี ที่จริงแล้วโค้ชอีต้องฉลาดมากแน่ๆ คราวหน้าสงสัยเขาต้องเตรียมคอร์สชิมให้ตั้งแต่แรกเลย

“เงินแค่ไม่เท่าไรน่า ได้โปรดอย่าคิดที่จะประหยัดเงินของฉันเลย คิดจะใช้มันหน่อยเถอะนะ เพราะว่านายบอกว่าจะไม่รับบัตรเครดิตของฉัน เพราะงั้นถ้าหากว่านายอยากไปที่ไหน อยากกินอะไร มีของที่อยากได้ หรือมีที่ที่จะใช้เงินแล้วละก็นายต้องบอกฉันนะ แล้วนายไม่มีที่ที่นายอยากไปอีกเหรอ”

“ไม่รู้สิ… อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอก ฉันชอบหมดเลย ไม่ว่าจะทำอะไร หรือว่าไปที่ไหน ทุกอย่างก็แทบจะเป็นครั้งแรกหมดเลย”

“ทำไมนายถึงเคยทำทุกอย่างเป็นครั้งแรกล่ะ ไม่เคยออกเดตเหรอ”

ฮาจุนยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย

“อือ… แทบจะไม่เลย”

สีหน้านั้นช่างน่ารักน่าชัง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจเช่นกัน ผู้ชายที่พบเจอมาจนถึงตอนนี้คงไม่ใช่แค่คนสองคน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ลองทำอะไรเป็นครั้งแรกเยอะขนาดนี้กันนะ มูคยอมใช้ชีวิตโดยที่ไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเซ็กส์ แม้ว่าจะคิดถูก แต่เขาก็ไม่คิดว่าฮาจุนจะเป็นอย่างนั้น

พอได้รู้จักแล้ว เขาก็คิดว่าฮาจุนนั้นเป็นลูกวัวที่มักมีความสัมพันธ์แค่ชั่วข้ามคืนโดยที่ไม่ให้ใครรู้ แต่โดยพื้นฐานแล้วคนที่อ่อนโยนและจริงใจกับผู้อื่น อีกฝ่ายคงจะมีแต่ความสัมพันธ์แบบนั้นเสมอไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเจอแต่คนแบบไหน ถึงแทบไม่เคยออกเดตเลย

ไอ้ระยำคนไหนมันถึงกล้าทิ้งอีฮาจุนไปได้กันนะ

ทันทีที่เริ่มนึกถึงเรื่องนี้ ทรวงอกก็รู้สึกร้อนขึ้นอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงความจริงที่ว่า เขาคงจะอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจของฮาจุนอยู่เสมอและมันก็ปลอบประโลมความรู้สึกโกรธของเขาเอาไว้ได้ พวกมันเป็นแค่คนรักที่เคยคบอยู่แค่ช่วงหนึ่ง เป็นแค่เศษทิชชู่เช็ดจมูกเท่านั้นละ

ฮาจุนเบิกตาขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังประเมินมูคยอมอยู่และเอ่ยถามออกไป

“นายกำลังคิดเรื่องอะไรแปลกๆ อยู่ใช่ไหม”

“อะไร ฉันจะไปคิดเรื่องอะไรได้ล่ะ เปล่าหรอก”

รถได้ออกไปทีละคันสองคัน มูคยอมเองก็รีบสตาร์ตรถอย่างรวดเร็วราวกับกำลังเปลี่ยนเรื่อง

“ไปบ้านฉันได้ใช่ไหม”

“อื้อ”

“ค้างนอกบ้านสองวันติดกันแล้วนะ แม่ของนายไม่ว่าอะไรเลยเหรอ”

“ช่วงนี้แม่ฉันคลั่งนายมาก แม้ฉันจะบอกว่าอยู่บ้านนาย แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังบอกให้นายไปหาที่บ้านอีก”

“คุณแม่เป็นคนที่น่ายกย่องจริงๆ แค่เห็นครั้งแรกฉันก็รู้เลย”

รู้สึกดีขึ้นมาในชั่วพริบตา

“วันนี้ก็เป็นวันที่พิเศษสินะ เพราะว่าได้มาที่นี่กับฉันเป็นครั้งแรก” มูคยอมเอ่ยขึ้นมาในขณะที่รถกำลังแล่นบนถนน

“แน่นอนสิ ไว้ฉันจะเขียนมันในไดอารี่”

“นายเขียนไดอารี่ด้วยเหรอ”

“อืม ฉันเขียนที่นายพูดอะไรประหลาดๆ กับฉันไว้ในนั้นหมดเลย”

“นายล้อเล่นใช่ไหม”

แทนที่จะตอบฮาจุนกลับเอาแต่ยิ้ม เหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เมื่อดูจากที่อีกฝ่ายจดบันทึกเป็นปกตินั้น ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย บทสนทนาจึงดูน่าหวาดเสียวขึ้นมา เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะลืมสภาพอันน่าเกลียดในอดีตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มีความเป็นไปได้ที่มันอาจจะถูกจดบันทึกเอาไว้… ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เขาจะต้องฉวยโอกาสนี้และเผามันทิ้งเสีย

อย่างไรก็ตาม มาคิดในทางที่ดีกันเถอะ อีกฝ่ายบอกว่าอะไรก็ตามที่เป็นครั้งแรกนั้นมันพิเศษ คือเรื่องของบรรดาผู้ชายที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา

พวกเขาจอดรถในลานจอดรถ และทั้งคู่ก็ขึ้นลิฟต์เคียงข้างกัน มูคยอมกำลังจะเอาคีย์การ์ดไปวางทาบที่ประตูหน้า แต่ฮาจุนหยุดเขาโดยการคว้าเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน”

“อะไร”

ในระหว่างที่มือของมูคยอมหยุด ฮาจุนก็หยิบกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋าของตนเอง ซึ่งในนั้นมีคีย์การ์ดที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเขาไม่ได้ให้อีกฝ่ายเลย แต่กลับเพิ่งให้วันนี้

กระเป๋าเงินของฮาจุนเข้าไปใกล้เครื่องตรวจจับ มีเสียงปลดล็อกดัง ‘ติ๊ด’ ออกมา แม้ว่าจะเปิดประตูออกมาแล้ว แต่ฮาจุนก็แอบยิ้มจนหน้าแดงระเรื่อ คงเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเขินอายกับการกระทำของตนเอง

“ฉันเปิดประตูบ้านของนายละ”

จากนั้นมูคยอมที่จ้องฮาจุนโดยที่ยังเบิกตากว้างก็รีบวิ่งตามฮาจุน และเขาก็ได้ถอดรองเท้าและกอดไหล่ฮาจุนก่อนที่จะเดินเข้าไป

ทันทีที่เขาจูบลงบนแก้มขาวนวลของอีกฝ่าย ผิวของฮาจุนก็อุ่นขึ้นในทันที ในที่สุดพวกเขาก็ประกบริมฝีปากกัน ลมหายใจร้อนก็ทำให้อุณหภูมิร่างกายของกันและกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในการจูบโดยที่ไม่ทันตั้งตัวนั้น ฮาจุนกลั้นหายใจราวกับรู้สึกงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็คล้องคอของมูคยอมและต้อนรับชายหนุ่มที่พุ่งเข้ามาหาตนเองด้วยแรงที่เหมือนกับสุนัขที่พยายามจะเข้ามาเลียหน้า เสียงของมูคยอมที่บ่นพึมพำปนออกมาจากริมฝีปากที่ประกบจูบสั้นๆ

“เป็นเพราะนาย ฮ่าา ฉันเลยไม่สามารถเดาได้เลยว่าจะมีอารมณ์ที่ไหนได้ หรืออย่างไร”

“แล้วทำไมตอนนี้นายถึงได้คึกคักล่ะ…”

เลือดไหลเวียนไปจนสุดศีรษะเพราะการตำหนิที่ปะปนมากับการหายใจหอบเป็นระยะๆ แขนของมูคยอมยกขึ้นพร้อมกับรองรับเอวและบั้นท้ายของฮาจุน จากนั้นจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปยังห้องนั่งเล่น

อีกฝ่ายโค้งตัวลงอย่างฉุกละหุกและฮาจุนก็พูดเหน็บแนมใส่มูคยอมขณะที่ทิ้งน้ำหนักลงบนตัวเขา

“ฉันเองก็มีเท้าเหมือนกัน ทำไมนายถึงเอาแต่อุ้มล่ะ ตัวฉันก็ไม่ได้เบานะ อย่าเอาแต่อุ้มบ่อยๆ สิ ถ้าอวดว่ามีแรงแล้วเอวเคล็ดขึ้นมาจะทำยังไง”

“ถ้าอย่างนั้นอีฮาจุนจะขึ้นไปข้างบนและก็ขย่มเอวให้น่ะสิ”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ อย่าคิดว่าการบาดเจ็บมันเป็นเรื่องเล็กๆ สิ”

“โอ้ แฟนของฉันช่างเบาบางราวกับขนนก”

ฮาจุนหัวเราะอย่างพูดไม่ออกกับคำพูดนั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกเลยราวกับหมดความตั้งใจที่จะโต้เถียง

ขณะที่สวมกอดค้างเอาไว้อย่างนั้นแล้วก็นั่งลงบนโซฟา มูคยอมไล่จูบตั้งแต่หน้าผากที่เกลี้ยงเกลาลงไปจนถึงสันจมูก ใต้ตา แก้มและริมฝีปาก ใบหน้าที่เคยบวมขึ้นมาชั่วครู่กลายเป็นเหมือนกลีบกุหลาบอันอ่อนนุ่ม มูคยอมถอนหายใจและซบใบหน้าลงบนท้ายทอยของฮาจุน

“ทำไมนายถึงได้น่ารักขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้”

“ฉันไปทำอะไรอีกล่ะ”

“เด็กก็ไม่ใช่ นายภูมิใจเหรอที่ได้เปิดประตูด้วยตัวเอง”

จากนั้นใบหน้าของฮาจุนก็แดงระเรื่อขึ้น

“ก็เพราะว่าเป็นครั้งแรกน่ะสิ ฉันเกรงว่าจะเป็นแบบนี้ทุกวัน”

แถมยังน่ารักอีกด้วยที่บอกว่าชอบเพราะว่าเป็นครั้งแรก โอเค สำหรับผู้คนแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีทั้งแรกทั้งนั้น และคนที่คิดว่าครั้งแรกมันพิเศษก็ได้อยู่ตรงนี้แล้ว

แต่ไม่ใช่ว่าคำวิสามานยนามที่มีคำว่า ‘แรก’ นั้น มีอยู่หลายคำหรอกเหรอ รักแรก จูบแรก ก้าวแรก ประสบการณ์แรก…

“…”

เมื่อคิดถึงตรงนั้น ความคิดของมูคยอมก็ค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ

มูคยอมที่หยุดจูบราวกับเครื่องจักรที่แบตเตอรี่หมดหลังจากที่พูดเสียงดังพลางประกบริมฝีปาก ตอนแรกฮาจุนรออย่างอดทน แต่เมื่อความเงียบงันมันยาวนานขึ้น อีกฝ่ายจึงจ้องมองมาที่เขาอย่างสงสัย

“คิมมูคยอม”

เป็นครั้งแรกที่ความสับสนถาโถมเข้าใส่มูคยอมอย่างกะทันหัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานขนาดนั้น แต่เขาก็เพิ่งรู้ว่ามีอะไรหลายอย่างบนโลกใบนี้ที่เขายังไม่เคยประสบมาก่อนเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม มูคยอมก็คิดว่าตัวเองเป็นชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่ได้ผ่านอุปสรรคมาอย่างมากมายเมื่อเทียบกับอายุของเขา ความสับสนต่างๆ ที่เขารู้สึกเมื่อได้เจอกับฮาจุน ยังคงเป็นประสบการณ์แรกทางจิตใจที่ทั้งแปลกใหม่ ทั้งน่าอายและเขาเองก็ไม่อยากมองย้อนกลับไปในตอนนั้น แต่ก็มันก็เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง

ประสบการณ์ทางร่างกายครั้งแรกของเขาเป็นอย่างไรเหรอ ก่อนที่จะเดินทางไปยังลอนดอน จุนซองอยู่กับมูคยอมในฐานะผู้ปกครองของเขา และเจ้าตัวเองก็เป็นเด็กวัยรุ่นใสๆที่วันๆเอาแต่ออกกำลังตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอกลับถึงบ้านก็รีบเข้านอนแต่หัววัน ไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศไม่เคยแม้แต่จะจูบด้วยซ้ำนับประสาอะไรกับการมีเซ็กส์

คู่นอนคนแรกของเขาคือผู้ประกาศข่าวกีฬาที่เจอกันในงานปาร์ตี้ที่มูคยอมไปกับเพื่อนร่วมงานหลังจากย้ายมาที่กรีนฟอร์ดได้ไม่นาน ปรากฏว่าความสัมพันธ์ของเขากับเธอ ผู้ที่โด่งดังในฐานะนักฆ่านักเตะหน้าใหม่ที่กำลังมีชื่อเสียงนั้นเป็นความสัมพันธ์เพียงแค่คืนเดียว

เธอมีโด่งดังในเรื่องที่ไม่เหลียวหลังให้กับผู้ชายที่เธอนอนด้วย และอย่าว่าแต่เสียใจกับทัศนคติแบบนี้เลย เพราะดูเหมือนว่ามูคยอมจะได้รับการสอนว่ามีวิธีการแบบนี้ด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวอื้อฉาวอันน่าดึงดูดใจก็เริ่มสยายออกมาราวกับปีก ดังนั้นสำหรับมูคยอมแล้วเซ็กส์ครั้งแรกมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากการเริ่มต้น กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร

ต่างจากฮาจุน

ความหมายของความสัมพันธ์ครั้งแรกต้องยิ่งใหญ่สำหรับฮาจุน ผู้ที่รักแม้แต่ครั้งแรกที่เล็กน้อยที่สุด ดังนั้นความทรงจำในครั้งนั้นจึงจะต้องบันทึกอยู่ในหัวอันพิเศษของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี บางครั้งอาจได้ลิ้มรสสิทธิพิเศษของการถูกเรียกว่าเป็น ‘คนแรก’ จากดวงตาที่ราวกับอัญมณีก็ไม่อาจรู้ได้ อีกฝ่ายคงบันทึกลงไดอารี่ด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก

แม้ว่าจะรู้สึกอิจฉา แต่ครั้งแรกที่ผ่านไปแล้วนั้นจะไม่หวนกับคืนมา ไม่ว่ามูคยอมจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเป็นคนแรกที่พิเศษของอีกฝ่ายได้

คนแบบไหนกันนะ คนที่โชคดีคนไหนกันที่ได้เป็นคู่นอนคนแรกของอีฮาจุน

เมื่อเขาเริ่มเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก็เหมือนกับว่าความอิจฉาที่เคยหยุดลงไปจากตอนที่ดูหนังกลางแจ้งในรถกำลังแผดเผาหัวใจของเขา ถ้าหากว่าไม่ตัดสินใจที่จะตั้งใจปิดบัง ความในใจของมูคยอมก็จะเปิดเผยออกมาอย่างง่ายดาย ฮาจุนสังเกตเห็นความไม่พอใจ อีกฝ่ายจึงถอนหายใจและถามออกมา

“คิดอะไรอยู่ทำไมไม่พูด”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“ไม่ได้คิดอะไร แต่ทำไม จู่ๆ ถึงทำตัวเหมือนแบตเตอรี่หมดอย่างนี้ล่ะ”

“ฉันแค่กำลังคิดว่าจะเริ่มจูบจากตรงไหนดี”

หลังจากที่มูคยอมพูดเช่นนั้น เขาก็จูบที่หางตาอีกครั้ง และฮาจุนก็เอาแขนโอบรอบคอของมูคยอมราวกับเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ริมฝีปากที่ประทับที่หางตาเลื่อนลงมาที่แก้มเรียบเนียน เขาประทับมันลงไปอีกครั้ง และลากยาวลงไปถึงลิ้นจนนำไปสู่การจูบที่ลึกล้ำ ในระหว่างนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันสักพัก

มูคยอมเงยหน้าขึ้นเมื่ออากาศในห้องนั่งเล่นที่จริงๆ แล้วอุณหภูมิไม่เคยเปลี่ยนแปลงเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมา เขาลูบใบหน้าขณะที่หลับตาซุกอยู่บนท้ายทอยอันอบอุ่นของฮาจุนและพูดออกมาราวกับพึมพำ

มูคยอมที่ได้รับคะแนนหัวเราะราวกับเด็กหนุ่ม และบุกเข้าใส่อีกครั้ง เพราะเมื่อครู่พวกเขาทำไปเพียงแค่รอบเดียว ทันใดนั้นฮาจุนที่นอนรับน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายก็นึกขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า

“ทำในห้องนายไม่ได้เหรอ”

“ห้องฉันเหรอ”

“ไม่ทำตรงนี้นะ ไปทำที่ห้องนอนนายกัน ฉันยังไม่เคยลองเข้าไปเลยสักครั้ง”

“มันไม่ค่อยมีอะไรนะ อยู่ชั้นสอง ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปหรอก”

อย่างไรก็ตาม มูคยอมก็พยักหน้าและไม่ห้ามปรามอีกต่อไป จากนั้นก็พยุงตัวขึ้นมาก่อน และอุ้มฮาจุนที่ยังนอนอยู่บนเตียงทันที ฮาจุนรู้สึกตกใจจึงเอาแขนโอบรอบคออีกฝ่ายไว้

“ปล่อยเลยนะ! เมื่อกี้ก็ด้วย ข้อเท้านาย!”

“มันดีขึ้นแล้ว”

จนถึงเมื่อวานนี้อีกฝ่ายยังลุกไม่ได้และขอให้เขาจับมือ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด มูคยอมอุ้มฮาจุนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินขึ้นบันไดของบ้านที่มีเพดานสูงและเปิดประตูหนึ่งบานในโถงทางเดิน

ห้องสไตล์โมเดิร์นและเรียบง่ายที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องของฮาจุนประกอบไปด้วยชั้นวางของ โซฟาขนาดเล็ก แล็ปท็อปบนโต๊ะทำงาน แล้วก็มีโทรทัศน์ขนาดใหญ่พอที่จะเอาไว้ในห้องนั่งเล่นได้ ในทำนองเดียวกัน ห้องที่ทันสมัยและเรียบง่ายที่ไม่มีการตกแต่งขนาดใหญ่นี้ก็ดึงดูดสายตาของฮาจุนเอาไว้

มูคยอมยิ้มแล้ววางเขาลงบนเตียง

“ไม่ค่อยมีอะไรเลยใช่ไหมล่ะ บ้านหลังนี้ฉันเอาไว้อยู่แค่ชั่วคราวเลยไม่ได้ตกแต่งดีๆ”

หลังจากนั่งเงียบๆ ฮาจุนก็แย้มรอยยิ้มอย่างสดใสขณะที่ฝากฝังใบหน้าของตนเองไว้ที่หมอนบนเตียง เมื่อเห็นเช่นนั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูคยอม

“ฉันไม่ได้มาชมห้องสักหน่อย มันดีเพราะเป็นที่ที่นายใช้นอนทุกวันต่างหาก อยากถ่ายรูปแล้วเอามาตัดแปะไว้จัง”

“อยากถ่ายก็ถ่ายสิ นายเป็นคนแรกที่เดินเข้าห้องนอนพร้อมกันกับฉันเหมือนกัน”

“งั้นเหรอ”

ดวงตาของฮาจุนเปล่งประกาย มูคยอมมองไปที่ฮาจุนราวกับว่าเขาน่ารัก

“ทำไม ชอบใจเหรอที่ได้เป็นคนแรก”

“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงการได้เป็นคนแรกมันก็พิเศษกว่านี่นา”

มูคยอมนั่งลงบนเตียงแล้วเอนตัวลง พวกเขาสบตากันอีกครั้ง มูคยอมจึงกระแอมขึ้นมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงใจเล็กน้อย

“อีฮาจุน ฉันจะไม่มีทางเป็นแบบนั้นเป็นอันขาด ฉันจะไม่เป็นแบบไอ้คนนั้น ฉันสัญญา”

“อืม… ก่อนอื่นเลย ฉันเป็นคนประเภทที่ค่อนข้างใช้กำลังและค่อนข้างแรงเยอะ… ไม่ว่านายจะทำอะไร มันจะไม่เป็นอย่างที่นายคิดหรอก”

ทันใดนั้นเองมูคยอมก็หัวเราะออกมา เขาใช้มือลูบไล้แก้มของฮาจุน

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ตั้งแต่แรกแล้วที่ฉันคิดว่านายเรียบร้อยเกินไปในฐานะกองหลัง”

“เรียบร้อย… สายตานายนี่ไม่ได้เรื่องเลยสินะ”

“อย่างไรก็เถอะ แค่นี้นายก็แข็งแกร่งพอแล้ว เพราะงั้น 10 ปีแล้วที่มองแค่คนๆ เดียว แม้จะพูดจาไร้สาระแต่ก็ยังอดทน… แม้แต่ที่กรีนฟอร์ดเองก็ด้วย คนที่แข็งแกร่งและดื้อรั้นทุกคนล้วนเป็นกองหลัง แต่ถ้าฉันทำตัวเหมือนคนโง่เง่าอีก ก็เตะทิ้งได้เลยนะ”

พอพูดจบมูคยอมก็ขมวดคิ้วแล้วพูดเสริมอย่างเร่งรีบ

“หมายถึงให้ใช้เท้าเตะจริงๆ ไม่ได้หมายถึงให้พวกเราเลิกกัน”

“เคยโดนฉันเตะแล้วหรืออย่างไร แล้วนายจะเสียใจทีหลังที่บอกให้ฉันเตะได้เลยโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง”

เมื่อริมฝีปากประกบกัน เสียงหัวเราะคิกคักและเสียงเล็กๆ ราวกับฟองสบู่แตกก็ดังไปทั่วทั้งห้อง และเสียงนั้นก็จางหายไปและตกอยู่ในความมืดมิด

เด็กหนุ่มทั้งสองที่เติบโตมาโดยไม่สามารถแยกความเหงากับความเข้มแข็งออกได้ ดังนั้นคนทั้งคู่ที่พยายามอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวและอดทนอยู่กับช่วงเวลาของตนเอง สุดท้ายค่ำคืนนี้ก็เป็นคืนที่ไม่มีใครเปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป

——————————————————

ก่อนที่จะเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ มูคยอมทำหน้าบูดบึ้งและหยุดเดินอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง แต่ทว่าหลังจากลังเลอยู่เพียงแค่สองสามวินาที เขาก็เปิดประตูและเข้าไปทันที

นักเตะที่อยู่ข้างในหันมามองมูคยอมอย่างพร้อมเพรียงกัน บรรดานักเตะที่กำลังเปลี่ยนชุดหรือพูดคุยกันอยู่ก็เอ่ยทักทายเขา

“พี่มูคยอม! มาแล้วเหรอครับ”

“สวัสดีครับ”

มูคยอมเดินเข้าไปข้างในและได้รับการทักทายเหล่านั้น

“เมื่อวานผมได้ดูรายการโทรทัศน์ เรื่องของพี่ไม่ว่าจะฟังตอนไหนผมก็ประทับใจนะครับ”

ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนั้นก็ตาม แต่ก็มีคนที่พูดเรื่องดีๆ เพื่อให้ฟังดูดี แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเฉพาะเจาะจงที่ออกอากาศในรายการ

มันไม่ใช่อากัปกริยาที่สนใจมูคยอมอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับปัญหาส่วนตัวหลายๆ เรื่อง ถึงแม้ว่าจะได้รับความสนใจเพียงชั่วครู่ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องราวที่น่าสนใจมากจนถึงวันถัดไป คงจะดังกว่านี้ถ้าเป็นเรื่องอื้อฉาวทางเพศ แต่เรื่องนี้มันเป็นเพียงแค่เรื่องที่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้หลังจากที่รู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับมัน

ความจริงที่ว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเขาเป็นคนวิกลจริตนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขากังวลเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นเหมือนไม่เคยประสบมันมาก่อน และปิดบังมันเอาไว้ เพราะนอกจากเป็นคนที่ติดยาหรือติดเหล้าแล้ว ยังเป็นการวางตัวนักเตะที่มาจากลูกของอาชญากรที่มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัวอีกด้วย มีหลายกรณีจนนับถ้วนที่ในยุโรปนั้น อาชีพฟุตบอลยังคงเป็นบันไดเลื่อนฐานะยอดนิยมของคนชนชั้นล่าง

เพื่อนร่วมงานที่กรีนฟอร์ดของเขาบางคนมีพ่อแม่ที่ติดคุกเพราะค้ายาเสพติดและทำร้ายร่างกายทั้งในบ้านและนอก

บ้าน แล้วเพื่อนคนนั้นก็ไม่ได้ปิดบังความจริงข้อนั้น อาจเป็นเพราะมั่นใจว่าตนเองนั้นเป็นคนที่แตกต่างจากพ่อแม่ ก็คงเป็นแบบนั้น เพราะเพื่อนเขาคนนั้นไม่ใช้กำลังต่อยตีใครโดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งยังไม่ค้ายาเสพติดอีกด้วย

ซึ่งต่างจากมูคยอม มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะมั่นใจได้ว่าทุกอย่างนั้นมันขึ้นอยู่กับปัญหาของจิตใจ อย่างไรก็ตาม ฮาจุนก็ยังยอมรับในตัวเขา แม้ว่าจะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ตาม

ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร สิ่งที่น่าสนใจในอนาคตของเขานั้น มีเพียงการพิสูจน์ให้ฮาจุนและตัวเขาเองเห็นว่าในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เขาเป็นคนที่แตกต่างจากปีศาจตนนั้น

“คิมมูคยอม มาแล้วเหรอ”

“อืม”

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของอิมจองคยู หนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ถึงช่วงวัยเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและในฐานะเพื่อนสมัยมัธยมต้นของมูคยอมกลับดูอึดอัดเล็กน้อย แน่นอนว่าแทนที่จะรู้สึกอึดอัดกับมูคยอม แต่มันกลับเป็นความอึดอัดของคนที่รู้ความลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ความลับของอีฮาจุน ของมูคยอม หรือของอิมจองคยูนั้นก็ถูกให้ฉีดเข้าไปเรื่อยๆ เขาตัดสินใจที่จะคิดว่ากรรมตามสนองคนจุ้นจ้านที่ก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น ก็เหมือนกับโดนบูมเมอแรงตีกลับนั่นเอง

“แล้วจะเอาไง รายการนั่นไม่ได้ขอความยินยอมจากนายใช่ไหม”

“จะให้ทำไงล่ะ ก็ต้องฟ้องร้องสิ”

“เรตติ้งมันทำเงินได้ขนาดนั้นเลยเหรอ น่ากลัวจนขนลุกขนพอง”

“ไหนๆ มันก็เป็นโลกที่เต็มไปด้วยคนที่กุเรื่องที่ไม่มีความจริงขึ้นมา ก็อยู่ให้เป็นเสียดีกว่า”

เมื่อมูคยอมหัวเราะคิกคักออกมา สีหน้าของจองคยูก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างกังวล เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษ ก่อนที่จะโดนงอน ต้องรีบไปซื้อของขวัญให้กับคุณลูกสาวเสียแล้ว

อาการปวดข้อเท้าได้หายไปหมดแล้วและเอ็นที่บาดเจ็บก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ตั้งแต่วันนี้เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการฝึกอบรมนอกสถานที่อีกครั้ง หลังจากมูคยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปที่สนามหญ้า เขาก็เห็นว่าฮาจุนอยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ร่วง สนามหญ้าที่ถูกดูแลให้เขียวขจีตลอดทั้งปี และอีฮาจุนที่หล่อเหลาตลอดทั้งปี

ผู้ชายที่หล่อเหลาคนนั้นคือคนรักของคิมมูคยอม

มุมปากของมูคยอมยกขึ้นและเกิดรอยยิ้มขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว มูคยอมไม่ได้เดินขึ้นไปบนสนามหญ้าในทันที เขายืนอยู่ ณ จุดๆ หนึ่ง มองจากระยะไกล เขาเห็นฮาจุนกำลังสนทนาอย่างจริงจังกับโค้ชคนอื่นๆ ราวกับกำลังปรึกษาหารืออะไรบางอย่างกันอยู่ และอิมจองคยูที่ดูเหมือนเพิ่งจะออกมาก็เข้ามาตีที่ไหล่ของเขา

“ทำอะไร ไม่เข้าไปหรือไง”

“อืม ไปสิ”

มูคยอมก็ไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่ตอบนั้นตนเองไม่ได้ละสายตาไปจากฮาจุนเลย จองคยูที่ไล่สายตาตามการมองของมูคยอมดวงตาสั่นไหวแล้วมองไปที่มูคยอมอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มหน้าไปหามูคยอมอย่างไม่มีความลังเล และกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็น

“นี่ พวกนายคบกันแล้วเหรอ”

“เห้อ น่าขยะแขยงจริงๆ ใครเขาอนุญาตให้นายมากระซิบกัน”

มูคยอมแสดงท่าทางรังเกียจและเดินเข้าไปในสนามหญ้าโดยไม่ตอบ เมื่อเดินตึงตังเข้าไปใกล้ ในระหว่างนั้นการสนทนากับโค้ชคนอื่นก็จบลง ฮาจุนที่ยืนอยู่คนเดียวก็เงยหน้าขึ้นและจับจ้องไปที่เขา

“คิมมูคยอม ออกมาแล้วเหรอ”

รอยยิ้มที่สดใสดุจแสงอาทิตย์ประดับบนใบหน้าสีขาวนวล รอยยิ้มแผ่กว้างโดยไม่ลังเลด้วยความเขินอายเล็กน้อย มูคยอมที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วนั้นดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้อย่างแนบแน่น

เขาอยากโชว์ใบหน้านี้ให้นายยุนเห็นจังเลย!

ที่ผ่านมาเขารู้สึกร้อนใจเพราะคิดว่าสีหน้าของฮาจุนที่แสดงให้ไอ้คุณยุนเห็นมันงดงามเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงไม่ใช่เหรอ ระหว่างรอยยิ้มที่ฮาจุนแสดงให้พี่ชายที่ตัวเองติดตามเห็น กับรอยยิ้มที่มอบให้คนที่เชื่อใจ เขามั่นใจเลยว่าคนที่สามารถมองเห็นสีหน้าที่งดงามที่สุดในโลกของอีฮาจุนได้ในตอนนี้ก็เป็นเขาเอง! คิมมูคยอมยังไงล่ะ!

ฮาจุนตีเข้าที่เอวของมูคยอมด้วยความสับสนแล้วลดเสียงลง

“อะไรของนายเนี่ย นี่มันสนามฝึกซ้อมนะ”

“แล้วมันจะทำไมล่ะ คนอื่นทำแบบนี้กับนายได้ แล้วทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ ฉันต้องจับจองไว้แบบนี้เพื่อไม่ให้แบคทีเรียตัวอื่นมาเกาะแกะนายนะ”

“นี่นายเรียกเพื่อนร่วมงานว่าแบคทีเรียเหรอ นายจะไม่เปลี่ยนนิสัยการพูดใช่ไหม”

ฮาจุนกลอกตาขณะที่ตำหนิเขา อย่างที่มูคยอมบอก ไม่มีใครสนใจทั้งสองคนเป็นพิเศษเลย ไม่ว่าพวกเขาจะกอดกันหรือไม่ก็ตาม…

มีอยู่หนึ่งคน ฮาจุนที่สบตากับจองคยูนั้นหน้าแดงเล็กน้อยแล้วจิ้มที่เอวของมูคยอม

“จองคยูมองพวกเราอยู่”

“มองแล้วยังไง กรรมของไอ้คนจุ้นจ้าน นายรู้ไหมว่าเขาบ่นฉันมากแค่ไหนให้ตั้งหลักปักฐานกับใครสักคน ตอนนี้ฉันจะทำในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วเขาจะไม่พอใจอะไรอีกล่ะ”

ฮาจุนมองจองคยูด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ในที่สุด ก็ตัดสินใจปล่อยให้มูคยอมทำในสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าฮาจุนไม่สารภาพว่าชอบมูคยอม จองคยูก็คงจะไม่สงสัยอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับภาพที่เห็นนี้เหมือนกับนักเตะคนอื่นๆ…

แต่ในไม่ช้า ฮาจุนก็กระซิบกับมูคยอมด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง

“จองคยูหัวเราะด้วยแหละ ดูท่าทางคงจะอารมณ์ดีนะ”

“หัวเราะเหรอ ชอบใจอะไรขนาดนั้นถึงได้หัวเราะออกมา อย่างไรก็ตาม หมอนั่นเป็นคนแปลกๆ น่ะ”

“ถ้าดูจากที่เป็นเพื่อนนายมาเกิน 10 ปีแล้ว จองคยูนี่ก็ไม่ธรรมดาใช่ไหม”

“อีฮาจุน… แล้วนายล่ะ”

การฝึกอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้นในขณะที่มูคยอมซึ่งกอดฮาจุนจากด้านหน้าย้ายไปยังตำแหน่งของเขาและกอดฮาจุนจากด้านหลัง จากนั้นจึงปล่อยฮาจุนอย่างช้าๆ พร้อมกับถอนหายใจ

ขณะที่วิ่งอยู่ สตาฟคนหนึ่งก็เรียกมูคยอม มูคยอมจึงออกจากแถวแล้วไปหาอีกฝ่าย

“มีอะไรเหรอครับ”

“มีแขกจากภายนอกมา เขาบอกว่าเป็นคนจากสถานีโทรทัศน์ที่มาถ่ายทำรายการตอนนั้น”

มูคยอมขมวดคิ้ว

ต้นสังกัดตัดสินใจที่จะยื่นฟ้องทันที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาหรือตั้งใจแต่งเรื่องขึ้นมา แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวซึ่งดูเหมือนยากที่จะลงทัณฑ์โทษใหญ่ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะใช้สิ่งนั้นในการดึงดูดความสนใจ แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้

ไม่ใช่ครั้งแรกหรือสองครั้งที่เขาได้พบกับคนที่ปฏิบัติต่อชีวิตส่วนตัวของคนอื่นเฉกเช่นการเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วคายทิ้งไปเพื่อดึงดูดความสนใจเพียงชั่วครู่ ครั้งนี้มูคยอมเองก็เคยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนดูถูกก่อนด้วย ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะรู้สึกแย่ก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นกรณีนี้ แต่วิธีแก้ปัญหาก็เหมือนเด็กเกินไปหน่อย

อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งเคยหางตกเร็วขนาดนี้เป็นครั้งแรก ถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะมาทำไม มูคยอมดื่มน้ำอึกหนึ่งและมุ่งหน้าไปยังคลับเฮาส์ที่บอกว่ามีแขกมาหาด้วยชุดฝึกซ้อม

ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องว่างที่ไม่มีนักเตะคนใดอยู่เลยเพราะกำลังฝึกซ้อมอยู่ เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปเธอก็ลุกขึ้นยืน มูคยอมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่คลายใบหน้าที่แข็งทื่อของตนเอง

มินแจยอง ผู้ประกาศข่าวของทางรายการ

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ ถึงได้มาหาผมในตอนนี้”

มินแจยองโค้งศีรษะลง ผมของเธอถูกมัดไปด้านหลัง เธอสวมสูทที่ต่างจากตอนที่ถ่ายทำรายการอย่างสิ้นเชิง

“ขอโทษจริงๆ นะคะ”

มูคยอมเอียงคอแล้วนั่งลง มินแจยองเองก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

“แล้วคุณขอโทษเรื่องอะไรเหรอครับ ผมว่าน่าจะมีคนที่คอยรับผิดชอบไว้ต่างหากนะ มีแค่คนที่ออกหน้าออกตาอย่างเราๆ นี่แหละที่จะเสียหายใช่ไหมล่ะครับ”

“…แน่นอนว่าดิฉันไม่ใช่คนที่คอยรับผิดชอบ แต่มันเป็นรายการที่ดิฉันเป็นผู้ดำเนินรายการอยู่น่ะค่ะ ฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้าง แต่ดิฉันคิดว่าพวกเราถ่ายทำรายการภายใต้ความยินยอมจากทุกคนค่ะ”

“ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วครับ ผมเองก็ได้เจอกับนักข่าว ผู้ประกาศข่าว และนักวิจารณ์ทุกประเภท และผมก็รู้คร่าวๆ ว่าการออกอากาศเป็นอย่างไร”

“ขอบคุณสำหรับความเข้าใจของคุณค่ะ ดิฉันจึงอยากจะขอโทษ อย่างไรก็ตามเทปนั้นก็จะยังคงอยู่ต่อไป และมันเป็นเรื่องจริงที่ดิฉันอยู่ที่นั่นค่ะ”

มูคยอมเดาะลิ้นแล้วจับจ้องไปที่อีกฝ่าย

“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณ แต่ว่าคุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ การขอโทษนั้นไม่ควรทำโดยที่ไม่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าคนที่ควรรับผิดชอบจะเป็นคนขอโทษเองก็ตามนะครับ หรือว่าโปรดิวเซอร์รบกวนขอให้คุณมาขอโทษเหรอครับ คิมมูคยอมชอบผู้หญิง เขาจึงใช้คุณให้มาหาผมแล้วใช้เสน่ห์หญิงล่อเหยื่อเหรอครับ”

เธอถลึงตาโตแล้วลุกขึ้นยืนในทันที

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีใครสั่งดิฉันค่ะ”

“คงไม่รู้อะไรสินะ ไม่ได้สั่งให้ทำ แต่ให้คุณลุกขึ้นยืนรับลูกกระสุนแทนสินะครับ กลับไปเถอะครับ เอาเป็นว่าผมเข้าใจ แต่ไม่รับคำขอโทษแล้วกัน เพราะว่าคุณไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องมาขอโทษ”

มูคยอมพูดอย่างนั้นและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยักไหล่แล้วเอ่ยต่อ

“แต่ถึงอย่างนั้นโปรดิวเซอร์ก็ดูเหมือนเป็นคนที่รู้กระแสธุรกิจบันเทิงดีนะครับ ผมประหลาดใจมากที่แอร์ไทม์ของโค้ชอีฮาจุนมีมากกว่าที่ผมคาดไว้น่ะครับ”

“นั่น…เป็นความเห็นแก่ตัวของฉันที่ใส่เข้าไปค่ะ อย่างที่ฉันพูดไปเมื่อครั้งที่แล้ว ฉันชอบเขาเมื่อตอนที่เขายังเป็นนักเตะอยู่น่ะค่ะ ฉันเกลี้ยกล่อมเขาว่าจะมีรีแอคชันอย่างแน่นอนถ้าเขาไปออกรายการ เขาจึงตอบตกลงค่ะ”

มูคยอมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเล็กน้อย จากนั้นหลังจากมองไปที่มินแจยองสักครู่ เขาจึงพูดต่อ

“คุณมินแจยอง ในปีหน้าจะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ดังนั้นจะมีรายการโทรทัศน์อีกมากมายที่มองหาผม”

“ใช่ค่ะ”

“ในตอนนั้น ผมจะให้ข้อมูลกับภายในว่ารายการที่คุณมินแจยองกำลังดำเนินการอยู่จะถูกเลือกเป็นลำดับแรก ถ้าหากว่าคุณต้องการว่าครั้งต่อไปอยากใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับตอนนี้ ก็มาบอกทางผมได้เลยนะครับ ผมคิดว่าชุดนี้น่าจะเหมาะกับรายการในครั้งนี้มากกว่านะครับ”

เมื่อพูดเช่นนั้น มินแจยองก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยและยิ้มอย่างขมขื่นในทันที

“ขอขอบคุณในเรื่องนั้นด้วยนะคะ เพราะพวกเขารู้ดีกระแสธุรกิจบันเทิงดีว่าเป็นอย่างไร พวกเขาคงไม่ยอมฟังความเห็นของดิฉันหรอกค่ะ”

มูคยอมลุกจากที่นั่ง

“กลับดีๆ นะครับ ผมออกมาระหว่างที่ซ้อมอยู่ ดังนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

มินแจยองยืนขึ้นและโค้งศีรษะลงอีกครั้ง มูคยอมเดินไปที่ประตูโดยไม่หันกลับมามองเธออีก จากนั้นเขาจึงหยุดเดินและหันไปมองทางด้านข้าง

“พอฉันไม่เห็นนาย ฉันคิดว่าฉันคงจะตายในตอนนั้นเลย”

ฮาจุนซุกใบหน้าของเขาไว้ในอกของมูคยอม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับทัศนวิสัยอันมืดมิดแต่เขาก็ไม่ได้หลับตา ฮาจุนทำเพียงแค่กะพริบตาเพื่อฟังเสียงของอีกฝ่าย มันทำให้เขานึกถึงมูคยอมที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ และไม่สามารถไปสนามกีฬาได้เพราะหลุมใต้ตาของอีกฝ่าย

“เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้รู้ว่าวิธีการแบบนั้นน่ะมันผิด แต่ถึงอย่างนั้น จนตอนสุดท้ายแล้วฉันก็ไม่อยากยอมรับว่าฉันชอบนาย ถ้าเราชอบกัน หรือคบกันจริงๆแล้วละก็… มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าฉันจะกลับไปเป็นคนบ้ายิ่งกว่าเดิม”

“ทำไมล่ะ…”

“เพราะว่าฉันตัดสินใจแล้วว่าจนกว่าฉันจะตาย ฉันจะไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นเด็ดขาด”

มูคยอมดันฮาจุนออกจากอกตนเอง นัยน์ตาสีนิลที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายใจมองมาที่เขาราวกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

คงจะไม่รักใครไปตลอดชีวิต เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตอันยาวไกลในอนาคตได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่อย่างง่ายดาย ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะรักษาสัญญานั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ ใครจะไปคิดว่าจะได้พบกับคนที่ทำลายความตั้งใจนั้นที่มูคยอมเคยคิดว่าตนเองเสียเวลาไปตั้งหนึ่งปีที่จะออกนอกลู่นอกทาง

“ฉันคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันไปถามแล้วก็ตอบตัวเองจนได้ข้อสรุปอย่างที่นายบอก ถ้าเรากลับไปเป็นคู่นอนกัน แค่มีอะไรกันแล้วตั้งสติให้ดี และฉันก็จะใช้ชีวิตต่อไปโดยในอนาคตก็จะไม่ข้ามเส้นแบบนี้อีก แต่ถ้านายเองก็มีใจให้ฉันอยู่เหมือนกัน การอยู่ในฐานะนั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับนาย ถูกแล้วที่ดื้อรั้นและเอาตัวเองเป็นหลัก นี่แหละคือเรื่องที่ฉันบอกว่าฉันทำไม่ได้ เป็นไงล่ะ ฟังดูแล้วน่าอายใช่ไหม”

มือของมูคยอมเสยผมหน้าม้าที่ไหลลงมาปรกหน้าผากของฮาจุนเล็กน้อย

“แล้วตอนนั้น… ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายชอบฉันแบบไหน คนเราก็ต้องมองคนอื่นตามมาตรฐานของตัวเองอยู่แล้วนี่นา”

“…แล้วนายเปลี่ยนใจแล้วเหรอ”

“ใช่”

“เรื่องที่ฉันชอบนายมาเป็น 10 ปีหรืออะไรทำนองนั้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับนายเหรอ”

มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่น

“สำหรับนายแล้วมันเหมือนกับการหายใจไหม”

“…”

“สำหรับฉันมันไม่ใช่ ฉัน…ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบใครสักคนแบบนั้นได้นานขนาดนั้น ถ้านายบอกว่ายังชอบฉันอยู่ แล้วเอาแต่พูดไร้สาระไปเรื่อย ฉันก็โง่จริงๆ แล้วสิ โชคดีที่ฉันไม่ได้โง่จนถึงขนาดนั้น”

มูคยอมถอนหายใจรดหน้าผากของเขา

“ให้ฉันเล่าเรื่องที่ไม่ได้ออกในรายการให้ฟังไหม”

“…เรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องไอ้คนคนนั้นกับแม่ที่นั่งอยู่บนรถคันเดียวกันและชนเข้ากับรั้วกั้นจนตาย”

“ฉันรู้ ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้รายละเอียดก็ตาม แต่มันเป็นอุบัติเหตุ”

และแล้วทัศนวิสัยของฮาจุนก็มืดมิดขึ้น มูคยอมดึงเขาเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนของตนเองดังเดิม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกังวลเรื่องอื่นอยู่อีกแล้ว

เมื่อคิดเช่นนั้น ฮาจุนจึงโอบแขนรอบแผ่นหลังของอีกฝ่าย

“ใครจะไปรู้ มันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุก็ได้”

“…”

“ฉันกังวลมาตลอดว่าวันหนึ่งคนคนนั้นจะฆ่าแม่ของฉัน… ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้สินะ”

มือของฮาจุนแข็งทื่อราวกับก้อนหิน แต่ไม่นานเขาก็ใช้มันลูบหลังของมูคยอม หลังจากกลืนน้ำลายแห้งไป เสียงที่ปริออกมาด้วยความตึงเครียดก็พรั่งพรูออกมาอย่างยากลำบาก

“อาจจะไม่เป็นแบบนั้น…ก็ได้นี่นา ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

“เพราะในที่สุดไอ้บ้าคนนั้นก็เริ่มระแวงในตัวฉันเหมือนกันอย่างไรละ” เสียงของมูคยอมอ่อนลงเล็กน้อย

“…”

“ฉันโตเร็วมาก ตอนที่อายุประมาณ 10 ขวบ ฉันก็สูงเกิน 160 เซนติเมตรแล้วน่ะสิ เพราะอย่างนั้นสำหรับสายตาไอ้คนคนนั้น ก็คงมองลูกของตัวเองเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน”

มูคยอมรู้สึกได้ว่าร่างกายของฮาจุนที่อยู่ในอ้อมกอดของตนเองนั้นแข็งทื่อ มูคยอมจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น

“นั่นเป็นเหตุผลที่ในที่สุดแล้วแม่ก็มีความกล้ามากขึ้น แม่บอกว่าจะทิ้งปีศาจบ้านั่นแล้วหนีไปกับฉัน…”

“…”

“วันนั้นเป็นวันที่พวกเราตัดสินใจหนีไปด้วยกัน แม่บอกฉันว่าหลังเลิกเรียนอย่าเพิ่งกลับบ้าน ให้รอก่อน ฉันรู้สึกดีใจที่คิดว่าในที่สุดฉันก็สามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของไอ้คนนั้นและได้อยู่กับแม่แค่สองคน”

“คิมมูคยอม”

“แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ เหรอ นอกจากเรื่องนั้นฉันก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ มันไม่มีหลักฐานอื่น ไม่ใช่คดีใหญ่ และถึงแม้ว่าเด็กกำพร้าอายุ 11 ขวบจะพูดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครฟังอยู่ดี พออุบัติเหตุได้รับการจัดการ ฉันก็ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันที แล้วเรื่องราวมันก็จบลงแค่นี้”

ถึงแม้น้ำเสียงจะต่ำโดยไร้การขึ้นเสียง แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกที่อยู่ในนั้นยังคงแจ่มชัด มูคยอมวางสายตาไปที่ศีรษะของฮาจุนที่ตัวแข็งทื่อและพูดไม่ออก

…ฉันปล่อยแขนนี้ได้ไหมนะ ถ้าปล่อยแล้วจะหนีไปหรือเปล่านะ พอได้ฟังเรื่องนี้แล้ว อีฮาจุนจะยังพยายามอยู่เคียงข้างฉันหรือเปล่า

ปีศาจตนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่อันธพาลที่อยู่ในความเพ้อฝัน สุดท้ายแล้วไอ้คนคนนั้นอาจจะเป็นฆาตกรที่เอามือไปบีบคอแม่ แล้วโยนตัวเองเข้ากองไฟไปตามทางแห่งความตายก็ไม่อาจรู้ได้ มันเป็นความลับที่มูคยอมต้องการซ่อนเอาไว้มากที่สุด ไม่มีใครได้รู้ แม้แต่ผู้จัดการทีมอย่างพัคจุนซองเองก็ไม่รู้เช่นกัน และมันก็เป็นเหตุของข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวของมูคยอม

“ปล่อยก่อน” ฮาจุนพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม

อย่างไรก็ตาม มูคยอมไม่สามารถผ่อนแรงจากแขนของเขาได้ทันที

คงกลัวว่าจะเผชิญกับท่าทีที่หวาดกลัวของฮาจุนหลังจากที่ตนเองปล่อยมือออกไป มูคยอมกลัวว่าฮาจุนจะบอกว่าเราจบกันแค่นี้ แล้วมูคยอมก็จะไม่ได้ยินเสียงของฮาจุนที่กระซิบบอกว่าชอบกันเหมือนเมื่อครู่นี้อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม มูคยอมก็รู้ด้วยว่าความกลัวนี้เป็นศัตรูพืชที่กัดกินและทำลายปีศาจตนนั้น

ความชอบมันคืออะไรกันนะ แล้วความรักล่ะ คำพูดเหล่านั้นสำหรับมูคยอมแล้วมันเกี่ยวข้องกับภาพแห่งความเศร้าโศก ความตาย และการทำลายล้างมากกว่าที่จะเกี่ยวข้องกับความอบอุ่น ความสวยงาม และความสุขมาโดยตลอด คนที่ทำให้มูคยอมคิดว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ท้ายที่สุดแล้วคนคนนั้นจะไม่อยู่เคียงข้างตนเอง และตอนนี้มูคยอมก็รับความกลัวนั้นไม่ไหวแล้ว

มูคยอมกระแอมหนึ่งครั้งแล้วจึงค่อยๆ ผ่อนแรงที่แขนของตนเอง ฮาจุนที่ออกจากอ้อมแขนของมูคยอมพยุงตัวเองขึ้นแล้วนั่งเหลือบมองมูคยอมที่กำลังจ้องมองตนเองอย่างเงียบๆ

“…ทำไมนายถึงไม่เคยบอกฉันเลยล่ะ”

มูคยอมยักไหล่พร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น

“ถ้าฉันเล่าเรื่องพรรค์นี้แล้วนายเกลียดฉัน จะทำอย่างไรล่ะ”

ฮาจุนใช้มือขยี้ผมของมูคยอมอย่างแรงๆ จนกระเซอะกระเซิงด้วยสีหน้าที่บอกว่าไร้สาระ

“นายรู้จักแค่ตัวเองจริงๆ เลย คิมมูคยอม ฉันเกลียดคนที่ไม่ฟังใครนอกจากตัวเองมากกว่าคนที่มีพ่อไม่ปกติอีก มาตรฐานคืออะไรกันแน่ นายก็พูดไปตั้งหลายอย่างแล้ว แต่ดันไม่พูดเรื่องนี้เพราะบอกว่ากลัวว่าฉันจะเกลียดนายอย่างนั้นเหรอ”

“นายไม่คาใจ หรือไม่เกลียดฉันเลยเหรอ”

“ไม่ได้เกลียด! ถ้าฉันจะเกลียดนายด้วยเหตุผลนี้ ฉันคงเกลียดนายไปแล้ว! … ที่เห็นว่าเข้าโมเต็ล ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันก็คิดว่าฉันคงจะโกรธ ถ้าหากว่านายตามเข้าไป นายน่าจะรู้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

“จริงเหรอ ขนาดนั้นก็ไม่โกรธฉันเหรอ”

“…นายคงไม่ชอบที่ฉันอยู่กับคนอื่นนี่นา ในอนาคตฉันก็จะระวังเรื่องนี้ไว้ ฉันคิดว่านายก็แค่ขี้หึงมากไปหน่อย และดูเหมือนว่า…นายค่อนข้างที่จะมีจินตนาการสูง”

มือที่เคยขยี้ผมของมูคยอมให้ยุ่งเหยิงเมื่อครู่ ตอนนี้กำลังลูบหัวมูคยอมอย่างอ่อนโยน

“นายตามฉันเข้าไปในโมเต็ลเพื่อจะไปตีฉันเหรอ”

“บ้าไปแล้วเหรอ ฉันจะไปตีนายทำไม ฉันจะไปลากนายยุนออกมาแล้วทำให้เขาต้องอับอายที่ทำเรื่องผิดศีลธรรมน่ะสิ!”

ฮาจุนแย้มรอยยิ้มบางทันทีที่มูคยอมแสดงความจงเกลียดจงชังออกมา

“เพราะว่าเป็นลูกก็อาจจะมีนิสัยที่คล้ายกับพ่อบ้างเล็กน้อย แต่นายน่ะต่างจากพ่อของนายอย่างสิ้นเชิงเลยนะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน…แต่ก็คิดแบบนั้นแหละ”

ฮาจุนที่ติเตียนอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เอาแต่มองลงไปที่มูคยอมโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ มีแสงแห่งความเห็นใจอย่างแจ่มชัดในนัยน์ตาสีนิลที่มีศีลธรรมของอีกฝ่าย มูคยอมมองดูท่าทางของฮาจุนแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมา

“อีฮาจุน นายสงสารฉันเหรอ”

“หือ”

ฮาจุนเบิกตากว้างด้วยความเขินอายและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

“ไม่หรอก สงสารงั้นเหรอ ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอกน่า…”

“ทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ อย่าพูดแบบนั้นเลย สงสารฉันหน่อยสิ”

“…”

“ว่าอย่างไรล่ะ สงสารคิมมูคยอมผู้โชคร้ายหน่อยได้ไหม แล้วก็ช่วยอยู่เคียงข้างฉันต่อไปได้ไหม”

“…อย่างไรก็ดี ฉันคงพูดอะไรไม่ได้…”

ในระหว่างที่ฮาจุนลดระดับการบ่นลงนั้น มูคยอมก็คว้ามือของฮาจุนมาแล้วก็จุมพิตลงบนฝ่ามือ อีกฝ่ายลูบแก้มของฮาจุนอย่างตามอำเภอใจ จากนั้นจึงรั้งเอวเข้ามาแล้ววางใบหน้าลงบนต้นขาของฮาจุน

ฮาจุนถอนหายใจทันที เขาลูบหัวมูคยอมอีกครั้ง และบ่นพึมพำด้วยเสียงต่ำ

“แต่ว่านะคิมมูคยอม ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกัน แต่ฉันว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ”

“ความรู้สึกอะไรเหรอ”

“อันที่จริงฉันเองก็มีเรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้เหมือนกัน”

“เรื่องอะไร”

“พ่อของฉันฆ่าตัวตายตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ถึงแม้ว่ามันจะไม่เลวร้ายเท่ากับการทำอาชญากรรม และเพียงเพราะพ่อของฉันตายแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องทำแบบนั้นด้วยเหมือนกันนี่ เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยถึง ก็จริงอยู่ที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ฉันก็ไม่ได้พูดออกมาเพราะไม่มีความจำเป็นที่จะพูดอย่างไรละ ก็เลยกลับกลายเป็นว่าฉันปกปิดมันเอาไว้”

มูคยอมออกแรงแขนที่โอบเอวเขาไว้ มูคยอมเงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไปที่ฮาจุนด้วยสายตาที่ตกใจมาก

“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องนั้นเลย โค้ชของฉันคงลำบากมากเลยสินะ”

“…แต่มันเทียบกับของนายไม่ได้เลย”

“ก็เพราะในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนน่ะ ผู้คนไม่ค่อยอยากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและความทุกข์หรอกนะ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ พอได้ฟังก็จะรู้สึกหนักใจ ถ้าจะให้เอ่ยถึงมันก็คงยาก เพราะงั้นเราก็ทำกันแค่พวกเราสองคนเถอะ อย่างไรเสีย ตอนนี้พวกเราก็บอกกันหมดเปลือกแล้วนี่นา มันยากลำบากในแบบของพวกเรา พวกเราก็มาให้กำลังใจกันในแบบพวกเรากันเถอะ เอาแบบนี้แหละ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ฮาจุนก็ปิดริมฝีปากที่แยกจากกันเล็กน้อย

มูคยอมไล่สายตาตามดวงตาสีนิลที่มองลงมาที่ตนเองอย่างราวกับว่าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ในที่สุดมูคยอมก็ยืนขึ้นเมื่อเห็นว่าฮาจุนตัวสั่นและน้ำตาไหล

ฮาจุนบ่นอู้อี้ด้วยน้ำเสียงงึมงำเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา และไม่แม้แต่จะปล่อยมือจากแขนของมูคยอมที่กำลังโอบกอดตนเองเอาไว้

“ไม่สิ ทำไม… คนที่โดนรายการเล่นข่าวอย่างไม่เป็นธรรมมันคือนายนะ แต่ฉันกลับเป็นคนที่เอาแต่ร้องไห้ แปลกจริงๆ… ปกติฉันเป็นคนไม่ค่อยร้องไห้นะ”

ราวกับว่ามูคยอมได้ตั้งกฎไว้ว่าควรจะดื่มกินน้ำตาของฮาจุนอย่างไม่มีเงื่อนไข ครั้งนี้ก็เช่นกันที่มูคยอมใช้ริมฝีปากจูบซับมันออกไป

“ที่ผ่านมาเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”

ฮาจุนไม่ตอบ แต่กลับเอาหน้ามาแตะไว้ที่ริมฝีปากของมูคยอม และหลังจากนั้นไม่นาน ฮาจุนก็ลดเสียงลงและเบะปากตอบราวกับเป็นเด็กที่กระทำความผิดมา

“แค่นิดหน่อย… ไม่เท่าคนอื่น….”

“ฉันนึกว่าเหนื่อยแทบตายเสียอีก อย่าให้ฉันคร่ำครวญอยู่แค่ฝ่ายเดียวสิ”

จากคำพูดนั้น ฮาจุนจึงพยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างช้าเกินไป

“อือ… เหนื่อยมากเลย”

“นายทำดีแล้ว”

ฮาจุนยิ้มออกมาขณะที่น้ำตากำลังไหลอาบแก้มราวกับว่ามันเพิ่งไหลทะลักออกมาอีกรอบจากการปลอบใจสั้นๆ ของมูคยอม มูคยอมเบิกตากว้างราวกับแปลกใจกับสีหน้าเช่นนั้นของเขา ขณะที่อีกฝ่ายจูบซับน้ำตาอีกครั้งนั้น ฮาจุนก็ยังคงพูดต่ออย่างแผ่วเบา

“เพราะงั้น…การชอบนายมันถึงไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย”

“…”

“ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้ชอบนาย…คงจะเหนื่อยกว่านี้แน่ๆ”

ชีวิตที่เหมือนกงล้อดูเหมือนจะไม่มีทางออก เมื่อกลับมาจากการฝึกซ้อมทั้งวัน บรรดาน้องๆ ที่หมดแรงนั้นเล่นกันเงียบๆ ที่มุมห้องด้วยกันอย่างไม่สมกับที่เป็นเด็ก และแม่ก็มักจะเมาและนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะหรือผ้าห่มเป็นประจำ เขารู้สึกกังวลใจว่าแม่กำลังจะตายตามพ่อไปหรือเปล่า จึงมีหลายครั้งที่เขาไปตรวจดูการหายใจของแม่ขณะที่แม่กำลังนอนหลับ

แม้ว่าจะได้รับคำชื่นชมในความสามารถ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเขาจะได้เป็นนักเตะมืออาชีพหรือเปล่า หลังจากที่ใช้ร่างกายอันเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อมไปหางานพาร์ตไทม์ระยะสั้นทุกครั้งที่มีเวลา สุดท้ายทุกอย่างก็สูญเปล่าเพราะเงินที่ได้มานั้นมันน้อยเกินไป เขาคิดว่ามันเป็นหนทางที่ดี ก็เลยเลือกหนทางนี้ แต่มีบางวันที่เขาเอามองแต่เพดานต่ำๆ ทึบๆ คิดวันละ 12 ครั้งว่าจะลาออกให้หมดเลยดีไหม ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วไปหางานอย่างอื่นที่มันสามารถหาเงินได้

หลังจากที่ได้พบกับซุปเปอร์สตาร์ในอนาคตที่รุ่นราวคราวเดียวกันอันส่องแสงเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ ที่ได้นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเขาแล้วส่งกำลังใจสั้นๆ ให้กับเขา ก็มีแสงบางๆ ปรากฏขึ้นทุกวันราวกับถูกขังอยู่ในถ้ำ การได้เห็นอีกฝ่ายออกไปสู่โลกที่กว้างใหญ่ทำให้เขามีความสุขราวกับว่ามันเป็นเรื่องของเขาเอง

มันทำให้เขาชอบมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามากกว่ามองเพดาน และทำให้การเตะฟุตบอล และการดูฟุตบอลนั้นสนุกยิ่งขึ้น แม้ว่าฮาจุนจะไม่ถนัดงานที่ใช้มือ แต่พอเอาแต่นึกถึงมูคยอมที่เอาแต่ใช้มือได้อย่างกระฉับกระเฉง เขาก็เลยฝึกผูกเชือกรองเท้าให้น้องๆ อยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้ว่าทำไม

เพราะว่ากลัวว่าจะถูกจับได้ว่าต่างจากคนอื่นจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถูกเรียกตัวมาด้วยกันหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เขาก็มักจะมองหาอีกฝ่ายอยู่เสมอ เขามักจะแอบมองมูคยอมที่พูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าบึ้งตึงหรือแสยะยิ้มที่ดูคล้ายกับการเย้ยหยันด้วยความรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก

ทันใดนั้น เมื่อเขาได้พบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงง่ายๆ หัวใจของเขาก็เต้นรัวจนถึงกลางคืน ในตอนท้ายของวัน การรวบรวมรูปภาพหรือบทความของอีกฝ่ายที่ออกมาใหม่ในวันนั้นเป็นความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ ของวันที่ผ่านมาโดยที่ไม่รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย ชีวิตของเขาในตอนนั้น มีเพียงหัวใจที่คิดถึงมูคยอมที่เป็นสิ่งที่ชัดเจนและเปล่งประกายเพียงแค่เท่านั้น

ริมฝีปากของมูคยอมที่คอยจูบซับน้ำตาอยู่ ตอนนี้เลื่อนมาประกบริมฝีปากของฮาจุนเอาไว้ อีกฝ่ายใช้แขนดึงร่างกายของเขาเข้ามากอด แล้วใช้มือขยุ้มผมของฮาจุน ฮาจุนได้รับการปลอบประโลมจากร่างกายของมูคยอมที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เก่งด้านร่างกายมากกว่าคำพูด มูคยอมผละริมฝีปากออกมาแล้วเรียกชื่อเขา

“อีฮาจุน”

“อือ”

“ฉันถูกเค้นให้พูดแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ไหนๆ ฉันก็พูดมันออกไปหมดแล้ว นายช่วยให้คะแนนฉันหน่อยสิ”

เงาที่ปกคลุมใบหน้าของฮาจุนได้หายไปจนหมด คะแนนถูกล็อกผลเอาไว้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนส่งการบ้าน

อย่างไรก็ตาม แม้แต่กระแสน้ำที่เงียบสงบในท้ายที่สุดแล้วมันก็มีขีดจำกัดในการอดทน ฮาจุนสูดลมหายใจอย่างช้าๆ และคลานสั้นๆ ราวกับกำลังพยายามจะยกร่างกายตัวเองขึ้น แต่ทว่าก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้าดีๆ นั้น มือใหญ่ก็ดึงเอวเขากลับมาแล้วให้เขานั่งลงที่เดิมอีกครั้ง จากนั้นอีกฝ่ายก็ซุกใบหน้าของตนเองไว้เหนือบั้นท้ายของเขาอีกครั้ง

“ฮึก คิม มูคยอม ตอนนี้ ของนาย เอาของนาย…” ฮาจุนเอ่ยขึ้นมาอย่างรีบร้อน

“หืม”

“ไม่เอาปาก เอาของนาย…”

“อะไรของฉัน มือเหรอ”

แม้ว่าในขณะที่ถามแบบนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุดการหยอกเล่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างการจูบที่แผ่นหลัง

“ไม่ ไม่ใช่ มือ มือ…”

“แล้วอะไรล่ะ”

เมื่ออีกฝ่ายยื่นลิ้นออกมาอย่างกว้างและยาวเลียลงไปบนช่องทางเข้า ฮาจุนก็เอาหน้าไปถูกับผ้าปูที่นอนแล้วส่งเสียงคร่ำครวญออกมา ทันที่อีกฝ่ายใช้ปลายลิ้นทิ่มที่จุดอันคับแคบนั้น ร่างกายของฮาจุนก็ตอบสนองโดยการขมิบเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้เสียงที่เปล่งออกมาจะดูอ่อนแรง แต่การเอ่ยเอื้อนคำพูดนั้นกลับรวดเร็วขึ้น

“อ๊ะ ได้โปรด อื้อ…! ก็มีของนาย นี่นา… เร็วสิ…”

“ถ้าเอาแต่เรียกว่าของนายๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าหมายถึงอะไร”

“อื้อ ฮะฮึก…”

ในท้ายที่สุด ขณะที่ยังคงลูบไล้ที่ทางเข้าที่เป็นรอยจีบอยู่มูคยอมก็ได้ให้คำตอบแทนฮาจุนที่พูดไม่ออก

“ของของฉันเหรอ”

“ฮ้า อ๊ะ! อะ อื้อ คะ…อันนั้นน่ะ ใส่เข้ามาหน่อย…”

มูคยอมที่เงียบไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็เข้ามาซ้อนตัวเหมือนกับกำลังกอดฮาจุนเอาไว้

“เห้อ…บ้าไปแล้ว”

ร่างกายที่เคยนอนคว่ำนั้นได้ถูกจับให้นอนราบลงอีกครั้ง อวัยวะเพศที่ร้อนและแข็งซึ่งชูชันมานานสัมผัสกับช่องทางเข้าทันที ขณะที่เลื่อนเข้าไปอย่างตรงๆ ฮาจุนสงสัยว่าส่วนหัวของลำแท่งนั้นทิ่มเข้าไปหรือเปล่า เพราะเส้นเลือดบนลำแท่งนั้นเสียดสีกับช่องทางเข้าจนทั่วไปหมด เขาหน้าแดงขึ้นมาเพราะถูกกระตุ้นตรงส่วนที่อยู่ระหว่างช่องทางเข้าและโคนแกนกายไปจนถึงพวงสวรรค์จนเอียงคอและครวญครางออกมา

“ฮื่อ ฮ้า!”

“ฉันกะว่าจะทำช้าๆ…แต่นายก็ไม่ให้ความร่วมมือเลยแฮะ”

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง… แกนกายชนเข้าที่ช่องทางเข้าราวกับว่าจะไม่เข้าไปด้านใน แต่มันลื่นไถลและแทงลงไปที่ด้านล่างของพวงสวรรค์แทน ฮาจุนสะดุ้งทุกครั้งที่วัตถุหนาและร้อนสัมผัสเข้ามา ช่องทางอันว่างเปล่าที่เตรียมรับนั้นหดตัวลงและท้องก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ

ใครกันนะที่ขอให้ทำช้าๆ มูคยอมกำลังจะโกรธแล้ว

น้ำตาที่แห้งเหือดไปแค่ครู่เดียวเริ่มเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง ฮาจุนไม่รู้เลยว่าโดนลำแท่งถูที่ช่องทางเข้าไปกี่ครั้งนั้นทนไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา

“อ๊ะ อื้อ พอ อ้า พอแล้ว…! คิมมูคยอม ตอนนี้พอได้แล้ว…!”

ลืมความตั้งมั่นตั้งใจที่จะบอกให้มูคยอมหยุดไปชั่วครู่แล้วเรียกร้องอีกฝ่ายดังที่ใจต้องการ หลังจากนั้นในท้ายที่สุดแล้ว แรงกดอย่างหนักหน่วงที่ช่องทางเข้าก็ค่อยๆ แทรกเข้าไปด้านใน

“คราวหน้าก็บอกว่าตรงๆ ว่าของฉันเลยก็ได้นะ”

“อ๊ะ อ้า… อ๊า!”

การสอดใส่เป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะว่าท้องอันว่างเปล่าบิดเร่าต้อนรับแกนกายที่สอดเข้าไปด้วยความกระตือรือร้น ด้านในที่คับแคบขึ้นนั้นจึงสั่นระริกราวกับการปล่อยไอเสียของรถยนต์

ช่องทางด้านในที่ติดแน่นกับสิ่งสิ่งนั้นของมูคยอมดีเดือดจนถึงขนาดที่ว่า ฮาจุนรู้สึกได้ถึงรูปร่างและเส้นเลือดที่ปรากฏบนพื้นผิวบนแกนกายของอีกฝ่ายว่าเข้ามาถึงตรงไหนและกำลังขยับในมุมไหน แม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาให้เป็นคำพูด ฮาจุนก็ยังทำไม่ได้

“ฮู่ ฮือ… ฮ้า อ้า….”

ในขณะที่เลื่อนเข้าไปอย่างช้าๆ ราวกับกำลังถูไถช่องทางด้านในนั้น ส่วนหัวที่ปูดออกมาก็สัมผัสกับต่อมลูกหมากที่มันเคยทรมานเป็นระยะเวลาครู่หนึ่งด้วยนิ้วของมูคยอม และมูคยอมก็แสร้งทำเป็นโยกเอวขึ้นอย่างสั้นๆ

ในขณะที่รู้สึกชาอย่างหนักหน่วงทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทันใดนั้นความสุขที่ท่วมท้นก็ถาโถมเข้ามาราวกับสายฟ้าฟาดอย่างรวดเร็ว ฮาจุนเอ่ยขึ้นมาและเอนศีรษะไปด้านหลัง

“ฮ๊า ฮ๊าาา อะ อ๊ะ…!”

อีกฝ่ายยังคงอยู่ในระหว่างการสอดใส่เข้าไป แต่ความรู้สึกอันแสนยินดีจนเกินที่จะทนไหวได้ครอบงำร่างกายของฮาจุน อย่าว่าแต่แรงที่จะต่อต้านเลย เพราะแม้แต่เสียงครางที่ปนกับเสียงลมหายใจนั้นเขาก็ยังส่งออกมาได้เพียงน้อยนิด

ในขณะที่ฮาจุนพ่นลมหายใจยาวๆ และพรั่งพรูเสียงที่ขาดหายเล็กน้อยออกมาอย่างไม่สม่ำเสมอจากริมฝีปากที่อ้าออกอย่างไร้เรี่ยวแรงนั้น มูคยอมก็ดันเอวเข้าไปและกระแทกเข้าไปจนถึงด้านในสุด ส่วนหัวของแกนกายมาถึงจุดที่ผนังด้านในที่แคบลงอย่างรวดเร็ว และมันก็ถูกโอบรัดแน่นราวกับกำลังจุมพิตด้วยเยื่อเมือกที่อ่อนนุ่มและราบเรียบ

เมื่อร่างกายผสานรวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แล้ว ทุกครั้งที่มูคยอมเอ่ยออกมาเสียงของอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความเร่งร้อนและไร้ซึ่งความผ่อนคลาย

“อ้า อีฮาจุน ดีมาก บ้าไปแล้ว…”

“อ๊ะ อ้า ฉันก็ ฉัน…ก็….”

แขนอันแข็งแรงโอบรอบคอและไหล่ของเขา ทันทีที่โอบรัดตัวตนของมูคยอมเข้ามาลึกๆ อย่างหนักหน่วงแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันยากที่จะหายใจจนถึงขนาดที่ว่ารู้สึกแน่นหน้าอก ฮาจุนนั้นยุ่งอยู่กับการดิ้นรนตะเกียกตะกาย

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดที่จะอยากออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขายิ่งมุดเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย แม้ว่าแขนนั้นจะเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกสบาย แต่เขาก็พยายามที่จะขยับแขนนั้นไปโอบรอบไหล่ของมูคยอมเอาไว้

มูคยอมปัดหน้าม้าของฮาจุนขึ้นไปด้วยริมฝีปากของตนเอง จากนั้นก็กดจูบลงบนหน้าผากที่ชื้นเล็กน้อย และในขณะที่เลื่อนริมฝีปากลงไปที่ขมับและแก้ม อวัยวะเพศที่ฝังลึกด้านในร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะหลุดออกมา

“…ฮื่อ อื้อออ!”

ร่างกายที่ถูกโถมทับด้วยน้ำหนักของมูคยอมนั้นไม่สามารถพลิกตัวอย่างดีๆ ได้ ขาของฮาจุนที่ยังคงแบะออกสั่นระริก ปลายเท้าขยุ้มเข้าหากันพร้อมกับจิกลงบนผ้าปูที่นอน ขาทั้งสองข้างไขว้กันไว้ที่หลังเอวของมูคยอมราวกับพยายามป้องกันไม่ให้แกนกายหลุดออกไปอีก

“ฮ้า อื้อ อ๊าา ฮึก! อื้อ!”

แต่ทว่าขาที่คลายออกเพราะความรู้สึกดีนั้นยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะหยุดเอวของมูคยอมได้ ผนังด้านในที่เคยเกาะติดกับแกนกายที่ค่อยๆ ถดถอยกลับออกไปนั้นถูกถูไถไปในคราวเดียวจนฮาจุนน้ำตาเอ่อและไหลพรากออกมา

ร่างกายที่อยู่ในอ้อมแขน ลิ้นที่อยู่ในปาก บั้นท้ายและผนังด้านในนั้นสั่นไหว ในระหว่างที่ฮาจุนกำลังจับทางไม่ถูกและไม่สามารถรวบรวมความคิดได้นั้น ส่วนหัวของแกนกายที่หลุดออกมาจนไปอยู่ที่ช่องทางเข้านั้นก็ได้กระแทกกลับเข้าไปด้านในจนลึกอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

“อึก อ้าา…”

ร่างกายของฮาจุนสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ก็มีเพียงแต่เสียงครวญครางเบาๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากปากที่เปิดอยู่ของเขา

ตอนนี้มูคยอมได้เลื่อนริมฝีปากมายังใบหูของฮาจุนแล้วก็กดจูบหนักๆ จนเกิดเสียงดังออกมา ขณะที่เสียงสั่นเล็กๆ ดังก้องในหู ความรู้สึกที่เคยเวียนหัวนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ฮ้า ฮื่อ…! อื้อ ฮึกก อ้าาา อ๊ะ!”

จุดสุดยอดที่สองนั้นเริ่มต้นราวกับดึงขึ้นมาจากจุดที่ลึกที่สุด

โดนคลื่นซัดกระหน่ำจนตาลาย กระดูกเชิงกรานและเอวสั่นเบาๆ อย่างรวดเร็ว เกิดอาการกระตุกเป็นระยะๆ และปรากฏให้เห็นถึงกล้ามเนื้อยาวภายในต้นขาสีขาวนวลแล้วก็จางหายไป แม้จะผ่านการปลดปล่อยไปได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีอะไรหลั่งไหลออกมาจากแกนกายที่ตั้งตรงแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ฮาจุนรู้สึกเหมือนตนเองคิดไปเองว่าร่างกายที่ลอยขึ้นไปในอากาศนั้นจมดิ่งลงไปในเตียงอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวในระหว่างที่รู้สึกปั่นป่วนภายในศีรษะจากความอ้างว้างราวกับตกลงไปในที่ที่ไกลลิบ ถึงมันจะอ่อนนุ่ม แต่ก็ไม่มีพื้นเฉกเช่นเดียวกับเหว

“อ๊ะ ฮื่อ ฮึก มันแปลกๆ…!”

“แปลกเหรอ”

“ฮึก…ฮ้า อ๊า! คิมมูคยอม ฉันรู้สึก แปลกๆ… อ๊ะ อ้า!”

“อื้อ ไม่เป็นไร มาทางนี้”

ราวกับกำลังหลับฝันขณะที่ลืมตาอยู่ ความสุขที่มากจนเกินไปทำให้ประสาทสัมผัสเกิดความสับสนราวกับว่าถูกผีอำ

ฮือ เสียงที่ร้องไห้ออกมานั้นดังมาก มูคยอมดึงข้อมือของฮาจุนที่ตนเองกักเอาไว้ และนำมันไปวางพาดไว้บนแผ่นหลังของตนเอง ฮาจุนโอบแขนไว้ด้านหลังคอของอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน มันแนบแน่นราวกับว่าเขาถูกแขวนไว้กับมูคยอม

แขนที่หนาและแข็งแรงโอบรอบหลังไว้แน่นราวกับพยุงเอาไว้ มูคยอมกระซิบกระซาบที่ข้างหูราวกับจะปลอบประโลม และบังคับ

“ไม่เป็นไรนะ ฉันกอดนายเอาไว้อยู่ ฮ่าา อีฮาจุน ชอบนะ”

“ฮ้า ฮึก! อื้อ ฉะ ฉัน เองก็ ฮึก ชอบ ชอบเหมือนกัน”

“นายบอกชอบฉันหน่อยสิ หืม บอกว่าชอบฉันหน่อย”

“ชอบ แฮ่ก อ้า คิมมูคยอม…ชอบ ฉันชอบนาย…”

แม้ว่าราวกับจะถึงจุดสุดยอด แต่ก็เหมือนมีพลังอันแรงกล้าเข้าสู่ร่างกายมูคยอม มูคยอมจึงถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นจู่ๆ ก็เริ่มสาวตัวที่รุนแรงอย่างไม่เอาความ

“ฮึก! อ๊ะ อ้าา อ๊ะ!”

เสียงของร่างกายที่ประสานกันอย่างแน่นหนากระทบกันจนดังทั่วทั้งห้อง ผนังด้านในหลอมละลายเพราะโดนแกนกายของมูคยอมที่แข็งโป๊กกระแทกด้วยความเร็วที่ไร้ที่สิ้นสุด

ตอนนี้น้ำตาได้ไหลลงมาราวกับสายน้ำที่ไหลตามธรรมชาติ มันรู้สึกดีจนคลับคล้ายคลับคลาว่า เขาถึงจุดสุดยอดทุกครั้งที่ส่วนหัวบดขยี้ต่อมลูกหมาก ลำแท่งที่ทั้งใหญ่และหนาดันเข้าไปในผนังด้านในอันแคบจนกระทั่งติดอยู่ในช่องทางที่ลึก แม้ว่าร่างกายของฮาจุนจะสั่นไปทั่วทั้งตัว แต่กลับไม่มีคำพูดใดที่เอื้อยเอ่ยออกมาบอกให้หยุดหรือบอกว่าไม่เอาเลยสักนิด

ราวกับว่าไม่สามารถรู้สึกถึงอะไรได้อีกต่อไป ราวกับว่าร่างกายของเขาไม่ได้ประกอบขึ้นมาจากกระดูกและเนื้อ แต่เป็นต้นไม้ที่สุกงอมจนแตกพอง

ฉันชอบนาย ฉันรักนาย แค่นายเท่านั้น ท่ามกลางการโยกเอวที่หยุดไม่อยู่ มูคยอมก็กระซิบบอกจนล้นท่วมหัว เสียงหวานของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกเหมือนจะสำลักจนตาย

ด้านบนของเยื่อเมือกอันอ่อนไหวที่ถูกกระแทกมานับครั้งไม่ถ้วน และในที่สุดของเหลวร้อนก็ถูกฉีดเข้าไปหลายครั้งในช่องทางลึกด้านในนั้น ความรู้สึกการแพร่กระจายของน้ำกามนั้นตราตรึงใจอย่างชัดเจนราวกับประทับตราเอาไว้ และเขารู้สึกว่าตัวเองเข้าใจผิดคิดไปเองว่าภายในร่างกายของเขานั้นมันเต็มไปด้วยน้ำกามของอีกฝ่าย

อ๊าา

ฮาจุนรู้สึกอิ่มเอมและปล่อยวางสติอย่างผ่อนคลาย

* * *

‘เพราะว่านักเตะคิมมูคยอมสามารถเอาชนะความกดดันและความกลัวได้ยิ่งกว่าตอนนี้อีกน่ะสิครับ’

เสียงที่ดูเหมือนจะมาจากที่ไกลๆ ราวกับเป็นเสียงสะท้อนแผ่วเบานั้น เมื่อฟังดูแล้วเขาก็คิดว่าเป็นเสียงของคนอื่นเพราะมันช่างเป็นเสียงที่ตัวเขาไม่คุ้นเคย

ยังมึนอยู่เลย เขากะพริบตาสองสามครั้งแล้วจึงหันหน้าไป มูคยอมที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหันไปมองฮาจุนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง

“ตื่นแล้วเหรอ”

“อือ…”

มูคยอมแย้มรอยยิ้มและวางโทรศัพท์ที่ถืออยู่

“ฉันกำลังดูรายการอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน แต่ก็มีข้อดีอยู่บ้าง นายออกมาดูดีเลยละ ฉันต้องเก็บวิดีโอนี้ไว้แล้ว เห็นหรือยัง ชื่อนายติดในอันดับการค้นหาด้วย”

“…ฉันเหรอ”

“โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่ยินดีหรอกนะที่ความนิยมของอีฮาจุนดีขึ้นมาก แต่ฉันต้องยอมรับสายตาของคนดูสิ”

มูคยอมวางโทรศัพท์ลงแล้วกอดฮาจุนดีๆ ริมฝีปากสัมผัสที่บริเวณเหนือแก้ม มูคยอมยิ้มขณะที่แนบริมฝีปากลงบนใบหน้าของฮาจุนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ฮาจุนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยๆ เพียงครู่เดียวแล้วจึงละสายตาลงไปอย่างเคอะเขิน มูคยอมเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เป็นอะไรไป ไม่อยากจูบอีกแล้วเหรอ”

“ปะ เปล่า… ฉันแค่ รู้สึกทึ่ง…”

“อะไร”

“หลังจากที่มีอะไรกันแล้ว ฉันเพิ่งเคยอยู่ด้วยกันแบบนี้กับนายเป็นครั้งแรกเลย… เลยรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮาจุนหมดสติขณะที่มีอะไรกับอีกฝ่าย ย้อนกลับไปในตอนนั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาฮาจุนก็นอนอยู่ตามลำพังในห้องอันมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ แต่ในวันนี้มันกลับแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

จุดสุดยอดที่มูคยอมมอบให้ยังคงเหมือนเดิมอย่างที่เขาคาดเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยไม่ชอบมันเลย แต่ความรู้สึกดีที่ยึดเหนี่ยวร่างกายราวกับโดนตาข่ายผูกรัดตัวเอาไว้นั้น เป็นความรู้สึกแบบที่ทำได้แค่อดกลั้นในขณะที่ร่างกายที่สั่นไหวและจิกผ้าปูที่นอนจนกว่ามันจะสลายไป แต่วันนี้มูคยอมกอดเขา เขาเลยคิดว่ามันดีกว่าปกติมาก

รู้สึกดีจัง ฮาจุนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวและฝังใบหน้าไว้ในอ้อมแขนของมูคยอม แขนของอีกฝ่ายโอบรอบหลังไว้แน่นและคำพูดขอโทษก็หลุดออกมาจากริมฝีปากที่วางอยู่บนศีรษะของเขา

“ขอโทษ”

“หา ไม่สิ ฉันไม่ได้ให้นายบอกขอโทษ ก็แค่รู้สึกดีน่ะ…”

ฮาจุนเขินอายขึ้นมาอย่างใจหายใจคว่ำเมื่อรู้สึกราวกับว่าตนเองเรียกร้องให้อีกฝ่ายทำ หลังจากที่ได้พูดคุยกันไม่กี่คำนั้น จิตใจของเขาก็ค่อยๆ สดใสขึ้น ฮาจุนจำได้แม่นว่าทำไมตนเองถึงมาที่นี่ตอนกลางดึกเพื่อมาสวมกอดอีกฝ่าย ฮาจุนเงยหน้ามองพิจารณาสีหน้าของมูคยอมแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“คิมมูคยอม ตอนนี้นายอารมณ์ดีขึ้นแล้วหรือยัง”

มูคยอมมองไปที่ฮาจุนนิ่งๆ แล้วส่งรอยยิ้มที่ฝืนทนและเลือนรางออกไป

“นี่เป็นสิ่งแรกที่นายอยากถามหลังจากที่ตื่นจากการสลบไปอย่างนั้นหรอกเหรอ”

จากนั้น อีกฝ่ายก็ดึงแขนออกมาราวกับฝังตนเองไว้ในอ้อมกอดของฮาจุน และใช้แขนโอบรอบคอของเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา

“ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฉันคงเปิดเผยมันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วหาทางออกเอง เอาแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ มันน่าตลกนี่นา”

“เปิดเผยเหรอ เรื่องอะไร”

ขณะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายถูที่รอบๆ คาง ฮาจุนก็กะพริบตาและรอให้อีกฝ่ายพูดต่อไป

“ก็เรื่องของคนที่เคยป่วยเป็นโรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจน่ะ”

“แล้วสิ่งที่พ่อทำมันเกี่ยวอะไรกับนาย ไม่เป็นไรนะ คิมมูคยอม ผู้คนจะให้ความสนใจสักพัก แต่เดี๋ยวเดียวก็ลืมกันแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะออกอากาศไปโดยไม่ได้ขอความยินยอมกันก่อน แต่นายก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปนะ”

จากคำพูดที่เฉียบขาดนั้น มูคยอมจึงเปลี่ยนท่าทางหันไปสบตากับฮาจุน ฮาจุนที่นอนหนุนแขนในระนาบเดียวกันกับใบหน้าของมูคยอมหันมาสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่หลบเลี่ยง ตอนนี้นัยน์ตาที่เคยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของมูคยอมดูเหมือนว่ามันจะเย็นลงอย่างแน่นอนแล้ว แต่ฮาจุนกลับยกมือขึ้นเหนือแก้มของมูคยอมโดยไม่รู้ตัว

ทำไมถึงได้ดูกังวลใจอย่างนี้ คงจะเป็นเรื่องน่าตกใจที่ชีวิตส่วนตัวที่ปกปิดไว้มาอย่างยาวนานได้ถูกเปิดเผยออกมาแบบนี้ แต่เดิมอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะใส่ใจสายตาของคนอื่นมากนัก

มูคยอมค่อยๆ เอ่ยออกมา

“เกี่ยว…สิ”

“หือ”

“ฉันคล้ายกับคนคนนั้นมาก ทั้งหน้าตา นิสัย หรือโรคที่น่าสงสัยนั่นก็ด้วย ทั้งหมดเลย”

มูคยอมคว้าข้อมือของฮาจุนที่คล้องคอตนเองไว้

“ที่นายเข้าโมเต็ลไปกับนายยุนนั่น…ฉันก็แอบตามไปด้วย ฉันสงสัยว่านายแอบฉันไปทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า ฉันตั้งหน้าตั้งตาพยายามจะเข้าไปในโมเต็ล ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ฉันคิดไปเอง แต่ตอนนั้น ฉันอยากจะฆ่าเขาทิ้งจริงๆ”

ใบหน้าของฮาจุนแข็งทื่อและเบิกตาโตขึ้น มูคยอมมองดูท่าทางของเขาอย่างนิ่งๆ และกอดเขากลับเข้าไปในอ้อมแขนของตนเอง

“แต่ว่าประตูโมเต็ลก็ส่องเงาสะท้อนตัวฉันกลับมา ทั้งหน้าหรือสีหน้าก็เหมือนกับไอ้บ้าคนนั้นมาก ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน ไม่สิ แค่บอกว่าตกใจยังไม่พอด้วยซ้ำ ฉันใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ คิดว่าจะไม่มีวันเป็นเหมือนคนนั้นอย่างแน่นอน…”

“…แล้วทำไม”

“ฉันอาจจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วก็ได้ เหมือนคนบ้าที่สงสัยนาย สะกดรอยตามนาย… แค่นายยืนหัวเราะกับคนอื่น ฉันก็รู้สึกเหมือนมีไฟมาแผดเผาอยู่ข้างใน ฉันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย”

“…”

“เพราะงั้นฉันจึงพยายามอยู่ให้ไกลจากนาย ฉันอยากให้นายรังเกียจฉัน แล้วฉันก็จะหายไปจากสายตาของนาย และเมื่อความสัมพันธ์มันจบลง ฉันก็จะไม่ต้องทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกแล้ว แต่…”

เขาได้ยินเสียงหัวเราะที่ราวกับลมพัดหายไปอีกครั้ง

ระหว่างที่เลียยอดอกทั้งสองข้างสลับไปมาหลายต่อหลายครั้งอยู่อย่างนั้น เลือดก็ไปคั่งอยู่ที่หน้าอกจนกลายเป็นสีแดง และของเหลวที่ทั้งเหนียวและใสก็เริ่มไหลออกมาจากแก่นกายที่ตื่นตัวของฮาจุน

“ฮ๊าาา อึก…”

มือของมูคยอมคว้าเอวที่เริ่มกระตุกทีละนิดขึ้นมาจากด้านล่าง และโลมเลียยอดอกที่แข็งตัวอย่างช้าๆ ส่วนนิ้วก็สัมผัสยอดอกอีกฝั่งอยู่ตลอดราวกับบดขยี้

หลากหลายความรู้สึกทั้งจั๊กจี้ เจ็บแปลบๆ และเสียวซ่านต่างผสมปนเปกันไป และแผ่ซ่านไปจนถึงปลายนิ้วหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกไปเองว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าสั่นไหวอย่างช้าๆ ฮาจุนทนต่อไปไม่ไหวจึงคว้ามือของมูคยอมที่สัมผัสยอดอกของตัวเอง

“…แฮ่ก แฮ่ก คิมมูคยอม พอได้แล้ว…”

มูคยอมที่เลียสิ่งที่ไหลลงมาราวกับหยดน้ำ แลบลิ้นออกมาเลียไปจนถึงคางและกัดเข้าที่ใบหูเบาๆ มือที่สัมผัสหน้าอกไถลลงไปด้านล่างและปัดไปที่แก่นกาย มูคยอมยื่นฝ่ามือที่เปื้อนน้ำหล่อลื่นใสๆ ที่ออกมามากกว่าที่คิดให้ฮาจุนดูและยิ้มออกมา

“ทำไมไม่ให้ฉันทำต่อล่ะ ถ้าทำต่ออีกหน่อย แค่ให้ดูดหน้าอกอีกไม่นานนายก็น่าจะปล่อยออกมาแล้ว”

ใบหน้าของฮาจุนที่ร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงในทันที ถึงจะไม่ใช่อย่างนั้น แต่ความรู้สึกที่ว่าท้องน้อยของเขาร้อนผ่าวขึ้นมามันก็ชัดเจนมากทีเดียว มูคยอมแสยะยิ้มพลางเข้ามาใกล้

“นายบอกให้ฉันทำตามใจนี่ จะมาบอกให้หยุดไม่ได้หรอกนะ”

แขนของมูคยอมโอบเอวของฮาจุนเอาไว้แน่น เพียงแค่นั้นก็ถูกกระตุ้นจนหลุดครางออกมาโดยไม่รู้ตัว พอตั้งสติได้ว่าร่างกายพลิกกลับด้าน ฮาจุนก็คว่ำอยู่บนตัวของมูคยอมเสียแล้ว ขาทั้งสองข้างตกลงไปที่ด้านข้างของตัวมูคยอม หว่างขาจึงแยกออกจากกันโดยอัตโนมัติ

“หรือว่าอยากให้ฉันรีบใส่เข้าไปด้านหลังเลยล่ะ”

“มะ ไม่ใช่…”

มูคยอมยื่นมืออีกข้างออกไปหยิบเจลที่อยู่ในลิ้นชักออกมา โดยที่มืออีกข้างยังคงคว้าเอวของฮาจุนไว้ ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดฝา เจลเย็นๆ ก็ถูกทาไปที่ร่องก้นที่ประจัญหน้ากับเพดาน ฮาจุนแนบหน้าอันร้อนผ่าวลงบนหน้าอกของมูคยอมพลางหายใจหอบเพราะความรู้สึกเย็นวาบ

ส่วนปลายของนิ้วกลางและนิ้วนางที่หนาพอสมควรสัมผัสเข้ากับทางเข้าที่เปียกชื้น เมื่อเกร็งตัวเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะสอดนิ้วเข้ามาทันที มูคยอมก็เอาแต่ถูช่องทางรักไปมา นวดคลึงปากช่องทางรักวนเป็นวงกลมพลางกดย้ำๆ ลงไปราวกับกำลังเล่นนวดแป้งเหนียวๆ

ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่การใช้มือกระตุ้น จึงได้รอ แต่ปากช่องทางรักที่เหนียวเหนอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มร้อนขึ้นมา

“อ๊ะ อ๊า…”

“นุ่มนิ่ม ช่องทางของนายก็สวย”

“อะไรนะ อ๊า อื้อ…”

ตั้งใจจะพูดคัดค้านคำชมที่ฟังแล้วทำตัวไม่ถูก แต่นิ้วทั้งสองที่ไถลลงไปด้านล่างทางเข้าก็เลื่อนไปบนช่องระหว่างส่วนโคนแก่นกายและช่องทางรักที่เจลไหลลงไปก่อนที่จะพูดจบ แล้วก็สอดเข้าไปในช่องทางด้านหลังที่หดตัวลงทั้งอย่างนั้น

“อ๊ะ! อะ… อ๊า…”

“ฮู่ว… เพิ่งจะทำไปไม่นานนี้เองนี่ ทำไมถึงได้คับขนาดนี้…”

นิ้วที่ทั้งยาวและหนาถูผนังด้านในอย่างช้าๆ และไถลเข้ามา บางทีนิ้วของมูคยอมอาจจะแทรกเข้ามาเกินสองข้อก็ได้ พอกดราวกับถูอย่างช้าๆ ไปบนจุดที่คราวก่อนมูคยอมขอลองสอดเข้ามาสัมผัส ภายในท้องก็ปั่นป่วน เอวกระตุกทันที ภายในรัดแน่นจนรู้สึกได้

เมื่อกวัดแกว่งนิ้วเป็นวงกว้างดูหนึ่งครั้ง ผนังด้านในก็แคบลงเพื่อป้องกันการลุกล้ำ ตั้งใจจะดันนิ้วที่ยังไม่ได้สอดเข้าไปลึกขนาดนั้นออกไปเพราะความกดดันเกินต้านทาน มูคยอมออกแรงไปที่นิ้วและค่อยๆ แทรกเข้าไปด้านในที่หดตัวลงอย่างเต็มที่

ในที่สุดก็สอดเข้ามาจนสุด จนรู้สึกได้ว่าข้อต่อที่เชื่อมระหว่างนิ้วกับฝ่ามือแตะโดนสะโพก เมื่อนิ้วที่ทั้งหนาและยาวขยับราวกับแหวกว่ายอยู่ข้างใน ร่างกายก็สั่นสะท้านเพราะรู้สึกว่าอวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด

“อื๊อ อ๊า อื้อ!”

“ผ่อนแรงหน่อยสิ”

“อ๊า กำลัง กำลังผ่อนแรง… อยู่ อ๊า อ๊ะ…”

“บอกให้ฉันทำตามใจ แต่ถ้านายเป็นแบบนี้นี่ฉันเศร้าเลยนะ”

มูคยอมนวดคลึงสะโพกด้วยมืออีกข้างราวกับรออยู่สักพัก แล้วก็ดึงตัวของฮาจุนที่หายใจหอบเข้ามาหาตัวเอง ใบหน้าของฮาจุนที่อิงอยู่ที่ไหล่เงยขึ้นไปประกบปากอีกครั้ง

สีหน้าของฮาจุนเหม่อลอยราวกับฝากร่างกายเอาไว้กับสัมผัสจากริมฝีปากของมูคยอม หลังจากได้รับจูบสั้นๆ ที่ส่งเสียงดังออกมาหลายครั้ง มือของมูคยอมกวาดจากสะโพกขึ้นมาถึงแผ่นหลังและโอบกอดพร้อมกับตีเบาๆ ไปบริเวณซี่โครง

“นายกลัวมากเกินไปร่างกายก็เลยไม่ผ่อนคลาย”

“ฮึ๊ก อื้อ”

“มองฉันสิ อีฮาจุน ฉันไม่ได้โมโห ฉันจะไปโมโหใส่นายที่วิ่งมาหาฉันกลางดึกได้ยังไง”

“อ๊า อือ ฉันรู้ อ๊ะ…”

“ฉันจะทำให้นายรู้สึกดีเอง ไม่ต้องห่วง นะ?”

ฮาจุนคิดว่าตัวเองคงจะไม่กลัวและไม่ประหม่าอีกต่อไปแล้ว แต่ร่างกายคงจะปรับตัวได้ช้ากว่าสมอง น้ำตาเอ่อล้นออกมาอีกครั้งเพราะคำปลอบโยน มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่นและพรมจูบลงบนเปลือกตาของฮาจุน ฮาจุนจั๊กจี้กับสัมผัสนั้น ราวกับว่ามีดอกไม้ผลิบานอยู่ที่ไหนสักที่ภายในอกไม่ใช่ที่ดวงตา

นิ้วที่กำลังแทรกเข้าไประหว่างสะโพกขยับเข้าออกอีกหนึ่งครั้ง และลูบไล้ลากยาวเข้าไปด้านใน นิ้วแทรกเข้าไปด้านในได้อย่างราบรื่นมากกว่าเมื่อกี้

“อะ อ๊า อื้อ!”

หลังจากพยายามอยู่สักพัก ช่องทางรักก็เริ่มขยายออก เจลหลอมละลายไปกับอุณหภูมิร่างกาย จนกลายเป็นของเหลว เสียงแฉะๆ ดังลอยเข้ามาในหูเบาๆ

เมื่อร่างกายที่ตอนแรกตั้งใจจะผลักนิ้วเพียงแค่นิ้วเดียวออกผ่อนคลายลง ไม่นานนักก็สามารถสอดเข้าไปได้ถึงสามนิ้ว พอแทงเข้าไปด้านในจนสุด ก็งอนิ้วแล้วนวดคลึงไปถึงจุดที่สัมผัสได้และถอนออกมา เมื่อทำแบบนั้นบ่อยๆ ร่างกายท่อนบนที่คว่ำอยู่ก็กระตุกราวกับตกใจทุกครั้ง

พอสอดเข้าไปจนถึงนิ้วสุดท้าย ส่วนที่ติดอยู่กับนิ้วโป้งก็ไถลเข้าไปด้วย การสอดนิ้วเข้าไปจึงลึกมากขึ้น เมื่อจิ้มไปโดนส่วนที่ลึกกว่าเดิม ลมหายใจกระเส่าก็ดังเล็ดลอดออกมา ฮาจุนฝังหน้าลงบนไหล่ของมูคยอมและส่ายหัว

“อ๊า อ๊ะ ฮึก ตอนนี้ ตอนนี้ได้แล้ว ทำ ทำเลย ทำเลยก็ได้…!”

“อีกนิดนึง”

“อะ อ๊า! ฮึก อื้อ!”

เมื่องอนิ้วทั้งๆ ที่ยังอยู่ข้างในและเขย่าข้อมือ เสียงชื้นแฉะที่น่าอายก็ปะทะเข้ากับอากาศ ความเร็วของเสียงเริ่มเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

“อ๊ะ อ๊า! อย่าขะ เขย่า…!”

มูคยอมขยับนิ้วเข้าออก พลางออกแรงไปที่ปลายนิ้วที่กวัดแกว่งและกดจุดที่สัมผัสได้ เสียงของฮาจุนสูงขึ้นอย่างเสียวซ่าน เขาร้องห้ามพลางจิกนิ้วลงบนที่นอนจนนิ้วกลายเป็นสีขาว

มูคยอมเองก็ผ่อนลมหายใจร้อนๆ ออกมายาวๆ เพราะท่าทางแบบนั้น เขาใช้มืออีกข้างจับมือของฮาจุนเอาไว้และลากไปวางไว้ที่หลังคอของตัวเอง ไม่นานนัก แขนทั้งสองข้างก็โอบมูคยอมเอาไว้

“ฉันเอง แฮ่ก ก็อยากจะเสียบเข้าไปเลย”

“สะ เสียบเลย ตอนนี้ ไม่เป็นไร ฮึ๊ก!”

“เสียบ? โค้ชอีพูดว่าเสียบเหรอเนี่ย”

สติที่กระเจิดกระเจิงกลับคืนมาในชั่วขณะเพราะคำว่าโค้ช ฮาจุนสายหัวราวกับปฏิเสธว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อกี้ไม่ได้ออกมาจากปากของตัวเอง นิ้วที่กวัดแกว่งอยู่ด้านในหลุดออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ

รู้สึกถึงนิ้วหนาๆ แต่ละนิ้วที่สอดอยู่ภายในเป็นเวลานาน เคลื่อนหลุดออกไปทีละนิ้วได้อย่างชัดเจน ร่างที่อยู่ในอ้อมอกกว้าง สั่นสะท้านราวกับถูกไฟช็อต ช่องทางด้านหลังที่จู่ๆ ก็ว่างเปล่า หดตัวกลับในทันที

รู้สึกได้ว่าผนังด้านในร้อนผ่าวขึ้นมา ในขณะที่ฮาจุนทนต่อความร้อนที่ว่านั่นและร้องครางออกมา มูคยอมก็หยัดตัวขึ้น ร่างของฮาจุนที่คว่ำอยู่บนร่างของมูคยอมจึงไถลลงไปบนที่นอน ก่อนที่จะได้จัดแจงท่า มูคยอมก็ก้มตัวลงไปที่ด้านหลังของฮาจุนที่กำลังนอนคว่ำอยู่เหมือนเดิม ปากช่องทางรักสัมผัสกับปลายนิ้วของมูคยอมอีกครั้งก่อนที่จะได้หันกลับมามอง เสียงที่ได้ยินกระเส่าเล็กน้อย

“ฉันว่าต้องลองอีกสักครั้ง ความประหม่าของนายถึงจะหายไปจนหมด…”

“ไม่ ไม่ต้อง… อะ อ๊า…!”

มือของมูคยอมที่หันหลังมือขึ้นด้านบนแทรกเข้าไปด้านในอีกครั้งอย่างช้าๆ ในมุมที่ต่างจากก่อนหน้านี้

เอวของฮาจุนกระตุกเพราะการลุกล้ำครั้งที่สองที่คาดไม่ถึง หน้าท้อง สะโพกและด้านในต้นขาหดเกร็งจนสั่นสะท้าน อย่างรวดเร็วกับว่าจะสั่นสะเทือนไปถึงเยื่อบุที่บีบรัดนิ้วเอาไว้

“อื้อ ฮึก อ๊า”

นิ้วที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากสองเป็นสามบดขยี้ผนังด้านในของสะดือ และขยับเข้าออกรัวๆ จนเกิดเสียงชื้นแฉะ ความรู้สึกใกล้เสร็จที่พุ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อกี้ ตีตื้นขึ้นมาภายในพริบตา

ฮาจุนพยายามยื่นมือออกไปข้างหลังเพื่อที่จะจับมือของมูคยอมเอาไว้ แต่ก็แค่เฉียดผ่านเท่านั้น ฮาจุนส่ายหน้าพลางสะอื้น

“อ๊ะ จะออกแล้ว…!”

“อย่ากลั้นเอาไว้”

เสียงดังจุ๊บดังขึ้นมาพร้อมกับคำพูดของมูคยอม และแน่นอนว่าสิ่งที่พรมลงบนสะโพกของฮาจุนคือริมฝีปากของมูคยอม

ช่องทางรักหดตัวทันทีเพราะสัมผัสเล็กๆ ที่ไม่คุ้นเคย ในตอนนั้นเอง นิ้วที่หลุดออกไปเป็นเวลานานก็กลายเป็นสี่นิ้วและดันลึกเข้าไปข้างใน ภาพที่อยู่ตรงหน้าฮาจุนขาวโพลนไปหมด ฮาจุนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ของเหลวขุ่นๆ หยดออกมาจากปลายแท่งร้อนที่กระตุกตั้งแต่เมื่อกี้ และไหลลงไปบนที่นอน

“ฮ๊า อ๊ะ! อ๊า อือ…”

ร่างกายร้อนวูบวาบราวกับเกิดประกายไฟเล็กๆ ขึ้นทั่วร่าง มูคยอมลูบช้าๆ ลงไปที่แผ่นหลังของฮาจุนที่กำลังตัวสั่นจนไม่มีสติพอที่จะปิดปากที่เผยอจนน้ำลายไหลออกมา

สัมผัสอันอ่อนโยนของมูคยอมกลับกลายเป็นการปลุกเร้าอารมณ์อย่างรุนแรง ระหว่างที่ฮาจุนส่ายหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว มือใหญ่ก็จับต้นขาและดันออก ขาทั้งสองข้างจึงอ้ากว้างอีกครั้ง มูคยอมทิ้งน้ำหนักลงบนหลังพลางนาบตัวลงไป

ฝ่ามือของมูคยอมประสานไปบนหลังมือของฮาจุนที่ปัดป่ายไปบนที่นอน ร่างกายเปลือยเปล่าที่เร่าร้อนของมูคยอมที่ถอดเสื้อไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สัมผัสเข้ากับแผ่นหลัง กล้ามอกที่ทั้งหนาและแข็งแกร่งขยายตัวจนแน่นมากกว่าปกติ เมื่อแนบกายลงไปก็รู้สึกได้ถึงขนาดตัวที่ต่างกันอย่างชัดเจน

ริมฝีปากพรมจูบย้ำๆ ลงไปบนหลังคอพร้อมกับเสียงชวนจั๊กจี้ราวกับหยดน้ำ เสียงของมูคยอมดังเข้ามาในหู

“ดูสิ ตอนนี้หายประหม่าแล้วใช่ไหม”

“ฮึก อื้อ…!”

ริมฝีปากของมูคยอมเฉียดผ่านไปราวกับใช้ขนนกปัดป่ายไปบนร่างกายที่มีเพียงแค่ความรู้สึกวาบหวาม ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตามที่เขาพูด

ทุกครั้งที่ขยับร่างกายพลางลูบไล้ไปที่หู ต้นคอและไหล่ด้วยความรักใคร่ ส่วนปลายของแก่นกายที่แข็งตัวและเร่าร้อนก็ทิ่มแทงและถูไถไปที่ร่องสะโพกของฮาจุนโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นสะโพกก็จะกระตุกและหดเกร็งเบาๆ

มูคยอมเพียงแค่ลูบไล้เบาๆ อย่างอ่อนโยน ไม่ได้ดูดคลึงหรือเลีย แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นด้านหลังที่ฮาจุนมองไม่เห็น แม้แต่การสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ จึงทำให้อารมณ์ของฮาจุนพลุ่งพล่าน สายตาที่พร่ามัว ทำให้ฮาจุนกะพริบตาช้าๆ อยู่บ่อยครั้งเหมือนกับคนเมา

ระหว่างนั้นมูคยอมก็ค่อยๆ ถดตัวลงไปด้านล่างทีละนิด จูบลงไปที่กระดูกไหล่ และไล่จูบลงไปที่ซี่โครงด้านหลังและแนวกระดูกสันหลัง ส่วนมือก็ลูบไล้ไปตามช่วงเอวและหยุดอยู่ที่กระดูกก้นกบ

“ฮู่ว อ่า…”

ขณะที่ถูกเล้าโลมอย่างรักใคร่ราวกับตวัดพู่กันไปบนหลัง ฮาจุนน้ำตาเอ่อและกำลังสั่นไปทั้งตัว ทันทีที่ลุกล้ำเข้าไปในร่างกายและขับน้ำรักออกมา ความรู้สึกดีที่ทั้งบางเบาและละเอียดอ่อนเหมือนกับกระดาษก็ก่อตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ ขึ้นมา

ร่างกายอ่อนไหวเสียจนรู้สึกกลัว แม้แต้มือที่ลูบไล้สะโพกอย่างอ่อนโยนก็ทำให้ท้องน้อยปั่นป่วน เหมือนกับความเจ็บปวดที่ไม่รู้ที่มา

“…ฮะ อ๊า! อ๊า!”

กล้ามเนื้อมัดเล็กบนหลังของฮาจุนกระตุกอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับเสียงครางที่ร้องออกมาอย่างยากลำบาก ริมฝีปากของมูคยอมที่คิดว่าจะหยุดอยู่ที่กระดูกก้นกบเท่านั้น ไล่ลงไปด้านล่างและไปถึงทางเข้าของช่องทางรักที่ใช้นิ้วลุกล้ำไปแล้วหนึ่งครั้ง

“อ๊า มะ… ไม่นะ…”

ฮาจุนส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากของมูคยอมที่พรมจูบเบาๆ ไปที่คอและแผ่นหลัง พรบจูบลงบนรอยย่นที่ปูดบวมเล็กน้อย

“อ๊ะ! อ๊า อื้อ…!”

แล้วจู่ๆ ก็ใช้ลิ้นกวาดขึ้นไปบนช่องทางรัก

มูคยอมเลียเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่เอวของฮาจุนก็กระตุกและตัวสั่นในทันที เป็นการกระทำที่ตั้งใจจะเลี่ยงการกระตุ้น แต่ที่จริงแล้วก็คล้ายกับการยื่นสะโพกไปหามูคยอม มูคยอมใช้ส่วนที่แบนราบของนิ้วโป้งถูช่องทางรัก และแลบลิ้นออกมาเลียให้ทั่วอีกครั้ง

“อ๊ะอ๊า…! ฮึกก ฮือ อ๊ะ พอ พอได้แล้ว…”

ฮาจุนยื่นแขนอันไร้เรี่ยวแรงไปด้านหลัง และเอามือปกปิดร่องสะโพกของตัวเอง ทุกครั้งที่ดิ้นอย่างเชื่องช้าอยู่บนที่นอน กล้ามเนื้อสวยๆ ของแผ่นหลังและเอวก็กระตุกอย่างน่ามอง ฮาจุนรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตัวเองกลายเป็นสัตว์ที่ไร้กระดูกสันหลัง

“เป็นอะไร ไม่ชอบเหรอ”

คราวนี้ลิ้นของมูคยอมแตะไปที่ฝ่ามือของฮาจุน พอกำหมัดเพราะทนกับสัมผัสของการใช้ลิ้นที่เหมือนกับการเลียนมบนฝ่ามือไม่ไหว คราวนี้มือของมูคยอมก็จับข้อมือของฮาจุนเอาไว้แล้วดันขึ้นไปด้านบน ลิ้นชื้นแฉะโลมเลียไล่ขึ้นไปจากช่องระหว่างแก่นกายและช่องทางรัก ไปจนถึงกระดูกก้นกบ

“อ๊า… ฮะ อ๊ะ อ๊า!”

ภายในร่างกายเดือดพล่านเพราะความรู้สึกดีและความอาย ปากช่องทางรักที่ถูกนิ้วลุกล้ำเข้าไปแม้แต่ในขณะที่กำลังขับน้ำรัก และร่างกายของฮาจุนร้อนจนทนไม่ไหว เหมือนกับที่มูคยอมตำหนิว่าเขาเป็นคนที่บอกให้ทำตามใจเองแท้ๆ แต่ดันมาบอกให้หยุด หากเป็นไปได้วันนี้ฮาจุนไม่อยากจะห้ามมูคยอมเลย แต่ถ้าถูกลูบไล้ด้วยความรักเหมือนครั้งก่อน เขาคงจะทนไม่ไหวจริงๆ

พอนึกถึงความรู้สึกตอนที่ลิ้นและริมฝีปากของมูคยอมเลียเยื่อบุและรอยย่น และดูดดึงช่องทางรักแล้วก็ขนลุกขึ้นมาราวกับรู้สึกขนลุกอยู่ภายในท้อง เหงื่อเย็นๆ ไหลไปทั่วร่างกาย

“อ๊า พอที… พอทีได้ไหม… อื้อ อะอ๊า! อ๊า!”

แผล่บ ลิ้นกวาดขึ้นไปอีกครั้งราวกับจะหลอมละลายช่องทางรัก ริมฝีปากที่เปิดออกและเอวที่ยกขึ้นสูงสั่นสะท้าน สมองของฮาจุนขาวโพลนไปหมด แม้แต่ความคิดที่ว่าจะต้องห้ามมูคยอมก็กระเจิดกระเจิงราวกับผิวน้ำที่กระเพื่อมอย่างรุนแรง

แต่มูคยอมก็ยังไม่หยุด ความรู้สึกอันเร่าร้อนและแหนะหนะราวกับถูกไฟแผดเผาที่ยังคงหลงเหลือในความทรงจำ จึงได้หายลับไปในวันนี้ แต่ทุกครั้งที่ลูบไล้ช่องทางรักด้วยลิ้น และพรมจูบลงไปบนสะโพกหรือกระดูกก้นกบ ความรู้สึกดีอันละเอียดอ่อนราวกับงานฝีมือก็คืบคลานขึ้นมาบนร่างกายราวกับสีที่กระจายไปทั่วร่าง

ฮาจุนแยกไม่ออกว่าความรู้สึกดีที่ตนเองรู้สึก เป็นการกระตุ้นหรือความกลัว แม้แต่ความหนักใจที่มีก็บรรเทาลงไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มูคยอมลูบไล้ช่องทางรักด้วยความรัก ฮาจุนเองก็กระตุกเอวพร้อมกับเสียงหอบ ความหวานอันขมขื่นที่เริ่มจากศูนย์กลางของร่างกาย แผ่กระจายเป็นคลื่นไปจนถึงปลายนิ้วมือและปลายเท้า

“นายดูรายการก็เลยมาเหรอ”

“อือ”

ฮาจุนเว้นจังหวะไปสักพักแล้วจึงพูดต่อ

“ฉันว่าน่าจะเป็นการออกอากาศที่ไม่ได้รับการยินยอม”

“ไม่อยู่แล้วสิ ทางเอเจนซี่ยืนยันว่าได้ตรวจสอบดูก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็คงจะเอาไปตัดต่อใหม่ทีหลัง”

“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ มีแค่ส่วนนั้นแหละที่มันค่อนข้างแปลกเหมือนกับตัดมาแปะ”

เกิดความเงียบขึ้นหลังจากบทสนทนาสั้นๆ จบลง เขาไม่ได้มาเพื่อพูดอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปก่อนดี ราวกับว่าความชื้นภายในปากเหือดแห้งไปหมด

ฮาจุนที่เผยอปากจะพูดหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็ถามคำถามที่ธรรมดาที่สุดออกไป

“นายโอเคไหม…”

“เรื่องอะไร”

“มันเป็นการล่วงล้ำชีวิตส่วนตัว… โดยไม่ได้รับการยินยอม”

“ฉันไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด ถึงจะเรียกค่าเสียหายก็คงได้แค่เศษเงิน ถึงจะฟ้องก็คงมีการลงโทษกันภายใน ถึงมันจะไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ก็เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ”

มูคยอมแค่นหัวเราะออกมา

“ไอ้ PD คนนั้นน่ะ ดูเป็นคนดีนะ แต่เป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอเลย ฉันคิดว่าฉันเคยเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้วนะ แต่ฉันคงจะได้เจออีกเยอะ”

พอเห็นไอศกรีมที่กำลังละลายแล้วก็ทำไม้ทำมือพร้อมกับพูดออกมา

“กินสิ อันนั้นอร่อยนะ”

“…นายซื้อมากินไม่ใช่เหรอ”

“ฉันกินวันหลังก็ได้”

ฮาจุนจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปากไปหนึ่งคำเล็กๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ รู้เพียงแค่ว่ามันมีกลิ่นลาเวนเดอร์ แต่แทบจะบอกไม่ได้เลยว่าอร่อยหรือไม่ ขณะที่ไอศกรีมละลายอยู่ในปาก มูคยอมก็ถามออกมา

“…มันไปถึงขั้นไหน”

“หือ”

“ในรายการน่ะ พูดไปถึงขั้นไหน”

ตอนที่จะกลืนลงคอก็รู้สึกเหมือนไอศกรีมอันอ่อนนุ่มกลายเป็นก้อนหินแข็งๆ ฮาจุนกลืนไอศกรีมลงไปอย่างยากเย็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเปิดปากพูดได้

“พาไปดู… บ้านสมัยเด็กของนาย แล้วก็สัมภาษณ์คนที่บอกว่าเป็นเพื่อนบ้าน เล่าเรื่องพ่อแม่ของนาย”

“พ่อเหรอ”

“อือ”

“แค่นั้นเองเหรอ บอกว่าคนนั้นมันบ้าใช่ไหม”

“อื้อ เล่าว่าเขาทำร้ายนายกับแม่”

มูคยอมเอนหลังพิงโซฟา

“เรื่องนั้นฉันก็เคยเล่าให้นายฟังแล้วนี่ ครั้งก่อนก็เล่าไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นบ้า พยายามไล่ตามจับฉันกับแม่”

ฮาจุนพยักหน้า พอบอกไปว่าอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว มูคยอมก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ แบบนั้น สวนฮาจุนที่คิดว่าไม่น่าถามเรื่องนั้นเลยก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

ถึงจะไม่ได้เล่าถึงเรื่องที่ว่าสาเหตุที่พ่อเป็นแบบนั้นเพราะความระแวงที่ผิดปกติ แต่ก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนอื่นฟัง ฮาจุนเองก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยอะไรถ้าหากไม่มีใครมาถาม

เพราะพ่อของคิมมูคยอมเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว มูคยอมเองจึงถูกตัดสินว่าเป็นคนแบบนั้นเช่นกัน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นเพียงแค่คำที่กระตุ้นความสนใจและข้อมูลสั้นๆ ที่เลือกจะเสพเพื่อความสนุกสนานชั่วคราวเท่านั้น แต่ผู้เกี่ยวข้องคงจะมีเหตุผลที่ไม่พูดเรื่องนี้เลยมาจนถึงตอนนี้ แต่ดันเอาเรื่องแบบนั้นมาออกอากาศตามอำเภอใจเสียได้

คิมมูคยอมเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก พอโดนจู่โจมจุดอ่อนโดยไม่คาดคิด ตอนนี้ก็คงจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“…เฮ้อ”

มูคยอมที่นั่งทำหน้าตาเฉยเมย และเหม่อมองไปในอากาศอยู่เงียบๆ ราวกับกำลังจมอยู่กับความคิด ยกมือขึ้นมาปิดหน้าและถอนหายใจออกมาเบาๆ ฮาจุนได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เป็นกังวลเพียงเท่านั้น

มูคยอมที่ปกปิดใบหน้าด้วยมือขนาดใหญ่ของตัวเองอยู่อย่างนั้นสักพักราวกับปวดหัว เอามือออกและยิ้มให้กับฮาจุน

“แต่ฉันก็หัวร้อนอยู่นะ หืม? แม่งเอ๊ย เฮงชวยฉิบหาย”

ฮาจุนหัวเราะไม่ออก รอยยิ้มของมูคยอมไม่มีความผ่อนคลายเหมือนปกติอยู่เลย มูคยอมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันไร้เรี่ยวแรง

“อีฮาจุน ขอโทษนะ นายกลับบ้านไปเถอะ”

“…”

“ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันไม่อยากอยู่กับนายตอนที่ตัวฉันเป็นแบบนี้ เพราะกลัวว่าฉันจะไประบายอารมณ์ใส่นาย”

แต่ฮาจุนกลับไม่ลุกขึ้น เขาไม่ได้มาถึงบ้านของมูคยอมกลางดึกเพื่อที่จะมาบอกให้มูคยอมทำใจให้สบายและพักผ่อนให้เต็มที่ ถึงจะไม่ได้เตรียมคำตอบที่ชัดเจนว่ามาถึงที่นี่เพื่ออะไรก็ตาม

ฮาจุนเองก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะอยากอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้… เขาปล่อยคิมมูคยอมเอาไว้คนเดียวไม่ได้

“มัวแต่ทำไรอยู่ บอกให้ไปได้แล้วไง”

“ไม่ไป”

มูคยอมขมวดคิ้ว ลุกขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ฮาจุนเมื่อได้ยินแบบนั้น พอถูกคว้าแขนเอาไว้ ฮาจุนเองก็ต้องลุกขึ้นยืนโดยที่ถูกบังคับ ใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ห่างเพียงคืบ สีหน้าของมูคยอมเคร่งเครียด และพอมองใกล้ๆ แล้ว ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธก็กำลังสั่นไหวด้วยความกระวนกระวายใจ

จะให้ดูสิ่งนี้สินะ ไม่สบายใจเลย ถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียวคงได้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

ถึงช่วงนี้จะสงบลงไปบ้างหลังจากที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง แต่จนถึงตอนนี้มูคยอมก็มีปัญหากับสื่อไม่น้อยเลยทีเดียว ที่อังกฤษ มีนักข่าวแท็บลอยด์ที่เขียนข่าวปลอมเกี่ยวกับตัวเขา และเขายังเคยทะเลาะวิวาทหรือทำลายกล้องของปาปารัสซี่ที่คอยติดตามเขาด้วย แน่นอนว่าพวกคนที่เอาเรื่องส่วนตัวของเขาไปออกอากาศโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาคงไม่สนหรอกว่ามูคยอมจะทำอะไรในขณะที่เขาโมโหแบบนี้

พอนึกถึงการกระทำต่างๆ ของมูคยอมที่เคยได้รับรู้มาทางอ้อมราวกับได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ก็เกิดความกังวลขึ้นมาในทันที ระหว่างที่ฮาจุนปิดปากเงียบ ริมฝีปากของมูคยอมก็ยกยิ้มขึ้นมา เสียงที่ได้ฟังใกล้ๆ เป็นน้ำเสียงที่ลังเลเจือไปด้วยน้ำโห

“นี่นายกำลังหาเรื่องใส่ตัวเหรอ ถ้ามาเข้าใกล้คนที่กำลังโมโห แล้วเกิดพลาดขึ้นมานายอาจจะโดนหาเรื่องเอาได้นะ ฉันบอกให้ไปไง เวลาที่เป็นแบบนี้น่ะ อย่าดื้อนักเลย!”

“ก็ทำซะสิ”

“อะไรนะ”

“ถ้าอยากระบายอารมณ์ก็เอาเลย ทำตามที่ใจนายต้องการได้เลย”

มูคยอมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่ฮาจุนพูด ฮาจุนเอนตัวเข้าหาอ้อมอกของมูคยอมแทนที่จะแกะมือที่คว้าแขนของเขาเอาไว้ออก

“เรายังไม่ได้เป็นแฟนกัน ฉันยังไม่ได้ตอบนายเลย”

“…”

“วันนี้ถึงนายจะทำอะไร ฉันก็จะไม่ว่า จะด่าหรือจะอะไรก็ตาม… ทั้งหมดเลย ฉันจะไม่นับว่าเป็นการให้คะแนนการบ้าน ถ้านายโมโหก็ลงที่ฉันได้เลย อย่าทำเรื่องโง่ๆ อยู่คนเดียว ทำกับฉันสิ”

“… เป็นอะไรของนาย ทดสอบฉันเหรอ”

เขาเคยคิดว่าตัวเขาเองเป็นเหมือนกับของเล่นของอีกฝ่าย เพียงเพราะการที่เขายอมเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาตค

ฮาจุนฝังหน้าลงไปบนไหล่ของมูคยอม และยืนแนบชิดมากกว่าเดิม

“ขอร้องล่ะ มูคยอม อยู่กับฉันเถอะ…”

น้ำเสียงสั่นเครือที่ไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้ แม้จะพยายามแล้วก็ตาม คิมมูคยอมยืนนิ่งและไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้น

ถึงพยายามจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ก็ประหม่าเสียจนเสียงลมหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย มูคยอมจึงคว้าเอวและยกขาของฮาจุนขึ้น จากนั้นหน้าอกของฮาจุนก็พาดอยู่ที่ไหล่ของมูคยอม ราวแบกสัมภาระเอาไว้ หัวของฮาจุนจึงห้อยลง และเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของอีกฝ่ายและส่วนหนึ่งของห้องนั่งเล่นจากด้านข้างเท่านั้น ถึงจะอยากตะโกนว่า ‘ปล่อยฉันลง ข้อเท้าของนายยังเจ็บอยู่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ’ แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ฮาจุนได้แต่เบิกตากว้างโดยไร้คำพูดใดๆ

มูคยอมแบกฮาจุนเอาไว้เหมือนแบกของ และค่อยๆ เดินไป พอสิ่งที่เห็นพลิกกลับด้านไปหมด เขาก็ถูกวางลงบนที่ไหนสักที่ สถานที่ที่คุ้นเคย มูคยอมที่มองลงมาที่ตัวเขา วันนี้ดูตัวใหญ่กว่าที่เคยเป็น รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นจากแรงกดดันที่ไม่รู้สาเหตุ ความเงียบอันหนักหน่วงทำให้เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา จึงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ถอด เสื้อผ้าไหม…”

แต่แล้วมูคยอมก็ขึ้นมาบนเตียงแทนคำตอบ และก้มตัวลง ฮาจุนจ้องมองอีกฝ่ายพร้อมกับเอนตัวลงโดยอัตโนมัติ ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อผ้าเลย แต่ไหล่ของเขาก็สั่นและขนลุกไปทั่วทั้งแขน มูคยอมกำลังมองฮาจุนราวกับจ้องเขม็งด้วยท่าทีที่เรียบนิ่งเป็นหินอยู่เช่นเดิม แต่เขากลับหนักใจยิ่งกว่าเดิม

ฮาจุนทนลมหายใจที่ถี่รัวขึ้นไม่ไหว และตั้งใจจะเปิดปาก แต่ถ้าเปิดปากออกตอนนี้ เขาคงจะหายใจหอบแน่ๆ จึงได้แต่หลับตาและพยายามหายใจให้เบาที่สุด แต่แล้วก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของมูคยอมลอยเข้ามาในหู

“ลืมตามามองฉันสิ”

ฮาจุนค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ จากนั้นใบหน้าของมูคยอมก็เข้ามาใกล้และประกบปากลงบนริมฝีปากของเขาทันที ลมหายใจที่ถี่รัวราวกับการบรรเลงดนตรีสั้นๆ หยุดลงภายในชั่วพริบตา แม้แต่เสียงหายใจก็หยุดชะงัก และดวงตาก็ปิดลงอีกครั้ง

คางเริ่มสั่นไหว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายที่กำลังโมโหจะกัดกินริมฝีปากของเขาทั้งอย่างนั้น จึงได้แต่หายใจถี่รัวโดยที่ประกบปากอยู่ทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่แล้วมูคยอมก็หยุดเคลื่อนไหวและไม่ทำอะไรต่อ

ฮาจุนที่เกิดความสงสัยขึ้นมาค่อยๆ ขยับเปลือกตาและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง มูคยอมจึงได้เริ่มขยับอีกครั้ง

อีกฝ่ายขยับหัวไปมาพลางบดขยี้ริมฝีปากของฮาจุน สัมผัสอันอ่อนโยนราวกับลูบไล้ พรมลงมาบนริมฝีปากหลายต่อหลายครั้ง ริมฝีปากที่ปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อเตรียมรอรับการจูบก็เปิดออกราวกับแตกร้าว

“ฮื้อ…”

เมื่อเกิดเสียงครางผสมกับเสียงหายใจ ริมฝีปากของฮาจุนก็แยกออกจากกัน มูคยอมจึงได้แลบลิ้นออกมา แต่มูคยอมกลับไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปในทันที เพียงแค่โลมเลียริมฝีปากของฮาจุนอย่างช้าๆ เท่านั้น

สลับกันไปทั้งริมฝีปากบนและล่างอย่างช้าๆ ลมหายถี่รัวเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของฮาจุนอีกครั้ง เพราะการถูไถไปมาที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการทาลิปสติก ไม่ใช่การหายใจที่ติดขัดและเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นลมหายใจที่ทั้งอุ่นและชื้นแฉะ

“อือ อะ…”

ริมฝีปากที่เปืยกชื้นเพราะลิ้นของอีกฝ่ายโลมเลียหลายต่อหลายครั้งเป็นมันเงาและดูบวมขึ้นมาเล็กน้อย พอมูคยอมกดริมฝีปากลงไปอีกครั้งจนเกิดเสียงดัง คราวนี้ก็ประกบปากลงไปบนริมฝีปากล่างและกัด ฟันที่งับริมฝีปากเอาไว้ราวกับยึดเอาไว้เบาๆ โดยที่แทบไม่ได้ออกแรงเลย ขูดบริเวณเยื่อบุด้านในและปล่อยออก จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับริมฝีปากบน

จูบที่นุ่มนวล เป็นไปอย่างช้าๆ และเปียกชื้นอย่างที่คาดไม่ถึง คล้ายกับจูบในครั้งนั้นที่มูคยอมมอบให้ในตอนรุ่งเช้าที่เขากำลังเมาในฤดูร้อนที่ผ่านมา จูบที่อีกฝ่ายจำไม่ได้

แม้จะเป็นคนบอกให้อีกฝ่ายระบายความโกรธ แต่ความตึงเครียดที่แผ่ซ่านไปทั้งตัวก็ค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ ความชื้นร้อนๆ แผ่ซ่านไปในเปลือกตาราวกับสิ่งที่แข็งเป็นน้ำแข็งกำลังละลาย ถึงจะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอ่อล้นที่ไหลรินลงมาบนขมับได้

มูคยอมเงยหน้าขึ้นและใช้ริมฝีปากเช็ดน้ำตาที่ไหลรินโดยไร้คำพูดใดๆ

“ฮื๊อ อือ”

เสียงเล็กๆ ที่แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงสะอื้นหรือเสียงครางออกมาพร้อมกับน้ำตา มูคยอมประกบปากลงไปอีกครั้งและค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปด้านในราวกับตั้งใจจะดูดดื่มเสียงที่ว่านั่น

ลิ้นร้อนๆ ต้อนรับการมาถึงของมูคยอบอย่างรีบร้อน แขนของฮาจุนคลอเคลียอยู่ที่หลังคอของมูคยอมอย่างเก้ๆ กังๆ เป็นการใช้แขนสะกิดราวกับถามเบาๆ ว่าทำแบบนี้ได้หรือเปล่า

มือของมูคยอมที่ปัดป่ายไปที่คอ ผิวอันบอบบางบริเวณคาง หน้าอก และติ่งหูของฮาจุนแม้แต่ขณะที่กำลังจูบ ก็แทรกเข้าไปที่หลังคอในทันที ใช้มือช้อนหลังหัวของฮาจุนขึ้นมา และดันลิ้นเข้าไปลึกๆ ราวกับสอดใส่

ในตอนนั้นเอง ฮาจุนออกแรงไปที่แขนและดึงมูคยอมเข้ามากอด แค่กำลังจูบกันอยู่แท้ๆ แต่เขากลับสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว

“อ๊ะ อื้อ อือ”

ลิ้นที่สอดเข้าไปจนลึก เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและแนบแน่น หลังจากกวาดเพดานปาก ถูไถบริเวณช่องคออย่างอ่อนโยน และถอนออกเพื่อให้เขาพักหายใจแล้ว ก็สอดเข้าไปห่อหุ้มลิ้นอีกครั้ง

ลิ้นที่ถูกทิ่มแทงและบดขี้หลายต่อหลายครั้งเจ็บแปลบและรู้สึกเหมือนกับจะชาขึ้นมา แต่ที่รู้สึกว่ารับรู้อะไรได้ช้าลงก็เป็นเพียงแค่การคิดไปเองเท่านั้น เมื่อมูคยอมประกบปากและดูดดึงลิ้นของเขา ความรู้สึกเสียวซ่านราวกับกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเนื้อหนังอันบอบบางของเขาก็พุ่งขึ้นมา ฮาจุนจึงเอนหลังพลางส่งเสียงที่สูงขึ้นกว่าเดิมออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ฮ๊าา อ๊า…!”

ลิ้นที่เร็วรัวจนเกิดเสียงชื้นแฉะ ยังคงละเลงไปไม่หยุด ความเร่าร้อนพลุ่งพล่านและน้ำตาไหลรินเพราะความรู้สึกดี เขาสบตากับมูคยอมด้วยสายตาที่พร่ามัว แต่แล้วมูคยอมก็พร่ำบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอันเร่าร้อน

“ฮู่วว อีฮาจุน… วันนี้นายต้องโดนดุ”

ฮาจุนกะพริบตาที่เปียกชื้นพลางช้อนตามองอีกฝ่ายราวกับสงสัยการคาดโทษที่ไม่คาดคิด ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะป้องกันการเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นเท่านั้น เขาทำผิดอะไรถึงต้องมาถูกดุกันล่ะ

“ถึงจะรู้ว่านายก็มีมุมที่ดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ถ้ามันอันตรายก็ควรจะหนีไปซะสิ แต่กลับพุ่งเข้าใส่ก่อนเนี่ยนะ นายเป็นแบบนี้ตลอดเลยได้ยังไง”

“…อ๊ะ อันตรายอะไรกัน…”

“ปากเก่งจังนะ ถ้างั้นก็อย่าร้องไห้สิ”

มูคยอมพูด และพรมจูบลงบนแก้ม เมื่อเขาถดตัวพลางครางออกมาเบาๆ เพราะความร้อนที่มาจากริมฝีปาก แขนอันทรงพลังของอีกฝ่ายก็ดึงไหล่ของเขาเข้ามากอด

เสียงงึมงำเหมือนพูดคนเดียวลอยเข้ามาในหู เป็นคำพูดที่ดูเหมือนว่ามูคยอมจะโมโหใส่ตัวเองมากกว่าโมโหใส่ฮาจุน

“บ้าไปแล้วเหรอ มันใช่เรื่องที่จะมาระบายอารมณ์ใส่นาย เพราะเรื่องที่ไอ้ชั่วนั่นทำหรือไง”

ดูจะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ และริมฝีปากก็ประกบมาอีกครั้งก่อนที่จะได้ตอบออกไป พอลิ้นถูกกัดอย่างแผ่วเบาก่อนที่ความรู้สึกอันวาบหวามจะจางหายไป ความรู้สึกชาก็แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า รู้สึกจั๊กจี้ราวกับมีป๊อปปิ้งแคนดี้อยู่ภายในปาก

ระหว่างที่หายใจหอบพลางพยายามเอาชนะจูบที่ไม่คาดคิด มูคยอมก็ถอดเสื้อเชิ้ตของฮาจุนออก และพรมจูบไล่ลงไปบนร่างกายของเขา ด้วยความที่ใส่เพียงเสื้อคลุมออกมาเท่านั้น กางเกงและชั้นในที่ไม่ได้เลือกมาอย่างใส่ใจเท่าไหร่นัก จึงถูกถอดออกไปด้วยภายในพริบตา

บริเวณต้นคอและกระดูกไหปลาร้าที่อ่อนไหวขึ้นมาเพราะถูกมือปัดป่ายไปหลายต่อหลายครั้ง เร่าร้อนขึ้นมาเพียงแค่ริมฝีปากเฉียดผ่าน ฮาจุนพยายามหยัดตัวขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ริมฝีปากของมูคยอมที่ไล่ลงไปถึงหน้าอกและกลืนกินยอดอกของเขา

“อะ อ๊ะ!”

แต่มือของมูคยอมที่คว้าและดึงไหล่ของฮาจุนไว้กลับเร็วกว่า มูคยอมที่คว้าไหล่เอาไว้เพื่อไม่ให้ฮาจุนหนีไป ดูดดึงยอดอกและผิวหนังบริเวณนั้นจนเกิดเสียงขึ้น

ขณะที่ดูดแผ่นอก ก็ใช้ลิ้นบดขยี้ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่อยู่บนอกราวกับจะฝังกลับลงไปใต้ผิวหนัง แต่ยิ่งบดขยี้มากเท่าไหร่ ยอดอกกลับยิ่งแข็งตัวราวกับต่อต้าน

ฮาจุนจัดโต๊ะหนังสือแสนรกซึ่งไม่ได้จัดมานาน หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับแม่ และจัดการบันทึกการฝึกที่ถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อยด้วย รวมถึงบันทึกการฟื้นฟูร่างกายของมูคยอมด้วยเช่นกัน

การฟื้นฟูร่างกายของมูคยอมเป็นไปอย่างรวดเร็วตามคาด ซึ่งก็น่าจะเข้าร่วมการแข่งขันนัดต่อไปได้ ก่อนอื่นตรวจสอบสภาพร่างกายโดยที่ให้คนอื่นรับหน้าที่แทนไปก่อน และหากพิจารณาแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร มูคยอมก็จะได้ลงแข่งอีกครั้งตั้งแต่นัดหน้า

เขาวุ่นอยู่กับการบ้านที่เรียนร่วมกับโค้ชคนอื่นๆ ได้สักพักก็ลงไปนอนเล่นอินเทอร์เน็ตบนเตียง และกลับมานั่งที่โต๊ะหนังสืออีกครั้ง พร้อมกับนึกถึงมูคยอม เมื่อย้อนกลับไปมองช่วงเวลาต่างๆ ที่ได้ใช้ไปกับอีกฝ่ายแล้ว รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฎขึ้นมา แต่พอไปถึงส่วนที่เป็นกล่องดำ ก็เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้น

แต่การที่พอแก้ปัญหาไม่ได้ก็ล้มเลิกความตั้งใจ และข้ามไปยังปัญหาต่อไป ก็เป็นจุดสำคัญของการแก้ปัญหาเช่นกัน พอมองแบบนั้นแล้ว ต่อไปก็จะได้รู้คำตอบได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดอยู่กับความอยากรู้อยากเห็นในตอนนั้นมากเกินไป ตอนนี้ตัวเขาเองตัดสินใจจะอยู่เคียงข้างมูคยอมแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็คงจะได้รู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายในทุกแง่มุม

“พี่ไม่ดูทีวีเหรอ”

“ไหนพี่บอกจะมาดูด้วยไง”

พอตกกลางคืน พวกน้องๆ ที่กินผลไม้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็เดินมาเรียกเขา จะว่าไปแล้ว วันนี้เป็นวันที่สารคดีที่มูคยอมไปถ่ายจะออกอากาศทางทีวี

จะพลาดไม่ได้สิ ฮาจุนเก็บสมุดโน้ตที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะและออกไปที่ห้องนั่งเล่น บรรดาคนในครอบครัวที่ได้ข่าวมาว่าฮาจุนเองก็จะปรากฎตัวในสารคดีในช่วงเวลาสั้นๆ ต่างก็เปิดทีวีรอช่วงเริ่มต้นของรายการสารคดีอย่างใจจดใจจ่อ

ดูเหมือนว่าทุกคนจะคาดหวังกับรายการที่มีมูคยอมเป็นตัวเอกมากเกินไป ฮาจุนจึงได้เตือนอีกครั้ง

“ออกมาแค่นิดเดียวเอง เป็นตัวประกอบฉากตอนมูคยอมฝึกซ้อมแค่นั้นเอง”

“เถอะน่า! วันหลังต้องไปหาโหลดเก็บไว้แล้วละ”

ทันทีที่พูดจบ สารคดีก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงของมินแจยอง

‘ดวงดาวแห่งวงการฟุตขอลในเอเชีย อัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนที่หาโอกาสกลับมาเกาหลีได้ยาก ฮันรยูสตาร์แห่งวงการกีฬา… ‘ ถึงแม้เขาจะมีฉายาสุดอลังการมากมาย แต่มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้จักตัวตนของเขา

ฮาจุนที่นั่งอยู่บนโซฟา จ้องมองหน้าจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตัวเขาเองที่ไล่ตามมูคยอมมาเป็น 10 ปี สามารถพูดได้เลยว่าแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมูคยอมข้อมูลไหนในรายการนี้ที่เขาไม่รู้

บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ตัวเขาสงสัยเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนของมูคยอมมากกว่าก็ได้ละมั้ง ฮาจุนเอียงหัวพลางคิดว่านั่นไม่ใช่คำถามที่มีเหตุผลหรอก แต่อาจจะเป็นความโลภอย่างหนึ่งที่อยากจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับมูคยอมก็ได้

เรื่องราวของมูคยอมปรากฎขึ้นบนหน้าจอไปทีละเรื่อง เรื่องที่ได้พบเจอกับผู้จัดการทีมพัคจุนซอง

และถูกปั้นให้เป็นนักกีฬา อัลบั้มรูปจบการศึกษา สมัยที่เป็นนักกีฬาโรงเรียนมัธยมต้น สมัยเล่นลีกอังกฤษ ดิวิชั่น 2 ผลงาน EPL และภาพตอนที่เล่นอยู่ในเคลีก อาจจะเป็นเพราะเป็นสารคดี จึงไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องราวความรักของมูคยอมเลย

“เอ้ย นั่นพี่นี่!”

“อะไรเนี่ย จู่ๆ พี่ก็โผล่มาเฉยเลย”

หลังจากฉายภาพที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังจะเข้าสู่ฉากฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพ จู่ๆ กล้องก็จับไปที่ใบหน้าของฮาจุน

ออกมาเยอะกว่าที่คิดไว้ซะอีก ฮาจุนมองหน้าจอพร้อมกับอ้าปากออกเล็กน้อยด้วยความงุนงง มินคยองและฮาคยองดูจะตื่นเต้น เป็นภาพตอนที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการฝึกซ้อมของมูคยอม

“พี่ออกมาตลอดเลย”

ต่อด้วยภาพวันที่มาเพื่อถ่ายทำเพิ่มเติม ภาพตอนที่ฝึกซ้อมและพูดคุยกับมูคยอมก็ถูกถ่ายเอาไว้ด้วย

ดูไม่น่าจะเป็นฉากที่สำคัญเท่าไหร่ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงถ่ายเขาเยอะขนาดนั้น ฮาจุนที่นึกว่าตัวเองจะโผล่มาแค่นิดเดียวจึงมาดูทีวีร่วมกับคนในครอบครัว ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรวางตัวยังไง และได้แต่รอให้ฉากที่มีตัวเองโผล่มาผ่านไปเร็วๆ

เมื่อฉากฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพผ่านไป ก็นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพลังใจเหนือมนุษย์ของมูคยอม และต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะก้าวสู่ระดับโลกในฐานะนักกีฬาชาวเอเชีย ถึงจะเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจ แต่ก็เป็นข้อมูลที่เขารู้อยู่แล้ว

‘…และนั่นคือ นักกีฬาคิมมูคยอม ผู้ครอบครองตำแหน่งซูเปอร์สตาร์แห่งวงการกีฬาในขณะนี้ และเขาเองก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดอยู่เช่นกันค่ะ’

และแล้วหน้าจอก็เปลี่ยนไปในทันที เป็นภาพย่านที่อยู่อาศัยที่ดูแร้นแค้น มินแจยองเดินตามเส้นทางไป

‘นี่คือย่านที่นักกีฬาคิมมูคยอมอาศัยอยู่ในสมัยเด็ก ความจริงที่ว่านักกีฬาคิมมูคยอม แม้ว่าเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กนั้นจะเป็นที่เลื่องลือ แต่ไม่ค่อยมีคนที่รู้เกี่ยวกับสมัยที่เขาอยู่กับครอบครัวเลยนะคะ’

แล้วกล้องก็จับภาพไปที่บ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง พร้อมกับอธิบายว่าเป็นบ้านที่มูคยอมอาศัยอยู่ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ฮาจุนที่นั่งเท้าคางดูทีวี เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับช่วงก่อนที่มูคยอมจะเข้าไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก

เขารู้เพียงแค่ว่า พ่อแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อตอนที่มูคยอมอายุสิบเอ็ดปี และอาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก

จนกระทั่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น และตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้นก็ปิดไปตั้งนานแล้ว ทั้งมูคยอมและผู้จัดการพัคเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวสมัยเด็กของมูคยอมอย่างละเอียดมาก่อน

ภาพเปลี่ยนไปเป็นภาพมินแจยองสัมภาษณ์ชาวบ้านในละแวกนั้น ใบหน้าของผู้ถูกสัมภาษณ์ถูกปิดเอาไว้จึงมองไม่เห็น

‘คุณเป็นเพื่อนบ้านสมัยที่นักกีฬามูคยอมยังเป็นเด็กใช่ไหมคะ’

‘ครับ ใช่แล้วครับ’

‘นักกีฬาคิมมูคยอมเป็นเด็กแบบไหนครับ’

‘เป็นเด็กที่เข้มแข็งครับ ชาวบ้านละแวกนี้ก็คิดแบบนั้นกันหมดครับ ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่เขาก็กลายเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จได้ เยี่ยมไปเลยครับ’

‘สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากนี่มันเป็นยังไงเหรอคะ’

‘พ่อของเขา ไม่สิพ่อของนักกีฬาคิมมูคยอม เฮ้อ เป็นคนเสเพลสุดๆ ไปเลยครับ เป็นคนที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวด้วย’

‘คนที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวเหรอคะ’

‘ครับ รู้จักความหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจใช่ไหมครับ เขา ไม่สิ พ่อของนักกีฬาคิมมูคยอมเป็นแบบนั้นครับ ปกติจะเป็นคนที่รักภรรยามาก แต่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยครับ เขาทำร้ายภรรยาทุกวันเพราะโรคหวาดระแวงที่ว่านั่น ส่วนนักกีฬาคิมมูคยอมที่เป็นลูกชายก็โดนด้วยครับ ตำรวจเคยมาหาถึงที่บ้านด้วยนะครับ พวกเราที่เป็นเพื่อนบ้านต่างก็คิดว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นสักวัน แต่พ่อแม่ของเขาก็จากไปเสียก่อน…’

ฮาจุนที่ได้ฟังบทสนทนา ขมวดคิ้วจนเป็นรอย มินคยองและฮาคยองต่างก็อ้าปากเหม่อมองหน้าจอ

…คิมมูคยอมอนุญาตให้นำเสนอข้อมูลแบบนี้งั้นเหรอ จู่ๆ เรื่องที่ยังไม่เคยเล่าเลยสักครั้งก็ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านทางทีวีเนี่ยนะ

ทั้งฉากสัมภาษณ์ น้ำเสียง และการนำเสนอดูแปลกทั้งหมด ไม่สามารถลบความไม่เหมาะสมที่จู่ๆ สารคดีเกี่ยวกับความสำเร็จของคนคนหนึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอื่นเข้ามา และความไม่เข้ากันราวกับยัดเยียดชิ้นส่วนอื่นๆ ลงไปในโปรแกรมที่สมบูรณ์แบบแล้วออกไปได้เลย ถึงจะเป็นการชื่นชมราวกับว่านักกีฬาคิมมูคยอมเอาชนะสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่ยากลำบากได้และกลายเป็นฮีโร่ เป็นคนที่เยี่ยมยอด แต่ก็เป็นเนื้อหาที่ทำให้เสียความรู้สึกเหมือนกับตะปูที่ยื่นออกมา

ฮาจุนเปิดโทรศัพท์และเข้าสู่เว็บไซต์ด้วยความรู้สึกลางไม่ดี แล้วก็เป็นไปตามที่คาด นอกจากชื่อของมูคยอมแล้ว ศัพท์ต่างๆ ที่เพิ่งจะถูกพูดถึงในรายการเช่น หวาดระแวงว่าภรรยานอกใจ ต่างก็เป็นคำที่ถูกค้นหาแบบเรียลไทม์มากที่สุด และแล้วก็ตัดเข้าสู่โฆษณา

ฮาจุนลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้าห้องไป เขารีบโทรหามูคยอมอย่างรีบร้อน แต่เมื่อสัญญาณต่อสายดังอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ อาจจะออกอากาศตามที่มูคยอมอนุญาตก็ได้ แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงด้วยความไม่สบายใจ ฮาจุนยืนทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้นสักพักก็หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม

“แม่ ผมไปข้างนอกแป๊บนะ เดี๋ยวมา”

“ดึกป่านนี้จะไปไหน”

ฮาจุนบอกคนในครอบครัวที่ยังอยู่หน้าทีวีเอาไว้ และรีบตรงไปที่ประตูบ้านทันที เขาวิ่งไปที่หน้าโครงการอพาร์ทเม้นท์ เรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายให้คนขับทันที เขารู้สึกว่าวันนี้แท็กซี่ที่แล่นไปอย่างรวดเร็วบนถนนโล่งๆ เชื่องช้าซะเหลือเกิน

“ลุงครับ เร็วหน่อยครับ”

“ครับ ตอนนี้ผมขับเร็วที่สุดแล้วครับ”

ฮาจุนที่ลงมาจากแท็กซี่ลืมกล่าวขอบคุณคนขับที่ปกติเขามักจะทำเสมอ และรีบขึ้นลิฟต์ไป ทันทีที่ออกจากลิฟต์ก็รีบไปที่หน้าประตูและกดออด แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากด้านใน

ไม่มีวิธีเปิดประตู ถึงแม้จะบันทึกข้อมูลไว้ในลิฟต์เพราะเข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยๆ แต่เขาไม่มีกุญแจที่จะเปิดเข้าไปข้างใน

“คิมมูคยอม”

เขากดออดอีกครั้งพลางเรียกชื่อของมูคยอม แต่ก็ยังไร้เสียงตอบรับเช่นเคย

ไม่อยู่บ้านเหรอ…

เขาลองโทรหาอีกครั้ง ถึงวันนี้จะโทรหาอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เจอระบบรับฝากข้อความทุกครั้ง จึงไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่นัก

‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…’

เขาเก็บโทรศัพท์และลองเคาะประตูแทนการกดออด

“คิมมูคยอม! คิมมูคยอม! มูคยอม!”

ไม่ตอบเช่นเดิม ฮาจุนที่เคาะประตูหลายต่อหลายครั้ง ไหล่ตกเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ในหัวของเขาคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่หยุด

…ใช่แล้ว คงจะเป็นเนื้อหาที่ได้รับการยินยอมแน่ๆ ถึงจะคิดด้วยสามัญสำนึกแล้วก็น่าจะถูก แต่ทำไมเขาถึงต้องตกใจจนมาถึงที่นี่กันนะ ถ้ามูคยอมมาเจอเข้าอาจจะคิดว่ามันแปลกก็ได้ แต่ยังไงเขาก็ไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆ แน่ ฮาจุนยืนอยู่หน้าประตูบ้านราวกับเด็กหลงทาง

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์…”

เขายืนพิงประตูอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ไม่รู้สาเหตุทำให้รู้สึกจุกอกราวกับน้ำตาจะไหล

ถ้าเกิดว่า เป็นการออกอากาศที่ไม่ได้รับการยินยอม… แล้วจะทำยังไงล่ะ

เขาได้แต่ยืนมองดูพื้นหินอ่อนอยู่อย่างนั้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิด ฮาจุนรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

“อีฮาจุน?”

คนที่ออกมาจากลิฟต์ คือมูคยอมที่เขาเฝ้ารอ ฮาจุนรีบหยัดตัวที่พิงประตูขึ้นมา และเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทันที สีหน้าของมูคยอมปกติดี

“เกิดอะไรขึ้น ถึงได้มาหากันกลางดึก ไหนบอกเจอกันพรุ่งนี้ไง”

“…นายไปไหนมา…”

“หา? ฉันเหรอ”

มูคยอมทำหน้าเขินๆ และมีท่าทีลังเล แต่แล้วก็ค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งที่ไพล่เอาไว้ข้างหลังขึ้นมาช้าๆ และยื่นออกมาข้างหน้า

“ฉันอยากกินไอศกรีมเลยออกไปซื้อมาน่ะ…”

ในมือของเขามีถุงที่มีรูปไอศกรีมอยู่จริงๆ ฮาจุนเหม่อมองถุงที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

ว่าแต่ มูคยอมไม่ได้ใช้ไม้ค้ำด้วยซ้ำ เมื่อวานยังเดินกระเผลกใช้ไม้ค้ำอยู่เลย เมื่อวานคงจะแกล้งทำเป็นตีหน้าเศร้าทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บจริงๆ สินะ พอใจเย็นลงแล้วก็ถามราวกับจับผิด

“ไปทำเองเลยหรือไงถึงได้นานขนาดนี้…”

“ร้านนี้ไม่ได้อยู่แถวนี้ ฉันก็เลยขับรถไปซื้อน่ะสิ ถึงจะไม่ควรกินอะไรแบบนี้กลางดึก แต่บางทีก็อยากกินนี่นา”

“โอเค… เข้าใจแล้ว ฉันกลับบ้านก่อนนะ”

คงจะไม่มีอะไรจริงๆ พอหายกังวล เรี่ยวแรงทั้งหมดก็หายไปจนอยากจะไปนั่งพักที่ไหนสักที่ ตอนที่เดินผ่านมูคยอมไปเพื่อที่จะไปขึ้นลิฟต์ มูคยอมก็คว้าแขนของฮาจุนไว้

“จะไปไหน มาถึงที่นี่แล้วนะ เข้ามาก่อนสิ มีเรื่องอะไร ถึงได้มาล่ะ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“ไม่มีที่ไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไร นายคงไม่มีทางมาถึงที่นี่กลางดึกหรอก หรือว่าใจร้อนอยากให้คะแนนขึ้นมาล่ะ”

พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มตรงหน้าแล้ว ก็แยกไม่ออกว่าเป็นเนื้อหาที่ได้รับการยินยอมให้ออกอากาศ หรือว่ายังไม่รู้เรื่องกันแน่ ฮาจุนจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายและถามออกมา

“…นายไม่ได้ดูรายการเหรอ วันนี้เป็นวันที่ฉายสารคดีของนายนะ”

“อันนั้นน่ะเหรอ ไม่เห็นต้องรีบเลย ฉันตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวค่อยดู ทำไมล่ะ มีฉากแปลกๆ หรือเปล่า คนที่รับผิดชอบเขาบอกว่าตรวจสอบก่อนออกอากาศเรียบร้อยแล้ว”

“ทำไมนายไม่รับโทรศัพท์เลย”

“ฉันลืมพกออกไปด้วย เข้ามาก่อนสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันปล่อยให้กลับไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก”

มูคยอมดึงข้อมือของฮาจุนและเปิดประตูบ้าน ในเมื่อไม่มีเหตุผลที่จะยืนยันว่าจะกลับบ้าน จึงได้แต่เดินโซเซตามอีกฝ่ายเข้าไปและนั่งลงบนโซฟาตามที่มูคยอมพาไป มูคยอมตักไอศกรีมให้ฮาจุน และเพิ่งจะได้เช็กโทรศัพท์ในตอนนั้น หว่างคิ้วของมูคยอมที่มองหน้าจอโทรศัพท์ขมวดเข้าหากัน

“ทำไมโทรมาหาหลายสายเลยล่ะ”

ได้ยินเสียงมูคยอมพูดคนเดียวลอยเข้ามาในหู ชัดเลยว่าไม่ได้มีแค่สายของฮาจุนเท่านั้น มูคยอมเหลือบมองฮาจุนและลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วโทรไปหาใครสักคน

“ว่าไง พี่ ผมเอง มีอะไรหรือเปล่า”

ถึงจะรู้ว่าการแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์มันไร้มารยาท แต่โสตประสาทกลับจดจ่ออยู่กับเสียงของมูคยอมที่กำลังคุยโทรศัพท์ในทันที เสียงของมูคยอมเบาลง ดูเหมือนว่าจะเดินออกไปไกลกว่าเดิมจนฮาจุนฟังไม่ค่อยได้ยิน

“นี่มันหมายความว่ายังไง ไหนบอกว่าเช็กแล้วไง!”

มูคยอมที่ลดเสียงคุยโทรศัพท์ลงไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็ตะโกนออกมา ฮาจุนเองก็สะดุ้งตกใจโดยไม่รู้ตัว คงจะเป็นเพราะเขากำลังตั้งใจฟังเสียงของมูคยอมอย่างเต็มที่ มูคยอมพูดกับปลายสายอีกสองสามคำ และวางสายด้วยความหงุดหงิด

“ช่างเถอะ แค่นี้แล้วกัน ไว้คุยกันทีหลัง ในเมื่อมันออกอากาศไปแล้วจะทำไงได้ …ถึงจะฟ้องไปก็คงได้แค่เศษเงิน แค่ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง”

จากนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงบนพื้น พอหันไปมองด้วยความลังเล ก็เห็นว่าโทรศัพท์ของมูคยอมกระเด็นไปที่ปลายเท้าของเขา

เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้รับการยินยอมก่อนจริงๆ ด้วย ฮาจุนได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอราวกับว่าตัวเองเป็นคนผิด ถึงจะเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองเหมือนคนงี่เง่าที่ไม่รู้ว่ากังวลอะไรถึงได้มาที่นี่ ทั้งๆ เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน

ได้ยินเสียงฝีเท้าของมูคยอมที่เดินมาบริเวณโซฟา ฮาจุนข่มใจที่เต้นรัว เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของมูคยอม

ก่อนที่จะเดินมาถึง ฮาจุนกังวลว่ามูคยอมจะโมโหมากหรือเปล่า แต่มูคยอมก็แค่ทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับเหนื่อยล้าอยู่หน่อยๆ และนั่งลงตรงข้ามฮาจุน

ถึงจะไม่ได้แนบหน้าลงไปที่บริเวณหัวใจซะทีเดียว แต่จังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวก็สะเทือนมาถึงแก้มของเขา

อย่างแผ่วเบา แม้ว่าเหงื่อที่ซึมออกมาจากร่างกายจะทำให้หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นอะไร

แผงอกที่ใบหน้าแนบอยู่ทั้งกว้างและแข็งแกร่ง อาจจะเป็นเพราะอ้อมกอดตามสัญชาตญาณที่ได้รับจากร่างกายอันใหญ่โตของอีกฝ่าย ฮาจุนจึงกะพริบตาช้าๆ อย่างอ่อนเพลียราวกับง่วงขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ

ในขณะที่ลืมไปแล้วว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนี้อยู่ และเหม่อมองลงไปบนพื้น ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา

“เมื่อวานฉันไปบ้านลุงมา”

“ลุง”

“ผู้จัดการพัคไง”

อ๋อ ฮาจุนแนบหน้ากับหน้าอกของมูคยอมและพยักหน้ารับเล็กน้อย

“ไปแป๊บหนึ่งเพราะการสัมภาษณ์ครั้งก่อน ตอนนั้นฉันอยู่นานไม่ได้”

“อือ”

“ฉันว่ายังไงก็คงยากที่ลุงจะกลับมาในปีนี้ ฉันอยากจะลงแข่งนัดสุดท้ายในฐานะผู้เล่นของลุงนะ… ถึงจะพัฒนาไปได้ไม่เลว แต่ผู้จัดการทีมฟุตบอลเป็นอาชีพที่ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก หมอคงกลัวว่าลุงแกจะตื่นเต้น

จนอาการแย่ลงเลยยังห้ามไม่ให้กลับมาทำงาน”

ฮาจุนได้แต่พยักหน้าโดยไร้คำตอบ ถึงจะลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ แต่การที่มูคยอมมาที่นี่ก็เพื่อใช้เวลาหนึ่งฤดูกาล

ไปกับผู้จัดการทีม พัคจุนซอง เขารู้ดีกว่าใครว่ามูคยอมอยากจะอยู่ร่วมทีมกับคนที่นับถือ

“ใครจะไปรู้ อีกหน่อยถ้าผู้จัดการพัคได้เป็นผู้จัดการทีมชาติ ก็อาจจะได้ร่วมงานกันอีกก็ได้”

“ลุงจะยอมดูแลทีมชาติไหมนะ ถึงจะได้รับข้อเสนอก็คงจะไม่รับหรอก ตาลุงนั่นน่ะใจเสาะกว่าที่เห็น”

ดูจากการที่เพิ่งจะรับข้อเสนอให้เป็นผู้จัดการทีมมืออาชีพเป็นครั้งแรกเอาตอนนี้ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ฮาจุนเงียบไปเมื่อไม่มีอะไรจะพูดต่อ

“อาจจะเป็นเพราะล้มเจ็บไปครั้งหนึ่ง คนเราถึงได้ดูแก่ลงไปเยอะ ดูเหมือนภรรยาของลุงแกก็จะแก่ขึ้นทุกครั้งที่เจอ เมื่อก่อนน่ะ ถึงทั้งสองจะตัวเตี้ยกว่าฉัน แต่ก็ดูสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้กลับตัวเตี้ยลงไปมากเลย”

“บางทีฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเวลาที่เจอแม่ ถึงจะเจอกันทุกวัน แต่ก็มีช่วงที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน”

มือใหญ่วางลงบนหัวอย่างแผ่วเบา ฮาจุนทำตาโตด้วยความตกใจ เขาพูดออกไปเพื่อที่จะปลอบใจเพราะดูเหมือนมูคยอมจะว้าวุ่นใจ แต่มูคยอมกลับลูบหัวฮาจุนช้าๆ ราวกับตั้งใจจะปลอบใจ

ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ ถึงจะบ่นด้วยความไม่สบายใจอยู่ในใจ แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ปัดมือนั้นออก

และนอนคว่ำอยู่อย่างนั้น

“โค้ชอี”

“ทำไม”

“เรื่องที่โค้ชอีถามเมื่อครั้งก่อนน่ะ”

“…อืม”

“ถ้าไม่บอก… ก็จะไม่ได้เป็นแฟนกันไปตลอดเลยหรือเปล่า”

ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีและนิ่งเงียบ

ใจของเขาสงบนิ่ง มีช่วงที่ความคิดไร้สาระเกิดขึ้นลุกลามราวกับควันที่เผาไหม้จิตใจเพียงแค่ถามออกมาอยู่เช่นกัน พอช่วงเวลาที่อึดอัดใจซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองไม่สบายใจและเกิดคำถามขึ้นเพราะอะไรผ่านพ้นไป จึงได้ถามกับอีกฝ่าย ความใจร้อนที่คอยรังควานตัวเขามาช่วงขณะหนึ่งก็สลายหายไป

ตั้งแต่วันที่ขอให้อีกฝ่ายอธิบาย จนมาถึงวันนี้ ฮาจุนก็ไม่ได้เร่งเร้าและรอให้มูคยอมตอบอยู่ เส้นแบ่งระหว่าง เขากำลังรอคำตอบของอีกฝ่าย หรือปล่อยให้คำถามนั้นไกลลับตาไปเรื่อยๆ ก็เลือนรางจนไม่ชัดเจนไปซะแล้ว

พอฮาจุนหยัดตัวขึ้น ครั้งนี้มูคยอมเองก็ยอมผ่อนแรงที่แขนลง ทั้งสองจึงสบตากันโดยที่ฮาจุนมองจากด้านบน มูคยอมมองขึ้นมาจากด้านล่าง มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อย และยกยิ้มพร้อมกับถามออกมา

“ฉันขายหน้า เลยบอกนายไม่ได้ ช่วยทำเป็นไม่รู้เรื่องสักครั้งได้ไหม”

“สักครั้ง? ฉันยอมนายมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ”

“ถ้างั้นก็อีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย”

สีหน้าของมูคยอมที่จ้องมองฮาจุนในวันนี้ก็เป็นสีหน้าที่ไม่คุ้นเคย เป็นสายตาที่เหมือนกับอ้อมกอดที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ล้ำค่าจนไม่สามารถหาที่ไหนได้อีกในโลก

ถึงจะไม่เข้าใจกระบวนการทางความคิดของมูคยอมที่ชื่นชอบเขาภายในคืนเดียว แต่หลังจากที่อีกฝ่ายพูดคำว่าชอบเขาออกมาแล้ว แม้ว่าความรู้สึกนั้นอาจจะเปลี่ยนไปในทันทีเลยก็ได้ แต่ก็ไม่เคยระแวงว่าความรู้สึกนั้นมันไม่จริง

แต่สิ่งที่น่าระแวงคือความรู้สึกของตัวเขาเอง ถ้าเรียกว่าเป็นรักข้างเดียวมาตลอด 10 ปีก็อาจจะฟังดูเป็นความรักที่บริสุทธิ์มาก แต่ที่จริงแล้วเขากลัวว่ามูคยอมจะทำหน้าหงุดหงิดใส่เขาหรือเปล่า จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่คาดเดาสีหน้าของอีกฝ่ายและทำตามจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเท่านั้น

เมื่อได้ใช้เวลายามค่ำคืนไปด้วยกัน ก็ดีใจที่ได้รู้จักอีกฝ่ายที่ตัวเขาได้แต่คอยมองอยู่ไกลๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่ชนเข้ากับกำแพงที่อีกฝ่ายก่อขึ้นมา จิตใจก็ห่อเหี่ยวเหมือนกับแมลงที่ห่อตัวอีกครั้ง คำถามที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้งก็ยังคงอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจอยู่เสมอ

และในตอนนี้มันก็ยังคงอยู่อย่างนั้น สาเหตุที่รู้สึกประหม่าที่มูคยอมชอบตนเอง ก็คงจะเป็นเพราะตัวเขาเอง

ยังคงมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกของมูคยอมอยู่เช่นเดิม

ความจริงที่ได้รู้เมื่อเวลาผ่านพ้นไป คือสาเหตุที่เขาไม่มั่นใจที่จะคอยปกป้องอยู่เคียงข้างมูคยอมในฐานะแฟนหรือคนรัก ไม่ใช่เพราะมูคยอมทำให้เขาเป็นทุกข์เพียงเท่านั้น คนเราจะทุกข์ทรมานที่สุดก็ตอนที่รู้สึกระแวงในสิ่งที่ตนเองเชื่อมาตลอด

เขาเองก็อยากจะได้รับความมั่นใจจากหัวใจดวงนี้

อยากจะมั่นใจว่าหัวใจดวงนี้รักผู้ชายที่ชื่อมูคยอม ไม่ใช่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมา

คิมมูคยอมที่บางครั้งก็สนิทและอ่อนโยนมากจนทำให้เขาสับสน ทั้งๆ ที่ย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นความสัมพันธ์ทางกาย คิมมูคยอมที่ชวนให้เขาเป็นคู่ขาในเรื่องเซ็กซ์ราวกับมองว่าเขาเป็นเครื่องสนองตัณหาทางเพศ และกดขี่ข่มเหงเขา และคิมมูคยอมที่บอกชอบเขา ในความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองมีส่วนที่ถูกระบายด้วยสีดำราวกับกล่องดำของทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการอยู่ เขาสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

แต่ก็ได้แต่ขอคำตอบจากมูคยอมเท่านั้น เพราะเขายังเป็นคนขี้ขลาดที่กลัวว่าถ้าหากพูดในสิ่งที่ตนเองระแวงออกไป จะเป็นการเผยให้เห็นว่าความรู้สึกของตนเองที่เขาให้ความสำคัญกับมันมากเป็นสิ่งที่ไร้ค่า

รักความถูกต้องเกินความจำเป็นหรือเปล่านะ ทุกคนต่างก็รักโดยที่ไม่มีความชัดเจนแบบนี้กันหรือเปล่านะ ถ้าคิดถึงเรื่องราวความเป็นไปของโลกเกี่ยวกับความรักหรือการมีคนรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ สำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งก็เป็นเพียงดินแดนที่ไม่รู้จักเท่านั้น คงจะเงียบไปนาน มือของมูคยอมจึงได้เลื่อนขึ้นไปจนถึงหลังคอของฮาจุน

“อีฮาจุน ถึงจะดูใจเสาะที่ฉันเอาแต่บอกปัดไปเรื่อย แต่ฉันขอบอกนายอีกครั้ง”

อีกฝ่ายสบตากับฮาจุน

“ฉันรู้ว่านายสงสัยเรื่องอะไร ฉันไปจัดการความคิดตามที่นายบอกแล้ว… แต่มันพูดยากจริงๆ แต่ฉันสาบานได้เลยว่า ถ้านายช่วยหลับหูหลับตาอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

“…”

“ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาฉันทำให้นายเป็นทุกข์ แต่ยังไงก็ต้องลองคบกันจริงๆ จังๆ ดูสักครั้งสิ ฉันยังมีสิ่งที่อยากทำให้นายอีกเยอะเลย”

นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน

“มีความสัมพันธ์ทางกายกับไอ้สวะคิมมูคยอมแล้วก็จบความสัมพันธ์ลงไปแบบนั้น นายไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเหรอ ลองคบเป็นแฟนกับคิมมูคยอมที่กลับตัวกลับใจดูสักครั้งไหม”

ฮาจุนที่เหม่อไปสักพักเมื่อได้ฟังคำนั้นที่ฟังดูเหมือนเป็นคำที่ท่องมา ลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น

“โอเค ฉันยอมนายก็ได้”

“จริงเหรอ”

มูคยอมทำตาโตและลุกขึ้นในทันที ที่ขอให้จับมือเอาไว้ เป็นการแกล้งตีหน้าเศร้านี่เอง

“ไม่ใช้วันนี้หรอกนะ”

“แล้วยังไงล่ะ”

“หลังจากที่ฉันพูดคำนั้นออกมา แล้วนายขอให้มาเจอกันวันนี้ มันนานแค่ไหน นายเองก็รออย่างสงบเสงี่ยมสิ จะทำแต่เรื่องที่นายชอบอย่างเดียวไม่ได้นี่”

“อีฮาจุน ทำตัวร้ายกาจเป็นด้วยเหรอเนี่ย น่ารักไปหมดเลย”

เขาไม่ใช่คนประเภทที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและกล้าหาญเหมือนมูคยอม เขาเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความยืดหยุ่น อีกทั้งยังได้ยินคำตำหนิที่ว่าเพราะเขาเป็นแบบนั้นจึงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้ทำยังไงได้

การที่เดินตามมูคยอมไปขึ้นรถในวันที่มูคยอมจูบเขาเป็นครั้งแรก เป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นที่สุดในชีวิตของฮาจุน และต่อไปก็จะได้รู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนั้น เป็นโชคหรือความผิดพลาดของชีวิตกันแน่

ฮาจุนมองอีกฝ่าย คิมมูคยอมคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขา และเป็นผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบไปทุกเรื่อง แม้แต่นิสัยที่ชอบทำอะไรตามแต่ใจตัวเองของอีกฝ่าย เขาก็ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งพิเศษ

แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มองอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไปแล้ว คิมมูคยอมเป็นคนที่เต็มไปด้วยมุมที่เหมือนกับเด็กซึ่งมีความซับซ้อนจนไม่สามารถเข้าใจได้

แต่นอกจากความเข้าใจได้ยากแล้ว เขาก็ยังคงชอบคิมมูคยอมที่เป็นแบบนั้น… อยู่เช่นเดิม

จะมั่นใจถึงขนาดที่พูดได้ว่า ตัวเขาในตอนนี้เข้าใจตัวตนของมูคยอมในแบบที่มูคยอมเป็นได้มากกว่าตอนที่มองอีกฝ่ายอยู่เพียงฝ่ายเดียวได้ไหมนะ ฮาจุนยิ้มพร้อมกับสะพายกระเป๋า

“รีบออกมาสิ จะปิดไฟแล้ว”

มูคยอมคงจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะคำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับการตกปากรับคำ จึงไม่แกล้งตีหน้าเศร้าอีก และเดินเคียงข้างฮาจุนพร้อมกับไม้ค้ำทันที ฮาจุนแอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่สูงกว่าระดับสายตาของตนเองเล็กน้อย

ใบหน้าด้านข้างที่ได้รูป ดวงตาอันเฉียบคม สันจมูกโด่งๆ และสันกรามคม ดึงดูดสายตาของฮาจุนที่จ้องมองราวกับว่า ความมั่นใจและความแข็งแกร่งที่หลอมรวมเป็นอีกฝ่ายถูกบรรจงวาดขึ้นมา

แต่ตอนนี้ตัวเขามองไปพร้อมกับรอยร้าวที่เกิดขึ้นในตัวอีกฝ่ายด้วย จึงเกิดความคิดที่ว่า บางทีรอยร้าวที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น อาจจะเป็นอีกด้านหนึ่ง สีสัน และแสงสว่างของผู้ชายที่คว้าใจของเขาได้อยู่หมัดก็ได้

…หากทึกทักว่าฉันไปทำอะไรให้ หรือยืนยันว่าฉันไม่เคยเป็นแบบนั้น หรือหากย้อนถามว่าเวลาที่ทะเลาะกันก็เป็นแบบนั้นกันหมดไม่ใช่เหรอ หรือหากดึงดันว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่นายเข้าใจผิดไปเอง

ถ้าพูดแบบนั้น เขาก็จะยิ่งโมโหมูคยอมมากว่าเมื่อก่อนมาก หากใช้คำพูดสวยๆ ว่าเป็นคนรักหรือเป็นแฟน แล้วเกิดเขาด่าคิมมูคยอมอย่างรุนแรงออกไป คราวนี้อีกฝ่ายอาจจะหนีจากเขาไปจริงๆ ก็ได้

แต่มูคยอมก็ได้แต่บอกว่าอายจนไม่สามารถพูดออกมาได้เท่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะปกปิดไว้คืออะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สาเหตุที่ได้รับคำถามจากฮาจุน

แม้ว่าตอนนี้จะสงสัยในการกระทำของมูคยอม สงสัยว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้มาบอกชอบเขา แต่เขาก็ไม่ได้มีการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเป็นงานอดิเรก เขาคิดว่าถ้ามูคยอมรู้และยอมรับในความขัดแย้งในตัวเองที่เขามีได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

“อ้าว ฝนตกแฮะ”

มูคยอมพูดออกมาเบาๆ ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ ตอนออกมาจากโรงยิมยังเห็นดวงจันทร์

ที่เพิ่งจะขึ้นอยู่เลย ฮาจุนพูดออกมาพลางยื่นมืออกไปวัดระดับความแรงของสายฝน

“ฉันต้องกลับไปเอาร่มที่ออฟฟิศแป๊บนึง”

“ใช้ร่มทำไมกัน นั่งรถฉันไปสิ ฉันจะขับไปส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ให้นายต้องโดนฝนเลยสักหยด”

ถึงจะไม่เลว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากจะนั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกับดูวิวฝนตกเพียงลำพังขึ้นมา พอได้ฟังคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบแล้ว เขาก็ต้องการเวลาที่จะจัดการกับความระแวงหลายๆ อย่าง ความไม่คุ้นเคย และความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ

แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี ตอนที่ได้พบมูคยอมอีกครั้งหลังจากวันหยุด เขาอยากจะปลดปล่อยความกังวลต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาและตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อจัดการความรู้สึกได้แล้ว เขาก็จะไม่หยิบเรื่องราวในอดีตออกมาพูดต่อหน้าอีกฝ่ายอีก

ตอนที่ฮาจุนจมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะในขณะที่มองสายฝน มูคยอมก็พาดแขนลงมาบนไหล่อย่างแผ่วเบา พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมามองเขาและกำลังยิ้มอยู่

“พออยู่แบบนี้แล้ว ก็นึกถึงวันที่เราจูบกันครั้งแรกเลย ว่าไหม”

“หน้าไม่อาย”

พอนึกถึงอีกฝ่ายที่ไม่มีใจให้เขาเลยสักนิดแต่กลับจูบเขาตามอำเภอใจ แล้วก็หัวเราะเหมือนกับบอกว่า ‘ทำไปเพื่อที่จะลองใจ’ เหมือนกับตอนนี้แล้ว ตอนนี้เขาก็เกลียดชังอีกฝ่ายในตอนนั้นเช่นกัน มูคยอมก้มหน้าเข้ามาใกล้ว่าเดิม แตะลงที่หน้าผาก และถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ตอนนี้นายไม่อยากจูบกับฉันแล้วเหรอ”

“…ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่จูบดีกว่า”

มูคยอมขมวดคิ้วโดยที่หน้าผากยังแตะกันอยู่

“ทำไมล่ะ”

“เพราะวันนี้ฉันจะไม่ขึ้นรถนาย”

ถึงจะเคยว่าว่ามูคยอมเป็นเหมือนสัตว์ แต่ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน เขาไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าหากบรรยากาศพาไป และปล่อยให้มูคยอมจูบ เขาจะตามมูคยอมไปที่บ้านและจบลงที่บนเตียงหรือเปล่า

ในวันที่เป็นอย่างวันนี้ อาจจะมีคนที่บอกว่าการทำตามที่บรรยากาศพาไปอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด แต่ยังไงนั่นก็ไม่ใช่วิธีของเขา มูคยอมพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ

“โค้ชอีของเราเก่งเรื่องการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นนี่นะ ฉันคิดว่านายเป็นลูกวัวที่มีเสน่ห์แพรวพราว

มาตั้งแต่แรกแล้ว”

คราวนี้ฮาจุนเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว

“ลูกวัว?”

มูคยอมหัวเราะคิกคักและเงยหน้าขึ้น ระหว่างที่สติหลุดลอยไปเล็กน้อยเพราะใบหน้าขี้เล่นที่อยู่ตรงหน้า จุ๊บ จูบที่ถูกปฏิเสธก็พรมลงมาบนหน้าผาก จากนั้นก็ที่เปลือกตา และแก้ม ราวกับหิมะตก ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทุกส่วนที่ริมฝีปากของมูคยอมสัมผัสราวกับดอกไม้อันเร่าร้อนเบ่งบาน ฮาจุนจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว”

มูคยอมพูดออกมา

“ริมฝีปากน่ะ จะเก็บไว้สำหรับวันที่คุณโค้ชอีจะให้คะแนนการบ้านอย่างเป็นทางการแล้วกัน ถ้ารออย่างสงบเสงี่ยมก็จะให้รางวัลใช่ไหม”

“…ส่งกระดาษเปล่ามาจะได้รางวัลได้ไง”

“แต่ก็ต้องให้คะแนนกันหน่อยสิ พักผ่อนเยอะๆ แล้วมะรืนนี้เจอกัน ถึงจะเห็นฉันเป็นแบบนี้ก็เถอะ ตอนนี้ฉันกระวนกระวายมากนะ แต่ยังไงก็จะอดทนรอ”

มูคยอมที่พูดออกมาแบบนั้น เอาแต่ยินพิงขอบประตูอยู่อย่างนั้นเหมือนกับคนที่ไม่คิดที่จะกลับไป ฮาจุนจึงเอ่ยปากถาม

“นายไม่ไปหรือไง”

“ก็ฉันเหงื่อออกนี่ ต้องอาบน้ำก่อนสิค่อยไป”

ฮาจุนไม่ละสายตาจากมูคยอมและจ้องมองอยู่อย่างนั้นไปสักพักก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับโบกมือลาและหันหลังกลับ เขามุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศอย่างรวดเร็ว หยิบร่มสำรองที่ตรงไปที่ป้ายรถเมล์ ตัวเขาเองเป็นคนที่บอกให้รอแท้ๆ แต่น่าขำที่หัวใจของเขากลับเต้นรัวซะแล้ว

ทุกสายตาของเหล่าสตาฟที่คอยช่วยเหลือพวกเขาและเหล่านักกีฬาคนอื่นๆ ซึ่งเคยทุ่มเทกับการฝึกต่างจดจ่ออยู่กับพวกชาวต่างชาติ

สาวสวยในชุดเดรสสั้นเปิดไหล่ดึงดูดสายตาของผู้คนภายในสนามกีฬาที่เต็มไปด้วยเหงื่อได้เป็นอย่างมาก เธอคือผู้ประกาศข่าวกีฬาดาวรุ่งที่มีชื่อเสียงในขณะนี้จากชื่อเล่นเทพธิดาแห่งเคลีก

“ที่เคยบอกว่าวันนี้จะถ่ายทำในเวลาฝึกน่ะค่ะ สะดวกให้เข้าไปเลยไหมคะ”

“สวัสดีครับ”

พอมูคยอมกล่าวทักทาย คนเหล่านั้นก็เดินเข้ามาใกล้ และมีกลุ่มคนอีกไม่กี่คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นนักข่าวกับทีมงานถือกล้องขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการถ่ายทำยืนอยู่ตรงด้านหลังของผู้ประกาศข่าว

“กำลังเริ่มฝึกแล้วสินะคะ” หญิงสาวถามขึ้น

คิมมูคยอมที่แกล้งทำหน้าเหยเกไปเต็มที่ก่อนหน้านี้ สวมรอยยิ้มผ่อนคลายเป็นเอกลักษณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกำลังต้อนรับผู้คนจากสถานีโทรทัศน์อยู่

“คนที่บาดเจ็บต้องฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพแค่อย่างเดียวตลอดทั้งวันอยู่แล้วครับ”

“แต่ฉันก็ได้ยินว่าคุณฟื้นตัวเร็วมาก เลยมีเวลาตอบรับการถ่ายทำของพวกเรา งั้นอย่างน้อยทางเราจะขอคิดว่ามันคือการ ‘กลับร้ายกลายเป็นดี’ ได้ไหมคะ”

“ตามสบายเลยครับ”

ใบหน้าของผู้ประกาศข่าวสาวที่มองมูคยอมยิ้มบางๆ ขณะตอบกลับมาให้แปรเปลี่ยนเป็นความเขินอาย ฮาจุนที่เหม่อมองภาพของคนทั้งสองอยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนว่าจะต้องหลีกทางให้จึงถอยออกมาเพื่อไปดูการฝึกซ้อมของนักกีฬาคนอื่นๆ ด้วยความรู้สึกเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย

เนื่องจากตารางนอกเหนือจากการรักษาและการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายถูกยกเลิกก็เลยมีเวลาว่างเล็กน้อย มูคยอมจึงตอบตกลงข้อเสนอของสถานีโทรทัศน์ที่เคยติดต่อมาว่าอยากจะถ่ายทำสารคดีตั้งแต่ตอนที่เขากลับเข้าประเทศวันแรกๆ

อาจเป็นเพราะว่าในตอนแรกมูคยอมเคยปฏิเสธไปอย่างไม่ค่อยจะสุภาพเลยรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อยว่ามาเริ่มงานเอาป่านนี้จะใช้ได้หรือไม่ แต่เมื่อลองประชุมจริงๆ แล้ว โปรดิวเซอร์ที่รับผิดชอบกลับบอกว่าไม่ได้ติดใจเรื่องตอนนั้นและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

ข้อเสนอคือต้องการเพิ่มมูคยอมเข้าไปในรายการสารคดี 1 ตอน ความยาว 40 นาทีซึ่งมีหัวข้อที่หลากหลายและออกอากาศในเวลากลางคืน ไม่ใช่สารคดีเฉพาะทางที่ใช้ฉายเป็นภาพยนตร์

สื่อมวลชนนั้นชื่นชอบเรื่องราวของนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะการกลับมาประสบความสำเร็จของนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บ มันจึงเป็นจังหวะเวลาอันเหมาะสมที่พวกเขาต่างก็ได้ประโยชน์ ด้านสโมสรที่เล็งเห็นผลประโยชน์จากการโปรโมตก็เห็นด้วยอย่างมากกับจังหวะเวลานี้และขอให้เพิ่มการถ่ายทำภายในสโมสรเข้าไป

ถึงแม้ตอนแรกจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่ามันเหมือนเป็นการเปิดเผยชีวิตส่วนตัว แต่พออยู่ที่เกาหลีไปนานเข้าความคิดของมูคยอมก็เปลี่ยนไป จากนี้เขาคงจะไม่ได้เป็นนักเตะของเกาหลีใต้อีกถ้าไม่ใช่ตอนที่ใกล้จะแขวนสตั๊ด ดังนั้นหากเหลือวิดีโอสั้นๆ ไว้เป็นที่ระลึกก็คงจะไม่ใช่เรื่องแย่เท่าไหร่

อยู่ๆ เขาก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา

คงจะเป็นเรื่องทีคนจากสถานีโทรทัศน์มาที่สนามกีฬาโดยไม่ทันตั้งตัวมากกว่า นักกีฬาคนหนึ่งที่ไม่สามารถละสายตาไปจากผู้ประกาศข่าวสาวและมูคยอมได้แม้ในขณะที่กำลังขยับร่างกาย ถามฮาจุนขึ้นมาเหมือนต้องการคนเห็นด้วย

“มินแจยองนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ เหมือนตัวจริงจะสวยกว่าในรูปอีก พี่มูคยอมเจอคนสวยมาเยอะจนไม่รู้สึกอะไรกับความสวยระดับนั้นหรือเปล่านะ”

ฮาจุนตอบดังราวกับตะโกน

“การวิจารณ์รูปร่างหน้าตาคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดนะ”

“อย่างว่า ยังไงฮาอึนอูก็ดีกว่ามินแจยองนะครับ เคยมีข่าวฉาวนักแสดงระดับท็อปแท้ๆ แต่พอใช้”

ฮาจุนต้องส่งสายตาไปพลางขมวดคิ้ว นักกีฬาคนนั้นถึงจะยอมเงียบไป

แต่จริงๆ แล้วฮาจุนเองก็ไม่สามารถละสายตาไปจากผู้หญิงคนนั้นได้ ทุกครั้งเขาเห็นภาพของมูคยอมกับผู้หญิงคนอื่นพูดคุยกันผ่านรูปภาพไม่ก็วิดีโอ แต่ไม่เคยเห็นกับตา ถ้าประกาศว่าคนสองคนที่คุยกันอยู่ในขณะนี้กำลังคบกันอยู่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าทำไมมูคยอมถึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิง แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนกับเขาแค่สองคน ก็คงไม่ให้ความรู้สึกว่าเหมาะสมกันแบบนั้นในสายตาของคนอื่นอย่างแน่นอน

“โค้ชอีครับ!”

ฮาจุนมองทั้งสองคนอยู่ไกลๆ แต่อยู่ๆ มูคยอมก็โบกมือขึ้นมาพร้อมกับเรียกเขา

‘ฉันเหรอ’ ทันทีที่เขาใช้มือแตะหน้าอกตัวเองเบาๆ และถามกลับผ่านสีหน้า มูคยอมก็พยักหน้าแล้วเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้ง

ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงเดินเข้าไปหาคนอื่นๆ ผู้ประกาศข่าวมินแจยองโค้งศีรษะให้เขาพลางกล่าวทักทาย

“สวัสดีค่ะ โค้ชอีฮาจุน ฉันมินแจยองค่ะ”

“สวัสดีครับ ผมอีฮาจุนครับ”

แจยองยื่นมือออกมาเพื่อขอจับมือ ฮาจุนก็กำลังจะยื่นมือออกไปและทักทายกลับ แต่มูคยอมกลับแทรกเข้ามาจับมือของหญิงสาวเขย่าเบาๆ แล้วถามขึ้น

“จะว่าไปแล้ว เรายังไม่ได้จับมือกันเลยหรือเปล่าครับ”

“ไม่ค่ะ วันแรก”

หญิงสาวพูดขึ้นมาเช่นนั้น แต่มูคยอมกลับเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ

“อาจจะทักทายกันไปแล้ว แต่ท่านนี้คือโค้ชฟิตเนสของทีมเรา อีฮาจุนครับ เป็นโค้ชที่มีความสามารถมาก ตอนนี้เลยรับผิดชอบการฝึกฟื้นฟูสภาพร่างกายเกือบทั้งหมดของผมอยู่ครับ”

แจยองยิ้มกว้างแล้วหันหน้าไปหาฮาจุน

“สะดวกหรือเปล่าคะโค้ช ยังไงถ้าวันนี้ลองถ่ายนักกีฬาคิมตอนซ้อมแล้วก็คงต้องถ่ายโค้ชไปไม่น้อยเลยเหมือนกันน่ะค่ะ อาจจะมีถามคำถามระหว่างถ่ายทำด้วยค่ะ”

“…ครับ สะดวกครับ” ฮาจุนพยักหน้า

ก็ได้ มาดูกันว่าจะถูกถ่ายไปเยอะแค่ไหน แต่คงออกมาแค่อย่างละหน่อยตอนช่วยฝึกนั่นแหละ

“ฉันชอบตอนที่โค้ชเล่นตำแหน่งกองหลังมากเลยค่ะ พอเป็นโค้ชแล้วก็ยังเท่อยู่เหมือนเดิมเลยนะคะ”

“รู้จักผมด้วยเหรอครับ”

“แน่นอนค่ะโค้ช ฉันคือนักข่าวเคลีก มินแจยองนะคะ ดูฟุตบอลมา 10 กว่าปีแล้วค่ะ”

“อ๋อ… ขอบคุณนะครับ”

พอมองใกล้ๆ แล้วยิ่งสวยกว่าตอนเห็นไกลๆ อีก ฮาจุนรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อได้รับคำชมจากสาวสวยคนดังเรื่องงานที่เคยทำก็เลยยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ แต่มูคยอมกลับสะกิดของเขาด้วยความรีบร้อน

“โค้ชอี เจ้านั่นเรียก”

“หือ? ใคร”

“ตรงโน้นน่ะ คงทำที่นายสั่งไว้เสร็จแล้วมั้ง”

ฮาจุนมองไปรอบๆ ครั้งนี้มูคยอมเลยเอาแขนข้างที่ไม่ได้จับไม้ค้ำยันไว้ขึ้นมาพาดไหล่ฮาจุนแล้วยิ้มออกมา

“ไม่ใช่เหรอ หรือฉันมองผิด”

ระหว่างที่ฮาจุนกำลังไล่มองพวกนักกีฬาเพราะสงสัยว่าตัวเองพลาดเสียงเรียกหรือเปล่า มูคยอมก็พูดคุยกับทีมงานอีกเล็กน้อยและเริ่มถ่ายทำ การฝึกที่ถูกหยุดลงไปชั่วคราวก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

มูคยอมที่คุ้นเคยกับหน้าตาของตัวเองบนรายการทีวี รวมถึงการถ่ายทำประเภทต่างๆ เช่น นิตยสารหรือวิดีโอโฆษณานั้นอยู่หน้ากล้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ มากเสียจนเหมือนกับรู้ดีว่าต้องทำยังไงให้ตัวเองออกมาดูดี แม้แต่สีหน้าก็ดูนอบน้อมขึ้น ต่างกับตอนที่ฝึกกันแค่สองคน ฮาจุนเหม่อมองใบหน้าของอีกฝ่ายจนเกือบจะลืมคำสั่งถัดไป

อีกฝ่ายน่าจะรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยเนื่องจากวันนี้พวกเขาก็เริ่มฝึกกันมาได้สักพักแล้ว แต่ก็ยังคงจัดการสีหน้าได้ดี

เรียกได้ว่าน่าทึ่ง

สุดท้ายฮาจุนก็ชื่นชมออกมาขณะมองไปยังมูคยอมที่เริ่มออกกำลังกายช่วงบนโดยเอาขาข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บพาดเอาไว้บนเครื่องค้ำแบบเงียบๆ

แม้แต่ในระหว่างโปรแกรมฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพ มูคยอมก็รับมือกับระดับแรงและเวลาฝึกที่มากกว่าคนปกติเกือบสองเท่าโดยไม่บ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว

ในการฝึกภาคสนาม กล้ามเนื้อท่อนบนที่เคยเห็นได้ไม่ค่อยชัดขึ้นรูปและคลายออกตามทิศทางการใช้แรง ทุกส่วนของร่างกายที่แข็งแรงบิดเกร็งจนเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านเสื้อผ้า ภาพการเคลื่อนไหวอันปราดเปรียวและคล่องแคล่วของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกเทอะทะทั้งที่มีร่างกายใหญ่โตซึ่งไม่ว่าจะมองกี่ทีก็ยากที่จะละสายตา ฮาจุนเฝ้ามองราวกับหลงใหลแล้วอยู่ๆ ก็ใบหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยจึงก้มหน้าลง

“ทำตัวเป็นธรรมชาติตามปกติได้เลยครับ”

“อ่า ครับ”

ทีมงานคนหนึ่งติดไมค์ให้พลางกระซิบบอกฮาจุนที่กำลังหน้าแดง ฮาจุนที่กำลังประหม่ากระแอมออกมาเบาๆ เพราะมันไม่เชิงว่าเขารู้สึกกังวลเพราะการถ่ายทำ

“ฝึกอย่างนี้ตอนบาดเจ็บจะไม่เป็นไรเหรอคะ” มินแจยองเดินเข้ามาใกล้ฮาจุนและถามขึ้น

“ข้อเท้าที่บาดเจ็บอาจจะยังใช้การไม่ได้ในทันที แต่ยังไงถ้าปล่อยข้างที่ได้รับบาดเจ็บพักไว้เฉยๆ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก็จะอ่อนลง แล้วถึงแม้ว่าข้อเท้าจะหายสนิทแต่ก็จะมีปัญหาตามมา เพราะร่างกายจะเสียสมดุลได้ง่าย เลยต้องฝึกกล้ามเนื้อรอบๆ อย่างต่อเนื่องครับ”

“ถึงยังไงการฝึกหลังได้รับบาดเจ็บก็คงจะเหนื่อยมากเป็นพิเศษนะคะ”

ฮาจุนเงียบราวกับคนที่พูดไม่ออกไปชั่วขณะเพราะคำพูดนั้น และไม่นานก็ยิ้มออกมา

“ใช่ครับ ผมคิดว่าการฝึกเพื่อฟื้นตัวและฟื้นฟูสภาพร่างกายยากที่สุดในบรรดาการฝึกของนักกีฬาแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่การอดทนต่อความรู้สึกอึดอัดเพราะลงแข่งในช่วงฟื้นตัวไม่ได้นั้นเป็นเรื่องยาก… บวกกับความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาน่ะครับ”

ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นาทีที่เขาเห็นมูคยอมล้มลงบนสนามและลุกขึ้นมาไม่ได้เขากลับทำไรไม่ถูก มันไม่ถึงกับเป็นภาพที่แปลกใหม่เท่าไหร่นักเพราะเคยดูการแข่งขันทั้งหมดที่อีกฝ่ายลงสนาม เพียงแต่ความตกใจที่พบเจอตรงหน้ามันเกินกว่าที่จินตนาการไว้

พอเรื่องจบลงแบบไม่มีอะไรร้ายแรง มันจึงเป็นแค่การพร่ำบ่น แกล้งป่วยบ้าง เล่นใหญ่บ้างนั่นเอง แต่ถ้าหากมูคยอมบาดเจ็บที่ข้อเท้าหรือหัวเข่าอย่างรุนแรงขึ้นมาจริงๆ ฮาจุนคงจะไม่รู้สึกเคืองกับคำล้อเล่นของอีกฝ่าย ระหว่างที่ฮาจุนหันไปอธิบายแจยอง เขาก็มองไปทางมูคยอมแล้วพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่ตัวเอง สายตาดูจริงจังเหมือนกำลังตั้งใจฟังคำพูดของเขาอยู่

“…การบาดเจ็บในครั้งนี้ของนักเตะคิมมูคยอมไม่ใช่การบาดเจ็บที่น่ากลัวเท่าไหร่ครับ ด้วยความที่มีสมรรถภาพร่างกายที่ดีเป็นทุนเดิมแล้ว แล้วก็กระตือรือร้นในการฝึกซ้อม ดังนั้นอีกไม่นานก็จะสามารถลงสนามไปเจอกับแฟนคลับทุกคนได้แล้วครับ เพราะว่านักเตะคิมมูคยอมก็เอาชนะความกดดันและความลำบากที่หนักกว่านี้มาได้ตลอดอยู่แล้วครับ”

* * *

ฮาจุนคิดว่าจะจบลงในวันเดียว แต่เขาได้ยินว่าการออกอากาศใกล้เข้ามาแล้วเลยจำเป็นต้องถ่ายทำเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน สองวันก่อนจะถึงวันออกอากาศคนจากสถานีโทรทัศน์จึงมาที่สนามฝึกอีกครั้ง

เหมือนจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นสามเท่าเพียงแค่เพราะมีกล้องกำลังหมุนอยู่ข้างๆ ยิ่งครั้งนี้เป็นการถ่ายทำแบบกะทันหันที่เขาไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ด้วย นอกจากนี้ทำไมถึงชวนเขาคุยเยอะมากขนาดนั้น ความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่ได้สัมผัสในสมัยที่เป็นนักกีฬาคืบคลานเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นควันหลงมาจนถึงวันนี้

นอกจากรูปครอบครัวแล้ว ตลอดชีวิตเขาเคยเจอกล้องแค่ตอนถ่ายรูปออฟฟิเชียลที่สโมสรจำเป็นต้องใช้หรือกล้องถ่ายทอดสดระหว่างการแข่งขันเท่านั้น นี่เลยเป็นครั้งแรกที่เขาถูกบันทึกภาพโดยมีเลนส์กล้องจ่อเข้ามาตรงๆ ที่ด้านข้าง แม้จะเคยให้สัมภาษณ์สั้นๆ เกี่ยวกับการแข่งขันตอนอยู่ในกรม แต่มันก็เป็นฉากสั้นๆ ที่กินเวลาแค่ไม่กี่นาที

ไม่ใช่ทุกคนที่จะดูดีเมื่ออยู่หน้ากล้อง ฮาจุนรู้สึกทึ่งกับสภาพจิตใจของมูคยอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเดินออกไปตรงทางเดินเพื่อกลับบ้าน

ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มตกลงเรื่อยๆ ส่วนท้องฟ้าก็มืดสนิทไปตั้งแต่ก่อนหนึ่งทุ่ม ฮาจุนออกมาจากตึกสำนักงานเพื่อที่จะไปขึ้นรถเมล์ แต่กลับเห็นไฟที่โรงยิมด้านข้างยังคงเปิดอยู่ แต่เพราะการฝึกซ้อมทั้งหมดจบลงแล้ว แสดงว่าคนที่ซ้อมคนสุดท้ายคงจะลืมปิดไฟ ถ้าปล่อยไว้แม่บ้านก็คงจะมาปิด แต่ไหนๆ ก็เห็นแล้วฮาจุนเลยอยากจะแบ่งเบาภาระของพวกพนักงานจึงเลี้ยวไปทางโรงยิม

ฮาจุนที่เปิดประตูเดินเข้าไปข้างในและกำลังจะหาปุ่มปิดไฟหยุดชะงักลง เขาได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ภายในโรงยิมที่เคยคิดว่าไร้ผู้คน ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะตามหาที่มาของเสียง

“ใครทำอะไรน่ะ”

เสียงของฮาจุนดังก้องในโรงยิมอันกว้างใหญ่ เสียงนั้นดังมาจากม้านั่งที่รองรับน้ำหนักของมูคยอมและน้ำหนักของบาร์เบลเอาไว้ มูคยอมที่กำลังเล่นท่าดันอก วางบาร์เบลลงบนแท่นวางแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา เอาผ้าขนหนูแตะซับเหงื่อบนใบหน้าพลางถามขึ้น

“ยังไม่กลับอีกเหรอ”

ฮาจุนรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ฉันต้องเป็นคนถามมากกว่านะ ทำไมยังทำแบบนี้อยู่อีก? บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าฝึกเพิ่มเองตามอำเภอใจ”

“การฟื้นตัวดี แต่น้ำหนักขึ้นเพราะกิจวัตรประจำวันหย่อนยานก็เลยออกกำลังกายไปนิดหน่อยน่ะ มันเป็นส่วนที่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้อเท้า เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”

“นายเป็นเนื้อบนเขียงหรือไง กล้ามเนื้อมันส่งผลต่อการดำรงชีวิต และกำลังกายก็ไม่ใด้แบ่งเป็นส่วนๆ แล้วเอาออกมาใช้งานได้นะ ลุกขึ้น รีบกลับบ้านไปเลย”

มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและเหลือบสายตาขึ้นไปมองฮาจุนเหมือนแกล้งแอ๊บแบ๊วแล้วยิ้มออกมา

“อย่าโกรธเลยนะ ถ้าโค้ชอีโกรธ ฉันจะเจ็บข้อเท้า”

“…พอบาดเจ็บแล้วมารยายิ่งพัฒนานะ”

“ฉันพูดจริงๆ นะ”

ฮาจุนยังคงยิ้มอย่างขมขื่นออกมา พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมลุกขึ้นมาจากม้านั่ง ฮาจุนเลยแกล้งทำหน้าดุแล้วพูดเร่งอีกครั้ง

“ลุกขึ้นมาเร็ว บอกให้หยุดแล้วกลับบ้านไปพักไง”

“เข้าใจแล้ว ฉันออกกำลังกายมากไปเหรอเนี่ย ลุกขึ้นไม่ไหวเลย”

ตอนนั้นเองสีหน้าของฮาจุนถึงผ่อนคลายลงด้วยความกังวล

“…เป็นอะไรไป เจ็บจริงเหรอ”

“ไม่รู้สิ นิดหน่อยมั้ง… แต่ถ้านายกอดฉันหนึ่งทีน่าจะลุกไหวอยู่นะ”

ฮาจุนหรี่ตาลง

“นายจะพูดจีบฉันทุกรอบเลยใช่ไหมเนี่ย เลิกแอบจีบฉันสักที”

“ผิดที่โค้ชอีความจำดีเกินไปต่างหาก ลืมอะไรแบบนั้นไปบ้างก็ดีนะ”

มูคยอมตอบกลับพลางหัวเราะคิกคักแล้วยื่นมือออกไป

“งั้นจับมือฉันหน่อย ยังลุกคนเดียวไม่ไหวเลย”

“ยังจะสำออยอีก ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ สำออยไปก็ไม่ช่วยหรอกนะ”

“อย่าใจดำแบบนั้นสิครับ”

ฮาจุนพ่นลมจมูกเบาๆ แต่สุดท้ายก็ยื่นมือออกไป

ถึงจะบอกว่าเป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่ค่อยรุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลงน้ำหนักตรงข้อเท้าที่บาดเจ็บให้น้อยที่สุดเพื่อการฟื้นตัวที่รวดเร็วและสมบูรณ์

หมอบอกให้สวมเฝือกอ่อนที่ข้อเท้าจนกว่าจะหายสนิท และถ้าเป็นไปได้ก็ให้ใช้ไม้ค้ำยันขณะเคลื่อนไหว อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเองได้ด้วยขาข้างเดียว ส่วนไม้ค้ำยันก็พิงอยู่ข้างๆ ม้านั่ง แต่ก็เลือกที่จะหลอกเขาอีกรอบ

“โอ๊ะ…”

แต่ทว่ามูคยอมที่จับมือฮาจุนและดูเหมือนว่าจะกำลังลุกขึ้นยืน กลับนั่งลงบนม้านั่งตามเดิมรวมถึงดึงฮาจุนที่เคยยืนอยู่ให้ลงมาหาตัวเอง

ด้วยความไม่ระวังทำให้ร่างกายของฮาจุนเริ่มโน้มเอียงลงมาและเสียการทรงตัว เขาพยายามคว้าจับคนตรงหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณแล้วล้มลงมา สุดท้ายตัวของฮาจุนก็คว่ำลงไปแนบกับตัวของมูคยอมที่นอนลงบนม้านั่งอีกครั้ง

เขากำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วด่าอีกฝ่ายว่าทำบ้าอะไร แต่ถูกขวางไว้เพราะแขนของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนแผ่นหลังอย่างแน่นหนา

“ปล่อยซะ”

ฮาจุนทำเพียงกดเสียงลงต่ำและลองพูดข่มขู่ที่ดูยังไงก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับก้อนสำลีสำหรับมูคยอม ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมผ่อนแรงลงจริงๆ ราวกับไม่ได้สนใจ ฮาจุนถอนหายใจหนึ่งครั้งอย่างยอมแพ้ และนอนคว่ำอยู่อย่างนั้นรอให้อีกฝ่ายปล่อยตัวเองไป ร่างกายที่เคยผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนหน้านี้ร้อนรุ่มและแน่นตึง

มูคยอมมองไปที่ฮาจุนซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆ ผู้จัดการทีม แล้วเดินเข้าไปใกล้กับม้านั่ง

เดือนกันยายน

ตอนนี้ระยะสัญญาการโอนย้ายเหลือไม่ถึงสองเดือน เวลาเกือบ 2 ใน 3 ของฤดูกาลในประเทศเกาหลีใต้ที่เขาเคยตั้งใจว่าจะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ กลับมีมรสุมที่ไม่คาดคิดก่อตัวขึ้นและผ่านเลยไป

หลังจากยืนล้อมวงและตะโกนให้กำลังใจกันเสร็จ เหล่านักกีฬาก็วิ่งเข้าไปในสนามหญ้า ทีมซิตี้โซลที่มีคิมมูคยอมยืนเป็นแนวหน้านั้นมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ปล่อยให้อันดับ 1 หลุดมือตลอดฤดูกาล ตอนนี้คะแนนจึงขึ้นนำและห่างออกไปจนทีมอื่นยากที่จะไล่ตามทัน ถ้าหากไม่มีตัวแปรที่สำคัญพอ ชัยชนะลีกก็คงจะตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน

วันนี้ก็ดูเหมือนว่าทีมฝั่งตรงข้ามจะเดินเกมในแนวรับเป็นหลักโดยใช้กลยุทธ์การเข้าสกัดมูคยอมเช่นเคย ไม่ว่ามูคยอมจะวิ่งเร็วและไกลแค่ไหน แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามลงสนามด้วยกลยุทธ์ตามประกบตัว มันก็ยากที่เขาจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้จนกว่ากองหลังของอีกทีมจะชะล่าใจ ก่อนอื่นมูคยอมจึงสังเกตช่องโหว่และจับตามองลูกบอลที่เอาแต่กลิ้งไปมาท่ามกลางฝีเท้าของนักกีฬาคนอื่นๆ

ฟุตบอลนั้นไม่ได้ใช้อุปกรณ์ในการเล่น แต่เป็นมนุษย์ หากเน้นไปที่การป้องกันตั้งแต่ช่วงต้นเกมแค่อย่างเดียวแบบนี้ ในระหว่างการแข่งที่ขึ้นอยู่กับเวลาจำนวน 90 นาทียังไงก็ต้องมีจังหวะที่แนวตั้งรับเผลออย่างแน่นอน ก่อนจะถึงตอนนั้นเขาต้องเก็บแรงและรักษาสมาธิไว้เพื่อวิ่งฝ่าช่องโหว่เข้าไป

มูคยอมย้ายตำแหน่งไปมาจนเจอตำแหน่งที่เหมาะจะรับบอล แต่พอนักกีฬาทีมซิตี้โซลคนอื่นๆ พยายามจะส่งลูกให้ เขาก็จะถูกกองหลังสกัดไว้ทุกครั้ง การส่งบอลจึงหยุดชะงักไป แต่ทว่าไม่นานจังหวะที่มูคยอมหวังไว้ก็มาถึง นาทีที่ 25 ของเกมครึ่งแรก ทีมซิตี้โซลที่ได้โอกาสเตะลูกเตะมุมจึงได้ส่งบอลยาวออกไป มูคยอมที่วิ่งไล่ตามวิถีโค้งนั้นไป สลัดผู้เล่นกองหลังฝ่ายตรงข้ามพ้นและสามารถครองบอลได้สำเร็จ และการบุกโจมตีที่มูคยอมชื่นชอบมากที่สุดก็ได้กลายเป็นจริง เขาเลี้ยงบอลไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปจนถึงเขตของฝ่ายตรงข้ามและทำประตูได้สำเร็จ มูคยอมออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกองหลังฝ่ายตรงข้ามก็ตามประกบเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน คนที่วิ่งเข้าหามูคยอมคือผู้เล่นอายุน้อยที่ตอนนี้อาจจะอายุ 20 ปี หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้คนหนึ่ง พวกนักกีฬาอายุน้อยที่มีประสบการณ์การแข่งน้อยและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นกับความมุ่งมั่นที่อยากจะทำเกมนั้นมักจะทำผิดพลาดบ่อยเป็นพิเศษ

เท้าของฝ่ายตรงข้ามกระทบโดนแถวๆ ข้างข้อเท้าของมูคยอม ซึ่งเป็นการเข้าประกบที่ผิดกติกาอย่างไม่ต้องสงสัย

มูคยอมที่วิ่งไล่ตามลูกบอลราวกับเสือดาวล้มลงและกลิ้งไปบนสนามหญ้าไกลพอๆ กับความเร็วที่เร่งออกมาในชั่วพริบตา

ไม่เกินจริงเลยที่ว่ามีนักกีฬาแย่งลูกกันและล้มลงในการแข่งกีฬาฟุตบอลทุกๆ 5 นาที แม้จะมีหลายกรณีที่ล้มลงเพื่อตั้งใจให้ฟาวล์ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ตั้งแต่นาทีที่มูคยอมเริ่มกลิ้งออกไป ตรงที่นั่งผู้ชมที่ผลัดกันส่งเสียงเชียร์และเสียงโห่ไปมาก็เริ่มเสียงดังวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ

มูคยอมที่ล้มลงบนสนามหญ้ากุมข้อเท้าที่ถูกกองหลังฝ่ายตรงข้ามเตะเข้าอย่างแรงและยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ผู้เล่นที่ทำฟาวล์ก็ทำเพียงยืนเหม่อลอยอยู่กับที่มองไปยังมูคยอมที่นอนอยู่เหมือนตกใจกับตัวเองเช่นกัน ส่วนฮาจุนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นจากม้านั่งของทีมซิตี้โซล

“ดูเหมือนจะบาดเจ็บนะครับ”

สตาฟคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยความกังวล ผู้จัดการทีมจึงขอให้กรรมการหยุดการแข่งขัน

นักกีฬาคนอื่นๆ จับกลุ่มกันทีละคนสองคนแล้วเข้าไปดูอาการของมูคยอม แม้ว่าระหว่างนั้นมูคยอมจะลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะลุกขึ้นมายืนได้ ทีมแพทย์รีบยกเปลหามเข้าไปในสนามแล้วให้มูคยอมขึ้นไปนอนบนนั้น

ฮาจุนเดินออกไปจนถึงจุดที่ใกล้ที่สุดที่สตาฟอนุญาตให้เข้าถึงได้และมองไปยังเปลซึ่งกำลังตรงมายังม้านั่ง ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง มูคยอมที่นอนลงและถูกหามเข้ามามองไปยังอีกฝ่ายที่เดินมาก่อนคล้ายกับออกมารับเขาแล้วยิ้มมุมปากทั้งที่ยังขมวดคิ้วอยู่

“โค้ชอี ออกมารับฉันเหรอ”

พอฮาจุนได้ยินก็ทำหน้าบูดบึ้งขึ้นมา

ฮาจุนเดินตามอยู่ข้างๆ มูคยอมตลอดเวลาที่เปลถูกหามเข้ามา เมื่อทีมแพทย์มาถึงและกำลังตรวจดูข้อเท้าให้มูคยอม ฮาจุนก็นั่งยองอยู่ข้างๆ ไม่ขยับไปไหนราวกับตัวได้แข็งทื่อไปแล้ว ทำไมต้องบาดเจ็บที่ข้อเท้าข้างขวาด้วย มันเป็นส่วนที่ฮาจุนรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอ มูคยอมนิ่งเงียบขณะที่ทำหน้าเหยเกบ้างเป็นบางครั้งในระหว่างที่มีการประคบเจลเย็นและพันผ้าพันแผลเป็นการฉุกเฉิน

แม่งเอ้ย… เขาถูกไอ้โง่นั่นเตะเข้าอย่างจังเลย

ระหว่างที่มูคยอมก่นด่าและบ่นอยู่ในใจ ฮาจุนก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เหมือนกับคนที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว และทันทีที่ทีมแพทย์ปฐมพยาบาลเสร็จแล้วเดินออกไป ฮาจุนถึงได้เอามือแตะบนข้อเท้าของมูคยอมอย่างระมัดระวังแล้วถามขึ้นว่า

“ทำยังไงดี เจ็บมากไหม”

ไม่มีทางที่จะไม่เจ็บเพราะเขาถูกเตะที่ข้อเท้าเสียเต็มแรง

แต่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้อเท้าของเขาบาดเจ็บ สมัยที่ยังเล่นฟุตบอลลีกทูเขาก็เคยบาดเจ็บจากการที่ข้อเท้าข้างซ้ายพลิกและถูกให้งดเล่นเป็นเวลาเกือบ 6 อาทิตย์ ครั้งนั้นเจ็บกว่าวันนี้มาก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่กังวล แต่เพราะตัวมูคยอมเองย่อมมีลางสังหรณ์ในฐานะที่เป็นนักกีฬามานานว่ามันไม่ใช่การบาดเจ็บที่รุนแรง

เนื่องจากการดำเนินการแข่งขันไม่อาจหยุดชะงัก จึงทำได้เพียงหามเปลออกมา หากเป็นสถานการณ์ปกติเขาก็คงจะเดินกะเผลกมาเองได้

“ทำยังไงดีล่ะ…”

“โค้ชอี ไม่…” มูคยอมกำลังจะตอบว่าไม่เป็นไร ยังไงวันนี้ก็คงกลับเข้าไปแข่งอีกไม่ได้แล้ว กรณีเลวร้ายที่สุดก็คืออาจจะไม่ได้ลงสนามไปประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งมันก็ไม่ได้ร้ายแรงมากขนาดนั้น

“อา บาดเจ็บที่ข้อเท้าอาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาทีหลังด้วย มันอันตรายจริงๆ นะ”

มูคยอมพูดได้ไม่จบก็เม้มปากแน่น

สุดท้ายก็มีน้ำตาหนึ่งหยดร่วงเผาะลงมาราวกับภาพวาดจากดวงตาของฮาจุนซึ่งทำหน้าเบะเหมือนเด็กน้อยที่กระทืบเท้าอย่างทำอะไรไม่ถูกพลางพูดพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอู้อี้

มูคยอมที่กำลังจะแกล้งทำหน้าเหมือนไม่เป็นอะไรอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบและรีบทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดและพึมพำออกมา

“เจ็บ”

ในหัวเขามีความหวังส่องประกาย

นี่แหละ

ไม่ว่าเขาจะทำเป็นเจ๋งหรือวางท่าแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไรกับอีฮาจุน เขาเลือกวิธีผิดไปเต็มๆ การทำตัวน่าสงสารนี่แหละถึงเป็นกลยุทธิ์ที่ได้ผลกับโค้ชอีที่เป็นคนจิตใจดี!

ฟ้าเข้าข้างคิมมูคยอม มนุษย์เรานั้นคิดได้แค่เท่าที่รู้จริงๆ ตัวเขาไม่ใช่คนที่จะรู้สึกเห็นใจด้านที่อ่อนแอของคนอื่นเท่าไหร่นัก เลยไม่สามารถเข้าใจความใจดีของอีกฝ่ายได้ มูคยอมเบ้หน้าและคร่ำครวญออกมาอย่างเต็มที่

“อีฮาจุน ฉันเจ็บมากเลย เกิดมาไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อนเลย”

“อ๋า ทำไงดี เรื่องใหญ่แล้ว”

อยู่ๆ ฮาจุนที่พึมพำออกมาอย่างเจ็บปวดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับคร่ำครวญก็เอากำปั้นชกลงบนสนามหญ้าดังพลั่ก มูคยอมเบิกตาโพลงกับภาพพื้นหญ้าที่ถูกปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบทรุดลงไปและมีดินกระเด็นออกมา

“แม่งเอ้ย ไอ้เวรนั่นคิดว่าตัวเองเตะขาใครกัน…!”

มูคยอมถึงกับอ้าปากค้างเมื่อมองฮาจุนพูดกับตัวเองราวกับกำลังอดกลั้น เขามองฮาจุนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ และถามอีกฝ่ายที่เอาแต่มองมาที่ข้อเท้าเขาด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“โค้ชอีด่าเป็นด้วยเหรอ”

“คิดว่าคนอย่างฉันจะด่าไม่เป็นหรือไง!”

ฮาจุนเถียงกลับเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่สำหรับมูคยอมมันคือคำถามถูกต้องแล้ว เพราะแม้แต่ช่วงที่เขาพูดจางี่เง่าใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่เคยด่าเขาเลยสักครั้ง

มูคยอมที่มองฮาจุนเช็ดหน้าอย่างเงียบๆ เหมือนน้ำตายังไม่ยอมหยุดไปไหลง่ายๆ ก็พลอยขอบตาเห่อร้อนไปด้วย แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่คราวนี้ถึงจะนับหนึ่งถึงห้าไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายน้ำตาที่เคยคลออยู่ตรงขนตาล่างก็ไหลลงมา ฮาจุนรู้สึกหมดแรงยิ่งขึ้นไปอีก

“ฉันจะไปเรียกทีมแพทย์ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรแบบนี้ คงต้องไปโรงพยาบาลแล้วแหละ”

“ไม่ โค้ชอี ไม่ต้องไปแล้วจับมือฉันที ฉันเจ็บมากจนทนไว้คนเดียวไม่ไหวแล้ว”

“หา อ๋อ ก็ได้”

ฮาจุนยื่นมือออกมาทันทีโดยไม่ลังเล มูคยอมจับมือขาวเอาไว้แน่นและดึงเข้ามา ฮาจุนนั่งลงข้างๆ มูคยอม ทำตัวไม่ถูกจึงลูบหลังมือของอีกฝ่าย

เมื่อมูคยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางทำเสียงสะอื้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา ฮาจุนก็ตกใจยิ่งกว่าเดิมและใช้สองมือจับมือมูคยอมไว้ทันที หลังจากตะโกนเรียกทีมแพทย์แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ถูกและพูดปลอบใจโดยถามว่าเจ็บมากหรือเปล่า และบอกให้อีกฝ่ายรออีกหน่อย

แต่ว่ามูคยอมไม่ได้จะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่ว่าไม่กังวลเพราะถึงยังไงก็เป็นการบาดเจ็บ แต่เหนือกว่านั้นมันเป็นเพราะเขาชอบช่วงเวลานี้ที่ฮาจุนกุมมือเขาไว้พร้อมกับร้องไห้เพื่อเขา

โล่งอกไปที… ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ตัดเยื่อใยกับเขาจริงๆ…

ช่างเป็นช่วงเวลาที่โชคดีที่สุดของชีวิตมูคยอมในปีนี้จนตัวเขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ

ระหว่างนั้นนักกีฬาที่เตะข้อเท้ามูคยอมก็ได้รับใบแดงและถูกให้ออกจากการแข่งขัน ทีมซิตี้โซลจึงกำลังแข่งไปอย่างราบรื่นด้วยจำนวนสมาชิกที่ได้เปรียบคือ 11 ต่อ 10 คน

สมาชิกทีมแพทย์กลับมาหามูคยอมที่กำลังจับมือฮาจุนไว้และส่งเสียงครวญครางเหมือนคนที่กำลังจะตายแล้วถามขึ้นด้วยความตกใจ

“รู้สึกเจ็บมากกว่าเดิมเหรอครับ ต้องย้ายไปโรงพยาบาลไหมครับ”

ไม่ครับ ผมว่าดูแข่งจบแล้วค่อยไปก็ได้ครับ

เขาอยากจะตอบไปแบบนั้น แต่ฮาจุนกลับตอบขึ้นมาก่อน

“ครับ รีบไปเลยดีกว่า แค่ปฐมพยาบาลแล้วนั่งรอคงจะไม่ไหวครับ”

ตอนนี้คงจะทักท้วงคำพูดของอีกฝ่ายไม่ทันแล้ว

* * *

เอ็นอักเสบระดับ 1 มีความเห็นว่าให้งดเข้าร่วมการแข่ง 2 สัปดาห์

ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูร่างกายและการรักษา ควรโฟกัสกับการฟื้นฟูที่เหมาะสมและการกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว’

ฮาจุนถือสมุดโน้ตที่มีข้อความสั้นๆ สรุปทิ้งไว้ด้านล่างหลังจากแปะใบวินิจฉัยโรคลงบนกระดาษหน้าหนึ่งเรียบร้อย เขามองมูคยอมที่สวมเฝือกอ่อนที่ข้อเท้าข้างหนึ่งและกำลังออกกำลังกายร่างกายท่อนล่างอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ข่าวเรื่องที่คิมมูคยอมถูกทำให้ฟาวล์และได้รับบาดเจ็บในรอบลีกในประเทศถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก พร้อมภาพถ่ายซึ่งปรากฎใบหน้าของฮาจุนที่ขมวดคิ้วยุ่งรวมถึงน้ำตาคลอด้วยความเศร้าใจอย่างชัดเจนอยู่ตรงม้านั่งนั้น

กองหลังทีมฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้ข้อเท้าของมูคยอมบาดเจ็บถึงขั้นต้องโพสต์ข้อความขอโทษอย่างเป็นทางการโดยระบุว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจและรู้สึกเสียใจกับความผิดพลาดที่ทำลงไปจากใจจริงเพื่อรับมือกับคำวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามาจากแฟนคลับจากแต่ละประเทศ ภายหลังทางสโมสรต้องออกแถลงการณ์ว่ามูคยอมไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงและจะฟื้นฟูร่างกายได้ในเร็ววัน ข้อถกเถียงถึงได้คลี่คลายไประดับหนึ่ง

แม้ว่าขาดมูคยอมไปแล้วอาจเกิดผลกระทบในช่วงครึ่งหลังของลีกก็จริง แต่ถึงอย่างไรหากไม่ทำเสียคะแนนก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีมูคยอมแต่ทีมเวิร์คในเกมของทีมซิตี้โซลก็ดำเนินไปได้อย่างมั่นคง และเนื่องจากตลอด 2 สัปดาห์ข้างหน้าไม่มีการแข่งขันกับทีมตัวเต็ง ผู้จัดการทีมจึงบอกมูคยอมให้ใช้โอกาสนี้เป็นการเติมพลัง

“ทำครบแล้วโค้ชอี”

ฮาจุนที่เฝ้ามองเขาอยู่ก้มตัวลงและเอามือกดลงบนกล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาเพื่อตรวจดูแล้วถามขึ้น

“กดตรงนี้แล้วรู้สึกยังไง”

“อืม รู้สึกตึงๆ นิดหน่อย”

“นวดแป๊บเดียวก็คลาย งั้นเล่นต้นขาหลังเพิ่มอีกสามเซ็ตเถอะ ไหวใช่ไหม”

“แน่นอน ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

มูคยอมยักไหล่และพูดอย่างสบายๆ ดูสบายใจจนฮาจุนรู้สึกหมั่นไส้ เขาสงสัยท่าทางของมูคยอมที่บ่นว่าเจ็บเจียนตายในวันนั้นจริงๆ

“งั้นเปลี่ยนเครื่องเล่นกัน”

ฮาจุนกำลังจะหันไปชี้และชวนอีกฝ่ายไปที่เครื่องเล่นอื่น แต่มูคยอมกลับไม่คิดจะลุกขึ้นยืน

พอเขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและกำลังจะเดินไปเองคนเดียว ก็คิดได้ว่าถ้าเจ้าตัวไม่ตามมาแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรจึงหันกลับไปเงียบๆ มูคยอมยื่นมือมาเหมือนกับรออยู่ ฮาจุนเลยถามขึ้นห้วนๆ

“…อีกแล้วเหรอ”

“เขาบอกว่าถ้าอยากหายเร็วๆ ห้ามลงน้ำหนักที่ข้อเท้าไม่ใช่เหรอ ถ้าก้าวพลาดตอนลุกขึ้นยืนคนเดียวจะทำยังไงล่ะ จับมือฉันหน่อยสิ”

คนที่ยืนสควอทได้ด้วยขาข้างเดียวกลับพูดเสแสร้งได้ขนาดนี้เลย

อดทนไว้ ถึงยังไงคิมมูคยอมก็เป็นคนป่วย ฮาจุนท่องคำนั้นเอาไว้ในหัวราวกับบทสวดขณะที่จับมือและช่วยประคองให้อีกฝ่ายลุกขึ้น มูคยอมจงใจร้องโอดโอยพลางยันร่างกายอันใหญ่โตของตัวเองให้ลุกขึ้นและทรงตัวบนไม้ค้ำยันที่ตั้งทิ้งไว้ข้างๆ

เรื่องมันก็เป็นอย่างนั้น

แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีการบาดเจ็บใดที่ไม่เป็นอันตราย แต่หากถามว่าข้อเท้าเคล็ด ระดับ 1 มันเจ็บจนต้องร้องเสียงดังขนาดนั้นเลยหรือเปล่า… คำตอบก็คือ ไม่

เมื่อปีที่แล้วฮาคยองน้องชายเขาก็เคยข้อเท้าพลิกระหว่างเล่นบาสซึ่งอาการหนักพอๆ กับมูคยอมเลยต้องให้เพื่อนประคองและเดินกะเผลกกลับมา ตอนนั้นน้องชายเขาก็หายดีภายในสองอาทิตย์

ฮาจุนเล่นใหญ่ต่อหน้าผู้คนไปอย่างเต็มที่ พอตั้งสติได้ก็เหลือเพียงความอับอาย ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เก่งพอแต่ก็เป็นถึงโค้ชหลักที่น่าเคารพ ในขณะที่ทุกคนต่างกำลังวิ่งวุ่น เขากลับขาดสติและไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะสม แล้วยังบีบน้ำตาอยู่ตรงนั้นเนี่ยนะ

แน่นอนว่าหน้าที่ของโค้ชฟิตเนสก็คือการประเมินสภาพร่างกายในเวลาปกติของนักกีฬาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพร่างกายและลดอาการบาดเจ็บ ถึงจะมองภาพรวมยังไงหน้าที่ของโค้ชก็คือการดำเนินการฝึกเพื่อฟื้นฟูร่างกายของผู้ที่บาดเจ็บ ส่วนการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นขอบเขตหน้าที่ของทีมแพทย์

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การที่เขาตกใจจนร้องไห้ออกมาก็เป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่าขาดคุณสมบัติอย่างชัดเจน… ฮาจุนเลยรู้สึกอับอายมาก

ถ้าทำได้ไม่ดีพอที่หน้างาน อย่างน้อยเขาก็จะชดเชยให้ที่นี่ตอนนี้ เขาเลยคิดจะใช้โอกาสนี้ยกระดับการออกกำลังกายของมูคยอมให้เหมาะสม เพราะยังไงเขาก็คอยใส่ใจดูแลเรื่องข้อเท้าของมูคยอมมาตลอดอยู่แล้ว

พวกเขากำลังเดินไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องออกกำลังกาย แต่อยู่ๆ มูคยอมก็หยุดยืนเสียดื้อๆ ฮาจุนเลยถามขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“ทำไมอีกล่ะ”

มูคยอมทำคิ้วตก

“เมื่อกี้เจ็บข้อเท้ามากเลย แบบแปลบๆ จริงๆ นะ”

“อืม เหรอ จะบอกว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วเหรอ”

“เปล่า ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าโค้ชอีลูบตรงนี้ให้สักนิดก็คงจะหายเจ็บนะ โอ๊ย เบาๆ สิ อย่าลูบแรง”

‘ตรงนี้’ ของอีกฝ่ายก็คือรอบๆ แก้มที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้อเท้าเลย สายตาของฮาจุนเริ่มเยือกเย็นขึ้น

จอมมารยา…

คิมมูคยอมชอบแกล้งเจ็บต่อหน้าเขาจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่ช่วงแรกที่เขามาอยู่ในทีมซิตี้โซล พอตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นคนเจ็บจริงๆ เลยไม่สามารถนับคำว่าเจ็บเป็นมารยาได้ แต่เมื่อเริ่มฝึกซ้อมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายทีไรอีกฝ่ายก็จะมองหาช่องทาง และพอได้โอกาสก็บอกว่าเจ็บบ้าง ไม่มีแรงบ้าง ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็เกิดเรื่องบ้าง เล่นละครนู่นนี่ไปเรื่อย แล้วยังขอให้ลูบหัว ขอให้ลูบขาหรือขอให้จับมือ เรียงร้องเหมือนเด็กๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พอเขาทนไม่ไหวบอกให้อีกฝ่ายเลิกล้อเล่นและดีดหน้าผากจริงไปเบาๆ หนึ่งทีครั้งก่อน อีกฝ่ายก็แทบจะกลิ้งตัวตีลังกา ทั้งยังแกล้งทำเป็นเจ็บปวดทรมานต่อหน้าผู้คนจนเขาคิดว่าตัวเองจะตายเพราะรู้สึกอับอายเสียแล้ว

“สวัสดีค่ะ”

และในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะลูบแก้มอีกฝ่ายหรือจะตบดี ก็มีเสียงดังก้องขึ้นทั่วสนามกีฬาอันกว้างใหญ่ คนอื่นๆ เดินเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่ มูคยอมและฮาจุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีต่างก็หันไปทางเสียงที่ได้ยิน

แต่ว่าอีฮาจุน นายเคยชอบจูบไม่ใช่เหรอ ในโลกนี้ใครบ้างจะไม่ชอบจูบกับคนที่ชอบ

ถ้ารวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถรอบก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกอีกฝ่ายปฏิเสธการจูบ ตอนนั้นมันก็สมควรแล้ว แต่วันนี้…

มูคยอมกางแขนออกเล็กน้อยและเข้าไปประชิดฮาจุนยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าจะหัวใจเต้นแรงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ฮาจุนก็ไม่อยากแสดงออกต่อหน้าอีกฝ่าย

“ยังไม่อยากจูบเหรอ เข้าใจแล้ว ขอโทษนะ ถ้าบอกว่าไม่ให้ทำฉันก็จะไม่ทำ กลับมาตรงนี้สิ”

แต่ทว่าตัวฮาจุนที่เคยนั่งทำหน้าเหมือนตกตะลึงอยู่กลับกะพริบตา และดูเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่แตกต่างกับที่มูคยอมคาดไว้ ไม่สิ ตอบไม่ตรงกับที่เขาถามเลยด้วยซ้ำ

“ขอโทษนะ… ที่อยู่ๆ ก็บอกว่าทำไม่ได้ นายยังไม่เสร็จงั้นฉันจะใช้ปากทำให้ก็ได้”

เฮ้อ เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกมาจากปากของมูคยอมเพราะคำพูดนั้น

“ใครเขาพูดถึงเรื่องนั้นกัน”

สายตาที่จ้องมองฮาจุนค่อยๆ เต็มไปด้วยประกายความขุ่นมัว สุดท้าย

มูคยอมก็ขมวดคิ้วจนยุ่งและเบ้หน้าใส่ฮาจุน

“ตอนนี้นายเลิกชอบฉันแล้วใช่ไหม สำหรับนายตอนนี้ฉันเป็นแค่ไอ้คนจนตรอกสินะ”

“…”

“เบื่อแล้ว หมดใจแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่ล่ะ”

“…ไม่ใช่นะ ถ้าไม่ชอบฉันคงไม่ทำตั้งแต่แรก”

“ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้ชอบ ยังไงก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม แต่ก็ถูกของนาย เกิดเรื่องแบบนั้นแล้วจะไปเหมือนเดิมได้ยังไง ให้เหมือนเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้”

เสียงถอนหายใจปะปนมากับท้ายประโยค เหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา มูคยอมจึงเม้มปากแน่น จ้องมองเพดานอันว่างเปล่าชั่วครู่แล้วนับหนึ่งถึงสาม

“ต้องลองถึงจะรู้ก็เลยชวนใช่ไหม แล้วมันเหมือนหรือไม่เหมือนกับเมื่อก่อนล่ะ”

มูคยอมถามเช่นนั้นแล้วมองฮาจุนอีกครั้ง อีกฝ่ายมีสีหน้าคลุมเครือเหมือนกับว่าตัวเองก็ไม่รู้คำตอบ

มันเป็นคำถามที่ยุ่งยาก ทำไมถึงไม่ใช่กันนะ ทั้งที่คนที่เข้ามาวนเวียนในพื้นที่หัวใจของเขานานกว่าใครก็คือตัวมูคยอมเองแท้ๆ มูคยอมเอาแต่ทำให้คนอื่นรู้สึกสับสน แต่เขาก็บังคับให้อีกฝ่ายเลิกยุ่งกับตัวเองไม่ได้

ในเวลาแบบนี้ วิธีที่ยังเหลืออยู่ก็คือการทำในสิ่งที่ยังทำได้และอดทนไปจนถึงที่สุด

“ยังไงฉันก็ชอบนาย อีฮาจุน อย่าไล่ฉันไปแบบนี้เลย ฉันอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับนาย แต่ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้”

ฮาจุนมองมาที่มูคยอมด้วยสายตาที่สับสนกว่าเดิม แล้วอยู่ๆ ก็ลดสายตาลงเล็กน้อยและเริ่มพูดตะกุกตะกักขึ้นมา

“ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่นะ”

ไม่ชอบแล้วทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธ

แม้ว่ามูคยอมจะทำผิดไปมาก แต่เอาเข้าจริงเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้วฮาจุนกลับเอาแต่โทษเขา มูคยอมเม้มปากแน่นและมองฮาจุนด้วยสายตาขุ่นเคือง

“ช่วงนี้ฉันไม่เข้าใจนายเลยสักนิด… ทั้งคำพูดที่นายบอกว่าชอบฉัน แต่การกระทำของนายกลับทำให้ฉันรู้สึกห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นเพราะฉันเหนื่อย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้น”

“…”

“ถ้าเรื่องมันยากก็ให้ลองกลับไปตอนแรกยังไงล่ะ แทนที่จะคิดไปเองต่อไปเรื่อยๆ สู้ลองทำแบบที่นายเคยบอก ฉันก็อาจจะเจอสาเหตุที่รู้สึกอึดอัดก็ได้ ว่าอะไรที่ไม่เหมือนเดิม แล้วทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่นี่ฉันไม่รู้อะไรเลย ก็แค่… เหมือนว่าอยู่ๆ นายก็เปลี่ยนไปฉันเลยรู้สึกไม่สบายใจ”

“ไม่สบายใจ?”

ฮาจุนพยักหน้าอีกครั้ง

“อยู่ๆ ฉันก็ถูกนายหรือใครก็ตามมองว่าเป็นพวกเอาตัวเข้าแลก แล้วถึงนายจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ก็ยังไล่ฉันไปให้พ้นหน้า พอฉันไปแล้วกลับมา นายกลับบอกให้เรามีเซ็กซ์กันอีกครั้ง แค่นี้เองเหรอ”

“…”

“ถึงฉันจะปฏิเสธ นายก็ยังจะประชด พูดจาถากถางฉันอยู่เรื่อยไม่ใช่เหรอ พอทำอย่างนั้นแล้วอยู่ๆ ก็มาบอกชอบกันมันเข้าท่าเหรอ รู้อยู่แก่ใจว่าฉันคิดยังไง แต่ขนาดคืนก่อนหน้านายก็ยังทำแบบเดิม”

“อีฮาจุน นั่นมัน…”

“เพราะสิบปีมันนานกว่าที่นายคิดเหรอ หรือเพราะเห็นโฟลเดอร์ไร้สาระไม่กี่อันนั่นก็เลยทำอย่างนั้น ชื่นชมฉัน นั่นมันก็แค่นิสัยพูดจากลับกลอกของนายต่างหาก”

“ไร้สาระ? มันคือโฟลเดอร์ที่นายใช้เวลาทำมาตั้งนานไม่ใช่เหรอ! อย่าพูดแบบนั้นสิ”

มูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ไม่ว่าขอโทษยังไงก็ไม่ได้เหรอ ถึงจะชอบนายจากใจจริงก็ตาม หรือต่อให้ฉันทำดีกับนายต่อไป ทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ ให้ทุกอย่างที่นายอยากได้… ก็ไม่ได้เลยเหรอ”

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่คางของมูคยอมราวกับกำลังย้อนคิดอย่างถี่ถ้วน แล้วอยู่ๆ ฮาจุนก็เบิกตาโพลงขึ้นมาสบตาเหมือนคนที่เริ่มนึกคำตอบขึ้นมาได้รางๆ

“ฉันฟังสิ่งที่นายสรุปไปเองคนเดียวมามากพอแล้ว ที่ฉันสงสัยคือ… เหตุผล ว่าทำไมนายถึงสรุปไปอย่างนั้นได้”

“เหตุผล? ชอบก็เพราะชอบ ทำผิดก็เลยขอโทษไง ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ”

ฮาจุนหรี่ตาลงแล้วส่ายหัว

“ทำไมถึงทำแบบนี้กับฉัน”

“อะไรนะ”

“นายที่ฉันรู้จัก… ถึงจะนิสัยแย่แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย”

สายตาของฮาจุนลึกล้ำยิ่งขึ้นเหมือนกับคนที่จดจ่ออยู่กับปัญหาที่ต้องแก้ไข

“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นหรอกนะ แต่นายทำเหมือนนายตั้งใจทำร้ายจิตใจฉันต่างหาก นายก็ไม่ได้โง่ ฉันคิดว่านายรู้แน่นอนว่าฉันจะรู้สึกยังไงพอได้ยินคำพูดแบบนั้น”

มูคยอมปิดปากเงียบ

ประเมินเขาสูงไปแล้ว ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าเค้าเป็นแค่คนโง่ก็คงจะดี

“ตอนนี้เหมือนว่าฉันจะรู้แล้ว เหตุผลที่ช่วงนี้ฉันเห็นนายแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่เรื่อย มันไม่ใช่แค่เพราะว่าต้องฟังคำพูดพล่อยๆ หรือเพราะเริ่มรำคาญนาย แล้วก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกแปลกๆ กับที่นายบอกชอบฉันด้วย”

น้ำเสียงของฮาจุนค่อยๆ หนักแน่นขึ้นราวกับนักสืบที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน ไม่ก็อาจารย์ที่กำลังตักเตือนนักเรียน

“ฉัน… อยากจะเข้าใจนายนะ ที่บอกว่าชอบ บอกว่าขอโทษ ถ้านายคิดไปเองคนเดียวเสร็จสรรพแล้วโยนข้อสรุปแบบนั้นมาให้ ฉันก็มีแค่สองตัวเลือกคือตอบรับหรือปฏิเสธไม่ใช่หรือไง อย่างนี้ไม่ใช่ว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเหรอ งั้นถ้านายอยากได้ยินคำตอบ ก็ต้องอธิบายฉันมาก่อน”

ความชัดเจนในนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของคนที่กำลังพูดเพื่อตามหาคำตอบถูกวาดอย่างสวยงามบนใบหน้าขาวที่เคยบิดเบี้ยวเพราะความสุขสมเมื่อสักครู่ราวกับเส้นที่วาดด้วยน้ำหมึก มันงดงามมากจนมูคยอมพูดไม่ออกและละสายตาไปไม่ได้

“ใช่แล้ว ฉันสงสัยเรื่องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้นกับฉัน คิมมูคยอม”

เขาถูกล่วงรู้ความลับสุดยอดเข้าแล้ว

มูคยอมปิดปากเงียบแล้วกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอหลายครั้ง ทว่าฮาจุนกลับกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแข็งกระด้างดังเช่นเวลาปกติราวกับว่าจะไม่ยอมหันหลังกลับจนกว่าจะได้ฟังคำตอบ

ดังนั้นมูคยอมก็เลยต้องตอบคำตอบที่จะทำให้โค้ชอีฮาจุนผู้ซื่อสัตย์ที่มักจะจดบันทึกและศึกษาเหตุและผลของสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเต็มที่สามารถยอมรับได้

“…ก็ฉันเคยแต่คบกับคนอื่นแบบเผินๆ มาตลอด ไม่เคยลองคบกับใครจริงจังนี่ เลยกลัวว่าจะทำผิดแล้วไปสร้างบาดแผลให้กับนาย”

แม้แต่ในขณะที่เขาพูดแก้ตัวยืดยาว อีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่คล้อยตามเลยแม้แต่นิด

คะแนนการโกหกเป็นศูนย์

น้ำเสียงของฮาจุนเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมาตามคาด

“พูดอะไรให้มันเข้าท่าหน่อย บอกว่ากลัวจะสร้างบาดแผลให้คนอื่น แต่กลับพูดอะไรแบบนั้นออกมางั้นเหรอ ถ้าพูดว่าเป็นห่วงสักสองรอบ คงจะฆ่าคนได้จริงๆ ละมั้ง”

“…”

“ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนด้วย”

ฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียสติแล้วทำให้นายเจ็บ

ไม่สิ ความจริงฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียสติแล้วทำให้ตัวเองเจ็บ

กลัวว่าจะทำผิดพลาดเพราะฝืนกฎเหล็กที่เฝ้ารักษามาตลอด กลัวว่าชีวิตที่ตัวเองเคยเชื่อมั่นว่ากำลังดำเนินมาอย่างราบรื่นพังทลายลง

แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ยังอยากที่จะดูดซับน้ำหวานของอีกฝ่าย และมันเป็นสิ่งที่เขาเอาแต่นึกถึงมาตั้งแต่ต้นจนจบ

ทว่าคำพูดพวกนี้ไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการ

“ฉันก็อยากจะดีใจจริงๆ ตอนที่นายบอกว่าชอบฉัน ไม่ได้อยากคิดถึงอะไรแบบนี้เลย!”

ฮาจุนขึ้นเสียงเล็กน้อยในตอนท้าย เขาเสยผมพลางถอนหายใจออกมาเหมือนอึดอัดใจแล้วลุกขึ้นขณะที่มองไปยังมูคยอมที่นิ่งเงียบไป

“…ไปอาบน้ำก่อนนะ ยังไงก็ขอโทษด้วยที่ชวนก่อนแต่ไม่ได้ทำให้จนจบ”

ยังคงมีความรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยมจนถึงที่สุด

มูคยอมไม่สามารถลุกขึ้นยืนและเดินตามไปได้ ทำเพียงเหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่สวมเสื้อคลุมที่เคยพาดไว้ตรงปลายเตียงแบบลวกๆ เดินพ้นจากประตูไป มูคยอมเอนกายไปด้านหลังและล้มตัวนอนลงไปบนเตียงด้วยความหมดแรงขณะที่มองไปยังพื้นที่ว่างที่ฮาจุนเคยนั่งอยู่

เขาคงสำคัญสถานะตัวเองผิดไป ไม่ใช่ฝ่ายรับกับฝ่ายรุก แต่เป็นตำรวจกับโจรงั้นเหรอ

‘ยอมจำนนแล้วจะพบแสงสว่าง’

ถึงแม้ว่าวลีในแคมเปญสุดคลาสสิกจะวาบขึ้นมาในหัวราวกับป้ายไฟ แต่

มูคยอมก็ไม่มั่นใจพอที่จะพรั่งพรู ‘เหตุผล’ นั้นออกไปต่อหน้าของฮาจุน

——————————————————

การแข่งขันลีกถัดไปถูกกำหนดขึ้นทันทีที่จบแมตช์ A ประจำสัปดาห์ราวกับเฝ้ารออยู่แล้ว เหล่านักกีฬาต่างสะพายกระเป๋าใบใหญ่และยืนต่อแถวเพื่อขึ้นรถบัสที่กำลังจะออกเดินทางไกลไปยังสถานที่แข่งขัน

คนที่ไม่รู้จักเจอมูคยอมก็แค่จะเดินผ่านไป แต่ถ้ามีคนที่รู้จักกันดีเจอเขาเข้าก็จะทำหน้าไม่พอใจและเดินขึ้นรถบัสไปทันที

เมื่อกวาดสายตาสำรวจที่นั่งก็เห็นฮาจุนนั่งอยู่คนเดียวที่ริมหน้าต่างตรงแถวหลังและกำลังมองไปยังสมุดโน้ตเหมือนอย่างทุกครั้ง มูคยอมพ่นลมจมูกเบาๆ แล้วก้าวเท้ายาวๆ ไปยังที่นั่งข้างๆ ฮาจุนราวกับกลัวว่าใครจะมานั่งก่อน เขาวางกระเป๋าไว้ตรงช่องเก็บสัมภาระและทรุดตัวลงนั่ง มูคยอมคงไม่รู้ว่าถึงที่นั่งข้างๆ

ฮาจุนจะว่างแต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะมานั่ง เพราะถึงอย่างไรพวกนักกีฬาและทีมงานของทีมซิตี้โซลก็คุ้นเคยกับภาพที่ทั้งสองคนนั่งคู่กันอยู่แล้ว

สุดท้ายวันนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างนั้น จนถึงที่สุดผู้ต้องหาคิมมูคยอมก็ไม่ได้ยอมรับสารภาพออกไป และพนักงานสืบสวนอีฮาจุนก็ไม่ได้คิดที่จะสอบสวนไปตลอดทั้งคืน จึงสวมเสื้อผ้าทีละชิ้นๆ แล้วก็กลับบ้านไป หลังจากอาบน้ำเสร็จฮาจุนที่กลับมาเป็นโค้ชที่ใจเย็นเหมือนเดิมก็ทิ้งการบ้านไว้ให้เด็กนักเรียนหัวทึบ

‘ถ้าพูดตอนนี้ไม่ได้ก็ลองจัดการความคิดไปเรื่อยๆ แล้วค่อยบอกมาแล้วกัน’

ฮาจุนมองมูคยอมที่นั่งอยู่ด้านข้างแค่ปราดเดียวเหมือนกับเช็กว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วก้มลงมองสมุดโน้ตอีกครั้งทันที แน่นอนว่ามูคยอมก็ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายให้การต้อนรับ หลังจากใส่หูฟังเสร็จเขาก็กอดอกและหลับตาลง

แม้ว่าตอนนี้มูคยอมจะตอบคำถามนั้นไม่ได้แบบที่ฮาจุนบอก แต่ถึงยังไงเขาก็ยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายต่อไป คำพูดที่ว่าชัยชนะจะเป็นของคนที่อดทนคือเรื่องจริง ปัญหาชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ต่างกันไปตามรูปแบบและสถานการณ์ ไม่เหมือนกับโจทย์ในข้อสอบ หากถอดใจก็จะไม่สามารถไปถึงจุดที่จะค้นพบคำตอบได้

ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าตอนนี้มูคยอมประสบความสำเร็จหลังจากผ่านการอดทนต่อสู้กับชีวิตมา เขาอดทนเช่นนั้นมาตลอด และเมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเจอกับสถานการณ์ใหม่ๆ

เมื่อรถออกตัวได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เหล่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่หลับได้ทุกที่ก็หลับกันไปเกือบหมด ภายในรถบัสที่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมงเศษจึงเงียบสงบลง ท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนของรถบัสที่วิ่งไปตามถนน ฮาจุนที่เคยพลิกข้อมูลดูอย่างช้าๆ เริ่มรู้สึกเหมือนเมารถจึงเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง

ในตอนที่กำลังคิดว่าจะนอนบ้าง รถบัสก็แล่นเข้าไปในอุโมงค์ ความมืดทึบปกคลุมภายนอกหน้าต่าง ฮาจุนมองใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังเอียงศีรษะไปด้านข้างและนอนหลับอยู่

‘ดูดีจัง…’

ความคิดชั่วครู่นั้นผุดขึ้นมาในหัวก่อนที่เขาจะทันได้คิดอะไร ฮาจุนขมวดคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองคิดอย่างนั้น หรือว่าที่เขาปล่อยมือไปจากคิมมูคยอมไม่ได้จะเป็นเพราะเรื่องหน้าตาจริงๆ

“อืม…”

ตอนนั้นเองที่มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและขยับพลิกตัว ฮาจุนสะดุ้งตกใจแล้วเลื่อนสายตาลงมองสมุดโน้ตที่แทบมองไม่เห็นอีกครั้งอย่างเปล่าประโยชน์ ใบหน้าของอีกฝ่ายโน้มลงมาด้านข้างเอียงมาทางฮาจุน หลังจากค่อยๆ ขยับพลิกร่างกายอันใหญ่โตและโน้มลงมาพิงหน้าเข้ากับหัวไหล่ของเขาแล้วมูคยอมถึงหยุดเคลื่อนไหว

ฮาจุนหันไปมองข้างๆ แต่อีกฝ่ายกลับยังหลับตาอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนจะไม่ใช่การแสดง ใบหน้าของมูคยอมเจือไปด้วยความพึงพอใจ อาจเพราะรู้สึกสบายที่เจอที่ค้ำซึ่งช่วยรองรับศีรษะเอาไว้ อีกฝ่ายอ้าปากออกเล็กน้อยและกลับมาหายใจราบเรียบอีกครั้งและหลับต่อ

ไม่ได้การแล้ว นอนแบบนี้คออาจจะพันกันได้

แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่กล้าปลุกมูคยอม เขามองอีกฝ่ายด้วยความลังเลและขยับแขนอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้ไหล่สั่นไหว ฮาจุนม้วนเสื้อบอลที่ถอดทิ้งไว้และค่อยๆ สอดเข้าไปตรงซอกคอของอีกฝ่ายที่พับลงมาด้านข้างเพื่อทำเป็นหมอน แล้วรถบัสก็วิ่งไปอย่างเงียบๆ อีกพักใหญ่

“ตื่นได้แล้วคิมมูคยอม”

มูคยอมลืมตาขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงปลุก เขาใช้เวลาเล็กน้อยกับการตั้งสติเนื่องจากเมื่อคืนเขานอนหลับได้ไม่เต็มที่เมื่อคิดว่าการแข่งเกมเยือนใกล้จะมาถึง

ถึงแล้วเหรอ

มูคยอมขยับร่างกายที่ยังงัวเงียให้ลุกขึ้นและกะพริบตา ระหว่างนั้นฮาจุนที่หยิบกระเป๋ารวมถึงเอาเสื้อบอลมาสวมก็โบกมือตรงหน้าแล้วพูดปลุก

“ถึงแล้ว ตั้งสติหน่อย”

“อือ”

มูคยอมบิดขี้เกียจและยืดตัวขึ้น ขยับคอซ้ายขวาแล้วหิ้วกระเป๋าที่เคยวางไว้บนช่องเก็บสัมภาระลงมา การนอนหลับไม่เพียงพอ รวมถึงการมีตารางแข่งเพิ่มทันทีที่แข่งเสร็จทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย

มูคยอมบ่นในใจ เขาแค่นหัวเราะออกมาขณะที่เดินลงจากรถบัส เขาบ่นพึมพำเรื่องที่ตัวเองมาเกาหลี ทั้งที่มันไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตารางการแข่งอันดุเดือดของพรีเมียร์ลีกในช่วงสิ้นปี

เมื่อเข้าไปในสนามแข่งแล้วเปลี่ยนชุด เหล่านักกีฬาก็ออกมาข้างนอกเพื่อวอร์มร่างกายทันที แม้จะเหลือเวลาอีกไม่นานกว่าที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น แต่เหล่าผู้ชมที่คลั่งไคล้ซึ่งอยากจะดูพวกนักกีฬาวอร์มร่างกายก็ไม่ได้จับจองที่นั่งไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และกำลังตั้งใจถ่ายรูปหรือไม่ก็พูดให้กำลังใจเหล่านักกีฬากันอยู่

“นักกีฬาคิมมูคยอม! สู้ๆ นะคะ!”

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ชมจากฝั่งเจ้าบ้าน มูคยอมยิ้มและโบกมือให้กับแฟนคลับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตะโกนเรียกเขาด้วยท่าทางที่เป็นมิตร

ว้าว แม้แต่คนรอบข้างก็ตื่นเต้นและมาร่วมโบกมือกับแฟนคลับคนนั้น

หนึ่งในงานอดิเรกที่มูคยอมทำมานานคือการมาแข่งเกมเยือนแล้วโปรยเสน่ห์ให้กับแฟนคลับของทีมฝั่งตรงข้าม บางครั้งก็ได้รับคำชมว่าเป็นคนดังที่เซอร์วิสแฟนๆ อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ บางครั้งก็ถูกด่าว่าไม่มีมารยาทจากงานอดิเรกแปลกๆ

ถึงจะเป็นการกระทำเดียวกัน แต่การประเมินค่าก็จะแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ในตอนนั้นๆ หรือตามอุปนิสัยของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นการใช้ชีวิตโดยที่ยึดติดกับคำวิจารณ์ของคนอื่นจึงเป็นการเสียเวลาชีวิต

“เอ้า เอาล่ะ ทุกคนมารวมตัวกัน!”

แต่ถ้าเกิดเขาอยากจะเป็นคนดีและไว้ใจได้อยู่เสมอสำหรับคนพิเศษสักคนล่ะ

การโปรยเสน่ห์และทำให้ผู้อื่นชื่นชอบได้ในเวลาสั้นๆ นั้นง่ายเสียยิ่งกว่ากะพริบตา แต่สำหรับมูคยอมที่ไม่เคยต้องพยายามเอาชนะใจใครมาก่อน คำถามนั้นกลับเป็นปัญหาใหญ่ที่เขาไม่เคยทดสอบเลยสักครั้งในชีวิต

‘บอกให้ดูนายทำอย่างเดียวเนี่ย มันเป็นการทรมานกันชัดๆ’

“ฮ้า คิด…ไม่ออก…”

“เดี๋ยวสิ… มีเซ็กส์อยู่แล้วนายจะคิดอะไรล่ะ”

ปกติคนเรามีเซ็กส์กันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่านั่นจะเป็นเรื่องอะไร แต่น่าจะไม่ใช่ความคิดที่ได้เปรียบสำหรับเขาแน่

ต่อให้ใช้สมองคิดมากแค่ไหน เขาก็ไม่รู้แผนการในใจของฮาจุน ความกังวล และความปรารถนาอันมหาศาลที่ภาพตรงหน้านำพามาให้ราวกับจะทำให้มูคยอมคลั่งขึ้นมาเสียตอนนั้น

‘…หรือว่าไม่นานมานี้เพิ่งจะไปเล่นจ้ำจี้กับผู้ชายคนอื่นมาหรือไงนะ ถึงได้จงใจทำแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เขาได้รับรู้สภาพของด้านหลังตัวเอง

บ้าฉิบ ต่อให้บอกมาแบบนั้นแล้วเขาจะทำอะไรยังไงได้’

มูคยอมฝืนกลั้นความคิดที่พวยพุ่งขึ้นมาจนหนาทึบ

“อ๊ะ อือ”

ฮาจุนสอดเข้าไปเพิ่มอีกนิ้วอย่างยากลำบาก การเคลื่อนไหวมือที่งอข้อมือจนสุดพร้อมทั้งกดสอดเข้าในร่างกายของตัวเอง ทั้งกระตุ้นอารมณ์และดูไม่ชำนาญในเวลาเดียวกัน

คราวก่อนมูคยอมก็รู้สึกว่าฮาจุนใจร้อนพอสมควร อีฮาจุนไม่เชี่ยวชาญในการขยายช่องทางด้านหลังของตัวเองเท่าไรนัก ตอนนั้นถ้าเขาไม่ยับยั้งอีกฝ่าย ช่องทางคงเป็นแผลไปหมดแล้ว

“อีฮาจุน ทำช้าๆ เดี๋ยวจะบาดเจ็บเอานะ”

รู้สึกเหมือนกำลังเฝ้าดูเด็กที่เพิ่งเริ่มหัดเดินอย่างกังวล มากกว่ามองดูฉากช่วยตัวเองอันเร่าร้อน มูคยอมขมวดคิ้วแล้วจับตามองการเคลื่อนไหวมือของฮาจุน จนถึงตอนนี้ก็ทำมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ทำไมยังทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังมองดูลูกวัวที่ยังเดินไม่แข็งแบบนี้นะ

เป็นไปตามที่คาด มูคยอมทนดูการขยับมือที่เคลื่อนไหวอย่างรีบร้อนขึ้นไม่ไหว จึงจับข้อมือของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนตัวแข็งทื่อแล้วพูดเสียงดังใส่ทันที

“ฉันจะทำ”

“รู้แล้ว นายทำ ฉันแค่ตั้งใจจะช่วยเฉยๆ”

มูคยอมขยับเข้าไปใกล้แล้วนั่งซ้อนด้านหลังของฮาจุนที่อ้าขาอยู่ เพราะข้อมือถูกจับไว้ นิ้วของฮาจุนจึงหลุดออกมาจากร่างกายครึ่งหนึ่ง มูคยอมวางมือของตัวเองซ้อนอยู่บนหลังมือข้างนั้นแล้วจับนิ้วดันเข้าไปอีกครั้ง

“อ๊ะ อ๊า!”

“ทำช้าๆ ถ้าทำเร็วแต่แรก มันจะบวม แล้วก็จะไม่คลายด้วย”

“อื๊อ อึก ฉัน ทำเอง…”

“ทำเองแล้วทำไม่ได้ก็เลยเป็นแบบนี้ไง”

มูคยอมจับมืออีกฝ่ายถอนออกแล้วสอดกลับไปอย่างเชื่องช้า พอก้มลงมองภาพมือขาวเปียกแฉะที่แนบชิดกับมือของเขา ลืมสิ้นจุดประสงค์ของตัวเอง แล้วขยับเข้าออกช่องทางรักด้วยความเร็วตามที่เขาควบคุม ความกำหนัดก็ดูเหมือนจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้น

แต่ยังไม่ได้ ถ้าจะขยายออกให้พร้อมก็ต้องทำมากกว่านี้ เป็นโอกาสที่ไม่ได้มีมานาน เพราะอย่างนั้นก็ห้ามมีความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวเป็นอันขาด ถ้าสอดใส่ในสภาพที่ยังคลายได้ไม่เต็มที่แล้วเกิดเจ็บขึ้นมา ทุกอย่างอาจจบสิ้นเลยไม่ใช่หรือไง

มือของฮาจุนก็ไม่ได้เล็กอะไรเลยเมื่อเทียบกับขนาดมือของผู้ชายทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับมือของมูคยอมก็แค่ดูจะเรียบเนียนกว่าเท่านั้น ช่องทางของฮาจุนเคยขยายกว้างจนรองรับนิ้วหนายาวเข้าไปได้ถึงสี่นิ้ว เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่คลายตัวออกด้วยนิ้วของอีฮาจุนแค่สองนิ้ว มือของมูคยอมที่เคยทาบบนหลังมือของฮาจุนแล้วขยับหน้าหลัง กลับลื่นไหลลงไปด้านล่างมากขึ้น

“อา อ๊า… อย่า อย่าทำ อ๊า…!”

ด้านในช่องทางที่นิ้วทั้งสองของฮาจุนกำลังสอดทะลวงอยู่ มีนิ้วกลางของมูคยอมสอดเพิ่มเข้าไปพร้อมกัน นิ้วมือของคนทั้งคู่แนบสนิทราวกับหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง และเกี่ยวประสานพร้อมสอดใส่เข้าไปอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีความรู้สึกขัดแย้งหรือรู้สึกว่ามากเกินไปเลย

ทั้งสองตั้งใจกดสอดสลับถอนออก แต่ไม่ว่าอย่างไร นิ้วมือของฮาจุนก็ดูเหมือนกำลังหมุนควงอยู่ด้านในนั้นเฉยๆ จุดรวมความรู้สึกด้านในที่ควรต้องนูนขึ้นมาไม่น้อยแล้วหากทำมาประมาณนี้ ยังไม่ยื่นขึ้นมาให้ปลายนิ้วได้สัมผัสถึง มูคยอมใช้นิ้วกลางหนายาวที่สอดอยู่ในร่างกาย กดลงตรงจุดหนึ่งย้ำๆ แล้วขบเม้มใบหูนุ่มนิ่มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายรับรู้

“ร่างกายของตัวเอง ทำไมหาจุดไม่เจอล่ะ จุดที่นายรู้สึกคือตรงนี้นะ อีฮาจุน”

“อึก ฮ้า…! ไม่ ได้นะ อ๊ะ…”

“ต้องกดลงตรงนี้เยอะๆ มันถึงจะคลายเร็ว ดูท่านายจะกดลงไม่ตรงจุดมาตลอดเลย”

“ฮึก อือ ตรงนั้น ไม่ได้ อย่ากด… ไม่ อ๊า…!”

อย่างที่คิด ความเกร็งของร่างกายคลายลงอย่างรวดเร็ว

“โค้ชอี ลองสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งสิ ลองกดลงตรงจุดที่นิ้วของฉันแตะอยู่พร้อมกัน”

“อ๊า พอแล้ว… ถ้ากดตรงนั้น มากไป อื๊อออ!”

“ยังไงถ้าใส่ของฉันเข้าไปก็กดโดนทุกจุดในนี้อยู่แล้ว”

ถ้าใส่ท่อนเนื้อร้อนเข้าไป ด้านในก็จะเต็มแน่น เพราะอย่างนั้นก็คงจะหลีกหนีไปไหนไม่ได้ พยายามหนีไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อมูคยอมกดลงและบดบี้ตรงจุดจุดหนึ่งไม่หยุด นิ้วของฮาจุนซึ่งฝังคาไว้ด้านในก็จะกระตุกไปพร้อมกันทุกครั้ง และเหมือนจะครูดไปทั่วโพรงเนื้อเลยด้วย

ในระหว่างที่ทำแบบนั้น ช่องทางก็ขยายกว้างขึ้นด้วยนิ้วของมูคยอมซึ่งเพิ่มเป็นสองนิ้ว ฮาจุนตัวสั่นเบาๆ ในขณะที่พิงหัวลงบนไหล่ของมูคยอม ตอนนี้เสียงครวญครางอย่างกระสับกระส่ายถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากอ้าค้างราวกับคุมไม่อยู่

“ฮา อ๊า! ฮึก ฮ้า อา… พอ แล้ว เอาออก…”

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากส่งอีกคนถึงฝั่งฝันอีกสักครั้งด้วยมือเพียงอย่างเดียว แต่หากทำแบบนั้น เขาก็นึกกังวลว่าอีกฝ่ายจะขอให้พอแค่นี้จริงๆ

เมื่อฮาจุนเอวสั่นสะท้านทั้งที่ยังนั่งอยู่ แถมยังกระตุกราวกับเริ่มรู้สึกมากแล้ว ตอนนั้นมูคยอมถึงได้ถอนนิ้วของตัวเองซึ่งใส่เพิ่มเข้าไปเป็นสองนิ้วในระหว่างนั้น รวมถึงมือของฮาจุนออกพร้อมกัน

“แฮ่ก ฮ้า อา”

ถึงแม้ว่าช่องทางจะว่างโล่ง แต่ฮาจุนก็ยังเอนหลังพิงแผ่นอกของมูคยอมโดยที่ตัวยังสั่นและขยับไม่ได้อยู่พักหนึ่ง มูคยอมตั้งใจจะจับอีกฝ่ายพลิกตัวนอนลงทั้งอย่างนั้น แต่ฮาจุนกลับรีบเอนร่างกายท่อนบนโน้มคว่ำลงแล้วใช้แขนยันเตียงไว้ เสียงอ่อนระโหยถูกเปล่งออกมาปะปนกับลมหายใจหอบกระชั้น

“ทำ…เลย…”

เขาอยากมองหน้าแล้วทำไปด้วยแท้ๆ มูคยอมกักเก็บความขัดเคืองเล็กน้อยไว้ในใจ แต่วันนี้เขาตัดสินใจว่าจะทำตามความตั้งใจของฮาจุนเป็นอันดับแรก เพราะแค่เปลี่ยนท่าทางในระหว่างที่ทำก็พอแล้ว

มูคยอมเดินเข่าไปนั่งเหนือร่างของอีกฝ่ายใกล้ๆ ท่อนเนื้อที่มีน้ำหล่อลื่นไหลออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วกดเข้าไปในปากช่องทางทันที ปากช่องทางที่เพิ่งคลายตัว บีบหดเข้ามาเล็กน้อยในระหว่างนั้น

“ผ่อนคลาย โค้ชอี”

“ไม่ได้เกร็ง… สักหน่อย”

มูคยอมปิดปากสนิทและผ่อนลมหายใจยาวออกมาทางจมูก ในขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ลูบแผ่นหลัง ส่วนมืออีกข้างก็ลูบสะโพกของอีกฝ่าย ทุกครั้งที่มือปัดผ่านผิวกาย ฮาจุนก็จะส่งเสียงครวญครางออกมาพร้อมกับตัวสั่นเบาๆ

มือที่เคยลูบไล้ผิวเนื้ออย่างรักใคร่และปลอบประโลมผละออกไป แล้วเลื่อนไปจับตรงแถวๆ กระดูกเชิงกรานของฮาจุนพลางหยัดเอวเข้าอย่างเชื่องช้า ท่อนเนื้อแข็งชูชันถูกดูดกลืนเข้าไปในผนังเนื้ออ่อนนุ่มแล้วสอดใส่เข้าไปสำเร็จได้โดยไม่ยากเย็น ช่องทางด้านหลังที่กลืนกินท่อนเนื้อร้อนซึ่งยังเข้าไปได้ไม่หมดขมิบรัดเข้ามาแน่นโดยไม่เหลือแม้แต่ช่องว่าง

“อา อือ… อึก อา…”

โพรงเนื้อขมิบไม่หยุดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสียงร้องครางปนเสียงลมหายใจก็สั่นระรัวเช่นกัน ฮาจุนโก่งโค้งตัวในท่าคว่ำ ใบหน้าของฮาจุนเชิดขึ้นไปด้านหลังจนมองเห็นกระหม่อมสีดำขลับ

กระหม่อมอย่างนั้นเหรอ น่าเสียดายจริง’ มูคยอมชื่นชอบสีหน้าของฮาจุน ผู้ซึ่งมีทั้งความสุขสม ความรู้สึกที่ร่างกายรองรับสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองเข้ามา และบางทีก็มีความเจ็บปวดปะปนอยู่ด้วย ยามรับการสอดใส่ครั้งแรกเข้าไป

แกนกายของเขายังคงเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่ง มูคยอมโน้มร่างกายท่อนบนลง แล้วทาบตัวกดลงด้านบนหลังของฮาจุน เพียงแค่อดทนต่อความรู้สึกจากการสอดใส่หลังจากที่ไม่ได้รับมานาน ร่างกายของฮาจุนก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ฮาจุนจึงนอนคว่ำราบไปบนเตียงโดยไม่สามารถเอาชนะน้ำหนักของเขาได้

“…ฮา อ๊าาา…!”

แกนกายไถลเข้าไปจนถึงจุดที่ลึกโดยอัตโนมัติแล้วทั่วทั้งร่างของฮาจุนก็ถูกกดไว้ด้วยน้ำหนักตัวของมูคยอม เสียงแผ่วเบา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหมือนมีเสียงกรีดร้องหลุดออกมาจากปากของฮาจุนสั้นๆ

ต้นขากับท้องน่องที่แนบชิดกันแข็งเกร็ง ส่วนก้นก็ขมิบเกร็งเข้าหากันเช่นเดียวกัน “อา อ๊า” หัวไหล่กับแผ่นอกเริ่มขยับโยกปะทะอีกฝ่ายดังปั้กๆ พร้อมกันกับเสียงครางหวิว

มูคยอมกุมคางของฮาจุนแล้วรั้งใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมาหาตัวเอง ฮาจุนออกแรงเกร็งลำคอให้หันไปอีกฝั่งเพื่อขัดขืน ราวกับไม่อยากเห็นเขาอย่างสิ้นเชิง ทว่าเมื่อหมุนควงเอวจนแกนกายที่สอดเข้าไปจนสุดโคนครูดผนังเนื้อด้านใน ฮาจุนก็ตัวสั่นไปหมดทั้งร่างราวกับถูกไฟดูดแล้วการขัดขืนก็สูญสลาย

จากนั้นมูคยอมถึงได้มองเห็นใบหน้าของฮาจุน ใบหน้าที่หลงลืมการต่อต้านเขาไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าที่แยกไม่ออกว่ารู้สึกเสียวซ่านหรือทรมาน ใบหน้าที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและอ้าเผยอปาก ใบหน้าที่สายตาล่องลอยเพราะความสุขสมทางเรือนร่าง เพียงชั่ววินาทีที่มองเห็นใบหน้านั้น มูคยอมก็รู้สึกเหมือนจะไปถึงจุดสูงสุดของห้วงอารมณ์ขึ้นมา

“ฮ้าาา อีฮาจุน… ดีชะมัด…”

“อา ฮ้าาา… ฮึก!”

เดิมทีเหมือนเคยสบายๆ กว่านี้ แต่ตอนนี้ในหัวกลับหมุนคว้างและสติหลุดลอยไปกับความหฤหรรษ์ที่เหมือนกำลังโหมซัดทั่วทั้งร่าง เพราะร่างกายทับซ้อนกันทั้งตัว มูคยอมจึงเริ่มขยับโยกเอวโดยเร่งความเร็วได้ในทันที

“ฟู่ว อา”

“-อา อ๊า ฮึก!”

แกนกายที่เคยเข้าไปถึงจุดลึก ถอนออกมาจนเกือบสุดหัวป้านแล้วหยัดกลับเข้าไปในโพรงเนื้อคับแคบอย่างรวดเร็ว ส่วนหัวอวบหยักกดลงตรงจุดรวมความรู้สึก ส่วนเส้นเลือดปูดโปนก็ครูดช่องทางรักด้านหลัง ท่อนเนื้อของเขาอัดแน่นเต็มในท้อง

เสียงเนื้อกระทบกันดังป้าบๆ กังวานไปทั่วห้อง ท่อนเนื้อแข็งขึงของมูคยอมสอดกระแทกอย่างรุนแรงไปจนลึกด้านในตัวฮาจุนรวดเร็วกว่าเสียงนั้นหนึ่งจังหวะ

“อา อ๊า! อ๊าาา อ๊ะ!”

ท่อนเนื้ออวบเติมเต็มผนังเนื้อคับแคบแล้วจ้วงเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีจังหวะจะให้หยุดพักแม้เพียงชั่วครู่ ทุกครั้งที่ส่วนหัวกระทุ้งจุดที่ลึกที่สุดย้ำๆ อย่างหนักแน่น ก้นของฮาจุนก็เกร็งเครียด ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะถูกกระแทกจนตัวโยน

ร่างกายของทั้งคู่ไม่ได้สอดประสานกันมาเนิ่นนาน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยยาก เข็ดขยาด อีกทั้งยังผลักไสความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับหัวใจ แต่ฮาจุนก็ยังยอมรองรับเขา และมูคยอมยังรู้สึกได้ว่าฮาจุนยังเป็นเช่นเดียวกับเมื่อก่อน มูคยอมมองใบหน้าของอีกฝ่ายและซึมซับสัมผัสจากเนื้อเยื่อที่ขมิบถี่ๆ ตอดรัดและกลืนกินท่อนเนื้อของเขาอย่างแนบแน่น ในที่สุดเขาก็จมอยู่ในความรู้สึกวางใจ

เมื่อความสบายใจกลับคืนมา เอวที่เคยขยับอย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าดุดัน ก็ค่อยๆ เชื่องช้าลงในภายหลัง มูคยอมรั้งไหล่ของฮาจุนขึ้นมากอดจากด้านหลังราวกับจองจำ พร้อมทั้งหยัดเอวขึ้นช้าๆ ตามความยาว

“…ฟู่ววว อา อา…”

เพราะง่วนอยู่กับการถูกตอกกายเข้าออกอย่างรวดเร็ว โพรงเนื้อนุ่มจึงร้อนระอุและรู้สึกไวขึ้นสุดขีด โพรงเนื้อร้อนสั่นระริกราวกับรู้สึกถึงความสุขสมที่ต่างออกไปจากการเคลื่อนไหวอันแสนอึดทน

มูคยอมขยับตัวแนบสนิทจนขนสีเข้มบดเบียดอยู่บนก้นของอีกฝ่าย แล้วหมุนวนเอวอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็หยัดกายเข้าออกเบาๆ อย่างต่อเนื่องโดยที่ร่างยังคงฝังคาลึกในกายของอีกคน มูคยอมสัมผัสได้ว่าส่วนที่แคบลงของจุดลึกด้านใน บีบขมิบส่วนปลายลำท่อนของตน แล้วแขนที่โอบกอดฮาจุนไว้ก็เกร็งขึ้น

เมื่อลดแขนข้างหนึ่งลงโดยที่ยังกอดอีกฝ่ายไว้ แล้วควานมือหาบริเวณสะดือที่น่าจะมีส่วนปลายลำท่อนของตนฝังอยู่พลางกดลงอย่างแนบแน่น ฮาจุนก็เชิดตัวขึ้นพรวดพราด เพียงแค่มือเปล่าก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการมีอยู่ของสิ่งแปลกปลอมด้านในหน้าท้อง

มูคยอมยกยิ้มบาง ในร่างกายนี้เต็มไปด้วยตัวตนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

“อ๊า! ฮึก ฮ้า อ๊า ปล่อย นะ ปล่อย อา อ๊า…”

ร่างกายที่แผ่ใต้ร่างเขา ดิ้นทุรนทุรายราวกับหายใจไม่ออก

“ฮ้าาา” มูคยอมพรูลมหายใจออกมาชิดใบหูของฮาจุนพร้อมกับขยับเอวออกไปด้านหลังตามความยาว แล้วเสือกกายกลับเข้าไปโดยทิ้งช่วงห่างพอๆ กับที่ถอนกายออก ทุกครั้งที่ก้นกระแทกกับกระดูกหัวหน่าวจนเกิดเสียงดังแนบเนื้อ เนื้อเยื่อที่โอบหุ้มส่วนปลายหัวมนก็จะกระตุกตอดรัด และหากมูคยอมถอนแกนกายออกไปด้านหลังยาวๆ ผนังเนื้อด้านในก็จะบีบตัวบดเคล้าลำท่อนทั้งลำราวกับดูดรั้งไว้

การเคลื่อนไหวเข้าออกที่เคยเชื่องช้าลงกลับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคล้อยตามไปกับการเคลื่อนไหวของผนังเนื้อด้านใน

“อ๊ะ อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

“อา อีฮาจุน ดี ดีมาก นายดีมากจริงๆ”

“ฮึกกก ฮ้า อา อ๊ะ!”

มูคยอมพรูลมหายใจออกมาครั้งหนึ่งทั้งที่ยังไม่ถอนแกนกายที่สอดแทงลึกสุดโคน เขาลดความเร็วของเอวที่บดขย่มอยู่พักใหญ่แล้วคราวนี้ก็ดึงตัวออกอย่างเชื่องช้า

“อื๊อ อ๊า ฮาาา…”

การขยับเข้าออกที่ความเร็วเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากเร็วอยู่ก็ช้าลง แล้วกลับมาเร็วขึ้นอีกครั้ง ทำให้โพรงเนื้อของฮาจุนอ่อนนุ่มขึ้นราวกับถูกฟอกหนังจนนิ่ม ช่องทางนั้นตอดรัดแน่นแล้วคลายออกซ้ำๆ พร้อมทั้งขมิบดูดกลืนท่อนเนื้อร้อนอย่างต่อเนื่อง

เอวของฮาจุนสั่นกระตุก แผ่นหลังกับก้นที่แนบสนิทกับร่างกายท่อนบนของเขาบิดเกร็งกว่าเมื่อครู่ที่โหมกระแทกเข้าใส่ ราวกับว่าแบบนี้ทำให้รู้สึกได้มากกว่า ปลายเท้าลื่นไถลบนผ้าปูที่นอน ชนเข้ากับขาของมูคยอมแล้วเฉียดผ่านไป

ยิ่งบดเอวซ้ำๆ มากขึ้นเท่าไร ความดีใจอื่นที่ต่างกับความสุขทางกาย ก็แผ่ซ่านไปในหัวใจของมูคยอมมากเท่านั้น

โล่งอกไปที เซ็กส์กับอีฮาจุนยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

ถ้าแม้แต่ร่างกายก็ไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน ก็อาจจะหมดหวังไปแล้วจริงๆ ก็ได้

มูคยอมจมอยู่ในความรู้สึกวางใจ พร้อมทั้งทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายขยับมาทางเขาอีกครั้ง คราวนี้เขากดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของฮาจุน ราวกับถูกชังจูงไปตามจิตใต้สำนึก

“อา ไม่เอา อย่า…”

กระทั่งคำปฏิเสธ ซึ่งอีกฝ่ายโพล่งออกมาครั้งสองครั้งตามธรรมชาติในระหว่างมีเซ็กส์กัน ในตอนนี้กลับเป็นเหมือนเครื่องปรุงที่ช่วยชูรสชาติให้ความกำหนัดเท่านั้น มูคยอมกำลังจะใช้ลิ้นดันให้ปากของอีกฝ่ายอ้าออกเพื่อที่จะสอดเข้าไป

“-บอกว่า ไม่เอาไง!”

บรรยากาศที่เคยร้อนรุมกลับกลายเป็นแสบร้อนในชั่วพริบตา ร่างกายที่เคยดิ้นทุรนทุรายด้วยความซาบซ่าน แข็งเกร็งขึ้นในชั่วขณะแล้วผลักตัวมูคยอมออกอย่างแรง

ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ไม่มีทางที่จะถูกดันออกอย่างไร้เรี่ยวแรงได้จริง ทว่าปัญหาคือคราวนี้ การต่อต้านนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง

‘ฉันทำอะไรลงไปนะ’

มูคยอมรีบร้อนยกตัวขึ้นแล้วก้มลงมองฮาจุนซึ่งยังคงนอนราบอยู่ใต้ร่าง แต่ตัวฮาจุนเองกลับมีสีหน้าตกใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก ฮาจุนเบิกตากว้าง ค้างอยู่ในท่าตะแคงตัวนอน และกำลังเงยหน้ามองมูคยอมซึ่งเจ้าตัวเป็นคนผลักออก

จากนั้น ทั้งที่ความร้อนบนใบหน้ายังไม่จางหาย แต่ฮาจุนก็ปิดปากลงอย่างยากลำบาก ลูกกระเดือกเคลื่อนขยับราวกับกำลังกลืนน้ำลาย แล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจะดันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล คราวนี้มูคยอมไม่ห้ามปรามการเคลื่อนไหวเพื่อหลีกหนีเขา ทั้งที่แกนกายยังฝังคาไว้ในร่างอีกฝ่ายอยู่ครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ยอมขยับเอวถอยออกให้

ฮาจุนยันตัวขึ้นได้แล้วนั่งพิงหมอนซึ่งวางไว้ตรงหัวเตียง เจลกับน้ำหล่อลื่นที่ไหลลงมาตรงหว่างขา สะท้อนแสงไฟในห้องจนมองเห็นความมันวาวได้อย่างชัดเจน ฮาจุนดึงผ้าห่มยับยู่ยี่ขึ้นมาคลุมร่างกายเปล่าเปลือยแล้วพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา

“…น่าจะไม่ได้แล้วละ”

เสียงเปล่งออกมาอย่างอ่อนระโหยราวกับคนที่หมดแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เบิกตากว้างให้กับคำพูดนั้นพลางขยับตัวไปนั่งใกล้ๆ

“อะไรไม่ได้”

“ลองทำแล้วก็…ไม่รู้อยู่ดี”

“เป็นอะไรไป นายก็รู้สึกดีนี่ เหมือนเมื่อก่อนเลย ไม่มีอะไรต่างจากเดิมเลยสักอย่าง”

ฮาจุนส่ายหน้า มูคยอมทอดมองฮาจุนอย่างงงงัน เขานิ่วหน้าเล็กน้อย

ฮาจุนบอกว่ามีเรื่องที่อยากยืนยัน อยากยืนยันเรื่องอะไรกัน ตอนนี้ได้ยืนยันแล้ว เพราะอย่างนั้นก็เลยบอกว่า ‘น่าจะไม่ได้แล้ว’ หรือเปล่า

ปัญหาคืออะไรกัน ฮาจุนกำลังรู้สึกดีจนแทบบ้าเหมือนกับทุกครั้ง ตอนแรกอีกฝ่ายบอกแล้วว่าไม่ให้จูบ แต่เขาก็ดื่มด่ำไปกับห้วงอารมณ์ตัวเองจนจะทำตัวเอาแต่ใจ เรื่องนั้นเป็นความผิดของเขาเอง

ง่ายอย่างนั้นเหรอ ไม่เลยสักนิด จริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนบังคับให้นายอดกลั้นต่อความต้องการของตัวเองตามใจชอบ ถึงไม่ใช่แบบนั้นก็หนักใจมากอยู่แล้ว นายก็เป็นผู้ชายร่างกายแข็งแรงที่มีความต้องการทางเพศเหมือนกันกับฉัน ฉันเลยกังวลอยู่เหมือนกันว่าตัวเองยึดมั่นแค่ในความคิดที่อยากเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่แล้วกำลังดื้อด้านไปคนเดียวหรือเปล่า

ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าพูดออกไปก็คงจะได้แต่เป็นการชวนให้มานอนด้วยกันแค่อย่างเดียวอีก ฉันก็เลยพูดออกไปไม่ได้เพราะกลัวว่านายจะมองฉันเหมือนเป็นสัตว์ตัวหนึ่งจริงๆ ยังไงเล่า!

ต่อให้ฮาจุนบอกว่ายังมีใจให้เขา ในตอนที่อีกฝ่ายอยากเว้นระยะห่างจากเขาอย่างชัดเจน เขาก็ต้องพยายามให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นอีกสักนิดก็ยังดีไม่ใช่หรือไง เพราะอย่างนั้นถึงพูดตามที่อยากพูด ทำตัวแบบที่อยากทำได้ไม่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ เขาพยายามปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังกับฮาจุน รวมถึงยุนแชฮุนอีกต่างหาก แต่การกระทำนั้นก็ดูเหมือนว่ายังเป็นเพียงการกระทำตามอำเภอใจในสายตาของฮาจุนอยู่ดี

มูคยอมกักเก็บความรู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างมากเอาไว้และตะโกนแก้ตัวอยู่ในใจ แต่จนป่านนี้ ต่อให้ร่ายคำพูดแบบนั้นออกมาเสียยาวเหยียดก็มีแต่จะทำให้ฮาจุนอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น

“นายเอาแต่ตัดสินใจตามใจนายเองอยู่เรื่อย อย่ามาบอกให้ฉันทำตามที่นายตัดสินใจเลย”

“ฉันไม่เคยบอกให้นายทำตาม ไม่ได้พูดเพราะคิดแบบนั้น”

“ฉันเองก็มีเหตุผลที่สรุปออกมาแบบนี้เหมือนกัน มีเรื่องที่ต้องคิดตามสถานการณ์ แล้วก็มีเรื่องที่อยากยืนยันด้วย”

ยืนยันเหรอ ยืนยันอะไร

ใบหน้าด้านข้างของฮาจุนยังคงจับจ้องไปทางด้านหน้าเช่นเดิม

“ออกรถเถอะ”

น้ำเสียงของฮาจุนเฉียบขาดเหมือนตอนสั่งพวกนักกีฬาให้ทำเรื่องต่างๆ ในเวลาฝึก

‘ทราบแล้วครับ โค้ช’

มูคยอมตอบกลับแบบนั้นในใจพร้อมกับหมุนพวงมาลัย ทั้งที่เสี้ยวหนึ่งในใจยังโอบกอดความรู้สึกท้อแท้เอาไว้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ก็ดี ถ้าหากอีฮาจุนเข้าหาเขาก่อนอย่างไม่หวั่นไหวแบบนี้ เขาเองก็จะช่วยตอบสนองให้อย่างเร่าร้อนเหมือนกัน ทำแบบนี้ก็น่าจะมาถูกทางแล้ว หน้าตาก็ไม่ได้ผล เงินก็ไม่ได้ผล แต่การให้อีกฝ่ายได้เห็นภาพลักษณ์ที่ดูดีในการแข่งเป็นคำตอบที่ถูกต้องอย่างที่คิด

จะว่าไป การที่ฮาจุนเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนให้ใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกัน… พอนึกถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงตอนก่อนที่จะทะเลาะกัน ตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลยนะ

หัวใจของคนขับรถเต้นรัวอย่างว้าวุ่น แต่รถก็แล่นตรงไปตามถนนอย่างรวดเร็วและมั่นคง

* * *

‘ติ๊ด’ เมื่อเอาคีย์การ์ดออกมาแตะ ประตูบ้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกันกับเสียงแผ่วเบาที่คล้ายคลึงกับเสียงหัวใจเต้น

หากลองนึกย้อนดูก็ไม่ได้ผ่านมานานขนาดนั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้เข้าไปในบ้านพร้อมกันมานานมากๆ ฮาจุนถอดรองเท้าแล้วเข้าไปด้านในก่อนมูคยอม เขาเดินไปถึงห้องนั่งเล่นโดยไม่แม้แต่จะหันมามองด้านหลัง จากนั้นก็วางกระเป๋าพร้อมกับโพล่งขึ้นมาหนึ่งคำสั้นๆ

“อาบน้ำนะ”

“โอเค”

น้ำเสียงของฮาจุนเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เหมือนทหารก่อนออกไปสู้รบ

มูคยอมเองก็ตอบกลับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน ฮาจุนยังคงไม่ยอมหันมามองด้านหลังแล้วมุ่งตรงเข้าไปในห้องน้ำทั้งอย่างนั้น มูคยอมทอดสายตามองท่าทีของอีกฝ่ายแล้วยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางส่ายหน้าเบาๆ

ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ดีแล้วหรือเปล่า แต่เรื่องที่ทำไปแล้วก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ การปล่อยให้ร่างกายห่างกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดูจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาดนัก ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงตอนนี้ ร่างกายที่เข้ากันดีกับฮาจุนก็ยังไม่เคยส่งเสียงร้องโอดครวญเลยสักครั้ง

เพียงแค่ความรู้สึกที่มีอยู่จริงมาตั้งแต่เมื่อก่อนถูกเก็บเป็นความลับเท่านั้น แล้วสุดท้ายจึงเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยร่างกายมาจนถึงตรงนี้ ถ้าหากเป็นแบบนั้น ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไร ก็อาจมีส่วนที่สามารถปรับความเข้าใจกันด้วยร่างกายก็ได้ ไหนๆ ก็ได้รับโอกาสมาแล้ว เขาก็จะเตือนคุณโค้ชผู้เย็นชาให้จำได้อีกครั้ง ว่าตัวเขาน่ะชอบเซ็กส์กับคิมมูคยอมที่เคยลืมเลือนไปชั่วขณะหนึ่งมากแค่ไหน

เสื้อคลุมสีเทาถูกเก็บไว้อย่างไม่สนใจไยดีโดยไม่มีเจ้าของมาพักหนึ่ง มูคยอมเอาเสื้อคลุมตัวนั้นออกมา จนป่านนี้แล้ว เขาถึงเพิ่งจะตระหนักถึงความเป็นจริงอันไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาได้ว่าเสื้อผ้าทั้งหมดที่เขาซื้อมาให้สำหรับฮาจุน มีเพียงเสื้อคลุมใส่ในบ้านไม่กี่ตัวกับชุดสูทเพียงตัวเดียวเท่านั้น หนึ่งห้อง ไม่สิ สองห้องในบ้านหลังนี้ถูกสร้างไว้เป็นห้องแต่งตัวของเขา เพราะอย่างนั้น ถ้าหากจะซื้อเสื้อใหม่มาใส่ไว้จนเต็มให้หมดก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่เขามัวทำอะไรมาจนถึงตอนนี้กันแน่นะ

มูคยอมเพียงแค่บ่นอยู่ในใจ เพราะมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีความหมาย แต่แล้วประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก ในขณะเดียวกัน ฮาจุนก็เดินออกมา มูคยอมจับจ้องไปที่อีกฝ่ายซึ่งกำลังเดินออกมานอกประตู โดยที่ในมือก็ยังถือเสื้อคลุมค้างไว้

ฮาจุนเดินออกมาในสภาพร่างกายเปลือยเปล่าไม่ได้สวมอะไรสักชิ้น มูคยอมไม่ค่อยได้ใช้ห้องอาบน้ำร่วมกับพวกสตาฟ เพราะฉะนั้นล่าสุดมานี้จึงไม่ได้เห็นร่างกายของอีกฝ่ายมาเนิ่นนานแล้ว ผิวขาวผ่องกับร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ตรงเอว โฉบผ่านดวงตาเข้ามาตะครุบร่างทั้งร่างของเขาทำให้รู้สึกแปลบปลาบไปทั้งตัว

ในขณะที่มูคยอมพูดอะไรไม่ออกและทำได้เพียงจ้องมองอีกฝ่าย ฮาจุนเองก็เดินเข้ามาหามูคยอมโดยไม่ได้พูดอะไรแล้วดึงเอาเสื้อคลุมในมือเขาไปถือ ทว่าก่อนที่แขนจะสอดเข้าไปในแขนเสื้อคลุมให้เข้าที่แล้วผูกสายรัดเอว แขนของมูคยอมก็ตวัดรอบเอวอีกฝ่ายพร้อมกับรั้งเข้าหาตัวก่อน

สุดท้ายสาบเสื้อที่ยังไม่ทันจัดให้เรียบร้อยก็คลายออก ส่วนเชือกก็ห้อยยาวลงทางด้านหลังทั้งอย่างนั้นราวกับหาง

“เดี๋ยว…”

บางทีคงตั้งใจจะพูดว่าเดี๋ยวก่อน แต่คำพูดของฮาจุนก็เงียบหายไปตรงนั้น ไม่ใช่เพราะมูคยอมกดจูบลงมาหรือเพราะถูกปิดปาก ฮาจุนเพียงแค่เงียบลงด้วยตัวเองและหยุดพูดไปเท่านั้น

มูคยอมเริ่มขยับใบหน้าฝังลงตรงซอกคอของฮาจุนก่อน โดยไม่สนใจอะไร ราวกับคนพเนจรซึ่งค้นพบแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ท่าทีของมูคยอมไม่ได้เป็นเหมือนกับตอนอยู่สนามแข่งเมื่อครู่นี้ ซึ่งเป็นเพียงการก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วสูดลมหายใจเพราะมัวแต่สนใจสายตาของคนอื่น

มูคยอมสัมผัสแนบชิดผิวของอีกฝ่ายจนไม่มีช่องว่าง ราวกับคนที่จมูกกับริมฝีปากมุดอยู่ในดินเลนแล้วจะหยุดหายใจไปทั้งอย่างนั้น ดวงตาปรือปิดลง สัมผัสของผิวอ่อนนุ่มทำให้ริมฝีปากรู้สึกจั๊กจี้ เพราะเพิ่งอาบน้ำออกมา กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์จึงเบาบางลงอย่างน่าเสียดาย

เมื่อกระชับแขนรองใต้ก้นกับเอวที่ถูกโอบรัดแล้วยกตัวอีกฝ่ายขึ้น ตัวของฮาจุนก็สะดุ้งแล้วเอนตัวทิ้งน้ำหนักมาทางด้านหน้าเล็กน้อย คราวนี้มูคยอมกดใบหน้าลงตรงบริเวณไหล่ของอีกฝ่ายแล้วมุ่งหน้าไปทางห้องนอน

ห้องที่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีเจ้าของอยู่พักหนึ่ง มีคนเข้ามาหลังจากที่ไม่มีมานาน ถึงแม้จะเดินอยู่แต่มูคยอมก็ทนไม่ไหวแล้วไล้เลียสลับขบกัดเบาๆ ลงบนผิวส่วนที่ริมฝีปากสัมผัสได้ เสียงที่อยากฟังจนแทบบ้า เริ่มดังขึ้นมาข้างบนศีรษะ

“ฮ้า อือ…”

เสียงครางที่เผลอหลุดออกมา แผ่วเบาเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับฮาจุนในตอนปกติ ราวกับตั้งใจจะกลั้นมันไว้แต่ก็ทำไม่สำเร็จ แต่เพราะอย่างนั้นจึงยิ่งกระตุ้นเขามากกว่าเดิม ตรงหว่างขาของมูคยอมพองตัวขึ้นอย่างร้อนรุ่มก่อนที่จะได้ทำอะไรเสียอีก

“อีฮาจุน”

ไม่ได้เรียกชื่ออีกฝ่ายเพราะมีเรื่องอะไรจะพูดเป็นพิเศษ แต่เรียกเพราะอยากเรียกเท่านั้น เรือนร่างที่ค่อยๆ เอนตัวลงบนเตียง เผยให้เห็นอย่างแจ่มชัดตรงระหว่างสาบเสื้อคลุมที่ไม่ได้ปิดมิดชิด

ไม่รู้ว่าเอาร่างกายผู้ชายมาเปรียบเทียบแบบนี้แล้วจะรู้สึกว่ามันน่าละอายหรือเปล่า แต่มูคยอมรู้สึกราวกับกำลังมองดูแกนกลางของดอกไม้ ตรงกลางระหว่างกลีบดอกที่เพิ่งผลิบานและความชุ่มชื้นยังไม่เหือดหาย แล้วเขาก็จะได้สัมผัสผิวกายอ่อนนุ่มตั้งแต่นี้ไป

เขาไม่ต้องการให้มีสิ่งกีดขวางใดๆ มาขวางกั้นอุณภูมิร่างกายกับผิวเนื้อที่เขาจะได้สัมผัสหลังจากตั้งตารอมาเนิ่นนาน มูคยอมถอดเสื้อคลุมที่บดบังร่างกายครึ่งหนึ่งของอีกฝ่ายออกไปจนหมด แล้วถอดเสื้อผ้าของตัวเองโยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงคร่อมทับเหนือร่างกายของฮาจุนแล้วรั้งหัวไหล่เข้ามากอดเป็นอย่างแรก

มูคยอมก้มหน้าลงไป หวังจะประทับริมฝีปาก แต่ฮาจุนซึ่งหายใจหอบเบาๆ อยู่เช่นเดียวกัน กลับยกนิ้วขึ้นแตะลงบนคางกับริมฝีปากของมูคยอมเบาๆ

การเคลื่อนไหวมือของฮาจุนบ่งบอกว่าห้ามจูบ ในขณะที่มูคยอมชะงักใบหน้าที่กำลังเอนลงไป เสียงกระซิบของฮาจุนก็ดังขึ้นอย่างแจ่มชัดภายในห้องที่ไม่มีเสียงอะไรแทรกเข้ามาเลย

“ฉันอยากทำเหมือนที่เคยทำ”

“เหมือนที่เคยทำยังไง”

มูคยอมถามขึ้นเพราะไม่เข้าใจความหมายที่ฮาจุนจะสื่อ

“เหมือนที่เคยทำ… เราแทบไม่เคยเริ่มต้นด้วยจูบเลยนี่”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมทำสีหน้างงงันแล้วถามขึ้นอีกครั้ง

“ทำไม่ได้เหรอ”

“…ไว้ทีหลัง”

มูคยอมเพียงแค่ก้มลงมองฮาจุนเงียบๆ ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็พยักหน้าราวกับยินยอม มูคยอมหยิบเจลที่ทิ้งไว้ในลิ้นชักและไม่ได้เอาออกมารับอากาศภายนอกมานาน จากนั้นก็วางเอาไว้ด้านข้างอย่างลวกๆ

‘ไม่สมัครใจที่จะทำงั้นเหรอ หมายความว่ามาเพื่อมีเซ็กส์แค่อย่างเดียว ไม่ได้มีความหมายอื่นแฝงสินะ’

จนกระทั่งก่อนที่ฮาจุนจะบอกเขาว่าชอบ ตัวเขาเองก็ไม่อนุญาตให้ฮาจุนสัมผัสริมฝีปากเขาได้ง่ายๆ เช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะหวงแหนริมฝีปาก ทั้งที่เคยใช้สัมผัสคนอื่นไปทั่ว แต่ก็เป็นเพียงการหยอกเย้าอีกฝ่ายเท่านั้น

เป็นเพราะฮาจุนผู้ชื่นชอบการจูบ ไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆ และได้แต่ร้อนอกร้อนใจ พอเห็นท่าทีแบบนั้นของอีกฝ่ายมูคยอมก็รู้สึกว่ามันน่ารักดี เพียงเพราะแค่นั้นเอง แต่พอมาตอนนี้ เขาก็พยายามที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกของฮาจุนผู้ถูกหยอกเย้าแบบนั้น อย่างน้อยก็ให้ได้สักครึ่งหนึ่ง พอหัวใจปวดแสบขึ้นมาก็เป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่มากจริงๆ

วันนี้เขาจะปรับตัวเองให้ตรงกับความต้องการของอีฮาจุนอย่างไม่มีข้อแม้ มูคยอมเตรียมใจอย่างแน่วแน่พลางถอนหายใจออกมาบางๆ เขายอมไม่จูบแล้วกดริมฝีปากที่พลาดเป้าหมายลงบนกระดูกไหปลาร้าแทน

แม้ไม่ใช่ริมฝีปากก็ยังมีจุดที่จะประทับริมฝีปากลงไปได้อีกเยอะ มูคยอมกดริมฝีปากลงโดยจงใจทำให้เกิดเสียงดังจุ๊บจุ๊บ จากนั้นก็แลบลิ้นเลียทั่วบริเวณด้านล่างไหปลาร้าซึ่งลากยาวในแนวนอนอย่างสวยงาม

“…ฮึก อื๊อ ฮึ…”

การสัมผัสด้วยความรักใคร่อย่างจดจ่อและหนักแน่น ทำให้เอวของฮาจุนทนไม่ไหวและบิดไปมาเบาๆ ริมฝีปากและลิ้นรูดไปตามผิวที่ห่อหุ้มกระดูกเรียว ตั้งแต่ส่วนปลายสุดไปจนสุดปลายของอีกฝั่งราวกับทาสี จากนั้นมูคยอมก็เลื่อนใบหน้าลงมาดูดดึงติ่งเนื้อเล็กบนหน้าอกอย่างฉับพลัน

ริมฝีปากที่ส่งเสียงร้องคราง ในตอนแรกดูเหมือนพยายามที่จะปิดเงียบไว้ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว สุดท้ายจึงเปิดอ้ากว้าง

“อื๊อ ฮา อ๊ะ!”

ถึงแม้จะปฏิเสธจูบ แต่ฮาจุนก็ยังตอบสนองอย่างอ่อนไหวกับการลูบไล้เล็กๆ น้อยๆ นานมาแล้วที่ไม่ได้กอดร่างกายของฮาจุนแต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แกนกายของมูคยอมที่ตื่นตัวตั้งแต่ก่อนเข้ามาในบ้าน ตอนนี้กำลังชูชันจนรู้สึกเจ็บ

เขายังไม่คิดจะสอดใส่เข้าไป มูคยอมถูไถสิ่งแข็งขืนราวท่อนไม้ลงกับต้นขาด้านในของฮาจุน น้ำหล่อลื่นที่ซึมออกมาจากตรงส่วนหัว เปรอะเปื้อนบนผิวกายขาว ทำให้แรงเสียดสีไม่หยาบกระด้างจนเกินไป เพียงแค่บดเคล้าแกนกายลงบนผิวนุ่มหยุ่นเท่านั้น โดยไม่มีแรงบีบรัดอะไร แต่เพียงเท่านี้ในหัวของมูคยอมก็หมุนคว้างไปด้วยแรงอารมณ์

“ฮ้า โค้ชอี ทำไมแค่แตะหรือกดลงตรงไหนก็ทำให้คนอื่นเขาแทบบ้าได้ขนาดนี้”

“อ๊ะ จั๊กจี้…”

ฮาจุนเองก็คงไม่คุ้นเคยกับความร้อนระอุและความแข็งขืนซึ่งก่อกวนบนผิวเนื้ออ่อน และคงจะมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เขาจึงทำท่าจะบีบขาทั้งสองข้างเข้าหากันอยู่เรื่อย

“ทำแบบนี้แล้วยิ่งได้อารมณ์นะ”

มูคยอมจับขาที่เคยปัดป่ายไปมา กดให้หว่างขาแยกห่างออก แล้วในขณะที่ดูดดุนยอดอกนิ่มข้างหนึ่ง อีกข้างก็แข็งเป็นไตขึ้นก่อนที่เขาจะได้แตะต้องเสียอีก

เมื่อนำมือไปสัมผัส สิ่งที่ชูชันขึ้นจนแข็งก็ทำให้ปลายนิ้วรู้สึกจั๊กจี้

เมื่อมูคยอมเปลี่ยนตำแหน่งมาวางมือลงบนฝั่งที่เคยดูดดึง ส่วนริมฝีปากก็ฉกลงบนฝั่งที่เคยใช้นิ้วเขี่ย แผ่นหลังของฮาจุนก็ยกแอ่นขึ้นจากเตียงเล็กน้อย

“อ๊า พอ พอแล้ว…”

มูคยอมเพิกเฉยต่อคำพูดนั้นแล้วแลบลิ้นกวาดเลียยาวๆ ไปบนยอดอกเต่งตึงราวกับหยาดน้ำค้างที่พร้อมจะหยดลงมา มูคยอมจับร่างของฮาจุนที่สั่นระริกไว้แน่นราวกับจะบีบรัดบริเวณกระดูกซี่โครง จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนร่างกายท่อนบนลงมา พร้อมทั้งใช้ลิ้นไล้เลียอย่างสะเปะสะปะตั้งแต่ลิ้นปี่ไปจนถึงบริเวณหว่างขาใต้สะดือ เสียงครางหวิวถูกเปล่งออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่เหนือศีรษะของเขา

ค่อยโล่งใจหน่อยที่ของของฮาจุนก็กำลังขยายตัวอย่างเต็มที่เช่นกัน รอยแผลเป็นบริเวณด้านข้างกับผิวขาวผ่องเมื่อเทียบกับเขา โฉบเข้ามาในการมองเห็นของมูคยอมอย่างเจิดจ้า มูคยอมใช้ฟันขบกัดไม่หยุดราวกับจะกลืนกินผิวนุ่มหยุ่นบริเวณขาหนีบที่ต่อเนื่องลงมาจากกระดูกเชิงกรานจนถึงแกนกาย และเชื่อมอยู่กับเอวและขา

ริมฝีปากเข้าใกล้จุดกึ่งกลางกายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใช้ลิ้นกดครูดอย่างแรงตรงลูกพวงไข่ข้างใต้แกนกายที่พองตัวเต็มที่ แรงกระตุ้นเล็กน้อยนั้นก็ทำให้ก้นของฮาจุนกระตุกอย่างแรงราวกับตกใจ

“ฮึก อ๊ะ!”

เมื่อขาที่เคยกดไว้ด้วยน้ำหนักตัวคลายออกเพราะมัวแต่สัมผัสบริเวณด้านล่าง ฮาจุนก็ดิ้นพล่านอย่างแรงบนที่นอนราวกับตั้งใจจะหนี มูคยอมสอดแขนทั้งสองข้างลงข้างใต้เพื่อเกี่ยวรอบต้นขาของอีกฝ่าย ทำให้ยึดกระดูกเชิงกรานของฮาจุนไว้ในอ้อมแขนได้อย่างแน่นหนา

เมื่อล็อกตัวอีกฝ่ายไว้แน่นดีแล้ว จากนั้นมูคยอมจึงอ้าปากกลืนกินแกนกายที่ชูชันเข้าไป ต้นขาขาวที่ถูกยึดไว้แน่นในอ้อมแขนคล้ำแดด กระเสือกกระสนไปมาราวกับสัตว์ที่ติดกับดัก

“ไม่ ฮึ ฮึก! ใช้ปาก ตรงนั้น อ๊ะ ฮ้า…!”

ดูเหมือนว่าฮาจุนคงตั้งใจจะพูดห้ามไม่ให้ทำ เสียงของฮาจุนถูกเสียงครางกลบจนขาดห้วงไป ในขณะที่ถูกสัมผัสด้วยความรักใคร่โดยที่แกนกายกำลังถูกลิ้นห่อรัดรึง การขัดขืนทั้งที่ตัวสั่นสะท้านกลับทำให้ร่างกายของมูคยอมร้อนวูบวาบยิ่งขึ้น

อีกฝ่ายบอกให้ทำตามที่เคยทำ ถ้าจูบก่อนเริ่ม แน่นอนว่าอาจไม่คุ้นเคยระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่ถ้าเป็นออรัลเซ็กส์ก่อนสอดใส่ก็เคยทำมาแล้ว เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ทำไม่ได้ เมื่อมูคยอมกลืนกินแกนกายเข้าไปทั้งลำแล้วปัดป่ายลิ้นอยู่ภายในปาก เอวกับก้นของฮาจุนก็ดิ้นพล่านแล้วกระเด้งขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“อื๊อออ อ๊า อะ อย่า เลีย… ฮึก!”

ฮาจุนบิดเอวราวกับไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะหลุดออกไปให้ได้ แต่ร่างกายที่ถูกพันธนาการกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังได้แค่สั่นสะท้านอย่างไร้ทางสู้ มูคยอมลากลิ้นไล้เลียทั่วทุกจุดอยู่พักใหญ่ และเมื่อดูดมันจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบ ร่างที่เขายึดไว้ก็แข็งเกร็ง อีกทั้งแกนกายด้านในปากก็สั่นกระตุกเบาๆ

ในตอนนั้น พอมูคยอมบดขยี้ลิ้นลงตรงรอยแยกส่วนปลาย กล้ามเนื้อต้นขาของฮาจุนหดเกร็ง ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่ามันแข็งขึ้น

“ฮ้า อา… อ๊า!”

อาจเป็นเพราะไม่มีเซ็กส์กันมานานหรือเปล่า การปลดปล่อยครั้งแรกจึงมาถึงเร็วกว่าที่คิด

ขาที่ยึดไว้ในอ้อมแขนสั่นสะท้านพร้อมกับที่สัมผัสได้ถึงของเหลวร้อนซึ่งทยอยฉีดพ่นเข้ามาในปาก ตัวของฮาจุนทิ้งน้ำหนักลงกับเตียงอย่างปวกเปียก ราวกับตอนนี้ยอมแพ้ที่จะขืนตัวออกแล้ว

มูคยอมคลายแขนออกจากร่างกายท่อนล่างที่เคยรัดไว้แน่น ทว่าฮาจุนไม่คิดแม้แต่จะดันตัวขึ้นหรือดึงร่างกายตัวเองขึ้นด้านบน เพียงแค่หอบหายใจราวกับเสียวซ่านอยู่กับอารมณ์คั่งค้างของจุดสุดยอดที่ได้ลิ้มรสเมื่อครู่นี้เท่านั้น

เมื่อก่อนมูคยอมรังเกียจเพราะคิดว่าจะเอาของผู้ชายใส่เข้ามาในปากได้ยังไง แต่ตอนนี้ถึงขั้นรู้สึกเสียดายเพราะดูดกลืนมันอีกสักครั้งไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าทำสองรอบไม่ได้ แต่ตัวเขาเองก็ใจร้อนแล้วเหมือนกัน

‘จุ๊บ’ มูคยอมกดริมฝีปากลงบนกระดูกเชิงกรานแล้วรีบบีบเจลใส่มือของตัวเองจนเต็ม เมื่อปาดของเหลวหนืดตรงหว่างขาที่อ้าค้างอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นฮาจุนถึงได้สบตากับมูคยอม

“ฉัน…”

“หืม”

เมื่อจับจ้องไปตรงริมฝีปากที่เผยออยู่อย่างจดจ่อ ฮาจุนจึงยื่นมือมาพร้อมกับพูดขึ้น

“ฉันจะทำ นาย… รอแป๊บเดียว”

“อะไรนะ”

ฮาจุนหยิบเจลที่วางไว้บนเตียงโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมกับมูคยอมซึ่งย้อนถาม ใบหน้าของฮาจุนดูมึนเบลอแต่ก็สุขสบาย ราวกับเหน็ดเหนื่อยเพราะผ่านความหฤหรรษ์เมื่ออารมณ์พุ่งทะยานสูงมา กระทั่งท่าทีที่อีกฝ่ายบีบเจลหล่อลื่นสีใสลงเต็มมือขาว ก็ยังดูยั่วยวนอย่างไม่มีอะไรจะมาเทียบได้ในสายตาของมูคยอม

แต่จะให้ดูอยู่เฉยๆ เนี่ยนะ

“ทำไม ปกติฉันก็เป็นคนขยายช่องทางนายให้นี่”

“วันนี้ฉันอยากทำ ถ้านายทำล่ะก็…”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วหดไหล่เข้าหากันในขณะที่นิ้วหนึ่งแหวกเข้าไปด้านในช่องทางด้านหลัง ทุกครั้งที่นิ้วของฮาจุนผลุบเข้าในด้านในทีละข้อ หัวคิ้วของมูคยอมก็ย่นเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ

แรงเชียร์ที่อัดแน่นทั่วทั้งสนามอยู่แล้วแม้ไม่ได้ยิงลูกนั้น แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องตะโกนดังสนั่นหวั่นไหว มูคยอมชิงคะแนนแรกของเกมมาได้ จากนั้น ทีมฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มฟอร์มแตกกระเจิงก็เสียประตูให้อีกหนึ่งคะแนนเมื่อผ่านครึ่งแรกมาได้สี่สิบนาที การแข่งขันครึ่งแรกจบลงด้วยคะแนนสองต่อศูนย์ ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องพยายามให้ถึงตอนสุดท้ายถึงจะรู้ผลก็จริง แต่ถ้าเป็นแบบนี้ การแข่งก็คงจะดำเนินไปได้อย่างไม่จำเป็นต้องกังวล

ช่วงพักครึ่ง พวกนักกีฬากรูกันเข้ามาในห้องล็อกเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและเติมน้ำให้กับร่างกาย ส่วนบางคนก็ยุ่งอยู่กับการพันเทปหรือไม่ก็พ่นสเปรย์ตรงจุดที่รู้สึกปวดหรือไม่ก็ใช้งานหนักเกินไปหน่อยในครึ่งแรก มูคยอมเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วติดปลอกแขนลงบนแขนอีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มเดินวนรอบๆ พร้อมสังเกตท่าทีพวกนักกีฬา

“เมื่อกี้ตรงที่ถูกเตะเป็นไงบ้าง”

“ไม่เป็นไรครับ แค่เฉียดๆ น่ะครับ”

ฮาจุนผู้ซึ่งพันเทปลงบนขาของนักกีฬาคนหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาส่งสายตามองตามบทสนทนาที่ได้ยินมาจากด้านข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ มูคยอมกำลังเอ่ยปากพูดกับนักกีฬาคนหนึ่งที่โดนเข้าแย่งลูกบอลในการแข่งครึ่งแรก

ไม่สามารถพูดได้ว่า ไม่รู้สึกถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับความหลงตัวเองของจอมเผด็จการซึ่งกำลังมองพิจารณาประชาชนของตัวเองจากท่าทางนั้น แต่เมื่อเทียบกับตอนที่มูคยอมมักจะนั่งอยู่คนเดียวในเวลาพักครึ่งเพื่อทำสมาธิสำหรับครึ่งหลัง กำลังใจของทีมกลับเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งตัวมูคยอมเองก็ดูสบายใจขึ้นด้วย ตามที่แชฮุนพูด ดูเหมือนว่าการติดปลอกแขนจะส่งผลในแง่ดีมากจริงๆ

ในขณะที่กำลังคิดแบบนั้น ฮาจุนก็จับจ้องไปทางมูคยอมอย่างต่อเนื่อง ต่างกับความตั้งใจที่จะละสายตาออกมาในเวลาสั้นๆ มูคยอมหันหน้ามาสบตากันอย่างกะทันหันราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขา

ฮาจุนสะดุ้งเบาๆ ครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แต่ก็พันเทปที่ทำค้างไว้จนเสร็จด้วยสีหน้าเฉยเมย จากนั้นก็เดินไปหามูคยอมแล้วตรวจดูสภาพอีกฝ่าย

“นายไม่มีตรงไหนเป็นปัญหาใช่ไหม”

ก่อนยิงลูกโทษ มูคยอมก็ถูกแย่งลูกแบบผิดกติกาจนล้มกลิ้งไปกับพื้นสนามครั้งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นบางทีก็อาจมีจุดที่รู้สึกปวดสักเล็กน้อยก็ได้ แต่มูคยอมก็ส่ายหน้าให้กับคำถามของฮาจุน

“ปกติดี”

ฮาจุนคิดว่าโล่งอกไปทีพร้อมกับพยักหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเช็กตรงจุดที่โดนกระแทกเมื่อครู่นี้สักครั้ง เขาจึงจับมูคยอมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่าย

“จุดที่โดนกระแทกคือตรงนี้ใช่ไหม”

ในขณะที่กำลังวิ่งเลี้ยงบอลไปทางโกล ฝ่ายตั้งรับฝั่งเลบานอนก็เตะเข้าที่หน้าแข้งส่วนล่างของมูคยอมจนล้ม ปรากฏว่าเท้าของฝ่ายนั้นไม่โดนลูกบอลเลย และเป็นการทำฟาวล์โดยเล็งไปแค่ตรงขาของตัวรุกในเขตโทษ เพราะอย่างนั้นนักกีฬาคนดังกล่าวจึงได้รับใบเหลือง ส่วนมูคยอมก็ได้รับโอกาสในการยิงลูกโทษและทำคะแนนแต้มแรกของการแข่งได้

“พอนายกดก็เจ็บนิดๆ เหมือนกันนะ”

มูคยอมพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่หัวคิ้วของฮาจุนกลับย่นเข้าหากันเล็กน้อย เพราะไม่ใช่ส่วนข้อต่อ ถ้าไม่ถึงขั้นกระดูหักก็ไม่น่าเกิดปัญหาระยะยาวถึงขั้นมีผลกระทบอะไร แต่รอยแดงช้ำกลับเริ่มแผ่ลามแล้ว การโจมตีเพื่อแย่งบอล เบี่ยงออกไปจากตรงที่มีปลอกรัดขาอย่างแปลกประหลาด

สมัยเป็นนักกีฬา ฮาจุนเกลียดการแย่งบอลแบบฝ่าฝืนกฎ การกระทำที่โจมตีขาคนที่กำลังวิ่ง มีจุดประสงค์ชัดเจน และต่อให้บอกว่ามันไม่ได้ลุกลามไปเป็นอาการบาดเจ็บใหญ่โตอะไร นั่นก็เป็นเพียงผลที่เกิดจากความโชคดีเท่านั้น ทำพฤติกรรมแบบนี้ซึ่งไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บแบบไหนกับเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันเนี่ยนะ

คงไม่ถึงกับจำเป็นต้องจัดการอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็ทายาลดอาการฟกช้ำไว้น่าจะดีกว่า ฮาจุนลุกขึ้น

“นั่งอยู่ตรงนี้สักเดี๋ยวนะ”

ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ฮาจุนก็ไปรับยาทาสำหรับรอยช้ำมาจากสมาชิกทีมรักษาพยาบาลแล้วกลับมาที่เดิม เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงกับต้องไปรบกวนทีมพยาบาล มูคยอมดึงถุงเท้าข้อยาวที่สวมตอนแข่งลง และยังนั่งอยู่ตรงที่เดิมอย่างสงบเสงี่ยมตามคำสั่งของฮาจุน

ฮาจุนลดตัวลงอีกครั้งแล้วบีบยาทาสีขาวขุ่นลงจนเต็มปลายนิ้วข้างซ้าย รอยช้ำบริเวณระหว่างน่องกับข้อเท้าเริ่มสีเข้มขึ้น ฮาจุนกดนวดลงตรงนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะถามถึงจุดอื่นว่าไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่า

“จุดอื่น…”

แต่แล้ว ฮาจุนก็ลืมเลือนไปชั่วขณะว่าตัวเองตั้งใจจะพูดว่าอะไร เขาค่อยๆ หยุดมือที่ทายาทั้งที่สบตากับมูคยอม

ตัวของฮาจุนแข็งทื่อราวกับเหยื่อที่สบตาเข้ากับสัตว์ร้าย คิดว่าเห็นตั้งกี่ครั้งจนชินแล้วเสียอีก แต่ดวงตาคู่ที่ไม่ได้มองมานานมากในช่วงล่าสุดมานี้ กำลังจ้องมาที่เขาเขม็งราวกับจะเจาะให้ทะลุ แววตาร้อนแรงและเจิดจ้าของมูคยอมผู้ซึ่งกำลังลิ้มรสชาติแห่งชัยชนะ เหมือนกำลังมีไฟลุกโหมอยู่ด้านหลังรูม่านตาคู่นั้น

ทันทีที่จบการแข่งต้องทำให้ได้ นั่นคือสัญญาระหว่างเขากับมูคยอมที่เคยทำกันไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง

มูคยอมเคยบีบบังคับเขาให้กลับมามีความสัมพันธ์แบบคู่นอนกันอีก แต่ในช่วงเวลาเพียงคืนเดียวกลับเปลี่ยนคำพูดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วตอนนี้ก็ยืนกรานว่าถ้าไม่ได้เป็นแฟนก็ไม่เอา แต่ต่อให้พูดแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ มูคยอมจะกลายเป็นคนอื่น

ความเคยชินในความปรารถนาซึ่งน่าจะติดอยู่ในร่างกายของมูคยอมมาอย่างเนิ่นนาน ก็ไม่มีทางที่จะแปรเปลี่ยนไป

“…จุดอื่นไม่มีตรงไหนที่เจ็บแล้วใช่ไหม”

ฮาจุนพูดต่อแบบนั้นอย่างยากลำบาก แล้วก้มหน้าลงไปหาน่องของอีกฝ่ายเพื่อหลบตา

“ไม่มีตรงไหนเจ็บแล้ว”

ความร้อนรุ่มที่แฝงอยู่ในเสียงทุ้มต่ำนั้น ฮาจุนก็รู้สึกได้

อีกฝ่ายกำลังบอกว่าไม่มีตรงไหนเจ็บแต่มีปัญหาอย่างอื่นหรือเปล่า ร่างกายแข็งเกร็งขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ตรงไหนสักแห่งระหว่างหูกับคางก็ทำท่าจะร้อนวูบวาบขึ้นราวกับเป็นหวัด

“ถ้าทุกคนเตรียมพร้อมเสร็จแล้วก็รวมตัวกันด้านนี้!”

ในตอนนั้น ผู้จัดการทีมก็ปรบมือพร้อมกับเรียกรวมตัวนักกีฬา ฮาจุนเก็บมือที่ยังคงวางอยู่บนน่องของอีกฝ่าย มูคยอมถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินแล้วจึงดึงถุงเท้าให้กลับเข้าที่

ฮาจุนดันร่างกายที่เคยนั่งคุกเข่าให้ลุกขึ้นตัวตรง ใบหน้าที่ยกยิ้มเบาบางจนแทบจะเหมือนใบหน้าปกติของมูคยอมเข้ามาสู่สายตา กระทั่งรอยยิ้มนั้นก็ดูไม่หนักแน่นราวกับใช้มันเป็นเปลือกหุ้มสีหน้าของสัตว์ร้ายไว้อย่างยากลำบาก

…เขาไม่เคยบอกมูคยอมว่าไม่ได้มาตั้งแต่แรก อีกฝ่ายพูดเรื่องสภาพร่างกายย้ำๆ พร้อมกับยืนกรานว่าจะต้องมีเซ็กส์กับเขาให้ได้ เพราะอย่างนั้น เขาจึงบอกความคิดเห็นของตัวเองไปอย่างแน่ชัดแล้ว ว่าไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่จะเป็นยังไง เขาก็จะทำตามที่อีกฝ่ายต้องการจนกว่าจะถึงวันกลับ เขาไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนั้นด้วยความสบายใจเลยแม้แต่น้อย

พวกนักกีฬาต่างกำลังหันหลังยืนฟังคำสั่งสำหรับการแข่งครึ่งหลังของผู้จัดการทีม ฮาจุนมองดูภาพนั้นด้วยกันกับสตาฟคนอื่นๆ เวลาลงสนามใกล้เข้ามาแล้ว ก่อนที่พวกนักกีฬาจะออกไปสู่สนาม พวกโค้ชก็มุ่งหน้าไปยังทางออกสนามเพื่อไปตรงม้านั่งแล้วเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการแข่งล่วงหน้ากันก่อน

“โค้ชอี เดี๋ยวสิ”

ในตอนนั้น มูคยอมก็เรียกฮาจุนให้หยุด ก่อนที่จะทันได้ตอบอะไร มือของมูคยอมก็คว้าแขนของเขาไว้แล้วดึงไปทางฝั่งตัวเอง

ฮาจุนตกใจแล้วหันมองรอบข้าง แต่ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว เดิมทีการสวมกอดและหยอกล้อคนโน้นทีคนนี้ที เป็นเรื่องปกติประจำวันของพวกนักกีฬา เป็นเพียงความร้อนตัวไปเองเท่านั้น หากแค่ยืนใกล้กันหรือโอบกอดแบบธรรมดาๆ ก็ไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย มูคยอมลดเสียงลงถามอย่างรวดเร็วราวกับกระซิบ เสียงของเขาทุ้มต่ำและแผ่วเบา ทว่าอัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่ม

“ในครึ่งหลังฉันก็อยากได้กำลังใจน่ะ”

“…”

“กอดหน่อยได้ไหม”

“ดึงคนอื่นเขามาแล้ว ยังจะถามอะไรอีก”

ฮาจุนทำเป็นเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มูคยอมก็เพียงแค่หัวเราะหึๆ อย่างเก้อเขินให้กับคำตอบที่ดูหนักใจพอสมควร จากนั้นก็โอบแขนรอบเอวด้านหลังของฮาจุนและก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อเคลื่อนใบหน้าลงไปใกล้บริเวณลำคอ

ไม่ได้เป็นการกระทำเหมือนตอนอยู่กันแค่สองคน ที่มักจะกดใบหน้าและฝังจมูกลงบนผิวเนื้อ แต่เมื่อมูคยอมสูดลมหายใจลึกราวกับสูดดมกลิ่นกายของเขา ลมหายใจที่คนอื่นไม่รู้สึกถึงมัน ก็แตะลงบนผิวของฮาจุนให้เขาได้รู้สึกอย่างว่องไว

ด้านหลังคอรู้สึกสะท้านราวกับขนลุก ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะราวกับคนมีอาการโลหิตจาง แต่แขนของมูคยอมรองรับด้านหลังของเขาไว้ ฮาจุนจึงสามารถประคองตัวเองอยู่ได้อย่างมั่นคง

ในความเป็นจริง ช่วงเวลาที่มูคยอมกอดฮาจุนแล้วเอียงใบหน้ามาใกล้ๆ คอของเขา น่าจะเป็นชั่วขณะสั้นๆ ไม่ถึงห้าวินาทีดีด้วยซ้ำ เพราะมูคยอมคลายแขนออกก่อนที่พวกสตาฟจะออกไปด้านนอกจนหมดแล้วเสียอีก

“ครึ่งหลังฉันก็จะเล่นให้เต็มที่นะ”

มูคยอมใช้ฝ่ามือตบหลังของคนที่ตนดึงเข้ามากอดเบาๆ ทำทีเหมือนเป็นการสวมกอดแบบไม่มีอะไรแอบแฝง จากนั้นจึงวิ่งไป ฮาจุนก็รีบเดินออกจากทางออกไปตรงสนามตามคนอื่นๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ของตัวเอง ผู้คนที่ลุกออกจากที่ไปครู่หนึ่ง ทยอยกลับมานั่งตรงที่เดิมทีละคนสองคนจนเต็มสนามกีฬาอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่นาน พวกนักกีฬาก็เดินออกมาจากอุโมงค์ พร้อมกันกับที่การแข่งขันครึ่งหลังเริ่มต้นขึ้น

ฮาจุนกางสมุดโน้ตถือไว้ ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะได้เข้าร่วมเป็นสตาฟทีมชาติอย่างเป็นทางการหรือไม่ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตอนได้อยู่ที่เดียวกันกับทีมชาติก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ฮาจุนบันทึกเรื่องทุกเรื่องของนักกีฬาทีมซิตี้โซลและเอาใจใส่อย่างละเอียด อย่างเช่นเรื่องรูปแบบการเล่นของทีม ความเคยชินในเวลาแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงในแต่ละการแข่งขัน และคุณสมบัติเฉพาะทางร่างกาย เขาคิดที่จะจดบันทึกเรื่องต่างๆ พวกนั้นของนักกีฬาทีมชาติด้วยเช่นกัน

ฮาจุนดูการแข่งขันอย่างตั้งใจ พร้อมกับจดอย่างขมักเขม้นอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับตอนแข่งครึ่งแรก แต่แล้วในชั่วขณะหนึ่ง การเขียนของเขาก็เชื่องช้าลงและหยุดไปในที่สุด ฮาจุนมองกระดาษโน้ตสีขาวแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด ใบหน้าของเขาหันไปทางมูคยอมซึ่งกำลังวิ่งอย่างแข็งขันเหนือสนามหญ้า

ดวงตาสีดำมองไล่ตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา แต่ก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ฮาจุนจับปากกาให้ถนัดมืออีกครั้งแล้วเขียนจุดลงตรงท้ายประโยคที่เขียนมาอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันดำเนินไปโดยไม่มีตัวแปรยิ่งใหญ่อะไรและไร้ซึ่งสถานการณ์พลิกผัน เมื่อการแข่งครึ่งหลังผ่านไปได้สี่สิบนาที มูคยอมก็ทำประตูได้อีกหนึ่งคะแนน จึงทำให้คะแนนทิ้งห่างออกไปอีก จากนั้นการแข่งขันก็จบลงด้วยคะแนนสามต่อศูนย์ นับเป็นชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ

* * *

รถบัสที่ขับให้พวกนักกีฬาทีมชาติ เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไปด้วยความดีใจในชัยชนะ มูคยอมผู้ได้รับตำแหน่งกัปตันครั้งแรกหลังจากมาเป็นนักกีฬาอาชีพ ทันทีที่นั่งลงบนเบาะก็เปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นอย่างรอต่อไปไม่ไหว ปกติแล้วเขามักจะตรวจเช็กกระแสตอบรับการแข่งขันหรือข่าวที่เกี่ยวข้องตอนอยู่คนเดียวที่บ้าน แต่วันนี้เขากลับใจร้อนขึ้นมานิดหน่อย

หน้าหลักของเว็บไซต์ขึ้นแบนเนอร์เขียนว่า ทีมชาติเกาหลีเอาชนะเลบานอนไปได้ด้วยคะแนนสามต่อศูนย์ เมื่อกดเข้าไป คอมเมนต์ของผู้คนที่ดูการแข่งขันแล้วเขียนไว้ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นแถว

‘*******

คิมมูคยอม555 กัปตัน55555’

เริ่มตั้งแต่คอมเมนต์แรกสุดที่เข้ามาสู่สายตาก็ไม่ถูกใจเขาเสียแล้ว มูคยอมเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วเลื่อนหน้าจอลง

‘*******

ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นผู้นำยิ่งกว่าที่คิดนะ นึกว่าจะเป็นพวกสนแต่ตัวเองคนเดียวซะอีก’

‘*******

ดูท่าจะชอบที่ได้ติดปลอกแขนนี่’

ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้น มูคยอมเลื่อนหน้าจอลงต่อๆ กันพรวดเดียว แล้วจู่ๆ คอมเมนต์หนึ่งก็เข้ามาสู่สายตาของเขา

‘*******

วันนี้ชนะก็จริง แต่ใช้แผนกองหน้าตัวหลอกไม่ได้ผล คิมมูคยอมต้องมองภาพให้กว้าง ไม่มีใครคอยส่งบอลให้กองกลางกับกองหลังด้วย’

แล้วก็ข้างล่างนั้น

‘*******

ตอนมีอีฮาจุนอยู่ด้วยน่ะดีเลย บอลขวางตอนศึกอุรุกวัยครั้งที่แล้วอย่างกับภาพฝัน TT’

มูคยอมไม่เลื่อนหน้าจอลงต่อแล้วจ้องไปตรงคอมเมนต์นั้นเพียงอันเดียว จากนั้นก็ปิดหน้าจอ สายตาของเขาจับจ้องไปทางด้านข้างโดยอัตโนมัติ ฮาจุนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเพียงแค่สอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไม่หลอมรวมเข้าไปในบรรยากาศเสียงดังโวยวาย และมีท่าทีเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ คนเดียว

ทีมชาติใช้เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ในเมืองพาจูเป็นสถานที่ฝึกซ้อม แต่การรวมตัวกันที่พาจูก่อนเคลื่อนย้ายมายังสนามแข่งซึ่งตั้งอยู่ในโซล เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและเวลาในหลายๆ ด้าน เพราะอย่างนั้นวันนี้จึงยืมสนามฝึกของซิตี้โซลซึ่งอยู่ใกล้กับสนามแข่งมาเป็นจุดรวมพล เหล่าทีมชาติยินดีกับชัยชนะอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่มูคยอมกับฮาจุนมาเป็นประจำ

“ทุกคนทำได้ดีมากครับ!”

