Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2054 การเปลี่ยนแปลงของซี

ตอนที่ 2054 การเปลี่ยนแปลงของซี

สำหรับขุมอำนาจใหญ่ที่ตามฆ่าหลินสวินเหล่านั้น จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งก็คือผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา

มีเขาอยู่ ก็สามารถกำราบวิญญาณกระบี่ที่ดุร้ายอย่างที่สุดนั่นได้

หากไม่มีเขา ใครก็ไม่โง่ไปรนหาที่ตาย

เพราะฉะนั้น พอจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งปรากฏตัว พวกเขาก็ปรากฏตัวตามมา ทั้งยังดำเนินการปิดล้อมฟ้าดินแถบนี้

รอบด้านเต็มไปด้วยอันตรายและความกดดันไปทั้งแถบ

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งทำเช่นนี้เพราะวิญญาณกระบี่เย่จื่อ ส่วนผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ ทำเพื่อสังหารหลินสวิน

พูดให้ถูกต้องกว่าคือ เพื่อช่วงชิงมรดกและศุภโชคบนตัวหลินสวิน!

ทว่าสำหรับหลินสวิน ภาพตรงหน้ายังไม่อาจทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงได้สักนิด ยังคงนิ่งสงบและใจเย็น

ตั้งแต่การตามฆ่าครั้งนี้เริ่มต้นขึ้น หลินสวินก็ไม่เคยกลัว หรือพูดอีกอย่างว่า เขามีความมั่นใจจนไม่ต้องเกรงกลัวทั้งหมดนี้

เพราะฉะนั้นระหว่างทาง หากเขาไม่ทำสมาธิ ก็จะเรียกจักรพรรดิกระบี่นภาประสานมาประลองแลกเปลี่ยนฝีมือกัน ไม่เคยมีความลนลานหรือกังวลใดๆ

แม้ตอนนี้ถูกปิดล้อมก็เป็นเช่นนี้

เพียงแต่เห็นได้ชัดมาก ว่าศัตรูเหล่านั้นล้วนคิดว่าเขายากจะหนีเคราะห์พ้นแล้ว

ส่วนสีหน้าของวิญญาณกระบี่เย่จื่อตอนนี้ก็เคร่งขรึมและตึงเครียดขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาพูดเสียงเบา “หากสู้สุดชีวิต ข้าสามารถเปิดทางรอดให้เจ้าได้ แต่ตั้งแต่วันนี้ไป… เจ้าจะต้องเดินทางคนเดียวแล้ว…”

ในเสียงมีความเด็ดเดี่ยวและความเสียดายอันคลุมเครือ

คล้ายว่าเขาคุ้นชินชีวิตที่เดินทางพร้อมกับหลินสวินแล้ว

ในใจหลินสวินซาบซึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เอ่ยว่า “เย่จื่อ ฟังข้า คนพวกนี้… ยังไม่คุ้มค่าให้เจ้าแลกชีวิต”

เย่จื่ออึ้ง

และตอนนี้เอง จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งก็เอ่ยปาก “ติดตามข้า ในอนาคตจะต้องทำให้ชื่อของเจ้าโด่งดังไปทั่วโลกอย่างแน่นอน”

เขาตาเป็นประกาย จ้องเย่จื่อไม่ละสายตา ราวกับเจอสมบัติล้ำค่าหายากที่ปรารถนามานาน

วิญญาณกระบี่ที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิชั้นสาม… หายากเกินไปแล้ว! ถึงขั้นเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน!

เขามั่นใจว่าหากมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เป็นบรรพจารย์กระบี่ชั้นหนึ่งอยู่ จะต้องเกิดความปรารถนาหมายจะครอบครองที่ไม่อาจระงับได้เหมือนตนอย่างแน่นอน

ส่วนหลินสวิน ถูกเขามองข้ามโดยสมบูรณ์แล้ว

เศษเดนคีรีดวงกมลคนหนึ่ง คนรุ่นหลังระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น ในการประชันหมากครั้งใหญ่นั่น หากไม่ใช่เพราะมีคนคุ้มครองคงตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

และเช่นเดียวกัน ในการตามฆ่าครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะมีวิญญาณกระบี่คุ้มกัน เจ้าหมอนี่ไม่มีทางอยู่รอดจนถึงตอนนี้

ฉัวะ!

สิ่งที่ตอบกลับจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็ง กลับเป็นหนึ่งกระบี่ของเย่จื่อ ปราณกระบี่ราวสุริยันดวงโตพาดขวางกลางอากาศ เจิดจ้าแรงกล้า ปกคลุมทั่วฟ้า น่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขต

ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่ในใจหวาดกลัว ตกใจกับอานุภาพกระบี่นี้ ระดับจักรพรรดิหลายคนต่างกลั้นหายใจ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

วิญญาณกระบี่นี่ดุร้ายจนน่ากลัวตามคาด!

ทว่าในสายตาของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็ง ความองอาจของหนึ่งกระบี่นี้ยิ่งทำให้ในใจเขายิ่งมาดมั่น หมายจะกำราบเย่จื่อให้ได้

เหลือเชื่อเกินไปแล้ว วิญญาณกระบี่ดวงหนึ่งเท่านั้น กลับมีปราณกระบี่ชั้นเลิศเช่นนี้ เหนือกว่าที่เขาคาดไว้โดยสมบูรณ์

ตูม!

แม้ในใจจะคิดอยู่ แต่การกระทำของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งก็ไม่ได้ล่าช้า ฝ่ามือคว้าออกไป ปราณกระบี่แถบหนึ่งควบรวม กลายเป็นค่ายกลกระบี่ที่เย็นเยียบเสียดกระดูกทะยานออกมา

ปราณกระบี่แน่นขนัด พลังกฎเกณฑ์ชั้นสูงของระดับจักรพรรดิไหลพล่าน เจตกระบี่แผ่ออกมาทำให้ฟ้าดินปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งชั้นหนึ่ง

วู้ม!

กระบี่ที่เย่จื่อฟันออกมาราวกับปลาที่แข็งตัวในชั้นน้ำแข็ง หยุดชะงักกลางอากาศ จากนั้นแตกสลายทุกกระเบียด

และค่ายกลกระบี่ที่เย็นเยียบเสียดกระดูกนั่นก็ปกคลุมไปทางเย่จื่อ ราวกับกรงขังที่มาเยือนจากฟ้า ปิดทางหนีสี่ทิศแปดด้านของเย่จื่อ

เงาร่างของเย่จื่อพริบวาบ กลายเป็นปราณกระบี่ดุจมายาเป็นริ้วๆ พุ่งออกจากค่ายกลกระบี่อย่างง่ายดาย

“เยี่ยม!”

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งอดชมไม่ได้ “เยี่ยมจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้!”

ฆ่า!

ผู้ฝึกปราณของแต่ละขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกจักรพรรดิสงครามตะวันมงคลเปิดฉากล้อมโจมตีในยามนี้

เป้าหมายพุ่งตรงไปที่หลินสวินคนเดียว

ในดวงตาเย่จื่อวาบประกายคมกริบ เพิ่งคิดจะช่วยก็ถูกจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งที่โจมตีเข้ามาขวางกั้นเอาไว้

“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า” สีหน้าของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งเต็มไปด้วยความเร่าร้อน แววตาเหมือนจะกลืนกินวิญญาณกระบี่เย่จื่อทั้งเป็น

“ไสหัวไป!”

เย่จื่อแผ่เจตกระบี่ดุร้ายที่น่ากลัวล้นฟ้าออกมา หมายจะสู้สุดชีวิต

แม้พลังต่อสู้ของหลินสวินจะเย้ยฟ้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง จะต้านการเข่นฆ่าของผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจใหญ่ทั้งกลุ่มได้อย่างไร

ชั่วขณะนี้เย่จื่อร้อนรนอย่างแท้จริงแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินสวินเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมาก แม้ความทรงจำของเขาจะขาดหายไปมากนานแล้ว

ทว่าความรู้สึกของเขายังอยู่!

ชั่วขณะนี้ เย่จื่อได้กระทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน

เขาทิ้งโอกาสที่จะต้านการโจมตีของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็ง หมุนตัวไปอย่างไม่ลังเล พุ่งไปทางหลินสวิน

เด็ดเดี่ยวขนาดนั้น!

แววประหลาดแวบผ่านดวงตาของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งอย่างอดไม่อยู่

วิญญาณกระบี่มีความจงรักภักดีต่อนายของมันอย่างแท้จริง และนี่ก็คือจุดที่จักรพรรดิกระบี่ทุกคนให้ความสำคัญมากที่สุด

แต่จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งรู้ดีว่า นายของเย่จื่อไม่มีทางเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างหลินสวิน แต่ตอนนี้เย่จื่อกลับทำเช่นนี้!

ตอนที่หลินสวินเห็นภาพนี้ยังอดอึ้งงันไม่ได้ ในใจปั่นป่วนยิ่งยวด

เขาเพิ่งจะตระหนักได้ ว่าที่แท้ในใจเย่จื่อตนถึงกับสำคัญถึงเพียงนี้ สำคัญจนเขาไม่ห่วงแม้แต่ชีวิต…

ตูม!

ฟ้าดินปั่นป่วน

ทุกคนต่างดูออกว่า แม้เย่จื่อสามารถช่วยหลินสวินคลี่คลายสถานการณ์ได้ แต่จะต้องบาดเจ็บหนักเพราะการโจมตีของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งอย่างแน่นอน

นี่ก็เหมือนเงื่อนตายที่ไม่สามารถแก้ได้

หรือพูดอีกอย่างได้ว่า เย่จื่อไม่ห่วงชีวิตแล้วจริงๆ!

แต่ในช่วงเวลาที่อันตรายอย่างที่สุดนี้ เสียงอุทานอันแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เขาไม่ใช่นายของเจ้าด้วยซ้ำ เหตุใดต้องปกป้องด้วยชีวิต…”

ยามเสียงนี้ดังขึ้น เงาแสงที่ราวกับภาพมายาดวงหนึ่งอุบัติ กลายเป็นเงาร่างที่สูงเพรียวสง่างามสายหนึ่ง

นางยกมือขึ้น

วิญญาณกระบี่เย่จื่อที่สูงเพียงสามชุ่นก็ไปอยู่ในฝ่ามือนาง

ในขณะเดียวกันระหว่างที่นางยกมือขึ้น จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งราวกับถูกภูเขาใหญ่กระแทก ร่างกายกระเด็นถอยออกไปอย่างรุนแรง กระแทกห้วงอากาศจนทรุดตัว

ยามที่เขาทรงตัวได้ ก็กระอักเลือดอย่างกลั้นไม่อยู่ออกมาคำหนึ่ง!

ผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ที่โจมตีใส่หลินสวินเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับจักรพรรดิหรือระดับกึ่งจักรพรรดิคนอื่นๆ ล้วนหยุดชะงักในชั่วขณะนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

การโจมตีเดียวซัดจนจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งถอยกระเด็น นี่เป็นใครกัน!?

ก็เห็ฯว่าในสนามรบ เงาร่างที่ราวกับภาพมายานั่นสง่างาม ผิวกายภายนอกทับซ้อนด้วยกฎเกณฑ์ที่ราวกับสายโซ่ระเบียบ ละอองแสงพร่างพรมดุจหมอกควัน ขับให้นางดูโดดเด่นลึกลับ

เงาร่างนี้ ย่อมต้องเป็นซี

หลังจากนางปรากฏตัวก็เมินเหล่าผู้กล้าทั้งหมด มองไปยังเย่จื่อที่อยู่บนฝ่ามือ น้ำเสียงแฝงความปวดใจ “ที่แท้ก็เหมือนข้า เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง…”

เย่จื่อมองนางอย่างฉงนแวบหนึ่ง

หลินสวินอธิบายอยู่ข้างๆ “นี่คือ… ผู้อาวุโสซี เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าอย่าเอาชีวิตเข้าแลก มันไม่คุ้ม เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟัง”

เสียงแฝงความกล่าวโทษเสี้ยวหนึ่ง

ไม่รอเย่จื่อเอ่ยปาก ซีก็ผินหน้าไปมองหลินสวินคราหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้ายังรู้ว่าต้องให้ข้าช่วยด้วยหรือ”

ในเสียงแฝงความขุ่นเคืองเสี้ยวหนึ่ง

หลินสวินสีหน้าแข็งทื่อ อึดอัดใจเล็กน้อย

ในการประชันหมากครั้งใหญ่นั้น เดิมทีซีจะลงมือ ใครจะคิดว่าเหล่าศิษย์พี่คีรีดวงกมลทยอยปรากฏตัว ทำเอาซีที่เตรียมพร้อมลงมือนานแล้วกลายเป็น ‘ผู้ชม’ อีกครั้ง

ตอนนี้ในน้ำเสียงของซีเผยความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง เกรงว่าคงเพราะหลายปีมานี้ น้อยมากที่เขาจะเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจากซี

บางทีนี่อาจจะทำให้ซีรู้สึกไม่คุ้นชิน ราวกับว่าหลังจากนกน้อยปีกกล้าขาแข็ง ก็ไม่ต้องการให้อินทรีคุ้มกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตที่ละเอียดอ่อนนี้ ยากจะใช้คำพูดที่ตรงตัวมาอธิบาย

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งสีหน้าอึมครึม หว่างคิ้วเผยความตึงเครียด

ผู้แข็งแกร่งที่มาจากขุมอำนาจอื่นๆ ก็ประหลาดใจและสงสัยเช่นกัน ในใจหวาดหวั่น

การปรากฏตัวของซี ทำให้พวกเขาต่างมีลางสังหรณ์ไม่ดี เพราะฉะนั้นแม้เห็นนางคุยกับหลินสวินเหมือนอยู่กันสองคนบนโลก ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ

ถึงขั้นที่มีความคิดจะถอยหนีไม่ฆ่าคนแล้ว!

“เย่จื่อ”

ซีเคลื่อนสายตาไปมองวิญญาณกระบี่ในฝ่ามืออีกครั้ง เสียงที่ใสเย็นราวกับน้ำแข็งนั่นยังอ่อนโยนลงมากอย่างยากจะได้เห็น

“หืม?”

เย่จื่อประหลาดใจอยู่บ้าง เขาสามารถรับรู้ได้อย่างฉับไว ว่าหญิงลึกลับจนผู้คนมองไม่ทะลุตรงหน้าคนนี้ เหมือนจะ… ปกป้องดูแลตนเป็นพิเศษ…

“ข้าฆ่าเจ้าเฒ่าพวกนั้นให้เจ้าเป็นอย่างไร”

เสียงของซียิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม เพียงแต่คำที่นางพูดออกมากลับเต็มไปด้วยไอสังหารที่ไม่ปกปิดสักนิด

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งแค่นเสียงเย็นเยียบ ในใจกลับแตกตื่นระลอกหนึ่ง และเริ่มคำนวณว่าหากลงมือเต็มกำลัง ความเป็นไปได้ที่จะชนะมีเท่าไหร่

เย่จื่อคิดๆ แล้วชี้ไปที่หลินสวิน เอ่ยว่า “ไม่ใช่ช่วยข้า ช่วยเขาต่างหาก แล้วก็ ข้าไม่ชอบให้ใครช่วย”

ในใจหลินสวินพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ลอบตัดสินใจว่าต่อไปจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยรักษาเย่จื่อ!

กลับเห็นซีหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าหมอนี่อวดดียิ่ง ไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก”

สาบานกับฟ้า ว่านี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้เห็นซีเหน็บแนมตน พลันรู้สึกทั้งตกใจและประหลาดใจ สุดท้ายก็กลายเป็นยิ้มขื่น

จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงตระหนักได้ว่า ซีเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เมื่อก่อนนางเหมือนเทพธิดาบนสวรรค์ เย็นชาและเย่อหยิ่ง แทบไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

ทว่าหลายปีมานี้ เหมือนว่าในที่สุดนางก็แปดเปื้อนมลทินบนโลก เผยการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนของคลื่นอารมณ์และความรู้สึกบ้าง

นี่แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

เพียงแต่ตอนนี้หลินสวินทำได้เพียงยิ้มขื่น ซีกำลังตำหนิว่าหลายปีมานี้ยามเจอเรื่องอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา ตนกลับไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากนางอีก…

นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นความห่วงใยอีกแบบหนึ่ง

เขา… ยังจะพูดอะไรได้

“เขาไม่เอ่ยปากกับเจ้า เพียงแค่อยากพิสูจน์ว่าตนแข็งแกร่งมากพอแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าออกหน้า ก็เท่ากับกำลังช่วยเขา”

เย่จื่อคิดๆ แล้วพูดว่า “แม้ข้าไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้า แต่ข้ารู้ว่า มีเพียงคนที่รู้สึกผูกพันกันจึงจะทำเช่นนี้”

หลินสวินอึ้ง

ซีเองก็อึ้ง

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

“ในฐานะวิญญาณกระบี่ เจ้าจะเข้าใจเรื่องความรู้สึกอะไร”

ซีเคาะศีรษะเล็กของเย่จื่อคราหนึ่ง “พอแล้ว จะให้ศัตรูรอนานไม่ได้ ข้าจะไปฆ่าศัตรู”

ว่าแล้วนางก็เคลื่อนสายตาไปมองจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งที่อยู่ไกลๆ

พริบตานี้นางเหมือนกลับไปเป็นเทพเซียนที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง แผ่วพลิ้วดุจมายาอีกครั้ง

และก็เป็นพริบตานี้ที่จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งขนลุกไปทั้งตัว ความมั่นใจที่พอจะมีอยู่ในตอนแรกพลันหายไปสิ้น

เขามีเพียงความคิดเดียว…

หนี!

ตอนที่ 2053 เหตุการณ์สังหารมาเยือน
ห้วงอากาศเหนือหุบเขาแห่งหนึ่ง

ตูม!

กลิ่นอายของการต่อสู้ทะลวงฟ้า ชั้นเมฆสลายเป็นเสี่ยงๆ เงาร่างสองร่างตัดกันไปมาอยู่ภายใน ราวกับเทพสององค์กำลังต่อสู้เข่นฆ่า

มองอย่างละเอียด นั่นคือหลินสวินและจักรพรรดิกระบี่นภาประสานนั่นเอง

วิญญาณกระบี่เย่จื่อมองดูการต่อสู้อยู่

ตอนที่เห็นว่าหลินสวินในตอนนี้สามารถสู้กับจักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือที่พอๆ กันแล้ว วิญญาณกระบี่เย่จื่อเองก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้

สิบกว่าวันก่อน หลินสวินแพ้แล้วแพ้อีก ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิกระบี่นภาประสานเลย

แต่สิบวันหลังจากนั้น เขาก็สามารถปะทะซึ่งหน้ากับจักรพรรดิกระบี่นภาประสานได้แล้ว

การพัฒนานี้เรียกได้ว่าน่าตกใจ!

“ที่แท้ก็เป็นคนวิปริตคนหนึ่งจริงๆ…”

วิญญาณกระบี่เย่จื่อพึมพำ

คนรุ่นหลังระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิชั้นหนึ่ง กลับสามารถเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิแท้ซึ่งอยู่มายาวนาน นี่เหลือเชื่อเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานบาดเจ็บอยู่ สำแดงพลังต่อสู้ได้เพียงสองส่วนจากจุดสูงสุด แต่หลินสวินสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็ยังคงน่าตกใจมาก หากแพร่กระจายออกไปจะต้องทำให้ทั่วหล้าฮือฮาอย่างแน่นอน

ถึงอย่างไรระดับจักรพรรดิก็ประหนึ่งปราการสวรรค์ที่ไม่อาจก้าวข้าม

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยปรากฏตัวอย่างที่มกุฎกึ่งจักรพรรดิข้ามระดับปะทะระดับจักรพรรดิเช่นกัน!

แต่เห็นได้ชัดมาก ว่าหลินสวินกำลังสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน!

และวิญญาณกระบี่เย่จื่อก็ดูออกว่า กฎเกณฑ์กึ่งจักรพรรดิที่หลินสวินครอบครอง แม้มีข้อบกพร่อง แต่แทบจะใกล้เคียงกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิแท้ อีกทั้งมรรควิถีของเขาหนักแน่นยิ่งกว่าที่คาด ในสิบวันนี้ที่เคี่ยวกรำผ่านการต่อสู้ ก็ทำให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลงปานถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก…

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเหมือนค้อนยักษ์อันหนึ่ง ตีลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล็กแข็งที่มีคุณภาพระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างหลินสวินได้รับการฝึกฝนและยกระดับถึงขีดสุด

แน่นอนว่าวิญญาณกระบี่เย่จื่อเองก็ดูออกว่า การฝึกเช่นนี้เหมาะกับหลินสวินคนเดียว หากเปลี่ยนเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนอื่นๆ คงเละไปนานแล้ว ยังจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอะไร

ตูม!

สู้ถึงตอนท้าย สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวหลินสวินราวกับเดือดพล่าน ทำให้อานุภาพรอบตัวเขายกระดับขึ้นจนถึงขั้นสุดในทันที

เพียงพริบตา จักรพรรดิกระบี่นภาประสานก็ถูกหลินสวินกดข่ม ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ!

ภาพนี้ไม่เพียงทำให้วิญญาณกระบี่เย่จื่อตกใจ ยังทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานดวงตาเบิกโต ยากจะเชื่อ

ถูกกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งใช้เป็นเป้าในการฝึกฝีมือก็อับอายมากพอแล้ว แต่ตอนนี้ยังถูกกึ่งจักรพรรดิกดข่ม นี่ถึงขั้นสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิทุกคนเป็นบ้าได้

อันที่จริงจักรพรรดิกระบี่นภาประสานในชั่วขณะนี้ก็แทบจะบ้าแล้วจริงๆ ดวงตาแดงก่ำแล้ว

ช่วงที่ผ่านมานี้เขาทนต่อความอัปยศ บังคับตัวเองให้อดทนอดกลั้น เพื่อไขว่คว้าโอกาสชิงจับหลินสวินให้ได้ก่อนที่จะถูกตีจนสลบ

แต่ตอนนี้กลับดีนัก ยังไม่ทันถูกตีสลบ ก็ถูกหลินสวินกำราบไปก่อน นี่จะให้เขาทนได้อย่างไร

เห็นว่าจักรพรรดิกระบี่นภาประสานสู้สุดชีวิต เย่จื่อลงมืออย่างไม่ลังเล

เสียงตึงดังขึ้นคราหนึ่ง จักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่ใกล้คลั่งถูกตีสลบอีกครั้ง ร่างล้มลงทั้งอย่างนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเดือดดาล…

หลินสวินยังไม่สะใจ แต่ก็รู้ดีว่าหากจักรพรรดิกระบี่นภาประสานสู้เต็มที่ แม้จะบาดเจ็บรุนแรงเพียงใด พลังที่ปะทุออกมาก็ไม่มีทางที่ตนจะสามารถต้านทานได้

เขาถอนหายใจยาวคราหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินเข้ายานขนส่งอวกาศ เริ่มพิจารณาสิ่งที่ได้รับในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ทันที

เย่จื่อหิ้วตัวจักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่สลบอยู่ตามไปเงียบๆ

หลินสวินขยันมาก แม้มีพลังต่อสู้ที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้าแล้ว แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยความเย่อหยิ่งและประมาทเลยสักนิด กลับยิ่งตั้งใจฝึกฝน

นี่ทำให้เย่จื่อเองยังอดนับถือไม่ได้

ผู้ที่ประสบความสำเร็จในอดีต ไม่เพียงมีความสามารถโดดเด่น ต้องมีความพากเพียรอีกด้วย!

……

ตอนที่จักรพรรดิกระบี่นภาประสานฟื้นขึ้นมา สายตาก็อับแสงและว่างเปล่าแล้ว

จู่ๆ เขาก็พบว่า แม้ตนทนต่อความอับอายเพียงใด แต่สุดท้ายก็ยากจะหลุดพ้นจากชะตาชีวิตการเป็นเป้าไปได้

ตอนนี้เองจู่ๆ จักรพรรดิกระบี่นภาประสานก็ได้ยินเสียงของหลินสวิน

“เย่จื่อ ทำแผลให้เขา”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานอึ้ง เจ้าสวะน้อยนี่เจ้าเล่ห์เช่นนี้ จะต้องเล่นลูกไม้อย่างแน่นอน!

เขาหัวเราะเยาะ “เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าใช้วิธีเสแสร้งแกล้งทำดีเช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลหรือ ฝันไปเถอะ!”

กลับเห็นหลินสวินหยิบโอสถสมบัติชั้นเลิศที่ล้ำค่าอย่างที่สุดต้นหนึ่งออกมายื่นให้วิญญาณกระบี่เย่จื่อ พูดว่า “ให้เขากินซะ อย่างไรก็เป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ หลายวันมานี้ก็ประลองกับข้าหลายครั้ง คุ้มค่าให้ข้าทำเช่นนี้”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานอึ้งไปอีกครั้ง ประหลาดใจเล็กน้อย หรือเจ้าหมอนี่รู้สำนึกแล้วจริงๆ

เขาดูออกว่าโอสถสมบัติต้นนั้นหายากมากจริงๆ มูลค่าน่าตกใจ หากได้กินลงไป บาดแผลทั่วร่างของเขาจะต้องสามารถฟื้นตัวเจ็ดแปดส่วนแน่!

ทว่าไม่รอจักรพรรดิกระบี่นภาประสานดีใจ ก็ได้ยินหลินสวินพูดเสริมประโยคหนึ่ง “อย่าให้เขาฟื้นตัวในทันที ค่อยเป็นค่อยไป อ้อ ให้เขาฟื้นฟูพลังต่อสู้สามส่วนของพลังสูงสุดก็พอแล้ว”

ว่าแล้วเขาพลันลูบคาง เผยรอยยิ้มจากใจจริงพร้อมพูดว่า “เช่นนี้ จะได้ประลองกันต่อได้”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานหัวสมองมึนไปครู่หนึ่ง

ที่แท้… ที่แท้เจ้าหมอนี่ไม่ได้รู้สำนึก ที่ทำแผลให้ตน ก็เพื่อให้ตนเป็นเป้าต่อเท่านั้น!

ใบหน้าของเขามืดทะมึนราวกับก้นหม้อ เส้นเลือดตรงหน้าผากเกือบระเบิดออก โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว รังแกกันเกินไปแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว!

“มา อ้าปาก” วิญญาณกระบี่เย่จื่อเดินมา

“ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าสมใจหรอก!”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานตวาด เบิกตาโพลง ทว่าครู่ต่อมาท้ายทอยของเขาพลันเจ็บแปลบรุนแรงขึ้นมา ภาพตรงหน้ามืดมิด หมดสติไป

เย่จื่อบีบโอสถสมบัตินั่นจนแหลกละเอียดท่อนหนึ่ง ยัดเข้าปากของเขาทั้งอย่างนั้น แล้วจึงพูดว่า “เล่นงานเฒ่าชราแบบนี้ ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเชื่อฟังกัน”

หลินสวิน “…”

แม้แต่เขายังรู้สึกว่า ปฏิบัติกับระดับจักรพรรดิคนหนึ่งเช่นนี้ เหมือนจะหยาบคายไปหน่อย…

ตอนที่จักรพรรดิกระบี่นภาประสานตื่นมาอีกครั้ง สีหน้าชาไปหมดแล้ว

ไม่มีสิ่งใดน่าเศร้าเกินจิตใจตาย

ในสิบกว่าวันมานี้ เขารู้สึกเหมือนฝันร้าย ศักดิ์สิทธิ์และความเย่อหยิ่งถูกเย้ยหยันและเหยียบย่ำอย่างต่อเนื่อง ถึงตอนนี้…ไม่มีเกียรติให้พูดถึงแล้ว

ตอนที่หลินสวินประลองกับเขาอีกครั้ง เขาไม่ขยับเลยสักนิด ท่าทางจะฆ่าจะแกงก็ตามแต่

นี่ทำให้หลินสวนอดขมวดคิ้วไม่ได้ สภาวะจิตของเจ้าเฒ่านี่คงไม่ได้สลายไปแล้วหรอกนะ ไม่เช่นนั้น จะไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ได้อย่างไร

“ดูเหมือนว่า ควรจะเปลี่ยนคู่ประลองให้เจ้าแล้ว”

เย่จื่อเหมือนคิดอะไรอยู่ “ทีแรกข้ายังคิดอยู่เลยว่า หากเจ้าเฒ่านี่ให้ความร่วมมือ สุดท้ายจะไว้ชีวิตเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…”

“จริงหรือ”

พลันเห็นจักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่ราวกับซากศพเดินได้เหมือนได้สติในทันที สายตาเผยความปรารถนาในการอยู่รอดอย่างแรงกล้า

เย่จื่อพูดเสียงเรียบ “เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร อย่างน้อยยังมีหวังไม่ใช่หรือ”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานสีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้ ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง เหมือนได้ทำการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต กัดฟันพูด “ได้ เช่นนั้นข้าเชื่อพวกเจ้าสักหน่อย! มาเถอะ แค่จะประลองกับข้าไม่ใช่หรือ”

ดวงตาของเขาจ้องหลินสวิน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

หลินสวินยิ้มทันที ชูนิ้วโป้งให้เย่จื่อ

เย่จื่อสื่อจิตว่า ‘เจ้าเฒ่านี่ไม่ได้แสดงออกว่ายอมจำนนต่อความตายขนาดนั้น ที่ท่าทางราวกับหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือดนั่น ก็เพื่อรอคำพูดนี้ของข้า เจ้าอย่าถูกเขาหลอกเชียว’

หลินสวินสื่อจิต ‘ไม่ว่าในใจเขาจะคิดอย่างไร ในสายตาข้า เขายังคงเป็นเป้าอันหนึ่ง’

ว่าแล้วเขาก็พุ่งเข้าไป

‘ใช่ เป้าที่มีชีวิต…’

เย่จื่อมองก็ยิ้มอย่างยากจะเห็น

เมื่อไม่เกรงกลัวระดับจักรพรรดิอย่างสิ้นเชิงแล้ว สภาวจิตเช่นนี้ ก็สามารถเข้าถึงระดับจักรพรรดิแล้ว!

หลินสวินในตอนนี้ สิ่งที่ขาด ก็คือการทะลวงด่านในการฝึกปราณก็เท่านั้น

……

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่สามารถสำแดงพลังต่อสู้ได้สามส่วน กำราบจนหลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องทันที

และนี่ก็คือสิ่งที่หลินสวินอยากเห็น

การประลองและฝึกเช่นนี้ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ว่า ศักยภาพของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว!

วันที่สิบเก้าในการเดินทาง

พลบค่ำ

ผอมแห้งราวกับฟืน จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งที่กลิ่นอายทั่วตัวดุร้ายอย่างที่สุดมาแล้ว

เขามองเห็นจักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่กำลังเข่นฆ่ากับหลินสวินมาแต่ไกล ทั่วขณะนั้น เขาพลันมีความรู้สึกตาพร่าเบลอขึ้นมา

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…ที่มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งสามารถประชันกับจักรพรรดิกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่ง

ฉากที่เหลือเชื่อนี้ ทำให้จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งชะงักฝีเท้าอย่างควบคุมไม่อยู่ สายตาเลื่อนลอยเล็กน้อย จนปิดด่านแค่สามหมื่นเก้าพันปีเท่านั้น คนรุ่นหลังโลกภายนอกก็ดุดันถึงเพียงนี้แล้วหรือ

ในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเองก็สังเกตเห็นจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งแล้ว อึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นในใจพลันเกิดความดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในที่สุดตัวช่วยก็มาแล้ว!

ในฐานะระดับจักรพรรดิเหมือนกัน เขายังไม่รู้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งได้อย่างไร

“เยือกแข็ง…”

เขาอ้าปากจะตะโกน แต่บนหน้าผากกลับมีเสียงดังปัง กลิ่นอายที่คุ้นเคย แรงที่คุ้นเคย ความรู้สึกวิงเวียนที่คุ้นเคยพลุ่งพล่านไปทั่วตัวโดยพร้อมเพรียงกัน

จากนั้น ภาพตรงหน้าเขามืดมน พลันหมดสติไป

แม้แต่ความรู้สึกวิงเวียนเช่นนี้ เขากลับยังรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่สุดแล้ว…

“วิญญาณกระบี่นั่น!”

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งตาเป็นประกาย พลันจับต้องบนตัวเย่จื่อที่ตีจักรพรรดิกระบี่นภาประสานจนสลบ สายตาที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งไม่ปกปิดความคาดหวังของตนเลยสักนิด

ครื้นโครม!

พลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาม้วนตัวมาราวกับกระแสน้ำ ปกคลุมฟ้าดิน ภูเขาแม่น้ำรอบๆ ล้วนทรุดทลายอย่างไม่มีข้อยกเว้นกลายเป็นฝุ่นผง

ชั่วพริบตา สรรพสิ่ง ณ ที่แห่งนี้ทรุดสลาย เรือนมรรคจักรวาลปั่นป่วน

และฉากที่ราวกับทำลายล้างโลกนี้ เกิดขึ้นจากอานุภาพที่แพร่กระจายออกจากตัวจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งเท่านั้น!

อานุภาพของระดับจักรพรรดิขั้นหก เห็นออกอย่างหมดจด ณ ตอนนี้

เมื่อเทียบกันแล้ว จักรพรรดิกระบี่นภาประสานที่เป็นแค่ระดับจักรพรรดิหนึ่งชั้น ไม่เพียงพอเลยสักนิด

และชั่วขณะนี้เอง วิญญาณกระบี่เย่จื่อเองก็เผยสีหน้าตึงเครียด พูดว่า “หากอยู่ในสมัยบรรพกาล ข้าย่อมสามารถฟันคู่ต่อสู้ระดับนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้…”

ตอนนี้ได้ผ่านไปหนึ่งแสนปีแล้ว เย่จื่อที่พลังดั้งเดิมเสียหายอย่างหนักตั้งแต่แรก พลังที่ครอบครองได้สูญเสียไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่องแล้ว

แต่เย่จื่อไม่ได้อธิบาย เขาเพียงพูดอย่างจริงจังว่า “เดี๋ยวข้าสกัดเขาไว้ เจ้าหนีไปก่อน”

หลินสวินหรี่ดวงตาดำเล็กน้อย

คำพูดของเย่จื่อ ทำให้เขาตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา

“หนี? เป็นไปได้หรือ”

ไกลๆ เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น พลันเห็นรุ้งเทพอันงดงามกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทะลวงอากาศมา กลายเป็นเงาร่างผู้แข็งแกร่งมากมาย

ในนั้นไม่ขาดระดับจักรพรรดิ

อย่างเช่นจักรพรรดิสงครามตะวันมงคล

…………………………

ตอนที่ 2052 จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็ง
สำหรับคนอื่นๆ ถูกขุมอำนาจใหญ่แคว้นกลางมรรคตามฆ่า สามารถทำให้ทุกคนสิ้นหวังและพังทลายได้

แต่สำหรับหลินสวิน แทนที่จะบอกว่าถูกตามฆ่า ควรบอกว่าเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเร่งเดินทางเสียมากกว่า

ไม่ว่าสถานการณ์จะรุนแรงและอันตรายเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่จะมุ่งหน้าไปยังสำนักเร้นฤทธิ์เทพ

การเคี่ยวกรำและต่อสู้กับจักรพรรดิกระบี่นภาประสาน กลายเป็นบทเรียนบังคับระหว่างเร่งเดินทางของหลินสวินเพื่อฝึกพลังแห่งตน

อีกทั้งเพื่อความเข้าใจและการรับรู้ต่อพลังที่ระดับจักรพรรดิครอบครองก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หลังจากประลองกับหลินสวินหลายครั้งและถูกวิญญาณกระบี่เย่จื่อตีจนสลบ จักรพรรดิกระบี่นภาประสานจำต้องยอมรับความจริงหนึ่งอย่างเดือดดาล…

ระดับจักรพรรดิที่ทำให้ทั่วหล้าสะท้านสะเทือนอย่างเขา ตอนนี้ได้กลายเป็นเป้ามนุษย์อย่างแท้จริงแล้ว…

เวลาที่ต้องการ ก็จะถูกเอามาใช้

เวลาที่ไม่ต้องการ ก็จะถูกตีไปไว้ข้างๆ…

นี่ทำให้เขาอับอายจนแทบคลั่ง หลายต่อหลายครั้งที่เกิดความคิดจะฆ่าตัวตาย

กระทบกระเทือนจิตใจกันเกินไปแล้ว เป็นถึงระดับจักรพรรดิ กลับกลายเป็นเป้ามีชีวิตที่คนรุ่นหลังคนหนึ่งใช้ฝึกฝีมือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระดับจักรพรรดิคนใดได้รับความอับอายเหมือนเขาบ้าง

ไม่มี!

หากเรื่องเช่นนี้ถูกเผยแพร่ออกไป…

คิดถึงผลลัพธ์เช่นนั้น จักรพรรดิกระบี่นภาประสานพลันรู้สึกอยากตายขึ้นมา

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้ ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่กล้า

คนที่สามารถก้าวสู่ระดับจักรพรรดิอย่างเขา ชีวิตนี้ผ่านความทรมานและอันตรายมาไม่รู้เท่าไหร่ กว่าจะก้าวสู่เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิที่ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ในที่สุด

ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อยากฆ่าตัวตาย!

และคนเช่นจักรพรรดิกระบี่นภาประสาน ยิ่งมีสภาวะจิตที่แข็งแกร่งและเข้มแข็งอย่างที่สุด แม้อับอายแทบตายแต่ก็ได้แค่คิด

ถึงขั้นที่ตอนหลังในใจเขายิ่งเกิดความยึดมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จะต้องทำเวลา ฉวยโอกาสก่อนที่วิญญาณกระบี่สมควรตายนั่นจะตีตนสลบ จับเป็นหลินสวินเจ้าคนสมควรตายนั่น!

ความคิดยึดมั่นนี้ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความอัปยศชิงชัง บังคับตนให้อดทนต่อการถูกหยามเกียรติ หากมีความพยายามย่อมประสบความสำเร็จ จะต้องมีสักวันที่ได้ชำระแค้น ล้างความอับอายในอดีต!

กับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้สนใจสักนิด เขาเพียงแค่มองอีกฝ่ายเป็นเป้าฝึกฝนของตนเท่านั้น

วิญญาณกระบี่เย่จื่อเองก็ไม่ใส่ใจ ระดับจักรพรรดิหนึ่งชั้นคนหนึ่งเท่านั้น แม้เขาอยากให้ความสำคัญ… ก็ให้ความสำคัญไม่ไหว…

หากจักรพรรดิกระบี่นภาประสานรู้ความคิดของหลินสวินและเย่จื่อ ก็ไม่รู้ว่าจะล้มเลิกความยึดมึนที่บังคับตนให้อดทนต่อความอัปยศชิงชังในใจ แล้วฆ่าตัวตายให้สิ้นเรื่องหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้หลินสวินจะเร่งเดินทางอยู่ แต่ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์มาก

นอกจากฝึกคัมภีร์มหามรรคหวงถิง ฝึกจิตแห่งอวัยวะตันห้า ก็คือหาโอกาสต่อสู้แลกเปลี่ยนกับเป้ามีชีวิตอย่างจักรพรรดิกระบี่นภาประสาน

แม้พ่ายแพ้ซ้ำๆ สะบักสะบอมน่าอนาถ แต่กลับมีความสุข

……

สิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางนี้ไม่ได้ราบเรียบ ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยอันตรายและเคราะห์สังหาร

ศัตรูก็ราวกับพิษที่ฝังอยู่ในกระดูก มักสามารถจับร่องรอยการเคลื่อนไหวของหลินสวินได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

หลังจากนั้นล้วนทำการเคลื่อนไหวล้อมสังหารอย่างต่อเนื่องกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

แต่สำหรับหลินสวิน นี่ก็เหมือนเหยื่อมากมายที่เข้ามารนหาที่ตาย ระดับจักรพรรดิที่เก่งกาจ แน่นอนว่าให้เย่จื่อเป็นคนจัดการ

แต่ระดับกึ่งจักรพรรดิเหล่านั้น ให้หลินสวินเป็นคนจัดการ

น่าเสียดายที่ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินก็ไม่เจอคู่ต่อสู้ที่พอจะสู้ได้เลย

จากตอนแรกสุดที่พวกจักรพรรดิสงครามแรกสมโภชร่วงหล่น จนกระทั่งหลังจากนั้นที่เหล่าผู้กล้าทุกกลุ่มทยอยประสบเคราะห์ ข่าวก็ปิดไม่อยู่แล้ว

เผยแพร่ออกไประลอกแล้วระลอกเล่าดั่งกระแสน้ำ ถูกขุมอำนาจต่างๆ ที่กำลังตามจับหลินสวินรับรู้

“พวกจักรพรรดิสงครามแรกสมโภชร่วงหล่นแล้ว”

“พวกจักรพรรดิกระบี่นภาประสานก็พ่ายแพ้แล้ว”

“นอกเขาชุ่ยหยา พบศพของพวกจักรพรรดิแดนอุดร”

“พวกจักรพรรดิกระบี่สลาตัน แห่งเผ่านักรบผีสวรรค์หายไปหลายวันแล้ว ไม่มีข่าวใดๆ เผยแพร่มา เหมือนว่าประสบเคราะห์ไปแล้ว”

…กลิ่นอายต่างๆ ราวกับหิมะที่โปรยปราย เผยแพร่มาอย่างต่อเนื่อง

ทุกข่าวล้วนเรียกได้ว่าสะดุดใจ ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่หมดหวัง และไม่รู้ว่ามีระดับจักรพรรดิเท่านั้นสั่นสะท้าน

ครั้งนี้เพื่อสังหารหลินสวิน ขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่ในแคว้นกลางมรรคที่เรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคยุทธจักรสามเรือนมรรคใหญ่เป็นผู้นำ ร่วมมือกับขุมอำนาจสิบเผ่านักรบใหญ่และกลุ่มเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ลงมือพร้อมกัน เรียกได้ว่าอานุภาพเกรียงไกร ขบวนแข็งแกร่งยิ่งใหญ่อย่างที่สุด

จากที่รวบรวมเพียงแค่ระดับจักรพรรดิ ก็เคลื่อนไหวออกมาเกือบยี่สิบคนแล้ว!

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการต่อสู้ คนที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ จำนวนมากมายมหาศาล ล้วนอาละวาดบนล่างทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างไม่เกรงเกรง

เดิมทีคิดว่า คู่ต่อสู้จะเป็นแค่มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ไม่มีทางสร้างความฮือฮาอะไรได้

แต่ตอนนี้ สิบกว่าวันที่ตามฆ่า กลับพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง แม้แต่ระดับจักรพรรดิยังสูญเสียและร่วงหล่นคนแล้วคนเล่า!

นี่จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร

ระดับจักรพรรดิ สูงส่งชั้นเลิศ สยบทั่วหล้า ในระยะเวลาไม่รู้เท่าไหร่ที่ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิบรรพกาลสิ้นสุดลงจนถึงตอนนี้ แทบไม่เคยได้ยินเรื่องที่ระดับจักรพรรดิร่วงหล่นเกิดขึ้น

แต่หลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้นสิ้นสุดลง ระดับจักรพรรดิผู้สูงส่งที่ทำได้เพียงชื่นชม ร่วงหล่นดวงแล้วดวงเล่าราวกับดาวหาง

นี่เดิมทีก็ทำให้ทั่วหล้าตกอยู่ในความโกลาหล เกิดความฮือฮาที่กระทบทั่วหล้า ใครจะคิดว่า หลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่จบลง เพียงแค่ตอนตามจับเศษซากตระกูลสารเลวคนหนึ่งของคีรีดวงกมลเท่านั้น กลับเกิดเรื่องราวนองเลือดที่จักรพรรดิร่วงหล่นราวกับพิรุณอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่สามารถรับได้คือ คนที่สังหารระดับจักรพรรดิเหล่านั้น เป็นเพียงแค่คนรุ่นเยาว์ที่มีพลังปราณมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น!

ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นเพิ่งจะตระหนักได้อย่างกะทันหันว่า เป้าหมายที่จะสังหารในครั้งนี้ กลับรับมือยากขึ้นมา

“ทุกคนต้องระวัง เจ้าหมอนี่มีวิญญาณกระบี่ติดตามอยู่ พลังสังหารน่าตกตะลึง ระดับที่ต่ำกว่าจักรพรรดิขั้นสาม ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวิญญาณกระบี่นี่”

ไม่นาน ในที่สุดทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณกระบี่เย่จื่อ ทำให้ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นต่างอดสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจไม่ได้

วิญญาณกระบี่สายหนึ่งเท่านั้น กลับมีอานุภาพสังหารจักรพรรดิเช่นนั้นหรือ

คิดๆ แล้วชวนให้ใจสั่น

“นี่จะต้องเป็นวิธีคงชีพที่พวกเศษซากตระกูลสารเลวคีรีดวงกมลทิ้งไว้ให้เจ้าหมอนี่ก่อนไปอย่างแน่นอน!”

“รีบขอความช่วยเหลือ ข้าว่า มีเพียงแค่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิขั้นห้าเท่านั้น จึงจะสามารถกำราบวิญญาณกระบี่นั่นได้”

“แต่…เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าร่วมศุภโชคเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนก้าวสู่มรรคาแห่งฟากฟากฝั่งฟ้าดาราแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลือต้องควบคุมสถานการณ์อยู่ในประตูเมือง จะเชิญมาง่ายๆ ได้อย่างไร”

“เชิญไม่ได้ก็ต้องเชิญ! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากฆ่าไอ้สารเลวตัวเล็กๆ นี่ไม่ได้ ทั้งเบื้องบนและล่างทางเดินโบราณฟ้าดาราจะมองเราอย่างไร”

เหล่าขุมอำนาจใหญ่ที่ตามฆ่าหลินสวินปรึกษาหารือแผนการอย่างใกล้ชิด สุดท้ายตัดสินใจว่าจะขอความช่วยเหลือจากสำนักที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อกำราบสังหารวิญญาณกระบี่ข้างกายหลินสวิน!

“วิญญาณกระบี่เช่นนั้นหรือ”

เรือนมรรคยุทธจักร ในถ้ำใต้ดินที่มืดสลัวและเย็นเยียบแห่งหนึ่ง ชายที่รูปร่างผอมราวกับฟืนคนหนึ่งลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน สายตานั่นราวกับกระบี่ฟ้าที่สะดุดตา ส่องสว่างถ้ำอันมืดสลัว

ข้างๆ คนใช้ชราคนหนึ่งพูดอย่างเคารพ “ใช่แล้ว จากที่ได้ยินวิญญาณกระบี่นั่นดุดันอย่างที่สุด ระดับที่ต่ำกว่าจักรพรรดิขั้นสาม ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หากไม่ใช่เพราะมีเขาขัดขวาง ไอ้สารเลวสกุลหลินนั่นถูกเขา…”

ไม่รอพูดจบ ก็ถูกชายที่ผอมแห้งราวกับฟืนนั่นตัดบท “ข้าสนใจแค่วิญญาณกระบี่!”

ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้น พลันราวกับกระบี่เทพที่หลับใหลมาพันโบราณเล่มหนึ่งเผยประกายแหลมคมในความมืด กลิ่นอายอันน่ากลัวแพร่กระจาย กดขี่จนคนใช้ชราคนหนึ่งนั่งหมอบบนพื้น แทบจะหยุดหายใจ

“บอกร่องรอยของวิญญาณกระบี่นั่นกับข้า”

ชายรูปร่างผอมแห้งเดินออกไป

“รับทราบ!”

คนใช้ชราตอบรับเสียงสั่น

วันนี้ จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งแห่งเรือนมรรคยุทธจักรที่ปิดด่านมาสามหมื่นเก้าพันปีเดินออกจากถ้ำ หมายจะจับวิญญาณกระบี่เพื่อใช้เอง

ได้รู้ข่าวนี้ เหล่าขุมอำนาจที่ตามจับหลินสวินต่างโล่งอกอย่างไม่มีข้อยกเว้น คาดหวังอย่างควบคุมไม่อยู่

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็ง การดำรงอยู่อันน่ากลัวที่เข้าถึงขั้นที่หกแห่งระดับจักรพรรดิ มรรคกระบี่ทั้งชีวิต แข็งแกร่งชั้นเลิศ พลังอำนาจยิ่งใหญ่!

ตอนที่ไท่ซูหงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์รู้ข่าวนี้ ยังอดขำออกเสียงไม่ได้

จักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดคนหนึ่งจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับระดับจักรพรรดิมากมายที่เข้าร่วมการประชันหมากครั้งใหญ่ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งถึงไหน ถึงขั้นสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

อย่าว่าแต่เหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเลย แม้ซย่าสิงเลี่ยจักรพรรดิกระบี่ยอดมารลงมือ ยังสามารถกำราบจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งนี่ได้อย่างง่ายดาย!

“จะโทษก็ต้องโทษที่แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง…”

ไท่ซูหงส่งเสียงถอนหายใจ สายตามองไปยังส่วนลึกของฟ้าดารา

พอมรรคาที่เชื่อมสู่ฟากฟากฝั่งฟ้าดาราปรากฏขึ้น ช่วงที่ผ่านมานี้ เบื้องบนและล่างทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่จำศีลมานานแล้วไม่รู้เท่าไหร่จากไป และไม่รู้ว่ามีระดับจักรพรรดิเท่าไหร่ก้าวสู่การเดินทางสู่อีกฝั่ง

แม้แต่ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ เดิมมีเฒ่าดึกดำบรรพ์บรรพจารย์จักรพรรดิเก้าคนควบคุมสถานการณ์ แต่ตอนนี้จากไปจนเหลือเพียงสองคนแล้ว!

เทียบกันเช่นนี้ ในขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ ก็ต้องเป็นเช่นนี้!

พอบรรดาการดำรงที่ติดอยู่ในระดับบรรพกาลหลายปีเห็นความหวังที่จะทะลวงระดับปรากฏ ใครยังจะจำยอมอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราต่อ

ไท่ซูหงเองก็อยากไปฟากฝั่งฟ้าดารา แต่เขาไปไม่ได้

เพราะเขาคือเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์

ไท่ซูหงรู้ดีว่า แม้พวกเจ้าเฒ่าที่จากไปมากมาย แต่ก็มีเจ้าเฒ่าจำนวนไม่น้อยอยู่ต่อ

เหตุผลถือว่าเดาง่าย ’ฟ้า’ …ของทางเดินโบราณฟ้าดาราเปลี่ยนแล้ว!

ในอนาคต ขุมอำนาจและสถานการณ์ทั่วหล้าจะล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง ดูซิว่าขุมอำนาจใหญ่ใดจะคว้าโอกาสไว้ได้!

“พวกเจ้าน่ะ เพื่อล้างความอับอายเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเพื่อศุภโชคและวาสนาบนตัวของเจ้าหมอนี่ก็เท่านั้น…”

ไท่ซูหงเผยสีหน้าขี้เล่น ราวกับเย้ยหยันและเหมือนถอนใจ

ความแข็งแกร่งของคีรีดวงกมล พอหลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้นสิ้นสุดลง ทำให้ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราต่างตะลึงนานแล้ว

ส่วนหลินสวินนั่น มีมรดกดวงกมลกับตัวและควบคุมศุภโชคบรรลุจักรพรรดิ ใครสามารถจับเขาได้ ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่เหนือจินตนาการ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่การตามฆ่าครั้งแรกมีขุมอำนาจใหญ่มากมายขนาดนั้นลงมือพร้อมกัน!

ไม่เช่นนั้น เพียงเพื่อระบายความโกรธ ใครจะเสียพลังเพียงนี้ เคลื่อนกำลังระดับจักรพรรดิมากมายเพียงนี้

ไท่ซูหงเห็นทุกอย่างในสายตา แม้ในใจดูถูกการกระทำเช่นนี้ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าร่วมอยู่แล้ว

ว่ากันถึงแก่นแท้ เรือนมรรคโลกาสวรรค์สามารถดำเนินอยู่จนถึงตอนนี้ได้ สิ่งที่พึ่ง สิ่งแรกคือรากฐานพลังของตนแข็งแกร่งพอ สิ่งที่สองคือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีท่าที ‘เป็นกลาง’ มาโดยตลอด!

แต่ช่วงนี้ไท่ซูหงกลับจิตใจไม่สงบนัก

เขามีลางสังหรณ์หนึ่ง ตอนที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนต่อไปปรากฏตัว บนทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอน!

………………………..

กระบี่บินสามชุ่น เล็กอย่างที่สุด

แต่ตอนที่มันฟันออกมา ก็เหมือนสุริยันดวงโตที่ส่องสว่างท้องฟ้าเพียงหนึ่งเดียว ประกายแสงหมื่นจั้ง

ปราณกระบี่นั่นยิ่งมีความบ้าคลั่งอย่างที่สุด ให้ความรู้สึกราวกับว่าแม้ฟ้าดินขวางกั้น หยินหยางห่างกัน เป็นตายอยู่ตรงหน้า

ฟันหนึ่งกระบี่ก่อนค่อยว่า!

ก็เห็นละอองแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ของกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิเต็มท้องฟ้านั้น พังทลายกลางอากาศอย่างพร้อมเพรียงในชั่วพริบตา เหมือนฟางกำหนึ่งที่ถูกตัดเรียบร้อย

และเท่าที่กระบี่ไปถึง เฒ่าชราที่ยืนห่างไปหลายพันจั้งกระอักเลือดคราหนึ่ง ถูกปราณกระบี่ทำร้าย อวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส!

เงาร่างของเขาส่ายโอน แทบจะร่วงหล่นจากอากาศ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

อานุภาพหนึ่งกระบี่ กลับบ้าคลั่งอย่างที่สุด!

กึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นต่างสะท้านสะเทือน ขนลุกไปทั้งตัว

เฒ่าชราคนนี้มาจากเรือนมรรคยุทธจักร ฉายา ‘จักรพรรดิสงครามแรกสมโภช’ บุคคลระดับจักรพรรดิที่เก่งกาจสมชื่อ มีพลังปราณระดับจักรพรรดิหนึ่งชั้น

แม้เทียบกับมหาจักรพรรดิคนอื่นๆ แล้ว ระดับจักรพรรดิหนึ่งชั้นก็ไม่เท่าไร ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นระดับจักรพรรดิแท้คนหนึ่ง!

ทอดสายตามองไปทั่วหล้า ยังเรียกได้ว่าผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า

แต่ตอนนี้จักรพรรดิสงครามแรกสมโภชถูกหนึ่งกระบี่ฟันจนบาดเจ็บสาหัส!

กระบี่บินสามชุ่นเล่มนี้ แน่นอนว่าเป็นวิญญาณกระบี่เย่จื่อ

แม้เป็นวิญญาณกระบี่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่เมื่อนานมาแล้วจักรพรรดิอสนีดับสูญและจวินหวนร่วมมือกัน ก็ไม่สามารถพามันออกจากเขาปู้โจวได้

แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของวิญญาณกระบี่เย่จื่อดุร้ายเพียงใด

“ไป!”

จักรพรรดิสงครามแรกสมโภชเลือกหนีอย่างไม่ลังเล

ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่า การคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนถูกต้อง ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นแม้จะจากไปแล้ว แต่กลับทิ้งวิธีรักษาชีพจำนวนไม่น้อยไว้ให้หลินสวิน

อย่างเช่นวิญญาณกระบี่เล่มนั้น ก็น่ากลัวจนไม่สามารถจินตนาการได้!

“เย่จื่อ”

หลินสวินเพิ่งจะอ้าปากก็ประหนึ่งสื่อใจถึงกัน วิญญาณกระบี่เย่จื่อกลายเป็นแสงกลุ่มหนึ่งก่อนแล้ว วาดกวาดห้วงอากาศเป็นแนวยาว ไล่สังหารจักรพรรดิสงครามแรกสมโภช

“ตอนนี้เหลือแค่พวกเราแล้ว”

สายตาของหลินสวินมองไปยังระดับกึ่งจักรพรรดิเหล่านั้น เผยรอยยิ้มเบิกบาน

ตั้งแต่ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ เขายังไม่เคยต่อสู้สักเท่าไหร่ นอกจากตอนที่สังหารพวกจิ่งเทียนหนาน ซางจื่อเหยี่ยนที่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ

“หนี!”

กึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นตกใจนานแล้ว เห็นจักรพรรดิสงครามแรกสมโภชที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาหนีไปแล้ว พวกเขาจะกล้าปะทะกับหลินสวินเสียที่ไหน

ชั่วขณะเดียวต่างหนีกันหมด แต่ละคนใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี แค้นที่ไม่อาจมีขาเพิ่มอีกสักสองข้าง

ฟุ่บ!

หลินสวินเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ เงาร่างดุจลำแสงพริบวาบ ทุกครั้งที่ปรากฏ จะพรากชีวิตของกึ่งจักรพรรดิไปหนึ่งคน เลือดสาดกระเซ็นราวกับดอกไม้ไฟ

ในเวลาสั้นๆ ก็มีกึ่งจักรพรรดิสี่คนถูกสังหาร ล้วนไม่อาจต้านหลินสวินได้แม้แต่หนึ่งกระบวนท่า ถูกกำราบสังหารราวกับกระดาษเปื่อยยุ่ย

ตอนที่หลินสวินเตรียมจะตามไปโจมตีกึ่งจักรพรรดิสองคนที่เหลือนั่น

วู้ม!

กระบี่ครวญดุดันท่วมฟ้าดังก้องขั้น ก็เห็นว่าไกลออกไปปราณกระบี่ที่แสบตาอย่างที่สุดพริบวาบ กึ่งจักรพรรดิทั้งสองที่หนีไปนานแล้วก็เหมือนฟองสบู่แตก จิตสิ้นวิญญาณสลาย

และในเวลาเดียวกัน วิญญาณกระบี่เย่จื่อหวนกลับ

หลินสวินอดพูดไม่ได้ “เจ้าหมอนั่น…”

“ฆ่าแล้ว”

เย่จื่อเสียงต่ำลึก มันแปลงเป็นแสงกลุ่มหนึ่งซุ่มจำศีลอยู่ระหว่างเส้นผมของหลินสวินอีกครั้ง ไอดุดันหายไปไม่เหลือ สงบจนไม่มีกลิ่นอายใดๆ

หลินสวินแอบยิ้มขื่นอย่างอดไม่ได้

หลังจากสังหารระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ยังถือโอกาสช่วยตนกำจัดกึ่งจักรพรรดิสองคนไปด้วย พลังต่อสู้ของเย่จื่อ… ร้ายกาจเกินไปแล้ว

หลินสวินพึมพำ “คราวหน้าหากเจอระดับจักรพรรดิอีก พยายาม… ไว้ชีวิตอีกฝ่ายหน่อย”

“เพราะเหตุใด”

เย่จื่อไม่เข้าใจ

หลินสวินดวงตาลึกล้ำ เลียริมฝีปากคราหนึ่งกล่าวว่า “ข้าขาดคู่ต่อสู้ หรือพูดอีกอย่างว่าขาดเป้าในการฝึกพลังต่อสู้แห่งตน กึ่งจักรพรรดิทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้านานแล้ว และบนโลกนี้ มกุฎกึ่งจักรพรรดิน้อยยิ่งกว่าน้อย ดังนั้นจึงทำได้เพียงเลือกระดับจักรพรรดิบางส่วนมาเป็นคู่มือ”

คำพูดนี้หากถูกคนอื่นได้ยินจะต้องตกใจจนอึ้งงันไปอย่างแน่นอน มองระดับจักรพรรดิเป็นเป้าในการฝึกตนเองหรือ

ทั่วหล้าทั้งบนล่างทางเดินโบราณฟ้าดารา ระดับกึ่งจักรพรรดิคนใดกล้าอวดดีเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็จะต้องถูกกำจัด!

แต่เย่จื่อกลับท่าทางเข้าใจ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าลงมือคราวหน้าจะยั้งมือไว้สักหน่อย”

หลินสวินยิ้มทันที พลันนึกถึงเรื่องหนึ่ง “เย่จื่อ ตอนนี้มีโอกาสมุ่งหน้าสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราแล้ว คราวก่อนข้าให้เจ้ากับผู้อาวุโสจี้เสวียนจากไปพร้อมกัน เหตุใดกลับไม่ตอบรับ”

หลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้นสิ้นสุดลง หลินสวินเคยพูดถึงเรื่องนี้กับวิญญาณกระบี่เย่จื่อ

“ข้าเพียงแต่คุ้นเคยกลิ่นอายของเจ้า”

เย่จื่อพูด “และได้แต่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถพาข้าไปได้”

หลินสวินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าน้อยๆ

นี่เป็นความรู้สึกเชื่อมั่นที่มหัศจรรย์และแปลกมาก แต่หลินสวินเชื่อว่านี่เป็นความจริง

หลินสวินไม่ได้ชักช้า ควบคุมยานขนส่งอวกาศเดินทางต่อ

สองวันหลังจากนั้น

หลินสวินถูกปิดล้อมอีกครั้ง ถูกผู้แข็งแกร่งที่มาจากเรือนมรรคจักรวาลตามมาทัน ผู้นำก็เป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดิกระบี่นภาประสาน’

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเชื่อมั่นมาก มากยิ่งกว่าจักรพรรดิสงครามแรกสมโภช ทันทีที่ตามหลินสวินทันก็พูดเพียงประโยคเดียว

“อยากตายอย่างไร”

คำสั้นๆ สี่คำ เผยท่าทางแข็งกร้าวถึงขีดสุด

ทว่าเพียงครู่เดียวเสียงโหยหวนของจักรพรรดิกระบี่นภาประสานก็เริ่มดังขึ้นกลางฟ้าดินแห่งนี้ไม่ขาดสาย ราวกับภูตผีกำลังร่ำไห้อย่างไรอย่างนั้น

แน่นอนว่าวิญญาณกระบี่เย่จื่อลงมือแล้ว

สุดท้ายจักรพรรดิกระบี่นภาประสานถูกโจมตีรจนบาดแผลเต็มตัว เลือดสดไหลเป็นสาย ราวกับเหยื่อถูกจับเป็น

เหล่ากึ่งจักรพรรดิที่มากับเขาล้วนถูกหลินสวินสังหารสิ้นซาก ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเจอการขัดขวางและเรื่องไม่คาดฝันใดๆ

อันที่จริง ตอนที่ฆ่ากึ่งจักรพรรดิเหล่านี้ หลินสวินอดรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องใช้พลังไปกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ด้วยซ้ำ

ไม่ใช่ว่ากึ่งจักรพรรดิเหล่านี้ไม่แข็งแกร่งพอ แต่พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ อยู่ในระดับที่กึ่งจักรพรรดิเหล่านี้ไม่สามารถสู้ได้นานแล้ว

“เจ้าคิดจะทำอะไร”

ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ตอนที่จักรพรรดิกระบี่นภาประสานได้สติหลังจากสลบไสล ก็เห็นหลินสวินคล้ายรออยู่ที่นั่นนานแล้ว แววตานิ่งสงบ มีเพลิงประหลาดลุกโหม ราวกับสัตว์ปีศาจที่จับจ้องเหยื่อ คันไม้คันมือเต็มไปด้วยความคาดหวัง

นี่ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเดือดดาลจนแทบคลั่ง โกรธจนหน้าเขียวไปหมด

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนรุ่นหลังคนหนึ่งกล้าใช้สายตากำเริบเสิบสานเช่นนี้มองเขา

ชั่วขณะนี้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานรู้สึกเหมือนสาวแรกรุ่นถูกปีศาจลามกจับจ้อง รู้สึกอึดอัดไปทั่วตัวระลอกหนึ่ง

ก็เห็นหลินสวินกระดิกนิ้ว “มา สู้กับข้า”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานอึ้งไป โกรธถึงขีดสุดจนหัวเราะออกมา เจ้าหมอนี่คิดว่าตนบาดเจ็บสาหัสก็เลยจะดูถูกตนได้จริงๆ หรือ

ช่างไม่รู้ดีชั่ว!

เขาพยายามหยัดตัวขึ้น สะบัดหัวที่มึนงงเล็กน้อย สายตากวาดมองรอบๆ อย่างระแวง พูดด้วยเสียงเด็ดขาด “เจ้าสวะตัวจ้อย สิ่งที่เจ้าพึ่งพาก็คือวิญญาณกระบี่นั่น หากต้องการใช้วิธีนี้มาดูถูกข้า เช่นนั้นเจ้าคิดผิดแล้ว!”

“แค่ต่อสู้เท่านั้น พูดไร้สาระมากอะไรขนาดนี้”

หลินสวินว่าพลางร่างพริบไหวกลางอากาศ เริ่มการจู่โจม

ตูม!