“ทำได้ดีมากครับ!”

ผู้จัดการทีมกล่าวลาสั้นๆ ก่อนแยกย้าย

“วันนี้กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วก่อนที่กลุ่มที่ไปแข่งต่างประเทศจะออกเดินทาง ก็มารวมตัวฉลองกันอีกสักครั้งเถอะ โดยส่วนตัว ฉันคิดว่าเรื่องการรวมพลังกันในทีมดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนแข่งคัดเลือกรอบแรกปีที่แล้ว ขอให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงปีหน้าแล้วกันนะ”

“ครับ!”

พวกนักกีฬาตอบรับอย่างแข็งขัน ในระหว่างที่พวกเขารีบแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง มูคยอมก็หันหน้าซ้ายขวามองหาฮาจุน ไม่ได้เดินทางกลับจากสนามฝึกทีมชาติก็จริง แต่ข้อเสนอชวนให้ไปกลับที่ทำงานด้วยรถคันเดียวกันก็น่าจะยังใช้ได้ผลอยู่

“คิมมูคยอม”

ได้ยินเสียงของคนที่กำลังตามหามาจากทางด้านหลัง

มูคยอมหมุนตัวขวับ ฮาจุนสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่แล้วยืนอยู่ตรงนั้น

“โค้ชอี ตามหาอยู่เลย กลับบ้านกัน”

มูคยอมยิ้มพร้อมเดินเข้าไปหาฮาจุนใกล้ๆ เมื่อยืดแขนไปทางลานจอดรถราวกับเป็นคนรับส่ง ฮาจุนก็เดินตามมูคยอมไปจนถึงหน้ารถของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

มูคยอมติดเครื่องยนต์ เตรียมจะเคลื่อนรถออก แต่ฮาจุนซึ่งนั่งลงตรงเบาะด้านข้างแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยก็ถามขึ้น

“จากนี้ไปมีนัดอื่นหรือตารางงานอื่นหรือเปล่า”

“ไม่มีนะ”

ช่วงนี้ไม่มีกะจิตกะใจอยากไปเจอและเที่ยวเล่นกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย มูคยอมจึงไม่ได้ออกไปเที่ยวกลางคืนมานานมากแล้ว เมื่อส่ายหน้า ฮาจุนจึงโพล่งขึ้นราวกับประกาศออกมา

“ถ้างั้นวันนี้ก็ไปบ้านนายสิ”

“หา?”

ข้อเสนออันฉับพลันและน่าตกใจของฮาจุน ทำให้มูคยอมเกือบจะเหยียบคันเร่งพลาด เขาเบิกตากว้างแล้วทอดสายตามองฮาจุน อีกฝ่ายขมวดคิ้วราวกับไม่ถูกใจอะไรบางอย่างแล้วเผยอปากราวกับมีเรื่องจะพูด แต่ก็ปิดปากลงอีกครั้ง จากนั้นจึงเสยผมด้านหน้าขึ้นราวกับอึดอัดใจ

น้ำเสียงที่เยือกเย็นลงพอสมควร ถูกเปล่งออกมาหลังจากนั้น

“ทำไมนายทำทุกอย่างตามใจตัวเองคนเดียว”

“…อะไร”

“ตอนที่นายยืนกรานว่าให้กลับไปเป็นคู่นอนทั้งที่ทำให้คนอื่นเขาอับอาย นั่นก็เป็นความต้องการของนายคนเดียว พอคนเขาตัดสินใจได้อย่างยากเย็นว่าจะทำตามคำพูดของนาย คราวนี้ดันบอกว่าจะไม่ทำถ้าไม่ได้คบกันเป็นแฟน ถ้าจะไม่ทำน่ะ นายก็อย่าแสดงออกมาสิ ฉันหมายถึงเรื่องที่นายแสดงออกว่าต้องการแล้วทำตัวให้คนอื่นอารมณ์ไม่ดีอยู่เรื่อยเรื่องเดียวนั่นแหละ”

‘ทำตัวให้อารมณ์ไม่ดีงั้นเหรอ… ฉันเนี่ยนะ…’

มูคยอมคิดว่าเขากำลังพยายามเพื่อให้ดูดีต่อหน้าฮาจุนเท่าที่จะทำได้ แต่กลับได้รับคำพูดสะเทือนใจนิดหน่อย ไม่สิ สะเทือนใจหนักพอสมควร ทว่าเขาก็พอจะรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่จะแย่งอีกฝ่ายพูด

“ทำไมนายถึงได้ทำทุกอย่างตามอำเภอใจแล้วตัดสินทุกอย่างตามใจชอบ ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ฉันเคยพูดอะไรนอกเหนือจากบอกว่าให้ทำตามที่นายต้องการหรือไง อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น แล้วที่ฉันกลุ้มใจในช่วงที่ผ่านมาหลังจากนายก่อเรื่องแบบนั้นไว้ มันมีความหมายอะไรกันแน่”

ฮาจุนพูดถึงตรงนั้นแล้วไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก เพียงแต่พรูลมหายใจออกมาสั้นๆ ราวกับหมดแรงที่จะพูดต่อ เขาเท้าคางพลางมองตรงไปข้างหน้าเท่านั้น

มูคยอมรู้สึกอยากแก้ตัวโดยด่วนแต่กลับสะกดความต้องการนั้นไว้อย่างยากลำบาก

“แต่ในสายตาของฉัน… ตอนนี้ถึงนายไม่มีเซ็กส์กับฉัน ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะ”

“…”

“ถ้าไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ด้วย พูดตามตรงว่าตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรถคันเดียวกันไปไหนมาไหนแล้วใช้เวลาอย่างใกล้ชิดกันหรอก ฉันนึกว่านายคิดจะนอนกับฉันวันนี้ก็เลยนั่งรถนายมา”

ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เข้าใจว่าฮาจุนหมายความว่าอะไร มูคยอมขมวดคิ้วพร้อมเบิกตากว้าง จากนั้นก็หรี่ตาลงอีกครั้ง

“นายบอกว่ายังมีใจให้ฉันนี่”

“บอกไปแล้วไง ฉันบอกว่าชอบ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นแฟนให้ได้… ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้”

มูคยอมนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้ง ฮาจุนบอกว่าไม่เหนื่อยตอนชอบเขาฝ่ายเดียว รักข้างเดียวง่ายกว่า ส่วนคบเป็นคนรักก็ยากกว่าเนี่ยนะ ตรงกันข้ามกับความคิดของคนปกติทั่วไปโดยสิ้นเชิง

ทว่ามูคยอมก็ไม่สามารถคิดว่ามันเป็นเพียงวิธีคิดอันมีเอกลักษณ์ได้ เพราะอีฮาจุนก็ไม่ได้คิดแบบนั้นตั้งแรก ฮาจุนลองแล้วครั้งหนึ่ง แล้วหลังจากล้มเหลวถึงได้ลงบทสรุป เรื่องที่อีกฝ่ายเผชิญกับอะไรมาบ้างจนสรุปแบบนั้นออกมาได้ มูคยอมรับรู้ดียิ่งกว่าใคร เพราะตัวเขาก็คือสิ่งที่อีกฝ่ายเผชิญมานั่นเอง

รู้สึกเหมือนคำที่บอกว่ายังชอบเขาเป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่สิ่งที่นึกขึ้นมาได้ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น คือหลักฐานของความรู้สึกนับสิบปีที่ได้เห็นในห้องของฮาจุน การที่ช่วงเวลาซึ่งทับถมกันจนสูงขึ้นราวกับเจดีย์ หายวับไปในชั่วพริบตานั้น เขารู้สึกว่ามันไม่สามารถเป็นจริงได้ยิ่งกว่าคำพูดของฮาจุนเสียอีก ถึงแม้ว่าการที่ตึกสูงเสียดฟ้าถล่มลงมาในพริบตาเดียวจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในความเป็นจริงก็ตาม

“ฉันบอกว่ายังชอบนาย ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้ก็อยากชอบนายต่อไปเรื่อยๆ นะ”

“…”

“ฉันไม่รู้ว่านายจะตีความคำพูดฉันว่ายังไง… แต่ฉันหมายความแบบนั้น”

เพียงแค่เปิดเผยออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และเยื่อใยที่หลงเหลืออยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยังคงหมุนวนอยู่ในหัวใจเท่านั้น แต่ก็กำลังพยายามเพื่อลบความรู้สึกที่มีต่อมูคยอมอยู่ มูคยอมรู้สึกเหมือนกับว่าฮาจุนกำลังบอกแบบนั้น

ความกังวลใจที่โหมกลับมา เร่งเขาว่าอย่างน้อยก็รีบคว้าสิ่งจูงใจที่เหลืออยู่เอาไว้ก่อน แต่การรีบร้อนเสนอไปตรงนี้ว่าถ้างั้นก็มีเซ็กส์กัน ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คงเป็นตัวเลือกที่จะทำลายหมดสิ้นทุกอย่าง ต่อให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวมากแค่ไหน จากนี้ก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้สิ ถ้าเกิดนึกกลัวขึ้นมาแล้วเสนอข้อตกลงไปอีกก็มีแต่จะย่ำอยู่กับที่ต่อไปเท่านั้น ลางสังหรณ์ดังกล่าวแผ่ซ่านไปทั่วราวกับขนลุก เพราะเขาทำให้อีกฝ่ายเอือมระอากับการกระทำแบบนั้น แม้แต่อีฮาจุนถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปด้วยไม่ใช่เหรอ

ในขณะที่กำลังอับจนหนทางขึ้นเพราะฮาจุน น่าขำที่ลายมือของอีกฝ่ายกลับแวบเข้ามาในหัวและให้กำลังใจมูคยอมราวกับมีเสียงพูดได้ ‘นายทำได้ คิมมูคยอม สู้เขา’

“อีฮาจุน ให้เวลาฉันหน่อยนะ”

“…”

“ความรู้สึกเดิมก็ยังมีอยู่ แค่ให้โอกาสที่จะทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมกับฉันก็ได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าทำแบบนั้น ความคิดนายก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน ไม่สิ ฉันจะเปลี่ยนมันให้ได้เอง จะทำให้นายไม่เสียใจที่ชอบฉันเอง”

ฮาจุนถอนหายใจแผ่วเบา หลังจากเตรียมใจอย่างหนัก มูคยอมก็ตั้งใจจะพูดเรื่องที่ขอบเขตแคบลงอย่างฉับพลัน เพราะอย่างนั้น ถึงจะน่าอายนิดหน่อย แต่มูคยอมก็ไม่ยอมแพ้แล้วพูดต่อ

“เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็… ไปทำงานด้วยรถของฉันเถอะ”

รอยยิ้มที่เคยจงใจแกล้งทำเป็นสบายๆ ซึ่งมูคยอมปั้นมันขึ้นมาจนถึงเมื่อครู่นี้ เลือนหายไปแล้ว กลับมีสีหน้าเหมือนกับเด็กน้อยที่สังเกตท่าทีของพ่อแม่แล้วถามว่า ‘ซื้อของเล่นอันนี้ให้หน่อยไม่ได้เหรอ’ ปรากฏขึ้นมาให้เห็นแทน

ทั้งที่ถ้าปิดปากเงียบ ก็จะดูหยิ่งยโสและดุดันจนยากที่จะเข้าใกล้แท้ๆ การแผ่บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยด้วยใบหน้านั้นก็เป็นพรสวรรค์สินะ ฮาจุนคิดพร้อมกับมองมูคยอม

สมัยที่เคยทำงานในทีมฟุตบอลเยาวชน มีตัวปัญหาคนหนึ่งที่เคยทำให้คนอื่นเขาจนปัญญาว่าจะต้องทำยังไงกับเด็กคนนี้ ไม่รู้ทำไมถึงถูกดูดเข้าไปในความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับตอนที่ตนนั่งหันหน้าเข้าหาเด็กคนนั้น

แล้วสุดท้ายก็ใจอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ เป็นแบบนี้ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง แต่ยังไงซะ เขาก็กำลังวลเรื่องนั่งรถบัสไปทำงานอยู่แล้ว ฮาจุนถามและคิดข้ออ้างให้กับตัวเองแบบนั้น แล้วในที่สุดก็พยักหน้า เมื่อมูคยอมยิ้มบางพร้อมปลดเข็มขัด ฮาจุนก็ห้ามอีกฝ่าย

“ไม่ต้องลงมา ฉันจะเข้าไปคนเดียว”

“…”

“แค่ครั้งเดียวอาจไม่เป็นไร แต่ถ้านายไปมาบ่อยๆ ก็อาจจะมีใครมาเห็นเข้า ฉันลำบากใจน่ะ”

ฮาจุนลงไปยืนข้างนอกรถแล้ว มูคยอมไม่สามารถดึงดันอะไรต่อไปได้อีก เขาไม่สามารถแม้แต่จะปล่อยเข็มขัดนิรภัยที่ปลดแล้วออกจากมือ และทอดสายตามองไปยังฮาจุนด้วยสีหน้าขมขื่นใจ ฮาจุนออกคำสั่งให้การกระทำต่อไปของเขาออกมาด้วยคำคำเดียว

“ไปเถอะ”

มูคยอมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่นานก็พยักหน้าราวกับล้มเลิกความหวัง กระทั่งตอนที่เคลื่อนรถออก ฮาจุนก็ยังไม่ขยับตัวไปจากตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย มูคยอมมองอีกฝ่ายที่ตัวเล็กลงเรื่อยๆ ผ่านทางกระจกมองหลัง จากนั้นเขาก็เตรียมใจให้แน่วแน่ขึ้นใหม่

ความหน้าตาดีก็ยังไม่ยอมรับ ของขวัญแพงๆ ก็ยังไม่ยอมรับ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เหลือก็มีเพียงอย่างเดียว สภาพร่างกายของเขาย่ำแย่ไปพักหนึ่งจึงทำให้ฮาจุนได้เห็นแค่สภาพอ่อนเปลี้ยไป เพราะฉะนั้นก็ต้องแสดงให้เห็นท่าทีมีชีวิตชีวาและดูดีในการแข่งที่จะมาถึง อีฮาจุนชอบนักกีฬาฟุตบอลคิมมูคยอม เพราะฉะนั้นถ้าให้ได้เห็นภาพลักษณ์ที่ฟื้นกลับคืนมาในการแข่งครั้งนี้ ความรู้สึกของฮาจุนก็อาจจะกระเตื้องขึ้นสักนิดก็ได้

จะมีอะไรดาหน้าเข้ามาก็ค่อยเอาไว้หลังจากนั้น จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องเชื่อฟังคำพูดอีกฝ่ายอย่างสงบเสงี่ยม พร้อมทั้งทำหน้าที่คนขับรถรับส่งที่ทำงานอย่างจริงใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องต่างๆ บนโลกนี้ต้องดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน

***

ในระยะเวลาฝึกซ้อมทีมชาติซึ่งผ่านมาไม่กี่วัน มูคยอมพยายามเข้าหาคนอื่นพร้อมกับจองคยูและพยายามปรับปรุงภาพลักษณ์พอสมควร เป็นเรื่องโชคดีที่ในทีมชาติไม่มีใครเก็บเรื่องเก่าๆ มาคิดเล็กคิดน้อยถึงขนาดนั้น เพียงแค่พยายามนิดหน่อย มูคยอมจึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทีมได้ในเวลาไม่นาน

ในห้องล็อกเกอร์สนามแข่งเวิลด์คัพในวันที่มีการแข่งขันรอบคัดเลือก ขณะที่เหล่านักกีฬากำลังเปลี่ยนเสื้อและเตรียมพร้อมสำหรับการแข่ง ผู้จัดการทีมก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน

“มีเรื่องเปลี่ยนแปลงด่วน”

เหล่านักกีฬาซึ่งกำลังพูดคุยเรื่องไร้สาระ ต่างพากันหยุดเงียบแล้วให้ความสนใจ ในตอนที่การแข่งใกล้เข้ามาเพียงปลายจมูก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ได้เป็นส่วนที่น่ายินดีสักเท่าไรนัก

“ไม่ว่ายังไง ฮยองมินก็เหมือนจะมาไม่ได้ บอกว่าไส้ติ่งแตก”

“ครับ?”

พวกนักกีฬาส่งเสียงดังวุ่นวายขึ้น ดวงตาของมูคยอมเองก็เบิกกว้าง

ฮยองมินเป็นกัปตันทีมชาติควบตำแหน่งกองกลาง และในปีนี้มีอายุได้สามสิบเอ็ดปี เขาติดต่อมาบอกว่าถ้าให้ไปหาที่จุดรวมพลเหมือนทุกคนก็น่าจะลำบากเพราะอาการปวดท้องก่อนออกเดินทาง ก็เลยจะไปสนามแข่งเองคนเดียวและจะไม่ไปถึงสาย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อาการปวดท้องธรรมดาเสียแล้ว

ต่อให้หารือกันเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ผู้จัดการทีมจึงออกคำสั่งใหม่ทันที

“ฮยอนจินจะลงเล่นแทนตำแหน่งของฮยองมิน ส่วนกัปตันชั่วคราว”

ทุกคนจ้องไปทางจองคยู เดิมทีกรณีที่ผู้รักษาประตูจะรับผิดชอบหน้าที่กัปตันก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งอยู่แล้ว อีกทั้งเดิมทีเจ้าตัวก็ค่อนข้างได้รับความนิยมสูง สายตาของคนอื่นจึงเบนมองไปตามธรรมชาติ ยังไม่กำหนดว่าใครจะเป็นรองกัปตันก็จริง แต่ทุกคนต่างคิดว่าจองคยูจะได้เป็นรองกัปตันอย่างแน่นอนกันทั้งนั้น

“คิมมูคยอมรับผิดชอบซะ”

“ครับ?”

คนที่ย้อนถามอย่างสับสนคือคิมมูคยอมผู้ถูกเอ่ยชื่อ ส่วนแววตาของคนอื่นๆ ก็สั่นระริกเช่นกัน

ไม่ว่าจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้จัดการทีมก็ไม่มีทางที่จะไม่รับรู้นิสัยของเขาหรือคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวมูคยอมภายในทีมชาติ แต่จู่ๆ กลับให้เป็นกัปตันเนี่ยนะ

มูคยอมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้ถึง เขาคิดขึ้นมาว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันแบบใหม่หรือเปล่าจึงขมวดคิ้วอยู่หน่อยๆ แบบแทบมองไม่เห็น แต่ถึงอย่างนั้น ผู้จัดการทีมก็ไม่ได้กลับคำพูด

“เอ้า นี่ ปลอกแขนกัปตัน”

ผู้จัดการทีมยื่นปลอกที่ต้องใช้ติดแขนให้ ส่วนมูคยอมก็รับมันมาไว้ก่อน ถึงแม้จะยังปกปิดความสับสนไม่มิดก็ตาม ทว่าเขาก็เพียงแค่ก้มลงจ้องมันเขม็งเท่านั้น และไม่กล้าแม้แต่จะคิดติดมันลงบนแขนของตัวเอง

เขาแข่งในกรีนฟอร์ดมานานมาก แต่ผู้คนที่สั่งสมประสบการณ์อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ก็ยังมีเยอะอยู่ เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กัปตันหรือรองกัปตัน จนถึงตอนนี้มูคยอมก็ยังไม่มีเรื่องให้ได้ติดปลอกแขนเลย ในทีมชาติก็ยิ่งแล้วใหญ่ เขาจึงไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องเป็นกัปตันเลยสักครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน

ปกติแล้ว ส่วนใหญ่จะให้คนที่มองดูวิสัยทัศน์โดยรวมของการแข่งและผลักดันพวกนักกีฬาได้ดี รับตำแหน่งกัปตันทีม จึงพบเห็นกรณีที่ผู้เล่นกองกลางหรือผู้ตั้งรับ ถ้าจะให้ดีกว่านั้นอีกก็ผู้รักษาประตู รับตำแหน่งกัปตันบ่อยครั้งกว่าผู้เล่นตัวรุก ทำไมถึงเป็นเขา ทั้งที่มีอิมจองคยูผู้เหมาะสมอยู่ตรงนี้ด้วยแท้ๆ มูคยอมเหลือบมองไปทางจองคยู แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ค่อยจะเกินความคาดหมายสักเท่าไร

ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมัวแต่เอาปัญหาแบบนี้มาถกเถียงกัน มูคยอมรีบติดปลอกแขนลงบนแขน

เกิดตำแหน่งว่างในกองกลาง พร้อมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงในแผนการเล่นด้วย เดิมทีผู้จัดการทีมตั้งใจจะจัดตำแหน่งผู้เล่นตัวรุกสองคนให้เป็นกองหน้า แต่ก็ตัดสินใจจัดตำแหน่งให้มูคยอมเป็นกองหน้าคนเดียวและเปลี่ยนมาเพิ่มความแน่นหนาให้กองกลางและการป้องกัน เมื่อสั่งการเสร็จสิ้นในห้องล็อกเกอร์ เหล่านักกีฬาก็กรูกันเข้าแถวแล้วมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์ออกสนาม

การแข่งขันรอบคัดเลือกแบบแบ่งโซน เป็นการแข่งที่ไม่มีอะไรให้กังวลขนาดนั้น แต่มูคยอมกลับทอดสายตามองสนามสีเขียวซึ่งแผ่กว้างตรงหน้า อยู่ด้านตรงทางออกสนามด้วยความรู้สึกกังวลจนตัวเกร็งกว่าครั้งไหนๆ

ไม่ว่าอย่างไรก็ประหม่ากับผ้าที่คาดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ มูคยอมรู้สึกว่าผ้าบางๆ ซึ่งเบาจนน่าจะมีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกรัมเพียงผืนเดียว กลับหนักอึ้งราวกับกระสอบทราย ในขณะที่กำลังยกมือลูบไปบนผ้าผืนนั้น เวลาเข้าสู่สนามก็มาถึง พวกนักกีฬาตั้งแถวมุ่งหน้าเดินเข้าไปในสนาม ผู้คนที่มารับชมการแข่งขันเวิลด์คัพรอบคัดเลือกซึ่งจัดขึ้นในรอบสามสี่ปีพากันส่งเสียงกู่ร้องต้อนรับพวกเขา

โดยพื้นฐานแล้ว ก่อนการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น พวกนักกีฬาจะยืนล้อมวงกันเพื่อผนึกกำลังเรียกขวัญกำลังใจ

“คิมมูคยอม นายเป็นกัปตัน พูดอะไรสักคำสิ”

จองคยูปริปากพูดขึ้น มูคยอมสบตากับพวกนักกีฬาไวๆ แล้วกระแอมออกมาสั้นๆ ตัวเขาเองไม่เคยคิดฝัน ว่าสถานการณ์ที่จะต้องพูดอะไรแบบนี้โดยให้พวกนักกีฬาทีมชาติยืนเรียงกันจะมาถึง

ทว่าช่วงล่าสุดมานี้ เขาเพียงแค่ไม่สามารถพูดอย่างเต็มที่ต่อหน้าฮาจุนได้เท่านั้น แต่เดิมทีมูคยอมไม่เคยรู้สึกยากลำบากเท่าไรนักกับการพูดไปเรื่อยเพื่อปรับให้เข้ากับเวลาและสถานที่อยู่แล้ว เขาจึงพูดออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเตรียมการไว้

“คู่แข่งไม่ได้ต่อกรยากสักเท่าไรตามที่ผู้จัดการทีมบอกนั่นแหละ แต่ยังไงก็ตาม นี่ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญเพื่อก้าวไปสู่เวิลด์คัพในปีหน้า แทนที่จะยึดมั่นเรื่องแพ้ชนะ ฉันคิดว่ามันเป็นการแข่งขันที่วางเป้าหมายเป็นการเตรียมความพร้อมให้มั่นคงอย่างแท้จริงครั้งแรกก็พอแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าแพ้ก็ได้ แต่หมายความว่าต้องชนะเท่านั้น มั่นใจในตัวเองว่าสามารถทำได้แล้วร่วมใจเดินหน้าไปด้วยกันจนถึงที่สุด จนถึงการแข่งรอบชิงชนะเลิศกันเถอะ”

จากนั้นมูคยอมก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วพูดต่อ

“เวิลด์คัพครั้งที่แล้ว ฉันทำให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันมีข้อบกพร่องอีกมาก แต่ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะพยายามให้มากเหมือนกัน ฉันขอโทษทุกคนที่เคยร่วมทีมกันในตอนนั้น ส่วนเวิลด์คัพครั้งนี้ก็มาพยายามอย่างเต็มที่ตั้งแต่เริ่มแรก แล้ว… ถึงฉันจะไม่กล้าบอกว่าเป็นทีมชนะเลิศก็เถอะ แต่ว่า”

เมื่อพูดแบบนั้น นักกีฬาจำนวนหนึ่งก็หัวเราะคิกคักออกมาแห้งๆ เวลาตั้งเป้าหมายระยะสั้น ควรเริ่มจากสิ่งที่เห็นตรงหน้า ไม่ใช่ไล่ตามสิ่งที่เป็นเพียงความฟุ้งซ่านและอยู่ห่างไกล เรื่องนั้นก็เป็นหลักการของมูคยอม

“ปีหน้าก็เข้าสู่รอบสิบหกทีม ไม่สิ อย่างน้อยก็แปดทีม ไปสู่รอบนั้นสักครั้งจริงๆ กันเถอะ”

“มาลองกันสักตั้งเถอะ สู้ๆ”

นักกีฬาคนหนึ่งพูดเสริม แล้วนักกีฬาที่ยืนล้อมวงก็กอดคอกับคนที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวเองพร้อมก้มตัวลง มูคยอมพูดนำขึ้นก่อน

“เราทำได้!”

“เราทำได้!”

เสียงของทุกคนตะโกนดังขึ้นตามคำพูดนำ จากนั้นพวกนักกีฬาก็ดันตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงพลางปรบมือ แล้วกระจายตัวไปเข้าแถว ขณะที่เสียงเพลงชาติดังกังวานขึ้น เสียงร้องตะโกนบนอัฒจันทร์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

ทันทีที่เสียงเพลงชาติจบลง เหล่านักกีฬาก็ยืนประจำที่ของใครของมัน ส่วนมูคยอมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เส้นฮาล์ฟไลน์ในฐานะกัปตันทีมควบด้วยตัวรุกกองหน้า ก็กวาดตามองไปตรงที่นั่งผู้ชมปราดหนึ่ง แล้วส่งสายตาไปทางม้านั่งตัวหลัง ก่อนเสียงนกหวีดประกาศเริ่มแข่งจะดังขึ้น

ในกลุ่มโค้ชจำนวนไม่กี่คน ฮาจุนเข้ามาในสายตาของเขาทันที และเจ้าตัวก็ยืนอยู่ข้างยุนแชฮุนราวกับบอกว่าวันนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ระยะห่างระหว่างพวกเขาไกลกัน จึงไม่ใช่ระยะที่จะพูดคุยหรือส่งสายตาอะไรกันได้ แต่มูคยอมก็วางมือลงตรงกระดูกเชิงกรานแล้วยกต้นแขนขึ้นด้านบนเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้เห็น

‘ดูซะ อีฮาจุน ฉันได้เป็นกัปตัน ถึงจะชั่วคราวก็เถอะ’

มูคยอมพูดแบบนั้นในใจ แต่ฮาจุนคงจะไม่มีทางรับรู้ถึงคำพูดของเขา

มูคยอมแลกธงทีมชาติกับกัปตันของเลบานอน จากนั้นก็จับมือแล้วยืนประจำที่ เสียงนกหวีดดังขึ้น พร้อมกันกับที่การแข่งขันเริ่มเปิดฉาก

“เห็นบอกกันว่าคิมมูคยอมเป็นกัปตัน เรื่องจริงสินะเนี่ย”

แชฮุนจับตามองดูการเปิดฉากแข่งขันพร้อมกับยกยิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น ฮาจุนหันไปมองเขา

“เกินคาดนิดหน่อยนะครับ ถึงจะยังไม่ได้บอกว่าจะกำหนดให้ใครเป็นรองกัปตันก็เถอะ แต่คิดว่าถ้าไม่ใช่พี่ฮยองมิน จองคยูก็จะได้รับตำแหน่งกับตันซะอีก”

“ไม่หรอก ผู้จัดการทีมน่าจะทำดีแล้วล่ะ ถึงจะไม่ได้เป็นต่อเนื่อง แต่ตอนที่การแข่งขันไม่ยากมากนักเหมือนวันนี้ ถ้าให้คิมมูคยอมรับผิดชอบตำแหน่งกัปตันสักครั้งก็จะเป็นประโยชน์ในเรื่องทีมเวิร์คได้”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

“แน่นอนสิ เพราะถ้าให้คนแบบนั้นใส่ปลอกแขนก็จะตั้งใจสุดๆ เลย”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนเองก็หัวเราะดังคิกออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แชฮุนเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมอย่างที่คิด ได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เหมือนกับมองแทบทุกเรื่องเกี่ยวกับมูคยอมได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ฮาจุนทอดมองไปบนสนามหญ้าเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง

การแข่งขันดำเนินไปเหมือนคำพูดของเขาจริงๆ เวลาใช้แผนการเล่นแบบจัดให้มีกองหน้าคนเดียว ตัวรุกกองหน้าจะตกอยู่ในสถานะที่ต้องรับผิดชอบเชื่อมต่อบอลที่ถูกส่งมาให้เข้าประตูอย่างแม่นยำเพียงคนเดียว เพราะอย่างนั้นจึงยากที่จะแยกตัวออกจากตำแหน่ง จริงๆ แล้ว สำหรับนักกีฬาที่ชื่นชอบการวิ่งไปมาบนสนามอย่างกระฉับกระเฉงเพื่อหลอกล่อและทำลายฝ่ายตรงข้ามเหมือนมูคยอม แผนการเล่นแบบมีกองหน้าคนเดียวมีขอบเขตกว้าง จึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะสมถึงขนาดนั้น

ตัวมูคยอมเอง ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงไม่มองดูภาพกว้างหรือรอบคอบถึงขนาดนั้น ทว่า มูคยอมในวันนี้ ถึงจะไม่ได้แยกออกจากตำแหน่งไปไกลนัก แต่ถ้าจะยืมคำที่เขาชอบใช้บ่อยๆ มาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้ามอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ก็เรียกได้ว่าเขากำลังก่อกวนการเล่นของฝ่ายนั้นแบบกัดไม่ปล่อยเลยทีเดียว

“อย่ามัวแต่วิ่งเลี้ยงลูก! ส่งบอลต่อให้ไว!”

“ทางซ้าย! เคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้!”

“ไม่ๆ ไม่ใช่ทางนี้! หมายถึงให้ส่งไปทางยองจุนไงเล่า!”

ท่าทางของมูคยอมซึ่งตะโกนสั่งแว้ดๆ พร้อมกับโบกแขนข้างที่ติดปลอกแขนกัปตันเป็นพัลวัน ราวกับกลายเป็นผู้บังคับการ กระทั่งตรงม้านั่งก็ยังมองเห็นภาพนั้นได้ชัด สตาฟหลายคนจับตามองท่าทีของเขาอย่างสนอกสนใจ ยิ่งกว่าตอนดูวิดีโอการแข่งซึ่งเห็นความต่างของกำลังทั้งหมดอย่างชัดเจน ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่ากล้องถ่ายทอดออกอากาศก็น่าจะกำลังจับภาพท่าทางแบบนั้นของมูคยอมอยู่

ในตอนที่ครึ่งแรกผ่านไปยังไม่ถึงยี่สิบนาทีดี หนึ่งในนักกีฬาเลบานอนก็ทำฟาวล์กับมูคยอมซึ่งกำลังวิ่งเพื่อไปทำประตูในเขตโทษ ทำให้มูคยอมล้มกลิ้งไปกับพื้น กรรมการชูการ์ดขึ้นทันทีแล้วมอบโอกาสให้เกาหลีได้เตะลูกโทษ

ผู้เล่นที่ทำการเตะลูกโทษคือคิมมูคยอม เขายกมือเท้าสะเอวแล้วหยุดยืนเพื่อคำนวณตำแหน่ง จากนั้นหลังจากวิ่งเข้ามาระยะสั้นๆ เขาก็เตะบอลออกไปอย่างรุนแรง ลูกบอลที่พุ่งไปอย่างรวดเร็วเป็นวิถีโค้งสวย ทำให้การกระโดดของผู้รักษาประตูหมดกำลังลงแล้วลอยเข้าไปกระทบตาข่ายโกล

“อย่ามัวมองแบบนั้นแล้วไปทักทายกันเถอะ ต้องปรับความเข้าใจกับพี่เขาตั้งแต่เริ่ม จากนี้ไปถึงจะราบรื่นใช่ไหมล่ะ”

“ไม่เอา”

“โอ๊ย ไม่เอาอะไรล่ะ อย่าทำตัวเป็นเด็กอนุบาลไปหน่อยเลย”

จองคยูตบหลังเขาดังแปะ แล้วสุดท้ายก็ลากมูคยอมซึ่งเกร็งขาไว้ให้เดินตามไป ในขณะที่มูคยอมเดินเข้ามาใกล้กลุ่มสตาฟแล้วทำใบหน้าแข็งทื่อ จองคยูก็เอ่ยปากทักทายขึ้นก่อน

“พี่! สวัสดีครับ”

แชฮุนกับฮาจุนกำลังง่วนอยู่กับการคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งสองหันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน

“อ้อ จองคยู มาแล้วเหรอ”

“ครับ ทีมผมมีผมกับมูคยอมถูกเรียกตัวมาน่ะครับ”

จองคยูยกแขนพาดไหล่มูคยอมราวกับเร่งให้เขารีบทักทาย แชฮุนมองมูคยอมด้วยสายตาเย็นชา ส่วนมูคยอมก็แววตาแข็งกระด้างอย่างกับหิน

ด้านในเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ซึ่งผู้คนกำลังกล่าวทักทายกันอย่างยินดี ความตึงเครียดที่มองไม่เห็นแฝงอยู่ระหว่างพวกเขาสองคนเท่านั้น จนทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกราวกับมีแผ่นน้ำแข็งบางๆ เกาะ มูคยอมเบนสายตาไปหาฮาจุนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างโดยอัตโนมัติ

วินาทีที่ดวงตาสบมองกัน ไหล่ก็พลันคลายความเกร็งลง มูคยอมถอนหายใจราวกับยอมแพ้ในใจ จากนั้นก็ผงกหัวให้หนึ่งทีสั้นๆ

“ช่วงอยู่ทีมชาติก็ฝากตัวด้วยครับ”

กระทั่งจองคยูก็ยังตกใจ ความเงียบจึงปกคลุมอยู่ชั่วขณะ

คนที่สับสนกับการทักทายอันอ่อนน้อมของมูคยอมมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นแชฮุน ผู้ซึ่งเป็นคนที่มูคยอมกล่าวทักทายมา แชฮุนได้แต่ทำตาโต โดยไม่สามารถตอบกลับเขาทันทีได้ จากนั้นจึงกระแอมไอแล้วส่งยิ้มให้

“ได้สิ ฉันก็ฝากตัวด้วย คราวนี้มาพยายามไปด้วยกันนะ”

“ครับ”

ไม่ว่าสาเหตุและที่มาจะเป็นอะไร แต่ความสัมพันธ์ที่บาดหมางกันไปแล้วครั้งหนึ่ง อีกทั้งการที่มูคยอมผู้ซึ่งเป็นฝ่ายทำตัวอวดดี กลับยอมอ่อนข้อให้ก่อน ก็เป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีอยู่เหมือนกัน

มูคยอมกำมือที่เอาไพล่หลังเอาไว้แน่น ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว ตามที่จองคยูพูด บรรยากาศสงบสุขของทีมชาติไม่ได้เกิดจากการควบคุมคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเขา สีหน้าของฮาจุนซึ่งสบตากันเมื่อครู่นี้ ทำให้มูคยอมยอมก้มหัวให้

‘ใช่เรื่องที่จะมองเขาด้วยใบหน้ากระวนกระวายถึงขนาดนั้นหรือไง

ทั้งที่เมื่อกี้ยังยิ้มหวานให้ไอ้คนนามสกุลยุนอยู่เลยแท้ๆ’

มูคยอมไม่ได้สงสัยในคำบอกเล่าที่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกันอีกต่อไป ทว่ารอยยิ้มที่ฮาจุนมักจะแสดงออกมาให้เห็นอยู่เสมอเพียงแค่ยืนอยู่ต่อหน้ายุนเชฮุน ทำให้เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย โดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคำบอกเล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะสีหน้าแบบนั้น เขาอาจจะไม่สงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ รอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายและบ่งบอกว่ากำลังพึ่งพิงและเชื่อมั่นฝ่ายนั้นอยู่จริงๆ

ในทางกลับกัน นั่นเป็นสีหน้าที่ไม่เคยแสดงให้เห็นต่อหน้าเขาซึ่งบอกว่าชอบเลยสักครั้ง ช่วงแรกๆ แค่ยืนอยู่หน้าเขาก็มักจะทำหน้าแข็งทื่อเป็นประจำ พอมาช่วงหลังๆ ถึงแม้จะยิ้มให้เขาอยู่บ่อยครั้ง แต่มูคยอมก็ไม่เคยรู้สึกได้ถึงความสบายใจแบบนั้น จากรอยยิ้มที่ฮาจุนมอบให้เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มูคยอมรู้สึกสมจริงขึ้นมาว่าหนทางยังอีกยาวไกล

ถึงแม้ว่าจะยังทำให้อีกฝ่ายยิ้มไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากทำตัวตามนิสัยให้ฮาจุนกังวลใจไปมากกว่านี้ ถ้าฮาจุนก็ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในทีมชาติครั้งนี้ เขาก็อยากจะนำพาทีมไปจนถึงปีหน้าให้ได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ และอยากทำให้มีผลลัพธ์ที่ต่างกันออกมาจากเวิลด์คัพครั้งที่แล้วด้วย แชฮุนกวักมือพร้อมกับพูดขึ้น

“ดูเหมือนตอนนี้พวกนักกีฬาจะรวมตัวกันแล้วนะ รีบไปเถอะ”

“ครับ”

มูคยอมสบตากับฮาจุนอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินไปอย่างเฉื่อยชาพร้อมกับทอดสายตามองที่ไหนสักที่กลางอากาศ มูคยอมเข้าแถวรวมกับนักกีฬาคนอื่นๆ ข้างหน้าผู้จัดการทีม เขาตระหนักได้ถึงความเป็นไปได้เรื่องใหม่ซึ่งทำพลาดมาจนถึงตอนนี้ จากนั้นก็จดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง

เขาไม่สงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอีกต่อไปแล้ว แต่แชฮุ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่ง เขาเคยมองว่าเป็นผู้ชายนอกรีตน่ารังเกียจและมาคบชู้กับฮาจุน การมีอยู่ของคนคนนั้นทำให้ความสงสัยในใจของมูคยอมแยกย่อยออกไปอีก

ก่อนที่ความสัมพันธ์จะบิดเบี้ยวแบบในตอนนี้ ถ้าหากเป็นเรื่องเซ็กส์ ฮาจุนก็ไม่เคยบอกว่าไม่ชอบอะไรขนาดนั้น ฮาจุนไม่เคยปฏิเสธ อีกทั้งยังความรู้สึกไวและมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกประทับใจไปเสียทุกครั้งด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเขากำลังฝืนใจ บอกกับคนที่ชอบถูกกอดถึงขนาดนั้นว่าจะไม่มีเซ็กส์ เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาคนเดียวหรือเปล่านะ

แน่นอนว่าฮาจุนไม่เคยปฏิเสธความสัมพันธ์ทางกาย ส่วนมูคยอมกลับอดกลั้นไปเพียงคนเดียวทั้งที่ไม่มีใครสั่ง

‘หรือว่าฉันกำลังขอให้อีฮาจุนข่มใจตามอำเภอใจตัวเองงั้นเหรอ

ถ้าทำแบบนั้นแล้วอีฮาจุนรู้สึกไม่พอใจเพราะความต้องการ ฉันจะทำยังไงดีล่ะ’

พวกเขาไม่ได้คบหากัน อีกทั้งยังไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคู่นอนที่สัญญาว่าจะมีแค่กันและกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถึงแม้ว่าฮาจุนจะไปคบคนอื่นหรือนอนกับคนอื่นตามความพอใจ เขาก็ว่าอะไรไม่ได้ ยิ่งในเวลาแบบในช่วงนี้ก็ยิ่งว่าไม่ได้เข้าไปอีก

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ชายมีครอบครัวแล้วแบบยุนแชฮุน แต่ผู้ชายบนโลกนี้ก็มีมากมาย และไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนไหน เพียงแค่ฮาจุนตัดสินใจ การที่ทุกอย่างจะพังทลายลงก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนบอกว่ายังคงมีใจให้เขาก็จริง แต่เพราะสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ เขาจึงไม่รู้สึกว่าคำพูดนั้นหมายความว่าฮาจุนจะปิดกั้นความเป็นไปได้กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่มูคยอมเลย

มีแค่เรื่องนั้นที่เขาไม่ชอบใจ!

มูคยอมนึกจุดอ่อนที่ไม่เคยคิดมาก่อนขึ้นมาได้ทีหลัง เขาขมวดคิ้วแล้วมองฮาจุน ฝ่ายนั้นกำลังยืนอยู่ข้างใครสักคนซึ่งมูคยอมไม่คุ้นหน้าแล้วพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็หลบหลีกการจู่โจมของแบคทีเรียไม่ได้ ทว่า ในระหว่างที่เขาชายตามองไปยังจุดอื่นได้ไม่นาน การฝึกพื้นฐานก็เริ่มต้นขึ้น

* * *

การฝึกซ้อมสำหรับผู้ถูกเรียกตัวครั้งแรก ไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไรนัก ถึงอย่างนั้น คงเพราะพวกนักกีฬาจากทีมอื่นๆ แต่ละทีม ร่วมใจกันวิ่งอย่างพร้อมเพรียงอยู่ในจุดเดียวกัน ในตอนที่การฝึกซ้อมจบลง นักกีฬาทั้งหลายจึงพากันหมดเรี่ยวแรงราวกับขยับตัวมากกว่าปกติหลายเท่า สมาชิกทีมซิตี้โซลก็ออกมาจากเทรนนิ่งเซ็นเตอร์โดยปะปนไปกลับพวกคนที่เลิกงานกลับบ้านเป็นกลุ่มๆ มูคยอมเดินข้างจองคยู ส่วนฮาจุนก็เดินข้างแชฮุน แชฮุนพูดขึ้น

“ถ้าจะนั่งบัสไปจากตรงนี้ก็น่าจะอีกพักใหญ่เลยนะ ฮาจุน เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ขอบคุณครับ พี่”

“สนามฝึกอยู่ตั้งพาจูฮาจุนคงจะไปๆมาๆลำบากน่าดูเลยล่ะสิ ช่วงที่มาที่นี่ก็มาด้วยกันกับพี่เอาไหม”

“จริงเหรอครับ”

เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ถึงอย่างนั้นจะเป็นการรบกวนมากไปหรือเปล่านะ ขณะที่ครุ่นคิดกับคำตอบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น ฮาจุนมองเห็นข้อความที่เด้งขึ้นบนหน้าจอทันทีที่เอาโทรศัพท์มือถือออกมา

‘นั่งรถฉันไปเถอะ ฉันจะรออยู่ที่ลานจอดรถ’

เป็นข้อความสั้นๆ ข้อความหนึ่งที่มูคยอมส่งมา ฮาจุนก้มลงมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“พี่ครับ คิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าผมจะต้องกลับไปที่สนามฝึกโซลอีกครั้ง เดี๋ยวผมนั่งรถคนในทีมไปครับ”

“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ไว้เจอกัน พักผ่อนให้เต็มที่ด้วยนะ”

“ครับ กลับดีๆ นะครับ”

ฮาจุนส่งแชฮุนไปก่อนแล้วจับตามองดูรถของผู้คนขับออกไปทีละคันสองคนเพลินๆ หลังจากนั้นพักหนึ่ง ในตอนที่ด้านนอกเซ็นเตอร์ รวมถึงล็อบบี้ด้านในบรรยากาศเงียบสงบลงแล้ว ฮาจุนซึ่งยืนอยู่ราวกับรอใครสักคนที่จะเอาร่มมาให้ตรงด้านหน้าทางเข้าตึกในวันฝนตก จึงก้าวขามุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ

รถที่ผู้คนขับมาหายไปจนเกือบหมด จึงทำให้ลานจอดรถว่างเปล่าอย่างที่คิด แต่เหลือไว้เพียงรถหรูคันหนึ่งซึ่งมองปราดเดียวก็ดูแพงที่ยังไม่จากไปไหน

‘…ก่อเรื่องแบบนั้นไป ทนแค่วันนี้วันเดียวได้ก็ถือว่านานแล้วสินะ’

ฮาจุนคิดแบบนั้นอย่างเยือกเย็นเล็กน้อยพร้อมกับเดินเข้าไปหา จากนั้นก็เปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือตรงเบาะคนขับ หันมามองฮาจุนแล้วแย้มยิ้ม

มูคยอมน่าจะรออยู่พักใหญ่ แต่กลับไม่บ่นออกมาเลยสักคำเดียว ว่าทำไมไม่ตอบข้อความ หรือทำไมถึงช้าแบบนี้ ไม่รู้ว่าคิดจะเอาใจใส่เขาหรือเปล่า แต่ท่าทีที่โน้มเอียงไปทางใจดีอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยนี้ ก็ทำให้ฮาจุนได้แต่รู้สึกประหม่าเท่านั้น

เส้นผมปรกลงมาบนหน้าผากของมูคยอมที่อาบน้ำเสร็จแล้ว เมื่อค่อยๆ จับจ้องสายตาไปตรงหน้าผากอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว มูคยอมจึงส่องดูใบหน้าของตัวเองในกระจกตามสายตาของฮาจุนแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง

“อ๋อ วันนี้รู้แล้วเหรอว่าเปลี่ยนไปตรงไหน”

ฮาจุนหันไปมองด้านหน้าอย่างกับถูกไฟลนโดยไม่ได้ตอบอะไร มูคยอมไม่ได้คะยั้นคะยอให้ตอบแล้วถามเรื่องอื่นขึ้นพร้อมกับออกรถ

“ไปไหนกันดี ต่อจากนี้มีอะไรต้องทำอีกไหม”

“ไม่มี”

“วันนี้ตารางงานเสร็จหมดแล้วเหรอ”

“อื้อ”

ฮาจุนมองวิวถนนแล้วครุ่นคิดเรื่องออกไปทำงานวันพรุ่งนี้อย่างเหม่อลอย ระยะทางจากเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ที่อยู่รอบนอกจังหวัดคยองกี จนถึงในตัวเมืองโซล ใช้เวลาค่อนข้างนาน ฮาจุนดีใจที่ได้มาเป็นโค้ชทีมชาติ แต่มันก็ทำให้เขาเดินทางไปทำงานลำบากนิดหน่อยในช่วงไม่กี่วันนั้น

“กินข้าวเย็นด้วยกันสักหน่อยไหม”

“…ไม่ล่ะ มื้อเย็นฉันว่าจะกินกับครอบครัว”

“ถ้างั้นนายเปิดช่องเก็บของฝั่งนั้นดูหน่อยได้ไหม เอาของสักอย่างออกมาให้ฉันหน่อย”

แสงอาทิตย์ก็หม่นลงไปมากแต่ยังกะจะสวมแว่นกันแดดอยู่อีกหรือไงกัน ฮาจุนนึกสงสัยแต่ก็เปิดช่องเก็บของฝั่งข้างคนขับอย่างว่าง่าย ด้านในมีกล่องอะไรบางอย่างเล็กๆ ถูกใส่ไว้ โดยไม่มีของจิปาถะอื่นๆ เลย

ฮาจุนเอามันออกมาแล้วยื่นให้มูคยอม

“นี่เหรอ”

“เปิดกล่องออกด้วย”

คราวนี้ฮาจุนเปิดฝาออกตามคำสั่ง มันเป็นกล่องที่ดูหรูหราเป็นอย่างมาก ซึ่งทำออกมาให้สามารถเปิดปิดได้โดยที่ชิ้นส่วนด้านบนกับด้านล่างยังติดกัน ไม่ได้เป็นแบบที่แยกออก ฮาจุนเปิดฝาแล้วชะงักการเคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้น เขาเพียงแค่ก้มลงมองของด้านในแล้วถามขึ้นกับมูคยอม

“นายจำเป็นต้องใช้เจ้านี่ตอนนี้เหรอ”

สิ่งที่อยู่ในกล่องคือนาฬิกาข้อมือที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าราคาแพง หัวเข็มขัดนาฬิกากับกรอบหน้าปัดเคลือบทองประกายสีชมพูอ่อนบนสายหนังสีน้ำตาลเข้ม เข็มสั้น เข็มยาว รวมถึงเข็มวินาที ทำด้วยโลหะสีเดียวกันกับกรอบหน้าปัด และหน้าปัดก็ถูกตกแต่งด้วยวัสดุชนิดเดียวกัน

ชื่อยี่ห้อที่สลักไว้เล็กๆ ตรงกลางด้านบนหน้าปัด กระทั่งฮาจุนผู้ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนมก็ยังพอรู้จักอยู่บ้าง เขาไม่รู้ราคาที่แน่ชัด แต่ก็รู้ผ่านคำบอกเล่าของคนอื่นว่านาฬิกาแบบนี้ราคาเท่าๆ กันกับรถคันหนึ่งเลยทีเดียว

มูคยอมสวมนาฬิกาไว้บนข้อมือข้างหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้จะสวมนาฬิกาบนข้อมือทั้งสองข้างเป็นพรวนเพื่ออวดรวย ของชิ้นนี้ก็น่าจะไม่จำเป็น

“ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีโอกาสจะได้คุยกันแค่สองคนไปอีกสักระยะ ฉันก็ต้องทำคะแนนให้ได้มากที่สุดสิ ลองใส่ดู ว่าชอบไหมหรือยังไง นายน่าจะชอบสายหนังมากกว่าโลหะทั้งเส้น ฉันเลยเลือกเป็นแบบนั้น”

ฮาจุนเพิ่งจะรับรู้ได้ในตอนนี้ว่าเข้าของนาฬิกาเรือนนั้นคือใคร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางปิดกล่องกลับเช่นเดิม

“ไม่จำเป็นหรอก”

“ทำไม นายก็ใช้นาฬิกานี่”

“ของฉันใช้สำหรับจับเวลาตอนฝึก นาฬิกาแพงๆ แบบนี้ไม่จำเป็นหรอก ได้แต่รุงรังเท่านั้นแหละ”

ฮาจุนเปิดช่องเก็บของแล้วเอากล่องใส่กลับเข้าไปในนั้นอีกครั้ง มูคยอมยักไหล่ทั้งที่ยังจับพวงมาลัย

“ถ้างั้นไปชอปปิงกันดีไหม จะของที่จำเป็นหรือของที่อยากได้ จะอะไรก็ซื้อเลย”

“ไม่ล่ะ ของที่จำเป็นก็ไม่มี ของที่อยากได้ก็ไม่มี”

“…ถ้างั้น ของขวัญครอบครัวนายล่ะเป็นไง ถ้าให้ของขวัญคุณแม่กับน้องๆ ก็น่าจะดีใจกันนะ”

“ไม่มีใครรับของขวัญโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ”

“ทำไมจะไม่มีเหตุผล คราวที่แล้วฉันติดหนี้ที่ไปค้างหนึ่งคืนไง จะให้ของขวัญตอบแทนเรื่องนั้น”

ฮาจุนถอนหายใจราวกับเหนื่อย เมื่อบรรยากาศเยือกเย็นขึ้น มูคยอมจึงปิดปากเงียบแล้วเหลือบตามมองท่าทีของฮาจุน เสียงของฮาจุนผู้ซึ่งทอดสายตามองไปยังด้านหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรครู่หนึ่ง กดต่ำลงเล็กน้อย

“ก่อนหน้านี้นายเคยซื้อเสื้อให้ แล้วบอกว่าเราเป็นคู่นอนกัน เพราะฉะนั้นจะรับไว้ก็ได้ใช่ไหม”

“…”

“ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ฉันก็ไม่มีเหตุผลให้รับของแบบนี้นี่”

“อีฮาจุน เรื่องนั้นเป็นเพราะนายดึงดันถามหาเหตุผลต่างหาก”

“ทำไมนายทำตัวอ้อมไปอ้อมมาอย่างไม่สมกับเป็นนายแบบนี้ ถ้าอยากก็บอกว่าอยากสิ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้านายต้องการก็จะทำ อย่าคิดจะรับผิดชอบอะไรแปลกๆ ไปคนเดียวแล้วทำตามที่นายต้องการเถอะ”

“ฉันไม่ได้ทำแบบนี้เพราะอยากสักหน่อย”

ฮาจุนไม่ตอบ มูคยอมเองก็พูดอะไรต่อไม่ได้แล้วเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น รถยนต์เคลื่อนตัวไปโดยไม่มีเสียงพูดอะไรชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นมูคยอมก็พูดต่อจากบทสนทนาที่คิดว่าจะจบลงแบบนี้เลยเหรอ

“ฉันบอกไปแล้ว ว่าตอนนี้ฉันอยากเป็นแฟนกับนาย แต่นายบอกว่าไม่เอาก็เลยอยากให้ของขวัญแล้วทำตัวดีๆ ให้เห็น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น”

“…”

“ตอนนั้นก็ให้เพราะอยากให้ ไม่ได้ให้เพราะเป็นคู่นอนกันหรือให้เป็นค่าร่างกายนายเลย”

ฮาจุนนิ่งเงียบไม่ตอบกลับแล้วมองช่องเก็บของด้านหน้าที่นั่งข้างคนขับซึ่งถูกปิดไว้อย่างมิดชิด ในขณะเดียวกัน มูคยอมก็พึมพำเบาๆ ในใจ ‘ยังไงก็แพงกว่าร้อยล้านวอนอีกนะ แต่ไม่แม้แต่จะลองใส่สักครั้งแล้วเก็บกลับไปเฉย ดึงดูดด้วยรูปลักษณ์ภายนอกก็ล้มเหลว ถัดมาเป็นดึงดูดด้วยความรวยก็ล้มเหลวอีก’

คิดดูแล้ว เหมือนว่าตอนนั้นเขาจะบ่นกระปอดกระแปดว่าเสื้อราคาแพงสุดๆ แล้วพูดลอยๆ ว่าเป็นคู่นอนกัน ของแค่นี้รับไปไม่ได้หรือไง ตัวเขายังจำคำพูดตัวเองแบบละเอียดไม่ได้ แต่ฮาจุนดูเหมือนจดจำเอาไว้ทุกอย่าง หัวใจของมูคยอมรู้สึกหนักอึ้งราวกับพวกลักเล็กขโมยน้อยที่จะถูกเปิดโปงว่าขโมยอะไรไปบ้าง

อีฮาจุนตัดข่าวเล็กๆ น้อยๆ ของเขามาเก็บรวมรวมไว้ทีละชิ้น และจดบันทึกเรื่องการฝึกเล็กๆ น้อยๆ ของเขาครบทุกอย่าง คำที่พล่ามออกไปโดยไม่คิดก็คงถูกรวบรวมและบันทึกไว้พอสมควรเหมือนกัน ไม่มีเรื่องอื่นให้พูดแล้วหรือไงนะ พอคิดแบบนั้น มูคยอมก็หนักใจกระทั่งกับการจะพูดคำสักคำออกมา

ในขณะที่ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร มูคยอมก็เปิดเพลงขึ้นกลางคันเพราะอึดอัดกับบรรยากาศกดดันนี้ ปกติเวลานั่งรถกับฮาจุนเพียงสองคน เขาไม่ฟังวิทยุหรือเพลงเลยสักอย่าง เพราะเขาไม่เคยรู้สึกอึดอัดกับความเงียบในขณะที่อยู่กับอีฮาจุน และชอบที่จะฟังเสียงของฮาจุนซึ่งชวนเขาคุยหรือไม่ก็ตอบคำถามเขาเป็นระยะมากกว่า

ข้อดีที่พอจะภาคภูมิใจได้มากที่สุดก็มีเพียงสองอย่างคือรูปลักษณ์ภายนอกกับความร่ำรวย ถ้าหากยังไม่ยอมรับทั้งสองอย่างนั้น แล้วเขาต้องยั่วยวนยังไงกันแน่ ถึงจะกลับเข้าไปครอบครองหัวใจของฮาจุนอีกครั้งได้ มีเพียงความเลือนรางราวกับสายตาถูกบดบังด้วยยากำจัดแมลงที่ฉีดออกมาจากรถพ่นในฤดูร้อนเท่านั้น

บรรยากาศน่าอึดอัด ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องการให้ถนนยืดยาวออกไปเรื่อยๆ แต่ในระหว่างที่รถแล่นไปโดยไร้ซึ่งเสียงพูดใดๆ สุดท้ายก็มาถึงตรงหน้าย่านอะพาร์ตเมนต์ของการเคหะ

ถ้าหากทำประตูไม่ได้ในตอนนี้ก็ต้องป้องกันไม่ให้เสียแต้มในเรื่องนี้ อย่างน้อยถ้าไปทำงานและเลิกงานพร้อมกันด้วยรถของเขา ก็น่าจะป้องกันไม่ให้พวกผู้ชายคนอื่นทำตาลุกวาวใส่อีฮาจุนได้ เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ของทีมชาติไกลจากตัวเมืองโซลไม่น้อย เพราะฉะนั้นย่อมต้องมีพวกคนที่จะขับรถรับส่งฮาจุน แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้ฮาจุนนั่งรถไอ้คนนามสกุลยุน รวมถึงรถของใครหน้าไหนก็ตาม

“พรุ่งนี้เช้าฉันก็จะมาที่นี่นะ ช่วงที่ต้องทำงานที่เซ็นเตอร์ก็ไปรถกันเดียวกันเถอะ ฉันจะไม่ทำอะไรให้นายอารมณ์ไม่ดีเหมือนเมื่อกี้อีก”

ฮาจุนไม่ได้ตอบในทันที แล้วทำสีหน้าสงสัยมองมูคยอมพลางพูดขึ้น

“คิมมูคยอม ฉันน่ะ ไม่คิดจะคบนายเป็นแฟนหรอกนะ”

“นายไม่ต้องยืนกรานหลายครั้ง ฉันก็เข้าใจแล้ว”

“ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่ฉันบอกว่าจะมีเซ็กส์กับนาย ก็เพราะนายทำตัววุ่นวายสุดๆ บอกว่าถ้าไม่ได้มีเซ็กส์กับฉัน สภาพร่างกายก็จะย่ำแย่ลงด้วย”

“ใช่ เรื่องนั้นฉันก็รู้”

ฮาจุนจ้องมูคยอมเขม็ง จากนั้นก็หันไปมองด้านหน้าแล้วเสยผมขึ้น

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์อันดีจากการพูดคุยกันกับฮาจุนเลย แต่ถ้าเทียบกับตอนที่เคยพยายามแกล้งทำตัวไม่ได้เรื่องกับอีกฝ่าย ก็ถือว่าบรรยากาศดีกว่า เขาใช้ชีวิตมาโดยเลือกทำตามที่ตัวเองปรารถนาที่จะทำเสมอ การคิดหลากหลายด้านก่อนลงมือทำอะไรบางอย่าง ไม่เข้ากับนิสัยของเขาเลย อย่างน้อยเรื่องที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแค่การรุกไม่ใช่หรือไงนะ

เพียงแค่ยอมรับในความปรารถนาของตัวเอง คนเราก็จะได้รับแรงผลักดัน เขารับรู้ความจริงข้อนั้นมาตลอด แค่เป็นเพราะความสับสนในแบบที่เพิ่งเคยจะรู้สึกเป็นครั้งแรกหรือเปล่านะ เขาถึงทำเรื่องไม่มีประโยชน์มานานมากเกินไป

มูคยอมส่องกระจกเพื่อเช็กรูปลักษณ์ของตัวเองอีกหนึ่งครั้งก่อนออกไปข้างนอก แต่แล้วจองคยูก็เดินเข้ามาหาพลางลดเสียงลง

“วันนั้นนายกับฮาจุนเป็นยังไงบ้าง เคลียร์กันได้ดีไหม”

“นายไม่ได้ตัดสินใจแล้วหรอกเหรอว่าจะไม่ยุ่มย่ามเรื่องคนอื่น”

“โธ่เพื่อน กรณีนี้มันไม่เหมือนกันสิ ถ้าไม่สงสัยก็ไม่ใช่คนแล้ว”

มูคยอมมองจองคยูพูดแบบนั้นด้วยสายตาคมกริบ พร้อมทั้งพูดปรามอีกฝ่ายอย่างชัดเจนทุกตัวอักษร

“เลิกยุ่งซะ”

มูคยอมออกไปจากห้องล็อกเกอร์โดยหันหลังให้ไอ้เพื่อนไร้มารยาทที่บ่นอย่างนู้นอย่างนี้ตามหลังมา ไม่รู้ความรู้สึกคนอื่นเขาแล้วยังจะมาถามซักไซ้ ต้องมีเรื่องอะไรที่พอจะพูดได้ก่อนถึงจะเล่าให้ฟังแต่โดยดีไม่ใช่หรือไง

ถึงอย่างนั้น พอลองคิดดูแล้ว สถานการณ์บางด้านก็พลิกผันเนื่องมากจากความดีความชอบของจองคยู คราวหลังถ้าซื้อของขวัญให้ลูกสาวไอ้เพื่อนคนนั้นสักชิ้น เดี๋ยวก็คงจะยิ้มร่าในทันที

สนามหญ้าสีเขียวภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ฮาจุนออกมาอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์สว่างแสบตาแล้ว สีหน้าของอีกฝ่ายดูเป็นผู้ใหญ่ ภาพลักษณ์ที่เคยร้องไห้ฮักๆ ในอ้อมแขนของเขาหายไปอย่างไร้วี่แวว มีเพียงความรู้สึกชื่นชมที่แผ่ซ่านออกมาให้กับภาพด้านข้างของคนที่ยืนเปิดสมุดโน้ตอยู่

คิดอยู่หลายครั้งว่าเป็นใบหน้าที่งดงามจนน่าเสียดายที่ติดแหง็กอยู่แต่ในสนามฝึก และวันนี้ก็เป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยน แน่นอนว่าถึงมูคยอมจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะพาอีกฝ่ายไปยังที่ที่มีคนพลุกพล่าน

“โค้ชครับ!”

มูคยอมกำลังวิญญาณล่องลอยออกจากร่างไปกับภาพลักษณ์ราวยูนิคอร์นสีขาวผ่องเหนือทุ่งหญ้าสีเขียวขจี โดยที่หยุดเดินและอ้าปากค้างเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว แต่จู่ๆ กลับมีไอ้เด็กคนหนึ่งที่ดูอย่างกับลิงอุรังอุตัง วิ่งทั่กๆๆ เข้ามาแทรกแล้วกอดหมับเข้าทางด้านหลังของฮาจุน ฮาจุนผู้ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านโน้ต สะดุ้งโหยงพลางหันหลังไป

ก่อนที่ฮาจุนจะทันได้ตอบว่าอะไร มูคยอมก็ก้าวฉับๆ เข้าไปจับแขนของลิงอุรังอุตังอย่างรวดเร็วเพื่อดึงตัวของไอ้เด็กนั่นให้แยกออก อุรังอุตังกับฮาจุนทำอะไรไม่ถูกแล้วมองมูคยอมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“ถ้าโฉบใส่คนที่กำลังมีสมาธิจากข้างหลังแบบนั้นก็อาจบาดเจ็บได้”

เมื่อมูคยอมกล่าวตำหนิเสียงต่ำ อุรังอุตังก็ทำสีหน้าเคอะเขินแล้วก้มหัวลง

“ขอโทษครับ โค้ช ผมหยอกเล่นเฉยๆ… ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นครับ”

“ไม่หรอก ไม่เป็นไร คิมมูคยอมก็โอเวอร์เกิน ไม่ต้องใส่ใจหรอก”

ฮาจุนพูดปลอบก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงยังใส่ใจกับท่าทีน่ากลัวของมูคยอมอยู่ นักกีฬาคนนั้นจึงหลบออกไปทันที ข้างกายฮาจุนเหลือเพียงมูคยอมคนเดียว

มูคยอมนิ่วหน้าเล็กน้อยแล้วกวาดตามองสนามฝึกปราดหนึ่ง ทั้งตรงนี้ทั้งตรงโน้นต่างก็โกลาหลไปด้วยพวกผู้ชายเหลี่ยมจัด พวกที่เหมือนกับแบคทีเรีย ขนาดเขาเองยังบังคับไม่ให้ตัวเองแตะต้องอีกฝ่ายตามอำเภอใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นแตะเนื้อต้องตัวฮาจุนได้ นี่เป็นสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นภัยอย่างมากสำหรับฮาจุน

“คิมมูคยอม…”

มูคยอมกำลังส่ายหน้าไปมา แต่แล้วก็หันไปด้านข้างเพราะเสียงเรียกของฮาจุน อีกฝ่ายพูดขึ้นทั้งที่กำลังมองสมุดโน้ตด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ตอนนี้นายกำลังทำอะไรอยู่”

“ฉันพูดอะไรผิดหรือไง ถ้าหยอกเล่นแบบนั้นพลาดไปก็จะบาดเจ็บจริงๆ นะ”

“อย่าขัดขวางการทำงาน แล้วก็อย่าจินตนาการอะไรแปลกๆ แล้วมาต่อว่านักกีฬาคนอื่นแบบผิดๆ ด้วย”

มูคยอมเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับ

“ฉันไม่ได้จินตนาการอะไรแปลกๆ”

เขาไม่ได้จินตนาการแบบอื่นจริงๆ แต่จะมองดูท่าทีของคนอื่นเข้ามากอดรัดเอาตัวถูไถตามใจชอบอยู่นิ่งๆ ได้ยังไงกัน ทว่าหากอธิบายแบบนั้น ฮาจุนก็คงจะไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงยืนอยู่ข้างฮาจุนเงียบๆ แล้วเรียกอีกฝ่าย

“อีฮาจุน”

“ทำไม”

“มองฉันหน่อย”

ฮาจุนเงยหน้าขึ้นมองมูคยอมด้วยสายตาสื่อคำถามว่ามีอะไร มูคยอมกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง แต่ฮาจุนกลับถามซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ทำไม”

‘ทำไมอย่างนั้นเหรอ ฉันเปลี่ยนทรงผมไงเล่า’

มูคยอมทักท้วงทางสายตา แต่ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่รู้จริงๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปหากลุ่มโค้ชที่เรียกตนเองพอดี

‘ท่าทีเหมือนลูกวัวมึนตึงแบบนั้น…’

ในตอนนี้ กระทั่งความคิดภายในใจก็ไม่ถูกระบายออกมาอย่างหยาบกระด้างเหมือนเคย แต่มูคยอมกลับบ่นงึมงำอยู่ในใจอย่างถึงที่สุด อีฮาจุนคือคนที่วิเคราะห์การเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของเขา เพราะอย่างนั้นก็ต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ดูท่าทีเมินเฉยและแกล้งทำเป็นไม่รู้นั่นสิ ไม่ว่ายังไง การดึงดูดโดยรูปลักษณ์ภายนอกคงจบสิ้นลงโดยไม่ได้ผลอะไรมากนัก

“เอ้าๆ ทุกคนเข้าแถว!”

นักกีฬามายืนรวมกันตามคำสั่งของผู้จัดการทีม เขาแจ้งเรื่องที่ต้องประกาศให้ทราบ

“ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำหรับการแข่งนัด A เราเลยไม่มีแข่ง แต่ถึงยังไง นักกีฬานอกเหนือจากกลุ่มที่ถูกเรียกตัวก็จะฝึกซ้อมเช่นเดียวกับปกติ ส่วนพวกที่ถูกเรียก ตั้งแต่บ่ายวันนี้จะเริ่มฝึกล่วงเวลา ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกันด้วยละ”

ยังไม่ทันตั้งตัวก็ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับเวิลด์คัพปีหน้าอย่างจริงจัง นอกเหนือจากประเทศเจ้าภาพ มีเพียงทีมที่ผ่านการแข่งคัดเลือกรอบสุดท้ายแบบแบ่งโซนตามแต่ละทวีปขึ้นมาเท่านั้น ที่จะเข้าไปสู่การแข่งขันเวิลด์คัพรอบชิงชนะเลิศ คู่แข่งที่จะเจอเป็นทีมแรกสุดคือเลบานอนซึ่งไม่ได้ต่อกรยากสักเท่าไรนัก นับจากการแข่งขับรอบคัดเลือกโซนเอเชีย จนถึงการเข้าไปสู่เวิลด์คัพรอบชิงชนะเลิศ ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่จะพอจะประสบกับความยากลำบากอะไรมากมาย เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะได้ยินประกาศจากผู้จัดการทีม พวกนักกีฬาก็ยังนิ่งเฉยได้เหมือนในเวลาปกติ

“โค้ชอี มาทางนี้สักเดี๋ยวสิ!”

ในขณะที่พวกนักกีฬากำลังวิ่ง ผู้จัดการทีมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ม้านั่งก็เรียกฮาจุน

“มีอะไรเหรอครับ”

เมื่อวิ่งเข้าไปหาแล้วเอ่ยปากถาม ผู้จัดการทีมก็พูดขึ้นโดยลดเสียงเบาลงนิดหน่อย

“โค้ชอี ลองเข้าร่วมเป็นสตาฟในการแข่งนัด A คราวนี้ดูไหม”

“ครับ? ผมเหรอครับ”

สโมสรจัดตั้งกลุ่มโค้ชสำหรับทีมชาติเสร็จลงไปแล้วเมื่อตอนต้นปี และแน่นอนว่าฮาจุนซึ่งเป็นโค้ชมือใหม่ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มผู้ถูกคัดเลือก ฮาจุนได้แต่กะพริบตาปริบๆ ให้กับข้อเสนอที่ไม่เคยคิดมาก่อน พร้อมทั้งทำสีหน้างงงัน

“น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับโค้ชอีไม่ใช่เหรอ บอกว่าตอนแรกเป็นชั่วคราวก็จริง แต่ดูจากการทำงานของโค้ชแล้วปีหน้าก็อาจจะรวมเข้ากลุ่มอย่างเป็นทางการก็ได้”

“ผมต้องขอบคุณมากจริงๆ ครับ แต่ทำไมถึงยื่นข้อเสนอแบบนั้นกับผม…”

ฮาจุนทำตาโต ผู้จัดการทีมมองเขาพร้อมกับทำสีหน้าประหม่า

“ฉันก็ไม่ได้ตัดสินใจเองหรอก เรื่องนี้รู้กันไว้สองคนนะ จริงๆ แล้วเหมือนว่าทางเอเจนซี่ของคิมมูคยอมจะขอมาแบบนั้นน่ะ บริษัทนั้นมีอิทธิพลกับทางสโมสรมากเลยใช่ไหมล่ะ”

“…”

“คิมมูคยอมบอกว่าถ้าโค้ชอีไม่ไปด้วย เขาก็ไม่อยากไปน่ะสิ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสนิทกันมากจริงๆ”

ผู้จัดการทีมหัวเราะโฮ่ๆ และดูปลาบปลื้มใจอย่างแท้จริง ฮาจุนหัวเราะแห้งๆ ตามเขาแล้วเบนสายตาไปมองมูคยอมซึ่งกำลังวิ่งอยู่ด้วยจิตใจอันว้าวุ่น

วันนี้มูคยอมกลับมาวิ่งฉิวอีกครั้ง ราวกับว่าสภาพร่างกายในตอนนี้ฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งที่เคยบอกว่าถ้าไม่ได้มีเซ็กส์กับเขาแล้วรู้สึกเหมือนจะตาย อีกทั้งยังป่วยออดๆ แอดๆ แต่ถึงไม่มีเซ็กส์กันก็เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงดี บทสนทนาเมื่อวานก็ดูเหมือนไม่ได้จบลงด้วยบทสรุปที่ดีเลยสักนิด แต่เจ้าตัวกลับดูมีพลังแถมยังแต่งหล่ออย่างเต็มที่ ดูท่าว่าเรี่ยวแรงตอนนี้คงกลับมาเต็มร้อยแล้ว

ถ้าเวลาผ่านไปจะรู้ว่าความกังวลที่ไม่จำเป็นที่สุดในโลก ก็คือความกังวลเกี่ยวกับคิมมูคยอม ฮาจุนนั่งลงบนม้านั่งแทนที่จะกลับไปในสนามอีกครั้ง จากนั้นก็ทอดสายตามองพวกนักกีฬาไกลๆ

พอถึงปีหน้า การแข่งเวิลด์คัพก็จะกลับมาอีกครั้ง

เวิลด์คัพครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนของอีฮาจุนกลายเป็น ‘เรื่องที่ผ่านไปแล้ว’ อย่างสิ้นเชิง

มันเป็นเวิลด์คัพที่ประชากรเกาหลีทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและคาดหวังกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ว่ามีคิมมูคยอมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องผ่านเข้ารอบสิบหกทีมสุดท้ายอยู่แล้วใช่ไหม ทว่าหลังเวิลด์คัพเริ่มต้นขึ้นจริงๆ มันกลับจบสิ้นลงอย่างน่าสมเพชจนไม่สามารถเปรียบเทียบกับบทสนทนาใดๆ ก่อนหน้านี้ได้เลย

เป็นเพราะการพ่ายแพ้ในรอบคัดเลือกสิบหกทีม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกครั้งก็จริง แต่เท่าที่ฮาจุนรู้ ความเห็นของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับทีมชาติในช่วงการแข่งขันเวิลด์คัพและบรรยากาศภายในทีมไม่เคยเลวร้ายอย่างหนักถึงขนาดนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในระยะเวลาที่เวิลด์คัพถูกจัดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง

ถึงอย่างนั้น สำหรับเขาก็เป็นเวิลด์คัพครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้แย่นัก เขาบรรลุความฝันที่อยากลองได้รับเลือกให้ลงแข่งกับมูคยอมสักครั้ง อีกทั้งถึงแม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ และถึงแม้มูคยอมจะจำเขาไม่ได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ช่วยทำแอสซิสต์ให้มูคยอมยิงเข้าประตู แล้วมูคยอมก็ยิ้ม แถมยังถึงกับกอดเขาด้วย

ฮาจุนเป็นนักกีฬาที่ได้ยินคนบอกว่า ‘ได้รับการประเมินช้าเกินไป’ อยู่บ่อยๆ เขาค่อนข้างได้รับความนิยมในสายตาของแฟนๆ ผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลลีกในประเทศ และถูกเรียกตัวให้เข้าทีมชาติอย่างสม่ำเสมอ แต่เพราะไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักเป็นประจำ จึงไม่โดดเด่นในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่สักเท่าไร

ถึงแม้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีซะส่วนใหญ่หากเทียบกับตอนเริ่มต้นอย่างเรื่อยเปื่อย แต่ตลอดเวลาที่ฮาจุนเล่นฟุตบอลอาชีพ เขาค่อนข้างจะไม่มีโชค สาเหตุหลักที่สุดเป็นเพราะในบรรดาผู้จัดการทีมที่เคยพบเจอ คนที่ชำนาญกับกลยุทธ์การเล่นที่นำเอาความสามารถของฮาจุนมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีจำนวนไม่เยอะนัก

ฮาจุนได้รับความสนใจจากคนหมู่มากเป็นครั้งแรก เนื่องมาจากการเล่นอย่างมีชีวิตชีวาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสองสามอย่าง รวมถึงการแอสซิสต์ในเวิลด์คัพครั้งนั้นด้วย การทำสัญญาย้ายสังกัดไปยุโรปซึ่งไม่เคยแม้แต่จินตนาการว่าจะมีโอกาสเข้ามาก็ดำเนินไปจนถึงขั้นประสบความสำเร็จ ต่อให้บอกว่าช้าเกินไป แต่ฮาจุนก็อายุเพียงยี่สิบสี่ปี เพราะฉะนั้น อย่างน้อยถ้าหากสามารถเล่นกีฬาได้อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป เขาคงจะลืมช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่เคยไม่มีโชคจนหมดสิ้นไปแล้ว

พอลองคิดดู ช่วงเวลาที่ดำเนินผ่านมาในตอนนั้นก็มีความดีความชอบของมูคยอมอยู่ด้วย เพราะทั้งที่ในทีมเต็มไปด้วยความไม่ลงรอยกันจนการฝึกไม่สามารถดำเนินให้เสร็จสิ้นได้ตามปกติ แต่เขาก็เปิดบอลให้คิมมูคยอมอย่างแม่นยำได้ นั่นเป็นเพราะเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายเกี่ยวกับฟุตบอลของคิมมูคยอมในตอนปกติ

ถ้าหากคนที่กำลังวิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่มูคยอม เขาเองก็คงจะแสดงให้เห็นความสามารถแบบนั้นออกมาไม่ได้เช่นกัน

ฮาจุนกำลังจมอยู่ในความทรงจำสมัยก่อน แต่แล้วก็สะบัดหัวครู่หนึ่งราวกับจะสลัดความทรงจำนั้นทิ้งไป เขาลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินเข้าไปในสนามหญ้าพร้อมกับมองมูคยอม ยังไงก็เป็นคนไม่เชื่อฟังใครเลยจริงๆ ตอนเขาบอกว่าไม่เอาๆ ก็เข้ามาวุ่นวายชวนให้ทำ แต่พอเขาตอบตกลงว่าจะทำ คราวนี้กลับยืนกรานจากทางเจ้าตัวเองว่าทำทั้งแบบนี้ไม่ได้

เขารู้ว่ามูคยอมต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นเพราะเกิดความใคร่ หรือเป็นเพราะใจโลเล แต่ตอนนี้อีกฝ่ายก็ต้องการจะคบหากันในฐานะคนรัก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากตอบรับตามที่อีกคนต้องการเหมือนกัน แต่อย่างน้อยในตอนนี้ ดูเหมือนว่าตัวเขาคงเหนื่อยล้ามากเกินกว่าจะรับหน้าที่เป็นคนรักผู้อ่อนโยน ซึ่งมูคยอมน่าจะกำลังวาดภาพอยู่ในหัว

ไม่ใช่เรื่องยากที่ฮาจุนจะยกยิ้มต่อหน้าผู้คนซึ่งเจอกันเพียงชั่วครู่ในที่ทำงาน แต่ตอนอยู่กับมูคยอมกลับต่างออกไป ตอนมีความสัมพันธ์แค่ทางกาย เขาเผชิญกับทุกอารมณ์ของอีกฝ่ายมาหมดแล้ว เขาเองก็ไม่มีประสบการณ์ แต่การคบหากันแบบคนรักก็น่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่านั้นอย่างแน่นอน

เขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถต้านทานความลึกซึ้งของความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แค่จะจับจุดสำคัญว่าจะต้องเริ่มคิดอะไรยังไงจากตรงไหนก็ยังทำไม่ได้ ในหัวของเขายังคงทำได้เพียงตีกันจนยุ่งเหยิงเท่านั้น สำหรับมนุษย์ ไม่ว่ายังไงก็คงจำเป็นจะต้องฝึกหัดการฟื้นฟูสภาพหัวใจด้วย ไม่ใช่แค่กับร่างกายอย่างเดียว ในตอนที่ฟื้นฟูเสร็จสิ้น มูคยอมจะยังมีความสนใจในตัวเขาต่อไปอยู่หรือเปล่านั้น… พูดตามตรงว่าเขาไม่คาดหวัง

แต่ยังไงก็โล่งอกไปที เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเขาเลย แต่สภาพร่างกายของคิมมูคยอมก็ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว

* * *

สถานที่ฝึกซ้อมของนักกีฬาตัวแทนประเทศซึ่งถูกเรียกตัวมาในการแข่งนัด A คือเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ที่เมืองพาจู ในทีมซิตี้โซล มีมูคยอมกับจองคยูถูกเรียกตัว และนอกเหนือจากฮาจุนก็มีอีกหนึ่งคนที่เข้าร่วมมาในฐานะสตาฟด้วย

มูคยอมเข้ามาในเซ็นเตอร์ วันนี้ก็ยังเซ็ตผมเปิดหน้าผากอย่างไม่ยอมแพ้ เขาหันหน้าไปมาเพื่อมองหาฮาจุนก่อนใคร เมื่อวานกะว่าจะเลิกงานด้วยกัน แต่ในช่วงที่มูคยอมเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ อีกฝ่ายดันรีบร้อนกลับบ้านไปแล้วเสียได้

“อิมจองคยู มาแล้วเหรอ”

ทันทีที่ผ่านทางเข้าเข้ามา นักกีฬาคนหนึ่งก็เดินมาหาจองคยูพร้อมกับทักทาย นักกีฬาคนนั้นไฮไฟว์เบาๆ กับจองคยู จากนั้นก็ปรายตามองมาทางมูคยอมซึ่งยืนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง จองคยูรีบพูดขึ้นก่อน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทักทายซะสิ ฮยอนจินย้ายสังกัดไปกาตาร์เมื่อฤดูร้อนนี้เอง ที่นั่นเป็นไงบ้าง”

“ที่ที่มีคนอาศัยอยู่ก็เหมือนกันไปหมดนั่นแหละน่า ถึงอย่างนั้นก็น่าจะยังต้องใช้เวลาปรับตัวอีกหน่อย คิมมูคยอม ไม่ได้เจอกันนานนะ”

มูคยอมมองอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็ยกยิ้มขึ้นแล้วยื่นมือไป

“อืม ไม่เจอกันนาน คราวนี้ก็มาพยายามให้ดีกันเถอะ”

นักกีฬาที่เข้ามาทักทาย จับมือตอบมูคยอมพร้อมทั้งเหลือบมองเขาราวกับรู้สึกเกินคาดนิดหน่อย จากนั้นก็คุยเรื่อยเปื่อยอีกสองสามคำแล้วเดินไป จองคยูลดเสียงลงพูด

“พูดจาดีๆ แล้วก็ทักทายคนอื่นดีๆ ด้วยนะ เพราะมีคนที่นายเคยเจอบ่อยๆ ก็จริง แต่ก็มีคนที่ไม่เคยเจอ… อย่างแรกก็ไปให้คนอื่นเห็นหน้าค่าตาแล้วทำตัวแบบมีมนุษยสัมพันธ์ดีก่อนแล้วกัน”

“รู้แล้วน่า”

มูคยอมถอนหายใจเบาๆ ตามที่จองคยูพูด เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์แย่กับทุกคน แต่ในบรรดาผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็มีคนที่รู้สึกไม่ดีกับมูคยอมปะปนอยู่ด้วย แม้ไม่มีใครบอก ตัวเขาเองก็รู้ดีที่สุดอยู่แล้ว

มีการเรียกตัวเข้าร่วมทีมชาติทุกปี เพราะฉะนั้น หลังจากจบเวิลด์คัพไปก็ยังจะได้เจอและลงเล่นด้วยกันสักสองสามครั้งในหนึ่งปีอยู่ดี ทว่าการแข่งอุ่นเครื่องในช่วงที่ไม่มีทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นการแข่งแบบรอบเดียวจบ เหล่านักกีฬาผู้ยุ่งวุ่นวายจึงมารวมตัวกันอย่างเร่งรีบและลงแข่งกันกันอย่างพอประมาณ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปโดยไม่มีจังหวะจะให้จัดการกับก้อนตะกอนที่ตกค้าง พวกเขาจำต้องใช้เวลาด้วยกันอย่างยาวนานเหมือนช่วงเวิลด์คัพ พร้อมกับพยายามเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต่างกับคราวก่อน

เมื่อรู้สึกปวดหัวก็อยากเจอฮาจุนขึ้นมา มูคยอมไล่สายตามองพิจารณาตรงจุดที่พวกสตาฟรวมตัวกันอยู่อย่างว่องไว เขามองหาอยู่แบบนั้น แต่แล้วก็เบิกตากว้างขึ้น

“อะไรน่ะ”

คำพูดสั้นๆ ที่ออกมาจากปากของมูคยอม ทำให้จองคยูถามขึ้น

“อะไร”

“คนนั้นอยู่ในกลุ่มโค้ชด้วยเหรอ”

“ใคร”

จองคยูเบนสายตาไปมองตามสายตาของมูคยอม

“คนนามสกุลยุนไงเล่า”

“พี่แชฮุนน่ะเหรอ ก็ต้องแหงอยู่แล้วสิ โค้ชกายภาพมีไม่เยอะ ก็คงต้องได้รับเลือกเข้ามาอยู่แล้ว มีข่าวลือว่าขอให้พี่เขาเข้าทีมเกาหลีเพราะจะเตรียมพร้อมสำหรับเวิลด์คัพปีหน้าด้วยนะ”

จองคยูหรี่ตาลง

“นาย อย่าไปทำตัวอึมครึมแล้วหยาบคายใส่พี่เขาอีกนะ ตอนนั้นเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ พี่เขาไม่ได้สังกัดทีมเดียวกับเราก็เลยปล่อยผ่านไปได้ แต่ถ้านายทำแบบนั้นที่นี่ ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะด่าแล้วก็ไล่เตะนายให้หลาบจำไปเลย อย่าก่อความเดือดร้อนตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้วก็ทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ซะ”

มูคยอมไม่ตอบกลับคำพูดของจองคยูแล้วทำเพียงทอดมองไปทางนั้น เป็นไปตามที่คาด ฮาจุนยืนอยู่แนบชิดกับกับคนคนนั้น สีหน้าก็ยังยิ้มหวานอยู่ ต่างกับเวลาอยู่ต่อหน้าเขา หลังจากคุยเรื่องนั้นกับเขา ฮาจุนก็ดูไร้เรี่ยวแรงตลอดทั้งวันนี้ แต่ทันทีที่เจอยุนแชฮุนก็กลับมามีชีวิตชีวาถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ

เกินคาดสุดๆ ที่เขาขอให้เอาฮาจุนเข้าร่วมกลุ่มโค้ชทีมชาติ เป็นเพราะอยากให้อีกฝ่ายได้อยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นสภาพใกล้ชิดกับไอ้คนนามสกุลยุนนั่นสักหน่อย!

ตอนนี้เขามองดูใบหน้ายิ้มแย้มแบบนั้นใกล้ๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไอ้ผู้ชายมีครอบครัวแล้วคนนั้นกลับได้รับรอยยิ้มสวยถึงขนาดนั้นไปรัวๆ ราวกับน้ำตก มูคยอมกำลังอารมณ์เดือดดาลเพราะคับแค้นใจที่ไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองทำ แต่แล้วจองคยูก็พูดขึ้นอย่างไม่รู้จังหวะเอาเสียเลย

“นายไม่เป็นไรใช่ไหม”

“…อะไร”

มูคยอมไม่อธิบายว่าถามเกี่ยวกับเรื่องอะไรและเพียงแค่ก้มลงมองฮาจุนเท่านั้น ฮาจุนจ้องอีกฝ่ายกลับโดยทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจับจ้องใบหน้าเขาเขม็งมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกินต้าน ในที่สุดฮาจุนก็ทนไม่ไหว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันหน้าไป

‘ฟู่’ ในขณะที่ฮาจุนพรูลมหายใจพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังกำแพงที่มีคราบไคลเปรอะเปื้อนทับบนสีทาผนัง ท่ามกลางความเงียบงันชั่วขณะ จู่ๆ น้ำตาที่เอ่อขึ้นก็ไหลลงมาตามแก้มหยดหนึ่งทั้งที่ไม่มีวี่แววและไม่มีลาดเลามาก่อน ฮาจุนรีบยกข้อมือด้านในเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มด้วยความสับสน

“อีฮาจุน”

มูคยอมตกใจและทำท่าจะเข้ามากอดเขา แต่ฮาจุนก็โบกมือห้ามไว้ โชคดีที่น้ำตาที่ล้นปริ่มออกมา หยุดไหลในทันทีและไม่มีทีท่าว่าจะไหลออกมามากกว่านี้

ไม่คิดจะร้องไห้เลยแท้ๆ

ไม่ได้ร้องเพราะเศร้า ไม่ได้ร้องเพราะโกรธ แต่ใจของเขากำลังเจ็บช้ำเพราะอะไรบางอย่าง

“ไม่ใช่เพราะนายหรอก ฉันไม่เป็นไร”

พอร้องไห้ให้เห็นเหมือนคนโง่ก็เลยกลายเป็นว่าไม่สามารถขึ้นบ้านไปเสียเฉยๆ ได้ มูคยอมทำสีหน้าลุกลี้ลุกลน ฮาจุนสบตากับมูคยอมอีกครั้งแล้วลังเลว่าจะพูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้”

ฮาจุนเรียบเรียงความคิดแล้วกลืนน้ำลายลงลำคอที่แข็งเกร็งขึ้นมา

“ใช่แล้ว ถูกแล้วล่ะ ฉันยังชอบนาย ที่นายพูดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกขอบคุณ แต่ว่า”

“…แต่ว่า”

“ในตอนที่ชอบนาย ฉันไม่ค่อยจะเหนื่อยสักเท่าไรเลยนะ กลับตรงกันข้ามซะอีก ตอนนี้นายก็น่าจะรู้แล้ว เพราะนายเป็นคนที่เหมือนกับไอดอลสำหรับฉัน สำหรับฉันน่ะนะ… มันคล้ายกับการหายใจเลย ถ้าตอนนี้ฉันจินตนาการว่าตัวเองไม่ชอบนาย ฉันก็เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองจนรู้สึกฝืนเลยล่ะ”

ฮาจุนสูดหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมกับปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ

“พวกแฟ้มที่นายเห็นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก ฉันสะสมมานานก็เลยดูเยอะ สำหรับฉันมันก็เป็นแค่ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกับงานอดิเรกนั่นแหละ ถึงจะไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นดูเป็นยังไงก็เถอะ”

“…”

“ตอนใช้เวลากับนายเหมือนเมื่อก่อนก็… นั่นแหละ พูดตามตรงว่าฉันเสียใจหลายครั้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ตัวเองชอบ แล้วจะรู้สึกไม่ดีได้ไงล่ะ ฉันตัดสินใจเองว่าจะทำ เคยเลิกคาดหวังไปครั้งหนึ่งแล้วก็โล่งใจขึ้นด้วย ฉันสบายใจจนถึงก่อนที่จะทะเลาะกับนายแบบนั้น”

น้ำตาที่เคยหยุดไหลกลับร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง มูคยอมตกใจแล้วขยับไหล่โดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่สามารถแตะต้องตัวของฮาจุนได้ในทันที

“แต่ว่า… พอคิดว่าจะได้อยู่ข้างๆ นายอีกครั้ง ทำไมฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ…”

ท้ายประโยคแผ่วเบาลง ในขณะเดียวกัน หยาดน้ำตาก็ไหลออกมามากกว่าเมื่อครู่นี้ ฮาจุนยกมือข้างหนึ่งปิดน้ำตาไว้ ครั้งนี้เขาก็ควบคุมมันไม่ได้ เหมือนตอนที่ร้องไห้ไม่หยุดราวกับคนโง่ในอ้อมกอดของมูคยอม

ตอนสารภาพรักกับมูคยอมว่าชอบ ถ้าอีกฝ่ายตอบเขากลับมาเช่นเดียวกับตอนนี้ เขาจะดีใจได้ในทันทีไหมนะ ถ้าเป็นตอนก่อนที่มูคยอมจะเข้าใจผิดจนเราสองคนมีปากเสียงกัน มันจะแตกต่างจากเดิมหรือเปล่านะ

คำพูดที่เคยเฝ้ารออยู่ภายในใจ น่าจะเป็นคำที่ควรต้องรับฟังอย่างสุขใจแท้ๆ แต่หัวใจของฮาจุนกลับหนักอึ้ง ความจริงข้อนั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บช้ำ

เขาตั้งใจจะยินยอมทำตามที่มูคยอมชวนให้กลับมาเป็นคู่นอน เขาตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตัวตามที่อีกฝ่ายต้องการจนกว่าฤดูกาลจะจบลง และถ้ามูคยอมกับไปลอนดอนเมื่อไรก็ตัดสินใจว่าจะลืมทุกอย่างไปให้หมด ยังไงก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือนแล้ว เพราะอย่างนั้นถ้ายอมอ่อนให้มูคยอมอย่างพอสมพอควร ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก

ยังไงเขาก็ไม่เคยไม่ชอบเซ็กส์กับมูคยอม ร่างกายเขาไม่ได้ต้องหวงแหนอะไรขนาดนั้น คิดยังไง ฮาจุนก็รู้สึกว่าฟุตบอลของคิมมูคยอมซึ่งส่งผลต่อสิ่งต่างๆ มากมาย สำคัญกว่าความรู้สึกของเขาคนเดียว ฮาจุนตัดสินใจที่จะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำมาเป็นเหนียมอายแล้วบอกปฏิเสธ เหมือนที่อีกฝ่ายเคยพูดกับเขา

แต่จู่ๆ ดันมาชอบเขาในเวลาเพียงคืนเดียวเนี่ยนะ

หัวใจที่ถูกย่ำยีอย่างไร้ค่าจนเหนื่อยล้า ไม่สามารถไล่ตามระยะห่างนั้นได้ทัน ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องราวมากเกินกว่าจะแค่รู้สึกดีใจกับคำพูดนั้น ยังคงมีจิตใจด้านอื่นแยกออกต่างหากกับจิตใจที่รู้สึกรักใคร่มูคยอมอย่างลึกซึ้ง

มูคยอมบอกว่าชอบเขา แต่ในวินาทีที่เขาควรต้องรู้สึกเหมือนฝัน กลับมีคำพูดอื่นโผล่ขึ้นมาอยู่เรื่อย

ทั้งที่เคยบอกว่าเขาเป็นจอมหลอกลวงที่หัวเราะฮิฮะกับผู้หญิงโดยที่ด้านหลังถูกผู้ชายขย่ม ทั้งที่เข้าใจคนอื่นผิดไปเองแล้วพูดแจกแจงเป็นฉากๆ แถมยังบอกเขาว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ก็ช่างเพราะฉะนั้นอย่ามาพะเน้าพะนอใกล้ๆ อีก

ทั้งที่ถามเขาว่า ไม่ใช่ว่าทำงานเป็นโค้ชเพื่อที่จะเสนอตัวให้หลายๆ คนแล้วปรนเปรอร่างกายให้เหรอ พูดแบบนั้นออกมาแล้วดันบอกขอโทษ เซ้าซี้จะให้กลับไปเป็นคู่นอนกันอีกครั้งให้ได้ อีกทั้งยังเคยเย้ยหยันกระทั่งคำสารภาพรักที่เขารวบรวมความกล้าพูดออกไป

ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายบอกชอบเขา เพราะประทับใจในคำพูดที่เขาบอกว่าชอบมาสิบปี หรือประทับใจไปชั่วขณะกับแฟ้มรวบรวมข้อมูลที่เขาเก็บไว้ในห้องหรือเปล่า แต่ความรู้สึกชื่นชมนั้นจะไปได้ไกลสักแค่ไหนกัน เขาเคยเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับอีกฝ่าย เคยรู้สึกราวกับถูกผลักลงพื้นอย่างไม่สนใจไยดีอยู่หลายครั้ง ถ้าจับคำพูดนั้นไว้แน่นๆ เพื่อลุกขึ้นไปแล้วถูกผลักกลับลงมาอีก ตอนนั้นเขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

เขาชินกับการเป็นฝ่ายเฝ้ามองเพียงคนเดียวมากเกินไปหรือเปล่านะ ทุกช่วงเวลาที่ได้เผชิญหน้ากับมูคยอม ในตอนนี้กลับน่ากลัวตั้งแต่ยังไม่ทันเข้ามาใกล้เสียอีก ความรักของเขาทั้งขี้กลัว ทั้งอ่อนแอ อีกทั้งยังไม่ชำนาญแบบนี้ ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีจุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนเด็ก ที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปใกล้เพราะกลัวว่าจะโดนเกลียดเลยแม้แต่น้อย

ฮาจุนเอามือที่บดบังการมองเห็นลง มูคยอมกำลังจ้องมองฮาจุนโดยทำตาโตและอ้าปากเล็กน้อย สีหน้าของเจ้าตัวบ่งบอกว่าไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไร ฮาจุนเข้าใจความสับสนของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกกับตัวเองในตอนนี้เช่นเดียวกัน

“อีฮาจุน… ฉัน…”

มูคยอมเรียกชื่อเขาอย่างกระอึกกระอักด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แม้จะการแก้ตัวกอปรกับบรรยากาศที่เป็นใจแต่สำหรับมูคยอมแล้วก็ไม่สามารถพูดจาฉะฉานได้อย่างเคย คิ้วของมูคยอมค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน แขนยกขึ้นมาราวกับตั้งใจจะดึงร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าไปกอด แต่แล้วก็หยุดชะงัก ฮาจุนไม่คุ้นเคยกับท่าทีลังเลโดยที่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะกอดเขาเลย

ทว่าถึงแม้จะลังเล แต่ในที่สุด มูคยอมก็โอบตัวฮาจุนเข้ามากอด แรงโอบรัดอันแสนอ่อนโยนของแขนที่กกกอดเขาไว้อย่างระมัดระวังในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ฮาจุนเองก็หลับตาลงโดยไม่พยายามที่จะขืนตัวหรือสะบัดให้หลุด

เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกถึงขนาดนี้ คำขอโทษที่ไม่รู้สึกว่าเป็นคำโกหกเลยแม้แต่น้อย ดังกระทบบนใบหูราวหยาดน้ำฝน

“ฉันขอโทษ จริงๆ นะ… ขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษ ขอโทษนะ”

เสียงของมูคยอมสั่น แขนที่โอบรัดบีบกระชับเข้ามา แล้วเสียงท้ายประโยคที่รีบร้อนขึ้นก็แหบเครือราวกับถูกบีบรัดอย่างแรง

ฮาจุนไม่ตอบ เขาได้ยินคำว่าขอโทษมามากเกินพอ ไม่อยากจะคิดเลยว่าคำขอโทษของเขาจะเป็นเรื่องโกหก เขาไม่ได้ต้องการจะรับคำขอโทษจากอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ และไม่ต้องการบีบบังคับให้อีกฝ่ายร้องขออภัยในความผิด เห็นเคยบอกว่าถ้าต้องการก็จะคุกเข่าให้หรือเปล่านะ ภาพคิมมูคยอมคุกเข่า เขาเองก็ไม่อยากเห็นเป็นอันขาดด้วยเหมือนกัน

ฮาจุนคิดว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเสแสร้งหรือเปล่าแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ว่ากันว่าถ้าแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเด็กที่หกล้มแล้วปล่อยไว้อย่างไม่สนใจ เด็กก็จะไม่ร้องไห้ แต่ถ้าให้ความสนใจเมื่อไรก็จะร้องไห้ออกมา เป็นเรื่องที่น่าขำ ตอนมูคยอมทำตัวหยาบกระด้าง เขาเคยยืนหยัดอยู่ในความคิดของตัวเองว่าไม่อยากหลงเข้าไปพัวพันอีกฝ่าย เพราะอย่างนั้นจึงนึกว่าตัวเองปล่อยผ่านความเจ็บปวดไปได้ เพียงแค่ลูบมันหนึ่งครั้ง แต่เมื่อได้กับการปลอบโยนจากฝ่ายนั้น กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกเหมือนเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม

“ต้องทำยังไง ยังไง…”

เสียงกระซิบของมูคยอมแผ่วเบาลงไปเมื่อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อจากนั้น

‘ต้องทำยังไง นายถึงจะชอบฉันอีกครั้ง’ ถ้าถามแบบนั้น ฮาจุนก็จะตอบว่าฉันยังชอบนายอยู่

‘ต้องทำยังไง นายถึงจะยกโทษให้ฉัน’ ถ้าถามแบบนั้น ฮาจุนก็จะตอบว่าฉันยกโทษให้นานแล้ว

“ต้องทำยังไง… นายถึงจะอยู่ข้างฉันอีกครั้ง”

ฮาจุนไม่ตอบกลับมา ร่างกายที่ถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนขยับอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าอีกฝ่ายเองก็หาคำตอบไม่เจอเหมือนกัน มูคยอมกัดฟัน

ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา ตอนฮาจุนมอบร่างกายให้เขาอย่างเต็มใจ ตอนเผยความรู้สึกให้เขารับรู้โดยบอกว่าชอบ ไม่สิ อย่างน้อยในตอนที่ฮาจุนกลับมาหลังพักร้อนแล้วเขาไปขอโทษฮาจุนเป็นครั้งแรก ถ้าเขาซื่อสัตย์มากกว่านี้ มันก็คงจะไม่มาถึงตรงนี้หรอก

‘โอกาสมีอยู่มากมายจนเกลื่อนแท้ๆ’ ในตอนที่มูคยอมกำลังโทษตัวเอง ก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของฮาจุนผู้ซึ่งน้ำตาหยุดไหลแล้ว

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะเลิกมีความสัมพันธ์กับนายนะ อย่างน้อยก็เพราะสภาพร่างกายของนาย ฉันจะไม่ทำแบบนั้น”

ฮาจุนไม่ได้ใช้คำพูดตรงไปตรงมา แต่ก็เหมือนจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดจนนึกไม่ชอบใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำตอบซึ่งพูดอ้อมๆ เหมือนไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ภายในหัวของมูคยอมรู้สึกราวกับถูกแผดเผา มูคยอมจ้องฮาจุนเขม็งอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกัดฟันกรอดอยู่ข้างในปาก

แน่นอนว่าการครอบครองร่างกายฮาจุนนั้นไม่ยากเลย เพราะยังไงซะ แค่ตอนเมื่อครู่นี้ อีฮาจุนก็ขึ้นมาบนรถของเขาด้วยความคิดที่ว่าจะมอบร่างกายให้ ถึงจะเป็นตอนนี้ แต่ถ้าบอกให้ถอดก็คงถอด ถ้าบอกให้นอนลงก็คงจะนอนแน่ๆ

แต่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อคืนก่อนยังคิดว่าแค่ได้ครอบครองเรือนร่างของอีกฝ่าย ทุกอย่างก็คงจะคลี่คลาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้แล้ว ต่อให้ขังฮาจุนไว้ในบ้านแล้วให้อีกฝ่ายเจอแค่เขาคนเดียว เหมือนจินตนาการที่เคยครอบงำภายในหัว ความรู้สึกกระหายซึ่งยอมรับไปแล้วครั้งหนึ่งนี้ ก็คงจะยังไม่ทุเลา

ฮาจุนถามขึ้นอย่างแผ่วเบา

“กลับไปที่รถนายอีกทีไหม บ้านนายก็ได้นะ บ้านฉันก็ไม่มีคนจนถึงดึกวันนี้แหละ แต่ทำในบ้านฉันมันก็ยังไงๆ อยู่”

ลูกแก้วที่เคยเล่นทิ้งๆ ขว้างๆ ราวกับก้อนหินที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อเจ้าของของมันเก็บขึ้นมาครั้งหนึ่งจึงพบว่ามันล้ำค่าเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ

มูคยอมกระชับอ้อมแขนที่กอดฮาจุนให้แน่นขึ้น เขาหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ทั้งที่ยังขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขามีพลัง

“ข้อเสนอให้เป็นคู่นอนน่ะ ฉันยกเลิก”

“…”

“ตอนนี้ถ้าไม่ใช่แฟนนาย ฉันไม่เอา”

ทั้งกลิ่นหอมที่โชยมาจากเส้นผมเงางาม และรูปร่างของคนในอ้อมแขน กระทั่งอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีสิ่งไหนเลยสักอย่างเดียวที่ไม่ทำให้สติของเขาแตกกระเจิง

ในหัวของมูคยอมมีเสียงตะโกนแว้ดๆ ขึ้นมาว่า ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวจะหลุดมือเข้าจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยตอนนี้ก็มัดเอาไว้ซะ แถมยังได้ยินเสียงบอกว่า ตอนอีกฝ่ายบอกไม่เป็นไรก็กอดอีกสักครั้งซะ อย่าทำให้ตัวเองเสียดายทีหลัง แต่มูคยอมก็ตะโกนบอกศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของเขาว่าให้หุบปาก

แรงที่แขนคลายออกแล้วร่างกายก็ผละออกจากกันเล็กน้อย น้ำตาหยุดไหลแล้ว แต่ขอบตาของฮาจุนยังคงแดงเรื่อ มูคยอมจ้องมองดวงหน้าขาวของอีกฝ่ายแล้วกัดฟันเบาๆ จากนั้นก็กดริมฝีปากลงบนแก้ม

“พรุ่งนี้เจอกันที่สนามฝึกนะ”

มูคยอมสวมหน้ากากบอกลาอย่างว่าง่าย แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมาทีละตัว ทีละตัว ฮาจุนมองมูคยอมผู้ทำแบบนั้นด้วยดวงตาอ่อนล้า จากนั้นก็หลุบตาลงเล็กน้อย

“นายบอกว่าถ้าไม่ทำ สภาพร่างกายนายจะไม่ดีขึ้น”

มูคยอมยิ้มพร้อมกับยักไหล่

“นายบอกว่ายังชอบฉันอยู่ก็เลยพอจะทนไหว …ในตอนนี้น่ะนะ”

“…”

ทว่าไม่นาน เสียงถอนหายใจที่สูญสิ้นความสบายใจก็ดังลอดออกมา

“โอเค ฉันอยากอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าทำแบบนั้น พูดตามตรงว่าฉันไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง ฉันมันเป็นคนใจต่ำ”

“บอกว่าทำได้ไง เป็นอะไรของนาย”

“อย่าพูดแบบนั้นบ่อยๆ นะ เพราะฉันจะบ้าแล้วจริงๆ”

มูคยอมสะกดกลั้นลมหายใจที่พรูขึ้นมาจากในท้องกลับลงไปอย่างยากลำบาก ฮาจุนคงรู้สึกค้างคาใจจึงไม่ยอมก้าวเท้าไปง่ายๆ แต่ท้ายที่สุดเมื่อส่งอีกฝ่ายขึ้นไปจนได้ มูคยอมก็กลับหลังหัน เขารู้สึกว่าระยะห่างจากตัวตึกจนถึงด้านหน้าย่านอะพาร์ตเมนต์ที่จอดรถไว้ช่างห่างไกล ถนนแห้งๆ กลับให้ความรู้สึกราวกับหนองน้ำ

มูคยอมลากเท้าที่รู้สึกเหมือนจมมิดอยู่ในพื้นดินไปขึ้นรถด้วยความยากลำบาก แล้วเอนร่างกายท่อนบนพิงกับพวงมาลัยราวกับหมดกำลัง ตอนนี้คำสบถปะปนกับเสียงถอนหายใจถึงได้เล็ดลอดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง

“อา… บ้าเอ๊ย…”

มูคยอมมีจิตสำนึก เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะดีใจจนกระโดดโลดเต้น แต่ปฏิกิริยาตอบสนองนี้หลุดออกจากขอบเขตของสิ่งที่คาดการณ์ไว้ไปไกลเหมือนกัน ตามที่อิมจองคยูพูด ตั้งแต่หนึ่งถึงพัน ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา เขาจึงไม่สามารถนึกขุ่นเคืองคนอื่นได้เลยแม้แต่น้อย

อันที่จริง ตอนไล่ตามไปบีบบังคับอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮาจุนไม่เคยให้เขาเห็นน้ำตาเลย แถมยังตอบกลับเขาอย่างฉะฉานโดยไม่ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่นึกว่าจะเป็นถึงขนาดนี้จริงๆ มูคยอมไม่รู้ว่าความเจ็บช้ำจะแผ่ลามอยู่ภายในจิตใจของฮาจุน อีกทั้งการกระทำของเขาดันเป็นการติดปลาสเตอร์ปิดแผลลงบนผิวของอีกฝ่ายแล้วจบเรื่องโดยถามว่าก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ

ฮาจุนยังชอบเขาและให้อภัยเขาแล้ว แต่คงยากที่จะได้เป็นคนรัก

เหมือนสำนวนที่ว่า ขว้างบูมเมอแรงไปยังไง มันก็จะย้อนกลับมาแบบนั้น พูดแบบสรุปก็คือ คำตอบที่เขาได้รับมาจากฮาจุนก็เหมือนกับคำพูดที่เขาเคยใช้บดขยี้จิตใจของอีกฝ่ายไม่เลิก มูคยอมตอกหัวลงกับพวงมาลัย จากนั้นก็จ้องมองไปบนท้องฟ้าแล้วตั้งคำถามขึ้นมาอย่างใจลอย

‘จากนี้ไปจะทำยังไงดีล่ะ’

เขาแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือเกมที่มีการเตรียมความพร้อมอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งดำเนินไปตามกฎที่เอื้อให้คนเพียงฝ่ายเดียวได้เปรียบ มันจบลงไปแล้ว และตอนนี้ลูกบอลถูกวางเอาไว้ตรงเส้นฮาล์ฟไลน์

ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว การเตะบอลข้ามแนวป้องกันสุดท้ายไปเข้าโกล เป็นหน้าที่ของผู้เล่นตัวรุก เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่มีคือจากนี้ไปต้องลองครุ่นคิดดูให้หัวระเบิดกันไปข้าง

ถ้าบอกว่าไม่ชอบเขาขึ้นมา มูคยอมก็จะพยายามทำให้กลับมาชอบเขาอีกครั้ง ถ้าบอกว่ายกโทษให้ไม่ได้ มูคยอมก็จะพยายามเพื่อให้ได้รับการให้อภัย แต่นี่เขาไม่รู้เลยว่าควรจะต้องจู่โจมจากตรงไหน แน่นอนว่าฮาจุนย่อมรู้อยู่แล้ว ว่าสำหรับตัวรุกนั้น การตั้งรับที่ยืดหยุ่นและควบคุมไปจนถึงช่องโหว่ตามที่จำเป็น ยุ่งยากกว่าการป้องกันอันหนาแน่นแบบไม่มีแผนรับมือเพราะตึงเครียดสุดขีดเสียอีก

ก็เป็นไปตามที่คาด เพราะถึงจะแขวนสตั๊ดไปอย่างน่าเสียดาย แต่ครั้งหนึ่งฮาจุนก็เคยเป็นผู้ตั้งรับทีมชาติเชียวนะ

——————————————————

จองคยูจดจ่ออยู่กับการจ้องมองมูคยอมที่เข้ามาในห้องล็อกเกอร์

ตอนแรก มูคยอมปล่อยผ่านสายตานั้นไปได้โดยไม่ได้พูดอะไร แต่ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวแล้วยกฝ่ามือตบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ

“จ่ายค่ามองด้วยนะ สึกหมด”

“ไม่สิ ทำไมแค่มาฝึกซ้อมแล้วแต่งหล่อถึงขนาดนี้ล่ะ จะไปพิธีมอบรางวัลหรือไง”

“แค่นี้เอง จะอะไรนัก”

เป็นสไตล์ที่แต่งให้เห็นเป็นส่วนใหญ่ในเวลาปกติด้วยก็จริง แต่จองคยูกลับพูดล้อมูคยอมผู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นที่สนามฝึกในสภาพเซ็ตผมไปด้านหลังเพื่อเปิดหน้าผาก

‘จิ๊’ มูคยอมจิ๊ปาก ถ้าพูดถึงนักกีฬาฟุตบอลที่ยุโรป พวกเขาก็ค่อนข้างจะใส่ใจเรื่องสไตล์มากกว่าคนทั่วไป อีกทั้งรูปแบบการแต่งตัวของแต่ละคนก็แตกต่างกัน จึงแทบไม่มีคนที่ยกเรื่องแบบนี้มาล้อ ยังไงก็เถอะ ถ้าหากทำท่าจะโดดเด่นกว่าคนอื่นขึ้นมาเพียงแค่นิดเดียว คนที่นี่ก็ค่อนข้างที่จะมายุ่มย่ามมากจนเกินไป แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ล้อมูคยอมเหมือนอย่างจองคยู

“หล่อมากครับ พี่มูคยอม”

“สนามฝึกมันก็ดีอย่างนี้แหละ”

“สมกับเป็นพี่จริงๆ”

เพราะว่ามีอีฮาจุนยังไงล่ะก็เลยเป็นที่ที่ดีไม่ใช่เหรอ ถึงอย่างนั้นก็มีพวกเด็กที่ชมเขาอยู่ด้วย มูคยอมจึงแค่นหัวเราะออกจมูกแล้วออกไปยังสนามฝึก ตอนนี้อากาศร้อนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดและกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมสำหรับทำการฝึกซ้อมกลางแจ้ง

มูคยอมเปลี่ยนทรงผมเพื่อเปิดโล่งให้เห็นหน้าผากที่ฮาจุนชอบ ส่วนหนวดที่โกนแบบพอประมาณเท่าที่จะมีแรงจัดการเพราะสภาพร่างกายย่ำแย่ในช่วงนี้ วันนี้ก็โกนจนเกลี้ยงเกลาดูสะอาดสะอ้าน เดิมทีรูปลักษณ์ของมูคยอมก็ดูดีอยู่แล้ว พอใส่ใจกับมันแค่นิดเดียวจึงเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน เพราะอย่างนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนมากมายจะส่งสายตามามองอย่างเกินเหตุ

เขาครุ่นคิดทั้งคืนแต่ก็ไม่เจอคำตอบอื่นที่พอจะแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้ในทันที ต่อให้เขาขุดพื้นดินเฉอะแฉะอยู่คนเดียว ความรู้สึกของฮาจุนซึ่งจมดิ่งลงไปแล้วก็ไม่กลับคืนมา ถ้ามีแรงพอที่จะขุดดิน สู้พยายามอีกสักหน่อยเพื่อกลับเข้าไปในสายตาของอีกคนอีกครั้งยังจะดีกว่า

การให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่ดูดี เป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานในการยั่วยวนใครสักคน ขนาดอยู่ในความฝัน ฮาจุนก็ยังบอกว่าชอบหน้าตาของเขา เพราะฉะนั้นก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก

“…วันนี้ฉันเหนื่อยก็เลยคงต้องรีบกลับน่ะ”

“ยังไงฉันก็ต้องไปบ้านนายอีกรอบอยู่แล้ว”

“อะไรนะ ทำไม”

ทันทีที่ถาม ความคิดของฮาจุนก็ไปจบลงตรงรถหรูของมูคยอม ซึ่งตอนนี้ก็ถูกจอดไว้ในลานจอดของย่านอะพาร์ตเมนต์เพราะเจ้าของนั่งรถบัสมา คนเงินเยอะระดับมูคยอม สั่งคนให้ไปเอารถกลับบ้านก็คงจบ แล้วจะดันทุรังไปเพื่ออะไร

ฮาจุนบ่นงึมงำในใจ แล้วตระหนักขึ้นได้อย่างกะทันหันว่าทำไมมูคยอมถึงมากวนใจเขา ฮาจุนก้มลงมองกระบอกเชคซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะนิ่งๆ จากนั้นก็หยิบมันขึ้นมา

คิดดูแล้ว เขาสัญญากับปากของตัวเองว่าจะทำ ‘พรุ่งนี้’ อีกทั้งยังจำได้ว่าเขายืนยันกับมูคยอมอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าความดีใจเนื่องจากในที่สุดก็บรรลุเป้าหมายในการชักชวนให้กลับมามีความสัมพันธ์ดังเดิม ทำให้มูคยอมวิ่งฉิวเอาของกินมาให้ อีกทั้งยังจงใจทำตัวนอบน้อม ขอให้เขาแบ่งเวลาให้อีก การกระทำราวกับหมาป่าที่ขุนเหยื่อให้อ้วนท้วน

ต้องรักษาคำพูดสิ จะมีวิธีไหนอีกล่ะ ความรู้สึกคลื่นไส้เบาๆ กับอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ยังคงไม่หายไปไหนมาตั้งแต่เช้า แต่ฮาจุนก็หมุนฝาเปิดกระบอกแล้วยกดื่มของเหลวข้างในอึกๆ เซ็กส์กับมูคยอมทำให้พละกำลังของเขาหดหายไปจนหมดเสมอ ถ้ายังอดอาหารในวันแบบวันนี้อีก ฮาจุนก็ไม่กล้าที่จะรองรับความต้องการของอีกฝ่ายเลย

ฮาจุนโยนกระบอกเปล่าลงถังขยะแล้วโบกมือ

“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าเลิกงานพร้อมกัน ตอนนี้นายออกไปก่อนเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ห้องพักนักกีฬาสักหน่อย อย่าเข้าออกออฟฟิศบ่อยๆ โดยไม่มีธุระสิ”

ก่อนที่มูคยอมจะได้ตอบว่าอะไร โค้ชคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา มูคยอมดันตัวที่เคยโค้งลงกับโต๊ะขึ้น จากนั้นก็ออกจากออฟฟิศไปโดยทิ้งไว้เพียงคำบอกลาว่าไว้เจอกัน

* * *

เส้นทางเวลาออกไปทำงานค่อนข้างว่างโล่ง แต่เส้นทางกลับบ้านไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่มูคยอมจะสะดุดตามากจนเกินไปหากขึ้นรถโดยสารประจำทาง เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขึ้นแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองคนขึ้นมานั่งเรียงกันตรงเบาะหลัง และไม่ได้พูดอะไรสักคำจนกระทั่งมาถึงบ้านของฮาจุน

เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะดันทุรังเถียงอีกฝ่ายว่าจะไปหรือไม่ไป จะทำหรือไม่ทำ ฮาจุนเดินตามหลังอีกฝ่ายแล้วอ้อมไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างว่าง่ายด้วยความรู้สึกเหมือนตอนใกล้ถึงเวลาที่ต้องทำงานที่ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำ จากนั้นก็คาดเข็มขัด มูคยอมเพียงแค่เหลือบมองฮาจุนหนึ่งครั้งเท่านั้น จากนั้นจึงติดเครื่องพลางเคลื่อนรถออกโดยไม่ได้พูดอะไร

คิดว่าจะไปที่บ้าน แต่มูคยอมกลับขับเรื่อยๆ บนถนนในเส้นทางอื่นมาไกลมากแล้ว ดูท่าว่าวันนี้ก็คงอยากทำบนรถ วันนี้เขาเหนื่อยล้าไปหมด อย่างน้อยถ้าจะทำก็อยากทำบนเตียงแท้ๆ

…ใครจะสนล่ะ ฮาจุนหันหน้าไปนอกหน้าต่างแล้วมองดูพระอาทิตย์เริ่มหายลับไปจากท้องฟ้า ความร้อนยังคงไม่คลายลงหมด แต่อุณภูมิต่ำสุดและสูงสุดประจำวันห่างกันมากขึ้นแล้วก็เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นเร็วขึ้นด้วย

รถยนต์เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ อย่างเนิ่นนานพอสมควร โดยสองข้างทางขนาบด้วยทิวทัศน์น่าดื่มด่ำที่ผู้คนน่าจะชื่นชอบในการมาขับกินลมชมวิวกัน แล้วในที่สุด รถก็หยุดลงตรงไหล่ทางบนทางยกระดับสายหนึ่ง ดวงอาทิตย์ยามเย็นใกล้จะหายลับขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนกับกลีบกุหลาบอันมหึมาที่ผลิบานจากตรงเชิงเขา

มองเห็นภาพผู้คนจำนวนไม่มากลงไปยืนดูท้องฟ้าตรงบริเวณราวกั้น ส่วนถนนฝั่งตรงข้ามก็สว่างไสวไปด้วยไฟจากคาเฟ่หรือไม่ก็ร้านอาหารที่ดูหรูหราไม่น้อย ฮาจุนหยุดคิดเพราะใจลอยไปกับทิวทัศน์รอบข้างครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

หรือว่าจะมีเซ็กส์ในที่แบบนี้อย่างนั้นเหรอ เขาพูดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นรถมา

“ที่นี่คนเยอะเกินไปนะ”

“ที่เงียบๆ กว่านี้น่าจะดีกว่าเหรอ”

“…แหงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

เมื่อฮาจุนย้อนถาม มูคยอมจึงพยักหน้าพร้อมกับติดเครื่องยนต์อีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ไปต่ออีกหน่อยดีไหม”

ภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว รถขับเข้าไปในถนนลึกที่แทบไม่มีผู้คนสัญจร รถยนต์เคลื่อนตัวต่อไปประมาณสิบนาทีแล้วหยุดลง บริเวณโดยรอบสถานที่นั้นมืดมิด มันคือริมเส้นทางเดินเขาที่มองไม่เห็นมนุษย์เลยสักคน

ฮาจุนมองสังเกตนอกหน้าต่างหนึ่งครั้ง และหลังจากที่ยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ เขาจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออก ตอนทำกันบนรถครั้งก่อน เขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด วันนี้ก็ต้องทำแบบนั้นด้วยไหมนะ จะตัดสินใจเองก็ยาก ฮาจุนจึงเอ่ยปากถามกับมูคยอม

“ให้ถอดหมดเลยไหม”

“…อะไร”

“เสื้อผ้า ถอดแค่กางเกงเฉยๆ น่าจะสะดวกกว่า แต่ถ้านายอยากให้ถอดหมดก็เอาตามนั้น”

มูคยอมมองเขาด้วยสีหน้าแข็งตึงโดยไม่ได้ตอบอะไร ฮาจุนถอนหายใจแผ่วเบาพร้อมกับเร่งอีกฝ่าย

“วันนี้ฉันไม่มีแรงจะมาใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรอกนะ รีบบอกมาเร็วเข้า”

ตอนนั้นมูคยอมถึงส่ายหน้าอย่างรวดเร็วราวกับตั้งสติได้

“ไม่ต้องถอดเสื้อผ้าก็ได้”

“อ่า… จะใช้ปากเหรอ”

วันอันแสนเหนื่อยล้าเหมือนวันนี้ ทำแบบนั้นอาจจะดีกว่า สีหน้ายินดีเล็กน้อยจึงปรากฏออกมาให้เห็น ทันใดนั้น ในที่สุดสีหน้าของมูคยอมก็บูดบึ้ง

“อีฮาจุน นายจงใจทำแบบนั้นหรือไง”

“อะไร”

มูคยอมถอนหายใจสั้นๆ แล้วยกมือขึ้นกดตรงกระบอกตาหนึ่งทีพลางละออกไป จากนั้นก็หันหน้าไปหาฮาจุนอีกครั้งแล้วพูดอย่างหนักแน่น

“ฉันไม่ได้ชวนให้มามีเซ็กส์”

“…ถ้างั้นทำไม”

“เรื่องที่คุยกันเมื่อวาน ยังไงซะ นายก็น่าจะจำไม่ได้ชัดเจนทั้งหมด ฉันก็เลยชวนให้มาเจอกันเพื่อจะได้ยืนยันให้มั่นใจ”

“ฉันจำได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้มาด้วยนี่ไง บอกแล้วว่าตัดสินใจจะกลับมาเป็นคู่นอนกับนายตั้งแต่วันนี้”

มูคยอมจ้องฮาจุนเขม็ง

“นอกจากเรื่องนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

“เรื่องอะไรอีก”

“ที่ฉันบอกว่าชอบ”

“…”

“นายลืมเหรอ”

ฮาจุนปิดปากเงียบ มูคยอมถามขึ้นอีกครั้งกับคนที่เบิกตากว้างมองมาทางตนเองเหมือนคนหวาดกลัว

“นายก็บอกว่านายก็ชอบ เรื่องนั้นก็ลืม?”

“…เรื่องนั้น…”

“ไม่ใช่ความฝัน”

ฮาจุนปิดปากสนิท ภายในหัวนึกคำตอบที่เหมาะสมไม่ออกเลยสักคำเดียว ราวกับมีใครมาขัดให้มันเป็นสีขาวโพลน

ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง มือของมูคยอมค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แล้วจับมือของฮาจุนซึ่งวางไว้ตรงที่วางแขน ฮาจุนสะดุ้งไปทีหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ชักมือที่ถูกจับไว้ออก

“นายสงสัยว่าจนป่านนี้แล้ว จะมาพูดเรื่องบ้าอะไร แต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

“…”

“ฉันชอบนาย อีฮาจุน นายให้โอกาสฉันอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ คราวนี้ฉันจะไม่ทำให้นายต้องผิดหวัง”

ฮาจุนมองอีกฝ่ายเพราะคิดว่าล้ออะไรกันเล่นอีก แต่น้ำเสียงของมูคยอมกลับหนักแน่น และใบหน้าก็ไร้ซึ่งวี่แววของการหยอกล้อ มองเห็นเงาสั่นไหวของใบไม้ที่ทาบทับลงมาตรงหน้าต่างรถด้านหลังอีกฝ่าย บางทีถ้าออกไปข้างนอกก็คงจะได้ยินเสียงลมพัดใบไม้พลิ้วไหวเสียงดังสินะ

ฮาจุนเพียงแค่ส่งสายตามองทิวทัศน์นั้นอย่างต่อเนื่องแล้วหลุบตาลง ริมฝีปากเขาเผยอออกครู่หนึ่งราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หุบลงอีกครั้ง เสียงของมูคยอมดังลอดเข้ามาในหูที่เปิดโล่งต่างกับปาก

“ตอนแรกอยากสารภาพรักอย่างเป็นทางการในที่ที่ดูดีกว่านี้ ไม่ได้อยากสารภาพในรถหรอกนะ… แต่ได้คุยกันเงียบๆ แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน”

แน่นอนว่าอีกฝ่ายพูดภาษาเกาหลี แต่ฮาจุนกลับรู้สึกอย่างกับอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังพูดภาษาต่างประเทศ

‘จู่ๆ ทำไมทำแบบนี้นะ เคยบอกแล้วแน่ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่ต้องดันทุรังทำถึงขนาดนี้ เขาก็จะรักษาสัญญาอยู่แล้ว’

“ฉันจะขอโทษนายอีกครั้ง”

“…”

“แล้วก็จะหยุดบอกว่านายผิดเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้ว เพราะทั้งหมดเป็นความผิดของฉันตั้งแต่ต้นจนจบเลย”

ตอนนั้นฮาจุนถึงได้พูดขึ้น

“ตอนนี้เลิกขอโทษได้แล้ว”

“ฉันยังไม่สบายใจนี่ แล้วก็ฉันรู้สึกผิดก็เลยจะพูดไปเรื่อยๆ”

‘งั้นเหรอ’ ถึงจะฟังอีกฝ่ายพูดอยู่ แต่ฮาจุนก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง เขาไม่ได้โกรธมูคยอมเลย มูคยอมเข้าใจผิดและพูดรุนแรงกับเขา จากนั้นก็บอกขอโทษมาตั้งหลายครั้งแล้ว

ความโกรธในเรื่องนั้นคลายลงแล้ว… พูดให้ถูกก็คือ เขาคิดว่าทุกอย่างมันสลายหายไปหมดแล้ว เขาจะถือว่าถ้าเวลาผ่านไปอีกหน่อยจนทำให้ความทรงจำเลือนรางลงก็คงมีเรื่องแบบนั้นได้แล้วกัน มันจะต้องเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายอย่างแน่นอนแต่จะให้อยู่ๆมาคิดว่าจะขอโทษไม่ขอโทษก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ฮาจุนกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง มูคยอมมองหน้าฮาจุนนิ่งๆ แล้วถามขึ้น

“คำขอโทษน่ะไม่ต้องก็ได้ แต่นายไม่มีคำตอบให้คำบอกชอบของฉันเหรอ”

ท่าทีของมูคยอมดูสบายสุดๆ แต่ฮาจุนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกระวนกระวายและหวั่นใจที่แฝงอยู่ในท้ายประโยคของอีกฝ่ายได้ พอเอาเข้าจริง ฮาจุนก็นึกคำตอบของคำพูดนั้นไม่ได้ในทันทีจึงสับสนอยู่เช่นกัน

แน่นอนว่าเขายังชอบมูคยอมอยู่ ต่อให้มองเห็นภาพของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะทอดมองต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่า ไม่สามารถเลิกมองอีกฝ่ายไปได้ง่ายๆ แม้อยู่ในช่วงเวลาที่ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าควรต้องตอบว่าอะไรแบบนี้

ถึงอย่างนั้น จิตใจของเขากลับรู้สึกอึดอัดจนน่าประหลาด ความสงสัยเพิ่มมากขึ้นเยอะจนเกินไป จึงดูเหมือนจะกัดกินความรู้สึกอื่นไปหมด เพราะอย่างนั้นฮาจุนถึงได้กลืนน้ำลายลงคอแห้งผากแล้วถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย

“ทำไมนายถึงเป็นแบบนั้น”

น่าจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แต่คงคิดว่ายังไงก็ดีกว่านั่งเงียบ มูคยอมจึงหัวเราะหึๆ ออกมา ความประหม่าปรากฏให้เห็นในสีหน้าของเขาอยู่พอสมควร แต่เขาก็ไม่ลบเลือนรอยยิ้มไปจากใบหน้าแล้วพูดขึ้น

“ฉันรู้ว่าฉันคิดไปเองอย่างใหญ่โตเลย”

“คิดอะไรไปเอง”

“ต่อให้เรียกว่าเป็นการขอโทษในรถก็เถอะ แต่ก็ขอโทษไม่ได้ผลไม่ใช่หรือไง”

“…”

“ต่อให้เรียกคนที่ตัวเองชอบว่าคู่นอน แต่ก็คงจะกลายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

คำถามของฮาจุนเป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

‘ก็เพราะอย่างนั้น ฉันถึงถามว่าทำไมนายถึงคิดแบบนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ ไงเล่า…’

รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของมูคยอมแล้วสีหน้าจริงจังก็กลับมาอีกครั้ง ฮาจุนยังคงหาคำตอบที่ตัวเองจะพูดออกมาไม่เจอ จึงทำเพียงแค่มองสบตาอีกฝ่ายกลับไปเท่านั้น

“ที่นายบอกว่าชอบฉัน ตอนแรกฉันคิดว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น เพราะได้มีความสัมพันธ์กับฉันในฐานะคู่นอน แต่นายพูดออกมาจากปากของนายเองนี่ ว่ามีฉันอยู่ในใจมาตั้งแต่สมัยม.ต้น ฉันรู้ว่าฉันปล่อยผ่านคำสารภาพรักจากนายอย่างไม่เอาใจใส่มากเกินไป ตอนนี้ฉันจะเปลี่ยนแล้วจริงๆ นายจริงจัง ฉันก็ไม่อยากจะทำเหมือนมันเป็นคำพูดเล่นต่อไปคนเดียวหรอกนะ”

เป็นแบบนี้หลังจากแอบฟังเขาคุยกับจองคยูเมื่อวานหรือยังไงนะ แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกพาตัวไปบ้านของมูคยอมทันทีจริงๆ ถ้าฟังที่คุยกันกับจองคยูแล้วคิดแบบนั้น มูคยอมก็ไม่น่าจะบังคับพาเขาซึ่งกำลังเมาเหล้าขึ้นไปบนบ้าน

ใบหน้าที่เคยขบคิดคำพูดของมูคยอมนิ่งๆ กลับกลายเป็นนิ่วหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาคงไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ มูคยอมจึงจ้องมองฮาจุนด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มไม่น้อย ใบหน้าที่ขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับกำลังโกรธ ผ่านไปไม่นานกลับขึ้นสีแดงเรื่อ ฮาจุนถามอีกฝ่าย

“นาย…เห็นเหรอ”

“…ฮะ? เห็นอะไร”

มูคยอมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ฮาจุนเขม้นมองมูคยอมด้วยใบหน้าร้อนวูบวาบ เขากัดริมฝีปากพร้อมกับเสยผมขึ้น ไม่ต้องถามก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าจู่ๆ เป็นแบบนั้นเพราะเห็นอะไรในห้องของเขาซึ่งเมื่อวานนอนค้างอยู่หนึ่งคืน คนที่แตะต้องโทรศัพท์มือถือของคนอื่นอยู่ทุกครั้งโดยไม่ขออนุญาตก่อน ไม่มีทางที่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมหลังได้ตามเข้ามาจนถึงในห้องอย่างแน่นอน

ความเขินอายยังอยู่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เช้า แม้ว่าเขาจะเผยความรู้สึกในใจให้อีกฝ่ายได้เห็นจนหมดแล้วก็เถอะ แต่เพราะอย่างนั้นฮาจุนจึงยิ่งอายมากกว่าเดิม ต่อให้เป็นคนที่เขาชอบมากแค่ไหน ก็ย่อมแน่นอนว่าไม่อยากถึงขั้นกางสมุดบันทึกของตัวเองให้ดูอยู่แล้ว

เมื่อฮาจุนทำหน้าบูดบึ้ง มูคยอมก็คงไม่คิดจะเฉไฉจนถึงที่สุด จึงพูดแก้ตัวออกมา

“ฉันดูๆ ห้องนายอยู่แล้วก็บังเอิญเห็นเข้า”

“มันแขวนไว้บนผนังหรือไง ถึงได้บังเอิญเห็นน่ะ นายบอกว่าจะไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวนี่! ทำแบบนั้นมันคือการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวนะ รู้บ้างไหม”

มูคยอมถูกตำหนิขึ้นมาอย่างกะทันหัน และในระหว่างที่ลังเลจนไม่สามารถตอบอะไรกลับมาได้ ฮาจุนก็ถอนหายใจแล้วโพล่งขึ้นอย่างแข็งกระด้าง

“แฟ้มพวกนั้น ฉันตั้งใจจะเอาไปทิ้งให้หมด แต่ไม่มีเวลาก็เลยยังไม่ได้จัดการ”

“อย่าทิ้งนะ ถ้าจะทิ้งก็เอามาให้ฉัน”

มูคยอมห้ามปรามเขาด้วยความตกใจราวกับยึดติด

แม้ว่าอีกฝ่ายสารภาพรักออกมาตรงหน้า แต่คงเพราะอายหรือเพราะอะไรสักอย่าง ฮาจุนถึงไม่คิดเรื่องอื่นเลย ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาเพียงแค่อยากหนีไปให้พ้นจากที่ที่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วย อยากลงจากรถแล้วกลับไปคนเดียว แต่เพราะเป็นคนยืนกรานให้มาที่ที่ไม่มีคนเอง ถนนอันมืดมิดนี้จึงไม่มีแม้แต่รถบัสหรือแท็กซี่สักคันวิ่งผ่าน

ฮาจุนมองไปเพียงแค่ด้านหน้าของหน้าต่างรถด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเท่านั้น มูคยอมมองใบหน้าด้านข้างของเขาแล้วจึงพยักหน้าราวกับบอกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็จับพวงมาลัย

“เมื่อวานนายก็บอกว่ายังชอบฉันอยู่ ฉันเลยคิดอยู่เหมือนกันว่านายจะดีใจขึ้นมาทันทีหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่ได้กลับไปสบายใจถึงขนาดนั้นสินะ เข้าใจแล้ว ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความฝัน เพราะอย่างนั้นถ้าจะขอคำตอบเดี๋ยวนี้เลยก็คงยากใช่ไหม”

“…”

“ฉันเองก็ดึงให้มันยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ก็คงจะขอให้นายตอบในทันทีไม่ได้ด้วยใช่ไหม ฉันจะรอด้วยความสำนึกแล้วกัน แต่นายรับรู้เรื่องนี้ไว้สักเรื่องนะ”

มูคยอมติดเครื่องรถยนต์ ทว่าไม่ได้เคลื่อนรถออกไปในทันทีแล้วพูดต่อ

“คราวนี้ฉันไม่ได้กำลังล้อนายเล่นจริงๆ”

ฮาจุนเพียงแค่หลุบตาลงแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร รถที่ทั้งสองคนนั่ง วิ่งผ่ากลางถนนที่ตอนนี้มืดสนิทลงแล้ว

รถยนต์กลับมาจอดตรงหน้าย่านอะพาร์ตเมนต์ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัดเช่นเดียวกันกับขาไป ฮาจุนเปิดประตูลงรถไปโดยไม่แม้แต่จะบอกว่าขอบคุณที่มาส่งหรือบอกลาว่าให้กลับดีๆ แต่แล้วประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออกพร้อมกันกับที่มูคยอมลงรถมา

‘ทำไม’ ฮาจุนถามทางสายตาว่าแบบนั้น มูคยอมเดินเนิบๆ มายืนข้างเขาอย่างไม่ลังเล

“ปกติก็ไม่ชอบมองดูนายกลับเข้าไปคนเดียวอยู่แล้วน่ะ”

“…”

“ฉันจะเดินไปส่งแค่ตรงหน้าตึก แค่นั้นได้ใช่ไหม”

ฮาจุนนึกถึงคำที่อีกฝ่ายเคยบอกกับเขา หลังจากมาหาในสภาพเมามายกลางดึกคืนหนึ่ง ร่างกายที่เคยแข็งเกร็ง ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงอย่างฉับพลัน เมื่อฮาจุนพยักหน้าสองสามครั้งด้วยความรู้สึกวุ่นวายใจ มูคยอมก็กวักมือเหมือนชวนให้ไป แล้วฮาจุนก็เดินขนาบข้างกายของอีกฝ่าย

มูคยอมบอกว่าชอบเขา วันนี้ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าสักนิด แต่ก็ไม่เล่นสงครามประสาทกันอย่างไร้ประโยชน์ แถมยังใจดีขนาดนี้อีก แต่ฮาจุนก็ไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอยู่ไม่สุข หัวใจของเขาเต้นตึกตักรัวเร็ว แต่แทนที่จะมองว่าใจเต้นด้วยความหวั่นไหว มันกลับเป็นอารมณ์คล้ายคลึงกับตอนรู้สึกไม่สบายใจเหมือนถูกอะไรบางอย่างไล่ตามมากว่า

เขาแค่อยากรีบเข้าไปพักในห้อง สภาพร่างกายเขาอาจจะแย่เกินไปเพราะอาการเมาค้างที่พบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้ มูคยอมเองก็ยกเรื่องยุ่งยากมาพูดในวันไม่ดีแบบนี้ทำไมก็ไม่รู้ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าตึก ตอนนั้นฮาจุนจึงพูดขึ้น

“ขอบใจที่มาส่งนะ กลับไปได้แล้ว”

ฮาจุนหลบตาคนที่กำลังจ้องมองมายังตนเองแล้วผงกหัวให้นิดหนึ่ง มูคยอมไม่ได้หันหลังกลับไปในทันทีแต่ยืนนิ่งอยู่ราวกับลังเลอะไรบางอย่าง

“อีฮาจุน มองฉันสักเดี๋ยวสิ”

น้ำเสียงพะวักพะวนของมูคยอมไม่มีความอวดดีหรือความมั่นใจในตัวเองเหมือนเวลาปกติแฝงอยู่ ฮาจุนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะลองใจเขาเหมือนตอนนั้น และรู้สึกว่ามันคือจิตใจที่แท้จริง

ตามคำวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิจารณ์มากมาย มูคยอมเป็นนักเดิมพันที่มีฝีมือเป็นอย่างมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดงก็ไม่แน่ เพราะมูคยอมไม่มีความสามารถในการตีหน้านิ่งเลย ความรู้สึกที่แท้จริงอันไร้ซึ่งการแต่งแต้มของเขาจึงเผยออกมาให้เห็นได้อย่างง่ายดาย

…เขารู้ รู้อยู่แล้ว

ฮาจุนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้ามูคยอม ใบหน้าหล่อคมหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับสงสัยอะไรบางอย่างอีกแล้ว เวลามูยอมสงสัยหรือกำลังประเมินอะไรบางอย่าง เขามักจะเอียงหัวไปด้านหนึ่งเล็กน้อยแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง

‘ปวดหัวชะมัด…’

เป็นความคิดแรกของฮาจุนในทันทีที่ลืมตาตื่น นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เขาดื่มเหล้าหนักขนาดนี้ สมัยเพิ่งเข้ามาใหม่ พวกรุ่นพี่เคยจ้องตาเป็นมัน บีบบังคับให้ดื่มเหล้าเพื่อจะทำให้เขาเมา แต่เขาก็ประจบรุ่นพี่พวกนั้นแล้วหนีรอดออกมาได้

นี่คืออาการเมาค้างอย่างนั้นเหรอ

แม้ว่าจะนอนนิ่งอยู่ แต่ในหัวกลับสั่นสะเทือนเหมือนมีใครใช้กำปั้นทุบตึงๆ แค่ไม่พูดเรื่องคิมมูคยอมขึ้นมาก็คงไม่ดื่มเหล้าเป็นน้ำถึงขนาดนั้นแล้วแท้ๆ เมื่อวานเขาตระหนักได้ถึงความรู้สึกที่ว่า ดื่มนิดเดียวไม่มีอยู่จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขายกแก้วกระดกเข้าปากโดยไม่สนใจความตั้งใจของตัวเอง

ความทรมานอันไม่คุ้นเคยทำให้ความขุ่นเคืองพลุ่งพล่านขึ้นมา คิมมูคยอมคือตัวร้าย อาการปวดหัวนี่ก็เป็นเพราะคิมมูคยอมทั้งนั้น ฮาจุนตะแคงข้างแล้วยกมือขึ้นตบปุๆ ลงตรงที่ว่างด้านข้างของเตียงที่นอนคนเดียวอย่างไร้เหตุผล เตียงเดี่ยวที่มักจะนอนคนเดียวอยู่เสมอ ในวันนี้กลับรู้สึกว่ามันโล่ง เป็นความรู้สึกว่าสิ่งที่ควรจะต้องอยู่ตรงนี้กลับหายไป

“…”

ฮาจุนไม่สามารถแยกแยะอย่างชัดเจนได้ว่าตั้งแต่ตรงไหนถึงตรงไหนคือความจริงและความฝัน เรื่องที่มูคยอมมาที่ร้านเป็นความจริงหรือเปล่านะ

เขาจำได้ว่าจองคยูพูดแก้ตัวอย่างลุกลี้ลุกลน เพราะรู้สึกเหมือนหลงกลไปตามแผนที่อีกฝ่ายวางไว้ เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะโดยไม่แม้แต่จะบอกลา แล้วตั้งใจจะออกไปนอกร้าน แต่รู้สึกว่าตัวเองจะล้มลงไป… เขาถูกพาตัวขึ้นรถมูคยอมแล้วไปที่บ้านของเจ้าตัว จนถึงตอนนั้นเป็นความจริงอย่างแน่ชัด ความทรงจำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หมุนติ้วตีกันจนสับสนไปหมด

เขามาจนถึงบ้านได้ยังไงนะ เมื่อคืนก็เหมือนจะฝันว่ามูคยอมอยู่ในห้องด้วย เมื่อมองดูเวลาจึงพบว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่มินคยองจะเข้ามาปลุกเขาแล้ว ฮาจุนดันตัวลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคอแห้งแล้วจึงเปิดประตู

“พ่อคุณ ทำไมถึงได้ม้วนไข่ได้สวยขนาดนี้ล่ะเนี่ย เก่งกว่าแม่อีกนะ”

“ผมค่อนข้างจะมีฝีมืออยู่บ้างน่ะครับ”

“เฮ้อ ฮาจุนน่ะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย นักกีฬาคิมดูไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ฝีมือก็ดูละเอียดประณีตดีจริงๆ”

‘ยังฝันอยู่อีกเหรอ’

ฉากในห้องครัวที่เข้ามาสู่สายตามันผิดปกติมากจนเกินไป แม้เปิดประตูห้องออกแล้ว แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถก้าวเท้าออกมาได้ เมื่อยืนอยู่หลังกรอบประตูอย่างมึนงง ฮาคยองซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวก็ส่งเสียงทักทายยามเช้ามาให้

“พี่! ตื่นแล้วเหรอ โอเคดีไหม”

ในขณะที่ฮาจุนได้แต่ทำตาโตและไม่สามารถแม้แต่จะตอบออกมาได้

มูคยอมก็หันหลังมามอง ส่วนแม่ก็หันมาตามกัน

“ฮาจุน ท้องไส้โอเคใช่ไหม เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ลูกถึงได้ดื่มเยอะขนาดนั้น”

“…อ้อ เปล่าครับ ไปๆ มาๆ มันก็เพลิน”

“เมื่อวานนักกีฬาคิมแบกลูกมาส่งนะ แม่จะให้กลับไปเฉยๆ ก็ไม่สบายใจ

เลยรั้งไว้ให้นอนอยู่บ้านเราหนึ่งคืน ตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าให้กินสักมื้อแล้วค่อยกลับ แต่ไปๆ มาๆ นักกีฬาคิมดันได้ช่วยเตรียมมื้อเช้าไปด้วยซะงั้น”

เธอหัวเราะราวกับเคอะเขิน แต่ก็เหมือนจะเพลิดเพลินไปกับสถานการณ์ที่มีคนดังมาทอดไข่ม้วนอยู่ในห้องครัวบ้านตัวเอง ฮาจุนพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้น

แต่กลับส่งยิ้มหรือตอบกลับไปไม่ได้ง่ายๆ

“เอ้า พี่ ดื่มนี่สิ”

“อ้อ อือ ขอบใจนะ”

ฮาคยองยื่นแก้วที่บรรจุน้ำเต็มปริ่มมาให้ ฮาจุนรับมาดื่มในทันทีเพราะคอแห้งอยู่พอดี น้ำเย็นสดชื่นและหวานหอมไหลอึกๆ ลงคอไป

‘ฮ้า’ เมื่อเขาพรูลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วดื่มหมดทั้งแก้วในชั่วพริบตา

ฮาคยองก็รับแก้วกลับมาอีกครั้งพร้อมพูดขึ้น

“เมื่อกี้พี่มูคยอมชงน้ำผสมน้ำผึ้งไว้ให้ บอกว่าเอาไว้ให้พี่ดื่มตอนตื่นแล้วน่ะ”

“…พี่ไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวออกมานะ”

ความรู้สึกดีที่ได้ดับกระหาย แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกราวกับดื่มยาพิษในชั่วพริบตา

ฮาจุนเข้ามาในห้องน้ำอย่างว่องไวแล้วเริ่มแปรงฟันเป็นอย่างแรกเพื่อตั้งสติ เขารีบอาบน้ำจนเสร็จ จากนั้นก็วักน้ำเย็นล้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่พักใหญ่ ฮาจุนจ้องมองใบหน้าที่มีน้ำหยดติ๋งๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในกระจก เขาไม่สามารถทำอะไรกับแก้มที่ร้อนวูบวาบแม้ล้างน้ำเย็นไปแล้วได้ ในที่สุดจึงยกสองมือขึ้นปิดมันไว้

ถึงแม้ว่าในความทรงจำจะยังคลุมเครือราวกับมีม่านมาบังไว้ แต่ฮาจุนก็นึกคำพูดบางส่วนที่ได้ยินและพูดเมื่อคืนขึ้นมาได้ทีละนิด

‘ทำสิ ทำเลย ขึ้นไปถึงบ้าน…เพื่อทำอะไรล่ะ ทำๆ ที่นี่ไปเลยสิ’

‘ตามที่นาย ต้องการ… ทำเลยสิ เอาเลย’

“เฮ้อ…”

ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกมาราวกับโลกจะแตก ฮาจุนรู้สึกอยากขังตัวเองไว้ในห้องน้ำตลอดไป แต่เวลาเข้างานอันไม่น่าพอใจกลับใกล้เข้ามาทุกชั่วขณะ ฮาจุนสวมเสื้อผ้าแล้วออกมานอกประตู

ในระหว่างอาบน้ำ กระทั่งมินคยองก็มารวมตัวในนั้นแล้วด้วย คนถึงสี่คนรวมชายหนุ่มรูปร่างใหญ่กว่าเกณฑ์ไม่น้อย อัดกันอยู่ในครัว ทำให้ห้องครัววุ่นวายกว่าปกติสองสามเท่า จนเขาไม่กล้าที่จะไปแทรกกลางวงนั้นเลย จู่ๆ มินคยองก็พูดขึ้นกับมูคยอทราวกับนึกขึ้นมาได้

“จริงสิ นักกีฬาคิมมูคยอม ครั้งก่อนขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ”

“ของขวัญเหรอ”

“ตุ๊กตาน่ะค่ะ พี่บอกว่านักกีฬาคิมมูคยอมเป็นคนให้นะ”

มูคยอมทำสีหน้าประหม่า ถึงไม่ใช่อย่างนั้นก็ทั้งปวดหัวแล้วก็อับอายจะแย่อยู่แล้ว หัวข้อสนทนาที่ได้ยินทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำยังจะช่วยเสริมทัพเข้าไปอีก

“มินคยอง ต้องรีบไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ รีบกินข้าวกันเถอะ”

หากปล่อยให้คุยกันต่อไปก็จะมีเรื่องอะไรถูกยกมาพูดบ้างก็ไม่รู้ ฮาจุนจึงเดินเข้าไปตัดบทสนทนา

“พี่ วันนี้จะไปทำงานได้เหรอ ทำไมดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นล่ะ”

“พอได้ทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะมีวันแบบนั้นบ้างแหละน่า”

อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ถูกยกขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะ ในระหว่างนั้น แม่ก็ตักข้าวไปพร้อมๆ กับคะยั้นคะยอมูคยอม

“นักกีฬาคิม คราวนี้มานั่งตรงนี้สิ แม่ตั้งใจจะเตรียมอาหารเช้าให้แท้ๆ แต่ดันให้นักกีฬาคิมทำงานหนักซะได้”

อาหารเช้าถูกจัดขึ้นโต๊ะอย่างเพียบพร้อมกว่าในเวลาปกติ แบบที่มองดูก็รับรู้ได้ว่ามีแขกมา มูคยอมจับช้อนขึ้นแล้วเริ่มทานอาหาร ฮาจุนลืมความอับอายไปชั่วขณะแล้วจ้องมองมูคยอมซึ่งกำลังทำแบบนั้น

“เป็นไงบ้างจ๊ะ ถูกปากไหม”

“อร่อยครับ ช่วงนี้ผมไม่อยากอาหารก็เลยกังวลอยู่นิดหน่อย แต่เพราะคุณแม่ก็เลยดูเหมือนว่าจะกลับไปเป็นปกติเต็มร้อยเลยครับ”

“ปากหวานเหมือนกันนะเนี่ย ทานเยอะๆ นะจ๊ะ”

‘แม่ว่าใครปากหวานนะ’ ฮาจุนตะลึงจนเกือบจะหัวเราะออกมา บอกว่าไม่ชอบการใช้มารยาขึ้นสมองแล้วก็ว่านู่นนี่อยู่ทุกครั้ง แต่วันนี้กลับสวมบทผู้เชี่ยวชาญในการใช้มารยาเฉยเลยนะ

ยังไงก็ตาม ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คำที่พูดไปตามมารยาท อีกฝ่ายกำลังกินอาหารได้ดีเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ เพราะรู้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายกินอะไรไม่ได้ในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ฮาจุนถึงถอนหายใจด้วยความผ่อนคลายขึ้นมาในใจเพราะท่าทางนั้นด้วย

“ฮาจุนกินข้าวไหวไหม ซดน้ำซุปสักช้อนสิ”

“อื้อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกิน”

แม้พูดแบบนั้นแต่ท้องไส้ก็ปั่นป่วนเพราะอาการเมาค้าง ฮาจุนจึงแกล้งทำเป็นค่อยๆ กินพร้อมกับกวาดตามองดูสถานการณ์บนโต๊ะไปด้วย เห็นได้ชัดว่าครอบครัวทุกคนชอบมูคยอมกันหมด

คิดดูแล้ว คิมมูคยอมกับแม่ก็เคยคุยโทรศัพท์กันสองสามครั้ง มินคยองซึ่งได้รับตุ๊กตามาเป็นของขวัญก่อนจะได้ทักทายกันอย่างจริงจังย่อมเป็นมิตรกับมูคยอมอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไร ส่วนฮาคยองก็ต้องเริงร่าอย่างแน่นอน เพราะเจ้าตัวมีความสนใจกับนักกีฬาดาวเด่นเป็นอันดับหนึ่ง

แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ ว่ามูคยอมก็น่าจะไม่ได้ตั้งใจแต่สถานการณ์กลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน ความเวิ้งว้างท่ามกลางกลุ่มคนมากมายหมายถึงความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ

“ไปแล้วนะคะ”

“พี่มูคยอม! คราวหน้าก็มาเล่นอีกนะครับ”

เมื่อส่งสองแฝดไปแล้ว ฮาจุนก็ยืนอยู่ข้างมูคยอมตรงทางเข้าบ้าน ไม่ได้ไปทำงานพร้อมกันเป็นครั้งแรก แต่พอสถานที่ที่จะออกไปทำงานไม่ใช่บ้านของมูคยอม แต่เป็นบ้านของตัวเอง ฮาจุนจึงรู้สึกเขินอายอย่างประหลาด แม่ออกมาบอกลาถึงตรงประตูบ้าน

“ไปดีๆ นะจ๊ะ ไว้มาใหม่ละ”

“ครับ ไว้พบกันอีกนะครับ”

‘อีกที่ว่านั่นน่ะคือตอนไหน เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้ว’

ถึงแม้จะคร่ำครวญอยู่ในใจแต่ฮาจุนก็ทำเป็นไม่ได้รู้สึกอะไรพร้อมกับก้าวเดินออกมา พวกเขายืนเรียงกันในลิฟต์ ฮาจุนก้าวออกจากลิฟต์โดยจ้องมองไปทางด้านหน้าเพียงด้านเดียวเท่านั้น เมื่อเขาหมุนตัวเดินไปตรงทางลัดที่จะทะลุไปเจอป้ายรถบัส มูคยอมจึงพูดขึ้น

“ฉันจอดรถไว้ตรงลานจอดรถด้านโน้น”

“นายขับรถไปเถอะ”

ฮาจุนเร่งฝีเท้าโดยไม่แม้แต่จะหันมามองด้านหลัง เขาเดินไปตามทางที่มักไปเป็นประจำแล้วหยุดยืนอยู่ตรงป้ายรถบัส ผ่านไปได้ไม่นานก็มีเงาคนสูงใหญ่ปกคลุมลงมาด้านข้างอย่างฉับพลัน เมื่อหันหน้าไป คิมมูคยอมที่เขาคิดว่าน่าจะขับรถหรูไปทำงานแล้ว กลับยืนอยู่ข้างๆ และเหลือบตาลงมองมาทางเขาราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขาด้วย

ฮาจุนขมวคิ้ว วันนี้รถบัสมาถึงตรงเวลาพอดิบพอดีโดยไม่ล้าช้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อฮาจุนยืนกลุ้มใจอยู่ว่าจะขึ้นดีไหม คนขับรถที่เจอกันทุกเช้าก็เร่งเขา

“ไม่ขึ้นเหรอครับ”

“…ขึ้นครับ”

ฮาจุนขึ้นไปยืนบนรถบัสพลางสแกนบัตรโดยสาร รถบัสสายที่ฮาจุนนั่งไปทำงานว่างโล่ง เมื่อมูคยอมตามหลังขึ้นมา คนขับก็เบิกตากว้างแล้วกะพริบตาปริบๆ เพราะคิดว่าตัวเองมองถูกหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงดังวุ่นวายอะไรขึ้นมาเป็นพิเศษ

ชายหนุ่มผู้ดูเหมือนกับชิ้นส่วนที่ถูกจับมาวางอย่างไม่เข้ากันบนรถโดยสารประจำทาง ก้าวฉับๆ ในท่าทางที่เหมือนหัวจะชนกับเพดานรถ มานั่งลงตรงที่นั่งด้านหลังของฮาจุนผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเบาะสำหรับนั่งคนเดียว ฮาจุนเพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้น ไม่แม้แต่จะหันไปมองอีกฝ่าย ราวกับคนที่ขึ้นรถมาเป็นเพียงคนไม่รู้จัก ‘บรื้นนน’ รถบัสเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกันกับเสียงเครื่องยนต์กระหึ่ม

ทิวทัศน์ที่มองเห็นนอกหน้าต่างรถ เป็นเฉกเช่นเดิมจนน่าเบื่อ แต่เพราะชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลัง รถบัสที่นั่งไปทำงานจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ขัดกับชีวิตประจำวันของเขาไปโดยสิ้นเชิง เมื่อขับผ่านเขตที่มีร่มเงา นอกหน้าต่างก็มืดลง แล้วกระจกที่ดำมืดขึ้นก็สะท้อนให้เห็นภาพภายในรถโดยสาร ฮาจุนตั้งใจว่าจะไม่ทำแบบนั้นแต่สายตาของเขากลับเหลือบไปมองด้านหลังโดยไม่รู้ตัว และสบตาเข้ากับมูคยอมซึ่งกำลังมองมาข้างหน้าผ่านหน้าต่างเช่นเดียวกัน

เขาชะงักไปด้วยความตกใจแล้วหันกลับมาด้านหน้าดังเดิม ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องหลบตามูคยอมราวกับคนมีชนักติดหลังแบบนี้ แต่ความขัดเขินกลับถาโถมเข้ามาอยู่เรื่อยก็เลยช่วยไม่ได้

แค่ตอนกินอาหารเช้า ฮาจุนก็นึกถึงชิ้นส่วนความทรงจำของเมื่อคืนวาน ที่ส่วนใหญ่เคยพร่าเลือนและกระจัดกระจาย ขึ้นมาในหัวได้ทีละนิด

‘ถ้างั้น… ชอบนะ’

‘อีฮาจุน ฉันชอบนาย ชอบจริงๆ มากๆ’

…ไม่หรอกน่า มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ

พอคิดได้แบบนั้นความรู้สึกตื้นเขินก็เพิ่มมากขึ้น คิมมูคยอมทำถึงขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ท่ามกลางความฝันที่ได้ยินว่าชอบจากเขา ไม่เคยไม่ชอบที่มีคนมาบอกว่านิสัยดีนะแต่ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้างในจะไม่รู้สึกอะไร น่าอายชะมัด

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่เขานอนห้องเดียวกันกับมูคยอม แต่ไม่มีทางที่มันจะเป็นความจริงทุกเรื่องไปได้หรอก

ในขณะที่กำลังคิดอย่างใจลอย เขาก็ลืมที่จะกดกริ่งลงรถ ฮาจุนตกใจไม่น้อยอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วยกมือขึ้นมา แต่มือใหญ่กลับโฉบลงบนกริ่งก่อน

ผ่านไปไม่นาน รถบัสก็หยุดตัวลง คราวนี้ฮาจุนก็ลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่ามูคยอมกำลังตามมาด้านหลังโดยห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดด้วยหรือหันกลับไปมองราวกับเดินอยู่กับมนุษย์ล่องหน แล้วดึงดันที่จะมองไปเพียงแค่ด้านหน้าพร้อมทั้งเร่งฝีเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม

“ฮาจุน!”

ทันทีที่เข้ามาในตึก ชายร่างสูงก็รีบร้อนเข้ามาหาฮาจุนราวกับกำลังรออยู่ตลอด

วันนี้ถึงแม้จะเห็นจองคยูแต่ฮาจุนก็ไม่มีรอยยิ้มใจดี เมื่อเหลือบตามองด้วยสีหน้าบึ้งตึง จองคยูจึงประกบมือเข้าหากันด้วยสีหน้าพะวักพะวน

“ฮาจุน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะ แค่อยากให้เราสามคนได้นั่งใช้เวลาด้วยกันสักครั้งเท่านั้นเอง ไม่มีมีความตั้งใจอย่างอื่นเลย”

เมื่อวานเขาโกรธเพราะรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย แต่เมื่อสร่างเมาและสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วนเหมือนในตอนนี้ เขาก็รับรู้ได้โดยที่จองคยูไม่ต้องบอกอยู่แล้วว่าเจ้าตัวไม่มีทางที่จะจงใจทำแบบนั้น เพราะก่อนจะไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกัน จองคยูไม่รู้เรื่องที่เขาชอบมูคยอม

ถึงอย่างนั้น ที่เขาทำท่าทีบึ้งตึงอยู่เรื่อยไม่ได้เป็นเพราะโกรธแค้นจองคยูหรือมูคยอม แต่เป็นเพราะเขาอายมากกว่า อย่างแรกเลยคือ เขาไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่แสดงภาพลักษณ์ตอนเมาถึงขนาดนั้นให้คนอื่นเห็น

มูคยอมเองก็คงเข้ามาตรงทางเข้าแล้ว สายตาของจองคยูจึงมุ่งตรงไปทางด้านหลังของฮาจุน จากนั้นก็ถามขึ้น

“สองคนมาด้วยกันเหรอ”

“ทั้งสองคนรีบไปเปลี่ยนเสื้อแล้วออกมานะ”

ฮาจุนอึดอัดกับการอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ชายตัวโตอย่างกับสัตว์สองคน เพราะอย่างนั้นจึงรีบจบบทสนทนาแล้วเดินตรงไปยังออฟฟิศอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ปิดประตูลง ฮาจุนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาโดยอัตโนมัติ เขาเดินโซเซไปเตรียมของที่ต้องใช้ในการฝึกซ้อมตรงที่ของตัวเองด้วยความรู้สึกเหมือนกลายเป็นซอมบี้

ความร้อนบนใบหน้าที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความอับอายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากอาการเมาค้างที่ประสบครั้งแรกในชีวิต ไม่ยอมที่จะเย็นลงง่ายๆ ในหัวก็ตื้อไปหมด ส่วนร่างกายก็รู้สึกวิงเวียนอ่อนๆ อยู่ตลอดจึงรู้สึกตัวหนักอึ้งราวกับบวมน้ำ ฮาจุนสาบานว่าต่อจากนี้จะไม่ดื่มเหล้าหนักเกินไปอีกเป็นอันขาด

เป็นครั้งแรกที่ตระหนักขึ้นมาว่าอากาศแจ่มใสกับพระอาทิตย์สว่างเจิดจ้าไม่สามารถทำให้เขาทรมานได้ ถ้าเป็นตอนปกติ ฮาจุนจะรู้สึกว่าแสงแดดสดใสมันร้อนเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ราวกับพิษร้ายที่ถูกดูดเข้าร่างกายของผีดูดเลือดที่ออกมาข้างนอกในตอนกลางวัน ในขณะที่พวกนักกีฬากำลังวิ่งอยู่ ฮาจุนก็รอให้พวกเขาวิ่งเสร็จไปพร้อมกับๆ กับอ่านโน้ตที่ไม่มีอะไรจะจดบันทึกแล้ว จากนั้นช่วงเวลาที่น่าหนักใจที่สุดก็เวียนกลับมา

“อ้าขาออก”

เมื่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง มูคยอมก็นั่งอ้าขา ฮาจุนเองก็นั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายแล้วจับมือดึงมา เสียงนับเลขที่ไม่จริงจังนัก ถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำ ราวกับกราฟที่ถูกเขียนเป็นเส้นตรงในแนวนอน

“หนึ่ง สอง สาม สี่”

“โค้ชอี”

“เงียบซะ ห้า หก เจ็ด แปด”

ถัดจากนั้น ฮาจุนก็อ้อมไปด้านหลังอีกฝ่ายแล้วดันบริเวณเอวไปด้านหน้า แล้วก็ให้อีกฝ่ายนอนลงพร้อมคลายกล้ามเนื้อขา อีกทั้งยังพลิกตัวแล้วคลายกล้ามเนื้อแขนกับไหล่ด้วย

มูคยอมกินอาหารเช้าได้อย่างเหมาะสม วันนี้จึงดูเหมือนว่าน่าจะเพิ่มการออกกำลังกล้ามเนื้อได้หน่อย ฮาจุนสั่งให้อีกฝ่ายออกกำลังกล้ามเนื้อด้วยมือเปล่าอย่างเช่นวิดพื้นหรือวิ่งอยู่กับที่แบบเต็มจำนวน เดิมทีมูคยอมเป็นคนเรี่ยวแรงดีอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้น ต่อให้ร่างกายอ่อนเปลี้ยอยู่พักหนึ่ง แต่ความแข็งแรงของร่างกายโดยพื้นฐานก็คงไม่ได้ลดน้อยลงไปมากมายเท่าไรนัก ค่อยโล่งอกหน่อย

ถึงเวลาพักกลางวันแล้ว แต่ฮาจุนยังคงรู้สึกพะอืดพะอมอยู่นิดหน่อยจึงไม่อยากอาหาร ฮาจุนไม่ไปกินข้าวแล้วนั่งอยู่ตรงโต๊ะในออฟฟิศ เขามองเหม่อไปตรงกำแพง จากนั้นก็เอนศีรษะพิงพนักแล้วหลับตาลง

…ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวมันเป็นอะไรยังไง และเขาต้องทำอะไรยังไง

คิดดูแล้ว เขาตั้งใจจะบอกมูคยอม ว่าให้เรากลับมามีความสัมพันธ์แบบคู่นอนตามที่มูคยอมต้องการ เมื่อนึกถึงการตัดสินใจนั้น ชิ้นส่วนความทรงจำบางอย่างของเมื่อคืนนี้ ที่เคยถูกบดบังไว้ด้วยม่านที่สร้างขึ้นจากแอลกอฮอล์ ก็โผล่พรวดขึ้นมาอีกครั้ง

‘คราวหน้าเหรอ เฮ้อ… เมื่อไร ยั่วคนอื่นจนทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ จากนั้นก็ตั้งใจจะยื่นใบลาออกหนีไปอีกหรือเปล่า’

‘ทำไมวันนี้ไม่ได้ จะวันนี้หรือพรุ่งนี้มันต่างกันตรงไหน’

ฉากนี้ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน เพราะเขาจำความทรงจำนี้ได้อย่างแจ่มชัด ว่ามูคยอมตั้งใจจะพาตัวเขาผู้ซึ่งเมาเหล้าขึ้นไปบนบ้าน แต่เขาร้องขอว่าเอาไว้ทีหลังพร้อมทั้งอ้อนวอนให้อีกฝ่ายไปส่งที่บ้านของตัวเอง

คิมมูคยอมผู้ซึ่งตั้งใจจะลากตัวคนเมาเหล้าขึ้นบ้านอย่างไร้ยางอายโดยมีเจตนาแฝง กับคิมมูคยอมผู้กระซิบบอกชอบเขาอย่างอ่อนโยน สองคนนี้จะปรากฏตัวขึ้นมาในคืนเดียวกันได้ยังไง หมายความได้แค่อย่างเดียวคือคนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นของปลอม

“ดื่มนี่สักหน่อยสิ”

ฮาจุนกำลังหลับตาและจมอยู่ในห้วงความคิด แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงของใครคนหนึ่งซึ่งไม่คิดว่าจะเข้ามาใกล้ เขารีบจัดท่าจัดทางทันที ใครคนหนึ่งเข้ามาในออฟฟิศที่เคยว่างเปล่าแล้วยืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ฮาจุนทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างโดยไม่รู้ตัว

“เวลาเข้ามาในออฟฟิศก็เคาะประตูด้วย”

“เคาะแล้ว”

‘ไม่เห็นจะได้ยินเลย’

ฮาจุนนิ่วหน้า แล้วมูคยอมก็วางของที่ดูเหมือนกระบอกอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะ เมื่อเขาก้มลงมองทั้งหน้ามุ่ย มูคยอมก็เท้ามือลงบนโต๊ะพร้อมกับพูดขึ้น

“ฉันอดทนผ่านช่วงที่กินอะไรไม่ได้มาด้วยเจ้านี่แหละ ตอนเมาค้างก็พอกินได้เหมือนกัน”

“…ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่นักกีฬา อดข้าวเที่ยงไปสักมื้อก็ไม่เป็นไรหรอก”

ถึงแม้รู้สึกว่ามูคยอมจับจ้องมายังตน แต่ฮาจุนก็ทำเพียงก้มลงมองโต๊ะไม่เลิก มูคยอมปริปากพูดขึ้นมาก่อนโดยทำเป็นนอบน้อมไม่น้อย เหมือนที่เคยทำในวันแรกที่เขากลับมาทำงานหลังหยุดพักร้อน

“โค้ชอี”

“…”

“ฝึกซ้อมเสร็จแล้ว ช่วยแบ่งเวลามาให้ผมสักครู่หนึ่งหน่อยนะครับ”

ไม่กล้ามองหน้าอย่างที่คิดไว้จริงๆ ฮาจุนตอบกลับโดยที่ไม่เบนสายตามอง

ส่วนสูงและรูปร่างเติบโตขึ้นอย่างพรวดพราด ส่วนใบหน้าก็ดูดีจนไปที่ไหนก็ได้รับสายตาเป็นมิตรจากผู้คน ถ้อยคำที่ได้ยินตลอดทั้งวันหลังลืมตาตื่นก็มีเพียงคำยกย่องชมเชยเท่านั้น มูคยอมกลายเป็นคนอวดเก่งและทะนงตัวมากขึ้น เขาบอกลาวันอันน่าเข็ดขยาดแล้วเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้อย่างเต็มที่ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจโดยไม่ให้คนอื่นรู้ ว่าจะไม่ยอมตกลงไปในโคลนตมและใช้ชีวิตเกลือกกลั้วกับพวกชั้นต่ำยิ่งกว่ามนุษย์อีกแล้ว

ทว่าเขาเกิดมาโดยมีเลือดของคนที่เหมือนกับปีศาจอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง แล้วใช้ชีวิตในที่สกปรกซึ่งมีปีศาจผู้โลภมากปกครองดูแลมาอย่างเนิ่นนาน เขาต้องทำยังไงถึงจะกลายเป็นมนุษย์ปกติ และใช้ชีวิตในโลกที่มีคนธรรมดาทั่วไปอยู่ร่วมกันได้

มูคยอมไม่มีความสนใจในการเรียนหนังสือ แต่เขาต้องการหาคำตอบในเรื่องที่อยากรู้ จึงไปด้อมๆ มองๆ ห้องสมุดอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเข้าไปในห้องสมุด มูคยอมไม่สนใจสายตาเจือความอยากรู้อยากเห็นที่เหลือบมองมาทางตนเอง เขาเดินไปตามชั้นหนังสือจนทั่ว แล้วเลือกหนังสือที่มีชื่อค่อนข้างเข้าท่ามาเปิดดูหน้าหนังสือนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมูคยอมก็เจอประโยคที่ใกล้เคียงกับคำตอบที่ตนเองตามหามากที่สุด

‘แม้แต่สัตว์ก็ยังรู้จักบุญคุณ เมื่อเป็นมนุษย์ก็ย่อมรู้จักบุญคุณอย่างแน่นอน และต้องทดแทนบุญคุณนั้น’

เขาเพียงต้องการเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ต้องการเป็นนักบุญ พอกวาดตาอ่านตามหน้าหนังสือจึงพบว่า อุปสรรคของเรื่องที่จะต้องทำ ‘หากเป็นมนุษย์’ มันมากมายเกินไป ขนาดลุงพัคหรือภรรยาของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตโดยทำตามทุกสิ่งทุกอย่างถึงขนาดนั้น ดังนั้นมูคยอมจึงเลือกเรื่องเดียวที่ตนเองน่าจะทำได้ดีที่สุด จากในบรรดาคำตอบหลากหลายอย่าง และเขาก็ตัดสินใจว่าจะทำตามเพียงแค่เรื่องนั้นให้ได้

ถ้าบอกว่าบนโลกนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นั่นก็คือความสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณแบบเขากับจุนซอง เพราะถ้าหากบุญคุณเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็จะไม่เลือนหายไปไหน

ถ้าใครมีบุญคุณต่อเราก็ต้องตอบแทนให้ได้ มูคยอมมาจนถึงตรงนี้ โดยยึดเอาคำพูดดังกล่าวเป็นหลักการ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายหรือแรงขับเคลื่อน

ในทางกลับกัน เรื่องที่ทำไม่ได้และเรื่องที่จะต้องระวังที่สุด คือการทำผิดซ้ำรอยเดิมของผู้ชายสติฟั่นเฟือนคนนั้น ดูไม่ค่อยยากเท่าไรนัก เพราะแค่ตัดไฟแต่ต้นลมก็พอแล้ว หากปีศาจตนนั้นไม่เจอแม่แล้วแต่งงานกันจนคลอดเขาออกมา ก็คงจะไม่มีใครเจอเรื่องโชคร้ายเลยสักคน

ผู้หญิงข้างบ้านที่เคยสนิทกับแม่พอประมาณ ทุกครั้งที่เจอมูคยอมโดยบังเอิญเป็นบางครั้ง เธอก็มักจะพูดงึมงำราวกับอุทานหรือไม่ก็ขยะแขยง ว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว

มูคยอมโตขึ้น ในขณะเดียวกันก็หน้าตาคล้ายกับไอ้หมอนั่นขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ชอบใจในเรื่องนั้นเอาเสียเลย ถึงอย่างนั้น เขาก็หน้าตาดีกว่าไอ้หมอนั่น และสิ่งสำคัญคือจิตใจต่างหาก เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สนใจ แค่ใช้ชีวิตต่างกับหมอนั่นก็จบแล้ว ชีวิตของมูคยอมกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีของมันไปจากตลอดทั้งชีวิตที่เคยใช้ร่วมกับพ่อแม่โดยสิ้นเชิง

ความรักซึ่งถูกยกย่องถึงขนาดนั้น จากปากของผู้คนบนโลก จากในทีวี ในภาพยนตร์ รวมถึงในหนังสือ

ความรักเปลี่ยนแปลงง่ายและไม่บริสุทธิ์ อีกทั้งพอก่อตัวขึ้นมาแล้วมันก็จะหายไป จนทำให้ผู้คนเป็นบ้ากันไปหมด สัตว์ประหลาดที่ทุกข์ทรมานในความบ้าระห่ำนั้น แล้วในที่สุดก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง คือพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง

แนวทางแก้ไขปัญหานั้นแสนเรียบง่าย แค่ไม่ไปพัวพันกับตัวกลางที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นกับใครตั้งแต่แรกก็พอแล้ว ในอนาคต ทั้งการคบหากัน ความสัมพันธ์แบบแฟนหรือสามีภรรยา และ ‘คนรัก’ จะไม่มีอยู่ในชีวิตของคิมมูคยอมเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเขายกให้ใครบางคนเป็นคนพิเศษ เมล็ดพันธุ์อันชั่วร้ายที่น่าจะซุกซ่อนอยู่ในร่างกายก็อาจแตกหน่อออกมาจนทำให้เขากลายเป็นเหมือนปีศาจตนนั้นก็ได้

…ทว่า ตอนตัดสินใจแบบนั้นก็ราวๆ เมื่อสิบปีก่อน ในตอนที่เขายังเด็ก

เขาไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดียวกันกับที่เคยตัดสินใจในตอนแรกได้ หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในลีกหนึ่งตอนอายุสิบเก้า การยั่วยวนซึ่งเดิมทีก็มีเข้ามาอย่างไม่เคยหยุดยั้งอยู่แล้ว กลับเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น คนมากมายนับไม่ถ้วนต่างยื่นมือมาหา ในช่วงเวลาที่เคยพบเจอความลำบากอย่างสุดขีดเพราะถูกรุ่นพี่เบ่งใส่และเล่นสงครามประสาท บนแผ่นดินอันไกลแสนไกลที่ไม่มีทั้งจุนซองและครอบครัว พวกอุณหภูมิร่างกาย กับสัมผัสจากมือของคนอื่น รวมถึงคำพูดหวานหู คือการล่อลวงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง

ในตอนนั้นมูคยอมเร่งฝีเท้าแทบบ้าขณะที่พยายามไต่ขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม และร่างกายอันแข็งแกร่งซึ่งเพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มของเขาก็ปรารถนาที่จะทำมันให้ได้ พวกคนที่เข้าหามูคยอมต่างก็สอนวิธีที่จะเอาความต้องการนั้นมาเล่นสนุกอย่างเหมาะสม ส่วนมูคยอมก็ลุ่มหลงเข้าไปใน ‘เกม’ นั้นราวกับเสพติด

ไม่เป็นไร เพราะนี่เป็นแค่การเล่นสนุกเท่านั้น

แค่ไม่เอาใจไปยุ่งเกี่ยว ถ้าใช้แค่ร่างกายก็ไม่เป็นปัญหา แต่ห้ามมากเกินกว่านั้นเด็ดขาด

เขากำชับกับตัวเองแบบนั้น และถ้าพบคนที่เผยความรู้สึกลึกซึ้ง ล้ำเส้นเกินกว่าการเล่นสนุก เขาก็จะหันหลังอย่างเย้ยหยันให้คนโง่เง่าที่เข้ามาแทรกในกระดานทั้งที่ไม่รู้กฎของเกม ระยะเวลาของการสานสัมพันธ์ต่อเนื่องค่อยๆ สั้นลง และในที่สุดก็แทบจะกลายเป็นความสัมพันธ์แบบเจอกันแค่ครั้งเดียว มูคยอมรู้สึกว่ามันยุ่งยากกระทั่งการพบกับคู่นอนที่มีเซ็กส์ไปแล้วหนึ่งครั้งซ้ำเป็นครั้งที่สอง

วันเวลาล่วงเลยทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง คิมมูคยอมแปรเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนั้นอย่างต่อเนื่องราวสิบปี เด็กหนุ่มผู้ไม่ต้องการกลายเป็นปีศาจที่สร้างความเจ็บปวดให้คนอื่น จึงตัดสินใจว่าจะไม่สานสัมพันธ์กับใครแม้แต่คนเดียว กลับมีความสัมพันธ์ทางกายแบบคู่นอนคืนเดียวเป็นประจำ เขากลายเป็นผู้ชายที่หัวเราะเยาะความรักของคนอื่น ในขณะเดียวกันก็พูดพร่ำหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง

แต่ในระหว่างที่เขากำลังใช้เวลาในปีที่สิบเฉกเช่นทุกครั้ง ใครบางคนกลับ…

“อีฮาจุน”

เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่อีฮาจุนหลับตาอยู่และไม่ได้ตอบกลับมา

“โค้ชอี หลับเหรอ”

การหายใจของคนที่หลับลงไปอีกครั้งในอ้อมแขนของเขาช่างน่ารัก แม้แต่ใบหน้ายามหลับก็ยังดูเรียบร้อย ฮาจุนก็น่าจะฝันหวานอยู่เหมือนกัน

ทว่า ฮาจุนซึ่งกำลังหลับใหลด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและอ่อนโยน ราวกับหลีกหนีความทุกข์ยากทั้งปวงในโลกใบนี้ไปได้ ก็มีฝันร้ายเช่นเดียวกัน เรื่องที่พอจะทำให้ฮาจุนสั่นคลอนและเปลี่ยนแปลงไป คงจะเกิดขึ้นมากมายนับครั้งไม่ถ้วน เพราะอย่างนั้น ความเสมอต้นเสมอปลายนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าฮาจุนโชคร้ายน้อยกว่าเขา แต่เป็นเพียงหลักฐานที่บ่งบอกว่าฮาจุนเป็นคนจิตใจมั่นคงเท่านั้นเอง

มูคยอมมักจะพูดอย่างทำเป็นเก่ง ว่าคนเราจะสามารถมองเห็นเท่าที่ตัวเองรู้ เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนก่อนแข่งหรือตอนเผชิญหน้ากับผู้คน การทำความเข้าใจลักษณะนิสัยกับกำลังทั้งหมดของอีกฝ่ายให้ถ่องแท้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

ความสามารถของมูคยอมมีความแปลกใหม่ เขาชำนาญในสงครามจิตวิทยา ตอนกลางคืนเขาก็เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม การยั่วยวนของเขาไม่สามารถปฏิเสธได้… ในขณะที่เขาฟังถ้อยคำชมเชยและดูหมิ่นสลับกันไป ทั้งจากนักวิพากษ์วิจารณ์ในตอนกลางวัน และจากคนสอดรู้เรื่องชาวบ้านในตอนกลางคืน เขาก็ยิ่งมั่นใจในวิธีการของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ก็คิดว่ามันไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว แต่ในคำพูดนั้นมีกับดักอยู่ หากเป็นแบบนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนก็จะไม่สามารถมองเห็นเกินกว่าขอบเขตที่ตนเองรับรู้ได้ ต่อให้ยืนอยู่หน้าท้องทะเล ก็จะทำได้แค่มองลอดเข้าไปในแอ่งน้ำเล็กๆ ใต้เท้าเท่านั้น แล้วก็จะทำได้เพียงนับปริมาณของก้อนอิฐซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่คิดที่จะมองออกไปอีกฝั่งของกำแพง

สิบปี ทุกชั่วขณะที่ล่วงเลยผ่านไปไกลจนเลือนราง

ด้วยเหตุนั้น ตอนได้ยินแค่คำพูดปากเปล่า เขาจึงรับรู้ว่ามันเป็นเพียงคำสั้นๆ สองพยางค์ และรู้สึกเหมือนมันเป็นแค่เหรียญอิสริยาภรณ์ที่สามารถติดไว้ตรงหน้าอกเพื่อโอ้อวดคนอื่นเท่านั้น แต่เมื่อมีเครื่องพิสูจน์ที่ตามองเห็นได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า ความยาวนานของช่วงเวลาที่เคยรู้สึกแบบนั้นก็ตราตรึงไปทั่วทั้งร่างกายราวกับตอกเสาเข็ม

รู้สึกราวกับสิ่งที่เหมือนกับเปลือกห่อหุ้มดวงตาได้หลุดออกไป รู้สึกเหมือนคิดว่าตัวเองกำลังหนีไปทางฝั่งตรงข้ามเพื่อไม่ให้เป็นบ้า แต่พอลองลืมตาขึ้นมองกลับมาถึงตรงหน้าหน้าผาเสียแล้ว

‘อีฮาจุน สำหรับนาย การชอบคนอื่นเป็นเรื่องแบบนี้สินะ

ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตาฉันมองเห็นแต่อะไรมา ฉันมัวแต่มองใต้ฝ่าเท้าของตัวเองจนเอาแต่พูดนอกประเด็นออกไป’

ยังไงซะ เขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตโดยทำตามความตั้งใจในตอนแรกได้อย่างหนักแน่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหากแสดงออกว่าตัวเองสูงส่งนัก ทั้งที่เคยจมปลักและตะเกียกตะกายอยู่ในความรู้สึกเหมือนทรยศตัวเองก็จะเป็นการกังวลภาพลักษณ์ของตัวเองที่คนอื่นจะมองมามากจนเกินไป พูดง่ายๆ เลยก็คือเขาทำตัวเองทั้งนั้น

มูคยอมอ้างมาตลอดว่า ไม่ว่ายังไง มันก็ไปไม่รอดหรอก คนแบบเขาไม่สามารถครอบครองตำแหน่งคนข้างกายใครสักคนได้ แต่ผลสุดท้าย ความกลัดกลุ้มนั้นก็ถูกโยนให้เป็นภาระของฮาจุนทั้งหมด แล้วเขาก็ทำเพียงแค่ส่วนที่ตัวเองพอใจเท่านั้น

ตอนนี้เขาไม่ได้แค่ดีใจกับความจริงที่ว่าฮาจุนมีเขาอยู่ในใจมาเนิ่นนานถึงขนาดนั้นเพียงอย่างเดียว เขาดึงเอาหัวใจที่ทุ่มเทและสั่งสมเป็นชั้นๆ ลงมาอยู่ในมาตรฐานของตัวเองแล้วตั้งข้อสงสัยมัน ทดสอบมัน อีกทั้งยังพูดจาทิ่มแทงถากถางจนทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดจนถึงที่สุด เพียงความจริงเรื่องนั้นก็รู้สึกว่าสมควรแล้ว

ในระยะเวลาอันยาวนานที่แม้แต่แม่น้ำกับภูเขาก็ยังเปลี่ยนแปลงไป อีฮาจุนกลับรักใคร่เขามาเสมอไม่เคยเปลี่ยน ถึงแม้ว่าจะตื่นขึ้นมาจากความฝันและความเมามายในคืนนี้แล้ว เขาต้องทำยังไง อีฮาจุนถึงจะยอมยกโทษให้

มูคยอมในสายตาของฮาจุนเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและมีคุณค่าถึงขนาดนี้ แต่เขากลับเอาแต่ทำตัวไม่น่ามองกับอีกฝ่ายมาเนิ่นนาน เขารู้สึกละอายใจขึ้นมาในตอนที่มันสายไปเสียแล้ว หากเป็นไปได้ เขาก็อยากลบความทรงจะในช่วงล่าสุดมานี้ออกจากในหัวของอีกฝ่ายไปให้หมด

มูคยอมทาบมือลงบนหน้าผากของฮาจุนแล้วทอดสายตามองโดยนึกอยากให้ความทรงจำของอีกฝ่ายถูกลบเลือนไป ราวกับผู้ใช้พลังพิเศษที่เคยเห็นในหนังสักเรื่อง แต่เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นการกระทำไร้สาระ ถึงกลุ้มอยู่คนเดียวก็ไม่มีทางที่จะได้คำตอบในตอนนี้ เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงถอนหายใจสั้นๆ พร้อมกับตัดสินใจว่าจะปล่อยให้คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ฝันดีนะ”

‘ไอ้คนโง่เง่า แค่ชื่อเรียกจะไปมีประโยชน์อะไรกัน’

ต่อให้เขาหลีกเลี่ยงคำว่าความรัก ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ต่อให้เรียกมันด้วยชื่ออื่น หัวใจของคิมมูคยอมทั้งดวงก็เอนเอียงไปหาอีฮาจุน ทั้งคู่นอน เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน… ไม่ว่าจะใช้กระดาษแบบไหนห่อหุ้มเอาไว้ สิ่งของด้านในก็ไม่แปรเปลี่ยน

‘ยอมรับซะเถอะ

สายไปแล้วที่จะหลีกเลี่ยง ช่วยไม่ได้ จากนี้ไปทำได้แค่พยายามไม่ให้หัวใจดวงนี้แปรเปลี่ยนไปเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ตอนนี้เขาจะต้องจัดการเอง

นายทำได้ คิมมูคยอม’

จนถึงตอนนี้ มูคยอมทำเรื่องที่คนอื่นเคยส่ายหน้าหัวเราะเยาะ บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นจริงนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ต่อให้บอกว่าเป็นความรัก ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำไม่ได้ตรงไหนสักหน่อยใช่ไหม

มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับกีฬาแห่งหนึ่ง ว่าศัตรูของเรา คู่แข่งของเรา ต่างก็เป็นตัวเราเอง ถ้ามีศัตรู แค่สู้ให้ชนะก็พอแล้ว

เตียงเดี่ยวคับแคบและเบียดเสียดเกินกว่าจะรองรับชายหนุ่มโตเต็มวัยรูปร่างดีสองคน แต่เขาก็ไม่คิดจะลงไปนอนบนพื้น มูคยอมประทับริมฝีปากลงบนเส้นผมนุ่มพร้อมกับหลับตาลงเช่นกัน

“อืม…”

คงรู้สึกไม่สบายกับน้ำหนักที่ถูกทิ้งลงบนร่างกาย ฮาจุนจึงนิ่วหน้านิดๆ พร้อมกับพลิกตัวทันที มูคยอมไม่ยอมแพ้แล้วคราวนี้ก็ฝังใบหน้าลงตรงหน้าอกของฮาจุน เสียงหัวใจเต้นตึกๆ อย่างรัวเร็วเพราะฤทธิ์เหล้า ถูกส่งผ่านมาถึงเขาทั้งอย่างนั้น

“จริงๆ เลย… ไม่ใช่เล่นเลยนะ โค้ชอี”

กลายเป็นว่าไม่จำเป็นจะต้องทำการค้นหาความจริงที่อยู่ลึกลงไปข้างในใจเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสิบปีก่อนของอีฮาจุน โดยดันทุรังให้อีกฝ่ายพูดออกมาจากปากของตัวเองแล้ว มูคยอมพึมพำด้วยเสียงราบเรียบและใบหน้านิ่งเฉย พร้อมกับจ้องมองกำแพงตรงหน้า

กำแพงติดวอลเปเปอร์สีขาวที่เห็นอยู่ข้างเตียง สะอาดสะอ้านไร้รอยขีดข่วนหรือขีดเขียน ไม่มีแม้แต่รอยเดียว แต่คงเพราะเป็นบ้านที่มีอายุยาวนาน โทนสีจึงเปลี่ยนไปขุ่นมัวอย่างช่วยไม่ได้

เวลาผ่านไปทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม

ทุกวันบนโลกใบนี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอน ความจริงข้อนั้นคือสาเหตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ ‘หมอนั่น’ เป็นบ้า

ตั้งแต่สมัยเยาว์วัยที่สุดเท่าที่จำความได้ คนสติไม่ดีที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขามักพูดเรื่องเดิมอยู่เสมอ พูดย้ำๆ อยู่นั่นว่าหากละสายตาไปเพียงครู่เดียว แม่ก็จะชายตามองคนอื่น และหากเจอใบเสร็จร้านค้าที่ตนเองไม่รับรู้มาก่อนแค่ใบเดียว ก็จะด่าทอแม่ว่าไปเจอใครถึงได้ซุกมันไว้ เพราะอย่างนั้นแม่ถึงไม่สามารถไปจ่ายตลาดตามใจชอบได้เลยสักครั้ง

ถึงแม้จะยิ้มแย้ม อนุญาตให้ไปพวกงานสังสรรค์ได้เป็นบางครั้ง ทว่าสุดท้ายอารมณ์ก็จะแปรปรวน แม่เตรียมตัวออกจากบ้านเสร็จแล้วก็ยังเข้าไปฉีกทึ้งเสื้อผ้าของแม่ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว หากมีร่องรอยเพียงเล็กน้อยให้เห็นว่าแวะไปร้านอาหารหรือคาเฟ่มา ซึ่งไม่รู้ว่าติดมาจากไหน หรือบางทีเจ้าตัวอาจเอาติดมาด้วย หมอนั่นก็จะตะโกนแหกปาก บอกว่ามันเป็นหลักฐานว่าแม่ไปเจอผู้ชายที่นั่น

พ่อคนนั้นมักจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน แค่หนึ่งนาทีที่แล้วยังยิ้มเหมือนอารมณ์ดี แต่ถ้าจับผิดอะไรได้เล็กๆ น้อยๆ แค่จุดเดียว ก็จะเริ่มทะเลาะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือเริ่มซักไซ้และใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวมากกว่า สุดท้ายก็จบลงในบทสรุปเดิมร่ำไป

‘แกเปลี่ยนไป จะเปลี่ยนไปแน่

ครั้งนี้ยังจับไม่ได้ใช่ไหม แต่ทำเกินหน้าเกินตาแบบนั้นไป สุดท้ายความลับก็จะเปิดเผยเข้าสักวัน

แล้วก็แก แกเองก็เหมือนกัน พวกแกสองคนลองทำแบบนั้นดูสิ ฉันจะฆ่าทิ้งซะ!’

ตอนแรกมูคยอมรู้สึกได้เพียงแค่ความหวาดกลัวเท่านั้น แต่ทันทีที่โตพอจะคิดเองได้ เสียงตะโกนของคนคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดเหลวไหลที่จะไม่มีอีกแล้วบนโลกนี้ และไม่ต่างอะไรกับเสียงเห่าของหมาบ้า ‘แม่ไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ทำไมถึงได้ทำแบบนั้นเหมือนเดิมทุกวี่ทุกวันนะ ไอ้ปีศาจ ไอ้สัตว์ประหลาด อยากให้ไอ้คนบ้านั่นรีบตายไปได้แล้ว ถ้าฉันโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ฉันจะฆ่ามันก่อนแล้วใช้ชีวิตกับแม่แค่สองคน’

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เขาเชื่อมั่นว่าตนเองเกลียดชังคนคนนั้นไม่เว้นสักวินาทีเดียว ในระยะเวลาสั้นๆ ของทั้งชีวิตที่อยู่ด้วยกันมา แต่ส่วนหนึ่งของคำพูดที่คนคนนั้นตะโกนเหมือนเดิมทุกวันกลับซึมเข้าไปจนถึงใจกลางของเขาอย่างชัดเจน

ในแต่ละวันตั้งแต่หลังจากที่เขารับรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรต่อฮาจุน เขาก็ได้ยืนยันว่าเสียงของสัตว์ประหลาดตัวนั้นหลงเหลืออยู่ภายในใจเขามากแค่ไหน เพราะการกระทำของเขาที่เคยสงสัยและด่าทอฮาจุนเหมือนกันกับคนคนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน หากมีเครื่องพิสูจน์ว่าเขาครอบครองฮาจุนอย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็อาจสติฟั่นเฟือนไปโดยสิ้นเชิงเหมือนหมอนั่นเข้าจริงๆ ไม่ใช่เหรอ

มูคยอมตั้งปณิธานว่าจะไม่กลายเป็นแบบนั้นเด็ดขาด ทว่าคำพูดของปีศาจติดตัวเขาอย่างเหนียวแน่นราวรอยสักที่สักไว้บนร่างกาย จนรู้สึกเหมือนว่ามันจะไม่หลุดออกไปเป็นอันขาด ลูกชายของปีศาจสืบทอดลักษณะนิสัยของปีศาจมา ราวกับคำสาปแช่งที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่น

ถึงแม้ว่าจะรับรู้เรื่องนั้นแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถออกห่างจากอีฮาจุนได้ ตำแหน่งที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นคอหรือหน้าอก ร้อนเร่าดังถูกไฟเผาอยู่ทุกวันเพราะความรู้สึกราวถูกขังอยู่ในเขาวงกตไร้ซึ่งทางออก

มูคยอมฟังเสียงหัวใจพร้อมกับทอดมองกำแพงสีขาว แต่จู่ๆ ก็มีมือขยับมาแปะลงบนศีรษะ มือขยับขึ้นมาราวกับรับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่ไม่ควรจะมีบนหน้าอก แล้วเริ่มคลำใบหน้าด้านข้างของมูคยอม เขาหลุดออกมาจากห้วงความคิดที่ยุ่งเหยิงราวกับไจไหมอย่างง่ายดาย เพราะสัมผัสจากนิ้วที่ทำให้ใบหน้ารู้สึกจั๊กจี้ มูคยอมยกตัวขึ้นช้าๆ เพื่อให้หน้าอกของอีกฝ่ายเป็นอิสระ

ฮาจุนกำลังปรือตาขึ้นครึ่งหนึ่ง ดวงตาที่ฉายชัดว่ายังไม่ตื่นดี จับจ้องมาทางมูคยอมซึ่งกำลังก้มลงมองตนเอง

“…อะไรน่ะ…”

น้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำและยานคางราวกับละเมอ ดังออกมาเป็นคำถาม

‘ทำไมนายถึงมาอยู่ห้องฉันล่ะ’ ฮาจุนกวาดสายตามองมูคยอมอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้างงงวย จากนั้นก็คงสรุปอะไรบางอย่างได้ จึงหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างกะทันหัน

มูคยอมเองก็หัวเราะเบาๆ ออกมาให้กับสีหน้านั้น ถึงอีกฝ่ายถามว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ หรือไล่เขาออกไปด้วยความโกรธ เขาก็คงไม่มีอะไรจะพูด แต่พอส่งยิ้มมาให้กันจึงรู้สึกขอบคุณไม่น้อย

มูคยอมก้มตัวลงอีกครั้ง ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาก่อน เมื่อหันหน้าไปประทับริมฝีปากลงบนฝ่ามือข้างนั้น อีกฝ่ายก็หัวเราะคิกคักออกมาโดยไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำ

“จั๊กจี้”

“อีฮาจุน”

“ทำไม”

มูคยอมหลับตาลง

คำที่เขาเคยพูดออกมาจากปากหลายครั้งต่อหน้าฮาจุนจนถึงตอนนี้ แต่พูดไปเรื่อยตามที่สถานการณ์จะพาไปเพื่อให้หลุดพ้นสถานการณ์นั้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มันลอดออกมานอกริมฝีปากโดยอัตโนมัติราวกับตีรวนขึ้นมาจากในท้อง

“ขอโทษนะ”

ศีรษะของมูคยอมกดต่ำลงไปอีก จนตอนนี้แทบจะพาดร่างกายตัวเองทับเหนือร่างของฮาจุนอยู่แล้ว มูคยอมมุดใบหน้าลงบนพื้นที่ของหมอนที่เหลืออยู่ เลยลำคอของอีกฝ่ายขึ้นไปเล็กน้อย จากนั้นก็กระซิบข้างหูอีกหนึ่งครั้ง

“ขอโทษ”

ขอโทษเรื่องอะไรและขอโทษทำไม ถ้าให้อธิบายที่มาทั้งหมดอย่างละเอียด เขาก็ไม่สามารถพูดจนจบได้ มูคยอมพูดขอโทษสั้นๆ เกี่ยวกับการทำผิดอันเนิ่นนานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้น เสียงอ่อนเปลี้ยเจือเสียงหัวเราะเบาบางก็ตอบกลับมา

“จริงๆ เลย ดูเหมือนว่าช่วงนี้ได้ฟังแต่คำขอโทษจากนาย แม้แต่ในฝันก็เลยยังพูดขอโทษด้วยอีก”

‘ไม่ใช่ความฝันสักหน่อย โค้ชอี

ไม่รู้ล่ะ คิดแบบที่นายอยากคิดเลยแล้วกัน’

“ขอโทษ”

“บอกแล้วว่าไม่เป็นไรไง”

คำที่ตอบกลับมาปนกับเสียงถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่าย ทำให้ครั้งนี้ มูคยอมโพล่งคำพูดที่ขบคิดอย่างถี่ถ้วนและเชื่องช้าออกมาจากปาก ราวกับถูกดันออกมา

“ถ้างั้น… ชอบนะ”

เขารู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นทำให้ตัวของฮาจุนชะงักเกร็งขึ้นเล็กน้อย

มูคยอมซึ่งเป็นคนเอ่ยปากเอง ก็เบิกตาโตโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน บริเวณหัวใจเริ่มค่อยๆ รู้สึกสบายขึ้น ราวกับก้อนอะไรบางอย่างร้อนๆ ที่เคยแผดเผาช่วงระหว่างลำคอกับหน้าอก และทำให้เขากินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับตลอดทั้งช่วงนี้หลุดออกไป

ช่วงแรกหลังเริ่มเล่นฟุตบอล มูคยอมยังคงทิ้งนิสัยเดิมไปไม่ได้และเคยขโมยของครั้งหนึ่ง เขาโกหกเพื่อปิดบังความจริงเรื่องนั้น แต่สุดท้ายก็ถูกจุนซองจับได้ เขาจำความรู้สึกสบายใจอันน่าสิ้นหวังที่ว่าเป็นแบบนี้กลับดีเสียอีก ซึ่งเคยรู้สึกในตอนนั้นได้ ถึงแม้ว่าจะคล้ายคลึงกับในตอนนั้น แต่ก็เป็นความรู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก และแตกต่างกับตอนนั้นเช่นกัน

ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับมันก็ตาม แต่เขาก็ค่อยๆ ไล่ตามความรู้สึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างอย่างนุ่มนวลไป ไม่นาน ฮาจุนที่กำลังฝันอยู่ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสงบจนฟังดูราบเรียบ

“อื้อ ฉันด้วย”

เป็นน้ำเสียงที่คล้ายกับเวลาตอบคำถามน่าเบื่อของเด็กน้อยตามความเคยชิน ลำคอกับดวงตาของมูคยอมรู้สึกร้อนขึ้นราวกับเป็นหวัดเพราะคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากัดฟันสะกดกลั้นมันไว้ แต่ขนตาล่างกลับเปียกชื้น แล้วสุดท้ายความเปียกนั้นก็ร่วงหล่นลงด้านล่างอย่างเชื่องช้า

ตอนฮาจุนบอกเขาว่าชอบแล้วร้องไห้งอแง ถึงจะดูน่าสงสารนิดหน่อยแต่ก็ยังน่ารัก ทว่าพอตัวเองได้อยู่ในสถานะนั้นเข้าจริงๆ ก็อย่าว่าแต่น่าสงสารและน่ารักเลย คงเหมือนคนโง่เง่าด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่าใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น เป็นคำที่มีไว้เพื่อเขาหรือเปล่านะ

มูคยอมมุดใบหน้าลงตรงใกล้ๆ ลำคอของอีกฝ่ายไม่เลิกและไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ แต่เพราะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก มูคยอมจึงยกหน้าขึ้นแวบหนึ่ง ฮาจุนพึมพำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับเคอะเขิน

“อ่า… พรุ่งนี้ฉันต้องซื้อหวยแล้วละ เพราะดื่มเหล้ามากไปหรือเปล่านะ ฝันแบบนี้ครั้งแรกเลย”

‘มีสติอยู่หรือเปล่าเนี่ย เรื่องที่อีฮาจุนฝันถึงคิมมูคยอมตอนนี้ มันเป็นฝันที่น่าเอาไปซื้อหวยตรงไหนกัน’ มูคยอมรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาโดยไม่จำเป็นจึงพูดอีกหนึ่งครั้ง

“ชอบนะ”

“นายชอบฉันเหรอ”

“อีฮาจุน ฉันชอบนาย ชอบจริงๆ มากๆ”

ตอนยั่วยวนคนอื่นก่อนจะไปมีเซ็กส์กัน เขาสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ แต่พอถึงเวลาที่ตั้งใจจะบอกว่าชอบเข้าจริงๆ ดันพูดออกมาได้แค่คำพูดออดอ้อน

ฮาจุนหัวเราะหึๆ แล้วหันหน้าไปด้านข้างราวกับไม่อยากจะเชื่อ

“ฝันแบบเห็นลึกลงไปในใจเลยนะเนี่ย…”

ฮาจุนคิดไปเองว่าการสารภาพรักของมูคยอมเป็นความฝัน สีหน้าของฮาจุนครึ่งหนึ่งปรากฏให้เห็นวี่แววของการล้อเล่น ทั้งที่ตาปิดลงไปแล้วด้วยความง่วงงุน ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เป็นความจริง หรือบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมามองเขาตรงๆ ฮาจุนซึ่งอยู่ตรงหน้าเขาดูสบายใจอย่างแท้จริงแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน เมื่ออยู่ในความฝันที่เจ้าตัวคิดไปเอง

ถึงจะคิดว่าเป็นความฝันก็เถอะ แต่ยังตอบเขาว่า ‘ฉันด้วย’ ได้ยังไงกัน ถึงเขาจะไม่ได้จงใจพูดพล่ามเพื่อหวังให้เจ็บปวด แต่เขาก็ทดสอบจิตใจของฮาจุนและเอาแต่เพิกเฉยมาตลอดแท้ๆ

ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ถึงมูคยอมจะรู้สึกยินดีกับความจริงที่ว่าฮาจุนมีเขาอยู่ในใจ แต่เขาก็มักสงสัยว่ามันอาจเป็นความรู้สึกจอมปลอมที่จะเปลี่ยนไปในเวลาไม่นานก็ได้ เขาขยะแขยงตัวเองที่คิดแบบนั้น และแม้ว่าเขาจะผลักไสฮาจุนออกไปแล้ว แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ก็กลัวว่าความชื่นชอบนั้นจะจากเขาไปจริงๆ เหมือนกัน

ขนาดตัวเขาเองยังคิดว่ามันน่ารังเกียจถึงที่สุด แต่ฮาจุนยังตอบเขามาแบบนั้นได้ยังไง

“โค้ชอีของพวกเรา…”

“จะบอกว่ากินเก่งเหรอ”

เหมือนพูดออกไปแค่ไม่กี่ครั้ง แต่คงเพราะจำคำที่เขาเคยบอกว่ากินเก่งได้ ฮาจุนจึงตอบกลับมาทันที

ฮาจุนพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เมื่อประทับริมฝีปากลงบนปากของฮาจุนเบาๆ ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ลืมตาขึ้น ดวงตาฉ่ำเยิ้มและมึนเบลอเนื่องมาจากความเมามายและความง่วงงุนเบิกกว้างขึ้นในชั่วขณะ

“อะไร นายร้องไห้เหรอ”

ฮาจุนพูดอย่างรวดเร็วราวกับตกใจพร้อมทั้งเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาแตะลงตรงใต้ตาของมูคยอม ทว่าไม่นาน รอยยิ้มขมขื่นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของฮาจุน เป็นเพราะว่าเขายังคงอยู่ในห้วงความฝัน

เมื่อปลายนิ้วของฮาจุนที่เคยสัมผัสตรงขอบตาขยับมาลูบไล้ริมฝีปากของมูคยอม ดวงตาของฮาจุนก็หรี่ลงแวบหนึ่ง ดวงตาของอีกฝ่ายเซ็กซี่ คราวนี้มูคยอมจึงประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตา ฮาจุนยังคงมึนค้างอยู่เนื่องมาจากเหล้าและการหลับใหล เพราะอย่างนั้น ถึงมูคยอมจะทำแบบนี้ไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้ผลักออก มูคยอมรู้สึกเอ็นดูสีหน้าที่มึนงงเล็กน้อยจากการประทับริมฝีปากของเขา

ฮาจุนมักจะพกสมุดโน้ตไปไหนมาไหนและจดบันทึกเรื่องการฝึกซ้อมในแต่ละวันอย่างตั้งใจ เขาไม่ใช่ทีมรักษาพยาบาลหรือนักกายภาพบำบัดจึงไม่จำเป็นจะต้องมุ่งมั่นทำอะไรกับสภาพร่างกายนักกีฬาเลย แต่ทุกครั้ง เขาก็จะพาตัวเองไปสังเกตสภาพร่างกายนักกีฬาโดยตรง อีกทั้งยังคลายกล้ามเนื้อให้ เมื่อได้รับวันพักร้อนอย่างจุใจถึงสิบวัน เขาดันกลับมาทั้งที่ผ่านไปแค่ห้าวันเท่านั้น เป็นโค้ชอีผู้ขยันและจริงใจ

เขาคนนั้นสั่งสมความรู้สึกภายในใจมาสิบปี ซ้อนทับมันขึ้นไปเป็นปราสาทโดยไม่มีใครรู้ ถ้าหากได้เห็นทิวทัศน์ของปราสาทนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องประทับใจแม้ไม่ใช่คิมมูคยอมผู้เป็นตัวเอก หากไม่ชื่นชมก็คงจะทนไม่ไหว

“โค้ชอีของพวกเราน่ะ หน้าตาดีจริงๆ เลย…”

“…”

“แถมยังเท่ น่ารัก ใจดี จริงใจ ฉลาด เข้มแข็ง แล้วก็เซ็กซี่อีกต่างหาก… ตัวคนเดียวก็สมบูรณ์แบบขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงมาชอบคนแบบฉันได้นะ”

ตอนมูคยอมพูดจบ ขอบตากับแก้มของฮาจุนก็แดงเรื่อ แม้ถูกชมในความฝันก็ยังเขินหรือไงนะ แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าก็ยังบึ้งตึง ฮาจุนกะพริบตาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับเงยหน้ามองมูคยอม จากนั้นก็ตอบกลับหน้ามุ่ย

“นายพูดอะไรเนี่ย… ลองไปถามคนที่เดินผ่านไปมาสักร้อยคนดูสิ ว่านายสมบูรณ์แบบ หรือว่าฉันสมบูรณ์แบบกันแน่”

เป็นแค่คนที่เดินผ่านไปมา เพราะฉะนั้นย่อมรู้เพียงภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นอยู่แล้ว การแสร้งทำเป็นเท่ ทำเป็นเข้มแข็ง ทำเป็นดีเลิศ และทำเป็นคนไร้ซึ่งข้อบกพร่อง การกระทำแบบนั้นคือตัวตนของคิมมูคยอมทั้งชีวิต

มีบางส่วนที่มูคยอมอยากปกปิดเอาไว้ แต่เขาก็รู้ดีว่าคนอื่นภาคภูมิใจในตัวเขา อีกทั้งเขายังมีภาพลักษณ์ที่พอจะโอ้อวดได้เยอะ ตัวเขาเองก็พึงพอใจในส่วนนั้นเหมือนกัน การแสดงให้คนที่รู้จักเพียงผิวเผินได้เห็นเพียงด้านนั้นด้านเดียว ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการทำงาน แต่ต้องทำแบบนั้น ความรู้สึกของเขาถึงจะดีขึ้นด้วย

‘แต่อีฮาจุน นายเห็นตัวฉันที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นมาเยอะจนมากเกินไปด้วยซ้ำ’

“ฉันเป็นผู้ชายที่ยังบกพร่องอยู่เยอะ โค้ชอีก็รู้นี่”

“แหงอยู่แล้วสิ นายมันไม่ได้เรื่อง ฉันรู้มาตั้งแต่เมื่อก่อนว่านายเห็นแก่ตัวแล้วก็นิสัยไม่ดี แต่พอได้ใช้เวลาใกล้ชิดกัน นายกลับไม่เอาใจใส่คนอื่นยิ่งกว่าที่คิดอีก… แถมยังขี้บังคับแล้วก็อารมณ์แปรปรวนง่ายด้วย”

เขาเห็นด้วยเต็มร้อย แต่พอฮาจุนหยิบยกตัวเขาขึ้นมาตำหนิเข้าจริงๆ น้ำเสียงเศร้าสร้อยก็ถูกเปล่งออกมาโดยอัตโนมัติ

“ก็เลยไม่ชอบเหรอ”

“เวลานายทำแบบนั้นก็โกรธอยู่หรอก… แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ…”

“ชอบตรงไหนของฉันล่ะ”

“ไม่รู้ ช่วงนี้ฉันก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน… มองหน้านายแล้วก็ชอบหรือเปล่านะ”

“หน้าเหรอ ชอบส่วนไหนบนหน้าฉันที่สุด”

“ก็ดูดีหมดเลยนะ จมูกกับหน้าผากละมั้ง คางนายก็สวยดี”

ฮาจุนตอบกลับครบทุกคำถามในบทสนทนาที่ดำเนินไปอย่างน่าสนใจ แล้วเขาก็หัวเราะหึๆ ขึ้นมาซะอย่างนั้น

“เรื่องที่ดีกว่าที่เคยคิดไว้ก็เยอะ”

“…เรื่องไหนล่ะ”

“นายทำดีกับฉันบ่อยเหมือนกันนี่ เงินก็ใช้เยอะ ฉันยังไม่เคยใช้เงินกับเรื่องนายแม้แต่ร้อยวอน แต่นายใช้เงินกับเรื่องฉันกว่าสิบล้านวอนเข้าไปแล้ว”

ฮาจุนคำนวณเงินแม่นยำกว่าที่เห็น ถ้าจุดที่ฮาจุนคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ในตัวเขา คือความร่ำรวยล่ะก็ เขาดึงดูดอีกฝ่ายให้หนักแน่นกว่านี้อีกสักนิดก็น่าจะดีเหมือนกัน

“ฉันมีดีแค่เงินเท่านั้นล่ะ ยังไม่ได้ใช้ไปเยอะอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

“ทำไมแม้แต่ในฝัน นายก็ยังอวดดีได้นะ…”

‘ไม่ใช่แบบนี้หรอกเหรอ’

มูคยอมปิดปากเงียบเพราะรู้สึกเหมือนว่าถ้ายิ่งพูดก็จะมีแต่คะแนนลดลง คราวนี้เขาประทับริมฝีปากลงบนแก้มของฮาจุน ‘จุ๊บ’ ฮาจุนได้รับจูบที่เกิดเสียงแผ่วเบานั้น แต่ก็ไม่ได้ผลักมูคยอมออก บางทีคงเป็นเพราะคิดว่าอยู่ในความฝัน

วันที่ปฏิเสธคำสารภาพรักของฮาจุน ฮาจุนร้องขอให้เขากอดและจูบตอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถร้องขอเรื่องเดียวกันได้หรือเปล่า เพราะสถานะของเราแตกต่างกัน แต่ไม่ว่ายังไง ในตอนที่ฮาจุนยอมรับสัมผัสจากเขาเพราะคิดว่านี่คือความฝัน การลองขออะไรสักอย่างดูก็น่าจะเป็นการกระทำที่หลักแหลมทีเดียว

“กอดหน่อยได้ไหม”

“ถามอะไรเนี่ย”

พอได้ยินน้ำเสียงเพิกเฉย มูคยอมก็ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมา เพราะแยกไม่ออกว่ามันเป็นการแสดงความเห็นชอบว่าได้อยู่แล้ว หรือมันเป็นการตำหนิว่าป่านนี้แล้ว ยังจะถามอะไรทุกเรื่องเหมือนไม่เคยไปได้

เมื่อกางแขนออก ถึงจะไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก แต่ฮาจุนก็ตะแคงข้างหันมาโอบแขนไปด้านหลังของมูคยอม แล้วดึงตัวเขาไปซุกในอ้อมกอด ทั้งร่างกายที่ดึงไปกอด ทั้งเตียงที่เขานอนอยู่ ทุกที่ต่างมีกลิ่นของฮาจุนโชยออกมา กลิ่นที่เหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล กระทั่งกลิ่นกายอบอวลก็ยังคล้ายกับฮาจุนผู้เสมอต้นเสมอปลาย

‘จูบได้ไหม’

เขาตั้งใจจะถามออกไปแบบนั้น แต่ก็ล้มเลิก อีฮาจุนในห้วงความฝันจะต้องตอบว่าได้อย่างแน่นอน แต่พอนึกถึงฮาจุนตอนรับจูบจากเขาบนรถเมื่อครู่นี้แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พร้อมบอกว่าค่อยทำคราวหน้า ไม่รู้ทำไม มูคยอมจึงไม่สามารถพูดคำนั้นออกมาได้

ฮาจุนวัยสิบหกปีในตอนที่เริ่มชอบเขา วันส่วนใหญ่ใช้ไปกับการสวมเครื่องแบบนักเรียนไปโรงเรียน เรียนคาบเช้าไม่กี่ชั่วโมงแล้วตลอดทั้งบ่ายก็เข้าร่วมการฝึกซ้อม เป็นวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานจนเลือนรางอยู่ในความทรงจำตอนนี้

เป็นช่วงเวลาที่มูคยอมคุ้นเคยกับการเตะฟุตบอลไปพร้อมๆ กับได้ยินคนบอกว่าเป็นอัจฉริยะ และเข้าออกบ้านของจุนซองเป็นประจำ อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาผ่านมาประมาณหนึ่งปีหลังหนีออกมาจากสถานที่สกปรกราวคอกหมู

“พี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ พี่ไม่กินเหล้าหนักขนาดนี้นะ”

มูคยอมหาข้ออ้างมาตอบ

“เห็นบอกว่าวันนี้การแข่งดำเนินไปได้ด้วยดีก็เลยอารมณ์ดีน่ะ”

“อ๋อ อย่างนั้นเหรอครับ ช่วงนี้พี่น่าจะอารมณ์ดีอยู่แหละครับ ก็ได้อยู่ทีมเดียวกันกับนักกีฬาคิมมูคยอมนี่นา”

“…งั้นเหรอ”

“ครับ พี่น่ะ ชอบนักกีฬาคิมมูคยอมสุดๆ ไปเลย”

ไม่รู้ทำไมแต่คำพูดนั้นก็ทำให้อารมณ์ของมูคยอมสงบลง ตอนได้ฟังเรื่องเล่าที่ร้านเหล้าเมื่อครู่นี้ ว่าฮาจุนมีใจให้เขาตั้งแต่สมัยอยู่มัธยมต้น และเล่นฟุตบอลพร้อมกับคอยมองดูเขาไปด้วย มูคยอมก็รู้สึกแค่เพียงปลาบปลื้มใจเท่านั้น แต่ยากที่เขาจะรู้เหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้ถึงทำให้ความรู้สึกของเขาตอบสนองออกมาไม่เหมือนกัน

เมื่อจัดท่าจัดทางให้ฮาจุนได้นอนแล้วออกมาข้างนอก คุณแม่ของฮาจุนก็กำลังรอเขาอยู่ มูคยอมก้มหัวทักทาย

“สวัสดีครับ คุณแม่”

“ขอบใจที่พามาส่งนะจ๊ะ ไม่ใช่เด็กที่จะเมาจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแบบนั้นแท้ๆ วันนี้มีเรื่องอะไรกันนะ”

มูคยอมกวาดตามองดูภายในบ้านแวบหนึ่ง ห้องนั่งเล่นเก่าและคับแคบถูกจัดข้าวของอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่ว่าจะเช็ดถูมากเท่าไร ความขัดสนและความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตก็ไม่เลือนหายไปและยังคงทิ้งร่องรอยไว้อยู่ทั่วทุกมุม ความรู้สึกนั้นเหมือนกับอันตรายที่ไม่รู้ตัวตนซึ่งเขารู้สึกได้จากอีฮาจุนอยู่บ่อยๆ

“เดือดร้อนอะไรกัน ไม่เลยครับ”

“ช่วยรอสักเดี๋ยวได้ไหมจ๊ะ ฉันจะชงชาให้สักแก้วนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ดึกมากแล้ว เดี๋ยวผมจะกลับเลยครับ”

ทันใดนั้น น้องๆ ก็พูดขึ้นราวกับเสียดาย

“กลับเลยเหรอครับ”

“ถ้ารู้ว่าปล่อยให้แขกกลับไปเฉยๆ พี่ต้องบ่นแน่เลยค่ะ”

‘…บรรยากาศเหมือนลูกนกนี่มันเอกลักษณ์เฉพาะครอบครัวหรือไงนะ’

เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วยืนอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น คุณแม่ของฮาจุนก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“นั่งรอสักเดี๋ยวแล้วกันนะ พวกลูกน่ะเข้าห้องไปได้แล้ว ยืนจ้องคนอื่นเขาแบบนั้นมันเสียมารยาท”

“หนูจะชงชาให้เองแม่ แม่ก็นั่งรออยู่ด้วยกันนะ”

เมื่อเด็กสาวรีบร้อนไปยืนหน้าอ่างล้านจาน เด็กหนุ่มก็กัดริมฝีปากเบาๆ ราวกับว่าช้ากว่าหนึ่งก้าว แล้วจึงหันตัวไปเหมือนตั้งใจจะกลับเข้าห้องก่อน

พอนั่งหันหน้าเข้าหากันกับคุณแม่ของฮาจุนโดยมีโต๊ะทานอาหารคั่นกลาง ก็ยากที่จะสู้ใบหน้าใจดีมีเมตตาซึ่งไม่ได้พูดอะไร

ทั้งที่เขาพูดคำพูดร้ายกาจสารพัดกับลูกชายแสนล้ำค่าและกำลังจะทำเรื่องไม่ดีก่อนพามาบ้าน แต่ครอบครัวกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังต้อนรับเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ การได้รับการดูแลแบบนี้ช่างน่าอึดอัดและประหม่า ถ้าฮาจุนตื่นขึ้น เขาก็อาจโดนหินปาใส่แล้วไล่ตะเพิดออกไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ มูคยอมทนไม่ไหวพลางพูดออกมา

“คือว่า ถ้าไม่เป็นไร ผมขอเข้าไปอยู่ในห้องโค้ชอีสักครู่หนึ่งได้ไหมครับ”

“อ้อ จะเอาแบบนั้นเหรอจ๊ะ ได้สิ เป็นเพื่อนกัน แบบนั้นน่าจะสบายใจกว่านะ”

กระทั่งคำว่า ‘เพื่อน’ ก็ยังแทงใจดำ มูคยอมรีบลุกจากเก้าอี้พลางก้มหัวขอตัวแล้วเข้าไปในห้องฮาจุนอย่างกับจะหนี เขาปิดประตูลงแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมาก่อน จากนั้นจึงขยับสองสาวก้าวไปนั่งลงบนเตียงที่ฮาจุนนอนอยู่ ท่าทีหลับลึกกรนครอกๆ ดูสุขสบาย

‘ทำท่าหงุดหงิดบอกอยากกลับบ้านถึงขนาดนั้น เพราะที่บ้านฉันนอนหลับไม่สบายแบบนี้หรือไง’ มูคยอมคิดแบบนั้นขึ้นมากะทันหันแล้วทำปากเบ้หนึ่งที จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดูรอบๆ ห้อง

ข้าวของอย่างพวกเตียง โต๊ะหนังสือ ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ และราวแขวนถูกจัดวางเอาไว้ ไม่มีการประดับประดาอะไรเลย เป็นห้องที่บอกว่าไร้ซึ่งการตกแต่งจะถูกต้องกว่าบอกว่าตกแต่งอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะรกระเกะระกะเกินคาด ต่างกับโต๊ะของฮาจุนซึ่งตั้งอยู่ในบ้านของเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

มูคยอมไล่มือหยิบสมุดโน้ตที่เก็บไว้ในชั้นหนังสือออกมาเปิดพึ่บพั่บดูด้านใน เหมือนกับว่าส่วนใหญ่เป็นสมุดโน้ตที่เคยใช้สมัยเรียน การจดบันทึกเกี่ยวกับการรักษาอาการบาดเจ็บด้านกีฬา โครงสร้างร่างกายมนุษย์ หรือไม่ก็เรื่องโค้ชชิ่ง ถูกจดเป็นระเบียบอยู่ในสมุดโน้ตหน้าตาเหมือนเล่มที่เจ้าตัวมักจะพกไปไหนมาไหนเสมอ

“น่าเบื่ออะไรแบบนี้”

คราวนี้มูคยอมเอาแฟ้มใสแฟ้มหนึ่งออกมาจากตรงชั้นล่างของสมุดโน้ตที่มองเห็นสันแฟ้มวางเรียงรายอยู่ หน้าตาของแฟ้มที่ใช้กระดาษเขียนตัวเลขแปะไว้เพื่อระบุเล่ม ดูเหมือนเป็นพวกแฟ้มเก็บรวบรวมข้อมูล มูคยอมพลิกดูหน้ากลางๆ ตามที่มือเปิดไปเจอ

‘คิมมูคยอม รางวัลนักกีฬา EPL ในปีนี้’

ตัวอักษรขนาดใหญ่ที่โผล่มาอย่างกะทันหัน ทำให้มูคยอมชะงักมือไป

มูคยอมย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับภาพวิดีโอที่ถูกกดหยุด เขาคีบหน้าหนึ่งไว้ระหว่างนิ้วแล้วพลิกหน้าหลังเพื่ออ่านดูอย่างละเอียด หนังสือพิมพ์กีฬาที่ถูกตัดส่วนของข่าวข่าวหนึ่งออกมา ถูกติดเก็บไว้อย่างเรียบร้อยบนกระดาษสีขาว ด้านในซองพลาสติกบางใส

มันเป็นข่าวที่มีรูปถ่ายมูคยอมสวมสูทและถือถ้วยรางวัลสมัยได้รับรางวัลนักกีฬาประจำลีกเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน ส่วนเนื้อหาข่าวก็ชัดเจนอยู่แล้ว

มูคยอมพลิกหน้าซองพลาสติกใสลื่นในมืออย่างเชื่องช้า จากนั้นความเร็วในการพลิกหน้าต่อไปก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเสียงพึ่บพั่บ

สิ่งที่ถูกรวบรวมไว้ด้านในไม่ได้มีเพียงข่าวหนังสือพิมพ์อย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนิตยสาร บทสัมภาษณ์ตามสื่ออินเทอร์เน็ต ภาพถ่ายแบบแฟชั่นหรือภาพถ่ายโฆษณา เอกสารข่าวต่างประเทศที่พรินต์ออกมา แม้กระทั่งรูปถ่ายจากปาปารัสซีจำนวนหนึ่ง รวมถึงเอกสารวิเคราะห์แนวการเล่นของกรีนฟอร์ดซึ่งมีการแนบโน้ตอะไรบางอย่างที่เขียนด้วยตัวเองเอาไว้ด้วย ทุกอย่างที่พูดมาอัดแน่นอยู่เต็มเอี๊ยด

มูคยอมเก็บแฟ้มเข้าที่เดิมแล้วเอาแฟ้มอื่นออกมา เนื้อหาด้านในเป็นแบบเดียวกัน ถ้าหากจะบอกว่าแตกต่างกันก็มีเพียงแค่อย่างเดียว คือในแฟ้มก่อนหน้านี้รวบรวมข้อมูลเมื่อห้าปีก่อนเอาไว้ แต่แฟ้มที่เขาถืออยู่ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลเมื่อสามปีก่อน ไม่มีเรื่องของนักกีฬาคนอื่นเลยสักนิด ทั้งหมดมีแต่เรื่องเกี่ยวกับมูคยอมเท่านั้น

“…”

‘ทั้งหมดนี่มันอะไรกัน’

มูคยอมเงยหน้าขึ้นเบนสายตาไปทางชั้นหนังสือ แฟ้มหลากสีที่ระบุเล่มด้วยกระดาษเขียนตัวเลข เรียงรายอยู่เต็มๆ สองช่องบนชั้น พอมองดูอย่างละเอียดจึงเห็นว่าสีของกระดาษก็แตกต่างกัน และถูกวางเรียงแถวไปโดยไล่ตั้งแต่สีซีดไปจนถึงอันที่ดูใหม่มากๆ มูคยอมมองดูสันแฟ้มพวกนั้นด้วยใบหน้าแข็งทื่อ เขายืนลังเลโดยไม่แม้แต่จะคิดเปิดดูแฟ้มไหนเพิ่มอีก

‘ก๊อกๆ’

ในตอนนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มูคยอมสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันตัวไปราวกับคนถูกจับได้ว่าขโมยอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงรีบร้อนเก็บแฟ้มแล้วเปิดประตู

“ดื่มชาสักหน่อยสิคะ”

เป็นน้องสาวของฮาจุน ความวิงเวียนราวถูกฟาดลงมาด้านหลังศีรษะ โหมเข้ามาภายในหัวจนมูคยอมรู้สึกมึน แต่เขาก็หาข้ออ้างให้ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไม่ได้ มูคยอมจึงตามเธอไป

เมื่อนั่งลงหน้าโต๊ะแล้วรอครู่หนึ่ง เด็กสาวก็ถือแก้วชามายื่นให้แม่ของตัวเองก่อน จากนั้นจึงยื่นให้มูคยอม แก้วชาที่มีหูเล็กจิ๋วอยู่ในมือของเขา

“อ๊ะ!”

มูคยอมจับตรงหูแก้วเล็กจิ๋วเพื่อรับมาถือไว้ แต่แล้วนิ้วของเขาก็ลื่นจนทำให้แก้วชาเอียงอย่างรุนแรง น้ำชาในแก้วหกรดเสื้อผ้า ของเหลวสีออกทองซึ่งไม่รู้ว่าเป็นชาดำหรือชาเขียว กระจายเป็นวงบนเสื้อเชิ้ตอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าจะทำเรื่องผิดพลาดโง่ๆ ต่อหน้าคนที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แต่มูคยอมก็ทำเพียงก้มลงมองเสื้อที่ถูกย้อมไปด้วยน้ำชาอย่างมึนงงเท่านั้น

“จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เป็นน้ำชาก็เลยน่าจะจางไม่ได้ง่ายๆ ด้วยสิ”

แม่ของฮาจุนพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ มูคยอมตั้งใจจะบอกว่าไม่ต้องกังวล แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงทำไม่ได้แม้แต่จะพูดออกมาในทันที ต้องกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากครู่หนึ่งก่อน เขาจึงสามารถตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบลงได้

“ผมไม่เป็นไรครับ”

คุณแม่ของฮาจุนอ้าปากพะงาบสองสามครั้งแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง

“นักกีฬาคิม อย่าพูดแบบนั้นเลย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค้างบ้านเราสักคืนดีไหมจ๊ะ ช่วงนี้ฮาจุนก็ไปค้างบ้านนักกีฬาคิมบ่อยๆ วันนี้นักกีฬาคิมก็นอนที่บ้านของพวกเราสักคืนแล้วกันนะ เป็นเพื่อนของฮาจุนแล้วยังเป็นแขกคนสำคัญอีก จะส่งกลับไปทั้งอย่างนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะจ้ะ อย่างน้อยพรุ่งนี้เช้า แม่จะเตรียมอาหารเช้าให้ ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับนะ นะ?”

ทันใดนั้น น้องสาวของฮาจุนก็กระซิบขึ้นมาราวกับคิดไม่ตก

“แม่ แล้วจะให้นอนตรงไหนล่ะ”

“ฮาคยองนอนห้องนั่งเล่นสักคืนก็ได้นี่ ให้เขานอนในห้องฮาคยองก็ได้”

มูคยอมที่ฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างงุนงงอยู่ เอ่ยปากพูดขึ้น

“ถ้างั้น… ผมจะนอนในห้องโค้ชอีแล้วกันครับ”

“ห้องฮาจุนเหรอ ตอนนี้ฮาจุนหลับไปแล้ว จะปลุกให้ลงมาจากเตียงก็ยังไงๆ อยู่นะ”

“ไม่ครับ ผมจะนอนบนพื้นครับ”

“จะให้แขกนอนบนพื้นได้ยังไงกัน ทั้งที่คนในบ้านนอนกันปกติ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

เธอรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไร แต่ในที่สุดก็ยอมฟังคำพูดของมูคยอมซึ่งเป็นแขก กางเกงกับเสื้อยืดขนาดใหญ่เกินไปที่ซื้อมาผิดไซส์จึงยังไม่มีใครได้สวมถูกนำมาให้เขา

เมื่อออกมา เสื้อผ้าของฮาจุนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อฮาคยองจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ในขณะที่เขาล้างตัวแบบง่ายๆ ในห้องน้ำ มูคยอมรู้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วระหว่างคนในครอบครัว อีกทั้งก็รู้ว่าเขาไม่สามารถยืนกรานว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮาจุนได้ แต่หว่างคิ้วของมูคยอมก็ยังย่นเข้าหากันเล็กน้อย

เมื่อน้องสาวเอาเครื่องนอนสำรองมาให้ ทางน้องชายก็ปูมันลงตรงด้านล่างของเตียงนอน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะทำตามคำสั่งของแม่แต่สีหน้าก็ยังคงเคอะเขิน มูคยอมพอเข้าใจในความรู้สึกนั้น เป็นเรื่องน่าอายที่ทำให้เขาได้เห็นการเป็นอยู่ในบ้านหลังเก่า

ตอนนี้มูคยอมอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวขนาดสามร้อยพย็องและมีรถขับกว่ายี่สิบคัน แต่ตอนเด็กเขาก็เคยนอนรวมกับคนเป็นสิบคนในห้องเดียว และหลังจากออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กก็เคยปูผ้าห่มนอนในห้องเดี่ยวคับแคบที่ไม่มีแม้แต่ห้องครัวอยู่ทุกคืนวัน ความขัดสนไม่ได้เป็นเรื่องที่มูคยอมไม่คุ้นเคยหรือไม่สะดวกใจเลยแม้แต่น้อย ทว่าเด็กทั้งสองกลับไม่รู้ไปจนถึงเรื่องแบบนั้น

“ถ้างั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

“ขอบใจนะ”

“คือว่า ให้ผมเรียกว่าพี่ได้ไหมครับ”

เด็กที่ชื่อฮาคยองรีบถามขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตู มูคยอมหัวเราะหึ พร้อมกับพยักหน้า

“ได้สิ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่มูคยอม!”

น้ำเสียงร่าเริงของเด็กที่บอกลาอย่างแข็งขันแล้วออกจากห้องไป ได้ยินอย่างชัดเจนแม้ประตูปิดลงแล้ว ตอนนั้นมูคยอมถึงผ่อนคลายความเกร็งลงได้ เขาพรูลมหายใจยาวออกมา

มูคยอมยืนนิ่งกลางห้องเหมือนคนหลงทางครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบไปทางเตียงที่เจ้าของห้องนอนอยู่แล้วไปยืนตรงด้านหน้าชั้นหนังสืออีกครั้ง แทนที่จะเอนตัวนอนลงบนผ้าห่มซึ่งถูกปูไว้ให้สำหรับแขก

…พอจะค้นแบบจริงจังก็รู้สึกผิดเพราะจิตสำนึกเล็กๆ แต่อย่างไรซะ เขาก็ลงมือทำเรื่องนี้ไปแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะปิดหูปิดตา มูคยอมลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าชั้นหนังสือ เขาเอาแฟ้มติดกระดาษที่ดูเก่าที่สุดจากด้านซ้ายสุดของชั้นล่างออกมาเป็นแฟ้มแรก

‘คิมมูคยอม นักเรียนมัธยมต้นผู้มีอนาคตไกล ในอนาคตจะได้เป็นนักฟุตบอลของเกาหลีไหมนะ?’

มันเป็นข่าวสมัยก่อนซึ่งไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเขาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างเป็นคนตรวจสอบสื่อต่างๆ อย่างละเอียดก็ตาม เมื่อเห็นภาพตัวเองตอนอยู่ชั้นมัธยมต้น ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มจะถูกผู้คนพูดถึงกันเยอะและเริ่มจะได้เห็นหน้าค่าตาตามข่าวโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

จากมุมมองของตัวเองในตอนนี้ที่อายุยี่สิบหกปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีรังสีความอายุน้อยแต่กลับมีสีหน้าหยาบกระด้างกว่าตอนนี้เสียอีก เป็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนไม่ฟังใครพูดอะไรเลยจนน่าชัง ในรูปเด็กหนุ่มกำลังเตะลูกบอลอยู่

ช่วงนี้คงไม่มีเอกสารที่น่าเก็บมากมายนัก หรือไม่ก็คงไม่ใช่ตอนที่ฮาจุนตัดสินใจว่าจะรวบรวม ข้อมูลต่างๆ ในสมัยมัธยมต้นซึ่งถูกรวมมาไว้ด้วยกันจึงดูจบลงในเวลาไม่นาน มีแค่พวกบทสัมภาษณ์สั้นๆ หรือไม่ก็ภาพท่าทางมีชีวิตชีวาสมัยอยู่ทีมเยาวชน เขาจำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าดูจากคำพูดของฮาจุนก็หมายความว่า ตอนที่อีกฝ่ายเจอกับเขาครั้งแรกก็เป็นช่วงประมาณนี้

สื่อต่างๆ ถูกตัดมาเก็บสะสมไว้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ข้อมูลตั้งแต่ปีถัดจากนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และสื่อจำนวนมหาศาลถูกตัดมารวบรวมไว้ทั้งที่เป็นเวลาภายในเดือนเดียว

ทั้งเรื่องนักกีฬาวัยมัธยมปลายผู้มากด้วยพรสวรค์ เรื่องการแข่งกันยื่นข้อเสนอชวนเข้าทีมอย่างดุเดือดจากทีมมืออาชีพ เรื่องทีมแรกผู้โชคดีที่เคยเป็นทีมตกชั้นแต่พอมูคยอมเข้าสังกัดเพียงหนึ่งปีก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกหนึ่ง และปีถัดไป มูคยอมก็ไปสังกัดในกรีนฟอร์ดซึ่งเป็นต้นสังกัดในปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ

เรื่องค่าตัวในการย้ายสังกัดซึ่งไม่มีใครเทียบได้จากในประวัติศาสตร์นักกีฬา ไม่ใช่แค่นักกีฬาประเทศเกาหลีแต่ทั่วทั้งเอเชีย สื่อที่ถูกรวบรวมมาในช่วงนั้นเริ่มมีข่าวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของมูคยอมแทรกเข้ามาด้วย

ตอนให้สัมภาษณ์กับจุนซอง เรื่องคิมมูคยอมเผยความซาบซึ้งใจต่อผู้จัดการทีม ข่าวฉาวแรกที่มีการเผยแพร่รูปอันไม่น่ายินดีสักเท่าไร เนื่องจากเขาไม่สามารถรับมืออย่างเหมาะสมได้เพราะเพิ่งเคยเป็นครั้งแรก กระทั้งข่าวที่คาดคะเนว่าเขาจะสามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างราบรื่นหลังย้ายสังกัดไปหรือไม่ ซึ่งมีทั้งคำสาปแช่งและคำพูดในแง่ดีปะปนกันไป

โดยเฉพาะข่าวนั้น มันถูกขีดเส้นใต้ในแต่ละย่อหน้าราวกับเจ้าตัวถือปากกาพร้อมกับอ่านไปด้วย สายตาของมูคยอมไล่มองข้อความสั้นๆ อยู่พักหนึ่ง ข้อความนั้นถูกเขียนหวัดๆ ไว้ราวกับจดโน้ตหรือไม่ก็แค่ขีดเขียนเล่นลงตรงที่ว่าง

[‘นายทำได้ คิมมูคยอม สู้เขา’]

แฮตทริกแรกตอนสังกัดกรีนฟอร์ด บทความเกี่ยวกับคิมมูคยอมซึ่งได้กลายเป็นผู้เล่นหลักประจำทีมอย่างเต็มตัว ตอนได้รับชัยชนะในเอเชียนเกมส์ ความขัดแย้งระหว่างเขากับผู้จัดการทีมคนใหม่ พิธีมอบรางวัล แล้วก็ข่าวฉาวอีกแล้ว โกล ตอนเป็นเรื่องวุ่นวายจากการทะเลาะกันเพราะเมาเหล้า โกล ภาพตอนโกรธเพราะได้รับใบแดง ปาร์ตี้กับข่าวน่าอับอาย โกล คิมมูคยอมผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลนานาประเภท แล้วก็อีกมากมายหลายอย่าง…

น่าจะเป็นข้อมูลที่ฮาจุนเองก็รวบรวมมาในขอบเขตที่ตัวเองสามารถหาได้ มูคยอมก็ตรวจสอบและเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอถูกรวบรวมเอาไว้ด้วยกันเข้าจริงๆ มูคยอมก็ถึงกับตกใจขึ้นมาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ว่าบนโลกนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขามากมายขนาดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ

ตั้งแต่ช่วงราวๆ มัธยมสามจนถึงตอนนี้ ชีวิตของผู้ชายที่ชื่อว่าคิมมูคยอมถูกย่อส่วนแล้วเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอมในห้องเล็กๆ ราวกับสมบัติที่ถูกนำมาจัดแสดงอย่างลับๆ ในพิพิธภัณฑ์โดยไม่มีใครรู้เลยแม้แต่คนเดียว ไม่สิ มองข้ามเรื่องชีวิตของคิมมูคยอมไป นี่ดูเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่คนที่ชื่อว่าอีฮาจุนสร้างขึ้นเป็นเอกเทศเลยด้วยซ้ำ

มูคยอมมองไปกลางอากาศพร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง เขายกมือขึ้นเพื่อเอาแฟ้มสุดท้ายออกมา ตอนนั้น เขาก็พบกับแฟ้มที่มีเพียงหน้าเดียว ซึ่งบางเสียจนเมื่อครู่นี้ไม่เห็นอยู่ในสายตา มันแทรกอยู่ท่ามกลางแฟ้มพลาสติกใสเล่มหนาราวกับซุกซ่อนเอาไว้ มูคยอมเปิดมันออกดู

ด้านในไม่ใช่สื่ออย่างพวกข่าวหรือรูปถ่ายต่างกับที่เห็นมาจนถึงตอนนี้ แต่มีปึกเอกสารสีขาวดำถูกสอดเอาไว้ หากดูตามหัวข้อแล้วก็คงจะเป็นหนังสือสัญญา

‘Tours FC’

มูคยอมอ่านลายมือที่ปนอยู่กับข้อความซึ่งถูกเขียนไว้แถวบนสุด และถึงแม้ว่าไม่ได้อ่านเนื้อหา เขาก็รับรู้อย่างทะลุปรุโปร่งในทันทีว่าเป็นเอกสารอะไร สโมสรฟุตบอลตูร์ ชื่อทีมฟุตบอลของฝรั่งเศส

มูคยอมกวาดตาอ่านลงมาอย่างละเอียดแล้วเก็บมันกลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่สั้นๆ จากนั้นก็ลุกจากที่แล้วเดินไปทางเตียงนอน

ฮาจุนนอนหันหลังใส่กำแพง มูคยอมก้มลงมองภาพด้านข้างของฮาจุนโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงค่อยๆ ค้อมตัวราวกับจะนอนคว่ำ แล้วหนุนใบหน้าลงบนไหล่ของอีกฝ่ายซึ่งนอนตะแคงข้าง

ถ้าคำที่บอกว่าหมดใจแล้วเป็นเรื่องโกหก สุดท้ายแล้วหมายความว่าฮาจุนต้องการอะไรกันแน่ ความรู้สึกแบบเดียวกันกับตัวเองเหรอ บอกว่าชอบก่อน เพราะอย่างนั้นก็เลยทำตัวเย่อหยิ่งว่าต้องได้รับคำพูดแบบเดียวกันกลับไป ถึงจะสามารถกู้คืนศักดิ์ศรีที่เสียไปให้กลับคืนมาได้อย่างนั้นเหรอ หรือหมายความว่าต้องทำถึงขนาดเชิญวงออเครสตร้ามา แล้วมอบช่อกุหลาบกับแหวนเพชรให้พร้อมขอแต่งงาน ถึงจะยอมรับหรือเปล่า กลัวว่าใครจะไม่รู้ว่าเป็นลูกวัวหรือไงถึงได้ทั้งรั้นทั้งหัวแข็งแบบนั้น

ถึงจะไม่ได้ยกเรื่องไร้สาระพวกนั้นมาเป็นข้ออ้างในความสัมพันธ์ เขาก็มั่นใจว่าจะทำดีกับอีกฝ่ายจนพวกคู่รักทั่วไปเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ดีกว่าพวกคนที่เอาแต่บอกว่ารักแค่ปากเปล่าอยู่ทุกวี่ทุกวันด้วย

ถ้าคิดซะว่าปัญหาที่เคยมีในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น และคอยอยู่ข้างกัน พร้อมทั้งให้เขากอดอย่างว่าง่าย เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายได้อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ขาดแคลนอะไรเลยสักอย่าง แต่อีฮาจุนยังไม่เคยเพลิดเพลินกับชีวิตแบบนั้นอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่รู้อะไรแน่นอน

มูคยอมไม่รู้ว่าเมาแบบนั้นแล้วฮาจุนจะฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่ก็อธิบายให้ฮาจุนได้รู้

“ทั้งนายทั้งฉันยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เรื่องที่ฉันเคยเข้าใจนายผิดแล้วพูดไม่คิด แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวที่ฉันก้าวก่ายนายแบบผิดๆ แต่บอกไปแล้วไงว่าฉันผิดเอง ฉันจะอ้อนวอนนายมากแค่ไหนก็ได้จนกว่านายจะยกโทษให้ หรือฉันเหมือนพูดแบบโน้นทีแบบนี้ทีกับนายก็เลยสับสนเหรอ ตอนนี้จะไม่ทำแบบนั้นแล้ว ฉันจะทำตัวให้ดี ให้นายไม่รู้สึกไม่พอใจ ยังไงนายก็บอกว่ายังชอบฉันอยู่ ฉันแค่ชวนให้ทำตัวต่อกันเหมือนเมื่อก่อนเอง อะไรมันจะยากขนาดนั้นเชียว”

“…”

“หืม อีฮาจุน ช่วยฉันหน่อยเถอะ”

จนถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพวกคนที่ไล่ตามเขาพร้อมบอกว่าชอบอยู่เป็นปีๆ สิ่งที่ทุกคนต้องการก็คล้ายคลึงกันหมด

‘ก็ดี ยอมถอยให้สักก้าวแล้วคิดว่าเขาเองก็ชอบอีฮาจุนแล้วกัน แต่การชอบใครสักคนเนี่ย ถ้ามองเป็นรูปธรรมแล้วมันคืออะไรล่ะ ไม่ว่าจะคู่นอนหรือคู่รักต่างก็แบ่งแยกจากความสัมพันธ์อื่นด้วยเซ็กส์ และบทสรุปสุดท้ายก็ได้มีเซ็กส์เหมือนกัน น่าจะเพราะอย่างนั้น ฮาจุนถึงได้โอเคกับข้อเสนอให้เป็นคู่นอนของเขาในตอนแรก’

ในโลกนี้มากไปด้วยผู้คนที่เข้าใจผิดเรื่องความใคร่กับความรัก จะใครหน้าไหนก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้น ยึดติดกับเรื่องความจริงใจแล้วพิสูจน์ความรู้สึกซึ่งไม่แม้แต่จะมองเห็นอยู่บ่อยครั้ง และถ้าพยายามจะรับเอาความรู้สึกนั้นมา ก็จะเกิดความปรารถนาอันไร้ประโยชน์และกำแพงป้องกันตัวเองก็จะพังทลาย อาจเป็นเวลาเพียงชั่วขณะเดียวก็ได้ที่คนจะกลายเป็นบ้าเพราะยึดติดและลุ่มหลงกับสิ่งที่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีมัน

เขาเกือบจะเป็นแบบนั้นกี่ครั้งแล้ว! ถ้าตอนนั้นคบกันแบบคู่รัก ใครจะไปรู้ว่าเขาอาจล้ำเส้นโดยใช้ฐานะนั้นเป็นข้ออ้างไปแล้วก็ได้ ฮาจุนเคยเป็นผู้ตั้งรับ เพราะฉะนั้นก็คงจะรู้ความสำคัญของแนวรับสุดท้ายยิ่งกว่าใคร

ทั้งหมดก็เพื่ออีฮาจุน แต่ฮาจุนกลับไม่รับรู้ถึงจิตใจของเขาและเอาแต่ยึดศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้

‘โอเค นายคงจะเข้าใจได้ยากใช่ไหมล่ะ แต่ฉันกำลังชวนให้ก้าวไปอย่างมั่นคงนะ’

“นายมันโหดร้าย…”

“อะไรนะ”

มูคยอมกดจมูกอยู่ตรงลำคออีกฝ่ายพร้อมทั้งจมอยู่กับกลิ่นกายและห้วงความคิด แต่จู่ๆ คำต่อว่าสั้นๆ ก็ถูกโพล่งออกมาข้างบนหัว มูคยอมจึงเงยหน้าขึ้น

ฮาจุนกำลังก้มลงมองมูคยอมด้วยดวงตาที่เหมือนกับทำให้แข็งกร้าวขึ้นอย่างยากลำบากในขณะที่ตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด

“ทำสิ ทำเลย ขึ้นไปถึงบ้าน…เพื่อทำอะไรล่ะ ทำๆ ที่นี่ไปเลยสิ… นายชอบทำบนรถนี่นะ”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วจู่ๆ ก็ขยับแขนมาเลิกเสื้อยืดขึ้นพรวดเดียว ผิวขาวผ่องแยงตาเข้ามาอย่างกะทันหัน ที่นี่เป็นลานจอดรถส่วนตัวจึงจะไม่มีใครมองเห็นอยู่แล้ว แต่เพราะประตูรถอยู่ในสภาพถูกเปิดโล่ง มูคยอมก็เลยสังเกตรอบข้างโดยอัตโนมัติ

บางทีอีกฝ่ายอาจตั้งใจจะถอดออกไปเลย ทว่าเสื้อก็ผล็อยตกลงมาปกคลุมร่างกายตามเดิมเพราะมือไม่ได้จับเสื้อเอาไว้แน่น แต่สภาพของมันก็ยับยู่ยี่ไปแล้ว และคราวนี้ฮาจุนก็เอี้ยวตัวทำท่าจะถอดกางเกงออก เมื่อมูคยอมจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ฮาจุนจึงถึงกับถอนหายใจแรงพลางพูดขึ้นอย่างชวนทะเลาะ

“ยังไงวันนี้ ก็ตั้งใจจะบอกให้ทำอยู่แล้ว ตามที่นาย ต้องการ… ทำเลยสิ เอาเลย”

“นี่นายเมาจนขาดสติแล้วหรือไง”

“นายบอกว่าถ้าไม่ได้ทำกับฉัน… ก็คงจะเตะบอลไม่ได้นี่ ทำสิ สิ่งสำคัญคือคิมมูคยอมต้องเล่นฟุตบอลได้ดี ฉันจะไปสำคัญอะไร”

“นี่นายทำให้คนอื่นเขากลายเป็นไอ้ขยะอีกแล้วนะ ใครชวนนายให้ทำตอนนี้กัน ฉันมีเรื่องสงสัย แล้วนายเองก็เมา ฉันเลยบอกว่าให้ขึ้นไปพักแล้วค่อยกลับไปไง!”

สภาพร่างกายของมูคยอมในช่วงไม่กี่วันมานี้ดูราวกับว่า หากเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะตาย ทว่าเรื่องที่ฮาจุนยังคงเหลือเยื่อใยให้เขาอยู่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนสภาพร่างกายฟื้นตัวดีขึ้นมาหน่อย แต่อีกฝ่ายกลับกำลังทำให้เสียเรื่องไปหมด แน่นอนว่าการกลับมามีความสัมพันธ์ทางกายกับฮาจุนอีกครั้ง เป็นเป้าหมายสุดท้ายก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้เขามีเรื่องสงสัยมากเกินไป และเขารีบร้อนอยากจะค้นหาเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ในช่วงสิบปีของอีฮาจุนมากกว่า

ฮาจุนแค่นหัวเราะพร้อมกับมองมูคยอม ‘หัวเราะงั้นเหรอ’ มูคยอมขมวดคิ้วแล้วมองโต้ตอบอีกฝ่าย ฮาจุนพูดราวกับลังเลด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันที่น่าจะจินตนาการไม่ออกหากอยู่ในเวลาปกติ

“คิมมูคยอม…”

“…”

“ถ้านายเป็นฉัน… จะเชื่อคำพูดพวกนั้นไหม”

‘เฮอะ’

มูคยอมแค่นหัวเราะออกมาจากปากเพราะคำพูดนั้น เขาก้มลงมองฮาจุนนิ่งๆ แล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งจับใบหน้าที่เอียงไปด้านข้างเล็กน้อยให้หันตรง ผิวขึ้นสีชมพูอ่อนทำให้มือรู้สึกร้อนวูบ

“โอเค ก็ดี ทำกันเถอะ ถึงนายไม่บอก ฉันก็อยากกระแทกเข้าไปข้างหลังนายจนคิดว่าช่วงนี้จะกลายเป็นบ้าไปซะแล้ว”

ริมฝีปากที่เผยอออกจนเห็นส่วนปลายของฟันกระต่ายเล็กน้อย ยั่วยวนเขามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายเสนอตัวให้ถึงขนาดนี้ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธ มูคยอมก้มหัวลงประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปบนนั้น

ความรู้สึกนุ่มหยุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากจริงๆ ลมหายใจร้อนผ่าวที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ พรูเข้ามาด้านในริมฝีปากของมูคยอม ทำให้เส้นสติของเขาสั่นสะเทือนอย่างน่าเป็นห่วงว่ามันจะขาดสะบั้น ราวกับสายธนูที่ถูกดึงจนตึง ความร้อนที่อัดแน่นอยู่ตรงส่วนล่างและไม่จางหายไปไหนมานาน เดือดพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลันจนรู้สึกเหมือนจะล้นทะลักออกมานอกร่างกาย

“ฮ้า” เขาพรูลมหายใจออกมาพร้อมกับยกแขนข้างหนึ่งตวัดโอบรอบลำคออีกฝ่าย มือข้างหนึ่งแหวกเข้าไปในเส้นผมนุ่ม ในขณะเดียวกันก็สอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปากที่อ้าออกอย่างไร้เรี่ยวแรง เนื้อเยื่อด้านในที่ทั้งลื่นและชุ่มชื้น ห่อหุ้มกระทั่งผู้ที่บุกรุกเข้ามาอย่างไร้มารยาท ส่วนลิ้นนุ่มนิ่มก็เหมือนจะทำให้เขาละลายเพียงแค่ได้สัมผัสกัน

คนเราจะหวานหอมได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ผลไม้ชนิดไหนก็ตามที่เคยลิ้มรสมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมอบรสชาติอันแสนประทับใจแบบนี้ให้ได้เลย เขาประเมินตัวเองสูงไปว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ละเลียดสิ่งนี้ มอบรสชาติแบบนี้ให้เขาแล้วจะแย่งชิงมันกลับไปเนี่ยนะ จะไม่มีทางให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่

มูคยอมแลบลิ้นยาวแล้วสอดแทรกเข้าไปด้านในซึ่งร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม จนถึงจุดลึกบริเวณช่องคอที่ฮาจุนโปรดปราน ถ้าหากไล้เลียตรงนั้น ฮาจุนก็มักจะส่งเสียงคราง และไหล่สั่นระริก

“ฮื้อ อึก…”

เป็นไปตามที่คาด เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างริมฝีปากของฮาจุน พอเอียงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อกดริมฝีปากให้แนบชิดจนสอดลึกเข้าไปมากขึ้นอีกหน่อย ‘วื้ดด’ เสียงเข็มขัดนิรภัยที่ปลดออกแล้ว ถูกดึงกลับเข้าที่เดิมของมันก็ดังขึ้นข้างหู มือของฮาจุนปล่อยเข็มขัดแล้วจับตรงด้านหลังของเขาไว้แน่น

เรี่ยวแรงและแรงกดเบาๆ นั้นทำให้สติพร่าเลือนมากขึ้น จนมูคยอมเองก็ออกแรงที่แขนของตัวเองมากขึ้นไปด้วย เขากอดฮาจุนด้วยความรู้สึกที่ชวนให้ย้อนกลับไปในวันวานเมื่อครั้งที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่มือของฮาจุนที่เหมือนจะเคยโอบรอบแผ่นหลังกลับดึงรั้งชายเสื้อเชิ้ตด้านหลังของเขาไว้ มือที่อ่อนแรงกว่าในตอนปกติไม่ได้มีพลังมากมายอะไรขนาดนั้น แต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายกำลังสื่อคำพูดหนึ่งอย่างชัดเจน

‘ถอยไป’

คางของมูคยอมเกร็งทื่อขึ้นมาในระหว่างที่กำลังจูบอยู่

มูคยอมหดลิ้นกลับแล้วใช้ฟันขบริมฝีปากล่างของฮาจุน ฮาจุนเอนหัวขึ้นด้านบนทั้งที่ยังถูกกัดริมฝีปากชุ่ม

“ปล่อย นะ… ยะ อย่าทำ…”

สติพร่าเลือนเพราะความเมามายอยู่แล้ว อีกทั้งกระทั่งริมฝีปากก็ยังถูกขบรั้งเอาไว้ ฮาจุนจึงพยายามผลักไสอีกฝ่ายออกด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้จนฟังไม่ชัดเจน มูคยอมกัดฟันพลางเงยหน้าขึ้น

“เป็นอะไร โวยวายบอกให้ทำกัน พอมาตอนนี้แล้วนายจะกลับคำทำไมอีก”

“จูบ ฉันไม่ทำ ไม่เอา…”

ฮาจุนเป็นอิสระจากมูคยอมแล้วจึงหันหน้าหนีไปด้านข้างพลางหอบหายใจ ‘ล้อคนอื่นเขาเล่นหรือไงกัน’ มูคยอมแค่นหัวเราะแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มอีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นก็บังคับให้ใบหน้าหันมาทางเขา

“ไอ้ไม่เอาน่ะ ไม่เอาอะไร นายชอบให้สอดเข้าไปถึงคอนี่ หรือว่านาย ขอไม่เอาลิ้น แต่ให้สอดท่อนฉันเข้าไปแทน”

เมื่อขยับริมฝีปากเข้าไปอีกครั้ง ฮาจุนก็ส่ายหน้าราวกับสั่นกลัว การต่อต้านที่ดูไม่ต้องการจากใจจริง ทำให้คราวนี้ มูคยอมเองก็พลอยขมวดคิ้วพร้อมถอยหลังออกไป

หัวของเขากำลังจะร้อนรุ่มขึ้น มูคยอมก้มลงมองฮาจุนแล้วซุกใบหน้าลงตรงคอของอีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นก็กัดเนื้อนุ่มนิ่มอย่างแนบแน่น เมื่อฝังเขี้ยวลงราวกับกลายเป็นผีดูดเลือดแล้วใช้ลิ้นกดเลียผิวคอบริเวณที่ถูกกัดไม่ปล่อยตรงจุดๆ หนึ่ง ไหล่ของฮาจุนก็ห่อเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

“ฮา อื๊อ ไม่เอา ไม่…!”

“ถ้าไม่เอาไปหมดแล้วนายจะให้ฉันทำยังไง นายล้อฉันเล่นอยู่เหรอ”

มูคยอมปล่อยคอของฮาจุนไปอย่างแรง ราวกับคว้าคอเสื้อแล้วปล่อยออก พลางดันตัวที่เคยก้มลงให้กลับขึ้นมา ฮาจุนสูดหายใจลึกแล้วหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พรูมันออกมาแล้วจึงพูดต่ออีกครั้งด้วยเสียงที่สงบลงและขาดๆ หายๆ

“มะ มันเหมือนจะทำ… ได้นี่…”

“…”

“คราวหน้าจะทำนะ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมเอียงหัวอีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาเหยียดโค้งขึ้นไปตามสันกรามคมชัดได้รูป เมื่อแยกเขี้ยวใส่ ไหล่ของฮาจุนก็สั่นเทา มูคยอมพุ่งพรวดเข้าไปอย่างแรงราวกับตั้งแต่จะกัดกระชากบริเวณบนนั้น แต่แล้วก็ ‘จุ๊บ’ เขาทิ้งไว้เพียงจุมพิตแผ่วเบาแล้วขยับริมฝีปากไปชิดใบหู ลมหายใจหนักหน่วงกับเสียงพูดดังออกมาผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน

“คราวหน้าเหรอ เฮ้อ… เมื่อไร ยั่วคนอื่นจนทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ จากนั้นก็ตั้งใจจะยื่นใบลาออกหนีไปอีกหรือเปล่า นายวางแผนจะทำให้คนอื่นเฉาตายใช่ไหม”

“ไม่ใช่… วันนี้ฉันตั้งใจจะมาบอก ว่าให้มาทำอีกครั้งกัน ฉันตั้งใจจะมาพูดจริงๆ”

“…”

“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะทำ… สัญญา”

ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นการเล่นละครโกหกกัน

เมื่อมูคยอมกัดใบหูอย่างแผ่วเบา ฮาจุนก็ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าพลางขยับหนีริมฝีปากของเขา มูคยอมรู้สึกได้เพียงอย่างเดียวคือคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายช่างแตกต่างกัน จนหัวใจของเขาบีบรัดตัวเพราะความสงสัยอย่างหนักมากยิ่งขึ้น

“ทำไมวันนี้ไม่ได้ จะวันนี้หรือพรุ่งนี้มันต่างกันตรงไหน”

“ตอนนี้… ไม่อยากทำทั้งแบบนี้…”

คำพูดนั้นทำให้คำถามที่โพล่งขึ้นราวกับชวนทะเลาะ ถูกกลืนกลับลงไปในคอของมูคยอม

เมื่อมองสีหน้าเหยเกอย่างไร้กำลังอยู่ตรงหน้า หัวใจของมูคยอมก็เจ็บแปลบเหมือนกับตอนหาวิดีโอที่มีภาพสมัยก่อนของฮาจุนดู และเหมือนกับตอนได้ฟังเรื่องการบาดเจ็บของฮาจุนจากจองคยู เสียงของอีกฝ่ายสั่น และคงเป็นเพราะเหล้า หรือไม่ก็อาจจะด้วยเหตุผลอื่น หยาดน้ำใสตรงขอบตาแดงช้ำจึงดูเหมือนจะหยดลงมาให้ได้เสียตอนนี้

ภายในใจของเขามีเพียงคำสบถดังออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคำสบถใส่ใคร ถ้าหากอีกฝ่ายฟังที่เขาพูดอย่างว่าง่ายตั้งแต่แรกก็คงไม่มีเรื่องที่ทำให้โมโหถึงขนาดนี้

“ก็นั่นไง แล้วทำไมถึงต้องยั่วยุอารมณ์คนอื่นด้วย”

‘ฟู่ว’ เมื่อมูคยอมพรูลมหายใจยาวเพื่อทำให้ใจเย็นลงแล้วจิ๊ปาก ฮาจุนก็พึมพำเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงอ่อนลงระดับหนึ่ง

“ขอโทษ…”

“… โอ๊ย ให้ตายสิ ขอโทษทำไม”

คิดว่าแย่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้วแท้ๆ แต่กลับรู้สึกกลายเป็นคนเลวที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาเลย

“ที่บอกว่าชอบฉันน่ะจริงหรือเปล่า นายน่ะ”

แม้ยังพูดแบบติดขัดได้อยู่ขณะเมาเหล้า แต่ฮาจุนก็ไม่ตอบคำถามนั้นมาง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะต้องถามตลอดคืน ถึงแม้ว่าต้องถามเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เขาก็ยังอยากถาม ทว่าน้ำเสียงของฮาจุนกลับยานคางขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ายังเมาไม่สร่าง บรรยากาศเหมือนกับว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่นานก็คงจะผล็อยหลับ เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงยอมแพ้แล้วดันตัวขึ้น

เขาคาดเข็มขัดให้อีกฝ่ายอีกครั้งแล้วกลับมานั่งตรงที่นั่งคนขับ เขาไม่ได้เต็มใจที่จะเชื่อมั่นคำสัญญาว่า ‘คราวหน้า’ ทั้งที่ไม่มีการรับรองใดๆ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว

ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ยังลังเลและสตาร์ตรถไม่ลง สุดท้ายเขาก็ตบพวงมาลัยหนึ่งครั้ง กลืนคำสบถเอาไว้ในปากพร้อมกับสตาร์ตรถ เวลากลางดึก รถยนต์เปลี่ยนจุดหมายปลายทางอีกครั้ง ถ้ายกเอาเรื่องรถติดมาเป็นข้ออ้างได้ก็คงจะดี แต่เส้นทางที่ไม่ได้ขับมาเสียนานกลับว่างโล่งเสียอย่างนั้น

เมื่อรถหยุดลงตรงลานจอดรถในย่านอะพาร์ตเมนต์เก่า ฮาจุนที่เคยเอาแต่พูดว่า ‘ไม่เอา’ ซ้ำๆ ก็สติหลุดลอยไปอีกครั้งเรียบร้อย มูคยองลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ลงจากรถไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ

แทนที่จะประคองเดินไป แบกไปน่าจะดีกว่า ดังนั้นเมื่อปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นมา คราวนี้จึงทิ้งตัวลงบนแผ่นหลังเขาอย่างนุ่มนวล ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สติแต่คงรู้ว่ามาถึงบ้านแล้ว ฮาจุนจึงไม่ขัดขืนเหมือนเมื่อครู่นี้

“เอาแขนเกาะให้ดีๆ สิ”

เมื่อตั้งใจจะให้คนเมาขี่หลังด้วยตัวคนเดียว มันจึงติดขัดตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงอย่างนั้นก็พอจะทำให้ฮาจุนพาดแขนมาตรงด้านหน้าไหล่ของตัวเองได้สำเร็จ มูคยอมจึงลุกขึ้น

ว่ากันว่าคนเมาเหล้าจนตัวอ่อนปวกเปียกแล้วตัวก็จะหนัก แต่มูคยอมก็ไม่คิดว่าหนักสักเท่าไร น้ำหนักกับอุณหภูมิร่างกายที่รู้สึกได้บนหลังเพียงแค่ทำให้เขาอบอุ่นและรู้สึกดีจนอยากจะแบกตลอดไป

มูคยอมขึ้นลิฟต์เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านของฮาจุน เวลาเลยห้าทุ่มเข้าไปแล้ว เป็นเวลาดึกเกินกว่าจะไปเยี่ยมบ้านใครสักคน แต่เมื่อกดกริ่งหน้าบ้าน ไม่นานก็ได้ยินเสียงใครบางคนรีบเดินเข้ามาจากด้านในทันที

“พี่เหรอ”

ประตูเปิดโผงออกก่อนมูคยอมจะทันได้ตอบ ทั้งที่ยังไม่ได้ยืนยันให้ชัดเจนว่าเป็นใคร มูคยอมพูดทักทายโดยคิดแค่ว่าคราวหน้าจะต้องเตือนกันสักหน่อยว่าแบบนี้เป็นนิสัยที่ไม่ดี

“สวัสดี”

เด็กสาวตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งแล้วตะโกนเพียงชื่อของเขาออกมาโดยไม่มีคำนำหน้าชื่ออื่นๆ เช่นเดียวกับตอนเจอกันครั้งแรก

“…อ๊ะ คิมมูคยอม!”

ทันใดนั้น มูคยอมก็รู้สึกได้ว่ามีใครบ้างคนกำลังวิ่งตึงตังมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มผู้คล้ายคลึงกับเด็กสาวเป็นอย่างมาก ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเบิกตากว้าง

มูคยอมรู้สึกเหมือนพาหัวหน้ากระต่ายมาส่งคืนโพรงกระต่ายเลย เขาเองก็ยืนมองเด็กทั้งสองอย่างนิ่งงัน แต่แล้วเด็กสาวตรงหน้าก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ

“ทำไมพี่ของหนูเป็นแบบนั้นล่ะคะ”

เด็กสาวสังเกตดูด้านหลังมูคยอมราวกับเพิ่งจะเห็นสภาพของพี่ชายในตอนนั้น มูคยอมลดเสียงลงอธิบาย

“วันนี้พี่ชายเราดื่มเหล้าเยอะไปหน่อยน่ะ ให้ฉันพาเข้าไปได้ไหม”

“ค่ะ ได้ค่ะ เชิญเข้ามาเลยค่ะ”

เด็กสาวรีบหลบทาง มูคยอมก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อลอดผ่านประตูเข้าไปไม่ให้ศีรษะชน ในระหว่างนั้น คุณแม่ของฮาจุนที่เคยกล่าวทักทายทางโทรศัพท์ก็ออกมาตรงห้องนั่งเล่นแล้วเงยหน้ามองแขกยามค่ำคืนที่มาเยือนอย่างกะทันหันด้วยความงุนงง

“ทางนี้ครับ ห้องพี่อยู่ทางนี้”

เด็กชายเปิดประตูห้องด้านหนึ่งออกกว้าง เมื่อมูคยอมเข้าไปด้านในแล้วยืนข้างเตียง เด็กชายก็รีบเข้ามาใกล้แล้วช่วยจับฮาจุนนอนลงบนนั้น เขาไม่ได้ชอบใจนักที่เด็กน้อยเข้ามายุ่งในเรื่องที่พอจะทำคนเดียวได้ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เช่นกัน

เมื่อขยับหมอนมารองใต้ศีรษะให้ ฮาจุนก็ละเมอออกมาเบาๆ พร้อมกับเอนศีรษะหนุน ผิวที่ยังคงแดงก่ำไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเป็นสีเดิมง่ายๆ

มูคยอมมองหาสีหน้าที่เคยปฏิเสธเขาเมื่อครู่นี้ จากใบหน้าที่หลับใหลอย่างสบายใจไม่เจอเลย มูคยอมก้มลงมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอยแต่แล้วสติก็กลับคืนมาเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม

“นายก็รู้ใช่ไหม เขาลงแข่งในทีมเยาวชนซึ่งถูกเรียกตัวมาครั้งแรกแล้วถูกทาบทามทันที ปีต่อไปก็ไปอังกฤษเลยนี่ ฉันมองดูเหตุการณ์นั้นอยู่ข้างๆ เลยล่ะ”

“ใช่แล้ว นั่นน่ะสินะ”

“ถึงไม่ใช่อย่างนั้นก็ร้อนใจจะแย่ แต่พอได้เห็นกระทั่งเหตุการณ์นั้นอยู่ข้างๆ ฉันก็เหมือนจะตั้งสติไม่ได้ ตั้งแต่ตอนนั้น สายตาฉันก็มองไม่เห็นคนอื่นอีกเลย”

ถ้าซึมซับภาพของเขาจากที่นั่งผู้ชมอันห่างไกลเหมือนคนทั่วไป หรือผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ ไม่ก็ทางโปสเตอร์ เขาก็คงจะไม่หลงใหลอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ใช่ไหม แต่รักแรกของฮาจุนลุกโชติช่วงราวกับดาวหางที่เพิ่งจะตกลงมาบนพื้นดิน ราวกับเทพบุตรที่ฟ้าส่งลงมา และเขาก็ยังคงมีภาพลักษณ์แบบนั้นอย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นาน รวมถึงตอนนี้ด้วย

แก้วเหล้าขยับเข้าหาริมฝีปากของฮาจุนอีกครั้ง จองคยูไม่แม้แต่จะห้ามปราม เขาเพียงแค่มองฮาจุนทำแบบนั้นด้วยสีหน้าสงสาร

“คิมมูคยอมทำตามความต้องการของตัวเองโดยไม่มีความหมายอะไรแฝง แต่ฉันดันหลงชอบไปตามอำเภอใจ ถึงแม้ว่าคนที่เคยนั่งอยู่ตรงนั้นจะไม่ใช่ฉัน เขาก็น่าจะทำแบบเดียวกัน และคนคนนั้นก็น่าจะชอบคิมมูคยอมด้วยเหมือนกันนั่นแหละ”

“เรื่องนั้นน่ะ ความรักบังตานายแล้ว เห็นเป็นคนยอดเยี่ยมมากมายอะไรถึงได้ยึดติดนานขนาดนั้น”

“ไม่รู้สิ ฉันใช้ชีวิตโดยมีหมอนั่นเป็นเหมือนกับเป้าหมายมานานมากเกินไปงั้นเหรอ พอตั้งใจจะตัดใจขึ้นมากะทันหันก็ทำไม่ได้เลยแฮะ”

ฮาจุนขยับมืออย่างหนักหน่วงขึ้น มือขาววางแก้วลงจนเสียงดังปึ้ก จองคยูมองตามมือข้างนั้นด้วยแววตากังวล

“ตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่นิดหน่อย เพราะคราวหน้าก็อยากได้รับเลือกเป็นตัวหลัก เป็นนักกีฬาที่ได้ลงแข่ง แล้วลองวิ่งไปด้วยกันกับคิมมูคยอม ก็เลยพลอยรู้สึกสนุกกับฟุตบอลไปด้วย ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเหมือนคิมมูคยอมไม่ได้ แต่ก็ลองลงแข่งด้วยกันได้ไม่ใช่เหรอ แล้วก็ได้เผชิญหน้ากันบางครั้งจริงๆ ด้วย”

“…”

“ตอนบอกว่าฉันก็ไปยุโรปได้ ฉันรู้สึกว่า ชีวิตของฉันเองก็เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันสินะ… แต่คนที่ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่นั่นแหละ”

“เป็นเพราะนายจิตใจดีมากๆ เลยน่ะสิ ทำไมถึงได้บอกว่าเป็นคนที่ไม่ใช่ล่ะ อย่าพูดแบบนั้นเลย”

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง เป็นการเหยียดยิ้มราวกับยิ้มเยาะ สีหน้าแบบที่จะไม่แสดงออกมาให้เห็นในเวลาปกติทำให้เครียดจนปิดปาดเงียบไปโดยไม่รู้ตัว

ฮาจุนยกมือขยี้ตาอันพร่ามัวเบาๆ พลางก้มหัวลงบนโต๊ะราวกับเมามากแล้ว และตอนนี้เสียงของเขาก็อ้อแอ้ไม่น้อยแล้วด้วย

“นายรู้ไหมว่าฉันคิดอะไรตอนนอนอยู่โรงพยาบาล”

“…”

“แค่ปล่อยเด็กผู้ชายคนนั้นทิ้งไว้แล้วหนีออกมาก็คงจะไม่กลายเป็นแบบนี้ น่าจะแค่ออกมาเฉยๆ น่าจะทำเป็นมองไม่เห็น”

“ฮาจุน”

“ฉันจิตใจดีเหรอ ฉันเป็นแค่คนไม่เด็ดขาดแล้วก็ขี้ขลาดเท่านั้นละ คอยสังเกตท่าทีคนอื่นอยู่ทุกครั้งแล้วก็ปิดปากเงียบ หลังจากนั้นถึงมารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ถ้าทำด้วยความต้องการก็คงจะพอใจอยู่ตรงนั้น แต่ฉันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันนี่มันโง่จริงๆ”

“ถ้าเป็นมนุษย์ ไม่ว่าใครต่างก็คิดแบบนั้นได้ทั้งนั้น นายไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย”

ฮาจุนควานมือหาแก้วเหล้าบนโต๊ะแล้วยกมันขึ้น แต่แก้วที่เคยมีโซจูเต็มปริ่มกลับว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คราวนี้เขาจึงขยับมือไปจับขวดเหล้า

มือใหญ่ทาบลงบนมือข้างนั้น ฮาจุนไล่สายตามองแขนกับข้อมือที่ถูกจับติดกันกับมือของอีกคนแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงที่ไม่ควรจะได้ยินดังขึ้นเหนือโต๊ะ

“เลิกดื่มได้แล้ว”

ฮาจุนอ้าปากเล็กน้อยพลางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นจึงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ตกใจ เพียงแต่มูคยอมปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วขัดขวางการดื่มเหล้าของเขา แถมยังทำสีหน้าไม่พอใจอีกด้วย

“ปล่อย”

“ใครเขาดื่มโซจูในแก้วแบบนี้”

คราวนี้ฮาจุนทำหน้านิ่วหันไปทางจองคยู สีหน้าบ่งบอกอย่างเต็มที่ว่าในสายตาของเขา สิ่งที่จองคยูทำนั้นมากพอที่จะให้เรียกเจ้าตัวว่าคนทรยศ จองคยูแก้ตัวอย่างลุกลี้ลุกลนพลางโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน

“ไม่ใช่นะ ฉัน… ช่วงนี้พวกนายดูไม่ดี ฉันก็เลยบอกว่าจะมานั่งกินกับนายอยู่ก่อนแล้วให้มาร่วมวงทีหลัง คิมมูคยอมก็บอกตกลง ฉันก็ไม่คิดเลยว่าจะเป็นปัญหาแนวนี้น่ะ”

‘ฟึ่บ’ ฮาจุนสลัดมือของมูคยอมออกแล้วลุกขึ้นจากที่ “ฮาจุน” เขาหันหลังให้เสียงเรียกแล้วเดินไปทางประตู

ตอนนั่งอยู่ เขาไม่รู้สึกเลย แต่พอลุกขึ้นยืน ภาพตรงหน้าก็หมุนติ้ว พอได้พูดคุยพร้อมกับเทเหล้าเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ก็ดูเหมือนว่าน่าจะดื่มไปเยอะทีเดียว

“โอย…” พื้นสั่นไหวเหมือนคลื่นที่ซัดกระเพื่อม พอเดินต่อไป จู่ๆ เข่าก็ชนเข้ากับอะไรแข็งๆ ฮาจุนจึงอุทานออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว

ฮาจุนดันกำแพงที่กระแทกหัวเข่าแล้วตั้งใจจะเบี่ยงตัวออก แต่ก็ทำไม่ได้ ‘โอ๊ย ทำไมเป็นแบบนี้นะ’ เขากำหมัดทุบกำแพง แต่แล้วร่างกายก็ถูกใครบางคนยกตัวลอย เสียงที่ได้ยินจากแถวๆ ศีรษะดังก้องราวกับเสียงสะท้อน

“เพิ่งเคยเห็นฮาจุนเมาไม่เป็นท่าขนาดนี้นะ”

“นายมัวทำอะไรถึงปล่อยให้ดื่มตามใจล่ะ”

“ฉันไม่มีจังหวะจะห้ามน่ะสิ กระดกเอาๆ แล้วจะทำไงได้”

“ไปซื้อน้ำมาหน่อย เดี๋ยวฉันจ่ายเงินเอง”

คำว่าจ่ายเงินทะลุเข้ามาในหูอย่างรวดเร็ว คิดดูแล้วก็มากินเนื้อกัน แต่มัวแต่บ่นเสียยืดยาวก็เลยไม่ค่อยได้กินสักเท่าไร

“เสียดาย” ฮาจุนบ่นงึมงำในขณะที่มุดแก้มเข้ากับที่ค้ำยันร่างกายซึ่งสัมผัสได้ตรงข้างใต้ศีรษะ แล้วคำถามก็ดังลอดเข้ามาในหู

“เสียดายอะไร”

“เนื้อ”

“…ยังไงก็ชอบกินจริงๆ เลยนะ”

เสียงประตูเปิดออกดังต่อจากเสียงบ่นพึมพำ แล้วอากาศสดชื่นก็ปกคลุมโดยรอบร่างกาย ฮาจุนได้สติขึ้นมาจากฤทธิ์เหล้าและความร้อนก็วูบวาบขึ้นหน้าในชั่วขณะหนึ่ง เขากะพริบตาแล้วตรวจสอบดูตำแหน่งของตัวเอง

ตัวเขาลอยหวิวโดยที่เท้าไม่แตะพื้น มือใหญ่กดลงตรงด้านหลังต้นขา และแขนแข็งแกร่งก็ประคองขาทั้งขาเอาไว้ แผ่นหลังกว้างแข็งแรงรองรับตัวเขาไว้ทั้งตัว ในหัวบอกว่าต้องลงไปยืน แต่ร่างกายอันเฉื่อยชากลับเมินเฉยต่อคำเตือนในสมองและไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

‘แกร๊ก’ ในขณะเดียวกันกับที่เสียงนั้นดังขึ้น ร่างกายที่เคยถูกแบกก็ลดระดับลงพรวดเดียวแล้วถูกวางให้นั่งลงบนเก้าอี้ ฮาจุนเอนหลังพิงเบาะหนัง เขารับรู้ถึงสถานการณ์ได้อย่างเชื่องช้าแล้วจึงส่ายหน้า

“จะลง”

“ตอนนี้นายนั่งบัสไปไม่ได้หรอก”

“ไม่เอา จะลง ไปได้”

ทว่า ฮาจุนเพียงแค่ส่ายหน้าซ้ายขวาอย่างอ่อนแรงเท่านั้น ร่างกายของเขานิ่งสนิทและไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัดพลางหันหน้าไปทางฝั่งตรงข้าม ‘ปึง’ ประตูก็ถูกปิดลง

ภายในรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถตอนกลางคืนนั้นมืดมิด สติของฮาจุนเลือนรางลงเรื่อยๆ

“เอ้า น้ำเปล่า”

จองคยูยื่นขวดน้ำให้มูคยอม ไม่ได้โดนบังคับให้ดื่มเหล้าแท้ๆ แต่ทำท่าอย่างกับคนมีเรื่องสะเทือนใจโดยเปล่าประโยชน์ซะได้ มูคยอมรับขวดน้ำนั้นมาถือไว้พร้อมหัวเราะดังหึออกมาอย่างกล้ำกลืน

“อิมจองคยูชอบยุ่งเรื่องคนอื่นจังเลยนะ”

“ให้ตาย… เรื่องนิสัยชอบยุ่มย่ามเรื่องคนอื่นเนี่ย คราวนี้ฉันเอาจริง! ฉันจะแก้มัน วันนี้ฉันตัดสินใจแล้ว”

จองคยูได้รับข้อมูลมากมายเกินไปในเวลาสั้นๆ เขาแสร้งทำท่าเหมือนตัวสั่นสะท้าน

“ไปส่งให้ดีแล้วก็เคลียร์กันให้ราบรื่นแล้วกัน ฮาจุนน่าจะเหนื่อยมามากเพราะนาย อย่าไปพูดอะไรอีกล่ะ การที่ใครคนหนึ่งชอบนายก็ไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อยนี่ อย่างน้อยจนกว่าจะจบฤดูกาลก็ทำตัวดีๆ กันหน่อยนะ ขอร้องเลย”

จองคยูรู้เพียงความจริงที่ว่าฮาจุนชอบมูคยอมเท่านั้น แต่ไม่รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์อื่นเลยสักนิด เขาทำสีหน้าเป็นกังวลว่ามูคยอมจะถามซักไซ้หรือทำร้ายจิตใจฮาจุนเรื่องอื่นอีก นิสัยเสียไม่ได้แก้กันง่ายๆ เพราะอย่างนั้นจองคยูจึงบ่นออกมาเสียยืดยาวทั้งที่เพิ่งบอกว่าจะแก้นิสัยของตน มูคยอมเพียงแค่ส่งสายตาเป็นการบอกลาสั้นๆ โดยไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งตรงเบาะคนขับ

เขาติดเครื่องอย่างไม่คอยท่า ราวกับกังวลว่าหากชายหนุ่มที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ตื่นขึ้นมาแล้วจะหนีไป จากนั้นก็ขับออกไปจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว รถออกมาจากซอยแล้วขึ้นมาบนถนน ผสานเข้าไปในกระแสรถคันอื่นๆ มันส่ายไปมาเล็กน้อยราวกับลังเลจุดหมายปลายทางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็เริ่มแล่นตรงไป

***

บรรยากาศภายในรถที่มาถึงจุดหมายปลายทางแล้วเงียบอยู่พักใหญ่ มูคยอมยังคงไม่ปล่อยมือจากพวงมาลัยแล้วจ้องมองไปด้านหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปปลดให้ฮาจุนเช่นกัน

มูคยอมลงจากรถไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ เมื่อเขาโค้งร่างกายท่อนบนลงแล้วใช้แขนโอบรอบหลังเพื่อประคองร่างกายของฮาจุนซึ่งยังคงไม่ตื่นให้ตั้งตัวขึ้นมา ฮาจุนก็หดตัวเข้าหากันราวกับตื่นเพราะสัมผัสนั้น

“ลงรถกัน”

พอมูคยอมเร่ง ฮาจุนก็ดันตัวมูคยอมพลางขืนตัวออก

“ไม่ไป”

“จะอยู่บนรถทั้งคืนเหรอ ขึ้นไปเถอะ ขึ้นไปพักผ่อนกัน”

“ไม่เอา ฉันจะกลับบ้าน…”

อารมณ์พุ่งปรี๊ด มูคยอมนึกอยากแสดงความโกรธออกมา

‘ทำไมถึงไม่เอาที่นี่ ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านนายแล้ว นายมีทั้งห้อง ทั้งเตียง แม้แต่โต๊ะก็มีครบ’ ทว่ามูคยอมก็พูดอย่างใจเย็นโดยสะกดอารมณ์โกรธที่เหมือนจะพุ่งออกมาจากปากเสียเดี๋ยวนั้น

“โอเค ฉันจะไปส่งที่บ้าน ฉันหมายความว่า ตอนนี้นายเมามาก เพราะฉะนั้นก็พักสักหน่อยจนกว่าจะสร่างเมาแล้วค่อยไป”

“บอกว่าไม่เอาไง ฉันไม่อยากเข้าไป…”

มูคยอมหัวเราะเบาๆ

“ทำไมไม่อยาก เพราะไม่ชอบฉันเหรอ อย่าโกหกเลย เมื่อกี้นายสารภาพออกมาด้วยปากของนายเองว่ายังชอบฉันนี่”

หัวใจที่เคยอึดอัดจนหายใจไม่ออกอยู่ทุกขณะในพักนี้ ตอนนี้กลับเต้นตึกตักชวนให้รู้สึกดี ตลอดการขับรถ หัวใจมูคยอมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สุกงอมเต็มที่ ราวกับว่ามันกลายเป็นผลไม้ไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่ฮาจุนเล่าออกมาในตอนเมาเหล้าจนคอห้อยเมื่อครู่นี้ เต็มไปด้วยเรื่องของเขาตั้งแต่แรกจนจบ

เรื่องที่ฮาจุนเล่าเป็นเรื่องในตอนที่ถูกเรียกตัวเข้าทีมเยาวชนครั้งแรก ถ้าพูดถึงเรียกตัวครั้งแรกก็คือตอนอายุสิบหก ถ้าตั้งแต่ตอนอายุสิบหก จนถึงตอนนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว สิบปีเลยเนี่ยนะ นานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เสียอีก

พูดตามตรงว่าเป็นเรื่องที่พอจะทำให้รู้สึกหนักใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะสงสัยว่าฮาจุนมีเขาอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อไร แต่เหตุผลที่เลี่ยงถามก็เพราะเรื่องนั้น เพราะถึงไม่ได้เป็นแบบนั้น ในหัวของเขาก็วุ่นวายอยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากทำให้มันยุ่งเหยิงมากขึ้นกว่าเดิม

ทว่าน่าแปลกที่เขาเอาแต่ยิ้มอย่างกับคนบ้า อยากจับอีกฝ่ายมาถามว่าชอบเขาตั้งแต่ตอนเด็กๆ จริงหรือเปล่า

ภาพฉากที่ส่วนอื่นๆ หลงเหลืออยู่อย่างเลือนรางในความทรงจำเพราะความแสบร้อนจากการสูบบุหรี่ครั้งแรก เด็กหนุ่มในฉากนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฮาจุนอย่างนั้นเหรอ มันมหัศจรรย์เกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่หรือไง พอได้รู้ มูคยอมก็รู้สึกอยากตะโกนเสียงดังบอกใครก็ได้ที่ไม่รู้จัก ว่าฮาจุนชอบเขามาตั้งแต่สิบปีก่อน

“ทำไมถึงแกล้งทำเป็นไม่ชอบทั้งที่ชอบอยู่ล่ะ”

“ถ้าชอบ แล้วไง… บอกว่าชอบแล้วจะต้อง ทำตามที่นายต้องการทุกอย่างเลยหรือไง?”

“ทั้งที่ชอบมาตั้งแต่เมื่อก่อนขนาดนั้นแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้งั้นเหรอ โค้ชอี ที่ผ่านมาทำกับฉันแล้วต้องรู้สึกดีแน่ๆ”

“จะให้ทำไงเล่า… ฉันเคย บอกนายว่าไม่ชอบ ตอนไหนเหรอ”

ฮาจุนพูดต่อเนื่องอย่างยานคางด้วยความเมา มูคยอมหัวเราะหึๆ พลางไล้นิ้วลงบนแก้มของอีกฝ่าย

“แต่ทำไมต้องดื้อล่ะ ชวนให้ทำเรื่องที่เคยๆ กันแล้ว แต่นายไม่ชอบใจอะไร”

“…ทำไมนายถึงไม่เข้าใจเรื่องนั้น ฉันไม่เข้าใจเลย…”

ฮาจุนบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ มูคยอมทอดสายตามองใบหน้าฮาจุนแล้วก้มตัวลงอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นก็ลงมาหน่อยเถอะ พักสักหน่อยแล้วค่อยไป เมาขนาดนี้แล้วจะกลับบ้านทันทีเลยเหรอ”

“บอกว่า ไม่เอาไง!”

มูคยอมเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมมากขึ้นอีกหน่อยแล้วตั้งใจจะประคองฮาจุนให้ลุกขึ้น แต่คราวนี้ฮาจุนถึงกับพูดเสียงดังกว่าเดิม มูคยอมร้อนใจขึ้นมาชั่วขณะ เขาอยากกอด อยากจูบ อยากฟังเสียงของฮาจุนกระซิบเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขาเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าจองคยูเมื่อครู่ให้มากกว่านี้

‘ใช่ ฉันเองก็จำได้แล้ว ถึงนายไม่ทำแบบนั้นก็อยากทิ้งบุหรี่มวนนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะนายดุ ฉันเลยมีข้ออ้างขึ้นมาแล้วจริงๆ ก็โล่งใจด้วยเหมือนกัน ที่ผูกเชือกรองเท้าให้แล้วพูดกับนายคำสองคำก็เพราะขายหน้าการกระทำของตัวเองเลยอยากอวดเก่งไปงั้น แต่ฉันจะเก็บมันเป็นความลับไม่ให้นายรู้หรอก

แล้วก็อีฮาจุน นายน่ะไม่ได้ขี้ขลาด คนแบบนั้นไม่ช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่แรกหรอกนะ ฉันประสบมากับตัวเองถึงได้รู้ คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่มีใครขี้ขลาดเลยแม้แต่คนเดียว’

ภายในหัวอัดแน่นไปด้วยเรื่องที่อยากฟังและเรื่องที่อยากพูด มูคยอมใจร้อนขึ้น แต่ต่อให้โอบแขนรอบหลังอีกฝ่ายเพื่อจะประคองให้ลุกขึ้นยืน ฮาจุนก็ยึดเข็มขัดนิรภัยที่ปลดออกแล้วเอาไว้แน่นราวกับกำเชือกและไม่ขยับตัวไปไหน มูคยอมได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดใจ แล้วหัวใจที่เคยจมอยู่ในความหวานฉ่ำก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นทีละนิด

‘…ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ

นายจะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบก็ช่าง แต่ให้ฉันลากตัวไปขังไว้ในห้องซะเลยดีไหม เมาขนาดนี้ แรงจะขยับตัวก็ยังไม่มี ถ้าฉันโถมเข้าใส่นายเดี๋ยวนี้ นายก็คงเสร็จฉันโดยไม่ทันกระดิกตัวไปไหนแท้ๆ

จะโค้ชหรือจะอะไรก็เถอะ ถ้าฉันขังนายไว้ในบ้านไม่ให้นายทำอะไรได้ นายจะหนีไปด้วยวิธีไหนอีกล่ะ ฉันจะบอกคนอื่นๆ ว่าตัดสินใจจะให้นายโค้ชชิ่งส่วนตัวให้ที่บ้านเพราะสภาพร่างกายของฉัน นายจะได้รอแต่ฉันคนเดียวอยู่ที่บ้าน นอกจากฉันก็จะไม่เจอใครเลยทั้งวัน เพราะฉะนั้นเหตุผลที่จะทำให้ฉันสงสัยความสัมพันธ์ของนายกับคนอื่นอย่างไร้ประโยชน์ก็จะหายไปด้วย

ครอบครัวก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ถึงไม่มีนาย ฉันก็จะช่วยดูแลทุกคนให้กินอยู่กันอย่างสุขสบายเอง ถ้ารับผิดชอบเรื่องเงินให้อย่างเต็มที่ ไม่นานคนในครอบครัวก็จะคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่ไม่มีนายขึ้นมานั่นแหละ เป็นไง สมบูรณ์แบบเลยใช่ไหมล่ะ’

“บ้าฉิบ… นายจะตามมาอย่างว่าง่ายสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ”

ความวุ่นวายใจเจืออยู่ในน้ำเสียง เมื่อฮาจุนไม่ตามมาแบบที่ต้องการ ความคิดน่ารังเกียจก็ไหลทะลักออกมาเป็นสายอย่างเกินต้านแล้วเข้าครอบงำภายในหัวราวกับเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว

มูคยอมเผยความคิดภายในใจออกมาทั้งหมดราวกับพูดคนเดียว พร้อมกับฝังใบหน้าลงตรงลำคอนุ่มอุ่นแล้วถอนหายใจ แม้แต่กลิ่นเหล้า เมื่อผสมเข้ากับกลิ่นอายของฮาจุนก็ยังหอมชวนดม มูคยอมเกิดความปรารถนารุนแรงกว่าครั้งไหนๆ แต่ร่างกายที่เคยยินยอมทุกครั้งที่เขาต้องการอย่างไม่เคยนึกหวงแหน กับริมฝีปากที่เคยประกบแนบแน่น กลับเอาแต่ปฏิเสธและผลักไสเขาออกอย่าดื้อดึง

มูคยอมรู้อย่างแน่ชัดแล้วในช่วงห้าวันที่ฮาจุนไม่อยู่ ตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปกรีนฟอร์ดได้ และไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายให้ไปอยู่ทีมอื่นได้ด้วย ถ้าไม่มีฮาจุน มูคยอมก็ไม่แม้แต่จะสามารถรักษาสภาพร่างกายของตัวเองให้ดีได้ด้วยซ้ำ

ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะอะไร คิมมูคยอมก็จำเป็นจะต้องมีอีฮาจุน ในระดับที่ทอดสายตามองจากไกลๆ ก็ไม่ได้ ฮาจุนจะต้องอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น และจะต้องกอดร่างกายของเขาเท่านั้น

ในช่วงเวลาแห่งการรอคอย มูคยอมรู้สึกเหมือนเลือดแห้งผาก ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้งานร่างกายอย่างมุทะลุ แต่แล้วฮาจุนก็เหมือนจะตัดสินใจว่าจะจากไปจริงๆ เขาจึงรอคอยอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้าหากฮาจุนพยายามจะย้ายทีมจริงๆ เขาก็คิดจะทำให้อีกฝ่ายกลับมา ต่อให้ต้องทำให้ไม่มีตำแหน่งโค้ชใหม่หลงเหลืออยู่เลยก็ตาม ทว่าถึงแม้ฮาจุนจะกลับมาแล้วก็ยังมีท่าทีแบบนี้และทำตัวแบบนี้ตลอดโดยไร้ซึ่งความคืบหน้า

เพราะอีกฝ่ายดื้อใส่อยู่เรื่อย เขาเองจึงไขว้เขวเหมือนกัน แต่ตอนแรกก็คิดว่ารักษามารยาทแล้วขอโทษไปตามสมควรแล้ว แต่ฮาจุนทำตัวเหมือนว่าแค่นั้นยังไม่พอ จนเขาถึงกับลองบอกว่าจะจ่ายเงินชดใช้ให้ แถมยังขอคบอีกต่างหาก ถึงแม้เขาจะบอกว่าคบในฐานะคนรัก อีฮาจุนก็ยังบอกว่าหมดใจแล้วพร้อมบอกปัดว่าไม่เอา

ฮาจุนคิดว่าถ้านั่งต่อไปก็คงจะแสดงให้เห็นแต่สภาพน่าอายจึงรีบออกไปจากร้านอาหาร เขารู้สึกว่าจะต้องตั้งสติสักหน่อย จึงเดินมายังซอยนี้เพื่อสูบบุหรี่สักมวนและทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวเย็นลงไปด้วย แต่แล้วภาพคนล้มหมดสติก็เข้ามาสู่สายตา ชั่วขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความอับอายหรืออะไรก็ตาม ต่างปลิวว่อนหายไปจนหมด

เรื่องของมนุษย์เรามักจะมีความบังเอิญเล็กๆ น้อยๆ ซ้อนทับกันไปมา จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ได้ลุกออกจากที่มาเพราะมูคยอม เวลาจะล่าช้าออกไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะมีคนเจอผู้จัดการทีมพัคกันนะ ความบังเอิญอันน้อยนิดเชื่อมโยงต่อกันจนช่วยชีวิตของผู้จัดการทีมพัคเอาไว้ได้

เขาพาผู้จัดการทีมพัคซึ่งหมดสติไปโรงพยาบาลด้วยกันกับมูคยอม เพราะอย่างนั้นจึงได้พูดคุยอย่างจริงจังกับอีกฝ่ายซึ่งเคยหลีกเลี่ยงมาตลอด

เมื่อผู้จัดการทีมต้องหยุดงานระยะยาว มูคยอมซึ่งมาเกาหลีโดยปล่อยให้เวลาหนึ่งฤดูกาลเสียเปล่าไปก็ห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างนั้นเขาจึงรวบรวมความกล้าแล้วเป็นฝ่ายเริ่มคุยด้วยก่อน

ถ้าไม่มีเรื่องพวกนั้น ความสัมพันธ์กับมูคยอมก็คงจะไม่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่แรก และเขาก็คงไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลแบบนี้ด้วย

“ทำอะไรน่ะ”

จองคยูที่เดินนำหน้าถามฮาจุนซึ่งยืนเหม่ออยู่ ฮาจุนรีบตั้งสติแล้วก้าวเดินไป จองคยูสั่งเนื้อเกาหลีราคาแพงก่อนสองที่ตามคำคุยโตของตัวเอง จากนั้นก็รินเหล้าให้เขาก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟเสียอีก

“โซจูได้ใช่ไหม”

“อือ ที่นี่เงียบดีจัง”

“ร้านอร่อยเลยนะ แต่สุดสัปดาห์กลับไม่ค่อยมีคนซะงั้น เหมาะกับการเลี้ยงฉลองหลังแข่งเสร็จสำหรับคนแบบพวกเราเลยใช่ไหมล่ะ”

ทั้งสองชนแก้วกันเบาๆ แล้วกระดกเหล้าเข้าปาก แก้วแรกหมดลงในรวดเดียว พวกเขาเรียนรู้มาแบบนั้นจากพวกรุ่นพี่ตั้งแต่ตอนดื่มเหล้าครั้งแรก

เมื่อเหล้าลงไปในท้องว่างๆ ของร่างกายที่อ่อนล้าหลังจบสิ้นการแข่งขัน ก็รู้สึกมึนขึ้นมาชั่วขณะ แล้วถ่านติดไฟสีแดงก็ถูกวางลงตรงกลางโต๊ะ เมื่อใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นก็รู้สึกเหมือนเหล้าจะออกฤทธิ์รวดเร็วกว่าเดิมอย่างไม่มีสาเหตุ ฮาจุนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“นายจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ น่าจะเหนื่อยนี่”

“ไม่รู้ว่าฉันดื่มเหล้าได้มากแค่ไหนหรือไง นายน่ะค่อยๆ ดื่มแล้วกัน ฉันจะไม่เร่งให้รีบดื่มหรอก”

ในระหว่างนั้น อาหารก็ออกมาเสิร์ฟ ถึงแม้ว่าจะค่อยๆ ดื่ม แต่ขวดโซจูก็พร่องไปเกินครึ่งขวดอย่างรวดเร็ว แล้วจองคยูก็สั่งเพิ่มอีกหนึ่งขวด

พวกเขาใช้เวลาไปกับการพูดคุยกันเบาๆ ทั้งเรื่องลูกสาว เรื่องน้องๆ และหลายเรื่องเกี่ยวกับทีม แต่จู่ๆ จองคยูก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดราวกับตั้งใจจะพูดเรื่องสำคัญ ฮาจุนก็พลอยตึงเครียดตามไปด้วยแล้วมองหน้าจองคยูตรงๆ

“ฮาจุน”

“อือ”

‘ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรถึงได้เป็นแบบนั้นนะ ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนได้ฟังเรื่องอะไรมาจากมูคยอมก็เลยมีท่าทีแบบนี้ใช่ไหม’

“ครั้งก่อนฉันก็เคยบอกแล้ว ว่าถึงฉันจะหาเงินไม่ได้มากเท่าไอ้เจ้าคิมมูคยอม แต่ถ้านายลำบากฉันก็สามารถช่วยได้บ้างเหมือนกัน นายต้องการเงินมากแค่ไหนถึงได้ทำแบบนั้น ลองบอกมาซิ”

ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ ทั้งที่ยังถือแก้วเหล้าไว้ในมือ จองคยูพยักหน้าช้าๆ แล้วพูดต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง

“คุณยอนซูก็อนุญาตแล้ว นายก็ไม่ได้มีนิสัยที่จะพูดขอร้องใครง่ายๆ แต่ถ้าถึงขนาดขอยืมเงินจากคิมมูคยอมก็คงจะด่วนมากจริงๆ เห็นแบบนั้นแต่ไอ้เจ้านั่นมันเป็นคนขี้เหนียว ถึงหาเงินได้เยอะก็ไม่ได้เป็นคนที่ใช้เงินเป็นน้ำหรอกนะ เจ้ามูคยอมใช้เงินแค่กับคนที่คิดว่าเป็นคนของตัวเองเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ก็ไม่สนใจอะไร นายรู้ไหมว่าเจ้านั่นยังขี้สงสัยแล้วก็ขี้อวดมากแค่ไหน นายอาจคิดว่าคิมมูคยอมเงินเยอะก็เลยน่าจะให้ยืมง่ายๆ แต่อย่าไปรอพึ่งมันเลยเชียว นายจะได้แต่เสียความรู้สึกโดยไม่จำเป็นเท่านั้นล่ะ”

เมื่อสมมุติฐานฉากใหญ่ของจองคยูจบลง ฮาจุนก็ทำได้เพียงลืมตามองเหม่ออยู่อย่างนั้น แล้วในที่สุดเขาก็หัวเราะเสียงดังออกมา ถึงแม้จะเป็นการพูดเรื่องที่เดามั่วไปเอง แต่กลับพูดถูกจุดที่เป็นประเด็นอย่างแม่นยำจนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อฮาจุนยกแก้วโซจูขึ้นแล้วหัวเราะคิกคัก จองคยูก็นิ่วหน้า

“ทำไม นายขำเพราะฉันน่าจะให้นายยืมเงินมากเท่าคิมมูคยอมไม่ได้เหรอ”

“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ร้อนเงิน ปัญหาที่เคยคุยกันครั้งก่อนน่ะฉันแก้ไขเรียบร้อยดีแล้ว เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงแล้วก็ได้”

“จริงเหรอ ถ้างั้นช่วงนี้ทำไมนายกับคิมมูคยอมเป็นอะไรกันอยู่สองคนล่ะ”

ฮาจุนอึกอักขึ้นมา ในสายตาคนอื่น พวกเขาออกอาการกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่เรื่องอื่นเล็กน้อยน่ะ”

พอคิดว่าจะหลอกลวงคนที่อุตส่าห์นึกถึงตัวเอง ฮาจุนก็เอาแต่กระดกเหล้า เขาอัดเหล้าอีกหนึ่งแก้วเข้าร่างกายที่ร้อนวูบขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่น่าเกลียดเกินไป

“ช่วงนี้นายมีเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ก็นะ ฉันก็เหมือนเดิมตลอดนั่นแหละ จริงสิ นายลองติดต่อไปหาคุณอึนจูหรือยัง ไอ้เจ้านี่ ถ้าได้เบอร์ไปแล้วก็ต้องรายงานด้วยสิว่าเป็นยังไงบ้าง นัดกันหรือยังว่าจะเจอกันตอนไหน”

“อ่า อือ…”

หัวข้อที่ตอบลำบาก ถูกพูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เธอดูเหมือนเป็นคนที่น่าเสียดายถ้าจะมาคบกับฉันน่ะ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปเจอ”

“อะไรนะ นายพูดบ้าอะไรเนี่ย คนที่คบกับนายแล้วน่าเสียดายมีที่ไหนกัน นายคิดแบบนั้นเพราะเรื่องหาเงินเหรอ รายได้ต่อปีในตอนนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าทำไปเรื่อยๆ มันก็จะสูงขึ้น โค้ชกายภาพอนาคตดีด้วยนะ”

ฮาจุนหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนหันไปมองหน้าจองคยูแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เปล่าหรอก ไม่ใช่เพราะเงิน แต่ถ้าไปเจอทั้งที่ไม่ได้ชอบ มันก็จะเป็นการหลอกลวงนาย แล้วก็คุณซงอึนจูเองด้วย ฉันไม่อยากเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมต่อคนอื่นหรอกนะ”

“ก็ต้องลองไปเจอก่อนถึงจะชอบไม่ใช่หรือไง ครั้งแรกยังไม่เข้าตาก็ใช่ว่าจะเป็นการหลอกกันสักหน่อย ยังไงก็เถอะ ข้อเสียของนายคือนายน่ะคิดเรื่องคนอื่นมากไป ถ้าเป็นแบบนี้ นายจะได้แค่มองดูรูปแล้วก็ขึ้นคานแน่”

ฮาจุนยังคงไม่ลบเลือนรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมกับนั่งเงียบ จากนั้นก็เอาแก้วเบียร์แก้วใหม่ซึ่งวางอยู่ด้านข้างมาวางลงตรงหน้า

“สั่งเบียร์ด้วยไหม”

ฮาจุนไม่ตอบคำถามจองคยูแล้วเปิดขวดโซจูที่ยังไม่ได้เปิด เมื่อของเหลวสีใสไหลพลั่กๆ ลงไปในแก้ว ดวงตาของจองคยูก็เบิกโพลง

“นายจะดื่มอันนั้นเหรอ”

ฮาจุนเทเหล้าใส่เกินครึ่งแก้วแล้วยกแก้วนั้นดื่มอึกๆ ทันทีแทนคำตอบ ทั้งที่ไม่มีใครสั่งเลยสักคนเดียว แต่ฮาจุนกลับทำท่าทีเหมือนที่เคยทำตอนถูกลงโทษในงานสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ตอนงานแนะนำตัวสมัยเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ จองคยูพลาดจังหวะห้ามปรามอีกฝ่าย ทำเพียงแค่มองดูเท่านั้น

ใบหน้าขาวขึ้นสีจัดในชั่วพริบตา ฮาจุนทำหน้าเหยเกพลางวางแก้วลง

“ฮ้า ไม่ได้ดื่มมานาน ขมสุดๆ ไปเลยนะ”

“จู่ๆ เป็นอะไรไป จะกินให้ตายไปเลยเหรอ”

ฮาจุนหันหน้าไปทางจองคยูด้วยใบหน้ายกยิ้มอย่างขมขื่นเพราะรสชาติของเหล้าที่คั่งค้างอยู่ในปากกับเรื่องที่จะพูดตั้งแต่นี้ไป ฮาจุนอาศัยฤทธิ์เหล้าที่ตีขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดเรื่องหนักใจออกมาอย่างราบเรียบในระดับหนึ่ง

“จองคยู ฉันไม่สนใจผู้หญิงหรอกนะ”

คำพูดที่โพล่งออกมาอย่างเรียบง่ายหลังกระดกเหล้าหมดแก้วรวดเดียวอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้จองคยูบ่นงึมงำราวกับเบื่อหน่าย

“ทำอย่างกับเป็นเรื่องแปลกใหม่ ฉันก็รู้น่า ถึงได้ทำแบบนี้เพราะจะให้นายลองคบใครซะบ้างไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น… ฉันไม่ชอบผู้หญิง”

“ถ้างั้นนายชอบอะไร ถ้าไม่ชอบผู้หญิงแล้วชอบหมาหรือไง หรือว่าแมว? หรือว่านายชอบผู้ชาย”

“อืม”

ฮาจุนตอบสั้นๆ แล้วรินโซจูใส่แก้วเบียร์เปล่าๆ เพิ่มอีก สีหน้าของจองคยูซึ่งถามออกไปเล่นๆ แข็งทื่อขึ้น ฮาจุนคีบเนื้อราคาแพงที่สุกจนแข็งอยู่บนเตาย่าง ให้ออกไปอยู่ตรงขอบเตาบริเวณที่ไม่โดนไฟ พร้อมกับพูดต่อ

“ฉันตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่บอก… แต่ถ้าไม่รู้ นายก็จะทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหมล่ะ บอกให้หาแฟน บอกให้ไปนัดบอด บอกให้แต่งงาน… ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ครั้งนี้พอได้เบอร์ติดต่อมา ฉันก็คิดว่าจะทำแบบนั้นไปทำไมเหมือนกัน ฉันรู้สึกผิดจนไปเจอไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยดีอยู่แล้ว”

“อ๋อ… อย่างนั้นเองเหรอ…”

“ขอโทษนะ ไม่ให้เวลานายได้เตรียมใจก่อนแล้วจู่ๆ ดันพูดเรื่องแบบนี้เลย”

เป็นเรื่องที่น่าตระหนกใจเสียจนคนที่พูดมากกับคนอื่นได้อย่างไม่ขัดเขินยังไม่สามารถตอบรับอะไรได้โดยง่าย แต่ฮาจุนก็บอกเล่าเรื่องนั้นออกมาอย่างซื่อตรง ทันทีที่พูดออกมา ถึงแม้ว่าจะนึกเสียใจทีหลัง แต่ก็มีด้านที่รู้สึกปลอดโปร่งอยู่บ้างเหมือนกัน

ฮาจุนรู้ว่าจองคยูหวังดีกับเขาจากใจจริงก็เลยทำแบบนั้น แต่จองคยูผู้สร้างครอบครัวขึ้นมาได้อย่างมีความสุขกลับชี้แนะเขาอยู่บ่อยครั้งในเรื่องการมีคนรักเหมือนคนทั่วไป การแต่งงาน และอนาคตที่มีครอบครัวสุขสันต์ ทั้งที่เขาไม่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้นได้เลยแม้แต่น้อย การที่จองคยูทำแบบนั้นมันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงเวลาแบบนี้ก็ยิ่งเกินกำลังเขามากขึ้นไปอีก

จองคยูที่นั่งเงียบราวกับว่ากำลังจัดการกับความคิดตัวเองอยู่ส่ายหัวแล้วรีบร้อนพูดออกมา

“ไม่เลย ไม่ นายจะมาขอโทษฉันทำไม คนเรารสนิยมไม่เหมือนกันสักหน่อย… เดี๋ยวนี้ก็ อะไรนะ เรียกว่ายุคแห่งความหลากหลายก็ได้ ชอบผู้ชายก็ไม่ผิด ถ้าเป็นคนดีล่ะก็เพศมันไม่เกี่ยวหรอก ถ้าชอบผู้ชายอย่างน้อยก็หาผู้ชายที่ดีแล้วทำให้นายมีความสุข…”

จองคยูเพียงแค่ชอบเข้าสังคมเท่านั้น ไม่ใช่คนปากเบาที่จะไปปากโป้งบอกเล่าความลับของคนอื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา ฮาจุนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดเรื่องที่ได้ฟังวันนี้ที่ไหนทั้งนั้น

“นายน่ะ ถ้าอย่างนั้น”

ตอนนั้นเอง จองคยูคงสับสนด้วยเหมือนกันจึงยกแก้วเหล้าขึ้นแนบปาก แต่แล้วก็พูดเสียงดังขึ้นอย่างฉับพลันราวกับตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่าง

“นี่ นาย หรือว่า”

“…”

“ไม่ใช่ใช่ไหม”

จองคยูถามขึ้นโดยตัดคำตรงกลางออกไป ราวกับไม่กล้าแม้แต่จะพูดชื่อนั้นออกมา

ฮาจุนไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงเรื่องนั้น แต่จองคยูสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมกระแสความเย็นชาถึงได้วนเวียนอยู่ระหว่างมูคยอมกับฮาจุน เพราะอย่างนั้น ความคิดของจองคยูจึงดูเหมือนว่าจะไหลไปถึงจุดนั้นได้โดยอัตโนมัติ

“ใช่แล้ว”

มาถึงขั้นนี้แล้ว จะปฏิเสธแค่เรื่องนั้นก็น่าขำ ฮาจุนที่มึนเหล้ามากขึ้น ตอบออกมาแผ่วเบาทั้งที่ใบหน้ายังยกยิ้มเช่นเคย

“ฉันเหมือนกับคนโง่เลย… ที่ชอบคิมมูคยอม”

“ให้ตายสิ บนโลกนี้มีผู้ชายอยู่ตั้งกี่คน จะชอบทั้งที ทำไมถึงต้องเป็นไอ้เจ้าคิมมูคยอมด้วยหา? ไอ้เจ้านั่น นอกจากหน้าตากับหุ่นแล้วก็ไม่มีอะไรดีหรอก”

น้ำเสียงของจองคยูฟังดูเวทนาราวกับว่าถ้านั่งอยู่ข้างกันก็คงจะตบหลังสักป้าบ

‘ใช่ไหมล่ะ ขนาดนายยังคิดว่าฉันกำลังทำตัวเหมือนคนโง่มากๆ เลยใช่ไหม’ ฮาจุนถามแบบนั้นขึ้นมาแค่ในใจแล้วยกยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น

ไม่ใช่แค่การสารภาพรักกับเจ้าตัว แต่นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเผยให้ใครบางคนรู้เลยสักครั้ง ฮาจุนรวบรวมความกล้าเล่าออกไปก็จริง แต่มันก็เป็นเพียงความรักข้างเดียวยาวนานสิบปีซึ่งตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษทิชชู่

ในตอนนี้ ฮาจุนถามกับตัวเองว่า ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกลึกซึ้งและจริงจังใช่ไหม ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการที่สร้างขึ้นมาหรือเป็นการเล่นกับจิตใจอันภักดีของตัวเองเพียงคนเดียวใช่หรือเปล่า

“ฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่หัวใจของคนเรามันไม่ดำเนินไปตามที่ตั้งใจนี่”

“นายไม่เคยได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับคิมมูคยอมถึงขนาดนั้นเลยไม่ใช่เหรอ ไอ้เจ้ามูคยอมก็ แบบว่า พอเห็นนายตอนมาที่นี่ครั้งแรก”

‘ก็จำนายไม่ได้ด้วยซ้ำ’ จองคยูไม่อาจพูดประโยคนั้นให้จบ ได้แต่ปล่อยให้มันเงียบหายไป ริมฝีปากของฮาจุนยกยิ้มกว้างกว่าเดิม

เขาช่วยฟังเรื่องของคนอื่นบ่อยครั้ง แต่แทบไม่เคยบ่นเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเลย เมื่อฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปอย่างรีบร้อนค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ปากของฮาจุนก็ทำท่าจะอ้าออกอยู่เรื่อย ราวกับคนอยากได้รับการชดเชยที่ไม่เคยสร้างภาระให้ใครเลย

“ตอนถูกเรียกตัวให้เข้าทีมเยาวชนตอนแรกคือตอนมัธยมสามน่ะ”

“อ้อ ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันไม่ได้รับคัดเลือก ชมรมฟุตบอลทั้งชมรม มีแค่มูคยอมถูกเรียกไปคนเดียว เจ้านั่นมันเลยวางท่าสุดๆ ฉันนึกถึงตอนนั้นแล้วยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เลย”

“ยังไงถ้าได้ไปตอนมอต้นก็เป็นตัวสำรองกันหมดนั่นแหละ ถึงตอนนั้นคิมมูคยอมก็เป็นตัวหลักที่จะได้ลงเล่นก่อนก็เถอะ”

ถึงแม้ว่าจะพูดคุยกับฮาจุนอยู่ แต่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่จองคยูส่งสายตางุ่นง่านใจเล็กน้อยไปทางโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

“จริงๆ ตอนนั้นฉันไม่ได้เล่นบอลอย่างจริงจังขนาดนั้น ไม่สิ ก็จริงจังนั่นแหละ แต่ต้องบอกว่าไม่สนุกมากกว่าไหมนะ ฉันเริ่มเล่นเพราะเห็นว่าถ้าเล่นบอลก็จะได้รับเงินสนับสนุนน่ะ พอได้ลองเล่นจริงๆ ก็มีพรสวรรค์เกินคาด ฉันเลยคิดว่าลองดูกันสักตั้ง เพราะถ้าได้เป็นมืออาชีพก็น่าจะดีกว่าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วทำงานในบริษัท ตอนนั้นดูเหมือนจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ด้วย”

“ฉันรู้ นายลำบากมามากเลยนะ”

“ก็เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ พอเขาบอกให้ฉันไปลงแข่งเป็นตัวแทนประเทศ แทนที่จะดีใจ ฉันกลับรู้สึกกลัวซะอย่างนั้น ฉันแค่เล่นฟุตบอลเฉยๆ เพราะคิดว่าถ้าทำแบบนี้ก็จะทำมาหากินได้… แต่จู่ๆ ก็บอกให้ไปเป็นตัวแทนประเทศเฉยเลย”

ในตอนนั้น จองคยูก็ส่งสายตาไปมองด้านหลังของฮาจุน ประตูกระจกหนักอึ้งของร้านอาหารถูกเปิดออกแล้วชายหนุ่มตัวใหญ่ก็เดินเข้ามา

ผู้คนจำนวนไม่มากนักในร้านอาหารต่างเบิกตากว้างแล้วจ้องมองไปทางนั้น แต่ฮาจุนซึ่งเมาเหล้าแล้วกำลังเล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่หยุดปาก กลับไม่รับรู้ถึงบรรยากาศนั้นเลยสักนิดเดียว

จองคยูจ้องมองชายหนุ่มที่เข้ามาในร้านด้วยสีหน้าพะวักพะวน ส่วนฝ่ายนั้นก็เดินเข้ามาทางโต๊ะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างไร้ซึ่งความลังเล จองคยูยกมือขึ้นมาโบกอย่างว่องไวแวบหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ แต่มูคยอมกลับไม่หยุดเดิน

“มันเป็นช่วงที่แม่สภาพร่างกายเริ่มแย่ลงจากการกินยาโรคซึมเศร้า แถมยังกินเหล้าอย่างหนักอีก เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยบอกที่บ้านไม่ได้ว่าถูกเรียกตัว เป็นช่วงที่น้องๆ ก็กำลังชุลมุนวุ่นวายด้วยเหมือนกัน ทั้งแม่ทั้งฉันก็เลยมัวแต่ดูพวกน้องจนยุ่งหัวหมุน… พอไปรับการฝึกซ้อม ฉันก็ได้แต่กลัวเพราะเป็นุร่นพี่ฉันแทบทุกคนเลย โค้ชที่โรงเรียนก็บอกว่าคาดหวังแล้วกดดันกันอยู่เรื่อย”

“อ๋อ อือ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นละ”

“พอถึงวันแข่ง ฉันตื่นเต้นมากแล้วคิดว่าทำอีท่าไหน ตัวเองถึงมาถึงตรงนี้ได้ ยังไงก็เป็นแค่ตัวสำรอง แต่ก็เครียดจนหลบไปซ่อนข้างหลังตึกแล้วตั้งใจว่าจะผูกเชือกรองเท้าสตั๊ดใหม่อีกที แต่มือก็สั่นจนเรื่องแค่นั้นก็ยังทำไม่ได้เลย”

มูคยอมเดินไปยืนอยู่ข้างหลังฮาจุน จองคยูตัวแข็งทื่อมองเขา แต่มูคยอมกลับขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วก้มลงมองจองคยูพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก

‘อย่าเอะอะโวยวายแล้วหุบปากไปซะ’

ถึงไม่พูดออกมาจากปากแต่ก็รู้สึกราวกับเสียงพูดของมูคยอมลอยเข้ามาในหู จองคยูกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากแล้วส่งสายตามองมูคยอมกับฮาจุนสลับกัน

“ตอนนั้นคิมมูคยอมก็โผล่มา”

“อะไร?! …อะ นายว่ามะ มูคยอมมางั้นเหรอ”

“ใช่ มาอยู่ข้างฉันแล้วจู่ๆ ก็สูบบุหรี่ บนโลกนี้มีคนที่สูบบุหรี่ก่อนแข่งที่ไหนกัน ฉันตกใจมากก็เลยพูดกับเขาไปสองสามคำ”

รอยยิ้มขมขื่นพาดทับบนริมฝีปากของฮาจุน

“ไม่ได้พูดยืดยาวสักเท่าไรหรอก… แต่เจ้าคนอวดดีคนนั้นก็ทิ้งบุหรี่ไปแล้วจู่ๆ ก็คุกเข่านั่งลงตรงหน้าฉันเฉยเลย เสร็จแล้วก็ช่วยผูกเชือกรองเท้าให้ใหม่ แถมยังบอกว่าสนามหญ้าก็เหมือนกันทุกที่ จะสั่นอะไรขนาดนั้น พร้อมตบบ่าฉันครั้งหนึ่งด้วย พูดแค่นั้นแล้วก็ไป”

ใบหน้าของฮาจุนอมยิ้มจางๆ และก้มลงเล็กน้อย ดวงตาบนใบหน้านั้นสงบลุ่มลึก น้ำเสียงของเขาเย้ยหยันตัวเองเกินกว่าจะบอกว่าเป็นการหวนนึกถึงความทรงจำของรักแรก ฮาจุนถามความเห็นด้วยน้ำเสียงนั้น

“พูดให้ฟังแล้วนายคงคิดว่ามันมีอะไรพิเศษใช่ไหมล่ะ แต่ฉันในตอนนั้นรู้สึกดีกับเรื่องนั้นมากเลยนะ”

“…”

“รู้สึกดีกับเรื่องนั้นมากๆ…”

ใบหน้าแดงจัดบิดเบี้ยวขึ้นอย่างช้าๆ จากที่เคยเหม่อลอยราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดเรื่องสมัยก่อน ฮาจุนเงยหน้าขึ้นมาพูดราวกับไม่พอใจ

“หมอนั่นเป็นแบบนั้นละ ดูเหมือนจะหยาบคายแต่ก็เอาใจใส่คนอื่นอย่างคาดไม่ถึง เพราะอย่างนั้นก็เลยทำให้คนอื่นเขาคิดไปเอง”

“งั้นเหรอ นายไม่เคยเล่าเรื่องนั้นให้ฉันฟังสักครั้ง ฉันก็เลยไม่รู้…”

จองคยูพูดแบบนั้นแล้วมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังฮาจุนด้วยแววตาสื่อได้ว่า ‘ไอ้หมอนี่เนี่ยนะ’ มูคยอมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับส่งสายตาคมกริบเป็นการบอกว่าให้ฟังอยู่เงียบๆ

“ยาสำหรับเด็กก็ตั้งใจเคลือบน้ำตาลไม่ใช่เหรอ ไม่ให้รู้สึกถึงรสขม คิมมูคยอมเป็นแบบนั้นเลย ถ้าแค่ทำตัวนิสัยไม่ดี ฉันก็คงไม่แม้แต่จะฝัน แต่เขาทำดีด้วยอยู่เรื่อย ฉันเลยคาดหวังขึ้นมาบ่อยๆ ว่าเขาเองก็มีความสนใจในตัวฉันด้วยหรือเปล่า… ฉันควรต้องจัดการตัวเองไม่ให้มีเรื่องที่ต้องเสียความรู้สึกแบบนี้แท้ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ขนาดตอนเด็กๆ ฉันยังอมยาเอาไว้จนรสหวานที่เคลือบมันหายไปหมด แล้วพอตอนหลังมันขม ฉันก็ร้องไห้ โง่ใช่ไหมล่ะ”

“นายจะโง่ได้ไงกัน ฉันไม่รู้เหตุการณ์ดีอะไรหรอกนะ แต่ถึงไม่ได้ยิน ไม่ได้มองเห็น ก็ชัดเจนอยู่แล้ว มูคยอม ไอ้หมอนั่นมันคงจะทำผิดตั้งแต่หนึ่งถึงพันเลยล่ะสิ”

ฮาจุนหัวเราะสั้นๆ ราวกับถูกใจในคำตอบ จากนั้นก็เหม่อมองไปที่ไหนสักแห่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก โดยไม่ได้มองมาทางจองคยูซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ฮาจุนเกือบจะหลับตาลงแต่ก็ฝืนไว้ ใจของเขาร่วงลงไปอยู่ตรงตาตุ่มเนื่องจากคำพูดห้าพยางค์ที่แทรกเข้ามาในหูอย่างกะทันหัน แต่ถึงแม้ตอนนี้มูคยอมจะพูดแบบนี้ ความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายแค่พูดออกมาเพื่อเรื่องอะไรอีก กลับถาโถมเข้ามาก่อนความคาดหวัง

เพราะในคำว่า ‘ชอบ’ ที่อีกฝ่ายพูดออกมา เปลือกอันราบเรียบที่เคยห่อหุ้มแม้แค่ตอนที่พูดอย่างเย้ยหยันเมื่อครู่นี้ กลับปลดเปลื้องออกแล้วเผยให้เห็นความคิดภายในใจอันแข็งกระด้าง หยาบกร้าน และรุนแรงออกมาทั้งอย่างนั้น

“ถ้าพูดแบบนั้นแล้วจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า นายเป็นแบบนี้เพราะอยากฟังคำนั้นเหรอ”

“…”

“นายไม่คิดเหรอว่าถ้าพูดแบบนั้นแล้วมันอาจจะแย่ลงกว่านี้ก็ได้ ฉันก็บอกไปแล้วว่าจะทำตัวให้ดี จะทำทุกอย่างที่นายขอ แล้วเหตุผลมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง …ยังไงซะ ถ้านายหมดใจแล้ว คำพูดแบบนั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปเหมือนกันนี่”

“ฉันเคยขอให้นายชอบฉัน เคยบอกว่าอยากคบนายสักครั้งหรือไง นายหยุดเดามั่วไปคนเดียวสักที ขอร้องล่ะ ฉันจะต้องพูดอีกกี่รอบกันแน่ ว่าตอนนี้ฉันอยากให้มันจบแล้ว”

การพูดคุยกันน่าจะเป็นวิธีการพื้นฐานในการคลายความขัดแย้งและความเข้าใจผิด แต่ยิ่งเขาคุยกับคิมมูคยอมก็ยิ่งรู้สึกหมือนเรื่องมันยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะทำให้จบลงเหมือนทุกทีได้ แต่มันก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ถ้าหากใช้ชีวิตในฐานะเพื่อนร่วมทีมอย่างเหมาะสมและไม่ล้ำเส้นกัน อย่างน้อยก็น่าจะสะสางช่วงเวลาที่ผ่านมาให้เรียบร้อยแล้วเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีได้ แต่กระทั่งเรื่องนั้น อีกฝ่ายก็ยังตั้งใจจะขัดขวาง

ฮาจุนเคยรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ตลอดเวลา แต่สุดท้าย คิ้วของเขากลับขมวดเล็กน้อย และริมฝีปากก็แค่นหัวเราะออกมาราวกับเยาะเย้ยตัวเอง

“นายพูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉยได้ยังไงนะ”

ฮาจุนใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดแล้วส่งผ่านให้อีกฝ่ายรับรู้ ตอนที่ตัวเองดีใจเพราะไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายแม้เพิ่งถูกปฏิเสธมา ฮาจุนยังรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนั้นมันเพิ่งจะผ่านมาเมื่อสองสามวันนี้เอง แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดนั้นจะย้อนกลับมาหาเขาในรูปแบบนี้

‘จงใจทำแบบนี้งั้นเหรอ เพราะอยากทำให้เขารู้สึกเสียใจที่บังอาจเผยความรู้สึกให้คิมมูคยอมได้รู้ใช่ไหม’

“ถ้างั้นต้องทำยังไงล่ะ ในเมื่อตอนนี้นายไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง!”