เขาโคจรพลังของตนถึงขีดสุด พลังกฎเกณฑ์มหามรรคทับซ้อนเป็นสายๆ สว่างไสวสะดุดตา ราวกับมังกรหลายตัวท่องทะยาน ผงาดผยองและแข็งกร้าว

เมื่อเขาต่อยหนึ่งหมัดออกไป ห้วงอากาศยุบทลายทันที ภูเขาที่เรียงรายกันเป็นคลื่นถล่มลงหลายลูก ทำให้สัตว์ปีศาจในป่าไม่รู้เท่าไหร่ตกใจเสียขวัญ

นี่คือพลังสุดกำลังของมกุฎกึ่งจักรพรรดิ!

ตั้งแต่เริ่มลงมือ หลินสวินก็ไม่ได้ออมมือใดๆ เขาเคยเห็นอานุภาพของระดับจักรพรรดินานแล้ว รู้ถึงความน่ากลัวของระดับจักรพรรดิยิ่งกว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ

มังกร ต่อให้บาดเจ็บสาหัสก็ยังคงเป็นมังกร ถูกกำหนดให้แตกต่างจากมดปลวก

ดังเช่นจักรพรรดิกระบี่นภาประสาน แม้บาดเจ็บรุนแรงเพียงใดก็ยังเป็นระดับจักรพรรดิที่ควรค่า!

“นี่เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเผยความเหี้ยมโหด ตวัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ปราณกระบี่ราวกับน้ำตกม้วนตัวออกไป สะเทือนกลางฟ้าดิน กระบี่คำรามราวกับฟ้าร้อง

พริบตาเดียวพลังหมัดของหลินสวินก็ถูกโจมตีพินาศ เงาร่างถูกซัดเซถอยออกไป

เขาไม่เพียงไม่ตกใจ กลับยังดีใจเสียอีก ในดวงตาดำไอสังหารพลุ่งพล่าน ราวกับตะวันดวงโตที่ลุกโชนคู่หนึ่ง สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วตัวล้วนเดือดพล่าน

“มาอีก!”

เขาพุ่งเข้าไป สำแดงมรรคและวิชาของตนถึงขีดสุด ปลดปล่อยอย่างเอาแต่ใจ

เมื่อจักรพรรดิกระบี่นภาประสานสังเกตเห็นว่าวิญญาณกระบี่นั่นไม่ได้ยื่นมือมาก็ผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง แววตาวูบไหว ตัดสินใจจะจับหลินสวินเป็นตัวประกัน

ตูม!

เขาเองก็ไม่ออมมืออีก ลงมือเต็มกำลัง ปราณกระบี่รอบตัวพุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

เขาในตอนนี้แม้จะบาดเจ็บสาหัส สำแดงพลังต่อสู้เพียงสองส่วนของยามพร้อมสมบูรณ์เท่านั้น แต่อานุภาพของระดับจักรพรรดิยังคงเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน น่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขต

ฟ้าดินแห่งนี้สั่นไหว ภูผาธาราถล่มทลาย พื้นดินแตกระแหง เวิ้งฟ้าชั้นเมฆทรุดตัว พลังทำลายล้างน่ากลัวราวกับลมมรสุม ซัดกระหน่ำสิบทิศอย่างบ้าคลั่ง

ในช่วงเวลาสั้นๆ หลินสวินก็ถูกโจมตีพ่ายไปหลายสิบครั้ง ราวกับมดเขย่าต้นไม้ เห็นได้ชัดว่าสะบักสะบอมยากลำบาก

ทว่าทุกครั้งที่ถูกโจมตีถอยออกไป เขาก็ยังพุ่งไปอีกครั้ง ต่อสู้เต็มที่ มีท่าทียิ่งพ่ายแพ้ยิ่งกล้าหาญ ยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง

นี่ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานเองยังรู้สึกประหลาดใจ เขาอยากจะจับหลินสวินมาเป็นตัวประกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง

พลังต่อสู้พลิกฟ้าที่หลินสวินเผยออกมา ทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนระลอกหนึ่ง

ควรรู้ว่าเขาเป็นถึงระดับจักรพรรดิแท้ แม้บาดเจ็บสาหัส แต่พลังที่ครอบครองและมรรควิถีที่มี ก็ยังสามารถสังหารระดับกึ่งจักรพรรดิแห่งยุคได้ทุกคน

แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถทำอะไรคนรุ่นหลังที่เพิ่งก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างหลินสวินได้ นี่จะไม่ให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานตกใจได้อย่างไร

อย่างน้อยในประสบการณ์ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้นานเท่าไหร่ของเขา ก็ไม่เคยได้ยินว่าบนโลกนี้จะมีคนเช่นนี้!

ทว่าจักรพรรดิกระบี่นภาประสานเองก็ดูออกว่า หลินสวินยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว

ตูม โครม!

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ชั่วขณะที่โจมตีหลินสวินจนยับเยินอีกครั้ง จักรพรรดิกระบี่นภาประสานโฉยโอกาส คว้ามือออกไปอย่างกะทันหัน จะจับหลินสวินทั้งเป็นเหมือนหนอนตัวหนึ่ง

ทว่าตอนนี้เอง…

เสียงตึงดังขึ้นคราหนึ่ง จักรพรรดิกระบี่นภาประสานรู้สึกเพียงว่าตรงท้ายทอยราวกับถูกค้อนหนักกระแทก ภาพตรงหน้ามืดมนลง การรับรู้พร่าเบลอลง หมดสติไป

ก่อนจะหมดสติ ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจที่พูดไม่ออก เป็นถึงระดับจักรพรรดิ กลับถูกคนตีจนหมดสติ…

คนที่ตีก็คือวิญญาณกระบี่เย่จื่อนั่นเอง

เย่จื่นมองหลินสวินที่ถูกตีจนหน้าบวมช้ำ สะบักสะบอมน่าเวทนาถึงขีดสุด อดพูดอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนี่ง ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เป็นไร”

เย่จื่อถาม “เช่นนั้น…ยังจะเห็นระดับจักรพรรดิเป็นเป้าหรือไม่”

“เห็น!”

หลินสวินกัดฟัน ดวงตาดำสว่าง เขาที่ใบหน้าบวมช้ำพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าสามารถสังเกตได้ว่า ฝึกเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแค่พลังต่อสู้ของข้าจะเปลี่ยนแปลง ยังสามารถทำให้ความเข้าใจต่อพลังระดับจักรพรรดิของข้ายกระดับไปอีกขั้น!”

เย่จื่อขานรับว่าอ่อ ท่าทางเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง พูดว่า “ที่แท้เจ้าก็ชอบยกระดับพลังต่อสู้ตอนถูกทารุณ ช่างเป็นคนวิปริตจริงๆ”

หลินสวิน “…”

Manga Info

ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณก็เหมือนช่องทางในเมืองแต่ละเมือง ระหว่างค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณคนละที่ สามารถขนส่งเคลื่อนย้ายไปหากันได้

ตามแผนการเดินทางของหลินสวิน ไปเยือนแคว้นวิญญาณหมอกคราวนี้ต้องเข้าสามสิบเก้ามือง ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่แตกต่างกัน จึงจะสามารถไปถึงอย่างราบรื่น

นี่เป็นตัวเลือกที่ประหยัดเวลาที่สุดแล้ว

แต่สิ่งที่ต้องแลกไปกลับเป็นผลึกมรรคจำนวนมหาศาล

โชคดีที่หลินสวินในตอนนี้ไม่ขาดแคลนผลึกมรรค

วู้ม…

เมื่อคลื่นอากาศระลอกหนึ่งแผ่ออก เงาร่างของหลินสวินก็หายไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ

“หลีกไป!”

เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ เงาร่างที่ทรงพลังอย่างที่สุดร่างหนึ่งพุ่งมา

นี่คือชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่ง ในมือถือโคมสำริดดวงหนึ่ง น้ำมันโคมแดงสดราวกับเลือด แสงโคมส่ายไหว แผ่คลื่นแปลกประหลาดมากมายออกมา

“สมควรตาย ดันปล่อยให้เขาหนีไปได้!”

ตอนที่เห็นว่าในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณไม่มีเงาคนแล้ว สีหน้าของชายหนุ่มชุดเทามืดทะมึนลง โกรธจนตาถลน

“หลี่ว์ฉู่ เกิดอะไรขึ้น”

เงาร่างของจักรพรรดิสงครามตะวันมงคลปรากฏกลางอากาศ ร่างของเขาผอมซูบ ผมเป็นสีดอกเลา อานุภาพระดับจักรพรรดิท่วมฟ้าแผ่ไปทั่วตัว กดข่มจนผู้แข็งแกร่งใกล้ๆ ต่างถอยหนีด้วยความกลัว

ราวกับเจอเทพไท้!

“รายงานผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้ข้าใช้พลังของโคมสำริดดื่มเลือดจับคลื่นกลิ่นเลือดของหลินสวินได้ แต่มาช้าไปก้าวหนึ่ง เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณหนีไปแล้ว…”

ชายหนุ่มชุดเทาที่ถูกเรียกว่าหลี่ว์ฉู่เผยสีหน้าเสียใจ

เขามาจากเรือนมรรคจักรวาล แต่ก็รู้จักจักรพรรดิสงครามตะวันมงคลที่มาจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ แม้ในใจจะอัดอั้นแต่กลับไม่กล้าล่วงเกิน

โคมสำริดดื่มเลือด!

จักรพรรดิสงครามตะวันมงคลเผยสีหน้าประหลาด โคมนี้มหัศจรรย์อย่างที่สุด ขอเพียงสามารถเก็บหยาดเลือดของเป้าหมายและนำมาจุดเป็นเชื้อเพลิง ไม่ว่าเป้าหมายจะอยู่ที่ไหนก็สามารถจับได้อย่างแน่นหนา

ทันใดนั้นสีหน้าของจักรพรรดิสงครามตะวันมงคลเองก็ไม่น่าดูขึ้นมา พูดว่า “เจ้าบอกว่า เมื่อครู่นี้เจ้าสวะหลินสวินนี่หนีไปภายใต้สายตาข้าหรือ”

หลี่ว์ฉู่ไม่ได้พูด แต่ยอมรับเงียบๆ

สีหน้าของจักรพรรดิสงครามตะวันมงคลอึมครึมไม่สามารถสงบได้ รู้สึกเหมือนถูกคนตบหน้าอย่างไร้รูป เพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ในตอนนี้ ใบหน้าแก่ชราร้อนผ่าว

“เลือดในโคมไฟนี้…”

สายตาของเขามองไปยังโคมสำริดดื่มเลือด

“ผู้อาวุโสเดาไม่ผิด เลือดนี่เป็นของหลินสวิน ยามอยู่หน้าประตูทลายในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ เจ้าหมอนี่บาดเจ็บสาหัส เลือดไหลราวกับน้ำพุ ถูกข้าส่งคนไปเก็บมาส่วนหนึ่ง”

หลี่ว์ฉู่รีบพูดว่า “จากที่เรือนมรรคจักรวาลของพวกเรารู้จักเจ้าหมอนี่ เขาชำนาญการแปลงกายและปกปิดร่องรอยได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปจนไม่อาจคาดเดา วิธีจับกุมทั่วไป เกรงว่าต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิก็ยากจะจับเขาได้”

“แต่โคมสำริดดื่มเลือดนี่ไม่เหมือนกัน”

จักรพรรดิสงครามตะวันมงคลพยักหน้า จากนั้นสูดลมหายใจลึกคราหนึ่งเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าหมอนี่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณก็แปลว่ารับรู้ถึงสถานการณ์ของตนแล้ว พวกเราก็ควรเคลื่อนไหวเต็มกำลัง ป้องกันไม่ให้เจ้าหมอนี่หนีจากแคว้นกลางมรรค”

หลี่ว์ฉู่เห็นด้วยอย่างที่สุด

และในวันนั้นเอง จักรพรรดิสงครามตะวันมงคลได้กระจายข่าวออกไป และได้รับความร่วมมือของขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ จักรวาล ยุทธจักรต่างๆ ทันที เคลื่อนกำลังพลมาจากสี่ทิศแปดทาง

ในวันเดียวกันนี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่กระจายอยู่ในแคว้นกลางมรรคล้วนถูกปิด

นอกจากขุมอำนาจเรือนมรรคย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ จักรวาล ยุทธจักรที่สามารถใช้ได้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ล้วนไม่มีโอกาสได้ใช้

นี่เท่ากับปิดตายความเป็นไปได้ที่หลินสวินจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณจากไปอย่างสิ้นเชิง!

เมืองยงเชว่

ยามหลินสวินเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณถูกปิด ก็ตระหนักได้ทันทีว่าศัตรูน่าจะมีวิธีจับร่องรอยของตนแล้ว!

‘ดูท่าคงทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีแล้ว’

ในใจหลินสวินไม่ได้กังวลอะไร ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณใช้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ทะยานผ่านห้วงอากาศโดยตรง ก็แค่เสียเวลาสักหน่อยก็เท่านั้น

สวบ!

ยานขนส่งอวกาศทะลวงผ่านกลางท้องฟ้า หลินสวินนั่งในนั้น ขัดสมาธิทำสมาธิ

ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณไม่นานมานี้ พลังปราณของเขาเพิ่งทะลวงสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ

และแตกต่างจากมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนอื่นๆ ตอนที่เพิ่งก้าวสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้า เพลิงเทพมหามรรคที่ควบรวมขึ้นในร่าง ก็ผสานนัยเร้นลับของไตรมรรคอย่างหลอมกาย หลอมปราณ และหลอมจิตไว้ด้วยกันแล้ว!

และควรรู้ว่าเพลิงเทพมหามรรคของระดับกึ่งจักรพรรดิคนอื่นๆ ทุกครั้งที่ผสานนัยเร้นลับของหนึ่งมรรคาได้ ถึงจะสามารถทะลวงชั้นหนึ่งได้

เช่นนี้ก็สามารถดูออก ว่ามรรควิถีที่หลินสวินครอบครองแตกต่างขนาดไหน

นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังปราณของหลินสวินกระโดดมาเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าในคราเดียว แต่เป็นเพลิงเทพมหามรรคที่เขาควบรวมออกมามีความเฉพาะตัวอย่างที่สุด

นี่ทำให้เขาเดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากคนอื่นๆ และไม่เหมือนใคร

ระดับกึ่งจักรพรรดิสามารถครอบครองกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิได้แต่ไม่สมบูรณ์ นี่ก็คือเหตุผลที่ถูกเรียกว่ากึ่งจักรพรรดิ

แต่ช่วงนี้หลินสวินกลับพบว่า กฎเกณฑ์มหามรรคที่ตนครอบครองได้ในตอนนี้ แม้จะมีจุดบกพร่อง แต่แทบจะไม่ต่างจากระดับจักรพรรดิแท้!

‘หรือนี่เป็นเพราะเพลิงเทพมหามรรคที่ข้าควบรวมออกมามีเอกลักษณ์เกินไป’

หลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิด

หากอยู่ระดับกึ่งจักรพรรดิแต่สามารถครอบครองพลังมหามรรคที่แทบจะเทียบกับระดับจักรพรรดิแท้ได้ นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างน้อยในตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฏเรื่องเช่นนี้!

‘รอมีโอกาสต้องไปทดสอบดีๆ สักหน่อย’

หลินสวินลูบคาง ในใจปรากฏความคิดบ้าระห่ำอย่างหนึ่ง

แต่ไม่ทันไรเขาก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัว เริ่มเคี่ยวกรำจิตแห่งอวัยวะตันห้า

เขาในตอนนี้มีรากฐานนัยเร้นลับ ‘ระดับห้าธรรม’ ในคัมภีร์มหามรรคหวงถิง หากฝึกสำเร็จ ห้าร่างแยกอย่างไม้เขียว ดินเหลือง เพลิงแดง วารีดำและทองขาว ก็จะมีจิตสำนึกและมรรควิถีที่ไม่ด้อยไปกว่าร่างต้น!

ถึงตอนนั้น เขาคนเดียวก็สามารถสำแดงพลังต่อสู้ของคนหกคนออกมาได้!

สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดคือ ตอนที่ไม่ต่อสู้ ร่างแยกอื่นๆ ก็สามารถหยั่งรู้มหามรรคของตน ศึกษาคัมภีร์ นี่ทำให้หลินสวินประหยัดพลังและเวลาในการฝึกบำเพ็ญได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ควรรู้ว่าตอนที่พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยจากไป แต่ละคนล้วนเคยให้คัมภีร์ของตนกับหลินสวิน ทำให้มรดกวิชาที่เขามีเรียกได้ว่ามากมายมหาศาล

หากเขาหยั่งรู้คนเดียว ยังไม่รู้ต้องใช้เวลาและกำลังเท่าไหร่

แต่ถ้ามีห้าร่างแยกหยั่งรู้ได้พร้อมกัน ย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นสำหรับหลินสวิน เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ไม่ใช่การทะลวงปราณ แต่เป็นการเคี่ยวกรำระดับห้าธรรมให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์!

……

แม้หลินสวินเดาออกนานแล้วว่าพวกศัตรูมีวิธีตามรอยเขาแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาไวขนาดนี้

หนึ่งวันหลังเขาออกจากเมืองยงเชว่ ในทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล หลินสวินซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ในยานขนส่งอวกาศสะดุ้งตื่นเพราะคลื่นพลังระลอกหนึ่ง

เมื่อเดินออกจากยานก็เห็นรุ้งเทพงดงามมาเยือนจากฟากฟ้า พร่างพราวเจิดจ้า กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ทะเลทรายทั้งผืนฝุ่นฟุ้งตลบฟ้า

ผู้นำคือเฒ่าชราที่สวมหมวกสูงคาดเข็มขัด บุคลิกดุจเซียน มือถือแส้หางม้าขาวหิมะ กลิ่นอายระดับจักรพรรดิที่แผ่ออกมากดข่มจนฟ้าดินโอดครวญ

ด้านหลังเขายังมีผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งติดตามมา กลิ่นอายของแต่ละคนแข็งแกร่งน่ากลัว

ในแคว้นกลางมรรคซึ่งเป็นที่ตั้งของขุมกำลังเก่าแก่ เป็นสถานที่ที่เสือหมอบมังกรซุ่ม กำลังพลเช่นนี้แม้ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่นัก ทว่าเพียงจัดการมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งย่อมเหลือเฟืออย่างสิ้นเชิง

‘คนพวกนี้มาไวกันนัก…’

หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เห็นความลนลานสักนิด

เขาคาดเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าอีกฝ่ายใช้พลังของค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ จึงสามารถตามทันไวขนาดนี้

“เจ้าปีศาจ ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก!”

เฒ่าชราที่เป็นผู้นำพูดเสียงขรึม เสียงราวกับสายฟ้า ซัดจนสิบทิศสั่นสะเทือน ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายเข่นฆ่า

ยามเอ่ยคำพูด พลังขับเคลื่อนของพวกเขาทุกคนล้วนจับจ้องไปยังหลินสวิน ในสายตาทุกคนล้วนไม่ปกปิดไอสังหาร

กับเรื่องนี้หลินสวินคล้ายไม่รู้สึก ดวงตาดำของเขาลึกล้ำ เอ่ยพูดราบเรียบ “เดรัจฉานเฒ่า บอกชื่อมา ไม่แน่ว่าถ้าข้าคนแซ่หลินอารมณ์ดีจะสร้างป้ายหลุมศพให้เจ้าสักชิ้น”

เฒ่าชราคนนั้นอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เจ้าในตอนนี้เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ายังมีความมั่นใจอะไรมาร้องโวยวายเช่นนี้”

“ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”

หลินสวินพูดเรียบๆ

เขายิ่งใจเย็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้เฒ่าชราไม่อาจนิ่งสงบ

การประชันหมากครั้งใหญ่เพิ่งจบลง แม้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นจากไปนานแล้ว เหลือเพียงหลินสวินคนเดียว

แต่ใครจะกล้ามั่นใจว่ายามผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นจากไป ไม่ได้ทิ้งไพ่ตายอะไรไว้ให้เจ้าหมอนี่

“พวกเจ้าไปจับเจ้าสวะนี่ ข้าจะคอยหนุนพวกเจ้า”

เฒ่าชราออกคำสั่งเสียงขรึม

เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิที่อยู่ด้านหลังเขามองหน้ากัน ลังเลเล็กน้อย

พวกเขาไม่ได้โง่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าแตกต่างจากในอดีต เป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิที่แท้จริงคนหนึ่ง!

พูดถึงพลังปราณ บางทีอาจจะสู้ระดับกึ่งจักรพรรดิรุ่นอาวุโสอย่างพวกเขาไม่ได้ แต่ประเด็นคือ อีกฝ่ายเป็นกึ่งจักรพรรดิที่ก้าวสู่ขอบเขต ‘มกุฎ’!

สีหน้าของเฒ่าชราอึมครึม “ทำไม มีข้าอยู่ พวกเจ้ายังกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรเช่นนั้นหรือ

หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็หลุดขำอย่างอดไม่ได้ “เดรัจฉานเฒ่า หากเจ้าไม่กลัวก็เข้ามาสู้กันสักครั้งสิ เหตุใดต้องให้คนอื่นมารนหาที่ตาย”

ประโยคนี้ก็คือสิ่งที่กึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นอยากพูด เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าแสดงความไม่พอใจต่อระดับจักรพรรดิแท้เหมือนอย่างหลินสวิน

และการถูกหลินสวินด่าว่า ‘เดรัจฉานเฒ่า’ คำแล้วคำเล่า ก็ทำให้สีหน้าของเฒ่าชรานั่นมืดทะมึนราวกับก้นหม้อ เดือดดาลสะท้านฟ้า

ในฐานะระดับจักรพรรดิที่เหยียดหยันใต้หล้า สรรพชีวิตเคารพเลื่อมใส ใครหน้าไหนกล้ากำเริบดูหมิ่นเช่นนี้บ้าง

“เจ้าสวะตัวจ้อย เดิมข้าไม่คิดรังแกผู้น้อย เจ้ากลับทะนงตัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะกำจัดเจ้าซะ!”

เฒ่าชราเอ่ยพูด แล้วพลันสะบัดแส้หางม้าในมือ

ฟึ่บ!

รุ้งเทพที่ขาวเรืองรองทั่วฟ้าโปรยปรายลงมาดุจสายฝน เต็มไปด้วยนัยเร้นลับของกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ ห้วงอากาศอึงอลยุบทลายในชั่วพริบตา ราวกับรับอานุภาพน่ากลัวระดับนี้ไม่ได้

กลางฟ้าดินแห่งนี้ก็พลอนตกอยู่ในความปั่นป่วนเช่นเดียวกัน

นี่คือพลังของระดับจักรพรรดิ โจมตีแค่เล็กน้อยก็สะเทือนฟ้าดิน เทพผีล้วนหวาดกลัว!

กึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นเกิดความรู้สึกสะท้านสะเทือน เมื่อไหร่พวกเขาจึงจะสามารถก้าวข้ามธรณีระดับจักรพรรดิ ลบคำว่า ‘กึ่ง’ ออกได้กันนะ

หลินสวินยืนอยู่บนยานขนส่งอวกาศ ไม่ขยับสักนิด

แต่ระหว่างเส้นผมของเขากลับมีกระบี่บินแหลมคมปรากฏขึ้น ฟันเบาๆ ในห้วงอากาศคราหนึ่ง

ตอนที่ 2049 เขาผ่านที่แห่งนี้ ระดับจักรพรรดิไม่รู้ตัว

บริเวณที่ห่างจากเมืองนครเยี่ยนไม่กี่หมื่นลี้ ก็คืออาณาเขตของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์

ในฐานะผู้สืบทอดของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ และเป็นทายาทเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลซวี แม้บุคคลระดับจักรพรรดิมา ซวีหลิงเจินก็ไม่กลัว

ทั่วหล้าบนล่าง ระดับจักรพรรดิคนใดกล้าเล่นงานผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ใกล้ๆ อาณาเขตของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์บ้าง

นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่ตรงหน้า วิชาสะกดรอยไม่เอาไหนขนาดนั้น ทำให้ซวีหลิงเจิน… ไม่มีความคิดจะสนใจจริงๆ

ที่น่าเสียดายคือซวีหลิงเจินลืมเรื่องหนึ่งไป

ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ ในบรรดาขุมอำนาจใหญ่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็มีเรือนมรรคดึกดำบรรพ์อยู่ด้วย ระดับจักรพรรดิและบรรพจารย์จักรพรรดิตายไปไม่รู้เท่าไหร่

แม้แต่เผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลซวีก็เสียหายอย่างหนัก

แน่นอนว่าอูฐที่ผอมตายยังใหญ่กว่าม้า สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรือนมรรคดึกดำบรรพ์หรือเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลซวี ก็ยังคงแข็งแกร่งจนทำให้ใจสั่น

แต่เห็นได้ชัดมากว่าหลินสวินเป็นข้อยกเว้น

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับความดูถูกและไอสังหารที่ไม่ปกปิดของซวีหลิงเจิน คำตอบของหลินสวินง่ายมาก ยื่นมือคว้ากลางอากาศ

ครู่ต่อมาซวีหลิงเจินถูกบีบราวกับมด กระดูกทั่วร่างแตกหักไปไม่รู้กี่ท่อนในพริบตา พลังขับเคลื่อนรอบตัวพังทลายทันที

เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดและหวาดกลัวไร้ขอบเขตทันที อยากจะตะโกนแต่กลับไม่สามารถส่งเสียงได้แม้แต่น้อย

ตอนที่มองหลินสวินอีกครั้ง สายตาของเขาได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวแล้ว

“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล เป็นคนที่คนอย่างเจ้าสามารถใส่ร้ายและดูถูกได้หรือ”

หลินสวินพูดอย่างเฉยชา

ประโยคเดียวซวีหลิงเจินราวกับถูกฟ้าผ่า เบิกตาโพลง ตระหนักได้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร

แต่หลินสวินคร้านจะเอ่ยปากแล้ว

ก็เห็นร่างของซวีหลิงเจินราวกับไม้เหี่ยวแห้งที่สูญเสียพลังชีวิต กลายเป็นฝุ่นผงสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่ก็คือพลังพรสวรรค์ของกายมรรคไม้เขียว ควบคุมความรุ่งโรจน์โรยร่วง!

ครู่ต่อมาหลินสวินก็แผ่วพลิ้วจากไป

ไม่กี่ชั่วยามหลังจากนั้น

รุ้งสายหนึ่งทะลวงห้วงอากาศมา กลายเป็นเฒ่าชราชุดขาวคนหนึ่ง สายตาของเขามองไปรอบๆ สุดท้ายคว้าฝุ่นกำหนึ่งขึ้นมา

“ซวีหลิงเจินเจ้าเด็กนี่… จิตสิ้นวิญญาณสลายไปแล้ว…”

เฒ่าชราชุดขาวโกรธจนหน้าเขียว ในดวงตาเผยไอสังหารท่วมฟ้า

ไม่นานเงาร่างของเฒ่าชราชุดขาวปรากฏในเมืองนครเยี่ยน มาถึงหอสุราที่ซวีหลิงเจินเคยปรากฏตัว

ด้วยฝีมือของเขา ไม่นานก็สืบข่าวที่มีค่าได้ส่วนหนึ่งแล้ว

อย่างเช่น คำพูดที่ซวีหลิงเจินเคยพูด รวมถึงความชิงชังและดูถูกผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างไม่มีปกปิด

อย่างเช่น ซวีหลิงเจินเคยประกาศกร้าวว่า อีกไม่นานหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจะประสบเคราะห์สังหารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

อย่างเช่น ตอนที่ซวีหลิงเจินจากไป มีใครคนหนึ่งตามไป…

เบาะแสทั้งหมดนี้ทำให้เฒ่าชราชุดขาวคาดเดาได้ว่า

คนที่ฆ่าซวีหลิงเจิน เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นหลินสวินนั่น!

ควรรู้ว่าอาณาเขตของเมืองนครเยี่ยน เดิมก็เป็นอาณาเขตที่อิทธิพลของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์แผ่ตัวมาถึง และทอดสายตามองไปทั่วหล้า ใครจะกล้าฆ่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์

‘จะต้องเป็นเศษเดนคีรีดวงกมลคนนี้อย่างแน่นอน!’

เฒ่าชราชุดขาวสายตาวาววาบ ‘กำลังกังวลไม่รู้ว่าจะไปตามหาสวะอย่างเจ้าที่ไหน เจ้ากลับปรากฏตัวเสียเอง ช่างไม่รู้จักเป็นตาย ไม่มีผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นคุ้มครอง หนอนน้อยอย่างเจ้าจะยืนหยัดได้แค่ไหน’

ในวันนี้

ทั้งบนล่างของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เดือดดาล เจ้าสำนักออกคำสั่ง…

ค้นหาจับกุมหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเต็มกำลัง พบเจอให้ฆ่าทันที!

จากนั้นเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็เหมือนสัตว์ปีศาจดึกดำบรรพ์ที่ถูกยั่วให้โมโห ขุมกำลังต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเขาล้วนเริ่มเคลื่อนไหว

ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนเข้าร่วม สายสืบที่ประหนึ่งกระแสน้ำถูกเคลื่อนขบวน พลังกลุ่มตระกูลต่างๆ ภายใต้เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็ถูกระดมพล…

วันนี้ในแคว้นกลางมรรค เกิดความปั่นป่วนโกลาหลอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ เรือนมรรคดึกดำบรรพ์คงอยู่จนถึงตอนนี้มาเนิ่นนานแล้ว แม้ในการประชันหมากครั้งใหญ่นั้น พลังดั้งเดิมเสียหายหนักหน่วง แต่พลังที่มีก็ยังคงสามารถทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือน

ดังนั้นเมื่อเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เปิดฉากไล่ฆ่าหลินสวินโดยเฉพาะ จึงดึงดูดความสนใจจากทั่วหล้า ทำให้ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่ตกตะลึง

แต่ทุกอย่างยังไม่จบ

หลังจากนั้นเรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคยุทธจักร เรือนมรรคเหล่ามาร เผ่านักรบเถาอู้ เผ่านักรบวารีดำ เผ่านักรบผีสวรรค์…

ขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งต่างบอกกับโลกภายนอกว่า ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารามีขุมอำนาจมากมายต้องการตามจับหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมล!

ทั้งยังตั้งรางวัลไว้มหาศาล มูลค่าของรางวัลนั้น สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิทุกคนตาวาวและหมายปอง!

ชั่วขณะเดียวทั้งแคว้นกลางมรรคคลื่นลมแปรเปลี่ยน ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตนั้น ในเมืองมากมายที่กระจัดกระจายล้วนติดประกาศนำจับหลินสวินไว้ทั่วทุกที่

ไอเข่นฆ่าทะลวงฟ้าโดยตรง!

“หลินสวินนี่โง่เขลาเพียงใด เหตุใดต้องเลือกรั้งอยู่เพียงลำพัง คราวนี้… เขาคงจบสิ้นแล้ว!”

ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่ต่างฮือฮา ตกใจกับเรื่องนี้

ผู้คนในโลกเพิ่งจะรู้ตอนนี้ ว่าที่แท้หลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลยังอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราจริงๆ ไม่ได้มุ่งหน้าไปฟากฝั่งฟ้าดารา

“ขุมอำนาจใหญ่ที่เคยถูกคีรีดวงกมลเข่นฆ่าเหล่านั้น ในที่สุดก็เจอเป้าหมายระบายความโกรธแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป หลินสวินจะกลายเป็นตัวน่ารังเกียจที่ใครๆ ต่างเล่นงาน”

มีคนคึกคัก

“หึ หากผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นยังอยู่ บนโลกนี้สำนักใดจะกล้าทำเช่นนี้ ใช้รากฐานพลังของขุมอำนาจใหญ่อย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ จักรวาล ยุทธจักร ร่วมกันหมายหัวเล่นงานหลินสวินที่ตัวคนเดียว ช่าง… น่าอับอายนัก!”

มีคนไม่ชอบใจ แต่ก็ทำได้เพียงแอบไม่พอใจ ไม่กล้าปริปากส่งเสียง

ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ทั่วหล้านี้ขุมอำนาจของหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ก็ยังคงแข็งแกร่งที่สุด!

“หลินสวินในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนนานแล้ว เขาเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้ว ทอดสายตามองทั่วฟ้า บุคคลพลิกฟ้าอย่างเขาจะมีสักกี่คน”

“คงมีเพียงแค่ระดับจักรพรรดิลงมือ ถึงจะสามารถกำราบเขาได้ ทว่าประเด็นคือ หลินสวินจะโง่รอถูกกำราบหรือ”

……

“ด้วยพลังของเหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมล หากจะแก้แค้นจริงๆ บนโลกนี้ขุมอำนาจใดจะสามารถต้านการเข่นฆ่าของพวกเขาได้ ตอนนี้พวกเขาจากไปแล้ว ยังไม่คิดจะหยุดมือ ช่าง… บ้าคลั่งจริงๆ”

ตอนที่รู้ข่าวนี้ หมีอู๋หยาถอนหายใจยาวคราหนึ่ง

ในใจเขาจู่ๆ ก็มีความผิดหวังที่พูดไม่ออกกับเรือนมรรคยุทธจักรที่ตนอยู่

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หมีอู๋หยาปิดด่าน ไม่สนใจเรื่องราวภายนอกอีก เมื่อบรรลุระดับมกุฎจักรพรรดิ เขาก็จะจากไปอย่างสิ้นเชิง

……

“เจ้าสำนัก ในโลกตอนนี้คนที่สามารถคุ้มครองหลินสวินได้ คงมีแค่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเราแล้ว”

ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ หลิงหงจวงไปหาเจ้าสำนักไท่ซูหง

หลังจากรู้ข่าวที่หลินสวินถูกประกาศจับ ในใจนางรู้สึกเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก

นางเคยเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินก็จริง แต่นางไม่ชอบใจการกระทำของขุมอำนาจต่างๆ ทั่วหล้ามากกว่า ต่ำช้าและไร้ยางอายเกินไป ไม่มีขอบเขตโดยสิ้นเชิง!

“เจ้าจะให้เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเราไปช่วยเจ้าหนุ่มนั่นหรือ”

ไท่ซูหงมุ่นคิ้ว

หลิงหงจวงพยักหน้า

“หงจวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดขุมอำนาจอย่างเรือนมรรคจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร จึงเล่นงานหลินสวินโดยไม่สนสิ่งใด”

ไท่ซูหงเอ่ยต่อ “ง่ายมาก หากเจ้าหนุ่มนี่มีชีวิตอยู่ ก็เหมือนเข็มที่ทิ่มแทงในใจขุมอำนาจเหล่านี้ ทำให้พวกเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ”

“แต่เขาเป็นเพียงมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง”

หลิงหงจวงอดพูดไม่ได้

ไท่ซูหงส่ายหน้า “ผิดแล้ว เขาไม่ใช่แค่มกุฎกึ่งจักรพรรดิ เขายังเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลด้วย เป็นบุคคลเย้ยฟ้าที่เคยไร้ศัตรูในระดับอริยะ และมีรากฐานพลังที่น่ากลัวคนหนึ่ง หากให้เวลาเขาเติบโต… ต่อไปไม่แน่ว่าจะกลายเป็นจักรพรรดิยุทธ์คนที่สอง!”

“และนี่ก็คือสิ่งที่ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นกังวลที่สุด”

ในใจหลิงหงจวงหวาดหวั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง จักรพรรดิยุทธ์แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถโจมตีจอมจักรพรรดิไร้นามได้ หากต่อไปหลินสวินเองก็ครอบครองอานุภาพเช่นนั้น จะต้องทำให้ขุมอำนาจที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับคีรีดวงกมลกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่!

“หงจวง หลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่คราวนี้สิ้นสุดลง ก็เพราะเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเรารักษาความเป็นกลาง ไม่ได้เข้าร่วม จึงสามารถรักษาตัวไว้ได้ ครั้งนี้พวกเราก็จะไม่เข้าร่วมเช่นกัน”

ไท่ซูหงพูดเสียงขรึม เผยความเด็ดขาดที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

แม้หลิงหงจวงจะคาดเดาไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ในใจก็ยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้

สิ่งที่ดูเหมือนเป็นธรรมนี้ อันที่จริงกลับเป็นความเป็นกลางที่วางเฉยไม่ทำอะไรเลย จะเป็นเช่นนี้ได้ตลอดไปจริงๆ หรือ

หลิงหงจวงถอนหายใจในใจคราหนึ่ง

……

นอกเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

หลินสวินมองประกาศจับบนกำแพงที่สามารถเห็นได้ทุกที่นั่น ในใจอดยิ้มหยันไม่ได้

ในอดีตเขาเคยพบเจอการไล่ฆ่าหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนต้องหลบหนีสะบักสะบอม ผ่านคาวเลือดและอันตรายยิ่งยวด

ทว่าเขาในตอนนี้สนใจเรื่องพวกนี้เสียที่ไหน

ยามอยู่ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ ภายใต้สายตาเหล่าระดับจักรพรรดิอย่างพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ยังไม่มีใครสามารถมองทะลุฐานะของตนได้ นับประสาอะไรกับเขาในตอนนี้ที่แตกต่างจากเมื่อก่อนแล้ว

ทว่าหลินสวินก็ยังรู้สึกประหลาดใจ เพราะบนหอกำแพงเมืองกลับมีระดับจักรพรรดิแท้คนหนึ่งควบคุมดูแล!

จากคำพูดของผู้คนที่ถกกัน ทำให้เขารู้อย่างรวดเร็วว่านี่คือ ‘จักรพรรดิสงครามตะวันมงคล’ ที่มาจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เพิ่งมาถึงไม่นานก็นั่งควบคุมสถานการณ์ที่นี่ เป้าหมายก็เพื่อค้นหาจับกุมและสังหารหลินสวิน

และไม่เพียงแค่ในเมืองแห่งนี้ ในเมืองอื่นๆ ของแคว้นกลางมรรคก็มีระดับจักรพรรดิเช่นเดียวกับจักรพรรดิสงครามตะวันมงคลควบคุมดูแลเช่นกัน!

นี่ก็เหมือนถักแหขนาดใหญ่หมายจับปลาอย่างหลินสวิน

‘ช่างให้ความสำคัญกับข้าคนแซ่หลินจริงๆ…’

ในใจหลินสวินถอนหายใจ เข้าเมืองไปอย่างสงบนิ่งไม่ลังเล

ชั่วขณะที่เข้าเมือง พลังเจตจำนงระดับจักรพรรดิที่น่ากลัวกวาดมายังตัวเขา แต่ไม่นานก็หายไป

หลินสวินท่าทางไม่รู้สึกตัว เดินปะปนท่ามกลางผู้คน

ในหอกำแพงเมือง จักรพรรดิสงครามตะวันมงคลสีหน้านิ่งสงบ กำลังดื่มชา ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ปลาที่ทั่วหล้ากำลังตามจับ เมื่อครู่นี้ได้เดินผ่านไปอย่างผ่าเผยภายใต้สายตาของเขาแล้ว

ใจกลางเมืองนี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งหนึ่ง หลังจากหลินสวินมาถึง จ่ายผลึกมรรคจำนวนมหาศาลแล้วก็เดินเข้าไป

เขาจะไปสำนักเร้นฤทธิ์เทพที่ครองอาณาเขตใน ‘แคว้นวิญญาณหมอก’ ห่างจากแคว้นกลางมรรคถึงเก้าแคว้น

หากใช้การทะยานผ่านห้วงอากาศ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงห้าเดือน

หลินสวินไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองมากขนาดนั้น ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเร่งเดินทาง ย่อมกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเขา

———————

‘ก็ไม่รู้ว่าจิ่งเซวียนอยู่ที่แดนเจินหลงจะเป็นอย่างไรบ้าง…’

หลินสวินอึ้งงัน จิตใจเลื่อนลอย ดื่มเหล้าไปอีกจอกแต่กลับไม่รู้รส

ยามอยู่บนทะเลหมากดาราในดินแดนรกร้างโบราณ จ้าวจิ่งเซวียนจากไปพร้อมกับอ๋าวเจิ้นเทียนและอิ๋นฮวน มุ่งหน้าไปแดนเจินหลงเพื่อร่วมงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกร

ส่วนเขาไปเคี่ยวกรำที่แหล่งสถานคุนหลุนกับพวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่

นับเวลาดูแล้ว นี่ก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว

‘ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา ทวนกระแสฟ้าดิน เวลาผันผ่านรวดเร็ว ไม่รู้วันคืน…’

หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจ

ไปที่สำนักเร้นฤทธิ์เทพนั่นสักครา!

จู่ๆ ในหอสุราก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง ก็เห็นชายชุดม่วงคนหนึ่งส่ายหน้า เอ่ยเสียงทอดถอนใจ

“ในสายตาของพวกเจ้า มีเพียงระดับจักรพรรดิและบรรพจารย์จักรพรรดิ สนใจแค่เรื่องการไปฟากฝั่งฟ้าดารา แต่นั่นห่างไกลจากคนอย่างพวกเราเกินไป”

“หากข้าบอกว่าในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ มีคนหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ แต่กลับถูกคนส่วนใหญ่ในโลกมองข้าม!”

พูดถึงตรงนี้มีคนอดประหลาดใจไม่ได้ “ใคร”

ชายเสื้อม่วงเอ่ย “จะเป็นใครได้ หลินสวินแห่งคีรีดวงกมลอย่างไรเล่า!”

หลินสวิน!

ยามแขกที่นั่งอยู่ได้ยินชื่อนี้ต่างอึ้งไป พลันเผยสีหน้าประหลาด ที่แท้ก็เป็นเจ้าหมอนี่!

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ไม่มีใครรู้จักชื่อนี้

ทว่าเมื่อแหล่งสถานคุนหลุนปิดฉากลง ชื่อนี้แทบจะดังก้องฟ้าดาราในชั่วค่ำคืน ทำให้ใต้หล้าสะเทือน

อานุภาพความดุดันของเขาท่วมฟ้า ปั่นป่วนแหล่งสถานคุนหลุน สังหารจนเหล่าผู้กล้าแตกพ่าย เลือดไหลเป็นสายน้ำ ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ สุดท้ายก็ช่วงชิงศุภโชคชั้นเลิศที่มีความลับในการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์มาได้!

พูดอย่างไม่เกินจริง ก็เพราะผลงานการต่อสู้อันนองเลือดในแหล่งสถานคุนหลุน ทำให้ชื่อของหลินสวินแพร่สะบัดไปทั่วทางเดินโบราณฟ้าดาราในชั่วพริบตา

หลังจากนั้นเขาถูกขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกเรือนมรรคใหญ่ต่างๆ สิบเผ่านักรบใหญ่จับตามอง ถูกมองว่าเป็น ‘นักโทษอันดับหนึ่งในฟ้าดารา ’

บนล่างทั้งฟ้าดาราล้วนค้นหาร่องรอยของเขาอย่างบ้าคลั่ง

ทว่าสิบกว่าปีผ่านไป กลับไม่มีใครพบเจอร่องรอยใดๆ ข่าวเกี่ยวกับเขาก็ค่อยๆ เงียบไป

และเมื่อการเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณสิ้นสุด และการประชันหมากครั้งใหญ่นี้จบลง ทุกคนถึงพบว่า หลินสวินคนนี้กลับไม่ธรรมดาเช่นนี้!

เขาใช้ฐานะของจินตู๋อีและผลคะแนนอันดับหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้นราวกับม้ามืดคนหนึ่ง

ในการทดสอบภายในแดนลับโลกาสวรรค์ ยิ่งเอาชนะเหล่าผู้กล้าในคราเดียว ได้รับอันดับหนึ่ง!

จนกระทั่งเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ เขาตัวคนเดียวสู้กับเหล่าผู้กล้าหน้าประตูทลายแห่งเขาปู้โจว ทำให้เกิดฝนเลือดลมคาว!

หวงฝู่เซ่าหนง ข่งเจา เฟิงเป่ยหลิง จิ่งเทียนหนาน เวินอวี๋…

อัจฉริยะชั้นเลิศที่ชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้า บุคคลระดับปีศาจที่มาจากโลกอื่นๆ ของฟ้าดารา ล้วนถูกกำราบสังหาร

แม้เป็นหมีอู๋หยา อันดับหนี่งตลอดหกร้อยปีบนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ สุดท้ายก็ยอมแพ้ เลื่อมใสเขา!

ผลงานการต่อสู้ทั้งหมดนี้น่าตกตะลึงยิ่งยวด สะท้านอดีตและปัจจุบัน

และคนที่สร้างปาฏิหาริย์นี้ ก็คือหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ปลอมตัวมา!

เมื่อก่อนหมีอู๋หยาถูกมองว่าไร้ศัตรูในระดับมกุฎราชันอริยะ ทว่าหลินสวินกลับใช้การต่อสู้นองเลือดครั้งหนึ่งประกาศกร้าวว่า ในระดับนี้อะไรถึงเรียกว่าไร้ศัตรู!

ที่น่าเสียดายคือ หลังจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณปิดม่านลง การประชันหมากครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น ตามมาด้วยการร่วงหล่นของเหล่าจักรพรรดิ การหลั่งเลือดของบรรพจารย์จักรพรรดิ จอมจักรพรรดิไร้นามถูกโจมตีพินาศ หนทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราปรากฏอีกครั้ง…

หลังจากเหตุการณ์ใหญ่ที่เรียกได้ว่า ‘ฟ้าเปลี่ยน’ แต่ละเรื่องเหล่านี้อุบัติขึ้น จึงกลบความสามารถของหลินสวินในเขตต้องห้ามเซียนโบราณไปทั้งหมด

ทำให้บนทางเดินโบราณฟ้าดาราตอนนี้ คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเขาน้อยลงมาก

ทว่าแค่พูดถึงชื่อนี้ ผู้คนก็จะต้องนึกถึงปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ประหนึ่งตำนานคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!

“ต้องยอมรับว่าหลินสวินนี่แข็งแกร่งจนทำให้คนใจสั่นจริงๆ ในอดีตที่ผ่านมาแทบไม่เห็นคนร้ายกาจพลิกฟ้าเช่นนี้ ในอนาคตก็คงหาคนที่สามารถเทียบเคียงได้ไม่กี่คน”

“นี่ก็เรียกว่าในอดีตและอนาคตหาไม่ได้ไม่ใช่หรือ”

ในหอสุรา เสียงทอดถอนใจสะท้านสะเทือนระลอกหนึ่งดังขึ้น บรรดาแขกที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณในเมืองนครเยี่ยนแห่งแคว้นกลางมรรค ไม่ขาดบุคคลชื่อเสียงโด่งดังและโดดเด่น

ที่ผ่านมายามพวกเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกปราณที่มาจากแคว้นอื่นหรือโลกอื่นของฟ้าดารา ล้วนแฝงความเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจ

แต่ตอนนี้ยามพูดถึงหลินสวิน แต่ละคนกลับทำได้เพียงเก็บความเย่อหยิ่ง ทอดถอนใจยอมแพ้ อยากไม่ยอมแพ้ก็ไม่ได้!

หญิงสาวแรกแย้มคนหนึ่งเผยสีหน้าคลั่งไคล้ พึมพำว่า “หากมีโอกาส อยากเห็นความองอาจของคนผู้นี้สักหน่อยจริงๆ”

มีคนหัวเราะขึ้นมาทันที “เพลาๆ หน่อยเถอะ ข้าได้ยินว่าคนผู้นี้มุ่งหน้าไปฟากฝั่งฟ้าดาราพร้อมกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นตั้งนานแล้ว บนทางเดินโบราณฟ้าดาราต่อไปจะไม่เห็นเขาอีกแล้ว”

“ก็ไม่แน่หรอก”

จู่ๆ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น คนพูดคือชายหนุ่มชุดดำที่นั่งดื่มเพียงลำพังเหมือนหลินสวิน

เขาวางจอกเหล้าในมือลงแล้วเอ่ยว่า “เท่าที่ข้ารู้ เจ้าหมอนั่นไม่ได้จากไป แต่อยู่ที่โลกใหญ่หงเหมิงต่อ แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเลือกอยู่ต่อ แต่อีกไม่นานเขาก็จะตกอยู่ในแดนหมื่นเคราะห์ไม่อาจหวนคืน!”

ประโยคเดียวทำเอาบรรยากาศในหอสุราเงียบลงไม่น้อย

“ขอถามสหายยุทธ์ ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ”

มีคนอดถามไม่ได้

ชายหนุ่มชุดดำพูดอย่างเย็นเยียบ “พวกเจ้าคอยดูเถอะ อีกไม่นานข่าวเกี่ยวกับการประกาศจับและตามฆ่าเจ้าหมอนั่นจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา”

ทุกคนต่างอดเหลือบมองกันไม่ได้ สีหน้าแปลกประหลาดแตกต่างกันไป

มีคนร้องอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้คีรีดวงกมลได้รับชัยชนะ สังหารจอมจักรพรรดิไร้นามนั่น บนโลกนี้ยังมีคนกล้าแตะต้องหลินสวินอีกหรือ”

พอถูกตั้งคำถาม ชายหนุ่มชุดดำพลันเผยสีหน้าไม่พอใจ พูดอย่างเย็นเยียบ “เศษเดนคีรีดวงกมลเหล่านั้นจากไปแล้ว บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ใครจะยังคุ้มครองหลินสวินได้”

เศษเดน!

ได้ยินคำเรียกที่เจือความเป็นอริและก่นด่าดูถูกนี้ ทำให้หลินสวินที่สังเกตอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้กระทำอะไร

ที่นี่คือเมืองนครเยี่ยน เมืองใหญ่ที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งในแคว้นกลางมรรค ห่างจากเมืองนี้ไปไม่กี่หมื่นลี้ก็คือ ‘เรือนมรรคดึกดำบรรพ์’ ที่ชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้า

ที่หลินสวินกล้านั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผย ก็เพราะเขาใช้กายมรรคไม้เขียวจึงไม่กลัวว่าจะถูกจับได้

แต่ถ้าลงมือ จะชักนำมาซึ่งการความเคลื่อนไหวและปัญหาที่ไม่จำเป็น ไม่แน่ว่าอาจจะถูกหมายหัวได้ด้วย

“หากที่สหายยุทธ์พูดเป็นจริง หลินสวินคนนี้… คงจะประสบมหาเคราะห์จริงๆ แล้ว”

มีคนวิเคราะห์ “คิดๆ แล้วในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั่น ผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ถูกเขาฆ่าไปตั้งเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงที่อื่น เพียงแค่สามเรือนมรรคใหญ่อย่างเรือนมรรคจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่”

“นอกจากนี้ในการประชันหมากครั้งใหญ่ มหาจักรพรรดิและบรรพจารย์จักรพรรดิที่ตายในมือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่น้อยเลย บุคคลชั้นเลิศเหล่านี้ล้วนมาจากขุมอำนาจน่ากลัวแตกต่างกัน บัญชีนี้จะต้องคิดที่หลินสวินแน่”

“พูดเช่นนี้ ทั่วหล้าบนล่างในทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ คงไม่มีที่ยืนสำหรับเจ้าหมอนี่แล้ว! แม้เขาหนีไปที่โลกมืด จะต้องถูกสำนักโบราณจรัสเทพ แดนกษิติครรภ์หมายหัวแน่นอน!”

ฟังถึงตรงนี้เสียงสูดหายใจสะท้านระลอกหนึ่งดังขึ้นในหอสุรา พวกเขาเป็นเพียงผู้ฟังกลุ่มหนึ่ง แต่แค่ได้รู้หนี้แค้นนองเลือดที่สั่งสมไว้เหล่านี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

แค่คิดก็รู้ว่าหากหลินสวินอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราจริงๆ เคราะห์สังหารที่เขาจะต้องเผชิญ… จะน่ากลัวเพียงใด!

“บนโลกนี้หากไม่มีที่ยืนสำหรับบุคคลชั้นเลิศอย่างหลินสวิน ก็น่าผิดหวังเกินไปแล้ว…”

หญิงสาวแรกแย้มคนนั้นเผยสีหน้าขุ่นเคือง “สู้คีรีดวงกมลไม่ได้ก็ระบายแค้นที่หลินสวินคนเดียว นี่… น่าเศร้าเพียงใด”

ทุกคนต่างเผยสีหน้าไม่เห็นด้วย

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโลกก็ล้วนโหดร้ายเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดจึงจะอยู่รอด

ชายหนุ่มชุดดำลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าหญิงสาวคนนั้น สีหน้าเย็นชาแฝงความเย่อหยิ่งและตักเตือน

“แม่นาง หลินสวินไม่ควรค่าให้เจ้าชื่นชม เขาเป็นเพียงคนบ้าระห่ำที่มือเปื้อนเลือด ร้ายกาจเหี้ยมโหดคนหนึ่งเท่านั้น สักวันจะต้องถูกกำจัดเพื่อประกาศต่อทั่วหล้าไม่ให้เข้าใจผิด ต่อไปเจ้าระวังคำพูดหน่อยจะดีกว่า อย่าให้ใครคิดว่าเจ้ากับเศษเดนคีรีดวงกมลนั่นเป็นพวกเดียวกัน”

หญิงสาวสีหน้าเปลี่ยนไป อึมครึมไม่สามารถสงบได้

ชายหนุ่มชุดดำเอามือไพล่หลัง หมุนตัวเดินออกนอกหอสุราไป

“เก็บเงิน”

หลินสวินโยนถุงเก็บของใบหนึ่งส่งๆ แล้วเดินออกไปเช่นกัน

ในหอสุราด้านหลัง เสียงอุทานด้วยความตกใจเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้ารู้แล้ว คนเมื่อครู่นี้เป็นผู้สืบทอดของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ นามว่าซวีหลิงเจิน!”

“ที่แท้ก็เป็นทายาทเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลซวี ถึงว่าน้ำเสียงน่าเชื่อถือขนาดนี้”

“ถ้าอย่างนั้น หลินสวินนั่นอาจจะไม่ได้จากไปจริงๆ หรือ”

“รอก่อนเถอะ จะต้องมีข่าวแพร่ออกมาอย่างแน่นอน”

……

นอกเมือง

เทือกเขาเรียงตัวเป็นคลื่น ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน กลืนกินแสงหมอก งดงามและเกรียงไกร

ในแคว้นกลางมรรค เทือกเขาเช่นนี้ ทิวทัศน์เช่นนี้ สามารถเห็นได้ทั่วทุกแห่งหน และยิ่งขับเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของแคว้นกลางมรรคว่าไม่ธรรมดาเพียงใด

และในความเป็นจริง ในแคว้นเดียวเท่านั้นกลับสามารถรองรับอาณาเขตของหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ รวมถึงเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์มากมายได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว!

และก็เป็นเหตุผลที่โลกใหญ่หงเหมิงถูกมองว่าเป็นโลกอันดับหนึ่งของทางเดินโบราณฟ้าดารา แคว้นกลางมรรคที่ตั้งอยู่ในโลกใหญ่หงเหมิงนี้ก็ถูกมองว่าเป็น ‘ศูนย์กลางทั่วหล้า’

เหล่าจักรพรรดิผงาดขึ้นที่นี่ บรรพจารย์มรรคเร้นกายอยู่ที่นี่ ประโยคนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่พูดถึง

ซวีหลิงเจินเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ทะลวงผ่านเทือกเขาอันกว้างใหญ่ ทะยานมุ่งหน้าไกลออกไป ตอนที่เคลื่อนผ่านหุบเขาแห่งหนึ่งเขาพลันชะงักเท้า หว่างคิ้วเผยไอสังหาร

“สหาย เจ้าตามมาจากหอสุราตลอดทาง คิดว่าข้าไม่สังเกตจริงๆ หรือ”

เขาหลังหันไป สายตามองไปยังห้วงอากาศบริเวณหนึ่ง เผยความดูถูก วิธีแอบสะกดรอยลับๆ เช่นนี้หยาบกระด้างไม่ได้ความเกินไป ทำให้เขาไม่มีความคิดจะระแวงเลยสักนิด

ฮูม…

ห้วงอากาศพลิกม้วนระลอกหนึ่ง เงาร่างของหลินสวินปรากฏออกมา กลิ่นอายราบเรียบธรรมดา

เมื่อสังเกตเห็นความดูถูกของซวีหลิงเจิน หลินสวินอดยิ้มเยาะไม่ได้

เจ้าโง่นี่ ตนไม่ได้ปกปิดร่องรอยมาตลอดทาง หากไม่สังเกตเห็นอีกก็เทียบคนโง่ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

ซวีหลิงเจินดูหมดความอดทนยิ่ง เอ่ยเสียงเย็น “ให้โอกาสเจ้าไถ่โทษ บอกมาตามตรง จุดประสงค์ที่เจ้าตามข้ามาคืออะไร และเป็นใครส่งเจ้ามา หากทำให้ข้าไม่พอใจ ที่นี่จะเป็นที่ฝังศพของเจ้า!”

ตอนที่ 2047 ความจริงในปีนั้น!

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น

แคว้นกลางมรรค เมืองนครเยี่ยน

ที่นั่งริมหน้าต่างในหอสุราแห่งหนึ่ง หลินสวินนั่งดื่มคนเดียวพลางคิดเรื่องในใจ

ตอนที่เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูจากไปได้ทิ้งม้วนหยกเล่มหนึ่งเอาไว้ ในม้วนหยกบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับลั่วชิงสวินมารดาของหลินสวินและท่านลู่

เมื่อรวมกับสิ่งที่หลินสวินรู้ ในหัวเขาจึงได้อนุมานเรื่องราวบางส่วนออกมาได้คร่าวๆ แล้ว

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เพื่อหลบหนีการตามฆ่า ลั่วชิงสวินนำห้องโถงมรรคาสวรรค์ข้ามฟ้าดาราภายใต้การคุ้มกันของจักรพรรดิสงครามดับดาราและท่านลู่ เดินทางจากฟากฝั่งฟ้าดารามาถึงจักรวรรดิจื่อเย่าในโลกชั้นล่างของดินแดนรกร้างโบราณ

แต่ระหว่างกำลังหนี ลั่วชิงสวินบาดเจ็บสาหัส จมสู่การหลับใหลไม่รู้นานเท่าไหร่

จนกระทั่งหลังจากลั่วชิงสวินฟื้น ความทรงจำขาดหาย ลืมเรื่องราวมากมายในอดีตไป…

ภายหลังนางเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรของจักรวรรดิจื่อเย่า ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนั้น และเข้าไปฝึกปราณในสำนักศึกษามฤคมรกต

และเป็นตอนนั้นที่ลั่วชิงสวินได้รู้จักกับหลินเหวินจิ้งบิดาของหลินสวิน ชายหญิงคู่นี้ก็ตกหลุมรักกันเช่นนี้

ลั่วชิงสวินและหลินเหวินจิ้งได้แต่งงานกัน

สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ลู่ป๋อหยาไม่ได้ขัดขวาง และไม่อาจขัดขวางได้ ลั่วชิงสวินในตอนนั้นสูญเสียความทรงจำ ลืมเรื่องในอดีตมากเกินไป ถึงขั้นจำไม่ได้ว่าลู่ป๋อหยาคือใคร…

ลั่วชิงสวินเองเองก็ไม่รู้ว่าในตอนที่นางหลับใหลไปไม่รู้กี่ปี ลู่ป๋อหยาอาศัยฝีมือเหนือธรรมดา สำแดงความสามารถในจักรวรรดิจื่อเย่าจนเปิดสำนักศึกษามฤคมรกต สร้างภาคีนักสลักวิญญาณ และก่อตั้งตำหนักแสงทมิฬที่มีราชินีรัตติกาลนิรันดร์เป็นผู้นำ

ตอนนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูซึ่งจำศีลอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าล้วนสัมผัสได้ว่าที่มาของลู่ป๋อหยาไม่ธรรมดา และเคยได้พูดคุยกัน

น่าเสียดายที่ลู่ป๋อหยาไม่ได้เปิดเผยมากนัก พูดเพียงว่าเขาเป็นเพียงคนผ่านทางคนหนึ่ง ทำทุกอย่างเพื่อคุ้มครองคนผู้หนึ่ง

ปฐมจักรพรรดิผู้บุกเบิกจักรวรรดิจื่อเย่าในตอนนั้นก็เคยคบหากับลู่ป๋อหยา

หลังจากนั้นลู่ป๋อหยาก็กลายเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับบุตรชายคนโตของปฐมจักรพรรดิ หรือก็คือจ้าวหยวนจี๋บิดาของจ้าวจิ่งเซวียน…

ตอนที่รู้ข้อมูลนี้จากม้วนหยก หลินสวินอดอุทานด้วยความตกใจไม่ได้ แม้ท่านลู่ไม่เคยมีชื่อในตำราประวัตศาสตร์ของจักรวรรดิจื่อเย่า แต่เขากลับส่งผลกระทบต่อจักรวรรดิจื่อเย่าอย่างอ้อมๆ มากยิ่งนัก!

จากนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูจึงรู้ว่า คนที่ลู่ป๋อหยาต้องการคุ้มครองคือลั่วชิงสวินที่ออกเรือนไปกับหลินเหวินจิ้ง บุตรชายคนโตตระกูลหลิน

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างล้วนสงบเงียบไร้คลื่นลม

ทว่าคดีนองเลือดที่เกิดขึ้นในตระกูลหลินกะทันหันนั่น ได้ทำลายทั้งหมดนี้อย่างสิ้นเชิง

ความจริงของเรื่องนี้หลินสวินรู้นานแล้ว ตอนนั้นแม้คนร้ายที่บุกฆ่าคนตระกูลหลิน ช่วงชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตนจะเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋ ทว่าตัวการเบื้องหลังกลับเป็นกึ่งจักรพรรดิปาฉีที่มาจากสำนักโบราณจรัสเทพ!

หากเป็นเมื่อก่อน หลินสวินย่อมไม่สงสัยว่าความจริงนี้ผิดปกติตรงไหน

ทว่าหลังได้เห็นพลังต่อสู้อันน่ากลัวที่เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูครอบครองในการประชันหมากครั้งนี้ หลินสวินเพิ่งจะตระหนักได้ถึงคำถามหนึ่ง

หากเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูรู้จักมารดาของตนกับท่านลู่ จะมองดูกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งฆ่าล้างตระกูลหลินตาปริบๆ โดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร

ในม้วนหยกเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูได้ให้คำตอบแล้ว…

ตอนที่เกิดคดีนองเลือดกับตระกูลหลิน เหนือฟ้านครต้องห้ามถูกพลังระเบียบปกคลุม ทำให้เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูที่ซ่อนตัวอยู่ในนครต้องห้ามจำต้องเก็บสัมผัสทั้งหมด จำศีลอย่างระมัดระวัง

จนกระทั่งหลังจากพลังระเบียบต้องห้ามสลายไป คดีนองเลือดตระกูลหลินก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถย้อนคืนได้อีก…

และหลังจากได้รู้คำตอบนี้ หลินสวินกลับตระหนก

ข้ากล้ามั่นใจว่าเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูไม่ได้โกหก เพราะทั่วหล้าบนล่างนี้ มีเพียงพลังระเบียบต้องห้ามที่สามารถคุกคามพวกน่ากลัวอย่างสองคนนี้ได้อย่างสิ้นเชิง!

แต่ก็มีข้อสงสัยหนึ่งเช่นกัน ทำให้ในใจหลินสวินยิ่งสะท้านไหว

ปาฉีเป็นเพียงกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งที่มาจากสำนักโบราณจรัสเทพ จะมีคุณสมบัติใช้พลังระเบียบต้องห้ามได้อย่างไร

ถ้าอย่างนั้น ตอนนั้นพลังระเบียบต้องห้ามมาเยือนโลกชั้นล่างได้อย่างไร

เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูได้บอกการคาดเดาของพวกเขาไว้แล้ว…

พลังระเบียบต้องห้าม มาเพื่อจับลั่วชิงสวินที่หนีจากฟากฝั่งฟ้าดารามายังโลกนี้!

และกึ่งจักรพรรดิปาฉีที่ดูเหมือนเป็นตัวการเบื้องหลัง ความจริงก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เพราะบนโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่สามารถควบคุมและใช้พลังระเบียบต้องห้ามได้

นั่นก็คือจอมจักรพรรดิไร้นาม!

การคาดเดานี้ก็ทำให้หลินสวินหนาวเยือกไปทั้งตัวเช่นกัน

เขาเพิ่งจะตระหนักได้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ตนจะถูกจอมจักรพรรดิไร้นามหมายหัวตั้งแต่เกิดแล้ว และการหายตัวไปของบิดามารดาก็เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับจอมจักรพรรดิไร้นาม!

คิดๆ แล้ว ต้นกำเนิดของพลังระเบียบต้องห้ามมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา ส่วนลั่วชิงสวินก็หนีมาจากฟากฝั่งฟ้าดาราเมื่อนานมาแล้ว

ลั่วชิงสวินบาดเจ็บ หลับใหลไม่รู้นานเท่าไหร่

และพลังระเบียบต้องห้ามสายนั้นก็ปกคลุมฟ้าดินผืนนี้มาเนิ่นนานเช่นกัน!

บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร

ในนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน!

นี่ก็คือการคาดเดาของหลินสวิน

และยามคดีนองเลือดตระกูลหลินเกิดขึ้นได้ไม่นาน หลินสวินที่ยังเป็นทารกและถูกชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดไปถูกลู่ป๋อหยาพาหนี ไปซ่อนอยู่ในคุกใต้เหมืองที่ไม่มีใครรู้จัก

อิงตามที่เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูพูด คุกใต้เหมืองนั่นลู่ป๋อหยาสร้างขึ้นเองกับมือ การจัดวางมีกระบวนผนึกลายมรรคที่ลึกลับและน่ากลัว

ทว่าสิบกว่าปีหลังจากนั้น คุกแห่งนั้นก็ถูกทำลาย

ผู้ที่ลงมือ ก็คือผู้แข็งแกร่งในขุมอำนาจที่ตามฆ่าลั่วชิงสวินและลู่ป๋อหยาในปีนั้น

จนถึงตอนนี้นับว่าหลินสวินเรียบเรียงเรื่องราวในอดีตได้อย่างไหลลื่นแล้ว

ทว่าความจริงที่ได้กลับทำให้เขารู้สึกหวั่นหวาดอย่างที่สุด พร้อมกันนั้นก็มีความสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจด้วย

เช่นว่า ตอนนั้นหลังจากมารดาและลู่ป๋อหยาหนีมายังทางเดินโบราณฟ้าดารา เหตุใดจึงไม่ไปที่อื่น แต่กลับมาที่โลกเล็กๆ อย่างจักรวรรดิจื่อเย่า

แต่เท่าที่หลินสวินรู้ โลกเล็กๆ นี้ไม่ได้ธรรมดา ชายหนุ่มจักจั่นทอง มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตน่ากลัวมากมายล้วนเคยจำศีลอยู่ที่ ‘สมรภูมิกระหายเลือด’ ของโลกนี้

แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในจตุโบราณสถาน ก็ตั้งอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณของโลกนี้เช่นเดียวกัน

ในอดีต อาณาเขตของสำนักคีรีดวงกมลก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์!

ทว่าตอนที่หลินสวินเปิดประตูสวรรค์ เคยพบพลังเจตจำนงที่ลั่วทงเทียนเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ทิ้งเอาไว้ ยิ่งรู้ชัดว่าเมื่อนานมาแล้วลั่วทงเทียนก็เคยเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์!

และลั่วทงเทียน ก็คือบรรพบุรุษต้นตระกูลของลั่วชิงสวิน!

เบาะแสที่กระจัดกระจายราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ นี้ ทำให้หลินสวินอดคาดเอาอย่างสุดโต่งไม่ได้

ว่าตอนนั้นมารดาและท่านลู่มายังโลกชั้นล่าง ไม่ใช่แค่เพื่อหลบหนีการตามฆ่าเท่านั้น แต่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเพื่อเข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์!

เพราะเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ลั่วทงเทียนที่ถูกขนานนามว่ากรำศึกทั่วหล้า ไม่เคยพ่ายแพ้ ทว่าหลังจากเข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลับถอยทัพกลับไปเพราะตกใจเสียงสายหนึ่ง

เสียงนั้นมาจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมล!

สามารถทำให้คนเช่นลั่วทงเทียนตกใจจนถอยทัพได้ สำหรับลั่วชิงสวินกับลู่ป๋อหยา ย่อมเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่สุดยอดมากคนหนึ่ง

บางทีการตามหาเจ้าแห่งคีรีดวงกมล จึงจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่พวกเขามายังโลกชั้นล่าง

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของหลินสวินเองเท่านั้น

ความจริงเป็นอย่างไร คงมีเพียงแค่มารดาของเขาและท่านลู่ที่รู้

‘ท่านลู่ยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เพียงไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน…’

หลินสวินรินเหล้าให้ตนเองจอกหนึ่งแล้วดื่มรวดหมดจอก

เขาไม่คุ้นเคยกับบิดามารดาอย่างมาก พูดไม่ได้ว่ามีความรู้สึกอะไร เพราะเขาโตมากับท่านลู่ ถึงได้รู้สึกผูกพันกับท่านลู่มากกว่า

นี่จะโทษว่าหลินสวินเลือดเย็นก็ไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดามารดาหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะมีความรู้สึกลึกซึ้งได้อย่างไร

นี่คือความเสียดายอย่างหนึ่งในใจเขา

ในฐานะบุตร ใครบ้างไม่อยากให้บิดามารดาอยู่ข้างกาย

หลังดื่มเหล้าหมดไปหนึ่งกา แขกในหอสุราแห่งนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆ คึกคักครื้นเครงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

แขกที่นั่งกินข้าวอยู่ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณในเมืองนครเยี่ยน สิ่งที่พูดคุยกันมากที่สุด ยังคงเป็นการประชันหมากครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว

เหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทั่วหล้านี้ หลังผ่านไปครึ่งเดือนผลกระทบก็ยังคงไม่ลดลง กลับยิ่งรุนแรงขึ้นภายใต้การผุดเผยของเบื้องหลังต่างๆ

จนตอนนี้ไม่ใช่แค่ในโลกใหญ่หงเหมิง ในโลกอื่นๆ ของฟ้าดาราล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์เหตุการณ์ใหญ่ที่ฮือฮาอย่างที่สุดนี้

บางคนกล่าวถึงความเสียหายรุนแรงของหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ บางคนกล่าวถึงผู้สืบทอดที่ราวกับเทพไท้แต่ละคนของคีรีดวงกมล

และมีบางคนที่ถกกันถึงเรื่องการไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา

สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ หลินสวินซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์ย่อมคร้านจะสนใจ

เขาสั่งเหล้าอีกกา แล้วนึกถึงคำพูดบนจดหมายที่ชายหนุ่มจักจั่นทองทิ้งเอาไว้

‘โลกมืด มีคนรอเจ้าไปแก้ปม’

แค่ประโยคเดียว แปลกประหลาดมาก

ทว่าหลินสวินกลับสัมผัสถึงความหมายที่แตกต่างไป

แก้ปม คำพูดนี้ละเอียดอ่อนมาก ไม่ว่าใครเห็นก็จะนึกถึงประโยคหนึ่ง แก้ปมก็ต้องเป็นคนผูกปม

ทว่าประเด็นคือ หลินสวินไม่รู้ว่าตนกลายเป็น ‘คนผูกปม’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งคนที่ผูกปมด้วยยังอยู่ในโลกมืด

แต่สามารถคาดเดาได้ว่า ด้วยฐานะของชายหนุ่มจักจั่นทอง การทิ้งเพียงคำพูดประโยคนี้ไว้ก่อนไปฟากฝั่งฟ้าดาราจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

ที่แท้เป็นใครกันที่ต้องให้ตนไปโลกมืดเพื่อแก้ปม

หลินสวินใคร่ครวญเนิ่นนาน นึกถึงสำนักโบราณจรัสเทพ นึกถึงแดนกษิติครรภ์ และนึกถึงตอนที่ศิษย์พี่รั่วซู่จะจากไป เคยพูดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ศิษย์พี่รองจะซ่อนตัวอยู่ในโลกมืด

ทว่าคิดไปคิดมาก็หาเบาะแสอะไรไม่ออก

‘ถ้ามีโอกาสก็ไปสักครั้งแล้วกัน’

หลินสวินนิ่งคิด

ยามนั่งยานลมกรดข้ามฟ้าดารามุ่งหน้าไปยังโลกใหญ่หงเหมิง หลินสวินเคยมีแผนการมากมาย

อย่างเช่น คืนปิ่นรูปใบไผ่ของศิษย์พี่เสวียนคงให้เจียงซิงเชวี่ย

อย่างเช่น หาป๋อหยาจื่อแห่งสำนักยุทธ์เสวียนจีให้พบ สืบข่าวของศิษย์พี่หลี่เสวียนเวย

ตอนนี้เขาทำเรื่องพวกนี้สำเร็จไปแล้ว

แต่ยังมีอีกเรื่องที่ซ่อนอยู่ในใจหลินสวินมาตลอด นั่นก็คือไปที่สำนักเร้นฤทธิ์เทพสักครั้ง

ตอนนั้นยามอยู่ที่โลกต้าอวี่ หลินสวินเคยถามเรื่องพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณกับอวี่ชิงหยางจักรพรรดิดาบชิงหยาง

ตอนนั้นอวี่ชิงหยางพูดว่า ‘ไม่ว่าเจ้าจะไปหาแดนเจินหลงหรืออยากสืบข่าวหาเบาะแสของพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณ ก็ลองไปเยือน ‘สำนักเร้นฤทธิ์เทพ’ ในโลกใหญ่หงเหมิงดู’

เหตุผลง่ายมาก หอฤทธิ์เทพที่ลึกลับที่สุดของดินแดนรกร้างโบราณ ก็แตกแขนงมาจากสำนักเร้นฤทธิ์เทพ!

ต้องรู้ว่าเมื่อนานมาแล้วอ๋าวเจิ้นเทียนลูกหลานของเผ่าเจินหลง เคยมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณพร้อมกับอิ๋นฮวนผู้สืบทอดสำนักเร้นฤทธิ์เทพ เพื่อเชื้อเชิญจ้าวจิ่งเซวียนไปร่วมงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรที่แดนเจินหลง!

—————————————–

หมอกเซียนอบอวล ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ราวกับที่พักของเทพ ยิ่งใหญ่โอ่อ่าอย่างที่สุด ธารดาราสายแล้วสายเหล่าไหลเวียนอยู่รอบๆ ตำหนัก

บนลานกว้างใหญ่หน้าตำหนักมีเสาสำริดตั้งอยู่ บนนั้นสลักลายมรรคแน่นขนัด รวมถึงกฎเกณฑ์ระเบียบต้องห้ามมากมาย ลึกลับและเก่าแก่

สิ่งที่ส่งเสียงตกใจออกมาคือวิหคชาดแดงเพลิงตัวหนึ่ง รูปงามอย่างที่สุด

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ มันฝึกปราณอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เฝ้าอยู่ที่นี่

แต่วันนี้บนเสาสำริดนั่น พลังระเบียบต้องห้ามเป็นสายๆ แผ่วจาง ราวกับสูญเสียชีวิต เปลี่ยนเป็นไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา!

นี่พิสูจน์ได้เพียงว่า ทางฟ้าดารานั่น ผู้ที่ควบคุมดูแลพลังระเบียบต้องห้ามคนนั้นเป็นไปได้สูงมากว่าจะประสบเคราะห์แล้ว!

“เดรัจฉาน โวยวายอะไร”

เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกันนั้นเงาร่างสูงหนึ่งจั้งปรากฏตัวกลางอากาศ

นี่เป็นชายที่รูปลักษณ์ราวกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ดวงตาดุจเหวลึก ผิวขาวกระจ่าง บนร่างกายเปล่งแสงทมิฬมหามรรคที่ราวกับคลื่นมากมาย

ใต้เท้าเขามีกลุ่มเมฆที่วิวัฒน์จากระเบียบอสนีมากมายพลุ่งพล่าน ทำให้เขาราวกับอริยะห้าวหาญบนสวรรค์

วิหคชาดเป็นปักษาเทพชั้นเลิศที่ศักดิ์สิทธิ์ปานใด บนทางเดินโบราณฟ้าดาราก็เหมือนตำนานที่ไม่อาจพบเจอ

ทว่าต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้ วิหคชาดตัวนี้กลับตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หมอบลงกับพื้น

“เรียนนายท่าน… ‘เสาโลกต้องห้าม’ นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ ที่ฝั่งฟ้าดารา ผู้ยิ่งใหญ่ที่ควบคุมดูแลพลังระเบียบต้องห้ามนั่นมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะประสบเคราะห์ไปแล้ว”

ฟุ่บ!

สายตาของชายหนุ่มราวกับสายฟ้า จับจ้องเสาสำริดขนาดใหญ่นั่น นี่คือเสาโลกต้องห้าม ขอเพียงแค่เสานี้ไม่ล้ม ต้นกำเนิดระเบียบต้องห้ามก็จะไม่แห้งเหือด

เพียงพริบตานัยน์ตาของชายหนุ่มก็หดรัด เผยสีหน้าตกใจ “สถานที่ที่ตกต่ำเช่นนั้น ยังมีคนสามารถโจมตี ‘อาเก้า’ ที่ครอบครองอสนีระเบียบต้องห้ามจนพ่ายแพ้ได้อีกหรือ”

คิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มร่างพริบไหว พุ่งเข้าไปในตำหนักที่อยู่ไกลๆ หลังหนึ่ง

“อะไรนะ ทางฝั่งฟ้าดารามีคนโจมตี ‘อาเก้า’ จนพ่ายแพ้หรือ”

“ดูท่าจะมีคนก้าวข้ามขอบเขตระดับบรรพจารย์จักรพรรดิแล้ว มีคุณสมบัติกระโดดออกจากกรง”

“นี่เป็นไปไม่ได้! บนทางเดินโบราณฟ้าดารานั่น ระเบียบต้องห้ามสายฟ้าที่ตระกูลเราครอบครองอยู่ สามารถสังหารคนนอกรีตทั้งหมดที่กล้าแตะต้องระเบียบต้องห้าม ด้วยมรรควิถีของอาเก้า บวกกับพลังของระเบียบต้องห้ามสายฟ้า ต่อให้เป็นการฆ่าพวกที่เหนือกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

“อย่าลืมว่าก่อนที่อาเก้าจะเดินทางไปยังทางเดินโบราณฟ้าดารานั่น โลกแห่งนั้นได้ปรากฏบุคคลน่ากลัวที่ไม่ด้อยกว่าอาเก้าไม่น้อย”

“ใช่ ข้าเองก็จำได้ มีคนที่ฉายาว่า ‘จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน’ ก็แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ เพิ่งมาถึงโลกของพวกเราก็เผยอานุภาพน่าตกตะลึงแล้ว”

“แต่ว่า… ในหลายแสนปีมานี้ ทางเดินโบราณฟ้าดารานั่นถูกระเบียบต้องห้ามสายฟ้าที่อาเก้าครอบครองอยู่ปกคลุมมาตลอด เขา… ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ได้อย่างไร”

ชั่วขณะเดียวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังขึ้นในส่วนลึกของโถงตำหนัก แฝงความประหลาดใจ

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่น่าตกตะลึงซึ่งทุกคนคาดไม่ถึงจริงๆ!

พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ถูกตระกูลของพวกเขาควบคุม ถือกำเนิดในต้นกำเนิดต้องห้ามสายฟ้า จึงถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ระเบียบต้องห้ามสายฟ้า’

ส่วน ‘อาเก้า’ คนนั้น ก็คือผู้อาวุโสที่ลำดับความอาวุโสสูงมากคนหนึ่งในตระกูลพวกเขา ออกจากตระกูลไปตั้งแต่หลายแสนปีก่อน ข้ามห้วงอากาศไปเยือนทางเดินโบราณฟ้าดารา

ในเวลาเดียวกันก็นำระเบียบต้องห้ามสายฟ้าไปยังโลกหล้าที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นแดนแห่ง ‘ความตกต่ำ’ นั้น

หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ

ทว่าตอนนี้กลับมีข่าวออกมาว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่อาเก้าจะร่วงหล่นไปแล้ว แม้แต่พลังระเบียบต้องห้ามที่ถูกเขาควบคุมยังกลายเป็นสิ่งไร้เจ้าของ นี่จะให้คนในตระกูลไม่ตกใจได้อย่างไร

“แตกตื่นอะไร ฟ้าถล่มลงมาหรือ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ บนทางเดินโบราณฟ้าดาราเท่านั้น ยังสามารถสะเทือนรากฐานของตระกูลพวกเราได้หรือ”

ในบรรยากาศที่แปลกประหลาดไม่แน่นอนนี้ เสียงแก่ชราดังมาจากส่วนลึกของตำหนัก กลบทุกเสียงลงไป

ทุกคนในโถงตำหนักล้วนเงียบกริบ

“หึ ข้ากลับอยากเห็นนัก ว่าหลังจากนี้จะมีแมลงวันของทางเดินโบราณฟ้าดารามากมายเท่าไหร่บินมา!”

จากนั้นเสียงเย็นชาไร้อารมณ์สายหนึ่งดังขึ้น ทำให้ในใจของทุกคนในโถงสะท้านอีกครั้ง

“สามเดือนให้หลังข้าจะออกด่าน ถึงตอนนั้นข้าจะไปทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วยตัวเองสักรอบ พลังระเบียบต้องห้ามไม่อาจสูญเสียการควบคุมไปเช่นนี้”

เสียงที่แหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ดี มีน้องหกไปด้วยตัวเอง ย่อมสามารถสืบได้ว่าเป็นใครที่สังหารน้องเก้า ข้ามีเพียงประโยคเดียว ความแค้นนี้ต้องชดใช้เป็นร้อยเท่าพันเท่า!”

“ไม่ผิด กำจัดเจ้าชั่วนั่นคนเดียวไม่พอ จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก!”

ในวันนี้ ‘น้องหก’ ที่ถูกเฒ่าดึกดำบรรพ์ในตระกูลเหล่านี้เรียกขาน ถูกเหล่าคนรุ่นหลังในตระกูลเรียกว่า ‘อาหก’ ตัดสินใจเด็ดขาดว่าอีกสามเดือนจะมุ่งหน้าไปทางเดินโบราณฟ้าดารา!

เห็นได้ชัดว่า ‘อาหก’ คนนี้ก็คือ ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ ที่ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดถึง!

นอกตำหนัก บนแท่นใหญ่ที่ไอเซียนอบอวล วิหคชาดหมอบอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

สายตาของนางจ้องเสาโลกต้องห้ามนั่นเขม็ง ในใจพึมพำว่า ‘คุณหนู ท่านอยู่ที่ทางเดินโบราณฟ้าดารานั่น จะต้องระวัง… อย่าให้ถูกพวกเขาจับตัวกลับมา’

……

ทางเดินโบราณฟ้าดารา

ผ่านไปหนึ่งวัน ข่าวเกี่ยวกับการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ ได้แพร่สะพัดทั่วฟ้าบนดินแห่งนี้ราวกับภูเขาถล่ม มหาสมุทรซัดสาด ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่

ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ใจสั่นกับเรื่องนี้ และผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ตกใจจนสิ้นหวัง

ในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ ก่อนหลัง เพียงแค่บุคคลระดับจักรพรรดิ ก็ร่วงหล่นไปสี่สิบเจ็ดคนแล้ว!

ระดับจักรพรรดิ

ในสายตาของทุกคนบนโลก ราวกับผู้คุมอำนาจชั้นสูง มีอานุภาพที่น่าตกตะลึงที่คำรามวัฏจักร

แต่ตอนนี้แต่ละคนจิตวิญญาณหลุดลอยในการประลอง!

นี่จะไม่ให้ตะลึงได้อย่างไร

และสำหรับขุมอำนาจใหญ่ทั่วหล้า ในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตะลึงและหวาดกลัวจริงๆ ก็คือเหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิที่ร่วงหล่น!

บรรพจารย์แห่งมรรคสายหนึ่ง สามารถเรียกได้ว่าบรรพจารย์จักรพรรดิ เรียกได้ว่าเป็นพลังที่สูงส่งที่สุดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ระดับจักรพรรดิทั่วไปดูหม่นแสงลงไป

ในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ ขุมอำนาจเรือนมรรคที่มาจากเรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคยุทธจักร เรือนมรรคเหล่ามาร บุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากสิบเผ่านักรบใหญ่ เผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ แต่ละคนกลับประสบเคราะห์ภัยขั้นสุด ตกอยู่สภาพจิตวิญญาณร่วงหล่น!

มีคนสรุปว่า บุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ร่วงหล่น เท่าที่รู้ก็มากถึงยี่สิบสามคนแล้ว!

นี่เป็นตัวเลขที่เพียงพอจะน่าตกตะลึงและน่าตกใจ สามารถทำให้สถานการณ์ทั่วหล้า เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

เพียงแค่สามเรือนมรรคใหญ่อย่างเรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคยุทธจักรสามที่บาดเจ็บหนักรุนแรงที่สุด เพราะบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิและระดับจักรพรรดิที่ร่วงหล่นมากเกินไป มีความเป็นไปได้สูงมากที่รากฐานจะสั่นคลอนด้วยเหตุนี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับแค้นอย่างที่สุด

“เหตุใดพวกวิญญาณเร่ร่อนคีรีดวงกมลจึงน่ากลัวขนาดนี้”

ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่สั่นไหว จำชื่อคีรีดวงกมลไว้แม่น

สมัยบรรพกาล สำนักคีรีดวงกมลถูกทำลาย ประตูภูเขาถล่ม ผู้สืบทอดที่อยู่ภายใต้สำนักถูกคนทั่วหล้าตามฆ่า โดนดูถูกว่าเป็น ‘ปีศาจ’

ในแสนปีมานี้ ข่าวเกี่ยวกับคีรีดวงกมล แทบไม่เห็นแล้ว

ทว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ขุมอำนาจของสำนักที่ถูกกำจัดไปตั้งนานแล้วเช่นนี้ กลับเผยพลังอันน่ากลัวในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้!

สังหารระดับจักรพรรดิราวกับตัดหญ้า สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิราวกับเชือดไก่!

นี่โค่นล้มการรับรู้และจินตนาการของผู้คนโดยสมบูรณ์

ทันใดนั้น คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกลุ่มผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวย ผูเจิน เสวี่ยหยา ชื่อจุน ก็ฮือฮาอย่างมากในดินแดนต่างๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าสำหรับผู้ยิ่งใหญ่อย่างเหล่าหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจและหวาดกลัว มีเพียงเรื่องเดียว…

จอมจักรพรรดิไร้นามก็ถูกคีรีดวงกมลโจมตีจนพ่ายแพ้!

นี่ราวกับฝันร้ายที่ตะลึงฟ้านี้ ทำให้พวกเขาตะลึงกับคนผู้นี้ ลนลานถึงขีดสุด แม้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ม้วนตัวมา ทลายประตูเขาของพวกเขา

แม้บอกว่า พอกลุ่มผู้สืบทอดคีรีดวงกมลมุ่งหน้าไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา ทำให้เรื่องเช่นนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่ความรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวกลับเหมือนเงามืดที่ประทับอยู่ในใจของขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้

ในขณะเดียวกัน ข่าวเกี่ยวกับที่พลังระเบียบต้องห้ามเสียการควบคุม หนทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็สืบทอดไปตาม ทำให้เกิดความโกลาหล

สิ่งผูกมัดที่ปกคลุมบนทางเดินโบราณฟ้าดารามาไม่รู้กี่ปี ถูกทลายออกในตอนนี้ ความหวังที่จะไปสู่ฟากฝั่ง ราวกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนสี!

ใช่แล้ว สำหรับสรรพชีวิตทั่วหล้า การประชันหมากครั้งใหญ่นี้ ราวกับศึกมรรคนับแสนในสมัยดึกดำบรรพ์ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในสมัยบรรพกาล

เพียงแค่ครั้งนี้ คีรีดวงกมลชนะแล้ว!

สูญเสียการควบคุมของจอมจักรพรรดิไร้นาม พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วฟ้า เหมือนกรงที่ถูกเฝ้า ทำให้ทั่วหล้านี้ ล้วนเกิดการแปรผันฉับพลัน

“ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าต่อไปบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้…จะเกิดการสั่นสะเทือนและพิบัติภัยอย่างไร”

คนแก่หลายคนกังวล

“ทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ ทุกแสนปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ก็ไม่รู้ว่า พร้อมกับการออกเดินทางของกลุ่มจักรพรรดิ ไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา ในฟ้าดาราทั่วหล้านี้ จะมีใครสามารถทำให้เกิดความฮือฮาได้อีก”

หลายคนฮึกเหิม คิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ หมายความว่าสถานการณ์ของฟ้าดาราทั่วหล้า กำลังจะเริ่มสับเปลี่ยนอีกครั้ง!

โดยเฉพาะพร้อมกับการทยอยจากไปและมุ่งหน้าสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราของบุคคลระดับจักรพรรดิและบรรพจารย์จักรพรรดิมากมาย เท่ากับทำให้บนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ สูญเสียพลังอันน่ากลัวที่ทำให้คนหวาดเกรงมากมาย!

และนี่ ในขุมอำนาจที่แตกต่างกัน ในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่แตกต่างกัน ก็หมายความถึงโอกาสในการลืมตาอ้าปาก!

ในดินแดนอันกว้างใหญ่โอ่อ่านี้ ตัวแปรเกิดขึ้นพร้อมกัน

ต่อไปใครจะควบคุมสถานการณ์

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเฝ้ามองอย่างตื่นเต้น เตรียมความพร้อมอยู่ในที่มืด

หว่างคิ้วของไท่ซูหงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์ปรากฏความกังวล

แม้บอกว่า ในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ เรือนมรรคโลกาสวรรค์วางตัวนอกเหตุการณ์ ไม่สูญเสียเลยสักนิด เมื่อเทียบกับสำนักอื่น กลับกลายเป็นคนที่รุ่งเรืองและแข็งแกร่งที่สุดในทันที

แต่มีเพียงไท่ซูหงที่รู้ดีว่า สถานการณ์ตรงหน้า ยังคงเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้จักมากเกินไป

อย่างเช่นจอมจักรพรรดิไร้นามคนนี้ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้แล้ว ตอนที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนต่อไปปรากฏตัว ทางเดินโบราณฟ้าดารานี้…จะเป็นอย่างไร

……………………..

ตอนที่ 2045 ความโศกเศร้าของมหาจักรพรรดิอีกาทอง

ศิษย์พี่รอง!

หลินสวินอึ้งไป จมสู่ภวังค์

ความหมายของคำพูดนี้ของศิษย์พี่รั่วซู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่า ศิษย์พี่รองที่จนตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัวออกมา อยู่ในโลกมืด!

‘ศิษย์พี่รองเขา… เป็นคนระดับใดกันแน่’

หลินสวินอดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้

บนท้องฟ้าไม่เห็นเงาร่างของเหล่าศิษย์พี่คีรีดวงกมลแล้ว เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูก็ทยอยจากไปเช่นกัน

กลางฟ้าดินที่กลายเป็นเศษซากหักพัง เหลือเพียงหลินสวินคนเดียว

“ผู้อาวุโสดอกกระบี่พันปีก คำขอร้องของท่าน… ข้าได้ทำให้แล้ว”

หลินสวินถอนหายใจยาว

ยามอยู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ดอกกระบี่พันปีกเคยมอบ ‘กระบี่ไผ่สดับหิมะ’ ให้หลินสวิน ขอให้เขาส่งมอบให้ศิษย์พี่เสวี่ยหยา

เมื่อครู่นี้หลินสวินได้ส่งกระบี่นี้ให้ศิษย์พี่เสวี่ยหยาแล้ว ตอนที่อีกฝ่ายเห็นกระบี่นี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหลุดขำอย่างหมดคำพูด ‘ดอกกระบี่น้อยต้นนั้นถึงกับยังนึกถึงเรื่องนี้ นับว่ามีน้ำใจ ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยเปิดจิตตื่นรู้ให้นางในตอนนั้น’

ตอนนั้นหลินสวินก็ยิ้มแล้ว

นี่ก็คือบุญวาสนา หนึ่งเหตุหนึ่งผลก็เป็นเช่นนี้

ครู่ใหญ่หลินสวินหมุนตัวจากไปเพียงลำพัง

เขายังจำได้แม่นว่าชายหนุ่มจักจั่นทองเคยพูดว่า จอมจักรพรรดิไร้นามนี้ถูกตีพ่ายแล้ว ทว่าต้นกำเนิดของพลังระเบียบต้องห้าม จะมี ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ อีกคนปรากฏตัวไม่เร็วก็ช้า

ถึงตอนนั้นทั่วทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราจะอยู่ในเงามืดของพลังระเบียบต้องห้ามอีกครั้ง

ทว่าหลินสวินไม่กลัวแล้ว

ได้เห็นความองอาจในการต่อสู้ของศิษย์พี่ใหญ่ ได้เห็นฝีมือล้ำเลิศที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจของชายหนุ่มจักจั่นทอง หลินสวินยิ่งมั่นใจเรื่องหนึ่ง…

ขอเพียงแค่ตนแข็งแกร่งมากพอ พลังระเบียบต้องห้ามนั่น… ก็สามารถถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ได้!

……

นั่นเป็นเขตแดนดาราที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง

“อาไป๋ เตรียมตัวหน่อย พวกเราควรไปแล้ว”

ชายหนุ่มจักจั่นทองและเซียนผลาญเฉินหลินคงปรากฏตัวกลางอากาศ เคลื่อนสายตาไปมองเด็กสาวงดงามที่แปลงจากจักจั่นขาวนั่น

หว่างคิ้วของเด็กสาวปรากฏความขุ่นเคือง “ข้าพูดกี่ครั้งแล้วว่า ตอนที่มีคนนอกอย่าเรียกข้าว่าอาไป๋!”

“ได้ อาไป๋”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดสบายๆ

เด็กสาวโกรธจนอยากพุ่งเข้าไปซัดชายหนุ่มจักจั่นทองเสียเดี๋ยวนี้

เฉินหลินคงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ให้เรียกคนอื่นมาพร้อมกันหรือไม่”

สายตาของชายหนุ่มจักจั่นทองมองไปยังส่วนลึกของฟ้าดาราอันรกร้างผืนนั้น ครู่ใหญ่ถึงยิ้มพูดว่า “เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว ในพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณแห่งนี้ พวกที่สามารถจากไปได้เริ่มเคลื่อนไหวล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”

เฉินหลินคงสัมผัสคร่าวๆ แล้วอดพูดอย่างจนใจไม่ได้ “จากที่ข้าดู พวกที่ยังไม่ไป เกรงว่าก็คงไม่คิดจะไปแล้ว”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้ากล่าว “ล้วนแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิแล้ว ยังไม่ปล่อยวางจากเรื่องเล็กบนโลก ไปหรือไม่ไปไม่อาจบังคับ”

“ไม่ถูกต้อง”

เขาขมวดคิ้ว “เหตุใดมหาจักรพรรดิอีกาทองก็เลือกจะอยู่ต่อด้วย”

อาไป๋พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ยินว่าเพราะมีคนตัดต้นฝูซางในหุบเขาตะวันคล้อยที่ดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้เจ้าเฒ่าคนนี้เกิดความยึดติด สาบานว่าจะแก้แค้น แม้ตอนนี้จะปิดด่านอยู่ แต่ตอนที่เขาออกด่านจะต้องไปแก้แค้นอย่างแน่นอน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองขานรับว่าอ้อ แล้วถามว่า “เฟยหลันล่ะ”

เฟยหลันก็คือสิ่งมีชีวิตวิญญาณน่ากลัวที่ร่างเดิมเป็นผีเสื้อราตรีสีเลือด มีความสัมพันธ์ร่วมเป็นร่วมตายกับ ‘เทียนเชวีย’ เจ้าของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร

ยามอยู่ในป่าต้นหม่อนเคยช่วยหลินสวินสังหารศัตรู

“ไปแล้ว” อาไป๋พูด

ชายหนุ่มจักจั่นทองเงียบไปครู่หนึ่ง

เจ้าของธนูวิญญาณไร้แก่นสารเทียนเชวีย เป็นผู้กล้าชั้นเลิศที่แม้แต่จักจั่นทองยังชื่นชม ทว่าเมื่อนานมาแล้วกลับพบเจอการลอบโจมตีที่อันตรายถึงชีวิต ถูกมหาจักรพรรดิอีกาทองฉวยโอกาสโจมตีสังหาร

ตอนนี้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารตกอยู่ในมือหลินสวิน ‘อู้เชวีย’ วิญญาณอาวุธนี้หลุดออกจากหุบเขาตะวันคล้อย ไม่ต้องเดาชายหนุ่มจักจั่นทองก็รู้ว่า เรื่องที่ช่วยอู้เชวียออกไปและตัดต้นเทพฝูซางจะต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินอย่างแน่นอน

‘ต้นเทพฝูซางเป็นถึงรากฐานของเผ่าอีกาทอง กลับถูกเจ้าหมอนั่นตัดไป ไม่แปลกที่มหาจักรพรรดิอีกาทองจะโกรธจนแม้แต่ฟากฝั่งฟ้าดาราก็ไม่ไปแล้ว…’

‘หนี้เลือดครั้งนี้ เหรงว่าจะไปคิดบัญชีที่เจ้าหมอนี่อีกแล้ว…’

คิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มจักจั่นทองก็ส่ายหน้าระลอกหนึ่ง เขาไม่มีความคิดจะแทรกแซงเรื่องนี้

แม้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นจะจากไปแล้ว แต่มีหรือที่พวกเขาจะไม่ทิ้งทางหนีทีไล่อะไรไว้บนทางเดินโบราณฟ้าดารา

หากมหาจักรพรรดิอีกาทองคิดว่าหลินสวินสามารถรังแกได้ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว

“ไปเถอะ”

ไม่นาน จักจั่นทอง จักจั่นขาว และเฉินหลินคงก็หายไปพร้อมกัน

และในส่วนลึกของฟ้าดาราที่ราวกับถูกทิ้งร้างนี้ มีทะเลสาบหินหนืดที่เผาไหม้เดือดพล่านอยู่ในฟ้าดาราที่พาดขวาง ดวงดาวที่โคจรอยู่ใกล้ๆ ล้วนมอดไหม้ เปลวเพลิงลามไปหมื่นจั้ง

ส่วนลึกของทะเลสาบหินหนืด กฎเกณฑ์เปลวเพลิงหนาใหญ่ราวกับมังกร เดินอยู่รอบตัวคนแก่ชุดคลุมทองคนหนึ่ง

เขานั่งขัดสมาธิ ระหว่างที่หายใจเข้าออก กายใจราวกับกลายเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ในโลกเต็มไปด้วยทิวทัศน์น่ากลัวที่เพลิงท่วมฟ้า

มหาจักรพรรดิอีกาทอง!

เฒ่าชราคนหนึ่งในพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณ ทรงพลังเลิศล้ำ โหดเหี้ยมเลือดเย็น สังหารมานับไม่ถ้วน!

ตอนที่เงาร่างของจักจั่นทอง เฉินหลินคงจากไป ชั่วพริบตานี้จู่ๆ มหาจักรพรรดิอีกาทองที่ปิดด่านอยู่ก็ลืมตาขึ้น

พริยตานั้นดั่งสุริยันคู่หนึ่งผุดขึ้นในดวงตาของเขา!

“หลายปีมานี้หากไม่ใช่เพราะเจ้าจักจั่นทองกักขังไว้ ข้าคงบุกสังหารออกไปจากที่นี่ พิชิตบนฟ้าดารา และไม่ทำแค่เฝ้าอยู่ที่นี่ตาปริบๆ ปล่อยให้ต้นเทพฝูซางถูกหัวขโมยตัด!”

เปลวเพลิงน่ากลัวพวยพุ่งในดวงตาเขา น่ากลัวจนกำเริบหมายจะกลืนกิน “ตอนนี้ในที่สุดเจ้าก็จากไปแล้ว…”

ตูม!

มหาจักรพรรดิอีกาทองลุกขึ้น ทะเลสาบหินหนืดใหญ่ที่พาดขวางในฟ้าดารา จู่ๆ ก็ถูกร่างกายของเขากลืนกินหมดสิ้น

เขาราวกับสุริยันกลางฟ้าดวงโตดวงหนึ่ง ส่องประกายหมื่นจั้ง ส่องสว่างเขตแดนดาราที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้

“ในที่สุดเจ้าเฒ่านั่นก็ทนไม่ไหวแล้ว”

“ต้นเทพฝูซางเป็นหนึ่งในสี่ไม้เทพที่มหัศจรรย์ที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นต้นกำเนิดที่เผ่าอีกาทองคงอยู่มาถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ถูกคนทำลายไปแล้ว เจ้าเฒ่าอีกาทองจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร”

ในมุมมืด พลังเจตจำนงสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น สังเกตการเคลื่อนไหวของมหาจักรพรรดิอีกาทอง

“พวกเจ้าจะดูความครื้นเครงของข้าหรือ”

จู่ๆ มหาจักรพรรดิอีกาทองก็พูดเสียงเย็น ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดารา

ทันใดนั้นพลังเจตจำนงที่พูดคุยกันเหล่านั้นล้วนหายไป เงียบกริบเหมือนจักจั่นหน้าหนาว

ฟุ่บ!

ครู่ต่อมามหาจักรพรรดิอีกาทองก็เริ่มการเคลื่อนไหว

ทว่ายังไม่รอออกจากเขตแดนดาราที่ราวกับถูกทิ้งร้างแห่งนี้ เสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นคราหนึ่ง มหาจักรพรรดิอีกาทองเพียงรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอย ราวกับถูกคนสะบัดฝ่ามือใส่อย่างแรง เงาร่างสั่นไหวระลอกหนึ่ง ภาพตรงหน้ามืดสลัวขึ้นมา

“ใคร!?”

เขาตวาดอย่างเดือดดาล ร่างกายแผ่กฎเกณฑ์เพลิงเทพที่เผาไหม้ท้องฟ้า สามารถเห็นได้รางๆ ว่าเงามายาของอีกาทองสามขาตัวหนึ่งปกคลุมฟ้าดาราผืนนี้ พลังอำนาจน่ากลัวไม่อาจประเมิน

“ภายในร้อยปี ห้ามออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว”

เสียงที่ว่างเปล่าและเลื่อนลอยเสียงหนึ่งดังขึ้น

มหาจักรพรรดิอีกาทองตัวสั่น ด้วยระดับพลังปราณของเขา กลับไม่สามารถจับได้ว่าเจ้าของเสียงนี้อยู่ที่ไหนกันแน่

นี่สามารถพิสูจน์ได้เพียงว่า พลังปราณของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขามาก!

ทันใดนั้น สีหน้าของมหาจักรพรรดิอีกาทองพลันอึมครึมไม่สามารถสงบได้ ในใจอัดอั้นจนแทบจะกระอักเลือด อุตส่าห์ทนจนจักจั่นทองตัวนั้นจากไป ใครจะคิดว่า เพิ่งคิดจะจากไป ก็ก้าวเท้าผิดเสียแล้ว!

“เจ้าได้ยินชัดแล้วหรือยัง”

เสียงอันว่างเปล่าและเลื่อนลอยนั่นดังขึ้นอีกครั้ง

มหาจักรพรรดิอีกาทอง เขาจะยอมก้มหัวเช่นนี้ได้อย่างไร

ปัง!

ท้ายทอยของเขาโดนตีอีกที ภาพตรงหน้าพร่ามัว

เขาเป็นถึงการดำรงอยู่ระดับมหาจักรพรรดิ บุคคลระดับวีรชนที่ไม่ปรากฏต่อโลก ตอนนี้กลับเหมือนเด็กคนหนึ่งกำลังถูกผู้ใหญ่สั่งสอน ทำให้เขาหน้าแดงก่ำ ในใจเต็มไปด้วยความอับอาย

รังแกกันเกินไปแล้ว!

“เจ้าเป็นใคร กล้ามาสู้กันหรือไม่”

มหาจักรพรรดิอีกาทองคำราม สั่นสะเทือนฟ้าดาราผืนนี้

สิ่งที่ตอบรับ คือมือใหญ่ที่ขาวผ่องเรียวยาวข้างหนึ่งที่ขวางกั้นฟ้าดาราอันไม่มีสิ้นสุดลอมา นิ้วมือทุกนิ้ว ล้วนราวกับสามารถค้ำวัฏจักรนี้ได้ ยิ่งใหญ่จนไม่สามารถจินตนาการได้

มหาจักรพรรดิอีกาทองหลบไม่ทันด้วยซ้ำ พลันถูกมือใหญ่จับไว้เหมือนหนอนตัวหนึ่ง จากนั้นทิ้งบนส่วนลึกที่สุดของฟ้าดาราร้างผืนนี้อย่างรุนแรง

โครม!

พิรุณแสงที่แปลงจากพลังกฎระเบียบจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตาม กลายเป็นภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ปราบปรามมหาจักรพรรดิอีกาทองไว้ด้านล่าง

จนกระทั่งตอนนี้ มหาจักรพรรดิอีกาทองจึงรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งจนทำให้เขาไม่มีโอกาสในการตอบโต้ใดๆ!

“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ฆ่าคนในพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณ อีกาทองเฒ่า อีกร้อยปี เจ้าจะหลุดพ้นเอง ปฏิบัติตัวดีๆ หน่อย”

เสียงนั่นจนตอนนี้จึงหายไปอย่างสิ้นเชิง

และมหาจักรพรรดิอีกาทองที่ก่อนหน้านี้ทลายด่านออกมาด้วยพละกำลังที่ท่วมท้วน หมายจะก้าวสู่เส้นทางการต่อสู้ กลับก้าวผิด ยังไม่ทันจากไป ก็ถูกปรามปราบโดยตรง!

พลังแห่งเจตจำนงมากมายที่เฝ้ามองฉากนี้อยู่ในที่มืด ล้วนรู้สึกมึนงงอย่างไม่มีข้อยกเว้น บุคคลระดับมหาจักรพรรดิอีกาทอง ถูกปราบปรามง่ายๆ เช่นนี้เช่นนั้นหรือ

“เป็นเจ้าได้อย่างไร…”

ตอนนี้ มหาจักรพรรดิอีกาทองราวกับคิดอะไรออก เผยสีหน้ายากจะเชื่อ เคยสาบานว่าจะไม่สังหารพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณ ซึ่งก็คือจักจั่นทองตัวนั้น

เหตุใดพลังปราณของเขาจึงน่ากลัวขนาดนี้

เขา…เป็นใครกันแน่?

ในใจมหาจักรพรรดิอีกาทองกระเพื่อมไหว เขารู้จักจักจั่นทอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่เขาอ่านใจไม่ออกและต่อต้านที่สุด ก็คือจักจั่นทองที่ชอบเพียง ‘พูดคุย’

ทว่ามหาจักรพรรดิอีกาทองคิดไม่ถึงว่า จักจั่นทองที่เก็บตัวคนนี้ กลับน่ากลัวเพียงนี้!

ในเวลาเดียวกัน บนเส้นทางที่ห่างจากที่นี่ฟ้าดาราวัฏจักรนับไม่ถ้วน จักจั่นทองยิ้มพูด “หนึ่งร้อยปี…ก็พอแล้ว”

เฉินหลินคงที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “สุดท้ายเจ้าก็อดลงมือไม่ไหวเช่นนั้นหรือ”

“เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยฟังมหามรรคสามสิบปีที่คีรีดวงกมล จึงทำให้ข้าหยั่งรู้บนมหามรรคอย่างสิ้นเชิง เจ้าแห่งดวงกมลบอกข้าว่ามรรคสูงกว่าท้องฟ้า แต่สำหรับข้าบุญคุณของเจ้าแห่งดวงกมล ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าฟ้า ว่ากันถึงแก่นแท้ ข้าในตอนนี้ สู้เขาไม่ได้เลย”

จักจั่นทองถอนหายใจ

มรรคยิ่งใหญ่กว่าฟ้าเช่นนั้นหรือ

แล้วจะยิ่งใหญ่ว่าบุญคุณที่เขาประทานได้อย่างไร

เฉินหลินคงถาม “เจ้าว่า เจ้าแห่งดวงกมลสูงแค่ไหน”

“สูงกว่าในจินตนาการของข้าและเจ้า”

จักจั่นทองว่าแล้วก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว

เฉินหลินคงอึ้ง ในสายตากะพริบความตะลึงเสี้ยวหนึ่ง

ในจินตนาการของข้า ได้ถือว่าเจ้าแห่งดวงกมลว่าเป็นการดำรงอยู่ที่สูงส่งอย่างที่สุด หากสูงส่งกว่าที่เขาจินตนาการ ถ้าอย่างนั้นควรจะเป็นระดับใด

ในเวลาเดียวกัน บนฝั่งทางเดินโบราณฟ้าดาราที่ถูกตัดขาดมาตั้งนานแล้วนี้ หน้าตำหนักขนาดใหญ่ที่ไอเซียนอบอวล

เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น ทำลายความเงียบตั้งแต่โบราณ——

“ฟากฝั่งฟ้าดารา…เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!”

————————————-

เฉินหลินคง!

ถ้าหลินสวินอยู่ที่นี่ จะต้องจำได้ว่าชายที่มีเงาร่างสูงตระหง่านเป็นที่สุด สง่างามปานทวยเทพสูงส่งไร้เทียมทานผู้นี้ เขาเคยพบมาก่อน

ตอนนั้นเขากับเจ้าคางคกเข้าสู่ ‘แดนเผาเซียน’ ในแดนมกุฎด้วยกัน และเคยพบชายที่เรียกตัวเองว่าเซียนผลาญเฉินหลินคงผู้นี้

ตอนนั้นในตำหนักในหุบเขาแห่งหนึ่ง เพราะเฉินหลินคง เจ้าคางคกจึงรู้ว่าบรรพบุรุษของเขาเคยเป็นหนึ่งใน ‘หนึ่งร้อยแปดแม่ทัพเทพ’ ที่อยู่ข้างกายเฉินหลินคงผู้นี้

และก็เป็นที่นั่น ที่ทำให้เจ้าคางคกได้วาสนาครั้งหนึ่งไป

หลินสวินจำได้อย่างชัดเจนว่าเฉินหลินคงเคยพูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า

‘เจ้าทำให้ข้านึกถึงจักรพรรดิสงครามดับดารา แต่เห็นได้ชัดมากว่าเจ้ากับจักรพรรดิสงครามดับดาราไม่เหมือนกัน มรรคาของเจ้าก็ไม่เหมือนเขาเช่นกัน ข้ารอคอยอย่างมากว่าเจ้าจะบรรลุมรรคาแบบไหน’

ตอนนั้นคำตอบของหลินสวินคือ ‘ข้าเคยได้เจอจักจั่นทองตัวหนึ่งด้วยความโชคดี เขาเองก็เคยพูดคุยกับข้าและพูดเช่นนี้’

เฉินหลินคงเอ่ย ‘จักจั่นทองตัวนั้นไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าถ้าอยากเดินบนมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน จะต้องแลกกับอะไร’

หลินสวินพูด ‘มันพูดเพียงว่า วาสนาชะตาลิขิตราวมายา การปรารถนาตามใจต้องการนั้นดี แต่หากลุ่มหลงมัวเมาเข้าแล้ว กลับจะกลายเป็นของธรรมดาไป’

ความจริงแล้ว การสนทนานี้ได้เผยมานานแล้วว่าเฉินหลินคงไม่เพียงรู้จักจักรพรรดิสงครามดับดารา ยังรู้จักชายหนุ่มจักจั่นทองด้วย

แต่ที่น่าเสียดายก็คือหลินสวินไม่ได้อยู่ที่นี่ หาไม่แล้วจะต้องไปถามข่าวเกี่ยวกับจักรพรรดิสงครามดับดาราจากเฉินหลินคงแน่

และสำหรับเด็กสาวคนนั้นแล้ว เซียนผลาญเฉินหลินคง นางไม่เคยได้ยินสักนิด หรือต่อให้เคยได้ยินก็ไม่สนใจมากอยู่แล้ว

เพราะในโลกของนางรับหลินสวินได้คนเดียวเท่านั้น

เด็กสาวคนนี้ย่อมเป็นซย่าจื้อ

พอรู้สึกถึงพลังนุ่มนวลและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตผุดเข้าไปในร่างไม่ขาดสาย ซย่าจื้อก็ไม่ดิ้นรนอีก จมสู่ความเงียบงัน

บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อยทันที เฉินหลินคงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจ

แต่ทันใดนั้นเขาก็นิ่วหน้า ความฉงนผุดขึ้นในดวงตา

ร่างกายของเด็กสาวตรงหน้าบาดเจ็บสาหัสย่อยยับไปนานแล้ว แต่สำหรับเขา เดิมทีสามารถฟื้นฟูบาดแผลเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

ทว่าตอนนี้เขากลับรับรู้ได้อย่างฉับไว ว่าส่วนลึกของบาดแผลในร่างกายเด็กสาวคนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังลึกลับคลุมเครือเป็นที่สุด!

พลังลึกลับนี้น่ากลัวยิ่งยวด ราวกับสายโซ่เป็นเส้นๆ แทรกเข้าไปในร่างของนาง พันธนาการต้นกำเนิดชีวิตของนางไว้อย่างแน่นหนา!

‘พลังเช่นนี้ถึงกับแฝงเข้าไปในต้นกำเนิดชีวิตของคนผู้หนึ่งหรือ นี่ไม่ได้หมายความว่าโชคชะตาของแม่หนูนี่ถูกเปลี่ยนไปนานแล้วหรือ’

‘นี่… หรือจะเป็นพลังชิงฟ้าเปลี่ยนชะตา’

เฉินหลินคงยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ รู้สึกผิดคาด

พลังชีวิตลึกลับและคลุมเครือที่สุด สามารถแบกรับความหนักอึ้งของมหามรรค สามารถกระตุ้นการแปรสภาพของผู้ฝึกปราณครั้งแล้วครั้งเล่า

แก่นแท้ของชีวิตถูกเรียกว่าหลักชะตา ทั้งยังถูกมองว่าเป็นโชควาสนาและโชคชะตา

ดังคำกล่าวที่ว่า การทำนายโชคชะตาก็คือการอนุมานหลักชะตา สืบสาวโชควาสนา มองทะลุเส้นทางโชคชะตาของชีวิตนี้ทั้งชีวิต

เพียงแต่วิชาทำนายโชคชะตาก็แค่สำหรับคนธรรมดาสามัญเท่านั้น

ในสายตาของผู้ฝึกปราณ พลังแห่งชีวิตคลุมเครือและลึกลับที่สุด ประหนึ่งมรรคาสวรรค์ การแปรสภาพและบรรลุระดับที่ผู้ฝึกปราณไขว่คว้าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความจริงแล้วล้วนเป็นการแปรสภาพและยกระดับชีวิตของตนเอง

ก็เพราะมีการแปรสภาพ จึงทำให้ชีวิตของผู้ฝึกปราณเต็มไปด้วยตัวแปร คิดจะทำนายหลักชะตาของผู้ฝึกปราณ สืบสาวโชคชะตาของพวกเขา แทบจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

พูดง่ายๆ ก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับชีวิตต่างเรียกได้ว่าเป็นมรรค ‘โชคชะตา’ ทั้งนั้น

และในสายตาของผู้ฝึกปราณ มหามรรคโชคชะตาก็เหมือนกับมหามรรคกาลเวลา ต่างเรียกได้ว่าเป็นยอดมหามรรคที่ลึกลับยากหยั่งถึงเป็นที่สุด!

ตามที่เฉินหลินคงรู้ มีเพียงบรรลุระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ถึงพอจะฝืนครอบครองวิธีแก้ไขหลักชะตาได้น้อยนิดเท่านั้น ยังไม่ถึงกับหยั่งรู้มหามรรคโชคชะตาอย่างแท้จริง

แต่ตอนนี้ภายในร่างของเด็กสาวตรงหน้า กลับมีพลังลึกลับประหนึ่งสายโซ่ปกคลุมอยู่ในต้นกำเนิดชีวิตของนาง นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

‘หรือจะเป็นผู้เก่งกาจที่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์โชคชะตาได้คนหนึ่ง ชิงฟ้าเปลี่ยนชะตาให้เด็กคนนี้’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาที่เฉินหลินคงมองดูซย่าจื้ออีกครั้งก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เจือแววตกตะลึง

‘คราวนี้เป็นจักจั่นทองเชิญข้ามา เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ข้าจะไม่บุ่มบ่ามสืบเองล่ะ…’

ในที่สุดเฉินหลินคงก็ยั้งความคิดที่จะสืบดูพลังลึกลับประหนึ่งสายโซ่เป็นชั้นๆ ในร่างของซย่าจื่อนั้น

ความจริงแล้วพลังเช่นนี้เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง เฉินหลินคงก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามไปแทรกแซง หาไม่แล้วจะต้องเกิดตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมได้แน่

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’

ไม่นานนักเฉินหลินคงก็ค้นพบใหม่อีกครั้ง

ซย่าจื้อในตอนนี้บาดเจ็บเจียนตายนานแล้ว สัญญาณชีพจะเหือดหายอยู่รอมร่อ แต่ภายใต้การจับจ้องของเฉินหลินคง พลังลึกลับที่โอบรอบต้นกำเนิดพลังชีวิตของซย่าจื้อราวกับสายโซ่ ขณะนี้กลับมีพลังลึกลับเป็นริ้วๆ ไหลรินออกมา แล้วผุดเข้าไปตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายซย่าจื้อ

ขณะนี้ร่างกายภายนอกที่ทรุดโทรม อาการบาดเจ็บสาหัสหาใดเทียบของนางนั้นกำลังฟื้นฟูอยู่เงียบๆ เหมือนได้รับการหล่อเลี้ยง

ขนาดสัญญาณชีพที่แทบเหือดหายของนางนั้นยังมีแนวโน้ม ‘ฟื้นกลับมา’

เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น

ภายใต้การจับตามองของเฉินหลินคง เด็กสาวที่บาดเจ็บเจียนตายตรงหน้าคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปชนิดพลิกฟ้าคว่ำดิน

ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บฟื้นฟูเช่นนี้ ตัวนางยังเหมือนแปรสภาพและยกระดับใหม่ทั้งหมด มีคลื่นพลังลึกลับสุดหยั่งไหวเคลื่อนไปทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ดังคาด ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้ว ผู้ฝึกปราณทั่วไปคงตายไปนานแล้ว แต่นางกลับสามารถนิพพานท่ามกลางความพังพินาศ แปรสภาพท่ามกลางเส้นแบ่งความเป็นความตายได้ ล้วนเป็นเพราะพลังลึกลับที่พันธนาการอยู่ในต้นกำเนิดชีวิตของนาง…”

“มิน่านางตัวคนเดียว ทวนศึกเล่มเดียวก็สู้ในโลกอันอันตรายที่สรรพชีวิตวอดวายถึงตอนนี้ได้…”

“สำหรับนางแล้ว พลังลึกลับราบกับโซ่ตรวนเป็นชั้นๆ นั้นอาจจะเป็นกรุสมบัติที่ใช้ได้ไม่มีวันหมดหลังหนึ่ง ทำให้นางแปรสภาพนิพพานท่ามกลางความเป็นความตายได้”

ขณะนี้ ในที่สุดเฉินหลินคงก็เข้าใจแล้ว ในใจยังอุทานอย่างอดไม่ได้ อาจจะเป็นพลังโชคชะตา!

อัศจรรย์ปานนั้น ว่างเปล่าพร่าเลือนปานนั้น ไม่อาจใคร่ควรญได้!

ตั้งแต่เริ่มจนจบซย่าจื้อยังไม่ได้พูดสักคำ เงียบเชียบเป็นก้อนหิน ทั้งยังไม่รู้สักนิดว่าความเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงในร่างของนางทำให้เซียนผลาญเฉินหลินคงยังรู้สึกสั่นสะท้าน

กระทั่งนางรู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ลุกขึ้นยืนเงียบๆ ถือเอาทวนศึกนั้น เกิดไปยังฟ้าดินมืดหม่นไกลออกไปเพียงลำพัง

ก่อนไป พูดเพียงสองคำว่า

“ขอบคุณ”

ประหยัดคำพูดดั่งทองคำ

เฉินหลินคงกลับไม่ได้โมโห มองดูนางเดินหน้าไปเพียงลำพัง จู่ๆ ในใจก็มีความเวทนาผุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ที่นางสู้ไม่หยุดพักแบบนี้เป็นเพราะอะไรกัน

“น่าสนใจใช่ไหม”

จู่ๆ เสียงอ่อนโยนกังวานก็ดังขึ้น

“เจ้าให้ข้ามาก็เพื่อให้ข้าได้พบเห็นพลังโชคชะตาหรือ ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นคนที่ควบคุมกฎเกณฑ์โชคชะตาได้มาก่อน”

เฉินหลินคงไม่ต้องหันกลับมามองสักนิดก็รู้ว่าจักจั่นทองตัวนั้นมาแล้ว

ชายหนุ่มจักจั่นทองใส่ชุดผ้าป่าน เท้าเปลือย สง่างามยากจับต้องได้ยากดังเก่า สายตาเขามองดูเงาร่างสูงโปร่งผอมบางของซย่าจื้อนั้นอยู่ไกลๆ เอ่ยว่า “เจ้าแซ่เฉิน ได้เห็นคนที่ควบคุมโชคชะตาได้ไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิด แต่เจ้าควรรู้ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ ผู้ที่ขบถฟ้าเปลี่ยนชะตาไม่ได้มีนางแค่คนเดียว”

“ยังมีใครอีก”

เฉินหลินคงจึงแสดงสีหน้าตกตะลึง

“ก็หลินสวินที่นางพูดถึงไง”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเขา”

เฉินหลินคงพูดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “คีรีดวงกมลชนะแล้วหรือ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้า “จอมจักรพรรดิไร้นามพ่ายแพ้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้า หรือเจ้าพวกคนที่ปรารถนาจะไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราบนทางเดินโบราณฟ้าดาราเหล่านั้นต่างก็ต้องขอบคุณคีรีดวงกมล น้ำใจคราวนี้คิดจะไม่รับก็คงไม่ได้”

เฉินหลินคงทอดถอนใจ “‘ศิษย์พี่ใหญ่’ คีรีดวงกมลคนนั้น…เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่กล้าเชื่อเลยว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้จะยีงมีคนแบบเขา”

“ไปเถิด”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย

“ไม่ต้องรีบร้อน เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าทำไมแม่หนูนี่ถึงยึดติดต้องต่อสู้โดยไม่หยุดพักอยู่ตลอดเช่นนี้”

สายตาเฉินหลินคงมองดูซย่าจื้อที่อยู่ไกลลิบ เจือแววสงสัย

ชายหนุ่มจักจั่นทองนิ่งคิด แล้วก็ไม่ได้ปิดบังอีก “ที่นี่ ถูกมองว่าเป็น ‘ต้นกำเนิดแห่งภัยพิบัติ’ ในโลกมืด ทั้งยังถูกเรียกว่า ‘แดนมรณะเสื่อมโทรม’ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ‘ภัยพิบัติ’ ที่มีอยู่ทั่วไปในที่แห่งนี้ ความจริงแล้วมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา”

เฉินหลินคงเหมือนเข้าใจในทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าข้าถึงเห็น ‘สัตว์ประหลาดฟ้าดารา’ ที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้จำนวนหนึ่ง”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย “นางต่อสู้ที่นี่เพื่อยับยั้งไม่ให้สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านั้นมาเยือน เพียงเพราะนางต้องทำแบบนี้ มิเช่นนั้นหลังจากสัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านั้นมาเยือนก็จะไปล่าสังหารคนที่นางมองว่าสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตตัวเองคนหนึ่ง”

เฉินหลินคงเลิกคิ้ว “หลินสวินหรือ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้า

เฉินหลินคงรู้สึกซาบซึ้งใจไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเด็กนั่นรู้เรื่องพวกนี้ไหม”

ชายหนุ่มจักจั่นทองตอบไม่ตรงคำถาม “ที่นี่เป็น ‘แดนมรณะเสื่อมโทรม’ ที่อันตรายที่สุดในโลกมืด ไม่มีพลังชีวิต สรรพชีวิตโรยรา ก็มีแต่พลังที่นางครอบครองถึงฉีกพลังระเบียบของโลกนี้เข้าไปข้างในได้ง่ายดายปานนี้”

“หลังจากมาถึงโลกนี้ ภัยพิบัติไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ไม่หยุดพัก ถ้าไม่มีใครช่วยนางสะสางเรื่องทั้งหมดนี้ นางจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตนี้”

เฉินหลินคงแววตาไหววูบ “เจ้าไม่คิดจะช่วยหรือ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองส่ายหัว “คนผูกก็ต้องเป็นคนแก้ ต่อให้เจ้ากับข้าจะพานางไปได้ แต่เจ้าเชื่อไหมว่านางจะยังกลับมา”

“ช่วยนางกำจัดภัยพิบัติพวกนั้นให้สิ้นซากจะเป็นอย่างไร” เฉินหลินคงเอ่ย

ชายหนุ่มจักจั่นทองถอนใจเบาๆ “เป็นไปไม่ได้ ต้นกำเนิดของภัยพิบัติเหล่านั้นอยู่ที่ฟากฝั่งฟ้าดาราเหมือนพลังระเบียบต้องห้าม”

“ไปเถอะ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองหันหลังจากไป

เฉินหลินคงมองดูเงาร่างที่เดินอยู่กลางฟ้าดินเพียงลำพังนั้นอยู่ไกลๆ ก็ถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหันตัวจากไป

ท่ามกลางฟ้าดินอันขมุกขะมัว

ซย่าจื้อเดินอยู่คนเดียว ชายหมกคลุมบดบังใบหน้า เงียบงันเหมือนเก่า

ทว่าหลังจากชายหนุ่มจักจั่นทองกับเฉินหลินคงจากไปอย่างต่อเนื่อง นางก็ชะงักก้าวเดินเล็กน้อย ดวงตาไร้ราคีอันใสกระจ่างทั้งสองข้างมองไปที่เวิ้งฟ้า

พึมพำในใจครั้งหนึ่งว่า ‘พวกเขาพูดถึงชื่อเจ้าล่ะ…ดูท่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่…เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว…’

มุมปากนางปรากฏรอยยิ้มเลือนราง

หลายปีนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางยิ้ม

——

ตอนที่ 2044 วันที่เหล่าจักรพรรดิออกเดินทาง
ความมืดมิดราวกับน้ำหมึกที่ปกคลุมโลกใหญ่หงเหมิงนั้น ถูกพิชิตไปพร้อมกับจอมจักรพรรดิไร้นาม เริ่มถดถอยลงไปเหมือนกระแสน้ำ

กลิ่นอายทำลายล้างที่กดดันใจคน พาให้สรรพชีวิตหวาดผวาประหนึ่งวันโลกาวินาศก็เบาบางลงทีละน้อยไปด้วย

“จบแล้วหรือ”

“ดีจังเลย วันนี้ไม่ใช่วันสิ้นโลก”

“เมื่อกี้ตกใจชะมัดเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าภัยพิบัติน่ากลัวปานไหนมาเยือน ยังดีที่จบลงแล้ว…”

“แต่ว่า เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เสียงเซ็งแซ่ไม่รู้เท่าไรดังขึ้นในเขตพื้นที่ต่างๆ ในโลกใหญ่หงเหมิงทั้งสี่สิบเก้าแคว้น ผู้คนนับไม่ถ้วนหวาดผวา และยินดีกับเรื่องนี้ รู้สึกโชคดีที่รอดชีวิตหลังเกิดเคราะห์

“จบแล้ว จอมจักรพรรดิไร้นามถูกจักรพรรดิยุทธ์ผู้สืบทอดลำดับหนึ่งของคีรีดวงกมลสังหาร บัดนี้พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วหล้าเสียผู้ควบคุมไปแล้ว!”

“นี่ไม่ได้หมายความว่า การประชันหมากครั้งใหญ่นี้ คีรีดวงกมล… ชนะแล้วหรือ”

“ไม่ จอมจักรพรรดิไร้นามจะแพ้ได้อย่างไร นั่นเป็นตัวตนสูงส่งประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์จำแลงกายมาเลยนะ!”

และในขุมอำนาจใหญ่อย่างเรือนมรรคโลกาสวรรค์ เรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคยุทธจักรเป็นต้น… ต่างก็อึกทึกครึกโครมในชั่วขณะ คลื่นใหญ่ปั่นป่วนโหมซัด

เสียงอุทาน เสียงยากจะเชื่อไม่รู้เท่าไรดังขึ้น

จอมจักรพรรดิไร้นามถูกสังหาร!?

นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนทางเดินโบราณฟ้าดาราที่สุดตั้งแต่มีบันทึกมา ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งใต้หล้า!

และในการประชันหมากครั้งใหญ่นี้ พลังน่ากลัวที่คีรีดวงกมลสำแดงออกมา ก็ทำให้ยักษ์ใหญ่เหล่านี้ต่างสั่นสะท้านใจหล่นวูบไม่หยุด

ฆ่าระดับจักรพรรดิได้ราวกับเด็ดใบไม้ใบหญ้า สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิได้เหมือนเชือดไก่ฆ่าลิง แม้แต่จอมจักรพรรดิไร้นามที่เป็นร่างแปลงตัวแทนของระเบียบต้องห้าม ก็ตายไปด้วยเหตุนี้

นี่จะน่าตกใจเกินไปแล้ว!