มูคยอมลดเสียงพูดให้เบาลงแต่ตอบกลับคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงกระโชกราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม ฮาจุนจ้องอีกฝ่ายเขม็งแล้วในที่สุดก็เป็นฝ่ายหลุบสายตาลงมองปลายเท้าก่อน

“คนที่ได้รับชัยชนะมาตลอดแบบนายอาจจะไม่รู้ก็ได้”

“อะไร”

“แต่บนโลกนี้ก็มีเรื่องที่ไม่เป็นไปตามความต้องการเหมือนกันนะ”

มูคยอมน่าจะใช้ชีวิตมาโดยไม่เคยถูกปฏิเสธมาก่อน เพราะฉะนั้นฮาจุนก็เข้าใจหากอีกฝ่ายจะยอมรับไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฮาจุนไม่เคยคิดว่าคิมมูคยอมเป็นผู้ชายนุ่มนวลที่จะเลือกใช้แค่คำพูดอ่อนหวานเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะตัดสินความรู้สึกของคนอื่นแล้วตีความใหม่ตามใจชอบถึงขนาดนี้ด้วยเหมือนกัน

ฮาจุนรู้สึกว่างเปล่าขึ้น ไม่ว่าจะหนักแน่นแค่ไหนแต่ความรักข้างเดียวไม่มีประโยชน์ใดๆ ในการจะทำความเข้าใจอีกฝ่ายเลย ฮาจุนคิดว่าตนเองเฝ้ามองเพียงมูคยอมมาสิบปี แต่เขารู้อะไรเกี่ยวกับมูคยอมบ้างล่ะ แม้แต่ความเปล่งประกายที่เคยคิดว่าตัวเองได้ครอบครองอยู่ชั่วเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็จางหายไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้

เมื่อฮาจุนสะบัดมือออกแล้วลุกขึ้นยืนในที่สุด มูคยอมก็ดันตัวลุกขึ้นตาม ฮาจุนใช้นิ้วชี้อีกฝ่ายพร้อมพูดเตือน

“อย่าตามมานะ เพราะนาย ฉันถึงอยากยื่นใบลาออกอีกครั้งเต็มทน นายปรับสภาพจิตใจให้สงบอยู่ตรงนี้อย่างว่าง่ายๆ แล้วยืดกล้ามเนื้อซะ”

เขาคิดว่าคำพูดแบบนั้นจะไปเตือนอะไรอีกฝ่ายได้ แต่มูคยอมกลับชะงักไปแล้วคางก็เกร็งทื่อขึ้น ฮาจุนปล่อยมูคยอมไว้ตรงสนามหญ้าแล้วก้าวเดินไปอย่างฉับไวโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยแม้แต่คำสั้นๆ เขาเข้าไปในห้องน้ำแทนที่จะเป็นออฟฟิศ จากนั้นก็เปิดก๊อกตรงอ่างล้างหน้าแล้ววักน้ำเย็นใส่หน้าของตัวเองแรงๆ สองสามครั้ง ภาพใบหน้าเปียกน้ำหยดติ๋งๆ สะท้อนให้เห็นในกระจก แม้แต่ตัวเขาก็ไม่คุ้นเคยกับสีหน้านั้น

ถึงไม่ได้คบกันในฐานะคนรัก แต่ก็มีความสัมพันธ์ทางกายมานาน ก็เลยน่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีส่วนร่วมกับอีกฝ่ายอยู่สักนิดเหมือนกัน

ฮาจุนไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยตัดความสัมพันธ์กับใครด้วย และเพราะไม่เคยตัดความสัมพันธ์กับใครจึงไม่เคยรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนนี้เลยเหมือนกัน เขาคิดว่าจัดการทั้งความเศร้าเสียใจและความโกรธไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายและเรียกชื่อด้วยคำที่รู้จักได้ กลับกองสุมอยู่ใต้เท้าราวโคลนเลน คงเพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ทั้งด้านความรักแบบมีคนรู้สึกร่วมกัน และการจากลา จึงไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เขาต้องการเลยสักอย่าง

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเลิกงานก่อนเวลาไปทั้งอย่างนี้ แต่เขาดันรับคำสั่งพิเศษจากผู้จัดการทีมมาแล้ว อีกทั้งยังหายหน้าจากสนามฝึกนานเกินไปไม่ได้ ฮาจุนจึงก้าวเท้าอันหนักอึ้ง มุ่งหน้าไปยังสนามหญ้าอีกครั้ง แต่ข้างมูคยอมมีใครคนอื่นอยู่ด้วย

ใครคนนั้นคือจองคยู กัปตันทีมผู้ฝึกซ้อมโปรแกรมของผู้รักษาประตูอยู่ไกลๆ จนถึงเมื่อครู่นี้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จองคยูก็หันมาทำหน้าสงสัยให้ฮาจุน ฮาจุนเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ฉันมองจากทางโน้นแล้วรู้สึกเหมือนบรรยากาศของพวกนายสองคนแปลกๆ ไปน่ะ”

จองคยูผู้มีความอยากรู้อยากเห็นค่อนข้างสูงเป็นทุนเดิม หรี่ตาลงราวกับไม่ไว้ใจ

“พวกนายทะเลาะกันใช่ไหม คิดดูแล้ว ช่วงนี้พวกนายสองคนดูไม่สบายใจกันทั้งคู่เลยนะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ความเห็นไม่ตรงกันนิดหน่อยเพราะเรื่องฝึกซ้อมน่ะ”

‘ทั้งสองคนไม่ได้คุยเรื่องไร้สาระอะไรกันใช่ไหมนะ’ ฮาจุนร้อนใจขึ้นมาแล้วรีบปั้นยิ้มพลางหันหน้าไปหามูคยอม

“คิมมูคยอม ไปวิ่งเหยาะๆ สักหนึ่งรอบ ผ่อนคลายร่างกายสักหน่อย ต่อจากนั้นจะได้เริ่มโปรแกรมอื่นกัน”

มูคยอมยังคงหน้าตึง แต่ก็คงไม่คิดจะดื้อดึงกระทั่งตอนที่จองคยูอยู่ด้วย เขาจึงปัดกางเกงพึ่บพั่บพลางลุกจากที่ มูคยอมเริ่มขยับเท้าอย่างเชื่องช้าโดยไม่ได้บ่นอะไรออกมาสักคำ แต่แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงจุดหนึ่งก่อนจะวิ่งไปถึงครึ่งรอบเสียอีก

ถึงอย่างนั้น เขาก็วิ่งไปถึงจุดที่ห่างออกไปจากจองคยูกับฮาจุนพอสมควร มูคยอมเท้าสะเอวเงยหน้ามองท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วเดินไปตรงม้านั่งสำหรับนั่งพักซึ่งอยู่ตรงริมสนามฝึกราวกับหงุดหงิด เขาเปิดขวดน้ำที่วางไว้พลางยกมันขึ้นดื่มแล้วก็นั่งอยู่อย่างนั้น มูคยอมนั่งงอตัว ประสานนิ้วรองไว้ใกล้ๆ คาง และเพียงแค่ทอดสายตามองนักกีฬาคนอื่นเท่านั้น

ฮาจุนเบิกตากว้างทอดสายตามองท่าทางของมูคยอมอย่างงุนงง ตอนนั้นจองคยูถึงได้แอบกระซิบความจริงบางอย่างกับฮาจุนอย่างระมัดระวัง

“หมอนั่นน่ะ ช่วงนี้วิ่งได้ไม่ถึงหนึ่งรอบดีหรอก ฉันบอกแล้วไง ว่าอาการหนักมากแล้ว ไม่ใช่แค่กินไม่ได้ นอนไม่หลับ แรงไม่มีแล้วก็อ่อนล้าเฉยๆ ที่บอกว่าเป็นประมาณนั้นก็แค่ขี้โม้นั่นแหละ จริงๆ คงเป็นหนักกว่าที่นายจินตนาการไว้อีกมั้ง”

“…ทำไมถึงเป็นขนาดนั้นกันแน่”

“ไม่รู้สิ ถามไปแล้วว่ามีเรื่องอะไร หมอนั่นก็ไม่ตอบ คนอื่นเขาเป็นห่วงกันจะแย่ ปกติเป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มก็ยังดูแลร่างกายตัวเองอย่างเคร่งครัดตลอดแท้ๆ ฉันล่ะไม่เข้าใจสถานการณ์เลยจริงๆ ถ้าบอกว่าป่วยเป็นอะไรตรงไหนยังจะดีกว่า อย่างน้อยแบบนั้นก็ให้ยาได้”

ฮาจุนซึ่งทอดมองอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ หลุบตาลง ถึงจะไม่ใช่ความผิดของเขา แต่จิตใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับได้ยินใครบอกว่าอย่างน้อยก็มีความรับผิดชอบต่อสภาพทรุดโทรมของมูคยอมหน่อย ฮาจุนพอจะทนไหวหากต้องเผชิญหน้ากับคิมมูคยอมผู้แข็งกระด้าง แต่เป็นเรื่องยากเกินไปหากต้องมองเห็นคิมมูคยอมผู้อ่อนแออยู่ต่อหน้าต่อตา

ในช่วงที่เขาไม่อยู่ห้าวันมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฮาจุนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวตั้งแต่ต้นจบจบ ทั้งเรื่องสถานการณ์ ทั้งเรื่องคิมมูคยอม จะว่าเป็นการแพทย์ทางเลือกหรือความเชื่อทางไสยศาสตร์อะไรก็ไม่ใช่ ที่โรงพยาบาลก็บอกว่าไม่มีสาเหตุ แล้วอีกฝ่ายไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าถ้ามีเซ็กส์กับเขาแล้วจะอาการดีขึ้น? เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันแน่

——————————————————

‘คิมมูคยอม ถูกถอดถอนออกจากรายชื่อนักกีฬาที่ลงเล่นในการแข่งขัน ‘ทำไมกัน?’ เกิดความขัดแย้งกับทางสโมสรหรือเปล่านะ’

‘คิมมูคยอม “สภาพร่างกายเสื่อมถอย” การแข่งนัด A ใกล้เข้ามาแล้ว’

‘“จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน…” ความคิดที่สวนทางของคิมมูคยอมกับซิตี้โซล’

มูคยอมได้ชื่อว่าเป็นคนทำคะแนนถึงห้าประตูในการแข่งขันแรกของฤดูกาลครึ่งหลัง แต่เมื่อเขาคนนั้นถูกถอดออกจากรายชื่อนักกีฬาที่จะทำการลงแข่งขันครั้งต่อไป เพียงเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียว ข่าวจึงแพร่กระจายเป็นวงกว้างในชั่วพริบตา ฮาจุนกวาดตาอ่านพาดหัวข่าวบนหน้าหลักของมุมข่าวกีฬาในเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงถอนหายใจพลางปิดโทรศัพท์

ความเป็นกังวลฉายชัดบนใบหน้าด้านข้างของผู้จัดการทีม ย่อมเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้านักกีฬาระดับเดียวกับคิมมูคยอมร่างกายทรุดโทรมลงในระหว่างที่มาอยู่ในทีมซิตี้โซล ก็ต้องมีพวกคนที่จะตามหาสาเหตุนั้นจากเรื่องความสามารถในการดูแลนักกีฬาของสโมสรอย่างแน่นอน

มูคยอมนั่งอยู่ตรงม้านั่ง เขาวางผ้าขนหนูสำหรับเล่นกีฬาพาดตั้งแต่บนหัวลงมาปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงตอนนี้ บนอัฒจันทร์กับในสนามเสียงดังกึกก้อง แต่บริเวณม้านั่งของทีมซิตี้โซลกลับไม่สามารถลบเลือนบรรยากาศอึมครึมออกไปได้ตั้งแต่ช่วงแรก ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้ลงเล่น แต่ยังนับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายที่ผู้ทำประตูคนอื่นๆ ก็เล่นได้อย่างมีพลัง การแข่งขันจึงกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น

“ซ้าย! บุกมาทางซ้ายอีกสิ! ซ้ายว่างอยู่!”

โค้ชคนหนึ่งในกลุ่มโค้ชซึ่งดูการแข่งขันอยู่ตรงม้านั่งจะโกนเสียงดังเป็นการเชียร์ ฮาจุนจับตาดูการแข่งขันตาเขม็งแล้วรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจึงหลับตาลงครู่หนึ่ง

พอนอนไม่ค่อยหลับเหมือนปกติ ตาก็แห้งตึง ฮาจุนนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่สามคืนแล้ว แค่ดูการแข่งขันเฉยๆ ก็ยังรู้สึกเหนื่อย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครบางคนซึ่งนอนก็ไม่หลับ กินก็ไม่ได้ตลอดช่วงนี้ จะลงเล่นบนสนามเหมือนตอนปกติได้ ฮาจุนจ้องมองพวกนักกีฬาด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นก็สะบัดศีรษะเบาๆ

‘นี่…พอได้แล้วน่า แค่นี้ก็พอแล้ว ขอโทษไปแล้วด้วย อีกทั้งยังนึกถึงคิมมูคยอมเท่าที่จะทำได้แล้วไม่ใช่เหรอ’

ฮาจุนครุ่นคิดอยู่สองสามคืนแล้วจึงตัดสินใจ หลังจากที่เถียงกันวุ่นวายอยู่พักหนึ่งในวันแรกของการกลับมาทำงาน มูคยอมก็ไม่ขอให้ฮาจุนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป พร้อมทั้งไม่บังคับฝืนใจเขาเลยด้วย แต่ก็ทำให้เขาได้รู้อยู่เรื่องหนึ่งอย่างแจ่มชัด ถึงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่อาการที่เหมือนกับไข้ขึ้นของคิมมูคยอม ไม่ใช่การแกล้งทำเป็นไม่สบายและไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นอาการที่แท้จริง สภาพร่างกายของมูคยอมมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววว่าจะทุเลาลงเลย

ถ้าหากคิมมูคยอมจำเป็นต้องมีเซ็กส์กับอีฮาจุนถึงขนาดนั้นก็มีเหตุผลที่ตัวเขาจะเปลี่ยนความคิด หากฮาจุนเพียงคนเดียวผ่อนคลายความรู้สึกลง ทั้งมูคยอม ทั้งผู้จัดการทีม และทีมทั้งทีมก็จะทำงานได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหา ไม่ใช่แค่ลีกเท่านั้น แต่อีกไม่นานจะมีการแข่งขันเวิลด์คัพรอบคัดเลือกแบบแบ่งโซน หากมูคยอมอยู่ในสภาพแบบนั้นก็ลำบากแน่

ก่อนงานจะผิดพลาด ฮาจุนมีภาระที่จะต้องทำหน้าที่อย่างมุ่งมั่นและจริงใจจนกว่าจะจบฤดูกาล ถึงจะดื้อดึงต่อไป ก็ไม่มีใครที่จะได้รับประโยชน์เลยสักคนเดียว ทั้งที่ทำตัวเหมือนไม่มีทางที่จะกลับไปทำเรื่องแบบเดิมอีกครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ทำตามความตั้งใจของมูคยอม เพราะอย่างนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอยู่เหมือนกัน หัวใจที่รู้สึกเหมือนถูกกรีด หรือความรู้สึกเคืองระคายเหมือนขอบขนมปังแข็งๆ และความรู้สึกขัดแย้งต่อมูคยอมยังคงไม่หายไปไหน แต่ฮาจุนก็ตัดสินใจว่าจะไม่คิดเยอะ และคิดว่าเวลาจะช่วยเยียวยาเอง

เรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ถ้าตั้งใจว่าจะคิดให้มันเรียบง่ายก็ย่อมสามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าการแข่งวันนี้จบลง ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปคุยก่อนแล้วสิ ชวนให้กลับไป กลับไปมีความสัมพันธ์แบบเดิมตามที่นายต้องการ

ฮาจุนไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยึดมั่นโดยไม่มีเหตุผลว่าถ้ามีเซ็กส์กับเขาแล้วอาการจะดีขึ้น แต่ถ้ามูคยอมลองเอาของเล่นกลับไปเล่นอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้สภาพร่างกายของตัวเองทรุดโทรม มูคยอมก็อาจจะปล่อยเขาไปในทันทีอีกครั้งก็เป็นได้

“ฮาจุน วันนี้จบแล้วมีนัดหรือเปล่า”

ในระหว่างที่ฮาจุนเข้ามาในห้องพักแล้วตรวจตราดูพวกนักกีฬาในช่วงพักครึ่ง จองคยูก็เริ่มพูดกับเขาหลังถอดถุงมือฉีดสเปรย์เย็น ฮาจุนส่ายหน้า

“ไม่นะ”

“ถ้างั้นวันนี้ไปดื่มกับฉันไหม”

ฮาจุนยิ้มแห้ง

“แข่งเสร็จแล้วไปทันทีเลยเหรอ นายจะไม่เหนื่อยหรือไง ถ้าดื่มหลังแข่งทันทีมันไม่ดีต่อร่างกายด้วยนะ”

“โอ๊ย แค่บางครั้งบางคราวจะเป็นอะไรไป เหล้าที่ดื่มหลังแข่งเสร็จเนี่ยสุดยอดที่สุดแล้ว แน่นอนว่าต้องหลังจากชนะด้วยนะ”

ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนสองสามวันมานี้เขาคงทำท่าทีหงอยๆ ออกมาให้เห็นเสียแล้ว จองคยูกำลังเป็นห่วงเขาอยู่จึงไม่มีทางที่จะไม่รู้ เพราะอย่างนั้นฮาจุนจึงไม่ได้ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งและยกยิ้มเพียงอย่างเดียว

ถ้าการแข่งวันนี้จบลง เขาตั้งใจว่าจะไปคุยกับมูคยอมทันที แต่จริงๆ แล้วจิตใจด้านที่อยากถ่วงเวลาสถานการณ์นี้ออกไปอีกหน่อย กลับโงหัวขึ้นมากระซิบเขาว่าให้ตอบรับข้อเสนอที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้ซะ

“เอาสิ เวลาตรงกันแบบนี้ก็ต้องดื่มกันอยู่แล้ว”

“เยี่ยมเลย เราเคยดื่มด้วยกันแค่ตอนสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานเอง มาอยู่ทีมเดียวกันแล้วก็ยังไม่เคยได้ดื่มกันแค่สองคนสักครั้งเลยนี่ นานๆ ทีได้กระชับความสัมพันธ์ก็ดีเหมือนกัน”

ฮาจุนมองจองคยูยกยิ้มอย่างดูดีแล้วยิ้มตาม ช่วงนี้จองคยูก็น่าจะกังวลเรื่องมูคยอมด้วยเหมือนกัน เพราะทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมานาน แถมจองคยูยังเป็นกัปตันทีมอีกต่างหาก

ฮาจุนรู้สึกว่ามันน่าขำนิดหน่อยกับความจริงที่ว่าความกังวลทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุจากเขาเพียงคนเดียว เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นคนที่มีอำนาจอย่างแรงกล้าถึงขนาดนี้ รู้สึกอย่างกับได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด

ทันทีที่การแข่งครึ่งหลังเริ่มขึ้นก็ยิงได้หนึ่งประตู หลังจากนั้น เมื่อผู้ตั้งรับป้องกันได้เป็นอย่างดีจนรักษาคะแนนเอาไว้ได้ ผู้จัดการทีมก็ให้มูคยอมลงสนามในตอนก่อนจบการแข่งขันสามนาที เวลาที่เขาลงสนามสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มูคยอมก็ยังไม่สามารถแสดงพละกำลังในการแข่งขันแบบเดิมออกมาให้เห็นได้ แน่นอนว่าความเร็วของเขาตกลง รวมถึงความแม่นยำในการยิงประตูก็ลดลงอย่างเด่นชัด การเคลื่อนไหวก็อืดจนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่ได้รับเลือกให้ลงแข่ง สโมสรคงจะรายงานกับสื่อมวลชลอย่างเหมาะสมว่าเป็นเป็นหวัดหรือไม่ก็จับไข้

ผู้จัดการทีมให้มูคยอมลงแข่งครู่เดียวเพื่อไม่ให้ลืมความรู้สึกของการแข่งไปเท่านั้น และคงไม่ได้คาดหวังอะไรนัก หลังจบการแข่งแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันก็จบลงโดยได้รับชัยชนะ บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์จึงไม่แย่ ฮาจุนเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องสตาฟ จากนั้นก็ไปขึ้นรถจองคยู จองคยูพูดขึ้นอย่างสดใสร่าเริง

“กินอะไรกันดีล่ะ ฉันเลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไร ฉันก็จะจ่ายด้วย”

“ตอนคนเขาบอกว่าจะเลี้ยงก็ยอมๆ หน่อยเถอะน่า โอกาสใช่ว่าจะมาบ่อยๆ”

“งั้นก็เอาแพงๆ”

ฮาจุนพูดเล่น แต่จองคยูกลับพยักหน้าพร้อมกับเลือกเมนูให้

“ถ้างั้นก็กินเนื้อวัวกัน เวลาหมดแรง เนื้อวัวเนี่ยดีที่สุดแล้ว”

“วันนี้ฉันจะเรียกนายว่าลูกพี่หนึ่งวันแล้วกันนะ”

ยิ้มรับมุกเสร็จ จองคยูก็หัวเราะคิกคักพลางสตาร์ตรถ จุดหมายปลายทางคือร้านเนื้อย่างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารที่เคยไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานทั้งทีมในตอนต้นฤดูกาล ฮาจุนลงจากรถแล้วเดินไปที่ร้าน แต่แล้วก็ชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่งตรงแถวๆ ปากซอยคับแคบ

มันคือจุดที่ผู้จัดการทีมพัคหมดสติไป วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับมูคยอม ถึงไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน อยู่ใกล้เพียงปลายจมูกแบบนั้น ฮาจุนก็ใจเต้นตึกตักอยู่แล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายชมเขาว่า ‘หน้าตาดี’ ด้วยใบหน้าเฉยเมย หัวใจก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง แล้วมือสั่นๆ ก็ทำแก้วน้ำหลุดมือเสียได้ ดวงตาของเขาพร่ามัวขึ้นมาเมื่อเห็นภาพเหล้าหกหมดเกลี้ยงจนเจิ่งนองทั่วทั้งโต๊ะ

ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกับผู้จัดการทีมอยู่ครู่หนึ่งก็ใกล้จะถึงเวลาของการฝึก ฮาจุนขยับมืออย่างว่องไว หยิบของที่ต้องเตรียมไปด้วยอย่างเช่นสมุดโน้ตกับเครื่องจับเวลา มูคยอมเองก็ออกมาอยู่ในสนามฝึกแล้ว นักกีฬาคนอื่นยืนเรียงกันเป็นวงกลมและกำลังดำเนินการฝึกตามโปรแกรมปกติ มีเพียงมูคยอมที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งเท่านั้น

“ลุกขึ้น”

ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้แล้วสั่งอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่จงใจทำให้เย็นชา มูคยอมเงยหน้ามองฮาจุนแวบหนึ่งแล้วลุกขึ้น

“เริ่มที่เช็กสภาพร่างกายกันเถอะ เมื่อกี้กินข้าวหรือเปล่า”

“กินไม่ได้ ช่วงนี้กินไม่ลงตลอดเลย”

“…ไม่เลยเหรอ”

“กินเชคไปหนึ่งแก้ว”

นั่นเป็นเพียงแค่ของกินทดแทนในกรณีที่คุมอาหารหรือกินเป็นอาหารเสริมเท่านั้น จะใช้กินเป็นอาหารหลักสำหรับนักกีฬาที่ต้องบริโภคพลังงานเป็นจำนวนมากไม่ได้

“เวลานอนเมื่อวานล่ะ”

“ไม่รู้สิ นอนไปหนึ่งชั่วโมงได้ไหมนะ”

ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเพื่อให้เขาสนใจ ฮาจุนไม่ถามคำถามเพิ่ม เพียงแค่มองเข้าไปในสมุดครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้น

“ได้ยินมาว่านายไปโรงพยาบาลแล้ว แต่หมอบอกว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกนะ แต่สภาพร่างกายของนายย่ำแย่ลงมาก นายได้รับสารอาหารและนอนหลับไม่พอ เพราะฉะนั้นเน้นไปที่การยืดกล้ามเนื้อจะดีกว่าคาร์ดิโอ และจะต้องระวังเรื่องกล้ามเนื้อเกร็งเป็นอันดับแรก นั่งลงก่อนเลย เริ่มที่ร่างกายท่อนล่างก่อนแล้วกัน”

ฮาจุนสั่งให้มูคยอมซึ่งนั่งลงบนสนามหญ้ายืดกล้ามเนื้อข้อเท้าก่อน เขาลงมือโค้ชชิ่งโดยไม่ใช้มือแตะลงบนร่างกายของมูคยอมเลยถ้าเป็นไปได้ แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่

ทว่าความยืดหยุ่นของอีกฝ่ายน้อยลงมากอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อถ้ายิ่งแข็งแรงก็จะยิ่งนุ่มหยุ่นและไม่แข็งตึง มูคยอมตัวใหญ่ก็จริง แต่ถ้าสั่งให้เขายืดเหยียดกล้ามเนื้อ มูคยอมก็ค่อนข้างที่จะยืดหยุ่นได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่วันนี้แค่มุมในการทำท่าต่างๆ ก็แคบกว่าเมื่อก่อนแล้ว

พอได้จับตาดูการฝึกมาจนถึงตอนนี้ พร้อมทั้งเห็นว่าสภาพร่างกายของมูคยอมย่ำแย่ลงถึงขนาดนี้ จริงๆ แล้วสำหรับฮาจุนเองก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เหมือนกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คิมมูคยอมในฐานะนักกีฬาย่อยยับไป ฮาจุนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ความเป็นห่วงกลับพัดโหมร่างกายของเขาไม่หยุดราวกับกลุ่มเมฆฝน

“จะไปนัดบอดอันนั้นจริงๆ เหรอ”

ฮาจุนช่วยอีกฝ่ายยืดกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก

“นักกีฬาคิมมูคยอม จากนี้ไปฉันอยากให้นายอดทนไม่ถามเรื่องส่วนตัว”

“ฉันขอโทษไปแล้วนี่ บอกว่ายอมรับว่าตอนนั้นฉันพูดพล่ามไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันรู้สึกผิดจริงๆ”

มูคยอมถอนหายใจราวกับอึดอัด ใครควรจะถอนหายใจต่อหน้าใครกันแน่ ตัวเองทำผิดแต่ดันมาถอนหายใจใส่คนไม่ได้ทำผิดซะได้

“ให้ฉันคุกเข่าเลยดีไหม ถ้าทำแบบนั้นจะหายโกรธหรือเปล่า”

“…”

“ถ้าขอโทษก็ไม่ได้ จ่ายเงินชดใช้ก็ไม่ได้ แล้วฉันจะต้องทำยังไงอีก ถ้านายไม่ชอบข้อเสนอของฉันสักอย่าง นายก็ลองเสนอมาบ้างสิ”

คำว่าข้อเสนอทำให้รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันทันที กระทั่งในน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังมีความเย้ยหยันเจืออยู่

“นายน่ะ จำคำที่ฉันพูดกับนายได้หรือเปล่า…”

ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เหลือบมองฮาจุน

ถึงอย่างนั้น เขาก็สารภาพกับอีกฝ่ายว่าชอบไปแล้ว คิดว่าปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเหมือนคนโง่พร้อมทั้งเปิดเผยความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ลึกสุดในใจออกมาจนหมดเท่าที่ตัวเองทำได้แล้ว ถ้าไม่ได้ลืมเรื่องนั้นไปจนหมด แล้วทำไมถึงยังมาพูดกับเขาแบบนี้ได้

ตอนนั้น ถึงแม้จะร้องไห้โวยวายและเผยภาพลักษณ์หลากหลายอย่างให้เขาได้เห็นจนหมด แต่ฮาจุนก็แค่รู้สึกโล่งเท่านั้น ไม่รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีเลย เพราะทุกอย่างคือความรู้สึกที่แท้จริงอันซื่อตรงของเขาเอง

แม้ไม่เคยคิดว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเขาจะมีคุณค่าพิเศษอะไรกับมูคยอม แต่พอมาตอนนี้ ความขายหน้าถึงได้ก่อตัวขึ้นมาติดแน่นในใจ การมองดูภาพของลูกโป่งที่ปล่อยให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แตกแล้วกลายเป็นขยะสกปรกปลิวมาแทบเท้า ต่อให้ตนเองอยู่ในสถานะที่ยอมแพ้ในเรื่องอะไรบางอย่างยิ่งกว่านั้น แต่มันก็ไม่เบิกบานใจเอาเสียเลย

มูคยอมตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย

“เรื่องนั้นยังไงก็จบไปแล้วไม่ใช่เหรอ นายบอกว่าตอนนี้ไม่สบายใจแล้วก็ไม่เอาแล้วนี่ หรือว่าพูดแบบนั้นเพราะนายยังรู้สึกอยู่”

“ก็หมายความว่านายไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่กำลังพูดในตอนนี้อีกแล้วไง”

เขาไม่ต้องการให้มูคยอมจับได้ว่าเขายังรู้สึกจนแทบสับสน เรื่องที่เขายังตัดเยื่อใยที่มีต่อมูคยอมไม่ขาด เยื่อใยนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ จนทำให้ใจของเขาเต้นแรงเพราะคำพูดของอีกฝ่าย ถึงจะแค่ก่อนหน้านี้ครู่เดียวก็เถอะ แต่เรื่องนี้ก็ห้ามให้มูคยอมจับได้อย่างเด็ดขาด

ถึงยังจับไม่ได้ เขาก็มีสภาพเหมือนลูกบอลยางในเงื้อมมือของอีกฝ่ายที่กลิ้งไปทางนี้ทีทางโน้นทีอยู่แล้ว หากจับได้กระทั่งความจริงพวกนั้น เขาก็น่าจะถูกอีกฝ่ายปฏิบัติตัวด้วยเหมือนเป็นแค่เศษผ้าไม่ใช่เหรอ

‘ครืดดด’ ในตอนนั้น โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าก็ส่งเสียงดังขึ้น ฮาจุนก้มลงหยิบโทรศัพท์ออกมา สายตาของมูคยอมเองก็จับจ้องไปตรงนั้นเช่นกัน มีสายเข้าจากเบอร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้

ไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามคุยโทรศัพท์สั้นๆ ในระหว่างฝึกซ้อม อีกทั้งแม่ก็ไปๆ มาๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง บางทีถ้าที่บ้านไม่มีคนอยู่ คนส่งพัสดุก็จะโทรมาหาฮาจุนอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะอย่างนั้น ส่วนใหญ่ฮาจุนจึงรับสายที่โทรเข้ามามากกว่าจะปล่อยให้มันตัดสายไป บรรยากาศกำลังร้อนระอุอยู่พอดี เป็นแบบนี้กลับดีเสียอีก ฮาจุนคิดแบบนั้นแล้วจึงถือโทรศัพท์ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดกับอีกฝ่าย

“ฉันจะไปรับโทรศัพท์สักหน่อย นายรอเดี๋ยวนะ ระหว่างนั้นก็เตรียมสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกให้เรียบร้อยด้วย”

ฮาจุนเดินแยกไปจากมูคยอมสองสามก้าวแล้วจึงหันหลังรับโทรศัพท์

“ครับ อีฮาจุนครับ”

‘อ๊ะ! สวัสดีค่ะ โค้ชอีฮาจุนใช่ไหมคะ’

“…ใครเหรอครับ”

‘ขอโทษด้วยค่ะ ฉันควรต้องแนะนำตัวก่อนแท้ๆ เลย ฉันชื่อซงอึนจูค่ะ ยอนซูให้เบอร์คุณมา จริงๆ ฉันควรต้องรอการติดต่อจากคุณ แต่อดไม่ไหวจนเป็นฝ่ายโทรไปก่อนระหว่างทางไปทำงานนอกสถานที่น่ะค่ะ สะดวกคุยโทรศัพท์สักครู่ไหมคะ?’

ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าจะได้รับการติดต่อมาจากอีกฝ่ายก่อน

ฮาจุนเหลือบตามองมูคยอมที่นั่งอยู่ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเดินห่างออกไปอีกสองสามก้าวแล้วพูดเสียงเบาลง

“อ่า สวัสดีครับ เรื่องนั้น ขอโทษด้วยนะครับ ผมตั้งใจว่าจะติดต่อไปทันทีแต่พอดีงานยุ่งนิดหน่อย”

‘ไม่เป็นไรเลยค่ะ คนใจร้อนก็ต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อนสิคะ ฉันรีบร้อนติดต่อมาหาคุณแบบนี้ยิ่งเสียมารยาทมากกว่าอีก ขอโทษด้วยนะคะ’

ฮาจุนคิดตื้นๆ ว่าถ้าไม่ติดต่อไปก็จบ เขาไม่รู้เพราะไม่เคยนัดบอดมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็คงได้รับเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปเหมือนกัน หากลองคิดดูก็ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้ว

อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่มีเวลาจะไปเจอกัน การบอกปฏิเสธไปทั้งที่น้ำเสียงอีกฝ่ายดีอกดีใจแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลยจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้

“ขอโทษนะครับ”

‘คะ? เรื่องอะไรคะ’

“จริงๆ แล้วผม… ตอนนี้ยังไม่คิดจะคบใครน่ะครับ เมื่อกี้ผมคุยกับจองคยู สามีของคุณยอนซู แล้วบรรยากาศก็กลายเป็นแบบนั้นไปซะได้… ผมขอเบอร์โทรติดต่อคุณมาแล้วก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้เลย แต่คิดว่าคงยากที่จะไปพบกันครับ”

หญิงสาวปลายสายพึมพำเหมือนกำลังพูดคนเดียวว่า “อ๋อ ค่ะ” ราวกับตอบอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็หัวเราะ

‘ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ยังไม่ได้คิดไปเองคนเดียวตั้งแต่ตอนนี้ แค่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงของโค้ชใกล้ๆ สักครั้งไหมเท่านั้นเองค่ะ ฉันชอบฟุตบอลก็เลยไปดูแข่งสดๆ อยู่สองสามครั้ง ฉันเป็นแฟนคลับคุณสมัยอยู่อินช็อนนะคะ’

“…ขอบคุณมากครับ ผมไม่รอบคอบเกินไปจริงๆ”

‘แต่ก่อนดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็สุขุมขึ้นแล้วนะคะ’

“อย่างนั้นเหรอครับ”

‘อ๊ะ ฉันไม่ได้พูดในความหมายเชิงไม่ดีนะคะ เป็นข้อดีค่ะ’

ฮาจุนยกยิ้มบางออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะบทสนทนาลื่นไหลไปอย่างสบายๆ เหนือความคาดหมาย

‘ว่าแต่ ฉันขอถามอย่างหนึ่งได้ไหมคะ’

“ครับ ได้แน่นอน”

‘เห็นรูปฉันหรือยังคะ’

“อ่อ ครับ……”

‘เป็นยังไงบ้างคะ เอาตามตรงนะ’

“ฮ่าๆ ผมคิดว่าเป็นคนที่ผมเห็นแค่รูปก็รู้สึกว่าน่าเสียดายแล้ว”

เธอหัวเราะเสียงดังราวกับชอบใจในคำตอบ และคงไม่มีความคิดที่จะกดดันให้มาเจอกันให้ได้ บทสนทนาจบลงอย่างเรียบง่ายโดยเธอบอกว่าวันนี้ก็พยายามให้เต็มที่ และพูดติดตลกว่าถ้าเปลี่ยนใจก็ให้ติดต่อมา เธอดูเป็นคนสดใสจริงๆ

“ขอให้กลับถึงบ้านปลอดภัยและเป็นวันที่ดีนะครับ ขอบคุณมากที่เข้าใจผม”

‘ค่ะ ขอให้เป็นวันที่ดีของคุณโค้ชเช่นกันนะคะ’

จิตใจที่อึมครึมและรู้สึกอึดอัดขณะเริ่มสนทนากลับรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น แต่ว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ทันทีที่วางสาย ความเป็นจริงที่อยู่ด้านหลังก็โถมเข้าใส่จนรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อฮาจุนเดินกลับไปหามูคยอมอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ทำหน้าบึ้งคิ้วขมวดอยู่ก่อนแล้ว ฮาจุนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าพร้อมพูดขอโทษ

“ขอโทษที่คุยโทรศัพท์นานไปหน่อยในเวลาฝึกนะ ตั้งสมาธิอีกครั้งกันเถอะ”

“นายบอกว่าไม่อย่างโน้น ไม่อย่างนี้ แต่ฉันลองใช้สมองคิดดูครั้งหนึ่งแล้วนะ”

“อะไรนะ”

มูคยอมเหลือบตามองราวกับไม่พอใจแล้วพูดเสียงเบาลง

“นายก็มีเรื่องเข้าใจผิดเหมือนกัน”

“บอกให้มีสมาธิกับการซ้อมไง”

“ไม่ใช่แค่เรื่องจัดการความต้องการทางเพศ แต่ฉันน่ะ ถ้าไม่ใช่อีฮาจุน ถ้าไม่ใช่นายก็ไม่ได้หรอก”

คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง จู่ๆ ก็พูดเรื่องอะไรกัน

หัวใจของเขาทำท่าจะเต้นถี่รัวก่อนจะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์เสียอีก แน่นอนว่าเขาโกรธมูคยอม แต่หูอันไร้จุดยืนของเขากลับให้ความสนใจในคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่าย เขาเกลียดหูของตัวเองที่เป็นแบบนั้นแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจตัวเองได้

“ถ้านั่นคือปัญหา ฉันก็คงจะไปหาใครก็ได้สักคนแล้วแก้ปัญหานั้นตามที่นายบอกแล้วสิ จะยังเหี่ยวอยู่แบบนี้เหรอ”

“…นายหมายความว่ายังไง”

“ช่วงที่นายไม่อยู่ ฉันถึงได้รู้ ไม่ว่ายังไงถ้าไม่ใช่นาย… ร่างกายฉันก็เหมือนจะไม่มีอารมณ์กับใครเลย”

“จู่ๆ ทำไมเป็นแบบนั้น”

มูคยอมอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยักไหล่ราวกับบอกว่ามันซับซ้อน

“เหตุผลมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ แค่คิดว่าเพราะเราเหมาะสมกันดีก็พอแล้วนี่ ร่างกายของพวกเราเข้ากันได้ดีมากๆ นายเองก็ไม่น่าจะปฏิเสธเรื่องนั้นได้”

“…”

“ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้ว ว่าฉันก็ไม่เคยยึดติดกับใครแค่คนเดียวแล้วรักษาความสัมพันธ์ไว้นานแบบนี้ ดูเหมือนว่าการนอนกับนายจะกลายเป็นความเคยชินของฉันไปแล้วละ นายเองก็เคยเล่นกีฬา เพราะฉะนั้นก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าจู่ๆ ถ้าหยุดเรื่องที่เคยทำซ้ำๆ อย่างกะทันหัน มันก็จะเสียจังหวะ”

พูดเสียยาวเหยียด สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับการขอให้กลับมามีความสัมพันธ์แบบคู่นอนกันอีกครั้งเลยสักนิด ฮาจุนช่วยสรุปคำพูดของอีกฝ่ายให้อย่างใจดี

“ฉันจะต้องนอนกับนายเพื่อจะได้ปรับให้สภาพร่างกายของนายดีเยี่ยมงั้นสิ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมจ้องฮาจุนตาเขม็งเงียบๆ ไม่มีอะไรต้องกลัว ฮาจุนเองก็เขม้นมองอีกฝ่ายกลับไปเหมือนกัน

“เข้าใจแล้วน่า เข้าใจแล้ว”

ทันใดนั้น มูคยอมก็ยกมือขึ้นราวกับบอกว่ายอมแพ้พร้อมกับพยักหน้า

“คบกันเถอะ คบเป็นแฟนกัน พยายามถึงขนาดจะไปนัดบอดแล้วจะได้อะไร ห่างกันไปครั้งหนึ่งแล้ว จะกลับมาเป็นคู่นอนกันอีกครั้งก็น่าจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี งั้นก็เอาแบบนั้นแล้วกัน คราวนี้โอเคแล้วใช่ไหม”

“บอกว่าให้พอได้แล้วไง!”

ฮาจุนขึ้นเสียงดังโดยไม่รู้ตัว พอตะโกนออกไปแล้วถึงได้ชะงักไปและสังเกตดูรอบข้าง แต่ไม่ว่าจะโค้ชหรือนักกีฬา การตะโกนเสียงดังในระหว่างฝึกซ้อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่างนั้นทั้งนักกีฬาและสตาฟจึงไม่มีใครจ้องมองพวกเขาทั้งคู่อยู่เลย

ฮาจุนเสยผมขึ้นหนึ่งครั้งแล้วจึงพูดเสียงเบาลงอีกครั้งราวกับกระซิบ

“คิมมูคยอม ฉันแค่หาวิธีที่จะได้อยู่ข้างนายเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง ฉันคิดว่าจะอดทนอยู่ข้างนายได้ไม่ยากแต่ก็คิดผิด ต่อให้ฉันโง่มากแค่ไหน ฉันก็ไม่ทำพลาดเรื่องเดิมซ้ำสองหรอกนะ”

มูคยอมถอนหายใจออกมาจากริมฝีปาก ดูไม่เหมือนการถอนหายใจเพราะอึดอัดหรือเหนื่อยหน่ายกับบทสนทนาที่ไม่เป็นไปตามความตั้งใจเลย ดูราวกับว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดใจกับสถานการณ์นี้จริงๆ

“อะไรที่ทำให้มันยากขนาดนั้นกันแน่ ที่ผ่านมา ฉันกับนายก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเซ็กส์เลยนี่”

น้ำเสียงมูคยอมฟังเหมือนกับว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจได้จริงๆ ฮาจุนซึ่งเผชิญหน้ากับมูคยอมรับรู้ได้ดีกว่าใครว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะแดกดันหรือเย้ยหยัน

ป่านนี้แล้ว คิมมูคยอมไม่เข้าใจจริงๆ น่ะเหรอว่านั่นอาจจะเป็นส่วนที่ยากก็ได้?

“…แค่เรื่องนั้นยังไม่เข้าใจแล้วฉันจะทำอะไรกับนายมากกว่านี้ได้ยังไง”

“ขอโทษก็ไม่เอา จ่ายเงินชดใช้ก็ไม่เอา คบเป็นแฟนก็ไม่เอา… ถ้างั้นหมายความว่าไม่มีวิธีไหนเลยใช่ไหม ฉันเพิ่งเคยขอใครคบเป็นครั้งแรกนะ ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธเหรอ”

พอถูกปฏิเสธข้อเสนอเป็นคู่นอน อีกฝ่ายก็เสนอฐานะคนรักอย่างกับบอกว่าให้กินอันนี้แทนสิ แล้วเขาต้องยอมรับอย่างว่าง่ายและซาบซึ้งใจด้วยอย่างนั้นเหรอ

หากปล่อยไว้เฉยๆ สักวันก็อาจโดนยกเรื่องนี้มาพูดให้รำคาญอีก ต้องพูดว่าอะไรถึงจะจบเรื่องลงได้ในวันนี้นะ ฮาจุนกัดเนื้ออ่อนนุ่มในปากแล้วจึงปริปากพูดขึ้น

“ใช่”

“…”

“ไม่ว่านายจะเป็นยังไง แต่ถ้าฉันไม่มีใจแล้ว แค่เซ็กส์ก็มีด้วยไม่ได้หรอกนะ”

คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของมูคยอมแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฮาจุนเบนสายตาทั้งที่ยังกังวลอยู่ในใจ เขาไม่ได้โกหก เพราะถึงเขาเกลียดอีกฝ่ายไม่ลงก็จริง แต่เขาก็ระงับจิตใจที่เคยร้อนรุ่มต่ออีกฝ่ายไปครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ เหมือนกัน

คางของมูคยอมเกร็งขึ้น ทำให้มองเห็นสันกรามขึ้นชัดกว่าปกติ เขาทอดสายตามองฮาจุนโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“…ไตร่ตรองดูให้ดีๆ นะ ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีอะไรที่ต้องการจริงๆ ใช่ไหม”

“ไม่มี”

ฮาจุนตอบอย่างไม่ลังเลแล้วเงียบไป จากนั้นก็พูดต่อ

“ไม่มีจริงๆ ฉันไม่ต้องการอะไรจากนายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นายบอกให้กลับไปเป็นแบบเดิมกันใช่ไหมล่ะ แบบเดิม… นายจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำนี่นะ”

“นั่นมันเรื่องเมื่อตอนไหนกัน…”

“ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ฉันอยากให้เราใช้ชีวิตกันอย่างไม่มีปัญหาในฐานะโค้ชกับนักกีฬาจนกว่าจะจบฤดูกาล”

“…”

“อยากให้นายลงเล่นได้ดีจนถึงครั้งสุดท้าย ให้ทีมของเราชนะลีก อยากให้ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรจนกว่าจะถึงวันที่นายกลับไป”

ระหว่างที่พูดความปรารถนา น้ำเสียงของฮาจุนราบเรียบเหมือนทรายละเอียดที่ไหลลงมาอย่างเงียบงัน อีกทั้งยังไร้ความรู้สึกพอๆ กัน ราวกับควบคุมความรู้สึกที่เคยท่วมท้นเอาไว้ได้แล้ว ฮาจุนเบนสายตามองไปยังด้านข้างของมูคยอมแล้วจึงค่อยๆ สบตากับอีกฝ่าย

“สิ่งที่ฉันต้องการมีเท่านี้ แค่นายตัดสินใจก็สามารถทำได้ทุกอย่างเลย”

“…”

“ถ้านายทำแบบนี้เพราะรู้สึกผิดหรือค้างคาใจกับฉัน… ฉันไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นก็พอได้แล้ว ฉันบอกแล้วไงว่าจะรับคำขอโทษน่ะ”

ฮาจุนเท้ามือลงบนเข่าพร้อมกับจัดการจบบทสนทนา

“พักสักหน่อยเถอะ นายดูเหมือนจะยังไม่พร้อมฝึกซ้อมเลยนะ ฉันก็โค้ชชิ่งตามปกติในสภาพแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะไปออฟฟิศแล้วเดี๋ยวมา ระหว่างนั้นนายตั้งสติ แล้วถ้ากลับมาก็หวังว่าจะได้เห็นนายอยู่ในสภาพพร้อมฝึกนะ”

ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วกำลังจะลุกขึ้น แต่มูคยอมก็คว้าข้อมือไว้อย่างฉับไว ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร คิดดูแล้ว เห็นบอกว่าไข้ขึ้นอยู่ตลอดเลยนี่ใช่ไหม คงเพราะแบบนั้น ดวงตาของมูคยอมจึงดูฉ่ำน้ำกว่าปกตินิดหน่อย

เขาไม่เหลือเยื่อใยอื่นแล้วแต่ก็ยังเป็นห่วง สู้ให้อีกฝ่ายแกล้งไม่สบายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขายังจะดีกว่า ในตอนที่ฮาจุนคิดแบบนั้น มูคยอมก็เปิดริมฝีปากแห้งผากพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ฉันรู้สึกชอบนาย”

อ๋อ

เพราะแบบนี้ คิมมูคยอมถึงคิดว่าเขาง่ายนัก มูคยอมเคยบอกว่ามีคนช่วยสนองให้ทันทีก็เลยสบายด้วยนี่นะ ติดใจคนที่ช่วยสนองให้ทันที ตอนนี้ก็เลยขี้เกียจหาคนอื่นแล้วหรือเปล่า

การแตะต้องตัวเขาซึ่งอยู่ข้างกันไม่ว่าที่ไหนเมื่อไร และแค่จับถอดเสื้อผ้าก็ทำได้แล้ว ย่อมสบายกว่าการไปตามหาคนอื่นที่ไหนสักที่แล้วต้องพยายามพูดคุยยั่วยวนกันและกันเท่านั้นถึงจะมีเซ็กส์ได้อยู่แล้ว ฮาจุนคิดว่าจะไม่มีเรื่องให้เขาต้องรู้สึกเสียใจกับการที่มูคยอมมองเขาแบบนั้นไปมากกว่านี้ แต่การทำให้คนอื่นโศกเศร้าก็มีอีกสารพัดวิธีเช่นกัน

ความรู้สึกละอายในตนเองไม่ได้มาจากคิมมูคยอมเพียงคนเดียว แต่ครึ่งหนึ่งก่อเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเขาเอง ฮาจุนมั่นใจว่าตนเองรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมานิดหน่อย เพราะแต่ละส่วนที่สัมผัสลงบนผิวร้อนรุ่มกว่าอุณหภูมิที่มือกับริมฝีปากจดจำได้อย่างแม่นยำ จนดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไข้ขึ้นจริงๆ

สำหรับคิมมูคยอม เขาคงเป็นคนที่ง่ายจริงๆ นั่นแหละ เสียงหัวเราะอันไร้กำลังดังออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะเสียงหัวเราะนั้น ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า

“…หัวเราะทำไม”

ฮาจุนหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาอีกครั้งแล้วตอบกลับ

“ถ้างั้นร้องไห้ดีไหม สถานการณ์นี้มันตลกสำหรับฉันนะ”

“เรื่องที่ฉันพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”

“ฉันรู้ เพราะแบบนั้นถึงยิ่งน่าขำไง”

ในขณะที่มูคยอมเงยหน้าขึ้น ฮาจุนจึงใช้แขนดันอีกฝ่ายออกอย่างแรงจนหลุดออกจากอ้อมแขนของมูคยอม

“ทำอะไรน่าขำแค่พอดีๆ เถอะ ตอนนี้หลบไปสักที การฝึกซ้อมน่าจะเริ่มแล้ว ทั้งฉันทั้งนายต่างก็หายตัวมานานเกินไปแล้ว”

รู้สึกได้ว่ามีคนเปิดประตูเสียงดังจากด้านนอกพอดี คราวนี้มูคยอมก็ปักหลักต่อไปไม่ได้ และต้องหลบออกจากประตูที่เคยยืนขวางไว้ โค้ชคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาทางช่องประตู

“หืม ทั้งสองคนมีธุระอะไรกันเหรอ”

โค้ชเดินไปยังที่ของตัวเองราวกับเข้ามาหาอะไรบางอย่างพลางถามขึ้น ฮาจุนยิ้มพร้อมกับตอบ

“ครับ มีโปรแกรมที่ต้องตรวจสอบด้วยกันนิดหน่อยน่ะครับ ตอนนี้กำลังจะออกไปแล้วครับ”

“โอเค รีบออกไปกันได้แล้ว”

ฮาจุนรีบออกมาจากประตูแล้วมูคยอมก็เดินตามหลังเขามา ในระหว่างที่เดินเรียงแถวไปตามทางเดิน โดยมีฮาจุนเดินข้างหน้าและมูคยอมเดินข้างหลัง ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก

คิดว่าหากอดทนพอสมควรในช่วงไม่กี่เดือนที่เหลือแล้วจะไม่มีปัญหาเสียอีก แต่นี่มันสถานการณ์อะไรตั้งแต่วันแรกที่กลับมาทำงานกัน ไม่คิดเลยว่าคิมมูคยอมที่เคยบอกเขาว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ จะเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ฮาจุนเสยผมหน้าม้าขึ้นพร้อมกับพยายามปรับสภาพจิตใจให้กลับสู่สภาวะปกติก่อนออกจากประตูตึก

“รอก่อน ยังคุยกันไม่จบเลยนะ”

เขายกมือขึ้นมาบนประตูแล้วแต่มูคยอมก็เข้ามาใกล้กว่าเดิม ฮาจุนไม่ได้ดึงดันเปิดประตูออกแล้วหนีไป

สีหน้าของมูคยอมดูร้อนใจไม่น้อย แถมยังดูอาลัยอาวรณ์อย่างมากด้วย แต่นั่นเป็นเพียงความรีบร้อนของเด็กน้อยที่อยากได้ของเล่นที่เคยเล่นกลับคืนมาเท่านั้น จนถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน ฮาจุนเคยพึงพอใจกับบทบาทในฐานะของเล่นหรือเครื่องใช้ แต่ในตอนนี้ ความรู้สึกอยากอยู่ในตำแหน่งนั้นได้เหือดหายไปจนหมดสิ้นแล้ว

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจจิตใจที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายแล้วอยากเก็บของที่เคยทิ้งกลับมาอีก แต่น่าเศร้าใจที่ของเล่นของอีกฝ่ายคือคนคนหนึ่ง ไม่ใช่หุ่นยนต์หรือตุ๊กตาพลาสติก

“เรื่องที่ฉันจะพูดมีเรื่องเดียว ตอนนี้นายไปหาที่อื่นเพื่อระบายความต้องการทางเพศซะ”

คราวนี้ฮาจุนไม่รอคำตอบอีกต่อไปแล้วเดินแยกตัวออกมาบนสนามหญ้า ฮาจุนก้มหัวเบาๆ ให้โค้ชจองพร้อมบอกให้รู้ว่าจะรับช่วงโค้ชชิ่งต่อ จากนั้นก็เลี่ยงมูคยอมไปสังเกตนักกีฬาคนอื่นๆ และเขาก็ไม่ได้จ้องมองไปทางฝั่งของมูคยอมอีกเลย

ถึงไม่เกิดเรื่องแบบนั้นก็ไม่ได้กลับสนามฝึกมานานอยู่แล้ว และยิ่งเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เวลาที่ร่างกายรับรู้จึงผ่านไปไวกว่าเดิม ฮาจุนจัดการจบการฝึกเช้าที่เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็วมากๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังศูนย์อาหาร จองคยูซึ่งจองที่ไว้แล้วโบกมือให้

“ฮาจุน นานๆ ทีมากินข้าวด้วยกันสิ”

ฮาจุนกวาดตามองแวบหนึ่งแต่บนโต๊ะไม่มีมูคยอม ช่วงนี้ก็ไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ ฮาจุนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามของจองคยู นักกีฬาจำนวนหนึ่งถามสารทุกข์สุกดิบ ฮาจุนยิ้มบางพร้อมโกหกกลับไปว่าหยุดพักเพราะเรื่องเล็กน้อยของที่บ้าน แล้วจึงตักข้าวขึ้นมา

ฮาจุนไม่ได้อยากอาหารขนาดนั้น เขากลืนอาหารลงคอเอื่อยๆ อย่างพอเหมาะจนคนรอบข้างไม่คิดว่าแปลก แต่แล้วจองคยูก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาด้วยความเอือมระอาเหมือนที่เคยทำ

“ได้รับวันพักร้อนที่รอมานานแล้วใช้ไปกับเรื่องที่บ้านจนหมดซะได้ หาแฟนสักหน่อยสิ ฉันพูดหลายรอบแล้วนะว่าคนที่อยากนัดบอดกับนายนี่ต่อแถวยาวเป็นขบวน”

ไม่ใช่คำพูดที่ได้ฟังแค่ครั้งสองครั้งจนตอนนี้แทบจะท่องได้แล้ว แต่ในวันนี้ คำแสดงความเห็นที่ได้ยินเป็นประจำของจองคยูซึ่งเขาเคยหัวเราะแล้วปล่อยผ่านไปทุกครั้ง กลับฝังลึกเข้ามาในหู ฮาจุนวางแก้วที่แตะอยู่ตรงริมฝีปากลงกับโต๊ะพร้อมกับไตร่ตรองคำที่อีกฝ่ายพูด

‘แฟน’

‘ถ้ามีแฟน ถ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เขาก็จะไม่ต้องฟังเรื่องแบบเมื่อกี้อีกต่อไปได้ใช่ไหม’

คิมมูคยอมเคยจับผิดและต่อว่าเขาถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายสงสัยในความสัมพันธ์ของเขากับแชฮุนและคิดว่าทำเรื่องผิดครรลองคลองธรรม มูคยอมคงไม่ลากข้อเสนอเรื่องคู่นอนให้ยืดเยื้อออกไปกับคนที่มีแฟนอีก

“ลองดูดีไหม”

เมื่อฮาจุนตอบกลับราวกับพูดคนเดียวด้วยเสียงแผ่วเบา จองคยูก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมเบิกตากว้าง

“จริงเหรอ นายนึกอยากแล้วเหรอ แค่บอกมาก็พอ มีเพื่อนคุณยอนซูที่โอเคมากๆ อยู่นะ ชอบฟุตบอลด้วย แล้วก็สนใจนายมากๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะ”

“…จะลองคิดดู”

“โอ้โฮ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ดูเหมือนว่าคนเราต้องได้พักผ่อนสักหน่อยถึงจะสบายใจขึ้นสินะ เอาแต่บอกว่าไม่สนใจอยู่ทุกครั้งแท้ๆ”

ฮาจุนยิ้มอย่างขมขื่น

เพราะว่าอยู่คนเดียวมันเหงา เพราะเบื่อ เพราะคนอื่นเขาก็มีกันหมด… ฮาจุนเห็นผู้คนปรารถนาในการคบหาคนรักด้วยเหตุผลหลากหลายอย่าง แต่เพราะเขากักเก็บคิมมูคยอมเอาไว้ในหัวใจเพียงคนเดียว ฮาจุนจึงไม่เคยรู้สึกใจจดใจจ่ออยู่กับความสัมพันธ์แบบนั้นเป็นพิเศษเลย

บางครั้งเขาก็กล่าวโทษหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงให้แค่มูคยอม และนึกอยากลองใช้เวลาพูดคุยกันอย่างอบอุ่นกับคนที่ใจตรงกันเหมือนคนอื่นๆ แต่กระทั่งเรื่องนั้นก็เป็นเพียงความต้องการผิวเผินหรือไม่ก็เกือบจะเป็นการหัวเราะเยาะตัวเองที่รู้สึกเฉยเมยกับคนอื่นมากกว่า เขาไม่ได้กลุ้มใจที่เหงากับการใช้เวลาคนเดียวแล้วไม่ได้รู้สึกยากเกินจะทน

หากจะพูดให้ชัดเจนมากขึ้นก็ต้องบอกว่าไม่มีเวลาว่างให้ได้รู้สึกเหงาละมั้ง ตั้งแต่คุณพ่อจากไป เขาก็ฝ่าฟันผ่านช่วงเวลามาด้วยมือทั้งสองข้างอย่างไม่มีจังหวะจะได้คิดอะไร แล้วมาถึงชีวิตในตอนนี้จนได้

พอได้สำรวจตัวเองครู่หนึ่งจึงลงบทสรุปได้ว่าเรื่องอย่างการนัดบอดเป็นการกระทำที่เกินตัว หากจะออกไปนัดบอด ก็ต้องมีความรู้สึกชื่นชอบอีกฝ่ายอยู่ในใจและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ถึงจะถูกต้อง แต่ถ้าออกไปด้วยเหตุผลแค่ว่าอยากหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญก็ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยดี และมีแต่จะเป็นการเสียมารยาทกับคนที่สละเวลาอันมีค่าเพื่อมาพบเขาเท่านั้น

ฮาจุนตั้งใจจะตัดบทปฏิเสธว่าไม่คิดจะไปแล้ว แต่ที่ข้างๆ ฮาจุนกลับมีถาดอาหารวางลงอย่างกะทันหัน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นชายหนุ่มซึ่งเขาไม่คิดว่าจะเข้ามาใกล้อย่างฉับพลันขนาดนี้ กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้านิ่งเฉย ในระหว่างที่สีหน้าของฮาจุนกำลังเกร็งทื่อแบบไม่มีใครรู้ จองคยูผู้ตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยก็รีบออกท่าทาง

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะเปิดรูปให้ดู เป็นสาวสวยสุดๆ ไปเลย หน้าที่การงานก็ดี ทำงานกับบริษัทการเงินขนาดใหญ่”

“โว้ว สวยจริงๆ แฮะ”

ฮาจุนทำไม่ได้ทั้งปฏิเสธ หรือทั้งรับปากเพราะชายที่นั่งลงด้านข้าง และในระหว่างที่เขากำลังเลือกคำตอบ รอบข้างก็พากันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมากขึ้น มูคยอมปริปากพูดขึ้นมาก่อน

“ใครสวยถึงขนาดนั้น”

“คนที่ฮาจุนจะไปนัดบอดด้วยน่ะ ไม่รู้ทำไมถึงบอกว่าคิดจะไปแล้วนะเนี่ย มีเพื่อนคนหนึ่งของคุณยอนซูขอไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ช่วยนัดแนะมาเจอกันให้ได้ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วน่ะ”

คำพูดนั้นทำให้คนตั้งคำถาม รวมถึงตัวฮาจุนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

บางทีเขาคงรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นยะเยือกลงได้คนเดียว ฮาจุนอยากดีดตัวลุกขึ้นจากที่ แต่หากทำแบบนั้นก็น่าจะมีหลายคนที่คิดว่าเขาทำตัวแปลกๆ ฮาจุนจึงยกยิ้มแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้จองคยูแทน

“อื้อ ขอช่องทางติดต่อหน่อยสิ”

รู้สึกได้ถึงสายตาของมูคยอมที่จ้องมองมา แต่ฮาจุนก็มองแต่หน้าจองคยูเท่านั้น คนที่รู้สึกเหมือนสายตาของอีกฝ่ายจะจ้องแก้มของตนจนทะลุเป็นรูก็คงมีแค่เขาคนเดียวอีกนั่นแหละ

“ว้าว ในที่สุดฮาจุนก็จะมีแฟนแล้วสินะ! ได้เลย ถ้าผู้ชายแบบนายใช้ชีวิตโสดไปเรื่อยๆ ก็สิ้นเปลืองทรัพยากรประเทศเปล่าๆ”

จองคยูฮัมเพลงพร้อมกับกดเบอร์แปลกลงในโทรศัพท์ของฮาจุน

“ชื่อคุณซงอึนจูนะ ติดต่อไปให้ได้ล่ะ ขอให้ไปได้สวย”

“พี่ครับ ช่วยนัดบอดให้ผมด้วยสิ”

เมื่อนักกีฬาจำนวนหนึ่งพูดอย่างเง้างอน จองคยูจึงพูดหยอกล้อไปว่ามาตรฐานของตัวเองสูง โตกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยมาใหม่ เมื่อฮาจุนตัดสินใจว่าจะปฏิเสธแต่กลับถูกสถานการณ์พาไปจนได้รับเบอร์โทรติดต่อมา เขาก็รู้สึกว่าตัวเลขสิบหลักที่ถูกจิ้มลงมือถือทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่ามือของเขาอย่างหนักอึ้ง เขาลุกขึ้นจากที่ด้วยความรู้สึกเหมือนท้องอืด

“ถ้างั้นกินข้าวกันดีๆ ล่ะ”

“หืม กินหมดแล้วเหรอ ทำไม จะไปนัดบอดก็เลยตื่นเต้นจนกลืนข้าวไม่ลงเลยหรือไง”

ฮาจุนถึงกับรู้สึกขอบคุณจองคยูที่สร้างข้ออ้างขึ้นมาให้ก่อน ฮาจุนหัวเราะเจื่อนๆ พลางยกถาดอาหารขึ้น

“ใช่เลย ต้องรีบติดต่อไปซะแล้ว”

“โชคดีนะ”

ฮาจุนหันหลังแล้วเดินแยกห่างจากโต๊ะ มูคยอมมองตามภาพด้านหลังของเขาพักหนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมาพร้อมกับวางช้อนลงบนถาดอาหารตามเดิม จองคยูจิ๊ปาก

“เห็นยกข้าวมาก็คิดว่าจะไม่เป็นไรแล้ว แต่วันนี้ก็จะไม่กินหรือไง ดูดแค่เชคอย่างเดียวมันจะไปมีแรงได้ยังไง ถ้านายเป็นแบบนี้ ฉันล่ะเป็นห่วงว่าจะทรุดลง ลองกลืนๆ ลงคอสักหน่อยเถอะ”

“อิมจองคยู ทำไมนายยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกแล้วล่ะ”

“ไอ้นี่ กินข้าวไม่ได้มาหลายวันแต่มีแค่นิสัยที่แย่ลงนะ คนเขาเป็นห่วงแท้ๆ ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย”

“คนอื่นจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนก็อย่าทำเป็นรู้ดีแล้วเข้าไปยุ่มย่ามสิ ไม่รู้หรือไงว่าโค้ชอีเกลียดอะไรแบบนั้น”

“เรื่องนั้นหรอกเหรอ นักกีฬาคิมมูคยอม คุณนี่มีตาหามีแววไม่จริงๆ นะครับ ไม่เห็นเมื่อกี้หรือไง ที่เขาดีใจ บอกจะรีบติดต่อไปน่ะ?”

“โค้ชอีใจดี แล้วนายก็ไปกดดันเขา เขาก็เลยเออออตามเป็นมารยาทเท่านั้นแหละ”

นักกีฬาคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะพร้อมช่วยพูดเสริม

“เห็นโค้ชอีเป็นแบบนั้น แต่เขาไม่แกล้งทำเป็นชอบเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบหรอกนะครับ โค้ชปฏิเสธทุกครั้งแต่นี่ขอช่องทางติดต่อครั้งแรกเลย”

เมื่อมูคยอมส่งสายตาเย็นเยียบราวคลื่นลมหนาวจากไซบีเรีย นักกีฬาที่พูดเสริมเชิงเห็นด้วยกับจองคยูก็เริ่มกินข้าวเงียบๆ อีกครั้งโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด มูคยอมจิบน้ำเย็นพอชุ่มริมฝีปากเล็กน้อยราวกับตั้งใจจะดับอารมณ์ร้อนลง

ทว่าไม่นาน เขาก็เอนตัวพิงพนักราวกับไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับพูดพึมพำ

“…ยังไงสิ่งที่เห็นกับตาก็ดีกว่าไม่เห็นสินะ”

“อะไร”

มูคยอมเพียงแค่ส่งสายตาแข็งกระด้างให้จองคยูเท่านั้น ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

***

เพราะเป็นเวลาพักเที่ยง ออฟฟิศของโค้ชจึงว่างเปล่า ฮาจุนเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าแล้วนั่งลงบนที่ของตัวเอง เขาไม่แม้แต่จะบันทึกเบอร์ที่จองคยูกดให้แล้วลบมันทิ้งไปทั้งอย่างนั้น

ไม่มีทางที่เขาจะติดต่อไป เขาคิดจะไปนัดบอดเพียงเพราะไม่อยากให้คิมมูคยอมปฏิบัติต่อเขาตามใจชอบ แล้วคนคนนี้ทำอะไรผิดถึงต้องใช้เวลาแบบไร้ประโยชน์กับผู้ชายแบบเขาแล้วแยกจากกันไปล่ะ

‘พวกนั้นรู้หรือเปล่า ว่านายปล่อยน้ำแหมะๆ ตอนถูกผู้ชายแทงประตูหลัง ที่นายทำมันเรียกว่าเล่ห์เหลี่ยมนะ เล่ห์เหลี่ยม’

ฮาจุนนึกถึงคำที่มูคยอมเคยพูดทำร้ายจิตใจ เขาเอนหลังพิงพนักแล้วหงายหน้าขึ้น ดวงตาของเขาปรือปิดลง

คนพวกนั้นเป็นแฟนคลับที่เหลืออยู่ซึ่งยังคงมาหาเขาบ้างเป็นครั้งคราว และตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับเพื่อน สนิทกันขึ้นอีกหน่อยก็ไม่ต่างอะไรกับญาติมิตร ในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่แต่งงานแล้ว และมีคนที่คบกับแฟนหนุ่มมานานแล้วด้วย

เพราะอย่างนั้น เขาจึงรู้สึกว่าคำพูดของมูคยอมเป็นการดูหมิ่นกันอย่างมาก แต่ถ้าหากเขาไปนัดบอด คำพูดของมูคยอมก็ไม่มีจุดผิดเลย ตามที่อีกฝ่ายพูด เขาเป็นคนที่รู้สึกดีจนน้ำตาไหลในขณะมีเซ็กส์กับผู้ชาย และยังคงไม่สามารถเกลียดชังชายคนนั้นที่เคยพูดดูแคลนตัวเองได้ ถ้าหากออกไปเจอผู้หญิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยแกล้งทำตัวไม่สมกับเป็นตัวเองและแกล้งทำเป็นมีความชื่นชอบต่อเธอ มันก็คงจะเป็นเพียงการกระทำที่หลอกลวงเธอไม่ใช่เหรอ

ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงพักเต็มสิบวันแล้วค่อยกลับมาแล้ว เขาควรจะลดเวลาที่จะได้เจอคิมมูคยอมลงอีกสักหน่อยก็ยังดี

วันแรกที่ไปออกทริปครอบครัว เขายัดโทรศัพท์มือถือไว้ลึกในกระเป๋าและไม่เอาออกมาดูตลอดทั้งวัน เพราะอยากลืมเรื่องที่โซลให้หมดทุกอย่างสักพักหนึ่ง เขาตะลอนไปสถานที่ท่องเที่ยวจนทั่ว พอกลับมายังที่พักถึงได้เช็กดู แล้วจึงเห็นว่ามีสายไม่ได้รับหลายสาย

ไม่ว่ามูคยอมจะโทรมาเพื่อระเบิดความโกรธที่เหลืออยู่ใส่เขามากกว่านี้ หรือโทรมาเพื่อขอโทษเพราะเปลี่ยนความคิดในเวลาเพียงวันเดียว ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะยอมรับมันได้โดยไม่สั่นคลอน อย่างไรซะ เขาก็คุยโทรศัพท์ไม่สะดวกอยู่แล้วเพราะอยู่ต่างประเทศ แต่ถึงจะกลับมาที่โซลแล้ว เขาก็ไม่ได้ลองติดต่อไป

เขาเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ระยะเวลาห้าวันสั้นเกินไปสำหรับการเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของอีกฝ่าย และไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แม้แต่น้อย

แค่ลาออกไปเสียเฉยๆ เลยดีไหมนะ กลับมาทำงานในตำแหน่งเดิมได้แค่วันเดียว ความรู้สึกผิดที่ตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบว่าจะกลับมาก็ถาโถมเข้าใส่ ดูเหมือนว่าการลาออกจากงานคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้วแท้ๆ แต่คงเป็นผลจากการไปเที่ยวมา เขาจึงมองโลกในแง่ดีเกินความจำเป็นจนทำให้มุมมองต่อความเป็นจริงมันพร่ามัวไป เขาคิดผิดโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว

แต่อีฮาจุนก็ไม่ใช่คิมมูคยอม เขาเป็นมนุษย์หน้าไม่อายจนพูดว่าจะลาออกจากปากตัวเองซ้ำๆ ไม่ได้

“โค้ชอี คุยกันสักครู่หน่อยไหม”

ฮาจุนกำลังควบคุมจิตใจอันสับสนวุ่นวายให้สงบลงเพียงคนเดียว แต่แล้วผู้จัดการทีมก็เข้ามาในออฟฟิศพลางเรียกฮาจุนไป เขาตกใจอยู่คนเดียวอย่างไม่จำเป็นพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“อ้อ ครับ ผู้จัดการทีม”

“ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันอยากให้นายเข้าร่วมโค้ชชิ่งคิมมูคยอมด้วยตัวเองอีกครั้งนะ ไม่สิ นักกีฬาคนอื่นน่ะ ให้โค้ชคนอื่นรับผิดชอบดูแลต่อสักระยะ ส่วนนายตั้งใจกับการโค้ชชิ่งคิมมูคยอมคนเดียวก็พอ”

ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ แล้วตอบ

“คิมมูคยอมสภาพจิตใจตกต่ำลงมาก ผมเลยจงใจแยกตัวออกมาเพื่อให้สภาพแวดล้อมเขามีการเปลี่ยนแปลงครับ แล้วผมก็คิดว่าเห็นผลลัพธ์ที่ดีด้วย เพราะพอเปลี่ยนแล้วก็ทำประตูได้ตั้งห้าประตูเลยนะครับ”

“อืม ตอนนั้นก็ใช่ แต่ช่วงนี้สภาพร่างกายก็แย่ลงเหมือนกันน่ะสิ เพราะทั้งสองคนอายุเท่ากันก็เลยรู้สึกว่าคิมมูคยอมน่าจะสบายใจกับโค้ชอีมากกว่าโค้ชคนอื่นน่ะ”

ไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้หรอก แต่เขาก็บุ่มบ่ามเปิดเผยเรื่องความแตกแยกของตนเองกับคิมมูคยอมให้ผู้จัดการทีมรู้ไม่ได้ ฮาจุนยิ้มพร้อมกับพูดตอบ

“คิมมูคยอมบอกแบบนั้นเองเหรอครับ”

“ก็ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่เป็นการวินิจฉัยของฉันน่ะ ตั้งแต่บ่ายวันนี้ก็ฝากด้วยล่ะ ช่วงนี้เขาฝึกซ้อมตามปกติไม่ได้แล้วก็รับโปรแกรมฝึกซ้อมแยกต่างหากอยู่”

มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่กำลังยิ้ม แต่ในใจของฮาจุนกำลังเดือดพล่าน เขาพยายามทำให้มันสงบลง

คิมมูคยอมต้องออกปากว่าอะไรสักอย่างแน่ๆ มูคยอมเป็นนักกีฬาที่มักจะใช้สถานะของเขาในสโมสรให้เป็นประโยชน์ และที่กรีนฟอร์ดซึ่งเป็นทีมต้นสังกัดเดิมของมูคยอมเองก็เช่นกัน

มีด้านที่สื่อนำเสนออย่างครึกโครมอยู่ก็จริง แต่ในสโมสรกีฬายักษ์ใหญ่ก็มีเรื่องการเมืองกับสงครามแย่งความเป็นใหญ่อยู่จริงๆ มูคยอมซึ่งย้ายสังกัดไปเข้าร่วมลีกหนึ่งของอังกฤษในช่วงวัยสิบกว่าปีและเป็นนักกีฬาชาวเอเชียเพียงหนึ่งเดียวในทีม ไม่ได้ครอบครองสถานะในตอนนี้อย่างสบายๆ และง่ายดาย แต่ในซิตี้โซล เขาขึ้นครองตำแหน่งราชาแบบอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้แบบนั้น เพราะฉะนั้น แค่ใช้โค้ชหน้าใหม่คนเดียวให้เกิดประโยชน์ตามอำเภอใจก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวปอกกล้วยเข้าปาก

“ทราบแล้วครับ”

‘แค่ทำๆ ไปก็พอแล้วน่า แค่ทำๆ ไป’

ในระหว่างที่คิดเรื่อยเปื่อย ทั้งสองคนก็เข้ามาในตึก ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปที่ไหนดี แต่แล้วก็เลือกออฟฟิศของโค้ชเป็นจุดหมายปลายทาง ดูจากที่พวกโค้ชทุกคนออกไปอยู่ข้างนอก ตอนนี้น่าจะไม่มีใครอยู่เลย แต่โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นที่ที่คนเข้าออกเยอะพอสมควรเหมือนกัน ที่แบบนี้เหมาะกับการเป็นพื้นที่เงียบสงบให้ทั้งสองพูดคุยกันในตอนนี้ มากกว่าที่ลับตาคนซึ่งไม่มีใครเข้ามาจริงๆ

ฮาจุนเข้ามาด้านในออฟฟิศก่อน จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปถามทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น

“ทำไม”

มูคยอมเพียงแค่ยืนพิงประตูจ้องมองฮาจุนซึ่งยืนห่างไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวนิ่งๆ คงเพราะร่างกายไม่แข็งแรง สายตาของมูคยอมที่จับจ้องมาทางเขาถึงดูเหนื่อยล้านิดหน่อย ฮาจุนเองก็สบตาคู่นั้นกลับโดยไม่ได้พูดอะไร ถ้าเป็นไปได้ ฮาจุนก็อยากจะเบนสายตาหนี แต่เขารู้สึกได้ว่าการเป็นฝ่ายหลบตาก่อนที่นี่ หมายความว่าคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่มีมาจนถึงก่อนหน้านี้ เขาจึงอดทนพร้อมกับส่งสายตาสู้

หากตอบโต้กันอย่างเยือกเย็นทางดวงตาก็ยังจะพอทนไหว แต่มือเปล่าๆ ซึ่งไม่ได้จับอะไรกลับทนความประหม่าไม่ไหวและเอาแต่กำๆ คลายๆ อย่างเชื่องช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่กำลังทอดมองกันและกันโดยไม่ได้พูดอะไร ฮาจุนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาในใจ และสุดท้ายก็จำต้องยอมรับความจริงที่ตนเองไม่อยากยอมรับ

‘…ฉันยังชอบคิมมูคยอมอยู่สินะ’

ความเสียใจหรือความเดือดดาลเพราะถูกดูแคลน ความผิดหวังต่อคนที่ชื่อคิมมูคยอม ดูเหมือนว่าความรู้สึกพวกนั้นคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียว และไม่ใช่ประเภทของความรู้สึกที่จะสามารถลบเลือนจิตใจที่ชื่นชอบอีกคนลงได้

ฮาจุนพยายามปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นอีกหน่อยแล้วเร่งอีกฝ่าย

“ถ้ามีเรื่องจะพูดก็รีบพูดเร็ว นายบอกว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนนี่ แล้วยังเหลือเรื่องอะไรอยู่อีกถึงต้องเรียกคนอื่นเขามาคุย”

“…ได้ข่าวว่านายยื่นใบลาออก”

ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง ถึงจะไม่แปลกอะไรถ้าเรื่องรู้ไปถึงจองคยูก็เถอะ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะไปถึงหูของมูคยอม

แต่ก็นะ เดิมทีสองคนนี้ก็สนิทกันอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้สนิทกันแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะตกใจอะไรขนาดนั้น ผู้จัดการทีมมองมูคยอมพิเศษกว่าใคร เพราะฉะนั้นก็อาจจะปรึกษากันด้วยก็ได้

“ใช่ ฉันยื่นไป แล้วได้รับวันหยุดพักร้อนนอกเวลาก็เลยไปเที่ยวสั้นๆ มาด้วย เพราะทุกคนแท้ๆ เลย ขอบใจนะ”

“ทำไมคิดจะลาออกจากทีมล่ะ ประท้วงว่าจะลาออกเพราะฉันเหรอ”

“ฉันตั้งใจทำตามคำพูดของคิมมูคยอมคนเก่งนะ แล้วนายยังไม่พอใจอะไรอีก? โอเค คิดดูแล้ว ไอ้ฉันที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปดูเหมือนว่าไม่จำเป็นจะต้องลาออกจากงานเพราะมัวแต่ทำตามคำขอของนายที่เป็นถึงคนดังระดับโลก ก็เลยรับใบลาออกกลับคืนมาน่ะ จะไม่มีเรื่องที่ทำให้นายไม่สบายใจแล้ว ทีนี้พอแล้วใช่ไหม”

“พอได้แล้ว ฉันไม่ได้เรียกมาคุยเรื่องพวกนี้”

หาเรื่องคนอื่นเขาตามอำเภอใจแล้วยังจะเป็นฝ่ายตัดบทก่อนอีก มูคยอมกำลังทอดสายตามองฮาจุนโดยจงใจทำสีหน้าจริงจัง

‘ตั้งใจจะพูดเรื่องน่ารังเกียจอะไรอีกนะ’ ฮาจุนเตรียมใจแล้วรอคอยคำพูดถัดไปของอีกฝ่าย

“ฉัน…”

“…”

“ขอโทษ”

จากนั้น คำพูดที่โพล่งออกมาปนกับเสียงถอนหายใจก็ทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ทว่าในคำขอโทษกลับไม่มีคำที่บ่งบอกว่าหมายถึงเรื่องอะไร ฮาจุนจึงถามให้แน่ใจก่อนจะเดาสุ่มความหมายของมัน

“เรื่องอะไร”

“คำที่ฉันพูดกับนายที่บ้านฉันครั้งก่อน คำที่ฉันเคยพูดกับนายก่อนหน้านั้น รวมถึงการกระทำด้วย ทุกอย่างเลย ฉันเข้าใจผิดไป แล้วก็พล่ามไปเรื่อยทั้งที่คิดไปเอง แถมยังดื้อด้านอีก ฉันผิดเอง”

ช่วงเวลาอันไม่คาดฝันโถมเข้าใส่อย่างกะทันหันทำให้ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ

คิมมูคยอมเป็นคนที่เลือกใช้คำพูดได้ร้ายกาจและเอาแต่ใจ แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่ใช่คนใจแคบกับการสำนึกผิดและการกล่าวขอโทษ มูคยอมน่าจะขึ้นมาถึงตรงนี้ได้เพราะเป็นคนแบบนั้น แต่ครั้งนี้ฮาจุนไม่คิดเลยว่ามูคยอมจะยอมอ่อนให้ เพราะเขาเองก็ถากถางอีกฝ่ายไปด้วยเหมือนกัน

มูคยอมเคยสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของเขาและแชฮุนตอนไปสนามฝึกซ้อมนอกสถานที่มาแล้ว ครั้งนี้คือครั้งที่สอง เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ตกใจกับเรื่องนั้น แต่อีกฝ่ายก็ข้ามเส้นมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง แต่แชฮุน และแฟนคลับรุ่นเก่าที่ยังสนับสนุนเขาจนเขารู้สึกซาบซึ้ง รวมถึงกลุ่มโค้ชกับนักกีฬาในทีมซิตี้โซล ก็โดนเหมารวมเข้าไปในการระบายความโมโหของอีกฝ่าย มูคยอมด่าทอเขา อย่างกับเขาเป็นมนุษย์ที่สานสัมพันธ์อันไม่บริสุทธิ์ใจกับสมาชิกในทีมเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งโค้ช

ต่อให้บอกว่าฮาจุนหลับนอนกับคนอื่นโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นนักกีฬาหรือโค้ชจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอดทนฟังคำดูแคลนพวกนั้น เพราะคิมมูคยอมกับเขาเพียงแค่มีความสัมพันธ์แบบตกลงปลงใจกันว่าจะใช้เวลาตอนกลางคืนร่วมกัน อีกฝ่ายจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธเรื่องชีวิตส่วนตัวของเขา

แก้วที่แตกไปแล้ว ประกอบกลับคืนยังไงก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว และความรู้สึกที่เสียไปก็ไม่อาจกู้คืนมาด้วยคำขอโทษเพียงไม่กี่คำ ถึงอย่างนั้น รับคำขอโทษไว้คงจะดีกว่าไม่รับ ฮาจุนจึงตอบกลับอย่างสงบนิ่ง

“ไม่เป็นไร”

เพราะชอบมานาน ความรู้สึกที่สงบเงียบและมหาศาลจนยากจะบรรยายออกมาด้วยคำเพียงคำสองคำอย่างเช่นผิดหวังหรือเงียบเหงา จึงกลืนกินตัวฮาจุนเอาไว้ ถ้าให้หาคำที่เหมาะสมจริงๆ ก็น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าว่างเปล่าที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกของเขาที่มีให้คิมมูคยอมมันเกินกว่าความรักใสซื่อบริสุทธิ์ มันเป็นความรู้สึกซับซ้อนที่เชื่อมโยงกับหัวใจของวายร้ายที่ปรารถนาความเป็นอัจฉริยะ

เหตุผลที่ถึงกับดึงดันเรียกมาขอโทษ ก็เพื่อยกเลิกคำพูดที่บอกว่า ‘อย่ามาป้วนเปี้ยน’ ซึ่งอีกฝ่ายเคยพูดทำร้ายจิตใจเขาหรือเปล่า แต่ฮาจุนไม่ต้องการอยู่ข้างกายมูคยอมไปมากกว่านี้แล้ว

ถึงแม้จะมีบ้างเป็นบางครั้งที่ความรักข้างเดียวของเขาช่างเลือนรางและน่าเศร้าหมอง แต่เขาก็ไม่รู้สึกลำบาก สำหรับฮาจุนผู้แอบรักข้างเดียวมาเป็นสิบปี การรักษาตำแหน่งข้างกายของคนที่ตัวเองชอบไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองกำลังตัวเองเกินกว่าที่เตรียมใจไว้ในตอนแรก ตอนนี้เขาไม่ปรารถนามันและอยากกลับไปในที่ที่ตัวเองควรอยู่

ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้รับหลายสิ่งหลายอย่างมาในช่วงที่อยู่ข้างกายและใช้เวลายามค่ำคืนกับอีกฝ่าย ฮาจุนปล่อยความโกรธกับความเศร้าโศก และกำลังพยายามรวบรวมเพียงความทรงจำที่ดีมาเก็บรักษาไว้ เหมือนเก็บเปลือกหอยที่ถูกซัดสาดมาตามชายหาดหลังพายุพัดผ่านไป

“ขอบใจที่มาขอโทษนะ ฉันจะรับไว้ แต่จากนี้ไปก็เลี่ยงไม่ให้มีเรื่องที่จะทำให้ไม่สบายใจกันทั้งสองฝ่ายดีกว่า ตอนนี้เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือนแล้วจนกว่าจะจบฤดูกาล ที่ผ่านมาการทำตัวสบายๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นนี่”

“…”

“ฉันจะคิดว่านายพูดเรื่องพวกนั้นเพราะไม่พอใจก็เลยโกรธแล้วกัน ฉันก็จะลืมเรื่องที่นายพูดตอนนั้นไปซะ เพราะฉะนั้นนายเองก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลย แล้วจากนี้ไปก็เจอกันแค่ที่สนามฝึก ในฐานะนักกีฬากับโค้ชทีมเดียวกันจริงๆ เถอะ”

เมื่อฮาจุนรับคำขอโทษอันไม่คาดคิดแล้วจบเรื่องโดยไม่เหลืออะไรติดค้าง ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกสิ้นสุดซึ่งบ่งบอกว่า ‘จบ’ จริงๆ แล้วจึงทำให้รู้สึกทั้งดีและใจหาย ฮาจุนสะสางบทสนทนาเรียบร้อยแล้วจึงขยับมือส่งสัญญาณบอกให้มูคยอมหลบไป

แต่มูคยอมกลับไม่กระดิกตัวเลยแม้แต่น้อยและยืนอยู่ราวกับยามเฝ้าประตู ฮาจุนเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยพลางเร่งอีกฝ่าย

“ออกไปกันเถอะ ตอนนี้ใกล้จะเริ่มฝึกแล้ว”

คนใจร้อนดูเหมือนจะมีแค่ฮาจุนเพียงคนเดียว มูคยอมตอบกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกไม่ต่างกับตอนแรก

“แค่นั้นเหรอ”

“อะไร”

“ฉันบอกว่าขอโทษไง แล้วจบแค่นั้นเหรอ”

“…ถ้างั้นต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ”

มูคยอมมองฮาจุนซึ่งทำสีหน้างงงวยขึ้นมาแล้วเอียงหัวไปด้านข้างเล็กน้อย

“เรื่องนั้นน่ะ บอกว่าจะลืมไม่ได้สิ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ถ้านายตัดสินใจว่าจะลืมมันไปจริงๆ… นายก็กลับไปเป็นแบบตอนก่อนที่จะมีเรื่องแบบนั้นได้ด้วยไม่ใช่เหรอ”

หัวคิ้วของฮาจุนย่นเข้าหากันเล็กน้อย

“ก่อนที่จะมีเหรอ”

“ฉันจะไม่เข้าใจผิดแบบนั้นอีกแล้ว จะไม่เข้าไปยุ่งโดยไม่จำเป็นด้วย ฉันจะแก้ไขทุกอย่างเอง เพราะฉะนั้นกลับไปเป็นแบบเดิมกันเถอะ”

“…ฉันกับนาย เดิมทีเป็นโค้ชกับนักกีฬานี่ นั่นน่ะคือ ‘แบบเดิม’ ของเรา”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ นายก็เข้าใจที่ฉันพูดไม่ใช่เหรอ”

“เฮ้อ” ฮาจุนถอนหายใจด้วยความทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วยกสองมือขึ้นลูบใบหน้าแรงๆ ราวกับล้างหน้าแบบไม่ใช้น้ำ เขาลูบขึ้นไปถึงเส้นผม หลังจากนั้นก็ประสานมือไว้หลวมๆ ตรงท้ายทอย จิตใจที่สงบลงได้อย่างยากลำบากหลังจากผ่านมาหลายวันมีความระส่ำระส่ายก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

เขาไม่อยากพูดคุยอยู่ที่นี่ต่อไปมากกว่านี้ แต่มูคยอมกลับเริ่มพูดเพิ่มเติมยาวกว่าครั้งอื่นๆ

“จะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกครั้งแล้ว เรื่องที่ฉันเข้าใจผิดแล้วพูดจาดูถูกนายตามใจชอบ ฉันขอโทษจากใจจริง ที่ฉันเคยบอกว่านาย… ช่วยสนองให้พวกนักกีฬาพร้อมกับทำงานเป็นโค้ช ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ ฉันเอาชนะความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ก็เลยพูดไม่คิดจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษนะ”

“หรือว่าตอนนี้นาย กำลังหมายถึงว่านายไถ่โทษฉัน เพราะฉะนั้นก็ให้กลับไปเป็นคู่นอนกันอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ”

ไม่มีคำตอบย้อนกลับมาจากมูคยอม ฮาจุนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะความเงียบที่ตีความได้ว่าอีกฝ่ายยอมรับ จากนั้นไม่นาน ฮาจุนก็กัดเนื้อด้านในปาก

‘ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กับฉันนะ’

ฮาจุนอดกลั้นความอยากกระชากปกเสื้ออีกคนมาซักถามเรื่องนั้นไว้อย่างยากเย็น เขากดโทสะที่ตีตื้นขึ้นเพื่อไม่ให้มีความเดือดดาลปนอยู่ในน้ำเสียงพลางฝืนยิ้ม

“ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ”

“ก่อนจะเกิดเรื่องนั้น ความสัมพันธ์ของฉันกับนายก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยนี่ ถ้าลืมเรื่องนั้นแล้วปล่อยผ่านไป จะมีเหตุผลอะไรที่กลับไปเป็นแบบก่อนหน้านั้นไม่ได้อีก”

“การลืมและปล่อยผ่านไปหมายความว่าอย่ายกเรื่องนั้นมาพูดกันอีก ฉันใช้ชีวิตเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นจริงไม่ได้หรอกนะ เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว และคำพูดของนายก็ไม่ได้หายไปไหน”

การเริ่มต้นกับมูคยอมกลายเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง เขาตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ก่อนหน้านี้ที่สนามฝึกนอกสถานที่ การแกล้งทำตัวเหมือนมีความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนอยู่บ่อยๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนเป็นภาระ ทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่ชื่อว่าอีฮาจุนฝังลึกแบบนั้นในสายตาของคิมมูคยอม

ถึงแม้ว่าในสายตาอีกฝ่ายจะสะท้อนภาพว่าเขาเป็นคนที่หลับนอนกับนักกีฬาคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน ทว่าฮาจุนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่การต่อว่าคนอื่นโดยอ้างว่าเข้าใจเรื่องนั้นผิดมันอีกปัญหาหนึ่งไม่ใช่เหรอ

‘ถึงอย่างนั้นก็มาจนตอนนี้แล้ว จะร้องไห้อ้อนวอนบอกความจริงกับคิมมูคยอมว่านายเป็นคนแรกของฉัน ในชีวิตของฉันมีแค่นายอีกเหรอ ทำไมล่ะ ป่านนี้แล้วยังจำเป็นต้องพูดเรื่องแบบนั้นด้วยหรือไงกัน เขาไม่ใช่คนผิดที่ต้องยืนยันความบริสุทธิ์สักหน่อย และเขาไม่คิดอยากทำตัวขี้ขลาดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้าแสดงหลักฐานต่อหน้าชายหนุ่มที่บอกขอโทษ จากนั้นก็บอกให้กลับไปเป็นคู่นอนกัน แล้วอีกฝ่ายจะทำอะไรอีกล่ะ’

“ไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว ฉันจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ การที่ฉันกับนายอยู่กันแค่สองคนแบบนี้ในตอนนี้ก็ทำให้ฉันอึดอัดใจแล้ว”

“…”

“กับคนที่แค่อยู่ด้วยกันก็ไม่สะดวกใจ แล้วจะทำเรื่องที่มากกว่านั้นด้วยวิธีไหนได้ ไม่ว่านายจะยังก็เถอะ แต่ฉันไม่เอาด้วย แล้วฉันก็ไม่อยากให้นายยกมาพูดกับฉันอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ไม่เอาเหรอ”

“ใช่ ไม่เอา”

ฮาจุนปฏิเสธอย่างเฉียบขาดแล้วเดินไปทางประตู แต่มูคยอมก็ไม่คิดจะเบี่ยงตัวหลบ

“หลบไป ฉันจะออก”

“…ลองคิดดูอีกทีสิ โค้ชอี ฉันจะทำให้นายไม่รู้สึกเสียดายจริงๆ ที่ผ่านมานายก็รู้สึกไม่แย่นี่”

“ใช่ มันไม่แย่ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกอยากมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับนาย”

“เฮ้อ” มูคยอมยกหัวที่พิงประตูขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาสั้นๆ

“เข้าใจแล้ว แค่ขอโทษมันไม่พอสินะ ถ้างั้นต้องทำยังไง นายถึงจะอยากขึ้นมาอีกครั้งล่ะ”

‘ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่น่าจะอยากขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ทำไมถึงทำตัวตื๊อไม่หยุดแบบนี้อย่างไม่สมกับเป็นคิมมูคยอมเลยนะ’

“ถ้ามีเรื่องที่นายต้องการ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ขอแค่บอกมา จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เคยทำอะไรให้นายเลยใช่ไหมล่ะ เรื่องนั้นฉันก็พลาดเอง นายน่าจะมีหลายเรื่องที่ต้องใช้เงินเยอะเพราะครอบครัว ถ้าต้องการ ในส่วนนั้นฉันก็ช่วยได้นะ จะมากเท่าไรก็ได้”

‘เงินอย่างนั้นเหรอ’ ยิ่งพูดยาวไปก็ยิ่งไม่น่าฟัง ริมฝีปากของฮาจุนโค้งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

คิดซะว่าเป็นเรื่องดีแล้วกัน พูดเรื่องที่จะได้ฟังในวันแรกและจะไม่ได้ฟังอีกออกมาให้หมด และถ้าฟังคำพูดพวกนั้นทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป คิมมูคยอมก็น่าจะปิดปากเงียบใช่ไหม

เขาไม่เคยจินตนาการเลยว่าวันที่เขาจะเป็นฝ่ายปฏิเสธคิมมูคยอมก่อนจะมาถึง เรื่องของคนเราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้แม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ เป็นแบบนั้นเสมอเลย

“ถ้านอนเพราะต้องการให้ช่วยก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“…”

“คิมมูคยอม ฉันบอกเอาไว้นะ ตอนนี้ฉันจะไม่นอนกับนายแล้ว ไม่ว่านายจะทำอะไรยังไงก็ตาม จะไม่มีเรื่องที่ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด”

มูคยอมไม่ตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง เขากดใบหน้าที่เคยเงยขึ้นเล็กน้อยลงมาให้มันตั้งตรงอย่างช้าๆ

“ถ้างั้นจะให้ทำยังไง”

ฮาจุนเบิกตากว้างให้กับน้ำเสียงอารมณ์เสียอย่างฉับพลัน บรรยากาศอ่อนแรงและเหนื่อยล้าที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของมูคยอมจนถึงเมื่อครู่นี้ เลือนหายไปโดยไม่ทั้นตั้งตัว ฮาจุนตัวแข็งทื่อไปโดยไม่รู้ตัวเพราะใบหน้าบึ้งตึงราวกับเจ็บปวด และแววตาที่เหมือนกับสัตว์ไร้ทางสู้

‘หมับ’ มือใหญ่คว้าลำคอด้านหลังแล้วดึงเข้าหาราวกับกระชาก ฮาจุนตกใจและตั้งใจจะสะบัดออก แต่มืออีกข้างของอีกฝ่ายกลับเกี่ยวเอวเขาดึงเข้าไป ทำให้ร่างกายใกล้ชิดจนแทบแนบสนิทกับตัวมูคยอม ฮาจุนยกมือขึ้นดันแผ่นอกของอีกคนออกพร้อมทั้งพยายามไม่ให้พูดเสียงดัง

“ปล่อย ถอยไปตรงโน้นเลย”

“ช่วงที่นายไม่อยู่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย นอนก็ไม่หลับ น้ำยังกลืนไม่ลงเท่าที่ควร อีกแค่ไม่กี่วันก็ถึงการแข่งแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ถ้าไม่ใช่นายก็คงมีสภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงเล่า!”

“เรื่องนั้นทำไมเป็นเพราะฉันล่ะ นายมีความสามารถดีนี่ คนที่อยากนอนกับนาย ปกติต่อแถวเรียงกันมาเลยไม่ใช่หรือไง เลือกสักคนจากพวกนั้นสิ เพราะตอนนี้ฉันไม่เอาแล้ว”

“หยุดพูดว่าไม่เอาสักที”

เสียงอันกลัดกลุ้มดังออกมาจากส่วนลึกในลำคอของมูคยอม ฮาจุนออกแรงใช้แขนผลักอีกฝ่ายออกไป

“บอกว่าให้ถอยไปไง”

“ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จะไม่ทำอะไรเลย”

‘ถ้าที่ทำอยู่นี่คือไม่ทำอะไรเลย แล้วจะเรียกมันว่าอะไรเล่า เจ้าโง่!’

“เพราะฉะนั้นอยู่นิ่งๆ แค่แป๊บเดียวนะ”

ฮาจุนอยากตะโกนเสียงดังออกมาว่าให้ถอยไป แต่น้ำเสียงที่ฟังดูจนตรอกทำให้ฮาจุนกัดริมฝีปากแล้วทำเพียงเขม้นมองมูคยอมเท่านั้น

คงคิดว่าความเงียบคือการให้ความร่วมมือแบบไม่ได้พูดออกมา มูคยอมจึงฝังใบหน้าลงตรงลำคอของฮาจุนช้าๆ หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อปลายจมูกและริมฝีปากร้อนแห้งราวกับใบไม้แห้งเมื่อเทียบกับตอนปกติ สัมผัสลงบนผิว หลังของฮาจุนก็ขนลุกเกรียว

ในระหว่างที่กำหมัดแน่นและอดทน มูคยอมก็ไม่ได้ทำอะไรเขามากไปกว่านั้นตามที่พูดไว้ เพียงแค่แนบจมูกกับริมฝีปากลงตรงลำคอของฮาจุน แล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เหมือนกำลังดมกลิ่นเท่านั้น

ทว่าทุกครั้งที่ลมหายใจร้อนรุ่มของอีกฝ่ายสัมผัสลงบนผิวอ่อนใต้คางจนรู้สึกจั๊กจี้ ภาพด้านหน้าก็พร่ามัว และลำตัวที่ถูกกักขังไว้ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ทำท่าจะสั่น จิตใจของฮาจุนแยกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งรู้สึกโกรธและรู้สึกเหลวไหลกับข้อเสนอที่ไม่อยากจะเชื่อนั้น ส่วนอีกฝั่งหนึ่งกลับรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของตัวเขาเองซึ่งจมอยู่ในลมหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และเรี่ยวแรงของแขนแข็งแกร่งที่ร่างกายของตนคุ้นเคย พร้อมทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้กลับไปยังสถานที่ที่ควรต้องกลับไปหาอย่างแจ่มชัด ฮาจุนกัดฟันแน่นในปาก

ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งในตอนเช้ากลับค่อยๆ มืดครึ้มลงเป็นสีเทาตั้งแต่บ่าย และเมื่อใกล้จะถึงตอนที่การฝึกเช้าเสร็จสิ้น จู่ๆ สายฝนก็สาดกระหน่ำ การฝึกเสร็จสิ้นลงเร็วกว่าปกติประมาณสิบนาทีเพราะฝนที่เทลงมาอย่างกะทันหัน พวกนักกีฬามุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์อย่างไม่รีบร้อน เพราะอย่างไรตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกันอยู่แล้ว

ภายในหัวของมูคยอมสับสนวุ่นวายมาตั้งแต่เช้า อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนจับไข้ขึ้นทีละนิด เขารู้สึกอยากตากฝนให้ชุ่มฉ่ำขึ้นมาจึงไม่เข้าร่มในทันที แล้วเดินเตร่ไปมาอย่างเปล่าประโยชน์บนสนามหญ้าเปียกแฉะที่เป็นสีเขียวเข้ม จากนั้นก็เตะลูกฟุตบอลที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นเพราะยังไม่ได้เก็บเข้าที่อย่างแรง ลูกบอลเหนือพื้นหญ้าเปียกลอยไปตกลงในโกลอย่างหนักอึ้ง

มูคยอมมองลูกบอลที่หยุดนิ่งอยู่ไกลๆ แล้วหมุนตัวไปเพราะรู้สึกว่าจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เขากำลังจะเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ แต่แล้วจู่ๆ ทางเดินที่เชื่อมต่อตัวตึกไปยังลานจอดรถก็เข้ามาสู่สายตา สายฝนสีขาวมัวสาดกระหน่ำบดบังภาพด้านหน้าราวกับผ้าใบกึ่งโปร่งแสง ทำให้รู้สึกราวกับมองเห็นภาพของชายหนุ่มที่เคยยืนอยู่ตรงทางเดินนั้น ปรากฏให้เห็นตรงหน้าในตอนนี้

วิธีการพูดซึ่งเริ่มต้นราวกับลังเลแต่ตอนสุดท้ายกลับหนักแน่น และน้ำเสียงที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ลอยคว้างขึ้นมาราวกับน้ำมันที่แยกตัวออกจากน้ำ

‘ฉันส่งบอลให้ไหม’

มูคยอมกัดฟันแน่น รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ถูกดูดเข้าไปในขอบเขตที่ไม่สามารถต้านทานได้ทีละนิด ราวกับน้ำที่ไหลทะลักลงไปในท่อระบาย ต่อให้บอกว่าฮาจุนจะกลับมาในอีกสิบวัน แต่เขาจะพึงพอใจกับการมองดูอยู่ไกลๆ พร้อมกับจัดการความรู้สึกตามที่วางแผนไว้ได้จริงเหรอ

ระยะเวลาสองสัปดาห์เมื่อตอนออกทัวร์กับสิบวันในตอนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นคือช่วงสองสัปดาห์ก่อนที่อีฮาจุนจะบอกชอบเขา เป็นสองสัปดาห์ที่มูคยอมอดกลั้นพร้อมกับคิดว่าจะไปกอดอีกฝ่ายทันทีที่กลับไป เป็นสองสัปดาห์ที่เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฮาจุนยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก

อิมจองคยูเคยตั้งใจจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับฮาจุนให้ฟังแล้ว ทว่ามูคยอมไม่อยากฟังเรื่องน่าเวทนาในตอนนั้นจึงลุกออกจากที่ไป

เขายอมรับ ว่าตนเองจงใจหลีกเลี่ยงการรับรู้เรื่องของอีฮาจุน เพราะรู้สึกว่าถ้ายิ่งรู้มากก็ยิ่งผจญอยู่กับสภาวะอารมณ์ที่ไม่ดี

พอได้ทอดสายตามองที่ว่างเปล่าของอีกฝ่าย ที่ไหนสักที่ในร่างกายก็เกิดรอยโหว่ขนาดเท่าตัวอีฮาจุน โดยไม่รู้ว่าเป็นในหัวหรือในหัวใจ เมื่อเกิดความวูบโหวงขึ้นอย่างฉับพลันในจุดที่มองไม่เห็น ประสาทสัมผัสก็สูญเสียความสมดุลพาลทำให้ตัวซวนเซ อาการวิงเวียนศีรษะราวกับเมาเรือก่อตัวขึ้นและทำให้ท้องไส้รู้สึกพะอืดพะอม

‘เป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ อาการค่อยๆ แย่ลง หากเป็นแบบนี้คงไม่สามารถรักษาสภาพร่างกายของตัวเองให้คงที่ไว้ได้แน่

ถ้าอย่างนั้นจะต้องทำยังไงล่ะ

ทำยังไงถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทั้งตัวเขาและอีฮาจุน’

ถึงแม้ว่าจะลองหว่านแหไปหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้มีเพียงคลื่นน้ำว่างเปล่ากระเพื่อมอยู่เหนือผิวน้ำ เฉกเช่นเดียวกับคำตอบที่ไม่ได้รับกลับมา

***

ชายหนุ่มเอาสมุดกับปากกาออกมาจากกระเป๋า เขาคล้องนกหวีดไว้ที่คอแล้วย่างเท้าออกไปหลังสูดหายใจเข้าลึก เขาเดินมุ่งไปทางประตูแล้วมองดูใบหน้าที่สะท้อนกับกระจกติดผนังแวบหนึ่ง ใบหน้าที่สะท้อนให้เห็นจากด้านตรงข้าม ตอนนี้ดูเข้มแข็งกว่าที่คิด แต่ก็ยังอยากลบจุดบกพร่องสุดท้ายทิ้งไปให้หมด

เขาปรับสีหน้าแล้วเปิดประตูออฟฟิศออกกว้าง จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินอย่างไม่ลังเล ชายหนุ่มเปิดประตูตึกแล้วก้าวออกไปด้านนอก แสงแดดสว่างจ้าสาดส่องเข้ามาต้อนรับเขาราวกับทักทาย

“อ๊ะ โค้ช!”

ทันทีที่เปิดประตูออก นักกีฬาที่ผ่านมาแถวนั้นก็เรียกเขาพอดี

“สวัสดี ฝึกกันโอเคดีหรือเปล่า”

“ครับ แน่นอนสิครับ โค้ชไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ”

“อื้อ หยุดพักไปนิดหน่อยเพราะเรื่องที่บ้านน่ะ”

ฮาจุนตอบแบบรวบรัดพร้อมกับเดินไปตรงกลางสนามฝึก พวกนักกีฬาที่เห็นเขาต่างกล่าวทักทายอย่างไม่เก็บอาการ

ฮาจุนขบคิดเรื่องต่างๆ อย่างหนักในช่วงพักร้อนที่ได้รับมาโดยไม่คาดคิด และบทสรุปคือเขาตัดสินใจจะผัดผ่อนเรื่องย้ายทีมออกไปก่อน

หลังจากได้ฟังคำพูดดูแคลนจากมูคยอมและจบความสัมพันธ์กัน ความรู้สึกต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามา จึงตัดสินใจว่าจะไปจากที่นี่ และยื่นหนังสือลาออก ก่อนที่ความรู้สึกมุ่งมั่นจะลดน้อยลง แต่หลังจากที่หนังสือลาออกถูกตีกลับ พอฮาจุนค่อยๆ กลับมาใจเย็นลงอีกครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องจากที่นี่ไปด้วย เลยให้เหตุผลกับตัวเองว่าถือว่าไปเที่ยวกับครอบครัว ไปที่ที่มีวิวชายหาดและรสชาติหวานซาบซ่านของพิน่าโคลาดาแทน มีคำพูดที่ว่า ‘หากพระไม่ชอบวัด พระก็ต้องออกไป’ เพราะอย่างนั้นถ้าหากว่าฝ่ายหนึ่งต้องจากไป ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ไม่อยากจะเห็นขี้หน้าเขาจนทนไม่ไหวเป็นฝ่ายจากไปสิถึงจะถูก

บ่าของมูคยอมแบกภาระค่ามัดจำก้อนใหญ่และความคาดหวังของผู้คนมากมายเอาไว้ จึงน่าจะไม่สามารถเปลี่ยนสังกัดได้ง่ายดายขนาดนั้น แต่คนธรรมดาสามัญอย่างเขาซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าทำเรื่องผิดศีลธรรมและถึงกับต้องฟังคำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง จำเป็นจะต้องเห็นใจในความยุ่งยากที่จะตามมาเป็นลำดับของคนดังระดับโลกด้วยเหรอ

สำหรับฮาจุนซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ในฐานะโค้ชยาวนานขนาดนั้น ซิตี้โซลเป็นที่ทำงานชั้นดีจนไม่สามารถหาทีมที่ดีไปกว่านี้ได้ อาจจะมีทีมที่เหมาะกับนิสัยและสถานการณ์มากกว่านี้ แต่หากมองดูโดยปราศจากความรู้สึกส่วนตัวและเอาคุณลักษณะของอีฮาจุนในปัจจุบันเป็นพื้นฐาน อย่างน้อยจะบอกว่าไม่มีทีมไหนในประเทศที่พอจะประดับประดาเส้นทางสายอาชีพโค้ชได้เกินกว่านี้ก็ย่อมได้ ในมุมมองของคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ยังไม่ถึงหนึ่งปีดี การลาออกจากงานไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดสักเท่าไร อีกอย่าง ถ้าลาออกจากงาน คนที่เดือนร้อนไม่ใช่มูคยอม แต่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเข้าวงการมาใหม่ๆ แบบอีฮาจุนต่างหาก

‘เรื่อง’ไรล่ะ’

ถ้าให้พูดย่อๆ ก็สรุปได้ในสามพยางค์ตามนั้น ฮาจุนตัดสินใจด้วยความรู้สึกใกล้เคียงกับคำว่าไม่ยุติธรรมนิดหน่อย แล้วกลับมาในตำแหน่งโค้ชของซิตี้โซล

แน่นอนว่าคงจะลำบากเล็กน้อยหากได้เผชิญหน้ากับมูคยอม แต่ฮาจุนก็คิดจะรับฟังคำขอสุดท้ายของอีกฝ่ายอย่างจริงใจ คำขอที่ว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ อีก เขาไม่ได้ร่วมการโค้ชมูคยอมด้วยตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเลี่ยงที่จะเจอกันอย่างเหมาะสมและรักษามารยาทขั้นต่ำที่สุดเอาไว้ ช่วงเวลาประมาณสองเดือนที่เหลือจากนี้ไปก็น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่นัก

เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาจึงวางแผนว่าจะไม่ใช้วันหยุดสิบวันทั้งหมดที่ถูกมอบให้ แล้วกลับมาทำงานเร็วขึ้น เพราะไม่มีเหตุผลให้ดึงดันหยุดพักต่อไป หลังจากเรียบเรียงความคิดในระหว่างไปเที่ยวสี่วันสามคืนกับครอบครัวซึ่งไม่ได้ไปมานานแล้ว ฮาจุนก็กลับมาหาทีมในเวลาห้าวัน

“ฮาจุน มาแล้วเหรอ”

จองคยู กัปตันทีมและผู้รักษาประตูเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้ายินดี ดวงตาของจองคยูอันแน่นไปด้วยเรื่องที่อยากถาม แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ออกมาเป็นพิเศษ ฮาจุนหัวเราะออกมาเพราะเห็นกับตาอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายอดทนไม่ถามแม้จะอยากรู้อยากเห็นมากก็ตาม

“ใช่ สบายดีไหม”

“นายน่ะ ตัดสินใจว่าจะไม่เปลี่ยนทีมใช่ไหม?”

แน่นอนว่านักกีฬาคนอื่นนอกเหนือจากจองคยูไม่รู้เรื่องที่ฮาจุนตั้งใจจะลาออกเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนยิ้มพลางพยักหน้า

“พอดีว่ามีเรื่องจะต้องไตร่ตรองดูสักหน่อยน่ะ แต่ตอนนี้จัดการเรียบร้อย ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวหลังจากที่ไม่ได้ไปมานานด้วย”

“นานๆ ครั้งได้รับวันหยุดพักร้อนก็ต้องไปที่ดีๆ คนเดียวสิ ทำไมยังตัวติดกับครอบครัวอยู่อีกล่ะ”

“ไม่หรอก ฉันอยากทำแบบนั้นด้วยแหละ”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครอบครัวคือสถานที่หลบภัยลำดับหนึ่งซึ่งเขาไปหาในเวลาทุกข์ยาก ฮาจุนเคยเหนื่อยมามากเพราะภาระนั้น แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่คงจะทนไม่ไหวหากไม่มีพวกเขาเหมือนกัน

น้องๆ ในวัยมัธยมหกน่าจะไม่ชอบใจข้อเสนอให้ไปเที่ยวกันอย่างกะทันหันสักเท่าไร แต่ทั้งสองกลับเออออตามอย่างดีอกดีใจ ช่วงเวลาที่ได้ยืนยันความสำคัญของกันและกัน นานๆ ครั้งก็มีส่วนช่วยในตอนที่เขาเกือบจะจิตใจห่อเหี่ยวอย่างหนักได้มากทีเดียว ‘ฉันเองก็เป็นลูกชายและพี่ชายที่น่าภาคภูมิใจของที่บ้านเหมือนกัน’ ในเวลานั้น ความคิดอวดเก่งแบบนั้นก็โอบล้อมหัวใจของเขาไว้ราวกับผ้าพันแผล

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะให้กำลังใจตัวเองในใจ แต่ดวงตากลับสอดส่องหาคนคนหนึ่งบนสนามหญ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต้องรู้ว่ามูคยอมอยู่ไหน เขาถึงจะหลบได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าอีกฝ่ายอยู่ก็จะเห็นได้อย่างโดดเด่นในทันทีแม้ไม่อยากเห็นก็ตาม แต่เมื่อไม่เห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้น ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าโดยอัตโนมัติ แล้วจองคยูก็อธิบายก่อนที่เขาจะถามออกมาเสียอีก

“ช่วงนี้คิมมูคยอมอาการไม่ดีก็เลยให้ออกมาสายหน่อยน่ะ ผู้จัดการทีมสั่งว่าแบบนั้น”

“อะไรนะ ทำไมล่ะ ป่วยตรงไหนหรือเปล่า”

คำถามรัวออกมาโดยอัตโนมัติ จองคยูส่ายหน้าราวกับลำบากใจ

“ฉันก็เป็นห่วงเลยไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยกัน แต่หมอบอกว่าไม่มีความผิดปกติอะไร”

“โรงพยาบาลเหรอ อาการไม่ดีมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อย่างแรกเลยก็คือกินอาหารอย่างเหมาะสมไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นหมอนั่นกินข้าวไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ เรื่องนอนหลับน่ะ หมอจ่ายยาให้แล้วเลยหมดห่วงไปได้เปลาะหนึ่ง แต่เรื่องกินไม่ได้นี่มันทำอะไรไม่ได้เลยไง ฉีดยาก็แล้ว ตอนนี้ก็แบ่งกินทีละนิดอยู่ แต่ถ้าจะให้คนตัวเท่านั้นทนไหว ทำแค่นั้นมันช่วยไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ”

“หมายความว่ายังไง ถ้านอนไม่หลับ กินไม่ได้ จะออกกำลังกายได้ยังไงเล่า”

“มีอีกนะ ไข้ขึ้นอยู่ตลอด ไม่ได้ขึ้นสูงแต่ก็เป็นไข้อ่อนๆ ติดต่อกัน เพราะอย่างนั้นก็เลยออกแรงไม่ไหว”

“ไม่ได้เป็นไข้หวัดนี่?”

“ก็นั่นน่ะสิ แต่หมอบอกว่าร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่ก็นะ อาการบ้าอะไรอย่างกับตอนคุณยอนซูท้องเลย แต่ผลตรวจฮอร์โมนก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน”

ฮาจุนเฝ้ามองเขามาเป็นระยะเวลาเกือบสิบปี แต่ไม่เคยเห็นสภาพย่อยยับจนฝึกไม่ไหวทั้งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักครั้งเดียว

ฮาจุนหายไปจากหน้าตามที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะฉะนั้นในช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะวิ่งว่อนไปมาได้ยิ่งกว่าเดิมแล้วสิ แต่ทำไมกัน คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้กำแพงภายในใจที่ฮาจุนก่อไว้อย่างมั่นคงทำท่าจะสั่นคลอน

“ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาก็เพิ่งจะเห็นคิมมูคยอมเป็นแบบนั้นครั้งแรกนี่แหละ ช่วงไม่กี่วันมานี้ก็เลยฝึกซ้อมแค่ช่วงบ่าย…”

จองคยูพูดแบบนั้น แต่แล้วก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของฮาจุน จองคยูปริปากพูดขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้หันไปมอง

“คิมมูคยอม ตัดสินใจว่าจะฝึกเช้าตั้งแต่วันนี้เหรอ”

คำพูดของจองคยูทำให้ไหล่ของฮาจุนเกร็งทื่อ ยังไม่ได้ยืนยันกับตาแต่ก็รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของอีกคนซึ่งเดินเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง ความรู้สึกนั้นขยายใหญ่ขึ้นเทียมหน้าผาสูงแล้วกดทับลงมาบนตัวฮาจุนอย่างฉับพลัน

‘ทำไมฉันต้องออกไปด้วยล่ะ ถ้ามีใครสักคนต้องออกไปก็ไม่ใช่ฉันแต่เป็นคิมมูคยอมต่างหาก ฉันจะยังอยู่ในทีมนี้’

ฮาจุนรู้สึกราวกับว่า คำพูดที่เคยใช้เตือนสติและให้กำลังใจตัวเองจนถึงเมื่อวานนี้ ล้วนเป็นความอวดเก่งเพราะหลงลืมสภาพความเป็นจริงไป เขารีบปั้นยิ้มพร้อมกับจัดที่จัดทาง

“จองคยู ถ้างั้นฉันจะไปทักทายพวกโค้ชสักหน่อยนะ”

“อืม ได้สิ ไว้เจอกัน”

ฮาจุนกล่าวขอตัวอย่างรวดเร็วแล้วรีบหลบออกไปจากตรงนั้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปด้วยซ้ำ พอแยกตัวออกมาได้ไกลแล้วถึงเหลือบมองและพิจารณามูคยอมซึ่งยืนอยู่ข้างจองคยู รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปสมัยเด็กที่เข้าหาอีกฝ่ายเพราะอยากคุยด้วยเป็นครั้งแรก กลับไปตอนที่ได้ลอบสังเกตทั้งสองซึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างลับๆ

คำว่าอาการไม่ดีคงไม่ใช่เรื่องโกหก ใต้ตาทั้งสองข้างดำคล้ำและใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ฮาจุนโล่งใจเพราะบอกว่าร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ แต่บอกว่าไม่ป่วยตรงไหนแท้ๆ ทำไมสภาพถึงเป็นแบบนั้นได้

ก่อนที่จะมีเรื่องแบบนั้นกับเขา มูคยอมก็เคยออกมาฝึกโดยทำสีหน้าไม่ดี จนทำให้ทั้งทีมไม่เข้าขากันราวกับเว้นระยะห่าง จนเขาถามออกไปโดยอัตโนมัติว่าป่วยตรงไหนหรือเปล่า แม้แต่ตอนนั้น สภาพร่างกายของมูคยอมก็ยังเป็นปกติดี ทำให้ทุกคนเขาเป็นกังวลกันอย่างสุดขีดแต่แล้วก็รู้สึกเหมือนโดนหลอกเพราะเจ้าตัวทำคะแนนได้ถึงห้าประตู เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ไม่เท่าไรเอง

การตกต่ำของสภาพจิตใจ ถ้าหาสาเหตุได้ก็จะแก้ปัญหาได้ แต่การทรุดโทรมของสภาพร่างกายนั้นเป็นปัญหาที่แตกต่างออกไป ยิ่งไปกว่านั้น ถึงขนาดรับการตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้วแต่กลับบอกว่าไม่พบความผิดปกติอะไรอีก เรื่องนี้สมควรที่ต้องกังวล เพราะไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองจะเป็นอย่างไร แต่ตนเป็นโค้ชของทีมนี้ อีกทั้งเรื่องที่ว่ามูคยอมเป็นตัวทำคะแนนของทีมก็ไม่เปลี่ยนแปลง

ฮาจุนเข้าไปรวมกลุ่มพูดคุยกับพวกนักกีฬา แต่แล้วนักกีฬาคนหนึ่งก็มองไปทางด้านหลังของฮาจุนพร้อมแสดงสีหน้ายินดี

“พี่มูคยอม ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้วเหรอครับ”

‘…ถ้าบอกว่าอย่าป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ตัวเขาเองก็ต้องพยายามที่จะเลี่ยงออกไปสักหน่อยไหมนะ’

ฮาจุนถอนหายใจแล้วกล่าวขอตัวกับพวกนักกีฬาพลางเดินออกจากตรงนั้นอีกครั้ง พวกโค้ชมองฮาจุนแล้วเป็นฝ่ายยกมือขึ้นเพื่อทักทายเขาก่อน

“โค้ชอี เรื่องที่บ้านเรียบร้อยดีแล้วเหรอ”

“ครับ เพราะทุกคนเลย ขอโทษที่หยุดพักอยู่คนเดียวนะครับ ช่วงที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ”

“มีสิ สภาพร่างกายคิมมูคยอมไม่ดี ทุกคนก็เลยกังวลกันหมด”

“ผมได้ยินมาแล้วล่ะครับ จู่ๆ ร่างกายแย่ลงได้ยังไง”

“โอ๊ะ มาทางนั้นพอดีเลย”

ฮาจุนสะดุ้งโหยงแล้วเตรียมที่จะก้าวเท้าหนีอีกครั้ง ในขณะที่กำลังลังเลเพราะตอนนี้ไม่มีกลุ่มไหนให้เดินไปร่วมวงแล้ว ฮาจุนก็ได้ยินเสียงมาจากทางด้านหลัง

“โค้ชอี”

มูคยอมเรียกชื่อเขาออกมาชัดเจนมากเกินกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน อีกทั้งยังมีสายตาของคนอื่นมองมาอยู่ด้วย ฮาจุนจึงหันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเผชิญหน้ากับคิมมูคยอมแบบใกล้ๆ เป็นครั้งแรกของวัน ฮาจุนถามออกมาผ่านทางสายตาเพราะไม่สามารถพูดออกเสียงได้

‘ทำไมตามมาอยู่เรื่อยเลยล่ะ นายบอกว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ นี่?’

ทว่ามูคยอมก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งที่ไม่มีทางที่จะไม่รู้ แล้วตอบกลับมาแบบไม่สัมพันธ์กันกับสิ่งที่เขาถามไปเลย

“ผมอยากคุยด้วยสักครู่ครับ”

มูคยอมทำตัวสุภาพอ่อนน้อมเพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฮาจุนเองก็ลบเลือนสีหน้ากล่าวโทษมูคยอมแล้วตอบกลับโดยทำเป็นไม่สนใจ

“…เรื่องอะไร ถ้าเรื่องฝึกซ้อมก็คุยกันตรงนี้”

“ไม่ใช่ครับ มีเรื่องที่อยากปรึกษาโค้ชน่ะครับ”

มูคยอมส่งสัญญาณบอกให้โค้ชคนอื่นๆ รีบไปพร้อมกับทำตัวน่าหงุดหงิดอยู่เงียบๆ พวกสตาฟต่างก็รู้ดีว่าฮาจุนได้รับความนิยมสูงในหมู่นักกีฬาจึงช่วยรับฟังเรื่องต่างๆ เป็นอย่างดี ในสถานการณ์ตอนนี้ที่มูคยอมอาการย่ำแย่ หากมีเรื่องไหนที่พอจะทำให้สภาพร่างกายของมูคยอมดีขึ้นเพียงแค่น้อยนิด พวกเขาก็พร้อมจะให้การสนับสนุนและต้อนรับด้วยความยินดี

เพิ่งบอกเขาว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนไม่นานแต่จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนี่มันอะไรกันแน่ ฮาจุนรู้สึกไม่พอใจ แต่เพราะไม่สามารถยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นได้ จึงก้าวเดินไปอย่างไร้ซึ่งทางหนี

ฮาจุนเดินนำหน้ามูคยอมพร้อมกับตัดสินใจว่าจะคิดว่าเป็นแบบนี้ดีกว่า อย่างไรซะ เขาก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงเวลาที่จะอยู่ด้วยกันในทีมเดียวกันไปได้ทุกวินาทีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องทำใจให้คุ้นชินเข้าไว้ บางทีมูคยอมเองก็อาจจะอยากกะประมาณเรื่องการวางตัวหลังจากนี้ให้แน่ใจเลยมาขอเวลาที่จะคุยกันตามลำพังก็ได้

ฮาจุนกระตุกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มเพียงครู่เดียวแล้วลบเลือนมันไป เป็นรอยยิ้มแบบที่ไม่ค่อยจะได้ยิ้มสักเท่าไรนัก ลองเลียนแบบมูคยอมแล้วบอกให้อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าทันทีที่เข้าไปในไหนสักที่บ้างดีไหมนะ ในเมื่ออีกฝ่ายถากถางว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคน นอกจากเรื่องนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยอยู่แล้ว

มูคยอมออกมาตรงหน้ารูปตัวอย่างคลิปอีกครั้งด้วยด้วยจิตใจอันว้าวุ่น เพราะไม่สามารถทำความเข้าใจตัวเองที่บุ่มบ่ามเคลื่อนไหวก่อนโดยไม่มีการเตรียมตัวใดๆ จากนั้นก็ไถหน้าจอขึ้นอีก แล้วดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ตรงชื่อคลิปที่เข้ามาในสายตา

‘อีฮาจุน – คิมมูคยอม แอสซิสต์[1]อันน่าเหลือเชื่อ’

สีหน้าของมูคยอมงุนงงราวกับเห็นผีซึ่งไม่มีทางมีอยู่จริงบนโลก แต่ไม่นานก็นึกถึงเรื่องแอสซิสต์ในการแข่งเวิลด์คัพครั้งก่อนซึ่งจองคยูเคยพูดถึงสองสามครั้งขึ้นมาได้

มูคยอมจำเรื่องที่จองคยูเล่าได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่เคยลองยืนยันด้วยตัวเองเลยสักครั้งเดียว มูคยอมลังเลที่จะแตะลงไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็กดให้วิดีโอเริ่มเล่นอีกครั้ง

ฉากหนึ่งในการแข่งเวิลด์คัพเมื่อสามปีก่อน ซึ่งเขาไม่เคยอยากนึกย้อนกลับไปจึงไม่แม้แต่จะตรวจดูอย่างละเอียด ถูกฉายขึ้นเต็มหน้าจอ เป็นศึกกับอุรุกวัยซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของรอบคัดเลือก ในตอนนั้นทั้งบรรยากาศของทีม ทั้งความเห็นของมวลมหาชนเกี่ยวกับเรื่องทีมตัวแทนประเทศ ต่างก็อลหม่านวุ่นวายจนไม่สามารถแย่ไปกว่านั้นได้

ถึงอย่างนั้น เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายของรอบคัดเลือก เสียงเชียร์จึงดังกระหึ่ม และนักกีฬาเองก็ประจันกับทีมอันแข็งแกร่งแห่งทวีปอเมริกาใต้อย่างดุเดือดและจริงจังยิ่งกว่าตอนไหนๆ มูคยอมเองก็เช่นเดียวกัน ในวันนี้เขาบุกทำคะแนนได้โกลแรกแล้วแม้จะเป็นแค่ครู่เดียวก็ตามแต่เขาก็ได้ได้ลิ้มรสความหวังที่ว่าถ้าโชคดีก็อาจก้าวขึ้นไปสู่ด้านบนได้

ถึงแม้ว่าสุดท้ายการแข่งขันจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แล้วหลงเหลือไว้เพียงการแข่งขันที่ไม่อยากนึกย้อนกลับไปอีก ราวกับให้บทเรียนว่าไม่มีปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเพียงอย่างเดียว

‘ครับ เกาหลี กำลังรักษาบอลไว้ได้ดีทีเดียวครับ วันนี้สมาธิของฝ่ายป้องกันใช้ได้เลย’

รู้สึกได้ถึงความสั่นจากเสียงพากย์ที่จงใจทำเป็นสุขุมด้วยเช่นกัน เสียงกู่ร้องที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนซึ่งไม่ว่าการแข่งขันในลีกไหนก็เทียบไม่ได้ดังปกคลุมทั่วทั้งสนาม

ประ-เทศเกาหลี! ตึงๆๆๆ! ลูกบอลกลิ้งจากหน้าโกลไปทั่วทุกที่ แล้วก็ไปถึงตรงหน้าเท้าของนักกีฬาคนหนึ่ง โดยมีเสียงเพลงประกอบเป็นเสียงจังหวะของเครื่องดนตรีประเภทเคาะตี ซึ่งดังขึ้นรวมกับเสียงกู่ตะโกนของผู้คนจากอัฒจันทร์

เขาคืออีฮาจุน

ฮาจุนสวมเครื่องแบบของทีมชาติและยืนอยู่เหนือสนาม แน่นอนว่าเขามีรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์กว่าตอนนี้ เมื่อภาพของฮาจุนแสดงให้เห็นบนหน้าจอ มูคยอมก็ส่งเสียงในลำคอโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนยืนอยู่ตรงปีกข้างด้านหน้าเขตโทษ แล้วเตะลูกโด่งลอยยาวขึ้นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ส่งบอลให้ใครจากตรงนั้นอีก

เมื่อวิถีบอลไกลขึ้น มุมกล้องก็ถอยห่างออกมา แล้วหน้าจอก็ฉายให้เห็นภาพรวมทั่วทั้งสนาม ลูกบอลลอยไปไกลแล้วร่วงลงตรงปลายเท้าของคนคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางประตูของฝั่งอุรุกวัยราวกับเล็งเป้า

ตรงหน้าเท้าของคิมมูคยอมเมื่อสามปีก่อนพอดี

เป็นการส่งลูกระยะไกลแสนแม่นยำจนจะเรียกว่าเป็นบริการส่งถึงที่ก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง เหมือนคนที่รับรู้รูปแบบหรือระยะการเคลื่อนที่ของมูคยอมอย่างสมบูรณ์แบบ เกินกว่าจะบอกว่าเป็นการส่งลูกของแนวรับซ้ายหลัง ซึ่งส่งมาไม่ตรงกับเท้าของเขาอยู่หลายครั้ง

มูคยอมวิ่งพุ่งไปไม่กี่ก้าวและสลัดผู้ตั้งรับซึ่งอยู่ด้านหน้าเขาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เตะลูกบอลอย่างแรงทั้งอย่างนั้น ในสถานการณ์ที่ผู้รักษาประตูก้าวออกมาล้ำหน้ามากเกินไปพอดี อุรุกวัยไม่สามารถป้องกันได้อย่างแน่นหนาและจำต้องสละประตูให้

‘โกล—! โกลแรกครับผม โกล! โกล! โกล! ถ้าชนะในการแข่งขันนี้โดยทำคะแนนมากกว่าอีกฝ่ายได้สองประตู เกาหลีก็จะสามารถผ่านเข้ารอบสิบหกทีมได้ครับ!

ผู้พากย์ตะโกนเสียงดังจนคอแทบแตก แม้ว่าการเล่นเข้าขากันในทีมจะเละเทะไปหมดและความเห็นของมวลมหาชนจะน่าเสียวสันหลังมากแค่ไหน แต่ผู้คนที่มีชัยชนะเป็นเป้าหมายก็อารมณ์พลุ่งพล่านกันเป็นอย่างแรก พวกนักกีฬาบนสนามก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่เตะเข้าโกลไปได้ พวกเขาต่างก็ลืมเลือนความไม่ปรองดองและความขัดแย้งไปจนหมด แล้วตะโกนเสียงดังอย่างบ้าระห่ำพร้อมกับวิ่งกรูเข้าไปหาพระเอกที่ทำประตูได้ กล้องจับภาพพวกนักกีฬาเกาหลีในระยะใกล้อย่างรวดเร็ว มูคยอมสามารถยืนยันตัวนักกีฬาที่มาถึงตัวเขาเป็นคนแรกและยืนแทบชิดกันได้

เป็นเรื่องที่แน่ยิ่งกว่าแน่ คนคนนั้นคือฮาจุนผู้ทำการแอสซิสต์การยิงประตูเมื่อครู่นี้ คิมมูคยอมในตอนนี้เพียงแค่หลงอยู่ในความดีใจที่ทำประตูได้เท่านั้น เขาจำได้ว่านักกีฬาที่วิ่งมาทางเขาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนหนึ่ง เขาไม่แม้แต่จะมองดูทีละคนว่าใครเป็นใคร และไม่แม้แต่คิดที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างลึกซึ้งด้วยซ้ำ

มูคยอมคิดแค่ว่า นักกีฬาที่ยืนตัวติดเขาคือตัวเอกของการแอสซิสต์อันน่าซาบซึ้ง ซึ่งช่วยให้ตนเองยิงประตูได้เท่านั้น แต่กลับไม่สนใจเลยว่าคนคนนั้นเป็นใคร ในเวลานั้นเขาน่าจะจำพวกหมายเลขด้านหลัง ชื่อ แล้วก็ตำแหน่งสักหน่อย

ฮาจุนในฐานะนักกีฬาผู้ทำแอสซิสต์ได้ ดูเหมือนตั้งใจจะวิ่งเข้ามาหามูคยอมเพื่อแสดงความยินดี ส่วนคิมมูคยอมในหน้าจอกำลังลิ้มรสชาติแห่งความดีใจที่ยิงประตูแรกได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังหลงอยู่กับความรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น จึงดึงตัวผู้ช่วยเหลือในการยิงโกลแรกซึ่งวิ่งมาใกล้ตนเข้ามากอดอย่างไม่ได้คิดอะไร

ผู้คนมากมายทั่วทั้งประเทศน่าจะได้เห็นฉากนี้ แต่ทุกคนต่างก็คงจะไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของฮาจุน มูคยอมเอง ถ้าฮาจุนไม่เคยสารภาพรักกับเขา ถึงจะดูฉากนี้ไปก็อาจจะไม่รู้สึกถึงความเคอะเขินใดๆ และปล่อยผ่านไปเฉยๆ ก็ได้

เวลาเพียงชั่วขณะ ใบหน้าของฮาจุนปรากฏให้เห็นความลำบากใจขึ้นมาก่อน ถึงแม้ว่ามูคยอมจะเป็นฝ่ายดึงเข้ามากอดก่อน แต่ฮาจุนกลับดูเหมือนพยายามขืนร่างกายท่อนบนกับลำคอหนีราวกับจะเอาตัวไปแนบชิดกับมูคยอมไม่ได้ และพยายามที่จะเอาตัวถอยห่างให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทว่าพวกนักกีฬาต่างวิ่งกรูเข้ามาทันทีที่เขากอดฮาจุน และล้อมวงเบียดพวกเขาทั้งคู่จนซ้อนเป็นชั้นๆ พร้อมส่งเสียงโห่ร้องด้วยความเริงร่า เพราะน้ำหนักของคนพวกนั้น เขาทั้งสองจึงต้องยืนตัวแนบสนิทกันโดยอัตโนมัติ

หลังจากชั่วขณะนั้น ฮาจุนในวีดิโอก็ก้มหัวมุดหน้าลงกับไหล่ของมูคยอม และโอบแขนรอบลำคอของเขา ราวกับยอมแพ้ที่จะเกร็งคอไว้แล้ว ขนาดในหน้าจอเล็กๆ ของโทรศัพท์ มูคยอมก็ยังยืนยันได้ว่าหูขาวๆ นั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดง

“…”

คิดไปเองหรือเปล่านะ มูคยอมลากแถบเลื่อนเวลาคลิปมาด้านหน้าแล้วให้คลิปเล่นตั้งแต่ส่วนที่ฮาจุนวิ่งเข้ามาหาตนเองใหม่อีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และสี่ครั้ง

ไม่ว่าจะย้อนดูกี่รอบก็เหมือนกันหมด ฮาจุนที่โดนมูคยอมดึงเข้ามากอด ประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็ยอมแพ้การขัดขืนแสนเล็กน้อยของตัวเองคนเดียว ราวกับตะโกนอยู่ในใจว่า ‘ไม่รู้แล้วเว้ย’ พลางมุดหัวลงบนไหล่เขาพร้อมกับกอดตอบมูคยอม

หูขึ้นสีแดงจัด บางทีใบหน้าที่มองไม่เห็นอย่างชัดเจนเพราะซุกอยู่กับไหล่เขาก็น่าจะเป็นสีเดียวกันด้วย มันเป็นคลิปวิดีโอเมื่อสามปีก่อน

‘ฉันชอบนาย’

ดวงหน้าขาวที่มีหยาดน้ำเกาะราวกับหยาดน้ำค้าง เงยหน้ามองเขาพร้อมกับพูดอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้านั้นโฉบเข้ามาในการมองเห็นอย่างไม่ทันคาดคิด ตอนนั้นเขาตอบกลับไปว่าอะไรนะ

‘ร่างกายรู้สึกผูกพันขึ้นมาหรือไง’

แต่มีคำที่เขาตั้งใจจะพูดก่อนถามแบบนั้นไปอยู่อีก เรื่องที่ตั้งใจจะถามแต่ก็เก็บเอาไว้ กับคำถามนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ถึงแม้จะโหวกเหวกโวยวายอยู่ภายในใจของมูคยอมในระหว่างนั้นก็ตาม คำพูดพวกนั้นลอยละล่องเหมือนเศษฝุ่นอยู่ในจิตใจอันมึนงง

วิดีโอที่ยังไม่ได้ดูเหลืออยู่อีกยาว แต่มูคยอมกลับปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็ว คำถามหมุนวนอยู่ในหัวอย่างไร้ซึ่งการเรียงลำดับ มันรวมตัวกันเป็นก้อนก้อนเดียวแล้วถูกลากเข้าสู่ห้วงของการนอนหลับๆ ตื่นๆ ไปพร้อมกัน

ตั้งแต่เมื่อไร

ชอบฉันตรงไหน

นายพอใจกับตอนนี้จริงๆ เหรอ ไม่อยากลองร้องขออะไรมากกว่านี้อีกเหรอ

ไปลอนดอนด้วยกันกับฉันดีไหม ตัวเลือกก็กว้างกว่าที่นี่แล้วก็น่าจะดีกว่าในหลายๆ เรื่องด้วย

ตรงที่บาดเจ็บดีขึ้นแล้วใช่ไหม ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วใช่หรือเปล่า

อีฮาจุน นายชอบฉันจริงๆ เหรอ

ฮ่าๆ แปลกใจจริงๆ นะ ทำไมล่ะ

คนแบบนายทำไมถึงมาชอบฉัน

เมื่อตื่นจากการหลับใหล สภาพร่างกายของมูคยอมกลับแย่ลงกว่าเมื่อวาน เนื้ออกไก่ที่มักจะสั่งมากินที่บ้านเป็นอาหารเช้า ทั้งแข็งทั้งแห้งมากเสียจนฝืนกลืนลงคอไม่ได้ ไม่น่าเชื่อ วันต่อมาหลังจากพ่อแม่ตาย เขาก็ยังกินข้าวได้ดีด้วยซ้ำไป มูคยอมดื่มเพียงผงโปรตีนเชคที่ละลายกับนมอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นจึงออกไปทำงาน

ถึงแม้ว่าจะกินอาหารไม่พออยู่ประมาณวันสองวัน ก็จะไม่เกิดความผิดพลาดกับการฝึกซ้อมในทันที แต่หากกินอาหารไม่ได้ในระยะยาวก็เป็นอันตรายร้ายแรงได้ มูคยอมไม่ถ่วงเวลาหาคำตอบให้เรื่องที่ตัวเองสงสัยไปมากกว่านี้แล้ว จากนั้นก็ลงบทสรุปว่าต้องแก้สถานการณ์นี้โดยเร็ว วันนี้มูคยอมลากจองคยูมาที่ห้องประชุมเหมือนที่จองคยูทำเมื่อวาน

“เป็นอะไรของนาย”

“ขอถามสักสองสามเรื่องสิ”

เมื่อความเหนื่อยล้าก่อตัวใหญ่ขึ้น การมองเข้าไปในโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องก็ยิ่งลำบากมากขึ้นด้วย มูคยอมรู้เป็นอย่างดีกว่าใคร ว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ว่อนอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งกระตุ้นอันเร้าใจ แต่ในทางกลับกันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร

การใช้ประโยชน์จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ซึ่งอยู่ข้างเขาตรงนี้ มีประสิทธิภาพมากกว่าไปลำบากขุดหาความจริงออกมาจากประโยคที่เขียนทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องราวอย่างถูกต้อง อิมจองคยูรับรู้อะไรได้เชื่องช้า หากเทียบกับการที่เขามีความสนใจในเรื่องของคนอื่นมาก ในเวลาแบบนี้ไม่มีใครคนไหนเหมาะเท่าเขาแล้ว

“โค้ชอีน่ะ”

“ฮาจุนทำไม ได้รับการติดต่ออะไรมาเหรอ”

“ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บล่ะ อาการหนักมากไหม”

ทันใดนั้น จองคยูก็กะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ มูคยอมขมวดคิ้ว

“ทำไมจ้องแบบนั้น”

“เพราะไม่รู้จะถามอะไรไง หมายความว่านายไม่รู้มาจนถึงตอนนี้เลยเหรอ ว่าทำไมถึงบาดเจ็บน่ะ”

“ถ้าไม่พูดแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ”

“นี่ คนในทีมน่าจะมีแค่นายคนเดียวที่ไม่รู้ว่าทำไมฮาจุนถึงบาดเจ็บ เรื่องนี้ดังจะตายไป ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่านายจะไม่รู้”

“รู้แล้วน่า เพราะงั้นก็รีบๆ เล่ามาสักที”

จองคยูทำหน้าสงสัยว่าทำไมจู่ๆ มูคยอมถึงให้ความสนใจกับเรื่องนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ถามซักไซ้แล้วช่วยตอบให้

“นายอยู่อังกฤษก็เลยน่าจะไม่รู้เรื่องแบบละเอียด แต่ว่า… รู้เรื่องเหตุเพลิงไหม้ที่ห้างมยองชินสาขาใหญ่เมื่อไม่กี่ปีก่อนใช่ไหม ไฟโหมหนักมากก็เลยไหม้ไปเกือบครึ่งตึก”

“รู้สิ”

จำได้ว่าเป็นปีเดียวกันกับที่เวิลด์คัพถูกจัดขึ้น ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นหรือเปล่านะ หรือว่าช่วงประมาณหน้าหนาว เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ห้างสรรพสินค้าอันโด่งดัง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความโชคดีในความโชคร้าย ใกล้จะถึงเวลาปิดทำการแล้วจึงมีผู้คนไม่เยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าเพราะแบบนั้นจึงรับมือได้ช้าไป และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกับผู้เสียชีวิตอยู่พอสมควร

“เป็นช่วงที่ฮาจุนกำลังดำเนินเรื่องย้ายสังกัดไปฝรั่งเศสแล้วงานก็กำลังเป็นไปได้ด้วยดีด้วยน่ะ เห็นบอกว่าเพราะเรื่องนั้น ปีนั้นก็เลยน่าจะไม่ได้ใช้เวลาคริสต์มาสร่วมกันกับครอบครัว แล้วก็บอกว่าจะไปซื้อของขวัญให้น้องๆ ล่วงหน้า จากนั้นก็ไปที่นั่นแล้วก็กลายเป็นแบบนั้นแหละ”

“…”

“เขาอยู่ชั้นหนึ่งก็เลยโชคดีที่ช่วยออกมาได้ก่อนไฟลามหนัก แต่ถ้าเกิดไฟไหม้ในตึก ถึงไฟจะไม่ได้ลุกโชนก็ออกมาไม่ได้เพราะควันอยู่ดี ถ้ารีบออกมาอาจจะไม่บาดเจ็บก็ได้ แต่นิสัยของฮาจุนน่ะนะ… เห็นว่ามีเด็กตัวเล็กคนหนึ่งกลัวก็เลยนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมหนึ่งแล้วออกมาไม่ได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยมัวแต่พาเด็กมาจนได้ออกมาช้าเลย”

“น่าจะไม่ใช่แค่สูดควันเข้าไปแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ”

“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ตึกของห้างถูกไฟเผาไปจนถึงเพดาน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโคมไฟที่ติดอยู่บนนั้นหรือเศษชิ้นส่วนตกลงมาใส่ฮาจุนจนได้รับบาดเจ็บ… เพราะหนีออกมาทันทีไม่ได้และเพราะควันด้วยก็เลยหมดสติไปตรงนั้น เห็นบอกว่าหลบยังไงนี่แหละก็เลยไม่โดนหัว”

คำพูดของจองคยูแผ่วเบาลงราวกับรู้สึกหวาดเสียวที่จะพูดต่อ

“ยังไงก็เถอะ เพราะอย่างนั้นก็เลยโดนไฟลวกแล้วก็เข้าผ่าตัด อีกทั้งยังเสียเลือดมากแล้วก็สูดควันเข้าไปซะเยอะก็เลย… ฉันไม่ได้เห็นทุกเหตุการณ์อยู่ข้างๆ หรอกนะ แต่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยมีความยากลำบากขนาดนั้นเลย ครอบครัวที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ ก็เหมือนกัน ที่น้องของเขาร้องไห้ลั่น บอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเอง พี่ชายก็คงไม่ไปห้างและไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ยังจำได้อยู่ เพิ่งจบเวิลด์คัพไปได้ไม่เท่าไรก็เลยเป็นช่วงที่คนรู้จักชื่ออยู่ด้วย ถึงจะแค่แป๊บเดียวแต่ก็ได้ออกข่าว เพราะอย่างนั้นทุกคนเลยรู้ คิดว่านายก็รู้แน่ๆ ซะอีก”

เพลิงไหม้…

ตอนนี้มูคยอมถึงได้รู้ว่าทำไมวันนั้นที่ควันลอยเต็มอาคารจัดงานนำเสนอ ฮาจุนถึงได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอันแปลกประหลาดถึงขนาดนั้น และเหตุผลที่จองคยูกับแชฮุนสังเกตอาการของฮาจุนจนรู้สึกว่ามันมากกว่าปกติด้วย

มีเพียงเขาที่ไม่รู้ ไม่ใช่แค่อิมจองคยูกับยุนแชฮุน แต่คนในทีม ไม่สิ จะบอกว่าคนในประเทศเกาหลีที่มีความสนใจในฟุตบอลเลยก็ได้ มูคยอมไม่รู้เรื่องที่ทุกคนควรรู้อยู่คนเดียว แล้วทันทีที่เขาพาคนที่พบเจอกับเรื่องแบบนั้นมาบ้าน เขากลับปิดตาอีกฝ่ายไว้ด้วยความเริงร่าแล้วโถมตัวเข้าใส่ในทันที

ความรู้สึกสิ้นหวังที่เคยคิดมาจนถึงตอนนี้ว่าเพียงพอแล้ว กลับกดทับลงมาบนไหล่อย่างหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม มูคยอมใช้นิ้วประคองขมับเล็กน้อยแล้วถามคำถามที่เหลือ

“ถ้าดูจากตอนโค้ชชิ่งก็ออกกำลังกายตามปกติทุกอย่างเลยนะ แต่เป็นหนักในระดับที่ไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เลยเหรอ”

“ครั้งก่อนก็ถามแล้วนี่ ถ้าถามละเอียดถึงเรื่องนั้นก็ยังไงๆ อยู่ ฉันก็เลยไม่รู้ชัดเหมือนกัน แต่คงยอมแพ้นั่นแหละเพราะมันไม่ง่าย กำลังดำเนินเรื่องย้ายสังกัดแท้ๆ แต่ก็ต้องยอมแพ้ทั้งที่ไม่ได้รับการตรวจร่างกาย ถึงอย่างนั้นเดิมทีก็เป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว ก็เลยบอกว่าค่อนข้างฟื้นตัวได้เร็วทีเดียว”

จองคยูพูดแบบนั้นแล้วสังเกตท่าทีของเขาราวกับตั้งใจจะพิจารณาอะไรบางอย่างอีกครั้งพร้อมกับถามขึ้น

“จู่ๆ ถามเรื่องเมื่อก่อนทำไม หรือว่ามันเกี่ยวกับที่ฮาจุนตั้งใจจะลาออกเหรอ”

“ไม่เกี่ยว ก็แค่ พอบอกว่าจะลาออกจริงๆ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโค้ชอีเลย ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่รู้จักกันมา”

“ทำไมถึงคิดอะไรน่าอัศจรรย์ใจแบบนั้น แต่ก็นะ ตอนแรกพวกนายสองคนก็ไม่ได้สนใจกันเลย แต่สนิทกันมากขึ้นแล้ว ถ้าฮาจุนกลับมา เราไปดื่มกันสามคนจริงๆ กันเถอะ”

มูคยอมตอบอ้อมแอ้มพลางออกไปจากห้องประชุม เขาออกไปตรงสนามฝึกแล้วย่ำเท้าลงบนสนามหญ้า พร้อมกับเรียบเรียงข้อมูลกับคำถามที่ออกันแน่นอย่างยุ่งเหยิงในหัวตั้งแต่เมื่อวานไปทีละนิด

ที่อีฮาจุนบอกชอบเขาคือช่วงล่าสุดมานี้ แต่วิดีโอที่ดูเมื่อวานคือของสามปีก่อน เขาคาดเดาว่าเป็นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ตอนเจอกันในทีมนี้แล้วกลายมาเป็นคู่นอนกัน แต่บางทีมันอาจเนิ่นนานกว่าที่มูคยอมคาดไว้ก็ได้

อีฮาจุนได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้แล้วลาออกจากงาน มีคนไม่มากที่ทำใจรับความโชคร้ายขนาดนั้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี การที่จะแสดงปฏิกิริยาตื่นตกใจตอนคิดว่าไฟไหม้ก็ไม่แปลก

ถึงอย่างนั้นก็ยังมอบร่างกายของตัวเองตามความต้องการของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว ถ้ามูคยอมไม่สังเกตเห็นกลางคันก็อาจจะทนจนจบ ถึงแม้จะอยู่ในระหว่างมีเซ็กส์อันรุนแรง แต่ใบหน้าขาวของฮาจุนก็ซีดเซียวไร้สีเลือดและสายตาก็เหม่อลอยราวกับกำลังนึกย้อนไปในที่ไกลแสนไกล มูคยอมเห็นภาพนั้นราวกับปรากฏอย่างแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า ทั้งที่ตกใจจนอาเจียน แต่สิ่งแรกที่อีฮาจุนผู้มีใบหน้าซีดเผือดราวกระดาษขาว ทำเป็นอย่างแรกสุดในอาคารจัดงานนำเสนอที่คละคลุ้งไปด้วยควัน คือการตามหามูคยอมแล้วจับข้อมือดึงให้ออกไป

มูคยอมขมวดคิ้ว ความเจ็บปวดในรูปแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจนถึงตอนนี้ เจ็บแปลบขึ้นมาโดยเริ่มตั้งแต่บริเวณหัวใจแล้วแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่าง

“…อิมจองคยู”

“ทำไม”

“ฉันเจ็บหัวใจ”

ดวงตาของจองคยูสั่นไหวอย่างกระวนกระวาย

“ช่วงนี้ทำไมสภาพร่างกายนานเป็นแบบนี้เนี่ย ควรต้องไปโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”

“งั้นเหรอ”

“ต้องไปให้ได้นะ ไอ้เจ้านี่ นายอาจเป็นโรคคิดไปเองว่าป่วยนิดหน่อยก็ได้ ร่างกายนายมูลค่าตั้งเท่าไร”

จองคยูตำหนิราวกับเป็นห่วงจากใจจริง และการฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้น

มูคยอมเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมในสนามฝึกที่ไม่มีฮาจุนแล้วมุ่งหน้าไปศูนย์อาหาร วันนี้ตั้งใจว่าจะหาอะไรลงท้องสักหน่อย แต่เขาก็กินอะไรแทบไม่ลงอย่างที่คิด จองคยูมองมูคยอมเหลืออาหารไว้ตามเดิมแล้วกำชับว่าให้ไปโรงพยาบาล ไม่สิ ชวนให้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน

………………………………………..

[1] แอสซิสต์ เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ assist เป็นคำที่นิยมใช้ในการแข่งขันกีฬา หมายถึง การที่ผู้เล่นช่วยให้ผู้เล่นคนอื่นในทีมทำคะแนนได้

หากเป็นเวลาปกติ อีฮาจุนจะต้องยืนยิ้มอยู่ตรงกลางนั้น ยืนให้โค้ชคนอื่นลูบอย่างหยอกล้อ หรือไม่ก็ให้โค้ชอาวุโสดูโน้ตที่ตัวเองจดบันทึกไว้พร้อมกับปรึกษากันงึมงำ

พอทำแบบนั้นแล้วก็จะยืดเหยียดตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และบางครั้งคงเบื่อที่จะรวมกลุ่มอยู่กับโค้ชที่อายุห่างกับตัวเองอยู่มาก อีฮาจุนจึงวิ่งเหยาะๆ ตามหลังนักกีฬาไปพร้อมกันด้วย

ถ้าวิ่งเสร็จก็จะเป็นเวลาของการยืดกล้ามเนื้อทั้งตัว ถึงจะเป็นเพราะงาน แต่ทุกครั้งในเวลานี้ มือขาวๆ ของอีฮาจุนก็จะสัมผัสลงบนขา บนหลัง หรือไม่ก็แขนของเขา พร้อมกับช่วยดูท่าทางหรือไม่ก็นวดให้ นั่นเป็นความเพลิดเพลินเล็กๆ น้อยๆ ของมูคยอม การขยับมือของฮาจุนไม่ใช่แค่อยู่ในระดับพอใช้ แต่เรียกได้ว่าเป็นผลสำเร็จที่ได้รับหลังผ่านความพากเพียรมาเลยไม่ใช่เหรอ

บางทีถ้าลดเสียงลงพูดเรื่องลามกอย่างหยอกล้อ ฮาจุนก็จะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วเขม้นมองมูคยอมราวกับบอกว่าให้ปิดปากไปซะ แต่ใบหน้านั้นกลับเผยให้เห็นว่าฮาจุนเองก็สนใจมัน มูคยอมจึงสนุกขึ้นเป็นสองเท่าและไม่คิดที่จะหยุดหยอกเย้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว

จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการฝึกกำลังกาย นักกีฬาก็จะถูกแบ่งตามตำแหน่งเพื่อฝึกส่งลูก เลี้ยงลูก หรือแทรปปิง[1] ส่วนมูคยอมกับนักกีฬาตำแหน่งตัวรุกไม่กี่คนก็จะได้วิ่งสี่สิบเมตรซ้ำไปซ้ำมา

ปกติแล้ว เวลาแบบนั้นฮาจุนจะเฝ้าสังเกตนักกีฬาพร้อมกับจดอะไรบางอย่างลงสมุดที่เจ้าตัวมักจะพกไปไหนมาไหนอยู่เสมออย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อวิ่งไปหาโค้ชที่ถือนาฬิกาจับเวลาได้ประมาณสองสามรอบก็หมดเวลาการฝึกเช้า

“ในที่สุดก็เบื่อกินข้าวข้างนอกแล้วเหรอ”

จองคยูถามอย่างหยอกล้อกับมูคยอมซึ่งเข้ามาในศูนย์อาหารของสโมสรในรอบเกือบหนึ่งอาทิตย์ มูคยอมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะโดยไม่ได้ตอบอะไร นักกีฬาคนอื่นๆ ก็มองมูคยอมด้วยสายตาเจือความอยากรู้อยากเห็น แต่ดูเหมือนไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรออกมาสักคำเหมือนจองคยูที่พูดอย่างไม่ลังเล

เขาเลี่ยงการกินอาหารที่ศูนย์อาหารในช่วงที่ผ่านมาเพราะฮาจุน เพราะอย่างนั้น วันที่ฮาจุนไม่อยู่จึงไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกแล้ว มูคยอมไม่อยากอาหารก็จริง แต่การกินอาหารให้ดี และนอนหลับอย่างเต็มที่เป็นเรื่องอันดับหนึ่งของนักกีฬามืออาชีพ และเป็นเงื่อนไขแรกในการที่จะเอาชีวิตรอดในทุกสถานการณ์อีกด้วย

การยัดอาหารเข้าร่างกายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามและการกินยาบำรุงกับอาหารเสริม ทำให้มูคยอมสามารถยิงประตูถึงห้าประตูในการแข่งขันแรงของฤดูกาลครึ่งหลังได้ ในขณะที่มูคยอมจับช้อนตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ นักกีฬาคนอื่นก็เริ่มตั้งคำถามกันอย่างวุ่นวาย

“พี่จองคยู โค้ชอีมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“หรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่หรอก แค่มีเรื่องส่วนตัวนิดหน่อยก็เลย…”

จองคยูพูดแบบนั้นแล้วปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไปพร้อมกับมองมูคยอม หัวคิ้วของจองคยูย่นเข้าหากัน

“คิมมูคยอม เป็นอะไร”

“เปล่า”

ทันทีที่ตักข้าวเข้าปากหนึ่งช้อน มูคยอมก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วเอาแต่นิ่วหน้า เขาอยู่แบบนั้นพักใหญ่แล้วจึงกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไปรวดเดียว

“…อะไร มีอะไรเสียหรือไง”

จองคยูคีบหลายๆ อย่างเข้าปากราวกับลองชิม แล้วนักกีฬาคนอื่นที่เคยพูดคุยกันโดยไม่สนอาหารก็พากันขยับช้อนกับตะเกียบ แต่อาหารก็ปกติดีและมีรสชาติเหมือนปกติ

“ก็ปกตินี่”

“ดูเหมือนปัญหาจะอยู่ที่ร่างกายฉัน”

“อะไรกัน รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า”

มูคยอมตอบสั้นๆ จากนั้นก็ยกถาดลุกขึ้นจากที่ พอจะเอาถาดที่อาหารยังเหลืออยู่ตามเดิมไปคืนก็รู้สึกไม่ดี เป็นไปตามที่คาดไว้ แม่ครัวคนหนึ่งส่งสายตาเป็นกังวลมาให้พร้อมถามขึ้น

“นักกีฬาคิมมูคยอม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ช่วงนี้ไม่เข้ามาเลย ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไรไม่พอใจพวกเราเสียอีก”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ ดูเหมือนช่วงนี้สภาพร่างกายผมจะไม่ดีเท่าไร คราวหน้าผมจะกินให้หมดอย่างแน่นอนครับ”

“โธ่ ร่างกายเป็นเหมือนกับสมบัติเลยแท้ๆ นะ ในตู้เย็นมีหอยเป๋าฮื้ออยู่ ฉันรีบทำโจ๊กให้สักหน่อยไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่เป็นไรครับ”

คนใจดีเอื้อเฟื้อไมตรีจิตให้เศษขยะ มูคยอมรู้สึกหนักใจกับความหวังดีจึงรีบออกมาจากศูนย์อาหารแล้วตามหาที่ที่เขาจะสามารถอยู่คนเดียวได้ เขาเข้าไปในห้องประชุมที่ว่างอยู่แล้วนั่งลงเอามือค้ำหน้าผาก

‘…ไม่ใช่แบบนี้สิ’

เพราะเขา อีฮาจุนถึงหนักใจว่าจะลาออกจากที่นี่ดีไหม เรื่องนี้หน้าหลังมันสลับกันไปหมดแล้ว พูดอย่างชัดเจนได้เลยว่าเขาไม่ได้หมายความแบบนั้น เพียงแค่บอกให้เว้นระยะห่างกัน ไม่ได้บอกให้ออกจากทีมสักหน่อย เจ้านั่นดื้ออยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่คนไม่มีสมอง เพราะฉะนั้นก็น่าจะเข้าใจสิ

วันนี้ต้องไปหาที่บ้านเพื่อให้ทำให้อีฮาจุนเข้าใจ การเป็นฝ่ายไปหาก่อนทั้งที่เมื่อวานเกิดเรื่องแบบนั้นมันน่าขำก็จริง แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่เพราะมันเป็นการไปหาที่มีเหตุผลแน่ชัด

ข้าวก็กินไม่ลง ส่วนการฝึกภาคบ่าย มูคยอมก็ใจร้อนจนตั้งสมาธิกับมันไม่ได้ง่ายๆ ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ลดปริมาณการฝึกที่กำหนดไว้ลงด้วยทุกวิธีที่ทำได้แล้วบอกลาคนอื่นพอคร่าวๆ พลางขึ้นรถแล้วเหยียบอออกไปด้วยความรวดเร็ว

มูคยอมจอดรถตรงย่านอะพาร์ตเมนต์ของการเคหะที่สามารถมาถึงได้แม้หลับตา จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ออกมาทันที เขามาหาโดยเตรียมพร้อมที่จะขายหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นจึงโทรศัพท์ไปอย่างไร้ความลังเล

‘…หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…’

เรื่องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มูคยอมถือสายอยู่พักใหญ่แต่เสียงสัญญาณก็เปลี่ยนไปเป็นระบบอัดเสียงฝากข้อความในกรณีที่อีกฝ่ายไม่รับสายแทน มูคยอมกดโทรอีกหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็จะมีเพียงเสียงสัญญาณดังออกมาเหมือนกันหมด

คิดว่าจะขัดขืนเขาไว้ได้จนกว่าคนจะออกมาเหรอ

มูคยอมขมวดคิ้ว ‘ปัง!’ เขาลงจากรถพร้อมกับปิดประตูรถอย่างแรง จากนั้นจึงก้าวฉับๆ ไปทางตึกที่ฮาจุนอาศัยอยู่ มูคยอมขึ้นลิฟต์ที่มีรอยขูดสติกเกอร์เหมือนเป็นคราบบ่งบอกระยะเวลาการใช้งานแล้วออกมายืนตรงทางเดิน

อะพาร์ตเมนต์ของการเคหะเป็นอะพาร์ตเมนต์ที่หลายๆ บ้านในชั้นเดียวกันใช้ทางเดินร่วมกัน เขาอ้างอิงจากที่อยู่ซึ่งกรอกไว้ในช่องทางการติดต่อฉุกเฉินแล้วยืนอยู่หน้าบ้านของอีกฝ่าย มูคยอมเขม้นมองประตูอย่างเปล่าประโยชน์ แต่น่าเสียดายที่ฮาจุนอาศัยอยู่กับครอบครัว เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถเอาคืนโดยการข่มขู่ว่าจะเตะประตูได้ มูคยอมกดกริ่งอย่างมีมารยาท

สองครั้ง สามครั้ง และถึงแม้จะกดไปแล้วสี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา มูคยอมนึกสงสัยว่ามันพังหรือเปล่า แม้ว่าเขาจะลองเคาะประตูก๊อกๆ แล้วแต่ก็ไม่รู้สึกถึงวี่แววใดๆ จากด้านในเลย

‘ถ้าหากว่ามีใครสักคนอยู่ก็คงจะไม่เงียบแบบนี้หรอกมั้ง ไม่มีคนอยู่หรือเปล่านะ’

“ใครคะ”

เมื่อหันหน้าไปเพราะเสียงที่ได้ยินจากด้านข้าง หญิงคนหนึ่งซึ่งดูมีอายุมากกว่ามูคยอมนิดหน่อยก็จ้องมองมูคยอมราวกับตกใจเป็นอย่างมาก

“โอ๊ะ ตายแล้ว”

เธอเบิกตากว้างพร้อมกับยกมือปิดปากราวกับจำมูคยอมได้ในทันที จากนั้นก็ก้มหัวทักทาย

“ตายจริง ตายแล้ว นักกีฬาคิมมูคยอมไม่ใช่เหรอคะ มาหาฮาจุนสินะคะ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมประหม่าไปชั่วขณะแล้วเกือบจะย้อนถามไปว่ารู้ได้อย่างไร มูคยอมจมอยู่กับการคิดไปเองว่าคนบนโลกมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าเขากำลังนึกถึงแต่อีฮาจุน

“อ่า ครับ ตอนนี้พวกเราอยู่ในทีมเดียวกันครับ”

“ว่าแต่ไม่รู้เหรอคะ ตอนนี้ฮาจุนไม่อยู่บ้านนะ ไปเที่ยวกับครอบครัวทั้งหมดเลย”

มูคยอมไม่สามารถพูดตอบรับในทันทีได้เพราะคำบอกเล่าที่ทำให้การคาดการณ์คาดเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์แบบ

“…เที่ยวกับครอบครัวเหรอครับ”

“ค่ะ บอกว่าจะไปเที่ยวสักครั้งก่อนเด็กๆ อ๊ะ ก่อนน้องๆ จะเปิดเทอมน่ะค่ะ ฮาจุนยุ่งอยู่ตลอดก็เลยคิดจะไปไหนไกลไม่ได้เลย แต่คงมีเรื่องอะไรดีๆ ก็เลยได้ไปหลังจากที่ไม่ได้เที่ยวมานานน่ะค่ะ”

เรื่องดีๆ อย่างนั้นเหรอ สีหน้าของมูคยอมค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะคำตอบเหนือความคาดหมายกับการเลือกใช้คำที่ทำให้รู้สึกเจ็บเข้ากระดูกซึ่งคนพูดไม่น่าจะรับรู้ได้ มูคยอมพยายามปกปิดจิตใจอันห่อเหี่ยวแล้วฉีกยิ้ม

“ทราบไหมครับว่าไปไหนกัน”

“ไม่รู้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“แล้วจะกลับมากันเมื่อไรเหรอครับ”

“เรื่องนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ”

“ขอบคุณที่ช่วยบอกนะครับ”

มูคยอมพูดขอบคุณอีกครั้งแล้วเซ็นลายเซ็นให้ตามคำขอของเธอ จากนั้นจึงขึ้นลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง

ดูเหมือนฮาจุนคงคิดจะเพลิดเพลินกับวันหยุดพักร้อนอย่างเต็มที่มากๆ ย้อนกลับไปแค่คืนเมื่อวานซืน อีกฝ่ายยังอยู่ที่โซลแท้ๆ แต่ในระหว่างนั้นกลับยื่นใบลาออก และได้รับวันหยุดพักร้อนมา จนกระทั่งได้ออกไปเที่ยว ช่างเป็นการกระทำที่ว่องไวเสียจริง มูคยอมจำต้องนึกถึงคำบอกลาของฮาจุนที่ตนเองขบคิดซ้ำๆ ตลอดทั้งวันเมื่อวานขึ้นมาอีกครั้ง

‘พอแค่นี้แหละ ฉันเองก็ลำบากใจนิดหน่อยว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กันแน่ พูดตามตรงว่าเหนื่อยมากด้วยเหมือนกัน ฉันผิดหวังกับนาย’

ทั้งลำบากใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งผิดหวัง คำพูดสะเทือนใจสามคำติดถูกพูดออกมาแล้วทำให้รู้สึกความสัมพันธ์ห่างเหินกันจริงๆ ถึงขนาดสลัดมันทิ้งไปภายในวันเดียวแล้วออกไปเที่ยวได้เลยอย่างนั้นเหรอ

ถ้าตั้งใจจะสืบให้ได้ว่าไปไหนก็ไม่น่ามีอะไรที่ไม่สามารถทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมมูคยอมถึงรู้สึกเรี่ยวแรงหายไปหมดเกลี้ยง มูคยอมกลับมาที่รถพลางติดเครื่อง แต่เขากลับหยุดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ ออกมาแล้วหมุนพวงมาลัย

***

กลางดึกวันนั้น มูคยอมเหงื่อไหลพลั่กๆ พร้อมกับลืมตาขึ้น เขากินข้าวเย็นแบบคนไม่มีกะจิตกะใจจะกินเช่นเคยแล้วก็เข้านอน แต่ท้องก็ไม่รู้สึกหิวเลย เพียงแค่รู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงดื่มน้ำที่วางไว้บนชั้นแล้วทิ้งศีรษะลงบนหมอนอีกครั้ง

เขาเปิดโทรศัพท์เพื่อดูเวลา เพิ่งจะเลยตีสามมาไม่นาน เขาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่ควรจะหลับแต่ก็ใกล้ถึงเวลาตื่น ภาพตรงหน้าเลือนรางและน่าเวียนหัวราวกับถูกก่อกวนด้วยฝันร้าย มูคยอมจำไม่ได้แล้วว่าฝันเรื่องอะไรเช่นเดียวกันกับทุกครั้ง มีเพียงไม่กี่ส่วนที่แหวกความทรงจำออกมาแวบหนึ่งราวกับใบมีดโกนเท่านั้น

ถ้าหลับต่ออีกรอบตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนจะฝันถึงเรื่องที่รู้สึกไม่ดีอีก มูคยอมจึงไม่ปิดโทรศัพท์พร้อมกับทอดสายตามองหน้าจอที่ส่องสว่างแล้วเปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ตขึ้นมา จากนั้นก็จ้องมองหน้าต่างสีขาวนั้นอีกรอบพักหนึ่งราวกับลืมว่าเปิดขึ้นมาเพื่อทำอะไร แล้วมูคยอมจึงเปลี่ยนมาเปิด SNS ออฟฟิเชียลของตัวเอง หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือทั้งหมดแทบจะอยู่ในการดูแลของเอเจนซี่เสียมากกว่า

เมื่อมูคยอมเข้าไปในรายชื่อเพื่อนแล้วกดเข้าไปในลิงก์ SNS ของอิมจองคยู รูปเด็กน้อยที่ตอนนี้น่าจะอายุประมาณสองขวบก็ขยายใหญ่ขึ้นมา มูคยอมเลื่อนผ่านไปด้วยดวงตาอันพร่ามัวแล้วคลิกตรงรายชื่อเพื่อนของอิมจองคยู รายชื่อเพื่อนยาวเหยียดจนขี้เกียจไล่ดู ถึงอย่างนั้น เขาก็เลื่อนลงมาพร้อมกับไล่เช็กทีละชื่อ แต่ไล่ดูมากแค่ไหนก็ไม่มี SNS ที่ดูจะเป็นของฮาจุนเลย

“น่าเบื่อชะมัด”

มูคยอมได้แต่ปวดตาจึงพูดออกมาคนเดียวด้วยความขัดเคืองใจ ถ้าเล่น SNS ก็ย่อมอยู่ในรายชื่อเพื่อนของอิมจองคยูแน่ มูคยอมคิดอย่างละเอียดแล้วเมื่อคิดไปถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเปลี่ยนไปเข้าเว็บไซต์ดูวิดีโอ

มูคยอมจ้องมองรูปตัวอย่างของคลิปวิดีโอนานาชนิดซึ่งอัดแน่นเป็นแถวบนหน้าจอ แล้วกดแป้นพิมพ์ราวกับคล้อยตาม เมื่อพิมพ์ตัวอักษรสามพยางค์เป็นชื่อจริงของชายหนุ่มผู้ที่เขาบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ว่าเจ้าลูกวัว ก็เป็นไปตามที่คาด ถึงจะไม่เยอะเท่าของมูคยอมแต่คลิปวิดีโอจำนวนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา

มูคยอมลากสายตาไปหาคลิปหนึ่งจากทั้งหมด ซึ่งดูเป็นคลิปที่อัปโหลดไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน

‘อีฮาจุน’

‘วินาทีที่มนุษย์แสนสุขุมอย่างอีฮาจุนเดือดจัด

-อินชอนแข็งแกร่งที่สุด’

“…ชื่อคลิปโหดจังเลยนะ”

มูคยอมบ่นพึมพำพร้อมกับคลิกคลิปวิดีโอที่มีชื่อรุนแรงเป็นอันแรก คะแนนโชว์อยู่ตรงมุมซ้ายบน ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เอามาจากการถ่ายทอด เสียงเชียร์ดังขึ้นพร้อมกับที่คลิปฉายให้เห็นภาพนักกีฬาวิ่งอยู่บนสนามหญ้าซึ่งถ่ายจากไกลๆ เพราะจับภาพจากระยะไกลมากเกินไปจึงแยกไม่ออกว่าใครคือฮาจุน

ลูกเตะมุมลอยมาแล้วนักกีฬาหลายคนก็วิ่งขึ้นมาตรงหน้าประตู คนคนหนึ่งล้มกลิ้งไปกับพื้นท่ามกลางพวกนักกีฬาที่ตั้งใจจะแย่งกันครองบอล เสียงพากย์ดังขึ้น

‘โอ้ นักกีฬาพัคซึงโฮ! ล้มไปแล้วครับ’

‘ดูเหมือนจะมีการปะทะกันนะครับ’

ฉากปะทะกันดังกล่าวถูกฉายอีกรอบขึ้นบนหน้าจอในรูปแบบการจับภาพระยะใกล้และถูกทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง นักกีฬาสองคนวิ่งขึ้นไปหาลูกบอลแทบจะในเวลาเดียวกัน แล้วนักกีฬาคนหนึ่งก็แทงข้อศอกใส่หน้าของนักกีฬาอีกคน ฉากนักกีฬาที่ถูกโจมตีกุมใบหน้าของตัวเองพร้อมกับล้มฮวบลงบนพื้น ถูกจับภาพไว้อย่างชัดเจน

ภาพเคลื่อนไหวช้าจบลงแล้วกล้องก็ถ่ายไปที่สนามอีกครั้ง ในระหว่างนั้น การแข่งขันก็หยุดชะงัก ภาพนักกีฬาของทั้งสองทีมรวมตัวอยู่ในที่เดียว มองอย่างไรก็มีบรรยากาศเลวร้ายราวกับเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ภาพคนคนหนึ่งแผดเสียงตะโกนว่าอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ นักกีฬาที่เป็นคนแทงศอกเมื่อครู่นี้ ถูกขยายใหญ่ขึ้น หัวใจของมูคยอมเต้นแรงขึ้นมาทีหนึ่งราวกับว่าจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ

‘นักกีฬาอีฮาจุน โกรธมากเลยนะครับ’

‘โอ๊ยๆ ทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ’

เมื่ออีฮาจุนตะโกนเสียงดังด้วยท่าทางน่ากลัว นักกีฬาฝ่ายตรงข้ามที่ฟังเสียงต่อว่าก็คว้าคอเสื้อของฮาจุนแล้วผลักอย่างแรง คิ้วได้รูปของฮาจุนขมวดเข้าหากันในทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร นักกีฬาคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามา ต่างฝ่ายต่างผลักกันพร้อมกับห้ามปราม สถานการณ์กลายเป็นการทะเลาะกันยกกลุ่ม และยุ่งเหยิงขึ้น

สุดท้ายกรรมการที่เคยห้ามไม่ให้ทะเลาะก็ชูใบเหลืองขึ้นสูงแล้วให้ใบเหลืองกับนักกีฬาทีมตรงข้ามทุกคนรวมถึงฮาจุน ฮาจุนเบิกตากว้างพร้อมกับแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่ใบเหลืองที่ถูกชูขึ้นครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ถูกยกเลิก

ฮาจุนไม่แสดงออกท่าทีขัดเคืองกับคำตัดสินต่ออีก จากนั้นก็เท้าสะเอวพร้อมกับส่ายหน้าหวิวพลางหันหลังไป เขาหันหลังให้นักกีฬาที่ยังคงหายใจฮึดฮัดด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไปฝั่งที่นั่งผู้ชมคนเดียว จากนั้นก็โบกแขนข้างหนึ่งสุดแขน

‘โห่!’ เสียงแสดงความเย้ยหยันซึ่งน่าจะโห่ใส่กรรมการกับทีมตรงข้าม ดังลั่นกังวานออกมาราวกับการโบกแขนของเขาคือสัญญาณ

‘นักกีฬาอีฮาจุนไม่ได้มีนิสัยอารมณ์ขึ้นง่ายๆ นะครับ แต่วันนี้เขาโมโหเพราะนักกีฬาพัคซึงโฮเลยนะครับเนี่ย’

‘ฮ่าๆ เขากำลังตั้งใจจะดึงปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ชมมาเปลี่ยนบรรยากาศอยู่นะครับ สมกับเป็นนักกีฬาที่ได้รับความนิยมจริงๆ’

เสียงพากย์ดังขึ้นพร้อมกับขึ้นภาพถ่ายระยะใกล้ของใบหน้าฮาจุนที่ตึงเครียดราวกับยังไม่หายโกรธ วิดีโอถูกตัดจบด้วยภาพนั้น มูคยอมมองฮาจุนในวีดิโอที่เล่นจบแล้วพร้อมกับคิดขึ้นมาเงียบๆ

‘… ถ้าหากได้ดูคลิปแบบนี้มาก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทำให้โกรธถึงขนาดนั้นหรอก’

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ ไม่ว่าจะโจมตีหรือป้องกันก็ต้องรู้เขารู้เราถึงจะชนะแน่ๆ แต่มูคยอมรู้เรื่องเกี่ยวกับฮาจุนเลย เขามองเพียงแค่ภาพลักษณ์ที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นเท่านั้นแล้วเอามาใช้ตัดสินอีกฝ่าย เขาอยู่ในสถานะที่ไม่รู้อะไร แต่กลับทำตัวรีบร้อนตั้งแต่แรกจนข้ามเส้น เพราะอย่างนั้นจึงทุกข์ใจเพราะทำพลาด

เป็นข้อผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ลงเล่นในการแข่งขันเล็กๆ เพียงหนึ่งเกมก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องสังเกตการณ์แล้วค่อยเผชิญหน้า สำหรับมูคยอมผู้ชื่นชอบที่จะทำความเข้าใครสักคนอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นพิเศษหากมีความสนใจ การหาข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับอีกฝ่ายซึ่งตนตั้งใจจะลองเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในระดับนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานแล้ว

………………………………………….

[1] การหยุดลูก (Trapping) คือ การที่ผู้เล่นใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายในการเล่นฟุตบอลยกเว้นอวัยวะบริเวณหัวไหล่ถึงมือ

ฟันเฟืองภายในหัวของมูคยอมหมุนอย่างรวดเร็ว ถ้าลองเช็กกับอิมจองคยูแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ถ้าอีฮาจุนกับยุนแชฮุนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ และอีฮาจุนมีเซ็กส์กับมูคยอมแค่คนเดียวโดยไม่เคยผิดสัญญา ตัวมูคยอมเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปลดปล่อยความโกรธใส่ฮาจุนแบบนี้ได้

ถ้าขอโทษทันทีตอนนี้ อีฮาจุนก็อาจจะไม่ให้อภัย เพราะอีกคนเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด บอกว่าขอโทษ บอกว่าเข้าใจนายผิดไป บอกว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้

…กระทั่งลิสต์คำขอโทษแบบนั้นยังเหมือนคัดลอกคำพูดคนอื่นมาจนน่ารังเกียจ

ถ้าเข้าใจผิดแล้วจะทำไมล่ะ ต่อให้บอกว่านั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ความจริงที่ว่าตนเองทำตัวเหมือนคนสติฟั่นเฟือนใส่อีฮาจุนที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ก็ไม่หายไปไหน

ต่อให้บอกว่ายุนแชฮุนไม่ได้เป็นขวัญใจมหาชนแล้ว ก็อาจมีคนอื่นเข้าไปแทนที่ตรงนั้นก็ได้ ตอนนี้เขายอมรับเรื่องนี้ แต่ถ้าถึงวันพรุ่งนี้ก็อาจจะสงสัยในคำพูดนี้ อาจจะสงสัยคนอื่นที่ไม่ใช่ยุนแชฮุน อาจไม่เชื่อกระทั่งคำพูดของอิมจองคยูด้วย…

สรุปสุดท้ายก็เหมือนกันหมด อีฮาจุนต้องห่างจากเขา และเขาต้องไม่แตะต้องอีฮาจุนไปมากกว่านี้

“จะเข้าใจผิดหรือไม่ มันก็ไม่ต่างกันหรอก”

“…”

“ช่างมัน แล้วจากนี้ก็อย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ฉันอีก”

“ถึงนายไม่บอก ฉันก็ตั้งใจจะไปอยู่แล้วละ”

เสียงล็อกประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและประตูก็ถูกเปิดออก ฮาจุนก้าวเท้าออกไปแล้วกัดริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองมูคยอมตรงๆ

“ถึงการที่ฉันบอกว่าชอบนายจะเป็นเหตุผลที่นายเอาไปอ้างได้ แต่มันเอามาใช้เป็นเหตุผลให้นายดูถูกฉันไม่ได้หรอกนะ”

ฮาจุนพูดกับมูคยอมซึ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“ถึงครั้งนี้จะกลายเป็นแบบนี้ แต่คราวหน้า… ถ้าเผื่อมีใครคนอื่นมาบอกว่าชอบนายก็อย่าทำตัวแบบนี้แล้วกัน”

มูคยอมไม่ตอบอะไรเลยจนถึงที่สุด ต้องบอกว่าตอบไม่ได้น่าจะถูกกว่า เพราะเขาไม่มีอะไรที่จะพูดออกมาจริงๆ

ประตูถูกปิดลงอย่างเงียบงัน ประตูสี่เหลี่ยมทรงตรงที่แข็งและหนัก เป็นรูปลักษณ์ของการตัดขาดที่คล้ายคลึงกันกับอีฮาจุน

***

ฮาจุนออกมาจากวิลล่าแล้วเดินอย่างอิดโรยไปตามทางเดิน ย้อนกลับไปแค่ตอนมุ่งหน้าไปบ้านมูคยอม เขาโกรธมากเสียจนพละกำลังท่วมท้น แต่เมื่อพูดเรื่องที่จะพูดจบและลงบทสรุปสุดท้ายจริงๆ ได้ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่แล้ว

บทสรุปที่ออกมาหลังการโต้เถียงกัน คือการบอกให้หายไปจากหน้าอีกฝ่าย เพราะถึงเป็นการเข้าใจผิดจริงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ขามาก็นั่งแท็กซี่ ขาไปก็ตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่ ฮาจุนเสียดายค่ารถก็จริงแต่เหนื่อยที่จะใส่ใจไปหมดทุกเรื่องแล้ว ในวันที่จบลงอย่างน่าทุเรศแบบนี้หากให้ตัวเองได้กลับไปอย่างสบายหน่อยก็น่าจะได้

เขาพาตัวเองขึ้นบนแท็กซี่ ฟังเพลงที่เคยโด่งดังเช่นเดียวกันกับตอนเช้ามืดของวันไหนสักวันหนึ่ง พร้อมกับมองออกไปแค่ด้านนอกหน้าต่างเท่านั้น แสงไฟระยิบระยับงดงามส่องสว่างในเมืองที่มืดมิดลง

ทิวทัศน์คือหน้าต่างของหัวใจ ถ้าหากว่าอารมณ์ดี ฮาจุนก็คงคิดแค่ว่าแสงไฟพวกนี้ช่างสวยงาม แต่ตอนนี้มันกลับดูเหมือนลวดลายที่ถูกระบายทับลงบนโลกที่มีสีสันอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่ท่ามกลางแสงสีสวยงามนั้นผู้คนมากมายก็น่าจะโกรธ เศร้าเสียใจ และประสบกับเรื่องไม่มีเหตุผลในวันนี้เช่นกัน

เป็นไงล่ะ อย่างน้อยมีแสงไฟตกแต่งไว้หน่อยก็ดี ถึงแม้ว่าใครบางคนกำลังโศกเศร้า แต่อย่างน้อยถ้าทิวทัศน์ยามค่ำคืนสวยงามก็ดีกว่าอยู่แล้ว เพราะถ้าหากตอนนี้ไม่มีแสงไฟในทิวทัศน์นี้แม้แต่เสี้ยวเดียว เขาจะเศร้าสร้อยมากขึ้นแค่ไหนกันนะ

“ขอบคุณครับ”

ฮาจุนกล่าวลาคนขับรถแท็กซี่แล้วเข้าไปยืนในเขตอะพาร์ตเมนต์

ในระหว่างที่เดินไปอย่างเชื่องช้า จู่ๆ เขาก็นึกถึงตอนที่ยอมรับข้อเสนอของมูคยอมแล้วประเมินว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น ตอนที่ยังคงเป็นฤดูใบไม้ผลิ และดอกของต้นไลแลคที่ส่งกลิ่นหอมเข้มใกล้ๆ ม้านั่งก็กำลังผลิบาน

‘จ้าๆ ลูกชายคนโตคนเก่งของแม่ ทำอะไรไม่ได้บ้างล่ะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีจ้ะ’

ฮาจุนกลับไปบ้านแล้วดึงแม่มากอดด้วยจิตใจอันสับสน แม่เลยพูดปลอบโยนแม้จะไม่รู้ถึงเหตุผลเลยก็ตาม แม่ถามว่ามีเรื่องอะไรดีๆ อย่างนั้นเหรอ เขาจึงยิ้มพร้อมกับตอบไปว่าใช่แล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นที่เขาตัดสินใจว่าคิดในแง่ดีกันดีกว่า จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้มันเป็นไปตามคำยืนยันอันหนักแน่นนั้น

ฮาจุนหยุดฝีเท้าที่มุ่งหน้าไปบ้านแล้วเปลี่ยนทิศทาง ที่ที่เขาเดินไปคือม้านั่งในเขตอะพาร์ตเมนต์ ฮาจุนนั่งลงบนม้านั่งตัวในสุดของพื้นที่พักผ่อนซึ่งถูกปกคลุมด้วยเงามืดของใบต้นวิสทีเรียด้านบนหลังคา

ทันทีที่หย่อนก้นนั่งลงในที่มืดๆ น้ำตาของเขาก็หยดแหมะราวกับรออยู่ ถ้าอ้าปากก็อาจมีเสียงร้องไห้ดังออกมา ฮาจุนจึงกัดฟันไว้และปิดปากแน่น

‘เป็นเพราะนาย คิมมูคยอม คนที่ฉันตกหลุมรักตอนอยู่บนสนามหญ้า โดยที่ไม่มีใครสั่งให้ฉันรู้สึกแบบนั้น

ฉันถอยห่างจากนายและฟุตบอลแล้วคิดอะไรไม่ออกเลย ถึงบอกว่าฉันงมงายไปเองคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของฉันแล้ว

เป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ ฉันรู้สึกว่านายเย้ยหยันแม้กระทั่งตัวนายเองด้วย ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว ฉันไม่อยากทำให้เป็นแบบนั้น

ฉันตัดสินใจแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่นึกเสียใจทีหลัง ทั้งเรื่องที่ชอบนายและเรื่องที่สารภาพรักกับนายด้วย…

ไม่สิ ยังไงซะ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นใช่ไหม’

‘เฮ้อ’ ฮาจุนถอนหายใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้น มันมืดก็เลยมองไม่เห็นรูปร่างต้นวิสทีเรียอย่างชัดเจน ฮาจุนใช้ข้อมืดด้านในเช็ดน้ำตาที่แห้งไปประมาณหนึ่งแล้ว เขาคิดจะแวะร้านสะดวกซื้อ ซื้อแผ่นเจลเย็นสักหน่อย แล้วทำให้ตาหายช้ำก่อนเข้าบ้านไป

ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่พอได้ร้องไห้ออกมา จิตใจก็สงบลง เขาลงบทสรุปของเรื่องที่ครุ่นคิดในระหว่างที่นั่งแท็กซี่มาแล้ว

‘เอาสิ ไปให้พ้นจากเขากัน

คิมมูคยอมคนดังระดับโลกไม่สามารถหายไปไหนได้ เพราะฉะนั้น คนที่เคลื่อนไหวง่ายแบบฉันก็ต้องช่วยหายไปจากเขาสิ จะทำไงได้ล่ะ

ถึงไม่ใช่ที่นี่ก็มีทีมให้ไปอยู่เยอะ ถ้าขอให้พี่ฮุนช่วย บางทีพี่เขาอาจแนะนำที่ที่เหมาะกับฉันมากกว่านี้ให้ก็ได้’

ความอ้างว้างอัดแน่นอยู่ภายในใจอย่างไม่เข้ากับฤดูกาล แต่ฤดูร้อนก็คือฤดูร้อนอยู่วันยังค่ำ พอนั่งอยู่ข้างนอก ฮาจุนก็รู้สึกร้อนขึ้นทีละนิดจึงลุกขึ้นยืน ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา การใช้ชีวิตก็แบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วถูกครอบงำด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่รู้สึกได้เป็นอย่างแรกสุด ก็คือเรื่องที่ว่าเพราะเป็นหน้าร้อนถึงได้ร้อนไงละ

โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ต้องติดต่อไปหาผู้จัดการทีมเป็นการส่วนตัวแล้วยื่นใบลาออกให้เร็วขึ้น แค่วันเดียวก็ยังดี กะทันหันอยู่เหมือนกัน แต่หากจะบอกว่าเขาหายไปแค่คนเดียวแล้วสตาฟมีไม่พอก็คงจะน่าอายเกินไป เพราะอย่างไรซะ เขาก็ไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น เป็นระดับโค้ชหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเรียนรู้งานในตอนนี้เท่านั้นเอง

ต้องกลับบ้านไปอ้อนแม่หลังจากที่ไม่ได้อ้อนมานานแล้วสิ คุยกับมินคยองแล้วก็ฮาคยองด้วย ถ้าทำแบบนั้น วันนี้แม่ก็จะบอกว่าเขาเป็นลูกชายคนโตคนเก่งของแม่ ส่วนสองแฝดก็จะต้องบอกว่าพี่ชายเจ๋งที่สุดเหมือนกัน

ถ้านอนสักคืนแล้วตื่นมา ยังไงพรุ่งนี้ก็คงจะดีกว่าวันนี้แน่

“ใบลาออกเหรอ”

มูคยอมย้อนถาม

เขากำลังจะออกจากห้องล็อกเกอร์ แต่จองคยูก็รั้งไว้พร้อมบอกว่าให้คุยกันสักเดี๋ยว ทั้งสองคนเข้ามาในห้องประชุมด้วยกัน แล้วคำแรกที่ได้ยินก็เป็นคำที่มูคยอมไม่เคยนึกฝันมาก่อน

“ใช่ จู่ๆ ก็ทำแบบนั้น ผู้จัดการทีมก็แปลกใจเลยมาถามกับฉัน ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันได้ยินมาเลย นายรู้เรื่องอะไรบ้างไหม”

“ไม่รู้”

เป็นคำตอบที่เฉียบขาด แต่จุดที่น่าสงสัยมีมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด เรื่องของจองคยูคือเรื่องที่ฮาจุนยื่นใบลาออกจากการเป็นโค้ชอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

‘ใบลาออกเนี่ยนะ’ คำพูดที่เขาบอกฮาจุนว่าอย่ามาป้วนเปี้ยน หมายถึงว่าอย่ามาวนเวียนใกล้ๆ แล้วพูดอะไรไม่จริงใจอย่างเช่นชวนให้คุยกันต่างหาก ไม่ได้หมายถึงว่าให้ลาออกจากทีมสักหน่อย ถ้าหากว่าใครสักคนจากพวกเขาต้องลาออกไป มูคยอมต้องจ่ายค่าฝ่าฝืนสัญญาแล้วออกจากทีมสิถึงจะถูกต้อง ไม่มีเหตุผลที่ฮาจุนจะต้องลาออกจากที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว

ถึงแม้มูคยอมจะคิดว่า จะสัญญายืมตัวหรืออะไรก็ช่าง ทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วกลับอังกฤษไปซะเลยดีไหม แต่ที่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เป็นเพราะยังไม่มั่นใจว่าตนเองจะไม่มองหาอีฮาจุนในตอนนี้ สิ่งที่ตัวเขาต้องการ คือการตัดเยื่อใยที่ไม่มีประโยชน์ไปให้หมดและใช้ชีวิตอย่างเพิกเฉยต่อกัน จะมองเหมือนเป็นขยะเลยก็ได้ เพราะถ้าทำได้เพียงมองดูอย่างเดียวจนกว่าฤดูกาลจะจบลง จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาก็น่าจะจัดการความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงนี้ได้

เพราะอย่างนั้นก็เลยพูดแบบนั้นไป ไม่ได้หมายความว่าให้ออกจากทีมเลย แต่ใบลาออกเนี่ยนะ

“แล้วยังไง รับเรื่องลาออกแล้วเหรอ”

“เปล่า ผู้จัดการทีมคิดว่ามันกะทันหันมากเกินไป แล้วก็คิดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างถึงได้ทำแบบนั้น ก็เลยห้ามไว้ก่อนน่ะ”

“โค้ชอีตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อด้วยไหม”

“เรื่องนั้นน่ะ ดูเหมือนเขาจะแน่วแน่มากทีเดียว ไม่ใช่คนที่จะดึงดันว่าจะลาออกอย่างกะทันหันแบบนี้แท้ๆ เพราะอย่างนั้นผู้จัดการทีม…”

ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของจองคยูก็มีข้อความเข้า เขาจึงหยุดพูดไปชั่วครู่ มูคยอมเร่งอีกฝ่าย

“ผู้จัดการทีมอะไร”

“หืม อ้อ บอกว่าถ้าทำแบบนั้นเพราะมีเรื่องอะไรก็ให้ไปจัดการแล้วค่อยกลับมา แล้วก็ให้วันหยุดพักร้อนน่ะ”

“พักร้อนเหรอ นานแค่ไหน”

“สิบวัน”

สิบวัน จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว

“ถ้างั้นก็ตัดสินใจว่าจะยอมลาพักร้อนแล้วไม่ลาออกหรือเปล่า”

“เรื่องแบบนี้ ทางสโมสรก็ให้ความช่วยเหลืออย่างมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่างแรกก็คงบอกรับทราบ แล้วบอกว่าจะลองคิดดูในช่วงนั้นนั่นแหละ”

“นายได้ลองติดต่อไปไหม”

“ยังเลย ฉันเองก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้เมื่อเช้า ไม่ใช่ใครคนไหนแต่เป็นฮาจุนซะด้วย เขาก็น่าจะทำไปเพราะมีเหตุผล เพราะอย่างนั้นฉันเลยคิดว่าอย่าเพิ่งถามซักไซ้แล้วให้เวลาเขาหน่อยน่าจะดีกว่า”

‘ตึง’ มูคยอมทุบโต๊ะเบาๆ

“คนสอดรู้ จู่ๆ ทำไมแกล้งทำเป็นเท่ล่ะ เป็นกัปตันก็น่าจะต้องลองฟังสถานการณ์แล้วรั้งไว้ไม่ใช่หรือไง”

“ฉันเป็นกัปตันทีมนักกีฬานะ ใช่หัวหน้าสตาฟที่ไหนล่ะ”

จองคยูพูดเสียงแข็งราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านไปทั่ว แต่พอถึงตอนที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้ กลับไม่มีประโยชน์ซะอย่างนั้น อันที่จริง ถ้าเป็นการเข้าไปยุ่งเกี่ยวที่มีประโยชน์ก็ไม่เรียกว่าสอดรู้หรอกใช่ไหม มูคยอมมองจองคยูด้วยสายตาไม่ชอบใจ พร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่งพลางเปลี่ยนความคิด

‘ใช่แล้ว บางทีอาจจะดีกว่าก็ได้

ลองใช้ชีวิตสิบวันแบบไม่มีอีฮาจุน ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย ไม่นานมานี้ก็เพิ่งไปทัวร์ต่างประเทศมาไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นแม้แต่ผมเส้นเดียวของอีฮาจุนก็ไม่ได้เห็นตั้งสองอาทิตย์แต่ก็อยู่สบายดีนี่

ตอนนั้นก็นึกถึงฮาจุนขึ้นมาเป็นบางครั้ง แต่ยังไงก็เถอะ ช่วงนั้นคล้ายๆ กัน ทัวร์ยังเสร็จสิ้นลงด้วยดีโดยไม่ได้ติดต่อหากันเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้จะมีอะไรต่างกันล่ะ

ยังไงซะ ถ้าฤดูกาลจบลงก็จะไม่มีเรื่องอะไรให้ได้เจอเจ้านั่นอีกแล้ว ว่ากันว่าถ้าห่างไปจากสายตาก็จะห่างไปจากใจด้วย ถ้าผ่านสิบวันนี้ไปได้ด้วยดี ก็เหลือแค่ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้จบโดยไม่จำเป็นต้องกังวลไปมากกว่านี้แล้วกลับไปกรีนฟอร์ด’ มูคยอมลูบใบหน้าขึ้นพร้อมกับให้คำมั่น

‘นายทำได้ คิมมูคยอม จัดการความรู้สึกยุ่งเหยิงในขอบเขตของนายซะ’

หากฮาจุนกลับมาในอีกสิบวันก็น่าจะทำตัวเฉยเมยกับเขากว่าตอนแรก และถ้าเป็นแบบนั้น เขาเองก็แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ตามน้ำไปก็พอ ใช้เวลาในฐานะโค้ชกับนักกีฬาทีมเดียวกันที่ไม่ได้มีความสนิทสนมแต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เลวร้าย แล้วถ้ากลับไปกรีนฟอร์ด ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างเรียบร้อย

“จะว่าไปอาจเป็นเพราะพี่แชฮุนกลับมาก็เลยอยากย้ายไปทางนั้นก็ได้นะ ยังไงถ้าได้ทำงานกับพี่ก็น่าจะสบายใจละ”

คนสอดรู้บอกข้อมูลที่ไม่ได้ช่วยในการตัดสินใจที่หนักแน่นเลยสักนิด เกลียดที่ชอบพูดเหมือนรู้อะไรสักอย่างอยู่ตลอด มูคยอมจ้องเขาเขม็งหนึ่งครั้งอย่างไร้ประโยชน์ จากนั้นจึงถามเรื่องที่เคยตั้งใจว่าจะไม่ถามเพราะทนไม่ไหว

“อิมจองคยู นายได้ตามไปที่งานรวมตัวโค้ชหรือเปล่า”

“งานรวมตัวโค้ชเหรอ อ๋อ วงเหล้าน่ะนะ? แวะไปทักทายนิดหน่อยแล้วถูกดึงตัวไว้ คิดว่าจะตายซะแล้ว พวกขี้เหล้าเอ๊ย”

“ในกลุ่มโค้ชมีคนที่จองโมเต็ลนอนหรือเปล่า”

“ก็คนที่มาจากต่างเมืองไม่กี่คน ทำไม”

“เปล่า มีงานรวมตัวแบบนั้นด้วยก็เลยประหลาดใจน่ะ”

ตอนฮาจุนบอกว่าจองคยูก็อยู่ด้วยกัน เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด แต่เผื่อว่าจะไม่ใช่จึงลองถาม แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เขาคลายความสงสัยมานานแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเพราะแบบนั้นก็เลยยิ่งไม่สบอารมณ์และใส่ใจมากกว่าเดิม ตัวเขาที่ถูกดูดกลืนเข้าไปในความรู้สึกที่เหมือนโคลนตมแบบนั้น ความจริงที่ว่าเขาตั้งใจจะประพฤติตัวไป ทั้งที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่หลายครั้ง คิมมูคยอมไม่ควรที่จะเป็นมนุษย์แบบนั้นเลย

“ค่อยๆ ออกไปกันเถอะ อยู่แบบนี้เดี๋ยวจะสาย”

มูคยอมพยักหน้าให้กับคำพูดจองคยูแล้วลุกขึ้นจากที่ มูคยอมออกมาตรงสนามฝึกกล้างแจ้งแล้วกวาดตามองกว้างๆ เหนือสนามหญ้าหนึ่งรอบ เป็นอากัปกิริยาเหมือนกับตั้งใจจะยืนยันให้เห็นว่าฮาจุนไม่อยู่

โค้ชหนุ่มที่มักจะสังเกตดูนักกีฬาด้วยรอยยิ้มที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนบนใบหน้าขาว มูคยอมไม่เห็นร่างของโค้ชคนนั้นแม้แต่ปลายจมูกจริงๆ นักกีฬาคนอื่นคงยังไม่รู้เรื่องที่ฮาจุนยื่นใบลาออก พวกเขาจึงกำลังพูดคุยกันโดยไม่ได้เอ่ยถึงฮาจุนออกมาเลยแม้แต่คำสั้นๆ

ไม่นาน ผู้จัดการทีมก็ยืนประจำที่ แล้วพวกนักกีฬาก็เรียงแถวทำความเคารพ

“วันนี้มีเรื่องจะแจ้งหนึ่งเรื่องก่อนเริ่มฝึกนะ”

มูคยอมกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่จำเป็นเพราะคำพูดนั้น

“โค้ชอีฮาจุนมีเรื่องส่วนตัวก็เลยได้ลาพักร้อนนานหน่อย ประมาณสิบวัน”

‘เอ๋ จริงเหรอ ทำไมล่ะ นายรู้หรือเปล่า ป่วยตรงไหนหรือเปล่านะ ที่บ้านมีเรื่องอะไรกันนะ’

เสียงเซ็งแซ่ผุดออกมาเรื่อยๆ ราวกับต้นถั่วงอกจนเกิดเป็นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ถ้ารู้ว่าพวกนักกีฬาที่ดูเหมือนจะฝึกอยู่เงียบๆ เพียงอย่างเดียว เป็นคนที่ช่างพูดมากแค่ไหน คนอื่นๆ ก็น่าจะตกใจแน่ ไม่ว่าจะที่กรีนฟอร์ดหรือที่นี่ ในห้องล็อกเกอร์กับสนามฝึกจะมีเรื่องราวทุกอย่างบนโลกนี้ถูกยกขึ้นมาพูดตั้งแต่ A ถึง Z กันเลยทีเดียว

ในการใช้ชีวิตของนักกีฬาไม่มีตัวแปรที่ยิ่งใหญ่ และถึงเกิดตัวแปรขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องดี แม้บอกว่ามีการพัฒนาความสามารถของใครของมัน แต่ถ้าหากผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว การใช้ชีวิตของนักกีฬาก็จะหมุนวนไปตามวงโคจรของการฝึกและการแข่งขันที่เหมือนๆ กันในสภาพแวดล้อมเดียวกันเสมอ คงเพราะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย นอกเหนือจากอิมจองคยูผู้ชอบเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบจินตนาการหรือคาดเดาเรื่องต่างๆ นานา เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีจังหวะให้การพูดคุยเรื่องของคนอื่นเงียบหายไป

เพราะคนที่เป็นที่ชื่นชอบของสนามฝึกหายไปอย่างกะทันหัน ทุกคนก็เลยน่าจะกำลังไตร่ตรองหาสาเหตุนั้นอย่างแข็งขันในหัวอยู่ตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่มักจะระเบิดความสามารถในการจินตนาการของเขาออกมาอย่างล้ำเลิศยิ่งกว่าใคร ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครว่าอะไรแม้แต่คนเดียว แต่ความรู้สึกเหมือนถูกชี้ตัวว่าเป็นคนผิด ก็ทำให้เขาเคร่งเครียดขึ้น และสูญสิ้นความสบายใจในการจะคิดอะไรบางอย่างไปหมด

“ในช่วงที่โค้ชอีไม่อยู่ โค้ชคนอื่นๆ ก็น่าจะยุ่งขึ้นนิดหน่อย เพราะฉะนั้นเชื่อฟังโค้ชกันด้วยนะ มาเริ่มฝึกเช้ากันเถอะ”

“ครับ!”

เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกับเริ่มต้นด้วยการวิ่งเบาๆ มูคยอมวิ่งไปตามลู่วิ่งที่วนรอบสนามหญ้าพร้อมกับเหลือบมองไปทางกลุ่มโค้ชซึ่งกำลังรวมตัวพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ตรงจุดหนึ่ง เขารู้สึกไม่ชินมากๆ ที่ไม่เห็นร่างของอีฮาจุนอยู่ในกลุ่มนั้น

แต่การที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความรู้สึกชื่นชอบหรืออะไรทั้งนั้น ความรู้สึกชื่นชอบใครสักคนจะเป็นความรู้สึกสกปรกแบบนี้ไปไม่ได้ ถ้านี่คือความรักที่คนทั้งโลกพูดถึงกันก็หมายความว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่หมอนั่นเคยทำก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน

มันแค่ค่อยๆ คล้ายคลึงมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะไม่ชอบแต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นลูกชายของคนบ้าคนหนึ่ง

‘ครืดดด’

มูคยอมกำลังมุดใบหน้าลงกับซอกรูหนูเล็กๆ ที่ใช้หมอนทำมันขึ้นมา แต่แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงดัง เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากคุยกับใครทั้งนั้นเลยจะปล่อยให้มันตัดสายไปเอง แต่มันกลับสั่นอย่างไม่รู้จักหยุด เสียงสั่นดังขึ้นเป็นเวลานานเสียจนทำให้ความรู้สึกเกลียดตัวเองซึ่งเขากำลังรู้สึกอย่างต่อเนื่องถึงขีดสุด และแตกกระเจิงไปหมด และในที่สุด สายก็ถูกตัดไป จากนั้นมูคยอมจึงถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘ครืดดด’

แต่หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์ของเขาก็เริ่มส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง มูคยอมตั้งใจว่าจะไม่สนใจมัน แต่คิดว่าอาจเป็นสายจากจุนซองก็ได้ การฟื้นฟูร่างกายเป็นไปได้อย่างราบรื่นดี แต่ไม่ว่าอย่างไร ซองจุนก็เป็นผู้ป่วย อีกทั้งยังอาจจะมีตัวแปรอื่นๆ อีกไม่น้อย

มือของมูคยอมควานหาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาเอาหมอนออกไปแล้วมองดูหน้าจอด้วยดวงตาเบิกกว้าง

“อะไรอีกล่ะเนี่ย”

บนหน้าจอมีเพียงตัวอักษรสามคำโผล่ขึ้นมา

‘เจ้าลูกวัว’

มูคยอมได้แต่ก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงดังอย่างกระวนกระวายราวกับคนติดระเบิดเวลา และสุดท้ายมันก็หยุดสั่น ‘เฮ้อ’ เขาถึงกับถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยความวางใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที มันก็เริ่มสั่นครืดคราดขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศนี้น่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าเขาจะรับโทรศัพท์

มูคยอมขบฟันพร้อมกับกดโทรศัพท์ให้เปลี่ยนมาเป็นโหมดต่อสายอย่างเลี่ยงไม่ได้

“…อะไร”

‘เปิดประตู’

คำพูดไร้ซึ่งการเกริ่นหน้าหลังและน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นกระทบหูทันที มูคยอมกลืนน้ำลายลงคอโดยอัตโนมัติ เขาพยายามทำหัวใจที่เต้นรัวแรงให้สงบลงพร้อมกับพูดตอบ

“อะไรของนาย จู่ๆ ก็”

‘บอกให้เปิดประตูไง หรือถ้าอยากถูกขังอยู่ในบ้านก็ทนไปแล้วกัน เพราะฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าจะเปิด’

โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ให้กุญแจประตูหน้าบ้านไป มูคยอมเคยคิดว่าจะให้อยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะล้ำเส้นเกินไปจึงล้มเลิกความคิด ตัวเลือกในอดีตช่วยชีวิตคิมมูคยอมในตอนนี้ไว้

เอาอีกแล้ว อีฮาจุนทำตัวนอกเหนือการคาดหมายของเขาอีกแล้ว หากดูจากฮาจุนในแบบฉบับเดิมมาจนถึงตอนนี้ มูคยอมคิดว่าถ้าได้ยินคำพูดแบบนั้น ฮาจุนก็จะเข้าใจแล้วหลบหน้าเขาพร้อมกับไม่มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เหมือนที่เคยทำตอนแรก

“ถ้ามีเรื่องจะพูดก็ไว้พูดที่สนามฝึกพรุ่งนี้สิ”

‘ทำไมต้องคุยเรื่องส่วนตัวในที่ทำงานด้วย หรือเพราะแค่มาเล่นแบบไม่จริงจังในทีมที่ยืมตัวนายมาชั่วคราวแต่ก็สร้างผลงานได้อยู่ดี งานก็เลยดูไม่มีค่าใช่ไหมล่ะ’

“…ยังไงก็เถอะ ไว้คุยกันพรุ่งนี้”

‘ที่นี่แพงก็เลยเก็บเสียงดีใช่ไหม ถ้าฉันถีบประตูบ้านนายตั้งแต่นี้ไป คนจากห้องดูแลจะขึ้นมาหรือเปล่า’

‘เฮ้อ’ มูคยอมมองเพดานพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

ในกลุ่มพวกผู้ตั้งรับก็มีแค่พวกคนที่ดูสงบเสงี่ยมเท่านั้น ไม่มีคนที่สงบจริงๆ เลย! ถ้าอีฮาจุนเป็นคนที่สงบจริงๆ จะได้เป็นผู้ตั้งรับที่ลงเล่นในฐานะตัวแทนประเทศได้อย่างไร

มูคยอมกำลังมองข้ามความจริงที่เคยตระหนักได้อย่างแน่ชัดตั้งแต่แรก สุดท้ายเขาก็ตกหลุมพรางของเจ้าลูกวัวแล้วหลงลืมไปเสียได้

‘ฉันจะนับแล้วนะ ห้า สี่ สาม สอง’

“รอเดี๋ยว”

มูคยอมปลดล็อกประตูหน้าบ้าน เมื่อเสียงเครื่องล็อกดังขึ้น ฮาจุนก็วางสายและรอ แล้วประตูก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบงัน

ช่องว่างประตูเปิดออกกว้าง พร้อมกันนั้น ฮาจุนก็มองเห็นร่างของชายหนุ่มที่หลั่งน้ำเชื้อใส่ในร่างกายของตน แล้วหนีกลับก่อนโดยปล่อยตนทิ้งไว้เมื่อครู่นี้ ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นอดีตคู่นอนอย่างชัดเจนแล้ว มูคยอมกำลังยืนด้วยใบหน้าแข็งตึง เขาซ่อนความรู้สึกตึงเครียดภายในใจแล้วมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ฮาจุนไม่ได้ตะโกนเสียงดังหรือเตะประตู แต่กลับเข้ามาข้างในอย่างสุขุมแล้วปิดประตูลงเงียบๆ ต่างกับท่าทีวุ่นวายเมื่อกี้นี้

“…จะเข้ามาไหม”

ท่าทีสุขุมเป็นอย่างมากทำให้มูคยอมเองก็ชวนอีกฝ่ายไปแบบนั้นด้วยความเยือกเย็นโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ฮาจุนกลับส่ายหน้า

“น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องดึงดันเข้าไปคุยถึงข้างในหรอก”

“…”

“ที่นายพูดกับฉันเมื่อกี้ หมายความว่ายังไง”

ไม่มีทางที่ฮาจุนจะถามเพราะไม่รู้แน่ คงเพราะรู้ถึงได้โกรธนั่นล่ะ ความรู้สึกล้มเหลวที่ตัวเองก่อความผิดพลาดอันใหญ่หลวงเอาไว้ ทำให้มูคยอมจิ๊ปากในใจ เขาตั้งจุดเดือดของฮาจุนไว้สูงเกินไป

มูคยอมรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะไม่ตัดความสัมพันธ์ลงอย่างสิ้นเชิง หากแค่พูดคำพูดพื้นๆ เช่นว่าให้เลิกเป็นคู่นอนกัน หรือตอนนี้ฉันเบื่อนายแล้ว ถ้าฮาจุนเป็นคนที่จะหันหลังให้เขาเพราะคำพูดแบบนั้น ตอนถูกปฏิเสธคำสารภาพรักก็น่าจะถอยห่างไปนานแล้ว

ถ้าคิมมูคยอมไม่หันหลังให้อีฮาจุนอย่างสิ้นเชิง เขาก็จะตั้งสติไม่ได้และอาจเข้าไปรบเร้าวอแวเพราะเปลี่ยนใจเรื่องอะไรสักอย่างอีกไม่ใช่เหรอ คิดว่าสิ่งที่ทำในห้องรับรองเป็นวิธีที่แน่นอนในการตัดความสัมพันธ์กันไป แต่มูคยอมคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าบทสรุปสุดท้ายคืออีฮาจุนจะโกรธแล้วมาหาเขาถึงบ้านแบบนี้

“รู้ว่าหมายความว่ายังไงก็เลยมาหาถึงนี่ไม่ใช่เหรอ”

“ถ้างั้นให้ฉันคิดตามความหมายที่ฉันแปลออกมาได้ก็พองั้นสิ นายคิดว่าฉันใช้ร่างกายปรนนิบัติพวกนักกีฬาพร้อมกับรักษาอาชีพโค้ชในตอนนี้เอาไว้ แบบนี้ใช่ไหม อาชีพโค้ชหน้าใหม่ที่รายได้ต่อปีเกินยี่สิบล้านวอนมาแค่นิดเดียวเนี่ยนะ?”

เขาไม่คิดว่าอีฮาจุนทำแบบนั้นเพื่อรักษาอาชีพโค้ชไว้

แต่คิดว่าอีกฝ่ายอาจนอนกับนักกีฬาคนอื่นนอกเหนือจากเขา

“เข้าใจแล้ว แก้ให้ถูกว่านายไม่ได้นอนกับนักกีฬาเพื่อรักษาตำแหน่งโค้ชแต่นอนเพราะชอบแล้วกัน”

“นายบ้าไปแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้ฉันบอกไปแล้วนี่ ว่าไม่ได้คบใครนอกจากนาย ถึงอย่างนั้น นายก็ยังดึงดันว่าให้สัญญากัน ฉันก็เลยสัญญาไปแล้วว่าจะไม่คบคนอื่นในช่วงที่เป็นคู่นอนกับนาย ถ้ายังจะไม่เชื่อคนอื่นเขาแบบนี้แล้วจะอ้างสัญญานั่นเพื่ออะไร”

‘โว้ย ไม่อยากวกเข้ามาเรื่องนี้เลย’

มูคยอมหลบตาไปโดยอัตโนมัติ เขาหันหน้าพลางยกมือขึ้นมา

“หยุดพูดได้แล้ว โอเค ขอโทษแล้วกัน เมื่อกี้ฉันพูดไม่คิดไป ขอโทษที”

“จู่ๆ ทำไมนายเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานยังไม่เห็นเป็นอะไร แล้วจู่ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นายพูดมาสิว่ามีเรื่องอะไร ต้องพูดออกมา ฉันถึงจะอธิบายได้ไม่ใช่หรือไง”

‘จะให้เล่าเรื่องอะไรล่ะ ได้โปรดกลับไปเถอะ อย่ายกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดมากไปกว่านี้เลย’

“คิมมูคยอม”

ทว่า เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ดังขึ้นต่อจากนั้น ทำให้สายตาของมูคยอมเบนไปทางฮาจุนราวกับคล้อยตาม

สีหน้าตึงเครียดที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งถูกลบเลือนไปประมาณหนึ่งในระหว่างนั้น ใบหน้าขาวปรากฏให้เห็นเพียงความร้อนใจ และกำลังบอกว่าอึดอัดและสงสัยกับสถานการณ์นี้จริงๆ

‘ดูทำหน้าเข้าสิ’

ไม่ว่าพูดอะไรออกมาก็คงจะเชื่อทุกอย่าง ใบหน้าที่ดูอย่างกับหนังสือสอนศีลธรรม ซึ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าของใบหน้านั้นจะหัวเราะคิกคักกับผู้ชายที่แต่งงานแล้วและพากันเข้าโมเต็ล ถ้าลาออกจากการเป็นโค้ชฟุตบอลที่รายได้ต่อปีเกินยี่สิบล้านวอนมานิดเดียว แล้วทำงานเป็นนักต้มตุ๋น ก็น่าจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้เลยไม่ใช่เหรอ

ว่ากันว่าหากคนเราใช้ชีวิตไป จิตใจที่แท้จริงก็จะเผยให้เห็นออกมาผ่านทางหน้าตา แต่ใบหน้าไร้เดียงสา น่ารัก แถมยังจิตใจดีถึงขนาดนี้ ทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน

“พูดหน่อยเถอะ นายไม่มีทางเป็นแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลอะไรแน่ นายไม่ใช่คนแบบนี้ไม่ใช่หรือไง แน่นอนว่านายไม่ใช่คนปากหวานก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เคยพูดกับคนอื่นแบบนั้นสักครั้ง…”

เสียงท้ายประโยคเงียบหายไป ริมฝีปากของฮาจุนสั่นระริก มูคยอมมองริมฝีปากนั้นแล้วจู่ๆ ก็คิดขึ้นมา

‘จูบด้วยหรือเปล่านะ

ต้องจูบอยู่แล้วล่ะ เพราะอีฮาจุนชอบจูบนี่’

ฮาจุนเวลาจูบน่ารักกว่าแค่ตอนมีเซ็กส์อย่างเดียว ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยจนร้องไห้เพราะต้องรองรับท่อนเนื้อของเขา แต่ถ้าประทับริมฝีปากลงไป ช่องทางด้านหลังก็จะบีบตัวพร้อมกับตอดรัดเข้ามาแน่น ส่วนลิ้นก็จะยื่นออกมาราวกับขอเพิ่มอยู่ตลอดเวลาเหมือนลูกนกถูกป้อนอาหาร

ถึงจะชอบขนาดนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่ร้องขอขึ้นมาก่อน ท่าทีแบบนั้นน่ารักจนบางทีเขาก็จงใจไม่จูบอยู่บ่อยๆ

มัวแต่แกล้งแบบนั้นจนเขาเองก็เลยไม่ได้จูบอีกฝ่ายมากสักเท่าไร แต่พอเข้าช่วงนี้ก็เริ่มจูบบ่อยขึ้นมาแล้วแท้ๆ

หลังจากเห็นทั้งสองคนเข้าไปในโมเต็ล มูคยอมก็ไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอะไรนัก แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงเดือดพล่านอย่างน่าอึดอัดยิ่งกว่าตอนคิดอย่างไม่แน่ชัดว่าทั้งสองนอนด้วยกันเสียอีก ความคิดอื่นเลือนหายไปและการมองเห็นก็แคบลงเหมือนตอนเดินไปเปิดประตูโมเต็ล ความคิดเพียงเรื่องเดียวเริ่มอัดแน่นอยู่ภายในหัว คราวนี้เขามองเห็นเพียงร่างของฮาจุนเท่านั้น ไม่เห็นแม้กระทั่งกระจกข้างประตูบ้าน

“จูบด้วยหรือเปล่า”

แล้วคำพูดเช่นเดียวกับตอนไหนสักตอนก็ถูกโพล่งออกมาเป็นอย่างแรก

“…อะไรนะ จูบเหรอ กับพวกนักกีฬาน่ะนะ? ยังพูดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”

แม้อีกฝ่ายจะตอบกลับมาราวกับวุ่นวายใจแต่มูคยอมก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว ได้ยินเสียงบอกว่าให้หยุดจากเสี้ยวหนึ่งภายในหัว แต่มันเบาเกินกว่าจะหยุดคำที่จะพูดออกมาได้

“กับยุนแชฮุน”

ครั้งนี้คำตอบไม่ได้ย้อนกลับมาในทันที

ความเงียบนั้นเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเพราะถูกพูดจี้จุดเข้าพอดี มูคยอมจึงขยับเข้าไปใกล้ฮาจุน เขายืนเท้าเปล่าตรงหน้าฮาจุนซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าบ้านโดยยังไม่ถอดรองเท้า

“พวกนายสองคนไปโมเต็ลด้วยกันนี่ พูดฉอดๆ ต่อหน้าฉันไว้ว่าไม่ได้นอนกับผู้ชายแต่งงานแล้ว ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่โกหกแล้วแอบไปเจอกันลับหลังชัดๆ”

“…นาย…รู้ได้ยังไงว่าฉันไปโมเต็ลกับพี่แชฮุน”

คำตอบดังขึ้นมาอย่างเชื่องช้า คิ้วของมูคยอมยิ่งขมวดเข้าหากันเพราะท่าทางที่ไม่แม้แต่จะปฏิเสธหรือแก้ตัวเลยสักครั้ง

มูคยอมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนแทบชิดหน้าผากของฮาจุน มือของเขาเท้าอยู่ตรงประตูบ้านด้านหลังอีกฝ่าย

“ฉันรู้ได้ยังไง เรื่องแบบนั้นสำคัญด้วยเหรอ”

“เพราะมันเป็นเรื่องที่นายรู้ไม่จริงไง ได้ยินมาจากใคร จากจองคยูเหรอ ถ้าได้ยินจากจองคยูก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องคิดเรื่องแบบนั้นนะ”

‘อิมจองคยูเหรอ ทำไมชื่อหมอนั่นถึงโผล่มาตรงนี้ได้ล่ะ’

หัวร้อนๆ คิดว่าชื่อของบุคคลที่สามเป็นเหมือนวัตถุปนเปื้อนที่จะต้องกลั่นกรองออกไป ฮาจุนเลียริมฝีปากหนึ่งครั้งราวกับลำบากใจแล้วดันแผ่นอกของมูคยอมให้ห่างออกมากขึ้น

“ฉันรู้ว่านายไม่ชอบพี่เขา เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าพี่แชฮุนมางานรวมตัวด้วย นายก็จะไม่ชอบใจแน่ๆ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง”

คิดคำโกหกเรื่องต่อไปออกมาได้ทันทีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ถูกหลอกได้ยังไงล่ะ

“ยังพูดถึงเรื่องงานรวมตัวอยู่อีกเหรอ นายกำลังเอาเรื่องโกหกที่คนอื่นจับได้มาพูดซ้ำอีกรอบอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“เพราะมันเป็นความจริงไง! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าพวกโค้ชที่มาจากต่างเมืองก็อยู่ด้วย โมเต็ลน่ะเป็นแค่ที่พักของพวกเขา ฉันไปทักทายแค่แป๊บเดียว แล้วพี่ก็ตามไปที่นั่น!”

“โธ่เว้ย แล้วฉันจะเชื่อเรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ!”

เสียงคำรามที่ดังออกมาทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างและปากก็อ้าค้าง คำพูดไร้การควบคุมถูกพ่นฉอดๆ ออกมาใส่หน้าของเขา

“นายชอบยุนแชฮุนนี่ ฉันไม่เคยเห็นนายมองคนอื่นด้วยสีหน้าแบบนั้นเลย แต่ยังไงเขาก็แต่งงานแล้วนะ! นายพูดด้วยปากของนายเองว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันเลยตั้งใจว่าจะเชื่อ แต่นายดันเข้าไปในนั้น ไม่ใช่ที่ไหนเลยแต่เป็นที่แบบนั้น ยิ้มอยู่ข้างกันด้วย”

“คิมมูคยอม”

“เดิมทีนายก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว! นายให้โอกาสพวกผู้ชายรอบตัวนายทุกคน ไม่ว่าใครจะสัมผัสหรือกดขี่นาย นายก็จะหัวเราะคิกคัก ไม่ว่าจะนักกีฬาหรือโค้ชหรือใครในทีมนี้ รู้ว่านายเล่นสนุกกับใครบ้างแล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ คราวนู้นที่พวกผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาหัวเราะโฮะๆ หน้าระรื่น พวกนั้นรู้หรือเปล่า? ว่านายปล่อยน้ำแหมะๆ ตอนถูกผู้ชายแทงประตูหลัง ที่นายทำมันเรียกว่าเล่ห์เหลี่ยมนะ เล่ห์เหลี่ยม ถ้าเคยเห็นกันมาก็ทำแบบนั้นไม่…”

‘ปัง!’

คำพูดของมูคยอมหยุดชะงักลงเพราะเสียงดังสนั่นอันไม่คาดคิด เขาตั้งสติขึ้นมาได้ทันทีแล้วหยุดพูดไป จากนั้นก็สำรวจภาพในการมองเห็นที่กลับมาชัดเจนอีกครั้ง มือที่กำหมัดของฮาจุนวางอยู่บนประตูบ้านด้านหลัง

“…นายบ้าไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย”

‘บอกว่าไม่ใช่ไง’ มูคยอมไม่สามารถโต้กลับไปในทันทีได้ เพราะบางทีเขาอาจจะบ้าไปแล้วจริงๆ

“ตอนนี้นายด่าไปกี่คนแล้วล่ะ มีฉัน พี่แชฮุน แฟนๆ ของฉัน… ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว แต่เอาพี่กับแฟนๆ ไปรวมอยู่ในคำพูดบ้าๆ ของนายด้วยทำไม”

ฮาจุนลดมือที่วางอยู่บนประตูลง มือขาวที่ทุบประตูอย่างแรงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง มูคยอมตะโกนเสียงดัง

“ทุบประตูทำไม! เดี๋ยวกระดูกมือก็หักหมด!”

“ฉันไม่ทุบคนอื่น คิดซะว่าประตูบ้านนายรับมือของฉันแทนนายแล้วกัน”

ฮาจุนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แล้วเสยผมขึ้น มูคยอมได้แต่อ้าปากค้างเล็กน้อยแล้วมองดูสีหน้าหมดแรงราวกับว่าตอนนี้ไม่ได้โกรธอยู่

“โอเค พอแค่นี้แหละ ฉันเองก็ลำบากใจนิดหน่อยว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กันแน่ พูดตามตรงว่าเหนื่อยมากด้วยเหมือนกัน ฉันผิดหวังกับนาย”

“…”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อว่านายระบายความโกรธใส่ฉันด้วยปัญหาแบบนี้ นายเองก็ไปเจอผู้หญิงระหว่างที่มีความสัมพันธ์กับฉันด้วยไม่ใช่หรือไง ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ได้ข่าวว่าอยู่กับผู้หญิงในผับที่อิแทวอน นายทำแบบนั้นได้ แล้วทำไมฉันทำไม่ได้ล่ะ”

ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้น

“อะไร แค่ฝ่ายนั้นเข้ามาหาก่อนแล้วนั่งโต๊ะเดียวกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ที่ไปผับน่ะ เพราะมีนัดก็เลยต้องไปอย่างช่วยไม่ได้ต่างหาก”

“ช่างเถอะ เพราะฉันไม่ได้สงสัยอะไรเลย ฉันเคยว่าอะไรหรือไงที่นายไปเจอผู้หญิง ยังไงซะ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่านายจะนอนกับฉันแค่คนเดียวตั้งแต่แรกแล้ว พูดว่าคาดหวังก็ตลกนะ เพราะฉันไม่เคยต้องการให้เป็นแบบนั้นด้วยซ้ำ”

ฮาจุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ความราบเรียบ มีเพียงมูยอมเท่านั้นที่พูดเสียงดังขึ้นราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม

“หลังจากตัดสินใจว่าจะนอนกับนาย ฉันก็ทำแค่กับนายคนเดียว ตอนไปทัวร์ต่างประเทศก็ยังไม่ชายตามองคนอื่นเลย!”

“บอกว่าไม่ได้สงสัยไง ฉันไม่สนใจว่านายจะไปคบหรือไปนอนกับคนอื่น แล้วทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ คนที่ชวนว่ามีเซ็กส์กันแค่อย่างเดียว ไม่ให้สานสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมากกว่านี้ ก็คือนายเองนะ”

‘ไม่สงสัยงั้นเหรอ

ทั้งที่บอกว่าชอบฉัน บอกว่าชอบแล้วทำแบบนั้นได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?

ขนาดฉันไม่ได้ชอบนายก็ยังสงสัยถึงขนาดนี้เลยนะ’

“ฉันเปิดเผยสิ่งที่ฉันสามารถเปิดให้นายรู้ได้หมดทุกอย่างแล้ว และนายให้คำตอบมาแบบนั้น แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้มาเปลี่ยนท่าทีเอาตอนนี้… ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด”

“…”

“ฉันจะพูดอีกรอบนะ ว่าฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพี่เขาแบบที่นายคิด ส่วนโมเต็ลก็แค่แวะไปแป๊บเดียวเพราะเป็นที่พักที่ทุกคนรวมตัวกัน ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองไปถามจองคยูดู”

“…ทำไมถึงพูดชื่อหมอนั่นออกมาอยู่ได้”

“เพราะวันนั้นจองคยูก็มาที่นั่นเหมือนกันไงละ มาทักทาย”

ครั้งนี้มูคยอมกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวเพราะรู้สึกเหมือนโดนเอาค้อนทุบหัว ฮาจุนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดคนเดียวโดยไม่ได้สนใจมูคยอมที่มีท่าทางแบบนั้น จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ

“โอเค… ลองคิดดูแล้ว ถ้าฉันเห็นแบบนั้นก็เป็นสถานการณ์ที่พอจะทำให้เข้าใจผิดได้เหมือนกัน แต่ถึงจะเข้าใจผิด แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากนายด้วยเหรอ ฉันคิดว่ายังไงก็ไม่น่ามีนะ”

‘เข้าใจผิดเหรอ’

‘ปึง’ เสียงประตูปิดลงอย่างไร้ค่า ฮาจุนยืนทื่ออยู่เช่นนั้นพร้อมกับฟังเสียงฝีเท้าที่เดินไปตามทางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งฮวบลงไปบนเก้าอี้ตามเดิม เขาไล่ตามมูคยอมไปไม่ได้ เพราะตัวเขายังอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า อีกทั้งน้ำเชื้อของมูคยอมก็ยังไหลอยู่ตรงหว่างขา

รู้สึกเหมือนลำคอขัดตึง หัวก็ปวดและหนักอึ้ง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะนอนแผ่แขนแผ่ขาอยู่เฉยๆ ตรงนี้หรือตรงไหนก็ได้ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้

“เฮ้อ” ฮาจุนได้แต่ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางยกฝ่ามือขึ้นปิดหน้า เขาปรับลมหายใจให้สม่ำเสมออยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงทิชชู่ที่มูคยอมวางไว้บนเก้าอี้ พร้อมทั้งลุกขึ้นยืนแล้วเช็ดน้ำขาวขุ่นที่เปื้อนอยู่ตรงระหว่างขากับด้านหลังที่เปียกนอง จากนั้นก็ดึงทิชชู่ออกมาเพิ่มเพื่อเช็ดเก้าอี้ด้วย

เขายกเก้าอี้ตัวนั้นไปวางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงใส่เสื้อผ้า เสื้อที่ปล่อยวางไว้บนโต๊ะพักใหญ่เย็นเฉียบ การใส่เสื้อผ้าหลังจากไม่ได้ล้างด้านหลังให้เรียบร้อยทั้งที่ของเหลวไหลออกมาข้างนอกพอสมควร ทำให้ฮาจุนรู้สึกอึดอัดจริงๆ

‘ช่วยไม่ได้นี่ ทำได้แค่รีบกลับไปอาบน้ำเท่านั้น หรือว่ายังไงก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ไปอาบที่ห้องอาบน้ำเลยดีไหมนะ’

“…”

ฮาจุนถือกระเป๋าเพื่อจะออกจากห้องรับรอง แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยที่ก้าวเท้าออกไปไม่ได้ ความคิดกลับเข้ามาตีกันวุ่นวายในหัวอันหนักอึ้งซึ่งเต็มไปด้วยความสับสน

ความอยากคุยเป็นความต้องการของเขาเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นจะไปโทษมูคยอมที่บอกแล้วว่าไม่ต้องการคุยกันก็ไม่ได้ เรื่องที่ว่าหากมีเซ็กส์กันแล้วครั้งหนึ่ง การพูดคุยก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น เรื่องนั้นก็เป็นเพียงการเดาสุ่มของเขาเอง แน่นอนว่าเรื่องของคนเราย่อมไม่เป็นไปตามที่คิดเสมอไป

หลังจากหลั่งในสถานที่ที่ยากต่อการทำความสะอาดหลังเสร็จภารกิจ มูคยอมก็ออกไปก่อนโดยโยนทิ้งไว้เพียงทิชชู่เท่านั้น ท่าทีนั้นน่าขัดเคืองใจไม่น้อยก็จริง แต่มูคยอมก็ไม่ได้เป็นคนที่คิดถึงเรื่องหลังปลดปล่อยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ล่าสุดมานี้ มูคยอมดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับการช่วยเขาจัดการร่างกายหลังเสร็จกิจ อย่างเช่นช่วยล้างด้านหลังให้ หรือไม่ก็เช็ดของเหลวที่หลั่งใส่บนร่างกาย แม้เขาจะบอกว่าไม่เอาก็ตาม แต่โดยพื้นฐานแล้ว ฮาจุนไม่เคยต้องการให้มูคยอมทำแบบนั้น ถ้าบรรยากาศเป็นแบบช่วงนี้ก็ยิ่งไม่มีอะไรต้องพูดเลย

เรื่องนั้นจะอย่างไรก็ได้ เขาไม่สนใจหรอก

‘ในทีมมีคนที่ช่วยสนองให้ทันทีก็เลยสบายเลยนะเนี่ย’

…ทว่า เหตุผลที่ฮาจุนมาเป็นโค้ชในทีมนี้ ไม่ใช่เพื่อจะ ‘สนองให้ทันที’ และนั่นยิ่งไม่มีทางเป็นวิธีที่เขาดูแลพวกนักกีฬาด้วย

ฮาจุนพูดไม่ได้ว่าตัวเองฉลาดกับคำพูดที่มีความหมายสื่อถึงเรื่องทางเพศ แต่ก็ไม่ได้โง่เสียจนไม่เข้าใจความหมายของคำที่คิมมูคยอมพูดออกมา ถึงแม้ว่าอย่างน้อยๆ เขาอาจจะพูดล้อเล่นก็ตาม

จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ เขายังจับตาดูการแข่งขันซึ่งจบลงด้วยคะแนนเจ็ดต่อสองอยู่ข้างสนามพร้อมทั้งมัวเมาไปกับความเร่าร้อนจากชัยชนะอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมองดูฟอร์มการเล่นของคิมมูคยอมซึ่งทำให้พูดคำว่าบ้าไปแล้วออกมาโดยอัตโนมัติพร้อมกับแทบจะจมอยู่ในความประทับใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงเล่นในฐานะนักกีฬา แต่ก็มีอยู่หลายวิธีที่จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสนาม

เป็นความจริงที่ฮาจุนรู้สึกโล่งใจกับการที่ฟอร์มของมูคยอมไม่ตกเลย และเป็นความจริงที่เขาคิดว่า หากทำเพื่อดึงฟอร์มของมูคยอมให้กลับขึ้นมาได้ เขาก็อยากเป็นตัวช่วย ไม่ว่าจะช่วยให้มูคยอมได้ปลดปล่อยความใคร่หรือเรื่องอะไรก็ตาม…

“คิมมูคยอม”

เสียงพูดกับตัวเองอันแผ่วเบาดังลอดริมฝีปากออกมา

“นี่มันจริงๆ เลย…”

ฮาจุนเสยผมด้านหน้าขึ้น หัวคิ้วด้านล่างหน้าผากขาวย่นเข้าหากัน ฮาจุนกระชับสายกระเป๋าให้สะพายดีๆ แล้วเปิดประตูออกไป เซ็กส์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันสร้างภาระให้ร่างกายของเขาก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นปัญหาต่อการเดิน

ฮาจุนเดินเนิบๆ ออกมาจากตึกแล้วมุ่งหน้าไปยังป้ายรถบัสอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่แล้วร่างของเขาก็ชะงักแล้วหยุดยืนอยู่ตรงกลางทางเท้า ฮาจุนยืนนิ่งย่นใบหน้าราวกับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเรียกแท็กซี่

ถนนในยามค่ำคืนหลังการแข่งขันจบสิ้นลงและผู้คนต่างพากันกลับไปพักหนึ่งแล้วช่างเงียบเหงา ฮาจุนพาร่างตัวเองขึ้นไปบนแท็กซี่ว่างซึ่งขับเข้ามาใกล้ในเวลาไม่นานแล้วบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ

***

มูคยอมโยนกุญแจรถไปอย่างไม่สนใจไยดีแล้วทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา เพราะมัวแต่ทำประตูถึงห้าประตูจนวิ่งไปบนสนามหญ้าอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างกายของเขาจึงเหนื่อยเปลี้ยจนไม่รู้จะเหนื่อยอย่างไรแล้ว ถ้าเป็นเวลาปกติ ต่อให้เป็นตอนจบการแข่งขันทันที เขาก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนล้าถึงขนาดนี้ แต่วันนี้มันต่างกับตอนปกติออกไป

ดูเหมือนว่าเขาจะปลดปล่อยความเครียดที่อัดแน่นอยู่ในใจช่วงนี้ออกไปจนหมด โดยเอาการแข่งขันมาเป็นข้ออ้าง ถึงแม้จะอยู่ระหว่างแข่ง แต่มูคยอมก็ค่อนข้างแบ่งใช้กำลังกายอย่างไม่สะเพร่า เพราะเขาต้องวิ่งอย่างน้อยเก้าสิบนาที บางครั้งก็กว่าสองชั่วโมง หากเอาแต่บุ่มบ่ามวิ่งอย่างเดียวเหมือนพวกนักกีฬากรีฑาระยะสั้น ในครึ่งหลังเขาก็จะใช้แรงได้อย่างไม่เต็มที่

ทว่าวันนี้ ตลอดระยะเวลาเก้าสิบห้านาทีทั้งครึ่งแรก และครึ่งหลัง มูคยอมวิ่งอย่างกับคนคลั่งฟุตบอล และเพราะอย่างนั้นจึงทำผลงานอันยอดเยี่ยมได้ถึงห้าประตู แต่ก็เหนื่อยล้ามากพอๆ กัน

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องของอีฮาจุนด้วย

“…”

ดูจากการที่อีฮาจุนไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มคนที่โค้ชเขามาตั้งแต่ช่วงสองสามวันก่อน นอกเหนือจากการฝึกซ้อมแบบกลุ่ม มูคยอมก็คิดว่ามันจะจบลงอย่างง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ แต่ไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้ ดูเหมือนว่าฮาจุนเองก็ไม่ต้องการทำแบบนั้น แต่ก็เหมือนจะเข้ามาคุยกับเขาสักครั้งในอีกไม่นานนี้เหมือนกัน แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้เลย

เพราะไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นโค้ชอี คงคิดว่าปล่อยผ่านไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นไม่ได้ และถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับงาน แต่ต้องพูดคุยกันและแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง ฮาจุนคงต้องคิดแบบนี้แน่ๆ ถึงเขาจะไม่ได้ถามแต่ความคิดภายในใจของฮาจุนมันชัดเจนอยู่แล้ว

มูคยอมยกหมอนขึ้นวางทับใบหน้าเต็มแรง เขานอนอยู่แบบนั้นพักใหญ่ราวกับคนอยากขาดอากาศหายใจ

‘ไม่รู้แล้วตอนนี้ ต่อให้เป็นคนจิตใจดีเหมือนพ่อพระขนาดไหน แต่ถ้าทำถึงขนาดนั้นก็คงจะไม่พะเน้าพะนอต่อหรอกใช่ไหม

ฉันไม่คิดที่จะพูดคุยกับนาย ถ่มน้ำลายใส่หน้ากันยังจะดีกว่า เพราะฉะนั้นตอนนี้อย่ามาเข้าใกล้แล้วบอกว่าชอบฉันเลย ขอร้องละ’

อยากรีบกลับไปกรีนฟอร์ดเร็วๆ แล้ว อย่างไรซะ ตอนนี้เขาเองก็เบื่อที่จะลงเล่นด้วยความรับผิดชอบอย่างเดียวในทีมที่ไม่มีจุนซองแล้วด้วย แค่คิดว่าจะต้องอดทนอย่างไรในระยะสัญญายืมตัวที่ยังเหลืออยู่หลายเดือน มูคยอมก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้ว

ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าการตัดสินใจมาเกาหลีของเขาเป็นการเอาเวลาหนึ่งปีไปทิ้งอย่างสูญค่า แต่ในตอนนี้ ถ้าเป็นแค่การเอาเวลาไปทิ้งเฉยๆ เขาก็แทบจะรู้สึกขอบคุณแล้ว มูคยอมไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีหลุมพราง และกับดักของชีวิตซ่อนอยู่

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะดูออกง่าย แต่ก็ยากจะมองออกในเวลาเดียวกัน ฮาจุนเป็นแบบนั้นตั้งแต่ตอนแรกที่หลบเลี่ยงเขาแล้วทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี ฮาจุนเหมือนกับกระเบื้องเคลือบเนื้อเนียนสวยโดยไม่ต้องมีอะไรมาตกแต่ง แม้ดูเหมือนจะรับมือได้ง่าย แต่บางครั้งก็มีส่วนที่ยื่นออกมาในจุดที่คาดเดาไม่ได้ด้วย เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ยากในการที่จะเผชิญหน้ากัน

มูคยอมคิดว่าหากบอกให้ถอดเสื้อ หากชวนให้มีเซ็กส์กัน สถานการณ์ตรงนั้นก็จะสิ้นสุดลง คิดว่าฮาจุนคงจะโกรธแล้วถามว่าพูดบ้าอะไรอยู่ขึ้นมาในทันที แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาว่าจะทำ การคาดการณ์ของเขาผิดเพี้ยนตั้งแต่ตรงนั้น

‘บรรยากาศแบบในตอนนี้เนี่ย พูดออกมาว่าจะทำแบบไม่ลังเลในสถานการณ์แบบนั้นได้ด้วยหรือไง’ มูคยอมไม่เข้าใจเอาเสียเลย ในหัวของเขาตีกันวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ตัดสินใจไปแล้วครึ่งหนึ่งด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ‘ก็ได้วะ ให้ตายสิ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วก็ถือซะว่ากินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกกันแล้วกัน ถ้าได้มีเซ็กส์ด้วย แล้วก็ตัดเยื่อใยได้ด้วย มันก็ดีที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ’

เดิมทีเวลามีเซ็กส์กับอีฮาจุน มูคยอมก็ไม่ได้มีนิสัยบนเตียงที่จะใส่ใจอะไรสักเท่าไรอยู่แล้ว และในวันนี้ก็ยิ่งไม่อยากสนใจมากขึ้นไปอีก ตั้งใจว่าจะกระแทกๆ เข้าไปแล้วปลดปล่อยออกมาโดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังงาน

แต่ว่า… แผนการของเขาก็คลาดเคลื่อนอีกครั้งจากการกระทำของหมอนั่นที่จู่ๆ ก็แทงนิ้วเข้าไปไม่หยุดอย่างกับจะทำข้างในให้ฉีกขาด

‘ไอ้คนบ้า บอกพวกนักกีฬาจนปากเปียกปากแฉะว่าให้ทะนุถนอมร่างกายแท้ๆ แต่ตัวเองทำบ้าอะไรเนี่ย’

“หมอนั่นเสียสติไปแล้วหรือไงนะ”

เขาอยากเลิกคิดแล้ว

มูคยอมพูดคนเดียวพร้อมกับตั้งใจจะขับไล่ความคิดออกไป แต่ใบหน้าขาวแดงเรื่อกับดวงตาชุ่มน้ำของอีฮาจุนในระหว่างมีเซ็กส์กันหลังไม่ได้ทำมานาน กลับไม่ยอมหายไปไหนและติดแน่นราวกับกระดาษสีลวดลายแพรวพรายอยู่ในหัวของมูคยอมซึ่งใช้ชีวิตอย่างแห้งเหี่ยวราวกับเนื้ออกไก่แห้งๆ ในช่วงนี้

วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่ใช้นิ้วแม้แต่นิ้วเดียวแตะต้องอีฮาจุนเลย ตั้งใจว่าจะสั่งให้อีฮาจุนเตรียมตัวเองแล้วบอกให้อ้าขาออก จากนั้นก็แทรกกายเข้าไปเท่านั้น

ทว่าพอได้ใกล้ชิดจริง เขากลับปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ และกลายเป็นทำเหมือนตอนปกติเสียอย่างนั้น วันนี้ตั้งใจว่าจะทำตัวไม่สนใจเท่าที่จะทำได้แล้วแท้ๆ!

เจ้าลูกวัวที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ทำลายความตั้งใจของเขาไปจนหมด เขาควรจะนั่งอยู่ตรงเก้าอี้เฉยๆ สิ แต่ดันใช้มือตัวเองจ้วงเข้าออกด้านหลังแดงเถือกของอีฮาจุนก่อนจะได้ทำอะไรเสียอีก

พอทำแบบนั้นแล้วควักท่อนเนื้อออกมา อีฮาจุนก็ตาเป็นประกายแล้วส่งสายตาจ้องเขม็งมายังท่อนล่างของเขาอย่างเปิดเผย พอถามว่าชอบท่อนเขาขนาดนั้นเลย อีฮาจุนก็ยังพยักหน้ารับหน้าตาเฉยอย่างไร้ยางอายอีก

มูคยอมโมโหตั้งแต่ตอนเริ่ม แต่พอมองดูท่าทีเสียวซ่านทันทีที่สอดใส่เข้าไป เขาก็มีอารมณ์จนรู้สึกเหมือนร่างกายจะระเบิดออกมา อีกทั้งยังโกรธจนแทบบ้าเมื่อคิดว่าไอ้คนน่ารังเกียจที่มีลูกมีเมียแล้วหรือไม่ก็พวกสันหลังยาวคนอื่นๆ ก็คงได้เห็นภาพนี้เหมือนกัน

‘จะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ช่าง แค่กระแทกให้ด้านหลังฉีกขาดไปเลย ทำให้ไปอ้าขาต่อหน้าผู้ชายคนอื่นไม่ได้เลยดีไหม’ ความคิดแบบนั้นค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาภายในหัว แต่แล้วอีฮาจุนก็บีบน้ำตาออกมาแบบได้จังหวะพอดีอย่างกับมีญาณทิพย์ พอมองดูใบหน้าที่กำลังร้องไห้ มูคยอมก็สับสนวุ่นวายเหมือนจะเป็นบ้าไปจริงๆ สุดท้ายก็เลยให้ฮาจุนคว่ำหน้าลงแล้วทำจากด้านหลังอย่างเดียว

วันนี้มูคยอมไม่ได้ถามด้วยซ้ำแต่ฮาจุนกลับเอาแต่พล่ามว่าดีออกมาไม่หยุด ท่าทางนั้นก็ดูเหมือนเป็นแผนการเพื่อทำให้ผู้ชายคนอื่นเป็นบ้า จึงทำให้ความเดือดดาลแพร่กระจายไปทั่วร่าง แต่พอได้ยินเสียงพร่ำร้องบอกว่าดีพร้อมกับเรียกชื่อเขาไปด้วย หัวของมูคยอมก็ร้อนรุ่มขึ้นมาเพราะติดกับแผนการนั้นไปอย่างน่าหัวเราะเยาะเสียได้

กลิ่นอายของฮาจุนซึ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อมีเซ็กส์ เข้ามาแกว่งไกวภายในหัวที่หลอมละลายให้สับสนวุ่นวายเหมือนใช้ทัพพีคน และวินาทีก่อนที่เขาจะคลั่งขึ้นมา เขาอยากโอบอุ้มฮาจุนกลับมาบ้านทั้งอย่างนั้น อยากจับฮาจุนลงนอนบนเตียงแล้วขย่มจนกว่าจะหมดสติ ถึงแม้ว่าเขาจะมีเซ็กส์กับฮาจุนอยู่แต่ก็ยังจินตนาการภาพตอนทำกับฮาจุนไปด้วย

มูคยอมไม่ชอบตัวเองที่ภายในหัวร้อนรุ่มขึ้นมาถึงขนาดนั้น

ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาทันทีเมื่อเซ็กส์ที่ไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์เสร็จสิ้นลง ไม่ใช่ทั้งความสุขสมทางกาย และความปลอดโปร่งที่มันจบลง แต่เป็นเพียงความห่อเหี่ยวใจเท่านั้น

อาจพูดได้ว่านี่เป็นปัญหาที่บอกให้จบกันด้วยคำพูดดีๆ ก็ได้ไม่ใช่เหรอ แต่ถึงแม้ว่าฮาจุนจะสารภาพว่าชอบเขาและถูกปฏิเสธไปแล้ว ฮาจุนก็ยังไม่จบความสัมพันธ์ในฐานะคู่นอนและยังคงยกยิ้มบอกว่าโอเคอย่างไม่ได้คิดอะไรอยู่อีก เพียงแค่บอกว่าให้สะสางความสัมพันธ์ ไม่ได้ช่วยในการตัดขาดกับหมอนั่นผู้ยอมรับได้ทุกอย่างเลย

ไม่ใช่ว่ายืดเวลาออกไปเพราะไม่มีใครพูดออกมาว่าให้จบกัน เพียงแค่คิดว่าการห่างกันไปเองมันดีต่อทั้งสองฝ่ายก็เท่านั้นเอง

…ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ยอมรับว่าได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายที่สุดแล้ว การเลือกคำพูดร้ายกาจที่จะทำให้หัวใจของคนอื่นเจ็บปวด เป็นความถนัดเฉพาะตัวของเขามาตั้งแต่เด็ก แต่นั่นต้องเป็นตอนที่พูดออกมาจากใจจริงเท่านั้น ยากเหมือนกันที่ต้องสบตาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อพูดสิ่งที่ตัวเองไม่ได้คิดจริงๆ ออกมา

เขาชอบหลอกล่อผู้คนในเกม แต่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเท่าไรกับการพูดโกหกจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าหากว่าเขาโกหกเก่ง ตอนเด็กก็คงไม่ถูกทุบตีถึงขนาดนั้น และคงไม่ใช้ชีวิตมาโดยมีศัตรูเยอะถึงขนาดนั้นด้วย

ปากก็พูดพล่ามไปเรื่อย แต่หากใครมองมาก็คงจะเห็นว่าเขาร้อนรนราวกับไฟลนก้น แน่นอนว่าถึงแม้อีฮาจุนจะไม่ทันสังเกตว่าเขาเป็นแบบนั้น ในสถานการณ์เดียวกันกับเมื่อครู่นี้ก็เถอะ

เขาปล่อยหมอนั่นซึ่งยังไม่ได้แม้แต่จะสวมเสื้อเอาไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถออกไปจากที่นั่นได้จนกว่าจะยืนยันได้ว่าฮาจุนออกไปเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงบอกว่าไม่มีใครอยู่ก็จริง แต่หากมีคนเข้าไปในห้องรับรองขึ้นมาก็จะยุ่งยาก ถ้ามีใครเห็นอีฮาจุนในสภาพตัวเปล่าเปลือยแล้วจะทำอย่างไรล่ะ

มูคยอมรอตรงสุดทางเดินพักใหญ่แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าฮาจุนจะออกมา ในตอนที่ขบคิดอย่างจริงจังว่าต้องหาข้ออ้างสักอย่างเพื่อลองกลับเข้าไปอีกครั้งหรือเปล่า ฮาจุนก็เปิดประตูออกมา มูคยอมมองดูถึงแค่ตอนฮาจุนออกมาแล้วจึงหันหลังเดินออกไปจากตึกทันที เขาไม่อยากมองต่อจนเห็นใบหน้าของฮาจุน

‘…ทำไมฉันถึงเป็นได้ขนาดนี้นะ

ถึงจะรู้สึกผิดต่อลุงก็เถอะ แต่จ่ายค่าฝ่าฝืนสัญญาแล้วกลับกรีนฟอร์ดไปซะตอนนี้เลยดีไหม’

ถ้าเห็นอีฮาจุนก็จะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ปกติแล้วเขาไม่ได้คิดถึงใครบางคนอยู่เรื่อยอย่างไร้สาระแบบนี้ ไม่ได้ฝันถึงคนคนเดียวทุกคืนด้วย คู่นอนจะไปมีความสัมพันธ์กับใครหรือไม่ เขาก็ไม่เคยแม้แต่จะสนใจและเข้าไปยุ่งเกี่ยว อีกทั้งยังไม่เคยโกรธกับเรื่องนั้นด้วย

‘ไม่สิ ยอมให้เป็นร้อยครั้งแล้ว คิดซะว่าโกรธได้แล้วกัน เพราะฮาจุนสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำแบบนั้น เพราะบอกชอบเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับไปนอนกับผู้ชายคนอื่นทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน!

แต่ถ้ารู้สึกว่าถูกหักหลัง แค่ตัดให้มันจบๆ ไปก็ได้นี่ ทำไมถึงยังยึดติดกับเรื่องนั้นอยู่เรื่อยล่ะ’

เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นก็จะทำให้คนเราทุกข์ใจ มันน่าจะจบลงที่การโกรธอยู่ในใจคนเดียวกับเรื่องที่อีฮาจุนนอนกับผู้ชายคนอื่น แต่ถ้าได้อยู่กับอีฮาจุนแค่สองคนจริงๆ แล้วยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เห็นได้ชัดว่าเขาคงถามซักไซ้ทีละเรื่องแล้วตะคอกอย่างบ้าคลั่งแน่ๆ

คงทำให้คนอื่นเขาทรมานทั้งคืนจนกว่าอีกฝ่ายจะตอบเรื่องที่ถามออกมา และหากตอบแล้ว เขาก็น่าจะยังยึดติดว่าคำตอบนี้เป็นความจริงหรือเรื่องโกหกอย่างกับคนเป็นโรค สุดท้ายแล้วถ้าได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจ ตอนนั้นก็คงวางใจจนถึงกับน้ำตาไหล แต่พอถึงวันต่อมาก็คงจะโกรธในตอนที่ได้พิสูจน์ความจริงอีกครั้ง ว่าคำตอบที่เคยพอใจนักหนาเมื่อวานเป็นเพียงเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นเพราะถูกตนไล่ต้อนเท่านั้น

มูคยอมเกลียดและระแวงมนุษย์รอบข้างทุกคน แม้แต่ไอ้พวกลูกหมาที่อีฮาจุนลูบหัวโอ๋ นั่นก็ทำให้เขาห่อเหี่ยวอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนสุดท้ายอาจทำให้ถึงตายไปเลยก็ได้

น่ากลัวชะมัด ในเมื่อความรู้สึกแบบนี้ก่อเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง การอยู่ใกล้อีฮาจุนย่อมไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้น การกลับไปกรีนฟอร์ดเสียตอนนี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ฤดูกาลนี้ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่ เพราะฉะนั้นก็คงจะทำให้คนที่นี่เกลียดแค้นเขาอย่างสมบูรณ์แบบแน่ แต่อย่างไรซะ ความคิดเห็นจากคนที่เกาหลีก็ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว

ทว่า เขายังไม่อยากไปในที่ที่ไม่มีอีฮาจุน

อยากทำเพียงมองดูอีกฝ่ายแม้จะไม่เข้ามาใกล้ก็ตาม

ถ้าทำแบบนั้นพร้อมกับค่อยๆ เรียบเรียงความคิดไปทีละน้อย ถึงกลับไปกรีนฟอร์ดก็คงจะไม่นึกถึงขึ้นมาอีกแล้วละมั้ง

การที่เขาคิดแบบนี้ขึ้นมาอยู่เรื่อยช่างเหมือนกับคนโง่เสียจริง และรู้สึกได้ว่าตัวเองเหมือนเมล็ดธัญพืชเล็กๆ ในเศษอาหารที่ถูกทำให้แห้งเพื่อทิ้งเป็นขยะ

…ไม่สิ วันนี้ไม่ได้ ‘เหมือน’ แต่เป็นขยะจริงๆ เลยต่างหาก จนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้เขี่ยคู่นอนทิ้งไปอย่างใจร้ายมาแค่คนสองคน แต่ทุกคนที่ทิ้งต่างก็เพราะว่ามีเหตุผลที่ควรให้ทำแบบนั้นทั้งนั้น มูคยอมไม่เคยจัดการความสัมพันธ์โดยทำให้คนที่อ่อนโยนกับเขาเหมือนอีฮาจุนรู้สึกถูกเหยียดหยาม นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนเราควรทำ

ความรู้สึกเกลียดตัวเองถาโถมเข้ามา แต่เขาก็กำลังพยายามเพื่อให้ตัวเองพอใจกับเรื่องที่ได้จัดการเคลียร์สถานการณ์อย่างแน่ชัดแล้ว เพราะอีฮาจุนเองก็คงไม่เข้าใกล้ผู้ชายที่เหมือนเศษขยะถึงขนาดนี้อีกต่อไป

ต่อให้มูคยอมเล่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ให้คนอื่นฟัง เขาก็รู้อยู่แล้วว่าจะได้ยินคำว่าอะไรตอบกลับมา คงจะบอกว่าเขาชอบอีฮาจุนน่ะสิ โดยเฉพาะคนอย่างอิมจองคยูที่น่าจะตอบมาอย่างเริงร่าในทันทีเลยด้วยซ้ำ

โพรงเนื้อด้านในที่ถูกนิ้วเสียดแทงอยู่พักหนึ่งยังคงเสียวแปลบจนทำให้ฮาจุนหายใจระรัวพร้อมกับจ้องส่วนนั้นของมูคยอมเขม็ง จากนั้นจึงเบนสายตาขึ้นไปจับจ้องใบหน้าของเขา มูคยอมเหยียดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งราวกับกำลังมองฮาจุนอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนจะสบตากัน จากนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว

“ชอบท่อนฉันขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ”

‘ถ้านั่นเป็นของมูคยอม จะอะไรก็ชอบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิ้ว เป็นท่อนเอ็นร้อน หรือเป็นริมฝีปาก…’

เมื่อพยักหน้าอย่างสติเลือนรางแทนคำตอบ มูคยอมก็ดึงขาเขาอย่างแรงแล้วสองมือก็จับตรงข้อพับของเขาเพื่อดันให้มันอ้าออกกว้างขึ้นกว่าเดิม เท้าลอยอยู่กลางอากาศ และตรงกลางก้นที่พาดอยู่ตรงปลายโต๊ะ ปากช่องทางที่คลายตัวจนอ่อนนุ่มก็ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในสายตาของมูคยอม

ส่วนหัวมนของแกนกายแข็งขืนเล็งให้พอดีแล้วมูคยอมก็กดแทรกกายเข้าไปทันที แกนกายที่กระตุกเล็กน้อยตั้งแต่ตอนสอดเข้าไปครูดโพรงเนื้อนุ่มอย่างรุนแรงพร้อมกับถูกดูดกลืนเข้าไปด้านในนั้น

“ฮึก อ๊า!”

สัมผัสของท่อนเนื้อหนาที่เข้ามาเติมเต็มในร่างกายอย่างกะทันหันทำให้ฮาจุนหลงลืมวิธีหายใจและหยุดหายใจไปชั่วขณะ ตัวของเขาสั่นระริกและก้นที่ยกลอยขึ้นกลางอากาศครึ่งหนึ่งก็กระตุกเกร็งไม่หยุด

มูคยอมไม่หยุดเลยแม้แต่วินาทีเดียวแล้วสอดแทรกกายเข้าไปจนสุด ท่อนเนื้อร้อนล่วงล้ำเข้ามาบดเบียดกับผนังด้านในอย่างยากลำบากและเชื่องช้า มันสั่นสะเทือนประสาทสัมผัสของฮาจุนตั้งแต่ปลายเท้าอีกครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่รู้สึกได้ว่าส่วนหัวป้านกับเส้นเลือดนูนชัดครูดเขี่ยเนื้ออ่อนด้านใน เสียงครางสั้นๆ ก็ระเบิดออกมาหลายครั้ง

“อือ ฮึก! อ๊า อึก…”

เมื่อมูคยอมกระแทกสุดโคนจนกระดูกหัวหน่าวแนบชิดกับบริเวณเหนือช่องทางรัก ส่วนปลายลำท่อนก็สัมผัสกับด้านในอันคับแคบ ร่างกายของคนเรา ยิ่งเข้าไปลึกด้านในมากเท่าไรก็จะยิ่งอ่อนนุ่มและรู้สึกไวต่อสิ่งเร้ามากเท่านั้น มูคยอมกระแทกเข้ามาแล้วทิ้งน้ำหนักลงโดยไม่ถอนออกทันที เขากดย้ำๆ เพื่อใช้ส่วนหัวป้านกระตุ้นความรู้สึกตรงส่วนลึกในร่างกายหลายต่อหลายครั้ง

สำหรับมูคยอม มันน่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ จนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ในสถานะฝ่ายรับอย่างฮาจุนนั้นต่างกัน เพียงความเร็วในการแทงเข้ามาเปลี่ยนแปลงไปแค่นิดเดียว ทั่วทั้งร่างก็สั่นกระตุกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั้งตัว

“ฮึก อือ อ๊ะ อ๊า…!”

ฮาจุนอยู่ในสภาพอ้าขากว้าง เอนตัวนอนบนโต๊ะ และสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างของมูคยอม ตัวเขาดูราวกับกบที่ใช้ในการทดลองอะไรบางอย่าง ถึงจะอายแต่ร่างกายกลับไม่สามารถหยุดยั้งการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นตามใจชอบได้ ราวกับกำลังถูกทดลองอยู่จริงๆ

ฮาจุนกัดฟันเพื่อที่จะลดเสียงให้เบาลง แต่หากท่อนเนื้อหนาแทงเข้ามาในเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม หูของเขาก็จะเสียววาบขึ้นมา ในขณะเดียวกัน ปากก็จะอ้าออก และเอวกับขาก็จะสั่นคลอนไปหมด

มูคยอมขยับตัวเพียงเล็กน้อยอยู่ด้านในแบบนั้น แต่จู่ๆ กลับถอนตัวออกไปแล้วเสือกกายเข้ามาลึกพรวดเดียวด้วยความรวดเร็ว เมื่อเขาทำแบบนั้น ความคิดที่ว่าน่าอายก็ปลิวว่อนหายไป ลำคอของฮาจุนเอนไปด้านหลังอย่างฉับพลันแล้วเสียงที่เคยกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถก็ระเบิดออกมา

“อ๊า! อาาา ฮ้า!”

“บ้าเอ๊ย ไม่ว่าตอนไหน แค่กระแทกเข้าไป ก็ดีจนแทบตายเลยนะ”

มูคยอมพึมพำแล้วจู่ๆ ก็ขยับรุนแรงขึ้นราวกับโกรธ เมื่อเขากระแทกดังปั้กๆ จนตัวแทบลอย ฮาจุนก็ได้แต่เอนหัวขึ้นแล้วหอบหายใจขาดห้วงโดยส่งเสียงร้องไม่ออกด้วยซ้ำ ท่อนเนื้อบดขยี้ผนังด้านในคับแคบ เมื่อรู้สึกเหมือนจะสอดเข้ามาจนสุด เขาก็จะถอนกายครูดออกไปทันที

“ฮึ! อื๊อ! อึ ฮึก!”

ทุกครั้งที่ร่างกายหนักอึ้งกระแทกปั้กๆ เข้ามา ฮาจุนก็รู้สึกเหมือนแกนกายที่จ้วงเข้าลึกจะเจาะทะลุร่างกายของตนแล้วโผล่ออกมาจนถึงช่องคอ เสียงครวญครางของเขาจึงสั้นและขาดห้วง ด้านในร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนจุดที่มูคยอมขยับเข้าออกได้กลายเป็นกองไฟไปแล้ว ในหัวของเขาราวกับมีไอน้ำอัดแน่นจนคิดอะไรไม่ออก

ประสาทสัมผัสวิ่งพล่านไปตามร่างกายอย่างรวดเร็วเกินไปเสียจนไล่ตามไม่ทัน รู้สึกได้ว่าร่างกายร้อนรุ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและขึ้นสีแดงจัด มือสั่นระริกขูดผิวเรียบลื่นของโต๊ะเพราะไม่มีอะไรจะให้เหนี่ยวรั้งไว้ได้สักอย่าง จากนั้นจึงมากำหมัดแน่นอยู่ตรงหน้าบริเวณลิ้นปี่แล้วขูดเขี่ยผิวของตัวเอง

ร่างกายที่ถูกดันขึ้นจากแรงกระแทก ชั่วขณะหนึ่งก็ถูกจับต้นขาแล้วดึงลงมาด้านล่าง ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกัน พร้อมกันนั้น แกนกายก็สอดใส่เข้าลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย ฮาจุนบิดเอวโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ในระหว่างที่การสอดประสานหยุดลงชั่วครู่ในท่านั้น ฮาจุนก็ลืมตาที่เคยหลับปี๋แล้วเหลือบขึ้นมองมูคยอม

การมองเห็นดูขุ่นมัวราวกับกระจกที่มีไอน้ำเกาะเพราะร่างกายร้อนเร่าขึ้นจากความสุขสม ฮาจุนปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอพลางจ้องมองเขา น้ำตาที่ปริ่มอยู่ตรงดวงตาไหลลงมาตามใบหน้าเป็นทางโดยไม่ทันตั้งตัว

มูคยอมก้มลงมองฮาจุน ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ สิ่งที่เติมเต็มด้านในร่างกายฮาจุนก็ถูกถอนออกไป มูคยอมยกร่างกายที่เคยทาบทับให้ถอยห่างแล้วดันตัวขึ้นยืน เขาเพียงแค่มองดูฮาจุนเท่านั้น ไม่ได้ทำท่าทางหรือพูดอะไรเลย ฮาจุนได้แต่กระพริบตาปริบและสังเกตบรรยากาศ รอดูว่าเขาจะทำอะไรต่ออยู่ครู่หนึ่ง

‘…ยังไม่มีใครเสร็จแม้แต่คนเดียวเลยนะ พอแล้วเหรอ’

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มูคยอมถึงดูเหมือนไม่ได้มีอารมณ์ขนาดนั้นต่างกับตอนปกติ ฮาจุนคิดขึ้นแบบนั้นขึ้นมาเป็นอย่างแรกเพราะสีหน้าของเขา

‘อย่างนั้นเหรอ ตอนนี้เซ็กส์กับฉันคงทำให้คิมมูคยอมมีอารมณ์ไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำสินะ’

ร่างกายยังคงร้อนรุ่ม แต่ความรู้สึกกลับสงบและอ้างว้างยิ่งกว่าตอนที่ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจบลงแล้ว ฮาจุนกะพริบตาชุ่มน้ำ และในตอนที่คิดด้วยสมองที่ยังหลงเหลือความร้อนเร่าอยู่ว่าควรลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าเลยไหม มูคยอมก็พูดขึ้นมา

“คว่ำหน้าลง”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนรีบดันตัวที่นอนอยู่ลง เมื่อขาลงไปยืนบนพื้นแล้วเอนร่างกายท่อนบนคว่ำลงกับโต๊ะ ฮาจุนก็รู้สึกได้ว่ามูคยอมขยับเข้ามาชิดด้านหลังอีกครั้ง

มือใหญ่จับก้นสองข้างให้แยกออก เมื่อรูรักร้อนผ่าวปรากฏให้เห็นอยู่ตรงกลาง ไหล่ของเขาก็สั่นเทาเพราะความหนาวสั่นเล็กน้อยที่มาเยือน แต่เป็นเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความหนาว ท่อนเอ็นของมูคยอมกดเข้ามาในช่องทางด้านหลังทันที

“ฮ้า อึก!”

เสียงร้องดังขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะท่อนร้อนแทงเข้ามาจนสุดด้านใน ภาพตรงหน้าหมุนติ้วเพราะความจุกเสียดที่โดนแทรกกายเข้ามาใหม่หลังเปลี่ยนท่าและถอนกายออกไป แต่มูคยอมก็ไม่ให้เวลาเขาพลางขยับอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่ม

เสียงเนื้อกระทบกันป้าบๆ ดังก้องไปทั่วห้องโดยไม่ทิ้งช่วงห่าง ท่วงท่าที่ทิ้งน้ำหนักตัวกระแทกปั้กๆ เข้ามาทำให้โต๊ะตัวหนักสำหรับหลายคนใช้ซึ่งอยู่ติดกับร่างกายถูกดันไปพร้อมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

“อา อึก ฮึ เดี๋ยว ก่อน อา อ๊า…!”

ฮาจุนหายใจขาดห้วงเพราะท่อนร้อนที่กระหน่ำจ้วงเข้าด้านในไม่หยุด วันแบบนี้เขาอยากทำตามมูคยอมโดยไม่ปริปากบ่นอะไร แต่คำปฏิเสธกลับเล็ดลอดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“อึก หยะ หยุด ฮา อ๊า!”

ทว่ามูคยอมไม่หยุด ทุกครั้งที่กระแทกเข้ามาจนสุด ร่างกายก็จะสะเทือนจนซวนเซ โต๊ะถูกดันออกไปทีละนิด แล้วส่วนล่างของร่างกายท่อนบนซึ่งเคยแนบสนิทบนโต๊ะในตอนแรกก็ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ

สัมผัสหนักหน่วงของร่างกายที่ถอนออกจนเหลือเพียงส่วนหัวมนเท่านั้นแล้วหยัดตัวเข้าสุดความลึกด้วยความรวดเร็ว กับผนังด้านในซึ่งถูกเสียดสีจนเหมือนไฟจะติด ทำให้ความคิดของฮาจุนหยุดชะงักลงเพราะเรี่ยวแรงที่โหมกระหน่ำเข้ามาในร่างกายอย่างรุนแรงราวกับไม้ตะบอง จนบอกว่าโดนโจมตีแทนที่จะเรียกว่ามีสัมพันธ์กันก็ยังได้ ถึงแม้ว่าน้ำลายจะไหลออกมาจากปากที่อ้ากว้าง แต่ฮาจุนก็ไม่แม้แต่จะคิดได้ว่าต้องปิดปากลง

“อื๊อ อา ฮึก อื้อ!”

ในขณะที่ร่างกายร้อนเร่าราวไฟเผา กระดูกเชิงกรานกับเอวที่ลอยเด่นอยู่กลางอากาศก็สั่นระริกจนดูราวกับจะทรุดฮวบลง ฮาจุนเท้าแขนดึงตัวเองขึ้นไปเหนือโต๊ะอย่างทุลักทุเล ท่าทางของเขากลับกลายเป็นว่าเหมือนกำลังจะหนีไปด้านหน้าทั้งที่มูคยอมกำลังฝังตัวตนเข้ามาอยู่ จู่ๆ แขนก็กอดรัดเอวแน่นแล้วดึงรั้งร่างกายของฮาจุนไปด้านหลังทันควัน

‘เอี๊ยด’ เสียงพื้นถูกครูดด้วยบางอย่างที่เหมือนกับท่อนเหล็ก แล้วร่างกายที่เคยคว่ำหน้าก็ถูกจับนั่งลงทันที ทันใดนั้น สัมผัสจากการสอดใส่แกนกายร้อนซึ่งแทรกเข้ามาลึกด้านในก็ทำให้ปากของฮาจุนอ้ากว้าง

ก่อนที่จะได้วิเคราะห์สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ท่อนเนื้ออวบก็กำลังเด้งสวนจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนอย่างต่อเนื่อง ฮาจุนอยู่ในท่าแยกขากว้างและนั่งเอาก้นแนบบนตักของมูคยอม ร่างกายซึ่งอยู่ในท่านี้สั่นสะเทือนขึ้นลงอย่างรุนแรง ฮาจุนทาบมือลงบนหลังมือของมูคยอมซึ่งยึดตรงกระดูกเชิงกรานของเขาไว้โดยไม่มีเวลาจะให้คิดอะไรเพิ่มเติมได้เลย แล้วเขาก็ส่งเสียงร้องออกมาโดยไม่ฝืนกลั้นเอาไว้

ทั่วทั้งร่างเร่าร้อนราวกับจะระเหย ท่อนเนื้อที่แหวกเขามาถึงจุดที่ลึกมากๆ มันเกินกว่าที่ฮาจุนจะรับไว้ แต่ในระหว่างนั้น สัมผัสทุกอย่างนั้นก็ยังรู้สึกดีมาก ดีมากจริงๆ

ฮาจุนคิดว่าท่อนเนื้อของมูคยอมจะไม่สอดใส่เข้ามาในร่างกายของตนอีกครั้งแล้ว แต่ตอนนี้ท่อนเนื้อนั้นกำลังรุกล้ำเข้ามาภายใน น้ำตาของฮาจุนหยดแหมะๆ เพราะความสุขสมที่เกิดขึ้น

“ฮึก ฮือ อา คิม มูคยอม ฮึก ดี อ๊า! ดี…!”

คำที่เคยพูดตอบเวลามูคยอมถามว่าดีหรือเปล่า ในวันนี้ฮาจุนกลับเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน ภายในหัวที่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเกิดความคิดที่ว่าไม่รู้ว่าจะได้พูดแบบนี้กับเขาอีกเมื่อไร ราวกับเป็นจิตใต้สำนึก ทำให้ฮาจุนโพล่งคำที่มักจะไม่ค่อยพูดออกมาสักเท่าไรในเวลาปกติเพราะความเขินอายออกมา

ทันใดนั้น จู่ๆ การสอดทะลวงเข้ามาในร่างกายอย่างรุนแรงก็หยุดลง จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงแขนแข็งแกร่งที่โอบรัดลำตัวเข้ามาจากทางด้านหลังอย่างกะทันหัน

เขาแรงเยอะมากจนหายใจไม่ออก เรี่ยวแรงของเขาทำให้ฮาจุนได้แต่ก้มหัวลงหายใจหอบถี่รัวเท่านั้น แกนกายฝังคาไว้สุดความลึกในร่างกายจนทั่วทั้งร่างสั่นกระตุกไปด้วยความรู้สึกที่ถูกมูคยอมสอดใส่ ต้นขาที่ถ่างออกคร่อมบนตักของมูคยอม ท้องกับหน้าอก หัวไหล่กับปลายนิ้ว จนกระทั่งปลายเท้า ทุกส่วนสั่นระริกไปหมด เสียงทุ้มต่ำกับลมหายใจร้อนและยาวแพร่ออกมาจากใบหน้าที่ฝังอยู่แถวๆ ลำคอแล้วทำให้ผิวร้อนรุ่มราวกับเตารีด

“ฮู่ว…”

ทุกครั้งที่สูดหายใจเข้าราวกับดมกลิ่น เสียงสูดหายใจฟืดฟาดทุ้มต่ำก็จะดังขึ้นจั๊กจี้หู ‘งั่ม’ มูคยอมกัดลงมาบนเนื้อที่เชื่อมจากคอไปถึงไหล่อย่างแรง

“อ๊า!”

ปกติมูคยอมชอบกัดหู คอ หรือไม่ก็ไหล่อยู่แล้ว แต่วันนี้มันเจ็บจนเสียงร้องดังออกมาโดยอัตโนมัติ

ฟันแข็งๆ กดลงมาขบกัดและครูดบนผิว ความรู้สึกเจ็บทำให้โพรงเนื้อด้านในที่ดูดกลืนท่อนเนื้อร้อนอยู่บีบรัดตัวมากยิ่งขึ้น ฮาจุนทนความเจ็บจากฟันคมซึ่งฝังลงบนผิวที่รู้สึกไวอยู่แล้วแม้ไม่ได้ทำแบบนั้นไม่ไหว เขายึดแขนมูคยอมอย่างอ่อนแรงแล้วส่งเสียงครางออกมา

“อ๊ะ เจ็บ นะ เจ็บ…”

การเคลื่อนไหวที่ขบกัดหัวไหล่ของฮาจุนอยู่เรื่อยๆ ราวกับสุนัขหยุดชะงักลงเพราะคำพูดนั้น มูคยอมคลายแขนข้างหนึ่งซึ่งโอบรัดร่างกายของเขาไว้ แล้วมือก็ไต่ขึ้นมาไล้ลำคอด้านหน้าของฮาจุนขึ้นไป

มือของมูคยอมโอบรอบคอไปจนถึงบริเวณใต้คางราวกับจะบีบ หัวที่เคยก้มลงด้านล่างเชิดเงยขึ้นโดยอัตโนมัติ

“ค่อก…”

มือของมูคยอมกดลงตรงบริเวณกล่องเสียงจึงทำให้เสียงครางที่คล้ายกับเสียงไอดังออกมา มูคยอมหยุดอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งแล้วยังคงสูดหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงทั้งที่ยังฝังใบหน้าเข้ากับลำคอของฮาจุนอยู่

‘ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ’ มือที่วางทาบบนลำคอของฮาจุนค่อยๆ ไหลลงไป จากนั้นมูคยอมก็เริ่มขยับร่างกายเช่นเดียวกับเมื่อครู่นี้ทันที

การมองเห็นมืดมิดลงเพราะความเร็วของสิ่งที่เติมเต็มภายในร่างซึ่งถอนออกอย่างลื่นไหลแล้วฝังกลับเข้ามาอีกครั้ง หูของฮาจุนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเพราะเสียงเนื้อกระทบกันหนักๆ และเสียงป้าบๆ ที่ดังขึ้นเมื่อก้นยกสูงจากการถูกกระแทกขึ้นแล้วกลับลงมากระแทกบนตักของเขา

ฮาจุนคิดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ออกแล้วจริงๆ จึงได้แต่อ้าปากตัวสั่นสะเทือนเหมือนตุ๊กตาอยู่บนร่างกายของเขา ภาพตรงหน้าของฮาจุนเหมือนมีแสงกะพริบระยิบระยับ มูคยอมสวนเอวฝังกายเข้าด้านในอย่างรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ในขณะเดียวกัน ฮาจุนก็ไปถึงจุดสุดยอดพร้อมกับหลั่งน้ำขุ่นขาวออกมาในท่านั่งอ้าขากว้าง

ก้นกับขาที่ทิ้งลงบนต้นขาแกร่งสั่นสะท้าน ตัวฮาจุนเองก็รู้สึกได้ว่าผนังด้านในกระตุกเกร็งและบีบรัดอย่างแนบแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ฮ้า อา อื๊ออ อึก…”

ท่อนเนื้อร้อนกระเด้งอย่างแรงขึ้นมาเติมเต็มช่องทางรักจากด้านหลังของร่างกาย แน่นอนมูคยอมเองก็ปลดปล่อยน้ำกามออกมาอย่างเต็มที่เช่นกัน

ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่ฮาจุนรับของเหลวจากร่างกายของมูคยอมเข้ามาในร่างของตน แต่สัมผัสร้อนๆ นั้นทำให้ใจของเขาผ่อนคลายลงมากจริงๆ ฮาจุนขมิบรัดพลางกดเอวลงด้านล่างราวกับต้องการรับสิ่งนั้นเข้ามาให้ลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลำคอด้านหลังรู้สึกจั๊กจี้จากลมหายใจหอบกระชั้นของมูคยอมที่เสร็จมสม มือของมูคยอมออกแรงบีบเค้นเอวของฮาจุนแน่นราวกับจะทำให้หัก

แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้ฮาจุนผู้สติหลุดลอยได้เพลิดเพลินไปกับความหฤหรรษ์เมื่อไปถึงจุดหมายสักเท่าไร เพราะเพียงครู่เดียว มือของมูคยอมที่เคยยึดเอวเขาไว้อย่างแน่นหนาราวกับกักบริเวณกลับจับตัวเขายกขึ้น

เมื่อท่อนเนื้ออวบที่ยังไม่อ่อนตัวลงไถลออกจากด้านในและสิ่งที่เคยเติมเต็มช่องทางรักกลับหายไป ของเหลวที่รับเข้ามาในช่องทางซึ่งยังไม่หดตัวลงก็ไหลออกมาจนย้อยไปตามด้านในขา

“อ๊า ฮา อา…”

ฮาจุนตัวสั่นสะท้านในมือของมูคยอมและยังไม่สามารถควบคุมร่างกายที่สั่นระริกเพราะคลื่นความสุขสมได้ แต่มูคยอมกลับดีดตัวขึ้นแล้วจับฮาจุนให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ตนเคยนั่ง

ร่างเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์ปกคลุมแม้แต่ชิ้นเดียวของฮาจุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ในท่าไม่เรียบร้อย ฮาจุนเหม่อมองด้านในต้นขาของตัวเองซึ่งกำลังกระตุกเกร็งตามอำเภอใจราวกับเป็นร่างกายของคนอื่น จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองมูคยอมอย่างไร้เรี่ยวแรง มูคยอมหันหลังไปแล้วและกำลังค้นของในกระเป๋าซึ่งถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ เขาเอาทิชชู่เปียกสำหรับเล่นกีฬาซึ่งมักจะพกไปไหนมาไหนเสมอออกมาจัดการกับด้านหน้าของตัวเอง จากนั้นเสียงรูดซิปกางเกงก็ดังขึ้น

เขาสะพายกระเป๋าขึ้นพาดไหล่โดยไม่หยุดหายใจหายคอเลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นก็หันมาทางฮาจุน มูคยอมก้าวฉับๆ เข้ามาค้อมหลังลงเล็กน้อยแล้วยืดกลับขึ้นตามเดิม ตรงกลางระหว่างต้นขาที่แยกออกกว้างซึ่งเคยวางเจลให้ตอนเริ่ม ครั้งนี้เปลี่ยนมาวางทิชชู่ลงให้แทน

ฮาจุนเบนสายตามองตามมือของเขาครู่หนึ่ง แล้วตอนนี้ก็ทำได้แค่เพียงเงยหน้ามองเขาอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้น ใบหน้าของมูคยอมที่เคยไร้อารมณ์ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น ไม่ใช่ทั้งรอยยิ้มหยอกล้อซึ่งเขามักจะยิ้มอยู่บ่อยๆ ในเวลาปกติ และไม่ใช่ทั้งรอยยิ้มยโสเหมือนดูถูกคนอื่น เขาหัวเราะเสียงทุ้มต่ำราวกับน้ำเสียงไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา

“ในทีมมีคนที่ช่วยสนองให้ทันทีก็เลยสบายเลยนะเนี่ย พอแข่งเสร็จปั๊บก็อยากทำที่สุดเลย ปกติฉันไม่ได้เสร็จเร็วขนาดนี้หรอกใช่ไหมล่ะ”

“…”

“หรือว่านี่เป็นวิธีส่วนตัวของโค้ชอีฮาจุนในการดูแลนักกีฬาหรือเปล่า ไม่ใช่โค้ชผู้มีประสบการณ์ทำงานยาวนานด้วยซ้ำ มันก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้ทุกคนพากันชอบนายถึงขนาดนั้นสิ”

มูคยอมถอนหายใจเบาๆ พลางกลอกตา

“จัดการเองคนเดียวได้ใช่ไหม”

มูคยอมพูดแบบนั้นเป็นอย่างสุดท้ายแล้วเดินไปทางประตู ฮาจุนปิดปากเงียบแล้วได้แต่มองไปตรงจุดที่เขาเคยยืนอยู่โดยไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ ‘แกร๊ก’ เมื่อเสียงประตูถูกเปิดออกดังขึ้นมา ฮาจุนถึงได้เรียกเขาอย่างรวดเร็ว

“คิมมูคยอม”

“…ทำไม”

มูคยอมจับลูกบิดและไม่แม้แต่จะหันหลังมามอง ฮาจุนมองภาพด้านหลังของเขา จากนั้นจึงยันพนักเก้าอี้แล้วพยายามเหยียดขาอันไร้เรี่ยวแรงให้ตั้งตรงเพื่อยืนขึ้น

“คุยกันหน่อยสิ… ฉันไม่ได้เรียกนายให้มาเจอกันเพื่อมีเซ็กส์อย่างเดียวนะ”

“บอกตั้งแต่แรกแล้วนี่ ในความสัมพันธ์ของฉันกับนาย นอกจากเรื่องนี้แล้วจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องอะไรกันอีกหรือไง”

ไม่มีจังหวะจะให้ฮาจุนได้พูดเพิ่มเติมอะไรอีก ทันทีที่มูคยอมพูดจบ เขาก็เปิดประตูออกกว้างแล้วเดินออกไปจากห้องรับรองทั้งอย่างนั้น

ความรู้สึกตกใจที่ได้ยินคำพูดอันไม่คาดคิด และความรู้สึกงงงวยไปชั่วขณะเพราะตัวเองทำท่าทีต่างกับที่ตั้งใจไว้ เมื่อความรู้สึกทั้งสองถาโถมเข้าใส่ การยอมรับข้อเสนอของมูคยอมจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้น ที่จะคุยกัน เอาไว้หลังจากทำเรื่องที่มูคยอมต้องการก่อนก็ยังไม่สาย หากดูจากประสบการณ์ หลังจากมีเซ็กส์กันแล้ว มูคยอมจะค่อนข้างอารมณ์ผ่อนคลาย เพราะฉะนั้นค่อยคุยกันตอนนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้

แต่พอเอาเข้าจริง มูคยอมซึ่งเป็นคนเอ่ยปากชวนกลับมีสีหน้าไม่ยินดีอะไรขนาดนั้นกับการยินยอมของฮาจุน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่จ้องฮาจุนเขม็งทั้งที่ยังยืนสะพายกระเป๋าอยู่หน้า

ชวนให้ทำก็เลยบอกว่าจะทำ แล้วไม่ชอบใจอะไรอีกแล้วล่ะ ฮาจุนสังเกตท่าทีของเขาอยู่ตรงหน้า เหมือนเดี๋ยวนี้จะเริ่มรู้ถึงความคิดของคิมมูคยอมก็จริง คิดว่าตัวเองคุ้นเคยมากๆ กับการหาคำตอบให้ตรงกับโจทย์ที่เขาตั้งขึ้นมา แต่วันนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น เรื่องนี้เข้าใจยากมากเกินไป

“ถ้างั้นก็ถอด”

มูคยอมเดินก้าวเท้าหนักๆ เข้ามาวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะเสียงดังตึงด้วยความรู้สึกสับสนพลางพูดซ้ำ

ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย จู่ๆ มูคยอมก็เมินเฉยใส่กันโดยไม่แม้แต่จะบอกเหตุผล ท่าทีของเขามันกะทันหันมากเกินไปจนใช้เวลาสักพักกว่าจะยอมรับได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับน่างุนงงมากกว่าหลายเท่า

ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็รีบถอดกางเกงกับชั้นในลงแล้วเหลือบมองมูคยอม เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้าย มือที่เลิกเสื้อเชิ้ตขึ้นจนสุดก็สั่นเล็กน้อย ในขณะที่ฮาจุนถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เขากลับไม่ถอดอะไรเลยแม้แต่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว

“ขึ้นไป”

คำสั่งรอบที่สองทำให้ฮาจุนยกก้นขึ้นนั่งพาดกับโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังอย่างซวนเซ ความเย็นจากไม้เคลือบเงาสัมผัสลงบนผิวเปลือยเปล่าที่ร้อนรุ่มกว่าปกติจนทำให้ขนลุกเกรียว

ประสาทสัมผัสของฮาจุนเหมือนรู้สึกได้ถึงความเย็นในตอนนั้นอีกครั้ง ตอนที่ฮาจุนถูกมูคยอมลากตัวไปแล้วจับนอนลงบนโต๊ะ ในวันที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนกเล็กน้อยเพราะนึกว่าไฟไหม้ ฮาจุนเวียนหัว ท้องไส้ก็รู้สึกปั่นป่วน เขานึกสงสัยว่าจะทำให้มูคยอมพอใจได้หรือไม่ แต่วันนั้นเขาก็อดทนเพราะอยากกลับมาได้รับความใจดีจากมูคยอมในสถานะที่เคยทำข้อตกลงกันเช่นเดิม

มันต่างกับตอนนั้น แม้รู้ว่าสภาพร่างกายแย่ลงแต่ก็ยังฝืนตัวเอง แต่สุดท้ายแล้ว กระทั่งในวันนั้นซึ่งเขาทนไม่ไหวก็ยังไม่ได้รู้สึกแบบนี้เลย

จะมีเซ็กส์กันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่บรรยากาศรอบตัวมูคยอมออกจะ… น่ากลัวไปสักหน่อย

มูคยอมเปิดประเป๋าหยิบเจลออกมา เขาก้มลงมองเจลในมือครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้โต๊ะแล้ววางมันลงตรงหว่างขาของฮาจุนซึ่งนั่งอยู่ ดวงตาสีดำกลอกมองตามการเคลื่อนไหวของมือตัวเองแล้วหยุดลงที่เจล มูคยอมพูดขึ้น

“นายขยายเองสิ”

“…”

“ก่อนหน้านี้ก็เคยให้ดูครั้งหนึ่งนี่ ของแถมไง”

มูคยอมปล่อยมือออกจากเจลที่วางไว้แล้วลากเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ โต๊ะมานั่ง เขาจับพนักพิงมาไว้ด้านหน้าแล้วนั่งเท้าแขนลงบนนั้น จากนั้นก็ก้มตัวลงพร้อมกับพูดขึ้น

“ที่วันนั้นทำแล้วเลิกไป ลองทำซะวันนี้สิ ฉันเพิ่งแข่งเสร็จมา จะเตรียมให้ก็เหนื่อยน่ะ”

‘ของแถมงั้นเหรอ’ ตัวเขาเคยทำแบบนั้นเมื่อไรกันนะ ฮาจุนนึกย้อนไปในความทรงจำเพราะคำบอกเล่าที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย จากนั้นจึงนึกถึงวันที่มูคยอมเคยพูดแบบเดียวกันขึ้นมาได้อย่างเลือนราง

จำได้ว่าเป็นตอนที่มีเซ็กส์กันครั้งที่สอง วันที่บอกว่าไม่เป็นไรไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แล้วมีเซ็กส์กับเขาครั้งแรก สัมผัสที่เหมือนกับด้านหลังถลอกและฉีกขาดมันเจ็บมากเกินกว่าที่เคยจินตนาการไว้ เพราะอย่างนั้น ก่อนถึงครั้งที่สอง เขาจึงหาข้อมูลพอสมควรแล้วเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า

แน่นอนว่าตอนนั้นเขาสอดนิ้วเข้าทางด้านหลังเพราะคิดว่าต้องทำด้วยตัวเอง ตอนนี้ถึงเพิ่งนึกออกว่ามูคยอมเคยพูดเรื่องของแถมอย่างนู้นอย่างนี้ พอตอบว่าถ้าไม่ขยายออกก่อนก็จะเจ็บ มูคยอมก็ทำท่าโกรธฮึดฮัดพร้อมกับพูดว่าก็บอกมาสิ ทำไมต้องทำเหมือนประท้วงด้วย หลังจากนั้นเป็นต้นมา มูคยอมก็คอยขยายให้ตลอด เขาจึงลืมเรื่องนี้ไป

ฮาจุนก้มลงมองหลอดกึ่งโปร่งแสงที่วางอยู่ตรงหว่างขาของตัวเองแล้วหยิบมันขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ‘ป๊อก’ เสียงเปิดฝาพลาสติกดังก้องเป็นพิเศษภายในห้องอันเงียบงัน เขาบีบของเหลวหนืดๆ ไร้สีสันใส่มืออีกข้างเป็นทาง บีบไม่หยุดจนคิดว่าเยอะเกินไปหรือเปล่า

ตอนนั้นฮาจุนไม่นึกอายเพราะคิดว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องทำอย่างแน่นอน แต่วันนี้กลับรู้สึกกระดากอายในเรื่องที่เคยทำเมื่อวันก่อนๆ ขึ้นมาแบบที่ไม่เคยเป็น เมื่อเจลเยอะจนล้นอยู่บนมือ ฮาจุนจึงวางหลอดนั้นลง

ฮาจุนก้มลงมองมือเฉอะแฉะเป็นเงาวาววับด้วยแววตาลุกลน จากนั้นก็ขยับมือลงไปยังจุดที่อยู่ลึกตรงระหว่างขาอย่างเชื่องช้า

“…ฮึก…”

ของเหลวหนืดและเย็นที่เพิ่งบีบลงบนมือสัมผัสลงตรงจุดที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดที่สุดในร่างกาย

ทั้งโต๊ะ ทั้งเจล ทุกอย่างที่สัมผัสกับร่างกายของเขาช่างเย็นเยียบ ร่างกายที่เคยร้อนรุ่มและคึกคักเพราะความเร่าร้อนจากชัยชนะจนถึงเมื่อครู่นี้กลับเย็นลงราวกับไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ไม่ใช่แค่มือ แต่ฮาจุนรู้สึกเหมือนกับว่าทั่วทั้งร่างกายของเขากำลังสั่นขึ้นทีละนิด

ฮาจุนให้เจลลื่นๆ ช่วยนำพานิ้วให้แหวกเข้าไปในร่างกายหนึ่งนิ้ว และสองนิ้วตามลำดับ แม้เป็นนิ้วของตัวเขาเองแต่กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยราวกับเป็นของคนอื่น ภายในร่างกายซึ่งถูกปิดไว้และไม่ได้รับการรุกล้ำมานาน ผนังด้านในที่ร้อนและชื้นแฉะกำลังบีบหดตัวอย่างเชื่องช้าราวกับจะดันสิ่งที่รุกล้ำเข้ามาให้หลุดออกไป

‘ไม่ใช่อันนี้ ผิดแล้ว’

ร่างกายของตัวเองเหมือนกำลังเตือนเขาแบบนั้น บอกว่าเขาเองก็รู้ ว่าสิ่งที่ควรต้องเข้ามาในตัวเขาไม่ใช่สิ่งนี้ เสียงครางเล็ดลอดออกมา ไม่ใช่เพราะรู้สึกดีแต่เป็นเพราะมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้าไป

“อึก อา…”

ฮาจุนกำลังแหวกขาแล้วใช้มือของตัวเองสอดใส่เข้าไปในช่องทางด้านหลังอยู่ตรงหน้า มูคยอมเพียงแค่นั่งมองฮาจุนโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา ราวกับกำลังประเมินหรือไม่ก็สังเกตการณ์อยู่

เพราะไม่เคยทำแบบนี้อย่างจริงจังเลยสักครั้งก็ต้องเก้ๆ กังๆ ไม่น้อยอยู่แล้ว มือของมูคยอมใหญ่กว่าของฮาจุนอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาสูงต่างกันประมาณสิบเซนติเมตร แต่น้ำหนักตัวกลับต่างกันยิ่งกว่า เพราะอย่างนั้นแน่นอนว่าสัมผัสของกล้ามเนื้อมูคยอมย่อมแตกต่างกับฮาจุนตั้งแต่เค้าโครงร่างกายแล้ว

มือก็ใหญ่กว่า นิ้วก็ยาวและหนากว่า มือของมูคยอมห้อยอยู่บนพนักพิงเก้าอี้อย่างนิ่งเฉย ฮาจุนส่งสายตาไปมองที่มือของเขาโดยไม่รู้ตัว

ถึงแม้ว่าจะถูกมือใหญ่ขนาดนั้นสอดใส่เข้ามา แต่เมื่อเป็นมูคยอมที่สัมผัสกับด้านหลัง ช่องทางที่เคยปิดสนิทก็จะอ่อนนุ่มขึ้นทันที ไม่รู้ว่าเขาหาจุดที่ทำให้รู้สึกได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ทั่วทั้งร่างจึงร้อนรุ่มขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อมือใหญ่ๆ ของเขาเข้ามาจนเกือบหมดทุกนิ้วแล้วขยับเข้าออก มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแต่กลับดีเสียจนดวงตาพร่ามัว

เป็นร่างกายของตัวเขาเอง แน่นอนว่าเขาควรจะต้องรู้เกี่ยวกับภายในร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดีมากกว่ามูคยอมแต่มือของเขากลับไม่สามารถทำให้ร่างกายร้อนรุ่มขึ้นได้ แม้สอดเข้าไปจนสุดนิ้ว มันก็เข้าไปไม่ถึงจุดที่ลึกเท่ากับตอนที่มูคยอมทำให้ และถึงแม้จะลองบีบเค้นทั่วทุกจุดแล้ว ความสุขสมเหมือนตอนมูคยอมสัมผัสก็ไม่ก่อตัวขึ้นเลย

“อา อึก”

เมื่อบรรยากาศตึงเครียดและกดดันทำให้ร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจต้องการ ฮาจุนจึงใจร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุด การขยับนิ้วของฮาจุนก็รุนแรงขึ้น

อย่างไรซะ มันก็แค่ขั้นตอนขยายช่องทางให้เปิดออกก่อนสอดใส่แกนกายเข้ามาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจะรู้สึกดีหรือไม่ดี แค่บรรลุตามเป้าหมายก็พอแล้ว เมื่อฮาจุนหมุนข้อมืออย่างแรงด้วยความเลินเล่อทั้งที่ยังสอดนิ้วเข้ามาอยู่ น้ำตาของเขาก็คลอขึ้นเต็มหน่วยในชั่วพริบตาเพราะความเจ็บปวดจากช่องทางด้านหลังที่ถูกฝืนให้แยกออกกว้าง

มูคยอมลุกพรวดขึ้นแทบจะในขณะเดียวกันกับการกระทำนั้น เขาก้าวฉับๆ เข้ามาถึงตัวฮาจุนด้วยฝีเท้าเพียงไม่กี่ก้าวแล้วฉวยข้อมือของฮาจุนออกไป นิ้วมือที่เติมเต็มภายในร่างกายหลุดออกอย่างรวดเร็ว

เป็นเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่ปากช่องทางและโพรงเนื้อด้านในที่ถูกรุกล้ำตามอำเภอใจกลับเจ็บแสบ ฮาจุนดิ้นเบาๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองมูคยอมทั้งที่ถูกจับข้อมือไว้ เขาขมวดคิ้วมองฮาจุนราวกับสับสนเล็กน้อย มูคยอมเผยอปากขึ้นนิดหน่อยราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแล้วหลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาจึงพูดเชิงต่อว่าออกมา

“…นายทำอะไร แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวยังทำแบบถูกวิธีไม่ได้อีกเหรอ”

‘ใช่ ฉันทำไม่ได้ ทุกวันนายทำให้ แล้วจู่ๆ จะให้ทำเก่งๆ ได้ยังไงล่ะ’

แต่เพราะบรรยากาศดูไม่ควรตอบแบบนั้นออกไป ฮาจุนจึงกล้ำกลืนเสียงบ่นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาไว้ในใจ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่ฮาจุนได้ฟังคำว่ากล่าวจากเขาตอนหลับนอนกัน มูคยอมตรวจดูปากช่องทางอย่างระมัดระวังแล้วบ่นพึมพำออกมา

“มันบวมก่อนจะใส่เข้าไปอีกนะ”

มูคยอมจิ๊ปากแล้วก้มลงมองฮาจุน ไม่นานก็เบนสายตาไป ครั้งนี้ฮาจุนก็ยังคงไม่สามารถอ่านสีหน้าของเขาได้

รู้สึกคล้ายกับมูคยอมตอนเจอที่สนามฝึกนอกสถานที่อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน มูคยอมในวันนั้นโกรธฮาจุน เพราะตกใจที่เห็นเขาเดินริมทะเลตอนกลางคืน ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว มูคยอมจะส่งยิ้มมาให้เขาทีหลังราวกับความโกรธนั้นมันปลิวหายไปอย่างรวดเร็วก็ตาม…

มูคยอมในตอนนี้ดูคล้ายกับตอนนั้นแต่ก็ยังแตกต่าง รู้สึกเหมือนว่าเขาโกรธ แต่กลับไม่รู้สึกว่าความโกรธนั้นมีต่อตัวฮาจุนเลย รู้สึกเหมือนคนที่จิตใจบอบช้ำแต่แกล้งทำเป็นโกรธด้วย ถ้าไม่ใช่แบบนั้น…

“อ๊ะ!”

ฮาจุนกำลังมองใบหน้าของมูคยอมพร้อมกับลองอ่านสีหน้าของเขา แต่แล้วความคิดของฮาจุนก็แตกกระเจิงในชั่วพริบตา ริมฝีปากของมูคยอมสัมผัสลงมาเหนือเข่าที่ตั้งชันไว้ บนขาที่ยังอ้าค้างไว้อยู่ ริมฝีปากลื่นกับลิ้นที่แตะลงมาไล้เลียลงบนผิวอย่างกะทันหันส่งผ่านสัมผัสวาบหวามไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็วพร้อมกับครอบงำร่างกายของฮาจุน

ริมฝีปากของมูคยอมสัมผัสลงบนหัวเข่าแล้วซอกซอนเข้าไปจนถึงต้นขาด้านในราวกับน้ำที่ไหลไปเรื่อยอย่างไม่หยุดพัก เขาแลบลิ้นออกมาครึ่งหนึ่งแล้วกดลิ้นลงไล้เลียผิวขาวผ่องนุ่มนิ่ม มูคยอมทิ้งร่องรอยชื้นแฉะไว้บนผิวที่เขาเคลื่อนผ่านไปราวกับจุดที่หอยทากคลานผ่าน

มูคยอมหยุดเคลื่อนริมฝีปากเป็นครั้งคราว เมื่อเขาหยุดแล้วดูดดุนผิวเนื้อตรงตำแหน่งเดียวย้ำๆ ตรงนั้นก็รู้สึกราวกับมีประกายไฟเล็กๆ ดีดเปรี๊ยะๆ กระเด็นออกมาจากกองไฟ ขาที่ถูกยึดไว้สั่นระริก

“อา อือ… อึก”

มูคยอมดูดดึงเนื้อด้านในต้นขาอยู่พักหนึ่งแล้วจึงประทับริมฝีปากลงไปเหนือพื้นที่ตรงนั้น จากนั้นริมฝีปากที่คลอเคลียร่างกายอย่างเชื่องช้าจึงปัดผ่านกระดูกเชิงกรานแล้วสัมผัสลงตรงหน้าท้อง ริมฝีปากและลิ้นของมูคยอมดูดดุนผิวบริเวณนั้นอีกครั้งพลางสัมผัสอย่างนุ่มนวลแล้วขยับต่อจนมาถึงหน้าอก

ฮาจุนเอนตัวลงนอนบนโต๊ะตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดก้มลงมองภาพของคนที่ซุกหน้าลงตรงหว่างขาของตัวเองพร้อมกับหลับตาคลอเคลียพื้นผิวเหนือร่างกายของตน เมื่อมูคยอมเกร็งลิ้นกดขยี้ลงบนยอดอก ภาพตรงหน้าก็พร่ามัวแล้วเอวของเขาก็กระเด้งขึ้นตั้งแต่ตอนนี้

ตอนสอดใส่และควานเข้าไปด้วยมือของตัวเอง ร่างกายของเขาได้แต่สงบนิ่ง แต่แล้วสัมผัสจากมูคยอมซึ่งไม่ได้รับมานานก็ทำให้ร่างกายจอมเจ้าเล่ห์ตอบสนองอย่างรวดเร็ว บรรยากาศไม่ได้ดีขนาดนั้นแต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกมากเกินไปจนน่าอาย ฮาจุนกัดฟันกลั้นเสียงครางแต่พอมูคยอมโฉบริมฝีปากครอบวงปานหน้าอกพร้อมดูดดุนจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบ ความพยายามของฮาจุนก็พังทลายลงอย่างสูญค่า

“อื๊อ! ฮา อ๊า!”

น้ำเสียงที่เร่าร้อนอย่างเต็มที่ถูกเปล่งออกมานอกริมฝีปากอย่างเมินเฉยต่อความกระดากอาย ลิ้นกับริมฝีปากของมูคยอมสลับไปมาระหว่างเม็ดเล็กสองข้างพร้อมหยอกเย้าดูดดึงและใช้ฟันขบย้ำ เมื่อการกระตุ้นอย่างรุนแรงทำให้รู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อยจนบิดร่างกายท่อนบนโดยไม่รู้ตัว ลิ้นของมูคยอมก็แผ่ออกไล้เลียเหนือจุดที่ขึ้นสีแดงจัดอย่างอ่อนโยน

เช่นเดียวกับที่ฮาจุนคาดไม่ถึงกับข้อเสนอของเขา วันนี้ก็ไม่ได้จินตนาการไว้ว่าจะได้รับสัมผัสอันอ่อนโยนแบบนี้จากเขาเช่นกัน ในขณะที่ฮาจุนดิ้นพล่านอย่างไร้สติ ปลายนิ้วลื่นของมูคยอมซึ่งไม่รู้ว่าทาเจลตั้งแต่เมื่อไรก็คลำอยู่เหนือปากช่องทาง

ส่วนคับแคบบวมขึ้นเล็กน้อยเพราะใช้มือตัวเองควานเข้าไปอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้ ปลายนิ้วโป้งทู่ๆ กดนวดลงบนส่วนนั้นอย่างเชื่องช้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในระหว่างที่ทำแบบนั้น มูคยอมซึ่งไม่ได้พูดอะไรมาพักหนึ่งจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่เจ็บ…เหรอ”

วิธีการพูดของเขาฟังดูสงสัยและลังเลราวกับกำลังถามเรื่องที่ไม่ควรถาม ฮาจุนส่ายหน้า

“ไม่เจ็บ ไม่เลย”

เพียงแค่บวมนิดเดียวเท่านั้น ไม่แม้แต่จะเจ็บแสบและไม่มีกระทั่งความปวดร้อน คำตอบนั้นทำให้มูคยอมทอดสายตามองใบหน้าของฮาจุน

ในวันนี้ แม้ว่าจะลูบไล้เล้าโลมให้แต่มูคยอมก็ไม่ยอมสบตาง่ายๆ ฮาจุนมองเหม่อสบตาเขาซึ่งทอดมองมาหลังจากที่รออยู่นาน ความหวาดกลัวชั่วขณะซึ่งรู้สึกได้ในตอนแรกปลิวหายไปหมดแล้วเมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ ฮาจุนคิดว่าเขาตั้งใจสะสางความสัมพันธ์หลังจากที่อะไรบางอย่างทำให้เขาไม่ชอบตนเองขึ้นมาแล้วจู่ๆ ก็เมินเฉยใส่กัน แต่ไม่ว่าภายในใจจะเป็นเช่นไร ชายคนนี้ผู้ซึ่งสัมผัสตัวฮาจุนอยู่ในความเป็นจริง ยังคงเป็นคิมมูคยอมผู้คุ้นเคยซึ่งไม่จำเป็นจะต้องหวาดกลัวคนเดิม

นิ้วโป้งทู่ๆ ที่เคยลูบคลำตรงปากช่องทางผละออกไปครู่หนึ่ง แล้วนิ้วหนายาวก็เริ่มสอดแทรกเข้ามาด้านในอย่างเชื่องช้า มันสร้างสัมผัสวาบหวามด้านในโพรงเนื้อจนขนลุกและรู้สึกได้ถึงข้อนิ้วนูนราวกับตาเห็น เมื่อนิ้วที่แทรกเข้ามาจนสุดโคนออกแรงเล็กน้อยแล้วกดลงตรงผนังด้านใน ตรงเอวก็เสียววาบขึ้น ริมฝีปากฮาจุนอ้าออกตามแรงอารมณ์

“ฮ้า! อา อ๊า…!”

สะโพกของฮาจุนเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ปลายเท้าที่ยกขึ้นวางอยู่ขอบโต๊ะในท่าอ้าขาค่อยๆ จิกเข้าหากัน ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วกับตอนที่สอดนิ้วของตัวเองเข้าไปทำให้ลมหายใจที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอ้าร้อนขึ้นในชั่วขณะเดียว

เมื่อนิ้วที่เลอะเจลจนชุ่มแทรกเข้ามา ไม่นานเสียงของเหลวเหนียวแฉะก็ดังขึ้นจากด้านล่าง แผ่นหลังของฮาจุนแนบไปกับโต๊ะอย่างเต็มที่ โต๊ะที่เย็นจนทำให้ตัวของเขาเย็นไปด้วยในตอนแรก ตอนนี้กลับกำลังอุ่นขึ้นเพราะอุณหภูมิร่างกายของฮาจุน

จำนวนนิ้วที่สอดใส่เพิ่มเป็นสองนิ้ว และสามนิ้วโดยไม่มีคำเตือนใดๆ นิ้วที่ขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้าในตอนแรก ตอนนี้กลับขยับไปจนถึงข้อมือแล้วสั่นสะเทือนไปทั้งโพรงเนื้อด้านในจนเกิดเสียงน่าอาย

“อา อึก! อือ… อึ ฮึก…”

เสียงบดบี้ดังออกมาอย่างหยุดไม่อยู่พร้อมกับปลายนิ้วที่กระทุ้งช่องทางรัก ขาไร้เรี่ยวแรงราวกับกล้ามเนื้อด้านในต้นขาที่แยกกว้างหลอมละลายหายไปหมด ฮาจุนจึงต้องจิกเท้าที่ยกขึ้นไว้ตรงขอบโต๊ะ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น ขาน่าจะสั่นจนลื่นตกลงไปด้านล่าง

‘ทำไมมือของฉันเองถึงไม่ได้แบบนี้นะ อันนี้ก็เป็นเพราะชำนาญต่างกันเหรอ’

ในตอนที่สมองอันมึนเบลอเสี้ยวหนึ่งคิดเรื่องไร้สาระแบบนั้น ปลายนิ้วของมูคยอมก็กดเน้นลงมาตรงจุดรวมความรู้สึกอย่างรุนแรง ความสุขกระสันระเบิดออกมา ในขณะเดียวกัน ความคิดที่เคยอยู่ในหัวก็ไหลออกไปพร้อมเสียงอ่อนระโหย

“อะ อา ฮึก! คิม มูคยอม มือนาย ดี…”

“…บ้าเอ๊ย เงียบปากซะ”

มูคยอมถอนหายใจพลางพึมพำแล้วถอนมือออก เมื่อสิ่งที่สั่นคลอนภายในร่างกายถูกเอาออกไปตามใจชอบ ความแจ่มชัดก็ค่อยๆ กลับมาในหัวของฮาจุนซึ่งเลือนรางราวกับมีหมอกปกคลุม

มูคยอมกำลังดึงกางเกงด้านหน้าลง ท่อนเนื้อใหญ่ซึ่งตื่นเต็มตัวในขณะที่สัมผัสและไล้เลียฮาจุนดีดตัวออกมาชูชันขึ้นไปทางหน้าท้อง เป็นภาพที่เห็นอยู่ตลอด แต่คงเพราะคิดว่าจะไม่ได้เห็นภาพมูคยอมเกิดความใคร่ในตัวเขาอีกครั้งแล้ว ฮาจุนจึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดเพราะข้อเท็จจริงที่ว่ามูคยอมแข็งตัวขึ้นอย่างเต็มที่

การแข่งขันภาคฤดูร้อนถูกจัดขึ้นในช่วงเย็นซึ่งพระอาทิตย์อันร้อนระอุได้คลายความร้อนลงบ้างแล้ว

หลังการหยุดพักชั่วคราวในหน้าร้อนซึ่งจะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว สนามกีฬาที่ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อนจากการเชียร์ในระดับที่แสงแดดตอนกลางวันช่วงกลางฤดูร้อนยังอาย เสียงกู่ร้องและเสียงเพลงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวออกมาอย่างต่อเนื่องจากด้านในสนามกีฬากว้างขวาง และเสียงร้องตะโกนกับเสียงอุทานด้วยความประทับใจก็ไม่ได้ดังออกมาจากฝั่งของผู้ชมเท่านั้น

“ไม่ใช่มนุษย์แล้ว”

“บ้าจริงๆ บ้ามากๆ”

พวกนักกีฬาตัวสำรองซึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งอุทานออกมา อีกทั้งยังพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ฮาจุนเห็นด้วยกับคำพูดนั้นในใจแล้วจ้องมองไปยังสนามเบื้องหน้าโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

จนถึงตอนก่อนแข่งวันนี้ สตาฟของทีมซิตี้โซลก็ดูเหมือนยังหยุดความกังวลไม่ได้ สาเหตุเกิดจากตัวทำคะแนนตำแหน่งกองหน้าซึ่งสองสามวันมานี้ เขาเลิกงานไปด้วยใบหน้าแข็งตึงโดยไม่มีการพูดคุยแบบที่ควรจะเป็นเลยสักคำเดียว เขาไม่ได้ทำท่าขี้เกียจฝึกซ้อมหรืออู้งานก็จริง แต่ท่าทางที่ใครมองมาก็รู้ว่าฟอร์มตกทำให้กลุ่มโค้ชทุกคนต่างพากันกังวลเรื่องความเล่นเข้าขากับทีม และความสามารถในการแข่งขันของเขา

แน่นอนว่าฮาจุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาครุ่นคิดอยู่คนเดียวเมื่อครั้งก่อน หลังจากนั้นจึงปรึกษากับคนอื่นๆ แล้วถอนตัวออกจากการฝึกของมูคยอม แน่นอนว่าเขาไม่ได้อธิบายเรื่องหยุมหยิมกับคนอื่นว่า ความสัมพันธ์แบบคู่นอนของเขากับมูคยอมจบลงแล้ว มูคยอมจึงดูเหมือนไม่อยากเห็นหน้าเขา เพราะอย่างนั้นให้เขาออกจากโปรแกรมฝึกซ้อมของมูคยอมจะดีไหม

เขาเพียงแค่เสนอแนะว่าเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการฝึกซ้อมของมูคยอมสักเล็กน้อยน่าจะดีกว่าหรือเปล่า จากนั้นก็ให้โค้ชคนละกลุ่มกับตอนปกติคอยเฝ้าสังเกตเขามากขึ้นอีกหน่อย ฮาจุนทั้งลองปรึกษากับคนอื่นๆ แล้วเปลี่ยนโปรแกรมฝึกซ้อม ทั้งไปขอร้องพ่อครัวแม่ครัวร้านอาหารให้ทำอาหารที่มูคยอมชอบ

ทว่าเปล่าประโยชน์ ถึงแม้จะพยายามหลายๆ อย่างแต่ท่าทางของมูคยอมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก พอคนอื่นพากันถอนหายใจออกมา ฮาจุนก็จะนึกถึงมูคยอมในสมัยเด็กตอนอยู่คนเดียวขึ้นมาด้วย คิมมูคยอมในวัยสิบหกปี หากคนอื่นทำให้อารมณ์ไม่ดีแค่เพียงนิดเดียว เขาก็จะแยกตัวออกไปจากสนามฝึก และถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าผู้จัดการทีมหรือพวกรุ่นพี่ เขาก็ยังคงนอนหลับหรือไม่ก็ใส่หูฟังฟังเพลงด้วยใบหน้าขมึงตึงอยู่ทุกวันอย่างหน้าตาเฉย

‘ผ่านไปสิบปีแล้ว นายยังเป็นแบบเดิมอยู่ได้ยังไงนะ’

ฮาจุนคิดแบบนั้นแล้วหัวเราะคิกคัก แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อคิดมาถึงเรื่องที่ว่ากระทั่งตอนนั้นก็ยังเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเขา แต่ช่วงนี้กลับไม่เห็นเลย ความรู้สึกของฮาจุนก็พลันหนักอึ้งขึ้นมายิ่งกว่าเดิม

‘อย่างน้อยถ้าหากผู้จัดการทีมพัคเป็นคนคุมทีมอยู่ตอนนี้ล่ะก็…’ มีคนเสนอความคิดเห็นว่าให้ลองปรึกษากับผู้จัดการทีมพัคดูเหมือนกัน แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ทำตามนั้นเพราะมีเสียงคัดค้านว่าอาจจะไปสร้างความกังวลใจให้คนที่ยังคงพักฟื้นร่างกายเปล่าๆ

“เฮ้ยๆๆ อย่างงั้น! ยิงเลย ยิงเข้าไปเลย!”

ฮาจุนจดจ่ออยู่กับการแข่งขันตรงหน้า โดยมีเพลงประกอบฉากเป็นเสียงกระตุ้นปนเสียงเชียร์จากโค้ชคนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องราวในระหว่างนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เรื่องน่าตกใจมันเริ่มต้นต่อจากเสียงนกหวีดซึ่งบอกให้รู้ว่าการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้วต่างหาก

มูคยอมซึ่งลงสนามในวันนี้มีสภาพร่างกายและจิตใจสมบูรณ์แบบ ต่างจากความเครียดและความกังวลของคนอื่น ไม่สิ การเคลื่อนไหวร่างกายของเขากลับเฉียบคมและแม่นยำกว่าตอนปกติเสียด้วยซ้ำ บอกว่าท่าทางของเขาดูโหดเหี้ยมก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย

บอลจากฝ่ายคู่แข่งพุ่งขึ้นสูงกลางอากาศแล้วร่วงลงพื้นโดยไม่มีใครแย่งชิงที่จะโหม่งมัน ลูกบอลถูกเตะสลับไปมาไม่มีหยุดระหว่างเท้านักกีฬาหลายๆ คน แต่แล้วก็ถูกเท้าของฝ่ายตั้งรับเตะอย่างแรงจนลอยไปทางเส้นประตู ลูกบอลลอยข้ามเส้นไปทำให้ทีมซิตี้โซลได้สิทธิ์ในการเตะมุม

ผู้เตะมุมตั้งอกตั้งใจเตะลูกให้ลอยขึ้นไปเพื่อไม่ให้บอลพุ่งไปยังจุดที่คาดไม่ถึง บอลกลับเข้ามาในสนามกีฬาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มันตกลงตรงหน้านักกีฬาทีมซิตี้โซล และหลังจากส่งบอลกันหลายต่อหลายครั้ง จุดที่บอลไปถึงเป็นตำแหน่งสุดท้ายก็คือตรงหน้าเท้าของมูคยอมนั่นเอง

ดังคำพูดที่ว่า ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม ลูกบอลจากทุกคนในโซลซิตี้ก็มุ่งไปหามูคยอมเช่นเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีท่าทีเหมือนเอาใจออกหากจากทีมจนหมดสิ้นเหมือนที่ได้เห็นกันในช่วงนี้ แต่เขาก็ยังคงเป็นความหวังของทีม อีกทั้งวันนี้เขาได้แสดงให้เห็นฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุด สมาชิกในทีมจึงเชื่อมั่นความเป็นจริงในจุดนั้น

ชีวิตส่วนตัวก็คือชีวิตส่วนตัว งานก็คืองาน เช่นเดียวกับคำที่มูคยอมชอบบ่นเป็นครั้งคราว ไม่ว่าท่าทีระหว่างฝึกจะเป็นยังไง แต่หากแสดงภาพลักษณ์ที่มีอานุภาพให้เห็นในการแข่งขัน ก็แค่ให้ความสนใจกับพลังในตอนนั้นก็พอแล้ว

มูคยอมวิ่งฉิวด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ฝ่ายตั้งรับซึ่งวิ่งนำหน้ามูคยอมอยู่เข้าไปสกัดเขาไว้อย่างยากลำยาก เขาทำท่าเหมือนจะเบี่ยงหลบฝ่ายตั้งรับไปทางด้านซ้ายแต่แล้วกลับวิ่งเลี้ยงบอลไปทางด้านขวาอย่างฉับพลัน การเปลี่ยนทิศทางอันว่องไวทำให้ฝ่ายตั้งรับก้าวพลาด มูคยอมจึงวิ่งตรงไปข้างหน้าในระหว่างนั้นได้ นักเตะจำนวนหนึ่งซึ่งตามติดมาข้างหลังเขาตั้งใจจะขวางไว้ในขณะที่เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่พวกนั้นจะได้ทุ่มกำลังของตัวเองออกมาให้เห็น มูคยอมก็เตะลูกบอลออกไปเสียแล้ว

ลูกบอลลอยไปอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับลำแสงสีขาว มันเบี่ยงออกจากมือของผู้รักษาประตูไปไกลแล้วพุ่งเข้าไปทำให้ตาข่ายโกลฟุตบอลสั่นสะเทือน

“เฮ!”

เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกังวานไปทั่วสนามกีฬาราวกับเสียงฟ้าลั่น มันดังพอๆ กับเสียงโห่ร้องในการแข่งขันระดับประเทศ เป็นแบบนั้นก็ไม่แปลก เพราะลูกบอลที่ทำประตูได้เมื่อสักครู่นี้เป็นลูกที่ห้าของมูคยอมแล้ว หลังจากมูคยอมมาที่นี่ เขาก็ทำแฮตทริก[1]สำเร็จไปหลายครั้ง แต่การทำประตูได้ห้าแต้มในการแข่งขันครั้งเดียวเพิ่งเคยเกิดขึ้นวันนี้เป็นครั้งแรก

“เฮ้อ…”

ฮาจุนยืนเงียบอยู่ท่ามกลางสตาฟคนอื่นๆ ซึ่งกำลังร้องตะโกนกันเสียงดัง ในที่สุดเสียงถอนหายใจสั่นๆ ก็ดังออกมาจากปากของฮาจุนโดยอัตโนมัติ คอของเขาขนลุกเกรียว ฮาจุนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ที่กังวลว่ามูคยอมอาจสูญสิ้นแรงบันดาลใจในฐานะนักกีฬาไป หรือไม่ก็กลัวว่าจะไม่สามารถดึงฟอร์มของมูคยอมให้กลับมาดีที่สุดได้ ความกังวลในตัวคิมมูคยอมเป็นความกังวลที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลกจริงๆ

เขาไม่ได้รู้สึกไม่เบิกบานใจ เพียงแค่รู้สึกว่ามูคยอมอยู่เหนือกว่าอีกแล้วเท่านั้น พรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้คนคนหนึ่งก็เหมือนกับดินแดนเร้นลับแห่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นเพียงแค่ได้มองดูอยู่ตรงหน้าก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำให้คนอื่นรู้สึกสั่นสะท้านได้แล้ว

หากภาชนะบรรจุพรสวรรค์มีรูปร่างแข็งแกร่งและงดงามราวกับรูปแกะสลักที่พระเจ้าสรรค์สร้าง การที่ภาชนะนั้นจะช่วงชิงวิญญาณของคนอื่นไปก็จะเร็วเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หากไม่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้แน่น ตอนตั้งสติขึ้นมาได้ก็จะสายเกินไปเสียแล้ว หากมัวแต่ยืนอยู่ตรงหน้าภาชนะที่ถูกเนรมิตขึ้นใบนั้นต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะรู้สึกว่าตัวตนของตนเอง ความกลัดกลุ้มใจ ความรู้สึกอันเห็นแก่ตัว หรือแม้แต่ความปรารถนาที่กักเก็บเอาไว้ ทุกอย่างช่างดูต่ำต้อยอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด

สมองรับรู้ว่าคิมมูคยอมเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการเตะฟุตบอลเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ในเวลาแบบนี้ สัญชาตญาณในฐานะสิ่งมีชีวิตกลับเคลื่อนไหวไปก่อนจะทันได้คิดอย่างมีสติ

เพียงประตูที่มูคยอมยิงได้ก็ตั้งห้าประตู ซิตี้โซลเปิดฉากฤดูกาลครึ่งหลังโดยได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ด้วยคะแนนเจ็ดต่อสอง แน่นอนว่าได้เห็นคิมมูคยอมทำคะแนนถึงห้าประตูก็ย่อมตื่นตาตื่นใจกันมาก ทั่วทั้งอัฒจันทร์เชียร์มีบรรยากาศราวกับงานเทศกาล ผู้ชมเพลิดเพลินสุดขีดไปกับการแข่งขันอันน่าตื่นเต้นซึ่งเหล่านักแข่งต่างกระหน่ำยิงประตูกันอย่างเต็มที่

เหล่านักกีฬาของทีมซิตี้โซลพากันกระโดดโลดเต้นอย่างหน้าชื่นตาบาน แน่นอนว่าพวกเขาควรต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือไม่ก็หวาดเกรงดาวเด่นของทีมซึ่งทำตัวหยิ่งยโสจนดูเหมือนไม่สนใจทีมอยู่พักหนึ่ง แต่เหล่านักกีฬาที่ได้รับชัยชนะกลับเริงร่าจนดึงตัวมูคยอมเข้ามากอดแล้วบีบนวดตัวเขา ซ้ำยังไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ได้ กระทั้งพวกสตาฟทุกคนยังตรงไปห้องล็อกเกอร์แล้วยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของการแข่งขันแรกในฤดูกาลครึ่งหลัง

คงเพราะการแข่งขันจบลงไปด้วยชัยชนะครั้งใหญ่ อีกทั้งยังได้ขยับเขยื้อนร่างกายมาอย่างเต็มที่ สีหน้าของมูคยอมจึงดูไม่แย่ หากเทียบกับใบหน้าอึมครึมที่แสดงออกมาให้ได้เห็นกันในช่วงล่าสุดมานี้ มูคยอมแปะมืออย่างพอเหมาะกับพวกนักกีฬาซึ่งกำลังส่งเสียงดังอลหม่าน จากนั้นก็ดื่มน้ำแล้วเดินผ่ากลางไปยังห้องล็อกเกอร์ เขาเดินไปในสภาพเปลือยท่อนบนเนื่องจากทำการแลกเสื้อทีมกับนักกีฬาฝ่ายตรงข้าม แล้วดวงตาของเขาก็สบเข้ากับฮาจุน

ที่สบตากันได้ง่ายๆ เป็นเพราะฮาจุนทอดสายตามองมาทางเขาอยู่ตลอด มูคยอมไม่หลบตา แต่ไม่นานก็เบนสายตาไปทางอื่น จากนั้นพวกนักกีฬาก็เดินกรูกันออกไปจากห้องล็อกเกอร์แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย

ฮาจุนถูแก้มของตัวเองอยู่พักหนึ่งเพราะความร้อนซึ่งหลงเหลืออยู่ในห้องล็อกเกอร์ที่ว่างเปล่า จากนั้นก็หมุนตัวออกไปกับพวกสตาฟ เป็นเพราะได้จับตาดูอยู่ข้างๆ แล้วมัวเมาไปกับความเร่าร้อนจากชัยชนะที่เป็นต่อกว่าหรือเปล่านะ หรือเพราะได้เห็นฟอร์มที่ดีที่สุดของมูคยอมหลังจากไม่ได้เห็นมานานกัน แม้ไม่มีเหตุผลที่พอจะทำให้เป็นแบบนั้น แต่หัวใจกลับกำลังเต้นตึกตักเหมือนกับตอนตกหลุมรักเขาครั้งแรกเลย

ฮาจุนกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากเพราะรู้สึกเหมือนเจอรอยร้าวที่จ้องจะปริแตกออกมาตลอดช่วงไม่กี่วันมานี้

ทำประตูได้ตั้งห้าประตู การแข่งขันก็ชนะ อีกทั้งยังดูอารมณ์ไม่แย่ถ้าเทียบกับช่วงล่าสุดมานี้ด้วย

‘วันนี้ลองคุยกันจะได้ไหมนะ’

“ถ้างั้นวันนี้พักผ่อนให้เต็มที่แล้วเจอกันวันมะรืนนะ อย่ามัวแต่เล่นจนใช้งานร่างกายหนักเพราะเห็นว่าเป็นวันหยุดละ! ฟื้นสภาพร่างกายให้สมบูรณ์แล้วไว้มาเจอกัน”

“ครับ!”

เหล่านักกีฬาตอบรับคำพูดของผู้จัดการทีมอย่างแข็งขันด้วยน้ำเสียงสดใส พวกนักกีฬาใช้เวลาช่วงหยุดพักชั่วคราวมาฝึกอย่างเข้มข้นกว่าในเวลาปกติอยู่พักหนึ่งเพื่อที่จะดึงฟอร์มให้ดี และเมื่อเหน็ดเหนื่อยกันมามากก็ย่อมมีผลกระทบให้เห็นตามมา เพราะอย่างนั้นบางครั้งจึงจำเป็นต้องได้รับการผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ด้วย ผู้จัดการทีมจึงสั่งให้นักกีฬาหยุดพักกันหนึ่งวัน

ในขณะที่พวกนักกีฬากำลังตื่นเต้นดีใจ รีบร้อนกลับบ้านกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว ฮาจุนก็ไล่สายตามองหาตัวของคนคนหนึ่งเท่านั้น มูคยอมกำลังพูดเรื่องอะไรบางอย่างกับจองคยูสั้นๆ จากนั้นไม่นานก็สะพายกระเป๋าพาดไหล่ราวกับเสร็จธุระแล้วและกำลังจะมุ่งหน้าไปทางลานจอดรถ

ฮาจุนอยากเข้าไปคุยกับมูคยอมโดยดูจังหวะอย่างใจเย็น แต่เขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะไตร่ตรองเรื่องแบบนั้น

“คิมมูคยอม”

ฮาจุนเรียกชื่อขึ้นมาก่อนที่ภาพด้านหลังของมูคยอมจะหายลับไปจากสายตา เขาตั้งใจจะใจเย็นมากกว่านี้ แต่ใครมาได้ยินเข้าก็คงฟังออกว่าเป็นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความร้อนรน

“คิมมูคยอม รอเดี๋ยว”

พอได้รีบร้อนขึ้นมาครั้งหนึ่ง ฮาจุนก็รู้สึกว่าการแกล้งทำเป็นใจเย็นมันน่าขำ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไล่ตามไปอย่างวุ่นวายพร้อมกับเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล

โชคดีที่มูคยอมหยุดเดินแล้วหันมามองด้านข้าง ฮาจุนเข้าไปยืนข้างเขาในระหว่างนั้นแล้วรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับเขามานานมากจริงๆ สายตาที่ทอดมองกันและกันมีเป้าหมายแน่วแน่มากกว่าแค่จะมองสบตากันเฉยๆ

มูคยอมไม่แม้แต่จะถามว่าเรียกทำไม เขาเพียงแค่ก้มลงมองฮาจุนซึ่งยืนอยู่ข้างกายเท่านั้น ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนสีหน้าของเขาดูห่อเหี่ยวนิดหน่อยกว่าตอนที่ได้เห็นในห้องล็อกเกอร์เมื่อครู่นี้ เพราะอย่างนั้นจิตใจของฮาจุนจึงยิ่งร้อนรนกว่าเดิมไปอีกขั้น

“คุยกันหน่อยสิ”

“คุยอะไร”

คำตอบกลับห้วนๆ ไม่มีช่องว่างที่พอจะให้แทรกเข้าไปได้ แม้แต่ขนาดเล็กเท่ารูเข็มก็ไม่มี แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันล้นทะลักออกมาแล้ว

‘ก่อนอื่นก็ต้องย้ายที่’ ฮาจุนกำปลายนิ้วจิกลงบนฝ่ามือตัวเองเล็กน้อยเพื่อทำจิตใจที่ตึงเครียดอยู่เรื่อยให้ผ่อนคลายลง จากนั้นจึงตอบ

“น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดตรงนี้นะ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมเพียงแค่จ้องมองฮาจุนนิ่งๆ อีกครั้ง

สีหน้าแข็งกระด้างของเขาอ่านยาก ดูเหมือนโกรธก็จริง แต่ก็ดูไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะเป็นแบบนั้นด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ความกระตือรือร้นจนบอกได้ว่าดูห่อเหี่ยวอีกเหมือนกัน

‘โอ๊ย ถ้าหากว่าเขาเป็นนักอ่านใจคนล่ะก็’ ฮาจุนรู้สึกว่ามูคยอมเงียบนานเกินไป เขาหยุดละเมอเรื่องไร้สาระและกำลังจะชวนให้ย้ายที่กันก่อน ไม่ว่ามูคยอมจะตอบหรือไม่ตอบก็ตาม แต่มูคยอมกลับปริปากพูดขึ้นมา

“ได้”

“หืม?”