ถึงกับทำให้ทุกคนต่างไม่กล้าเชื่อ!

ควรรู้ว่าตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงตอนนี้ บนทางเดินโบราณฟ้าดาราเคยมีมหาภัยขนาดใหญ่แผ่ขยายไปทั่วโลกสองครั้ง

ครั้งแรกคือศึกมรรคสิบทิศยุคดึกดำบรรพ์ อีกครั้งคือศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาล ในศึกใหญ่แต่ละครั้ง ต่างมีเงาของจอมจักรพรรดิไร้นามอยู่

เขาเป็นดั่งเงามืดสายหนึ่ง บดบังทั่วฟ้าดาราในกาลเวลาไร้สิ้นสุดตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน ไม่เคยมีพลังใด หรือผู้แข็งแกร่งคนไหนสามารถสั่นสะเทือนเขาได้สักนิด

แต่ก็วันนี้เอง สิ่งสูงส่งที่เหมือนธำรงอยู่ชั่วหมื่นกาลเช่นนี้…

แพ้แล้ว!

ความเปลี่ยนแปลงอันน่าตะลึงเช่นนี้ประหนึ่งฟ้าถล่ม

“หืม? พอจอมจักรพรรดิไร้นามตาย คล้ายเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน…”

ทั้งมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ฝีมือเหนือสามัญรับรู้ได้อย่างฉับไว ว่าพลังระเบียบที่ปกคลุมทั่วหล้าเปลี่ยนโฉมใหม่โดยสิ้นเชิง

“โอกาสไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา!”

เฒ่าดึกดำบรรพ์บางคนเดาความจริงได้ในชั่วพริบตา ความตื่นเต้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นในใจ

“ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา พลังระเบียบต้องห้ามปกคลุมทั่วหล้า ทั้งยังขวางทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดารา ตอนนี้พอจอมจักรพรรดิไร้นามตายไป แม้พลังระเบียบต้องห้ามจะยังไม่หายไป แต่เส้นทางที่ถูกตัดขาดนั้นกลับปรากฏขึ้นใหม่แล้ว!”

“พูดเช่นนี้ก็ต้องขอบคุณจักรพรรดิยุทธ์จริงๆ ถ้าไม่ใช่เขาสู้เอาเป็นเอาตาย สังหารจอมจักรพรรดิไร้นาม พวกเราจะคว้าโอกาสชั้นเลิศเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ชักช้ามามากแล้ว ได้เวลาไปฟากฝั่งฟ้าดาราแห่งนั้นแล้ว ได้ยินว่ามีเพียงฟากฝั่งฟ้าดาราถึงมีมรรคแห่งอมตะนิรันดร์…”

ชั่วขณะเดียว ทั่วหล้าทั้งบนล่างในจุดที่คนบนโลกไม่อาจจับตามองได้ มีเงาร่างไม่รู้เท่าไรพุ่งออกไปยังส่วนลึกของฟ้าดาราวัฏจักรแห่งนั้น

เงาร่างเหล่านี้เป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เก็บตัวเงียบในกาลเวลาไร้สิ้นสุด มีรากฐานพลังล้ำเลิศเหนือสามัญบนมรรคาระดับจักรพรรดิแทบทั้งนั้น

หลังพลังระเบียบต้องห้ามเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตะลึง ก็ถูกพวกเขาสังเกตเห็นโอกาสในทันที เคลื่อนไหวโดยไม่ลังเลสักนิด

กระทั่งว่าระดับจักรพรรดิบางคนยังทลายด่านออกมา เริ่มออกเคลื่อนไหว

ฟากฝั่งฟ้าดารา!

ในสายตาของคนอย่างพวกเขา ความหมายในคำนี้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นบนโลกยากจะเข้าใจได้

ตามคำร่ำลือ หมายจะแจ้งอมตะนิรันดร์ ต้องเริ่มหาจากฟากฝั่ง

ตามคำร่ำลือ ฟากฝั่งฟ้าดารามียอดบุคคลที่ควบคุมกฎเกณฑ์ ‘โชคชะตา’ และ ‘กาลเวลา’ อยู่ ถูกมองเป็นนายเหนือหัวของมหามรรคอย่างแท้จริง

ตามคำร่ำลือ…

ตั้งแต่แรกสุดยุคดึกดำบรรพ์ คำร่ำลือที่เกี่ยวกับฟากฝั่งฟ้าดาราก็เต็มไปด้วยสีสันยากจินตนาการ ทำให้คนเพ้อฝัน หมายมาดอยากไปถึง

และสำหรับเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ย้อนบรรพ์ในระดับจักรพรรดิแล้ว หมายจะทะลวงระดับที่สูงขึ้นไปบนมรรคที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

มีเพียงไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา ถึงอาจจะทำให้พวกเขาได้เลื่อนระดับขึ้นไปอีกขั้น!

เพียงแต่ในอดีต พลังระเบียบต้องห้ามปิดตายเส้นทางอีกฟากฝั่งนี้ไปราวกับโซ่ตรวนเส้นหนึ่ง ทำให้โลกนี้ไม่มีใครไปถึงได้ กระทั่งว่าหลายคนยังสงสัยอย่างอดไม่ได้ว่าเส้นทางนี้ขาดสะบั้นไปนานแล้วหรือไม่

แต่ก็ในวันนี้เองที่พวกเขาได้เห็นความหวัง!

ถ้ามองจากทั่วหล้าในทางเดินโบราณฟ้าดารา จะพบว่าตอนนี้มีเงาร่างน่ากลัวมากมายทยอยออกมาจากเขตแดนดารา โลกใหญ่ แดนลับ และสถานที่ที่แตกต่างกันไปอย่างต่อเนื่อง

เผ่าโบราณบางส่วนจู่ๆ ก็พบว่าเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เดิมถูกพวกเขามองว่า ‘สิ้นชีพ’ ไปแล้ว กลับออกมาจากการปิดด่านด้วยสีหน้ายินดีปรีดา ทิ้งคำพูดไว้ประโยคเดียวว่า ‘ข้าไปล่ะ’ แล้วเคลื่อนย้ายไปยังฟ้าสูง

กระทั่ง ‘สุสาน’ ของตระกูลดังสำนักใหญ่บางแห่ง ยังมีบรรพบุรุษที่ถูกฝังทลายโลงศพออกมา หัวเราะร่าเดินเข้าไปในห้วงเมฆา ทำเอาศิษย์รุ่นหลังไม่รู้เท่าไรตกใจ

เห็นได้ชัดว่าความจริงแล้ว ‘บรรพบุรุษ’ เหล่านั้นไม่ได้จากไปจริงๆ…

สรุปแล้ว ทางเดินโบราณฟ้าดาราในวันนี้ สามารถใช้คำว่าครึกครื้นและสะเทือนเลื่อนลั่นมาบรรยายได้โดยสมบูรณ์ ไม่รู้ว่ามีบรรพจารย์จักรพรรดิ มหาจักรพรรดิมากน้อยเท่าไรออกเดินทาง พร่างพราวดุจสายฝน และไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าไรตกใจกับภาพนี้ ตื่นตะลึงอ้าปากค้าง

วันนี้ ในบันทึกประวัติศาตร์ของชนรุ่นหลัง ถูกเรียกว่า ‘วันที่เหล่าจักรพรรดิออกเดินทาง’!

……

เขาเมฆา

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างศิษย์พี่ใหญ่ และพวกหลี่เสวียนเวยทยอยกลับมา รวมตัวอยู่ด้วยกัน

ด้วยระดับพลังปราณของพวกเขา ย่อมสังเกตเห็น ‘ความเคลื่อนไหวประหลาด’ ที่เกิดขึ้นทั่วหล้านี้ ต่างยิ้มหยันอย่างอดไม่ได้

จวินหวนกล่าวยิ้มเยาะ “เจ้าเฒ่าพวกนี้ ตอนต่อกรกับจอมจักรพรรดิไร้นามล้วนหายหัวกันหมด พอโอกาสไปฟากฝั่งฟ้าดาราอุบัติขึ้น แต่ละคนวิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก”

เสวี่ยหยาก็ยิ้มเช่นกัน “ให้พวกเขาไปสู้กับจอมจักรพรรดิไร้นามหรือ แบบนั้นยังแย่กว่าฆ่าพวกเขาเสียอีก”

หลี่เสวียนเวยวิจารณ์จริงจัง “ขอเพียงพวกเขาไม่เป็นข้ารับใช้ให้จอมจักรพรรดิไร้นามเหมือนพวกเรือนมรรคจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักรก็ไม่เลวแล้ว”

ประโยคเดียว ทุกคนต่างยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ม้วนหยกนี้บันทึกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมารดาของเจ้าลั่วชิงสวิน รวมถึงลู่ป๋อหยาไว้ส่วนหนึ่ง”

อีกด้านหนึ่ง เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูเรียกหลินสวินมา เฒ่าโดดเดี่ยวส่งม้วนหยกเล่มหนึ่งให้หลินสวิน

“แต่เจ้าอย่าคาดหวังมากเกินไป ลู่ป๋อหยาปิดบังความลับมากมายเพื่อปกป้องมารดาของเจ้า เรื่องที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกนี้เป็นเพียงสิ่งที่พวกข้าสองคนได้ยินได้เห็นมาบ้างเท่านั้น”

“รอพวกเราจากไปเจ้าค่อยดูเถอะ”

เฒ่าโดดเดี่ยวเอ่ยกำชับ

หลินสวินกำม้วนหยกไว้ในมือ สูดหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ฝืนเก็บกลั้นความต้องการที่จะพลิกอ่านเต็มแก่ในตอนนี้ แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองที่ช่วยให้สมใจหวัง”

ราชครูที่อยู่ข้างๆ แววตากรุณา เอ่ยว่า “ยังจำตอนที่ข้าทำนายให้เจ้าถึงปรากฏการณ์ประหลาดบางอย่างได้ไหม ภายหน้าบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ เจ้าเองต้องกระทำการอย่างระมัดระวัง สู้ไม่ได้ก็หนี ไม่น่าอาย”

หลินสวินพยักหน้า

เขาย่อมจำ ‘ปรากฏการณ์ประหลาด’ เหล่านั้นได้ แต่ไม่เคยสนใจมากนัก

ว่ากันถึงแก่น เขาเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา

“สหายน้อย คราวนี้ข้าจะพาเสี่ยวฉงไปด้วย เพื่อเลี่ยงไม่ให้ยัยหนูนี่เสียใจเกินไป ข้าจะไม่ให้นางพบเจ้าแล้ว”

ซย่าสิงเลี่ยเดินมาจากไกลๆ ประโยคเดียวทำเอาหลินสวินจนคำพูดไปครู่หนึ่ง

เขาคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสบอกแม่นางเสี่ยวฉงด้วย ว่ารอภายหน้ายามข้าหลินสวินไปฟากฝั่งฟ้าดาราแล้ว จะไปหานางเพื่อแสดงความขอบคุณต่อหน้า”

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในการประชันหมากยิ่งใหญ่คราวนี้ จักรพรรดิกระบี่ยอดมารอย่างซย่าสิงเลี่ยเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่เพียงไหน ที่เลือกช่วยตนอย่างเด็ดเดี่ยว ต้องขอบคุณซย่าเสี่ยวฉงอยู่ไม่น้อย

พอได้ยินว่าภายหน้าหลินสวินจะยังไปหาลูกสาวตน ในใจก็ซย่าสิงเลี่ยกังวลขึ้นมาครู่หนึ่ง กลัวแต่ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตนจะถูกเจ้าหนูนี่ทำร้าย

ยังดีที่สิ่งที่ทำให้ซย่าสิงเลี่ยสบายใจได้เล็กน้อยก็ คือภายหน้าต่อให้หลินสวินอยากจะไปพบลูกสาวเขา ก็ยังไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร

“ศิษย์น้อง”

เหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างรั่วซู่ หลี่เสวียนเวย เสวี่ยหยา ผู่เจิน ชื่อจวิน เฉิงอวี่ จิ่งจงเยวี่ยต่างเดินมาหาเพื่อบอกลาหลินสวินทีละคน

ไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร ทำให้ความรู้สึกเสียใจผุดขึ้นในใจหลินสวิน แต่ยังถูกเขากลบไว้อย่างเงียบเชียบ ยิ้มพลางบอกให้ศิษย์พี่ทั้งชายหญิงแต่ละคนรักษาเนื้อรักษาตัว

“นี่เป็นสิ่งที่จักจั่นทองอยากให้ข้ามอบให้เจ้าตอนเขาจากไป”

ศิษย์พี่ใหญ่ก็เดินมา แม้ใกล้กันมากแต่หลินสวินกลับไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน รู้สึกได้เพียงกลิ่นอายต่อสู้และความจองหองที่ตีกระทบเข้ามา

ศิษย์พี่ใหญ่ส่งจดหมายหยกฉบับหนึ่งให้หลินสวิน ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “มรรคแห่งการต่อสู้ไม่ได้บรรลุในความเป็นตาย ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเดินบนมหามรรคของตัวเองแล้ว ข้าตั้งตาคอยว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะได้สู้เคียงบ่าเคียงไหลร่วมกับพวกเราทุกคน”

หลินสวินเกิดความฮึกเหิมขึ้น เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่กับเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลาย ตั้งตาคอยก็พอ!”

ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าน้อยๆ หันหลังโบกมือให้แล้วพูดว่า “ไปล่ะ”

ศิษย์น้องเล็กไม่ใช่เด็กแล้ว และการจากกันคราวนี้ก็ไม่ได้จากตายจริงๆ พูดออกมาเป็นหมื่นคำกลับดูเสแสร้งเกินจริง

พวกรั่วซู่เข้าใจเรื่องนี้ หลินสวินก็ย่อมเข้าใจ

แต่เมื่อชั่วขณะที่ต้องจากกันนี้มาถึงจริงๆ ในใจหลินสวินก็ยังเสียดายอย่างห้ามไม่ได้อยู่บ้าง ทั้งยังออกจะเสียใจด้วย

ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะได้รวมตัวกับศิษย์พี่ทุกคนเช่นนี้ แต่ไม่ทันไรก็ต้องบอกลากันแล้ว เรื่องบนโลกนี้คล้ายไม่เคยมีอะไรแน่นอนเช่นนี้มาตลอด

สวบ!

เงาร่างศิษย์พี่ใหญ่ทะลวงอากาศขึ้นไป

ต่อจากนั้นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นๆ ก็ตามไปติดๆ

ซย่าสิงเลี่ย จักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียนก็อยู่ในนั้นหมด พวกเขาจะไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราด้วยกันกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมล

หลินสวินยืนอยู่คนเดียวตรงนั้น ตามองส่งเงาร่างอันคุ้นเคยเหล่านั้นทะลวงท้องฟ้าไปทีละคน โบกมือไม่หยุด ใบหน้ามีรอยยิ้มตั้งแต่เริ่มจนจบ

แต่ในใจอย่างไรก็ยังว่างเปล่าอยู่บ้าง

จู่ๆ เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของศิษย์พี่รั่วซู่นั้นก็ดังขึ้นในใจหลินสวิน เหมือนน้ำพุไหลรินว่า

‘ศิษย์น้องเล็ก ยังจำศิษย์พี่รองที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังได้ไหม จากที่ข้ารู้จักศิษย์พี่รอง เขาจะต้องไม่จากไปแบบนี้แน่ ถ้าเจ้าได้พบกับเรื่องที่ไม่อาจคลี่คลายได้จริงๆ และต้องไปโลกมืดสักรอบ ไม่สู้ลองไปตามหาเขา เขาย่อมสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเจ้า’

——

“ศิษย์น้องเล็ก ขอเพียงเจ้าพูดคำเดียว พวกเราก็จะพาเจ้าไปด้วยกัน พวกเราคีรีดวงกมลดำรงมาถึงตอนนี้ ไม่เคยกลัวภัยพิบัติอะไร ต่อให้ไปฟากฝั่งฟ้าดาราก็เป็นเช่นนี้”

รั่วซู่สีหน้าจริงจัง

พวกจวินหวน หลี่เสวียนเวย เสวี่ยหยาต่างก็มองที่หลินสวิน

“ศิษย์พี่ ข้าตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตัดสินใจ

พาตัวเองไปติดตาข่ายอะไร เป็นเคราะห์ไม่ใช่โชคอะไร เขาก็ไม่ได้สนเช่นกัน

แต่เขากลับต้องคำนึงถึงเรื่องหนึ่ง ถ้าบิดามารดาและท่านลู่ยังมีชีวิตอยู่ จะต้องอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้!

ถ้าตนไปทั้งแบบนี้แล้ว จะยังได้พบพวกเขาได้อย่างไร

เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูต่างลอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนหน้านี้พวกเขาออกจะกังวลจริงๆ ว่าหลินสวินจะจากไปพร้อมกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้น เช่นนั้นก็จะอันตรายเกินไป

พอเห็นว่าหลินสวินมีท่าทีหนักแน่น พวกรั่วซู่ต่างไม่โน้มน้าวอีก

“เอาอย่างนี้ พวกเราแต่ละคนให้ของรักษาชีวิตศิษย์น้องเล็กไว้คนละชิ้น เช่นนี้แล้วต่อให้ภายหน้าเขาพบกับอันตรายใดก็จะไม่ถูกคนอื่นรังแกแล้ว”

หลี่เสวียนเวยเสนอ

ในการประชันหมากยิ่งใหญ่คราวนี้ ขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ล้มตายไม่รู้เท่าไร ถ้าพวกเขาไปแล้ว ศัตรูพวกนี้จะต้องไปล้างแค้นหลินสวินอย่างบ้าคลั่งแน่!

“ดี”

พวกรั่วซู่ต่างตอบรับ

“ไม่ได้”

“ทำแบบนี้ไม่เหมาะ”

ศิษย์พี่ใหญ่กับชายหนุ่มจักจั่นทองพากันเอ่ยปากขัดขวางแทบจะพร้อมกัน

“พวกเราฝึกปราณ หากพึ่งกำลังภายนอกท่าเดียวจะเป็นโทษมากกว่าคุณ ข้าเห็นว่าศิษย์น้องเล็กอยู่ไม่ไกลจากระดับจักรพรรดิ หากต้องการเสาะแสวงพลังแห่งมกุฎตอนแจ้งมรรค สภาวะจิตจะต้องไม่มีสิ่งที่พึ่งพิงหรือผูกมัดใดๆ แม้แต่นิดเดียว หาไม่แล้วมรรควิถีในอดีตต้องสูญเปล่าไปหมด”

ศิษย์พี่ใหญ่เสียงต่ำลึกและเคร่งขรึม

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยเรียบๆ “ไม่ผิด ผงาดขึ้นท่ามกลางการเคี่ยวกรำ เกิดใหม่ในความเป็นความตาย จึงจะสร้างมรรคไร้เทียมทานได้ กำลังภายนอก… จะดึงมาไม่ได้”

จวินหวนพูดอย่างร้อนลนว่า “แต่จะให้ศิษย์น้องเล็กดิ้นรนบนทางเดินโบราณฟ้าดาราคนเดียวก็ไม่ได้อยู่ดีกระมัง”

“เขาไม่ใช่คนเดียว”

ชายหนุ่มจักจั่นทองแววตามีลับลมคมใน

ผู่เจินเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “สหายยุทธ์ เจ้ามาว่าว่าศิษย์น้องเล็กของข้าไม่ใช่คนทำไม”

ชายหนุ่มจักจั่นทองบื้อใบ้แล้ว

แต่หลินสวินกลับกระจ่างใจ ยิ้มเอ่ยกับพวกรั่วซู่ว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ถ้าพวกท่านหวังดีกับข้าจริงๆ เช่นนั้นก็เชื่อฟังศิษย์พี่ใหญ่เถอะ”

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียว ซียังอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์นี่!

พวกรั่วซู่เห็นดังนี้จึงทำได้แค่ปล่อยไป

แต่ครู่ต่อมาพวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างน่าตะลึง…

“ศิษย์น้อง ก่อนแจ้งมรรคระดับจักรพรรดิ ศิษย์พี่ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ นี่คือ ‘คัมภีร์ไพศาล’ ที่ศิษย์พี่ใช้ทั้งชีวิตเขียนขึ้นมา เจ้าเอาไปสิ”

ศิษย์พี่เสวี่ยหยามอบม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลินสวิน

“ศิษย์น้อง นี่เป็นประสบการณ์ใจความส่วนหนึ่งตั้งแต่ข้าเริ่มฝึกปราณจนตอนนี้ มีนามว่า ‘เห็นแจ้งต้นกำเนิด’ อาจมีประโยชน์กับการฝึกปราณของเจ้าในภายหน้า”

ศิษย์พี่ชื่อจวินส่งม้วนหยกเล่มหนึ่งให้หลินสวิน

“ศิษย์น้อง นี่เป็น ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ของข้า…”

“ศิษย์น้อง ‘คัมภีร์กระบี่มหาลมกรด’ เล่มนี้ เจ้ารับไว้ด้วย…”

ชั่วขณะเดียวศิษย์พี่ทั้งหลายต่างพากันก้าวมาข้างหน้า มอบตำรามรดกที่ฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ให้หลินสวินทีละคน

ทุกเล่มล้วนเป็นยอดคัมภีร์ที่เรียกได้ว่าลึกลับสุดหยั่ง หลอมรวมนัยเร้นลับมหามรรคแตกต่างกันไป สุ่มหยิบมาสักเล่มล้วนทำให้ระดับจักรพรรดิยังอิจฉา!

ควรรู้ว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ระดับจักรพรรดิไม่อาจเทียบได้ แม้แต่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิยังสู้ไม่ได้ แต่ละคนแข็งแกร่งและน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอีกคน

คัมภีร์ที่พวกเขาทิ้งไว้ให้เป็นประทับในมรรควิถีของพวกเขาแต่ละคน จะธรรมดาสามัญได้หรือ

และตอนนี้ คัมภีร์เหล่านี้ต่างถูกพวกเขามอบให้ศิษย์น้องเล็กอย่างหลินสวิน!

ภาพเช่นนี้ เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูมองจนตาลายไปครู่หนึ่ง ในใจยังต้องทอดถอนใจ มีฐานะ ‘ศิษย์น้องเล็ก’ ของคีรีดวงกมล เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจริงๆ

“ศิษย์น้อง กินมากย่อยไม่หมด คัมภีร์มรรคเหล่านี้หยั่งรู้ได้ แต่อย่าให้สิ่งนี้มากระทบกับมรรควิถีตัวเอง”

รั่วซู่กำชับจริงจัง

หลินสวินพยักหน้า ความอบอุ่นเต็มเปี่ยมผุดขึ้นในใจ

“เวลาไม่มากแล้ว ข้าไปหาคนผู้หนึ่งก่อน”

ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ก็ทะลวงอากาศจากไป

“ต้องไปพบแม่นางชุดม่วงคนนั้นแน่”

หลี่เสวียนเวยทอดถอนใจ

ตอนนี้จวินหวนคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เดินไปไกลลิบ พอชูมือขึ้นกวัก พลังจิตดั้งเดิมของจักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียนก็ปรากฏขึ้น

เมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกรั่วซู่ก็ทอดถอนใจอีกครา พวกเขาจะไม่รู้จักคนลุ่มหลงในรักอย่างจี้เสวียนได้อย่างไร

“ข้าก็จะไปพบคนผู้หนึ่ง”

หลี่เสวียนเวยนึกถึง ‘ชาวประมงน้อย’ ศิษย์ฝากนามคนนั้น

“เอ่อ ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ยังทำไม่จบ”

“ลูกกลอนโอสถหม้อนั้นข้ายังไม่ได้รับ”

“ไปเถอะ ถือโอกาสก่อนไป”

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนแล้วคนเล่ารีบร้อนจากไป ไม่นานนักในที่นั้นก็เหลือเพียงพวกรั่วซู่ เสวี่ยหยา

ไกลออกไป ชายหนุ่มจักจั่นทอง เฒ่าโดดเดี่ยว และราชครูสนทนากัน

ไกลออกมาอีก เสวียนซั่งเฉินพาเสวียนจิ่วอิ้น ส่วนบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูพาหลิงเคอจื่อ ต่างคนต่างจากไปเงียบๆ

การประชันหมากยิ่งใหญ่ครั้งนี้ปิดฉากลงแล้ว

แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่า ผลกระทบที่การประชันหมากครั้งนี้สร้างขึ้นเพิ่งเริ่มต้น

และตอนนี้หลินสวินถึงรับรู้ได้ว่าการจากลาครั้งนี้กำลังจะมาเยือนจริงๆ แล้ว…

……

โลกมืดขมุกขมัว เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างพังพินาศ

ตูม!

ฟ้าดินปั่นป่วน ฝุ่นควันถั่งโถม

การห้ำหั่นอันโหดร้ายหาใดเทียบครั้งหนึ่งดำเนินมาหลายวันแล้ว

ทั้งสองฝ่ายที่สู้ศึกกัน คนหนึ่งเป็นเด็กสาวเพรียวบางสูงโปร่งที่สวมชุดดำ ม่านหมวกคลุมบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง มือถือทวนศึกกระดูกขาวที่มีแสงดาวดุจภาพฝันไหวเคลื่อนเล่มหนึ่ง

คู่ต่อสู้ของนางเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่บุกมาในวัฏจักรว่างเปล่าตัวหนึ่ง มันตัวโตเท่าภูเขา ปกคลุมด้วยเกล็ดเย็นเยียบ ขาทั้งสี่เหมือนเสาค้ำฟ้า ดวงตาราวกับทะเลสาบ แดงฉานดุจโลหิต แผ่กลิ่นอายโหดเหี้ยมดุร้ายออกมา

สวบ!

เมื่อเงาร่างเด็กสาวก้าวกระโดดบิดตัว พลังที่สั่งสมไว้นานแล้วไหลมารวมกันบนทวนศึกในชั่วพริบตานี้ แล้วแทงออกไปอย่างรุนแรง

เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งยังดุดันถึงที่สุด

ฟุบ!

ทวนศึกกระดูกขาวดุจแสงเคลื่อน ทะลวงผ่านกลางคอของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราตนนั้น ชักนำน้ำเลือดเหม็นคลุ้งสีเขียวซีดให้พุ่งออกมา

สัตว์ประหลาดฟ้าดาราส่งเสียงคำรามเหมือนเจ็บปวดยิ่งออกมา สะท้านจนฟ้าดินปั่นป่วน

แต่สุดท้ายร่างกายใหญ่โตราวภูเขาของมันก็ล้มลงดังสะเทือน ฝุ่นควันฟุ้งกระจายเต็มฟ้า

พอได้เห็นภาพนี้ ร่างสูงโปร่งเพรียวบางของเด็กสาวก็ร่วงตกลงจากกลางอากาศอย่างเงียบงัน ล้มดังปึงลงไปกับพื้น

มุมปากที่หมวกคลุมบังไว้มีเลือดสดๆ ไหลออกมา

แต่นางกลับไม่เคยส่งเสียงใดๆ ออกมา เงียบเชียบอยู่ตลอด มุมปากที่เม้มแน่นเผยให้เห็นแต่ความดื้อดึง

พูดอีกอย่างก็คือ ตั้งแต่วันที่มาถึงสนามรบแห่งนี้ นางยังไม่เคยพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

หลายปีมานี้ในฟ้าดินอันเวิ้งว้างแห่งนี้ นางหนึ่งคนหนึ่งทวนต่อสู้ห้ำหั่น หลั่งเลือดนับไม่ถ้วน ได้รับบาดเจ็บมากมายยิ่งนัก

ประสบกับอันตรายไม่รู้เท่าไร และไม่รู้ว่าผ่านภัยคุกคามชี้เป็นชี้ตายมากมายเพียงใด

แต่สุดท้ายนางก็ยังมีชีวิตอยู่

และเมื่อมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่หยุดสู้!

เพียงแต่…

คราวนี้นางออกจะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว นอนอยู่กับพื้น เลือดที่มุมปากไหลไม่หยุด

วู้มๆๆ!

สายลมรุนแรงพัดผ่านฟ้าดิน ม้วนตลบฝุ่นทราย

ฟ้าดินสั่นสะเทือน เงาร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่โตมิดฟ้าร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากนอกท้องฟ้าอันมืดมิด จากนั้นก็กดข่มห้วงอากาศมาเยือนโลกแห่งนี้

สัตว์ประหลาดฟ้าดาราอีกตัวหนึ่ง ทั้งยังแข็งแกร่งจนไม่อาจคาดคิด กลิ่นอายโหดเหี้ยมน่ากลัวเช่นนั้นทำให้ฟ้าดินต่างจมสู่เสียงหวีดหวิวและสั่นสะเทือน

ตูม!

สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหยียบภูผาธาราคำรามออกมา ส่วนลึกในดวงตามีแต่กลิ่นอายเย็นชาและเหี้ยมเกรียม

เด็กสาวที่นอนอยู่กับพื้นขยับร่างกาย คลานขึ้นมาอย่างยากลำบากจะสู้ต่อ แต่สุดท้ายก็ลุกไม่ขึ้น

อาการบาดเจ็บของนางรุนแรงเกินไปแล้ว

แผลเก่าที่สั่งสมอยู่ในร่างหลายปีต่างก็ปะทุขึ้นพร้อมกันในพริบตาที่นางล้มลงนั้น และกำลังผลาญทำลายพลังชีวิตของนาง

“หลินสวิน…”

ชั่วขณะที่อันตรายหาใดเทียบนี้ เด็กสาวที่ต่อสู้มานานปีแต่ไม่เคยพูดแม้สักคำ เงียบเชียบจนเหมือนไม่มีคลื่นความรู้สึก เอ่ยเรียกชื่อหนึ่งออกมาเบาๆ

หลินสวิน เพียงแค่สองคำ แต่กลับเหมือนใช้พลังที่นางมีทั้งหมดจนสิ้น

เด็กสาวเค้นพลังเฮือกสุดท้าย กำทวนศึกในมือแน่น

ก็ในตอนนี้เอง เสียงเอ๊ะเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น

เพียงเสียงเดียวเท่านั้นกลับทำให้ร่างของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่พลานุภาพปั่นป่วนฟ้าดินตัวนั้นแข็งทื่อ รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ครู่ต่อมาก็เห็นว่าเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ละอองแสงถักทอดุจภาพฝันมายา รูปลักษณ์ก็ดูคลุมเครือ เห็นแค่ว่ารูปร่างของเขาสูงใหญ่โดดเด่นราวกับยอดเขาสูงเด่นทะลุเมฆาลูกหนึ่ง

โดยเฉพาะดวงตาทั้งสอง ยามกะพริบตาราวกับดวงดารามากมายในวัฏจักรหมุนวน โผนทะยาน และดับสลายไป สะท้อนภาพปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่อย่างจักรวาลผันแปร สรรพชีวิตเกิดดับออกมาภาพแล้วภาพเล่า!

หลังจากเขาปรากฏตัว ก็ไม่ได้สนใจสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่ตกใจจนตัวแข็งทื่อ หยุดนิ่งไม่ไหวติงตัวนั้น แล้วพุ่งตรงมาอยู่เบื้องหน้าเด็กสาว

“ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ถึงกับยังมีชีวิตอยู่…”

เมื่อมองดูบนร่างเด็กสาว เงาร่างนี้ก็เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ จากประสบการณ์ของเขาแล้ว เคยเห็นเรื่องเกิดเรื่องตายไม่รู้เท่าไร

ทว่ายังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสปานนี้ แต่ยังรอดมาได้!

ในสายตาของเขา

ร่างเด็กสาวที่ถูกชุดดำบังไว้ก็เหมือนเครื่องกระเบื้องที่มีรอยแตกระแหงนับไม่ถ้วน แผลเก่าแผลใหม่ปนกันมั่ว แทบไม่มีสักกระเบียดที่สมบูรณ์

และภายในร่างของนาง อวัยวะภายใน เส้นเลือด ชีพจร เอ็นกระดูก… ต่างได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่สุด สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณต่างกำลังแห้งเหือด!

อาการบาดเจ็บเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นเกรงว่าคงตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

แต่นางยังทนมาถึงตอนนี้ได้ อย่างกับปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่ง

แน่นอนว่าเมื่อเห็นมือเด็กสาวที่กำทวนศึกไว้แน่น เงาร่างนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้วยังอยากสู้อีกหรือ

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เบือนหน้าไปมองสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่อยู่ไกลออกไป

เพียงแค่การเหลือบมองครั้งเดียว

สัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่พลานุภาพน่ากลัวจนทำให้ฟ้าดินแห่งนี้ต่างหวีดร้องปั่นป่วนนั้น ก็ถูกเผาเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนเต็มฟ้า!

‘ดูท่า ที่จักจั่นทองเชิญข้ามาโลกนี้ก็เพราะเจ้าแล้ว…’

ขณะที่เขาครุ่นคิด นิ้วมือก็กดลงไปบนหว่างคิ้วของเด็กสาวเบาๆ พลังชีวิตอันนุ่มนวลและเปล่งปลั่งก็ผุดเข้าไปในร่างของเด็กสาวไปด้วย

พริบตานี้เด็กสาวเหมือนฟื้นคืนพลัง กำลังจะดิ้นรนลุกขึ้นแต่กลับถูกเขาดันไว้เบาๆ เอ่ยว่า “อย่ากังวลไป ถ้าเจ้าขัดขืนอีกก็จะสิ้นชีพแล้วนะ”

เด็กสาวเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “เจ้าเป็นใคร”

เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อเฉินหลินคง ผู้คนในโลกเรียกข้าว่า ‘เซียนผลาญ’”

หลินสวินนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

พอมองดูเงาร่างที่ยืนผยองกลางฟ้าดินนั้น ความสั่นสะท้านยากจะกล่าวผุดขึ้นในจิตใจ

ชนะแล้ว!

ศิษย์พี่ใหญ่ชนะแล้ว!

เรื่องนี้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ไร้ใดเปรียบ หลินสวินได้ประจักษ์แก่สายตาตน ถึงกับไม่อาจหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของตนได้ไปชั่วขณะหนึ่ง

“ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าศิษย์พี่ใหญ่สู้ทีไรชนะทุกครั้ง เขาไม่เคยทำให้ผิดหวัง ไม่เคยเลย!”

หลี่เสวียนเวยหัวเราะร่า

พวกรั่วซู่ ผู่เจิน ชื่อจวิน เฉิงอวี่ จิ่งจงเยวี่ยต่างก็ยิ้ม

ความกดดันและตื่นเต้นที่ปกคลุมใจเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น แต่ละคนสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความโล่งอกและปรีดา

ศิษย์พี่ใหญ่แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังบนเศษซาก แม้ว่าร่างกายอาบเลือด แม้บาดแผลเต็มตัว แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเหิมเกริมและสะใจ สะท้านสะเทือนจนท้องฟ้านั้นปั่นป่วนอื้ออึง

คนเรามีความสุขต้องสุขให้สุด ความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังที่สั่งสมมาแสนปี ในที่สุดเช้านี้ก็ได้รับการชดเชย เหิมเกริมแล้วจะเป็นไรไป

เฒ่าโดดเดี่ยว ราชครูก็ยิ้ม ความรู้สึกในใจถั่งโถม ทอดถอนใจไม่สิ้น

“ฟ้านี้ บังตาเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ดินนี้ ไม่อาจกักร่างเจ้าได้อีก ความเปรมปรีดิ์ของสหายยุทธ์ ข้าก็สัมผัสได้บ้างเช่นกัน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยเสียงนุ่มนวล

เสียงหัวเราะของศิษย์พี่ใหญ่เงียบลง เอ่ยว่า “จักจั่นทอง เจ้าพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง พลังระเบียบต้องห้ามนั่นยังอยู่ ที่แพ้ข้าเป็นเพียงหมาเฝ้าประตูตัวหนึ่งเท่านั้น!”

สายตาเขามองไปยังเวิ้งฟ้าอีกครั้ง เผยพลานุภาพต่อสู้อันเดือดพล่านลุกโชน “รอกำจัดต้นกำเนิดของพลังระเบียบต้องห้ามนั่นได้เมื่อไร ถึงเรียกสะใจจริงๆ!”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูด “อยากไปฟากฝั่งฟ้าดารานั่นจริงๆ หรือ”

ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้า ไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยคล้ายทอดถอนใจ “เป็นดังคาดจริงๆ”

ศิษย์พี่ใหญ่หันตัวไปแล้วมองพวกรั่วซู่ เก็บท่าทางหยิ่งผยองจองหองลงไปบ้างอย่างหาได้ยาก

เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นเทียบเท่ากับคำพูดนับหมื่นพันไปแล้ว

เมื่อสายตามองไปที่หลินสวิน เขาก็โยนน้ำเต้าสุราใบหนึ่งไปให้

“ดื่มเหล้าไหม””

“ดี!”

หลินสวินรับน้ำเต้าสุราไว้ แหงนหน้าดื่มเต็มที่

“คนในมรรคข้านี่ ฮ่าๆๆ”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะลั่น แล้วก็เอาน้ำเต้าสุราใบหนึ่งออกมาดื่มอย่างเบิกบาน

นี่ เป็นการยอมรับจากเขา

……

ฟ้าดินมืดหม่น กลิ่นอายพ่ายแพ้และพังพินาศกำลังพวยพุ่ง

ศึกนี้ในที่สุดก็จบลงแล้ว แต่พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมท้องฟ้ายังอยู่ เพียงแค่ไม่มีคนไปควบคุมหรือใช้มันแล้ว

เพราะจอมจักรพรรดิไร้นามตายไปแล้ว!

เขาเป็นใคร มีที่มาที่ไปเช่นไรกันแน่

ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้บอก เพียงแค่มองอย่างดูแคลนว่าเป็น ‘หมาเฝ้าประตู’

หลังจากดื่มเหล้าในน้ำเต้าจนหมดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกับหลินสวิน ศิษย์พี่ใหญ่โบกมือแล้วสาวเท้าเดินออกไป เขามีเรื่องถามอยากจักจั่นทอง

“ศิษย์น้องเล็ก ที่ชนะการประชันหมากครั้งนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”

จู่ๆ รั่วซู่ก็เอ่ยปาก เนตรกระจ่างเจือรอยยิ้ม

คนอื่นต่างพยักหน้า

หลินสวินอึ้งไป สีหน้างุนงง

ในการประชันหมากครั้งนี้ ตนอยู่ในฐานะผู้ชมมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้ช่วยอะไรสักนิดเลยนะ!

ต่อมารั่วซู่ก็ไขข้องกังขาให้เขา

การประชันหมากครั้งใหญ่นี้ สามารถไล่ย้อนไปตั้งแต่หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปิดฉากลงสมัยบรรพกาล

ในช่วงเวลาเกือบแสนปีนี้ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลระหกระเหินไปตามที่ต่างๆ เหมือนวิญญาณเร่ร่อน เพื่อหลบเลี่ยงการคุกคามของพลังระเบียบต้องห้าม

ไม่เพียงภูเขาสำนักถูกทำลาย ยังถูกศัตรูเหล่านั้นมองว่าเป็น ‘เศษเดน’!

แสนปีมานี้พวกเขาเสาะหาแดนปริศนา เก็บงำซุ่มซ่อน เพียงเพื่อรอวันล้างความอับอายในอดีต ชำระความแค้น

มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง

หลินสวินก็คือ ‘หนึ่ง’ นี้

ในอดีตแทบไม่มีใครรู้ว่าหลินสวินเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล กอปรกับเขายังไม่ได้แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ จึงยากนักที่จะอยู่ในสายตาขุมอำนาจพวกนี้

และการประชันหมากคราวนี้ ความจริงแล้วเริ่มขึ้นอย่างเงียบเชียบ ตั้งแต่ตอนที่หลินสวินได้มรดกของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลชิ้นนั้นมาจากแหล่งสถานคุนหลุนแล้ว

ตอนนั้นยามแหล่งสถานคุนหลุนปิดฉากลง หลี่เสวียนเวยปรากฏตัวเงียบๆ มาคุ้มครองหลินสวินขึ้นยานสมบัติ สังหารระดับจักรพรรดิตามทาง ทำให้หลินสวินเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราได้อย่างปลอดภัย

ตอนนั้นหลินสวินขึ้นยานข้ามโลกไปยังโลกต้าอวี่ ถูกแดนกษิติครรภ์หมายหัว เป็นจวินหวนที่ปลอมตัวเป็นชายปรากฏตัวจัดการไอสังหารซึ่งซ่อนอยู่ลับๆ ให้เขา

ตอนที่หลินสวินข้ามฟ้าดารา ผู่เจินปรากฏตัวขึ้นบนยานลมกรดที่มุ่งหน้าไปยังโลกใหญ่หงเหมิง สังหารภิกษุเฒ่าตู้คง ขจัดอุปสรรคให้เขา

เมื่อหลินสวินมาถึงโลกใหญ่หงเหมิงในที่สุด หลังจากเข้าไปในสำนักยุทธ์เสวียนจีแล้ว หลี่เสวียนเวยก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วบอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ‘มหาสมบัติแรกกำเนิด’ ให้เขารู้

จากนั้นเขาก็เข้าร่วมศึกถกมรรคแคว้นเมฆา และเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค…

จนกระทั่งเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ ชิงเอามหาสมบัติแรกกำเนิดเขาปู้โจวมาได้ หลินสวินเท่ากับได้ช่วยคีรีดวงกมลชิงโอกาสชนะการประชันหมากยิ่งใหญ่คราวนี้มาได้โดยไม่รู้ตัว!

เป็นเพราะคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ที่เก็บตัวเงียบเกือบแสนปีบุกทะลวงออกมา เอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามในส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นได้ในคราวเดียว!

หลินสวินเป็นผู้ที่อยู่ในกระดาน จึงมองเรื่องนี้ไม่ชัด แต่พวกรั่วซู่จะไม่รู้ได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้ขุมอำนาจเหล่านั้นมองหลินสวินเป็นเหยื่อล่อ หมายจะล่อผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขาเข้ามาในการประชันหมากครั้งใหญ่คราวนี้

แต่ความจริงแล้ว เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกรั่วซู่อยากเห็น

ดังนั้นรั่วซู่ถึงบอกหลินสวินก่อนเขาเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องฐานะเปิดเผยมากนัก!

นี่ก็คือการวางหมาก!

การประชันหมากครั้งใหญ่ที่ต่อเนื่องมาเกือบแสนปี ใช้หมากลับ ‘รอดพ้นเพียงหนึ่ง’ อย่างหลินสวินในการเดินครั้งหนึ่ง

ดังนั้น ดูเหมือนในการประชันหมากที่แท้จริง หลินสวินที่คล้ายเป็นผู้ชมที่ไม่มีความสำคัญ ความจริงแล้วเขาถึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ชนะการประชันหมากครั้งนี้ได้!

เมื่อเข้าใจเรื่องพวกนี้ หลินสวินยังเหม่อไปครู่หนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

พอหวนนึกถึงการเคลื่อนไหวบนทางเดินโบราณฟ้าดาราหลายปีมานี้ เขาถึงเข้าใจได้ในที่สุดว่าตนรับบทเช่นไรในการประชันหมากครั้งนี้

แล้วสุดท้ายก็เข้าใจว่าหลายปีนี้ เหตุใดเมื่อศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นได้พบตน ถึงพูดประโยคนั้นอยู่เสมอ…

รอภายหน้าเจ้าก็จะเข้าใจ

ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วจริงๆ!

“ศิษย์น้อง ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะกังวลว่าจะรั่วไหล ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ก็โทษพวกเราก็พอ”

ผู่เจินที่เงียบเชียบไม่พูดจามาตลอด ขณะนี้กลับอดไม่ได้เอ่ยปากแล้ว สีหน้าเจือความรู้สึกผิด

พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยต่างก็มองไปที่หลินสวิน

การประชันหมากคราวนี้แม้ได้สุดท้ายได้ชัยชนะไป แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบกลับไม่ได้เปิดเผยเบื้องหลังให้หลินสวินรู้มากมาย ทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของเขา เรื่องนี้ทำพวกเขาออกจะกังวลใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ความรู้สึกหลินสวินไหวหวั่น เอ่ยสีหน้าจนใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าตัวเองไร้ประโยชน์นัก แม้จะเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล แต่กลับไม่มีกำลังช่วยอะไรได้ ตอนนี้ในที่สุดก็รู้สึกว่ามีประโยชน์บ้างแล้ว ยังไม่ทันดีใจ จะไม่สบายใจได้อย่างไร”

เขาพูดพลางส่งน้ำเต้าสุราให้ผู่เจิน “ศิษย์พี่ ถ้าเจ้ารู้สึกเกรงใจจริงๆ ก็ดื่มเหล้าในน้ำเต้านี้ให้หมด”

ผู่เจินฉีกยิ้มเอ่ย “นี่มันจะไปยากตรงไหน”

เขาพูดพลางแหงนหน้าดื่มอึกใหญ่

ทุกคนต่างยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

จวินหวนกระพริบตาปักษาเพลิงที่งดงามเป็นที่สุด แล้วพูดว่า “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าอาหูสวยไหม นางเป็นศิษย์ชั่วคราวที่ข้าพลั้งมือรับมา ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะจับคู่นางให้เจ้า รินชายกน้ำ ซักเสื้อพับผ้าห่มให้เจ้าไปทั้งชีวิต”

แล้วหลินสวินจึงรู้ว่าเดิมทีอาหูเป็นศิษย์ชั่วคราวของศิษย์พี่จวินหวน!

มิน่าอาหูถึงมอบยานขนส่งอวกาศให้ตนตั้งแต่ตอนพบกันครั้งแรกที่ทะเลกลืนวิญญาณนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

และมิน่า ในหลายปีนั้น ยางถึงเชื่อมั่นและช่วยเหลือตนขนาดนั้น…

พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้อาหูอยู่ที่ไหน”

เมื่อพูดคำนี้ออกมา ก็ดึงดูดให้พวกรั่วซู่หัวเราะหยอกล้อขึ้นมาทันที

“ดูสิ ศิษย์น้องเล็กของพวกเราหวั่นไหวแล้ว”

จวินหวนยิ้มตาหยี เดิมนางก็งดงามจนเรียกได้ว่าเกินไป พอตอนนี้ยิ้มเข้า รอยยิ้มนั้นเหมือนทำให้ฟ้าดินราวกับซากปรักหักพังแห่งนี้แปรเปลี่ยนเป็นสวยงามขึ้นมา

ครู่สั้นๆ รั่วซู่พูดขึ้นทันทีว่า “ศิษย์น้อง อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะจากไปยังฟากฟ้าฝั่งดารา เจ้าอยากไปกับพวกเราไหม”

สายตาของคนอื่นก็มองมาที่หลินสวิน

จอมจักรพรรดิไร้นามพ่ายแพ้ แต่พลังระเบียบต้องห้ามไม่ได้สลายไป ถ้าไม่ถือโอกาสนี้จากไป เมื่อ “จอมจักรพรรดิไร้นาม” คนต่อไปปรากฏตัว ก็จะไปไม่ได้อีกแล้ว

“เขาไปกับพวกเจ้าไม่ได้”

ไม่ทันรอให้หลินสวินตอบ ชายหนุ่มจักจั่นทองที่กำลังพูดคุยกับศิษย์พี่ใหญ่ไกลออกไปก็เดินมาทางนี้

“ทำไมล่ะ”

รั่วซู่นิ่วหน้า

“ตอนนี้ถ้าเขาไปฟากฝั่งฟ้าดารา ก็เท่ากับพาตัวเองไปติดกับ”

เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูก็เดินมา แววตาซับซ้อน

ในกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาจำศีลอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า จะไม่รู้ชาติกำเนิดของหลินสวินได้อย่างไร

หลินสวินสั่นสะท้านในใจ สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

พาตัวเองไปติดกับ!

นื่ทำให้เขานึกถึงเรื่องในอดีตช่วงหนึ่ง

นานมาแล้ว เพื่อหลบหนีการตามฆ่า มารดาของเขาลั่วชิงสวินก็ข้ามฟ้าดาราจากฟากฝั่งฟ้าดารามาด้วยการคุ้มครองของจักรพรรดิสงครามดับดาราผ้เป็นลุงกับท่านลู่!

และการตามฆ่าคราวนี้ จวบจนตอนนี้ก็ยังดำเนินอยู่ หาไม่แล้วบิดามารดาของเขากับท่านลู่ไม่มีทางหายสาบสูญไปอย่างประหลาดเช่นนั้น

“พวกเขาพูดถูก”

ศิษย์พี่ใหญ่ก็มาแล้ว ร่างกายโอบล้อมด้วยเปลวเพลิงสงครามแผดเผาเป็นริ้วๆ แม้ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มีใครเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา

“อยู่ต่อถึงจะเป็นการคุ้มครองศิษย์น้องเล็กได้อย่างดีที่สุด รอภายหน้าเขามีสามารถไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา จะไปเองก็ได้”

เสียงศิษย์พี่ใหญ่ต่ำลง เขาเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเช่นกัน

พวกรั่วซู่ต่างอึ้งไปอย่างห้ามไม่อยู่

“ด้วยพลังของพวกเรา ยังไม่อาจคุ้มครองศิษย์น้องเล็กได้อย่างครอบคลุมหรือ”

รั่วซู่ถามอย่างอดไม่ได้

เฒ่าโดดเดี่ยวเอ่ย “ฟากฝั่งฟ้าดารา ไม่ได้เพียงแค่มีพลังต้นกำเนิดระเบียบต้องห้าม ยังเป็นโลกที่เป็นปริศนาแห่งหนึ่งด้วย ถ้าข้าสันนิษฐานถูกต้อง ชาติกำเนิดของสหายน้อยหลินสวิน ก็ต้องเกี่ยวโยงกับขุมอำนาจใหญ่คับฟ้าของฟากฝั่งฟ้าดาราบางกลุ่ม ขอเพียงปรากฏตัวในฟากฝั่งฟ้าดารา ก็จะดึงดูดภัยพิบัติทลายฟ้า ทุกคนอย่างทำแบบนี้จะดีที่สุด”

ราชครูที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า

เขากับเฒ่าโดดเดี่ยวต่างรู้จักลั่วชิงสวิน ทั้งยังได้พบหากับลู่ป๋อหยา ล่วงรู้ชาติกำเนิดของหลินสวินระดับหนึ่งมานานแล้ว รู้ดีว่าทันทีที่หลินสวินปรากฎตัวที่ฟากฝั่งฟ้าดารา จะต้องเป็นหายนะไม่ใช่โชค

ขณะนี้หลินสวินสีหน้าปนไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

คำพูดของเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครู เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ในใจเขากลับยังเต็มไปด้วยความกังขา

ตน…มีชาติกำเนิดเช่นไรกันแน่

——

ตอนที่ 2040 ฟ้า จะเปลี่ยนแล้ว

ลายมรรคเปล่งประกาย หวีดร้องดั่งสายฝน

หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ย่อมไม่อาจบรรยายความยิ่งใหญ่ของภาพนั้นได้สักนิด

และภายใต้การเข่นฆ่าเช่นนี้ เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนแล้วคนเล่าถูกสังหาร กายสิ้นมรรคสลาย น้ำเลือดสีแดงสดย้อมฟ้าดินให้เป็นสีแดงบาดตา

นี่เป็นภาพที่ทำให้ทั่วหล้าสั่นสะท้าน ทำให้สรรพชีวิตสิ้นหวังได้

บรรพจารย์จักรพรรดิ สูงส่งและแข็งแกร่ง โอหังเหนือทั่วหล้า หยิ่งผยองเหนือห้วงอากาศปานใด ประหนึ่งนายเหนือหัวบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้

แต่ในตอนนี้กลับถูกสังหารอย่างไร้ปรานีไปทีละคน!

พวกเขาหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง ต้านทานอย่างเสียสติ ทุ่มพลังทั้งหมดที่มี แต่ภายใต้การถล่มสังหารของลายมรรคเปล่งประกายเต็มฟ้านั้นกลับดูไร้พลังได้ปานนั้น…

เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูหลบหนีไปไกลนานแล้ว เพราะพวกเขาต่างไม่อาจแทรกแซงได้ เมื่อได้เห็นภาพนองเลือดภาพแล้วภาพเล่าที่เกิดขึ้น พวกเขาก็สูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ ดวงตาแข็งทื่อ

พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยก็คุมความสะท้านที่ผุดขึ้นในใจไว้ไม่อยู่

ปีนั้นจักจั่นทองตัวนั้นหมอบอยู่นอกภูเขาสำนักคีรีดวงกมล ตัวเล็กจ้อยปานนั้น แต่กลับถูกอาจารย์ชื่นชมว่ามรรคสูงล้ำฟ้า

จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาจึงรู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของคำว่า ‘มรรคสูงล้ำฟ้า’

ด้วยระดับของพวกเขาในตอนนี้ ล้วนสัมผัสได้ถึงความตระการตาหาใดเทียบ ในใจมีเพียงความคิดเดียวว่า ไม่แน่อาจจะมีเพียงคนอย่างศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองถึงเทียบสูงต่ำกับคนผู้นี้ได้กระมัง

ส่วนหลินสวิน…

เห็นเพียงว่าหลังชายหนุ่มจักจั่นทองลงมือ บรรพจารย์จักรพรรดิ ณ ที่นั้นก็ร่วงโรยราวสายฝน ทำเอาตาเบิกกว้างทันที สั่นสะท้านในใจ

ทุกอย่างที่ได้เห็นในวันนี้ล้วนเหนือกว่าจินตนาการของเขาไปโดยสิ้นเชิง ทั้งยังทำให้เขารู้ซึ้งถึงความห่างชั้นของตัวเอง

มกุฎกึ่งจักรพรรดิ อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดใต้ระดับจักรพรรดิ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณส่วนมากบนโลกนี้ยกย่องเชิดชู

แต่พอเทียบกับระดับจักรพรรดิ กลับด้อยกว่ามาก และควรรู้ว่าระดับจักรพรรดิแบ่งออกเป็นเก้าชั้น ไหนจะบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิอีก!

และในศึกตรงหน้านี้ บรรพจารย์จักรพรรดิ… ยังทำอะไรไม่ได้!

เทียบกันตามลำดับเช่นนี้ หลินสวินถึงเข้าใจว่ามรรควิถีที่ตนมีในตอนนี้แตกต่างขนาดไหนเมื่อเทียบกับยอดยักษ์ใหญ่ที่แท้จริง

ไม่อาจเทียบได้สักนิด!

‘ศิษย์น้อง เจ้าฝึกปราณจนตอนนี้ ยังไม่ถึงร้อยปีก็เป็นระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งแล้ว ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเราไม่มีใครเทียบกับเจ้าได้สักคน’

เสียงของรั่วซู่ดังขึ้นในโสตประสาทของหลินสวิน ‘มองดูระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้น แต่ละคนอยู่มาแล้วไม่รู้กี่ปี ถ้าให้เวลาเจ้ามากพอ เจ้าจะต้องประสบความสำเร็จกว่าพวกเขาแน่นอน!’

นางคล้ายรับรู้ได้เช่นกันว่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นในวันนี้แต่ละภาพ จะกระทบกระเทือนจิตใจหลินสวินอย่างยากจินตนาการ ดังนั้นจึงใส่ใจดูหลินสวินอยู่ตลอด ด้วยกลัวว่าจิตมรรคของเขาจะถูกสั่นคลอน

‘วันนี้เจ้าอยู่ในการประชันหมากยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส มองไปทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา จะมีคนรุ่นเดียวกันคนไหนมีประสบการณ์อย่างเจ้า’

‘และประสบการณ์เช่นนี้ จะเป็นประโยชน์กับการฝึกปราณของเจ้าในภายภาคหน้า’

เสียงของรั่วซู่ประหนึ่งน้ำพุอันอ่อนโยนใสกระจ่าง ดังขึ้นในใจของหลินสวิน ทำให้ใจเขาแปรเปลี่ยนเป็นสงบและผ่องแผ้ว

‘ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ’

หลินสวินเอ่ยจริงจัง

เขาเองก็รู้ดีว่าการได้เข้าร่วมการประชันหมากยิ่งใหญ่อย่างเต็มตัวในวันนี้ ต่อให้เป็นเพียงผู้เฝ้ามองคนหนึ่ง แต่นี่ก็เรียกได้ว่าอัศจรรย์เป็นที่สุด ทำให้เขาได้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต

เพียงครู่เดียวเท่านั้น

การห้ำหั่น ณ ที่นั้นก็ปิดฉากลงแล้ว เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิทั้งสิ้นสิบห้าคนต่างถูกสังหารคาที่ เลือดสาดกระเซ็นไปทั้งนภาคราม

ชายหนุ่มจักจั่นทองยืนอยู่กลางอากาศตั้งแต่เริ่มจนจบ เรียบเฉยยากจับต้อง

ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ใครจะกล้าเชื่อว่าชายหนุ่มผู้สุภาพอ่อนโยนเช่นนี้ จะกำราบบรรพจารย์จักรพรรดิสิบห้าคนได้ในเวลาอันสั้น

เรื่องนี้หากกระจายออกไป ทั้งฟ้าดาราจะต้องสะท้านสะเทือน!

และบริเวณที่อยู่ไกลลิบ ยังมีระดับจักรพรรดิจำนวนหนึ่งจับตามองภาพนองเลือดหาใดเทียบนี้เช่นกัน แต่ละคนต่างตกตะลึงจนขนลุกเกรียว หนาวสะท้านไปทั้งตัว

ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิยุทธ์ เหิมเกริมหยิ่งผยอง จองหองทะลุเมฆา อหังการเหลือประมาณ

แต่ชายหนุ่มจักจั่นทองผู้นี้ดูคล้ายราบเรียบสงบนิ่ง แต่อานุภาพที่เผยออกมาโดยไม่ตั้งใจกลับไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิยุทธ์!

เขาเป็นใครกัน

ทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนเช่นเขา

“ศิษย์เอ๋ย สักวันหนึ่งหากเจ้าทัดเทียมเขาได้ ต่อให้ข้าผู้เป็นอาจารย์ตายไปก็ยิ้มลงเมืองผีได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูทอดถอนใจ

“อาจารย์ ขนาดท่านยังไม่ไหว ข้าก็ยิ่งไม่ไหว”

หลิงเคอจื่อมองไม่เห็นความเป็นไปของศึกนี้สักนิดเช่นเดียวกับหลินสวิน แต่เขากลับรู้ดีว่าผู้ที่กำราบระดับบรรพจารย์จักรพรรดิได้มากมายน่ากลัวปานไหน และคิดจะเทียบกับคนเช่นนี้ในภายหน้า ช่างเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้

“ไม่เอาไหน”

มือข้างหนึ่งของบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูตบใส่ศีรษะโล้นของหลิงเคอจื่อ

อีกด้านหนึ่งเสวียนจิ่วอิ้นเอ่ยถามอย่างงุนงงว่า “ท่านพ่อ บรรพบุรุษตระกูลเสวียนของเราหาคนที่ร้ายกาจเหมือนคนนั้นได้สักคนหรือไม่”

เสวียนซั่งเฉินมุมปากกระตุกไปครู่หนึ่ง สักพักถึงโพล่งออกมาคำเดียวว่า “มี”

“มีหรือ” เสวียนจิ่วอิ้นกังขา

“แน่นอน”

แววประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาเสวียนซั่งเฉิน “เจ้าลูกชาย จำไว้เสมอว่าพวกเราแซ่อะไร!”

……

กลางฟ้าดิน กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น เขม่าควันอบอวล

ควันหลงจากการต่อสู้โกลาหลถาโถมอยู่ในห้วงอากาศ และศึกอันดุเดือดที่ส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้านั้นยังคงดำเนินต่อไป

เพียงแต่ขณะนี้สายตาของทั้งที่นั้นต่างถูกชายหนุ่มจักจั่นทองที่ยืนอยู่กลางอากาศดึงดูด

“สหายยุทธ์ผู้นี้ หรือจะบรรลุระดับบรรพจารย์ไปแล้ว”

เฒ่าโดดเดี่ยวเหม่อไปครู่สั้นๆ ก่อนเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้

จักจั่นทองส่ายหัว เอ่ยว่า “ระดับการฝึกปราณไม่สำคัญกับข้าแล้ว”

นี่หมายความว่าอย่างไร

บำเพ็ญมหามรรค การแบ่งสูงต่ำตัดสินความแข็งแกร่งและอ่อนแอของมรรควิถีที่ครอบครอง จะไม่สำคัญได้อย่างไร

มีเพียงเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูที่คล้ายตระหนักอะไรบางอย่าง ต่างเผยสีหน้าตกตะลึง

“จะตัดสินแพ้ชนะแล้ว…”

จักจั่นทองพูดเบาๆ ดวงตาฉายแววลึกลับสุดหยั่ง คล้ายเห็นภาพการต่อสู้ในส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้าหมดแล้ว

ทุกคนในที่นั้นล้วนใจสั่นสะท้าน

……

โลกใหญ่หงเหมิง ราตรีนิรันดร์ปกคลุม เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเคราะห์ไพศาลราวกับวันโลกาวินาศ ทำให้สรรพชีวิตมากมายหวาดผวา ตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก

และหลังจากจักจั่นทองสังหารเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นแล้ว ในขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ และเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ต่างก็วุ่นวายหวาดวิตก

“ทำไมบาดเจ็บล้มตายกันหนักหน่วงเช่นนี้”

“เศษเดนคีรีดวงกมลนั่น หรือจะยังต้านการโจมตีของพลังระเบียบต้องห้ามได้ด้วย”

“ไม่…! ผู้อาวุโสร่วงหล่นไปได้อย่างไร!”

เสียงที่เผยความเสียขวัญและตื่นตะลึงแผ่ขยายไปในหมู่ขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้

แม้ไม่ได้เข้าร่วมศึกนี้ แต่ด้วยรากฐานพลังของขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้ ก็ยังคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในการประชันหมากครั้งนี้ได้ทันที

ครั้งได้รู้ว่าตอนนี้เหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิที่เข้าร่วมการประชันหมากคราวนี้แทบจะถูกสังหารจนหมด ไม่รู้กี่คนที่หน้ามืดไปครู่หนึ่ง ฟ้าดินหมุนคว้าง รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

ถ้าไม่ใช่รู้ว่าจอมจักรพรรดิไร้นามลงมือกำราบจักรพรรดิยุทธ์แล้ว เกรงว่าขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้จะตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายไปนานแล้ว

นี่เป็นสิ่งที่รับได้ยากเกินไปแล้วจริงๆ

ควรรู้ว่าคราวนี้เพื่อต่อกรกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ชิงเอามหาสมบัติแรกกำเนิดมา เพียงแค่ในโลกใหญ่หงเหมิงก็มีบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิหลายสิบคนลงมือแล้ว!

เช่นบรรพจารย์จักรพรรดิที่อยู่ในสามเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาล ยุทธจักร ดึกดำบรรพ์ แทบจะออกเคลื่อนไหวเต็มกำลัง

ในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีพลังระเบียบต้องห้ามเขย่าขวัญอีก มองไปทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารายังเรียกได้ว่าเป็นกำลังพลชั้นยอดที่ไม่อาจมีศัตรูใดเทียบเทียม!

แต่ใครจะคิดว่าต่อให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิกลับประสบเคราะห์ มลายเป็นเถ้าธุลีพลิ้วลอยหายไปทีละคน

ส่วนระดับจักรพรรดิที่ตายไปในการประชันหมากยิ่งไม่ใช่ส่วนน้อย!

บรรพจารย์จักรพรรดิ เป็นบรรพจารย์แห่งมรรคสายหนึ่ง ต่อให้อยู่ในขุมอำนาจอย่างเรือนมรรคจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร จำนวนของระดับบรรพจารย์จักรพรรดิก็นับนิ้วได้

ตายไปมากมายขนาดนี้ในคราวเดียว แรงโจมตีเช่นนี้จะหนักหน่วงเกินไปแล้ว สามารถทำให้พลังดั้งเดิมของพวกเขาเสียหาย ถึงขั้นสั่นคลอนถึงรากฐานของสำนักพวกเขา!

ที่เดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบก็คือเรือนมรรคโลกาสวรรค์

แต่เมื่อได้รู้ข่าวที่เรียกได้ว่าน่าสะท้านใจเหล่านี้ เฒ่าดึกดำบรรพ์ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ทั้งมวลต่างรับรู้ได้ว่า…

ไม่ว่าผลลัพธ์ของการประชันหมากยิ่งใหญ่คราวนี้จะเป็นอย่างไร รูปการณ์ของทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินแล้ว

ฟ้า จะเปลี่ยนแล้ว!

……

วังวนเวิ้งฟ้าเริ่มส่งเสียงอึกทึกรุนแรง ปรากฏร่องรอยโกลาหลอันตราย พลังต่อสู้น่ากลัวอึงอลเหิมเกริมอยู่ภายในนั้น แค่เสียงห้ำหั่นที่แว่วออกมาก็น่าอกสั่นขวัญแขวน ประหวั่นพรั่นพรึงเพราะสิ่งนี้

ในที่สุดวังวนเวิ้งฟ้านั้นก็ถล่มลงมากะทันหัน พร้อมกับเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดินเสียงหนึ่ง!

ตูม!

ชั่วพริบตานั้นคล้ายกับเวิ้งฟ้ายุบตัว หมื่นโลกทั่วหล้าทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราพลันสั่นระรัว สิ่งมีชีวิตไม่รู้เท่าไรต่างตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างในขณะนี้

ชั่วพริบตาที่วังวนเวิ้งฟ้านั้นถล่มลง พลังระเบียบต้องห้ามที่โถมซัดเหมือนน้ำท่วมซึ่งสั่งสมมานานแล้ว ไหลหลั่งลงมาจากเวิ้งฟ้าแล้วกระจายตัวออกไป

ชายหนุ่มจักจั่นทองสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ลังเล

แสงทองเต็มฟ้าพุ่งขึ้น แปลงเป็นม่านแสงแถบหนึ่งปกคลุมพวกหลินสวิน รั่วซู่ไว้ภายใน ทำให้ทุกคนรอดพ้นอันตรายคราวแล้วคราวเล่า หลบการโจมตีของพลังน่ากลัวเช่นนี้ได้

ครู่หนึ่งความปั่นป่วนทั้งหมดนี้ถึงค่อยๆ คืนสู่ความสงบ

เมื่อครรลองสายตากลับมาแจ่มชัด ก็เห็นว่าฟ้าดินแห่งนี้กลายเป็นเศษซากโดยสมบูรณ์ ทุกที่มีแต่ร่องรอยพังพินาศยับเยิน ห้วงอากาศมีรอยแยกมหึมารอยแล้วรอยเล่ายืดขยายไปไกล

เวิ้งฟ้าขมุกขมัว กลิ่นอายทำลายล้างอบอวลในอากาศ เมื่อมองไปก็เห็นว่าฟ้าดินแห่งนี้ราวกับถูกทำลายแหลกกระจุย!

หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือกอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ”

“ศึกนี้ใครชนะกันแน่”

พวกรั่วซู่แผ่ขยายจิตรับรู้กวาดไปทั้งที่นั้น สีหน้าแต่ละคนต่างเจือไปด้วยความกระวนกระวาย

“ชนะแล้ว…”

ไกลออกไปชายหนุ่มจักจั่นทองยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่พังพินาศย่อยยับ เสื้อผ้าโบกปลิวตามลม ในดวงตากระจ่างเรียบเฉยเผยแววเหม่อลอยอย่างเห็นได้ยาก

ผลลัพธ์นี้เดิมก็อยู่ในความคาดหมายของเขา แต่พอเกิดขึ้นจริงๆ ก็ยังทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านอย่างประหลาด คราวนี้ ในที่สุดก็… ชนะแล้ว…

ก็ในตอนนี้เองห้วงอากาศส่งเสียงครั่นครืน ฟ้าดินโกลาหล เงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากผืนดิน

ดุจเปลวเพลิงลุกโชนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากความพินาศย่อยยับ ส่องแสงบนฟ้าดินที่ถูกความมืดมนกดทับนั้น

เงาร่างนั้นมีบาดแผลเต็มตัว เลือดสดๆ หลั่งริน แต่กลับยังจองหองและอวดดีได้ปานนั้น พลานุภาพที่ร่างนั้นปล่อยออกมายังสะท้านเก้าชั้นฟ้าเหมือนเดิม

ชั่วพริบตาที่เงาร่างนี้ปรากฏตัว กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง ภาพคล้ายหยุดชะงัก กลายเป็นแสงเดียวท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้

ตอนที่ 2039 จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า
เป็นเขา!

ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดผ้าป่านเท้าเปล่า รูปลักษณ์น่าดึงดูดคนนั้น หลินสวินก็ตกตะลึงและประหลาดใจ

เขาจะลืมผู้อาวุโสที่เคยจำศีลอยู่ที่ป่าต้นหม่อน และได้ ‘พูดคุย’ กับตนไปได้อย่างไร

คนผู้นี้ย่อมเป็นชายหนุ่มจักจั่นทอง บุคคลลึกลับที่เคยพูดจาใหญ่โตว่า ‘ปรารถนาให้สรรพชีวิตทั่วหล้ากลายเป็นอริยะ’ บุคคลในตำนานที่เดินออกไปเพียงก้าวเดียวก็ทะลวงพลังระเบียบต้องห้าม ทะยานสู่ฟ้าสูง!

เป็นชายหนุ่มจักจั่นทอง ที่ไขข้อกังขา บอกเล่าเรื่องราวของ ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ ให้หลินสวินรู้!

ในใจหลินสวิน ชายหนุ่มจักจั่นทองเป็นบุคคลลึกลับถึงที่สุดคนหนึ่ง การได้ปฏิสัมพันธ์กับเขา ไม่มีทางทำให้คนเกิดความรู้สึกขัดแย้งใดๆ ได้โดยปริยาย

ทั้งตัวเขาอ่อนโยนราวกับลมวสันต์ นุ่มนวลดุจหยกงาม กระทั่งทำให้ผู้คนมักจะหลงลืมไปว่า จริงๆ แล้วเขามีมรรควิถีและพลังที่ลึกล้ำมากเพียงไหน!

“เป็นจักจั่นทองตัวนั้น!”

ขณะนี้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างหลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ต่างคล้ายจำเงาร่างที่ยืนสันโดษอยู่กลางห้วงอากาศนั้นได้ ล้วนตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เคยมีจักจั่นทองตัวหนึ่งไปยังคีรีดวงกมล หยุดอยู่บนต้นไม้โบราณนอกประตูเขา ฟังเจ้าแห่งคีรีดวงกมลบรรยายมหามรรค ฟังครั้งหนึ่งก็ผ่านไปสามสิบปี

เจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่ได้ขับไล่มันไป แต่สั่งคนในสำนักไม่ให้ไปรบกวนมัน

สามสิบปีผ่านไป จักจั่นทองแปลงร่างเป็นชายหนุ่ม คารวะให้คีรีดวงกมลจากไกลๆ แล้วก็หันหลังจากไป

ตอนนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลที่กำลังบรรยายมหามรรคให้คนในสำนักยิ้มน้อยๆ กล่าวประโยคหนึ่งที่ยังประทับอยู่ในใจของพวกรั่วซู่อย่างลึกซึ้งจนตอนนี้

‘สามสิบปีหยั่งฌาน หยั่งรู้ในวันเดียว จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า!’

มรรคสูงล้ำฟ้า!

คำชมเช่นนี้มาจากปากเจ้าแห่งคีรีดวงกมล จะให้พวกรั่วซู่ลืมได้อย่างไร

และก็เป็นตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกัน ที่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขาต่างจำจักจั่นทองตัวนั้นเอาไว้

บัดนี้จักจั่นทองตัวนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยืนอยู่ใต้เวิ้งฟ้า แหงนหน้ามองส่วนลึกของวังวน ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

เขามาคราวนี้เป็นเพราะเหตุใด

“ทุกท่านรู้ไหมว่า หากจอมจักรพรรดิไร้นามปราชัย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”

ครู่ใหญ่จู่ๆ ชายหนุ่มจักจั่นทองก็เคลื่อนสายตาไปมองพวกรั่วซู่

โดยไม่รอคำตอบ เขาก็พูดเองแล้วว่า “ถึงตอนนั้นพลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ก็จะไม่ได้หายไปเช่นนี้ เพราะต้นกำเนิดของพลังระเบียบต้องห้ามนี้มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา จอมจักรพรรดิไร้นามผู้นั้นเป็นเพียง ‘ผู้ดูแล’ คนหนึ่งเท่านั้น”

“เขาตายแล้ว ยังจะมีจอมจักรพรรดิไร้นามอีกคนปรากฏขึ้นอีก เว้นแต่เอาชนะต้นกำเนิดระเบียบต้องห้ามนี้ พันธนการที่ปกคลุมบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ถึงจะสลายไปโดยสมบูรณ์”

คำพูดเดียวทำให้พวกรั่วซู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“จักจั่นทอง นี่พูดจริงหรือ” หลี่เสวียนเวยถาม

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูด “เรื่องใหญ่ปานนี้ ข้าไม่กล้าพูดเพ้อเจ้ออะไรทั้งนั้น”

ตูม!

ณ ส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้า การต่อสู้ดุเดือดของศิษย์พี่ใหญ่กับจอมจักรพรรดิไร้นามยังดำเนินอยู่เช่นเดิม มีเสียงห้ำหั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดินลอยมาเป็นพักๆ

ไกลออกไปเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูก็สู้ศึกกับเหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิ ทำเอาฟ้าดินพลิกตลบ ทั่วหล้าสั่นไหว

การประชันหมากครั้งใหญ่นี้จวนจะถึงช่วงตัดสินแพ้ชนะแล้ว

แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินวาจาของชายหนุ่มจักจั่นทอง กลับทำให้จิตใจพวกรั่วซู่ต่างเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

จอมจักรพรรดิไร้นาม!

ผู้ควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามที่ประหนึ่งเจ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ การคงอยู่ของเขาทำให้พลังระเบียบต้องห้ามปกคลุมไปทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา และยังทำให้เส้นทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราถูกตัดขาด

ใครจะคาดคิดว่าต่อให้สุดท้ายพวกเขาเอาชนะอีกฝ่ายได้ พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วหล้านี้ก็จะไม่สลายไป

นี่ก็เหมือนสถานการณ์ที่มีแต่แพ้พ่าย แม้สุดท้ายต่อสู้ชนะ ก็คล้ายไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพของทางเดินโบราณฟ้าดาราได้!

เป็นเช่นนี้… จริงๆ หรือ

รั่วซู่ถาม “หรือว่าการประชันหมากครั้งนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่มีทางชนะ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย “ตอนนั้นจักรพรรดิยุทธ์ประกาศศึกกับคนผู้นี้ก็เพื่อทำลายพันธนาการต้องห้าม ครอบครองความเป็นไปได้ที่จะไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา แล้วพวกเจ้าเล่า”

รั่วซู่พูดโดยไม่ลังเลว่า “ย่อมต้องทำเพื่อไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราอยู่แล้ว”

พวกหลี่เสวียนเวย จวินหวนก็พยักหน้า

การไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราก็เท่ากับกระโดดออกจากกรงขัง สามารถก้าวหน้าไปอีกก้าวในมรรคา ไม่ทำให้มรรคาขาดช่วงลงเท่านี้

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ไม่ใช่บอกว่าพอมีเขาปู้โจว พวกเราก็ไม่ต้องกลัวภัยคุกคามจากพลังระเบียบต้องห้าม สร้างสำนักขึ้นอีกครั้งได้แล้วหรือ”

รั่วซู่รีบสื่อจิตอธิบาย ‘ศิษย์น้อง เดิมพวกเราวางแผนว่าหลังจากเอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นี้แล้ว ก็จะเอามหาสมบัติแรกกำเนิดไปฟากฝั่งฟ้าดาราด้วยกัน แล้วสร้างสำนักขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนี้ดูท่า…’

พูดถึงช่วงท้ายนางก็อดถอนหายใจไม่ได้

ตอนนี้ดูจากที่ชายหนุ่มจักจั่นทองว่าไว้ ต่อให้เอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามได้ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาสมปรารถนา

พอคิดว่าการรอคอยและความทุ่มเทเกือบแสนปีนี้ สุดท้ายเป็นไปได้สูงมากที่จะคว้าน้ำเหลว พวกรั่วซู่ต่างก็จิตใจว่างเปล่าไปครู่หนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สหายยุทธ์ทุกท่านอย่าเข้าใจผิด”

ก็ในตอนนี้เองชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยปากว่า “คิดจะกำจัดพลังระเบียบต้องห้าม อาจไม่สามารถทำได้ในศึกนี้ศึกเดียว แต่ถ้าเอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นี้ได้ ก็จะมีความหวังไปยังฟากฝั่งฟ้าดารานั้นได้”

หืม?

พวกรั่วซู่ต่างอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ทันทีที่จอมจักรพรรดิไร้นามพ่ายแพ้ พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ก็จะสูญเสียการควบคุม ก็เปรียบดั่งกรงขังที่สูญเสียคนเฝ้ายาม เช่นนั้นก่อนที่คนเฝ้ายามคนต่อไปจะปรากฏตัว ย่อมมีโอกาสออกจากกรงนี้”

พอแจกแจงเช่นนี้ก็ทำให้พวกรั่วซู่เข้าใจถ่องแท้ แต่ละคนตาเป็นประกาย

เป็นอย่างนี้นี่เอง!

ชายหนุ่มจักจั่นทองมองไปที่ส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้านั้นอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ดังนั้นทุกท่านจะสมปรารถนาหรือไม่ ก็ต้องดูว่าจักรพรรดิยุทธ์จะได้รับชัยชนะหรือไม่แล้ว”

พูดถึงตรงนี้เขาถึงนึกอะไรขึ้นได้ หันไปมองดูระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่กำลังห้ำหั่นกับพวกเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครู

“เท่าที่ข้ารู้ การร่วงหล่นของพวกเก่ออวี้ผูเกี่ยวข้องกับพลังระเบียบต้องห้าม แต่หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปิดฉากลง ผู้ที่ทำลายสำนักคีรีดวงกมลกลับเป็นขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้ อย่างเช่นสามเรือนมรรคใหญ่ ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร จักรวาล

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยปากเรียบเรื่อยว่า “พวกเจ้าคิดจะล้างแค้นไหม”

“จอมจักรพรรดิไร้นามเป็นตัวการใหญ่ ถ้าเอาชนะเขาได้ เจ้าพวกที่ยินยอมเป็นทาสเหล่านี้ก็จะไม่มีที่พึ่งอีก อยากล้างแค้นเมื่อไรก็ได้”

รั่วซู่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “เทียบกันแล้ว ไปตั้งสำนักใหม่ที่ฟากฝั่งฟ้าดาราสำคัญยิ่งกว่าเรื่องพวกนี้”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวคล้ายขบคิด “ไม่ผิด ด้วยรากฐานและพลังของพวกเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีนี้ถูกพลังระเบียบต้องห้ามนี้คุกคาม เกรงว่าทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้จะไม่มีขุมอำนาจใดต้านทานการจู่โจมของพวกเจ้าได้”

หลินสวินนึกถึงคำที่ศิษย์พี่รั่วซู่เคยเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ผู้คนบนโลกต่างคิดว่าคีรีดวงกมลพ่ายแพ้ให้กับขุมอำนาจใหญ่อย่างเรือนมรรคจักรวาล ยุทธจักร ดึกดำบรรพ์

แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่า ถ้าไม่มีพลังระเบียบต้องห้ามคุกคาม ด้วยพลังของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ ก็กำราบให้ขุมอำนาจใหญ่พวกนี้โงหัวไม่ขึ้นได้!

และในความเป็นจริง ในการห้ำหั่นกับเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มาจากขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ เหล่านั้นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นรั่วซู่หรือพวกหลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ต่างสำแดงพลังต่อสู้กร้าวแกร่งถึงขั้นสามารถใช้คำว่าบดขยี้มาบรรยายได้จริงๆ!

บัดนี้หลินสวินก็นับว่าเข้าใจแล้วว่ารากฐานของคีรีดวงกมลน่ากลัวปานไหน และรู้ชัดในที่สุดว่าเหตุใดเหล่าศิษย์พี่ที่แข็งแกร่งปานนั้น แต่กลับไม่เคยไปล้างแค้นจนตอนนี้

ก็เพราะจอมจักรพรรดิไร้นามที่ควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามผู้นั้น!

“สหายยุทธ์ เจ้ามาคราวนี้ด้วยเหตุใดหรือ”

รั่วซู่เอ่ยถาม

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มน้อยๆ “ข้าเคยฟังบรรพจารย์แห่งดวงกมลบรรยายมหามรรคที่คีรีดวงกมลมาสามสิบปี บรรพจารย์คีรีดวงกมลมีบุญคุณชี้แนะสั่งสอนข้า เป็นทั้งอาจารย์และสหาย มาคราวนี้ย่อมมาเป็นกำลังช่วยทุกคนอีกแรง”

ขณะที่พูดเขาดีดนิ้วคราหนึ่ง

ลายมรรคสีทองเจิดจ้าแถวหนึ่งปรากฏขึ้น กลายเป็นบทประพันธ์งามวิลาศ ส่องสว่างเจิดจ้ากลางฟ้าดิน

มองจากไกลๆ ก็ประหนึ่งคัมภีร์มรรคอันลึกลับหาใดเทียบเล่มหนึ่งเปิดออก ส่องสะท้อนโลกหล้า

อักษรแต่ละตัวงามงด ส่องสว่างทะลุดารา!

“ไป!”

พอชายหนุ่มจักจั่นทองสะบัดแขนเสื้อ ก็มีแสงเทพกฎเกณฑ์สีทองราวกับระเบียบเป็นสายๆ พุ่งกระจายออกมาจากบทประพันธ์เจิดจ้านั้น

ตูมโครม!

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่กำลังขับเคี่ยวดุเดือดกับเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูเหล่านั้นร่างสั่นไปทั้งตัวในชั่วขณะ

ในเวลาเดียวกัน พลังระเบียบต้องห้ามที่เดิมถูกพวกเขาควบคุม ก็ถูกแสงเทพสีทองที่ปะทุออกมานั้นตีกระจุยไปทั้งหมดเหมือนกระดาษเปื่อย

ท่ามกลางละอองแสงปลิวว่อน อานุภาพทั้งร่างของพวกเขาก็ลดฮวบลงไปด้วย

“แย่แล้ว!”

“คนผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงสามารถเอาชนะพลังระเบียบต้องห้ามได้ง่ายดายปานนี้”

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นต่างตกตะลึง ขนลุกไปทั้งตัว

นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้จักรพรรดิยุทธ์สังหารวิญญาณต้องห้ามอย่างราบคาบด้วยอานุภาพกวาดล้างทำลาย ก็ทำให้พวกเขาสะพรึงกลัวแล้ว

และตอนนี้ ทันทีที่ชายหนุ่มจักจั่นทองลงมือ อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมากลับไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิยุทธ์ นี่จะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร

เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูต่างเหลือบมองไปอย่างอดไม่ได้ เผยสีหน้าตกตะลึง เจ้าหมอนี่… พลังแข็งแกร่งยิ่ง!

เขาเป็นใคร

พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยเห็นดังนี้ ในใจก็สะท้านไม่หยุด นึกถึงความเห็นที่อาจารย์มีต่อคนผู้นี้ในตอนนั้น

มรรคสูงล้ำฟ้า!

“ไป!”

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีจึงคิดหนีโดยไม่ลังเล

ก่อนหน้านี้มีพลังระเบียบต้องห้ามคอยหนุน พวกเขาจึงต้านเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูได้ แต่ตอนนี้ไม่มีพลังระเบียบต้องห้ามแล้ว จะยังมีความสามารถใดไปห้ำหั่นต่อได้อีก

ต่อให้ไม่พูดถึงเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครู และไม่พูดถึงชายหนุ่มจักจั่นทองซึ่งมีที่มาที่ไปลึกลับสุดหยั่งคนนั้น แค่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นล้วนสามารถโจมตีพวกเขาถึงแก่ชีวิตได้!

“กงเกวียนกำเกวียน บุญทำกรรมแต่ง หนี้เลือดในวันวานก็ชดใช้ในวันนี้เถอะ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยสีหน้าเฉยเมย

ตูม!

บทประพันธ์งามงดที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นแผ่ขยายออกทันที กลายเป็นลายมรรคเต็มฟ้า ปกคลุมสี่ทิศแปดด้าน ประหนึ่งดวงดาราแน่นขนัดไร้สิ้นสุด

ลายมรรคแต่ละลายร่วงพรูลงมา เจิดจ้าและช่วงโชติเสมือนดาวหางพาดผ่านฟ้า ทว่าอานุภาพของอักษรมรรคเหล่านี้กลับเรียกได้ว่าน่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการ!

ฟุ่บ!

เพียงชั่วพริบตา เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มีชีวิตมาไม่รู้เท่าไรผู้หนึ่ง ถูกลายมรรคพร่างพราวที่ควบรวมเป็นอักษร ‘สังหาร’ ตัวหนึ่งซัดโจมตี ร่างกายและพลังจิตพังทลายลงในพริบตา กลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไปสิ้น!

——

ตอนที่ 2038 พลังต้องห้ามเป็นศัตรูมหามรรค

ไอสังหารไร้ที่เปรียบแผ่ออกมาตามเสียง สิบทิศล้วนสะท้าน

ตูม!

ศิษย์พี่ใหญ่ก้าวย่างในห้วงอากาศ กลิ่นอายต่อสู้ดุจเพลิงผลาญฟุ้งกระจายไปทั่วร่างราวกับนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้

แต่ก็ในตอนนี้เอง เสียงขวางโลกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“จักรพรรดิยุทธ์ พวกน่ารังเกียจพวกนี้ให้ตาแก่ตายยากอย่างพวกเราสองคนจัดการเถอะ”

ขณะที่เสียงดังขึ้น จู่ๆ ห้วงอากาศก็ปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง มีเงาร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้น

คนหนึ่งเป็นเฒ่าชราร่างผอมแห้ง ผมหรอมแหรม

อีกคนเป็นชายชราเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หนวดเคราเผ้าผมเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลินสวินอึ้งไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยความงุนงงแทบจะในทันที

เพราะสองคนนั้นก็คือเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูของหอดูดาวหลวงแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า!

“พวกเขา… พวกเขามาได้อย่างไร”

เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทำเอาหลินสวิยังแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

“ตู๋สิงคง! เจ้าดันยังไม่ตายหรือนี่”

เสียงโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังขึ้น สีหน้าเฒ่าดึกดำบรรพ์ในที่นั้นเจือแววยากจะเชื่อ

ตู๋สิงคง!

บุคคลน่ากลัวผู้เฉิดฉายใน ‘ศึกมรรคสิบทิศ’ เมื่อสมัยดึกดำบรรพ์ผู้หนึ่ง เคยเปล่งวาจาละเมิดพลังต้องห้ามอย่าง ‘ฟ้าดินไม่ควรค่าให้กลัวเกรง บรรพจารย์ไม่ควรค่าให้เชื่อฟัง พลังต้องห้ามเป็นศัตรูมหามรรค’

ในศึกมรรคสิบทิศ เขาถูกมองว่าเป็น ‘คนนอกรีต’ ถูกพลังระเบียบต้องห้ามโจมตี แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิสิบสามคนยังถูกเขาสังหารไป ถูกกำราบราบคาบ

หลังจากศึกนั้นยามผู้คนบนโลกพูดถึงชื่อ ‘ตู๋สิงคง’ ชื่อนี้ ต่างสั่นสะท้านกันไปหมด!

เพียงแต่ใครจะคิดว่าเจ้าคนร้ายกาจสมัยดึกดำบรรพ์ที่ ‘มองพลังต้องห้ามเป็นศัตรู’ นี้ ดันยังมีชีวิตอยู่ หนำซ้ำยังปรากฏตัวในขณะนี้ด้วย

กลับพบว่าเฒ่าโดดเดี่ยวแหงนหน้าหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้ บนโลกนี้จะยังมีคนจำตาแก่อย่างข้าได้”

“ใครจะไปลืมเจ้าเฒ่าอย่างเจ้า”

ราชครูถอนใจเบาๆ เขาเคลื่อนสายตาไปพยักหน้าเจือรอยยิ้มให้หลินสวิน จากนั้นก็มองไปที่เงาร่างจองหองทะลุเมฆานั้นแล้วพูดว่า

“จักรพรรดิยุทธ์ ตั้งแต่จากกันในศึกมรรคสิบทิศ จนตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบสองแสนปีแล้ว คราวนี้เจ้าคงไม่โทษว่าข้าสองคนมาโดยไม่เชิญใช่ไหม”

ศิษย์พี่ใหญ่ก็หัวเราะร่าขึ้นมา “ยังพูดพล่ามเช่นนี้อีก ในเมื่อมาแล้วก็สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าก็พอ”

เห็นได้ชัดว่าเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูรู้จักศิษย์พี่ใหญ่!

ภาพนี้ทำเอาหลินสวินรู้สึกงุนงงไปครู่หนึ่ง จะคิดได้อย่างไรว่าเฒ่าชราที่เร้นตัวอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าอย่างเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครู กลับมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่เช่นนี้

“เจ้าเป็นใครอีก”

เฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งเอ่ยเสียงเครียด สายตาดุจสายฟ้ามองดูราชครู

“ที่แท้ พวกเจ้าจำได้แต่เจ้าเฒ่าคนนี้ กลับจำข้าไม่ได้แล้ว…”

ราชครูเอ่ยเบาๆ คล้ายเยาะตัวเองอยู่ “จำไม่ได้ก็ดี ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่คนที่อยู่บนเส้นทางเดียวกันแต่แรกอยู่แล้ว”

“สนไปไยว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่อมาแล้ววันนี้ก็ทิ้งชีวิตไว้!”

เสียงตะคอกเย็นชาดังขึ้น

“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ลงมือตัดสินเป็นตายก็พอ”

ขณะที่พูดราชครูกับเฒ่าโดดเดี่ยวสบตากันครั้งหนึ่ง ลงมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ตูม!

เงาร่างผอมแห้งดั่งไม้ฟืนของเฒ่าโดดเดี่ยวแปรเปลี่ยนเป็นสูงตระหง่านหาใดเทียบ เบียดแน่นเต็มฟ้า แผ่ไอสังหารคับฟ้าออกมา

เปรียบดั่งเทพสังหารองค์หนึ่งเหยียบย่ำภูผาธารา

“ฆ่า!”

เขาส่งเสียงคำรามกัมปนาทดุจอสนีเทพเก้าชั้นฟ้า ชูหมัดสังหารไปยังระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่อยู่ไกลออกไปคนหนึ่ง

ฟ้าดินพลิกคว่ำ สุริยันจันทราอับแสง

หมัดนี้ถึงกับซัดยอดพลานุภาพประหนึ่ง ‘เบิกฟ้าผ่าดิน’ ออกมา

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ราชครูสะบัดแขนเสื้อโบกเบาๆ ครั้งเดียว ก็เห็นว่าแขนเสื้อนั้นคล้ายเปลี่ยนเป็นมหึมาไร้สิ้นสุดในทันใด มีสุริยันจันทราดาราล่องลอยอยู่ในนั้น มีหมื่นลักษณ์จักรวาลแปรเปลี่ยนอยู่ภายใน

ร่างดุจแดนไร้สิ้นสุด แขนเสื้อซ่อนมหาจักรวาล!

“รนหาที่ตาย!”

“ฆ่าเจ้าสองคนนี้ก่อน!”

“ฆ่า!”

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นสบตากันครั้งหนึ่ง กลับลอบถอนหายใจโล่งอก เดิมทีในใจพวกเขาก็มีความขัดแย้ง ไม่อยากไปต่อกรกับจักรพรรดิยุทธ์ การปรากฏตัวของเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูตรงใจพวกเขาพอดี

ตูม! โครม!

ศึกดุเดือดปะทุขึ้น ฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลปั่นป่วน

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีพลังปราณระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ขณะนี้ครอบครองพลังระเบียบต้องห้าม แต่ละคนพลังต่อสู้ต่างพุ่งสูงขึ้นมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิญญาณต้องห้าม อานุภาพที่สำแดงออกมาก็น่ากลัวเกินคาดเดา

อีกทั้งพวกเขาคนมาก มีจำนวนสิบกว่าคน

แต่ที่ทำให้คนคาดไม่ถึงคือ ในศึกชุลมุนนี้ เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูกลับไม่ถูกกำราบ เพียงอาศัยพลังของพวกเขาสองคนก็สู้ได้อย่างสูสี!

แม้มองดูความเป็นไปแท้จริงในการประลองอันน่ากลัวเช่นนี้ไม่ชัด แต่หลินสวินก็ยังรู้สึกสะท้าน

ทำไมเฒ่าชราสองคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งปานนี้

และในเมื่อพวกเขามีอานุภาพน่าตะลึงเช่นนี้ เหตุใดกลับเก็บตัวอยู่ในสถานที่เล็กจ้อยอย่างจักรวรรดิจื่อเย่า

ความกังขาแต่ละอย่างผุดขึ้นในใจหลินสวิน เขาถามรั่วซู่อย่างอดไม่ได้

รั่วซู่คิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า

“พวกเขาสองคนต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิตั้งแต่แรกเริ่มยุคดึกดำบรรพ์ ตอนนั้นพลังระเบียบต้องห้ามยังไม่อุบัติขึ้นบนทางเดินโบราณฟ้าดารา เส้นทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราก็ยังไม่ถูกตัดขาด…”

“เดิมทีด้วยพลังของพวกเขาสองคน สามารถข้ามจักรวาลไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราได้นานแล้ว ส่วนเหตุใดพวกเขาถึงไม่ไป ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แต่ตามที่ข้ารู้ ตอนศึกมรรคสิบทิศปะทุ สองท่านนี้ต่างเคยเข้าร่วมในศึกนั้น หมายทำลายพลังระเบียบต้องห้ามเหมือนศิษย์พี่ใหญ่”

“ตอนนั้น ‘ผู้ร่วมมรรค’ ที่เหมือนกับพวกเขายังมีมาก ส่วนใหญ่มาจากแดนต้นกำเนิดมหามรรคทั่วหล้าอย่าง ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ ทั้งนั้น”

“แต่สุดท้าย… ก็แพ้หมด…”

รั่วซู่รู้เรื่องในอดีตเมื่อเนิ่นนานเหล่านี้ แต่รายละเอียดและเบื้องหลังจริงๆ กลับไม่แน่ชัดนัก

“ศิษย์น้อง เจ้าเพียงแต่ต้องจำไว้เรื่องหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่แจ้งมรรคตั้งแต่ก่อนระเบียบต้องห้ามปรากฏ แข็งแกร่งยิ่งกว่าบุคคลระดับบรรพจารย์รุ่นหลังเหล่านี้มาก”

“สาเหตุง่ายดายนัก สิ่งที่พลังระเบียบต้องห้ามปิดผนึกไม่ได้มีเพียงเส้นทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดารา แต่ยังผนึกความเป็นไปได้ที่ระดับบรรพจารย์จะก้าวหน้าไปอีกขั้นบนมรรคาด้วย”

พอฟังถึงตรงนี้หลินสวินก็เข้าใจได้ในพริบตา เพราะท้องฟ้าเหนือดินแดนรกร้างโบราณก็ถูกพลังต้องห้ามใหญ่ทั้งสามผนึกไว้ราวกับกรงขัง กีดกันความเป็นไปได้ที่ผู้ฝึกปราณจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น!

และสำหรับผู้ฝึกปราณที่อยู่บนทางเดินฟ้าดาราแล้ว การอุบัติขึ้นของพลังระเบียบต้องห้ามก็เป็นดั่งพันธนาการ ปิดตายความหวังที่ระดับบรรพจารย์จะเสาะแสวงมรรคที่สูงยิ่งขึ้นไป!

“ศิษย์พี่ พูดเช่นนี้ผู้อาวุโสสองท่านนี้ต่างร้ายกาจกว่าพวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหรือ”

หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้

“ทำไม ไม่พอใจล่ะสิ”

รั่วซู่ยิ้มเอ่ย “พวกเขากับศิษย์พี่ใหญ่ถือเป็นยักษ์ใหญ่เหนือโลกในยุคเดียวกัน ต่อหน้าพวกเขา ข้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นก็เป็นเพียงผู้น้อยรุ่นหลัง”

“แต่พวกเราคีรีดวงกมล นอกจากศิษย์พี่ใหญ่แล้วยังมีคนผู้หนึ่งที่เก่งกาจกว่าพวกเขา”

“ใครหรือ”

“ศิษย์พี่รอง”

ดวงตารั่วซู่ฉายแววประหลาด

ศิษย์พี่รอง!

หลินสวินกำลังจะซักต่อ ในที่นั้นก็มีเสียงตวาดลั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น สะท้านจนฟ้าดินปั่นป่วน สรรพชีวิตหวีดร้อง

“เจ้าหมาแก่ไร้นาม มาถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังไม่คิดจะปรากฏตัวอีกหรือ”

ก็เห็นว่ากลางห้วงอากาศ ศิษย์พี่ใหญ่ผู้จองหองหยิ่งพยศเงยหน้าขึ้นมองไปยังวังวนเวิ้งฟ้า ตัวเขาเหมือนไฟดวงหนึ่งแผดเผาห้วงอากาศ

“มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นเดียวก็ทำให้เจ้านึกว่ามีพลังมาเอาชนะข้าได้แล้วหรือ”

เสียงจอมจักรพรรดิไร้นามดังขึ้นอีกครั้ง “หากเป็นเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้เพียงว่าเจ้ายังโง่เง่าไม่รู้ความเช่นตอนนั้น ไม่เข้าใจสักนิดว่าอย่างไรถึงเรียกว่าต้องห้าม!”

ประโยคเดียวแต่นัยที่เผยออกมากลับทำให้พวกรั่วซู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

เขาปู้โจวที่หลินสวินได้มา เดิมถูกพวกเขามองเป็นไม้ตายก้นกรุ แต่คล้ายว่า… จอมจักรพรรดิไร้นามจะไม่ได้หวั่นกลัวเรื่องพวกนี้!

ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ร้ายแรงแล้ว!

“หมาแก่ไร้นาม ที่แท้เจ้าก็อวดเบ่งเป็นแล้ว พลังระเบียบต้องห้ามแข็งแกร่งปานไหน ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้กลับไม่อาจปกคลุมแดนปริศนาของโลกใหญ่หงเหมิงได้ สาเหตุของเรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าใครๆ ถึงจะถูก”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดถึงตรงนี้ สายตามองไปที่หลินสวิน “ศิษย์น้อง ให้ข้ายืมใช้เขาปู้โจวที”

“ได้!”

หลินสวินรอชั่วขณะนี้มานานมากแล้ว ตอบรับอย่างไม่ลังเลสักนิด เขาปู้โจวที่เปลี่ยนเป็นขนาดเท่ากำปั้นอยู่ก่อนแล้วลอยสูงไปในอากาศ ถูกศิษย์พี่ใหญ่คว้าไว้ด้วยมือเดียว

ขณะนี้พลานุภาพที่ศิษย์พี่ใหญ่สั่งสมไว้นานแล้วเดือดพล่านโดยสมบูรณ์ ประหนึ่งภูเขาไฟหมื่นกาล

“หมาไร้นาม คิดจะหลบอยู่ในวังวนนั่นไม่ปรากฏตัวจริงๆ หรือ เช่นนั้นข้าก็จะไประเบิดหัวเจ้าทิ้ง!”

เขาทะยานสูงขึ้นไปในห้วงอากาศ ถลาไปยังส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้านั้น

ชั่วพริบตาก็หายลับไป

และที่ตามมาติดๆ คือเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและความปั่นป่วนสะท้านฟ้าดินระลอกหนึ่ง เกิดขึ้นลึกไปในวังวนที่ลอยอยู่บนส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้น มีเสียงเข่นฆ่าดุเดือดดังขึ้นรางๆ

เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ใหญ่กับจอมจักรพรรดิไร้นามประมือกันแล้ว

แต่น่าเสียดายที่มีวังวนนี้กั้นขวาง ทำให้ทุกคนไม่อาจเห็นสถานการณ์การต่อสู้ได้ชัดเจน

ต่อให้เป็นเช่นนี้ จิตใจของพวกรั่วซู่ยังถูกดึงดูดอยู่ดี

สีหน้าของแต่ละคนต่างเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ก่อนศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในสมัยบรรพกาล ศิษย์พี่ใหญ่เคยประกาศศึกกับจอมจักรพรรดิไร้นามด้วยตัวคนเดียว หมายจะทำลายพันธนาการต้องห้ามทั่วหล้าแห่งนี้ แต่สุดท้ายกลับทำตามที่ปรารถนาไม่ได้

ตอนนี้ หลังจากเงียบหายและเก็บตัวมาเกือบแสนปี ศิษย์พี่ใหญ่จะทำสำเร็จหรือไม่

ไม่มีใครรู้

เขาปู้โจวสามารถต่อสู้และต้านทานพลังระเบียบต้องห้ามได้จริง แต่ใครจะรู้ว่าจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นั้นน่ากลัวปานไหนกันแน่

รั่วซู่เอ่ยเสียงเบาว่า “แม้เป็นเพียงความหวังที่จะได้ชัยชนะบางส่วน ทุกอย่างที่พวกเราจ่ายไปนี้ก็คุ้มค่าแล้ว”

พวกหลินสวิน หลี่เสวียนเวย จวินหวนต่างพยักหน้า

ตูม!

ในฟ้าดินไกลออกไป การต่อสู้ระหว่างเฒ่าโดดเดี่ยว ราชครู กับเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นยิ่งดุเดือดขึ้น สู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำ ไอขุ่นมัวเต็มไปหมด

ทั้งโลกใหญ่หงเหมิงต่างปกคลุมไปด้วยบรรยากาศน่าสะพรึงราวกับภัยพิบัติสิ้นโลก สรรพชีวิตมากมายกำลังประหวั่นพรั่นพรึงในขณะนี้

ผู้แข็งแกร่งที่จับตามองแต่ละภาพเหล่านั้นต่างรู้ดีว่า ในการประชันหมากครั้งใหญ่ทั่วฟ้าคราวนี้ แม้มีตัวแปรที่คาดไม่ถึงมากมายปรากฏตัวขึ้น แต่ดำเนินมาจนตอนนี้ก็ถึงขั้นตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!

“หืม?”

จู่ๆ เนตรกระจ่างของรั่วซู่ก็หดรัด

ก็เห็นว่าไม่ไกลไปจากวังวนเวิ้งฟ้านั้น ชายหนุ่มชุดผ้าป่าน เท้าเปลือยเปล่า รูปลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

การห้ำหั่นและต่อสู้ของพวกเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูเหมือนดึงดูดความสนใจของเขาไม่ได้สักนิด

ดวงตาทั้งสองของเขาใสกระจ่างลุ่มลึก จดจ้องส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้า ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี ยืนเด่นเพียงลำพัง

ครู่ใหญ่เขาถึงถอนใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง “ถ้ามหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นจะดีขนาดไหนนะ…”

——

วิญญาณต้องห้ามแปลงมาจากพลังระเบียบต้องห้าม

ในสายตาของผู้ฝึกปราณแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นดั่งร่างจำแลงของทัณฑ์สวรรค์ เปี่ยมไปด้วยอานุภาพสูงส่งหาใดเทียบ

ตั้งแต่ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาล การประสบเคราะห์ของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเก่ออวี้ผูก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความน่าสะพรึงกลัวของวิญญาณต้องห้ามได้

และในการประชันหมากกระดานใหญ่เต็มฟ้าวันนี้ วิญญาณต้องห้ามก็สำแดงพลังอันน่าสะพรึงสะท้านทั่วหล้าออกมา

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นแข็งแกร่งปานใด สู้จนระดับจักรพรรดิแพ้พ่าย ห้ำหั่นจนบรรพจารย์จักรพรรดิไร้พลังตั้งกระบวนท่า แต่หลังจากเผชิญหน้ากับวิญญาณต้องห้าม ต่างก็ถูกกดข่มอย่างน่ากริ่งเกรง แต่ละคนบาดเจ็บเจียนตาย!

นี่ทำให้บุคคลระดับจักรพรรดิกับระดับบรรพจารย์ที่เป็นศัตรูกับคีรีดวงกมลเหล่านั้นต่างสะท้านยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกคึกคักหาใดเทียบ คล้ายได้เห็นแสงอรุณแห่งชัยชนะในการประชันหมากครั้งนี้

แต่เมื่อลมระลอกนั้นพัดมา

เมื่อบุคคลดั่งตำนานผู้นั้นปรากฏตัวในโลกอีกครั้ง

ทั้งหมดนี้กลับว่างเปล่าเหมือนหมอกที่ถูกลมพัดสลาย!

……

เขาเป็นใคร

คีรีดวงกมล มีคนร้ายกาจที่น่ากลัวจนสามารถโจมตีวิญญาณต้องห้ามให้แหลกกระจุยได้ง่ายดายปานนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ระดับจักรพรรดิที่เป็นศัตรูกับคีรีดวงกมลเหล่านั้นกังขาไปหมด

“หรือจะเป็น…”

แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์บางคนกลับใจสั่นระรัว ทำใจเชื่อได้ยาก

“นอกจากเจ้าคนคลั่งการต่อสู้ที่แพ้ด้วยน้ำมือจอมจักรพรรดิไร้นามในตอนนั้นจะยังเป็นใครได้อีก”

แล้วก็มีเฒ่าดึกดำบรรพ์สีหน้าเหยเกหาใดเทียบ ตำนานเหนือโลกที่เดิมควรถูกกำราบ เดิมควรร่วงหล่นไปแล้วนั่น ดันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในวันนี้ นี่เป็นเรื่องที่ใครก็คิดไม่ถึง

“เป็นเขา!”

“เป็นเขาจริงๆ หรือ”

“ที่แท้ก็เป็นเขา…”

ความรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจของแต่ละคน สายตาของพวกเขามองไปยังสนามรบที่อบอวลไปด้วยเขม่าควันซึ่งอยู่ไกลออกไป

ขณะที่มองดูเงาร่างจองหอง สูงใหญ่ ลุกโชนราวเปลวเพลิงร่างนั้น ก็นึกถึงคนผู้หนึ่งในที่สุด…

ต่อสู้ไร้พ่าย ประชันกับสวรรค์

ผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งแห่งคีรีดวงกมล!

ผู้คนบนโลกต่างไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขา จึงขนานนามว่า ‘จักรพรรดิยุทธ์’

ในขณะเดียวกัน รั่วซู่ช่วยศิษย์น้องที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนเหล่านั้นมาอยู่ข้างตัวได้แล้ว พอเห็นรอยเลือดชวนตะลึงบนร่างพวกเขา นางก็รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกระลอก

ยังดีที่ศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว

พอนึกได้นางก็รู้สึกสงบใจหาใดเทียบ เริ่มรักษาบาดแผลให้ศิษย์น้องเหล่านั้น

การประชันหมากคราวนี้ย่อมยังไม่จบ วังวนต้องห้ามบนเวิ้งฟ้านั้นยังลอยอยู่ แม้สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่กลิ่นอายที่ตลบอบอวลกลับยิ่งพิสดารอัปมงคล

แต่รั่วซู่รู้ ขอเพียงมีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ นางก็ไม่ต้องร้อนใจกับเรื่องนี้อีกแล้ว

“ศิษย์พี่ เหตุใดข้าถึงเห็นรูปลักษณ์ของศิษย์พี่ใหญ่ได้ไม่ชัดเจน”

หลินสวินเอ่ยปาก เขาจ้องเงาร่างที่คล้ายสามารถค้ำฟ้า ก้าวย่างทะลวงเมฆได้มาตลอด แต่กลับเหมือนเห็นไฟลุกโชนแถบหนึ่ง

“ยังจำที่ข้าเคยบอกได้ไหมว่าศิษย์พี่ใหญ่เคยแปลงกายเป็นหมื่นพันร่าง ตัวคนเดียวก็ตั้งเรือนมรรคคืนกำเนิดได้ รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา บนโลกนี้มีเพียงสองคนที่รู้”

“ใคร” หลินสวินประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่

“คนหนึ่งก็คืออาจารย์ อีกคนหนึ่ง…”

รั่วซู่พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง บอกหลินสวินด้วยการสื่อจิตว่า ‘อีกคนหนึ่ง คือแม่นางที่งดงามราวกับประกายเมฆแสงม่วงผู้หนึ่ง’

เป็นนางหรือ

ชั่วพริบตาหลินสวินก็นึกถึงเงาร่างสีม่วงซึ่งได้พบที่แดนลับท้อแบนในแหล่งสถานคุนหลุนตอนนั้น

‘ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งที่เก่งกาจกว่าเจ้าหลายโข เขาบุกเข้ามาที่นี่ หมายจะโค่นต้นท้อแบนโดยไม่สนสิ่งใด และเอาผลทั้งหมดของต้นไม้นี้ไปด้วย บอกว่าผลท้อที่อร่อยถูกปากเช่นนี้ต้องเอากลับไปให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักได้ลิ้มรสกันหน่อย’

‘แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สมปรารถนา เพราะนี่เป็นถึงต้นท้อแบนหนึ่งเดียวในฟ้าดิน มีหรือจะเป็นสิ่งที่เจ้าคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเขาจะสามารถสั่นคลอนได้’

‘ต่อมาเขาพูดตอนจากไปว่าภายหน้าจะต้องกลับมาอีกแน่ และจะตัดต้นท้อแบนที่ขัดลาภเขาต้นนี้แล้วเผาแทนฟืน ทำเช่นนั้นถึงจะสะใจ’

‘ต่อมา… ถึงอย่างไรข้าก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา…’

พอนึกถึงการสนทนากับแม่นางชุดม่วงคนนั้น มองดูเงาร่างศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ในใจก็ลอบเอ่ยว่าคงมีแต่คนอย่างศิษย์พี่ใหญ่ถึงทำให้แม่นางผู้นั้นรอคอยอย่างลุ่มหลงเช่นนี้ได้กระมัง…

“หึ!”

ทันใดนั้นเสียงเรียบเฉยไร้คลื่นความรู้สึกเสียงหนึ่งก็ทำลายบรรยากาศอันกดดันและเงียบเชียบนี้

ทุกคนเพียงรู้สึกว่าหูได้ยินเสียงวิ้ง จิตวิญญาณแทบพังทลาย รู้สึกแย่จนแทบกระอักเลือด

รั่วซู่นัยน์ตาหดรัด “เขามาแล้ว”

เขามาแล้ว!

เพียงสามคำเท่านั้นกลับหนักอึ้งยิ่งนัก

หลินสวินนึกถึงคนผู้หนึ่งทันที…

จอมจักรพรรดิไร้นาม!

ก็เห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่ยืนอยู่กลางห้วงอากาศคนเดียวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดูวังวนที่อยู่ในส่วนลึกของท้องฟ้านั้น เสียงต่ำลึก “คนบนโลกล้วนเรียกขานเจ้าว่า ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ มองเจ้าเป็นเจ้าแห่งระดับจักรพรรดิ ไม่อาจเทียบเคียงได้ แต่ในความคิดข้า เจ้าก็เป็นแค่… หมาตัวหนึ่ง”

เฮือก!

เสียงสูดหายใจสะท้านระลอกหนึ่งดังขึ้นจากที่ต่างๆ

จอมจักรพรรดิไร้นาม!

มีเพียงเฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นจึงรู้ว่านามนี้มีความสำคัญมากปานไหน และพลังที่นามนี้สำแดงออกมาสูงส่งและน่ากลัวปานใด ตั้งแต่อดีตถึงจนตอนนี้ ใครกล้าว่าร้ายเช่นนี้กัน

หลินสวินยังอุทานในใจ ศิษย์พี่ใหญ่เขา… ร้ายกาจปานไหนกัน!

“ตอนนั้นข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ไว้ชีวิตสุนัขของเจ้าครั้งหนึ่ง เดิมนึกว่าเจ้าจะลดความเย่อหยิ่งและโง่เขลาลง กลับเนื้อกลับตัวเสียตั้งแต่ตอนนั้น ใครจะคิดว่ายังดื้อแพ่งกำเริบเสิบสาน ไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้”

เสียงเฉยชาไร้ความรู้สึกนั้นดังขึ้น ฟังไม่ออกว่าโกรธหรือดีใจ และไม่รู้ว่าดังมาจากไหน

แต่เมื่อเข้าหูทุกคนในที่นั้น ก็ราวกับได้ฟังบัญชาสวรรค์ ทะลวงถึงจิตใจ สะท้านดวงวิญญาณ พาให้คนสั่นไหว

“ฮ่าๆๆ!”

ทันใดนั้นเงาร่างจองหองสูงใหญ่ของศิษย์พี่ใหญ่ก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่า เสียงดังสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน “ศึกในตอนนั้น… ข้าไม่ได้แพ้!”

“แต่เจ้า… ชนะหรือ”

จอมจักรพรรดิไร้นามเอ่ยเสียงเรียบ

จวบจนตอนนี้ยังไม่มีใครจับได้ว่าเงาร่างของเขาอยู่ที่ไหนกันแน่

ศิษย์พี่ใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง เสียงแปรเปลี่ยนเป็นต่ำลึกและสงบนิ่ง เหมือนพูดเรื่องเล็กเรื่อยเปื่อยเรื่องหนึ่งว่า

“วันนี้ ข้าจะตีหัวสุนัขของเจ้าให้กระจุย”

ทุกคนต่างใจสั่นสะท้าน

จอมจักรพรรดิไร้นามคล้ายไม่โกรธหรือดีใจ เสียงไร้คลื่นอารมณ์มาโดยตลอด “น่าเสียดาย ในสายตาของข้า เจ้าตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนนั้น น่าผิดหวัง”

ตูม!

เสียงยังไม่ทันเงียบลง ส่วนลึกของท้องฟ้าที่เงียบเชียบอยู่เดิมนั้นพลันมีเสียงสายฟ้าทึบหนักดังขึ้น พลังไร้ระเบียบเจิดจ้าแสบตาเป็นสายๆ ถาโถมออกมาจากวังวนประหนึ่งโซ่เทพมหามรรคเริงระบำ

ชั่วพริบตาพลังระเบียบเป็นสายๆ ก็พุ่งไปตามที่ต่างๆ ของฟ้าดินแห่งนี้ ปกคลุมเงาร่างของเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซุ่มอยู่ในความมืดนั้น

“นี่…”

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านี้ไม่ทันตั้งตัว ต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตได้ว่า พลังระเบียบแจ่มจรัสเป็นสายๆ นั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาบาดเจ็บ กลับทำให้พวกเขาควบคุมพลังระเบียบเช่นนี้ได้ในชั่วพริบตา

พลังระเบียบนี้แปลกประหลาดนัก เต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งยากจินตนาการ ลึกลับคลุมเครือ น่ากริ่งเกรงราวกับด่านเคราะห์ต้องห้าม

“ข้ามอบพลังให้พวกเจ้า ตอนนี้ พวกเจ้าไปฆ่าเจ้าคนคลั่งนั่นแทนข้าที”

เสียงจอมจักรพรรดิไร้นามดังขึ้น

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นมองกันไปมา ในใจขมขื่น

พวกเขามาจากขุมอำนาจที่แตกต่างกัน มีทั้งขุมอำนาจเรือนมรรคอย่างจักรวาล เหล่ามาร ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร และยังมีเผ่าเก่าแก่อย่างสิบเผ่านักรบใหญ่ เผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์

ในอดีต พวกเขาแต่ละคนก็เป็นยอดบุคคลที่กระทืบเท้าครั้งเดียวก็ทำให้ทั่วหล้าสั่นไหวได้ ขนาดระดับจักรพรรดิทั่วไปยังไม่อยู่ในสายตาพวกเขา

แต่ตอนนี้ พวกเขากลับลังเลแล้ว ในใจขัดแย้ง

เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าคือยอดตำนานที่ ‘ต่อสู้ไร้พ่าย ประชันกับสวรรค์’ บุคคลน่ากลัวที่สามารถบดขยี้วิญญาณต้องห้ามได้!

“หรือเจ้ากลัวแล้ว เลยให้เจ้าเฒ่าไร้ประโยชน์พวกนั้นมาตาย” ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มหยัน เยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังสักนิด ทั้งยังไม่ปกปิดท่าทีของตัวเองด้วย

“ไม่ ข้าแค่คิดว่าเจ้าในตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าลงมือเอง”

เสียงจอมจักรพรรดิไร้นามดังขึ้น

“ยังมีพวกเจ้า มีพลังที่ข้ามอบให้แล้ว ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ยังมีอะไรควรค่าแก่การหวาดกลัวอีก”

“หรือควรพูดว่า พวกเจ้ากลัวเจ้าคนคลั่งไม่รู้ดีชั่วนั่นมากกว่าข้าหรือ”

คำพูดนี้พูดให้เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นฟัง นัยที่เผยออกมาจากเสียงนั้นทำเอาเฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านี้แข็งทื่อไปทั้งตัว

พวกเขาไม่กล้าลังเลอีก

ครู่ต่อมาก็เห็นว่าเงาร่างกลิ่นอายน่ากลัวร่างแล้วร่างเล่าปรากฏขึ้นกลางฟ้าดินแห่งนี้ แต่ละร่างต่างปกคลุมด้วยพลังระเบียบราวต้องห้าม ประหนึ่งเทพผู้ครอบครอง ‘ทัณฑ์สวรรค์’ แทนวิถีสวรรค์!

“เจ้าเฒ่าพวกนี้หลังจากได้พลังระเบียบต้องห้ามนี้มา กลิ่นอายแต่ละคนน่ากลัวกว่าวิญญาณต้องห้ามไปช่วงใหญ่!”

จวินหวนนิ่วหน้า

“ถึงอย่างไรก็เป็นเหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิ มรรควิถีของแต่ละคนต่างทะลวงระดับจักรพรรดิเก้าชั้นแล้ว ในทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ก็เป็นยอดบุคคลปานทวยเทพไปแล้ว พวกเขาไม่อาจเทียบได้กับของไร้ชีวิตต้องห้ามที่ไม่มีดวงวิญญาณ ไม่มีสติปัญญาพวกนั้น”

รั่วซู่จ้องเขม็ง หว่างคิ้วปรากฏแววอึมครึม

ศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนี้ ทั้งเผชิญหน้ากับการคุกคามของเหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิ ทั้งจะต้องป้องกันจอมจักรพรรดิไร้นามที่ไม่เคยปรากฏตัวผู้นั้น ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างหาใดเทียบ

แต่กลับเห็นว่าตอนนี้หลินสวินพลันตะโกนขึ้นมาว่า

“เฒ่ากะโหลกกะลาอย่างพวกเจ้าเหล่านี้ ลำบากฝึกปราณมาถึงตอนนี้ แก่ปูนนี้แล้วยังยอมช่วยเสือหาเหยื่อ ยอมเป็นทาสหมาหรือ ช่างไร้ยางอาย ขายขี้หน้า!”

พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยพากันอึ้งไป ทันใดนั้นต่างยิ้มอย่างอดไม่ได้แล้ว ความกล้าหาญของศิษย์น้องเล็กก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่เท่าไร

“ศิษย์น้อง ไม่ต้องไปพูดไร้สาระกับเจ้าเฒ่าพวกนี้ พวกเขายินยอมเป็นทาส ก็แค่คิดจะอาศัยพลังสุนัขตัวนั้นไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราเท่านั้น”

เสียงศิษย์พี่ใหญ่เต็มไปด้วยความดูแคลนหนักหน่วง เผยความลับสะท้านฟ้าอย่างหนึ่งออกมาโดยไม่ใส่ใจ!

หลินสวินถึงได้รู้ว่าเหตุใดเฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นถึงทำเช่นนี้ ที่แท้… ก็เพื่อไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราเช่นเดียวกัน!

“เจ้าสวะตัวจ้อย ถ้าไม่ใช่ว่ามีเศษเดนคีรีดวงกมลเหล่านั้นให้ท้ายเจ้า มดตัวจ้อยอย่างเจ้า นิ้วเดียวข้าก็กำจัดได้แล้ว”

บรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นต่างสีหน้าอึมครึม ถูกศิษย์คนโตของคีรีดวงกมลดูถูกและเย้ยหยันเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายมากแล้ว ตอนนี้ขนาดมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งอย่างหลินสวินยังกล้าตะโกนด่าพวกเขา นี่จะให้พวกเขาทนได้อย่างไร

บรรพจารย์จักรพรรดิก็โกรธเกรี้ยวเป็นเช่นกัน!

กลับเห็นว่าทันทีที่ศิษย์พี่ใหญ่เคลื่อนไหว ก็เหมือนเปลวเพลิงลุกโชนอย่างกำเริบเสิบสาน หมายจะเผาผลาญเวิ้งฟ้า

เสียงเขาต่ำลึก กึกก้องไปทั้งเก้าชั้นฟ้า

“พวกเจ้า หรือว่าลืมคำที่ข้าพูดไว้ตอนนั้นไปแล้ว ผู้ที่ลบหลู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของข้า ตาย!”

ตอนที่ 2036 จองหองทะลุเมฆาเช่นตอนนั้น
ชั่วพริบตานี้ รัตติกาลมืดมิดราวน้ำหมึกเหนือโลกใหญ่หงเหมิงนั้น ถูกแสงดุจเปลวเพลิงสายหนึ่งฉีกเป็นรอยแยก

ผู้ฝึกปราณทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างใจสั่นระรัว

ด้านสัตว์ประหลาดเฒ่าในขุมอำนาจต่างๆ ที่เร้นกายอยู่แต่ละคนต่างประหวั่นพรั่นพรึง กลิ่นอายต่อสู้น่ากลัวนัก!

แหล่งสถานคุนหลุน

ที่แดนลับท้อแบน จู่ๆ เงาร่างงามสีม่วงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ยืนอยู่เหนือต้นท้อแบนต้นนั้น บนใบหน้างดงามดุจภาพวาดหลั่งน้ำตานองเต็มหน้าอยู่เงียบๆ

“เขามาแล้วดังคาด”

ชายหนุ่มจักจั่นทองในชุดผ้าป่านเปลือยเท้าทะลวงผ่านห้วงอากาศ เพิ่งมาถึงโลกใหญ่หงเหมิงก็อึ้งไปเล็กน้อย เผยรอยยิ้มรู้ใจ

“ในที่สุดตัวแปรใหญ่ที่สุดก็ปรากฏแล้ว ความแค้นที่สืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตจวบจนตอนนี้ จะต้องได้ผลลัพธ์ในวันนี้”

กลางฟ้าดาราเฒ่าโดดเดี่ยวแสยะยิ้มขึ้นมา พลันผินหน้ากล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าเฒ่า รีบไป หาไม่จะไม่ทันละครฉากเด็ดคราวนี้แล้ว!”

ราชครูที่อยู่ด้านหลังจนใจไปครู่หนึ่ง “เขาในตอนนั้นแพ้ไปแล้ว เขาในตอนนี้… มั่นใจว่าจะชนะจริงๆ หรือ”

เขาคิดๆ ดูแล้วตอบเองว่า “อาจจะกระมัง”

……

เขาเมฆา

สายลมระลอกนั้นพัดมาปุบปับปานนี้ แต่กลับทำให้ทั่วหล้าต่างตกตะลึง

เสียงหัวเราะหยัน บ้าคลั่ง ดังลั่นก่อนหน้านี้ก็เงียบลงในตอนนี้ทันที คล้ายสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล

สักพักเสียงหัวเราะนี้ก็ดังขึ้นมาอีก “มีตัวแปรเกิดขึ้นอีกหรือ น่าเสียดาย ภายใต้ระเบียบต้องห้ามนี้ ตัวแปรทั้งหมดจะถูกทำลายล้าง ไม่ว่าใครมาก็ไม่อาจเปลี่ยนจุดจบที่เศษเดนคีรีดวงกมลพวกนี้ถูกสังหารไปได้!”

เสียงดังก้องไปทั้งที่นั้น

แต่ขณะนี้รั่วซู่กลับไม่รู้สึกแย่หรือเจ็บปวดแม้สักนิด เนตรกระจ่างของนางเปล่งประกาย ตั้งตาคอยอยู่เงียบๆ

หลินสวินก็เดาอะไรได้ ในใจปั่นป่วน รู้สึกว่าเลือดทั้งตัวคล้ายเดือดพล่านขึ้นในชั่วพริบตานี้

“เห็นหรือไม่ เศษเดนคีรีดวงกมลพวกนี้กำลังจะตายแล้ว!”

เสียงนั้นดังลั่น

การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด พวกหลี่เสวียนเวย จวินหวนที่ต่อสู้จนร่างชโลมเลือดต่างจวนเจียนจะล้มลง ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้ต่างรู้สึกตกตะลึง

ก็ในตอนนี้เอง ลมระลอกนั้นสงบลงฉับพลัน จู่ๆ เสียงต่ำลึกแหบแห้งสายหนึ่งพลันดังขึ้น

“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของข้า ไม่ตายหรอก!”

เสียงนี้ฟังยากไม่ชัดเจนคล้ายไม่ได้พูดจามานานแล้ว แต่เมื่อดังขึ้นกลับมีอานุภาพจองหอง เย่อหยิ่งและอหังการกระจายออกมา

ทุกๆ คำต่างหยิ่งผยองทะลุเมฆา!

ฟ้าดินสั่นสะท้าน ห้วงอากาศหวีดร้อง คล้ายหวาดกลัวอานุภาพที่เสียงนี้แผ่ออกมา

ทุกคนในที่นั้นต่างแสบตาไปครู่หนึ่ง เพียงเห็นรางๆ ว่าเงากระบองสีทองสายหนึ่งฉายวาบรวดเร็ว

จากนั้น…

เสียงหัวเราะหยันดังลั่นก่อนหน้านี้ ขณะนี้กลับเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามน่าประหวั่น

“ไม่!”

สั้นกระชับถึงที่สุด ทันทีที่แว่วมาก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว

ในมุมมืดไกลลิบ เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซุ่มอยู่ผู้หนึ่งถูกกระแทกกระจุยไปทั้งตัว ฝนเลือดซัดสาดราวน้ำตก ย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดง

เห็นได้ชัดว่าเสียงที่ดังขึ้นไม่หยุดเมื่อกี้มาจากเฒ่าดึกดำบรรพ์ผู้นี้ แต่ในขณะนี้เขากลับเอ่ยได้แค่คำว่าไม่ก็ตายคาที่

จิตสิ้นวิญญาณสลาย!

แม้ไม่ได้เห็นภาพสะท้านใจนี้ แต่ทุกคนในที่นั้นต่างก็ใจสั่นอย่างรุนแรง สังหรณ์ได้ถึงความจริงอันนองเลือดข้อนี้

“ปากมากน่ารำคาญ อ่อนแออย่างกับแมลงวัน!”

เสียงติดขัดฟังยากนั้นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ยังคงจองหองและหยิ่งผยองเช่นเดิม

เฉกเช่นเมื่อปีนั้น!

แล้วก็เป็นตอนนี้ ในที่สุดทุกคนก็เห็นว่ากลางห้วงอากาศมีเงาร่างสูงใหญ่เป็นที่สุดร่างหนึ่งปรากฏขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ร่างเขามีแสงบาดตาไหลหลั่ง เปล่งประกายโชติช่วงไม่อาจเทียบได้ประหนึ่งเพลิงผลาญรุนแรง ไม่มอดดับชั่วนิรันดร์

เวิ้งฟ้าแห่งนี้มืดมิดเพียงไหน ยังถูกคนผู้เดียวส่องสว่าง!

ความหวาดผวาและหนาวสะท้านอันไม่อาจบรรยาย ผุดขึ้นในใจระดับจักรพรรดิและเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวในที่มืดเหล่านั้น ไม่อาจกดกลั้น ไม่อาจกำจัด

ความรู้สึกนั้น ก็เหมือนได้เห็นนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้ผู้หนึ่งกระโจนออกมาจากพันธนาการชั่วนิรันดร์ ทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน สุริยันจันทราอับแสง!

และเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่หยิ่งผยองจองหองทะลุเมฆานี้ รั่วซู่ก็ร้องตื่นเต้นออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่!”

เพียงสามคำเท่านั้น สะเทือนฟ้าดิน

หลินสวินสะท้านในใจ ในสมองมีภาพเงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูภูเขาที่พังทลาย เงาร่างนั้นกรำศึกเหนือเก้าฟ้า เคยเข่นฆ่าจนสะเทือนหมื่นกาล!