“ย้ายที่ไง ไปที่ที่ไม่มีคน”

ฮาจุนทำตาโต ศีรษะผงกหงึกหงักโดยอัตโนมัติ

“อื้อ”

‘ต้องนั่งรถไปหรือเปล่านะ’ เขาสังเกตท่าทีมูคยอมแต่มูคยอมก็ก้าวเดินออกไปก่อน แค่จะถามว่าจะไปไหน ฮาจุนก็ยังกังวล เพราะอย่างนั้นเขาจึงเดินตามหลังมูคยอมไปโดยไม่ได้พูดอะไร

ทั้งคู่เข้าไปในตึกสำนักงาน คนในสโมสรพากันกลับไปหมดจนตึกเงียบสงัดเพื่อต้อนรับวันหยุดหลังการแข่งขันเสร็จสิ้น รู้สึกได้ว่ามีเพียงคนไม่กี่คนซึ่งทำงานทั่วไปอย่างเช่นผู้ดูแลตึกหรือไม่ก็พวกเจ้าหน้าที่เท่านั้น ซึ่งนั่นเงียบมากจริงๆ

ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่คิดจะพาไปที่รถหรือบ้าน ฮาจุนให้มูคยอมเป็นคนเลือกแล้วเดินตามหลังมาเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ มูคยอมก็หยุดเดิน มูคยอมเปิดประตูห้องรับรองตรงมุมไกลๆ ซึ่งไม่ค่อยถูกใช้งาน

“ทุกคนกลับกันหมดแล้ว ที่นี่ก็น่าจะได้ใช่ไหม”

ฮาจุนพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเห็นด้วยพลางเดินเข้าไป มูคยอมปิดประตูลง เสียงสลักประตูดังขึ้นตามหลังมา

เมื่อเข้ามาในตึกก็รู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงที่กดลงบนร่างกายมันหนักอึ้งขึ้นสองเท่า ความเงียบสงบกลับทำให้หูรู้สึกแสบร้อน ช่วงเวลาที่อยู่กับมูคยอมเพียงสองคนมักจะเป็นช่วงที่รู้สึกประหม่าขึ้นมานิดหน่อยก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่รู้สึกว่ายากลำบากอะไรเลย แต่ทั้งที่เป็นฝ่ายพูดชวนก่อนว่าให้คุยกัน ฮาจุนกลับไม่สามารถเริ่มพูดอะไรออกมาได้ทั้งนั้น

ความรู้สึกถูกกดทับด้วยความเงียบอันหนักอึ้งทีละนิด ทำให้ฮาจุนลังเลว่าจะพูดคำแรกออกมาว่าอะไรดี

“ถอดออก”

ทว่าฝ่ายที่เป็นคนพูดขึ้นมาก่อนกลับเป็นมูคยอม

คำพูดที่ผิดไปจากการคาดการณ์ทำให้ความเงียบซึ่งเหมือนกับหลุมดำกดทับร่างกายทำปฏิกิริยากลายเป็นสีขาวแล้วเบาหวิวลง จากนั้นก็แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา

“อะไรนะ”

ฮาจุนย้อนถาม

ดวงตาของฮาจุนได้แต่เบิกกว้างให้กับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เขางุนงงเหมือนเวลาตามประเด็นบทสนทนาไม่ทัน ลำคอของเขาอึดอัดราวกับมีอะไรเข้าไปติด ฮาจุนกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักด้วยปากที่ไม่เคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลดั่งความคิด

“อ่า ฉันน่ะ ไม่ใช่แบบนั้น…”

ฮาจุนรวบรวมเศษความคิดชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวอย่างยากลำบากภายในหัวซึ่งเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน มูคยอมเพียงแค่ทอดสายตามองเขาซึ่งทำตัวไม่ถูกอยู่เงียบๆ เท่านั้น ฮาจุนพูดต่อกับมูคยอม

“ฉันสงสัยว่าช่วงนี้นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่าน่ะ อยากคุยด้วยสักหน่อยก็เลยชวนให้มาเจอกัน”

“คุยเหรอ ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับนาย ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วจำเป็นต้องคุยเรื่องอะไรอีก”

ทว่ามูคยอมกลับมีท่าทางเหมือนไม่คิดว่ามันสำคัญอะไร

“นี่โค้ช รับรู้อะไรได้ไวนี่ ไม่ใช่คนประเภทที่จะไม่เข้าใจสถานการณ์สักหน่อย ยังไงก็สรุปเรื่องได้แล้วไม่ใช่เหรอ แต่ถ้ายังคะยั้นคะยอให้มาเจอกันแค่สองคน เหตุผลก็น่าจะเพราะเสียดายเรื่องนี้ไม่ใช่หรือไง”

‘ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ’

ฮาจุนมึนงงไปหมดเพราะบทสนทนาดำเนินไปในทิศทางที่เขาไม่ได้แม้แต่จะจินตนาการไว้ เขารู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกบังคับให้ออกมาแก้โจทย์บนกระดานทั้งที่ยังไม่ได้เรียน ฮาจุนได้แต่อ้าปากเหวอเล็กน้อยแล้วทอดสายตามองมูคยอม

มูคยอมรอคำตอบจากฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปทางประตูพลางกระชับกระเป๋าที่สะพายไว้บนไหล่โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

“พอเถอะ ฉันไม่คิดจะฝืนใจคนที่บอกว่าไม่เอาหรอกนะ”

“มะ ไม่ใช่นะ”

ท่าทางที่เหมือนจะเปิดประตูออกไปทั้งอย่างนั้นทำให้ฮาจุนรั้งเขาไว้โดยไม่รู้ตัว ปากของฮาจุนขยับไปก่อนที่จะได้เรียบเรียงความคิดเสียอีก

“ทำกันเถอะ ฉันจะทำ”

ไม่ว่าจะเป็นความโชคดีแค่คืนเดียวหรือ ‘ถาวร’ ฮาจุนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหยุด แต่ในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นเช่นเดิมในมุมมองของฮาจุน หรืออาจเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนที่ดึงดูดใจของเขาก็ตาม เขาตะขิดตะขวงใจกับสถานที่นิดหน่อย แต่ยังไงเสีย ตอนนี้ผู้คนก็ออกไปจากตึกเกือบทั้งหมดแล้ว

……………………………………………………

[1] ในด้านกีฬา หมายถึง การที่ผู้เล่นกีฬาคนหนึ่ง ๆ สามารถทำความสำเร็จในกีฬานั้น ๆ ได้สามครั้ง ในการเล่นครั้งหนึ่ง

“ถึงเป็นเรื่องที่ฉันช่วยไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเล่าให้ฟังแล้วพอรู้สึกโล่งขึ้นได้บ้าง ฉันก็จะช่วยฟังเอง”

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

มูคยอมพูดแบบนั้นพลางลุกขึ้น

“มัวแต่มาทำอะไรตรงนี้ระหว่างฝึกล่ะ กลับไปทำงานต่อเถอะ”

พอมองดูใบหน้าที่ไม่มีชีวิตชีวาอีกทั้งยังดูโทรมของมูคอยมแล้ว ฮาจุนก็เป็นห่วงอย่างหนักจากใจจริง เขาเฝ้ามองมูคยอมในฐานะนักกีฬาอยู่ไกลๆ มาเป็นระยะเวลาสิบปีแล้วถึงได้มามองอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนฝึกซ้อมหรือตอนแข่งขัน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นภาพลักษณ์ที่เหมือนสูญสิ้นแรงบันดาลใจไปจนหมดถึงขนาดนี้

‘หรือมันเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเองหรือเปล่านะ’ จู่ๆ ฮาจุนก็นึกถึงจุดนั้นขึ้นมาแล้วจึงถามออกมาก่อนที่มูคยอมจะก้าวเดินไป

“คิมมูคยอม เมื่อวานเหมือนนายมีเรื่องอะไรจะพูดนี่”

“…”

“เรื่องอะไรล่ะ วันนี้ฉันว่าง กลับบ้านไปคุยกันไหม”

“ไม่ล่ะ เรื่องมันจบไปแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

ทันทีที่ฮาจุนพูดจบ มูคยอมก็ตอบเหมือนพูดตัดบท แต่มูคยอมที่บอกว่าไม่มีเรื่องจะพูดแล้วก็ไม่ได้เดินออกไป กลับมองฮาจุนพร้อมพูดขึ้นอีกครั้ง

“นาย…”

เขาเรียกขึ้นมาสั้นๆ แล้วทอดสายตามองอีกฝ่าย ฮาจุนสบตาและรอคอยให้เขาพูดต่อ

แต่มูคยอมก็หลบตาก่อนแล้วกลับไปปิดปากเงียบเช่นเคยราวกับคนทำความผิด จากนั้นก็หมุนตัวไป ฮาจุนมองภาพด้านหลังของมูคยอมซึ่งมุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา นึกสงสัยก็จริงว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ชวนไปด้วยกันเมื่อวาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่จังหวะที่ดีในการจะเซ้าซี้ และถามซักไซ้อีกฝ่าย

เมื่อมูคยอมหายลับไป ฮาจุนจึงออกมากจากตึกแล้วเข้าไปรวมตัวในกลุ่มโค้ชอีกครั้ง เขาทำการฝึกซ้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก็จริง แต่ความสนใจกลับหลั่งไหลไปหามูคยอมเพียงคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่ตารางฝึกที่กำหนดไว้เสร็จสิ้นลง ฮาจุนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโทรหามูคยอม แต่ก็มีเพียงเสียงสัญญาณดังขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มปลายสายไม่ตอบรับอะไรกลับมาเลย

***

“พี่มูคยอมน่ะครับ”

ใครบางคนเปิดเรื่องขึ้นมา สายตาของพวกนักกีฬาเบนไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากวันนั้นที่มูคยอมมาสนามฝึกด้วยใบหน้าเหมือนคนใกล้ตาย นี่ก็เป็นวันที่สี่แล้วที่เขาเริ่มไม่มากินมื้อเที่ยงในศูนย์อาหารภายในสนามฝึก

เป็นท่าทีที่ทำให้รู้สึกถึงความแตกแยกไม่น้อย แต่ถ้าจะให้ตำหนิเข้าจริงๆ ก็เป็นการกระทำที่ไม่สมควรจะถูกต่อว่าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักกีฬาก็เป็นคนประกอบอาชีพหนึ่ง ไม่ได้มีกฎข้อไหนระบุไว้ว่าหากออกไปกินมื้อเที่ยงยังสถานที่ที่ตัวเองต้องการข้างนอกสโมสรแล้วห้ามกลับเข้ามา เพียงแค่กลับมาให้ตรงเวลาฝึกซ้อมก็พอแล้ว

ไม่กี่วันมานี้ เมื่อมูคยอมฝึกช่วงเช้าเสร็จก็จะออกไปอยู่นอกสนามฝึก แล้วเมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมบ่าย เขาก็จะกลับมา ฮาจุนไม่แน่ใจว่าเขาได้กินอาหารอย่างเหมาะสมแล้วถึงกลับมาหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นเลยรู้สึกอึดอัดใจอยู่เหมือนกัน แต่ฮาจุนก็ไม่คิดว่ามูคยอมจะปล่อยปละละเลยตัวเองถึงขนาดนั้น

ในกลุ่มนักกีฬา บางคนก็มีนัดจึงออกไปกินอาหารข้างนอกแล้วค่อยกลับเข้ามาบ้างเป็นครั้งคราวด้วยเหมือนกัน แต่ช่วงออกไปกินอาหารข้างนอกปกติกับท่าทีของมูคยอมในช่วงนี้ต่างกันอย่างชัดเจนมากเสียจนเด็กน้อยยังแยกออก และท่าทีที่ชอบหนีหายไปก็ทำให้เกิดคำพูดนินทาลับหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้จัดการทีมหรือโค้ชต่างก็ไม่สามารถควบคุมไม่ให้มันเกิดขึ้นได้

ปัญหาไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างพวกกินข้าวที่ไหนอย่างไรแต่เป็นบรรยากาศของทีมต่างหาก การแข่งครั้งแรกในครึ่งหลังของฤดูกาลใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แต่ตัวทำคะแนนของทีมกลับอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้แล้วแยกตัวออกไปตามลำพังด้วยตัวเองโดยไม่บอกเหตุผลแบบนั้น ต่อให้บอกว่าเป็นทีมที่ดีเลิศมากแค่ไหนก็ยากที่จะลงแข่งขันด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมได้

ไม่ว่าคิมมูคยอมจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจมากแค่ไหน แต่ทีมไม่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อคิมมูคยอมเพียงคนเดียวได้ ฮาจุนไม่เคยคิดว่ามูคยอมเป็นนักกีฬาอ่อนหัดที่จะไม่รู้เรื่องแค่นั้น หลังจากวันนั้น มูคยอมก็ปิดปากเงียบสนิทราวกับปฏิเสธที่จะทำการพูดคุย ฮาจุนไม่เข้าใจสถานการณ์เลยว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถดึงมูคยอมให้ขึ้นมาจากช่วงฟอร์มตกอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุนี้ได้

ผู้จัดการทีมและกลุ่มโค้ชไม่สามารถคิดหาวิธีจัดการอย่างเด็ดขาดตอนนี้ได้ พวกเขาจึงจงใจทำเป็นไม่เห็นท่าทีแบบนั้นของมูคยอมแล้วเลือกที่จะเป็นฝ่ายมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย แต่แน่นอนว่าพวกนักกีฬาต่างก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกแบ่งแยกในกลุ่มของพวกเขา

“เห็นอยู่เงียบๆ พักหนึ่งแต่ดูเหมือนจะสร้างเรื่องอีกแล้วนะครับ”

“เรื่องเหรอ เรื่องอะไร”

คำพูดถัดมาทำให้จองคยูถามขึ้น นักกีฬาที่เป็นคนเริ่มพูดจึงกดเสียงต่ำลง

“เมื่อวานคนรู้จักผมได้รับเชิญเป็นแขกวีไอพีไปปาร์ตี้เปิดผับที่อีแทวอนแล้วบอกว่าเจอพี่มูคยอมน่ะครับ บอกว่าอยู่กับผู้หญิงที่สวยสุดๆ เลยด้วย”

“อะไรนะ เรื่องจริงเหรอ”

“บอกว่าเมื่อวานก็ดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีด้วย… สาวสวยอยู่ข้างๆ แล้วอารมณ์ไม่ดีได้ยังไงกัน”

จองคยูเป็นคนย้อนถาม แต่คนที่เบิกตากว้างแล้วหยุดขยับช้อนกับตะเกียบกินข้าวกลับกลายเป็นฮาจุนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง

โชคดีที่คนอื่นไม่ได้ใส่ใจท่าทีแข็งทื่อของเขาขนาดนั้น ฮาจุนรีบปรับสีหน้าของตัวเองอีกครั้งแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเป็นอย่างแรก ในระหว่างนั้น จองคยูกับนักกีฬาคนอื่นๆ ก็พูดคุยกันต่อ

“แปลกแฮะ ช่วงนี้เงียบมากแท้ๆ ไม่ใช่แค่ไม่มีเรื่องอื้อฉาวแต่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นแบบนั้นเลยต่างหาก เมื่อก่อนยังไงไม่รู้ แต่ก็เคยพูดเรื่องลงหลักปักฐานแล้วก็พูดเหมือนจะมีแฟนอยู่นี่ แต่หลังจากนั้นก็เงียบมากจริงๆ ถึงไม่ได้เล่าแต่คงจะมีแฟนจริงๆ สินะ”

“ถ้างั้นก็ทะเลาะกับแฟนหรือเปล่า ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรสักอย่างนะครับ”

“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังสักนิด ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังค่อนข้างเยอะนะ แต่ช่วงนี้ก็… มูคยอมเป็นคนพูดมากกว่าที่เห็นแต่นี่เงียบฉี่เลย”

จองคยูหันมาหาฮาจุน

“ฮาจุน นายล่ะ ได้ยินเรื่องอะไรมาบ้างหรือเปล่า”

“ไม่เลย”

ฮาจุนตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำพร้อมกับปลอบโยนภายในหัวที่กำลังตีกันยุ่งเหยิงให้เย็นลงด้วย แต่ปากกลับรู้สึกอย่างกับเคี้ยวอะไรกรอบแกรบเหมือนเคี้ยวทราย ในถาดยังเหลืออาหารอยู่ครึ่งหนึ่งแต่รู้สึกเหมือนไม่สามารถกินมากไปกว่านี้ได้แล้ว ฮาจุนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนและจู่ๆ ก็เหมือนจุกที่กระเพาะอาหาร

“ฉันไปก่อนนะ”

“ทำไมล่ะ ไม่กินต่อแล้วเหรอ”

“วันนี้รู้สึกอาหารไม่ค่อยย่อยน่ะ”

ฮาจุนยกถาดไปคืนแล้วเดินออกจากศูนย์อาหารมาตรงทางเดิน นักกีฬาที่เดินสวนกันก้มหัวทักทายเขา

“ทานข้าวแล้วเหรอครับ โค้ช”

“อืม กินกันอิ่มไหม”

ฮาจุนเดินไปพร้อมฉีกยิ้มราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในหัวกลับมีเสียงบทสนทนาเมื่อครู่นี้ดังขึ้นซ้ำๆ อย่างไม่เป็นลำดับ

ฮาจุนคิดทบทวนบทสนทนาในศูนย์อาหารทีละคำ ทีละคำ แล้วเขาก็แค่นหัวเราะออกมาเสียเฉยๆ ถ้ายกสิ่งที่มูคยอมเคยพูดตอนเริ่มความสัมพันธ์ช่วงแรกมา บุคคลสำคัญของเรื่อง ‘ลงหลักปักฐาน’ ที่จองคยูพูดถึงก็คือเขาอย่างแน่นอน แต่ ‘แฟน’ ที่บอกว่าทะเลาะกันกลับไม่ใช่เขา

เขาเดินเอื่อยๆ ไปทั่วราวกับคนไม่มีที่ไปแล้วจึงเปิดประตูห้องรับรองห้องหนึ่งซึ่งว่างอยู่ ฮาจุนยืนพิงประตูที่ปิดลงอยู่นิ่งๆ แล้วลากเก้าอี้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดมาทิ้งตัวลงบนนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาฟังเรื่องน่าตกใจอย่างสุดขีดอะไรขนาดนั้นกัน ถึงได้รู้สึกเวียนหัวเหมือนมีดาวดวงเล็กๆ ลอยแวบไปมาอยู่ตรงหน้า

สุดท้ายก็ต้องถามคำถามที่จงใจหลีกเลี่ยงกับตัวเองจนได้

‘เรื่องชั่วคราว’ มันจบลงแล้วสินะ

การพูดคุยอย่างจริงๆ จังๆ กับมูคยอมครั้งสุดท้ายคือวันที่เขาปฏิเสธเพราะมีนัดกินมื้อเย็นที่เคยชวนไป วันก่อนหน้านั้น พวกเขายังมีเซ็กส์กันเหมือนปกติ และวันต่อจากนั้น มูคยอมก็ยังบอกให้มาเจอกันตามลำพังตอนเย็น แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับธุระอันเป็นความลับของพวกเขาทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย

หากเย็นชาแค่กับตนแล้วไม่มีปัญหาในส่วนอื่นก็อาจจะไม่เป็นไร แต่แม้กระทั่งในสนามฝึก มูคยอมก็แสดงท่าทีหดหู่ออกมาให้คนอื่นได้เห็นกันทั่ว เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการจะทำความเข้าใจว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน มูคยอมถึงได้เป็นแบบนั้น หากคิดว่าเป็นแค่เพราะตัวเขาเองก็ยากเหมือนกัน ฮาจุนจึงทั้งลองหาข่าวและลองถามคนที่น่าจะรู้ว่าระหว่างที่เขาไม่รู้เรื่องมันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่พอจะเผยออกมาให้โลกได้รับรู้เลย

เพราะท่าทางของเขาต่างออกไปจากปกติ ฮาจุนจึงทั้งลองโทรและลองส่งข้อความไปหา แต่ไม่ใช่แค่เพียงไม่รับโทรศัพท์เท่านั้น แม้กระทั่งข้อความก็ยังไม่เคยตอบกลับมาสักครั้งเดียว ถึงแม้ฮาจุนจะลองชวนคุยที่สนามฝึก มูคยอมก็จะตอบเหมือนไม่อยากตอบหรือไม่ก็เลี่ยงออกไปก่อนที่จะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

แล้วเขาจะว่าอะไรได้ หากคิดว่ามูคยอมฟอร์มตกเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองก็ดูจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะฉะนั้นฮาจุนจึงตั้งใจว่าจะไม่เดามั่วซั่ว

แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ธรรมดามาตั้งแต่แรกแล้ว จนถึงตอนนี้ มูคยอมต้องการใช้เวลาหลังเลิกงานกับฮาจุนบ่อยเสียจนฮาจุนต้องปฏิเสธออกไปบ้าง ไม่สิ พูดให้ถูกก็คืออยากอยู่ตลอดเลยต่างหาก หลังมีความสัมพันธ์แบบนี้กับเขา มูคยอมก็มักจะชวนให้มาอยู่ด้วยกันตอนกลางคืนทีละสองสามวัน หากไม่ได้มีธุระอื่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้เอ่ยปากชวน มิหนำซ้ำยังไม่แม้แต่จะเอ่ยปากชวนคุยเล่นอีกด้วย

มูคยอมเป็นผู้ชายที่เคยคุยๆ กับเขาอยู่ แต่แล้วก็ออกไปข้างนอกทันที ซึ่งดูออกว่าจะไปหาผู้หญิง เพราะฉะนั้นต่อให้บอกว่าอยู่ๆ มูคยอมก็ไปสานสัมพันธ์กับหญิงสาวในสถานที่ที่เสียงดังครึกโครมแบบนั้นทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร ถ้าเขาใช้เวลากับมูคยอมเหมือนปกติก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับคำพูดที่บอกว่าเห็นมูคยอมอยู่กับผู้หญิง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว

ถ้าหากไม่ได้เพลิดเพลินไปกับช่วงกลางคืนเลยก็ไม่แน่ แต่การหลบหน้ากันตลอดเวลาแล้วไปอยู่กับคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ความหมายชัดเจน มูคยอมเป็นคนพูดเองว่าห้ามมีความสัมพันธ์กับคนอื่นในช่วงที่มีความสัมพันธ์ร่วมกัน ฮาจุนต้องการให้เขาสบายใจขึ้นจึงรับปากสัญญา แต่อย่างไรเสีย สำหรับฮาจุน มันก็เป็นคำสัญญาที่ไม่มีแม้แต่ตัวเลือกว่าจะรักษาไว้หรือไม่อยู่แล้ว

ฮาจุนไม่อยากดันทุรังบีบบังคับมูคยอมด้วยเงื่อนไขเดียวกัน เขาไม่เคยโลภมากว่าอยากเป็นคนเดียวของมูคยอม และไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นคนเดียวของมูคยอมแค่ชั่วคราวจะมีความหมายยิ่งใหญ่อะไรด้วย เพียงแต่เขาคิดว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งคนข้างกายของมูคยอมเอาไว้ได้ จนกว่าจะถึงฤดูกาลสุดท้ายแล้วมูคยอมจะกลับไป เพราะมูคยอมพูดแบบนั้น พูดว่าจนกว่าจะถึงตอนนั้น ความสัมพันธ์นี้ก็จะดำเนินต่อไป

แต่หากลองคิดดูแล้ว คำพูดนั้นน่าจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของมูคยอมในตอนนั้นเท่านั้นเอง ไม่ใช้ทั้งข้อตกลง ไม่ใช่ทั้งสัญญา ไม่ใช่อะไรเลยสักอย่างเดียว

จนถึงตอนนี้ มูคยอมกับเขาเรียกช่วงเวลานัดหมายอันเป็นความลับของเราทั้งสองด้วยคำอันแสนกำกวมว่า ‘เรื่องชั่วคราว’ และเรื่องที่ว่าตนไม่ใช่คนที่จะกำหนดจุดจบของเรื่องนี้ แน่นอนว่าฮาจุนเองก็รู้ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว

“อย่างนั้นเองสินะ”

ฮาจุนจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเงียบงันพักหนึ่ง คำพึมพำคนเดียวลอดออกมาจากปากของเขาโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงของเขาไม่ได้สับสนวุ่นวายมากมายอีกทั้งยังสงบ

สัญญาณทุกอย่างกำลังชี้ไปที่คำตอบเพียงหนึ่งเดียว จริงๆแล้ว ถึงแม้ว่าจะรู้ล่วงหน้า แต่สองสามวันมานี้ ดูเหมือนว่าเขาคงปฏิเสธมันเพราะไม่อยากยอมรับคำตอบที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่มองไม่เห็นและเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นไปมากกว่านี้ มูคยอมอาจไม่เรียกหาเขาชั่วขณะหนึ่งเพราะมีเหตุผลบางอย่างก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะไม่คิดว่าความสัมพันธ์นี้สิ้นสุดลง เขากำชับกับตัวเองแล้วว่าจนกว่ามูคยอมจะเป็นคนบอกจากปากว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จบลงแล้ว เขาจะไม่เดาสุ่มไปคนเดียว และถ้าหากว่ามูคยอมบอกให้รู้ว่ามันจบแล้วจริงๆ เขาก็จะยินยอมโดยไม่ปริปากบ่น

…แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว ก็ไม่มีวิธีที่จะบอกให้รู้ว่ามันจบลงเช่นกัน

ความโชคดีซึ่งถูกมอบให้ราวกับของขวัญ จู่ๆ วันหนึ่งกลับถูกเก็บไปเงียบๆ โดยไม่มีใครรู้ เรื่องน่าดีใจมากมายหลายอย่างซึ่งเคยได้สัมผัสในขณะใช้ชีวิตมาจบสิ้นลงไปแบบนั้น เหมือนกับทำให้คนเราลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วปล่อยให้ร่วงลงมาบนพื้นอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใดๆ

ป่านนี้แล้วยังจะคิดว่าไม่ใช่… เขาไม่ได้ยอมรับความเป็นจริงอย่างซื่อตรงเลย คงเป็นเพียงการหาเหตุผลของตัวเองมาอ้าง โดยเชื่อแค่เรื่องที่อยากเชื่อ หรือไม่ก็ปิดหูปิดตาต่อความจริงเท่านั้นเอง

อย่างน้อยก็ด้วยวิธีที่พอใช้ได้สักอย่าง อย่างน้อยก็แค่ในเวลาที่กำหนดไว้ เขาอยากเป็นคนอยู่ใกล้ชิดข้างกายของมูคยอมมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าแค่จะทำแบบนั้น เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำจนถึงที่สุดเลย เสียดายก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ว่ายอมรับไม่ได้ อย่างไรเสีย เขาก็อยู่ในสถานะที่เตรียมใจว่าจะถูกยุติความสัมพันธ์ในตอนที่สารภาพรักแล้ว

‘ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้นะ’

“แค่บอกว่าให้จบกันเฉยๆ ก็พอนี่…”

ไม่ว่าอย่างไร เสียงพูดคนเดียวที่เจือไปด้วยความขุ่นเคืองใจก็ดังขึ้น มันเกี่ยวอะไรกับสาเหตุที่ทำให้มูคยอมสีหน้ามืดมนขนาดนั้นในช่วงนี้ไหมนะ แม้ว่าเขาจะนึกอยากฟังเหตุผลสักหน่อย แต่ก็คิดขึ้นมาว่ารู้แล้วจะได้อะไรด้วยเช่นกัน

ฮาจุนไม่ได้คาดหวัง แต่ถ้าหากมูคยอมตอบรับคำสารภาพในวันนั้นแล้วกลายมามีความสัมพันธ์แบบคนรักกัน ก็น่าจะถามเหตุผลหรือแสดงออกว่าโกรธในสถานการณ์แบบนี้ได้ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่มันคลุมเครือทั้งตอนเริ่ม และตอนจบ เป็นความชั่วคราวเหมือนกับปราสาททรายเล็กๆ ที่หากคลื่นซัดผ่านไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน

จิตใจของฮาจุนว่างเปล่าเหมือนตอนรูปปั้นทรายซึ่งตนตั้งอกตั้งใจก่อมันขึ้นมาเป็นอย่างมากถูกความเร็วของกระแสน้ำซัดจนถล่มไปในครั้งเดียว ถึงอย่างนั้น สาเหตุที่สามารถจัดการความรู้สึกได้ทั้งที่จิตใจว่างเปล่าถึงขนาดนั้นเป็นเพราะส่งผ่านความรู้สึกให้เขาแล้วอย่างแน่นอน ถ้าจุดจบอันกะทันหันมาเยือนตอนเอาแต่คิดหลายๆ เรื่องอยู่คนเดียวจนทำอะไรไม่ถูก เขาคงจัดการกับความคิดต่างๆ อย่างสุขุมเหมือนตอนนี้ได้ยากแน่ๆ

‘ตอนที่นอนกับนายครั้งแรก นายมีเหตุผลอื่นอีกไหม’

คำพูดของมูคยอมซึ่งเคยได้ยินเมื่อไรสักตอนแวบผ่านหูไป ตอนเริ่มไม่ได้มีเหตุผลอะไร เพราะฉะนั้นตอนจบก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเหตุผลด้วยเหมือนกันหรือเปล่านะ บางทีอีฮาจุนที่เคยรู้สึกดีด้วยจนถึงเมื่อวาน จู่ๆ วันนี้อาจไม่อยากเห็นหน้าขึ้นมาก็ได้ ถึงขนาดรู้สึกรำคาญกับแค่การจะดันทุรังไปบอกว่าให้จบกัน

ฮาจุนหลับตาสนิทโดยที่เอนศีรษะเงยหน้าหาเพดาน เขาสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนมันออกมา ฮาจุนดันตัวลุกขึ้น จากนั้นก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาตบลงบนสองแก้มของตัวเองหนึ่งครั้งจนมีเสียงดังแปะ

“ตั้งสติกันดีกว่า”

อีกไม่นานก็จะถึงการแข่งครั้งแรกของฤดูกาลครึ่งหลังแล้ว เรื่องที่ต้องกังวลตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมมูคยอมถึงจะจบความสัมพันธ์แบบคู่นอนกับเขา แต่เป็นเรื่องของดาวเด่นตำแหน่งกองหน้าผู้อารมณ์แปรปรวนและชอบแยกตัวออกไปราวกับเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าจะทำให้เขาสามัคคีกับทีมอีกครั้งเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้อย่างไรต่างหาก

ถ้าจะลองถามเรื่องที่สงสัยก็เอาไว้ทีหลัง ต้องมีสมาธิกับงานที่ควรต้องจัดการก่อนเป็นอย่างแรก หากเรื่องฟอร์มตกของมูคยอมในช่วงนี้ได้รับผลกระทบมาจากเขาจริงๆ เขาก็จำเป็นจะต้องรับรู้สาเหตุและแก้ไข ไม่ใช่เพื่อคืนความสัมพันธ์ในฐานะคู่นอน แต่เพื่อดึงฟอร์มของคิมมูคยอมซึ่งเป็นตัวทำคะแนนของทีมให้กลับคืนมาดั่งเดิม

แม้ว่าจะไม่ใช่ตอนนี้แต่ลองเล็งหาจังหวะหน่อยดีกว่า บรรยากาศตอนนี้คือมูคยอมเลี่ยงที่จะสนทนากับเขาก็จริง แต่โอกาสในการจะได้คุยกันจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน

ฮาจุนตั้งสติแล้วออกมาจากห้องรับรอง

พวกคู่นอนน่ะ เขาหาได้อยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนหรือไม่ว่ากี่คนก็ตาม ความสัมพันธ์ของเขากับฮาจุนเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเท่านั้น เพราะไม่อยากถูกก่อกวนด้วยข่าวลือหรือเรื่องอื้อฉาวในระหว่างอาศัยอยู่เกาหลี ลอนดอนอย่างนั้นเหรอ ดีแล้วที่ไม่พูดออกไป มันเป็นแค่ความคิดไร้สาระที่นึกขึ้นมาด้วยความบ้าไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง

‘มีข้อยกเว้นมากมายเกิดขึ้นถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง มันเป็นเพราะอะไรกันแน่

เพราะอะไร

ทำไมกัน…’

ความคิดนั้นเงียบงันยาวนาน สีหน้าของมูคยอมเปลี่ยนจากเคร่งขรึมเป็นเหม่อลอย มูคยอมถามเหตุผลกับตัวเองในใจในขณะที่ปิดปากเงียบ และเอาแต่เขม้นมองไปยังด้านหน้า ความรู้สึกเสียวสันหลังแพร่กระจายไปทั่วทั้งตัวของมูคยอม และมันเป็นความรู้สึกที่ต่างกันกับตอนอยู่หน้าโมเต็ลเมื่อสักครู่นี้ เค้าโครงกระดูกและเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือของเขาซึ่งกำมือจับประตูไว้ ดวงตาของเขาสั่นระริกด้วยความวุ่นวายใจ แล้วในลำคอก็ตีบตัน เมื่อเขาตั้งสติขึ้นมาได้จึงส่ายหน้า

ดวงตาของเขาสั่นระริกด้วยความวุ่นวายใจแล้วในลำคอก็ตีบตัน เมื่อเขาตั้งสติขึ้นมาได้จึงส่ายหน้า

‘…ไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องการต่อเวลา เขาต้องจัดการ ‘เรื่องชั่วคราว’ ให้จบก่อนจะสายไปกว่านี้’

มูคยอมจอดรถแล้วรีบขึ้นไปบนบ้าน เขามองเข้าไปในกระจกที่ตกแต่งไว้ตรงบริเวณประตูบ้าน มันสะท้อนให้เห็นภาพของตัวเขาเช่นเดียวกันกับประตูสีดำของโมเต็ลเมื่อก่อนหน้านี้ โชคดีที่กระจกบานนั้นสะท้อนเพียงภาพของคิมมูคยอมผู้ซึ่งเคยมองดูมันเหมือนทุกๆ วัน ส่วนภาพของปีศาจที่เคยเห็นผ่านๆ อยู่ครู่หนึ่งได้หายไปแล้ว

มูคยอมถอดรองเท้าแล้วจึงเข้ามาด้านในบ้าน ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวราวกับว่าถ้ามีใครขัดหูขัดตาเขาแค่นิดเดียวก็จะฆ่าทิ้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน และหางคิ้วที่มักจะชี้ขึ้นแบบคนมั่นใจในตัวเองสูงกลับตกลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนมาบูดเบี้ยวราวกับว่าตอนนี้กำลังไม่พอใจอยู่มากทีเดียว

มูคยอมไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เขาเงยหน้ามองเพดานสูงในบ้านที่เงียบเหงามากจนเกินไปพร้อมกับปรับลมหายใจที่ฮึดฮัดไม่หยุดให้สงบลงเพื่อกล่อมตัวเองให้หลับ

‘ใช่แล้ว อีฮาจุนไม่ใช่ของของเขา

เพราะคนที่ปฏิเสธคำสารภาพรักของอีฮาจุนแล้วเน้นย้ำว่าไม่ได้มีความรู้สึกในฐานะคนรักก็คือตัวเขาเอง ตัวคิมมูคยอมไม่ใช่ใครอื่น และต่อจากนี้ไป การตัดสินใจนั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันขาด!’

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอีฮาจุนจะนอนกับใครก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา อีฮาจุนจะทำเรื่องผิดศีลธรรมกับยุนแชฮุนหรือไม่ รวมถึงเรื่องใหญ่โตที่จะตามมาหลังจากนั้น ก็เป็นเรื่องที่สองคนนั้นจะต้องจัดการเอง

มูคยอมพยายามปรับสีหน้าให้เยือกเย็นเพื่อที่จะคิดอย่างมีวิจารณญาณพร้อมกับท่องเรื่องที่เขาตัดสินใจซ้ำแบบเดิมอยู่สองสามครั้งในใจ แต่แล้วหัวคิ้วของเขาก็ย่นเข้าหากันอีกครั้ง เขาพลิกตัวหันขวับไปด้านข้างแล้วฝังใบหน้าลงกับซอกระหว่างหมอนอิงและโซฟา

‘ถึงอย่างนั้นก็เถอะ โธ่เว้ย ตั้งตอนไหนมาแล้วล่ะที่บอกว่าชอบกัน…

หมอนั่นไม่ใช่คนที่จะไปทำเรื่องผิดศีลธรรมได้อย่างมั่นอกมั่นใจเลยสักนิด แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นก็เถอะ ทำไมถึงต้องพาไปที่โมเต็ลเส็งเคร็งแบบนั้น…’

มันไม่ใช่เรื่องที่มูคยอมจะเข้าไปยุ่ง แต่เขาก็หยุดก่นด่ายุนแชฮุนไม่ได้

‘ไอ้บ้านั่นมันสุดยอด สุดยอดของสุดยอดไอ้คนเวรตะไลเลย’

——————————————————

ตอนเด็กๆ ก็ไม่แน่ แต่หลังจากได้เป็นนักกีฬามืออาชีพ มูคยอมก็ไม่เคยมาสายเลยหากไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ถึงแม้จะมีบ้างเป็นครั้งคราวที่มาเข้าร่วมสายในชั่วโมงยืดกล้ามเนื้ออิสระซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนต่างพากันหยอกล้อและพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย แต่การที่เขายังไม่มาแม้เป็นเวลาที่นักกีฬาทุกคนยืนเรียงแถวกันอยู่หน้าโค้ชแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

ฮาจุนมองนาฬิกาข้อมือพลางเหลือบมองไปยังทางเข้าสนามฝึก จากนั้นก็ถามจองคยูเสียงเบา

“คิมมูคยอมได้ติดต่อมาหรือเปล่า”

“เปล่านี่”

จองคยูเองก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเหมือนบอกว่ามันแปลก ฮาจุนโทรไปหามูคยอมตั้งหลายครั้งแต่เขาไม่รับสาย ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปยืนตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ให้อย่างช่วยไม่ได้ โค้ชเองก็ทำสีหน้าแปลกใจไม่น้อยราวกับไม่ได้รับการติดต่อมาล่วงหน้าเช่นกัน แต่ไม่นานก็เริ่มการฝึกเหมือนปกติ พวกเขาไม่สามารถทำให้การฝึกล่าช้าออกไปเพราะต้องรอคนคนเดียวได้

แม้กำลังออกคำสั่งให้กับพวกนักกีฬาแต่ดวงตาของฮาจุนกลับเอาแต่จับจ้องไปยังทางเข้าสนามฝึกบ่อยครั้ง ‘เมื่อวานมูคยอมดูเหมือนมีเรื่องจะคุยด่วน เขาเลยตั้งใจว่าถ้ามูคยอมมาก็จะบอกทันทีว่าวันนี้ว่างแท้ๆ’

“โอ๊ย ปวดหัวชะมัด”

ฮาจุนมองท่าทางของจองคยูซึ่งกดขมับแน่นในระหว่างฝึก แล้วเขาก็เบนสายตาที่เอาแต่มองไปยังทางเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง

“ไหวไหม วันนี้มีฝึกแท้ๆ แต่เมื่อวานนายดื่มซะเยอะเชียว”

“พวกคนที่ยังมีชีวิตอยู่กันถึงตอนนี้ถูกผีที่ตายเพราะไม่ได้ดื่มเหล้าเข้าสิงหรือไงนะ นึกว่าจะถึงวันตายของฉันซะแล้ว”

ฮาจุนกดนวดตรงคอของจองคยูพร้อมกับหัวเราะ

“เพราะรวมตัวกันได้แค่นานๆ ครั้งนั่นแหละ พวกเขาถึงกับจองห้องไว้เพื่อดื่มเลยนี่ จะกลัวอะไรล่ะ”

“เฮ้อ พี่แชฮุนบอกว่าจะมา ฉันก็เลยแวะไป กะว่าจะได้ขอบคุณที่มาครั้งก่อนด้วย แล้วก็จะได้ทักทายด้วยสักหน่อย ฉันจะไม่ไปร่วมวงอีกแล้ว”

“วันนี้ค่อยๆ ฝึกสลับกับพักบ้างแล้วกัน ตอนเมาค้าง ถ้าหักโหมเกินไปก็ไม่ดี”

เมื่อวานจองคยูโผล่ไปในงานพบปะสังสรรค์ของพวกโค้ชอยู่ครู่หนึ่ง กะว่าจะแวะไปทักทาย แต่กลายเป็นว่าได้ดื่มเหล้าหนักแบบไม่ได้วางแผนไว้เสียอย่างนั้น ตัวฮาจุนเองเข้าใจความรู้สึกของจองคยูซึ่งส่ายหน้าหวิวๆ ปฏิเสธอย่างสุดชีวิตเป็นอย่างดี

เมื่อวานเป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่แบบที่ไม่มีมานาน ซึ่งมีพวกคนจากท้องที่อื่นๆ เข้าร่วมด้วย สมาชิกที่มาจากต่างเมืองวางแผนว่าจะค้างหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับ เพราะอย่างนั้นจึงจองห้องของโมเต็ลใกล้ๆ แล้วไปตั้งวงเหล้ากันที่ร้านเหล้าแถวนั้นตั้งแต่ตอนยังไม่มืดค่ำดี

ถ้าด้วยเหตุผลอื่นก็อาจนอนค้างนอกบ้านได้ แต่ฮาจุนไม่ต้องการทำแบบนั้นเพราะมาร่วมวงเหล้า คนที่มารวมตัวกัน ส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้าใจสถานภาพของเขา แต่เพราะมีคนที่มาจากไกลๆ ด้วยเหมือนกัน จึงมีพวกคนที่บ่นกระปอดกระแปดว่า ‘น้องเล็กไม่เคยอยู่ร่วมวงจนจบแล้วหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง’ อยู่ด้วย เพราะอย่างนั้น ก่อนไปร้านเหล้า ฮาจุนจึงไปถึงเร็วกว่าเวลานัดนิดหน่อยแล้วซื้อพวกของกินเล่น เหล้า และเครื่องดื่มแก้เมาค้างไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็ถือไปที่พักพวกโค้ชต่างเมืองเพื่อทำการทักทายพวกเขาก่อน นี่เป็นความคิดของแชฮุนแล้วดูเหมือนว่าจะใช้ได้เสียด้วย เขาเชี่ยวชาญในการวางตัวกับคนอื่นจริงๆ

พอเข้ามาในโมเต็ลซึ่งจองไว้เป็นที่พัก ใบหน้าของฮาจุนก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาโดยไม่จำเป็น เขาเคยค้างนอกบ้านอยู่สองสามคืนเนื่องมาจากการแข่งขันหรือไม่ก็การฝึก แต่โดยทั่วไปฮาจุนก็นอนในที่พักที่ถูกเตรียมไว้ให้อย่างเหมาะสมต่อการใช้สอย และไม่เคยนอนที่โมเต็ลเลยสักครั้งเดียวเพราะโดยส่วนตัวแล้วแทบจะไม่นอนค้างนอกบ้านเลย ถ้าลองคิดๆ ดู มันก็เป็นเพียงแค่สถานที่ประกอบธุรกิจพักแรมซึ่งไม่ว่าใครต่างก็มาใช้บริการได้ทั้งนั้น แต่พอเจอกับตู้จำหน่ายสินค้าผู้ใหญ่อัตโนมัติตรงทางเดิน เขาก็รู้สึกอายขึ้นมาจนอยากรีบออกไปทันทีที่ทักทายเสร็จ

จองคยูผู้ซึ่งส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความทรมาน จู่ๆ ก็ส่งเสียงดัง ‘อ๊ะ’ พร้อมกับเบิกตากว้าง ฮาจุนเองก็รีบหันหน้าไป

คนมาสายกำลังเดินก้าวฉับๆ ย่ำสนามหญ้าเข้ามา

“คิมมูคยอม! ทำไมถึงมาสายขนาด…นี้”

ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะตอบกลับคำทักทายของจองคยูคือคิมมูคยอมไม่ผิดแน่

แต่การที่จองคยูปล่อยให้ท้ายประโยคพูดทักทายอย่างมีชีวิตชีวาเงียบหายไปก็มีเหตุผลอยู่ ฮาจุนก็เบิกตากว้างมองดูชายหนุ่มผู้กำลังเดินเข้ามาใกล้ มูคยอมต้องเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าโดยห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวก่อน ฮาจุนจึงปริปากพูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูกได้

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

คำแสดงความเป็นห่วงถูกเปล่งออกมาเป็นอย่างแรกจากปากของฮาจุนซึ่งขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แต่มูคยอมก็ทำเพียงแค่ปรายตามองฮาจุนแวบเดียวเท่านั้น เขาไม่ได้ตอบอะไรแล้วเดินผ่านไปทันที มูคยอมไปยืนอยู่ตรงจุดหนึ่งแล้วเริ่มยืดเหยียดร่างกายขั้นพื้นฐานเพราะพลาดเวลาที่จะทำร่วมกับคนอื่นๆ เนื่องจากมาสาย

ฮาจุนลืมคำที่ตัวเองจะพูดแล้วจับจ้องไปทางมูคยอมอย่างเหม่อลอย สีหน้าของมูคยอมแย่มากเสียจนเทียบกับจองคยูซึ่งทรมานจากการเมาค้างไม่ติด มูคยอมมักเริ่มต้นวันใหม่อย่างไร้ข้อบกพร่องโดยเตรียมสภาพร่างกายให้ดีที่สุดตั้งแต่เช้าตรู่อยู่เสมอ การทำสีหน้าอึมครึมไร้ชีวิตชีวาและขยับร่างกายแบบไร้วิญญาณโดยที่สายตาเหม่อมองไปไกลด้วยดวงตาเหมือนปลาแช่แข็งนั้น ดูราวกับหุ่นยนต์พังๆ แบบไม่สมกับเป็นเขาเลย เพิ่งจะเคยเห็นสภาพแบบนี้ของเขาเป็นครั้งแรก

ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้อย่างร้อนรน

“คิมมูคยอม ถ้าร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็พักเถอะ ถึงโดดฝึกพื้นฐานไปสักวัน สภาพร่างกายของนายก็ไม่พังหรอก”

“…ฉันจัดการเองได้”

เสียงของเขาก็ทุ้มต่ำและแหบแห้งเหมือนคนเป็นหวัด ฮาจุนวางมือลงบนไหล่ของมูคยอมราวกับรู้สึกอึดอัดใจ

“การคอยดูแลสภาพร่างกายนักกีฬาคืองานของฉันนะ ทำไมนายถึงทำอะไรตามใจชอบ…”

‘เพียะ’ ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างทันทีที่เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นเบาๆ เขาลดมือของตัวเองลงเพราะรู้สึกว่าอาจคิดไปเองหรือเปล่า

ไม่ได้คิดไปเอง มือที่ยกขึ้นไปวางบนไหล่ของมูคยอมถูกมือของเจ้าตัวปัดออกจนปลายนิ้วรู้สึกเจ็บแสบ แม้ไม่ได้ปัดออกแรงขนาดนั้นแต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกแปลบๆ คงเป็นเพราะมีความรู้สึกอื่นปะปนกับความรู้สึกที่สัมผัสได้ทางร่างกายจริงๆ ไม่ใช่แค่ตรงปลายนิ้วเท่านั้น แต่ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างก็กำลังชา ราวกับไข้ขึ้น ราวกับคนที่ขึ้นไปบนภูเขาสูง

แต่ฮาจุนก็รีบสลัดความสับสนที่รู้สึกขึ้นมาชั่วขณะออกไปอย่างรวดเร็วแล้วตั้งสมาธิอยู่กับการสังเกตมูคยอม ไม่ใช่แค่สภาพร่างกายอย่างเดียวเท่านั้นแต่สภาพจิตใจของเขาก็ดูย่ำแย่พอสมควรด้วยเหมือนกัน

“บอกแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ใช่เวลาที่ต้องการให้โค้ช อย่าเอามือมาจับ”

“…อืม ขอโทษนะ”

ฮาจุนกล่าวขอโทษอย่างพอเหมาะพร้อมกับลองตั้งใจคิดดูว่าทำไมมูคยอมถึงเป็นแบบนี้ แต่ไม่มีเหตุผลที่พอจะนึกออกเลย

‘ตอนกลางคืนมีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ’ ฮาจุนสงสัยแต่ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยไปก่อน มูคยอมเป็นคนที่ทำตัวตามอารมณ์ อีกทั้งยังมีนิสัยเรื่องมากและมีด้านอ่อนไหวมากกว่าที่เห็น เวลาแบบนี้ ปล่อยให้เขาพักฟื้นสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเอง แทนที่จะเข้าไปยุ่งน่าจะดีกว่า

ไม่ว่าใครมองมาก็ดูออกว่าเขาอ่อนล้า แต่ไม่มีใครเลยที่จะเข้ามาทักตัวทำคะแนนของทีมซึ่งปกติก็พูดยากอยู่แล้วว่านิสัยดี แม้แต่จองคยูก็ยังปฏิบัติตัวต่อหน้ามูคยอมอย่างระมัดระวังในวันนี้

มูคยอมไม่ใช่นักกีฬาระดับที่จะลงเล่นใน K ลีกมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครขอร้องให้เขามาเช่นกัน ถึงอย่างนั้น คิมมูคยอมก็เป็นดั่งราชาในสถานที่แห่งนี้ซึ่งไม่มีกระทั่งโค้ชพัคจุนซอง

แม้แต่กลุ่มนักกีฬาวัยรุ่นซึ่งปกติจะมัวแต่หยอกล้อกันเสียงเอะอะอย่างเดียว ในวันนี้ยังลดเสียงลงระหว่างที่ราชากำลังฝึกซ้อมด้วยใบหน้าบึ้งตึง บรรยากาศชวนขนหัวลุกยิ่งกว่าวันแรกกับวันที่สองของการฝึกนอกสถานที่แบบนี้ปกคลุมไปทั่วสนามฝึก

“ทำไมเหม่อกันแบบนั้นล่ะ เก็บสีหน้า ตั้งใจหน่อย!”

ฮาจุนปรบมือเสียงดังพร้อมตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เปลี่ยนง่าย ๆ ฮาจุนเลือกเมินเฉยแต่ฝึกซ้อมต่อได้เพียงสิบนาทีก็ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหามูคยอม

“คิมมูคยอม”

มูคยอมเพียงแค่ปรายตามองแวบหนึ่งแทนคำตอบ ฮาจุนกดเสียงต่ำแบบที่ไม่เคยใช้เสียงแบบนี้ให้นักกีฬาคนอื่นได้ยินมาก่อน

“ไม่รู้เหรอว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่ทำร่วมกันเป็นทีมตั้งแต่ตอนฝึกซ้อมแล้ว ถ้ามีหนึ่งคนสภาพร่างกายย่ำแย่อย่างหนักก็จะส่งผลกระทบต่อทุกคนในทีม ไม่ใช่ว่าต้องหยุดพักแค่ตอนได้รับบาดเจ็บเท่านั้นนะ พักในเวลาที่ต้องพักก็เป็นเรื่องที่นักกีฬามืออาชีพควรจะทำเหมือนกันไม่ใช่หรือไง วันนี้พักผ่อนซะ ฉันสั่งในฐานะโค้ช”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา

ฮาจุนเดาไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมมูคยอมถึงได้เป็นแบบนี้กันแน่ เมื่อวานยังวิ่งฉิวไปมาในสนามฝึกแล้วยังชวนกินข้าวด้วยกันอย่างอารมณ์ดีอยู่เลย

ห่างกันแค่คืนเดียวแต่มาในสภาพใบหน้าเหมือนครึ่งศพครึ่งคนแบบนี้มันเพราะเรื่องอะไรกันแน่ ในขณะที่ในหัวของฮาจุนมีหลายๆ ความคิดตีกันอย่างวุ่นวาย มูคยอมก็เตะหญ้าแรงๆ หนึ่งครั้งแล้วถอนหายใจพลางพึมพำ

“คุณโค้ชของพวกเราเนี่ย พูดแต่เรื่องถูกต้องและมีเหตุมีผลอยู่เสมอเลยนะ”

“…”

“อย่างกับเป็นหนังสือสอนจริยธรรมแน่ะ”

ไม่รู้ว่าพูดออกมาจากใจจริงหรือว่าประชดกันแน่ ฮาจุนหรี่ตาลงมองเล็กน้อยเพราะคิดว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีก แต่มูคยอมกลับหมุนตัวไปโดยไม่บ่นสักแอะ ไม่ได้มีเพียงฮาจุนที่จ้องมองภาพด้านหลังของเขาซึ่งมุ่งหน้าไปทางตึกสำนักงาน แต่นักกีฬาส่วนใหญ่ต่างก็ส่งสายตามองสลับกันไปทีละคน

“เอาล่ะๆ ตั้งใจฝึกกันหน่อย!”

ไม่ได้พูดเรื่องเคร่งเครียดอะไรเลยแต่ภายในใจกลับกังวลขึ้นมาจนเผลอถอนหายใจยาวเหยียดโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็เป่านกหวีดดังปี๊ดหนึ่งครั้งแล้วเลิกล้มความสนใจที่มีต่อมูคยอมซึ่งกำลังเดินจากไป

การขยับร่างกายทำให้ความคิดสัพเพเหระหายไป ไม่นานทุกคนก็ลืมเรื่องที่มูคยอมไม่อยู่ และเริ่มมุ่งมั่นไปกับการออกกำลังกาย ยกเว้นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อการฝึกเข้าที่เข้าทางในระดับหนึ่ง ฮาจุนก็สังเกตท่าทีของคนอื่นแล้วจึงก้าวเดินไปเงียบๆ

‘กลับบ้านแล้วหรือเปล่านะ หรือจะไปอยู่ห้องพยาบาล’

ถ้าหากว่ายังอยู่ก็รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องคุยกัน ฮาจุนจึงมุ่งหน้าไปยังตึกที่มีห้องล็อกเกอร์ เจอกันที่บ้านตามลำพังทีหลังได้ก็จริง แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็กังวลจนไม่อยากยืดเวลาออกไป ในตอนที่เข้ามาในตัวตึกและเปิดประตูออกนั้น

“โอ๊ย ตกใจหมด”

ฮาจุนทำตาโตแล้วโพล่งขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ฮาจุนเคยคิดว่ามูคยอมน่าจะอยู่ห้องล็อกเกอร์หรือไม่ก็อยู่ห้องพยาบาล หรือถ้าไม่งั้นก็อาจจะกลับไปแล้ว แต่มูคยอมคนนั้นกลับกำลังนั่งใจลอยเหมือนกำลังทอดสายตามองด้านนอก เขานั่งอยู่แถวๆ บันไดซึ่งมองเห็นสนามฝึกจากด้านใน โดยวางข้อศอกลงบนเข่าแล้วเท้าคางข้างหนึ่ง ถึงแม้จะนั่งอยู่แต่เงาใหญ่ๆ ที่โอ้อวดการมีอยู่ของเขาก็ทำให้ฮาจุนลูบอกของตัวเองพร้อมกับกล่าวตำหนิ

“บอกให้พักแต่ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”

มูคยอมเพียงแค่เหลือบขึ้นมามองฮาจุนซึ่งเดินเข้ามาใกล้อย่างเหม่อลอยในท่าเท้าคางเช่นเดิมและไม่ได้พูดอะไรออกมา ฮาจุนหันหน้าไปทางด้านนอกประตูกระจกที่ซึ่งสายตาของมูคยอมเคยจับจ้องอยู่

‘กำลังมองอะไรอยู่นะ’ สิ่งที่เข้ามาสู่การมองเห็นมีเพียงภาพการฝึกตามปกติเท่านั้น ไม่นานฮาจุนก็เบนสายตามาทางมูคยอมอีกครั้งพร้อมกับเข้าไปยืนตรงหน้าเขาแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“เป็นหวัดหรือเปล่า ไปห้องพยาบาลกันสักหน่อยเถอะ”

“…ช่างมัน”

“ไม่ใช่ว่าช่างมันสิ อย่านั่งอยู่แบบนี้ที่นี่แล้วไปนอนพัก หรือไม่ก็กลับบ้านไปพักซะ นายดูเหนื่อยนะ ทำไมเป็นแบบนี้ ไม่สมกับเป็นนายเลย”

ถึงจะพูดมากอย่างนั้นอย่างนี้แต่มูคยอมก็ดูแลตัวเองอย่างพิถีพิถันเป็นอันดับหนึ่ง ช่วงนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วก็จริง แต่มีช่วงหนึ่งที่เขามีข่าวลือด้านชู้สาวแพร่กระจายออกไปกับหลายๆ คน และมีบ้างที่ดื่มเหล้าเข้าสังคมกับผู้คนเป็นครั้งคราว เรื่องพวกนั้นเป็นเพียงการออกนอกลู่นอกทางอันน้อยนิดของเขา บุหรี่ก็ไม่สูบ ส่วนเรื่องอาหารการกิน ถ้าไม่ใช่วันพิเศษก็จะเลือกกินเพียงรายการอาหารสำหรับนักกีฬาเท่านั้น

มูคยอมมีความต้องการฝึกในปริมาณมากกว่าคนอื่นๆ เขาจึงต้องจัดเวลาในการพักผ่อนให้เหมาะสมอย่างจริงจัง ฮาจุนไม่รู้เลยว่าคนที่รู้เรื่องนั้นยิ่งกว่าใคร ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนี้ได้

ความเป็นห่วงล้ำหน้าออกมา ‘มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้หรือเปล่านะ ถึงจะแข่งแพ้หรืออารมณ์ไม่ดี เขาก็บ่นหรือไม่ก็ระบายความโกรธออกมานี่ ไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อย’ สีหน้าอึมครึมไร้เรี่ยวแรงและใบหน้าบึ้งตึงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ทำให้คำพูดที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงถูกโพล่งออกมาเป็นอย่างแรกโดยไม่รู้ตัว

“คิมมูคยอม ถ้านายมีเรื่องอะไร… ถ้ามีเรื่องที่ฉันช่วยได้ก็บอกนะ”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฮาจุนก็ทำได้แค่หัวเราะเยาะตัวเองในใจ ‘ต่อให้มีเรื่องอะไรจริงๆ แต่ตัวเขาเอาอะไรไปช่วยในเรื่องที่ทำให้คิมมูคยอมผู้เพียบพร้อมลำบากได้ล่ะ’

ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์ก่อนถึงเกมแรกของครึ่งฤดูกาลหลัง ถึงเวลาที่ต้องสลัดจิตวิญญาณของวันหยุดทิ้งไป แล้วตั้งใจจดจ่อกับการกู้ฟอร์มแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ทีมระดับกลางและระดับล่างต้องดิ้นรนคว้าแต้มเพิ่มอีกสักแต้ม เพื่อชดเชยผลการแข่งขันครึ่งแรกของปีที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ และยังเป็นช่วงเวลาที่การแข่งขันอันดับในตำแหน่งสูงจะดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ที่โซล แต่ตัวเขาก็คือมูคยอม เอสของทีมที่แข็งแกร่งระดับโลก ถึงเขาจะไม่ใส่ใจฝึกซ้อมที่เกาหลี อย่าว่าแต่ฝ่าฝืนวงจรที่กำหนดไว้ แม้แต่การฝึกซ้อมมูคยอมก็ไม่เคยฝึกเกินกว่าที่กำหนดไว้ วัฏจักรแห่งคุณธรรมได้เกิดขึ้นแล้วที่สนามซ้อมในกรุงโซล คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทีมรับผิดชอบการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง ขณะที่บรรดานักเตะที่เหลือก็พยายามอย่างเต็มที่ราวกับถูกดึงดูดโดยธรรมชาติ ทว่าฮาจุนไม่ได้กดดันมูคยอม แค่เตือนว่าอย่าหักโหมและพักผ่อนให้เพียงพอก็พอ

“ทำได้ดีมากครับ!”

ยังคงเป็นฤดูร้อนที่แม้จะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่เหงื่อก็ยังแตกพลั่ก เหล่านักเตะสะบัดยูนิฟอร์มที่ชื้นเหงื่อ ทุกคนเดินตรงไปที่ห้องล็อคเกอร์

มูคยอมก็เช่นกัน เมื่อยืนอยู่หน้าล็อคเกอร์ เขาก็ถอดชุดโยนทิ้งไว้แล้วเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที มูคยอมปล่อยให้น้ำเย็นรินรดกาย เขาไม่ได้เตะฟุตบอลที่เกาหลีมานาน จนลืมฤดูร้อนที่ร้อนชื้นจนน่ากลัวนี้ไปเลย

“บอกแล้วว่าพอเดินไปถึงลาดจอดรถ ก็ต้องอาบน้ำใหม่”

“ปรับตัวไม่ได้จริงๆ”

มูคยอมเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมกับจองคยูที่บ่นกระปอดกระแปดว่าเหมือนกำลังวิ่งอยู่ในห้องซาวน่า แล้วเขาก็ขึ้นรถหลังจากบอกลานักเตะคนอื่นสั้นๆ มูคยอมสตาร์ทรถพร้อมกับเร่งเครื่องปรับอากาศแรงสุด เขาหมุนพวงมาลัยขับออกไปจากสนามซ้อมอย่างรวดเร็ว

…อากาศร้อนแบบนี้ ถ้าบอกว่าจะไปส่ง คงยอมไปด้วยกันแน่

ไปรับฮาจุนกลับด้วยกันจะดีกว่าไหม มูคยอมคิดอย่างนั้น แต่ขณะที่เขากำลังจะโทรศัพท์หาอีกคน ฮาจุนที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าอย่างเร่งรีบก็ปรากฎในกรอบสายตาเขา สีหน้าของฮาจุนดูร้อนรนเหมือนจะไปไม่ทันเวลา

แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้ว แต่ฤดูนี้พระอาทิตย์ไม่ได้ตกดินในทันที กว่าความร้อนบนพื้นดินจะเย็นลงก็ใช้เวลาอีกนาน จึงไม่แปลกใจเลยที่แก้มของอีกฝ่ายจะพองลมเล็กน้อยแล้วพ่นลมหายใจเพราะความร้อน ฮาจุนเสยผมหน้าม้าขึ้น

ระหว่างที่มูคยอมติดสัญญาณไฟบอกให้หยุด ฮาจุนก็เดินข้ามทางม้าลายตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว แทนที่จะยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์เหมือนเคย ก่อนจะเดินขึ้นไปบนทางเท้าของอีกฝั่ง ฮาจุนยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์แล้วชะเง้อมองป้ายเหมือนกำลังคาดคะเนเวลาที่รถเมล์จะมาถึง เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าคงไม่ทัน ฮาจุนก็เริ่มยกมือขึ้นเรียกแท็กซี

ถ้าเป็นการประชุมคงไม่ได้ไปแค่ครั้งสองครั้ง ทำไมถึงกระแทกเท้าตึงตัง ทำท่าร้อนรนแบบนั้นล่ะ มูคยอมรู้สึกแปลกใจพิกลเพราะไม่เคยเห็นฮาจุนกระวนกระวายกับเวลานัดหมายมาก่อน แต่พอตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้เขาต้องกลับรถไปรับอีกฝ่ายก็มีแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าฮาจุนพอดี แท็กซี่คันนั้นจอดลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็แล่นออกไปอีกครั้ง และเขาก็ไม่เห็นฮาจุนที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นอีก

“…”

มูคยอมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเคาะปลายนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัย ฮาจุนออกไปจากตรงนั้นแล้ว และไม่ได้ขึ้นมาบนรถของเขา เพราะฉะนั้นเขากลับบ้านเลยดีกว่า แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ท่าทางของฮาจุนที่รีบร้อนต่างจากทุกทีก็ยังคงติดอยู่ในหัวเขาเหมือนตะปูที่โผล่ออกมาผิดที่

ในฐานะนักกีฬา มูคยอมคิดว่าเขาควรพึ่งพาความรู้สึกมากกว่าหลักตรรกะ ถึงแม้พวกนักวิจารณ์กีฬาจะอธิบายว่าทุกๆ ผลงานของมูคยอมนั้นเป็นการเคลื่อนไหวของเกมเมอร์ที่มีการวางแผนเกมในทุกๆ นัด แต่ก็ไม่เสมอไป

บางครั้งก็เดินเกมโดยไม่คิดอะไรเลยเหมือนกัน ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขารู้ว่าต้องทำอะไรถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่าจิตสำนึกของเขา และเคลื่อนไหวก่อนที่จะรู้ด้วยซ้ำ ซีกหนึ่งของความคิดเขารู้ว่ามันผิดและไม่สมเหตุสมผล แต่อีกซีกหนึ่งเขารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากล ถ้าเขาปล่อยผ่านไป มูคยอมรู้ว่าหลังจากนั้นเขาจะต้องอึดอัดต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าฮาจุนรีบจนต้องนั่งแท็กซี่ แล้วทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไปส่งท่าเดียว

มูคยอมก็กลับรถทันทีตามสัญชาตญาณของตนเอง แม้เสียงบีบแตรแป๊นๆ จะดังประท้วงตามหลังมาเพราะไม่ใช่ที่กลับรถ แต่มูคยอมก็ไม่สนใจ เขาเร่งความเร็ว

ถนนอีกฝั่งไม่ได้มีรถเยอะขนาดนั้น เขาจึงขับตามแท็กซี่ที่ฮาจุนนั่งไปได้อย่างรวดเร็ว มูคยอมทิ้งระยะห่างให้รถคันหนึ่งคั่นกลาง เหมือนกำลังสะกดรอยตาม ไม่สิ ว่ากันตามตรงเขาก็กำลังสะกดรอยตามฮาจุนนั่นละ

หลังจากขับไปได้สักพัก แท็กซี่ก็จอดลงที่ไหล่ทาง ก่อนที่ฮาจุนจะลงมาจากรถ ฮาจุนก้มศีรษะให้คนขับรถหนึ่งครั้งแล้วบอกลาอย่างสุภาพ เหมือนฮาจุนที่มูคยอมรู้จัก

สถานที่ๆ มาถึงคือละแวกที่เขาไม่คุ้นเคย สมัยที่มูคยอมอยู่ที่เกาหลี เขาก็ไม่เคยมาที่นี่เลย ย่านเริงรมย์ที่มีร้านเหล้าตั้งอยู่เกลื่อนกลาดเปิดไฟนีออนส่องสว่างบอกว่ากำลังเปิดร้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนดูสนุกสนานรื่นเริง

มูคยอมขมวดคิ้วเพราะคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับฮาจุนเลยสักนิด แต่แล้วก็ลองคิดดูว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร ในเมื่อฮาจุนบอกว่าเป็นการประชุมพบปะโค้ชด้วยกันหลังจากนำเสนอเสร็จ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพบปะกันที่ร้านเหล้าที่เหมาะสม อย่างเช่น บาร์

ฮาจุนไม่ได้ตรงไปไหนในทันที ทั้งที่รีบร้อนขนาดนั้น ฮาจุนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือพลางทอดสายตาชะเง้อมองออกไปไกลราวกับกำลังรอคอยใครสักคน ท่าทางเหมือนเมียร์แคตที่กำลังจ้องสิ่งที่เข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ

มูคยอมรักษาระยะห่างพอสมควร และจ้องมองไปที่ฮาจุน มูคยอมมองรอยยิ้มสดใสที่ปรากฎบนใบหน้าของฮาจุนที่โบกไม้โบกมือหลังจากนั้น และมองตามดูว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังรอคอยคือใคร

ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้าง มูคยอมคิดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคงเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก แต่คนที่ฮาจุนกำลังคอยกลับเป็นคนที่เขาเองก็รู้จัก

ยุนแชฮุนก้าวยาวๆ เดินเข้ามาใกล้ฮาจุน

จากที่เอนกายพิงพวงมาลัย มูคยอมก็ยืดตัวตรง ยุนแชฮุนขยี้ผมของฮาจุนพลางพูดอะไรบางอย่าง ฮาจุนมองเขาคนนั้นด้วยสายตาที่เชื่อถืออย่างมากเหมือนที่สนามซ้อมไม่มีผิด ริมฝีปากอมยิ้มบางพลางตอบอะไรบางอย่างกลับไป

มูคยอมเกือบจะวิ่งลงจากรถไปถามพวกเขาแล้วว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ก็หักห้ามใจไว้

บอกว่าประชุมโค้ช

แต่ไอ้คนนามสกุลยุนนี่จะมาด้วยก็ได้งั้นสิ

ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำจะบาดตาเขามากก็จริง แต่การเข้าไปแทรกแล้วถามว่าพวกนายกำลังทำอะไรกัน ฮาจุนคงบอกแค่ว่าเป็นพี่น้องที่สนิทสนมในวงการเดียวกัน และทำตัวตามปกติก็เท่านั้น ดังนั้นมูคยอมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และกำพวงมาลัยแน่นเพื่อข่มตัวเอง

ยุนแชฮุนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูเหมือนมีใครโทรเข้ามา และระหว่างที่คุยโทรศัพท์ ฮาจุนก็เอาแต่เฝ้ามองยุนแชฮุน มูคยอมหัวเสียขึ้นมาอีกครั้งเพราะภาพนั้นช่างดูเหมือนลูกสุนัขที่กำลังรอให้เจ้าของทำงานเสร็จไม่มีผิด

หลังจากบทสนทนาสั้นๆ จบลง แชฮุนก็ทาบมือลงบนไหล่ของฮาจุน ทั้งสองเริ่มก้าวเดินคู่กันไป คนที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่แรกอย่างมูคยอมยังคงทิ้งระยะห่าง และขับรถตามทั้งคู่ไปอย่างช้าๆ

สองคนนั้นเดินต่อไป ก่อนเลี้ยวเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ข้างฟุตบาธ มูคยอมมองไม่เห็นข้างในนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฮาจุนที่ถือถุงของร้านสะดวกซื้อซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของก็เดินออกมาพร้อมกับยุนแชฮุนที่มือเปล่า ไอ้คนหน้าหนานั่นตัวใหญ่กว่าแท้ๆ ทำไมอีฮาจุนถึงถือข้าวของให้ทุกครั้งเลยก็ไม่รู้

ทั้งสองออกมาจากร้านสะดวกซื้อและออกเดินคู่กันไปอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปในซอยแคบๆ มูคยอมขับรถตามพวกเขาไปไม่ได้อีก จึงจอดรถไว้ข้างถนนและรีบลงมาจากรถ มูคยอมไม่สนใจสายตาของผู้คนที่จำเขาได้ และแทบจะวิ่งตามเข้าไปในซอยที่สองคนนั้นเดินเข้าไป

สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากซอยแล้วเดินผ่านทางเข้าเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง มูคยอมจึงค่อยๆ เดินตามหลังไปและยืนอยู่หน้าทางเข้าอาคารที่พวกเขาหายเข้าไป มูคยอมมองป้ายโฆษณาที่ติดอยู่แถวนั้นด้วยความงงงวย เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา

“…อ่านผิดหรือเปล่านะ”

ปกติแล้วเขามักไม่ยอมรับความจริงอยู่ในใจคนเดียว แต่ครั้งนี้เขากลับหลุดพูดคนเดียวออกมาจากปาก หลังจากกะพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาอ่านตัวอักษรในป้ายนั้นอีกครั้ง แต่ข้อความก็ยังคงเดิม เช่นเดียวกับชื่อที่ติดอยู่บนตัวอาคาร

ป้ายที่แขวนอยู่บนผนังเขียนบอกราคาการเข้าพักในห้องพักขนาดใหญ่ และในป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ที่ทางเข้าก็แสดงภาพถ่ายคร่าวๆ ของห้องเอาไว้ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะดูอีกสักกี่ครั้ง สถานที่ที่พวกเขาสองคนเดินเข้าไปด้วยกันก็คือโมเต็ล

เหอะ มูคยอมระเบิดหัวเราะออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถคาดเดาหรือตัดสินเป็นอื่นได้อีกต่อไป มุมปากกระตุกยกยิ้ม

มูคยอมนึกถึงฮาจุนคนที่เคยบอกว่าชอบเขา เมื่อเช้าอีกฝ่ายขอโทษเขาตั้งสองครั้งพลางแก้ตัวด้วยใบหน้าที่ขาวใส และซื่อตรง มุมปากของมูคยอมยกยิ้ม เขาขมวดคิ้วและจ้องมองที่ป้าย

ประชุมวิชาการ?

อย่างนั้นเหรอ จะว่าไปแล้วนายก็โกหกเก่งกว่าที่คิดอีกนะ เคยพร่ำบอกว่าจะไม่นอนกับผู้ชายที่แต่งงานแล้วด้วยหน้าตาที่ดูซื่อตรงมากกว่าใครในโลกนี้ ไม่นึกเลยว่าจะแทงข้างหลังเขาแบบนี้

รู้ว่าชอบทำให้คนอื่นประหลาดใจเป็นงานอดิเรกแต่นี่มันไม่ใช่แล้ว บ้าไปแล้วเหรอ อีฮาจุน? ถูกฉันทิ้งแล้วก็จะไปเหรอไง? วันนั้นเพิ่งร้องไห้บอกว่าชอบกัน แต่ผ่านไปไม่กี่วันกลับทำตัวแบบนี้!

“…ไอ้เวรนี่”

สรุปแล้วแรงกระตุ้นก็ครอบงำร่างกายได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ในความคิดเขาร้อนระอุเหมือนเบ้าหลอมในชั่วพริบตา มันร้อนผ่าวเสียยิ่งกว่าตอนที่แสงอาทิตย์ส่องลงมาเหนือกระหม่อม

เหมือนกับตอนที่วิ่งไล่ตามลูกบอลในสนาม แต่หัวใจเขาเต้นแรงกว่านั้นและสมาธิที่ไขว้เขวก็ทำให้ทัศนวิสัยของมูคยอมแคบลง รอบกายมืดสนิท มองเห็นเพียงประตูบานเดียวที่ตนเองต้องมุ่งหน้าไป ไม่ต่างจากม้าแข่งหรือสุนัขล่าเหยื่อที่รอบกายถูกปิดกั้นเพื่อให้วิ่งตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แกะที่อยากซ่อนความลับชวนหัวเสียเอาไว้ ประตูกระจกที่ติดฟิล์มสีดำ เขาจะเปิดประตูบานนั้นแล้วตามขึ้นไปลากหมอนั่นออกมา และจะไม่ปล่อยให้ทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ดวงตาใสซื่อที่แหงนมองคนที่เขาเชื่อใจเมื่อครู่นี้กำลังวนเวียนอยู่ภายในใจเขาอย่างเลือนราง มูคยอมขมวดคิ้วอย่างหนัก

ไอ้คนชั่วน่าขยะแขยง แต่งงานแล้วแท้ๆ กล้าดียังไงถึงมาล้อเล่นกับคนอื่น

คนอย่างนายกล้าดียังไง! กล้าดียังไงมาแตะต้องของๆ คนอื่น!

มูคยอมกัดฟันกรอด ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงหน้าประตูกระจก มูคยอมเอื้อมมือออกไปคว้าที่จับโลหะที่เย็นเยือกท่ามกลางอากาศร้อน แล้วมองไปข้างหน้า

“…”

แต่แล้วมูคยอมที่คว้าลูกบิดไว้แน่นก็ต้องหยุดชะงัก หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับถูกแช่แข็ง เขาถอนหายใจแรงพลางยืนทอดสายตาจับจ้องอยู่ที่ประตู พูดให้ถูกก็คือเงาสะท้อนของตัวเขาบนประตูกระจกสีทึบนั้นเอง มูคยอมสบตากับตัวเอง

ใบหน้าบูดเบี้ยว นัยน์ตาวาวโรจน์ราวกับจะฆ่าใครสักคนเสียตอนนี้ ฟัน และกรามที่ขบแน่นเหมือนกำลังอดทนกับอะไรบางอย่าง

มูคยอมจดจำใบหน้านั้นได้ ใบหน้าของคนที่เขาไม่ได้พบมานานมากแล้ว

ภาพของปีศาจที่หลงเหลือในความทรงจำอยู่ภายในประตูสีดำที่กลายเป็นดั่งห้วงลึก

แม้จะค่ำแล้วแต่ฤดูร้อนก็ยังคงอบอ้าว ทว่ามูคยอมกลับรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง บนฝ่ามือที่กำลังจับลูกบิดประตูมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมาเหมือนเชื้อรา มูคยอมปล่อยมือแล้วก้าวถอยหลังในทันที ร่างกายกำยำที่ไม่เคยสะทกสะท้านแม้ต้องต่อสู้กับใครกลับโซซัดโซเซเหมือนเสียการทรงตัว

“…บ้าเอ๊ย…”

มูคยอมสบถออกมาเบาๆ ไม่รู้จะโทษว่าเป็นความผิดของใครดี มูคยอมถอยหลังออกห่างจากประตู เขาเอาแต่จ้องมองอาคารราวกับปีศาจที่เข้าไปข้างในไม่ได้เพราะมีสายทองขึงเอาไว้ ก่อนหันหลังกลับแล้วเดินออกมาจากทางออก

มูคยอมก้าวฉับๆ อย่างว่องไวโดยไม่หันกลับไปมอง จนกระทั่งมาถึงข้างถนนบริเวณที่เขาจอดรถเอาไว้ มูคยอมก็ขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ทันที

จะทำอะไรน่ะ

นายกำลังจะทำอะไร คิมมูคยอม ไอ้บ้า บ้าไปแล้วเหรอ

อีฮาจุนเป็นใครกัน เขาคนนั้นเป็นอะไรกับนายเหรอ

หมอนั่นเป็นใคร นายจะสติแตกแล้วทำตัวเป็นหมาบ้างั้นเหรอ

อีฮาจุนก็เป็นแค่คู่นอน คนที่ชอบเขา และรับได้ทุกอย่าง มันน่าสนุกเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชายและโค้ชในทีมเดียวกันด้วย!

“แม่งเอ๊ย!”

มูคยอมทุบพวงมาลัยดังตุ้บ แล้วสตาร์ทรถ ก่อนที่รถยนต์จะแล่นออกสู่ถนน วิ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูง

เขาเป็นบ้าไปชั่วขณะ สะกดรอยตามมาถึงที่นี่ทำไมกัน บางทีความรู้สึกไม่สบายใจที่จู่โจมมูคยอมเมื่อครู่อาจกำลังเตือนสติเขาเรื่องนี้ก็ได้

อย่างนั้นเหรอ ตัวเขาคงเห็นว่าอีฮาจุนพิเศษกว่าใครๆ พอคิดดูแล้ว มีสถานการณ์ที่พิเศษเกิดขึ้นระหว่างเขา และฮาจุนมากมาย เริ่มต้นด้วยการที่เขาให้ฮาจุนนอนค้างที่บ้าน ทั้งที่เขาไม่เคยอนุญาตให้คู่นอนนอนค้างที่บ้านมาก่อน เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเตรียมห้องแยกไว้สำหรับฮาจุนอีกต่างหาก และตั้งแต่นั้นมาเขายังพาอีกฝ่ายมาที่บ้านด้วย

เขาเคยชินกับการมีฮาจุนอยู่ข้างๆ มากเกินไป เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงตามหาฮาจุนเป็นคนแรกไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ถึงแม้ฮาจุนจะบอกว่าชอบเขาแต่เขาก็ไม่หยุด ไม่ใช่แค่นั้น มูคยอมยังคิดอีกว่าต่อไปเขาควรจะทำดีกับฮาจุนให้มากกว่านี้

มูคยอมพร้อมที่จะให้ทุกอย่างที่ฮาจุนต้องการ เว้นก็แต่บางสิ่งที่เขาไม่มีทางทำได้ เขาตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ เมื่อวานเขาก็คิดกระทั่งจะพาฮาจุนไปลอนดอนด้วย!

เขากลายเป็นคนที่ยึดติดกับความสัมพันธ์ทางกายกับใครคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เซ็กส์เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เพลิดเพลินกับความเครียด และผ่อนคลายความต้องการทางกาย เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเล่นกีฬาที่เป็นอาชีพหลักของเขาก็เท่านั้น มันไม่เคยเป็นเป้าหมายสำหรับเขาเลย

มูคยอมเดินออกมาได้สักพักและคิดกังวลว่าควรทำยังไงกับกระเป๋าดี เขาจึงทิ้งมันไว้ที่หน้าสถานีตำรวจแล้วหลบหนีไป มันเป็นสิ่งของที่เจ้าของทำหาย ตำรวจคงจัดการตามหาเจ้าของให้เอง พอคิดดูตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าเขาพิทักษ์ความยุติธรรมทั้งที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

หลังจากกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มูคยอมถูกถามว่าไปทำตัวเหมือนหมาที่ไหนมาจนหัวเข่าแตกอีกล่ะ เขาถูกทุบตีและถูกขังไว้ในห้องสำนึกตน แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน มูคยอมหัวเราะออกมา เขากลับรู้สึกสนุกที่ทุกอย่างเป็นไปตามคาด เขาถูกเทศนาเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มูคยอมก้มลงมองหัวเข่าที่เจ็บแปลบพลางนึกเสียใจว่าเขาน่าจะทายาก่อนกลับมา

วันนั้นมูคยอมนอนในห้องสำนึกตนที่ทั้งมืดมิด คับแคบ และเหม็นอับทั้งคืนทั้งที่มีไข้อ่อนๆ เขาไม่จ้องมองช่องระบายอากาศ แต่เลือกที่จะหลับตานึกถึงกลิ่นดอกไม้ที่เคยได้สูดดมใต้ร่มเงาของต้นไลแลค

เขากับแม่เคยแอบเก็บลูกสุนัขสีขาวที่ถูกทิ้งมาเลี้ยง เพราะมันน่ารักมากจนอยากจะพากลับบ้านด้วย แต่เจ้าปีศาจนั่นต้องไม่ยอมแน่ ทั้งที่ระวังแล้วแต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าปีศาจขี้สงสัยนั่นจับได้ จนลูกสุนัขตัวนั้นเกือบถูกฆ่าตาย หลังจากเหตุการณ์นั้นมูคยอมก็ไม่เคยจะเข้าไปใกล้สัตว์ตัวเล็กอีกเลย สีหน้าของเด็กผู้ชายที่เจอเมื่อตอนกลางวันมันเหมือนกับลูกสุนัขตัวนั้น เวลาได้กลิ่นดอกไม้ หน้าของเด็กคนนั้นก็จะผุดขึ้นมาแวบหนึ่งเช่นกัน

สองปีที่เขาเกลือกกลิ้งกับโคลนตมอยู่ในคอกหมู ทำงานที่ไร้ประโยชน์อยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั่งเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมแล้วได้พบกับจุนซอง หลังจากนั้นมูคยอมจึงได้อยู่ใน ‘สถานที่ที่คนอาศัยอยู่’ อย่างที่เขาปรารถนาเสียที

จุนซองค้นพบพรสวรรค์ของมูคยอมที่ฝังอยู่ในโคลนเหมือนการสกัดแร่ทองคำ ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากโคลนตม แล้วปูทางให้เป็นนักฟุตบอล บุญคุณของจุนซองไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น จุนซองโกรธมากหลังจากได้รู้ว่าชีวิตของมูคยอมเป็นยังไง เขาทุ่มเทกับการเปิดโปงความจริงของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ถูกสืบสวนและปิดตัวลง

ราชาหมูที่พยายามประจบสอพลอใครต่อใครอย่างหนัก เมื่อถึงเวลาสอบสวนเข้าจริงๆ ก็ถูกผู้คนที่เคยพึ่งพิงทอดทิ้งเหมือนสิ่งของที่ไร้ค่า เริ่มต้นจากปรักปรำผู้อื่น ยักยอกทรัพย์ ทารุณกรรมเด็ก ก่อนถูกตัดสินจำคุกในหลายข้อหา ระหว่างที่รับโทษคงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงตรอมใจ และตอนนี้ก็ลาโลกไปนานแล้ว

เด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงกระจัดกระจาย แต่ละคนได้โยกย้ายไปตามที่ต่างๆ ส่วนมูคยอมเองก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ และช่วงที่เขาเก็บสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้น และรอวันที่ต้องย้ายออกอยู่นั้น จุนซองก็เป็นคนเดียวที่มีความคิดอื่น

‘มูคยอม มาเป็นลูกชายของฉันไหม’

จุนซองชวนเขาไปกินข้าว เขาจึงตามจุนซองไปที่ร้านคัมจาทัง หลังจากนั้นจุนซองก็ยิ้มและถามเขาแบบนั้น

ช่วงนั้นมูคยอมไปหาจุนซองที่บ้านอยู่บ่อยๆ เขาสนิทสนมกับภรรยาของจุนซอง และเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ ส่วนลูกชายอย่างฮยองมินก็เรียกมูคยอมว่าพี่ และทำเหมือนเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ

ตอนแรกมูคยอมประหลาดใจกับข้อเสนอที่เขาคาดไม่ถึง เขากะพริบตาด้วยความตกใจ ก่อนตอบคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม

‘ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนั้นล่ะ ขนลุกเลยเนี่ย ไม่เอาหรอก’

‘เป็นลูกชายฉันก็ดีออก เวลาเล่นฟุตบอลก็เป็นโค้ช พอกลับบ้านก็เป็นพ่อ พัคมูคยอม เป็นไง เท่น้อยกว่าคิมมูคยอมเหรอ’

‘คุณลุง ผมว่าผมอยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า ตอนนี้ผมไม่ต้องการครอบครัวอีกแล้วละ เวลาเล่นฟุตบอลก็เป็นโค้ช พอกลับบ้านก็เป็นคุณลุงกับคิมมูคยอมเหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว แทนที่จะมีแม่ก็มีภรรยาของโค้ช ส่วนฮยองมินก็เป็นน้องชาย แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว’

จุนซองได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่กดดันมูคยอมอีกต่อไป

มูคยอมคีบกระดูกชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนจานตรงหน้า ขณะที่เขากำลังตั้งใจเลาะเนื้อออกมากิน จู่ๆ จุนซองก็ถามขึ้น

‘คิมมูคยอม รู้ไหม’

‘อะไร’

‘นายโตแล้วจริงๆ’

‘อ๋อ รู้สิ’

เมื่อมูคยอมยิ้มพลางตอบกลับอย่างไม่อาย จุนซองก็หัวเราะคิกคัก แล้วขอแก้วโซจูเพิ่มอีกแก้ว ก่อนรินเหล้าให้มูคยอม ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้าปี อันที่จริงมูคยอมเคยดื่มเหล้ากับจองคยูโดยที่จุนซองไม่รู้มาก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิดแล้ว

สุดท้ายแล้ว มูคยอมก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ เพราะจุนซองช่วยหาห้องเล็กๆ หนึ่งคูหาไม่ไกลจากบ้านเพื่อให้มูคยอมอาศัยอยู่ที่นั่น มูคยอมฝึกซ้อมที่โรงเรียน หลังซ้อมเสร็จก็กลับมากินมื้อเย็นที่บ้านของจุนซอง มาเล่นเกมหรือไม่ก็ทำการบ้านกับฮยองมิน หลังจากนั้นก็กลับไปนอนที่ห้องนั้นคนเดียว

มูคยอมมองดูโปสเตอร์ของนักเตะในตำนานหลายคนที่แปะอยู่บนผนังพลางตั้งปณิธานแน่วแน่ในทุกๆ คืน

ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

เขาจะกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีรายได้มหาศาล กลายเป็นนักเตะคนแรกของเกาหลีที่เป็นตัวเก็งลีกยุโรป และทำให้คุณลุง คุณป้า และฮยองมินสุขสบายไปตลอดชีวิต

มันไม่เป็นไรเลย เพราะมันคือการทดแทนบุญคุณ เขาเป็นคน และคนก็ต้องตอบแทนบุญคุณ

หลายปีแล้วหลังจากที่ค้นหาชีวิตในฐานะมนุษย์

สื่อเริ่มพูดถึงมูคยอมในฐานะเด็กหนุ่มอนาคตไกลมานานแล้ว เขาแสดงความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์ในการแข่งขันระดับนานาชาติ และทันทีที่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลาย เขาก็ได้พูดคุยถึงการไปลีกยุโรปด้วย ร่างกายเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาก็สมชายมากขึ้น ในตอนนี้หากจะหาร่องรอยความสกปรกในช่วงเวลาที่น่าขยาดก็ไม่สามารถหาเจอได้แล้ว

มูคยอมบรรลุผลสำเร็จในการก้าวไปสู่จุดหมายทีละก้าวๆ และใช้เวลาในทุกๆ วันชิมรสชาติของความสำเร็จนั้น แต่แล้ววันหนึ่งมูคยอมก็นึกถึงเด็กชายคนนั้นขึ้นมา

อีกไม่นานเขาก็จะได้เดินทางออกจากเกาหลีใต้แล้ว ถึงเวลาที่ต้องคิดดูแล้วว่ามีเรื่องที่เขายังทำไม่สำเร็จอยู่หรือเปล่า คนเราควรตอบแทนบุญคุณอย่างคุ้มค่า หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เด็กชายคนนั้นคือผู้มีพระคุณคนแรกของเขา ก่อนพบจุนซองเสียอีก

ตอนนั้นมูคยอมก็พอจะคาดเดาความจริงที่น่าสยองขวัญได้ว่าผงสีขาวนั่นเป็นยาที่น่าสงสัย และถ้าเด็กชายที่มูคยอมไม่รู้จักชื่อคนนั้นไม่ช่วยเขาซ่อนตัว วันนั้นเขาอาจจะถูกแยกส่วนกลายเป็นศพลอยน้ำแล้วก็ได้

มูคยอมวิ่งหนีอย่างไม่มีสติ และเข้าไปในตรอกที่เขาไม่รู้จัก เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว มูคยอมไม่มั่นใจว่าเด็กชายคนนั้นจะจำเขาได้ มูคยอมจำได้แค่ว่าเด็กชายคนนั้นหน้าเหมือนลูกสุนัขสีขาวขนปุย เขาลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ตอนนั้นมูคยอมเหมือนลูกสุนัขจรจัดขี้เรื้อน แต่ตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับคนละคน

ถึงกระนั้นมูคยอมก็พยายามหวนระลึกถึงความทรงจำ ค้นหาซอยถนนและบ้านหลังนั้น บังเอิญว่าฤดูกาลตอนนี้ตรงกับตอนนั้นพอดี หลังจากเดินเตร่อยู่พักใหญ่ มูคยอมก็ได้พบกับร่มเงาของไลแลคสีม่วงอ่อนที่ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่อีกฟากของกำแพง

มูคยอมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อภาพที่เห็นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากทัศนียภาพที่เขาจำได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงวิ่งไปกดออดที่หน้าประตูรั้ว แต่กลับไร้การตอบรับ ไม่มีใครออกมาเลยสักคน

ไม่มีใครอยู่เหรอ

เขามาที่นี่โดยพละการจะเสียเที่ยวก็ไม่แปลก มูคยอมไหล่ตกพลางคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องมาใหม่ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

‘คุณเป็นใครเหรอคะ’

มูคยอมหันหลังกลับ หญิงวัยกลางคนถือตะกร้าจ่ายตลาดเหมือนเพิ่งกลับมาจากตลาด เธอมองมูคยอมด้วยสายตาสงสัย

หรือว่าเธอคือแม่ที่เด็กน้อยคนนั้นพูดถึง? มูคยอมรีบปรับสีหน้าให้เรียบร้อยแบบที่พวกผู้ใหญ่ชอบแล้วโค้งศีรษะลงทักทายเธอ

‘สวัสดีครับ ผมชื่อคิมมูคยอม จากชมรมฟุตบอลโรงเรียนมัธยมปลายชอนอุงครับ’

‘ชมรมฟุตบอล? นักเรียนชมรมฟุตบอลมาทำอะไรที่บ้านฉันล่ะ’

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สนใจฟุตบอลเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นมูคยอมกำลังได้รับความสนใจ ถึงขนาดที่ว่าถ้าเป็นคนที่สนใจเรื่องฟุตบอลสักนิดแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักเขา

‘ลูกชายของคุณเคยช่วยผมไว้เมื่อนานมาแล้วน่ะครับ ผมอยากจะขอบคุณก็เลยลองมาพบเขาครับ’

‘ลูกชาย? แต่ฉันไม่มีลูกชายนะ’

ผู้หญิงคนนั้นตอบเขาเหมือนเธอเพิ่งรู้จริงๆ

มูคยอมได้สติขึ้นมาทันที มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เด็กชายคนนั้นอาจจะย้ายออกไปแล้วก็ได้ เขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนั้นเลย ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกแล้วแท้ๆ

‘อา มันก็ผ่านมานานแล้ว… เขาคงย้ายออกไปแล้วละครับ คุณพอจะรู้ไหมครับว่าคนที่เคยอยู่ที่นี่เขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน’

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีลูกชายนะ ที่บ้านเจ้าของก็ไม่มีลูกชายวัยเรียนนะ? บ้านหลังนี้เปลี่ยนเจ้าของมาหลายคนแล้ว’

‘เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับ’

มูคยอมไม่ถามอะไรอีก และโค้งคำนับบอกลาเธออีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเขาด้วยสายตาเป็นมิตรต่างจากตอนแรก ก่อนเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไป

มูกยอมถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในซอยที่ไร้ผู้คน เขาพลาดเป้า และเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม ก่อนจะยืนพิงกำแพงที่มีกิ่งก้านของต้นไลแลคห้อยย้อยลงมา

มูคยอมมองเห็นท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ผลิผ่านช่องว่างระหว่างช่อดอกไม้สีม่วงอ่อนที่เบ่งบานสวยน่ามองเหมือนเมฆก้อนเล็กๆ มูคยอมรู้สึกเดียวดายมากกว่าที่คิด ราวกับว่ามันฟูฟ่องแล้วค่อยๆ แตกสลายหายไป ความรู้สึกว่างเปล่าและกลิ่นดอกไม้พวยพุ่งฟุ้งกระจายอยู่ในใจเขา

อันที่จริงตอนนั้นเขาก็อยู่ชั้นประถมเอง… คงย้ายไปหลายครั้งแล้ว

มูคยอมสูดดมกลิ่นของดอกไม้ที่ซึมลึกลงไปในหัวใจของเขาเช่นเดียวกับวันนั้น มูคยอมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมแพ้และก้าวเท้าออกไป

ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงดี ตอนนั้นมูคยอมก็เพิ่งจะวัยรุ่นเท่านั้น เขาคิดวิธีตามหาคนไม่ออกนอกเสียจากไปพบด้วยตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานมูคยอมก็เดินทางออกจากเกาหลีใต้ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลและไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นอีก

เวลานับสิบปีทับซ้อนกันเรื่อยๆ เหตุการณ์ตอนนั้นก็หลงเหลือกลายเป็นความทรงจำที่ผุดขึ้นมาบางครั้งบางคราวเท่านั้น และสำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้เป็นพิเศษอย่างมูคยอม ไลแลคก็กลายเป็นดอกไม้ที่เขาชอบมากที่สุด

อีฮาจุนทำให้เขาได้นึกถึงสิ่งที่หลงลืมไปนานแล้ว อีฮาจุนทับซ้อนกับภาพของเด็กชายคนนั้นที่คว้าข้อมือเขาออกวิ่งอย่างว่องไว ผู้มีพระคุณคนแรกที่สุดท้ายแล้วเขาก็ตามหาไม่เจอ เขาคนนั้นเหมือนคุณชายน้อยที่ได้รับความรักจากครอบครัวที่มีความสุข ตอนนี้เขาก็คงมีชีวิตที่ดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง

มาถึงตอนนี้หากเขาตั้งใจจะตามหาก็อาจจะพบอีกฝ่ายก็ได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ไม่รู้ทำไมทิวทัศน์ของบ้านที่เคยเห็นในตอนนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้ และภาพของเด็กชายที่ผิวขาวเหมือนสำลีถึงกลายเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความสุขที่ยั่งยืน และสมบูรณ์แบบซึ่งไม่ควรถูกรุกรานอยู่ในความทรงจำของมูคยอม ความมุ่งมั่นที่อยากพบเขาคนนั้นอีกครั้งค่อยๆ สุกสกาวและถูกฟอกด้วยสีของแสงแดดอันเจิดจ้า

ความทรงจำที่เริ่มต้นจากทัศนียภาพที่สกปรกของคอกหมู สิ้นสุดลงด้วยสีของหินอ่อนที่ระยิบระยิบงดงามยามต้องแสงแดด มูคยอมไม่อยากย้อนความหลังในอดีต แต่ไม่รู้ทำไมบางครั้งเขาถึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตอนแรกมูคยอมก็พยายามฝืนเลิกคิด แต่หลังจากนี้เขาจะปล่อยให้เป็นไปตามที่ตัวเองคิด เพราะถึงจะเริ่มต้นไม่สวย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จบลงด้วยความทรงจำแย่ๆ เสมอไป

นั่นก็เพราะเรื่องราวของคิมมูคยอมอาจจะเริ่มต้นที่รังปีศาจหรือเล้าหมู แต่ท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษที่จบลงด้วยการบรรลุเป้าหมายสูงสุดอย่างงดงาม

***

ฮาจุนบอกว่าวันพรุ่งนี้ก็ไปได้ แต่พอชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน ฮาจุนกลับมีท่าทีลำบากใจ มูคยอมถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนลังเล ไม่ได้ปฏิเสธเขาในทันที

“ทำไม ไม่ได้เหรอ”

“ขอโทษนะ เมื่อวานฉันลืมไปว่าวันนี้ฉันมีนัด”

เช้านี้ทันทีที่มาถึงสนามฝึกซ้อม มูคยอมก็ตามหาฮาจุนเป็นคนแรก มูคยอมลากฮาจุนที่กำลังยิ้มอยู่ท่ามกลางนักกีฬาหลายคนเหมือนเคยออกมา เขาพาอีกคนมายังห้องประชุมที่ว่างเปล่าก่อนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย

เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดตั้งแต่หัววัน จึงคิดว่าจะชวนฮาจุนไปทานมื้อเย็นและคุยกันดีกว่า แต่ดูท่าวันนี้คงไม่ได้ มูคยอมรู้สึกเซ็งนิดหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

“นัดอะไร”

“วันนี้มีประชุมวิชาการกับพวกโค้ชน่ะสิ หลังจากนำเสนอครั้งที่แล้วเสร็จ ก็ต้องนัดรวมตัวกันอีกรอบ มีคนที่เดินทางมาไกลด้วย วันนี้ก็เลยต้องไปน่ะ”

แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย มูคยอมเดาะลิ้น แต่ในเมื่อเป็นวันที่สำคัญขนาดนั้น เขาก็จะยอมถอยหนึ่งก้าว ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อมีเวลาหนึ่งวัน คงต้องไปสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเรื่องย้ายไปลอนดอนจากผู้จัดการหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเป็นพิเศษเพราะเขาย้ายไปด้วยคุณสมบัตินักกีฬา แต่ฮาจุนอาจจะไม่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไปกินมื้อค่ำด้วยกันนะ”

“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนบอกเองว่าได้แท้ๆ”

มูคยอมหัวเราะคิกคักให้กับใบหน้าหงอยๆ ที่กำลังมองมาที่เขา อีกฝ่ายขอโทษเขาตั้งสองครั้งเพราะเรื่องแบบนี้

“ไม่เป็นไร ไม่ได้แค่วันนี้เอง”

ดีเสียอีก ก่อนหน้านี้มูคยอมใจร้อน เมื่อมาถึงก็รีบพาฮาจุนมาด้วยทันที แต่เพราะเขาตั้งใจจะชวนอีกฝ่ายย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ดูเหมือนว่าการเรียงลำดับความคิดและข้อมูล จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มน้าวฮาจุนจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ถึงแม้จะเป็นข้อเสนอที่ถือว่าน่าพึงพอใจสำหรับฮาจุน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแรกก็คือการรักษาไลฟ์สไตล์ปัจจุบันของตัวเอง คงต้องคิดเรื่องค่าตอบแทนที่เหมาะสมเอาไว้ด้วย

อย่างแรกต้องบอกว่าจะรับผิดชอบด้านการเงินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในบ้าน หรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ… นอกจากนั้นก็เงินสนับสนุน เงินส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้ในงานอดิเรก และถ้าเสนอว่าจะจ่ายค่าครองชีพให้กับครอบครัวที่ยังอยู่เกาหลีใต้ด้วย… จะโอเคไหมนะ

มูคยอมไม่แน่ใจเพราะฮาจุนเป็นคนที่เคยบ่นพึมพำว่าแพง ทั้งที่ได้เสื้อผ้ามาชุดหนึ่งแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับเงินไหม เพราะฮาจุนก็ดื้อรั้นมากกว่าที่เห็น ต้องโยนอะไรเป็นเหยื่อล่อ ฮาจุนถึงจะยอมตกลงทันทีล่ะ

มูคยอมมัวแต่คิด เขาจึงเอาแต่เดินไม่พูดอะไรสักคำระหว่างที่ออกมาจากห้องประชุม และตรงไปที่สนามซ้อม แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดออกและถามขึ้น

“นัดไว้ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“หืม ไม่เป็นไร วันนี้ไม่ได้มีนัดกับนายเลยนี่ ไม่ต้องไปส่งก็ได้”

“ถ้าไม่ไกลจากทางกลับบ้านก็นั่งไปด้วยกันสิ”

ฮาจุนยิ้มกว้างตอบกลับไปเหมือนเด็กกำลังง้อ “ไม่เป็นไร คนอื่นอาจจะมารวมตัวกันที่จุดนัดพบก็ได้ ถ้าเห็นฉันลงมาจากรถที่นายขับล่ะก็ ใครต่อใครคงถามเซ้าซี้แน่”
“วันนี้มาทำงาน ฉันเลยขับมาเซราติมา”

“นายพูดเหมือนรถราคาถูกมาก…”

“สีเงิน”

“บอกว่าไม่เป็นไรไง”

ถ้าไม่ใช่รถสปอร์ตสีสดก็ไม่สะดุดตาแล้วไม่ใช่เหรอ แต่มูคยอมก็ไม่ได้ดื้อดึงและถอยออกไป อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่เหมาะที่จะพูดคุย เขาควรเตรียมตัวที่จะโน้มน้าวให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้จะดีกว่า คนสองคนที่เคยเดินเคียงคู่กัน ทันทีที่เข้าไปในสนามซ้อมพวกเขาก็แยกกันในทันที ฮาจุนเดินไปรวมกับพวกโค้ช ขณะที่มูคยอมเดินไปรวมกลุ่มกับพวกนักกีฬา

……………………………………….

มูคยอมไม่ได้เรียกเขาว่าหมูเพราะเขาอ้วน แต่เพราะเขาเป็นราชาแห่งคอกหมูต่างหาก อธิบายไปแล้วจะเข้าใจไหมนะ มูคยอมทำเพียงขยับริมฝีปากพูดแล้วยกยิ้ม

เจ้าหมูทำตัวหยาบคาย กร่างใส่มูคยอมทุกวัน เหมือนคิดจะทำตัวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามูคยอมจะยอมจำนน แต่มันไม่ได้สำคัญสำหรับมูคยอมเลย บางครั้งมูคยอมก็ยิ้มเยาะทั้งที่ถูกทุบตี และพูดจากวนประสาทเหมือนรู้ความคิดของผู้อำนวยการทุกอย่างจนถูกตีอีกหลายครั้ง

แต่ต่อให้ถูกงดอาหาร โดนตี หรือถูกขังอยู่ในห้องสำนึกผิดที่มืดสนิท และคับแคบ มูคยอมก็ไม่กลัว มูคยอมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะความรุนแรงหรือความมืดมิด มูคยอมรู้แล้วว่าปีศาจคืออะไร หากเทียบกับปีศาจที่ตายไปแล้วตนนั้น ผู้อำนวยการก็เป็นเพียงแค่สัตว์ชั้นต่ำที่ส่งเสียงร้องอู๊ดๆ อาละวาดก็เท่านั้น

เขาจะกลัวมนุษย์ที่หวาดกลัวเขา อยากให้เขาก้มหัวให้ และเปิดเผยสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งในใจออกมาหมดเปลือกได้ยังไงล่ะ อย่างน้อยความกลัวที่มูคยอมรู้จักก็ไม่ใช่ลักษณะนี้นี้ ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อเขาไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อยู่ข้างในลึกลงไปในความคิดของคนที่คุกคามเขาได้ต่างหาก ในความคิดของมูคยอมเด็กน้อยที่ที่แม้จะมีปีศาจร้ายอยู่ข้างกายก็ยังรอดชีวิตมาได้นั้นมองว่าตัวเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและพิเศษเกินกว่าจะหวาดกลัวลูกหมูจนหัวหด

ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนตบหน้าหลายครั้ง เจ้าหมูเจ้าเล่ห์ไม่เบา ไม่ตีเขาในบริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่าย อย่างเช่นใบหน้าหรือแขนขา แต่เพราะตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผู้อำนวยการให้เด็กคนอื่นๆ ยืนล้อมวงมองดูมูคยอมถูกตี จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะอึกสะอื้น จากนั้นก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง

‘…นี่!’

มูคยอมหลบฝ่ามือของผู้อำนวยการที่พุ่งเข้ามาทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเรียกชื่อของเด็กคนนั้น ตอนนี้เขาจำชื่อนั้นไม่ได้แล้ว มูคยอมเรียกอยู่แบบนั้นสองสามครั้ง กว่าเด็กคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นมองเขา

ถึงแม้ว่าเขาจะหลบทัน แต่ท่าทางที่เหมือนจะสวนกลับก็ทำให้ผู้อำนวยการยิ่งโกรธจัดจนหน้าเขียวหน้าแดงไปหมด และเด็กน้อยที่เคยร้องไห้ก็เงยหน้าขึ้นมองมูคยอม มูคยอมส่งยิ้มและขยิบตาให้เด็กคนนั้น ทั้งๆ ที่แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงจัด ใบหน้าเขาคงจะตลกไม่น้อย

เด็กน้อยกะพริบตาและหยุดร้องไห้ ในขณะที่เจ้าหมูก็ยิ่งอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง เขายิ้มเยาะในใจ นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะตายไปทั้งแบบนั้นเลยหรือเปล่า วันนั้นคือช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดสมัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

อย่างไรก็ตาม มูคยอมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและเข็ดขยาดกับทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลานั้น มูคยอมโมโหมาก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะหลุดพ้นจากขุมนรก แต่หลังจากนั้นเขากลับต้องไปอยู่ในสถานที่ที่สกปรกเหมือนคอกหมู ซึ่งไม่ได้ดีกว่านรกนั่นเลย

มูคยอมไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เขาอยากอยู่ในสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ไม่ใช่ขุมนรกหรือคอกหมู มูคยอมไม่รู้จะไปไหนดี แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจมปลักอยู่ที่นี่ เขาอยากไปในที่ที่ดีกว่านี้

การที่มูคยอมในวัยเด็กจะหลุดพ้นจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตามขั้นตอนปกติได้นั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นลูกบุญธรรมของใครสักคน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะรับมูคยอมที่ตัวใหญ่ และสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แถมยังหน้าตาดุร้ายไปเลี้ยงหรอก มูคยอมเข็ดขยาดกับสิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่ เขาไม่อยากเป็นลูกของใครอีกแล้ว

เมื่อถูกขังอยู่ในห้องสำนึกตนที่ทั้งคับแคบและมืด มูคยอมก็เอาแต่จ้องมองหน้าต่างที่ดูไม่เหมือนหน้าต่างซึ่งถูกเจาะเอาไว้เป็นช่องเล็กๆ เพื่อระบายอากาศ แน่นอนว่ามีช่องให้หายใจได้โล่งโปร่งอยู่ทุกที่ แต่คงไม่มีทางหนีออกไปจากที่นี่ได้

‘ถ้าจะหนีออกไปจากที่นี่และออกไปใช้ชีวิต นายต้องมีเงิน’

มูคยอมเริ่มเตรียมการเมื่อได้ข้อสรุปหลังจากอยู่ที่คอกหมูมาได้สักพัก เขาตัดสินใจแล้ว ที่เหลือก็แค่ลงมือทำ

ผ่านไปไม่นานมูคยอมก็เริ่มลักเล็กขโมยน้อยและฉกชิงวิ่งราว มูคยอมไม่มีทักษะใดๆ เขาแค่เชื่อในฝีเท้าที่ว่องไว บางครั้งก็ขโมยสำเร็จ แต่หลายครั้งก็ล้มเหลว

ถูกจับไปที่โรงพัก ผู้อำนวยการทำหน้าเหมือนหนูบ้านที่แปลงกายเป็นนักบุญและโค้งคำนับให้ทั้งตำรวจ และผู้เสียหาย ก่อนรับเขากลับ และสิ่งที่มูคยอมทำหลังจากกลับมายังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าคือไม่หันหลังกลับไปมอง

แต่เขาไม่หยุด มูคยอมไม่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากใคร ถึงแม้ว่าเขาจะโตเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่มูคยอมก็เป็นแค่เด็กนักเรียนชั้นประถม มูคยอมเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาจะทำสำเร็จ ทว่าเขาไม่ฉลาดเรื่องเงินเอาเสียเลย ถึงขนาดที่เชื่อว่าแค่มีเงินล้านวอน เขาก็สามารถหนีออกมาใช้ชีวิตตามลำพังได้แล้ว

แต่เมื่อขโมยเงินได้สำเร็จ มูคยอมก็นึกถึงน้องชายที่นอนอยู่ฟูกข้างๆ เด็กชายคนนั้นเพิ่งมาอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ไม่นานก็ร้องสะอื้นบอกว่าอยากกินไอศกรีม และเด็กน้อยห้องข้างๆ ที่แอบแบ่งขนมปังทาแยมสตรอว์เบอร์รีให้เขาตอนที่เขาโดนทำโทษจนไม่ได้กินมื้อเย็นคนนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้มูคยอมจึงเก็บเงินตามเป้าหมายได้ช้าลง

‘เออ พี่บอกให้ไปทางนั้น ใช่’

วันหนึ่งมูคยอมเดินเตร่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองหาว่าที่ไหนไม่เคยมีคดีอีกบ้าง และมองเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

ผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายตัวหลวมโคร่งไม่พอดีตัวคนนั้นกำลังสูบบุหรี่พลางพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างกับคนปลายสาย ขณะที่ข้างกายของชายคนนั้นก็มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางนิ่งอยู่

แต่รู้สึกไหมว่ามันน่าขโมย? มูคยอมในวัยเด็กได้กลิ่นเงินจากกระเป๋าใบนั้น เขาสังเกตท่าทีของชายคนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งฉกชิงกระเป๋านั้นอย่างว่องไว

มูคยอมไม่ใช่คนที่ชอบรีรอหรือลังเลต่อความต้องการมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเขาไม่มีเวลามากพอที่จะมัวลังเลและกังวลกับสิ่งที่ตัวเองเลือก

‘อะไรวะ เฮ้ย?’

มูคยอมได้ยินน้ำเสียงที่งุนงงของชายคนหนึ่งด้านหลังตน เขาวิ่งต่อไป ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง

เขามั่นใจในฝีเท้าของตัวเอง ทั้งที่สถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียน ไม่มีเด็กคนไหนวิ่งเร็วเท่ามูคยอมเลยสักคน ตอนที่เขาฉกชิงวิ่งราว ขโมยของไม่สำเร็จ หรือถูกจับได้ตอนที่กำลังลักของแล้วโดนลากไปโรงพัก ถ้าเขาหากวิ่งหนีได้สำเร็จก็จะไม่มีใครตามจับเขาได้

‘ไอ้เด็กเวร! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!’

ทว่าครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ ผู้ชายที่มีพุงย้อยคนนั้นวิ่งเร็วกว่าที่คิด ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตัวคนเดียวด้วย

ผู้ชายหลายคนกำลังวิ่งไล่ตามมูคยอม คนพวกนี้ต่างจากคนอื่นๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสามารถไล่ตามมูคยอมได้จนถึงที่สุด

กระเป๋าที่หนักกว่าที่คิดก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แม้มูคยอมจะวิ่งจนสุดกำลัง แต่ก็ไม่ว่องไวเหมือนที่เคยเป็น ผู้ชายน่ากลัวพวกนั้น ดูยังไงก็ไม่มีทางใช่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ แน่ และเมื่อพวกนั้นไล่ตามหลังมา สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดของมูคยอมที่ไม่กลัวใครก็มีเพียงคำๆ เดียว

บัดซบ

รอบนี้คงไม่จบที่โดนลากไปโรงพักแน่ ถ้าโดนจับได้ละก็ตายแน่ มูคยอมได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหูเหมือนเสียงหวอของไซเรน

ตอนนั้นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่มูคยอมวิ่งสุดกำลังที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้ แม้แต่ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศปีที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนเพราะการวิ่งจากตำแหน่งฝั่งนี้ไปถึงหน้าโกลอีกฝั่งด้วยความเร็วสามสิบแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมงก็คงวิ่งเร็วไม่เท่าตอนนั้น

มูคยอมวิ่งหอบแฮ่กๆ ไปในละแวกที่เขาไม่รู้จัก จากนั้นก็หยุดฝีเท้าเหมือนเหยียบเบรคเอี๊ยด แล้วเข้าไปในตรอกที่เลี้ยวออกจากถนนเส้นหลัก ผู้ชายกลุ่มนั้นยังคงไล่ตามเขามาจากถนนใหญ่ อันดับแรกมูคยอมต้องหนีให้พ้นจากสายตาของพวกนั้นก่อน ตอนนั้นเขาวิ่งไปตามทางลาดชันอย่างบ้าคลั่ง

‘เมี๊ยว!’

เสียงฝีเท้าที่ว่องไวคงทำให้แมวตัวหนึ่งที่แอบอยู่ตกใจ มันจึงส่งเสียงเหมือนกรีดร้องและออกมาขวางทาง มูคยอมตกใจจึงหยุดวิ่งกะทันหัน เมื่อร่างกายที่กำลังวิ่งเร็วสุดแรงเกิดลดความเร็วลงโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงล้มลงอย่างแรง

จากนั้นมูคยอมก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมกับเหงื่อกาฬไหลที่ซึมออกมา เวลาที่ต้องวิ่งหนีไม่ควรล่าช้าลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่เมื่อมูคยอมพยายามจะวิ่งอีกครั้ง ขาเขาก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ มูคยอมก้มลงมองแล้วพบว่าใต้หัวเข่าที่แตกเสียจนน่ากลัวมีเลือดที่กำลังไหลลงมาอาบหน้าแข้ง ตอนนั้นเองถึงได้รู้สึกเจ็บไปถึงกระดูกตรงหัวเข่าที่แตก

บ้าเอ๊ย ถ้าเป็นแบบนี้ก็วิ่งแบบเมื่อกี้ไม่ได้น่ะสิ

ท่ามกลางความสิ้นหวัง ขณะที่มูคยอมกำลังเดินกะเผลกหน้าตาซีดเซียวพร้อมกับกระเป๋าที่ถือไว้ในมือ ประตูรั้วของบ้านสองชั้นสไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็เปิดออก ก่อนที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะโผล่ออกมา อีกฝ่ายถือกระเป๋าเสริมเอาไว้ในมือ คงกำลังจะไปเรียนพิเศษ เด็กน้อยสบตากับมูคยอม

‘ไอ้เด็กนั่นมันไปไหนแล้ว?! รีบหาให้เจอ!’

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงห้าวที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นจากด้านหลัง ในขณะที่มูคยอมกำลังตกใจกลัวและพยายามทุกวิถีทางเพื่อลากขาของตัวเอง เด็กน้อยที่เบิกตากว้างเหมือนอมยิ้มอันใหญ่ก็มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางงงงวยราวกับพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

และตอนนั้นเอง จู่ๆ ข้อมือของมูคยอมก็ถูกคว้าเอาไว้

มูคยอมขมวดคิ้ว และจ้องมองเจ้าของมือนั้น เด็กชายตัวขาวขยับเข้ามาใกล้แล้วมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

มูคยอมกำลังจะตะโกนบอกให้อีกฝ่ายปล่อยเขา แต่ก็ต้องหุบปากฉับเพราะกลัวว่าคนพวกนั้นจะได้ยิน มูคยอมนิ่วหน้าและพยายามสะบัดมือที่คว้าข้อมือของเขาออก แต่เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าเขากลับแรงเยอะเกินคาด

‘มาเร็ว!’

เด็กน้อยรีบกระซิบ และกระชากข้อมือของมูคยอมในทันที มูคยอมเดินกระเผลกตามหลังของเด็กน้อยคนนั้นไปโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วก้าวเข้าไปในประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้

เด็กน้อยปิดล็อคประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ส่งเสียง ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของผู้ชายหลายคนที่วิ่งผ่านหน้าบ้านไปและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธก็ดังขึ้น

‘ไปไหนแล้ววะ ไอ้เด็กนั่น!’

‘แต่เมื่อกี้มันวิ่งไปทางนั้นนะ’

‘หาดูข้างหลังรถด้วย! มันอาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนก็ได้’

ขณะที่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของคนพวกนั้นดังก้องอยู่ข้างๆ เด็กชายเบาเสียงฝีเท้าลงพลางจูงข้อมือของมูคยอมไปต่อ ทั้งสองเดินย่องเข้าไปยืนแอบหลังกำแพง

หัวใจของมูคยอมเต้นแรงจนเหมือนหัวจะระเบิด เพราะเขาวิ่งอย่างบ้าคลั่งมาพักใหญ่ และเพราะเสียงของพวกผู้ชายข้างนอกนั่นด้วย มูคยอมคิดว่าเขาไม่ควรหายใจเสียงดังจึงปิดปากหอบแฮ่กๆ ตอนนั้นเองเด็กชายถึงปล่อยข้อมือเขาเป็นอิสระ แล้วนั่งยองๆ พิงกำแพง ดูเหมือนว่าขาของเขาจะหมดแรงไปแล้ว

‘ไม่สิ มันมุดดินไปแล้วเหรอไง ไปไหนกันแน่วะ’

‘หาให้เจอ! ถ้าหาไม่เจอพวกเราตายกันหมดแน่’

เสียงบทสนทนาดังลั่นที่ถูกถ่ายทอดสดโดยมีกำแพงกั้นทำให้เหงื่อเย็นไหลซึมออกมา แต่แล้วเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นทางนั้นทีทางโน้นทีก็ค่อยๆ เงียบหายไป สุดท้ายเมื่อไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว การหายใจก็ค่อยๆ สงบลง

สายลมเย็นพัดผ่านหน้าผากที่ชื้นเหงื่อ ตอนนั้นเองมูคยอมถึงเปิดปากพ่นลมหายใจออกดังเฮ้อ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

บ้านสไตล์ตะวันตกที่มีลานกว้างหลังนี้ถูกจัดเป็นระเบียบเหมือนฉากหนึ่งที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือหนังสือนิทานเด็ก พื้นที่ถูกปูด้วยหญ้าสีเขียว เถากุหลาบที่ประดับตกแต่งรอบบันไดที่เชื่อมกับตัวบ้าน ดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชื่อบานสะพรั่งน่ามองไปทั่วบริเวณ

และต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกห้อมล้อมอยู่ข้างกำแพง เหนือกำแพงที่มูคยอมและเด็กน้อยนั่งพิงอยู่ มีต้นไลแลคสูงใหญ่สองสามต้นที่กำลังยืนต้น ทำให้เกิดร่มเงาสีม่วงอ่อนขนาดใหญ่

ก่อนหน้านี้มูคยอมคิดว่ากำลังจะตาย หัวใจเขาจึงเต้นเร็วจนไม่ได้กลิ่นดอกไม้ ทว่าตอนนี้กลิ่นของดอกไม้เหล่านั้นกำลังโอบล้อมรอบตัวเขาอย่างช้าๆ กลิ่นของไลแลคที่รุนแรงจนทำให้ดวงตาเขาพร่ามัวซึมลึกลงไปในปอด ช่วยปลอบประโลมหัวใจที่เคยเต้นเร่าด้วยความกังวลดั่งสัมผัสอันอ่อนโยน

‘นั่นอะไรน่ะ’

เด็กชายคนนั้นเองก็คงหายใจหายคอได้บ้างแล้วอีกฝ่ายชี้ไปที่กระเป๋าพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเล็กๆ มูคยอมที่ลุ่มหลงกับกลิ่นหอมไปชั่วขณะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงโดยพลัน เขาขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองกระเป๋า

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน’

ลำบากขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนี้ไม่ใช่เงินล่ะ จะทำยังไงดี

มูคยอมคิดอย่างนั้นพลางเดาะลิ้นแล้วรูดซิปเปิดกระเป๋า แต่ก่อนที่เขาจะรูดซิปจนสุด คำสบถก็หลุดออกมาจากปากของมูคยอม

‘ฉิบหาย…’

สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าไม่ใช่เงิน เมื่อเปิดออกดู เขาก็พบแต่หนังสือพิมพ์ แต่พอคุ้ยดูก็พบว่าข้างในนั้นมีผงสีขาวที่ถูกห่อด้วยพลาสติกอยู่เต็มไปหมด

ที่มันหนักขนาดนั้นก็เพราะแบบนี้เองสินะ มูคยอมโมโหจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะทิ้งกระเป๋าเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาหมดแรงที่จะทำแบบนั้นจึงได้แต่ทุบตีสายจับกระเป๋าใบนั้น

‘แม่งเอ๊ย เหนื่อยเปล่าสินะ’

‘นี่มันอะไรน่ะ’

‘ไม่รู้เหมือนกัน!’

เมื่อมูคยอมตะเบ็งเสียงใส่ เด็กชายก็หุบปากลง และมีสีหน้าหวาดกลัว

เขาคงต้องทิ้งกระเป๋าใบนี้ไว้ที่ไหนสักแห่ง พอเห็นผู้ชายไล่ตาม เขาก็คิดว่ามันอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง ถูกไล่ล่าเพื่อปกป้องสิ่งของที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เพราะสิ่งที่มูคยอมต้องการก็คือเงิน มูคยอมยืนขึ้นพร้อมกับถือกระเป๋าไว้ในมือ แต่เด็กชายก็รีบรั้งเขาไว้

‘รอก่อนสิ นายเข่าแตกนี่นา ทายาก่อนนะ ค่อยไป’

‘ช่างเถอะ’

‘เดี๋ยวฉันจะไปบอกแม่ให้มาทายาให้นะ แป๊บเดียว’

คำพูดที่แสนใจดีเหล่านั้นทำให้ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในอกของมูคยอม

บ้านที่งดงามราวภาพวาด ร่มเงาที่มีกลิ่นหอมของไลแลค แม่ที่ช่วยทายาให้ เด็กชายตัวขาวที่เดินบนถนนและถือกระเป๋าใบหนึ่งอย่างสุภาพ

แต่ใครคนหนึ่งหัวเข่าแตกจนเลือดไหลพลั่กๆ พอกลับไปก็คงถูกถามว่าไปทำตัวเหมือนหมาที่ไหนมาถึงมีสภาพแบบนี้ และไม่ว่าจะโดนตีขนาดไหนก็คงไม่ได้กินมื้อเย็น

มูคยอมไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อาจเป็นเพราะหลังจากที่เขาเกือบตายเข้าแล้วจริงๆ หรือหลังจากที่เขาวิ่งหนีจนอ่อนแรงเกือบเป็นลมล้มพับไป หลังจากวันนั้นความรู้สึกไม่ยุติธรรมก็พวยพุ่งขึ้นมาเหมือนอาการคลื่นไส้ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าไม่ได้เด็กชายคนนั้น เขาคงถูกจับผู้ชายพวกนั้นจับไปและไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่มูคยอมก็พูดจาร้ายกาจกับอีกฝ่าย

‘บอกว่าไม่ไง ไอ้ลูกหมา ดีจังนะ มีแม่ทายาให้ด้วย’

อีกฝ่ายโดนด่าทั้งที่ช่วยเหลือเขาและไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด เด็กชายทำเพียงกะพริบตาด้วยใบหน้าที่ขาวจนซีด มูคยอมทิ้งเด็กชายคนนั้นไว้ข้างหลัง เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมา ก่อนเปิดประตูรั้วแล้วก้าวออกมา

‘เฮ้อ อย่าทำแบบนั้นสิ’

ทว่าเด็กชายหัวแข็งกว่าที่คิด แม้จะโดนด่าแต่ก็ยังเดินตามออกไปถึงนอกประตูและรั้งมูคยอมเอาไว้ มูคยอมได้ยินเสียงของเด็กชาย แต่เขาก็ไม่หันกลับไปมอง มูคยอมเจ็บหัวเข่าที่เริ่มช้ำจริงๆ แล้ว แม้จะเดินกะโผลกกะเผลก แต่เขาก็ยังเดินต่อไป ไม่สนใจเด็กน้อยคนนั้น

‘นี่ บอกว่ารอก่อนไง’

มูคยอมได้ยินเสียงเด็กชายดังขึ้นอีกหลายครั้งด้านหลังตน แต่เขาก็เอาแต่มองไปข้างหน้า ก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งเสียงเรียกของเด็กคนนั้นเงียบหายไป

จนถึงตอนนี้ในบรรดาคนที่เข้าหามูคยอมก็มีคนที่ต้องการทั้งร่างกายและหัวใจของเขา แต่ก็มีหลายคนที่เข้ามาเพื่อมองหาถังข้าวสารหรือของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ[1] มูคยอมไม่เคยคิดว่าความปรารถนาของมนุษย์ที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองนั้นไม่ดี ดังนั้นแม้ว่าคนเหล่านั้นจะเปิดเผยเจตนาที่ชัดเจนของพวกเขา มูคยอมก็เต็มใจที่จะให้สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างไม่ลังเลใจ

แน่นอนว่าพวกเขาสามารถตักตวงได้ตามใจชอบเลย การที่ได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่รู้สึกได้ถึงความล้มเหลวและสับสนของสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะมั่นใจว่าหลอกมูคยอมได้นั้นถือว่าเป็นโบนัส

ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหลอก เขาก็ยอมให้อีกฝ่ายหลอกไปจนจบ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์เพียงอย่างเดียวที่ลูกวัวตรงหน้านี้ทำได้คือกระโดดขึ้นไปบนเตาและทำให้ผู้คนประหลาดใจ

“หันมานั่งดีๆ สิ”

ฮาจุนที่นั่งพิงหลังอยู่ที่หน้าอกของมูคยอมหันตัวบนเบาะกลับไปอย่างช้าๆ แล้วประจันหน้าสบตากับมูคยอม ขาของพวกเขาเกี่ยวกันไว้จนทำให้ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเคย ใบหน้าที่เล็กเมื่อเทียบกับความสูงถูกมือทั้งสองข้างของมูคยอมประคองเอาไว้ เมื่อถูกโอบแก้มและประกบริมฝีปากโดยไม่บอกล่วงหน้า ความรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยและสั่นราวกับตกใจก็ส่งผ่านออกมาจากริมฝีปาก

พวกเขาจูบกันสั้นๆ เพื่อให้มีเสียงจุ๊บๆ ดังออกมาเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ ใช้ลิ้นกดน้ำหนักลงไปเพื่อเปิดริมฝีปาก อีกฝ่ายเปิดริมฝีปากออกราวกับว่ากำลังรอคอยอยู่

อื้มม เสียงขึ้นจมูกพร้อมกับลิ้นอันนุ่มนิ่มของฮาจุนทักทายมูคยอม

ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้ จูบของฮาจุนที่ดูดดึงลิ้นของมูคยอมราวกับนกน้อยที่กำลังรออาหารนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ถ้าอยากกินขนาดนั้นจะขอมาเลยก็ยังได้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในบรรยากาศเมายาเหมือนเมื่อวาน อีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเอ่ยปากร้องขอออกมาก่อนอย่างแน่นอน หากอีกฝ่ายต้องการเพียงเท่านี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำสิ่งนี้ให้มากหน่อย

“ฮู่ ฮ่า”

เมื่อผละริมฝีปากออกไปครู่หนึ่ง ลมหายใจที่หายใจออกมานั้นช่างหวาน รู้สึกได้ว่ากลิ่นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายที่เปื้อนน้ำกามเมื่อก่อนหน้านี้หอมหวาน

และก็เคยขอให้กอดด้วยสินะ หลังจากจูบแล้ว มูคยอมก็กอดอีกฝ่ายแน่นในอ้อมแขนของตนเอง เขาก้มศีรษะและใช้ริมฝีปากลูบไล้ต้นคอขาวใส คออุ่นขึ้น ตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่หนาวแล้วสินะ

“ทำไมนาย…ถึงไม่คบกับใครเลยล่ะ” มีคำถามออกมาจากฮาจุนที่บอกว่าจะไม่ถามอีกแล้ว

ตอนแรกมูคยอมสงสัยว่าฮาจุนเปิดใจให้เห็นอย่างกะทันหันหรือเปล่านะ แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่พูดออกมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยจริงๆ

“ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะ”

“ถ้ามีแฟน นายน่าจะดูแลแฟนได้เป็นอย่างดีเลย แต่ว่านายกลับไม่คบใครเลยน่ะสิ”

“เพราะว่าฉันดูแลนายดี นายถึงได้คิดแบบนั้นสินะ”

ฮาจุนไม่ปฏิเสธ อีกฝ่ายทำแค่เพียงมองไปที่มูคยอม

“เพราะว่าคู่นอนไม่ทำให้ลำบากใจไงล่ะ มีน้ำใจมันก็ดี แต่ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ มันจะยุ่งยากมากขึ้น ทั้งเกาะติด ทั้งผูกมัด เหลือทิ้งไว้แค่เรื่องน่ากลัวเท่านั้น”

“แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมดนี่นา อย่างตอนนี้จองคยูก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับภรรยานะ เขาบอกว่าตั้งแต่คบกันจนถึงตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่เคยทะเลาะกันเลย”

“ไอ้คนสอดรู้คนนั้นเป็นกรณีพิเศษไง เคยเห็นคู่อื่นอีกไหมที่ไม่ใช่อิมจองคยู”

จากนั้นฮาจุนก็ปิดปากของตนเองด้วยสีหน้าที่คลุมเครือ จองคยูและภรรยาได้รับคำชมว่าเป็นคู่ที่ดูดี เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีกิ่งทองใบหยกอย่างพวกเขามากนัก อิมจองคยูคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนตนเอง ดังนั้นเขาจึงมักจะบ่นจู้จี้ให้แต่งงานและลงหลักปักฐาน แต่มันเป็นเรื่องไร้สาระของคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นจริงของโลกนี้

“งั้นพอแค่นี้ ใส่เสื้อผ้า เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“อื้อ”

ในขณะที่ฮาจุนกำลังสวมเสื้อผ้าที่ถอดไว้ มูคยอมที่ลดกางเกงลงเพียงเล็กน้อยนั้นก็ได้ลงจากเบาะหลังและย้ายไปยังที่นั่งคนขับ ไม่นานประตูที่นั่งข้างคนขับก็เปิดออก ฮาจุนนั่งลงบนที่นั่งที่ว่างเปล่าและรัดเข็มขัดนิรภัย

กริ๊ก สายตาของมูคยอมจับจ้องอยู่ที่หลังมือและข้อมือสีขาวนวลของฮาจุนที่ใช้ล็อกเข็มขัดนิรภัย

เขาตกใจและใจเต้นตึกตักจนแทบจะอาเจียนออกมา ทั้งแผ่นหลังที่เคยถูกรั้งเอาไว้และแรงที่จับข้อมือไว้แน่นจนขึ้นรอย เขารู้ดีว่าคำสารภาพรักของโค้ชอีฮาจุนที่โกหกเก่งอย่างคาดไม่ถึงนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก

“คิมมูคยอม”

“อืม”

ฮาจุนเรียกชื่อมูคยอมที่ชวนตนเองกลับ แต่ดันไม่ยอมออกรถแล้วนั่งเฉยๆ ราวกับว่าแปลกไป

มูคยอมสตาร์ตรถทันที ฮาจุนนั่งตัวตรงเช่นเคยในขณะที่รถกำลังแล่น ฮาจุนเหนื่อยเพราะต้องอยู่ในรถแคบๆ โดยที่มูคยอมกระแทกเข้ามาอย่างไม่หยุดพักในขณะที่เสร็จสมอารมณ์หมายไปถึงสามรอบ

เมื่อมาถึงด้านหน้าของอพาร์ตเมนต์ ก่อนที่จะเปิดประตูรถและลงจากรถ

ฮาจุนพูดอย่างจริงจังราวกับเป็นคู่มือฝึกซ้อมอีกครั้ง

“คิมมูคยอม ถ้าอยากทำอีกก็บอกนะ พรุ่งนี้ฉันว่าง”

“…ไหนนายเคยบอกว่าทำสองวันติดกันแล้วเหนื่อยไง”

“ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันชินกับมันแล้วละ”

จากนั้นก็ยิ้มราวกับเขินและพูดเสริมขึ้นมา

“ก็ถ้านายกลับไปที่ลอนดอนแล้ว ก็ทำไม่ได้น่ะสิ ถึงแม้ว่าจะอยากทำก็ตาม”

ขอบใจที่มาส่ง ฮาจุนทิ้งคำบอกลาไว้เช่นนั้น แล้วจึงพรวดพราดลงจากรถ เขารู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง เพียงเพราะเห็นอีกฝ่ายโบกมืออยู่ข้างนอกหน้าต่างรถที่เปิดอยู่

ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนถูกผลักไสออกไปหลังจากที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบกันล่ะ

มันไม่เหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว แต่ถ้ามันค่อนข้างเหมือนกับความรู้สึกเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก นอกจากผู้จัดการทีมพัคจุนซองแล้วก็ไม่มีใครที่จะลองชี้แนะมูคยอม ที่จำได้อย่างเลือนลางคือครูประจำชั้นตอนที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้แสดงความใส่ใจมูคยอม ถามถึงตารางของเขาหลังจากเลิกเรียน หรือแอบแจกขนมให้เด็กคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม สำหรับมูคยอมแล้ว ในเวลานั้นทุกอย่างน่ารำคาญไปหมด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาโยนขนมที่คุณครูให้ลงไปกองที่พื้นแล้วใช้เท้าเหยียบขยี้มัน ครูที่อายุยังน้อยมากอยู่คนนั้นค่อนข้างตกใจกับเหตุการณ์นั้น และตั้งแต่นั้นมา อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดกับมูคยอมอีกเลย พอเขาทำแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะเพิกเฉยหรือเมินเฉยต่อการกระทำนั้น และทำตัวเป็นครูที่เข้าอกเข้าใจมูคยอม ในตอนนั้นเองที่มูคยอมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพยายามทำตัวให้ห่างจากตนเอง

เขาหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง

ครั้งแรกที่เขามาส่งฮาจุนนั้น ที่อพาร์ตเมนต์มีกลิ่นหอมของดอกไลแลคฟุ้งกระจาย แต่ในตอนนี้มีเพียงกลิ่นสดชื่นของใบไม้และหญ้าคืบคลานเข้ามาอย่างเบาๆ

“เข้าบ้านไปได้แล้ว”

เขาไม่ได้หมุนตัว แต่ทำแค่เพียงปัดมือบอกให้ฮาจุนที่ลงจากรถแล้วแต่ยังไม่ยอมเข้าบ้านให้รีบกลับเข้าบ้านได้แล้ว หลังจากมองดูอีกฝ่ายนิ่งๆ สักพัก มูคยอมก็กลับรถ

อย่างเช่นทุกครั้งที่เขามาส่งฮาจุน เมื่อเราสองคนอยู่บนถนนระยะทางก็เลยดูเหมือนว่ามันสั้น แต่เมื่อขากลับเขากลับรู้สึกว่าระยะทางมันไกล

เมื่อมูคยอมขึ้นลิฟต์และเข้าไปในบ้าน เขาได้รับการต้อนรับด้วยความรู้สึกเงียบเหงาราวกับว่าเขามาที่หอพักชั่วคราว เขาอาบน้ำและดื่มน้ำหนึ่งแก้ว เปลี่ยนเป็นชุดคลุมแล้วก็นั่งลงบนโซฟา

‘ก็ถ้านายกลับไปที่ลอนดอนแล้ว ก็ทำไม่ได้น่ะสิ ถึงแม้ว่าจะอยากทำก็ตาม’

คำพูดที่ฮาจุนพูดก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา พอฟังคำนั้นแล้ว ตอนนี้ก็เหลืออีกไม่นานก็จะถึงวันที่ต้องกลับแล้ว อย่างมากก็ประมาณสี่เดือน

มูคยอมวางแผนไว้ว่าจะอยู่แค่หนึ่งฤดูกาลเท่านั้น เขาได้ทิ้งข้าวของส่วนใหญ่ไว้ที่ลอนดอน ยกเว้นเสื้อผ้าไม่กี่ตัวและรถยนต์สองสามคัน บ้านในลอนดอนเป็นบ้านที่เขาเลือกดูด้วยตัวเองอย่างพิถีพิถัน ต่างจากบ้านหลังนี้ที่เขามอบหมายให้ผู้จัดการหาให้โดยที่เขาไม่ได้ดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว

บ้านของมูคยอมอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามกีฬาของกรีนฟอร์ด ถ้าวัดในหน่วยเกาหลีก็มีขนาดประมาณ 300 พยอง[2] และถ้ารวมสวนด้วยแล้วก็กินพื้นที่ขนาดใหญ่มาก ภายในได้รับการตกแต่งแบบสมัยใหม่ ซึ่งตรงข้ามกับภายนอกที่ดูเก่าแก่ ในสวนด้านนอกที่กว้างใหญ่มีต้นไม้อยู่หลากหลายพันธุ์ มีทางเดินเล่นเล็กๆ เชื่อมไปที่สนามหญ้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีทำให้สามารถเตะลูกบอลหรือกลิ้งไปมาได้ตลอดเวลา

ภายในบ้านก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกประเภท เช่น เครื่องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ อ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่ และเครื่องฉายวิดีโอที่ไม่ต้องรู้สึกอิจฉาโรงภาพยนตร์เลย มูคยอมค่อนข้างผูกพันกับบ้านของเขาในอังกฤษ เพราะเดิมทีมันเป็นเพียงคฤหาสน์สมัยเก่าที่หรูหราและกว้างขวาง แต่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีลักษณะที่ทันสมัย แต่ทว่าถ้าหากเขากลับไปที่นั่นแล้ว เขาก็จะไม่ได้ไปรับหรือเลิกงานพร้อมกับฮาจุนอีก แล้วมูคยอมก็ไม่สามารถนอนเล่นในห้องนอนกับอีกฝ่ายได้

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ที่ตรงนั้นมันไม่มีอีฮาจุน ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไปสนามฝึกซ้อมในตอนเช้า มันก็จะไม่มีอีกฝ่ายอยู่ และไม่มีร่างของอีกฝ่ายที่ปะปนอยู่ในบรรดากลุ่มโค้ชอีกด้วย

มือขาวที่คอยสัมผัสและบีบเคล้นต้นขา เอว หรือไหล่ของมูคยอม ตอนที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นเขาก็เหลือบมองลงไปที่ใบหน้าที่กำลังจับจ้องร่างกายของเขาอยู่อย่างแผ่วเบา เขายิ้มอยู่ในใจและความสุขเล็กๆ นั้นก็จบลง

“…ก็ไม่เท่าไร”

เขารู้ดีว่าพอจบฤดูกาลแล้วความสัมพันธ์นี้ก็จะจบลง แต่เมื่อจินตนาการถึงภาพที่ไม่มีอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยอัตโนมัติ

ไม่มี

ไม่มีอีฮาจุน

เมื่อจินตนาการถึงการใช้ชีวิตในลอนดอนโดยที่ไม่มีอีกฝ่าย ความขัดแย้งก็ทิ่มแทงเข้าไปเหมือนกับเข็มที่ทิ่มร่างกายจึกๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่แสร้งทำเป็นว่าประกอบไม่ถูกต้องจนเสร็จ ก่อนที่จะมาที่นี่ นั่นคือชีวิตประจำวันของคิมมูคยอม แต่แล้วทำไมล่ะ

การยุติความสัมพันธ์กับคู่นอนที่ตายตัวนั้น ปกติแล้วเป็นเช่นนี้หรอกเหรอ เป็นประเภทที่ว่า ถ้าร่างกายที่คุ้นเคยราวกับนิสัยนั้นอยู่ดีๆ ก็หายไปจะรู้สึกแปลกๆ หรือเปล่านะ

เขารู้สึกลำบากใจ มีน้อยมากเช่นกันที่จะมีผลกระทบต่อสภาพร่างกายของนักกีฬาเช่นเดียวกับการบังคับให้ทำอะไรจนเป็นนิสัย

“…”

ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นเร็ว มูคยอมลุกพรวดพราดจากโซฟา โฉบไปมาราวกับคนประหม่าจากนั้นก็เดินไปที่ตู้เย็นและดื่มน้ำอีกแก้ว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างที่เคยทำมาแล้วจนเกิดเสียงดัง ตึง และจ้องมองที่กลางอากาศ

วิธีที่ผู้คนแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการผ่านคำพูด ก่อนหน้านี้ที่มูคยอมบอกให้ฮาจุนถามสิ่งที่อยากจะรู้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็มีอะไรที่อยากจะถามฮาจุนเหมือนกัน

เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายรักเขาตั้งแต่เมื่อไร มีเหตุผลอะไรไหม ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร รุนแรงขนาดไหน ได้รับการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการฟื้นฟูศักยภาพหรือระยะเวลาที่คาดการณ์แล้วหรือเปล่า ถ้าหากว่ามันยังไม่สายเกินไป ตอนนี้อยากจะเข้ารับการฟื้นฟูหรือเปล่า… มันเป็นคำถามที่ฟังดูเหมือนพลังการรักษาเพราะเกี่ยวข้องกับความรู้มากมาย แต่ถ้าตามที่จองคยูบอก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจบอาชีพทันทีเนื่องจากแรงกดดันทางจิตใจภายหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้

เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นที่มากเกินไปสำหรับสถานะคู่นอน ดังนั้นจนถึงที่สุดแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะถามคำถามนั้นเลย แต่ถ้าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับสภาพร่างกายของอีกฝ่าย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มูคยอมหาคำตอบทันทีเพื่อหาทางออกให้สถานการณ์ที่ยากลำบากนี้

“ก็ไปด้วยกันเลยสิ”

ไม่มีเหตุผลใดเลยว่าทำไมทีมนี้ถึงเป็นตัวเลือกเดียวของอีฮาจุน เขาไม่รู้เกี่ยวกับส่วนอื่นๆ แต่ในแง่ของเทคโนโลยีการกีฬานั้นลอนดอนโดดเด่นกว่าที่นี่ในหลายๆ ด้าน แม้จะคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ถามพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน ว่าพอจบฤดูกาลแล้ว ไม่คิดจะไปลอนดอนด้วยกันเหรอ นี่เป็นการจับจองจากแมวมองอีกประเภทหนึ่ง

มันดีกว่าการทำงานเป็นโค้ชในเกาหลีมากทั้งในแง่ของประวัติการทำงานและในแง่ของข้อเสนอ ดังนั้นมันจึงเป็นผลลัพธ์ที่ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ฮาจุนต้องชอบแน่ๆ อีกฝ่ายอาจจะลังเลเพราะเดิมทีก็กังวลเรื่องครอบครัวมากอยู่แล้ว แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่เดือน ในระหว่างนั้นก็คงจะหาทางได้

“ก็เอาสิ”

ด้วยความยินดีที่ได้คำตอบที่น่าพอใจ มูคยอมกำหมัดแน่นและตะโกนเยสในใจเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็กแล้วโหม่งลูกโทษเข้าประตูตั้งแต่ตอนแรกในการแข่งขันหลังจากฝึกซ้อม

***

มือขาวจับที่ข้อมืออย่างฉับไว

อีกฝ่ายตัวเล็กกว่าเขา แต่เจ้าของมือที่จับเขานั้นมีแรงมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ มูคยอมหยุดมองท่าทางด้านหลังของอีกฝ่ายและเขาถูกดึงออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

มูคยอมตื่นขึ้นมาในเวลากลางดึก สายตาที่เบลอจากการหลับแล้วตื่นขึ้นมาจับได้แต่ภาพกลางคืนที่พร่ามัว มูคยอมกะพริบตาอย่างช้าๆ สองสามครั้ง ยกมือขึ้นแล้วมองไปที่ข้อมือของตนเอง คงยังฝันอยู่สินะ เพราะความรู้สึกที่ถูกคว้าข้อมือนั้นยังคงสดใหม่ แต่ทว่าเขากลับจำไม่ได้เลยว่าใครคือเจ้าของมือนั้น อีฮาจุน คนที่อยู่ในฝันของเขานั้น คือคนที่ดึงเขาไปในช่วงล่าสุด หรือคนที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้วกันแน่

อาจเพราะคำถามของฮาจุนเลยทำให้เขานึงถึงเรื่องในอดีตหลังจากผ่านไปนานแล้ว มูคยอมหลับตาลงอีกครั้งขณะที่ปัดเป่าความฝันอันยุ่งเหยิง แต่ทว่าเมื่อได้เริ่มแล้ว การคิดทบทวนนั้นก็ไม่หยุดง่ายๆ และเกิดขึ้นอย่างซ้ำซากในหัวของมูคยอม เขาจงใจล้มเลิกความพยายามที่จะหยุดคิดและปล่อยให้ความทรงจำนั้นหลั่งไหลไป

สิ่งแรกที่นึกถึงในวันแบบนี้คือ คอกหมู

มูคยอมเรียกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาถูกส่งไปราวกับห่อสัมภาระหลังจากที่ปีศาจและแม่ของเขาจากไปว่าอย่างนั้น ตอนที่อยู่ข้างนอก ราชาแห่งคอกหมูอันเล็กและซอมซ่อนั้นแสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ พบปะผู้สนับสนุนและให้การต้อนรับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง ถึงแม้ว่าราชาหมูจะได้รับเงินอุดหนุนก็ตาม แต่กลับเป็นคนไร้น้ำใจและโหดร้ายกับนักเรียนที่ต้องดูแลอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมูคยอมที่โตเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกันตั้งแต่ตอนเด็ก เขามีความสูง ร่างกาย และพละกำลังที่ต่างจากคนอื่น แม้แต่นิสัยของเขาก็ยังมีนิสัยที่ต่อต้านและไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

ถ้าถามว่าลำบากไหม เขาจะตอบว่าเบื่อมากกว่า ในตอนนั้นแม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้ร้องไห้หรือหดหู่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ยอมจำนนต่อราชาหมูของคอกที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดทรมาน และจากจุดนั้นของมูคยอมยิ่งทำให้เขามีความบ้าระห่ำยิ่งขึ้น

‘พี่’

ในวันนั้นหลังจากที่เขาโดนผู้อำนวยการที่แหกปากกรีดร้องและฉุนเฉียววิ่งไล่ตีหลายครั้ง เขาก็นอนอยู่บนผ้าห่มผืนบาง เด็กวัยสี่หรือห้าขวบที่นอนอยู่ข้างๆ กระซิบเรียกมูคยอมเบาๆ มูคยอมที่เด็กคนนั้นคิดว่านอนหลับแล้วนั้นหันไปมองแวบเดียวแล้วถามขึ้นมา

‘มีอะไร’

‘ทำไมผู้อำนวยการถึงได้เกลียดพี่ขนาดนั้นล่ะ’

มูคยอมหันไปทางเด็กน้อยแล้วแย้มรอยยิ้มขึ้นมา

‘ไม่ได้เกลียด แต่กลัวต่างหาก เพราะว่าฉันเป็นลูกของปีศาจยังไงละ’

‘ทำไมพี่ถึงเป็นลูกของปีศาจล่ะ’

‘ถ้าปีศาจมีลูก เด็กที่ออกมาก็ต้องเป็นลูกของปีศาจน่ะสิ’

‘ไม่เห็นเหมือนปีศาจเลยสักนิด ผู้อำนวยการเหมือนปีศาจมากกว่าอีก’

‘ผู้อำนวยการไม่ใช่ปีศาจหรอก ปีศาจน่ะ น่ากลัวกว่านั้นเยอะเลย ผู้อำนวยการเป็นได้แค่หมูเท่านั้นแหละ หมูอู๊ดๆ’

‘หมูเหรอ ผู้อำนวยการอ้วนขนาดนั้นเลยเหรอ’

เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องตลก

……………………………………….

[1] เข้าหาเพื่อมองหาของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หมายถึง การเข้าหาใครสักคนที่บิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องต้องดูแลหรือแบ่งมรดกให้บิดามารดาของบุคคลคนนั้น

[2] พยอง (평) หน่วยวัดขนาดของเกาหลี 1 พยองมีค่าประมาณ 3.3 ตารางเมตร

แน่นอนว่ามันไม่ถูกเปิดออกมาอย่างง่ายดาย ทำให้เกิดความรู้สึกคับแคบและอารมณ์ทางเพศที่เพิ่มขึ้น ความรู้สึกเสียวจากการถูกดูดรัดจึงอยู่ในระดับที่ต่างออกไป พวกคนที่ไม่ดูสถานการณ์พวกนั้นพูดจาไร้สาระออกมา เพราะจะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แต่มันช่างไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ ท่าทางที่ตะโกนร้องออกมาจากปากของตนเองว่าไม่สามารถมีเซ็กส์ได้ ถ้าถามเขาแล้วละก็การมีอะไรกันกับฮาจุนตอนนี้ดีกว่าครั้งแรกเสียอีก ตอนแรกมูคยอมว่าจะสอดใส่เข้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้เล้าโลมอะไรเลย แต่พอสอดใส่เข้าไปอีกฝ่ายก็บีบรัดแกนกายของเขาจนหนังแทบจะลอกออกมา

มูคยอมรีบกระแทกเข้าไปราวกับว่าตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวนั้น แกนกายที่ชนต่อมลูกหมากถูกเลื่อนเข้าไปตรงๆ อย่างเคยและสอดแทรกเข้าไปจนลึกถึงด้านในอย่างรุนแรง

“อะอื้อ อ๊าๆๆ…!”

เสียงครางเบาๆ จากริมฝีปากที่แยกจากกันนั้นพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสายราวกับกล่องดนตรีที่พังแล้ว กล้ามหน้าท้องที่หดตัวของฮาจุนสั่นสะท้าน อีกฝ่ายอดทนอดกลั้นต่อความสุขที่โถมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่หยุดไม่หย่อนพอๆ กับความใจร้ายต่อใจกลางของจุดหนึ่งจุดนั้น ในท้ายที่สุดแล้วมูคยอมสงสัยว่านัยน์ตาสีดำของอีกฝ่ายจะบวมขึ้นหรือเปล่า เพราะน้ำตาได้ไหลจากหางตาลงไปสู่ขมับแล้วก็ตกลงมา

“ฮ้าๆ อ๊า”

“ฮู่”

มูคยอมพ่นลมหายใจออกยาวๆ ขณะที่เขารู้สึกว่าตัวตนของเขาที่ฝังลึกอยู่ช่องทางด้านในนั้นดีเดือดขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประจวบเหมาะกับที่เขานึกตัวอย่างดีๆ ขึ้นมาได้เลยอยากจะบอกให้ฮาจุนได้รับรู้

ที่เขาบอกว่ามีอารมณ์ตอนที่ฮาจุนร้องไห้นั้น ไม่ได้หมายความว่าร้องไห้เพราะว่าเสียใจ แต่มันเหมือนกับตอนนี้ที่แกนกายของเขาสอดใส่อยู่ เพราะว่าอีกฝ่ายรู้สึกมากเกินไปจนร้องไห้อย่างไรละ นั่นคือสิ่งที่เขาหมายถึงเมื่อบอกว่ามีอารมณ์ต่างหาก อย่างไรก็ตาม มูคยอมผู้ที่ร่างกายเร่าร้อนจนถึงขีดสุดตอนนี้ ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้อย่างง่ายดาย เขาทำได้แค่หอบหายใจเพียงเท่านั้น

“อ๊ะ ตรง อ้า ตรงนั้น ฮื่อ แฮ่ก พอก่อน…ฮ้าา….”

ฮาจุนสะอึกสะอื้นราวกับว่ากำลังขอให้เขากระแทกเอวเข้าไป แม้ว่าตอนนี้มูคยอมจะกดทับเยื่อเมือกอย่างรุนแรงในบริเวณที่ลึกที่สุดและแคบที่สุดเท่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะเสียวจนเกินไปหรือเพราะอยู่ในรถกันแน่ อีกฝ่ายถึงไม่สามารถพูดด้วยเสียงดังจนจบได้เลย อีกทั้งยังใช้ปลายนิ้วขาวนวลมาขูดที่ต้นขาของเขา ทำให้ท้องน้อยถูกดึงรั้งจนรู้สึกวูบวาบ ความต้องการที่จะปลดปล่อยนั้นพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรีบเร่ง

“อ๊า”

ในขณะที่ส่งเสียงครางออกมาอย่างสั้นๆ มูคยอมก็กระแทกเอวอย่างรวดเร็ว

“อื้ออ๊าา!”

เพราะว่าจู่ๆ มูคยอมก็ชักแท่งเสาที่เคยเติมเต็มช่องทางด้านในด้วยการบุกทะลวงท้องนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ฮาจุนร้องออกมาด้วยเสียงสูงราวกับตกใจ มูคยอมที่เหยียดหลังให้ตรงและโน้มร่างกายท่อนบนนั้น เอาแกนกายของตนเองที่ชักออกไปไว้ด้านล่างของใบหน้าที่วางไว้อยู่บนเบาะโดยทันที น้ำอสุจิถูกฉีดลงบนใบหน้าสีขาวที่มีเลือดฝาดสีแดงระเรื่อ

ของเหลวที่พุ่งออกมาจากปลายอวัยวะเพศฉีดพ่นบนใบหน้าหลายๆ ครั้งนั้นค่อยๆ เบาลง แล้วก็หยดจากปลายคางจนกระทั่งถึงคอ ใบหน้าของคนที่จ้องมองมูคยอมแล้วยิ้มอย่างเงียบๆ เมื่อวานนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาอย่างบุ่มบ่าม มูคยอมเหลือบมองที่ท่าทางนั้นนิ่งๆ แล้วเช็ดน้ำอสุจิออกจากริมฝีปากด้วยปลายนิ้วโป้ง

“ฮ๊าๆ อ๊ะ”

ฮาจุนหอบหายใจจนทำให้หน้าอกกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ อย่างรุนแรง หน้าท้องผอมบางที่บิดไปบิดมาเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวที่มูคยอมปลดปล่อย แม้ว่าสิ่งที่สอดเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายจะถูกดึงออกมาแล้ว แต่ขาที่แบะออกกว้างของฮาจุนก็สั่นระริกโดยที่ไม่ได้ผ่อนคลายเลย มูคยอมเอามือใหญ่นวดต้นขาที่สั่นเทา

เดิมทีมูคยอมชอบปล่อยด้านใน ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงอยากจะปล่อยมันลงบนร่างกายนี้

หลังจากการหลั่งออกมาถึงสามครั้ง ทั้งบนหน้าท้อง บนหน้าอก และตอนนี้ก็บนใบหน้า ภายในรถก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว และฮาจุนที่เปียกโชกด้วยน้ำกามนั้นก็ดูเหมือนกับนักแสดงหนังโป๊เลย

มูคยอมรักรถซูเปอร์คาร์ของเขามาก ถึงแม้ว่าเขาจะเคยมีเซ็กส์บนรถมาบ้างบางครั้งบางครา แต่เขาก็ไม่เคยทำให้รถมันรกถึงขนาดนี้มาก่อน ฮาจุนเป็นคนแรกที่เขามีอะไรด้วยโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยเลยตั้งแต่เริ่มแรก มันเริ่มจากว่าพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งท้องตามประสาผู้ชาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นอย่างเดียวแล้ว

อย่างที่พูดว่าถ้าอยู่ในที่ที่อาจจะเตะตาคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยน้ำกามตามร่างกายด้วย แต่ว่ามูคยอมอยากจะทำมันในวันนี้

“โค้ช พอทำแบบนี้แล้วนายดูเหมือนดาราหนังโป๊เลย”

เหตุผลที่มูคยอมไม่ปิดกั้นความคิดไร้มารยาทที่ผุดขึ้นมาในหัวแล้วเอ่ยออกไปนั้น ก็เพื่อที่จะแกล้งฮาจุน แต่พอฮาจุนได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้ว ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม แทนที่จะอายหรือขุ่นเคือง แต่กลับยิ้มราวกับพึงพอใจในคำพูดของมูคยอม

ในขณะที่ต้นขาและเอวยังคงสั่นระริกเนื่องจากอารมณ์ที่เหลือจากความรู้สึกเสียวของจุดสูงสุดที่เขามอบให้อีกฝ่ายไปหลายต่อหลายรอบ น้ำตาและน้ำกามที่ผสมปนเปกันบนใบหน้านั้นเกะกะทัศนียภาพรอยยิ้มที่แพร่กระจายอยู่ตรงหน้า มันช่างไม่เหมาะสมราวกับชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน

เขาเหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ยังเคลือบแคลงใจ และฮาจุนก็เอ่ยถามขึ้นมา เสียงที่เอ่ยออกมาปนกับลมหายใจที่ติดขัดนั้นดูไม่มั่นคง

“ฮู่…ชอบไหม”

“…ก็แปลกใหม่ดีนะ”

“ถ้าอยากทำอีกก็ทำได้เลยนะ ทำได้เท่าที่นายต้องการ เมื่อวานนายก็ทำไม่เสร็จนี่”

เคยรู้สึกอึดอัดใจกับคำพูดที่บอกว่าให้ทำตามใจตัวเองไหม ช่วงระหว่างคิ้วของมูคยอมค่อยๆ ย่นและไม่นานนักมันก็คลายออก แน่นอนว่าเขาสามารถทำได้อีก แต่จากคำพูดนั้นของฮาจุนมันกลับทำให้ความปรารถนาที่เหลืออยู่นั้นพลันลดลงทันที

เขาคิดว่าตรงนี้แหละที่ความสัมพันธ์ที่มีข้อตกลงร่วมกันนั้นมีความสำคัญ เกิดบังเอิญว่าเขามีรสนิยมที่ซ่อนอยู่ในตัวโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

เขามีรสนิยมทางเซ็กส์แบบใหม่ คือทำให้ฮาจุนร้องไห้พร้อมเขินอายบอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว มูคยอมเปิดกระเป๋าออกมาขณะรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเองตอนที่สายเกินไปแล้ว

เขาหยิบทิชชู่เปียกสำหรับเล่นกีฬาออกมาแล้วดึงออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเช็ดของเหลวขุ่นในร่างกายที่เขาได้ปลดปล่อยออกไป คราบเมือกที่ติดอยู่บนร่างกายนั้นหายไป เผยให้เห็นผิวอันขาวกระจ่างใสของฮาจุน ของเหลวในร่างกายที่ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่เลือกนั้นได้ตกลงบนรอยแผลด้วยเหมือนกัน แน่นอนว่ามูคยอมได้เช็ดทำความสะอาดตรงนั้นอย่างพิถีพิถัน

จากนั้นเขาก็เอาเสื้อที่ถอดทิ้งไว้นั้นมาคลุมไว้บนตัวของฮาจุน แม้ว่าอากาศที่ร้อนจัดในช่วงที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อนได้มาเยือนแล้ว แต่ภายในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อที่จะได้มีอะไรกันอย่างเต็มที่นั้นก็ยังคงเย็นสบาย และโดยเฉพาะเบาะนั่งที่รับลมหนาวก็เย็นเป็นพิเศษ ในช่วงขณะหนึ่งนั้นเขาไม่รู้เลยว่าอากาศจะเย็นขนาดนี้ แต่ความร้อนและเหงื่อจากร่างกายมันก็ได้เย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว มูคยอมจึงเพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศด้วยรีโมต

ฮาจุนรู้สึกหนาวขึ้นมาจริงๆ สินะถึงได้ขดตัวอยู่ภายในเสื้อที่คลุมไว้เล็กน้อย มูคยอมแนะนำให้อีกฝ่ายทิ้งทิชชู่เปียกที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่อยู่ในรถ

“ไปอาบน้ำที่บ้านฉันก่อนสิ จะทำอย่างนั้นไปทำไมในเมื่อเช็ดออกแล้วมันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

“ไม่สิ ถ้ากลับไปแล้วอาบน้ำทันทีมันก็ได้อยู่หรอก พวกน้องๆ จะกลับบ้านดึกหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“…ยังงั้นก็เถอะ”

“นายไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเองได้”

หลังจากมีอะไรกับฮาจุนแล้วก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นนะ แต่ไม่รู้ทำไมใจของเขาถึงได้ชอกช้ำ มันเป็นเซ็กส์บนรถที่เขาอยากทำสักครั้งมานานแล้ว และเขารู้สึกได้ว่าฮาจุนจะหายใจไม่ทันตลอดเวลาที่เขากำลังทำ ดูเหมือนแค่นี้เราก็มีความสุขกันมากพอแล้ว แต่เหตุผลคืออะไรล่ะ เขาก็แค่ปลดปล่อยทิ้งไว้ด้านใน ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับบ้านตนเองเพื่อไปอาบน้ำ

ฮาจุนที่นอนอยู่บนเบาะค่อยๆ ลุกขึ้น สีหน้าและคำพูดของอีกฝ่ายสดใส แต่ร่างกายที่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่ดูหนักและเชื่องช้านั้นลุกขึ้นมาราวกับว่าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากตอนปกติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปวดท้องที่ถูกสอดใส่อย่างหยาบกระด้างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หรือเป็นเพราะว่ายังมีความกำหนัดอยู่กันแน่ ฮาจุนถอนหายใจออกมายาวๆ โดยไม่ได้ตั้งใจแล้วกุมท้องน้อยของตนเองแล้วนั่งลงทันทีด้วยท่าทางราวกับอยากร้องโอดโอย

มูคยอมมองเสี้ยวด้านข้างนิ่งๆ แล้วยื่นมือออกไป

“มานี่สิ”

“หะ”

“นายหนาวนี่ มาอยู่ใกล้ๆ กันสิ”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉัน…เลอะ”

มูคยอมขมวดคิ้ว

“แล้วทำไมล่ะ ยังไงมันก็เป็นของฉันอยู่แล้วนี่นา”

ถึงแม้จะบอกว่าร่างกายของอีกฝ่ายนั้นสกปรกเลอะเทอะ แต่ถึงอย่างไรส่วนใหญ่มันก็คือน้ำกามที่มูคยอมปลดปล่อยออกไป หลังจากที่รบเร้าอีกสองสามครั้ง ฮาจุนก็หันไปข้างๆ แล้วเลื่อนไหล่ไปติดกันไว้ เมื่อมูคยอมใช้แขนโอบเอาไว้นั้น เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่เย็นเฉียบในมือของเขา มูคยอมจึงลูบที่เสื้อผ้าฮาจุนอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็ได้เกิดคำถามขึ้นมาในสมองของเขา

‘…นี่ฉันกำลังสงสารอีฮาจุนอยู่หรือเปล่านะ’

หลังจากที่สารภาพรักไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของพวกเรามันเข้ากันมากขึ้นหรือเปล่านะ แม้ว่ามูคยอมจะหาคำตอบแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลย

เดี๋ยวนี้เขาเป็นมนุษย์ที่ชื่นชอบการมีเซ็กส์แบบไร้หัวใจเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดว่าสองสิ่งนี้จะควบคู่ไปด้วยกันได้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่เจาะจงว่าเขารู้สึกสงสารคนที่แค่มีความสัมพันธ์กันทางร่างกายหรือเปล่า มันก็แล้วแต่คน มีคนหลายประเภทที่ชอบแค่ร่างกายเพียงเท่านั้น

มูคยอมไม่เคยรู้สึกอะไรนอกจากความใคร่กับคู่นอนของตนเอง แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจเพราะความอึดอัดจากธาตุแท้ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เขารู้สึกอยากจะสูบบุหรี่สักมวน ทั้งๆ ที่เขาสูบบุหรี่ไม่เป็น

อย่างไรก็ตามมูคยอมเคยลองคาบบุหรี่ในปากเพียงครั้งเดียวในชีวิต และมันไม่เหมือนกับวันที่เขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติเยาวชนเป็นครั้งแรก เรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากความประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงขโมยบุหรี่ของจุนซองมาและคาบเอาไว้

หลังจากที่ดูดไปเพียงแค่ครั้งสองครั้ง ตาของเขาก็รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาและรู้สึกเหมือนว่าจะไอออกมาเท่านั้น แล้วเขาก็เกิดความคิดว่าของพวกนี้มันดีตรงไหนกันถึงได้สูบกัน แต่ดันมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาก่อนตรงที่ที่เขาซ่อนตัวเพื่อสูบบุหรี่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลั้นอาการไอเอาไว้เพราะต้องการที่จะโอ้อวด

เขาทิ้งบุหรี่ที่ยังไม่ทันได้สูบนานๆ ไว้อย่างนั้น ทำตัวเกินเหตุแสร้งว่าไม่ได้เป็นอะไร พูดงึมงำเป็นต่อยหอยกับเด็กคนนั้นทำเป็นว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรขณะที่เดินออกไปอย่างไร้สติ นั่นเป็นประสบการณ์การสูบบุหรี่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของมูคยอม

“อีฮาจุน”

“หืม”

ทันทีที่เรียกชื่อ ใบหน้าด้านข้างที่ก้มหน้ามองอย่างเหม่อลอยนิดๆ และเอนพิงมูคยอมอยู่ก็หันกลับมาทางนี้ พอมาลองคิดดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มูคยอมต่อความสัมพันธ์กับคนที่เผยคำพูดออกจากปากของตนเองว่า “ชอบ” หรือว่า “รัก” เขา ปกติแล้วความสัมพันธ์จะจบลงทันทีที่เอ่ยเรื่องพรรค์นั้นออกมา

เพราะฉะนั้นเขาเลยรู้สึกแปลกๆ อย่างนี้หรอกเหรอ เพราะว่าไม่ชินเหรอ

“มีอะไร”

ฮาจุนย้อนถามกลับไปเมื่ออีกฝ่ายเรียกแล้วไม่พูดอะไรต่อ แต่ทว่าอันที่จริงแล้วมูคยอมไม่มีอะไรจะพูดเป็นพิเศษเลย เขาเอ่ยออกไปก่อนที่จะสามารถจัดระเบียบความคิดในหัวได้ว่าจะพูดเรื่องอะไรดี

บทสนทนาแบบนี้มันไม่เป็นที่พึงประสงค์ ถ้าหากว่าไม่ตัดขาดกัน เขาก็ต้องมีความรอบคอบเมื่อต้องเผชิญกับคนที่เริ่มมีความสัมพันธ์ด้านอารมณ์และร่างกายกัน แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ทนไม่ไหวต่อความต้องการของตนเองที่จะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“นายน่ะ”

โชคเข้าข้างมูคยอมที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

“มีอะไรที่อยากรู้เกี่ยวกับฉันไหม”

“…อะไรที่อยากรู้เหรอ”

“ก็ดูเหมือนว่านายจะรู้อะไรต่างๆ นานาหมดแล้วไง”

หลังจากที่เขาพูด สีหน้าที่กระดากอายของโค้ชอีฮาจุนที่เคยบอกว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายทำเรื่องอื้อฉาวที่ไม่ค่อยสำคัญแต่ก็รู้กันไปทั่วนั้น ก็เพื่อที่จะทราบข้อมูลเกี่ยวกับนักเตะก็ผุดขึ้นมา ฮาจุนกะพริบตาสองสามครั้งและยิ้มจางๆ ในระหว่างที่มูคยอมตระหนักได้ถึงทักษะการโกหกของอีกฝ่าย

“มีเยอะเลยแหละ ให้เขียนใส่กระดาษเลยไหม”

“ถามมาสิ ฉันจะตอบให้นายเอง”

มูคยอมโอบไหล่ของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย และฮาจุนก็มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาราวกับว่ากำลังแอบเอาอกเอาใจอยู่ จากการเคลื่อนไหวนั้นเกือบจะทำให้มูคยอมหัวเราะออกมาเสียแล้ว

เฮ้อ จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย… หลังจากที่อีกฝ่ายระเบิดสิ่งที่อัดอั้นเอาไว้ ก็ออเซาะเก่งขึ้นมานิดหน่อยนะ คราวนี้มูคยอมยกมุมปากขึ้นนิดหน่อยโดยไม่คิดจะแกล้ง เขาปล่อยให้เสียงหัวเราะถูกจับได้ แล้วจับหลังของฮาจุนพิงเขาเอาไว้แล้วเขาก็กอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง

ฮาจุนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่ากำลังเลือกคำถาม แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

“อืม…จนถึงตอนนี้ใครคือคู่นอนที่นายถูกใจมากที่สุด”

“ถามอะไรของนายเนี่ย”

ตอนแรกเขาสงสัยว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรที่อยู่ในใจก่อนไหมนะ แต่อีกฝ่ายกลับถามคำถามที่มันน่าเหลือเชื่อจนมูคยอมหัวเราะออกมาอย่างหมดแรงแล้วเอ่ยจึงออกมา

“นี่เป็นการสัมภาษณ์ที่สร้างสถานการณ์ไว้แล้วหรือไง ล็อกคำตอบไว้แล้วก็ถามเนี่ย”

“ก็นายบอกให้ลองถามนี่ ก็ตอบมาสิ”

“ถ้าผมตอบว่าโค้ชอีฮาจุน คุณจะรู้สึกพอใจไหมครับ”

“อื้อ พอใจ”

ฮาจุนแย้มรอยยิ้มและสงบลงราวกับว่ากำลังเลือกคำถามอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยการลงท้ายปลายประโยคอย่างระมัดระวังเล็กน้อย

“ฉันถามเรื่องครอบครัวได้ไหม”

“ครอบครัวเหรอ”

“ครั้งที่แล้วที่นายพูดถึงเรื่องคุณแม่ ฉันเลยสงสัยนิดหน่อย เพราะตอนที่นายให้สัมภาษณ์ก็ไม่ค่อยเอ่ยถึงเรื่องครอบครัว… ถ้ามันเป็นคำถามที่น่าอึดอัดใจนายไม่ต้องตอบก็ได้นะ”

ตอนที่เขาให้สัมภาษณ์นั้นเขาเคยเอ่ยถึงผู้จัดการทีมอย่างพัคจุนซองอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่แทบจะไม่เอ่ยถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาเลย เพราะพวกเขาจากไปไปตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก จึงทำให้ไม่มีเรื่องราวให้เล่ามากนัก และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไร

ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเอามาพูดต่อหน้าคนอื่น แต่มันก็ตลกที่อีกฝ่ายถามเขาไปแล้วค่อยชักเท้าออกจากคำถามที่สองทันที มูคยอมไม่เคยตั้งใจที่จะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นพิเศษ เขาเพียงแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องบอก

“ก่อนที่ฉันจะถูกทิ้งไว้ให้อยู่ตามลำพัง พวกเราเป็นครอบครัวทั่วไปที่มีกันอยู่สามคนเหมือนกับในภาพวาดเลย”

“อย่างนั้นสินะ…”

“ถ้านายดูในละครหรือข่าว นายจะเห็นว่ามีไอ้บ้าที่พยายามจะจับทั้งเมียและลูกเอาไว้ ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่กับคนแบบนั้นแหละ เพราะไอ้ชาติหมาอยู่บ้านที่เหมือนกับออกมาจากภาพวาดนั้น แล้วแม่กับฉันจะทำอะไรได้เหรอ ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่แบบภาพวาดสิ”

เมื่อเขาตอบเสร็จความเงียบก็เข้ามาครอบคลุม และหลังจากนั้นไม่นานฮาจุนก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ขอโทษนะ ฉันไม่น่าถามเลย”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เขาตายไปนานแล้วนี่นา ตอนนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้วละ แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องเอาไปพูดข้างนอกด้วย”

หลังจากนั้นฮาจุนก็ปิดปากเงียบไปสักพัก คงเพราะคิดว่าตนเองถามผิดคำถาม ถึงแม้ว่ามูคยอมจะรอแต่ก็ไม่มีคำถามต่อไป เขาเลยขยี้เส้นผมที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายจนกระเซอะกระเซิง

“มีอีกไหม”

“หะ”

“หมดแล้วเหรอ”

“พอแล้วละ ถ้าเกิดถามอะไรแปลกๆ ที่ไม่ควรถามอีกจะทำไงล่ะ”

เฮ้อ ไม่มีความโลภเอาเสียเลย เวลาจะสารภาพว่าชอบมันต้องมีอะไรที่คาดหวัง หรือมีอะไรที่อยากรู้ไม่ใช่หรอกเหรอ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเป็นคนรัก แต่เมื่อเทียบกับตอนก่อนสารภาพรักแล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคาดหวังอะไรบางอย่างจากเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นเลย

จูบและกอดเหมือนดังเมื่อวาน นั่นคือทั้งหมดที่นายต้องการใช่ไหม อีฮาจุน

เขาตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลอีกฝ่ายจนกว่าจะจบฤดูกาล ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ฮาจุนจะพูดเพื่อที่จะสลัดอิมจองคยูออกไป แต่ถ้าหากว่าต้องการเงินจริงๆ เขาก็สามารถให้ได้เท่าที่อีกฝ่ายต้องการ ทุกอย่างที่ฮาจุนต้องการ ยกเว้นเรื่องขอให้เขาชอบกลับ และเรื่องคบเป็นคนรัก

แต่ทำไมฮาจุนถึงไม่เอ่ยปากขอเลยล่ะ

เมื่อมาถึงสนามฝึกซ้อม ก็มีเสียงที่ร่าเริงตะโกนเรียกพวกเขาอย่างเจี๊ยวจ๊าว ความอึกทึกครึกโครมที่ลืมไปชั่วครู่ก็เข้ามารุมเร้าทันที เหล่านักเตะที่กลับมาหลังจากพักช่วงสั้นๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมาก และยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังราวกับฝูงสุนัขพันธุ์สแปเนียลที่วิ่งไปรอบๆ แม้ว่าจะปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่นิ่งๆ ก็ตาม

ฮาจุนเดินเข้าไปหาเหล่าเด็กหนุ่มราวกับเป็นครูที่แสนใจดี

“วันหยุดสนุกไหม”

“ครับ! โค้ช ครั้งนี้ผมไปเกาะเชจูมาครับ ผมเอาของฝากไปไว้ให้ที่ห้องสำนักงานนะครับ เป็นขนมที่ทำจากมันหวาน เขาบอกว่ามันอร่อยแหละครับ”

“จริงเหรอ ซื้ออะไรแบบนั้นมาหมดเลยเหรอ ทำไมไม่เก็บเงินไว้เที่ยวเล่นล่ะ”

“มันไม่เท่าไรหรอกครับ เอาไปแบ่งทานกับโค้ชคนอื่นๆ สิครับ”

ทันทีที่โค้ชอีฮาจุนไอดอลของสนามฝึกซ้อมของโซลซิตี้เดินทางมาถึง อีกฝ่ายก็โดนรายล้อมจากบรรดานักเตะจนถูกเบียดบังคับให้ออกห่างจากมูคยอมที่เคยยืนอยู่ข้างๆ กัน

มูคยอมทำหน้าบึ้งมองดูภาพนั้นแล้วเดินก้าวเท้าฉับๆ ผ่านไปเหมือนกับตอนที่มูคยอมเดินฝ่านักข่าว เขาใช้ร่างกายอันโดดเด่นดันจนทำให้นักเตะคนอื่นๆ ที่ยืนรวมกันอยู่แยกย้ายกันไปอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วปล่อยเว้นให้ที่ข้างๆ ของฮาจุนนั้นว่างเปล่า

มูคยอมที่ครอบครองพื้นที่ด้านข้างของฮาจุนถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาราวกับพูดอยู่คนเดียว

“พวกโค้ชเองก็ต้องระวังเรื่องสุขภาพด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นของฝากที่เป็นขนมมันก็ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนะ”

‘นายเป็นอะไรของนายอีกเนี่ย’ ฮาจุนกระซิบและถองข้อศอกของตนเองเข้าที่เอวของมูคยอม หลังจากนั้นนักเตะคนที่บอกว่าเขาไปเกาะเชจูก็ยิ้มราวกับประหม่า

“มันเป็นขนมแคลอรีต่ำที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลมากครับ”

เงียบปากซะ

รู้ไหมว่าเมื่อวานนี้โค้ชคนโปรดของนายบอกอะไรกับฉัน เขาบอกว่าเขาชอบฉัน เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้อย่าได้มากวนใจอีกเป็นอันขาด

…มูคยอมไม่สามารถพูดเช่นนั้นออกไปได้จึงทำได้แค่เพียงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ฮาจุนจึงตอบนักเตะที่เขินอายคนนั้นแทน

“ขอบใจนะ จะทานให้อร่อยเลย พี่มูคยอมปกติก็พูดจาขวานผ่าซากแบบนั้นนี่นา เข้าใจเขาหน่อยนะ”

“ไม่ล่ะครับ ผมคิดว่านั่นเป็นบุคลิกของเขาด้วยแหละครับ”

หลังจากทิ้งคำพูดที่คลุมเครือว่าจะชมดีหรือขู่ให้กลัวดี นักเตะรุ่นเยาว์ก็กลับมาพูดคุยกันเสียงดังอีกครั้งแล้วจึงเดินไปข้างหน้าต่อ

ขณะที่พวกนักเตะเดินออกไปไกลแล้ว ฮาจุนจึงลดเสียงลงแล้วบ่นด้วยสีหน้าลำบากใจ

“นายเป็นอะไรของนายเนี่ย คนเขาอุตส่าห์ซื้อมาให้ด้วยความมีน้ำใจนะ ตอนนี้เรามีสต๊าฟไม่เพียงพอ แล้วนายยังจะมาเบ่งใส่นักเตะด้วยกันอีกเหรอ เขาอยู่ในทีมนี้นานกว่านายอีกนะ”

มูคยอมหน้าบึ้งเล็กน้อย ดูท่าทางแล้วฮาจุนคงแยกแยะเรื่องที่ชอบก็ส่วนเรื่องที่ชอบได้ แต่ในฐานะโค้ชก็ยังคงบ่นจู้จี้เหมือนเดิม แล้วความแตกต่างระหว่างตอนที่ชอบเขากับตอนที่ไม่ชอบคืออะไรล่ะ ยอมให้มีอะไรกันบนรถอย่างนั้นเหรอ

มูคยอมบ่นในใจพลางเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ เขาเจอกับจองคยูที่มาถึงล่วงหน้าแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเกือบหมดแล้วนั้นนั่งอยู่บนม้านั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วแสดงสีหน้าดีอกดีใจ

“คิมมูคยอม มาแล้วเหรอ”

“ทำไมทำหน้าเหมือนไม่ได้เจอกันนานอย่างนั้นล่ะ”

หลังจากที่เจอกันเมื่อวานนี้ จองคยูก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อีกฝ่ายยิ้มด้วยใบหน้าที่สดใสราวกับเพิ่งเจอกัน

ทันทีที่มูคยอมตะโกนใส่ ร่างใหญ่ของอีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้ราวกับแกล้งทำท่าน่ารัก มูคยอมขมวดคิ้วพร้อมกับปัดมือจองคยูราวกับไม่พอใจจริงๆ กับท่าทางของอีกฝ่ายที่เอานิ้วมาจิ้มเข้าที่ไหล่ของเขา

“นี่ไอ้หนู ขอร้องเถอะ นายต้องรู้นะว่าตัวเองไม่เหมาะกับท่าทางน่ารักๆ”

“ไอ้หมอนี่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเว้ย นายก็บอกมาสิ เมื่อวานฮาจุนโอเคไหม”

จากคำพูดนั้นมูคยอมก็คลายคิ้วที่ขมวดแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ก็รู้สึกแย่ไปสักพักเลยเพราะตกใจคิดว่าไฟไหม้ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”

“ฉันห่วงแทบแย่แหนะ โล่งอกไปที ว่าแต่เมื่อกี้นายสองคนคุยกันเรื่องอะไรกันเหรอ ไหนบอกว่าจะเล่าให้ฉันฟังด้วยไง”

จะคุยอะไรล่ะ บอกว่าฮาจุนชอบฉันไง เข้าใจไหม ก็บอกว่าฮาจุนชอบฉันไง!

…เพราะว่ามูคยอมไม่สามารถตอบเช่นนั้นได้ เขาเลยยิ้มเหมือนกวนประสาทและตบไหล่ของจองคยูเบาๆ

“ที่ฉันจะบอกคือ มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ”

“ไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรอกใช่ไหม”

“…ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก”

สำหรับอีฮาจุนด้วย มั้ง

พวกเขาออกจากห้องล็อกเกอร์ด้วยกันและเดินไปตามทางเดินยาว เมื่อเปิดประตูหน้าของอาคารและออกไปที่สนามฝึก มูคยอมก็เห็นฮาจุนยืนอยู่บนสนามหญ้า เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาฝึกซ้อม ฮาจุนจึงอยู่ที่ริมสนามหญ้า แต่ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยให้กับภาพที่เขาไม่สามารถพบเห็นได้ตามปกติ ผู้หญิงสองสามคนที่แต่งกายด้วยชุดนอกที่ดูอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทางสโมสรกำลังยืนอยู่ด้านหน้าและพูดคุยกันกับฮาจุน

ไม่รู้ว่าสนุกอะไรขนาดนั้นฮาจุนถึงได้ยิ้มหวานปานนี้ ดูจากท่าทางของฮาจุนแล้วคงชวนคุยเรื่องกะหนุงกะหนิงล่ะสิ อาจจะเพราะว่าใบหน้าของอีกฝ่ายขาวเกินไป มันเลยดูเหมือนมีแสงแดดสีทองส่องลงมาบริเวณนั้น จองคยูออกมาจากอาคารหลังจากเขา และเมื่ออีกฝ่ายเห็นภาพนั้นก็อุทานว่า “โอ้” ออกมาเล็กน้อย

“พวกเขาช่างเสมอต้นเสมอปลายดีเสียจริง”

“…ใครเหรอ”

“แฟนคลับของฮาจุน”

มูคยอมเงียบไปชั่วครู่และถามกลับไป

“…แฟนคลับอะไร”

“พวกเขาเป็นแฟนคลับตัวยงตั้งแต่ฮาจุนยังเป็นนักเตะน่ะ แล้วบางคนก็ยังคอยดูแลฮาจุนอยู่ คราวที่แล้วที่อยู่ในทีมดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่สนามซ้อมปีละครั้งหรือสองครั้งน่ะ มาถึงที่นี่ด้วยแฮะ”

ฮ่าๆๆ

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะอันดังกังวานที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลๆ ก็ยังสามารถได้ยินนั้นได้แล่นเข้ามาสู่โสตประสาทของมูคยอม คงคุยเรื่องสนุกๆ กันอยู่สินะ ฮาจุนถึงได้ยิ้มอย่างสดใสจนดวงตาของอีกฝ่ายโค้งลงเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว

ขณะที่มูคยอมเดินไปตรงกลางสนามหญ้า เขารู้สึกว่าภายในอกของเขาค่อยๆ ร้อนระอุราวกับต๊อกบกกีเผ็ดร้อนบนหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ ไม่ใช่ว่าฮาจุนไปทำอะไรทุกอย่างที่ต้องทำแล้วก็ปล่อยคำว่าชอบเขาทิ้งไว้อย่างนั้นหรอกเหรอ เขาไม่รู้เลยว่าความแตกต่างระหว่างก่อนชอบกับหลังชอบมันคืออะไรกันแน่!

เวลาที่ต้องเริ่มการฝึกซ้อมได้ใกล้เข้ามาแล้ว และฮาจุนก็ไปรวมกับทีมโค้ชด้วยความเร่งรีบด้วยการโบกมือให้สาวๆ ที่บอกว่าเป็นแฟนคลับของเขา สโมสรใหญ่ของยุโรปไม่ได้เปิดสนามฝึกซ้อมด้วยเหตุผลหลายประการ รวมไปถึงปัญหาด้านความปลอดภัยด้วย และถึงแม้ว่าจะเปิด แต่ก็ยังมีข้อจำกัด โดยมีการกำหนดตารางเวลาในการรับชมแยกต่างหาก อย่างไรก็ตามซิตี้โซลก็เหมือนกับสโมสรเคลีกหลายๆ แห่ง ที่ต้อนรับคนทั่วไปให้สามารถเข้าไปดูได้

แขกที่มาเยี่ยมยังไม่เดินทางกลับ แต่ไปนั่งบนอัฒจันทร์ที่อยู่ข้างสนามแล้วโบกมือให้ มูคยอมกัดฟันกรอดอยู่เพียงลำพังในขณะที่มองดูฮาจุนโบกมือตอบกลับให้พวกเขาเล็กน้อย

ปี๊ด

การฝึกซ้อมครั้งแรกในครึ่งหลังของฤดูกาลเริ่มต้นด้วยเสียงนกหวีดอันสดชื่น บรรดานักเตะยืนเป็นสองแถวอยู่ที่ลู่วิ่ง ทำเป็นวงกลมเล็กๆ หลายวงแล้วยืดกล้ามเนื้อตามคำสั่ง ฮาจุนสำรวจนักเตะคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานานและเดินไปเดินมาระหว่างคนพวกนั้น ฮาจุนมาถึงจุดที่มูคยอมและจองคยูยืนอยู่ ฮาจุนเริ่มตรวจดูสภาพร่างกายของจองคยูก่อน จองคยูที่หันไปสบตากับฮาจุนก็หยุดการกระทำของตนแล้วกระซิบราวกับว่าเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

“ฮาจุน เมื่อวานนายคุยอะไรกับคิมมูคยอมเหรอ”

“หืม”

“มันเป็นความลับเหรอ หรือเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้งั้นเหรอ”

ถ้าจะขนาดนี้ก็เป็นโรคชอบสอดรู้สอดเห็นแล้วละ มูคยอมมองจองคยูอย่างเวทนาที่ไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้จนเข้าไปรบเร้าฮาจุน

ฮาจุนไม่สามารถตอบได้ในทันที เขาทำได้แค่เพียงแสดงสีหน้าพะวักพะวนอย่างลังเล มูคยอมกำลังจะบอกให้จองคยูหยุดละเมิดความเป็นส่วนตัวได้แล้ว แต่ฮาจุนก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมา

“อันที่จริงช่วงนี้ฉันช็อตน่ะ ก็เลยขอยืมเงินเขาหน่อย”

บนสนามหญ้าที่แจ่มชัดราวกับเปล่งประกายเพราะได้รับในแสงแดดฤดูร้อนนั้นได้เกิดความเงียบขึ้นมาระหว่างจองคยูและฮาจุน

โกหกเก่งกว่าที่คิดไว้อีกนะ มูคยอมที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเปลี่ยนท่าทีไปเป็นความรู้สึกเหมือนกำลังชมการแสดงการยิงมุกตลกของบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง

“อ๋อ งั้น…เหรอ”

“อื้อ เพราะงั้นมันก็คงไม่ดีเท่าไรถ้าจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนี่นา”

“…ฮาจุน! แม้ว่าฉันจะช่วยไม่ได้ดีเท่าหมอนั่น เพราะว่าฉันต้องเลี้ยงลูก แต่ฉันสามารถช่วยนายได้ไม่มากก็น้อย เพราะงั้นถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะ”

มูคยอมไม่รีรอและก่นด่าจองคยูที่เศร้าสลดซึ่งกุมมือของฮาจุนไว้แน่นราวกับให้คำมั่นสัญญา

“ดูเอาเถอะคนสอดรู้อย่างนายแค่ต้นทุนยังหาไม่ได้เลย เขาไม่จำเป็นต้องไปแบมือขอนายหรอก เพราะงั้นกลับไปออกกำลังกายเลยไป”

จากคำพูดนั้นฮาจุนที่สบตากันเพียงเล็กน้อยจึงเดินไปด้านหน้าของมูคยอม จนกระทั่งเมื่อวานนี้อีกฝ่ายยังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงเดียวกันพร้อมกับสะอึกสะอื้นสารภาพรักอีกต่างหาก นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันในฐานะนักเตะกับโค้ช มูคยอมจึงกระแอมนิดหน่อยราวกับกระอักกระอ่วน

มุมปากของมูคยอมยกขึ้นเล็กน้อย วันหยุดที่คิดว่าสั้นแต่ในอีกความหมายหนึ่งก็ช่างแสนยาวนาน

“ยกข้อเท้าขึ้นเหนือเข่าข้างซ้าย ลดกระดูกก้นกบลงอีก”

นานมากแล้วที่อีกฝ่ายแตะตัวเขาในขณะที่ฝึกซ้อม ขณะที่มือขาววางอยู่บนต้นขาด้านในของมูคยอม ความคิดที่ไม่เหมาะสมระหว่างการฝึกซ้อมก็แล่นเข้ามาในหัวของเขาอย่างตามอำเภอใจ มูคยอมพยายามปัดจินตนาการนั้นออกไป และเรียกชายที่อยู่ตรงหน้าตนเองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“โค้ชอี”

“หืม”

“ถ้าหากว่านายต้องการเงินจริงๆ ก็บอกฉันนะ”

ฮาจุนกลอกตาด้วยสีหน้าที่บอกว่าอย่าพล่ามอะไรมันที่ไร้ประโยชน์ มูคยอมพเยิดคางชี้ไปที่สถานที่ไกลๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“นายไปเจอพวกเขาบ่อยไหม”

“นายหมายถึงใคร”

“ตรงนั้นไง คนที่เข้ามาดู ได้ยินมาว่าเป็นแฟนคลับนาย”

“เปล่า แค่บางครั้งน่ะ ทุกคนต่างก็ยุ่งมาก ฉันเลยไม่ได้ไปเจอพวกเขาบ่อยๆ”

ฮาจุนคงเขินอายจากคำพูดที่ว่าเป็นแฟนคลับ อีกฝ่ายถึงได้ทำสีหน้าเคอะเขินขณะที่ตอบ

ปากบอกว่าเป็นแฟนคลับ แต่การที่มาเจอนักเตะที่วางมือไปได้สักพักแล้วนั้น ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่ได้มองฮาจุนเป็นแค่นักเตะ แต่มองในฐานะผู้ชายคนหนึ่งหรอกเหรอ

“แล้วทำไมเหรอ” ฮาจุนถามในขณะที่มูคยอมหรี่ตามองไปทางอัฒจันทร์

“อ๊ะ โค้ชอี ตอนนี้ฉันรู้สึกเจ็บตรงบริเวณที่นายกดลงไปนิดหน่อย”

“อะไร ทำไมถึงเจ็บล่ะ”

แน่นอนว่ามูคยอมโกหก ฮาจุนเบิกตาโตราวกับตกใจ อีกฝ่ายกดขาด้านในของมูคยอมและมองเข้าไปด้านในอย่างตั้งอกตั้งใจ มูคยอมที่จ้องมองฮาจุนเช่นนั้นหันไปแค่นหัวเราะทางอัฒจันทร์โดยเปล่าประโยชน์ พอทำแบบนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็ถูกจับได้ว่าแสร้งทำเป็นเจ็บและโดนตีด้วยฝ่ามือที่ต้นขาหนึ่งฉาด

***

อีฮาจุนเป็นคนที่รักษาคำพูดของตนเอง

ฮาจุนที่เคยพูดว่าถ้ามีคนมาเจอจะทำอย่างไรนั้น ในตอนนี้กำลังเปลือยกายขาวใสไร้จุดด่างดำทั้งหมดของตนเองในรถของมูคยอมโดยที่ไม่เหลือแม้แต่ด้ายเส้นเดียว ราวกับว่าที่ผ่านมาเรื่องที่อีกฝ่ายเคยปฏิเสธว่าจะไม่มีทางทำแบบนั้นเลยเป็นเรื่องโกหก เมื่อมูคยอมมองลงไปที่ฮาจุนที่นอนอยู่บนเบาะหนังสีเทาเข้ม เขาก็ปัดเป่าความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้สึกขณะฝึกซ้อมได้อย่างหมดจด

หลังจากการฝึกซ้อม มูคยอมมารับฮาจุนให้ขึ้นรถของตนเองใกล้ๆ ป้ายรถเมล์ ราวกับเปิดปฏิบัติการลับหลังจากที่ผ่านไปนาน เพียงเพราะต้องการพิสูจน์ให้ได้เร็วขึ้นอย่างน้อยหนึ่งวินาที

รถของเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังบ้านของเขา แต่กลับไปที่ชานเมืองที่ไร้ผู้คน และในตอนนี้มูคยอมกำลังตรวจหาหลักฐานความแตกต่างระหว่างก่อนชอบและหลังชอบผ่านสายตาและร่างกายด้วยความกระตือรือร้น

“ฮ๊า อื้อๆ…”

แม้ว่าจะไม่มีวี่แววของมดเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่เพราะว่าอยู่ในรถที่อยู่กลางแจ้ง ฮาจุนจึงพยายามที่จะกลั้นเสียงเอาไว้ แต่ถึงแม้ว่าจะพยายามกลั้นเอาไว้อย่างไร แต่ลำคอของฮาจุนที่ส่งเสียงครางนั้นก็เต็มไปด้วยความร้อนรนราวกับว่ามันเปล่งออกมาเองโดยอัตโนมัติ ในตอนนี้มันก็สงบลงเล็กน้อยแล้ว

มันหดตัวและคลายตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าร่างกายเปลือยเปล่านั้นสั่นสะท้านทั้งภายในและภายนอกโดยไม่ปิดบังเอาไว้เลย กล้ามเนื้อที่เอวและหน้าท้องลื่นเปียกเป็นมันวาวไปด้วยของเหลวในร่างกาย มูคยอมขยับกระแทกอย่างรุนแรงทุกครั้ง ท่าทางนั้นมันดูราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังร่ายรำอยู่ ดังนั้นมูคยอมจึงจ้องมองอย่างเงียบๆ ขณะที่ยกเอวขึ้นอีกเล็กน้อยและแบะขาทั้งสองข้างให้กว้างกว่าขึ้นกว่าเดิม เขาแทรกน้ำหนักตัวเข้าไปให้ลึกขึ้น เอวของฮาจุนก็สะดุ้งตอบสนองกลับมา

ถึงแม้ว่าจะเป็นรถเก๋งธรรมดาที่มันก็ไม่ได้แคบจนเกินไป แต่มันก็ยากในการเปลี่ยนท่าทางได้อย่างสบายๆ และรวมไปถึงเซ็กส์อันฉูดฉาดของชายหนุ่มสองคนที่ขนาดตัวไม่ได้เล็กเลย พอถึงครึ่งทางของการหลั่งรอบสอง มูคยอมตั้งใจจับฮาจุนนอนลงแล้วสอดใส่อยู่บนร่างของฮาจุนเพื่อความสะดวก

“อ๊ะ อื้อ อ๊าาา…!”

ท่าหันหน้าเข้าหากันนั้น เขาชอบที่มันเห็นหน้ากันได้อย่างชัดแจ๋วและยังได้ยินเสียงกันอย่างชัดเจนอีก เขากระแทกอย่างเร็วและแรง แต่ทันใดนั้นก็ลดความเร็วให้ช้าลงและค่อยๆ เลื่อนเข้าไปจนถึงปลายสุดผนังด้านในที่แคบลง เอวของฮาจุนกระตุกและเด้งขึ้นมา มือสีขาวนวลคว้าข้อมือของมูคยอมไว้อย่างรวดเร็ว

มูคยอมแอบหัวเราะแบบไม่มีเสียง เขาชอบความรู้สึกที่ฮาจุนกำข้อมือของเขาอย่างแน่นมาก เขาอาจจะเสพติดมันแล้วก็ได้

แต่ที่ชอบมากกว่านั้นคือ การที่เขาเป็นฝ่ายจับข้อมือของฮาจุนด้วยมือของเขาเองต่างหาก มูคยอมยกแขนขึ้นและค่อยๆ เลื่อนมือที่ตนเองไว้ จากนั้นจึงคว้าข้อมือของฮาจุนแล้วกดลงบนเบาะ แล้วมูคยอมก็เริ่มกระแทกเข้าไปอย่างรวดเร็วไปตามจุดต่างๆ ของผนังด้านใน

“ฮ๊า เข้าใจแล้ว นายขอ ให้ ถู ตรงนี้ ฮู่ ใช่ไหมล่ะ”

“อ๊ะๆ ไม่ ไม่ ไม่ใช่ ตรงนี้ มัน เดี๋ยวก่อน ฮื่อ…!”

และถ้าไม่เปลี่ยนท่า มุมที่กระตุ้นด้านในก็จะไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก เขาจึงสามารถกดเข้าที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้

ส่วนหัวที่หนาและพองโตหลั่งไปแล้วหลายรอบ และบริเวณที่ถูก็ปลุกเร้าขึ้นมาโดยการกระแทกอีกครั้ง

ฮาจุนเอียงคออย่างเกร็งและสั่นไปทั้งตัว จากนั้นราวกับว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ไหว ฮาจุนใช้ปลายนิ้วขูดต้นขาที่แข็งเป็นหินใต้บั้นท้ายของตนเองเบาๆ หรือพูดให้เจาะจงกว่านั้นคือบนกางเกงของเขานั่นเอง อาจจะเป็นท่าทางที่พยายามจะดันออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่เพราะว่าถูกจับข้อมือไว้จึงไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ หืม ฮู่ ฉันกระแทก เข้าไป แค่ตรงที่ ที่นายชอบ แค่นั้นเองนะ!”

“อ๊า ชะ ชอบ! ฮึก มัน…มาก อ๊ะ ไป….”

“มากไปเหรอ อะไรล่ะ เสียวมากไปเหรอ”

ขณะที่มูคยอมหลั่งออกมาแค่สองครั้ง ฝ่ายฮาจุนนั้นก็ได้หลั่งน้ำอสุจิลงบนหน้าท้องของตนเองมาแล้วหลายครั้ง และจนตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรจะหลั่งออกมาได้อีกแล้ว ดังนั้นแก่นกายที่หมดแรงไปเล็กน้อยนั้นก็ทำได้แค่เพียงสั่นไหวไปตามแรงกระแทกเอว มูคยอมใช้ฝ่ามือวางทับไว้แล้วลูบไล้เป็นวงกลมอย่างเบาๆ แม้ว่าความรู้สึกของแกนกายจะถูกกระตุ้นมากเกินไป จนสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อเริ่มกระแทกเร็วๆ บนจุดที่บวมขึ้นมาจุดหนึ่ง

ทุกๆ ครั้ง ผนังด้านในที่เรียบลื่นและนุ่มนวลจะหดลงราวกับตกใจ และดูดกลืนแกนกายราวกับบอกว่าให้เข้ามาข้างในอีก ริมฝีปากของมูคยอมยิ้มอย่างเลือนราง

อ๋อ อีฮาจุนมีอารมณ์อยู่

ฮาจุนดันหน้าของมูคยอมออกไปก่อน แต่อีกฝ่ายก็ยังพยายามที่จะขอจูบอีกครั้ง ทั้งริมฝีปาก หน้าผาก ใบหู ไปจนถึงกระทั่งต้นคออีกต่างหาก ฮาจุนที่ตัวร้อนรุ่มจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อหลับตาที่เหนื่อยล้าแล้วหลับไปในที่สุด มูคยอมเช็ดเปลือกตาของฮาจุนเบาๆ แล้วชักมือออกมา ดูจากสภาพแล้วพรุ่งนี้ตาของฮาจุนคงบวม

เขาแค่นหัวเราะอย่างไร้เสียงออกมาให้กับการกระทำของอีกคนที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักนิด แต่กลับทำอะไรที่มันขาดสติราวกับดื่มเหล้ามา ก่อนที่จะนอนฮาจุนได้บอกที่บ้านไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงไม่มีสายเรียกเข้าจากคุณแม่ของอีกฝ่าย

มูคยอมขึ้นไปบนชั้นสอง และคิดว่าตนเองก็ควรจะนอนสักหน่อย เขาสงสัยว่ามันจะเป็นอะไร ไหนๆ วันนี้ก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เขาเลยนอนหนุนหมอนอยู่ข้างๆ ฮาจุน

‘ฉันชอบนาย’

คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของฮาจุนดังก้องอยู่ในโสตประสาทและสีหน้าในตอนนั้นปรากฏเข้ามาในสายตาของเขาอีกครั้ง มูคยอมคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่สนุกสนาน แต่วันนี้เขากลับรู้สึกเหมือนโดนเสยหมัดเข้าที่คางโดยความประมาทของตนเอง

จู่ๆ ก็สารภาพรักในสถานการณ์แบบนั้นอย่างนั้นเหรอ แม้ว่าจะพลิกหาเรื่องราวการสารภาพรักทั้งหมดบนโลกใบนี้ ก็มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับการสารภาพรักด้วยวิธีนี้

“เหอะ เหลวไหลเสียจริง”

มูคยอมบ่นพึมพำกับตัวเองราวกับสบถใส่ฮาจุนและจ้องมองขึ้นไปบนเพดานโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มูคยอมมีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่าเขารู้สึกถึงการจ้องมองของใครบางคนที่ไม่อยู่ที่นั่น

มูคยอมเอามือป้องปากกระแอมเมื่อเขานึกถึงภาพยนตร์อันน่าเบื่อที่เขาได้ดูเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่มีมนุษย์ต่างดาว เขาก็เลยนั่งหน้าทีวีเพราะคิดว่ามันก็พอดูได้ แต่บทสนทนาเชิงปรัชญาในภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป สุดท้ายมันก็เป็นหนังที่เขาดูได้แค่ครึ่งเรื่องแล้วก็กดเปลี่ยนช่องไป

ในขณะที่เขานึกถึงบทสนทนาทางธรรมอันน่าเบื่ออีกครั้งนั้น เขาก็พยายามที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ ใบหน้าอันหดหู่ของหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์พูดอะไรกับนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างมันขึ้นมานะ

‘ทำไมมนุษย์ถึงอยากเป็นผู้สร้างล่ะครับ’ และนักวิทยาศาสตร์ที่แสยะยิ้มด้วยความเย็นชาก็ตอบว่า ฉันชอบนาย…

มูคยอมจดจ่อไม่ได้เลย

ขณะที่สมาธิแตกกระเจิงริมฝีปากของเขาก็เหยียดขึ้นไปด้านบน ในที่สุดก็ดึงส่วนโค้งเรียบจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้างกระจายทั่วใบหน้าจนยากที่จะปิดบังไว้ได้ มูคยอมหลอกตัวเองไม่สำเร็จ เขาจึงยอมรับสภาพของตัวเองอย่างรวดเร็ว

เยี่ยม ยอมรับเลย

บอกตามตรงว่าเขารู้สึกดีเลยละ

คำสารภาพรักที่ออกมาจากปากคู่นอนที่ว่า ‘ฉันชอบนาย’ หรือ ‘ฉันรักนาย’ นั้น ได้รักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งเรื่องไร้สาระที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดเอาไว้ แต่ทว่าคำพูดนั้นจากฮาจุนก็ไม่ได้แย่อะไร คนที่ทำหน้าเคร่งขรึมและคอยหลบหน้ามูคยอมในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับมาถึงขั้นที่บอกชอบกัน หากเขาจะรู้สึกถึงความชัยชนะหรือความพึงพอใจ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเปล่านะ

เพราะว่าชอบ จู่ๆ ก็เลยขอเป็นแฟนอย่างกะทันหัน เขามองว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยที่อย่างมากก็เหมือนแค่จะหยอดมุกจีบ หรือไม่ก็นอนลงข้างๆ โอบกอดแล้วขอให้เขาจูบ

มันไม่สำคัญเลยว่าจะชอบมูคยอมหรือไม่ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ล้ำเส้นเขาก็พอแล้ว ความรู้สึกแบบนั้นมันไม่สามารถห้ามกันได้ มนุษย์สามารถมีความตั้งใจได้อย่างอิสระและควรจะได้รับความเคารพในสิทธิเสรีภาพของมนุษย์

เหตุผลที่เขาระวังความรู้สึกจากความรักนั้นคือมันจะนำไปสู่ความปรารถนาที่อยากจะผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้ แม้ว่าในตอนแรกจะเป็นความรู้สึกที่กินใจ แต่เมื่อเริ่มพยายามผูกมัดอีกฝ่าย มันก็ทำให้คนอื่นใจสลายและไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องผลักไสอีกฝ่ายออกไป

มันเป็นสถานการณ์ที่เหลวไหล ถ้าหากถามว่าเขาตกใจกับการสารภาพรักที่กะทันหันนี้มากไหม ก็ไม่เลย เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากการทดสอบว่าอีฮาจุนนั้นมีความรู้สึกอย่างอื่นกับเขาหรือเปล่า

อย่างไรก็ตามความสงสัยที่มูคยอมมีมาระยะหนึ่งนั้นรุนแรงขึ้นหลังจากที่เริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง แต่ความสงสัยนั้นก็ถูกบดบังด้วยท่าทางที่ตรงไปตรงมาของฮาจุน และเมื่อไม่นานมานี้มันก็เกือบจะหายไปเลย นอกเหนือจากนั้น การปรากฏตัวของยุนแชฮุน คนที่ไม่ได้เรื่องและแต่งงานแล้วคนนั้น ทำให้เขาสรุปในใจได้ว่า คำถามในตอนนั้นคือการคาดคะเนที่ผิด

เพราะเหตุนี้การถูกเสยคางในวันนี้จึงทำให้มูคยอมรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขไปพร้อมๆ กันอย่างคิดไม่ถึง ครั้งนี้การคาดการณ์ของเขาเป็นจริง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลเลยที่เขาจะไม่มีความสุข

อีฮาจุน ชอบฉันอย่างนั้นเหรอ

อย่างที่คิดไว้เลย อย่างนั้นเหรอ

มูคยอมหันไปมองหน้าฮาจุน ฮาจุนหลับตาและปิดปากเงียบราวกับแกะที่หลับใหลอย่างสงบสุข ดูเหมือนว่าความวุ่นวายเมื่อครู่นี้จะกลายเป็นเรื่องของคนอื่นไปเสียแล้ว มูคยอมมองหลังมือสีขาวนวลที่วางอยู่ข้างๆ แล้วหันไปยังใบหน้าและจับข้อมือของฮาจุนแน่นขึ้น เขาวาดภาพด้านหลังของฮาจุนที่กำลังเดินอยู่พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย

ในขณะที่หมุนดูข้อมือที่ถูกจับไว้อย่างแน่น มูคยอมก็มองมือของฮาจุนเพียงแค่แวบเดียว

กี่ครั้งแล้วนะที่ถูกคนอื่นลากไปแบบนั้นเพียงฝ่ายเดียว เป็นเดจาวูที่น่ายินดีเหลือเกิน นานมากแล้วที่มูคยอมได้ลิ้มรสความรู้สึกที่คิดถึงตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากผ่านไปนานโดยไม่เกี่ยวข้องกับตอนนั้นเลยผ่านฮาจุน

“โค้ชอี”

มูคยอมกระซิบเบาๆ ต่อหน้าฮาจุนที่กำลังหลับใหล

“ถึงอย่างนั้นก็ตาม นายก็ต้องดูที่ก่อนจะเหยียดเท้านอนสิ[1] ฉันไม่มีแฟนหรอก”

นิ้วชี้ยาวแตะปลายจมูกโด่งของฮาจุนเบาๆ ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำเบาๆ แล้วหายใจอย่างเป็นจังหวะที่สม่ำเสมออีกครั้ง ราวกับว่าแม้ในยามหลับใหลอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น

“อย่าเศร้ามากนักเลย เพราะฉันไม่คิดจะคบกับใครนอกจากนาย”

อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่มูคยอมคิดว่าไฟไหม้จริงๆ นั้น ท่าทางของอีฮาจุนที่ราวกับพลุ่งพล่านไปด้วยออร่าของความมุ่งมั่นที่จะช่วยชีวิตของเขาไว้นั้นน่าชื่นชมมากๆ เกือบมีคนที่เขาจะต้องตอบแทนบุญคุณเพิ่มอีกคนแล้ว

“ฉันยกย่องในความกล้าหาญของนาย เพราะฉะนั้นฉันจะดูแลนายดีๆ จนกว่าจะจบฤดูกาลนะ”

เขาอยากให้คะแนนสูงๆ แก่ฮาจุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ได้ข้ามเส้นที่เขาขีดไว้ในขณะที่สารภาพรัก ถ้าหากว่าอีกฝ่ายอยู่ในที่ของตนเอง เขาก็ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายว่าภายในใจของอีกฝ่ายว่าจะชอบหรือไม่ชอบเขา

พอคิดเช่นนั้น วันนี้ใบหน้าที่หลับตาสนิทก็เลยยิ่งดูพิเศษขึ้นไปอีก นี่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการไม่พูดอะไรจนถึงตอนนี้เลยหรือเปล่านะ ไม่นานมานี้เขาได้แค่เพียงสงสัยว่าที่อีกฝ่ายโกรธเคืองจนระเบิดออกมา นั่นเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดใจจากชายที่แต่งงานแล้ว

แต่พอรู้แบบนี้แล้วคงเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นแอบชอบเขาอยู่ในใจสินะ ฮาจุนที่คอยดูแลเป็นเขามาเป็นเวลาหลายเดือนไม่ได้แสดงอาการออกมาเลยจึงเอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้นจนน้ำตาไหล

มูคยอมต้องให้รางวัลฮาจุนเสียแล้ว ต่อให้ทำอะไรให้ไม่ได้ เขาคงต้องดูแลอีกฝ่ายให้ดีๆ ไปจนจบฤดูกาล มูคยอมหลับตาด้วยรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจอีกครั้ง

มูคยอมลืมตาขึ้นในขณะที่เขาขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งในอ้อมแขนของเขาที่กำลังเคลื่อนไหว เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นฮาจุนที่ดิ้นไปมาในอ้อมแขนของตนเอง

ทำอะไรของเขากันนะ

“ทำอะไรของนาย” มูคยอมที่กำลังหลับสนิท ถามด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียนิดหน่อย

“อ๊ะ โทษทีที่ทำให้ตื่น…”

เวลาแห่งการเดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะขอกอดขอจูบราวกับกระต่ายเมายานั้นได้ผ่านไปแล้ว โค้ชมืออาชีพที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากลับมาพร้อมกับความเขินอายในการแสดงออกอย่างไร้อารมณ์ตามปกติของอีกฝ่าย น่าแปลกที่มูคยอมรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยถามอย่างประชดประชันมากขึ้น

“ทำไมถึงได้ขยุกขยิกตัวแบบนี้ ฉันนอนอยู่นะ”

“ก็โทรศัพท์อยู่ฝั่งนั้น”

ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงสั่น ตื๊ดๆ เขาเดาว่าอีกฝ่ายคงวางมันลงบนโต๊ะเมื่อวานนี้และผล็อยหลับไป

“ก็เอาเองได้นี่นา”

“ก็นายไม่ปล่อยฉัน…”

ฉันเนี่ยนะ

มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาผล็อยหลับไปทันที แต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับพบว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง มูคยอมคิดว่าฮาจุนเป็นฝ่ายที่มุดเข้ามาในอ้อมแขนของเขาก่อนแน่นอน แล้วใครบอกว่าเขาจะกอดอีกฝ่ายไว้แล้วไม่ยอมปล่อยกันล่ะ

โกหกอยู่สินะ นี่เป็นเล่ห์เหลี่ยมจากที่ไหนกัน เมื่อมูคยอมไม่พอใจแล้วออกแรงแขนที่ดึงร่างกายของฮาจุนเข้ามากอดนั้น ฮาจุนก็บิดร่างกายของตนเองทันที

“คิมมูคยอม ปล่อยเลยนะ”

หลังจากที่บีบน้ำตาติ๋งๆ บอกว่าชอบเขา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจภายในระยะเวลาอันสั้น ถ้าชอบก็ไม่ควรที่จะอยากอยู่ห่างกันแม้แต่นิดเดียวเลยสิ มูคยอมเหลือบมองฮาจุนด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เขาลุกขึ้นแล้วเอี้ยวตัวไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้กับฝั่งที่มูคยอมนอนอยู่มากกว่า

มูคยอมหยิบโทรศัพท์มือถือของฮาจุนขึ้นมาและจับจ้องไปที่หน้าจอโดยมีชื่อผู้โทรปรากฏอยู่ก่อนจะยื่นให้กับอีกฝ่าย ดวงตาของเขาหรี่ลงเมื่อมองไปที่หน้าจอ

จองแจคยู ชื่อผู้ชาย

“ใครคือจองแจคยู”

“ก็โค้ชจองไง”

อ๋อ

ฮาจุนแย่งโทรศัพท์มาในขณะที่มูคยอมเหม่อไปชั่วขณะ

“ครับ โค้ชจอง อีฮาจุนครับ”

ครับ ก่อนไปวันนี้ผมจะส่งข้อมูลให้ทางอีเมลให้นะครับ ครับ

มูคยอมเงี่ยหูฟังเรื่องที่เกี่ยวกับงานล้วนๆ ต่อแล้วบิดขี้เกียจ จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การฝึกช่วงครึ่งปีหลังนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าวันหยุดจะสั้น แต่ว่ามันก็สั้นเกินไป

ฮาจุนขยุกขยิกเลยทำให้เขาตื่นเร็วกว่าที่วางแผนไว้เล็กน้อย มูคยอมละจากฮาจุนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่และนำอาหารเช้าที่มาถึงเมื่อตอนเช้ามืดมาที่โต๊ะทานอาหารแล้วเปิดฝาครอบออก มองเห็นอาหารที่มีส่วนประกอบคล้ายอย่างเดิมเสมอๆ อาหารจำพวกแคลอรีต่ำ โปรตีนและวิตามินสูง เช่น อกไก่ บรอกโคลี และแคร์รอตเคลือบเงา

ขณะที่มูคยอมมองลงไปที่อาหารเช้าเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อบทสนทนาในโทรศัพท์สิ้นสุดลงฮาจุนก็เดินไปที่โต๊ะและเหลือบมองมูคยอมที่ตกอยู่ในห้วงความคิดเพียงปราดเดียว มูคยอมปลดสายรัดเอวของชุดคลุมออกแล้วพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

“อาบน้ำแล้วออกไปข้างนอกกันเถอะ”

“หือ”

“ฉันเบื่อไก่ต้ม นี่เป็นการฝึกครั้งแรกของพวกเราหลังจากวันหยุด เพราะฉะนั้นเราไปกินอะไรดีๆ แล้วค่อยไปทำงานกันเถอะ”

ระหว่างที่มูคยอมไปห้องน้ำฮาจุนก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ตามมา

“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ไปอาบน้ำกันเถอะ” มูคยอมเร่งเร้า

“อะ อื้อ ฉันเองก็จะไปอาบน้ำเหมือนกัน”

“มานี่สิ นายบอกฉันหมดเปลือกแล้วยังจะรักษาระยะห่างอะไรอีก”

ขณะที่เขายื่นมือออกไปและเอ่ยขึ้นมานั้นฮาจุนก็ลังเลแล้วก็รีบตามติดไปอย่างรวดเร็ว มูคยอมถอดชุดที่ฮาจุนสวมอยู่ทิ้งลงบนพื้น แล้วพาอีกฝ่ายเข้าไปในห้องน้ำ เพราะว่าไม่มีเวลาอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ ทั้งคู่จึงยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัวและสระผมด้วยกันอย่างที่เคยทำในค่ายฝึก

ในบรรยากาศที่มองดูแล้วฮาจุนคงไม่สามารถอาบน้ำได้อย่างใจชอบ มูคยอมก็เลยสระผมและล้างหน้าให้ฮาจุน ปกติแล้วหลังจากที่ล้างหน้าขาวนวลแล้วก็จะเผยให้เห็นความขาวใสที่เปล่งประกายอย่างงดงามราวกับผลแอปเปิล มูคยอมวางผ้าขนหนูไว้บนใบหน้าที่เอาแต่กะพริบตาปริบๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อที่จะเช็ดตัวให้แห้ง

“อีฮาจุน นายมีเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนนอกเหนือจากที่ใส่เมื่อวานไหม”

“เอ่อ ไม่มี…”

“งั้นใส่นี่สิ มันอาจจะใหญ่ไปหน่อยสำหรับนาย แต่ใส่แค่วันเดียวคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เขายื่นเสื้อผ้าไซส์เล็กจากบรรดาชุดที่เขาเอามาด้วยและไม่ค่อยได้ใส่ให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายลังเลที่จะรับมาและพยักหน้า ในขณะที่มูคยอมคิดว่าเขาควรซื้อชุดสำรองไว้ให้อีกฝ่ายใส่นั้น ฮาจุนที่ใส่เสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้วก็กำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่

เมื่อมูคยอมทำมือบอกให้ตามมา อีกฝ่ายจึงรีบเดินตามต้อยๆ ไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พวกเขาสวมรองเท้าและเดินผ่านโถงทางเดินทีละคน หลังจากขึ้นรถแล้วฮาจุนนั้นก็ประหม่าแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นมา

“คิมมูคยอม”

“ทำไม”

“…เรื่องที่ฉันพูดเมื่อวานนี้น่ะ”

มูคยอมขมวดคิ้วและหันไปหาฮาจุน

“ทำไมล่ะ พอได้สติแล้วเสียใจที่ทำลงไปเหรอ อยากย้อนกลับคืนหรือไง”

“หา ไม่ๆ”

ฮาจุนส่ายหน้าด้วยสีหน้างุนงง มูคยอมจ้องมองฮาจุนด้วยท่าทางที่ขอให้อีกฝ่ายพูดต่อ ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“เมื่อวานที่ฉันป่วยแล้วนายก็ดูแล้วฉันน่ะ ดังนั้นบางที… ถ้านายรู้สึกไม่ดีหรือ…”

“แล้วถ้าฉันรู้สึกไม่ดีล่ะ”

“… ถ้าหากว่านายไม่อยากเจอฉันอีกหรือ… ถ้าอยากจะจบความสัมพันธ์แบบในตอนนี้ก็ช่วยบอกฉันที…”

เสียงค่อยๆ เบาลงเหมือนลดเสียงลำโพง มูคยอมแค่นหัวเราะแล้วก็หันหน้ามา

“ถ้าฉันจะพูดอย่างนั้น ฉันก็คงทำไปแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะทั้งอาบน้ำ แต่งตัว ขับรถพานายไปทานข้าวไหมล่ะ”

“…”

“ไม่ต้องกังวล ความสัมพันธ์นี้มันจะมีผลจนกว่าจะจบฤดูกาล ที่นายบอกว่าชอบฉันแล้วมันยังไง แค่ไม่เซ้าซี้ขอฉันเป็นแฟนก็พอ”

“ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

ฮาจุนส่ายหน้าทันที พอบอกว่าอย่าขอเป็นแฟนกัน อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าดีขึ้นด้วยซ้ำ มูคยอมพูดไม่ออกเลยกับการดูถูกของอีกฝ่ายที่ออกมาเองอย่างอัตโนมัติ

“มีอะไรดีเหรอถึงได้ยิ้มกริ่มอย่างนั้น”

“ฉันแค่กลัวว่านายจะหยุดมันตอนนี้”

“แล้วมันดีเหรอที่ไม่หยุด”

“อื้อ”

คนที่ได้รับคำสารภาพรักว่าชอบก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่สดใสกว่าปกติเช่นกัน ท่ามกลางความรู้สึกตื้นตันวุ่นวายที่ตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ภายในใจนั้น พวกเขาก็มาถึงที่จอดรถของร้านอาหารเวียดนามที่พอจะทานเป็นอาหารเช้าแล้ว

ก่อนลงจากรถฮาจุนพูดกับมูคยอมด้วยสีหน้าและลักษณะการพูดที่คล้ายคลึงกับตอนที่เขาบอกข้อควรระวังที่สนามฝึกซ้อม

“คิมมูคยอม คุยกับฉันได้ตลอดนะถ้านายต้องการ ในอนาคตฉันจะให้ความร่วมมือและจัดลำดับความสำคัญให้ดีที่สุด”

“โค้ชอี นายกำลังให้คำแนะนำในการฝึกซ้อมอะไรในตอนนี้เนี่ย”

“…นายอาจจะได้เจออะไรที่คล้ายกันนี่นา เพราะมันคือสภาพร่างกายและปัญหาที่เกี่ยวกับนายโดยตรงยังไงละ”

“ถ้าในอนาคตฉันอยากมีอะไรกันบนรถ นายจะทำให้ไหม”

“ได้สิ เอาแบบนั้นก็ได้”

ฮาจุนตอบอย่างไม่มีความลังเลและแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงค่อยลงจากรถก่อน มูคยอมกลับเป็นฝ่ายที่สับสนวุ่นวาย เขานั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง

ทำไมจู่ๆ ถึงได้ใจกว้างขึ้นมาได้ล่ะ เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อมันออกมาดูเหมือนกับคนที่ทำงานด้วยกันแล้วมีอะไรกันในที่ทำงาน ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูเท่กว่าเมื่อตอนที่ฮาจุนบอกชอบเขาแล้วน้ำตาและน้ำมูกไหลเหมือนกับโดนตีหัวมาอีกล่ะ

อะไร… นี่มันเป็นไปได้ด้วยดีเหรอ มูคยอมเอนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อยและลงจากรถเดินตามฮาจุนไป พวกเขาทั้งคู่ทานอาหารด้วยกันบนระเบียงของร้านที่เปิดตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายดีขึ้นแล้วหรือเปล่า ฮาจุนถึงทานข้าวได้เยอะตั้งแต่เช้า มูคยอมที่นั่งตรงข้ามแอบแสดงความประทับใจจากใจจริงในขณะที่คีบบะหมี่สองสามเส้นด้วยตะเกียบ

“โค้ชอีของฉัน พอถูกทิ้งวันต่อมาก็กินข้าวได้เยอะเลยนะ”

“ก็เมื่อคืนไม่ได้กินข้าวเย็นนี่…”

มูคยอมสั่งปีกไก่ไว้เป็นเมนูข้างเคียงให้ฮาจุนที่พูดจบท้ายประโยคราวกับเขินอาย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างไม่เร่งรีบแล้ว ทั้งคู่ก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม

“สวัสดีครับ โค้ช!”

“สวัสดีครับ พี่!”

……………………………………………………..

[1] ดูที่ก่อนจะเหยียดเท้านอน เป็นสำนวนเกาหลี หมายถึงให้คิดล่วงหน้าถึงผลลัพธ์เมื่อกระทำการบางอย่าง

มูคยอมมองลงไปที่ใบหน้าของฮาจุนอย่างแจ่มชัด อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากำลังหัวเราะเยาะเบาๆ หรือว่าถอนหายใจจริงๆ กันแน่ จากนั้นก็พยักหน้าราวกับว่าเข้าใจ แล้วก็ปีนขึ้นไปบนเตียง มูคยอมที่ทิ้งร่างกายของตนเองไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อยพลิกตัวกลับมา

“นอนสิ”

จากนั้นอีกฝ่ายก็กางแขนออกไปทางฝั่งของฮาจุน ถึงแม้ว่าฮาจุนจะเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากออกมาก่อน แต่พอเอาเข้าจริงก็ได้แต่กะพริบตาไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ

“มัวแต่ทำอะไรอยู่”

มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อยเร่งเร้าอีกฝ่ายราวกับไม่ชอบใจที่ฮาจุนไม่พุ่งเข้าไปหาตนเอง ตอนนั้นเองฮาจุนถึงตั้งสติได้แล้วจึงค่อยๆ เข้าไปในอ้อมกอดของมูคยอม

แขนอันแข็งแรงและมือที่ใหญ่ก็โอบรอบหลังโดยทันที เขาไม่เคยคิดว่าตนเองตัวเล็ก แต่อกและไหล่ของมูคยอมกว้างและแข็งแรงกว่าของฮาจุนมาก มันรองรับตัวเขาราวกับพื้นดิน แต่ตรงกันข้ามกับปากที่น่าหมั่นไส้และเย็นชาของมูคยอม ร่างกายที่แข็งกระด้างและผิวเกรียมแดดจนเป็นสีแทนของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเหมือนกับพื้นดินที่บอกกับฮาจุนว่า ถึงแม้ฮาจุนจะหยั่งรากลงไปพื้นดินนี้มันก็ไม่สั่นไหวอะไรหรอกนะ

“กอดหน่อย” ฮาจุนเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือราวกับคนโง่

แขนของมูคยอมที่โอบรอบหลังของฮาจุนออกแรงมากขึ้นและโอบกอดอีกฝ่ายในอ้อมแขนให้แน่น

ฮาจุนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เช่น ขอให้อีกฝ่ายจูบตนเอง แต่จู่ๆ คำพูดนั้นมันก็ติดอยู่ในลำคอ เขาไม่สามารถเอ่ยปากได้เลยเพราะคิดว่าน้ำตาที่ไปล้างมาแล้วและแห้งเหือดนั้นจะไหลลงมาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงซุกใบหน้าไว้ระหว่างไหล่และหน้าอกของมูคยอม

“เงยหน้าเร็ว จะจูบ” มูคยอมเอ่ยขณะลูบหลังฮาจุน

“ขออยู่แบบนี้ต่ออีกสักหน่อยนะ”

“ไม่สิ ใครกันแน่ที่ขอให้ทำก่อน นายคงชอบบอกปัดจนเป็นนิสัยสินะ”

ฮาจุนได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยเสียงที่พึมพำเหมือนพูดคนเดียวอย่างจั๊กจี้ที่ใบหู เขาพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ที่ดูเหมือนจะออกมาจากปากของตนเอง แต่ความร้อนที่ดูเหมือนจะเอ่อล้นในลำคอกลับไม่ได้เย็นลงเลย

แค่วันนี้เท่านั้น เขาจะไม่ยอมให้มูคยอมเห็นตัวเองเป็นแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่ๆ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไม่ได้ร้องไห้ออกมาและอยากจะใช้เวลาดีๆ แต่ร่างกายที่งี่เง่าก็ทรยศต่อหัวใจ

“ฮึก…”

สุดท้ายแล้วเสียงสะอื้นก็หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขา และมันเป็นตอนที่น้ำตาไหลลงมาราวกับเขื่อนแตก แม้ว่าจะพยายามกลั้นไว้เท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งฮาจุนพยายามกลั้นมันไว้เท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาเท่านั้น และเมื่อพยายามฝืนน้ำตาที่กำลังจะไหลนั้นมันยิ่งทำให้หน้าอกและไหล่ของเขาสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

ใบหน้าที่ซุกอยู่ที่อกของมูคยอมเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาโดยทันที มูคยอมที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติขมวดคิ้วและดันฮาจุนออกเล็กน้อย มูคยอมกระเดาะลิ้นของตนเองเมื่อเห็นว่าใบหน้าขาวนุ่มของอีกฝ่ายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จนั้นเปียกชื้นโดยไม่ได้ปกปิดเอาไว้เลย

“ทำไมกัน อย่าเอาแต่ทำเรื่องหน้าไม่อายหน่อยเลย”

“ฮึกๆ โทษที ฮึก”

ฮาจุนรีบเช็ดน้ำตาออกด้วยหลังมือ แต่ทว่าน้ำตาก็ไหลมากจนไม่ยอมแห้งเหือดไปเสียที ไม่ว่าจะใช้มือเช็ดเท่าไหร่ก็ยิ่งกระจายไปตรงนู้นทีตรงนี้ที เสียงที่ออกมาจากลำคอที่ติดขัดนั้นอู้อี้

“โทษ ที เดี๋ยว ฮึก ก็หยุดร้องแล้ว”

“ช่างเถอะ พอสารภาพแล้วโดนเขี่ยทิ้งก็อาจจะร้องไห้ออกมาได้ละนะ”

จากคำพูดนั้นฮาจุนจึงมองมูคยอมด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเปียกชื้น มูคยอมมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่มองอะไรที่มันน่ารำคาญจนยากที่จะรับมือ แต่ทว่าสายตาของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความสนอกสนใจเหมือนกับตอนที่อยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกันเมื่อครู่ จู่ๆ ฮาจุนก็นึกถึงสิ่งที่มูคยอมพูดเมื่อครั้งก่อน เขาจึงเอ่ยถามออกไป

“คะ คิมมูคยอม มีอะไร ฮึก กันไหม”

มูคยอมขมวดคิ้ว เขาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของฮาจุนจึกๆ ราวกับถามกลับไปว่าพูดบ้าอะไรกันเนี่ย

“ในบรรยากาศแบบนี้ถ้าเป็นนาย นายจะแข็งหรือไง”

“นาย…มีอารมณ์ ตอน ฮึก เห็นฉันร้องไห้นี่นา”

“ที่นายร้องไห้ตอนนั้นกับร้องไห้ตอนนี้มันเหมือนกันหรือไง”

“แล้ว แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ”

“นี่นายเปลี่ยนคนให้เป็นขยะเลยนะเนี่ย”

มูคยอมแค่นหัวเราะราวกับตกตะลึง จากนั้นก็หรี่ตามองไปที่ฮาจุนครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว

“ถึงฉันจะมีอารมณ์ แต่ยังไงวันนี้ก็ไม่ทำหรอกนะ นายไม่ค่อยโอเคนี่นา”

‘ตอนนี้ไม่ได้ มันดึกเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่นายควรจะนอนนะ นายน่ะอ่อนแอกว่าฉันนี่นา’

เขาพูดคล้ายกับตอนที่เขาเมา ฮาจุนอายกับเรื่องที่เขาคิดไปเองและความคาดหวังที่น้อยนิดเท่ารูเข็ม มันเลยทำให้เขานึกถึงฉากของวันที่ผ่านไปได้อย่างยากลำบากนั้นผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันอีกครั้ง น้ำตาที่แห้งเหือดไปเพียงเล็กน้อยก็ ร่วงหล่นลงมาอีก

“ทำไมนายถึงจะเป็นขยะล่ะ นายไม่เคยเป็นแบบนั้นสักหน่อย…”

“หยุดพูดแล้วก็อ้าปากได้แล้ว ฉันจะจูบนาย”

ฮาจุนที่ทำท่าจะร้องไห้อยู่เรื่อยจนเกือบจะสะอึกออกมาอ้าปากของตนเอง

“แลบลิ้นออกมา”

ขณะที่ฮาจุนแลบลิ้นตามคำสั่ง มูคยอมก็ลุกขึ้นและโน้มตัวคร่อมฮาจุนไว้ มูคยอมดูดลิ้นที่ตนเองเฝ้ารออย่างนุ่มนวลและกลืนเข้าไป ในเวลาเดียวกันก็กดริมฝีปากลงไปให้ลึกกว่าเดิม ลิ้นที่อยู่ในปากของมูคยอมถูกครอบครองโดยลิ้นอีกอัน และมันก็กวาดไปทั่วจนรู้สึกจั๊กจี้ทั้งปลายลิ้น ทั้งด้านข้าง จนไปถึงด้านล่างอีกด้วย

“ฮื่อ อือ…”

รู้สึกจั๊กจี้ ไม่ใช่แค่ที่ลิ้น แต่ยังรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเป่าลมเล็กน้อยตรงบริเวณใกล้ๆ หัวใจ ความรู้สึกเหมือนเมื่อตอนที่เปลี่ยนสถานที่ฝึกซ้อม ที่มูคยอมสระผมเสร็จแล้วก็เอื้อมมือไปถูหลังให้ฮาจุน มันเป็นจูบแรกที่ปราศจากเซ็กซ์ครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายเมา และอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว

มูคยอมทำเสียงจุ๊บและปล่อยริมฝีปากของฮาจุน จากนั้นอีกฝ่ายจึงขบลิ้นและขยับศีรษะเล็กน้อย มูคยอมดูดลิ้นราวกับว่ากำลังเอื้อนเอ่ยคำพูดอยู่ เมื่อปลายลิ้นรู้สึกเสียวซาบซ่านริมฝีปากและคางของฮาจุนก็สั่นเล็กน้อย สายตาที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาสะท้อนแสงไฟที่เหมือนกับฝุ่นละอองเล็กๆ เสียงกระวนกระวายใจผสมกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญเล็ดลอดผ่านริมฝีปากที่อ้าปากค้างเอาไว้

“ฮะ อา”

“ไม่ต้องตื่นเต้น วันนี้ฉันไม่ทำ”

หลังจากที่ทำให้อีกฝ่ายเสียอารมณ์ มูคยอมก็กดเข้าไปที่ริมฝีปากนั้นลึกๆ อีกครั้ง ฮาจุนไม่อยากพลาดอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่สัมผัสที่นุ่มนวลของริมฝีปาก ความสุขที่เบิกบานและจั๊กจี้เมื่อลิ้นสัมผัสกับลิ้น และแขนอันแข็งแรงที่ศีรษะหนุนอยู่ รวมไปถึงความอบอุ่นของมือใหญ่ที่จับศีรษะของเขาเอาไว้

ฮาจุนยกแขนข้างหนึ่งโอบกอดแผ่นหลังของมูคยอม และมูคยอมก็ดันร่างกายส่วนบนขึ้นราวกับยอมให้ฮาจุนกอดได้ตามใจเลย แขนอีกข้างที่ไม่สามารถขยับได้เพราะอยู่ในอ้อมกอดของมูคยอมได้ถูกปล่อยออกมา ดังนั้นฮาจุนจึงสวมกอดมูคยอมได้จนสุดแรง

มีข้อเท็จจริงเพิ่มมาอีกข้อหนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ว่ามูคยอมกอดและจูบฮาจุน โต๊ะข้างๆ เตียงที่ฮาจุนนอนทันทีที่เข้ามาในบ้าน จู่ๆ วันนี้มันก็เตะตาเขาเข้าให้ มันเป็นสิ่งที่มูคยอมเป็นคนเตรียมเอาไว้ให้เขา

อีกฝ่ายบอกให้ฮาจุนทำงานที่เหลือที่นี่พร้อมวางโต๊ะที่ไม่ได้อยู่ในห้องไว้ให้ และเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ฮาจุนใส่เมื่อมาถึงบ้าน

เมื่อฮาจุนไปนอนที่บ้านของมูคยอม อีกฝ่ายก็เตรียมอาหารเช้าให้ในวันรุ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้คือ “เรื่องที่เกิดขึ้นจริง” ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของมูคยอมและฮาจุน

มูคยอมคิดอย่างไรกับฮาจุนกันนะ บางทีใจอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกับฮาจุนแม้เพียงแค่นิดเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์นี้จะจบลงอย่างไร มูคยอมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าหากอีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกของฮาจุน…

ความคิดที่ว่านั้นเหมือนกับแมลงที่กัดกินจิตใจของฮาจุนวันละหลายครั้งจนทำให้เขาเหนื่อยล้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงจินตนาการและการคาดเดาของเขาเพียงเท่านั้น มันไม่เคยเป็นจริงและไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จูบอันแสนหวานปานน้ำผึ้งยังคงดำเนินต่อไป มูคยอมตะบี้ตะบันจูบที่ริมฝีปากพร้อมทั้งเกี่ยวพันลิ้นของฮาจุนไว้ราวกับบอกว่าจะไม่หยุดจนกว่าฮาจุนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกให้หยุด

ความอบอุ่นของร่างกายที่กอดรัดกัน ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่สัมผัสกัน และลิ้นที่แหวกว่ายอยู่ในปากของกันและกันสื่อถึงความสุขที่ถ่ายทอดออกมาอย่างสดใสตรงกันข้ามกับจินตนาการอันคลุมเครือและมืดมนของฮาจุน

ลมหายใจหอบถี่ขึ้น มือที่วางอยู่บนหลังของมูคยอมเลื่อนมาคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายและค่อยๆ เลิกขึ้นมา เมื่อปลายลิ้นแตะกับเพดานปาก เอวก็สั่นสะท้าน บางครั้งก็เหมือนกับมูคยอมแก้ปัญหานั้นโดยการผละริมฝีปากออกไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ลิ้นสีแดงที่อยู่ระหว่างริมฝีปากเปียกชื้นก็พยายามเกี่ยวรั้งเอาไว้ราวกับว่าจะไม่ให้ผละออกไป มูคยอมหัวเราะเบาๆ อีกฝ่ายยิ้มกว้างแล้วกดริมฝีปากลงไปลึกๆ อีกครั้ง ในตอนนั้นเองก็มีดอกไม้ไฟปะทุขึ้นมาในหัวของฮาจุน

“ฮื่อ ฮะ”

“อีฮาจุน พอทำแบบนี้แล้วเหมือนตรงนี้นายจะแข็งเลยนะ ฉันบอกว่าวันนี้ไม่ทำไงละ”

“ทำ ทำก็…ได้นะ อื้อ”

“ไม่ทำ ตามบทลงโทษที่นายสั่งไง”

ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายบอกว่าจะให้รางวัลตามใจฮาจุน แต่ตอนนี้ดันบอกว่าจะลงโทษเสียอย่างนั้น อย่างไรก็ตามจิตใต้สำนึกของฮาจุนเมื่อได้ยินคำที่น่าหมั่นไส้คำนั้น เขาก็ทั้งเปียกชื้นและสะลึมสะลือราวกับว่าได้รับสารเสพติด ทั้งต่อมน้ำตาแตกและทั้งการตัดสินใจที่คลุมเครือ ฮาจุนแค่อยากจะดื่มด่ำกับความสุขในเวลานั้น เขาชอบทุกอย่างที่มูคยอมมอบให้ไม่ว่าจะเป็นรางวัลหรือบทลงโทษก็ตาม

เขาใช้ชีวิตโดยคิดว่าจะซื่อสัตย์ต่อช่วงเวลาในตอนนั้นและความเป็นจริง ทิ้งให้ความทรงจำเป็นเพียงแค่ความทรงจำ อย่าไปยึดติดกับมัน คิดเสียว่าการตัดสินใจที่จะยอมแพ้นั้นเป็นเพียงเพราะว่ามันไม่ใช่ของของเขาตั้งแต่ตอนแรก

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่สำหรับฮาจุนแล้ว ชีวิตก็เหมือนกับล้อเกวียนขนาดใหญ่ที่ต้องหมุนด้วยมือและร่างกายโดยไม่ลดความเร็ว มันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนฮาจุน ถึงแม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็จะไม่หยุดรอ เพราะถ้าหยุดแม้เพียงแค่ครู่เดียว เขาก็จะบอกกับตัวเองทันทีเลยว่าห้ามหยุด ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้

วันเวลาก็ผ่านพ้นไปหากเขามุ่งเน้นให้กับการกลิ้งล้อเท่านั้น ชิ้นส่วนของวันถูกเย็บต่อเข้าด้วยกันจนกลายมาเป็นปีและกลายมาเป็นชีวิต ไม่ใช่แค่ฮาจุนเท่านั้น แต่ยังมีผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย

ถึงแม้จะฝังใจกับแสงสว่างในอดีต แต่คนที่เจ็บปวดหัวใจก็คือตัวเขาเอง ถ้าลองมองสถานการณ์ที่ล้อมรอบตัวเขา และความจริงที่เห็นได้ด้วยตาที่ว่าได้ให้สัญญาเอาไว้ตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเขาถึงทำกับมูคยอมแบบนั้นไม่ได้ล่ะ

ฮาจุนกำลังไปผิดเส้นทาง

ในระหว่างการจูบที่แสนยาวนานนั้นมูคยอมก็เงยหน้าขึ้นมาถามคำถามที่คล้ายกับคำถามที่เห็นได้บ่อยในขณะที่มีเซ็กส์กัน

“อีฮาจุน นายชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”

น้ำตาทำให้ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของฮาจุนดูราวกับเปล่งประกายระยิบระยับ

“ชอบสิ ชอบ…มากๆ เลย” ฮาจุนยิ้มและพยักหน้า

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ฮาจุนรัก แต่ก็ไม่ได้เป็นกำลังใจให้ฮาจุนเสมอไป บางครั้งล้อที่เขาต้องหมุนก็หนักมากจนอยากจะปล่อยมันไป มีหลายครั้งที่เขาอยากให้ใครสักคนมารับน้ำหนักแทนตัวเขาสักพัก

แต่ฮาจุนรู้ดีว่าหากปล่อยมือแม้ครู่เดียวกงล้อจะไม่ไปตามทางที่ควรจะไปและโซซัดโซเซจนสะดุดล้ม มันอาจทำให้คนที่เขารักบาดเจ็บอยู่ใต้ล้อเกวียนนี้ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถมองข้ามมันไปได้ และมันทำให้เขาเดินทางจนมาถึงตรงนี้ได้

เพราะสุดท้ายแล้วเขาได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่โอบกอดตนเองไว้เพียงลำพังหรือเปล่านะ พอสารภาพรักแล้วก็โดนเขี่ยทิ้งอย่างน่าเวทนา แต่หลังจากนั้นก็น่าตลกที่ชายคนที่โยนหัวใจของเขาทิ้งไปราวกับเป่าดอกแดนดิไลออนอย่างเบาๆ ก็ทำให้ฮาจุนรู้สึกเหมือนกับได้พักพิงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตมา ฮาจุนทิ้งน้ำหนักของตนเองไปชั่วขณะและเพลิดเพลินไปกับการพักผ่อนแสนสบายที่ไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อหลับตาลง สีของท้องฟ้าที่สว่างสดใสก็แพร่กระจายไปทั่วในความคิดที่ยุ่งเหยิง เมื่อตอนที่ฮาจุนเป็นนักกีฬาที่โรงเรียน พอฝึกซ้อมทั้งวันจนร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วนอนแผ่ลงบนสนามหญ้า เขาถอนหายใจมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามและวาดภาพมูคยอมเดินทางไปลอนดอน หลังจากกลับถึงบ้าน การได้เห็นมูคยอมทำประตูและวิ่งบนพื้นผ่านทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์ทำให้ฮาจุนมีแรงในการเตรียมตัวสำหรับวันถัดไป

เขายังหวังด้วยว่าถ้าหากตนเองทำงานหนัก ก็จะมีโอกาสที่จะได้ก้าวออกไปสู่โลกใบใหญ่ที่กว้างขึ้น ในสักวันหนึ่งเขาก็อยากจะลองโลดแล่นและได้รับการยอมรับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ มูคยอม

ฟุตบอลเป็นเพียงวิธีการหาเลี้ยงชีพที่พอจะรับประกันอนาคตที่เกือบจะเลวร้ายกับความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ที่มีติดตัวของเขา และมูคยอมเป็นคนสอนเขาถึงวิธีการโอบกอดสิ่งที่เรียกว่าความฝันหรือเป้าหมายที่ตัวเขานั้นไม่ได้มีไฟในการที่จะทำมัน

หลังจากวันที่เด็กชายอายุ 16 ที่เคยสบประมาทคนอื่นไว้จู่ๆ ก็ก้มลงและผูกเชือกรองเท้าที่คลายออก แล้วแสดงให้เห็นถึงความสง่าผ่าเผยของชัยชนะต่อหน้าต่อตาเขานั้น ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

ฮาจุนรู้ดีว่าถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายทั่วโลกที่มองดูมูคยอมแล้วได้รับแรงใจในการเตรียมพร้อมสำหรับวันถัดไป แต่นั่นก็เหมือนกับความรักที่มีต่อไอดอล ถึงแม้มันจะเป็นประสบการณ์ร่วมกันของทุกคน แต่ฮาจุนก็เสพติดความเข้าใจผิดอันหอมหวานว่าของตนเองนั้นพิเศษที่สุด

ไม่เป็นไรเลยถ้าหากว่านายไม่ได้ชอบฉัน

คิมมูคยอมเป็นคนที่มอบกำลังใจและความกล้าหาญให้กับฮาจุนมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮาจุนมีตัวตนอยู่ ความรักที่ไม่สมหวังที่ยาวนานนี้เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนสิ่งของอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่มูคยอมไม่รู้ด้วยเลยตั้งแต่แรก

ไม่เคยรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ในขณะที่หวังว่าจูบของมูคยอมจะคงอยู่ตลอดไป ฮาจุนก็อยากจะมองหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง เขาโอบแก้มทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแล้วจึงผละออกเบาๆ อีกฝ่ายถอนริมฝีปากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มให้ห่างออกไป

“เบื่อไหม”

นี่ถามเขาว่าเบื่อไหมอย่างนั้นเหรอ จะเบื่อได้อย่างไรล่ะ

แต่แทนที่จะตอบอะไรสักอย่าง ฮาจุนกลับมองหน้าอีกฝ่ายราวกับถูกดึงดูด ความคิดต่างๆ ไหลเวียนในหัวราวกับกระแสน้ำ

คนที่ได้รับความรักจากนาย คงจะมีความสุขมากเลยสินะ

ขนาดคนที่ไม่ได้ชอบอีกฝ่ายยังมีความอ่อนโยนแบบไม่คาดคิดเช่นนี้ แล้วกับคนที่ชอบจะขนาดไหนกันนะ

เพราะฉะนั้นเขาเลยคิดว่า มันน่าจะเป็นไปได้สำหรับฮาจุนเหมือนกันเลยเกิดความโลภและคาดหวังขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเขารู้แล้วว่า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว และเขาก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ทนอีกต่อไป ถ้าเขาสามารถฝากตัวเองไว้กับอีกฝ่ายได้แค่เพียงสักเดี๋ยวเดียว เขาว่าแค่นี้มันก็เป็นความโชคดีแล้ว

ตอนแรกฮาจุนคิดว่าแม้จะได้ใช้คืนเดียวกับอีกฝ่าย มันก็นับว่าเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์แล้ว แต่ความโลภของมนุษย์ก็เหมือนหยดน้ำที่ตกลงมาทีละหยดจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่โดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ความตั้งใจแรกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ตอนนี้เขาสามารถพูดได้อย่างชัดเจน

การได้รักนาย การเป็นคู่นอนของนายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฮาจุน

ดีแล้วที่สารภาพ เขาจะไม่รู้สึกเสียดายเด็ดขาด

เขาถ่ายทอดความรู้สึกที่ผูกมัดแน่นหนามาตลอด 10 ปี และถูกปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพ ความรู้สึกที่ฮาจุนเก็บเอาไว้คนเดียวเป็นเวลานาน พอเอาออกมาแล้วมันก็ล่องลอยไปเบาๆ เหมือนลูกโป่งที่เปล่งแสงได้อย่างสวยงาม มันไม่ใช่ภาระหนักอึ้งที่กดทับตัวเขาอีกต่อไป

เขาอยากจะบอกว่าไปว่าเขาชอบอีกฝ่าย ไม่ว่าหลังจากที่พูดจะเป็นอย่างไร แต่ในวันนี้เขาอยากจะทำแบบนั้น

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ฤดูกาลหลังๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ในเดือนพฤศจิกายนสัญญาเช่าตัวนักเตะของมูคยอมจะสิ้นสุดลงและอีกฝ่ายจะกลับไปยังที่ที่เคยอยู่และเข้าร่วมสงครามในช่วงเวลาที่ดุเดือดที่สุด จนกว่าจะถึงตอนนั้นฮาจุนตั้งใจแล้วว่าจะไม่นึกถึงเรื่องไร้สาระอีกต่อไป

แม้ว่ามูคยอมจะปฏิเสธคำสารภาพ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ขอให้เลิกมีเซ็กส์กัน อีกฝ่ายไม่ได้เอาบทบาทหน้าที่ที่ฮาจุนได้รับไปด้วย ไม่รู้เลยว่าฮาจุนโล่งใจแค่ไหน

ฮาจุนรู้ถึงจุดจบของคนที่สารภาพรักกับมูคยอมเป็นอย่างดี เขาได้ยินหลายคนเล่ามาว่าแค่อกหักจากมูคยอมยังไม่พอ แถมยังได้รับสายตาอันเยือกเย็นของอีกฝ่ายด้วย และบางครั้งก็ยังเป็นขี้ปากของคนทั้งโลกอีกต่างหาก ฮาจุนเคยกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้หลังจากที่รู้ถึงความรู้สึกข้างในใจของเขา

ทั้งความจริงที่ฮาจุนสามารถมอบร่างกายให้กับมูคยอมได้จนกว่าจะถึงวันที่อีกฝ่ายจากไป เขารู้สึกขอบคุณสำหรับความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คอยให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ และเขาต้องการที่จะซื่อสัตย์กับความเป็นจริงเหล่านี้

เยื่อใยและความเกลียดชังนั้นต่างกัน ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ แต่เขารู้ดีว่าครั้งนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอดทนไปตลอดชีวิตได้อย่างแน่นอน

วันแห่งความฝันที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกครั้ง เพื่อเป็นแรงผลักดันในการดำเนินชีวิตต่อไป มันจึงเป็นความทรงจำที่เขาสามารถนึกถึงมันได้อีกครั้งเมื่อต้องหมุนวงล้อแห่งชีวิต มันก็เหมือนกับตอนที่ฮาจุนมองย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่และทำให้เขายิ้มออกมาได้

ในความคิดของมูคยอม หากเป็นผู้ชายที่ออกกำลังกาย การยกของที่หนักกว่าตัวเองสองเท่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้โดยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าคนที่ไม่รู้กระทั่งน้ำหนักของสิ่งที่ลากและยกตอนฝึกซ้อม ในตอนนี้กลับกำลังโอ้อวดเรื่องน้ำหนักของตัวเองอยู่

อาจเป็นเพราะว่ายอมรับสิ่งที่มูคยอมพูด ในตอนนี้ฮาจุนเองจึงได้แต่พิงหน้าเขากับไหล่ของมูคยอมโดยไม่พูดอะไร ยกแขนขึ้นโอบคอ และกอดคนที่อุ้มอยู่ เมื่อเห็นอีกคนว่าง่ายแบบนี้ ก็ทำเอามูคยอมแอบคิดขึ้นมาว่าจะน่ารักไปถึงไหนกันนะ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้เกลียดอะไรเวลาที่ฮาจุนดื้อใส่

อ่างอาบน้ำที่มูคยอมใช้คืออ่างจากุชชี่แบบพิเศษที่สร้างเสร็จก่อนที่เขาจะย้ายเข้ามา เพราะมีคนคอยดูแลอยู่ต่างหาก อ่างกว้างนี้จึงมีน้ำอุณหภูมิคงที่ใส่เต็มอยู่เสมอ ทั้งยังมีขอบอ่างที่กว้างพอที่คนหนึ่งคนจะสามารถนอนราบลงไปได้อย่างสบายๆ มูคยอมพาฮาจุนไปนั่งบนขอบอ่างนั้น แล้วปลดกระดุมที่เหลืออยู่บนเสื้อเชิ้ตออกอย่างรวดเร็ว ฮาจุนมองมูคยอมที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกสักชิ้น ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ได้ดูโมโหอะไร

“นายเปียกหมดแล้ว”

“เอาไปก็ซักจบแล้ว จะสนใจทำไม”

มูคยอมตอบออกมาราวกับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เขาดึงฝักบัวลงมาแล้วเปิดราดน้ำไปที่ขาของฮาจุน น้ำอุ่นเริ่มสัมผัสไปตั้งแต่ปลายเท้าที่เย็นเฉียบ และค่อยๆ ไล่ขึ้นไปส่งไออุ่นที่ช่วงตัวของฮาจุน

ไม่นานนักน้ำก็ไหลผ่านไปจนถึงเอว หลัง อก และลำคอ มูคยอมใช้นิ้วโป้งที่เปียกชื้นถูลงบนริมฝีปากของฮาจุนสองสามครั้ง ทำเช่นนั้นเสร็จก็วางฝักบัวลง หยิบแปรงสีฟันอันใหม่จากชั้นวางของหลังกระจกออกมาบีบยาสีฟัน แล้วยื่นให้คนตรงหน้า

“แปรงฟันก่อน นายจะขมปากเอา”

ฮาจุนรับสิ่งนั้นมาก่อนยัดเข้าปาก ระหว่างที่กำลังขัดถูไปตามซอกฟันจนมีเสียงเล็ดลอดออกมาเบาๆ มูคยอมก็ถอดเสื้อของตัวเองออก โดยมีฮาจุนที่นั่งแปรงฟันมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย ฮาจุนมองมูคยอมที่โยนเสื้อผ้าของตัวเอง เสื้อเชิ้ตของฮาจุน และถุงเท้าลงไปกองที่พื้นห้องน้ำอย่างลวกๆ เห็นเช่นนั้นฮาจุนก็นึกไปถึงใบเสร็จที่เขาได้ดูตอนที่อยู่ในร้านเสื้อ แค่เสื้อตัวเดียวแต่ราคาของมันไม่ใช่เล่นเลย ทว่าฮาจุนกลับทำมันสกปรกทันทีที่หยิบออกมาใส่

หลังจากแปรงฟันไปสักพักฮาจุนก็ใช้น้ำจากแก้วที่มูคยอมยื่นให้ล้างปาก และนั่งอยู่เฉยๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกับคนโง่ ทันใดนั้นมูคยอมก็จับมือของฮาจุนมากำเอาไว้ เมื่อคว้ามือของฮาจุนไปบีบนวดที่ปลายนิ้ว หว่างคิ้วของคนสูงกว่าก็ยับย่นขึ้นมา

“มือเย็นนะ ยังรู้สึกไม่สบายท้องอยู่เหรอ”

“ตอนนี้ฉันโอเคแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นเพราะนายตกใจเหรอเลยเป็นแบบนั้น ควรไปเช็กที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ต้องไปจริงๆ ฉันเครียดมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะ แล้วก่อนหน้านี้ก็คิดว่าไฟจะไหม้จริงๆ… คนเราก็มีตอนที่เป็นแบบนั้นนี่ ที่ตกใจจนพะอืดพะอม”

“รีบๆ ลงไปแช่น้ำสักหน่อยสิ”

มูคยอมแตะไหล่เบาๆ เป็นการเร่ง ฮาจุนที่นั่งเงียบอยู่สักพักพยักหน้าก่อนทิ้งตัวลงไปในอ่างอาบน้ำ

เมื่อน้ำอุ่นโอบล้อมทั้งร่าง อาการเกร็งและความรู้สึกคลื่นไส้ที่โจมตีก่อนหน้า หรือแม้แต่ร่างกายที่สั่นไหวจากส่วนที่ลึกภายในเหมือนกับมีแผ่นดินไหว อาการเหล่านั้นเหมือนถูกชำระล้างออกจนสงบลงไปราวกับเป็นเรื่องโกหก กล้ามเนื้อที่ตึงจนเจ็บคลายตัวลง ฮาจุนหลับตาลงและเอนตัวไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมน้อยๆ และได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกับน้ำ ฮาจุนลืมตาขึ้นและตั้งคอที่เอนไปข้างหลัง ตอนนี้มูคยอมได้ลงมาอยู่ในอ่างด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย ทันทีที่สบตากัน มูคยอมก็กระตุกยิ้มขึ้น แล้วชี้ไปยังปุ่มกดที่อยู่บริเวณอ่าง

“ทำฟองในอ่างได้นะ เอาไหม”

“ไม่ดีกว่า”

“น่าเสียดายจัง ไหนๆ นายก็บอกว่าโอเคดีแล้ว นึกว่าจะได้สักยกในห้องน้ำซะอีก”

ฮาจุนยิ้มน้อยๆ ให้กับคำพูดนั้น

“ก็ทำได้นะ”

“ป่วยจนอ้วกออกมาเนี่ยนะ ถ้าร่างกายไม่โอเคนายก็ต้องบอกฉันสิ ปล่อยให้ทำตอนที่ป่วยแบบนั้นได้ยังไง ฉันตกใจหมด”

“มันเป็นแค่เมื่อกี้นิดเดียวเอง… ตอนนี้ฉันโอเคแล้ว”

พูดเช่นนั้นก่อนจ้องเขม็งไปที่มูคยอมโดยไม่พูดอะไร หากไม่ใช่ตอนที่มูคยอมพูดจาไม่สุภาพด้วยหรือตอนที่เล่นแง่ ฮาจุนก็ไม่ค่อยมาจ้องหน้ากันแบบนี้บ่อยนัก มูคยอมจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“ทำไม”

“เปล่า…”

เสียงบางเบาของฮาจุนเหมือนกับฟองสบู่ที่ลอยอยู่ในห้องน้ำ

“ทำไมนายต้องเอามือมารองด้วย มันสกปรกนะ”

“แค่นั้นเอง ล้างมือก็จบแล้ว ฉันทั้งดูดทั้งดึงไอนั่นของนายไหนจะข้างหลัง ทำขนาดนั้นเรื่องแค่นี้ยังจะสกปรกอะไรอีก”

น้ำเสียงที่ฟังดูตกใจและน่าขันในเวลาเดียวกันทำเอาฮาจุนหัวเราะคิกคัก มูคยอมที่มองใบหน้านั้นอยู่ในตอนแรกก็ค่อยๆ เผยยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้

“อีฮาจุน มานี่ เดี๋ยวฉันสระผมให้”

“ฉันจะสระเอง”

“เวลาที่ฉันบอกว่าจะทำอะไรให้ก็ช่วยอยู่เฉยๆ บ้างได้ไหม”

“แต่นายสระผมไม่ได้เรื่องเลยนะ”

“อะไร มันทำไม ฉันสระผมยังไง”

แม้ปากจะบ่นอยู่แต่มูคยอมก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด ฮาจุนที่เคยแข็งกร้าวกับเขา ในตอนนี้กลับทำตัวสบายๆ เป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้มูคยอมเป็นกังวลว่าฮาจุนจะเป็นอะไรไป แต่ในตอนนี้มูคยอมกลับรู้สึกดีขึ้น อาจเป็นเพราะว่าเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เท่านั้น

“เวลาที่นายสระให้ฟองเข้าตาหมด ฉันแสบตานะ”

“ไม่ใช่เพราะฉันสระไม่ดีสักหน่อย มันเป็นความผิดของนายต่างหาก นายก็ต้องเอนหัวมาข้างหลังหน่อยสิ ฟองจะได้ไม่ไหลเข้าตา”

มูคยอมที่อ้อมไปอยู่ข้างหลังนั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ระหว่างที่กำลังบีบแชมพูลงบนมือตัวเอง ฮาจุนก็เอนตัวไปด้านหลังพลางบ่นงุบงิบไปด้วย ส่วนหลังของหัวที่เปียกโชกเอนมาสัมผัสกับกล้ามท้องของมูคยอม เมื่อผมม้าที่เปียกชื้นหล่นไปข้างหลัง หน้าผากขาวมนกลมจึงถูกเผยให้เห็น

ระหว่างที่แช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่น พวงแก้มที่เคยซีดเซียวก็กลับมามีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย ทำให้ภาพของตุ๊กตาที่เหมือนจะแตกสลายเมื่อก่อนหน้าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่ก้มลงมองใบหน้านั้น มุมปากของมูคยอมก็โค้งขึ้น

ร่างกายที่เขาไม่ได้กกกอดมาเกือบ 2 สัปดาห์ พูดแบบไม่เกินจริงเลย ว่ามูคยอมรอที่จะพาฮาจุนเข้าบ้านแล้วจับกอดมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่เขาก็ไม่ได้มีรสนิยมแย่ๆ อย่างการจับคู่นอนมานอนแผ่เหมือนศพ แล้วปลดปล่อยตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว แม้ในตอนนี้อีกฮาจุนจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ใครจะรู้หากเขาทำรุนแรงเกินไปก็อาจจะเป็นอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ วันนี้เขาจึงทำได้แค่ยอมแพ้

การที่แข็งจนเกือบแตก ทั้งยังไม่ได้ปลดปล่อยความต้องการ มันเป็นอะไรที่ทรมานมากก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้มูคยอมอารมณ์เสียถึงขนาดนั้น ทันทีที่ขยี้ลงไปเหนือศีรษะที่เต็มไปด้วยฟองนุ่ม มูคยอมก็ได้เพลิดเพลินไปกับสัมผัสของผมนุ่มที่แทรกผ่านระหว่างนิ้ว

กลุ่มฟองไหลลงมาไปบริเวณลำคอขาว หลังจากนวดศีรษะของฮาจุนตามใจต้องการ มูคยอมก็ยกที่เปิดฝักบัวขึ้น พลางใช้สายน้ำที่ตกลงมาเบาๆ ชะล้างฟองออก ระหว่างนั้นฮาจุนก็หลับตาโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

“ฝีมือฉันวันนี้เป็นไง”

ทันทีที่มูคยอมถามขึ้นมาหลังจากล้างฟองออกจนเกลี้ยง ฮาจุนก็ลืมตาขึ้น ลูกตาดำเหลือบมองขึ้นไปที่มูคยอม ก่อนใบหน้าที่ปรายไปด้วยหยดน้ำจนขาวกว่าเดิมจะเผยรอยยิ้มออกมา

กลับกันรอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากหน้าของมูคยอมที่กำลังก้มมองใบหน้าของฮาจุน เป็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์แบบสุดๆ ของคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับบางอย่าง

“100 คะแนนไปเลย”

เมื่อฮาจุนเปิดปากพูดขึ้น มูคยอมที่ล็อกสายตาเหมือนคนที่จิตหลุดไปครู่หนึ่งก็ยกมุมปากราวกับว่าได้สติขึ้นมา

“ดูสิ ฝีมือฉันใช้ได้เลยเถอะ ที่ครั้งก่อนเป็นแบบนั้นเพราะความผิดของนายจริงๆ สินะ”

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”

ฮาจุนยอมรับออกมาในทันที ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลังมากกว่าเดิม เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งขณะเงยมองมูคยอมด้านหลังที่นั่งอยู่เหนือตัวเอง ฮาจุนเผยยิ้มจางๆ ออกมา พลางพูดพึมพำกับตัวเอง

“ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ สินะ…”

“อะไร”

แทนที่จะตอบกลับไป ฮาจุนเลือกที่จะหุบยิ้มที่อยู่บนใบหน้าลงช้าๆ และจ้องเขม็งไปที่มูคยอม มูคยอมคิดว่าฮาจุนคงจะเจ็บที่ต้องเอนหัวมาข้างหลังแบบนี้ เลยตั้งใจจะเอาหัวอีกคนลงแล้วบอกให้นั่งดีๆ แต่ฮาจุนกลับเรียกชื่อของมูคยอมขึ้นมาก่อน

“คิมมูคยอม”

มูคยอมยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ทำไม”

ฮาจุนกะพริบตาสองครั้ง และพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนระดับเสียง

“ฉันชอบนาย”

เสียงที่ส่งออกมาดังไปถึงเพดานห้องน้ำก่อนจางหายไปในชั่วพริบตา รอบตัวเงียบลงราวกับเวลาหยุดหมุน

มีเพียงเสียงน้ำไหลจากฝักบัวที่ยังคงกระทบลงบนพื้นเหมือนกับเสียงฝน

มูคยอมไม่พูดอะไรและทำเพียงแค่มองฮาจุน เช่นเดียวกับฮาจุนที่กำลังจ้องมองคนที่อยู่เหนือหัวอย่างสงบนิ่ง สีหน้าของฮาจุนที่ระเบิดคำสารภาพออกไปอย่างกะทันหัน เหมือนกับว่าเพิ่งพูดถึงเรื่องตารางฝึกซ้อม หรือกำลังบอกว่าชอบเมนูไหนในโรงอาหารสโมสร

มูคยอมถามกลับไปอย่างเรียบนิ่งเหมือนกับคนที่พูดก่อนหน้า ราวกับว่าต้องการจะให้โอกาสได้ไตร่ตรองอีกครั้ง

“นี่ฉันได้ยินผิดหรือเปล่า ว่าไงนะ”

“ฉันชอบนาย”

แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ยังไม่ลดละ ลูกกระเดือกของมูคยอมที่จ้องมองกันอยู่ส่งเสียงสั้นๆ ออกมา

นี่มูคยอมกำลังตกใจแต่ไม่มากถึงขนาดนั้นใช่ไหม มูคยอมจะโมโหแล้วถามว่าพูดบ้าอะไรหรือเปล่า ถึงเขาจะโพล่งพูดออกไปเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ทุกประสาทสัมผัสของฮาจุนกลับมุ่งอย่างเต็มที่ไปยังการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของมูคยอม เขารู้สึกว่าความเงียบที่เกิดขึ้นนั้นยาวนานหลายวินาทีจนเหมือนจะดำเนินไปตลอดกาล

แต่บรรยากาศที่แข็งทื่อก็อยู่ได้ไม่นาน ดวงตาและรูปปากที่ดูเคร่งเครียดของมูคยอมค่อยๆ ผ่อนลง หางตาที่ก่อนหน้านี้จ้องมองฮาจุนอย่างดุดันวาดโค้งขึ้น เช่นเดียวกับริมฝีปากที่โค้งน้อยๆ ก่อนรอยยิ้มที่ดูขมขื่นนิดๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ตั้งแต่เมื่อไหร่…”

ขณะที่พูดขึ้นเช่นนั้นมูคยอมก็หยุดไป แล้วเปลี่ยนเป็นถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับว่ากำลังหยอกเล่น

“เรื่องอย่างว่านายก็ชอบเหรอ”

“…ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ”

ฮาจุนรู้อยู่แล้ว

และก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้

ไม่รู้เพราะความชอบที่มีหรือเปล่า แต่ฮาจุนถึงได้ยิ้มขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเห็นสีหน้าของมูคยอมที่จะพูดแบบนั้นออกมา เขายิ้มไปพร้อมๆ กับมูคยอมที่กำลังยิ้มอยู่ มือใหญ่ขยี้ผมที่ล้างแชมพูออกหมดจนยุ่งเหยิง

“ฉลาดเหมือนกันนะโค้ชอี รู้อยู่แล้วว่าถ้าพูดตอนป่วยฉันก็ตอบโต้อะไรไม่ได้ ใช้โอกาสตอนที่ตัวเองอ่อนแอมาปลดปล่อยความรู้สึกเลยนะ”

“ก็ใช่”

“นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าความสัมพันธ์ของเรา การพูดอะไรแบบนั้นมันผิดกฎน่ะ? เพราะว่าวันนี้นายป่วยฉันจะมองข้ามไปครั้งหนึ่งนะ”

ฮาจุนยิ้มและพยักหน้ากลับไป

“อื้อ”

พูดจบมูคยอมก็หย่อนตัวลงในน้ำ หลังของฮาจุนสัมผัสกับแผ่นอกและหน้าท้องกำยำ ฮาจุนหันไปข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ด้านข้างอย่างพอดิบพอดี มูคยอมกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนกำลังพิจารณามองสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจและเหลือเชื่ออยู่

แม้จะเป็นมูคยอม แต่นี่ก็น่าจะเป็นครั้งแรกเลยไหมนะ ที่ได้ยินคำสารภาพอย่างไม่ตั้งตัวขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่อย่างตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นมันก็เพียงพอที่จะให้มูคยอมมองกันด้วยสายตาที่เหลือเชื่อแบบนี้สินะ อย่างที่คิดไว้ มูคยอมกระตุกยิ้มขึ้น แล้วพูดหยอกล้อพลางแสดงความตกตะลึงออกมาอย่างดูเกินจริง

“ยิ่งรู้จักก็ยิ่งไม่เหมือนใครเลยจริงๆ นะเนี่ยโค้ชของฉัน ในโลกนี้จะมีที่ไหนอีก คนที่มาอ้วกต่อหน้าคนอื่นเขา แล้วพูดอะไรแบบนี้ใส่ตอนที่อาบน้ำกันอยู่”

“นั่นสิ”

แน่นอนว่าฮาจุนรู้ว่าตัวเองกำลังถูกปฏิเสธ และต่อให้มองในมุมของคนนอกเขาก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นสถานการณ์ที่แย่เลยทีเดียว แต่ไม่รู้เพราะอะไรฮาจุนถึงไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น ไม่สิ กลับกลายเป็นว่าเขาเอาแต่หัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนคนที่สูดแก๊สหัวเราะเขาไป เหมือนคนที่กำลังเก็บซ่อนความรู้สึกอุ่นใจ ราวกับว่าได้รับคำตอบตกลงจากคำสารภาพนั้น มันฟังดูเหมือนการอ้างของคนที่อยากหนีไปจากสถานการณ์ที่น่าขายหน้าไหมนะ

แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็กำลังยิ้มอยู่ไม่ใช่เหรอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เตรียมใจมา แต่มูคยอมก็ไม่ได้แสดงท่าทีโมโห หรือไม่พอใจอะไรกับคำสารภาพที่เขาโพล่งออกไป หรือไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าตาน่ากลัวดูถูกดูแคลน ตะโกนไล่ให้ออกไปจากบ้าน ขู่ตะคอกว่าเรามาจบความสัมพันธ์นี้กันเถอะ ในตอนนี้การตอบกลับที่เลวร้ายที่ฮาจุนเคยนึกไว้ไม่ปรากฏให้เห็นที่นี่เลยสักอย่าง

สิ่งที่ปรากฏ ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงมูคยอมกับฮาจุนที่กำลังยิ้มอยู่ และความจริงที่จะไม่เปลี่ยนไปว่าร่างกายของเรากำลังสัมผัสอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน

ความรู้สึกและจินตนาการที่ไม่ถูกต้องและคลุมเครือไหลออกจากตัวเหมือนกับจุดเล็กๆ มีเพียงความจริงที่ดำรงอยู่เท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น ทุกสิ่งอย่างที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเก็บซ่อนและความกังวลก่อนหน้ากลับหมดความหมาย อคติที่เคยบดบังสายตาได้ถูกถอดออก มีเพียง ‘เรื่องจริง‘ ที่ไร้ข้อกังขาเท่านั้นที่ฉายชัดในสายตา

หากให้สรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงระหว่างเขาและมูคยอม เริ่มจากที่มูคยอมซื้อเสื้อผ้าราคาสิบล้านวอนให้เขา ไปดูงานที่เขานำเสนอทั้งที่ตัวเองไม่ได้รับเชิญ ใช้มือรองอ้วกให้ จับอุ้มมาที่ห้องน้ำ แล้วยังล้างตัวให้อีก

ช่วยเลือกเนกไทที่เข้ากับผิว ทั้งยังมาผูกให้เองกับมือ ช่วยบีบมือในตอนที่กังวล มาหาตอนเช้ามืด แล้วเอาตุ๊กตามาให้ในตอนที่ตัวเองเมา ถึงท้ายที่สุดนั่นจะไม่ใช่ของขวัญของฮาจุน แต่แค่นั้นก็น่าดีใจมากแล้ว เพราะการที่มูคยอมเอาของมาให้เขาเพราะจำได้กระทั่งเรื่องที่ได้ยินผ่านหูทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ

ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้สึกได้หลังความยินดีที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความเศร้าของฮาจุนเพียงคนเดียว เพราะมูคยอมเองก็ไม่เคยสัญญาอะไร หรือมีหน้าที่ที่จะต้องมาดูแลอะไรเขามาตั้งแต่แรก

“ขึ้นกันเถอะ แช่น้ำนานไปเดี๋ยวจะหน้ามืด”

หลังคำพูดของมูคยอม ฮาจุนก็พยักหน้าแล้วลุกจากอ่างอาบน้ำ และออกมาใช้ฝักบัวล้างตัวอีกครั้ง ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว

ฮาจุนฉีดน้ำลงบนใบหน้าของตัวเอง ล้างหยาดน้ำตาที่กำลังไหลออกมาโดยไม่ทันได้รู้ตัว แม้จะเป็นมูคยอม แต่ถ้าได้มาเห็นน้ำตานี่ก็คงจะยิ้มไม่ออก จนถึงตอนนี้เขาไม่อยากจะให้บรรยากาศมันแย่โดยเปล่าประโยชน์

เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ฮาจุนก็ใส่ชุดคลุมอาบน้ำแล้วไปเช็ดผมให้แห้ง ก่อนจะไปนอนทีเตียงตามที่มูคยอมบอก มูคยอมก้มมองฮาจุนและพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ประดับรอบยิ้มจางๆ อยู่เช่นเคย

“นอนเถอะ นายอาจจะยังมึนๆ อยู่ ตื่นมาน่าจะได้สติขึ้น”

คนที่อยู่สูงกว่าพูดออกมาราวกับคิดว่าคำสารภาพที่ถูกส่งออกไปแบบไม่ทันตั้งตัวนั้นเป็นผลพวงจากสภาพร่างกายของเขา ฮาจุนวางหัวลงบนหมอนอย่างว่าง่ายและพยักหน้ากลับไป เมื่อเห็นว่ามูคยอมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ และกำลังหันหลังเหมือนจะออกไปจากห้อง คนที่นอนอยู่ก็เรียกมูคยอมแล้วตั้งตัวตรงขึ้นมา

“คิมมูคยอม”

ฮาจุนเปิดปากขึ้นเหมือนกับถูกยุยง มากกว่าจากความตั้งใจของตัวเอง อาจเป็นเพราะว่าได้ลิ้มรสอากาศภายนอกไปแล้ว ความรู้สึกที่ถูกปล่อยออกมาครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยถูกข่มเอาไว้ มันเทียวแต่อยากจะออกมาข้างนอกอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เมื่อมูคยอมส่งสายตามา ฮาจุนจึงรีบพูดออกไป

“มานอนด้วยกันเถอะ”

ครั้งนี้มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าสับสน และถามกลับไปด้วยความรู้สึกที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าตอนถูกสารภาพว่าชอบในห้องน้ำ

“ตรงนี้เหรอ”

“เตียงนายก็ออกจะกว้าง”

“ทำไม”

“ฉันก็แค่อยากนอนด้วย วันนี้ป่วยเลยไม่อยากอยู่คนเดียว”

คำพูดงอแงเหมือนกับเด็กๆ ที่ออกมา ทำเอามูคยอมหลุดหัวเราะ คนที่ยืนอยู่ก้มลงมองฮาจุนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนยักไหล่ขึ้น แล้วเดินมานั่งลงที่ขอบเตียง

“ยังไงอีก”

“หือ?”

“พูดต่อสิ ดูเหมือนนายกำลังบอกว่าวันนี้ป่วยมาก และพยายามจะรบเร้าเอาอะไรเหมือนกับเด็กเล็กๆ เลย ว่ายังไง อะไรที่ต้องทำก็ทำไม่ได้ แต่ดูเหมือนจะมีสิ่งที่อยากได้เยอะเลยนะวันนี้”

ฮาจุนไม่ได้ปฏิเสธไปแต่อย่างใด

“นอนลงข้างๆ ฉัน แล้วกอดหน่อย ขอจูบด้วย”

“แต่เมื่อกี้นายเพิ่งอ้วกไป”

“ฉันแปรงฟันสะอาดแล้วนะ…”

ฮาจุนรู้สึกห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย เพราะไม่สามารถที่จะรบเร้าต่อไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นการมาตื๊อขอให้คนอื่นจูบหลังจากที่ตัวเองอ้วกไป มันก็ค่อนข้างน่าลำบากใจ ไม่ว่าใครก็น่าจะรู้สึกไม่โอเคอยู่แล้ว

“หมดแล้วเหรอ”

“…อื้อ”

“ทำไมถึงของ่ายขนาดนี้ อ่อนไปนะ พูดมาอีกสิ”

มูคยอมพูดเยาะเย้ยออกมา ขณะเดียวกันฮาจุนที่ท้อไปแล้วคิดคำที่จะพูดต่อไม่ออก แต่เอาจริงๆ เขาก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะ

เนกไทผ้าไหมสีน้ำเงินเนวีที่คล้องคออยู่อย่างหลวมๆ ถูกปลดออกจนไม่เหลือเค้าเดิม และกลับไปเป็นชิ้นผ้ายาว

“จะลองปิดตาดูไหม”

มูคยอมหยิบเนกไทขึ้นมาวางเหนือดวงตาของฮาจุนบดบังการมองเห็น ทันทีที่เอื้อมมือไปด้านหลังอย่างรวดเร็วเพื่อผูกปมอย่างลวกๆ ริมฝีปากล่างดวงตาที่ถูกบดบังอยู่ก็เปิดออกกว้างและสั่นขึ้นมาน้อยๆ

“หรืออยากจะลองมัดมือดีล่ะ”

ขณะที่เนกไทยังคงปิดอยู่บนตา ข้อมือของฮาจุนก็ถูกจับรวบขึ้นในท่าที่ยังนอนเอนอยู่บนโต๊ะ ข้อมือใต้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตถูกตรึงไว้ด้วยกำมือใหญ่ราวกับว่าถูกล็อกอยู่ มูคยอมไล้เลียปลายนิ้วแต่ละนิ้วที่ทั้งนุ่มลื่นและเรียวยาวสมชาย ก่อนถามขึ้น

“ชอบแบบไหนครับโค้ช ไหนลองเลือกซิ ฉันจะจัดให้แบบที่นายชอบเลย”

สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงแค่เสียงลมหายใจบางเบาคงที่เท่านั้น ฮาจุนไม่ได้ตอบอะไร

“หรือจะให้ปิดตา แล้วก็มัดมือด้วยดีล่ะ ฉันมีเนกไทอยู่เยอะเลยนะจะบอกให้”

มูคยอมส่งคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบซ้ำ พลางลูบไล้อีกคนไปด้วย ใช้มือเปิดอ้ารอยแยกเสื้อเชิ้ตออก ยอดอกที่เผยให้เห็นที่ช่องว่างนั้นถูกมูคยอมใช้ลิ้นโลมเลีย จนเรือนร่างที่นอนอยู่สั่นเฮือกขึ้นมา

ขณะที่ข้อมือถูกจับติดอยู่กับโต๊ะ มูคยอมก็เริ่มแทรกมือเข้าไปในเสื้อเชิ้ตมากขึ้น ยอดอกที่ตั้งชันจากการถูกบดขยี้ด้วยมือก่อนหน้า ถูกปลายลิ้นสะกิด ทุกครั้งที่มูคยอมทำเช่นนั้นฮาจุนก็สะดุ้งแผ่นหลังขึ้นเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นสลับเลียยอดอกทั้งสองข้าง

มูคยอมคืบคลานไประหว่างกล้ามอกที่ทั้งแน่นและนุ่มลื่นในเวลาเดียวกัน และมอบสัมผัสไปที่กระดูกไหปลาร้าและลำคอ ทันทีที่ดูดดึงเนื้อหนังอ่อนนุ่มที่เชื่อมระหว่างช่วงคางและลำคอ ร่างกายของฮาจุนก็สั่นไหวขึ้นเบาๆ ผิวบริเวณที่ถูกดูดดึงถูกแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูเข้ม ราวกับว่ามีดอกซากุระเล็กๆ วางอยู่บนนั้น

“อื้อ…ฮืออือ ฮ้า”

แม้จะเป็นการเล้าโลมแค่พอประมาณ แต่ทั้งตัวของฮาจุนกลับสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เสียงลมหายใจที่ออกจากช่องปากรัวเร็วขึ้น อาจเป็นเพราะฮาจุนเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้แปลกใหม่ จึงถูกกระตุ้นได้ไวกว่าปกติ

มูคยอมยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งและยิ้มออกมา เขาปลดกระดุมกางเกงที่ฮาจุนใส่อยู่ ดึงออกพร้อมชั้นในและโยนทิ้งไป ส่วนเสื้อเชิ้ตนั้นช่วงข้างหน้ายังถูกเปิดออกไม่หมด ดังนั้นในตอนนี้จึงมีแค่ท่อนล่างขาวที่เปลือยเปล่าให้ได้เห็น

อ่า… เป็นเพราะว่าเสื้อผ้าเป็นของใหม่หรือเปล่า วันนี้มูคยอมถึงได้รู้สึกถึงความแข็งขืนบริเวณกลางกายที่มากขนาดนี้

ฮาจุนที่นอนเอนอยู่บนโต๊ะดูน่าลิ้มลองอย่างไม่เกินจริง มูคยอมไล้เลียริมฝีปากตัวเอง พลางใช้สายตาโลมเลียร่างกายอีกคนไปทั่วทุกซอกมุมราวกับสัตว์ที่กำลังพิจารณาเป้าหมายว่าจะฉีกกินส่วนไหนก่อนดี

ช่วยไม่ได้ว่าจุดที่เขาอยากจะใช้มือแตะลงไปมากที่สุดนั้น ถูกเลือกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ในตอนกินข้าวก็เช่นกัน มูคยอมเป็นคนประเภทที่มักจะกินของชอบก่อนซะด้วยสิ ขาข้างหนึ่งที่ตกลงไปล่างโต๊ะกว่าครึ่งถูกจับขึ้นพาดบ่า เรียวขาถูกแบะออก มูคยอมจ้องลงไปยังช่องทางด้านหลังที่เผยให้เห็น และยกมือขึ้นมา

แค่นิ้วเดียว ไม่มีเจลก็น่าจะใส่เข้าไปได้

ลิ้นชักที่ใส่เจลหล่อลื่นอยู่แค่ข้างๆ นี่เอง แต่มูคยอมกลับรู้สึกว่าแค่การเปิดปิดลิ้นชักแล้วหยิบออกมามันช่างยุ่งยาก หลังใช้ลิ้นเลียนิ้วกลางของตัวเอง มูคยอมก็ปัดป้ายลงไปบนช่องทางด้านหลัง และลองสอดนิ้วเข้าไปด้านใน ช่องทางที่ยังไม่ถูกขยายรัดแน่นราวกับว่ากำลังต่อต้านหนึ่งนิ้วนั้น

“อ๊ะ อ๊า…!”

นิ้วที่สอดเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาฮาจุนเด้งเอวขึ้นด้วยความตกใจ ภาพตรงหน้ามูคยอมถูกซ้อนทับด้วยภาพของโค้ชที่กำลังทุ่มเทนั่งอยู่หน้าโต๊ะระเกะระกะ กำลังขยับปากกาและเคาะคีย์บอร์ดอย่างตั้งอกตั้งใจ และในตอนนี้ช่วงล่างของมูคยอมก็ร้อนรุ่มไปหมด

มูคยอมขยับนิ้วพลางกัดฟันข่มความต้องการที่อยากจะใส่แกนกายของตัวเองเข้าไปเดี๋ยวนี้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ แต่นิ้วมือของเขากลับสอดใส่เข้าไปในช่องทางอย่างรวดเร็วและรุนแรงด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง แต่ช่องทางด้านหลังที่ไร้สารหล่อลื่นกลับขยายตัวออกช้ากว่าปกติ เสียงลมหายใจหอบถี่ของฮาจุนปนเปไปกับเสียงของความเจ็บปวด

“อะอึก… ฮะ ฮ้า…!”

“ฮะ แม่ง”

มันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ท้ายที่สุดมูคยอมจึงชักนิ้วออกด้วยความหงุดหงิด และรีบหันไปหยิบเจลออกมา พาลให้เกิดเสียงเปิดปิดลิ้นชักดังลั่นห้อง

มูคยอมบีบเจลลงไปบนช่องทางที่เริ่มจะคลายตัวขึ้นมาบ้าง ก่อนปลดหัวเข็มขัดของตนอย่างรีบเร่งแล้วดึงเอาแก่นกายที่แข็งจนปวดหนึบออกมา หลังจากใช้มือเฉอะแฉะรูดรั้งสิ่งที่ร้อนลวกเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็ใช้ลำท่อนที่เปียกชุ่มถูไถลงไปบนช่องทางด้วยใจร้อนรุ่ม

มูคยอมถูท่อนเนื้อใหญ่และแข็งขันอย่างรุนแรงและรวดเร็วลงบนช่องทางที่นุ่มหยุ่นราวกับผลไม้สุกงอมที่ถูกเปิดออก เสียงหายใจของฮาจุนที่กำลังตะเกียกตะกายดังขึ้นเหมือนกับเสียงครวญคราง เรือนร่างที่แผ่ราบอยู่บนโต๊ะค่อยๆ สั่นไหวแรงขึ้น ความหวามไหวของร่างกายที่แนบชิดกันค่อยๆ ปลุกเร้าความต้องการให้ทวีเพิ่ม มูคยอมผละออกเพียงครู่ และกัดฟันชำแรกเข้าไปยังช่องทางนั้น

“อ๊า…ฮึก!”

แค่ป้ายเจลลงไปเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้เล้าโลมอย่างที่ควรจะเป็น ช่องทางที่ถูกล่วงล้ำจึงยังคงปิดอยู่ เสียงครางที่เจือไปด้วยความเจ็บปวดหลุดออกมาจากริมฝีปากของฮาจุนอีกครั้ง แม้ร่างกายจะร้อนรุ่มราวกับถูกเผาไหม้ แต่เมื่อได้ยินเสียงนั้นมูคยอมก็ไม่สามารถที่จะหยัดสะโพกเข้าไปได้ในทันที เขาลูบมือเบาๆ ลงบริเวณกระดูกเชิงกรานและสะโพกของฮาจุน ทำทีว่ากำลังปลอบโยน

“ฮู่ เจ็บมาเลยเหรอ”

“อ๊ะ ม… ไม่…”

ศีรษะที่เอนอยู่บนโต๊ะส่ายไปมาช้าๆ

“ถ้าฉันทำช้าๆ นายจะโอเคไหม”

“ฮือ อือ อืม… โอ เค…”

ดวงตายังคงซ่อนอยู่ภายใต้เนกไท ริมฝีปากเผยอขึ้นส่งเสียงไร้เรี่ยวแรงออกมา มูคยอมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ และถอนหายใจออกมา

นายบอกเองว่าโอเคนะ ใช่ไหม

หรือเพราะควันที่สูดดมก่อนหน้านี้มันเข้าไปในสมอง เขาถึงได้ยอมรับข้ออ้างนี้แบบง่ายๆ มูคยอมคิด ก่อนส่งแรงไปที่สะโพก แทนที่จะค่อยๆ สอดใส่แกนกายเข้าไป เขาฝืนยัดแกนกายพรวดพราดเข้าไปที่ช่องทางด้านหลัง

มูคยอมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนืดเหนียวเนื่องจากช่องทางยังไม่เปิด แต่ผนังด้านในที่แคบกว่าปกตินั้นกลับทำให้รู้สึกพึงพอใจกับความรัดแน่นที่โอบล้อมไปทั้งตัวตน มูคยอมดันเข้าไปจนสุด ก่อนหยุดรออยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง

“อื้อ ฮ่อก…ฮ้า”

ลมหายใจเหนื่อยอ่อนหลุดออกมาจากช่องว่างที่เปิดออกกว้างระหว่างริมฝีปากของฮาจุน ดวงตาที่ถูกปิดทับด้วยเนกไทมองไม่เห็นสิ่งใด ฮาจุนที่สั่นเทาไปทั้งร่างกายถูกตะโบมจูบตั้งแต่หัวเข่าไปจนถึงสะโพก เสียงน่าอายดังออกมาทุกครั้งที่ริมฝีปากแตะลงไป และพาให้กล้ามเนื้อภายในขาและสะโพกหดเกร็ง แต่ช่องทางนี้คุ้นชินกับการถูกสอดใส่ เพียงแค่มูคยอมขยับเข้าออกไม่กี่ครั้ง ไม่นานเดี๋ยวกล้ามเนื้อก็จะคลายตัวลงเอง ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นมาตลอด

มูคยอมถอนสะโพกออกไปด้านหลัง และสอดใส่ลำท่อนซ้ำเข้าไปอีกครั้ง ‘ฮะ’ ตามมาด้วยเสียงแหบแห้งที่ปนเปไปด้วยเสียงครวญครางและเสียงลมหายใจ เขาดึงต้นขาของฮาจุนเข้าใกล้ตัว ทันทีที่เนื้อหนังของทั้งคู่แนบชิดขึ้น แกนกายก็แทรกตัวเข้าไปลึกกว่าเดิม

“อ๊ะอึก ฮึก…!”

“อีฮาจุน ย อย่า เกร็ง”

ทุกครั้งที่หยัดสะโพกแรงเข้าออกจนแตะไปถึงจุดที่ลึกข้างใน ทั่วทั้งร่างของฮาจุนก็สั่นไหวและหลุดครางออกมา แต่เมื่อถอดถอนแกนกายออก ช่องทางกลับแคบลงอีกครั้ง แม้จะสอดใส่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งมูคยอมก็กระวนกระวายใจทุกครั้งที่รู้สึกเหมือนกำลังเจาะทะลุเข้าไปยังผนังแข็ง

แม้จะบอกว่าเขาเล้าโลมน้อย แต่มูคยอมรู้สึกได้ว่าช่องทางนั้นคลายตัวช้าเกินไป หรือเป็นเพราะว่าเราห่างหายกันไปนาน ขณะที่ขบคิดว่ามันจะดีกว่าไหมหากเขาขยายช่องทางเพิ่มอีกนิด มูคยอมก็ไม่สามารถที่จะหยุดการกระทำที่เริ่มขึ้นแล้วได้ ขณะที่ขยับสะโพกเข้าออกเร็วขึ้น ผนังนุ่มด้านในที่แคบลงเรื่อยๆ ก็ถูกลำท่อนแข็งขืนตอกตำเหมือนเครื่องบด

เสียงลมหายใจที่ขาดห้วง เสียงเนื้อกระทบกัน สะท้อนดังไปทุกซอกหลืบในห้องหับ ท้ายที่สุดเส้นความอดทนของมูคยอมก็ขาดผึง เขาสอดใส่ตัวตนเข้าไปอย่างแรงและไร้ความปรานี จนเสียงปั้กดังขึ้นมาราวกับว่าไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป

“…อ๊า…!”

ฮาจุนอ้าปากออกกว้าง เมื่อจุดที่ลึกที่สุดมีคนเข้าไปเยี่ยมเยือน ก่อนจะเสียงกรีดร้องจะหลุดออกมาราวกับว่าสิ่งที่ถูกกลั้นเอาไว้ระเบิดออก จากนั้นจึงเงียบลงไป

เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากที่เปิด หยุดออกมาเป็นลมหายใจสั่นไหวไม่เป็นจังหวะ มีเพียงร่างกายที่สั่นสะท้านเหมือนกับต้นไม้สูงในป่า หลังจากดึงดันสอดใส่เข้าไปในร่างกายที่สั่นเทิ้มอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผนังนุ่มด้านในก็ยังคงปิดแน่นแม้จะพยายามดุนดันเข้าไปแค่ไหน มูคยอมจึงเดาะลิ้นแล้วค่อยๆ หยุดการกระทำของตนลง

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแปลกอยู่ดี

“อีฮาจุน”

“อ่ะ อึก…!”

มูคยอมโน้มตัวลงไป เพราะขยับร่างกายส่วนบนเข้าหาอีกคนในขณะที่ท่อนล่างยังคงสอดใส่อยู่ เลยดูเหมือนว่าแกนกายจะฝังตัวเข้าไปลึกกว่าเดิมจนฮาจุนเอนหลังลงไปและกัดฟันน้อยๆ เหมือนคนที่กำลังเจ็บ มูคยอมเอียงหน้าหรี่ตามองคนตรงหน้าเหมือนกับว่ากำลังหาจุดที่แปลกไป เขาก้มลงไปหาฮาจุนช้าๆ แล้วดึงสิ่งที่ยังแข็งขืนอยู่ออก เมื่อดึงออกมาก็เห็นว่าช่องทางนั้นบวมแดงขึ้นเล็กน้อย

มูคยอมเผยสีหน้าไม่พอใจออกมาครู่หนึ่ง แล้วก้มลงมอง ขาของฮาจุนที่พาดบ่าอยู่ก่อนหน้าถูกจับวางลง ก่อนมูคยอมจะโน้มตัวลงอีกครั้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าของฮาจุน

ระหว่างที่ร่างกายสั่นเทิ้มในตอนที่ต้องรับแรงกระแทกเข้าออก เนกไทที่ถูกมัดไว้เหนือดวงตาแบบลวกๆ ก็ไหลลงไปอย่างไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ แต่มันก็ยังคงบดบังดวงตาอยู่ มูคยอมจึงรีบจัดการเนกไทนั้นออก แล้วกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนถามขึ้น

“…นายโอเคไหม”

ใบหน้าที่มักจะแดงระเรื่ออยู่เสมอทุกครั้งที่มีเซ็กส์กัน กลับซีดเผือดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เหงื่อเย็นซึมชุ่มเหนือหน้าผากมน ดวงตาที่ถูกเปลือกตาปิดบังไปแล้วครึ่งหนึ่ง เริ่มสูญเสียการโฟกัสก่อนจะค่อยๆ มืดลง

ตอนแรกมูคยอมก็คิดมาตลอดว่าที่ร่างกายสั่นสะท้านก็เพราะโดนกระตุ้นเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด แต่มันกลับไม่ใช่ ฮาจุนกำลังตัวเกร็งและสั่นไม่หยุดเหมือนคนซึ่งอยู่ในที่หนาวเย็น และยังคงเป็นเช่นนั้นแม้ในตอนที่มูคยอมนำแกนกายออกมาจากตัวอีกฝ่าย และไม่ได้แตะตัวกันแม้แต่นิ้วเดียวก็ตาม

“เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ”

เขารู้ดีว่าตัวเองทำฮาจุนรุนแรงเกินไป แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักถึงขนาดที่ทำให้เจ็บขนาดนี้ แม้ว่าครั้งแรกที่เรามีอะไรกันเขาจะสอดใส่ดุดันกว่าครั้งนี้แค่ไหน แต่ฮาจุนก็ทำได้ดีจนจบเลยไม่ใช่เหรอ

มูคยอมกำลังตกใจจนทำตัวไม่ถูกจริงๆ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร วันที่เรามีความสัมพันธ์แบบนี้ด้วยกันเป็นครั้งที่สอง ตอนที่จู่ๆ ฮาจุนก็เริ่มช่วยตัวเองต่อหน้าเขา ตอนนั้นเขาก็รู้สึกมึนงงอยู่ไม่น้อย แต่มันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้

มันต่างจากความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังสูญเสียตำแหน่งผู้นำบนเตียง เพราะในตอนนี้มูคยอมไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องจับฮาจุนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร ทั้งๆ ที่อีกคนก็เป็นผู้ชายที่สูงน้อยกว่าเขาเพียง 10 เซนติเมตร แต่เขากลับรู้สึกว่าหากในตอนนี้สัมผัสอีกฝ่ายผิดที่ผิดทางไป บางส่วนของฮาจุนก็พร้อมที่จะแตกสลายไปเหมือนกับตุ๊กตาฟาง ถึงจะเป็นความคิดที่ฟังดูไร้สาระ แต่มูคยอมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ฮาจุนที่หายใจหอบเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง หันมามองใบหน้าที่ดูจนปัญญาของมูคยอมที่กำลังก้มมองกัน ก่อนจะฝืนใช้แรงส่ายหัวออกมา

“ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้เพราะเจ็บสักหน่อย…”

ฮาจุนไม่มีแรงจนน้ำเสียงเบาลงไป ทำเอารอยยับย่นที่หว่างคิ้วของมูคยอมชัดขึ้นกว่าเดิม

“แล้วเพราะอะไร”

ฮาจุนกลั้นลมหายใจหอบถี่ แสดงอาการที่ดูห่างไกลจากคนที่พยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ส่งสายตางุนงงกลับไป ลดหางคิ้วต่ำลงแล้วหันไปหามูคยอม

“ขอโทษนะ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายฉันจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่…”

ท้ายเสียงนั้นบางเบาและสั่นเครือเหมือนคนที่กำลังตื้นตัน ฮาจุนยกหลังมือขึ้นปิดตาที่ก่อนหน้านี้ถูกคลุมทับด้วยเนกไท มูคยอมก้มมองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอย จากนั้นเขาถึงดึงสติกลับมาได้ แล้วยื่นมือออกไปตรงหน้า เพราะร่างกายของฮาจุนไม่ดีอยู่ ดังนั้นเขาไม่สามารถปล่อยให้นอนอยู่บนโต๊ะแบบนี้ต่อไปได้

“อีฮาจุน ไปที่เตียงไหม หืม?”

“ไม่เป็นไร ฉันขออยู่แบบนี้สักพัก”

“ตรงนี้พื้นมันแข็ง นายจะนอนไม่สบาย เตียงอยู่ข้างๆ นี่เอง”

มูคยอมอ้อมแขนไปโอบหลังฮาจุน หลังที่สัมผัสอยู่กับพื้นโต๊ะเป็นเวลานานโดยมีแต่เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัววางกั้นเย็นเฉียบ ฮาจุนเกาะไหล่มูคยอมและยกตัวขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

และในตอนที่เขาประคองฮาจุนที่กลับมาอยู่ในท่านั่งอีกครั้งให้ลุกขึ้นยืน ฮาจุนก็ก้มไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฟุบต่ำลง

“อีฮาจุน?”

ฮาจุนหอบหายใจแฮ่กออกมา และหลุดครางเสียงเบาราวกับว่าไม่สามารถที่จะอดทนได้อีกต่อไป

“อุ้ก…”

อ่อก เสียงที่แสดงถึงอาการพะอืดพะอมทำเอามูคยอมตกใจ จนรีบเข้าไปยืนประชิดตัว

“น นี่”

เขาส่งเสียงที่ไร้สติออกไปด้วยใจที่ร้อนรน ทันทีที่เอาฝ่ามือกว้างไปรองไว้ใต้ปากของฮาจุน ชั่ววิเดียวสิ่งที่อีกฝ่ายสำรอกออกมาก็ตกลงบนมือของเขา อาจเป็นเพราะกินอาหารไม่ตรงเวลาด้วยความกังวลที่มีจากการเตรียมตัวนำเสนอ มูคยอมมองสิ่งที่เหมือนกับน้ำย่อยนั่น แล้วแสดงสีหน้าที่ตึงเครียดมากกว่าเดิม เขาพิจารณาสีหน้าของฮาจุน ก่อนพูดบางอย่างออกมาเหมือนกับว่ากำลังพูดคนเดียว

“ดูเหมือนก่อนหน้านี้นายจะตกใจมากนะ”

แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และเอาแต่เงยมองใบหน้าของมูคยอม เพราะอาการคลื่นไส้จึงเป็นปกติที่ฮาจุนจะหายใจหอบ แต่ริมฝีปากที่อ้าออกน้อยๆ กลับไม่มีเสียงลมหายใจเล็ดลอดออกมาเหมือนกับคนที่หยุดหายใจไปแล้ว ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเบิกกว้าง จนดูเหมือนคนที่กำลังตกใจ

ตกใจอะไรกัน เรื่องเกิดไปแล้วสักพักแท้ๆ ทำไมตอนนี้ถึงได้มานั่งจ้องคนอื่นเขาตาถลนแบบนี้ล่ะ ก่อนที่จะทำอะไรมูคยอมก็ลูบหลังฮาจุนและเอ่ยขึ้น

“อ้วกออกมาหมดหรือยัง ถ้ายังรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนอยู่ก็อ้วกออกมาอีก”

“…ฉันโอเค แล้ว”

“เดี๋ยวฉันไปล้างมือก่อน รอแป๊บหนึ่ง ฉันว่าเดี๋ยวนายแช่น้ำให้ร่างกายอุ่นแล้วค่อยนอนน่าจะดีกว่า”

มูคยอมรีบออกจากห้องตรงดิ่งไปยังห้องนั่งเล่น เสียงน้ำไหลที่เข้าหูพอช่วยให้สงบลง และทันทีที่มือสัมผัสกับน้ำมูคยอมก็ได้สติขึ้นมา ขณะที่ล้างมือเขาก็คิดขึ้นมาว่านี่มันคือสถานการณ์แบบไหนกัน

ถ้ารู้ว่าร่างกายตัวเองไม่ปกติดีก็ควรจะบอกกันตั้งแต่แรกสิ ทำไมถึงปล่อยตัวให้เขาทำแบบนั้นล่ะ… แล้วถ้าทำๆ ไปเกิดเจ็บป่วยใหญ่โตขึ้นมาจะทำยังไง ในตอนแรกมูคยอมคิดว่าจะแกล้งสอดใส่จนอีกฝ่ายปล่อยเบาออกมา แต่ฮาจุนกลับนิ่งไปแบบนั้น พอนึกย้อนกลับไป ฮาจุนเองก็ดื้อมากเลยทีเดียว

ทันทีที่กลับเข้ามาในห้องก็เห็นว่าในตอนนี้ฮาจุนยังนั่งอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม มูคยอมคิดว่าก่อนหน้านี้ตัวเองรับสิ่งที่อีกคนอ้วกออกมาหมดแล้ว แต่พอมาลองดูดีๆ ที่เสื้อเชิ้ตยังคงมีคราบเปื้อนอยู่เล็กน้อย มูคยอมเข้าประชิดตัวแล้วยกแขนคนตรงหน้าขึ้น

“เอาแขนพาดคอฉัน ยังพอมีแรงใช่ไหม”

“หา อื้อ…”

เมื่อเขาค้อมตัวลงฮาจุนก็เอาแขนขึ้นมาคล้องคอเขาหลวมๆ ตามที่สั่ง

“จับให้ดีล่ะ”

ขณะที่รู้สึกไม่พอใจอยู่น้อยๆ มูคยอมก็อุ้มฮาจุนขึ้นในครั้งเดียว ฮาจุนที่ถูกยกตัวขึ้นอย่างกะทันหันลุกลี้ลุกลนเอื้อมมือไปโอบหลังมูคยอมราวกับว่าตกใจ ร่างกายที่ถูกโอบอุ้มแข็งทื่อจนมูคยอมรู้สึกได้ว่าอีกคนไม่ให้ความร่วมมือ เขาจึงบ่นกระปอดกระแปดออกมา

“อีฮาจุนเกาะดีๆ นายกอดฉันเอาไว้สบายกว่า”

“ปล่อยเถอะ เดี๋ยวฉันเดินไปเอง”

“แบบนี้สบายกว่าการที่ฉันต้องประคองนายไปนะ”

“ไม่ต้องประคอง ฉันเดินเองได้… ตัวฉันหนักจะตาย”

มูคยอมแค่นหัวเราะออกทางจมูก ก่อนเดินผ่านประตูออกมา

“นายตัวหนักว่าฉันหรือไง”

“…ไม่สักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่เงียบๆ”

การพูดและโทนเสียงสุขุมที่ได้ยินผ่านไมค์ฟังดูเป็นทางการและสุภาพกว่าที่เคยได้ยินมาตลอด ฮาจุนกดผ่านหน้าแรกหลังสรุปเนื้อหาทั้งหมดแบบคร่าวๆ จากนั้นจึงเริ่มนำเสนอรายละเอียดของเนื้อหา

ก่อนหน้านี้มันค่อนข้างที่จะน่าเบื่อ แต่ในตอนนี้มูคยอมกลับรู้สึกสนุกเอาเสียมากๆ อันที่จริงมูคยอมไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับเนื้อหาที่ฮาจุนกำลังนำเสนอเลยสักนิด ทว่าเมื่อได้มองฮาจุนในชุดดูดีกำลังถือไมค์พูดเจื้อยแจ้ว มูคยอมกลับรู้สึกเหมือนได้ชมการแสดง มากกว่าที่จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังฟังการบรรยายทางวิชาการ

ขณะถือรีโมตอันเล็กไว้ในมือข้างหนึ่ง ฮาจุนก็กดเปลี่ยนสไลด์ที่นำเสนอช้าๆ พลางอธิบายเนื้อหานั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงของฮาจุนไม่สั่นเครือและพูดได้อย่างไม่ติดขัด นำเสนอออกมาได้อย่างราบรื่น ทั้งยังคอยสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ฟังอยู่เป็นช่วงๆ เมื่อเห็นเช่นนี้มูคยอมก็รู้สึกขึ้นมาว่าคนที่ยืนอยู่หลังแท่นพูดเหมือนคนละคนกับอีฮาจุนที่ยื่นมือเย็นๆ มาให้เขาจับตอนอยู่บนรถเลย

ไม่รู้เพราะมูคยอมเป็นคนซื้อเสื้อผ้าพวกนั้นให้ เพราะผูกเนกไทให้ หรือเพราะช่วยนวดมือให้ มูคยอมถึงได้ภูมิใจอยู่ลึกๆ เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ทำประโยชน์ในที่แห่งนี้

‘ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังการนำเสนอที่ยังบกพร่องของผมนะครับ ผมขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ครับ’

จากที่ฟังฮาจุนพูด การนำเสนอใช้เวลาไปประมาณ 20 นาที ในตอนที่ฮาจุนเดินลงจากแท่นพูด ความกังวลที่เคยอยู่บนใบหน้าได้จางหายไป แทนที่ด้วยสีแดงจากความเขินอาย เสียงปรบมืออย่างสุภาพดังจากทุกทิศของห้องประชุม มูคยอมเองก็ร่วมปรบมือไปด้วยเช่นกัน และในตอนนั้นจองคยูก็โน้มตัวเข้ามากระซิบบางอย่าง

“ชุดของฮาจุนวันนี้ใส่ออกมาแล้วดูดีสุดๆ ไปเลยว่าไหม เหมือนพวกนายแบบชุดสูทเลย”

ไอ้คนสอดรู้สอดเห็นนี่ก็ตาถึงเหมือนกันนะ มูคยอมกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ และพยักหน้ากลับไปแต่พอประมาณ ตอนนี้เขาก็แค่รองานจบเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้สนใจการนำเสนอของคนอื่นๆ อยู่แล้ว พลางคิดว่าถ้าจบทั้งงานนี่จะต้องรอนานแค่ไหนกันนะ และในตอนที่มูคยอมกำลังเบนสายตาไปยังนาฬิกาข้อมือและคิดว่าอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักพัก

กรี๊งงงงงงงงงง

มูคยอมที่มองนาฬิกาอยู่เงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงที่ดังลั่นแบบไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ยังมีการนำเสนอจากบริเวณแท่นพูด เสียงกริ่งฉุกเฉินก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เตือนให้ทุกคนออกจากห้องประชุมนี้

ในทีแรกทุกคนทำเพียงแค่นั่งอยู่กับที่และหันซ้ายขวาประเมินสถานการณ์ว่ากริ่งฉุกเฉินนั้นเสียหรือเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นจริงๆ แต่แล้วหนึ่งในนั้นก็ผุดลุกขึ้นมา เมื่อมีคนประเดิม คนอื่นๆ ก็เริ่มลุกจากที่นั่งด้วยความโกลาหล และควันขมุกขมัวก็เริ่มก่อตัวหนาในห้องประชุม

“ไฟไหม้!”

เมื่อใครบางคนตะโกนเช่นนั้น บรรยากาศในห้องประชุมก็วุ่นวายขึ้นในชั่วพริบตา มูคยอมเองก็ผุดลุกจากที่นั่ง เมื่อภายในห้องที่แสงไฟถูกเปิดอย่างมืดสลัวเพื่อการนำเสนอเริ่มเต็มไปด้วยกลุ่มควัน สายตาของเขาก็มองเห็นทางข้างหน้าได้ไม่ชัดนัก

“คิมมูคยอม ออกไปก่อนเลย! เดี๋ยวฉันพาฮาจุนออกไปเอง”

จองคยูพูดออกมาด้วยความรีบร้อน ทันใดนั้นแชฮุนก็ก้าวเท้าออกมา

“นายสองคนออกไปก่อนเถอะ ฉันจะไปตามหาฮาจุนแล้วพาออกไปเอง”

ไอ้คู่นี้เป็นอะไรกันเนี่ย… มูคยอมขมวดคิ้วมุ่น

“นายสองคนไปทางนั้นก่อนดีกว่า ไปพาผู้จัดการคิมออกมา”

มูคยอมโพล่งตอบกลับไปเหมือนสาดกระสุนใส่ ก่อนหันไปทางแท่นพูดที่มองเห็นได้ไม่ชัดนัก เขาขยับฝีเท้าเดินไปทางนั้นไม่ใช่ทางออก เพราะจุดรวมตัวของผู้นำเสนอถูกเตรียมไว้บริเวณแท่นพูด

“อีฮาจุน!”

มูคยอมส่งเสียงตะโกนขณะเดินสวนกับผู้คนที่กรูกันออกไปเหมือนฝูงแซลมอน บางทีฮาจุนอาจจะออกไปที่ทางหนีไฟหรือที่อื่นแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถออกไปได้จนกว่าจะไปตรวจเช็กก่อน

“อีฮาจุน! โค้ชอี!”

ถ้าเกิดไฟลุกท่วมใหญ่โตจนฮาจุนไม่สามารถหนีออกมาได้อยู่คนเดียวล่ะ จะทำยังไง หากออกไปข้างนอก แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นมีเพียงแค่ตัวเขา จองคยู ยุนแชฮุน และสตาฟคนอื่นๆ ล่ะ

ไม่ว่ายังไงก็ต้องออกไปด้วยกัน ไม่ควรมีใครถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง คนที่หนีออกไปได้ยากที่สุดในตอนนี้คือฮาจุน หมอนั่นอยู่ในที่ของผู้นำเสนอซึ่งห่างกับประตูทางออกมากที่สุด

“อี…”

เสียงจากปากของมูคยอมที่ตั้งใจจะตะโกนชื่อฮาจุนอีกครั้งหยุดไปราวกับว่าเสียงนั้นถูกตัด ในห้องประชุมที่มืดและเต็มไปด้วยควันจนทำให้มองทางข้างหน้าไม่ชัด มีใครบางคนคว้าจับข้อมือของมูคยอมเอาไว้

มูคยอมพยายามหรี่ตามอง ก่อนใช้สายตาตรวจสอบเจ้าของมือนั้นอย่างรวดเร็ว แม้หมอกควันจะทำให้ทัศนียภาพขุ่นมัว แต่มูคยอมก็สามารถมองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้

“อีฮาจุน”

นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม

มูคยอมตั้งใจจะถามออกไปแบบนั้น แต่เจ้าของมือกลับดึงข้อมือของมูคยอมอย่างแรงโดยไม่พูดอะไร แม้ไม่มองเรื่องน้ำหนัก แต่ด้วยส่วนสูงของมูคยอมก็ทำให้ลากไปได้ยากพอตัว แต่แรงกระชากกลับมากจนสามารถจะดึงมูคยอมตัวเอียงโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ฮาจุนโชว์แผ่นหลังและเริ่มเดินนำไป ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าเดิน มันเป็นก้าวเท้าที่กว้างและเร็วจนเหมาะจะเรียกว่าวิ่งเลยล่ะ ตอนแรกมูคยอมมาที่แท่นพูดเพราะตั้งใจจะพาฮาจุนออกไป แต่ในตอนนี้เขากลับถูกอีฮาจุนลากข้อมือพาวิ่งไปที่ทางออก

มือที่จับข้อมือของมูคยอมอยู่แน่นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง แต่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ถึงจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ชีพจรที่เต้นเร็วและไม่คงที่ของฮาจุน เหมือนจะถูกส่งมาถึงมูคยอมผ่านฝ่ามือที่แนบติดอยู่กับข้อมือ

ฮ่าๆ

ถึงจะไม่ใช่เวลาที่ควรจะทำอะไรแบบนี้ แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ก็หลุดจากปากของมูคยอม เมื่ออยู่ในห้องประชุมที่ขมุกขมัวไปด้วยกลุ่มควัน ไม่ว่าใครก็คงจะรีบหนีออกมาก่อนเพราะทางออกที่แคบ แต่เมื่อได้เห็นชายที่สูงน้อยกว่าตนประมาณครึ่งคืบมาคว้าข้อมือจนแน่นเหมือนกับว่าตามหากัน และกำลังแหวกฝูงคนเดินนำเขาอยู่ในตอนนี้

ขณะที่ลิ้มรสได้ถึงความเบิกบานใจที่ตีนำความกังวลหรือกระวนกระวายใจที่ควรจะมีในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ มูคยอมก็ปล่อยข้อมือของตัวเองให้อีกฝ่ายจับกุมอย่างสงบเสงี่ยม และเดินตามหลังฮาจุนไป ถ้าออกไปได้อย่างปลอดภัย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องตอบแทนให้สาสมกับที่มาช่วยชีวิตกันไว้แล้ว

สถานที่ค่อนข้างวุ่นวายเพราะอยู่ๆ ก็มีคนมารวมตัวกัน แต่ถึงอย่างนั้นคนในหอประชุมก็ไม่ได้มีจำนวนมากจนทำให้การออกจากตัวอาคารเป็นเรื่องยาก เมื่อหลุดจากอาคารที่มีกลุ่มควันรั่วไหลออกมาทางหน้าต่าง มูคยอมก็เห็นจองคยูกับแชฮุนยืนอยู่บริเวณปากทางเข้าที่ห่างออกไปเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกสองคน จองคยูก็ตะโกนเรียกชื่อทั้งคู่ออกมา “ฮาจุน! มูคยอม!”

“พวกนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไม่สิ อยู่ๆ ก็หายไปพักหนึ่งเลย ฉันนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นซะแล้ว!”