เงาร่างนั้นมาบรรจบกับร่างที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศในชั่วพริบตานี้แล้ว…

“ศิษย์พี่ใหญ่…”

หลินสวินพึมพำ แววตาเหม่อลอย

ในใจเขา ศิษย์พี่ใหญ่เป็นดั่งตำนานที่ไม่อาจแตะต้องได้

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่เก่ออวี้ผูหรือศิษย์พี่รั่วซู่ ขอเพียงพูดถึงศิษย์พี่ใหญ่ต่างเกิดความเคารพและภาคภูมิใจ

เขาในตอนนั้นพยศจองหอง แปลงร่างนับหมื่นพัน สร้างเรือนมรรคคืนกำเนิดที่ ‘ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิ คืนกำเนิดชั่วนิรันดร์!’ ด้วยมือเดียว

อาจารย์ชื่นชมเขาว่า ‘ศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้’

เขาในตอนนั้นเคยเข้าร่วม ‘งานชุมนุมวิชาหอบรรพจารย์’ เอาชนะบุคคลระดับบรรพจารย์ที่ห้าเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร เหล่ามารและโลกาสวรรค์ส่งมา ทำให้เรือนมรรคคืนกำเนิดขึ้นไปเป็นหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ สะท้านทั้งใต้หล้า

เขาในตอนนั้นก็เคยเปิดศึกกับจอมจักรพรรดิไร้นาม ด้วยฐานะผู้สืบทอดลำดับหนึ่งของคีรีดวงกมล

ศึกนั้น ใครก็ไม่รู้เบื้องลึก

และก็เป็นหลังจากศึกนี้ที่คีรีดวงกมลประสบเคราะห์ใหญ่ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปะทุขึ้น…

ศิษย์พี่ใหญ่ที่รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ คิดว่าหายนะใหญ่คราวนี้เป็นเพราะตนชักนำมา เขาจากไปเพียงลำพัง ทิ้งมรดกตกทอดทั้งตัวไว้ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์…

ใครก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน

แต่ก็เป็นตอนนี้หลังจากผ่านไปเกือบแสนปี ภายใต้พลังด่านเคราะห์ต้องห้ามที่มาเยือนนี้ เขา… กลับมาอีกครั้ง!

ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งราวกับตำนาน!

เหนือเวิ้งฟ้า เงาร่างสูงใหญ่ดุจดั่งเพลิงผลาญพอมองดูรั่วซู่ หลินสวินครั้งหนึ่ง เพียงพูดว่า

“ข้ากลับมาแล้ว”

สี่คำ คล้ายประกาศคำบัญชาไปทั่วหล้า!

สำหรับรั่วซู่แล้ว สี่คำนี้ก็เปรียบเหมือนคำปลอบใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขารอคอยมาเกือบแสนปี

โครม!

ในห้วงอากาศเขาเคลื่อนไหวแล้ว เงาร่างดุจเพลิง ฉีกทึ้งห้วงอากาศ

“ศึกนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ย่อมควรให้ข้าเป็นคนจบมัน”

ท่ามกลางเสียงต่ำลึก สงบนิ่ง และเด็ดขาด ร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นในสนามรบอีกครั้ง ประหนึ่งกลับคืนสู่โลกที่เขาคุ้นเคยเป็นที่สุด

พลังต่อสู้อันน่ากลัวแผ่กระจายออกมาจากร่างเขาประหนึ่งทะเลคลั่งคำราม ม้วนตลบไปทั้งที่นั้น

ปึง! ปึง!

เบื้องหน้าปู่ซ่วนจื่อ วิญญาณต้องห้ามทองอร่ามสูงหมื่นจั้งสองตนยังไม่ทันได้หลบหนี ก็ถูกตีพ่ายกลายเป็นละอองแสงหายลับไปในชั่วพริบตานี้

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรารอท่านมานานมาก!”

ปู่ซ่วนจื่อร้องตื่นเต้นเสียงดัง เขาบาดเจ็บเจียนตาย เลือดโชกไปทั้งตัว แต่ในตอนนี้ยามได้เห็นเงาร่างอันจองหองที่คุ้นเคยหาใดเทียบนั้น มุมปากเขาก็ยกยิ้มด้วยความยินดีปรีดา

“เจ้าลูกคิดน้อย เช็ดเลือดบนตัวเจ้าเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยเจ้าระบายอารมณ์ดีหรือไม่”

เมื่อเสียงดังขึ้นเขาก็ถลาไปอีกที่หนึ่งแล้ว

“อืม!”

ปู่ซ่วนจื่อสูดหายใจลึก พยักหน้าแรงๆ ตอนเขากราบอาจารย์เข้าสำนักยังเป็นแค่เด็กน้อย แต่ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่เป็นนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้ที่มีชื่อสะท้านใต้หล้ามานานแล้ว

ต่อให้ตอนนี้มรรคาเขามีพลังที่สามารถสะเทือนโลกได้แล้ว แต่พอถูกศิษย์พี่ใหญ่เรียกว่า ‘เจ้าลูกคิดน้อย’ เขาก็ยังดีใจมากเหมือนเดิม

ตูม!

เบื้องหน้าเซิ่นเหยียน วิญญาณต้องห้ามสองตนถูกสังหารย่อยยับอย่างง่ายดาย รับการโจมตีของเงาร่างนั้นไม่ไหวอย่างกับกระดาษเปื่อย

“ศิษย์พี่ใหญ่ ฮ่าๆๆ ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมา พวกเราคีรีดวงกมลน่ะ… ในที่สุดก็มีความหวังแล้ว… แค่กๆ”

เซิ่นเหยียนไออย่างรุนแรง สีหน้าซีดขาว

“บาดเจ็บหนักขนาดนี้ก็พูดให้มันน้อยหน่อย ให้ตายสิ ไม่รู้หรือว่าตอนนั้นคนที่ข้าหงุดหงิดที่สุดก็คือเจ้าหนูอย่างเจ้า”

เสียงพูดยังดังต่อไป แต่เงาร่างพุ่งไปยังสนามรบอื่นแล้ว

เซิ่นเหยียนแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ยิ่งศิษย์พี่ใหญ่หงุดหงิดข้า ก็พิสูจน์ว่าในใจยิ่งใส่ใจข้า… แค่กๆ…”

เขาพูดพลางไอขึ้นมาอีก

ตูม!

ที่ตามมาติดๆ คือวิญญาณต้องห้ามตรงหน้าชิงถิงถูกโจมตีแหลกกระจุย

บัดนี้ชายหนุ่มเคร่งขรึมที่นับตั้งแต่พวกเก่ออวี้ผูประสบเคราะห์ก็เงียบเชียบไม่พูดจามาหลายปีคนนี้ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเปล่งออกมาเพียงว่า “ศิษย์พี่ใหญ่”

เกือบแสนปีแล้ว…

ความเงียบของเขา ขณะนี้แปรเปลี่ยนเป็นคำว่าศิษย์พี่ใหญ่แล้ว!

“ความแค้น ให้ข้าชำระ”

นี่ก็คือคำตอบของศิษย์พี่ใหญ่ คำง่ายๆ เหล่านี้กลับทำให้ขอบตาของชิงถิงแดงไปหมด

ต่อมาเงาร่างสูงใหญ่จองหองนั้นก็ห้อตะบึงไปในที่นั้น ทุกที่ที่ผ่าน วิญญาณต้องห้ามร่างแล้วร่างเล่าจะถูกถล่มสังหาร ความอหังการและทรงอำนาจเช่นนั้น ไร้ศัตรูใดเทียบประหนึ่งเทพสงครามผู้เกรียงไกร

หลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ชื่อจวิน จิ่งจงเยวี่ย… ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่ละคนต่างดูเบิกบานและซาบซึ้งปานนั้น

ราวกับได้กลับไปในอดีตอันแสนนานอีกครั้ง

ตอนนั้นมีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขาต่างรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้คนไหน ศัตรูคนใด ต่างถูกศิษย์พี่ใหญ่บดขยี้ ไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้เข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด

เขาก็เหมือนเทพที่เกิดมาเพื่อสงคราม หลอมมหามมรรคด้วยการต่อสู้!

ในใจผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขา คำว่าศิษย์พี่ใหญ่มีเพียงความหมายเดียวมาโดยตลอด

พิชิตทุกศึก ชนะทุกสงคราม!

“นี่ก็คือศิษย์พี่ใหญ่”

ดวงตารั่วซู่ฉายแววประหลาดอย่างไม่เคยมีมาก่อน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่พบเห็นได้ยากกับหลินสวินว่า “ตอนเขาปรากฏตัว พวกเราคีรีดวงกมลก็เหมือนมีเสาหลัก ถ้าฟ้าถล่มก็ไม่ต้องตกใจ เพราะต้องเป็นถูกเขาถล่มแน่”

ใจหลินสวินสะท้านไหวไปนานแล้ว มองดูเงาร่างจองหองที่กวาดราบทั้งสนามรบ สังหารราวพายุม้วนตลบเมฆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของศิษย์พี่รั่วซู่ เขามีเพียงความรู้สึกเดียว

นี่ เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง!

ตูม!

ในที่นั้นเสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังก้อง วิญญาณต้องห้ามตนสุดท้ายก็ถูกถล่มสังหาร กลายเป็นละอองแสงสลายไปกลางฟ้าดิน

เงาร่างจองหองนั้นยืนตระหง่าน ฝุ่นควันอบอวลรอบกายเขา แสงประกายพร่างพราวดุจเพลิงผลาญอาบไล้ทั่วร่างเขา ทำให้ตัวเขาคล้ายเป็นแสงนิรันดร์ ส่องสว่างไปทั่วหล้า

วังวนที่หมุนวนอยู่เหนือเวิ้งฟ้าตกอยู่ในความเงียบสงัดถึงขีดสุด

ห่างไปไกลลิบ เหล่าระดับจักรพรรดิรวมถึงเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวในที่มืดเหล่านั้นต่างหวาดหวั่นจนไม่อาจควบคุมได้ สีหน้าเหม่อลอย

ขณะนี้ฟ้าดินเงียบสงัด สั่นสะท้านเพราะสิ่งนี้!

——

ตอนที่ 2035 กลิ่นอายต่อสู้ กลับมา!
หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปิดฉากลง เพราะการตายของพวกเก่ออวี้ผูทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่มีลำดับห้าชื่อจวินเป็นแกนนำยึดติดจะแก้แค้น ไม่กลัวว่าต้องต่อให้สู้จนตัวตายก็ต้องชำระแค้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ตายไปอย่างพวกเก่ออวี้ผูให้ได้

ส่วนผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นที่นำโดยรั่วซู่กลับไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนี้ คิดว่ายังไม่สบโอกาส ทำเช่นนี้บุ่มบ่ามเกินไป

ชื่อจวินจึงพาศิษย์พี่ศิษย์น้องจำนวนหนึ่งจากไปด้วยความโกรธ

ความขัดแย้งนี้ก็กลายเป็นปมในใจรั่วซู่เช่นนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็จะทำให้นางหดหู่ รู้สึกผิดไม่หยุด

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยามเห็นพวกชื่อจวินปรากฏตัว รั่วซู่ถึงตื่นเต้นยินดีเช่นนี้

และเมื่อได้ยินคำพูดของรั่วซู่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นต่างเผยสีหน้าละอายใจออกมาอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์พี่ ตอนนั้นพวกเราผิดไปแล้ว”

“คีรีดวงกมลของพวกเรา ศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่นานแล้ว ศิษย์พี่รองก็ไม่รู้ร่องรอย ตอนนี้ท่านศิษย์พี่เป็นเสาหลักของพวกเราคีรีดวงกมล อย่าพูดถ้อยคำไม่เป็นมงคลเหล่านั้นอีก”

พวกเขาพากันเอ่ยปากปลอบโยนรั่วซู่

หลินสวินเห็นดังนี้ก็คิดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า ถ้าไม่ใช่การประชันหมากน่ากลัวนี้ยังดำเนินอยู่ เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องได้พบกันอีกครั้ง พูดคคุยถึงเรื่องในตอนนั้น ร่ำสุราเคล้าบทสนทนา เช่นนั้นจะดีปานไหน

ก็ในตอนนี้เองเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกะทันหัน

“รั่วซู่ พวกเจ้าจะไม่หันไปดูว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคีรีดวงกมลของพวกเจ้าเหล่านั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือ”

เสียงดั่งอสนีบาต ดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

หลินสวินหันกลับไปทันที เห็นเพียงว่าเบื้องหลังมีแต่แสงมรรคที่เกิดขึ้นจากการห้ำหั่นดุเดือด ซัดสาดฟ้าดินอย่างไร้ขอบเขตราวกระแสธาร ไม่อาจชี้ชัดได้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ตอนนี้พวกรั่วซู่พากันหน้าเปลี่ยนสี

ในครรลองสายตาของทุกคน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เงาร่างวิญญาณต้องห้ามร่างแล้วร่างเล่ากระโจนเข้าไปในการต่อสู้ดุเดือดตามที่ต่างๆ นั้น แต่ละตนมีประกายหมื่นจั้ง แผ่คลื่นพลังระเบียบต้องห้ามออกมา

ทันใดนั้นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิง จิ่งจงเยวี่ยต่างถูกวิญญาณต้องห้ามสองสามตนล้อมโจมตี!

เดิมทีในสถานการณ์ที่สู้กันหนึ่งต่อหนึ่งก็กินแรงผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้อย่างหาใดเทียบแล้ว แม้มีพลังสู้กันซึ่งหน้า แต่คิดจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

และตอนนี้ จู่ๆ คู่ต่อสู้ก็มากขึ้น ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นอันตรายถึงขีดสุดทันที

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลายคนถึงกับได้รับบาดเจ็บไปแล้ว!

ไหล่ของปู่ซ่วนจื่อถูกแทงทะลุ เลือดสดๆ ไหลเอ่อ

แผ่นหลังของจิ่งจงเยวี่ยถูกฟัน เนื้อตัวแตกยับ เห็นกระดูกอยู่รำไร

ชิงถิงกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง สีหน้าซีดเผือด

ร่างผู่เจินโชกเลือดราวกับกลายเป็นมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง

…ภาพนองเลือดน่าอนาถแต่ละภาพทำให้พวกรั่วซู่ไม่สบายใจ แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาลก็เคยมีพลังระเบียบต้องห้ามปรากฏขึ้น ทั้งยังแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณต้องห้ามแสงทองหมื่นจั้งตนแล้วตนเล่าเข้าสังหาร

แต่พวกรั่วซู่ต่างคิดไม่ถึงว่าวิญญาณต้องห้ามที่ปรากฏตัวขึ้นคราวนี้ จะมากมายขนาดนี้!

ครืน!

ฟ้าดินแห่งนี้คล้ายกำลังพังทลาย การต่อสู้เช่นนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป

แต่ก็ในสถานการณ์อันตรายหาใดเทียบเช่นนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นพวกหลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน หรือพวกปู่ซ่วนจื่อ ชิงถิง จิ่งจงเยวี่ย ต่างก็อาบเลือดโรมรัน กัดฟันสู้สุดแรง

ไม่มีคนร้องขอความช่วยเหลือ

ทั้งไม่มีการถอยร่นแต่อย่างใด!

รั่วซู่ขอบตาแดงแล้ว

นางรู้ว่าที่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือก็เพราะกังวลว่าจะกระทบการเคลื่อนไหวของพวกเขาเหล่านี้

ที่ไม่ถอยร่นก็เพื่อชิงโอกาสให้พวกเขาจากไป!

“เจ้าโง่พวกนี้ ตกลงกันแล้วว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ฟังนะ…”

รั่วซู่พึมพำ ขณะนี้ความคิดเป็นเหตุเป็นผลของนางถูกความรู้สึกที่ไม่อาจกดข่มได้จู่โจมดั่งกระแสน้ำเชี่ยว นางไม่อาจมองดูศิษย์น้องเหล่านั้นของตนประสบเคราะห์ไปต่อหน้าต่อตา

ทำไม่ได้จริงๆ!

ตั้งแต่ยุคบรรพกาล การประสบเคราะห์ของพวกเก่ออวี้ผูก็ทำให้รั่วซู่รู้สึกผิดมาถึงตอนนี้ ถ้าคราวนี้ทิ้งศิษย์น้องเหล่านี้ไปแบบนี้อีก…

ต่อให้สุดท้ายจะรอดชีวิต ชนะการประชันหมากครั้งนี้ได้ แต่คนตายหมดแล้ว… เรื่องเหล่านี้จะยังมีความหมายอะไร

“ศิษย์น้องทุกคน ศิษย์พี่ขอพวกเจ้าเพียงเรื่องเดียว พาศิษย์น้องเล็กออกไป ขอเพียงศิษย์น้องเล็กยังอยู่ สุดท้ายการประชันหมากคราวนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นพวกเราคีรีดวงกมล!”

รั่วซู่สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ เสียงนางยังนุ่มนวลเหมือนเคย แต่กลับไม่มีช่องให้กังขาได้

ทันใดนั้นหลินสวินก็รับรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ชอบกล การเคลื่อนไหวของศิษย์พี่รั่วซู่นี้ คิดจะไปสู้ตายชัดๆ!

เพียงแต่ไม่ทันรอให้เขากับรั่วซู่ได้ตอบโต้ ก็เห็นว่าศิษย์พี่ชายหญิงที่อยู่ใกล้ๆ เหล่านั้นเคลื่อนไหวในทันใด

กระโจนไปข้างหลัง!

“ศิษย์พี่ เรื่องนี้ให้พวกเราจัดการเถอะ”

ศิษย์พี่ที่เหมือนเด็กหนุ่มสง่างามคนหนึ่งยิ้มละไมเอ่ยปาก

“ใช่ คีรีดวงกมลจะมีหรือไม่มีพวกเราก็ได้ แต่จะขาดศิษย์พี่ไม่ได้”

ศิษย์พี่หญิงที่รูปลักษณ์เย่อหยิ่งเย็นชาคนหนึ่งเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

“ศิษย์พี่ อภัยให้พวกเราด้วยที่ไม่เชื่อฟังคำของท่านอีกครั้ง…”

…เสียงเหล่านั้นยังดังก้องกลางฟ้าดิน ส่วนเงาร่างของพวกเขากระโจนไปยังสนามรบนานแล้ว

ไม่คิดจะหันหลังกลับ!

พริบตานี้รั่วซู่อึ้งไป ในดวงตามีประกายน้ำตาเอ่อขึ้น

รอมาไม่รู้กี่ปี ในที่สุดถึงได้พบกันอีกครั้ง ให้อภัยความขัดแย้งในอดีต จะต้อง… จากกันอีกครั้งเช่นนี้หรือ

นางกำมือทั้งสองแน่นอยู่เงียบๆ ร่างกายสั่นเล็กน้อยเพราะกำลังจะคุมความรู้สึกไม่อยู่

นางบรรลุขั้นที่คนธรรมดาไม่อาจคาดคิดได้ในมรรคาไปแล้ว เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของเรื่องราวในโลก รวมถึงความเป็นตายไม่แน่นอนจนเจนตามานานแล้ว

แต่ขณะนี้นางยังรู้สึกเจ็บปวดปานนั้น รู้สึกอัดอั้นจนหายใจไม่ออก เหมือนทรวงอกถูกความเศร้ากดเอาไว้

หลินสวินก็นิ่งไปแล้ว

ฝึกปราณมาจนตอนนี้ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้จิตใจเขาแปรปรวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงได้มากขนาดนี้ ความรู้สึกที่ยากบรรยายเหมือนน้ำท่วมปริ่มเขื่อนเข้าจู่โจมจิตวิญญาณของเขา ทำให้ชั่วพริบตานี้เขายังแทบลืมหายใจ

วันนี้ เขาเดินออกมาจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ถูกเหล่าจักรพรรดิปิดล้อม แต่ละคนสูงส่ง มองเขาเหมือนเหยื่อ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

วันนี้ พวกศิษย์พี่รั่วซู่มาช่วยเขาสะสางความยุ่งยาก ระบายความโกรธแทนเขา หนุนหลังเขาอย่างต่อเนื่อง!

วันนี้ ภายใต้ด่านเคราะห์ระเบียบต้องห้าม ศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นแต่ละคนสู้ตายไม่คิดจะหันหลังกลับ เพื่อให้เขารอดออกไปได้…

วันนี้…

ฝึกปราณจนตอนนี้ จากเด็กหนุ่มในคุกใต้เหมืองเล็กๆ คนหนึ่ง เขาเดินมาถึงวันนี้ ผ่านอันตรายไม่รู้เท่าไร หลั่งเลือดมากมายเพียงไหน ทั้งลำบากตรากตรำมาปานใด

เดิมทีหลินสวินคิดไปเองว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ร้องไห้ แล้วก็จะไม่หลั่งน้ำตาอีก แต่ตอนนี้ ในตาเขากลับเอ่อไปด้วยหยาดน้ำร้อนๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้

ศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นส่วนมากเขาเพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก แต่พวกเขา… กลับยอมตาย… เพื่อศิษย์น้องอย่างเขา

ขณะนี้หลินสวินเอ่ยปากอย่างอดไม่ไหวอีกแล้วว่า “ศิษย์พี่ ข้าไม่อยากจากไปเช่นนี้ หาไม่ข้าจะเสียใจไปทั้งชีวิต แล้วก็จะไม่อาจให้อภัยตัวเองได้!”

เขาชี้สนามรบอันดุเดือดอันตรายเบื้องหลัง พูดว่า “ก็เหมือนกับที่ศิษย์พี่จวินหวนว่าไว้ ข้าแค่อยาก… ร่วมเป็นร่วมตายกับทุกคน!”

รั่วซู่อึ้งไป ส่ายหน้าทันที คว้าหลินสวินไว้อย่างเด็ดเดี่ยวแล้วเดินหน้าต่อ

“เจ้าต้องรอด ที่พวกเขาเอาชีวิตเข้าแลกถึงจะมีความหมาย ดังนั้นเจ้าจะตายไม่ได้ ต่อให้ภายหน้าเสียใจแค่ไหน เสียดายเพียงใด… ก็ตายไม่ได้…”

รั่วซู่เอ่ยเสียงค่อย “อย่าหาว่าศิษย์พี่โหดเหี้ยม ภายหน้า… ถ้าเจ้าอยากจะกล่าวโทษใคร ก็ให้โทษศิษย์พี่อย่างข้าคนเดียวเถอะ”

หลินสวินเห็นสีหน้าสงบนิ่งของรั่วซู่ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สกัดน้ำตาที่กำลังจะไหลอยู่เต็มแก่ ประกายน้ำตาคลอหน่วยก็ยิ่งเอ่อขึ้นมาราวกับไอหมอก เงียบเชียบไปโดยสมบูรณ์

ความจริงแล้วเขาเดาได้ว่าในใจศิษย์พี่คงเจ็บปวดยิ่งกว่าตนแน่…

“รั่วซู่ ถ้าเจ้าไม่หันกลับมาอีก คนพวกนี้จะต้องตายทั้งหมดเหมือนเก่ออวี้ผูในตอนนั้น!”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กังวานไปทั้งเก้าฟ้าสิบแผ่นดินราวกับเสียงระเบิด

รั่วซู่ไม่ได้หันหลังไป

แต่ในสมองของนางกลับปรากฏภาพนองเลือดหาใดเทียบภาพแล้วภาพเล่า

ใบหน้าอันคุ้นเคยแต่ละหน้าคล้ายกำลังจะหายลับไปด้วยการเผาทำลายของเลือดและเปลวเพลิง ไม่แน่ภายหน้าอาจจะไม่ได้พบกันอีกจริงๆ…

จะไม่ไปดูสักครั้งจริงๆ หรือ

ในใจรั่วซู่ดิ้นรนอย่างแรงกล้าหาใดเทียบ ทุกข์ทรมานยิ่งยวด

แต่นางรู้ดียิ่งกว่าว่าทันทีที่หันกลับไป นางก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ การประชันหมากครั้งนี้ก็อาจจะแพ้ทั้งแบบนี้จริงๆ แล้ว!

“น่าขัน คนพวกนี้ตายแล้ว คีรีดวงกมลของพวกเจ้าก็จะจบสิ้นอย่างสิ้นเชิง คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยสวะตัวจ้อยที่ชื่อหลินสวินนั่น ภายหน้าก็จะทำให้คีรีดวงกมลผงาดขึ้นอีกครั้งได้ เขายังเป็นแค่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิเท่านั้น!”

เสียงหัวเราะนั้นเปรียบดั่งวิญญาณร้ายไม่หายไป ตั้งใจยั่วยุรั่วซู่

รั่วซู่ไม่สนใจ และไม่หยุดเดิน

หลินสวินไม่อาจทำได้อย่างรั่วซู่ เขาเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ตกลงเมื่อไรถึงจะใช้เขาปู้โจวได้ เมื่อไรถึงจะเห็นความสำเร็จ”

“จวนแล้ว”

รั่วซู่ตอบเพียงสองคำ

“ฮ่าๆๆ แพ้แล้ว พวกเจ้าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลแพ้แล้ว! รั่วซู่ เจ้ากับเจ้าสวะตัวจ้อยนั่นก็ยากจะพ้นเคราะห์คราวนี้ไปได้!”

เสียงเหี้ยมเกรียมนั้นกลายเป็นเสียงร้องตื่นเต้นดีใจดังลั่นไปทั้งผืนเมฆแล้ว

ชั่วพริบตานี้รั่วซู่ตัวแข็งทื่อ ในที่สุดก็หันหน้า

จากนั้นก็พบว่า…

ในศึกดุเดือดเบื้องหลังนั้น หลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ชื่อจวิน ปู่ซ่วนจื่อ… ต่างมีบาดแผลเต็มตัว ร่างกายเปื้อนเลือดเต็มไปหมด

เหมือนกำลังดิ้นรนราวกับสัตว์ถูกขังซึ่งจวนจะตาย

แต่ละคนต่างเจ็บเจียนตาย แต่กลับไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ยังคงใช้พลังเฮือกสุดท้ายเข้าสู้

แพ้แล้วหรือ

ไม่ได้แพ้

แต่ขณะนี้รั่วซู่กลับมือเย็นเฉียบ ดวงตาแดงเรื่อไปหมด เพราะต่อให้นางไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่ก็ดูออกว่าอีกไม่นาน หรือจะพูดว่าเมื่อไรก็ได้ ศิษย์น้องเหล่านั้นก็จะถูกกำราบล้มลงไปจริงๆ…

ขณะนี้ความรู้สึกที่เก็บกลั้นอยู่ในใจมาตลอดกำลังจะปะทุขึ้นเหมือนกับเขาถล่มทะเลซัดสาด กวาดซัดสติสัมปชัญญะสุดท้ายของนางไป

ก็ในตอนนี้เอง ลมระลอกหนึ่งพัดมายังฟ้าดินแห่งนี้

วู้มๆๆ!

เสียงลมคำราม เต็มไปด้วยกลิ่นอายต่อสู้ยากบรรยาย ประหนึ่งไฟที่ฉีกกระชากความมืดมิดของท้องฟ้าสิบทิศนั้น

กลิ่นอายกดดัน ปั่นป่วน ยุ่งเหยิงกลางฟ้าดินต่างถูกสายลมระลอกนั้นพัดให้สลายไป!

ชั่วขณะนี้วังวนที่หมุนอย่างบ้าคลั่งบนเวิ้งฟ้านั้นถึงขั้นเริ่มพร่าเลือน

เหล่าจักรพรรดิ รวมถึงพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดกำลังมองดูสงครามอยู่ไกลลิบนั้น หนาวสะท้านไปทั้งตัวอย่างไม่รู้ตัว เสียวสันหลังวาบ

ขณะนี้รั่วซู่ที่เดิมคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที ในดวงตาแดงเรื่อทั้งสองข้างมีแววเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ราวกับในที่สุดการรอคอยเกือบแสนปีก็มีผลลัพธ์แล้วในขณะนี้

บัดนี้ราวกับมีเสียงสะท้อนในใจ หลินสวินเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองไปยังเวิ้งฟ้า สัมผัสลมที่ไม่รู้พัดมาจากที่ไหนระลอกนั้น

กลิ่นอายที่คุ้นเคย นี่เหมือนจะเป็น… พลังแห่งการต่อสู้…

——

ตอนที่ 2034 ความประหลาดใจที่มาโดยกะทันหัน
ทันทีที่รั่วซู่หยุดเท้า แสงสายหนึ่งก็ยิงออกมาจากวังวนเวิ้งฟ้า กึกก้องไปทั่ว แปรสภาพเป็นเงาร่างสีทองที่สวมมงกุฎจักรพรรดิ ถือกระบี่จักรพรรดิ สวมเกราะจักรพรรดิ รองเท้าหุ้มข้อจักรพรรดิ

ต่างจากเงาร่างสีทองร่างอื่น เงาร่างนี้น่ากลัวถึงขีดสุด มีพลังเจตจำนงไม่ธรรมดา ประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์จำแลง

“ให้ข้าจัดการ”

ชั่วขณะนี้ผู่เจินเหมือนเตรียมตัวไว้นานแล้ว กระโจนออกมา พลานุภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ตูม!

ผู่เจินเข้าต่อสู้กับเงาร่างสีทองนั้นอย่างดุเดือด

การปะทะอันสูงส่งหาใดเทียบนั้นทำให้หลินสวินไม่อาจมองชัดสักนิด

เขาเห็นเพียงว่าขณะนี้สีหน้าพวกศิษย์พี่รั่วซู่ต่างเคร่งเครียดถึงที่สุด ไม่ได้เยือกเย็นเช่นก่อนหน้านี้

“ศิษย์น้องหลี่” รั่วซู่เอ่ยปาก

“ข้าเข้าใจ พวกท่านไปก่อน”

ดอกบัวสีเขียวหยกดอกหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลี่เสวียนเวย แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่มรรคเล่มหนึ่งเข้าไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู่เจินโดยไม่ลังเล

หลินสวินรู้สึกหนักอึ้งในใจไปครู่หนึ่ง

ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์พี่อย่างปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิงออกโรง ทั้งยังสามารถสกัดเงาร่างสีทองเหล่านั้นได้ทุกตน

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกัน เงาร่างสีทองที่แปลงจากพลังระเบียบต้องห้ามซึ่งพุ่งออกมาจากวังวนบนเวิ้งฟ้านั้น ยิ่งน่ากลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

หาไม่แล้วจะทำให้ศิษย์พี่ผู่เจินกับศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยลงมือร่วมกันได้อย่างไร

“ไป”

รั่วซู่กับจวินหวนไม่ได้อธิบายอะไร พาหลินสวินเดินหน้าต่อ

หลินสวินหันกลับไปอย่างอดไม่ได้

ทางข้างหลังมีการต่อสู้ที่สามารถสะท้านหมื่นกาลได้เกิดขึ้นหลายศึก ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นเหมือนประชันหมากกับฟ้าเบื้องบน แพ้ชนะไม่อาจล่วงรู้

หลินสวินถึงได้รู้ชัดในยามนี้ ปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิง เฉิงอวี๋ จิ่งจงเยวี่ย หลันชางเจี่ย…

ศิษย์พี่คีรีดวงกมลที่ปรากฏตัวต่อเนื่องก่อนหน้านี้มีแค่เก้าคน

บวกกับรั่วซู่ จวินหวน หลี่เสวียนเวย ผู่เจินกับตัวเขาเอง ยังมีเพียงสิบสี่คนเท่านั้น

“ศิษย์พี่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเราคนอื่นล่ะ”

หลินสวินอดถามไม่ได้

“พอถึงเวลาพวกเขาต้องปรากฏตัวแน่นอน”

จวินหวนสีหน้าราบเรียบ “แต่ว่า… ก็มีศิษย์พี่บางส่วนที่… อาจจะปรากฏตัวอีกไม่ได้แล้ว…”

ในน้ำเสียงเผยความเจ็บปวด

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด “ท่านหมายถึง… พวกศิษย์พี่เก่ออวี้ผูหรือ”

“ไม่ ยังมีศิษย์พี่คนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ศิษย์น้องอย่าถามอีกเลยได้หรือไหม”

แววเจ็บปวดฉายวาบในดวงตาจวินหวน คล้ายว่าการพูดถึงศิษย์พี่ที่ไม่อาจปรากฏตัวขึ้นอีกเหล่านั้น จะเผยความเจ็บปวดและความแค้นที่ผนึกไว้ในส่วนลึกในใจนาง

หลินสวินถึงตระหนักได้ว่า แม้คีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดห้าสิบคน แต่ที่บาดเจ็บร่วงหล่นไป… เกรงว่าจะไม่ใช่ส่วนน้อย!

“ศิษย์น้อง เรื่องในอดีตเหล่านี้เต็มไปด้วยเลือดและความแค้น รอภายหน้าพวกเราตั้งหลักมั่นคงแล้ว จะเอาคืนทีละคนเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน!”

เสียงรั่วซู่ยังนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นเดิม แต่กลับเผยความแค้นเข้ากระดูกออกมา

หลินสวินอัดอั้นตันใจอย่างไม่มีสาเหตุ

ในอดีต ศิษย์พี่ชายหญิงคีรีดวงกมลเหล่านั้นประสบเภทภัยเช่นไรกันแน่

ตูม!

เสียงครั่นครืนกึกก้องจนหูแทบดับระลอกหนึ่งดังขึ้น เงาร่างแสงทองหมื่นจั้งร่างหนึ่งโจมตีมาจากฟ้าอย่างอำมหิตและสูงส่งหาใดเทียบ

“จวินหวน…”

รั่วซู่เพิ่งเอ่ยปาก ก็เห็นว่าจวินหวนกระโจนตัวแกว่งกระบี่พุ่งออกไป สำแดงยอดมรรคกระบี่ถึงขีดสุดแล้ว

เสื้อผ้าที่ปักกลีบกุหลาบสีชมพูเต็มตัวของนางปลิวไสว บนใบหน้างดงามจนหมื่นกาลยังหม่นหมองมีแต่ความแค้นและจิตสังหาร

“ไป”

รั่วซู่สูดหายใจเฮือกหนึ่ง พาหลินสวินเดินหน้าต่อ

ขณะนี้เหลือเพียงนางคนเดียวคุ้มครองหลินสวินออกไป ไม่ลังเล และไม่เคยหันหลัง

คล้ายขณะนี้ความเป็นความตายของพวกหลี่เสวียนเวย ผู่เจิน จวินหวนยังสำคัญไม่เท่าพาหลินสวินออกไป!

หลินสวินรู้สึกกลัวการสูญเสียอยู่ในใจ เขาไม่อาจเป็นเช่นรั่วซู่ ที่ไม่กังวลว่าพวกหลี่เสวียนเวยจะเป็นหรือตาย และยิ่งไม่อาจจากไปอย่างสบายใจเช่นนี้ได้

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ไม่ได้บอกหรือว่าขอเพียงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นมาได้ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวการสังหารของพลังระเบียบต้องห้ามอีกต่อไป พวกเราได้มาแล้ว เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้”

“ยังไม่ถึงเวลา”

เสียงรั่วซู่เจือพลังที่สามารถทำให้สงบใจลงได้ “การประชันหมากครั้งนี้อันตรายอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเรารอมาเกือบแสนปีแล้ว ไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้แม้แต่นิดเดียว และมหาสมบัติแรกกำเนิดที่เจ้าได้มานั่นก็เป็นไพ่ตายสุดท้ายของพวกเรา”

หลินสวินเอ่ย “แต่นอกจากมหาสมบัติแรกกำเนิดนี้ ข้ายังมีต้นอ่อนต้นโพธิ์อีกต้นหนึ่ง ผู้อาวุโสจี้เสวียนเคยบอกว่าต้นโพธิ์นี้ถือกำเนิดในแดนปริศนา และยังต้านทานและสลายพลังระเบียบต้องห้ามได้ด้วย”

รั่วซู่ยิ้ม “ถ้าต้นอ่อนต้นนี้โตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่เทียมฟ้า อาจจะสามารถต้านเคราะห์ตรงหน้านี้ได้ แต่ถ้าเป็นเพียงต้นอ่อนก็ไม่ได้หรอก”

นางไม่ได้อธิบายมากนัก

เพราะหลินสวินในตอนนี้ยังไม่อาจเข้าใจถึงความน่ากลัวของพลังระเบียบต้องห้ามได้อยู่ดี

พลังเช่นนี้ปกคลุมไปทั่วหล้าฟ้าดารา กีดกั้นเส้นทางสู่อีกฟากฝั่ง จะเอาชนะได้ง่ายดายปานนั้นได้อย่างไร

หลินสวินยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ

ตอนนี้เขาถึงรู้สึกได้ถึงความไร้กำลังของตน!

ศิษย์พี่รั่วซู่แข็งแกร่งปานไหน เพียงชั่วดีดนิ้วก็ทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิตกอยู่ในกำมือ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังด่านเคราะห์ต้องห้ามนั้นกลับดูเคร่งเครียดได้ปานนั้น

ตนเล่า ยังอยู่แค่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ขนาดระดับจักรพรรดิยังสู้ไม่ได้ เทียบกับศิษย์พี่รั่วซู่แล้วยิ่งห่างชั้นไม่รู้เท่าไร

ถ้าคราวนี้ไม่ได้พวกศิษย์พี่รั่วซู่คุ้มครอง ตนคนเดียวจะหลุดพ้นจากด่านสังหารเต็มฟ้าคราวนี้อย่างไร

ยิ่งคิดในใจหลินสวินก็ยิ่งหนักอึ้ง ยิ่งเศร้าซึม…

“ศิษย์น้อง!”

ทันใดนั้นเสียงของศิษย์พี่รั่วซู่ก็เหมือนสายฟ้าฟาดดังขึ้นในใจหลินสวิน

“การบำเพ็ญมหามรรคห้ามจิตใจหวั่นไหวเด็ดขาด เจ้าฝึกปราณจนตอนนี้ ไม่ถึงร้อยปีก็มีมรรควิถีเช่นตอนนี้แล้ว ก้าวล้ำความสำเร็จที่คนรุ่นเดียวกันชั่วกาลมีมา จะว่าในกาลนิรันดร์มีเพียงผู้เดียว ครองอำนาจเหนือทั่วหล้าก็ไม่เกินไป อย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด!”

“การประชันหมากที่เจ้าได้เห็นในวันนี้ ต่อให้บุคคลระดับจักรพรรดิก้าวเข้ามาก็ต้องจบลงด้วยความตายไม่มีรอด ต่อให้เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิก็พ้นเคราะห์ได้ยาก เพราะว่านั่นเป็นพลังระเบียบต้องห้าม เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและอัปมงคลที่สุดตั้งแต่โบราณมาจนตอนนี้”

“ถ้าสภาวะจิตของเจ้าถดถอยเพราะเรื่องนี้ ภายหน้า… จะไปพูดถึงการเอาชนะมัน ก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร”

หลินสวินสะท้านไปทั้งตัว ความคิดฟุ้งซ่านกับความรู้สึกแง่ลบในใจถูกขับออกไปราวกระแสน้ำ ถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่งและหนักแน่น

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดวงตาดำลุ่มลึก มองดูวังวนกลางท้องฟ้านั้นแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่พูดถูก ข้าในตอนนี้อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งข้าจะเหยียบมันไว้ใต้เท้า!”

ประโยคเดียวกึกก้องทรงพลัง

คล้ายว่าประโยคนี้ไปยั่วโมโหพลังระเบียบต้องห้ามนั้น เงาร่างสีทองร่างหนึ่งพุ่งโจมตีออกมาพร้อมเสียงครั่นครืนสะเทือนฟ้าดิน

กลิ่นอายของเงาร่างนี้ถาโถมซัดสาด ถูกระเบียบต้องห้ามแน่นขนัดปกคลุม ประหนึ่งยอดทวยเทพ เพียงแค่กลิ่นอายระดับนั้นก็กดข่มให้ท้องฟ้าสั่นระรัวแล้ว

รั่วซู่สีหน้าเคร่งเครียดอย่างพบเห็นได้ยาก

ก็ในตอนนี้เองเสียงหนึ่งดังขึ้น “ศิษย์พี่ ให้ข้าจัดการเถอะ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้รั่วซู่อึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด พลันเผยแววประหลาดใจ “ศิษย์น้องห้า! เจ้า… อภัยให้ศิษย์พี่แล้วหรือ”

เสียงเจือความสั่นเครือเล็กน้อย

ตูม!

เงาร่างหนึ่งกระโจนออกมาห้ำหั่นกับเงาร่างสีทองนั้นอย่างดุเดือด

พอได้ยินเสียงของรั่วซู่ เงาร่างนี้จึงหัวเราะร่า “ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้เพราะข้าวู่วามเกินไป กล่าวโทษความตั้งใจของท่าน คราวนี้… ข้ามาชดเชยความผิด!”

ชายหนุ่มท่าทางอวดดี อหังการหาใดเทียบผู้นี้พลังต่อสู้รุนแรง ต่อสู้ราวบ้าคลั่ง ตัวเขาเหมือนภูเขาไฟปะทุพลุ่งพล่านลูกหนึ่ง

รั่วซู่ยิ้มแล้ว ยิ้มจากใจจริง เอ่ยกับหลินสวินว่า “ศิษย์น้อง ผู้นี้คือศิษย์พี่ห้าของเจ้า ฉายามรรค ‘ชื่อจวิน’ พลังต่อสู้ของเขาร้ายกาจกว่าข้ามาก”

น้ำเสียงเผยความยินดีปรีดาหาใดเทียบ

หลินสวินก็ดูออกว่าศิษย์พี่ห้าของตนผู้นี้พลังต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์เป็นที่สุด มีพลานุภาพเหิมเกริมอวดดี สะท้านใจคน

“ศิษย์พี่ ท่านพาศิษย์น้องออกไปก่อน ที่นี่มีข้าชื่อจวินอยู่ ต่อให้เจ้าเฒ่าราชันสวรรค์อยากบุกเข้ามา ก็ต้องถามว่าข้ายอมหรือไม่!”

ชื่อจวินหัวเราะเสียงดัง โจมตีราวบ้าคลั่ง

“ไป”

รั่วซู่พาหลินสวินเดินหน้าต่อ

ไม่นานนักก็มีเงาร่างสีทองอีกร่างหนึ่งพุ่งมา กลิ่นอายน่าสะพรึงถึงที่สุดเช่นกัน

คราวนี้ไม่ทันรอให้รั่วซู่ตอบโต้ เสียงอึกทึกระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น

“ศิษย์พี่สาม พวกเราก็มา”

“ศิษย์พี่สาม หลายปีมานี้… พวกเรากับศิษย์พี่ห้าโทษท่านผิดไป…”

“ศิษย์พี่สาม…”

เงาร่างสายแล้วสายเล่าทั้งหญิงทั้งชายปรากฏตัวขึ้น แต่ละคนต่างมีกลิ่นอายสะท้านฟ้า ครอบครองพลานุภาพน่ากลัวอันไม่อาจจินตนาการได้

ชั่วขณะเดียวแววตกตะลึงก็ฉายวาบในดวงตารั่วซู่ พอมองดูใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น ในใจนางก็ตื่นเต้นและดีใจอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้

“ที่แท้พวกเจ้าก็มาหมดแล้ว… ดี… ดียิ่งนัก…”

ขณะนี้หลินสวินสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าในดวงตาของศิษย์พี่รั่วซู่มีน้ำตารื้นอยู่รางๆ คล้ายความรู้สึกที่กดข่มมานานในส่วนลึกของจิตใจผุดออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้ในชั่วขณะนี้

ครั้นมองดูเหล่าศิษย์พี่ชายหญิงที่ทยอยมาเยือนไม่ขาดสายนั้น ความซาบซึ้งระลอกหนึ่งผุดขึ้นในใจหลินสวินอย่างอดไม่ได้

เขามองออกแล้วว่าศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านี้ในอดีตคล้ายเข้าใจศิษย์พี่สามผิด และขัดแย้งกันเพราะเหตุนี้เหมือนกับศิษย์พี่ห้าชื่อจวิน

แต่ตอนนี้ พวกเขามาด้วยกันแล้ว!

“ศิษย์น้องซิงเชวีย เจ้าไปกำจัดวิญญาณต้องห้ามนี้ คนอื่นมากับข้า เคลื่อนไหวร่วมกับศิษย์พี่รั่วซู่”

ชายหนุ่มชุดดำร่างสูงโปร่ง สูงตระหง่านดั่งภูผาคนหนึ่งตะโกนออกคำสั่ง

เหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่มาเยือนต่างรับคำสั่ง เริ่มออกเคลื่อนไหว

ยามนี้รั่วซู่จึงกลับมาสงบใจได้ ไม่ได้ปฏิเสธ คุ้มครองหลินสวินพลางเคลื่อนไหวต่อ ท่ามกลางเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ห้อมล้อมหนาแน่น

ระหว่างทางรั่วซู่บอกฐานะของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ให้หลินสวินรู้ทีละคนอย่างรวดเร็ว

นอกจากศิษย์พี่ห้าชื่อจวินแล้ว ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นที่มามีทั้งสิ้นหกคน อยู่ลำดับต่างๆ กันไป ฉายามรรคก็แตกต่างกัน แต่ละคนล้วนมีความสง่างามและพลานุภาพไม่เหมือนกัน

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกฮึกเหิมไปครู่หนึ่งเช่นกัน ขณะนี้คีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดยี่สิบเอ็ดคนมารวมตัวกันที่นี่แล้ว!

ก่อนหน้านี้หลินสวินคิดไม่ถึงสักนิด ว่าในการประชันหมากเทียบฟ้าที่อันตรายหาใดเปรียบนี้ จะยังมีเรื่องประหลาดใจน่ายินดีเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย

ระหว่างทางรอยยิ้มรั่วซู่แจ่มกระจ่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “ผ่านไปหลายปี พวกเราทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง ต่อให้ข้า… เกิดเหตุไม่คาดฝันในศึกนี้ ในใจก็ไม่รู้สึกผิดอีกแล้ว…”

——

ตอนที่ 2033 ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้น

เวิ้งฟ้าเหมือนตกอยู่ในราตรีนิรันดร์

วังวนมหึมานั้นหมุนช้าๆ กลิ่นอายต้องห้ามที่ปลดปล่อยออกมายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

ตอนนี้พวกรั่วซู่ จวินหวนก็โคจรพลังของตัวเอง แสงเทพทั้งตัวถักทอ เช่นนี้ถึงสลายกลิ่นอายกดข่มน่ากลัวนั้นไปได้

พวกเขาแต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แววตาต่างแน่วแน่และสงบนิ่ง

วันนี้ พวกเขารอคอยมานานมากแล้ว!

เพียงแต่มาถึงตอนนี้แล้ว พวกเขาไม่ได้คิดจะจากไปแต่อย่างใด ภาพอันผิดปกตินี้ทำให้เหล่าระดับจักรพรรดิที่อยู่ไกลออกไปต่างนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้

เศษเดนของคีรีดวงกมลเหล่านี้ คงไม่ใช่คิดจะชิงชัยกับพลังระเบียบต้องห้ามใช่ไหม

ครืน!

ก็เห็นว่าในส่วนลึกของวังวนมหึมาที่อยู่บนเวิ้งฟ้านั้นมีประกายสีทองเป็นสายๆ รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็แปลงเป็นเงาร่างสีทองดั่งมายาเป็นที่สุดร่างหนึ่ง

ชั่วพริบตานี้ผู้คนไม่รู้เท่าไรหายใจติดขัด จิตใจสั่นระรัว ราวกับได้เห็นวิญญาณเทพดวงหนึ่งถือกำเนิดขึ้นจากส่วนลึกของวังวน!

กลิ่นอายของเงาร่างสีทองนั้นน่ากลัวยิ่งนัก มือถือทวนศึกที่จำแลงมาจากพลังต้องห้ามเล่มหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายพิสดารไม่เป็นมงคล

“วิญญาณต้องห้าม!”

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซุ่มซ่อนในความมืดผู้หนึ่งพึมพำ ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาล ‘วิญญาณเทพ’ ที่จำแลงมาจากพลังด่านเคราะห์ต้องห้ามนี้ก็เคยปรากฏตัวมาก่อน มีอานุภาพสังหารหาใดเทียบ

ในขณะเดียวกันในใจหลินสวินก็สั่นสะท้านรุนแรง นึกถึงภาพที่อริยสงฆ์ตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬถูกฆ่าขึ้นมา ผู้สังหารก็คือเงาร่างสีทองที่ลงมาจากเวิ้งฟ้า!

ก็ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลลิบ

“ศิษย์พี่รั่วซู่ ได้แล้ว”

พอได้ยินเสียงนี้ รั่วซู่ จวินหวน หลี่เสวียนเวยและผู่เจินต่างถอนหายใจโล่งอก พูดอีกอย่างก็คือ สาเหตุที่พวกเขารออยู่ที่นี่ก็เพราะรอเสียงนี้

“ไป”

พวกรั่วซู่พาหลินสวินเคลื่อนตัวไปหาที่ที่เสียงแว่วมาโดยไม่ลังเล

ตูม!

ฟ้าดินโกลาหล ห้วงอากาศสั่นสะเทือนรุนแรงเหมือนมหาสมุทรโถมซัด

การเคลื่อนไหวของพวกรั่วซู่โดนขัดขวางทันที ถูกพลังด่านเคราะห์ต้องห้ามอันน่ากลัวกดข่ม ไม่อาจเคลื่อนที่ได้

สวบ!

ในขณะเดียวกันเงาร่างสีทองนั้นก็กระโจนออกมาจากส่วนลึกของวังวน

กลิ่นอายภัยพิบัติที่ไม่อาจบรรยายได้ก็กระจายออกมาเหมือนพายุโหม ปกคลุมทั้งฟ้าดินแห่งนี้ ทำให้ที่นี่ตกอยู่ในอันตรายและความน่าสะพรึงกลัวครั้งใหญ่

“น่ากลัวยิ่ง!”

ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นศีรษะชาหนึบ หนาวเหน็บทั้งกายใจ ต่างไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า กลัวแต่จะถูกเงาร่างสีทองนั้นหมายหัว

แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเหล่านั้น ขณะนี้ต่างเงียบเชียบเป็นจักจั่นเหมันต์

นี่เป็นวิญญาณต้องห้าม มีพลังสังหารประหนึ่งเดชสวรรค์!

ตูม!

พอเงาร่างสีทองปรากฏขึ้นก็แกว่งทวนยาวทะลวงมาหาพวกรั่วซู่

ชั่วพริบตานี้ก็ประหนึ่งสายฟ้าสีทองฉีกกระชากห้วงเวลานิรันดร์ ความเจิดจ้าและแหลมคมนั่นเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

พวกรั่วซู่กลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร ไม่แม้แต่จะหันหลังมา ทะยานห่างออกไปไกล แต่การเคลื่อนไหวเชื่องช้าหาใดเทียบ ฟ้าดินแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังต้องห้าม พวกเขาต้องโคจรพลังปราณของตัวเองทั้งหมดถึงสลายมันไปได้

ทว่านี่ก็ทำให้พวกเขาเหมือนเดินอยู่ในบึงโคลน เชื่องช้าถึงที่สุด

เห็นอยู่ว่าเงาร่างสีทองบุกมาแล้ว ก็ในตอนนี้เอง…

สวบ!

ลูกคิดสีทองเจิดจ้ารางหนึ่งพุ่งผ่านอากาศมา

เม็ดลูกคิดแต่ละแถวราวกับหล่อขึ้นจากทองเทพมหามรรค ส่งเสียงดังแซกๆ ในตอนที่ลูกคิดแน่นขนัดกระทบกัน ก็มีพลังกฎเกณฑ์ลึกลับสุดหยั่งสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น รับทวนยาวของเงาร่างสีทองนั้นไว้พอดี

ปึง!

ทั้งสองปะทะกัน คลื่นพลังส่วนเกินที่กระจายออกมาทำให้ห้วงอากาศแห่งนี้พังทลาย กลายเป็นกระแสยุ่งเหยิงน่ากลัวแผ่ขยาย

ลูกคิดสีทองถูกซัดกระเด็น แต่การโจมตีนี้กลับถูกรับไว้ได้!

เหล่าจักรพรรดิที่ได้เห็นภาพนี้ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

วิญญาณต้องห้ามเป็นตัวตนเช่นไร นั่นคือวิญญาณเทพที่แปลงมาจากด่านเคราะห์ การโจมตีของเขาสังหารระดับจักรพรรดิได้สบาย

แต่ตอนนี้กลับถูกลูกคิดรางหนึ่งขวางไว้ได้แล้ว!

ก็เห็นว่าชายไว้หนวดเป็นเลขแปด (八) ดูเหมือนวาณิชผอมบางคนหนึ่งไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ยื่นมือคว้าลูกคิดสีทองเอาไว้แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์พี่รั่วซู่ พวกเจ้าไปก่อน เคราะห์นี้ข้ารับเอง”

คำนวณความแปรผันแห่งฟ้าดิน คะเนความยากหยั่งในใจคน

ผู้สืบทอดคนที่แปดของคีรีดวงกมล ปู่ซ่วนจื่อ!

“เทพเศรษฐี ท่านต้องระวังตัวหน่อย”

จวินหวนเบือนหน้าตะโกน

“รีบไปเถอะ”

ระหว่างที่ปู่ซ่วนจื่อโบกมือก็เข้าห้ำหั่นกับวิญญาณต้องห้ามนั้นแล้ว ลูกคิดสีทองเจิดจ้ารางนั้นเหาะเหิน ทอแสงงดงาม ลึกลับสุดหยั่ง

วิญญาณต้องห้ามถือทวนสังหาร ยากจะกำราบเขาได้ในชั่วขณะ!

รั่วซู่เห็นดังนี้จึงพาพวกหลินสวินมุ่งหน้าไกลออกไปต่อ

ระหว่างทางจวินหวนรีบบอกฐานะของปู่ซ่วนจื่อให้หลินสวินรู้ “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่แปดเป็นถึงเทพเศรษฐีที่มั่งมีที่สุดของพวกเราคีรีดวงกมล มีสมบัติล้ำค่าพิสดารในมือนับไม่ถ้วน ขอเพียงเป็นเจตวัตถุที่เจ้าต้องการ เขาจะต้องหาให้เจ้าได้แน่นอน”

หลินสวินหันหน้าไปอย่างอดไม่ได้ มองดูศิษย์พี่แปดปู่ซ่วนจื่อที่กำลังห้ำหั่นกับวิญญาณพลังต้องห้าม เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “จะให้ศิษย์พี่แปดสู้กับเขาคนเดียวอยู่ตรงนั้นหรือ”

“สถานการณ์บีบคั้น อยากชนะการประชันหมากครั้งนี้ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้”

หลี่เสวียนเวยถอนใจเบาๆ “วางใจเถอะ ศิษย์พี่แปดไม่เป็นไรหรอก ความสามารถในการต่อสู้ของเขาอาจสู้ข้าไม่ได้ แต่วิธีรักษาชีวิตของเขากลับมีไม่สิ้นสุด ข้าห่างชั้นกับเขามาก”

ตูม!

ขณะที่พูดคุยกันอยู่ วังวนน่ากลัวเหนือเวิ้งฟ้านั้นก็หมุนวน ถึงกับมีเงาร่างสีทองร่างหนึ่งกระโจนออกมาอีกครั้ง ในมือถือกระบี่มรรคที่แปลงมาจากพลังระเบียบต้องห้าม โจมตีทะลวงอากาศลงมา

พวกรั่วซู่คล้ายคาดเดาไว้นานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ยังคงไม่ร้อนรนแต่อย่างใดเหมือนเดิม

“ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ถึงตาข้าออกโรง! อ้อ ศิษย์พี่ศิษย์น้องชายหญิงทุกท่าน พวกเจ้ามุ่งหน้าต่อไปอย่างกล้าหาญ ไม่ต้องกังวลใจแทนข้าเด็ดขาด จริงสิ ศิษย์น้องเล็ก ฉายามรรคของข้าคือ ‘เซิ่นเหยียน’ (ระวังวาจา) อยู่ลำดับสิบสอง อาจารย์บอกว่าข้าปากมากนัก พูดจากไร้สาระไปเรื่อย ให้ข้าระมัดระวังคำพูด แต่ช่วยไม่ได้ ให้ข้าหุบปากยังรู้สึกแย่กว่าฆ่าข้าเสียอีก…”

เสียงหัวเราะร่าดังขึ้น สิ่งที่ตามมาด้วยยังมีเสียงพูดพร่ำบ่นเรื่อยเจื้อยไม่หยุดหย่อน

หลินสวินยังฟังจนปวดหัวไปครู่หนึ่ง

นี่มันเวลาไหนกันแล้ว บนโลกนี้ยังมีเจ้าคนที่พูดไร้สาระมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร

แล้วก็เห็นว่าชายหนุ่มที่รูปลักษณ์ไม่โดดเด่น ท่าทางไม่สนโลกปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ในมือถือน้ำเต้ายักษ์สีเขียวใบหนึ่ง

น้ำเต้านั้นสูงกว่าเขาเสียอีก แสงเขียวเจิดจ้า อบอวลด้วยไอขุ่นมัว

พอเขาขับเคลื่อนความคิด น้ำเต้านั้นก็หมุนคว้าง กระบี่บินที่มีแสงพิสุทธิ์วาบไหวเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้า ฟันไปทางเงาร่างสีทองที่ถือกระบี่มรรคพุ่งเข้ามานั้น

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

ชั่วพริบตาทั้งสองก็ห้ำหั่นกันดุเดือดแล้ว

ที่ทำให้ทุกคนหมดคำพูดเป็นที่สุดก็คือ ต่อให้อยู่ในการต่อสู้ที่อันตรายหาใดเทียบนี้ ปากชายหนุ่มยังพล่ามไม่จบไม่สิ้น

“ศิษย์พี่เซิ่นเหยียนก็แบบนี้ล่ะ ตอนไม่สู้จะไม่พูดสักแอะเหมือนน้ำเต้าไม่มีปาก แต่ทันทีที่ต่อสู้เขาก็จะยั้งปากไม่อยู่”

จวินหวนยิ้มอธิบาย

หลินสวินได้พบศิษย์พี่แปดปู่ซ่วนจื่อ ศิษย์พี่สิบสองเซิ่นเหยียน เขาถึงรับรู้ในยามนี้ว่าที่แท้พวกศิษย์พี่ก็เตรียมตัวเผชิญหน้าเคราะห์ภัยคับฟ้าคราวนี้ไว้ก่อนแล้ว!

‘ต่อไปจะยังมีศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นปรากฏตัวหรือไม่’

ขณะที่หลินสวินกำลังครุ่นคิด ก็มีเงาร่างหนึ่งลอยสูงในท้องฟ้าดังคาด แต่งกายด้วยชุดม่วงทั้งชุด ผมขาวพลิ้วไสว ดวงตาทั้งสองข้างสุกสกาวดุจดารา กลิ่นอายหยิ่งผยองอวดดีแผ่ออกมาทั้งร่าง

เขาถือทวนยักษ์ยาวหนึ่งจั้งแปดฉื่อเล่มหนึ่ง น่าครั่นคร้ามราวกับเทพสงคราม

เมื่อเงาร่างสีทองที่สามออกมาจากวังวนเวิ้งฟ้านั้น เขาก็ถือทวนใหญ่พุ่งสังหารโดยไม่ลังเล ท่วงท่าแข็งกร้าวหาใดเทียบ

“นี่คือศิษย์พี่สิบห้า ฉายามรรค ‘ชิงถิง’ นิสัยใจคอสันโดษ สังหารเด็ดขาด ในใจเขาชื่นชมศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูที่สุด ตั้งแต่ศิษย์พี่เก้าประสบเคราะห์ เกือบแสนปีมานี้ศิษย์พี่ชิงถิงก็ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว…”

เสียงจวินหวนเจือความรู้สึกเจ็บปวด

พวกเขาเดินหน้าต่อ ไม่ได้หันหลัง

ด้านเหล่าจักรพรรดิกที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ กับพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนอยู่ในที่ลับต่างไม่อาจสงบใจได้แล้ว

พอผู้สืบทอดคีรีดวงกมลสามคนอย่างปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิงทยอยปรากฏตัว ทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง

ถ้าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ปรากฏตัวพร้อมกันแต่แรก ในที่นี้ใครจะต้านการสังหารของพวกเขาได้

แค่คิดดูก็พาให้ใจสั่นระรัว!

“สันนิษฐานเช่นนี้ ที่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลมาคราวนี้ไม่เคยเห็นพวกเราในสายตา พูดอีกอย่างก็คือ ในการประชันหมากคราวนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขามองเป็นคู่ต่อสู้ก็คือพลังระเบียบต้องห้ามนั่น!”

เฒ่าดึกดำบรรพ์บางส่วนรู้สึกขมขื่น

ความจริงข้อนี้ทำให้จิตใจพวกเขากระทบกระเทือน

คู่ต่อสู้ที่พวกเขามองเป็นศัตรู กลับไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิด ความรู้สึกที่ถูกเพิกเฉยเช่นนี้พวกเขาไม่ได้สัมผัสมานานมากๆ แล้ว

ในขณะเดียวกันพลังที่คีรีดวงกมลสำแดงออกมาก็แข็งแกร่งนัก ทำให้พวกเราต่างใจสะท้านเช่นกัน

ใครจะคิดว่าเศษเดนคีรีดวงกมลที่ถูกพวกเขาดูถูกว่าเป็น ‘วิญญาณเร่ร่อน’ เหล่านี้ ทันทีที่รวมพลขึ้นมาจะมีพลานุภาพน่าครั่นคร้ามเช่นนี้

ดังเช่นตอนนี้ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลแต่ละคนถึงขั้นสามารถต้านการจู่โจมของวิญญาณต้องห้ามตรงๆ ได้ สิ่งนี้ช่างราวกับฝัน น่าเหลือเชื่อเกินไป!

ตูม!

ท้องฟ้าปรวนแปรรุนแรง ยิ่งดำมืดและปั่นป่วนยิ่งขึ้น ในวังวนมหึมาที่หมุนวนครั่นครืนนั้น กลิ่นอายพลังระเบียบต้องห้ามยิ่งน่าสะพรึงกลัว

มีเงาร่างสีทองร่างแล้วร่างเล่าบุกโจมตีออกมาอย่างต่อเนื่อง ถืออาวุธสังหารที่แปลงจากพลังระเบียบต้องห้ามนานาชนิด หมายจะสกัดไม่ให้พวกรั่วซู่จากไป

แต่เมื่อวิญญาณต้องห้ามแต่ละร่างปรากฏขึ้น ก็จะมีผู้สืบทอดคีรีดวงกมลปรากฏตัว สำแดงความสง่างามและฝีมือที่เรียกได้ว่าหายากในโลกเข้าต้านทาน

ราวกับพวกเขาคาดไว้นานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้!

ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นมี ‘เฉิงอวี๋’ ลำดับสิบหก งดงามตามธรรมชาติ อ่อนหวานน่าดึงดูด ประหนึ่งเด็กสาวในห้องหอ

มี ‘จิ่งจงเยวี่ย’ ลำดับที่ยี่สิบ คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มผิวสีทองแดง แข็งแกร่งกำยำผู้หนึ่ง แบกถุงธนูไว้ที่หลัง ครอบครองคันธนูกระดูกสัตว์ หว่างคิ้วเจือไอพิฆาต ตามที่จวินหวนพูด ยามยังเยาว์ศิษย์พี่จิ่งจงเยวี่ยเป็นพราน…

นอกจากเฉิงอวี๋ จิ่งจงเยวี่ย ยังมีศิษย์พี่ ‘หลันชางเจี่ย’ ลำดับที่ยี่สิบสอง ศิษย์พี่ ‘หลิวเซียงฉือ’ ลำดับที่ยี่สิบห้า…

แต่ละคนต่างมีพลานุภาพสะท้านกาลนิรันดร์ ทันทีที่ปรากฏตัว ความน่ากลัวของฝีมือที่สำแดงออกมาทำเอาหลินสวินยังอุทานไม่ขาดปาก

เขายังสงสัยอย่างห้ามไม่อยู่ว่าในการประชันหมากคราวนี้ มีศิษย์พี่กี่คนกันแน่ที่มาถึงที่นี่ก่อนแล้ว

และด้วยการขัดขวางของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ พวกรั่วซู่จึงพาหลินสวินเดินหน้าไปได้อย่างปลอดภัย ไม่ประสบความยุ่งยากอะไร

แต่ยังไม่ทันให้หลินสวินได้ถอนใจโล่งออก จู่ๆ รั่วซู่ที่นำทางอยู่ข้างหน้าก็หยุดเดิน

……………………………………..

ตอนที่ 2032 พลังต้องห้ามมาเยือน
เขาเมฆา

เวิ้งฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ราตรีนิรันดร์ดุจน้ำหมึกอบอวลไปทั้งส่วนลึกของท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ

บรรยากาศกดดันอันเงียบงันก็เปลี่ยนเป็นชอบกลขึ้นมาในขณะนี้

“ในที่สุดก็เก็บกลั้นไม่ไหวแล้ว…”

แววตาทอประกายเร้นลับไหววูบขึ้นในเนตรกระจ่างของรั่วซู่ ตัวนางเหมือนผ่อนคลายลงไม่น้อย

“กลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่ ก็พิสูจน์ได้ว่าคราวนี้ ‘เขา’ ก็ไม่มั่นใจเต็มอกล่ะสิ”

หลี่เสวียนเวยคล้าบขบคิด

“แต่พวกเราก็เหมือนไม่มั่นใจเต็มที่เช่นกัน ดังนั้นศึกนี้จะชนะหรือไม่ก็พูดยากนะ…”

เสวี่ยหยานิ่วหน้าพึมพำ

“อย่าเพิ่งคิดเรื่องชนะ ให้คิดเรื่องแพ้ก่อน ศิษย์พี่เสวี่ยหยาพูดถูกจริงๆ”

จวินหวนพยักหน้า

ผู่เจินไม่ได้เอ่ยปาก ดูกลัดกลุ้มนัก สีหน้าก็เคร่งขรึมมาก

หลินสวินก็ไม่พูดจา เป็นเพราะเขาสอดปากอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้สักนิดว่าศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านี้ถกเรื่องอะไรกันอยู่

รู้แต่ว่าการประชันหมากตาต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นจะต้องน่ากลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน!

ขณะนี้เหล่าบุคคลระดับจักรพรรดิ รวมถึงพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เงียบงันอยู่ในความมืดมาตลอดซึ่งอยู่ไกลออกไป กลับเหมือนถอนหายในโล่งอกโดยไม่ได้นัดหมาย

สายตาของพวกเขาก็มองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้า สีหน้าแตกต่างกันไป

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เคยเข้าร่วมศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิบางคนยิ่งรู้ดีว่า ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในตอนนั้นก็เคยเกิดภาพเช่นนี้ขึ้น

ตอนนั้นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นก็ประสบเคราะห์อย่างต่อเนื่องยามสิ่งนี้เปิดฉากขึ้น!

เวิ้งฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสีดำดุจน้ำหมึกท่ามกลางความเงียบเชียบ

ฟ้าดินมืดมิดราวกับตกอยู่ในราตรีนิรันดร์

กลิ่นอายด่านเคราะห์ต้องห้ามอันกดดันและน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าสีดำนั้น

ขณะนี้สรรพชีวิตมากมายทั้งโลกใหญ่หงเหมิงอันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าพลังปราณจะสูงหรือต่ำต่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ขณะนี้ท้องฟ้าดำสนิทดุจราตรีกาลบดบังใต้หล้า

ขณะนี้สายตาที่กระจายอยู่ทั่วหล้าฟ้าดาราไม่รู้เท่าไรต่างรู้สึกจิตใจสั่นระรัว ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย…

เกือบแสนปีผ่านไป ในที่สุดพลังระเบียบต้องห้ามนั่นก็จะมาเยือนโลกอีกครั้งแล้วหรือ

เรือนมรรคโลกาสวรรค์

ไท่ซูหงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา แหงนหน้ามองเวิ้งฟ้า สีหน้าซับซ้อน ครู่ใหญ่จึงทอดถอนใน “นี่จะต่างอะไรกับประชันหมากกับสวรรค์”

“พลังต้องห้าม”

ขณะนี้หลินสวินขนลุกเกรียว

ตอนบรรลุระดับมกุฎราชัน ระดับมกุฎอริยะและระดับกึ่งมกุฎจักรพรรดิ เขาล้วนเคยประสบกับมหาเคราะห์ไร้เทียมทานที่ประหนึ่งสิ่งต้องห้าม

กระทั่งสมัยได้ไม้โพธิ์เปื่อยเน่าท่อนนั้นมาจากดินแดนรกร้างโบราณ ก็เคยพบเห็นความน่ากลัวของพลังต้องห้ามเช่นนี้แล้ว

และจากคำพูดของชายหนุ่มจักจั่นทอง สามด่านเคราะห์ต้องห้ามที่ปกคลุมดินแดนรกร้างโบราณมาจากยอดบุคคลที่ถูกขนานนามว่า ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’

ต่อมาหลินสวินถึงรู้ว่าพลังระเบียบราวกับสิ่งต้องห้ามนั้น เป็นเพียงสิ่งที่จอมจักรพรรดิไร้นามได้หยั่งรู้และควบคุม ต้นกำเนิดของมันอยู่ที่ไหนกันแน่ไม่มีใครล่วงรู้

ฟ้าดินหมองหม่น ท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยสีหมึกราวราตรีนิรันดร์ทำให้ฟ้าดินคืนสู่ความเงียบสงัด สิบทิศล้วนสั่นสะท้าน กลิ่นอายต้องห้ามน่ากลัวที่ไร้รูปร่างกดดันให้ทุกคนหายใจติดขัด

ขณะนี้พวกรั่วซู่ก็สีหน้าเคร่งเครียด

ครืน!

เสียงฟ้าร้องหนักทึบเสียงหนึ่งทำลายความเงียบสงัดของฟ้าดินแห่งนี้

มองเห็นกับตาว่าส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นมีวังวนมหึมาปรากฏขึ้นเหมือนกับกรวยน้ำกลับหัว ทั้งยังเหมือนประตูใหญ่สู่แดนสวรรค์เบิกออก

พลังระเบียบต้องห้ามคลุมเครือขมุกขมัวสายแล้วสายเล่ากระเซ็นกระสายออกมาจากวังวนราวกับฝูงงูเริงระบำ กลิ่นอายด่านเคราะห์สูงส่งหาใดเทียบฉายวาบอยู่

เพียงมองจากไกลๆ ก็ทำให้ศีรษะชาหนึบ อกสั่นขวัญแขวน

“ในที่สุดก็จะลงมือแล้ว…”

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่จำศีลอยู่ในที่มืดเหล่านั้น ขณะนี้ต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก ดวงตาปรากฏแววกระตือรือร้นตั้งตาคอย

ต้องห้ามดุจมรรค สูงส่งไร้สิ่งใดเทียบเทียม!

อย่างน้อยในทั่วหล้าฟ้าดาราแห่งนี้ พลังระเบียบด่านเคราะห์ราวกับสิ่งต้องห้ามนั้น จนตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถทัดทานการสังหารของมันได้!

และก็เป็นในบรรยากาศซึ่งบีบคั้นกดดันหาใดเทียบนี้ที่รั่วซู่ยิ้มถามหลินสวินว่า

“ศิษย์น้อง รู้ไหมว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณจึงมักจะด่าเสียงดังว่า ‘สวรรค์เฮงซวย’ ตอนที่พบเจอเรื่องขลุกขลัก”

ไม่ทันรอให้หลินสวินถาม หลี่เสวียนเวยก็อธิบายแล้วว่า “พวกเราฝึกมรรค ก้าวย่างบนเส้นทางเย้ยสวรรค์ ย่อมมองสวรรค์เป็นศัตรู ด่ามันว่าสวรรค์เฮงซวยยังไม่เกินไปเลย”

จวินหวนเอ่ยต่อว่า “แต่ในเรื่องนี้ยังมีความเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่ง พวกเราฝึกปราณ หยั่งรู้ฟ้าดิน ควบคุมมหามรรค พลังนี้มาจาก ‘มรรค’”

“มรรคเดิมไร้นาม ซุกซ่อนอยู่ในสรรพชีวิต ที่มาแห่งแรกกำเนิด จุดเริ่มต้นของแรกกำเนิด วัฏสงสารของสรรพชีวิต การผันแปรของเรื่องราวในโลก ความเป็นความตายของสรรพวิญญาณ… ล้วนประทับอยู่ในนัยเร้นลับแห่ง ‘มรรค’”

“ผู้คนในโลกต่างเรียกสิ่งนี้ว่า ‘วีถีสวรรค์’”

“และพลังระเบียบต้องห้ามนี้ก็เป็น ‘มรรค’ อย่างหนึ่งเช่นกัน แต่กลับเป็นศัตรูตัวฉกาจในการฝึกปราณของพวกเรา!”

เสวี่ยหยาที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปาก “พวกเราฝึกปราณ ย่อมประสบกับด่านเคราะห์ต่างๆ แต่ที่ไม่เหมือนกับด่านเคราะห์พวกนี้ คือพลังระเบียบต้องห้ามมักเป็นตัวแทนของความพิสดารและไม่อาจหยั่งถึง ราวกับถ้าละเมิดสิ่งต้องห้ามก็จะถูกสังหารชนิดไม่อาจจินตนาการได้”

“พลังอันพิสดารและไม่อาจหยั่งถึงเช่นนี้จึงจะเป็น ‘พลังระเบียบต้องห้าม’ ที่แท้จริง!”

ในที่สุดศิษย์พี่ผู่เจินก็สรุปด้วยเสียงต่ำลึกว่า

“ดังนั้น ‘สวรรค์เฮงซวย’ ที่พวกเราแช่งด่ากันไม่ได้เป็น ‘วิถีสวรรค์’ แล้วก็ไม่ใช่ด่านเคราะห์ที่ได้เผชิญระหว่างการฝึกปราณ แต่นี่หมายถึง ‘พลังต้องห้าม’ อันพิสดารสุดหยั่ง”

ในที่สุดหลินสวินก็รับรู้เรื่องนี้อย่างอย่างชัดเจน

วิถีสวรรค์ ก็คือ ‘มรรค’ ใหญ่ที่ปกคลุมทั่วหล้า ซุกซ่อนอยู่ในสรรพสิ่งสรรพชีวิต เช่นเดียวกัน พลังระเบียบต้องห้ามนั้นก็ถือเป็น ‘มรรค’ อย่างหนึ่ง

เพียงแต่พลังระเบียบต้องห้ามเป็นตัวแทนของความพิสดารและไม่เป็นมงคล เป็นภัยพิบัติน่ากลัวเกินกว่าด่านเคราะห์ทั่วไป!

พอเข้าใจเรื่องพวกนี้ ตอนหลินสวินมองดูวังวนประหลาดที่ปรากฏออกมาที่เวิ้งฟ้านั้น รวมถึงพลังระเบียบต้องห้ามที่กระเซ็นกระสายฉายวาบอยู่ในวังวน สภาพจิตใจก็แตกต่างจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง

โครม!

เหนือเวิ้งฟ้า วังวนดุจกระบวยหมุนวนช้าๆ ฉีกทึ้งบิดเบนราตรีกาลดั่งน้ำหมึก เสียงฟ้าร้องอึงอลน่ากลัวแผ่กระจายออกมา ดังไปทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือโลกใหญ่หงเหมิง

“ตกลง… เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“หายนะวันสิ้นโลกจะมาเยือนแล้วหรือ”

“กลิ่นอายด่านเคราะห์น่ากลัวจริง หรือนี่จะเป็นภัยพิบัติที่จะขยายวงกว้างไปทั้งใต้หล้า”

“โบราณนานมาจนตอนนี้ เหมือนว่า… เหมือนว่าจะมีแต่ในศึกมรรคสิบทิศยุคดึกดำบรรพ์กับศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาลที่เคยมีด่านเคราะห์พิสดารน่ากลัวเช่นนี้…”

สี่สิบเก้าแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิง แต่ละแคว้นต่างกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนโลกใบใหญ่ ถูกมองว่าเป็นโลกอันดับหนึ่งของทางเดินโบราณฟ้าดารา

และในขณะนี้ ภายในโลกใหญ่หงเหมิงทั้งสี่สิบเก้าแคว้น ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรต่างหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ในป่าเขาต่างร้องคำรามด้วยความครั่นคร้าม หมอบตัวสั่นเทาลงไปกับพื้น

กลิ่นอายด่านเคราะห์ราวต้องห้ามนั้นน่ากลัวเกินไปจริงๆ

ในขณะนี้ยักษ์ใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่ต่างก็เตรียมพร้อม แม้ไม่ถึงกับตื่นตระหนก แต่ในใจก็กดดันหาใดเทียบ

‘อานุภาพสวรรค์’ ราวสิ่งต้องห้ามนั้น ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเคยปรากฏขึ้นแค่สองครั้ง ทว่าแต่ละครั้งที่ปรากฏขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลก!

มันปรากฏขึ้นครั้งแรก ทำให้ยุคดึกดำบรรพ์สิ้นสุด

มันปรากฏขึ้นครั้งที่สอง ทำให้ยุคบรรพกาลปิดฉากลง

และตอนนี้เป็นครั้งที่สามที่มันปรากฏขึ้นแล้ว นี่จะหมายความว่าหลังจากด่านเคราะห์ต้องห้ามครั้งนี้สิ้นสุดลง โลกปัจจุบันจะเกิดสภาพ ‘การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึงในโลก’ อีกครั้งหรือไม่

ขณะนี้ผู้คนในโลกใหญ่หงเหมิงต่างร้อนใจ

ทั่วหล้าฟ้าดาราก็ไม่สงบ!

การเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งหนึ่ง ท้ายที่สุดกลับเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วฟ้า นี่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคิดของคนส่วนใหญ่โดยสิ้นเชิง

มีเพียงเรือนมรรคจำนวนหนึ่งที่รู้ดีเป็นที่สุด ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องจาก ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’

เป้าหมาย ก็เพื่อกำจัดเศษเดนคีรีดวงกมลให้สิ้นซาก!

“อาจารย์ มองดูมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านยังไม่ไปช่วย”

หลิงเคอจื่อร้อนรน

ขณะนี้เขากับอาจารย์ของเขาบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถู กำลังสังเกตการณ์การประชันหมากคราวนี้ผ่านวิชาลับในสถานที่ไกลโพ้นแห่งหนึ่ง

เผียะ!

ฝ่ามือใหญ่เจ้าเนื้อของบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูตบใส่ศีรษะล้านของหลิงเคอจื่อ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าไม่เคยเห็นศิษย์ที่ส่งอาจารย์ไปตายอย่างเจ้ามาก่อน มีจิตสำนึกอยู่ไหม นั่นเป็นถึงพลังระเบียบต้องห้าม ถ้าข้าไปแล้วต้องจบเห่แน่”

หลิงเคอจื่อลูบศีรษะ เอ่ยเสียงหดหู่ว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี…”

“ศิษย์เอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่าเพราะมีพลังระเบียบต้องห้ามนี้ถึงตัดขาดทางเชื่อมไปฟากฝั่งฟ้าดารา ทั้งยังทำให้ทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้กลายเป็นทางตันที่มีชื่อไม่สมตัว”

บรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูเผยความลับข้อหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว “และก่อนระเบียบต้องห้ามปรากฏขึ้น หรือก็คือแรกสุดสมัยดึกดำบรรพ์ ผู้ที่ต้องการแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิทุกคนต่างก็หวังว่าจะไปถึงอีกฟากฝั่งฟ้าดารานั่น”

หลิงเคอจื่อหลุดปากพูดว่า “ที่แท้พลังระเบียบต้องห้ามนี้จึงจะเป็นตัวการใหญ่ที่ตัดขาดฟากฝั่งฟ้าดาราหรือ”

“เจ้ายังไม่ถือว่าโง่เกินไปนัก”

บรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูกล่าว “ดังนั้นภายหน้าเจ้าจะไปฟากฝั่งฟ้าดารานั่นได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าการประชันหมากคราวนี้… ใครจะชนะกันแน่…”

พูดจบแววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ

นั่นเป็นถึงพลังระเบียบต้องห้าม ราวกับอานุภาพสวรรค์อันสูงส่ง เปี่ยมด้วยความพิสดารและอัปมงคล ไม่ว่าจะเป็นศึกมรรคสิบทิศหรือศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ล้วนไม่เคยมีใครเอาชนะมันได้

คราวนี้…

พวกคีรีดวงกมลนั่นจะทำได้หรือ

……

ตูม!

ในส่วนลึกของฟ้าดิน วังวนปั่นป่วน พลังที่ปลดปล่อยออกมาทำให้ทั่วหล้าสะท้านไหว ทั้งโลกใหญ่หงเหมิงปรากฏภาพ ‘โลกาวินาศ’

ในพลังต้องห้ามอันคลุมเครือที่อยู่ในส่วนลึกของวังวนนั้นมีรัศมีสีทองเป็นริ้วๆ ฉายวาบอยู่กลายๆ

“เสี่ยวจิ่ว”

ในพื้นที่ไกลลิบห่างจากเขาเมฆาอีกแห่งหนึ่ง เงาร่างสูงใหญ่ดุจทวยเทพ โอหังไร้ขอบเขตร่างหนึ่งยืนตระหง่าน ทั้งร่างแผ่ไออหังการที่ประหนึ่งตัวข้าสูงส่งเหนือฟ้าใต้หล้า

คนผู้นี้ก็คือผู้นำตระกูลเสวียน เสวียนซั่งเฉิน!

เขารูปลักษณ์หล่อเหลาเป็นที่สุด แสงมรรคน่าหวาดหวั่นไหววูบในดวงตา มองไปไกลลิบเอ่ยพูดเสียงต่ำว่า “เจ้าไม่ใช่อยากรู้มาตลอดหรือว่าท่านอาเล็กเสวียนคงของเจ้าตายอย่างไร ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าให้ เขาตายด้วยระเบียบต้องห้ามนี้!”

ในส่วนลึกของดวงตามีแววเจ็บปวดฉายวาบ

เสวียนซั่งเฉินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเขาไม่ตาย เขาก็จะเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลเสวียนของเรา ต่อให้พ่อแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิมานานมากแล้ว แต่ในแง่ความสำเร็จด้านมรรคาก็ย่อมสู้เขาไม่ได้ แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น… กลับถูกพลังต้องห้ามบัดซบนั่นสังหาร!”

ข้างๆ กันเสวียนจิ่วอิ้นสีหน้าผกผันไม่ว่างเว้น เขาที่ยิ้มแย้มเรื่อยเฉื่อยไร้กังวลเสมอมา ขณะนี้กลับเผยแววแค้นถึงที่สุด

เสวียนคง ผู้สืบทอดลำดับที่สี่สิบเก้าของคีรีดวงกมล มีฉายาว่า ‘ทั่วหล้าบนล่าง ไร้ศัตรูในระดับอริยะ!’

แต่แทบไม่มีใครรู้ว่าเสวียนคงสองคำนี้ไม่ใช่ฉายามรรคของเขา แต่เป็นชื่อจริงของเขา

และยิ่งไม่มีใครคาดคิด ว่าเสวียนคงจะเป็นพี่น้องร่วมอุทรของผู้นำตระกูลเสวียน ทั้งยังเป็นอาแท้ๆ ของเขาเสวียนจิ่วอิ้น!

ตอนที่ 2031 หนึ่งรอดพ้น

“จะมาแล้วหรือ…”

หลี่เสวียนเวยเงยหน้ามองไปยังเวิ้งฟ้า

ตูม!

โลกว่างเปล่าที่เขาอยู่พังทลายประหนึ่งเครื่องแก้ว ทำให้สายตาของเขามองเห็นได้ชัดเจน ว่าในท้องนภาที่อยู่ส่วนลึกสุดนั้นมีพลังลึกลับกำลังรวมตัวกันอยู่รางๆ

‘ศิษย์น้องหลี่ ควรไปแล้ว’

เสียงสุภาพอ่อนโยนของรั่วซู่ดังขึ้นในใจหลี่เสวียนเวย

หลี่เสวียนเวยพยักหน้า เงาร่างพลันหายไป

เขาเมฆา

บรรยากาศกดดันหาใดเปรียบ

ผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลห้าคนอย่างหลินสวิน รั่วซู่ จวินหวน ผู่เจิน เสวี่ยหยา รวมตัวกับพวกจี้เสวียนและซย่าสิงเลี่ย

ห่างออกไประดับจักรพรรดิมากมายสีหน้าจริงจัง ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

ในที่ลับยิ่งมีเฒ่าดึกดำบรรพ์นับไม่ถ้วนซุ่มเงียบและไม่เคยลงมือเช่นกัน คล้ายกำลังเฝ้ารออะไรอยู่

เมื่อเงาร่างของหลี่เสวียนเวยปรากฏ ศัตรูมากมายในที่นั้นล้วนหยุดหายใจ

มาอีกคนแล้ว!?

นี่ทำให้พวกเขาใจสั่นสะท้าน

กลับเห็นจวินหวนกล่าวพึมพำ “ศิษย์พี่หลี่ พลังต่อสู้ของท่านแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่ผู่เจินมาก เหตุใดกลับมาช้าเช่นนี้”

หลี่เสวียนเวยพลันยิ้มขื่น “เดิมทีข้าคิดว่าแค่จัดการเจ้าเฒ่าที่มาจากโลกมืดสองคนเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าพวกเขายังมีผู้ช่วย สุดท้ายก็ฆ่าไปแค่สามคน ทำให้สองคนที่เหลือหนีไปได้”

คำพูดนี้กล่าวอย่างสบายๆ แต่นัยในคำพูดกลับทำให้ทุกคนขนพองสยองเกล้า

“เรื่องพวกนั้นล้วนไม่สำคัญ หลังจากนี้พวกเราต้องเผชิญหน้ากับศึกหินแล้ว…”

สีหน้ารั่วซู่เผยแววเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง

สายตาของนางมองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้าโดยตลอด คล้ายกำลังอนุมานอะไรอยู่

“ศิษย์พี่วางใจ ครั้งนี้ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก ข้าก็จะชิงโอกาสมาให้ศิษย์น้องเล็กแน่นอน” ผู่เจินกล่าวด้วยเสียงแน่นหนัก

เสวี่ยหยายิ้มรับ “พวกเราเฝ้ารอมาเกือบแสนปีแล้ว แพ้หรือชนะอยู่ที่การกระทำในครั้งนี้ หากช่วยเป็นกำลังสร้างคีรีดวงกมลขึ้นใหม่ได้ ต่อให้ตายเก้าครั้งก็ไม่เสียใจ”

“เหอะ! พวกเรารอมาแสนปีไม่ง่ายเลยกว่าจะสบโอกาส พูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ได้อย่างไร”

จวินหวนถลึงตามองผู่เจินกับเสวี่ยหยาคราหนึ่งพลางกล่าว “ข้าจะพูดแค่ประโยคเดียวสี่คำ ร่วมเป็นร่วมตาย”

หมดจดชัดเจน แต่มีความเด็ดเดี่ยวอย่างหนึ่ง

“ใช่ ร่วมเป็นร่วมตาย”

นัยน์ตาหลี่เสวียนเวยฉายแววเศร้าอาดูร “ปีนั้นพวกศิษย์พี่เก่ออวี้ผูประสบเคราะห์ ทำให้ข้ารู้สึกผิดมาถึงตอนนี้ ครั้งนี้จะไม่มีทางให้เรื่องแบบเดียวกันเปิดฉากขึ้นอีก…”

เมื่อพูดถึงพวกเก่ออวี้ผู ในใจพวกรั่วซู่ จวินหวนต่างมืดมนไปพักหนึ่ง

นี่คือความเจ็บปวดเดียวที่ไม่อาจลบไปจากใจของพวกเขา!

หลินสวินเห็นภาพต่างๆ นี้แล้วอดกล่าวมึนงงไม่ได้ “ศิษย์พี่ทุกท่าน พวกท่านกำลังพูดอะไรกันแน่”

การแสดงออกของพวกรั่วซู่เวลานี้ราวกับจะไปสู้สุดชีวิต นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกกดดันอย่างไม่อาจอธิบายได้

“ศิษย์น้อง ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว”

เสียงของรั่วซู่นุ่มนวล ตบบ่าหลินสวินพลางกล่าว “สำหรับตอนนี้ เจ้าแค่คอยดูก็พอ”

หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง ความจริงในใจเขาก็เดาได้รางๆ ทุกอย่างนี้เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับพลังระเบียบต้องห้ามนั่น…

“ศิษย์พี่ ลงมือได้เลยหรือไม่” จวินหวนเอ่ยถาม

“รออีกหน่อย”

รั่วซู่กล่าวอย่างใคร่ครวญ

ในที่นั้นเงียบสงัดแปลกประหลาด การประชันหมากนี้เหมือนตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งที่แปลกพิกล

ศัตรูเงียบไป เหมือนว่ารออะไรอยู่

ก่อนที่พวกรั่วซู่จะจากไป ก็คล้ายว่าเฝ้ารออะไรอยู่เช่นกัน

ทางเดินโบราณฟ้าดารา ในเขตแดนดาราที่อลหม่านและรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่งหยั่งรากกลางอากาศ รากพลิ้วไหว กิ่งก้านยืดขยายไปยังส่วนลึกของฟ้าดารา ดาวดวงโตมากมายล้อมอยู่ระหว่างกิ่งก้าน

จักจั่นทองตัวหนึ่งนอนคว่ำอยู่บนใบไม้ที่โปร่งแสงดุจหิมะน้ำแข็งใบหนึ่งในนั้น

“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง อาไป๋ ยังจำสหายน้อยหลินสวินคนนั้นได้ไหม”

“ทำไมพูดถึงเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว”

เสียงหงุดหงิดหนึ่งดังขึ้น ห่างจากต้นไม้นี้ไปไม่ไกล เด็กสาวชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิ ได้ยินดังนี้ก็กล่าวพึมพำอย่างรำคาญ

ผิวของนางหมดจดเหมือนหยกขาวที่ใสบริสุทธิ์และแวววาวที่สุดบนโลก ผมยาวดำขลับทั้งศีรษะมัดไว้หลวมๆ อยู่เบื้องหลัง เผยให้เห็นใบหน้างามพริ้มเพรา คิ้วดั่งจันทร์เสี้ยว นัยน์ตางามประณีตดุจเคลือบเงา

แม้แต่เสียงก็ใสไพเราะเสนาะหู ราวกับกระดิ่งลมที่พลิ้วไหว

จักจั่นทองกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ปีนั้นตอนอยู่ที่ป่าต้นหม่อน ข้าเคยพูดว่าเขามาจากคีรีดวงกมล เหมือนกับคนผู้หนึ่งยิ่ง”

เด็กสาวชุดขาวมุ่นคิ้วใคร่ครวญครู่ใหญ่แล้วส่ายหัวกล่าว “ผ่านมานานมากแล้ว ข้าลืมไปนานแล้ว”

จักจั่นทองกล่าว “เจ้าก็รู้ แต่เจ้าไม่อยากให้พูดถึงเขา”

“เจ้าจะพูดถึงคนเฮงซวยที่สู้จนบ้าคลั่งนั่นอีกทำไม”

ในดวงตาของเด็กสาวชุดขาวฉายแววโหดเหี้ยม “ปีนั้นหากไม่ใช่เขาอวดดี เจ้ากับข้ามีหรือจะต้องรออยู่ที่ป่าต้นหม่อนมาตลอดเหมือนคนโง่”

“ไม่เหมือนกัน”

จักจั่นทองถอนใจเบาๆ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตั้งแต่เส้นทางมุ่งสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราถูกปิด ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของคีรีดวงกมลอย่างเขาก็เป็นคนเดียวที่เกือบทำสำเร็จ”

เด็กสาวชุดขาวกล่าวชัดทีละคำ “ไม่ว่าเขาจะทำเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน หรืออยากจะทำลายพันธนาการที่ครอบคลุมเหนือทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว!”

“ไม่ ไม่ได้ล้มเหลว”

จักจั่นทองพูดพลางเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มที่บุคลิกสง่าเหนือธรรมดา สีหน้าอบอุ่นคนหนึ่งทันที เขาสวมชุดป่าน เปลือยเท้าเปล่า บนผมปักปิ่นไม้ไว้อันหนึ่ง ทั้งตัวไม่แปดเปื้อนโลกีย์

“การสร้างพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณ มีเพื่อทำลายสามพันธนาการต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนดินแดนรกร้างโบราณ แต่จนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้ากับข้า หรือพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณคนอื่น ล้วนทำได้แค่จำศีลอยู่ใน ‘ดินแดนแห่งการทอดทิ้ง’ บนฟ้าดารานี้เท่านั้น เพราะเหตุใด”

เสียงของชายหนุ่มจักจั่นทองราบเรียบต่ำลึก “สาเหตุอยู่ที่กรงนี้ ไม่เพียงแต่ตัดความหวังของดินแดนรกร้างโบราณ ยังปิดเส้นทางมุ่งสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราด้วย ในกรงที่เต็มไปด้วยเครื่องพันธนาการนี้ ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณ ย่อมถูกมองเป็นพวกนอกรีต”

เด็กสาวชุดขาวฟังจนมึนงงพลางกล่าว “จักจั่นทอง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเงยหน้ามองไปยังที่ห่างไกล สายตาราวกับตัดผ่านฟ้าดาราไร้ขอบเขต

“ไปหาหนึ่งรอดพ้นนั่น”

เขาพูดพลางก้าวออกไป ดาวเคลื่อนดาราคล้อย เงาร่างพลันหายไป

เด็กสาวชุดขาวกำลังจะตามไป แต่ในฟ้าดารากว้างใหญ่นี้ไม่มีเงาของชายหนุ่มจักจั่นทองแล้ว

สีหน้านางดูสับสน ครู่ใหญ่จึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “จักจั่นทองหนอจักจั่นทอง เจ้ายังมีความลับปิดบังข้าอยู่อีกเท่าไหร่กันแน่”

“หืม?”

ทันใดนั้นเด็กสาวชุดขาวพลันสังเกตเห็น เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเขตแดนดาราที่อลหม่านและรกร้างว่างเปล่าแถบนี้

“นี่ เจ้าจะไปไหน”

เงาร่างนั้นสูงตระหง่านและผึ่งผายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับยอดเขาสันโดษพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า ละอองแสงมากมายร้อยถักเข้าด้วยกัน ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา

สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่านี่เป็นชายที่ท่าทางโดดเด่นยิ่งคนหนึ่ง

ได้ยินดังนี้เขาหันกลับมามองเด็กสาวชุดขาวทันที

เมื่อลืมตาคู่นั้น ราวกับดวงดาวนับพันล้านท่ามกลางความว่างเปล่าโดยรอบดับสูญ เดือดพล่าน แผ่ลอยอยู่ภายใน สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลผันเปลี่ยน สรรพชีวิตเกิดดับ!

แค่ถูกสายตาเขากวาดมอง ก็ทำให้เด็กสาวชุดขาวขนลุกขนชันไปทั่วร่าง จิตวิญญาณสั่นระรัว

แต่เมื่อดูอย่างละเอียด ในดวงตาของอีกฝ่ายกลับไม่มีลักษณ์ประหลาดใดอีก เผยความนิ่งสงบถึงขีดสุด ไม่มีคลื่นความรู้สึกอีกต่อไป

“ข้าก็ จะไปหาคน”

ชายคนนั้นยิ้มอย่างเบิกบานใจ หมุนตัวจากไป

‘เจ้าแซ่เฉินนี่ ปิดด่านเก็บตัวในพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณนี้มาตลอด ไม่สนใจเรื่องทางโลก แทบจะไม่รู้สึกว่ามีตัวตน แต่ดูเหมือนว่า… จะถูกเขาหลอกแล้ว…’

เด็กสาวชุดขาวนึกถึงภาพที่ถูกสายตาของอีกฝ่ายกวาดมองเมื่อครู่ ในใจก็กดดันขึ้นมาทันที

นี่ทำให้นางตระหนักได้ว่า พันธมิตรสงครามรกร้างโบราณที่จำศีลอยู่ใน ‘ดินแดนแห่งการทอดทิ้ง’ นี้มาตลอด ไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่นางเข้าใจ!

ดินแดนรกร้างโบราณ โลกชั้นล่าง

บนหอดูดาวหลวงแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า ราชครูสองมือไพล่หลัง พิงราวกั้นทอดสายตามองไปไกล

ผืนฟ้ายังนิ่งสงบเช่นนั้น ไม่ต่างอะไรกับแต่ก่อน แต่ในสายตาเขากลับเห็นภาพน่ากลัวที่ไม่มีใครมองเห็นมากมาย

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”

ราชครูพึมพำ ในดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับทารกนั้นเผยแววทอดถอนใจอย่างยินดีออกมา

“เจ้าเฒ่า ดูพอหรือยัง”

ใต้หอดูดาวหลวง ผู้อาวุโสที่ผมเผ้าหนวดเครากระเซิง ร่างผอมเหมือนไม้ฟืนคนหนึ่งแหงนคอตะโกน

บนท้องถนนผู้คนสัญจรคลาคล่ำ แต่เหมือนไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้อาวุโสร่างผอมคนนี้ ถึงขั้นไม่ได้ยินแม้แต่เสียง

ราชครูถาม “ละทิ้งมหามรรค หลบซ่อนมาหลายปี ตอนนี้เจ้า… อยากก้าวออกมาแล้วหรือ”

ผู้อาวุโสร่างผอมตะคอกด่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีความหวังเสี้ยวหนึ่ง ถ้าไม่ไปแล้วยังจะอยู่ในสถานที่แร้นแค้นนี่อีกทำไม”

คนผู้นี้ แน่นอนว่าเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวแห่งเรือนโอบดารานิทราบุหลัน

“แร้นแค้นหรือ… นี่เป็นถึงแดนต้นกำเนิดมหามรรคของทั่วฟ้าดารานะ…”

ราชครูพึมพำ แววตาทอดมองไปทั่วจักรวรรดิจื่อเย่า ราวกับเห็นทะเลกลืนวิญญาณที่ห่างไกล รวมถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณด้วย

“ข้าถามเจ้าว่าจะไปหรือยัง”

เฒ่าโดดเดี่ยวกล่าวอย่างหงุดหงิด

“ไม่ไปได้ด้วยหรือ”

ราชครูยิ้มขื่นพลางส่ายหัว

วันนี้ราชครูของหอดูดาวหลวงแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าและเฒ่าโดดเดี่ยวหายไปพร้อมกัน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยดึงดูดความสนใจของผู้ใด

ในสายตาของคนทั่วไป พวกเขาดูแก่เกินไป แก่จนถึงขั้นไร้คนเหลียวแล

บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าฤาษีไร้นาม

แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล

เล่าลือว่าแม่น้ำทุกสายทั่วหล้าหมื่นพิภพ รวมไปถึงสายน้ำในธารดาราของส่วนลึกแห่งจักรวาล สุดท้ายจะมารวมอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับและดึกดำบรรพ์นี้

ตั้งแต่สมัยบรรพกาล รอบด้านของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมด้วยคีรีเทพห้าลูก แยกออกเป็นอิ๋งโจว เผิงไหล ฟางหู ไต้อวี่ หยวนเจี้ยว

คีรีเทพแต่ละลูกบนล่างเหยียดยาวสามหมื่นลี้ ระหว่างภูเขาห่างกันเจ็ดหมื่นจั้ง ด้านบนทะลุธารดารา ด้านล่างประชิดนรกขุมที่เก้า

แต่หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิครั้งบรรพกาลปะทุขึ้น ภูเขาเทพห้าลูกนี้ก็หายไป แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีสภาพเหมือน ‘ตาสมุทร’ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เปลี่ยนจนต่างไปจากสมัยบรรพกาล

หลายปีก่อนหลินสวินที่ยังเด็กเคยเข้าไปใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้รับ ‘มรรคคาถา’ บทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดมา

และได้รับมรดกของ ‘วิชาอริยะยุทธ์’ มาด้วย

ก่อนหน้านี้ไปอีก ตอนที่ทางเดินโบราณฟ้าดารายังไม่ถูกปิด ลั่วทงเทียนเจ้าแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดาราเคยปรากฏตัวในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์…

และมีข่าวลือว่า ประตูทางเข้าสำนักคีรีดวงกมลก็ตั้งอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย

สรุปคือ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มีตำนานที่ลึกลับมากเกินไป

และตอนนี้ในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเงาร่างหนึ่งค่อยๆ ตื่นจากการเก็บตัวเงียบในกาลเวลาไร้สิ้นสุดแล้วลืมตาขึ้น

“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว…”

พริบตานี้ ไอพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงไร้ขอบเขตซัดสาดออกมา

………………………………..

ตอนที่ 2030 ตัวข้าคลุมเครือดั่งบัวเขียว

คำชี้แนะของรั่วซู่ หลินสวินได้ยินชัดทุกถ้อยคำ จดจำขึ้นใจ แต่หลักการที่แฝงอยู่ในนั้นเขากลับไม่อาจเข้าใจ

นี่ก็คือหลักแห่งมหามรรค ระดับขั้นไม่พอ รับฟังไปก็ป่วยการ

แน่นอนว่าหลินสวินเชื่อว่าวันหนึ่งที่ตนก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ ต้องเข้าใจความหมายนี้ของศิษย์พี่รั่วซู่แน่

ทุกคนในบริเวณนั้นใจสะท้าน ทุกสายตาที่มองไปยังรั่วซู่ล้วนเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง ถึงขั้นเผยอาการหวาดกลัว

เย้าหยอกบรรพจารย์จักรพรรดิกลางฝ่ามือ นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!

แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์บางคนที่ลอบซุ่มตัวอยู่เวลานี้ก็เงียบไป

การประชันหมากนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ รวมหลินสวินนั่นแล้ว ฝั่งคีรีดวงกมลเพิ่งมีผู้สืบทอดลงมือแค่สี่คน แต่ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

แม้แต่บรรพจารย์จักรพรรดิก็ไม่สามารถสร้างแรงคุกคามได้ แล้วเช่นนี้จะสู้ได้อย่างไร

อันที่จริงทุกอย่างนี้ล้วนอยู่เหนือการคาดเดาของผู้คนอย่างสิ้นเชิง

ตอนแรกพวกเขามองหลินสวินเป็นเหยื่อล่อ วางภาพรวมครอบฟ้า นอกจากต้องการชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นมาไว้ในมือแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือฉวยโอกาสนี้กำจัดผู้สืบทอดคีรีดวงกมลพวกนั้นในคราเดียว

แผนการก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่กลับเกิดตัวแปรมากเกินไป!

อย่างจวินหวน ผู่เจิน เสวี่ยหยา รั่วซู่ทั้งสี่คน แต่ละคนล้วนแข็งแกร่ง ระดับจักรพรรดิทั่วไป เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ไม่อาจสร้างแรงคุกคามได้แต่แรก

ต่อให้เป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ถึงตอนนี้ก็ร่วงหล่นไปแล้วหกคน!

สองคนถูกจวินหวนฆ่า คนหนึ่งถูกผู่เจินสังหาร สามคนถูกรั่วซู่กำราบกลายเป็นรังไหม

หากรวมบรรพจารย์จักรพรรดิสี่คนอย่างหลิงเหอ ทุนเจียง จิ่วหนิง เมี่ยวหลุนที่สิ้นชีพด้วยเงื้อมมือรั่วซู่ไปก่อนหน้านี้ ก็มีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิร่วงหล่นไปสิบคนแล้ว!

จำนวนนี้น่าหนักใจจนพาให้คนหายใจไม่ออกจริงๆ

ระดับบรรพจารย์ บรรพจารย์แห่งมรรค หากอยู่ในขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ ก็เรียกได้ว่าเป็นแกนพลังที่เหมือนเสาหลักคนสำคัญ มีจำนวนจำกัดอย่างมาก

หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิครั้งบรรพกาลสิ้นสุด ในกาลเวลาเกือบแสนปีจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน

แต่ตอนนี้บรรพจารย์จักรพรรดิกลับร่วงหล่นดุจสายฝน!

หากเรื่องนี้กระจายออกไป ทั่วทางเดินโบราณฟ้าดาราต้องตกอยู่ในความปั่นป่วนอย่างไม่เคยมีมาก่อน เปิดฉากความโกลาหลที่ยากจะจินตนาการ

“ศิษย์น้อง นี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อย เจ้าเฒ่าบางคนยังรออยู่ แต่ก็ช่างปะไร การประชันหมากในวันนี้ตัวแปรเกินคาดเดา พวกเขาข่มอารมณ์ได้ พวกเรา… ก็ทำได้”

คำพูดนี้ของรั่วซู่ทำให้หลินสวินอึ้งงันอย่างอดไม่ได้

ศึกแห่งบรรพจารย์จักรพรรดิที่อันตรายและนองเลือดเช่นนี้ เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยหรือ คนที่ถูกมองเป็น ‘เจ้าเฒ่า’ พวกนั้นจะน่ากลัวมากเพียงใด

ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง เสียงสื่อจิตของรั่วซู่ก็ดังขึ้นข้างหู ‘ศิษย์น้อง ข้าขอยืมใช้สามพันเคลื่อนคล้อยสักครั้ง’

หลินสวินพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก

วู้ม!

สามพันเคลื่อนคล้อยปรากฏออกมา

‘หากอาจารย์ยังอยู่ เมื่อเห็นสมบัตินี้เสียหายก็ไม่รู้ว่าในใจจะคิดอย่างไร’

รั่วซู่ทอดถอนใจเงียบๆ นางกุมสามพันเคลื่อนคล้อยไว้ในมือแล้วสั่นเบาๆ หนึ่งครั้ง

ตูม!

ราวกับสายน้ำแห่งกาลเวลาปรากฏ พุ่งทะลวงสู่ฟ้า

เสียงร้องแตกตื่นระลอกหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นจักรพรรดิมารผลาญนภาที่กำลังห้ำหั่นดุเดือดกับจักรพรรดิอสนีดับสูญ ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนสายน้ำแห่งกาลเวลานั้นปกคลุม

เพียงพริบตาระดับจักรพรรดิของเรือนมรรคเหล่ามารคนนี้ก็สลายกลายเป็นธุลี

จี้เสวียนอึ้งไป รับมือไม่ทันอยู่บ้าง

ตูม!

แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนสายน้ำแห่งกาลเวลานั่นเปี่ยมอานุภาพไม่เสื่อมถอย ม้วนกลืนฟ้ากว้าง

น่าหลันฉีมหาจักรพรรดิคมยุทธ์ที่กำลังโรมรันกับซย่าสิงเลี่ยหน้าพลันเปลี่ยนสี ถอยตัวหลบหนีไปทันที เคลื่อนที่ครั้งเดียวก็หายไปจากที่นั้น

“ค่อยน่าสนใจหน่อย”

รั่วซู่เหลือบมองน่าหลันฉีที่หนีไปเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจ

เมื่อนางใช้สามพันเคลื่อนคล้อย แสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าหวาดกลัวนั้นก็พุ่งตรงไปที่ส่วนลึกของท้องนภา

“ศิษย์พี่ ทำไมต้องเข้ามายุ่งด้วย”

จวินหวนไม่พอใจอยู่บ้าง

นางกำลังต่อสู้อย่างเมามัน เห็นอยู่ว่ากำลังจะสังหารคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่บาดเจ็บหนักได้ แต่การลงมือของรั่วซู่กลับทำให้คนผู้นั้นตกใจจนรีบหนีตายสุดชีวิต

“เวลาล่วงมามากแล้ว…”

รั่วซู่เอ่ยเสียงเบา

“น่าเสียดาย”

จวินหวนเหลือบมองคู่ต่อสู้พวกนั้นเล็กน้อย คล้ายยังไม่หายอยาก แต่สุดท้ายก็หายตัวเคลื่อนผ่านอากาศมาอยู่ข้างกายรั่วซู่

ยังไม่รอให้รั่วซู่เรียกหา ผู่เจินก็ปลีกตัวออกจากการต่อสู้ แบกจอบกลับมา

“เวลาล่วงมามากแล้วจริงๆ”

เสวี่ยหยาที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นและท่องคัมภีร์เก็บม้วนตำราลงไปแล้วหยัดร่างขึ้น

ซย่าสิงเลี่ยและจี้เสวียนก็มาแล้ว ทั้งสองต่างมึนงง แต่ไม่ได้ถามด้วยรู้กาลเทศะ

การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ นี้ทำให้ศัตรูพวกนั้นไม่มีใครไม่รู้สึกผิดคาด เศษเดนแห่งคีรีดวงกมลพวกนี้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบ แต่กลับหยุดมือกะทันหัน นี่คิดจะหนีไปหรือ

แต่เมื่อเห็นพวกรั่วซู่ จวินหวนรวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิที่อยู่ในที่แจ้งพวกนั้น หรือพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่แอบซ่อนตัวอยู่ล้วนไม่มีใครลงมือขัดขวาง

‘ขาดแค่ศิษย์น้องหลี่แล้ว’

รั่วซู่เงยหน้าเล็กน้อย มองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้า คล้ายกำลังขบคิด

เวลานี้เหล่าศัตรูอยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่มีใครกล้ารุกราน!

ในโลกว่างเปล่าที่มืดมิด

“ต่ำช้า ต่ำช้าเกินไปแล้ว”

หลี่เสวียนเวยส่ายหัวพลางหลุดหัวเราะ ไอสังหารในแววตากลับเพิ่มขึ้นไม่ลดลง

บัวเขียวมรกตดุจหยกดอกแล้วดอกเล่าผลิบานอยู่รอบตัวเขา โบกไหวอ่อนโยน แต่ละดอกล้วนวิวัฒน์มาจากเจตกระบี่บริสุทธิ์

“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าการประชันหมาก”

สีหน้าของบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่เหมือนภิกษุชราราบเรียบไม่ไหวติง ตรงหน้าเขาควบรวมประทับกฎเกณฑ์นานัปการออกมา มีประทับขวดสมบัติ ประทับจรัสแสง ประทับกงล้อเหล็กกล้า ประทับอจลวิทยราชเป็นต้น

ประทับกฎเกณฑ์แต่ละสายล้วนแผ่คลุมด้วยพลังมหามรรคอันสูงส่ง

“พวกเราไม่มีทางดูหมิ่นคีรีดวงกมล ดังนั้นจึงเตรียมการไว้พร้อมสรรพ”

อีกด้านหนึ่งบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่คล้ายเด็กหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา กระบี่มรรคสีดำราวกับราตรีนิรันดร์เล่มหนึ่ง ลอยคว้างห่างจากหน้าเขาสามฉื่อ ตัวกระบี่แผ่แสงดำที่พาให้คนหวาดหวั่นเป็นวงกลม

“หลี่เสวียนเวย ครั้งนี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว”

ในพื้นที่อื่นยังมีเงาร่างอีกสามสายยืนอยู่!

คนหนึ่งเป็นชายกลางคนเคราโง้ง สวมชุดคลุมม่วง เท้าเหยียบเมฆมงคล น่าเกรงขามประหนึ่งเทพ แสงมรรคที่เต็มไปด้วยคลื่นน้ำวนสะท้อนออกมาระหว่างที่เขากะพริบตา

คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มชุดเทา มีม่านตาคู่แต่กำเนิด สองมือกุมกระบี่ไว้ข้างละเล่ม ปราณกระบี่ที่เป็นเส้นริ้วถึงกับวิวัฒน์ออกมาเป็นลักษณ์แห่งสุริยันจันทรา ขานรับซึ่งกันและกัน

อีกคนเป็นหญิงที่มือประคองเจดีย์สมบัติสีชาดไว้ ร่างสูงระหงเป็นอย่างยิ่ง สวมชุดกระโปรงรุ้ง ท่าทางงดงามเย็นชา

สามคนนี้ กลิ่นอายของแต่ละคนถึงกับไม่ด้อยไปกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงและบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีสักนิด!

“ทว่าอาศัยพวกเจ้าห้าคน ก็ยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้”

กลับเห็นหลี่เสวียนเวยยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เวลาล่วงมามากแล้ว ตอนนี้ข้าคนแซ่หลี่จะส่งทุกท่านไปลงนรก”

ชิ้ง!

เสียงสะท้อนใสของกระบี่ดังขึ้น หลี่เสวียนเวยก้าวเดินกลางอากาศ บัวเขียวนับไม่ถ้วนเบ่งบาน ไอคลุมเครือไหลวน ควบรวมเป็นปราณกระบี่แน่นขนัดส่งเสียงหวีดหวิว

“ไม่รู้จักดีชั่ว”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีสีหน้าเรียบเฉย กระบี่โบราณสีดำดุจราตรีนิรันดร์ทะยานสู่ฟากฟ้าแล้วฟันลงมา

ประทับกฎเกณฑ์มากมายที่อยู่ตรงหน้าบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงพุ่งตามมาติดๆ ส่องประกายสว่างไสว

อีกด้านหนึ่งชายกลางคนเคราโง้ง เด็กหนุ่มชุดเทาและหญิงที่ถือเจดีย์สมบัติก็เคลื่อนไหวแล้ว

ตูม!

โลกที่เหมือนว่างเปล่านี้สั่นสะเทือน ถูกความปั่นป่วนของการต่อสู้เข้ามาแทนที่จนเต็ม

หลี่เสวียนเวยสู้โดยลำพังกับศัตรูห้าคน ท่วงท่าสง่างาม ประหนึ่งเทพกระบี่ที่โดดเด่นเหนือใครเดินทัพ บัวเขียวแต่ละดอกส่องสะท้อนจักรวาล สาดฝนกระบี่ไร้สิ้นสุด

ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนมีอานุภาพกำราบเทพผี มหัศจรรย์เกินคาดเดา เพียงชั่วขณะก็สู้กับระดับบรรพจารย์จักรพรรดิห้าคนนั้นได้อย่างสูสี ยากจะแยกจากกัน

ในการต่อสู้นั้นบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงและบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีล้วนตกใจอยู่ลึกๆ ครั้งนี้หลี่เสวียนเวยโจมตีเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ทำให้พวกเขารับมือไม่ทัน

หากไม่ใช่ว่าพวกเขามีแผนการอื่น เรียกสหายร่วมวิถีอีกสามคนมาลงมือพร้อมกัน อาศัยเพียงพวกเขาสองคนเกรงว่าคงขวางการโจมตีของหลี่เสวียนเวยไม่อยู่แต่แรก!

ผ่านไปครู่ใหญ่

หัวคิ้วของหลี่เสวียนเวยที่อยู่ในการห้ำหั่นพลันขมวดขึ้นพลางกล่าว “เดิมทีก็ไม่อยากร่ำไรกับพวกเจ้า แต่เวลาเหลือไม่มากแล้วจริงๆ เช่นนั้นจะให้พวกเจ้าได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของข้าคนแซ่หลี่สักหน่อย”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง

ชุดของหลี่เสวียนเวยสะบัดโบก เบื้องหน้ามีบัวเขียวดอกหนึ่งเบ่งบานอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นกระบี่มรรคเล่มหนึ่ง ดูดกลืนดวงดาวทั่วหล้า อบอวลด้วยไอคลุมเครือไร้สิ้นสุด

กระบี่จักรพรรดิบัวเขียว!

ศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของหลี่เสวียนเวย!

“แผ่ไพศาลชั่วกาล โลกหล้าไร้ขอบเขต เป็นตายไยต้องผ่านชั่วดีดนิ้ว”

ท่ามกลางเสียงถอนใจเบาๆ หลี่เสวียนเวยถือกระบี่มรรค ก้าวตามตำแหน่งดวงดาว แผลงฤทธิ์ดุจเซียนกระบี่ เจตกระบี่ทั้งตัวปกคลุมทั่วโลกว่างเปล่า

ยกกระบี่แล้วฟันลงมา

ฟุ่บ!

หัวคนชุ่มเลือดหัวหนึ่งกระเด็นขึ้นเหนือฟ้า

ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มือถือกระบี่คู่ รูปร่างเหมือนเด็กหนุ่มผมเทา ถูกบั่นหัวในกระบี่เดียวโดยไร้สุ้มเสียง!

พวกบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงและบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน หลี่เสวียนเวยในเวลานี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่าทางสง่างามดั่งเซียน มรรคกระบี่ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว!

แค่อานุภาพของเจตกระบี่ที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็กดดันจนพวกเขาแข็งทื่อไปทั้งตัว ขนพองสยองเกล้า

การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งใหญ่นัก ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ

“ตัวข้าคลุมเครือดั่งบัวเขียว ลอยเหนือมรรคาชั่วกัปกัลป์”

ชายเสื้อของหลี่เสวียนเวยพลิ้วไหว สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด

ท่ามกลางความเลือนราง เขาราวกับแปลงร่างเป็นบัวเขียว หยัดแยกไอคลุมเครือ กิ่งก้านเทียมฟ้า แสงเขียวมรกตสะท้อนอยู่บนห้วงอากาศว่างเปล่า!

ฉัวะ!

สิ้นชีพไปอีกคนแล้ว ถูกปราณกระบี่แน่นขนัดบดขยี้เรือนกาย พลังจิตดับสูญ

เป็นชายกลางคนเคราโง้งนั่น!

พวกบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ในใจพลันหนาวเยือกขึ้นมา เมื่อใดกันที่หลี่เสวียนเวยเปลี่ยนเป็นน่ากลัวเช่นนี้

เท่าที่พวกเขารู้ ในสมัยบรรพกาลหลี่เสวียนเวยไม่เคยก้าวสู่ระดับบรรพจารย์ แต่เขาในตอนนี้กลับเหมือนน่ากลัวกว่าระดับบรรพจารย์!

นี่มีแค่คำอธิบายเดียว นั่นก็คือตัวเขาในอดีตจงใจปิดบังพลังของตนไว้!

“ชูกระบี่ใต้หล้าคลื่นลมคลั่ง จุดที่กระบี่ฟันลงคือยมโลก”

หลี่เสวียนเวยท่าทางผ่าเผย ระหว่างที่ปราณกระบี่ไขว้ตัดสลับกัน บัวเขียวเบ่งบานออกมานับไม่ถ้วน เปล่งประกายเจิดจรัสและไม่ธรรมดาปานนั้น

“ทำลาย!”

หญิงชุดกระโปรงรุ้งที่ถือเจดีย์สมบัติส่งเสียงคำราม ร่างกายดุจเพลิงผลาญ เจดีย์สมบัติสะเทือนใต้หล้า พลังทั้งตัวราวกับปลดปล่อยออกมาเต็มกำลังในยามนี้

แต่ชั่วพริบตาทุกการดิ้นรนของนางก็ถูกปราณกระบี่เจิดจรัสบดขยี้!

ปึง!

เจดีย์สมบัตินั้นยังถูกปราณกระบี่ฟันลอยไป ส่งเสียงครวญไม่หยุด ทั้งตัวนางก็ถูกดอกบัวสีเขียวนับไม่ถ้วนฝังกลบอยู่ภายใน กลายเป็นเถ้าถ่าน

กายสิ้นมรรคสลาย!

“ใจข้าส่องประกายชั่วกัปกัลป์ กระบี่ข้ากระจ่างจิตไร้สิ้นสุด!”

หลี่เสวียนเวยตะโกนก้อง เงาร่างเหมือนภาพมายา เลือนรางยากจับต้อง อานุภาพกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ราวกับเซียนร่ายกระบี่ ส่องแสงเยียบเย็นถึงเก้าชั้นฟ้า

แต่ไม่รอให้เขาพุ่งสังหาร บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงกับบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีก็หนีไปโดยไม่ลังเลแล้ว

ภาพการตายนองเลือดต่างๆ ก่อนหน้านี้กระตุ้นจนพวกเขาขวัญหนีดีฝ่อนานแล้ว ไหนเลยจะกล้าไปต่อสู้กับหลี่เสวียนเวยอีก

หลี่เสวียนเวยเห็นดังนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ เจ้าเฒ่าสองคนนี้ ไร้ความสามารถเกินไปแล้ว!

ตอนที่ 2029 หยอกเย้าบรรพจารย์จักรพรรดิกลางฝ่ามือ

กระสวยบินตัดผ่านเวียนวน เหมือนกำลังเย็บปักถักร้อย

แต่กระบี่สายฟ้าของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงกลับถูกสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนั้น

หลินสวินก็ยืนอยู่ด้านหลังรั่วซู่ แต่เมื่อเห็นภาพนี้เขากลับไม่รับรู้อะไร แค่รู้สึกได้ถึงพลังที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างหนึ่ง

พลังนั้นอยู่เหนือจินตนาการ ไม่ใช่สิ่งที่เขาในตอนนี้หยั่งรู้ได้

แต่เขารู้ดีว่าหากกระบี่นี้ฟันไปทางระดับจักรพรรดิคนใดคนหนึ่งในที่นั้น ย่อมต้องสิ้นชีพในกระบี่เดียวแน่!

กลับเห็นรั่วซู่พูดเหมือนไม่ใส่ใจ “มหามรรคที่ข้าเสาะหา ใช้เล็กสื่อใหญ่ มองเห็นจุดเล็กรับรู้ถึงภาพรวม คล้ายลมวสันต์ผันแปรเป็นหยาดฝน เห็นความจริงโดยไร้สุ้มเสียง”

ตูม!

หมัดของบรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่ซัดเข้ามา เต็มไปด้วยพลังกดดันสูงส่ง ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงทรุดตัว แต่มีเพียงพื้นที่ซึ่งหลินสวิน รั่วซู่ เสวี่ยหยายืนอยู่ที่ทนทานมั่นคง ไม่เคยได้รับการโจมตีใดๆ

ส่วนพลังหมัดที่น่ากลัวนั้นก็ถูกพลังของ ‘ค่ายกลอาภรณ์สวรรค์’ สลายไปโดยไร้สุ้มเสียง

“เปิด!”

ชายชราชุดนักพรตที่มาจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เรียกกระถางมังกรไฟออกมา เพลิงเทพนับหมื่นไหลพุ่ง ฝังกลบพื้นที่แถบนี้ไว้สิ้น

แต่เพียงพริบตาก็ถูกค่ายกลอาภรณ์สวรรค์คลี่คลาย

“นี่…”

ชายชราชุดนักพรตมีนามว่าบรรพจารย์จักรพรรดิเจินเจวี๋ย กระถางมังกรไฟที่ครอบครองก็เป็นยอดสมบัติที่เหนือธรรมดาชิ้นหนึ่ง พลังต่อสู้ท่วมท้นสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิบนโลกขวัญหนีดีฝ่อ

แต่ตอนนี้เขากลับหน้าเปลี่ยนสี

ไม่ใช่แค่เขา บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงและบรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่ก็เช่นกัน

สามคนออกโจมตีพร้อมกันแต่กลับถูกต้านทาน ไม่เคยสั่นคลอนอีกฝ่ายได้แม้เศษเสี้ยว นี่เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

รั่วซู่กล่าวต่อไป “ศิษย์น้อง หนึ่งเม็ดทรายหนึ่งก้อนหิน หนึ่งกอหญ้าหนึ่งต้นไม้ ล้วนเหมือนโลกแห่งหนึ่ง หนทางแห่งการฝึกปราณ เมื่อรู้ภาพรวมแล้วก็ไม่อาจละเลยจุดเล็กๆ บนเส้นทาง เช่นนี้จึงจะรับรู้ความอัศจรรย์ของ ‘เล็กใหญ่ดั่งใจ’ ได้”

นางดูคล้ายรอบข้างไร้คน พูดคุยด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน ในสถานการณ์ที่อันตรายหาใดเปรียบนี้ เห็นได้ว่าไม่เข้ากันอย่างยิ่ง

แต่ไม่ว่าใครจะมองไปทางนาง สีหน้าก็ล้วนเปลี่ยนเป็นจริงจังหาใดเปรียบ

“ฆ่า!”

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวง บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่และบรรพจารย์จักรพรรดิเจินเจวี๋ยสูดหายใจลึก ออกโจมตีอีกครั้ง

พลังที่บรรพจารย์จักรพรรดิครอบครองแน่นอนว่าน่าหวาดกลัวผิดธรรมดา ภายในหนึ่งห้วงคิดก็ออกคำสั่งได้หมื่นวิชา เผยวิชาชั้นสูงออกมาจนหมด

ตูม…

ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน ล้วนมีสัญญาณว่าจะพังทลายย่อยยับ

เคราะห์ดีที่เขาเมฆาตั้งอยู่ในอาณาเขตเหนือสุดของโลกใหญ่หงเหมิง เชื่อมต่อกับ ‘แดนปริศนา’ ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีร่องรอยผู้คนบางตา หลังจากศึกแห่งบรรพจารย์จักรพรรดิขนาดใหญ่นี้ปะทุขึ้นจึงไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของผู้บริสุทธิ์มากเกินไป

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขตแคว้นที่เขาเมฆาตั้งอยู่นี้ก็ยังถูกลูกหลง ตัวเมืองนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทั้งมีสิ่งมีชีวิตไม่รู้เท่าไรหวาดผวาหน้าถอดสี

แม้แต่ผู้ฝึกปราณก็ล้วนตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระวนกระวายอยู่ไม่สุข

ด้วยในสายตาของพวกเขา บนเวิ้งฟ้านั่นสะท้อนลักษณ์ประหลาดน่ากลัวที่น่าเหลือเชื่อมากมาย ประหนึ่งทวยเทพกรำศึกอยู่ภายใน กลิ่นอายทำลายล้างชวนตะลึงอบอวล

สีเลือดแดงก่ำย้อมม่านนภาจนแดงพิกล

ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน!

การต่อสู้ระหว่างระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเช่นนี้ หลินสวินผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเดิมทีก็ไม่อาจรับรู้นัยเร้นลับในนั้นได้แต่แรก

รสชาตินั้นเหมือนมดปลวกตัวหนึ่ง เห็นเทพมังกรบนสวรรค์กำลังห้ำหั่นกัน รู้แค่การต่อสู้นี้น่าสะพรึงไร้ขอบเขต แต่น่ากลัวแค่ไหนนั้นกลับไม่อาจรับรู้

ก็เหมือนกับตอนนี้ เขาได้แต่เห็นว่าศิษย์พี่รั่วซู่สร้างค่ายกลอาภรณ์สวรรค์ขึ้นมาเหมือนสนเข็มร้อยด้าย คนผู้เดียวต้านการโจมตีของบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนเพียงลำพัง เห็นได้ว่าฝีมือยอดเยี่ยม ดูสงบผ่อนคลาย

เห็นแค่ศิษย์พี่เสวี่ยหยาท่องคัมภีร์มรรค ไอพลังยิ่งใหญ่พุ่งทะลวงฟ้าดิน กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

และส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั่น การต่อสู้ของศิษย์พี่ผู่เจินและศิษย์พี่จวินหวนก็เป็นแบบเดียวกัน

เมื่ออยู่กลางการต่อสู้เช่นนี้ หลินสวินรู้สึกว่าตนตัวเล็กจ้อยเพียงนี้เป็นครั้งแรก ราวกับกลายเป็นผู้ชมที่ไม่รู้จักประมาณตนคนหนึ่ง

อย่าว่าแต่เข้าไปยุ่งเลย หากไม่มีการคุ้มครองของเหล่าศิษย์พี่ ก็คงถูกคลื่นพลังจากการต่อสู้กลางฟ้าดินนี้กำจัดไปนานแล้ว!

หลินสวินอดคิดไม่ได้ว่าศึกมรรคสิบทิศในสมัยดึกดำบรรพ์ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิครั้งบรรพกาล… ก็น่ากลัวเช่นนี้หรือไม่

ตูม!

เสียงกัมปนาทน่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งดังขึ้น ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ในความรางเลือนเหมือนมีดวงดาวมากมายถูกซัดแตก ร่วงหล่นอยู่นอกห้วงอากาศว่างเปล่า

ในการต่อสู้นี้ทุกหนแห่งล้วนปรากฏภาพแห่งการทำลายล้างที่ใต้หล้าดับสูญ สรรพสิ่งกลายเป็นจุณ เสียงมรรคที่กึกก้องและแสงศักดิ์สิทธิ์ที่โหมกระหน่ำ ทำให้ที่นี่เปลี่ยนเป็นโกลาหลอลหม่าน

ระดับจักรพรรดิบางส่วนล้วนไม่อาจไม่หลบหลีก!

พรูด!

ไม่ทันไรบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงก็กระอักเลือด ถูกกฎเกณฑ์ราวกับด้ายไหมสายแล้วสายเล่าพัวพัน เกือบจะรัดเขาจนตาย นี่ทำให้เขาตกใจจนหน้าถอดสี คิดถอยหนีโดยไม่ลังเล

แต่เมื่อหันหลังกลับเขาพลันพบว่าฟ้าดินแถบนี้ถูกตัดขาดนานแล้ว ส่วนตัวเขาก็เหมือนถูกขังไว้ในกรง หาทางออกไม่เจอ!

ขณะเดียวกันเสียงที่อ่อนโยนนั้นของรั่วซู่ก็ดังขึ้น “ศิษย์น้องดูสิ อาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บ ในเมื่อเป็นค่ายกลแล้วย่อมไม่มีใครหนีพ้น บรรพจารย์จักรพรรดิแล้วอย่างไร ก็เป็นแค่ตะพาบในไหเท่านั้น”

‘จนถึงตอนนี้แล้ว นางยังอธิบายวิชามรรคให้เจ้านั่นฟังอีก ในสายตานางยังมีคู่ต่อสู้อย่างพวกเขาอยู่หรือไม่’

ใบหน้าชราของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงแดงก่ำ บังเกิดความคับแค้นและอับอายอย่างบอกไม่ถูกขึ้นในใจ รสชาติที่ถูกมองข้ามเช่นนี้เขาไม่เคยสัมผัสมาไม่รู้กี่ปีแล้ว

“เปิด!”