“ฉันไม่เป็นไร ปลอดภัยดี”

มูคยอมตอบกลับไปอย่างสบายๆ และในตอนนั้นเองเขาถึงรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าบริเวณข้อมือ มูคยอมมองลงไปที่ข้อมือที่ถูกจับไว้แน่นเป็นเวลานาน อาจเป็นเพราะใช้แรงกำที่แน่น แม้ผิวของเขาจะไหม้แดด แต่กลับทิ้งรอยเอาไว้อย่างชัดเจน จองคยูเดินเข้ามาใกล้และโน้มตัวลง ก่อนเริ่มสำรวจฮาจุนเป็นคนแรก

“ฮาจุน ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“อื้อ ฉันไม่เป็นไร ออกมาได้พอดีเลย”

“ไฟไม่ได้ไหม้นะ แต่ไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น ควันเลยฟุ้งขนาดนั้น”

“อย่างนี้สินะ โล่งอกไปที”

ทันใดนั้นแชฮุนก็เดินเข้ามาใกล้ทั้งสามคน

“สภาพตึกเป็นแบบนี้ เขาเลยบอกว่าจะหากำหนดการของการนำเสนอที่เหลือให้อีกครั้ง ยังไงตอนนี้ก็แยกย้ายกลับกันก่อนดีกว่า ฮาจุน ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ครับ ขอบคุณนะครับพี่”

สถานการณ์แบบนี้คืออะไร มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วรีบยกแขนขึ้นพาดไหล่ฮาจุนที่ตอบรับแชฮุนไปอย่างสุภาพ

“อีฮาจุน วันนี้นายมีนัดกับฉันนี่”

“อ่า…”

ฮาจุนเบิกตาโตก่อนหันไปมองมูคยอมพลางส่งเสียงออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ท่าทางที่เหมือนจะลืมสนิทจริงๆ ทำเอามูคยอมรู้สึกเสียหน้านิดๆ แต่ในตอนนี้จองคยูกับแชฮุนกำลังมองอยู่ มูคยอมจึงพยายามรักษาท่าทีของตัวเองให้นิ่งไว้

ฮาจุนยกคอที่ตกขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับแชฮุน

“นั่นสิ พี่ครับ เดี๋ยววันนี้ผมไปกับคิมมูคยอมนะครับ”

“นัดเหรอ พวกนายไปนัดอะไรกัน นี่จะไปดื่มกันสองคนแล้วไม่ชวนฉันเหรอ”

จองคยูโอดครวญออกมาอย่างเศร้าโศก เพราะแบบนี้ไงมูคยอมเลยไม่อยากให้จองคยูจับได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในวันนี้ก็คงจะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ มูคยอมปั้นหน้าขรึม เดินเข้าไปใกล้จองคยู แล้วกดเสียงต่ำ

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ไว้เดี๋ยวฉันบอก เรื่องเหล้าค่อยไปดื่มด้วยกันสามคนคราวหน้าก็ได้”

ทันทีที่ทำขรึมพูดออกไป จองคยูก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ ก่อนจะปิดปากฉับ อาจเพราะคิดว่าเป็นสถานการณ์ที่ตนไม่สามารถจะพูดอะไรได้ ซึ่งเป็นไปตามที่มูคยอมคาดไว้ “ไปกันเถอะ” มูคยอมหันไปกระซิบกับฮาจุน ก่อนหมุนตัวขณะใช้มือโอบไหล่คนข้างๆ ไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นก็ ลาก่อนนะครับ”

มูคยอมผงกศีรษะน้อยๆ บอกลาแชฮุน อีกฝ่ายยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย อาจเพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับคำทักทาย

มูคยอมเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้ฮาจุนขึ้นไปบนรถ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ แม้จะขึ้นมาอยู่บนรถเป็นที่เรียบร้อย แต่ฮาจุนก็ยังคงนั่งนิ่งและไม่คิดจะคาดเข็มขัดนิรภัย

พอพามาจับนั่งดีๆ ถึงได้เห็นว่าใบหน้าของฮาจุนดูซีดเซียวเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แม้แต่สายตาก็ยังดูอ่อนแรงมาตั้งแต่เมื่อกี้ เพราะคิดว่าไฟไหม้จริงๆ ก็เลยตกใจมากเลยงั้นเหรอ ทันทีที่มูคยอมโน้มตัวไปทางที่นั่งข้างคนขับโดยไม่พูดไม่จา ฮาจุนถดตัวหนีด้วยความตื่นตกใจ

“ทำไมเหรอ”

“เปล่า แค่จะบอกให้คาดเข็มขัด”

“อ่า…”

มูคยอมดึงสายเข็มขัดใส่เข้าล็อกจนตัวล็อกที่อยู่บริเวณเอวมีเสียงคลิกดัง จากนั้นฮาจุนก็เสยผมขึ้น

“ขอบใจนะ”

“นอนพักสักหน่อยสิ จากนี่ไปกว่าจะถึงก็น่าจะสัก 20 นาที”

แม้จะพยักหน้าตอบกลับมาแต่ฮาจุนก็ดูไม่มีทีท่าเหมือนคนที่อยากจะปิดตานอน จนเมื่อผ่านไปไม่กี่นาที มูคยอมถึงได้ยินเสียงตุ้บเมื่อมีบางอย่างที่กระทบกับหน้าต่างรถเบาๆ เมื่อเหลือบมองไปด้านข้างก็เห็นว่าตอนนี้หัวของฮาจุนกำลังพิงไปกับกระจกรถแล้ว

ระหว่างที่กำลังมองไปยังท้ายรถคันอื่นที่กำลังขับต่อกัน มูคยอมก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาหลายครั้งที่ฮาจุนขึ้นรถของเขา หมอนี่ไม่เคยง่วงเหงาหาวนอนแบบที่กำลังเอาหัวพิงกระจกเหมือนในตอนนี้มาก่อน

จะบอกว่าเป็นคนประเภทที่ไม่ง่วงหรือนอนบนรถไม่ได้หรือเปล่า แต่ฮาจุนก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นตอนขึ้นรถบัสของสโมสร แน่นอนว่ามันเป็นมารยาทที่จะไม่หลับเมื่อต้องนั่งอยู่ข้างคนขับ แต่นี่ก็ไม่ใช่การขับรถทางไกล จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องเข้มงวดขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่จะไปบอกคนที่ตั้งใจจะตื่นว่าขอให้หลับก็ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องน่าขำ มูคยอมจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรแล้วเบนความสนใจไปที่การขับรถ

***

เมื่อมาถึงบ้าน มูคยอมก็เดินตามหลังฮาจุนที่ถอดรองเท้าและขึ้นบ้านไปก่อน บ้านที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน อาจเพราะมีคนสองคนเข้ามา เขาถึงได้สัมผัสถึงความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมานิดๆ

แผ่นหลังเพรียวบางที่ดึงดูดสายตาของมูคยอมจากในรถตั้งแต่ก่อนที่ฮาจุนจะไปนำเสนอ เมื่อมาอยู่กันเพียงลำพังสองคน ในตอนนี้มันกำลังยั่วยวนมูคยอมเหมือนกับกวางที่รอเวลาถูกจับกิน เพราะที่ผ่านมาเขาเห็นฮาจุนแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดหรือชุดกีฬามาโดยตลอด ในวันนี้มันจึงให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ ช่างเป็นใบหน้าและเรือนร่างที่น่าเสียดายหากปล่อยให้ใส่เพียงชุดกีฬาไปเกลือกกลิ้งอยู่บนสนามหญ้าทุกวัน

ตั้งแต่เราเริ่มความสัมพันธ์นี้กันมา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่มูคยอมต้องหักห้ามใจ ความยั่วยวนนับไม่ถ้วนแสดงตัวออกมามากมายราวกับว่ารออยู่ ระหว่างที่เขาไปทัวร์ต่างประเทศ แต่ ‘ช่วงเวลาสักพักหนึ่ง‘ ที่กำหนดด้วยตัวเองนั้น มันยังไม่จบลง เขาจึงยังไม่อยากจะตอบสนองกลับไป

ระหว่างที่ออกทัวร์ แน่นอนว่ามูคยอมรอคอยสองสามวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยแววตาที่ร้อนแรงของเขาในตอนนี้ทำให้ฮาจุนดูเหมือนเหยื่อที่ถูกเตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

เมื่อมาถึงกลางห้องนั่งเล่นมูคยอมก็ดึงฮาจุนเข้าอ้อมกอดจากด้านหลัง แล้วฝังหน้าลงไปบนต้นคอของคนในวงแขน กลิ่นที่ได้สูดดมหลังผ่านไปเกือบ 15 วัน เหมือนฝนห่าใหญ่ที่ช่วยดับกระหายในตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะห่างหายไปนานหรือเปล่า ในวันนี้เขาถึงรู้สึกรุนแรงกว่าทุกที มูคยอมใช้ฟันขบกัดผิวบริเวณต้นคอที่ผิวลื่นมือและยืดหยุ่นเหมือนกำลังดูดเลือด

“ฮื้อ…”

เสียงหวานหูเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบาโดยไม่ต้องรีรอ

ความอดทนที่สุมกองไว้แตกเป็นเสี่ยงเหมือนชั้นดินที่สั่นไหว ความปรารถนาที่นิ่งสงบอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดเผยตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยสัมผัสจากมือ ริมฝีปาก และลมหายใจ มูคยอมบดขยี้มือลงบนเสื้อเชิ้ตใต้เสื้อชั้นนอกที่คลุมเอาไว้อย่างเรียบร้อย ขณะที่ส่งอีกมือลงไปใต้เนื้อผ้าอย่างหยาบคาย ร่างกายที่ถูกกักเกี่ยวอยู่ในอ้อมแขนกำลังสั่นไหว ฮาจุนยื่นมือออกไปด้านหลัง ยึดจับไปที่ต้นขาของมูคยอม

“อ๊ะ อ๊า”

มือที่ปัดผ่านทำเอาฮาจุนส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจมากกว่าที่จะรู้สึก มูคยอมดึงตัวอีกคนเรื่อยๆ จนพาเข้ามายืนอยู่ในห้องนอน ขณะที่กำลังคิดว่าจะผลักฮาจุนลงเตียง เขาก็เกิดเปลี่ยนความคิดขึ้นมา ก่อนจะดันร่างของฮาจุนให้กลับมาจ้องหน้ากัน

ฮาจุนที่ใจเต้นตึกตักถูกผลักไปหน้าโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหลัง เมื่อมูคยอมกดลงบนอก สะโพกของอีกคนก็วางแหมะลงบนขอบโต๊ะ

“ชุดที่นายใส่วันนี้ฉันว่ามันเหมาะที่จะอยู่บนโต๊ะมากกว่าบนเตียงนะ ว่าไหม”

บางครั้งฮาจุนมักจะกางสมุดโน้ตหรือวางแท็บเล็ตเอาไว้บนโต๊ะ แล้วทำงานที่ยังค้างอยู่ ทำๆ ไป ก็มานอนคว่ำอยู่บนเตียงและหลับไป ฮาจุนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าโต๊ะที่ซื้อมาจะถูกเอามาใช้แบบนี้

“โค้ชอี วันนี้นายมาช่วยชีวิตฉันด้วยนี่ ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจริงๆ นายจะต้องเป็นผู้มีพระคุณกับฉันแน่ๆ แบบนี้ก็ต้องให้รางวัลหน่อยแล้วสิ”

มือของมูคยอมที่ถอดเสื้อคลุมและโยนทิ้งไปก่อนหน้า เริ่มลูบคลำไปบริเวณยอดอกใต้เสื้อเชิ้ต หากมองด้วยตาคงไม่เห็นชัดอะไร แต่เมื่อใช้มือคลำลงไปก็จะสัมผัสได้ถึงตุ่มไตเล็กๆ ทันทีที่ลากมือผ่าน แล้วคว้าหมับราวต้องการรีดเค้น ฮาจุนก็แอ่นไหล่ขึ้นและพรั่งพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงครางอื้ออึงเบาๆ

มูคยอมปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างไม่รีบร้อน แม้ภายในใจจะรีบเร่งแค่ไหน แต่มันจะไปสนุกอะไรหากเขากระชากกระดุมออก หรือกวาดมือสะเปะสะปะไป ไหนๆ ก็ใส่เสื้อผ้าสวยๆ มาแล้ว ค่อยๆ ถอดกันไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร หลังจากได้เห็นมาหลายครั้งจนจำทรวดทรงของอีกคนได้ มูคยอมก็เริ่มวาดภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าที่แข็งแรงและเพรียวบางที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตขาวในหัว ก่อนขยับมือลูบไล้ไปอย่างอิสระ

เมื่อกระดุมเม็ดที่สี่ถูกปลดออก ผิวเนื้อใต้อกก็ปรากฏให้เห็น มือใหญ่ของมูคยอมหยุดปลดกระดุมและแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างเสื้อที่ถูกเปิดออก นิ้วโป้งบดขยี้ไปที่ยอดอก อีกสี่นิ้วที่เหลือแตะวางอย่างแผ่วเบาไปทั่วผิวรอบๆ ราวกับต้องการให้รู้สึกยุบยิบขึ้นมา

“ฮ อื้อ อื้อ…”

วันนี้ฮาจุนนิ่งเป็นพิเศษ มีแค่เสียงครางเบาๆ เท่านั้นที่ถูกเค้นให้ปล่อยออกมา ขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะกว้างฮาจุนก็ไม่ได้พูดคำที่มักหลุดออกมาอย่าง ‘อย่านะ’ ‘ฉันเสียว’ ‘ช้าหน่อยได้ไหม’ และทำเพียงรับมือกับสัมผัสจากมือที่ปัดป่ายของมูคยอมอย่างนิ่งสงบ ก็น่ารักดีที่ได้เห็นอีกคนพยายามจะไม่หลุดส่งเสียงเหล่านั้นออกมา ทั้งที่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็จะพูดมันออกมาทั้งหมดอยู่ดี แต่การที่ดูว่านอนสอนง่ายแบบในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว

มูคยอมค่อยๆ โน้มตัวและเทน้ำหนักลงไป ฮาจุนที่นั่งอยู่ในทีแรกจึงต้องเอนตัวไปด้านหลังและแผ่ตัวลงนอนลงบนโต๊ะ ทันทีที่มูคยอมใช้มือลากไล้ยาวลงไปตั้งแต่ปลายคางไปจนถึงช่วงอกที่โผล่พ้นสาบเสื้อ เสียงครวญครางก็เล็ดลอดออกมาตามสัมผัสจากมือ

“ฮ้า อ๊า”

แม้จะมีลมหายใจออกมาจากปากที่เปิดออก แต่ใบหน้าที่ซีดเซียวยังคงดูเหม่อลอยราวกับว่าถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด หลังจากปลดกระดุมเพิ่มอีกสองเม็ด มูคยอมก็ก้มมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้มือข้างหนึ่งคว้าเนกไทที่ตนเป็นคนผูกให้กับมือ แล้วดึงเข้าหาตัว

ฮาจุนมั่นใจกับความสามารถในการรวบรวมและสรุปผลข้อมูลที่จำเป็นของตัวเอง แต่ในชีวิตปกติเขาไม่ใช่พวกที่จัดการอะไรได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก เพราะแบบนี้โต๊ะของเขาจึงเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ ฮาจุนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าท่ามกลางของเหล่านั้น ของชิ้นไหนสำคัญหรือของชิ้นไหนสามารถโยนทิ้งได้ เป็นเหตุให้เขาไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นมาช่วยจัดโต๊ะให้ได้

ด้วยความที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ จึงไม่เคยรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องจัดการกับมัน แต่ในวันนี้ฮาจุนกลับรู้สึกไม่อยากมองไปที่โต๊ะของตัวเอง เพราะดูเหมือนว่าบนโต๊ะที่รกรุงรังและเต็มไปด้วยของซึ่งวางอย่างไม่เป็นระเบียบนั้น กำลังเผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ที่ชื่อว่าอีฮาจุน

แทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ ฮาจุนเลือกที่จะนั่งลงบนเตียงนอน แล้วเริ่มเปิดดูถุงเสื้อผ้า มันดูหรูหราตั้งแต่หีบห่อที่ใช้บรรจุ เมื่อหนึ่งในกล่องทรงยาวสีน้ำเงินถูกเปิดออก ก็พบกับเนกไทสีม่วงอ่อนที่อยู่ภายใน เป็นเนกไทเส้นที่มูคยอมหยิบขึ้นมาทาบกับหน้าของเขา และตั้งใจเลือกสีมาอย่างจริงจัง

ฮาจุนลองนับกล่องที่อยู่ภายในถุง เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะต้องใส่สูทกี่ครั้ง แต่แค่เนกไทที่ซื้อมาในวันนี้ก็มีถึง 8 เส้นเลยทีเดียว เมื่อหยิบออกมาดู สัมผัสของมันทั้งนุ่มและลื่นมือเสียจนพาลทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ผิวสัมผัสของผ้าไหมเหมือนกับเม็ดทรายที่แทรกตัวไปตามช่องนิ้ว

นี่คือของที่คิมมูคยอมให้กับอีฮาจุนจริงๆ ไม่ใช่ของที่มูคยอมฝากไปให้คนอื่น และไม่ใช่การมาหาในตอนที่เมาไม่ได้สติด้วย

ไหนจะที่เอาเนกไทมาทาบกับหน้าของฮาจุนทีละเส้น เป็นของที่คิมมูคยอมเป็นเลือกด้วยตัวเองจริงๆ

‘อยู่ในความสัมพันธ์แบบมีเซ็กส์กัน จะรับอะไรแบบนี้ไม่ได้เลยเหรอ’

เรื่องนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

แล้วปกติคนที่แค่มีเซ็กส์กัน เขาได้รับอะไรแบบนี้ไหมนะ

เราแค่มีเซ็กส์กัน ก็ไม่ควรจะรับอะไรมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ

แล้วมันควรจะเป็นยังไงล่ะ ตุ๊กตารับได้ แต่เสื้อรับไม่ได้เหรอ เพราะมันแพงใช่ไหม

“…ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

มันไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามวิเคราะห์การกระทำของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มักทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นเร็วเกินไป หรือเพราะของพวกนั้นราคาแพงเกินไป เขาถึงรู้สึกว่าทุกอย่างดูไม่สมจริงเลยสักนิด

ฮาจุนเอนตัวนอนลงบนเตียง หยิบเนกไทหนึ่งเส้นขึ้นวางเหนือสายตา มีบางอย่างจากด้านหลังกระทบเข้ามาแยงตาเขา มันคือแสงจากหลอดไฟที่แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างเนกไทกับสันจมูก เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฮาจุนรู้สึกว้าวุ่นใจขนาดนี้หลังได้รับของขวัญ

***

หลายๆ คนก็อาจจะเป็นเหมือนเขา ตอนเด็กๆ ฮาจุนเองก็เป็นเด็กที่ชอบการได้ไปยืนอยู่หน้าผู้คน และทำได้ดีเมื่อต้องออกไปนำเสนอผลงาน เขายังเคยได้เป็นหัวหน้าห้องถึงช่วง ป.3 ป.4 อีกด้วย

แต่ไม่รู้เพราะการศึกษาที่ถูกยัดใส่หัวหรือเพราะอะไร จากเด็กที่เคยเป็นเช่นนั้น กลับค่อยๆ กลายเป็นเด็กที่ไม่ยกมือขึ้น แม้ครูจะมองหา และเริ่มหาหนทางหลบเลี่ยงการออกไปยืนหน้าห้อง ซึ่งนั่นพอดีกับช่วงที่พ่อของฮาจุนได้จากโลกนี้ไป เป็นช่วงที่สภาพแวดล้อมภายในบ้านของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นจึงมีเรื่องให้เขาได้คิดวุ่นวายเพิ่มขึ้น

พอบอกว่าต้องใส่สูทราคาแพงความมั่นใจของฮาจุนก็หดหายไปโดยอัตโนมัติ แค่ได้รับคำเชิญให้ไปยังสถานที่ที่เกินตัว ทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานยาวนานและไม่มีผลงานที่โดดเด่น ก็พาลทำให้ความวุ่นวายใจตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอแล้ว แน่นอนว่าทางฝั่งสมาคมวิชาการก็คงจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการที่เรียกเขาไป ฮาจุนรู้ดีว่ามันคืองานที่จัดขึ้นเพื่อมอบไมตรีจิตให้กับโค้ชอายุน้อยที่เคยเป็นนักกีฬาทีมชาติมาก่อน แต่พอคิดว่ามันเป็นงานระดับนั้น เขาก็ไม่อยากจะโชว์ภาพลักษณ์ธรรมดาๆ ออกไป ตั้งแต่ตอบรับคำเชิญที่ถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว ฮาจุนก็รู้สึกเสียใจอยู่ทุกวันที่ตัดสินใจไปแบบนั้น เอาแต่จัดทำข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรวจเช็กความถูกต้อง แล้วก็ซ้อมนำเสนอวนไปเรื่อยๆ

ฮาจุนมาถึงสถานที่จัดงานเร็วกว่าเวลาที่ควรเล็กน้อย เขายืนมองซ้ายมองขวาอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าอยู่สักพัก ก่อนจะเห็นรถที่คุ้นตาหนึ่งคันแล่นไปจอดสนิทอยู่บริเวณลานจอดรถ ชายหนุ่มที่บอกว่าให้มาเจอกันก่อนเข้างาน 10 นาที เพราะจะผูกเนกไทให้ เดินทางมาถึงเป็นที่เรียบร้อย ฮาจุนรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะมีใครเห็น และขึ้นไปจับจองที่นั่งข้างคนขับ

“ว่าไง”

ทันทีที่เอ่ยทักทายและหันไปสบตา ก็เห็นว่ามูคยอมกำลังยิ้มอยู่ก่อนแล้ว

“โค้ชอี หล่อเชียวนะวันนี้ คนที่มางานคงจะตกหลุมรักนายกันหมดแน่เลย”

“อย่ามัวแต่เล่นสิ มาผูกให้เร็วๆ เลย”

ฮาจุนยื่นกล่องเนกไทให้คนตรงหน้าด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ การที่ไม่ใส่เนกไททั้งๆ ที่สวมสูทราคาแพงอยู่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนแต่งตัวไม่เรียบร้อยจนวุ่นวายใจมากกว่าเดิมมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปกติเขาก็แต่งตัวสบายๆ มาตลอด เลยไม่ต้องมาใส่ใจกับอะไรแบบนี้ แต่วันนี้มันต่างออกไป เพราะความกังวลเกี่ยวกับการนำเสนอ แค่เรื่องเล็กๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจใหญ่โตได้

“เข้ามาใกล้ๆ นี่”

มูคยอมที่หยิบเนกไทสีน้ำเงินเนวีออกมาถือโน้มตัวไปด้านข้างพลางชี้นิ้วประกอบคำพูด ฮาจุนเองก็โน้มตัวไปทางฝั่งคนขับ

มือของมูคยอมอ้อมไปที่ปกเสื้อเชิ้ตด้านหลัง พาดไปปล่อยชายเนกไทให้ห้อยมาตกลงที่ด้านหน้า ดึงเนกไทซ้ายทีขวาที ปรับความยาวทั้งสองข้างให้เท่ากัน ก่อนที่เรียวนิ้วยาวจะเริ่มขยับฉึบฉับโชว์ฝีมือผูกเนกไท

สายตาของอีกคนไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของฮาจุน แต่กำลังมองไปที่ช่วงลำคอ เมื่อลากสายตามองลงไป ก็พบกับเปลือกตาที่เหมือนใบมีดคม และแพขนตาที่เหมือนกับผืนม่านปกคลุมอยู่เหนือดวงตา ทำให้ภาพที่เห็นช่างดูอ่อนโยน และในตอนนี้ฮาจุนสามารถที่จะมองดูใบหน้าของมูคยอมได้อย่างเต็มที่ตามใจต้องการ

หลังจากที่ขยับปลายเนกไทไปมาโดยไม่พูดไม่จาอยู่สักพัก มูคยอมก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงบางเบาขณะที่กำลังเริ่มผูกปม

“เวลาที่ผูกเนกไทส่วนนี้ที่สำคัญที่สุด ปมจะต้องอยู่ข้างล่างพอดี บางคนจะปล่อยให้มันลงมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งมันไม่ถูก”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ข้างล่างใบหน้าของตัวเองได้ ทว่าเขาก็ชอบที่เมื่อมองลงไปแล้วเห็นมูคยอมกำลังอธิบายอยู่ ฮาจุนส่งเสียง อื้อ สั้นๆ พลางพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“นายต้องจับรอยพับให้เป็นแบบนี้ มันเป็นสูทสองกระดุม ติดแค่เม็ดตรงกลางก็พอ”

ฮาจุนเองก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ก็พยักหน้าเบาๆ กลับไปอีกครั้ง มูคยอมมองที่คอของฮาจุน พลางขยับปมเนกไทให้แน่นขึ้น ฮาจุนสัมผัสได้ถึงแรงรัดเบาๆ ใต้ปกเสื้อเชิ้ต และในตอนนั้นเองมูคยอมก็ส่งสายตาขึ้นมามองกันก่อนถามขึ้น

“ไม่แน่นไปใช่ไหม”

“อื้อ ขอบใจนะ”

มันจะดูเวอร์ไปไหม หากบอกว่าเขานึกถึงมูคยอมที่ผูกเชือกรองเท้าให้ เมื่อตอนอายุ 16 ตอนนี้กองข้อมูลการนำเสนอที่ถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบภายในหัวกำลังล้มครืนลงมาจนเละเทะ เหมือนกับว่าเขาพลาดทำกล่องความทรงจำของตัวเขาเองหกทะลักออกมา

อาการใจเต้นเมื่อตกหลุมรักคนที่เป็นรักแรก และความกระวนกระวายใจกับการนำเสนอที่ใกล้จะมาถึง กำลังผสมปนเปกัน จนฮาจุนรู้สึกวิงเวียนตั้งแต่เริ่ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต้องการอากาศสดชื่น

“ตอนนี้ฉันลงไปได้หรือยัง”

“อากาศก็ร้อน นายจะรีบใส่ชุดนั้นออกไปทำไมกัน”

ฮาจุนคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ถูก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนมองตรงไปด้านหน้า มูคยอมที่เห็นฮาจุนเป็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

“ตื่นเต้นหรือไง”

“…นิดหน่อย”

“เอามือมา”

มูคยอมพูดขึ้นพร้อมยื่นมือขวาของตัวเองออกมา ฮาจุนสองจิตสองใจก่อนยื่นมือซ้ายที่อยู่ใกล้ฝั่งคนขับวางลงไปบนฝ่ามือนั้น

มูคยอมจับมือนั้นไว้และกดลงบนปลายนิ้ว ฮาจุนอ้าปากมองมูคยอมที่กำลังกดผ่านนิ้วโป้ง นิ้วชี้ ไปจนถึงนิ้วกลาง ก่อนที่ฮาจุนจะได้ถามอะไรออกไป มูคยอมก็เป็นฝ่ายอธิบายขึ้นมาก่อน

“แม่สอนฉันมาตอนเด็กๆ น่ะ มันช่วยได้นะเวลาที่ไม่สบายใจ”

“…”

คำว่า ‘แม่’ ที่ออกมาจากปากมูคยอมฟังดูไม่คุ้นหูเท่าไหร่

เท่าที่ฮาจุนรู้ มูคยอมสูญเสียพ่อแม่ไปตอนที่อายุประมาณ 11 ปี เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างเร็วกว่าที่ฮาจุนต้องจากกับพ่อ เขารู้มาว่าพ่อและแม่ของมูคยอมจากโลกนี้ไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุ เพราะไม่มีญาติสนิทที่ไหน มูคยอมจึงถูกนำไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ณ ที่นั่น ‘สมัยเป็นเด็กอันธพาล’ ของมูคยอมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เหมือนมูคยอมจะเคยพูดออกมาเองว่าเพราะ ‘พฤติกรรมไร้สาระเล็กน้อย’ เจ้าตัวถึงได้มีโอกาสเข้าออกโรงพักอยู่สองครั้งสองครา

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นตัวปัญหา แต่ช่วงนั้นมูคยอมก็เริ่มมีฝีเท้าที่ว่องไวและเล่นฟุตบอลได้อย่างเก่งกาจ เด็กคนอื่นต่างก็กลัวเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแข่งฟุตบอลระหว่างห้อง พวกเขากลับวิ่งโร่เข้ามาขอให้มูคยอมไปช่วยเล่นให้ เพราะรับรู้ถึงความสามารถของหมอนี่

อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่าคนแรกที่มองเห็นพรสวรรค์ที่มูคยอมมีติดตัว นั่นก็คือผู้จัดการทีมพัคจุนซอง หลังได้รับการชี้นำจากผู้จัดการทีมพัคที่ได้พบกันในโรงเรียนมัธยมต้น มูคยอมก็ได้เริ่มต้นก้าวแรกบนสนามฟุตบอลราวกับเป็นพรหมลิขิต จากที่ฮาจุนเคยได้อ่านและฟังมาหลายครั้งหลายหน เป็นความจริงที่ว่าจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์อะไรหรือไปออกรายการที่ไหน มูคยอมจะพูดเรื่องของผู้จัดการทีมพัคขึ้นมาเสมอเมื่อมีโอกาส

เอาจริงๆ แล้วหากมองแค่จุดเริ่มต้น เรื่องราวของฮาจุนและมูคยอมก็ไม่ได้ต่างกันมากมายเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าแค่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเป็นผู้ชนะที่โดดเด่นได้ มีคนมากมายนับไม่ถ้วนเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ทว่าแต่ละคนต่างก็ต้องผ่านเส้นทาง พบวิกฤต หรือแม้แต่มีจุดสูงสุดของชีวิตที่แตกต่างกันไป และคนที่จะมีตอนจบที่ ‘ทำฝันสำเร็จได้’ ก็มีจำนวนแค่พอจะใช้นิ้วนับได้เท่านั้น

มูคยอมคือหนึ่งในคนจำนวนน้อยนั้นที่สามารถยกนิ้วนับได้ เมื่อหาจุดที่เหมาะกับตัวเองเจอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปล่อยตัวเองให้กลับไปต่อยตีหรือทำตัวเป็นหัวขโมยอีก และเมื่อเวลาผ่านไปมูคยอมก็ได้กลายเป็นผู้ชนะที่เปล่งประกายที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก

ก่อนนี้อีฮาจุนเคยคิดว่าไม่มีทางที่ชั่วชีวิตนี้เขาจะสามารถมายืนขนาบข้างดวงดาวที่เปล่งประกายนั้นได้ แต่ในตอนนี้ฮาจุนกำลังถูกดาวดวงนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ จับมือ แม้จะไปไม่ถึงถึงชัยชนะ แต่เขาสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าพัฒนาการที่ก้าวกระโดดได้ไหมนะ

ฮาจุนไม่รู้ว่าแม่ของมูคยอมเป็นคนแบบไหน แต่เมื่อได้เห็นความคิดถึงที่ลอยจางๆ ใต้แพขนตาของมูคยอมที่มองลงไปยังมือของเขา ใจที่เคยหวั่นกลัวของฮาจุนก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

ชายที่เชื่อมั่นในตนเองสูงและชอบทะนงตัว ช่างน่าสงสัยว่าจะมีสักเสี้ยวของส่วนที่นุ่มนวลและเปราะบางอยู่ตรงไหนสักแห่งในร่างกายที่แข็งแรงนี้ไหม แค่ชายที่มักจะมองเขาจากกลางกระหม่อมและบีบคลายเขาไว้ในกำมือเสมอได้เผยเศษเสี้ยวในอดีตที่เหมือนกับเนื้อหนังใต้ร่มผ้าให้เห็นเพียงนิด น่าแปลกที่มันกลับทำให้ฮาจุนรู้สึกราวกับได้รับการปลอบโยน

เหตุผลที่มูคยอมยังคงจำเรื่องราวที่ได้ยินมาตอนอายุราวๆ 10 ขวบได้อยู่ คงเพราะบางครั้งมูคยอมเองก็เคยกดปลายนิ้วตัวเองแบบนี้หรือเปล่านะ เพราะมูคยอมก็คงจะมีช่วงเวลาที่กังวลและไม่สบายใจเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ”

ไม่รู้ว่าการกดจุดที่ปลายนิ้วช่วยได้จริงหรือเปล่า แต่ความรู้สึกไม่สบายใจที่เหมือนกับลูกบอลกระเด็นกระดอนไปมาในใจของเขาก่อนหน้านี้ได้สงบลงไปแล้ว มูคยอมปล่อยมือออกช้าๆ ระหว่างที่ขึ้นมาอยู่บนรถได้สักพัก ทางเข้างานที่เคยเงียบเหงาก็เริ่มมีคนหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้ฮาจุนจะต้องเข้าไปในงาน เขาจับที่เปิดประตูรถพร้อมบอกลามูคยอม

“ขอบใจนะ สำหรับหลายๆ อย่างเลย ฉันไปก่อนนะ เขาให้คนนำเสนอไปรวมตัวแยกอีกที่”

“อีฮาจุน”

“หืม?”

“หลังจบงานนายต้องไปบ้านฉัน วันนี้ฉันไม่ปล่อยนายกลับไปแบบไร้ร่องรอยแน่ๆ เตรียมใจไว้เลย”

คำพูดนั้นทำเอาฮาจุนถึงกับหลบตาเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาราวกับว่าเขินอาย แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าสองทีก่อนลงจากรถไป เมื่อนอกหน้าต่างรถสะท้อนภาพของคนที่ยืนอยู่อย่างเรียบร้อย มูคยอมก็หัวเราะออกมาโดยไร้สิ้นเสียงพลางคิดว่าตนนั้นเลือกชุดมาได้อย่างดีเลยจริงๆ

เพราะฟิล์มที่ปิดทับกระจกหน้าต่างอยู่ จากข้างนอกนั่นน่าจะมองมูคยอมเข้ามาได้ไม่ชัดนัก แต่ฮาจุนก็หันมาโบกมือให้ทางที่นั่งฝั่งคนขับ แล้วจึงขยับฝีเท้าออกไปอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นฮาจุนโบกมือมาให้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะความกังวลที่มี มูคยอมก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น โตแต่ตัวนี่นา มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองเจ้าหนูตัวน้อยไปโรงเรียนวันแรกเลยไม่ใช่เหรอ

แต่ฮาจุนก็ไม่เด็กเลยจริงๆ ร่างกายด้านหลังที่คลุมทับด้วยสูทพอดีตัวนั่น ทำให้คนมองเพลิดเพลินสายตาไม่น้อย หลังจากงานสัมมนาจบลง เขาจะพาฮาจุนกลับบ้านด้วยทันที เพราะยังไม่ได้ใส่ชุดนี้ทำอะไรเลยสักครั้ง มันเลยยังไม่ควรค่าพอที่จะเป็นของขวัญหรอกนะ เหตุผลที่เขาให้เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของขวัญ ก็เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะถอดมันทิ้งไม่ใช่เหรอ

ในตอนแรกมูคยอมคิดไว้ว่าจะสนุกไปกับวันหยุด ที่แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่สามสี่วัน แต่เพราะมัววุ่นวายช่วยฮาจุนเตรียมตัวสำหรับงานสัมมนา ช่วงเวลาวันหยุดสั้นๆ นั้นจึงได้หมดไปเป็นที่เรียบร้อย แม้จะยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนถึงการแข่งขันแรกในฤดูกาลครึ่งหลังของปี แต่การฝึกซ้อมจะเริ่มต้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ดังนั้นวันนี้เขาจึงไม่สามารถที่จะปล่อยฮาจุนไปได้เด็ดขาด ขณะที่ตั้งมั่นกับตัวเองอีกครั้ง มูคยอมก็ก้าวเท้าลงจากรถ และต่อสายหาจองคยู เพื่อบอกว่าตนเดินทางมาถึงที่หมายแล้ว

สถานที่จัดงานที่มูคยอมเดินเข้ามาพร้อมกับจองคยู ดูเรียบหรูและใหญ่กว่าที่คิดไว้ ทั้งยังมีคนมารวมตัวกันมากพอสมควร ในทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงงานสัมมนาเล็กๆ แต่เอาเข้าจริงมันดูเป็นทางการกว่านั้น มูคยอมเดินไปที่นั่งด้วยความรู้สึกเกินคาด

เมื่อมาถึงที่นั่งของตนหว่างคิ้วของมูคยอมก็ยับย่นขึ้นมา จุดที่คิดว่าจะมีแค่คนในทีมซิตี้โซลเท่านั้น กลับมีบุคคลที่นึกไม่ถึงนั่งอยู่

“สวัสดีครับพี่”

“ว่าไง”

มูคยอมเขม่นมองชายที่รับคำทักทายจากจองคยูเล็กน้อย และนั่งลงโดยไม่พูดอะไร เมื่อลองมาคิดดู ฮาจุนเคยบอกว่าเจ้าตัวเรียนมากับยุนแชฮุนและยังเตรียมตัวเข้าสู่วงการโค้ชมาด้วยกัน มันก็ไม่แปลกอะไรที่คนคนนี้จะมาอยู่ตรงนี้ อาจเพราะแชฮุนไม่ได้คาดหวังว่ามูคยอมจะทักทายตน หลังจากที่เอ่ยทักทายกับจองคยูเสร็จ จึงหันหน้ากลับไปด้วยความเย็นชา

ในขณะที่บอกอิมจองคยู บอกยุนแชฮุน แต่ไม่แม้แต่จะมากระซิบบอกเขาเพียงคนเดียว แบบนี้ใช่ไหม…

ความรู้สึกรังเกียจที่พุ่งสูง ทำให้มูคยอมเข่นเขี้ยวในใจ วันนี้ฮาจุนจะต้องใช้ร่างกายชำระค่าตอบแทนนี้ให้เขา มูคยอมกัดฟันกรอดอยู่ข้างใน แล้วนั่งกอดอกมองตรงไปด้านหน้า

แม้จะอยู่ในวงการเดียวกัน แต่มูคยอมกลับไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับทฤษฎีทางกีฬา ตอนที่อยู่ในทีมต้นสังกัดเดิมอย่างกรีนฟอร์ดก็เช่นกัน ในกลุ่มนักเตะที่ค่อนข้างมีอายุ พวกเขาบางคนก็ศึกษาด้านการโค้ช หลักการตลาดทางการกีฬา หรือวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเส้นทางอาชีพให้ตัวเองหลังออกจากการเป็นนักเตะ อย่างไรก็ตามนั่นยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับมูคยอม เขามองผ่านผู้นำเสนอคนอื่นๆ ที่เรียงกันมาตามลำดับด้วยความเบื่อหน่าย ขณะรอฮาจุน

‘ลำดับต่อไป โค้ชอีฮาจุนจากทีมซิตี้โซลจะมานำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับแนวโน้มของแรงจูงใจในกลุ่มนักเตะเยาวชนครับ’

หลังเสียงดังก้องของพิธีกร มูคยอมก็ปรับท่านั่งตั้งตัวตรง จากที่ได้ยินดูเหมือนว่าก่อนที่จะมาอยู่ทีมซิตี้โซล ฮาจุนน่าจะเคยอยู่ในทีมนักเตะเยาวชนมาก่อน

เนื่องจากเป็นการนำเสนอที่ต้องใช้สื่อเป็นจำนวนมาก ไฟในห้องประชุมจึงถูกปรับให้มืดลงเว้นไว้แต่บริเวณแท่นพูดที่ผู้นำเสนอยืนอยู่ เพราะยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าผู้เข้าฟัง ความกังวลของฮาจุนจึงเผยให้เห็นผ่านใบหน้าขาวที่กำลังก้มหัวโค้งทักทาย แต่ถึงอย่างนั้นหากมองด้วยสายตาของคนที่ไม่รู้จักสีหน้าเช่นนั้นก็ถือว่าดูดีเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ มูคยอมก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความพึงพอใจ

‘ผมผู้นำเสนออีฮาจุนครับ ขอบคุณที่เชิญคนที่ยังบกพร่องอย่างผมมาร่วมงานอันทรงเกียรตินี้นะครับ’

ฮาจุนกล่าวทักทายจบแค่นั้น และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในทันที

‘ข้อมูลที่ผมจะนำเสนอให้ทุกท่านดูเป็นข้อมูลที่รวบรวมจากประสบการณ์การเป็นโค้ชนักเตะเยาวชนเป็นเวลาราวๆ 2 ปีของผม เป็นการศึกษาที่มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์และค้นหาแนวทางรวมถึงรูปแบบการโค้ช หลังจากการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่าง ผมจะนำไปเทียบกับทีมนักเตะเยาวชนหลายทีมในต่างประเทศ และพิจารณาถึงจุดที่ต้องปรับปรุง ผมขอกล่าวให้ทุกท่านทราบล่วงหน้า ว่าในที่นี้ผมได้ใช้คุณลักษณะในการเรียนรู้ของนักเตะแต่ละคน เพศ และอายุเป็นปัจจัยในการพิจารณาครับ’

“ฉันคิดมานานแล้วว่านายน่าจะเหมาะกับงานที่ต้องใส่สูท”

“…”

“ฉันก็ต้องไปงานสัมมนานั้นเหมือนกัน ฉันจะเลือกชุดที่ฉันชอบให้นายใส่ ดังนั้นอยู่เงียบๆ แล้วรับไว้ซะ”

ไม่ทันได้ตอบอะไรพนักงานขายก็เดินกลับมา เธอเดินลากราวแขวนเสื้อติดล้อขนาดใหญ่มาตั้งตรงหน้า

“ฉันเลือกมาให้สองสามแบบ จะลองดูก่อนไหมคะ”

มูคยอมพยักหน้าพลางขยับเข้าไปใกล้ ก่อนใช้ปลายคางชี้ไปทางราวเสื้อบอกฮาจุนที่ยังคงยืนเหม่อเพราะไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร

“มาดูสิ”

ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความงุนงง ให้มาดูเสื้อที่ตนไม่เคยแม้แต่จะควักเงินซื้อ ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้เลยว่าสูทตัวไหนดีหรือตัวไหนดีกว่า ทว่าหากมองแค่เนื้อผ้า เขาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่านี่เป็นของที่มีราคาอย่างแน่นอน

เมื่อพูดถึงสูท หากไม่นับรวมสูทที่ฮาจุนต้องใส่ให้เข้ากลุ่มตอนที่อยู่ทีมตัวแทน ช่วงที่น่าจะได้รับข้อเสนอดีๆ ฮาจุนมีเพียงสูท 1 ตัวที่ตัวแทนบริษัทซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการอยู่ ณ ขณะนั้น ซื้อให้เป็นของขวัญแสดงความยินดี จากที่พูดมาก็ผ่านมาแล้วสองสามปีเห็นจะได้

มันคงดูหมองลงไปนิดหน่อยหากเอาออกมาใช้ในตอนนี้ แต่เพราะว่าเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้หยิบสูทขึ้นมาใส่เท่าไหร่ ก็เลยไม่มีความคิดว่าจะซื้อตัวใหม่อยู่แล้ว ด้วยหน้าที่การงานของฮาจุน จึงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องซื้อสูทใหม่ในทุกๆ ปี แล้วจากตอนนั้นรูปร่างของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย หากจำเป็นต้องใส่สูทจริงๆ เขาก็สามารถที่จะใส่ตัวที่มีอยู่ได้

“ตัวนี้เป็นไง”

หลังคำถามของมูคยอม พนักงานขายก็ชิงตอบขึ้นมาก่อนที่ฮาจุนจะได้เปิดปากพูด

“สูททรงมาตรฐานสองกระดุมแบบนี้ เหมาะสำหรับท่านที่มีรูปร่างดีไร้ที่ติและไม่จำเป็นต้องปกปิดส่วนใด ผ้าที่ใช้ผลิตในอิตาลีซึ่งทอจากขนแกะชั้นเยี่ยมจากออสเตรเลีย ด้วยสีที่ไม่ดำสนิท แต่เป็นสีเทาโทนเข้ม จึงทำให้ดูเป็นทางการ ในขณะเดียวกันก็ไม่ดูอึดอัดตาจนเกินไปด้วยนะคะ ทั้งโทนสียังเปลี่ยนไปตามแสงไฟได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงเป็นสูทที่สามารถสวมใส่ได้ไม่ว่าในโอกาสใดค่ะ”

เธอหันมายิ้มให้ฮาจุนหลังพูดจบ

“ต้องลองใส่ดูก่อนนะคะ เราจะได้ปรับทรงเสื้อให้ได้ คุณลูกค้าจะลองตัวนี้ก่อนไหมคะ”

ในทีแรกฮาจุนตั้งใจจะปฏิเสธไปว่าไม่เป็นอะไร แต่เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของพนักงานขาย ฮาจุนก็ใจอ่อนขึ้นมา ต่อหน้าคนที่กำลังตั้งใจทำงานแบบนี้ ฮาจุนไม่สามารถที่จะยืนหยัดพูดว่าเขาไม่ต้องการมัน หรือบอกว่าเขาสามารถใส่สูทตัวที่มีอยู่ได้ เพราะแบบนี้ฮาจุนจึงพยักหน้ากลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นพนักงานขายจึงเดินนำไปยังห้องลองเสื้อ

ห้องลองเสื้อที่นี่มีกระจกติดอยู่รอบด้าน ในห้องมีตั้งแต่แจกันที่ภายในมีดอกไม้สด ยันโซฟาตัวเล็กที่ตั้งอยู่ ความกว้างของมันเหมือนกับห้องพักเล็กๆ ห้องหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นห้องลองเสื้อในร้านค้า หลังจากสองจิตสองใจอยู่สักพัก เขาก็ถอดเสื้อยืดออก และเริ่มใส่เชิ้ตขาวสำหรับออกงานด้วยความกดดัน

ก่อนนี้ฮาจุนคิดว่าสูทเป็นชุดที่ใส่แล้วอึดอัด แต่เมื่อได้ใส่จริงๆ มันกลับรู้สึกสบายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหล่หรือขอบแขนเสื้อที่ตกลงมาอยู่เหนือข้อมือ มันดูต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่ใช่คนที่รู้ลึก แต่ก็สามารถรู้ได้เพียงมองครั้งเดียวว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ถูกสรรค์สร้างออกมาเป็นอย่างดี เมื่อสวมเสื้อเชิ้ต กางเกง เสื้อกั๊ก และเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จ เขาก็มองไปยังกระจก พูดตามตรงว่าแม้จะมองด้วยตาตัวเอง แต่เขารู้สึกว่ามันออกมาดูดีมาก ยิ่งเสยผมเผยให้เห็นหน้าผากทำให้เขาตะลึงกับภาพของตัวเองในเครื่องแต่งกายเนี้ยบเรียบร้อยที่ไม่ได้เห็นมานาน กว่าจะได้สติก็ตอนเสียงพนักงานขายดังขึ้น

“ให้ฉันเข้าไปช่วยใส่ไหมคะ”

“เอ่อ เรียบร้อยแล้วครับ”

ฮาจุนเปิดประตูเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ พนักงานขายที่ยืนรออยู่ด้านหน้าคลายปมคิ้วที่ขมวดอยู่ พร้อมเผยสีหน้าสดใสจากใจจริง เธอพูดขึ้นขณะช่วยจัดปกเสื้อเชิ้ตและปกสูท

“ชุดนี้เข้ากับคุณลูกค้าจริงๆ นะคะเนี่ย จะลองแบบอื่นด้วยไหมคะ ฉันว่าสีเทาที่สว่างกว่านี้ หรือโทนสีน้ำเงินก็น่าจะใส่ขึ้นนะคะ คุณลูกค้าน่าจะชอบเนื้อผ้าที่มีลายน้อยๆ”

มูคยอมค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายมองฮาจุนหัวจรดเท้า ไม่รู้ว่าเพราะพึงพอใจหรือเปล่า จึงได้เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา

“ไม่น่าจะต้องลองเพิ่มแล้วนะ ผมขอดูเนกไทหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้เลยค่ะ”

พนักงานขายรีบไปเอาแท่นโชว์เนกไทที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาให้ดู ก่อนหยิบเนกไทสองสามเส้นขึ้นมาสลับทาบข้างล่างใบหน้าของฮาจุน ทางด้านมูคยอมก็กำลังเลือกสีเนกไทด้วยใบหน้าที่จริงจังอยู่ไม่น้อย

ระหว่างนั้นฮาจุนทำได้เพียงแค่กำหมัดเบาๆ ด้วยความกระอักกระอ่วน เป็นความรู้สึกยุบยิบเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังคลานไปมาอยู่ในฝ่ามือ ทั้งๆ ที่ไม่มี

“เพราะว่าหน้าขาว สีแนวนี้ก็น่าจะเหมาะใช่ไหมครับ”

มูคยอมหยิบเนกไทสีส้มปะการังและสีม่วงอ่อนขึ้นมาและถามขึ้น ฮาจุนที่เหม่อไปพักหนึ่งเพราะตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง สะดุ้งตกใจขึ้นมาและตั้งใจจะตอบกลับไป แต่คำถามที่ต้องการคนเห็นด้วยนั้นถูกส่งให้พนักงานขายต่างหาก พนักงานขายตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่เลยค่ะ คุณลูกค้ามีสีผิวขาวสว่าง ทั้งยังเครื่องหน้าชัด เหมาะกับสีสดใสแบบนี้เลยค่ะ ด้วยตัวสูทที่มีสีเข้มก็พาให้บรรยากาศดูสุภาพลงบ้างแล้ว หากไม่ใช่งานที่จริงจังมากนัก ดิฉันว่าเนกไทสีสว่างก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยนะคะ แถมยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ไม่ค่อยจะหยิบเนกไทสีแบบนี้มาใส่ ดังนั้นดิฉันว่าเหมาะเลยค่ะ ถ้าช่วงนี้จะใส่บ่อยๆ สีเบอร์กันดีแบบนี้ก็น่าจะเข้ากับคุณลูกค้านะคะ”

ตอนนี้ฮาจุนเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกเอามาตั้งไว้ มูคยอมพูดคุยกับพนักงานขาย พลางเลือกเนกไทสองสามเส้นขึ้นมา และบอกให้เธอช่วยเอาไปใส่กล่องให้ ระหว่างที่พนักงานขายเดินถือแท่นโชว์เนกไทไปยังเคาน์เตอร์ มูคยอมก็พูดขึ้น

“บรรยากาศในสถานที่จัดงานน่าจะค่อนข้างสุภาพ นายก็ใส่เนกไทสีน้ำเงินเนวีล้วนเส้นเมื่อกี้ไปแล้วกัน ส่วนที่เหลือนายก็เอาไว้ใส่ตอนที่จำเป็น”

“เอาจริงๆ ฉันแทบจะไม่ต้องใส่สูทไปไหนเลยนะ มีเนกไทแค่เส้นเดียวก็พอแล้ว”

ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และมุ่งหน้าไปทางเคาน์เตอร์ ฮาจุนที่ตั้งใจว่าจะเดินตามไปถูกพนักงานขายคว้าตัวไว้ เธอบอกว่าเขาจำเป็นจะต้องวัดตัวอีกครั้งเพื่อไปปรับแก้ทรงเสื้อ พนักงานขายใช้สายวัดตัวทาบไปตามร่างกายแต่ละส่วนของฮาจุน พลางทำสัญลักษณ์ในจุดที่ต้องปรับแก้เอาไว้ ก่อนบอกให้ฮาจุนไปเปลี่ยนเสื้อ เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องลองชุดอีกครั้งด้วยสติที่หลงเหลืออยู่เพียงครึ่ง

เมื่อออกมาจากห้องลองชุด ก็เห็นว่ามูคยอมกำลังถือถุงเสื้อขณะดูของอย่างอื่นไปพลางๆ เหมือนระหว่างที่เขาไปเปลี่ยนเสื้อ ของทุกอย่างจะถูกจ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังมุ่งความสนใจไปกับการมองหาของ ฮาจุนก็ลดเสียงเบาลงก่อนหันไปถามพนักงานขาย

“ทั้งหมดเท่าไหร่เหรอครับ?”

“ทั้งหมดนี่ชำระเงินเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ครับ คือผมแค่อยากจะรู้ราคา…”

“อ่า”

พนักงานขายยิ้มออกมาพร้อมยื่นใบเสร็จรับเงินให้ดู ขณะที่เขากำลังมองตัวเลขบนใบเสร็จด้วยความตกตะลึง มูคยอมก็ส่งเสียงขึ้นมาราวกับว่าลืมอะไรบางอย่าง

“ลองมาคิดดู นายยังไม่ได้หารองเท้าเลยนี่”

“ต้องการรองเท้าด้วยเหรอคะ”

คล้อยหลังคำถามของพนักงานขาย ฮาจุนตอบปฏิเสธออกไปอย่างไม่ลังเล

“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ”

เขาคว้าแขนของมูคยอมที่เดินเข้ามาใกล้

“ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาแล้ว ไปกันเถอะ”

“ต้องซื้อรองเท้าด้วยสิ”

“ฉันใส่คู่ที่มีอยู่ก็ได้ ยังไงก็ต้องไปยืนหลังแท่นพูดอยู่แล้ว คงเห็นตรงเท้าไม่ชัดหรอก”

จะซื้ออะไรอีกไม่ได้ แค่ราคาบนใบเสร็จเมื่อกี้ก็ทำเอาเขาหน้ามืดตัวเบาหวิวเหมือนคนเป็นโรคเลือดจางแล้ว ในระยะเวลาเพียงน้อยนิดหลังจากที่มูคยอมเดินเข้าร้านเสื้อ หมอนี่ใช้เงินไปเกือบจะเท่ารายได้ครึ่งปีของเขาเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าฮาจุนเองก็เคยเป็นนักเตะอาชีพอยู่ช่วงหนึ่ง เงินที่เขาได้รับนั้นมากกว่าพนักงานออฟฟิศทั่วไป ยิ่งในช่วงขาขึ้นเขาก็เคยได้ข้อเสนอเป็นสัญญาหลายร้อยล้าน แต่ของราคาขนาดนี้มันไม่คู่ควรกับตัวเขาในตอนนี้เลย

การจับจ่ายที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาฮาจุนมึนงงจนพูดไม่เป็นคำ และได้เสื้อผ้ามา เพราะว่าไม่อยากจะให้หนี้บานปลายไปมากกว่านี้ ฮาจุนจึงลากอีกฝ่ายออกมาจากร้าน ทันทีที่ขึ้นรถมูคยอมก็เผยสีหน้าที่แสดงถึงความเสียดายออกมา

“ถ้าฉันบอกว่าจะซื้อให้ นายก็ควรจะซื้อสักคู่สิ”

ฮาจุนหันใบหน้าซีดเผือดไปทางมูคยอม แม้ท่าทีของเขาจะห่างไกลจากการแสดงออกของคนที่ได้รับของขวัญอยู่มาก แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่พูดไม่ได้

“แต่มันแพงเกินไป”

“พวกที่ขายถูกๆ มันเป็นสูทสำเร็จรูปไง ถ้ามีเวลา ฉันจะพานายไปสั่งตัดสูทใหม่ด้วยซ้ำ”

“แล้วมันมีความจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องใส่สูทตัวละหลายสิบล้านวอนด้วย”

“ถ้าสั่งตัดแบบพอดีตัว ราคามากกว่านั้นสามเท่าเลยนะ”

มูคยอมทำเพียงแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ

“ถ้านายบอกว่ามันแพงแล้วยังไง จะให้ฉันเอาของที่ซื้อแล้วไปขอคืนเงินเหรอ เห็นไม่พูดอะไรจนถึงตอนคิดเงินแท้ๆ แล้วจะมาโวยวายอะไรตอนนี้ ฉันทำอะไรแบบนั้นให้ไม่ได้หรอกนะ จะทำอะไรกับมันนายก็จัดการเองแล้วกัน”

“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่…”

ขณะที่เตรียมตัวสำหรับงานสัมมนาอยู่ จู่ๆ มูคยอมก็ชวนให้ออกมาเจอกันหน่อย ฮาจุนออกมาด้วยความสบายใจเพราะมูคยอมบอกว่าใช้เวลาไม่นาน ไม่สิ เขาพยายามที่จะออกมาด้วยใจที่สบายต่างหาก

‘ใช้เวลาไม่นาน’ ในคำพูดนั้นมีทางแยกอยู่สองทาง คือเซ็กส์แบบฉับพลัน หรือกิจกรรมอะไรสักอย่างที่จะเกิดขึ้นแบบกะทันหัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือทางแยกที่สอง มันน่าตกใจพอๆ กับครั้งก่อน เพราะวันนี้มูคยอมไม่ได้เมามายแต่อย่างใด ฮาจุนปล่อยใจตามไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แล้วทำไมต้องไป คิดซะว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จนสุดท้ายก็ได้รับของที่ราคาเกินตัวมาแบบนี้

“รู้เรื่องอื้อฉาวไร้สาระของฉันขนาดนั้น แต่ไม่รู้หรือไงว่าฉันได้เงินค่าตัวเท่าไหร่? แปลกตรงไหนที่ฉันจะซื้ออะไรแบบนี้”

เมื่อเห็นมูคยอมบ่นอุบออกมาราวกับว่ากำลังอารมณ์เสีย แม้จะช้าไปสักหน่อยแต่ฮาจุนก็ดึงสติของตัวเองกลับมา ก่อนเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย

“ขอบใจนะ มันแค่..กะทันหันไปหน่อย ฉันก็เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้”

“ถ้าเป็นอิมจองคยู หมอนั่นคงจะดีอกดีใจแล้วรับของไว้ แถมบอกชอบใจที่มีเพื่อนเงินเยอะแบบนี้”

“…”

“แต่นี่เพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นถึงคนที่มีเซ็กส์ด้วยกัน แค่ของแบบนี้จะรับไม่ได้เลยเหรอ”

ฮาจุนกำลังสับสน มันไม่ง่ายเลยในการตัดสินใจว่าควรจะตอบกลับอีกฝ่ายว่าอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เขาควรจะตอบกลับไปว่าดีใจ หรือควรจะบอกว่าเสียใจ เขาควรจะโมโห หรือทำแค่หัวเราะแล้วปล่อยผ่านไป เมื่อไหร่ก็ตามที่โดนมูคยอมปั่นหัว เขาก็จะกลายเป็นคนโง่ที่ไม่สามารถเลือกอะไรได้ แม้จะเป็นตัวเลือกที่ง่ายสักแค่ไหนก็ตาม บางครั้งเขาก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่คืออะไร

กระดานวงล้อรูเล็ตกำลังหมุนติ้วด้วยความรวดเร็ว สีสันหลากหลายบนนั้นผสมรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว และฮาจุนต้องเลือกคำตอบที่ถูกต้องจากวงล้อนั้น แต่ในตอนนี้เขากลับไม่มั่นใจเลยสักนิด ดังนั้นฮาจุนจึงเลือกตอบสิ่งเขาคิดว่าเป็นคำตอบพื้นฐานที่สุดออกไป

“ฉันขอโทษ”

และต่อด้วยอีกหนึ่งคำ

“แล้วก็ขอบใจนะ”

เมื่อพูดจบ มูคยอมก็มองฮาจุนด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดคำตอบที่ผิด มูคยอมติดเครื่องยนต์ แล้วหมุนพวงมาลัย ขยับรถออกไปพลางเปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเสียดายเหมือนเมื่อตอนพูดเรื่องรองเท้า

“เห็นนายดูยุ่ง วันนี้ก็กลับไปพักเถอะ ไว้เดี๋ยวหลังจบงานสัมมนา นายจะต้องมาตอบแทนฉันที่เมื่อวันนั้นหนีกันไป”

“วันก่อนนั้นก็ทำไปแล้วแท้ๆ แต่นายยังจะทำต่ออีกนี่”

“ถ้าอย่างนั้นที่สัญญาไว้ก็ถือว่าหายกันหรือไง”

“นายนี่เอาแต่ใจอีกแล้วนะ”

มูคยอมใช้ปลายคางชี้ไปทางถุงเสื้อผ้าก่อนพูดขึ้น

“ถือไปให้ดีด้วยละ อย่าลงไปแต่ตัวแล้ววางทิ้งไว้”

ฮาจุนหยิบถุงเสื้อผ้าขึ้นมากอด แล้วมองเข้าไปด้านใน ข้างในนั้นมีกล่องเนกไทสองสามกล่องที่ถูกห่อเอาไว้ เขาได้รับมันมาอย่างไม่คาดคิดก็จริง แต่เพราะว่ามันเป็นเนกไทที่ดีเกินไปสำหรับตัวเอง ฮาจุนเลยรู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองเป็นไก่ที่ได้พลอยมาเลย ฮาจุนไม่สามารถที่จะย้ายจุดวางสายตาขึ้นจากด้านในกระเป๋าได้ เขาลังเลอยู่สักพักก่อนหันไปมองตามูคยอม แล้วพูดขึ้น

“คิมมูคยอม”

“ทำไมอีก”

“ฉันผูกไทไม่เก่ง…”

น้ำเสียงที่ดูไม่มั่นใจของฮาจุนทำเอามูคยอมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ

“แล้วตอนแรกนายคิดว่าจะทำยังไง”

“มันมีเนกไทที่แค่ปรับให้แน่นเฉยๆ ใส่ได้แล้วนี่ ฉันก็ตั้งใจว่าจะใส่แบบนั้นไป”

มูคยอมถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับว่าพูดไม่ออก

“หมายถึงเนกไทที่พวกเด็กใส่กับชุดนักเรียนเหรอ”

“มองไกลๆ ก็ไม่รู้หรอกน่า”

“แม่นายล่ะ ท่านผูกไม่เป็นเหรอ”

“วันนั้นแม่ฉันต้องรีบไปตามนัดหมอ ท่านต้องออกจากบ้านเร็วน่ะ”

“แล้วเมื่อก่อนทำยังไง น่าจะมีงานเกี่ยวกับตัวแทนทีมชาติที่ต้องผูกเนกไทไปบ้างสิ”

“ก็วานให้คนรู้จักผูกให้ทุกครั้งที่มีงานนั่นแหละ หรือถ้ารีบๆ หน่อยก็มีบ้างที่ผูกเอง…”

รถหยุดลงเมื่อสัญญาณจราจรเปลี่ยน มูคยอมหันไปยิ้มน้อยๆ พร้อมหรี่ตามองฮาจุน ทำไมอยู่ๆ ยิ้มขึ้นมาแบบนั้นล่ะ ถึงมูคยอมจะชอบทำแบบนี้อยู่ตลอด แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้เลย ฮาจุนหันไปมองใบหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่ง

“นายกำลังขอให้ฉันช่วยผูกเนกไทให้สินะ”

“…อะไรนะ ไม่ใช่สักหน่อย!”

มูคยอมค่อยๆ เอนหลังลงที่เบาะฝั่งคนขับ และถามขึ้น

“นายต้องไปถึงงานสัมมนาตอนกี่โมงล่ะ ก่อนเข้างานก็ออกมาหาฉันแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวผูกให้”

“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้บอกเพราะจะขอให้นายช่วยสักหน่อย”

“แล้วนายจะทำยังไง จะใส่เนกไทปลอมแบบนั้นเข้างานเหรอ? กับสูทราคาสิบล้านวอนอะนะ?”

“…”

“หรือจะไปไหว้วานให้คนอื่นที่ผูกเป็น ขอให้เขาผูกให้เหรอ”

เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็เริ่มเคลื่อนตัว มูคยอมเปลี่ยนทิศทางสายตาไปด้านหน้า แล้วพูดต่อ

“ลองแกะปมออกสักเส้นแล้วผูกใหม่ซิ ไหนขอดูหน่อยว่านายทำได้แค่ไหน”

“ไม่เอา”

“ทำไมอีก”

“เดี๋ยวนายก็มาล้อฉัน”

“คงผูกได้แย่เอาเรื่องจริงๆ สินะ”

มูคยอมหัวเราะคิกคัก ใบหน้าของฮาจุนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ บางครั้งแม่ของฮาจุนมักจะขำและบอกว่าเขาเป็นพวกฝีมือหยาบ เวลาขยับมือทำงานตามปกติฮาจุนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แต่เมื่อต้องใช้ฝีมือทำงานชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาจะกลายเป็นเด็กที่มีคะแนนรั้งท้ายในทันที ตอนเด็กๆ เขาได้พ่อกับแม่ช่วยทำอะไรแบบนี้ให้ตลอดจนเป็นนิสัย ฮาจุนเลยเดาว่าเพราะแบบนี้ฝีมือของเขาก็เลยไม่พัฒนาสักที

วันแรกที่ได้พบกับมูคยอม แม้ว่ามือของเขาจะสั่นขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ได้สติหลุดจนไม่สามารถจะผูกเชือกรองเท้าเส้นเดียวให้ดีได้ ที่เป็นแบบนั้นเพราะก่อนที่พ่อของฮาจุนจะจากไป เขาไม่เคยผูกเชือกรองเท้ากีฬาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง เอาจริงๆ ถ้าจะให้ผูกแบบลวกๆ ก็น่าจะทำได้อยู่ แต่การทำแบบนั้นกับเนกไทราคาแพงนั่นเขาคิดว่ามันก็ออกจะน่าเสียดายมากเลยทีเดียว

“นายปล่อยให้ฉันจัดการก็พอ ไหนๆ ฉันก็ซื้อชุดให้แล้ว คิดซะว่าเป็นบริการหลังการขายแล้วกัน”

เพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับคนที่กำลังขับรถอยู่ ฮาจุนจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ ตามที่มูคยอมพูดก็จริง มันดูไม่สมเหตุสมผลสักนิดกับการเอาเนกไทปลอมๆ มาใส่กับสูทราคาเกินสิบล้านวอน ขณะที่ฮาจุนกำลังว่ายวนอยู่กลางความรู้สึกบางอย่างของตัวเองที่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคืออะไร รถก็วิ่งแล่นอย่างรวดเร็วมาจอดลงหน้าคอนโดของเขา

“ส่วนเสื้อเดี๋ยวร้านเขาจะนัดเวลาส่งมาให้ นายก็เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”

พูดจบมูคยอมก็ทิ้งคำบอกลาสั้นๆ ก่อนจากไปโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดอีก ฮาจุนไม่ได้สนใจว่าวันนี้มูคยอมจะคิดยังไงบ้าง เขายืนอยู่ที่หน้าตึกจนรถของมูคยอมลับสายตา เมื่อกระโปรงรถสีบรอนซ์เงินค่อยๆ เล็กลง ไปปะปนอยู่กับรถคันอื่นๆ ที่ปลายถนน จนค่อยๆ หายไปจากสายตาแล้ว ฮาจุนจึงหิ้วถุงเสื้อหมุนตัวเดินออกไปอย่างอิดโรย

ฮาคยองกับมินคยองยังไม่กลับจากเรียนพิเศษ ส่วนแม่ก็ออกไปตามนัด บ้านที่ว่างเปล่า ทำให้ในตอนนี้เขาได้อยู่ดูบ้านเพียงลำพังสมกับที่รอคอย ทันทีที่เข้าห้อง ภาพที่สะท้อนให้เห็นคือโต๊ะที่ไม่เป็นระเบียบ บนนั้นมีสมุดหนังสือที่กางวางอยู่เต็มไปหมด

“สวัสดีครับ! ขอโทษที่มาช้านะครับ”

เขาคนนั้นก้าวเท้าไวๆ เข้าใกล้นักเตะคนอื่นๆ สายตาของมูคยอมมองตามไปยังทิศทางดังกล่าว ชายที่เพิ่งเข้ามาในสนามฝึกคือคนที่มูคยอมไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน นี่ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือนนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในทีมนี้ ในตอนนี้สตาฟ เจ้าหน้าที่ดูแลสนามฝึกซ้อม หรือแม้แต่นักโภชนาการเขาก็จำหน้าได้หมดแล้ว แต่กับคนคนนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามค้นหาในหัวเท่าไหร่ก็ไม่มีอยู่ในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย

รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ไหนจะหน้าตาที่แสดงออกอย่างแจ่มใส สวมใส่เสื้อยืดสำหรับเล่นกีฬา แต่ทว่าไม่ใช่เสื้อทีมสำหรับสตาฟที่ซิตี้โซลจัดซื้อให้ ผู้จัดการทีมต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยความยินดี พลางกวักมือเรียกให้มายังจุดที่ตนยืนอยู่

“สวัสดีครับ ผู้จัดการทีม สวัสดีครับ โค้ชทุกท่าน”

“อย่างน้อยนายก็มาถึงก่อนเริ่มพอดี ไปยืนประจำที่เลย”

ชายคนนั้นพยักหน้าพลางยิ้มรับคำชี้แนะจากผู้จัดการทีมก่อนไปยืนข้างๆ ฮาจุน ราวกับว่าเป็นที่ประจำของตน ชายคนนี้ตัวสูงกว่าฮาจุน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสูงน้อยกว่ามูคยอม

ทันทีที่ผู้มาใหม่ไปยืนในตำแหน่งของตัวเอง ฮาจุนก็เงยหน้ามองชายคนนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับว่ายินดีจากใจจริงแล้วยกมือยื่นออกในระดับไหล่ เมื่อเห็นเช่นนั้นชายคนดังกล่าวก็จ้องมองฮาจุนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และยื่นมือส่งกลับไป

ทั้งสองคนแปะมือกันเบาๆ ครั้งสองครั้ง ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ทำกันด้วยความคุ้นชินก่อนจะยืนเอามือไพล่หลัง หันหน้าไปทางนักเตะคนอื่นๆ ระหว่างนั้นรอยยับย่นระหว่างคิ้วของมูคยอมก็ชัดเจนขึ้นโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว

มูคยอมเอียงคอเล็กน้อย และเอ่ยถามจองคยูที่ยืนอยู่ข้างกัน

“หมอนั่นมันเป็นใคร?”

“อ่า พี่คนนั้นเหรอ”

ไม่ทันที่จองคยูจะได้ตอบอะไร ผู้จัดการทีมก็แนะนำชายคนนั้นขึ้นมาก่อน

“ฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับโค้ชยุนแชฮุน ที่จะมาช่วยโค้ชในการฝึกซ้อมนอกสถานที่ครั้งนี้ ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังมากๆ ของเขา ฉันคิดว่าบางคนอาจจะรู้จักเขาอยู่แล้ว หลังจากที่ทำกิจกรรมอยู่ในเจลีก ในช่วงครึ่งปีหลังเขาก็ได้เดินทางกลับมาที่เกาหลี เขาได้ร่วมงานกับโค้ชที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างโค้ชทาคาฮาชิมาแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ไปพวกเราคงจะได้เรียนรู้ และได้รับความช่วยเหลือจากเขาเยอะเลยทีเดียว น่าเสียดายที่เขาวางแผนกิจกรรมของตัวเองเอาไว้แล้วเลยมาอยู่กับทีมเรายาวๆ ไม่ได้ แต่ในการฝึกซ้อมนอกสถานที่ครั้งนี้ เขาก็ได้ตัดสินใจมาช่วยพวกเราเหมือนเป็นทีมของตัวเอง”

ตอนนั้นเองชายหนุ่มชื่อยุนแชฮุนก็กล่าวทักทายขึ้นมา

“ผมดีใจมากครับที่ได้มาเกาหลีหลังจากไม่ได้กลับมานาน ผมได้ยินมาตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นแล้วล่ะครับ ว่าช่วงนี้ทีมซิตี้โซลคว้าชัยชนะมาได้ตลอด พอได้มาร่วมฝึกด้วยแบบนี้เลยรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ ถึงจะเป็นเวลาช่วงเวลาสั้นๆ แต่เรามาสู้ไปด้วยกันนะครับ!”

ฝากตัวด้วยครับ! เหล่านักเตะเพิ่มระดับเสียงขึ้นราวกับแสดงการต้อนรับ หลังได้พบกับน้ำเสียงกระปรี้กระเปร่าและท่าทางเป็นเป็นมิตรของชายตรงหน้า มีเพียงมูคยอมที่ไม่เปิดปากออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

ไม่นานการฝึกซ้อมกับลูกฟุตบอลก็เริ่มต้นขึ้น คนอื่นๆ จับกลุ่มหกคน และฝึกส่งบอลกัน ขณะที่มูคยอมอาสามาฝึกยิงจุดโทษแทน เขาจับคู่กับจองคยู และเดินออกไปในจุดที่ห่างกับกลุ่มอื่นเล็กน้อย ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างรับส่งบอล

“คนที่ชื่อยุนแชฮุนนั่น นายก็รู้จักเหรอ”

“ใช่ ฉันก็อยู่กับเขานั่นแหละ ตอนที่เข้าโปรทีมครั้งแรก”

ตู้ม บอลที่ถูกเตะอย่างแรงลอยออกนอกมือของจองคยูอย่างน่าหวาดเสียวไปติดอยู่ที่ตาข่าย จองคยูเดาะลิ้นอย่างรู้สึกเสียดาย พวกเขาฝึกอย่างนั้นโดยไม่พูดไม่จากันอยู่สักพัก มูคยอมตั้งท่า เตะลูกออกไป ส่วนจองคยูก็ทำหน้าที่สกัด บางครั้งเมื่อมีลูกเตะที่จองคยูสกัดไว้ได้มูคยอมก็จะขมวดคิ้วขึ้นมา

“พักกันหน่อยเถอะ”

จองคยูที่สกัดบอลของมูคยอมอยู่พักหนึ่งเป็นฝ่ายเสนอให้พักก่อน ทั้งคู่เลยพากันเดินกลับมาดื่มน้ำที่ม้านั่งข้างสนาม

ระหว่างนั้นคนอื่นๆ ยังคงรับส่งบอลกันอย่างไม่หยุดพัก ส่วนฮาจุนก็เดินวนเวียนอยู่ในกลุ่มนักเตะพวกนั้นเหมือนเคย หากพูดถึงสิ่งที่ต่างไปจากปกติก็คงจะเป็นที่ข้างกายของฮาจุนมีชายชื่อยุนแชฮุนยืนอยู่ไม่ห่าง ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าตลอดทางในการเดินดูนักเตะ ยุนแชยุนเดินตามฮาจุนต้อยๆ เหมือนกับลูกเจี๊ยบที่ไล่ตามแม่ไก่เลยล่ะ

ทั้งสองคนเดินไปคุยเจื้อยแจ้วกันไปเรื่อย ทั้งยังหัวเราะออกมาบ่อยๆ มูคยอมเผยใบหน้าหงิกงอออกมา เมื่อเห็นฮาจุนอ้าปากกว้างหัวเราะเสียงดังจนเกือบจะเห็นลิ้นไก่

“เขาดูสนิทกับโค้ชอีนะ”

“ใคร”

“คนที่ชื่อยุนอะไรนั่น”

“ใช่ สนิทกันมากเลยล่ะ หลังจากที่ฮาจุนออกจากงานก็กังวลว่าจะทำยังไงต่อกับชีวิต พี่เขาก็ช่วยไว้เยอะเลย คนที่ชักชวนให้ฮาจุนเข้ามาเป็นโค้ชก็พี่คนนี้นี่แหละ แถมยังเรียนมาด้วยกันอีก ฮาจุนได้เรียนรู้จากพี่แชฮุนมาเยอะมากเลยนะ ฉันว่านายคิดแบบนี้ก็ได้ มองในมุมนายพี่คนนี้ก็เหมือนผู้จัดการทีมพัคนั่นแหละ”

ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษมากเลยนะ เมื่อได้ยินคำพูดที่บอกว่าเทียบได้กับผู้จัดการทีมพัค มูคยอมก็พยายามจะเข้าใจถึงความสนิทสนมที่แตกต่างจากคนทั่วไป ระหว่างนั้นเองแชฮุนก็กำลังแกล้งใช้มือยีเส้นผมของฮาจุนอยู่

ฮาจุนปัดมือนั้นออกก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น ทั้งสองหยอกล้อไปมาราวกับว่ากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่ ท้ายที่สุดฮาจุนที่ถูกจับตัวเอาไว้ นั่นเขาเข้าไปหัวเราะคิกคักอยู่ในอ้อมกอดของยุนแชฮุนแล้วไม่ใช่เหรอ

“นายไม่มีตาหรือไง”

“ทำไม อะไรกับฉันอีก”

จองคยูเบิกตากว้างอย่างสงสัย เมื่ออยู่ๆ คำด่าก็วิ่งเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่มูคยอมก็ไม่อธิบายอะไรต่อ และทำเพียงแค่จ้องแชฮุนและฮาจุนต่อไป

ไอ้นี่มันไปมองตรงไหนถึงได้บอกว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เหมือนเขากับผู้จัดการทีมพัค มองยังไงก็เหมือนคนจีบกันต่อให้มองอีกร้อยครั้งก็ยังเหมือนคนจีบกันอยู่ดี

ไม่สิ บางทีเขาอาจจะจีบกันเสร็จเรียบร้อยจนไปขึ้นเตียงกันแล้วก็ได้ จากประสบการณ์ตรงมูคยอมรู้ดีเลยล่ะว่าฮาจุนน่ะไวไฟแค่ไหน แค่อิมจองคยูยังไม่รู้ความจริงว่าฮาจุนชอบผู้ชายเลยอาจจะยังมองไม่ออก เพราะปกติเจ้านี่ก็เป็นคนที่ดูเหมือนจะรู้ทุกเรื่องราวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“เขาเคยเป็นนักเตะมาก่อนเหรอ”

“ไม่ ก่อนหน้านี้พี่เขาเป็นเทรนเนอร์อยู่ แล้วบังเอิญได้มาช่วยดูร่างกายของนักฟุตบอลพอดีก็เลยเบนเข็มมาทางนี้ พี่เขาเก่งเลยนะ ฮาจุนเองก็รู้จักกับพี่เขามาตั้งแต่สมัยที่เป็นนักเตะแล้วก็ดูเหมือนว่าจะสนิทกันมาเรื่อยๆ เลย”

“ถ้างั้นก็คงจะรู้จักกันมานานมากๆ เลยสินะ”

“ใช่ อย่างน้อยก็น่าจะสักห้าปีมั้ง”

อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอากาศที่คังวอนโดมันร้อนอบอ้าวขึ้นมา มูคยอมเลยกลับมาเตะบอลปึงปังอีกครั้ง พลางบรรเทาความร้อนรุ่มในใจไปด้วย ราวกับเวลาหยุดเดินหนึ่งจังหวะ จองคยูยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้หยุด และมองไปด้านหลังของมูคยอมพร้อมเอ่ยทักทายขึ้นมา

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ พี่แชฮุน!”

“ว่าไง จองคยู ไม่เจอกันนานเลย”

แชฮุนกำลังเดินมาจากทางด้านหลังของมูคยอม ตายยากจริง ๆ… ถึงผู้มาใหม่จะทักทายจองคยู แต่เขากลับหันมามองและพยักหน้าให้มูคยอมราวกับว่าสนใจในตัวเขามากกว่าจองคยู ถึงจะรู้สึกไม่ชอบใจแต่มูคยอมก็เลือกที่จะพยักหน้าทักทายกลับไป จากนั้นจองคยูก็เดินถือบอลเข้ามาใกล้ทั้งสองคน

“นี่คิมมูคยอมครับ เจ้าของฉายาเวิลด์สตาร์ เอซของทีมเรา”

“ว้าว พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วหล่อมากเลยนะครับเนี่ย เอาจริงๆ ที่ผมขอมาร่วมการฝึกนอกสถานที่ครั้งนี้ด้วยเพราะอยากเจอนักเตะคิมมูคยอมเลยนะครับ”

‘ถ้าอย่างนั้นการจะมาเข้าร่วมฝึก นายก็ต้องได้รับอนุญาตจากฉันก่อนไม่ใช่หรือไง’

มูคยอมแดกดันในใจพลางกวาดตามองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า จองคยูรับรู้ได้ทันทีถึงท่าทีชวนเสียวสันหลังเลยรีบสานต่อบทสนทนาก่อนที่มูคยอมจะได้พูดอะไรออกมา

“พี่สะใภ้ก็มาด้วยใช่ไหมครับ นาริมคงจะโตขึ้นมากแล้วแน่ๆ เลย”

“ใช่ มาด้วยกันนี่แหละ ตอนนี้ฮีมังก็น่าจะสักสองขวบแล้วใช่ไหม?”

“ครับ ผมให้ดูรูปไหมครับ”

นอกจากสาธยายความสุขของชีวิตแต่งงานและแผนในอนาคต งานอดิเรกอีกอย่างของจองคยูก็คือการอวดรูปลูกสาว เขาไม่พลาดโอกาสหยิบโทรศัพท์ออกมายื่นให้แชฮุนดู ภาพของชายสองคนที่กำลังยืนหัวเราะคิกคัก สลับกันยื่นโทรศัพท์อวดรูปลูกของตัวเอง หากเป็นในเวลาปกติมูคยอมคงจะรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ในตอนนี้มูคยอมสามารถที่จะเลิกขึงตา และมองภาพตรงหน้าได้

‘อะไรกัน ผู้ชายคนนี้มีภรรยาแล้วเหรอ’

อยู่ๆ เขาก็รู้สึกโล่งใจพร้อมสัมผัสได้ถึงอากาศหน้าร้อนที่เย็นสบายขึ้นมาทันตา

“พี่นอนห้องเดียวกับใครเหรอครับ”

“กับฮาจุนน่ะ”

“ดีเลย น่าจะเพราะทั้งสองคนสนิทกันมากก็เลยแบ่งห้องให้แบบนี้สินะครับ”

“ต้องขอบคุณฮาจุนเลยที่ช่วยให้ฉันมาเข้าร่วมการฝึกซ้อมครั้งนี้ได้”

“เฮ้อ อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ พวกเราต่างหากที่เชิญมา”

แต่โลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยพวกผู้ชายแต่งงานแล้วที่ชอบนอกใจ หรือทำสิ่งที่ไม่กล้าจะยืดอกพูดได้อย่างภาคภูมิ สองสามวันกับการมาค้างแรมที่รีสอร์ตฝั่งทะเลตะวันออกโดยไร้ภรรยา หน้าตาหน้าไม่อายแบบนั้นจะมีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้

มูคยอมปลีกตัวออกมาจากแชฮุนครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปทางฮาจุนที่กำลังฝึกซ้อมนักกีฬาอยู่ ฮาจุนยืนดูสมุดโน้ตที่มักจะถือติดตัวอยู่ตลอด ปากที่อ้าออกเล็กน้อยราวกับกำลังตั้งอกตั้งใจจดบันทึก ใบหน้าด้านข้างที่เอาจริงเอาจังในตอนเขียนบางอย่างลงไป

ที่ด้านหลังของฮาจุนมีนักเตะจำนวนหนึ่งกำลังย่องเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแกะหรือแพะที่ยืนอย่างสงบเงียบบนสนามหญ้า และกำลังถูกฝูงหมาป่าจู่โจมจากด้านหลัง มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมแล้วมองภาพตรงหน้า พลางนึกสงสัยว่าเจ้าพวกนั้นกำลังทำอะไรกัน ท้ายที่สุดฝูงหมาป่าก็ได้บุกมาจากด้านหลัง ต้อนฮาจุนให้ไปยังทิศของพวกมัน ก่อนจะผลักร่างหมอนั่นให้ล้มลงบนพื้นหญ้า

พวกเขากลายเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน และกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น คล้อยหลังเสียงร้องว้ากด้วยความตกใจ ฮาจุนก็ตะโกนขึ้น “ตกใจหมดเลย!” มูคยอมได้ยินกระทั่งเสียงของเจ้าพวกนักเตะที่หัวเราะคิกคักราวกับว่ามีเรื่องอะไรตลกนักหนา แน่นอนว่าฮาจุนก็กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่เช่นเดียวกัน

ตอนซ้อมจะมาเล่นอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ มันถูกต้องแล้วหรือไงที่พวกนักเตะอายุน้อยๆ จะมาแกล้งโค้ชที่เคยเป็นนักเตะรุ่นพี่อายุมากกว่าแล้วผลักให้นอนลงกับพื้นแบบนั้น แล้วทำไมฮาจุนถึงได้ยอมเล่นตามไปด้วยซะทุกครั้ง บอกตามตรงว่ามูคยอมไม่เข้าใจเลยสักนิด

จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร กระทั่งได้มาตั้งใจดูดีๆ บอกเลยว่าทุกการกระทำในทีมนี้มันเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้จริงๆ

มูคยอมเคยคิดว่าเขาเป็นชายเพียงคนเดียวในทีมนี้ที่เคยนอนกับอีฮาจุน แต่จู่ๆ ความคิดที่ว่ามันอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็แล่นเข้ามาในหัว

ไม่สิ แต่หมอนี่จะมีเวลาไปทำเรื่องอย่างนั้นเหรอ ทั้งเขาและฮาจุนต่างก็เข้าทีมมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน… ขณะที่ในหัวซึ่งสับสนวุ่นวายไปกับการคิดคำนวณที่ไร้สูตรกำลังเดือดปุดๆ จนไร้ซึ่งสติ ในตอนนั้นเองยุนแชฮุนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยถามออกมา

“เป็นยังไงบ้างครับ นักเตะคิมมูคยอม รู้สึกยังไง หลังได้กลับมาเล่นที่เกาหลีในรอบสิบปี?”

“รู้สึกสกปรกครับ”

“ครับ?”

ตู้ม คิมมูคยอมเตะบอลอย่างแรงไปยังประตูที่ว่างเปล่า ตามมาด้วยเสียงจองคยูที่ถามขึ้น “เฮ้ย! ทำไมทำงั้น” ทว่ามูคยอมกลับสับเท้าเร็วไปยังทางออก มุ่งออกนอกสนามฝึกไปในท้ายที่สุด จองคยูที่ยืนหนีบลูกฟุตบอลไว้ข้างลำตัวได้แต่อ้าปากค้าง และถอนหายใจออกมา

“ทำไมอยู่ๆ ไอ้บ้านั่นก็เป็นแบบนั้น ก่อนหน้านี้ก็เห็นดีๆ อยู่ได้พักหนึ่ง ขอโทษด้วยนะครับพี่”

“อ่า ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้นี่”

จองคยูรีบวิ่งตามมูคยอมไป ทิ้งแชฮุนที่ยืนงงไว้ด้านหลัง เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ มูคยอมก็หุนหันออกไปจากสนามฝึก นักเตะจำนวนหนึ่งก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ราวกับกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

จากที่กลิ้งเล่นบนพื้นหญ้ากับนักเตะคนอื่นๆ อยู่ ฮาจุนก็ลุกขึ้นมา และได้แต่กะพริบตามองแผ่นหลังของจองคยูที่กำลังเดินออกจากสนามด้วยสีหน้างุนงง

“คิมมูคยอม! เฮ้ย คิมมูคยอม!”

ไม่ว่าจองคยูจะเรียกแค่ไหน มูคยอมก็เอาแต่เดินตรงไปข้างหน้าอย่างกับรถถัง เมื่อออกห่างจากสนามฝึกในระดับหนึ่ง และเหลือเพียงพวกเขาสองคน มูคยอมก็หยุดฝีเท้าลง แล้วหันมาพูด

“เปลี่ยนห้องกัน”

“ว่าไงนะ”

“ฉันจะนอนห้องเดียวกับอีฮาจุน ส่วนนายก็ไปนอนกับไอ้ยุนอะไรนั่นซะ”

จองคยูขมวดคิ้ว

“เขาแบ่งห้องให้นักกีฬานอนด้วยกัน ส่วนสตาฟก็นอนกับสตาฟ นายไม่รู้หรือไง ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากจะเปลี่ยน”

“มีใครตั้งกฎไว้หรือไงว่าต้องทำแบบนั้น”

“ไอ้นี่ คนสนิทเขาไม่ได้เจอหน้ากันมานานก็น่าจะอยากคุยอะไรกันหน่อยไหม จะไปขัดเขาทำไม อะไรทำให้นายสร้างเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีกแล้วเนี่ย”

จองคยูถอนหายใจออกมา เมื่อมูคยอมไม่ยอมเปิดปากตอบ และเอาแต่ทำหน้าเครียด

“โอเค เดี๋ยวฉันไปถามฮาจุนให้ว่าเขาตกลงไหมที่นายขอเปลี่ยนห้อง”

“ไม่ได้ ห้ามถาม ห้ามไปเปิดปากบอกให้อีฮาจุนรู้เป็นอันขาด”

ท้ายที่สุดแม้แต่คนดีๆ อย่างจองคยูก็ต้องขึ้นเสียงออกมา

“นี่ แล้วจะให้ฉันทำยังไง! จะให้ทุกอย่างเป็นตามที่นายต้องการอย่างเดียวหรือไง ฉันก็ต้องถามความเห็นฮาจุนด้วยสิ!”

“แม่งเอ๊ย งั้นก็ช่างมัน ไม่ต้องย้ายมันแล้ว!”

การที่ชายรูปร่างดีสองคน สูงเกิน 190 เซนติเมตร กำลังตะเบ็งเสียงใส่กันอย่างน่ากลัว เป็นภาพที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี หลังจากแผดเสียงใส่ออกไป มูคยอมก็หมุนตัวกลับอีกครั้ง และมุ่งหน้าเดินไปยังล็อบบี้ จองคยูไม่ทันพูดอะไรต่อ ได้แต่ยืนเท้าเอว หัวเราะแห้งๆ ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันไร้สาระเกินไป

“โอ๊ย ไอคุณชายนี่ ยากจังนะที่จะต้องมาตามอารมณ์แปรปรวนของแกให้ทัน”

การฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างปกติตามเวลาที่กำหนดไว้ หลังจากออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต มูคยอมก็พุ่งตรงกลับไปที่ห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมานอกห้องก่อนจะกลับไปยังห้องพักหลังผ่านเวลาอาหารเย็นไปได้พักหนึ่ง ผู้จัดการทีมเรียกมูคยอมไปหา ทำทีเหมือนจะว่ากล่าวตักเตือนกัน แต่เขาก็ทำแค่พูดพอเป็นพิธีเท่านั้น คนเดียวในทีมนี้ที่จะสามารถพูดจาแรงๆ ใส่มูคยอมได้มีเพียงแค่ผู้จัดการทีมพัคจุนซอง และในตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่

หลังจากที่เข้าทีมมาในฐานะนักเตะตัวเช่า เหล่านักเตะทีมซิตี้โซลเคยได้เห็นเพียงแค่ด้านอ่อนโยนของมูคยอมเท่านั้น ในตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคิมมูคยอมถึงได้ฉายาพวกนั้นติดตัวมาตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นฉายา เด็กอันธพาล เด็กมีปัญหา หรือแม้แต่คนประสาท ตอนนี้พวกเขาถึงกับคิดถึงผู้จัดการทีมพัคที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ขึ้นมา

ฮาจุนกระวนกระวายอยู่ตลอด หลังมูคยอมออกจากสนามฝึกไปแบบนั้น เขาเรียกจองคยูมาหา และถามออกไป

“คิมมูคยอมล่ะ”

“พอเข้าห้องก็ลงเตียงนอนไปแล้ว”

จองคยูเกาต้นคอไปพลาง

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาเป็นแบบนั้น ตอนขามาก็ยังดูอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ นายพอจะรู้อะไรบ้างไหม”

ฮาจุนส่ายหัวด้วยสีหน้าลังเล จองคยูที่ในตอนแรกคิดจะพูดเรื่องเปลี่ยนห้องขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงที่มูคยอมขู่ห้ามไว้อย่างน่ากลัวว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับฮาจุน เขาจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ แต่ถึงไม่คิดเรื่องนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเขาที่จะไปกระตุกหนวดไอ้คนที่ชอบทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนั้นอยู่ดี

“เราคงจะต้องใส่ใจเรื่องสมดุลข้อเท้าเพิ่มอีกนิดแล้วละ”

เข้าวันที่สองของการฝึกซ้อมเป็นที่เรียบร้อย มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของยุนแชฮุน

ในวันนี้ทางทีมได้จ่ายค่าเช่าสำหรับสนามฝึกในร่มของรีสอร์ตไว้หลายชั่วโมง ผู้จัดการทีมบอกว่าแชฮุนเคยเป็นเทรนเนอร์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายมาก่อน ทั้งยังเป็นโค้ชที่เก่งกาจในด้านการดูร่างกาย ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการสั่งให้นักเตะทุกคนไปรับการตรวจสภาพร่างกายจากแชฮุน ไม่เว้นแม้แต่มูคยอม

แน่นอนว่าประเด็นเกี่ยวกับข้อเท้าเป็นเรื่องที่เขาได้ยินมาหลายครั้งแล้ว แม้แต่ตอนที่อยู่ในกรีนฟอร์ด นี่คือปัญหาที่ต้องระวังสำหรับใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งกองหน้าซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เท้าแค่ข้างเดียวในการเล่น แต่ตลอดระยะเวลาชีวิตในอาชีพนักเตะของมูคยอม คนแรกที่ลงลึกและใส่ใจปัญหานี้กับเขาคือฮาจุน

แม้จะเพิ่งรับรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าลึกลงในใจมูคยอมจะชอบใจอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อคิดว่าเหตุผลที่ฮาจุนทุ่มเทใส่ใจเรื่องข้อเท้าของเขาขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวได้เรียนรู้มากจากยุนแชฮุนก็ทำให้รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา

“ขอฉันจับดูหน่อยได้ไหม”

ทักทายจบแล้วก็ทำตัวแบบนี้เลยเหรอ อายุมากกว่าสักเท่าไหร่เชียว ถึงได้มาพูดจาไม่มีหางเสียงกับคนอื่นเขา

“ไม่ได้ครับ”

“หือ?”

“ข้อเท้าของผม ผมรู้จักดี ดังนั้นไม่ต้องมาดูก็ได้ครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าการโค้ชในเจลีกมันดีกว่าที่เกาหลีหรือเปล่า แต่ก็คงจะดีไม่เท่าในลีกอังกฤษอยู่ดี”

สีหน้าของแชฮุนเคร่งขรึมขึ้น ฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตาโพลง อ้าปากเล็กน้อย พร้อมเผยสีหน้าที่แสดงอาการตกใจออกมา มูคยอมหันไปเลิกคิ้วใส่ใบหน้าเช่นนั้นของฮาจุน

ทำไม ไม่ชอบใจขนาดนั้นเลยหรือไง

มูคยอมไม่ต่อปากต่อคำอะไรอีก และทำเพียงแค่จ้องมองใบหน้าของแชฮุน ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องกลับไปที่มูคยอมโดยไม่กะพริบแม้แต่น้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก

“ร่างกายนายมีค่าเกินกว่าที่จะให้ฉันแตะตัวเลยเหรอ”

“ต้องให้บอกก่อน ถึงจะรู้เหรอครับ”

‘ทำไมนายทำแบบนี้เนี่ย’ ฮาจุนที่อยู่ด้านหลังแชฮุนก้าวหนึ่งส่งสีหน้าพร้อมขยับปากถามออกมา เหล่านักเตะที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ทำหน้าไม่ถูก และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายต่อไปเหมือนเครื่องจักร มีเพียงหูที่เปิดกว้างรอฟัง พวกเขากำลังร่วมเดินอยู่บนเส้นทางสุดอันตราย โดยไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

“โอเค งั้นไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”

หากคนที่มีปัญหาด้วยเป็นโค้ชประจำของทีม ท่าทีแบบนี้ของมูคยอมคงจะเป็นปัญหามากพอสมควร แต่แชฮุนเป็นเพียงแค่โค้ชรับเชิญเท่านั้น แทนที่จะพาสถานการณ์ไปในจุดที่แย่กว่าเดิม แชฮุนเลือกที่จะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนย้ายไปดูนักเตะคนต่อไป ฮาจุนถลึงตาตกใจใส่มูคยอม ราวกับว่าหมดคำจะพูด และไม่อยากจะเชื่อกับที่สิ่งเห็น จากนั้นจึงรีบตามหลังแชฮุนไป ฮาจุนที่เดินจ้ำตามไปเหมือนกับลูกนกทำเอามูคยอมมองตามตาขวาง และรู้สึกเหมือนจะบ้า

แม้ไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาก็ยังรู้สึกอับอายที่จะต้องเดินเข้าไปในสนามฝึก หลังจากที่เมื่อวานออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต มูคยอมสูดหายใจเข้าเต็มปอด และผลักบานประตูออกกว้าง ภาพที่สะท้อนให้เห็นทำเอารู้สึกสึกขนลุกขนพอง ยุนแชฮุนและฮาจุนตัวติดกันราวกับว่าแยกออกจากกันเมื่อไหร่แล้วจะเกิดมหันตภัยขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจคือการต้องเห็นสายตาและสีหน้าของฮาจุนในตอนที่กำลังจ้องมองผู้ชายคนนั้น

หมอนี่มักจะยิ้มเก่งเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิในเวลาทำงานมาแต่ไหนแต่ไร แต่รอยยิ้มนี้มันต่างจากตอนที่ฮาจุนยิ้มให้คนอื่นๆ ในทีม

มันเป็นการกระทำซึ่งไร้ความระมัดระวังไม่ต่างอะไรกับการที่รั้วฟาร์มเลี้ยงสัตว์ถูกเก็บจนหมด… ใบหน้าที่เหมือนกับว่าได้เห็นเจ้าของตัวเอง

บ้าเอ๊ย นี่เขาต้องมามองดูความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมในสนามฝึกที่สูงส่งแบบนี้น่ะเหรอ

ข้างในร้อนรุ่มไปด้วยความคิดเคลือบแคลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไม่ซื่อสัตย์ที่ไม่มีใครรู้อยู่เพียงลำพัง เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจหรอกนะว่าไอ้คนที่ทำเหมือนตัวเองนิสัยดีคนนั้นทำอะไรตอนที่นอนห้องเดียวกับอีฮาจุน เขาไม่ได้อยากจะรู้เลยสักนิดว่าเมื่อวานสองคนนี้ทำอะไรกันไปบ้าง พอเห็นท่าทางหัวเราะคิกคักด้วยกันแล้วเมื่อคืนคงจะหนำใจกันมากเลยล่ะสิ

ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้านิ่งเฉยของฮาจุนในตอนที่มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ เพื่อที่จะไปทำอะไรต่อมิอะไรกันต่อ หลังจากที่เราจูบกันไปหนึ่งยก ในตอนนั้นกับเขาที่เข้ามาอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว เราเริ่มต้นกันเช่นนั้น และมีความสัมพันธ์เหมือนในตอนนี้เรื่อยมา แต่กับชายที่เป็นคนพาเข้ามาในวงการอาชีพโค้ช และเล่าเรียนมาด้วยกัน คิดง่ายๆ ได้เลยว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้วัสดุที่เหลือจากการสร้างกำแพงเมืองจีน เอามาสร้างราชวังเพิ่มได้อีกสักสองสามเรือนเลยด้วยซ้ำ เมื่อวานกับเวลาหนึ่งคืนที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องอะไร พวกเขาอาจจะเล่นจ้ำจี้กันไปหลายรอบเลยก็ได้

หากใครมองเข้ามาในหัวของเขา ก็อาจจะเต็มไปด้วยความคิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าถามว่าแล้วการที่ฮาจุนจะไปนอนกับใครมันเป็นปัญหาอะไร

ก็เพราะอีกฝั่งมีเมียอยู่แล้วไง!

ไม่ว่าจะชอบเซ็กส์แค่ไหน แต่แน่นอนว่าเขาก็มีเส้นที่จะต้องไม่ข้ามไปอยู่ การข้ามเส้นกำแพงทางศีลธรรมถือเป็นเรื่องที่ผิด

อากาศในวันนี้สดชื่นแจ่มใส แต่ด้วยความขุ่นเคืองที่ลอยฟุ้งมาจากเอซของทีมที่ไม่คิดจะปิดซ่อนความรู้สึก บรรยากาศในสนามฝึกจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ราวกับกลุ่มเมฆครึ้มที่โอบอุ้มฝนห่าใหญ่ไว้ เมื่อสังเกตเห็นท่าทีของพี่ใหญ่ในทีม เหล่านักเตะอายุน้อยจึงเลิกหยอกล้อ และหยุดส่งเสียงดังกัน ก่อนจะหันไปจดจ่อกับการฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว การฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้น ถ้าบอกว่าบรรยากาศเข้มงวดไม่สมกับเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ในช่วงหน้าร้อนไม่ใช่เรื่องแปลกจะได้ไหมนะ

“ไป คุย กัน หน่อย”

ระหว่างที่มูคยอมกำลังนอนยกน้ำหนักอยู่บนม้านอน ฮาจุนก็ได้มายืนอยู่ข้างๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งสีหน้า คำพูด และน้ำเสียง ทุกอย่างของฮาจุนเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ มูคยอมแอบดีใจเมื่อท้ายที่สุดฮาจุนต้องออกมาจากข้างๆ ยุนแชฮุน แล้วมาหาเขา แต่แน่นอนว่ามูคยอมไม่ได้ตามออกไปในทันที เขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรและยกน้ำหนักต่อจนจบเซ็ต ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวขึ้นมาอย่างไม่เร่งรีบ

“มีอะไร”

“ออกไปคุยกันข้างนอก”

มูคยอมลุกจากม้านอนโดยไม่บ่นอะไรสักคำ เขาไม่ได้คิดจะถ่วงเวลาเพราะไม่อยากตามไปตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็แค่กำลังแสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้คิดมากอะไรเท่านั้น

ฮาจุนที่รออยู่อย่างเงียบๆ เดินนำออกไปจากสนามฝึกในร่ม ทั้งสองใช้เวลาเดินสักพัก มาจนถึงทางเดินบริเวณประตูหนีไฟที่ไม่มีใครอยู่ ฮาจุนเป็นฝ่ายหยุดฝีเท้าลงก่อน และถอนหายใจยาวออกมา

“ทำไมนายทำถึงแบบนั้น”

“ทำอะไร”

ฮาจุนเม้มปากแน่นราวกับกำลังข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ก่อนจะเสยผมขึ้น

“นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ ทำไมนายต้องทำแบบนั้นกับพี่เขาด้วย ทำไมต้องทำแบบนั้นกับคนที่นึกถึงทีมเราจนยอมสละเวลามาช่วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในทีมด้วยซ้ำ”

ภาพของฮาจุนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และประกาศตัวออกมาว่าอยู่ฝั่งยุนแชฮุน ในวันนี้ฮาจุนไม่ใช่ลูกวัวที่จะขึ้นไปก่อความวุ่นวายบนเตาไฟ แต่กลับดูเหมือนจิ้งจอกมากกว่า จิ้งจอกขาวหน้าตาใสซื่อที่เบื้องหลังมีหางเก้าอันลอยว่อนอยู่

มูคยอมอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงระเบิดหัวเราะออกมาแล้วยกแขนขึ้นกอดอก

“แล้วหมอนั่นมาทำจิตอาสาหรือไง ก็มาทำงานรับเงินไม่ใช่เหรอ”

“พี่เขาไม่ใช่คนที่จะต้องมานั่งหางาน เพราะอยากได้เงินด้วยซ้ำ”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย หากจะบอกให้ถูก คงต้องพูดว่าเหมือนสีหน้าที่รู้สึกอนาถใจมากกว่า

“นายทำอะไรแบบนี้เป็นงานอดิเรกเหรอ”

“งานอดิเรก ทำอะไร”

“ตอนแรกนายก็ทำตัวไม่ดีกับฉันแบบนี้ งานอดิเรกนายคือการไปจิ้มเลือกตัวคนในกลุ่มโค้ชมาแหย่เล่นเหรอ”

อะไรนะ

มูคยอมก้มมองฮาจุนด้วยคิ้วที่ขมวดน้อยๆ เพราะรู้สึกแปลกใจ หมายความว่าตอนนี้ฮาจุนกำลังถามเขาว่าสำหรับมูคยอมแล้ว อีฮาจุนกับยุนแชฮุนถูกวางไว้ในจุดเดียวกันใช่หรือไม่ แบบนี้ใช่ไหม

เขาขนลุกขนชันไปหมดว่าใครอะไรกับใคร ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน ระหว่างที่มูคยอมยังอยู่ในอาการตกตะลึง ฮาจุนก็พูดต่อ

“ฉันรู้ว่านายเป็นนักเตะที่เก่ง แล้วก็รู้ว่าต้องรู้สึกขอบคุณแค่ไหนที่นายมาช่วยเล่นในทีมนี้ให้ เรื่องนั้นไม่มีใครปฏิเสธได้อยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนเม้มปาก แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งราวกับว่ากำลังพยายามจะลดความเร็วในการพูดที่เพิ่มขึ้นจากอารมณ์ที่อัดแน่น มูคยอมที่ยังอยู่ในโหมดหมดคำจะพูดทำเพียงแค่ก้มมองฮาจุนอยู่อย่างเดิม บางทีเขาอาจจะได้เห็นฮาจุนฟาดใส่กันว่าให้เปิดปากพูดออกมาสิก็ได้ แต่แล้วฮาจุนก็ลดเสียงต่ำลงเล็กน้อย

“ฉันหวังว่าอย่างน้อยนายจะเคารพสตาฟในทีมมากกว่านี้สักนิด ยังไงพวกเขาก็เป็นทีมเดียวกับนายตลอดฤดูกาลนี้ ไม่มีใครไปบังคับขู่เข็ญให้นายมาที่เกาหลี นายเป็นคนเลือกที่จะมาเองนะ”

“ไอ้คนนั้นก็ไม่ได้อยู่ทีมเดียวกับฉันนี่”

เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเขาจึงเถียงกลับไปในทันที ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาทำตัวไม่เคารพสตาฟในทีมซิตี้โซล เขาทำแบบนั้นกับฮาจุนในช่วงแรกที่เข้ามาก็เพราะเจ้าตัวแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพยายามที่จะหลบเลี่ยงกัน

“ทำไมไม่เรียกเขาว่าพี่ล่ะ นายไม่ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”

ฮาจุนถามออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหนักแน่น

ว้าว ตอนนี้มูคยอมรู้สึกเหมือนจะหัวเราะออกมา นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน ฮาจุนที่พูดด้วยสายตานิ่งขรึมแบบนั้น เหมือนเจ้าตัวกำลังถามเขาว่า ทำไมถึงใจร้ายกับยุนแชฮุนแบบนั้นล่ะ

การที่วัตถุปนเปื้อนอย่างชายแต่งงานแล้วที่ไม่ใช่แม้แต่สมาชิกในทีมนั่น แทรกซึมเข้ามาทำพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ในสถานที่ฝึกซ้อมอันทรงเกียรติ เท่านี้ก็เพียงพอจะที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจแล้วไม่ใช่เหรอ มูคยอมนับจำนวนวันในใจ ครั้งสุดท้ายที่เขามีอะไรกับฮาจุนก็น่าจะเกินหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลังจากวันที่เขาไปหาฮาจุนที่บ้านตอนเช้ามืด แล้วไปทำตัวแปลกๆ ใส่ จากวันนั้นฮาจุนก็มีงานเข้าอยู่ตลอดจนต้องเลื่อนวันกันมาเรื่อยๆ

หรือที่ทำแบบนั้น เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าเมื่อวานจะไปนอนกกกับยุนแชฮุน?

หมอนั่นก็เหมือนคนที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วเพิ่งกลับมาเกาหลีอยู่นะ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์นั่น ฮาจุนเลื่อนวันมานอนกับเขา แล้วไปเจอไอ้คนนั้นมาเหรอ

เมื่อคิดไปไกลถึงขั้นนั้นภายตัวของเขาก็ร้อนจนเหมือนมีไฟลุกไหม้ราวกับว่ามีใครเทกรดลงไปในท้อง

“ฉันไม่ชอบหน้าเขา”

“อะไรนะ”

“ก็หมอนั่นหน้าตาขี้เหร่ ตา จมูก ปาก เห็นแล้วหงุดหงิดใจไปหมด”

คำตอบที่ได้รับทำเอาฮาจุนขมวดคิ้วฉับ

“พี่เขาน่ะเหรอ หน้าตาขนาดนั้นถือว่าหล่อเลยนะ”

จากที่ฮาจุนเห็นในทีวีช่วงนี้ ไม่ว่าใครก็มักจะเรียกแชฮุนว่าพ่อรูปหล่อ

“ตกลงว่าตอนนี้นายอยู่ฝั่งไอ้คนนั้นเหรอ นายอยู่ทีมเดียวกับฉันต่างหาก ไม่ใช่ไอ้หมอนั่น”

“ไม่สิ นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับฝั่งฉัน หรือฝั่งนายที่ไหนกัน อีกอย่างหน้าตาระดับพี่ฮุนถือว่าหล่อสุดๆ แล้วไหม”

“เหอะ!

มูคยอมแค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง ฮาจุนเบิกตาโตราวกับไม่จะอยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“พี่ฮุน? มีชื่อเรียกแทนตัวกันด้วยเหรอเนี่ย”

“ชื่ออะไรของนาย ฉันก็แค่เรียกชื่อพี่เขาไหม”

“ตานายมองหน้าแบบนั้นว่าหล่อเหรอ ตาถึงแค่นั้นน่ะเหรอ”

เท่าที่เห็นจนถึงตอนนี้เขาคิดว่าฮาจุนคงไม่เคยได้เจอพวกคนที่หล่อจริงๆ มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็เป็นถึงคู่นอนขาประจำของมูคยอมเชียวนะ หมอนี่จะตาต่ำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

“ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนพูด แต่หน้าตาแบบพี่เขา ใครๆ ก็ต้องบอกว่าหล่อกันหมดนั่นแหละ”

“แต่ก็ขี้เหร่กว่าฉันใช่ไหม”

“ให้เทียบกับนายเหรอ นายเองก็หล่อมากนะ…”

หลังจากพูดแบบนั้นฮาจุนก็รีบปิดปากฉับ ทำหน้าบูดบึ้งพลางเขม่นมองมูคยอม คงเพราะเจ้าตัวหลุดปากพูดสิ่งข้างต้นออกมา

อย่างนั้นเหรอ ในสายตาฮาจุนเขาหล่อมากเลยสินะ

เพราะแบบนี้แน่ๆ ตอนนั้นถึงกับต้องวิ่งเข้ามาจูบกัน

โชคดีที่อย่างน้อยสายตาของฮาจุนก็ปกติดี ทุกครั้งที่ได้คุยกับฮาจุน รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วยเขามักจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกดึงให้คล้อยตามไปด้วย เพราะแบบนี้ไหมนะ พอได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากฮาจุนเขาถึงได้แอบโล่งใจ เมื่อเบาใจขึ้นเล็กน้อย มูคยอมจึงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกมา

“แล้วทำไมต้องไปสนใจไอ้คนนั้นขนาดนั้นด้วย เจ้านั่นเกี่ยวข้องอะไรกับนายหรือไง”

“เกี่ยวสิ ฉันสนิทกับพี่เขาแล้วเขาก็เป็นคนที่ฉันรู้สึกขอบคุณด้วย ที่พี่เขามาก็เพราะฉันเป็นคนไปขอร้องให้มาเอง แล้วพี่เขาจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

ถึงกับต้องไปขอร้องให้มาเลยเหรอ เก่งขนาดนั้นเลยสินะ ไม่สิ คงเพราะมีข้ออ้างที่ทำให้ได้ออกจากโซลสมกับที่รอมานานก็เลยเรียกตัวมา จะได้สนุกไปกับการแอบพบกันแบบลับๆ ล่ะสิ

เขารู้ดีเลยล่ะว่าปกติแล้วฮาจุนจะเลี่ยงการไปนอนค้างคืนนอกบ้าน เพราะต้องคอยดูแลครอบครัวจะมีก็แค่การมานอนที่บ้านของมูคยอมที่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร

ฮาจุนดูกระวนกระวายและทำตาหลุกหลิกไปมา ราวกับว่ามีเรื่องจะพูด บรรยากาศเหมือนกับว่าอยากจะพูดนะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกออกมาได้ง่ายๆ มูคยอมที่เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียวกำลังรอฟังว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร ทำไมถึงได้มีท่าทางแบบนี้ ฮาจุนกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนเปิดปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ฉันหวังว่านายจะไม่ทำแบบนั้นกับพี่เขานะ”

พอได้รู้ว่าสิ่งที่จะพูดคือเรื่องแค่นี้เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา สำหรับฮาจุนในตอนนี้เหมือนคิมมูคยอมกำลังรับบทตัวร้าย ขณะที่ยุนแชฮุนคือพระเอก

อย่างกับเรื่องราวของคนที่จงรักภักดีต่อคนรัก เหมือนตอนนี้พวกเขากำลังสวมบทบาทกันอยู่ คิมมูคยอมคือขุนนางทุจริต ยุนแชฮุนคือนักปราชญ์ผู้ถูกขุนนางทุจริตข่มเหง ส่วนอีฮาจุนคือผู้ที่มีความสัมพันธ์แบบผิดบาปกับนักปราชญ์คนนั้น ขณะเดียวกันก็มาร้องขอขุนนางทุจริตให้มอบจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ให้แล้วคบหากันแบบลับๆ ในเรื่องนี้ ฮาจุนกำลังรับบทที่โง่เง่าสุดเลยก็ว่าได้

นี่ เจ้าโง่ ต่อให้นายจะพยายามให้ตายยังไง ไอ้คนนั้นก็มีภรรยาแล้วนะ!

มูคยอมจ้องฮาจุนพลางต่อว่าในใจ

“พี่เขา…”

เปิดประโยคมาแบบนั้นเหมือนกับว่ามีเรื่องจะพูดอีก ฮาจุนขยับปากขึ้นอีกครั้งก่อนจะงับปากฉับลงไป แทนที่จะเร่งเร้า มูคยอมกลับทำเพียงแค่จ้องฮาจุนอยู่อย่างนั้น ฮาจุนที่เหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็อึกอักพูดต่อ

“พี่เขา ตรวจสภาพร่างกายเก่งมากเลยนะ ในสายตานายอาจจะมองว่าไม่ได้ดูเก่งอะไรมากมาย แต่พี่เขาเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลย เพราะแบบนี้ฉันเลยอยากให้นายได้ตรวจกับพี่เขาสักครั้ง… รู้ทั้งรู้ว่าพี่เขายุ่ง แต่ฉันก็ไปขอให้เขาช่วยมาให้…”

“…….”

“แต่พอนายไปทำแบบนั้น เรื่องฉันกับพี่เขาน่ะ… คือสิ่งที่นายคิดมันค่อนข้างจะ…”

หน้าของฮาจุนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจาง และปล่อยให้คำท้ายประโยคลอยหายไป มูคยอมยืนนิ่ง มองภาพตรงหน้า

บ้าเอ๊ย เขาโพล่งสบถออกมาในใจ นี่มันเรื่องอะไรอีกเนี่ย ก็ถ้าให้สรุปเรื่องล่ะก็ มันคือเรื่องราวของการจงรักภักดีจริงๆ แต่เขาคิดว่าเป็นความภักดีที่ฮาจุนมีให้กับคิมมูคยอมนี่แหละ ถึงกับต้องไปเรียกตัวคนที่ไม่มีเวลามาให้ช่วยดูสุขภาพและสภาพร่างกายของคิมมูคยอมเลยนะ

จะต้องเป็นคนที่เก่งกาจขนาดไหนกัน แล้วจะต้องไปขอร้องอีท่าไหนถึงจะได้ตัวมาอีก หมอนี่ได้ใช้ร่างกายเข้าแลกไหมเนี่ย เขาได้แต่ภาวนาขอให้มันไม่เป็นเช่นนั้น

“นี่ก็เกินหนึ่งอาทิตย์แล้วนะ”

“…ห๊ะ?”

“ที่เราไม่ได้ทำกัน”

ต่างจากในใจที่ยังคงบ่นระงม น้ำเสียงและการพูดที่ออกจากปากกลับดูผ่อนลงในระดับหนึ่ง ฮาจุนเบิกตากว้างและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีถึงคำพูดของมูคยอม ก่อนจะกลอกตาไปมาเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อ

“ถ้าวันนี้เรามาทำกัน ฉันจะลองเอาเรื่องปรับปรุงตัวไปพิจารณาดู”

“วันนี้? คิมมูคยอม นี่มันสถานที่ที่ทุกคนมาฝึกซ้อมกันนะ”

ฮาจุนแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยราวกับกำลังบอกว่าอย่าพูดจาไร้สาระหน่อยเลย ที่ผ่านมาทั้งสองคนมีเซ็กส์กันแค่ที่บ้านของมูคยอมมาตลอด สถานที่เกิดกิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะเป็นเตียงในห้องนอนแขก โซฟาในห้องรับแขก ส่วนที่ระเบียงหลังจากเคยพลาดกันไปครั้งหนึ่ง พวกเขาก็เลยไม่คิดลองอีก แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่เคยจบแค่ครั้งเดียว ในตอนที่ใกล้จะเสร็จกิจ ตอนที่ฮาจุนเหนื่อยจนไม่สามารถที่จะทรงตัวได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดการได้ทำอะไรต่อมิอะไรบนเตียงก็เป็นตัวเลือกที่สบายที่สุดแล้ว

เตียงที่นี่ก็มีเหมือนกัน คนอื่นรู้แล้วจะพูดอะไรได้ถ้าล็อกประตูก่อนทำ มูคยอมหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายเหมือนจะแกล้งจงใจหลบหน้าเขาแค่คนเดียว คนที่คุมสติไว้ไม่อยู่ทุกครั้งที่มีอะไรกันแล้วเขาปล่อยในกลับทำเป็นไม่รู้สึกอะไร

หรือมีแค่เขาที่เปิดเผยเรื่องเซ็กซ์อย่างชัดเจน

แต่ไม่ว่าจะลองคิดดูกี่ครั้งอีฮาจุนก็ชอบการมีเซ็กซ์ไม่น้อยไปกว่าเขาเลย ไม่ใช่ว่าเพราะโดนของคนอื่นเสียบเข้าไปแล้ว ถึงได้สบายใจอยู่คนเดียวแบบนี้เหรอ

“นายนอนกับยุนแชฮุนเหรอ”

สุดท้ายเขาก็หลุดปากพูดสิ่งที่อยากถามออกไป ฮาจุนทำตาโต สบตาเข้ากับมูคยอมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายพูด

“ว่าไงนะ”

ฮาจุนถามซ้ำไปแบบนั้น และหันไปมองรอบๆ เหมือนเพิ่งได้สติ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจุดที่ใครก็สามารถเดินเข้าออกได้ และไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุยเรื่องแบบนี้

“บ้าไปแล้วเหรอ อยู่ๆ ถามคำถามไร้สติอะไรออกมา”

ฮาจุนคาดคั้นถามโดยลดเสียงเบาลงราวกับกระซิบ มูคยอมจ้องมองสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายอย่างมีเลศนัยแล้วระเบิดหัวเราะออกมา

อย่ามาแกล้งตีหน้าซื่อ จนป่านนี้แล้วยังมาทำเป็นปฏิเสธอีก

“อยู่ห้องเดียวกันด้วย เมื่อวานนัวเนียกันเต็มที่แล้วก็ยังรู้สึกอยากสินะ ไม่ใช่หรือไง”

“พูดเรื่องอะไรของนาย ฉันกับพี่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น”

“อีฮาจุน”

เมื่อมูคยอมเรียกชื่อขึ้นมา ฮาจุนก็หยุดพูดทันทีราวกับสงสัยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

“ถ้านายเป็นฉันนายจะเชื่อคำพูดตัวเองไหมล่ะ”

ฮาจุนที่สับสนจนทำอะไรไม่ถูกทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ชั่วครู่

มูคยอมยิ้มเยาะในใจกับสีหน้าจริงจังนั้น ถ้าอยากจะปกปิดเขา อีกฝ่ายก็ควรจะเล่นละครไปด้วย ตีหน้าซื่อไปด้วย แล้วก็บ่ายเบี่ยงไปด้วย อะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ

เป็นอีฮาจุนที่ดันตัวเขาแล้วพุ่งเข้ามาจูบเพราะการหอมแก้มเบาๆ ครั้งเดียว วันนั้นอีกฝ่ายตรงดิ่งมาที่รถเขาแล้วก็มีเซ็กซ์กันอย่างรวดเร็ว ภาพที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ต้องเล้าโลมเพราะรีบอยากให้เขาฝังกายเข้าไป ใบหน้าเรียบเฉยที่พยักหน้ายอมรับข้อเสนอของเขาแล้วบอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำอะไรแบบนี้ยังคงติดตา แต่กับผู้ชายที่ชอบอย่างออกนอกหน้าขนาดนั้น กลับบอกว่ายังไม่มีอะไรกันงั้นเหรอ

ฮาจุนยืนตัวแข็งพูดไม่ออก มูคยอมยืนรอโดยไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขาอยากจะรู้ว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะตอบมาว่าอะไร

“ฉัน…”

ฮาจุนที่ปริปากพูดขึ้นมาเช่นนั้นนิ่งเงียบและเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สั่นศีรษะเล็กน้อยและสบตาเข้ากับมูคยอมตรงๆ

“ฉันนอนกับใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”

ครั้งนี้มูคยอมขมวดคิ้วกับคำตอบที่สมเหตุสมผล

“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ว่านายจะไปเกาะแกะกับใคร แต่กับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ฉันไม่ชอบหมอนั่นเลย ทำตัวไม่ซื่อสัตย์ ผู้ชายแต่งงานแล้วที่ไหนถึงเที่ยวมายุ่งกับคนอื่นข้างนอก ขนาดคบกับผู้หญิงมามากขนาดนั้น แต่ก็ไม่เคยพัวพันกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว”

“ฉันบอกว่าไม่ใช่ไง” ฮาจุนพูดย้ำอย่างหนักแน่น

มูคยอมปิดปากเงียบ ฮาจุนเสยผมขึ้นหนึ่งครั้งแบบที่มักจะทำเมื่อรู้สึกสับสนหรืออ่อนล้า อาจเพราะถูกพูดแทงใจดำเข้าเลยดูเหมือนว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายจะสั่นเล็กน้อย แต่มูคยอมก็ทำเป็นมองไม่เห็น

“ฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายแต่งงานแล้วแบบที่นายพูด”

“…”

“แล้วพี่เขาก็ไม่รู้”

“…ว่า?”

“ไม่รู้เรื่องที่… ฉันชอบผู้ชาย”

มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย

อย่างนั้นเองเหรอเนี่ย

“เพราะงั้นอย่าไปทำแบบนั้นใส่พี่เขา เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”

มูคยอมนึกถึงช่วงที่ฮาจุนแอบหลบหน้าและกวนประสาทเขา แต่พอเขาถามหยั่งเชิงไปครั้งเดียวว่ามีอารมณ์กับเขาหรือเปล่า หมอนั่นก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที

อาจเพราะอีกฝ่ายคือคิมมูคยอม การชี้นำนั้นจึงเป็นไปได้ ปกติถ้าพวกผู้ชายหลบหน้าเขาไปตามปกติเหมือนกับที่ตัวเขาเองเคยทำในช่วงแรกๆ มูคยอมก็จะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบตนเอง แล้วพอต่างคนต่างอึดอัดใจก็แค่เหินห่างกันไป หรือถ้าอยากจะสนิทด้วยก็จะลดระยะห่างระหว่างกัน ถ้าไม่ใช่สักอย่างเขาก็จะปล่อยไว้เฉยๆ แล้วมองข้ามไป มันก็เลยเกิดเป็นความสัมพันธ์ฉาบฉวย ไม่ชัดเจนแบบนั้น

คิมมูคยอมคงไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่ฮาจุนใจร้ายด้วยสินะ

ไม่ว่าฮาจุนจะคิดยังไงกับคนอย่างยุนแชฮุนมันก็คงเป็นไปได้ไม่สวยนัก ไม่ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว หรือเพราะอีกฝ่ายเป็นคนประเภทปิดกั้น ไม่แม้แต่จะจินตนาการถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกันได้ หรือจะยังไงก็ตาม เลยทำให้ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันแบบในตอนนี้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่อยากถูกสงสัยไปในทางอื่น มูคยอมสรุปสถานการณ์จนถึงปัจจุบันอย่างคร่าวๆ ตามนั้น

“เป็นอะไรของนาย”

เมื่อคิดได้ดังนั้นมูคยอมก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อยจึงถอนหายใจออกมาสั้นๆ ฮาจุนมองเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยเหมือนจะถามว่ายังมีอะไรจะพูดอีกไหมทั้งที่ตนเองอธิบายไปขนาดนี้แล้ว

“ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ ถ้าเป็นฉันก็คงจะปล่อยให้นายพูดพล่อยๆ ใส่ไปเลย เอ่อ น่ารักดี”

“…หมายถึงอะไรอีกเนี่ย”

“ช่างมัน เลิกคุยเถอะ” เพราะว่ามันน่าเบื่อ

มูคยอมปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดคำนั้นออกไป ถ้าหากว่าอีกฝ่ายผุดรอยยิ้มมีเลศนัยขึ้นมาเพราะคำว่านอกใจ ในใจเขาคงคุกรุ่นน้อยกว่านี้ แต่เขายิ่งรู้สึกโมโหเพราะสีหน้าของฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยุนแชฮุนสดใสเกินไป

พอรู้เหตุผลแล้วเขาก็ยิ่งไม่ชอบยุนแชฮุนเข้าไปใหญ่ ผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาทำให้โค้ชคนสำคัญของทีมอื่นต้องทุกข์ใจ ถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกเห็นใจฮาจุนที่ซ่อนสีหน้าเศร้าสร้อยไว้ไม่อยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ไปด้วย

อดีตของคู่นอนเป็นข้อมูลที่เขาไม่จำเป็นต้องรู้มากที่สุดในโลก เพราะถ้าเห็นว่าน่าสงสาร น่าเห็นใจ หรือเกิดความรู้สึกเมตตาระหว่างเพื่อนมนุษย์ก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก

เขาต้องเลิกสนใจ

แม่งเอ้ย ไอ้คนแบบนั้นมีดีอะไร อย่างมากก็แค่หน้าตาดี หุ่นดีมาก แล้วก็หาเงินได้เยอะ

ทำไมถึงชอบ น่าชอบตรงไหน ใจดีด้วยขนาดนั้นเลย?

…สองความคิดที่ขัดแย้งกันภายในใจเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัวตามลำดับเหมือนกับเกมตีตัวตุ่น

“อีฮาจุน”

แต่ความเข้าใจผิดก็คือความเข้าใจผิด มูคยอมยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง

“เอ่อ ขอโทษที่พูดไปทั้งที่ไม่รู้อะไร”

“…ช่างเถอะ ทุกคนบนโลกรู้กันหมดว่านายปากเสีย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”

ฮาจุนพูดอ้อมแอ้มเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งที่บรรยากาศเต็มไปด้วยหนามทิ่มแทง ปัญหาคือถึงแม้ว่าอีฮาจุนจะมีหนามงอกออกมา มูคยอมก็มองเป็นแค่ลูกวัวที่มีเขางอก ไม่ใช่เม่นอยู่ดี

“ถ้าเข้าใจแล้วก็ให้ความร่วมมือกับการฝึกซ้อมที่เหลือหน่อยแล้วกัน เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้ว ฉันบอกแล้วไงว่ามันจะดีกับตัวนายด้วย”

ข้อสรุปกลับมามีข้อเดียวอีกครั้ง คือการตั้งใจฟังยุนแชฮุนและห้ามทำให้เสียบรรยากาศ มูคยอมไม่มีอะไรจะพูดเพราะเขาทำผิดที่ไปพูดจี้ใจอีกฝ่าย จึงแค่พยักหน้าเบาๆ จนแทบมองไม่เห็นครั้งสองครั้งแทนคำตอบ ส่วนฮาจุนก็ถอนหายใจออกมา

“กลับไปกันเถอะ”

“สรุปเราจะไม่ทำกันที่นี่เหรอ” มูคยอมถามฮาจุนที่กำลังทำไม้ทำมือชวนให้เขากลับไปยังสนามฝึก

“พอกลับถึงโซลแล้วทำกันเลย ตกลงไหม”

เนื่องจากเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ระยะเวลาห้าวันสี่คืนซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหันตามความต้องการของสปอนเซอร์ จึงนับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเทียบกับการฝึกซ้อมนอกสถานที่ทั่วไปที่จัดขึ้นหนึ่งถึงสองสัปดาห์ ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะกลับ แต่อีกฝ่ายกลับสั่งให้เขาห้ามใจตัวเองนานขนาดนี้

น่าตลกที่อีกฝ่ายทำตัวหยิ่งให้เขาต้องขอร้องจนเหนื่อยกว่าจะตอบรับหนึ่งครั้ง อย่างกับไม่ใช่คู่นอนที่มีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันอย่างสมัครใจ

ใครกันแน่ที่คุมสติไว้ไม่อยู่แล้วร้องออกมาดังลั่นตอนเขาเริ่มสอดใส่

แต่ที่ฮาจุนบอกว่าการมีอะไรกันในสถานที่ฝึกซ้อมมันอันตรายนั้นก็มีเหตุผล มูคยอมลุกขึ้นยืน เขาทำเป็นยอมแพ้และคล้อยตาม

ให้ถึงโซลก่อนเถอะ จะทำให้วันรุ่งขึ้นลุกไม่ไหวเลย

มูคยอมให้คำมั่นเช่นนั้นพลางเดินเคียงฮาจุนไป แต่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอัดอั้น

“นายก็เคยมีข่าวฉาวกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนี่”

“ว่าไงนะ ไม่นี่”

“มีไม่ใช่เหรอ ภรรยานักธุรกิจอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศจีนไง”

มูคยอมกะพริบตาราวๆ สองครั้งแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่สิ ขุดเรื่องผิดพลาดสมัยไหนขึ้นมาเอาป่านนี้ล่ะเนี่ย ข่าวที่อีกฝ่ายพูดถึงมันเรื่องเมื่อประมาณสองปีก่อนแล้วนะ

“สาบานว่าฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้ว เพราะงั้นก็ต้องไม่นับสิ ปากไม่ได้เฉียดสักนิด แต่รูปดันถูกถ่ายออกมาแบบนั้นเอง”

ฮาจุนมองมูคยอมที่พูดแก้ตัวเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรม แล้วยิ้มเจื่อนๆ ราวกับไม่อยากจะเชื่อ ในใจของมูคยอมที่เคยบ่นพึมพำมีความประหลาดใจมากกว่าความไม่พอใจ

“โค้ชอีนี่รู้ทุกอย่างจริงๆ”

“…เวลาว่างฉันชอบหารายละเอียดข้อมูลของพวกนักกีฬาน่ะ พอต้องหาข้อมูลนายก็มีข่าวแบบนั้นเต็มไปหมด เลยได้แต่อ่านมา”

ระหว่างที่มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเสี้ยวหน้าด้านข้างอันเรียบเฉยของอีกฝ่ายที่พูดเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าประตูสนามกีฬาในร่มแล้ว มูคยอมยังมีเรื่องที่อยากจะพูดเลยเรียกฮาจุนไว้ก่อนที่จะเปิดประตู

“โค้ช”

“อะไรอีกล่ะ”

“ดูเหมือนพวกนักกีฬาจะมองว่าคุณโค้ชเป็นคนง่ายๆ มากเกินไปนะ ถึงการอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนจะดียังไงแต่ก็เป็นโค้ชอยู่ดี ควบคุมพวกนักกีฬาให้ได้หน่อยสิ อย่าไปล้อเล่นด้วยซะทุกเรื่องแบบนั้น”

“อย่างนายควรพูดด้วยเหรอ คนที่มองว่าฉันง่ายที่สุดในบรรดานักกีฬาในทีมก็คือนายเองไม่ใช่เหรอ”

ฮาจุนหัวเราะเยาะพร้อมกับต่อว่ากลับมาตรงๆ ก่อนที่มูคยอมจะหาคำพูดแย้งกลับไปได้ อีกฝ่ายก็เปิดประตูออกกว้างเสียก่อน

มูคยอมนั่งลงตรงม้านั่งตามคำสั่งของฮาจุน เฝ้ามองอีกฝ่ายพูดคุยอะไรบางอย่างกับยุนแชฮุนด้วยความตั้งใจ ฮาจุนกำลังยิ้มอยู่ แต่พอเขาเห็นอีกฝ่ายโค้งคำนับเหมือนกำลังร้องขอบางอย่างด้วยท่าทีอ่อนน้อมเล็กน้อยแล้วก็รู้สึกอาหารไม่ย่อยขึ้นมาอีกรอบ เป็นสถานการณ์ที่ห่วยแตกจริงๆ

ยุนแชฮุนเดินห้อยตามหลังฮาจุนราวกับหางมาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ในสายตามูคยอมอีกฝ่ายก็ดูธรรมดาๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฮาจุนชอบไอ้คนแบบนี้ตรงไหนกันแน่ พอมองหน้าใกล้ๆ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเฮงซวยจริงๆ

มูคยอมมองแชฮุนโดยที่ยังไม่ผ่อนคลายสีหน้าลง แต่อีกฝ่ายกลับถามเขาด้วยท่าทางสดใสราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้ผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแค่ครั้งสองครั้ง

“ขอดูข้อเท้าหน่อยได้ไหม”

“…ทำอะไรก็ทำ”

ถึงจะรู้สึกโมโหกับความรู้สึกพ่ายแพ้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะให้ความร่วมมือ

***

บรรยากาศในสนามซ้อมค่อนข้างที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติเมื่อมูคยอมเริ่มให้ความร่วมมือกับการฝึกซ้อมเป็นอย่างดี เมื่อกลุ่มเมฆดำเคลื่อนผ่าน เสียงหัวเราะของเหล่านักกีฬาก็กลับคืนมาอีกครั้ง แชฮุนกับมูคยอมยังคงไม่ได้ทักทายกันอย่างเหมาะสม แต่ก็นับว่าไม่มีใครทำท่าทางน่าอึดอัดใส่กันอีก

แชฮุนที่ตรวจสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาอย่างละเอียดมาตลอดสามวัน เขียนแผนการฝึกซ้อมของนักกีฬาแต่ละคนแล้วยื่นให้กับฮาจุน

ชอบขนาดไหนถึงได้ยิ้มออกมาราวกับได้รับสมบัติล้ำค่าของโลก ตอนนั้นเองที่มูคยอมเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นท่าทางที่น่ายกย่องและสมควรชื่นชมในฐานะโค้ช

วันที่สี่ในสถานฝึกซ้อมนอกสถานที่ พรุ่งนี้ทีมก็ต้องกลับโซลกันแล้ว การฝึกซ้อมในวันนั้นเลยจบลงในช่วงสาย ช่วงหลังเวลาอาหารกลางวันถูกเสนอให้เป็นเวลาว่าง เหล่านักกีฬาต่างก็กำลังพยายามสร้างบรรยากาศวันหยุด เช่น การไปเที่ยว และสนุกสนานไปกับการว่ายน้ำในทะเล

พวกผู้ชายวัยหนุ่มที่มีผิวสีแทนน่ามองถอดเสื้อออกแล้วออกไปยังชายหาด ผู้คนต่างทำตาโตจ้องมองภาพนั้น หลายคนยิ้มพลางมองภาพที่คนเหล่านั้นกระโดดลงไปในทะเล และบางคนก็ถ่ายรูปไปด้วย

ขณะที่จองคยูซึ่งสวมเพียงชุดว่ายน้ำหรือก็คือกางเกงขาสั้น เปิดเผยเรือนร่างท่อนบนอันกำยำกำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ที่หาดทราย เขาก็หันไปถามมูคยอมที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้างๆ ใต้ร่มเงาของร่มบังแดด

“นายไม่ลงน้ำหรือไง ชอบทะเลไม่ใช่เหรอ”

“ที่แบบนี้ไม่ใช่สไตล์ฉันเลย ทะเลส่วนตัวอะไรก็ไม่ใช่”

“เฮ้อ คุณนักกีฬาคิม ช่วยบอกเคล็ดลับความเฮงซวย คิดเล็กคิดน้อยไปซะทุกเรื่องหน่อยได้ไหมครับ”

พอจองคยูล้อเลียนการสัมภาษณ์โดยทำเป็นยื่นไมค์หาอีกฝ่ายเสร็จ เขาก็หันไปหาคลื่นทะเลแล้ววิ่งออกไป มูคยอมไม่ได้สนใจอีกฝ่ายและทำเพียงนั่งมองผู้คนเดินไปมาบนหาดทรายโดยที่ยังสวมแว่นกันแดดไว้

ไม่ว่าทะเลหรือการเล่นน้ำ มูคยอมก็ชอบมันไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ แต่ทว่าตอนนี้เขากลับไม่มีอารมณ์จะไปกลิ้งเล่นท่ามกลางเพื่อนร่วมทีมที่กำลังหัวเราะคิกคักเหมือนกับพวกเด็กๆ เขาไม่อยากถอดเสื้อต่อหน้าผู้คน แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าภาพในงานถ่ายภาพไปโดยไม่รู้ตัว

เดิมทีถ้าพูดถึงวันหยุดพักร้อนก็ควรให้ไปสถานที่พักผ่อนระดับมหาสมุทรแปซิฟิกหรือยุโรปใต้ เขาควรได้นั่งเรือยอชต์เข้าไปในทะเลลึกที่สามารถหลีกเลี่ยงสายตาของปาปารัสซี่หรือผู้คนได้และว่ายน้ำหรือดำน้ำอยู่ตรงนั้นสิ ใครจะไปชอบถอดเสื้อแสดงตัวบนชายหาดที่แออัดเหมือนทางเดินในตลาดแถวบ้านแบบนี้กัน

แต่พอนอนเฉยๆ อยู่ใต้ร่มไปเรื่อยๆ มูคยอมก็รู้สึกเบื่อแล้วก็ร้อน เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้กับทะเลเพื่อรับลมก็เห็นฮาจุนนั่งอยู่บนหาดทราย

ในที่สุดก็อยู่คนเดียว

ตลอดช่วงฝึกซ้อมอีกฝ่ายดูยุ่งมากเพราะถูกรายล้อมไปด้วยไอ้คนที่แต่งงานแล้ว พวกนักกีฬา พวกโค้ช และอีกหลายๆ คน

“ไม่ลงน้ำเหรอ”

พอมูคยอมเดินเข้าไปใกล้แล้วถามขึ้น อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งที่ยังนั่งอยู่

“อืม ฉัน เอ่อ”

“ทำไมล่ะ ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ ฉันสอนให้เอาไหม”

เขาถามกึ่งเล่นกึ่งจริง อาจเพราะแสบตา ฮาจุนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและยิ้มพลางตอบกลับมา

“เปล่า เพราะต้องถอดเสื้อ แล้วก็ไม่ชอบให้ชุดเปียกด้วย”

อีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้อีกฝ่ายถึงยิ้มอย่างนั้นอยู่เรื่อย

เดิมทีฮาจุนไม่ค่อยยิ้มต่อหน้าเขา ส่วนใหญ่จะทำหน้าเครียดจนถึงขั้นดูบึ้งตึงและหดหู่เสียมากกว่า

เป็นสีหน้าที่มูคยอมค่อนข้างคุ้นเคยเวลาเถียงกันสั้นๆ ด้วยเรื่องของยุนแชฮุน หรือเป็นเพราะอยู่ทีมเดียวกันมานานแล้วก็มีอะไรกันมานานแล้ว เดี๋ยวนี้อีกฝ่ายเลยรู้สึกสบายๆ กับเขาจึงยิ้มออกมาบ่อย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่พอใจ

“เพราะแผลเป็นเหรอ”

“อ๋อ อืม ก็ใช่…”

“มันก็ดูไม่แย่เท่าไหร่นะ ผู้ชายมีแผลเป็นบนตัวสักอันสองอันแล้วยังไงล่ะ”

“…ถ้านายมองแบบนั้นก็ค่อยยังชั่ว”

ฮาจุนพูดดังนั้นแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม ใบหน้าด้านข้างที่กำลังยิ้มอยู่รับกับแสงแดด ขาวจนแทบจะเปล่งประกายออกมาแต่ก็ไม่ได้ดูสดใสขนาดนั้น มูคยอมจ้องเขม็งลงไปเหมือนกำลังพิจารณาความแตกต่างอันน่าประหลาดนั้น

“…มีอะไรติดอยู่ที่หน้าฉันเหรอ”

“เปล่า”

ฮาจุนเอามือตัวเองคลำตรงแก้ม ส่วนมูคยอมก็เบนสายตากลับมา

นายไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บตรงนั้น

มูคยอมอยากจะถามอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะนอกจากจะไม่มีทางเป็นเรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่แล้ว มันก็เป็นหัวข้อที่เขาไม่อยากจะถามออกไปอย่างปุบปับเช่นกัน

“แล้วยุนอะไรนั่นล่ะ”

“ไปซื้อของขวัญแล้ว”

“ของขวัญ?”

“ของขวัญให้ลูกสาว”

ทำเป็นอวดเก่งอยู่แฮะ เขาหัวเราะเยาะออกมาอัตโนมัติ การแกล้งเอ็นดูขนาดนั้นจนทำตัวน่าอายเหมือนจะเขมือบเข้าให้ แต่ก็ทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวแล้วไปซื้อของขวัญให้ลูกทันทีที่มีเวลาคือขีดจำกัดของผู้ชายที่แต่งงานแล้ว

ก็เลยนั่งเหม่อลอยทำตัวน่าสงสารอยู่อย่างนี้งั้นเหรอ โถ่เอ๊ย…

อาจจะเป็นเพราะแสงแดดร้อนๆ และความชื้นของชายหาดจึงร้อนอบอ้าวขึ้นทุกที ถ้าจะไม่ลงน้ำก็น่าจะฝังตัวอยู่แต่ในห้องของโรงแรมน่าจะดีกว่า

“ฉันกลับห้องนะ”

“อืม กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“อากาศมันร้อน ถ้านายไม่เล่นก็กลับเข้าไปในโรงแรมซะสิ”

“ไม่หรอก แค่ดูเฉยๆ ก็โอเค”

จากนั้นมูคยอมก็ทิ้งฮาจุนที่นั่งเท้าคางมองทะเลไว้ และมุ่งหน้าไปที่โรงแรม พอเดินมาได้สักพักก็หันกลับไปมอง รู้สึกว่าภาพที่อีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียวมันดูเศร้ายังไงก็ไม่รู้

จะนั่งดูเฉยๆ มันก็ไม่ได้แย่หรอกนะ แต่ก็น่าจะลงไปเล่นในน้ำซะหน่อยสิ แค่ถอดเสื้อออกมันก็คงจะไม่ทำให้รอยแผลเป็นกลายเป็นที่สะดุดตามากนักหรอก

มูคยอมยืนมองแผ่นหลังของฮาจุนอยู่สักพัก แล้วก็หันหลังมุ่งหน้าไปที่โรงแรม เขาคิดว่าการนอนกลางวันในห้องที่เปิดแอร์ทิ้งไว้เป็นเรื่องดีที่สุด

พอตกกลางคืนงานเลี้ยงดื่มฉลองก็เริ่มต้นขึ้น บรรดาผู้เล่นต่างก็เดินไปห้องโน้นห้องนี้หยอกล้อกันเหมือนกับเหล่านักศึกษาที่มา MT ผู้จัดการทีม โค้ชบางคน และบรรดาผู้เล่นมากประสบการณ์ต่างก็มาดื่มเหล้าที่ห้องของผู้จัดการทีม ถึงจะเป็นปาร์ตี้ก็เถอะ แต่มูคยอมที่ไม่ได้มีการดื่มเหล้าอยู่มุมห้องเป็นงานอดิเรกก็ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรมากมาย จึงได้แต่ทักทายสั้นๆ ว่าขอบคุณที่ตั้งใจฝึกซ้อมมาโดยตลอดและกลับมาที่ห้อง

จองคยูเองก็ปฏิเสธที่จะร่วมวงอื่นเหมือนกับมูคยอม และเก็บตัวอยู่ในห้อง ถึงอยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะสนิทกับเขา แต่มูคยอมก็รู้ว่าจองคยูเองก็มีนิสัยดื้อรั้นอยู่เหมือนกัน จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

“เรามาดื่มด้วยกันสักแก้วเถอะ”

จองคยูวางเบียร์ลงบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ระเบียง มูคยอมเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธจึงได้นั่งลงฝั่งตรงข้าม

ห้องพักเป็นห้องที่มองออกไปเห็นวิวทะเล ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมืดและได้ยินแค่เสียงคลื่นทะเลเท่านั้น แต่ลมทะเลเย็นๆ ที่พัดมาจากหน้าต่างก็ไม่เลวเลย ชี่ เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ดังขึ้นมาเบาๆ ทั้งสองชนกระป๋องกันอย่างเรียบง่าย

“ยังไงก็ขอบใจนะ ที่ตอนแรกทำให้บรรยากาศเสียแล้วก็เปลี่ยนใจกลางคัน”

“ฉันก็ไม่ได้ชอบหมอนั่นซะทีเดียวหรอกนะ”

“ชอบหรือไม่ชอบแล้วมันสำคัญกับเวลาทำงานตรงไหนกัน ยังไงก็ไม่ใช่คนที่นายจะต้องเจอไปอีกนานซะหน่อย”

ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่ โทรศัพท์ของจองคยูก็สั่นขึ้นมาสั้นๆ หลังจากเช็กข้อความแล้วจองคยูก็ยิ้มออกมาเบาๆ และยื่นให้มูคยอมดู

“ดูฮีมังของเราสิ ส่งมาบอกว่าคิดถึงพ่อ”

“เก็บไปเลย”

“…ไอ้เวรนี่ไม่มีความอบอุ่นเลย เฮ้ย ฮีมังก็เป็นหลานของนายไม่ใช่หรือไงวะ”

“ฉันถึงได้ส่งเงินไปให้ตลอดไง”

จองคยูเลียริมฝีปากราวกับไม่มีอะไรจะพูดต่อ และเก็บโทรศัพท์ มูคยอมส่งเงินก้อนโตมาให้เพื่อแสดงความยินดีหลังจากที่ลูกสาวของเขาลืมตาดูโลก และยังส่งมาให้ตอนที่ครบ 100 วันกับวันที่ครบรอบหนึ่งขวบด้วย แม้แต่ตอนนี้ที่กลับมาที่

เกาหลีแล้วก็ยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้งและไม่ได้ไปงานฉลองวันเกิด แต่ก็ถือว่าเป็นการแสดงถึงความเมตตาที่มากเพียงพอ

ทั้งสองเพลิดเพลินไปกับลมทะเลยามค่ำคืนพร้อมกับพูดคุยกันต่ออย่างช้าๆ เริ่มจากเรื่องราวสมัยที่เป็นนักเรียนมัธยมต้น ต่อด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละคนได้พบเจอในฐานะผู้เล่น จองคยูล้อการคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาของมูคยอม ส่วนมูคยอมก็ล้อความตรงไปตรงมาของจองคยู หลังจากที่พูดคุยกันแบบนั้นแล้ว บทสนทนาก็ย้อนกลับไปถึงเวิลด์คัพเมื่อสามปีก่อน จองคยูส่ายหัวราวกับว่าอีกฝ่ายยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน

“นายนี่ไม่สนใครเลยจริงๆ สินะ ฮาจุนเห็นนายจำเขาไม่ได้ยังตกใจเลย ยังไงก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งเดือน ลืมพวกเขาไปแบบนั้นได้ไงเนี่ย แต่นั่นก็ถือเป็นพรสวรรค์นะ”

“ฉันไม่ได้ไม่สนใจ แต่นั่นมันสถานการณ์พิเศษ นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ ตอนนั้นฉันหงุดหงิดก็เลยไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น”

สำหรับมูคยอมแล้ว เวิลด์คัพเมื่อสามปีก่อนเป็นเวิลด์คัพแรกของเขา ถึงเดิมทีจะต้องลงแข่งในเวิลด์คัพครั้งก่อนหน้า

ก็ตาม แต่ตอนนั้นเขากำลังเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และกรีนฟอร์ดที่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บก็ไม่ต้องการให้มูคยอมลงแข่งเวิลด์คัพ

จิตวิญญาณในการต่อสู้กับอาการบาดเจ็บก็เป็นอดีตไปแล้ว แตกต่างกับเมื่อก่อนที่ให้ความสำคัญกับการเป็นตัวแทนประเทศมากกว่าสิ่งไหน ตอนนั้นมูคยอมยังเด็ก และเพิ่งเริ่มอาชีพนักเตะในพรีเมียร์ลีกได้ไม่นาน จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอม

เสี่ยงและตอบรับการเรียกตัว หลังจากที่ได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหารในการแข่งขันโอลิมปิกเมื่อสองปีก่อนก็ยิ่งเป็นแบบนั้น

แต่ถึงยังไง เวิลด์คัพก็เป็นเวทีแห่งความฝันของนักฟุตบอลทุกคน จากนั้นมูคยอมก็เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือกของเวิลด์คัพในฐานะตัวแทนประเทศเกาหลี และลงแข่งในรอบชิงชนะเลิศในอีกหนึ่งปีให้หลัง ถึงจะไม่เคยฝันถึงความฝันอันเพ้อเจ้ออย่างชัยชนะ แต่มูคยอมตั้งใจไว้ว่าจะผ่านเข้ารอบสิบหกทีมสุดท้ายให้ได้

แต่ก็ดันโชคร้าย ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่บรรดาผู้เล่นหลักที่เล่นด้วยกันในรอบคัดเลือกภูมิภาคเอเชียได้รับบาดเจ็บติดต่อกัน จึงไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันหลักได้ บรรดาผู้เล่นตัวสำรองจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้เล่นหลักอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็เป็นทีมที่กำลังปรับระดับให้เข้ากันอย่างยากลำบากอยู่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางเติมเต็มความต้องการของมูคยอมได้

ทีมทุลักทุเลตั้งแต่การฝึกซ้อมครั้งแรก และมูคยอมเองก็โมโห คำพูดที่เขาได้ให้สัมภาษณ์หลังจากจบรอบแรกที่ว่า ‘มาตรฐานต่างกันเกินไป หากนำทีมไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่ผ่านแม้แต่รอบคัดเลือก’ ทำให้เขาถูกโจมตีด้วยการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อและมวลชน

แน่นอนว่าก็มีผู้เล่นที่พอใช้ได้อยู่บ้าง แต่มูคยอมก็แยกตัวออกจากทีมด้วยความเต็มใจเพียงครึ่ง และในช่วงเวลาส่วนตัวหรือแม้แต่เวลาฝึกซ้อม เขาก็ไม่พูดคุยกับผู้เล่นคนอื่นๆ เลย แต่อย่างน้อยตอนนั้นก็มีแค่จองคยูที่พูดคุยกับมูคยอมได้ แต่ด้วยความที่จองคยูยังเด็กจึงขาดประสบการณ์ในการทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

เป็นเวิลด์คัพครั้งแรกที่แย่เหลือเกิน ถึงจะไม่ได้ลืมแต่ก็ไม่อยากจดจำ จึงจงใจที่จะไม่สนใจมัน ปีหน้าเวิลด์คัพก็จะกลับมาอีกครั้ง สำหรับนักกีฬาแล้ว สามปีไม่ใช่ช่วงเวลาที่สั้นเลย เมื่อย้อนกลับไปมองตัวเอง ก็มีจุดที่คิดว่าอ่อนไหวมากเกินไป

เพราะความทะเยอทะยานที่มากเกินไปอยู่คนเดียวอยู่ด้วย จึงตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก การใช้ชีวิตในเกาหลีในหนึ่งฤดูกาลนี้อาจจะช่วยเรื่องนั้นได้ก็ได้

“ตอนแรกฮาจุนจะสับสนแค่ไหนกันนะ? ลืมคนที่เป็นผู้ช่วยไปซะสนิทขนาดนั้นน่ะ”

แต่กรณีของอีฮาจุนนั้นแตกต่างออกไป ตอนนั้นก็คอยหลบหน้ากันตลอด จะไปรู้อะไรได้ และถึงจะไม่เป็นแบบนั้น ตัวเองที่ไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนเลยสักคนในตอนนั้น จะไปจำฮาจุนได้ยังไงกัน

“ช่วยทำดีกับฮาจุนหน่อยสิ เขาเป็นคนที่มีเรื่องทุกข์ใจเยอะอยู่แล้ว อย่าให้ต้องทุกข์ใจเพิ่มโดยไม่จำเป็นอีกเลย”

จองคยูพูดออกมาราวกับต่อว่า เป็นคำที่ทิ่มแทงใจไม่ใช่น้อย มูคยอมจึงทำหน้าง้ำงอ

“ดูเหมือนว่าอีฮาจุนลาออกเพราะบาดเจ็บ”

“ใช่แล้ว เพราะบาดเจ็บ”

“แล้วทำไมถึงกลับมาเป็นโค้ชทันทีเลยล่ะ เป็นหนักถึงขนาดฟื้นฟูไม่ได้เลยเหรอ”

จองคยูดื่มเบียร์เข้าไปหนึ่งอึกและเงียบไปราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด จากนั้นก็พูดออกมา

“ก็แค่ ตอนนั้นน่าจะเหนื่อยมาก แต่ยังไงก็มีช่วงที่รุ่งนะ แต่ว่าแม่ของฮาจุนไม่ค่อยสบาย ตับหรือไตนี่แหละที่มีปัญหาเรื้อรัง ตอนนี้ก็น่าจะยังรับการรักษาอยู่เรื่อยๆ การฟื้นฟูร่างกายก็ต้องมีการค้ำจุนช่วยเหลือด้วยสิ แต่ฟุตบอลมืออาชีพ

ของเกาหลีไม่มีเวลาที่จะมาโอบอุ้มและรอผู้เล่นที่บาดเจ็บไม่ใช่หรือไง”

“ถ้างั้นก็เป็นเพราะเงินเหรอ”

“เรื่องเงินก็ส่วนหนึ่ง ไหนจะเรื่องเวลาเอย อะไรเอย ฉันเข้าใจนะ ก็ในเมื่อคนหาเงินมีแค่ตัวเองเท่านั้น จะไม่มืดแปดด้านได้ยังไงล่ะ พอต้องมาฟื้นฟูร่างกายที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่เพราะต้องการจะเป็นผู้เล่นอีกครั้ง ก็เลยคิดหาวิธี

ที่จะหาเงินให้ได้เร็วๆ ไงละ นอกจากแม่แล้วก็ยังมีน้องอีกสองคนนี่ พวกเขาจะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้ล่ะ ตอนนี้ฉันมีลูกแล้ว ถึงได้รู้ว่าถึงจะหามาได้เท่าไหร่มันก็ไม่พอ โชคดีที่มีประสบการณ์ในการเป็นนักกีฬามามากพอ จึงดีกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์

ในหลายๆ ด้าน”

สีหน้าของจองคยูที่ดื่มเบียร์เข้าไปอีกหลายอึกขมขื่นขึ้นมา

“เมื่อก่อนฮาจุนเคยบอกว่ามีคนอีกมากที่ลำบากกว่าตัวเอง นั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดเลย การเปลี่ยนแผนจากผู้เล่นมาเป็นโค้ชและได้ตำแหน่งอย่างรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”

“…”

“นายไม่รู้ล่ะสิ? หลังจากจบเวิลด์คัพครั้งนั้น ฮาจุนเองก็ได้รับข้อเสนอจากฝรั่งเศส ถึงจะเป็นดิวิชั่น 2 ก็เถอะ แต่นายเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน และตอนแรกก็เริ่มต้นแบบนั้น ถึงเห็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่เขาเป็นคนที่เตะลูกไปถึงหน้าประตู

และทำประตูได้เก่งใช่ย่อยเลยนะ ถึงจะเป็นคนเงียบๆ แต่ก็มีเซนส์ดี น่าเสียดาย เขาน่ะเป็นประเภทที่เป็นที่ยอมรับในยุโรปมากกว่าเกาหลี… แต่โอกาสก็หายไปหมดเพราะบาดเจ็บ”

“หยุดพูดได้แล้ว”

มูคยอมพูดตัดบท จองคยูที่เล่าเรื่องราวไม่หยุดเกิดความกระดากอายขึ้นมาบนใบหน้า

“ทำไมล่ะ หรือนี่ก็เป็นการพูดลับหลังหรือเปล่า”

“ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของอีฮาจุน ไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกดีด้วย ถึงจะเป็นเรื่องที่ใครบางคนไปได้สวยก็ยากที่จะฟัง และพอได้ฟังเรื่องราวที่ว่าใครบางคนล้มเหลว ก็มีแต่จะท้อแท้เท่านั้นแหละ”

“…”

“แค่ชีวิตของฉันเองก็มีเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ฉันไม่สนเรื่องวุ่นวายของคนอื่นหรอกนะ ถ้าตั้งใจจะประสบความสำเร็จก็ต้องฟังเรื่องราวการประสบความสำเร็จของคนอื่นเยอะๆ คนเขาไม่จ่ายเงินเพื่ออ่านเรื่องราวความสำเร็จหรือหนังสือพัฒนาตัวเองโดยเปล่าประโยชน์หรอก”

“นายนี่มันไม่รู้จักเห็นใจคนอื่นเลย”

ทั้งที่เอ่ยปากว่าออกไปแต่ท่าทีของจองคยูกลับอ่อนลง เพราะเขาเป็นคนที่รู้ช่วงเวลาที่เคย ‘วุ่นวาย’ ของมูคยอมเป็นอย่างดีรองจากผู้จัดการทีมพัคจุน และเขาก็รู้ดีกว่าใครด้วยว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาด้วยท่าทีดื้อดึงอย่างไร้เหตุผล มูคยอมกระดกเบียร์ที่เหลือจนหมดแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง

“นายจะไปไหน”

“ไปรับลมสักหน่อย นายจะไปดื่มกับคนอื่นต่อก็ได้นะ”

“ไม่ได้จะไปไหนไกลๆ ใช่ไหม อย่ากลับดึกล่ะ พรุ่งนี้เราจะกลับกันแล้วนะ”

“ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วน่า”

ดูเหมือนจองคยูจะคิดว่ามูคยอมจะออกไปหาผู้หญิง มูคยอมที่ไม่ได้มีแผนจะทำอะไรแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องอธิบายอะไรออกมาจากอาคารของรีสอร์ตและมุ่งหน้าไปที่ชายหาดอีกครั้ง

ผู้เล่นหลายคนออกมาที่ทะเลยามค่ำคืนเพื่อดื่มเหล้าต่างก็เงยหน้าขึ้นมาทักทายเขา

“อ้าว พี่มูคยอม! มาแล้วเหรอครับ”

“ดื่มกับพวกผมสักแก้วสิครับ!”

มูคยอมโบกมือปฏิเสธพวกเด็กๆ ที่เซ้าซี้ราวกับกำลังสนุกสุดเหวี่ยง

“ไม่ละ พวกนายสนุกกันต่อเถอะ”

เขาปฏิเสธออกไปแบบนั้นและตั้งใจจะก้าวออกมา แต่จู่ๆ สิ่งที่เหมือนกับก้อนเต้าหู้ขาวๆ ก็กระโจนออกมาระหว่างบรรดาผู้เล่นที่นั่งอยู่ที่ชายหาด และรีบเข้ามาใกล้มูคยอม สุนัขสีขาวตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ถึงข้อเท้าของมูคยอม มันกระดิกหาง

และหอบดังแฮ่กๆ มูคยอมจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน

“หมามาจากไหนเนี่ย”

บรรดาผู้เล่นรีบตอบทันที

“ไม่รู้ว่ามีเจ้าของหรือเป็นหมาจรจัด แต่มันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วครับ”

“มันน่ารักดีก็เลยเล่นกับมันครับ”

“มันน่าจะชอบพี่นะครับ”

ดูจากขนอันสะอาดสะอ้านของมันแล้ว น่าจะไม่ใช่สุนัขที่ใช้ชีวิตอยู่ริมถนน มูคยอมกระทืบเท้าใส่ลูกสุนัขที่ตามติดเขา

“ไปให้พ้น”

ถึงจะคุกคามเขาแต่ก็ยังส่ายหาง และไม่ยอมออกห่างจากมูคยอมง่ายๆ

“ชู่ว”

แต่พอมูคยอมถลึงตาใส่และแกล้งทำเป็นไล่มันไปอีกหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายมันก็ร้องหงิงๆ และกลับไปหาเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ใครคนหนึ่งอุ้มลูกสุนัขขึ้นเพื่อปกป้องมันพร้อมกับสังเกตท่าทีของมูคยอมและถามออกมา

“ไม่ชอบหมาเหรอครับ”

“อืม”

น่ารักดีออก… มูคยอมทิ้งเสียงบ่นพึมพำราวกับเสียดายเอาไว้ข้างหลัง และเริ่มเดินไปบนหาดทรายที่ทอดยาวอย่างช้าๆ เขาอยากไปในสถานที่ที่มีคนน้อยๆ

ด้วยความที่เป็นชายหาด จึงมีแสงไฟจากร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง แม้จะเป็นตอนกลางคืนก็ไม่ได้มืดมากนัก แต่ยังไงน้ำทะเลก็ดำสนิทเหมือนน้ำหมึก มีฟองน้ำที่แตกตัวจากการซัดของคลื่นเตี้ยๆ เท่านั้นที่ได้รับแสง จึงรับรู้ได้ถึงเส้นแบ่งเขตระหว่างทะเลและหาดทราย และรับรู้ได้เพียงว่าที่แห่งนี้คือทะเลผ่านเสียงน้ำที่ซัดสาด

พอออกห่างจากตัวรีสอร์ตมากขึ้น ร่องรอยของคนก็ลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อออกจากพื้นที่ที่มีร้านค้ารวมตัวกันอยู่ แสงไฟก็สลัวลง แสงจันทร์เล็กๆ ที่ลอยอยู่บนทะเลสีดำก็ปรากฏเข้ามาในสายตา เขาเดินมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่ที่ไม่ได้ยินเสียงผู้คน มีเพียงแค่เสียงซัดสาดของคลื่นดังซ่าเท่านั้น

ในตอนนั้นมูคยอมลดความเร็วของฝีเท้าลงและเมื่อถึงจุดหนึ่งก็หยุดเดินลงในที่สุด ที่หยุดเดินไม่ใช่เพราะมาถึงสถานที่ที่เขาต้องการแล้ว แต่เป็นเพราะมีคนอยู่ในสถานที่ที่คิดว่าเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่น่าจะมีใครอยู่

มูคยอมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของแขกผู้ที่มาถึงก่อน อาจจะเป็นเพราะมืดเกินไป หรือเพราะเสียงคลื่น ใครคนนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามูคยอมเดินมาตรงนี้

อีฮาจุนนั่นเอง พอเห็นภาพที่อีกฝ่ายยืนอยู่ในความมืดเพียงลำพัง ก็นึกถึงใครคนนั้นที่ยืนอยู่ในห้องรับแขกมืดๆ เหมือนกับกระต่ายป่าอย่างที่เคยเห็นมาก่อน

แต่ฮาจุนในวันนี้ไม่เหมือนกับกระต่ายที่หลงทาง แม้จะเดินมาถึงตรงนี้แล้ว แสงไฟที่มีอยู่ประปรายและแสงจันทร์ที่สว่างเกินคาดสาดส่องใบหน้าของฮาจุนจนดูซูบซีด ฮาจุนมองออกไปไกลๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับมองเห็นเส้นขอบฟ้าที่ถูกความมืดปกคลุมจนลบเลือนไป

มูคยอมไม่เอ่ยปากพูด ไม่เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม และมองดูเขาอยู่ไกลๆ ฮาจุนยังคงยืนนิ่งและมองไปยังทะเลอันกว้างไกล

คนที่เริ่มขยับก่อนคือฮาจุน ฮาจุนถอดรองเท้าที่สวมอยู่ออก เท้าเปล่าของฮาจุนที่เห็นมาหลายต่อหลายครั้งก้าวลงไปบนผืนทราย มูคยอมรู้สึกเหมือนว่าเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรูปที่ผิดพลาด มูคยอมชอบใส่รองเท้าแม้จะอยู่บนชายหาด เพราะอาจจะบาดเจ็บเอาได้

ฮาจุนที่เท้าเปล่าก้าวเดินไปข้างหน้า เท้าและข้อเท้าขาวๆ ที่เหยียบลงไปบนหาดทรายสวยๆ แต่ละก้าวๆ โดยไร้เสียง หายไปท่ามกลางคลื่นสีดำที่ซัดสาด

ดูเหมือนอีฮาจุนจะไปดื่มมาจากที่ไหนสักแห่ง

ใครจะรู้ หมอนี่อาจไปดื่มมากับไอ้ยุนแชฮุนนั่นก็ได้

ดื่มเสร็จน่าจะอยากออกมาสูดอากาศ แล้วลงเอยเหมือนเขาเมื่อก่อนหน้านี้ ที่เดินไปเจอเจ้าพวกนักเตะเด็กๆ ชวนให้นั่งเล่นด้วยกัน แต่ก็บอกปัดไปด้วยความขี้เกียจ ก่อนจะย้อนกลับมาถึงตรงนี้พลางหาที่ที่มีคนน้อยๆ ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อน ก็เป็นไปได้ที่คนตรงหน้าจะอยากเอาเท้าแช่น้ำแบบนั้น

มูคยอมคิดเช่นนั้นขณะยืนอยู่ ณ จุดเดิม ราวกับว่าที่ตรงนั้นไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากคนสองคน เกลียวคลื่นส่งเสียงสะท้อนไปมาอย่างสม่ำเสมอดังกลบเสียงอื่นจนหูอื้อ

ระหว่างนั้นฮาจุนค่อยๆ เดินลงไปในทะเล ในทีแรกมูคยอมคิดว่าหมอนี่จะแช่ถึงแค่ข้อเท้า แต่ไม่ทันรู้ตัว ความลึกก็เปลี่ยนไปอยู่ในระดับเข่า ท้ายที่สุดท้องทะเลสีดำก็กลืนกินคนตรงหน้าไปจนถึงช่วงเอว เขาหวังให้ฮาจุนหยุดเมื่อไปอยู่ในจุดที่ควรพอ แต่เจ้าตัวก็ยังคงก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ เสียงคลื่นที่ดังเกินไป พาลทำให้ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงร่างที่ฝ่าลงน้ำ สิ่งที่ได้เห็นในเวลาต่อมาจึงดูเหมือนว่าฮาจุนกำลังถูกดูดลงไปในท้องทะเล

“เจ้าบ้านั่น”

มูคยอมทนดูต่อไม่ไหว สบถออกมาพลางยกเท้าก้าวตรงไปในท้ายที่สุด เขาวิ่งเข้าไปโดยไม่คิดแม้จะถอดรองเท้า ก่อนกระโดดพุ่งลงทะเล

แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่เมื่อร่างกายซึ่งอยู่กับอากาศร้อน ชุ่มโชกไปด้วยน้ำเย็นอย่างกะทันหัน ขนตามตัวก็พากันลุกชันด้วยความยะเยือก ทว่าเขากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเลยสักนิด มูคยอมที่ไล่หลังฮาจุนไปพร้อมเสียงน้ำจ๋อมๆ เพิ่มระดับเสียงเรียกคนที่ตนกำลังเดินตาม

“อีฮาจุน!”

ก่อนหน้านี้น้ำยังอยู่แค่บริเวณเอว แต่ในตอนนี้ตัวของฮาจุนจมหายไปถึงช่วงอก มูคยอมว่ายน้ำเข้าไปใกล้จนระยะห่างลดลงในระดับหนึ่ง ก่อนตั้งตัวยืนขึ้น แล้วเดินต่อในน้ำ

“อีฮาจุน!”

ด้วยใจที่กังวล เขาตะโกนเรียกชื่อฮาจุนอีกครั้งก่อนยื่นแขนออกไป ปลายนิ้วเกี่ยวเข้าที่ปลายเสื้อยืดอย่างหวุดหวิด และในตอนนั้นเองฮาจุนจึงได้หันกลับมามอง ดวงตาที่ประดับอยู่บนใบหน้าขาวเบิกกว้างขึ้น

“คิมมูคยอม?”

มูคยอมหอบหายใจถี่ออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่คือมูคยอมคนที่แม้จะลงเล่นในสนามครบ 90 นาที แต่ก็สามารถปรับลมหายใจกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ถึงจะบอกว่าอยู่ในทะเล แต่การเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่เมตรก็ไม่มีทางทำให้เขาหอบหายใจถึงขนาดนี้ได้

ใบหน้านิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังทำคนอื่นตกใจ ทำเอามูคยอมเดือดปุด ฮาจุนหมุนตัวไปหามูคยอม และเอ่ยถามขึ้นขณะเดินแหวกผืนน้ำเข้าไปใกล้

“นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากทำตัวเกินเรื่องฟาดงวงฟาดงาอยู่คนเดียว มูคยอมพยายามข่มอาการใจเต้นแปลกๆ ที่ก่อตัวขึ้น และกดเสียงที่กำลังไต่ระดับขึ้นสูงให้ต่ำลง

“…นายกำลังทำอะไร”

“ฉันออกมาสูดอากาศน่ะ เลยจะแวะว่ายน้ำเล่นสักพัก เสียดายที่เมื่อตอนกลางวันไม่ได้เล่น ว่าจะเล่นสักหน่อยก่อนไป”

“ดึกดื่นแบบนี้ ลงไปในน้ำลึกๆ มันอันตรายไหม”

จบประโยคนั้น รอยยิ้มใส่ซื่อก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เปียกชื้นของฮาจุน

“อากาศดีจะตาย คลื่นก็ไม่ค่อยมีด้วย น้ำสูงแค่นี้สบายอยู่แล้ว ฉันว่ายน้ำเก่งนะจะบอกให้”

“แล้วที่นี่คือสระว่ายน้ำหรือไง นี่มันทะเล!”

สุดท้ายเสียงที่พยายามกดเอาไว้ก็ระเบิดโพล่งออกมา เมื่อความโกรธปะทุตัว ดวงตาวาดยิ้มของฮาจุนก็เบิกโตพร้อมใบหน้าที่นิ่งตึง

มูคยอมยกมือขึ้นลูบใบหน้าเปียกชื้นของฮาจุน น้ำทะเลที่เค็มอาจทำให้ดวงตาแสบร้อนได้ ฮาจุนเอ่ยขอโทษออกมาในทันที

“เอ่อ ฉันขอโทษ…”

“ขึ้นมา เร็วๆ เลย”

ฮาจุนที่อึกอักขอโทษออกมาทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องราว ถูกมูคยอมคว้าข้อมือเดินกลับไปทางชายหาดอีกครั้ง เหมือนตำรวจสายสืบที่มาจับกุมตัวนักโทษ เพราะครั้งนี้ไม่ได้กลับเข้าฝั่งเพียงคนเดียว มูคยอมจึงเลือกที่จะเดินลุยน้ำขึ้นไปแทนที่จะว่ายน้ำ

ทั้งสองเดินต่อไปโดยไม่พูดจา เมื่อย้ายขึ้นมาอยู่บนหาดทราย เสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำก็ลู่ลงตามตัว ฮาจุนจับชายเสื้อขึ้นบิดจนน้ำไหลเป็นสาย มูคยอมกัดฟันกรอดถอดเสื้อยืดที่เปียกโชกโยนลงบนพื้น ปล่อยเสื้อที่โดนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจให้ตกลง และถูกเกาะด้วยเม็ดทราย

ฮาจุนที่ใส่รองเท้าเสร็จสังเกตเห็นการกระทำนั้น จึงเก็บเสื้อที่ตกอยู่ขึ้นมาบิดน้ำออกเหมือนที่ทำกับเสื้อตัวเอง เสียงน้ำกระทบลงบนพื้นทรายดังให้ได้ยิน แค่โยนทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง ทำไมต้องทำตัวขัดสนขนาดนั้นด้วย พอเห็นแบบนี้มูคยอมก็ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม

ด้วยความที่ไม่อยากแสดงความหงุดหงิดใจออกไปมากกว่านี้ มูคยอมจึงเลือกที่จะก้าวไปยืนตรงหน้าฮาจุนโดยไม่พูดอะไร จัดการบิดน้ำออกจากเสื้อเสร็จฮาจุนก็ขยับเข้ามาใกล้กัน จากนั้นมูคยอมจึงเริ่มเคลื่อนเท้าไปด้านหน้า ฮาจุนเดินตามอยู่ข้างๆ แม้จะไม่ได้จับข้อมือลากมาก็ตาม ทั้งคู่เดินนิ่งเงียบไม่พูดจากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนฮาจุนจะเป็นฝ่ายพูดออกมาด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง

“นี่… ถ้าฉันทำให้ตกใจก็ขอโทษนะ นายคิดว่าฉันจมน้ำเหรอ”

ใครตกใจกัน

เด็กประถมยังรู้เลยว่าการลงไปในทะเลลึกตอนกลางคืนแบบนั้นมันอันตราย แล้วเขาก็ไม่ได้ตกใจสักหน่อย แค่โมโหจนพูดไม่ออกต่างหาก

เมื่ออีกฝ่ายยังคงเดินต่อไปโดยไม่ให้คำตอบกัน ฮาจุนก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เสียงคลื่นที่ลอยเข้าหูและพาให้จิตใจสงบเมื่อครู่ ในตอนนี้ได้กลายเป็นเหมือนกับเสียงรบกวนที่ได้ยินแล้วทำให้มูคยอมรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า เดินไปสักพักรอบตัวก็เริ่มมีคนมากขึ้นและกลับมาสว่างอีกครั้ง เหล่านักเตะที่ดื่มเหล้าและเล่นอยู่กับสุนัขก็ยังคงปักหลักกันอยู่ที่เดิม

“โอ๊ะ โค้ช พี่! ไปว่ายน้ำกันมาเหรอครับ โห ใจร้ายจัง ไปเล่นกันแค่สองคนได้ยังไง”

เงียบปากซะ

ถึงจะอยากเดินไปฟาดปากไอ้พวกที่กำลังพูดแหย่โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวราว แต่มูคยอมก็ทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และมุ่งหน้าเดินต่อไปยังตัวอาคารอย่างเงียบๆ คล้อยหลังเขาได้ยินเสียงใครบางคนที่กำลังตักเตือนเจ้าพวกนั้นปะปนไปกับเสียงหัวเราะ

“พวกนายเองก็อย่าดื่มกันให้มากนักล่ะ”

ทำคนอื่นเขาหงุดหงิดจนแทบบ้า แล้วก็ไม่คิดอะไรเลยสินะ

เสื้อที่ใส่ยังคงเปียกชุ่มไปแม้จะบิดน้ำออกแล้ว แม้ระหว่างที่เดินมาจะพอแห้งลงไปบ้าง แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังชื้นน้ำอยู่ ชายหุ่นดีสองคนที่เปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า เดินตัวโชกน้ำเข้าไปด้านในอาคารในเวลากลางดึก พนักงานบริเวณล็อบบี้เดินนำทั้งคู่ไปยังลิฟต์ในทันที โดยไม่พูดจาราวกับว่าตกใจอยู่นิดๆ แต่ถึงอย่างนั้นพนักงานคนนี้คงจะเห็นอะไรแบบนี้จนชิน เพราะรีสอร์ตนี้ตั้งอยู่ใกล้กับชายหาด

ฮาจุนกดลิฟต์ไปยังชั้นที่รวมห้องพักของสมาชิกในทีม ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันขณะที่กล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมกำลังเคลื่อนตัวขึ้นสูง เสียง ติ๊ง ดังขึ้น พร้อมกับประตูที่เปิดออก น้ำหยดลงพื้นขณะเดินตามทางยาวที่ปูด้วยพรม เป็นฮาจุนที่ถึงหน้าห้องพักของตัวเองก่อน เขาเหลือบมองมูคยอมอย่างชั่งใจ ก่อนจะพูดออกมา

“คิมมูคยอม เดี๋ยวฉันเอาเสื้อนายไปซักให้ เข้ามาก่อนแล้วค่อยไปสิ”

“…แล้วยุนแชฮุน”

“พี่เขาน่าจะไม่อยู่ เพิ่งออกไปดื่มกับพวกโค้ชเมื่อไม่นานนี้เอง”

ฮาจุนหยิบกุญแจขึ้นทาบเครื่องสแกน เสียงติ๊ดดังขึ้นพร้อมกับตัวล็อกที่ปลดออก ทันทีที่ประตูแง้มเปิดก็สัมผัสได้ถึงความเงียบและห้องที่ว่างเปล่า ฮาจุนเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นมูคยอมจึงตามหลังไป ฮาจุนที่พุ่งเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อถึงห้องจัดการถอดเสื้อที่แนบติดกับตัวออก และบ่นออกมาพลางใช้ฝักบัวฉีดน้ำใส่เสื้อไปด้วย

“ขืนปล่อยให้น้ำทะเลแห้งคาเสื้อ ตอนซักลำบากแน่ เพราะแบบนี้ฉันเลยไม่เล่นน้ำทะเลตอนกลางวันไง ถ้าจะเล่นอย่างน้อยก็ต้องถอดเสื้อออกก่อน”

ประตูห้องน้ำที่เปิดออกกว้าง ทำให้มูคยอมเห็นภาพของฮาจุนที่เปลือยท่อนบนอยู่ตรงหน้า อาจเพราะใช้เวลาพักหนึ่งเดินกันมาในสภาพที่ตัวเปียกน้ำทะเล ผิวของอีกฝ่ายถึงได้ดูขาวราวกับอุณหภูมิร่างกายลดหาย แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม

รอยแผลเหล่านั้นปรากฏเข้ามาในสายตาของมูคยอม ทั้งรอยแผลสีแดงเข้มที่ในคราแรกเจ้าตัวเคยใช้สองมือพยายามปกปิดราวกับว่าไม่อยากให้เขาเห็นนักหนา ดึงเสื้อลงไปบังพร้อมบอกออกมาว่าจะใส่เสื้อหากเขาไม่อยากมอง และรอยแผลเย็บที่พาดตัวยาวอยู่ข้างๆ กันนั่นด้วย

มันคือร่องรอยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนบนผิวขาวละเอียด มองผ่านๆ แผลนั้นเป็นสีแดงเข้ม แต่ก็มีส่วนที่สีไม่สม่ำเสมอกัน ทั้งยังมีพื้นผิวบางจุดที่ขรุขระ เขาไม่รู้ชัดถึงที่มาของรอยแผลนี้ ทว่ามองจากภายนอกมันดูเหมือนแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รอยแผลปรากฏตั้งแต่ช่วงเอวใกล้กระดูกเชิงกรานไล่ลงไปถึงหลังต้นขา แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเห็นรอยแผลช่วงล่างได้ เพราะมีกางเกงที่บดบังอยู่

“คิมมูคยอม นายถอดชั้นในกับกางเกงมาด้วยเลย แล้วเอาเสื้อคลุมอาบน้ำในห้องฉันใส่ออกไป เดี๋ยวฉันเอาไปซักตากเอง แล้วพรุ่งนี้จะเอาไปให้”

ฮาจุนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่ต่างจากปกติ มูคยอมทำตามคำสั่งโดยไม่พูดอะไร เมื่อเขาถอดกางเกงที่ชื้นน้ำ ตามด้วยชั้นในออกหมด จนไร้ด้ายสักเส้นที่ปกปิดร่างกาย มูคยอมก็เผยหุ่นแน่นกำยำให้ได้เห็น เขายื่นเสื้อผ้าให้ฮาจุนที่อยู่ในห้องน้ำ ฮาจุนรับไปด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างจากเดิม

ส่งเสื้อผ้าให้เสร็จ มูคยอมก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตูลง แม้ห้องน้ำในรีสอร์ตสร้างใหม่จะกว้างสักแค่ไหน แต่เมื่อชายสองคนที่สูงเกินมาตรฐานมายืนอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกได้ว่าภายในนี้ดูแน่นขึ้นถนัดตา ฮาจุนเงยหน้ามองกัน และเอ่ยถามออกมา

“นายจะอาบน้ำที่นี่เลยเหรอ”

ชวนเข้าห้อง บอกให้ถอดเสื้อผ้า ยั่วกันซะขนาดนี้ ยังจะมาตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว มูคยอมไม่ได้ประทับใจแผนล่อลวงนี้เท่าไร ทั้งยังขี้เกียจเกินจะโต้ตอบอะไร โดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด มูคยอมใช้แขนข้างเดียวเกี่ยวเอวฮาจุนเข้ามากอด จนร่างกายสั่นไหวจากอาการตกใจ ทำเอาเสื้อผ้าที่เปียกอยู่หล่นตุ้บออกจากมือ

เขาลากสายตาไปยังหน้าผากมนกลมระหว่างผมม้าที่เปียกชื้น ต่อที่ใบหูเรียวบางข้างกันๆ ผ่านไปสัปดาห์กว่าหลังจบงานนั้น อีกฝ่ายมัวแต่หลับหน้ากัน นี่ก็ผ่านมานานแล้วที่เขาไม่ได้ขบเคี้ยวผิวเนื้อนี่ ฮาจุนตกใจใช้มือผลักมูคยอมออกทันทีที่ถูกฟันขบเนื้อเข้า แน่นอนมูคยอมไม่ได้ขยับตัวออก และเพิ่มแรงกอดเอวของฮาจุนให้แน่นขึ้น

“นะ นาย จะทำอะไร… ฮื้อ!”

เขาแหย่ลิ้นเข้าไปในหู แตะเบาหนักสลับไปมาอยู่อย่างนั้น มือที่ลูบไล้ส่งผลให้ร่างเล็กในอ้อมแขนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เมื่อเห็นเช่นนั้นมูคยอมจึงค่อยๆ ดันตัวฮาจุนให้พิงผนังกระเบื้อง แล้วจับให้ยืนตรง

ปากที่ยังไม่ละออกไล้เลียจากใบหูลงมายังกรอบคาง มูคยอมทำมันอย่างไม่รีบร้อน เรียวลิ้นกวาดผ่านลูกกระเดือกที่ขยับไปมาราวกับว่ากำลังกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ลากต่อไปยังกระดูกไหปลาร้า และกระดูกช่วงอก ก่อนเคลื่อนตัวไปด้านข้าง ไล้เลียยอดอกที่เปียกชื้นและตั้งชันอยู่ก่อนแล้ว รสชาติของมันเหมือนกับน้ำประปา อาจเป็นเพราะว่าน้ำทะเลได้ถูกชะล้างออกไปจนหมดแล้ว

“อะ อืม…”

ร่างกายของฮาจุนสะดุ้งด้วยความตกใจ อกแอ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว มูคยอมยังคงลากไล้ยอดอกอย่างไม่หยุดหย่อนพลางพิจารณาสิ่งที่ตั้งยอดเหมือนทรงหยดน้ำ

มันตั้งชันตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนที่เขาจะเอาปากมาสัมผัสหรือเปล่า มูคยอมก็จำไม่ค่อยจะได้สักเท่าไร จากนั้นเขาเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด และกัดลงไม่แรงนัก พลางครูดฟันลงบนติ่งเนื้อและฐานรอบๆ เหมือนคนที่กำลังรีบจัดการอาหารตรงหน้าให้เกลี้ยงจาน

“อ๊ะ อา อะ…”

ใช้ฟันครูด ก่อนกัดลงที่ส่วนปลาย และขยี้ไปมา แต่นั่นก็ยังไม่สาแก่ใจ เขาใช้ริมฝีปากดูดรอบยอดอกที่มีเนื้อหนังไม่มากนัก จนมีเสียงดังจ๊วบจ๊าบ พลางใช้ลิ้นโลมเลียทาบทับลงไปอย่างแรง ฮาจุนบิดเอวร้องครางออกมา รู้สึกราวกับว่าสิ่งที่กำลังถูกดูดดึงคือส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวไม่ใช่แผ่นอก

“อย่านะ… ไม่ได้ ที่นี่ไม่ได้…”

มูคยอมเมินเฉยกับคำพูดนั้น และย้ายริมฝีปากไปยังยอดอกอีกข้าง ฮาจุนใช้มือดันไหล่ของมูคยอมออก เมื่ออีกฝ่ายบดนิ้วมืออย่างแรงลงบนติ่งไตที่บวมแดง และละเลงผลงานเช่นเดียวกับที่ทำก่อนหน้าลงบนยอดอกข้างที่เหลือ

ปกติแล้วฮาจุนไม่ใช่คนแรงน้อย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มูคยอมเริ่มทำอะไรแบบนี้ ฮาจุนจะไม่สามารถใช้แรงที่มีได้ ไม่รู้เพราะเรี่ยวแรงหายไปจริงๆ หรือแกล้งทำกันแน่ และวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่ต่างไปจากที่เคย จะมีก็แต่มือที่วางอยู่บนไหล่ที่อยู่ๆ ก็ออกแรงบีบขึ้นมา และปลายนิ้วที่ข่วนผิวของมูคยอมเบาๆ

“ฮะ จะ เจ็บ ฉันเจ็บ…!”

คำร้องขอที่อยู่ๆ ก็ถูกส่งออกมา ทำให้มูคยอมลอบเงยขึ้นมามองฮาจุน เรียวคิ้วของฮาจุนขมวดฉับ ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับว่ากำลังรู้สึกเจ็บอยู่จริงๆ

มูคยอมรู้ว่าตัวเขาเองกำลังบดขยี้ตุ่มไตที่ถูกดูดและกัดมาก่อนหน้านั้นแรงเกินไป ไม่ใช่แค่ยอดอก แต่ตอนนี้ผิวบริเวณรอบๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ เมื่อเขาละมือออก ฮาจุนก็ถอนหายใจออกเบาๆ ราวกับว่ารู้สึกโล่งใจ

พออยู่ในท่านี้ มุมมองที่ได้เงยมองใบหน้าอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่มูคยอมไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ หลายต่อหลายครั้งที่เคยลูบไล้เรือนร่างใต้ศีรษะของฮาจุน ก็มีแค่ตอนที่เขาผลักให้ฮาจุนนอนลง หรือไม่ก็ตอนที่จับตัวให้พลิกคว่ำ ท้ายที่สุดมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังมองลงไปอยู่ดี

มูคยอมล้มเลิกความคิดที่จะหยอกล้อกับยอดอก และไล่ระดับลงต่ำกว่าเดิม ทั้งลิ้นปี่ กระดูกซี่โครง เมื่อเทียบกับของมูคยอมแล้ว มันอาจดูไม่ชัดเจน แต่กลับลื่นมือ เขาลากเรียวลิ้นไปตามกล้ามท้องที่เรียงตัวกัน ขณะแต่งแต้มสีสันให้มันราวกับกำลังเล่นวาดภาพระบายสี ก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่กำลังพยายามกลั้นเสียงครางเอาไว้

กางเกงและชั้นในที่ยังไม่ถูกถอดออกก่อนหน้า ถูกดึงลงในครั้งเดียว เมื่อลองดูที่กลางกายเขาก็พบว่าส่วนนั้นไม่ได้แข็งตัวอยู่ อาจเพราะที่ผ่านมา เพียงสัมผัสไม่กี่ครั้ง และจูบซับให้ทั่วทุกที่ ไม่นานจุดกลางลำตัวของฮาจุนก็จะแข็งขืนและตามมาด้วยลมหายใจที่หอบถี่ แต่พอเป็นเช่นนี้หว่างคิ้วของมูคยอมก็ผูกเป็นปมโดยไม่รู้ตัว

เจ็บ

เสียงที่ฮาจุนเปล่งออกมาเมื่อครู่เล่นซ้ำอยู่ในหัวของเขา ฮาจุนรู้สึกดีแน่ๆ แต่ที่ตรงนั้นไม่แข็งขึ้นมา เพราะว่าเจ็บใช่ไหม หรือจะวุ่นวายใจเพราะที่นี่คือห้องน้ำในห้องที่พักร่วมกับยุนแชฮุน แต่หมอนั่นก็ออกไปกรอกเหล้าเข้าปาก และในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วอะไรมันคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าหนูของฮาจุนไม่ตั้งกันล่ะ

“ทำอะไรของนาย… พอได้แล้ว”

ฮาจุนเอ่ยปรามด้วยเสียงแผ่วเบาปนความเขินอาย พลางสงสัยการกระทำของอีกฝ่ายที่ดึงกางเกงของเขาลง แต่ไม่ทำอะไรต่อ เอาแต่พิจารณาเรือนร่างกัน ราวกับว่ากำลังตรวจตราของลับและร่างกายท่อนล่างของตนอยู่ มูคยอมคว้าเอวที่งออยู่ และพยายามที่จะเลิกเสื้อขึ้นอีกครั้ง ก่อนดันอีกฝ่ายไปด้านหลัง เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว

ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงรอยแผล บนผิวที่เนียนลื่นกว่าคนทั่วไป ดูเหมือนจะมีเพียงแค่บริเวณนั้นที่มีรอยเสียหายเล็กๆ ปรากฏอยู่ เป็นจุดที่ให้สัมผัสต่างจากผิวในบริเวณอื่น ปราศจากความอ่อนนุ่ม เป็นพื้นผิวที่ทั้งแข็งและขรุขระ รอยแผลเย็บข้างๆ พาดตัวเป็นแนวยาวและนูนเด่นออกมา รอบๆ มองดูเหมือนมีกิ่งไม้หรือเส้นทางรถไฟแตกแขนงออกมาจากตัวมัน

มูคยอมจ้องร่องรอยไร้รูปร่างนั้น ก่อนค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากที่ในทีแรกแตะผ่านเบาๆ เริ่มเพิ่มแรงกดจูบลงบนผิวที่มีลาย ราวกับว่าถูกดึงให้จมดิ่งลงไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้ใช้ริมฝีปากจูบซับร่างกายของฮาจุนแค่ครั้งสองครั้ง แต่ในครั้งนี้เขากลับรู้สึกแปลกใหม่เหมือนได้ก้าวเท้าเข้าไปบุกเบิกดินแดนว่างเปล่าเป็นครั้งแรก ช่วงเอวของฮาจุนสั่นเทิ้มเหมือนคนตกใจ สัมผัสนั้นถูกส่งผ่านริมฝีปากที่แตะอยู่ และอุ้งมือที่จับกันไว้

จุ๊บ ทันทีที่ยกริมฝีปากขึ้น เสียงสัมผัสเบาๆ เมื่อผิวเนื้อละออกจากกัน ก็กลายเป็นเสียงที่ดังชัดเจนเมื่ออยู่ในห้องน้ำ เมื่อละปากออกเรียวลิ้นก็ถูกส่งไปทำหน้าที่แทน สัมผัสเปียกชื้นไล่ไปบนรอยแผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฮาจุนหดตัวเข้า ราวกับต้องการหลบหนีจากสิ่งตรงหน้า แต่แรงจับของมูคยอมก็กักเกี่ยวตัวของเขาไว้อย่างแน่นหนา

คล้ายกับว่ากำลังเลียอยู่บนผิวที่ทาด้วยน้ำผึ้ง เรียวลิ้นของมูคยอมเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่เร่งรีบและหนืดเหนียว เหมือนต้องการที่จะละเลงลวดลายทับรอยที่สลักอยู่บนร่างกาย โลมเลียอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับเชื่อว่ารอยแผลทั้งหมดจะหายไป และจะมีเนื้อใหม่เกิดขึ้นมาบนร่องรอยที่มีมานาน

ผิวบริเวณเอวที่ได้สัมผัสผ่านมือยังคงนุ่มลื่นมือไม่ต่างจากเคย มีเพียงแค่อาณาเขตบริเวณเล็กๆ ที่มีสีและสัมผัสที่แตกต่างออกไป ราวกับผ้าที่เอามาเย็บซ้อนกัน

เจ็บ

คำอ้อนวอนของฮาจุนที่ได้ยินเมื่อครู่วนเวียนอยู่ในหูอีกครั้ง จากคำพูดนั้นมูคยอมก็เกิดคำถามขึ้นในหัวตลอดทั้งวันราวกับหมอกควัน

ทำไมที่ตรงนี้มันถึงเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้

คนที่แค่จับยอดถันแรงๆ ก็แสร้งทำเป็นว่าเจ็บแล้ว คนที่มีผิวบอบบางมาก ไม่ว่าจะใช้มือสัมผัสเบาๆ ตรงไหนก็สั่นสะท้านไปหมด

แล้วฮาจุนไปทำอะไรมาทำไมถึงได้มีแผลขนาดใหญ่อย่างนี้

“คิมมูคยอม…”

มูคยอมที่จูบและเลียรอยแผลเป็นเป็นเวลานานราวกับคนที่ตกอยู่ภายใต้การสะกดจิตหยุดการกระทำดังกล่าวตามเสียงที่ฮาจุนเรียกตนเอง เสียงเอ่ยขานชื่อมูคยอมนั้นมีเสียงที่เบากว่าปกติ และดูเหมือนว่ามันจะสั่นเล็กน้อยอีกด้วย

มูคยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับฮาจุน หลังจากที่เรียกชื่อมูคยอมก่อน ฮาจุนก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ในทันที อีกฝ่ายเหลือบมองมูคยอมอย่างเหม่อลอย สีหน้าของฮาจุนไม่สามารถอธิบายได้ในคำเดียว เพราะมันดูสับสนและแปลกตาไป

อีกฝ่ายดูเหมือนว่าอยากจะร้องไห้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าอยากจะหัวเราะด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย แม้ว่าฮาจุนจะมองมูคยอมที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับมีสายตาที่ราวกับว่าเหม่อมองไปยังทะเลอันไกลโพ้น

ทำไมถึงได้มองคนอื่นด้วยสีหน้าแบบนั้นกันล่ะ

มูคยอมรู้สึกไม่พอใจโดยไร้เหตุผล จู่ๆ เขาก็จำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันนี้ฮาจุนยืนอยู่กับแชฮุน อีฮาจุนยิ้มอย่างสดใสรับโปรแกรมการฝึกอบรมจากยุนแชฮุน รอยยิ้มนั้นแตกต่างจากรอยยิ้มที่อีกฝ่ายแสดงให้คนอื่นเห็นเมื่อต้องทำงานกับทีม และแน่นอนว่ามันแตกต่างจากรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นต่อหน้ามูคยอมด้วยเช่นกัน

จะทึ่งอะไรขนาดนั้น ที่กรีนฟอร์ดมีโค้ชที่เก่งกว่าหมอนั่นอีกตั้งเยอะ

มูคยอมไม่รอให้ฮาจุนพูดต่อ ปลายลิ้นเลียยาวตั้งแต่ด้านล่างของแผลเป็นจนไปถึงด้านบน จากต้นขาไปจนถึงเอว เสียงเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากที่เอาแต่เผยอขึ้น มันคงเป็นเพราะอีกฝ่ายยอมรับการเล้าโลมที่เร่งรีบนี้

“ประสาทความรู้สึกตรงนั้นมันตายหมดแล้วน่ะ…ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย….”

เมื่อฮาจุนพูดเช่นนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วครู่ มูคยอมเงยหน้าขึ้นอย่างไร้อารมณ์ เขาเห็นว่าริมฝีปากของฮาจุนสั่นเล็กน้อยเมื่อพูดจบ อีกฝ่ายดูเหมือนกับคนสารภาพความลับที่น่าอับอายออกมา

มูคยอมจับจ้องไปที่ใบหน้าสีขาวนวลที่ไม่ยอมสบตาเขา เขาแลบลิ้นออกมาอีกครั้งแล้วกดลงไปที่แผลเป็น แล้วเลียอย่างช้าๆ ราวกับว่ากำลังถูมันอยู่

“ฉันไม่ได้ทำเพื่อจะให้นายรู้สึกอะไรสักหน่อย” น้ำเสียงของมูคยอมที่ออกมาจากปากเฉยชาเหมือนกับสีหน้าของเขา

เมื่อพูดอย่างนั้นมูคยอมก็ใช้ฟันเหมือนกับตอนที่ลูบไล้ยอดถันเมื่อครู่นี้ ขณะที่เขางับที่คางโดยไม่ออกแรงใดๆ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจผสมกับเสียงครวญครางออกมาจากปากของฮาจุน

ร่างกายของฮาจุนที่บอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดสั่นสะท้านทุกครั้งที่เขาดูดหน้าท้องจนมีเสียงดังจ๊วบจ๊าบออกมา มือที่จับเอวฮาจุนอยู่เลื่อนมาลูบที่ต้นขาของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว มันลื่นไปด้านนอกแล้วคลำเข้าไปด้านในต้นขา มูคยอมลูบและบีบเฟ้นเนื้อนุ่มหยุ่น

จากนั้นสายตาของมูคยอมก็หันไปที่กระดูกเชิงกรานด้านข้างแกนกายที่ยังไม่ลุกชูชันของฮาจุน มูคยอมขยับใบหน้าไปด้านข้าง ใช้ลิ้นปัดป่ายรอยแผลเป็นที่เคยเลียไปแล้วราวกับเป็นพู่กัน

ริมฝีปากที่อยู่ระหว่างเชิงกรานและเอวเลื่อนไปทางสะดือ ฮาจุนเหลือบมองลงมาที่มูคยอมด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและว่างเปล่าราวกับไม่รู้ว่าเขากำลังพยายามจะทำอะไร

“ฮ๊ะ อื้อ!” ฮาจุนเบิกตาโพลงในชั่วพริบตา

ในขณะที่ฮาจุนหายใจออกมาอย่างไม่มั่นคงก็มีเพียงเสียงครวญครางออกมาจากริมฝีปาก ทันใดนั้นเอง มูคยอมที่กางขาฮาจุนออกโดยการกดที่ต้นขาด้านในก็ใช้ปากครอบครองแกนกายของฮาจุนราวกับว่ากำลังดูดกลืนมัน ก้อนเนื้อที่ยังไม่เกิดความเร่าร้อนได้เข้าไปในปากของมูคยอมอย่างรวดเร็ว

มูคยอมได้รับการกระทำเช่นนี้จากฮาจุนมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ฮาจุนที่งุ่มง่ามในตอนแรก ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายที่สามารถเริ่มใช้ปากก่อนได้ และรัดแกนกายของมูคยอมให้แน่นในลำคอและดูดกลืนกินมัน ในขณะที่มูคยอมไม่เคยทำแบบนั้นให้อีกฝ่ายเลย

เพราะว่าแต่เดิมอีฮาจุนเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสำหรับอีกฝ่ายมันถึงไม่เป็นอะไร แต่สำหรับมูคยอมมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทั้งผลัดกันใช้มือรูดชัก หรือว่าให้เขาสอดเสียบเข้าช่องด้านหลังของอีกฝ่าย ถ้าแค่นั้นเขาก็คิดว่าไม่เป็นอะไร แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะอมแกนกายของผู้ชายด้วยกัน

ด้วยความคิดนั้น เขาจึงชอบความรู้สึกลิ้นนุ่มของอีกฝ่ายที่เลียส่วนหัวและความรู้สึกของเยื่อเมือกที่โอบหุ้มลำแท่ง บางครั้งมูคยอมก็ชอบความรู้สึกที่เขาซอยเอวแล้วกระแทกแกนกายเข้าไปในช่องคอที่แคบและลื่นราวกับช่องทางด้านหลัง แต่เขาไม่เคยคิดที่จะเอาปากไปครอบครองของลับของฮาจุนเลย

แต่ไม่รู้ทำไม มูคยอมถึงรู้สึกว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้ในวันนี้ พอเอาแกนกายใส่เข้าไปในปากแล้ว เขาก็ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธการกระทำนี้แต่อย่างใด มันไม่สกปรกและไม่มีกลิ่น มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอีฮาจุน เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ อย่าง ผิวสวยอันเนียนละเอียด รอยแผลเป็น และเส้นผม

“ฮื้อ ทำ…ทำอะไร อ๊า…!”

เขาขยับหัวไปข้างหน้าข้างหลังและดูดเสาที่ตั้งตระหง่านนั้น แกนกายที่ปกติแม้จะลูบเร้าอย่างไรก็จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่ในวันนี้กลับตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างทันทีทันใด ของลับของฮาจุนก็ดูเหมือนกันกับของมูคยอม มันยืดตรงโดยไม่มีส่วนโค้งแม้แต่ส่วนเดียว และมีสีที่ค่อนข้างอ่อน มันอาจจะดูตลกไปหน่อยที่จะพูดอะไรแบบนี้ แต่มันเป็นแกนกายที่ดูดีเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะโดนกระแทกด้านหลังบ่อยๆ ก็ตาม แต่ทุกครั้งแกนกายของฮาจุนก็ดูตั้งชูชันขึ้นมาแค่พอประมาณเท่านั้น แต่เมื่อเขาอมแกนกายให้ฮาจุน เขากลับรู้สึกว่าของลับของฮาจุนดูแข็งโด่กว่าทุกๆ ครั้ง

มูคยอมไม่เคยให้ แต่กลับได้รับมันมากมายเหลือเกิน เนื่องจากประสบการณ์ทางอ้อมอันยาวนานของเขา การใช้ปากครั้งแรกของมูคยอมจึงถือว่าอยู่ในระดับเชี่ยวชาญ เขาแลบลิ้นเลียส่วนหัวและลำแท่ง กลืนเข้าไปลึกๆ แล้วดูดขึ้นมา ตวัดลิ้นที่ปลายส่วนหัวและรูดลำแท่งนั้นขึ้นแล้วก็ดูดกลืนเข้าไปอีกครั้งอย่างไม่ขาดสาย

ปฏิกิริยาทางร่างกายของฮาจุนที่กระตุกด้วยเสียงครวญครางนั้นเหมือนเป็นการชมเชยความพยายามใช้ปากครั้งแรกของมูคยอม

“อื้อ ฮื่อ อย่า อย่า…อ๊าๆ!”

มูคยอมอมเข้าไปลึกๆ แล้วรูดยาวๆ ด้วยลิ้น ฮาจุนบิดเอวไปมาและเอียงศีรษะไปพิงกระเบื้อง ฮาจุนเอามือวางบนหัวของมูคยอม ปลายนิ้วของอีกฝ่ายสั่นระริกราวกับพยายามจะคว้าเส้นผมของเขาเอาไว้ มูคยอมคายแกนกายออกมาและกุมมันไว้ในมือใหญ่ของตนเอง เขารูดมันอย่างรุนแรงพลางถามออกไป

“ทำให้แล้วยังจะโวยวายอะไรอีกเหรอ”

“อื้อ ฮื่อ! เป็น เป็นอะไร ฮื่อ ทำไมจู่ๆ…”

“ตอนที่นอนกับนายครั้งแรก นายมีเหตุผลอื่นอีกไหม”

อีกฝ่ายคงทำเพียงแค่เพราะอยากทำ แต่ไม่มีเหตุผลเรื่องความกระสันและความปรารถนา เหมือนกับสิ่งที่เมื่อวานนี้คิดว่าจะทำไม่ได้ แต่ในวันนี้กลับสามารถทำได้ ขณะที่ใช้มือลูบลำแท่งอย่างแน่นแฟ้น มูคยอมก็เลื่อนริมฝีปากไปที่พวงสวรรค์ทรงกลมที่อยู่ด้านล่าง

เมื่อเพิ่มความเร็วของการชักลำแท่ง เอาสิ่งที่คล้ายผลไม้เข้าปากแล้วคลึงมัน มือของฮาจุนที่เคยลังเลว่าจะจับผมของเขาดีไหมก็จับเข้ามาอย่างแน่นหนา มูคยอมเห็นต้นขาฮาจุน ดูเหมือนว่ามันจะสั่นไปหมด

“อ๊าก อ๊า! อ๊า!”

สิ่งที่อยู่ในมือของมูคยอมสั่นระริก มูคยอมเอาสิ่งที่ดูเหมือนกำลังจะหลั่งเข้าในปากของเขาอีกครั้งแล้วดูดมันอย่างแรงเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้ลิ้นรูดจากโคนขึ้นมา ไม่นานของเหลวร้อนก็ถูกฉีดเข้าไปในปาก

มูคยอมรู้สึกได้ชัดเจนถึงน้ำอสุจิที่กระเซ็นในปากของตนเอง แค่เสร็จที่มือก็พอแล้ว แต่เขาตั้งใจรับมันด้วยปากของเขาเอง มูคยอมหัวเราะให้การกระทำของตนเอง คิมมูคยอมเป็นบ้าเพราะบรรยากาศสินะ

“ฮ๊า ฮ่อก ฮึก…”

มูคยอมดันร่างกายท่อนบนที่เหมือนจะหมดแรงไปกับการหลั่งน้ำอสุจิด้วยมือของเขาเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยืนดีๆ เขาจำคำพูดของฮาจุนที่เคยบรรยายกลิ่นของน้ำอสุจิว่าเหมือนกลิ่นของน้ำในสระว่ายน้ำได้ เขาจึงหัวเราะคิกคักออกมา

แค่ใช้ปากกับผู้ชายเหมือนกันไม่พอ ยังให้อีกฝ่ายแตกใส่ปากตนเองอีก ไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้เลย มูคยอมไม่สามารถโกหกได้ว่ามันดี แต่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เขาคิดว่ามันคงจะน่าสะอิดสะเอียน แต่มันก็พอรับได้เหมือนตอนที่เขาอมแกนกายของอีกฝ่ายเข้าไป

มูคยอมกลืนของเหลวที่ฉีดเข้าไปในปากของเขาอย่างคร่าวๆ เขาใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากแล้วลุกขึ้นยืนทันที มูคยอมก้มหน้ามองลงมาที่หัวของฮาจุนที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ตั้งแต่ท้ายทอยของฮาจุนที่ก้มหน้าอยู่ไปจนถึงหน้าอกเป็นสีแดงระเรื่อ

ฮาจุนสะดุ้งโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา มูคยอมเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือตกใจกันแน่ อีกฝ่ายทำตัวเหมือนคนที่ทำผิดจนไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน มูคยอมไม่อยากปลอบใจอีกฝ่ายเลยสักนิด ก็ทำผิดจริงนี่นา ผิดที่ดำดิ่งลงไปในทะเลยามค่ำคืนแล้วทำให้คนอื่นตกอกตกใจ

เขาเอนกายพิงกับผนังและทิ้งน้ำหนักลงไป แกนกายของฮาจุนอ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากการหลั่งออกมาหนึ่งรอบ มันเสียดสีกันกับแกนกายของมูคยอมที่ชูชันเหนือท้องของฮาจุน ปลายของสิ่งที่ร้อนระอุและแข็งทิ่มที่ท้องน้อยของฮาจุน มันลื่นไถลไปสองสามครั้ง ราวกับว่ามันจินตนาการถึงการเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน ฮาจุนไหล่สั่นไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา มูคยอมมองลงมาที่หัวทุยสีดำก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างออกคำสั่ง

“ไปยืนจับอ่างล้างหน้า”

“…คิมมูคยอม ตรงนี้…”

มูคยอมไม่ฟังคำตอบของฮาจุน แต่ดึงแขนของอีกฝ่ายให้ยืนจับอ่างล้างหน้าแทน ใบหน้าที่แดงก่ำและสับสนของฮาจุนสะท้อนให้เห็นอย่างมัวๆ ในกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงช่วงเอว ฮาจุนสบตากับตัวเองในเงาสะท้อน อีกฝ่ายสะดุ้งและก้มศีรษะลงต่ำยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว

มูคยอมที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้องมองฮาจุนในกระจกพร้อมกับหยิบโลชั่นจากชั้นวางแล้วบีบใส่มือของเขาสองสามครั้ง

“นายอยากถามว่าทำไมจู่ๆ ฉันถึงได้ใช้ปากให้นายใช่ไหม เพราะว่าถ้านายเสร็จแล้วครั้งนึง พอสอดใส่ครั้งต่อไปมันจะรู้สึกเสียวขึ้นน่ะสิ”

โลชั่นสีขาวเนื้อบางเบาหยดลงบนเอวและสะโพกของฮาจุน มันดูเหมือนน้ำอสุจิที่หยดลงไป ริมฝีปากของมูคยอมจึงยกขึ้นเล็กน้อย

น้ำมูกเหนียวสีขาวค่อยๆ หยดลงมาตามก้นอวบอ้วนและกระดูกก้นกบที่มีรอยบุ๋มของอีกฝ่าย นิ้วของมูคยอมที่ทาโลชั่นที่หยดลงมานั้น แหวกเข้าไประหว่างก้นของอีกฝ่ายและล้วงทางเข้าที่ซ่อนอยู่ลึกโดยไม่ลังเล

“ฮื่อ…!”

“จับไว้แล้วยืนดีๆ”

ฮาจุนที่ยืนอยู่อย่างมั่นคงกัดริมฝีปากตนเองหลายครั้ง ในท้ายที่สุดก็ยอมเอื้อมมือออกไปจับอ่างล้างหน้าเอาไว้ กระดูกหลังฝ่ามือโป่งนูนขึ้นมา อีกฝ่ายเกร็งนิ้วมือจนมันซีดเผือด คงกังวลใจสินะบั้นท้ายถึงได้ปิดสนิทอย่างนี้ มูคยอมใช้นิ้วคลำหาแล้วเอาริมฝีปากมาแนบใบหูอีกฝ่าย

“ผ่อนคลายหน่อย ถึงเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่หยุดหรอกนะ”

“คิมมูคยอม มันไม่ได้จริงๆ ถ้าเกิดพี่เขาเข้ามาล่ะ…”

นิ้วกลางถูกดันผ่านทางเข้าที่ปิดไว้ราวกับพยายามหยุดคำพูดที่วุ่นวายใจนั้นไม่ให้พูดต่อ

“อื้อ…!”

เป็นเพราะหยุดพักไปหนึ่งสัปดาห์ หรือว่ามีปัญหาเรื่องท่ายืนกันแน่ หรือไม่ก็คงเป็นเพราะว่ากังวลใจจริงๆ นั่นแหละ… ปกติแล้วรูของฮาจุนถ้าทำให้ผ่อนคลายแล้วมันสามารถกลืนกินนิ้วทั้งสี่นิ้วของเขาได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้รูนั้นแคบมากจนยากที่จะสอดนิ้วแค่นิ้วเดียวเข้าไปเลย

ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอดใส่สิ่งที่ตั้งโด่ในสภาพแบบนี้ ไม่สิ มูคยอมสามารถทำได้หากต้องการ แต่การทำเช่นนั้นอาจจะมีใครสักคน หรืออาจจะทั้งคู่เลยก็ได้ที่ต้องบาดเจ็บ เขาไม่มีงานอดิเรกเป็นการดูเลือดสักหน่อย มูคยอมประสบความสำเร็จในการผลักมันเข้าไปจนสุดทางด้วยการยืมแรงของสารหล่อลื่น เขาคลำหาจุดเสียวของฮาจุนและกดลงไปเบาๆ

เป็นเพราะกังวลใจมันเลยแข็ง แต่มันก็หลังจากที่หลั่งออกมาแล้วหนึ่งรอบ ความกำหนัดแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ขณะที่มูคยอมใช้นิ้วถูที่ส่วนบนของต่อมลูกหมากแล้วขยับเบาๆ ราวกับบุกฝ่าเข้าไป ฮาจุนหายใจหอบสั้นๆ และเอวของอีกฝ่ายก็เริ่มสั่นไหว

“ฮะ ฮ๊า”

“เวลาแบบนี้อย่าพูดถึงคนอื่นสิ ฉันอารมณ์เสีย”

“อ๊ะ อื้อ มันไม่ใช่แบบนั้น…!”

“ในช่วงก่อนการฝึกฉันให้ความร่วมมือเพราะนายขอไว้”

“ฮึก อ๊ะ!”

“ฉันไม่ได้อยากทำแบบนั้น แต่ฉันก็ทำตามที่นายบอก ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วฉันจะหวังให้ได้อะไรตอบแทนหรือไง”

เมื่อเขาเลื่อนมืออีกข้างที่ว่างอยู่มาที่หน้าอกและดึงยอดถันที่ก่อนหน้านี้เขาดูดมันจนบวมเล็กน้อย ฮาจุนก็ดีดดิ้นราวกับถูกทุบตี อย่างไรก็ตามถ้าเริ่มรู้สึกแล้วยอมแพ้กลางทาง มันก็จะทำให้อีฮาจุนทรมานเช่นกัน

“คราวนี้เป็นตาของนายที่จะเป็นฝ่ายร่วมมือ ยื่นเอวมาด้านหลัง” มูคยอมลดเสียงลงและกระซิบข้างหูราวกับกำลังขู่

“ฮื้อ…”

“ถ้านายให้ความร่วมมือมันก็จะเสร็จเร็ว”

มูคยอมเลื่อนลื่นมือที่จับยอดถันไปจับเชิงกรานของฮาจุนแล้วดึงไปด้านหลัง จากนั้นฮาจุนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออก ค่อยๆ ถอยสองสามก้าว ทันทีที่จับอ่างล้างหน้าเอาไว้แล้วถอยหลังออกมา เอวก็ถอยไปข้างหลังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้บั้นท้ายยื่นออกไปหามูคยอม

เมื่อมีช่องว่างพอประมาณมูคยอมก็ดันนิ้วชี้เข้าไป เขาต้องการขยายช่องทางด้านในอย่างรวดเร็ว เขาจึงแยกนิ้วออกจากกันราวกับว่าจะทำท่ากรรไกรอยู่ในช่องทางด้านใน และฮาจุนที่เงียบอยู่นั้นก็ส่งเสียงครางขึ้นมาอีกครั้ง

“อื้อ! อื้อ อ้า”

เขารู้สึกได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่ไม่รู้สึกเลยว่ามันจะสามารถขยายได้อย่างรวดเร็วเหมือนปกติ มูคยอมค่อยๆ สูดริมฝีปากของเขา ตอนแรกก็แค่สอดใส่เข้าไป ทำทิ้งไว้เหมือนตอนนั้นดีไหมนะ วันนั้นอีฮาจุนใจร้อน แต่วันนี้คิมมูคยอมใจร้อน

ในขณะที่มูคยอมยังคงถูบริเวณใกล้กับต่อมลูกหมากด้านในที่เริ่มบวมขึ้น เขาก็จับแกนกายของฮาจุนด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เขาชโลมโลชั่นอีกครั้ง เมื่อเทียบความลื่นของเจลแล้วมันก็ยังด้อยกว่าอยู่มาก แม้ว่าจะทามากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาถอนนิ้วที่ลูบไล้ด้านในออกมาและแหย่ส่วนหัวของแกนกายไปที่ปากทางเข้า

“อ๊ะๆ”

ฮาจุนส่ายหัวไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกหรือเพราะกลัวกันแน่ มูคยอมเห็นว่าบั้นท้ายเกร็งขึ้นราวกับว่ากำลังพยายามปิดกั้นการสอดใส่ของแกนกาย เขาเอ่ยในขณะที่ใช้ปลายแกนกายร้อนสอดแทงทางเข้าหลายครั้ง

“ถ้าอยากให้มันจบลงเร็วๆ ก็ต้องให้ฉันสอดใส่เข้าไปด้วย”

มีเพียงเสียงลมหายใจแรงกลับมาเป็นคำตอบ

ราวกับเร่งรีบ ทันทีที่ดันเอวลงก็เผยให้เห็นเฉพาะด้านหลังฮาจุน อีกฝ่ายจึงถามขึ้นมา

“จะทำ…จริงๆ เหรอ”

“งั้นจะทำปลอมๆ เหรอ”

“…ให้ฉันทำอย่างอื่นให้ไม่ได้เหรอ”

ฮาจุนพูดราวกับว่าจะใช้ปากให้ ตอนแรกอีกฝ่ายทำไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่ล่าสุดกลับบอกว่าจะอมให้ ถึงจุดนี้ท่าทางที่อีกฝ่ายบอกว่าทำไม่เป็นก็น่าสงสัยว่าเป็นการแสดงแน่ๆ แล้วละ

เมื่อคิดว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายอาจเคยใช้ปากปรนเปรอและร้องระงมใต้ร่างใครต่อใคร มูคยอมก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ทั้งที่ปกติแล้วเขาควรจะหัวเราะเยาะเสียด้วยซ้ำ มูคยอมเอ่ยเสียงแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าเกร็ง”

น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามนั้นทำให้มูคยอมได้ยินเสียงลมหายใจยาวๆ ที่พ่นออกมาจากริมฝีปากของฮาจุน ขณะเดียวกันร่างกายที่เคยเกร็งแน่นก็ผ่อนคลายลง

พอเห็นแบบนั้นแล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายช่างสมกับเป็นนักกีฬาจริงๆ การหายใจออกและการผ่อนแรงทั้งหมดในร่างกายเป็นเทคนิคที่ถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและอาการบาดเจ็บในยามจำเป็น สำหรับคนที่ใช้ร่างกายมาเป็นเวลานาน

เมื่อมูคยอมยึดกระดูกเชิงกรานของอีกคนเอาไว้แล้วขยับสะโพก ส่วนปลายขนาดมหึมาก็ถูกดันเข้าไปในช่องทางที่เคยเกร็งแน่นเหมือนจะไม่ยอมคลาย ผนังด้านในที่คับแคบและร้อนระอุกลืนกินแก่นกายที่มีเลือดหลั่งไหลมากระจุกตัวกันอย่างยากลำบาก ขณะที่มูคยอมเองก็สูดลมหายใจลอดไรฟันโดยไร้เสียง

ปกติแล้วเวลามีอะไรกันในท่าหมา มูคยอมจะมองไม่เห็นใบหน้าของฮาจุน ทว่าตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือกระจกเงา ฮาจุนก้มหน้าลงจนผมด้านหน้าเคลื่อนลงมาบดบังสีหน้าของเขา ถึงกระนั้นริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่เผยอออกเพื่อหอบหายใจก็ยังคงอยู่ในกรอบสายตาของมูคยอมอยู่ดี ยิ่งเห็นภาพนั้นส่วนล่างก็ยิ่งแข็งขืน

“จะขยับแล้วนะ”

“…ฮึก… อือ อื้อ”

มูคยอมจับขอบอ่างล้างหน้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ในที่สุดฮาจุนก็พยักหน้า หลังจากเข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว จิตใจที่ร้อนรนก็สงบลงเล็กน้อย มูคยอมค่อยเป็นค่อยไป เขาสอดแก่นกายที่ตั้งชันแทรกเข้าไปข้างในจนลึก คล้ายกับจะดันเข้าไปเต็มแรง

“ฮือ… อึก อึ๊ก”

ฮาจุนไม่เอ่ยปฏิเสธออกมาอีก มีเพียงเสียงครางแผ่วๆ ที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก และมันก็ช่วยกระตุ้นความตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี มูคยอมไม่ได้ลิ้มรสชาตินี้อย่างมากก็ราวๆ หนึ่งสัปดาห์เท่านั้นเอง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกับไม่ได้ฝากฝังตัวตนอยู่ในร่างกายนี้มานานเหลือเกิน

ร่างกายที่คับแน่น แม้แต่นิ้วมือสักนิ้วก็รุกล้ำเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ

…ดูท่าคงไม่มีอะไรจริงๆ สินะ

มูคยอมอยากจะหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดแบบนั้น เขาจึงกระแทกเอวอย่างแรงโดยไม่มีเหตุผล จู่ๆ แก่นกายที่เคยเข้าไปขยายขนาดผนังด้านในอย่างช้าๆ ก็แทงสวนเข้ามาในกายเต็มแรงจนฮาจุนต้องโน้มเอวไปข้างหน้าด้วยความเจ็บปวด

“อา อึก!”

หลังจากนั้น ‘ฮ่า ฮ่ะ’ เสียงลมหายใจที่ไม่ได้ต่างจากปกติมากนักก็หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก แต่น่าแปลกที่ในวันนี้เสียงนั้นทำให้หัวใจของมูคยอมเต้นโครมคราม บางทีฮาจุนอาจไม่ใช่คนเดียวที่กำลังประหม่า

มูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ อย่างเงียบเชียบจนฮาจุนไม่ได้ยินเสียง แล้วลูบไล้แผ่นหลังของฮาจุนพลางเอ่ยย้ำอีกครั้ง

“อย่าเกร็ง”

แก่นกายสอดใส่เข้าไปจนเกือบสุดความยาว จนตอนนี้เหลือเพียงส่วนโคนเท่านั้น มูคยอมรั้งกระดูกเชิงกรานของฮาจุนเข้ามาใกล้ในทีเดียว แล้วเสือกไสส่วนที่เหลือเข้าไปจนสุด

“ฮื่อ! อือ อึก!”

เขาครางสั้นๆ เหมือนกำลังสะกดกลั้น มือที่ออกแรงคว้าอ่างล้างหน้าเอาไว้ รวมทั้งแขน ไหล่ และกระดูกสะบักที่ขยับไปพร้อมกับการหายใจแสดงให้เห็นว่าฮาจุนกำลังอดทนต่อแรงกระแทกสอดใส่ มูคยอมหยุดรออยู่ครู่หนึ่ง ทั้งที่ยังแช่กายอยู่อย่างนั้น

แต่ที่ฮาจุนกังวลว่ายุนแชฮุนอาจเข้ามาตอนไหนก็ได้นั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เขาควรรีบจัดการให้เสร็จจริงๆ นั่นแหละ ความรู้สึกหลังจากฝากฝังตัวตนลึกลงไปในร่างกาย ทำให้มูคยอมไม่สามารถให้เวลาอีกคนทำความคุ้นเคยได้นานนัก ไม่นานเขาก็เริ่มขยับสะโพกอย่างช้าๆ ทว่าไม่ออมแรง

แท่งร้อนแทรกลึกเข้ามาจนสุดความยาว แทนที่จะแทรกกายอย่างนุ่มนวล มูคยอมถอนแก่นกายออกมาจนกระทั่งส่วนปลายอยู่ที่ปากช่องทาง ก่อนจะถูไถและสอดใส่เข้าไปอย่างเชื่องช้า เขากดส่วนนั้นเข้าไปจนถึงจุดที่แคบที่สุดด้านในเต็มแรง จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงกระดูกหัวหน่าวที่บดขยี้แนบชิดกับบั้นท้ายกลม

อย่างไรก็ตาม นี่คือร่างกายที่เคยโอบรัดตัวตนของมูคยอมมานับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายที่เมื่อเริ่มต้นครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะยอมให้อิสระก็ต่อเมื่อปลดปล่อยน้ำรักข้างในนั้นเป็นครั้งที่สามหรือสี่แล้วเท่านั้น ถึงแม้ว่าฮาจุนจะรู้สึกวิตกกังวลกับสถานการณ์นี้ แต่ร่างกายของฮาจุนก็จดจำมูคยอมได้ หลังจากทำแบบนั้นอยู่หลายครั้ง ช่องทางด้านในก็ขยายออกตามขนาดแก่นกายของมูคยอม ขณะเดียวกันความรู้สึกต่อต้านก็ค่อยๆ หายไป

“ฮึก… อือ อื้อ ฮื่อ…!”

ทุกครั้งที่มูคยอมถอนกายออกแล้วดันแก่นกายกลับเข้าไปอีกครั้ง เสียงครางที่ถูกสะกดกลั้นของฮาจุนก็จะเล็ดลอดผ่านไรฟันออกมา ถึงแม้ว่ามูคยอมจะชอบกระแทกกระทั้นรัวเร็ว แต่การขยับอย่างเชื่องช้าก็นับว่าไม่เลวทีเดียว เพราะมันทำให้เขายิ่งหฤหรรษ์กับความรู้สึกยามที่ช่องทางบีบรัดแก่นกายของตน

เริ่มแรกฮาจุนทำเพียงขยับก้นกลมไปทางด้านหลังช้าๆ แต่แล้วร่างกายท่อนบนของฮาจุนที่เคยยืนตรงก็ค่อยๆ ทรุดลง เอวสวยจึงยื่นไปทางด้านหลังแทน แม้ไม่ได้พูดออกมา แต่สุดท้ายแล้วฮาจุนก็ดันก้นกลมกลึงเข้าหาราวกับต้องการแก่นกายของเขา มูคยอมจึงลอบยิ้ม ขอบคุณที่ทำให้สอดใส่ได้ง่ายขึ้น

จะว่าไปแล้ว เราเพิ่งเคยยืนมีอะไรกันเป็นครั้งแรกเลยไม่ใช่เหรอ มูคยอมยืนเฉียง เขาตั้งใจบิดมุมแล้วแทรกกายเข้าไป ฮาจุนที่ถูกกระตุ้นในจุดที่ไม่คุ้นเคยพลันขมิบรัดด้วยความตกใจ ตอนนี้น้ำเสียงที่ร้อนแรงจนกลั้นไว้ไม่ไหวจึงถูกเปล่งออกมา

“อ๊ะ อ๊า!”

“ฮ่าา… ตอกเข้าไปยังไงก็แน่นอยู่ดี”

ขณะที่แก่นกายลากผ่านปากช่องทางไปจนถึงผนังด้านในที่อยู่ลึกที่สุดหลายต่อหลายครั้ง ช่องทางอ่อนนุ่มของฮาจุนก็จุดไฟติดแล้ว ฮาจุนสั่นสะท้านไปทั้งร่างราวกับจดจำความรู้สึกทางเพศที่คุ้นเคยได้ขึ้นใจ ไม่ว่าริมฝีปากจะเอ่ยอะไรออกมาก็ตาม แต่ร่างกายกลับอ้อนวอนให้อีกคนแทรกลึกเข้ามาอีก

มูคยอมอดทนต่อความต้องการของตัวเองที่อยากกระแทกกระทั้นจนเสร็จสมตามที่ร่างกายนั้นเรียกร้อง เขาแทงสวนเข้าไปอย่างช้าๆ จนเกือบถึงจุดกระสันของฮาจุน

“นายเป็นแบบนี้ จะอดทนไม่โดนเสียบเป็นอาทิตย์ได้ยังไง ไม่ได้มีอะไรกับใครจริงเหรอ”

“ฮือออ…!”

มูคยอมหยุดลงแค่ตรงนั้น เขาไม่ยอมรุกล้ำเข้าไปลึกกว่านั้นและขยับเอวน้อยๆ คล้ายกับลังเลว่าควรตอกย้ำถึงจุดกระสันหรือไม่ ตอนแรกฮาจุนกลั้นเสียงครางเอาไว้พลางจับอ่างล้างหน้าไว้แน่น แต่พอแท่งเนื้ออันเขื่องที่สอดใส่เข้ามาเอาแต่ขยับอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมไปถึงจุดสุขสมเสียที เขาก็ยิ่งหอบหายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ

“ตอบสิ”

“อ๊ะ อือ ฮึก… ไม่ได้ทำ ไม่… ฮ่า อ่า กับใคร ทั้งนั้น…”

ไม่รู้สิ อาจจะทำกับใครก็ได้

ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ยุนแชฮุน ในทีมนี้มีชายหนุ่มวัยกลัดมันตั้งมากมาย และพวกนั้นก็ชอบอีฮาจุนกันทุกคน แม้แต่คนที่เคยคบแต่ผู้หญิงอย่างมูคยอมเอง หลังจากค่ำคืนนั้น เขาก็ยังมีความสัมพันธ์กับฮาจุนเลยไม่ใช่เหรอ มันคงตลกน่าดูถ้าฮาจุนตั้งใจล่อลวงเด็กสักคนสองคนในทีม

พอคิดแบบนั้นแล้ว มูคยอมก็กัดฟันกรอด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยตั้งคำถามและคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคู่นอนเพียงคนเดียวสำหรับฮาจุน แต่เมื่อคิดว่าตัวเองอาจคิดผิด มูคยอมก็รู้สึกเหมือนกับว่าแผ่นหลังและบั้นท้ายขาวเนียนที่อยู่ตรงหน้าเป็นของคนอื่น แม้จะไม่ได้ตกลงกันแบบนั้น แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรม

ตอนนี้ฉันมีอะไรกับนายแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นนายก็ควรจะมีอะไรกับฉันแค่คนเดียวเหมือนกัน

มูคยอมไม่อยากพูด แต่เขาก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เป็นความดื้อดึงที่แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าช่างเด็กน้อยและไร้เหตุผลสิ้นดี

ที่ผ่านมามูคยอมไม่เคยอยากเป็นคู่นอนเพียงคนเดียวของใครเลยสักครั้ง ให้หลงผิดคิดไปเองหรือเกาะติดเขาแจเสียยังดีกว่า จะได้สนุกสนานกับพวกเขาอย่างอิสระให้เต็มที่ หากหยุดนิ่งอยู่แต่ที่เดิมเหมือนน้ำเน่าที่เจิ่งนองก็คงไม่ต้องอารมณ์เสีย อารมณ์เสียมีแต่จะทำให้เกิดเรื่องน่าปวดหัว

เพราะมูคยอมไม่เคยหยุดอยู่ที่คนคนเดียว เขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าความแตกต่างของสถานะระหว่างเขาและคู่นอนที่ถูกตั้งเงื่อนไขขึ้นโดยไม่สนตรรกะหรือเหตุผลนั้นถือเป็นการทำลายศักดิ์ศรี

“ฮือ อึก ฮ่า….”

เมื่อมูคยอมเอาแต่ขยับอยู่ที่เดิมไม่ยอมกระตุ้นเสียที สุดท้ายฮาจุนจึงต้องขยับสะโพกด้วยตัวเอง มูคยอมใช้มือฟาดลงบนก้นงอนที่กำลังขยับไปมาวาดรัศมีแคบๆ อยู่อย่างนั้น ทันใดนั้นเสียงของฝ่ามือที่กระทบก้นดังเพี๊ยะก็ดังก้อง มันดังมากกว่าปกติเพราะพวกเขาอยู่ในห้องน้ำ

“อะ อ๊ะ!”

ฮาจุนกรีดร้องเบาๆ ถึงมูคยอมจะไม่ได้เอ่ยเตือนให้เขาอยู่นิ่งๆ แต่ฮาจุนก็หยุดเคลื่อนไหวในทันที ตรงกันข้ามกับเอวหนาที่ทำท่าจะขยับแต่ก็หยุดนิ่งไปก่อนหน้านี้ที่เริ่มขยับเบาๆ มูคยอมก้มลงมองรอยฝ่ามือที่ขึ้นสีแดงบนบั้นท้ายกลม

ใจจริงแล้วมูคยอมอยากจะฟาดอีกหลายๆ ทีเสียด้วยซ้ำ เขาอยากทิ้งรอยฝ่ามือไว้บนก้นเนียนหลายๆ วัน ถ้าเขาทำแบบนั้น ฮาจุนก็คงไปแก้ผ้าที่ไหนต่อไหนตามอำเภอใจไม่ได้ง่ายๆ

“อยู่นิ่งๆ”

หลังจากนั้นก็สอดใส่ลำลึงค์เข้ามาจนลึกล้ำโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

“อึก อะ อ๊า!”

เสียงครางเหมือนจะขาดใจกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องในชั่วพริบตา ขณะที่ช่องทางรักร้อนผ่าว ผนังด้านในที่บวมปริและรอคอยให้อีกคนเติมเต็มถึงฝั่งฝันก็ขมิบตอดรัดแก่นกายอย่างบ้าคลั่ง

ยิ่งมูคยอมเสือกไสเข้าออกรุนแรง ช่องทางอ่อนนุ่มและชุ่มฉ่ำที่โอบรัดตัวตนของเขาก็ยิ่งบีบคั้นรุนแรง มูคยอมกระแทกกระทั้นเข้าไปในกายของอีกคนจนเกิดเสียงดังปั้กๆ เหมือนกับจะบอกว่าในเมื่อชอบแก่นกายขนาดนั้น ก็ลองกินให้เต็มที่เสียสิ

“ฮื่อ ฮือ อึก อื๊ออ!”

ฮาจุนคล้ายกับตกใจในน้ำเสียงของตัวเอง จากเสียงครวญครางจึงเปลี่ยนไปเป็นเสียงกัดฟันแทน แผ่นหลังและบั้นเอวที่สั่นคลอนแอ่นไปข้างหลัง ขณะที่ร่างกายท่อนบนก็กดต่ำจนเกือบแนบชิดกับอ่างล้างหน้า

มูคยอมกระแทกกายตอกย้ำอย่างไม่ยี่หระ เขาก้มลงมองร่างกายของฮาจุนที่ยืนโน้มลงบนอ่างล้างหน้าพลางแอ่นก้นมาทางด้านหลัง แล้วแทรกกายลึกเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็สอดใส่เข้าไปเพียงครึ่งเดียว โยกบนลงล่างและซ้ายไปขวา

การเคลื่อนไหวที่รุนแรงและไม่ใส่ใจนั้นยิ่งทำให้ฮาจุนเสียวซ่าน เมื่อมูคยอมขยับต่อไป แผ่นหลังก็ยิ่งกระตุกแรง ขณะที่ช่องทางด้านในก็โอบรัดแก่นกายเขามากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เสือกไสเข้าไป กล้ามเนื้อยาวของบั้นเอวที่คว่ำอยู่ก็จะเกร็งขึ้นมาแล้วคลายลงเหมือนคลื่นที่โผล่พ้นผิวน้ำแล้วสลายไป มูคยอมที่ก้มลงมองแผ่นหลังพ่นลมหายใจออกมาอย่างหื่นกระหาย

“ฮึก อื้อ คิม มูคยอม….”

เจ้าของชื่อไม่ตอบรับเสียงอ้อนวอนที่ฟังดูหมดเรี่ยวแรง แต่กลับสอดใส่สิ่งที่ใหญ่โตและแข็งขืนเหมือนกระบองลึกเข้าไปข้างในอย่างแรง มูคยอมได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าดังเฮือก และมองเห็นสะโพกที่สั่นระริกอยู่เบื้องล่าง

พูดมาสิ เมื่อมูคยอมหยุดขยับเอวครู่หนึ่งราวกับจะพูดแบบนั้นแล้ว ฮาจุนที่เคยดิ้นรนก็เอ่ยต่ออย่างยากลำบาก

“ทำไม นาย… ทำไมต้องโกรธด้วย…”

“…ฉันเหรอ”

“ไม่ได้ทำ… ฮะ อื้อ จริงๆ นะ… บอกหน่อยสิว่าทำไม ทำไมถึงโกรธ ฮึก!”

ไม่รอให้พูดจบ มูคยอมก็กระแทกเอวใส่เต็มแรงจนฮาจุนพูดต่อไม่ได้ และปล่อยเสียงครางยาวอย่างทรมานออกมาแทน

“ฮือ อา อ๊า…”

“นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ แม่งเอ๊ย ที่ฉันทำอะไร ไม่เข้าเรื่อง ก็เพราะนายไง”

มูคยอมกระแทกกระทั้นรัวเร็วและรุนแรงราวกับจะลงโทษอีกคน ฮาจุนร้องไม่ออก ร่างกายที่พิงอยู่บนอ่างล้างหน้าสีขาวขยับอย่างแรงราวกับกำลังกระแอมไอ เสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังลั่นกระทบผนังห้องน้ำ ฮาจุนพ่นลมหายใจหอบออกมาจากริมฝีปากแทนเสียงครวญคราง

ลำคอของฮาจุนสั่นไหวทุกครั้งที่บั้นท้ายและหัวหน่าวกระทบกันอย่างแรง เขาก้มหน้าลง ก้มลงต่ำถึงขนาดที่ว่าถ้าอ่างล้างหน้ามีน้ำอยู่เต็มเปี่ยม เขาก็คงคะมำลงไปในนั้นแล้ว มูคยอมเอื้อมมือไปจับปลายคางของฮาจุนเชิดขึ้น เมื่อดวงตาที่เริ่มฉ่ำน้ำ ริมฝีปากที่เผยอออก และใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นสีแดงนั้นสะท้อนอยู่ในกระจก มือแกร่งของมูคยอมก็ออกแรงบีบคางแรงขึ้นเล็กน้อย

“ฮาจุน?”

แต่แล้วเสียงของคนอื่นก็ดังขึ้นกระทบโสตประสาทของพวกเขาในตอนนั้นเอง มูคยอมหยุดขยับในทันที ขณะที่ร่างกายของฮาจุนก็พลันแข็งทื่อ

“อยู่ในห้องเหรอ”

ดูท่าพวกเขาคงมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับกามกิจจนไม่ได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามาจากข้างนอก สีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ร้อนผ่าวของฮาจุนซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก ฮาจุนพยายามขยับท่าทางยืนตรงอย่างลุกลี้ลุกลน

ทว่ามูคยอมกลับขมวดคิ้วและออกแรงจับกระดูกเชิงกรานของฮาจุนเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ถึงแม้ว่าฮาจุนจะเคลื่อนเอวไปข้างหน้า แต่เรี่ยวแรงของมูคยอมที่จับเขาไว้กลับมีมากกว่า และแก่นกายที่ยังคงดุนดันผนังด้านในก็ไม่ยอมถอนออกไป

ปล่อย! ฮาจุนตะโกนในลำคอ แต่มูคยอมก็ไม่ปล่อยยอมอีกคนไป เขาเลือกที่จะขยับเปิดฝักบัวที่อยู่ข้างๆ แทน ซ่า ทันใดนั้นเสียงของสายน้ำที่ไหลลงกระทบพื้นก็ดังก้องไปทั่วห้องน้ำ ก๊อก ก๊อก ในเวลาเดียวกันนั้นใครสักคนที่อยู่ข้างนอกก็เคาะประตู ก่อนที่เสียงของยุนแชฮุนจะดังขึ้น

“ฮาจุน อยู่ในห้องน้ำเหรอ”

มูคยอมและฮาจุนสบตากันในกระจก มูคยอมมองใบหน้าที่ซีดเผือดของฮาจุนแล้วลอบยิ้ม มูคยอมเอนกายลงแล้วแลบลิ้นเลียลงบนใบหูของฮาจุน ก่อนเอ่ยกระซิบพลางสบสายตาที่สั่นไหวราวกับไม่อยากจะเชื่อคู่นั้นอย่างเยือกเย็น

“ตอบเร็ว”

“…ฮื่อ…!”

หลังจากนั้นแท่งร้อนที่แทรกลึกแช่อยู่ในกายก็ค่อยๆ กดดันผนังด้านในที่โอบรัดอย่างเหนียวหนืดทีละน้อยราวกับจะบดขยี้ และถอนออกไป ความรู้สึกนั้นคล้ายจะทำให้ร่างกายปั่นป่วน ในสมองของฮาจุนขุ่นมัวราวกับกระจกที่ถูกเกาะด้วยไอน้ำ

ทว่านั่นก็เป็นเพียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเท่านั้น คนที่ยืนรอคำตอบอยู่ข้างนอกนั้นไม่รู้เรื่องด้วย และเคาะประตูอีกครั้ง

“ฮาจุน?”

“ครับ…! ผมอยู่ ข้างในครับ!”

“อาบน้ำอยู่เหรอ”

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของฮาจุนที่เอ่ยตอบออกไปอย่างตะลีตะลานจะสั่นเทา แต่เพราะเสียงน้ำที่ดังคลอ แชฮุนที่อยู่นอกประตูจึงไม่อาจรับรู้ถึงความกระวนกระวายเล็กๆ นั่น ระหว่างที่บทสนทนาสั้นๆ ดำเนินต่อไป แก่นกายของมูคยอมก็ถอนออกไปจนเกือบสุด

ฮาจุนหวังอยากให้อีกฝ่ายถอนกายออกจนสุดลำ เลิกสอดใส่และปล่อยเอวของเขาเป็นอิสระ ยอมให้เขายืดกายยืนตรงเสียที การอยู่ในห้องน้ำห้องเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่น่าสงสัยอะไรเลยสำหรับเหล่านักกีฬาที่ชำระล้างร่างกายด้วยกันอยู่บ่อยๆ แค่พูดออกไปว่าพวกเราไปว่ายน้ำที่ทะเลด้วยกันมา แล้วอยากรีบล้างตัว ก็เลยเข้ามาพร้อมกันเท่านั้นก็พอแล้ว

“ครับ อาบน้ำ…”

ฮาจุนตอบได้แค่นั้น แก่นกายก็ขยับเข้ามาอีกครั้ง ความรู้สึกวิงเวียนทำให้สมองของเขาปั่นป่วน ฮาจุนหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว

ร่างกายที่ตึงเครียดก็พลันอ่อนไหวมากกว่าเก่าหลายเท่าตัว ส่วนปลายแก่นกายบวมเป่ง ฮาจุนรู้สึกได้กระทั่งเส้นเลือดที่ปูดโปนอยู่บนลำลึงค์ ความรู้สึกยามเส้นเลือดที่ดูเหมือนเส้นที่ถูกวาดอย่างใหญ่โตและคดเคี้ยวเหล่านั้นครูดผนังด้านในและดุนดันเข้ามา ร่างกายของฮาจุนสั่นคลอนอย่างรุนแรง แม้เขาจะปิดปาก แต่ก็ยังได้ยินเสียงครางเบาๆ เล็ดลอดออกมาอยู่ดี

“ตอบสิ”

มูคยอมกระซิบที่ข้างหูและหยุดขยับสะโพกครู่หนึ่งราวกับจะให้เวลา แฮ่ก ฮาจุนพ่นลมหายใจออกมาแล้วรีบตอบ

“อาบน้ำอยู่ครับ”

“อย่างนั้นเองเหรอ พี่ว่าจะออกไปอีกน่ะ”

ทันทีที่พูดจบ อวัยวะของมูคยอมที่หยุดเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ก็เสือกไสแทรกสอดเข้ามาในกายจนถึงจุดที่ลึกที่สุด ริมฝีปากของฮาจุนอ้าออกกว้างพร้อมกับอุทานออกมาโดยไร้เสียง

ขากรรไกรของฮาจุนสั่นระริก ดวงตาที่หลุดโฟกัสกะพริบถี่รัวเหมือนพยายามควบคุมสติ แต่มูคยอมกลับเริ่มขยับสะโพกตามปกติราวกับไม่คิดที่จะรีรออีกต่อไป ไม่ใช่แค่รุนแรงจนเกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังก้อง แต่ไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย

ฮาจุนไม่เคยเข้าใจคำว่ากำลังจะเป็นบ้าอย่างนี้มาก่อน เหมือนกับว่าแก่นกายของอีกฝ่ายไม่ได้ขยับอยู่ในช่องทางหลัง แต่กำลังปั่นหัวเขาอยู่มากกว่า ท้องน้อยของฮาจุนกระตุกถี่ ขาเริ่มสั่นระริกจนเกือบจะโอนเอนล้มลง เขาได้ยินเสียงแชฮุนจากอีกฝั่งของประตูอย่างต่อเนื่อง

“วันนี้พี่คงจะอยู่ห้องผู้จัดการเกือบทั้งคืนเลย ถ้าพี่ไม่ได้กลับห้องก็นอนก่อนได้เลยนะ แต่ถ้าเบื่อๆ ก็มานั่งเล่นที่ห้องผู้จัดการแล้วดื่มด้วยกันก็ได้”

“ครับ… ขะ เข้า ใจแล้วครับ!”

แก่นกายที่เคยถอนกลับไปสอดกลับเข้ามาโดนส่วนบนของต่อมลูกหมากอย่างกะทันหัน และในตอนที่อีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาข้างใน เขาก็เผลอแอ่นสะโพกขึ้นพลางสั่นกระตุกอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังออกมาโดยไม่รู้ตัว

พอ ได้โปรด พอสักที

ฮาจุนตะโกนขึ้นในใจและหันหน้าไปทางกระจกอีกครั้ง แววตาของมูคยอมนิ่งสงบกว่าปกติเมื่อเทียบกับแววตาอันสั่นไหวซึ่งเต็มไปด้วยความสับสนของฮาจุน

เสียงแชฮุนค่อยๆ ไกลออกไปทุกทีเพราะอีกฝ่ายเดินผ่านห้องน้ำและเข้าห้องไปแล้ว พอเสียงไกลออกไปการเคลื่อนไหวของมูคยอมก็รุนแรงขึ้นทันที เขาสอบสะโพกเข้าออกถี่รัวทั้งยังสอดกายลึกเข้าไป ถอนตัวออกจนสุดความยาวแล้วตอกกลับเข้ามาอย่างรุนแรง

“อะ อึก อึ๊ก อือ อื้อ…”

ถึงจะกัดฟันกลั้นเสียงเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้ทั้งหมด มีเพียงฮาจุนกับมูคยอมเท่านั้นที่ได้ยินเสียงครางผะแผ่วซึ่งถูกเสียงน้ำกลบไว้ดังเล็ดลอดออกมา

ความรู้สึกจากช่องทางที่ร้อนผ่าวขึ้นทุกครั้งเมื่อได้บดเบียดเข้ากับท่อนลำที่มีเส้นเลือดปูดโปนพุ่งทะยานขึ้นมาจนถึงใบหู การเคลื่อนไหวเล็กน้อยยามที่อีกฝ่ายถูกายเข้ากับเยื่อเมือกที่อยู่ลึกเข้าไปถี่ๆ นั้นเหมือนกับจะกลืนกินฮาจุนเข้าไปทั้งตัว และทันทีที่ปลายแก่นกายกลมมนขนาดใหญ่โตกระแทกกระทั้นเข้ามาข้างในอย่างรุนแรง ฮาจุนก็ทรงตัวไว้ไม่อยู่ แม้แต่ยืนให้มั่นคงยังลำบาก หากเขาไม่ได้ยืนพิงอ่างล้างหน้าไว้ครึ่งตัวก็คงจะทรุดลงไปแล้ว

แต่นี่มันไม่ใช่ความผิดของคิมมูคยอมคนเดียว ฮาจุนกัดปากตัวเองไว้

ทำไม…เขาถึงเกิดอารมณ์มากขนาดนี้ในสถานการณ์แบบนี้

ขอบตาของฮาจุนแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก แต่แล้วจู่ๆ มูคยอมก็ใช้แขนโอบมาด้านหน้าแล้วจับร่างกายส่วนบนของเขาให้ตั้งขึ้นจนเกือบตรง ร่างกายที่ถูกอีกฝ่ายฝากฝังตัวตนเข้ามาโซเซลุกขึ้น ระหว่างนั้นมือที่ค่อยๆ เลื่อนมาข้างหน้าก็เชยคางที่ลดลงต่ำของฮาจุนไว้ ภายในกระจกสะท้อนภาพเลือนรางของใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านที่พยายามขบกรามอันอ่อนแรงเอาไว้แน่นและกัดฟันไว้เล็กน้อย ดวงตาฉ่ำน้ำเหมือนจะร้องไห้ ขอบตาแดงก่ำ คิ้วที่ตกลงจากการอดทนต่อความเสียวซ่าน และแก้มที่ร้อนผ่าว

ภาพตัวเองระหว่างมีเซ็กส์ที่เขาไม่เคยเห็นกับตามาก่อนเลยสักครั้ง

ช่างเหมือนคนโง่และดูงี่เง่าจริงๆ ฮาจุนหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็น มูคยอมจูบลงบนหูทำให้เกิดเสียงจุ๊บขึ้นมา แม้แต่เสียงที่ดังเข้ามาในหูก็กระตุ้นอารมณ์ให้อ่อนไหวยิ่งขึ้น ฮาจุนกัดปากแน่นกลั้นเสียงครางเอาไว้ แล้วมูคยอมก็เริ่มกระซิบคำพูดหยาบโลนด้วยเสียงทุ้มต่ำ โดยที่ยังแนบริมฝีปากไว้รอบๆ หู

“ฮ่าา… พอมีคนอยู่ข้างนอกแล้วรูมันยิ่งตอดใหญ่เลย นายชอบอะไรแบบนี้สินะ”

“…ฮะ ฮึก ฮือ เอาออกไป เอาออก…”

“ทำยังไงดีล่ะ รูนายมันไม่ให้เอาออกนะ”

เสียงต่อต้านของฮาจุนเบาหวิว ตัวของเขากำลังสั่นเทิ้มยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่มูคยอมก็ขยับสะโพกเล็กน้อยโดยที่ยังฝังกายเอาไว้ลึก

“ฉันไม่ได้ล็อกประตูไว้ตอนเข้ามา ถ้ายุนแชฮุนเปิดประตูเข้ามากะทันหัน เราคงถูกจับได้แน่เลย”

“อือ อะ ฮะ ฮือ หยุด ขยับ เถอะ ขอร้องละ…”

มูคยอมกลับหยอกล้อราวกับว่าเป็นเรื่องน่าสนุก ฮาจุนน้ำตาคลอขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้กับคำพูดไร้สาระที่อีกฝ่ายพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร และกำลังจะหลุดเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว

แต่ถ้าเกิดหลุดเสียงออกไปแชฮุนก็อาจจะเข้ามาจริงๆ ก็ได้ แค่จินตนาการว่าอีกฝ่ายเปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็อยากจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้แล้ว

“โชว์ให้เห็นไปเลยไหมล่ะ”

ฮาจุนเบิกตากว้างอย่างไม่รู้ตัวกับสิ่งที่มูคยอมพูดออกมา เขาส่ายหน้าอย่างแรงพลางพูดอ้อนวอน

“อะ มะ ไม่ นะ ไม่เอา… ไม่เอาแบบนั้น”

“ปกติแล้วเซ็กส์แบบตื่นเต้นน่ะ จะเสียวที่สุดเลยนะ”

“ไม่ ฉัน ไม่เอา มะ… อะ อ๊ะ…!”

ฮาจุนอ้าปาก ตัวสั่นกระตุกเอนไปด้านหลังเมื่อรู้สึกถึงแก่นกายที่อยู่ๆ ก็สอดแทรกเข้ามาในกายจนสุดความยาวอย่างกะทันหันแล้วขยับเข้าออกอีกหนึ่งครั้ง ท้ายทอยเขาถูไถกับบริเวณกระดูกไหปลาร้าและไหล่ของมูคยอม

“นี่ไม่ใช่การตอบสนองของคนที่ปฏิเสธนะ” หืม?

มูคยอมพูดหยอกล้อครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเคาะเบาๆ บริเวณท้องน้อยของอีกฝ่ายที่อัดแน่นไปด้วยตัวตนของเขาประหนึ่งดีดคีย์บอร์ด

แฮก แฮก แฮก

สุดท้ายน้ำตาก็ไหลลงอาบแก้มของฮาจุนที่เอาแต่หายใจหอบ เมื่อมูคยอมทอดสายตาลงไปมองสีหน้านั้นของอีกฝ่ายแล้วเขาก็เริ่มขยับกายเข้าออกอย่างรวดเร็ว เสียงของแก่นกายที่เสียดสีกับช่องทางด้านในที่เปียกแฉะดังขึ้นขณะขยับเข้าออก แม้จะเปิดน้ำทิ้งไว้แต่ฮาจุนกลับไม่มั่นใจว่าข้างนอกจะไม่ได้ยินเสียงนี้จริงๆ หรือเปล่า ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเขาตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

“อะ อะ อึก อื้อ…! ฮะ อะ อื้อ…!”

ฮาจุนกลัวว่าจะถูกจับได้ แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายเขากลับมีอารมณ์มากกว่าปกติหลายเท่าแบบที่มูคยอมบอก น่ารังเกียจจนเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ

ความกลัวกับความเสียวซ่านก่อตัวขึ้นภายในร่างกาย ความรู้สึกอับอายกับสภาพของตัวเองถาโถมเข้ามาแล้วกลับกลายเป็นความรู้สึกเสียวซ่านอีกครั้ง ความรู้สึกเหล่านั้นก่อตัวขึ้นราวกับกองหิมะที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ภายในท้องของเขาร้อนวูบขึ้นมาทุกครั้งที่แท่งร้อนขนาดใหญ่โตครูดไปกับช่องทางด้านใน ความรู้สึกอันลึกล้ำและรุนแรงที่แล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างกายโจมตีเข้ามาในหัวเหมือนกระแสไฟฟ้า ฮาจุนพยายามกลั้นเสียงที่เผลอหลุดออกมาจากในลำคอ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลั้นไว้ได้อย่างเต็มที่หรือเปล่า นี่ไม่ใช่ว่าเขากำลังส่งเสียงร้องออกมาตามใจตัวเองอยู่เหรอ

ริมฝีปากที่ฮาจุนใช้ฟันกัดเอาไว้เพื่อกลั้นเสียงเริ่มห้อเลือด มูคยอมที่เฝ้ามองฮาจุนอยู่ในสภาพนั้นคลอเคลียอยู่ข้างหูแล้วถามขึ้น

“ถ้ากลัวคนอื่นได้ยินเสียง งั้นฉันช่วยปิดปากไหม”

ช่วยปิดที ช่วยทำแบบนั้นที

ฮาจุนพยักหน้าลวกๆ ดวงตาสั่นไหวคลอไปด้วยน้ำตา มือหนาที่เคยอยู่บนหน้าอกเลื่อนขึ้นมาตรงคอแล้วทาบลงบนริมฝีปาก ฝ่ามือที่ทั้งเปียกชื้นและร้อนระอุค่อยๆ กดน้ำหนักลงบนริมฝีปากอย่างแนบแน่น ในขณะเดียวกันแก่นกายที่กำลังกดครูดเข้ามาข้างในช่องทางด้านหลังก็เร่งความเร็วมากขึ้น

“อึ๊ก อื้อ…!”

เสียงที่ดังออกมาจากลำคอเพราะความเสียวซ่านถูกกลืนไปกับฝ่ามือที่กว้างและหนา ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้อย่างเต็มที่ ฮาจุนหลุบสายตาลงอย่างหมดแรงเพราะอาการมึนงงอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย พลางรู้สึกเบาใจที่เสียงถูกเก็บไว้ได้ เปลือกตาของเขาสั่นเทาด้วยความอ่อนแรง มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมา

น้ำตาที่ไหลลงมาหยดลงบนนิ้วของมูคยอมทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้ตรงหว่างนิ้วเหมือนเวลามีปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายไปมา

“แฮก…”

สายน้ำไหลไปช้าๆ ตามนิ้วของมูคยอม ความรู้สึกอันเบาบางและเล็กน้อยนั้นกระตุ้นมูคยอมอย่างบ้าคลั่ง

“อย่าร้องไห้เลย ถ้านายร้องฉันยิ่งมีอารมณ์”

ฮาจุนหลับตาแน่นเพราะว่านัยน์ตาของเขาสั่นไหวกับคำพูดนั้น มูคยอมกัดริมฝีปากด้านในของตัวเองไปด้วยขณะกระแทกเอวอย่างรัวเร็วและรุนแรง ฮาจุนที่เอาหลังพิงมูคยอมไว้ตัวสั่นกระตุกขึ้นมา ภายในช่องทางบีบรัดแน่นกับการขยับเข้าออกอย่างรุนแรงและกะทันหันนี้

ฮู่ว

มูคยอมครางเสียงต่ำออกมาคล้ายกับแค่นหัวเราะ

เขาก็กำลังอดทนอยู่ในแบบของตัวเอง เพราะงั้นก็อย่ายั่วให้มันมากนัก

ในใจของมูคยอมอยากจะจับสะโพกอีกฝ่ายกระแทกให้แหลกสลายไปเลยไม่ว่าข้างนอกจะได้ยินเสียงหรือไม่ก็ตาม เขากัดฟันกรอด แต่สุดท้ายกลับมีเสียงเคาะประตูก๊อกๆ ดังขึ้น แล้วก็มีเสียงพูดมาจากข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง

“ฮาจุน งั้นพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน”

ถึงแม้ฮาจุนที่ถูกปิดปากไว้จะตอบอะไรกลับไปไม่ได้ แต่โชคดีที่ดูเหมือนว่าแชฮุนจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่และเดินพ้นหน้าห้องน้ำไปตามเดิม

ตี๊ด มูคยอมได้ยินเสียงปิดประตูห้องเต็มสองหู

ไอ้คนน่าขัดใจ ไม่รีบๆ ออกไป มัวแต่ลีลาอยู่ได้

มูคยอมด่าแชฮุนในใจ เขาเอามือที่ปิดปากฮาจุนลงแล้ววางลงบนอกของอีกฝ่าย กระแทกกายลึกเข้าไปอย่างรุนแรงราวกับรอคอยมานาน

“ฮะ อะ อ๊ะ…!”

บั้นท้ายของฮาจุนที่ยืนแนบหลังชิดกับอกของเขาตึงขึ้นมาด้วยความเกร็ง แรงเกร็งถูกส่งเข้ามาถึงด้านในช่องทางและบีบรัดจนแก่นกายของมูคยอมปวดหนึบ ฮาจุนส่ายหน้าแรงๆ ขณะที่ยังคงส่งเสียงครางออกมาราวกับจะขาดใจ

“ฮะ อึก เบา เบาๆ หน่อย อ๊ะ อือ อื้อ…!”

มูคยอมก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายเพราะคำร้องขออย่างร้อนรนนั่น

“ไม่เป็นไรนะ อีฮาจุน ยุนแชฮุนไปแล้ว พวกเราไม่ถูกจับได้หรอก”

“…ฮือ ฮึก ปะ ไปแล้วเหรอ…”

“ใช่ ไม่ได้ยินเสียงบอกลาเหรอ เพราะงั้นตอนนี้ส่งเสียงได้แล้ว”

ทันทีที่มูคยอมพูดอธิบายคล้ายกับชักชวน ฮาจุนก็กะพริบตาที่ขนตาล่างเปียกชื้นแล้วมองขึ้นมาด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่าจริงหรือเปล่า ขณะที่สบตากับเจ้าของใบหน้าแดงระเรื่อโดยไม่พูดอะไร มูคยอมก็สอบสะโพกเข้าไปอย่างหนักหน่วงเหมือนให้เป็นรางวัลที่อีกฝ่ายอดทนมาจนถึงตอนนี้ เสียงครางของฮาจุนที่เคยถูกฝ่ามืออุดเอาไว้ดังออกมา

“อะ อือ อื้อ อึก! อะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”

เสียงเนื้อกายที่เปียกชื้นดังกระทบกันท่ามกลางเสียงน้ำจากฝักบัวทำให้เกิดเสียงสะท้อนเล็กน้อย มูคยอมมัวแต่ขยับเบาๆ เพราะถูกรบกวนกะทันหันจากบุคคลที่สาม ทำให้แก่นกายเขานั้นแข็งขืนชูชันกว่าปกติและเห่อร้อนขึ้นมาเพราะความร้อนที่ไม่ได้ปลดปล่อยออกไป

“ฮืออ อะ อื้อ ระ เร็ว เกิน ไปแล้ว! อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”

“ฮู่ว เกินไป อะไร ดี เกินไป?”

มูคยอมถามกลับไปตามที่คิดแล้วเร่งความเร็วสอบสะโพกอัดเข้าไป แม้แต่จะส่งเสียงหวีดร้องฮาจุนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป และในขณะที่ตัวสั่นคลอนไปตามแรงกระแทก เขาก็ไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกที่สวนกลับมาได้จึงทรุดลงไปบนอ่างล้างหน้าอีกครั้ง ฮาจุนเอาแขนเท้าไว้กับอ่างล้างหน้า ร่างกายส่วนบนโน้มลงไปเหมือนตอนหมอบลงกับโต๊ะโดยมีเพียงสะโพกที่ยื่นออกมารองรับกายหนาที่กระแทกเข้ามาไม่ยั้ง

มือใหญ่ของมูคยอมที่คว้าจับกระดูกเชิงกรานของฮาจุนไว้ราวกับต้องการกักขังค่อยๆ เกร็งขึ้นมา เนื้อของผนังด้านในบีบรัดแก่นกายแน่นแล้วพยายามจะผละออกราวกับมีบางอย่างที่ร้อนระอุกำลังดุนดันเข้าออกภายในช่องทางจริงๆ

“หืม? แฮก ฉันถามว่า ดีไหม”

ทุกครั้งที่อีกฝ่ายกระแทกเข้ามาภายในช่องทาง แรงสั่นสะเทือนจากสะโพกที่ไล่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลังก็จะกระทบให้ร่างกายสั่นสะท้านมาจนถึงสะบักและต้นคอครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงหายใจติดขัดดังออกมาจากปากของมูคยอมเพราะสัมผัสของผนังด้านในที่ฝังแน่นและพยายามรับตัวตนของเขาให้ลึกเข้าไปด้านในอยู่เรื่อยๆ อย่างเต็มใจ

“ฮืออ อือ อื้อ ดะ ดี! ฮึก ดี”

“แฮก อื้ม ฮู่ว”

คำตอบเดิมๆ ที่ฮาจุนตอบกลับมาน่าพอใจเสมอ คำตอบที่หลั่งไหลผ่านหูเข้ามาถึงในความคิด ราวกับยาเสน่ห์ปะปนกับความรู้สึกอันหอมหวานที่ทำให้ร่างกายรู้สึกเสียวซ่าน มูคยอมรู้สึกสนุกขึ้นมาเพราะถ้อยคำกับน้ำเสียงอันสับสนของอีกฝ่าย เขาอยากจะบีบเค้นแรงๆ แล้วลองกัดดูเหมือนกับเด็กๆ

อีฮาจุน ทำกับฉันมันดีที่สุดไปเลยใช่ไหมล่ะ ฉันชอบตอนทำกับนายที่สุดแล้ว เคยบอกไปแล้วนี่ ช่วงนี้ระหว่างแข่งยังอยากจะเสียบเข้าไปในตัวนายเลย

ผนังนุ่มด้านในที่ทั้งชุ่มชื้นและลื่นไหล แต่ก็ยังร้อนรุ่มและตอดรัดนั้นช่างหอมหวานเหลือเกิน

อ่า แค่ลิ้มรสด้วยแก่นกายมันไม่พอ อยากจะเอาใส่ปากซะให้สิ้นเรื่อง

เขาจะกลืนกินเข้าไปทั้งหมดเลย

สติสัมปชัญญะของมูคยอมเลือนรางลงเรื่อยๆ เหลือเพียงสัญชาตญาณดิบ เพราถูกความต้องการและความเสียวซ่านเข้าครอบงำในหัว

จู่ๆ แก่นกายที่กำลังถาโถมเข้ามาในช่องทางอย่างหนักหน่วงก็ถอนพรวดออกไป ฮาจุนตัวสั่นกระตุก ความรู้สึกที่เหมือนกับความหิวกระหายโหมกระหน่ำเข้ามาเมื่อสิ่งที่บดเบียดอยู่ภายในท้องอย่างแนบแน่นถูกถอนออกไปกะทันหัน

มันจบแล้วเหรอ

ฮาจุนคิดสงสัยด้วยความเหม่อลอย เขาไม่รู้สึกถึงการปลดปล่อยในตอนจบ ในตอนท้ายมักจะจบด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มจากน้ำกามอุ่นๆ ของมูคยอมพุ่งลงบนเยื่อบุภายในที่อ่อนไหวขึ้นราวกับถูกลอกออกไปหนึ่งชั้น มูคยอมชอบที่จะปลดปล่อยออกมาจนสุดและออกไปจากตัวเขาอย่างเชื่องช้า ไม่ได้ถอนตัวออกไปกะทันหันแบบนี้

ฮาจุนไม่ได้คิดจะลุกขึ้นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้บอกว่ามันจบแล้ว เขาครางและปรับลมหายใจให้เป็นปกติ รู้สึกถึงมือใหญ่ร้อนระอุจับที่จับตรงสะโพกแล้วเลื่อนลงมาลูบคลำที่ต้นขาด้านหลัง

แน่นอนว่ามันยังไม่จบ มือของมูคยอมไม่เพียงแค่ลูบไล้หรือสัมผัส แต่กำลังบีบเค้นไปตามผิวเนื้อด้วยความเร่าร้อนที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

มือนั้นจับบั้นท้ายทั้งสองข้างให้แยกออกกว้าง ช่องทางด้านหลังที่เพิ่งถูกสอดใส่ด้วยกายหนายังหุบลงไม่สนิทและกำลังขยายกว้าง เมื่อมูคยอมใช้ปลายนิ้วโป้งสัมผัสลงไป ตรงผิวเนื้อเปียกชื้นที่บวมแดงกลับไวต่อการสัมผัสแบบทื่อๆ ราวกับว่ามันคือคมมีด และเมื่อใช้มือสัมผัสลงไปมันก็พยายามหดตัวลงตามสัญชาตญาณเหมือนกับพืชพับใบ

ฮาจุนหลับตาและกัดริมฝีปากแน่นเมื่อจินตนาการถึงสัมผัสอันรุนแรงและดุดันที่แทรกผ่านเข้ามาในช่องทางตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นนิ้วหรือแก่นกาย

“ฮะ อึก อ๊ะ อ๊ะ!”

แต่ไม่ช้าฮาจุนที่หลับตาลงไปแล้วก็เบิกตากว้างขึ้นมา ตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงทั่วทั้งร่างกายสั่นสะท้านราวกับถูกไฟดูด

“ทำอะไร แฮก…”

ทำอะไรเนี่ย

ฮาจุนกำลังจะพูดอย่างนั้นแต่พูดไม่จบ ริมฝีปากและคางของเขาสั่น ฟันบนและฟันล่างกระทบกันเบาๆ เหมือนคนที่ยืนอยู่ข้างนอกในวันที่อากาศหนาว แต่ไม่นานก็ทนไม่ไหวและร้องเสียงสูงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“ฮื้อ! อื้อ ฮือ อ๊ะ อ๊า!”

สิ่งที่สัมผัสเข้ากับช่องทางด้านหลังไม่ใช่ทั้งข้อนิ้วหรือแก่นกายอันแข็งขืน มันเปียกชื้น เรียบลื่น และอ่อนนุ่ม เป็นก้อนเนื้ออันยืดหยุ่นที่เปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจกำลังละเลียดอยู่ตรงปากทางที่ขยายออก

ระหว่างที่ส่วนปลายลิ้นแหลมกำลังจรดวาดลงบนรูจีบของช่องทางด้านหลังราวกับพู่กันหรือปากกา จู่ๆ ลิ้นกลับแบออกแล้วเริ่มไล้เลียตรงฝีเย็บจากล่างขึ้นบน คล้ายกับว่าก้อนเนื้อที่แผ่ออกนั้นทาบทับลงไปแนบชิดกับปากทาง และเมื่อตวัดเลียบนช่องทางซ้ำๆ สัมผัสอันอ่อนนุ่มนั้นก็กลืนกินร่างกายของเขา ภาพตรงหน้าหมุนติ้วและขาวโพลนเหมือนกับอาการช็อก

ท้องน้อยที่ไม่มีสิ่งใดสอดแทรกเข้าไปกระตุกสั่น บั้นท้ายที่ถูกมือใหญ่จับไว้ขยับยกขึ้นมา เอวกับขาของเขาหมดแรงและสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

“ฮ่า อา…”

เสียงเบาๆ ที่ดังมาจากในลำคอของมูคยอมและลมหายใจร้อนที่ส่งมาถึงร่องก้น แน่นอนว่าส่วนที่ปักอยู่ตรงด้านล่างก้นกบก็คือปลายจมูกโด่งของอีกฝ่าย

ฮาจุนกะพริบตาถี่ๆ แล้วพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ หากเขาเข้าใจไม่ผิดสิ่งที่ถูกใช้อยู่ด้านหลังก็คือลิ้นของมูคยอม และความอ่อนนุ่มที่กระทบขึ้นลงในแต่ละครั้งก็คือริมฝีปากของอีกฝ่าย

ทำไม ทำไมถึงใช้ปาก กับตรงนั้น ทำไม

“อ๊ะ อา ยะ อย่า… เอาออก ไป! อะ อือ อึ๊ก!”

“อยู่ แฮ่ก นิ่งๆ สิ”

มูคยอมนิ่งมองช่องทางที่อ้าออกเผยให้เห็นเนื้อแดงๆ ด้านในอยู่ชั่วครู่แล้วฝังริมฝีปากลงที่ร่องก้นตามเดิม ฮาจุนลองบิดบั้นเอวหนีแต่มันกลับไร้ประโยชน์ ช่องทางที่เคยถูกกายหนาตอกเข้ามาซ้ำๆ จึงอ้าออกอย่างง่ายดาย

พอคิดว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายไกลออกไปเล็กน้อย ก็รู้สึกถึงน้ำหนักของใบหน้าที่ฝังลึกเข้ามาอีกครั้ง มือที่วางไว้บนอ่างล้างหน้ากำเข้าหากันแน่นพลางสั่นระริกเผยให้เห็นรูปทรงของกระดูกบนหลังมือ ขณะเดียวกันเสียงครางที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงก็ดังออกมาจากปากของฮาจุนอย่างช่วยไม่ได้

“ฮือ ฮึก อื้อ! ฮ้า อือ อื้อ อึก!”

ลิ้นที่เคยใช้ลากขึ้นด้านบน ตอนนี้เขี่ยเข้ามาถึงด้านในราวกับจะทำให้ปากทางอ้าออก ก้อนเนื้อที่ถูกห่อปลายให้เรียวแหลมสอดเข้ามาลามเลียเนื้ออันเปียกชุ่มของผนังด้านในอย่างช้าๆ ราวกับหยอกล้อ

สายตาของฮาจุนพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ และกลับมาแจ่มชัดสลับกันไปมา เขาขยับตัวลุกขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยและพยายามขยับสะโพกหนี แต่แรงจากมือที่บีบเค้นตั้งแต่บั้นเอวไปจนถึงเชิงกรานนั้นมีกำลังมากเกินไป และขาของเขาที่ห้อยอยู่ใต้อ่างล้างหน้านั้นก็ไม่มีกำลังเพียงพอ

“อ๊า อะ อึก! พอ ฮะ อึก มัน…!”

ยิ่งเขาพยายามวิ่งหนี ลิ้นที่ไล่ตามมาก็ยิ่งเกาะแน่น เมื่อเทียบกับแก่นกายแล้ว ก้อนเนื้อเล็กๆ นั้นขยับเข้าออกสั้นๆ และโอ้โลมภายในช่องทางต่างกับนิ้วมือหรือแก่นกายที่สอดแทรกเข้ามาด้านในอย่างรุนแรง ฮาจุนไม่สามารถตั้งสติไว้ได้เลยเพราะความรู้สึกเสียวซ่านเหมือนมีเถาวัลย์มาแนบชิดเข้ากับผนังด้านใน เปลี่ยนรูปร่างให้เกาะติดแน่นและเลื้อยไปทั่วทั้งร่างกาย

หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าลิ้นที่เคยไล้เลียในช่องทางอยู่พักใหญ่นั้นผละออกไป ฮาจุนเพิ่งจะได้หายใจออกยาวๆ จากที่เคยหายใจได้ไม่ทั่วท้อง แต่แล้วริมฝีปากของอีกฝ่ายกลับทาบลงมาบนช่องทาง หลังจากนั้นก็เกิดเสียงเฉอะแฉะดูดดุนตรงปากทาง

“อา อ๊ะ…! อ๊า!”

มะ ไม่นะ ไม่นะ

การออกเสียงที่อู้อี้ไม่เป็นภาษาดังเล็ดลอดผ่านริมฝีปากของเขาออกมา สิ่งที่คล้ายกับจุดแสงที่ทำให้สายตาพร่ามัวแผ่กระจายไปทั่ว ขอบตาของฮาจุนร้อนผ่าว แม้แต่น้ำตาที่หยุดไหลไปชั่วครู่ก็ไหลพรากลงมาอีกครั้ง

เขารู้สึกเหมือนกับว่าเนื้อที่อยู่ด้านในถูกดูดกลืนเข้าไปในโพรงปากของมูคยอม ร่างกายเขาร้อนผ่าวขึ้นมาและหลอมละลายไปทั้งอย่างนั้น เหมือนเขาได้กลายเป็นแร่ธาตุที่ละลายไปในปากของอีกฝ่ายมากกว่าที่จะเป็นร่างกายของมนุษย์

มันแตกต่างกับตอนที่รองรับแก่นกายเข้ามา เสียงที่ชื้นแฉะเกินกว่าจะเกิดขึ้นจากช่องทางด้านหลังยังดังมาถึงข้างหู โหมเข้ามาราวกับเสียงคลื่นซัดที่เคยได้ยินบนชายหาด บริเวณที่ลิ้นและริมฝีปากสัมผัสโดนนั้นร้อนเหมือนติดไฟ มันไล่ลามบนร่างกายแล้วทำให้เขาหลอมละลาย

ฮาจุนคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปเพราะรู้สึกว่าทั้งตัวและในหัวอ่อนระทวยเหมือนกับน้ำตาเทียนร้อนๆ เขาส่งเสียงครางออกมาเต็มที่พลางขยับสะโพกเข้าหายิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และในขณะที่กำลังจะปล่อยตัวไปกับการขยับปากของมูคยอม นิ้วที่ใหญ่ยาวก็เคลื่อนตัวลึกเข้ามาภายในช่องทางที่เคยถูกดูดดุนด้วยความอ่อนโยนอย่างกะทันหัน

“…อ๊ะ อื้อ…!”

อีกฝ่ายไม่ได้เคยสอดนิ้วเข้ามาด้านหลังแค่ครั้งสองครั้ง แต่ความเสียวซ่านกลับพุ่งทะยานราวกับกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาที่คอจนเขาส่งเสียงออกมาตรงๆ ไม่ได้ ความรู้สึกชาทะลุผ่านจากปลายเท้าขึ้นมาถึงกระหม่อมราวกับกระแสไฟ

ฮาจุนบิดเร่าสะโพกไปมาและเกร็งบั้นท้ายที่กำลังตอดรัดนิ้วเอาไว้แน่น เขากำลังจะปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

“อ๊ะ…! อา ฮืออ มะ ไม่ ฮะ อื้อ… อ๊า!”

ถ้าทำอยู่บนเตียง ตอนนี้ฮาจุนคงใช้เท้าดันผ้าปูที่นอนไปมา แอ่นสะโพกไปข้างหลังและสั่นไปทั้งตัว แต่ทว่าตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามยืนด้วยปลายเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะกำลังต่อสู้กับขาที่สั่นระริกอยู่บนพื้น

มูคยอมควงนิ้วไปมาในช่องทางจนเกิดเสียงเสียดสีขึ้นขณะที่ลุกขึ้นยืน ริมฝีปากและขากรรไกรที่อ้าออกเพื่อดูดดุนและลามเลียอยู่เป็นเวลานานชาวาบเล็กน้อย

ผนังอ่อนนุ่มด้านในสั่นสะท้านตอดรัดและดึงดูดสองนิ้วไว้จนหมด ถ้ายัดแก่นกายเข้าไปข้างในตอนนี้จะรู้สึกดีแค่ไหนกัน แค่จินตนาการแก่นกายมูคยอมก็ร้อนรุ่มพลางกระตุกรับ

มูคยอมโอบรัดเนื้อบั้นท้ายทั้งสองข้างที่ส่ายไปตามแรงอารมณ์ด้วยฝ่ามือแล้วจับให้อ้าออก เขาขยับสะโพกดันกายเข้าไปในช่องทางร้อนผ่าวที่เขาเอาใจใส่และเล้าโลมมาจนถึงตอนนี้ในรวดเดียว

“ฮ้าา! ฮ้า…! อะ อ๊า!”

ร่างกายของฮาจุนกระตุกขึ้นหลายครั้งเหมือนคนถูกแส้ฟาด ผนังด้านในหดตัวเข้ามาอย่างรุนแรง มูคยอมกัดฟันอย่างไม่รู้ตัวเพราะการเคลื่อนไหวของช่องทางที่พยายามรัดแน่นเข้ามาจนรู้สึกว่าขยับต่อได้ลำบาก

“อีกแล้ว ฮู่ว ค่อยๆ กินสิ”

“อ๊าาา…! อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”

มูคยอมอัดกระแทกเข้ามาทีเดียวจนสุดโคนราวกับตำหนิว่าให้ตอดรัดแต่พอดี เสียงร้องอันสั่นเครือดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ผนังด้านในตอดรัดแก่นกายช้าๆ ราวกับใช้มือนวด

“ฮ่า อา…”

มูคยอมก็ครางออกมาเช่นกัน เขาเปลี่ยนจังหวะการขยับสะโพกให้ช้าลงโดยที่ยังฝังกายไว้ลึกอย่างที่ทำเป็นประจำเมื่อฮาจุนเสร็จสมจากทางด้านหลัง ถ้าขยับมากกว่านี้เขาเองก็คงจะปลดปล่อยออกมาเช่นกัน แต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลา อาจเป็นเพราะเขาถูกขัดจังหวะก็เลยรู้สึกว่ามันไม่พอ และยังอยากจะซึมซับร่างกายนี้ให้มากกว่านี้

“อา อือ… ฮึก อ๊ะ อะ อะ อ๊า…!”

ฮาจุนร้องครางอย่างต่อเนื่องราวกับคนที่ถูกทิ่มแทงซ้ำไปซ้ำมาเมื่อถูกแก่นกายที่เอาแต่คับพองขึ้นมาเรื่อยๆ ฝังในช่องทางอย่างลึกล้ำและหมุนควงตรงผนังด้านใน ร่างกายที่ถึงฝั่งฝันเป็นครั้งที่สองแทบจะเกร็งกระตุกขึ้นมาทั้งที่นอนพับอยู่บนอ่างล้างหน้าสีขาวอยู่ครึ่งตัว

พอทรงตัวได้เต็มส้นเท้า กล้ามเนื้อขาอันเรียบเนียนก็ปูดขึ้นเป็นมัด เรียงเป็นแนวตามต้นขาและน่อง แม้จะเอาแขนทั้งสองข้างคว้าจับอ่างล้างหน้าเอาไว้ แต่ก็ยังพยุงตัวไว้ไม่อยู่

“ฮืออ อื้อ…!

แค่อดทนกับความรู้สึกเสียวซ่านก็รับไม่ไหวแล้ว แต่นี่กลับไม่มีที่นอนมารองรับร่างกายที่สั่นกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้อีก ถ้าเป็นเวลาปกติ แค่อดทนกับความเสียวซ่านไปจนกว่าจะหยุดสั่นได้ก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่

ขณะที่บิดสะโพกไปมาและแผ่นหลังสั่นคลอน ฮาจุนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงใช้แขนค้ำร่างกายเอาไว้และแหงนศีรษะขึ้น เขากำลังพยายามจะลองลุกขึ้นยืนตรงๆ ให้ได้แม้เพียงสักนิด แต่ขาที่ไร้เรี่ยวแรงกลับซวนเซไปมาและตัวก็กำลังจะล้มลง

“ยังไม่ใช่ตอนนี้”

มูคยอมเอามือจับกระดูกเชิงกรานที่กำลังจะร่วงลงไว้ แล้วคว้าหมับเข้าที่ด้านบนท้องน้อยใกล้ๆ กระดูกหัวหน่าว

ประสานสองมือบนบั้นเอวที่ห้อยลงมา แล้วรั้งเข้าหาตัว ฮาจุนทรุดตัวลง แก่นกายที่กำลังจะหลุดออกไปถูกเสียบเข้ามาจนถึงจุดที่ลึกที่สุด

“ฮ่ะ อ๊าาา!”

ฮาจุนใช้ปลายเท้าที่กำลังชาจิกพื้นไว้แล้วหวีดร้องออกมา ต่างกับเสียงของมูคยอมซึ่งดังขึ้นมาติดๆ มันทุ้มต่ำและแผ่วเบาราวกับกำลังปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้

“ฉันรู้ๆ เหนื่อยใช่ไหมล่ะ”

ไม่สิ การบอกว่าตัวเขาถูกแขนของมูคยอมรั้งไว้จนขาแทบจะลอยจากพื้นคงเป็นคำอธิบายที่ชัดเจนกว่า ฮาจุนแค่ใช้ปลายเท้าแตะพื้นไว้ จึงไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้อย่างเต็มที่

“อดทน อีก แฮก หน่อยก็แล้วกัน”

“อะ ฮื้อ… ฮะ อ่า! อะ อ๊ะ อ๊ะ! อ๊า!”

แฮก อ่า!

มูคยอมเริ่มตอกย้ำเข้าไปทางด้านหลังของฮาจุนที่ยืนด้วยท่าทางโอนเอนอย่างรวดเร็วและรุนแรง อีกฝ่ายซุกแขนกับหน้าลงกับอ่างล้างหน้า และถูกเขาใช้แขนรั้งสะโพกไว้จนแทบจะลอยอยู่กลางอากาศ

เหมือนผนังด้านในที่แนบชิดกับแก่นกายอย่างเหนียวแน่นจะไม่รับรู้ถึงการปลดปล่อยของเจ้าของร่างกาย มันจึงสั่นไหวเล็กน้อยเพราะความเสียวซ่านและเอาแต่ดูดกลืนตอดรัดราวกับต้องการแก่นกายของมูคยอมมากกว่านี้

ภาพท้ายทอยที่ค้อมลงไปเข้ามาอยู่ในสายตาของมูคยอม เขาฟาดก้นฮาจุนอย่างแรงให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียวซ่านถึงขีดสุด เนื้อกระทบกันจนเกิดเสียงและสั่นคลอนทันทีที่ฟาดลงไป ดูเหมือนว่าหากไม่ทันได้ระวังศีรษะฮาจุนก็คงจะกระแทกกับหัวมุม มูคยอมเลื่อนแขนที่เคยจับท้องน้อยของฮาจุนล็อกไว้ขึ้นมาทางแผ่นอกแล้วจับร่างกายท่อนบนของอีกฝ่ายให้ตั้งขึ้น ตอนนั้นฮาจุนถึงได้สัมผัสพื้นอย่างเต็มเท้าและยืนตัวตรง

“ฮะ อึก!”

ฮาจุนแหงนหน้าขึ้นแล้วครางออกมาทันทีที่มูคยอมเปลี่ยนมุมสอดแก่นกายเข้ามาด้านใน เขาลนลานเอามือจับแขนของอีกฝ่ายที่อยู่บนแผ่นอกของตัวเองไว้

“อีฮาจุน จับฉันไว้แน่นๆ ล่ะ”

มูคยอมยกต้นขาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายขึ้นในท่ายืนแล้วพาดไว้บนแขน ฮาจุนที่ยกขาอันเปลือยเปล่าขึ้นมาอยู่ในท่าทางที่เหมือนกับสุนัขกำลังจะฉี่หันไปเห็นภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกก็น้ำตาไหลออกมา เขาหลับตาลงขณะที่กำลังจะร้องไห้ สีหน้าแบบนั้นทำให้ท้องน้อยของมูคยอมร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนนี้มูคยอมก็อยากไปถึงฝั่งฝันแล้วเช่นกัน เขากัดฟันและสอดแก่นกายที่คับพองเข้าไปอย่างหนักหน่วงเพราะอยากปลดปล่อยตั้งแต่เมื่อสักครู่ ปลายแก่นกายที่เคลื่อนตัวเข้าไปในท่ายืนตอกขึ้นไปบนต่อมลูกหมากของฮาจุนอย่างหนักหน่วง แล้วย้ำเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุด

ฮาจุนถูศีรษะไปกับร่างกายของมูคยอมอย่างไม่ทันระวัง เขาไม่สามารถดิ้นไปมาได้ตามใจเพราะยืนด้วยขาข้างเดียว คำพูดที่ขาดตอนดังขึ้นปะปนกับเสียงครวญคราง

“อ๊ะ ฮือออ…! อะ อึก มะ อะ อันนี้ ไม่เอา… อะ อือ ฮึก!”

ขาทั้งสองข้างแยกออกกว้าง แก่นกายแข็งขืนตรงหว่างขาที่เปิดโล่งของฮาจุนสั่นไหวไปมาเหมือนจะปลดปล่อยออกมาอีกรอบในไม่ช้า อยู่ๆ มูคยอมก็ยิ้มออกมาขณะที่กำลังขยับเอวพลางมองเข้าไปในกระจก

แก่นกายอันสั่นไหวของฮาจุนที่เขาได้อมและดูดเลียในวันนี้เป็นครั้งแรก ตอนนี้กลับดูน่าเอ็นดูไม่น้อย แม้ว่าในโลกนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ทางเพศก็ตาม แต่ถ้าเขาเป็นไปได้ขนาดนี้มันไม่ตาถั่วเกินไปหน่อยเหรอ

ทั้งใบหน้าที่อาบน้ำตาเพราะแรงอารมณ์ ทั้งกล้ามเนื้อที่ขยับทุกครั้งที่อีกฝ่ายตอกกาย ทั้งสีของตุ่มไตบนแผ่นอกที่ยังไม่หายบวมแดงจากการถูกดูดแรงๆ และสัมผัสซ้ำไปซ้ำมา แม้กระทั่งช่องทางที่ตอนนี้หุบเข้าออก ไปจนถึงแก่นกายที่สั่นคลอนไปมา

“แม่งเอ้ย หมดคำจะพูดจริงๆ…”

ได้ ยอมรับเลย ว่าน่าเอ็นดูตั้งแต่หัวจรดเท้า

มูคยอมเผยยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าความรู้สึกของตัวเองมันไร้สาระ เขาใช้ฟันลากผ่านตรงใบหูของฮาจุนช้าๆ

“อีฮาจุน ทำไมแก่นกายนายก็น่าเอ็นดูล่ะเนี่ย”

“อึก อื้อ! ฮือ ฮื้อออ… ยะ หยุด! หยุดได้แล้ว! มันแปลกๆ…! รู้สึก แปลกๆ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า…!”

“วันนี้ก็เสร็จพร้อมกันไหมล่ะ”

มูคยอมตอกกายเข้ามาด้านในรัวๆ อย่างรุนแรงเหมือนบอกให้รู้ว่ามันใกล้จะจบลงแล้ว และสุดท้ายเขาก็ปลดปล่อยน้ำรักที่ทนเก็บกักไว้มานานเข้าไปเต็มด้านในร่างกายของฮาจุน ช่องทางด้านในที่รองรับของเหลวอุ่นเอาไว้ตอดรัดแก่นกายของเขาแน่นราวกับจะกักเก็บเอาไว้และโอบรัดตัวตนเขาจนถึงที่สุด

มูคยอมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับความเสียวที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย เขากอบกุมแก่นกายของฮาจุนไว้ เพื่อให้ไปถึงฝั่งฝันพร้อมกัน แค่นั้นเอง

“อา อะ อ๊ะ อ๊ะ ฮือ อ๊าาา!”

แต่ทันทีที่มือเขาสัมผัสกับแก่นกายของฮาจุน แผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ทาบอยู่บนแผ่นอกเขาก็สั่นสะท้านราวกับถูกไฟดูด แล้วพอแก่นกายที่อยู่ในกำมือกระตุกหงึกหนึ่งครั้ง น้ำจากส่วนปลายก็พุ่งทะลักออกมา

ดวงตาของมูคยอมเบิกโพลง

น้ำที่ทะลักออกมาจากแก่นกายเลอะบนมือมูคยอมแล้วไหลลงมาจนหยดลงบนพื้นห้องน้ำ สีของมันใส อีกทั้งมีปริมาณมาก ซึ่งชัดเจนว่าไม่ใช่น้ำกาม

“ฮือ อื้อ อือ… อะ ฮะ ฮึก อ๊ะ อา…!”

ทั้งที่กำลังปลดปล่อยน้ำออกมาอย่างนั้น ร่างขาวที่อ่อนแรงกลับไม่สามารถอดทนต่อการสั่นไหวจากความรู้สึกเสียวซ่านได้ และหายใจหอบระรัว ฮาจุนถูแผ่นหลังกับศีรษะเข้ากับต้นคอและแผ่นอกของมูคยอมที่ตัวเองกำลังพิงไว้ แม้ว่ามูคยอมจะยืนรองรับน้ำหนักอีกฝ่ายอยู่อย่างมั่นคง แต่เขากลับเหม่อมองการปลดปล่อยที่สะท้อนจากในกระจกตาไม่กะพริบ

ฮาจุนที่ค่อยๆ หายใจเป็นปกติตั้งศีรษะที่เคยพิงมูคยอมขึ้นมา และมองไปที่กระจกตรงหน้าตัวเองอย่างเหม่อลอย

“อึก…”

ฮาจุนเอามือปิดบังใบหน้าอันแดงก่ำที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความต้องการแต่เพราะตอนนี้เขาซ่อนความรู้สึกอยากร้องไห้ไว้ไม่ได้ มูคยอมตกใจที่ฮาจุนพุ่งพรวดขึ้นมาตรงหน้ากะทันหันจนลืมว่าจะพูดอะไรกับอีกฝ่าย เขามองที่ใต้หัวไหล่โดยที่ไม่ได้ปล่อยมือจากแก่นกายที่ยังมีน้ำไหลออกมาเรื่อยๆ

นี่มันอะไรกัน… ฉี่ออกมาเหรอ

มูคยอมปล่อยขาฮาจุนลงแล้วใช้มือรูดรั้งแก่นกายที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำที่ไหลลงมาอีกหลายๆ ครั้งทันที

“ฮึ อ๊ะ! ยะ อย่า!”

ฮาจุนหวีดร้องขึ้นและบิดเอวไปมา มันให้ความรู้สึกเรียบลื่นไม่เหมือนปัสสาวะ ไม่มีความรู้สึกน่าขยะแขยงเลยเพราะกลิ่นก็ต่างกัน

หรือว่านี่คือ…

มูคยอมแค่นหัวเราะออกมาเองโดยอัตโนมัติ แม้จะเคยได้ยินเรื่องที่ว่าผู้ชายก็สามารถหลั่งน้ำออกมาได้เช่นกัน แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจนัก ต้องขอบคุณฮาจุนจริงๆ ที่ทำให้เขาได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่เคยคิดว่าจะไม่ได้พบเจอในชีวิตนี้ มูคยอมประหลาดใจมากจนรู้สึกอยากจะจับฮาจุนเอาไปคุยโม้เสียตอนนี้

ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องถามอย่างตรงไปตรงมาเสียตอนนี้เลยว่าอีกฝ่ายได้หลั่งออกมาหรือเปล่า อย่างนั้นไม่น่าสนุกกว่าเหรอ มูคยอมฉีกยิ้มกว้างแล้วพูดหยอกฮาจุน

“ฉี่ออกมาเหรอ”

“ฮึก มะ ไม่ ไม่ใช่…”

“เหมือนจะใช่เลยนะ นายฉี่ใส่มือฉัน”

“อึก อะ ฮึก…”

มูคยอมเบาเสียงลงเล็กน้อยและกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่าย

“พอเห็นนายฉี่แล้ว ฉันก็อยากปล่อยออกมาบ้างเลย”

“ฮ้าาา อึก”

“แต่ฉันยังไม่อยากเอาออก งั้นปล่อยข้างในตัวนายเลยดีไหม”

ร่างกายของฮาจุนเกร็งขึ้นเล็กน้อยราวกับรู้สึกประหม่ากับคำพูดนั้น มูคยอมค่อยๆ ขยับแก่นกายที่ยังแข็งขืนแม้จะปลดปล่อยไปแล้ว ราวกับจะปล่อยของเหลวออกมาจริงๆ

แต่ระหว่างที่มูคยอมทำอย่างนั้นฮาจุนก็กล้ำกลืนความรู้สึกอยากร้องไห้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและหยุดอยู่นิ่งโดยที่ร่างกายยังคงแข็งเกร็ง มูคยอมขมวดคิ้วขณะที่ตอกกายสวนขึ้นไปในส่วนลึกของผนังด้านในที่ตอดรัดแน่น ตอนนี้ฮาจุนที่เสร็จสมไปแล้วสองครั้งรวมถึงหลั่งน้ำออกมา กลับตัวสั่นระริกพลางกระตุกเกร็งแม้แต่กับการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย

“อ๊ะ!”

“ทำไมนายถึงอยู่เฉยล่ะ ปล่อยออกมาจริงๆ ได้ยังไง”

คำพูดบ่นราวกับไม่อยากจะเชื่อพรั่งพรูออกมาระหว่างที่ฮาจุนยังคงทำท่าจะร้องไห้ แก่นกายของมูคยอมก็หลุดออกมาจากกายของเขา

“…”

ฮาจุนจึงร้องไห้สูดน้ำมูกพร้อมกับเงยหน้าขึ้น ตอนนี้มูคยอมกำลังยิ้มอย่างขมขื่น ฮาจุนรีบลดสายตาลงเพราะดูเหมือนว่าสีหน้าแบบนั้นจะเป็นการสมเพชตัวเขา ฉี่ออกมาระหว่างมีเซ็กส์เนี่ยนะ ไม่ใช่เด็กห้าหกขวบสักหน่อย คิดเองยังเหลือเชื่อจริงๆ

ทั้งหัวใจที่แห้งเหี่ยวเพราะกลัวว่ามูคยอมจะโมโห ทั้งความกังวลที่กลัวว่าแชฮุนจะจับได้ ทั้งการที่เขากังวลและเริ่มร้องไห้เพราะเรื่องนั้น สลายหายไปจากความทรงจำเหมือนเรื่องที่ผ่านพ้นไป พฤติกรรมบ๊องๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างการฉี่ออกมาระหว่างมีเซ็กส์ ได้กลายเป็นความจริงที่ไม่สามารถลบออกไปได้ระหว่างมูคยอมและเขา

“ปล่อยฉันได้แล้ว…”

พอรวบรวมความกล้าอ้อนวอนออกไปด้วยเสียงอันไร้เรี่ยวแรง มูคยอมก็กลับกอดเอวเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“ทำไมล่ะ อายเหรอ”

เขาไม่มีแรงที่จะตอบจึงสูดน้ำมูกเบาๆ มูคยอมพลิกตัวฮาจุนโดยที่ยังกอดเอาไว้ แล้วพาเดินไปเหมือนกับคนที่วางเด็กน้อยเอาไว้บนหลังเท้าของตัวเองแล้วเดินไปทีละก้าว

ทั้งสองยังคงยืนอยู่ใต้ฝักบัวขนาดใหญ่ที่กำลังปล่อยน้ำออกมาในพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่ น้ำที่ถูกปล่อยออกมาจากฝักบัวกลมๆ ขนาดใหญ่ทำให้ร่างกายของทั้งสองเปียกไปพร้อมกัน ถึงน้ำจะอุ่นจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่เหมาะสมจนรู้สึกดี แต่ฮาจุนก็ยังอดที่จะอายไม่ได้ จึงซบหน้าลงบนไหล่ของมูคยอมและไม่ยอมสบตากับอีกฝ่าย

เหมือนกับเทคนิคการสวมกอดของศิลปะการต่อสู้ ยืนประกบตัวเอาไว้เพื่อป้องกันการโจมตีจะได้ไม่เกิดช่องว่างที่จะมาทำร้าย แต่รูปแบบการต่อสู้ที่มูคยอมใช้กับฮาจุน ไม่ใช่หมัดอันแข็งแกร่งหรือขาที่มีพลังการเตะอันน่ากลัว แต่มักจะเป็นปากของเขาอยู่เสมอ เขาจึงท้อแท้อยู่ในใจและได้แต่รอเพราะไม่รู้ว่าจะโดนแกล้งอะไรอีก แต่มูคยอมก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย อีกฝ่ายกอดฮาจุนไปสักพักราวกับตั้งใจจะให้ร่างกายเปียกน้ำ แล้วก็ให้เขานั่งลงที่ขอบอ่างอาบน้ำเท่านั้น

จากนั้นก็บีบแชมพูลงบนมือ ฮาจุนเหม่อมองการกระทำของอีกฝ่าย แต่แล้วมูคยอมก็ยื่นมือมาหาฮาจุนและเริ่มสระผม ฮาจุนสะดุ้งตกใจเพราะความใจดีที่ไม่ทันตั้งตัว เขารู้สึกจั๊กจี้เมื่อปลายนิ้วถูลงไปบนหนังศีรษะ ฮาจุนถดหัวไปข้างหลังและพูดออกมา

“ฉัน”

“เงียบสักทีเถอะน่า”

อีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้น ถึงมือที่สระผมให้ก็ตั้งใจจะดูแลเป็นอย่างดี แต่ก็ไร้ฝีมือเหลือเกิน ถึงฮาจุนจะอยากให้ถูแชมพูไปที่หลังศีรษะฝั่งซ้ายอีกหน่อยแต่ก็พูดออกไปไม่ได้ ตอนที่ล้างน้ำก็อยากจะล้างตรงหน้าผากอีกสักหน่อย แต่ก็พูดออกไปไม่ได้เหมือนกัน ด้วยความที่กลัวว่าฟองแชมพูที่ไหลลงมาบนหน้าจะเข้าตาจึงหลับตาปี๋ และรอจนกว่ามูคยอมจะถูศีรษะของเขาตามอำเภอใจจนเสร็จ แต่ถึงจะสระผมเสร็จแล้ว มูคยอมก็ยังฉีดน้ำและถูสบู่ไปตามส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย ด้วยความที่อีกฝ่ายใช้น้ำล้างออกอีกครั้ง ฟองที่ยังหลงเหลืออยู่จึงถูกชำระล้างออกไปจนหมด

“เสร็จแล้ว ออกไปก่อนเลย”

ฮาจุนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงทำแบบนี้ได้แต่กะพริบตาที่แดงขึ้นมาเท่านั้น แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ส่ายหน้า

“…ฉันจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยออกไป นายไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนแล้วออกไปเลย”

“ทำไมล่ะ ผมก็สระแล้ว ทำความสะอาดตัวแล้วไม่ใช่เหรอ”

ฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ วันนี้จะต้องขายหน้าต่อหน้าคิมมูคยอมกี่ครั้งกันนะ เขาแกล้งทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรให้ได้มากที่สุดและอธิบายออกไป

“ฉันต้องล้างข้างในด้วย”

“ข้างใน?”

“มันอยู่ข้างในไงละ น้ำอสุจิ…”

มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากัน ฮาจุนที่พูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดออกไปทนความละอายใจที่สะสมเอาไว้ไม่ไหวจึงหลบสายตาอีกฝ่าย

“ต้องล้างออกด้วยเหรอ มันไม่ได้ออกมาเองเหรอ”

“… ฉันจะล้างออก นายออกไปก่อนเลย”

“ตอบฉันมาสิ”

“ถ้าไม่ล้างออกเดี๋ยวก็จะปวดท้องไงละ”

ฮาจุนที่ยอมแพ้และอธิบายออกไปทั้งหมดในคราวเดียวสบตากับมูคยอมด้วยสีหน้าที่ยืนยันว่า ‘เข้าใจแล้วใช่ไหม’

“เพราะฉะนั้น นายอาบน้ำก่อนแล้วออกไปเลย”

มูคยอมยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม จิตใจที่สงบลงกลับมาว้าวุ่นอีกครั้งเพราะสีหน้าแบบนั้น อารมณ์เสียอะไรอีกหรือเปล่าถึงได้มีท่าทีแบบนั้น มูคยอมขึ้นเสียงเล็กน้อยขณะที่กำลังเดาความคิดในใจฮาจุน

“ปวดท้องงั้นเหรอ”

“…อืม”

“ประท้วงกันอีกแล้วเหรอ ทำไมเพิ่งมาบอกกันตอนนี้ล่ะ?”

“ถ้าไม่ล้างออกก็จะปวด แต่ถ้าล้างออกก็ไม่ปวด”

“เพิ่งจะมาบอกกันตอนนี้เนี่ยนะ”

เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว แต่ทำไมโมโหอีกแล้วล่ะเนี่ย เขาไม่รู้เลยว่าปัญหาคืออะไร ถ้าไม่ล้างออกก็จะปวด แต่ถ้าล้างออกก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็แค่นั้นเอง ก็ขั้นตอนการล้างมันน่าอายเลยไม่อยากพูดก็แค่นั้น

เพราะไม่รู้สาเหตุที่เขาโมโห ฮาจุนจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและปิดปากเงียบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่แล้วมูคยอมก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง และนั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่างของฮาจุนเหมือนตอนที่ใช้ปากทำก่อนหน้านี้ ฮาจุนที่สะดุ้งตกใจก้าวถอยหลังในทันที

“หันหลังแล้วยื่นก้นออกมา”

“ช่างเถอะ ฉันบอกว่าจะทำเองไง”

“จะทำให้หัวร้อนไปตลอดหรือไง”

“ไม่เอา”

‘ทำไมนายถึงหัวร้อนล่ะ’ เขาอยากจะถามออกไปแบบนั้นแต่ก็ได้แค่กัดปากเอาไว้ไม่พูดออกไป วันนี้คิมมูคยอมโมโหตั้งแต่แรกเริ่มเลย ดูเหมือนจะไม่พอใจที่คิดไปเองว่าฮาจุนตกลงไปในทะเลเลยกระโดดลงน้ำด้วยความตกใจ

แต่ถึงไม่ใช่เรื่องนั้น เขาก็อายแทบตายที่เมื่อกี้เอาปากไปดูดตรงนั้น แล้วยังจะมาทำแบบนั้นอีกงั้นเหรอ แถมยังมีเซ็กส์กันจนเสร็จแล้วด้วย

“ไม่สิ… ทำไมเพิ่งจะมาอายเอาตอนนี้ล่ะ”

ฉันอายเสมอนั่นแหละ ฮาจุนเก็บคำพูดนั้นเอาไว้ในใจ ส่วนมูคยอมก็ลุกขึ้นราวกับยอมแพ้แล้ว ทันทีที่ถอนหายใจด้วยความโล่งใจออกมาเบาๆ มูคยอมก็ดึงเอวของฮาจุนมากอดไว้

หน้าอกของทั้งสองติดกันเหมือนเมื่อสักครู่อีกครั้ง ฮาจุนที่เดาออกว่ามูคยอมตั้งใจจะทำอะไรดิ้นไปดิ้นมา

“อย่านะ ฉัน ฉันบอกว่าจะทำเองไง!”

“อยู่เฉยๆ หน่อยเถอะน่า”

น้ำที่ไหลลงมาจากฝักบัวทำให้ร่องระหว่างสะโพกเปียกชุ่ม นิ้วของมูคยอมแทรกเข้ามาตรงทางเข้าที่ยังคลายตัวอย่างอ่อนนุ่มอยู่ ฮาจุนฝังหน้าที่แดงขึ้นมาลงไปบนไหล่ของมูคยอมอย่างช่วยไม่ได้ และรอให้ขั้นตอนใหม่นี้สิ้นสุดลง

ทำไมถึงได้มีแต่เรื่องน่าอายเกิดขึ้นตลอดเลยนะ พอเริ่มจะทำใจให้ชินได้แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก แล้วพอจะทำใจให้ชินได้อีกก็ดันเกิดขึ้นอีก แต่ร่างกายที่ตึงเครียดของฮาจุนเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละนิดระหว่างที่นิ้วของมูคยอมแตะสัมผัสข้างใน ไม่ว่าจะเป็นการกดหรือถูบริเวณที่รู้สึก หรือสอดนิ้วเข้าไปหลายๆ นิ้วแล้วกวัดแกว่งหรือดึงเข้าดึงออก

มูคยอมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย เพียงแค่เขี่ยผนังด้านในลงมาอย่างระมัดระวังราวกับตั้งใจเอาน้ำอสุจิที่ตัวเองปล่อยเอาไว้ข้างในออกมาจริงๆ แต่แล้วก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากกว่าเดิม ทุกครั้งที่ข้อต่อที่ทั้งยาวและแข็งสอดผ่านเข้าไปด้านในที่ปูดบวมขึ้นมา จะรู้สึกจั๊กจี้ต่างกับอารมณ์ทางเพศที่รู้สึกได้เวลาที่ถูกรังแกทางด้านหลัง และความรู้สึกแปลกประหลาดได้คืบคลานขึ้นมาบนร่างกายไปถึงหัวใจของเขา มูคยอมก็แค่ล้างออกให้เท่านั้นเอง ฮาจุนที่ไม่อยากจะรู้สึกแปลกๆ แบบนี้อยู่คนเดียวจึงกัดริมฝีปากเอาไว้ วันนี้น่ะ มีแต่เรื่องน่าอายตั้งแต่ต้นจนจบเลยจริงๆ

ขาที่เกือบจะกลับมามีแรงดันสั่นขึ้นมา เขาเกร็งแขนที่กอดมูคยอมเอาไว้และพยายามทนต่อไป แต่ก็รู้สึกได้ว่านิ้วที่สัมผัสด้านหลังค่อยๆ หลุดออกมาแล้ว

“น่าจะออกมาหมดแล้วนะ”

ได้ยินเสียงที่พูดออกมาแบบนั้น ฮาจุนที่เบื้องหน้าพร่ามัวไปหมด ไม่สามารถยกหัวขึ้นมาจากไหล่ของมูคยอมได้ มูคยอมกอดเอวของฮาจุนเอาไว้ราวกับช่วยพยุงและถามขึ้นมา

“ทำแบบนี้ถูกแล้วใช่ไหมเนี่ย”

ฮาจุนถอนหายใจยาวพลางพยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้น เขาอยากจะออกจากห้องน้ำร้อนๆ ห้องนี้เร็วๆ พอออกห่างจากมูคยอมแล้ว ผ้าขนหนูผืนแห้งก็ตกลงมาบนหัว จึงรีบเอาผ้าผืนนั้นลงมาปิดหน้าเอาไว้

“ฉันออกไปก่อนนะ”

“โอเค”

ฮาจุนรีบก้าวเท้าออกมาทันที ในตอนที่วุ่นอยู่กับการหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำโดยที่ทิ้งมูคยอมเอาไว้ข้างหลัง แกร๊ก ประตูก็ปลดล็อก เสียงเบาๆ นั่นดังสะท้อนในหูฮาจุนราวกับเสียงกระดิ่ง

พอยืนนิ่งด้วยความอึ้งไปชั่วขณะ ก็ได้ยินเสียงพูดที่เจือเสียงหัวเราะของมูคยอมดังมาจากด้านหลัง

“ตกใจอะไรกัน กลัวว่าฉันจะเปิดทิ้งเอาไว้จริงๆ เหรอ”

เหนื่อยเกินกว่าจะเถียงแล้ว ฮาจุนเดินโซเซออกมาจากห้องน้ำโดยไร้คำพูดใดๆ หลังจากสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่เป็นชุดนอนลงบนร่างกายที่ยังไม่แห้งดีแล้วก็ทรุดตัวลงไปบนเตียง เขารู้สึกว่าห้องที่เย็นด้วยลมเย็นๆ ของแอร์เย็นมากขึ้นเพราะร่างกายที่เปียกชื้น หลังจากห่มผ้าห่มแล้ว เขาก็ดึงหมอนมาหนุนหัวและนอนทั้งอย่างนั้น

ทุกครั้งหลังจากที่มีเซ็กส์กับมูคยอมเสร็จ สุดท้ายเขาก็จะหมดแรง แต่วันนี้กลับเหนื่อยล้าด้วยสาเหตุที่ต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย เป็นความรู้สึกที่ตัวเองกลายเป็นใบไม้ร่วงที่ปลิวไปปลิวมาอยู่ในอากาศอยู่หลายต่อหลายครั้งและตกลงมาบนพื้นเปียกๆ

ยังได้ยินเสียงน้ำดังมาจากห้องน้ำอยู่รางๆ มูคยอมยังอยู่ในนั้น แต่ยังไงมูคยอมก็ยังอยู่ใกล้กัน บ้านของมูคยอมกว้างมาก แค่ชั้นหนึ่งก็มีห้องน้ำตั้งสามห้องแล้ว ถ้าออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ ก็จะไม่รู้เลยว่ามูคยอมอยู่ในบ้านหรือเปล่า ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเบาๆ เลย

พอมาคิดดูแล้ว การที่เขาเหนื่อยแบบนี้ก็เป็นเพราะมูคยอม แต่ระหว่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ยังไงมันก็ดีกว่าการอยู่คนเดียว เขาคิดว่าพักสักหน่อย แล้วไว้อีกฝ่ายกลับห้องไปเมื่อไหร่ก็ต้องซักเสื้อผ้าที่เปียกน้ำทะเล แล้วก็เอาไปตากไว้ที่ไหนสักที่ แล้วค่อยนอนแล้วกัน

เสียงน้ำเงียบลงระหว่างที่กำลังเหม่อคิดถึงเรื่องที่จะทำ ได้ยินเสียงเปิดประตูพร้อมกับรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวเข้ามาในห้อง ถึงจะไม่มีความคิดที่จะแกล้งหลับ แต่ฮาจุนก็นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน

ตามมาด้วยเสียงมูคยอมเดินลากเท้าที่ใส่สลิปเปอร์ เสียงเปิดตู้เสื้อผ้าดังแอ๊ดด้วย จะว่าไปแล้วห้องนี้ก็ไม่มีชุดให้เปลี่ยนเลยต้องใส่เสื้อคลุมกลับไปตามที่ตัวเองเป็นคนพูดไปเมื่อกี้ เสียงเสื้อสะบัดกระทบกับอากาศทำให้ความเงียบสั่นสะเทือนในช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็เงียบไปสักพัก แล้วก็ได้ยินเสียงมูคยอมเดินอีกครั้ง เสียงนั้นไม่ได้ไปทางประตู แต่กำลังเข้ามาใกล้เตียงที่ฮาจุนกำลังนอนอยู่

“หลับแล้วเหรอ”

ถึงฮาจุนจะไม่ได้ตอบ แต่ก็ไม่ได้หลับตาเช่นกัน ที่นอนเอนไปฝั่งหนึ่งเล็กน้อยเมื่อมีสิ่งหนักๆ นั่งทับลงมา มูคยอมที่นั่งอยู่ข้างๆ สบตากับฮาจุนที่กำลังนอนอยู่ อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้งระหว่างที่อาบน้ำอยู่คนเดียว ใบหน้าของมูคยอมจึงสงบนิ่งและมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่

วันนี้อารมณ์แปรปรวนเก่งจริงๆ เลยนะ ฮาจุนโมโหขึ้นมาโดยไร้เหตุผลเพราะสีหน้าแบบนั้น ถึงจะอารมณ์เสียแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็ทำมาเป็นพูดว่าหายโมโหแล้ว แล้วดันมาทำให้ตัวเขาเหนื่อยแบบนี้ ตอนนี้ก็จะมาบอกว่าหายโมโหแล้วงั้นเหรอ

“วันนี้ค่อนข้างเหนื่อยเลยใช่ไหม”

อีกฝ่ายกระแอมออกมาหนึ่งครั้งและถามราวกับรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ น่าอายเหลือเกินที่เมื่อกี้หัวใจของเขายังห่อเหี่ยวอยู่เลย แต่ฮาจุนกลับหลุดยิ้มออกมาเพราะสีหน้าของอีกฝ่ายที่แอบสังเกตเขาอยู่ ดันยิ้มออกไปซะแล้ว จะแกล้งโมโหให้มากกว่าเดิมก็ไม่ได้ แต่ยังไงการที่มูคยอมเป็นฝ่ายสังเกตก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เขาจึงลองพูดออกไป

“นายคิดว่าฉันไม่เหนื่อยมาตลอดเลยเหรอ”

มูคยอมก้มตัวลงและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฮาจุนมากกว่าเดิม

“ก็นายไม่บอก ฉันก็ไม่รู้สิว่าถ้าปล่อยข้างในนายจะปวดท้อง”

“แล้วถ้าบอกล่ะ จะไม่ปล่อยข้างในหรือไง”

“ถึงจะรับปากไม่ได้ก็เถอะ… แต่ก็จะล้างออกให้เหมือนเมื่อกี้”

“ฉันไม่เป็นไรเลยจริงๆ ให้ฉันทำเองมันสบายกว่ามากเลย”

แค่คิดว่าจะฝากบั้นท้ายให้มูคยอมล้างน้ำอสุจิที่อยู่ในร่างกายออกให้ก็ปวดหัวแล้ว มูคยอมไม่ได้ลุกขึ้น เขาจ้องมองฮาจุนพร้อมกับถามขึ้นมาทันที

“ตอนที่นายทำกับคนอื่น นายเคยปล่อยน้ำพุออกมาไหม”

“…น้ำพุ”

“ทำไมแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกแล้วล่ะ เมื่อกี้นายปล่อยใส่มือฉันไง”

โอ๊ย ข้ามเรื่องนั้นไปเถอะน่า ใบหน้าของฮาจุนแดงขึ้นมาในพริบตา

เรียกฉี่ที่ปล่อยออกมาระหว่างมีเซ็กส์ว่าน้ำพุเหรอเนี่ย การฟังคำศัพท์ที่ฟังไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว และเขาก็ไม่สามารถตอบกลับไปได้เพราะความอาย พอฮาจุนไม่รู้ว่าควรจะมองไปที่ไหนดี จึงหลบสายตาอีกฝ่าย มูคยอมจึงแค่นยิ้มออกมาและลุกขึ้น

“ไม่เคยใช่ไหม?”

“ก็ใช่น่ะสิ! ไม่เคยเลยสักครั้ง แล้วก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกด้วย”

“ทำไมล่ะ ถ้ามันจะออกมาก็อย่าอั้นเอาไว้”

“โอ๊ย เลิกพูดสักทีเถอะ”

พอไม่ใช่เรื่องของตัวเองนี่พูดเก่งจังนะ พอจ้องมองด้วยความไม่พอใจ อีกฝ่ายก็หรี่ตาจ้องมองลงมาที่ฮาจุนราวกับกำลังกวนประสาท แล้วก็พูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยท่าทีสนุกสนานเหมือนพูดคนเดียว

“ถึงจะคบกับพวกไร้นำยามามากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ว่าอะไรก็ตามมักจะเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณอยู่แล้ว”

พูดเรื่องอะไรอีกแล้วเนี่ย…

แต่ก็ดูจะอารมณ์ดีกว่าเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด ฮาจุนที่กังวลมาตลอดจึงถามออกมาอย่างระมัดระวัง

“หายโมโหแล้วเหรอ”

พอฮาจุนถามออกไป มูคยอมก็มีท่าทีประหม่าเล็กน้อย คงจะรู้สึกได้ว่าโมโห แต่แล้วมูคยอมก็กลับจ้องมองเขาพลางบ่นพึมพำด้วยคำพูดที่ตั้งใจจะโยนความรับผิดชอบเรื่องที่โมโห

“ไม่มีใครไม่ตกใจหรอกที่เห็นนายเดินลงทะเลไปซะลึกแบบนั้นในตอนกลางคืนมืดๆ”

“…นายพูดถูก ขอโทษนะ ฉันว่ายน้ำเก่ง ก็เลยไม่ได้คิดอะไร”

สระว่ายน้ำกับทะเลมันต่างกันตามที่มูคยอมพูด ถึงจะเป็นคนที่ว่ายน้ำเก่งแค่ไหน แต่ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา ในทะเลที่มืดมิดก็อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้ อย่าว่าแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลย นั่นเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลยสักคน ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาก็ขอให้ใครช่วยไม่ได้

พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกผิดต่อมูคยอมที่ตกใจ และรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเองที่ก่อนหน้านี้ทำเรื่องอันตรายโดยที่ไม่คิดให้ดีอยู่นิดหน่อย

ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปเดินเล่นถึงสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะว่ายน้ำเลย แต่พอยืนมองดูทะเลแล้วก็เกิดอยากจะลงไปในน้ำขึ้นมาราวกับถูกหลอกล่อไปชั่วขณะ เป็นเวทมนตร์ของทะเลยามค่ำคืนและเสียงคลื่นหรือเปล่านะ ทำไมตอนนั้นถึงไม่ได้คิดเลยว่ามันอันตราย

“อีฮาจุน”

มูคยอมที่ไม่ได้พูดอะไรไปชั่วขณะ เอ่ยเรียกฮาจุน เป็นน้ำเสียงที่แข็งกระด้างแปลกๆ

“ทำไม”

“ในความสัมพันธ์ที่มีเพียงแค่เซ็กส์น่ะ ไม่ควรมีการสัญญาหรือการผูกมัดกัน เรื่องนั้นฉันรู้ดี แต่ยังไงก็ควรจะสบายใจกันทั้งสองฝ่าย… ระหว่างที่มาเจอกัน เราทำกันแค่สองคนดีไหม”

ฮาจุนกะพริบตาให้กับคำพูดที่ไม่ทันตั้งตัว ไม่เข้าใจเลยว่าหมายความว่ายังไง พอเขาไม่สามารถตอบกลับไปได้ มูคยอมก็พูดต่อด้วยท่าทีที่รีบร้อนกว่าเดิมเล็กน้อย

“ก็ฉันไม่คิดที่จะไปคบกับผู้หญิงสักพัก ก็เลยทำกับนายไงล่ะ ฉันเลยถามนายว่าระหว่างนั้นนายก็ทำกับฉันแค่คนเดียวดีไหม”

“ต่อให้ไม่ได้สัญญา ฉันก็ทำกับนายแค่คนเดียว…”

คิดอยู่เลยว่าพูดเรื่องอะไร ฮาจุนคิดว่ามันไร้สาระและเถียงกลับไป อีกฝ่ายไม่ได้ถามว่าเขามีเซ็กส์กับแชฮุนหรือเปล่า ไม่ได้ถามว่าไม่ได้ไปทำกับใครเลยจริงหรือเปล่า ดันระแวงโดยไม่จำเป็นเสียได้

ถึงจะเข้าใจที่อีกฝ่ายมองว่าตัวเขาอาจจะเป็นคนแบบนั้นก็ได้ แต่คาดไม่ถึงอยู่หน่อยๆ ที่อีกฝ่ายสนใจว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่นหรือเปล่า

“งั้นเหรอ”

“ใช่”

“ไม่สิ ถึงตอนนี้จะเป็นแบบนั้น แต่สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ เพราะฉะนั้น ฉันสัญญา ไม่สิ สาบานว่าระหว่างที่นอนกับนาย ฉันจะไม่ไปคบกับคนอื่น”

จะว่าไป มูคยอมเองก็เป็นคน แค่เห็นสุนัขที่คอยให้ข้าวไปเดินตามคนอื่นก็เศร้าใจแล้ว นี่แหละใจคน

โรค…อาจจะกังวลเรื่องโรคเลยทำแบบนั้นก็ได้

“เข้าใจแล้ว”

ฮาจุนให้คำตอบตามที่มูคยอม ผู้ที่อยากได้การยืนยันต้องการ แต่ถึงจะสัญญาหรือไม่ เขาก็ไม่มีความคิดที่จะไปคบกับผู้ชายคนอื่นอยู่แล้ว เพราะคนที่ดึงเอาความรู้สึกรักใคร่และความต้องการทางเพศของเขาออกมาโดยที่ไม่เลือกว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็มีแค่มูคยอมเท่านั้น

ถ้าอย่างนั้น การที่พูดออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าที่ผ่านมา มูคยอมเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันผู้หญิงคนอื่นเลยงั้นเหรอ ถึงข่าวลือหรือข่าวเสียๆ หายๆ จะเงียบไปสักพักแล้ว แต่ก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่ามูคยอมจะนอนกับเขาแค่คนเดียว พอคิดว่าช่วงนี้มูคยอมมีแค่เขาคนเดียวแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

หลังจากนั้นก็เงียบไปสักพัก แล้วจู่ๆ ฟุ่บ สิ่งที่ทั้งใหญ่และหนักก็ตกลงมาข้างๆ ฮาจุน ที่นอนจึงสั่นสะเทือน

ตาของฮาจุนเบิกกว้าง จู่ๆ มูคยอมก็เอนตัวลงมานอนข้างๆ และจ้องหน้าฮาจุน พอสบเข้ากับสายตาและดวงตาขี้เล่นที่ดูเหมือนจะหายโมโหแล้ว ก็มองเห็นสีหน้าหงุดหงิดของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย

ตกใจกว่ามูคยอมในตอนที่นึกว่าตัวเขาตกลงไปในน้ำหรือเปล่าเนี่ย หัวใจที่สงสัยว่าทำงานผิดปกติไปชั่วขณะหรือเปล่าก็เต้นรัวอย่างรวดเร็ว ตึกตักๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มบางๆ จ้องมองมาที่ฮาจุน ตอนที่สบสายตาได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความกังวลที่ว่าที่อีกฝ่ายยิ้มอยู่อาจจะเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาหรือเปล่า มูคยอมก็ถามขึ้นมา

“ไหนๆ ยุนแชฮุนก็ไม่เข้ามาแล้ว นอนที่นี่แล้วค่อยไปดีไหม”

ฮาจุนจ้องมูคยอมโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา เมื่อได้ฟังคำถามที่ถามราวกับกระซิบ แววตาเจือรอยยิ้มหรี่ลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย และใบหน้าเอนมาฝั่งหนึ่งเล็กน้อยราวกับนอนตะแคงโดยที่ไม่ได้หนุนหมอนทำให้ความอยากที่จะดึงมากอดและพรมจูบให้สมใจอยากมาจนถึงขีดสุด

‘จะเอายังไง’

แต่ฮาจุนจำสีหน้าอันมีเสน่ห์นี้ที่ดูเหมือนจะถามออกมาแบบนั้นได้ขึ้นใจ

หลังจากที่เริ่มจูบก่อนแล้วก็เอียงหัวไปข้างหนึ่งเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มบางๆ เหมือนกับตอนนี้ ราวกับถามว่าต่อจากนี้จะทำยังไงต่อ

อีกฝ่ายบอกว่าที่ทำแบบนั้นก็เพื่อลองใจ จงใจจะดูว่าเขาจะมีท่าทียังไง

“จะทิ้งห้องนายไว้แล้วมานอนที่นี่ทำไม พี่เขาเล่นๆ อยู่แล้วอาจจะเข้ามาก็ได้ ไม่ได้”

วันที่อีกฝ่ายมาหาเขาตอนรุ่งสางเพื่อเอาตุ๊กตาแมวมาให้เพิ่งจะผ่านมาไม่นาน วันนั้นที่หัวใจเต้นแรงราวกับอยู่ในเวทมนตร์ทั้งคืน กว่าเขาจะข่มตาหลับได้ก็เป็นเช้าวันใหม่เสียแล้ว วันต่อมาเขามอบตุ๊กตาตัวนั้นที่วางเอาไว้บนเตียง เพราะไม่กล้าให้เจ้าของตัวจริงที่ควรจะได้รับอย่างมินคยองทันที พร้อมกับคำขอโทษที่ไม่ได้ให้ในทันที

ถึงมินคยองจะถามว่าจะให้ทำไม และปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องให้ก็ได้หลายต่อหลายครั้ง แต่ฮาจุนเป็น เพราะทุกครั้งที่เห็นตุ๊กตาตัวนั้น เขาทั้งเขินและอายแทบตาย

เวลาที่โลภเกิดอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็จะลนแบบนั้นทุกที มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีการเรียนรู้ แม้ว่าจะอยากได้เหยื่อที่วางอยู่ตรงหน้าแค่ไหน ก็ต้องไม่ตกหลุมพรางหลุมเดิมหลายครั้ง

“เข้ามาแล้วยังไง แค่ไม่ได้มีเซ็กส์กันอยู่ก็พอไม่ใช่เหรอ”

“นายนี่มันจริงๆ เลย รู้ไหมว่าเมื่อกี้ฉันตกใจแค่ไหน”

พอเรื่องมันผ่านไปแล้วก็เอามาพูดเล่นกันสนุกปาก เมื่อกี้นึกว่าจะเป็นเรื่องแล้วจริงๆ น้ำตาไหลออกมาเองเลย แต่แล้วมูคยอมก็แค่แค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น

“นายชอบจนสติหลุดลอย แล้วก็เอาแต่โทษฉัน”

“คิมมูคยอม… รีบๆ ไปได้แล้ว”

เขาชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว พอขึ้นเสียงออกปากไล่ มูคยอมก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร แถมยังหัวเราะคิกคักแล้วลุกขึ้น

“ไม่ต้องห่วง แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าเมาแล้ว ถึงนายจะไม่มีสติก็เลยไม่รู้ก็เถอะ”

ดูจากที่ไม่ถามเป็นครั้งที่สองแล้ว แสดงว่าลองใจจริงๆ มูคยอมที่ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ประตูราวกับตั้งใจจะออกไป พูดต่อราวกับนึกขึ้นได้

“ฉันจะเอาเสื้อไป นายนอนเลย อย่ามาเหงื่อแตกพลั่กๆ เพราะซักผ้าอยู่ในห้องน้ำเหมือนยาจกอีกเลยน่า”

“วางไว้เถอะ พรุ่งนี้ฉันซักเอง”

“ทำไมต้องทำเรื่องแบบนี้เองด้วยล่ะ ถ้าเอาไปฝากไว้ตอนเช้า เขารีดให้เสร็จก่อนออกเดินทางอีก”

ฮาจุนไม่ห้ามมูคยอมอีก เขาไม่อยากจะเถียงต่อ และที่จริงตอนนี้เขาก็เหนื่อยมากจนไม่อยากจะขยับตัวด้วย มูคยอมเดินเข้าไปในห้องน้ำสักพักแล้วเดินออกมา จากนั้นก็เปิดประตูพร้อมกับกล่าวลา

“เจอกันพรุ่งนี้”

“เหมือนกัน”

แกร๊ก ปิ๊บ ประตูปิดลงพร้อมกับเสียงกลไก และห้องก็เงียบสงบโดยสมบูรณ์

ภาษาในสนามที่ใช้ในการแข่งขัน จะไม่ถูกนำมาใช้นอกสนามเมื่อการแข่งขันจบลง คำพูดที่มูคยอมพูดบนเตียงก็เป็นแบบนั้น

คิมมูคยอมที่รับส่งคำพูดหวานหูทุกค่ำคืนกับผู้คนมากมายราวกับรับส่งบอล คำพูดนั้นเป็นแค่คำที่ใช้ในบรรยากาศในตอนนั้นๆ หรือไม่ก็เป็นแค่การทดสอบอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความหมายอะไร ฮาจุนรู้เรื่องราวของคนที่ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้น แต่ก็ทำใจยอมรับไม่ได้ และยังคงเกาะติดเขาแม้จะจบเรื่องบนเตียงไปแล้วก็ตาม

และรู้ด้วยว่ามูคยอมเย็นชาแค่ไหนในตอนจบของเรื่องราวนั้น เพราะเรื่องราวของนักรักที่ใจสลายเมื่อต้องการความรักจากมูคยอม เป็นข้อมูลของข่าวคาวๆ ที่พวกนักข่าวซุบซิบชื่นชอบเป็นอย่างมาก

ฮาจุนกะพริบตาสองสามครั้ง จากนั้นก็ปิดไฟโดยที่นอนอยู่บนเตียงและหลับตาลง จากนั้นคลื่นสีดำที่เหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็ถาโถมใส่เขาในทันที

***

เมื่อฮาจุนรู้สึกได้ถึงแสงแดดยามเช้าจึงลืมตาขึ้นมา แชฮุนเองก็กลับมาแล้ว ดูจากการที่นอนคว่ำแผ่ราบลงบนเตียงโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดแล้ว คงจะเข้ามาโดยที่เมาจนไม่ได้สติ ดีแล้วที่ให้มูคยอมกลับห้องไป

เขาหลับโดยที่ไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามาเลย คงจะเหนื่อยมากจริงๆ ฮาจุนค่อยๆ ขยับตัวเพื่อไม่ให้แชฮุนตื่น และเข้าไปในห้องน้ำ เพราะหลับไปโดยที่ไม่ได้เป่าผมให้แห้ง ผมตรงด้านหลังจึงกระดกเล็กน้อย หลังจากที่หวีผมลวกๆ และเปลี่ยนชุดแล้วก็ออกมาจากห้อง อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานทำเรื่องน่าตื่นเต้นกับมูคยอม ถึงได้หิวทันทีที่ตื่น

ตอนที่มาถึงห้องอาหารเพื่อกินอาหารเช้า สิ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างแรกคือภาพที่ผู้ชายสองคนมีส่วนสูงเกิน 190 เซนติเมตรซึ่งสูงที่สุดในทีมกำลังนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง พอชายร่างสูงสองคนมาอยู่ด้วยกัน ถึงจะพยายามไม่มอง แต่ก็ยังสะดุดตาอยู่ดี ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็แอบเหลือบมองพวกเขา แต่อาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นห้องอาหาร หรือเป็นเพราะบรรยากาศของทั้งสองที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแม้จะนั่งอยู่เฉยๆ จึงไม่มีใครเข้าไปขอลายเซ็นหรือขอถ่ายรูปเลย

มูคยอมคงไม่ต้องพูดถึง แต่จองคยูที่นั่งอยู่ด้วยกันก็เป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดี ถึงจะบ่นหยอกๆ ว่าถ้าไปยืนแทรกระหว่างพวกนายคงได้กลายเป็นหมาพอดี แต่ฮาจุนไม่คิดแบบนั้นเลย การที่สามารถเล่นมุกแบบนั้นได้เป็นข้อดีของจองคยู จึงได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมด้วย

เขาตักอาหารใส่จานในปริมาณที่พอเหมาะ จองคยูเห็นฮาจุนเข้าพอดีจึงโบกมือเรียก

“ฮาจุน มาแล้วเหรอ”

ฮาจุนโบกที่คีบอาหารเพื่อทักทายกลับ มูคยอมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ฝั่งตรงข้ามจองคยู เงยหน้าขึ้นมามองไปที่ฮาจุนเมื่อได้ยินสิ่งที่จองคยูพูด ริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คิมมูคยอมยิ้มแบบนั้นบ่อยๆ เวลาที่มองเขา

ฮาจุนร้อนรุ่มและอึดอัดใจขึ้นมา จึงได้แต่ส่งสายตาทักทายและกลับมาตักอาหารใส่จานอีกครั้ง ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง เบคอน สลัด หมูทอดซอสเปรี้ยวหวานตั้งแต่เช้า และผัดผัก

จะไปนั่งที่อื่นก็แปลกๆ จึงเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน พอมาคิดดูแล้ว เวลากินมื้อกลางวันที่โรงอาหารของสโมสรก็จะกินด้วยกันหลายคนตลอด ถึงจะเป็นโต๊ะที่มูคยอมนั่งอยู่ แต่แค่นั่งอยู่ด้วยกันก็จบ แต่ตอนนี้ถ้าไม่นั่งข้างจองคยูก็นั่งข้างมูคยอม ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสองที่นี้

เขาลังเลว่าจะนั่งตรงไหนดี ข้างคิมมูคยอม หรือข้างจองคยู แต่นั่งข้างจองคยูจะอึดอัดน้อยกว่าหรือเปล่านะ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจะนั่งกับจองคยูเลยก้าวเท้าออกไป แต่จู่ๆ มูคยอมก็เลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ ไปข้างหลัง

“โค้ชอี นั่งสิ”

“โห ทำไมมีมารยาทเนี่ย”

ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้สนใจคำพูดหยอกล้อของจองคยูที่ไม่ได้คิดอะไรเสียได้ ฮาจุนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่มูคยอมเลื่อนออกมาให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร และถามออกมาพร้อมกับหั่นไข่แดงกึ่งสุกกึ่งดิบด้วยส้อม

“พวกนายล่ะ กินมื้อเช้ากันแล้วเหรอ”

“เปล่า นั่งกันสักพักให้ตื่นให้เต็มที่ก่อน ตอนนี้ต้องกินแล้วละ”

ฮาจุนพยักหน้ารับสิ่งที่จองคยูพูด และเอาอาหารที่ตักมาใส่เข้าปากไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเครื่องเคียงตามท้องตลาด หรือเพราะเป็นมื้อเช้าที่อร่อยใช้ได้ จึงได้ตักเข้าปากไม่หยุด

“โค้ชของเรากินเก่งนะเนี่ย”

ฮาจุนวางหมูทอดซอสเปรี้ยวหวานที่ตั้งใจจะเอาใส่ปากลง เมื่อได้ยินเสียงที่ลอยเข้าหูมากระทันหัน มูคยอมนั่งเท้าคางและหันหน้ามามองระหว่างที่เขาตั้งใจกินอยู่พักหนึ่งจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง

ฮาจุนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง เขาดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึกและตำหนิอีกฝ่าย

“ทำไมมามองคนเขากินล่ะ นายก็ไปตักอาหารมากินสิ”

“รับทราบครับ โค้ช”

หลังจากที่มูคยอมตอบกลับมาแบบนั้น พวกตัวใหญ่ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นไปตักอาหารพร้อมกัน ทันทีที่พวกเขาดันเก้าอี้และลุกขึ้น ฮาจุนก็รู้ได้เลยว่าทุกคนในห้องอาหารจ้องมองมาแต่ทางนี้เท่านั้น การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งเป็นที่สะดุดตามากเหลือเกิน

เขากินอาหารเสร็จและกลับมาที่ห้องเพื่อเก็บกระเป๋า แชฮุนที่เมื่อวานดื่มเหล้าหนักมาก คงจะปวดหัวถึงได้นอนโอดโอยอยู่บนเตียงโดยที่ไม่ไปกินอาหารเช้า ฮาจุนจึงเก็บกระเป๋าให้เขาด้วย และลุกขึ้นพร้อมกับถือกระเป๋าสองใบ เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เขาถามแชฮุนที่ลุกขึ้นได้อย่างยากลำบากด้วยความเป็นห่วง

“พี่ ไหวไหมครับ”

“โอ๊ย จะตายแล้วละ เพราะตั้งตารอมานานก็เลยดื่มไปเยอะ ไหวแหละ ไปกันเถอะ ตอนนี้ต้องไปขึ้นรถบัสแล้ว”

ถึงตอนมาจะแยกกันมา แต่ก็ตัดสินใจกลับโซลพร้อมกัน แชฮุนลุกขึ้นพร้อมกับเสียงโอดโอยและเดินไปอยู่ข้างๆ ฮาจุน

“ผมไปซื้อยาแก้แฮงค์ให้ไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก ถ้าจะหาร้านยาก็คงต้องออกไปข้างนอกอีก”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ”

“แค่นายพูดออกมาก็ขอบใจมากแล้ว ก็มีแค่ฮาจุนของเรานี่แหละ ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็นึกถึงพี่อยู่ตลอด”

แชฮุนยิ้มและกับพาดแขนไว้ที่ไหล่ของฮาจุนเพื่อพยุงตัว ฮาจุนเองก็ยิ้มพร้อมกับตบไหล่แชฮุน และเดินมาถึงหน้าลิฟต์

“อ้าว ฮาจุน พี่”

จองคยูและมูคยอมก็อยู่ตรงหน้าลิฟต์เช่นกัน พวกเขาสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ เหมือนกับว่าจะไปขึ้นรถบัสเหมือนกัน

“พี่ ไหวไหมครับ ดูเพลียๆ นะ”

“พูดตามตรงก็ไม่ไหว เหมือนหัวจะระเบิด”

“จะนั่งรถบัสได้ไหมเนี่ย”

ระหว่างที่จองคยูและแชฮุนพูดคุยกัน มูคยอมก็มองสลับระหว่างฮาจุนและแชฮุนหนึ่งครั้ง แล้วหว่างคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน ตอนนี้ไม่ว่าใครก็รู้กันหมดว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าแชฮุน ฮาจุนทำหน้าเครียดเพราะกลัวว่าเขาจะพูดอะไรแปลกๆ ออกมาอีก และมองเขาพร้อมกับหวังว่าเขาจะช่วยสงบปากสงบคำ

“เอามา”

แต่แล้วมูคยอมก็แค่ดึงกระเป๋าหนึ่งใบที่อยู่ในมือฮาจุนไปโดยที่ไม่ได้พูดเรื่องอื่น

“ไม่ใช่คนขนของสักหน่อย จะถือสัมภาระของคนอื่นทำไม”

“คิมมูคยอม วันนี้มารยาทดีตลอดเลย”

“หุบปาก”

ฮาจุนสวนคำพูดหยอกเย้าของจองคยูอย่างไร้รอยยิ้ม จองคยูไม่ได้สืบความยาวสาวความยืด คราวนี้เขายื่นมือไปทางฮาจุนแทน

“ฮาจุน ส่งใบนั้นมาทางนี้ด้วยสิ ฉันถือให้เอง นายดูแลพี่เขาให้ดีๆ”

“ไม่ต้องหรอก นี่ของฉันเอง”

มูคยอมไม่ได้มารยาทดีมีน้ำใจอย่างที่จองคยูพูดหรอก พอเห็นเขาปรายตามองราวกับไม่พอใจ แชฮุนที่พิงไหล่ฮาจุนที่ยังไม่สร่างเมาดีเพื่อพยุงตัวก็พอจะรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แต่ในคำบ่นของมูคยอมก็มีคำที่ชวนให้เข้าใจผิดอยู่

ถ้าพูดแบบนั้น นายเองก็เป็นคนขนของไม่ใช่หรือไง…แถมยังเป็นคนขนของให้ยุนแชฮุนที่ตัวเองเกลียดเข้าไส้อีก แต่ถ้าพูดออกไปตามที่คิดก็จะไม่มีใครมีความสุขเลย ฮาจุนได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ และเข้าไปในลิฟต์

พวกนักกีฬาและสต๊าฟมารวมตัวกันอยู่แถวๆ รถบัสแล้ว หลังจากบอกให้แชฮุนที่บอกว่าจะช่วยให้รีบขึ้นไปพักบนรถ ฮาจุนก็ช่วยโค้ชคนอื่นๆ ขนสัมภาระส่วนรวมเข้าไปในช่องวางสัมภาระของรถบัส จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถและหาที่ว่าง แต่ที่ที่สะดุดตามีอยู่สองที่ ข้างแชฮุนและข้างมูคยอม เขาลังเลอย่างมากไปชั่วขณะ แต่แล้วก็สบตาเข้ากับมูคยอม อีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนตอนที่เลื่อนเก้าอี้ให้ที่ห้องอาหารและกวักมือเรียกเขาสั้นๆ

…พี่เขาคงจะไม่น้อยใจหรอกใช่ไหม

ฮาจุนเดินผ่านแชฮุนที่หลับตาเอนหัวไปทางหน้าต่าง และนั่งลงข้างๆ มูคยอม

เมื่อคนอื่นๆ ขึ้นมานั่งทีละคนสองคนจนเต็มแล้ว รถบัสที่สตาร์ทเครื่องยนต์ไว้ก็เริ่มออกเดินทางจากรีสอร์ต ทะเลที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ลงไปเล่นเลยสักครั้งตอนที่ฟ้าสว่าง กำลังส่องประกายระยิบระยับสะท้อนแสงแดด มูคยอมที่มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ลดเสียงลงและกระซิบที่หูของเขา

“จำที่สัญญากันไว้ได้ใช่ไหม”

“…สัญญา?”

“ก็ตกลงกันว่าจะทำทันทีที่กลับไปถึงโซลไง”

ฮาจุนทำตาโต

“เมื่อวานก็ทำไปแล้วไง”

“เห็นหรือเปล่าที่นายปล่อยมาครั้งเดียวก็จบเลยน่ะ ที่เหลือกลับไปแล้วค่อยทำต่อ”

ฮาจุนทำหน้าง้ำงอเพราะความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมา แต่จะมาทะเลาะเรื่องนั้นกันตรงนี้ไม่ได้ จึงหันหน้าหนีอีกฝ่าย เขานั่งอยู่ฝั่งทางเดิน แค่ลงไปเป็นคนแรกทันทีที่ไปถึงแล้วก็รีบเผ่นไปเสียก็พอ

ยังไงก็ตาม ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ความตึงเครียดที่มีโดยไม่รู้ตัวก็สลายไป หลังจากการฝึกนอกฤดูกาลนี้ ซิตี้โซลจะเข้าสู่ช่วงพักช่วงสั้นๆ จนกระทั่งเริ่มครึ่งหลังของฤดูกาล ไม่มีทั้งการแข่งขันและกำหนดการฝึกซ้อมไปสักระยะด้วย

เขาคิดว่าระหว่างที่ไม่มีการฝึกก็คงจะว่างอยู่หน่อยๆ แต่ก็คิดผิดมหันต์ ในช่วงที่หยุดพักสั้นๆ มูคยอมยุ่งจนบอกว่าอยากเรียนวิชาแยกร่างเลยทีเดียว

คำเชิญถูกส่งมาจากสปอนเซอร์ในจีน ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาศัยจังหวะที่เขากลับมาที่เกาหลี ไม่ต้องพูดถึงการสัมภาษณ์หรือการถ่ายทำแต่ละอย่างภายในประเทศ และคำขอที่มาจากยุโรป รวมถึงลอนดอนที่หลั่งไหลกันมาราวกับกำลังรออยู่ หลังจากจัดลำดับความสำคัญและตอบรับไปบางอย่างแล้ว วันหยุดที่ยังไม่ทันจะได้ออกไปเที่ยวพักหายใจก็เกือบจะหมดลงไปแล้ว

ในช่วงกลางฤดูร้อน ถึงแม้ทุกที่ที่เขาไปเยือนจะร้อนจนหายใจไม่ออก แต่มูคยอมก็ไม่ได้ไม่ชอบการออกทัวร์พบปะแฟนๆ แบบนี้ บ้านที่ตัวเขาอาศัยอยู่ ชุดที่กำลังใส่ รถที่ขับ… ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถมีได้เลยถ้าไม่มีแฟนๆ กีฬามืออาชีพจะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่มีแฟนๆ เวลาที่ไปเยือนสถานที่จัดงานที่มีพวกเด็กๆ มาเข้าร่วมกันเยอะ เขาก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ

เขาเคยมีช่วงหนึ่งที่เชื่อว่าปีศาจมีจริงในโลก และเป้าหมายเดียวของเขาคือหลบหนีไปจากที่ที่เขาอยู่เท่านั้น วันแล้ววันเล่าที่แม้จะตะเกียกตะกายแค่ไหนก็ไม่สามารถขึ้นไปได้ราวกับจมอยู่ที่ก้นบึ้ง หลังจากที่ได้พบจุนซอง มูคยอมก็สามารถมีชีวิตเหมือนกับ ‘คน’ ได้โดยที่ถือเครื่องมือแห่งชีวิตที่เรียกว่าฟุตบอลเอาไว้ และตอนนี้เขาเป็นเจ้าของชีวิตที่ไม่ว่าใครต่างก็อิจฉา

เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเหมือนเขา แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ใครจะรู้ เผื่อว่าจะมีใครที่เห็นเขาแล้วจะเกิดความหวังที่คล้ายๆ กันขึ้นมา เป็นเรื่องที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยจนกว่าจะเริ่มลงมือทำ ถ้าถามว่าชอบเด็กไหม ก็คงจะตอบว่าชอบได้ยาก แต่ถ้าถามว่าอยากให้เด็กๆ มีอนาคตที่ดีไหม เขาสามารถตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่าอยาก

กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เขาไม่ได้เจอฮาจุนมาสักพักแล้ว นอกจากเรื่องเซ็กส์แล้ว การที่เขาไม่ได้เจอฮาจุนนานขนาดนี้ก็เกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากที่เขามาที่นี่

หลังจากการเยือนไต้หวันและจีนต่อกันเพื่อโปรโมตแบรนด์กีฬาที่ตนเองเป็นนายแบบมาหลายปี มูคยอมก็มาถึงโซลในตอนค่ำ เป็นกิจกรรมสุดท้ายแล้ว ถึงจะแค่ไม่กี่วัน แต่ตอนนี้เขาก็ได้มีวันหยุดจริงๆ จนกว่าการฝึกซ้อมครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้นสักที

“พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”

หลังจากส่งคนขับรถที่ทางเอเจนซี่ส่งให้มารับที่สนามบินกลับไปแล้ว มูคยอมก็แบกร่างกายอันเหนื่อยล้ามาขึ้นลิฟต์ อยากรีบเข้าไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนแล้ว แต่พอมาถึงประตูหน้าบ้าน ความเงียบสงบของบ้านที่ไม่มีใครอยู่มานานกลับทำให้รู้สึกเงียบเหงามากขึ้นกว่าเดิม

เป็นบ้านแค่คำพูด เป็นสถานที่ที่เขาจะมาอยู่อาศัยหนึ่งฤดูกาลเลยไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง แต่พอช่วงนี้ปล่อยว่างไว้บ่อยๆ แล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้กลับมาที่บ้าน แต่กลับมาที่ที่พักชั่วคราวเท่านั้น หลังจากดื่มน้ำหนึ่งแก้ว มูคยอมก็เปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมา

“ทำไมไม่ตอบ”

หว่างคิ้วของมูคยอมที่เช็กข้อความในโทรศัพท์หลายครั้งขมวดเข้าหากันพร้อมกับพูดคนเดียวออกมา ถึงจะส่งข้อความไปหาตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องที่ปักกิ่ง แต่นอกจากจะไม่ตอบแล้วก็ยังไม่เข้ามาอ่านเลย ไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์อ่านแล้วปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ

แม้แต่ในระหว่างการทัวร์ มูคยอมก็มักจะอยากรู้ความเป็นไปของผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาในเรื่องเซ็กซ์ซึ่งเป็นความสัมพันธ์อันมั่นคงในระยะยาวอยู่บ่อยๆ ทันทีที่รถที่ออกเดินทางจากสถานที่ฝึกนอกฤดูกาลมาถึงโซล ฮาจุนก็อาศัยจังหวะที่รอหยิบกระเป๋า เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เลยไม่ได้ทำเลยสักครั้งแล้วก็ต้องออกเดินทางไปต่างประเทศทันที

ตลอดเวลาที่ฝึกซ้อมด้วยกันและลงแข่งขัน ทั้งสองต่างก็อยู่ในสายตาของกันและกันมาตลอด และในวันที่ตกลงว่าจะมีเซ็กซ์กัน ปกติก็จะกลับมาที่บ้านพร้อมกันหลังจากที่ฝึกซ้อมเสร็จทันที จึงไม่มีเวลาพักเลย ถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นคำโกหกก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่เวลาที่จะปฏิเสธข้อเสนอของมูคยอม ฮาจุนมักจะอธิบายเหตุผลที่มีก่อนเสมอ ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะมีนัดกับแม่หรือน้องๆ มีบางครั้งที่เป็นเพราะการทำงานล่วงเวลาของพวกโค้ชในทีม การฝึกสอนหรือเวิร์กช็อปด้วยเช่นกัน

ตลอดช่วงวันหยุดนี้ที่ไม่มีทั้งการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ฮาจุนได้หลุดออกไปจากสายตาของมูคยอมโดยสมบูรณ์ ไม่มีการพูดถึงความอึดอัดที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงฝึกนอกฤดูกาลเลยด้วย ถึงจะสัญญากันไว้ว่าระหว่างที่ยังมีความสัมพันธ์กันก็จะไม่ไปมีอะไรกับคนอื่น แต่ถ้าเกิดต้องการขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สามารถหลอกอีกฝ่ายได้เสมออยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในสถานการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจะไม่ได้เจอกัน ไปไกลถึงต่างประเทศ ถึงจะไม่มีธุระอะไรก็ควรถามหน่อยไหมว่าทำอะไรอยู่ หรือไม่ก็ถามกันหน่อยว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ให้คนคอยจับตาดูอยู่หรือเปล่านะ

จะเป็นไปได้ยังไง แน่นอนว่ามูคยอมทำตัวเหมือนคนที่ไม่ได้นึกถึงฮาจุนเลยสักนิดขณะที่ออกทัวร์ แต่ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินปักกิ่งก่อนที่จะกลับประเทศ เขาก็ไม่สามารถทนกับความอึดอัดได้อีกต่อไป จึงส่งข้อความทิ้งไว้ล่วงหน้า แต่ถึงจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ตอบ แถมยังไม่เข้ามาอ่านอีกด้วย

ทำอะไรอยู่กันนะ ถึงไม่ตอบกันนานขนาดนี้

ตบตากันด้วยการบอกว่าจะนอนกับนายแค่คนเดียว แล้วแอบไปเริงร่าอยู่ที่ไหนหรือเปล่าเนี่ย

‘สวัสดีครับ’

“ฉันเอง”

สุดท้ายก็โทรหาคนอื่นแทนฮาจุนที่ไม่ตอบกลับ

‘กลับมาแล้วเหรอ เมื่อวานนายออกทีวีด้วย’

อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ยินเสียงของคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมานาน วันนี้จึงอบอุ่นเป็นพิเศษ

“เพิ่งกลับมาถึงเลย”

‘ถ้างั้นก็พักผ่อนเยอะๆ สิ โทรมามีอะไรเนี่ย’

อย่างแนบเนียน ทำเป็นเหมือนโทรมาเพราะเรื่องงานไปเรื่อยๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับโค้ชอีหรือเปล่า”

‘ฮาจุนเหรอ ทำไมถึงถามล่ะ’

“ฉันมีธุระจะคุยด้วย เลยส่งข้อความไปแต่เขาไม่ตอบมาสักพักแล้ว”

‘ไม่รู้สิ แต่ก็ไม่ได้ข่าวนะว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า… อ๋อ’

จองคยูส่งเสียงออกมาสั้นๆ ราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

‘ช่วงนี้เขายุ่งมาก อาจจะติดต่อทันทีไม่ได้’

“ทำไมล่ะ”

‘ฮาจุนจะเป็นผู้นำเสนอในงานสัมมนาของสมาคมกีฬาครั้งนี้น่ะสิ ตอนนี้เหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่มาก คงจะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นหรอก ตอนนี้เขากำลังยุ่งเพราะเรื่องนั้นทันทีที่กลับมาจากฝึกนอกฤดูกาลเลย’

พอได้ยินแบบนั้น มูคยอมก็ถอนหายใจออกมาจนไม่ได้ยินเสียงปลายสาย และเอนหลังพิงโซฟา ยุ่งขนาดนั้นเชียว โค้ชที่มีงานยุ่งคงไม่มีเวลาไปเล่นกับไฟหรอก

“งานจัดวันไหน”

‘อีกสามวัน ทีมของเราก็จะเข้าร่วมด้วย ผู้จัดการทีมกับโค้ชอีกสองสามคน ฉันก็ไปด้วย’

“นักกีฬาต้องไปด้วยเหรอ”

‘ก็ไม่ใช่หน้าที่หรอก แต่ก็อยู่ทีมเดียวกันก็ต้องไปสักหน่อยสิ ฮาจุนบอกว่าเป็นการนำเสนอครั้งแรกก็เลยเขิน เลยไม่อยากให้พวกนักกีฬามากัน ฉันก็เลยตัดสินใจไปเป็นตัวแทน’

มูคยอมทำหน้าบึ้งตึงไปชั่วขณะ

“ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องล่ะ”

‘เขาคงไม่ได้บอกนายน่ะสิ’

“แค่นี้”

หลังจากวางสายที่คุยกับคนที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านที่ดูเหมือนจะพูดอะไรต่ออีก มูคยอมก็ยังคงทำหน้าบึ้งตึงและเปลี่ยนหน้าจอโทรศัพท์เป็นหน้าอินเทอร์เน็ต พอค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดสองสามคำ เช่น สมาคมกีฬา การสัมมนา บล็อกทางการที่มีกำหนดการ รายชื่อผู้นำเสนอ และสถานที่ก็ปรากฏขึ้นมา

มีภาพการสัมมนาของปีที่แล้วด้วย เขาใช้นิ้วปัดภาพที่ดูน่าเบื่อที่มีพวกผู้ชายที่ไม่รู้จักกำลังพูดนำเสนออยู่บนโพเดียมอย่างรวดเร็ว และปิดหน้าต่างอินเทอร์เน็ตลงหลังจากที่กวาดตาดูคร่าวๆ

มูคยอมใช้ความคิดพร้อมกับจ้องมองไปในอากาศไปชั่วขณะ ล้มเลิกความคิดที่จะส่งข้อความและเปลี่ยนมาโทรหาทันที เสียงรอสายดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่มูคยอมก็ยังคงเอาโทรศัพท์แนบหูไว้อย่างนั้น แต่แล้วเสียงต่อสายก็หายไป และได้ยินเสียงของฝ่ายตรงข้ามในที่สุด

‘คิมมูคยอม?’

เสียงคุ้นหูที่เรียกชื่อทันทีที่รับสาย เจือไปด้วยน้ำเสียงที่ถามว่าโทรมาทำไม น่าจะโทรตั้งแต่แรก ทั้งที่ในใจลิงโลดมากที่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย แต่ปากกลับแสดงความไม่พอใจออกไปทันทีโดยไม่มีคำทักทาย

“โค้ช ทำไมไม่เช็กข้อความเลยล่ะ”

‘หือ? อ่า ขอโทษที ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้แตะโทรศัพท์เลย… เลยไม่รู้ว่ามีข้อความมา’

ถึงจะรู้อยู่ก็เถอะ แต่ตรงไปตรงมาเหลือเกิน โค้ชอีคนเท่คงไม่ได้แตะโทรศัพท์เลยสักครั้งในตอนที่อยู่ห่างจากเขา

“อาจจะติดต่อมาเพราะมีเรื่องสำคัญก็ได้ ละเลยการดูแลนักกีฬาเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันขึ้นมาจะทำยังไง”

‘เป็นอะไรของนาย มีธุระอะไรหรือเปล่า’

“ฉันเสร็จจากทัวร์และกลับมาโซลแล้ววันนี้”

‘…อ่อ งั้นเหรอ นายคงเหนื่อยน่าดูเลย พักผ่อนเยอะๆ’

ตอบเหมือนเหนื่อยหน่ายแล้วค่อยมาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน คงจะเป็นเพราะเพิ่งจะได้เช็กข้อความสินะ

‘คิมมูคยอม หลังจากนี้อีกสามวันฉันคงจะมีเวลาแล้วละ ตอนนี้ฉันมีธุระก็เลยค่อนข้างยุ่งน่ะ’

มูคยอมรออยู่ครู่หนึ่งเผื่อว่าฮาจุนจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงยุ่ง แต่ฮาจุนเองก็คงจะรอให้มูคยอมตอบจึงได้เงียบไป สุดท้ายมูคยอมก็เริ่มพูดก่อน

“ฉันรู้ นายเป็นคนนำเสนอในงานสัมมนาของสมาคม”

‘…’

“ฉันก็จะไปด้วย”

พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมา และถามกลับราวกับไม่ได้ตกใจอะไร

‘จองคยูบอกนายเหรอ’

“ลืมบอกเขาว่าอย่าบอกฉันล่ะสิ”

‘ก็ไม่ได้จะปกปิดอะไร แต่เพราะเป็นการนำเสนอครั้งแรกฉันก็เลยอายน่ะ แล้วนายก็ยุ่งอยู่กับการทัวร์ตลอดเลยนี่นา’

“ตอนนี้ถ้ามีเวลาก็มาเจอกันแป๊บนึง”

‘ก็บอกว่าตอนนี้ฉันยุ่งอยู่ไง’

“เจอกันแป๊บเดียว ใช้เวลาไม่นาน”

หลังจากฟังคำพูดนั้นก็เงียบไปนาน คิดอะไรนานขนาดนี้ เวลาที่เป็นแบบนี้ก็แค่ตอบมาว่า ‘อือ’ แล้วก็ทำเรื่องที่จะทำให้เสร็จเลยดีกว่าไหม มูคยอมที่รอจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาตั้งใจจะพูดต่อ แต่ปลายสายก็ตอบกลับมาพอดี

‘เข้าใจแล้ว แต่ต้องแป๊บเดียวจริงๆ นะ’

“ถึงหน้าบ้านแล้วจะโทรหา แล้วนายค่อยออกมา”

‘อือ’

มูคยอมหยิบกุญแจรถและลงไปที่ลานจอดรถอีกครั้งทันที ถึงจะเพิ่งกลับมาจากการทัวร์ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น ตอนนี้เขาเคยชินกับเส้นทางไปบ้านของอีกฝ่ายเหมือนไปที่บ้านของตัวเอง มูคยอมที่มาถึงอพาร์ทเม้นท์ โทรหาฮาจุน และจากนั้นอีกประมาณสามนาที ฮาจุนก็ลงมาขึ้นรถ

“ไม่เจอกันนานเลยนะ เสร็จงานเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

ฮาจุนที่ขึ้นไปนั่งข้างคนขับพร้อมกับทักทายราวกับทำตัวไม่ถูก เป็นการพบหน้ามูคยอมในรอบสองสัปดาห์ ซึ่งก็ไม่ได้เจอกันนานตามที่เจ้าตัวพูด

นี่มันอะไรกัน ดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานแฮะ มูคยอมโน้มตัวไปทางที่นั่งข้างคนขับและดึงคอของอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง ฮาจุนจึงถดคอและขืนตัวเอาไว้ หว่างคิ้วของมูคยอมขมวดเข้าหากันจนเป็นรอย

“ทำอะไรของนาย”

“ยังสว่างอยู่เลย นี่อยู่แถวบ้านนะ”

เล่นตัวเก่งซะด้วย มูคยอมจ้องมองฮาจุนราวกับเพ่งเล็ง จากนั้นก็ดึงปกเสื้อที่ปิดคอเอาไว้แล้วเปิดออก

“คิมมูคยอม ฉันบอกว่าทำตรงนี้ไม่ได้ไง”

มูคยอมที่ไม่ฟังคำคัดค้านของฮาจุน ใช้สายตาสำรวจต้นคอขาวๆ ที่ซ่อนอยู่ในปกเสื้ออย่างละเอียด จากนั้นก็ปล่อยอีกฝ่ายและจับพวงมาลัยรถ เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะอยากซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า แต่คอของอีกฝ่ายก็ปกติดี

ยุ่งมากจนต้องตัดบทนำออกล่ะสิ

ระหว่างที่รถสตาร์ทก็ค่อยๆ เคลื่อนที่ออกไปบนถนน ฮาจุนที่ลดสายตาลงเล็กน้อยก็เงียบโดยที่ไม่ได้ถามว่าจะไปไหน มูคยอมเองก็ไม่ได้บอกว่าจุดหมายคือที่ไหน

เมื่อรถจอดหลังจากที่วิ่งไปได้สักพัก ฮาจุนก็เงยหน้าที่ก้มอยู่เล็กน้อยขึ้นมา มูคยอมดับรถ จากนั้นก็เปิดประตูฝั่งคนขับพร้อมกับพูดออกมา

“ลงสิ”

ฮาจุนมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาทำหน้าสงสัยว่าที่นี่คือที่ไหนพร้อมกับลงจากรถตามมูคยอม สถานที่ที่ไปถึง ถึงจะไม่ใช่บ้านของมูคยอม แต่ก็ไม่ใช่ลานจอดรถกลางแจ้งเหมือนครั้งก่อน หรือสถานที่ที่ไม่มีคน แต่เป็นย่านที่คึกคักมีร้านค้าเปิดไฟสว่างไสวเรียงราย ถึงฮาจุนจะหันไปมองรอบๆ เพื่อดูว่ามีโมเตลหรือโรงแรมอยู่แถวนี้หรือเปล่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอาคารที่น่าจะเป็นสถานที่แบบนั้นอยู่เลย

มาที่แบบนี้ทำไมกันนะ ฮาจุนได้แต่สงสัยอยู่ในใจ แต่แล้วมูคยอมก็กวักมือเรียก

“มาทางนี้”

จากนั้นเขาก็เปิดประตูกระจกของอาคารขนาดใหญ่เข้าไป ฮาจุนเองก็รีบตามหลังเขาไป ถึงจะไม่ถามว่าเป็นสถานที่ที่ขายอะไร แต่แค่มองแว๊บเดียวก็รู้ได้เลยว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นร้านแบบไหน เพราะเห็นหุ่นที่ใส่ชุดสูทสำหรับผู้ชายตั้งแต่ตู้กระจกหน้าร้านแล้วน่ะสิ

‘มาซื้อเสื้อผ้าเหรอ’

ฮาจุนไม่เคยซื้อเสื้อผ้าประเภทนี้มาก่อน เลยเลือกไม่เป็นเช่นกัน คงจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการช็อปปิ้งได้ไม่มากนัก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องพาตัวเขาที่กำลังยุ่งมาด้วย

ภายในที่กว้างขวางโดยไร้ซึ่งสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการตกแต่งภายใน ภาพที่ตัวเขาแต่งตัวออกมาแบบลวกๆ สะท้อนให้เห็นในกระจกของร้านซึ่งจัดแสดงชุดสูทที่ทั้งประณีตและหรูหรากับราวผลงานศิลปะ ฮาจุนรู้สึกอายขึ้นมาจึงเบนสายตาหนีภาพที่ติดตานั้น

ถึงมูคยอมจะแต่งตัวสบายๆ เหมือนกัน แต่น่าแปลกที่เขาดูไม่ได้เป็นคนที่ไม่เข้ากับสถานที่นี้เลยสักนิด เป็นเพราะชุดที่ใส่อยู่เป็นของแพง หรือเพราะแต่งตัวเป็นกันนะ

ฮาจุนยืนเหม่อมองเขาที่แสนเท่อยู่อย่างนั้น แล้วมูคยอมก็กวักมืออีกครั้ง เขาจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ พอฮาจุนเข้ามาใกล้ พนักงานก็เอ่ยปากถาม

“ท่านนี้จะเป็นผู้สวมชุดใช่ไหมคะ”

ฮาจุนตั้งใจจะส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่มูคยอมกลับตอบไปเสียก่อน

“ครับ”

“ก่อนอื่นจะวัดไซส์ก่อนนะคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”

ฮาจุนได้แต่ถามมูคยอมทางสายตาว่านี่มันอะไรกัน แต่มูคยอมกลับโบกมือราวกับบอกให้ตามพนักงานไปเท่านั้น อยากจะส่งเสียงถามออกไปว่านี่มันอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้น แต่บรรยากาศของร้านที่ทั้งเงียบสงบและโอ่อ่าที่เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรกก็หยุดเสียงของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนได้แต่ตามหลังพนักงานไปเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับสัตว์ที่ถูกสายบังเหียนลากไป

พนักงานที่เอาสายวัดออกมา เริ่มวัดร่างกายส่วนต่างๆ ของฮาจุน ถึงจะตัวแข็งทื่ออยู่หน่อยๆ แต่ก็ขยับร่างกายตามที่พนักงานสั่ง และพนักงานก็อธิบายราวกับรู้สึกเสียดายขณะที่กำลังวัดไซส์

“เพราะต้องใส่ในอีกสามวัน เลยทำได้แค่แก้ไซส์นะคะ แต่คุณมีรูปร่างดี ก็น่าจะเข้ากับชุดสำเร็จรูปนะคะ”

จากนั้นเธอก็ขอให้รอสักครู่พร้อมกับหายตัวไปไหนสักที่ ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยและเริ่มเข้าใจสถานการณ์

“ทำอะไรของนายเนี่ย”

“จะอะไรล่ะ ก็มาซื้อชุดไง”

“ซื้อชุดทำไม ฉันไม่ต้องการชุดแบบนี้หรอก”

“เวลานำเสนอต้องใส่สูทสิ”

ดวงตาและปากของฮาจุนขยายตัวออกพร้อมกัน

“นำเสนอแค่ 20 นาทีก็จบแล้ว แค่ใส่ชุดที่เมื่อก่อนเคยใส่ก็พอ”

“เมื่อก่อนที่ว่าคือเมื่อไหร่ น่าจะซื้อมาหลายปีแล้วนะ”

ฮาจุนเงียบทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดที่ตรงจุด มูคยอมก้าวฉับๆ เข้ามาใกล้ แล้วก็หรี่ตาพร้อมกับยิ้มเหมือนกับเด็กที่คิดวิธีแกล้งดีๆ ออก

เน้นย้ำกับตัวเองจบ มูคยอมก็ปราดตามองไปทางฮาจุน เพราะจองคยูมัวแต่ตื่นเต้นจนพูดไม่หยุด ฮาจุนจึงทำได้แค่ยิ้มและร่วมคุยไปด้วย

“อย่างที่คิดเลยจริงๆ คนมีความสามารถเนี่ย ต้องใช้เวลารอดูผลงานสินะ ใครจะคิดว่าอยู่ๆ นายจะหามาได้”

“นั่นสิ ฮีมังจะต้องชอบแน่ๆ”

“ฮีมังเขายังเด็กน่ะ ชอบทุกอย่างนั่นแหละ ของเล่นเด็กอายุประมาณนี้ก็มาจากความชอบพ่อแม่ทั้งนั้น คุณยอนซูเขาอยากซื้อตุ๊กตาตัวนั้นให้ฮีมังไง พอเจ้าหนูเห็นว่าคุณยอนซูชอบก็เลยชอบตามไปด้วย”

ฮาจุนพลอยชื่นใจยิ้มตาม เมื่อเห็นจองคยูแย้มยิ้มอย่างเปี่ยมสุขเพียงได้นึกถึงภรรยาที่รัก

“อิมจองคยู! มานี่เดี๋ยวสิ”

“อ่า ครับ!”

การเม้าท์มอยจบลงเท่านั้น จองคยูรีบวิ่งออกไปหลังผู้จัดการทีมเรียกหา ทิ้งมูคยอมกับฮาจุนให้อยู่เพียงลำพังสองคน มูคยอมกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลราวกับเป็นความรู้สึกที่มักเกิดกับคนที่ไปพูดจาไม่น่าฟังใส่คนอื่นไว้โดยไม่ยั้งคิด จนถึงตอนนี้ต้องขอบคุณการพูดเรื่อยเปื่อยของจองคยูที่ช่วยให้สถานการณ์เป็นไปด้วยดี แต่บอกเลยว่าแม้กระทั่งตัวมูคยอมเองก็ยังไม่สามารถเดาได้ง่ายๆ ว่าฮาจุนจะมีท่าทีตอบกลับอย่างไร

ฮาจุนมองหน้ามูคยอม แล้วเอ่ยโดยที่รอยยิ้มระหว่างคุยกับจองคยูยังไม่จางหายไป

“ฉันเองก็ต้องขอบใจนายเหมือนกัน ขอบใจนะ คิมมูคยอม”

มูคยอมไม่ได้ตอบกลับในทันที และมองหน้าฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง

…แค่นี้ จบแล้วเหรอ เป็นการตอบกลับที่เรียบง่ายเสียจนเขากระดากอายที่มัวแต่คิดวุ่นวายอยู่คนเดียว

“นายดูดื่มไปเยอะอยู่นะ หายเมาค้างแล้วเหรอ”

“…อืม”

“ถ้าอย่างนั้นมาขยับตัวเบาๆ กันหน่อยดีกว่า นายมาสายด้วยนี่วันนี้ ต้องรีบแล้ว คนอื่นเขาวอร์มร่างกายกันหมดแล้วนะ”

ฮาจุนพูดเช่นนั้น ก่อนกระชับสมุดโน้ตในมือ แล้วเริ่มเดินนำไป บทสนทนาจบลงด้วยดี ดังนั้นถ้าเขาเงียบปากไว้ และปล่อยผ่านไปเรื่องก็จะสิ้นสุดลงแค่นี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกับว่ามีอะไรติดค้างอยู่ สุดท้ายมูคยอมที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน

“น้องนายว่ายังไงบ้าง”

แม้จะบอกไปว่าให้ของกับทั้งสองฝั่ง แต่การตอบรับแบบนี้มันไม่ดูเมินเฉยไปหน่อยเหรอ กับคนที่ไปหาตอนเช้ามืด แล้วเอาของขวัญให้ เทียบกับท่าที่ในเวลาปกติแล้วเหมือนฮาจุนแค่ทำมันพอเป็นพิธีเลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่มูคยอมถาม อาการตกใจเล็กน้อยก็เผยให้เห็นบนใบหน้าของฮาจุนเพียงชั่วครู่ ก่อนรอยยิ้มจะหวนกลับมา

“ขอโทษนะ ฉันยังไม่ได้เอาให้น้องเลย แต่เดี๋ยวจะส่งให้อย่างดีแน่นอน”

“ยังไม่ให้อีกเหรอ”

“น้องฉันอยู่ม. 6 น่ะ เลยไม่ค่อยได้เจอหน้าเพราะเวลาไม่ตรงกัน ตั้งใจว่าจะให้วันนี้หลังเลิกงานนี่แหละ เขาคงจะชอบมากแน่ๆ เดี๋ยวบอกให้แน่นอนว่านายเป็นคนให้มา ขอบใจจริงๆ นะ”

เมื่อนึกถึงความมีชีวิตชีวาของเด็กสาว เธอคงจะแสดงอาการดีใจผ่านทุกส่วนของร่างกายเป็นแน่แท้

ถือเป็นเรื่องดีที่ของได้ไปหาคนที่ต้องการมันจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับความกังวลที่มีก่อนหน้า มูคยอมก็แอบเศร้าเล็กน้อย กับการตอบรับที่เรียบง่ายเอาเสียมากๆ ของฮาจุน ทว่าเขาก็พยายามคิดอย่างมีเหตุผล

“ตอนนั้นกลับถึงบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า”

จู่ๆ ฮาจุนก็ถามขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังตบตีกับตัวเองด้วยเรื่องไร้สาระ มูคยอมยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย พูดตามตรงว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ไปหยิกแก้มฮาจุน แถมยังปากไวไปชมว่าน่ารัก ความทรงจำต่อจากนั้นก็หายไปเป็นบางช่วงจนแทบจะนึกไม่ออก หรือแม้แต่เรื่องที่ดื่มมากเกินไป จนถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นได้

ตอนที่ลืมตาขึ้น เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนตัวสักชิ้น นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงในห้องที่ฮาจุนใช้ คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ขี้เกียจขึ้นไปชั้นบนและเลือกที่จะนอนตรงนั้นอย่างแน่นอน สิ่งที่หมอนั่นถามก็แค่เช็กว่าถึงบ้านปลอดภัยไหม ทั้งที่กังวลว่าไปทำตัวประหลาด ๆ ตอนตกอยู่ในอาการมึนเมาแล้วจะทำให้ฮาจุนคิดอะไรเหลวไหลขึ้นมา แต่ก็เป็นไปอย่างที่คิด วันนี้ฮาจุนก็ไม่ได้ดูติดใจอะไร หนาวก็ว่าหนาว ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรมากก็ควรจะโล่งใจสักที โอเค เท่านี้ก็วางใจได้แล้ว

“อืม พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ถึงบ้านพอดี”

ทันทีที่ได้รับคำตอบสั้นๆ ฮาจุนก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงอยู่ ทำเอามูคยอมแอบขมวดคิ้วขึ้นมา

ที่ฮาจุนเป็นเช่นนี้อาจเพราะเจ้าตัวกำลังบอกขอบคุณอยู่ แล้วเราก็ยังอยู่ในช่วงฝึกซ้อมด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจนัก ที่วันนี้ฮาจุนเอาแต่ยิ้มให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้

ก็ดีอยู่หรอกที่ฮาจุนดูไม่ติดใจอะไร แต่เขารู้สึกว่าวันนี้มีอะไรแปลกไป ปกติแล้วเวลาอยู่ต่อหน้าเขา อีฮาจุนไม่ยิ้มแบบนี้ แค่หาตุ๊กตาไปให้น้องได้ มันน่าดีใจขนาดนั้นเลยหรือไง?

“อย่าเอาแต่พูดเลยน่า ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ วันนี้นายคงต้องมาตอบแทนกันที่บ้านฉันแล้วไหม”

ในความทรงจำอันเลือนรางมีภาพหนึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวของมูคยอม เป็นภาพของฮาจุนเมื่อวานที่กำลังยั่วยวนกันด้วยคำพูดที่ว่า ‘คิมมูยอม ถ้าแค่แป๊บเดียว ฉันทำได้นะ…’ ความรู้สึกอยากหยอกเย้าที่ผุดขึ้นมา ทำให้มูคยอมเลือกส่งคำถามนี้ออกไป หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮาจุนก็ยิ้มพร้อมส่ายหัวออกมาเชิงว่ารู้สึกขอโทษ

“พอดีวันนี้แม่ฉันไปโรงพยาบาลมาน่ะ เลยต้องกลับเร็ว”

ระหว่างที่มูคยอมเปิดปากค้างไว้เพราะยังรู้สึกอยากจะพูดบางอย่างต่อก็มีใครบางคนเรียกฮาจุนขึ้นมา

“โค้ชครับ!”

“อื้ม เดี๋ยวไป”

ฮาจุนรีบวิ่งไปทางคนที่เรียกหา ส่วนมูคยอมเองก็เดินตามมายืนมองอยู่ด้านหลัง

“ต้นขาผมตึงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมทั้งพันเทปแล้วก็นวดตามที่โค้ชสอนเลยนะ แต่ก็ยังไม่หายครับ”

“งั้นเหรอ ถ้าตรวจดูแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็น่าเป็นปัญหาจากกล้ามเนื้อ… มานั่งตรงนี้สิ เราคงต้องลองเปลี่ยนแผนกันแล้ว”

จากนั้นเขาก็หันมาทางมูคยอม และพูดขึ้น

“คิมมูคยอม ดูเหมือนวันนี้นายจะต้องไปวอร์มร่างกายกับโค้ชคนอื่นนะ”

มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก แต่มันเป็นการเริ่มฝึกที่เขาไม่ชอบใจเท่าไร

ทำไม ให้โค้ชคนอื่นมาดูเจ้านี่แทนไม่ได้หรือไง นับตั้งแต่ที่มูคยอมเข้าทีมมาก็นานแล้วกับการสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ฮาจุนพยายามหลบหน้ากันแบบเงียบๆ อาจเพราะเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกเล็กๆ ว่าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน ราวกับว่าบรรยากาศเมื่อตอนนั้นเวียนกลับมาอีกครั้ง

“โอเค”

ทว่ามูคยอมไม่เซ้าซี้อะไรอีกแล้วหมุนตัวไปอีกทาง ฮาจุนมองแผ่นหลังของคนที่เดินออกไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบหันหน้ากลับเหมือนกับว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด และกลับมาสนใจกับขาของนักเตะที่ตนต้องดูแลตรงหน้า

ผ่านไปไม่นานผู้จัดการทีมก็เรียกนักเตะให้มารวมตัวกัน แต่ละคนแยกไปยังจุดของตัวเอง ฮาจุนไปประจำตำแหน่งของกลุ่มโค้ช ขณะที่มูคยอมไปรวมตัวกับนักเตะคนอื่น ก่อนที่การฝึกซ้อมทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้น ผู้จัดการทีมก็ได้ประกาศบางอย่าง

“รายละเอียดของการฝึกซ้อมนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนที่เราจะไปกันสัปดาห์หน้าออกมาแล้ว เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านประกาศให้ละเอียด ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะฝากเป็นพิเศษ ถ้าใครมีเรื่องที่ต้องบอกเป็นการส่วนตัวก็มาหาฉันได้”

“ครับ”

สัปดาห์ใหม่หลังวันหยุดเริ่มต้นขึ้น เหล่านักเตะเริ่มวิ่งบนลู่วิ่งในสนามกันอย่างแข็งขัน แม้การแข่งขันในช่วงครึ่งปีแรกจะจบลงไปแล้ว แต่การฝึกซ้อมก็ไม่ได้จบลงในทันที พวกเขายังต้องซ้อมเพื่อที่จะคงสภาพร่างกายไว้ และตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีกนิดหน่อยก่อนที่เหล่านักเตะจะได้รับวันหยุด

ในช่วงพัก กัปตันทีมอย่างจองคยูที่มักจะไม่พูดพร่ำอะไรหากมีนักเตะคนอื่นอยู่ด้วย ได้บ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อพื้นที่ข้างตัวเหลือเพียงมูคยอมและฮาจุน

“เรื่องฝึกซ้อมนอกสถานที่ เราไปแค่ครั้งเดียวตอนหน้าหนาวไม่ได้เหรอ”

ฮาจุนตอบกลับ

“ช่วยไม่ได้นี่ สปอนเซอร์สำคัญจะตายไป”

“แล้วทำไมสปอนเซอร์เราถึงต้องมาเปิดรีสอร์ตช่วงหน้าร้อนด้วยเนี่ย”

“งั้นนายจะให้เขาเปิดรีสอร์ตริมทะเลตอนหน้าหนาวหรือไง”

เป็นมูคยอมที่ย้อนถาม แบคซันกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจก่อสร้างและสปอนเซอร์รายใหญ่สุดของทีมซิตี้โซลได้เปิดตัวรีสอร์ตใหม่ทางฝั่งทะเลตะวันออก ทางนั้นส่งหนังสือขอความร่วมมือมา และบอกว่าจะจัดสถานที่สำหรับการฝึกซ้อมนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนให้กับนักเตะในทีม

แม้จะเขียนบอกว่าขอความร่วมมือและจะจัดสถานที่ให้ แต่กลับอ่านออกเสียงได้ว่าจงเสนอหน้ามาซะดีๆ เช่นเดียวกับในยุโรป ทีมในเคลีกจะไม่ทำกิจกรรมตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูใบไม้ผลิในปีถัดไป และเริ่มกลับมาทำกิจกรรมกันช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนไปจบลงในฤดูหนาว จึงมีกรณีที่พวกเขาข้ามช่วงฤดูร้อนช่วงกลางของฤดูกาล และฝึกซ้อมในฤดูหนาวเพียงอย่างเดียว เพราะแบบนี้มูคยอมเลยพอจะเข้าใจสิ่งที่จองคยูเพิ่งบ่นออกมา ในปีนี้ทีมซิตี้โซลก็ตั้งใจว่าจะตัดการฝึกนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนออก แต่เพราะหนังสือขอความร่วมมือที่อยู่ๆ ก็ลอยมาหานั่น พวกเขาจึงต้องรีบเตรียมตัวสำหรับการฝึกนอกสถานที่ ซึ่งเป็นตัวการพาลทำให้ความรู้สึกไม่พอใจของเหล่านักเตะก่อตัวใหญ่กว่าเดิม

ถึงจะบอกว่าเป็นช่วงพัก แต่ในปีนี้มีการวางตารางแมตช์เอไว้ช่วงหนึ่งตั้งแต่เดือนกันยายน ดังนั้นพวกเขาคงจะยุ่งไปกับการฝึกซ้อมแม้จะอยู่ในช่วงพักอย่างแน่นอน เอาจริงๆ มันแทบจะไม่เหมือนการได้หยุดพักหนึ่งสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ จองคยูที่หวังจะใช้วันหยุดยาวกับครอบครัวนานกว่านี้ก็ได้แต่พยักหน้าราวกับยอมรับชะตากรรม

“นั่นสิ ได้ไปดูทะเลตอนหน้าร้อนก็ไม่แย่เท่าไรหรอกเนอะ”

“ฉันไม่ได้ไปทะเลมานานมากเลย”

ฮาจุนมองตรงไปยังพื้นหญ้าอันไกลโพ้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ มูคยอมส่งสายตาไปยังใบหน้าด้านข้างของคนพูด ก่อนที่จองคยูจะเป็นฝ่ายตอบกลับไป

“น้องยังเรียนม.ปลายกันอยู่เลย นายคงจะไปไหนมาไหนลำบากสินะ”

“อื้อ ปีนี้ก็อยู่ม.6 กันทั้งคู่แล้วละ”

“นี่ แล้วทำไมนายถึงยังไม่ยอมไปเที่ยวไหนอีก รีบหาแฟนได้แล้ว นายควรไปเที่ยวภูเขา ทะเล หรือไปเมืองนอกกับแฟนบ้างนะ ส่วนน้องก็ส่งไปมหา’ลัยซะ เดี๋ยวพวกเขาก็เลิกสนใจนาย ไม่มานั่งเรียกหาพี่ชาย ไปทำนู่นทำนี่จนไม่มีเวลาว่างแล้ว”

ฮาจุนเพียงแค่ยิ้มกลับไป จองคยูหันไปทางมูคยอมราวกับว่ากำลังขอกำลังเสริม

“ไม่พูดแล้วเอาแต่ยิ้มแบบนี้ ฉันว่าเขามีแฟนแล้วแน่เลย นายไม่คิดงั้นเหรอ”

“สรุปว่าฟุตบอลนี่เป็นแค่งานอดิเรก ส่วนอาชีพหลักคือการยุ่งเรื่องคนอื่นใช่ไหม”

มูคยอมด่าจองคยูไปทีก่อนแค่นหัวเราะในใจ

แฟนเฟินอะไรกัน มูคยอมรู้ดีเลยล่ะว่าหมอนี่ไม่มีเวลาไปคบกับใครหรอก ช่วงนี้ถ้าว่างฮาจุนก็มานอนแผ่อยู่กับเขา และเหตุผลที่ฮาจุนปฏิเสธคำเชิญของมูคยอมก็มีแค่เรื่องของแม่ไม่ก็น้องเท่านั้น ดังนั้นหมอนี่ไม่มีเวลาที่จะไปมองหาอะไรแบบนั้นแน่นอน ระหว่างที่มูคยอมแอบยิ้มเยาะจองคยู ฮาจุนก็พูดขึ้นมา

“ใช่ ฉันเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ”

ฮาจุนที่มักจะยิ้มและเงียบอยู่เสมอเมื่อโดนจองคยูตำหนิ วันนี้กลับตอบตามน้ำออกมา และเป็นไปตามคาด จองคยูพุ่งเข้าใส่ฮาจุนอย่างรวดเร็ว

“ฮาจุน ฉันหาคนนัดบอดให้ไหม คนอยากคบกับนายเยอะแยะไป ยืนรอกันเป็นแถวเลยนะ”

“ไม่ดีกว่า ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับคู่ให้น่ะ จะคบด้วยก็ต้องเป็นคนที่ฉันสนใจสิ”

“นายนี่พูดอะไรน่าหงุดหงิดจริงๆ ก็ต้องออกไปเจอกันก่อนไหม จะได้รู้ว่าน่าสนใจหรือเปล่า!”

มูคยอมขมวดคิ้วออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาจุนคงจะอยากมีแฟนแล้วจริงๆ

ไม่ทันได้หาช่องว่างพูดอะไรต่อ การฝึกซ้อมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อฤดูร้อนมาเยือนอย่างเป็นทางการ การใช้ชีวิตแบบ ‘เสียเวลาเปล่า’ ของมูคยอมก็กำลังดำเนินผ่านครึ่งทางเป็นที่เรียบร้อย

เพียงพ้นออกจากกรุงโซลอากาศที่เคยร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในหม้ออบและเต็มไปด้วยกลิ่นควันก็เปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นสบายและปลอดโปร่งกว่าเดิม เหล่านักเตะที่ก่อนหน้านี้แอบบ่นว่าขี้เกียจฝึกนอกสถานที่บ้าง หรืออยากพัก อยากไปเที่ยวบ้าง ทันทีที่ลงจากรถบัสและได้สูดอากาศสดชื่น พวกเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้น และหยอกล้อกันพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน

มูคยอมลงจากรถบัสเป็นคนสุดท้ายก่อนหันมองรอบตัว นี่คือรีสอร์ตสร้างใหม่ที่ในตอนนี้เปิดให้เข้าพักเป็นที่เรียบร้อย สะอาดเอี่ยมอ่องและหรูหราสมกับเป็นรีสอร์ตเปิดใหม่ เมื่อยืนอยู่ใต้ผืนฟ้าครามจะพบอาคารขนาดใหญ่สะท้อนแสงระยิบระยับที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของไรฝุ่นหรือความทรุดโทรมให้ได้เห็น เพียงได้มองก็ทำให้รู้สึกสดชื่นตาม

“เลิกเล่น แล้วทำตัวโตๆ กันหน่อย”

ผู้จัดการทีมชั่วคราวแกล้งพูดหยอกเหล่านักเตะก่อนสั่งให้ทุกคนมารวมตัวกัน ในทีแรกมูคยอมไม่ยินดีเอามากๆ กับการต้องต้อนรับคนที่มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวในช่วงที่จุนซองไปฟื้นฟูร่างกาย แต่หลังจากได้รู้ว่าคนคนนี้คือรุ่นน้องที่จุนซองไว้วางใจ ทั้งยังถูกบีบบังคับให้ออกจากสโมสรท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่เคยดูแลเนื่องจากออกมาต่อต้านการทุจริตในการบริหารในตอนนี้มูคยอมจึงเปลี่ยนมาแสดงท่าทีอ่อนน้อมด้วย

“ผู้จัดการทีมกำลังพูดอยู่นะ”

ทันทีที่มูคยอมกดเสียงต่ำพูดออกมา เหล่านักเตะที่ส่งเสียงดังโวยวายก็ลดเสียงเบาลง และกลับมาอยู่ในความสงบ เมื่อตัวจ้อจำนวนหนึ่งปิดปาดทั้งทีมก็เงียบลงถนัดตา

ในกรีนฟอร์ดมูคยอมเป็นนักเตะที่มีอายุอยู่ในช่วงกลางๆ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขามาอยู่ในทีมซิตี้โซลที่มีนักเตะอายุน้อยเป็นส่วนมาก หากไม่นับรวมนักเตะอาวุโสไม่กี่คนในทีม มูคยอมก็มักจะถูกเรียกว่าพี่จากทุกคน นี่จึงเป็นจุดที่เขาชอบมาก เมื่อมาอยู่ในทีมนี้ ผู้จัดการทีมกระแอมไอในลำคอหนึ่งครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ

“ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันแรก เอาสัมภาระไปเก็บ แล้วมาวอร์มร่างกายแบบง่ายๆ ก็พอ เสร็จแล้วไปรวมกันที่สนามฝึก ฉันให้เวลาถึงสามโมง ตอนนี้พวกนายไปเอากุญแจห้องที่ล็อบบี้ได้เลย บอกเขาว่ามาจากทีมซิตี้โซลก่อนแล้วค่อยบอกชื่อตัวเอง”

“ครับ!”

เหล่านักเตะเดินกรูกันไปทางล็อบบี้ ส่วนมูคยอมกระชับกระเป๋าเข้ากับไหล่ และเดินตามไปอย่างไม่เร่งรีบ รูมเมทของเขาคือจองคยู ดังนั้นแม้เขาจะไม่รีบเดี๋ยวเจ้านั่นก็ไปหากุญแจห้องมาให้เอง

มูคยอมใช้สายตากวาดหาตัวฮาจุน จนเจอว่ายืนรวมอยู่กับกลุ่มโค้ช วันนี้ก็เช่นกัน หมอนั่นกำลังยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นๆ เมื่อหนึ่งในโค้ชตรงนั้นยกมือขึ้นยีผมฮาจุนจนไม่เป็นทรงเหมือนกำลังหยอกล้ออะไรกันอยู่ มูคยอมจึงได้เห็นภาพของฮาจุนที่หัวเราะเสียงดังออกมา

ช่างเถอะ… ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน

จิ๊ มูคยอมเดาะลิ้นหนึ่งครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกไปในทันที

ราวกับต้องการดึงดูดใจเหล่าทีมกีฬาทั้งในและนอกประเทศให้เลือกใช้รีสอร์ตในการฝึกซ้อมนอกสถานที่ นอกจากสนามกีฬาในร่มแบบทั่วไป รีสอร์ตยังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชนิดกีฬาที่หลากหลายขึ้นมา เช่น สนามกอล์ฟ สนามฟุตบอล สนามเบสบอล หรือแม้แต่ลานโบว์ลิ่ง เหล่านักเตะมุ่งหน้าไปยังสนามฟุตบอลเพื่อที่จะไปตรวจสอบสภาพหญ้าในสนามซ้อม รวมทั้งฝึกวิ่ง ฝึกหยุดและส่งบอลกัน

ทุกครั้งที่เหล่านักเตะเดินผ่านด้านในของรีสอร์ตผู้คนบริเวณนั้นก็จะมองตาม ซิตี้โซลเป็นทีมที่มีนักเตะชื่อดังจำนวนไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้รู้เรื่องฟุตบอลดีก็ต้องรู้จักแค่ได้เห็นหน้าพวกเขา เหนือสิ่งอื่นใดทีมนี้ยังมีมูคยอมอยู่ด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดพวกเขาจึงมักจะกลายเป็นจุดสนใจเสมอ

“นักเตะคิมมูคยอม สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

ทันทีที่มูคยอมยิ้มและตอบกลับแฟนคลับหญิงคนหนึ่งที่รวบรวมความกล้าเอ่ยทักขึ้นมา เสียงเอะอะอย่างตื่นเต้นจากคนในทีมก็ดังมาจากด้านหลัง จองคยูวางแขนพาดบนไหล่มูคยอม ก่อนพูดล้อ

“อย่างน้อยนายก็เอาใจแฟนคลับเก่ง เห็นแบบนี้ฉันก็โล่งใจ”

“ช่วยอย่าพูดเหมือนฉันเก่งแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้ไหม”

ตอนนี้กลุ่มโค้ชถึงสนามฝึกเป็นที่เรียบร้อย และกำลังเตรียมตัวกันอยู่ อากาศในวันนี้แจ่มใสเป็นพิเศษราวกับรู้ว่านี่คือวันแรกของการฝึกซ้อมนอกสถานที่ ใต้ฟ้าสีคราม ฮาจุนยืนอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มในเสื้อโปโลแขนสั้นสีขาวที่ยิ่งขับให้ผิวดูขาวและสดใสกว่าที่เคย

หมอนั่นไม่โดนแดดเผาเลยสักนิด มูคยอมส่งสายตาไปทางนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบหันกลับมา ในตอนที่เหล่านักเตะยืนเรียงหน้ากระดาน เฉกเช่นเดียวกับผู้จัดการทีมและกลุ่มโค้ชที่ยืนเรียงกันเป็นแถว ผู้จัดการทีมก็ชะเง้อมองซ้ายขวาราวกับว่ากำลังหาใครอยู่

“ยังไม่มาอีกเหรอ”

“เห็นบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับ เขาส่งข้อความมาบอกว่ารถติดนิดหน่อย เราเริ่มก่อนเลยก็ได้ครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหมือนรำพึงรำพันคนเดียวของผู้จัดการทีม ฮาจุนก็ตอบกลับไป จากสีหน้าที่แสดงออกว่าในใจเต็มไปด้วยคำถามของนักเตะคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังสงสัยว่าคนในบทสนทนาคือใคร และในตอนนั้นเองประตูเข้าสนามฝึกก็ถูกเปิดขึ้น หลังบานประตูที่เปิดออกมีชายคนหนึ่งกำลังโค้งทักทาย และเดินเข้ามา

“…พี่ได้เป็นของขวัญมาเหรอ”

หลังเห็นพี่ชายตัวเองอ้ำอึ้งตอบคำถามไม่ได้ มินคยองที่พอจะเดาสถานการณ์ออกจึงถามขึ้นมา คำถามนี้ก็เช่นกัน ฮาจุนไม่สามารถตอบได้ในทันที มินคยองก้าวเท้าเข้าไปหาแล้วยื่นตุ๊กตาคืนให้ก่อนจะบ่นออกมา

“ฉันว่าใช่แน่ๆ เฮ้อ พี่ก็บอกมาสิ มัวแต่ทำหน้าเศร้าอย่างนั้นทำไม กลัวฉันจะเอาไปหรือไง”

“ไม่ใช่นะ มินคยอง พี่ตั้งใจจะให้มินคยองจริงๆ เอาไปสิ”

ในตอนนั้นเองฮาจุนถึงเริ่มดึงสติกลับมาได้ เขาตั้งตัวตรง แล้วยื่นตุ๊กตาให้น้องสาว แต่มินคยองกลับส่งใบหน้าหงิกงอกลับมาในทันที

“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราว ไปเอาของขวัญที่พี่ได้จากคนอื่นมาหรอกนะ”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง อันนี้พี่เตรียมเป็นของขวัญให้มินคยองจริงๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า อยากได้เมื่อไหร่ เดี๋ยวฉันมายืมที่ห้องพี่เอง โอเคไหมแบบนี้”

มินคยองพูดด้วยเสียงร่าเริง และเตรียมเดินดิ่งออกจากห้อง แต่เธอกลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับเพิ่งนึกได้ถึงสิ่งที่ลืมว่าจะต้องบอก

“ออกมากินข้าวกลางวันด้วย!”

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไปทางห้องนั่งเล่น ฮาจุนถอนหายใจ แล้วก้มลงมองเจ้าตุ๊กตาแมวคล้ายหมอนใบยาวในมือ ตาทรงสามเหลี่ยมเรียวแหลมหางตาชี้ขึ้น ไหนจะหน้าตาดื้อรั้นของเจ้าตุ๊กตาที่เหมือนกับคนให้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

ทำตัวอย่างกับเด็ก อายุก็มากแล้วแท้ๆ ยังยอมเสียสละของแบบนี้ให้น้องตัวเองไม่ได้…

‘ฉันมาหาเพราะมีของจะให้น่ะ’

พอนึกถึงใบหน้าของมูคยอมช่วงเช้ามืดของเมื่อวาน ตอนที่หมอนั่นมาเรียกเขาที่หลับอยู่ให้ออกไปหา แล้วยื่นกล่องให้ เขาก็เก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่

…แค่สักครั้ง ถ้าเขาจะอยากได้อะไรที่ไม่สมกับอายุ คงจะไม่เป็นไรใช่ไหม

คิมมูคยอมจะตื่นหรือยังนะ หรือจะยังเมาค้างอยู่ไหม แต่ดูแล้วก็น่าจะไหวอยู่…

เขาจะจำเรื่องเมื่อวานได้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดเขาลืมทุกอย่างหมดล่ะ

ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งขณะถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ปกติแล้วเราสองคนไม่เคยติดต่อกันนอกเหนือจากตอนที่จะนัดเวลาทำเรื่องอย่างว่า กลับกันกับนักเตะคนอื่นๆ ฮาจุนได้พูดคุยกับพวกเขาแบบส่วนตัว ทั้งยังมีตอนที่ต้องส่งข้อความไปเพื่อตรวจสภาพร่างกายอีก หรืออาจเป็นเพราะตอนนี้เขามีสติครบถ้วนดีเลยยากที่จะให้ติดต่อมูคยอมไปแบบสบายๆ

เป็นความจริงที่ว่ามูคยอมดูแลตัวเองได้ดีมาก เขาจึงไม่จำเป็นต้องทักไปตรวจสภาพร่างกายของเจ้าตัวในทุกๆ วัน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่หมอนี่เข้าทีมมาครั้งแรก ตอนที่เขาโดนโมโหใส่และถามว่าทำไมถึงไม่ยอมแตะตัวกัน เรื่องนี้ก็เป็นความจริงเช่นกัน

ฮาจุนไม่ใช่คนที่ทำได้แย่เมื่อต้องใกล้ชิดกับผู้คน เขาชินด้วยซ้ำกับการแตะเนื้อตัวพวกนักเตะโดยไม่คิดอะไร ตอนนั้นก็เช่นกัน ถึงเขาจะมีสติรับรู้ดีว่าตรงหน้าคือมูคยอม แต่เขาก็ไม่ได้เลี่ยงที่จะแตะตัวหมอนั่นเป็นพิเศษ กับนักเตะคนอื่นๆ เขาสัมผัสตัวพวกนั้นแม้ในเวลาที่ไม่จำเป็น แต่กับมูคยอมเขาสัมผัสแค่ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะมีเพียงจุดนี้ที่แตกต่างกัน

หลังค่ำคืนราวเวทมนตร์ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ก็สาดส่องมาเมื่อถึงเวลากลางวัน แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ตั้งใจว่าจะไม่คิดถึงก็แล่นเข้ามากลางหัว

ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นล่ะ เมื่อตอนเช้ามืดอีก ทำไมกันนะ

เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวเหรอ หรือเพราะอยู่ทีมเดียวกัน น่าจะแค่นั้นใช่ไหม

’เหมือนเมื่อวานนายจะดื่มเข้าไปเยอะนะ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง’

ฮาจุนจ้องไปยังช่องแชทที่มีข้อความเช่นนั้นปรากฏอยู่ แต่ไม่กล้ากดส่ง สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ ดึงตุ๊กตามากอด แล้วเอนตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ในตอนนั้นเอง “พี่ มากินข้าวเร็ว!” คล้อยหลังเสียงเร่งของมินคยอง เขาก็รีบลุกไปยังห้องนั่งเล่น มินคยองมองพี่ชายด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนพูดขึ้น

“พี่คงเหนื่อยมากแน่ๆ วันนี้ถึงกับลุกไม่ขึ้นเลยสิเนี่ย”

“ขอโทษที่ต้องให้มาเรียกหลายรอบ แล้วฮาคยองไปไหนล่ะ”

“ออกไปก่อนแล้ว เห็นบอกว่าจะไปเล่นบาส เดี๋ยวก็กลิ่นเหงื่อฟุ้งเข้าห้องเรียนอีก”

มินคยองบ่นออดแอด พลางกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ บนจอภาพปรากฏรายการให้คำปรึกษาปัญหารักที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ เหล่าคนดังในรายการเผยสีหน้าจริงจังขณะรับฟังเรื่องราวที่ถูกส่งมาในช่วงให้คำปรึกษา

‘ในเวลาปกติเขาก็ปฏิบัติกับฉันเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เขาไม่ได้ใจดีเป็นพิเศษ หรือมีท่าทีเหมือนคนจีบกัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เหล้าเข้าปาก เขาจะชอบทำเหมือนมีใจให้กัน ครั้งหนึ่งเราเคยดื่มด้วยกันตอนไปค่าย และจูบกันตอนที่ทุกคนหลับอยู่ พอเกิดเรื่องแบบนี้ตอนแรกฉันก็แอบมีความหวัง แต่หลังจากสร่างเมาในวันรุ่งขึ้น เขาก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ฉันไม่รู้เลยว่าเขาจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ หรือจริงๆ แล้วเขาก็ชอบฉัน แต่แค่ไม่บอกออกมาหรือเปล่าคะ’

มินคยองพูดขึ้น ขณะใช้ตะเกียบคีบผักเคียงขึ้นมา

“จะไปคิดจริงจังไม่ได้สิ เขาทำตอนเมานะ บ้าแล้ว”

เพราะรู้สึกเหมือนอยู่ๆ ตัวเองก็โดนด่า ฮาจุนจึงเลือกที่จะนั่งกินข้าวเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้นมา

“พูดเหมือนตัวเองเคยดื่มเหล้าอย่างนั้นแหละ”

“ถึงฉันไม่ดื่ม ก็รู้จักคนที่ดื่มน่า มีถมเถไปพวกที่ดื่มจนเมาแล้วอยู่ๆ ก็ทำตัวเหมือนกำลังถ่ายหนัง มีเพื่อนในห้องที่แอบครูดื่มในโรงเรียนด้วย เจ้านั่นซัดโซจูไปขวด แล้วก็ไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงทางเดิน”

“ร้องไห้? ทำไมอะ”

“ก็ดันไปเรียกเด็กจากห้องนั้นห้องนี้มา แล้วบอกว่าถ้าไม่มาตายแน่ พอสร่างเมาคงจะอายก็เลยตีมึนไป ตลกสุดๆ เลยอะ”

“…เธอไม่ได้ดื่มจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”

“แหงสิ เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว…”

ในตอนนั้นเองแม่ของพวกเขาก็มานั่งที่โต๊ะอาหาร และถามออกมา

“ดื่มอะไรกัน”

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกแม่”

มินคยองทิ้งท้ายไว้อย่างคลุมเครือแล้วกลับมาจดจ่อกับการกิน ฮาจุนมองไปยังน้องสาวครู่หนึ่งก่อนลอบถอนหายใจ พลางหยิบตะเกียบขึ้นมาจัดการอาหารตรงหน้าต่อ

***

กองหน้าชั้นยอดของกรีนฟอร์ดกับซิตี้โซล พ่วงตำแหน่งดาวเด่นแห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษและวงการฟุตบอลเอเชีย เวิลด์สตาร์คิมมูคยอม วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้า แค่การดื่มเหล้าในปริมาณที่มากเกินก็ทำให้มูคยอมไม่สบอารมณ์มากพอแล้ว นี่ยังมีเรื่องที่เขาทำลงไปโดยไม่ตั้งใจตอนเมาอีก ครั้งสุดท้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็น่าจะตอนที่เขาอายุราวๆ 21 ปี

ช่วงเวลาที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไม่นาน เป็นช่วงที่เขาติดหนึบกับความสนุกที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้และงานสังสรรค์ต่างๆ เมื่อดื่มมากเกินไป เรื่องเล็กน้อยก็ทำให้มีปากเสียงขึ้นมาได้ และไปลงเอยที่การต่อยตีกัน เรื่องราวถูกนำไปออกข่าว เป็นเหตุให้เขาได้รับสายข้ามประเทศจากจุนซอง และโดนดุเข้าให้ แต่ถึงแม้จะไม่ถูกจุนซองต่อว่า เขาก็มาถึงประเทศอังกฤษ และไม่อยากจะตกต่ำลงเพราะปัญหาแบบนั้น ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงพยายามที่จะไม่ดื่มเหล้าจนตัวเองเมาอีก

แต่เมื่อวาน

มูคยอมกระดกน้ำเย็นหนึ่งแก้วลงคอ แล้วก่นด่าออกมาด้วยความดังที่พอจะไม่มีใครได้ยิน

“แม่งเอ๊ย…”

ปัญหาเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่การแข่งปาเป้ายืดเยื้อกว่าที่คิดไว้ ในทีแรกมูคยอมคิดว่าตัวเองจะสามารถครองที่หนึ่งไปได้ง่ายๆ จนกระทั่งคู่แข่งที่ฝีมือดีสูสีกับเขาปรากฏตัวขึ้นมา

ถึงอย่างนั้นรางวัลที่เขาเล็งไว้คือตุ๊กตามาตั้งแต่แรก จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคว้าที่หนึ่งมาด้วยซ้ำ แต่ด้วยความอยากเอาชนะของอีกฝั่งที่พลอยทำเรื่องเลยเถิดขึ้นมา ผู้คนที่มารวมกันต่างรู้กันหมดว่าคิมมูคยอมได้ก้าวเท้าเข้าร่วมสงครามเป็นที่เรียบร้อย ถึงจะบอกว่าเป็นแค่เกมเล่นฆ่าเวลาในงานปาร์ตี้ แต่ไม่สิ เพราะแบบนี้เขาจึงจินตนาการไม่ออกว่าตัวเองจะไม่เป็นที่หนึ่งได้ยังไง

ทั้งสองคนทำคะแนนตีเสมอกันมาเรื่อยๆ เหล่าผู้ชมรอบข้างต่างก็เริ่มกังวล เกมปาเป้าที่ถูกเตรียมมาเพื่อเพิ่มสีสันให้กับงานปาร์ตี้ แปรเปลี่ยนเป็นการแข่งขันสุดดุเดือด แม้เกมจะสามารถจบลงง่ายๆ ด้วยการเป่ายิ้งฉุบ แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดขึ้น อีกทั้งพิธีกรที่ไม่ยอมตัดจบสักที และเอาแต่กลืนน้ำลายมองไปยังสงครามอันร้อนแรงของทั้งสอง การตัดสินแพ้ชนะที่เป็นไปอย่างยากลำบากพาลทำให้มูคยอมหัวร้อนขึ้นมา ระหว่างรอให้ถึงรอบของตัวเอง เขาจึงซัดเหล้าเกลี้ยงไปแก้วสองแก้ว

ดูเหมือนว่าเขาจะปาลูกดอกบ้านี่ไปสิบสองรอบเห็นจะได้ ท้ายที่สุดไม่รู้ว่าเพราะเจ้านั่นมือลื่นจนเกิดปาพลาดขึ้นมาหรือเปล่า ในตอนนั้นเองลูกดอกจึงลอยเข้าไปปักบนจุดที่ผิดไป…!

หากที่ตรงนั้นเป็นสนามกีฬา มูคยอมคงจะทำท่าโปรยจูบไปให้ผู้ชมแล้ววิ่งฉลองที่ทำประตูได้สักรอบ ผู้คนต่างโห่ร้องร่วมยินดี จนมูคยอมถูกมอมเมาไปด้วยแอลกอฮอล์และชัยชนะ เขาเวียนชนวิสกี้กับทุกคนในบาร์แก้วต่อแก้ว และได้รับการตอบรับสุดร้อนแรงจากผู้คนในตอนนั้น

จากนั้นเขาจึงตามหาผู้ชนะอันดับที่สี่ของเกม แล้วเอาของรางวัลมูลค่าสิบล้านวอนไปแลกกับตุ๊กตา เมื่อลุล่วงเป้าหมายทั้งหมดก็ได้เวลากลับมาเติมเหล้าเข้าร่างกายด้วยความสำราญ

เมื่อนึกถึงการแข่งขันสุดท้ายในช่วงครึ่งแรกของปีที่จบลงไปอย่างประสบความสำเร็จและวันหยุดที่จะมาถึง ที่แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องที่เขาไปเมามา และทำบางอย่างลงไป

“อ่า บ้าเอ๊ย! แย่ชะมัด!”

ปัง! มูคยอมวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงดังราวกับจะแตก

มูคยอมจำเรื่องเมื่อคืนได้ แม้จะแอบหวังให้ตัวเองจำอะไรไม่ได้ก็ตาม ถึงจะจำได้ไม่ครบทุกอย่างแต่ภาพในหัวก็ฉายชัดว่าเขาไปที่หน้าบ้านของฮาจุน แล้วเรียกให้หมอนั่นออกมา

ในทีแรกมูคยอมคิดไว้ว่าหลังจากที่ได้ตุ๊กตามา วันนี้เขาจะเอามันไว้ที่บ้านก่อน พอพรุ่งนี้ไปทำงานก็ค่อยเอาไปให้ฮาจุน แล้วค่อยบอกว่าได้มาจากคนรู้จัก ทำเหมือนกับว่าไม่ใช่อะไรที่พิเศษ แต่การไปหาหมอนั่นตั้งแต่เช้ามืดแล้วเรียกให้ออกมาเอาของ ทำตัวเหมือนคู่รักที่เลิกรากันไป ความคิดแบบนั้นไม่มีอยู่ในหัวของเขาสักนิด

นึกไปถึงฮาจุนที่มองกันด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ไหนจะการกระทำเหมือนคนบ้าที่รีบไปหาเขาถึงบ้านในเวลานั้น แอบยิ้มชอบใจตอนเอาของไปให้เขาเหมือนไอทึ่ม คะยั้นคะยอให้เจ้าตัวเปิดของดูตรงนั้นเหมือนกับว่าของที่ให้ดีเลิศซะเต็มประดา ทั้งยังบ่นกระปอดกระแปดถามเขาว่าไม่ถูกใจของหรือเปล่า

ฉันได้มองหมอนั่นแล้วบอกว่าเขาน่ารักด้วยไหม ฉันเนี่ยนะ ดูเหมือนว่าความทรงจำตั้งแต่ช่วงนั้นจะค่อนข้างเลือนราง

แน่นอนว่าอีฮาจุนก็มีเสี้ยวส่วนที่น่ารักในตัว แต่ในสถานการณ์ ณ ตอนนั้น บวกกับการกระทำแบบนั้น นั่นเป็นคำพูดที่ไม่ควรจะถูกเอ่ยออกไป มันเป็นอะไรที่น่าขายหน้าสุดๆ

ทำไมนายถึงทำแบบนั้นเนี่ย คิมมูคยอม

เรื่องน่าขายหน้านั่นก็ทำเอาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนอยู่แล้ว ถ้าเกิดหมอนั่นเข้าใจผิดอีกล่ะ จะทำยังไง

ถ้าเกิดฮาจุนคิดว่าสิ่งที่เขาทำให้มันพิเศษ หรือคิดเลยเถิดล่ะ จะทำยังไง

มูคยอมพอใจมากกับความสัมพันธ์แบบคู่นอนกับฮาจุนในตอนนี้ ความสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้นและมีระยะห่างให้กันแต่พอดี แต่ตอนนี้เขาได้ทำมันพังลงด้วยมือของตัวเอง

เขาหย่อนตัวนั่งบนโซฟา อาการมึนเมาหายหมดไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้ปวดหัว มูคยอมที่นอนขดตัวเอามือกุมหัวอยู่ยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ราวกับนึกอะไรดีๆ ออก

ระหว่างเสียงสัญญาณรอสายดัง มูคยอมก็นั่งเคี้ยวริมฝีปากตัวเองรอการตอบรับจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ การรอคอยที่ยาวนานพาลทำอารมณ์ขุ่นมัว และก่อนที่เขาจะได้เขวี้ยงเครื่องมือสื่อสารออกจากมือเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น

‘ว่าไง มูคยอม เมื่อวานกลับไปถึงอย่างปลอดภัยหรือเปล่า’

“พี่ ผมมีเรื่องจะขอให้ช่วยหน่อย”

‘ช่วยเหรอ อะไรล่ะ ว่ามาสิ ว่าแต่เมื่อวานขอบใจมากนะที่มางานปาร์ตี้’

มูคยอมสบายใจขึ้นเปลาะหนึ่ง ก่อนเอนตัวนอนบนโซฟา และสานต่อบทสนทนา

“ตุ๊กตาตัวเมื่อวาน ของรางวัลเกมปาเป้าน่ะ”

‘อ๋อ ว่าไง ได้ยินว่านายเอารางวัลที่หนึ่งไปแลกกับตุ๊กตาตัวนั้นมานี่? ไม่สิ พอแลกเสร็จจู่ๆ นายก็กระวีกระวาดวิ่งออกไปเลยใช่ไหม’

“ตุ๊กตายังเหลืออีกไหม พี่หาให้ผมอีกสักตัวได้ไหม”

‘ไม่มีแล้วนะ’

“ต้องมีสิ ผมต้องใช้มันนะ ถ้าไม่มีก็ทำให้มีแล้วเอามาให้ผมหน่อยได้ไหม”

‘เอาจริงๆ ฉันก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่เก็บเอาไว้ให้ลูก แต่ตัวนี้ให้ไม่ได้’

“ไว้เดี๋ยวมีงานอะไร ผมไปให้ฟรีๆ แบบไม่คิดค่าตัวเลย ให้ผมเถอะนะ”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แค่ตุ๊กตาตัวเดียวเขาให้ได้อยู่แล้ว ทำไมเจ้าคนกระเป๋าหนานี่ถึงได้มองทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองและขี้เหนียวขนาดนี้นะ

‘นายจะเอาไปทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องรีบขนาดนี้’

“ไม่มีอะไรหรอกน่า พี่ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ผมนะ เดี๋ยวผมส่งที่อยู่ไปให้ พี่ช่วยห่อใส่กล่อง ใช้ชื่อผมเป็นผู้ส่งแล้วส่งเป็นของขวัญให้หน่อย ส่งแบบด่วนเลยนะ พี่จะช่วยผมใช่ไหม”

‘ …ต้องสัญญานะ เรื่องที่จะมางานให้ฟรีๆ’

“พี่เคยเห็นผมไม่รักษาสัญญาหรือไง คิมมูคยอมน่ะ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”

สายถูกวางลงหลังอีกฝั่งรับรู้ และขอให้ส่งที่อยู่มาเร็วๆ มูคยอมรีบต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับคนในสโมสร และพิมพ์ที่อยู่ที่หาเจอส่งไปให้ทางข้อความ

วันต่อมา เมื่อมาถึงสนามฝึกมูคยอมพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองก่อนเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ปกติแล้วเขามักจะไม่เข้าฝึกสาย แต่วันนี้เขาตั้งใจมาให้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย ดังนั้นในตอนที่มาถึงนักเตะคนอื่นๆ จึงออกไปจากห้องนี้กันหมดแล้ว

มูคยอมรีบเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวที่เงียบเหงา ก่อนมุ่งออกไปตามทางเดิน ระหว่างนั้นก็ชำเลืองมองนอกหน้าต่างเพื่อสังเกตสถานการณ์บริเวณสนามหญ้า ตอนนี้ทั้งฮาจุนและนักเตะคนอื่นต่างก็ประจำที่ และกำลังขยับร่างกายกันอยู่ มูคยอมกระแอมไอในลำคอหนึ่งครั้ง แล้วเปิดประตูเดินออกไปหาคนอื่นๆ ทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คิมมูคยอม!”

อย่างที่คาดไว้ว่าอิมจองคยูจะต้องเป็นคนแรกที่เข้ามาทักเขา มูคยอมเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ

“นายบ้าไปแล้วเหรอ”

มูคยอมผูกคิ้วเป็นปมเมื่ออยู่ๆ ก็โดนว่าร้ายขึ้นมา เขาใช้มือดันใบหน้าของจองคยูที่ยื่นมาใกล้ให้ห่างออก

“นี่คือคำทักทายของนายหรือไง”

“ไม่มีทางที่นายจะทำอะไรแบบนี้เป็นอันขาด นอกเสียจากว่านายจะบ้าไปแล้ว คนที่ไม่แม้แต่จะเหลียวมองรูปฮีมังลูกสาวฉันมาทำอะไรแบบนี้เนี่ยนะ เมื่อวานฉันคิดหนักมากเลยนะก่อนเปิดดูของ ถึงกับคิดว่าใช่พัสดุจากพวกก่อการร้ายหรือเปล่า”

มูคยอมจงใจไม่ตอบ แล้วเดินไปตรงหน้าฮาจุน ประกบด้วยจองคยูยังคงเดินบ่นตามมา

“นายรู้ได้ยังไงว่าคุณยอนซูอยากได้ตุ๊กตานั่น นายไม่เหมือนคนที่จะมาสนใจของเล่นเด็กอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ นายรู้ได้ยังไง ฉันประทับใจจริงๆ นะ นายใช่คิมมูคยอมที่ฉันรู้จักจริงๆ ไหมเนี่ย”

“ฉันได้ยินที่นายกับโค้ชอีคุยกันเมื่อไม่นานนี้”

“หือ? งั้นนายก็ด้วยเหรอฮาจุน”

คำพูดก่อนหน้าของจองคยู ทำฮาจุนตาเบิกกว้างมองสองคนตรงหน้า เขานิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังพยายามเข้าใจบทสนทนาก่อนพยักหน้าแล้วรีบยิ้มออกมา

“อ่า ใช่”

“คิมมูคยอม ฉันเคยได้ยินมาว่าคนเรามักจะเปลี่ยนไปเมื่อใกล้ตาย นี่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับนายใช่ไหม”

มูคยอมอุตส่าห์รีบส่งของขวัญไปให้จะได้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ยินคำพูดดีๆ สักคำ หมดคำจะพูดเลยจริงๆ ขอสัญญาเลยว่าเขาจะไม่แสดงน้ำใจแม้แต่ปลายเล็บให้จองคยูอีกเป็นครั้งที่สอง

“แค่บอกขอบคุณ จะตายหรือไง?”

“ไม่สิ ฉันก็แค่ดีใจ ขอบพระคุณครับ พระเจ้ามูคยอม”

“ฉันไปงานปาร์ตี้ของคนรู้จักมา ตุ๊กตานั่นเป็นของรางวัลจากเกมในงาน แล้วฉันก็ได้มันมา ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก แค่ฉันนึกถึงเรื่องที่พวกนายสองคนคุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อนพอดี”

ไม่ได้ใช้เงินซื้อ ไม่ได้หามาอย่างยากลำบาก แล้วก็ไม่ได้มีไว้สำหรับนายคนเดียวด้วย อีฮาจุน

ตอนที่มาถึงที่บ้านของมูคยอม มูคยอมก็ดูจะหลับสนิทจริงๆ ฮาจุนจึงประคองมูคยอมลงจากรถอย่างทุลักทุเล โชคดีที่เขาเคยเป็นนักกีฬามาก่อน ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ต่อให้เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงก็คงจะประคองอีกฝ่ายเพียงลำพังไม่ไหว ฮาจุนที่แบกมูคยอมที่ทั้งรูปร่างสูงใหญ่และตัวหนักมาถึงหน้าประตูบ้านจนได้

“คิมมูคยอม คิมมูคยอม! ตั้งสติแป๊บหนึ่งสิ กุญแจอยู่ไหน”

“อะอืม อะไร”

“กุญแจเปิดประตู”

มูคยอมลืมตาปรือๆ ขึ้นมา พอเห็นฮาจุนแล้วก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋าอย่างเชื่องช้า ฮาจุนเอากระเป๋าสตางค์ของมูคยอมออกมาถือไว้ก่อนที่มูคยอมจะเอาออกมา เขาหาสิ่งที่เหมือนกับคีย์การ์ด จากนั้นก็เอาไปแตะที่ประตู ประตูก็เปิดออก เขาลากมูคยอมเข้ามาพลางครวญคราง

จะพาไปถึงห้องนอนชั้นสองก็ลำบากเกินไป แล้วฮาจุนเองก็ยังไม่เคยเข้าไปในห้องนอนของมูคยอมด้วยเลยไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปในห้องนอนของอีกฝ่ายได้หรือเปล่า ฮาจุนเดินโซเซตัดผ่านห้องรับแขกกว้างๆ พร้อมกับลากมูคยอมไปไว้ที่โซฟา ทันทีที่เห็นโซฟาก็โยนมูคยอมลงไปนั่งทันที

“เฮ้อ…”

ทำไมต้องมาออกแรงกลางดึกแบบนี้เนี่ย

พอมองลงไปที่มูคยอมที่นอนหลับตาทั้งๆ ที่นั่งพิงหมิ่นเหม่อยู่อย่างนั้น ฮาจุนก็พิงกับโซฟาและทรุดลงไปนั่งกับพื้น เขาแอบออกมาจากบ้าน และตั้งใจจะกลับไปในอีกไม่ช้า แต่เรื่องก็ดันใหญ่ขึ้น

แต่ก็ดีแล้วที่ตามมาดู ถ้ามูคยอมอยู่คนเดียว คนช่วยขับรถคงไม่พาเขามาถึงที่บ้าน ถึงใช้เวลาอยู่ในรถสักคืนก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่ในเมื่อเมาแล้วและไหนๆ ก็เป็นวันหยุดที่ไม่ได้มีบ่อยๆ ก็เลยอยากให้พักผ่อนให้เต็มที่

“อะอืม”

ฮาจุนที่มองมูคยอมที่คงจะร้อนจึงทำหน้าบึ้งพลางใช้มือลูบไปที่คอ ส่งเสียงโอดโอยออกมาพลางพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น และชูแขนขึ้นเพื่อถอดเสื้อออก แต่แล้วมูคยอมก็ลืมตาขึ้นมาและสบตาเข้ากับฮาจุน เขาจึงพูดออกไปพลางคิดว่า

ดีแล้ว

“ร้อนใช่ไหม ถอดเสื้อออกสักหน่อยนะ”

มูคยอมถอดเสื้อออกอย่างอ่อนโยนและโยนทิ้งไป ร่างกายที่มีกล้ามเนื้อเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนกลางค่ำคืน หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ฮาจุนก็มุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำที่มูคยอมใช้ เป็นสถานที่ที่เขายังไม่เคยเข้าไปเลยสักครั้งเหมือนกับห้องนอน แต่วันนี้เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ห้องน้ำดูมีพื้นที่และอ่างอาบน้ำที่ใหญ่กว่าห้องน้ำสำหรับแขกที่ฮาจุนใช้ ไม่ได้แตกต่างมากนัก ฮาจุนหาแปรงสีฟันจากบนชั้นวางและบีบยาสีฟันลงไป และกลับไปหามูคยอมอีกครั้ง โชคดีที่เขายังลืมตาอยู่

“ถ้าเมาแล้วหลับไปเฉยๆ ฟันจะผุเอานะ แปรงฟันสิ”

มูคยอมได้แต่เหม่อมองฮาจุน แม้แต่มือก็ไม่ขยับ ฮาจุนที่ถอนหายใจออกมาเอาแปรงสีฟันใส่ไว้ในมือของอีกฝ่าย แล้วก็เอาแปรงสีฟันใส่เข้าไปในปากให้ด้วย จากนั้นมูคยอมก็เริ่มแปรงฟันเหมือนกับเครื่องจักร

เขาพาอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำอีกครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายบ้วนปากและล้างมือล้างขา ถึงจะเกิดความขัดแย้งในใจขึ้นมาสั้นๆ แต่ก็ไม่กล้าอาบน้ำให้คนตัวใหญ่ที่เมาเหล้าในสถานการณ์ที่เขาต้องกลับบ้านก่อน จึงทำเพียงแค่นั้นและลากอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำสำหรับแขกที่เขามักจะใช้เวลามีเซ็กซ์กัน

พอเห็นเตียงมูคยอมก็นอนลงทันทีโดยที่ฮาจุนไม่ต้องบอก พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ ออกมา ฮาจุนนั่งหมิ่นลงบนขอบเตียงภายในห้องที่มืดสลัว และมองลงไปที่อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มโดยที่ไม่รู้ตัว

“อยู่ได้ไหม”

“อืม”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมถึงได้ดื่มหนักขนาดนั้น”

“มันนานแถมยังหัวร้อนอีก เลยไม่รู้จะทำยังไง…”

“นานเหรอ อะไร แล้วทำไมถึงหัวร้อนล่ะ”

มูคยอมดึงแขนของฮาจุนเอาไว้แทนคำตอบ ฮาจุนไม่ทันตั้งตัวกับการโจมตีที่ไม่คาดคิด จึงล้มลงไปบนร่างของมูคยอมทั้งอย่างนั้น ชีพจรของอีกฝ่ายที่เต้นเร็วและรุนแรงกว่าปกติหลังจากดื่มเหล้าเข้าไปถูกถ่ายทอดผ่านแผ่นอกที่สัมผัสกัน

“อืม…”

มือของมูคยอมสอดเข้ามาในเสื้อหลวมๆ ของฮาจุนทันทีและลูบไล้ไปบนหลัง ปลายนิ้วของอีกฝ่ายที่อยู่ในอาการเมานั้นร้อนกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะอากาศเย็นๆ ภายในห้อง ร่างกายที่ร้อนขึ้นมาเพราะประคองมูคยอมจึงไม่ได้รังเกียจความร้อนจากปลายนิ้วของอีกฝ่าย ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ตั้งแต่หัวไปจนถึงต้นคอซ้ำไปซ้ำมา

เขาเพิ่งจะแนบชิดติดกันจนไปถึงจุดสุดยอดหลายต่อหลายครั้งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง ผลกระทบจากการกระทำอันโหดร้ายยังไม่หายไป และยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ถ้าคิดถึงร่างกายก็คงจะใช้ปากหรือมือทำให้เสร็จ แต่ตอนนี้อีฮาจุนอยากจะตอบสนองทุกอย่างหากมูคยอมต้องการ แล้วจะมีช่วงเวลาแบบนี้อีกไหมนะ ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดอยู่แล้ว

มูคยอมที่เมาจูบเขาในทันที เมื่อริมฝีปากที่มีทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นยาสีฟันประกบมาภาพที่อยู่ตรงหน้าก็หมุนเคว้งราวกับมีแสงอาทิตย์อันร้อนแรงสาดส่องอยู่ในหัว

จูบของอีกฝ่ายที่เมาแตกต่างไปจากปกติ แทนที่จะใช้ลิ้นดุนดันกวาดเข้าไปลึกๆ กลับบดขยี้ริมฝีปากก่อน เขาทนกับความรู้สึกที่ริมฝีปากนุ่มๆ จั๊กจี้บริเวณริมฝีปากเหมือนกับขนนกไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะออกมา มูคยอมมองดูฮาจุนอยู่เงียบๆ สักพักก็ค่อยๆ ดึงคอกลับคืน

ฮาจุนที่ตั้งใจจะก้มหน้าลงไปแบบนั้นเกิดนึกสงสัยขึ้นมาจึงไม่ประกบริมฝีปากลงไปทันทีและขืนคอเอาไว้พร้อมกับมองลงไปที่มูคยอม ทำไมล่ะ อีกฝ่ายถามออกมาด้วยสีหน้าที่เจือไปด้วยความไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ฮาจุนจึงเปิดปากพูด

“คิมมูคยอม รู้ไหมว่าฉันคือใคร”

“อีฮาจุนไง โค้ชผู้ขยันขันแข็งของเรา”

มูคยอมตอบออกมาห้วนๆ ราวกับได้ฟังคำถามที่ดูโง่เง่า และดึงคอของฮาจุนเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ฮาจุนเองก็โน้มตัวลงไปอย่างอ่อนโยน

รู้สินะ

เพราะต่างกับปกติมากเลยคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเปล่า

ถึงแม้ตอนแรกจะเริ่มจากการจูบ แต่พอเจอกันไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่ามูคยอมเป็นผู้ชายที่ติดการจูบ ทั้งๆ ที่รังแกด้านหลังของเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมงก็ไม่ละริมฝีปากออกไปง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ตัวเองอยากจูบขึ้นมาหรือเวลาที่กิจกรรมต่างๆ จบลง เขาก็มักจะมอบจูบให้หนึ่งครั้งราวกับเป็นการแสดงความขอบคุณครั้งสุดท้าย

ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น ฮาจุนก็จะปล่อยร่างกายของตัวเองให้กับริมฝีปากนั้นที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำชื้นแฉะ ราวกับบรรเทาความเจ็บปวดที่รู้สึกได้เพราะการกระทำที่รุนแรง หรือความรู้สึกอันรุนแรงเกินกว่าจะทนได้

ปกติถ้าเมาก็คงจะใช้กำลัง แต่ดูเหมือนคิมมูคยอมจะเป็นคนที่ถ้าเมาแล้วจะอ่อนโยนขึ้น แต่เพราะว่าเขาเป็นโค้ช จึงไม่ควรหวังว่าอีกฝ่ายจะดื่มเหล้าจนเมาบ่อยๆ ได้ แต่ก็อยากคว้าความโชคดีที่จู่ๆ ก็ได้รับอย่างตอนนี้เอาไว้ให้นานกว่านี้ เหมือนกับวันแรกที่ได้มีเซ็กซ์กัน รู้สึกเหมือนจะเมากลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ที่ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายเสียแล้ว

“อือ อะ…”

มูคยอมที่จั๊กจี้ริมฝีปากและประกบปากลงไปแรงๆ หนึ่งครั้ง ในที่สุดก็บุกเข้ามาในปากของเขา ร่างกายสั่นสะท้านโดยอัตโนมัติเพราะสัมผัสของลิ้นที่ทั้งแข็งและอ่อนนุ่มที่ควานไปที่ปลายลิ้นและด้านหลัง และลูบไล้ไปทั่วเยื่อบุอ่อนนุ่ม จูบของเขามักจะเป็นจูบที่รุนแรงและดันเข้าไปลึกๆ เหมือนกับการสอดแทรก แต่ตอนนี้เหมือนกับการลูบไล้เขาอย่างรักใคร่ด้วยลิ้น

อีกนิด อีกนิดเท่านั้น

ฮาจุนที่จริงจังขึ้นมาเพราะความรู้สึกดีที่ไม่คุ้นเคยซึ่งไม่ได้มีบ่อยๆ หายใจหอบและแนบกายเข้าไปใกล้ๆ มูคยอมมากขึ้น และแล้วมูคยอมที่ลุกล้ำเข้าไปในปากก็เอามือกุมแก้มทั้งสองข้างของฮาจุนและดันออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็กัดริมฝีปากด้วยริมฝีปากเหมือนกับคนที่กำลังกินอาหารอร่อยๆ มากกว่าจูบ

“อื้อ… อ๊ะ”

เหมือนกับตอนที่กินซอฟต์ครีมที่แค่เอาริมฝีปากไปแตะโดยที่ไม่จำเป็นต้องกัดแรงๆ ก็หลอมละลาย ริมฝีปากของมูคยอมจึงประกบริมฝีปากบนและล่างของฮาจุน และในบางครั้งก็ประกบทั้งบนและล่างพร้อมกับดูดดึงเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา

อ่อนโยน อ่อนโยนเหลือเกิน… อีกฝ่ายกัดริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาเวียนหัวเข้าใจไปเองว่าตัวเองกลายเป็นครีมที่ค่อยๆ ละลายอยู่ในปากของเขาจริงๆ เหมือนการลูบไล้ด้วยความรักใคร่มากกว่าการจูบ ภายในหัวรู้สึกสับสนขึ้นมา

แตกต่างกับความรู้สึกดีอันดุดันที่ฟาดฟันไล่ต้อนเขาราวกับแส้ ส่วนล่างภายในร่างกายร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับน้ำอุ่นๆ ที่ไหลมารวมตัวกันในที่เดียวอย่างช้าๆ

“ฮ๊า อ๊า…”

รู้สึกเหมือนสิ่งที่เหมือนกับไส้เทียนที่มองไม่เห็นที่อยู่ในตัวเขากำลังหลอมละลายลงมาจากจุดศูนย์กลางของร่างกาย ฮาจุนจึงดึงคอของมูคยอมเข้ามากอดเอาไว้ราวกับห้อยอยู่ มือของมูคยอมที่วางอยู่บนหลังคอและหลังเอวของฮาจุนเองก็เกร็งเล็กน้อย

ดูดดึงริมฝีปากอย่างอ่อนโยนราวกับหลอมละลายอยู่อย่างนั้น และเมื่อถึงจุดหนึ่งลิ้นของอีกฝ่ายก็ดุนดันเข้ามาระหว่างริมฝีปากที่เผยอออกโดยไร้เสียงใดๆ ขณะที่คลอเคลียโลมเลียใต้ลิ้น ปลายลิ้น และด้านข้าง ฮาจุนก็ทนกับความรู้สึกดีอันอ่อนนุ่มนั้นไม่ไหว เขาตัวสั่นและส่งเสียงครางออกมา ริมฝีปากของทั้งคู่จึงประกบกันอีกครั้งราวกับแตะเบาๆ

ปรับมุมใบหน้าพร้อมกับประกบปากกันหลายต่อหลายครั้ง และเสียงชื้นแฉะเบาๆ ที่ดังขึ้นทุกครั้งที่ทำแบบนั้น แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของฮาจุนราวกับสายฝนบางๆ ที่ตกลงมาในห้องอันเงียบงัน

“…”

และในตอนนั้นเอง

มือที่โอบเอวของฮาจุนเอาไว้ก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลง การสัมผัสและไออุ่นที่ห่อหุ้มริมฝีปากเอาไว้ก็ค่อยๆ จางหายไป ถึงฮาจุนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งการจูบอย่างเต็มที่จะรู้สึกได้แต่ก็อยู่อย่างนั้นไปสักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาและหยัดกายขึ้นเล็กน้อย

ส่วนมูคยอมก็หลับตาสนิทและผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดูเหมือนว่าความเมาจะครอบงำร่างกายของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แล้ว ฮาจุนที่จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาอยู่เงียบๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นและลงมาจากตัวของมูคยอม

อีเว้นท์สั้นๆ จบลงแล้ว ต้องบอกว่าโชคดีที่ได้กลับบ้านเร็วไหมนะ

ฮาจุนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงและจ้องมองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมที่หลับใหลไปสักพัก ใบหน้าหล่อเหลาที่มองทุกวันก็ไม่เบื่ออยู่ตรงนั้น ใบหน้าที่ไม่มีส่วนไหนเลยที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างขอไปที จมูกโด่งได้รูปรับกับคิ้วหนาๆ ที่เลิกขึ้นไปเล็กน้อยดูดื้อรั้น คางที่ทั้งแหลมและเข้ารูปชวนมอง ริมฝีปากที่ไม่หนาและไม่บาง ที่เพิ่งทำให้เขาหลงใหล ถึงแม้ว่าตอนนี้จะปิดสนิท แต่ก็ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายดูไร้เดียงสาเวลาที่ยิ้มออกมา

“โชคดีนะที่เป็นฉัน ถ้านายไปกินเหล้าแล้วทำแบบนี้กับคนอื่นก็จะถูกเข้าใจผิดและโดนด่า”

ฮาจุนบ่นโดยไร้ซึ่งความเกลียดชังต่อใบหน้านั้น

“ขอบใจสำหรับตุ๊กตานะ”

ฮาจุนขอบคุณมูคยอมที่กำลังหลับใหลอีกครั้งด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“รวมถึงจูบด้วย”

ฮาจุนหยิบตุ๊กตาที่ถือมาจนถึงที่บ้านของมูคยอมขึ้นมาถือเอาไว้ เวลาล่วงเลยไปเกินกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว กำลังเลยตีสี่ไปแล้ว ต้องกลับไปที่บ้านโดยที่ไม่ให้คนในครอบครัวสังเกตเห็น

พอออกมาจากบ้านของมูคยอม ไอร้อนก็ปกคลุมไปทั่วใบหน้าเหมือนกับตอนที่ออกมาจากบ้านเป็นครั้งแรก บรรยากาศนั้นที่ก่อนหน้านี้รู้สึกเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายใจ ตอนนี้กลับรู้สึกประหลาดใจและอบอุ่นราวกับการต้อนรับจากอีกโลกหนึ่ง ทางเดินมืดๆ ที่มีเพียงแสงสว่างของไฟข้างทางท่ามกลางหมอกในช่วงเช้ามืดไม่มีรถเลยสักคันเหมือนกับเป็นโลกอีกใบ

แต่ถึงอย่างนั้น ฮาจุนที่ยืนเปียกเหงื่อท่ามกลางอากาศยามค่ำคืนของฤดูร้อนอย่างเหม่อลอยไร้ความกระวนกระวายใจก็ยกมือขึ้นเรียกแท็กซี่ที่เปิดไฟรับผู้โดยสารมาแต่ไกล เส้นทางที่บอกว่าช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์ได้จบลงและพาเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

เมื่อขึ้นไปบนรถ เพลงดังในสมัยก่อนก็ดังออกมาจากวิทยุที่คนขับรถเปิดเอาไว้ ฮาจุนถอนหายใจออกมาด้วยความว้าวุ่น และเอนหัวลงบนพนักพิง

วันนี้เขาขึ้นโรลเลอร์โคสเตอร์เพราะมูคยอมไปตั้งหลายครั้งในวันเดียว แต่ถึงยังไงวันนี้ก็จบลงได้ด้วยดีจริงๆ

***

“พี่ แม่บอกให้มากินมื้อเที่ยงก่อนค่อยนอน”

ตอนที่ฮาจุนลืมตาตื่นขึ้นมาก็เที่ยงแล้ว เมื่อเช้ามืดเขาหลับๆ ตื่นๆ เพราะมูคยอม

ก่อนหน้านี้การตื่นแต่เช้าโดยที่ไม่ต้องมีใครมาปลุกไม่ใช่เรื่องยากเลย เวลากังวลเรื่องที่นอนไม่หลับก็จะกังวล แต่ไม่เคยกังวลถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นเลย อย่างเรื่องสายนี่ก็เป็นเรื่องไกลตัวมาก เขามักจะตื่นเป็นคนแรกของครอบครัวตลอด แต่หลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บแล้วก็นอนตอนเช้ามากขึ้นเรื่อยๆ

เห็นว่าวันนี้มีเรียนเสริม แต่วันนี้คงจะไปเรียนตอนบ่าย มินคยองจึงมาปลุกฮาจุนในตอนกลางวันด้วย ฮาจุนขยับตัวและตอบกลับไปอย่างงัวเงีย

“อือ เดี๋ยวออกไป”

“โอ๊ะ พี่! นี่อะไรเนี่ย”

ฮาจุนลืมตาขึ้นมาทันทีเพราะเสียงแหลมๆ ของมินคยองที่ได้ยินก่อนที่จะตั้งสติได้เสียอีก

พอลุกขึ้นมามินคยองที่เดินไปจากบริเวณเตียงแล้วถือตุ๊กตาแมวเอาไว้ในมือพร้อมกับมองฮาจุนด้วยความตกใจ มินคยองทำตาโตพร้อมกับถามอย่างรีบร้อน

“พี่ซื้อมาเหรอ ช่วงนี้หายากนะ”

“อ๋อ… อือ”

‘พี่หามาอย่างยากลำบากเพราะอยากจะให้เป็นของขวัญกับมินคยองของเราไงละ’

‘ที่จริง คิมมูคยอมที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ เขาบอกให้พี่เอามาให้เธอ’

คำพูดเหล่านั้นควรจะออกมาในทันที แต่กลับติดอยู่แต่ในปากของฮาจุน ร่างกายกับใจสวนทางกัน เหมือนจะมีเหงื่อซึมออกมาที่มือด้วย มันเป็นตุ๊กตาที่เขาไม่ได้สนใจอะไร แต่พอน้องบอกว่าอยากได้ก็ตั้งใจตามหาร้านที่ขายอย่างเต็มที่

พอได้มาด้วยความโชคดีก็ควรจะให้เป็นของขวัญด้วยความยินดี ตอนแรกเขาตั้งใจจะทำแบบนั้น เลยตั้งใจไม่เอาออกมาจากกล่อง และวางเอาไว้บนโต๊ะหนังสือทั้งอย่างนั้น

“น่ารักจังเลย! พี่ ตุ๊กตานี่… เป็นของฉันหรือเปล่า”

มินคยองถามพลางจับมือของตุ๊กตาและขยับขึ้นลงอย่างน่าเอ็นดู

‘แน่นอนสิ ถ้าไม่ใช่ของมินคยองของเราแล้วจะเป็นของใครกัน’

สิ่งที่จะตอบออกไปผุดขึ้นมาในหัวเหมือนกับเป็นบทที่กำหนดเอาไว้แล้ว แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถพูดตอบออกมาได้ และมองมินคยองด้วยความลังเล เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเลยที่รู้สึกแบบนี้

ทำไมล่ะ เพราะเป็นของที่มูคยอมให้เขางั้นเหรอ แต่มูคยอมเองก็ไม่ได้เอาตุ๊กตามาให้ฮาจุนเป็นของขวัญ อีกฝ่ายหาตุ๊กตามาให้เพราะได้ยินที่ฮาจุนกับจองคยูคุยกันว่าฮาจุนอยากให้ตุ๊กตาเป็นของขวัญแก่มินคยอง

เพราะฉะนั้น ตุ๊กตาแมวตัวนั้นจึงเป็นของมินคยองมาตั้งแต่แรก เป็นของที่มินคยองบอกว่าอยากได้ และเขาเองก็อยากให้มินคยองเป็นของขวัญจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา แม้ว่าจะเกิดความโลภขึ้นมา แต่ก็ต้องเสียสละให้อยู่แล้ว ตุ๊กตาบนเตียงของผู้ชายอายุยี่สิบหกเนี่ยนะ ทั้งไม่เข้ากันและไม่น่ามองเอาเสียเลย

♪♬♩

ฮาจุนที่นอนหลับสนิทลืมตาขึ้นมาทันทีเพราะเสียงโทรศัพท์ที่เหมือนจะได้ยินมาจากไกลๆ

ฮาจุนที่กะพริบตาอย่างเหม่อลอย ค่อยๆ รับรู้ว่าเขาไม่ได้ฝันหรือรู้สึกไปเองว่าได้ยินเสียงเรียกเข้าแต่เป็นเสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์ของตัวเองจริงๆ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและมองดูนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวนอนก่อน ตีสามแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับทีมหรือเปล่านะ โทรมาแกล้งกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แล้วคนเสียสติที่ไหนจะโทรมาตอนตีสามกันล่ะ เมื่อฮาจุนที่คิดไปเรื่อยพร้อมกับถือโทรศัพท์อยู่ในมือเช็กว่าใครเป็นคนโทรมาก็ได้สติและรับโทรศัพท์ทันที

“คิมมูคยอม?”

‘นี่ อีฮาจุน’

ได้ยินเสียงของคิมมูคยอมที่ไม่มีความง่วงเลยสักนิด ซึ่งไม่เข้ากับเวลาตีสามเอาซะเลย ยังอยู่ข้างนอกหรือเปล่านะฮาจุนขยี้ตาแห้งๆ ที่ลืมขึ้นได้ไม่เต็มที่ของตน

“มีธุระอะไรตอนนี้เนี่ย”

‘อีฮาจุน ออกมาแป๊บหนึ่งสิ’

“…ว่าไงนะ”

‘ฉันอยู่หน้าบ้านนาย ออกมาแป๊บหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานหรอก’

ฮาจุนไม่สามารถตอบออกไปได้ทันที และนั่งกะพริบตาอยู่ในความมืดอย่างงุนงงแต่แล้วก็จำเหตุการณ์ทำนองนี้เวลาที่มูคยอมพูดว่า ‘ใช้เวลาไม่นาน’ ได้ทันที มูคยอมมักจะพูดคำนั้นออกมาเวลาที่อยากจะมีเซ็กซ์ในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก แม้แต่ตอนที่ชวนให้ทำบนรถเป็นครั้งแรกก็พูดแบบนั้น ถึงจะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่หลังจากนั้น มูคยอมมักจะใช้คำนั้นเกลี้ยกล่อมเขาให้มีเซ็กซ์ หรือให้ใช้ปากทำให้ และสุดท้ายก็ทำสำเร็จจนได้

ไม่ได้ออกไปหาผู้หญิงเหรอ… ไม่ได้ไปทำที่นั่นเหรอ… ไม่สิ อาจจะไม่ได้ทำก็ได้ แต่ก่อนจะไปก็ทำไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังจะทำอีกเหรอ…

‘ทำไมไม่ตอบล่ะ’

“อ่า โทษที เข้าใจแล้ว รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวฉันออกไป”

ฮาจุนรีบลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลวกๆ และเปิดประตูห้อง เขากลั้นหายใจและเดินให้เบาที่สุดก่อนจะค่อยๆ ตัดผ่านห้องนั่งเล่นไป เป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวหลับกันหมดแล้ว ได้ยินเสียงกรนดังคร่อกๆ ดังมาจากห้องของฮาคยอง

ฮาจุนที่เปิดและปิดประตูบ้านโดยไร้เสียงด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นโจรย่องเบา กระวนกระวายใจตลอดเวลาที่ขึ้นลิฟต์ลงไปข้างล่าง มูคยอมมาหาเขาตอนตีสามเหรอเนี่ย ถึงไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ก็กะทันหันและแปลกมาก ก็เลยรู้สึกเหมือนว่ามีสถานการณ์ที่ยุ่งยากเพราะอะไรบางอย่างก็ตามกำลังรอเขาอยู่

ลิฟต์พาฮาจุนลงมาถึงชั้นหนึ่งก่อนที่เขาจะสงบจิตใจที่กระวนกระวายได้เสียอีก ฮาจุนเดินออกจากประตูอพาร์ตเมนต์ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยที่ไม่มีระบบล็อกอัตโนมัติ ถึงจะเป็นตอนกลางคืนแต่อากาศก็ร้อนอบอ้าว ฮาจุนลูบหน้าขึ้นไปหนึ่งครั้งด้วยความอึดอัดที่ความชื้นร้อนๆ ที่คล้ายกับความกระวนกระวายใจห่อหุ้มผิวหนังเอาไว้

โครงการอพาร์ตเมนต์เก่ายังคงใช้หลอดไฟสีส้มล้าสมัยเป็นไฟข้างทางแทนการใช้ไฟ LED รุ่นใหม่ล่าสุด เงามืดๆ เดินไปตามบนทางเท้า และเห็นด้านข้างของชายร่างสูงที่นั่งซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออยู่บนม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ

ฮาจุนหยุดเดินด้วยความตกใจ ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าหน้าบ้าน แต่ก็คิดว่าคงจะรออยู่หน้าโครงการหรือไม่ก็ในรถ ไม่นึกว่าจะมาถึงหน้าตึกที่ตัวเองอาศัยอยู่จริงๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงหยุดยืนมองมูคยอมอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้มืดๆ โดยที่ไม่ได้เรียกในทันที

ทำไมถึงได้มาหาเขาเวลานี้กันนะ

ดูจากสีหน้าแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ดูอารมณ์ไม่ดีหรือร้อนใจเหมือนที่มักจะเป็นหลังจบการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นขายาวๆ ที่ยืดออกไปหน้าม้านั่งหรือใบหน้าที่อยู่ใต้เงาของไฟข้างทาง ถึงจะเพิ่งจะแยกจากกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่พอได้เห็นอีกครั้งก็ยังเท่เหมือนเดิม

“คิมมูคยอม”

ทันทีที่เดินไปไม่กี่ก้าวแล้วเรียกชื่อ มูคยอมก็หันหน้ามาและยืนขึ้นเมื่อเห็นฮาจุน การที่มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สูงเกิน 190 เซนติเมตรมายืนอยู่ใต้เสาไฟกลางดึก ถ้าไม่รู้จักก็คงจะเป็นภาพที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขึ้นเรื่อยๆ ฮาจุนก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากัน พอยืนประจันหน้ากันก็บ่นออกไปทันที

“ทำไมดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้ล่ะ”

“เปล่าสักหน่อย”

มูคยอมหัวเราะคิกคักราวกับสนุกอะไรนักหนา

“เปล่าอะไรกัน กลิ่นเหล้าหึ่งเลย นายจะดื่มเยอะขนาดนี้เพราะครึ่งแรกของปีจบลงไปแล้วไม่ได้นะ”

“ดื่มไปไม่เท่าไหร่เอง”

“แล้วรถล่ะ”

“อยู่ตรงทางเข้าโครงการน่ะ”

“…นี่นายไม่ได้ขับรถใช่ไหมเนี่ย”

“เรียกคนขับรถขับให้สิ ฉันสั่งให้เขารอแล้ว”

มูคยอมกำลังมองลงมาที่ฮาจุนพร้อมรอยยิ้มบางๆ สุดท้ายฮาจุนก็หยุดบ่นและได้แต่มองท่าทีของอีกฝ่ายว่าตั้งใจจะพูดอะไรถึงได้เมาและมาถึงที่นี่ในเวลานี้

“ฉันมาที่นี่เพราะมีของจะให้นาย”

แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของมูคยอมกลับเป็นสิ่งที่ฮาจุนคาดไม่ถึงเลยสักนิด ฮาจุนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และเอาแต่มองมูคยอมอยู่อย่างนั้น

มีของจะให้?

“เอาไปสิ”

จากนั้นเขาก็หยิบกล่องที่วางไว้บนม้านั่งขึ้นมาและยื่นมาให้ เป็นกล่องของขวัญที่ห่อกระดาษห่อของขวัญและผูกริบบิ้นเอาไว้ด้วย ชักจะเข้าใจสถานการณ์ได้ยากขึ้นทุกที ถึงจะรับเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงจึงได้แต่ยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น มูคยอมจึงขมวดคิ้วเข้าหากันและพูดกระตุ้นเขา

“ทำอะไรของนายอยู่น่ะ เปิดดูสิ”

“หือ? อือ”

เมื่อคลายริบบิ้นสีแดงออกพลางเหลือบมองมูคยอม กระดาษที่ห่อเอาไว้ก็แกะออกง่ายขึ้น ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างเมื่อลองเปิดฝากล่องออก พอเห็นของที่อยู่ในกล่องแล้วก็มองมูคยอมโดยที่ตายังคงเบิกกว้างอยู่อย่างนั้น ฮาจุนที่มองมูคยอมกับของที่อยู่ในกล่องสลับกันไปมา เป็นฝ่ายเปิดปากพูดออกมาก่อน

“ให้ฉันงั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว”

“ปะ ไปหามาจากไหน ช่วงนี้ไม่ได้วางขายที่ไหนเลยก็เลยหายาก”

“มีสิ่งที่มูคยอมหาไม่ได้ที่ไหนกัน”

มูคยอมเถียงกลับด้วยรอยยิ้ม ภายในกล่องมีตุ๊กตาแมวที่ไม่สามารถหาได้ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไป เนื่องจากสินค้าหมดสต๊อกเพราะความนิยมอันล้นหลามในช่วงนี้

มินคยองบอกว่าอยากได้มากเลยอยากให้เป็นของขวัญ แต่ถึงจะทำทุกวิถีทางแล้วก็หามาไม่ได้ แถมยังไม่มีกำหนดด้วยว่าจะเติมสต๊อกเมื่อไหร่ จองคยูที่เลี้ยงลูกก็ประสบปัญหานี้เหมือนกัน ทั้งสองเพิ่งจะคุยเรื่องตุ๊กตากันเมื่อไม่นานมานี้เอง ฮาจุนจำได้ว่าตอนนั้นมูคยอมเองก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย

‘หรือว่าได้ยินที่คุยกัน ไปปาร์ตี้ที่โรงแรมแล้วไปซื้อตุ๊กตามาจากที่ไหนกลางดึกล่ะเนี่ย’

พอเกิดคำถามขึ้นมากมายในหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีตอบสนองยังไง ฮาจุนจึงได้แต่ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ คิดว่าต้องพูดขอบคุณออกไป แต่ก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แม้แต่คำขอบคุณจึงไม่ได้ออกจากปากง่ายๆ ถึงจะไม่เคยได้ยินว่าตัวเองไม่มีมารยาทหรือขอบคุณคนอื่นไม่เป็นมาก่อนในชีวิตก็ตาม

“ไม่อยากได้เหรอ”

พอฮาจุนไม่พูดอะไรออกมา มูคยอมก็เลิกคิ้วพลางถามออกมา ฮาจุนส่ายหน้าทันที

“ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่ ฉันอยากได้มากเลย ก็แค่ ตกใจนิดหน่อย…”

ฮาจุนเม้มปากเข้าหากันก่อนหนึ่งครั้งและพูดขอบคุณออกมาในภายหลัง

“ขอบใจนะ”

มูคยอมยิ้มกว้างจนเห็นฟันให้กับคำพูดขอบคุณของเขา เป็นสีหน้าที่แสดงให้เห็นเป็นครั้งคราว ไม่ใช่สีหน้าเวลาตกใจและไม่ใช่เวลาเยาะเย้ย แต่เป็นสีหน้าในเวลาที่ยิ้มออกมาโดยที่ไม่มีอะไรอยู่ในใจ ถึงจะเป็นใบหน้าที่ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นเด็กน้อยวัยสิบกว่าปีที่ฮาจุนชอบมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เห็นบ่อยๆ

จิตใจที่ร้อนรุ่มและสกปรกเหมือนมีคราบสกปรกหรือเขม่าดำติดอยู่ในตอนที่กลับมาที่บ้าน เปลี่ยนไปเป็นเหมือนกลุ่มเมฆสีขาวอีกครั้ง สำหรับฮาจุนแล้ว มูคยอมก็ไม่ต่างอะไรกับผู้มีพลังวิเศษที่มีความสามารถในการควบคุมจิตใจของเขาหลายต่อหลายครั้งต่อวัน เมื่อบรรยากาศอ่อนโยนขึ้น ฮาจุนก็รู้สึกว่าน่าจะถามในสิ่งที่เมื่อกี้ยังไม่ได้ถามออกไปได้

“ไหนว่าไปปาร์ตี้ที่โรงแรมไง ไม่ได้ไปเหรอ”

“ไปสิ”

“สนุกไหม”

“โคตรจะไม่สนุกเลย รู้งี้เล่นกับนายต่อดีกว่า”

ใบหน้าของเขาแดงและสำลักออกมาเพราะคำพูดนั้น น้ำเสียงเบาลงโดยอัตโนมัติ

“ฉันคิดว่านายคงมีคนให้ไปเจอ”

“อ่า”

จากนั้นมูคยอมก็ขมวดคิ้วเข้าหากันและเสยผมขึ้น เขาวางมือไว้หลังคอราวกับตัดสินใจลำบาก และกลอกตาไปด้านข้างพร้อมกับบ่นพึมพำออกมา

“อ่า…ลืมไปเลย บอกให้รอนี่นา”

“…”

“ช่างเถอะ คงรอได้ไม่นานหรอก ยังไงก็ไม่ได้จะไปเจออีกอยู่แล้ว คงจะโดนด่านิดหน่อยล่ะนะ”

“ทำยังไงล่ะเนี่ย คงจะไม่เข้าท่าแล้วล่ะมั้ง”

ปล่อยให้ชายหนุ่มบ่นพึมพำคนเดียวราวกับสิ้นหวัง ด้วยความที่ไม่รู้จะตอบยังไงดีทำให้เขาเออออตามอีกฝ่าย มูคยอมที่หันไปทางอื่นเลยเบือนหน้ามาปรายตามองฮาจุน

“ที่จะพูดมีแค่นั้นเหรอ”

“หืม ถ้างั้น ฉันมีอะไรต้องพูดเรื่องเขากับนายเหรอ”

ฮาจุนอยากรู้ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงมองตนเอง เขาจึงปิดปากและหลุบตาลง พร้อมกับทำหน้ายู่ทันที

“โอ๊ย เจ็บ”

เพี๊ยะ ฮาจุนรู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาและใช้ฝ่ามือตีแขนของตัวเอง ออกมายืนอยู่ข้างนอกในคืนฤดูร้อนไปสักพักก็กลายเป็นอาหารของยุงจนได้ แต่แล้วมูคยอมที่จ้องมองฮาจุนด้วยดวงตารูปสามเหลี่ยมก็หลุดขำออกมาและเงยหน้าขึ้น

“เข้าบ้านไปได้แล้ว ก่อนที่จะโดนกัดมากกว่านี้”

“…มาเพื่อเอาตุ๊กตานี่มาให้จริงๆ เหรอ”

“ก็บอกว่าใช่ไง”

มูคยอมพูดออกมาแบบนั้นและทำไม้ทำมือบอกให้รีบเข้าบ้านไป แต่ฮาจุนกลับไม่ก้าวเท้าออกไปเหมือนมีอะไรผิดพลาด มูคยอมมาถึงหน้าบ้านตอนตีสามเพื่อเอาตุ๊กตามาให้ โดยที่ไม่มีธุระอื่นจริงๆ งั้นเหรอ ฮาจุนที่ลังเลออกแรงไปที่กล่องที่ถืออยู่ในมือและพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“คิมมูคยอม ฉันทำได้แป๊บหนึ่งนะ…”

“ทำ? อะไร”

จะอะไรกันล่ะ ต้องพูดถึงเรื่องนั้นด้วยไหมนะ เสียงของฮาจุนเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย

“อะไรก็ได้…”

มูคยอมขมวดคิ้วมองฮาจุนที่เหม่อลอยราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮาจุนพูดจริงๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็อุทานออกมาว่า ‘อ๋อ’ เหมือนกับว่าเพิ่งจะเข้าใจ ฮาจุนที่แยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งเขาอีกแล้ว ได้แต่ยืนหน้าแดงอยู่อย่างนั้น แล้วมูคยอมก็เริ่มหัวเราะคิกคักออกมาทันที

“โค้ชอีของเรานี่เปิดเผยมากเกินไปจนเป็นปัญหานะ”

“ใครกัน…!”

“เมื่อกี้จัดหนักไปขนาดนั้นแล้วยังไม่พอเหรอ”

“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้นสิ นายมีจิตสำนึกพอจะพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้หรือไง”

หน้าของเขาแดงขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม แถมเสียงก็ดังขึ้นด้วย คนที่จัดหนักใส่อีกคนตั้งหลายชั่วโมงจนลุกขึ้นยืนไม่ไหวคือใครกันแน่ ถึงได้มาพูดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย

มูคยอมพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเป็นการปลอบโยนฮาจุนที่เป็นแบบนั้น

“ตอนนี้ไม่ได้หรอก อีฮาจุน”

“…”

“ดึกเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่นายควรจะนอนนะ ก็นายน่ะอ่อนแอกว่าฉันนี่นา”

ตั้งแต่เมื่อไรที่มูคยอมสนใจอะไรแบบนั้นด้วย…

ฮาจุนเปิดปากออกเล็กน้อยและไม่สามารถตอบโต้ความเอาใจใส่อันเหลือเชื่อและทำให้พูดไม่ออกกลับไปได้ ในตอนนั้นเอง มือใหญ่ๆ ของมูคยอมก็ยกใกล้เข้ามาด้านข้างของใบหน้าและหยิกแก้มเบาๆ จนไม่รู้สึกเจ็บ

“น่ารักได้ตลอดเวลาเลยนะ”

“…”

“ฉันไปละ ฝันดี”

มูคยอมที่เอามือออกหันหลังและเดินจากไปจริงๆ

ฮาจุนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเอามือวางลงบนแก้มที่มูคยอมหยิกเขาและยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น จากนั้นไม่นานก็เดินตามไปอยู่ข้างๆ มูคยอมทันที มูคยอมมองลงมาที่ฮาจุนที่ไม่กลับเข้าไปในบ้านและตามมาอยู่ข้างๆ ตัวเอง

“ทำไมล่ะ”

“ไม่ไง คือนายมาถึงที่นี่แล้วจะให้กลับไปเฉยๆ ก็ยังไงอยู่ ฉันจะเดินไปส่งที่รถ”

“รถ? จากตรงนี้ถึงทางเข้าโครงการมันไกลมากนะ”

“ยังไงก็เถอะ”

ถึงจะยืนยันว่าไม่ได้เมา แต่ก็เมาแน่ๆ ดูเหมือนว่าคิมมูคยอมจะทำดีกับเขาแบบนี้แค่ตอนนี้เท่านั้น ฮาจุนจึงอยากจะยืดช่วงเวลานี้ออกไปอีก แม้จะแค่หนึ่งวินาทีก็ตาม เขารู้สึกเคืองมูคยอมอยู่หน่อยๆ ที่เวลาตัวเองเกิดความอยากขึ้นมาก็ไล่ต้อนเขาจนจนมุม แต่ตอนนี้ที่เขาอยากจะอยู่ด้วยกันต่อก็เอาแต่บอกให้เขากลับเข้าบ้านไป มูคยอมบ่นพึมพำออกมา

“ถ้านายไปส่งฉันถึงที่รถ ฉันก็ต้องเห็นนายเดินกลับไปคนเดียวอยู่บนรถอีกล่ะสิ”

“…”

ไม่ได้เมาแต่บ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย

ตอนนี้ท่าทีของมูคยอมเปลี่ยนไปจนแทบจะทำให้เขาปวดหัว ด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออกว่าดีหรือไม่ดี เขารู้สึกมึนขึ้นมาเหมือนกับดื่มเหล้าเข้าไปและหัวเราะแห้งๆ ออกมา มูคยอมเบะปากถามเขา

“หัวเราะอะไร”

“รู้สึกดีที่จู่ๆ ก็ได้ของขวัญน่ะ”

พอพาผู้ชายที่บ่นกระปอดกระแปดเดินออกมาแล้ว ก็มีรถของมูคยอมจอดอยู่ที่หน้าโครงการจริงๆ คนขับรถออกมารับลมข้างนอกราวกับเบื่อกับการรอคอยที่ยาวนาน พยักหน้าราวกับรู้หน้าที่ พอเห็นคนขับรถที่คงจะเสียดายเวลาแม้จะแค่หนึ่งวินาทีก็ตามกำลังรออยู่โดยที่ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรแล้ว แสดงว่าคงจะรับทิปหนักน่าดู

“รีบขึ้นรถเลย”

พอเปิดประตูเพื่อให้มูคยอมขึ้นรถ มูคยอมก็ขืนตัวไว้และพูดออกมา

“อีฮาจุน นายก็ขึ้นมาด้วย”

“ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นนายต่างหากที่ต้องขึ้นรถ”

“กลับบ้านด้วยกัน”

“ตอนนี้ฉันไปไม่ได้”

“ทำไมล่ะ”

ถามว่าทำไมงั้นเหรอ…

มูคยอมคงจะเมาขึ้นทุกทีถึงได้พูดวกไปวนมา พอเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นแล้ว ถึงคนขับรถจะพาไปส่งถึงที่บ้านแต่เขาก็เป็นห่วงว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไง คนขับรถคงจะพาไปส่งถึงแค่ลานจอดรถแล้วก็กลับไป แล้วอีกฝ่ายจะขึ้นไปถึงบนบ้านได้ไหมนะ ถ้าหลับในรถก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไปนอนแผ่บนพื้นลานจอดรถหรือหน้าประตูบ้านล่ะ จะทำยังไง

ฮาจุนจมอยู่กับความคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน พอค้นกระเป๋าก็โชคดีที่มีกระเป๋าสตางค์อยู่ ตอนนี้เป็นช่วงเช้ามืด ถ้ารีบนั่งแท็กซี่กลับก็น่าจะลดระยะเวลาจากปกติไปได้ครึ่งหนึ่ง

“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปด้วย รีบขึ้นไปเลย”

ฮาจุนพามูคยอมขึ้นรถและนั่งอยู่ข้างๆ เขาบอกให้คนขับออกรถ

“ออกรถเลยครับ”

“ครับ”

คนขับรถเหลือบมองทั้งสองผ่านกระจกหลังและเอ่ยปากชวนคุย

“ดูเหมือนนักกีฬาคิมมูคยอมจะเมาหนักเลยนะครับ ผมนึกว่านักกีฬาจะไม่เป็นแบบนั้นซะอีก”

“ปกติเขาก็ไม่ได้ดื่มหรอกครับ แต่ตอนนี้เป็นช่วงพักน่ะครับ”

“โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ดื่มบ้างจะเป็นอะไรไป แค่ตั้งใจออกกำลังกายให้ดีก็พอแล้ว อ้อ เมื่อกี้ก็ให้ลายเซ็นด้วย เขานิสัยดีกว่าที่ได้ฟังมาอีกนะครับ!”

เขารีบอธิบายออกไปเพราะกลัวว่าจะเกิดการพูดนินทาขึ้นมา แต่คนขับรถก็มีเจตนาที่ดี ดูเหมือนมูคยอมที่เมาจะทำตัวน่ารักกับคนขับรถมากเช่นกัน เมาทั้งทีก็ยังทำตัวน่ารัก

ทันทีที่นั่งลงที่เบาะหลัง มูคยอมก็เอนร่างกายอันใหญ่โตของเขาลงและพิงหัวลงบนไหล่ของฮาจุน และเริ่มผล็อยหลับไปพร้อมกับผ่อนลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา ทั้งๆ ที่พูดไม่ออก แต่หัวใจก็เต้นแรงเหมือนคนโง่อีกแล้ว ถึงจะพยายามทำให้ใจสงบลง แต่ก็เป็นพลังที่ไม่สามารถต้านทานได้จริงๆ

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดัง ก๊อกๆ ฮาจุนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะจึงรีบลุกขึ้นมา

“ถ้าเหนื่อยก็นอนก่อนค่อยไปไหม”

มูคยอมที่จัดทรงผมและเตรียมใส่เสื้อผ้าพูดออกมาแบบนั้นโดยที่ยืนอยู่ตรงประตู ฮาจุนส่ายหน้าและลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ไม่ล่ะ จะอยู่คนเดียวในบ้านที่ไม่มีใครไปทำไม ฉันก็จะออกไปด้วย”

“ถ้างั้นก็รีบออกมาเลย”

มูคยอมทำไม้ทำมือเรียก ฮาจุนจึงสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่และตามออกไป เขาขึ้นไปที่ชั้นจอดรถโดยไร้คำพูดใดๆ และแม้แต่ตอนที่ขึ้นไปบนรถ ฮาจุนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

แรกๆ มูคยอมให้บัตรเครดิตและบอกให้เขานั่งแท็กซี่กลับเอง แต่เดี๋ยวนี้จะขับรถพาไปส่งถึงบ้านเสมอ ถึงแม้จะทำแบบนั้นบ่อยๆ ไม่ได้เพราะแม่ แต่ก็มีหลายครั้งที่เขานอนค้างแล้วค่อยกลับ ทั้งที่ช่วงนี้ไม่มีเรื่องให้อะไรให้เสียใจสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงได้ห่อเหี่ยวอยู่เรื่อย การหดหู่และงอแงโดยไม่มีสาเหตุเป็นสิ่งที่เด็กๆ เท่านั้นที่ทำได้ ฮาจุนชักไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เข้าไปทุกที

“นายกำลังจะไปไหน”

ตอนที่คำถามแบบนั้นออกมาจากปาก เขาก็ทำตัวไม่ถูกแม้จะถามออกไป เขาไม่เคยคิดที่จะเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของมูคยอมเลย ยกเว้นตอนดูแลนักกีฬาในฐานะโค้ช และตอนที่มีเซ็กซ์กัน แต่ก็โชคดีที่มูคยอมตอบออกมาโดยที่ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดเท่าไหร่

“เห็นว่าวันนี้น้องชายของประธานเอเจนซี่เขาทำธุรกิจ จัดงานปาร์ตี้ที่โรงแรมก็เลยขอให้ไปน่ะ”

“จู่ๆ ก็ขอเนี่ยนะ?”

“เขาขอไว้ก่อนแล้ว แต่ฉันดันลืมน่ะสิ”

ฮาจุนพยักหน้าเมื่อได้ฟังเสียงที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก พูดตามตรงเลยว่าเขาสงสัยเรื่องอื่นมากกว่าคนที่บอกว่ายังจำได้ และคราวก่อนก็ทักทายกันแป๊บหนึ่งที่ว่านั่นคือใครกัน ผู้หญิงหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่นั่นเพราะผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า เพราะอยากเจอคนคนนั้นก็เลยปฏิเสธการใช้ปากช่วยกลางคัน และทันทีที่มีเซ็กซ์กับเขาเสร็จก็แต่งตัวใหม่เพื่อที่จะไปที่นั่นหรือเปล่า เขาสงสัยเรื่องนั้น

แต่เขาสงสัยถึงเรื่องนั้นในฐานะอะไร และจะถามเรื่องที่สงสัยออกไปได้ยังไงล่ะ

ถึงระยะทางจากบ้านของมูคยอมไปถึงบ้านของฮาจุนในแผนที่จะไม่ได้ใกล้กันขนาดนั้น แต่เขาก็รู้สึกว่ามันสั้นจนประหลาดใจ รถของมูคยอมจอดใกล้อพาร์ตเมนต์ที่เขามักจะลงเสมอ ฮาจุนลงจากรถพลางบ่นออกมาโดยไม่จำเป็น

“ถึงจะพักก็เถอะ แต่ก็อย่าเที่ยวเล่นจนดึกละ อย่าดื่มหนักด้วย”

“ไม่รู้ว่าโค้ชของเราจะเคยได้ยินคำว่า คิมมูคยอมยอดนักจัดการตัวเองหรือเปล่า”

มูคยอมโน้มตัวพิงพวงมาลัยและตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รู้สิ ถึงมูคยอมจะมีชีวิตส่วนตัวที่ต้องให้บ่นอยู่ไม่ใช่แค่อย่างสองอย่าง แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาที่มีความรอบคอบเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง ตอนที่เจอมูคยอมครั้งแรก เขากำลังแอบพวกผู้ใหญ่มาสูบบุหรี่ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว มูคยอมไม่แม้แต่จะสูบบุหรี่และมีฮาจุนเพียงคนเดียวที่สนุกไปกับการสูบบุหรี่เป็นครั้งคราว ตอนที่ได้รับบาดเจ็บจึงตัดสินใจลาออกและจิตใจว้าวุ่นจนถึงขีดสุด คนที่เขานึกถึงตอนที่สูบบุหรี่เป็นครั้งแรกก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นมูคยอมในตอนที่อายุสิบหกปี

น่าขำที่สถานการณ์กลับกันแบบนั้น และพอตระหนักได้ว่าเวลาผ่านไปนานถึงขนาดนั้นแล้วก็ยิ้มบางๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ขอบใจที่มาส่ง ขับรถดีๆ”

เขาบอกลาสั้นๆ และปิดประตู หลังจากที่ยืนมองรถของมูคยอมที่ขับออกไปสักพัก ฮาจุนก็หันกลับ ถึงใจจริงเขาอยากจะมองดูจนกว่ารถของมูคยอมจะลับสายตาไป แต่ก็กังวลว่าถ้ามูคยอมเห็นเขาที่ยืนมองอยู่แบบนั้นจากกระจกหลังแล้วจะคิดว่าแปลก สูบสักมวนแล้วค่อยเข้าไปดีกว่า

ฮาจุนเอาบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกระเป๋าและคาบไว้ที่ปาก แสงไฟทั้งกลมและเล็กที่แผดเผาเป็นสีแดง ติดขึ้นมาและดับลงไป ควันสีขาวลอยไปท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนและสลายหายไป

…สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นไฟแบบไหนก็มอดดับลง

ตอนที่เริ่มเล่นฟุตบอลเขารู้สึกตกใจและประหลาดใจกับการได้ฟังคำที่ว่าเขามีพรสวรรค์ ตอนที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพและได้รับทุนการศึกษา เขาก็รู้สึกตกใจอีกครั้งเหมือนกับตอนที่ได้ยินว่ามีพรสวรรค์ แต่ช่วงที่ถูกเรียกตัวให้เป็นทีมชาติเยาวชน เขาก็ไม่ตกใจกับคำชมที่บอกว่ามีพรสวรรค์หรือทุนการศึกษาในโรงเรียนอีกต่อไป

ถึงตอนแรกที่ถูกเรียกตัวให้เป็นทีมชาติ เขาจะประหม่าจนมือสั่นและไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าได้ แต่หลังจากนั้น เขาก็ชินกับการถูกเรียกตัวมากขึ้น และอยากจะลองลงแข่งจริงๆ แม้จะเป็นตัวสำรองก็ยังดี พอลงแข่งในฐานะผู้ได้รับคัดเลือกแล้วก็อยากจะเป็นผู้เล่นหลักในอนาคต

ตอนที่เรียนมัธยมปลาย เขาเคยหัวเราะตัวเองที่เป็นแบบนั้นอยู่ครั้งหนึ่ง และเคยพูดผ่านๆ กับเพื่อนในทีมว่าเขาเองก็ดูเหมือนจะมีความโลภมากกว่าที่คิด แต่แล้วเพื่อนที่ใช้ล็อกเกอร์ตู้ข้างๆ ฮาจุนก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า ‘เล่นกีฬาโดยที่ไม่มีความโลภถึงขั้นนั้นได้ยังไงกัน’

ถึงจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักกีฬาและถึงแม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ตาม

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางครั้งฮาจุนก็นึกถึงช่วงเวลานั้น

***

โรงแรมที่คนรู้จักของมูคยอมเป็นเจ้าของเปิดให้บริการในช่วงที่ดี ฤดูร้อนที่ฤดูฝนผ่านพ้นไป ผู้คนต่างก็มองหาประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนาน ปาร์ตี้ที่จัดขึ้นบนชั้นดาดฟ้าที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์กำลังสนุกได้ที่ บรรดาแขก VIP ต่างก็สนุกไปกับค็อกเทล ไวน์ และเบียร์ที่ทางโรงแรมจัดให้ไม่อั้น และหลอมรวมไปกับบรรยากาศของปาร์ตี้อันร้อนแรง

มูคยอมมองภาพที่พวกคนเมาต่างก็ลงไปในสระว่ายน้ำกลางแจ้งและสาดน้ำใส่กันอย่างสบายอารมณ์พลางลิ้มรสค็อกเทลอย่างช้าๆ ถึงแม้จะมีคนมารายล้อมอยู่ข้างๆ มูคยอมหลายคน แต่เพราะมูคยอมมีเป้าหมายอยู่แล้วจึงปฏิเสธไปพอสมควร

“คุณคิมมูคยอม”

ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และสนุกไปกับบรรยากาศเย็นๆ ยามค่ำคืนของบนดาดฟ้า ก็มีใครบางคนเรียกมูคยอม มูคยอมจงใจทำเป็นไม่ได้ยินในทันที และรอให้เสียงนั้นเรียกเขาอีกครั้ง

“คุณมูคยอม”

มูคยอมหันไปมองโดยที่ถือแก้วเหล้าอยู่ในมือ จากนั้นก็ “อ๋อ” แกล้งทำเป็นว่าเพิ่งจะเห็นฝ่ายตรงข้ามและลุกขึ้นยืน ตรงนั้นมีผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดในชุดมินิเดรสสีดำแวววาวยืนอยู่

“คุณยูชีอึน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

“ฉันก็เช่นกันค่ะ ได้ยินมาว่าไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะมาหรือเปล่า แต่ก็มานะคะเนี่ย”

เธอเป็นนางแบบที่เคยได้แต่ทักทายกันในการประชุมทางธุรกิจเท่านั้น รูปร่างหน้าตาของเธอถูกใจเขาสุดๆ และจำได้ว่าแอบส่งสายตาให้กันขณะที่ทักทายกันด้วย

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จมักจะติดอยู่ในใจมากกว่าเป้าหมายที่ทำสำเร็จ เขายังไม่คิดที่จะยกเลิกความตั้งใจที่จะไม่มีวันไนท์กับผู้หญิงไป ‘สักระยะ’ แต่ก็อยากจะเช็กความตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง บริกรกำลังเดินไปรอบๆ เพื่อเสิร์ฟค็อกเทลหลากหลายแก้ว มูคยอมหยิบแก้วเหล้าสีฟ้าขึ้นมาจากถาดเสิร์ฟและยื่นให้กับชีอึน

“นั่งก่อนสิครับ”

ชีอึนยิ้มให้กับการเสนอของมูคยอมและนั่งลงในฝั่งตรงข้าม สายลมของคืนฤดูร้อนที่พัดมาอย่างอ่อนโยนพัดผ่านเส้นผมของทั้งสอง

ยี่สิบนาทีต่อมา มูคยอมยืนอยู่คนเดียวบนบันไดที่ไม่มีใครอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัด

ยูชีอึนเป็นผู้หญิงที่น่าพึงพอใจอย่างที่เขาคาดไว้ ทั้งพูดคุยกันถูกคอ เธอทั้งเซ็กซี่ สูงและหุ่นดี รวมไปถึงการสวมชุดเดรสเข้ารูปที่ทั้งสวยและทำให้จุดเด่นของตัวเองโดดเด่นขึ้นมาก็สมบูรณ์แบบ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมูคยอมถึงจดจ่ออยู่กับการสนทนาไม่ได้เลย มันช่างน่าเบื่อเวลาที่ได้ลองใจฝั่งตรงข้ามอย่างสนุกสนานได้ที่ แล้วต้องมาคิดว่าจะต้องทำประตูด้วยวิธีไหนเหมือนกับเมื่อก่อน

เขารู้สึกได้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ยูชีอึน แต่อยู่ที่ตัวเขาเอง แต่เขาไม่รู้ถึงสาเหตุนั้น จึงอ้างว่าขอตัวไปโทรคุยธุระด่วนและออกมาที่ทางออกฉุกเฉิน

ไม่สิ ก็ใช่ว่าจะทำตัวไม่มีพิรุธซะทีเดียว

มูคยอมขมวดคิ้วราวกับพยายามจะลบคนคนหนึ่งที่นึกถึงมาตั้งแต่เมื่อกี้ออกไป และใช้มือลูบหน้าขึ้นไปหนึ่งครั้ง

มูคยอมเป็นคนที่สนุกกับการประเมินกันและกันก่อนที่จะเข้าสู่เกมหลัก การตรวจสอบว่าอีกฝ่ายคิดตรงกันไหมเหมือนกับการรับส่งลูก จากนั้นก็ยิงเข้าประตูในตอนที่ใจตรงกันคือความสนุกตอนที่ได้เจอกับผู้หญิง แต่ดันมีคนที่ยอมรับความต้องการทั้งหมดของเขาได้แม้จะข้ามขั้นตอนเหล่านั้นไปก็ตาม

“…ชักจะนิสัยไม่ดีแล้วแฮะ”

มูคยอมพึมพำออกมาแบบนั้นราวกับตำหนิตัวเอง จากนั้นก็หยัดร่างที่พิงผนังอยู่ขึ้นมา แน่นอนว่าถึงจะไม่ใช่เหตุผลนั้นเสมอไป แต่เมื่อมีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ สิ่งที่เคยสนุกมาตลอดก็น่าเบื่อขึ้นมาเช่นกัน แต่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ที่การออกมาเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่ได้มีบ่อยๆ กลับล้มเหลว มูคยอมพร่ำบ่นอยู่ในใจพลางเดินลงบันได

ที่เลานจ์บาร์ที่อยู่ชั้นบนสุดใต้ดาดฟ้าที่กำลังจัดปาร์ตี้ริมสระน้ำก็กำลังจัดปาร์ตี้มาสักพักแล้วเช่นกัน ด้านในที่เต็มไปด้วยเสียงเพลง การเต้นรำ และเสียงต่างๆ ต้อนรับมูคยอม ซึ่งแตกต่างกับชั้นดาดฟ้าที่ค่อนข้างเงียบ มูคยอมที่เบื่อค็อกเทลแล้วรับเบียร์มาหนึ่งขวดและเดินย้อนกลุ่มคนขึ้นไป

เพราะสูงโดดเด่นเป็นสง่าทำให้ยากที่จะปิดบังใบหน้า ผู้คนต่างก็จำมูคยอมได้และเหลือบมองเขา แต่มูคยอมก็ไม่สนใจ ด้วยความที่ไม่มีอารมณ์จะเต้น จึงหันไปมองรอบๆ ว่าพอจะมีอะไรที่น่าสนุกบ้างหรือเปล่า

“มูคยอม!”

ในตอนนั้นเอง ใครบางคนสะกิดเข้าที่ไหล่ของมูคยอม พอหันไปมองก็เห็นเจ้าของโรงแรมที่เป็นคนเรียกมูคยอมมายืนอยู่

“มาแล้วเหรอ มาแล้วก็โทรมาบอกกันสิว่ามาแล้ว มาเมื่อไหร่เนี่ย”

“อยู่ข้างบนสักพักแล้วก็ลงมา”

“ยูชีอึนล่ะ น่าจะอยู่บนชั้นดาดฟ้านะ”

“ตอนนี้ก็ยังอยู่”

เขาแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าแปลกใจออกมา

“ไม่คลิกกันเหรอ”

“ไม่ค่อยมีอารมณ์เท่าไหร่ก็เลยบอกให้รอก่อนแล้วก็ลงมาเนี่ย ต้องพักสักหน่อยแล้วค่อยขึ้นไป”

“ลองหาดูสิ ถึงจะไม่ใช่ยูชีอึน แต่วันนี้ก็มีคนแจ่มๆ อยู่นะ”

ภาพบางอย่างดึงดูดสายตามูคยอมที่พูดคุยด้วยท่าทีไม่สนใจอะไรนัก เขาจึงพเยิดหน้าไปทางนั้น

“เกมเหรอ”

“อ๋อ กำลังชิงรางวัลกันอยู่เลย นายเอาด้วยไหมล่ะ”

มีเกมปาเป้าอยู่ที่มุมหนึ่งของบาร์ ดูเหมือนจะกำลังแข่งชิงรางวัลเป็นกิจกรรมเปิดตัวโรงแรม มูคยอมที่ชอบการเล่นเกมและการเดิมพันปราดสายตามองรายการของรางวัล รางวัลที่ 1 เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาสิบล้านวอน และด้านล่างมีรายการสิ่งของต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นรางวัลปลอบใจอยู่ มูคยอมแค่นยิ้มออกมา

“ของรางวัลกากชะมัด”

“ไอ้หมอนี่ ของรางวัลเกมปาเป้าน่ะระดับนี้ก็พอแล้ว ยังไงก็มีกิจกรรมชิงรางวัลอย่างอื่นอีกเยอะ เอาแค่พอดีๆ สิ”

จู่ๆ สายตาของมูคยอมที่อ่านรายการของรางวัลอย่างไม่ใส่ใจนักก็หยุดลง

“นี่ก็เป็นของรางวัลเหรอ”

เจ้าของโรงแรมที่ลดระดับสายตาตามนิ้วของมูคยอมที่ชี้ออกไปพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“สงสัยล่ะสิว่าทำไมถึงได้มีตุ๊กตาเป็นของรางวัลในปาร์ตี้ นี่เป็นตุ๊กตาที่ช่วงนี้ขายดีจนหมดสต๊อกเลยนะ ถึงจะให้เงินเพิ่มก็หาไม่ได้ เพราะมีไอดอลสักคนนี่แหละวางประดับเอาไว้บนเตียงในรายการเรียลลิตี้ ไม่ได้เป็นการไทอินด้วยนะ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย แต่เป็นของทำมือก็เลยผลิตให้เร็วตามความต้องการไม่ได้ เราโชคดีที่หามาได้สองสามตัว ก็เลยเอามาเป็นของรางวัล”

เป็นตุ๊กตาแมวตัวยาวที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ในฐานะเพื่อนนอน มูคยอมรู้จักตุ๊กตาตัวนี้เพราะฮาจุน

“หมดเกลี้ยงเลย พอจะไปซื้อเพราะบอกว่าเติมสต๊อกแล้ว ก็โดนคนอื่นปาดหน้าไปก่อน”

“ฉันอยากซื้อให้น้องสาวน่ะ พวกเด็กมัธยมปลายก็น่าจะนิยมกันไม่น้อยเลยนะ ว่าจะทำตัวเป็นพี่ที่ดีกับเขาบ้าง ยากจังเลยนะเนี่ย”

“เจ้าบ้า ต่อให้นายไม่ซื้อของขวัญแบบนั้นให้ นายก็เป็นพี่ที่ดีมากแล้วนะ

ตอนนั้นเขาหัวเราะเยาะที่ผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนมาบ่นเรื่องตุ๊กตาของพวกเด็กๆ แต่พอมาเห็นก็คิดว่าดีแล้ว เขาชอบการปาเป้ามาแต่ไหนแต่ไร แล้วนี่ก็ไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย

“ผมจะเล่นอันนี้ด้วย”

“เอ้า จริงเหรอ นี่ ถ้านายเล่นด้วยฉันก็ต้องขอบใจเลยละ”

ทันทีที่ประกาศว่ามูคยอมจะเข้าร่วมปาเป้าด้วย มุมเล่นเกมปาเป้าที่ร้างผู้คนก็คึกคักขึ้นมาทันที ทันทีที่พิธีกรที่จัดงานประกาศว่า “คิมมูคยอม นักฟุตบอลดาวรุ่งเข้าร่วมเล่นเกมปาเป้าด้วยครับ!” ผู้คนต่างก็เริ่มกรูกันมาดู

มูคยอมกระดกเบียร์ที่เหลือทั้งหมดในคราวเดียวและถือลูกดอกเอาไว้ ถ้าเป็นการปาเป้าล่ะก็ เขามั่นใจ ที่ห้องล็อกเกอร์ของกรีนฟิลด์มีกระดานปาเป้าอยู่ เขาจึงมักจะปาลูกดอกเดิมพันกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ แถมยังเคยติดรูปนักข่าวที่เขียนข่าวแย่ๆ เกี่ยวกับเขาเอาไว้ที่กระดานปาเป้าแล้วฝึกปาเป้าเป็นเวลาสามวันด้วย อีกทั้งยังเคยเดิมพันด้วยกันกับพวกนักกีฬาที่ต้องการเอาชนะอย่างแรงกล้า แล้วกลายเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีอยู่บ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เล่นปาเป้าเหมือนปกติ แล้วดันไปทะเลาะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับกัปตันทีมจนทำให้บรรยากาศในทีมดุเดือดไปเป็นสัปดาห์ จนหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์พาดหัวข่าวการทะเลาะกันครั้งนั้นว่า ‘การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในห้องแต่งตัวของกรีนฟอร์ด’ และรายงานข่าวราวกับว่ามีความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ด้วย

แขนที่ยาวและแข็งแกร่งที่อยู่ใต้แขนเสื้อเหวี่ยงไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วยื่นออกไปข้างหน้า ลูกดอกที่ลอยออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเลปักลงบนช่องทริปเปิ้ลใต้ช่องยี่สิบแต้ม ผู้คนต่างร้อง ว้าว! และส่งเสียงโห่ร้องเชียร์สั้นๆ ออกมา

บนกระดานมีการแบ่งช่องได้ชวนหงุดหงิดมากจนกลัวว่าจะไม่ใช่การปาเป้าสำหรับเดิมพัน ตั้งใจทำมาให้มีช่องถี่ๆ ความแม่นยำจะได้ลดลง แต่ถ้าปาเข้าไปให้โดนพื้นที่แคบๆ ได้ก็สามารถทำแต้มสูงๆ ที่ปกติไม่สามารถทำได้ ซึ่งแตกต่างกับกระดานปาเป้าทั่วไป มูคยอมเล็งไปที่ช่องทริปเปิ้ลที่มีคะแนนสูงอย่างใจเย็น

เวลาที่มีคนมองก็จะรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา แต่มูคยอมยื่นแขนยาวๆ ออกไปอย่างสบายอารมณ์ ปั้ก ปั้ก ผู้คนต่างโห่ร้องเชียร์เมื่อเห็นลูกดอกปักตรงจุดที่เขาเล็งเอาไว้ได้สบายๆ ราวกับว่ากำลังปักเข็มลงหมอนปักเข็ม มีเสียงที่ตะโกนว่า “คิมมูคยอมเท่มาก!” อยู่ด้วย

“ครับ ผู้เล่นคิมมูคยอม! เป็นที่หนึ่งอยู่ในขณะนี้ครับ อ้อ แล้วก็เป็นแต้มสูงสุดที่สามารถทำได้ในการปาเป้านี้ด้วยนะครับ ถ้าไม่มีคนที่ทำแต้มได้สูงกว่าในเวลาที่กำหนดก็จะกลายเป็นผู้ชนะ แต่ถ้ามีคนที่ทำคะแนนได้เท่ากันก็จะเริ่มการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนะครับ”

มูคยอมสะบัดข้อมือและยิ้มออกมาเพราะน้ำเสียงของพิธีกร เขาไม่ต้องการกระเป๋าที่เป็นรางวัลที่หนึ่งยังเหลือเวลาอยู่อีกหน่อยกว่ากิจกรรมปาเป้าจะจบลง มูคยอมจึงรับเหล้ามาอีกขวดและฟังเพลงไปพลางๆ ระหว่างรอการตัดสินอันดับสุดท้าย

หากตัดสินอันดับแล้ว เขาคิดจะแลกของรางวัลกับคนที่ได้ตุ๊กตาที่เป็นรางวัลอันดับสี่ เอากลับไปไว้ที่บ้านแล้วค่อยเอาไปให้อีฮาจุนที่สนามฝึกวันพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้ก็เป็นอันจบ

ตอนที่ได้รู้เป็นครั้งแรก อาจจะเป็นตอนที่มีเซ็กซ์ครั้งที่สาม ระหว่างที่ทำอยู่ก็หลับไปราวกับหมดสติ พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่มีมูคยอมอยู่ นอนอยู่เพียงลำพังในห้องมืดๆ ที่มีแสงส่องผ่านหน้าต่างเท่านั้น

แม้แต่ความทรงจำก่อนที่จะหมดสติไปชั่วครู่ก็เลือนรางเหมือนภาพตัด จึงรีบหยิบเสื้อคลุมที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ และออกไปนอกห้องด้วยความอ้างว้างและความกลัว แต่พอออกไปแล้ว ที่ห้องนั่งเล่นก็มืดเช่นกัน แล้วก็ไม่เห็นมูคยอมด้วย จึงได้แต่ยืนโง่ๆ อยู่อย่างนั้นพร้อมกับพึมพำชื่อของมูคยอมออกมา แล้วก็ตกใจเพราะจู่ๆ มูคยอมก็เข้ามาจากทางระเบียง แต่ถึงอย่างนั้นพอนึกถึงความทรงจำในตอนที่ได้นอนดูท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยกันขึ้นมาอีกครั้งก็รู้สึกดี พอคิดถึงตอนนั้นแล้วรอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏขึ้นมา

ฮาจุนนับเงาใบไม้ที่เห็นอยู่นอกหน้าต่าง ‘หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า’ ใบของต้นไม้ใหญ่ขึ้นและสีเข้มขึ้นกว่าตอนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก ตอนเด็กๆ เวลาที่แม่ดึงเข้าไปกอดและร้องไห้ หรือเวลาที่แม่พูดปรับทุกข์อย่างไร้เป้าหมาย ฮาจุนก็จะนับลายของวอลล์เปเปอร์อยู่แบบนี้ พอทำแบบนั้นแล้ว การรอคอยให้ช่วงเวลานั้นจบลงไปก็ง่ายขึ้นหน่อย และเหนือสิ่งอื่นใด มันช่วยทำให้เขากลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาตามแม่ได้

‘สิบ สิบเอ็ด สิบสอง’

แต่วันนี้กลับเหน็ดเหนื่อยกับการทำเรื่องง่ายๆ อย่างการนับใบไม้ ฮาจุนจึงเบนสายตาไปที่เพดาน

…เมื่อได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ สิ่งที่โอเคในตอนแรก สิ่งที่มีความสุขในตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นภาระอยู่ในใจ สำหรับฮาจุนแล้ว ช่วงเวลาที่ใช้ไปกับมูคยอมในตอนนี้ เป็นอะไรที่คล้ายกับสิ่งนั้น

ไม่ได้ไม่ชอบ ถึงการมีเซ็กซ์กับเขาจะค่อนข้างยาก แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ แม้จะไม่ใช่เพราะความรู้สึกดีทางกาย แต่แน่นอนว่ารู้สึกดีถึงขนาดที่อยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานขึ้นแม้จะแค่หนึ่งวินาทีก็ยังดี

แต่เวลาที่อยู่คนเดียวหลังจากเสร็จกิจอันเร่าร้อน ความเปล่าเปลี่ยวก็ตามมาเหมือนกับเถ้าถ่านที่มาพร้อมกับความรู้สึกดีที่ผ่านไปหลังจากแผดเผาร่างกาย ตอนแรกมันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบที่ตั้งใจจะทำแบบนั้น ว่ากันว่า ‘เก็บฝุ่นรวมเป็นภูเขา’ ดูเหมือนว่าเศษเสี้ยวความรู้สึกของเขาก็สะสมก่อตัวขึ้นมาเหมือนกัน หลังจากที่มีเซ็กซ์กับมูคยอม ร่างกายก็อ่อนไหวขึ้นราวกับถูกลอกออกไปหนึ่งทบ ร่างกายที่อ่อนไหวมากขึ้นราวกับอ่อนแอไปทุกส่วนเมื่อถูกปอกเปลือกออกก็ส่งผลต่อจิตใจเช่นกัน จึงเจ็บปวดกับเรื่องต่างๆ ที่ปกติไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ใช้เวลายามค่ำคืนไปกับผู้ชายที่เฝ้ามองมาตลอด ถึงจะไม่ได้คบกัน แต่ก็ทำในสิ่งที่คนที่เป็นแฟนกันเขาทำกันมาตลอด แม้แต่เซ็กซ์ที่มีแต่ความเจ็บปวดในตอนแรก ตอนนี้ร่างกายก็คุ้นเคยกับมันแล้ว ไปถึงจุดสุดยอดหลายต่อหลายครั้ง หลงใหล และเป็นทุกข์ เพราะความรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ใช้เวลายามค่ำคืนกับมูคยอม

ฮาจุนยังจำความปลื้มใจที่รู้สึกได้ขณะที่นั่งรถในวันที่นอนที่บ้านของมูคยอมเป็นครั้งแรกได้ ตอนที่รู้สึกดีใจกับความใจดีเล็กๆ น้อยๆ ที่เขามอบให้ด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่หากมูคยอมลุกออกไปก่อนหลังจากเสร็จกิจ ความรู้สึกที่เหมือนกับความอึดอัดและความเจ็บปวดใจที่รู้สึกได้เวลาที่มูคยอมไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขา เวลาที่คิดถึงมูคยอมอยู่คนเดียวก็ถาโถมเข้ามา ฮาจุนค่อนข้างสับสนเมื่อเป็นแบบนั้น

“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ”

ในตอนนั้นเอง มูคยอมก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู ฮาจุนที่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างในระหว่างนั้น ลุกขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตอบคำถาม

แน่นอนว่ามีเหตุผลอยู่มากมายที่ความรู้สึกนี้คล้ายกับความละอายใจ แต่ก็มาจากการที่ตัวเองไม่สามารถทำให้มูคยอมพึงพอใจได้อย่างสมบูรณ์ด้วยหรือเปล่า เรื่องที่คนอื่นเขาทำเป็นกันหมด วันนี้เขาก็ทำไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้จะโดนล้อหรือเปล่า

ถึงฮาจุนจะลองพิจารณาจากสิ่งที่ตัวเองรู้ แต่พวกผู้หญิงที่มูคยอมเคยคบก็ทั้งสวยและเซ็กซี่ เป็นคนที่รับรู้ถึงเสน่ห์ของตัวเอง เผชิญหน้ากับผู้คนพร้อมรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย มั่นใจ และเป็นผู้ใหญ่ที่ได้รับการประเมินที่ดีในแวดวงของตัวเองเหมือนกับมูคยอม บางทีเรื่องบนเตียงก็คงจะเหมือนกัน

เมื่อเทียบกับคนพวกนั้นแล้ว ตัวเขาเองไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างและไม่น่าสนใจ ถึงจะไม่รู้ก็ตาม แต่เรื่องเซ็กซ์ก็คงจะเหมือนกัน สำหรับมูคยอมแล้ว การมีเซ็กซ์กับฮาจุนก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปลดปล่อยความใคร่ไปพร้อมกับหลีกเลี่ยงข่าวฉาว บางทีอาจจะน่าเบื่อและไม่สนุกเมื่อเทียบกับที่เขาเคยทำมาก็ได้

ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ก็คงจะมีแฟน มีเซ็กซ์ และถึงแม้จะไม่อยากทำก็จะลองพยายามทำตามให้ได้เท่ากับที่คนอื่นเขาทำกัน ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ก็คงจะได้ใช้เวลายามค่ำคืนไปกับมูคยอมได้อย่างช่ำชองมากกว่านี้อีกหน่อย เพราะอย่างนี้คนเขาถึงได้พูดกันว่าต้องลองทำตามคนอื่นๆ ทุกอย่างล่ะมั้ง

ฮาจุนที่อยากจะเพิ่มความมั่นใจที่เกิดรูรั่วเล็กๆ ขึ้นมา เรียกมูคยอมทั้งๆ ที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่บนเตียง

“คิมมูคยอม”

“หืม?”

“ใช้ปากทำให้ไหม”

ตาของมูคยอมที่อยู่ใต้ผ้าขนหนูเบิกกว้างเพราะข้อเสนอที่ไม่ทันตั้งตัวของฮาจุน แล้วก็หัวเราะคิกคักออกมาทันทีเหมือนมีอะไรน่าตลก

“ทำไมล่ะ พอปล่อยเอาไว้เฉยๆ แล้วก็คันปากขึ้นมาหรือไง”

“ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้อง”

“ใครบอกว่าไม่อยาก ฉันต้องขอบใจนายด้วยซ้ำ”

มูคยอมนั่งเคียงข้างอยู่บนเตียงและตบแก้มของฮาจุนหนึ่งครั้ง ที่พูดออกมาก็เพราะว่าอยากจะทำให้ดีกว่าเดิม แต่มูคยอมดันหยอกล้อราวกับมีอะไรน่าตลกซะอย่างนั้น

ฮาจุนลงไปด้านล่างของเตียงและคุกเข่าลงตรงระหว่างขาของมูคยอม น้ำรักของมูคยอมจะไหลออกมาระหว่างก้นอยู่ตลอด จึงงอข้อเท้ารองก้นเอาไว้

ฮาจุนค่อยๆ ใช้ลิ้นเลียแท่งร้อน และดูดเม้มริมฝีปากกลืนกินแก่นกายของมูคยอม แก่นกายที่ทั้งยาวและหนาของมูคยอม เต็มปากจนถึงขนาดที่ถ้ากลืนเข้าไปทั้งหมดก็คงทิ่มไปถึงช่องคอ ถึงตอนแรกจะสำลักอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขารู้เทคนิคจึงสามารถใส่เข้าไปในปากทั้งหมดได้

กระตุ้นส่วนปลายแก่นกายด้วยการเปิดและบีบภายในคอ เอียงหัวไปมาดูดแก่นกายขึ้นลงซ้ำไปซ้ำมา ตอนที่ถูเพดานปากและเยื่อบุด้านในกับส่วนปลายของแก่นกาย ฮาจุนรู้สึกได้ถึงความสุขเล็กๆ ที่พุ่งขึ้นสูงอย่างน่าประหลาดใจ และเกร็งปลายนิ้วที่วางอยู่บนต้นขาของมูคยอม

“ฮู่ว…”

อีกฝ่ายผ่อนลมหายใจออกมาราวกับรู้สึกดีอยู่เหนือหัวของเขา เป็นหลักฐานว่าฮาจุนกำลังทำได้ดี มือของมูคยอมลูบหัวของฮาจุน

“ตอนนี้นายเก่งแล้วจริงๆ ฉันคงมีพรสวรรค์ในการสอนอยู่บ้าง ไว้ต่อไปฉันออกจากงานแล้วมาเป็นโค้ชดีไหมนะ”

ตอนนี้มูคยอมที่เคยต่อว่าเขาว่าทั้งจูบ ทั้งใช้ปากไม่เก่งในตอนแรกเอ่ยปากชมแล้ว ใจของฮาจุนฟูขึ้นมาเหมือนกับฟองนม ความรู้สึกหม่นหมองเวลาที่อยู่คนเดียวก่อนหน้านี้ก็ถูกปัดเป่าออกไปด้วยเช่นกัน

ต่อไปเวลาที่อยู่ข้างบนก็จะทำได้ดีกว่าเดิมแล้วสิ เขาขยับหัวไปมาอย่างตั้งใจมากกว่าเดิมด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงสั่นเบาๆ มาจากที่ไหนสักที่

มูคยอมที่มองไปรอบๆ หยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างเตียงขึ้นมา เขามองหน้าจอไปสักพักเหมือนกำลังคิดว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่สุดท้ายก็เอาแนบกับหู

“ว่าไง พี่”

ฮาจุนปล่อยแก่นกายที่กำลังอมเอาไว้ เพราะกลัวว่าจะรบกวนการคุยโทรศัพท์ มูคยอมเหลือบมองลงไปข้างล่างและดันหลังหัวของฮาจุนเข้ามา ฮาจุนรู้ว่ามูคยอมตั้งใจจะพูดว่าอะไรจึงดูดดึงแก่นกายเข้าไปในปากลึกๆ ต่ออีกครั้ง

“ตอนนี้? ผมยุ่งอยู่”

มูคยอมตอบราวกับหงุดหงิด ถึงจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามพูดว่าอะไรบ้าง แต่เสียงก็ดังมาถึงหูของฮาจุนเบาๆ ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่น่าจะเป็นการขอให้ช่วย

“ไม่รู้สิ ก็ต้องมีเรื่องสนุกๆ กันบ้าง”

นิ้วเรียวยาวของมูคยอมสางและลูบหัวฮาจุนไปด้วยประหนึ่งหวี คล้ายชมว่าเก่งมาก พอได้รับคำชมฮาจุนก็ใช้ลิ้นโลมเลียส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนปลายกับแท่งร้อน เสียงของมูคยอมที่คุยโทรศัพท์อยู่เลยช้าและแผ่วลงเล็กน้อย

“อ่า… จำได้ อะอืม… ครั้งก่อนก็ทักทายกันแป๊บหนึ่ง”

ฮาจุนรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเสียงของมูคยอมเซ็กซี่ จึงหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะและค่อยๆ ขยับหัวอย่างช้าๆ ฝ่ายตรงข้ามพูดอะไรบางอย่างไปอีกสักพัก ถึงแม้จะเงี่ยหูฟังโดยไม่รู้ตัวก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ยินว่าพูดว่าอะไร

“…เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดด้วย”

มูคยอมพูดว่า ‘ไว้เจอกัน’ และวางสาย มือที่วางอยู่ข้างโทรศัพท์ขึ้นมาอยู่บนหัวของฮาจุนอีกครั้ง เขาพูดพร้อมกับตบเบาๆ

“ฉันมีธุระ คงต้องออกไปข้างนอก”

หลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น เขาก็ยื่นแขนออกมาเพื่อที่จะพยุงฮาจุนให้ลุกขึ้น ฮาจุนปล่อยสิ่งที่กำลังอมเอาไว้ในปากออกมา คิ้วขมวดเข้าหากันและน้ำเสียงไม่พอใจก็ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เอาให้เสร็จก่อนไหม”

การบอกอย่างแน่วแน่ทำให้มูคยอมเบิกตากว้างและแค่นหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจราวกับมีเรื่องน่าขำอีกแล้ว เขาเห็นท่าทีแบบนั้นเป็นประจำเวลามูคยอมมีเซ็กซ์ ที่จริงฮาจุนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น

“นี่แหละนะครับ โค้ชอีฮาจุน”

“…นั่นหมายความว่ายังไงอีก”

“หมายความว่าจริงใจ”

ฮาจุนเอาแก่นกายของมูคยอมเข้าปากอีกครั้ง เขาบีบแก้มให้แคบลงและขยับหัวไปข้างหน้าและหลังให้เร็วกว่าเดิม ดูดดึงอยู่อย่างนั้นไปสักพัก ภาพซิกแพคด้านล่างของมูกยอมหดเกร็งก็ปรากฏเข้ามาในสายตา เป็นเหมือนกับนิสัยหรือความเคยชินของเขาที่เห็นตอนที่ใกล้จะถึงจุดสุดยอดเวลาที่ใช้ปากทำให้

“อา”

เสียงครางที่สั้นและต่ำ เพียงแค่เสียงของมูคยอมที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนที่จะได้ฟังเฉพาะเวลาที่มีเซ็กซ์เท่านั้น ก็ทำให้ใจเต้น ฮาจุนจึงหลับตาลง มือใหญ่จับหัวของฮาจุนเอาไว้เบาๆ

มูคยอมที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นยืน จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน แก่นกายที่อมเอาไว้จึงจะเคลื่อนตัวหลุดออกมาจากปาก เขาจึงรีบขยับตามพร้อมกับคุกเข่า สวบ แก่นกายดุนดันเข้ามาถึงในปาก อุ๊บ เสียงหายใจที่ปนกับเสียงครางดังออกมาจากปากของฮาจุน

“แฮ่ก ฉันจะขยับนะ อมเอาไว้ก่อน”

ฮาจุนพยักหน้ารับเบาๆ ถึงตอนที่ดูดดึงด้วยตัวเองจะสามารถแสดงสิ่งที่พอจะเรียกว่าฝีมือที่ยอดเยี่ยมใช่เล่นได้ แต่เวลาที่มูคยอมเอาใส่ปากพร้อมกับขยับไปด้วยนั้นไม่ใช่เลย กะจังหวะการบีบและคลายลำคอ หรือระยะการปรับลมหายใจตามได้ยาก จึงทำได้แค่โฟกัสไปที่การอมแก่นกายจนกว่ามูคยอมจะถึงจุดสุดยอดเท่านั้น

ฮาจุนจึงคิดว่าการที่ตัวเองเป็นคนดูดดึงด้วยตัวเองน่าจะรู้สึกดีกว่า แต่ไม่รู้ว่ามูคยอมชอบแบบไหน บางครั้งก็เอาใส่ปากแล้วพยายามขยับเอวเหมือนกับตอนนี้ ระหว่างที่ออกแรงไปที่แก้มเพื่อบีบรัดไปเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าริมฝีปากจะหมดแรงไปซะก่อน สิ่งนั้นของมูคยอมก็เริ่มจ่อมาที่ริมฝีปากและเข้ามาภายในปากราวกับทะลวงเข้ามา และดุนดันเข้าไปจนถึงในคอ

“อุ๊บ… อุ อื๊บ อือ”

ไม่ได้ไม่ชอบ หากแท่งร้อนถูไปกับเยื่อบุในปากทั้งสองฝั่งและบนลิ้น ส่วนปลายของแท่งร้อนขูดกับเพดานปาก และดุนดันไปถึงช่องคอซ้ำๆ ความรู้สึกดีแปลกๆ ที่ทำให้รอบๆ หูชาขึ้นมา ทำให้สติเลือนรางทุกครั้งราวกับจั๊กจี้ แต่ยังหายใจได้ไม่ค่อยสะดวก

จังหวะหนึ่งที่เสียงครางถูกยั้งเอาไว้และเสียงแฉะๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่แก่นกายแทรกเข้ามาระหว่างริมฝีปาก แก่นกายของมูคยอมก็หดเกร็งอยู่ในปากของฮาจุน เขารู้ว่าใกล้จะหลั่งน้ำรักออกมาแล้ว จึงเตรียมที่จะกลืนมันลงไป แต่แก่นกายของมูคยอมก็ถูกดึงออกไปทันที

น้ำรักที่ตั้งใจจะหลั่งในปากจึงไหลลงบนริมฝีปากที่บวมกว่าปกติเพราะถูกเสียดสีมาสักพัก ความร้อนจากของเหลวที่จู่ ๆ ก็ไหลรินอาบผิวและความสุขซึ่งพรั่งพรูในปากที่ถูกสอดใส่อยู่พักใหญ่ทำให้ร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่สั่นเทิ้มเล็กน้อย มูคยอมจับแก่นกายหนาๆ ที่หลั่งน้ำรักออกมาเอาไว้ และถูไปที่หน้าของฮาจุน ของเหลวขาวขุ่นเปรอะไปที่แก้ม ปาก และทุกๆ ส่วนของใบหน้า ฮาจุนหลับตา และปล่อยให้มูคยอมละเลงใบหน้าของตัวเองด้วยน้ำรักให้เต็มที่

ในที่สุดมูคยอมที่หลั่งน้ำรักออกมาเป็นเวลานานและถูแก่นกายไปที่หน้าของฮาจุน ก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ ราวกับไปถึงฝั่งเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับปล่อยมือที่จับแก่นกายเอาไว้ จากนั้นก็สอดแขนเข้าไปใต้รักแร้ของฮาจุนที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นและดึงให้ลุกขึ้น มูคยอมให้ฮาจุนนอนลงบนเตียงเป็นแนวเฉียง พร้อมกับปรายตามองเรือนร่าง จากนั้นก็พูดพร้อมหัวเราะคิกคักราวกับว่ามีอะไรน่าหัวเราะอีกแล้ว

“ไหลทั้งข้างบนข้างล่างเลย น่าดึงดูดชะมัด”

แม้แต่ใบหน้าของฮาจุนที่เฉยเมยมาจนถึงตอนนี้ก็แดงฉานขึ้นมาในครั้งนี้ เขาใช้หลังมือเช็ดของเหลวบนใบหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน ขาที่นั่งคุกเข่ามาสักพักก็มีอาการชา

“ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”

“ที่พูดเพราะดูดีนะ ทำไมต้องโมโหด้วยล่ะ”

ฮาจุนทิ้งมูคยอมที่ล้อเล่นแถมยังพูดอะไรที่น่าหมั่นไส้เอาไว้ และเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ใช้อาบน้ำเป็นประจำทั้งๆ ที่เป็นห้องน้ำที่ตัวเองใช้อยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เข้ามา เขาเปิดน้ำและยืนอยู่ใต้สายน้ำในห้องน้ำที่เหมือนกับของโรงแรมที่นอกจากปริมาณของของใช้ในห้องน้ำที่ลดลงไปทีละนิดแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกของความเป็นชีวิตประจำวันอยู่เลยเหมือนเช่นเคย

ซ่าาา เสียงที่เหมือนกับสายฝนดังขึ้นมา สายน้ำเป็นเส้นบางๆ และมีแรงดันสูงตกกระทบลงมาบนหัวของฮาจุน ฮาจุนที่ชำระล้างร่างกายไปพร้อมกับแปรงฟัน อ้าปากรับน้ำเพื่อล้างภายในปากด้วยน้ำหลายต่อหลายครั้ง ใช้ฟองสบู่ล้างของเหลวที่ติดอยู่บนใบหน้าและสระผมไปด้วย เขาบีบเจลอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกาย

คว้าเอาฝักบัวอาบน้ำที่ถูกแขวนเอาไว้มาใช้ชำระล้างของเหลวที่ติดอยู่ตรงขาและสะโพก ถ้าไม่ล้างน้ำรักอย่างพิถีพิถันจะทำความสะอาดออกได้ไม่หมด และสุดท้ายเขายกขาข้างหนึ่งขึ้นไปวางบนขอบอ่างอาบน้ำและสอดนิ้วเข้าไประหว่างสะโพกอย่างช้าๆ

ครั้งสองครั้งแรกยังไม่เป็นอะไรก็เลยไม่รู้ แต่เพิ่งมารู้ทีหลังเพราะว่าปวดท้องโดยที่ไม่ได้ไปกินอะไรผิดสำแดงมา ก็เลยตั้งใจคิดถึงสาเหตุ จึงได้รู้ว่าปวดท้องเฉพาะวันที่มีเซ็กซ์กับมูคยอมเท่านั้น พอรู้แล้วก็คิดว่าถ้าหลั่งน้ำรักข้างในก็อาจจะทำให้ปวดท้องได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มักจะต้องล้างไปถึงด้านในด้วย

เขาใช้นิ้วขูดเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวังและยืดตัวตรง อ่อก แต่เหมือนมีก้อนนิ่มๆ เล็กๆ ดันขึ้นมาตรงหน้าอก หัวใจที่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเหมือนกับนมอุ่นๆ ตอนที่ได้รับคำชมจากมูคยอมเมื่อกี้นี้ ตอนนี้กลับร้อนรุ่มเหมือนหม้อที่เดือดพลุ่งพล่าน ฮาจุนรีบยกฝักบัวจ่อไปบนหน้าอีกครั้ง

ทำไมช่วงนี้ถึงเป็นแบบนี้กันนะ

ฮาจุนยืนรับน้ำครู่หนึ่ง

ฮาจุนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย สวมเสื้อคลุมตัวยาวและเดินออกมาจากห้องน้ำ เสื้อคลุมยาวตัวนั้นที่มูคยอมซื้อมาทิ้งไว้ เขารับมาเพราะคิดว่าเหมือนชุดคู่ แม้จะแค่แป๊บเดียวก็ตาม ราวกับว่ามูคยอมกำลังเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอกอยู่ที่ห้องแต่งตัว เขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวในนั้น ฮาจุนเองก็ใส่ชุดที่ถูกถอดวางเอาไว้ หลังจากหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าแล้วก็นั่งบนเก้าอี้เพื่อรอมูคยอมเตรียมตัวให้เสร็จ

สายตาของฮาจุนเหม่อลอยและมองไปบนโต๊ะ เขากวาดฝ่ามือไปบนแผ่นไม้ลื่นๆ แล้วค่อยๆ โน้มตัวลง ก้มหัวและนอนคว่ำลงไปกับโต๊ะเหมือนกับเวลาที่นอนหลับในสมัยเรียน อาจจะเป็นเพราะความอัดอั้นที่ไม่ได้ทำมานาน วันนี้เลยเหนื่อยเป็นพิเศษ

พอเห็นสีหน้าที่ดูจะพึงพอใจของมูคยอมแล้ว ฮาจุนเองก็สบายใจ เมื่อมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เริ่มขยับเอวขึ้นลง

“อือ อื๊อ”

หลังจากที่ได้มีเซ็กซ์กับมูคยอมหลายครั้ง ฮาจุนเองก็สามารถรับรู้ถึงสวิตช์ในร่างกายของตัวเองได้ ความรู้สึกที่ผนังด้านในที่มีเลือดคั่งจากการกระตุ้นอันยาวนานแยกออกอย่างต่อเนื่องมาพร้อมกับความปวดร้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ร่างกายที่คุ้นเคยกับความสัมพันธ์มากขึ้นกลับรู้สึกดีมากกว่าเจ็บปวด

ฮาจุนขยับเอวโดยจ่อส่วนที่ตัวเองรู้สึกได้มากที่สุดให้ตรงกับปลายแก่นกายของมูคยอมโดยไม่รู้ตัว ความไม่ราบเรียบที่นูนขึ้นมามากที่สุดของแก่นกายที่เชื่อมต่อตั้งแต่แท่งร้อนไปจนถึงส่วนปลายถูกเสียดสีหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งยังสะกิดและถูไปบนต่อมลูกหมากที่ปูดบวม

“อ๊ะ อะ อึก อ๊า…”

เป็นความพึงพอใจที่ส่งเสียงร้องออกมายาวๆ ด้วยตัวเอง จึงไม่ง่ายเลยที่จะกลั้นเอาไว้

ฮาจุนหยุดขยับเอวและตัวสั่น โดยที่เอามือค้ำไว้ที่หน้าอกของมูคยอมอีกครั้งเพื่อประคองตัว เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกดีอันรุนแรงที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับจะทำให้เป็นอัมพาตไปทั้งตัวได้ ในหัวของเขาว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก ภาพที่อยู่ข้างหน้าหมุนเคว้งไปมา

ปั้ก พอมูคยอมยกเอวขึ้นอย่างแรงราวกับรอไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายของฮาจุนก็ลอยขึ้นเล็กน้อยและทรุดฮวบลงมา

อีกครั้ง ฮาจุนเอนหัวไปข้างหลังและกรีดร้องออกมา

“อ๊ะ!”

“ขยับไม่กี่ครั้งแล้วก็หยุดอยู่นั่น”

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”

ตัวของฮาจุนสั่นไหวอย่างแรงไปตามการโยกตัวขึ้นอย่างแรงของมูคยอม เหมือนกับตุ๊กตาที่หลุดออกจากเชือก เมื่อแก่นกายที่แทงเข้าไปจากล่างขึ้นบนจนถึงจุดที่อยู่ลึกเข้าไปถึงในท้อง ความรู้สึกดีที่เหมือนอาการช็อกที่สั่นสะเทือนจนชาไปถึงด้านบนสุดของหัวก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ฮาจุนที่ทนไม่ไหวจึงรีบลุกขึ้นและพยายามจะหนีไป

แต่มูคยอมยื่นมือไปคว้าแขนของฮาจุนเอาไว้ได้เสียก่อน มือใหญ่โอบรอบข้อมือเอาไว้เหมือนกับกุญแจมือ ฮาจุนที่ถูกดึงแขนลงมาไม่สามารถขยับไปไหนได้ และเริ่มครางออกมาเหมือนกับสะอึกสะอื้นทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนตัวของมูคยอมราวกับถูกจับกุมอยู่ในท่านั่ง มูคยอมขยับเอวเร็วขึ้นกว่าเดิม

“ฮึก อ๊า อะ อึก อือ…!”

ร่างกายโยกขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ เสียงครางที่ดังออกมาจึงปนเปกันไปหมด เมื่อมูคยอมดึงแขนไปหาตัวเอง ตัวของฮาจุนจึงล้มอยู่บนร่างกายท่อนบนของมูคยอมที่นอนหมิ่นเหม่ หน้าอกและหน้าท้อง

ของทั้งคู่จึงสัมผัสกัน

มูคยอมโอบเอวของฮาจุนเอาไว้ทั้งๆ ที่ยังรวบข้อมือเอาไว้อยู่ จากนั้นก็กลับไปอยู่หลังเอวพร้อมกับแขน ฮาจุนจึงมีสภาพเหมือนถูกมัดข้อมือเอาไว้ด้านหลัง แต่ระหว่างนั้น ร่างกายท่อนล่างก็ยังโยกขึ้นอย่างแรงอยู่ตลอด ความรู้สึกดีอันไร้ความปรานีถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเจ็บปวดในท้อง ฮาจุนฝังหน้าลงกับต้นคอและไหล่ของมูคยอมและถูหน้าผากไปมา

“อ๊า อะ อ๊ะ อื้อ!”

“ที่ผ่านมา ไม่มีใคร สอนอะไรแบบนี้ ให้เลยเหรอ”

มูคยอมถามราวกับเยาะเย้ย นี่มันคืออะไรกัน ไม่รู้เลยว่าหมายความว่ายังไง ฮาจุนส่ายหน้าด้วยความมึนงง

“โยกเอวให้มันดีๆ ยังทำไม่เป็นเลย เคยคบแต่คนกระจอกๆ หรือยังไง”

“อื๊อ อึก อือ ขอโทษ…”

พอเขาเอ่ยคำขอโทษโดยอัตโนมัติเพราะคำซักถามนั่น มูคยอมก็ขยับตัวเล็กน้อยเหมือนหัวเราะอีกครั้ง ที่ตอบไปมันแปลกเหรอ? จังหวะที่ฮาจุนเม้มปากแล้วเผลอกลั้นเสียงครางโดยไม่รู้ตัว มูคยอมก็ปล่อยมือเขาให้เป็นอิสระ

แฮ่กๆ ฮาจุนหายใจหอบแล้วรีบคว้าไหล่ของมูคยอมไว้ มันเป็นการขยับตัวตามสัญชาตญาณเพื่อลดแรงกระแทกให้สอดใส่ไม่ลึกนัก คราวนี้มือของมูคยอมเลยจับเชิงกรานของฮาจุนไว้

“โยกไปมาแบบนี้”

มูคยอมโยกเชิงกรานที่จับเอาไว้ให้ขยับไปมา แก่นกายหนาที่อัดแน่นอยู่ในตัวเสียดแทงมุมที่ผิดแปลกไปจากเดิมของผนังด้านใน จึงทำให้เกิดความรู้สึกดีใหม่ๆ ขึ้นมา ฮาจุนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ เขาเปิดปากกรีดร้องอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่ฝังหน้าลงไปที่ไหล่ของมูคยอม

มูคยอมที่มองลงไปยังต้นคอที่สั่นเทาใต้ศีรษะที่ฝังอยู่บนไหล่ของตัวเอง เปลี่ยนการเคลื่อนไหวและหมุนสะโพกของฮาจุนที่นั่งอยู่บนตัวเองเป็นวงกลม

“หมุนแบบนี้ด้วย ทำแบบนี้ไง”

“ฮ๊า อึ๊ก อือ… อะอ๊า!”

“ดูสิ นายก็รู้สึกดีใช่ไหม”

“อือ อะ อึ๊ก! อะอือ รู้สึกดี”

ปลายแก่นกายติดอยู่ในจุดที่ลึกมากและกวัดแกว่งไปมาอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถทิ้งความรู้สึกดีที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งในและนอกกายได้ ฮาจุนจึงตอบพลางพยักหน้าอย่างไร้สติ มือที่ทั้งใหญ่และแข็งแกร่งของมูคยอมขยับเอวของฮาจุนให้ขึ้นลง ไปซ้ายทีขวาทีตามอำเภอใจ เสียงครางอันเร่าร้อนจึงออกมาจากปากของฮาจุนไม่หยุด

ระหว่างนั้น เอวที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนพลิ้วที่กล้ามเนื้อหลังก่อตัวกันจนแน่นก็คุ้นเคยกับเทคนิคของท่าใหม่ได้ในไม่ช้า มูคยอมสังเกตได้ว่าฮาจุนกำลังขยับไปตามที่ต้องการแม้จะไม่มีมือของตนเองจับเอวเอาไว้ มูคยอมจึงค่อยๆ ปล่อยมือที่จับเอวเอาไว้ เหมือนกับปล่อยมือระหว่างสอนขี่จักรยาน โดยที่คนขี่ไม่รู้ตัว และคว้าสะโพกที่สั่นไหวอยู่บนร่างของตนเองเอาไว้

ตอนนี้ฮาจุนโอบแขนไว้ที่หลังคอของมูคยอมแทนที่จะหนี และกระทั้นกระแทกเอวขึ้นลงหรือหมุนไปมาเพื่อกวัดแกว่งผนังด้านในด้วยตัวเอง

“ฮ๊า ฮ๊าาา อะ อ๊ะ!”

“เก่งแล้วนี่ โค้ชอี”

ตีสะโพกราวกับชื่นชมได้ไม่นาน ร่างกายของฮาจุนก็สั่นสะท้าน แต่เพราะมีการขับน้ำรักไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว น้ำรักเหลวๆ จึงไหลออกมาเป็นทาง เขาไปถึงจุดสุดยอดจากการขยับเอวจากข้างบนด้วยตัวเอง

มูคยอมพยายามนับดูว่าเป็นการถึงจุดสุดยอดครั้งที่เท่าไร แต่ก็ล้มเลิกกลางคัน อาจจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนไหวมากขึ้น ระยะห่างในการถึงจุดสุดยอดของฮาจุนจึงสั้นลงเรื่อยๆ มูคยอมยิ้มบางๆ ราวกับพอใจที่ได้เห็นภาพนั้น แล้วก็สบตาเข้ากับฮาจุน ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่รู้ตัว ฮาจุนเผยอปากออกเล็กน้อยเหมือนกับคนที่มีอะไรจะพูดพร้อมกับมองเขา

เป็นสีหน้าที่บอกว่าอยากจูบอย่างที่เคยแสดงให้เห็นตั้งแต่วันแรก

ถึงการจูบจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่พอเห็นท่าทีวู่วามโดยไร้คำพูดใดๆ แบบนี้แล้ว ก็ดันอยากจะเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมาดื้อๆ มูคยอมก้มหน้าลงไปเหมือนจะจูบ แล้วก็จัดแจงให้ฮาจุนนอนลงบนเตียงอีกครั้งโดยที่ไม่ได้เอาแก่นกายที่ฝังลึกอยู่ข้างในออก แทนการจูบ

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน… ฉันยัง…”

มูคยอมประกบปากลงไปบนปากของฮาจุนที่กำลังจะพูดออกมาว่า ‘คงทำต่อไม่ได้’ หรือไม่ก็ขอให้เขารอ เพื่อลบล้างคำพูดที่กำลังจะออกมาจึงกดริมฝีปากนุ่มๆ และใช้ลิ้นจั๊กจี้ลิ้นของอีกฝ่าย พอสอดลิ้นเข้าไปถึงช่องคออย่างที่ฮาจุนชอบ ร่างกายก็หมดเรี่ยวแรงที่จะผลักมูคยอมออกไป ผนังด้านในที่ห่อหุ้มมูคยอมเอาไว้ ขยับและบีบรัดราวกับรู้สึกได้มากขึ้นราวกับร่างกายที่บีบรัดภายในให้แคบลงด้วยการจูบเป็นสิ่งที่มีมาแต่เกิด พอเอาลิ้นที่สอดเข้าไปขูดกับเพดานปาก ส่วนล่างก็กระตุกราวกับว่าส่วนที่โลมเลียไม่ใช่ปากแต่เป็นช่องทางรัก

ระดับการตอบสนองของฮาจุนที่เหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่สิ ดีขึ้นเรื่อยๆ ถูกใจมูคยอมเสียเหลือเกิน แม้ความต้องการที่สงบลงไปบ้างจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งก็ตาม ระหว่างที่ฮาจุนกำลังพยายามอยู่ข้างบน มูคยอมก็ขยับเอวดุนดันภายในของร่างกาย

ที่ห่อหุ้มตัวเองเอาไว้อย่างดุดันราวกับพลังจำนวนมากที่ถูกใช้ไปได้ฟื้นฟูกลับคืนมาจนเต็มอีกครั้ง เสียงกรีดร้องของฮาจุนที่ถูกยั้งไว้ด้วยจูบ ไม่สามารถออกมาได้อย่างเต็มที่และถูกกลืนหายไป

หลังจากที่ใส่ไปไม่ยั้งแบบนั้นแล้ว พอร่างที่อยู่ข้างล่างเริ่มสั่น เขาก็ขยับเอวเบาลงและเปลี่ยนมาถูส่วนบนต่อมลูกหมากด้วยปลายแก่นกาย ถึงตอนที่เป็นคนกระแทกเอวด้วยตัวเองจะสามารถหยุดได้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ฮาจุนสามารถทำได้เลย

“อือ อื้อ อะ…อื๊อ!”

ถึงฮาจุนจะดิ้นราวกับต้องการจะออกจากด้านล่างของมูคยอม แต่ร่างกายที่ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดกลับทำได้แค่ดิ้นอย่างอ่อนแรง การขัดขืนจึงจบลงแค่นั้น พอปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระ ก็ขอร้องราวกับทำท่าจะร้องไห้ เสียงของฮาจุนที่ได้ฟังในเวลาแบบนี้นี่แหละ คือเครื่องดื่มฉลองชัยชนะที่หอมหวานที่สุดที่มูคยอมเคยดื่มหลังจากการแข่งขัน

“อะ อ๊า… หยะ หยุด อื๊อ… ขอร้อง หยุดที… อือ อี๊อออ!”

ในขณะที่สนุกกับเสียงครางอันหวานหูก็ดุนดันลึกเข้าไปซ้ำๆ จนถึงจุดที่ผนังด้านในคับแคบลงทันทีโดยไร้ซึ่งคำเตือนใดๆ ฮาจุนเงยหน้าขึ้นและเริ่มกรีดร้องอย่างเร่าร้อนออกมา

“อ๊า อ๊ะ! แฮ่ก อ๊า!”

ปลายนิ้วขูดไปบนที่นอน พลังที่พลุ่งพล่านแทรกเข้าไปด้านในของต้นขาขาวๆ ที่ทั้งหนาและเต่งตึงแล้วก็คลายออก ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัวเริ่มจากขาและเชิงกรานราวกับเครื่องยนต์ที่เสีย ขาทั้งสองข้างที่วางลงอย่างแผ่วเบาไถลไปบนที่นอนและขยับขึ้นลง สะโพกหดเกร็งและเอวลอยอยู่เหนือที่นอนอยู่เรื่อยๆ

มูคยอมที่สอดใส่เข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปั้ก จับเชิงกรานของฮาจุนเอาไว้แน่นพร้อมกับหยุดขยับเอว เพื่อทำให้ฮาจุนอยู่กับที่หนีไปไหนไม่ได้ เมื่อถึงจุดนี้แล้ว แม้จะไม่ขยับต่อโดยที่ยังฝังลึกอยู่ข้างใน ฮาจุนก็ไม่สามารถทนกับความรู้สึกดีได้

กระดูกอ่อนของลำคอที่เอนหงายไปข้างหนึ่งจนตึงสั่นไหว ริมฝีปากที่ค่อยๆ เผยอออกก็สั่นสะท้านเช่นกัน แม้แต่ลิ้นก็ยังแลบออกมานิดๆ ราวกับถูกบีบคอ

“อะ… อ๊า…! อือออ อื้อ…!”

ถึงจะแสดงให้เห็นว่ากำลังรู้สึกถึงการไปถึงจุดสุดยอดของความสุขไปทั่วร่าง แต่แก่นกายของฮาจุนกลับไม่แข็งตัวและไม่ปล่อยอะไรออกมาเลย มูคยอมแสยะยิ้มออกมา ภาพที่ร่างกายของชายคนเดียวกันรู้สึกแบบนี้ ภาพที่ถูกผลักดัน

ไปให้ถึงขีดสุดของจุดสุดยอดแบบนี้เพราะเขา จะให้มองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

ฮาจุนที่สั่นไหวอยู่กับที่โดยที่โดนจับเอวเอาไว้ ยกมือที่ขยำผ้าปูที่นอนเอาไว้ขึ้นมาปิดหน้า มูคยอมปล่อยให้ฮาจุนรู้สึกได้อย่างเต็มที่ขณะที่เขาค่อยๆ หมุนเอวกวัดแกว่งด้านใน

“อะอ๊า… อะ อ๊า อ๊ะ! อ๊า ฮึ๊กก ฮึก ฮ๊า อ๊า…!”

“แฮ่ก…”

ภายในบีบรัดและคลายออกไปตามอารมณ์พร้อมกับรูดแก่นกายขึ้นลงและรัดแน่นราวกับกวัดแกว่ง มูคยอมสนุกกับผนังด้านในอันอ่อนนุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกดีในตอนที่ร่อนเอวกระแทกใส่ไม่ยั้ง และความรู้สึกดีที่ได้สนุกไปกับเรือนร่างของฮาจุนไปอย่างช้าๆ มีรสชาติที่แตกต่างกันไป

“อึกกก ฮึ๊ก อื้อ…”

ร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกของการขับน้ำรักทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ จากการเสร็จทางด้านหลังไปหลายต่อหลายครั้ง แถมยังไม่สามารถทนความรู้สึกเจ็บปวดเยื่อหุ้มผนังที่อ่อนไหวตั้งแต่ก่อนที่จะไปถึงจุดสุดยอดที่เพิ่งจะเกิดขึ้น สุดท้ายฮาจุนจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

มูคยอมมองลงไปที่ใบหน้านั้น และรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ตัวเขาเป็นคนสร้างขึ้นมาผ่านร่างกายที่แนบชิดกันได้พอสมควร เขายิ้มออกมาบางๆ ราวกับเพิ่งจะรู้สึกพอใจ ถึงแม้จะเคยทำกับใครต่อใครมาหลายคน แต่ก็ได้ถามในสิ่งที่ไม่เคยถามมาก่อนในชีวิตกับฮาจุนอยู่บ่อยๆ เหมือนกับเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งเคยเรียนรู้เซ็กซ์เป็นครั้งแรก เขาเอามือที่ปิดใบหน้าของฮาจุนออก และเสยผมที่เปียกเหงื่อไปด้านหลังจนเผยให้เห็นหน้าผากขาว

“อีฮาจุน ชอบไหม”

“อ๊า ฮึก อือ ชอบ แฮ่ก ชอบ…”

ฮาจุนที่ตอบออกมาแบบนั้น แม้ว่าจะน้ำตาไหลออกมา แต่ก็สบตาอันพร่ามัวกับมูคยอมราวกับว่าต้องทำแบบนั้นเท่านั้น เพราะชอบการแสดงออกแบบนั้น เวลาที่มีเซ็กซ์ก็ต้องร้องออกมาหนึ่งครั้ง พอร้องออกมาแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายก็จะถาม

ตอนแรกๆ ทำแค่สองสามครั้งก็ได้เห็นน้ำตาแล้ว แต่ตอนนี้เขาทนได้นานเกิดคาด รู้งี้ถ้าร้องให้เร็วกว่านี้ อีกฝ่ายก็อาจจะรังแกกันน้อยกว่านี้ก็ได้ มูคยอมก้มหน้าลงเลียน้ำตาของฮาจุน และถูริมฝีปากกับดวงตาที่เปียกชื้น แต่แทนที่น้ำตาจะหยุดไหล กลับไหลออกมาหนักกว่าเดิม ปากของมูคยอมจึงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา

นิ้วของมูคยอมคลำขึ้นไปหาข้อมือของฮาจุนที่วางเอาไว้เฉยๆ บนที่นอน เขาใช้นิ้วโป้งกดกล้ามเนื้อรูปกระดูกที่เรียวบางตรงกลางข้อมือเบาๆ และใช้นิ้วปัดขึ้นไปถึงบนฝ่ามือ เมื่อมือของทั้งสองสัมผัสและประสานเข้าด้วยกัน นิ้วของฮาจุนก็สั่นไหวและจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้

“อ่า… อะอ๊าา! อ๊า! อ๊า!”

อีกฝ่ายเริ่มขยับเอวอีกครั้งโดยที่ยังจับมือเขาเอาไว้แน่น เมื่อเริ่มดุนดันด้านในที่ยังบีบรัดอยู่ เสียงอันยั่วยวนที่กลายเป็นเสียงร้องก็ดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน พร้อมกับเสียงแฉะๆ ที่ผิวหนังชื้นๆ กระทบกัน แต่มูคยอมก็ยังไม่ยอมหยุด

***

มูคยอมที่ขับน้ำรักอีกครั้งในตัวของฮาจุนเสร็จ มองลงไปที่ผู้ชายที่หายใจหอบราวกับปลาที่ขึ้นมาบนบก ช่องทางรักที่ได้รับน้ำรักอย่างเต็มที่ ไม่สามารถเก็บกักเอาไว้ได้หมด จึงไหลลงมาเป็นสาย เขาคิดในสิ่งที่ยากที่จะเป็นจริงได้ ที่อยากจะขับน้ำรักเข้าไปจนกว่าหน้าท้องสวยๆ จะเต่งตึง และดึงแก่นกายที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในออกพร้อมกับลุกขึ้นยืน

ร่างกายที่มีกล้ามเนื้อสีแทนที่ชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อและของเหลวในร่างกาย ทุกสัดส่วนส่องประกายรับแสงไฟสีส้มที่ไม่สว่างนัก ถึงจะทำต่ออีก แต่ก็อยากจะไปล้างเนื้อล้างตัวสักครั้ง มูคยอมมองฮาจุนที่นอนอยู่และพูดออกมา

“ต้องไปล้างเหงื่อออกสักหน่อย ถ้านายอยากอาบน้ำก็ไปอาบ หรือไม่ก็พักต่ออีกหน่อย แล้วแต่นายเลย

“อือ…”

มูคยอมออกจากห้องไประหว่างที่ฮาจุนนอนพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ฮาจุนที่นอนตะแคงมองประตูที่เปิดออกและปิดลง หลับตาลงชั่วขณะ

ห้องที่เปิดไฟดวงเล็กๆ เพียงดวงเดียวทั้งมืดและเงียบงัน ห้องที่ดังไปด้วยเสียงร่วมเพศที่ชื้นแฉะราวกับเสียงน้ำ เสียงครางของเขาและมูคยอม หรือเสียงขอบเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด เงียบราวกับว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียงหายใจของเขา อยากรีบอาบน้ำก่อนที่มูคยอมจะกลับมา ฮาจุนจึงเอามือค้ำไว้กับเตียงเพื่อที่จะหยัดกายลุกขึ้น

“อึก…”

ทว่าทั้งร่างของเขายังสั่นเทิ้มด้วยรสสวาทที่พัดผ่านไปทำให้ร่างกายปั่นป่วนหลายต่อหลายครั้ง แขนขาจึงไร้เรี่ยวแรง ผิวหนังอ่อนไหวมากขึ้นถึงขนาดที่แค่เสียดสีกับที่นอนก็เจ็บแปลบขึ้นมา แม้แต่ตอนเล่นอาชีพเขายังไม่เคยเข่าอ่อนด้วยเรื่องแบบนี้เลย…เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ฮาจุนยอมแพ้ คิดว่าจะนอนต่ออีกสักพัก ถึงจะรู้มาสักพักแล้วว่าการถูกทิ้งไว้คนเดียวหลังมีเซ็กซ์ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีแต่ก็เลี่ยงไม่ได้

แน่นอนว่าฮาจุนพูดออกมาไม่ได้ ระหว่างที่เย้าแหย่บริเวณยอดอกและต้นคอ จนทำให้ผนังด้านในคับแคบขึ้น มูคยอมรู้ว่าหากค่อยๆ เขี่ยด้านในแล้วดึงออก จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียวซ่านขึ้นมา เขาจึงจงใจทำแบบนั้น จงใจ ถูกต้อง เพื่อให้ฮาจุนทรมานจากความใคร่เลยจงใจทำแบบนั้น จงใจถามทั้งๆ ที่รู้ว่าตอบไม่ได้

“ไม่ตอบเหรอ”

“ฮ๊า อ๊า อ๊ะ อ๊า…!”

ส่วนปลายของแก่นกายเคลื่อนตัวยาวๆ เหมือนจะดึงออกแต่ก็ไม่ออก แค่ใส่เข้าไปจนสุดในครั้งเดียวราวกับตีด้วยไม้ แล้วก็ดึงออกมาและใส่เข้าไปใหม่อีกครั้ง ก็ทำให้เสียงครางดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปลายของแก่นกายหนาๆ แตะส่วนปลายของผนังด้านใน และแม้ว่าต้นขาและหัวหน่าวจะกระแทกกับสะโพก มูคยอมก็ขืนตัวไว้และขยับเอวช้าๆ ราวกับกำลังกดลงอย่างแรงอีกครั้ง

แขนและหลังของฮาจุนที่ประคองร่างกายเอาไว้อย่างยากลำบากสั่นระรัว จนสุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหวและหมอบลงกับที่นอนอย่างราบคาบ มูคยอมที่อยู่บนตัวของฮาจุนที่ล้มลงก็โน้มตัวลงต่ำและกดกระดูกหัวหน่าวลงไปลึกๆ ฮาจุนสั่นไปทั้งตัวเหมือนกับคนที่ถูกอะไรบางอย่างแทงจริงๆ ลมหายใจเริ่มติดขัด ภายในร่างกายที่มีแก่นกายที่ฝังอยู่บีบรัดและคลายออกอย่างรวดเร็วซ้ำไปซ้ำมาสั่นสะเทือนพอๆ กับลมหายใจที่ติดขัด

“ฮ๊า อา ฮึก อ๊า…”

ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นข้างหน้าเพราะเป็นท่าหมอบ แต่เอวที่ขยับขึ้นขยับลงและสะโพกที่ออกแรงอย่างรีบร้อนโดยที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว และการเคลื่อนไหวของผนังด้านในที่หดเกร็ง ทำให้มูคยอมรู้ว่าฮาจุนไปถึงจุดสุดยอดแล้ว

เมื่อส่วนปลายของแก่นกายที่สัมผัสกับด้านในของผนังยกขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ทุกครั้งที่เขาจะถึงจุดสุดยอด ฮาจุนก็ส่ายหน้าและขอร้อง

“อ๊า…! ฮึก ขอร้อง อย่า นะ… อย่า ทำแบบ นั้น… อะ อ๊า!”

“พูดแค่นั้น ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าคืออะไร”

“อึกกก ฮึกกก”

“เอาอีกแล้ว กลั้นเสียงอีกแล้ว”

จัดแจงพลิกร่างที่สั่นสะท้านที่หมอบอยู่ และพาดขาข้างหนึ่งไว้บนไหล่ พอเปลี่ยนท่าทั้งๆ ที่แก่นกายยังสอดลึก ฮาจุนก็กัดปากพลางบิดเอวราวกับผนังด้านในได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรง มูคยอมเห็นทั้งใบหน้าที่แดงขึ้นมาของฮาจุนที่หมอบอยู่ครู่หนึ่งและภาพตรงหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยความวุ่นวายเพราะการขับน้ำรักครั้งแล้วครั้งเล่า

มูคยอมมองลงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายสักพักพลางขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างและคลายคิ้วที่หมวดเข้าหากันออก จากนั้นก็เริ่มขยับเอวซอยเข้าออกอย่างดุดัน

“อ๊า อะ อะ อ๊า!”

ฮาจุนที่นอนหันข้างและกางขาออกกว้างๆ เปียกปอนไปด้วยเหงื่อ เอนคออันเรียบเนียนไปด้านหลังพร้อมกับกรีดร้องออกมา เมื่อเขาที่กรีดร้องและสั่นไหวขณะที่ยกตัวขึ้นชั่วขณะ เริ่มกลั้นเสียงครางอีกครั้งและพยายามกัดหลังมือเอาไว้จนถึงตอนนี้ มูคยอมโน้มตัวลงไปคว้าข้อมือเอาไว้

“อือ ฮะ อึก”

“ทำไมถึงจะกลั้นเอาไว้อยู่เรื่อยเลยล่ะ”

ถามว่ากลั้นเสียงทำไมตั้งหลายรอบแล้ว แต่ฮาจุนก็ไม่ยอมตอบ มูคยอมถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย และเหวี่ยงมือไปตีก้นหนึ่งครั้ง

“อ๊ะ!”

ยังไม่ได้ขยับเอวด้วยซ้ำ แต่ข้างในนั้นรัดแน่น และเอวของฮาจุนก็ขยับขึ้นชั่วครู่ มูคยอมแหย่เข้าไปข้างในทันทีและเร่งเร้า

“ถ้าไม่อยากทำ ก็บอกมาว่าไม่อยาก”

“อ๊ะ มะ ไม่ ใช่ ฉันไม่ได้ ไม่อยากทำ!”

ฮาจุนพูดไม่จบประโยค และสุดท้ายมูคยอมก็ก้มตัวลงพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขาใช้ปลายนิ้วตีเบาๆ ที่แก้มและถามราวกับปลอบโยน

“ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่รู้ไง วันนี้ทำไมนายถึงเอาแต่กลั้นเสียงล่ะ ฉันบอกอยู่ตลอดว่าอย่ากลั้นเสียง เพราะอยากฟังเสียงของนาย”

ฮาจุนถอนหายใจยาวออกมาเพราะท่าทีที่อ่อนโยน พร้อมกับกะพริบดวงตาสีดำที่มองมูคยอม เมื่อรู้สึกดีขึ้น ฮาจุนเผยอปากและพูดตะกุกตะกักออกมาด้วยใบหน้าที่แดงฉานที่ถูไปกับผ้าปูที่นอน

“…หะ ฮึก หายใจ ไม่ออก…”

หายใจ? ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างเพราะคำตอบที่คาดไม่ถึงและหัวเราะออกมาเล็กน้อยพร้อมกับขยับเอวช้าๆ

“อ๋อ… ร้องมากไปก็เลยหายใจไม่ออก? ก็เลยกลั้นเอาไว้งั้นเหรอ”

“อ๊า อะอือ…”

เขาพูดออกไปเพื่อจะแกล้งเล่น แต่ฮาจุนก็พยักหน้ารับในขณะที่ส่งเสียงครางออกมา ภาพนั้นทำให้มูคยอมหัวเราะออกมาอีกครั้ง นั่นก็หมายถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย ก็นะ การส่งเสียงร้องออกมาก็ทำให้เหนื่อยอยู่แล้ว

“ฉัน นึกว่า เกิดปัญหา อะไรขึ้นอีก ซะอีก”

“อ๊ะ! อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

พอมูคยอมที่สรุปว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รวบรวมแรงที่ยั้งเอาไว้กระแทกเข้าไปไม่ยั้ง ฮาจุนก็กรีดร้องออกมาราวกับทนไม่ไหวอีกต่อไป

“หายใจ ไม่ออก ถึงขนาดนี้ ได้ยังไงกัน ถึงยังไง คนที่ เคยเป็นนักกีฬา”

มูคยอมขยับเอวอย่างรวดเร็วเพื่อไปให้ถึงจุดสุดยอด โดยที่ไม่ได้ถามหรือพูดอะไรต่อ เมื่อเยื่อเมือกเหนียวๆ เกาะติดอยู่ที่แก่นกายและจดจ่อไปที่ประสาทสัมผัสที่ตื่นตัว ความรู้สึกดีก็พรั่งพรูออกมาในไม่ช้า ทุกครั้งที่ทิ่มเข้าไปด้านในอย่างแรง น้ำรักที่อัดเต็มอยู่ข้างในก็ไหลไปยังด้านล่างของช่องทางรัก บนสะโพกและส่วนที่อยู่ระหว่างช่องทางรักและแก่นกายอย่างช้าๆ

มูคยอมเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้เห็นภาพนั้น เขาทนต่อไปอีกไม่ไหว จึงโอบต้นขาของฮาจุนที่พาดอยู่บนไหล่แล้วดึงตัวเข้าไป พลางขับน้ำรักโดยที่ฝังเข้าไปจนลึก

“อ๊าอึก ฮึก ฮ๊า…!”

ร่างกายของฮาจุนที่รับการขับน้ำรักเป็นครั้งที่สาม นอนอยู่ใต้ร่างอันใหญ่โตของมูคยอมและกระตุกเกร็งอยู่บนที่นอนอย่างช้าๆ มูคยอมที่ใช้เวลาขับน้ำรักอย่างยาวนาน และการร่วมเพศติดต่อกันหลายครั้ง มักจะทำให้ฮาจุนหายใจหอบราวกับจะหมดลมหายใจในที่สุดอยู่เสมอ

เซ็กซ์ของมูคยอมที่ค่อนข้างรุนแรงมาแต่ไหนแต่ไรจะยิ่งดุดันมากขึ้นในวันที่ชนะการแข่งขัน ฮาจุนที่ชนะในการทะเลาะกันในตอนแรก ถูกลากตัวมาที่ห้องทันทีที่อาบน้ำเสร็จและถูกจัดแจงให้นอนคว่ำอยู่บนเตียง พอเสร็จจากยกแรกที่มีการสอดใส่ค่อนข้างรวดเร็วหลังจากปรับความเข้าใจกันแบบขอไปทีแล้ว มูคยอมก็กลับมาใช้จังหวะเดิม หลังจากนั้นก็สนุกกับเรือนร่างของฮาจุนอย่างเต็มที่เป็นเวลานานราวกับจะดูดเลือด

มูคยอมที่เปิดเผยความในใจในร่างกายของฮาจุนทุกครั้งไม่ขาดขณะที่ไปถึงจุดสุดยอดทั้งสามครั้ง เขาวางขาที่อยู่บนไหล่ลง ในครั้งนี้เขาโอบร่างกายของอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขน และใช้ลิ้นเลียลำคอขาวที่เอนไปข้างหลังด้วยความเกร็งจนสะท้อนให้เห็นเส้นเลือดสีน้ำเงิน คงจะติดความรู้สึกที่ผนังด้านในกระตุกสั่นไหวและบีบรัดแก่นกายทุกครั้งที่ละเลียดลิ้นไปที่คอซะแล้ว

ฮาจุนที่ไม่สามารถทนการที่ชิ้นเนื้อที่ทั้งเปียกชื้นและอุ่นกวาดไปทั่วผิวหนังที่อ่อนไหวง่ายโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หันหัวไปทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อหลบลิ้นของอีกฝ่าย แต่เพราะว่าถูกกอดเอาไว้ราวกับร่างกายถูกควบคุมจึงไม่ง่ายเลย

“อ๊า อีก พอได้แล้ว…”

ลำคอร้อนวูบวาบจนสุดท้ายฮาจุนก็ทนไม่ไหวจึงส่งสัญญาณบอกให้หยุด มูคยอมเหลือบมองใบหน้าของฮาจุน แล้วค่อยๆ ถอยกลับไปข้างหลัง เขาถอนแก่นกายออกมาราวกับว่าการขับน้ำรักอันยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว

พอสิ่งที่เหมือนไม้กระบองที่กระทุ้งอยู่ภายในร่างกายหลุดออกไป ฮาจุนก็กุมท้องที่ยังหลงเหลือความเจ็บปวดและความร้อนเอาไว้และส่งเสียงครวญครางออกมา รอยสีแดงหลงเหลืออยู่ทั่วร่างขาวที่เปียกเหงื่อ มีทั้งส่วนที่เป็นสีแดงเพราะมูคยอมดูดคลึงตามอำเภอใจอยู่ด้วย และร่างกายของเขาก็ร้อนขึ้น พร้อมกับมองเห็นรอยแดงที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ มูคยอมที่มองลงมาที่ฮาจุน เลียริมฝีปากชั่วครู่ราวกับมองอาหารที่ยังเหลือส่วนที่จะลิ้มรสอยู่อีกมาก

เดิมทีมูคยอมชอบคนที่ได้ชื่อว่า ‘ร้อนแรง’ มีรีแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม และเก่งในเรื่องเซ็กซ์ ในความสัมพันธ์ที่มาพบเจอกันเพื่อเซ็กซ์นั้น ไม่จำเป็นต้องมีความอ่อนน้อมหรือความละอายใจอะไรทั้งนั้น เพราะการเดาใจกันและกันเป็นเกมที่สนุกก่อนทำประตูไงละ พอได้แข่งกันสักตาแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็อยากจะลองทำตามสัญชาตญาณเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ตอนที่จูบและพาฮาจุนมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนประเภทนั้น พอมีอะไรกันหลายครั้ง มูคยอมก็รู้ว่าฮาจุนยังไม่เก่งในอีกหลายๆ เรื่องมากกว่าที่คิด

พอมานึกถึงวันแรกที่ขอให้สอดใส่เข้าไปโดยที่ไม่มีการเล้าโลมด้วยเหตุผลที่ว่ารีบ และตอนที่สอดเข้าไปจากด้านหน้าที่ตัวเองเห็นอย่างชัดเจนและช่วยตัวเองในครั้งที่สองแล้ว… และพอนึกถึงความใจกว้างที่ยอมรับคำขอใดๆ ก็ตาม ความจริงนั้นค่อนข้างเกินคาด ไปคบกับคนพวกไหนมากันแน่ ถึงไม่รู้ในสิ่งที่คนอื่นเขารู้กันหมดและเรียนรู้แต่สิ่งที่แปลกประหลาด

ถึงจะไม่เก่งแต่ก็เรียนรู้กันได้ ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าลูกวัวผู้สงบเสงี่ยมที่ขึ้นไปบนเตาไฟ ไม่พยายามซ่อนธาตุแท้และซุกซนตามแต่ใจมากขึ้นอีกหน่อยก็คงจะดี มูคยอมยังจำท่าทีตอนฮาจุนวิ่งเข้ามาจูบตนได้อย่างชัดเจน

มูคยอมโอบแขนไปด้านหลังเอวของฮาจุนที่นอนพักหายใจอยู่บนเตียงและยกขึ้น พอให้ฮาจุนที่มองตนเองด้วยสายตาที่ถามว่า ‘เป็นอะไรของนาย’ นั่งลงที่ตัก ความหวาดกลัวเล็กๆ ที่อยู่ในดวงตาสีดำก็สะท้อนออกมา

มองอีกแล้ว อย่ามองกันแบบนี้ หัดดีใจซะบ้างสิ มูคยอมพูดบ่นอยู่ภายในใจ

“ถ้ามันเข้าไปลำบาก นายก็ขึ้นมา”

“…ขึ้นมา?”

“ลองทำจากข้างบนไง แสดงความสามารถในการโยกเอวให้ดูหน่อย”

ฮาจุนได้แต่กะพริบตาราวกับว่าไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร พูดตามตรงว่าการแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาไปเรื่อยๆ มันก็น่ารักดี แต่วันนี้ไม่อยากจะใจอ่อนเลย แค่สามครั้งมันไม่พอ

มูคยอมจับเอวของฮาจุนขึ้นและจ่อแก่นกายของตัวเองที่ลุกชูชันขึ้นมาอีกครั้งในทันทีไปที่ทางรักชื้นแฉะ ฮาจุนคงจะเพิ่งเข้าใจความหมายของสิ่งที่มูคยอมพูดจึงทำตัวไม่ถูกและดึงเอวออกราวกับตั้งใจจะหลีกเลี่ยง พร้อมกับถามออกมา

“อีกรอบ?”

“ไม่ได้ทำมาตั้งนานแล้ว จบแค่สามรอบไม่ได้หรอก”

พวกน้องๆ บอกว่าปิดเทอมแล้ว ถ้าเริ่มเรียนคาบเสริมแล้วจะได้เจอกันยากกว่าตอนเปิดเทอม ตอนที่ได้พักผ่อนก็ต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างเต็มที่ ช่วงนี้ฮาจุนจึงเลิกงานตรงเวลามาเกินหนึ่งสัปดาห์แล้ว

ดังนั้นทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีมานาน ความต้องการที่สั่งสมและความตื่นเต้นที่คว้าชัยชนะมาได้ มันมากเกินไปที่จะปลดปล่อยออกมาด้วยการหลั่งน้ำรักเพียงสามครั้ง

“อะอือ…”

และฮาจุนก็ยอมแพ้เร็วเกินไป มูคยอมก็ชอบในจุดนั้นมากเช่นกัน

พอนึกถึงตอนแรกที่ชอบหลบหน้าและปฏิเสธเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับการที่อีกฝ่ายปรับสะโพกของตนเองให้ตรงกับแก่นกายของมูคยอมและขยับเอวลงมาด้วยตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการในทันทีทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังบ่นอยู่เลย

การแกล้งหมดแรงอาจจะเป็นกลอุบายของอีฮาจุนที่ต้องการความสุขทางใจก็ได้ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นการแสดงหรือเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่เลวเลยที่แกล้งทำเป็นสอนนู่นสอนนี่แล้วสนุกไปกับมัน ไม่สิ ถ้าพูดตามตรงล่ะก็ ไม่ใช่ระดับที่ว่าไม่เลว เพราะมูคยอมกำลังลิ้มรสความสนุกสนานอันเสียวซ่านที่รู้สึกได้ในตอนที่จูบเขาเป็นครั้งแรก ทุกครั้งที่เผชิญกับช่วงเวลาแบบนั้น

“ฮ๊า แฮ่ก อ๊า”

เสียงลมหายใจถี่ๆ ออกมาจากปากของฮาจุน แก่นกายอันดุดันกำลังเข้าไประหว่างช่องทางรักที่เปียกชื้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะสอดใส่เข้าไปกี่ครั้ง พอเอาออกมาแล้วก็หดกลับไปเหมือนเดิม เมื่อส่วนปลายของแก่นกายที่ทั้งหนาและใหญ่สอดแทรกช่องทางรักที่แคบลงในระหว่างนั้นเข้ามาอีกครั้ง ทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้าพร่ามัว และขนลุกไปทั่วแผ่นหลังของฮาจุน

ท่านี้ที่ดันเข้ามาลึกกว่าตอนที่นอนหรือหมอบนั้น เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าฮาจุนจะรับมือไหวเสมอ ถึงจะเป็นครั้งแรกที่มูคยอมบอกให้ลองขยับดู แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ให้นั่งอยู่ข้างบน เวลาที่อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเตียงหรือบนโซฟาและให้เขานั่งบนตักและสอดใส่ขึ้นมาจากข้างใต้ ปลายนิ้วมือปลายนิ้วเท้าก็จะเกร็งไปหมด แม้แต่การกอดแผ่นหลังของมูคยอมเองก็เกินกำลัง ทางที่ดีเขาเป็นคนขยับเองจากข้างบนก็คงจะไม่กระแทกรุนแรงถึงขนาดนั้น ซึ่งมันก็อาจจะดีกว่าก็ได้

ภายในของฮาจุนที่โดนแก่นกายกระแทกอย่างรุนแรงมาเป็นเวลานาน ทั้งร้อน บวม แคบลงและอ่อนไหวมากขึ้น แท่งร้อนหนาๆ ไสเข้ามาพร้อมกับที่ปลายแก่นกายและเส้นเลือดที่ขยายตัวขีดข่วนผนังด้านใน

“อ๊า…”

ความรู้สึกหนักที่ขืนตัวเพื่อดันตัวขึ้นจากข้างล่าง แตกต่างกับตอนที่ถูกสอดใส่จากข้างบนลงข้างล่าง ฮาจุนที่ต้องลดเอวลงจนสุด แต่ไม่สามารถเร่งความเร็วได้ส่งเสียงร้องครวญครางออกมา ปลายแก่นกายที่แทรกเข้าไปด้านในที่อ่อนไหวมากขึ้นและสวนทางขึ้นมาซ้ำๆ จากทางเข้า ให้ความรู้สึกเหมือนอาวุธฆาตกรรมจริงๆ

มูคยอมรอให้ฮาจุนกลืนกินตัวเขาเข้าไปด้วยตัวเอง แต่ไม่นานความอดทนก็หมดลง เขาที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คว้าเชิงกรานของฮาจุนเอาไว้ และดึงลงไปด้านล่างเพื่อให้ปักไปถึงส่วนโคนในคราวเดียว เมื่อสะโพกทรุดฮวบลงและสอดเข้าไปลึกอย่างไม่ทันตั้งตัว ฮาจุนจึงหงายไปด้านหลังและกรีดร้องออกมาทันที

“อ๊าา! แฮ่ก อ๊าก!”

“คงถึงเช้ากันพอดี”

มูคยอมพูดออกมาราวกับไม่พอใจ

“อ่าห์ อือ”

ฮาจุนหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะเพื่อปรับตัวเข้ากับสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ที่แทรกเข้าไปในท้องอีกครั้ง ถอนหายใจยาวออกมายาวๆ พร้อมกับเอามือค้ำไว้ที่หน้าอกอันแข็งแกร่งของมูคยอม มูคยอมที่ดึงเอวของฮาจุนลง เอาแต่จ้องมองฮาจุนเพียงเท่านั้น เขาทำตัวสงบเสงี่ยมเอนตัวพิงกับเตียงและเอาแขนหนุนไว้หลังหัวราวกับกำลังดูอยู่

ต้องขยับ ถ้ารู้ว่าจะสั่งให้ทำแบบนี้ก็คงจะหาตัวอย่างดูมาก่อน แต่จู่ๆ ก็มาสั่งให้ทำแบบนี้จึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน

ฮาจุนเริ่มยกเอวขึ้นอีกครั้ง เอวของฮาจุนบิดไปเล็กน้อยและเกร็งสะโพกโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะเส้นเลือดที่ปูดออกมาขูดด้านใน ออกแรงไปที่ซิกแพคที่แผ่ออกเป็นรูปตัว 川 หน้าท้องที่เปียกไปด้วยเหงื่อและของเหลวในร่างกายกระตุก สายตาของมูคยอมมองไปตรงส่วนนั้นและยกยิ้ม

ตึงๆๆๆ เสียงกระทบของกระบองลมที่ใช้เชียร์ดังขึ้นทั่วสนาม เป็นการแข่งขันที่ถ่ายทอดสดและน้ำเสียงของผู้บรรยายเองก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง

‘สูสีกันเลยนะครับเนี่ย วันนี้ยงอินเอฟซีกำลังแสดงการป้องกันที่ดีมากๆ ให้เห็นกันนะครับ’

‘โซลยังไม่สามารถยิงลูกอันทรงพลังตลอดการแข่งขันในครึ่งแรกได้เลยครับ แม้จะมีผู้เล่นคิมมูคยอมอยู่ก็ตามนะครับ’

‘ฮ่าๆ บรรดาผู้ชมที่คาดหวังกับการยิงเข้าประตูอันกระฉับกระเฉงของผู้เล่นคิมมูคยอมอาจจะเบื่อสักหน่อยก็ได้นะครับ กฎหลักของฟุตบอลไม่ยุ่งยากเลยครับ แค่ยิงลูกเข้าประตูของทีมตรงข้ามได้มากกว่าก็ชนะแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยมีกลยุทธ์ที่แตกต่างอย่างการป้องกันอยู่ด้วยครับ’

‘ข้อดีของฟุตบอลคือมีกฎที่ไม่ซับซ้อนไม่ใช่เหรอครับ เพราะอย่างนั้น ถึงจะดูโดยที่ไม่รู้กฎแต่ก็รู้สึกสนุกไปด้วยได้ แล้วก็เป็นการดีที่จะมาเชียร์ด้วยกันกับครอบครัวครับ’

‘แต่ถึงอย่างนั้น พอได้รู้ถึงความซับซ้อนของมันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งนะครับ โอ๊ะ ผู้เล่นอียงแจของยงอินเอฟซีเคลื่อนไหวแล้วครับ!’

ยงอินที่เป็นคู่ต่อสู้ของโซลในวันนี้ กำลังใช้กลยุทธ์การป้องกันขั้นสุดเพื่อกดดันมูคยอม เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการโต้กลับโดยอาศัยจังหวะขณะป้องกัน รู้สึกได้ว่าน่าจะตัดสินใจมาแล้วว่าถึงจะจบลงด้วยผลเสมอที่ไม่เสียคะแนนในการแข่งขันกับซิตี้โซลที่รักษาอันดับ 1 ของลีกเอาไว้ด้วยคะแนนนำที่นำไปไกลได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว

บรรดากองหลังรวมถึงกองกลางเลยพากันถอยลงมาเน้นป้องกันเป็นหลัก สิ่งที่อยู่หน้าประตูโกลของยงอินนั้นอยู่ในระดับกำแพงอันแข็งแกร่ง เมื่อด้านหน้าถูกปิดกั้น แม้ว่าจะบุกไปข้างหน้าด้วยการรับส่งบอลให้กัน แต่ก็มักจะถูกขัดอยู่ตลอด ลูกบอลจึงกลิ้งไปมาอย่างไร้ประโยชน์

แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มโอกาสในการได้รับชัยชนะและลดความสูญเสียลง แต่ฟุตบอลที่เน้นการป้องกันก็นำมาซึ่งความเบื่อหน่าย แม้ว่าครึ่งแรกใกล้จะจบลง แต่ก็ยังไม่มีภาพที่ควรจะปรากฏออกมาสักที ผู้คนที่คาดหวังและมีลางสังหรณ์เองก็หมดไฟ และอัฒจันทร์ก็ค่อนข้างเงียบ มีแค่เสียงเพลงและเสียงเชียร์ที่ยังคงดังมาจากที่นั่งแฟนคลับของทั้งสองทีมเท่านั้น

ถึงฟุตบอลที่ชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขจะเป็นฟุตบอลที่ดี แต่รสนิยมของมูคยอมซับซ้อนกว่านั้นเล็กน้อย

ในช่วงที่ครึ่งแรกใกล้จบลง ซิตี้โซลเริ่มจากการแตะลูกบอลของกองหลังตัวกลางและเริ่มโจมตีอีกครั้ง เป็นช่วงที่การเตรียมพร้อมป้องกันของทีมตรงข้ามที่ป้องกันสำเร็จมาจนถึงตอนนี้เริ่มช้าลง ในตอนนั้นเอง มูคยอมที่จ้องมองเพื่อนร่วมทีมที่วิ่งมาทางประตู ข้ามแนวป้องกันของฝ่ายตรงข้ามและมองไปบริเวณประตู เป็นการมองเพื่อประเมินพื้นที่ว่าจะยิงประตูยังไง

การมองนั้นคือจุดเริ่มต้น กองหลังคนหนึ่งที่รับรู้ว่ามูคยอมกำลังกะพื้นที่อยู่ ออกจากตำแหน่งเดิมเพื่อเข้าใกล้และประกบมูคยอมในทันที หากรักษาสมาธิอันเฉียบแหลมและความประหม่าในช่วงแรกของการแข่งขันเอาไว้ ก็อาจจะไม่ออกจากตำแหน่ง แต่ผู้เล่นของทีมฝ่ายตรงข้ามที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจประเมินผิดในชั่วพริบตา มูคยอมไม่รอช้า วิ่งเข้าไปยังช่องว่างระหว่างแนวป้องกันที่หลุดออกจากกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ทันที

‘โอ้! ผู้เล่นอียงแจ รีบร้อนเกินไปนะครับ’

ที่จริงแล้ว บอลมาถึงตรงหน้ามูคยอมหลังจากที่เขาทำลายการป้องกันแล้วเท่านั้น ที่นั่งของผู้ชมก็ร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้งเพราะการเปิดศึกอันเร้าใจที่เกิดขึ้นในสนามอย่างไม่ทันตั้งตัว

‘เร็วครับ! เร็วครับ!’

‘แตะลูกได้กระชับรวดเร็วมากจนน่าจะเรียกว่าเป็นศิลปะได้เลยนะครับ’

ถึงบรรดากองหลังด่านสุดท้ายยังคงปักหลักอยู่หน้าประตู แต่มูคยอมก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้มีโอกาสแย่งลูกไป มูคยอมกันกองหลังออกไปด้วยการแตะลูกสองครั้งอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังง่ายดาย และแม่นยำ ลูกที่เตะออกไปอย่างแรงพุ่งออกไปเกือบจะเป็นเส้นตรงและเข้าไปในประตู

‘ผู้เล่นคิมมูคยอม โกล!’

‘ครับ! ผู้เล่นคิมมูคยอมเป็นผู้สร้างการแข่งขันอันน่าตื่นเต้นแบบนี้อีกแล้วครับ!’

เสียงของผู้บรรยายดังขึ้น อัฒจันทร์กลับมาครึกครื้นอีกครั้งทันทีราวกับไม่เคยนิ่งเงียบมาก่อน ผู้ชมทีมโซลและแม้แต่ผู้ชมทีมยงอินเองต่างก็ปรบมือและตื่นเต้นกันถ้วนหน้า

‘มีภาพเท่ๆ ออกมาแล้วนะครับ ผู้เล่นคิมมูคยอมทำลายแนวป้องกันภายในชั่วพริบตาแบบนี้เลยครับ บรรดากองหลังห้ามประมาทเวลาเผชิญหน้ากับผู้เล่นคิมมูคยอมเด็ดขาดนะครับ นี่เป็นภาพที่ต้องรู้เท่านั้นนะครับถึงจะได้เห็น แค่ผู้เล่นคิมมูคยอมเตรียมรับลูก ก็ทำให้กองหลังเข้าไปประกบผู้เล่นคิมเพื่อป้องกันเลยทีเดียวครับ ถ้าไม่มีสมาธิล่ะก็ จะรักษาและไม่ออกจากตำแหน่งได้ยากมากครับ’

‘ถูกต้องครับ การแข่งขันที่ชอนันเมื่อครั้งที่แล้วก็เกิดเรื่องคล้ายๆ กันนี้ขึ้นครับ เพราะประมาทไปชั่วขณะเลยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นคิมมูคยอมเป็นอิสระไงล่ะครับ บางทีอาจจะตัดสินว่าไกลเกินไปที่จะยิงประตู แต่ผู้เล่นคิมมูคยอมเป็นผู้เล่นที่สามารถยิงประตูได้ทุกที่ถ้าหากปล่อยให้เขาเป็นอิสระเพียงชั่วครู่ครับ ต้องคิดว่าถึงปล่อยไว้แค่ชั่วครู่ก็แว้งมากัดคอได้ครับ’

‘ปกติจะใช้คำว่า ‘ฟุตบอลสร้างสรรค์’ บ่อยมาก นักกีฬาคิมมูคยอมคือแบบอย่างเลยครับ เป็นจุดที่ฟุตบอลเกาหลียังขาดอยู่อีกมาก ผมเลยคาดหวังว่าต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ’

มูคยอมเป็นตัวอันตรายแม้ว่าจะไม่มีลูกบอลอยู่ก็ตาม เขาบุกไปข้างหน้าราวกับเล็งไปที่ลูกบอล และถ้าหากบรรดากองหลังกรูกันมาด้านหน้ากันหมดเพื่อขวางเขา เขาก็จะถอยหลังและรับลูกบอลระยะไกลและยิงเข้าประตูทันทีจากตรงนั้นก่อนที่บรรดากองหลังจะขึ้นมาอีกครั้ง แม้ในขณะที่กำลังวิ่งครองบอลแล้วเกิดถูกขวางทางขึ้นมา เขาก็ไม่ลังเลที่จะส่งบอลระหว่างที่บรรดากองหลังพุ่งความสนใจไปที่ผู้เล่นที่รับลูกบอล เขาก็จะวิ่งไปที่หน้าประตูและปักหลักอยู่ตรงนั้นเพื่อให้ผู้เล่นที่รับบอลไปส่งบอลมาให้ตัวเองอีกครั้ง

ถึงแม้ว่ามูคยอมจะเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถและสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยม แต่ก็มีนิสัยชอบฉวยโอกาสมาตั้งแต่เกิด เขาหลอกล่อ มองฝ่ายตรงข้ามอย่างทะลุปรุโปร่ง และชอบจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวและเป็นผู้ชนะ ฟุตบอลของเขาเป็นฟุตบอลประเภทนั้น และเป็นเหตุผลที่ผู้คนคลั่งไคล้มูคยอมอีกด้วย

“ทำได้ดีมากครับ!”

ห้องล็อกเกอร์ของซิตี้โซลที่เสร็จสิ้นการตะโกนทักทายกันและกัน ในวันนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ประตูเดียวของมูคยอมที่ลบล้างความตกต่ำในครึ่งแรกได้อย่างราบคาบ และได้รับชัยชนะ 2:0 ด้วยการยิงประตูเพิ่มของกองกลางในครึ่งหลัง

เวลาผ่านพ้นไปสักระยะแล้วตั้งแต่ที่บรรดาผู้เล่นของโซลและมูคยอมมารวมตัวกัน ร่างกายคุ้นเคยกับกลยุทธ์ที่ดำเนินการโดยมีมูคยอมเป็นจุดศูนย์กลาง และการฝึกซ้อมที่ปรับให้เข้ากับกลยุทธ์นั้น ตอนนี้บรรดาผู้เล่นต่างก็รับส่งบอลในสนามแข่งจริงได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ลังเลได้มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อฤดูกาลดำเนินไป ถึงแม้จะมีการแข่งขันที่จบลงด้วยคะแนนที่เสมอกันหรือพ่ายแพ้อยู่ด้วยก็ตาม แต่คะแนนนำก็ยังคงเป็นอันดับ 1 อยู่เช่นเดิม อัตราการเสียแต้มของจองคยูเองก็ต่ำลงกว่าฤดูกาลที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศของทีมจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น ครึ่งฤดูกาลแรกเองก็มาถึงระยะสุดท้าย วันนี้เป็นการแข่งขันสุดท้ายก่อนพักฤดูร้อน

ในขณะเดียวกัน เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางฤดูกาล ผู้บาดเจ็บทั้งหนักและเล็กน้อยก็เพิ่มขึ้น ฮาจุนจึงยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เขาก็จับตาดูผู้เล่นทีละคนๆ เพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของพวกเขา ฮาจุนยืนอยู่หน้ามูคยอมคอยสังเกตบรรดาผู้เล่นแต่ละคนตามลำดับอย่างละเอียด มูคยอมที่ถอดเสื้อผู้เล่นออกจนเผยให้เห็นเรือนร่างกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่ที่ม้านั่ง ร่างกายของเขาเหมือนกับทั้งหอกและโล่สูงใหญ่บึกบึนไม่เปลี่ยน ชัยชนะแสนสนุกที่ได้ลิ้มรสในวันนี้ทำให้แววตาของเขาเป็นประกายลุกโชน

ฮาจุนรู้ดีว่าสายตาแบบนั้นหมายความว่าอะไร ความตื่นเต้นและความประหม่ากำลังไต่ขึ้นมาบนร่างกายราวกับเชือกที่ผูกปม เขาส่งเสียงในลำคอออกมาสั้นๆ และนั่งลงตรงหน้ามูคยอมเพื่อตรวจเข่าและข้อเท้า มูคยอมโน้มตัวลงและกระซิบที่หูของฮาจุน

“วันนี้มาหาด้วยนะ”

ฮาจุนพยักหน้ารับเบาๆ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้ยิน และถึงจะได้ยินก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร

ความสัมพันธ์ ‘ระยะยาว’ ของทั้งสองกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น มันเริ่มต้นในตอนที่ลมร้อนอบอ้าวพัดมา และฤดูกาลก็เปลี่ยนเป็นฤดูร้อนอย่างเต็มที่ระหว่างที่ยุ่งอยู่กับความสัมพันธ์ทางกายทุกครั้งที่มีโอกาส ฤดูกาลเองก็มาถึงจุดสูงสุด วงจรที่เป็นความลับก็ถูกสร้างขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ ถ้าสั้นหน่อยก็สองวันครั้ง ถ้ายาวหน่อยก็สัปดาห์ละครั้ง

จะทำทุกวันไม่ได้ ฮาจุนเพียงแค่จะเลี่ยงการกลับบ้านสายสองวันติดกันเท่านั้น แต่พอมูคยอมยืนกรานอยู่หลายครั้งจึงทำต่อกันสองวัน วันต่อมาฮาจุนก็จะง่วงจนไม่มีสมาธิกับการทำงาน ถ้าถึงขนาดที่รู้สึกไม่สบายตัวก็ทนเอาไว้แล้วมันก็ผ่านไป แต่ฮาจุนตั้งใจไว้แล้วว่าจะปล่อยให้โค้ชที่ต้องดูสภาพร่างกายของบรรดานักกีฬาไม่สามารถมีสมาธิกับการทำงานได้เพราะสภาพร่างกายของตัวเองไม่เต็มร้อยไม่ได้ ถึงมูคยอมจะไม่พอใจ แต่เขาเองก็เป็นนักกีฬาที่รับการฝึกสอนจากฮาจุน จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับเรื่องนั้นให้เข้ากับฮาจุน

และหลังจบการแข่งขันจะต้องทำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ส่วนสถานที่จะเป็นบ้านของมูคยอมทุกครั้ง ถึงการที่โค้ชเข้าออกบ้านของนักกีฬาบ่อยๆ จะไม่มีคนสงสัย แต่ทั้งสองก็ยังคงกลับจากที่ทำงานโดยไม่ให้คนอื่นรู้เช่นเคย เพราะถ้าเกิดไปสะดุดตาผู้เล่นคนอื่น โดยเฉพาะจองคยู ถึงอาจจะไม่เป็นที่สงสัย แต่ก็อาจจะเกิดเรื่องน่ารำคาญอย่างอื่นขึ้นก็ได้ ทั้งสองชอบการที่ดูเหมือนเป็นโค้ชและนักกีฬาที่สนิทกันดีมากที่สุด

ทันทีที่เข้ามาในบ้าน มูคยอมก็ดึงฮาจุนมากอดและฝังหน้าลงกับต้นคอราวกับหิวกระหาย ก่อนที่จะได้ถอดรองเท้าออกซะอีก ฮาจุนสูญเสียการทรงตัวและเซไปชั่วขณะเพราะการพุ่งเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว แต่มูคยอมก็คว้าเอวของฮาจุนเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“นี่ เข้าไปข้างในก่อน”

ถึงฮาจุนจะบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่มูคยอมก็ไม่แม้แต่จะตอบ ฮาจุนผลักมูคยอมที่ซุกไซร้จะกัดต้นคอหรือดมกลิ่นถึงได้ฝังหน้าอยู่อย่างนั้นออก และพูดด้วยน้ำเสียงร้องขอ

“ขอฉันอาบน้ำก่อน”

“อยู่นิ่งๆ”

จะถอดรองเท้าและขึ้นไปบนห้องโดยที่มีสภาพแบบนั้นได้ยังไงกัน ช่างน่าขำที่เห็นภาพที่ทั้งสองเดินตัวติดกันเหมือนกับคนที่ถูกขังอยู่ในที่แคบๆ ในบ้านที่กว้างจนสามารถเตะฟุตบอลได้ พอเข้ามาถึงกลางโถงทางเดิน มูคยอมจึงเงยหน้าขึ้นมาพูด

“พอทำประตูได้ ฉันก็คิดแต่ว่าอยากจะซุกตัวอยู่กับนายตั้งแต่ตอนพักครึ่ง”

“อวดกันหรือไง ตอนแข่งต้องมีสมาธิสิ”

ถึงจะแกล้งตอบไปอย่างเย็นชา แต่ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมา ความจริงที่ว่ามูคยอมต้องการตนเองถึงขนาดนั้น ทำให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นมาภายในร่างกายของฮาจุนเช่นกัน มูคยอมยิ้มออกมาและตอบกลับ

“ก็ชนะแล้วนี่ครับ โค้ช”

มูคยอมพูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับดึงแขนฮาจุนไปทางห้องที่มีเตียงอยู่ทันที หลายครั้งที่ฮาจุนผลักผู้ชายที่กดตัวเขาลงเตียงและตั้งใจจะถอดเสื้อผ้าของเขาออกราวกับสุนัขติดสัด

“หลบไปก่อน บอกว่าอาบน้ำก่อนค่อยทำไง”

“ทำก่อนรอบหนึ่งแล้วค่อยอาบ”

“ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็ไม่ได้ไปหมดเลยเหรอ”

คุ้นเคยแม้แต่กับการทะเลาะกันแบบนี้มากขึ้นแล้ว ไม่มีอะไรพิเศษเลย ตั้งแต่แรกเริ่มมาจนถึงตอนนี้ บ่อยครั้งที่บางครั้งทั้งสองปรับเวลาเลิกงานให้ตรงกันและมีความสัมพันธ์ที่บ้านของมูคยอม

มีทั้งวันที่ฮาจุนบอกว่าวันนี้ทำไม่ได้และรีบกลับบ้าน และวันที่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะความเหนื่อยล้าหลังมีเซ็กซ์ได้จนต้องนอนอยู่ที่บ้านของมูคยอมด้วย วันต่อมาหลังจากที่นอนที่บ้านของมูคยอม พวกเขาก็กินมื้อเช้าด้วยกัน และนั่งรถคันเดียวกันไปทำงาน การจอดรถให้ฮาจุนลงในจุดที่อยู่ห่างจากสนามฝึกโดยใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที

ก็เป็นเหมือนเช่นเคย เมื่อความสัมพันธ์ยาวนานมากขึ้น ความต้องการของกันและกันอาจจะแตกต่างกันก็ได้ มูคยอมเคยมีประสบการณ์แบบนั้นมาหลายครั้งแล้ว พวกมนุษย์ตอนที่เริ่มคบกันก็แกล้งทำเป็นใจเย็น แต่พอเจอกันบ่อยๆ ก็พูดเรื่องความรักออกมา ช่างน่าเบื่อและน่ารำคาญ

แต่ฮาจุนก็ยังอยู่ในที่ที่ตัวเองต้องอยู่ ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปก็ตาม ซึ่งแตกต่างกับคนพวกนั้น ด้วยความที่เป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มมาจากการคาดเดาความรู้สึกของฮาจุน มูคยอมกังวลว่าฮาจุนเองก็จะพูดทำนองเดียวกันนี้ในอีกไม่ช้าและทำให้ความสัมพันธ์พังทลายลงหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้ว อีฮาจุนก็ทั้งเท่และเป็นมืออาชีพมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าภายในใจจะรู้สึกอย่างไร แต่ก็ไม่มีท่าทีเฉื่อยชาเลย ตอบสนองได้ดีพอและกระตุ้นความอยากได้ดีเหมือนกับตอนนี้ เมื่อเข้าสู่เกมหลักก็รับคำขอทั้งหมดที่ยากเกินกำลังในระดับที่ไม่เคยคิดมาก่อนในตอนที่มีเซ็กซ์กับคนอื่นมาจนถึงตอนนี้ ยังยากที่มูคยอมจะตัดสินว่าเป็นความใจกว้างหรือความพยายามกันแน่ และการทำกับอีฮาจุนก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก

มูคยอมอยากจะปรบมือให้กับการเลือกที่แสนจะดีงามของตัวเองอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ระยะยาวและมั่นคง เซ็กซ์อันยอดเยี่ยม ถึงนั่นจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘การลงหลักปักฐาน’ อย่างที่จองคยูพูด แต่มูคยอมก็ยังคงพอใจกับความสัมพันธ์ที่ยาวนานพอสมควรนี้มาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นการเลือกที่ไม่สามารถหาที่ติได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

***

อากาศสั่นสะเทือนไปตามเสียงแฉะๆ ของน้ำและเสียงหนักๆ ของร่างกายที่กระทบกัน มูคยอมมองลงไปราวกับกำลังชื่นชมแผ่นหลังของฮาจุนที่นอนคว่ำแนบติดกับที่นอนพร้อมกับขยับเอว มือใหญ่ลูบไล้ไปบนสะโพกอย่างช้าๆ ราวกับกำลังลิ้มรสผิวอันนุ่มนวล มองแก่นกายชูชันอันแข็งแกร่งเคลื่อนที่เข้าออกระหว่างสะโพกขาวๆ

“ฮึ๊ก อึก อื๊อ”

อีกแล้ว

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่หน้าแข้งที่ต้องอยู่ติดกับเตียงดีๆ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความสนุกนี้ได้จึงลอยขึ้นจากที่นอน และร่างกายที่สั่นไหวราวกับรู้สึกได้อย่างชัดเจน ฮาจุนพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง มูคยอมก้มตัวลงและใช้มือคลึงยอดอกเบาๆ

“ฮ๊า อี๊ก!”

“แฮ่ก… โค้ช ทำไมวันนี้กลั้นเสียงบ่อยจัง”

“อ๊า อือ ฮึ๊ก”

“หืม? ฉันบอกว่าอย่ากลั้นไว้ไง”

มูคยอมใช้นิ้วคลึงยอดอกพลางซุกไซร้ต้นคอ ถึงฮาจุนจะส่ายหน้าราวกับบอกว่าอย่า แต่ระหว่างที่หยุดขยับเอวและใช้มือหยอกล้อชั่วคราวนั้น ผนังด้านในที่เชื่อมติดกันก็ขมิบตอดแก่นกายราวกับกำลังกระตุ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทีที่แสดงออกมา

มูคยอมยกยิ้มโดยไร้เสียงเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนั่น เวลาที่เป็นแบบนี้น่ะ ถ้าค่อยๆ เอาออกมันก็เสียวซ่านอีกน่ะสิ ตอนนี้มูคยอมรู้เกี่ยวกับร่างกายของฮาจุนมากกว่าครั้งแรกมากนัก

“อะ อ๊า! แฮ่ก อื๊อ…!”

มือที่เย้าแหย่ยอดอกค่อยๆ ลูบไล้ร่างกายส่วนบน พร้อมกับถอยไปข้างหลังช้าๆ ไม่สิ ต่างจากเดิมหรือเปล่านะ ฮาจุนยิ่งขยำผ้าปูที่นอนแรงกว่าเดิมพลางขยับเอวขึ้นและบิดตัวไปมาราวกับอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ ตอนนี้พอจะรู้แล้วว่ายิ่งขยับเอวมากเท่าไรตัวเองก็จะยิ่งถูกปลุกเร้ามากเท่านั้น มูคยอมคิดแบบนั้นอยู่ในใจและลดความเร็วในการดึงเอวออกให้ช้ากว่าเดิม

“ฮึก อ๊าาาา… อะ อ๊า…! หยุด พอ ได้แล้ว!”

“หยุดอะไร ต้องเอาออกหรือใส่เข้าไปล่ะ”

“อ๊า นาย จะ จงใจ ฮึ๊กกก!”

“จงใจ?”

เขาแหย่กลับเข้าไปพร้อมกับถามที่ข้างหู

“อ๊ะ!”

“จงใจอะไร อย่าพึมพำ พูดมาให้ชัดๆ สิ”

ไม่ต้องห่วง นอนหลับฝันดีนะครับ หลังจากที่ทักทายกันแบบนั้นแล้วมูคยอมก็วางสายและจ้องมองจอโทรศัพท์

ที่มืดสนิท พอจบการสนทนาและแตะหน้าจอดูก็พบว่าติดรหัสผ่าน จึงทำได้แค่รับสายโทรศัพท์และไม่สามารถใช้ฟังก์ชันอื่นได้

ครอบครัวที่มีน้องสาวที่เรียนเก่ง อีกทั้งยังดูสดใสและเข้มแข็ง และแม่ที่ดูเหมือนจะพึ่งพาลูกชาย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความงดงาม ความรักและความผูกพันที่สั่งสมมายาวนานไม่น้อยจากคำพูดและน้ำเสียง เหมือนครอบครัวที่รักใคร่กันดี

มูคยอมนึกถึงตอนที่เจอฮาจุนเป็นครั้งแรก ใบหน้าขาวราวกับกระดาษที่เหมือนจะเกิดรอยยับได้ง่ายๆ หากออกแรงเพียงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกประหม่ากับการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันนี้ แต่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น ไม่ได้แสดงอะไรบางอย่างออกมาให้เห็น

“…คิมมูคยอม?”

ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาผ่านช่องประตูที่เปิดเอาไว้เล็กน้อย ฮาจุนคงจะตื่นแล้ว มูคยอมลุกขึ้นเปิดประตู

และเดินเข้าไปในห้อง

ฮาจุนไม่ได้เปิดไฟและยืนเหมือนกับกระต่ายป่าที่หลงทางอยู่กลางห้องนั่งเล่นที่มีแสงสลัวๆ ถึงจะดูเป็นการเปรียบเทียบที่ตลกสำหรับผู้ชายที่ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น แต่ท่าทางของเขาก็เป็นแบบนั้นเป๊ะๆ มุมด้านข้างของฮาจุน

ที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวซีดเหมือนกับวิญญาณและส่องประกายสลัวๆ มูคยอมจึงพูดไม่ออก เอาแต่มองฮาจุนอยู่อย่างนั้น และเปิดปากพูดในภายหลัง

“ตื่นแล้วเหรอ”

ฮาจุนสะดุ้งถอยหลังและหันร่างไปทางมูคยอม คงจะตกใจที่จู่ๆ มูคยอมที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นมาปรากฏตัว

“เมื่อกี้อยู่ที่ระเบียงน่ะ”

“อ๋อ…”

มูคยอมยกโทรศัพท์ของฮาจุนขึ้นมาให้ดู ตาของฮาจุนจึงยิ่งโตขึ้นกว่าเดิม

“เห็นว่าที่บ้านโทรมาก็เลยบอกไปว่านายเข้านอนแล้ว”

ฮาจุนเหม่อมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเขาและพยักหน้า

“อือ… ขอบใจนะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นขึ้นมากลางดึกหรือเปล่า บรรยากาศถึงได้อึมครึมแปลกๆ มูคยอมเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ฮาจุน เพราะยังไม่ได้อาบน้ำ ดวงตาที่เปื้อนน้ำตาจึงยังแดงอยู่เล็กน้อย พอเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นของเหลวที่ออกมาจากร่างกาย

ถึงแม้ความร้อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างเพราะกลิ่นกายและเขาที่ออกมาโดยที่ยังมีร่องรอยของกิจกรรมเมื่อครู่อยู่ แต่ก็

ไม่อยากทำอะไรฮาจุนที่มีสภาพแบบนี้อีกครั้งจึงตัดสินใจอดทนเอาไว้ก่อน

“ออกไปรับลมสักหน่อยสิ”

“ลมเหรอ”

“ระเบียงไง”

ความที่รู้สึกว่าเขาเข้าใจช้าไปหนึ่งจังหวะ ซึ่งแตกต่างก้บตอนทำงาน ทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ฮาจุนพยักหน้ารับ ส่วนมูคยอมก็เดินนำหน้าและเปิดประตูออกจนสุด

ต้นไม้เขียวชอุ่มในสวนต่างต้อนรับเขาทั้งสองที่ออกมาที่ระเบียง อากาศด้านนอกและภาพนั้นทำให้สติอันเลือนราง

ของฮาจุนตื่นขึ้นมา เมื่อแสงกระทบเข้ากับดวงตาของเขาที่ค่อนข้างเบิกกว้างก็หันไปมองมูคยอมและพูดออกมาราวกับ

ประหลาดใจ

“ก็ว่าอยู่ว่านี่คือชั้น 3 แต่ทำไมถึงเห็นต้นไม้ตรงหน้าต่าง”

“อืม เชื่อมไปถึงนอกหน้าต่างของห้องนั้นเลย”

“สุดยอด… เหมือนลานบ้านสุดๆ เลยนะ ที่ตึกแบบนี้ก็มีสวนอยู่ด้วยนี่เอง”

จากนั้นก็พูดพึมพำออกมา

“ตอนเด็กๆ ฉันเองก็อยากอยู่ในบ้านที่มีสวน…”

“ถ้าชอบที่ที่มีสวนก็ย้ายไปเลยสิ”

“ก็ตั้งใจจะย้ายไปนี่แหละ เลยกำลังเก็บเงินอยู่”

รู้สึกได้ถึงความไร้เดียงสาแปลกๆ จากคำตอบของเขา มูคยอมจึงยิ้มและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวอีกครั้ง

“มานี่สิ”

พอกวักมือเรียก ฮาจุนก็มีท่าทีลังเล แม้จะไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า แต่ก็เห็นความระแวงที่ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง

ในดวงตาสีดำคู่นั้น พอได้รับคำขอว่าให้ทำเบาๆ จึงหลอกล่อไปว่าถ้าเล้าโลมให้ดีก็จะทำเบาๆ แต่ก็แทบจะไม่ได้ทำตามที่ขอเลย จึงไม่แปลกที่จะมีท่าทีแบบนั้น มูคยอมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาถึงบริเวณหน้าอกและแสดงท่าทียอมแพ้

“ไม่ทำอะไรหรอก”

“…ใครบอกกัน แค่ยังไม่ได้อาบน้ำก็เลยกลัวว่าจะทำให้เก้าอี้สกปรกต่างหาก”

“นายไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นเลย ฉันจะไม่บอกให้นายทำความสะอาดหรอกนะ”

พอสังเกตท่าทีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงแล้ว ฮาจุนก็เดินวางมาดเข้ามาใกล้ และตอนที่เดินเข้ามาใกล้เก้าอี้ มูคยอมก็ดึงแขนของฮาจุนให้นั่งลง

“สักทีเถอะ”

พอมูคยอมทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจใบหน้าที่หงิกงอเพราะการกระทำที่หยาบคายและเอามือเคาะเก้าอี้เพื่อบอกให้

รีบนอนลงเร็วๆ ฮาจุนที่เหมือนจะไม่ทำตามที่บอกก็ถอนหายใจออกมาและค่อยๆ เอนตัวลงบนเก้าอี้ช้าๆ เก้าอี้สำหรับ

นั่งพักผ่อนที่ปรับเอนพนักพิงได้ กว้างพอสำหรับให้ผู้ชายนอนสองคน

หลังจากมีเซ็กซ์อันรุนแรงและยาวนาน ทั้งสองก็ไม่ได้อาบน้ำและกำลังนอนดูท้องฟ้ายามค่ำคืน และมันก็ตลกดี

ที่รู้สึกได้ถึงลมอุ่นๆ ที่บ่งบอกว่ากำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนในอีกไม่ช้า แต่มันก็ไม่เลวเลย มูคยอมจึงหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไร้เสียง ถ้าข้างๆ นี้มีสระว่ายน้ำอยู่ และกระโดดลงไปว่ายน้ำสักหน่อยก็คงดี

“นายคุยกับแม่เหรอ?”

ฮาจุนถามออกมาราวกับเพิ่งนึกกังวลขึ้นมา

“อืม”

“ว่ายังไงบ้าง? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“ท่านชอบที่ได้คุยโทรศัพท์กับคิมมูคยอมนะ”

“สนิทกับพวกคนทำอาหารในโรงอาหารด้วย นายนี่ดังในหมู่คุณป้านะเนี่ย…”

ใบหน้าของฮาจุนที่พูดออกมาแบบนั้นเรียบเฉย ไร้การแสดงออกใดๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก แต่ฮาจุน

ไม่เคยยิ้มออกมาจริงๆ ต่อหน้ามูคยอมเลย คนที่มักจะยิ้มแย้มให้กับผู้คนราวกับเป็นสีหน้าปกติเวลาที่ทำงานอยู่ในทีม กลับมีใบหน้าเรียบเฉยจนดูเศร้าเล็กน้อยแบบนั้นเสมอเวลาอยู่ต่อหน้ามูคยอม

ก็นะ การที่คนเราเอาแต่ยิ้มอยู่ตลอดมันก็คงจะเหนื่อยน่าดู คำว่าแรงงานทางอารมณ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไม่มี

เหตุผลนี่นา ถ้าทำกับคนที่เจอกันบนเตียงเหมือนกับคนที่เจอกันที่ที่ทำงาน แบบนั้นยิ่งแปลกกว่าอีก

ในตอนแรกฮาจุนมักจะหลบหน้ามูคยอม และการทำหน้าเคร่งเครียดก็เป็นการเลือกปฏิบัติในฐานะโค้ช ถึงจะทำให้มูคยอม

อารมณ์ไม่ดีเหมือนกับว่าสิ่งที่ฮาจุนทำเป็นการละเลยหน้าที่ แต่ในตอนนี้ที่ได้รู้แล้วว่าฮาจุนสนใจเขาไม่ว่าจะแง่ไหนก็ตาม เขาก็ยินดีที่จะได้เห็น

ใบหน้าที่ไร้ซึ่งการแสดงออกของฮาจุน พอคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่ได้เห็นบ่อยๆ ในทีม หรือใบหน้าที่ดูเฉยเมย

อย่างตอนนี้ก็ต่างกับสีหน้าที่แสดงออกมาตอนอยู่บนเตียงโดยสิ้นเชิงแล้วก็ยิ่งยินดีเข้าไปใหญ่

พอคิดแบบนั้น ส่วนล่างของร่างกายก็ร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

“นี่”

ฮาจุนส่งเสียงตกใจออกมา

“หนะ ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรไง”

เสื้อคลุมยาวที่ด้านหน้าเปิดออกง่ายมากที่จะสอดมือเข้าไป พอใช้นิ้วหยอกล้อ สิ่งเล็กๆ ที่ยื่นออกมา

ที่ถูกรังแกอย่างเต็มที่ก็ลุกขึ้นชูชัน

“โค้ชคนนี้นี่ เชื่อใจคนง่ายกว่าที่คิดแฮะ”

น่าตลกที่พูดออกมาราวกับว่าลืมเรื่องที่เมื่อกี้ที่ถูกหักหลังครั้งหนึ่งบนเตียงไปแล้ว พอกระซิบเข้าที่ข้างหู ฮาจุนก็ยักไหล่ขึ้นพร้อมกับถดตัวหนีด้วยความจั๊กจี้ ถ้าไม่อยากทำหรือทำไม่ได้ก็แค่บอกกันก็พอ แต่ถึงฮาจุนจะดูมีท่าที

ลำบากใจแต่ก็ไม่ได้พูดคำนั้นออกมาจึงดูเหมือนเอาแต่ดิ้นไปดิ้นมาอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น

มูคยอมปกปิดร่างกายครึ่งหนึ่งของฮาจุนด้วยร่างกายของตัวเอง มือของเขาลูบไล้หลังต้นขา และเมื่อริมฝีปาก

สัมผัสเข้ากับหน้าอก ฮาจุนก็ได้แต่พูดออกมาเช่นนี้เพื่อห้ามเขา

“ฮึก คิมมูคยอม ตรงนี้มันข้างนอกนะ…”

“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นด้านในของบ้านจนถึงตรงนี้เลยต่างหาก”

ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของฮาจุนที่วางเอาไว้ข้างๆ ก็ดังติ๊ดขึ้นมาสั้นๆ ด้วยความอยากรู้ว่าใครส่งอะไรมาในเวลานี้ มูคยอมที่กำลังเล่นอยู่จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนฮาจุนเสียอีก บนหน้าจอมีตัวอย่างข้อความปรากฏอยู่

‘ลูกชาย~ ช่วงนี้ทำงานหนักเลยนะ~~~♡♡ แต่ถ้าวันหลังจะกลับช้าก็โทรมาบอกกันก่อนก็ดีนะ~^^♡♡♡ สู้ๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้♡♡’

ฮาจุนแย่งโทรศัพท์คืนทันที

“ทำไมถึงดูโทรศัพท์ของคนอื่นตามอำเภอใจเนี่ย”

มูคยอมไม่ตอบ มือที่สอดเข้าไปในเสื้อคลุมก็หยุดลงทั้งอย่างนั้น พอเสียงอันอ่อนโยนของหญิงวัยกลางคนที่ฝากฝัง

ด้วยความกังวลว่า ‘ฝากโค้ชอีของเราด้วยนะคะ’ ดังขึ้นมาในหู จิตสำนึกที่มักจะเกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราวก็ดันปรากฏตัวขึ้นมา

“…เข้าไปกันเถอะ แล้วก็อาบน้ำด้วย”

“อือ…”

มูคยอมลุกขึ้น ถึงดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่จู่ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป แต่ฮาจุนเองก็รีบลุกขึ้นและเข้าไปในห้องนั่งเล่น

ด้วยความรู้สึกโล่งใจ

พวกเขาแยกย้ายกันไปอาบน้ำ มูคยอมไม่เซ้าซี้ต่อและขึ้นไปบนห้องนอนที่อยู่บนชั้นสองของตนเองทันที เตียงนอนถูกจัดเอาไว้ระหว่างที่ฮาจุนกำลังอาบน้ำเหมือนกับครั้งก่อน และฮาจุนก็ผล็อยหลับไปบนเตียงที่ปูผ้าปูที่นอนนุ่มๆ ผืนใหม่

เช้าวันต่อมายุ่งวุ่นวายกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย เพราะไม่ใช่การฝึกซ้อมในช่วงบ่าย หลังจากรีบกินอาหาร อาบน้ำ และใส่เสื้อผ้าแล้ว มูคยอมที่เดินลงมาที่ลานจอดรถด้วยกันก็บอกให้เลือกรถอีกเช่นเคย ครั้งนี้ฮาจุนไม่ปฏิเสธและเลือกรถออดี้

ที่มักจะใช้ไปทำงานเป็นปกติ

“ไม่ชอบมีเซ็กซ์ในรถขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พูดอะไรของนาย ฉันก็แค่เลือกอะไรที่มันง่ายๆ แค่นั้นเอง”

รถคันที่มูคยอมที่บ่นอุบอิบและฮาจุนที่เถียงกลับนั่งเคียงคู่กันแล่นออกไป ฮาจุนที่เอาแต่มองไปข้างหน้า

เหลือบมองมูคยอมที่กำลังขับรถอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อไม่ให้โดนจับได้

วันแรกมูคยอมก็เตรียมอาหารให้ฮาจุน ขอให้เลือกชุดให้ แล้วก็ให้เลือกรถด้วย เมื่อวานเอาโต๊ะหนังสือมาวางให้ที่ห้อง เอาแปรงสีฟันที่ฮาจุนใช้มาวางไว้ให้ แล้วก็เอาเสื้อคลุมที่จะใส่มาวางไว้ให้อีก คุยโทรศัพท์กับแม่ด้วย และถึงทั้งสองจะมีสภาพ

เละเทะก็ตามแต่ก็นอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยกัน

ถึงจะไม่รู้ก็เถอะ… แต่ความสัมพันธ์แบบที่มีแค่เซ็กซ์กันเท่านั้น ปกติเขาทำกันแบบนี้หรือเปล่านะ…

มูคยอมกำลังปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษจริงๆ หรือให้ความหมายกับสิ่งที่ไม่ได้สำคัญอะไรกันแน่ สำหรับฮาจุนที่ประสบการณ์ความรักเท่ากับศูนย์นั้นไม่สามารถรู้ได้เลย ฮาจุนว้าวุ่นอยู่กับความสับสน ท่ามกลางความดีใจ ความคาดหวังเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาในหัวใจบ่อยๆ โดยที่ไม่สัมพันธ์กับความตั้งใจ จู่ๆ ก็มีสายเข้าผ่าน

อุปกรณ์แฮนด์ฟรีในรถที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือของมูคยอม เขาเหลือบมองว่าใครโทรมา หลังจากสบตากับฮาจุนและเอานิ้วชี้วางไว้ที่ริมฝีปาก

พร้อมกับส่งเสียง ชู่ว แล้วก็กดรับสาย

“อืม”

‘คุณมูคยอม ฉันเอง’

เสียงของผู้หญิงดังก้องอยู่ในรถ

“กำลังขับรถอยู่”

‘อ๋อ อย่างนั้นเหรอ โทษที ไว้จะโทรมาใหม่นะ’

“โอเค”

ถึงบทสนทนาจะสั้น แต่แค่บรรยากาศก็เพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเป็นอะไรกัน มูคยอมที่วางสาย ฝืนยิ้มออกมาพลางพูดว่า

“ปกตินั่งคนเดียวก็เลยตั้งเป็นลำโพงเอาไว้”

“รถของนาย มันก็เป็นเรื่องของนายสิ”

ฮาจุนที่มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก รู้สึกแปลกขึ้นมาเล็กน้อยจึงต่อว่าเขา

“ไหนบอกว่าจะไม่คบผู้หญิงแล้วไง”

“บอกตอนไหน” ฉันบอกว่าจะไม่นอนด้วยไปสักพัก จำเป็นต้องไม่รับสายที่โทรมาด้วยเหรอ”

“ก็จริงแฮะ”

ฮาจุนเห็นด้วยและหัวเราะออกมา มูคยอมพูดถูก อาจจะกลับไปคบกับผู้หญิงพวกนั้นอีกเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจำเป็นต้องตัดขาดการติดต่อเลยนี่

พอคิดดูแล้วมันก็จริง มูคยอมนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับคนอื่น ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อคลุมแบบเดียวกัน นอนดูดาวบนเก้าอี้ตัวยาวบนระเบียง และกินมื้อเช้าที่โต๊ะตัวเดียวกัน แล้วก็ขอให้เลือกชุดและบอกให้เลือกรถด้วย คงจะมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่ตัวเขาเองไม่รู้

ทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ สำหรับฮาจุนที่ไม่เคยมีคนรักมาจนถึงตอนนี้แล้ว สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนพิเศษ แต่สำหรับคนที่สนุกกับการมีใครสักคนอยู่ด้วยตลอดแล้วนั้น คงจะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

มูคยอมเป็นคนที่เอาใจใส่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงมักจะทำตามอารมณ์ และเฉยเมยกับคนที่ไม่ได้สนใจ ใช้คำพูดกวนประสาทกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนอะไรทั้งนั้นจนเสียความนิยม แต่ฮาจุนก็รู้ดีเพราะฮาจุนคือคนที่

สัมผัสกับความใจดีของมูคยอมด้วยตัวเอง

ถ้ามูคยอมเป็นไอ้คนกากจอมเฮงซวยอย่างที่คนเขาพูดกันจริงๆ จะล้มเลิกบทบาทในพรีเมียร์ลีก เพื่อกลับมาทำหน้าที่

ในลีกพื้นที่ไกลโพ้น และยอมรับความเสียหายครั้งใหญ่ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากร่วมงานกับอาจารย์ ถึงแม้จะแค่หนึ่งปีก็ตาม

ได้ยังไงกัน ถึงจะมีคนที่ตีความว่าการตัดสินใจนั้นเป็นพฤติกรรมของคนที่ทำตัวตามอารมณ์อย่างสุดขั้ว แต่ฮาจุนไม่คิดแบบนั้น

คำว่า ‘สักพัก’ ของมูคยอม คือเวลาที่มูคยอมมอบให้เขา ในระหว่างนี้ การสนองตัณหาของมูคยอมเป็นหน้าที่ของเขา พอหลุดออกจากความสับสนที่รู้สึกไปชั่วขณะได้ จิตใจก็กลับสงบลง

“ฮื๊อ อ๊ะ อ๊า”

“ฮ่า”

มูคยอมหัวเราะ พอแสร้งทำเป็นเขินอายแล้วคงจะอารมณ์ดี ถึงได้ส่งเสียงครางสั้นๆ ออกมาแบบนั้น ท่าทางบิดตัวไปมาอย่างไร้สติที่ตรงหน้าของตนเองเนี่ย

มีคนจำนวนมากที่เห็นกล้ามท้องของเขาและเรียกเป็นคำขยายเลยว่าเหมือนกระดานซักผ้าหรือไม่ก็ช็อกโกแลต ทว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนใช้แกนกายมาถูไถกระดานซักผ้าใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยตัวเองแบบนี้

“แทบบ้าไปแล้ว”

มูคยอมไม่สามารถทนได้อีกต่อไปจึงขยับร่างกายขึ้น และทันทีที่เขาหัวเราะออกมา ตอนนั้นเองที่ฮาจุนเงยหน้าขึ้นราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะได้สติ จากนั้นก็โซซัดโซเซยกเอวขึ้นอีกครั้ง

“อ๊ะ อื๊อ ทะ โทษที”

“ฉันบอกให้สงบลงไปก่อน แต่นายทิ้งฉันไว้แล้วแตกคนเดียว โดยที่ฉันยังไม่ได้แตะต้องมันเลยเนี่ยนะ”

มูคยอมที่เกือบจะนอนราบอยู่ก็เอนตัวขึ้นมาเช่นกัน ขณะที่มูคยอมลุกขึ้นมาฮาจุนก็กำลังนอนคว่ำอยู่เช่นเคย มูคยอมมองที่ท่อนบนร่างกายของตนเองอย่างติดตลกแล้วเหลือบมองฮาจุนด้วยความรู้สึกที่ยินดีปรีดา อีกฝ่ายกำลังนอนคว่ำหน้าลงอย่างเรียบร้อยเหมือนกับรอการลงโทษสำหรับความผิด

ตอนนี้สีหน้าของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรนะ ตอนนี้เขาอยากเห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้วละ มูคยอมดึงไหล่ของฮาจุนที่กำลังนอนอยู่นั้นให้มองมาที่ตนเอง เขาปล่อยให้ฮาจุนเอนตัวลงบนผ้าปูที่นอนอย่างเดิมแล้วจึงค่อยๆ พิจารณามองดูอีกฝ่าย

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะไม่ได้ร้องไห้ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายกลับแดงก่ำเพราะความตื่นเต้น ริมฝีปากบวมขึ้นเล็กน้อยและเปียกชื้นจากการอมและดูดแกนกายของมูคยอม ฮาจุนช้อนตามองมูคยอมด้วยความเซ็กซี่ ความละอายใจ และความรู้สึกสับสนปนกันจนมีสีหน้าคลับคล้ายคลับคลาว่าจะร้องไห้… มูคยอมถูกใจทุกอย่างในวันนี้มากๆ เลย

ปกด้านหน้าของเสื้อคลุมที่ติดไว้อย่างเรียบร้อยในตอนแรกนั้นถูกฉีกขาดเผยให้เห็นทั้งหน้าอกสีขาวและยอดปทุมถัน

เล็กๆ ของฮาจุน เขาชอบที่น้ำอสุจิทำให้เสื้อด้านหน้าเปียกไปหมดจนผ้าแนบกับผิวกาย ใต้สายคาดเอวหลวมที่ยังไม่คลายเต็มที่มีรอยแยกให้มองเห็นแกนกายที่เปียกชุ่มและต้นขาสีขาวนวล

ดีจังเลย ถอดน้อยๆ แบบนี้ดูเซ็กซี่กว่าการถอดออกจนหมดเสียอีก

“เข้ากับนายดีนะ”

“อะ อะไรเหรอ…”

“สีขาว”

ในขณะที่ตอบอย่างสั้นๆ เขาก็คว้าขาของอีกฝ่ายแล้วจับแยกออกจากกัน มูคยอมแหย่ส่วนหัวของเขาที่ช่องทางที่เปียกด้วยเจลและเปรอะเปื้อนด้วยน้ำอสุจิ ครั้งนี้มูคยอมที่ไม่ได้หยิบถุงยางอนามัยออกมาตั้งแต่แรกก็สอดเสียบแกนกายที่เปียกชุ่มด้วยน้ำลายที่อีกฝ่ายทั้งอมทั้งดูดอยู่ครู่หนึ่งเข้าไปอย่างนั้น

“ฮ๊าา อ๊ะ!”

ระหว่างที่ฮาจุนพิงคอไปด้านหลังและส่งเสียงครวญครางออกมา มูคยอมก็สอดแกนกายลงไปจนลึกภายในครั้งเดียว

ทางเข้าขยายออกได้ดีด้วยสี่นิ้วที่ล้วงเข้าไป และช่องทางด้านในที่ขอร้องวิงวอนก็สั่นสะท้านราวกับเกลียวคลื่น ทันทีที่ใส่เข้าไป มูคยอมก็หายใจเข้าสั้นๆ ผนังด้านในตอดราวกับว่าอีกฝ่ายจะบีบรัดเขาให้แน่น

รู้สึกดีกว่ารอบที่แล้วอีก มูคยอมที่เข้าไปถึงด้านในสุดในคราวเดียวกระแทกชนไปถึงจุดกระสันอันโปรดปรานของฮาจุนที่มันแคบลง หลังจากนั้นมูคยอมก็โยกไปตรงนั้นสั้นๆ และรวดเร็ว มันจึงทำให้ฮาจุนส่ายหน้าและส่งเสียงครวญครางออกมา

“อ๊ะ อ๊า ตรง อื้อ อ๊ะ อ๊า! ตรงนั้น ฮื้อ มะ มันแปลกๆ …!”

“ฮ่า… ไม่ได้รู้สึกแปลกๆ หรอก เสียวต่างหากละ”

“ฮ๊า อื้อ อ๊ะ อ๊า…!”

ทุกครั้งที่สอดใส่เข้าไปนั้น มูคยอมจะใช้มือคลำที่หน้าท้องของอีกฝ่ายเหมือนกับครั้งที่แล้ว เมื่อเจอจุดที่นูนขึ้นมาเขาก็กดมันลงไป ทำให้ร่างของฮาจุนสั่นไหวราวกับต้นหลิว อีกฝ่ายวางมือของตนเองลงบนมือของมูคยอม มูคยอมอมยิ้มให้กับท่าทางนั้นของอีกฝ่ายที่ราวกับขอร้องไม่ให้เขากดลงไป เขาเอนตัวลงเอาหน้าแนบหูแล้วเอ่ยถาม

“ลึกไปเหรอ ให้เอาออกไหม”

“ฮื่อ อื้อ!”

ไม่ว่าเป็นเสียงครางหรือว่าเป็นคำตอบ ฮาจุนก็เปล่งเสียงที่คลุมเครือออกมาอย่างไร้สติ

“โอเค เข้าใจแล้ว”

มูคยอมพูดอย่างนั้นและกัดใบหูของอีกฝ่าย เมื่อเขากัดใบหูและเลียด้านในรูหู อีกฝ่ายจะส่งเสียงครวญครางร้องไห้และช่องทางด้านในก็จะยิ่งตอดรัดไปอีก ทันทีที่ดึงเอวกลับไปอย่างช้าๆ เจลที่ทาไว้ด้านในช่องทางอุ่นร้อนก็ติดแกนกายออกมาด้วย

ขณะที่ส่วนหัวโป่งหนาและเส้นเลือดบนแกนกายขูดผนังด้านในค่อยๆ ชักกลับออกมา มือของฮาจุนที่กุมมือของมูคยอมเอาไว้ก็มีกำลังขึ้นมาราวกับยึดไว้แน่น

“ฮื่อ อือ อื้อ ฮ๊า…!”

เสียงครวญครางที่หลั่งไหลออกมาอย่างช้าๆ เหมือนกับแกนกายที่ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ชักออก ก็จะถูกดุว่าขอให้เอาออกง่ายจังเลยนะ

มูคยอมที่ลิ้มรสเสียงครางอันกระวนกระวายใจอย่างเพลิดเพลินก็พยุงร่างกายขึ้นแล้วใช้มือวางไว้ที่ข้อพับหลังเข่า

ของฮาจุน เขายกขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายขึ้นไปพาดไว้บนไหล่ของตนเอง เมื่อมองลงไปก็เห็นฮาจุนที่ถูกยกขึ้นจนถึงบั้นท้าย ครั้งนี้มูคยอมสอดลึกเข้าไปข้างในโดยกดน้ำหนักลงจากบนลงล่าง

“อั๊ก! อ๊ะ อ๊าๆ !”

ส่วนนั้นสอดลึกเข้าไปกว่าก่อนที่เขาขอให้อีกฝ่ายเอาออกเสียอีก ฮาจุนดิ้นร้องครวญคราง หน้าอกขาวนวลที่กระเพิ่มขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ยอดปทุมถันซ่อนอยู่ระหว่างสาบเสื้อคลุม และแขนข้างหนึ่งเลื่อนลงมาเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและไหล่ ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่ชื่นชอบต่อสายตาของมูคยอม

เมื่อเขากระแทกส่วนนั้นเข้าไปจนสุดแล้วชักออกมา เยื่อช่องทางด้านในก็ติดตามแกนกายราวกับบอกว่าไม่ให้มูคยอมเอามันออกไป มูคยอมหัวเราะคิกคัก เขาสอดสิ่งที่ตนเองชักออกไปนั้นอย่างไม่มียั้งพลางถามออกไป

“อ๊า!”

“ชอบเจ้านี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อื้อๆ ฮื่อ!”

“เอาออกแค่แป๊บเดียวก็ทนไม่ไหวเลยแฮะ”

“มะ ไม่ใช่ อ๊ะ อ๊า…!”

“ทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่ล่ะ ถ้าชอบก็บอกว่าชอบสิ หืม พูดสิ”

เขาเลิกเล่นแบบนั้นและกระแทกเอวอีกฝ่ายเข้าไปเหมือนตอกตะปู แล้วสอดเข้าไปด้านในตามอำเภอใจตนเอง ฮาจุนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร อีกฝ่ายทำได้แค่เพียงจิกผ้าปูที่นอนไว้ แต่มือใหญ่ของมูคยอมนั้นจับขาของอีกฝ่ายเอาไว้ทำให้ไม่มีหนทางที่จะหนีไปที่ไหนได้ ทุกครั้งที่สะโพกและหัวหน่าวชนกันร่างกายของฮาจุนจะสั่นสะท้าน ขาที่วางพาดเหนือไหล่ก็สั่นไปพร้อมๆ กัน

“อ๊ะ อ๊าา! บะ เบา นะ หน่อย…! อ๊า! อ๊า! ได้โปรด…!”

แทนที่จะตอบ มูคยอมกลับเอามือทั้งสองข้างแหวกบั้นท้ายออกจากกัน ช่องทางเข้าที่มีแกนกายสอดไว้อยู่นั้นตึงเปรี๊ยะไม่มีแม้กระทั่งรอยย่นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นว่าผิวหนังบริเวณรอบๆ นั้นจะยืดออกไปอีกเล็กน้อย

มูคยอมจึงใช้นิ้วลากตามอย่างเบาๆ แล้วค่อยๆ ดันปลายนิ้วเข้าไป ช่องทางด้านในเต็มไปด้วยแกนกายหนาและรัดแน่น ดังนั้นมันจึงไม่มีช่องว่างเลย แต่มูคยอมเองนั้นรู้ดีว่าช่องทางนั้นค่อนข้างเต่งตึงและยืดหยุ่นได้ ฮาจุนเอาแต่ผลักไสมูคยอมมาตั้งแต่เมื่อครู่ราวกับหวาดกลัวสุดขีด

“ฮื้อ อ๊ะ อ๊า! มะ ไม่ ไม่ได้ ไม่…!”

“ดูสิ ฉันว่าจะทำเบาๆ นะ”

“อ๊า! ฮื่อ อ๊ะ!”

“ไม่อมให้ฉัน แถมยังเสร็จก่อน หืม จะเสียวอยู่คนเดียวหรือไง”

“ฮึก… ฉันผิด ผิด ไปแล้ว อ๊ะๆ!”

ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนั้น แต่ก็อีฮาจุนไม่ได้ผิดอะไร ถ้าไม่อยากอมก็ไม่ต้องอม ถ้าจะแตกก็แตกไปสิ

อย่างไรก็ตามการทำให้บรรยากาศบนเตียงมันดีขึ้น มันก็ไม่ใช่การกระทำที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ ฮาจุนเองก็ช่วยให้จังหวะมันเข้ากันได้ดีด้วย มูคยอมสอดนิ้วเข้าไปกระแทกจนรัดแน่น ถึงแม้จะสอดเข้าไปแค่นิ้วเดียว แต่พอใส่เข้าไปเพิ่มผนังด้านในเลยยิ่งแน่นขึ้นกว่าเดิม

“อย่าเกร็ง”

“อา อ่า….”

“อีฮาจุน ฉันอยากสอดนิ้วเข้าไป”

มูคยอมเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน เอ่ยถามราวกับกำลังขอร้อง

“สอดเข้าไปได้ใช่ไหม”

ในระหว่างนั้นมูคยอมก็ค่อยๆ ดันนิ้วที่ไปถึงข้อต่อที่สองแล้วถาม แต่ฮาจุนไม่ตอบรับว่าได้หรือไม่ อีกฝ่ายแค่หอบหายใจเพียงเท่านั้น

“หือ ถ้าฉันกดแบบนี้ นายก็จะรู้สึกเสียวกว่าเดิมอีก”

ในระหว่างที่มูคยอมวางนิ้วลงไปบนแกนกาย แล้วสอดเข้าไประหว่างแกนกายอันแข็งขืนกับช่องทางที่รัดแน่นอย่างยากลำบากนั้น แล้วเขายังกดที่ต่อมลูกหมากครั้งหนึ่งอีกด้วย จึงทำให้ฮาจุนเบิกตาโพลงและนัยน์ตาสั่นระริก ฮาจุนอ้าปากและหายใจออกสั้นๆ สองสามครั้งราวกับหวีดร้องโดยไม่ส่งเสียง หน้าอกและเอวของฮาจุนสั่นไหวราวกับตื่นเต้น และช่องทางภายในของเขาก็ตอดแน่นราวกับจะตัดสิ่งของให้ขาด

มูคยอมค่อยๆ ขยับเอวและข้อมือไปมาถูผนังช่องทางด้านใน เขาปล่อยให้นิ้วและแกนกายของตนเองเลื่อนไปมาสลับกัน เขามองเห็นกล้ามเนื้อเหนือกระดูกเชิงกรานของฮาจุนกระตุกตามอารมณ์อย่างมัวๆ ใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อนั้นพิงคอไปด้านหลังแล้วสะบัดหน้าไปมา บ้าไปแล้ว คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายอดทนกลั้นเอาไว้อยู่ใช่ไหม แต่ดูเหมือนว่าฮาจุนนั้นไม่ได้ส่งเสียงออกมาจากปากที่อ้าไว้เลย

มูคยอมถามอีกครั้งเพราะท่าทีของอีกฝ่ายที่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถรับสิ่งที่สอดเข้าไปช่องทางด้านในที่มันแข็งขึ้นกว่า

เดิมได้

“ไม่ได้เหรอ”

ทั้งๆ ที่ถามว่าทำได้หรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้หยุดการกระทำนั้น ขณะที่มูคยอมมองลงมาที่ฮาจุนราวกับกำลังรอคำอนุญาต อีกฝ่ายก็หายใจถี่รั่ว เผยอริมฝีปากอยู่ราวๆ สองสามครั้งแล้วส่งเสียงแหบแห้งเล็กน้อยออกมา

“ฮึก ได้ ฮื่อ อื้อ ได้…”

มูคยอมยิ้มและโน้มกายลง ที่น่าขำคือพออีกฝ่ายบอกเขาว่าได้ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าไม่ได้ล่ะ อย่างไรก็ตามตอนที่ได้รับอนุญาตนั้น เขาก็ได้สอดนิ้วเข้าไปแล้ว มูคยอมสอดนิ้วเข้าไปจนสุดในครั้งเดียว ดึงสาบเสื้อคลุมที่เกือบไหลเลื่อนออกมาด้านหลังจนเผยให้เห็นไหล่ จากนั้นจึงบิดยอดปทุมถันทั้งสองเบาๆ ราวกับปัดผ่านๆ

“อ๊าา!”

ตอนนี้เสียงของอีกฝ่ายกลับมาแล้ว เสียงออดอ้อนของฮาจุนดังขึ้นกว่าเดิม ช่องทางด้านในตอดรัดราวกับว่ากำลังพยายามทำให้ช่องว่างของนิ้วที่หลุดออกไปนั้นหายไป

มูคยอมดึงร่างกายอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้จนแน่น แล้วจึงค่อยๆ ใช้ฟันงับที่ยอดถันที่เขาเคยลูบไล้มัน จากนั้นเขาก็เลียมันแล้วดูดซ้ำไปซ้ำมา ฮาจุนสั่นสะท้านนอนเอนหลังแล้วใช้เท้าถีบเบาะ มูคยอมโอบแขนของฮาจุนไว้ในอ้อมแขน เขาจับหลังและเอวอีกฝ่ายไว้แน่น ถึงแม้ว่าฮาจุนจะดีดดิ้นเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่สามารถหลุดออกจากอ้อมกอดของมูคยอมได้เลย

“อ๊าา ฮื้อๆ ฮ๊า อ๊ะ….”

เขาทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนว่าวันนี้จะใช้เวลานานกว่าครั้งที่แล้ว

ทุกครั้งที่สนุกเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเวลาในการมีเซ็กส์จะยาวนานขึ้นใช่ไหมนะ

มูคยอมคิดอย่างนั้นแล้วกระแทกเอวอย่างรุนแรงจากที่แต่ก่อนกระแทกอย่างเชื่องช้าอยู่สักพักหนึ่ง ร่างกายในอ้อมอก กลิ่นอายของฮาจุน เสียงและช่องทางด้านในอันทนทานที่รับความเป็นชายของเขาไป ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้มูคยอมรู้สึกพอใจจนถึงท้ายที่สุด

“ฮื่อ ได้โปรด! ฮึก! ได้โปรด เบาๆ หน่อย…! อ๊ะ อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

“ฮ่า ฮู่ อ๊า”

มูคยอมเร่งความเร็วในการกระแทกเอวให้เร็วและแรงกว่าเดิมจนความรู้สึกที่กำลังจะหลั่งน้ำกามนั้นพุ่งขึ้นมาอย่าง

รวดเร็ว มูคยอมกอดฮาจุนอย่างแน่นขึ้นไว้ในอ้อมแขนของตนเอง เขาหลั่งน้ำกามออกมาเมื่อสอดกระแทกเข้าไปด้านในลึกสุดแล้วแช่ทิ้งไว้อย่างนั้น

ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ และนี่เป็นเพียงการเสร็จรอบแรกเท่านั้น

***

มูคยอมตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว

ทั้งเสื้อคลุมและสายรัดเอวที่สวมในตอนแรกต่างก็กระจัดกระจายอยู่ใต้เตียง คำขอร้องของฮาจุนที่บอกว่าให้ทำเบาๆ ถูกเขาเพิกเฉยไปจนถึงท้ายที่สุด เอาเป็นว่ามูคยอมรักษาคำพูดไว้ไม่ได้ก็แล้วกัน

ริมฝีปากบนใบหน้าของฮาจุนร้องไห้และเอื้อนเอ่ยขอให้เขาทำช้าลงหน่อย แต่ช่องทางข้างล่างกลับส่งเสียงที่ต่างออกไป ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับมูคยอมว่าเขาจะเลือกฟังทางไหน และมูคยอมก็ทำตามที่ตนเองพึงพอใจ

ฮาจุนที่ผล็อยหลับไปราวกับว่าเกือบจะเป็นลมนั้น เมื่ออีกฝ่ายหลับตาลงทำให้มองเห็นขอบตาเป็นสีแดงก่ำราวกับกำลังร้องไห้ทั้งๆ ที่หมดสติไป และยังหายใจถี่รัวเล็กน้อยอีกด้วย ในเวลานั้นมูคยอมก็ค่อยๆ ขยับเอวที่ยังคงสอดแทรกไว้กับร่างกายของฮาจุนอย่างช้าๆ แม้แต่ในยามหลับฮาจุนก็คงรู้สึกถึงการถูไถภายในช่องทางด้านในสินะ เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนั้นร่างกายของอีกฝ่ายจะขยับเล็กน้อย มูคยอมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะปลุกฮาจุนดีหรือเปล่า จากนั้นเขาจึงถอนเอวออกมา

พักหน่อยก็ได้

ในขณะที่หลับฮาจุนคงรู้ได้ว่าช่องทางด้านในมันว่างเปล่า อีกฝ่ายขมวดคิ้วพลางพลิกตัวไปด้านข้างแล้วนอนลงไป มูคยอมหัวเราะแบบไม่มีเสียงและลุกขึ้นทั้งๆ ที่เปลือยกาย ในระหว่างนั้นมูคยอมก็ดูเวลาพบว่าใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว เขาคว้าโทรศัพท์มือถือของฮาจุนแล้วย่างก้าวออกไป

มูคยอมสวมเสื้อคลุมโดยไม่กลัดให้ดีก่อนแล้วเปิดประตูไปที่ระเบียง เขาเดินไปที่ระเบียงที่ยื่นออกมา บ้านของมูคยอมอยู่ที่ชั้นบนสุด มีพื้นที่ส่วนตัวขนาดใหญ่ที่เทียบได้กับสวนของบ้านทุกหลัง

การปลูกต้นไม้ใหญ่ที่ริมขอบนอกจากเพื่อสร้างวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ในขณะเดียวกันยังสามารถป้องกันไม่ให้มีการละเมิดความเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย มูคยอมสามารถปลูกดอกไม้หรืออย่างอื่นได้ถ้าหากเขาต้องการ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะดูแลมันมากขนาดนั้น อย่างไรก็ตามมันเป็นสถานที่ชั่วคราวที่เขาจะปล่อยทิ้งไว้หลังจากที่อาศัยได้เพียงแค่ปีกว่าๆ อยู่แล้ว

มูคยอมเหยียดขาออกแทบจะกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจที่นั่น แม้ว่าตอนนี้จะถอดเสื้อออกตอนกลางคืนแล้วออกมาทั้งอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่หอบหายใจถี่จนกระทั่งออกจากห้องที่รู้สึกร้อนอบอ้าวนั้น ดูเหมือนว่าความร้อนของความปรารถนาที่ยังคงอยู่ในร่างกายของเขากำลังค่อยๆ หายไปทีละเล็กทีละน้อย

‘ตื๊ด’

ในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของฮาจุนที่วางไว้บนร่างกายของเขานั้นสั่น มูคยอมแค่เอามาเผื่อไว้เฉยๆ แต่ก็นี่ละนะ บนหน้าจอปรากฏตัวอักษรคำว่า ‘แม่’ ขึ้นมา ดูเหมือนว่าในตอนที่ทำงานนั้นฮาจุนจะเฉลียวฉลาดแต่ในส่วนนี้อีกฝ่ายยังขาดความสามารถในการเรียนรู้ในด้านนี้ อีกฝ่ายควรจะบอกก่อนแล้วค่อยไปนอนสิ

“ครับ คิมมูคยอมครับ” มูคยอมกดรับสายนั้น

‘…อุ๊ย ตายแล้ว ขอโทษนะคะ ฉันโทรผิดน่ะค่ะ’

“เปล่าหรอกครับ คุณแม่ นี่เบอร์ของโค้ชอีฮาจุนถูกแล้วครับ”

มูคยอมวางแขนรองด้านหลังศีรษะและนอนลงอย่างสบาย

“วันนี้เขามาประชุมที่บ้านของผมน่ะครับ แต่มันดึกเกินไปหน่อย โค้ชอีเลยผล็อยหลับไป ผมขอโทษนะครับ แต่ผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าวันนี้จะให้เขานอนที่บ้านของผม”

‘อ๋อ อย่างนั้นสินะคะ เจ้านั่นไม่บอกล่วงหน้าเลย… ฉันเป็นห่วงเลยลองโทรมาน่ะค่ะ’

“ตอนนี้ทีมของพวกเรากำลังไปได้สวยเลยครับ และเพราะว่าโค้ชเขามีความสามารถมาก ทำให้งานเยอะน่ะครับ และผมคิดว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกบ่อยๆ ดังนั้นได้โปรดเข้าใจด้วยนะครับ”

‘เฮ้อ ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ยังไงก็ฝากโค้ชอีด้วยนะคะ อะไรกันเนี่ย เพราะเจ้าลูกชายเลยฉันถึงได้คุยโทรศัพท์กับนักเตะคิมมูคยอมนะคะ’

แม่ของฮาจุนหัวเราะอย่างเขินอาย เธอเองก็คงมีความรู้สึกชื่นชมมูคยอมเช่นเดียวกับผู้หญิงส่วนใหญ่

……………………………………………………………

มูคยอมสอดแกนกายเข้าไปในลำคอของฮาจุนแล้วควงเอวไปมาเบาๆ เขาเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของกล้ามเนื้ออ่อนนุ่มที่โอบกระชับลำกายของเขา มันรู้สึกถึงความแตกต่างจากการสอดใส่จากด้านล่าง

“ฮึก แค่ก อื้อ”

เสียงครางราวกับหายใจไม่ออกยังคงหลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ มูคยอมต้องการเพลิดเพลินไปกับความสุขแปลกๆ นี้อีกสักหน่อย แต่มันคงจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าอีกฝ่ายหายใจไม่ออก มูคยอมจึงไม่โลภมากจนเกินไปและค่อยๆ ดึงแกนกายออกมา

พอดึงออกมาได้ครึ่งลำแล้ว หลังจากที่ฮาจุนผละจากแกนกาย มูคยอมก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่ไอโขลกๆ กำลังพยายามหายใจอย่างเร่งรีบด้วยลมหายใจร้อนแรง

มูคยอมปล่อยให้ฮาจุนหายใจครู่หนึ่งแล้วจึงสอดกลับเข้าไปในปากของอีกฝ่าย ครั้งนี้เองก็เช่นกันที่เขาสอดเข้าไปลึกถึงด้านใน

ฮาจุนหายใจไม่ออกยิ่งกว่าเดิม อีกฝ่ายหอบในลำคอเร็วยิ่งขึ้นเพราะพยายามที่จะหายใจ ยิ่งอีกฝ่ายทำเช่นนั้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไปกระตุ้นความรู้สึกดีที่ส่วนหัวมากขึ้นเท่านั้น ฮาจุนน้ำตาไหลทันทีเนื่องจากปฏิกิริยาตอบกลับทางร่างกาย สีหน้าฮาจุนที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจับจ้องไปที่ท่อนลำที่กระทำชำเราปากของตนเองนั้นช่างกระตุ้นความปรารถนาของมูคยอม

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง มูคยอมใจกล้าขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคอของอีกฝ่ายหดและแคบลงทุกครั้งที่เขากดแกนกายเข้าไป มูคยอมเพิ่มความเร็วที่ชักเข้าชักออกจากปากของฮาจุน

“อะอื้อ ฮึก!”

เขาสอดเข้าไปโดยไม่แรงจนเกินไป แต่กลับใส่เข้าไปจนลึก เขาดึงออกมาแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่

ลิ้นที่อยู่ข้างล่างในตอนแรกนั้นตอนนี้มันกำลังพยายามที่จะดึงดันขึ้นไป เป็นเหมือนกับสัญชาตญาณของการพยายามผลักสิ่งอวบโตที่ผุดโผล่เข้าไปในปากออกไปเสีย อย่างไรก็ตามมูคยอมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาโดนลิ้นนุ่มๆ เลียที่ของลับของเขาเท่านั้น ยิ่งช่องระหว่างเพดานปากกับลิ้นแคบลงเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้นทุกครั้งที่สอดใส่เข้าไป

“ฮื้อ… อือ ฮึก!”

“ฮ่า ฟังดูน่าอร่อยดีนะ…”

ก่อนที่ส่วนหัวจะลอดผ่านลำคอของฮาจุน มันก็ทิ่มไปที่เยื่อเมือกอันอ่อนนุ่ม ฮาจุนสั่นราวกับว่าหายใจไม่ออกแต่กลับครางออกมาด้วยความเร่าร้อน เสียงครวญครางนั้นทำให้มูคยอมหยุดเอวของเขาไม่ได้เลย

เขาเคลื่อนเอวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอ แกนกายของเขาผลุบเข้าไปในปากของอีกฝ่ายจนมิดลำ ใบหน้าของฮาจุนที่ร้อนผ่าวนั้นบูดเบี้ยวราวกับทุกข์ระทม

“ฮึ อ๊ะ! ฮือ อา”

สุดท้ายแล้วมูคยอมก็ทนไม่ไหว ในระหว่างที่มูคยอมถอนแกนกายออกไป ฮาจุนก็หันหน้าไปทางข้างๆ จึงทำให้แกนกายเลื่อนไปบนแก้มของฮาจุน แล้วมันถูกดันเข้าไปในปากของอีกฝ่ายอีกครั้ง

“อ่อก ฮีก ฮะ ฉันทำ… ต่อไม่ไหวแล้ว ฮึก…”

มูคยอมยังคงนั่งคุกเข่าและเหลือบมองฮาจุนที่กำลังหอบ ตั้งแต่ใบหน้าจนไปถึงลำคอที่โผล่พ้นคอเสื้อคลุมของอีกฝ่ายนั้นเป็นสีแดงก่ำ มูคยอมลดตัวลงเลื่อนใบหน้าของตนเองไปไว้ใกล้ๆ กับใบหน้าของฮาจุน ฮาจุนที่อยู่ไม่สุขยังคงอ้าปากค้างไว้

เป็นพราะว่าริมฝีปากโดนบังคับให้อ้าไว้เป็นเวลานาน น้ำลายจึงไหลย้อยจากริมฝีปากลงมาถึงใต้คาง ริมฝีปากนั้นดูดกลืนลำกายอวบโตจนลึกราวกับช่องทางด้านล่าง ขณะที่มูคยอมใช้นิ้วหัวแม่มือถูไถริมฝีปากที่เปียกชื้นอย่างช้าๆ ฮาจุนก็แลบลิ้นออกมาโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่มูคยอมใช้มือแตะลิ้นที่แลบออกมาก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น คางและริมฝีปากของฮาจุนสั่นระริกเบาๆ ฮาจุนน้ำตาคลอ ช้อนตามองมูคยอมราวกับต้องการอะไรสักอย่าง

จากสีหน้าแบบนั้นนั้นทำให้มูคยอมก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากของทั้งคู่ใกล้กันราวกับว่ากำลังจะประกบกัน ขณะที่ฮาจุนกำลังจะหลับตา มูคยอมจึงถามด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวล

“ทำไมเหรอ จู่ๆ ฉันก็เอาออกนายเลยรู้สึกปากว่างเหรอ”

ฮาจุนหน้าแดงไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่ส่ายหัว

ตอนแรกมูคยอมคิดว่าเขาจะจูบอีกฝ่ายดีไหม แต่เขาไม่อยากจูบริมฝีปากที่เขาเอาของลับของตนเองนั้นเข้าไปเลย มูคยอมยกตัวเองขึ้นอีกครั้ง

มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกดี ค่อยๆ ฝึกไปทีละนิดทีละหน่อยก็แล้วกัน คราวหลังค่อยสอดเข้าไปในปากจนกว่าจะเสร็จสมก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว แต่วันนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะไปถึงจุดนั้น

มูคยอมตัดสินใจหยุดเพียงเท่านี้ แล้วนั่งลงบนเตียงเพื่อที่จะเข้าประเด็นหลัก

ฮาจุนพยุงตัวขึ้นถึงจุดที่อยู่ในระดับสายตากับมูคยอมพอดี อีกฝ่ายมองมูคยอมด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

“หันหลังสิ”

“…หลังเหรอ”

“คว่ำหน้าลง หันก้นมาทางฉัน ไม่รู้จักท่า ‘69’ เหรอ”

“หก…”

ฮาจุนเอ่ยในลำคอเบา ๆ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อรู้ว่ามูคยอมหมายถึงอะไร

“นายขอให้ฉันทำเบาๆ นี่ ฉันยังไม่แตกสักรอบเลยใช่ไหม”

ฮาจุนพยักหน้าอย่างช้าๆ เขาลุกลี้ลุกลนอยู่ครู่หนึ่งราวกับสับสน จากนั้นจึงจัดท่าทางได้ เขานอนคว่ำลงใช้แขนยันกายเอาไว้เหมือนตอนที่ทำท่าด็อกกี้สไตล์ ตอนนี้ฮาจุนต้องก้มตัวลงแล้วเอาศีรษะไปไว้ที่แกนกายของมูคยอม และเอาบั้นท้ายของตนเองมาไว้ที่ใบหน้าของมูคยอม แต่ฮาจุนยังคงลังเลที่จะทำท่านั้น

มูคยอมเลิกชายเสื้อคลุมที่คลุมบั้นท้ายของฮาจุนขึ้น ก้นกลมที่เบียดกันอย่างแน่นหนาอยู่ในแนวเดียวกันทั้งสองข้าง ดังนั้นมูคยอมจึงมองไม่เห็นรูที่อยู่ระหว่างบั้นท้าย

“ลดเอวลงมา”

“อ๋อ อื้อ”

“เร็วสิ”

ถึงแม้ว่าจะโดนเร่งแต่ฮาจุนก็ไม่ได้ลดตัวลงในทันทีทันใด มูคยอมขมวดคิ้วและใช้มือตีบั้นท้ายที่อยู่ข้างหน้าตนเอง

“อ๊ะ!”

“ลงมาเร็วๆ สิ ก็บอกแล้วไงว่าแค่สอดเข้าไปในปากเอง ยังไม่ทันเสร็จเลย”

“เออ รู้แล้วน่า อ๊ะ!”

หลังจากที่เขาตีบั้นท้ายอีกครั้งจนดังเพี๊ยะ ฮาจุนก็สั่นระริกและลดเอวลง มูคยอมค่อยๆ นอนลงบนเตียงไปพร้อมๆ กับที่ฮาจุนลดเอวลง บั้นท้ายขาวนวลของฮาจุนยื่นออกมาตรงหน้าของมูคยอม เขามองเห็นของลับที่ห้อยอยู่บนนั้น

ว่าแล้วเชียว มูคยอมแสยะยิ้มออกมา

แกนกายของฮาจุนชูชันขึ้นมาอย่างที่มันควรจะเป็น เขาตะลึงจนพูดไม่ออก อีกฝ่ายแค่ดูดแกนกายของเขาโดยที่ไม่ได้การสอดใส่เข้าไป แต่มันกลับแข็งชูชันในขณะที่มีแกนกายของเขาอยู่ในปาก ในโลกใบนี้มีแค่คนที่ไม่ซ่อนตนเองอย่างเขาเท่านั้นแหละที่จะถูกนินทาว่าเป็นคนเจ้าชู้หรือคนโรคจิต แต่คนจริงน่ะเขาจะอยู่เงียบๆ กัน อย่างอีฮาจุนน่ะของจริง ไม่ใช่เล่นๆ เลย

“อมอีกครั้งสิ”

“อือ อื้ม”

นิ้วมือของฮาจุนพันรอบเสานั้นอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ความรู้สึกของการอมแกนกายของเขาภายในริมฝีปากเปียกชื้นนั้นยังคงดำเนินต่อไป มูคยอมถอนหายใจเบาๆ กับความรู้สึกอบอุ่นและสบาย เขาคลำโต๊ะ หยิบเจลออกมาแล้วถูให้ทั่วนิ้ว เขายังทาเจลปริมาณมากที่ทางเข้าของฮาจุนอีกด้วย จนระหว่างบั้นท้ายเต็มไปด้วยเมือกใสเป็นมันวาว

ถ้าคิดดูดีๆ แล้วมันจะยุติธรรมถ้าหากเขาดูดแกนกายของฮาจุนด้วยปากของเขาด้วยเหมือนกัน แต่เขาไม่อยากที่จะเอาแกนกายของผู้ชายเข้าไปในปากของตนเอง การสอดเข้าทางด้านหลังกับออรัลเซ็กส์นั้นเป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สัมผัสมันก็ค่อนข้างโอเคกว่าที่คิดนะ แต่ว่าถ้าจะให้เอาใส่ปากเหรอ ไม่รู้สิ

มูคยอมทาเจลบนนิ้วและมองดูทางเข้าที่ยื่นออกมาต่อหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าเขาจะมองดูช่องทางด้านหลังที่ปิดสนิทนั้นอย่างไรก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถรับตัวตนที่ใหญ่โตของเขาได้เลย แต่ทว่ามูคยอมเคยเห็นแล้วว่าเจ้าสิ่งนี้เคยขยายออกได้ขนาดไหน

“อื้อ!”

เขาใช้นิ้วชี้ที่ทาเจลครูดช่องทางนั้นจากบนลงล่าง เอวของอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมาทันที

“อยู่นิ่งๆ”

“อะ อื้อ”

ปากทางด้านหลังกระตุกเพราะสัมผัสที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ดันนิ้วชี้เข้าด้านใน ยิ่งนิ้วถูกดันลึกเข้าไปเท่าไร ฮาจุนก็ยิ่งหลุดเสียงครางออกมาเท่านั้น

“ฮื้อ อะ อื้อ!”

แตกต่างกับครั้งที่แล้วที่ฮาจุนไม่หมดแรงลงอย่างง่ายดาย หลังของอีกฝ่ายแข็งทื่อราวกับว่าวิตกกังวล หรือเป็นเพราะว่าไม่ชินกับท่านี้เหรอ

“ปาก”

ฮาจุนหยุดนิ่งค้างไว้อย่างนั้น

เมื่อมูคยอมเอ่ยคำคำหนึ่ง ฮาจุนดูเหมือนจะรู้สึกตัวและดูดแกนกายของมูคยอมอีกครั้ง รู้สึกความตั้งใจดูน้อยลงกว่าเมื่อกี้แล้ว ก็ช่วยไม่ได้สินะ อย่างไรก็ตามในสถานการณ์แบบนี้คงยากที่จะมีสมาธิ

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อตัวฮาจุนเองทั้งนั้น อาจจะเป็นภาวะร่างกายที่หายากที่รู้สึกถึงแม้กระทั่งในลำคอหรือเปล่า ฮาจุนเป็นคนที่รู้สึกได้ทุกช่องทางที่ถูกสอดใส่ ถ้าหากว่าโดนกระแทกทั้งข้างบนและข้างล่าง ก็คงจะเสียวไม่หยอกเลยสินะ

“อมเข้าไปเลย เอาให้มิดคอ”

เขาพูดราวกับว่ากำลังสั่งสอนพลางควงนิ้วเข้าไปด้านใน ช่องทางที่เคยขยายได้พอๆ กับขนาดของแกนกายนั้น ตอนนี้กำลังตอดนิ้วของมูคยอมราวกับบอกว่ามันจะไม่สามารถขยายได้อีกถ้าหากใช้เพียงแค่นิ้วเดียวในการเบิกช่องทาง มูคยอมหัวเราะในใจราวกับว่ามันเป็นเล่ห์เหลี่ยมของฮาจุน

จุดนั้นมันอยู่ตรงไหนกันนะ มูคยอมคลำตามผนังด้านในเพื่อหาส่วนที่ทำให้ฮาจุนเอวกระตุก มูคยอมตระหนักได้แล้วว่าจุดที่ฮาจุนชอบที่สุดนั้นคือจุดด้านในที่นิ้วมือเอื้อมไปได้ไม่ถึง

“อือ ฮะอึก! อื้อ”

มันไม่ยากเลยที่จะหาที่ที่เขาเคยพบมาแล้ว เมื่อมูคยอมใช้นิ้วถูส่วนที่อยู่บนต่อมลูกหมากที่บวมขึ้นมานิดหน่อยเอวของฮาจุนก็สั่นระริกพร้อมกับส่งเสียงครวญครางราวกับตกใจ

“อย่าเด้งตัวขึ้นสิ”

“อ๊ะ คิมมูคยอม ตรงนั้นมัน…”

มูคยอมใช้นิ้วกลางสอดใส่เข้าไปช่องทางของฮาจุน อีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไรบางอย่างจึงคายแกนกายออกมาตามอำเภอใจ ทางเข้าที่ลื่นด้วยเจลไม่สามารถป้องกันการบุกรุกได้ และดูเหมือนว่าจะเกินกำลังไปหน่อยมันจึงดูดเอานิ้วเข้าไปโดยไร้การต้านทาน มูคยอมใช้ปลายนิ้วกดที่จุดนั้น เขากระตุกข้อมือให้การกดนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น ฮาจุนทนไม่ไหวจึงหวีดร้องออกมา

“เฮือก! ฮื้อ อ๊ะ! อ๊า…!”

“ฉันบอกว่าถ้าทำดีจะทำเบาๆ ไง”

“อะ อ๊ะ อ๊า!”

“ถ้าทำตามใจตัวเองแบบนี้ฉันไม่ยกโทษให้หรอกนะ”

ฮ๊ะ อื้อ ฮาจุนครางปนถอนหายใจรดแกนกายของอีกฝ่าย

หลังจากรอให้ริมฝีปากอันสั่นเทาของฮาจุนครอบครองแกนกายของตนเองราวกับกำลังปิดปากไว้นั้น มูคยอมก็ควงนิ้วราวกับเบิกช่องทาง เขากดย้ำๆ ที่บริเวณเหนือต่อมลูกหมากอย่างเพลิดเพลินใจ พอทำเช่นนั้นแล้วเขาก็เพิ่มนิ้วนางไปอีกหนึ่งนิ้ว และในท้ายที่สุดก็สอดนิ้วทั้งสี่ในลักษณะเดียวกับที่สอดเข้าไปเมื่อครั้งที่แล้ว

“อื้อ อ้า…”

ฮาจุนคงคิดว่าทำไม่ได้แน่ๆ จึงคายแกนกายออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็คว้ามือนั้นเอาไว้แล้วก็ครางออกมา

เอวและสะโพกของฮาจุนสะดุ้งเฮือกเมื่อมันกลืนกินนิ้วทั้งสี่เข้าไป

ทุกๆ ครั้งที่ใส่และผ่อนแรงไปที่สะโพก เขาไม่เพียงแต่สัมผัสได้เท่านั้น แต่ยังมองเห็นได้ด้วยว่าทางเข้าที่เปิดออกนั้นรัดแน่นและคลายออกได้ตามอำเภอใจ เพราะว่าครั้งที่แล้วจู่ๆ เขาก็เข้าสู่เกมหลักทันทีเลยไม่ได้เพลิดเพลินกับการใช้นิ้วได้มากพอ

“อีฮาจุน ปาก”

เมื่อมูคยอมบอกให้รู้อีกครั้ง ฮาจุนที่แทบจะฝังใบหน้าไว้ที่ขาหนีบก็เงยหน้าขึ้นอย่างโซซัดโซเซแล้วครอบครองแกนกายนั้นด้วยริมฝีปากอีกครั้ง แต่ข้างในปากที่อ่อนแรงนั้นมันก็ไม่สามารถดูดแกนกายได้อีกแล้ว

มูคยอมใช้ทั้งสี่นิ้วและส่วนข้อต่อที่ฝ่ามือดันล้วงเข้าไปในส่วนที่หนาที่สุด ช่องทางนั้นขยายใหญ่เท่ากับฝ่ามือที่ล้วงเข้าไป มูคยอมรู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายนิ้วเพราะผนังด้านในที่นิ้วเขาฝังเข้าไปมันตอดรัดนิ้วของเขา

“อะอื้อ ฮื้อ อื้อ!”

เขากดบริเวณเหนือต่อมลูกหมากให้แน่นแล้วนิ้วของเขาก็ลื่นไหลออกมาข้างนอก เขาใส่นิ้วกลับเข้าไปอีกครั้ง ถูไถส่วนที่อีกฝ่ายรู้สึกแล้วชักออกมาอีก เขาทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ อยู่หลายรอบ

“ฮื่อ ฮื้อ! ฮื้อ! อื้อ”

ทุกครั้งที่นิ้วของมูคยอมกดลงไปที่ผนังด้านในอันร้อนชื้นแล้วชักเข้าชักออก เสียงครางจะเล็ดลอดออกมาจากปากของฮาจุนที่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ดูดกลืนแกนกายของมูคยอมอยู่ มูคยอมรู้สึกได้ถึงน้ำลายที่ไหลลงมาตามท่อนเอ็นของตนเอง ทุกครั้งที่ฮาจุนร้องคราง ความรู้สึกของการสั่นของเสียงในปากที่กำลังอมความเป็นชายของเขาอยู่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

มันไม่ได้เร็วเท่าการช่วยตัวเอง แต่การทำแบบนี้มันก็รู้สึกสนุกดี ว่ากันว่าคนเราจะรู้สึกดีเมื่อได้สัมผัสของที่นุ่มนิ่มไม่ใช่เหรอ เช่นเดียวกับตอนที่ฮาจุนแตะข้อเท้าหรือเข่าของมูคยอม มูคยอมก็คลำเข้าไปในช่องทางนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็ขยับข้อมืออย่างรวดเร็วและกดย้ำๆ ที่ด้านในช่องทางนั้น

“อ๊ะอ๊า! อะ อ๊ะๆ อ๊า!”

ฮาจุนส่งเสียงหวีดร้องดังพลางขยับเอวขึ้นลงอย่างรุนแรง อีกฝ่ายเกร็งบั้นท้ายแน่น ทำให้มือที่เข้าไปนั้นขยับได้อย่างลำบาก

“ฮื้อ อ๊ะ อ๊า! พอก่อน พอได้แล้ว! อ๊ะ กำลังจะเสร็จแล้ว! อ๊า…!”

“นายไม่อมของฉันแล้วนี่ยังจะเสร็จก่อนฉันอีกเหรอ”

“โอ้ นายเอามือออก ฉันกลั้นไว้ ฮ๊า…อื้อ อ๊า!”

“ไหนลองแตกหน่อยสิ หืม ดูหน่อยว่ามันจะเป็นยังไง”

มูคยอมขยับมือเข้าออกอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่เขาสอดแกนกายเข้าไป มีเสียงชื้นแฉะจั๊กจี้ราวกับตอนที่ชักมือมาจุ่มลงในน้ำ เกิดช่องว่างขึ้นมาระหว่างมูคยอมที่เกือบจะนอนราบกับฮาจุนที่ยกสะโพกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากช่องว่างนั้นทำให้มองเห็นแกนกายของอีกฝ่ายเป็นมุมเฉียงจากการนอนคว่ำ มองเห็นกระทั่งเอวและต้นขาด้านในไปจนถึงกระดูกเชิงกรานที่สั่นระริก รวมทั้งกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่บิดไปมาด้วย มองจากด้านล่างอย่างนี้ก็ไม่เลวเลย

“อ๊ะ ฮึก มะ ไม่…อื้อ ฮื้อ!”

มูคยอมได้ยินเสียงเฉอะแฉะในหู เขามองไปเห็นนิ้วเท้าของฮาจุนที่อยู่ล่างใบหน้าของเขานั้นซีดเผือดและกระตุก เขาอยากกัดนิ้วเท้าของอีกฝ่ายเสียจริง

“อ๊ะ อ๊า ฮ๊า อื้อ! อ๊ะ อ๊า…!”

เมื่อถึงจุดสุดยอด ฮาจุนจึงทนไม่ไหวแล้วปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมา น้ำกามของฮาจุนไหลรดอยู่บนร่างของมูคยอม ไหลลงมาจากหน้าอกอันแน่นลงไปหน้าท้องราวกับถูกสลักเอาไว้

เขาไม่แน่ใจว่าฮาจุนจะสามารถเอาชนะการกระตุกตัวเมื่อถึงจุดสุดยอดได้หรือเปล่า ร่างกายของอีกฝ่ายถึงได้สั่นระริกเช่นนี้ และในตอนสุดท้ายเอวของฮาจุนก็ทรุดฮวบลงแล้วทิ้งตัวเหยียดออกไป ดังนั้นฮาจุนจึงแนบร่างกายส่วนล่างของตนเองกับร่างกายส่วนบนของมูคยอม แกนกายของเขาก็ถูไถไปบริเวณหน้าอกและส่วนท้องของมูคยอมที่เปียกลื่นไปด้วยน้ำกาม

………………………………………….

ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะบรรยากาศก็คงเป็นเพราะเสื้อคลุมสีเทาที่มูคยอมใส่นั้นมีเนื้อผ้าและดีไซน์ที่เหมือนกันกับของเขา มีเพียงแค่สีเท่านั้นที่แตกต่างกัน

คราวนี้ฮาจุนงุนงงยิ่งกว่าเก่า เขายืนนิ่งถือเสื้อคลุมไม่พูดไม่จา มูคยอมจึงพเยิดหน้าไปที่มือของฮาจุนแล้วเอ่ยออกมา

“ลองใส่ดูสิ”

“หือ”

“จะได้รู้ไงว่ามันพอดีหรือเปล่า”

ฮาจุนไม่คิดว่าเสื้อคลุมมันจะเป็นชุดที่ต้องมีขนาดพอดีตัว

แม้ว่าจะคิดในใจ แต่ฮาจุนก็ซ่อนความเขินอายเอาไว้ภายใต้สีหน้าอันไร้อารมณ์ เขาถอดเสื้อผ้าออกทีละตัว มูคยอมที่จับจ้องมาที่ฮาจุนนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าที่เขินอายออกมาแต่อย่างใด เพราะว่าระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นมันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะต้องมาเขินอายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลือยกาย

แต่เมื่อตอนที่ฮาจุนจะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าอีกฝ่ายที่กำลังจับจ้องมาที่ตนเองนั้น ฮาจุนก็รู้สึกวูบวาบที่หน้าท้อง เป็นเพราะว่าความรู้สึกตอนนี้มันแตกต่างจากตอนที่ถอดเสื้อผ้าอยู่บนเตียงหรือที่โซฟา

“ถอดกางเกงในด้วยสิ ยังไงก็ต้องถอดออกอยู่แล้ว นายจะใส่ไว้ทำไม” มูคยอมที่ยืนนิ่งนั้นเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นเขากำลังจะสวมเสื้อคลุมในขณะที่ยังใส่กางเกงในไว้อยู่

ฮาจุนอายจนแทบบ้า แต่เขาไม่ต้องการให้ดูเหมือนว่าตนเองกำลังเขินอาย ฮาจุนจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรและถอดกางเกงในออก

เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างกายอันขาวนวลที่ยังคงแห้งกร้านและมีไอน้ำเกาะอยู่ก็เผยออกมาให้เห็นจนหมด เขาจึงรีบห่อร่างกายด้วยเสื้อคลุมสีขาวโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา

เมื่อฮาจุนผูกสายรัดเอวเสร็จและเหลือบมองที่มูคยอม เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าที่พออกพอใจมาก

“พอดีเป๊ะเลย”

ฮาจุนไม่ได้ตอบในทันที เสื้อคลุมนี่ก็เหมือนกับโต๊ะทำงานที่มีไว้สำหรับแขก อีกฝ่ายไม่ได้ให้ฮาจุนเสียหน่อย มันจึงแปลกถ้าเขาจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย

‘เหมือนคู่รักเลย’

ฮาจุนทำได้เพียงแค่เขินอยู่ฝ่ายเดียวกับความคิดบ้าๆ ที่เขากำลังไล่ออกไปจากหัว อย่างไรก็ตามมันเป็นวันแมนโชว์ที่เกิดขึ้นภายในหัวของฮาจุนเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น และความเป็นจริงเขาก็แค่ยืนเงียบๆ แสดงสีหน้านิ่งเฉยต่อหน้ามูคยอม

มูคยอมคว้าข้อมือของฮาจุนโดยไม่พูดอะไรและพาเขาไปที่เตียง

อีกฝ่ายคงชอบใจที่เขาใส่เสื้อคลุมสินะ ดูอารมณ์ดีเชียวละ

มูคยอมนั่งเหยียดขาออกไป แล้วให้ฮาจุนนั่งลงบนต้นขาของตนเอง เขายกชายเสื้อคลุมขึ้นและใช้มือใหญ่จับบั้นท้ายของฮาจุนโดยทันที จากแรงที่จับบั้นท้ายนั้นทำให้ฮาจุนนึกถึงการกระทำอันรุนแรงที่จะตามมา เขาจึงซบลงบนไหล่ของมูคยอมโดยไม่รู้ตัว

ทั้งคาดหวังและวิตกกังวลกับการกระทำอันโหมกระหน่ำ ทั้งใบหน้าที่ยิ้มราวกับอารมณ์ดีของคิมมูคยอม ทั้งความตื่นเต้นที่ได้รับของขวัญที่เหมือนจะไม่ใช่ของขวัญ ความรู้สึกมันผสมปนเปกันราวกับสีสันหลากสี

“คิมมูคยอม ทำเบาๆ หน่อยนะ…” ฮาจุนที่จิตใจลอยเคว้งคว้างไปไหนก็ไม่รู้นั้นเอ่ยปากขอร้อง

ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมันน่าขำตรงไหน แต่ฮาจุนรู้สึกได้ว่ามูคยอมหัวเราะเบาๆ โดยไม่มีเสียง ทันที่มูคยอมหัวเราะให้กับคำพูดที่ฮาจุนไม่สามารถทนต่อสถานการณ์นี้ได้และปล่อยออกมาตามอารมณ์ของตนเอง

ฮาจุนเงยหน้าขึ้นไม่ไหวเพราะมันแดงก่ำด้วยความเขิน เขาจึงทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆ

“ดูสิ”

มูคยอมกล่าวโดยไม่ปิดบังรอยยิ้ม

“ถ้าอยากให้ทำเบาๆ นายก็ใจเย็นๆ ก่อนสิ”

“…ยังไง”

“ทำเป็นไม่รู้อีกแล้วนะ”

มูคยอมจับมือของฮาจุนวางไว้ที่หว่างขาของตนเอง น้ำหนักของสิ่งที่นูนขึ้นมาภายใต้ร่มผ้านั้นถูกส่งออกมาโดยทันที เมื่อฮาจุนจับจ้องไปที่สีหน้าของมูคยอม ฮาจุนก็ผละร่างกายของตนเองที่ซบอีกฝ่ายอยู่ออกมา มือขาวนวลค่อยๆ ปลดกางเกงของมูคยอมและดึงมันลงมาพร้อมกับกางเกงใน

ฮาจุนรู้สึกประหม่า เพราะสิ่งที่เด้งออกมาราวกับตุ๊กตาในกล่องปริศนานั้นมันใหญ่มากจนไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งเขาก็รู้สึกไม่สามารถคุ้นชินกับขนาดอันใหญ่โตของมันได้เลย

หลังจากเอามือโอบรอบเสาสูงตระหง่าน เขาก็ค่อยๆ ก้มศีรษะและหลับตาลง ฮาจุนนึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้เมื่อวานโดยใช้ประสาทสัมผัสราวกับว่าเขากำลังเรียนรู้ทักษะใหม่อีกครั้ง

“อืม” เสียงทุ้มต่ำเจือความพึงพอใจอย่างชัดเจน

ฮาจุนโล่งใจและขยับศีรษะขึ้นลง

“ถ้านายทำได้ดีตามที่เรียนมา ฉันถึงจะทำเบาๆ”

มูคยอมเอ่ยเช่นนั้นพลางเอนกายพิงหัวเตียงและลูบผมของฮาจุน มูคยอมทิ้งน้ำหนักลงบนมือแล้วกดลงไป มีเสียงเหมือนกับอาการคลื่นไส้ปนกับเสียงไออยู่ราวๆ สองครั้ง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเปียกชื้นราวกับกำลังดูดอะไรบางอยู่เต็มทั่วทั้งห้อง

มูคยอมขยำผมดกดำของอีกฝ่ายไว้ในมือ เขาเพลิดเพลินไปกับเสียงร้องครวญครางที่ดูเชื่อฟังด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย มูคยอมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้สมองเล่นเล่ห์เหลี่ยมหรือว่ามันเป็นโดยสัญชาตญาณกันแน่ แต่อีฮาจุนช่างกระตุ้นความรู้สึกของผู้คนจริงๆ

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในชีวิตของมูคยอม

เขาชอบเซ็กส์ แต่แทนที่จะทำมันด้วยตัวเอง เขาชอบที่ต่างฝ่ายต่างผลักและดึงรั้งกันไปมาจนหาจุดที่ลงตัวเป๊ะพอดีสำหรับทั้งคู่ เขาต้องการปลดปล่อยความเครียดและความต้องการทางเพศที่สะสมเอาไว้ออกไปเพียงเท่านั้น

ความรู้สึกที่ได้กลับมาเป็นความรู้สึกพึงพอใจเหมือนกับตอนเขาที่ยิงเข้าประตู เขาไม่เห็นจำได้ว่าตนเองเคยถูกดึงดูดทางเพศกับใครบางคนเป็นพิเศษ ดังนั้นสำหรับมูคยอมแล้ว คู่นอนคนใหม่คนนี้จึงทั้งสนุกและแปลกใหม่มาก

ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนถึงหันมาสนใจถึงวิธีการมีเซ็กส์ที่หลากหลายหรือมีเซ็กส์ โดยที่ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง มูคยอมก็ดูเหมือนจะอยากลองอะไรใหม่ๆ กับฮาจุนอยู่เรื่อยเลย เป็นเพราะโค้ชที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ จึงทำให้ดูเหมือนว่าวันนี้มูคยอมจะสามารถมีเซ็กส์ได้อย่างไม่มีเบื่อ

ถึงแม้ว่าการที่ช่องทางด้านหลังที่อ้าออกแล้วรับเอาแกนกายเข้าๆ ออกๆ จนทำให้รอยจีบนั้นแน่นขึ้นจะกระตุ้นเขาได้ แต่ภาพที่แกนกายมันเข้าไปในริมฝีปากที่อ้าปากค้างเอาไว้ก็สามารถกระตุ้นเขาได้ดีเช่นกัน ตอนที่ทำในรถมูคยอมมองจากด้านบนเลยเห็นแค่ด้านหลังที่ก้มศีรษะลง

แต่ตอนนี้มูคยอมนั่งพิงที่หัวเตียงเขาจึงมองเห็นใบหน้าของฮาจุนได้เป็นอย่างดี อีกฝ่ายคุกเข่าที่หว่างขาของมูคยอมแล้วก้มตัวดูดกลืนความเป็นชายของเขาอยู่ มูคยอมยิ้มเล็กน้อยกับความพึงพอใจเมื่อสั่งให้อีกฝ่ายทำออรัลเซ็กส์ให้เขาแทนการมีอะไรบนรถ ความรู้สึกที่บรรลุผลสำเร็จกับความต้องการในการควบคุมหรือความอยากเอาชนะค่อยๆ เติมเต็มเข้าไปในหัวใจของมูคยอม

อีฮาจุน โค้ชคนใหม่ที่เป็นที่นิยมทั่วทั้งทีม เพราะด้วยความจริงใจ ทำงานหนัก แถมยังมีบุคลิกที่สดใสอีกต่างหาก คนแบบนั้นที่จริงแล้วชอบผู้ชาย ทั้งอมลำกายของมูคยอม สอดแทรกมันเข้าไปในช่องทางด้านหลังแล้วเสร็จสุขสม

พอลองคิดดูแล้วเขาก็ไม่ใช่คนแรกที่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยในทีมนี้ก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ได้เห็นมัน พอลองคิดแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ด้วยเหตุนั้นยิ่งทำให้การกระทำนี้สนุกมากยิ่งขึ้น

“ฮื่อ อึ้ก…”

ถ้าหากตอนนี้จับทางได้แล้วก็ปรับการหายใจ ก็จะสามารถกลืนกินแกนกายเข้าไปจนถึงภายในลำคอโดยที่จำเป็นต้องไม่ต้องกดศีรษะเลย เพราะว่าเซ็กส์เป็นงานที่ต้องใช้ร่างกาย ฮาจุนจึงเรียนรู้ในเรื่องที่ไม่ค่อยรู้ได้อย่างรวดเร็ว

หรือบางทีก็อาจจะแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ตราบใดที่มันสนุกก็เพียงพอแล้ว ด้วยความที่เป็นมูคยอม เขาจึงไม่อยากรู้หรือซักไซ้ไล่เลียงอะไรทั้งนั้น

ส่วนหัวลื่นไหลไปตามรอยตะปุ่มตะป่ำบนเพดานปากจนสอดแทรกผลุบเข้าไปในลำคอที่ทั้งลึกและแคบ

“อ๊า…”

ฮาจุนไม่รู้ถึงท่าทางที่อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วขยำเส้นผมของตนเองนั้นเป็นเพราะว่ารู้สึกดีหรือเปล่า มันอาจจะบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง ฮาจุนจึงขยับศีรษะด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม

“ตอนที่ดูดอยู่ก็ลองเอียงหัวไปทางซ้ายทางขวาบ้างสิ”

ทันทีที่มูคยอมพูดออกไปราวกับว่ามันเป็นคำแนะนำ อีกฝ่ายก็เข้าใจมันเป็นอย่างดี ขณะที่ฮาจุนมุ่งมั่นในการดูดแกนกายเขาก็ขยับศีรษะไปมาให้แกนกายโฉบผ่านทุกซอกทุกมุมในปากของเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง มูคยอมรู้สึกถึงความเรียบลื่นและรู้สึกได้ถึงแม้กระทั่งรอยหยักของฟัน เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วลูบผมของฮาจุนต่อไปเรื่อยๆ

“ฮื่อ อื้อ…”

จากนั้นมูคยอมก็สังเกตเห็นว่าเสียงครวญครางของฮาจุนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อยเพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็ดูดแกนกายได้แค่ครึ่งเดียว ในตอนแรกเสียงอื้ออึงนั้นก็ค่อยๆ แผ่วลงไป จากนั้นความร้อนก็ค่อยๆ ปะปนเข้ามาอย่างลับๆ

มูคยอมวางมือบนหัวของฮาจุนและจ้องมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ฮาจุนดึงส่วนหัวออกมาใกล้ๆ ริมฝีปากแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกฝ่ายดูดกลืนมันเข้าไปจนลึก

“อื้อ ฮืม”

จากกลางเพดานปาก ผ่านลิ้นไก่ไปจนถึงด้านในของลำคอ เมื่อเอาส่วนหัวไปถูไถบริเวณนั้นเสียงครางก็หวานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ดูนี่สิ

มูคยอมยิ้มและจับจ้องไปที่ใบหน้าของฮาจุนที่ดูดแกนกายของเขาอย่างไร้สติ จากนั้นเขาจึงตั้งใจเด้งเอวสวนขึ้นไปอย่างกะทันหันทำให้แกนกายลื่นผลุบเข้าไปข้างใน

“ฮือ อือ อื้ม”

แทนที่อีกฝ่ายจะโกรธเพราะความไร้มารยาทของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าร่างกายของฮาจุนสั่นสะท้านอยู่ชั่วครู่แล้วก็ส่งเสียงครวญครางมากขึ้นไปอีก

เมื่อตอนนั้นที่งานเลี้ยงดื่มเหล้า เพื่อนผู้เล่นคนหนึ่งของเขาดื่มจนเมาเลยพูดถึงเรื่องใต้สะดือซะจนเสียงดัง เพื่อนคนนั้นเล่าว่ามีบางคนที่หอบระหว่างที่ออรัลเซ็กส์จนมิดคอ ยังบอกอีกว่ามีคนที่สอดใส่แกนกายกับลำคอเหมือนกับตอนที่ทำกับช่องทางด้านล่างเลยด้วยซ้ำ

ตอนนั้นมูคยอมคิดว่าอีกฝ่ายพูดจาไร้สาระเพราะว่าดูหนังโป๊มากเกินไป และคนอื่นๆ ก็มีปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกันกับมูคยอม มีคนด่าเพื่อนคนนั้นว่าตื่นจากความฝันแล้วกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเถอะ แต่ทว่าถ้าหากนี่ไม่ใช่การแสดงแล้วละก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่เขามองว่าไร้สาระกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของมูคยอมเอง

มูคยอมรู้สึกว่าด้านล่างเริ่มร้อนขึ้นและลำกายก็บิดกระตุกและตั้งตระหง่านขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ฮาจุนคงรับรู้ได้ถึงสิ่งนั้นสินะ อีกฝ่ายถึงได้เงยหน้าขึ้นไปเล็กน้อยเพื่อสบตากับมูคยอมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อทั้งคู่สบตากัน มูคยอมก็เริ่มทนไม่ไหว

“เอามันออก”

“อือ…”

สิ่งอวบยาวที่ฮาจุนอมนั้นออกมาจากปากของอีกฝ่าย ฮาจุนไม่ได้ถามถึงเหตุผลเลยว่าทำไม อีกฝ่ายกุมเสานั้นไว้ในมือแล้วจับจ้องที่สีหน้าของมูคยอม

ตอนนั้นเองที่มูคยอมขำที่อีกฝ่ายยังใช้มือจับแกนกายของเขาไว้อยู่ ดูท่าคงชอบเจ้านี่มากสินะ

เหมือนว่าจะร้อนขึ้นเล็กน้อย มูคยอมจึงถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่และโยนมันทิ้งไป หลังจากนั้นฮาจุนก็ลังเลแล้วถามออกไป

“…ฉันทำได้ไม่ดีเหรอ”

จะว่าไปแล้วมูคยอมบอกว่าถ้าหากฮาจุนทำได้ดี คราวนี้จะทำเบาๆ หรือเปล่านะ มูคยอมหัวเราะคิกคักให้กับบรรยากาศที่เงียบและจริงใจที่อีกฝ่ายเหมือนนักเรียนที่กำลังรอการให้คะแนนอยู่

“ไม่หรอก ดีแล้วละ ฉันแค่รู้สึกผิดที่เสียวอยู่ฝ่ายเดียว”

“หือ ไม่นะ ฉันก็เสียวเหมือนกัน”

จากคำพูดนั้นทำให้มูคยอมหัวเราะคิกคักออกมา ฮาจุนหน้าแดงเล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าทำไมมูคยอมถึงได้หัวเราะ

ใช่ มันดูเสียว

มูคยอมกะจะบอกไปแบบนั้นแต่เขาก็ล้มเลิกความคิดไป

“มานี่สิ”

แม้มูคยอมจะกวักมือเรียกแต่ฮาจุนก็ทำเพียงนั่งนิ่งเฉย มูคยอมกลั้นหัวเราะกับท่าทางของฮาจุนที่ราวกับว่าไม่รู้ว่าจะเข้าไปใกล้ๆ เขาได้อย่างไร เขาจึงลุกขึ้นดึงแขนของฮาจุนให้เข้ามาใกล้ๆ

ร่างที่ถูกดึงไปนั้นนั่งที่ระหว่างขาแล้วหันหน้าเข้าหามูคยอม ขาของทั้งคู่ไขว้กัน เหมือนกับว่าแกนกายของฮาจุนที่ถูกปิดเอาไว้ด้วยชายชุดคลุมอย่างหมิ่นเหม่นั้นแตะกันกับของลับของมูคยอม

“อ้าปากเร็ว”

“อ้า…”

ฮาจุนลังเลและค่อยๆ อ้าปากอย่างช้าๆ มูคยอมมองเข้าไปราวกับว่าเขาเป็นหมอฟัน ทันใดนั้นเองเขาก็สอดนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าไป ฮาจุนอ้าปากค้าง ตอนนี้ฮาจุนทำได้แค่เพียงกะพริบตาปริบๆ

“ดูดสิ”

ไม่ใช่แกนกาย แต่เป็นนิ้วอย่างนั้นเหรอ

ฮาจุนมองไปที่มูคยอมด้วยสีหน้าสงสัย แต่ทันทีที่ทำตามคำสั่งนั้นก็มีเสียงชื้นแฉะออกมา ฮาจุนจึงดูดนิ้วที่อยู่ในปากของตนเอง มูคยอมมองดูริมฝีปากเปียกชื้นของอีกฝ่ายที่กำลังดูดนิ้วของตนเองเบาๆ เขาเริ่มขยับนิ้วช้าๆ ในปากของอีกฝ่าย ฮาจุนย่นคิ้วเบาๆ เมื่อรู้สึกแปลกๆ เวลาที่นิ้วเรียวยาวนั้นขยับในปากของตนเอง

ถ้าล้วงลงไปลึกมากๆ อีกฝ่ายคงคลื่นไส้แน่ๆ มูคยอมค่อยๆ ควงนิ้วลูบลิ้นนุ่มนิ่มของฮาจุน ต่อด้วยเยื่อเมือกทั้งสองข้าง และเพดานปากที่แข็งและไม่สม่ำเสมอนั้น

“ฮื้อ…”

ฮาจุนหลุดเสียงครางต่ำออกมา มุมปากของมูคยอมยกขึ้นเล็กน้อย เป็นเพราะว่าฮาจุนอมนิ้วอยู่จึงกลืนน้ำลายไม่ได้ นิ้วของมูคยอมเลยเปียกชุ่มแล้วไหลลงมาที่ใต้ริมฝีปาก

ฮาจุนจับจ้องที่มูคยอมด้วยท่าทางที่ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าใบหน้านั้นกำลังมีอารมณ์ใคร่ นัยน์ตาของฮาจุนเต็มไปด้วยคำถามที่ว่าต้องทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน มูคยอมลูบเพดานปากด้านในเบาๆ ด้วยปลายนิ้วทู่อีกครั้ง

“อือ อื้ม”

ฮาจุนหลับตาลงและร้องครวญครางโดยอัตโนมัติ มูคยอมยิ้มกว้างขึ้น ฮาจุนค่อยๆ ลืมตาขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายดึงนิ้วที่ถูกดูดในปากออกมา

“อีฮาจุน”

“อะอือ”

“ฉันลองกระแทกใส่ปากหน่อยได้ไหม”

“อ๋อ อื้อ”

ฮาจุนพยักหน้าด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไร แต่มูคยอมนั้นเกือบระเบิดหัวเราะออกมาอีกแล้ว

โอเคไปหมดทุกอย่าง ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งเสียจริง

มูคยอมวางหมอนไว้ด้านหลังศีรษะของฮาจุนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขาให้ฮาจุนเอนคอนอนลงบนหมอนที่พิงไว้ที่หัวเตียง

“อ้าปากกว้างๆ”

ครั้งนี้ฮาจุนก็อ้าปากอย่างนุ่มนวล เกิดรูลึกขึ้นระหว่างริมฝีปากที่ชุ่มไปด้วยน้ำลาย แม้ว่าเขาจะเคยออรัลเซ็กส์มาอย่างนับไม่ถ้วน แต่แน่นอนว่ามูคยอมไม่เคยลองเอาแกนกายกระแทกเข้าปากคนเลยสักครั้ง

เขาใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเตียงเอาไว้ นั่งคุกเข่าแล้วเอาหว่างขามาใกล้ใบหน้าของฮาจุน เขาเลื่อนอวัยวะเพศที่กำลังชูชันนั้นไปไว้ที่ริมฝีปากของฮาจุนที่อ้าค้างไว้ ตอนนั้นเองฮาจุนถึงได้เข้าใจว่ามูคยอมหมายถึงอะไร ฮาจุนเบิกตากว้างเล็กน้อยแล้วจึงกลับมาทำสีหน้าที่เป็นปกติ

ฮาจุนค่อยๆ ยัดลำกายของมูคยอมเข้าปากโดยไม่รีบร้อน แกนกายค่อยๆ เคลื่อนผ่านลิ้นและเยื่อเมือกที่อ่อนนุ่มใต้ปากไปกระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลายซึ่งมันรู้สึกแตกต่างจากตอนที่ฮาจุนดูดดึงมัน ส่วนหัวอันใหญ่นั้นเข้าไปในถ้ำแคบในปาก ผ่านเข้าไปใกล้ลิ้นไก่ และเลื่อนเข้าไปในลำคอที่ทั้งแคบและอุ่น

“ฮือ อึ้ก…”

มูคยอมได้ยินเสียงครางของฮาจุนจากด้านล่างเมื่อเขาลากผ่านจุดนั้นไป ราวกับว่าอีกฝ่ายพยายามกลืนน้ำลายเพราะสำลัก ลำคอของฮาจุนดังอึกๆ และกระชับส่วนหัวของเขาเบาๆ

“ฮ่า”

เสียงหัวเราะสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมหลั่งไหลออกมาจากปากของมูคยอม มันไม่เหมือนกับการออรัลเซ็กส์จริงๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนกระแทกเข้าไปในปากโดยทั่วๆ ไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันมีความรู้สึกผิดศีลธรรมแปลกๆ เพราะที่ที่กระแทกใส่นั้นมันคือที่ปากไม่ใช่ที่อื่น

………………………………………………….

ระหว่างทางกลับบ้าน ฮาจุนหยุดเดินและนั่งลงบนม้านั่งในพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ฮาจุนคิดว่าเขาต้องสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะกลับบ้าน เขาได้กลิ่นดอกไลแลคที่ปลูกในสวนส่วนกลาง ตอนนี้ก็เป็นปลายฤดูออกดอกไลแลคแล้ว

เมื่อตอนเด็กๆ ที่พ่อของฮาจุนยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกทุกคนในครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวหลังเดียวกัน และที่บ้านหลังนั้นมีต้นไลแลคเก่าแก่ต้นใหญ่ในสวน

พ่อของฮาจุนชอบทำสวน ดังนั้นจึงไม่เคยคิดเลยว่าในช่วงชีวิตของตนเองนั้น จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่ไม่มีสนามหญ้า

ดอกไลแลคยังคงเป็นดอกไม้โปรดของฮาจุน

เหตุผลที่ฮาจุนเลือกอพาร์ตเมนต์หลังเก่าๆ นี้เป็นบ้านใหม่ให้ครอบครัวอยู่อาศัยก็เพราะว่าเมื่อเขาหาเงินได้ก้อนใหญ่ระหว่างที่เป็นนักเตะมืออาชีพนั้น เขาก็ต้องการหลีกหนีจากชีวิตห้องเดี่ยวที่น่าเบื่อหน่าย และจึงเลือกอพาร์ตเมนต์เก่าๆ นี้เป็นบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัวได้อยู่อาศัยด้วยราคาที่สมเหตุสมผล แต่สาเหตุหลักก็คือที่นี่มีต้นดอกไลแลคอยู่จำนวนมากในสวนของส่วนกลาง

หัวใจที่สับสนวุ่นวายของฮาจุนสงบลงราวกับถูกห่อหุ้มด้วยความตื่นเต้นอันหอมหวานเมื่อได้กลิ่นหอมของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ

สงสัยว่าคงเป็นเพราะว่าเขาชอบมันสินะ

ฮาจุนสรุปเช่นนั้น

ฮาจุนรู้สึกกังวลว่าจะมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บระยะยาวครั้งแรกของฤดูกาล ตั้งแต่ที่นักเตะเดินกะโผลกกะเผลกหลังจากถูกแย่งลูกบอลในการแข่งขันเกมสุดท้าย งานที่สำคัญที่สุดของโค้ชฝึกสอนด้านกายภาพ คือการจัดการและปรับสภาพร่างกายของผู้เล่นให้แข็งแรงขึ้นเพื่อพัฒนาด้านประสิทธิภาพ โดยการป้องกันการบาดเจ็บและการฟื้นตัวของนักเตะ

ในบรรดาโค้ชแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ทั้งโค้ชที่ฝึกโดยการเน้นที่ความแข็งแรงหรือกำลังหลักเป็นหลัก โค้ชที่เน้นความสมดุลและการปรับสภาพโดยรวม โค้ชที่เน้นการเสริมสมรรถภาพทางกายโดยผสมผสานเทคนิคและกลยุทธ์ และโค้ชที่รับหน้าที่เกี่ยวกับขั้นตอนการฟื้นฟูและการบาดเจ็บ นอกจากที่กล่าวมาแล้วก็ยังสามารถแบ่งโค้ชได้อีกหลากหลายประเภท เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะมีความคิดที่แตกต่างกันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเตะฟุตบอลคืออะไร

ฮาจุนค่อนข้างพยายามรักษาสิ่งต่างๆ อย่างสมดุลให้ได้มากที่สุด เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสภาพของนักเตะแต่ละคน เนื่องจากมีนักเตะที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอแต่ในทางกลับกันดันขาดความสมดุล แล้วโค้ชหนึ่งคนต้องสอนนักเตะหลายคน ดังนั้นจึงอาจนำไปสู่การฝึกฝนที่ไม่เหมาะสมสำหรับนักเตะแต่ละคนได้

และฮาจุนก็ยังให้ความสนใจเป็นอย่างมากในการฟื้นตัวและฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ บางทีมันอาจจะเป็นรางวัลสำหรับการลาออกของเขาเนื่องจากอาการบาดเจ็บก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นกังวล ถ้าหากว่ามีนักเตะได้รับบาดเจ็บ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขาสนใจงานที่ใกล้เคียงกับงานของทีมแพทย์ขนาดนั้นโดยที่เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องทำมันด้วยซ้ำ

“นั่นแหละ เร็วขึ้นอีก! ดี พักสองนาที ห้ามนั่ง เดินช้าๆ วอร์มอัพไปในตัว”

วันนี้โค้ชจองที่เป็นรุ่นพี่เป็นโค้ชให้กับนักเตะคนอื่นๆ ส่วนฮาจุนอยู่ในระหว่างการฝึกอบรมพิเศษเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับนักเตะคนหนึ่งที่ถูกสั่งให้พักเป็นเวลาสี่สัปดาห์ อีกเดี๋ยวก็จะได้พักหายใจหายคอแล้วแต่กลับได้ยินเสียงคนมาจากที่ไกลๆ

“นายจะลังเลไม่ได้นะ นายควรยิงมันหรือไม่ก็เลี้ยงมันไปก่อน”

“นายยังต้องทำความคุ้นเคยกับระยะการเคลื่อนที่อีกนะ”

ในเวลาว่างระหว่างการฝึกซ้อม นักเตะหลายคนมารวมตัวกันเพื่อดูและทบทวนวิดีโอของการแข่งขันครั้งที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการแข่งขันที่จบลงด้วยชัยชนะ แต่ก็มีข้อผิดพลาดและช่องโหว่อยู่ และการเรียนรู้จากสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีหรือผิดพลาดตรงไหนก็ยังจำเป็นอยู่เสมอ

“การส่งบอลยังไม่ดีพอ แบบนี้มันยังมีช่องว่างอยู่เลย นายต้องส่งให้มันต่อเนื่องโดยทันที แม้ว่าฉันจะวิ่งไปรับลูกบอล แต่ถ้าลูกบอลไม่มา มันก็ไร้ประโยชน์”

มูคยอมได้ยินเสียงของเหล่านักเตะที่ตอบกลับเสียงที่ตำหนินั้นว่า “ครับๆ ” แม้ว่าภายหลังผู้จัดการทีมจะให้เหล่านักเตะนั้นไปรวมกันที่ห้องประชุม แต่ตัวเหล่านักเตะเองต่างก็กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ฮาจุนฟังเสียงของพวกเขาราวกับเสียงดนตรีประกอบขณะตั้งใจจดจ่อกับงานของตนเอง

ตอนนั้นเองก็มีข้อความถูกส่งมาที่โทรศัพท์มือถือของฮาจุนขณะที่เขากำลังฝึกสอนอยู่

‘วันนี้ว่าไง’

ฮาจุนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นอ้าปากเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว มูคยอมนั่งอยู่บนม้านั่งกับจองคยูและอยู่รวมกับนักเตะคนอื่นๆ ที่กำลังทบทวนการแข่งขันอยู่ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มองมาที่ฮาจุนเลยราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นส่งข้อความถึงคนอื่น

‘วันนี้เหรอ’ ฮาจุนย้อนถาม

‘ทำไม นายมีนัดแล้วเหรอ’

ฮาจุนไม่ได้มีนัดกับใครหรอก แต่จู่ๆ เขาก็แค่สงสัยขึ้นมาก็เท่านั้นเอง

มูคยอมมีเซ็กส์บ่อยแค่ไหนนะ ไม่สิ คนทั่วไปเขาทิ้งระยะห่างในการมีเซ็กส์นานแค่ไหนนะ

ฮาจุนไม่เคยออกเดตหรือมีเซ็กส์มาก่อน ดังนั้นเขาเลยไม่รู้ความถี่ของคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าดูจากคนที่เปิดโปงมูคยอมหรือคนที่นินทาว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วความถี่ของอีกฝ่ายถ้าบอกว่าบ่อยก็บ่อย แต่ไม่ช้าเลยเป็นอันขาด

“โค้ช ผมทำครบแล้วครับ”

“อะ คราวนี้เปลี่ยนเป็นออกกำลังกายส่วนกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง นอนคว่ำเร็ว”

“ครับ”

หลังจากยืดขาเสร็จแล้ว นักเตะได้รับคำสั่งให้ออกกำลังกายในส่วนด้านหลัง หนึ่ง สอง สาม ขณะที่ฮาจุนนับจำนวนทุกครั้งที่นักเตะยกแถบน้ำหนักขึ้นที่หลังขา เขาก็ค่อยๆ พิมพ์แป้นพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความลังเล

‘เพิ่งผ่านไปได้แค่สองวันเองนะ’

ไม่มีการตอบกลับเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานการแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง

‘ถ้าเมื่อสองวันก่อนนายกินข้าวแล้ว วันนี้นายจะไม่กินเหรอ นายสนอะไร’

ด้วยความรู้สึกที่จู่ๆ ก็กลายเป็นเมนูบนโต๊ะอาหาร ฮาจุนจึงตะกุกตะกักไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี นิ้วมือเขาค้างเติ่งอยู่บนโทรศัพท์

อย่างไรก็ตาม คำต่างๆ ถูกเขียนและลบในหน้าการป้อนข้อมูลตอบกลับ

‘เพิ่งผ่านไปได้แค่สองวันเองนะ’

‘ถ้าเมื่อสองวันก่อนนายกินข้าวแล้ว วันนี้นายจะไม่กินเหรอ นายสนอะไร’

“ฉันว่าฉันยังเหนื่อยอยู่เลย”

แม้ว่าฮาจุนจะตอบแบบนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถกดปุ่มส่งได้เพราะกลัวว่า ‘ความสัมพันธ์ระยะยาว’ ที่เริ่มต้นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นจะจบลงในทันที

ความสัมพันธ์ระยะยาว คำพูดฟังดูดี แต่สำหรับมูคยอมแล้วเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องมาสานความสัมพันธ์กับฮาจุนเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายสนิทกับฮาจุนเลยคิดว่าจะไม่ถูกจับได้ หรืออาจเป็นเพราะว่าเขามันง่าย อีกอย่างเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เหมาะสมกว่าเมื่อไรก็ได้ ในความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้นนี้เขาไม่อยากพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่ม

เวลาที่มีคนถามฮาจุนว่า ‘ทำไมนายถึงเหนื่อยล่ะ’ เขาควรจะตอบอย่างไรดี เขาควรจะโกหกว่ามีตารางงานอื่นดีไหม ถ้าเกิดเขาบอกอีกฝ่ายไปตามตรงว่าเขายังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรล่ะ ถ้าเขาได้รับคำตอบว่า ‘นายสนอะไร’ ฮาจุนคิดว่าเขาคงจะอารมณ์เสียนิดหน่อย เขาไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วฮาจุนจึงส่งคำตอบไปแบบนี้

‘เข้าใจแล้ว’

ไม่มีการตอบกลับจากมูคยอมอีก

ฮาจุนยังคงฝึกสอนต่อไปด้วยความกังวลเล็กๆ ที่มุมหนึ่งหัวใจของเขา มันเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ในเมื่อสองวันก่อนเขารู้สึกพอใจและดีใจกับการตัดสินใจนี้ แต่พอมาในวันนี้เมื่อนึกถึงเวลาที่จะมาถึงหลังจากการฝึกสอนเสร็จสิ้น ฮาจุนก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นสองสามวันหลังจากประสบการณ์ที่ไม่คาดฝันครั้งแรกของฮาจุนนั้นช่างมีค่ามากเสียจนเขาคิดว่าจะไม่รู้สึกถึงมันอีกเลย น่าเสียดายที่มันหายไปแล้ว

แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นปัญหาที่ต่างออกไปเล็กน้อยจากการเจ็บปวดด้วยวิธีนั้น มันเป็นปัญหาที่เขาต้องหาทางแก้ไข เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ก่อนที่ความเจ็บปวดก่อนหน้านั้นจะหายไป

ไม่รู้สินะ ถ้าหากเขานั่งทำงานในสำนักงานทั้งวันก็พอเป็นไปได้ แต่ฮาจุนเป็นโค้ชทีมฟุตบอลที่ต้องวิ่งไล่ตามนักเตะ และต้องเคลื่อนไหวร่างกายไปกับพวกเขาอยู่เสมอๆ

เมื่อสองวันก่อนที่ได้ใช้เวลายามค่ำคืนไปกับมูคยอม แม้จะมีช่วงเวลาที่รู้สึกดีจนถึงขนาดที่ทำให้สติเลือนราง แต่หลังจากผ่านวันเหล่านั้นไป ความเจ็บปวดที่เกาะติดราวกับหางนั้นไม่ได้จางหายไปด้วยเลย

อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่สนใจความวิตกกังวลของฮาจุนเลย หลังจากเสร็จสิ้นตารางงานของวัน ฮาจุนก็บอกลาผู้คนและมุ่งหน้าไปที่ป้ายรถเมล์ วันนี้ฮาจุนเห็นรถขนาดกลางสีเทาเงินจอดรอเขาอยู่

ทันทีที่มีคนขึ้นรถ มูคยอมก็ออกรถทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ ฮาจุนกลัวเซ็กส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเล็กน้อย

‘ทำไมเราถึงได้ใจฝ่อแบบนี้นะ’

มันเป็นวันในฤดูใบไม้ผลิที่งดงาม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เฉลิมฉลองประสบการณ์ครั้งแรกให้กับตัวเอง ฮาจุนไม่พอใจในตัวเองเอาเสียเลย จึงเอาแต่เม้มปากแน่นราวกับคนที่กำลังโกรธเคือง

***

“ทำอะไร ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”

ราวกับจิตใจที่ลังเลได้เผยออกมาให้เห็น ฮาจุนเดินเข้าไปในบ้านเมื่อถูกทัก

ที่นี่คือบ้านของมูคยอมที่ทำให้เขามีความสุขมากจนพูดอะไรไม่ออกในตอนที่ได้มาครั้งแรก แต่ตอนนี้ที่นี่กลับกลายเป็นสถานที่ที่เขาลังเลที่จะเข้าไปหลังจากที่มาได้เพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ฮาจุนปลดกระเป๋าออกจากไหล่แล้วถามออกไปราวกับได้รวบรวมความกล้าแล้ว

“ฉันวางของไว้ที่ห้องเมื่อวานได้ไหม”

“บอกแล้วไงว่าใช้ได้ตามสบายเลย”

พอได้ลองทำแล้วคงจะคุ้นชินสินะ ทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นแหละ เมื่อฮาจุนเริ่มออกกำลังกายครั้งแรก ร่างกายของเขาก็เจ็บและปวดเมื่อย แต่เมื่อได้ทำไปเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นนิสัยเสียแล้ว สงสัยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกปวดร่างกายหรือรู้สึกอะไรแบบนี้

ฮาจุนโน้มน้าวตัวเองเช่นนั้นก่อนเปิดประตูห้องรับแขก

“…”

ทว่าหลังจากที่ฮาจุนเปิดประตูอย่างใจดีสู้เสือแล้วก็ยืนนิ่งไป เมื่อตอนอยู่ตรงโถงทางเข้าบ้านก็ทีหนึ่งแล้ว มูคยอมจ้องมองฮาจุน ไม่เข้าใจฮาจุนที่หยุดนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไป

“ทำอะไร วันนี้ทำไมสติหลุดบ่อยจัง”

“ปะ เปล่า”

ฮาจุนมองไปที่มูคยอมด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อยแล้วหันหน้ากลับไปที่ห้องดังเดิม มูคยอมมองฮาจุนแล้วก็ไล่สายตาตามฮาจุนไปจนเตะตาเข้ากับสิ่งของที่เมื่อวานนั้นยังไม่มีอยู่เลย

“อ๋อ”

มูคยอมเอ่ยขึ้นมาสั้นๆ ราวกับนึกอะไรได้ตอนนั้นเองที่ฮาจุนได้สติขึ้นมา

“ถ้านายมีงานอะไรต้องทำอีกก็ไปทำที่ตรงนั้น ไม่ต้องไปนอนคว่ำหน้าหลังขดหลังแข็งทำบนเตียงหรอก”

“… ซื้อใหม่เหรอ”

“ฉันคงไม่ได้เก็บมาหรอก” มูคยอมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันราวกับว่าฮาจุนจะถามทำไมกับสิ่งที่มันเห็นได้ชัดอยู่แล้ว

“นาย…บอกให้ฉันใช้เหรอ”

“นี่บ้านของฉันนะ ฉันซื้อมาไว้ ต่อให้คนอื่นใช้นายก็จะไม่ใช้มันเหรอ”

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ยังไม่มีโต๊ะไม้อันแสนเรียบง่ายวางอยู่ในห้อง ฮาจุนเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกที่งงงวยนิดหน่อย แล้ววางกระเป๋าไว้อย่างระมัดระวัง เขาใช้ฝ่ามือลูบไล้บนผิวหน้าอันราบเรียบของโต๊ะตัวนั้นอย่างเบาๆ เขาชอบการออกแบบที่หรูหราและไม่มีการตกแต่งที่ไม่จำเป็น มีเพียงชั้นวางหนังสือขนาดเล็กที่เรียบง่าย

อย่างที่มูคยอมบอก ถึงแม้ว่าฮาจุนจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ให้มันกับเขา แต่พอรู้ว่ามันเป็นเฟอร์นิเจอร์ในบ้านมูคยอมหน้าเขาก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ

“นายคงไม่ได้จะทำงานตอนนี้หรอกใช่ไหม” มูคยอมพูดราวกับต่อว่า

อย่างไรก็ตามแม้ว่าในใจฮาจุนอยากจะลองนั่งโต๊ะที่อีกฝ่ายซื้อมันมาเพื่อตนเองเดี๋ยวนั้นเลย แต่เขาก็ส่ายหัวเพราะเขารู้ดีว่าทำไมมูคยอมถึงหามันมาให้

มูคยอมยืนพิงประตูและมองดูท่าทีอันแสนเรียบร้อยของฮาจุน เขาก้าวออกไปและเอ่ยขึ้นมา

“ถ้าจะอาบน้ำก็รีบอาบ”

“อืม”

ถ้าเสร็จจากการฝึกซ้อมในฤดูที่อากาศเริ่มจะร้อนขึ้นนั้นร่างกายก็จะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เขาไม่เหมือนกับมูคยอมที่มักจะอาบน้ำก่อนกลับบ้าน ฮาจุนเคลื่อนไหวร่างกายค่อนข้างน้อย ถ้าเป็นไปได้เขาจึงเลือกที่จะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน ฮาจุนรู้ดีว่าไม่มีใครเขาสนใจหรอก แต่เป็นเพราะว่าฮาจุนยังคงกังวลเรื่องรอยแผลเป็นอยู่

ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักเขายังดีเสียกว่า เพราะเขาไม่ต้องการถอดเสื้อผ้าโชว์รอยแผลเป็นต่อหน้าคนที่รู้จักเขา เขาเองก็รู้ว่าที่คิดแบบนี้มันจะเป็นปมด้อย แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแม้ว่าผู้คนจะไม่สนใจก็ตาม สำหรับข้อนั้นมูคยอมไม่รู้เกี่ยวกับฮาจุนดีพอ และแม้หลังจากที่ความสัมพันธ์ของพวกเขากลายมาเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็ไม่สนใจฮาจุนเช่นเคย ดังนั้นฮาจุนจึงรู้สึกสบายใจขึ้น

มันคงเป็นเรื่องยากที่จะเรียกว่าของขวัญ แต่จู่ๆ ก็มีโต๊ะโผล่ขึ้นมาเลยทำให้เขาหายกังวลใจไปบ้าง การที่มีโต๊ะโผล่ขึ้นมานั้นไม่ได้หมายความว่าการมีเพศสัมพันธ์จากนี้ไปจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่มันก็ทำให้ฮาจุนเดินเข้าไปห้องน้ำด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่แล้วเขาหยุดเดินอีกครั้ง

ฮาจุนลังเล จากนั้นเขาจึงเปิดประตูอีกครั้งและโผล่หน้าออกไปเรียกมูคยอมที่ยังคงอยู่ในห้องรับแขก

“คิมมูคยอม”

“อะไรอีกล่ะ”

“ฉันใช้แปรงสีฟันที่อยู่ในห้องน้ำได้ไหม”

“นี่กะจะถามทุกอย่างเลยเหรอ”

โอเค ฮาจุนตอบเบาๆ ราวกับว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยิน จากนั้นจึงค่อยๆ ปิดประตู

ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่ คือตอนที่หลังจากการออกไปแข่งขันที่อื่น ฮาจุนเลยแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันพกพาที่ตัวเขาเป็นคนซื้อมา แต่เมื่อเข้ามาในห้องน้ำวันนี้กลับมีแปรงสีฟันชุดใหม่วางอยู่บนชั้นวางของข้างๆ อ่างล้างหน้า มีชุดโลชั่นบำรุงผิวด้วย ของใช้ในห้องน้ำสำหรับอาบน้ำมีมาตั้งแต่ครั้งแรก แต่ของใช้ส่วนตัวพวกนี้ครั้งล่าสุดที่ฮาจุนมามันยังไม่มีเลย

ฮาจุนรู้สึกใจฟู เขาแปรงฟัน อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่อยู่ในกระเป๋าแล้วจึงเปิดประตูออกไป

มูคยอมนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ฮาจุนเห็นด้านหลังของอีกฝ่ายขณะนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่ เขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยออกไป

“คิมมูคยอม ฉันอาบเสร็จแล้ว”

มูคยอมหันกลับมาทันที เหลือบมองฮาจุนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินผ่านฮาจุนไป

“มานี่สิ”

ฮาจุนลังเลและเดินตามอีกฝ่ายไป พอเข้าไปในห้องนอนแขกแล้วจะต้องตรงไปที่เตียงทันที แต่อีกฝ่ายกลับมองไปรอบๆ ห้องราวกับมองหาอะไรบางอย่างอยู่ และในที่สุดอีกฝ่ายก็เปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกมา ก่อนพูดกับตัวเองราวกับไม่อยากจะเชื่อขณะที่ดึงบางอย่างออกมา

“จะเอามาใส่ไว้ตรงนี้ให้หายากทำไม”

แล้วเขาก็หยิบบางอย่างออกมา

“…นี่อะไรเนี่ย”

“เอาไว้ใส่หลังอาบน้ำ นายไม่รำคาญเหรอที่ต้องใส่เสื้อผ้าทุกชิ้นทุกครั้งก่อนค่อยออกจากห้องน้ำ มีอีกหลายตัวเลย ถ้านายอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าก็หยิบออกมาใช้ได้เลย”

เต็มเปี่ยมไปด้วยสัมผัสที่นุ่มนวลจนรู้สึกจั๊กจี้ที่มือ ตอนแรกฮาจุนไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เมื่อถือไว้แล้วมองดูจากระยะที่ไกลหน่อยๆ เขาถึงได้รู้ว่ามันคือเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว

……………………………………………….

“ทำกันตรงนี้กันเถอะ”

“หือ”

“มันน่ารำคาญนี่ กว่าจะถึงบ้านแล้วต้องเตรียมตัวให้พร้อมอีก แค่รอบเดียว เสร็จแล้วฉันจะไปส่งนายเอง”

ทำกันเถอะ ทำอะไร อย่าบอกนะว่าทำเรื่องอย่างว่าที่เขาคิด ฮาจุนไม่อยากจะเชื่อเลย เขาปล่อยให้มูคยอมดูดต้นคอของเขาจนเกิดเสียงดังจุ๊บๆ ออกมา จากนั้นมือของมูคยอมก็มุดใต้เสื้อเชิ้ตและเริ่มลูบไล้หน้าอกของเขา เมื่อฮาจุนมั่นใจถึงท่าทีของอีกฝ่าย เขาจึงผลักมูคยอมออกไป

“นายเป็นอะไรของนายเนี่ย” มูคยอมนิ่วหน้า

“ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง นายอย่าพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย” ฮาจุนเอ่ยขึ้นมาในขณะที่กดหัวใจที่เต้นตึกตักเอาไว้

“ไม่ว่าใครจะมองเข้ามาจากด้านนอกก็ตาม ยังไงก็มองไม่เห็นหรอกน่า”

“ถ้าเกิดคนรู้จักเห็นเข้าล่ะ ใครเขาก็รู้ว่าเป็นรถนาย”

ถ้ามูคยอมขับรถธรรมดาที่เห็นได้อย่างดาษดื่นทั่วไปคนอื่นก็คงจะไม่รู้หรอก แต่อีกฝ่ายดันขับแต่รถนอกที่หาได้ยากในประเทศ ด้วยเหตุนี้ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่รู้สึกอะไรกับการที่คนอื่นจ้องมองมาเลยนะ

เหตุผลที่มูคยอมมักจะตกเป็นเหยื่อของสื่อบ่อยๆ อาจไม่ใช่เพราะความนิยมของเขาเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่ามูคยอมไม่ระวังตัวเอาเสียเลย

“ฉันตั้งใจขับรถคันใหญ่มา แล้วฉันต้องผิดหวังกับเรื่องนี้เหรอ”

“…”

“นายเองก็คิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนฝึกซ้อมแล้วนี่นา”

“ฉันไม่ใช่นายนะ ไม่ได้คิดสักหน่อย”

เป็นความจริงที่เขาคิดเรื่องลามก แต่สาบานได้เลยว่าเขาไม่ได้คิดจะทำมันบนรถ มูคยอมบ่นพึมพำราวกับอารมณ์เสีย ฮาจุนที่นั่งข้างๆ อีกฝ่ายแอบร้องไห้ในลำคอกับตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ

มิน่าล่ะตอนแรกเขาก็คิดว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเอารถที่ปกติไม่ค่อยได้ขับออกมาใช้ นี่คิดจะทำอย่างนี้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอเนี่ย

ฮาจุนไม่ได้แค่กังวลว่าจะมีใครมาเห็นเข้า แต่แค่คิดว่าต้องทำอย่างนั้นติดกันสองวันเขาก็ลำบากแล้ว แกนกลางของร่างกายที่ถูกสำรวจขุดค้นเมื่อวานนี้ยังคงเจ็บแปลบและปวดไปทั่วทั้งตัว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกว่าภายในร่างกายมันฉีกขาดเหมือนกับครั้งที่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เจ็บเลย ถ้าต้องทำมันอีกครั้งในวันนี้ก็ดูเหมือนว่าผลที่ตามมาจะหนักกว่าครั้งที่แล้ว

มูคยอมใช้นิ้วเคาะที่พวงมาลัยและเงียบราวกับรอคำตอบจากฮาจุน แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถตอบออกไปได้เลยว่า เขาทำมันก็ได้ ในตอนนั้นเองที่มูคยอมทำลายความเงียบ

“นายใช้ปากให้ฉันหน่อยได้ไหม”

ตอนแรกฮาจุนไม่เข้าใจในทันที แต่แล้วเขาก็ค่อยๆ เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

ไม่รู้สิ ฮาจุนไม่เคยใช้ปากมาก่อนเลยไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถทำได้ดีหรือเปล่า ด้วยเหตุผลเดียวกันนั้นเขาจึงไม่มีความมั่นใจเลย

เมื่อฮาจุนไม่ตอบมูคยอมจึงยิ้มและวางมือบนหลังคอของฮาจุนแล้วลูบไล้ขึ้นลงจนเขาขนลุกซู่

“ถ้าใช้แค่ปากก็คงจะไม่มีใครจับได้หรอกใช่ไหม”

มูคยอมเอามือวางไว้ที่คอของฮาจุนและค่อยๆ ออกแรงกดใบหน้าของอีกฝ่ายลงอย่างพอประมาณ ฮาจุนโน้มตัวลงและวางมือบนต้นขาของมูคยอม มูคยอมรูดซิปกางเกงของตนเองลงและดึงสิ่งที่อยู่ภายในกางเกงในออกมา สิ่งนั้นที่ฮาจุนสังเกตเมื่อวานนี้ขณะที่ถูเจลด้วยมือของตนเองหลายครั้งตั้งโด่ขึ้นแล้ว

มันจะตั้งขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลย เพียงแค่คิดว่าอยากมีเซ็กส์กับฮาจุนเนี่ยนะ

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ฮาจุนทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดที่ไม่สามารถรับปากตามคำขอของมูคยอมได้ ไม่ว่าเขาจะพิสูจน์กี่ครั้งก็ตาม เรื่องที่มูคยอมมีอารมณ์ทางเพศกับฮาจุนได้ช่างเป็นอะไรที่ชวนให้ใจเต้นและน่าทึ่งเหลือเกิน

แม้ว่าจะไม่เคยทำมาก่อน แต่ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น ทั้งจูบ ทั้งเซ็กส์ มันเป็นอะไรที่ฮาจุนไม่เคยทำมาก่อนเลยก่อนที่จะได้เจอกับมูคยอม

ฮาจุนใช้มือคว้าแกนกายของมูคยอมโดยไม่กล่าวอะไร มันใหญ่จนชายที่รูปร่างค่อนข้างร่างใหญ่นั้นไม่สามารถกอบกุมได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกทั้งยังเผยให้เห็นความยาวเลยขึ้นมาจากฝ่ามือที่โอบอุ้มตัวตนของมันเอาไว้อีกด้วย

ฮาจุนเหลือบมองใบหน้าของมูคยอมปราดเดียว มูคยอมไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายมองลงไปที่ฮาจุนด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่เร่งรีบ ราวกับบอกให้ฮาจุนทำตามที่ต้องการได้เลย

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮาจุนก็ก้มลงและอมที่ส่วนหัวของแกนกายนั้น

“อืม”

มูคยอมส่งเสียงในลำคอสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราวกับว่ากำลังพึงพอใจ

ฮาจุนนิ่งอยู่ครู่เดียวก็ผงกศีรษะขึ้นลงซ้ำๆ อย่างเชื่องช้า เขาดูดส่วนหัวแล้วเลื่อนลงมาที่ลำแกนกาย เนื่องจากขนาดของมันใหญ่มาก ฮาจุนจึงอ้าปากกว้างแล้วค่อยกลืนกินเข้าไป แต่อย่างไรมันก็ยังคับปากเขาอยู่ดี มันไม่ง่ายเลยที่จะขยับในขณะที่อมอยู่อย่างนี้

เมื่อฮาจุนลองขยับใบหน้าและดูดไว้อยู่สักพัก เขาก็รู้สึกปวดปากและกราม แม้ว่าหลังจากที่ฮาจุนผละริมฝีปากออกมาแล้วก็ตาม ทั้งคางของฮาจุนและแกนกายของมูคยอมจะเปียกชุ่มไปด้วนน้ำลายจนชื้น แต่ส่วนนั้นของมูคยอมก็ยังคงแข็งและชูชันอยู่ ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะเสร็จเลย

ฮาจุนรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องโน้มตัวลง แถมยังเป็นเหน็บที่เอวจากการที่ต้องเอียงตัวจากที่นั่งข้างคนขับไปยังที่นั่งคนขับอีกต่างหาก มันอาจจะสะดวกสบายกว่านี้ถ้าหากเขานอนรอรับสิ่งนั้นจากอีกฝ่าย

“ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเสร็จ”

มูคยอมคงคิดแบบเดียวกันสินะ ฮาจุนถึงได้ยินน้ำเสียงปนหัวเราะของอีกฝ่ายจากด้านบน

แฮ่ก ฮาจุนหายใจออกและคายสิ่งที่เขาอมอยู่ครู่หนึ่ง แกนกายที่ชุ่มน้ำลายตีกับแก้มของฮาจุน มูคยอมคว้าของของตัวเองมาถูที่แก้มและริมฝีปากที่บวมเป่งของฮาจุนพลางเอ่ยออกมา

“เพราะว่านายน่ะจูบไม่เป็น ดังนั้นฉันจึงเดาเอาไว้แล้วแหละว่าทักษะการใช้ปากของนายก็คงงั้นๆ ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหม ว่าข้างหลังนายดูดเก่งกว่าปากอีกนะ”

มูคยอมที่วิจารณ์และพูดหยอกเล่นพร้อมกันนั้นเอามืออีกข้างวางบนท้ายทอยของฮาจุนแล้วขยับราวกับลูบไล้

เพราะจูบไม่เป็นเลยไม่ให้เขาทำให้เหรอ ฮาจุนคิดทบทวนหลังจากได้รับคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสงสัยเมื่อคืนนี้แล้วกลับไม่มีเวลาให้ได้คิดอะไรต่อ เพราะแรงกดที่ศีรษะทำให้เขาต้องเริ่มอมแท่งเนื้อนั้นอีกครั้ง มูคยอมที่ดูถูกเขาไว้ว่าไม่มีทักษะในการใช้ปากส่งเสียงพอใจออกมา “วันนี้ฉันจะช่วยนาย แต่คราวหน้าช่วยแสดงพัฒนาการของนายให้เห็นทีนะ โค้ช ก็เพราะว่านายเป็นโค้ชนี่นา”

“แฮ่ก”

สิ้นเสียงนั้นมูคยอมก็กดศีรษะฮาจุนลง แกนกายที่ใหญ่และยาวขูดเพดานปากของฮาจุน แล้วตรงมาที่ด้านหน้าลำคอของเขา ฮาจุนไม่สามารถคิดอะไรได้เลย เขาทำได้แค่เพียงเอาเข้าปาก แล้วดูดมันราวกับดูดลูกกวาด เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจและจับต้นขาของมูคยอมไว้แน่น

เมื่อมูคยอมผ่อนแรงที่กดไว้ฮาจุนจึงยกศีรษะขึ้นและดูดความเป็นชายของอีกฝ่าย จากนั้นมือของมูคยอมก็กดที่ศีรษะอีกครั้ง จึงทำให้ฮาจุนดูดกลืนแกนกายเข้าไปลึกขึ้น

“ฮื้อ อึก อ่อก”

ฮาจุนกลั้นหายใจและอ้าปากกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยและพยายามกลืนก้อนเนื้อหนักที่กระแทกเข้าคอของเขาเข้าไปอีก ฮาจุนน้ำตาเอ่อคลอและหายใจลำบาก ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวจนแดงก่ำขึ้นในทันที

เขารู้สึกว่าสิ่งนั้นมันใหญ่กว่าตอนที่ได้รับจากด้านล่างเสียอีก เส้นเลือดที่ปูดโปนออกมาจากแท่งนั้นมันครูดที่ลิ้น ที่เพดานปาก และที่เยื่อเมือก แล้วมันทำให้เขานึกถึงเรื่องวาบหวามที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ฮาจุนรู้สึกอายอยู่คนเดียวแม้ว่าจะไม่มีใครว่าอะไรก็ตาม

ในขณะเดียวกันความเป็นชายของมูคยอมก็สอดเข้าออกจากปากด้วยเสียงเฉอะแฉะ ในตอนแรกส่วนหัวของแกนกายนั้นกระแทกเข้ากับลิ้นไก่ จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนลงทีละนิดทีละหน่อยจนถึงส่วนลึกของลำคอแล้วจึงผละออกมา มันเหมือนกันกับตอนที่แกนกายเคลื่อนเข้าและออกจากทางด้านหลัง แต่ความรู้สึกของการสอดเข้าทางหลอดอาหารมันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก เขารู้สึกว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการกลืนหรือตอนอาเจียนออกมา

“เรียนรู้เร็วดีนี่” ฮาจุนได้ยินเสียงราวกับชื่นชมของมูคยอมมาจากข้างบน

อย่างนั้นเหรอ เขาทำถูกแล้วใช่ไหม

ฮาจุนคงสงสัยว่าตนเองทำได้ดีด้วยตัวเองหรือเปล่า มูคยอมจึงตบที่ท้ายทอยของฮาจุนเบาๆ ราวกับชื่นชม ในช่วงเวลาสั้นๆ ความเร็วที่แกนกายเคลื่อนเข้าออกจากปากชื้นก็เริ่มเร็วขึ้น และเสียงครวญครางของฮาจุนก็ติดขัด อีกทั้งยังหายใจหอบอีกต่างหาก

“ฮื้อ อึก อ่อก ฮึก”

ฮาจุนไม่สามารถแม้แต่จะคิดว่าเขาจะดูดหรือจะเลีย เพราะทุกครั้งที่แกนกายสอดเข้าไปข้างในปาก เขาก็พยายามอ้าปากให้กว้างแล้วกดลิ้นลงด้านล่างเพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกคลื่นไส้ ลึก ลึกขึ้นอีก ในหัวของฮาจุนนั้นเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าเขาต้องกลืนสิ่งที่พุ่งเข้ามาในปาก

“ฮ่า” ด้วยเสียงหายใจออกสั้นๆ ของเหลวร้อนก็พุ่งเข้าปากของฮาจุน

ฮาจุนออกแรงบีบรัดกระชับปากที่เคยอ้าจนกว้างนั้นให้แน่นขึ้น แต่พร้อมกันนั้นเขาก็ผ่อนแรงที่คอและกรามลง

การหลั่งน้ำกามไม่ได้จบลงในเวลาอันสั้นอย่างนั้น ฮาจุนไม่สามารถละปากจากแกนกายที่สั่นเทาได้ เขาจึงรอให้อีกฝ่ายหลั่งออกมาแต่โดยดี

ฮาจุนรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แต่ความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มทำเช่นนั้นกันเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที

ในท้ายที่สุดเมื่อการชักกระตุกของสิ่งที่อยู่ในปากหยุดลง ฮาจุนก็หมดแรง เขาผละแกนกายของอีกฝ่ายจากริมฝีปากของตนเอง และฟุบหน้าลงบนตักของมูคยอม แม้ว่าน้ำกามจะเข้าไปในปากฮาจุนแต่ก็ยังมีที่หลงเหลืออยู่บนปลายแกนกาย และมันก็ไหลลงบนแก้มของฮาจุน

เพราะว่าเขาเองก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นน้ำอสุจิ แต่ความรู้สึกของมันเมื่ออยู่ในปากช่างแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ฮาจุนกลืนมัน จู่ๆ มูคยอมก็เชยคางของฮาจุนให้สบตากับตนเอง

“นายกลืนลงไปเหรอ”

“…อืม”

ห้ามกลืนเหรอ

ฮาจุนอายเพราะอาจจะทำพลาดไป เขาจึงกะพริบตาปริบๆ ภายใต้มือใหญ่นั้น

“ในเวลาแบบนี้ฉันควรบอกว่านายเชี่ยวชาญหรือเจ๋งดีล่ะ” มูคยอมพูดกับตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ไม่อยากเชื่อเล็กน้อย

ดูเหมือนว่ามันจะกินไม่ได้สินะ ฮาจุนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลย ฮาจุนจึงมองขึ้นไปที่มูคยอมด้วยสีหน้าอันเฉยเมย

“อยู่นิ่งๆ”

มูคยอมดึงผ้าเช็ดหน้าที่ดูใหม่ออกมาจากช่องเก็บของหน้ารถและเช็ดแก้มของฮาจุนเบาๆ แม้ว่าฮาจุนจะกังวลว่าผ้านั้นมันจะสามารถเช็ดน้ำอสุจิออกได้หรือเปล่า เพราะเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากวัสดุที่อ่อนนุ่มและราคาแพง แต่ฮาจุนก็ไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะมันจะทำให้เขาดูยากจน

หลังจากเช็ดแก้มเสร็จแล้ว มูคยอมก็ช้อนมือไว้ใต้ร่างของฮาจุนและยกอีกฝ่ายที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้นให้นั่งบนเบาะเช่นเคย ฮาจุนรู้สึกได้ถึงแขนอันแข็งแกร่งของมูคยอมในส่วนที่ได้สัมผัสกัน แม้ว่าฮาจุนจะผอมลงเมื่อเทียบกับตอนที่ยังลงเล่นฟุตบอล แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ตั้งแต่สมัยที่ยังลงสนามนั้น เขาก็ทุ่มเทกว่าคนอื่นในการฝึกฝนเพื่อความแข็งแกร่งทางร่างกาย เขาแตกต่างจากมูคยอมตรงที่อีกฝ่ายนั้นมีมันมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตามเขาก็ไม่มีทางที่จะมีแขนเฉกเช่นมูคยอมได้เลย

“รสชาติเป็นไง”

“…กลิ่นเหมือนน้ำในสระว่ายน้ำ”

เพราะคำพูดนั้นทำให้มูคยอมหัวเราะออกมาดังๆ ฮาจุนจ้องมองท่าทางของคนที่หัวเราะอยู่ข้างๆ อย่างงุนงง ใบหน้าของมูคยอมที่ยิ้มออกมาจนเห็นฟันนั้นดูหล่อเหลาจนไม่อยากเชื่อ วันนี้ฮาจุนได้เห็นใบหน้าแบบนั้นไปแล้วสองครั้ง

แม้ว่ามูคยอมจะทำหน้าเฉยๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังดูราวกับว่าโมโหอยู่หน่อยๆ อย่างเสมอๆ และเมื่อวิ่งไล่ตามลูกฟุตบอลหน้าตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปราวกับอสูรร้าย แม้ว่ามูคยอมจะยิ้มอย่างอ่อนโยนโดยที่ปลายริมฝีปากโค้งไปทางด้านข้างของสันกรามที่แข็งแรง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สูญเสียความแมนเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากมูคยอมยิ้มแบบนี้ทุกครั้งเพราะฮาจุนแล้วละก็ คงจะเจ็บปากและเมื่อยกรามเป็นแน่

“ไปกันเลยไหม”

“อืม”

หลังจากเสร็จจากกิจที่ไม่คาดคิด รถก็เคลื่อนตัวออกไป ฮาจุนที่หมดเรี่ยวแรงนั้นมองออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยความรู้สึกเหม่อลอยด้วยเหตุผลบางอย่าง

รถเริ่มวิ่งไปตามถนนเส้นที่เปลี่ยวแล้วเข้ามาในถนนสายหลักอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ไปในถนนที่ฮาจุนรู้จัก เมื่อไรไม่รู้ที่รถหยุดอยู่ตรงหน้าอพาร์ตเมนต์จูกงที่ฮาจุนอาศัยอยู่ มูคยอมไม่พูดอะไรหลังจากจอดรถบนไหล่ทาง ฮาจุนหาจังหวะลงจากรถไม่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง

เขาลังเลก่อนที่จะบอกลา

“เจอกันพรุ่งนี้”

“โอเค”

ฮาจุนโบกมือให้มูคยอมที่บอกลาตนเองอย่างปกติ และเมื่อเขาเปิดประตูรถก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกตนเองขึ้นเอง

“พี่คะ!”

ฮาจุนไม่ทันได้คิดจะปิดประตู เขาก็หันไปหาเด็กผู้หญิงที่เรียกและวิ่งเข้ามาหาเขา

ด้วยความที่อ่านสถานการณ์ได้เก่งกว่าคนที่อยู่รุ่นราวคราวเดียวกัน มินคยองคงเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นพี่น้องกับอดีตนักฟุตบอล เธอถึงได้รีบไปยืนยิ้มหวานอยู่ข้างๆ ฮาจุนในทันที ฮาจุนตระหนกราวกับว่าเขาถูกจับในการแอบพบกันอย่างลับๆ เขาจึงรีบผ่อนคลายอารมณ์แล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“วันนี้โรงเรียนเลิกเร็วนะ”

“วันนี้ลดคาบเพราะคุณครูมีงาน”

เอ่ยไปเช่นนั้นมินคยองจึงหันหน้าไปทางรถที่ยังไม่ออกตัว และสบตากับมูคยอมที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับ มินคยองเบิกตากว้าง ชี้นิ้วมาไปที่มูคยอมและตะโกนร้องขึ้นมา

“อ๊ะ คิมมูคยอม!” ฮาจุนจับมือที่ชี้อยู่ของมินคยองลง

มินคยองเรียกชื่ออีกฝ่ายเฉยๆ โดยไม่มีทั้งคำว่า ‘นักเตะ’ หรือ ‘คุณ’ เลยสักนิด ฮาจุนจึงจับมือของเด็กหญิงที่ชี้มูคยอมอยู่นั้นลงเสีย โชคดีที่มูคยอมไม่ได้แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจ อีกฝ่ายเอนแขนพิงที่จับและโบกมือตอบกลับไป

“หวัดดี”

“อ๊ะ สวัสดีค่ะ”

“เหมือนว่าฉันต้องบอกลาพี่ของเธอนะ ช่วยเข้าไปก่อนได้ไหม”

“อ๋อ ได้ค่ะ! โอเคค่ะ!”

แม้จะพูดอย่างนั้นแต่มินคยองก็ยังกะพริบตาและไม่ก้าวเท้าออกไป เนื่องจากเป็นเรื่องน่าทึ่งที่จะเห็นซูเปอร์สตาร์ต่อหน้าต่อตาที่หน้าบ้านของเธอ ซึ่งไม่ใช่ที่สนามกีฬาหรือรายการโทรทัศน์อีกต่างหาก มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา แม้ว่ามินคยองจะพูดว่าพี่ชายของเธอนั้นเป็นนักฟุตบอล แต่ความโด่งดังของฮาจุนเทียบไม่ได้เลยกับความโด่งดังของมูคยอม แต่หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่งมินคยองก็ก้มศีรษะและกล่าวทักทาย

“ไปดีมาดีนะคะ สู้ๆ ค่ะ! ซิตี้โซล! กรีนฟอร์ด! เกาหลีใต้! สู้!”

มินคยองโบกมือ คราวนี้เธอวิ่งไปที่ประตูหน้าของอพาร์ตเมนต์

“กล้าดีนะเนี่ย”

มูคยอมพูดขณะที่เขามองไปที่ด้านหลังของเด็กหญิงที่ปรากฏตัวเข้ามาปั่นป่วนบรรยากาศแล้วก็หายตัวไปราวกับพายุไต้ฝุ่น

“ใช่ แถมยังเรียนเก่งอีกต่างหาก”

“ความสัมพันธ์ของพวกนายดูสนิทกันดีนะ”

“คงเป็นเพราะว่าอายุห่างกันมากน่ะ”

มูคยอมมองหน้าฮาจุนชัดๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“ปกติตอนเช้าน้องสาวช่วยปลุกนายใช่ไหม”

มันเป็นคำถามที่ฮาจุนไม่คาดคิด เขาจึงเบิกตากว้างด้วยความทึ่งใจแล้วย้อนถามกลับไป

“รู้ได้ไง เธอเป็นคนปลุกฉันเกือบทุกครั้งเลย”

มูคยอมพยักหน้าราวกับว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว ฮาจุนรับรู้ได้ถึงความพึงพอใจอย่างประหลาดบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม มูคยอมยืดหลังตรงแล้วจึงบอกลา

“ไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”

“อ๋อ อื้อ ขอบใจนะที่มาส่ง”

หลังจากที่ฮาจุนปิดประตู รถก็เคลื่อนตัวออกไปทันที ฮาจุนที่ยืนนิ่งมองไปทางด้านหลังอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ เมื่ออยู่คนเดียวความรู้สึกทั้งหมดของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า

ความรุนแรงของการมีเพศสัมพันธ์ทางปากอย่างกะทันหันในรถ รวมไปถึงความตกใจจากการปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของมินคยองนั้นปะปนกันจนฮาจุนหน้ามืดตาลายเพราะไม่รู้ว่าตนเองสับสนหรือเวียนศีรษะกันแน่ หรืออาจเป็นเพราะอากาศที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นมาหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

……………………………………………………..

มูคยอมเดินไปมาในห้องนั่งเล่นราวกับกำลังจัดเตรียมของก่อนที่จะออกไปข้างนอก ส่วนฮาจุนเองก็นั่งลงและไล่สายตามองตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

ไม่รู้ว่าเพราะบ้านดูดีหรือเพราะคนหน้าตาดีกันแน่ เพราะแค่อีกฝ่ายยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่กลับเหมือนว่ากำลังถ่ายนิตยสารอยู่

ถ้ามูคยอมไปทางซ้าย ฮาจุนก็มองไปทางซ้าย ถ้าอีกฝ่ายไปทางขวา เขาก็มองไปทางขวา ขณะที่ฮาจุนนั่งบนโซฟาพร้อมกับทำตาหลุกหลิกไปมานั้น จู่ๆ มูคยอมที่ยืนตระหง่านอยู่นั้นก็ยกมือขึ้น

‘ทำอะไรน่ะ’

มูคยอมยื่นมือไปทางซ้าย ฮาจุนจึงไล่สายตามองตามไปทางซ้าย ต่อมาอีกฝ่ายก็ยื่นมือไปทางขวา เขาจึงมองตามไปทางขวา แต่ทันใดนั้น จู่ๆ มูคยอมก็ขยับแขนอย่างยิ่งใหญ่วาดภาพในอากาศราวกับว่าเป็นวาทยกร ฮาจุนที่หันหน้าไปมองตามเล็กน้อยนั้นกลอกตาเป็นวงกลมตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อฮาจุนตั้งสติได้ก็หันไปมองที่ใบหน้าของมูคยอมและเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังยิ้มกว้างจนเห็นฟัน

“นายเป็นกล้องวงจรปิดหรือไง แค่ขยับก็มองตามเลยนะ”

“…ก็มันกวนใจฉันนี่”

ความเขินอายบังเกิดขึ้นมา ฮาจุนเลยก้มหน้ามองโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่เล่นอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์อย่างเดียวจนกระทั่งมูคยอมพร้อมที่จะออกไปข้างนอก

ผ่านไปได้ไม่นานนักทั้งคู่ก็ออกจากบ้านพร้อมกัน พวกเขาเข้าไปในลิฟต์ และทันทีที่มาถึงที่จอดรถมูคยอมก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“นายชอบคันไหน”

“หืม”

“ขับคันไหนดี”

ฮาจุนหันไปยังทิศทางที่มูคยอมพยักพเยิดคางบอกและตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงรถที่จอดอยู่นั่นเอง ครั้งนี้ฮาจุนไม่สามารถห้ามตนเองไม่ให้หน้าแดงได้เลย เขาจึงหันใบหน้าไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“คันไหนก็ได้”

“ไม่มีคันไหนที่นายอยากลองนั่งบ้างเลยเหรอ”

“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรถน่ะ”

สถานภาพของฮาจุนไม่เอื้อต่อการที่จะมีรถส่วนตัวไว้ใช้ และเขาเองก็ไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับรถเฉกเช่นคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงรู้จักรถแค่สองสามแบรนด์ที่ดังๆ เท่านั้น แน่นอนว่าเขารู้จักรถที่มูคยอมขับในระดับหนึ่ง แต่เขาก็รู้แค่ชื่อแบรนด์ของรถ นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่มีความรู้อื่นใดอีกเลย

ถ้าเรื่องทุกอย่างเป็นไปด้วยดี บางทีเขาอาจจะได้ขับรถแบบนั้นสักคันสองคัน แต่อย่างไรก็ตามสถานภาพการเงินในปัจจุบันของอีฮาจุนนั้นเขาก็เป็นแค่เพียงคนชนชั้นกลางอายุยี่สิบปี ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังเป็นเสาหลักของครอบครัวอีกด้วย

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ค่าตัวของโค้ชกายภาพจะเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็เพิ่มขึ้นเฉพาะกรณีของคนที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์เท่านั้น สำหรับฮาจุนที่เพิ่งเริ่มทำงานทางด้านนี้อย่างเต็มตัวแล้วมันคนละเรื่องเลย

มูคยอมเดินต่อโดยไม่ถามอะไรอีก ทำให้ฮาจุนจำเป็นต้องวิ่งตามอีกฝ่ายไป รถที่มูคยอมเลือกคือรถ SUV ที่มีตัวถังสูง ถ้าตัดรถสปอร์ตที่ใช้เป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่อีกฝ่ายก็มักขับรถขนาดกลางที่ดูค่อนข้างธรรมดา แต่วันนี้กลับต่างไปจากปกติเล็กน้อย

เมื่อพวกเขาขึ้นรถด้วยกันทั้งคู่แล้ว มูคยอมก็ค่อยๆ หมุนพวงมาลัยและขับรถออกไป เมื่อออกจากที่จอดรถ แสงแดดในปลายฤดูใบไม้ผลิก็ทักทายฮาจุนอย่างแจ่มใส เขาจึงหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว หลังจากความเงียบสงัดผ่านไปก็ปรากฏให้เห็นถึงทิวทัศน์ภายนอกอย่างเต็มตา มูคยอมหรี่ตาและหยิบแว่นกันแดดออกมา

ฮาจุนนั่งเงียบๆ ตรงที่นั่งข้างคนขับโดยไม่เอ่ยอะไร และเอาแต่นึกถึงเรื่องการกระทำของมูคยอมจากข่าวลือจนมากระทั่งถึงตอนนี้

เรื่องที่เขาว่ากันว่าถึงแม้ว่ามูคยอมจะใช้เวลาสักวันสองวันในการร่วมรักหรือเป็นความสัมพันธ์แบบวันไนท์สแตนด์ อีกฝ่ายก็มักจะออกจากห้องก่อนรุ่งสางเสมอ

เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่ข่าวลือหรือเปล่านะ

คนอื่นๆ เองก็ได้ทานอาหารเช้าที่มูคยอมเตรียมไว้ให้และได้เลือกเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเหมือนกันกับเขาด้วยหรือเปล่านะ หรือว่าได้นั่งรถรับแสงแดดเคียงข้างกันแบบนี้หรือเปล่านะ

เป็นครั้งแรกที่ฮาจุนหวังว่าข่าวลือของอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากเป็นคนเดียวที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น แต่เขาก็รู้สึกขอโทษต่อคนอื่นๆ ที่เคยได้พบพานกับอีกฝ่ายมาก่อน

“นายคิดอะไรอยู่เหรอ”

“…เปล่า”

ฮาจุนโกหกมูคยอมที่ถามราวกับมีตาทิพย์ จากนั้นจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง

ชนะการแข่งขัน มีอะไรกับมูคยอม มีอะไรกันที่บ้านของมูคยอม

มูคยอมทำอาหารเช้าให้ และอีกฝ่ายขอให้ฮาจุนเลือกชุดที่จะใส่ด้วย

ฮาจุนไม่เคยวาดฝันด้วยซ้ำว่าตนเองจะได้เห็นมุมส่วนตัวและชีวิตประจำวันของอีกฝ่าย ทั้งชงกาแฟให้ ทั้งบอกให้เขาเลือกรถที่จะขับอีกด้วย

อากาศดี ท้องฟ้าสีคราม ดอกไม้บาน นกกำลังโบยบิน ผู้คนต่างหัวเราะและดื่มชาในร้านกาแฟข้างถนน และตอนนี้ฮาจุนกับมูคยอมกำลังนั่งอยู่ในรถมุ่งหน้าไปที่สนามฝึกเดียวกัน

ช่างดีเหลือเกิน ต่อให้มูคยอมตั้งใจที่จะกลับกลอก แต่ฮาจุนก็จะยิ้มรับแล้วยอมให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้นได้ตามสบาย

มันเป็นวันฤดูใบไม้ผลิที่ดีที่สุดหลังจากที่เขาถูกช่วงชิงจิตวิญญาณให้แก่มูคยอม

***

ฮาจุนมองไปก็เจอกับป้ายรถเมล์ที่เขามักโดยสารอยู่เป็นประจำ มันอยู่ห่างจากสนามฝึกซ้อมโดยใช้เวลาเดินแค่สิบนาทีเท่านั้น ฮาจุนคว้ากระเป๋าของตนเอง

“ฉันจะลงตรงนี้แหละ”

มูคยอมหยุดรถบนไหล่ทางโดยไม่พูดอะไร ยังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเริ่มทำการฝึกซ้อม และถึงแม้จะอยู่ห่างจากสนามฝึกซ้อมพอสมควร แต่ฮาจุนก็ชะเง้อมองไปรอบๆ ก่อนที่จะลงจากรถ มูคยอมประชดประชันในใจว่าถ้าหากมีใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าพวกเขาเป็นชู้กันแน่ๆ

“อีกเดี๋ยวเจอกัน”

แม้แต่ฮาจุนเองก็ยังเอ่ยเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแล้วเดินไปอย่างรวดเร็วบนทางเท้า มูคยอมหมุนพวงมาลัยทันทีและแล่นเข้าไปในเลนรถอีกครั้ง เขาเห็นแผ่นหลังของฮาจุนที่อยู่ไกลออกไปผ่านหน้าต่างรถ

ฮาจุนมาถึงสนามฝึกซ้อมเป็นคนแรก แม้ว่าจะเดินมาก็ตาม น่าแปลกที่นักเตะหลายคนมาถึงสนามฝึกซ้อมก่อนเวลา เนื่องจากชนะการแข่งขันมาแล้วหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดความเกียจคร้านได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความตั้งใจอันสูงส่ง

“สวัสดีครับ โค้ช!”

“สวัสดีครับ โค้ช! มาแต่เช้าเลยนะครับ”

“ฉันบอกว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญนี่ พวกนายไม่ฟังที่ฉันบอกเลยใช่ไหม”

ถึงแม้การพูดแบบนั้นจะเหมือนเป็นการต่อว่า แต่ฮาจุนก็ไม่อยากที่จะเห็นภาพลักษณ์ที่ไม่มีความตั้งใจของบรรดาเหล่านักเตะ เขายังคงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากเมื่อวันก่อน แต่เขาเองก็ยังฮึดสู้กับความเหนื่อยนั้น ถ้าขยับร่างกายอีกสักหน่อยก็คงจะหายปวดกล้ามเนื้อสินะ

“ไม่ต้องหักโหมนะ คนที่มาก่อนจับคู่กันยืดกล้ามเนื้อกันหน่อยดีไหม ขอคนที่จะมาทำกับฉันด้วย” ฮาจุนแทรกเข้าไประหว่างเหล่านักเตะแล้วเอ่ยออกไป

“อ๊ะ ผมครับ!”

“ผมครับๆ”

เหล่านักเตะที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลายต่างก็ยกมือของตนเองขึ้นแล้วเสนอตัวจะทำด้วย ฮาจุนตัดสินใจจับคู่กับกองกลางที่มักปวดต้นขาบ่อยๆ ก่อนใครอื่น

“คนหนึ่งนอนหงายงอขาข้างหนึ่งไว้ด้านนอก และยืดขาอีกข้างออกไป ใช่ แบบนั้นแหละ อีกคนก็จับเข่าข้างที่งอขาแล้วกดเอาไว้ และที่สำคัญที่สุดคือต้องทำให้ขาข้างที่ยืดออกไปนั้นยังคงนิ่งไว้อยู่” ฮาจุนสั่งหลังจากที่จับคู่กันแล้วยืนเป็นวงกลม

วัยรุ่นพวกนี้หัวเราะคิกคักพลางบอกว่านี่ดูเหมือนกับกบที่ถูกตากแดดเลย

ในขณะที่กำลังกางขานักเตะที่นอนอยู่ด้านล่าง ฮาจุนเองก็หัวเราะให้กับพวกเขาเช่นกัน นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักฟุตบอลที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยๆ โดยการเพิ่มความยืดหยุ่นที่ต้นขาด้านในและกระดูกเชิงกราน

“สลับกัน”

ฮาจุนนอนอยู่บนสนามหญ้า เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เขาจึงไม่สวมกางเกงขายาวขณะฝึกสอนอีกต่อไป เขาใส่แค่กางเกงขาสั้นที่ค่อนข้างยาวเหนือเข่า แต่เมื่อมือของอีกฝ่ายกดเข่าข้างที่งอไว้นั้น ชายกางเกงของฮาจุนก็เลิกขึ้นมา

ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและแสงแดดที่เจิดจ้าราวกับน้ำเลมอน ต้นขาขาวนวลของฮาจุนก็แผ่กว้างลงบนสนามหญ้าสีเขียว มือของนักเตะที่ก้มตัวนั้นกดเข่าทั้งสองข้างแน่นจนทำให้ขาของฮาจุนอ้ากว้างกว่าเดิม เพราะกล้ามเนื้อด้านในมันหน่วงรั้ง เขาจึงรู้สึกสบายจนตาแทบจะปิด

“หลบไป”

พวกเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มและเยือกเย็นซึ่งไม่เหมาะกับสภาพอากาศแจ่มใสเช่นนี้เลย นักเตะที่กำลังจะเริ่มยืดกล้ามเนื้อหันไปมองด้วยความตกใจ เห็นชายร่างใหญ่มองลงมาที่พวกเขาทั้งสองคน

“สวัสดีครับ พี่มูคยอม”

“นายไปทำกับคนอื่นไป”

“ครับ รับทราบครับ”

ดูเหมือนว่านักเตะคนนั้นจะคุ้นเคยกับวิธีการพูดของมูคยอมที่เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวได้เป็นอย่างดี อีกฝ่ายคงคิดว่ามูคยอมและโค้ชอายุเท่ากันเลยมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน จึงไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดใจและลุกออกไป

มูคยอมก้าวไปยืนข้างหน้าฮาจุนที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายโน้มตัวลงและวางมืออันกว้างใหญ่ไว้บนเข่าเหมือนกับที่นักเตะคนอื่นจับไว้เมื่อครู่ก่อน

มืออีกข้างหนึ่งของมูคยอมวางบนต้นขาอีกข้างของฮาจุน อีกฝ่ายกดลงบนเข่าของฮาจุนจนขากางออกมาอีกครั้ง ฮาจุนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย เพราะมันหน่วงรั้งกระดูกเชิงกรานด้านในให้อ้าออกจนถึงขีดสุด ฮาจุนแสยะยิ้มเบาๆ โดยไม่รู้ตัวและร้องโอดครวญเล็กน้อย

“อ่า”

มูคยอมมองลงมาที่ฮาจุนนิ่งๆ แล้วปล่อยขาของฮาจุนที่งออยู่ออก มูคยอมกางขาอีกข้างของฮาจุนแล้วทำเหมือนเมื่อครู่ จากนั้นจึงก้มลงแล้วลดเสียงกระซิบกับฮาจุน

“เลิกงานแล้วกลับรถฉันนะ”

“อะไรนะ ไม่เอา ฉันจะกลับรถเมล์”

“กลับรถฉัน”

มูคยอมจับมือของฮาจุนแล้วลุกขึ้นยืนราวกับจะไม่เปิดโอกาสให้เขาโต้ตอบอีกต่อไป มูคยอมเปลี่ยนตำแหน่งและนอนลงบนสนามหญ้า ครั้งนี้ฮาจุนนั่งคุกเข่าระหว่างขาของมูคยอม มือขาวนวลแตะลงบนที่ต้นขาที่ถูกแดดเผาจนคล้ำ แค่อีกฝ่ายนอนลงไปเฉยๆ แต่กลับเห็นถึงกล้ามเนื้อเล็กๆ ราวกับวาดแผนที่ลงบนที่ต้นขา

ฮาจุนกระสับกระส่าย เขารู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกจั๊กจี้ตรงฝ่ามือที่สัมผัสซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อนเวลาที่วางมือและกดลงไปบนขาของนักกีฬาคนอื่นๆ แผ่ซ่านออกมา ฮาจุนเห็นพื้นที่สีดำบางๆ ปรากฏขึ้นเล็กน้อยระหว่างต้นขาของมูคยอมกับกางเกงขาสั้นที่อีกฝ่ายใส่อยู่

สิ่งที่ใหญ่โต และร้อนรุ่มที่เคยทรมานเขาตลอดคืนซุกซ่อนอยู่ตรงนั้น เมื่อวานนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮาจุนเห็นร่างเปลือยเปล่าของมูคยอม แต่เขากลับรู้สึกว่าทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิม

ทำไมถึงได้คิดอะไรแบบนี้กันนะ ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ฮาจุนไม่เคยจินตนาการถึงสรีระใต้ร่มผ้าของผู้อื่นเลย แถมยังเป็นตอนที่กำลังยืดกล้ามเนื้ออีกด้วย ฮาจุนหัวร้อนเพราะรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนโรคจิตไปเสียแล้ว

“แก้มนายแดงนะ”

มูคยอมเอ่ยขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของฮาจุนที่กำลังมองลงมาที่กำลังมองลงมาที่ตนเอง

“หือ อากาศมันร้อนน่ะ…”

มูคยอมเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกไปอย่างตรงเป้าโดนไม่ต้องเกริ่นนำเลยแม้แต่นิดเดียว

“นายคิดอะไรที่มันลามกใช่ไหม”

“พูดอะไรของนายเนี่ย”

ฮาจุนที่วุ่นวายใจออกแรงกดเข้าไปที่ต้นขาที่จับไว้ เขาไม่สามารถหาที่ที่จะวางสายตาได้เลยเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากมูคยอม

“อ่อนไหวจริง สงสัยจะใช่แฮะ”

หลังจากผ่อนคลายร่างกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ และทุกคนมารวมกันหมดแล้ว ก่อนที่จะผละออกไปฮาจุนก็ยังคงฝึกซ้อมต่อด้วยความรู้สึกที่ดีมากๆ โชคดีที่วันนี้เป็นวันฝึกซ้อมสั้นๆ ปกติฮาจุนจะฝึกซ้อมเกี่ยวกับการฝึกฟื้นฟูเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการแข่งขันมากกว่าการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกาย ในที่สุดการฝึกซ้อมก็เสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว

หลังจากจัดการบันทึกต่างๆ ในสำนักงานแล้ว ฮาจุนก็เดินออกจากตัวอาคารไปยังป้ายรถเมล์ เขาคิดที่จะขึ้นรถเมล์โดยแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่รถของมูคยอมที่เขานั่งมาในตอนเช้านั้นหยุดที่ไหล่ทางก่อนที่รถเมล์จะมาถึง ฮาจุนถอนหายใจแล้วขึ้นรถไป ถ้าหากอีกฝ่ายบีบแตรอีกละก็ต้องวุ่นวายแน่ๆ

มูคยอมกลับมาใส่เสื้อเชิ้ตสีเขียวที่ฮาจุนเลือกให้ อีกครั้งแล้วที่หัวใจของเขาเต้นแรง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมา และนั่งเงียบๆ ที่ที่นั่งข้างคนขับ

เหมือนจะมีแค่ฮาจุนคนเดียวที่รู้สึกเครียดกับความเงียบเช่นนี้ ฮาจุนเลียริมฝีปากของตนเอง แล้วถามถึงสิ่งที่เขาสงสัยตั้งแต่เช้าเพื่อทำลายความเงียบ

“ปกติแล้วหลังจากที่มีอะไรกัน…ก็ไปส่งที่บ้านแบบนี้เหรอ”

“เปล่า”

“แล้วทำไมนายถึงทำล่ะ”

มูคยอมเลิกคิ้วอย่างนุ่มนวลแล้วก็ลดคิ้วลง

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันตัดสินใจที่จะมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับคนคนหนึ่ง”

“…”

“อีกอย่างพวกเราก็ต่างจากการเป็นแค่คู่นอนกันนะ ก็เราเป็นทีมเดียวกันนี่นา”

ฮาจุนรู้สึกประหลาดใจเมื่อนึกถึงท่าทางราวกับไม่ต้องการทีมเวิร์คแบบนั้นเมื่อสองสามปีที่แล้วของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นความแตกต่างในด้านทัศนคติระหว่างทีมมืออาชีพที่ตนเองเลือก และตัวแทนระดับชาติที่นานๆ ทีถึงมารวมตัวกันและต้องเล่นด้วยกันตลอดทั้งปี เพียงเพราะว่ามูคยอมนั้นไม่ใช่นักเตะประเภทที่สร้างความบาดหมางกับทีมต้นสังกัดที่อยู่ที่กรีนฟอร์ด

สำหรับฮาจุนแล้วฟุตบอลนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของความกระตือรือร้น แต่เป็น ‘ความบังเอิญ’ เมื่อเขา ‘ลองทำดู’ ก็พบว่าความสามารถของเขานั้นพอใช้ได้ เขาจึงได้รับเงินสนับสนุนและเข้าใกล้กับอาชีพที่เลือก เพราะเขาคิดว่ามันจะเป็นหนทางให้เขาได้ใช้ทำมาหากินในอนาคต

จนกระทั่งเมื่อเขาได้ดูการแข่งขันของมูคยอมวัยสิบหกปีด้วยตาของตนเอง อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ดึงดูดวิญญาณของฮาจุน แต่ยังเปลี่ยนสนามให้เป็นสถานที่ในฝันอีกต่างหาก

เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เป้าหมายของฮาจุนคือการได้ลงสนามไปพร้อมๆ กับมูคยอมในตำแหน่งของตัวหลัก แม้ว่าหลังจากนั้นฮาจุนจะถูกเรียกตัวจากทีมผู้แทนอย่างสม่ำเสมอ แต่ว่าเขาไม่สามารถเข้ากันกับกลยุทธ์ของผู้จัดการทีม หรือหลีกเลี่ยงสถานะตัวสำรองจากพวกรุ่นพี่ที่รับบทบาทเดียวกันได้เลย

จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกทีมชาติ เขาจึงสามารถบรรลุความฝันของตนเองได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นมูคยอมไม่ยอมรับทีมชาติเป็นทีมของตนเองถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถจำเขาที่เคยวิ่งอยู่ในสนามเดียวกันได้เลยแม้ว่าจะเคยเผชิญหน้ากันอยู่บ้างก็ตาม

ดังนั้นฮาจุนจึงไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘ทีม’ ที่ออกมาจากปากของมูคยอม แต่ถึงอย่างนั้นการเข้าไปข้องเกี่ยวกับหัวข้อบทสนทนานี้ก็ออกจะแปลกไปบ้าง แต่ทว่าฮาจุนกลับมีความสุขมากจนรู้สึกเหมือนกำลังจะยิ้มออกมา เขาจึงแสร้งทำเป็นเท้าคางปิดปากเอาไว้และหันหน้าไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

ฮาจุนรู้สึกว่าริมฝีปากของเขากำลังจะเป็นตะคริว

ฮาจุนคิดเรื่องอื่นไม่ได้เลย เขาสนใจแค่เพียงเรื่องของมูคยอมเท่านั้น และเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเขาจึงตระหนักได้ว่ารถไม่ได้กำลังแล่นมุ่งตรงไปที่บ้านของเขา และไม่ใช่ทางไปบ้านของมูคยอมเช่นกัน

“นายกำลังจะไปไหน”

จะไปทานมื้อเย็นหรือเปล่านะ แต่มันก็เร็วเกินไปที่จะทานมื้อเย็น อีกทั้งเมื่อวานนี้ฮาจุนก็ไปค้างนอกบ้าน ถ้าเป็นไปได้วันนี้เขาก็อยากอยู่ทานมื้อเย็นกับครอบครัวของตนเอง

“ไปที่ดีๆ”

“แต่ว่าวันนี้ฉันต้องรีบกลับบ้านนะ”

“ใช้เวลาไม่นานหรอก”

มูคยอมยังคงขับรถไปตามถนนโดยไม่ยอมบอกฮาจุนว่ากำลังจะไปไหน และอีกฝ่ายก็จอดรถในที่จอดรถอันเงียบสงบ มันเป็นลานจอดรถกลางแจ้ง ไม่ใช่ลานจอดรถที่อยู่ในตึก ฮาจุนกะพริบตาอย่างไม่รู้ว่าตนเองมาที่ไหนกันแน่ มูคยอมจึงเอื้อมตัวมาปลดเข็มขัดนิรภัยของฮาจุนแล้วขบฟันเข้าที่ต้นคอของอีกฝ่าย

ร่างกายของฮาจุนสั่นสะท้านด้วยความตกใจ มูคยอมเช็ดที่ที่ตนเองกัดลงไปด้วยริมฝีปาก ในที่สุดอีกฝ่ายก็ได้บอกจุดประสงค์ออกไปแล้ว

………………………………………………..

“สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อคิมมูคยอม เป็นนักกีฬาที่อยู่ทีมเดียวกับโค้ชอีนะครับ”

‘ทำอะไรน่ะ! เอาคืนมานี่!’

ฮาจุนกระซิบเรียก ไม่ง่ายเลยที่มูคยอมจะต้านแรงของอีกฝ่ายที่พยายามแย่งโทรศัพท์คืนไป คิดดูแล้วหมอนี่ก็เคยเป็นนักกีฬา อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งกองกลางที่ถนัดด้านการปะทะ มูคยอมนึกอาชีพเก่าของฮาจุนขึ้นมาได้เหมือนไม่เคยรู้มาก่อน และคุยโทรศัพท์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ครับ ใช่ครับ แข่งเกมเยือนวันนี้เสร็จก็กลับมาโซล แล้วพอดีมีเรื่องต้องคุยกันเลยแวะมาบ้านผมก็เลยดึกหน่อยครับ ถ้าคุณแม่สะดวกวันนี้ให้ฮาจุนนอนที่นี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับดีกว่าครับ ครับ ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ฝันดีนะครับ”

กริ๊ก

มูคยอมวางสายเองตามใจชอบและหันหน้ามายื่นโทรศัพท์ให้ ส่วนฮาจุนที่ทำหน้าตะลึงมองมูคยอมเงียบๆ อยู่ก่อนแล้วก็ทำตาโตจ้องไปที่มูคยอมราวกับจะตำหนิ

“อนุญาตแล้ว”

พอได้ยินมูคยอมพูด ฮาจุนถึงถามขึ้นราวกับบอกว่ามันไร้สาระ

“พูดตามอำเภอใจได้ไง ใครบอกว่าจะนอน”

“อายุยี่สิบหกแล้ว จะทำอย่างนั้นไปถึงเมื่อไหร่ ให้โอกาสคุณแม่ได้คุ้นเคยหน่อย ถึงไม่ใช่วันนี้ยังไงก็มีงานที่ต้องค้างนอกบ้านอีกอยู่ดี นายจะทำให้มันยากแบบนี้ทุกรอบหรือไง”

“ถ้าบอกก่อนก็ไม่เป็นไร แต่นี่ไม่ได้ติดต่อไปจนดึก ก็เลย…”

สีหน้าของฮาจุนเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าเหมือนโดนพูดแทงใจดำและสับสน สองอารมณ์ปนเปกันแบบที่เขาเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มูคยอมรู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มคุ้นเคยกับสีหน้าหลากหลายที่ฮาจุนแสดงออกมาให้เห็นไปอย่างไม่รู้ตัว

ฮาจุนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเพิ่ม แต่ก็ล้มเลิกไปอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่เอากระเป๋าในมือขึ้นมาสะพายไหล่

“นอนในห้องเมื่อกี้ได้ใช่ไหม”

“ใช่ ยังไงก็เตรียมไว้เป็นห้องนอนแขกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ได้ตามสบาย ต้องการอะไรอีกไหม” ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือแปรงสีฟัน

แต่ในกระเป๋าของฮาจุนกลับมีของจำเป็นทุกอย่างแล้ว เพราะพวกเขาเพิ่งกลับมาจากการแข่งเกมเยือน พอฮาจุนส่ายศีรษะ มูคยอมก็พูดลาและบอกฝันดีก่อนทันที

“ไปนอนก่อนนะ ฝันดี”

“อืม”

มูคยอมที่สวมเสื้อคลุมยาวสีเทาเข้มโบกมือให้เขาหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินขึ้นบันไดที่อยู่อีกมุมของห้องนั่งเล่นไป ดูเหมือนห้องนอนของอีกฝ่ายจะอยู่ที่ชั้นสอง

มิน่าล่ะ เขาคิดอยู่ว่าห้องนั้นสะอาดเกินกว่าที่จะเป็นห้องนอนของมูคยอม เข้าใจว่ามีบรรยากาศเงียบสงบแปลกๆ เพราะเป็นห้องที่มีคนนอนอยู่ตลอด ฮาจุนรู้สึกอับอายกับการกระทำก่อนหน้านี้ของตัวเองที่กวาดสายตามองไปทั่วเพราะคิดว่าเป็นห้องของมูคยอม

เขาเดินกลับเข้าไปในห้องแล้ววางกระเป๋าลง ยืนเขินอยู่สักพักก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านที่อยู่ในกระเป๋า และค่อยๆ คลานขึ้นไปบนเตียง เตียงยังหลงเหลือไออุ่นจากร่างกายของเขาอยู่เพราะว่าเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน

เตียงอะไรถึงได้ให้ความรู้สึกว่ารองรับสรีระได้อย่างพอดี แตกต่างกับเตียงของห้องที่บ้านราวฟ้ากับดิน ใช้เตียงแพงๆ แล้วแตกต่างแบบนี้นี่เอง ฮาจุนคิดพลางลองกลิ้งไปทางขวาทีซ้ายที สนุกไปกับสัมผัสของที่นอนอันนุ่มนิ่มอยู่สักพัก

‘ไม่คิดว่าจะบอกให้ค้างแล้วค่อยกลับ’

การเตรียมห้องนอนแขกแยกเอาไว้อาจไม่ใช่เรื่องพิเศษสำหรับมูคยอม แต่หัวใจของฮาจุนกลับเต้นแรงไม่หยุด ถึงจะรู้สึกกังวลมากแต่เขาทำถูกแล้วที่ตอบรับตอนที่อีกฝ่ายชวน

ถ้าแค่ร่างกายล่ะ ตกลงไหม

ไม่สิ ไม่ใช่ ‘ถ้าแค่ร่างกายล่ะ ตกลงไหม’

ทั้งได้มีอะไรกับคิมมูคยอม อีกทั้งยังได้นอนหลับที่บ้านของอีกฝ่าย แค่นี้ก็เป็นเหมือนกับของขวัญอันน่าเซอร์ไพรส์สำหรับฮาจุนแล้ว

ตอนที่มูคยอมแย่งโทรศัพท์เขาไปแล้วออกตัวเป็นพยานกับแม่เรื่องค้างนอกบ้าน เขารู้สึกเหมือนกำลัง ‘นอนบ้านเพื่อน’ แบบที่ตอนมัธยมทำไม่ได้ เขาเลิกคิดถึงความจริงที่ว่านี่คือบ้านมูคยอมและรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แม่ไม่ชอบให้เขาออกจากบ้านเท่าไหร่ไม่ว่าจะตอนเป็นนักกีฬาหรือตอนนี้ แต่ด้วยลักษณะงานที่ต้องไปค้างแรม เล่นเกมสนามเยือน หรือฝึกอบรมที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ ก่อนจะไปเขาจึงต้องบอกล่วงหน้าเสมอและเมื่อไปถึงก็ต้องโทรหาทุกวัน

ดังนั้นเขาเลยแทบไม่เคยฝันถึงการนอนนอกบ้านถ้าไม่ใช่เพราะการทำงานหรือการฝึก แม้แต่ตอนเป็นเด็กใหม่ที่ต้องดื่มเหล้าเยอะในงานรับน้อง ฮาจุนก็ไม่เคยเมาอย่างเต็มที่เลยสักครั้งเพราะเอาแต่คิดว่าจะต้องกลับบ้าน

ระหว่างที่คิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้พวกเขาไม่ได้จูบกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งก่อนมูคยอมจูบเขา หลายครั้งเลยด้วย

แต่ตอนนี้กลับไม่จูบแล้ว…?

ฮาจุนจมอยู่กับความกังวลไปชั่วครู่ แล้วถึงจะยังสงสัยอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ตัดสินใจยกเรื่องไร้ประโยชน์ไปไว้ทีหลังแล้วคิดชื่นชมตัวเองที่เซ็นตอบรับข้อเสนอที่แปลกและดูอันตรายส่งไปอย่างกล้าหาญ เขามุดหน้าลงกับหมอนและผ้าปูที่นอน แล้วลองสูดดมกลิ่น แต่เพราะเปลี่ยนเป็นผ้าปูที่สะอาดเอี่ยมผืนใหม่แล้วจึงไม่มีกลิ่นของมูคยอมหลงเหลืออยู่เลย

ระหว่างที่นอนเล่นอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ฮาจุนที่หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเพราะได้งีบไปแล้วสั้นๆ บวกกับทะเลาะกับมูคยอมมาก็ได้เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดโน้ตกับแท็บเล็ตออก เขาต้องสะสางงานทั้งหมดที่ทำไว้ตอนอยู่บนรถบัสให้เสร็จ เดิมทีเขาจะตรงกลับบ้านและย้อนดูการแข่งของวันนี้ วิเคราะห์เสร็จแล้วค่อยนอน แต่แผนกลับผิดพลาดไปเล็กน้อย อย่างน้อยเขาเลยอยากที่จะบันทึกสถิติทิ้งไว้ในตอนที่ความทรงจำยังแจ่มชัด

เขาสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีข้อมูล

อีฮาจุน โค้ชฟิตเนสของทีมฟุตบอลอาชีพอย่างซิตี้โซลเอฟซีที่ให้ความสำคัญกับการมีท่าทีที่เถรตรงต่อนักกีฬาอยู่เสมอกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง เปิดวิดีโอเทปการแข่งขันและบันทึกสถิติไปเรื่อยๆ สายตาไล่มองตามการเคลื่อนไหวของนักกีฬาแต่ละคนได้อย่างชัดเจนแม้เป็นช่วงกลางดึก

***

มีใครบางคนเขย่าไหล่ปลุกเขา ฮาจุนพลิกตัวไปด้านข้าง เอาหน้าซุกหมอนพลางบ่นพึมพำ

“อื้อ เดี๋ยวตื่น”

ทว่ามือนั้นไม่รอช้าและเริ่มเขย่าไหล่เขาอีกครั้ง ฮาจุนใช้ฝ่ามือตบเบาๆ บนหลังมือที่วางอยู่บนไหล่ตัวเอง

“ไม่เป็นไร วันนี้พี่เข้างานตอนบ่าย” ฮาจุนพึมพำตอบขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น

“…คบผู้หญิง ด้วยเหรอ”

เสียงที่ตอบกลับไม่ใช่น้ำเสียงร่าเริงสดใสที่ปลุกเขาเป็นประจำ แต่เป็นน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังผ่านหูไป ฮาจุนได้สติทันทีและลุกพรึ่บขึ้นมา เหมือนกลายเป็นว่ามือของอีกฝ่ายถูกสะบัดออกเพราะเขาลุกขึ้น มูคยอมที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

หลังจากตื่นนอนฮาจุนถึงนึกออกว่าเมื่อวานเขาตัดสินใจนอนค้างที่บ้านของคิมมูคยอม ไม่รู้ตัวว่านอนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สมุดโน้ต แท็บเล็ต และปากกายังวางกระจายกันอยู่บนเตียงเหมือนเดิม มูคยอมปราดสายตามองของเหล่านั้นแล้วถามขึ้น

“ทำงานแล้วเผลอหลับไปเหรอ”

“ว่าจะเคลียร์งานให้หมด… แต่คงเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น”

“แล้วชอบมาบ่นพวกฉันว่าการพักผ่อนสำคัญที่สุดตอนวันที่มีแข่ง”

“ก็ฉันไม่ใช่นักกีฬานี่”

ฮาจุนรู้สึกอายเลยแก้ตัวออกไป ส่วนมูคยอมก็เดินไปแถวประตูห้องแล้วเรียกฮาจุน

“ออกมาสิ จะได้กินข้าว”

ฮาจุนเหลือบมองโทรศัพท์เพื่อเช็กเวลาและพบว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น วันนี้เป็นวันถัดจากการแข่งเกมเยือน ดังนั้นถึงจะตื่นสายก็ไม่เป็นไร แค่เข้างานก่อนบ่ายสองก็พอ ฮาจุนจึงรู้สึกเคืองเล็กน้อยที่อีกฝ่ายปลุกกันตั้งแต่เช้า ถ้าอยู่ที่บ้านเขาคงนอนจนถึงตอนเที่ยง

ถึงแม้จะตัดความรู้สึกปวดหน่วงภายในร่างกายออกไป แต่ความรู้สึกอ่อนล้าและอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัวนั้นคงจะไม่ได้มาจากการไปแข่งสนามเยือนเพียงอย่างเดียวแบบที่คิดเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้วิ่งในสนาม ชัดเจนว่าเป็นผลจากการกระทำอันรุนแรงและยาวนานราวกับบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งก่อน

ความรู้สึกที่แก่นกายของอีกฝ่ายขยับเข้าออกภายในช่องทางของเขาอย่างรวดเร็วราวกับไฟลาม แรงสั่นไหวอันหนักหน่วงที่ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวทุกครั้งที่อีกฝ่ายเริ่มกระแทกเข้ามาภายใน การถึงจุดสุดยอดที่เขาไม่คุ้นเคยถาโถมเข้ามาจนแทบสิ้นสติ ภาพตรงหน้าพร่ามัว ทำอย่างไรก็เหมือนจะไม่สิ้นสุด ความรู้สึกกระหายและความร้อนแรงที่ภายหลังเขาแยกไม่ออกว่าคือความสุขสมหรือความทรมานกันแน่ ฮาจุนหน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ความทรงจำของเมื่อคืนที่เขาขอให้มูคยอมเสร็จเร็วๆ เพราะเจ้าตัวบอกว่าต้องเสร็จถึงจะพอยังคงแจ่มชัด

เมื่อเดาจากที่มูคยอมพูด เหมือนว่าเดิมทีจะต้องเสร็จสักสามหรือสี่ครั้ง แต่อาจเป็นเพราะฮาจุนมีประสบการณ์ไม่มากนัก จึงรู้สึกเหนื่อยจากการเสร็จเพียงแค่สองครั้ง

ถ้าทำไปเรื่อยๆ จะดีขึ้นไหมนะ

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมลำบากในช่วงแรกเป็นธรรมดา…

อย่างไรก็ตามถึงจะรู้สึกปวดหน่วงภายในร่างกาย แต่โชคดีที่ไม่รู้สึกปวดร้าวข้างในเหมือนกับเป็นแผลอย่างครั้งก่อน อาจเพราะเขาใช้นิ้วเบิกทางก่อนสอดใส่แบบที่ลองค้นหาจากในอินเทอร์เน็ต

พอฮาจุนเดินออกไปหน้าประตูห้องก็เห็นมูคยอมกำลังยืนรอเขาอยู่ไม่ไกลนัก อีกฝ่ายเดินไปยังห้องกินข้าวโดยไม่ได้พูดเร่งให้เขาตามไป

อาหารง่ายๆ อย่างสลัดที่ดูเต็มไปด้วยเนื้อไก่ ผลไม้ และนมถูกจัดไว้บนโต๊ะ อาจเพราะบ้านก็คือบ้าน โต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้แบบนั้นจึงเหมือนกับฉากในนิตยสาร ฮาจุนใจเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับคนสองคน เขานั่งลงบนเก้าอี้และเอ่ยถามอีกฝ่าย

“กินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวันเหรอ”

“ถ้าไม่กินให้เต็มที่มันจะรบกวนการฝึก”

“…นายทำเองเหรอ”

“ไม่ มีจุดจัดเตรียมเมนูสำหรับนักกีฬาเอามาให้”

ตอนที่ฮาจุนอาศัยอยู่กับครอบครัว และตอนเป็นทหารประจำการก็ไม่เคยลองกินอาหารแบบนี้เท่าไหร่ ไม่รู้เพราะอะไรถึงให้ความรู้สึกมีระดับ

เขาใช้ส้อมจิ้มสลัดขึ้นมากินหนึ่งคำ

“อร่อยจัง” อกไก่นุ่มละมุน ไม่แข็งเลยสักนิด

“กินเยอะๆ ล่ะ”

แม้แต่คำตอบที่ได้รับกลับมายังคำพูดที่ฮาจุนอุทานกับตัวเองก็ยังอ่อนโยน แต่เขากลับรู้สึกจุกในลำคอกับคำตอบอันละมุนละไมนั้น สลัดกับผลไม้ก็อร่อยดี แม้แต่นมธรรมดาๆ ก็รู้สึกว่ารสชาติดีกว่าปกติ แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลืนไม่ลงเหมือนตอนอยู่บ้าน หัวใจของฮาจุนเต้นแรงมากกับการที่มูคยอมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ตนเอง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะกินเหลือ อีกอย่างถ้ากินเหลือมูคยอมก็อาจจะไม่พอใจได้ เขาจึงค่อยๆ กลืนอาหารลงไป ฮาจุนตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวสลัด แต่มูคยอมที่กินอาหารอยู่เงียบๆ มาตลอดกลับเรียกเขาขึ้นมา

“อีฮาจุน”

“หืม”

“นายยังไม่ได้ตอบที่ฉันถามเมื่อกี้เลย”

“ถามเหรอ ถามอะไร”

“คบกับผู้หญิงด้วยเหรอ”

ฮาจุนไอโขลกออกมา เกือบสำลึกกับคำพูดของอีกฝ่าย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถามคำถามแบบนั้นออกมาตอนไหน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จึงกระแอมเบาๆ ขณะสบตากับมูคยอมที่กำลังมองมาที่ตนเอง

คบได้หรือไม่ได้ไม่รู้ เพราะเขาก็ยังไม่เคยลองเหมือนกัน แม้ว่าตอนเห็นผู้หญิงสวยๆ จะมองตามบ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกว่าอยากคบเป็นแฟน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายเช่นกัน ตั้งแต่อายุสิบหกปีเป็นต้นมา หัวใจของฮาจุนก็มีปฏิกิริยากับคิมมูคยอมเพียงคนเดียวจนเหมือนกับคนโง่

“จะรู้เรื่องแบบนั้นไปทำไม”

สุดท้ายก็พูดคำตอบที่ตรงข้ามกับใจออกไป แม้การพูดความจริงออกไปจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เพราะว่าเขาไม่รู้คำตอบที่มูคยอมต้องการก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดบัง เมื่อถูกถามแบบนี้เขาควรต้องคิดหาคำตอบที่มูคยอมต้องการหรือคำตอบที่น่าพอใจมาให้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้คำตอบนั้น

โชคดีที่มูคยอมไม่ได้ซักไซ้เพิ่มเติม ทั้งสองคนจึงกินอาหารต่อโดยไม่ได้พูดอะไร อาหารที่กลืนไม่ค่อยลงอยู่แล้วยิ่งติดคอเข้าไปใหญ่ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ถามอะไรต่อ

“ฉันเก็บเอง”

“ไม่ต้อง”

เมื่อกินเสร็จแล้วเขาว่าจะเก็บจานล้างแทนการได้กินอาหารเช้าฟรีๆ สักหน่อย แต่มูคยอมกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ฮาจุนไม่ได้ดื้อจะทำต่อและเงียบไปแต่โดยดี เพราะอันที่จริงบ้านของอีกฝ่ายก็หรูหรามากจนเขาไม่กล้าจัดเก็บข้าวของอะไรตามใจตัวเอง

“ดื่มกาแฟหรือเปล่า” มูคยอมที่กำลังจะเก็บโต๊ะถามเขาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“หือ? ก็บางครั้งน่ะ”

“เอาอันนี้ไปไว้ดื่มที่ห้องทำงานโค้ชสิ แต่ถ้านายไม่เอาก็ทิ้งไป”

มูคยอมยื่นกล่องกาแฟที่วางอยู่บนชั้นให้ฮาจุน หน้าตาที่ดูเป็นมิตรของฮาอึนอูกับคิมมูคยอมถูกพิมพ์ไว้บนแพ็กเกจด้วย มูคยอมไม่ดื่มกาแฟ ยิ่งเป็นกาแฟสำเร็จรูปแบบนี้ยิ่งไม่ดื่ม ฮาจุนก็ไม่ใช่คนชอบดื่มกาแฟเท่าไหร่นัก แต่กลับรับมันไว้อย่างรวดเร็ว

“ขอบใจนะ”

“ฉันว่าจะออกไปตั้งแต่เช้าเลย นายล่ะ”

หรือว่ามูคยอมจะไม่รู้สึกเพลียเลยสักนิด

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคิดจะออกไปก่อนถึงเวลาฝึกที่กำหนดไว้ ฮาจุนขมวดคิ้วแล้วพูดแย้งขึ้นมา

“ทำไมล่ะ การพักผ่อนก็สำคัญนะ อย่าหักโหมซ้อมเลย”

“การรักษาความเร็วที่มีอยู่ก็สำคัญ แค่ได้ออกไปวิ่งสบายๆ ก็ดีสำหรับฉันแล้ว นายก็รู้ ถึงทฤษฎีพื้นฐานจะสำคัญ แต่ความแตกต่างของแต่ละคนก็สำคัญ”

ฮาจุนไม่รู้จะตอบอะไร เพราะนักกีฬาระดับมูคยอมก็คงจะรู้สภาพร่างกายของตัวเองดีอยู่แล้ว ให้อยู่ที่บ้านมูคยอมคนเดียวก็คงไม่ได้ และเวลาก็น้อยเกินกว่าที่จะแวะกลับบ้าน ฮาจุนจึงพยักหน้าพลางบอกว่าจะออกไปด้วย

หลังจากอาบน้ำ แปรงฟันและแต่งตัวแล้ว ฮาจุนก็เตรียมตัวเสร็จ เมื่อเตรียมตัวไปข้างนอกเสร็จเร็วกว่าปกติ เขาจึงนั่งรอมูคยอมที่กำลังอาบน้ำอยู่ที่โซฟา มูคยอมเดินออกมาจากห้องน้ำโดยใส่ชุดคลุมตัวยาวเหมือนกับเมื่อวาน สะบัดผมที่เปียกชื้นให้แห้งและเดินผ่านหน้าฮาจุนเข้าไปในที่ไหนสักที่ ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงลมไดร์เหมือนกำลังเป่าผม

อีกฝ่ายสวมแค่กางเกงเมื่อเดินออกมาอีกครั้งเผยให้เห็นร่างกายส่วนบน มูคยอมกำลังถือเสื้อเชิ้ตสองตัวที่แขวนอยู่บนไม้แขวนเสื้อ

“อีฮาจุน”

“หือ?”

“ตัวไหนดี”

มูคยอมถามขึ้นพลางยกนิ้วมือทั้งสองข้างที่เกี่ยวไม้แขวนของเสื้อเชิ้ตสีเขียวและสีฟ้าไว้อย่างละข้างขึ้นมาตรงหน้าเขา ฮาจุนเกือบสะอึกออกมาแต่กลั้นเอาไว้ เขากุมหัวใจที่กำลังเต้นแรงเอาไว้ได้ทันและชี้ไปที่เสื้อเชิ้ตสีเขียว

อันที่จริงเขาไม่ได้เลือกอย่างจริงจังนัก เพราะไม่ว่าสีไหนก็เหมาะกับมูคยอมทั้งนั้น แต่เขาต้องรีบเลือกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าปลายนิ้วที่ชี้เสื้อเชิ้ตกำลังสั่นอยู่

“อืม”

อีกฝ่ายตอบตกลงสั้นๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวอีกครั้ง ไม่นานก็เดินออกมาโดยสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวที่ฮาจุนเลือกให้จริงๆ

……………………………………….

ฮาจุนเรียกชื่อมูคยอมขึ้นมาอย่างไม่คิดชีวิตทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าและถูกแขนทั้งสองข้างรั้งไหล่ไว้ มูคยอมได้ยินเสียงของอีกฝ่ายจึงได้สติขึ้นมา ฮาจุนกำลังพูดกับเขาราวกับอ้อนวอนพลางร้องครางไปด้วย

“ฮะ อึก ฮึก รีบ อา ขอร้อง เร็ว”

“เร็วๆ เหรอ อาา ให้ ใส่เข้าไป เร็วกว่านี้เหรอ”

“ไม่ใช่! ฮะ อือ มะ ไม่ อา อ๊ะ อ๊า! สะ เสร็จ เร็วๆ!”

ฮาจุนร้องเสียงหลงทุกครั้งที่มูคยอมกระแทกกายเข้ามาอย่างหนักหน่วง คำพูดลามกที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวยิ่งทำให้อารมณ์ของมูคยอมพุ่งสูงขึ้น ความรู้สึกร้อนแรงที่เข้าครอบงำทุกอณูของร่างกาจนจะระเหยกลายเป็นไอคือความต้องการอันรุนแรงที่มูคยอมไม่เคยสัมผัสมาก่อนเวลามีเซ็กซ์

มูคยอมขบกัดใบหูแดงก่ำของฮาจุนที่กำลังก้มหน้างุดลงกว่าเดิม เขาเอาฟันขบเบาๆ ราวกับเคี้ยวหมากฝรั่งและขยับสะโพกกระแทกเข้าออกเร็วและแรงขึ้นจนเกิดเสียงเนื้อกระทบกันเพื่อที่จะปลดปล่อยตามที่ฮาจุนร้องขอโดยไม่พูดอะไร

“อา ฮะ แฮก”

“อะ อือ อื้อ อะ อือ ฮือ อืออ อะ อะ อ๊า…!”

ร่างกายที่สั่นคลอนเพราะแรงกระแทก เสียงครางยาวที่ดังขึ้นตามจังหวะช้าเร็วราวกับกลั้นไว้ไม่อยู่ตามจังหวะที่สั่นคลอน มูคยอมรู้สึกว่าในหัวเต็มไปด้วยเสียงครางของฮาจุน พร้อมกับที่เขาปลดปล่อยน้ำกามพุ่งพรวดออกมาโดยที่แก่นกายยังฝังลึกอยู่ภายในช่องทางที่ตอดรัดอย่างรุนแรง เขาไม่ได้ถามว่าปล่อยข้างในได้หรือเปล่า และปลดปล่อยน้ำกามให้ไหลผ่านเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะถอนกายออกไป ฮาจุนตะเกียกตะกายขาไปมา ร่างกายบิดเร้ากว่าเมื่อสักครู่ อาจเพราะรู้สึกได้ถึงของเหลวที่กำลังปลดปล่อยเข้ามา

“ฮู่ แฮก…”

เสียงลมหายใจติดขัดดังขึ้นจากมูคยอม แม้จะรู้สึกถึงน้ำกามที่พุ่งออกมาได้อย่างชัดเจน แต่มูคยอมก็ยังคงกดแช่แก่นกายไว้กระทั่งปลดปล่อยจนหมด ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้ทำถึงขนาดนี้ แต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่

ปกติแล้วหากพูดว่ามีเซ็กซ์เพื่อระบายความเครียดก็จะหมายถึงการสลัดความคิดไร้สาระอื่นๆ ทิ้งไปแล้วผ่อนคลายกับการปลุกเร้าอารมณ์และความรู้สึกดีที่ได้ปลดปล่อย แล้วการมีเซ็กซ์กับฮาจุนครั้งนี้ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เป็นครั้งแรกที่เขาจดจ่ออยู่กับการทำเท่านั้น ทั้งที่เคยมีประสบการณ์มามาก

ดีที่ก้นของฮาจุนรองรับน้ำกามเข้าไปในท่าหมอบคว่ำ น้ำกามที่ถูกปลดปล่อยเข้าไปในนั้นจึงถูกกักเก็บไว้เป็นอย่างดี แทบไม่มีน้ำกามไหลออกมา ดูสะอาดเหมือนตอนเริ่มต้นไม่มีผิด ทำให้มูคยอมรู้สึกพอใจมาก

“สะ เสร็จแล้วเหรอ”

มูคยอมได้ยินเสียงอู้อี้ของฮาจุนที่เบาหวิวจนกลืนไปกับผ้าปูที่นอน เขามองแผ่นหลังของฮาจุนที่กำลังนอนราบไปกับผ้าปูที่นอนแล้วสอดมือเข้าไปที่หน้าพลางดึงเข้าหาตัว

สะโพกของฮาจุนถูกยกลอยขึ้นอยู่ในท่าคลานเข่า ทำให้มูคยอมเห็นภาพช่องทางที่เคยตอดรัดแก่นกายของเขาไว้ขยายออกอย่างชัดเจน

“อ๊ะ…”

อาจเพราะรู้สึกอับอายกับท่าทางที่มีเพียงสะโพกที่ถูกยกสูงขึ้น ฮาจุนจึงรีบตั้งแขนให้ร่างกายส่วนบนลอยขึ้นด้วยท่าทีซวนเซ มูคยอมจ่อส่วนปลายแข็งขืนที่ช่องทางหลังอีกครั้งและสอดใส่เข้าไปจนสุดความยาว

“อะ อ๊ะ อ๊าา!”

ผนังด้านในบีบรัดแก่นกายมูคยอมแน่นทันที เขาเห็นสะโพกของฮาจุนโก่งขึ้นและไหล่ที่สั่นไหวแม้จะอยู่ในท่านอนคว่ำ

ไม่รู้ว่าฮาจุนถามเพราะอยากให้มันจบลงหรือถามเพราะเสียดายที่มันจบลง แต่คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าขอให้เขารีบเสร็จเพราะว่าอยากให้มันจบลง

มูคยอมกระแทกเข้าไปซ้ำๆ จนเกิดเสียง ฮาจุนที่ขยับไปตามแรงนั้นค้ำร่างกายส่วนบนไว้ไม่อยู่และค่อยๆ ตกลงไปแนบกับเตียง มีเพียงสะโพกที่ยกลอยขึ้น มูคยอมจับสะโพกของอีกฝ่ายไว้แน่นแล้วสอดลึกเข้าไปแช่คาไว้ เขารู้สึกดีกับการปล่อยให้ผนังด้านในของอีกฝ่ายขมิบตอดรัดแก่นกายของเขาตามใจ

“อา…”

“ฮะ อึก อ๊ะ อ๊ะ ฮะ อื้อ”

เพราะอยากจะรู้สึกถึงความรู้สึกเหนียวหนึบหนับจึงจงใจถอนตัวออกมาช้าๆ ช่องทางหลังของอีกฝ่ายก็บีบรัดไว้แน่นราวกับไม่อยากให้ถอนออกไป มูคยอมยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเพียงแค่มองลงไปเห็นฮาจุนดิ้นไปมาพร้อมกับถูหน้าไปกับผ้าปูที่นอน

หลังจากกระแทกกายเข้าไปถี่รัวมูคยอมก็หยุดขยับเอวอีกครั้ง เมื่อเขาหยุดขยับ ช่องทางด้านในของอีกฝ่ายก็หดตัวบีบรัดแน่นราวกับรู้สึกคั่งค้าง แรงสั่นของขาที่รองรับน้ำหนักไว้ก็ถูกส่งผ่านมาที่ฝ่ามือด้วย

“อะ อ๊า… อะ อ๊ะ พะ พอ ดะ ได้แล้ว…!”

เขาคิดว่าตนเองสามารถทำมันได้ตลอดทั้งคืน หรือจะอีกกี่รอบก็ได้ มูคยอมเริ่มสอบสะโพกเข้าออกอย่างรุนแรง ฮาจุนหายใจหอบและพูดต่ออย่างตะกุกตะกัก

“ฮะ อึก บอกว่า พะ พอได้แล้ว… อ๊า เสร็จแล้ว ฮึก! ก็พอ ดะ ได้แล้ว…!”

“ฉันไม่เคยพูดแบบนั้นสักหน่อย”

มูคยอมบอกว่ามันจะจบก็ต่อเมื่อเขาเสร็จ แต่ไม่เคยบอกว่าเสร็จไปหนึ่งรอบแล้วจะหยุด ฮาจุนพูดไม่ออกกับคำตอบของอีกฝ่าย เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางส่งเสียงครางออกมา มูคยอมได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู

“ฉันจะหยุดให้ก็ได้ รอบนี้มาเสร็จพร้อมกันไหมล่ะ”

มูคยอมเอื้อมมือไปหาแก่นกายของอีกฝ่าย เขาสงสัยว่ามันจะเป็นอย่างไรเพราะฮาจุนเสร็จไปแล้วหนึ่งรอบ แต่แก่นกายของฮาจุนกลับแข็งขืนขึ้นอีกครั้งคล้ายกับมีอารมณ์กับท่านี้ มูคยอมกระตุกยิ้มมุมปาก กอบกุมแก่นกายของอีกฝ่ายที่ลื่นไปด้วยของเหลวสีใสแล้วขยับรูดพลางขยับเอวสอดใส่จากด้านหลัง ฮาจุนส่ายศีรษะไปมาพลางส่งเสียงร้อง

“อ๊ะ อือ อื้อ ฮ้าา! อ๊า! อ๊ะ ชะ ช่วย ช่วยด้วย อ๊ะ! อ๊า!”

“เป็นอะไรไป ใครจะ แฮก ฆ่านาย หือ”

ถึงทำยังไงก็หนีไม่ได้ แต่ฮาจุนก็ยังคงขยับสะโพกไปมา เสียงครางอ้อนวอนดังออกมาไม่ขาดสาย พอแก่นกายแข็งขืนขึ้นและกระตุกหลายครั้งเมื่ออีกฝ่ายขยับมือชักรูดขึ้น ฮาจุนจึงพูดขอร้อง

“คิมมูคยอม จะ จะเสร็จ ละ แล้ว เอาออกไป ฮะ อ๊ะ อึก”

“ทนอีกหน่อย ฉันบอกให้เสร็จพร้อมกันไง”

“ทะ ทน มะ ไม่ไหว… ฮือ อือ อื้อ อ๊ะ… อ๊ะ อ๊าา!”

มูคยอมรู้สึกร้อนวาบในมือ ที่เขาบอกให้อีกฝ่ายอดทนมันไร้ความหมาย แต่พอรู้ว่าฮาจุนปลดปล่อยออกมาเขาก็ใกล้จะถึงฝั่งฝันเป็นรอบที่สองแล้วเช่นกัน

มูคยอมสูดหายใจเข้าทางปากดังซี้ดพลางขยับลงไปคร่อมทับฮาจุนไว้ทั้งตัว สะโพกที่ยกขึ้นสูงตกลงบนเตียงอีกครั้งและทาบไปกับร่างกายส่วนล่างของมูคยอม แก่นกายที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการถูกฝากฝังไว้ในร่างกายของอีกฝ่าย

“แฮก ฮึ อะ อึก อะ อ๊ะ อา…”

ฮาจุนหายใจหอบเสียงดังราวกับหายใจไม่ออก มูคยอมไม่ได้ถอนกายออกในทันทีและขยับเอวช้าๆ อีกไม่กี่ครั้งขณะที่ปลดปล่อยไปด้วย กว่าจะเสร็จรอบที่สองก็ใช้เวลาไปมากทีเดียว หลังจากแน่ใจว่าแก่นกายอ่อนตัวลงเล็กน้อย มูคยอมจึงค่อยๆ ถอนแก่นกายที่ยังคงขยายใหญ่ออกจากช่องทางระหว่างบั้นท้ายขาวของอีกฝ่าย

มูคยอมรู้สึกดีเมื่อเห็นปากทางที่หุบไม่เข้าเพราะถูกกระแทกเป็นเวลานาน รวมถึงเงาของตัวเองที่ปกคลุมแผ่นหลังขาวบางของอีกฝ่ายเหมือนกับร่มเงา

แม้มูคยอมจะเบี่ยงตัวออกไปแล้ว แต่ฮาจุนก็ยังไม่ขยับไปไหน ทำเพียงนอนคว่ำหอบหายใจอยู่อย่างนั้น มูคยอมนอนเท้าแขนมองอยู่ข้างๆ แล้วยิ้มออกมาพลางใช้มือฟาดลงบนบั้นท้ายของอีกฝ่ายเบาๆ

“เสร็จแล้วน่า เลิกประท้วงได้แล้ว”

มูคยอมบอกอีกฝ่ายสั้นๆ ตอนนั้นเองฮาจุนถึงใช้มือยันผ้าปูที่นอนแล้วหันหน้าออกมาด้านข้างและเช็ดน้ำตาที่นองไปทั่วใบหน้าแดงโดยที่ยังนอนคว่ำอยู่เหมือนเดิม

นอนคว่ำซุกใบหน้าใสซื่อไร้พิษภัยไว้แบบนี้คืออะไร มูคยอมเช็ดน้ำตาที่หางตาออกให้พลางบ่นพึมพำ

“จริงๆ ก็อยากทำต่อ…”

ได้ยินดังนั้นแววตาของฮาจุนก็สั่นไหวด้วยความกังวล

“ปกตินายทำแค่รอบสองรอบก็พอแล้วเหรอ” มูคยอมถามขึ้นเสียงเข้ม

ฮาจุนลังเลคล้ายสับสนและตอบกลับไปเหมือนแก้ตัว

“…ก็ไม่เสมอไป… แต่วันนี้เหนื่อยนิดหน่อย…”

“ไงก็เถอะ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”

ฮาจุนใช้แขนยันตัวขึ้นมาด้วยความลังเล

“ฉันก็…”

“ไปอาบที่ห้องน้ำรอบก่อน”

พอมูคยอมลุกขึ้นยืน ฮาจุนก็พยักหน้าและก้าวลงจากเตียงด้วยทันที ตอนนั้นเองที่ฮาจุนทรงตัวไว้ไม่อยู่เหมือนกับขาหมดแรงไปชั่วขณะ โชคดีที่เซไปคว้าหัวเตียงไว้ได้ทันจึงกลับมายืนตรงได้ มูคยอมที่เกือบจะเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบด้วยความตกใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะล้มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ทำไมเขาต้องรู้สึกเหมือนกำลังมองลูกม้าหรือลูกวัวแรกเกิดหลังมีเซ็กซ์กันเสร็จด้วย หรือต้องเรียกว่าเป็นความรู้สึกแปลกใหม่จนนาทีสุดท้ายดี มูคยอมลอบยิ้มอย่างรู้สึกทึ่ง แม้ฮาจุนจะยืนตรงแล้วแต่ก็ไม่ได้เดินไปไหนและยืนเฉยๆ อยู่ที่เดิม

“ทำอะไร”

“…เอ่อ”

ฮาจุนตอบเหมือนไม่ได้ตอบ อีกฝ่ายกะพริบปริบๆ หน้าแดงขึ้นมาเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก และเหมือนว่าจะแดงกว่าตอนที่มีเซ็กซ์กันด้วย มูคยอมที่ไม่เข้าใจสถานการณ์จึงขมวดคิ้วและเดินเข้าไปใกล้

“เป็นอะไรไป เดินไม่ไหวเหรอ”

มูคยอมไล่สายตามองร่างกายเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนมองที่หว่างขาที่อ้าออกจากกันเล็กน้อย ตรงระหว่างต้นขาของฮาจุนมีของเหลวสีขาวขุ่นกำลังไหลลงมาตามขาและหยดลงบนพื้น ก็สมควรไหลออกมาอยู่แล้วเพราะเขาไม่ได้ใส่ถุงยางและแตกใน

ทั้งที่เป็นเรื่องที่เดาได้อยู่แล้ว แต่ฮาจุนก็ยังคงรู้สึกเขินอาย และซ่อนสีหน้าตกใจไว้ไม่อยู่ขณะที่ตัวแข็งทื่อ มูคยอมเห็นแล้วก็ยิ่งอยากแกล้ง จะหลุดหัวเราะออกมาอยู่เรื่อย แต่เขาก็แกล้งพูดขู่ฮาจุนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแทน

“ทำไงได้ล่ะ นายขอให้รีบเสร็จฉันเลยปล่อยออกมาหมด”

ฮาจุนตอบไม่ถูก เขาเสยผมและลนลานตอบเหมือนแก้ตัวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำยิ่งกว่าเดิม

“โทษที เดี๋ยวฉันเช็ดให้ แค่บอกว่าอุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ที่…”

“ช่างเถอะ รีบไปอาบน้ำซะ อย่าปล่อยให้ไหลไปมากกว่านี้”

มูคยอมดันหลังพร้อมกับบอกให้ฮาจุนไปห้องน้ำ ฮาจุนเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับทิ้งคำพูดไว้คำหนึ่ง

“โทษทีนะ ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก”

น่าตลกที่เขาเป็นคนปล่อยข้างในแต่อีกฝ่ายกลับทำท่าเขินอายเสียอย่างนั้น มูคยอมหัวเราะคิกคักแล้วทำความสะอาดพื้นที่ฮาจุนเคยยืนอยู่กับผ้าปูที่นอน

‘เดี๋ยวนะ ที่บอกว่าจะไม่ทำอีกนี่หมายถึงอะไรกันแน่’

ทั้งที่ทุกวันนี้เขาแทบไม่ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเองเลยด้วยซ้ำ พอเอาผ้าปูที่ใช้แล้วไปวางไว้ที่ห้องซักผ้าเสร็จ มูคยอมก็นึกถึงฮาจุนที่ยืนขาสั่นระริกเหมือนกับลูกวัวที่เพิ่งหัดยืนเป็นครั้งแรกแล้วยกยิ้มมุมปาก

ถึงจะเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ก็ไม่ใช่คนน่าเบื่อ

มูคยอมเองก็เดินไปที่ห้องน้ำพลางคิดอยากให้ความสนุกนี้ดำเนินต่อและไม่จบลงเร็วเกินไป รวมถึงขอให้การลองยื่นข้อเสนอใหม่ได้ผล

เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำ ฮาจุนที่อาบน้ำก่อนและแต่งตัวเสร็จแล้วก็กำลังนั่งสัปหงกอยู่ที่โซฟา มูคยอมเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วแตะไหล่อีกฝ่าย

“ถ้าง่วงก็งีบสักแป๊บสิ”

“ไม่ล่ะ… ฉันต้องกลับบ้าน จะบอกลาก่อนกลับก็เลยรอ…”

พอมองนาฬิกาก็เป็นเวลาใกล้ห้าทุ่มแล้ว ทันทีที่กลับมาจากการเล่นสนามเยือนที่ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงแล้ว ก็ยังกลับมาเกลือกกลิ้งไปมาเป็นเวลาค่อนข้างนาน ถ้าไม่ได้ร่างกายแข็งแรงเหมือนเขาก็สมควรที่จะง่วงอยู่แล้ว

“ง่วงแบบนี้จะกลับยังไง หลับสักหน่อยเถอะ”

“ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับ…”

มูคยอมจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่ลืมตาแทบไม่ขึ้นให้ลุกขึ้น ฮาจุนที่กำลังง่วงจัดเดินตามมูคยอมไปพลางพึมพำพูดว่าตนเองต้องกลับบ้าน ทันทีที่มูคยอมช่วยให้ลูกม้าแรกเกิดหัดเดินนอนลงบนเตียงที่ปูผ้าผืนใหม่ รวมถึงห่มผ้าให้แล้ว ฮาจุนก็พูดพึมพำว่า ‘งั้นแค่สิบนาทีนะ’ และหลับเป็นตายไปในทันที

แน่นอนว่าเขาแทบไม่เคยให้คู่นอนหรือคนอื่นๆ นอนที่บ้านมาก่อน แต่กรณีนี้แตกต่างไปจากความสัมพันธ์ที่เคยมีมา เพราะครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มูคยอมมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่นอนเช่นกัน

เมื่อมีความสัมพันธ์แบบนั้นแล้วถึงอย่างไรก็น่าจะต้องได้นอนด้วยกัน จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับฮาจุนด้วย มูคยอมเลยบอกผู้จัดการให้รีบจัดห้องสำหรับหนึ่งคนไว้เป็นพิเศษ และเขาก็รู้สึกพึงพอใจที่ได้ใช้ห้องนั้นให้เกิดประโยชน์ตั้งแต่วันแรก

ระหว่างที่มูคยอมกำลังจะออกจากห้องหลังปิดไฟทุกดวงเสร็จ เขาก็เดินเข้ามาอีกครั้งแล้วเปิดโคมไฟที่อยู่ใกล้กับเตียง ใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่แก้มขาวของชายหนุ่มที่นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย หลังจากนั้นก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น

เขานั่งลงบนโซฟาและอ่านทุกข่าวที่เกี่ยวกับการแข่งขันในวันนี้จากโทรศัพท์แบบผ่านๆ แม้ว่าเขาจะทำเป็นไม่สนใจคำพูดหรือคำวิจารณ์ของคนอื่น แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนอ่อนไหวกับคำตัดสินของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับตัวเองไม่น้อย ถึงจะรู้สึกดีเมื่อมันเป็นพวกเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวหรือนิสัยก็ตาม แต่เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลเขากลับฟังผ่านๆ ไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องอ่านบทความข่าวที่ผู้จัดการสรุปประเด็นสำคัญที่ควรอ่านให้ทีหลังอยู่ดีถึงจะพอใจ

หลังจากรู้สึกพอใจกับผลตอบรับที่เป็นไปในทางที่ดี มูคยอมก็ปิดโทรศัพท์และคิดจะหลับอยู่รอมร่อ ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาด้วยความเร่งรีบ จึงหันกลับไปมองด้านหลัง ฮาจุนที่ดูเหมือนสับสนกำลังยืนอยู่อย่างลุกลี้ลุกลนด้วยใบหน้างัวเงีย

“ตื่นแล้วเหรอ” มูคยอมถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

ฮาจุนรีบเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นและบอกลาโดยไม่ได้มองมูคยอมด้วยซ้ำ เวลาตอนนี้ใกล้จะตีสองแล้ว

“ฉันไปก่อนนะ ขอโทษที่รบกวนดึกๆ ฝันดี”

“มันดึกแล้ว ฉันบอกให้นอนไปเลย”

“ไม่ได้ ฉันไม่ได้บอกที่บ้านเอาไว้”

“เป็นเด็กหรือไง ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ถึงจะค้างนอกบ้านได้” มูคยอมถามกลั้วหัวเราะเยาะเล็กน้อย

“ไม่ใช่อย่างนั้น…”

“อย่างน้อยก็โทรไปบอกตอนนี้ซะ ถ้าเขากำลังเป็นห่วงก็น่าจะยังไม่นอน”

มูคยอมพูดถูก จะนอนที่นี่หรือจะกลับก็ควรติดต่อไปก่อน

ฮาจุนส่ายศีรษะไปหลายครั้งเพื่อตั้งสติ แล้วรีบหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าที่วางไว้ในห้องนั่งเล่นออกมาต่อสาย

“แม่ ผมเอง”

ทันทีที่โทรติดก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายจากในโทรศัพท์มาถึงหูของมูคยอม เสียงดังผิดปกติเหมือนกับจะร้องไห้ มูคยอมที่เคยยกมุมปากข้างหนึ่งราวกับขบขันหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยกับน้ำเสียงเคร่งเครียดที่ไม่คาดคิด ส่วนฮาจุนก็กำลังตั้งใจขอโทษแม่อย่างกระวนกระวาย

“ขอโทษครับ พอดีผมมาบ้านเพื่อนร่วมทีมแล้วเผลอหลับ อื้อ อืม ขอโทษจริงๆ ครับ”

จู่ๆ มูคยอมที่ยืนกอดอกจ้องมองไปยังฮาจุนก็แย่งโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาถือ ฮาจุนเบิกตาโพลง พยายามแย่งโทรศัพท์กลับคืนมาแต่มูคยอมกลับใช้มือดันฮาจุนออกแล้วพูดขึ้น

……………………………………….

มูคยอมคิดว่ามันน่าเบื่อถ้ายังทำแค่บดขยี้ลงไปซ้ำๆ เขาจึงเริ่มกดเน้นเข้าไปตรงจุดเดิม ฮาจุนแอ่นสะโพกลอยขึ้น ส่ายศีรษะไปมาอีกครั้งแล้วแอ่นตัวไปด้านหลัง เขารีบคว้าข้อมือของมูคยอมไว้ ทำให้มูคยอมมองเห็นใบหน้าที่อีกฝ่ายเคยเอาแขนปิดไว้

“ฉันรู้สึกแปลกๆ ฮะ ฮึก… อ๊ะ แปลก ขอร้องล่ะ ได้โปรด! อ๊ะ อ๊าา!”

‘บ้าเอ้ย’

มูคยอมสบถในใจแล้วถอนนิ้วออกมารวดเดียว ผนังฉ่ำเยิ้มด้านในดูดรัดนิ้วของเขาจนนิ้วสุดท้ายราวกับต้องการรั้งเอาไว้

และแล้วร่างกายที่ถูกรังแกอยู่พักใหญ่ก็ได้รับอิสระ ฮาจุนนอนขดตัวและครางอื้ออึงออกมาเสียงเบา แต่พักได้เพียงชั่วครู่ ร่างกายที่ตะแคงขดตัวอยู่ก็ถูกจับให้นอนหงาย มือใหญ่จับต้นขาของฮาจุนแยกออกจากกันแล้วจับน่องทั้งสองข้างยกขึ้นพาดบ่าตนเอง

“อะ อึก อ๊ะ…!”

มูคยอมไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อถอนนิ้วออกไปแล้ว ก็จ่อส่วนปลายแก่นกายเข้ากับปากทางก่อนจะดันเข้ามาในรวดเดียว

แม้ว่าช่องทางของฮาจุนจะสามารถรองรับแก่นกายของเขาได้อย่างลื่นไหลกว่าครั้งก่อนเพราะผ่านการโอบรัดนิ้วทั้งสี่นิ้วมาพักใหญ่ แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะขยับได้อย่างต่อเนื่อง ฮาจุนหอบหายใจถี่รัวคล้ายกับคนหายใจลำบากเมื่อแก่นกายที่มีขนาดยาวกว่านิ้วกระแทกเข้ามาลึก

‘แฮ่ก…’ มูคยอมถอนหายใจเสียงเบาขนาดที่ว่ามีแค่ตัวเองที่ได้ยิน

เขามองเห็นใบหน้าของฮาจุน รวมถึงสีหน้าหวาดหวั่นและดวงตาอันสั่นไหวได้อย่างถนัดตาเพราะสอดใส่อยู่ในท่านอนหงาย

ความทรมานจากความรู้สึกที่อัดแน่น ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเจ็บปวดหรือความสุขสมก็ทำให้เส้นกั้นระหว่างพวกเขาในเวลาปกติพังทลายไปจนหมดสิ้น ริมฝีปากที่อ้ากว้างของฮาจุนชุ่มไปด้วยน้ำลาย น้ำตาคลออยู่ในดวงตาจนสายตาพร่ามัว

มูคยอมรู้สึกสนุกกับการตอบสนองของฮาจุนที่กำลังตัวสั่นเทาราวกับลูกหมาได้ยินเสียงฟ้าร้องจนถึงเมื่อสักครู่ แต่ตอนนี้กลับยิ้มไม่ออกเพราะแค่มองก็รู้สึกปวดหนึบข้างในท้อง อยากจะกระแทกเข้าไปอย่างไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าทำไมสีหน้านั้นถึงปลุกเร้าอารมณ์เขาได้ขนาดนี้ และเขาอยากจะเห็นสีหน้าแบบนั้นอีก

“ฮือ ดะ เดี๋ยวก่อน… ฮ๊า อะ อือ”

เขาขยับสะโพกต่อเนื่อง ฮาจุนรู้สึกถึงส่วนปลายหัวที่สอดเข้ามาถึงผนังแคบด้านในได้อย่างลื่นไหล เมื่อดันแก่นกายเข้ามาลึกจนมองไม่เห็นส่วนโคน ผนังภายในที่โอบล้อมส่วนหัวไว้จู่ๆ ก็คับแน่นขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะเข้ามาได้ลึกกว่าครั้งก่อนเพราะไม่ต้องฝืนขยายช่องทางที่ปิดสนิทเหมือนครั้งนั้น

วันนั้นเขาทำเกินไปหรือเปล่านะ ที่สอดใส่เข้าไปอย่างนั้น

มูคยอมดันแก่นกายส่วนปลายเข้าไปจนสุดช่องทางที่กำลังหดตัวแล้วงัดขึ้นอย่างแรง ฮาจุนดีดสะโพกขึ้น หน้าท้องสั่นกระตุกเหมือนอาการชัก

“อ๊ะ! อ๊า! ฮะ ฮึก ได้ โปรด เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว… อ๊าา!”

“แฮ่ก…ฮู่” มูคยอมครางเสียงต่ำพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา

จะว่าไปแล้ว เขาลืมใส่ถุงยางทั้งที่ฉีกซองไว้แล้วแท้ๆ

แต่ถึงจะคิดได้ดังนั้นมูคยอมก็ไม่ได้อยากจะถอนตัวออกไป เพราะยังไงการมีเซ็กซ์กับผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องตั้งครรภ์ เขาหัวเสียแต่ก็ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร

มูคยอมจดจ่ออยู่กับการขยับตัวอย่างไม่สนใจสาเหตุที่ทำให้ภายในหัวของเขาร้อนรุ่ม ก่อนจะถอนสะโพกที่เคยเข้าไปอย่างแนบแน่นออกเป็นทางยาว แค่ถอนออกครู่เดียวเท่านั้นเพราะสามารถสอดใส่เข้าไปใหม่ได้อยู่แล้ว ผนังเนื้อด้านในขมิบรัดแก่นกายที่กำลังถูกถอนออกไปจากช่องทาง

เพราะผนังร้อนฉ่ำนุ่มที่เหมือนจะหดตัวลงเรื่อยๆ ตามขนาดแก่นกาย ทำให้เขารู้สึกถึงขนาดของตัวเองทั้งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน มันต่างกับครั้งก่อนที่อีกฝ่ายบีบรัดของเขารุนแรงเหมือนจะทำให้มันขาดอย่างชัดเจน มูคยอมเข้าใจแล้วว่าการกระตุ้นอารมณ์ก็สำคัญในการมีเซ็กซ์กับผู้ชายเช่นกัน

“อาา…”

มูคยอมถอนแก่นกายออก ฮาจุนแอ่นเกร็งสะโพกพร้อมกับครางออกมาเบาๆ คล้ายเสียงถอนหายใจยาว มูคยอมรู้สึกได้ถึงความเกร็งที่ต้นขาด้านในและขาที่สั่นระริกอยู่บนบ่า

เขาลอบยิ้มออกมาอีกครั้งและหันไปลามเลียหัวเข่าของอีกฝ่ายจนเปียกชื้น แม้ว่าขาข้างนั้นจะกระตุกเกร็งราวกับกำลังปัดป่ายอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมันตกอยู่ในกำมือของมูคยอมแล้ว การต่อต้านอันเปล่าประโยชน์ก็ได้หยุดลง

“ชอบตอนเอาเข้าหรือตอนเอาออกมากกว่ากันล่ะ”

มูคยอมพูดขึ้นขณะที่ดันแก่นกายเข้าไปลึกจนสุดความยาวอีกครั้ง ฮาจุนเชิดหน้าขึ้นพร้อมแอ่นสะโพกบิดเร้า

“อ๊าา! ฮะ อึก อ่า อา”

“หรือชอบทั้งสอง”

มูคยอมถอนแก่นกายออกช้าๆ

“ฮะ ฮึก อื้อ อะ ฮะ อึก…” ฮาจุนครางยาวออกมา เรี่ยวแรงของเขาหมดลงพอๆ กับความเร็วของอีกฝ่ายที่ลดลง

มูคยอมถอนตัวออกจนเกือบสุดแล้วกระแทกเข้าไปใหม่ พอถอนออกช้าๆ แล้วดันเข้าไปใหม่แรงๆ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงส่วนปลายหัวกับรอยหยักบนแก่นกายที่ครูดไปกับผนังด้านในซ้ำๆ

มูคยอมถอนตัวออกจนสุดแล้วงัดแก่นกายเข้าไป ฮาจุนที่กำลังประหม่าสะดุ้งตัวขึ้นจนร่างกายสั่นระริกเมื่อเขาแทรกตัวเข้าไปใหม่หลังถอนตัวออกมาเกินครึ่ง ในแต่ละครั้งที่เขาทำอย่างนั้นอีกฝ่ายจะครางออกมาเสียงดังเหมือนกับร้องไห้ และเพิ่มแรงตอดรัดแก่นกายเขาจนแน่นอย่างกะทันหันประหนึ่งถูกฟาดมือลงบนสะโพก

มูคยอมหลงมัวเมาไปกับความรู้สึกนั้นและแทรกกายเข้ามาซ้ำๆ ฮาจุนส่ายศีรษะไปมาแล้วเกาะไหล่ของอีกฝ่ายไว้พลางส่งเสียงอ้อนวอนเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มูคยอมสอดนิ้วเข้ามา

“อ๊ะ อ๊า อึก เดี๋ยว… ได้โปรด รอ ก่อน… ฮะ อ๊า!”

“ทำไม เหนื่อยเหรอ”

“ฮะ ฮึก อะอือ อื้อ!”

ฮาจุนพยักหน้ารัวๆ ด้วยแววตาร้อนรน มูคยอมจึงใช้มือตบเบาๆ ที่แก้มร้อนผ่าว

“ไม่เป็นไร นายทนได้อยู่แล้ว”

เสแสร้งทั้งนั้น

มูคยอมปล่อยเรียวขาที่เคยพาดอยู่บนบ่าลงกับเตียงแล้วจับเอวของอีกฝ่ายยึดไว้ กระแทกแก่นกายแรงขึ้นและเร็วขึ้นเหมือนต้องการลงโทษ ฮาจุนร้องครางออกมาราวกับยอมแพ้ มือขาวจิกลงบนผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่

มูคยอมเอามือรั้งเชิงกรานของฮาจุนไว้ขณะที่สอบสะโพกเข้าออกเพื่อยึดสะโพกของอีกฝ่ายที่เบี่ยงไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับต้องการจะหนีทุกครั้งที่แก่นกายของเขาดันลึกเข้าไป

มูคยอมเลิกควบคุมจังหวะการขยับ แล้วเสยสะโพกเข้าไปในท่านั่งคุกเข่า ร่างกายของฮาจุนสั่นกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ทุกครั้งที่เชิงกรานของมูคยอมกระทบเข้ากับต้นขาและบั้นท้าย

“ฮะ อะ อ๊ะ อ๊าา!”

ฮาจุนร้องครางออกมาเสียงหลงพลางปัดป่ายแขนไปมา ร่างกายสั่นสะท้าน มือที่เคยจับผ้าปูไว้แน่นเอื้อมไปเกาะหัวเตียงที่เป็นเหมือนลูกกรงไม้เพราะต้องการหาที่ยึด และเอาแต่ถดตัวขึ้นโดยใช้ปลายเท้าจิกลงบนผ้าปูที่นอน

จะไปไหนล่ะ

มือของมูคยอมคว้าหมับเข้าที่สะโพกของอีกฝ่ายที่พยายามจะขยับหนี แล้วรั้งลงมาอีกครั้งทำให้แก่นกายสอดเข้ามาลึกยิ่งกว่าเดิม ฮาจุนจับข้อมือของมูคยอมไว้เพราะความเสียวกระสัน

“อึก! อ๊ะ อ๊า ฉัน ดะ เดี๋ยว…!”

“บอกแล้วว่าอย่าหนี นายไม่อยากทำเหรอ”

มูคยอมพูดเสียงเข้มแกล้งทำเป็นโกรธพลางสวนสะโพกเสยขึ้นไปสุดความยาว ฮาจุนส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแรง

“มะ ไม่ ไม่ใช่ ไม่! ฮ้า…! อะ อึก ฮือ อือ…”

ปลายเสียงที่พูดอย่างเร่งร้อนขาดห้วงไป แล้วอยู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาสีดำของฮาจุนที่กำลังปรือขึ้น มูคยอมเองก็ตกใจจนหยุดขยับสะโพกไป ตนเองทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า แต่แล้วก็เกิดเรื่องน่าตกใจขึ้นหลังจากนั้น

ขณะที่มูคยอมหยุดขยับสะโพกแล้วรอ ร่างกายของฮาจุนตั้งแต่เอวไปจนถึงขาก็เหมือนจะกระตุกและเริ่มสั่นเทิ้ม “อา อ่า….”

ฮาจุนครางดังออกมาอย่างต่อเนื่อง มูคยอมไม่ได้ขยับต่อ และเมื่ออีกฝ่ายหันสะโพกไปด้านข้างเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ฮาจุนนอนตะแคงข้างทั้งที่แหงนหน้าเอาไว้ ตามกระดูกอ่อนและกล้ามเนื้อสมส่วนที่ต้นคอปรากฎเส้นเลือดสีเขียวจางๆ ที่กำลังเต้นตุบๆ

มูคยอมถึงกับคิดว่าร่างกายคนเราสามารถสั่นเทิ้มไปทั้งตัวขนาดนี้ได้ยังไง อีกฝ่ายเกร็งตั้งแต่ช่องทางหลังที่โอบล้อมแก่นกายไปจนถึงปลายเท้าที่จิกผ้าปูไว้ทำให้สะโพกยกลอยขึ้นจากเตียง ผิวขาวที่ขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อไปทั้งตัวปลุกความต้องการของมูคยอมให้เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

ผนังเนื้อเยื่อนุ่มลื่นภายในช่องทางบีบตัวและโอบรัดแก่นกายของเขาเอาไว้ มูคยอมขมวดคิ้วและกัดฟันเพราะถูกกระตุ้นมากกว่าเดิม

“ฮืออ อื้อ อ๊ะ อ๊า!”

และในชั่วพริบตาของเหลวสีขาวก็ไหลหยดลงมาจากแก่นกายแข็งขืนของฮาจุนที่กำลังตัวกระตุกสั่น มูคยอมเบิกตากว้าง ของเหลวที่พุ่งออกมาเลอะบนหน้าท้องของอีกฝ่ายและเปื้อนมาถึงเชิงกรานกับขอบเอวของเขาด้วย

“แฮ่ก ฮะ…! อะ อึก อือ แฮ่ก”

ฮาจุนหอบหายใจขณะที่ปลดปล่อยออกมา อาการกระตุกค่อยๆ ทุเลาลง มูคยอมมองฮาจุนที่ใช้หลังมือปิดใบหน้าอันแดงก่ำเอาไว้พลางหายใจหอบด้วยสายตาเหมือนกำลังมองสิ่งแปลกใหม่

แม้ว่าครั้งก่อนเขาจะใช้มือชักรูดให้จนปลดปล่อยออกมา แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับเสร็จสมจากการสอดใส่ทางด้านหลังเท่านั้น

มูคยอมรู้แค่ว่าการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายนั้นต้องใช้ช่องทางด้านหลัง และเขาคิดว่าวิธีนั้นคงไม่ได้ทำให้ถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกับฮาจุนในครั้งก่อน แต่ภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้กลับแปลกใหม่และกระตุ้นอารมณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ว้าว”

มูคยอมอุทานเจือเสียงหัวเราะ แค่เขาใช้นิ้วแตะเบาๆ ลงบนแก่นกายที่กำลังมีของเหลวไหลออกมา เสียงครางอื้ออึงปนร้องไห้ก็เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่ายคล้ายกับมีอารมณ์ มูคยอมโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูราวกับหยอกเย้า

“ดูเหมือนว่าโค้ชอีจะไม่ได้เคยทำจากข้างหลังมาแค่ครั้งสองครั้งนะ”

“ฮืออ อะ อึก…”

“แต่ยังไงก็เถอะ แตกออกมาเงียบๆ ตามอำเภอใจแบบนี้ก็ได้เหรอ”

มูคยอมพูดหยอกเย้าด้วยความแปลกใจ แต่ฮาจุนกลับรู้สึกอับอาย เขาเห็นใบหน้าที่อีกฝ่ายเอามือปิดไว้แดงขึ้นกว่าเดิม

“ขะ… ขอโทษ”

ไม่จำเป็นต้องขอโทษสักนิด ขอโทษแล้วเขาจะทำไงได้ล่ะ

แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่มูคยอมก็จงใจที่จะไม่พูดออกไปเพราะรู้สึกพึงพอใจกับท่าทางที่ดูเหมือนกำลังเขินอายของอีกฝ่าย

มูคยอมถอนแก่นกายที่ถูกดันเข้าไปจนสุดออกมาช้าๆ แก่นกายของเขายังคงแข็งขืนชูชันรอการปลดปล่อย ต่างกับฮาจุนที่เสร็จสมไปแล้ว ช่องทางเหนอะหนะไร้รอยจีบถูกเคลือบด้วยเจลหล่อลื่นและน้ำกามของฮาจุน

มูคยอมคิดว่ามันเป็นภาพที่ยั่วยวนมาก เขาจ้องมองไปยังส่วนหัวแก่นกายของตนเองที่กำลังถอนออกมาจากช่องว่างของปากทางที่ขยายกว้าง ช่องทางนั้นไม่ได้หุบลงในทันทีและขยับเม้มเข้าเหมือนกับริมฝีปาก

มูคยอมใช้มือข้างหนึ่งดันเอวฮาจุนให้นอนคว่ำลง แผ่นหลังและสะโพกของอีกฝ่ายปรากฏสู่สายตาของเขา กล้ามเนื้อหลังและสะบักเรียงตัวสวยพอๆ กับกล้ามหน้าอก หลุมลักยิ้มเล็กๆ ทั้งสองข้างตรงบั้นเอวก็น่าเอ็นดู เพราะมีเซ็กซ์แค่ท่านอนมาตลอดเขาจึงไม่เคยเห็นบั้นท้ายที่ตนเองสอดใส่มาก่อน พอได้ลองให้นอนคว่ำแล้วเขาจึงรู้สึกพอใจกับความขาวที่กำลังลอยเด่นขึ้นมา

“คิมมูคยอม…?”

มูคยอมใช้มือจับก้อนเนื้อทั้งสองข้างแหวกออกให้ช่องทางที่หุบลงไปเล็กน้อยขยายกว้างแทนการตอบกลับ ฮาจุนเรียกชื่อมูคยอมเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร มูคยอมขยับตัวขึ้นไปคร่อมร่างของฮาจุนที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับผ้าปูที่นอน จับส่วนหัวแก่นกายให้ตรงกับช่องทางด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วสอดใส่เข้าไปจนสุด

“ฮึก อา อะ อ๊ะ อ๊า!”

ฮาจุนร้องครางเสียงหลงออกมาทันที ตัวของเขาที่อยู่ใต้ร่างของมูคยอมสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้งราวกับโดนไฟดูดทั้งที่ถูกกดไว้กับเตียง แค่กดน้ำหนักลงมาไม่พอ มูคยอมยังสอดแขนเข้าไปรั้งไหล่หน้าของฮาจุนเข้าหาตัวเพื่อไม่ให้หนีไปได้เหมือนเมื่อสักครู่

“นายเสร็จแล้ว แต่ฉันยัง”

“อือ ฮะ ฮือ อึก!”

“ต้องเสร็จกันทั้งคู่ถึงจะจบ”

มูคยอมเริ่มขยับเอว แม้จะรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่มองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย แต่แน่นอนว่าการสอดใส่จากด้านหลังทำให้เขารู้สึกว่าเข้าไปได้ลึกกว่าด้านหน้า เสียงน้ำเหนอะหนะดังมาจากช่องทางที่เริ่มคลายตัว ตอนนี้ผนังด้านในกลืนกินกระทั่งส่วนโคนของแก่นกายได้อย่างง่ายดาย แต่มูคยอมยังต้องการมากกว่านั้นจึงกดสะโพกเน้นย้ำเข้าไปคล้ายกับจะบดเบียด จนฮาจุนเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังนอนคว่ำอยู่

มูคยอมโน้มศีรษะลงเล็กน้อย ใช้ลิ้นไล้ไปทั่วใบหูพลางพูดกับอีกฝ่าย

“ในท้องของนายน่ะ”

“ฮ้าา อะ อาา”

“พอใส่เข้าไป อ่า เกือบจะสุด มันก็บีบรัดเข้ามาทันทีเลย แล้วพอแตะโดนตรงนั้น บ้าเอ้ย มันก็จะตอดฉันแรงมาก”

มูคยอมคลายแรงแขนลง มือที่บดขยี้แผ่นอกเลื่อนลงต่ำ แล้วสอดเข้าไปส่งๆ ตรงระหว่างท้องน้อยที่แนบอยู่กับผ้าปูที่นอน

ตรงไหนกันนะ

มูคยอมละไล้ปลายนิ้วลงบนหน้าท้องของฮาจุนเพื่อหาจุดที่ส่วนปลายแก่นกายของเขาน่าจะสัมผัสถึง

“ตรงนี้เหรอ”

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่พอมูคยอมเอามือกดลงบนที่ไหนสักที่บนรอบสะดือที่ดูเหมือนว่าจะมีจุดนูนออกมาเล็กน้อยจริงๆ ร่างกายของฮาจุนก็บิดเร่าไปมาทั้งที่ยังถูกทาบทับไว้ใต้ร่างของอีกฝ่าย ผนังช่องทางด้านในบีบรัดแน่นขึ้นอีกครั้ง

“อ๊ะ อะ อึก!”

“เดาถูกด้วย”

มูคยอมหยอกล้อทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างรุนแรงโดยยังเอามือทาบไว้บนหน้าท้อง เหมือนจะรู้สึกถึงแรงสั่นตามการขยับเข้าออกที่ปลายนิ้ว มูคยอมหยุดขยับและหัวเราะออกมาเบาๆ เขารู้สึกเหมือนมันกำลังทะลุอยู่ในท้องของอีกฝ่ายจริงๆ ฮาจุนห่อไหล่เข้า ร่างกายสั่นสะท้านทันทีที่เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหู อาจเพราะท่านอนคว่ำซ้อนกันทำให้อยู่ใกล้กันเกินไป ผนังด้านในจะหดตัวและตอดรัดแก่นกายของมูคยอมทุกครั้งที่ฮาจุนตัวสั่น

มูคยอมจับไหล่ของฮาจุนอีกครั้งแล้วเริ่มขยับเอว ความสุขทางกายที่กระตุ้นความรู้สึก กับความสุขทางใจปะปนรวมกันและแทรกซึมไปทั่วทุกอณูของร่างกายและดูเหมือนว่าจะกำลังครอบงำผู้ชายที่ชื่ออีฮาจุนอยู่

ไม่ใช่แค่พอใช้ได้ ไม่ใช่แค่ไม่เลว คำว่าดียังไม่พอด้วยซ้ำ

การมีเซ็กซ์กับฮาจุนมันสุดยอดมาก เขาไม่เคยมีเซ็กซ์ที่น่าสนุกแบบนี้มาก่อน

มูคยอมนึกชื่นชมจากใจ เขาตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งและเริ่มขยับเอวกระแทกเข้าไปโดยไม่คิดอะไร ได้ยินเพียงเสียงร้องครางคล้ายสะอื้นเป็นดนตรีประกอบอันแสนสุนทรีย์ มูคยอมไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าควรต้องเอาใจใส่อีกฝ่าย อีกทั้งยังลืมควบคุมความถี่รัว เขากระแทกเข้าไปในช่องทางของฮาจุนอย่างรุนแรงโดยสุ่มเปลี่ยนมุมเข้าไปด้านข้างสลับบนล่างและปลดปล่อยออกมาซ้ำๆ

“อ๊ะ! อ๊า! ฮึ คิม มูคยอม แฮ่ก คิมมูคยอม…!”

……………………………………….

เหมือนว่ามูคยอมจะรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเอาแต่นึกถึงเซ็กซ์ของฮาจุน แม้จะรู้สึกดีเมื่อได้สอดแทรกตัวตนเข้าไปภายในตัวของอีกฝ่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใดการมีเซ็กซ์กับฮาจุนก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกสำหรับเขาไม่น้อย

มูคยอมรู้สึกเหมือนร่างกายถูกกระตุ้นเมื่อได้กดร่างของเพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมทีมร่วมสนามฝึกเอาไว้กับเตียง เขาชอบมองใบหน้าที่ดูเรียบร้อยในเวลาทำงานบิดเบี้ยวไปด้วยความเสียวซ่านเมื่ออยู่ใต้ร่างของเขา ยิ่งร่างกายที่ไวต่อความรู้สึกไม่ว่าจะสัมผัสไปตรงจุดไหนก็ยิ่งน่าดึงดูด

ถึงเขาจะไม่มั่นใจว่าจะรู้สึกสนุกไปกับร่างกายนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็คงไม่เบื่อในสองครั้งนี้แน่ มูคยอมรู้สึกโชคดีกับการที่เขายื่นข้อเสนอไปก่อนมันคุ้มค่า

“อ๊ะ… ฮ้า อึ้อ!”

มูคยอมดึงกางเกงชั้นในของฮาจุนลงเผยให้เห็นแก่นกาย สะโพกของอีกฝ่ายขยับลอยขึ้นเล็กน้อยทันทีที่เขาหันไปทาบริมฝีปากลงบนแนวต้นขาด้านใน ฮาจุนตะแคงตัวราวกับต้องการจะหนี มูคยอมจึงใช้มือใหญ่จับขาของฮาจุนให้อ้าออกแล้วกดเอาไว้แน่นพร้อมกับขบเม้มแรงๆ ที่ต้นขาด้านใน และถึงแม้ว่าฮาจุนจะขยับตัวเข้าหา แต่มูคยอมก็ไม่ได้ผละมือออกไป

“อ๊ะ อือ เสียว ตรงนั้น ฮะ ฮึก!”

“ถ้าเสียวก็ต้องยิ้มออกมาสิ เสียวตรงนี้เหรอ”

“อะ… อ๊ะ ฮ้า!”

เมื่อขบกัด และไล่เลียไปตามต้นขา ก็รู้สึกถึงแรงเกร็งจากขาที่อยู่ในกำมือ แม้ว่าฮาจุนจะลาวงการมาหลายปีแล้ว แต่กล้ามเนื้อก็ยังคงแข็งแรงและกระชับอยู่ ฮาจุนหลุดเสียงครางราวกับเสียงเพลงออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ มูคยอมเงยหน้าขึ้นเพราะรู้สึกถึงแก่นกายของตนเองที่แข็งตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อสักครู่

ถึงจะปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์ มูคยอมมองฮาจุนที่กำลังเบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้กับสัมผัสเล้าโลมที่เขามอบให้อย่างต่อเนื่อง มูคยอมรู้สึกพอใจกับสีหน้านั้น มูคยอมจัดการถอดกางเกงในของฮาจุนกับของตัวเองออกแล้วโยนลงไปข้างเตียง เมื่อเปิดลิ้นชักข้างเตียงแล้วหยิบเจลหล่อลื่นกับถุงยางออกมาก็รู้สึกได้ว่าตัวของฮาจุนกระตุกราวกับเคร่งเครียด

“มือ”

ฮาจุนยื่นมือออกไปด้วยความลังเลกับคำพูดของอีกฝ่าย

มูคยอมบีบเจลใส่มืออีกฝ่ายที่ยื่นออกมาอย่างงุมงอเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ฮาจุนมองที่มือตัวเองและส่งสายตามองไปที่มูคยอมเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะบอกให้ทำอะไร มูคยอมพยักพเยิดไปที่ร่างกายส่วนล่างของตัวเองแล้วพูดขึ้น

“วันนี้ให้นายลองทำเองก็แล้วกัน จะให้ฉันทำอยู่คนเดียวได้ไง”

ฮาจุนหลุบสายตาลงไปมองตามที่มูคยอมชี้ก็เห็นแก่นกายที่แข็งขืนเต็มที่ของอีกฝ่าย สายตาของฮาจุนเริ่มไล่มองตั้งแต่ปลายหัวของแก่นกายที่ชูชันอย่างน่ากลัว ไล่ตามเส้นเลือดที่ผุดขึ้นมาเป็นล่ำเป็นสันไปจนถึงลูกอัณฑะ ภาพที่ฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเข้ามาอยู่ในสายตาของมูคยอม

ยิ่งฮาจุนเครียดเกร็งมากเท่าไร มูคยอมก็ยิ่งผ่อนคลาย พอเขานั่งลงอย่างผ่อนคลาย ฮาจุนก็ขยับตัวลุกขึ้นและคลานเข้าไปหา มูคยอมยกยิ้มในใจอีกครั้งเมื่อเห็นภาพนั้น มีบางครั้งที่มูคยอมไม่แน่ใจว่าฮาจุนเป็นคนไร้เดียงสาหรือคนเปิดเผยกันแน่ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วน่าจะเป็นแบบหลัง แค่ฮาจุนเห็นแก่นกายของเขาก็ตาเป็นประกายแล้ว แม้จะเป็นสิ่งที่เคยเห็นมาแล้วแต่ฮาจุนก็ทำหน้าเหมือนกำลังมองสิ่งแปลกใหม่ เขาไล้ปลายนิ้วลงบนส่วนหัวทีละนิ้วราวกับดีดเปียโนและจับแกนกายของมูคยอมด้วยความระมัดระวัง

“อุ่นจัง”

ฮาจุนอุทานกับตัวเองเบาๆ เมื่อเอามือกอบกุมแก่นกายของอีกฝ่ายไว้จนรอบ

“ทำไมทำเหมือนเพิ่งเคยจับมันครั้งแรกล่ะ”

ฮาจุนเริ่มขยับมือรูดรั้งแก่นกายที่กอบกุมไว้ การถูกสัมผัสด้วยฝ่ามืออ่อนนุ่มที่มีเจลทาไว้ทำให้รู้สึกแปลกใหม่อีกครั้ง มูคยอมที่นั่งอย่างผ่อนคลายถอนหายใจเล็กน้อยก่อนก้มมองใบหน้าของฮาจุนที่กำลังนั่งค้อมตัวอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายเม้มปากแน่น หมกมุ่นอยู่กับการมองแก่นกายของเขาพลางขยับมือไปด้วย

ฮาจุนขยับมือรูดรั้งขึ้นลงอย่างตั้งใจ ตรงส่วนปลายเกิดเสียงเฉอะแฉะขึ้นเมื่อนิ้วของอีกฝ่ายแตะโดน ใบหน้าของฮาจุนไม่ปรากฏอารมณ์ยั่วยวนแม้แต่น้อยและดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าตอนอ่านสมุดโน้ตในสนามซ้อมเสียอีก สีหน้าไม่ต่างอะไรกับเวลาสังเกตข้อเท้าเขาที่สนามซ้อม ครั้งนี้มูคยอมจึงหลุดหัวเราะออกมา

“ทำไมเหรอ”

ฮาจุนมองมูคยอมที่หัวเราะขึ้นมากะทันหันด้วยความลนลาน ฉันทำผิดอะไรหรือเปล่า มูคยอมส่ายหัวเมื่อมองเห็นความคิดของอีกฝ่ายที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า “เปล่า”

พอเขาโน้มตัวมาข้างหน้าอีกฝ่ายก็ปล่อยมือออกจากแก่นกาย ฮาจุนลังเลเล็กน้อยและขยับตัวลงไปนอนอยู่ใต้ร่างใหญ่อีกครั้ง แล้วรูดรั้งแก่นกายของมูคยอมต่อจนมันขยายใหญ่พร้อมใช้งาน

“ดะ เดี๋ยวก่อน” ฮาจุนจับแขนมูคยอมไว้ด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้ปากฉีกซองถุงยาง

“หืม”

“รอเดี๋ยว”

รออะไร

พอมูคยอมขมวดคิ้ว ฮาจุนก็รีบคว้าขวดเจลที่ถูกขว้างทิ้งไว้ข้างๆ ขึ้นมาบีบใส่มือตัวเอง

จะทำอะไรกันแน่ ร่างกายส่วนล่างของมูคยอมเรียกร้องอยากจะแทรกกายเข้าไปในช่องทางหลังของชายหนุ่มตรงหน้า แต่เขาก็อดทนรอเพราะสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

“อึก…”

ฮาจุนขมวดคิ้ว เขาไม่ได้วางมือที่ทาเจลไว้ลงบนแก่นกายของมูคยอมหรือของตัวเอง แต่อ้าขาออกเล็กน้อยและแทรกนิ้วกลางเข้าไปในปากทางด้านหลังของตัวเองอย่างไม่ลังเล

เขาสอดนิ้วเข้าไปแล้วก้มมองร่างกายส่วนล่างของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แค่สอดเข้าไปยังไม่พอ มูคยอมอึ้งมองภาพที่ฮาจุนเริ่มขยับวนนิ้วเพื่อขยายช่องทางด้านหลัง ฮาจุนเบ้หน้าเล็กน้อยคล้ายกับอึดอัดขณะที่สอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีกนิ้ว

“ฮะ อ่า”

นี่มันอะไรเนี่ย โชว์ให้ดูเป็นบริการพิเศษเหรอ

หรือเพราะว่าเป็นครั้งที่สอง มีบริการเล็กๆ เป็นนโยบายส่วนตัวสำหรับการมีเซ็กซ์ครั้งที่สองด้วยเหรอ

แม้ว่ามูคยอมจะมั่นใจว่าตนเองมีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ แต่เขากลับไม่เคยเจอคู่นอนที่อยู่ๆ ก็ช่วยตัวเองขึ้นมาต่อหน้าเขาก่อนมีเซ็กซ์มาก่อน แถมยังเป็นผู้ชายที่กำลังสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางหลังของตัวเองอีกด้วย

มูคยอมเคยแต่เป็นคนนำมาตลอดเมื่ออยู่บนเตียง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสับสนหลงทาง แต่ภาพที่น่าตกใจนั้นกลับยิ่งทำให้ร่างกายส่วนล่างของมูคยอมร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อเห็นมูคยอมเหม่อลอยมองสถานการณ์ตรงหน้า ฮาจุนจึงพูดขึ้นเหมือนรู้สึกไม่สบายใจกับความเงียบของอีกฝ่าย

“รอแค่แป๊บเดียว แล้วฉันจะทำให้”

ใบหน้าของฮาจุนเห่อแดงขึ้นขณะที่เริ่มหอบหายใจถี่รัว พอฮาจุนเริ่มขยับมือช้าๆ และกำลังจะแทรกนิ้วนางเพิ่มเข้าไป มูคยอมก็คว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น และหรี่ตาลงอย่างไม่รู้ตัว

“บริการดีนะ แต่ให้นั่งมองอย่างเดียวมันไม่ใช่สไตล์ฉันเลย”

“บริการ?”

มูคยอมรู้สึกตื่นเต้นเพราะแก่นกายที่คิดว่าขยายตัวเต็มที่แล้วกลับชูชันยิ่งกว่าเดิม เขาดึงข้อมือที่จับเอาไว้ลงมาทำให้นิ้วที่อยู่ภายในช่องทางหลังหลุดออกในคราวเดียว ภาพนิ้วมือที่ถูกถอนออกมายิ่งกระตุ้นให้เขาฮึกเหิมพอๆ กับตอนที่ยังสอดไว้ข้างใน

มูคยอมดันตัวชายหนุ่มที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนให้เอนตัวลงไปตามเดิม เขากอบกุมแก่นกายของตัวเองแล้วกดถูไถเข้ากับช่องทางด้านหลังราวกับจะสอดใส่เข้าไป

“เอ่อ รออีกนิด”

“ทำไม ฉันบอกว่าไม่ต้องไง”

“เขาบอกว่าถ้าไม่เบิกทางก่อนจะเจ็บ ไม่สิ ฉันเจ็บ”

มูคยอมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“ทำไม ครั้งที่แล้วก็บอกให้ฉันทำไปเลยนี่”

“ตอนนั้นมัน…” ฮาจุนตอบเสียงเบา

“ใจร้อนน่ะ”

“ว่าไงนะ” มูคยอมหัวเราะออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฮาจุนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยกับสิ่งที่พูดออกไป

แค่ขอให้เขาสอนว่าต้องทำยังไงตั้งแต่เริ่มก็ได้ ไม่ใช่มาโกหก… พอใจร้อนก็บอกให้ทำไปเลย แต่วันนี้กลับบอกว่าถ้าทำแบบนั้นอีกจะเจ็บงั้นเหรอ

เสียงที่ตะโกนบอกให้มูคยอมไม่ต้องสนใจแล้วสอดใส่เข้าไปเลย กับเสียงกระซิบที่บอกว่าก็อีกฝ่ายเจ็บแล้วจะให้ทำยังไงดังตีกันอยู่ในหัว มูคยอมถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาจับเอวของฮาจุนที่กำลังแนบชิดกับร่างกายส่วนล่างยกออกแล้วนอนตะแคงลงข้างๆ อีกฝ่าย มูคยอมพูดขึ้นขณะที่บีบเจลใส่มือ “ถ้างั้นก็ควรบอกตั้งแต่แรกสิ มาท้วงทีหลังทำไม”

“หือ เปล่านะ ไม่ได้ตั้งใจจะท้วง”

“เงียบไปซะ”

มูคยอมแทรกนิ้วที่ชุ่มเจลเข้าไปในช่องทางด้านหลังทีเดียวถึงสองนิ้วเพราะรู้สึกโมโห เสียงฝ่ามือกับเนื้อบั้นท้ายกระทบกันดังขึ้นเคล้ากับเสียงเฉอะแฉะ ฮาจุนตัวกระตุกเกร็งและหลุดครางออกมาสั้นๆ

“อ๊ะ!”

“ขอให้เบิกทางแบบนี้ก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ฮึก อะ อึก!”

มูคยอมเพิ่มแรงขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้นคล้ายกับกำลังสอดใส่แก่นกายเข้าไป

‘อ๊ะ อา’

ร่างกายของฮาจุนสั่นสะท้านและครางออกมา ไม่รู้ว่าเจ็บปวดหรือสุขสมกันแน่

ความรู้สึกตอนที่สอดนิ้วเข้าไปแล้วผนังอุ่นชื้นด้านในบีบรัดนิ้วนั้นไม่แย่เท่าไหร่สำหรับมูคยอม ฮาจุนเชิดหน้าขึ้นกับสัมผัสที่แปลกใหม่ มันกระตุ้นให้เขาอยากสัมผัสความรู้สึกเมื่อถูกเติมเต็ม มูคยอมค่อยๆ ขยับนิ้วเข้าออกอย่างช้าๆ ต่างจากสัมผัสหยาบกร้านในครั้งแรกและเริ่มเปลี่ยนจากการสอดนิ้วเข้าไปตรงๆ เป็นขยับหมุนวน

“ฮ่ะ อา อะ อึก”

ฮาจุนรู้สึกถึงความเหนอะหนะเมื่อมูคยอมขยับนิ้วครูดโดนผนังด้านในช่องทาง มูคยอมค่อยๆ ดันนิ้วเข้าไปลึกขึ้นแล้วลองคลำไปตามผนังด้านบน ด้านข้างและด้านล่างราวกับต้องการทาน้ำหล่อลื่นอุ่นๆ ให้ทั่วช่องทางนั้น

ตอนมีเซ็กซ์กันครั้งก่อนมูคยอมสวมถุงยางและสอดใส่อย่างเร่งรีบจนเสร็จเลยไม่ได้รู้สึกถึงมัน ครั้งนี้เขาจึงสนุกกับการได้สัมผัสถึงผนังอ่อนนุ่มและความเปียกชื้นยามที่มันตอดรัดนิ้วของเขา มูคยอมรู้สึกแปลกใจว่าครั้งก่อนตนเองสอดใส่ตัวตนเข้าไปในช่องทางด้านหลังของอีกฝ่ายในครั้งเดียวได้ยังไงในเมื่อแค่แทรกนิ้วเข้าไปสองนิ้วก็คับแน่นแล้ว

และเมื่อมูคยอมดันนิ้วเข้าไปลึกกว่าเดิมแล้วงอนิ้วขึ้น

“ฮึก!”

สะโพกของฮาจุนกระตุกขึ้นอย่างแรง พร้อมกับที่มูคยอมรู้สึกว่าภายในช่องทางหลังที่โอบล้อมนิ้วของเขาไว้กำลังสั่นกระตุก และไม่ใช่แค่หดตัวเพียงเล็กน้อย แต่จะเรียกว่าความรู้สึกที่บีบรัดเข้ามาได้ไหมนะ มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วใช้ปลายนิ้วกดนวดลงไปที่จุดเดิมอีกครั้ง ฮาจุนขยับตัวออกเหมือนพยายามจะถอยสะโพกหนี

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน”

“ทำไม”

รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของมูคยอม เขาดึงตัวฮาจุนที่คิดหนีเข้ามาแล้วใช้แขนรองหมอนแล้วรั้งให้ฮาจุนนอนลง

ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดเข้าที่จุดจุดหนึ่งแล้วเริ่มบีบนวดทั้งที่อยู่ในท่านั้น ทันใดนั้นฮาจุนก็ถดสะโพกไปด้านหลัง เอาแต่จะหนีจากมือนั้นแม้ว่าจะถูกรั้งไว้อยู่ก็ตาม

“เดี๋ยว อะ อ๊ะ อือ อ๊า!”

“ชอบตรงนี้เหรอ”

“ฮึ ฮือ มะ ไม่ ไม่ใช่นะ ไม่ได้ ชอบ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”

“อย่าหนีสิ ชอบหรือไม่ชอบก็พูดออกมาตรงๆ”

มูคยอมถอนนิ้วที่กำลังกดย้ำตรงจุดนั้นออกไปกะทันหันแล้วใช้ฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนบั้นท้ายของฮาจุนจนเกิดเสียงดัง

“เฮือก!”

สะโพกของอีกฝ่ายที่ถอยออกไปกลับเข้ามาแนบชิดอีกครั้งเพราะมือที่ฟาดลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว มูคยอมจึงแทรกนิ้วเข้าไปอีกครั้งอย่างดุดัน

“อ๊ะ โอ๊ย!”

“ตอนมีเซ็กซ์ฉันเกลียดการเสแสร้งที่สุด เพราะฉะนั้นทำอะไรให้มันพอดีหน่อย”

เมื่อสอดแทรกเข้าไปอีกครั้งมูคยอมก็ลองเพิ่มนิ้วเข้าไปเป็นสามนิ้ว แม้จะแทรกเข้าไปลำบากหน่อย แต่ช่องทางหลังที่ถูกขยายไปแล้วครั้งหนึ่งก็ดูดกลืนนิ้วใหญ่ยาวทั้งสามนิ้วเข้าไปได้โดยไร้การต่อต้าน

มูคยอมค่อนข้างเพลิดเพลินไปกับสัมผัสในตอนแรกที่บีบรัดเข้ามาอย่างแนบชิดและกลืนกินนิ้วของเขาเข้าไป

จุดที่ถูกกดนวดบวมขึ้นกว่าเดิมเขาจึงหาจุดนั้นเจอได้ไม่ยาก มูคยอมขยับนิ้วเข้าออกพร้อมกับบดคลึงมันจนดูเหมือนว่าฮาจุนใกล้จะเสร็จสม เขาจึงกระตุ้นโดยการรัวข้อมือเร็วขึ้นเหมือนเพิ่มการสั่นสะเทือน ฮาจุนสะดุ้งและส่งเสียงครางออกมาทุกครั้งที่เขาแตะโดนจุดนั้น และเมื่อถึงจุดหนึ่งฮาจุนก็ส่งเสียงอ้อนวอนออกมาเพราะทนไม่ไหวและส่ายศีรษะไปมาอย่างรุนแรง

“อ่ะ อ่ะ อ๊ะ อ๊า! คิมมูคยอม หยุด หยุดก่อน…!”

“ทำไมล่ะ ดูนายชอบมันจะตาย”

“อา อ๊ะ….”

“เพิ่มเข้าไปอีกนิ้วก็น่าจะได้นะเนี่ย”

มูคยอมทอดสายตามองฮาจุนที่กำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัวซบใบหน้าลงบนแผ่นอกของตนเองแล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว นิ้วชี้ นิ้วกลาง กระทั่งนิ้วนางเองก็ถูกแช่คาไว้ภายในช่องทางด้านหลังยังจุดที่ลึกที่สุดของฮาจุน พอเขาใช้นิ้วก้อยที่เหลืออยู่แตะบริเวณปากทางแล้วค่อยๆ กดนวดลงไป ฮาจุนก็ห่อไหล่หนีสัมผัสราวกับหวาดกลัว แค่ขนาดนิ้วทั้งสี่นิ้วของมูคยอมก็เท่ากับความกว้างทั้งมือของคนทั่วไปแล้ว แม้จะแสร้งทำเป็นไม่ชอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว

มูคยอมเลียริมฝีปากตัวเองแล้วสุดท้ายก็ดันนิ้วก้อยเข้าไป ปากทางที่เหมือนจะฉีกขาดจากการกลืนกินนิ้วทั้งสามนิ้วถูกรุกล้ำเข้าไปใหม่ มันค่อยๆ ขยายออกอีกครั้งและพยายามดูดกลืนนิ้วก้อยเข้าไปด้วย

มันจะขยายได้มากขนาดไหนกันเชียว

มูคยอมเกิดความอยากรู้อยากเห็น เขาลุกขึ้นสำรวจดูส่วนนั้นโดยที่ยังโอบฮาจุนเอาไว้ ภาพของช่องทางที่ปิดสนิทจนไม่เหลือช่องว่างให้อะไรสอดแทรกเข้าไปได้ถูกขยายออกและมีนิ้วใหญ่ยาวสี่นิ้วที่ชุ่มไปด้วยเจลและน้ำหล่อลื่นอยู่ในนั้นทำให้มูคยอมเกร็งท้องน้อยจนรู้สึกถึงแก่นกายแข็งขืนขึ้นกว่าเดิม

บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องทางของใครแบบนี้มาก่อน มันเป็นการกระทำที่ปลุกเร้าอารมณ์เขาได้มากเลยทีเดียว มูคยอมลอบยิ้มขณะที่ขยับนิ้วเข้าออกซ้ำๆ

“ขยายได้กว้างดีนี่ ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะเข้าไปได้ทั้งมือเลยนะ”

“ฮะ อื้อ อ๊ะ! ฮะ อา! อือ อ…อึก!”

ฮาจุนบิดเร่าสะโพกไปมาและใช้แขนปิดบังใบหน้าเอาไว้ มูคยอมเร่งความเร็วในการขยับนิ้วเข้าออกพร้อมกับเพิ่มแรงบดขยี้ผนังด้านในขึ้นเรื่อยๆ

‘ฮะ แฮ่ก แฮ่ก’

ฮาจุนหอบหายใจแรงจนแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะความกระสันหรือความเหนื่อย ส่งเสียงออกมาจนไม่รู้ว่ามันคือเสียงกรีดร้อง เสียงคราง หรือเสียงลมหายใจกันแน่

……………………………………….

ห้องอาบน้ำสาธารณะที่สนามกีฬามีนักกีฬาหลายชีวิตกำลังอาบน้ำอยู่ในสภาพเปลือยกาย มูคยอมตั้งใจมองพวกเขาแต่ละคนและได้ลองสัมผัสความรู้สึกดีๆ จากร่างกายผู้ชายในสภาพเช่นนั้น แต่แล้วเขากลับรู้สึกแย่ลงแทนที่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ดี

“หันหน้ามาหาฉันสักแป๊บสิ”

“ครับ”

เพียงแค่นั้น เขาแตะไหล่ของคนที่ให้ความรู้สึกสวยงามและหล่อเหลาจากบรรดานักกีฬาในทีม แล้วหันกลับมามองฮาจุน เขามองไปหาชายหนุ่มที่มองมาด้วยสีหน้า ‘ทำไมล่ะ’ อยู่นิ่งๆ แล้วมูคยอมก็สะบัดมืออีกครั้ง

“พอแล้ว หันไปเถอะ”

“ครับ…”

มูคยอมเดินผ่านคนนั้นที่หันกลับไปอย่างเขินอายก่อนจะเข้าไปยืนใต้ฝักบัวที่ว่างอยู่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ชายคนไหนโดนใจเขาเลย ก็อย่างที่ว่าต่อให้มองผู้หญิง แต่ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ

หลังจากชำระล้างเหงื่อก็นึกถึงเซ็กส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับฮาจุน ร่างกายก็ร้อนขึ้นราวกับการที่ไร้ความรู้สึกเมื่อก่อนหน้าเป็นเรื่องโกหก ขณะกำลังชะล้างฟองสบู่ที่เต็มเส้นผมออก มูคยอมก็ฮัมเพลงเบาๆ พอจะทำให้ฮาจุนได้ยินเพียงเท่านั้น เป็นฉากที่ใครมาเห็นคงจะคิดว่าตัวเอกที่ทำแฮตทริกได้กำลังอารมณ์ดี

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องล็อกเกอร์แล้ว เหล่านักกีฬาก็ขึ้นรถบัสทีละคนเพื่อเดินทางกลับโซล เหล่าทีมงานนั่งเคียงข้างกันเป็นคู่ไปก่อนแล้ว แต่ฮาจุนนั่งอยู่ริมหน้าต่างเพียงลำพัง ขณะที่นั่งดูการแข่งขันวันนี้ ฮาจุนจดบันทึกบางอย่างไม่หยุดเขาจึงนั่งทำงานยุ่งๆ ราวกับกำลังจัดการกับบันทึกนั้น โดยที่มีสมุดบันทึกและแท็บเล็ตพีซีวางไว้บนตักพร้อมกัน มูคยอมนั่งเคียงข้างเขาโดยไม่ลังเล

ฮาจุนตรวจเช็กคนที่มานั่งข้างๆ เขา เขามองด้วยสายตาระแวดระวัง แล้วหันกลับไปมองสมุดบันทึก โดยปราศจากคำพูดใดๆ มูคยอมเอาหน้าเข้าไปใกล้ใบหู ลดเสียงลง และถามคำถาม

“ตัดสินใจหรือยังล่ะ”

“อืม พรุ่งนี้เถอะ”

“วันนี้”

“…ก็ได้”

เป็นน้ำเสียงที่สงบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องงาน แต่ช่างเป็นคำพูดที่น่ายินดีที่ได้ฟัง มูคยอมยกริมฝีปากขึ้น ยิ้มเล็กน้อย แล้วนั่งลงอีกครั้งทันที แม้แต่ตอนที่ตอบคำถามฮาจุนก็ยังคงจ้องมองสมุดและแท็บเล็ตพลางจดจ่อกับการจัดระเบียบมัน

ไม่จริงใจเกินไปหน่อยเหรอ คิดเช่นนั้นแล้ว มูคยอมจึงเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้และหลับตาลง เหล่านักกีฬาที่ตื่นเต้นกับชัยชนะนั่งรถบัสท่ามกลางเสียงดังกระหึ่มและรถบัสก็ออกเดินทางไปพร้อมกับการสั่นสะเทือน

มูคยอมที่ผล็อยหลับไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ทุกคนคงจะเหนื่อยกันมากในรถบัสที่เอะอะเสียงดังตอนออกรถ กลับเงียบสงัดราวกับป่าช้า เพราะมัวแต่นอนในท่านั่งเขาจึงหมุนคอที่มีอาการเคล็ดไปซ้ายทีขวาที จากนั้นมูคยอมก็มองไปข้างๆ ฮาจุนเองก็หลับไปในขณะที่วางสมุดบันทึกไว้บนตัก

มูคยอมเอื้อมมือหยิบสมุดบันทึกที่ฮาจุนโอบกอดอยู่ทุกวันขึ้นมาเปิดดู แม้ว่าตัวเขาเองจะเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน แต่สมุดบันทึกเล่มนี้มีป้ายกำกับที่มีตัวอักษร ‘2’ ติดอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเล่มที่สองแล้ว

มีเทปหลากสีแปะอยู่หลายหน้าและถูกจัดเรียงไว้ให้อ่านง่ายด้วยลายมือที่ค่อนข้างชุ่ยเมื่อเทียบกับใบหน้าที่แสนจะอ่อนน้อม ซึ่งบันทึกไว้ว่านักกีฬาแต่ละคนมีปัญหาส่วนไหน ต้องเสริมอีกตรงไหน และชี้ให้เห็นว่าต้องฝึกฝนในส่วนใดอีก

ใจความละเอียดเป็นอย่างมาก มีเขียนไว้ว่านักกีฬาบางคนสีหน้าไม่ค่อยดีควรลดปริมาณการฝึกฝน อีกทั้งมีเนื้อหาตรวจเช็กรายการอาหารและการนอนหลับด้วย มูคยอมนึกถึงฮาจุนที่บางครั้งก็ถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขาเป็นครั้งคราว ยังบันทึกไว้โดยแบ่งประเภทผู้เล่นแต่ละคนว่ามีสมรรถภาพทนทานดีหรือไม่ ความเร็วต่อช่วงเวลาดีหรือไม่ ข้อดีคือพละกำลังใช่หรือไม่ และฟื้นคืนจากความเหนื่อยได้เร็วหรือช้าอีกด้วย

มูคยอมที่อ่านบันทึกนั้นไปสักพักจึงรีบพลิกไปยังหน้าที่เป็นชื่อตัวเอง หากส่วนหน้าเป็นแผ่นที่บันทึกในแต่ละวัน ส่วนหลังก็จะจัดเรียงตามลำดับหมายเลขหลังเสื้อเหล่านักกีฬา ฉะนั้นตัวอักษรสามตัวในชื่อมูคยอมก็จะอยู่ประมาณหน้ากลางตอนต้น เมื่อข้ามบันทึกโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เขาคุ้นเคยดี เพราะกำลังอยู่ในช่วงปฏิบัติการฝึกด้วยตัวเองจึงสังเกตเห็นบันทึกส่วนที่ทำเครื่องหมายดอกจันไว้ข้างล่าง ฮาจุนเขียนเตือนข้อควรระวังสำหรับตัวเอง

[พิจารณาความไม่สมดุลของข้อเท้าอยู่เสมอ หากไม่ปรับพฤติกรรมอย่างชัดเจน อาจจะสาหัสไปจนถึงเข่า

☆ ลดการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวพร้อมกับกล้ามเนื้อท่อนบนสักนิดจะดีไหมนะ สังเกตและแนะนำต่อไป

☆ เช็กการพักผ่อนชั่วคราว ให้พักผ่อนในเวลาเวลาพักอย่างเต็มที่ เช็กเวลานอนหลับทุกครั้งที่มีโอกาสด้วย

ทำไมเป็นอย่างนั้นนะ]

หึ มูคยอมเกือบจะหลุดหัวเราะเพราะเสียงหัวใจที่กระเด้งออกมาจากสิ่งที่เขียนด้วยลายมืออย่างกะทันหันท่ามกลางบันทึกที่เกี่ยวกับการฝึกฝน แต่เขาก็ปิดปากกลั้นขำไว้ได้

“อืม…”

ฮาจุนนอนละเมอพลางขยับศีรษะ มูคยอมรีบปิดสมุดบันทึกอย่างว่องไวแล้ววางไว้บนตักของฮาจุนอีกครั้ง จากนั้นจึงกอดอกแล้วนั่งลงทันที โชคดีที่ฮาจุนไม่ได้ตื่นและเอนศีรษะไปทางหน้าต่างเล็กน้อย เขายังคงปิดตาและหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

มูคยอมยกแขนกอดอกและเอียงตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อทอดสายตามองใบหน้านั้น จากนั้นจึงยิ้มเงียบๆ แล้วนั่งลง อย่างไรก็ดีเขาเป็นคนที่ตลกอยู่พอควรเลย

รถบัสที่แล่นมาประมาณสองชั่วโมงในที่สุดก็ถึงสนามฝึก เหล่านักกีฬาที่ลงมาจากรถทีละคนต่างก็ยืดเส้นยืดสายง่ายๆ ทิ้งท้ายตามคำแนะนำของฮาจุนเพื่อบรรเทาร่างกายที่อ่อนล้าจากการนั่งรถเป็นเวลานาน เขาปรบมือและกล่าวลา

“วันนี้ทำได้ดีกันมากจริงๆ ครับ พักผ่อนให้เต็มที่ เจอกันพรุ่งนี้ตอนบ่ายครับ พรุ่งนี้เราจะเดินหน้าฝึกแค่โปรแกรมฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ไม่ต้องฝึกตามปกติครับ”

“ทำได้ดีมากครับ!”

เหล่านักกีฬาที่กล่าวอำลาเสร็จสิ้นมุ่งไปยังลานจอดรถอย่างวุ่นวาย ฮาจุนลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ คราวที่แล้วไม่มีสายตาผู้คนจับจ้องแต่วันนี้คนเยอะเหลือเกิน การนั่งรถของมูคยอมตั้งแต่ที่นี่จะเป็นที่สะดุดตาผู้คนได้ ตอนนั้นเองก็มีข้อความเข้าทางมือถือ

[มาที่ป้ายรถเมล์]

ฮาจุนจ้องมองข้อความนั้นอยู่พักใหญ่ ความจริงการที่มีข้อความส่งมาจากคิมมูคยอมมาในมือถือของเขามันแปลกประหลาดเกินบรรยาย

ฮาจุนในฐานะโค้ชจำเป็นต้องบันทึกเบอร์ติดต่อฉุกเฉินของนักกีฬาทุกคนในสังกัดซิตี้โซลไว้ แต่การที่มูคยอมรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขามันช่างแปลกประหลาดเสียจริง ข้อมูลการติดต่อของนักกีฬากับเหล่าโค้ชทั้งหมดจะถูกแบ่งปันบนอินทราเน็ตสำหรับการใช้ภายใน แน่นอนว่าเขาต้องรู้อยู่แล้ว

ฮาจุนมุ่งไปยังป้ายรถเมล์และพบว่านี่เป็นรถยนต์มาเซราตีสีเทาเงิน ไม่ใช่รถยนต์ลัมโบร์กีนีสีส้มกำลังจอดอยู่ในตำแหน่งเดียวกับครั้งที่แล้ว ฮาจุนที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งเพราะแม้ว่าจะพูดคุยกันจบไปแล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงยังพะวงอยู่ เขาหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งรอบแล้วสืบเท้าไวๆ ไปเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับจากนั้นจึงทรุดนั่งโดยไม่ทักทายสักคำ

“เหมือนกำลังวางกลยุทธ์สอดแนมอะไรสักอย่างเลย”

มูคยอมแกล้งเล่น แต่ฮาจุนไม่มีอารมณ์จะตอบ ไม่ใช่เพราะอารมณ์เสียหรือเสียใจ เขาเพียงแต่ประหม่าเท่านั้น มูคยอมมองเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของฮาจุนก็ทำได้เพียงยักไหล่และสตาร์ทรถโดยที่ไม่พูดอะไรอีก

บรรยากาศภายในรถที่หายไปในความมืดเงียบงันเสียจนคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นรถที่คนสองคนนั่งไปเพื่อที่จะมีเซ็กส์ด้วยกัน

สถานที่ที่มาถึงในครั้งนี้คือบ้านของมูคยอมเช่นเดิม มูคยอมเข้ามาถึงห้องรับแขกจึงถอดเสื้อออกและถามคำถาม

“อาบน้ำไหม”

“อืม”

ฮาจุนเข้าห้องอาบน้ำอย่างครั้งก่อน ครั้งนี้แช่ฟองสบู่ชำระร่างกายทุกซอกทุกมุมอย่างพิถีพิถันต่างจากคราวก่อนที่ป่วยเลยนั่งในอ่างอาบน้ำเปล่าโดยปล่อยตัวเองเปียกน้ำเพียงอย่างเดียวอยู่พักใหญ่ อย่างไรก็ตามระดับความกังวลระหว่างก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์นั้นแตกต่างกัน

ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ที่ที่มูคยอมใช้เป็นประจำเลย ห้องอาบน้ำกว้างขวางพร้อมอ่างอาบน้ำช่างสะอาดเอี่ยม กระเบื้องไร้ฝุ่นผง ทั้งอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า และแม้แต่กระจกที่แขวนผนังก็ใหญ่เกินขนาดห้องน้ำที่ใช้ในครอบครัวที่ฮาจุนคิดไว้อย่างมาก กระทั่งของใช้ในห้องน้ำไม่กี่อย่างที่จัดวางไว้บนชั้นวางอย่างเรียบร้อยก็ไม่รู้สึกถึงการผ่านการใช้งานจริงทำให้เขาไม่สบายใจที่ทำน้ำกระเด็นใส่

อาบน้ำเสร็จแล้วควรจะสวมเสื้อผ้าออกไปหรือถอดออกไปดี ไหนๆก็ต้องถอดอยู่แล้ว ยังต้องสวมเสื้อผ้าอีกหรือเปล่า หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฮาจุนก็สวมเสื้อผ้ากลับเช่นเดิม

พอเปิดประตูออกไป แน่นอนว่ามูคยอมก็เพิ่งออกมาจากห้องน้ำพลางเช็ดผมของตัวเองด้วยผ้าขนหนู เทียบกับฮาจุนที่สวมเสื้อผ้าหมดทั้งตัวแล้ว ตัวมูคยอมสวมเพียงเสื้อคลุมแค่ผืนเดียวด้วยสภาพร่างกายที่ห่อหุ้มไปด้วยเสื้อคลุมสีเทาเข้มที่ดูหรูหราให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคย ในขณะเดียวกันยังเผยให้เห็นเสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฮาจุนจึงเฝ้ามองเขาโดยไม่คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งมูคยอมมองมาและยิ้มเล็กน้อย

“สวมซะมิดชิดเชียว ไหนๆ ก็จะถอดเสื้อผ้าออกอยู่แล้ว”

“…ฉันไม่ค่อยชินกับการถอดเสื้อเดินไปมา”

“จะว่าไปแล้ว นายเคยบอกว่ายังอยู่กับครอบครัวใช่ไหม”

มูคยอมโยนผ้าขนหนูที่ใช้แล้วเก็บไว้และเข้ามาใกล้ฮาจุน

“ฉันไม่สนหรอก ถอดเสื้อผ้านี่งานสนุกฉันเลย”

จุ๊บ พูดไม่ทันจบ ฮาจุนก็เริ่มวิงเวียนในความรู้สึกของจูบที่สันกรามด้านล่างติ่งหูเสียแล้ว

“วันนั้นฉันรีบไปหน่อย เลยทำกันที่โซฟา”

ริมฝีปากสัมผัสลงต่ำเล็กน้อยอีกครั้ง ฮาจุนเพิ่งรู้ครั้งแรกว่าผิวของเขาไวต่อการสัมผัสของผู้อื่นขนาดไหนจากมูคยอม ทุกครั้งที่มือไถลลงมาและประกบริมฝีปากเหมือนแหย่เล่น ขาเขาแทบจะหมดแรงเลยทีเดียว ไม่นานนักแขนของมูคยอมก็โอบรอบแผ่นหลังของฮาจุนโดยไม่รู้ตัว

“อ๊ะ อื้อ…”

“รู้แล้วๆ โค้ชอีของเราเองก็ดูรีบร้อนอยู่นะครับ”

มูคยอมเงยหน้าขึ้นมาจากต้นคอที่เขาซุกแล้วมองลงมาที่ฮาจุน เพราะในสายตาเขาดูจะซุกซนมากกว่ากามารมณ์ ฮาจุนที่ทำตัวไม่ถูกอยู่คนเดียวตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่ยุติธรรมเสียแล้ว

“ยังไงก็เถอะ วันนี้มาทำไปช้าๆ บนเตียงกันนะ”

ฮาจุนขยับฝีเท้าตามที่ถูกดึงไปโดยมูคยอมซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ เขาเปิดประตูทางด้านหลัง และจู่ๆ เขาก็ทำให้ฮาจุนนอนลงบนเตียง

ฮาจุนที่นอนอยู่บนเตียงแสนกว้างใหญ่จึงรีบกวาดตามองไปทั่วห้อง เป็นห้องที่กว้างขวางและเรียบง่าย ใกล้กับเตียงมีโต๊ะข้างเตียงเล็กๆ กระจก และตู้เสื้อผ้าประมาณสัดส่วนช่องเดียวอยู่หนึ่งตู้ บนผนังมีหน้าต่างบานใหญ่อยู่ไม่น้อย ส่วนด้านนอกก็มีต้นไม้ส่องสะท้อนเข้ามา น่าจะเป็นชั้นสามของตึกที่มีระหว่างชั้นค่อนข้างสูงอย่างแน่นอน แต่ช่างวิเศษที่มองเห็นใบไม้หนาทึบนอกหน้าต่าง ฮาจุนมองไปทางนั้นสักพักแล้วเบนสายตากลับมา เขาคิดว่ามันครบครันแล้วกับห้องสำหรับผู้ชายเพียงคนเดียว ทั้งยังแอบคิดว่ามันเรียบง่าย และธรรมดาเกินคาดอีกด้วย ไม่รู้เพราะอะไรถึงไม่รู้สึกเหมือนเป็นห้องที่มนุษย์อาศัยเลย แม้ว่าตัวห้องยังไม่ได้หนาวเย็น แต่บรรยากาศกลับมีความเย็นสบายอบอวลเบาๆ

แม้ขณะที่ริมฝีปากของมูคยอมประทับตรงจุดนั่นนี่ทั่วร่างกาย ฮาจุนก็ยังตั้งใจกลอกตาไปมาจนมูคยอมหน้านิ่วคิ้วขมวด และผละออกมา

“มัวแต่ชะเง้อมองอะไรทำไมถึงไม่สนใจกันน่ะ”

“เปล่าสักหน่อย ก็แค่”

ระหว่างที่มัวแต่กลอกตามองห้องกางเกงก็ถูกถอดออกเสียแล้ว มือของมูคยอมจับชายเสื้อยืด แล้วถกขึ้นสูงระดับเอว ฮาจุนยกแขนเพื่อช่วยเขาถอดเสื้อของตัวเอง

ครั้งแรกที่ร่วมเพศกันพวกเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เมื่อเปลือยกายหมดจดฮาจุนก็วิตกกับรอยแผลเป็น พอฮาจุนเอามือปิดรอยแผล มูคยอมก็ปัดออกราวกับไม่ต้องการให้อะไรมาบดบัง ฮาจุนรู้สึกเขินอายจึนหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย เพราะผ้าคลุมและผ้าห่มที่ปูเตียงเป็นสีกรมท่าโทนเข้ม ทำให้ผิวขาวของฮาจุนยิ่งโดดเด่นขึ้นมากกว่าเดิม มูคยอมยิ้มมุมปากพึงพอใจพลางทอดสายตามองสภาพนั้นราวกับนักล่าที่มองสัตว์ล้ำค่า หากบอกเจ้าตัวไปคงจะขุ่นเคืองเอาได้ หากแต่รอยแผลนั้นเป็นเหมือนลวดลายที่ทำให้ผิวที่ผ่องใสเด่นชัดขึ้น

เมื่อเชยชมร่างเปลือยที่คุ้นเคยดีของฮาจุนที่นอนอยู่ เขาจึงรู้สึกได้ถึงความสมดุลที่เหมาะสม ไม่ขาดไม่เกินของกล้ามเนื้อแสนงดงาม ไม่ว่าจะเป็นทรงไหล่ที่อยู่ในองศาพอดีจากลำคอ โครงร่างแข็งแรงจากปลายไหล่จนถึงแขน หน้าอกเป็นปึกแผ่นที่มียอดอกขนาดเล็กยื่นขึ้นมา กระทั่งกล้ามเนื้อแน่นพอใช้ได้ที่ลากเส้นตรงจรดเบื้องล่างนั่น

แม้จะเป็นร่างผู้ชายที่ไม่ได้บางลีบ ไม่มีส่วนที่พอจะเรียกว่าส่วนโค้งได้ แต่ภาพรวมให้อารมณ์เหมือนปั้นขึ้นมาอย่างประณีตโดยกำเนิด หากเรือนร่างของมูคยอมเป็นภาพสีน้ำมันที่วาดขึ้นมาหยาบๆ ร่างของฮาจุนก็เป็นภาพวาดลายเส้นที่บรรจบกันด้วยปากกาเท่านั้น

กล้ามเนื้อลักษณะเส้นทแยงต่อมาจนถึงไหปลาร้าจากสันกรามข้างล่างนั่น เขาจึงลองเอานิ้วชี้ลูบไปจนถึงไหปลาร้า ที่ตั้งตรงเหมือนเลขหนึ่ง ทุกครั้งที่ทำเช่นนั้นฮาจุนสะดุ้งและกัดริมฝีปากแน่น เคยบอกว่าถ้าจะส่งเสียงออกมาก็ไม่ต้องกลั้นไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะกลั้นไว้อีกแล้ว

ถ้าอย่างนั้นทำให้เขาทนไม่ไหวดีไหมนะ มูคยอมโน้มตัวลงอย่างไวแล้วใช้ฟันไซร้ไปใกล้ๆ ซอกคอ เขาขบเคี้ยวราวกับเขี่ยเบาๆ ไม่ออกแรงใดๆ พลางใช้นิ้วบดขยี้ยอดอก แน่นอนว่าความพยายามของฮาจุนสลายไปทันที

“อ๊ะ ฮืม”

ขณะที่กวาดตามองในห้องอาบน้ำและห้องล็อกเกอร์วันนี้ก็รู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่ ขนาดหนุ่มๆ ในสังกัดก็ยากที่จะมีผิวดีได้ขนาดนี้ ผิวของฮาจุนไม่เพียงแต่จะขาวนวลเท่านั้น ยังละเอียดลออ เกลี้ยงเกลา และนุ่มนิ่มอีกด้วย

เช่นนี้เพียงแค่สัมผัสก็ทำให้เสียวซ่านแล้ว มูคยอมรู้สึกสำราญอีกครั้งจึงค่อยๆ ลดริมฝีปากที่ซุกไว้ตรงซอกคอ และใช้มือเปลี่ยนไปลูบคลำยอดอกด้านตรงข้าม จุ๊บ เมื่อดูดกระชากยอดอกที่ค้างไว้เหมือนหยดน้ำด้วยริมฝีปากหนึ่งครั้ง เอวเขาก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย มูคยอมกัดยอดอกตามความต้องการด้วยความสั่นไหวนั้น

“อ๊ะ เจ็บ! ”

เสียงของฮาจุนดังขึ้นแทบจะทันที เขาหน้านิ่วหน้ามองมูคยอมราวกับไม่พอใจ มูคยอมแหงนหน้าขึ้น สบสายตากับฮาจุนในตอนนั้นพลางแลบลิ้นและลามเลียยอดอกที่เพิ่งกัดไปเมื่อครู่ราวกับปลอบโยน มูคยอมตวัดลิ้นไปมาบนยอดอกอย่างยาวนานจนลื่นไหล เขาหลับตาพริ้มราวกับยอมแพ้ที่จะเถียงด้วย

มูคยอมเริ่มจะรู้สึกเพลิดเพลินหลังจากที่เห็นยอดอกแดงก่ำและพองโตขึ้นเล็กน้อยจากครั้งแรก ครั้งนี้เขาไล่ลูบซี่โครงกลางแผงอกด้วยลิ้นนั้น เมื่อปลายลิ้นสัมผัสลิ้นปี่ เขาจึงบีบคลำมือเปล่าไว้ใกล้กับเชิงกราน ฮาจุนผงะและระเบิดเสียงครวญครางออกมา โดยที่ไม่แน่ใจว่ารู้สึกตรงจุดไหน

“อื้อ อือ ฮึก อ๊ะ”

สนุกจัง

……………………………………………………

ฮาจุนเฝ้ามองฉากนั้นจากที่ไกลๆ เป็นครั้งคราวเพราะสงสัยว่าเขาจะทำอย่างไร แต่เด็กคนนั้นไม่เคยมีสีหน้าหมดกำลังใจในยามที่โดนดุเลยสักครั้งทั้งๆ ที่ถูกบ่นไปขนาดนั้นแล้วยังไม่เคยโดนไล่ออกจากตำแหน่งการคัดเลือกทีมชาติจนถึงที่สุดเลยพอจะเข้าใจความถึกทนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการฝึกซ้อมแต่พอเข้าฝึกซ้อมการแข่งขันหรือการฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการจริงๆ เขาจะแสดงความสามารถที่ไร้ที่ติ จนทำให้คนที่ดุเขาต้องกระดากอายไปเลย

หลังจากที่ถอนตัวไปอย่างนั้นแล้ว เขาก็กลับไปหาโค้ชพัคจุนซองที่เดิมทีเขาเคยเรียนฟุตบอลด้วย ฮาจุนไปรู้มาภายหลังว่าเขาโดนดุไปพักใหญ่และได้กลับมายังที่ที่พักร่วมกันหลังจากฝึกฝนขั้นพื้นฐานได้ครบถ้วนแล้ว

เขาไม่รู้จักฮาจุนหรอก แต่ฮาจุนรู้จักเด็กคนนั้นตั้งแต่ก่อนถูกเรียกตัวแล้ว คิมมูคยอมมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในนักกีฬาระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายในประเทศ เหล่าแฟนบอลถึงกับรอคอยให้มูคยอมเป็นนักกีฬาที่มีอายุมากขึ้นอีกหน่อย พร้อมเติบโตในหลายๆ ด้านกันเลยทีเดียว

แม้ว่าจะติดทีมชาติด้วยกันทั้งคู่ ฮาจุนและมูคยอมก็ถูกแบ่งออกเป็นทีมที่หนึ่งกับทีมที่สอง ไม่ต่างกับความเป็นจริงที่ทั้งคู่ไม่เคยพูดคุยกันหรือฝึกซ้อมในโปรแกรมเดียวกันเลยสักครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใกล้ๆ ซึ่งต่างจากการใช้ห้องร่วมกันอย่างแน่นอน

ได้เห็นต่อหน้าต่อตาแล้ว ถึงจะเป็นนักเรียนมัธยมต้นเหมือนกันแต่สัมผัสได้เลยว่าร่างกายของเขาโตกว่ามาก ดูไม่น่าจะต้องเกรงกลัวใดๆ แม้จะอยู่ต่อหน้าพี่ๆ มัธยมปลายก็ตาม เขาแตกต่างกับฮาจุนตั้งแต่ใบหน้าแล้ว สายตาและรูปปากที่เผยให้เห็นถึงความหยิ่งยโส เต็มไปด้วยความสบายๆ แทนที่จะประหม่า

ในระหว่างที่ไม่สามารถตอบอะไรออกไปและทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมอง มูคยอมก็หยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อที่พาดไว้เข้าปาก ดวงตาของฮาจุนเบิกโพลง ลำคอที่อัดอั้นอยู่จึงปลอดโปร่งจนส่งเสียงออกมา

‘อย่าสูบนะ’

‘…ทำไมล่ะ’

‘ทำไมอะไรกัน อีกเดี๋ยวก็เริ่มแข่งแล้ว ไม่สิ ถึงจะไม่มีการแข่งกัน แต่เดิมทีคนออกกำลังกายก็สูบบุหรี่ไม่ได้นี่นา’

มูคยอมยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ เขายิ้มเยาะพร้อมตวัดสายตาลงไปมองฮาจุน

‘โยฮัน ไกรฟฟ์, ซีเนดีน ซีดาน, เวย์น รูนีย์, แอชลีย์ โคล, โอลิเวอร์ คาห์น’

‘…….’

‘ทุกคนสูบบุหรี่หมด’

มูคยอมหยิบกระทั่งไฟแช็กออกมาจุดไฟ สุดท้ายก็สูบไปเฮือกหนึ่งและพ่นควันออกมา ควันสีขาวลอยอย่างพลิ้วไหว ขึ้นไปบนฟ้า ส่วนฮาจุนก็ยิ่งกระวนกระวาย ถ้าใครมาเห็นเขาจะว่าอย่างไรล่ะ เขาทำตัวไม่ถูกอยู่สักพักจึงพูดเสริมว่า

‘เพราะอย่างนั้นไง โยฮัน ไกรฟฟ์ถึงตายเพราะมะเร็งปอดน่ะ’

‘…….’

‘โยฮัน ไกรฟฟ์เขาพูดว่าไงนะ เขาเคยพูดอย่างนั้นด้วยนี่ ฟุตบอลมอบทุกสิ่งให้กับผม ส่วนบุหรี่พรากทุกอย่างไปจากผม’

ประโยคนั้นทำให้เขาเหลือบหางตามองฮาจุนแล้วยิ้มคิกคัก

‘ไม่เห็นรู้เรื่องนั้นเลย’

‘รีบดับสิ นักกีฬาที่นายพูดถึงเขาเป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น พวกเราเพิ่งมัธยมต้นเอง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา นายอาจจะต้องเก็บของกลับบ้านตอนนี้ทันทีเลยก็ได้’

‘ก็เอาซะสิ ถ้าจะส่งกลับไปก็เชิญตามสบาย’

เด็กผู้ชายตอบโต้อย่างสบายๆ แต่ไม่รู้ในใจแอบวิตกหรือไม่ก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เขาสูบอีกแค่ประมาณ 1-2 เฮือกแล้วดับไฟด้วยสภาพไม่ต่างจากบุหรี่มวนใหม่ จากนั้นเขาก็ก้มมองฮาจุน

‘ว่าแต่นายเถอะ เหมือนไม่ได้มีธุระอะไรด้วยซ้ำ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ’

จะพูดว่ามือสั่นจนผูกเชือกรองเท้าไม่ได้เสียด้วย ฮาจุนหลบสายตาเขาและได้แต่ก้มหัวลงเบาๆ ทว่าเด็กชายได้พินิจพิจารณาสภาพของฮาจุนแล้วก็เหมือนจะเข้าใจเหตุผล

ในตอนนั้นเองที่เด็กชายก้าวเข้าไปใกล้ๆ เล็กน้อย ทันใดนั้นก็นั่งชันเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าฮาจุน ก่อนที่ฮาจุนจะถามหาเหตุผลว่าทำไม เขาก็เอื้อมมือไปผูกเชือกรองเท้าที่คลายออกของฮาจุนอย่างว่องไว เชือกผูกรองเท้าที่คลายออกยุ่งเหยิง ถูกผูกอย่างแน่นหนา ทำให้รองเท้าที่กางอยู่ได้ห่อหุ้มเท้าอย่างกระชับพอดี

ฮาจุนพูดอะไรไม่ออกกับเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ทำได้แต่มองหัวของเด็กชายที่ก้มตัวลงต่อหน้า และดูมือของเขาที่เคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญและว่องไวบนหลังเท้า

‘มือไม่มีแรงเหรอ คงกังวลมากเลยสิท่า’

รู้สึกอับอายเหมือนโดนนักกีฬาวัยเดียวกันดูแคลน ทั้งยังร้อนรนเพราะสถานการณ์เกินคาดที่คนดังในอนาคตมานั่งคุกเข่าผูกเชือกรองเท้าให้ ระหว่างที่งุนงงจนพูดอะไรไม่ออกมูคยอมก็ลุกขึ้นอีกครั้ง และใช้มือตบไหล่เขาเบาๆ

‘จะไปกลัวทำไม มันก็เหมือนกันหมดแหละ มันคือสนามหญ้านี่แหละ ไม่ได้เคลือบทองคำเปลวสักหน่อย’

หลังจากที่พูดเช่นนั้น เขาก็เดินล่วงหน้าไปก่อน เหลือเพียงก้นบุหรี่ที่เคยสูบไว้บนพื้นอย่างอ้างว้าง

ฮาจุนนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักจึงรีบหยิบมันขึ้นมาพลางตามหาถังขยะเพื่อทิ้งมัน รู้สึกเหมือนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในการทำลายหลักฐานกระทำความผิดเลย

ตุบๆ หลังจากที่ตรวจสอบสภาพของรองเท้าด้วยการเคาะปลายเท้าและส้นเท้ากับพื้นเบาๆ ฮาจุนจึงกลับไปยังที่ที่ผู้คนรวมตัวกันอีกครั้ง ผู้คนต่างก็ยุ่งวุ่นวายราวกับไม่ทันสังเกตว่าฮาจุนแอบไปซ่อนตัวอยู่สักพัก โชคดีที่กลับมาถึงทันเวลาพอดี ฮาจุนจึงสามารถเข้าร่วมกลุ่มก่อนเรียกรวมตัวได้

รายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกออกมาแล้ว ฮาจุนตรวจสอบลิสต์รายชื่อระหว่างเหล่านักกีฬาที่ติดโผอยู่แล้วอีกครั้ง ฮาจุนเป็นตัวสำรองและแน่นอน มูคยอมเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก

อวดดีอย่างที่เห็นและได้ยินมาเลย ขอยอมรับเรื่องความจองหองที่คงเส้นคงวาเพราะสัมผัสมาแล้วชั่วขณะหนึ่ง ฮาจุนจึงนั่งลงบนม้านั่งและเริ่มชมการแข่งขัน หมอนั่นเก่งขนาดไหนกัน ความอยากรู้อยากเห็นก็พุ่งทะยาน

ถึงแม้ตอนนั้นฮาจุนจะโลดแล่นในฐานะนักฟุตบอลเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ชื่นชอบและสนุกนานกับการดูการแข่งขันของคนอื่น เมื่อพูดถึงนักฟุตบอลผู้คนมักคิดว่าคงจะชอบดูการแข่งขันอย่างอัตโนมัติ แต่แน่นอนว่ามีคนที่ชอบอะไรตรงกันข้ามเช่นเดียวกับผู้คนที่ชื่นชอบที่จะดูแต่ไม่สนุกกับการวิ่งเล่นเองด้วย

การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว ทีมคู่แข่งเป็นทีมชาติเยาวชนเยอรมัน ฟุตบอลของเหล่าเด็กผู้ชายจะหยาบกระด้างและเป็นธรรมชาติกว่าเกมของผู้ใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นความต่างของระดับก็ชัดเจน เหล่าเด็กผู้ชายที่มาจากยุโรปเล่นฟุตบอลได้สมบูรณ์แบบกว่าทีมเกาหลีมาก

ก่อนอื่นเลยพลังกายก็แตกต่างกันแล้ว เหล่าเด็กผู้ชายที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์การแข่งขันระดับนานาชาติก็หวั่นกลัวเด็กๆ ที่มาจากประเทศมหาอำนาจด้านฟุตบอลไปตามระเบียบ และจะรู้สึกถึงความกลัวได้ทันทีตอนที่ร่างกายและร่างกายกระทบกันในสนามแข่งขัน

บรรยากาศโน้มเอียงไปทางชัยชนะตั้งแต่แรก แต่โชคดีที่อาจเป็นเพราะพวกเขายังขาดประสบการณ์ หรือไม่ก็ตื่นเต้นเกินเหตุทำให้พวกเขารีบเร่งทำประตู พวกเขาคงจะซ้อมมาหนักทำเอาฝ่ายตั้งรับทีมเกาหลีในสนามแข่งไปทางโน้นทีไปทางนี้ที แม้จะรับส่งลูกบอลวนไปมาได้ แต่เมื่อใกล้ทำประตูก็มักจะรีบยิงเข้าประตูจนเกินไป หรือไม่ก็ไม่สามารถทำแต้มได้แม้แต่นัดเดียวในช่วงเวลาสำคัญ

ถึงจะอยู่ในทีมที่ลุกลี้ลุกลน แต่มูคยอมก็กำลังวิ่งไปหาที่ที่เขาได้เปรียบอย่างปราดเปรียว แม้เขาจะเป็นนักกีฬาที่อายุน้อยที่สุด แต่เขาก็วิ่งได้อย่างชำนาญและไล่ตามลูกบอลเหมือนนักล่า เพราะส่วนสูงและร่างใหญ่ ถึงจะอยู่ท่ามกลางทีมเยอรมันที่ร่างกายสูงใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกถูกเบียดเบียนทางร่างกายเลยสักนิดเดียว

การวิ่งนั้นดุเดือดแต่ความสามารถในการควบคุมลูกบอลค่อนข้างชำนาญและคล่องแคล่วอย่างน่าทึ่ง เมื่อเขาได้ลูกบอลมาก็ดูเหมือนเขาจะสงบนิ่งขึ้น และถึงแม้เขาจะไล่ตามลูกบอลไปติดๆ เขาก็แกล้งทำรุกหน้าหลอกกองกลาง จากนั้นก็ส่งบอลต่อกะทันหันจนทำให้ทีมตรงข้ามสับสนอีกด้วย

ปัญหาคือไม่มีนักกีฬาคนไหนที่จะสามารถรับลูกบอลที่ส่งมาจากเขาได้อย่างเหมาะสม ในทางกลับกันถึงเขาจะไปรอในตำแหน่งที่เหมาะสมที่พอจะรับบอลที่ส่งจากคนอื่น ลูกเตะนั้นก็โดนตัดไปส่งไม่ถึงมูคยอมเสียด้วยซ้ำ

ตรงทางม้านั่งเองผู้คนต่างถอนหายใจเสียดายกันหลายครั้ง ฮาจุนที่กระสับกระส่ายไม่น้อยไปกว่าใครแม้ไม่ได้ลงไปเตะเองยังไม่กล้าแม้แต่จะถอนหายใจจึงนั่งดูการแข่งขันอย่างใจจดใจจ่อและไหล่ตึงเต็มที่ หลังจากถูกสกัดกั้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง ท้ายที่สุดมูคยอมก็ยกแขนขึ้นด้วยความโกรธและเหวี่ยงแขนออกไป

‘โว้ย บ้าเอ๊ย!’

คำสบถหยาบคายที่ออกมาจากปากของมูคยอมได้ยินดังไปจนถึงม้านั่ง ฮาจุนเองยังรู้สึกได้ถึงความโกรธของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

ในนาทีที่สิบสามของครึ่งแรกเป็นโอกาสที่จะเตะจากมุมของทีมเยอรมัน แม้ว่าความแตกต่างของพละกำลังจะชัดเจนแต่ก็ทำประตูไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่คิด บรรยากาศวางท่าหมิ่นประมาทภายในทีมเยอรมันเองก็หายไป ความเร่งรีบหายไปและความตึงเครียดลดลงมาบ้าง ทีมเกาหลีก็ได้สร้างบรรยากาศเสียเปรียบกว่าเมื่อกี้ด้วย

ลูกเตะจากมุมที่เหยียดยาวถูกโหม่งป้องกันโดยทีมเกาหลีจนกระเด็นออกจากประตูไปไกล เป็นโอกาสในการจู่โจมกลับ แต่ลูกเตะนั้นไม่ใช่ลูกเตะของทีมเกาหลี อีกครั้งที่บอลโดนแย่งในสนามถูกส่งไปยังกองหลังฝั่งขวาทีมเยอรมัน และในที่สุดลูกยิงของเยอรมันก็เกิดขวัญหนีดีฝ่อใกล้ๆ กับประตูทีมเกาหลี

อย่างไรก็ตามลูกบอลก็รอดอย่างหวุดหวิดด้วยการโดนเสาแล้วกระเด็นออกไป ลูกบอลซึ่งถูกยิงด้วยความเร็วสูง ปะทะกับแนวกีดขวางแล้วพุ่งไปยังองศาที่ไม่คาดคิด บอลกลิ้งไปรอบๆ สนามโดยไร้ฝ่ายใดไล่ตามอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นเองที่มูคยอมได้วิ่งเข้าไปครอบครองลูกบอลอย่างว่องไว

ท้ายที่สุดราวกับว่าเขาตัดสินใจที่จะแก้เกมด้วยตัวเอง ตั้งแต่ตอนนั้นมูคยอมจึงวิ่งฉลุยสุดแรงไปยังประตูของฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกคนไปรวมตัวกันอยู่หน้าประตูทีมเกาหลี ยกเว้นผู้รักษาประตูแล้ว สนามฝั่งเยอรมันก็แทบจะว่างเปล่า เหล่ากองหลังเริ่มออกวิ่งเพื่อกลับไปยังตำแหน่งเดิมของตน แต่มูคยอมที่อยู่ข้างหลังกว่าพวกเขาจึงก้าวไปข้างหน้าได้ไวกว่า

เหล่านักกีฬาทีมเยอรมันไล่ตามมูคยอมที่วิ่งพลางเลี้ยงลูกโดยที่ไม่ส่งลูกบอลให้ใคร เขาไวมาก เหล่านักกีฬาที่ไล่ตามมาจากข้างหลังต่างก็ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ระยะห่างระหว่างมูคยอมที่นำหน้าอยู่กับนักกีฬาที่ไล่ตามนั้น ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ตัวต่อตัวของมูคยอมและผู้รักษาประตูแคบลงเลย

ในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องกติกาการล้ำหน้า มูคยอมเตะบอลอย่างเฉียบขาด โดยที่ไม่มีเบรกสั้นๆ เลยสักครั้ง

นั่นเป็นประตูแรก บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปทันทีเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าทีมเกาหลีจะทำประตูแรกได้

‘บอกแล้วใช่ไหมว่าเจ้าเด็กนั่นมันอัจฉริยะ’

ได้ยินเสียงใครบางคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งบ่นพึมพำปนชื่นชม มูคยอมวิ่งไปรอบๆ สนามกีฬาพลางคำรามเหมือนสัตว์ร้าย เด็กๆ วิ่งไล่หลังตามมาเกาะมูคยอม ต่อมาก็กอดกันและกันเพื่อฉลองที่ทำประตูได้ ทีมงานฝ่ายตรงข้าม และเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาจากต่างประเทศที่มาชมการแข่งขันต่างก็ชื่นชม ทั้งยังแสดงให้เห็นท่าทางที่พูดคุยบางอย่างกันอีกด้วย

เหลือเวลาอีกสามสิบนาทีกว่า

ใช้เวลาเพียงไม่นานที่จิตวิญญาณของฮาจุนที่นั่งอยู่บนม้านั่งและจับจ้องแต่มูคยอมจะถูกเขาดึงดูดไป

ด้านข้างที่เพิกเฉยเมื่อเสียบหูฟังตอนฟังเพลง ใบหน้าที่ยิ้มทะเล้นขณะที่พูดคุยกับใครบางคน ท่าทางที่คำรามเป็นสัตว์ป่าวัยเยาว์ตรงหน้า

แววตาหยิ่งยโสปนยิ้มเยาะที่มองลงมาราวกับถากถาง ควันขาวพลิ้วไหวที่ออกมาระหว่างริมฝีปาก น้ำหนักของมือที่ตบบ่าเบาๆ หลังจากที่จู่ๆ ก็ที่นั่งคุกเข่าผูกเชือกรองเท้าให้ฮาจุน

ทุกอย่างนั้นวนเวียนไปมาและดูดจิตวิญญาณของฮาจุนไปในที่ลึกราวกับกระแสน้ำวน สิบปีหลังจากวันนั้น จิตวิญญาณซึ่งเคยถูกยึดไปก็ไม่เคยคิดกลับมาหาเจ้าของร่างอีกเลย

***

‘คิมมูคยอม คิมมูคยอม คิมมูคยอม!’

สนามกีฬาเต็มไปด้วยเสียงเชียร์เรียกชื่อบุคคลหนึ่งและปกคลุมด้วยเพลงเชียร์ของทีม ฮาจุนฟังเสียงเชียร์จากม้านั่ง และตั้งใจดูการแข่งขันที่กำลังเข้าสู่ครึ่งหลังที่ใกล้จบอย่างไม่วางตา เกิดการฟาล์วในสถานการณ์ที่มีเวลาเหลืออีกประมาณหนึ่งนาทีก่อนจบลงจึงได้โอกาสฟรีคิก หากมีการเตะฟรีคิกการแข่งขันก็จะจบลงไปเช่นนั้น

และคนที่เตะฟรีคิกก็คือมูคยอมนั่นเอง หลังจากวางลูกบอลลงบนจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ มูคยอมก็ถอยหลังออกไปสองสามก้าว เสียงเชียร์ให้กำลังใจจากอัฒจันทร์ที่เฝ้าดูการเตะฟรีคิกของเขาด้วยตาเปล่าจากที่เคยดูแต่ในวิดีโอซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงแค่ในต่างประเทศแดนไกลอยู่เสมอกลับเบาลง เงียบอย่างน่าประหลาดใจเลยด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะแสดงออกถึงสัญญาณเหนือมนุษย์ แต่ฮาจุนก็รู้ว่ามูคยอมมีกลไกในการเตะฟรีคิกเป็นของตัวเอง ยืนเท้าสะเอว ประเมินระยะทางและมุม หลังจากเดินวัดระยะสองสามก้าวระหว่างบอล เขาก็เตะบอลในจุดที่เขาต้องการอย่างแม่นยำ

ลูกเตะทะยานขึ้นสูงข้ามฝ่ายตั้งรับและพุ่งโค้งต่ำอย่างรวดเร็ว ผู้รักษาประตูก็วิ่งไปในทิศทางที่คาดคิดไว้ อย่างแม่นยำ แต่สายเกินไปที่จะสกัดกั้นลูกเตะที่ลอยไปอย่างทรงพลัง

‘ว้าว!’

เสียงเชียร์ของผู้คนดังยิ่งขึ้น เพราะทำประตูฟรีคิกเมื่อครู่ได้ ทำให้วันนี้มูคยอมประสบความสำเร็จในการทำแฮตทริกสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ วันนี้ที่นั่งผู้ชมก็เต็มเช่นเคย และเพราะที่ว่างของจุนซอง ทำให้บรรยากาศของทีมที่หมองหม่นก็ค่อยๆ ดีขึ้นอีกด้วย เสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นและฮาจุนก็ปิดสมุดบันทึก

“ทำได้ดีมากครับ!”

“ทำได้ดีมากครับ!”

ใบหน้าเหล่านักกีฬาที่คว้าชัยชนะอย่างน่าพอใจนั้นแจ่มใสและเสียงที่ทักทายกันและกันก็สดใสเช่นกัน ซิตี้ โซลเดินหน้าไม่พ่ายแพ้ให้ใครจนถึงช่วงต้นฤดูกาล ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะคว้าแชมป์ลีกเท่านั้น อย่างที่ใครๆ พูดกันก่อนหน้านี้ว่า ทีมพอจะเล็งผลลัพธ์ที่ดีในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกได้เช่นกัน

“ยินดีด้วยนะ คิมมูคยอม!”

“ยินดีด้วยนะครับพี่”

มูคยอมทำแค่เพียงยิ้มมุมปากให้คำยินดีที่หลั่งไหลแด่ตัวเอกในการทำแฮตทริกราวกับว่ามันไม่ได้พิเศษอะไร

“เออ เจ้าบ้า สำหรับนายแล้ว แฮตทริกก็ไม่ได้วิเศษอะไรเลยสินะ”

แม้ว่ามูคยอมจะแสร้งทำเป็นเมินเฉยกับคำยินดีของผู้คนและคำก่นด่าของจองคยู แต่เขาก็เก็บลูกบอลที่แฮตทริกได้ครั้งแรกในลีกที่นี่ไว้อย่างประณีต

หากเป็นคิมมูคยอมแล้วดูเหมือนว่าเขาจะจะยิงประตูได้สามหรือสี่ประตูได้ทุกๆ ครั้งในเคลีกแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาที่จะเป็นไปตามการตัดสินใจของผู้เล่นเพียงคนเดียว หากสามารถเอาชนะได้ทุกทีมไม่เลือกหน้า เพียงเพราะมีนักกีฬาฝีมือโดดเด่นแค่คนเดียว อย่างฟุตบอลเวิลด์คัพก็ไม่น่าแปลกใจเลย และมูคยอมก็เป็นนักกีฬาที่รู้สึกปลาบปลื้มเช่นเดียวกันหลังจากที่ชนะการแข่งขันหรือลีกใดๆ ก็ตาม

วันนี้เป็น ‘การแข่งขันเกมเยือนในครั้งนี้’ ที่ฮาจุนกล่าวไว้ ทันทีหลังจบการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทันทีหลังจากชนะ ความตื่นเต้นผสมกับความสำเร็จและความใคร่ทำให้ร่างกายเดือดพล่าน ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ มูคยอมก็ต้องการเซ็กส์ หลังจากจบการแข่งขันมากกว่าก่อนแข่งขัน วันนี้ก็จำเป็นต้องตรวจเช็กความคิดเห็นของโค้ชหน้าใหม่อีกสักครั้ง

“โค้ชอี”

ฮาจุนและทีมแพทย์กำลังตรวจร่างกายของนักกีฬาคนหนึ่งที่กลิ้งไปหนึ่งรอบจากการถูกสกัดในการแข่งขันวันนี้ เมื่อมูคยอมเข้าไปใกล้ๆ เขาหันกลับมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“วันนี้ผมอยากหารือเกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกันเมื่อครั้งที่แล้วหน่อยน่ะครับ”

“อืม อีกเดี๋ยวค่อยตัดสินใจกันดีกว่านะ”

หลังจากที่เห็นใบหน้าไร้อารมณ์ตอนตอบเขาขณะที่ทำงาน มูคยอมลอบยิ้มเบาๆ อย่างไม่ให้มองเห็น และตรงไปยังห้องอาบน้ำทั้งอย่างนั้น

……………………………………………..

มูคยอมพยักพเยิดคางไปทางเนวิเกชั่นนำทาง ฮาจุนจิ้มหน้าจอเนวิเกชั่นจึกๆ โดยไม่ปฏิเสธ เขากำลังจะทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ที่รถของมูคยอมด้วยความรู้สึกที่ประหลาดมาก

รถที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ ลดความเร็วลงตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ ที่ดูเหมือนสร้างมาแล้วสี่สิบปี แต่ฮาจุนห้ามมูคยอมที่กำลังจะเข้าไปเอาไว้

“ฉันจะลงตรงนี้ ไม่ต้องเข้าไปถึงข้างในหรอก”

“บ้านดูดีเลยนี่”

รู้สึกแยกไม่ออกเลยว่าเขาพูดจากใจจริงหรือเยาะเย้ย ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีกำลังทรัพย์แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามสำหรับอพาร์ทเม้นท์ที่มีผู้อาศัยในระยะยาวอยู่มากและไม่ได้ตั้งในย่านอันอุดมสมบูรณ์ผู้คนจึงไม่ค่อยหลั่งไหลกันมานัก

การที่รถสปอร์ตแบบนี้หลงเข้ามาจึงเป็นที่สนอกสนใจของเหล่าเพื่อนบ้าน พอดีว่าเดี๋ยวจะมีคนทักทายฮาจุน อย่างกับเจอนักกีฬามืออาชีพถ้าเห็นเขาขึ้นมา เขาจึงไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นตอนลงจากรถสักเท่าไร มูคยอมสูดลมหายใจยาวแล้วพึมพำขึ้นมาเหมือนพูดคนเดียว

“ได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้เลยแฮะ”

“ในหมู่บ้านมีต้นไลแลคเยอะน่ะ”

คำตอบของฮาจุนทำให้มูคยอมพยักหน้าขณะมองทิวทัศน์ด้วยท่าทางพึงพอใจ ฮาจุนเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่หาดูได้ยากบนใบหน้าของเขา มูคยองเองก็เผลอไปจ้องโดยไม่รู้ตัว

“งั้นเหรอ ชอบจังเลย เป็นดอกไม้ที่ฉันชอบที่สุดเลยนะ”

รสนิยมบางอย่างก็ดันคล้ายกันอีก ฮาจุนแอบยินดีอยู่ภายในใจก่อนจะพึมพัมถาม

“มีดอกไม้อะไรที่ชอบด้วยหรือไง”

“แน่นอน ฉันออกจะเป็นคนโรแมนติก”

มันช่างน่าขันที่จะต้องเห็นด้วย ขณะที่จะปฏิเสธก็เหมือนจะต้องยอมรับทั้งอย่างนั้น ช่วงที่ฮาจุนลังเลที่จะตอบมูคยอมก็กล่าวลาทันทีราวกับหยอกเล่น

“เข้าไปเถอะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”

ฮาจุนที่กล่าวลาสั้นๆ มองท้ายรถที่กำลังขับออกไปอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนออะไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะยอมรับมัน การผลัดช่วงวลาของทางเลือกเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเขา เพราะการที่จะทำเช่นนั้น มันจำเป็นต้องเตรียมทั้งร่างกายและจิตใจให้พร้อมอย่างที่เขาพูดจริงๆ

ตั้งหลัก คนที่จดจำไว้ในใจ

เหมือนเป็นคนโง่ที่หวั่นไหวโอบกอดความหวังไปเองเพราะคำพูดไม่กี่คำ น่าแปลกใจนักที่แม้ในหัวจะไม่ได้คาดหวังอะไรอย่างแจ่มชัด แต่หัวใจกลับโลดแล่นออกไป ฮาจุนคิดไว้อย่างแน่นอนว่ามันไม่ใช่คำพูดที่จะต้องไปคาดหวัง เขาคงจะพูดในความหมายเชิงอื่นๆ แต่เมื่อยืนยันแล้วว่า คำพูดของมูคยอมหมายถึงจำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ทางกายจริงๆ แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้หมดเรี่ยวแรงกัน

“ไปคาดหวังอะไรล่ะ มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่นา”

ฮาจุนพูดคนเดียวราวกับตักเตือนตัวเอง ไม่มีเหตุผลอะไรที่มูคยอมจะชอบฮาจุนด้วยความหมายเช่นนั้นหรอก คิดถึงผู้หญิงมากมายที่มีเสน่ห์ดึงดูดเดินผ่านเขาไปมาจริงๆ แม้แต่ฮาอึนอูที่เพิ่งมีเรื่องอื้อฉาวกับเขาเมื่อไม่นานมานี้ ยังเป็นนักแสดงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาเลย ตราบใดที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับมูคยอม เรื่องที่เขามากประสบการณ์กับสาวๆ นั้น ฮาจุนก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามูคยอมชอบผู้หญิงประเภทไหน

สำหรับฮาจุนแล้ว เขามีแฟนคลับสาวๆ จำนวนมากสมัยที่เป็นนักกีฬาอาชีพอย่างที่จองคยูกล่าวไว้ และหากส่วนหนึ่งในบรรดาแฟนคลับกล่าวว่าชื่นชอบอีฮาจุน พวกเธอจะโดนบ่นและโดนเย้ยว่า นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเธอชื่นชอบกีฬาฟุตบอลแต่ชอบนักกีฬาฟุตบอลที่หล่อเหลา แม้แต่ตอนที่ส่องกระจกเขาเองก็ไม่เคยรู้สึกไม่พอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองเลยแต่นั่นก็เป็นแค่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีปัจจัยใดที่จะดึงดูดมูคยอมเลยสักนิด

“ฮาจุนมาแล้วเหรอ”

“อืม”

ทันทีที่เข้าไปในบ้าน คุณแม่ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ลุกขึ้นมาทักทายลูกชาย ถึงบางครั้งจะลำบากใจ แต่ตอนที่รู้สึกแตกสลายแบบนี้เสียงที่อ่อนโยนของคุณแม่ก็ปลอบโยนได้ดี ฮาจุนยิ้มขณะที่เข้ามาในห้องรับแขกเขาสวมกอดคุณแม่หลังจากที่ไม่ได้กอดมานาน

“แม่ รักนะ”

“อุ้ย มาถึงปุ๊ปเป็นอะไรไปเนี่ย เกิดเรื่องอะไรดีๆ ข้างนอกมาเหรอลูกชายแม่”

คำพูดเหล่านั้นทำให้เขายิ้มได้อย่างลืมเรื่องสิ้นหวังไป เรื่องดีๆ อย่างนั้นเหรอ ใช่แล้ว คิดเสียว่าเป็นเรื่องดีๆ แล้วกัน

“อืม ที่สโมสรน่ะ”

“จ้าๆ ลูกชายคนโตคนเก่งของแม่ ทำอะไรไม่ได้บ้างล่ะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีจ๊ะ”

ใช่แล้ว มันจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดไปถูกไหม ฉันกำลังทำได้ดีอยู่ใช่ไหม

คุณแม่หารือเรื่องเมนูอาหารเย็นมาแล้ว ฮาจุนตอบคำถามของเธอ ทั้งสองพยายามคิดเมนูที่ฝาแฝดพอจะชอบกินอยู่บ้าง แฝดทั้งสองอยู่มัธยมปลายปีที่หกฉะนั้นจึงเป็นเวลาที่จะต้องดูแลอย่างเป็นพิเศษมากกว่าที่เคยชีวิตประจำวันแสนธรรมดาค่อยๆ บรรเทาจิตใจที่ว้าวุ่น

ฤดูหนาวตอนที่ฮาจุนอายุสิบสอง พ่อฆ่าตัวตายในรถยนต์

ในรถคันนั้นที่เราขับออกไปเที่ยวทะเลและขึ้นภูเขาทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันเสมอในช่วงปิดเทอมหรือพักร้อน

พ่อเคยเป็นเจ้าของโรงงาน เราเคยอยู่ดีกินดีได้พอประมาณและนึกว่าอนาคตต่อไปก็น่าจะยังใช้ชีวิตอย่างนั้นได้ แต่แล้วหลังจากที่พ่อจากโลกไป เราจึงพบว่ากิจการที่ในอยู่สภาวะเกือบล้มละลาย เจ้าของกิจการก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่ฮาจุนเรียนรู้คำต่างๆ เช่น การอายัดทรัพย์สิน การชำระหนี้ หลักประกัน การประมูล ทันทีที่เข้าใจคำเหล่านั้น ก็ต้องเก็บของให้เกลี้ยง อย่างที่ถูกขับไล่ให้ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่ เราจับมือกันระหว่างแม่ ผู้ซึ่งสูญเสียทุกอย่างในชั่วพริบตาทั้งๆ ที่เคยเป็นคุณนายและน้องฝาแฝดสองคนที่ยังไม่แม้กระทั่งจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาขณะถูกไล่ออกมาข้างนอก หลังจากที่ส่งมอบทุกสิ่งที่มีให้กับเจ้าหนี้แล้ว เราสี่คนครอบครัวจึงได้ไปอาศัยอยู่ในห้องชุด ขนาดกึ่งใต้ดินที่หาได้จากการรวบรวมเศษที่เหลือเล็กน้อย

แม่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าและตื่นตระหนก ทำให้เธอใช้เวลาไปกับเหล้าและยาสลับไปมา แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากตัวฮาจุนเองกับแม่ ใครสักคนต้องทำงาน แม่เลยกินยาตอนกลางวันแล้วไปทำงาน กลับมาตอนกลางคืนก็ดื่มเหล้า เธอคงรู้อยู่แล้วว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอันตราย และแม้ว่าฮาจุนเองไม่ชอบที่แม่เป็นเช่นนั้นแต่ก็ห้ามเธอไม่ได้

ศูนย์เด็กเล็กขนาดย่อมละแวกบ้านมีน้ำใจให้แม่ฝากน้องๆ ไว้ที่ศูนย์ระหว่างที่ไปทำงานได้ ทันทีที่ฮาจุนเรียนเสร็จก็จะไปรับน้องๆ กลับมาดูแลต่อทันที แม้แต่เด็กเล็กวัยห้าขวบที่คิดว่าพ่อเดินทางไปเที่ยวยังที่ห่างไกลเพียงชั่วครู่ เด็กที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ยังสังเกตเห็นได้โดยสัญชาตญาณว่าภายในบ้านเละเทะขนาดไหน น้องสองคนแลดูมืดมนไม่เหมือนกับเพื่อนวัยเดียวกัน

ฮาจุนที่ยังเด็กคิดถึงสมัยที่ยังเด็กกว่านี้ของเขา ตอนที่ตัวเองอายุเท่ากับน้องๆ เขาเป็นเด็กที่มีความสุข และร่าเริงทีเดียว น่าเสียดายที่น้องๆ ไม่สามารถใช้ชีวิตวัยเด็กได้เหมือนอย่างเขา เพราะไม่ค่อยมีสิ่งที่พอจะทำได้ ดังนั้นทุกครั้งที่อยู่กับเด็กๆ ฮาจุนจึงพยายามทำให้พวกเขายิ้มได้และใช้เวลาอย่างสนุกสนาน

เมื่อถึงเวลานั้น น้องๆ จะเริ่มกลับมายิ้มอย่างไร้เดียงสาเหมือนเดิม โชคดีที่การเล่นกับน้องๆ ในฐานะพี่ชายของน้องสาวและน้องชายใช้เพียงเวลาและความพยายาม ไม่ได้ใช้เงิน

เวลาที่น้องสาวและน้องชายฝาแฝดนอนหลับ แม่จะกอดฮาจุนในอ้อมอกและร้องไห้ออกมาเป็นบางครั้งบางคราว เธอที่ควบคุมอารมณ์อย่างลำบากต่อหน้าฝาแฝดที่ยังเด็กได้ แต่เธอทำอย่างนั้นต่อหน้าฮาจุนลูกชายคนโตไม่ได้ และเพราะแม่ร้องไห้อยู่ เลยรู้สึกว่าเขาจะร้องไห้ไปอีกคนไม่ได้ ฮาจุนเองก็กลั้นน้ำตาไว้และได้แต่พูดปลอบใจแม่ว่า “แม่ อย่าร้องไห้เลยนะ” ขณะที่รอจนกว่าเธอจะหยุดร้องไห้ ในบางครั้งเขาก็แตะหลังแม่ด้วยมือเล็กๆ อีกด้วย

ถ้าเขาอายุมากขึ้นอีกสักนิด มันคงเป็นเรื่องยากที่จะใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นด้วยสติครบถ้วนดี บางครั้งฮาจุนก็มองย้อนกลับไปในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่นเต็มวัยแทนที่จะนั่งจมดิ่งกับความเศร้า เขาคิดแค่เพียงจะอดทนให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพราะเหล่าเด็กตัวน้อยเหมือนสัตว์ป่าถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่รู้จักสงสารตัวเอง

‘นายน่ะ อีฮาจุน ดูเหมือนนายจะมีความสามารถในการเตะบอลนะ ไม่สนใจเข้าชมรมฟุตบอลเหรอ’

อายุสิบสี่ปีที่เข้าเรียนมัธยมต้น จู่ๆ ครูพละก็เรียกฮาจุนให้มาที่ห้องจัดเตรียมโรงยิม ฮาจุนเข้าไปพบด้วยความกังวลว่าตนจะทำอะไรผิดไป คุณครูผู้เป็นที่ปรึกษาชมรมฟุตบอล และยังเป็นผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลได้ยื่นข้อเสนอที่คาดไม่ถึงให้

ฮาจุนสงสัยว่าจะฟังผิดไปจึงเอาแต่กะพริบตาชั่วครู่ ไม่นานเขาก็ซ่อนความเขินอายและตอบไปเหมือนวางเฉย

‘บ้านผมค่อนข้างยากจน ชมรมกีฬาคงจะลำบากไปครับ’

‘ใช่สิ ฉันเองก็ได้ยินมาบ้างแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องเข้าร่วมใหญ่เลย ชมรมกีฬาโรงเรียนเราโด่งดังไม่ใช่หรือไง ให้การสนับสนุนเยอะแยะ นายไม่ต้องเตรียมอะไรเพิ่มเลย มีเครื่องแบบให้ด้วย รองเท้าฟุตบอลน่ะ ถ้านายตกลงเข้าร่วม ฉันจะเตรียมรองเท้าที่เข้ากับไซส์นายไว้ให้คู่นึง ได้ยินมาจากครูประจำชั้นว่านายได้สวัสดิการรัฐด้วยนี่ ใช่ไหม’

‘ครับ’

‘นายคงไม่รู้สินะ ถ้าอย่างนั้นนายเข้าร่วมชมรมน่าจะดีกว่า ครูจะลองหาทางรับทุนสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ เผื่อนายให้เอง ถ้าถูกเลือกเป็นนักกีฬาอนาคตไกล นายอาจจะได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนกับเขตด้วย’

‘…ท้ายที่สุดแล้วคงทำได้ไม่ดีแน่ๆ…’

‘ระหว่างฝึกฝนก็มีของว่างให้ด้วยนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นนายก็แทบไม่มีอะไรให้เสียเลยนะ’

ฮาจุนบอกว่าผมจะลองเก็บไปคิดดู กลับบ้านมาวันนั้นก็นั่งครุ่นคิดทั้งคืน เงินสนับสนุน ของว่าง ถ้าโชคดีก็ได้ทุนการศึกษา เงื่อนไขไม่เลวเลยทีเดียว ก่อนอื่นก็ลองทำดูก่อน ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้ค่อยล้มเลิกไป

เพราะคิดว่าการออกกำลังกายต้องใช้เงินจำนวนมาก เขาเลยไม่เคยแม้แต่จะใฝ่ฝันว่าอยากเข้าชมรมกีฬา โชคดีที่ฮาจุนได้เงินจำนวนเล็กน้อยขณะที่เข้าร่วมเล่นฟุตบอล

ตอนเรียนชั้นประถมศึกษาก็เคยเตะฟุตบอลอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีพรสวรรค์ หรือชื่นชอบการเล่นฟุตบอลเป็นพิเศษเลย ฉะนั้นจึงประหลาดใจที่ได้ยินคำชมว่ามีพรสวรรค์ และยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม ที่ถูกเลือกให้เป็นนักกีฬาอนาคตไกลในภาคเรียนที่สองจนได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน

หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมก็ดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง สมัยเด็กเคยได้ยินว่าเป็นเด็กที่ว่องไว และยิงประตูเก่งเวลาเล่นฟุตบอลด้วยกันกับเพื่อนๆ แต่ฟุตบอลที่เล่นในชมรมฟุตบอล สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรถึงจะสกัดกั้นลูกบอลของฝ่ายตรงข้ามได้ ทำอย่างไรถึงจะเลี้ยงลูกส่งบอลต่อได้โดยไม่พลาด และทำประตูได้ตามกลยุทธ์

ตามที่โค้ชกล่าวไว้ ฮาจุนมีความเข้าใจในกลยุทธ์และเฉลียวฉลาดในด้านกีฬาฟุตบอลมาก เขากล่าวว่าฮาจุนเป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวสำรองมากกว่าที่จะดึงดูดความสนใจ เขาคือคนที่สามารถอ่านภาพรวมของการแข่งขันได้ดี มีความอดทนสูง ทั้งยังอุตสาหะ จึงต้องเป็นกองกลาง ฉะนั้นฮาจุนจึงเป็นกองกลาง โดยหลักๆ ก็ได้รับหน้าที่เป็นกองกลาง ตัวรับที่เล่นในแนวป้องกันฝั่งซ้าย

ไม่น่าเชื่อเลยว่าครั้งที่ถูกเรียกตัวไปเล่นในทีมชาติเยาวชนเป็นครั้งแรกคือตอนอายุสิบหก ตอนที่อยู่มัธยมต้น ทั้งมีความสุขและน่ากลัวไปพร้อมกัน เป็นการเริ่มเล่นฟุตบอลเพียงเพราะขาดแคลนอาหารและการเงินขัดสนเท่านั้น ตัวเราจะมีคุณสมบัติในตำแหน่งแบบนี้จริงๆ เหรอ

คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากออกไปสนามใหญ่เงินก้นถุงคงโผล่ออกมาหมด จนอาจจะถูกตัดแม้กระทั่งเงินสนับสนุนที่เคยได้รับก็ได้

มีนักเรียนมัธยมต้นเป็นตัวแทนทีมเยาวชนที่รวบรวมไว้เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย นักเรียนมัธยมต้นส่วนใหญ่เป็นตัวสำรองที่เลือกมาเพื่อทำการหมุนเวียน พวกเขาไม่ต้องการถูกรุ่นพี่ตีตราโดยเปล่าประโยชน์ จึงซื่อสัตย์ที่จะฝึกฝนตามกระบวนการโดยไร้คำบ่น ฮาจุนที่กังวลมากกว่ามีความสุขจึงต้องตามไปฝึกฝนอย่างอึดอัดใจด้วย

แม้ในขณะที่ได้รับการฝึกฝนให้ทีมชาติ แม่เองก็ไม่สามารถปริปากบอกน้องๆ ได้ว่าถูกเรียกตัวไปฝึกด้วย แน่นอนว่าโปรแกรมการฝึกซ้อม รวมทั้งค้างแรมร่วมกันในระยะยาวกินเวลาประมาณสิบห้าวัน แต่หลังจากหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ได้ ฮาจุนจึงตัดสินใจเข้าร่วมในช่วงสองคืนสุดท้ายเท่านั้น โค้ชทีมไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลบฮาจุนออกจากบัญชีรายชื่อ

แม้ว่าอาการของแม่จะดีขึ้นกว่าตอนแรกมากแล้ว แต่ก็ยังคงทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าและอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เป็นระยะๆ ทำให้การใช้ชีวิตในแต่วันช่างยากลำบาก น้องๆ ก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าถูกเรียกตัวเข้าทีมเป็นตัวแทนทีมชาติเยาวชนหมายความว่าอย่างไร แม่ควรจะมีความสุขแท้ๆ แต่ในเวลานั้นฮาจุนกลัวว่าความรู้สึกของแม่จะสั่นคลอนหากเกิดเรื่องที่ทำให้แม่ดีใจจนเกินไป

ค่ายฝึกซ้อมจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม อีกนัยหนึ่งคือเพื่อควบคุมและดูแลนักกีฬาตัวน้อยที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่โค้ชอนุโลมให้ฮาจุนไม่ค้างแรมที่ค่ายกว่าใครอื่นก็เพราะว่าฮาจุนเชื่อฟังคำสั่ง และเรียนรู้การฝึกฝนได้ไวกว่าใครๆ นั่นเอง อย่างไรก็ดีเขาก็เป็นตัวสำรอง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในคนที่จะโดดเด่น จะพร่ำเพรื่อต่อหน้านักกีฬาตัวหลักที่ยังเด็กไม่ได้ด้วย การได้มีส่วนร่วมเพียงเท่านั้นก็น่าพึงพอใจแล้ว

นอกจากนี้ยังมีเด็กมีปัญหาจริงๆ ในขณะที่เข้าค่ายราวกับไม่เข้าใจเรื่องการทำงานเป็นทีมเลยสักนิดอีกด้วย ฉะนั้นคำขอของฮาจุนจึงไม่เป็นปัญหาอะไรจากมุมมองของโค้ช

ฮาจุนที่เข้าร่วมค่ายสามวันสองคืนเกือบจะวันสุดท้ายก็ได้เจอกับ ‘นายคนนั้น’ อยู่ 2-3 ครั้ง หากไม่ใช่เวลาฝึกซ้อม เขาจะเสียบหูฟังที่หูและนั่งมองภูเขาที่ห่างไกลราวกับไม่สนใจผู้อื่นหรือไม่ก็ปิดตานอนอย่างเคร่งเครียด

แม้จะไม่ใช่บรรยากาศที่ดุเดือดเป็นพิเศษ แต่เดิมทีแล้วเขาก็เป็นคนมีชื่อเสียงเลยรู้สึกได้ถึงความเงียบงันของบรรยากาศที่ว่าห้ามแตะต้อง ถึงขนาดที่เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่กล้าเข้าใกล้พร่ำเพรื่อ ฮาจุนเองก็เช่นเดียวกัน

เว้นแต่เคยออกไปโทรศัพท์คุยกับที่บ้านในเวลาว่าง เลยบังเอิญไปเห็นนายคนนั้นคุยโทรศัพท์อยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคุยกับใคร แต่ยิ้มละมุน อีกทั้งยังพูดคุยแหย่เล่นกันได้มันช่างน่าเหลือเชื่อจนเผลอไปจ้องสักพัก เพราะเกรงว่าจะไปสบตาเข้าจึงลุกออกจากที่นั่น

และแล้วการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกินสิบเจ็ดปีที่เข้าร่วมเป็นครั้งแรกก็กำลังใกล้เข้ามา รู้สึกเป็นกังวล จนถอนหายใจลึกๆ แม้จะตำหนิตัวเองว่าทำไมถึงเป็นกังวลนัก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตัวหลักเช่นนั้น แต่ความตื่นเต้นไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมได้ตามที่ใจต้องการ

ฮาจุนไปยังที่ที่เงียบสงบไร้ผู้คนและซ่อนตัวในขณะที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ เพราะอยากไปทำใจให้สงบจึงแก้เชือกผูกรองเท้าออกทั้งหมดเพื่อผูกใหม่ แต่มือสั่นอยู่เรื่อยเลยไม่สามารถผูกเชือกใหม่ให้ดีอีกครั้งได้

ทำอย่างไรดีตรงที่ว่างหลังอาคารสนามกีฬา ฮาจุนนั่งบนกล่องพลาสติกที่ดูเหมือนจะจัดเก็บเพื่อนำไปรีไซเคิล เอาแต่มองปลายเท้าในภาวะตื่นตระหนกเล็กน้อย ตอนนั้นเองที่ใครบางคนพูดกับเขา

‘มาทำอะไรตรงนี้เหรอ’

ฮาจุนเงยหน้าขึ้นมา ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายรูปหล่อรุ่นเดียวกันยืนอยู่ เขาคือเด็กคนนั้นที่มักจะฟังเพลงอยู่เสมอ หรือไม่ก็นอนหลับอย่างเดียว เด็กชายผู้มีอายุเท่ากันที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวในบรรดานักเรียนมัธยมต้น

เด็กชายผู้ที่แม้จะได้เข้าไปเป็นตัวแทนทีมชาติแล้ว แต่ถ้าหากบางทีอารมณ์เสียขึ้นมาก็โดดการฝึกซ้อมตามอำเภอใจ จนได้เห็นภาพโค้ชโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่หลายครั้ง

……………………………………………….

ทันทีที่ฮาจุนเข้าไปในออฟฟิศ เขาก็ยืนพิงประตูอยู่เงียบๆ ไม่ได้เข้าไปนั่งประจำที่ โค้ชจองที่ยังอยู่ในห้องมองฮาจุนยืนอยู่ตรงนั้นและถามอย่างสงสัย

“โค้ชอี เป็นอะไรไปล่ะ”

“ครับ?”

“ยังไม่กลางฤดูร้อนสักหน่อย หน้าแดงก่ำเชียว แต่จะว่าไปตอนนี้อากาศก็ร้อนขึ้นเอาเรื่องอยู่นะ”

“อ่า ครับ บางทีผมก็หน้าแดงแบบนี้น่ะครับ”

ฮาจุนรีบก้าวเท้ากลับเข้ามานั่งที่เดิม เขาเปิดกระเป๋าเก็บสมุดโน้ต แฟ้ม ปากกา และสิ่งของอื่นๆ เพื่อเตรียมเลิกงาน แต่เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าสิ่งของต่างๆ ที่วางไว้บนโต๊ะถูกกวาดใส่กระเป๋าไปหมดแล้ว

ฮาจุนส่ายหัวและหยิบสิ่งของต่างๆ ที่ไม่ต้องการออกจากกระเป๋า พร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง การหายใจเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมจิตใจ เขาได้เรียนรู้ขณะที่ไล่เข้าคลาสเรียนหลายๆ คลาส หลังจากที่เข้าคลาสฝึกสอน เพื่อฟื้นฟูตัวเองและเพื่อเริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือตัวเขาเอง ในยามที่จำเป็นต้องสงบจิตลงก็จะเริ่มที่การสูดลมหายใจอย่างถูกต้อง

…มันต้องเป็นมุกหยอกเล่นหรืออะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ความหมายนั้นแน่ๆ วันนี้นายนั่นเพิ่งมีข่าวอื้อฉาวกับผู้หญิงคนหนึ่งออกมาแท้ๆ แต่มายึดติดกับเขาได้อย่างไรกัน ไม่เข้าท่าเลยสักนิด

หลังจากที่นอนด้วยกันครั้งเดียววันนั้นก็ไม่เห็นพูดอะไร ทำไมจู่ๆ วันนี้ก็… เป็นไปไม่ได้

“จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา อะไรเนี่ย”

“หืม”

“เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ”

แม้ว่าฮาจุนจะจัดกระเป๋าแล้ว แต่ก็ไม่สามารถออกจากออฟฟิศได้ทันที เขาจึงนั่งเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะกลัวว่าถ้าออกไปข้างนอกก็จะเจอมูคยอมรออยู่

ดูจากสภาพของช่วงนี้แล้ว ไม่ว่าคำนั้นจะหมายความว่าอย่างไรก็ตาม หากฟังเข้าก็น่าจะตอบโอเคอย่างแน่นอน เขากังวลว่าตัวเองจะเข้าใจผิดและเขินเก้อไปไกลราวกับตอนจูบครั้งแรก ฮาจุนไม่อยากทำตัวเหมือนเป็นคนโง่เง่า ที่จริงจังกับคำพูดหยอกเล่นอยู่คนเดียว หลงกลและรู้ไม่เท่าทันเพียงครั้งเดียวยังพอไหว แต่ถ้ามีครั้งที่สอง…

‘ถ้ามีแล้วจะทำไม’

ทันใดนั้น คำถามก็แวบเข้ามาในหัวของฮาจุนราวกับแสงไฟสว่างวาบ

ฮาจุนนึกถึงจูบในวันนั้นที่เวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว จูบของมูคยอมซึ่งยากที่จะจินตนาการได้ เพราะปกติ ก็ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสผิวของมูคยอม จูบนั้นมันช่างนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าที่คิดไว้

ความเจ็บปวดที่หายไปจากร่างกายเลือนรางราวกับความฝันที่ถูกลืมเลือน สัมผัสจากการจูบและสัมผัสของมูคยอมกลับมามีชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจของเขา ความทรงจำกลับกลายเป็นกลุ่มก้อนความรู้สึกที่เข้มข้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจิตใจของฮาจุนก็มักจะว้าวุ่นเป็นครั้งคราว

หลังจากที่ผู้จัดการทีมล้มป่วย เขาเองก็อยากให้กำลังใจกับมูคยอมมาตลอดอย่างน้อยก็คำพูดดีๆ สักคำ ถ้าหากว่าสนอกสนใจเขาสักเล็กน้อย คงไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่ามูคยอมคิดกับผู้จัดการทีมพัคจุนซองลึกซึ้งขนาดไหน

ฮาจุนก็แค่อยากปลอบโยนและเป็นกำลังใจให้ก็เท่านั้น เพียงแค่นั้นเอง แต่มันเกิดความชัดเจนอะไรจากคำพูดนั้นกันนะ มันไปอุดรอยรั่วในใจส่วนไหน ถึงทำให้มูคยอมกลับมามองเขาใหม่ ถ้าแค่ปลอบโยนแล้วมันยังทำให้เขารู้ได้ขนาดนี้ ถ้าหากต้องอยู่ใกล้กันขึ้นอีก การที่อีกฝ่ายจะรู้ความรู้สึกในใจของเขาปัญหาก็อยู่แค่เวลาเท่านั้น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูจะไร้ประโยชน์

ฮาจุนเอาแต่หลบหน้ามูคยอมมาตลอดตั้งแต่สมัยเป็นนักกีฬาแล้ว มองหน้าเขาทีไรหัวใจก็เต้นแรง แค่ไปอยู่ใกล้ๆ เขาเมื่อไหร่ก็เกรงว่าจะพลาดท่าทำหัวใจสั่นระรัวเลยรักษาระยะห่างเอาไว้ ฮาจุนหลบหน้าเขาตั้งแต่นาทีที่เขาเข้าไปในห้องล็อกเกอร์จนถึงเวลาอยู่ในหอพัก ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาทานอาหาร

ฮาจุนเลือกที่จะอยู่ห่างจากมูคยอมให้มากที่สุดแม้แต่ในสนามซ้อม เวลาว่าง หรือกระทั่งเวลาที่เขาไปรวมตัวกับนักกีฬาคนอื่นๆ วันที่ฮาจุนพบว่าในที่สุดก็จะได้พบกันในทีม เขาถึงกับฝึกทักทายให้ดูปกติดีตั้งสามวันก่อนที่จะไปเยี่ยมเยียนที่สนามฝึกซ้อม

การสร้างทีมเวิร์กที่เหนี่ยวแน่นในทีมชาติเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิด ในทีมชาติที่เป็นเช่นนั้นจะขาดมูคยอมที่เป็นเอชของทีมไปไม่ได้ ซึ่งหากไม่ติดธุระอะไรมูคยอมก็จะถูกนำตัวเข้าสู่การแข่งทันที หลังจากที่หยุดพักแค่ไม่กี่สัปดาห์หรือเพียงไม่กี่วัน และในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ใครหลายคนไม่พอใจด้วย การยอมรับในทักษะกับท่าทางจองหองเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันต่างหาก

ในช่วงต้นของการเซ็นสัญญากับกรีนฟอร์ด สโมสรจะไม่ยอมส่งมูคยอมมาง่ายๆ เว้นแต่จะเป็นการแข่งขันครั้งใหญ่ มูคยอมจึงมีความคาดหวังสูงกัลเวิลด์คัพที่ตนเองรอคอยมาตลอด แต่ว่าในความเป็นจริง มูคยอมได้เปิดเผยถึงความไม่พอใจในลักษณะที่ว่าเพราะความแตกต่างของเพื่อนร่วมทีมชาติทำให้มูคยอมรู้สึกว่ามีภาระหน่วงเหนี่ยว เป็นท่าทีที่แสดงออกว่าการจัดลำดับของรุ่นพี่รุ่นน้องนั้นจะมีไปเพื่ออะไร แม้จะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถโดดเด่นยากจะหาใครมาเปรียบแต่มันจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการเรียกตัวเข้าประจำทีมด้วยอย่างแน่นอน ต่างฝ่ายต่างมีหนามยอกอกกันอยู่แล้ว แต่มูคยอมก็ยังวิ่งอยู่ในสนามเดียวกันกับผู้คนที่เขาไม่ยอมรับ หากมูคยอมจะจำข้อมูลของเพื่อนร่วมทีมได้ก็คงมีแค่ ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ตามชื่อ เพื่อการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพซึ่งเหมาะสมกับกลยุทธ์เท่านั้น โดยเฉพาะนักกีฬาที่พอมีอายุหน่อยก็ได้แสดงความไม่พอใจต่อเอซวัยหนุ่มจากการที่พวกเขาถูกปฏิบัติเหมือนเป็นระยะสุดท้าย คำพูดที่ว่า ‘เป็นนักกีฬาน่ะ แค่เล่นกีฬาเก่งๆ ก็พอ เรื่องอื่นช่างมัน’ ใช้ไม่ได้กับกลุ่มหุ้นส่วนทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นการที่เขาจะจำฮาจุนไม่ได้ก็ไม่ได้เกินจริงเลย อีกอย่างฮาจุนก็ไม่ใช่สมาชิกที่จะได้ลงสนามแข่งเป็นคนต้นๆ ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามูคยอมจะจำกันไม่ได้จริงๆ…

แน่นอนว่าฮาจุนเองก็ไม่ได้เอาแต่หลบหน้ามูคยอมมาตั้งแต่ครั้งแรกหรอก เขาก็เคยคิดอยากเผชิญหน้าอยู่เช่นกัน การประชุมที่เอเชียนคัพก่อนอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ฮาจุนยังจำความรู้สึกที่หัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาดเมื่อได้เจอเขาตัวเป็นๆ หลังจากที่ไม่ได้เจอมานานได้อยู่เลย

ถึงอย่างนั้นแล้ว มูคยอมที่ตัวสูงก็เติบโตเป็นคนที่โดดเด่นและมีใบหน้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จองคยูนั่งถัดไปจากมูคยอมพร้อมพูดคุยอย่างเป็นกันเองตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา นั่นเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาเสียจริงๆ

ลองเข้าไปทักทายดีกว่า แค่ถามว่านายจำฉันได้ไหมนะแบบนั้นก็พอแล้วนี่

ด้วยความแน่วแน่ขนาดนั้น เขาจึงเดินวนไปใกล้ๆ จึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง

‘อะไรนะ จริงเหรอ พวกผู้ชายกับนายเนี่ยนะ’

‘ก็ใช่น่ะสิ ไม่มั่วนิ่มเลย จะไปล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ทำไม’

‘คงเพราะเป็นต่างประเทศเลยเปิดกว้างล่ะมั้ง แล้วนายทำยังไงล่ะ’

‘จะทำอะไรได้ล่ะ ปฏิเสธไปน่ะสิ ในใจขนลุกแทบบ้า เวลาไปงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้ ฉันโดนทางตัวแทนบ่น ไม่ให้ออกตัวแรงแบบนั้นเป็นร้อยรอบได้แล้ว’

สองคนกำลังพูดคุยเรื่องที่มูคยอมโดนผู้ชายรุกใส่ที่ลอนดอน ฮาจุนหันหลังให้พวกเขาแล้วนั่งลงบนม้านั่ง ขณะฟังเรื่องราวของที่สองคนพูดคุยกันสักพัก

ไม่จำเป็นต้องนั่งฟังนานๆ มันเป็นเรื่องราวที่มูคยอมปฏิเสธคนที่เข้าหาเขาด้วยเรื่องเพศสภาพ จนเขารู้สึกขนลุกและเกลียดจนเกือบพ่นคำด่าแต่ต้องพยายามเก็บท่าทีตามที่ตัวแทนกำชับไว้กับเรื่องนั่นนี่อีกพอประมาณ

แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่ตรงไหนนะ เขาไม่ได้กำลังพูดถึงฮาจุนอยู่

เป็นช่วงเวลาที่ฮาจุนเองก็ไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าการที่ตัวเขาโอบกอดความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อมูคยอมเป็นความชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มอัจฉริยะวัยเดียวกันหรือเป็นความรู้สึกที่พัฒนาเป็นความรักไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฮาจุนก็กลับมาตรวจเช็กหัวใจทั้งดวงของเขา หลังจากที่ฟังบทสนทนาระหว่างมูคยอมกับจองคยู ในวันนั้นหากความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นเพียงแค่ความชื่นชม หากทั้งหมดเป็นแค่ความริษยาที่จะได้ใกล้ชิดกับนักกีฬาที่ชื่นชม ตัวเขาจะได้ไม่ลองดีกับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจราวกับเป็นบาปกรรมหรือรู้สึกหวั่นวิตกหลังจากที่ฟังบทสนทนาเหล่านั้น ฮาจุนลุกขึ้นจากม้านั่งและมุ่งหน้าไปยังที่ที่นักกีฬาคนอื่นรวมตัวกันอยู่

แม้จะอยู่ใกล้กับเขาฮาจุนก็ไม่มั่นใจเลยว่าความรู้สึกในใจของตนจะไม่ถูกจับได้ ฮาจุนชอบมูคยอมถึงขนาดที่ว่ารู้ทั้งนิสัย และแม้แต่สไตล์การเล่นที่ว่องไวของเขาอย่างแจ่มแจ้งเลยทีเดียว ส่วนคิมมูคยอมดูเหมือนจะไม่แยแสผู้คนรอบข้าง แต่เมื่อเขาตั้งอกตั้งใจอยู่ในสนามแข่งขัน เขากลับเคลื่อนไหวราวกับอ่านความคิดอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ดูเหมือนเขาจะไม่ตกหลุมพรางกับการแสดงที่เงอะงะเลยสักนิดเดียว มันน่าจะดีกว่าถ้าคงสถานะไว้เป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่ได้พบเจอกันเป็นครั้งคราว แทนที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุกสำหรับเขาจนสายตาที่จับจ้องมาที่เขายังจับสังเกตได้

ตอนฮาจุนอายุสิบหกปี วันที่ได้เล่นให้กับทีมชาติเยาวชนโดยถูกเรียกตัวเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิญญาณของฮาจุนเหมือนจะถูกจำนองให้กับชายผู้ที่ไม่น่าจะชายตามองเขา จากวันนั้นจนเวลาล่วงเลยเป็นสิบปีมาแล้ว ฮาจุนก็ไม่เคยตกหลุมรักใครเลยสักครั้ง

ไม่เคยพยายามถนอมหัวใจที่ไม่หวังผลตอบแทนเลยสักครั้ง ไม่สิ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ต้องการหลุดพ้นจากพันธนาการ ด้วยความสมัครใจโดยไม่มีใครมาชี้สั่ง มีคนรักเหมือนคนอื่น และแลกเปลี่ยนความรู้สึกพร้อมกระซิบว่ารักได้อย่างธรรมดาและมั่นใจ แต่ทว่าเขาแค่ไม่แม้แต่จะรู้สึกเปี่ยมล้นหรือเกิดอาการคล้ายๆ ใจเต้นแรงและหวั่นไหวกับใครๆ เหมือนที่รู้สึกเวลามองมูคยอม จนในระหว่างนั้นก็ล่วงเลยมาเป็นสิบปีไปแล้วเท่านั้นเอง

ถ้ามันได้แล้วจะทำไม ถ้าถูกจับได้แล้วจะเป็นอะไรไป

ถึงไม่ใช่คำพูดที่มีความหมายจริงจังแล้วยังไง…

ตัวเองอีกร่างกำลังกระซิบสิ่งล่อใจแสนอันตรายอยู่ในหัว ก่อนจะได้ลองเข้าไปคุยกับมูคยอม ฮาจุนเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองไปยืนอยู่ริมหน้าผา รักข้างเดียวที่อยู่ตรงหน้าคือเป้าหมายที่ชื่นชอบ มันทำให้เปิดโชว์ฉายเดี่ยว ตีกลองและตีจังกูไม่รู้กี่ครั้งต่อวัน ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะมองไม่ออก แต่ในหัวใจของฮาจุนอยู่ในสถานะเตือนภัยพายุเข้าอยู่เสมอตั้งแต่เขามาเข้าทีมนี้แล้ว

“โค้ชอี ไม่ไปเหรอครับ”

“ไปครับ”

จบคำถามสุดท้ายจากพนักงานที่ยังคงอยู่ ฮาจุนลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตู เหลียวมองไปยังห้องล็อกเกอร์รอบหนึ่ง แล้วเดินไปตามทางเดินเงียบๆ

“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

“ครับ ลาก่อนครับ”

ฮาจุนกล่าวอำลาและเร่งก้าวเท้ามายังทางเข้าสนามฝึก ในสนามฝึกนั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เจอกับมูคยอมเลยสักครั้งเดียว เขาน่าจะกลับไปแล้วล่ะ หลังจากออกมาจากสนามฝึก ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเท้าเอื่อยๆ ไปยังป้ายรถเมล์ ดูเหมือนวันนี้จะหลบหน้ามูคยอมได้อย่างปลอดภัยแล้วละ

สุดท้ายแล้วพรุ่งนี้ก็เป็นแค่อีกวันหนึ่ง วันพรุ่งนี้ความคิดที่โลเลของมูคยอมก็น่าจะเปลี่ยนไปเช่นกัน วันพรุ่งนี้เราอาจจะทำเหมือนบทสนทนาของวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างหลังจากวันนั้น

ฮาจุนย้ำกับตัวเองอย่างหนักว่ามันไม่มีอะไร โชคหล่นทับเฉยๆ แต่หลังจากวันนั้นท่าทางที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ของมูคยอมก็ทำให้รู้สึกเสียใจนิดหน่อยอยู่เช่นกัน ฮาจุนเองก็เคยลองเสแสร้งทำแบบบนั้น แต่มันไม่ง่ายเลย

ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร เขาแค่ต้องการหลีกหนีอาการลิงโลดเพียงลำพังกับมุกหยอกอันยั่วยุ ของชายผู้ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไรในวันพรุ่งนี้ มันเหมือนกับจัดแสดงโชว์เดี่ยวอยู่ลึกๆ ข้างในใจวันละสิบสองครั้ง และนั่นก็น่าอับอายเพียงพอแล้ว อย่างน้อยครั้งนี้ เขาจะไม่พลาดทำอะไรน่าอายเหมือนอย่างตอนจูบแรกหรอก

‘ปี๊น’

ตอนนั้นเอง ที่ได้ยินเสียงบีบแตรรถยนต์ ฮาจุนที่ก้มลงมองแต่พื้น และจมอยู่แต่ในความคิดของตัวเองเงยหน้าขึ้นทันที ไม่เพียงแค่ฮาจุนเท่านั้นแต่ผู้คนที่ได้ยินเสียงนั้นต่างก็เงยหน้าหันไปมองด้วย

รถสปอร์ตสีส้มที่เด่นชัดในความทรงจำจอดเทียบไหล่ถนน พร้อมเปิดไฟฉุกเฉินตรงทางไปป้ายรถเมล์อยู่ ตาของฮาจุนเบิกโพลง เขารีบหันหัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและย่ำเท้าไวๆ ถึงอย่างนั้นแล้วรถยนต์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวตามเขาไป ‘ปี๊นปี๊น’

เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกสองครั้งราวกับประท้วง ฮาจุนก้าวเท้าเร็วขึ้นอีก จากนั้นเสียงบีบแตรก็ดังนานขึ้นอีกเช่นกัน

‘ปี๊นนนนนนน’

“อะไรเนี่ย”

“ท่าทางจะเพี้ยนไปแล้ว แจ้งความดีไหม”

“คนพวกนี้ขับรถยนต์ราคาแพงแล้วมันยังไง ไร้สมองเหรอ”

ผู้คนต่างขมวดคิ้วและบ่นพึมพำกับมลพิษทางเสียงที่เจตนาทำให้หูอื้อ ฮาจุนที่ได้ยินเสียงตำหนิเหล่านั้น ถอนหายใจพร้อมหยุดเดินในที่สุด เมื่อเขาหันไปด้านข้างเสียงบีบแตรจึงหยุดลง ฮาจุนไปยืนตรงที่นั่งข้างคนขับรถยนต์ หน้าต่างรถจึงเลื่อนลง

แน่นอนมูคยอมที่เปลี่ยนไปสวมชุดนอกเครื่องแบบกำลังควงพวงมาลัยรถยนต์อยู่ รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อย กับสีหน้าซุกซนราวกับกำลังคิดว่าลองดูสิ นายจะทำอะไรได้

“ขึ้นรถ”

ฮาจุนเปิดประตูอย่างหงุดหงิดและก้าวขึ้นรถพร้อมตะคอกใส่

“ปิดหน้าต่างรถสิ”

“ทำไม อยากอยู่ในพื้นที่มิดชิดกับฉันเหรอ”

“ตอนนี้ผู้คนข้างนอกด่านายกันหมด ถ้าไม่อยากโดนถ่ายรูปไปด่าเพิ่มก็รีบปิดกระจกสิ”

มูคยอมพยักหน้าหงึกๆ แล้วยกกระจกปิดหน้าต่างรถ รถยนต์เคลื่อนเฉียงบนไหล่ทางเข้ามาบนถนนและเริ่มวิ่ง

“ก็บอกว่ามาคุยกันหน่อยไง ทำไมเอาแต่หนีอยู่เรื่อย กลัวฉันจับไปกินหรือไง”

“ถ้าจู่ๆ นายพูดอะไรแบบนั้นขึ้นมา ฉันต้องตอบใช่เสมอเลยหรือไง”

มูคยอมยิ้มแกมเอ็นดูราวกับว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ

“ดูออกจะเรียบร้อย ฉุนเฉียวง่ายอยู่นะ ถึงจะเดาไว้แล้วก็เถอะ”

ฮาจุนไม่ตอบ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเดียว ครั้งแรกที่ที่นั่งข้างคนขับของรถยนต์ลัมโบร์กีนีเป็นผู้ชายนั่ง ไม่คิดว่าจะได้นั่งตรงนี้ถึงสองครั้งเลย

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดอะไรแย่ๆ หรอกนะ แต่ก็อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ เพราะครั้งนี้ฉันมีงานถ่ายแบบด้วยเลยตั้งใจว่าต่อไปนี้จะเลิกหลับนอนอย่างวันไนต์สแตนด์กับคนที่ไม่ค่อยรู้จักแล้วน่ะ”

“…….”

“ฉันไม่เคยคบใครคนเดียวนานๆ แบบตายตัว แต่อย่างพวกเราก็ไม่เสียหายนี่ ไหนๆ ในทีมก็มีผู้ชายกันเอง ที่เจอกันทุกวัน ไม่น่าจะมีอะไรอึดอัดในสายคนอื่นนะ นายเองก็จำเป็นต้องประจันหน้าด้วยไง”

ไฟสีเหลืองกะพริบบอกสัญญาณไฟจราจรซึ่งห้อยอยู่กลางอากาศ รถยนต์ที่วิ่งเคียงข้างกันค่อยๆ เริ่มชะลอตัวลง มูคยอมถามราวกับว่าเพิ่งนึกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่คาดคิด

“นายมีคนที่คบอยู่หรือเปล่า นอกจากฉันยังมีคนอื่นอีกไหม”

“ไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้น จะเป็นไรไป ลองคบหากับฉันแบบเปิดเผยน่ะ”

แม้จะได้รับข้อเสนอ ฮาจุนก็ยังนั่งเงียบ ระหว่างที่เงียบงัน ไฟแดงเปลี่ยนเข้ามา รถยนต์หยุดสนิท มูคยอมวางมือบนพวงมาลัย เงยหน้าขึ้นและจ้องมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮาจุนปริปากช้าเกินไป

“…หมายถึงสิ่งนั้นใช่ไหม”

“สิ่งนั้น”

“เซ็กส์…”

“แน่นอน นึกว่าฉันขอคบเป็นแฟนหรือไง เรื่องนั้นนายเองก็เบื่อเหมือนกันนี่นา”

มูคยอมยกริมฝีปากเพื่อจะตอบ ตอนนั้นเองฮาจุนถึงสบตาเขา มูคยอมหยอกล้ออีกแล้วสินะ

“ทำไม อยากคบกับฉันเหรอ”

อย่างไรก็ตาม ฮาจุนเมินคำถามนั้นและถามซ้ำอีก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อะไร?”

“จะชวนไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“มันก็ขึ้นอยู่กับนายนั่นละ ตอนนี้เลยฉันก็ไม่เกี่ยง”

“วันนี้ไม่ได้หรอก”

ฮาจุนพูดอย่างเฉียบขาด

“ถ้างั้น?”

“ก่อนเกมเยือนครั้งนี้… ฉันจะลองคิดดูแล้วกัน ”

“ได้เลย”

ไหนๆ ก็เป็นความสัมพันธ์ที่คุ้นเคยกันมาแล้ว ต้องกลับไปคิดอะไรอีก มูคยอมรู้สึกไม่พอใจเลยแสร้งตอบ เหมือนไม่ได้ใส่ใจ เป็นอย่างนั้นตั้งแต่วันแรกเลย แต่อีฮาจุนดูเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ออกจะเล่ห์เหลี่ยมจัดกว่าที่เห็นเสียอีก ดีจัง พยายามปรับตัวเข้าหาเขาอีกครั้งเถอะ มูคยอมยิ้มอยู่ในใจ

ไฟสีเขียวเข้ามาแทน รถยนต์จึงเริ่มเคลื่อนออกไปอีกครั้ง ว่าแต่ว่ารถคันนี้จะไปที่ไหนกันนะ ฮาจุนที่ขึ้นรถยนต์ทั้งๆ ที่ไม่รู้แม้กระทั่งที่หมาย เพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้ มูคยอมถามราวกับอ่านความในใจออก

“ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวไปส่ง กลับบ้านใช่ไหม”

“อืม”

“บอกที่อยู่มา”

………………………………………………

เขาไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย ไม่นึกเลยว่าเขาคิดอยากจะทำมันอีกครั้ง

ภาพของฮาจุนที่กำลังพูดคุยกับโค้ชคนอื่นๆ อย่างจริงจังปรากฏอยู่ในกรอบสายตา อีกฝ่ายพลิกสมุดบันทึกขณะที่ดวงตาก็มองดูสิ่งที่เคยจดบันทึกลงไปด้วย เหมือนกับกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกันอยู่

ฮาจุนดูเกลี้ยงเกลาเรียบร้อย แม้ไม่ผ่านการปรุงแต่ง อีกฝ่ายเป็นคนที่ขยันขันแข็ง ซื่อตรงและรับผิดชอบในทุกๆ งานอย่างกระตือรือร้น แต่ทำไมเขาถึงประทับใจตอนที่อีกฝ่ายหมดแรงทรุดลงเมื่อถูกสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่รู้ มูคยอมนึกสงสัยว่าเขาเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกแบบนั้น หรือว่าคนอื่นก็รู้สึกเหมือนกัน และที่มูคยอมจินตนาการแบบนั้นได้ อาจเป็นเพราะเขาได้เห็นภาพตอนที่อีกฝ่ายหมดแรงทรุดลงบนเตียง หรือพูดให้ชัดก็คือบนโซฟาก็ได้

มูคยอมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงสมัยที่เป็นนักกีฬาอาชีพ แต่ตอนนี้ฮาจุนก็ไม่ได้ย้อมผมเป็นสีสว่างหรือตัดแต่งอะไร ทรงผมก็เป็นทรงที่เรียบง่าย ไม่มีแม้แต่รอยสักที่เห็นได้ทั่วไปเวลาถอดเสื้อผ้า ถึงแม้ว่าจะมีรอยแผลเป็นที่ชัดเจนเสียยิ่งกว่ารอยสักหลงเหลืออยู่ก็ตาม

อาจเพราะรูปลักษณ์ของฮาจุนเป็นแบบนั้น บรรยากาศที่เรียบง่ายจึงแผ่กระจายออกมายามที่อีกฝ่ายมีสีหน้าไร้อารมณ์หรือกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง แต่หลังจากที่มูคยอมได้เห็นตอนที่อีกฝ่ายนอนแผ่ยับเยินอยู่เบื้องล่างตนครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็เอาแต่นึกถึงตอนนั้นอยู่บ่อยครั้งดั่งภาพฝันที่ติดตา ทั้งที่เคยไปเวิลด์คัพเหมือนกันมาแท้ๆ แต่กลับนึกไม่ออกเลย

***

“โค้ชอี ทานข้าวด้วยกันสิครับ”

มูคยอมเรียกฮาจุนที่ถือถาดอาหาร และทำท่าจะเดินไปยังที่นั่งของโค้ชในตอนเที่ยงเหมือนทุกวันให้หยุดลง จองคยูที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันเบิกตากว้างคล้ายกับจะถามเขาว่าเรียกทำไม มูคยอมคิดว่าอีกฝ่ายจะหลบหน้าตนอีกครั้ง แต่แล้วฮาจุนก็ยืนขึ้นก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง และเดินมายังโต๊ะที่มูคยอมนั่งอยู่

หัวข้อสนทนาที่ไม่ได้พูดถึงในห้องล็อกเกอร์ถูกนำขึ้นมาพูดเล่นหยอกล้อเบาๆ ท่ามกลางโต๊ะทานอาหารที่มีมูคยอมนั่งอยู่ตรงกลาง แต่เพราะเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทสนมและคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงไม่สามารถสะกดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นในสายตาเอาไว้ได้ ชายคนหนึ่งในนั้นชวนฮาจุนคุย

“โค้ชเองก็เห็นแล้วเหมือนกันใช่ไหมครับ”

“อะไรเหรอ”

“รูปหลุดของพี่มูคยอมไงครับ”

ฮาจุนขมวดคิ้ว

“จะพูดเรื่องนั้นต่อหน้าเจ้าตัวทำไม”

“ทำไมครับ แล้วไงล่ะ พี่มีอะไรต้องอายด้วยเหรอ ที่เกิดเรื่องแบบนั้นก็เพราะเขาหล่อเกินไปน่ะสิ”

ท่ามกลางชายหนุ่มที่กำลังอมยิ้ม ฮาจุนตาสบตากับมูคยอมแวบหนึ่งด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะหยิบช้อนตักอาหารโดยไม่ตอบอะไร ในขณะที่มูคยอมก็ส่ายศีรษะไปมา

“วันนี้โดนด่าไปเยอะแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก”

“ฉันพูดอะไรไปเหรอ ใครได้ยินเข้า เดี๋ยวเขาจะคิดว่านายเป็นคนที่เชื่อฟังคำพูดของคนอื่นนะเนี่ย”

“วันนี้พวกพ่อครัวแม่ครัวไม่คุยกับฉันเลย เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่นี่เลย”

“ไม่ใช่เพราะที่ฉันพูด แต่เพราะโดนเมินแบบนั้นเองสินะ”

จองคยูหัวเราะคิกคัก ขณะที่มูคยอมย่นคิ้วน้อยๆ

“รอบนี้ฉันก็ตกใจเหมือนกัน ถูกปล่อยภาพเลยนะ เรื่องปกติที่ไหนวะ”

“ใครเหรอครับ ไม่รู้จักกลัวเลยจริงๆ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

เมื่อมูคยอมตัดบท ชายหนุ่มที่ลอบถามก็หุบปากทันที

“ยังไงซะ ฉันก็อยากเปลี่ยนการใช้ชีวิตอยู่เหมือนกัน คงต้องลงหลักปักฐาน… อย่างที่จองคยูพูดแล้วละ”

“ว่าไงนะ”

เมื่อมูคยอมพูดอย่างนั้น จองคยูที่ชอบบ่นเขาว่า ไปหาคู่ซะ คบใครเป็นตัวเป็นตนสักที เหมือนเป็นพ่อสื่อก็ตกอกตกใจและส่งสายตาไม่น่าไว้ใจมาให้ ในขณะที่ฮาจุนก็เบิกตากว้างราวกับตกใจพร้อมกับมองไปที่มูคยอม มูคยอมเอียงแก้วน้ำและเอ่ยต่ออย่างจริงจัง

“ถึงจะไม่ชอบเสียงเอะอะ แต่ฉันก็ไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนกัน ถือโอกาสนี้หาคู่ดีๆ สักคนก็คงไม่แย่เท่าไร”

“เออ คิดดีแล้ว นายเอาแต่พูดว่าสนุก แต่พอผ่านไปวันสองวันก็บอกว่าเริ่มเหนื่อยไง รู้ไหมว่าความรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้อยู่กับคนที่ชอบ มันดีแค่ไหน”

“ลูกพี่จองคยูกับพี่สะใภ้คงรักกันดีมากๆ เลยนะครับ”

ขณะที่จองคยูพูดถึงข้อดีของการแต่งงานและความรักที่มั่นคง มูคยอมก็มองไปที่ฮาจุน ฮาจุนยังคงทานอาหารต่อไปโดยไม่พูดอะไร ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจบทสนทนานี้มากนัก จองคยูกระแทกไหล่พลางบีบนวดให้มูคยอม

“มีใครในใจไหม หรือให้ฉันแนะนำคนที่โอเคให้ไหม”

“มีอยู่แล้ว”

“อะไร โห ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไอ้หนู ถ้ามีคนในใจแล้ว ต้องบอกลูกพี่ก่อนสิวะ”

“ก็ฉันยังไม่ได้คุยกับคนนั้นนี่หว่า เก็บไว้ในใจฝ่ายเดียว”

“พี่ จริงเหรอครับ แล้วเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ที่อังกฤษเหรอ หรือว่าเป็นผู้หญิงเกาหลีครับ”

เมื่อโต๊ะอาหารเริ่มเสียงดังวุ่นวาย ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นก็พากันหันมามอง ตอนนั้นเองฮาจุนที่ทานอาหารโดยไม่พูดอะไรสักคำก็ดันเก้าอี้และลุกขึ้นราวกับจะตัดบรรยากาศที่กำลังตื่นเต้นลงฉับ

“ฉันอิ่มแล้ว เจอกันตอนฝึกรอบบ่ายนะ”

“อ๋อ อือ โอเค ฮาจุน”

ฮาจุนขยับตัวลุกออกไป ขณะที่จองคยูบอกลาอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามฮาจุนก็พูดขึ้นเบาๆ

“พี่ฮาจุน ไม่สิ โค้ชคงไม่ชอบคุยเรื่องแบบนี้แน่เลยครับ”

“เขาไม่ใช่คนที่ชอบซุบซิบนินทา ต่อหน้าฮาจุนพวกนายก็ระวังปากด้วยละ โดยเฉพาะเรื่องด่าลับหลัง”

มูคยอมมองแผ่นหลังของฮาจุนแล้วยิ่งรู้สึกพอใจ อีกฝ่ายพูดน้อยและไม่ชอบซุบซิบนินทา

ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ มันจะไม่มีทางรั่วไหลออกมาแน่ เหตุการณ์อย่างเช่น ถูกปล่อยภาพคงไม่มีวันเกิดขึ้น การสานสัมพันธ์กับฮาจุนในระยะยาวนั้น ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่สมบูรณ์แบบ

การฝึกภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้น และมูคยอมก็ฝึกอย่างเอาจริงเอาจัง เหล่านักกีฬายืนต่อแถว วิ่งระยะสั้นไปกลับจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมาย เลี้ยงลูกแบบซิกแซกผ่านสิ่งกีดขวาง และฝึกส่งลูก โดยที่เหล่ากองหน้าซึ่งรวมถึงมูคยอมต้องฝึกความเร็วแยกต่างหาก และสุดท้ายก็รวมทีมซ้อมแข่งขัน ในขณะเดียวกันฮาจุนก็คอยจดบันทึกหรือให้คำแนะนำและอยู่ซ้อมด้วยกันจนจบ

“โค้ช”

ทันทีที่ซ้อมเสร็จ นักเตะก็รีบแยกย้ายกลับบ้าน แต่ฮาจุนกลับยืนถือสมุดบันทึกเหมือนยังมีอะไรที่ต้องตรวจสอบอีก ทันทีที่มูคยอมเดินเข้ามาใกล้ ฮาจุนก็หันมองอย่างหน้าตาย

“ทำไม”

“ฉันเจ็บข้อเท้านิดหน่อยตั้งแต่ฝึกเลี้ยงบอลเมื่อกี้”

ทันทีที่มูคยอมเบ้หน้าและพูดขึ้น ดวงตาของฮาจุนก็พลันเบิกกว้าง

“ว่าไงนะ”

“ดูให้หน่อยได้ไหม”

“ต้องดูสิ ไม่ ไม่สิ รอเดี๋ยว ฉันดูไม่ได้หรอก ต้องเป็นทีมแพทย์”

“ดูให้ก่อนสิ นายรู้เรื่องข้อเท้าฉันดีที่สุดแล้วนี่”

ประโยคนั้นเหมือนจะทำให้ฮาจุนงุนงงแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าลง

“นั่งลงสิ”

มูคยอมทรุดนั่งลงและเหยียดขาบนสนามหญ้า ก่อนที่ฮาจุนจะทาบมือลงบนท่อนขาของมูคยอมโดยไม่ลังเล ทันทีที่มือขาวสัมผัสบริเวณข้อเท้าอย่างระมัดระวังและเริ่มออกแรงกด มูคยอมก็รู้สึกถึงความพึงพอใจอย่างที่เคยรู้สึกอีกครั้ง

“โค้ช”

“หืม”

ฮาจุนไม่หันไปตามเสียงเรียกของมูคยอมราวกับกำลังจดจ่ออยู่กับข้อเท้า และเอ่ยตอบรับโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่ามูคยอมจะเรียกอีกฝ่ายและไม่พูดอะไรต่อ แต่ฮาจุนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ มูคยอมจึงหรี่ตาและมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย

“หัวเข่ามีปัญหา…”

ฮาจุนพึมพำพลางใช้มือกดกล้ามเนื้อยาวบริเวณแข้งและยกขึ้น ไม่ว่าจะมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เมื่อไหร่ก็ตามที่กดลง อีกฝ่ายก็บอกว่าเจ็บ มูคยอมขมวดคิ้วนิ้วหน้าน้อยๆ ฮาจุนทาบมือลงบนหัวเข่า และใช้นิ้วหัวแม่มือกดเบาๆ ที่ต้นขาด้านใน อีกฝ่ายเอาแต่มองขา แพขนตางอนบนใบหน้าที่ก้มลงเล็กน้อยขยับขึ้นลงโดยไร้เสียง

การตรวจโรคด้วยมือแบบง่ายๆ ของโค้ช มันทำให้รู้สึกวาบหวิวได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

“เวลาคนเรียกก็มองหน้าหน่อยสิ”

“หืม”

ตอนนั้นเองฮาจุนถึงได้หันมาสบตากับมูคยอม และก่อนที่มูคยอมจะได้พูดอะไรต่อ ฮาจุนก็ดูเหมือนจะจับได้ในทันทีว่าเขาป่วยการเมือง

ฮาจุนเบิกตากว้าง จ้องเขม็งพลางตีต้นขาเขาดังเพี๊ยะ จนเสียงกรีดร้องเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของมูคยอม

“อ๊ะ!”

“ไอ้คนแกล้งป่วย นายชอบล้อคนอื่นเล่นแบบนี้เหรอ”

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ นายก็ชอบหลบหน้าฉันไม่ใช่หรือไง”

ฮาจุนทำหน้าเหลือเชื่อและย้อนถาม

“ฉันจะหลบหน้านายทำไม”

“ฉันก็อยากถามเหมือนกัน”

“เราเพิ่งกินข้าวกลางวันด้วยกันไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าหลบหน้ากันแบบเปิดเผย มันจะชัดเจนเกินไป นายก็เลยมาอยู่ใกล้ๆ แล้วก็หลบหน้ากัน เป็นกลวิธีอำพรางประเภทหนึ่งใช่ไหมล่ะ”

“ตอนนี้ฉันก็อยู่ตรงหน้านายนี่ไง”

“เพราะฉันบอกว่าเจ็บ นายในฐานะ Fitness Coach ก็เลยไม่มีข้ออ้างให้หลบหน้าน่ะสิ”

ฮาจุนถอนหายใจราวกับเอือมระอาพลางเสยผมด้านหน้าของตัวเอง

“นายน่ะ ฉันไม่ยุ่งกับนายมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ… ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อจังนะ”

“เพราะเรื่องวันนั้นเหรอ”

ฮาจุนที่ก้มหน้าอยู่เหลือบมองมูคยอมด้วยสายตาที่คล้ายกับกำลังตำหนิเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่มูคยอมไม่สนใจแล้วพูดว่า

“นายไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะมันยิ่งกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิมซะอีก”

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ จะพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกทำไมตอนนี้”

ฮาจุนผุดลุกขึ้นพรวดพราดและเริ่มเดินออกไปเหมือนโมโห มูคยอมจึงรีบลุกขึ้น ไล่ตามหลังไป

“ได้ยินเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม”

“อะไร”

“ที่บอกว่าตอนนี้อยากลงหลักปักฐานเป็นตัวเป็นตนไง”

“อืม ก็เป็นความคิดที่ดีนะ ถ้ามีข่าวออกมาอีก ทีมก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย”

มูคยอมยืนขวางอยู่ตรงหน้าฮาจุน ขณะที่ฮาจุนเบนสายตาไปมองท้องฟ้าว่างเปล่าด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นมูคยอมก็ถามขึ้นโดยไม่สนใจ

“แล้วเรื่องที่ฉันมีคนในใจล่ะ”

“มีหูก็ต้องได้ยินสิ แล้วจะพูดถึงทำไม”

“เพราะคนคนนั้นก็เป็นคนที่นายรู้จักไง”

ประโยคนั้นทำให้ฮาจุนทำได้เพียงสบตากับมูคยอม ความอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไม่มิดคลออยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย แต่มันก็แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ไม่นานนักฮาจุนก็ขมวดคิ้วและเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม ราวกับจะบอกว่าอย่าทำให้ขำหน่อยเลย

“ฉันรู้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่พวกเราสองคนรู้จักคุ้นเคยกันเลย”

“ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”

คำตอบสั้นๆ ของมูคยอมทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง เช่นเดียวกับสีหน้าสะเทือนใจน้อยๆ ที่ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ฮาจุนเลียริมฝีปากราวกับเป็นการกระทำจากจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้น

“…คนในทีมเราเหรอ”

“ใช่”

“นายบอกว่าผู้ชาย….”

นายบอกว่าฉันคือผู้ชายคนแรกไม่ใช่หรือไง มูคยอมได้ยินสิ่งที่ฮาจุนกำลังจะเอ่ยออกมาแต่ก็หยุดลงกลางคัน

เขาพูดแบบนี้แล้ว อีกฝ่ายก็น่าจะเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าฮาจุนจะไม่ได้คิดเลยว่าคนที่เขาพูดถึงคือตัวเอง ใบหน้าที่เคยคิ้วขมวดแสดงสีหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่มูคยอมพูด กลับแปรเปลี่ยนเป็นเฉยเมย เศร้าหมองโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้มูคยอมรู้สึกอึดอัด

“ไม่อยากรู้เหรอ”

“อะไร”

“ไม่อยากรู้เหรอว่าใคร”

“…ฉันไม่สน ถ้าจะขอให้แนะนำให้ล่ะก็ ไปพูดกับจองคยูเถอะ จองคยูเก่งเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ”

มูคยอมยืนแนบชิดข้างๆ ฮาจุนที่ขยับฝีเท้าอีกครั้ง

“นายมันทึ่ม หรือว่าเสแสร้งกันแน่”

“อะไร”

“ลองคิดดูสิว่าในบรรดาผู้ชายในทีมเดียวกันที่นายรู้จัก มีใครที่พอจะเป็นคนในใจของฉันได้บ้าง”

“ฉันไม่รู้เลย”

ขี้โกหกจังเลยนะ หลังจากทำแบบนั้นกับเขาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกฝ่ายจะไม่รู้เลยได้ยังไงกัน

มูคยอมเริ่มโมโหขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบรั้งผู้ชายตรงหน้าเอาไว้

“อีฮาจุน”

“ทำไม”

“นายไง”

“อะไร”

“เข้าใจสักทีเถอะ คนคนนั้นก็คือนายไง”

ประโยคนั้นทำให้ฝีเท้าของฮาจุนพลันหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับมูคยอม

นักกีฬาและโค้ชทุกคนพากันออกจากอาคารและกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน เหลือเพียงคนทั้งคู่อยู่ในสนามหญ้าที่ว่างเปล่า แต่เพราะตอนนี้เป็นเวลากลางวัน จึงไม่แปลกที่จะได้ยินเสียงเซ็งแซ่จากทุกทิศทาง ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนรอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง

มูคยอมอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ฮาจุนกลับมองเพียงเบื้องหน้า ก่อนจะเริ่มขยับฝีเท้าอีกครั้ง คนที่สับสนงุนงงกลับกลายเป็นมูคยอม เขาเดินตามไปขนาบข้างพลางเอ่ยกระตุ้นฮาจุน

“ทำไมไม่ตอบล่ะ”

ไม่มีคำตอบจากฮาจุน อีกฝ่ายเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นพร้อมกับบอกเขาว่า

“อย่าตามมา”

“โค้ชอี คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อสินะ ฉันก็ต้องไปทางนี้เหมือนกัน”

ทั้งสองเดินเหมือนกำลังแข่งขันกันอย่างเงียบๆ แม้แต่ตอนที่เข้าไปในอาคารก็เดินคู่กันไป แต่เดินไปได้ไม่เท่าไร ฮาจุนก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องทำงานโค้ช ถ้าจะไปที่ห้องล็อกเกอร์ต้องเดินต่อไปอีก

ฮาจุนพยายามจะคว้าลูกบิดประตูอย่างว่องไวแต่มูคยอมกลับเร็วกว่า มือของมูกยอมคว้าข้อมือของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนพยายามออกแรงรั้งไปยังฝั่งตรงข้ามและเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับดึงกลับมาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกับไม่ใช่แรงของคนที่เคยเล่นกีฬามาก่อน มูคยอมกระชากแขนของอีกฝ่ายอีกครั้ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ

“ยอมตามมาเถอะน่า ทำแบบนี้นายจะเจ็บ”

“นายนั่นแหละปล่อยฉันก่อนที่จะเจ็บ”

“ใครทำอะไรเล่า ฉันแค่อยากคุยด้วย ทำไมต้องปฏิเสธขนาดนี้”

เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งพยายามจะเอื้อมไปทางลูกบิดประตู ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็ขัดขวางมันเอาไว้ ราวกับกำลังต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรี

“…พวกนายทำอะไรกัน”

น่าเวทนาที่ประตูถูกเปิดออกมาจากด้านในพร้อมกับโค้ชคนหนึ่งที่ก้าวออกมา โค้ชคนนั้นพ่นลมหายใจออกมา พอเห็นฮาจุนกับมูคยอมที่ยื้อยุดกันราวกับเล่นมวยปล้ำกันกลางอากาศ และกำลังจับมือกันก็หัวเราะขึ้นจมูก

“ฉันรู้ว่าสนิทกันมากเพราะอายุเท่ากัน แต่พวกนายก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ… อย่าเล่นกันที่ทางเดิน รีบกลับได้แล้ว”

“ครับ โค้ชก็กลับดีๆ นะครับ”

ฮาจุนรีบสะบัดมือและคำนับบอกลา จากนั้นก็ลอดช่องว่างระหว่างประตูที่เปิดออกเข้าไปในห้องทำงาน

“อีฮาจุน!”

ตอนที่มูคยอมเรียกชื่ออีกฝ่าย ประตูบานนั้นก็ปิดลงแล้ว มูคยอมที่พลาดเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าขมวดคิ้วและครางในลำคอ ก่อนจะเดินไปยังห้องล็อกเกอร์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

……………………………………….

สีหน้าของจองคยูแข็งกร้าวเช่นเดียวกับมูคยอม ทั้งสองล็อกประตูห้องประชุมและเผชิญหน้ากัน ก่อนที่จองคยูจะถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ

“บอกให้พอไง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่ามันเป็นเรื่องความเหมาะสมของทีม”

“อิมจองคยู ฉันก็เป็นเหยื่อเหมือนกันนะ”

มูคยอมขมวดคิ้วและก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางเอาไว้ระหว่างคนทั้งคู่ วันนี้ตัวอักษรสามตัวซึ่งเป็นชื่อของ ‘คิมมูคยอม’ ขึ้นติดอันดับคำที่ถูกค้นหามากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลงในเว็บท่า และประเด็นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลเลย

ปกติแล้วหลังจากมีเซ็กซ์ น้อยครั้งที่เขาจะหลับในสถานที่นั้นๆ แต่มูคยอมเองก็คน บางครั้งเขาก็สลบเหมือดไปเลยก็มี วันหนึ่งหลังจากกลับมาที่เกาหลีได้ไม่นาน มูคยอมเคยเพลียจนผล็อยหลับไปราวๆ สามสิบนาที และระหว่างนั้นคู่นอนก็คงถ่ายรูปของเขาเอาไว้ อาจจะเป็นเรื่องล้อเล่นก็ได้

ไม่ว่าจะผิดพลาดหรือตั้งใจ แต่รูปภาพของมูคยอมที่นอนอยู่บนเตียง โดยที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ขณะที่อวัยวะสำคัญท่อนล่างและส่วนเหนือต้นขาถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวอย่างหมิ่นเหม่ ก็ถูกปล่อยออกมาว่อนอินเทอร์เน็ตในช่วงเช้ามืดของวันนี้

‘*******

อีกรอบแล้วสินะ’

‘*******

หล่อจนต้องสบถจริงๆ นะ ถ้าฉันเป็นผู้หญิงก็คงหลง’

‘*******

ดูดีนะ 555 มาดูนี่สิคะ โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่เอาแต่ขยับนิ้ว อย่ารู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เล่นกีฬาบ้างก็ดี’

‘*******

ผู้หญิงที่นอนด้วยเป็นใครกันแน่ 5555’

‘*******

เหมือนมาโฆษณาเลยนะ… noise marketing’

มันเป็นภาพที่เผยให้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าดั่งประติมากรรม ใครเห็นก็ต้องคิดว่าถูกถ่ายหลังจากมีเซ็กซ์แน่นอน ทันทีที่ภาพถ่ายนี้ปรากฎบนอินเทอร์เน็ต ผู้คนก็ต่างวิจารณ์กันอย่างวุ่นวาย ทั้งตำหนิการกระทำของมูคยอม ทั้งประทับใจกับใบหน้าอันหล่อเหลาจนน่าชิงชังที่กำลังหลับตา ขณะที่คางเรียวก็เอียงเล็กน้อย ไปจนถึงร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเขา และยังคาดเดากันด้วยว่าหญิงสาวที่เป็นคู่นอนของเขาคือใคร ถึงแม้จะเป็นภาพที่ถูกแอบถ่าย แต่มันกลับออกมาดูดี ถึงขนาดที่ว่าถ้าบอกว่าเป็นนิตยสารภาพก็เชื่อ จึงมีคนสงสัยว่านี่เป็น noise marketing หรือเปล่าด้วย เท่านั้นยังไม่พอ แม้แต่เครื่องนอนที่พันรอบตัวมูคยอมก็ดูเหมือนเป็นการจัดฉาก จนทำให้คีย์เวิร์ดอย่างเช่น ‘คิมมูคยอม ผ้าห่ม’, ‘คิมมูคยอม ที่นอน’ ติดอันดับการค้นหาแบบเรียลไทม์เช่นกัน

ถึงแม้จะเกิดเรื่องชุลมุนแบบนี้ขึ้น แต่ช่วงนี้มูคยอมกลับนิ่งเฉย หลังจากมีอะไรกับอีฮาจุนก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่ได้ข้องแวะอะไรกับใครอีก มันไม่ยุติธรรมเลยที่เขาต้องถูกตำหนิติเตียนเพราะเซ็กซ์ที่ผ่านมานานแล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือเหยื่อที่ถูกแอบถ่ายและถูกปล่อยภาพ

ใครมันจะคิดว่านายเป็นเหยื่อวะ จองคยูมองมูคยอมและทำท่าเหมือนอยากจะพูดแบบนั้น แต่อย่างไรเสีย มันก็เป็นความจริงที่ภาพนั้นถูกเผยแพร่โดยไม่ถามความคิดเห็นของมูคยอม จองคยูจึงจบบทสนทนาและไม่ตำหนิมูคยอมอีก

“ต่อไปนี้ อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกได้ไหม ช่วยคิดถึงขวัญกำลังใจของทีมหน่อย ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ ทุกคนจะโดนด่าไปด้วย”

“รู้แล้ว ครั้งนี้เข้าใจแล้วจริงๆ ไม่ต้องห่วง”

“แล้วจะจัดการยังไงกับมัน นายไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยนี่”

“ปล่อยไว้ เดี๋ยวก็เงียบไปเอง”

ตั้งแต่กลับมาที่เกาหลี มีแค่ครั้งเดียวที่เขาผล็อยหลับไปหลังจากมีเซ็กซ์ จึงชัดเจนว่าคนร้ายเป็นใคร และถ้าคิดจะขุดคุ้ยก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ถึงจะเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหาย ฝั่งนั้นก็คงไม่มีอะไรจะพูดอยู่ดี แต่เขาไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นอกจากค่ำคืนที่มีอะไรกับฮาจุนแล้ว คู่นอนของมูคยอมก็มีแต่พวกดาราหรือคนดังระดับเดียวกับเขา ถึงเขาจะไม่ได้หลับนอนกับคนดังมาตั้งแต่แรกเพราะเขาคือมูคยอม แต่หลังจากตระหนักได้ว่าหากเขาข้องแวะกับคนที่มีอะไรจะเสีย ตอนจบก็จะจบลงอย่างสวยงาม มูคยอมก็ยึดมั่นในตัวเลือกนั้นมาโดยตลอด

หากเรื่องราวบานปลาย อีกฝ่ายต่างหากที่จะลำบากยิ่งกว่าเขา ถ้าตั้งใจปล่อยภาพ แปลว่าตนเองก็ต้องมีส่วนได้ประโยชน์ แต่ฝั่งนั้นกลับปล่อยออกมาอย่างเงียบเชียบ ไร้การติดต่อและไม่มีการแฉกับสื่อแต่อย่างใด มันก็อาจจะเป็นความผิดพลาดก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ฝั่งนั้นก็คงกำลังร้อนรนอยู่สินะ พอคิดแบบนั้นแล้ว มูคยอมก็ไม่อยากทำตัวใจดำ

“อยากดูก็ให้ดูไป มันมีอย่างอื่นนอกจากท่อนบนด้วยเหรอ”

มูคยอมลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“ไอ้บ้านี่ ถ้าหลุดออกมาถึงท่อนล่างนะ… ชิ มันคงดีซะกว่า! แล้วมันจะไม่ถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์เหรอวะ”

“นี่ไม่รู้อะไรเลยสินะ พอโมเสคแล้วก็ได้หมดนั่นละ”

ต่อไปมูคยอมจะเชื่อฟังคำพูดของจองคยูที่บอกให้เขาระมัดระวังรอบคอบ เขาเบื่อหน่ายข่าวอื้อฉาวเต็มที ยิ่งข่าวอื้อฉาวที่เกาหลี เขายิ่งเบื่อ มูคยอมเองก็ไม่อยากถูกละเมิดและรบกวนความเป็นส่วนตัวแบบนี้

หลังจากจบการพูดคุยสั้นๆ กับกัปตัน มูคยอมก็เดินออกจากห้องประชุมและตรงไปที่ห้องล็อกเกอร์ นักเตะบางคนมองมาที่มูคยอมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยสงสัย แต่ก็ไม่สามารถถามรายละเอียดได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบ สิ่งที่พวกเขาอยากรู้คือฝ่ายหญิงเป็นใคร มูคยอมไม่คิดจะโต้ตอบความคาดหวังที่หยาบคายแบบนั้น เขาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ

มูคยอมเก็บข้าวของและออกมาจากห้องล็อกเกอร์ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็สั่นครืด มูคยอมจึงเดินหลบออกมาก่อนเพื่อความแน่ใจ เขาถือโทรศัพท์ไว้ในมือและเดินออกไปยังทางเดินที่ไร้ผู้คน ทันทีที่รับสายจากหมายเลขที่ไม่ได้บันทึกไว้ มูคยอมก็ได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยเรื่องที่เขาคาดเดาได้

‘คุณมูคยอม ขอโทษนะ’

เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากปลายสาย เริ่มต้นด้วยคำขอโทษที่หนักแน่นราวกับว่าเธอกำลังเครียดอย่างหนัก ถึงแม้เธอจะเรียกเขาด้วยความสนิทสนมเหมือนกับคืนนั้น แต่ทั้งคู่ก็ใช้เวลาด้วยกันเพียงข้ามคืนเท่านั้น มูคยอมกลั้วหัวเราะโดยไม่ออกเสียง

‘ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ’

“ถ่ายรูปไว้ทำไม”

‘ขอโทษ ฉันไม่ควรทำแบบนั้นตั้งแต่แรกเลย… ฉันก็แค่อยากเก็บไว้ดูคนเดียว’

“แต่ดูดีนะ ปกติผมก็ไม่ได้ปกปิดร่างกายมิดชิดอยู่แล้ว หรือว่าถ้าคุณกังวลคิดว่าผมจะไปคุยโวล่ะก็ ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก”

‘…ขอบคุณจริงๆ แล้วก็ขอโทษด้วยนะ ครั้งหน้าฉันจะตอบแทนคุณทุกอย่าง’

“ไม่ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก เพราะเราคงไม่ได้เจอกันอีก”

หลังจากพูดจบ มูคยอมก็วางสายและเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในล็อกเกอร์อีกครั้ง

วันนี้มีกำหนดการฝึกในร่ม ในโรงยิมโค้ชยืนกระจัดกระจายทำหน้าที่ของตนเอง สายตาของมูคยอมมองไปทางฮาจุนที่กำลังพูดคุยพลางจ้องมองสมุดบันทึกอยู่ระหว่างพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากเหตุการณ์นั้น มูคยอมนึกว่าวันต่อมาอีกฝ่ายจะพูดอะไรสักคำหรือแสดงท่าทีเหมือนว่ามีเรื่องพิเศษเกิดขึ้น แต่ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ฮาจุนก็ยังทำตัวเหมือนเดิม คนที่แสร้งทำเป็นเมินเฉยเพราะอยากเห็นว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไงอย่างมูคยอมร่ำร้องอยู่ในใจ

ไม่ใช่ว่าสุดยอดจนต้องยกย่องเป็นโปรเฟสชันแนลเหรอ ระหว่างทางไปทำงานในวันรุ่งขึ้นเขากังวลเล็กน้อย พอๆ กับการที่รู้สึกกระอักกระอ่วนและตะขิดตะขวงใจในวันนั้น เขานึกเสียใจเมื่อสายไปแล้ว ว่าทำไมต้องล่อลวงคนในทีมเดียวกันด้วย และเขายังกังวลด้วยว่าถ้าทำเหมือนว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือทำตัวเหมือนต้องการมากกว่าหนึ่งคืน เขาจะต้องตัดมันทิ้งยังไง

แต่แล้วในวันที่เขาจูบฮาจุนก่อน สัญชาตญาณที่ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันก็แจ่มชัดและตราตรึง คำพูดที่ฮาจุนร่ายยาวราวกับจะปลอบประโลม ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เคยอ่อนโยนกับเขาเลยสักครั้งกำลังซ่อนเร้นความไม่ลงรอยเอาไว้

อีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะไม่สนใจมูคยอมมากที่สุดแล้วในสโมสรนี้กลับรับรู้เรื่องราวของมูคยอมมากมายกว่าที่คิด ถึงไม่ใช่เพราะเหตุนั้น แต่ปัจจัยต่างๆ อย่างเช่น อารมณ์หรือสีหน้าของฮาจุนที่ต่างจากปกติ ก็ทำให้มูคยอมเก็บความสงสัยไว้ในใจ ความสงสัยที่ว่าอีกฝ่ายมีใจให้เขา

…แต่เมื่อเวลาผ่านไปและลองคิดอย่างใจเย็นดูแล้ว สิ่งที่ฮาจุนพูดในตอนนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่มูคยอมเคยให้สัมภาษณ์หรือพูดออกอากาศทั้งสิ้น ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่ในเมื่อเป็นโค้ชฟุตบอล มันก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายควรรู้เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว มูคยอมเองก็รู้ว่าเขาเป็นโค้ชคนใหม่ที่แสนกระตือรือร้น แค่มองหัวคิ้วที่ชนกันแบบนั้น ขณะที่กำลังครุ่นคิดพลางจ้องมองสมุดบันทึกในตอนนี้ก็รู้แล้ว

แน่นอนว่าจูบที่เหมือนกับลูกนกที่แสดงออกเต็มที่ ตอนที่อีกฝ่ายผลักเขาชิดกำแพงนั้นดูกระตือรือร้นกว่าการโค้ชชิ่งของเขาเป็นสิบเท่า การที่จะพูดว่าอีกฝ่ายจูบเขาแบบนั้นเพียงเพราะมีรสนิยมชอบผู้ชาย ไม่รู้สิ อีกฝ่ายอาจจะเก็บซ่อนความรู้สึกดีๆ ในด้านอื่นเอาไว้จริงๆ ก็ได้…

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะแสดงท่าทีเหมือนว่ารับรู้หรอก เพราะมันเกิดขึ้นเพราะความต้องการชั่ววูบ นี่จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว

“เลือกตำแหน่งฝึกของแต่ละคนตามที่สั่งเอาไว้เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ผมจะคอยดูและตรวจสอบนะครับ”

“ครับ!”

หลังจากทำการยืดกล้ามเนื้อแบบกลุ่ม, วิ่ง, ฝึกทรงตัว และฝึกความเร็วตามลำดับ บรรดานักกีฬาแต่ละคนก็แยกย้ายกันเพื่อดำเนินการฝึกซ้อมตามที่ได้รับคำสั่ง มูคยอมตรงไปที่รีฟอร์มเมอร์เพื่อฝึกความแข็งแรงของข้อเท้าและลำตัวตามที่ฮาจุนสั่ง

ฮาจุนเช็กความไม่สมดุลของข้อเท้าของมูคยอมทุกครั้งราวกับว่าอีกฝ่ายค่อนข้างหนักใจ ตอนอยู่ที่อังกฤษมูคยอมก็ถูกตำหนิหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีโค้ชคนไหนใส่ใจเขาถึงขนาดนี้ ฟุตบอลเป็นการออกกำลังทั้งร่างกาย แต่โดยปกติแล้วเท้าข้างหนึ่งจะถูกใช้เป็นกำลังหลัก หากไม่รู้ ร่างกายก็จะค่อยๆ เสียสมดุล แต่เพราะมูคยอมรู้ดี เขาจึงระมัดระวังอยู่เสมอ

“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

“ใช่”

มูคยอมเอนกายนอนลงบนกระดาน สอดเท้าเข้ากับสายรัด และยืดขาขวาสลับกับขาซ้ายตามคำสั่งของฮาจุน ฮาจุนจับตามองการเคลื่อนไหวนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะพูดซ้ำๆ เบาๆ ว่า “เดี๋ยวก่อน” และเอื้อมมือไปยังหัวเข่าข้างขวา

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางยกน่องของมูคยอมขึ้นคาดเอว ก่อนจะออกแรงกดและรวบจับต้นขาด้านในด้วยมือ มูคยอมเกือบหยุดหัวเราะเพราะสัมผัสบนผิวหนังที่ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้

“ตรงนี้เป็นอะไรไหม ทำแบบนี้แล้วไม่เจ็บใช่ไหม”

“รู้สึกขัดยอกนิดหน่อย”

“กล้ามเนื้อส่วนโซแอสได้นวดหน่อยก็คงจะดี มีห้องกายภาพบำบัดแยกใช่ไหม ฉันจะเขียนความเห็นให้ นายก็เอาไปนวดนะ”

มูคยอมตัดสินใจแล้วด้วยเหตุผลหลังจากได้จับตามองฮาจุนมาหลายวัน อีกฝ่ายไม่ชอบความยุ่งยาก และไม่ชอบทำให้ตัวเองรำคาญ จิตวิทยาของมนุษย์ช่างน่าทึ่ง เขากังวลแทบตายว่าอีกฝ่ายจะข้ามเส้น หลังจากตั้งข้อสรุปไปแบบนั้น ท่าทางของฮาจุนระหว่างทำงานเป็นเหมือนดาบที่ทำให้ความรู้สึกต่อต้านโหมกระหน่ำเข้ามา

‘อย่างไรก็ตามถ้าแค่สนุกกันทั้งคู่ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่มีครั้งที่สองนี่นา’

ตัวเขาที่ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าโล่งอกที่ฮาจุนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลับคิดอะไรแปลกๆ แต่ว่าเดิมทีสิ่งที่เรียกว่าความต้องการนั้น ในวันนี้ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อวานเหมือนต้นอ้อที่แกว่งไกวอยู่แล้ว มูคยอมเอ่ยพูด

“นายทำให้หน่อยได้ไหม”

“ว่าไงนะ”

มูคยอมเอ่ยอย่างสุภาพมากกว่าเดิม

“คุณโค้ชอีทำให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

“…ฉันเองก็ทำได้ แต่เรื่องนวดน่ะ ให้ผู้เชี่ยวชาญทำจะดีกว่า”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ มาหาผมที่บ้านสักครั้ง แล้วทำให้หน่อยสิครับ”

ฮาจุนมองหน้ามูคยอม ขณะที่มูคยอมก็ยิ้มพลางหยัดกายขึ้น แล้วเคลื่อนใบหน้าไปแนบใบหูของฮาจุน

“ถึงตอนนี้ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยเหรอ”

ทันทีที่ก้มหน้าพลางมองดูปฏิกิริยา ความตกใจเล็กๆ ก็ติดอยู่ในสีหน้าของฮาจุนที่มองมูคยอมอยู่ ดวงตาที่สั่นไหวนั้นไม่เพียงแต่กำลังตกใจ แต่ยังดูเหมือนกับกำลังตำหนิเขาด้วยว่า ‘บ้าไปแล้วเหรอ’ ฮาจุนคงไม่ใช่แค่ตกใจ บริเวณขอบตาสีขาวจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงทีละน้อยๆ

หลังจากมองดูสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว มูคยอมก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังระลึกความทรงจำสินะ แต่เพราะฮาจุนแสดงออกอย่างเฉยชา เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว มูคยอมแย้มยิ้มและคิดจะเอ่ยต่ออีกประโยคหนึ่ง

“อ๊า!”

แต่หลังจากนั้นมูคยอมก็ต้องแผดเสียงสั้นๆ เมื่อมือของคนที่บอกเขาว่าถ้าได้นวดก็คงจะดีอย่างฮาจุนกดลงบนพื้นที่ระหว่างเอวและสะดือของเขาอย่างแรง คงเป็นเพราะกดได้ตรงจุด มูคยอมจึงเจ็บจนเผลอนิ่วหน้า ฮาจุนยังคงกดลงไปและเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ

“ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่ช่วยให้กล้ามเนื้อของนายคลายตัว ฉันจะเขียนความเห็นให้ไปทำกายภาพบำบัด แล้วก็ขอให้เขาคลายตรงนี้เยอะๆ เลยนะ เข้าใจมั้ย”

“อย่ามาโกหก มันเหมือนจุดอ่อนที่ฆ่าคนได้เลย”

“อย่าเว่อร์ไปหน่อยเลย ทำแบบที่เคยทำ ซ้ายขวาครั้งละยี่สิบ สามเซ็ต แล้วก็ทำแต่ทางซ้ายอีกยี่สิบครั้ง สองเซ็ต จากนั้นก็ทำแบบที่ฉันสอนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วต่อ แล้วฉันจะมาเช็กใหม่”

“เข้าใจแล้วครับ โค้ช”

มูคยอมตอบอย่างสุภาพและค่อยๆ ยกขาที่ถูกรัดไว้ขึ้นลง ขณะที่ฮาจุนก็หันหลังกลับไปดูนักกีฬาคนอื่นๆ มูคยอมอยู่ในท่านอน เขาจ้องมองเพดานอย่างเงียบๆ พลางจัดการกับความคิดที่เพิ่งแวบเข้ามาในหัว

สิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อยั่วยุอีกฝ่าย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็พบว่าเป็นไอเดียที่ดีจริงๆ

เขาคิดจะเลิกเป็นหนุ่มเจ้าสำราญยามค่ำคืนตามที่จองคยูบอก มูคยอมรู้สึกเบื่อหน่ายกับการฟังเสียงพร่ำบ่น และรำคาญเรื่องอื้อฉาวที่ไม่น่าพึงใจกับการถูกติฉินนินทา ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องน่ารำคาญที่ลอนดอนเหมือนกัน แต่ความยุ่งเหยิงที่เขารู้สึกได้ที่โซล ที่ที่เขาถูกจับตามองนั้นมีมากกว่าหลายเท่า

อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากละทิ้งความสุขอย่างหนึ่งของชีวิตไปอย่างง่ายดาย แต่จะทำยังไงถ้าความสามารถด้านการแข่งขันด้อยลง มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน แต่สำหรับนักกีฬาแล้ว ตะปูชีวิตไม่ใช่สิ่งที่จะตอกและถอนออกทันทีได้

ถ้าเขาตกลงกับฮาจุนและทำแต่กับหมอนั่นสักพักจะได้ไหม

ถึงจะพาอีกฝ่ายเข้าออกบ้านก็คงไม่มีใครสงสัย เพื่อนร่วมทีมที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ใครจะไปสงสัยล่ะว่า สองคนนี้จะมีอะไรกัน

อิมจองคยูเองก็น่าจะยินดีกับเรื่องนี้ ถึงแม้จะไม่ทันสังเกตว่าฮาจุนกำลังหลบหน้ามูคยอม แต่จองคยูก็คงไม่สบายใจที่ต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างเขากับฮาจุนที่ไม่ได้สนิทสนมกันอย่างที่คิด นั่นละนิสัยของกัปตันอย่างแท้จริง เพราะจองคยูเป็นคนที่เหมือนจะตกที่นั่งลำบากอยู่เสมอ เวลาที่ผู้คนไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว และถึงแม้นิสัยแบบนั้นจะทำให้รำคาญอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายครั้งก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนั้น มูคยอมจึงไม่คิดจะโทษมัน

……………………………………….

หลังจากรับส่งบอลให้กัน มูคยอมก็มอบจูบให้เขาก่อนจะอาบน้ำ และออกมาจากอาคาร ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น จนถึงตอนนี้ฮาจุนยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริงอยู่เลย ราวกับว่าสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ได้เกิดขึ้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายแล้วล่ะก็ เขาคงคิดว่าฝันไป

เมื่อคิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไร หากสนใจในตัวมูคยอมสักหน่อย ก็จะรู้ว่ามูคยอมพบกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้เป็นครั้งคราวและสนุกสนานกันแค่ชั่วข้ามคืน

เมื่อวานเขาได้รับบทบาทนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง มูคยอมบอกว่าเป็นครั้งแรก ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มูคยอมถึงอยากมีอะไรกับเขา ถึงแม้ว่าการมีเซ็กซ์แบบไม่ได้เตรียมพร้อมจะน่ากลัว แต่แน่นอนว่ามันคือโอกาสที่จะไม่มีวันหวนกลับมาอีก เพราะฉะนั้นเขาจึงปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปไม่ได้ ฮาจุนไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว วันนี้อาจจะลำบากใจที่ต้องพบหน้า แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว เวลาจะช่วยเยียวยามันเอง

ฮาจุนหยัดกายที่หนักอึ้งลุกขึ้นเดินไปยังห้องนั่งเล่น และเดินไปถึงห้องครัวที่คับแคบ ทั้งครอบครัวของเขามารวมตัวกันและทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งตั้งชิดติดกับผนังฝั่งหนึ่ง

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“พี่ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวเร็ว”

มินคยองที่กินข้าวอยู่ก่อนเอ่ยเร่งเร้าพี่ชายพลางดึงเก้าอี้ให้ ฮาจุนนั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหารและรีบหยิบช้อนขึ้นมา

“ดูเหนื่อยๆ นะ ถ้าไม่สบายก็ขอพักสักวันไม่ได้เหรอ”

เซยอง แม่ของฮาจุนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงฮาจุนก็อยากจะทำแบบนั้น แต่ถ้าเขาขาดงานในวันนี้แล้วล่ะก็ คิมมูคยอมจะมองเขายังไงที่หายไปแบบนี้ ฮาจุนยิ้มและตอบกลับไป

“ไม่ ผมไม่เป็นไร ผมคงเหนื่อยเพราะเมื่อวานฝนตกน่ะ นานๆ ทีเลยนอนตื่นสาย”

“ทำงานในทีมใหม่คงเหนื่อยมากใช่ไหม”

“บอกว่าไม่ไง ทุกคนดีกับผม สบายมาก”

“ไม่อะไรกัน ปากแตกหมดเลยลูก”

แค่กๆ ฮาจุนไอออกมาระหว่างที่กำลังทานข้าว เธอจึงรีบยื่นแก้วน้ำให้ แม้แต่ตอนที่ดื่มน้ำ ฮาจุนก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นตรงๆ

เพราะเขารู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรไม่ดีลงไป เขาจึงไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ นับตั้งแต่ตอนเด็ก ฮาจุนไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้ต่อหน้าแม่เลย จู่ๆ ฮาคยองที่กินข้าวอยู่ก็ถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“เออพี่ ตอนนี้อยู่ทีมเดียวกับคิมมูคยอมใช่ไหม คงสนิทกันขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะสิ พี่ชอบคิมมูคยอมนี่นา”

“อะไรนะ ไปบอกว่าชอบอะไรอีกล่ะ”

คำพูดของฮาคยองทำให้ฮาจุนตกใจจนต้องย้อนถาม ครั้งนี้มินคยองขมวดคิ้วราวกับจะถามว่าทำไมถึงพูดอะไรแปลกๆ

“เก็บแต่แฟ้มเอกสารที่ตัดข้อมูลของคิมมูคยอมเอาไว้หลายเล่ม แบบนี้ไม่ได้ชอบหรือไง”

“นั่นมันข้อมูลที่ใช้ตรวจสอบนักกีฬา ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เป็นโค้ช”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเก็บข้อมูลของนักกีฬาคนอื่นๆ ด้วยสิ คนเป็นโค้ชเลือกที่รักมักที่ชังได้ด้วยเหรอ แล้วอีกอย่างก็เห็นทำแบบนั้นมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นโค้ชตั้งนานแน่ะ เมื่อเห็นฮาจุนไม่ตอบคำถามที่จี้จุดนั้น มินคยองก็ส่งเสียงขึ้นจมูกดัง ฮึ แล้วเปิดแฟ้มวิเคราะห์นักกีฬาไปเรื่อยๆ

“ฉันไม่ชอบคิมมูคยอม ถึงจะเป็นกองหน้า แต่ในสถานการณ์ที่จำเป็นก็ไม่เห็นจะช่วยแนวรับเลย พวกแนวรับถึงได้ลำบากกว่าเดิม”

ฮาจุนหัวเราะให้กับประโยคนั้นพลางผลักศีรษะของมินคยองด้วยนิ้วชี้เบาๆ มินคยองที่กำลังวิจารณ์นักกีฬาอย่างฉะฉานบ่นพึมพำ แล้วเงยหน้ามองพี่ชายตนเอง

“ทำไมล่ะ”

“เข้าข้างเพราะพี่เคยเป็นแนวรับเหรอ แต่กองหน้าควรยิงประตูตอนที่จำเป็นดีที่สุดแล้ว ถ้าจะทำแบบนั้น ในเวลาเก้าสิบนาที ต้องแบ่งแรงให้ดี การตั้งรับจึงจะน้อยลงด้วย”

“สำหรับฉัน พี่น่ะยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”

มินคยองพูดเย้ยหยัน ฮาจุนลาออกมาได้สามปีแล้ว แต่สำหรับน้องๆ เขายังคงเป็นพี่ชายคนเก่งที่เคยเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งเวิลด์คัพมาแล้ว ยุคที่รุ่งโรจน์นั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน คนในครอบครัวย่อมไม่สามารถปลดปล่อยช่วงเวลานั้นไปได้ง่ายๆ มันทั้งปลื้มใจและลำบากใจ

เมื่อมูคยอมกลายเป็นหัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารยามเช้ากับครอบครัว ความรู้สึกของฮาจุนก็ซับซ้อนเกินบรรยาย ตอนนี้เขาอายุยี่สิบหก ถึงจะไม่มีใครเชื่อ อย่าว่าแต่เซ็กซ์เลย แม้กระทั่งจูบ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์เลยด้วยซ้ำ เมื่อพูดถึงจูบแล้ว ก็มีแต่จุ๊บที่แฟนๆ ผู้คลั่งไคล้กดลงบนแก้มแบบกึ่งบังคับเท่านั้น แต่แล้วเขาก็ทำทั้งสองอย่างนั้นในคราวเดียวเหมือนกับสะสางการบ้านที่คั่งค้างให้เสร็จสิ้น มิหนำซ้ำยังทำกับคิมมูคยอมอีก

แค่คิดเขาก็รู้สึกร้อนฉ่าที่ใบหูแล้ว ฮาจุนขยับช้อนและตะเกียบอีกไม่กี่ครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ทำไม ไม่กินแล้วเหรอ”

“ผมคงจะสายแล้ว ขอโทษที่กินไม่หมดนะ”

ฮาจุนยังคงปวดแปลบไปทั่วเอวและช่วงท้อง เขาจึงไม่รู้สึกอยากอาหารเท่าไหร่ เธอทำท่าเหมือนอยากจะคุยอะไรต่อ แต่คำถามของฮาคยองที่ถามขึ้นว่า “แม่ มีผัดโอเด้งอีกไหม” ก็ทำให้บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ฮาจุนรีบเดินไปยังห้องน้ำ เขาล้างหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก

เขามีประสบการณ์ครั้งแรก กับคนที่เขาแอบชอบมาเป็นสิบปี

ทว่าใบหน้าของอีฮาจุนที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานเลย มีเพียงรอยคล้ำใต้ดวงตาดูเหน็ดเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฮาจุนเช็ดกระจก

ฮาจุนต้องใช้สมองอย่างว่องไว ตอนที่มูคยอมถามเขาว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม เมื่อคิมมูคยอมที่ประทับจูบเพื่อหยั่งเชิงลองใจเขาถามคำถามนั้นออกมา ไม่มีทางเลยที่มูคยอมจะไม่มีจุดประสงค์อื่น ฮาจุนรู้จักมูคยอมดี อีกฝ่ายอยากมีวันไนท์แบบสบายๆ ประโยคที่มูคยอมถามเขาว่ามีความตั้งใจอื่นแอบแฝงกับเขาหรือเปล่านั่นเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจน ว่ามูคยอมต้องการความมั่นใจว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น

ในโลกนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีประสบการณ์ครั้งแรกแบบวันไนท์ การตอบว่าครั้งแรกเป็นคำตอบที่ผิด มูคยอมอาจจะรู้สึกหนักใจหรือหมดสนุกกับสถานการณ์นี้และเลิกล้มไปกลางคันเลยก็ได้ ฮาจุนได้ข้อสรุปแบบนั้นและให้คำตอบที่เขาคาดว่ามูคยอมต้องการกลับไป โล่งอก ดูเหมือนว่าฮาจุนจะคิดถูก มูคยอมจึงพาดแขนลงบนไหล่เขาอย่างพึงพอใจ ถึงแม้จะน่าเสียดายที่คนเพิ่งเคยมีเซ็กซ์เป็นครั้งแรกอย่างเขาไม่สามารถสอน ‘บทเรียนมากมาย’ ที่มูคยอมคาดหวังได้

หลังทานอาหารเช้า น้องๆ ก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวไปโรงเรียน ในขณะที่แม่ของเขาก็จัดการอะไรต่อมิอะไรอยู่ในห้องครัว แม้ฮาจุนจะเป็นห่วงเธอ แต่เขาก็ไม่มีเวลาช่วยเธอจัดการแล้ว ฮาจุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย

“แม่ จะไปโรงพยาบาลอีกทีเมื่อไหร่เหรอ”

“วันพฤหัสฯ หน้า ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวแม่ไปเอง”

“แต่ถึงยังไงก็ควรบอกกันหน่อยสิว่าจะไปเมื่อไหร่”

“เดี๋ยวจะบอกก่อนไปแล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เดี๋ยวดูก่อน ถ้ามีเวลา ผมจะลาครึ่งวันนะ”

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”

หลังจากยุ่งกับการเตรียมตัวไปโรงเรียน น้องๆ ของเขาก็เดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน มินคยองยืนเก้ๆ กังๆ พลางก้มหน้าลง ฮาจุนที่สวมรองเท้าอยู่ก็ถามขึ้น

“ทำอะไรน่ะ”

“จะคลายเชือกรองเท้า”

ฮาจุนสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลังและคุกเข่านั่งลงตรงหน้ามินคยอง แต่มินคยองก็ห้ามเขาไว้

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวหนูทำเอง”

“เธอผูกเองก็หลุดตลอด”

“ฮิ มันก็ใช่ หนูก็ผูกแน่นแล้วนะ ทำไมถึงหลุดตลอดเลย แต่พอพี่ผูกให้แล้วอยู่นานมากๆ”

ฮาจุนหัวเราะคิกคักพลางผูกเชือกรองเท้าผ้าใบที่มีขนาดเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับรองเท้าของเขาให้แน่น รูปผีเสื้อที่ดูเรียบร้อยถูกสร้างขึ้นด้วยนิ้วมือเรียวยาวที่แต่ละข้อปูดโปนออกมาเล็กน้อย

“เรียบร้อย”

ฮาจุนลุกขึ้นยืน ในขณะที่ฮาคยองก็ออกมาที่ประตูหน้าบ้านและขมวดคิ้ว

“นี่เธอผูกเชือกเองไม่ได้ จนต้องใช้พี่ที่กำลังยุ่งทำให้เลยเหรอเนี่ย”

“เฮ้อ ฉันไม่ได้ใช้สักหน่อย พี่บอกว่าจะทำให้เองต่างหาก นายน่ะสนใจเรื่องของตัวเองเถอะ”

บรรยากาศเลวร้ายลงในทันที เมื่อทั้งสองทำท่าจะทะเลาะกัน ฮาจุนจึงรีบเปิดประตู ประตูหน้าบ้านคับแคบเกินกว่าที่เราสามคนพี่น้องที่โตกันหมดจะยืนได้แล้ว

“พวกเราเองก็จะสายเอานะ รีบไปเร็ว”

“ไปแล้วนะครับ!”

น้องๆ ในเครื่องแบบที่มีลวดลายเดียวกันบอกลาเขาพร้อมกันและวิ่งออกจากประตูไป ขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดิน ฮาจุนก็ยิ้มและเฝ้ามองแผ่นหลังของพวกเขาที่กำลังบ่นพึมพำใส่กัน

“ไปก่อนนะพี่!”

“แล้วเจอกันนะพี่!”

“ระวังรถด้วยล่ะ ระหว่างทางก็อย่าทะเลาะกัน”

หลังจากแยกกับน้องที่ทางเข้าอพาร์ตเมนท์ ฮาจุนก็เดินไปที่ป้ายรถประจำทางที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเส้นทางไปโรงเรียนของน้องๆ ถึงแม้ว่าฮาจุนจะมาช้ากว่าปกตินิดหน่อย แต่ก็ปลอดภัยหวุดหวิด โชคดีที่ทุกครั้งที่เขาเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน บนรถบัสมักจะมีที่นั่งว่างอยู่มากกว่าที่จะแออัดเบียดเสียดไปด้วยผู้คนมากมาย

ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ หลังจากย้ายร่างที่หนักอึ้งของเขานั่งบนเก้าอี้ได้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจที่ได้อยู่คนเดียวเสียที วันนี้แม้แต่เสียงของคนในครอบครัวที่เขารักก็ยังทำให้เขารู้สึกอึดอัดในใจ

ฮาจุนเอนศีรษะพิงหน้าต่างกระจกและจ้องมองที่ทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างช้าๆ เขามองผ่านป้ายที่เห็นอยู่ทุกวัน บางครั้งชื่อที่คุ้นเคยก็หายไป และมีการติดป้ายชื่อใหม่ที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพบเจอป้ายใหม่ที่วาววับ เขาจะนึกขึ้นทันทีว่าเมื่อก่อนเคยมีอะไรอยู่ที่ตรงนั้น และถึงจะเป็นทิวทัศน์ที่เห็นอยู่ทุกวัน แต่ถ้าเขานึกไม่ออก ฮาจุนก็จะรู้สึกหดหู่ไปชั่วขณะ สิ่งที่หายไปจะถูกลืมเลือนไปเร็วแค่ไหนกันนะ

ในตอนนี้ต้นไม้ทั้งสองฝั่งข้างทางเขียวขจี ขณะที่ผู้คนก็สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง ชัดเจนว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ นับตั้งแต่ตอนนี้จนถึงกลางเดือนมิถุนายนนับเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดในการเล่นฟุตบอล เมื่อเดินลงที่ป้ายรถประจำทางที่ลงอยู่ทุกวันและเดินต่ออีกราวๆ สิบนาทีก็จะถึงสนามฝึกซ้อม

เขาควรเดินให้เร็วกว่าปกติเพราะตอนนี้สายแล้ว แต่ฮาจุนก็ทำแบบนั้นได้ยากเพราะบั้นเอวและท้องที่ปวดแปลบ เขามาถึงห้องทำงานอย่างฉิวเฉียด เม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่ฮาจุนก็เดินเข้าไปในห้องทำงานพลางเอ่ยทักทายอย่างสดใส

“สวัสดีครับ”

“มาแล้วเหรอ”

“สายนิดหน่อย ขอโทษครับ”

“อะไรกัน มาตรงเวลาเป๊ะเลย พวกเราไปก่อนนะ”

ฮาจุนรีบวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและออกไปเตรียมตัวที่สนามฝึกซ้อม เขามัวแต่เช็กสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาและจัดตารางฝึกซ้อม จนไม่รู้ตัวว่าจำนวนสมุดบันทึกที่ถืออยู่ตลอดนั้นเปลี่ยนไป ฮาจุนเตรียมสมุดบันทึก ปากกา นกหวีด และนาฬิกาจับเวลา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงาน ฮาจุนที่กำลังจะเปิดประตูไปยังสนามฝึกซ้อมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งและถอนหายใจยาว

อีฮาจุน เข้าใจไหม ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทุกอย่าง

ทำตัวตามปกติ ตามปกติ

เมื่อประตูเปิดออก สีเขียวสดของสนามหญ้าก็ปรากฏต่อสายตา ทัศนียภาพเดิมที่เหมือนกับทุกวันนั้นเหมือนกำลังบอกให้ฮาจุนรู้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น เหล่านักเตะมารวมตัวกันที่สนามฝึกซ้อมอยู่ก่อนแล้ว ฮาจุนจึงรีบเดินเข้าไปยืนขนาบข้างผู้จัดการพิเศษที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในวันนี้

“สวัสดีครับ”

ฮาจุนใช้สายตานับจำนวนนักกีฬาที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าผู้จัดการทีละคนๆ ก่อนจะสบสายตากับมูคยอม มูคยอมไม่เปลี่ยนสีหน้า เขามองหน้าฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปหาคนข้างๆ ที่กำลังชวนคุย ในขณะที่ฮาจุนก็เบนสายตาจากอีกฝ่ายไปทางอื่น

ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น แม้จะไม่ได้คาดหวังแต่ก็ทำแบบนั้น เมื่อรอยยิ้มขมขื่นจะปรากฏบนใบหน้า ฮาจุนก็บังคับมุมปากไม่ให้ยกขึ้น

…เขาคิดว่ามูคยอมรับรู้ความรู้สึกของเขาแล้ว ตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาจูบเขาเมื่อวาน พอคิดอย่างนั้นเขาก็เลยทนไม่ไหว เปิดเผยความรู้สึกที่เคยเก็บซ่อนไว้คนเดียวมาตลอดหลายปีให้อีกฝ่ายได้รับรู้

ไม่สิ เรื่องที่เขาเปิดเผยให้อีกฝ่ายได้รับรู้นั้น เขาคิดไปเองคนเดียว มูคยอมก็แค่หาคู่นอนข้ามคืนและพยายามประเมินความคิดของเขาด้วยจูบสั้นๆ เพียงเท่านั้น เขาที่ไม่เข้าใจสถานการณ์และไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย พอนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้ว ฮาจุนก็รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที โชคดีเหลือเกินที่มูคยอมเห็นจูบนั้นเป็นแค่การเห็นด้วยกับข้อเสนอในหนึ่งคืนเท่านั้น

ฮาจุนปรบมือสองสามทีเป็นสัญญาณให้นักกีฬามารวมตัวกันเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะเริ่มการฝึก

“ช่วงเช้าจะเริ่มซ้อมก่อนนะครับ เริ่มจากวิ่ง แต่คนที่ถูกเรียกชื่อต่อไปนี้จำเป็นต้องฝึกเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปวิ่งนะครับ ขอให้อยู่ก่อน”

“ครับ!”

วันนี้ที่ไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานได้เริ่มต้นขึ้น ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน ถ้าบอกว่าไม่เสียใจก็คงโกหก แต่ฮาจุนก็คิดเสียว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นความโชคดีที่คาดไม่ถึง และตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันใส่ลิ้นชักซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

ถึงแม้ว่าตอนจบนั้นจะน่าเศร้าและเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเหมือนของขวัญเซอร์ไพรส์ที่อธิบายได้แค่ว่าเขาโชคดี ฮาจุนอยากขอบคุณความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงง่ายของมูคยอม ท่ามกลางความรู้สึกเจ็บแปลบที่บั้นเอวและในท้อง รวมทั้งความรู้สึกปวดแสบในร่างกายราวกับถูกบีบรัดจนคับแน่น พอจะขยับตัวไปทำงานก็ลำบากกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังว่าความเจ็บปวดนี้จะไม่จางหายเร็วจนเกินไปนัก

ระหว่างการฝึกซ้อม มูคยอมไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยสักคำ และหลังฝึกซ้อมเสร็จก็คงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน ถึงแม้ว่าฮาจุนจะรอให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาหรือทำเป็นรู้จักเขาอยู่ในใจ แต่มูคยอมกลับเผชิญหน้ากับเขาอย่างเป็นการเป็นงานมากกว่าปกติเสียอีก แต่ก็โชคดีที่ฮาจุนเองก็ไม่ได้สนใจมูคยอมมากเกิน และสามารถทำการฝึกซ้อมได้

หลังจากเสร็จสิ้นตารางฝึกซ้อมแล้ว ฮาจุนมองมูคยอมที่กลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากพูดได้ หลายวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ความเจ็บปวดในร่างกายเขาจางลงไปตามสภาพเหมือนรอยช้ำที่ค่อยๆ เลือนหาย เมื่อมันจางหายไปจนเกือบหมด เรื่องอื้อฉาวเรื่องใหม่ของมูคยอมก็ปะทุขึ้น การมีเซ็กซ์กับฮาจุนจึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดที่บอกว่านั่นเป็นเพียงการเล่นกับไฟในค่ำคืนที่ผ่านไปเพียงเท่านั้น

ถึงจะคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก แต่เศษเสี้ยวเล็กๆ ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ ความคาดหวังเล็กๆ ที่เงียบสงัดอยู่ในหัวใจของฮาจุนก็โบกสะบัดราวกับหางจิ้งจกที่ถูกตัด ก่อนจะหายไปราวกับมันสิ้นลม

……………………………………….

“ฮึก อะ… อา อ๊ะ!”

มูคยอมเด้งเอว ในขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นจับแก่นกายที่สั่นระริกอยู่เบื้องหน้า เมื่อเขาขยับมือชักขึ้น ความเร่าร้อนในน้ำเสียงของอีกคนก็เปลี่ยนไป มูคยอมนึกสนุกขึ้นมาอีกครั้งจึงทอดสายตาลงมองใบหน้าของฮาจุนพลางขยับกายรัวเร็ว

ดวงตาฉ่ำน้ำ ใบหน้าขาวผ่องของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงเรื่อ ฮาจุนขมวดคิ้ว ส่ายหน้าพลางร้องครวญคราง พอนึกถึงใบหน้ายามปกติของอีกฝ่ายแล้ว ก็นับว่าเป็นสีหน้าที่พ่ายแพ้จนจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว ใบหน้าที่ยุ่งเหยิงอยู่ตรงหน้าเขา ความรู้สึกพึงพอใจที่หอมหวานดั่งน้ำผึ้งก็แผ่ซ่านจากส่วนลึกของหัวใจ

แก่นกายที่ตั้งชันขึ้นมาอีกครั้งในมือของมูคยอมกระตุกราวกับจะปลดปล่อยในอีกไม่ช้า ฮาจุนส่ายศีรษะแรงขึ้นและพยายามจะปัดมือของมูคยอมออกไป

“อื้ออ อือ ฮื่ออ อึก”

“ถ้าอยากปล่อยก็ปล่อยเลย”

“มือ ฮื่อ เอามือออกไป”

“ปล่อยในมือฉันเลย เพราะฉันก็จะปล่อยในตัวนายเหมือนกัน”

แน่นอนว่าเขาจะทำแบบนั้นได้เพราะสวมถุงยางแล้ว

“อ่า อ๊า!”

ทันทีที่พูดจบมูคยอมก็รู้สึกว่าแก่นกายของฮาจุนปะทุด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ไม่นานของเหลวที่อุ่นร้อนก็เริ่มไหลย้อยลงบนมือของเขา ฝ่ามือของมูคยอมชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำรักของฮาจุน สมัยแตกหนุ่มเรียนชั้นมัธยมเขาก็ไม่เคยช่วยตัวเองให้ใคร แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้ในวัยนี้

มูคยอมเคยคิดว่าแค่อสุจิของผู้ชายคนอื่นกระเด็นเล็กๆ น้อยๆ ก็สกปรกแล้ว แต่มันกลับโอเคกว่าที่คิดเสียอีก เขาเช็ดถูน้ำรักที่เปรอะเปื้อนมือลงบนหน้าท้องของฮาจุนอย่างลวกๆ

“นายปลดปล่อยแล้ว ทีนี้ก็ตาฉันแล้วนะ ยุติธรรมไหม”

“ฮื่อ อือ อื้อ อ๊ะ! อะอ๊า!”

เอวที่ขยับเนิบนาบลงระหว่างที่เขาใช้มือสัมผัสตัวตนของอีกฝ่ายกลับมากระแทกกระทั้นอีกครั้ง ร่างกายของฮาจุนไม่สามารถเอาชนะพลังที่โหมกระหน่ำมาจากเบื้องล่างได้ จึงสั่นสะท้านและยุ่งเหยิงไปหมด หลังจากปลดปล่อยมูคยอมก็รู้สึกได้ว่าภายในร่างกายของอีกฝ่ายกำลังตอดรัดเขายิ่งกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก ข้างในกำลังกลืนกินตัวตนเขาอย่างเต็มแรง ทุกครั้งที่มูคยอมกระแทกกระทั้น ร่างกายของฮาจุนก็ขยับเขยื้อนตามแรง และเมื่อเขาสอดใส่อย่างตื้นเขิน ความรู้สึกกระหายก็ก่อตัวขึ้นมาเล็กน้อย

มูคยอมกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วโน้มตัวไปโอบกอดไหล่ของฮาจุนเอาไว้ เสียงเสียดสีดังขึ้น เมื่อเขาพาร่างกายที่สั่นสะท้านวางลงบนโซฟาหนัง เพราะมูคยอมโน้มกายลง ท่อนขาที่พาดอยู่บนไหล่จึงยิ่งถูกดันให้ลอยสูงขึ้น เมื่อแก่นกายเสือกไสเข้ามาในร่างกายพร้อมกับน้ำหนักและการสอดใส่ที่ลึกขึ้น ฮาจุนก็ดิ้นไปมาจนแทบจะกรีดร้องออกมา

“อ๊ากก! ฮ่ะ อึก ฮื่อ อ๊า!”

ถึงแม้ว่าร่างในอ้อมแขนเขาจะสะบัดไปมาราวกับพยายามจะหนีให้หลุดพ้น แต่มูคยอมก็ไม่ยอมผ่อนแรงแขน แต่กลับกอดฮาจุนให้แน่นขึ้นกว่าเก่า กล้ามเนื้อหลังสั่นไหวในขณะที่ไหล่แกร่งก็ขยายใหญ่ เส้นเอ็นบนท่อนแขนล่ำชัดขึ้นยิ่งกว่าเดิม

เขาชอบสัมผัสที่นุ่มนวลและยืดหยุ่นที่ปลายนิ้วสัมผัส เยื่อชั้นในที่เคยปิดสนิทถูกบดขยี้ทีละน้อยๆ และปริออก เขารู้สึกได้ว่ารอยปริเหนอะหนะที่เพิ่งเกิดขึ้นกำลังโอบรัดและขมิบตอดส่วนปลายแก่นกายราวกับจะดูดกลืนเข้าไป

“นี่ อีฮาจุน ฮ่ะ รู้สึกดีจริงๆ…”

เขาไม่ได้พูดส่งเดชไปอย่างนั้น แต่พูดด้วยความจริงใจ หลังจากที่มูคยอมเอ่ยคำว่ารู้สึกดีออกไป เขาก็รู้สึกได้ว่าภายในกายของฮาจุนขมิบตอดรุนแรงขึ้น มูคยอมอยากสนุกกับผนังด้านในที่กระเพื่อมเคลื่อนไหวจึงกระแทกกระทั้นเข้าไปลึกๆ และเมื่อเขาควงเอว แทนที่จะกรีดร้อง ฮาจุนกลับเอาแต่ครางเสียงต่ำพลางออกแรงจับท่อนแขนของมูคยอมเอาไว้

แก้มของฮาจุนขึ้นสีแดงเรื่อ ขณะที่หน้าผากขาวเต็มไปด้วยเหงื่อ คิ้วที่ปกติเคยเป็นทรงสวยหายไปอย่างไร้ร่องรอย และแทนที่ด้วยคิ้วที่บิดเบี้ยวผิดรูป จุดโฟกัสของดวงตาใต้คิ้วคู่นั้นเลือนรางราวกับไร้วิญญาณ มูคยอมมองเห็นฟันขาวและลิ้นแดงผ่านริมฝีปากที่เผยอออก

มูคยอมจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายพลางถอนเอวถอยหลัง เมื่อรู้ว่ามูคยอมจะขยับอีกครั้ง มือของฮาจุนก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น

“แฮ่ก ฮ่ะ คิ คิมมูคยอม”

“หืม”

จู่ๆ ฮาจุนที่ขยับเพียงแค่ไหล่ราวกับเหนื่อยล้าจากการดิ้นไปมาก็เรียกชื่อมูคยอม เจ้าของชื่อที่กำลังจะเสือกไสกายเข้าไปข้างในจึงก้มลงมองและตอบรับ ก่อนที่มือของฮาจุนที่จับอยู่ที่ท่อนแขนจะเคลื่อนขึ้นมาจับที่ไหล่เขาอย่างรวดเร็ว

“จูบ… จูบหน่อย”

ยากตรงไหนกัน

“ฮื่อออ…”

มูคยอมประกบริมฝีปากลงไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ในขณะเดียวกันก็ดันสะโพกเข้าไปลึกๆ เสียงครางที่เบาลงถูกถ่ายทอดมาพร้อมกับปลายคางและริมฝีปากที่สั่นระริก

ฮาจุนสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของมูคยอมและดูดดุนอย่างอ้อยอิ่งไม่เหมือนตอนแรกที่บดขยี้แต่ริมฝีปาก มูคยอมไล่เลียก้อนเนื้ออ่อนนุ่มอย่างช้าๆ แล้วสอดลึกเข้าไปจนถึงช่องคออย่างที่ฮาจุนชอบ ภายในปากที่เพิ่งผ่านจุดสุดยอดมานั้นช่างอุ่นร้อนและหอมหวานราวกับจะหลอมละลาย

“อืม อือ ฮึก อึก”

ทุกครั้งที่เขาใช้ปลายลิ้นสัมผัสที่เพดานปาก ส่วนล่างก็จะกระตุกและรัดแน่นไปด้วย มูคยอมสนุกที่ด้านล่างบีบรัดเมื่อถูกแตะต้อง ด้านบนจึงกวาดลิ้นสำรวจโพรงปากไปทั่ว ทุกๆ ครั้งที่ทำแบบนั้นฮาจุนก็จะหลุดเสียงครางที่กลั้นไว้ออกมา

เมื่อการหยอกล้อเช่นนั้นทำให้ใกล้ถึงจุดสุดยอด รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนริมฝีปากของมูคยอมก็หายไป มูคยอมค่อยๆ ขยับเอวเร็วขึ้น แรงกระแทกกระทั้นของมูคยอมที่ยกสะโพกของฮาจุนขึ้น ทำให้เกิดเสียงของผิวหนังกระทบดังผลั่กๆ ตัวของฮาจุนขยับขึ้นลงตามแรงกระแทกที่ได้รับ มูคยอมที่กำลังกระแทกกระทั้นกายเองก็หอบหายใจหนัก และไม่นานก็ถึงฝั่งฝัน “ฮึก อา ฮื่อ อึก อ๊า!”

ชั่วพริบตาฮาจุนที่ดิ้นรนกระสับกระส่ายก็ครางออกมาเสียงแหลม ลิ้นของมูคยอมที่เคยแทรกสอดอยู่ในโพรงปากนั้นถอนออกไปก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของอีกคน ต่างจากก่อนหน้านี้ที่งับเบาๆ ด้วยแรงที่เหมือนกับจะขบกัดนั้นทำให้ร่างกายของฮาจุนเกร็ง

แต่ไม่นานคางของมูคยอมที่เคยเกร็งก็คลายลง ภายในของริมฝีปากบางมีรอยฟันชัดเจนราวกับว่าใช้ยา จากนั้นมูคยอมก็หายใจยาวๆ ฝังใบหน้าพลางถูไถปลายจมูกลงที่ชายไหปลาร้าของฮาจุน

“เฮ้อ…”

แก่นกายปลดปล่อยน้ำรักออกมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเซ็กซ์หรือเป็นเพราะอารมณ์ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอันหอมหวานเบาๆ กลิ่นกายของผู้ชายก็มีแบบนี้ด้วยเหรอ ในจุดนี้แม้จะเป็นตอนสุดท้ายก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว มูคยอมฝังจมูกลงบนท้ายทอยและสูดลมหายใจอยู่พักใหญ่

น่าประหลาดใจ ที่เขาปลดปล่อยในกายของอีฮาจุนจนสุด ตอนแรกเขาก็สงสัยว่ามันจะเป็นเซ็กซ์ที่เขาจะได้สำเร็จความใคร่ไหม แต่นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ ทั้งสองหายใจหอบ ร่างกายร้อนรุ่มหันหน้าเข้าหากัน เสียงที่ดังอยู่ในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจที่เหมือนสัตว์ร้ายกำลังคร่ำครวญและยุ่งเหยิงเหมือนเสียงกระเพื่อมหลังจากขว้างก้อนหินลงไปในน้ำ

มูคยอมสูดลมหายใจและลุกขึ้นก่อน เขาหันหลังอย่างช้าๆ ในขณะที่มือก็จับปลายถุงยางเอาไว้ ถึงแม้ว่าแก่นกายมันวาวที่ฝังอยู่ภายในกายของฮาจุนจะปลดปล่อยออกมาแล้ว แต่มันก็ยังคงตั้งชัน เขาถอนกายออกมาจากบั้นท้ายขาวเนียนและกลมกลึงอย่างลื่นไหล

ถึงแม้ว่าจะถอนส่วนปลายออกมาหมดแล้ว แต่ท่อนขาของฮาจุนก็ยังคงอ้าออก มูคยอมทอดสายตาลงมองช่องระหว่างแก้มก้นอย่างนิ่งๆ ช่องทางสีแดงที่เผยออ้าปิดไม่มิดหลังจากถอดถอนสิ่งที่ยิ่งใหญ่ออกมาวางอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ทำไมความปรารถนาที่จะตอกย้ำเข้าไปอีกครั้งจึงปะทุขึ้น

“จบแล้วใช่ไหม…”

แต่หลังจากเปิดเผยร่างกายท่อนล่างที่ไม่เรียบร้อยให้เห็น เขาก็มองฮาจุนที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาโดยมีเสื้อยืดติดกายเพียงชิ้นเดียว อีกฝ่ายถามขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง มูคยอมจึงเก็บพับความอยากที่ก่อตัวขึ้นเอาไว้ เสียงที่ถามว่าจบแล้วใช่ไหมก็ไร้เรี่ยวแรงเต็มทีแล้ว จะว่าไปเดิมทีก็คิดจะแยกย้ายกันกลับบ้านหลังจากตัวต่อตัวท่ามกลางสายฝนแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหนื่อยมากแท้ๆ แต่เซ็กส์เมื่อครู่นี้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฮาจุนเลย

“ทำไม อยากทำต่อเหรอ”

ฮาจุนส่ายหัวอย่างตกใจ มูคยอมยกยิ้กพร้อมกับพยักหน้า สำหรับตัวเขาเองสำหรับวันนี้แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่อยากมานั่งฟังคำพูดที่จะตามมาทีหลังถ้ารังแกอีกฝ่ายมากไป

“ร่างกายนายไม่เป็นไรใช่ไหม”

เมื่อมูคยอมถามขึ้นพลางขยี้เส้นผมที่ชื้นเหงื่อของอีกคนด้วยนิ้วมือ ฮาจุนสบตากับมูคยอม และพยักหน้า มูคยอมตบแก้มของฮาจุนเบาๆ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นจากโซฟา “ฉันจะไปอาบน้ำ นายใช้ห้องน้ำห้องอื่นได้นะ อาบน้ำตามสบาย เห็นประตูทางขวานั่นใช่ไหม นั่นห้องน้ำ นายใช้ได้เลย”

“อืม”

ฮาจุนโซเซหยัดกายขึ้นจากโซฟา แต่ถึงกระนั้นฮาจุนก็ไม่ได้ลุกขึ้นในทันที เขาเอนพิงพนักโซฟาและสูดลมหายใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของฮาจุนอ่อนแรงและซีดเผือดจนดูเหมือนคนที่ได้รับการรักษาอย่างหนักที่โรงพยาบาลมากกว่าคนที่มีเซ็กซ์

มูคยอมมองดูถึงตอนที่อีกฝ่ายหยัดกายขึ้นเท่านั้นแล้วก็เข้าไปในห้องน้ำ คงเป็นเพราะความกระสันที่พลุ่งพล่านขึ้นมาก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ถึงความเร่าร้อนที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายหลังจากปลดปล่อย แต่มันก็ค่อยๆ บรรเทาลงด้วยน้ำที่รินรดลงบนศีรษะขณะชำระร่างกาย มูคยอมมองลงไปที่แก่นกายของตัวเองที่ยังไม่สงบก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น นี่เขามีเซ็กส์กับโค้ชทีมเดียวกันที่เป็นผู้ชายหรือนี่ แต่คิดๆ ดูแล้วก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร

ฮาจุนออกมาจากห้องน้ำช้ากว่ามูคยอมเหมือนที่สนามซ้อม สุดท้ายเขาก็ทำลงไปทั้งหมดแล้ว ฮาจุนเดินออกมาอย่างสบายๆ แล้วสวมใส่เสื้อผ้า ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว

ตอนทำก็ถูกครอบงำด้วยความปรารถนาและความเร่าร้อน แต่เมื่อมันจบลงเขาก็รู้สึกลำบากใจ มันไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่ออกเดต และไม่ได้มีแผนพัฒนาความสัมพันธ์หลังจากนี้ไว้ด้วย เพราะฉะนั้นก็จะตะขิดตะขวงใจถ้าจะให้ไปชวนทานข้าวด้วยกันหรือดื่มด้วยกันอีก

‘น่าจะไปโรงแรม ทำไมไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วพามาบ้านกันนะ’

มูคยอมนึกเสียใจภายหลัง โดยปกติแล้วมูคยอมจะเลือกโรงแรมหรือไปบ้านของอีกฝ่าย เลือกที่จะมีความสัมพันธ์ในที่พักด้านนอกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะเป็นฝ่ายออกมาก่อนโดยไม่เสียมารยาท มูคยอมไม่ให้คู่นอนอยู่ค้างคืนที่บ้าน แต่เมื่อเขาพาอีกฝ่ายมาที่บ้านโดยไม่ไตร่ตรองด้วยตัวเอง จะบอกให้อีกฝ่ายออกไปมันก็ยังไงอยู่

“ฉันคงต้องไปแล้วละ แม่รออยู่น่ะ”

ขณะที่มูคยอมกำลังครุ่นคิดว่าจะบอกให้อีกฝ่ายกลับไปอย่างไรดี ฮาจุนก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน นั่นเป็นคำพูดที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน มูคยอมจึงค่อยๆ เบิกตากว้างและถามขึ้น

“นายคงอยู่กับพ่อแม่ใช่ไหม”

“อืม ไม่ได้บอกไว้ก่อน ถ้ากลับดึกกว่านี้ ท่านจะเป็นห่วง”

ต้องขอบคุณที่อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อนที่เขาจะไล่ให้กลับ มูคยอมพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี และลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าสตางค์ที่สอดไว้ในกระเป๋าออกมา

“ใช้นี่จ่ายค่ารถสิ”

“หือ”

ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างเมื่อมูคยอมหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าสตางค์

“บอกให้นั่งแท็กซี่กลับไง ฝนก็ตก ตอนนี้ไม่มีเงินสด ก็ใช้นี่สิ”

“…ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ไม่น่าจะตกเยอะแล้ว”

“ดื้อแค่ไหนก็ไม่ไปส่งนะ ให้ก็รับไปเถอะ”

“บอกว่าไม่เป็นไรไง”

คำพูดที่ดื้อรั้นทำให้มูคยอมเดาะลิ้นอยู่ในปาก ท่าทางแข็งกระด้างนี่มันอะไรกัน

“ไม่เอาก็ไม่เอา”

มูคยอมไม่เสนอต่อ เขาเก็บบัตรเข้าที่เดิม ห้องนั่งเล่นที่เคยเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ตอนนี้ได้เย็นลงราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวในวันเก่า ฮาจุนเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้านอย่างเงียบเชียบ เขาสวมรองเท้าในขณะที่มูคยอมพิงกำแพงมองอีกฝ่าย

ฮาจุนที่ทำท่าเหมือนจะจากไปเฉยๆ หันกลับมาและบ่นพึมพำด้วยคำพูดที่น่าอึ้ง

“ถ้าฉันให้บัตรนั่นกับคนอื่น นายจะทำยังไง”

“ยังไงพรุ่งนี้ก็เจอกันอีกอยู่ดี จะเป็นไรไป”

“ถ้าฉันใช้ไปไหนต่อไหน นายจะทำยังไง”

“การ์ดก็แจ้งหาย ส่วนนายก็แจ้งตำรวจ เรื่องใหญ่ที่ไหนล่ะ”

อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาสั้นๆ ราวกับว่าจะบอกว่าไร้สาระ แต่ฮาจุนก็ทำท่าเหมือนจะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป ฮาจุนมองมูคยอม ก่อนจะยืนขึ้นและบอกลาสั้นๆ

“ไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”

“อืม”

หลังจากมีอะไรกันแล้วก็กระอักกระอ่วนไม่น้อยเลยแฮะ เพราะแบบนี้จึงไม่ควรมีวันไนท์กับผู้ชายสินะ มูคยอมมองฮาจุนที่ทำหน้าเคร่งขรึมและก้าวออกไปจากประตู ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเสียใจจริงๆ แต่หลังจากฮาจุนปิดบังตัวตน เขาก็สลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปในทันที

***

“พี่ พี่! ยังไม่ตื่นเหรอ”

ฮาจุนฝืนเปิดเปลือกตาที่วันนี้หนักอึ้งราวกับหนักหนึ่งตันจนลืมไม่ขึ้น เพราะเสียงเจื้อยแจ้วปลุกเขาให้ได้สติ เคยรู้มาว่าเมื่อคนเราอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ว่าจะได้ยินเสียงใด ก็ไม่เข้าใจความหมายทั้งนั้น แต่เมื่อสติค่อยๆ กลับคืนมา ความรู้สึกในยามคับขันที่บอกว่าเขานอนตื่นสายก็เหมือนกับน้ำเย็นที่สาดซัดเข้าใส่

ถึงแม้ว่าฮาจุนจะลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ แต่เขาก็ไม่อาจส่งเสียงได้ เขาทรุดตัวลงนอนอีกครั้งในทันที มินคยอง น้องสาวที่เข้ามาปลุกฮาจุนเอ่ยกระตุ้นเขา

“เจ็ดโมงสี่สิบนาทีแล้วนะ”

“อ๋อ อื้อ จะลุกแล้ว”

“ฉันปลุกเหรอ รีบมากินข้าวเถอะ”

หลังจากมินคยองออกไป น้องชายอย่างฮาคยองก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เปียกน้ำพลางยื่นหน้าเข้ามาทางช่องระหว่างประตู

“พี่ แม่บอกว่ารีบมากินข้าวได้แล้ว”

“อื้อ เดี๋ยวไป”

ฮาจุนฟังเสียงน้องฝาแฝดเถียงกันเอะอะเสียงดัง พลางเอนกายลงบนเตียงและเฝ้ามองแต่เพดาน จะสายแล้ว แม้เขาจะคิดอย่างนั้น แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถหยัดกายลุกขึ้นได้เลย ฮาจุนพยายามพลิกตัว ก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงหยิบหมอนมาปิดหน้าและอยู่อย่างนั้นสักพัก

เขาปวดเอวมาก สะโพกก็ด้วย และบางจุดภายในท้อง เขาก็เจ็บแปลบราวกับถูกทุบตีจนฟกช้ำเช่นกัน

ต่อหน้าคิมมูคยอม เขาแสร้งทำเป็นสบายดีและออกมาจากบ้านของอีกฝ่าย เขาเดินไปตามทางที่ยาวไกลอย่างไร้สติ ถึงแม้จะเป็นระยะทางแค่จากอาคารไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน แต่มันก็ไกลกว่าวิลล่าธรรมดาหรือหมู่บ้านอพาร์ตเม้นต์อยู่ไม่น้อย เดิมทีฮาจุนก็พยายามจะขึ้นรถบัสหรือรถไฟใต้ดิน แต่สุดท้ายก็จำต้องขึ้นแท็กซี่ตามที่มูคยอมบอก

ฮาจุนมาถึงบ้านพร้อมกับค่ารถที่แสนเจ็บปวดราวๆ สองหมื่นวอน หลังจากที่แม่เรียกให้เขากินข้าว ฮาจุนที่รู้สึกไม่สบายตัวก็บอกว่าจะเข้านอนเลย และเมื่อมาถึง เขาก็คลานเข้าห้องของตัวเองและล้มลงทันที หลังจากนั้นความเจ็บปวดก็ทำให้เขานอนไม่หลับ ฮาจุนจึงกินยาแก้ปวดไปหนึ่งเม็ดก่อนจะหลับไป

เจ็บมาก… เขาคิดไว้แล้วว่าจะต้องเจ็บ แต่นี่มันยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก ตอนที่มูคยอมกระแทกกระทั้นเข้ามากะทันหัน เขานึกว่าตัวเองจะเป็นลมไปแล้วจริงๆ อะไรจะใหญ่ขนาดนั้น หลังจากทุกอย่างจบลง หรือแม้กระทั่งตอนนี้เอง มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเชื่อว่าอะไรใหญ่ๆ แบบนั้นจะเข้ามาในตัวเขา

แต่ถึงอย่างนั้นการมีเซ็กซ์กับมูคยอม ทำให้เขาสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดขนาดนั้นได้ และตอนที่มูคยอมสัมผัสส่วนล่างให้เขาและจูบเขาในตอนสุดท้าย เขาก็รู้สึกดีท่ามกลางความเจ็บปวด…

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็ตอนที่มูคยอมบอกว่ารู้สึกดีที่มีเซ็กซ์กับเขา ตอนนั้นเขายังรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน ความรู้สึกมากมายก็หลอมละลายไปเกือบจะทั้งหมด หลงเหลือแต่ความรู้สึกว่างเปล่าและความเจ็บปวดเหมือนตอนสร่างเมา อาการเจ็บปวดที่ทำให้ร่างกายปวดเมื่อยนั้น คล้ายกับความเจ็บปวดในอกที่เขาเคยรู้สึกทุกครั้งที่เห็นมูคยอม เป็นเพียงความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยกับร่างกายของตัวเองก็เท่านั้น

“…แต่ก็ไม่เสียใจ”

ฮาจุนพูดคนเดียวเบาๆ ราวกับบอกตัวเอง อาการเจ็บปวดนี้ราคาถูก ต่อให้ต้องเจ็บปวดมากกว่านี้อีกหลายเท่า ฮาจุนก็จะเลือกทางเดิมเหมือนกับเมื่อวาน

……………………………………….

มูคยอมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายเลย ทั้งในลอนดอน ทั้งในเมืองที่เขาไปพักร้อน ทั้งสถานที่ที่เขาไปพักผ่อนหย่อนใจ หรือแม้กระทั่งตอนที่มีงานปาร์ตี้ที่จัดโดยเพื่อนร่วมงานหรือคนดังที่เขารู้จักเป็นครั้งคราว ก็มีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้าหาเขาหลังจากที่เตร็ดเตร่อยู่ที่นั่นจนดึกดื่น

จากประสบการณ์ที่ว่า มูคยอมตระหนักตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเขาก็สามารถดึงดูดความสนใจทางเพศกับผู้ชายได้เช่นกัน

เมื่อสร่างเมาแล้วเขาก็เคยตกหลุมความน่ารักของหนุ่มๆ เหล่านั้น แต่เขาไม่เคยลองเล้าโลมหรือจูบหนุ่มๆ เหล่านั้นเลย นับประสาอะไรกับการมีเซ็กส์กับผู้ชาย พูดได้เลยว่าตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขามีอารมณ์กับผู้ชาย เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อไรกันนะ ที่เขาเริ่มถามหาเหตุผลของความต้องการทางกิเลสกาม

“นานแค่ไหนแล้ว”

“หืม”

“นายอยากทำเรื่องแบบนี้กับฉันมานานแค่ไหนแล้ว”

มูคยอมปัดผมของฮาจุนที่กระจัดกระจายอยู่เต็มใบหน้าขึ้นไปบนหน้าผากและทัดหูด้วยนิ้วหัวแม่มือของเขา มันเป็นการกระทำที่อ่อนโยนมาก

“แสดงเก่งดีนี่ ฉันไม่เคยสังเกตเห็นเลย”

ฮาจุนนิ่งเงียบ ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะตั้งอกตั้งใจเลือกสรรคำพูดตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

ทั้งลางสังหรณ์ ทั้งเหตุการณ์ที่กะทันหันนี้ ทั้งอีฮาจุนที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ทั้งความกลุ้มใจที่ต่างไปจากเดิม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ตั้งแต่เริ่มแรกมันเหมือนกับการเทชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ออกมาต่อกัน นั่นจึงทำให้มูคยอมรู้สึกสนุก เขาที่เคยสงบนิ่งก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยราวกับตอนที่ได้เกมแผ่นใหม่หลังจากที่จุนซองล้มป่วย

“แล้วนายล่ะ”

“อะไร” จู่ๆ ฮาจุนก็ถามออกมาอย่างไม่คาดคิด มูคยอมย้อนถามเพราะไม่เข้าใจคำถามนั้น

“ทำไมนายถึงทำแบบนั้นกับฉัน”

“นายจะถามว่าทำไมฉันถึงจูบนายงั้นเหรอ”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนแก้มแดงขึ้นแล้วยังมีสีหน้าที่กระวนกระวายมากขึ้นอีกด้วย มูคยอมยักไหล่โดยไม่ยอมปล่อยเอวของฮาจุน

“ฉันแค่อยากลองใจนายเฉยๆ ”

“…”

ฮาจุนปิดปากแน่นราวกับพูดไม่ออก ในตอนนี้แม้แต่จะสบตามูคยอมตรงๆ ฮาจุนก็ไม่สามารถทำได้เลย ท่าทางที่พุ่งเข้าใส่มูคยอมเมื่อก่อนหน้านั้นเหมือนกับเป็นเรื่องโกหก

ไม่ได้การแล้ว ถ้าจบเรื่องแล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่มันก็ไม่สนุกน่ะสิ มูคยอมไม่ต้องการที่จะล่มสถานการณ์อันน่าสนใจที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยนี้

มูคยอมที่บอกว่าตนเองกังวลว่าจะทำอย่างไรดี จึงตกอยู่ในห้วงของความคิดเข้าไปอีก ก่อนที่จะจูบมีเพียงสัญชาตญาณเดียวที่โอบล้อมมูคยอมเอาไว้

หมอนี่มีใจให้ฉันไหมนะ

อีกฝ่ายทำตัวเหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรแบบนั้น เพราะสนใจเกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างเยอะเลยไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะใบหน้าที่ขึ้นสีและรู้สึกอึดอัดใจนั้นเมื่อพรรณนาถึงสิ่งที่เขาทำให้กับผู้อื่นราวกับเป็นคำอวยพร

ทันทีที่มูคยอมตระหนักถึงความขัดแย้งอันไม่สมเหตุสมผล จึงทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น และความสนใจก็เปลี่ยนไปเป็นการกระทำ และการทดสอบก็จบลงด้วยความสำเร็จ มูคยอมไม่มีความคิดที่จะถามอีกฝ่ายไปตรงๆ ว่ามีใจให้เขาหรือเปล่า มันเป็นคำถามที่รับมือไม่ไหว ถ้าหากคำตอบคือใช่ ในอนาคตมันคงยากที่เขาจะรับมือหรือเปล่า

แต่ตอนนี้ภายในใจมูคยอมมีความปรารถนาที่จะเข้าไปในสถานการณ์นี้มากกว่าความกังวลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคต เขาถอนหายใจและถามราวกับตำหนิ

“อีฮาจุน”

“อือ”

“นายไม่ได้ใจตรงกันกับฉันหรอกเหรอ”

ตอนนี้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนและวุ่นวายใจจนดูน่าสงสารได้หันไปทางมูคยอม ฮาจุนส่ายหน้าอย่างช้าๆ เงยหน้ามองมูคยอมที่มองลงมาที่ตนเองพลางขมวดคิ้ว

“แล้วทำไมล่ะ”

มูคยอมเอาแต่ถามคำถามที่ฮาจุนไม่สามารถตอบได้ เพื่อให้อีกฝ่ายตอบได้แค่ว่าใช่หรือไม่ใช่โดยไม่ต้องคิดนู่นนี่

“เพราะว่าเดิมทีนายก็ชอบผู้ชายใช่ไหม”

“…อืม”

“แม้ว่าจะไม่มีหัวใจ แต่นายก็คงใจดำสินะ ไม่ใช่แบบนั้นหรือไง”

ฮาจุนไม่ตอบรับและปฏิเสธ ใบหน้าของเขาที่เคยรุ่มร้อนไปด้วยความตื่นเต้นตอนนี้ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย

มูคยอมรอคำตอบจากฮาจุนว่าใช่หรือไม่ใช่อยู่

“แล้วฉันต้องทำยังไงดีล่ะ” ฮาจุนย้อนถามกลับไป

“อะไร”

“ช่วยบอกทีว่าฉันต้องทำยังไงนายถึงจะไม่อารมณ์เสีย… ฉันจะทำให้เอง”

ทันใดนั้นฮาจุนก็มีสีหน้าอึมครึมเหมือนคนที่ทำอะไรผิด มูคยอมไม่สามารถกลบเสียงหัวเราะแผ่วๆ ได้ เขาจึงโน้มตัวลงไปใกล้ๆ

“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันอารมณ์เสียนะ”

“…”

“ฉันแค่กังวลนิดหน่อย”

“กังวล…เรื่องอะไร”

แม้แต่ตอนแรกที่เดาใจของฮาจุน มูคยอมก็ไม่รู้เลยว่า ‘ความรู้สึก’ ของฮาจุนนั้นเป็นความรักแบบบริสุทธิ์หรือเป็นความต้องการทางเพศที่อยากจะทำเรื่องอย่างว่ากับเขากันแน่ แต่ว่าก็พอจะรู้ได้แล้วจากการจูบอันเร่าร้อนที่เขาเป็นแบบทดสอบเมื่อครู่ ในความรู้สึกนั้นมีความปรารถนาทางเพศอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

“จนถึงเมื่อกี้ฉันรู้สึกหดหู่นิดหน่อย ดังนั้นวันนี้ฉันเลยไปเตะบอลจนกว่าจะหาย แล้วค่อยกลับไปนอนคนเดียว”

“แล้ว…”

“ตอนแรกก็ว่าจะทำอย่างนั้นแหละ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว” มูคยอมสบตาฮาจุน

“ทำกับฉันไหม”

“…อะไร”

ฮาจุนมองไปที่มูคยอมด้วยสายตางงงวยราวกับว่าไม่เข้าใจว่ามูคยอมหมายถึงอะไร ฮาจุนกัดปากเอาไว้สุดแรงแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ มูคยอมขมวดคิ้วและอธิบายเป็นมารยาท

“เซ็กส์ ฉันถามว่านายอยากทำมันไหม”

“…”

“ไม่ต้องหนักใจหรอก มันไม่ใช่เรื่องที่ถ้าไม่ใช่นายแล้วฉันจะทำไม่ได้นี่”

เขาอธิบายมันค่อนข้างนานเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายขึ้น แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ตอบในทันที อีกฝ่ายค่อยๆ กลอกตาลงไปด้านล่างซ้ำๆ ราวกับสับสน และต้นคอก็ขยับขึ้นลงเหมือนกลืนน้ำลายที่แห้งเหือด

ความเงียบนั้นยาวนานกว่าที่มูคยอมคิดไว้มาก อย่างไรก็ตามอย่างที่มูคยอมรู้ว่าการจูบแบบนั้นคือสิ่งที่จะทำให้ถึงขั้นต่อไป ยิ่งถ้าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เกิดจุดสัมผัสทางเพศ มูคยอมรู้ว่ามันจะเป็นไปตามเล่ห์เหลี่ยม เขาจึงรอและไม่เร่งอีกฝ่าย

เป็นไปตามคาดของมูคยอม ในที่สุดฮาจุนก็พยักหน้าช้าๆ ความรู้สึกกระวนกระวายและเหม่อลอยราวกับตามเรื่องราวไม่ทันก็พลันหายไปทันที

“อยากสิ”

อีกฝ่ายตอบอย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้มูคยอมก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปเพราะความต้องการของทั้งคู่ตรงกัน

อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าทำไมวันนี้มันเป็นวันที่อีฮาจุนที่อยู่ต่อหน้าของเขานั้นช่างน่าดึงดูด และไม่รู้ด้วยว่าเพราะเหตุผลอะไร มูคยอมที่เคยคิดว่าเขาไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นผู้ชายได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสไตล์ความชอบของเขาจะเปลี่ยนไป หรือไม่ก็คงไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความสนุกสนานบนโลกใบนี้เพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งอย่างก็ยังดีกว่าลดลงเป็นไหนๆ

“งั้นก็ไปกันเลยไหม”

การทำเรื่องนั้นกับผู้ชายอาจจะดูเหมือนเป็นการพยายามครั้งใหม่ที่แตกต่างไปจากปกติ เขาจึงตื่นเต้นเล็กน้อย

มูคยอมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว วิธีที่จะสนุกกับชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่พยายามทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอย่อมดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย

ในขณะที่มูคยอมพาดแขนไว้บนไหล่ของฮาจุน ทันทีที่ก้าวเดินฮาจุนเองก็วางแขนของเขาไว้บนไหล่ของมูคยอมเบาๆ ด้วยเช่นกันและทั้งคู่จึงเริ่มเดินเคียงข้างกันไป

มูคยอมมองด้านข้างของฮาจุน อีกฝ่ายดูไม่แยแสเท่าไรเมื่อเทียบกับท่าทางอันเร่าร้อนเมื่อตอนที่จูบกันเมื่อครู่นี้ หรือเมื่ออีกฝ่ายหลบตาเมื่อตอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา และทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงจะค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้

“นายไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ครั้งแรกใช่ไหม” มูคยอมก้มลงกระซิบ

ฮาจุนหันหน้าไปตอบคำถามและมองไปที่มูคยอมครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า

“อืม”

มูคยอมเข้าใจและพยักหน้า

“เยี่ยมเลย”

“อะไร”

“เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำกับผู้ชายยังไงละ นายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นช่วยสอนผมด้วยนะครับโค้ช”

ฮาจุนดูเหมือนจะยิ้มอย่างอ่อนแรงกับคำพูดนั้นและตอบกลับสั้นๆ ว่า “ก็ได้”

แม้มูคยอมจะทำตัวมีเลศนัย แต่เขาก็แอบตกใจอยู่ภายในใจ ถึงจะตกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายเมื่อครู่ในตอนที่โถมเข้ามาจูบ แต่พอเห็นว่าดูคุ้นเคยกับการวันไนท์แสตนด์อย่างไม่คาดคิดแบบนี้ เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานต่อหน้าคนอื่น หรือว่าตอนที่ทำหน้านิ่งๆ ต่อหน้าเขา บางครั้งเขาก็เคยขัดแย้งกับอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วฮาจุนก็ไม่มีมุมที่ดึงดูดความสนใจ เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นคนเรียบร้อยที่ปีนขึ้นไปบนเตาก่อนใคร ดูคนแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

“แล้วรถล่ะ”

ฮาจุนเงยหน้าตอบทันทีที่ถึงลานจอดรถ

“ฉันไม่มีรถเป็นของตัวเองหรอก ฉันนั่งรถเมล์ไปกลับ”

“งั้นก็ไปนั่งข้างๆ”

มูคยอมรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นฮาจุนเปิดประตูไปนั่งข้างคนขับรถ โดยปกติเมื่อมูคยอมเดินทางไปยังสนามฝึกซ้อม เขามักจะขับรถที่ไม่ค่อยสะดุดตา อย่างเช่น อาวดี้ แต่วันนี้เขากลับอยากจะใช้ลัมโบร์กีนีขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล อาจเพราะความรู้สึกที่เศร้าหมองนิดหน่อยเขาจึงอยากนั่งรถที่เป็นสีสดใส หรือเพราะเกิดเรื่องราวพลิกผันก็ไม่แน่ใจ เขาพูดกับฮาจุนที่ขึ้นมานั่งข้างคนขับว่า “ที่นั่งตรงนั้นก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผู้ชายได้นั่ง”

“…นี่ฉันต้องบอกว่าเป็นเกียรติมากเลยไหม”

“ตามใจนายสิ”

มูคยอมหัวเราะแล้วสตาร์ทรถ รถเคลื่อนตัวช้าๆ ท่ามกลางสายฝนและไม่นานนักมูคยอมก็เร่งความเร็วขึ้น

***

บ้านของมูคยอมเป็นวิลล่าระดับพรีเมียมราคาสูงเนื่องจากที่นี่มีคนดังหลายคนมาอาศัยอยู่ การรักษาความปลอดภัยก็ดี แถมการป้องกันความเป็นส่วนตัวนั้นก็ค่อนข้างดีเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นบ้านที่เลือกมาโดยไม่ต้องกังวลอะไรเป็นพิเศษ เพราะไม่มีที่ไหนที่จะอยู่คนเดียวแค่หนึ่งปีแล้วจะสะดวกสบายเท่าที่นี่

ทันทีที่ลงจากลิฟต์ ทางเดินหินอ่อนที่เรียงรายไปด้วยแสงไฟหรูหรานั้นค่อนข้างกว้าง แต่สิ่งเดียวที่ฮาจุนเห็นบนผนังคือประตูบ้านของมูคยอม มูคยอมเดินนำเข้าไปในบ้าน จากทางเข้าประตูบ้านไปสู่ห้องนั่งเล่นก็ยาวกว่าบ้านปกติทั่วไปมาก

บ้านถูกตกแต่งอย่างประณีตและทันสมัย แต่เนื่องจากมูคยอมขี้เกียจเขาจึงฝากให้ผู้จัดการและผู้ประกอบการตกแต่งภายในทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่มูคยอมเลือกด้วยตัวเองมากนัก มีเพียงรถสองสามคันและเสื้อผ้าไม่กี่ชุดของเขาที่ใช้ในตอนที่อยู่ลอนดอนที่เอามาทิ้งไว้ นอกจากของพวกนั้นแล้วเขาก็คิดที่จะซื้อใหม่หมดเลย

“เพิ่งอาบน้ำมาก็ไม่จำเป็นต้องอาบอีกใช่ไหม”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วจ้องมองที่ฮาจุน ฮาจุนยืนแข็งราวกับเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาในที่ที่ไม่ควรมา ในทางกลับกันมูคยอมก็เอาแต่หัวเราะคิกคักตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

“มัวแต่ทำไรอยู่ มาทางนี้สิ”

ตอนนี้ก็ไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วรีบก้าวขึ้นมาบนเตาได้แล้ว

ขณะที่มูคยอมยืนอยู่ใกล้โซฟาในห้องนั่งเล่นและยื่นมือออกไป ฮาจุนก็เดินเข้ามาหาและจับมือของมูคยอมเอาไว้ ในขณะที่มูคยอมดึงอีกฝ่ายลงบนโซฟา เขาก็จับอีกฝ่ายนั่งตักของตนเอง มูคยอมวางชายหนุ่มที่ตัวใหญ่ไม่น้อยไว้บนตัก แต่ต้นขาที่แข็งแกร่งของเขานั้นดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของฮาจุนเลย

พวกเขาเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กัน ทั้งคู่สบตากันโดยไม่คาดคิด แต่ฮาจุนกลับเหลือบมองลงข้างล่างอย่างรีบร้อนจนทำให้เสียมุมมอง มูคยอมเริ่มลูบแก้มไปจนถึงหลังคอเรียบลื่นของฮาจุน

“ชอบบ้านฉันไหม”

“ก็กว้าง…ดีนะ”

“ฉันควรจะพาแขกเดินชมบ้าน แต่สถานการณ์ของฉันตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรแบบนั้น”

เพราะเพิ่งโดนกัดไปเมื่อไม่นานมานี้ ริมฝีปากของฮาจุนก็เลยยังแดงและดูบวมกว่าปกติเล็กน้อย มือของฮาจุนที่ลังเลไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหนจึงเลื่อนไปจับไหล่ของมูคยอมเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายงับริมฝีปากล่างของตนเองราวกับจะต่อจากที่พวกเขาจูบกันที่สนามฝึกซ้อม

แม้ว่าฮาจุนจะทำตัวเป็นเด็กขี้อายหรือจะแข็งเป็นหิน แต่มูคยอมก็ยังชอบเพราะว่าเมื่อเริ่มแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ผละออก ในขณะที่กัดปากกันอยู่นั้น เขาก็ขยับศีรษะไปซ้ายทีขวาทีอย่างช้าๆ เมื่อเขาใช้ฟันขูดอีกฝ่ายก็ส่งเสียงครางออกมาแล้วใช้แขนออกแรงดึงมูคยอมขยับเข้ามาใกล้อีก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะหัวใจต้องการหรือเปล่า เขาถึงได้สอดลิ้นเข้าไปในปากแล้วดันเข้าไปจนลึก อีกฝ่ายส่งเสียงครวญครางออกมาสั้นๆ ราวกับตกใจ

“ฮื้อ”

เขาพยุงศีรษะของฮาจุนและเอียงร่างที่อยู่ด้านบนของตนเองให้นอนราบลงบนโซฟา ฮาจุนที่เคยนั่งตักอยู่เอนหลังนอนลงอย่างเป็นธรรมชาติใต้ร่างของมูคยอม

เมื่อมูคยอมถูเพดานปากด้วยปลายลิ้น ฮาจุนก็หอบหายใจราวกับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คิดอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ว่าข้างในปากค่อนข้างไวต่อความรู้สึก เซ็กส์จะสนุกขึ้นถ้าหากรู้สึกดี เขาเองก็ถูกใจในจุดจุดนี้เหมือนกัน

“อื้อ ฮื้อ!”

เขาค่อยๆ สอดและเอาลิ้นออกแตะเบาๆ ภายในปากจากนั้นดันลึกเข้าไปในลำคอ เสียงครวญครางของอีกฝ่ายดังขึ้นและร่างกายก็สั่นสะท้าน

ชอบตรงนี้เหรอ ขณะที่ขยับศีรษะ มูคยอมก็ยังคงสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของฮาจุน ฮาจุนที่เอนตัวนอนอยู่บนโซฟาเอาแต่ดึงรั้งมูคยอมเข้าหาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“อ๊ะ อื้อ อือ”

“โค้ชครับ ตั้งสติหน่อยสิครับ” มูคยอมหยุดจูบและหัวเราะพลางใช้ปลายนิ้วแตะแก้มของอีกฝ่าย

“ฮ่า อื้อ”

“อย่าใจลอยแล้วก็ดูดลิ้นของฉันบ้างสิ”

ฮาจุนที่หลับตาครางอยู่ลืมตาขึ้นมา ในขณะที่มูคยอมแลบลิ้นออกเล็กน้อย ฮาจุนก็อ้าปากกว้างขึ้นและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ราวกับว่าเข้าใจความหมายมันเป็นอย่างดี ฮาจุนโฉบเอาลิ้นของมูคยอมที่แลบออกมาด้วยริมฝีปากของตนเอง และเริ่มดูดมันจนเกิดเสียงชื้นแฉะ ความรู้สึกที่จั๊กจี้ทำให้มูคยอมหัวเราะโดยไม่มีเสียง

การดูดลิ้นของฮาจุนโดยไม่มีเทคนิคใดๆ คล้ายกับจูบเมื่อก่อนหน้านี้ที่เหมือนกับลูกนกกินอาหาร เหมือนว่าอีกฝ่ายจะชอบจูบแต่ดันจูบไม่เก่งเอาเสียเลย มูคยอมผละริมฝีปากแล้วเงยหน้าถามฮาจุน

“โค้ชอี ความสามารถเรื่องจูบก็งั้นๆ นะเนี่ย”

“…ขอโทษละกัน”

ใบหน้าของฮาจุนที่ได้รับการประเมินต่ำเริ่มบูดบึ้งและแดงขึ้นเล็กน้อย ในระหว่างนั้นฮาจุนเผยอปากออกราวกับจูบนั้นยังไม่เพียงพอ และมองมูคยอมราวกับโดนแย่งอาหาร มูคยอมกลั้นหัวเราะ ก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนจะเลียลงไปบนริมฝีปาก

ทันใดนั้นฮาจุนก็หลับตาปี้ราวกับว่าตนเองนั้นได้กินของที่มีรสเปรี้ยว แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเอง ครั้งนี้มูคยอมหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“จั๊กจี้เหรอ”

เขาซุกหน้าที่ต้นคอของฮาจุนโดยไม่รอคำตอบ ผิวที่ขาวราวกับเครื่องปั้นดินเผาสีขาวผสมกับสีงาช้างเล็กน้อยเรียบลื่นและนุ่มราวกับเนื้อสัมผัสที่มูคยอมเดาได้ด้วยตาของเขา ตอนนี้ผิวของอีกฝ่ายร้อนเหมือนไฟ

มือของมูคยอมขยับอย่างรวดเร็วด้วยความเคยชิน จากนั้นก็ลูบต้นคอของอีกฝ่ายด้วยลิ้นและริมฝีปาก เขาสอดมือเข้าไปข้างในเสื้อยืดอย่างรวดเร็ว แต่กลับหยุดชะงักครู่หนึ่ง

‘กับผู้ชายนี่ถ้าจับหน้าอกจะรู้สึกไหมนะ’

พูดตามตรง มูคยอมไม่ใช่คนที่ชอบการลูบไล้เลยจริงๆ อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีการลูบไล้กันในขณะที่มีเซ็กส์นั้น การสอดใส่ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เขาคิดว่าการลูบไล้คือมารยาทอย่างหนึ่ง เพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่เคยข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย สำหรับมูคยอมเซ็กส์ก็คือเกม และคะแนนความสำเร็จในเกมก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของอีกฝ่าย แต่ผู้ชายก็ไม่ได้แฉะจากด้านล่าง ดังนั้นจำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ

แต่ไหนๆ ก็สอดมือเข้ามาในเสื้อแล้ว มูคยอมเอื้อมมือไปจับหน้าอกที่ไม่มีเนินเช่นเดียวกับของตนเองแล้วจึงใช้นิ้วถูกยอดถันที่ผุดขึ้นมาเล็กๆ

หลังจากนั้นร่างกายของฮาจุนก็แข็งทื่อ

……………………………………………….

มูคยอมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายเลย ทั้งในลอนดอน ทั้งในเมืองที่เขาไปพักร้อน ทั้งสถานที่ที่เขาไปพักผ่อนหย่อนใจ หรือแม้กระทั่งตอนที่มีงานปาร์ตี้ที่จัดโดยเพื่อนร่วมงานหรือคนดังที่เขารู้จักเป็นครั้งคราว ก็มีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้าหาเขาหลังจากที่เตร็ดเตร่อยู่ที่นั่นจนดึกดื่น

จากประสบการณ์ที่ว่า มูคยอมตระหนักตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเขาก็สามารถดึงดูดความสนใจทางเพศกับผู้ชายได้เช่นกัน

เมื่อสร่างเมาแล้วเขาก็เคยตกหลุมความน่ารักของหนุ่มๆ เหล่านั้น แต่เขาไม่เคยลองเล้าโลมหรือจูบหนุ่มๆ เหล่านั้นเลย นับประสาอะไรกับการมีเซ็กส์กับผู้ชาย พูดได้เลยว่าตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขามีอารมณ์กับผู้ชาย เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อไรกันนะ ที่เขาเริ่มถามหาเหตุผลของความต้องการทางกิเลสกาม

“นานแค่ไหนแล้ว”

“หืม”

“นายอยากทำเรื่องแบบนี้กับฉันมานานแค่ไหนแล้ว”

มูคยอมปัดผมของฮาจุนที่กระจัดกระจายอยู่เต็มใบหน้าขึ้นไปบนหน้าผากและทัดหูด้วยนิ้วหัวแม่มือของเขา มันเป็นการกระทำที่อ่อนโยนมาก

“แสดงเก่งดีนี่ ฉันไม่เคยสังเกตเห็นเลย”

ฮาจุนนิ่งเงียบ ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะตั้งอกตั้งใจเลือกสรรคำพูดตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

ทั้งลางสังหรณ์ ทั้งเหตุการณ์ที่กะทันหันนี้ ทั้งอีฮาจุนที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ทั้งความกลุ้มใจที่ต่างไปจากเดิม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ตั้งแต่เริ่มแรกมันเหมือนกับการเทชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ออกมาต่อกัน นั่นจึงทำให้มูคยอมรู้สึกสนุก เขาที่เคยสงบนิ่งก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยราวกับตอนที่ได้เกมแผ่นใหม่หลังจากที่จุนซองล้มป่วย

“แล้วนายล่ะ”

“อะไร” จู่ๆ ฮาจุนก็ถามออกมาอย่างไม่คาดคิด มูคยอมย้อนถามเพราะไม่เข้าใจคำถามนั้น

“ทำไมนายถึงทำแบบนั้นกับฉัน”

“นายจะถามว่าทำไมฉันถึงจูบนายงั้นเหรอ”

คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนแก้มแดงขึ้นแล้วยังมีสีหน้าที่กระวนกระวายมากขึ้นอีกด้วย มูคยอมยักไหล่โดยไม่ยอมปล่อยเอวของฮาจุน

“ฉันแค่อยากลองใจนายเฉยๆ ”

“…”

ฮาจุนปิดปากแน่นราวกับพูดไม่ออก ในตอนนี้แม้แต่จะสบตามูคยอมตรงๆ ฮาจุนก็ไม่สามารถทำได้เลย ท่าทางที่พุ่งเข้าใส่มูคยอมเมื่อก่อนหน้านั้นเหมือนกับเป็นเรื่องโกหก

ไม่ได้การแล้ว ถ้าจบเรื่องแล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่มันก็ไม่สนุกน่ะสิ มูคยอมไม่ต้องการที่จะล่มสถานการณ์อันน่าสนใจที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยนี้

มูคยอมที่บอกว่าตนเองกังวลว่าจะทำอย่างไรดี จึงตกอยู่ในห้วงของความคิดเข้าไปอีก ก่อนที่จะจูบมีเพียงสัญชาตญาณเดียวที่โอบล้อมมูคยอมเอาไว้

หมอนี่มีใจให้ฉันไหมนะ

อีกฝ่ายทำตัวเหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรแบบนั้น เพราะสนใจเกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างเยอะเลยไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะใบหน้าที่ขึ้นสีและรู้สึกอึดอัดใจนั้นเมื่อพรรณนาถึงสิ่งที่เขาทำให้กับผู้อื่นราวกับเป็นคำอวยพร

ทันทีที่มูคยอมตระหนักถึงความขัดแย้งอันไม่สมเหตุสมผล จึงทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น และความสนใจก็เปลี่ยนไปเป็นการกระทำ และการทดสอบก็จบลงด้วยความสำเร็จ มูคยอมไม่มีความคิดที่จะถามอีกฝ่ายไปตรงๆ ว่ามีใจให้เขาหรือเปล่า มันเป็นคำถามที่รับมือไม่ไหว ถ้าหากคำตอบคือใช่ ในอนาคตมันคงยากที่เขาจะรับมือหรือเปล่า

แต่ตอนนี้ภายในใจมูคยอมมีความปรารถนาที่จะเข้าไปในสถานการณ์นี้มากกว่าความกังวลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคต เขาถอนหายใจและถามราวกับตำหนิ

“อีฮาจุน”

“อือ”

“นายไม่ได้ใจตรงกันกับฉันหรอกเหรอ”

ตอนนี้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนและวุ่นวายใจจนดูน่าสงสารได้หันไปทางมูคยอม ฮาจุนส่ายหน้าอย่างช้าๆ เงยหน้ามองมูคยอมที่มองลงมาที่ตนเองพลางขมวดคิ้ว

“แล้วทำไมล่ะ”

มูคยอมเอาแต่ถามคำถามที่ฮาจุนไม่สามารถตอบได้ เพื่อให้อีกฝ่ายตอบได้แค่ว่าใช่หรือไม่ใช่โดยไม่ต้องคิดนู่นนี่

“เพราะว่าเดิมทีนายก็ชอบผู้ชายใช่ไหม”

“…อืม”

“แม้ว่าจะไม่มีหัวใจ แต่นายก็คงใจดำสินะ ไม่ใช่แบบนั้นหรือไง”

ฮาจุนไม่ตอบรับและปฏิเสธ ใบหน้าของเขาที่เคยรุ่มร้อนไปด้วยความตื่นเต้นตอนนี้ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย

มูคยอมรอคำตอบจากฮาจุนว่าใช่หรือไม่ใช่อยู่

“แล้วฉันต้องทำยังไงดีล่ะ” ฮาจุนย้อนถามกลับไป

“อะไร”

“ช่วยบอกทีว่าฉันต้องทำยังไงนายถึงจะไม่อารมณ์เสีย… ฉันจะทำให้เอง”

ทันใดนั้นฮาจุนก็มีสีหน้าอึมครึมเหมือนคนที่ทำอะไรผิด มูคยอมไม่สามารถกลบเสียงหัวเราะแผ่วๆ ได้ เขาจึงโน้มตัวลงไปใกล้ๆ

“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันอารมณ์เสียนะ”

“…”

“ฉันแค่กังวลนิดหน่อย”

“กังวล…เรื่องอะไร”

แม้แต่ตอนแรกที่เดาใจของฮาจุน มูคยอมก็ไม่รู้เลยว่า ‘ความรู้สึก’ ของฮาจุนนั้นเป็นความรักแบบบริสุทธิ์หรือเป็นความต้องการทางเพศที่อยากจะทำเรื่องอย่างว่ากับเขากันแน่ แต่ว่าก็พอจะรู้ได้แล้วจากการจูบอันเร่าร้อนที่เขาเป็นแบบทดสอบเมื่อครู่ ในความรู้สึกนั้นมีความปรารถนาทางเพศอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

“จนถึงเมื่อกี้ฉันรู้สึกหดหู่นิดหน่อย ดังนั้นวันนี้ฉันเลยไปเตะบอลจนกว่าจะหาย แล้วค่อยกลับไปนอนคนเดียว”

“แล้ว…”

“ตอนแรกก็ว่าจะทำอย่างนั้นแหละ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว” มูคยอมสบตาฮาจุน

“ทำกับฉันไหม”

“…อะไร”

ฮาจุนมองไปที่มูคยอมด้วยสายตางงงวยราวกับว่าไม่เข้าใจว่ามูคยอมหมายถึงอะไร ฮาจุนกัดปากเอาไว้สุดแรงแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ มูคยอมขมวดคิ้วและอธิบายเป็นมารยาท

“เซ็กส์ ฉันถามว่านายอยากทำมันไหม”

“…”

“ไม่ต้องหนักใจหรอก มันไม่ใช่เรื่องที่ถ้าไม่ใช่นายแล้วฉันจะทำไม่ได้นี่”

เขาอธิบายมันค่อนข้างนานเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายขึ้น แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ตอบในทันที อีกฝ่ายค่อยๆ กลอกตาลงไปด้านล่างซ้ำๆ ราวกับสับสน และต้นคอก็ขยับขึ้นลงเหมือนกลืนน้ำลายที่แห้งเหือด

ความเงียบนั้นยาวนานกว่าที่มูคยอมคิดไว้มาก อย่างไรก็ตามอย่างที่มูคยอมรู้ว่าการจูบแบบนั้นคือสิ่งที่จะทำให้ถึงขั้นต่อไป ยิ่งถ้าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เกิดจุดสัมผัสทางเพศ มูคยอมรู้ว่ามันจะเป็นไปตามเล่ห์เหลี่ยม เขาจึงรอและไม่เร่งอีกฝ่าย

เป็นไปตามคาดของมูคยอม ในที่สุดฮาจุนก็พยักหน้าช้าๆ ความรู้สึกกระวนกระวายและเหม่อลอยราวกับตามเรื่องราวไม่ทันก็พลันหายไปทันที

“อยากสิ”

อีกฝ่ายตอบอย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้มูคยอมก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปเพราะความต้องการของทั้งคู่ตรงกัน

อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าทำไมวันนี้มันเป็นวันที่อีฮาจุนที่อยู่ต่อหน้าของเขานั้นช่างน่าดึงดูด และไม่รู้ด้วยว่าเพราะเหตุผลอะไร มูคยอมที่เคยคิดว่าเขาไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นผู้ชายได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสไตล์ความชอบของเขาจะเปลี่ยนไป หรือไม่ก็คงไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความสนุกสนานบนโลกใบนี้เพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งอย่างก็ยังดีกว่าลดลงเป็นไหนๆ

“งั้นก็ไปกันเลยไหม”

การทำเรื่องนั้นกับผู้ชายอาจจะดูเหมือนเป็นการพยายามครั้งใหม่ที่แตกต่างไปจากปกติ เขาจึงตื่นเต้นเล็กน้อย

มูคยอมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว วิธีที่จะสนุกกับชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่พยายามทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอย่อมดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย

ในขณะที่มูคยอมพาดแขนไว้บนไหล่ของฮาจุน ทันทีที่ก้าวเดินฮาจุนเองก็วางแขนของเขาไว้บนไหล่ของมูคยอมเบาๆ ด้วยเช่นกันและทั้งคู่จึงเริ่มเดินเคียงข้างกันไป

มูคยอมมองด้านข้างของฮาจุน อีกฝ่ายดูไม่แยแสเท่าไรเมื่อเทียบกับท่าทางอันเร่าร้อนเมื่อตอนที่จูบกันเมื่อครู่นี้ หรือเมื่ออีกฝ่ายหลบตาเมื่อตอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา และทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงจะค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้

“นายไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ครั้งแรกใช่ไหม” มูคยอมก้มลงกระซิบ

ฮาจุนหันหน้าไปตอบคำถามและมองไปที่มูคยอมครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า

“อืม”

มูคยอมเข้าใจและพยักหน้า

“เยี่ยมเลย”

“อะไร”

“เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำกับผู้ชายยังไงละ นายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นช่วยสอนผมด้วยนะครับโค้ช”

ฮาจุนดูเหมือนจะยิ้มอย่างอ่อนแรงกับคำพูดนั้นและตอบกลับสั้นๆ ว่า “ก็ได้”

แม้มูคยอมจะทำตัวมีเลศนัย แต่เขาก็แอบตกใจอยู่ภายในใจ ถึงจะตกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายเมื่อครู่ในตอนที่โถมเข้ามาจูบ แต่พอเห็นว่าดูคุ้นเคยกับการวันไนท์แสตนด์อย่างไม่คาดคิดแบบนี้ เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานต่อหน้าคนอื่น หรือว่าตอนที่ทำหน้านิ่งๆ ต่อหน้าเขา บางครั้งเขาก็เคยขัดแย้งกับอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วฮาจุนก็ไม่มีมุมที่ดึงดูดความสนใจ เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นคนเรียบร้อยที่ปีนขึ้นไปบนเตาก่อนใคร ดูคนแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

“แล้วรถล่ะ”

ฮาจุนเงยหน้าตอบทันทีที่ถึงลานจอดรถ

“ฉันไม่มีรถเป็นของตัวเองหรอก ฉันนั่งรถเมล์ไปกลับ”

“งั้นก็ไปนั่งข้างๆ”

มูคยอมรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นฮาจุนเปิดประตูไปนั่งข้างคนขับรถ โดยปกติเมื่อมูคยอมเดินทางไปยังสนามฝึกซ้อม เขามักจะขับรถที่ไม่ค่อยสะดุดตา อย่างเช่น อาวดี้ แต่วันนี้เขากลับอยากจะใช้ลัมโบร์กีนีขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล อาจเพราะความรู้สึกที่เศร้าหมองนิดหน่อยเขาจึงอยากนั่งรถที่เป็นสีสดใส หรือเพราะเกิดเรื่องราวพลิกผันก็ไม่แน่ใจ เขาพูดกับฮาจุนที่ขึ้นมานั่งข้างคนขับว่า “ที่นั่งตรงนั้นก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผู้ชายได้นั่ง”

“…นี่ฉันต้องบอกว่าเป็นเกียรติมากเลยไหม”

“ตามใจนายสิ”

มูคยอมหัวเราะแล้วสตาร์ทรถ รถเคลื่อนตัวช้าๆ ท่ามกลางสายฝนและไม่นานนักมูคยอมก็เร่งความเร็วขึ้น

***

บ้านของมูคยอมเป็นวิลล่าระดับพรีเมียมราคาสูงเนื่องจากที่นี่มีคนดังหลายคนมาอาศัยอยู่ การรักษาความปลอดภัยก็ดี แถมการป้องกันความเป็นส่วนตัวนั้นก็ค่อนข้างดีเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นบ้านที่เลือกมาโดยไม่ต้องกังวลอะไรเป็นพิเศษ เพราะไม่มีที่ไหนที่จะอยู่คนเดียวแค่หนึ่งปีแล้วจะสะดวกสบายเท่าที่นี่

ทันทีที่ลงจากลิฟต์ ทางเดินหินอ่อนที่เรียงรายไปด้วยแสงไฟหรูหรานั้นค่อนข้างกว้าง แต่สิ่งเดียวที่ฮาจุนเห็นบนผนังคือประตูบ้านของมูคยอม มูคยอมเดินนำเข้าไปในบ้าน จากทางเข้าประตูบ้านไปสู่ห้องนั่งเล่นก็ยาวกว่าบ้านปกติทั่วไปมาก

บ้านถูกตกแต่งอย่างประณีตและทันสมัย แต่เนื่องจากมูคยอมขี้เกียจเขาจึงฝากให้ผู้จัดการและผู้ประกอบการตกแต่งภายในทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่มูคยอมเลือกด้วยตัวเองมากนัก มีเพียงรถสองสามคันและเสื้อผ้าไม่กี่ชุดของเขาที่ใช้ในตอนที่อยู่ลอนดอนที่เอามาทิ้งไว้ นอกจากของพวกนั้นแล้วเขาก็คิดที่จะซื้อใหม่หมดเลย

“เพิ่งอาบน้ำมาก็ไม่จำเป็นต้องอาบอีกใช่ไหม”

มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วจ้องมองที่ฮาจุน ฮาจุนยืนแข็งราวกับเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาในที่ที่ไม่ควรมา ในทางกลับกันมูคยอมก็เอาแต่หัวเราะคิกคักตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

“มัวแต่ทำไรอยู่ มาทางนี้สิ”

ตอนนี้ก็ไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วรีบก้าวขึ้นมาบนเตาได้แล้ว

ขณะที่มูคยอมยืนอยู่ใกล้โซฟาในห้องนั่งเล่นและยื่นมือออกไป ฮาจุนก็เดินเข้ามาหาและจับมือของมูคยอมเอาไว้ ในขณะที่มูคยอมดึงอีกฝ่ายลงบนโซฟา เขาก็จับอีกฝ่ายนั่งตักของตนเอง มูคยอมวางชายหนุ่มที่ตัวใหญ่ไม่น้อยไว้บนตัก แต่ต้นขาที่แข็งแกร่งของเขานั้นดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของฮาจุนเลย

พวกเขาเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กัน ทั้งคู่สบตากันโดยไม่คาดคิด แต่ฮาจุนกลับเหลือบมองลงข้างล่างอย่างรีบร้อนจนทำให้เสียมุมมอง มูคยอมเริ่มลูบแก้มไปจนถึงหลังคอเรียบลื่นของฮาจุน

“ชอบบ้านฉันไหม”

“ก็กว้าง…ดีนะ”

“ฉันควรจะพาแขกเดินชมบ้าน แต่สถานการณ์ของฉันตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรแบบนั้น”

เพราะเพิ่งโดนกัดไปเมื่อไม่นานมานี้ ริมฝีปากของฮาจุนก็เลยยังแดงและดูบวมกว่าปกติเล็กน้อย มือของฮาจุนที่ลังเลไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหนจึงเลื่อนไปจับไหล่ของมูคยอมเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายงับริมฝีปากล่างของตนเองราวกับจะต่อจากที่พวกเขาจูบกันที่สนามฝึกซ้อม

แม้ว่าฮาจุนจะทำตัวเป็นเด็กขี้อายหรือจะแข็งเป็นหิน แต่มูคยอมก็ยังชอบเพราะว่าเมื่อเริ่มแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ผละออก ในขณะที่กัดปากกันอยู่นั้น เขาก็ขยับศีรษะไปซ้ายทีขวาทีอย่างช้าๆ เมื่อเขาใช้ฟันขูดอีกฝ่ายก็ส่งเสียงครางออกมาแล้วใช้แขนออกแรงดึงมูคยอมขยับเข้ามาใกล้อีก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะหัวใจต้องการหรือเปล่า เขาถึงได้สอดลิ้นเข้าไปในปากแล้วดันเข้าไปจนลึก อีกฝ่ายส่งเสียงครวญครางออกมาสั้นๆ ราวกับตกใจ

“ฮื้อ”

เขาพยุงศีรษะของฮาจุนและเอียงร่างที่อยู่ด้านบนของตนเองให้นอนราบลงบนโซฟา ฮาจุนที่เคยนั่งตักอยู่เอนหลังนอนลงอย่างเป็นธรรมชาติใต้ร่างของมูคยอม

เมื่อมูคยอมถูเพดานปากด้วยปลายลิ้น ฮาจุนก็หอบหายใจราวกับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คิดอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ว่าข้างในปากค่อนข้างไวต่อความรู้สึก เซ็กส์จะสนุกขึ้นถ้าหากรู้สึกดี เขาเองก็ถูกใจในจุดจุดนี้เหมือนกัน

“อื้อ ฮื้อ!”

เขาค่อยๆ สอดและเอาลิ้นออกแตะเบาๆ ภายในปากจากนั้นดันลึกเข้าไปในลำคอ เสียงครวญครางของอีกฝ่ายดังขึ้นและร่างกายก็สั่นสะท้าน

ชอบตรงนี้เหรอ ขณะที่ขยับศีรษะ มูคยอมก็ยังคงสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของฮาจุน ฮาจุนที่เอนตัวนอนอยู่บนโซฟาเอาแต่ดึงรั้งมูคยอมเข้าหาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“อ๊ะ อื้อ อือ”

“โค้ชครับ ตั้งสติหน่อยสิครับ” มูคยอมหยุดจูบและหัวเราะพลางใช้ปลายนิ้วแตะแก้มของอีกฝ่าย

“ฮ่า อื้อ”

“อย่าใจลอยแล้วก็ดูดลิ้นของฉันบ้างสิ”

ฮาจุนที่หลับตาครางอยู่ลืมตาขึ้นมา ในขณะที่มูคยอมแลบลิ้นออกเล็กน้อย ฮาจุนก็อ้าปากกว้างขึ้นและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ราวกับว่าเข้าใจความหมายมันเป็นอย่างดี ฮาจุนโฉบเอาลิ้นของมูคยอมที่แลบออกมาด้วยริมฝีปากของตนเอง และเริ่มดูดมันจนเกิดเสียงชื้นแฉะ ความรู้สึกที่จั๊กจี้ทำให้มูคยอมหัวเราะโดยไม่มีเสียง

การดูดลิ้นของฮาจุนโดยไม่มีเทคนิคใดๆ คล้ายกับจูบเมื่อก่อนหน้านี้ที่เหมือนกับลูกนกกินอาหาร เหมือนว่าอีกฝ่ายจะชอบจูบแต่ดันจูบไม่เก่งเอาเสียเลย มูคยอมผละริมฝีปากแล้วเงยหน้าถามฮาจุน

“โค้ชอี ความสามารถเรื่องจูบก็งั้นๆ นะเนี่ย”

“…ขอโทษละกัน”

ใบหน้าของฮาจุนที่ได้รับการประเมินต่ำเริ่มบูดบึ้งและแดงขึ้นเล็กน้อย ในระหว่างนั้นฮาจุนเผยอปากออกราวกับจูบนั้นยังไม่เพียงพอ และมองมูคยอมราวกับโดนแย่งอาหาร มูคยอมกลั้นหัวเราะ ก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนจะเลียลงไปบนริมฝีปาก

ทันใดนั้นฮาจุนก็หลับตาปี้ราวกับว่าตนเองนั้นได้กินของที่มีรสเปรี้ยว แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเอง ครั้งนี้มูคยอมหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“จั๊กจี้เหรอ”

เขาซุกหน้าที่ต้นคอของฮาจุนโดยไม่รอคำตอบ ผิวที่ขาวราวกับเครื่องปั้นดินเผาสีขาวผสมกับสีงาช้างเล็กน้อยเรียบลื่นและนุ่มราวกับเนื้อสัมผัสที่มูคยอมเดาได้ด้วยตาของเขา ตอนนี้ผิวของอีกฝ่ายร้อนเหมือนไฟ

มือของมูคยอมขยับอย่างรวดเร็วด้วยความเคยชิน จากนั้นก็ลูบต้นคอของอีกฝ่ายด้วยลิ้นและริมฝีปาก เขาสอดมือเข้าไปข้างในเสื้อยืดอย่างรวดเร็ว แต่กลับหยุดชะงักครู่หนึ่ง

‘กับผู้ชายนี่ถ้าจับหน้าอกจะรู้สึกไหมนะ’

พูดตามตรง มูคยอมไม่ใช่คนที่ชอบการลูบไล้เลยจริงๆ อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีการลูบไล้กันในขณะที่มีเซ็กส์นั้น การสอดใส่ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เขาคิดว่าการลูบไล้คือมารยาทอย่างหนึ่ง เพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่เคยข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย สำหรับมูคยอมเซ็กส์ก็คือเกม และคะแนนความสำเร็จในเกมก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของอีกฝ่าย แต่ผู้ชายก็ไม่ได้แฉะจากด้านล่าง ดังนั้นจำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ

แต่ไหนๆ ก็สอดมือเข้ามาในเสื้อแล้ว มูคยอมเอื้อมมือไปจับหน้าอกที่ไม่มีเนินเช่นเดียวกับของตนเองแล้วจึงใช้นิ้วถูกยอดถันที่ผุดขึ้นมาเล็กๆ

หลังจากนั้นร่างกายของฮาจุนก็แข็งทื่อ

……………………………………………….

“อะไรกัน รักษาระยะห่างอยู่หรือไง”

บางทีอาจไม่ใช่การหลีกเลี่ยง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนชอบเก็บตัว ถ้าจะมองว่าดูเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกแบบนั้นสักเท่าไร แต่ถ้าจะมองจากลักษณะนิสัยของคนอย่างเดียวก็ยากที่จะตัดสินว่าคนคนนั้นมีนิสัยอย่างไร

บางทีที่เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายหลบเลี่ยงเขาในช่วงแรกนั้นก็อาจจะเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ มูคยอมคิดช้าๆ ขณะยืนอยู่ใต้ฝักบัว และเปิดน้ำร้อน

แม้ว่าตอนนี้ความหนาวเย็นได้หายไปหมดแล้ว แต่ในวันที่ฝนตกก็ยังรู้สึกเย็นๆ อยู่ดี เมื่อร่างกายที่เย็นขึ้นเพราะถูกฝนอุ่นขึ้นแแล้ว ก็รู้สึกที่เคยพลุ่งพล่านเย็นลง

ฮาจุนที่มาช้ากว่าเขาไปแค่หนึ่งก้าวนั้นยืนอยู่ใต้ฝักบัวด้านข้างๆ ที่ติดกัน เมื่อดูแล้วเวลาที่ใช้ในการอาบน้ำของพวกโค้ชจะแตกต่างจากบรรดานักเตะ เพราะมีหลายคนที่ไม่อาบน้ำในสนามฝึกซ้อม เพราะฉะนั้นนี่คือครั้งแรกที่มูคยอมได้อาบน้ำพร้อมกันกับฮาจุน

ตอนที่สวมใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ดูงั้นๆ แต่ปกติแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ออกกำลังกายเลยยังมีโครงอยู่บ้างไม่ได้ผอมแห้งอะไร ไหล่กว้าง ไม่มีไขมันส่วนเกินอย่างพอดิบพอดี มีกล้ามเนื้อตรงส่วนที่ควรจะมี เรียกได้ว่าเป็นคนรูปร่างผอมแต่ก็มีกล้ามเนื้อ

ดูอย่างไรก็ดูเป็นรูปร่างที่สาวๆ ชื่นชอบที่สุดไม่ใช่เหรอ มูคยอมเป็นกองหน้าและยิ่งเขาเพิ่มกล้ามเนื้อมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็มีแรงและความเร็วมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าถามหา ‘รูปร่างที่สวยงาม’ ของผู้ชายที่เป็นที่นิยม ดูเหมือนว่าฮาจุนที่อยู่ข้างๆ จะเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว

อีกฝ่ายหน้าตาก็ดูงั้นๆ แต่ร่างกายกลับขาวมาก ถ้าถอดรองเท้าแล้วยืนข้างกันอีกฝ่ายคงสูงเกิน 180 เซนติเมตรมานิดหน่อยเองละมั้ง ดูเหมือนว่าฮาจุนจะตัวเล็กกว่าเขาสักประมาณสิบเซนติเมตร อีกฝ่ายหลับตาให้น้ำไหลผ่านทำให้ขนตาใต้เปลือกตาดูยาวยิ่งขึ้น เสยผมที่เปียกไปด้านหลังเผยให้เห็นหน้าผากอันเรียบเนียน สายตาของมูคยอมมองไล่ไปบนสันจมูกโด่งจนถึงคิ้วที่ดูเข้มและอ่อนโยน

ในขณะที่จ้องมองรูปลักษณ์ด้านข้างของอีกฝ่ายที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับมองภาพวาดอยู่ มูคยอมก็เห็นด้วยกับคำพูดของจองคยูที่ว่าหมอนี่คงเป็นที่นิยมของสาวๆ แน่ มูคยอมถามขึ้น ทำลายความเงียบ

“นายยังออกกำลังกายอยู่ไหม”

“หืม”

“ฉันถามว่านายยังออกกำลังกายอยู่ไหม”

“ออกสิ เพราะฉันต้องรับส่งกับนักเตะให้ดี มันถึงจะง่ายต่อการฝึกสอน”

เสียงของพวกเขาสะท้อนนิดหน่อยในห้องอาบน้ำที่เงียบสงัดนี้ มูคยอมไม่ถามอะไรต่อ เขาเงยหน้าสระผมและออกมาก่อน แค่ล้างน้ำฝนออกก็เพียงพอแล้ว เพราะเขาได้อาบน้ำไปแล้วรอบหนึ่ง

ฮาจุนที่เข้าไปช้ากว่าหนึ่งก้าวเมื่อตอนออกมาก็ช้ากว่าหนึ่งก้าวเหมือนเดิม ฮาจุนออกมาตอนที่มูคยอมเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าตัวใหม่ และเช็ดผมอยู่หน้ากระจก ฮาจุนที่สะท้อนผ่านกระจกรีบเร่งเดินไปยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์อย่างเขินอาย หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดตัว แล้วรีบใส่เสื้อผ้า มูคยอมยกยิ้มหัวเราะ

‘ยังจะมาอายอะไรอีกกับการแก้ผ้าในกลุ่มผู้ชาย ยังไงเมื่อครู่ก็อาบน้ำด้วยกันมาแล้ว’

ตอนที่ทั้งสองคนออกมาจากอาคารฝนก็ยังคงตกอยู่ และตกอย่างหนักเสียด้วย คราวนี้มูคยอมตั้งใจจะเดินไปที่ลานจอดรถ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของฮาจุนดังขึ้นมา

“คิมมูคยอม”

“หืม”

ฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรียกเขาแต่กลับไม่ได้พูดออกมาในทันที มูคยอมรออีกฝ่ายพูดอย่างไม่รีบร้อนและดูค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อเทียบกับตอนก่อนเตะบอล อย่างไรก็ตามฮาจุนพูดตะกุกตะกักกว่าเดิมเล็กน้อยโดยไม่ค่อยผ่อนคลายเท่ากับเมื่อครู่

“ฉันรู้ว่าช่วงนี้นายจิตใจว้าวุ่นมาก… ถ้าให้พลังแก่นายได้ก็คงดีนะ”

“…”

“ใครๆ ก็รู้ว่าผู้จัดการทีมเป็นผู้มีพระคุณของนาย ฉันตกใจที่เห็นผู้จัดการทีมล้มลงไป นายเองก็คงจะพูดไม่ออกเหมือนกันใช่ไหม ดูเหมือนว่านายจะคิดมาก แต่ถึงยังไงนายก็ตัดสินใจที่จะลงเล่นกับทีมนี้เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาลแล้ว เพราะงั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนหรอก”

ดูเหมือนว่าฮาจุนจะพยายามปลอบมูคยอม ฮาจุนรู้สึกเขินอายขณะที่พูดจึงกลั้นหายใจสักพักแล้วเงยหน้าขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้

มูคยอมเคยเห็นนักเตะหลายคนได้รับการปลอบโยนหลายครั้งเกี่ยวกับความกังวลหรือเรื่องที่ยากลำบากจากฮาจุน ทุกครั้งฮาจุนจะหัวเราะราวกับว่าไม่กังวลใจอะไรเลย แต่ท่าทางของฮาจุนในครั้งนี้ดูแปลกตาราวกับว่ากำลังฝืนใจปลอบประโลมผู้อื่น

ผมหน้าม้าที่ถูกปัดขึ้นไปนั้นไหลลื่นลงมาที่หน้าผากอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความมืดมิดใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนมีเลือดฝาดแวบๆ เหมือนกับตอนอยู่ในวงเหล้า

“นายรู้ไหมว่าทำไมผู้จัดการทีมถึงเป็นผู้มีพระคุณของฉัน” มูคยอมเอียงคอถาม

“ผู้จัดการทีมเจอนายตอนที่นายเรียนมัธยมต้น ดังนั้นนายจึงคิดว่าเขาเหมือนกับพ่อของนาย นายเคยบอกว่าก่อนที่จะเริ่มเตะบอลชีวิตของนายลำบากมากเลยนี่นา ดังนั้นฉันคิดว่าถ้าไม่ใช่ผู้จัดการทีมแล้วละก็คงจะไม่สามารถช่วยใครได้ตลอดหรอก”

“นายรู้ด้วยเหรอว่าก่อนที่ฉันจะเริ่มเตะฟุตบอลฉันเคยทำอะไรมา”

“…ฉันแค่ได้ยินมาว่านายลำบากมาก”

มูคยอมพยักหน้าแล้วพูดเสริมคำพูดของฮาจุนในตอนท้ายที่มันดูเลือนราง

“ถ้าฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลตอนนี้ฉันคงอยู่ในคุก ชายหนุ่มที่ไร้พ่อแม่เข้าๆ ออกๆ ที่สถานีตำรวจมากกว่าสิบครั้งเนื่องจากเรื่องขโมย เรื่องทะเลาะวิวาทและเรื่องอื้อฉาวทั้งปวง เป็นเพราะว่าฉันยังเด็กเลยได้รับการปล่อยตัวน่ะ ถ้าตามกฎจริงๆ ฉันต้องเข้าสถานพินิจแล้ว ต้องเข้าสถานพินิจอย่างเดียวหรือเปล่านะ หลังจากนั้นก็คงเข้าเรือนจำทั่วไปแหละ”

สิ่งที่มูคยอมพูดถึงคือเรื่องราวของเขาเอง แต่ฮาจุนก็รีบแทรกขึ้นมาเพื่อเข้ามาแย้งทันที อีกฝ่ายขึ้นเสียงด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่าเป็นทนายความของมูคยอม

“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่มันก็โอเคแล้วไงที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กมันเลยยากและลำบากมาก”

“นายบอกว่านายรู้งั้นเหรอ”

ฮาจุนเงยหน้ามองตรงไปข้างหน้าพร้อมกับเบิกตากว้างเล็กน้อยกับคำถามที่ย้อนกลับมาของมูคยอม มูคยอมขมวดคิ้วลงเล็กน้อยและมองไปที่ฮาจุน

“นายรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”

“…”

มูคยอมเห็นริมฝีปากและดวงตาของฮาจุนแข็งทื่อ อีกฝ่ายเผยให้เห็นความรู้สึกผ่านใบหน้าที่บ่งบอกว่าตนเองนั้นพลั้งปากไปแล้ว

“ดูท่าทางนายคงจะสนใจฉันพอสมควรเลยสินะ”

อย่างไรก็ตามหลังจากคำพูดนั้นของมูคยอมดวงตาของฮาจุนก็เบิกโพลง ริมฝีปากที่เคยปิดสนิทก็เปิดกว้างเล็กน้อย อีกฝ่ายตอบอย่างเร่งรีบราวกับจะแก้ตัว

“เรื่องแค่นี้ใครๆ ก็รู้ มันเป็นเรื่องที่นายเคยพูดตอนสัมภาษณ์ และมันเป็นเรื่องที่เคยออกรายการด้วย…”

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของมูคยอม ฮาจุนก็ทำหน้าเหมือนนักโทษที่โดนไต่สวนแล้วหันหน้าหลบเลี่ยงสายตาของมูคยอม แม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้ถามคำถามที่ถามไม่ได้ แต่ใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความอักอ่วนและอับอายจนแทบไม่สามารถซ่อนได้ราวกับตาข่ายที่พันกันอย่างยุ่งเหยิง

มูคยอมเดินเข้าไปใกล้ฮาจุนหนึ่งก้าวแล้วโน้มตัวลงไป อีกฝ่ายผลักใบหน้าของมูคยอมให้มองตรงไปข้างหน้าเพื่อที่จะได้หลบหน้าเขา

“อีฮาจุน”

“…”

“อะไรของนาย”

มูคยอมขมวดคิ้วพร้อมกับอมยิ้ม ฮาจุนเหลือบมองโดยไม่พูดอะไรด้วยสีหน้าพะวักพะวนราวกับว่าเดาไม่ออกเลยว่ามูคยอมกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงลดสายตาเหลือบมองข้างล่างอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฮาจุนกำลังมองหาคำตอบที่จะตอบ แต่เพราะหาคำตอบที่เหมาะสมไม่ได้ง่ายๆ อีกฝ่ายจึงมองไปมองที่ไหนสักแห่งในอากาศด้วยนัยน์ตาที่มีความไม่สบายใจ

เมื่อไม่นานมานี้มูคยอมมีความคิดแปลกๆ เหมือนว่าเป็นความรู้สึกด้านตรรกะมากกว่าด้านผลลัพธ์

ถ้าหากถามว่ามันเป็นลางสังหรณ์ของคนเจ้าชู้หรือเปล่า จะว่าอย่างนั้นก็ได้ หรือถ้าถามว่ามันเป็นความรู้สึกของผู้ชายที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ก่อขึ้นมาโดยฉับพลันหรือเปล่า หากจะว่าอย่างนั้นก็ได้เช่นกัน มันเป็นความสามารถในการตัดสินชี้ขาดที่เขาได้จากการฝึกภาคสนาม

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้พบกับอีกฝ่าย มูคยอมก็ไม่เคยคิดถึงสัญญาณอันแข็งแกร่งของความเป็นไปได้เลยสักครั้ง

“เงยหน้าขึ้นมาสิ”

มูคยอมใช้สองมือกอบกุมใบหน้าของฮาจุนแล้วเชยคางของเขาขึ้นเบาๆ ฮาจุนไม่ได้ปัดมือคู่นั้นออก และยอมให้สัมผัสใบหน้าโดยดี ดวงตาที่สบสายตากันนั้นจ้องเขม็งอีกครั้ง เป็นเพราะว่ารอบด้านมืดลงจึงไม่สามารถอ่านความคิดจากสายตาคู่นั้นได้ ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ค่อยๆ โน้มศีรษะเข้าหาใบหน้าขาวใสของอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจของตนเอง ตาขาวที่ดูขาวสะอาดและตาสีดำกลมโตของฮาจุนที่จ้องมองกลับไปนั้นไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย มูคยอมที่กำลังจ้องมองอีกฝ่ายก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างน่าเบื่อหน่าย

จุ๊บ

เมื่อเทียบกันแล้ว เสียงริมฝีปากของมูคยอมที่สัมผัสกับริมฝีปากของฮาจุนแล้วผละออกมานั้นเบากว่าเสียงฝนเสียอีก อย่างไรก็ตามแทนที่จะเงยหน้าขึ้นในทันที มูคยอมก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ ราวกับว่าเขากำลังจะแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอีกครั้ง

มูคยอมไม่แม้แต่จะหลับตา ในขณะที่เขากำลังพิจารณาสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฮาจุน เขาก็เงยหน้ากลับขึ้นไปเช่นเดิมอย่างช้าๆ ฮาจุนที่ถูกจูบอย่างกะทันหันไม่ขยับร่างกายแล้วเงยหน้าขึ้นมองมูคยอมอย่างไม่กะพริบตาราวกับตกตะลึง

แม้ว่ามูคยอมจะจูบฮาจุนตามอำเภอใจตนเอง แต่เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัวหรือคำขอโทษให้อีกฝ่ายเลยสักคำ เขาได้แต่สบตาของฮาจุนและหันใบหน้าด้านข้างพร้อมกับยิ้มจางๆ อย่างไร้ยางอาย

ทำอย่างไรดี

ฮาจุนคอตกส่ายหน้าอย่างช้าๆ ราวกับถามออกไปเช่นนั้น มูคยอมมองไม่เห็นสีหน้าของฮาจุน มือของอีกฝ่ายที่ตกลงข้างเอวนั้นสั่นเบาๆ เขามองเห็นมือนั้นกำลังกำหมัดแน่นอยู่

โกรธเหรอ

นี่เขาคิดไปเองหรอกเหรอ

นี่อีกฝ่ายกำลังจะต่อยเขาหรอกเหรอ

ในขณะที่มูคยอมค่อยๆ ลืมตาเรียวขึ้นและประเมินถึงบรรยากาศของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ฮาจุนก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มือที่กำหมัดแน่นเมื่อครู่นี้ได้จับแก้มทั้งสองข้างของมูคยอมเอาไว้ และเลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ๆ เพื่อเตรียมจะบดขยี้อย่างเต็มสูบ

ไม่สิ ไม่ใช่แค่ริมฝีปากของฮาจุนเท่านั้น แต่แรงผลักของอีกฝ่ายที่โถมเข้ามาทั้งตัวทำให้มูคยอมต้องถอยไปหนึ่งก้าวและเอนหลังพิงกำแพงเอาไว้ ฮาจุนโถมริมฝีปากราวกับจะกลืนกินมูคยอม แต่เขาไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปด้วยเหตุผลบางอย่าง แค่หยอกล้อกับจูบที่เป็นเพียงแค่การสัมผัสริมฝีปากเพียงเท่านั้น

มูคยอมค่อยๆ ลูบท้ายทอยของฮาจุนจนอีกฝ่ายเลินเล่อ เขาจึงได้สอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปาก ทันใดนั้นลิ้นร้อนชื้นที่ซ่อนอยู่ภายในก็เข้าไปเกี่ยวพันกับลิ้นของมูคยอมอย่างรีบร้อนและยินดีกับการบุกรุกนี้ ขยับเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อนราวกับลูกนกที่ถูกป้อนอาหารมากกว่าการจูบกันเสียอีก

“อือ อื้ม…!”

เมื่อฝ่ายตรงข้ามทำตัวรีบเร่งโดยไม่จำเป็น เขาก็ได้เพลิดเพลินกับความรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และเมื่อดูดคลึงลิ้นอย่างช้าๆ ก็เกิดเสียงครวญครางอันร้อนแรงขึ้น มูคยอมเกือบจะหัวเราะกับปฏิกิริยาที่กระตือรือร้นนั้นโดยไม่รู้ตัว ความตื่นเต้นเร้าใจก่อเกิดขึ้นเมื่อเขาไล้ปลายนิ้วลูบผมไปจนถึงกระหม่อมของฮาจุน

จับลมหายใจแล้วลองยิงประตู ความรู้สึกพออกพอใจเหมือนกับตอนที่ยิงเข้าประตูพอดี ถึงเขาจะเคยมีเซ็กส์กับผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกปลาบปลื้มได้เท่ากับตอนนี้มาก่อน

เพราะว่าสัญญาณของอีฮาจุนมันยากที่จะรู้ได้ มูคยอมจึงนำสิ่งที่อีกฝ่ายปกปิดและหลีกเลี่ยงเอาไว้ออกมาอย่างช้าๆ วิธีที่คนเราจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และชัยชนะก็คือตอนที่เราได้ค้นพบสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างหนาแน่นมากกว่าตอนที่ได้ครอบครองสิ่งที่มันเปิดเผยอยู่ต่างหาก มูคยอมส่ายหน้าอยู่ในใจพร้อมกับโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา

พูดไม่ออกเลย เกือบโดนหลอกเข้าไปเต็มเปาแล้วสินะ

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายอาจจะเรียบร้อยเกินสำหรับกองหลัง

“อ๊ะ อื้อ”

ไม่เลวเลยที่ได้ยินเสียงครวญครางของชายหนุ่มที่พรั่งพรูมันออกมาทุกครั้งที่เขาสอดลิ้นเข้าไปในปากแล้วถูไถมันไปทางด้านขวา ไม่รู้ว่าจงใจหรือทำไปด้วยจิตใต้สำนึก มูคยอมเอาแต่เกาะร่างของอีกฝ่ายไว้ในแขนด้วยความเต็มใจ และยังเอาหัวไปซุกไว้ที่หลังคอของฮาจุนเป็นบางครั้ง ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นมือของฮาจุนที่จับชายเสื้อของมูคยอมอยู่จะเกร็งขึ้น

อากาศในวันที่ฝนตกเย็นสบาย ความหนาวเย็นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นสำหรับทั้งคู่ที่ผมยังชื้นเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่ทว่าข้างในปากของฮาจุนนั้นช่างร้อนแรง ทุกๆ ครั้งที่กระหวัดเกี่ยวลิ้นนุ่มของอีกฝ่าย มูคยอมก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขานั้นร้อนขึ้น

ทันทีที่ใช้ปลายลิ้นฟาดราวกับดุอีกฝ่ายที่เร่งขออาหาร อีกฝ่ายก็แน่นิ่งราวกับเข้าใจความหมายที่จะสื่อ จากนั้นสิ่งที่อยู่ในปากก็สงบลง อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าถ้าหากกดริมฝีปากลงไปแรงๆ หมายถึงให้อ้าปากออกมา หรือทำไปเพียงเพราะเป็นสัญชาตญาณ มูคยอมดูดลิ้นที่รอคอยอยู่ข้างในนั้นจนคนในอ้อมแขนไหล่สั่นระรัว มูคยอมรู้สึกพึงพอใจกับปฏิกิริยาอ่อนไหวนั้นขึ้นเรื่อยๆ

“อือ อื้อ…”

เมื่อลิ้นและริมฝีปากประกบกันมูคยอมก็ได้ยินเสียงชื้นเบาๆ ข้างในหูที่ดังกว่าเสียงฝนที่ตกกระทบพื้นดิน มูคยอมดึงผมด้านหลังแล้วเอียงศีรษะของฮาจุน เมื่อลิ้นร้อนสอดเข้าไปในริมฝีปากแล้ว เสียงครางของมินจุนก็ถูกส่งผ่านออกมาระหว่างรอยแยกของริมฝีปาก

“อือ อื้อ”

เสียงครางหวานละมุนราวกับว่าเขาได้ดื่มน้ำหวานผ่านทางใบหู รู้สึกหอมหวานแม้กระทั่งภายในหัวของเขา ทั้งสองลุ่มหลงอยู่ในรสจูบจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว มูคยอมที่สอดลิ้นลึกเข้าไปยังจุดที่ลึกที่สุดภายในริมฝีปากหลายต่อหลายครั้ง พลันคิดได้ว่าจูบนี้ดูจะยาวนานเกินไปแล้ว

มูคยอมกวาดลิ้นรอบๆ คอจนทั่วปาก ในขณะที่ริมฝีปากของฮาจุนอ้าออกเขาก็หายใจออกมาอย่างร้อนรุ่ม ค่อยๆ ใช้ฟันดึงริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายเพื่อปิดท้ายการจูบ ชายหนุ่มที่ถูกกัดริมฝีปากสะดุ้งในอ้อมกอดของมูคยอม และแล้วใบหน้าที่ห่างออกไปก็ยังไม่ได้ตั้งสติเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระอย่างมึนงง

มูคยอมมองลงไปที่ฮาจุนที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในอ้อมแขนของตนเองราวกับมองดูอะไรที่น่าทึ่ง ตอนนี้ใบหน้าของฮาจุนไม่ได้แสดงสีหน้ายิ้มแย้มแบบที่อีกฝ่ายทำให้เห็นต่อหน้าคนอื่นเสมอๆ และก็ยังไม่ได้ทำหน้าตาเคร่งขรึมเหมือนเวลาที่อีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขาด้วยเช่นกัน

ปากของอีกฝ่ายเปียกชื้นและบวมขึ้นเล็กน้อยเพราะโดนกัดไปเมื่อครู่หนึ่ง อีกทั้งดวงตาปรือที่กำลังมองมูคยอมอยู่นั้นก็สั่นระริก อาจจะเป็นเพราะอารมณ์หรือเป็นเพราะอากาศชื้น เพราะแม้กระทั่งผิวสีขาวก็ดูนุ่มลื่นมากกว่าปกติก็ดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างน่าทึ่ง

ฮาจุนที่กำลังมองมูคยอมราวกับมองภาพหลอนรู้สึกเขินอายช้าไปหน่อยจากสายตาที่มูคยอมจับจ้องตนเองอย่างพิจารณา ฮาจุนจึงรีบปิดปากตนเองอย่างรีบร้อน ฮาจุนพยายามเอาร่างกายที่โดนกอดอยู่ในอ้อมแขนนั้นถอยหลังออกมายืน มูคยอมรั้งแผ่นหลังของฮาจุนเข้ามาหาตนเองในขณะที่อีกฝ่ายพยายามที่จะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดอันคุ้นเคย และไล่ต้อนอีกฝ่ายราวกับว่าจงใจจะซักไซ้

“จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ”

“…หะ”

“ทีนี้จะเอายังไง จูบกันแล้วช่างมันงั้นเหรอ”

ขณะนั้นเองดวงตาของฮาจุนก็สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายคงหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่ได้อีกแล้วสินะ ถึงได้ปิดปากเงียบอย่างนั้นและจ้องมองไปที่บริเวณหน้าอกของมูคยอมด้วยสายตาที่อ่อนล้า ในขณะที่อีกฝ่ายตกอยู่ในห้วงความคิด มูคยอมก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย

‘จะทำยังไงดีล่ะตัวฉัน’

………………………………………………………

“เข้าใจแล้วครับโค้ช”

“แล้วก็…” ฮาจุนจะพูดอะไรบางอย่างเพิ่มแต่กลับเงียบไป

อะไรเหรอ แม้ว่าจะถามด้วยสีหน้าแต่ฮาจุนก็สะพายกระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้แล้ว

“ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”

“กลับดีๆ นะ”

มูคยอมยกมือขึ้นหนึ่งครั้ง ฮาจุนพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวออกไป ผมด้านหลังศีรษะปลิวไสวทุกครั้งที่ย่างก้าว มูคยอมจับจ้องที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไปหาครอบครัวของจุนซอง

เมื่อครู่ฮาจุนได้ยื่นขวดน้ำขวดใหม่ที่ซื้อมาให้กับภรรยาของจุนซอง

“คุณป้า ดื่มน้ำหน่อยนะ”

“อืม ขอบใจนะ”

“เดี๋ยวผมจะไปเอาผ้าห่มมาให้”

“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ฉันร้อนน่ะ สงสัยจะเข้าวัยทองแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของฉันถึงได้ร้อนขนาดนี้ คงเป็นเพราะว่าตกใจเลยร้อนยิ่งกว่าเดิมสินะ นายไปเอามาให้ตัวเองกับฮยองมินห่มเถอะ”

ทั้งจุนซองทั้งภรรยาของเขาต่างก็อายุมากขึ้น

มูคยอมรู้สึกมึนงงอย่างบอกไม่ถูก จึงนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรอีกเขาเริ่มนับตัวเลขบนนาฬิกาที่ติดอยู่บนฝาผนังอย่างกับคนไม่มีอะไรทำ ดูเหมือนว่าจะเป็นค่ำคืนที่ยาวนานกว่าทุกที

***

‘มูคยอม ฉันรู้สึกผิดต่อนาย ฉันควรจะทำไงดี’

“อย่าพูดอย่างนั้น รู้สึกผิดเรื่องอะไรกัน”

‘นายต้องกลับมาเกาหลีเพราะพ่อของเด็กคนนี้นี่นา แล้วเรื่องก็ดันกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้…’

มูคยอมกดขมับตนเองในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับภรรยาของจุนซอง ตอนที่เจอกันที่โรงพยาบาลในสถานการณ์ที่เร่งด่วนจึงทำให้ไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อจุนซองฟื้นขึ้นมาแล้วถึงค่อยมาพูดทีหลัง มันเป็นการขอโทษที่มีแต่จะทำให้เขาว้าวุ่นใจมากขึ้น

การผ่าตัดของจุนซองใช้เวลาหกชั่วโมงเต็ม และในที่สุดก็ผ่านมาจนถึงเวลาย่ำรุ่ง ทั้งครอบครัวของจุนซองและทั้งมูคยอมต่างก็ผลัดกันนอนผลัดกันตื่น หมอที่ออกจากห้องผ่าตัดก็ดูเหนื่อยเช่นกัน แต่กลับมีสีหน้าที่สดใส

คุณหมอบอกว่ามันเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างยาก แต่ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและโชคดีที่ไม่มีผลกระทบอะไร ทุกคนที่คอยอยู่ก็พลันรู้สึกโล่งและดีใจ มูคยอมเองก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น

วันต่อมาจุนซองถึงได้สติและขอโทษที่ทำให้ตกใจ อีกฝ่ายไม่มีปัญหาในการพูดคุยและยืนยันผลแล้วว่าไม่มีอาการชา ไม่มีอาการของอัมพาตที่เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจที่สุด นักเตะและทีมงานไม่กี่คนได้ผลัดกันไปเยี่ยมจุนซองที่โรงพยาบาล แถมทางสโมสรยังส่งของขวัญมาปลอบใจอีกด้วย

ทันที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความดีใจและโล่งใจหลังจากที่ช่วยชีวิตจุนซองได้ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าร่างกายเขานั้นไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว ปัญหาก็ถาโถมเข้ามา

จุนซองต้องพักฟื้นอย่างน้อยสองถึงสามเดือนดังนั้นในช่วงเวลานั้นตำแหน่งผู้จัดการของซิตี้โซลจึงว่างลง ผู้จัดการชั่วคราวที่ได้รับการแต่งตั้งน่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้ แต่บรรยากาศของทีมที่กำลังจะได้ชัยชนะและขึ้นไปบนจุดสูงสุดนั้นก็ร่วงดิ่งลงมา มูคยอมรู้สึกห่อเหี่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขาถอนหายใจแล้วพูดกับอีกฝ่ายผ่านโทรศัพท์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณลุงฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย การผ่าตัดก็ประสบความสำเร็จไม่มีอาการข้างเคียงอะไร ก็แค่นั้นแหละ ห่วงคุณลุงก่อนเป็นห่วงผมดีกว่า คุณลุงมีความมุ่งมั่นมากแล้วนี่ยังเป็นผู้จัดการทีมลีกอาชีพครั้งแรกอีกด้วย แต่ตอนนี้จิตใจของเขาเป็นยังไงบ้าง”

’ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอก เราเองก็เห็นนี่นา เขาสดใสขึ้นแล้ว นี่เขากำลังตั้งอกตั้งใจพักฟื้นแล้วกลับไปใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง’

มูคยอมหัวเราะคิกคักไปกับเสียงบ่นพึมพำราวกับน่าหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายไม่สนใจเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น

“งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอก อย่าเศร้าไปเลยเพราะถ้าคุณลุงกลับมาเร็วๆ ผมก็จะไม่มีปัญหาอะไรด้วย”

‘…ก็ได้ เข้าใจแล้ว ดูท่าฉันคงจะอายุมากแล้วจริงๆ ฉันตื่นตูมมากเลยสินะ นายน่าจะอึดอัดใจมากที่สุด ขอโทษนะ’

มันก็เกิดขึ้นได้ อย่าไปใส่ใจเลย ดูแลคุณลุงแล้วก็ตัวเองให้ดีๆ นะครับ มูคยอมจบด้วยคำพูดดังกล่าวและวางสายโทรศัพท์แล้วก็นอนลงบนโซฟาครู่หนึ่ง

อย่างไรก็ตามการทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ร่างกายที่เหนื่อยล้าลุกขึ้นมายืนเปิดประตูห้องพักแล้วออกจากอาคารไป แถมวันนี้หลังจากการฝึกจบลงฝนก็ยังตกลงมาอีก สนามฝึกซ้อมที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกอาคารไร้ซึ่งบรรยากาศพลุกพล่านเหลือเพียงความว่างเปล่า

มีหมอกหนาทึบบนสนามหญ้า อาคารทั้งหลังเป็นสีเทาอึมครึม และในเวลาปกติหญ้าที่ต้องมองเห็นเป็นสีเขียวอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ดูเหมือนเป็นสีเขียวเข้มภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม

มันคือฝนในฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่ฝนนี้ตก อากาศจะร้อนขึ้น ต้นไม้และใบหญ้าก็จะเขียวขจี สายน้ำฝนที่ได้เติมเต็มพลังชีวิตแก่ต้นไม้ใบหญ้ากลับกลายเป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้อารมณ์จิตใจของมูคยอมนั้นยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

มูคยอมเดินตึงๆ ไปตามทางที่เชื่อมไปยังลานจอดรถก่อนจะหยุดฝีเท้าลง แม้ว่ามูคยอมจะไม่มีร่มแต่เขาก็ไม่เปียกเพราะมีหลังคาตามทางเดินที่เขาเดินไป สายฝนโปรยปรายกระทบหลังคาพลาสติกดังหนวกหู

“ฉันช่าง…” เขาพูดคนเดียวอย่างล่องลอย

การฝึกซ้อมก็เสร็จสิ้นไปสักพักแล้วที่นี่จึงเงียบสงบราวกับว่าทุกคนนั้นกลับไปหมดแล้ว มีเพียงมูคยอมเท่านั้นที่เข้าไปในห้องพักเพื่อรับโทรศัพท์ทำให้เลยเวลาปกติที่ต้องกลับบ้าน

เขาอึดอัดใจที่ไม่มีทั้งปัญหาและไม่มีทั้งคำตอบ อันที่จริงแล้วตอนนี้เขายังไม่มีความรู้สึกรักใคร่กับทีมเลย อย่างไรก็ตามหลังจากจบไปหนึ่งฤดูกาลเขาก็จะออกจากทีมอยู่ดี เขาออกจากตำแหน่งตัวหลักในสโมสรใหญ่แล้วกลับเกาหลีมาเพื่อจุนซองเท่านั้น มูคยอมอยากจัดงานเปิดตัวในตำแหน่งผู้จัดการทีมของจุนซองให้ประสบความสำเร็จ และอยากลองเล่นเป็นนักเตะของอีกฝ่ายในลีกอาชีพอีกด้วย แต่ว่ามันก็เท่านั้น

แม้จะเป็นแค่ผู้จัดการทีมที่ขุดค้นและเลี้ยงดูคิมมูคยอมมา แต่จุนซองก็เป็นคนที่สามารถจะเป็นผู้จัดการลีกอาชีพได้ ในระหว่างนั้นใช่ว่าจุนซองจะไม่ได้รับข้อเสนอเลย แต่เป็นจุนซองเองที่ยึดติดกับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลโรงเรียนมัธยมด้วยความตั้งใจของตัวจุนซองเองมาตลอด ตอนที่ได้ยินข่าวว่าจุนซองตัดสินใจเป็นผู้จัดการของซิตี้โซล มูคยอมเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ได้ยินมาด้วยว่าเป็นเพราะการชักชวนอย่างทุ่มเท และเอาใจของผู้บริหารสโมสร จุนซองถึงได้ยอมมา

มูคยอมคิดว่าถ้าเป็นทีมที่จุนซองชักจูงและเป็นทีมที่อีกฝ่ายเป็นผู้จัดการทีมครั้งแรก ถึงเขาจะเสียเวลาหยุดพักสักประมาณหนึ่งปีก็ยังดี เขายังคิดเช่นนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ หนึ่งฤดูกาลนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องทิ้งตำแหน่งปีกไปเลย

เหมือนว่าแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดสำหรับมูคยอมหายไปไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว จุนซองบอกว่าการฟื้นตัวในระดับที่เขาสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์เหมือนคนทั่วไปนั้นสามารถทำได้เร็วที่สุดสามเดือน ตามปกติคือ หกเดือนและอาจจะนานถึงหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น

เป็นเรื่องที่ดีถ้าอีกฝ่ายสามารถกลับไปทำหน้าที่ผู้จัดการทีมอีกครั้งได้ แต่ถ้าไม่ล่ะก็…

อย่างไรก็มีสัญญาไว้อยู่แล้วเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องใช้เวลาหนึ่งฤดูกาลในเกาหลี มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีจุนซองมันก็โดดเดี่ยวและไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งปีที่ไม่มีค่านี้ได้อย่างไร ดังนั้นการตัดสินใจของมูคยอมจึงเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ

ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ

หลังจากกลับไปที่ห้องล็อกเกอร์และเปลี่ยนเป็นชุดฝึกซ้อมมูคยอมก็เตะบอลด้วยปลายเท้าบนสนามหญ้าที่ฝนตก มูคยอมไม่สนใจหยาดน้ำที่ไหลรินรดศีรษะ เสื้อผ้าและร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสนามหญ้าทั้งลูกบอลก็เปียกลื่นจึงทำให้ลูกบอลหลุดจากเท้าอยู่เรื่อย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแข่งขันในวันที่ฝนตกมันถึงยากลำบาก ทุกอย่างลื่นราวกับเป็นหญ้าทะเล ลูกบอลสูญเสียการควบคุมทิศทางและกลิ้งไป เมื่อวิ่งไปอย่างเป็นปกติก็ล้มลงเพราะว่ามันลื่น น้ำฝนไหลผ่านใบหน้าของมูคยอมทำให้มุมมองของเขาเลือนรางและชุดของเขาก็ลู่แนบติดทั่วร่างกาย

อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในการแข่งขัน มูคยอมก็เลยเอาแต่เดาะบอลง่ายๆ เหมือนกับเด็กที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นฟุตบอล

ลูกบอลถูกเตะขึ้นที่ปลายเท้าลอยขึ้นเหนือเข่า เขาเดาะลูกบอลที่กระดอนสลับกันโดยใช้เข่าซ้ายและเข่าขวา แล้วใช้ปลายเท้ารับลูกบอลที่ตกลงมายังปลายเท้าอีกครั้ง

‘ตู้ม’

มูคยอมเตะลูกบอลขึ้นมาเบาๆ แล้วใช้หลังเท้าเตะมันออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกบอลบินฝ่าสายฝนยิงเข้าประตูตาข่ายที่ว่างเปล่า

ถ้าหากมีเครื่องส่งลูกบอลเขาก็อยากเตะบอลจนกว่าจะรู้สึกโล่งใจ แต่ที่นี่ไม่มีทางมีเครื่องมือนั้นแน่นอน เพราะขนาดในสโมสรใหญ่ๆ เองก็ยังไม่มี

มูคยอมเตะฟุตบอลเข้าประตูทีละลูกๆ แล้วจึงใช้เท้าเขี่ยฟุตบอลออกจากตาข่ายอีกครั้งด้วยตนเอง เขาเอามือวางบนเชิงกรานแล้วก็เป่าลมด้วยริมฝีปากและกลับไปยังที่เดิมแล้วก็หยุดเดินกะทันหัน

“หืม”

มูคยอมเบิกตากว้างและจ้องมองเงาที่เห็นอยู่ใต้หลังคาผ่านสายฝน ถ้าไม่ได้คิดไปเองละก็มีคนยืนอยู่ใต้หลังคาที่มูคยอมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ เพราะว่าสายฝนบดบังทัศนวิสัย มูคยอมจึงเอียงคอและก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร

เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นมูคยอมก็สามารถมองเห็นใบหน้าของเงาได้เป็นอย่างดี มูคยอมเรียกชื่ออีกฝ่าย

“อีฮาจุน”

“…อื้อ”

มูคยอมรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อบังเอิญได้เจอกับคนอื่น เขากำลังเตะบอลท่ามกลางสายฝนในสนามฝึกซ้อมที่ว่างเปล่าโดยคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรน่าอาย แต่ก็ดูเหมือนว่ามูคยอมจะถูกจับได้ว่าภายในใจนั้นยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้ายที่พันกันอยู่ เขาเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

“ยังไม่กลับอีกเหรอ ฉันนึกว่ากลับกันหมดแล้วเสียอีก”

“ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ แต่สต๊าฟคนอื่นๆ กลับกันหมดแล้ว”

“อย่างนั้นสินะ นายเองก็กำลังจะกลับใช่ไหม กลับดีๆ ละ” มูคยอมบอกลาเช่นนั้นแล้วหันกลับไปอีกครั้ง เพราะว่าถ้าจะให้โล่งใจ เขาคงต้องเตะบอลไปอีกหลายร้อยรอบแน่ๆ

“คิมมูคยอม”

ตอนนั้นเองที่ฮาจุนเรียกเขาขึ้นมา มูคยอมหันกลับไปโดยที่ไม่ซ่อนสีหน้าที่มีความรำคาญเอาไว้ คนที่เรียกชื่อลังเลสักพักแล้วจึงเอ่ยออกมา

“ให้ฉันส่งบอลให้ไหม”

“ว่าไงนะ”

“มันน่ารำคาญนี่ที่ต้องทำคนเดียวทั้งเตะบอล แล้วก็จัดบอลใหม่ แล้วเตะอีกครั้งน่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งบอลให้นายเอง”

มูคยอมไม่ตอบในทันทีและจ้องไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้หลังคา การแต่งตัวของฮาจุนบ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะกลับบ้านทันที ทั้งสะพายกระเป๋าเรียบร้อย แถมเสื้อคลุมก็เป็นชุดธรรมดา

เขาเห็นว่าฮาจุนยุ่งอยู่กับการหลบหน้าหลบตา แล้วสุดท้ายลมอะไรหอบมาล่ะ พอคิดเช่นนั้นแล้วมูคยอมก็ฝืนยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายจนแทบจะมองไม่เห็น

ในวันนั้นมูคยอมขึ้นรถพยาบาลไปกับอีฮาจุนและมาที่โรงพยาบาลเพื่อดำเนินขั้นตอนต่างๆ ด้วยกัน พอลองคิดดูอีกทีมันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่พวกเขานั้นจัดการเรื่องยุ่งยากลำบากมาด้วยกัน ดูเหมือนว่าความเป็นเพื่อนก็ก่อกำเนิดขึ้นมาและอีกฝ่ายคงตัดสินใจที่จะยกโทษให้มูคยอมสำหรับความผิดที่จำอีกฝ่ายไม่ได้

สำหรับมูคยอมเองฮาจุนก็เป็นคนที่เขารู้สึกขอบคุณ ถ้าฮาจุนไม่ได้ออกจากร้านอาหารเพราะอีกฝ่ายเมาแล้วจะไปรับลม มูคยอมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่จะเจอจุนซอง การไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วแม้แต่วินาทีเดียวก็เป็นการรักษาภาวะเลือดออกในสมองที่สำคัญที่สุด ถ้าหากว่าเจอจุนซองช้าเกินไปแล้วล่ะก็ แค่คิดก็ทำให้หัวใจของมูคยอมสั่นระรัวแล้ว

“ขอบใจนะ”

“หือ”

“ที่บอกว่าจะส่งบอลให้ไง”

“อ๋อ ใช่”

ฮาจุนวางกระเป๋าและถอดเสื้อคลุมของตนเองลงตรงนั้น แล้วเปลี่ยนรองเท้าอย่างเร่งรีบ เมื่อฮาจุนก้าวออกจากใต้หลังคาจนก่อนที่จะไปถึงที่ที่มูคยอมอยู่ ตัวอีกฝ่ายก็เปียกโชกเช่นเดียวกันกับมูคยอมแล้ว

มูคยอมมองฮาจุนและกล่าวทักทาย

“ฝนก็ตกลงมาอีก รบกวนหน่อยนะ”

“ไม่หรอก” ฮาจุนเดินไปที่หน้าประตูฟุตบอล

เขารอให้ฮาจุนประจำตำแหน่งได้สักพักแล้วจึงเตะบอลอีกครั้ง ตาข่ายที่ว่างเปล่าสั่นและไหวไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ฮาจุนกลิ้งลูกบอลที่ตกลงมาบนพื้นอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้มูคยอม มูคยอมเตะบอลดังตุ้บอีกครั้ง ฮาจุนจึงส่งบอลกลับไปให้มูคยอม

ทั้งสองรับส่งบอลกันเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไร มันเหมือนกับการเล่นลูกบอลของเด็กๆ มากกว่าการเตะฟุตบอล สิ่งเดียวที่แตกต่างจากการเล่นลูกบอลของเด็กๆ คือระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นไม่มีคำพูดหรือเสียงหัวเราะใดๆ เลย ในสนามซ้อมแห่งนี้มีเพียงเสียงฝนตกและเสียงเตะบอลแค่สองอย่างนี้เท่านั้น

ไม่รู้ว่าเส้นผมมันปิดตาอีกฝ่ายหรืออย่างไรถึงได้เอาแต่เสยผมตั้งหลายครั้ง มูคยอมที่มองท่าทางนั้นหยุดลูกบอลที่กลิ้งมาตรงหน้าของตนเอง

“พอแค่นี้กันเถอะ” มูคยอมบอกให้หยุด

ฮาจุนถอนหายใจออกมายาวๆ ในขณะที่คลายกล้ามเนื้อโดยการหมุนแขนไปทางซ้ายทางขวาก็ถามออกมา

“เตะพอแล้วเหรอ”

“ใช่ ต้องกลับก่อนพระอาทิตย์จะตกสิ วันนี้ฝนตกก็จะยิ่งมืดเร็วขึ้นไปอีก”

ฮาจุนถือลูกบอลที่เหลืออยู่แล้วเดินอย่างอิดโรยเข้าไปหามูคยอม นักกีฬาที่วางมือไปแล้วไม่มีทางที่จะมีร่างกายที่แข็งแรงได้เหมือนกับมูคยอมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเตะที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุดในบรรดานักเตะทั้งหมดได้ ฮาจุนดูเหนื่อยล้าจากการรับส่งบอลท่ามกลางสายฝน แม้ว่าเขาจะยังอยากเตะบอลอีกแต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะให้คนอื่นมาจับไข้เพียงเพราะว่าความโลภของตนเองทั้งคู่เก็บลูกบอลท่ามกลางสายฝนแล้วเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์ด้วยกัน มูคยอมอาบไปแล้วครั้งหนึ่งหลังจากการฝึก แต่มันเปียกมากจนต้องอาบอีกรอบ

“นายมีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม”

มูคยอมที่ยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ถามฮาจุนแล้วดึงเสื้อผ้าที่เปียกขึ้น ทันทีที่ถอดผ้าที่ติดอยู่กับร่างกายที่เปียกน้ำฝนอย่างเฉอะแฉะออกแล้วร่างก็รู้สึกเบาหวิว มูคยอมรีบถอดกางเกงและชุดชั้นในออก

ไหล่กว้าง แผ่นอกแข็งและหนา หน้าท้องที่ราวกับแกะสลักเป็นลอนๆ เอวดูคอดเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อหลังที่กว้าง เนื่องจากมีบั้นท้ายที่แข็งและก้นกบที่ขึ้นเงาอย่างเด่นชัด และแม้แต่แกนกายก็เผยให้เห็นในคราวเดียวกัน ต้นขาที่ทอดยาวใต้บั้นท้ายนั้นหนาพอๆ กับเอวของผู้หญิงที่ผอมบาง และข้างบนนั้นก็เห็นเป็นกล้ามเนื้อนูนออกมา

มูคยอมโยนเสื้อผ้าที่เปียกไว้บนม้านั่งอย่างลวกๆ แต่จนทำอะไรเสร็จก็ยังไม่มีคำตอบจากฮาจุน อีกฝ่ายยืนห่างจากมูคยอมเล็กน้อย ยืนอย่างเหม่อลอย ไม่แม้แต่จะถอดผ้าที่เปียกออก

เหนื่อยมากเลยงั้นเหรอ มูคยอมสงสัย จึงเอ่ยถามอีกครั้ง“โค้ชอี” มูคยอมจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“…หา”

“ฉันถามว่านายมีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม”

“มีสิ ฉันเองก็มีสำรองไว้เหมือนกัน” ฮาจุนพยักหน้ารับอย่างมีสติ

“งั้นมัวทำอะไรล่ะ ถอดออกเร็ว”

“หา อื้อ นายเข้าไปก่อนเลย”

มูคยอมยิ้มและเดินไปที่ประตูห้องอาบน้ำจากนั้นใช้หลังมือเคาะประตูราวกับว่ากำลังเคาะหลังของฮาจุน

………………………………………………………..

มูคยอมไม่เพียงแต่ไม่สนใจเรื่องความรักหรือการแต่งงานของคนอื่นแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดงฮุนเป็นใครและก็ไม่อยากรู้ด้วย อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่คุ้นชินกับท่าทางที่ฮาจุนพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนาในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ดังนั้นถึงจะไม่ใช่ท่าทางที่น่าทึ่งอะไรนัก แต่ก็มักถูกดึงดูดสายตาให้มองไปทางนั้นอยู่เรื่อย มูคยอมก็ใช้หลังมือเท้าคางและจ้องมองไปที่ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของฮาจุน

ฮาจุนคงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาถึงได้ใช้มือกวาดไปรอบๆ คางและแก้มของตนเองแล้วมองหน้ามูคยอม

“ทำไม” มูคยอมเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน

ฮาจุนตอบด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อยราวกับว่าเขารู้สึกตื่นตกใจ

“เปล่า คือมีอะไรติดอยู่เหรอ…”

“หืม ไม่มีนะ ก็สะอาดดีนี่” จองคยูตอบ

“โค้ชอีเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ใช่ไหม” มูคยอมถามขณะที่รินเหล้าลงในแก้วเปล่าอีกครั้ง

“ดูหน้าเขาสิพวก มันดูไม่เป็นที่นิยมไหมล่ะ ตอนที่ยังเป็นนักเตะนะ แฟนคลับสาวๆ ยังตามมาด้วยเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เยอะเท่านายก็ตาม”

ฮาจุนไม่ปฏิเสธคำพูดของจองคยูเหมือนกับว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ไร้สาระ มูคยอมมองหน้าฮาจุนอย่างละเอียดถี่ถ้วนขณะที่คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่คำพูดที่แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยของจองคยูแทนเจ้าตัวหรือเปล่านะ แต่โดยรวมแล้ว ฮาจุนให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเรียบร้อยและน่ารักเมื่อเทียบกับมูคยอมที่ใครมองดูก็พอเดาออกได้ว่าเป็นคนที่ทำงานใช้ร่างกายกลางแจ้ง

แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ไม่ใช่สไตล์ที่ดูดีอย่างพิมพ์นิยม ทั้งใบหน้าที่โดดเด่น ทั้งส่วนสูงที่ค่อนข้างสูง ทั้งสรีระที่ดูดีตามภูมิหลังที่เป็นนักกีฬา

คิดๆ ดูแล้ว มันน่าเสียดายที่ฮาจุนจะสวมแค่ชุดกันเหงื่อแล้วไปกลิ้งเล่นที่สนามหญ้า เพราะแม้ว่าอีกฝ่ายจะใส่ชุดสูทไปทำงานที่ไหนก็ดูเข้ากันอยู่ดี

มูคยอมพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจอะไร

“ถ้างั้นระดับโค้ชอีก็คือหน้าตาดีใช่ไหม”

“ก็ตามที่บอกนั่นแหละ แต่ว่านะ พูดๆ ดูแล้วนายดูสนใจเรื่องนี้นะเนี่ย ตอนนี้ที่นั่งอยู่ระหว่างพวกนายทั้งคู่มีแค่ฉันคนเดียวที่หน้าตาดูแย่ไม่ใช่เหรอไง”

“เพิ่งจะรู้เหรอ ”

ขณะที่โต้ตอบมุกตลกของจองคยูด้วยการหยอก มูคยอมก็ถามฮาจุนหนึ่งคำถาม

“นายเล่นในตำแหน่งอะไร”

“แนวรับ ฟูลแบ็ก” ฮาจุนตอบสั้นๆ

อย่างไรก็ตามในฐานะที่รู้จักกัน อีกฝ่ายก็คงไม่มานั่งเสียใจที่เขาถามตำแหน่งของตนเองเพียงเพราะว่าเขาจำไม่ได้หรอก

ที่ฮาจุนบอกว่าอยู่ตำแหน่งฟูลแบ็ก ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งที่สำคัญ แต่เมื่อเทียบกับความยากลำบากแล้วก็เป็นตำแหน่งที่เหนื่อยยากที่จะได้รับการยอมรับ ต่อให้อยู่ในยุโรปก็ตาม ถ้าหากมูคยอมเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งฟูลแบ็กในเคลีก เขาคิดว่าตนเองคงจะลำบากไม่น้อยเลย

ในตอนนั้นเองแก้วเหล้าก็พลิกคว่ำลงและของเหลวใสๆ ก็ได้ไหลเต็มโต๊ะ ฮาจุนเหลือบมองที่มือของตนเองแล้วเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย มือคงจะลื่นระหว่างที่ยกแก้วเหล้าขึ้นมา เพราะมือที่เปียกนั้นดูแวววาวเมื่อกระทบแสงไฟ เหล้าที่ไหลเต็มโต๊ะค่อยๆ หยดลงที่พื้นติ๋งๆ

ใบหน้าของฮาจุนแดงขึ้นเล็กน้อยจากอาการมึนเมา เขาหัวเราะราวกับเขินอายขณะที่ดึงกระดาษชำระหลายแผ่นเช็ดมือและโต๊ะ

“โทษที ฉันทำพลาดไปสินะ”

มูคยอมได้แต่มองท่าทางของฮาจุนที่ทำราวกับว่าเขินอายที่ตนเองนั้นทำแก้วเหล้าคว่ำอย่างเงียบๆ ฮาจุนเช็ดโต๊ะและมือของตนเองกล่าวพลางวางแก้วที่ว่างเปล่านั้นให้ตรง

“เหมือนว่าฉันจะเมาแล้วนิดหน่อย คงต้องเลิกดื่มแล้วแหละ”

ฮาจุนค้ำไหล่ของจองคยูแล้วลุกจากที่นั่ง

“นายจะไปไหน” จองคยูถาม

“ไปรับลมน่ะ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น พวกนายทั้งคู่อยู่ดื่มต่อเลย”

ฮาจุนเดินผ่านช่องว่างระหว่างโต๊ะแล้วเปิดประตูร้านออกไป มูคยอมที่ไล่สายตามองตามฮาจุนหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วก็ถูกตัดฉับ

‘ทำไงดีล่ะ’

ไม่รู้ว่าทำไมมูคยอมถึงอยากคุยเล่นกับฮาจุนที่อยู่ข้างหน้าตนเอง เหมือนว่ามูคยอมจะยังไม่หายข้องใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีแล้วก็หลบหน้าเขาอีก

แต่ใครจะสนล่ะ นี่มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์นี่ ต้องเอาเหล้าไปให้ผู้จัดการทีมหน่อยแล้ว

มูคยอมคิดพร้อมกับลุกจากที่นั่งแล้วกวาดตามองที่โต๊ะนู้นทีโต๊ะนี้ที ผู้จัดการทีมควรจะนั่งอยู่กับสต๊าฟโค้ชสิ แต่มูคยอมดันไม่ยักเห็นจุนซองเลย มูคยอมเดินเตร็ดเตร่ไปโต๊ะนู้นโต๊ะนี้แล้วถามกับคนอื่นๆ

“ผู้จัดการทีมล่ะ”

“อืม เมื่อกี้เห็นอยู่ตรงนั้นนะ”

“เขาไปห้องน้ำหรือเปล่านะ”

บรรดานักเตะที่ดื่มเหล้าไปมากแล้วกำลังวุ่นวายอยู่กับการสนทนาจึงตอบคำถามของมูคยอมอย่างไม่ใส่ใจ มูคยอมมองไปรอบๆ เพื่อหาจุนซอง แต่แม้จะมองหาทุกที่แล้ว มูคยอมก็ไม่เห็นจุนซองเลย คงจะไปห้องน้ำตามที่คนเขาบอก มูคยอมตัดสินใจที่จะรอและหมุนตัวเพื่อกลับไปยังที่นั่งของตนเอง

“ว่าไงนะ”

ในเวลานั้นเองแม้จะอยู่ในร้านอาหารที่มีเสียงโหวกเหวก แต่จองคยูก็ลุกขึ้นยืนตะโกนออกไปดังๆ พอให้ได้ยินอย่างชัดเจน จองคยูลุกขึ้นอย่างพรวดพราด จึงทำให้เก้าอี้ล้มหงายตึง แต่จองคยูก็ไม่ได้สนใจอะไรและดันช่องว่างระหว่างโต๊ะแล้วเดินออกไป

“ที่ไหนนะ ด้านหลังตึกงั้นเหรอ” จองคยูกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

สีหน้าของจองคยูเคร่งเครียดมาก มูคอยมรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี จึงวิ่งออกจากร้านอาหารตามหลังจองคยูที่วิ่งออกไปก่อน จองคยูยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ แต่นักเตะบางคนก็ตามจองคยูราวกับคิดว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จองคยูที่รีบร้อนอยู่วิ่งไปไม่ได้เท่าไหร่ก็หยุดฝีเท้าลง

“ฮาจุน!”

มูคยอมหันไปยังทิศทางที่จองคยูกำลังมุ่งหน้าไป ฮาจุนนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นด้านหลังตึกของร้านอาหารลึกเข้าไปบริเวณที่เก็บขยะ

เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทำแบบนั้นกัน

ในสายตาของมูคยอมนั้นเห็นเพียงใบหน้าซีดเผือดที่ดูเหมือนจะตกใจอย่างมากในตอนแรก หลังจากนั้นชายคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้นก็ปรากฏเข้ามา แต่ในครั้งนี้แม้แต่มูคยอมเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

“คุณลุง!”

มูคยอมตะโกนและรีบลงไปที่พื้นแล้วโน้มตัวลงไป ทว่าแขนของใครบางคนกลับหยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว เป็นฮาจุนนั่นเอง มูคยอมมองไปที่ฮาจุนด้วยสายตาถามว่าทำอะไรของนาย ฮาจุนจึงรีบตอบออกมา

“ใจเย็นก่อน นายจะทำตามอำเภอใจไม่ได้นะ ฉันโทรแจ้งเหตุฉุกเฉินและกำลังทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่ พวกนายไปทำให้รถพยาบาลมาเร็วๆ หน่อยสิ”

“ทำให้รถพยาบาลมาเร็วๆ งั้นเหรอ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”

“ออกไปที่ถนนใหญ่! รถอาจจะหลงทางในซอยได้ถ้าเห็นแล้วก็รีบๆ พาเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาเร็วๆ”

มูคยอมพยักหน้ารับคำสั่งของฮาจุน เป็นไปตามที่คิดไว้เลย หลังจากนั้นไม่กี่นาทีรถพยาบาลที่ส่งเสียงไซเรนออกมาก็มาถึงและตรงเข้าไปในซอยแคบๆ นี้

“ตรงนี้ครับ ตรงนี้!”

มูคยอมตามไปเคาะประตูรถที่ขับอย่างช้าๆ รถพยาบาลจึงหยุด เจ้าหน้าที่แบกเปลหามรีบลงมาขนย้ายจุนซองที่ล้มลงกับพื้นเข้าไปในรถราวกับของหนัก จุนซองตาปิดสนิทสภาพเหมือนกับคนที่ตายแล้ว เหงื่อกาฬไหลรินลงมาที่หลังของมูคยอม

“ใครจะไปที่โรงพยาบาลด้วยเหรอครับ” เจ้าหน้าที่ที่ขนย้ายผู้ป่วยเสร็จแล้วจึงหันไปถามทางเหล่านักเตะ

“ผมครับ ผมเป็นคนเจอครับ”

ฮาจุนยกมือขึ้นแล้วก้าวออกไป ในตอนนั้นมือที่ยกขึ้นมานั้นถูกคว้าเอาไว้ ฮาจุนหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่จับมือของตนเอง

“ไปด้วยกันสิ”

ฮาจุนมองเหม่อสบตากับมูคยอมที่ยืนมองมาจากด้านหลังแล้วจึงพยักหน้ารับด้วยความเร่งรีบ มูคยอมขึ้นรถแล้วหันไปพูดกับจองคยู

“จองคยู นายอยู่ที่นี่นะ นายต้องคอยอธิบายให้คนอื่นฟัง”

“อะ อือ เข้าใจแล้ว”

ประตูรถพยาบาลถูกปิดลง มูคยอมกัดริมฝีปากและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรออก ก่อนอื่นเลยต้องแจ้งให้ครอบครัวของจุนซองรู้

ตู๊ดๆ ระหว่างที่เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น สายตาของมูคยอมก็หันไปทางฮาจุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม คงเพราะตกใจมากสีหน้าของฮาจุนจึงดูซีดเซียวราวกับสติหลุดลอยออกไปแล้ว

มูคยอมคิดว่าเขาต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่าสวัสดีค่ะออกมาจากโทรศัพท์ มูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงแจ้งข่าวการหมดสติของจุนซอง

ภรรยาและลูกชายของจุนซองมาที่โรงพยาบาลทันที มูคยอมไม่ได้เจอภรรยาของจุนซองมานานหลายปี เห็นได้ชัดจากอายุที่มากขึ้นของเธอ ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันคือตอนที่เขามาเกาหลีในช่วงฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว อีกฝ่ายบอกว่าตนเองไม่สามารถมาที่อังกฤษได้เพราะว่ากลัวการขึ้นเครื่องบิน

ถ้าจุนซองเป็นพ่อของมูคยอม ภรรยาของจุนซองก็เหมือนเป็นแม่ของเขาเช่นกัน ในตอนที่จุนซองบอกกับเธอว่าเขาจะเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมนั้นเขาก็ได้พาเด็กชายวัยรุ่นผู้กำพร้าเข้าๆ ออกๆ บ้านอยู่ตลอดเวลา เด็กคนนั้นมีนิสัยที่ทั้งฉุนเฉียวและชอบลักเล็กขโมยน้อยอีกต่างหาก เธอคงจะเสียความรู้สึกและไม่ชอบใจในสภาพนั้น แต่เธอกลับไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยสักครั้ง เธอทั้งป้อนข้าว สวมเสื้อผ้า และกล่อมมูคยอมให้นอนหลับ สำหรับมูคยอมแล้วเธอเป็นดั่งผู้มีพระคุณของเขาเช่นเดียวกับจุนซอง

ทั้งๆ ที่มูคยอมเคยเจอลูกชายของจุนซองที่ชอบเล่นฟุตบอลและคอยตามมูคยอมเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็กหลายครั้งที่ลอนดอน แต่ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนั้นอีกฝ่ายก็โตขึ้นมาก เพราะว่ามูคยอมไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ดังนั้นสำหรับตัวเขาแล้วครอบครัวของจุนซองก็คือครอบครัวของเขา

ทันทีที่ภรรยาของจุนซองเห็นมูคยอม เธอก็เรียกเขาแล้วแทบจะวิ่งเข้ามาหา

“มูคยอม!”

“คุณป้า ครับ”

“มันเกิดอะไรขึ้น ว่ายังไง เกิดอะไรขึ้น”

เธอจับแขนของมูคยอมและถามอย่างร้อนรนด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา

เส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน คือชื่อโรคของจุนซอง โชคดีที่จุนซองได้รับการปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งมองในแง่ดีคือมันก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการหลังการผ่าตัด

“คุณป้ายินยอมให้เข้ารับการผ่าตัดก่อนนะ ผมทำไม่ได้เพราะว่าผมเป็นคนนอก”

เพราะคำพูดของมูคยอม เธอจึงลืมตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาพร้อมกับการแสดงสีหน้าที่ถามว่าพูดอะไรของนายกัน จากนั้นเธอค่อยๆ พยุงตัวขึ้นและพยักหน้าราวกับมีสติแล้ว ลูกชายของจุนซองเอ่ยขึ้นมาพร้อมจับมือแม่เพื่อไปทำตามขั้นตอนต่างๆ

“ขอบคุณนะพี่”

มูคยอมปัดมือด้วยสีหน้าที่บอกกับอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร

ความรู้สึกราวกับว่าพายุได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในห้องผ่าตัดตอนนี้ก็คงจะวุ่นวายสุดๆ พายุยังคงอยู่ ตอนนี้ก็เป็นแค่ความโล่งใจในความสงบชั่วครู่เพียงเท่านั้น

ทันใดนั้นขวดน้ำก็ถูกยื่นมาตรงหน้ามูคยอมที่นั่งถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าฮาจุนนั่นเองที่ยืนอยู่

“ดื่มน้ำสิ ในเวลาแบบนี้คนที่รอก็ต้องเติมความชุ่มชื้นด้วยนะ”

พอได้ฟังแล้วก็รู้สึกคอแห้ง เขาจึงเปิดฝาขวดน้ำที่ได้รับมาแล้วดื่มรวดเดียวไปประมาณครึ่งขวด มูคยอมใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากแล้วยื่นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้

“แล้วนายละ”

“ฉันดื่มแล้ว”

หลังจากผ่านขั้นตอนการผ่าตัดฉุกเฉินแล้วมูคยอมก็ลืมคิดไปเลยว่าฮาจุนที่หายตัวไปตอนนั้นอีกฝ่ายได้หายไปไหน สีหน้าของอีกฝ่ายที่ซีดเผือดนั้นยังไม่ดีขึ้นเลย

“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”

มาตอนนี้ถึงได้มีโอกาสถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮาจุนส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้ยินคำถามของมูคยอม

“ฉันไปเจอเขาตอนที่ล้มไปแล้วเลยไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน บางทีอาจจะออกไปสูบบุหรี่แล้วก็ล้มน่ะ เห็นว่าตรงแถวๆ นั้นน่าจะเป็นที่สูบบุหรี่”

มูคยอมพยักหน้า เขาก็บอกให้ตานั่นเลิกบุหรี่มาตั้งนมนานแล้วนะ จุนซองนี่พูดไม่ฟังเอาเสียเลย

“มันอยู่หลังร้านอาหารเลยนี่ นายไปถึงที่นั่นได้ไง”

“ฉันก็ว่าจะมาสูบสักมวนเหมือนกัน”

มูคยอมประหลาดใจกับคำตอบที่ได้กลับมาอย่างตรงไปตรงมา อันที่จริงเมื่อมูคยอมได้ยินคำว่าพื้นที่สูบบุหรี่ตรงที่อยู่ไกลๆ แล้วก็คำว่าบุหรี่แล้วเขาไม่สามารถหาความเชื่อมโยงได้เลย

เมื่อไม่มีอะไรจะพูดอีกเขาจึงดูเวลาและพบว่าเลยห้าทุ่มไปแล้ว อยู่ๆ ก็คิดว่าฮาจุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว มูคยอมกับจุนซอง และครอบครัวของเขาก็ราวกับเป็นครอบครัวแท้ๆ แต่กับฮาจุนไม่ใช่

“นายเองก็คงจะตกใจมากสินะ”

“ก็ไม่นะ คงจะมีแค่นายแหละ”

“ยังไงก็ขอบใจนะ เพราะว่าถ้านายไม่อยู่ตรงนั้น ผู้จัดการทีมคงเกือบจะจากไปแล้วละ”

“อย่าพูดอะไรที่มันน่ากลัวสิ”

ขณะนั้นเองที่ภรรยาของจุนซองก็กลับมายังที่นั่งอีกครั้ง เธอไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป อีกทั้งท่าทีรวมถึงจิตใจที่เคยตกใจเมื่อครู่ก็ดูผ่อนคลายลงแล้ว เธอเห็นฮาจุนจึงถามมูคยอมว่า

“ใครเหรอจ้ะ”

ฮาจุนรีบโค้งตัวและกล่าวทักทาย

“ผมชื่ออีฮาจุนครับ ผมเป็นโค้ชทีมเดียวกับผู้จัดการทีมพัคครับ”

“อ๋อ ผมได้ยินว่าคุณจะมาเป็นโค้ช มันเป็นเรื่องจริงสินะครับ”

ลูกชายของจุนซองจำฮาจุนได้ เขาค่อนข้างชอบฟุตบอลมากจึงจำฮาจุนในสมัยที่ยังลงสนามได้ ซึ่งต่างจากแม่ของเขาที่แม้จะเป็นถึงภรรยาของผู้จัดการทีมฟุตบอล แต่ก็แทบจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลเลย มูคยอมจึงเสริมขึ้นมา

“โค้ชอีเป็นคนพบผู้จัดการทีมที่ล้มอยู่เลยทำให้เขามาถึงโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว”

“ตายจริง อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”

“ไม่หรอกครับคุณนาย”

ฮาจุนก้มหน้าด้วยความลำบากใจไม่รู้จะทำยังไงกับการโค้งขอบคุณอย่างจริงใจนี้ มูคยอมดูเวลาอีกครั้ง ทั้งสองทักทายกันเสร็จแล้ว เรื่องที่ต้องทำก็ทำไปหมดแล้ว ภรรยาและลูกชายของจุนซองลงไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ มูคยอมจึงถามฮาจุนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“นายไม่ต้องกลับบ้านเหรอ นี่มันเลยห้าทุ่มไปแล้วนะ”

“แต่ว่า…”

อย่างไรก็ตามราวกับว่าฮาจุนกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในห้องผ่าตัด จึงหันไปมองไปทางประตูที่มีหลอดไฟสว่างที่บ่งบอกว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการผ่าตัด ทว่าสีหน้าของฮาจุนซีดเผือดเหมือนคนที่ต้องไปนอนพักผ่อนก่อน

“นายเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะงั้นกลับไปพักเถอะ ครอบครัวของผู้จัดการทีมก็มาแล้ว ตรงนี้มีกันอยู่ตั้งสามคน ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอก” มูคยอมพูดอย่างเฉียบขาด

ฮาจุนกังวลใจกับคำพูดนั้นเพียงแค่ชั่วครู่แต่แล้วก็พยักหน้ารับหนึ่งครั้ง

“ก็ได้ ถ้าฉันอยู่ต่อคนในครอบครัวผู้จัดการทีมคงอึดอัดใจ”

‘ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย’

ในขณะที่มูคยอมคิดอยู่ในใจฮาจุนก็เข้าไปหาครอบครัวของจุนซองและกล่าวลาอย่างสั้นๆ อีกครั้ง เมื่อฮาจุนเดินกลับไปที่ที่มูคยอมยืนอยู่เขาจึงพูดด้วยเสียงที่เบาลง

“เมื่อกี้บอกไปแล้วใช่ไหม คุณนายดูเหมือนจะร้องไห้หนักมากดังนั้นอย่าลืมให้ท่านดื่มน้ำนะ นายเองก็เหมือนกัน ถ้ารอทั้งคืนแบบนี้อาจจะขาดน้ำได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่ตอนเช้ามืดก็จะหนาว ฉันขอพวกผ้าห่มมาไว้ให้อย่าลืมห่มนะ แล้วผลัดกันไปพักด้วยละ”

ฮาจุนกำชับอย่างชัดเจนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล มูคยอมแทบจะทนไม่ไหวจนเกือบลืมบรรยากาศที่เคร่งเครียดนี้แล้วหลุดหัวเราะออกมา

………………………………………………………

ในขณะที่ฝ่ายตั้งรับไม่ทันได้ระวัง มูคยอมที่วิ่งจากหน้าประตูมาตรงกลางสนามก็เริ่มวิ่งไล่ตามลูกบอล ทุกครั้งที่มูคยอมก้าวขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับม้า ก็เผยให้เห็นกล้ามเนื้อต้นขาภายใต้กางเกงขาสั้น

เงาดำเข้าปกคลุมเป็นแนวเฉียง เผยให้เห็นใบหน้ามุ่งมั่นที่ดูราวกับคนที่กำลังขุ่นเคือง และสายตาคมกริบราวกับกำลังจ้องมองเหยื่อ เมื่อลูกบอลเริ่มดิ่งลงสู่พื้น นักกีฬาในสนามทั้งหมดต่างก็เริ่มออกวิ่งทันที มูคยอมที่วิ่งจากกลางสนามมาถึงก่อนเป็นคนแรกและกระโดดขึ้นสูง ลูกบอลกระทบลงบนศีรษะของมูคยอมและถูกยิงเข้าประตูอย่างแรงจนตาข่ายประตูสั่นสะเทือน นอกจากทักษะการกระโดดอันยอดเยี่ยมแล้ว มูคยอมก็มีชื่อเสียงเรื่องความสามารถในการควบคุมร่างกายที่มีความสูงกว่า 190 เซนติเมตร

‘คิมมูคยอม คิมมูคยอม คิมมูคยอม!’

เสียงตะโกนดังไปทั่วสนามราวกับฟ้าผ่าจากการบุกทำประตูในตอนท้ายของเกมครึ่งแรก

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูคยอมที่เคยเคร่งเครียดจนคล้ายกับโกรธ มูคยอมยกแขนและชูนิ้วชี้ขึ้นเพื่อเป็นการแสดงออกว่าทำประตูได้หนึ่งแต้มแล้วออกตัววิ่งไปตามที่นั่งฝั่งกองเชียร์ โดยมีนักกีฬาคนอื่นๆ ในทีมวิ่งไล่ตามหลังมา

มูคยอมยิ้มออกมาพร้อมเอามือจับกล้องที่กำลังถ่ายทอดสด ภาพที่เขากำลังทำนิ้วไขว้กันเป็นรูปหัวใจพร้อมขยิบตาสะท้อนออกมาจากจอ LED ขนาดใหญ่ เรียกเสียงเชียร์ให้ดังขึ้นไปอีก และตอนนั้นเองที่มูคยอมหยุดอยู่กับที่แล้วหันไปกอดกับนักกีฬาคนอื่นๆ ที่วิ่งตามมาทีหลัง หลังจากนั้นไม่นานก็มีการประกาศสิ้นสุดการแข่งขันในครึ่งแรก

“ยอดไปเลย! พอได้เห็นของจริงแล้วไวมากจริงๆ ครับ!”

“ฤดูกาลนี้ทีมเราคงจะได้ไปเวิลด์คัพแน่เลย ถ้าเกิดเราชนะขึ้นมาล่ะ”

เหล่านักกีฬาพูดคุยกันอย่างคึกคักภายในห้องพักในช่วงพักครึ่งหลังจบเกมครึ่งแรก แน่นอนว่าหัวข้อบทสนทนาคือเรื่องของคิมมูคยอม นักกีฬาตัวเต็งของทีมนั่นเอง แต่มูคยอมก็ปล่อยให้คนพวกนั้นพูดกันต่อไป และทำเพียงมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า คนคนนั้นใช้มือกดลงบนขาของเขา และไล่สายตาตามมือที่ใช้ตรวจดูบริเวณข้อเท้า กล้ามเนื้อน่องและต้นขา

“เหมือนจะหายแล้วนะ ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม”

“อืม”

เป็นอีฮาจุนนั่นเอง โค้ชหน้าใหม่ไฟแรงกำลังคอยดูแลเหล่านักกีฬาอย่างไม่หยุดพักแม้กระทั่งช่วงพักครึ่งเวลา

เนื่องจากฮาจุนไม่ใช่แพทย์ประจำทีม การวินิจฉัยร่างกายโดยละเอียดราวกับเป็นทีมแพทย์จึงไม่ใช่หน้าที่ของเขา แต่จากที่ฮาจุนเฝ้าสังเกตสองสามวันมานี้ ดูเหมือนว่าการทำงานจะต้องมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาในขณะนั้นแล้วรวบรวมเป็นข้อมูลเบื้องต้น

น่าขันที่ฮาจุนเพียงทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น แต่เมื่อมูคยอมเห็นมือขาวๆ แตะลงบนต้นขาและข้อเท้าของตนเอง เขากลับรู้สึกพึงพอใจอย่างน่าประหลาด หรือนี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการต่อกร

เคยบอกว่าจะใช้มือแตะแค่ตอนที่จำเป็น ทว่าหลังจากถูกมูคอยมพูดใส่ไป ท่าทางของฮาจุนก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมแบบไหนฮาจุนก็ปรับปรุงท่าทีอย่างตั้งใจ และมักจะเอามือวางบนร่างกายของเขาเสมอ รวมถึงตอนที่ใช้มือตรวจดูกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน ที่ฮาจุนบอกว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้แตะนั้นดูท่าจะจริง มูคยอมไม่เคยพบสิ่งผิดปกติใดจากการคลำของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง

เพียงแต่หลังจากวันนั้นฮาจุนกลับมีทำทีทางเฉยเมยยิ่งกว่าเดิม อาจเพราะไม่พอใจที่เขาไปตะโกนใส่ถึงห้องทำงาน แม้แต่ในตอนนี้ฮาจุนก็แค่ก้มมองที่ขา และเวลาคุยกันก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองมูคยอมเลยสักครั้ง

ดูเหมือนไม่ใช่คนใจแคบแท้ๆ

มูคยอมแค่นหัวเราะในลำคอ

“โค้ชอีครับ ต้นขาผมปวดนิดหน่อย”

“โอเค กำลังไป”

ถ้าปวดต้นขาก็เรียกทีมแพทย์สิ จะเรียกโค้ชไปทำไม มูคยอมบ่นอยู่ภายในใจ ฮาจุนลุกขึ้นยืนและเดินไปหานักกีฬาที่เรียกตนเอง เสียงบทสนทนาของทั้งคู่ดังมาถึงหูของมูคยอม

“เมื่อกี้โค้ชก็เห็นใช่ไหมครับ ท่าโหม่งทำประตูของพี่มูคยอม ไวมากจนคิดว่าหายตัวมา ผมตื่นเต้นจนแหกปากร้องออกมาอย่างกับเป็นคนทำประตูเอง”

“เห็นสิ อย่างนี้นายแค่ทำประตูเพิ่มในครึ่งหลังให้ได้ก็พอ เหมือนจะลงน้ำหนักกะทันหันกล้ามเนื้อก็เลยตึงนิดหน่อย ยังไงก็นวดประคบเย็นแล้วก็แปะเทปเผื่อไว้ก่อน ไปหาทีมแพทย์แล้วก็ขอให้เขาทำให้นะ”

“ครับ”

มูคยอมขมวดคิ้วหน่อยๆ ระหว่างฟังบทสนทนา อีกฝ่ายพูดด้วยความตื่นเต้นขนาดนั้น ก็ควรจะเห็นด้วยกับเขาแล้วตอบว่า ใช่ มันเจ๋งมาก สักคำไม่ใช่เหรอ แต่กลับตอบว่า ‘แค่นายทำประตูเพิ่มในครึ่งหลังให้ได้ก็พอ’ เนี่ยนะ ‘แล้วความรู้สึกที่เขาทำเฮดดิ้งโกลด์ได้ล่ะ’

หากมองโดยไม่มีอคติ ภาพการโหม่งทำประตูของเขาในการแข่งครึ่งแรกนั้นถือเป็นภาพที่เจ๋งพอและยากที่จะเกิดขึ้น ในเมื่อตอนนี้ฮาจุนก็สัมผัสร่างกายเขาตามสมควรแล้ว มูคยอมจึงไม่มีเหตุผลมาอ้างหาเรื่องชวนทะเลาะอีก แต่ถึงอย่างไรก็มีอีกหนึ่งถึงสองเรื่องที่เขาติดใจเกี่ยวกับฮาจุนอยู่ดี

เมื่อหารือเรื่องกลยุทธ์กับผู้จัดการทีม ดื่มน้ำ ตรวจสอบสภาพร่างกาย เปลี่ยนชุดที่ชุ่มเหงื่อเป็นตัวใหม่ และพักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็หมดพักครึ่งเวลา 15 นาที เหล่านักกีฬายืนเข้าแถวกันอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ครึ่งเกมหลัง เสียงตะโกนเชียร์ดังขึ้นราวกับระลอกคลื่นที่ถาโถมเข้ามาทางปากอุโมงค์ตั้งแต่ก่อนที่นักกีฬาจะลงสู่สนาม

การแข่งขันรายการแรกคว้าชัยชนะมาด้วยคะแนน 3 ประตูต่อ 0 โดยมูคยอมเป็นผู้ทำประตูจากสองในสาม ในครึ่งเกมหลังมูคยอมทำประตูที่ควรค่าแก่การพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกมเปิดตัวสนามแรกประสบความสำเร็จไปอย่างงดงาม

ทีมซิตี้โซลซึ่งมีกองหน้าตัวหลักที่แข็งแกร่งได้รับชัยชนะติดต่อกัน ‘เป็นประวัติการณ์’ ทำให้ลีกฟุตบอลของประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงทั้งในประเทศและต่างประเทศ คำถามที่ว่านักเตะชาวเกาหลีใต้ทำคะแนนไปได้กี่ประตูในการแข่งขันเคลีกนั้นไม่เคยเป็นประเด็นร้อนของวงการฟุตบอล แต่เมื่อเป็นการทำประตูของมูคยอมแล้วย่อมแตกต่างออกไป

มูคยอมหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะที่อ่านประโยคสุดท้ายในจดหมายที่ได้รับจากแฟนคลับซึ่งเป็นเด็กสาวชาวอังกฤษคนหนึ่งเขียนส่งมาผ่านตัวแทนเมื่อวานนี้

‘คิม ฉันคิดถึงคุณค่ะ รีบกลับมาที่กรีนฟอร์ดนะคะ ฉันรักคุณ จากเอมี่’

ช่วงนี้กรีนฟอร์ดซึ่งเป็นทีมต้นสังกัดของเขาทำคะแนนได้ไม่ดีนัก ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะขาดมูคยอมในทีม แต่เกี่ยวข้องกับผู้จัดการทีมคนใหม่ของฤดูกาลนี้กับนักกีฬาในทีมที่เข้ากันไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรในมุมมองของแฟนๆ เมื่อขาดผู้เล่นกองหน้าตัวหลักอย่างมูคยอมไปก็เหมือนจะคิดว่าทีมจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก

‘ต้องกลับอยู่แล้ว ช่วยรออีกแค่หนึ่งฤดูกาล เมื่อโรยกลีบดอกไม้บนเส้นทางที่ลุงพัคจุนซองกำลังจะเดินไปเสร็จแล้ว เขาก็จะกลับไป’

มูคยอมคิดดังนั้นขณะที่นั่งอยู่บนม้านั่ง จุนซองเดินมานั่งข้างๆ และใช้มือสากตบไหล่มูคยอมเบาๆ มูคยอมหันไปสบตากับจุนซองและยิ้มให้เหมือนกับเด็กๆ โดยไม่ได้วางมาดอย่างเคย มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นเขาในมุมนั้น

“ทุกวันนี้ไม่ว่าไปที่ไหนฉันก็เชิดหน้าชูตาได้เพราะนายเลย”

“นับเป็นโชคดีของลุงเลยนะที่มีผมเป็นลูกศิษย์”

จุนซองหัวเราะพร้อมกับบอกว่ามูคยอมพูดถูกแล้ว แต่ถึงมูคยอมจะพูดอย่างนั้น เขาก็รู้สึกขอบคุณที่ได้พบกับลุงจุนซองอยู่เสมอ

“ฉันไม่คิดว่าจะถูกลอตเตอรี่ที่เคยลงทุนไปตอนนั้น” จุนซองพูดต่อด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

“แค่ลอตเตอรี่เองเหรอ อย่างผมต้องยูโรมิลเลียนส์สิ”

“ยูโรอะไรนะ?”

“คล้ายๆ ลอตเตอรี่นั่นแหละ ผมบอกลุงแล้วไงว่าหลังจากนี้ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่ทำงานผู้จัดการทีมไปตามที่ต้องการ ยังไงผมจะเตรียมค่าใช้จ่ายหลังเกษียณให้เอง”

อยู่ๆ มูคยอมก็นึกถึงที่จองคยูเคยบ่นให้เขาไปแต่งงานและลงหลักปักฐานซะ

การแต่งงานคืออะไร เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้คนบนโลกถึงเชิดชูการผูกมัดถาวรอย่างการแต่งงาน ความสัมพันธ์ที่จีรังที่สุดบนโลกที่เขารู้จักไม่ใช่ความสัมพันธ์ของคนรักแต่เป็นความสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณ แม้เขาจะไม่รู้จักความรัก แต่แน่นอนว่าต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ เพราะมีพัคจุนซองถึงมีคิมมูคยอมในวันนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็ไม่รู้สึกเสียดายเวลากว่าหนึ่งปีของช่วงชีวิตอันยาวไกลนี้เลยแม้แต่น้อย

“ฉันได้หมดอยู่แล้ว ตอนแกอยู่ต่างประเทศฉันคงพูดห้ามอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้อยู่เกาหลีก็อย่าเที่ยวกลางคืนมากนัก ฉันทนเห็นสภาพแบบนั้นไม่ได้” แม้แต่จุนซองที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นยังบ่นออกมากับความคิดอันน่าชื่นชมของมูคยอม

“เฮ้อ ทำไมแม้แต่ลุงก็พูดแบบนี้เนี่ย”

มูคยอมถอนหายใจขณะที่พิงศีรษะกับพนักม้านั่ง แล้วจุนซองก็พูดเรื่องเดิมๆ อย่างการลงหลักปักฐานและการแต่งงานขึ้นมา

“นี่ เห็นแกเป็นข่าวกับผู้หญิงคนใหม่อีกแล้ว จะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ฮึ ตอนนี้แกควรคิดถึงการได้คบกับคนดีๆ อย่างเปิดเผยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว”

“พูดแบบเดียวกับคิมจองคยูเป๊ะ ในความคิดผมเดี๋ยวถึงเวลาก็คงได้เจอคนดีๆ เองนั่นแหละ ส่วนตอนนี้ผมยังไม่คิดจะคบกับใคร แล้วก็ยังไม่คิดเรื่องแต่งงานด้วย ผมเคยบอกตั้งนานแล้วว่าผมไม่ต้องการครอบครัว”

จุนซองเผยอปากออกเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ใบหน้าขมขื่นปรากฏขึ้นมาชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

“มีจองคยูกับฮาจุนอยู่เป็นเพื่อนแล้วใช้ชีวิตสบายขึ้นใช่ไหมล่ะ ถึงยังไงคบกับคนรุ่นเดียวกันก็ดีที่สุดแล้ว สนิทกันเข้าไว้ละ”

“อืม เข้าใจแล้ว” มูคยอมตอบไปตามมารยาท เขาไม่รู้ว่าชีวิตสบายขึ้นเพราะจองคยูหรือไม่ แต่กับอีฮาจุนเขาไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิด แต่ถึงยังไงตอนนี้เขาก็รู้สึกสบายใจที่ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจขณะออกกำลังกายอีก และไม่ว่าฮาจุนจะหลบหน้าเขาหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คิมมูคยอมต้องใส่ใจ

“ผมกลับไปซ้อมก่อนนะครับ”

“โอเค”

ลุงจุนซองตบหลังเขาเบาๆ มูคยอมรู้สึกเหมือนได้กลับไปตอนมัธยมต้นอีกครั้ง เขายิ้มมุมปากอย่างขบขัน และเดินไปที่กลางสนาม หากจองคยูกับลุงจุนซองไม่บ่นเขาเรื่องให้รีบหาแฟนและแต่งงานไปซะก็คงจะดี แต่เมื่อคิดว่ามันก็เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่นี่มูคยอมจึงไม่ได้รู้สึกรำคาญใจขนาดนััน

***

เย็นวันนั้นพวกเขาตัดสินใจว่าจะไปกินเลี้ยงกันแบบง่ายๆ เพื่อฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของนัดแรกในฤดูกาล ทางสโมสรจองร้านอาหารขนาดใหญ่ไว้ทั้งร้านพร้อมจัดเตรียมอาหารไว้ให้อย่างเต็มที่เนื่องจากเป็นการกินเลี้ยงสำหรับเหล่านักกีฬาที่กินจุ

พนักงานเสิร์ฟต่างยุ่งอยู่กับการเดินเอาเนื้อหมูมาย่างให้ทันตามความต้องการของเหล่านักกีฬา ในระหว่างนั้นก็มีพนักงานเสิร์ฟผลัดกันเดินมาตรงโต๊ะที่มูคยอมนั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และในบรรดาคนเหล่านั้นมีเหล่าพนักงานสูงวัยพูดกับมูคยอมอย่างเป็นมิตร

“นักกีฬาคิม ช่วยเซ็นลายเซ็นให้หน่อยได้หรือเปล่า พอดีลูกชายเป็นแฟนคลับน่ะ”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมเซ็นให้ก่อนกลับ”

“อย่าลืมนะ”

พอคนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งก็มา มูคยอมตอบรับกลับไปตามมารยาทแล้วทานอาหารต่อ และในตอนท้ายเจ้าของร้านก็เดินมาขอถ่ายรูป

“นักกีฬาคิม ก่อนกลับช่วยถ่ายรูปในร้านกับพวกเราหนึ่งรูปได้ไหม”

“เซ็นลายเซ็นให้ได้ แต่ผมไม่สะดวกถ่ายรูปครับ”

แม้เจ้าของร้านจะอุทานออกมาอย่างรู้สึกเสียดาย แต่เพราะมูคยอมปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนเจ้าของร้านจึงตัดใจและเดินกลับไป

“ทำไมไม่ให้ถ่ายรูปล่ะ” จองคยูเอาหมูย่างห่อผักเข้าปากแล้วถามขึ้น

“ถ้าเขาเอาไปใช้โปรโมทร้านแบบไม่ขออนุญาตล่ะจะทำยังไง ไม่รู้หรือไงว่าซีดานเข้าไปอยู่ในรูปโปรโมทโรงพยาบาลประเทศเราโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย”

“เออ จริงด้วย” จองคยูหัวเราะคิกคักขณะที่กระดกโซจูเข้าปาก เขารินโซจูใส่แก้วเปล่าตรงหน้ามูคยอมแล้วก็ชนแก้วกัน ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะพวกเขาตลอดการดื่มเหล้าและพูดคุยกันอย่างเงียบๆ

แม้ว่าภายในทีมจะมีนักกีฬาที่อยู่ในช่วงอายุสามสิบแต่อายุเฉลี่ยของนักกีฬาส่วนใหญ่ในทีมซิตี้โซลซึ่งเป็นทีมใหม่ก็ยังน้อยอยู่ดี นักกีฬาดาวรุ่งอย่างมูคยอมและกัปตันทีมอย่างจองคยูจึงได้รับการดูแลราวกับเป็นผู้อาวุโส

แม้มูคยอมจะตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่จองคยูก็ยังคงพูดคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วจู่ๆ จองคยูก็พูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้

“จริงสิ จะว่าไปเราไปดื่มกับฮาจุนกันเถอะ หลังจากนี้คงหาเวลาว่างได้ยากแล้ว”

“ไปสิ” มูคยอมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาไม่มีความคิดที่จะเรียกฮาจุนซึ่งกำลังทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอื่นเพราะหลบหน้าเขามาอยู่แล้ว ฮาจุนกำลังทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอื่น

ระหว่างที่เขามองจองคยูที่กำลังเดินไปยังโต๊ะที่อยู่อีกด้านและพูดคุยกับฮาจุนโดยไม่ได้คิดอะไร ก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ฮาจุนลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาใกล้จนต้องดื่มเหล้าเข้าไปอึกหนึ่ง จองคยูก็กลับมานั่งที่พร้อมกับบ่นออกมา

“ทำไมการดื่มเหล้าของคนรุ่นเดียวกันสามคนมันถึงได้ลำบากขนาดนี้”

“นั่นสิ ดีนะมีกินเลี้ยงกันพอดี” ฮาจุนตอบจองคยูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะที่ถือแก้วเพื่อรับเหล้าที่จองคยูรินให้

‘เกินคาดแฮะ’

มูคยอมหรี่ตามองพิจารณาฮาจุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

“กินเหล้ามาตั้งแต่อยู่โต๊ะนู้นเหรอ” เขาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าขาวของฮาจุนขึ้นเลือดฝาดจางๆ ที่แก้ม ฮาจุนมองพร้อมกับทำหน้าสงสัยกับคำถามของมูคยอม และไม่นานก็ส่งยิ้มตาหยีมาให้

“นิดหน่อยน่ะ”

“เมาแล้วสินะ” มูคยอมมองฮาจุนที่ตอบมาดังนั้นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“วันดีๆ แบบนี้เมาแล้วจะเป็นไรไป ไม่เมาเหมือนหมาก็พอ มาชนกัน” จองคยูพูดขึ้นพร้อมกับเป็นผู้นำชนแก้วโซจูเสียงดังแกร๊ง จองคยูกับฮาจุนเริ่มพูดคุยกัน ขณะที่มูคยอมนั่งเแกว่งแก้วเหล้าช้าๆ โดยไม่พูดอะไร

“เอ้อ ฮาจุน รู้เรื่องที่ดงฮุนจะแต่งงานหรือยัง”

“อืม เคยโทรมาขอที่อยู่ส่งการ์ดอยู่”

“ฉันตกใจเลยตอนที่รู้ว่าคบกันได้สามเดือนก็จะแต่งงานกันแล้ว”

“ได้ยินว่าเจอกันผ่านการนัดบอดนะ คงเป็นพรหมลิขิตนั่นแหละ”

มูคยอมมองฮาจุนที่กำลังพูดคุยอย่างสุขุมอยู่ตรงหน้าตนเองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ พอเหล้าเข้าปากก็ดูเหมือนว่าคนที่คอยวิ่งวุ่นหลบหน้าและไม่ยอมสบตาเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ต่อหน้าเขาก็แทบจะไม่ค่อยยิ้มแย้ม แทบจะไม่พูดคุย ไม่ใช่ว่ายิ่งดื่มแล้วจะยิ่งเกลียดขี้หน้าคนที่เกลียดอยู่แล้วเข้าไปใหญ่เหรอ หรืออาจจะรู้สึกอยากฟาดเขาสักที

และดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาไม่ยอมคบใครเป็นตัวเป็นตนจะทำให้นักเทศน์ด้านการลงหลักปักฐานอย่างจองคยูกังวลว่าเขาจะไปทำให้คนอื่นคิดที่จะไม่มีแฟนเหมือนกับตัวเอง จึงได้ถามคำถามอันแสนน่าเบื่อนี้กับฮาจุน

“แล้วนายไม่แต่งงานเหรอ”

ฮาจุนทำเพียงหัวเราะเบาๆ ราวกับว่ามันเป็นคำถามไร้สาระ

“ทำไมอยู่ๆ ก็ถามเรื่องแต่งงานล่ะ ควรถามก่อนไม่ใช่เหรอว่าคบกับใครอยู่หรือเปล่า”

“เฮ้ รู้ว่ามีไงก็เลยไม่ถาม บอกมาเถอะน่า”

“ฉันไม่ได้คบใครจริงๆ”

“นายกับมูคยอมนี่แปลกชะมัด ทั้งที่มีผู้หญิงมาชอบเยอะมากแท้ๆ ไม่ลองหาเนื้อคู่จากในนั้นดูล่ะ”

……………………………………….

เป็นธรรมดาที่คำตำหนิของโค้ชซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าพวกเขาราวๆ สิบปีจะพุ่งเป้ามาที่ฮาจุนซึ่งกำลังเรียนรู้งานแบบเดียวกันอยู่มากกว่ามูคยอมซึ่งเป็นนักกีฬา

“ขอโทษครับ ผมแค่อยากให้ช่วยตรวจอย่างละเอียดมากขึ้น”

ฮาจุนทำอะไรไม่ถูกจึงก้มศีรษะขอโทษอีกครั้งต่อหน้าโค้ชจองที่ขมวดคิ้วและกำลังมองมาที่เขา

“ถ้างั้นโค้ชจองครับ ไหนๆ มาแล้วก็ลองตรวจดูอีกรอบไหมครับ” มูคยอมพูดขึ้นแล้วลงมานั่งข้างล่างพร้อมกับเหยียดขาออก

ไหนๆ ก็มาแล้วทั้งที โค้ชจองเลยตรวจเช็กดู แต่ขาของมูคยอมกลับไม่เป็นอะไรเลยและไม่จำเป็นต้องตรวจดูเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นแค่ความเจ็บที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการชนกันในช่วงสั้นๆ มูคยอมแสดงออกไปเกินจริงอย่างไม่ทันรู้ตัวและไม่สมกับเป็นตัวเองเพียงเพราะฮาจุนบอกว่าจะลองเช็กดู

มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงขนาดต้องเรียกโค้ชจอง แต่เพราะมูคยอมยืนกราน สุดท้ายฮาจุนก็เลยจำใจไปเรียกมาให้ โค้ชจองตรวจดูเข่าของมูคยอมเสร็จก็ทำหน้าเหลือเชื่อเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน

“โค้ชอี มานี่หน่อย”

ฮาจุนเดินตามหลังโค้ชจองไปเหมือนนักเรียนที่ทำความผิด ไม่รู้ว่าวันนี้เห็นแผ่นหลังห่อเหี่ยวนั้นไปกี่ครั้งแล้ว ปลายผมพลิ้วไหวตามจังหวะการก้าวเดินเป็นภาพที่มูคยอมเห็นแล้วอยากจะติดหูสุนัขที่กำลังลู่ลงให้บนศีรษะของอีกฝ่าย

“โค้ชอี จะมาเรียกผมด้วยเรื่องแบบนี้ทุกครั้งไม่ได้นะ จริงที่เราต้องคอยระวังเรื่องสุขภาพของคิมมูคยอม แต่คุณก็ต้องประเมินอาการก่อนแล้วค่อยขอให้ช่วยสิ ถ้ายังทำงานแบบนี้ร่างกายเราจะเหลือสักกี่ร่าง”

“ขอโทษครับ ผมใจร้อนเกินไป”

เสียงของคนทั้งสองที่ลดเบาลงแต่ก็ยังได้ยินมาถึงตรงที่มูคยอมนั่งอยู่ มูคยอมลุกขึ้นเดินเข้าไปในสนามปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกัน เขาพักแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

พอเข้าไปร่วมฝึกซ้อมแล้วหันไปมองโค้ชทั้งสองคนก็ดูเหมือนว่าจะตักเตือนกันคร่าวๆ เสร็จแล้ว เขาเห็นฮาจุนเดินไปพร้อมถือสมุดโน้ตกับปากกาที่วางทิ้งไว้บนม้านั่งแล้วก็เข้าไปในห้องทำงาน ถึงจะเห็นด้านข้างของอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ ก็ยังดูเสียใจอยู่ไม่น้อย

‘ทำตัวอวดดีเองทำไมล่ะ’

มูคยอมกล่าวโทษฮาจุนอยู่ในใจ เขาอยากจะจัดการปัญหาให้เรียบร้อยด้วยวิธีของตัวเอง แต่พอฮาจุนบอกว่าไม่มีเวลาว่างหลังเลิกงานแล้วเขาจึงแสดงสถานะของตัวเองให้เห็นในเวลางานแทน

…ตอนแรกตั้งใจจะทำให้ฮาจุนลำบากใจไปจนกว่าจะยอมจำนนต่อเขาก่อน แต่กลับรู้สึกใจอ่อนเพราะแผ่นหลังอันเศร้าสร้อยที่ดูห่อเหี่ยวเหมือนกับสุนัขหูตก ทำไมคนที่แสดงความเกลียดต่อคนอื่นถึงได้หดหู่กับคำพูดไม่กี่คำของหัวหน้ากันนะ มูคยอมไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะความไร้ยางอายหรือความโง่เขลาของอีกฝ่ายกันแน่

‘จะให้โอกาสอีกครั้งแล้วกัน’

เพราะเขาเป็นใจกว้างกว่าอีฮาจุนที่ใจแคบไงล่ะ มูคยอมเข้าข้างตัวเองแล้วพยักหน้า มูคยอมเขาบอกโค้ชว่าขอตัวสักครู่แล้วเดินไปยังอาคารที่มีสำนักงานตั้งรวมกันอยู่ อาคารสำนักงานเงียบสงบกว่าปกติเพราะยังเป็นช่วงเวลาฝึกซ้อม แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสะท้อนกับพื้นทางเดินที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันถูกแบ่งเป็นแสงแดดครึ่งหนึ่ง ที่ร่มครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูเหมือนกับถูกทาสีไว้สองสี เสียงของเหล่านักกีฬาที่ฝึกซ้อมอยู่กลางแจ้งค่อยๆ เบาลง

มูคยอมเดินไปตามทางเดินอันเงียบสงบ เมื่อเคาะประตูที่เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพักก็มีเสียงตอบรับว่า ครับ พร้อมกับประตูถูกเปิดออก มีเพียงฮาจุนอยู่ภายในห้องพักของโค้ชเพราะทุกคนกำลังฝึกซ้อมช่วงบ่ายกันอยู่

“เอ่อ…” ฮาจุนเปล่งเสียงออกมาเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะคนที่เคาะประตูนั้นอยู่เหนือจากความคาดหมาย มูคยอมสังเกตเห็นแววตาตื่นตระหนกและสีหน้าที่หวาดกลัวเล็กน้อยของฮาจุน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ไร้ยางอายอย่างที่คิด เขารู้สึกเกินคาดเล็กน้อย

“ขอเข้าไปข้างในแป๊บนึงสิ” มูคยอมพยักพเยิดบอกให้เข้าไปข้างใน

“เอ่อ อืม” ฮาจุนก้าวถอยหลังขณะที่ชะเง้อมองรอบๆ แล้วก็ชี้ไปทางโซฟา

“มาหาใครเหรอ ตอนนี้คนอื่นออกไปข้างนอกกันหมด นั่งตรงนั้นก่อนสิ จะดื่มอะไรไหม”

“นาย”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าแข็งทื่อ มูคยอมไม่ชอบสีหน้าแบบนั้น อีกฝ่ายดูเหมือนเป็นคนยิ้มเก่งและอัธยาศัยดีแบบที่ใครๆ ก็ชอบ แต่ทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับทำหน้าเคร่งขรึมแบบนั้นอยู่บ่อยๆ แต่มูคยอมก็ไม่ได้หวังให้ฮาจุนยิ้มออกมาตอนนี้แน่ๆ เพราะคำพูดประชดประชันของเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้อีกฝ่ายถูกโค้ชจองตำหนิ ถ้ายิ้มออกมาต่อหน้ามูคยอมตอนนี้ก็หมายความว่าฮาจุนไม่ได้โกรธเขาแม้แต่นิดและเป็นคนเจ้าเล่ห์เสียด้วยซ้ำ

ความรู้สึกไม่พอใจที่สะสมมาหลายวันทำให้มูคยอมคิดเอาคืนคนที่ทำตัวเป็นเด็กด้วยวิธีแบบเด็กๆ ไปหนึ่งครั้ง หากฮาจุนแสดงออกว่าเจ็บใจหรือโมโหใส่เขาก็ตั้งใจว่าจะยั่วโมโหให้มากกว่านี้ แต่เพราะเห็นไหล่ห่อเหี่ยวของอีกฝ่ายเขาจึงเปลี่ยนแผน โดยจะจัดการปัญหาด้วยการพูดคุยโดยสันติและมีเหตุผล

“มี… ธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” ฮาจุนที่โดนหมายหัวด้วยคำว่า ‘นาย’ รวบรวมแรงไปยังริมฝีปากและถามขึ้นอีกครั้ง

“นี่นาย” นี่เขาต้องถ่อมาถึงห้องทำงานด้วยตัวเองเพื่อคุยเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอ มูคยอมเดาะลิ้นอย่างขัดใจ ว่าจะจัดการปัญหาเงียบๆ แต่ก็หนีไม่พ้น เขาคงต้องพูดสรุปสั้นๆ แค่ประเด็นสำคัญ

“ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าฉันแต่ก็ต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวสิ”

“หา?”

“ตอนซ้อมก็แทบไม่ใช้มือสัมผัสแค่กับฉัน เป็นโค้ชฟิตเนสแค่ในนามไม่ควรเกลียดขี้หน้านักกีฬานะ ถ้าฉันบาดเจ็บล่ะ นายรับผิดชอบไหวเหรอ”

“มือเหรอ หมายถึงมืออะไร” ฮาจุนทำเพียงกะพริบตาราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่มูคยอมพูดและขมวดคิ้ว

“ที่ใช้มือคลำตรวจโรคไง ตอนบ่ายที่ฉันบอกว่าปวดเอวแล้วนายไปเรียกโค้ชจองมา ไม่ใช่ว่านายไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวฉันเองหรือไงถึงได้ทำแบบนั้น”

ฮาจุนทำตาโตและเม้มปากแน่นกับคำพูดนั้น ทั้งดูตกใจที่ได้ฟังคำพูดไร้สาระของมูคยอม และดูตกใจที่มูคยอมพูดแทงใจดำเข้า มูคยอมค่อยๆ ขมวดคิ้วรอฟังคำตอบ ไม่นานฮาจุนก็ส่ายหน้ารัวๆ ราวกับเพิ่งได้สติ

“เดิมทีการคลำตรวจโรคจะทำก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะเห็นได้ชัดว่าร่างกายนายสมดุลปกติถึงจะทดสอบทักษะการเคลื่อนไหวไปไม่กี่ครั้งก็ตาม ปกติถ้าร่างกายสมดุลมันจะไม่เจ็บแบบนั้น เพราะงั้นพอนายบอกว่าเจ็บเอวฉันก็เลยคิดว่ามันแปลกๆ แล้วถึงยังไงฉันก็เป็นแค่โค้ชฟิตเนส ไม่ใช่นักกายภาพบำบัดหรือหมอนวดด้วย”

“เห็นนวดให้ตั้งหลายคนแต่กับฉันกลับบอกว่าไม่จำเป็น?”

“รูปร่างนายสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ท่าทางตอนออกกำลังกายก็ดูดี” ฮาจุนที่เผลอพูดชื่นชมออกไปรีบพูดต่อด้วยท่าทางอึกอัก

“ที่เรียกโค้ชจองมาก็เพราะว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าฉันไง ฉันดูแล้วคิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติแต่นายก็ยังบอกว่าเจ็บ แบบนั้นให้คนอื่นมาดูสักรอบน่าจะดีกว่าฉันดูเพิ่มเอง ฉันรู้ว่านายกังวลมากเรื่องสุขภาพร่างกาย แต่โค้ชมือใหม่อย่างฉันจะไปวินิจฉัยสภาพร่างกายนักกีฬาระดับนายเองคนเดียวได้ยังไง ถ้าทำให้เข้าใจผิดก็ขอโทษด้วยนะ ไม่รู้ว่านายจะคิดไปถึงขนาดนั้น”

เหตุผลที่น่าขัดใจนี้มันอะไรกัน

มูคยอมขมวดคิ้ว คำตอบของฮาจุนนั้นไม่มีถูกไม่มีผิด แต่ถึงจะไม่ใช่เวลาฝึกซ้อมมูคยอมก็รู้สึกว่าฮาจุนกำลังหลบหน้าเขาอยู่ และก็เป็นมาหลายวันแล้วด้วย ทว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ถ้าอีกฝ่ายพูดมาแบบนั้นแล้วซักไซ้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะหลบหน้าเพราะเรื่องส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม แค่ทำงานอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว

“ช่างเถอะ แต่ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ในฐานะนักกีฬาไง”

“นั่น…”

“ฉันจะหมดอารมณ์ออกกำลังกายถ้ารู้สึกว่าเทรนเนอร์ไม่เต็มที่แค่กับฉัน ถึงจะไปฟิตเนสเล็กๆ ก็เถอะ ขออย่างเดียว ตอนฝึกงานก็ขอให้เต็มที่กับฉันด้วย หรือไม่ก็ถอนตัวออกไปจากตารางซ้อมของฉันซะ แล้วก็ปรึกษากันเองกับโค้ชในกลุ่มให้คนอื่นมาทำแทน โค้ชจองหรือใครก็ได้ ฉันจะรับผิดชอบเอง แค่นี้ฉันคงเรียกร้องได้ใช่ไหม”

สีหน้าของฮาจุนตึงเครียดเมื่อได้ยินสิ่งที่มูคยอมพูด พูดน่ะง่าย แต่โค้ชหน้าใหม่น่ะไม่มีทางที่จะพูดออกไปว่า ‘คิมมูคยอมบอกว่าอยากถอดผมออกจากตารางซ้อมครับ’ ได้หรอก แล้วยิ่งเป็นหลังจากที่ถูกตำหนิไปก่อนหน้านี้ด้วย เขาไม่ได้อยากป่าวประกาศว่าตัวเองไร้ความสามารถนะ

ฮาจุนทิ้งช่วงคำพูดไป ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว เอ่อ… แค่ให้ใช้มือคลำใช่ไหม แค่สัมผัสที่… ตัวของนาย?”

มูคยอมแปลกใจที่ได้ยินฮาจุนสรุปสั้นๆ ออกมาแบบนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเรียกร้องจริงๆ

“ใช่”

“โอเค”

ฮาจุนพยักหน้ารับคำอย่างง่ายดายด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับคิ้วของมูคยอมที่ขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม เพราะพอคุยกันเสร็จแล้วมูคยอมถึงคิดได้ว่าพวกเขามีบทสนทนาที่แปลกประหลาดกันมาก แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

ถึงจะรู้สึกขัดใจ แต่ยังไงความรู้สึกไม่พอใจนั้นก็หมดไปแล้ว ดังนั้นเขาจะมองข้ามความงุนงงนั้นไปก็แล้วกัน

“ไหนๆ ก็มาแล้ว จะดื่มอะไรหน่อยไหม”

ฮาจุนถามขึ้นด้วยความประหม่าเมื่อเกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา

“ไม่ล่ะ ฉันยังต้องออกไปซ้อมอีก”

มูคยอมไม่รอช้าและเปิดประตูห้องทันที พอพ้นออกมาจากห้องทำงานมูคยอมก็รู้สึกเหมือนหลุดจากการถูกสะกดจิตหรือคลายจากการต้องมนต์อย่างไรพิกล ไม่ว่าตลอดหลายวันมานี้อีฮาจุนจะตั้งใจหลบหน้าเขาหรือไม่ แต่พอมองกลับไปมันก็ผิดพลาดตั้งแต่ที่เขามานั่งจดจ่ออยู่กับเรื่องเล็กน้อยอย่างการสัมผัสพวกนั้นแล้ว

ต้องมาเสียหน้าเพราะเหตุผลไร้สาระแท้ๆ มูคยอมเดาะลิ้นอีกครั้งแล้ววิ่งไปกลางสนามที่ยังคงดำเนินการฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน

***

แม้ใครจะปฏิเสธ แต่เคลีกก็เป็นลีกที่แม้แต่คนในประเทศยังมองข้าม การถ่ายทอดสดติดขัด และถึงจะได้ออกอากาศแต่ส่วนมากก็เป็นการอัดเทปและไม่ได้ถูกฉายในช่วงไพร์มไทม์ แม้จะเป็นเรื่องหดหู่ที่ไม่มีสถานีโทรทัศน์ไหนเลยที่ถ่ายทอดสดการแข่งฟุตบอลระหว่างสโมสรในประเทศแบบจริงๆ จังๆ ในยุคที่มีช่องโทรทัศน์ล้นตลาด แต่ความจริงก็คือความจริง

ทว่าในฤดูกาลนี้แตกต่างออกไป เพราะสถานีโทรทัศน์ขนาดใหญ่หลายแห่งต่างเข้ามาพูดคุยเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดเคลีกกันตั้งแต่วันที่คิมมูคยอมมาถึงกรุงโซลจนถึงวันนี้ จึงเป็นที่แน่ชัดว่าทุกการแข่งขันจะถูกถ่ายทอดสด ซึ่งการแข่งสนามแรกของมูคยอมที่นั่งเต็มหมดแล้ว และตอนนี้กำลังเปิดขายที่นั่งวีไอพีอีกด้วย

มูคยอมเป่าลมปากออกมาสั้นๆ ขณะยืนอยู่ตรงอุโมงค์ทางเดินออกสู่สนาม

“พี่ก็ตื่นเต้นเหรอครับ จริงๆ การแข่งนี้ไม่น่าจะตื่นเต้นสำหรับพี่แล้วนะ”

นักเตะกองกลางคนหนึ่งถามขึ้นราวกับคาดไม่ถึง

“ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลยังไงก็ตื่นเต้น”

ในกีฬาที่มีผู้เล่นสิบเอ็ดคน แม้คนหนึ่งจะโดดเด่นแค่ไหน แต่ก็ยากที่จะทำนายผลแพ้ชนะที่ไม่แน่นอนได้ ดังนั้นถึงมูคยอมจะลงสนามแต่ก็เป็นไปได้ที่การแข่งขันจะจบลงที่เขาทำประตูไม่ได้เลยหากทีมฝ่ายตรงข้ามตั้งใจรักษาประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่เป็นสนามแรกของเขาในประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงต้องทำประตูเพื่อรักษาหน้าตัวเองและกู้หน้าให้ลุงจุนซองด้วย แล้วแค่ทำประตูเฉยๆ ไม่พอ แต่เขาจะต้องคว้าชัยชนะให้ได้อย่างงดงาม เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการกลับมายังเกาหลีใต้ในรอบหลายปีและนำพาความสำเร็จกลับมาด้วย ดังนั้นเขาจะต้องทำให้ผู้ชมที่ตั้งใจมาที่สนามแข่งเพื่อดูเขาได้เห็นในสิ่งที่คาดหวัง อาจเป็นเพราะมูคยอมเพิ่งเริ่มเข้าสู่เส้นทางนักกีฬาอาชีพเขาจึงรู้สึกว่าการเป็นตัวแทนการแข่งขันในประเทศสำคัญกว่าการแข่งขันทีมชาติ

เหล่านักกีฬาค่อยๆ เดินเข้าสู่สนามตามลำดับ เพราะเป็นการแข่งขันในบ้านจึงมีป้ายชื่อของคิมมูคยอมติดอยู่ทุกหนแห่ง เสียงเพลงเชียร์ที่แฟนๆ พากันร้องก่อนเริ่มการแข่งขันดังกึกก้องไปทั้งสนาม ไม่ว่าจะเป็นลีกในพื้นที่ห่างไกลหรือในทีมใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายมา มูคยอมลืมเลือนเรื่องนั้นไปจนหมด และรู้สึกฮึกเหิมไปกับเสียงร้องตะโกนอย่างบริสุทธิ์ใจนั้นอยู่เสมอ ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ

ทั้งสองทีมยืนประจำตำแหน่งและหันหน้าเข้าหากัน การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเมื่อลูกบอลถูกส่งผ่านเส้นแบ่งเขตแดน ทีมฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์การเล่นแบบตั้งรับเป็นหลักและตามประกบมูคยอมกันอย่างไม่คิดชีวิตตั้งแต่ต้นเกม แตกต่างกับทีมโซลที่ใช้กลยุทธ์เชิงรุกโดยมีมูคยอมเป็นจุดศูนย์กลาง

ลูกบอลที่เข้าไปใกล้เขตโทษถูกสกัดเอาไว้และส่งต่อทันที รูปแบบของแผนคือเลี้ยงบอลยาวไปจนถึงเขตประตูฝ่ายตรงข้ามเมื่อได้โอกาส แล้วรอจังหวะบุกอย่างรวดเร็ว แต่แค่พูดน่ะง่าย เดิมทีกลยุทธ์การโต้กลับโดยการส่งบอลยาวนั้นยากที่จะทำได้สำเร็จ แต่หากเป็นมูคยอมย่อมสามารถวิ่งไปตามกลยุทธ์นั้นได้อยู่แล้วเพราะตัวเขาขึ้นชื่อเรื่องการยิงลูกครึ่งสนาม ระหว่างที่นักกีฬาคนอื่นรอรับบอลไกล เขาก็จะสามารถวิ่งไปยังประตูได้อย่างรวดเร็ว

สถานการณ์การแข่งขันที่ฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่การบุกและอีกฝ่ายเน้นไปที่การตั้งรับ ทำให้พื้นที่ฝั่งหนึ่งของสนามมีนักกีฬาอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับปลาที่ว่ายอยู่ในบ่อ มูคยอมต้องหยุดอยู่หน้าประตูของฝ่ายตรงข้ามเพราะเจอกับการตั้งรับที่แข็งแกร่ง เมื่อเล่นเกมรุกไม่ได้ผลเขาจึงค่อยๆ ถอยลงมาหลังเส้นแบ่งเขตแดน ฝ่ายตั้งรับเลยค่อยๆ วิ่งขึ้นมาที่แดนหน้า

สนามฝั่งทีมซิตี้โซลว่างเปล่าขึ้นทันตา ผิดกับหน้าประตูของทีมฝ่ายตรงข้ามที่มีคนมากขึ้น

“ประจำที่! อย่าเอาแต่ขึ้นไปแดนหลัง! ไปแล้วรีบกลับมาเตรียมตัว!” จองคยูที่เป็นทั้งผู้รักษาประตูและกัปตันทีมตบมือแล้วตะโกนสั่งขึ้นมาดังลั่น

แม้จะไม่มีฝั่งใดทำประตูได้จนกระทั่งใกล้จบการแข่งขันครึ่งแรก แต่เสียงเชียร์ของผู้ชมกลับดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องตะโกนและเพลงเชียร์จากที่นั่งกองเชียร์ทีมซิตี้โซลดังก้องจนเหล่านักกีฬาแทบจะหูอื้อ

‘โอ้ โอ้ โอ้ โซล โอ้ โอ้ โอ้ โซล!’

มันช่วยปลุกสัญชาตญาณของนักกีฬาที่กำลังมุ่งมั่นกับการแข่งขันมากกว่าครั้งไหนๆ การหมุนเวียนของอากาศ ทิศทางของลม และเสียงของผู้คนที่ปรารถนาชัยชนะไหลเวียนอยู่ในร่างกายราวกับเลือด และเมื่อสมองและร่างกายรวมกันเป็นหนึ่ง ขาก็เริ่มขยับไปไวกว่าความคิด แต่ระหว่างนั้นก็ต้องไม่พลาดหัวใจสำคัญของกีฬาฟุตบอลซึ่งก็คือคำตัดสินที่เป็นเด็ดขาด

บอลที่ถูกตัดมาจากเท้าของนักกีฬาฝ่ายตรงข้ามกลิ้งไปทางขอบสนามเป็นระยะทางยาว นักกีฬาที่อยู่ในสนามฝั่งซ้ายจึงโยนบอลยาวมาให้ นักกีฬาคนอื่นที่ยืนรออยู่หน้าประตูไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายตรงข้ามต่างเงยหน้าขึ้นแล้ววิ่งตามลูกบอลไป กลายเป็นการต่อสู้ว่าใครจะได้ครอบครองบอลก่อนกันแน่ นักกีฬาทั้งทีมเดียวกัน และทีมตรงข้ามต่างกรูกันไปทางหน้าประตู

……………………………………….

ไม่นานความว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าละอ่อนที่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ฮาจุนจ้องมองท้องฟ้าอันว่างเปล่าเงียบๆ ราวกับสิ้นหวัง และไม่นานก็ผงกศีรษะตอบรับ

“อาจจะใช่ งั้นคงจะเจ็บแป๊บเดียว”

“จริงเหรอ”

“ถ้ายังเจ็บอีกก็บอกนะ”

“โอเค”

ฮาจุนเอามือยันเข่าตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน

ไม่รู้ว่าทำไมแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปทางนักกีฬาคนอื่นๆ ถึงดูไร้เรี่ยวแรงกว่าเมื่อสักครู่ แม้ดูเหมือนว่าฮาจุนจะรู้ตัวว่าถูกแกล้ง แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่ได้รู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย เพราะยังไงคนที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดก็คืออีฮาจุน อีกทั้งอาจจะไม่ใช่การเข้าผิดใจก็เป็นได้ เพราะสีหน้าที่ฮาจุนแสดงออกมาก่อนจะเอามือกดลงตรงเอวทำให้มูคยอมยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่

มูคยอมนึกไปถึงความไม่สบอารมณ์ขณะที่ทำตามคำแนะนำเรื่องท่าบริหารข้อเท้าที่ฮาจุนบอกให้ใช้กำลังข้อเท้าข้างซ้ายเป็นสองเท่า การสร้างความบาดหมางกับโค้ชของทีมใหม่ไม่ใช่เรื่องดี แน่นอนว่าหากเรื่องเกิดขึ้นที่กรีนฟอร์ดเขาคงจะพูดอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา แต่ที่นี่คือทีมของจุนซอง เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้ผู้จัดการปวดหัวทันทีที่มาถึง แต่ถ้าหากยังเลือกปฏิบัติแค่กับเขาอย่างนี้ เขาก็คงต้องเตรียมรับมือเช่นกัน เพราะมันเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงาน

หากไม่ย้ายอีฮาจุนออกจากตารางฝึกของตนเองไปเลย ก็ต้องให้อีฮาจุนเปลี่ยนความคิดและปฏิบัติกับเขาอย่างเหมาะสม

***

ซี่โครงหมูตุ๋น ยำผักโขม ซุปปลาแห้ง ไข่ม้วน

มูคยอมรู้สึกพึงพอใจอย่างมากขณะที่มองเครื่องเคียงในถาดหลุม มีคนเคยบอกเขาว่าถ้ามีอาหารที่ชอบก็ให้บอก เขาก็เลยลองพูดไปเล่นๆ แต่เมนูอาหารกลางวันในวันนี้กลับเต็มไปด้วยเครื่องเคียงที่มูคยอมเคยบอกว่าอยากกิน

“พวกเราก็ทำแบบเดิมให้ทุกรอบไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็จะคอยดูให้นะ อยากกินอะไรก็บอกได้เลย”

“ขอบคุณครับคุณป้า”

“จ้ะ กินให้เกลี้ยงด้วยล่ะ”

พอมูคยอมส่งยิ้มให้และบอกลาอย่างนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าตอนได้เจอคู่เดตดีๆ เหล่าแม่ครัวก็ดีใจกันยกใหญ่และตักซี่โครงหมูตุ๋นเพิ่มให้ เมื่อเขาหันตัวออกมามองหาที่นั่ง จองคยูที่นั่งอยู่ก่อนก็โบกมือมาให้ ถึงหมอนั่นจะเซ้าซี้ไปหน่อยแต่ข้อดีก็คือทำให้เขาสนิทกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว มูคยอมเดินไปที่โต๊ะนั้นแล้ววางถาดอาหารลง ส่วนคนอื่นๆ ก็กำลังพูดคุยกันขณะทานอาหาร

“ช่วงนี้ข้าวโรงอาหารอร่อยขึ้นไหมครับ”

“ปกติข้าวที่นี่ก็อร่อยอยู่แล้วนะ”

“ผมรู้สึกเหมือนช่วงนี้อร่อยกว่าเดิมยังไงก็ไม่รู้ครับ ทานให้อร่อยนะครับ พี่มูคยอม”

“พวกนายก็ด้วย”

ตอนนี้เหล่านักกีฬาเองก็สะดวกใจ และเริ่มพูดคุยกับมูคยอมมากขึ้นแล้ว มูคอยมเองก็ตอบกลับอย่างพอดีก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา แต่จู่ๆ จองคยูก็โบกมือขึ้นมาราวกับพบใครบางคน

“ฮาจุน ไม่สิ โค้ชครับ มานั่งกินตรงนี้สิ!”

ที่นี่ไม่ใช่โรงอาหารในโรงเรียนมัธยมสักหน่อย ฮาจุนหัวเราะขบขันด้วยความเอ็นดูและส่ายหัวให้กับจองคยูที่ร้องตะโกนเรียกให้คนรู้จักแต่ละคนมากินข้าวรวมกัน

มูคยอมมองฮาจุนที่คล้อยตามเสียงเรียกของจองคยูและเดินถือถาดอาหารมาทางนี้ แต่อีกฝ่ายกลับหยุดชะงักเมื่อสบตาเข้ากับเขา ขมวดคิ้วคล้ายกับตื่นตระหนกเล็กน้อยแล้วก็กลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว

“ฉันต้องไปนั่งกินข้าวกับโค้ชคนอื่นๆ น่ะ”

“อ้าวเหรอ”

“อืม ไว้เจอกันตอนฝึกรอบบ่าย”

“โอเค กินให้อร่อยนะ”

มูคยอมเห็นฮาจุนรีบหันหลังและก้าวเท้าเดินไปเร็วๆ แล้วนั่งลงตรงโต๊ะอาหารที่กลุ่มโค้ชอาวุโสนั่งอยู่รวมกัน มูคยอมที่มองดูภาพนั้นอยู่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย เขาที่นั่งอยู่ข้างจองคยูที่กำลังกินข้าวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นคนเดียวที่วางช้อนลง หลังจากอยู่ในความเงียบครู่หนึ่งก็แสร้งทำเป็นว่านึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะพูดขึ้นมา

“แต่ก่อนนายเคยชวนให้ไปดื่มเหล้ากันสามคนกับโค้ชคนนี้นี่”

“ใช่ ถ้านายว่างก็นัดวันเลยไหมล่ะ”

“นัดมาเลย ยังไงเขากับฉันต่างก็เป็นคนที่ย้ายมาใหม่ คงจะดีถ้าผูกมิตรกันไว้”

จองคยูดื่มน้ำแล้วเบิกตาโพลงคล้ายกับประหลาดใจ

“ผูกมิตร? อะไรของนายเนี่ย รู้จักคำแบบนั้นด้วยเหรอ”

“ฟังคำพูดนายแล้วฉันดูเหมือนเป็นคนที่มีปัญหากับการเข้าสังคมเลย”

“ก็เกือบใช่นั่นแหละ”

เหล่านักกีฬาที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ หัวเราะกับคำพูดของจองคยู

“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับพี่จองคยู พอได้รู้จักลูกพี่มูคยอมจริงๆ ก็ใจดีออกครับ”

“เอ๊ะ อย่ามาตลกนะไอ้พวกนี้ ที่เป็นแบบนั้นเพราะมีฉันอยู่ด้วยต่างหาก ไม่งั้นคิดเหรอว่าพวกนายจะได้มากินข้าวพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกข้างๆ หมอนี่กันแบบนี้ เจ้านี่น่ะเอาแต่ใจตัวเองที่สุดแล้ว”

แม้จะมีส่วนที่ถูกใส่ร้ายแต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้ผิดไปเสียหมด มูคยอมเถียงอะไรกลับไปไม่ได้และเริ่มขยับช้อน อาหารรสชาติไม่เลว หากไม่ใช่เพราะท่าทีชวนสงสัยที่ฮาจุนแสดงให้เห็นเมื่อสักครู่เขาก็คงกินข้าวได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว มูคยอมมองฮาจุนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของกลุ่มโค้ชกำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ และหัวเราะออกมาราวกับเพลิดเพลินกับอะไรบางอย่าง

เป็นคนธรรมดาๆ แต่กลับกวนใจเขาอยู่บ่อยๆ หัวหน้าโค้ชก็ไม่ใช่ ก็แค่โค้ชรุ่นราวคราวเดียวกันคนใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน

“นายว่างวันไหนบ้างล่ะ ที่จะไปดื่มเหล้า” จองคยูหยิบโทรศัพท์ออกมาและถามขึ้นขณะที่มูคยอมทอดสายตาไปยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป

“พรุ่งนี้ก็ว่าง มะรืนนี้ก็ว่าง ไม่ว่างก็จะว่างให้”

“ทำไมถึงกระตือรือร้นจัง นายเป็นงี้ฉันคงต้องรีบนัดวันแล้ว” จองคยูพิมพ์ข้อความลงไปทันที

มูคยอมหั่นเต้าหู้อันหนึ่งที่อยู่ในซุปปลาแห้งขณะมองฮาจุนที่นั่งอยู่ห่างออกไป ฮาจุนมองโทรศัพท์คล้ายกับได้รับข้อความ ภาพสีหน้าลังเลของอีกฝ่ายที่เอียงคอด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งเข้ามาอยู่ในสายตาของมูคยอม ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับในทันทีและทำเพียงจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ แล้วก็หยิบขึ้นมาหลังจากผ่านไปสักพัก

ครืด

ครั้งนี้เป็นเสียงโทรศัพท์ของจองคยูที่ดังขึ้น จองคยูเช็กโทรศัพท์อย่างเชื่องช้าเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารอย่างเต็มที่ มูคยอมที่อยากได้คำตอบไวๆ จึงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน

“ตอบมาว่าไง”

“ไม่ว่างไปอีกสักระยะ เขาบอกว่าหลังเลิกงานมีเวิร์กชอปอยู่เรื่อยๆ เลย อย่างว่า ทำงานนี้ก็คงมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก คงต้องนัดกันใหม่วันหลังแล้วแหละ”

ไม่ว่างไปอีกสักระยะ

จะบอกว่าโค้ชหน้าใหม่วัยยี่สิบหกปีที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานงานยุ่งกว่าคิมมูคยอมงั้นเหรอ

“ไหนว่านิสัยดี”

“หือ”

“เปล่า”

นิสัยดีตรงไหน ใจแคบ แถมยังไม่ได้แคบธรรมดาด้วย ชัดเจนว่าฮาจุนน้อยใจและคอยหลบหน้าเพราะมูคยอมเคยบอกว่าจำอีกฝ่ายไม่ได้ในวันแรก ถึงไม่มากินข้าวหรือไม่ไปดื่มเหล้ามูคยอมก็จะไม่บังคับแต่เขาจะไม่ยอมถ้าอีกฝ่ายยังทำท่าทางแบบนั้นไปจนถึงตอนฝึก เป็นโค้ชหน้าใหม่กล้าดียังไงมาเลือกนักกีฬา แล้วยังทำกับเขา ไม่ใช่กับนักกีฬาคนอื่นด้วย

ลองนับรวมคนที่มูคยอมเคยขอให้ไปดื่มด้วยตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้เลย แล้วพอมาคิดดูดีๆ ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งจริงๆ อีกทั้งยังเป็นคนที่สนิทกันอยู่แล้วอย่างจองคยูหรือจุนซองเท่านั้น มูคยอมไม่ชอบทำเรื่องเรียบง่ายอย่างการหาเวลาว่างนัดกันเพื่อสร้างมิตรกับใครสักคน

ทำตัวเป็นคนใจดีกับคนเป็นล้านแต่ถ้าไม่ได้ทำกับเขามันก็ไร้ประโยชน์

เขาจะลองให้โอกาสดูก่อน

มูคยอมถือแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่ข้างถาดอาหารขึ้นมาดื่ม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใจแคบมาก็ใจแคบกลับ ขี้งกมาก็ขี้งกกลับ มูคยอมสามารถเอาคืนในแบบเดียวกันกับใครก็ตามที่ด่าทอเขา ลูบคมเขา และใช้ความรุนแรงทั้งในสนามหรือนอกสนาม เขาพร้อมที่จะทำตัวเป็นเด็กอยู่เสมอ

***

การฝึกช่วงเช้ามุ่งเน้นไปที่การฝึกสมรรถภาพทางกาย ส่วนการฝึกช่วงบ่ายส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ด้านกลวิธีต่างๆ พอถึงช่วงบ่ายโค้ชฟิตเนสก็จะออกมาด้านนอกเพื่อคอยสังเกตการฝึกซ้อมพร้อมให้คำแนะนำ เนื่องจากลักษณะของการฝึกซ้อมแตกต่างกันทางสำนักงานจึงเป็นคนกำหนดตารางฝึกซ้อมของวันถัดไปและจัดการข้อมูลตามลักษณะการฝึก

วันนี้เริ่มการฝึกช่วงบ่ายก่อน เหล่านักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจะมีโปรแกรมฝึกเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ส่วนนักกีฬาที่เหลือก็เริ่มฝึกทักษะพื้นฐานในการส่งบอลและการเลี้ยงลูก หลังจากนั้นก็จะฝึกซ้อมเกมสนามเล็กกัน การฝึกเกมสนามเล็กในสนามฝึกปฏิบัติจะทำให้นักกีฬากล้าที่จะเล่นมากขึ้น ได้ลองฝึกทำโอเวอร์เฮดคิกซึ่งยากที่จะทดลองในการแข่งขันจริงซึ่งมีความเสี่ยงสูง และได้ลองใช้เท้าข้างที่ไม่ถนัดฝึกดูเพื่อเป็นการเตรียมรับมืออย่างจริงจัง

“โอ๊ะ โอ๊ะ!”

ถึงจะเป็นเกมสนามเล็ก แต่เกมก็คือเกม แค่ห้านาทีก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความดุเดือดระหว่างเหล่านักกีฬาที่มีความกระหายในชัยชนะสูง นักเตะอายุน้อยคนหนึ่งที่ตื่นเต้นมากเกินไปทำผิดกติกาโดยเข้าแย่งลูกจากทางด้านหลังของมูคยอม ขาของมูคยอมและนักกีฬาคนนั้นพันกันยุ่งจนล้มกลิ้งกันอยู่บนสนามหญ้า

“ทำบ้าอะไรวะ ไอ้บ้าเอ้ย! ระหว่างซ้อมแย่งลูกแบบนั้นได้หรือไม่ได้!” เสียงตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ดังออกมาจากปากของจองคยูที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูฟุตบอล

“พี่ ขอโทษครับ ผมตื่นเต้นเกินไป…”

“น้ำใจนักกีฬาน่ะ! รู้จักไหม?”

นักกีฬาที่แย่งลูกมูคยอมหน้าซีดเผือดและโค้งศีรษะขอโทษมูคยอมอีกหลายต่อหลายครั้ง เรื่องไม่ได้เกิดกับใครที่ไหนแต่ดันเกิดขึ้นกับมูคยอมที่เป็นนักกีฬาระดับโลกและมีค่าตัวระดับหนึ่งล้านล้านวอน หากมูคยอมได้รับบาดเจ็บระหว่างฝึกซ้อมมันจะกลายเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากเพราะเรื่องจะไม่จบแบบส่วนตัวหรือระดับบุคคล และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกรุมโจมตีจากคนทั่วโลกจนสามารถทำให้สติแตกกระเจิงได้

มูคยอมรู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวเข่าที่โดนชน แม้ความเจ็บนั้นจะหายไปเมื่อได้พักสักครู่ แต่ก็เป็นความเจ็บที่เขาไม่ควรได้รับจากการฝึกซ้อมเกมสนามเล็ก แน่นอนว่ามูคยอมก็รู้สึกโมโหอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อคนที่อยู่รอบๆ ทำตัวไม่ถูก เขาจึงลังเลที่จะแสดงความโมโหออกไป มูคยอมเข้าใจว่าทุกคนหวังดี แต่เขาไม่อยากได้รับการดูแลเป็นพิเศษด้วยวิธีนี้

นักกีฬาฟุตบอลที่ต้องดูแลอย่างระมัดระวังราวกับดูแลรักษาแก้วคริสตัลน่ะเหรอ เขารู้สึกขบขันเป็นอย่างมากเมื่อคิดถึงรูปร่างของตัวเอง

“ช่างเถอะ คราวหน้าก็ระวังด้วย”

พอมูคยอมยิงคำพูดออกไปแบบนั้น เหล่านักกีฬาก็แอบส่งสายตาเป็นประกายมาให้ราวกับมองเขาเป็นคนนิสัยดี ตัวมูคยอมเองก็รู้สึกแปลกๆ จึงปลีกตัวออกมาที่ริมสนามครู่หนึ่ง พอได้ดื่มน้ำที่ถูกเตรียมไว้แล้วก็รู้สึกอยากพักขึ้นมา -ขณะที่นั่งอยู่บนม้านั่งและเฝ้ามองเหล่านักกีฬาคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ว่าข้างๆ มีใครบางคนที่ขยับเข้ามาใกล้ด้วยความเร่งรีบ

“ขาเป็นยังไงบ้าง”

อีฮาจุนนั่นเอง

มูคยอมสบตากับฮาจุนโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทำเพียงเย้ยหยันอยู่ภายในใจ คุณโค้ชหน้าใหม่ผู้หยิ่งยโสและสูงส่งทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้าคิมมูคยอมผู้ต่ำต้อยด้วยเหตุอันใดกัน แต่ถึงยังไงฮาจุนก็เป็นโค้ชฟิตเนส มูคยอมเลยคิดว่าที่อีกฝ่ายให้ความสนใจเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ

“ลงมาแป๊บนึง ขอดูขาหน่อย เห็นเมื่อกี้เหมือนบาดเจ็บที่เข่าเลย”

แม้จะเกือบหายเจ็บแล้วแต่มูคยอมก็ลงไปนั่งชันเข่าที่พื้นตามคำพูดของฮาจุนอย่างง่ายดาย

“ลองเหยียดขาหน่อย”

ฮาจุนพูดขึ้นอีกครั้ง ทว่ามูคยอมกลับนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว ฮาจุนที่รอให้มูคยอมซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเปลี่ยนท่าสบตามูคยอมอย่างสงสัย

“คิมมูคยอม ลองเหยียดขาหน่อย” ฮาจุนคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินจึงพูดซ้ำคำเดิม

“ไม่” มูคยอมตอบกลับโดยลดเสียงลงเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

“หือ?”

ฮาจุนทำตาโตและเผยอปากออกเล็กน้อย มูคยอมสบตาราวกับต้องการเยาะเย้ยฮาจุนที่ตกตะลึงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำตอบที่ไม่คาดคิด แล้วก็พูดขึ้นต่อ

“ไม่เอานาย ไปพาโค้ชจองมา เคยบอกว่าโค้ชจองเก่งกว่าไม่ใช่เหรอ”

“…”

“พูดออกมาเองไม่ใช่เหรอว่าโค้ชจองเก่งกว่าตัวเอง ฉันไม่เชื่อในความสามารถของคนที่พูดแบบนั้นออกมาจากปากตัวเองหรอกนะ ไปพาโค้ชจองมา” เหมือนว่าสายตาของฮาจุนจะสั่นไหวเล็กน้อย อีกฝ่ายทำหน้าเรียบตึงไม่รู้ว่าโกรธหรือตกใจ เม้มปากที่เคยเผยอออกจนแน่น

ทำหน้าเข้มอะไรขนาดนั้น น่าตลกที่พอได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจอีกฝ่ายกลับทำหน้าเคร่งขรึมทั้งที่ทำหน้าเฉยเมยกับเขามาตลอด

“ไปพามา” มูคยอมใช้ฝ่ามือยันพื้น นั่งเอนตัวไปทางด้านหลังและพูดขึ้นอีกครั้ง

ฮาจุนไม่ได้ตอบรับอะไร ทำเพียงส่งเสียงในลำคอกับคำพูดที่คล้ายว่าจะเป็นการออกคำสั่งแล้วก็ลุกขึ้นยืน แต่ขณะที่เดินไปนั้นฮาจุนก็ถอยหลังกลับแล้วก็หันกลับมาอย่างลังเลใจ และสุดท้ายก็เดินไปทางโค้ชจองตามที่มูคยอมสั่งจริงๆ

ความประทับใจแรกที่เป็นเหมือนกระดาษแผ่นบางๆ เกิดรอยยับขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพของฮาจุนที่ตอนนี้กำลังเดินไปเรียกโค้ชจองเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด มูคยอมลุกขึ้นจากที่และนั่งคร่อมม้านั่งแบบในตอนแรก ฮาจุนพูดอะไรบางอย่างกับโค้ชจองแล้วทั้งสองคนก็เดินกลับมาหามูคยอมพร้อมกัน โค้ชจองสั่งแบบเดียวกับฮาจุนสั่งเมื่อครู่

“ถูกชนเข้าที่เข่าเหรอ มาดูกัน ลองเหยียดขาหน่อย”

“ครับ? เปล่านี่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”

“ว่าไงนะ”

โค้ชจองขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ฮาจุนเรียกให้เขามาดูมูคยอม แต่นี่กลับเป็นครั้งที่สองของวันแล้วที่เขาได้ยินคำว่าไม่เป็นไร โค้ชจองมองคนสองคนสลับกันไปมาและพูดขึ้นราวกับต้องการตำหนิ

“พวกนายสองคนล้อเล่นอะไรกับฉันอยู่”

……………………………………….

ในบรรดาผู้ชายที่เล่นกีฬา คนอ่อนโยนที่จะยอมเงี่ยหูฟังเรื่องราวของคนอื่นและช่วยครุ่นคิดไปด้วยกันนั้นไม่ได้มีมากมายนัก มากกว่าครึ่งที่ช่วยรับฟังและทำเป็นพูดดีว่านี่คือวิธีแก้ปัญหาสำหรับความกังวลของคนอื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงการพูดฉอดๆ ด้วยคำพูดไร้สาระ จนพวกคนที่มาขอปรึกษาต้องขอปลีกตัวออกไปก่อน

หลายทีมในยุโรปรวมทั้งกรีนฟอร์ดจะมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาหรือจิตแพทย์ที่เกี่ยวข้องคอยรับผิดชอบดูแลสภาพจิตของเหล่านักกีฬาอยู่ แต่สำหรับในประเทศเกาหลี ไม่ต้องมองไปไหนไกลแค่เพียงที่ซิตี้โซลเองก็อยู่ในสภาพที่วางเฉยต่อเรื่องพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง

‘โค้ชฟิตเนสจำเป็นต้องทำกระทั่งหน้าที่นั้นด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่าจะได้เงินเพิ่มสักหน่อยนี่’

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่มูคยอมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำให้ตัวเองลำบากเพื่อความสบายของฮาจุน

อย่างไรก็ตาม ฮาจุนก็มาทำงานในฐานะโค้ชได้หลายวันแล้ว และฮาจุนกับมูคยอมก็กำลังอยู่รวมกันอย่างผิวเผิน โดยไม่มีการกระทบกระทั่งกัน รวมทั้งไม่ได้มีความสนิทสนมกันขึ้นมากมายด้วย

“สวัสดีครับ พี่มูคยอม”

“อืม”

ขณะที่กำลังจะเดินผ่านด้านข้างของฮาจุนที่กำลังพูดอยู่ในวงล้อมของเหล่านักกีฬา ใครคนหนึ่งก็ ไม่ละเลยที่จะเอ่ยทักมูคยอม มูคยอมไม่มีความคิดที่จะขัดบทสนทนาของพวกเขาเป็นพิเศษ จึงตั้งใจจะรับเพียงคำทักทายและเดินผ่านไป ทว่าการเอ่ยขอตัวของฮาจุนกลับเร็วกว่า

“ฉันต้องกลับไปที่สำนักงาน งั้นคงต้องขอตัวก่อน ไว้ค่อยคุยกันอีกคราวหลังนะ”

“อา งานยุ่งเหรอครับ ครับ ไปเถอะครับโค้ช”

…ไม่สิ อาจจะไม่ใช่อยู่รวมกันอย่างผิวเผินก็ได้

มองดูฮาจุนที่รวมกลุ่มพูดคุยกับคนอื่นอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยลาปลีกตัวไปทันทีที่มูคยอมปรากฏตัวแล้ว มูคยอมก็พยายามบังคับควบคุมความรู้สึกคลางแคลงบางเบาที่พวยพุ่งขึ้นมาของตนลงไป

ความรู้สึกขัดแย้งที่มูคยอมสัมผัสได้ในวันแรก หลังจากวันนั้นก็ยังคงรู้สึกมาตลอด แต่จะให้ยกมาอธิบายว่าเป็นอย่างไรก็ค่อนข้างยาก ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ว่า ฮาจุนกำลังคิดไม่ค่อยสะดวกใจกับตนอยู่ออกไปได้ และถ้าถามว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น ก็อย่างเช่นว่า

‘· เวลาคุยกับคนอื่นอยู่หากคิมมูคยอมเข้ามา อีฮาจุนจะปลีกตัวไปทันที

·· เวลาที่โค้ชหลายคนช่วยดูแลนักกีฬาพร้อมกัน ไม่รู้ทำไม แต่อีฮาจุนจะไม่ถูกส่งมาหาคิมมูคยอมโดยเด็ดขาด

·· หากเป็นชั่วโมงที่อีฮาจุนช่วยดูแลนักกีฬาเพียงลำพัง เวลาที่ปฏิบัติกับนักกีฬาคนอื่นกับเวลาที่ปฏิบัติกับคิมมูคยอม เขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่ซับซ้อนซึ่งไม่สามารถอธิบายออกมาได้

·· การอยู่ด้วยกันสองต่อสองของคิมมูคยอมกับอีฮาจุนไม่เคยเกิดขึ้นเลย’

ทว่าจะมูคยอมหรือฮาจุน จนตอนนี้พวกเขาก็เพิ่งเข้ามาร่วมทีมได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น รวมทั้งสิ่งเหล่านั้นก็อยู่ในระดับที่มูคยอมสามารถมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญหรือคิดไปเอง และปล่อยผ่านไปได้

ความจริง สำหรับมูคยอมถึงอีกฝ่ายจะคิดไม่สะดวกใจกับเขา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นจะใส่ใจ เดิมทีไม่ว่าจะที่ไหน คนที่ไม่สะดวกใจกับมูคยอมก็มีมากกว่าคนที่สะดวกใจกับมูคยอมอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ได้แปลกใหม่อะไร

อย่างนั้นแล้วจะใส่ใจไปทำไม มูคยอมบ่นคนเหมือนพูดคนเดียวในใจ แล้ววิ่งไปกลางสนามฝึกพร้อมกับที่เสียงนกหวีดบอกหมดเวลาพักดังขึ้น ตั้งแต่นี้ไปพวกเขาจะย้ายสถานที่ฝึกซ้อมเข้ามายังสนามฝึกซ้อมในร่ม และรับการฝึกที่เพิ่มขึ้นมาใหม่

เหล่านักกีฬาของซิตี้โซลจะเล่นพิลาทิส[1]สัปดาห์ละสองครั้งตามความเห็นของฮาจุน ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติมากสำหรับมูคยอม เพราะที่กรีนฟอร์ดพิลาทิสถูกเลือกใช้เป็นโปรแกรมฝึกหลักอยู่แล้ว ทั้งยังมีการเรียนโยคะตามสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาด้วย แต่สำหรับนักกีฬาส่วนใหญ่ของซิตี้โซลเหมือนจะยังคงไม่คุ้นเคยกับกีฬานี้ จึงรวมตัวภายในสนามฝึกซ้อมในร่มและขยับร่างกายตามที่ฮาจุนบอกอย่างเก้งก้าง

มูคยอมถูกใจกับโปรแกรมใหม่นี้ เพราะอย่างไรการฝึกกำลังกายของซิตี้โซลหากเทียบกับของกรีนฟอร์ดแล้วก็มีความแตกต่างกันอย่างมากไม่ว่าจะทางปริมาณหรือคุณภาพ มูคยอมจึงกำลังมองหาสถานที่ที่จะใช้เทรนส่วนตัวอยู่พอดี แต่ถึงบอกว่าเป็นโปรแกรมฝึกใหม่ที่ถูกสร้างเพิ่มขึ้นมา ที่นี่ก็ไม่มีทั้งอุปกรณ์สำหรับฝึกในน้ำและไม่มีทั้งจากุซซี่ด้วย รวมทั้งเวทเทรนนิ่งหรืออุปกรณ์พิลาทิสที่กำลังจะเริ่มฝึกอยู่ตอนนี้เองก็ไม่ได้ถูกอัพเกรดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็คิดว่ายังดีกว่าไม่ได้ฝึกเลย

พวกโค้ชกำลังวุ่นวายช่วยกันดูแลเหล่าชายหนุ่มที่กระจัดกระจายอย่างเงอะงะอยู่ท่ามกลางเครื่องออกกำลังกายแต่ละชนิดและอุปกรณ์อื่นๆ และแน่นอนว่าคนที่ออกความเห็นเสนอให้นำโปรแกรมฝึกใหม่นี้เข้ามาใช้ก็เป็นคนที่ดูจะงานยุ่งที่สุดในบรรดาโค้ชเหล่านั้น

“ขยับขาไปทางซ้ายอีกนิด ดี เวลาทำท่านี้จะให้กระดูกเชิงกรานเบี้ยวไม่ได้”

“แบบนี้เหรอครับ”

“ใช่ ดีขึ้นเยอะเลย”

“จริงเหรอครับ”

“แน่นอนสิ”

ฮาจุนจับเอวของนักกีฬาคนหนึ่งและช่วยจัดท่าทางให้ พร้อมกับพูดคุยหัวเราะร่อต่อกระซิกไปด้วยกัน ฮาจุนไม่เพียงเพิ่งเริ่มงานปัจจุบันได้ไม่นาน และช่องว่างระหว่างอายุกับพวกนักกีฬาก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ดังนั้นถึงฮาจุนจะไม่ตอบรับการให้คำปรึกษาอะไรพวกนั้น ก็ยังสมควรที่พวกนักกีฬาจะคิดว่าเขาเป็นมิตร เหตุการณ์อย่างนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักกีฬาอายุน้อยเท่านั้น กับนักกีฬาที่อายุมากกว่าตนเอง ฮาจุนก็ปฏิบัติด้วยอย่างนุ่มนวลและถ่ายทอดคำสั่งออกไปโดยที่ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิด

“ตอนนี้พี่กำลังใช้ฝั่งของกระดูกสันหลังเพียงแค่นิดเดียวครับ เพราะอย่างนั้น เวลาออกกำลังกาย ควรต้องออกทางฝั่งซ้ายเพิ่มอีก ต้องทำอย่างนั้นจึงจะสมดุลครับ”

“จริงด้วย ก่อนหน้านี้ที่โรงพยาบาลก็เคยบอกมาอย่างนั้น งั้นที่บางครั้งรู้สึกเจ็บเอวเอง ก็คงเพราะอย่างงั้นด้วยสินะ”

“ก็อาจจะนะครับ ดูสิครับ ถ้ากดตรงนี้จะเจ็บใช่ไหมล่ะครับ เพราะไม่สมดุล กล้ามเนื้อด้านนี้เลยถูกใช้มากกว่าทำให้เกิดอาการแข็งเกร็งครับ ถ้าทำต่อไปก็จะเป็นภาระกับร่างกายครับ”

มูคยอมกำลังออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าท้องอยู่บนยิมบอล[2] และมองมองไปที่ ฮาจุนให้คำแนะนำพวกนักกีฬาทีละคนๆ และกำลังค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้มูคยอมฮาจุนสอนคนหนึ่งใช้ยางยืดออกกำลังกาย[3]ฝึกปรับสมดุลของกระดูกเชิงกราน และสอนออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยใช้เครื่องรีฟอร์เมอร์[4]ให้อีกหนึ่งคน

แล้วก็มาถึงลำดับของมูคยอมในวันนี้ ฮาจุนก้มลงมองมูคยอมที่นอนอยู่บนยิมบอล ก่อนจะเบนสายตาไปหาสมุดโน้ตที่ถืออยู่

“นายไม่ได้มีปัญหาอะไรพิเศษ แต่มีแนวโน้มว่าจะใช้แรงข้อเท้าด้านขวามากกว่า แต่ยังไงก็คงเป็นแบบนั้นเพราะใช้ขาด้านขวาในการก้าวมากกว่าละนะ ถ้าลดภาระของขาขวาได้ก็ดี แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งของข้อเท้าซ้ายเพื่อให้สมดุลกันก็เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน ต้องทำแบบนั้นจึงจะเพิ่มพลังเตะได้ และแน่นอนว่าควรต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวด้วย”

“ฉันรู้”

“มาทางนี้สิ รอบแรกใช้ยางยืดออกกำลังกาย ต่อไปค่อยใช้เครื่องรีฟอร์เมอร์ มา เอานี่คล้องไว้ที่ข้อเท้า”

การออกกำลังกายที่ฮาจุนบอก เป็นสิ่งที่มูคยอมเองก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี มูคยอมคล้องยางยืดออกกำลังกายที่ข้อเท้าตามคำสั่งของฮาจุนและเดินไปประจำตำแหน่ง จากนั้นจึงทำท่าฝึกกล้ามเนื้อหลายท่า เช่น ยกขาขึ้น หรือขึ้นไปบนเครื่องรีฟอร์เมอร์แล้วใช้ขาข้างหนึ่งดันแผ่นกระดาน ท่าทางคุ้นเคยต่างจากนักกีฬาคนอื่นๆ ทำให้ฮาจุนยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ทำได้ขนาดนี้ถึงไม่บอกนายก็คงรู้หมดแล้วสินะ สำหรับการออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อ ช่วยทำทางด้านซ้ายเพิ่มเป็นสองเท่านะ”

“อืม”

“ร่างกายส่วนบนกับร่างกายส่วนล่างถูกเชื่อมกันเป็นแนวทแยง ดังนั้นเวลาออกกำลังหน้าท้อง ลองพยายามตั้งใจเกร็งร่างกายส่วนบนทางด้านขวาให้มากแล้วยกขึ้น ส่วนกระดูกก้นกบช่วยลดลงอีกหน่อย”

ฮาจุนยิ้มและกำลังจะเดินผ่านไป แต่มูคยอมก็เรียกเขาไว้

“โค้ช”

“หืม”

“มีแค่นี้เหรอ ไม่มีอย่างอื่นอีกเหรอ”

“อย่างอื่นเหรอ”

มูคยอมที่ขึ้นไปยืนบนเครื่องรีฟอร์เมอร์ก้มลงจ้องเขม้งมองฮาจุน ฮาจุนเบิกตาโตและทำหน้าเหมือนถามว่า ‘ทำไม’ และหันมาเผชิญหน้ากับมูคยอม

“ไม่มีอะไร”

และเมื่อมูคยอมทำมือว่าไม่มีอะไร ฮาจุนก็เพียงฉีกยิ้มออกมาครั้งหนึ่งราวกับแค่เขินและหมุนตัวเดินเพื่อไปดูสภาพของนักกีฬาคนต่อไป มูคยอมมองดูภาพของฮาจุนที่กำลังสอนนักกีฬาคนนั้น และในวันนี้ วินาทีนี้ หลังจากโค้ชกายภาพคนใหม่เข้ามาทำงานได้หลายวัน มูคยอมก็เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของความรู้สึกขัดแย้งที่รบกวนมุมหนึ่งในหัวใจของเขาขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัด

นี่ไม่ใช่ระดับแค่คิดว่าไม่สะดวกใจธรรมดาๆ แล้ว เพราะอีฮาจุนน่ะ ไม่ยอมแตะต้องตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

เวลาที่ปรับท่าให้ ฮาจุนมักจะวางมือลงบนร่างของพวกนักกีฬาและขยับสัมผัสโดยตรง มากกว่าจะทำไปเพราะจำเป็น ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ทำไปตามความเคยชินมากกว่า ตอนกดตรวจกล้ามเนื้อเองก็ไม่เขินอาย ส่วนมากจะยื่นมือออกไปสัมผัสร่างกายของพวกนักกีฬาแทบทุกครั้ง และในตอนนี้เองเขาก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่

แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าฮาจุนไม่แตะต้องมูคยอมเลยแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกที่ว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสัมผัสมูคยอมอย่างมีสติและสัมผัสให้น้อยที่สุดจริงๆ นั้นก็ส่งผ่านมายังมูคยอมด้วย มูคยอมมั่นใจว่า ระหว่างหลายวันหลังจากที่ฮาจุนมาถึง นักกีฬาที่ไม่โดนมือของฮาจุนสัมผัสมากขนาดนี้ ที่นี่ในตอนนี้มีเพียงแค่มูคยอมเท่านั้น

เหมือนจะเป็นคนที่มีมุมแอบใจแคบเล็กๆ ต่างจากหน้าตา เพราะเขาจำฮาจุนไม่ได้ในวันที่พบกันครั้งแรก ฮาจุนเลยรู้สึกไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ

คิดอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ถ้าจำเป็นต้องปรับท่าทางก็ต้องปรับ และถ้าจำเป็นต้องกดตรวจก็ต้องกดตรวจ นั่นเป็นหน้าที่ของโค้ชฟิตเนส จริงอยู่ที่ฮาจุนอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นเลยไม่ทำก็ได้ แต่การที่ไม่แตะต้องมูคยอมเพียงคนเดียวแบบนี้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็แปลก มากกว่าจะเป็นการกระทำที่ทำไปตามความจำเป็น มูคยอมคาดเดาได้เพียงว่ามีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ระหว่างกัน

“โค้ช”

มูคยอมเรียกฮาจุนที่กำลังเดินผ่านหน้าตนไปเอาไว้อีกครั้ง ฮาจุนเบิกตากว้างและมองมูคยอม

“หืม”

“ช่วงนี้เหมือนจะเจ็บเอว ช่วยดูให้หน่อยได้ไหม”

“อะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูเหมือนจะไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้เลยนะ”

“ไม่รู้สิ เหมือนจะเป็นมาได้ประมาณสองวันแล้ว”

ฮาจุนพยักศีรษะ และรีบกางเสื่อลงบนพื้น

“งั้นอาจจะเกิดอาการเจ็บปวดอย่างเฉียบพลันก็ได้ ลองนอนคว่ำตรงนี้เดี๋ยวสิ”

มูคยอมทำตามที่ถูกสั่งไปพร้อมกับแอบสงสัยอยู่ในใจ ‘ใจดีกว่าที่คิด เขาอาจจะคิดไปเองหรือเข้าใจผิดไปจริงๆ งั้นสินะ’

“โค้ชจองครับ!”

“หืม ว่าไง”

ในตอนนั้นเองฮาจุนก็เรียกโค้ชอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง หูของมูคยอมที่นอนคว่ำอยู่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินใกล้เข้ามา และบทสนทนาของทั้งสองก็ดังขึ้นด้านหลัง

“นักกีฬาคิมมูคยอมบอกว่าเจ็บเอว คุณช่วยกดตรวจให้หน่อยได้ไหมครับ คุณเชี่ยวชาญกว่าผมนี่ครับ”

“อา ได้สิ”

โค้ชจองกับฮาจุนนั่งคุกเข่าลงข้างมูคยอม มูคยอมหันศีรษะไปด้านข้างและเงยขึ้นมองฮาจุน แล้วฮาจุนที่กางสมุดโน้ตเตรียมพร้อมจดบันทึกด้วยใบหน้าจริงจังก็ถามขึ้น

“เจ็บด้านไหน”

“…ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว”

“หะ”

“ไม่เป็นไรแล้วครับ โค้ชจอง”

เมื่อมูคยอมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง โค้ชจองก็ถามกลับเพียงว่า “งั้นเหรอ” ครั้งหนึ่งโดยไม่สงสัยอะไรต่อและกลับไปทำงานที่ค้างไว้อีกครั้ง มูคยอมที่นั่งอยู่บนเสื่อและฮาจุนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกันนั้นจ้องมองกันและกัน ฮาจุนผายมือไปที่เสื่อราวกับทำอะไรไม่ถูก

“นายบอกว่าเจ็บนี่ ลองนอนคว่ำอีกครั้งสิ ต้องตรวจให้แน่ชัดก่อนถึงจะปล่อยผ่านไปได้นะ”

“ถ้าโค้ชอีช่วยดูให้ด้วยตัวเองก็น่าจะดีนะ”

“อะไรนะ”

“ดูด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นทำ”

ฮาจุนทำเพียงกะพริบตาราวกับไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของมูคยอม ระหว่างที่เขานั่งอยู่โดยไม่พูดอะไร มูคยอมก็ไม่รอคำตอบและนอนคว่ำลงบนเสื่ออีกครั้ง ก่อนรู้สึกได้ว่าฮาจุนที่เงียบไปครู่หนึ่งเดินโดยใช้เข่าขยับเข้ามาด้านข้างของตน ฮาจุนวางสมุดที่เคยถืออยู่ลงบนพื้นของโรงยิมพร้อมกับปากกา

มูคยอมหันศีรษะไปและแอบมองท่าทางของเขา ฮาจุนก้มลงจ้องเขม้งเพียงฝั่งเอวของมูคยอมและถามว่า

“เจ็บด้านไหน”

“ด้านซ้าย”

มูคยอมให้คำตอบไปเท่าที่จะทำได้แล้วรอการเคลื่อนไหวต่อไปของฮาจุน ฮาจุนก้มลงมองเอวของมูคยอมนิ่งๆ แล้วพ่นลมหายใจยาวออกมาทางจมูกเบาๆ พร้อมกับขมวดคิ้วแบบแทบจะมองไม่เห็น

หลังจากนั้นจึงขยับมือ และวางมือลงบนหลังของมูคยอมในท้ายที่สุด มูคยอมรู้สึกได้ถึงส่วนข้อต่อของทั้งสี่นิ้วและส่วนปลายของนิ้วโป้งที่ค่อยๆ กดลงมาที่เอวฝั่งซ้าย แล้วฮาจุนที่ใช้แรงกดลงบนเอวก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“เจ็บไหม”

“ไม่ ลงไปข้างล่างอีกหน่อย”

“ตรงนี้เหรอ”

มือของฮาจุนย้ายที่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับกดหนักๆ ลงมาบนเอว ‘แรงมือไม่เลวเลย’ มูคยอมคิด ความรู้สึกราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ เดินย่ำไปมาบนแผ่นหลัง ทำให้อารมณ์ของมูคยอมค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ทว่าสภาพของฮาจุนนั้นตรงกันข้าม มูคยอมเอียงศีรษะไปด้านข้างสังเกตดูสีหน้าของเขา แม้จะมองเห็นความยุ่งยากใจเล็กๆ บนสีหน้าของฮาจุนในตอนแรก แต่แล้วบนใบหน้าที่จริงจังก็ค่อยๆ ปรากฏความตัดสินใจลำบากและความกังขาขึ้น แน่นอนสิ เพราะความจริงแล้ว เอวของมูคยอมน่ะปกติดีทุกอย่างและไม่เคยมีอาการเจ็บปวดเลยสักนิด

มือของฮาจุนขยับไปทางซ้ายที ทางขวาที ขึ้นด้านบน ลงด้านล่างอยู่ตลอด และสำรวจไปบนแผ่นหลังของมูคยอมอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อหาสาเหตุของอาการปวด ฮาจุนสัมผัสอยู่แค่ช่วงเอวที่เดียวแล้วคงคิดว่าไม่ใช่ สุดท้ายจึงเริ่มคลำที่กระดูกเชิงกราน และบริเวณก้นกบ สีข้าง รวมกระทั่งต้นขาด้านข้างและด้านหลัง

‘มือนุ่มจังแฮะ’ มูคยอมนอนคว่ำใช้มือรองคางและหลับตา ปล่อยให้มือนั้นขยับไปราวกับกำลังเพลิดเพลินกับการนวดตัว

ยิ่งตรวจสอบพบว่าร่างกายของมูคยอมสมบูรณ์ไร้ที่ติ สีหน้าของฮาจุนก็ยิ่งค่อยๆ เคร่งเครียดมากขึ้น ฮาจุนที่กดตรวจตรงนั้นตรงนี้ สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าออกมาราวกับยอมแพ้ เขาขยับตัวลุกขึ้นหยิบสมุดโน้ตขึ้นอีกครั้ง เสียงของฮาจุนฟังเหมือนพยายามแสร้งจะพูดอย่างปกติแต่ก็ฟังดูหมดกำลังใจอยู่ในที

“ฉันยังไม่เก่งพอเลยไม่ค่อยแน่ใจ ที่เอวหรือกล้ามเนื้อส่วนท้องไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าบอกว่ามีอาการปวดก็เป็นไปได้ว่าอาจเป็นอาการปวดต่างที่[5]ที่มีสาเหตุมาจากจุดอื่น แต่กระดูกเชิงกรานหรือฝั่งขาเองก็เหมือนกล้ามเนื้อจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย… นายไปรับการตรวจอย่างละเอียดจากทีมแพทย์น่าจะดีกว่า เดี๋ยวฉันจะแจ้งไว้ให้”

จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ ตอนเข้าสโมสรเขาก็ทำการตรวจร่างกายเสร็จไปหมดแล้ว และการทดสอบครั้งสุดท้ายก็เพิ่งผ่านไปไม่นานเองด้วย มูคยอมก็อยากจะแหย่ฮาจุนเท่านั้น เขาไม่ได้มีความคิดที่จะทำให้หลายๆ คนต้องทำอะไรที่ไม่จำเป็นด้วยการป่วยการเมือง จึงเอ่ยขึ้นเพื่อกุเรื่องขึ้นมาส่งๆ

“เมื่อสองวันก่อน”

“หืม?”

“บังเอิญพลาดไปกระแทกเตียงน่ะ อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนั้นหรือเปล่า”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่าพูดอะไร แล้วไม่ช้าก็ร้อง ‘อ่า’ ออกมาราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ก่อนจะอ้าปากค้างไปเล็กน้อย

…………………………………………….

[1] พิลาทิส (Pilates) คือ การออกกำลังกายที่เน้นไปที่การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และสร้างความยืดหยุ่นควบคู่ไปด้วยทั่วร่างกาย

[2] ยิมบอล (Gym Ball) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นลูกบอลทรงกลมขนาดใหญ่

[3] ยางยืดออกกำลังกาย (Resistance Band) อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับฝึกกล้ามเนื้อโดยอาศัยแรงต้าน มีหลายประเภทและมีความต้านทานหลายระดับ

[4] เครื่องรีฟอร์เมอร์ (Reformer) เครื่องออกกำลังกายขนาดใหญ่สำหรับออกกำลังกายแบบพิลาทิส ประกอบไปด้วยแผ่นรองเคลื่อนที่ได้ที่ขึงไว้กับสปริง บาร์ และสายรัด

[5] อาการปวดต่างที่ (Referred pain) เป็นความเจ็บปวดในตำแหน่งอื่นที่ต่างจากส่วนของร่างกายที่ได้รับสิ่งเร้าอันก่อให้เกิดความเจ็บปวด เช่น ความรู้สึกเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน อาจทำให้ปวดในส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้

ตุ้บ!

เสียงที่ได้ยินมีแต่เสียงโห่ร้องของผู้ชมก็จริง แต่ราวกับมีเสียงเอฟเฟ็กต์อย่างเดียวกันเพิ่มเข้ามาในภาพฉากนั้นด้วย ลูกเตะระยะไกลที่เตะจากบริเวณเส้นแบ่งแดน เหินเหนือศีรษะท่ามกลางผู้เล่นคนอื่นๆ ไปประหนึ่งลำแสง แล้วจู่ๆ ก็ลดระดับความสูงพร้อมเขย่าตาข่ายประตูแบบที่ทำให้การป้องกันอันรวดเร็วของผู้รักษาประตูต้องอับอาย

ภาพการยิงประตูอย่างคล่องแคล่วไม่ได้จบลงเพียงแค่ครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเหล่าผู้ชมก็โห่ร้องด้วยความยินดีทุกครั้งที่ชายหนุ่มผู้มีใจจดจ่ออย่างเต็มที่ และมีสีหน้าเรียบเฉยมากจนดูเหมือนกำลังโกรธคนนั้นเตะลูกเข้าประตู

จู่ๆ ใบหน้าของชายหนุ่มที่มีรูปตาเฉี่ยวคมก็ถูกจับจ้องในระยะใกล้ ภาพหน้าจอหยุดลง จากนั้นมุมกล้องก็ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้ประกาศข่าวหนุ่มสาวสองคนซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าจอภาพ มองฉากนั้นครู่หนึ่งแล้วเริ่มสนทนากัน

‘ว้าว ช่างมีทักษะการยิงประตูที่ยอดเยี่ยมมากทุกครั้งเลยนะครับ แค่ดูเฉยๆ ยังเหมือนหัวใจโดนยิงดังตุ้บ! ไปด้วยเลย’

‘ใช่เลยค่ะ วันนี้เป็นการทำกิจกรรมที่ประเทศเกาหลีใต้เป็นวันแรกของนักกีฬาคิมมูคยอม ผู้เล่นคนสำคัญที่เราเพิ่งชมกันไปเมื่อครู่ค่ะ’

‘ตัวเขาเป็นประเด็นที่น่าสนใจที่สุดของบรรดาท่านที่ชื่นชอบฟุตบอลในช่วงนี้ใช่ไหมล่ะครับ กรณีที่นักกีฬาซึ่งสังกัดอยู่ในทีมต่างประเทศย้ายกลับมาเข้าทีมในประเทศนั้น โดยมากจะเป็นเพราะฝีมือตกหรือใกล้จะปลดเกษียณแล้ว แต่ตอนนี้ถือเป็นช่วงขาขึ้นของนักกีฬาคิมมูคยอมเลยนี่ครับ’

‘ใช่ค่ะ ต้องบอกว่า ยังไม่เคยมีนักกีฬาของเกาหลีใต้คนไหนที่ได้เป็นสมาชิกตัวหลักและได้ลงแข่งในสโมสรใหญ่ติดต่อกันหลายฤดูกาลมาก่อนหน้านักกีฬาคิมมูคยอมเลยค่ะ’

ทันทีที่ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป ก็ปรากฏเป็นภาพมูคยอมเดินทางเข้าประเทศท่ามกลางบรรยากาศจ้อกแจ้กจอแจ

แม้ว่ารอบด้านจะรายล้อมด้วยบรรดานักข่าว ทว่าด้วยรูปร่างสูงใหญ่ เขาจึงก้าวฉับๆ ราวกับไม่มีอะไรกีดขวางสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย และทุกครั้งที่ก้าวออกไปด้านหน้า ผู้คนที่ยืนออกันก็จะรู้ตัวแล้วพากันหลบออกไปทางซ้ายและขวา เขาจึงดูคล้ายกับม้าแข่งหรือไม่ก็รถถังที่กำลังพุ่งตรงไปข้างหน้า

แม้ว่าพวกนักข่าวระดมยิงคำถามระคายหู แต่เขาที่สวมแว่นกันแดดอยู่ก็ไม่ยอมปริปาก ทำเพียงเดินต่อไปเงียบๆ แล้วพวกผู้ประกาศข่าวก็สนทนากันต่ออีกครั้ง

‘จะเรียกว่ากลับมาก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะเป็นการเช่าตัวมาหนึ่งปีน่ะสิครับ หมายความว่าเป็นการให้ยืมตัวนักกีฬามาชั่วคราว ได้ยินว่าพอใกล้ต่อสัญญา นักกีฬาคิมมูคยอมขอร้องอย่างมุ่งมั่นแล้วตกลงว่าจะคืนรายได้ตลอดหนึ่งปีให้กับกรีนฟอร์ดซึ่งเป็นทีมต้นสังกัดในปัจจุบัน เพราะทีมซิตี้โซลรับผิดชอบค่าตัวของนักกีฬาคิมมูคยอมไม่ไหว และเพราะเป็นการยืมตัวที่ทีมต้นสังกัดเองก็ไม่ได้ต้องการแต่แรก จึงต้องเจรจาประนีประนอมกันครับ’

‘เท่าที่ทราบคือเฉพาะรายได้ประจำปีที่ได้รับจากทีมต้นสังกัดในปัจจุบันอย่างเดียวก็หลายหมื่นล้านแล้วนะคะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นล่ะคะ’

‘ผมเดาว่าคงเป็นเพราะผู้จัดการพัคจุนซองผู้รับหน้าที่ดูแลทีมซิตี้โซลในครั้งนี้ครับ เรื่องที่ผู้จัดการพัคจุนซองเป็นคนค้นพบนักกีฬาคิมมูคยอมตอนเรียนชั้นประถมแล้วปั้นเขาให้เป็นนักกีฬาก็เป็นเรื่องราวที่โด่งดังมากนี่ครับ’

‘แต่ถึงยังไง นักกีฬาที่มีฝีมือโดดเด่นอยู่ในสโมสรใหญ่ถึงขั้นเจรจาหารือกับทีมในสังกัดยืนกรานจะมาทำกิจกรรมในประเทศก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย นับว่าเป็นกรณีที่หาได้ยากระดับโลกเลยนะคะเนี่ย’

‘ใช่ครับ เมื่อนานมาแล้ว มีผู้เล่นที่ชื่อไมเคิล เลาดรู้ป[1]แห่งประเทศเดนมาร์กเคยส่งคืนรายรับตลอดปีแล้วกลับไปเล่นลีกในประเทศของตัวเองเพราะโรคคิดถึงบ้านเหมือนกัน แต่ก็ต่างกับกรณีนี้นะครับ เพราะอย่างนั้นความเห็นที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยของแฟนๆ เกี่ยวกับการยืมตัวในครั้งนี้จึงดุเดือดมาก ได้ยินว่าถึงกับร้องขอไปทางประธานาธิบดีให้ช่วยขัดขวางการกลับประเทศของนักกีฬาคิมมูคยอมเลยล่ะครับ’

ผู้ประกาศข่าวคนหนึ่งหัวเราะออกมาราวกับรู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างมาก

‘ต้องเป็นนักกีฬาคิมมูคยอมนี่แหละถึงจะเป็นเครื่องจักรผลิตเรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ได้’

ตอนนั้นภาพหน้าจอเปลี่ยนเป็นฉากงานแถลงข่าว ตรงมุมจอมีคำบรรยายแจ้งว่าเป็นภาพงานเวิลด์คัพเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

‘นักกีฬาคิมมูคยอม คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุให้พ่ายแพ้ในนัดที่แข่งกับทีมชาติอุรุกวัยเหรอครับ’

นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้น กล้องจับภาพมูคยอมระยะใกล้ เขากำลังเฝ้ามองผู้ถาม โครงหน้าใหญ่หล่อเหลานั้นเย็นชาราวกับไร้ความรู้สึก และริมฝีปากที่เคลื่อนเข้าไปใกล้ตัวไมโครโฟนก็เปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมาอย่างราบเรียบ

‘ผมไม่ทราบว่าทำไมถึงได้ถามหาสาเหตุที่แพ้กับผม’

เขาเว้นจังหวะหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ

‘ฝากบอกทีว่าถ้าไม่พอใจก็กรุณาอย่าเรียกผมมาที่สมาคมเลยครับ เพราะผมเองก็เจียดเวลางานที่ยุ่งๆ มาเหมือนกัน’

หน้าจอข้อมูลสิ้นสุดลงตรงนั้นและผู้ประกาศทั้งสองก็มองฉากนั้นอีกครั้ง

‘ครับ นักกีฬาคิมมูคยอมเป็นที่จับตามองหลายประเด็นทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งฤดูกาล แต่แฟนๆ ที่เฝ้าติดตามเคลีก[2]น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าครั้งไหนๆ เลยละครับ’

‘ไปที่ข่าวต่อไปกันค่ะ’

ภาพหน้าจอเปลี่ยนไปพร้อมกับหัวข้อข่าวอื่นๆ อิมจองคยูผู้เป็นทั้งกัปตันทีมและผู้รักษาประตูยกรีโมทขึ้นเปลี่ยนช่อง แล้วจึงตบไหล่ของมูคยอมที่นั่งข้างๆ อย่างเบามือพลางหัวเราะคิกคัก ส่วนมูคยอมไม่ได้สนใจดูทีวีเลย

เวลานี้ คิมมูคยอมอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของหัวข้อสนทนาถึงขนาดว่ารายการข่าวทั่วไปที่ไม่ใช่รายการเฉพาะด้านกีฬายังรายงานข่าวที่เขากลับมาบ้านเกิดเสียใหญ่โต แต่สำหรับเจ้าตัวแล้ว ก็เป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญเท่านั้น

“พวกเขายังออกอากาศฉากงานแถลงข่าวนั่นของนายอยู่เลย”

“บอกให้ใช้หากินไปอีกสักร้อยปี พันปีไปเลย”

มูคยอมตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วดึงถุงเท้าขึ้น เขาเตรียมพร้อมจะไปฝึกซ้อมเรียบร้อยแล้ว เขาลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือก่อนเหยียดแขนออกไปด้านหน้า ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ หันมองรอบด้าน

บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์คงต้องเป็นประมาณนี้ ทั้งเงียบเชียบและมีเสียงอึกทึกครึกโครมตรงไหนสักแห่ง นอกจากจองคยูแล้ว คนที่พูดคุยกันเสียงดังมีอยู่ไม่กี่คน นักกีฬาส่วนใหญ่ไม่อาจพูดคุยกันได้เหมือนยามปกติและเหลือบมองมูคยอม

มูคยอมเริ่มต้นด้วยการเข้าร่วมทีมอีเอฟแอลแชมเปียนชิป[3]ตอนอายุ 19 ปี และได้ครองตำแหน่งผู้เล่นหลักของสโมสรยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก[4]ภายในเวลา 2 ปี เขานำทีมสู่ชัยชนะหลายต่อหลายปี พร้อมกับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกบอลทองคำ[5]เป็นครั้งคราว เป็นคนที่ไม่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลเกาหลีใต้ ไม่สิ เรียกว่าวงการฟุตบอลทั่วทั้งเอเชียก็ว่าได้

แม้จะเป็นนักกีฬาเหมือนกัน แต่หากไม่ได้ผูกพันกันสมัยเป็นนักเรียนเหมือนอย่างจองคยู หรือไม่ได้เป็นนักกีฬาที่เคยลงเล่นด้วยกันในทีมชาติ คนที่เพิ่งเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรกก็มีมากโข เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเตรียมใจไว้ถึงขนาดว่าสภาพของตน ณ ที่แห่งนี้อาจจะถูกมองเป็นมนุษย์ต่างดาวไปสักระยะหนึ่ง ถ้าใช้เวลานานสักหน่อยก็น่าจะราวๆ หนึ่งถึงสองสัปดาห์

“ฉันออกไปก่อนนะ”

มูคยอมทิ้งจองคยูที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าไว้ข้างหลัง แล้วออกมาที่สนามฝึกก่อนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาสบายใจกับการอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับคนในทีม

น่าอึดอัดใจสิ้นดี ทั้งผู้คนเอย ทั้งสนามฟุตบอลเอย รวมถึงการได้เล่นฟุตบอลใต้ผืนฟ้าของกรุงโซลอีกครั้งด้วย เพราะหลังจากย้ายไปประเทศอังกฤษตอนอายุสิบเก้าปี หากไม่นับตอนถูกเรียกตัวมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ เขาก็ไม่มีเหตุให้ต้องเตะบอลที่ประเทศเกาหลีใต้เลย

ใครๆ ต่างถามว่าทำไมเขาจึงกลับมาประเทศเกาหลีใต้ มูคยอมเองก็พอจะเข้าใจความห่วงใยและความสงสัยของคนเหล่านั้น เพราะนั่นเป็นการตัดสินใจที่ขนาดทำให้ตัวเขาเองยังคิดเลยว่าตนคงเสียสติไปแล้วหรือเปล่า ร่างกายของนักกีฬาเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน และหากช่วงขาขึ้นอย่างตอนนี้มีระยะเวลาหนึ่งปี พูดตามตรงว่าการหลงอยู่ในลีกพื้นที่ไกลโพ้นจึงเป็นช่วงเวลาที่น่าเสียดาย ด้วยกีฬาฟุตบอลไม่ใช่การแข่งขันรายบุคคล ยิ่งได้เล่นในทีมที่มีทักษะการแข่งขันยอดเยี่ยมมากเพียงใด ความสามารถก็จะค่อยๆ เฉียบคมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และในทางกลับกัน ไม่ว่าจะพยายามอยู่เพียงคนเดียวสักเท่าไร ทักษะการเล่นก็มีโอกาสตกต่ำลงได้เช่นกัน

เสียเวลาเปล่า เป็นคำที่เขาได้ยินบ่อยที่สุดหลังจากตัดสินใจไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างบอกว่าไม่เข้าใจการเลือกของมูคยอม ต่อหน้ากังวล ลับหลังนินทา

“จะเข้าไปซ้อมเลยไหม”

ขณะเงยหน้ามองฟ้าพลางสงบจิตใจอันว้าวุ่นเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากทางด้านข้างจึงหันกลับไป ชายร่างเล็กวัยกลางคนที่ดูอัธยาศัยดีและสวมชุดกีฬาปักตราสัญลักษณ์ของทีมกำลังยิ้มแย้ม มูคยอมจึงตอบพลางยิ้มไปด้วย

“อีกแค่สองวันก็เป็นวันหยุดแล้ว ค่อยพักตอนนั้นก็ได้นี่ครับ”

เขาคือพัคจุนซองซึ่งเป็นผู้จัดการทีม ในฐานะนักกีฬา มูคยอมเสียดายที่ปล่อยให้ช่วงเวลาหนึ่งปีอันรุ่งโรจน์หลุดลอยไป แต่ในฐานะลูกศิษย์ เขาไม่เสียดายเลยที่ได้มอบเวลาประมาณหนึ่งปีนี้ให้ชายผู้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมฟุตบอลลีกอาชีพเป็นครั้งแรก หลังจากที่คิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว มูคยอมก็แค่อยากมอบของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้กับอาจารย์ที่ยอมขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม

ที่ตีความกันไปว่าเพราะได้ผู้จัดการพัคจุนซองช่วยเหลือ เกาหลีใต้จึงพาตัวคิมมูคยอมมาได้นั้น ความจริงคือศิษย์เก่าที่ได้กลายเป็นดาวเด่นวิ่งมาเพื่ออาจารย์ผู้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพสายใหม่ นั่นถือเป็นช่อดอกไม้แสดงความยินดีอันล้ำค่าที่สุดในตัวของมันเองที่อดีตลูกศิษย์ได้มอบแด่อนาคตของเขาผู้เริ่มประกอบอาชีพเป็นผู้จัดการทีม และนับเป็นเกียรติที่ไม่ว่าผู้จัดการคนใดในโลกก็หาได้ยากยิ่ง เมื่อหวนนึกถึงจุดประสงค์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกว้าวุ่นก็พลอยบรรเทาลงในทันใด

“ต้องรีบเริ่ม ถึงจะปรับตัวได้ไว”

“อืม”

จุนซองตบแขนของมูคยอมเบาๆ

“ขอบใจ แล้วก็ขอโทษด้วย ทั้งที่นายไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยแท้ๆ”

“ลุงก็ห้ามไม่ให้ผมมาแล้วนี่นา แต่ผมดึงดันอยากจะมาเอง”

มูคยอมเดินเคียงข้างผู้จัดการทีมแล้วเข้าไปยืนท่ามกลางนักกีฬาคนอื่นๆ พอโค้ชเป่านกหวีด พวกนักกีฬาที่ยืนกระจายตัวหยอกล้อกันก็รีบมายืนรวมกันแล้วเริ่มต้นฝึกซ้อมทันที

แม้จะตัดสินใจด้วยตัวเองแต่ก็เป็นการตัดสินใจที่พิลึกพิลั่นไม่น้อย เป็นการตัดสินใจที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้ประกาศข่าวในทีวีพูดเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าตัวเขาไม่กังวล แต่ก็ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว เวลานี้มูคยอมกำลังพยายามคิดในแง่ดีให้ได้มากที่สุด

โค้ชเป่านกหวีดแล้ว ผู้จัดการทีม และมูคยอมที่เดินข้างกันออกวิ่งไปทางเหล่านักกีฬาที่เริ่มมายืนรวมตัวกัน เมื่อนักกีฬาที่กระจัดกระจายพลางหยอกล้อกันอยู่มารวมตัวกันอย่างวุ่นวาย แล้วการฝึกก็เริ่มต้นขึ้น

***

หลังการฝึกซ้อมช่วงเช้าที่เน้นฝึกสมรรถภาพร่างกายเสร็จสิ้น เหล่านักกีฬาก็มารวมตัวกันที่โรงอาหารในสนามฝึก มูคยอมที่นั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับจองคยูและนักกีฬาที่คุ้นหน้าอีกสองคนวางถาดอาหารลงแล้วก็ใช้เพียงสายตาพิจารณาไปรอบๆ ก็พบว่าบรรยากาศบางอย่างในห้องล็อกเกอร์ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและโจ่งแจ้ง

คงจะไม่ได้นั่งกินข้าวอย่างสบายใจไปอีกสักพักเลยสินะ มูคยอมลอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่คอยเหลือบมองมา จองคยูกวักมือเรียกนักกีฬาสองสามคนที่กำลังเดินผ่านไป

“อูจิน ซองมิน! มาทางนี้ มากินด้วยกัน”

“อะ ครับผม!”

นักกีฬาวัยละอ่อนที่ดูเหมือนเพิ่งจะมีอายุใกล้เลข 20 ทั้งสะดุ้งตกใจและทั้งไม่ได้บอกปัด จึงถือถาดอาหารเดินจ้ำเข้ามา พวกเขาไม่กล้านั่งข้างมูคยอมจึงนั่งลงข้างจองคยูเรียงต่อกัน แล้วต่างก็สบตายิ้มกว้างให้กัน ขณะที่มูคยอมยกยิ้มเล็กๆ จองคยูก็เอ่ยเตือน

“พวกนายน่ะ ถ้าอยากรู้จักมูคยอมก็ต้องแกล้งทำตัวสนิทสนมสิ มัวแต่มองดูอยู่ไกลๆ แบบนั้นแล้วคิดว่าหมอนี่จะเริ่มทำหน้าที่เป็นรุ่นพี่ที่ดีก่อนหรือไง เจ้าเด็กคนนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นไม่ได้หรอก”

“กล้าพูดออกมาซึ่งๆ หน้าเชียวนะ”

คำพูดแนะนำตัวที่ไม่ค่อยถูกใจเท่าใดนักทำให้หัวคิ้วของมูคยอมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนหันไปผงกศีรษะให้เบาๆ นักกีฬาสองคนรีบน้อมศีรษะทักทายกลับ อีกคนหนึ่งรีบคุยกับมูคยอม

“พี่ จะอยู่กับทีมเราหนึ่งปีจริงๆ เหรอครับ”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย…”

………………………………………………..

[1] Michael Laudrup

[2] KLeague ลีกฟุตบอลอาชีพของประเทศเกาหลีใต้

[3] EFL Championship อีเอฟแอลแชมเปียนชิปหรือแชมเปียนชิป คือลีกฟุตบอลระดับ 2 ของอังกฤษ รองจากพรีเมียร์ลีก

[4] Premier League พรีเมียร์ลีกหรือพรีเมียร์ลีกอังกฤษ คือการแข่งขันฟุตบอลในระดับลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ

[5] Ballon d’Or ลูกบอลทองคำหรือบาลงดอร์ เป็นรางวัลที่มอบให้แก่นักฟุตบอลในสโมสรฟุตบอลสังกัดยูฟ่าที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปี

มูคยอมถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ทันทีที่ข่าวเรื่องมูคยอมถูกยืมตัวมาที่โซลถูกประกาศออกไปก็มีงานติดต่อผ่านทางเอเจนซี่เข้ามาไม่น้อยตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าประเทศ

ไม่เฉพาะแค่งานที่เกี่ยวข้องกับกีฬาแต่มีทั้งงานโฆษณาผลิตภัณฑ์หลากหลายและการเชิญไปออกรายการอย่างสัมภาษณ์และวาไรตี้ หรือรายการสารคดีเองก็มีเข้ามานับไม่ถ้วน โฆษณากาแฟที่ได้ถ่ายทำในครั้งนี้เองก็เป็นหนึ่งในงานที่ติดต่อเข้ามาในตอนนั้นเช่นกัน เห็นบอกว่ามูคยอมให้ความรู้สึกถึงความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้ปรุงแต่งใดๆ ซึ่งนั้นเข้ากันได้พอดิบพอดีกับภาพลักษณ์ของกาแฟสำเร็จรูปที่คงกลิ่นหอมดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟกัวเตมาลาไว้

อันที่จริงปกติแล้วมูคยอมไม่ได้ดื่มกาแฟ แต่เพราะความต้องการของทั้งสองฝ่ายลงตัว และทันทีที่ทำสัญญาเสร็จสิ้นทางฝั่งผู้จ้างก็จัดการประชุมที่มีฮาอึนอูดาราโฆษณาอีกคนเข้าร่วมด้วย

คอนเซปต์ของโฆษณาคือการพักผ่อนที่แสนโรแมนติกของคู่แต่งงานใหม่ ส่วนการนำเสนอผลิตภัณฑ์รวมทั้งการดำเนินการโฆษณาจะให้เป็นหน้าที่ของพวกนางแบบนายแบบ ตกลงได้เช่นนั้นแล้วการประชุมก็จบลง เมื่อคุยเรื่องงานจบทางฝั่งลูกค้าก็ขอตัวกลับไปก่อน จากนั้นฮาอึนอูก็ส่งผู้จัดการกลับไปเหลือเพียงแค่มูคยอมและฮาอึนอู จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันต่อ

ปกติชอบฟุตบอลอยู่แล้วจึงสนุกกับการชมการแข่งขันของคุณ โฆษณากาแฟงั้นเหรอ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันด้วยสาเหตุเช่นนี้ ฮาอึนอูที่เริ่มชวนคุยขึ้นมาก่อน ชวนคุยต่อไปว่าเคยไปเที่ยวที่เม็กซิโกและกัวเตมาลา มูคยอมก็ตอบกลับไปด้วยเรื่องเล่าประสบการณ์ที่เคยไปแข่งนอกบ้านที่เม็กซิโก ทั้งสองที่เริ่มสนทนากันด้วยประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้น ผ่านไปไม่นานก็ขึ้นมานั่งอยู่ด้วยกันบนรถเบนท์ลีย์[1]ของมูคยอม

หลังจากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างที่รู้ๆ กัน ในเว็บไซต์เองก็มีคำแถลงของฮาอึนฮูถูกรายงานออกไปแล้วว่า ‘เป็นเพื่อนร่วมงานที่พบกันด้วยเรื่องงาน มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนที่ดี’ ทางฝั่งเอเจนซี่ของมูคยอมเองก็กำลังเตรียมออกคำแถลงที่คล้ายกันนั้นอยู่เช่นกัน

“นายเองก็หาคนที่ชอบแล้วรีบลงหลักปักฐานสักที อย่าเอาแต่หลอกฟันผู้หญิงคนโน้นทีคนนี้ทีไปเปล่าๆ เลย”

จองคยูที่แต่งงานได้สองปีจนมีกระทั่งลูกแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มูคยอมหัวเราะหึออกมา

“ฉันเป็นนายรึไง จะเสียดายอะไรกัน”

“ใช้ชีวิตแบบนั้นไม่เหนื่อยบ้างเลยเหรอ ถ้าลงหลักปักฐานแล้วจะมีความมั่นคงทั้งร่างกายและจิตใจ จริงๆ นะ”

นักกีฬาไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศก็แต่งงานสร้างครอบครัวกันค่อนข้างเร็ว นี่จึงไม่ใช่คำแนะนำที่แปลกใหม่อะไรนัก เรื่องเล่าของนักกีฬาที่ใช้ชีวิตเสเพล แล้วหลังจากแต่งงานก็มีเสถียรภาพทางอารมณ์มากขึ้น ทำให้ฟอร์มการเล่นดีขึ้นนั่นก็หาฟังได้บ่อยๆ อย่างตอนนี้ที่กรีนฟอร์ดต้นสังกัดเดิมของมูคยอมเองก็มีคนเช่นนั้นอยู่

ทว่าในครั้งนี้มูคยอมกลับจ้องมองจองคยูด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเลยจากใจจริง

“มันไม่สนุกนี่นา”

“เรื่องอะไร”

“ฉันไม่เคยอยากได้ความมั่นคงอะไร เพราะงั้นเลิกบ่นได้แล้ว ฉันไม่คิดว่านายมีหน้าที่จะมาสั่งสอนฉันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตนะ”

“เฮ้ย ไม่ใช่คำสั่งสอนนะ”

“แล้วก็การใช้คำว่าหลอกฟันน่ะ นี่เป็นการเดตภายใต้ความเห็นชอบร่วมกันทั้งสองฝ่ายของหนุ่มสาวที่โตแล้วต่างหาก นายกำลังอวดเบ่งว่าแต่งงานแล้ว และถึงคำพูดนั่นจะถูก แต่ถ้าบ่นเป็นลุงแก่ๆ มันก็ไม่น่าฟังนะ”

“อา ไอ้เจ้านี่ ทำฉันเจ็บปวดเลยแฮะ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่บ่นแล้ว เพราะงั้นพอได้แล้ว”

มูคยอมทิ้งจองคยูที่กำลังรู้สึกขายหน้าไว้เบื้องหลังและออกมาด้านนอก ก็ถือว่ายังโชคดีหน่อยเพราะถ้าหากตัดจองคยูออกไปแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะเอาเรื่องอื้อฉาวอย่างนี้มาพูดเล่นกับเขาอีก เพราะจนถึงตอนนี้คนอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในช่วงทำความเข้าใจมูคยอมอยู่จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามาพูดคุยด้วยได้

สิ่งที่เรียกว่าชีวิตสำหรับมูคยอม คือการแย่งชิงคว้าเอามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนไปอย่างมีพลังและมีชีวิตชีวา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไปสู่อนาคต ไม่ใช่ประเภทที่จะลงหลักปักฐานในที่ใดที่หนึ่งและมีความสุขกับความมีเสถียรภาพมั่นคง

เซ็กซ์ก็เหมือนกับเกม เป็นเกมการสู้แบบตัวต่อตัว ทั้งสองฝ่ายซุกซ่อนสิ่งที่ปรารถนาไว้จนแทบมองไม่ออก พร้อมกับรับส่งสัญญาณกันอย่างลับๆ และลองคาดคะเนดูว่าจะยิงประตูออกไปดีหรือไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกในระดับหนึ่งเลย หากเป็นตอนที่ความคิดเห็นของเขาและอีกฝ่ายลงตัวกันพอดี มูคยอมก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับความสำเร็จเล็กๆ ที่เหมือนกับการยิงบอลเข้าโกลที่มองไม่เห็นได้ด้วย

ถึงจะไม่เท่ากับฟุตบอล แต่เซ็กซ์ก็เป็นหนึ่งในความสนุกสนานที่มูคยอมไม่สามารถขาดได้ในชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใด เซ็กซ์ยังเป็นวิธีที่ดีที่สามารถระบายพลังงานหรือคลายความเครียดที่อัดแน่นในช่วงก่อนและหลังการแข่งขันด้วย แต่มันก็แค่เท่านั้น มูคยอมไม่ได้อยากผูกมัดกับใครแค่คนคนเดียว และไม่ได้อยากให้ค่ากับคนอื่นมากไปกว่าความสัมพันธ์ทางร่างกายด้วย

ในบรรดาคนที่มูคยอมพบเจอมาจนถึงตอนนี้ ก็มีคนที่พยายามจะข้ามเส้นนั้นอยู่บ้าง แต่ยิ่งอีกฝ่ายเกาะติดเขามากเท่าไหร่ มูคยอมก็มีแต่จะเบื่อหน่ายมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากอีกฝ่ายยกประเด็นเรื่องความรักอะไรมาพูดด้วยแล้ว ในตอนนั้นมูคยอมจะยิ่งรู้สึกเหมือนสูญเสียกระทั่งความรู้สึกผูกพันในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปด้วย แค่มีความสัมพันธ์กันไม่กี่ครั้งเพราะถูกใจกับรูปลักษณ์ของกันและกัน หรือเข้ากับความสนใจหรือเงื่อนไขของกันได้ แต่มาบอกว่ารักงั้นเหรอ คนเรานี่ช่างพูดคำนั้นออกมาได้ง่ายมากเกินไปแล้ว

ช่างเป็นเรื่องน่าขัน หากมูคยอมรู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบนั้นก็คงจะเลี่ยงไปตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เพราะในครั้งแรก เขาไม่สามารถล่วงรู้จิตใจที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามได้ ตอนที่เริ่มน่ะ ไม่ว่าใครก็แสร้งทำเป็นตกลงกันได้ง่ายๆ ทั้งนั้น แต่พอไปถึงตอนจบแล้วก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ไม่สามารถจบง่าย ๆ อย่างนั้นได้ ในเวลาแบบนั้นมูคยอมจะรู้สึกเหมือนเหยียบโดนกับดัก ทว่ามันแน่นอนอยู่แล้วว่าในทุกๆ เกมจะต้องมีกับดัก มูคยอมก็เข้าใจว่านั่นเองก็เป็นกฎเกณฑ์รูปแบบหนึ่ง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ได้ทำแล้วจะเป็นจะตายจนต้องใช้เงินซื้อคนมา หนุ่มสาวอายุน้อยในวัยเจริญพันธุ์ สบสายตากันและมีใจตรงกันจึงใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกันตามธรรมชาติ แล้วมันผิดตรงไหน การที่ความถี่นั้นบ่อยเอามากๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของมูคยอมแค่ฝ่ายเดียว ทำไมคนบนโลกนี้จึงไม่ยอมรับความต้องการของพวกผู้หญิงก็ไม่รู้

ไม่รู้สิ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งเขาเองก็คงแก่และเหนื่อยหน่าย จนอยากลงหลักปักฐานให้ใครสักคนลูบศีรษะอย่างสงบสุขขึ้นมาก็ได้ แต่อย่างน้อยกว่าจะถึงเวลานั้นก็ยังคงอีกยาวไกล ขณะที่มูคยอมกำลังจมจ่อมอยู่กับการพิจารณาชีวิตที่เริ่มต้นมาจากคำบ่นของอิมจองคยูอยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือก็สั่นขึ้นมาสั้นๆ บนหน้าจอที่ก้มลงมองดูนั้นมีหมายเลขที่ไม่รู้จักปรากฏอยู่ มูคยอมครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเปลี่ยนหน้าจอให้เป็นโหมดโทรศัพท์ คิดว่าไม่แน่อาจจะติดต่อมาเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวในครั้งนี้ก็ได้

“คิมมูคยอมครับ”

– อา สวัสดีครับ ผมโทรมาถูกแล้วสินะครับเนี่ย

มูคยอมขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย

“นั่นใครครับ”

– ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมคือพีดี[2]โจฮยอนชอลครับ เคยเสนอเกี่ยวกับการถ่ายสารคดีผ่านทางเอเจนซีไปหลายครั้งแล้วครับ

“…เอเจนซี่ให้เบอร์ผมไปเหรอครับ”

– เปล่าครับ คือว่า คนรู้จักส่งต่อให้มาครับ เพราะว่าเอาแต่แสดงทีท่าปฏิเสธมาตลอด ผมจึงอยากติดต่อโดยตรงสักครั้ง…

รอยย่นระหว่างคิ้วเข้มยิ่งกดลึกขึ้น

“ไม่เข้าใจเหรอครับ ว่าที่บอกให้คุยผ่านทางเอเจนซี่หมายความว่ายังไง คิดว่าผมมีเอเจนซี่ไว้เพื่อให้ใครก็ตามที่แค่มีช่องทางติดต่อของผมก็สามารถติดต่อมาได้งั้นเหรอครับ”

– ครับ ต้องขอโทษในส่วนนั้นด้วยครับ แต่ผมอยากจะพูดด้วยตัวเองสักครั้ง…

“แม้แต่ในบรรดาคนที่ทำงานออกอากาศเอง คนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือพวกคนเหลี่ยมจัดคอยขุดคุ้ยเรื่องชาวบ้านเหมือนคุณเนี่ยแหละ ไม่รู้นะ ว่าเชื่อมั่นอะไรถึงมาชวนผมทำงานด้วยกัน ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คำตอบด้วยตัวเองอย่างที่คุณต้องการครับ ผมไม่คิดจะทำเพราะงั้นไสหัวไปซะนะครับ”

มูคยอมกดปุ่มวางสายก่อนจะฟังคำตอบด้วยซ้ำ ถึงไม่มีเรื่องนี้ เขาก็อารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องอื้อฉาวมาตั้งแต่เช้าอยู่แล้ว ยังโทรมาด้วยเบอร์ที่ไม่เคยบอกไปในช่วงเวลาแบบนี้ โดยไม่ดูเหนือดูใต้อีก

ระหว่างที่มูคยอมกำลังไม่พอใจ เสียงปี๊ด-! ของนกหวีดเริ่มการฝึกก็ดังขึ้น เหล่านักกีฬาที่ออกมาจากห้องล็อกเกอร์ยืนเข้าแถวเรียงยาวเป็นสองแถวในสนามฝึก ด้านข้างของผู้จัดการทีมและโค้ชฝึก มีคนที่ไม่เคยมีอยู่จนกระทั่งก่อนวันหยุดยืนอยู่ด้วย

เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมท่าปักตราสัญลักษณ์ของทีมกับเสื้อเจอร์ซีตัวบางและกางเกงขายาว ที่คอมีนกหวีดและนาฬิกาจับเวลา มือข้างหนึ่งถือสมุดโน้ตอยู่ ลักษณะที่ดูราวกับเด็กใหม่ในโรงเรียนพลศึกษาหรือครูฝึกสอนพลศึกษา ทำให้มุมปากของมูคยอมขยับยกขึ้นเล็กน้อย

จุนซองกระแอมไอครั้งหนึ่งและแนะนำครูฝึกสอน

“อืม ทุกคนก็คงจะรู้อยู่แล้ว นี่อีฮาจุน จะมาเป็นโค้ชฟิตเนสตั้งแต่วันนี้ คงจะรู้แล้ว แต่เมื่อก่อนเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลเหมือนกับทุกคน เดี๋ยวนี้การดูแลทางด้านกายภาพยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็รู้กันใช่ไหม เขาเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะงั้นก็เชื่อฟังโค้ชอีกันด้วย โค้ชอีเองก็กล่าวทักทายสักหน่อยสิ”

ฮาจุนที่ยืนอยู่ด้านข้างโค้งศีรษะลงก่อนเงยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์เต็มใบหน้า

“ผมอีฮาจุนครับ ต่อไปก็ฝากตัวด้วยนะครับ หากในเวลาปกติคอยดูแลเป็นอย่างดี จากที่จะบาดเจ็บก็จะไม่บาดเจ็บ นั่นคือร่างกายครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ เพราะอย่างนั้นหวังว่าทุกท่านเองก็จะเชื่อในตัวผมและช่วยเหลือผมเยอะๆ นะครับ”

เป็นลักษณะการพูดที่ทั้งอ่อนโยนและหนักแน่นไปพร้อมกัน ทันทีที่เขากล่าวทักทายจบ พวกนักกีฬาก็โห่ร้องตะโกนและปรบมือ ส่วนมูคยอมที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่มาปรบมือเอาทีหลังอย่างขอไปที เพราะไม่ได้รู้จักฮาจุนมากนัก ดังนั้นแม้จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับอย่างยินดี มูคยอมจึงไม่สามารถมีความรู้สึกร่วมได้จากใจจริง

การฝึกซ้อมเริ่มต้นด้วยการวิ่งและการยืดกล้ามเนื้อเบาๆ เหมือนอย่างที่ทำมาตลอด ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกที่ผ่านมาแล้วรูปแบบก็ต่างออกไปนิดหน่อย เพราะฮาจุนเข้ามาและกิจวัตรในการยืดกล้ามเนื้อที่ทำมาจนถึงเมื่อวานก็ถูกเปลี่ยนไป ส่วนพวกนักกีฬาก็รับการเปลี่ยนแปลงที่แปลกใหม่นั่นอย่างสนุกสนาน

“วันนี้คงจะใช้เวลามากกว่าปกตินิดหน่อย เพราะนี่เป็นวันแรกผมเลยตั้งใจจะดูสภาพร่างกายของแต่ละคน ยังไงก็ขอความร่วมมือด้วยนะครับ”

เมื่อฮาจุนพูดด้วยรอยยิ้ม พวกนักกีฬาก็ประสานเสียง “ครับ-!” อีกครั้งเหมือนเด็กอนุบาล บรรยากาศน่าเอ็นดูซึ่งสร้างขึ้นท่ามกลางกลุ่มของเหล่าชายฉกรรจ์ตัวดำปิ๊ดปี๋นี่ทำใจให้คุ้นเคยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย คิ้วของมูคยอมจึงขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

หลังจากให้เหล่านักกีฬายืนเป็นวงกลมขนาดใหญ่อย่างกว้างๆ จากนั้นสั่งให้ยืดกล้ามเนื้อแล้ว ฮาจุนก็หยิบสมุดโน้ตออกมาถือและจดบันทึก พร้อมกับเข้าไปสังเกตดูนักกีฬาทีละคนทีละคนอย่างละเอียด เขาจับยกขาของนักกีฬาที่กำลังยืดกล้ามเนื้อไปทางนู้นทางนี้ หรือใช้มือกดตรวจบริเวณกระดูกเชิงกรานหรือใกล้กับกระดูกก้นกบ ต้นขาด้านใน หรือที่อื่นๆ โดยตรง ภาพด้านข้างของฮาจุนที่บอกให้นักกีฬากางขาที่หุบอยู่ออก หรือให้หุบขาที่กางอยู่เข้า และทดลองทำท่าทางต่างๆ นั้นดูจริงจังเป็นอย่างมาก

‘ท่าทางกระตือรือร้นโอเวอร์อย่างนั้นน่ะ บ่งบอกว่าเป็นเด็กใหม่เสียชัดเชียว’

มูคยอมที่คิดเช่นนั้นฉีกยิ้มออกมาและยืดกล้ามเนื้อด้วยท่าทางตามที่ได้รับคำแนะนำ พอดีกับที่ถึงลำดับของมูคยอมพอดี ฮาจุนจึงเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าเขา ฮาจุนนั่งยองลงใช้เข่ารองสมุดโน้ตและถือปากกาไว้ก่อนเอ่ยสั่งมูคยอม

“ก่อนอื่นลองนั่งลงแล้วยืดขาออก”

มูคยอมทำตามนั้น

“อืม ลองโน้มตัวลงมาทางด้านหน้าหน่อยได้ไหม ให้ขาชิดนะ อือ ดีมาก คราวนี้ลองกางขาออก”

มูคยอมขยับตามคำพูดนั้นทุกระเบียบนิ้ว ส่วนฮาจุนก็บันทึกอะไรบางอย่างลงสมุดอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วคำสั่งของฮาจุนก็ดำเนินต่อเนื่องต่อไป

“ขอดูข้อเท้าเดี๋ยวนะ”

ฮาจุนจับข้อเท้าของมูคยอมเบาๆ แล้วกดลงด้านบนถุงเท้าสองสามครั้งพร้อมถามว่าเจ็บหรือไม่ เมื่อมูคยอมบอกว่าไม่เป็นไร ฮาจุนก็พยักศีรษะและจดบันทึกอะไรบางอย่างอีกครั้ง จากนั้นจึงขยับเดินเปลี่ยนตำแหน่งไปฝั่งขาของมูคยอม

“ลองหมอบลงแล้วยืดเฉพาะขาขวาขึ้นด้านบน อืม ลองทางซ้ายด้วย อีกหน่อย”

แล้วฮาจุนก็จดบันทึกอะไรบางอย่างอีกครั้ง คำสั่งให้ทำท่าทางอย่าง เช่น หมอบลง แล้วเดี๋ยวก็นั่ง เดี๋ยวก็ลุกขึ้นยืน สลับไปทางซ้ายทีขวาทีอีกครั้งและให้ยกขาขึ้นลง หรือโค้งเอว งอแขนดำเนินต่อเนื่องไป เมื่อมูคยอมทำท่าทางตามที่สั่งอย่างครบถ้วน ฮาจุนก็จดบันทึก

“ดีมาก พอแล้ว ขอบใจนะ”

คงจะสังเกตดูจนเต็มที่แล้วฮาจุนจึงพูดราวกับพึงพอใจและขยับไปทางด้านข้าง แล้วเริ่มเช็กสภาพร่างกายนักกีฬาคนต่อไป

‘…อะไรกันนะ’

แม้แต่ในขณะที่พิจารณาสภาพร่างกายรายบุคคล ฮาจุนก็สั่งนักกีฬาทั้งหมดให้ทำการยืดกล้ามเนื้อท่าต่อไปอย่างต่อเนื่อง มูคยอมขยับตัวขึ้นและกระทั่งตอนที่กำลังทำตามสั่งนั้นเขาก็รู้สึกถึงความขัดแย้งจากที่ไหนสักแห่ง จะว่ายังไงดีนะ ไม่ใช่นักกีฬาที่ยืดกล้ามเนื้อต่อหน้าโค้ช แต่รู้สึกเหมือนกลายเป็นวัวหรือม้าที่ถูกตรวจสภาพโดยเจ้าพนักงานตรวจสอบปศุสัตว์

ทว่าการทดสอบสมรรถภาพร่างกายที่ฮาจุนทำก็เป็นสิ่งพื้นฐาน การทดสอบเช่นนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ทำกัน ตลอดเวลาระหว่างที่ยืดกล้ามเนื้อ มูคยอมก็ไล่สายตาตามฮาจุนที่ไปโค้ชให้นักกีฬาคนอื่น ทว่าไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ฮาจุนสั่งให้นักกีฬาคนอื่นๆ ทำท่าทางที่เหมือนๆ กัน หลังจากเข้าใจสภาพของแต่ละคนแล้วก็จดบันทึก มูคยอมได้แต่รู้สึกถึงความไม่พอใจอันคลุมเครืออย่างบรรยายไม่ถูก ทั้งที่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้รู้สึกไม่ดีเป็นพิเศษ แล้วระหว่างนั้นการยืดกล้ามเนื้อก็จบลง ฮาจุนพูดต่อหน้าพวกนักกีฬา

“การยืดกล้ามเนื้อวันนี้ใช้เวลามากกว่าปกติสองเท่าทุกคนคงจะเหนื่อยแย่เลย แต่ทั้งหมดนี่ก็เพื่อจัดโปรแกรมฝึกสำหรับแต่ละคน ยังไงก็ช่วยเข้าใจด้วยนะครับ ผมจะสังเกตการณ์จนถึงการฝึกซ้อมช่วงบ่าย และตั้งแต่พรุ่งนี้จะเริ่มแนะนำโปรแกรมฝึกรายบุคคลครับ”

“ครับ!”

เหล่านักกีฬาตอบรับเหมือนกับลูกเจี๊ยบแรกเกิดอีกครั้ง บรรยากาศระหว่างการฝึกซ้อมเป็นไปด้วยดีมาก ทว่ามีเพียงมูคยอมที่ทำหน้ายุ่งกับความรู้สึกขัดแย้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ และคอยจ้องมองฮาจุนเป็นครั้งคราวเท่านั้น

***

เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน มูคยอมก็สามารถเข้าใจเหตุผลที่อีฮาจุนเป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักกีฬาได้ไม่ยากนัก

แม้ว่าวงการกีฬาเกาหลีจะเหมือนกันหมดไม่ว่าที่ไหน แต่สำหรับนักกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นประถม ก็จะได้รับการฝึกอบรมที่เข้มงวด หรือจะพูดถูกควนใช้คำว่าด้วยความรุนแรงจะเหมาะสมกว่า ในแวดวงฟุตบอลคนที่ใช้อำนาจที่มีตามใจไม่ได้มีเพียงแค่ผู้จัดการทีมหรือโค้ช มองจากมุมหนึ่ง สิ่งที่อดทนได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ใช่ทั้งความสามารถหรือประสบการณ์ แต่ยึดที่ระยะเวลาที่ฝึกกับอายุ การตีและตะคอกใส่รุ่นน้องมีให้เห็นทั่วไป คนที่ทนเรื่องนั้นไม่ได้จนล้มเลิกการเล่นกีฬาจึงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน

มูคยอมโชคดีที่ได้พบผู้จัดการทีมที่ชื่อพัคจุนซอง ซึ่งมีค่านิยมในฐานะผู้ให้การศึกษาอย่างแน่วแน่ และเริ่มใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนั้นก็เกี่ยวเนื่องด้วยหลายปัจจัยอย่าง เช่น ความสามารถ นิสัย รูปร่าง ลักษณะหน้าตา ทำให้มูคยอมไม่เคยได้สัมผัสการข่มเหงรุ่นน้องอะไรขนาดนั้น แต่แน่นอนเขาก็รู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นยังไง ถึงลักษณะหรือรูปแบบจะต่างกัน แต่หากเป็นการโดนข่มเหง มูคยอมเองก็ได้พบเจอมาพอสมควร แม้กระทั่งสำหรับมูคยอมในตอนนี้เองห้องล็อกเกอร์ของกรีนฟอร์ดที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากบ้านสำหรับมูคยอมก็ไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุขขนาดนั้น

ในโลกของนักกีฬาเช่นนั้น หากมีคนที่เข้าอกเข้าใจ ยอมรับฟังเรื่องของตนด้วยรอยยิ้ม ใครก็ต้องอยากพึ่งพิงเขาแน่ๆ ละนะ ไม่ว่าใครก็คงจะเป็นเช่นนั้นละ

“พี่ครับ ไม่สิ โค้ชครับ ขอเวลาให้ผมสักเดี๋ยวได้ไหมครับ”

“อืม ได้สิ ไปห้องพักชั่วคราวกันไหม”

มองดูภาพเหตุการณ์ที่นักกีฬาคนหนึ่งเข้าไปหาฮาจุนที่กำลังเรียบเรียงโน้ตอยู่บนม้านั่งและพูดเช่นนั้น แล้วมูคยอมก็ดูดหลอดที่เสียบอยู่ในกระบอกน้ำ เป็นภาพเหตุการณ์ที่เขาได้เห็นอยู่เป็นครั้งคราวตั้งแต่ที่ฮาจุนมา ดูจากบรรยากาศแล้วเหมือนนักกีฬาหลายคนจะนำเรื่องกลุ้มใจมาปรึกษากับฮาจุน

ถึงจะเรียกว่าปรึกษา แต่ก็ดูจะเป็นการแบ่งปันความกังวลเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ใช่เรื่องอื่น ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะตามที่มูคยอมทราบ ในสนามฟุตบอลการขอคำปรึกษาจากโค้ชหรือรุ่นพี่ มีไม่มากนักหรอกที่ใครจะยอมให้คำปรึกษาอย่างใจกว้างเช่นนั้น

………………………………………………..

[1] เบนท์ลีย์ (BENTLEY) ยี่ห้อรถยนต์นั่งระดับหรูของอังกฤษ

[2] พีดี (PD) หรือ โปรดิวเซอร์ (Producer) ทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่เบื้องหลังขั้นตอนทั้งหมดในการผลิตรายการโทรทัศน์

Related

เพราะเพิ่งจะเป็นวันแรกน่ะสิ อีกไม่นานเดี๋ยวก็เชื่อกันเอง

ตอนนี้เองมูคยอมถึงยกช้อนขึ้นและเริ่มรับประทานอาหาร อย่างไรก็ตามข้อดีหลักๆ อย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือเขาสามารถกินข้าวที่จัดเตรียมอย่างดีได้ทุกวัน

อาหารของกรีนฟอร์ดเองก็ไม่ได้แย่ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าสำรับอาหารเกาหลีที่ประกอบด้วยข้าว แกง และเครื่องเคียง ก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ ถึงมูคยอมจะอาศัยอยู่ที่อังกฤษเกือบสิบปี แต่สิ่งที่เรียกว่านิสัยการกินซึ่งถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ

“จริงสิ พวกพี่ ได้ยินข่าวพี่ฮาจุนกันแล้วใช่ไหมครับ เห็นว่าไม่มะรืนหรือวันถัดไปจะมาทำงานกับทีมเรานะครับ”

“อา จริงด้วย ฮาจุนจะมาแล้วนะ จะว่าไป ก็ถึงเวลาแล้วสินะเนี่ย”

คำพูดของนักกีฬาคนหนึ่งทำให้จองคยูและนักกีฬาหลายคนแสดงทีท่าเหมือนนึกขึ้นได้ มูคยอมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม

“ฮาจุน?”

“อีฮาจุน รู้จักใช่ไหม เวิลด์คัพ[1]ครั้งที่แล้วเคยเล่นด้วยกันนี่”

“อา”

อีฮาจุน อีฮาจุน… มูคยอมทบทวนชื่อนั้นในใจแล้วพยักหน้าเบาๆ แม้จะไม่สามารถจดจำนักกีฬาที่เจอกันครั้งละประเดี๋ยวเดียวเฉพาะตอนที่ถูกเรียกตัวทีมชาติ และไม่มีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวทั้งหมดได้อย่างละเอียดทุกคน แต่ถ้าเป็นตอนเวิลด์คัพก็เหมือนจะอยู่ด้วยกันนานมากอยู่เหมือนกันนะ

ทว่ามูคยอมก็นึกออกเพียงแค่ ‘อ่อ มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยนี่นะ’ เท่านั้น ไม่รู้ทำไมหน้าตาของฮาจุนถึงดูเลือนรางจนนึกไม่ออกเลย

“เหมือนจะจำได้รางๆ”

“ถ้าเห็นหน้าก็จะรู้ ตอนนั้นเป็นการแข่งรอบไหนแล้วนะ เขาเคยแอสซิสต์[2]ให้นายด้วย”

“ย้ายสังกัดมาจากทีมอื่นงั้นเหรอ”

จองคยูยู่หน้าพร้อมส่ายศีรษะ

“เปล่า จะมาเป็นโค้ช มีเหตุผลบางอย่างเขาเลยปลดเกษียณเร็วน่ะ เห็นว่าทันทีที่ปลดเกษียณก็รีบไปเรียนจนได้รับใบรับรอง แล้วก็ฝึกหัดอยู่กับทีมเยาวชนจนถึงฤดูกาลที่แล้ว ก่อนตัดสินใจมาที่นี่ตั้งแต่ฤดูกาลนี้น่ะ”

“อายุเท่าไร”

“รุ่นเดียวกันกับพวกเรา”

ถ้าอายุ 26 ก็เร็วไปจริงๆ สำหรับการปลดเกษียณและมาเป็นโค้ช แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อนเลย ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มโค้ชของทีมนี้เลยไม่ใช่เหรอ มูคยอมพยักหน้าโดยไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้

“นาย ฉัน ฮาจุน รุ่นเดียวกันหมดเลยแฮะ ถ้าฮาจุนมาแล้วเราสามคนไปดื่มกันหน่อยเถอะ นายก็มา ฮาจุนก็มา แต่ละคนมีเหตุผลส่วนตัว แต่นั่นก็ดีกับฉันละนะ”

“ดูเหมือนจะสนิทกับนายด้วยสินะ”

“หมอนั่นก็สนิทไปทั่วหมด เขานิสัยดี ไม่เหมือนกับนาย”

“งั้นก็คงไม่เหมือนกันนายด้วยสินะ”

มูคยอมพูดเหน็บแนมขึ้นมาเพราะหมั่นไส้ที่จองคยูทำท่าเหมือนว่าตัวเองนิสัยดีอยู่คนเดียวทั้งที่จิกกัดเขาในทุกๆ ประโยคก่อนเริ่มทานอาหารต่ออีกครั้ง

หลังจากนั้นมูคยอมก็จดจ่ออยู่กับการกินโดยไม่พูดอะไรอีก จึงทานอาหารเสร็จเร็วกว่าคนอื่นๆ และไม่ว่าคนอื่นจะทานเสร็จแล้วหรือไม่ เขาก็ลุกขึ้นจากที่ ก้าวเดินเนิบๆ ไประหว่างโต๊ะอาหารตัวยาว และวางถาดอาหารที่ว่างเปล่าลงบนที่คืนถาดอาหาร

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”

“อุ้ยตาย นักกีฬาคิมมูคยอม! กินอีกสิ เอาเพิ่มอีกไหม”

คนทำอาหารที่รับถาดอาหารคืนถามด้วยสายตาอบอุ่นราวกับกำลังมองลูกชายชายที่ได้รับวันหยุดออกมาจากกองทัพ

“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่เป็นไรครับ”

“คราวหน้ากินเพิ่มอีกนะ ชอบกินอะไรล่ะ บอกมาได้เลยนะ! พวกเราจะทำให้ทุกอย่างเลย”

มูคยอมฉีกยิ้มออกไปโดยไม่ได้ตอบอะไรให้กับไมตรีจิตที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย นั่นทำให้การโจมตีจากความเสน่หาของคนทำอาหารยิ่งยืดยาวมากขึ้น

“เราน่ะ ทำไมถึงทั้งแข็งแกร่ง ทั้งเกลี้ยงเกลาและหล่อเหลาอย่างนี้กัน ฉันอยากจะจับคู่ให้กับลูกสาวฉันเลยนะเนี่ย ถ้าเกิดสนใจก็บอกได้ตลอดเลย เดี๋ยวนี้พวกคนหนุ่มสาวแค่ลองคบหากันแบบง่ายๆ ดูก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

“พอได้แล้ว! คนคนนี้นี่ทำไมถึงวุ่นวายอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกเลย”

มูยอมทิ้งความวุ่นวายเล็กๆ จากการที่พวกนั้นถกเถียงกันเองโดยไม่มีโอกาสให้เขาได้โต้ตอบไว้เบื้องหลังแล้วออกมาจากโรงอาหาร รสชาติอาหารก็ใช้ได้ บรรยากาศในครัวก็ถูกใจ มูคยอมคิดขณะมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อมอีกครั้งด้วยหัวใจที่อบอุ่นขึ้น

เพราะยังเหลือเวลาก่อนเริ่มฝึกซ้อมช่วงบ่ายอีกประมาณยี่สิบนาที มูคยอมจึงเดินไปบนสนามหญ้า เพื่อทำความคุ้นเคยกับสนามฝึกซ้อมใหม่ไปในตัว เขามองไปรอบๆ และเห็นจุนซองที่เป็นผู้จัดการทีมยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม

เบื้องหน้าของจุนซองมีชายคนหนึ่งยืนอยู่โดยเห็นเพียงแค่ด้านหลัง เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับจุนซองอยู่ มูคยอมยิ้มและเดินมุ่งหน้าไปทางด้านนั้น

“ผู้จัดการทีม ทานข้าวหรือยังครับ”

“อ้าว มูคยอม กินข้าวเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ”

ในตอนนั้นเองชายหนุ่มที่มูคยอมได้เห็นเพียงแค่ด้านหลังก็หันหน้ามามอง มูคยอมสบเข้ากับดวงตาของชายหนุ่ม ตอนแรกเขาคิดว่าชายหนุ่มคงเป็นหนึ่งในโค้ชที่ฝึกซ้อมร่วมกันไปเมื่อช่วงเช้า แต่กลับไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย เป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะหน้าตาที่ดูสุภาพอ่อนโยน จุนซองทำไม้ทำมือราวกับได้จังหวะพอดี

“ทักทายกันไว้ก่อนสิ ได้ยินมาแล้วใช่ไหม นี่คือคิมมูคยอมที่จะมาเล่นกับทีมของเราในฤดูกาลนี้”

“ครับ จะมีใครไม่รู้จักด้วยเหรอครับ”

ชายหนุ่มตอบและหันกายมาทางมูคยอม เมื่อหันกลับมาและได้เผชิญหน้ากันชัดๆ ลักษณะหน้าตาก็ดูจะต่างออกไปเล็กน้อย

นัยน์ตาดำที่กลมโตเป็นพิเศษกับรูปตาที่แม้จะกลมแต่ส่วนหางนั้นให้ความรู้สึกเย็นชาเล็กๆ ดวงตาคู่นั้นมุ่งมาทางมูคยอม เป็นชายหนุ่มที่ดูสุภาพอ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันก็มีบรรยากาศที่ขัดแย้งเหมือนกระดาษบางๆ ที่ยับย่น

ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ดูไร้กำลังหรือเรี่ยวแรง แต่คงเพราะชายหนุ่มมีผิวขาวและใบหน้าที่ค่อนข้างละเอียดงดงามจึงทำให้ดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงอย่างนั้นอยู่บ้าง ชายหนุ่มเอ่ยทักทายมูคยอม

“ไม่เจอกันนานเลย ดีใจที่ได้เจอนะ”

ใครกันนะ ทำท่าเหมือนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ก็เหมือนจะเคยเจอที่ไหนมาก่อนอยู่เหมือนกัน

แม้มูคยอมจะสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เขายื่นมือออกไปเพื่อทักทาย ชายหนุ่มก้มลงมองมือมูคยอมและจับแค่ครู่เดียวสั้นๆ ก่อนปล่อยออก แล้วจุนซองจึงแนะนำชายหนุ่ม

“นี่อีฮาจุนที่จะมาเป็นโค้ชฟิตเนส[3]ใหม่ของทีมเรา จะเริ่มงานหลังจากนี้อีกสองสามวัน แต่วันนี้มีเอกสารที่ต้องยื่นก่อนเลยแวะเข้ามาเดี๋ยวหนึ่งน่ะ”

“อ่า”

มูคยอมร้องออกไปสั้นๆ โดยไม่รู้ตัว คนที่จองคยูกับคนอื่นๆ พูดถึงเมื่อครู่น่าจะเป็นผู้ชายคนนี้ ฟังคำพูดของจองคยูแล้วมูคยอมก็คิดว่าเขาคงจะนึกออกทันทีเมื่อเห็นหน้า แต่นี่กลับเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้คุ้นหน้ามากมาย และถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่คุ้นเคยด้วยเหมือนกัน เหมือนจะเคยเจอมาก่อนแน่ๆ แต่ความทรงจำกลับไม่ชัดเจนนัก ยังไงลักษณะของฮาจุนเองก็ไม่ได้จืดจางขนาดนั้นนี่นา

ทว่าไม่นานมูคยอมก็ต้องยกยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมาในใจ เมื่อตอนเวิลด์คัพครั้งที่แล้ว มูคยอมอยู่ในสภาพที่อารมณ์หงุดหงิดง่ายอยู่ตลอดและไม่ได้คบค้าสมาคมกับนักกีฬาคนอื่นๆ เป็นพิเศษ ดังนั้นหากเคยพบหน้ากันในช่วงนั้นเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยที่จะบอกว่ามูคยอมลบเลือนใบหน้าเขาออกจากความทรงจำไปแล้ว

เป็นเมื่อสามปีก่อน มูคยอมฝึกซ้อมกับสมาชิกทีมระดับสูงที่กรีนฟอร์ดอยู่ 365 วัน แล้วก็มาฝึกซ้อมกับพวกนักกีฬาทีมชาติที่มารวมตัวกันอย่างสับสนวุ่นวายแค่ประมาณหนึ่งเดือน การนำทีมที่มักกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ และลงแข่งขันอย่างต่อเนื่อง เฉพาะแค่ในตอนนั้นมูคยอมก็อดทนได้อย่างลำบากแล้ว เขาพยายามไม่ปกปิดความอึดอัดใจนั้นด้วยซ้ำ และเพราะมูคยอมลงแข่งเวิลด์คัพครั้งแรกจึงมีความกระตือรือร้นล้ำหน้าไปอยู่คนเดียว ทำให้ความไม่พอใจระหว่างเขากับนักกีฬาคนอื่นยิ่งค่อยๆ หยั่งลึกมากขึ้น

จะสื่อมวลชนหรือคนทั่วไปต่างวิจารณ์ว่ามูคยอมถือว่าตนเป็นดาวรุ่งในต่างประเทศเลยทำตัวอวดดี เพราะอย่างนั้นถึงมูคยอมจะยิงประตูได้มากที่สุด แต่ก็ยังถูกตำหนิด้วยคำว่า ‘สาเหตุของความพ่ายแพ้’ ไม่ใช่หรือ และคงเพราะเป็นเวิลด์คัพที่มูคยอมไม่ค่อยอยากจะหวนนึกถึงเท่าใดนักอย่างนั้นล่ะมั้ง ความทรงจำเกี่ยวกับพวกเพื่อนนักกีฬาที่เตะด้วยกันในตอนนั้นจึงพลอยเลือนรางไปด้วย

ในตอนนี้ถึงมูคยอมจะไม่ได้อาละวาดโดยไม่รู้จักแยกแยะบ่อยมากเท่ากับเมื่อตอนนั้นแล้ว แต่จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้หากไม่ใช่เวลาที่อ่อยเหยื่อใครสักคน มูคยอมก็จะไม่เข้าหาคนอื่นๆ อย่างกระตือรือร้น และถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่ใช่คนประเภทที่คนอื่นๆ จะสามารถเข้าหาได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ก่อนอื่นคือตัวมูคยอมเชื่อเอาเองว่าเมื่อเทียบกับคนอื่น เขาก็ไม่ได้นิสัยไม่ดีอะไรเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้เป็นเพราะเมื่อเทียบกับลักษณะภายนอกที่ดูนิ่งเฉยนิดหน่อยแล้ว เขามีนิสัยที่ไม่ค่อยปกปิดความรู้สึกหรืออาจเพราะมีรูปร่างที่สูงใหญ่ จึงมักดูนิสัยไม่ดีอยู่เสมอ

เพราะอย่างนั้น ถึงจะเป็นชาวตะวันออกเหมือนกันแต่ก็เป็นเพียงผู้เล่นตัวสำรองไม่กี่คน และในต่างประเทศที่พูดกันไม่เข้าใจ ในช่วงแรกอาจจะลำบากอยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นลักษณะนิสัยของมูคยอมก็ไม่ได้ถูกปรับปรุงมากมายนัก เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นปัญหาต้องใช้เวลาในการแก้ไขด้วย

“ไอ้เจ้านี่ อ่าเอออะไร ต้องพูดทักทายสิ”

มูคยอมที่หลุดไปกับความคิดเรื่องอื่นอยู่ครู่หนึ่ง จ้องมองฮาจุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้งราวกับเก้อเขินจากคำดุของผู้จัดการทีม แล้วต้องพูดว่าอะไรกันล่ะ มูคยอมใช้เวลาครุ่นคิดสั้นๆ แล้วตัดสินใจทักออกไปอย่างเรียบง่าย

“ยินดีที่ได้พบครับ โค้ชอี”

พอเขาพูดออกไปเช่นนั้น จุนซองก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาพร้อมกับถามว่า

“อ่อๆ พูดสุภาพเพราะเป็นโค้ชงั้นเหรอ พวกนายรุ่นเดียวกันไม่ใช่หรือไง”

“ใช่ครับ ถ้าไม่ใช่ตอนฝึก เรียกแค่ชื่อก็พอ”

ฮาจุนตอบพร้อมยิ้ม ฝ่ายนั้นทำท่าทีเหมือนสนิทสนมกันมาก แต่มูคยอมกลับอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดเขินเพราะความทรงจำเลือนราง ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงอุทาน “โอ๊ะๆ” ดังมาพร้อมกับเสียงของคนอื่นๆ จากทางด้านหลัง

“พี่ฮาจุน!”

“ฮาจุน!”

“ได้ยินว่าอีกหลายวันถึงจะมานี่นา”

ชั่วพริบตาเดียวรอบข้างก็เอะอะเจี๊ยวจ๊าวขึ้น อย่างไรก็ตามดูท่าทางว่าอีฮาจุนจะเป็นสตาร์ในคนละความหมายกับมูคยอม พวกนักกีฬาที่เคยเอาแต่ระวังท่าทีจนไม่กล้าเข้าใกล้มูคยอม พากันกรูเข้ามาประกบใกล้ฮาจุนด้วยท่าทางยินดี ชายหนุ่มที่ชื่อฮาจุนเองก็ยิ้มเต็มใบหน้าและกำลังตอบคำถามนู่นนี่ของพวกเขา

เป็นชายหนุ่มที่ถ้าบอกว่าเป็นโค้ชก็คงคิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าบอกว่าเป็นนักกีฬาฟุตบอลก็ดูจะไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้างขนาดที่ทำให้เกิดความคิดว่าคาดไม่ถึงอยู่นิดหน่อย ทั้งดวงตาที่ประเดี๋ยวๆ ก็ยิ้มออกมา ทั้งดวงหน้าขาวเหมือนกับเด็กคงแก่เรียนนั่นเองก็ด้วย

อันที่จริงก็ใช่ว่าจะมีการแบ่งแยกหน้าตาแบบที่เหมือนนักกีฬาเสียหน่อย แล้วผู้คนจะพูดเล่นถึงอาชีพอื่นที่เหมาะกับหน้าตาของนักกีฬาฟุตบอลบ้างไหมนะ

“ทักทายมูคยอมแล้วเหรอ”

“อือ”

ฮาจุนตอบคำถามของจองคยูด้วยรอยยิ้ม

“แต่เหมือนจะจำฉันไม่ได้เลย”

“…”

ถูกจับได้เสียแล้ว

อันที่จริง การที่เขาส่งเสียงทึ่มๆ อย่าง “อ่า” ออกไปทันทีที่ได้ยินชื่อ ถ้าดูไม่ออกก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันล่ะนะ มูคยอมไม่รู้สึกอยากจะตอบรับหรือปฏิเสธดังนั้นจึงทำแค่ฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร พอมูคยอมทำอย่างนั้น จองคยูก็แสดงท่าทีกระดากใจออกมาเล็กน้อยตามคาด แล้วจึงจัดการกู้สถานการณ์ให้

“เจ้าหมอนี่ เดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำหรอก เป็นพวกที่รู้จักแต่ตัวเองน่ะ กับฉันเองตอนประถมขนาดเจอกันเป็นสิบครั้งแล้ว เขาพูดว่าไงรู้ไหม ‘นายเองก็อยู่ชมรมฟุตบอลเหรอ’ พูดอย่างนี้น่ะ ไอ้เจ้านี่”

ฮ่าๆ ฮาจุนส่งเสียงหัวเราะออกมา จะยังไงก็เถอะ มูคยอมรับรู้เป็นอย่างดีแล้วว่าฮาจุนจะมาเข้ารับตำแหน่งโค้ช เพราะอย่างนั้นคราวนี้คงไม่มีทางลืมแล้วล่ะ งั้นก็หมดเรื่องล่ะนะ

หนึ่งในโค้ชประกาศเริ่มการฝึกซ้อมรอบบ่าย นักกีฬาอายุน้อยจึงวิ่งออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เหลือเพียงแค่จองคยูกับมูคยอมและฮาจุน ฮาจุนเองก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายราวกับเตรียมตัวจะกลับแล้วพูดว่า

“ฉันเองก็เพิ่งเคยเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ครั้งแรกเหมือนกัน เพราะงั้นต่อไปก็ฝากตัวด้วยนะ”

“อืม ไว้เจอกัน พวกเราสามคนรุ่นเดียวกันนี่ ต่อไปก็ช่วยเหลือ ทำดีต่อกันนะ”

“อืม ยินดีที่ได้เจอกันนะ ทั้งสองคนเลย รีบไปเถอะ”

ฮาจุนโบกมือราวกับจะบอกให้ทั้งสองรีบไปฝึก หลังจากจองคยูเอ่ยลาอีกครั้งแล้ว มูคยอมเองก็หมุนตัวกลับ เหล่านักกีฬารวมตัวกันเป็นวงกลมอยู่ตรงกลางของสนามฝึกซ้อม มูคยอมที่กำลังรับคำสั่งเกี่ยวกับการฝึกที่จะทำโดยการแบ่งเป็นทีม จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังตำแหน่งที่ฮาจุนเคยยืนอยู่

ฮาจุนที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะกลับได้ทุกเมื่อ นึกไม่ถึงว่าจะยังไม่กลับและยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

***

หลังกลับเข้าประเทศเกาหลีได้วันที่สี่ มูคยอมหยุดพักแค่วันที่เดินทางมาถึงวันเดียวเท่านั้น จากนั้นก็เข้าร่วมการฝึกซ้อมประจำทันทีในวันถัดมา เขาเข้ารับการฝึกเหมือนกันกับนักกีฬาคนอื่นๆ หลังจากนั้นจึงได้ใช้วันพักหนึ่งวัน

เพราะเพิ่งมาถึงได้ไม่นานจึงยังไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ บ้านในเกาหลีที่มูคยอมจะอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก็ทำสัญญาเสร็จมาจากลอนดอนแล้ว การเตรียมย้ายเข้าอยู่หรือการตกแต่งภายใน ทางเอเจนซี่ก็จัดการไว้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนที่มูคยอมจะกลับมาประเทศเกาหลี มูคยอมมีเพียงเข้าๆ ออกๆ สถานที่ราชการเพราะขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสารหลายอย่างที่ต้องไปติดต่อด้วยตนเอง และเข้าประชุมเรื่องสัญญางานที่คุยไว้ตั้งแต่ก่อนจะมาเกาหลีครั้งหนึ่ง และนั่นคือทั้งหมด

“เห็นนี่หรือยัง?”

วันฝึกซ้อมถัดมาหลังผ่านวันหยุดที่แสนหอมหวาน จองคยูเพื่อนร่วมทีมก็ทำหน้าตึงขณะยื่นโทรศัพท์พรวดเข้ามาหามูคยอมทันทีที่พบหน้ากัน และนั่นเป็นก่อนที่มูคยอมซึ่งเพิ่งเข้ามาในห้องล็อกเกอร์จะทันได้วางกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ด้วยซ้ำ

โทรศัพท์ถูกยื่นมาใกล้หน้ามากเกินไปจึงเห็นได้ไม่ชัดด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร มูคยอมขมวดคิ้วและใช้นิ้วดันโทรศัพท์ออก ในหน้าคอมเมนต์ของเว็บไซต์ บรรดาคอมเมนต์แถวหนึ่งถูกเรียงเป็นลงมาเป็นแถวยาว

‘*******

มนุษย์ LTE เห็นด้วยมะ???’

‘*******

ก่อนจะลงนัดเปิดตัวก็เริ่มจากยิงประตูอื่นก่อน คึๆๆๆ’

‘*******

ช่วงล่างโคตรเละเทะ ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ทำใจรักชอบไม่ได้’

‘*******

ฉันเป็นแฟนซิตี้โซลนะ แต่ฉันก็หวังว่าไอ้หมอนี่จะไม่ย้ายมา’

‘*******

ประสาท แสร้งทำว่าเป็นแฟนซิตี้โซล คึๆๆๆ นักกีฬา แค่เล่นกีฬาเก่งก็พอแล้วสิ เกี่ยวอะไรกับชีวิตส่วนตัวล่ะ’

มูคยอมไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำว่าเป็นคอมเมนต์จากข่าวอะไร มูคยอมดันมือถือออกด้วยมือข้างหนึ่ง โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“เอาของแบบนี้มาจ่อหน้าฉันแต่เช้าเพื่ออะไร”

“มาถึงปุ๊บก็เริ่มเลยเหรอ”

“ฉันชอบคอมเมนต์สุดท้ายจังแฮะ นักกีฬาแค่เล่นกีฬาเก่งก็พอแล้วสิ”

มูคยอมพูดเหมือนไม่มีอะไรสำคัญและถอดเสื้อเจอร์ซีย์กับเสื้อยืดแขนสั้นที่สวมอยู่ออก เผยโครงร่างที่รองรับส่วนสูงที่ใหญ่โตรวมถึงกล้ามเนื้ออัดแน่นเต็มที่บนร่างหนาออกมา มูคยอมเพียงแค่กำลังถอดเสื้อยืดออกเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่แขนขยับ กล้ามเนื้อที่ตัดกล้ามเนื้อหลังและแผ่นหลังกว้างในแนวตั้งก็ผุดขึ้นมาราวกับทิวเขา

เป็นร่างกายที่กระทั่งผู้ชายด้วยกันมองดูแล้วก็ยังอดรู้สึกเกรงขามไปพร้อมกับประทับใจไม่ได้ ทำให้ทั้งจองคยูและพวกนักกีฬาที่อยู่ใกล้เคียงพูดไม่ออกไปชั่วครู่ สายตาพวกเขาจับจ้องไปทางมูคยอม ก่อนจะเบนสายตาออกไปทันทีที่มูคยอมเริ่มสวมชุดยูนิฟอร์มสำหรับฝึกซ้อมลงบนศีรษะ

“ฮืม ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่เป็นปัญหาเรื่องชื่อเสียงของทีม ช่วยระวังความประพฤติหน่อย นายก็รู้นี่ว่าบรรยากาศมันต่างจากต่างประเทศ”

จองคยูกระแอมไอและบ่นออกมาคำหนึ่งแบบไม่ค่อยจริงจังนัก มูคยอมเองก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขาเองก็ไม่นึกว่าจะโดนถ่ายรูปตั้งแต่รอบแรก

จนถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อนปาปารัสซี่ที่เกาหลีเหมือนจะไม่ได้ทำตามอำเภอใจจนถึงขนาดนี้ แต่เรื่องนั้นก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเล่าในอดีตไปแล้ว ถึงปาปารัสซี่เกาหลีจะไม่ตามติดในลักษณะไม่ดีเท่าสื่อเหลือง[4]ของอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงไม่ดีอย่างมากในระดับโลก แต่ถ้าจะกล่าวถึงระดับความน่ารำคาญแล้ว ปาปารัสซี่ที่นี่อาจจะน่ารำคาญยิ่งกว่าก็ได้

อย่างที่จองคยูว่า มันต่างกับที่อังกฤษตรงที่ที่นี่มูคยอมไม่ใช่คนต่างชาติ เพราะอย่างนั้นถึงจะมีจุดที่ทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดจุดที่ไม่สะดวกใจด้วยเช่นกัน ถึงจะเข้าใจได้แต่สิ่งที่รู้สึกไม่สะดวกใจก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกใจอยู่ดี มูคยอมขมวดคิ้วและแย้งขึ้น

“ในที่ทำงาน ยังต้องถูกควบคุมกระทั่งชีวิตส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ?”

“รู้อยู่แล้วทำไมยังทำอย่างนั้นอีกล่ะ ฉันถึงบอกให้ช่วยคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกอ่อนไหวของประชาชนหน่อยไง”

………………………………………………..

[1] เวิลด์คัพ หรือ ฟีฟ่าเวิลด์คัพ หรือ ฟุตบอลโลก เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี โดยมีทีมชาติเข้าแข่งขันในกลุ่มสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (FIFA)

[2] แอสซิสต์ (Assist) หมายถึง การที่ผู้เล่นช่วยส่งลูกให้ผู้เล่นคนอื่นในทีมทำประตูได้

[3] โค้ชฟิตเนส (Fitness coach) โค้ชที่มีหน้าที่ฝึกความแข็งแรงและเสริมสร้างสมรรถภาพของนักกีฬา

[4] สื่อเหลือง (yellow journalism) หมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์ชนิดหนึ่ง ที่เสนอเรื่องราวข่าวโคมลอย แทบไม่มีข้อเท็จจริงและมีการใส่สีตีไข่จนหวือหวาเกินจริง ให้ความสำคัญกับยอดจำหน่ายมากกว่าข่าวสารที่มีสาระ

Related

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก

Score 10
Status: Completed

คิมมูคยอม นักบอลสุดฮอตจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

ยอมกลับมาเล่นให้กับทีมที่ประเทศบ้านเกิดชั่วคราว

เพื่อตอบแทนบุญคุณครูม.ต้นที่กลายมาเป็นผู้จัดการทีม

ทำให้เขาได้พบกับ อีฮาจุน อดีตนักฟุตบอลที่ผันตัวมาเป็นโค้ชฟิตเนสของทีม

ที่ถึงจะเคยแข่งฟุตบอลด้วยกันตอนเวิลด์คัฟ แต่มูคยอมกลับจำไม่ได้เลยสักนิด

ทว่าพอจะทำตัวเป็นมิตรด้วย โค้ชอีผู้อ่อนโยนก็กลับพยายามหลีกเลี่ยงเขา

จนทำให้คนชอบเอาชนะอย่างมูคยอมไม่สบอารมณ์ คิดว่าอีกคนไม่ชอบหน้า

เลยตอบแทนด้วยการแกล้งฮาจุนกลับ

แต่แล้วมูคยอมก็เริ่มสังเกตเห็น การหลบเลี่ยงนั้นอาจจะไม่ใช่เพราะไม่ชอบหน้า

แต่เพราะฮาจุนปรารถนาในตัวเขาต่างหาก จึงยื่นข้อเสนอบางอย่างที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธ

ระยะเวลา 1 ฤดูกาล…1 ปีกับสัญญาลับระหว่างนักบอลและโค้ช

ความสัมพันธ์นี้จะจบแค่คู่นอนหรือพัฒนากลายเป็นอย่างอื่นกันแน่?

Options

not work with dark mode
Reset