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงแผดเสียงคำราม

ตูม!

เงาร่างเขาปรากฏแสงมรรคไร้สิ้นสุด ควบรวมพลังกฎเกณฑ์สูงส่งออกมา ปลดปล่อยมรรควิถีระดับบรรพจารย์ทั้งตัวเต็มกำลัง

แต่ไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไรล้วนเปล่าประโยชน์ ค่ายกลอาภรณ์สวรรค์นี้มหัศจรรย์เกินไป ราวกับตัดขาดจากฟ้าดิน ละทิ้งมหามรรค ขังเขาไว้ภายใน ไม่อาจหนีรอด

ที่น่ากลัวที่สุดคือบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงพบว่า เมื่อพลังโจมตีของเขายิ่งแข็งแกร่ง พลังกดดันที่ค่ายกลนี้สร้างขึ้นก็ยิ่งน่ากลัว

ความรู้สึกนั้นก็เหมือนหนอนที่ ‘สร้างรังพันธนาการตน’ ยิ่งดิ้นรน พลังที่ผูกมัดก็ยิ่งแข็งแกร่ง!

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้… ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวง ผู้อาวุโสระดับบรรพจารย์ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาคนหนึ่ง เจออันตรายและพายุฝนมานับไม่ถ้วน แต่กลับรู้สึกสั่นสะท้านและหมดหนทางในยามนี้

พร้อมกันนั้นบรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่และบรรพจารย์จักรพรรดิเจินเจวี๋ยก็อยู่ในภาวะคับขันเช่นกัน

พวกเขาต่างคาดไม่ถึง กำลังห้ำหั่นกันอยู่ชัดๆ แต่ช่วงที่ไม่รู้ตัวกลับติดอยู่ในโลกกระบวนค่ายกล

ที่น่ากลัวที่สุดคือเมื่อพวกเขาหันกลับ คิดจะถอยหนี ถึงพบว่าในกระบวนค่ายกลนี้เหลือแค่ตัวเองคนเดียว

เหมือนคนที่ถูกฟ้าดินทอดทิ้ง ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังไร้อิสรภาพ!

พวกเขาแทบคลั่งทันที บุกจู่โจมต่อเนื่องเหมือนเอาชีวิตเข้าแลก แต่ไม่มีแรงสลัดพ้นเหมือนบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ข้าถึงกับมองไม่ออก…”

“ฝีมือน่าสะพรึงยิ่งนัก บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนนั่น… คงไม่ใช่ว่า…”

เขาเมฆา ระดับจักรพรรดิมากมายใจสะท้าน หวาดผวาหน้าถอดสี แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

การห้ำหั่นดุเดือดก่อนหน้านี้ แม้พวกเขาจะไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กลับจับตามองมาตลอด

แต่มาถึงตอนนี้ พวกเขาเพิ่งพบว่าพวกบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวง บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่ บรรพจารย์จักรพรรดิเจินเจวี๋ยที่อยู่ในการต่อสู้นั้น ถึงกับไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่!

แสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง เสียงมรรคดังกัมปนาท ในฝุ่นควันอบอวลมีแค่กระสวยบินอันหนึ่งทะยานไปมากลางอากาศ ชักนำลายมหามรรคที่แน่นหนาดุจเส้นด้ายมานับไม่ถ้วน บดบังห้วงอากาศแถบนั้นจนสิ้น

บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนสูงส่งและน่าหวาดกลัวระดับใด ถึงกับหายไปเช่นนี้หรือ

พอมองไปไกลอีกครั้ง เงาร่างรั่วซู่ดูนุ่มนวล ยังคงพูดคุยกับหลินสวินเหมือนคนนอก ดูนิ่งเฉยเช่นนั้น

ในใจทุกคนต่างหนาวสะท้าน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

“พวกเขาติดอยู่ในค่ายกลแล้ว!”

ในที่ลับมีเสียงขรึมเคร่งหนึ่งดังขึ้น คำพูดเดียวเหมือนปลุกผู้คนให้ตื่นจากฝัน ทำเอาทุกคนตัวแข็งทื่อ

ติดอยู่ในค่ายกล!?

บนโลกนี้ต้องมีกระบวนค่ายกลใหญ่ที่น่าหวาดกลัวเพียงใด ถึงขังบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนไว้ในนั้นได้โดยไม่รู้ตัวอย่างไร้สุ้มเสียง

“คงพอแล้วกระมัง”

พลันเห็นรั่วซู่ชูมือขึ้น

วู้ม!

กระสวยบินที่แหวกอากาศนั้นพลันครวญคร่ำ ก็เห็นว่ากลางอากาศค่ายกลอาภรณ์สวรรค์ที่ควบรวมจากเส้นด้ายนับไม่ถ้วนนั้นหดรัดเข้ามาทันที เปลี่ยนเป็นเล็กลง… เล็กลงอย่างต่อเนื่อง…

สุดท้ายค่ายกลนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่เหมือนรังไหมสามรัง ตกสู่กลางมือรั่วซู่พร้อมกับกระสวยบินนั้น

เวลานี้เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นคล้ายเดาอะไรได้ ล้วนเผยความหวาดหวั่นขึ้นมา

หรือว่า…

บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนนั้นติดอยู่ในรังไหมที่เล็กเหมือนไข่นกพิราบสามรังนั่นแล้ว

นึกถึงตรงนี้ สภาวะจิตของเหล่าจักรพรรดิก็แทบสูญเสียการควบคุม ขนพองสยองเกล้า ร่างของบรรพจารย์จักรพรรดิสามารถบดบังท้องนภา อานุภาพของบรรพจารย์จักรพรรดิสามารถครอบคลุมทั่วหล้า!

ในสายตาของระดับจักรพรรดิ บรรพจารย์จักรพรรดิก็คือบุคคลไร้เทียมทานที่ประหนึ่งไม่ดับสลาย ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้

ใครจะกล้าจินตนาการว่าบุคคลเช่นนี้จะติดอยู่ในรังไหมเล็กๆ

ในที่ลับยังมีคนใจสะท้านอีกไม่รู้เท่าไหร่

“ศิษย์พี่ คงไม่ใช่ว่าพวกเขา…”

หลินสวินอดถามไม่ได้ เขาก็เบลอไปพักหนึ่ง คาดเดาอะไรได้รางๆ

“ไม่ผิด เจ้าเฒ่าสามคนนี้ติดอยู่ใน ‘รังอาภรณ์สวรรค์’ เจ้าเคยเห็นดักแด้ใช่ไหม หนอนตัวเล็กๆ สร้างรังไหมพันธนาการตัวเองถึงจะสามารถกลายเป็นผีเสื้อได้”

รั่วซู่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่เมื่อตกอยู่ในรังอาภรณ์สวรรค์นี้ของข้า สุดท้ายจะได้แต่ถูกขังจนตาย”

คำพูดนี้ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย!

นี่ได้ยืนยันการคาดเดาของทุกคนแล้ว แต่ความจริงนี้กลับดูน่าหวาดกลัวและผิดแผก ทำเอาผู้คนไม่อาจยอมรับ

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงแห่งเรือนมรรคยุทธจักร บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่แห่งเรือนมรรคจักรวาล บรรพจารย์จักรพรรดิเจินเจวี๋ยแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์… บรรพจารย์มรรคสามคน ถึงกับติดอยู่ในรังไหมเหมือนตัวหนอน หากแพร่กระจายออกไปใครจะกล้าเชื่อ

ใครเล่าจะเคยได้ยิน ว่าฉากจบของบรรพจารย์มรรคจะตกต่ำถึงขั้นเหมือนหนอน

“นี่… นี่…”

หลินสวินยังตกตะลึงจนพูดไม่ออก

แม้รู้ดีว่าฝีมือของศิษย์พี่รั่วซู่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้สืบทอดคนที่สามแห่งคีรีดวงกมล แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าฝีมือของศิษย์พี่รั่วซู่จะน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!

ตอนนี้สิ่งที่เหมือนรังไหมทั้งสามอยู่กลางฝ่ามือนาง นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงถ้อยคำหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

หยอกเย้าบรรพจารย์จักรพรรดิกลางฝ่ามือ!

“นี่ก็คือกระบวนท่าสังหารของค่ายกลอาภรณ์สวรรค์ เรียกว่าสร้างรังพันธนาการตน นัยเร้นลับที่แฝงไว้ซ่อนอยู่ที่คำว่า ‘มองเห็นจุดเล็กรับรู้ถึงภาพรวม เล็กใหญ่ดั่งใจ’”

รั่วซู่เอ่ยเสียงเบาชี้แนะหลินสวิน

“บรรพจารย์จักรพรรดิ ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วหล้าประหนึ่งเทพที่สูงส่ง ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด แต่ในสายตาของข้า ไม่ว่าจะเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิหรือสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ ล้วนไม่มีอะไรต่างกัน”

“เห็นว่าใหญ่ รู้ว่าเล็กก็พอแล้ว”

……………………

ตอนที่ 2028

ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า จวินหวนและผู่เจินยังห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด คนหนึ่งมรรคกระบี่โดดเด่น คนหนึ่งองอาจเหนือมนุษย์

อีกด้านหนึ่งจี้เสวียนกำลังต่อสู้กับจักรพรรดิมารผลาญนภา เสียงฟ้าร้องดังอึกทึก ไอมารซัดโหม

การต่อสู้ของซย่าสิงเลี่ยกับน่าหลันฉีดุเดือดที่สุด หนึ่งกระบี่หนึ่งทวน เปิดฉากการประลองแห่งยุค

กลางอากาศเสวี่ยหยานั่งขัดสมาธิท่องคัมภีร์ ไอพลังยิ่งใหญ่ทะลวงเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน เพียงคนเดียวกลับส่งผลต่อรูปการณ์การต่อสู้ทั้งหมด

ด้วยยอดประกาศิตสำนักพรตของเขา ไม่เพียงแต่ยกระดับพลังต่อสู้ของพวกจวินหวนได้ แต่ยังโจมตีและส่งผลต่อจิตใจของศัตรูด้วย มหัศจรรย์หาใดเปรียบโดยแท้

การต่อสู้ทั้งหมดนี้ ล้วนดึงดูดความสนใจของระดับจักรพรรดิในระดับต่างกันไป

แต่เมื่อรั่วซู่ผู้สืบทอดคนที่สามแห่งคีรีดวงกมลปรากฏตัว ก็ทำให้ทุกสายตาในที่นั้นแทบจะมองมาที่นางคนเดียว

บุคลิกนางนุ่มนวล เงียบสงบดั่งดอกกล้วยไม้ แต่การปรากฏตัวของนางกลับชักนำให้เกิดความโกลาหล

เหมือนว่าใครก็คิดไม่ถึงว่านางจะปรากฏตัวที่นี่

“ศิษย์น้อง เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเขาถึงประหลาดใจเช่นนี้”

เสียงของรั่วซู่นุ่มนวลดั่งวารี ดังก้องอยู่กลางฟ้าดิน ทั้งไม่ปิดบังอะไร

“เพราะเหตุใด”

หลินสวินก็ใคร่รู้ เขาสังเกตเห็น ไม่ว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิอย่างมหาจักรพรรดิศิลาเมฆ หรือบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงที่อยู่ห่างออกไป หลังจากศิษย์พี่รั่วซู่ปรากฏตัวก็ทำท่าราวกับเห็นผี

“พวกเขาล้วนคิดว่าข้าตายแล้ว”

รั่วซู่เอ่ยเสียงเบา “ยังจำตอนที่อยู่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ได้ไหม”

หลินสวินพยักหน้า

“หลังจากข้าจากไปก็ถูกเจ้าเฒ่าบางคนจับจ้อง ไล่ตามตลอดทาง ไม่คิดจะให้ข้ารอดไปได้…”

มุมปากรั่วซู่โค้งขึ้นเหมือนนึกสนุก “อันที่จริงข้าก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทุ่มเทเช่นนี้ ใช้บรรพจารย์จักรพรรดิสี่คนกับสมบัติมรรคต้องห้ามชิ้นหนึ่ง ภัยคุกคามนี้มากเกินไปแล้ว”

“ศิษย์น้อง เจ้าคงไม่รู้ว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเรา สาเหตุที่หลายปีนี้ระหกระเหินไปทั่วหล้าเหมือนวิญญาณเร่ร่อน ไม่กล้าเผยร่องรอยโดยง่าย สาเหตุอยู่ที่เมื่อเปิดเผยร่องรอยก็จะถูกพลังต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วหล้านี้จับจ้อง”

“ดังนั้นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิสี่คนนั่นจึงนำสมบัติมรรคต้องห้ามชิ้นหนึ่งมาด้วย อาศัยสิ่งนี้มาเป็นไพ่ตาย ต้องการจะกำจัดข้า”

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงรวมถึงระดับจักรพรรดิคนอื่นในที่นั้นล้วนเปลี่ยนเป็นผิดปกติขึ้นมา

ในใจหลินสวินกลับตึงเครียด นึกถึง ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ ที่สามารถหยั่งรู้และควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามคนนั้นขึ้นมา!

เขาอดถามไม่ได้ “จากนั้นล่ะ”

รั่วซู่ยิ้ม ริมฝีปากขยับพูดสี่คำ “พวกเขาตายแล้ว”

เพียงประโยคเดียวเบาๆ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นพลันเงียบไป

“ตายแล้ว?”

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงนัยน์ตาหดรัด ระดับจักรพรรดิคนอื่นในที่นั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี

“เป็นไปไม่ได้!”

“บรรพจารย์จักรพรรดิสี่คนนั้นล้วนบรรลุถึงขั้นอัศจรรย์ในระดับบรรพจารย์นานแล้ว คงอยู่ตราบนิรันดร์ราวกับไม่ดับสลาย จะถูกเจ้าฆ่าตายได้อย่างไร”

“เจดีย์กักเทพมหัศจรรย์ระดับใด ภายในยังแฝงพลังระเบียบต้องห้ามไว้ ทำไมถึงฆ่าเศษเดนอย่างเจ้าไม่ได้”

ในที่ลับทั่วฟ้าดินแถบนี้มีเสียงขุ่นเคืองระลอกหนึ่งดังขึ้น

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของรั่วซู่ทำให้พวกเขาไม่อาจสงบใจและยากจะยอมรับ

นี่ทำให้หลินสวินใจสั่น เพิ่งตระหนักได้ว่าในที่ลับยังมีพวกน่ากลัวซุ่มซ่อนอยู่ไม่น้อย จนถึงตอนนี้เพิ่งจะเผยเสียงออกมา!

รั่วซู่ยิ้มพลางพลิกฝ่ามือ

ศีรษะชุ่มเลือดหนึ่งปรากฏออกมา ผมขาวเปื้อนเลือด ถลึงตาถมึงทึง กลางหน้าผากเกลี้ยงเกลามีรูโหว่ชวนสยองรูหนึ่ง ราวกับถูกคมดาบแทงทะลุ

“บรรพจารย์จักรพรรดิหลิงเหอแห่งเรือนมรรคจักรวาลของข้า!”

เสียงร้องอุทานดังขึ้น ทำให้ทุกคนในที่นั้นสะท้านใจ

บรรพจารย์จักรพรรดิหลิงเหอ เฒ่าดึกดำบรรพ์ ‘ระดับบรรพจารย์’ ที่ประสบความสำเร็จยิ่งของเรือนมรรคจักรวาล แจ้งมรรคในสมัยดึกดำบรรพ์ เป็นศิษย์สืบทอดสายตรงของบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งเรือนมรรคจักรวาล ลำดับความอาวุโสสูงส่งจนน่ากลัว

เล่าลือว่าเขาก้าวสู่ระดับบรรพจารย์มาหลายปีแล้ว!

แต่ตอนนี้หัวของเขากลับถูกรั่วซู่เด็ดไป…

เห็นได้ชัดว่าเฒ่าดึกดำบรรพ์คนนี้ประสบเคราะห์แล้ว!

“เจ้ามันสมควรตาย!”

เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา เมื่อมาถึงที่นั้นก็กลายเป็นชายกลางคนชุดดำคนหนึ่ง เพลิงเทพสีเขียวรัดพันทั่วร่าง โกรธจนผมตั้ง

บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่แห่งเรือนมรรคจักรวาล!

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนอยู่ในที่ลับคนนี้ หลังได้ยินข่าวร้ายของบรรพจารย์จักรพรรดิหลิงเหอ สุดท้ายก็เผยตัวออกมาในยามนี้อย่างอดไม่อยู่

“รีบอะไร การประชันหมากเพิ่งจะเริ่ม อย่าเพิ่งรีบร้อน”

รั่วซู่พูดพลางพลิกฝ่ามือ น้ำเต้าหยกสีม่วงใบหนึ่งปรากฏออกมา เปล่งประกายแวววาว ไอขุ่นมัวอบอวล ราวกับของตามธรรมชาติที่เกิดจากต้นกำเนิดมหามรรค

แต่พื้นผิวของน้ำเต้าหยกม่วงกลับถูกทะลวงเป็นรูโหว่ ทำให้พลังเจตะของมันลดลง เปลี่ยนเป็นมืดสลัวหาใดเปรียบ

“ทุกท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”

รั่วซู่ถาม

น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ชายชราที่สวมชุดนักพรตเพลิงวายุ ศีรษะประดับเกี้ยวขนนกคนหนึ่งเดินออกมาจากความมืด

นัยน์ตาเขาดุจอสนี ตวาดเดือดดาล “นี่คือ ‘น้ำเต้าศุภโชคแสงม่วง’ สมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์ของ ‘บรรพจารย์จักรพรรดิทุนเจียง’ แห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ข้า!”

รั่วซู่พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด เป็นของสิ่งนั้น บรรพจารย์จักรพรรดิทุนเจียงตายไปก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย แต่วิญญาณอาวุธของสมบัตินี้กลับเผาตัวเองไปด้วย ทำให้ข้าเสียดายไม่หยุด”

ชายชราชุดนักพรตที่มาจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คนนั้นโกรธจนตาแทบถลน

คนอื่นในที่นั้นล้วนหน้าเปลี่ยนสี จิตใจสะท้านไหว บรรพจารย์จักรพรรดิทุนเจียงกับสมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขาล้วนถูกทำลายแล้วหรือ

ไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง รั่วซู่ดีดนิ้วเบาๆ

หัวใจเปื้อนเลือดและหนังสัตว์ขาดวิ่นชุ่มเลือดปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน

รั่วซู่ถาม “ของสองอย่างนี้มีคนจำได้หรือไม่”

ณ ที่นั้นเงียบสงัด เหล่าจักรพรรดิจิตใจสั่นไหว ยากจะนิ่งสงบ

เนิ่นนานกว่าจะมีเสียงที่เจือแววสั่นเครือดังขึ้น “นี่… คงไม่ใช่จิตมรรคของ ‘บรรพจารย์จักรพรรดิจิ่วหนิง’ และหนังของ ‘บรรพจารย์จักรพรรดิเมี่ยวหลุน’ กระมัง”

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวง บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่ รวมถึงชายชราชุดนักพรตแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คนนั้น เวลานี้ในใจพลันจมดิ่งลงพร้อมกัน ขนพองสยองเกล้า

ส่วนในที่ลับก็ไม่รู้ว่ามีเสียงสูดหายใจสะท้านดังขึ้นเท่าไหร่

“ไม่ผิด เจ้าเฒ่าจิ่วหนิงนี่มาจากเผ่านักรบเถาอู้ มรรควิถีทั้งตัวรวมอยู่ที่จิตมรรค หากนำมันมาเป็นวัตถุดิบยา ย่อมหลอมยอดลูกกลอนบรรพจารย์ออกมาได้”

เสียงรั่วซู่เนิบนาบก้องฟ้าดิน

“เจ้าเฒ่าเมี่ยวหลุนนี่แม้จะไม่เอาไหนไปบ้าง แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นระดับบรรพจารย์ของเผ่านักรบฉงฉี ข้าจึงถลกหนังของเขามา อย่างน้อยก็เอามาหลอมเป็นชุดนักพรตที่คุณภาพไม่ธรรมดาให้ศิษย์น้องเล็กของข้าได้”

คำพูดพวกนี้ทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วบริเวณสั่นสะท้าน เกิดความรู้สึกเศร้าโศกกับการจากไปของพวกพ้องขึ้นมา

บรรพจารย์จักรพรรดิจิ่วหนิงและบรรพจารย์จักรพรรดิเมี่ยวหลุนเป็นผู้อาวุโสสองคนที่สูงส่งระดับใด มีความรู้ลึกซึ้งที่บรรลุจุดสุดยอดบนหนทางแห่งระดับจักรพรรดินานแล้ว

แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ถูกคนฆ่าตาย แม้แต่หัวใจและหนังของพวกเขายังถูกนำมาเป็นเจตวัตถุ หมายจะนำมาหลอมยาและเย็บเป็นชุดนักพรต!

น่าเศร้าอะไรปานนี้

ระดับจักรพรรดิบางคนหนาวเยือกในใจ ผู้สืบทอดคนที่สามแห่งคีรีดวงกมลคนนี้ดูเหมือนบริสุทธิ์สุภาพอ่อนโยน ใครเล่าจะคาดคิดว่าวิธีการของนางจะนองเลือดเช่นนี้

‘ศิษย์พี่นาง… ถึงกับจะใช้หนังของระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งมาหลอมชุดนักพรตให้ข้าหรือ’

หลินสวินยังตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ เรื่องเช่นนี้อย่าว่าแต่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่จะคิดก็ไม่เคยคิด น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ขณะเดียวกันความภาคภูมิอย่างบอกไม่ถูกพลันผุดขึ้นในใจของหลินสวิน

ตั้งแต่ศิษย์พี่รั่วซู่มาที่นี่ แม้จะไม่เคยแสดงแสนยานุภาพที่แท้จริง แต่ของบางส่วนที่นางหยิบออกมาลวกๆ กลับทำให้ทั้งที่นั้นตื่นตระหนก สถานการณ์ของการประชันหมากทั้งหมดล้วนถูกนางคนเดียวควบคุม!

บรรพจารย์จักรพรรดิหลิงเหอ บรรพจารย์จักรพรรดิทุนเจียง บรรพจารย์จักรพรรดิจิ่วหนิง บรรพจารย์จักรพรรดิเมี่ยวหลุน… ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มีความสามารถน่าเหลือเชื่อสี่คน ถูกนางคนเดียวจัดการไปก่อนหน้านี้แล้ว

แม้จะไม่เคยเห็นการต่อสู้นี้ด้วยตาตนเอง แต่แค่คิดดูก็พาให้คนโลหิตเดือดพล่าน!

“ข้าใคร่รู้ยิ่งนัก คนที่ถูกพลังต้องห้ามมองเป็นพวกนอกรีตนานแล้วอย่างเจ้า ทำไมถึงยังรอดชีวิตมาได้”

เสียงเปี่ยมประสบการณ์หนึ่งดังขึ้น

รั่วซู่ยิ้มแล้ว “เจ้าหมายถึงเจดีย์กักเทพนั่นหรือ สมบัตินี้ร้ายกาจจริงๆ ภายในแฝงพลังระเบียบต้องห้ามเอาไว้ ภัยคุกคามที่ส่งผลต่อข้าก็มีมาก น่าเสียดายที่ตอนนี้เทียบกับตอนนั้นไม่ได้แล้ว…”

นางพูดเรียบๆ “ตั้งแต่ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิครั้งบรรพกาลปิดฉาก ข้าก็เข้าไปในแดนปริศนา เสาะหาวิธีสลายพลังระเบียบต้องห้าม ความมุมานะไม่ทรยศผู้มีความพยายาม ทำให้ข้าหาวิธีการได้จริงๆ จึงหลอมของเล่นที่เลี่ยงการตรวจจับของพลังระเบียบต้องห้ามออกมาได้ชิ้นหนึ่ง”

“แม้จะคงอยู่ได้แค่หนึ่งเค่อ แต่ถ้านำมาใช้สังหารศัตรู… ก็มากเกินพอแล้ว”

นางไม่ได้บอกว่า ‘ของเล่น’ ชิ้นนั้นคืออะไร แต่ทุกคนล้วนเข้าใจแล้ว เป็นเพราะ ‘ของเล่น’ นี้ที่ทำให้นางหลบภัยคุกคามของเจดีย์กักเทพได้!

ทั้งในเวลาที่ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ยังสังหารระดับบรรพจารย์จักรพรรดิสี่คนอย่างหลิงเหอ ทุนเจียง จิ่วหนิงและเมี่ยวหลุนได้ในคราเดียว!

นึกถึงตรงนี้ ทุกคนในที่นั้นก็กลัวจนตัวสั่นงันงก

จวินหวน ผู่เจิน เสวี่ยหยามีมาดสง่างามที่ต่างกันออกไป พลังต่อสู้ก็น่ากลัวอย่างเหนือความคาดหมาย แต่พูดเปรียบเทียบกันแล้ว ผู้สืบทอดคนที่สามแห่งคีรีดวงกมลคนนี้กลับน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า!

พรวด!

บนเวิ้งฟ้าพลันมีฝนโลหิตสาดพรม สีแดงสดบาดตา

ในการห้ำหั่นที่เดิมดุเดือด ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งถูกจวินหวนสังหารในกระบี่เดียว จิตสิ้นวิญญาณสลาย!

ทั้งที่นั้นสั่นสะท้าน ผู้คนนับไม่ถ้วนหน้าเปลี่ยนสี

นี่เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิคนที่สองที่ตายในมือจวินหวนแล้ว!

อันที่จริงหลังจากรั่วซู่มาถึง การต่อสู้ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้าก็ดำเนินมาตลอด อันตรายและดุเดือด ไม่เคยหยุดชะงักสักครั้ง

กระทั่งตอนนี้จวินหวนสังหารศัตรูด้วยกระบี่เดียว จึงทำให้จิตใจของทุกคนในที่นั้นได้สติกลับมา

“ลงมือเร็วเข้า ล่าช้าต่อไปไม่ได้แล้ว!”

เสียงของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงเยียบเย็นต่ำลึก

“ลงมือพร้อมกัน ดูว่านางจะต้านได้ถึงหนึ่งเค่อหรือไม่!”

บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ก็ดี!”

ตูม!

ไอสังหารน่าหวาดกลัวแผ่ออกมาจากตัวพวกบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงราวกับมหาสมุทรที่พลุ่งพล่าน เข้าปกคลุมฟ้าดินแถบนี้จนสิ้น

“ฆ่า!”

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงเรียกกระบี่โบราณเล่มหนึ่งออกมาชิงลงมือก่อน เจตกระบี่ดุจโทสะคลั่ง พุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้า

บรรพจารย์จักรพรรดิเชียนกู่รวมถึงชายชราชุดนักพรตของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์นั่นก็ลงมือตามมาติดๆ

กลับเห็นรั่วซู่สีหน้าสงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกตกใจ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ศิษย์น้อง ได้ยินว่าเจ้าเชี่ยวชาญวิถีสลักวิญญาณ ไม่สู้ลองดู ‘ค่ายกลอาภรณ์สวรรค์’ นี้ของศิษย์พี่ว่าเป็นอย่างไร”

เมื่อเสียงดังขึ้น กระสวยบินอันหนึ่งโฉบผ่านอากาศ ร่างลายมรรคที่ซับซ้อนแน่นขนัดนับไม่ถ้วนออกมาในพริบตา เหมือนมองฟ้าดินเป็นผืนผ้า ใช้กระสวยบินแทนเข็ม ใช้ลายมรรคเป็นเส้นด้าย กำลังเย็บอาภรณ์สวรรค์ชุดหนึ่ง!

พลังกฎเกณฑ์มหามรรคที่ลึกซึ้งเกินคาดเดาอบอวลไปด้วยไอพลังเจตะ ร่างกระบวนผนึกลายมรรคที่ลึกลับกระบวนหนึ่งบนฟ้าดินแถบนี้

ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพียงพริบตา

ฉึ่บ!

กระบี่ของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงพุ่งสังหารเข้ามา สะท้านฟ้าสะเทือนดิน เจตกระบี่ดุจเพลิงผลาญ น่าสะพรึงไร้ขอบเขตโดยแท้

แต่เมื่อฟันไปบนกระบวนค่ายกลนี้ กลับถูกลายมรรคที่เป็นเส้นเป็นริ้วพัวพัน แสงมรรคที่ไหลเวียนเป็นวงกลมลบล้างปราณกระบี่สายนี้ไปโดยไร้สุ้มเสียง…

……………………..

ตอนที่ 2027 ท่องคัมภีร์สะท้านทั่วทิศ
บรรทัดหยกจู่โจมคราเดียว สังหารหนึ่งจักรพรรดิ!

ความน่ากลัวของพลังที่เสวี่ยหยาสำแดงออกมา ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี

จักรพรรดิยอดยุทธ์และจักรพรรดิกระบี่จวินหวนล้วนแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการแล้ว ตอนนี้ยังมีจอหงวนมรรคจักรพรรดิที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเพิ่มมาอีกคน นี่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง

มีเพียงเฒ่าชราบางคนที่เคยเข้าร่วมศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในสมัยบรรพกาลที่รู้ดี ว่าผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลอาจมีจำนวนน้อยมาก แต่ทุกคนล้วนมีพลังต่อสู้น่ากลัวที่อยู่เหนือความคาดหมาย!

ไม่อย่างนั้นศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในปีนั้น ย่อมไม่มีทางเกิดการสูญเสียที่น่าหดหู่เช่นนั้นแน่

“ศิษย์น้อง การแจ้งมรรคในระดับจักรพรรดินั้นไม่ง่าย แต่ก็เป็นตัวแบ่งความสูงต่ำ ที่เรียกว่ามรรคจักรพรรดิเก้าด่าน หนึ่งด่านหนึ่งชั้นฟ้า ระดับชั้นแตกต่าง พลังที่ครอบครองก็ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง”

กลับเห็นเสวี่ยหยากล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “เหมือนศิษย์พี่ผู่เจินและศิษย์น้องจวินหวน พวกเขาล้วนก้าวสู่ธรณีประตูของระดับจักรพรรดิชั้นเก้า ย้อนบรรพ์ในระดับจักรพรรดิแล้ว เรียกได้ว่าเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิ”

“แต่ก่อนหน้านี้เพื่อหนีการจับกุมของพลังต้องห้าม พวกเขาจึงไม่อาจไม่กดพลังไว้ ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเป็นแค่ผู้ฝึกปราณระดับจักรพรรดิทั่วไป แต่ตอนนี้… ไม่เหมือนกันแล้ว”

คำว่าไม่เหมือนกันถูกกล่าวออกมาอย่างมีนัยลึกล้ำ

นี่เป็นถึงการประชันหมากที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่เสวี่ยหยากลับทำเหมือนมองไม่เห็น อธิบายนัยเร้นลับของระดับจักรพรรดิกับหลินสวิน ทำให้หลินสวินตื่นตะลึงไปพักหนึ่ง

ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า เสียงที่ค่อนข้างหมดความอดทนของจวินหวนพลันดังขึ้น “ศิษย์พี่สิบเก้า ไยต้องพูดไร้สาระมากความนัก รีบมาช่วยข้ากับศิษย์พี่ผู่เจินเร็วเข้า”

“เจ้าหนอนหนังสือ!”

เสียงแข็งกระด้างลุ่มลึกนั้นของผู่เจินก็ดังตามมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำวิจารณ์ที่เขามีต่อเสวี่ยหยา

หลินสวินมุมปากกระตุก เกรงว่าคงมีแค่ศิษย์พี่จวินหวนกับศิษย์พี่ผู่เจินที่กล้าพูดกับศิษย์พี่เสวี่ยหยาเช่นนี้กระมัง…

กลับเห็นเสวี่ยหยากลั้นขำไม่อยู่ เขาส่ายหัวแล้วนั่งลงกลางอากาศอย่างสบายๆ เปิดม้วนตำราที่ถือไว้ในมือออกมา

สีหน้าเขานิ่งสงบ แววตาผ่องแผ้ว ทั่วร่างแผ่ไอพลังยิ่งใหญ่ม้วนกลืนทั่วทิศ

“ขงจื๊อไม่สอนเรื่องเหนือธรรมชาติและจิตวิญญาณ”

เสียงมรรคระลอกหนึ่งดังออกมาจากปากของเสวี่ยหยา

แต่ละคำประหนึ่งประทับนัยเร้นลับแห่งมหามรรค ดังก้องอยู่กลางฟ้าดินเหมือนระฆังใบใหญ่ดังกังวาน กระหึ่มราวกับฟ้าร้อง สั่นสะเทือนใจคน

เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น ไอพลังยิ่งใหญ่ที่โชติช่วงแถบหนึ่งพุ่งทะลวงท้องนภา อาบไล้เงาร่างของพวกผู่เจินและจวินหวนไว้ภายใน

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น อานุภาพของทั้งสองพลันพุ่งพรวดราวกับมีเทพช่วย

“ยอดประกาศิตสำนักพรต!”

“เล่าลือว่าเป็นวิชาลับชั้นสูงที่ยกระดับพลังต่อสู้ของผู้ฝึกปราณได้ ถูกจัดเป็นหนึ่งในเก้ามรดกพิทักษ์สำนักแห่งคีรีดวงกมล”

“มีคัมภีร์มรรคที่อัศจรรย์เช่นนี้จริงหรือ”

ในที่นั้นมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น

ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า พลังต่อสู้ของจวินหวนและผู่เจินยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีสัญญาณว่าจะพลิกสถานการณ์อยู่รางๆ

ถึงขั้นว่าจี้เสวียนที่กำลังห้ำหั่นกับจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นและจักรพรรดิมารผลาญนภา ซย่าสิงเลี่ยที่กำลังสู้กับมหาจักรพรรดิคมยุทธ์ พลังต่อสู้ก็ยกระดับขึ้นไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด!

และนี่ก็เป็นเพราะอักษรมรรคประโยคเดียวที่เสวี่ยหยากล่าวออกมา!

เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำเอาหลินสวินตื่นตะลึงอย่างต่อเนื่อง

“ผู้มีปัญญาไม่ลังเล ผู้มีเมตตาไม่อมทุกข์ ผู้กล้าไม่หวั่นเกรง”

“ผู้เปี่ยมปณิธานและคุณธรรม ไม่ทำลายคุณธรรมเพื่อแลกชีวิต หากแต่ยอมสละชีวิตเพื่อบรรลุคุณธรรม”

“สามเหล่าทัพล้วนเปลี่ยนผู้นำได้ ผู้กร้าวแกร่งไม่อาจเปลี่ยนเจตจำนง”

“วีรชนกินไม่แสวงอิ่ม อยู่ไม่แสวงสบาย ไวในเรื่องการงานแต่ระวังในคำพูด ย่อมมีผู้ยึดมั่นคุณธรรมชี้แนะ”

ในเวลาต่อมาเสวี่ยหยานั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ริมฝีปากเอ่ยท่องคัมภีร์ พลันเห็นไอพลังไพศาลกลางฟ้าดินเกิดปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่แผ่กว้างราวธารามหาสมุทร

อักษรมรรคบางส่วนส่องแสงเจิดจ้าดั่งไข่มุกน้ำงาม เริงระบำไปทั่วฟ้า

เมื่อมาถึงหูหลินสวินก็เหมือนกำลังรับฟังมหามรรค ลุ่มหลงลืมตัว

เมื่อมาถึงหูจวินหวน ผู่เจิน ซย่าสิงเลี่ย จี้เสวียน ก็ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาพุ่งพรวด ยิ่งสู้ยิ่งหาญกล้า ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง

แต่เมื่อมาถึงหูระดับจักรพรรดิคนอื่นในที่นั้น กลับเหมือนเปลี่ยนเป็นดาบกระบี่ที่มองไม่เห็น ฟาดฟันจิตมรรคและเจตจำนงของพวกเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้พวกเขาเลือดลมตีกลับ สภาวะจิตสั่นสะเทือน แต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี

ภาพนั้นช่างเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เทพผีโศกศัลย์!

“รีบขวางเขาไว้!”

เสียงตวาดหนึ่งดังขึ้น

ระดับจักรพรรดิหลายคนพุ่งออกมา ใช้สมบัติจักรพรรดิ สำแดงมรรคจักรพรรดิ เข้าโจมตีเสวี่ยหยา

ตูม!

แสงสมบัติและแสงมรรคที่มืดฟ้ามัวดินไหลหลั่ง บดขยี้ห้วงอากาศ อานุภาพน่าตระหนก

เสวี่ยหยานั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ไม่ฟัง ไม่ถาม ไม่ยินดี ไม่โศกเศร้า เงาร่างเขาอาบไล้ด้วยไอพลังยิ่งใหญ่ ริมฝีปากท่องคัมภีร์มหามรรค ราวกับเทพที่ไม่อาจดูหมิ่น

อักษรมรรคที่เพริศแพร้วเจิดจ้าแต่ละบรรทัดส่องประกาย พุ่งออกมาจากร่างของเขา ต้านทานและสลายพลังที่พุ่งโจมตีเข้ามานั้นทีละอัน

ระดับจักรพรรดิหลายคนที่พุ่งเข้ามานั้น กลับเป็นว่าถูกกำราบจนน่าอนาถเหลือทน ไม่ทันไรก็กระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีทันใด

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

คนผู้หนึ่งนั่งท่องคัมภีร์เพียงลำพังกลางฟ้าดิน สร้างอานุภาพที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

จอหงวนมรรคจักรพรรดิ ท่องคัมภีร์สะท้านทั่วทิศ!

เวลานี้ผู้คนถึงเพิ่งเข้าใจความนัยที่แท้จริงของคำชมนี้อย่างลึกซึ้ง

ท่องคัมภีร์ประหนึ่งมรรค เสมือนมีวาจาสิทธิ์!

ตูม!

ส่วนลึกของท้องนภา ผู่เจินออกหมัด สังหารระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง เลือดหลั่งย้อมฟ้าดินแถบนั้นเป็นสีแดงก่ำ

“สะใจจริงๆ!”

สีหน้าทึ่มทื่อของผู่เจินเผยความสะใจวูบหนึ่ง

บรรพจารย์จักรพรรดิอีกคนสิ้นชีพแล้ว!

เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งที่นั้นตกตะลึงทันที ทุกคนต่างไม่กล้าเชื่อ มือเท้าเย็นเฉียบ

กี่ปีแล้วที่บนโลกนี้ไม่เคยเกิดเรื่องโกลาหลนองเลือดเช่นนี้ขึ้น การตายของบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สามารถชักนำมาซึ่งแรงสะเทือนทั่วหล้า!

แต่เบื้องหน้าเขาเมฆานี้ เมื่อผู้สืบทอดคีรีดวงกมลสามคนอย่างจวินหวน ผู่เจิน เสวี่ยหยาปรากฏตัว ก็ทยอยมีบรรพจารย์จักรพรรดิสองคนสิ้นชีพ!

พรูด!

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นที่กำลังห้ำหั่นกับจักรพรรดิอสนีดับสูญ ถูกประทับอสนีบาดตาสายหนึ่งฟาดผ่า ร่างระเบิดกระจุยทันที

พลังจิตของเขาพุ่งออกไป เพิ่งหมายจะหลบหนีก็ถูกไอพลังยิ่งใหญ่ที่พุ่งทะลวงฟ้าดินนั้นปกคลุม

“ไม่… ช่วยข้าด้วยๆ!!”

พลังจิตของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นร้องโหยหวน

ระดับจักรพรรดิแล้วอย่างไร

ยามเผชิญหน้ากับความตาย ก็ลบล้างความหวาดกลัวและไม่ยินยอมในใจไม่ได้

เพียงพริบตาพลังจิตของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็ถูกผลาญเป็นเถ้าถ่าน!

ภาพการตายนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้านอีกครั้ง

พูดอย่างไม่เกินจริง ตั้งแต่เสวี่ยหยาปรากฏตัว สถานการณ์ประชันหมากปรกสวรรค์นี้ก็ถูกเขาคนเดียวพลิกกลับอย่างแข็งกร้าว

เพราะมีเขาจึงทำให้พลังต่อสู้ของจวินหวนและผู่เจินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

และด้วยมีเขาจึงทำให้เหล่าจักรพรรดิถูกโจมตีภายใต้ ‘เสียงมรรคท่องคัมภีร์’ ของเขา!

“พอแล้ว!”

เสียงเยียบเย็นหนึ่งพลันดังขึ้น จากนั้นเงาร่างสูงใหญ่ประหนึ่งเทพก็ปรากฏตัวกลางอากาศ สะบัดมือตบออกไป

ประทับฝ่ามือหนึ่งรวมตัวกัน นิ้วทั้งห้าดุจขุนเขา ฝ่ามือดั่งโลกหล้า ภายในแฝงลักษณ์แห่งทั่วหล้าฟ้าดารา ภายนอกสะท้อนความอัศจรรย์แห่งกฎเกณฑ์มหามรรค

เพียงฝ่ามือเดียว แต่กลับเหมือนโลกแห่งหนึ่งพุ่งสังหารเข้ามา

ตูม!

ไอพลังยิ่งใหญ่ที่ปกคลุมฟ้าดินถึงกับถูกฝ่ามือนี้ซัดพินาศไปกว่าครึ่ง ทั้งประทับฝ่ามือยังเปี่ยมอานุภาพไม่เสื่อมถอย ปกคลุมมาทางเสวี่ยหยา

“ขงจื๊อกล่าวว่า ไม้ผุสลักไม่ได้ฉันใด กำแพงโคลนก็ไม่อาจฉาบให้เรียบฉันนั้น”

เสวี่ยหยาส่งเสียงก้องกังวาน

ทันใดนั้นประทับฝ่ามือที่มีอานุภาพไร้จำกัดนี้ก็พังทลายต่อหน้าเขาไปทุกกระเบียด

พอมองไปในที่นั้นอีกครั้ง เงาร่างสูงใหญ่ดั่งเทพนั่นกลับเป็นชายที่หน้าตาแปลกประหลาดคนหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ล้ำลึกดั่งแดนนรก พาดกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้บนแผ่นหลัง

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงแห่งเรือนมรรคยุทธจักร!

ในที่นั้นพลุ่งพล่านกันทันที จำฐานะของผู้ที่ลงมือได้ว่าเป็นหนึ่งใน ‘ห้าบรรพจารย์’ ที่ควบคุมดูแลเรือนมรรคยุทธจักร มีกิตติศัพท์เกรียงไกรมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์

ศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ตายในเงื้อมมือเขายิ่่งมีนับไม่ถ้วน!

เวลานี้สีหน้าเสวี่ยหยาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง ดูคร่ำเคร่งอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้ถึงความร้ายกาจของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงนี่

“จอหงวน เจ้าถึงกับด่าข้าเป็นไม้ผุกับกำแพงโคลนรึ ช่างกล้านัก!”

ชายผู้นั้นยิ้มหยัน ยกมือขึ้นชี้ เสียงชิ้งดังขึ้น กระบี่โบราณด้านหลังทะยานสู่ฟากฟ้า ฟันไปทางเสวี่ยหยา

กระบี่โบราณเล่มนี้ยาวไม่เกินสองฉื่อ ขาวดุจหิมะตลอดเล่ม ตัวกระบี่ไร้คม แต่กลับเผยลายมรรคที่เร้นลับแน่นขนัด

เมื่อกระบี่นี้ฟันออกมา ฟ้าดินนี้ก็ถูกแบ่งเป็นสองเสมือนผืนผ้าใบ

เจตกระบี่ที่น่าหวาดกลัวทำให้จิตวิญญาณของเหล่าจักรพรรดิในที่นั้นรู้สึกประหนึ่งถูกฉีกกระชาก ดวงตาแสบแปลบ

กระบี่นี้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ตรงหน้าเสวี่ยหยาปรากฏบรรทัดหยกสีเขียวเล่มหนึ่ง ปะทะเข้ากับปราณกระบี่สายนี้

ตูม!

ฟ้าสะท้านดินสะเทือน สุริยันจันทราหม่นแสง

ร่างของเสวี่ยหยาซวนเซไปพักหนึ่ง แต่ยังคงท่านั่งขัดสมาธิไว้ตลอด ทว่าสีหน้ากลับจริงจังยิ่งกว่าเดิมแล้ว

“หากเจ้าจดจ่อกับการสู้กับข้า บางทีอาจยืนหยัดได้ช่วงหนึ่ง น่าเสียดาย เจ้ายังต้องช่วยจักรพรรดิยอดยุทธ์และจักรพรรดิกระบี่จวินหวน ภายใต้การแบ่งสมาธิ เจ้าต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ยามที่บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงกล่าว กระบี่โบราณส่องประกายแล้วฟันลงมาอีกครั้ง

ฟุ่บ!

เจตกระบี่เดือดพล่าน พุ่งทะลวงห้วงอากาศ

เขตแคว้นที่เขาเมฆาตั้งอยู่นี้กว้างใหญ่ไพศาลระดับใด แต่เมื่อกระบี่นี้ฟันออกมา ทั่วแคว้นพลันสั่นสะเทือน ภูเขาไม่รู้เท่าไหร่พังทลายกะทันหัน

บ้านเรือนนับไม่ถ้วนถล่มโครมคราม ทั้งมีเสียงร้องแตกตื่นและตะโกนลั่นดังขึ้นนับไม่ถ้วน…

อานุภาพหนึ่งกระบี่ สะท้านทั่วแคว้น!

เสวี่ยหยาสูดหายใจลึก กำลังจะลุกขึ้นต่อสู้ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้น

“ศิษย์น้องเจ้าจดจ่อกับการท่องคัมภีร์ก็พอ”

เมื่อเสียงดังขึ้น ด้ายไหมที่เหมือนแสงเคลื่อนสายหนึ่งพุ่งออกไปพันรอบอากาศ

กระบี่ที่สะเทือนแคว้นของบรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงถึงกับถูกด้ายไหมพันผูก ไม่รอให้สลัดพันธนาการก็ถูกเส้นด้ายนี้เฉือนตัด แตกออกจากกันกลางอากาศ

“นี่…”

“ทำไมถึงต้านทานได้”

ในที่นั้นพลันปั่นป่วน เหล่าจักรพรรดิล้วนหนาวเยือกไปทั้งใจ

กระบี่ที่ทรงอานุภาพไม่อาจทัดเทียมนั้นถูกสลายเช่นนี้หรือ

มุมปากเสวี่ยหยาคลี่ยิ้ม

เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดถึงเรื่องอื่นอีก กายใจว่างเปล่า เริ่มท่องคัมภีร์

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงที่อยู่ห่างออกไปก็นัยน์ตาหดรัด กระบี่โบราณลอยล่อง แต่กลับไม่ลงมืออีก

ก็เห็นเงาร่างที่นุ่มนวลอรชร สุภาพอ่อนโยนดั่งดอกกล้วยไม้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสวี่ยหยาและหลินสวินอย่างเงียบเชียบ มวยผมยาวดำขลับเอาไว้ เผยให้เห็นดวงหน้างามที่เนียนสะอาดนิ่งสงบ

ตั้งแต่ต้นจนจบ นางพาให้คนรู้สึกถึงความนุ่มนวลบริสุทธิ์ดั่งวารี บุคลิกก็สุภาพอ่อนโยน แต่เมื่อนางปรากฏตัวกลับมีเสียงอุทานดังขึ้น

“เป็นนาง!”

พวกมหาจักรพรรดิศิลาเมฆล้วนจำได้ ก่อนที่การเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณจะเปิดฉาก ผู้หญิงคนนี้เคยปรากฏตัวในฐานะคนของเรือนมรรคคืนกำเนิด ตบหน้าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ทำให้ฝ่ายหลังไม่มีแรงดิ้นรนต่อต้านแม้แต่น้อย

“นางมาได้อย่างไร นี่เป็นไปไม่ได้!”

ในที่ลับกลับมีเสียงยากจะเชื่อดังขึ้น คล้ายคิดไม่ถึงว่าคนผู้หนึ่งที่เดิมทีไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ทำไมถึงปรากฏตัวได้

บรรพจารย์กระบี่อวิ๋นกวงเผยสีหน้าไม่คาดฝัน แววตาไหววูบ ตื่นตระหนกไม่หยุด

หญิงสาวที่สุภาพอ่อนโยนคนนี้ แน่นอนว่าเป็นรั่วซู่ผู้สืบทอดคนที่สามแห่งคีรีดวงกมล!

เมื่อเห็นศิษย์พี่รั่วซู่ปรากฏตัว ในใจหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบขึ้นมา ถึงขั้นเฝ้ารออยู่บ้างว่ายามลงมือจริง ศิษย์พี่สามจะมีมาดสง่างามระดับใด

………………………..

จักรพรรดิยอดยุทธ์สู้หนึ่งต่อห้า กล้าหาญไร้เทียมทาน ยามจอบกวัดแกว่ง ฟ้าดินสะเทือนปั่นป่วน แสงศักดิ์สิทธิ์สะเทือนกึกก้อง แข็งแกร่งจนน่ากลัว

จักรพรรดิกระบี่จวินหวนสำแดงมรรคกระบี่ที่พร่างพรายถึงขีดสุด งดงามตระการตา เพริศพริ้งจนไม่อาจบรรยาย กำราบจนบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนไม่อาจเงยหน้าขึ้น!

วิชาเทียมฟ้าที่ทั้งสองสำแดงออกมา ทำให้เหล่าจักรพรรดิใจสั่นสะท้านหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

หากไม่เห็นกับตาตัวเองก็ไม่อาจจินตนาการได้แต่แรก ว่าพลังที่ผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลพวกนี้ครอบครองเย้ยฟ้าระดับใด

ต้องรู้ว่าบรรพจารย์จักรพรรดิ เดิมทีก็เป็นบุคคลไร้เทียมทานที่ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิเก้าชั้น อยู่ในขอบเขตย้อนบรรพ์ของระดับนี้ ต่อให้อยู่ในขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ก็ยังเป็นเสาหลักคนสำคัญ

แต่ตอนนี้บรรพจารย์จักรพรรดิแปดคนลงมือพร้อมกัน ล้วนเห็นได้ชัดว่าพลังไม่เพียงพอ!

‘หากข้าก้าวสู่ระดับนี้ ทั่วฟ้าดารานี้จะมีที่ใดที่ไปไม่ได้’

ในแววตาซย่าสิงเลี่ยดูเร่าร้อน

เขาเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นย้อนบรรพ์!

หลินสวินเบิกตาโพลง

เพียงแต่การต่อสู้ของบรรพจารย์จักรพรรดิที่เกิดขึ้นในส่วนลึกเวิ้งฟ้านั่นยิ่งใหญ่และน่าหวาดกลัวเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถล่วงรู้ได้

เขาได้แต่เห็นว่าแม้จะถูกล้อมโจมตี ศิษย์พี่ผู่เจินกับศิษย์พี่จวินหวนก็รับมือได้อย่างสบาย ถึงขั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบ!

นี่ทำให้ในใจเขาสั่นสะท้าน ไม่กล้าจินตนาการ

ผู้คนต่างบอกว่าเขาหลินสวินมีพลังต่อสู้เย้ยฟ้าในระดับอริยะ เรียกได้ว่าไร้ศัตรู แต่เทียบกับผู่เจินและจวินหวนแล้วก็เป็นเด็กน้อยกับจอมขมังเวทชัดๆ

ทันใดนั้นเสียงเฉยชาหนึ่งพลันดังก้องกลางฟ้าดิน

“สหายยุทธ์ทุกท่าน โปรดไปช่วยหนุนพวกเทียนหลัน”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นเงาร่างมากมายพุ่งออกมา

แต่ละคนต่างประหนึ่งนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ อานุภาพรุ่งโรจน์ ทำให้ห้วงอากาศครวญคร่ำ

นี่ถึงกับเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิอีกกลุ่ม!

ทันทีที่ปรากฏตัว พวกเขาก็พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า เข้าร่วมการต่อสู้พร้อมกับพวกบรรพจารย์มรรคเทียนหลัน ทำการล้อมโจมตีพวกผู่เจินและจวินหวน

“เยี่ยม!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต้องฆ่าพวกเศษเดนของคีรีดวงกมลนี่ได้อย่างง่ายดายแน่!”

ในที่นั้นอึกทึกครึกโครม บุคคลระดับจักรพรรดิอย่างพวกจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นต่างคึกคักขึ้นมา การต่อสู้ระหว่างบรรพจารย์จักรพรรดินี้ แม้พวกเขาจะเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่กลับรู้ดีว่าต่อให้พวกผู่เจินและจวินหวนแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยากจะตีฝ่าวงล้อมออกไปได้อีก!

หลินสวินใจหล่นวูบ กำสองมือแน่นเงียบๆ

เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าใกล้เขาเมฆายามนี้ ยังมีบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิซุ่มตัวอยู่อีกเท่าไหร่กันแน่

“ข้าจะไปช่วยจวินหวน!”

จักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียนก็นั่งไม่ติดแล้ว สายฟ้าคำรามไปทั้งตัว อานุภาพชวนตะลึง

“เจ้าเหลือแค่พลังจิตวิญญาณดั้งเดิม ยังจะไปสู้สุดชีวิตอีกหรือ”

ซย่าสิงเลี่ยมุ่นคิ้ว

“หากจวินหวนประสบเคราะห์ ข้าอยู่ต่อไปก็ไร้รสชาติ”

จี้เสวียนสูดหายใจลึก ทลายอากาศขึ้นไป

“ไม่ประมาณตน!”

เสียงเยาะหยันดังขึ้น พลันเห็นพวกจักรพรรดิมารผลาญนภาและจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นลงมือพร้อมกัน ขวางจี้เสวียนไว้กลางอากาศ

ตูม!

จักรพรรดิมารผลาญนภายกมือขึ้น ทวนทองอร่ามเล่มหนึ่งพุ่งสังหารออกไป ม้วนกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิขึ้นมาเป็นชั้นๆ โหมกระหน่ำชวนตระหนก

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นออกหมัด ประทับหมัดดุจขุนเขา บีบกดเข้ามาจากด้านข้าง

จี้เสวียนถูกขวางในพริบตา

หากเขาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่สะบัดมือก็กำจัดคู่ต่อสู้สองคนนี้ได้แล้ว ที่น่าเสียดายคือตอนนี้กลับเป็นแค่พลังจิตวิญญาณดั้งเดิม

ต่อให้บุกโจมตีเต็มกำลังก็ไม่อาจฝ่าวงล้อมออกไปได้ ยิ่งไม่มีทางไปช่วยจวินหวนได้เป็นธรรมดา

“คิดว่าแค่นี้ก็ขวางข้าได้จริงๆ หรือ”

จี้เสวียนบันดาลโทสะ

“อย่าเอาชีวิตเข้าแลกเด็ดขาด!”

นัยน์ตาซย่าสิงเลี่ยหดรัด คล้ายเดาความคิดของจี้เสวียนออก

“ผู้อาวุโส ขอท่านไปช่วยผู้อาวุโสจี้เสวียนเถิด”

หลินสวินกล่าวรวดเร็ว

“แล้วเจ้าล่ะ”

ซย่าสิงเลี่ยมุ่นคิ้ว

“ข้ามีวิธีรับมือ”

หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ

“ได้!”

ซย่าสิงเลี่ยตัดสินใจทันที เสียงชิ้งดังขึ้น กระบี่ครวญสะเทือนใต้หล้า เงาร่างเขาโฉบพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แผ่อานุภาพน่าสะพรึงไร้ขอบเขตออกมา

สำหรับเขาจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร นอกจากบรรพจารย์จักรพรรดิแล้ว บุคคลระดับจักรพรรดิคนอื่นในที่นี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาเขา

ก่อนหน้านี้ที่ไม่ลงมือก็เพราะต้องปกป้องหลินสวินเท่านั้น

ทว่าซย่าสิงเลี่ยเพิ่งเคลื่อนไหว ก็ถูกเจตกระบี่น่ากลัวสายหนึ่งจับจ้อง ทำให้เงาร่างเขาหยุดชะงักทันที ในดวงตาฉายแววเยียบเย็น

“ซย่าสิงเลี่ย คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า”

ที่มาพร้อมกับเสียงต่ำลึกแหบพร่าคือชายผมม่วงที่พุ่งวาบมากลางอากาศ เขาสีหน้าเคร่งขรึม สวมเสื้อคลุมนกกระเรียนแดงก่ำ ท่าทางองอาจห้าวหาญ

ในมือเขาถือทวนเหล็กเขียวเข้มเล่มหนึ่ง ปลายทวนบาดตาอย่างที่สุด

“น่าหลันฉี เจ้าก็อยากเป็นศัตรูกับข้ารึ”

นัยน์ตาของซย่าสิงเลี่ยเผยคมออกมาจนหมด เจตกระบี่ชวนตะลึง

น่าหลันฉี!

เฒ่าดึกดำบรรพ์แห่งเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลน่าหลัน บุคคลระดับจักรพรรดิที่บรรลุถึงขอบเขตสูงสุดบนมรรคทวนคนหนึ่ง ถูกขนานนามว่า ‘มหาจักรพรรดิคมยุทธ์’!

“ทำไมจะไม่ได้”

น่าหลันฉีสีหน้าเคร่งขรึม ทวนเหล็กในมือวาดกวาด พุ่งสังหารเข้ามา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะตัดหัวเจ้าเอง!”

ซย่าสิงเลี่ยกล่าวเยาะหยัน สะบัดกระบี่เข้าฟาดฟัน

เพียงพริบตาศึกใหญ่ก็เปิดฉาก

คนหนึ่งคือจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร อีกคนคือมหาจักรพรรดิคมยุทธ์ หนึ่งกระบี่หนึ่งทวนเปิดศึกกันกลางอากาศ สำแดงการเข่นฆ่า

ตูม!

อานุภาพระดับจักรพรรดิที่น่าหวาดกลัวปกคลุมในจุดที่ทั้งสองกรำศึก เห็นเพียงปราณกระบี่โลดแล่นไปทั่ว เงาทวนระริกไหว เผยลักษณ์ประหลาดที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมามากมาย

ในใจหลินสวินพลันตึงเครียด

จี้เสวียนถูกสกัด ซย่าสิงเลี่ยก็ถูกขวาง ในส่วนลึกของท้องนภา จวินหวนกับผู่เจินก็ตกอยู่ในการปิดล้อมของบรรพจารย์จักรพรรดิมากมาย

ประชันหมากมาถึงตอนนี้ สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

แม้แต่บุคคลระดับจักรพรรดิในที่นั้นก็สับสนตาลายไปพักหนึ่ง เผยสีหน้ายากจะเชื่อ

หรือพูดได้ว่าแม้แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึง ว่าจะมีบุคคลน่ากลัวที่เกือบเหมือนตำนานมากเช่นนี้มาเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง!

“หรือวันนี้จะใกล้ครบแสนปีแล้ว ถึงได้เปิดฉาก ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ ขึ้น”

มีคนเอ่ยเบาๆ

ฟุ่บ!

ห้วงอากาศใต้เท้าหลินสวินปรากฏบัวทองอร่ามดอกหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียง กลีบดอกเบ่งบาน แสงมรรคจักรพรรดิลึกลับเวียนวน หมายจะกลืนกินหลินสวินทั้งตัวไว้ในเกสร

ส่วนหลินสวินก็ไม่รับรู้อะไร

นี่คือพลังอัศจรรย์ที่ลงมือโดยบุคคลระดับจักรพรรดิแท้ ย่อมอยู่เหนือจินตนาการของเขาอยู่แล้ว!

ในที่ลับ หญิงชราชุดเทาคนหนึ่งเผยยิ้มออกมา

แต่เพียงพริบตารอยยิ้มนางก็ค้างแข็ง

พลันเห็นบัวทองอร่ามดอกนั้นที่นางปล่อยออกมา ถูกบรรทัดหยกเล่มหนึ่งฟาดใส่ทันที

เพี๊ยะ!

ดอกบัวสีทองสั่นสะท้าน กลีบดอกที่เบ่งบานร่วงโรยไปทีละกลีบ กลายเป็นเถ้าถ่าน

จากนั้นบรรทัดหยกก็เคลื่อนกวาดไปรอบตัวหลินสวิน

แค่ชั่วพริบตา…

บาตรลูกหนึ่งถูกซัดจนส่งเสียงครวญคร่ำลอยออกไป เข็มขัดหยกสีชาดเส้นหนึ่งถูกตีจนตวัดม้วน น้ำเต้าที่ดูเหมือนหยกชิ้นหนึ่งถูกกระแทกจนร่วงไปกลางอากาศ

หรือพูดได้ว่าช่วงที่บรรทัดหยกนี้เคลื่อนกวาด ก็ซัดสมบัติสามชิ้นที่เดิมซุ่มซ่อนอยู่กลางอากาศ หมายจะพุ่งสังหารมาทางหลินสวินอย่างเงียบเชียบจนพินาศไปทีละอัน!

เห็นชัดว่าคนที่ลงมือก่อนหน้านี้ไม่ได้มีแค่หญิงชราชุดเทานั่น ขณะเดียวกันยังมีบุคคลน่ากลัวคนอื่นอีกสามคนลงมือพร้อมกัน แน่นอนว่าเป้าหมายคือการจับตัวหลินสวิน เพื่อชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดและศุภโชคในตัวเขาไป!

หากไม่ใช่ว่าบรรทัดหยกเล่มนั้นปรากฏตัว พวกเขาก็เกือบบรรลุเป้าหมายแล้ว

เมื่อเห็นภาพนี้หลินสวินที่รู้สึกตัวทีหลังพลันตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้า แผ่นหลังล้วนชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ใครกัน”

“บัดซบ!”

“ล้มเหลวจนได้…”

เสียงที่เจือความเดือดดาลระลอกหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นในที่นั้น

เมื่อทุกสายตามองไป ก็เห็นว่ามีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินสวินไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

เขาสวมหมวกสูงรัดเข็มขัด สวมชุดนักพรตแขนกว้าง มือถือหนังสือเล่มหนึ่ง แววตาใสกระจ่าง เอวหลังเหยียดตรง มีบุคลิกอ่อนโยนดุจหยก

เหมือนบัณฑิตลุ่มลึกผู้อ่อนน้อมสุภาพเรียบร้อย เปี่ยมวิชาความรู้คนหนึ่ง

ทว่าชายท่าทางลุ่มลึกคนนี้ เมื่ออยู่ในสายตาของบุคคลระดับจักรพรรดิคนอื่นในที่นั้น กลับพาให้กายใจรู้สึกหวั่นหวาด พลันหนาวเยือกทันที!

“ศิษย์น้อง ข้ามีฉายามรรคว่า ‘เสวี่ยหยา’ จัดอยู่ในลำดับที่สิบเก้าของสำนัก”

ชายชุดนักพรตเอ่ยปาก แววตาใสกระจ่างและอบอุ่น

เสียงของเขาราวกับน้ำในลำธารไหลซึมเข้ากลางใจ ทำให้ความวิตกกังวลและประหม่าในใจของหลินสวินพลันหายไป เปลี่ยนเป็นเงียบสงบและราบเรียบ

ศิษย์พี่สิบเก้า เสวี่ยหยา!

หลินสวินนึกถึงดอกกระบี่พันปีก นึกถึงคำที่นางเคยกำชับตนว่าต้องนำ ‘กระบี่ไผ่สดับหิมะ’ ไปให้ศิษย์พี่เสวี่ยหยา

เขากลับคิดไม่ถึง ว่าครั้งแรกที่เจอศิษย์พี่เสวี่ยหยาจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

“คารวะศิษย์พี่”

หลินสวินกล่าว ในใจรู้สึกซาบซึ้ง เขารู้ดีว่าหากไม่ได้ศิษย์เสวี่ยหยาช่วย เมื่อครู่นี้ตนต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแน่

“รอคลี่คลายเรื่องตรงหน้าแล้ว พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องค่อยสนทนากัน”

เสวี่ยหยายิ้มพลางตบบ่าหลินสวิน จากนั้นก็มองไปทั่วพื้นที่นั้น ในแววตาที่เดิมอบอุ่นและใสกระจ่างพลันเฉยชาขึ้นมา

เวลานี้เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นต่างเผยสีหน้าตื่นตระหนก

เสวี่ยหยา ชื่อนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่คุ้นเคย แต่นาม ‘จอหงวน’ ผู้สืบทอดคนที่สิบเก้าแห่งคีรีดวงกมล ใครเล่าจะไม่รู้จัก

จอหงวนมรรคจักรพรรดิ ท่องคัมภีร์สะท้านทั่วทิศ!

ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว เสวี่ยหยาก็ถูกมองเป็นผู้มากสามารถอันดับหนึ่งในระดับจักรพรรดิ เป็นบุคคลในตำนานที่มีระดับความรู้ลึกซึ้งบนมรรคจักรพรรดิ สมชื่อ ‘จอหงวน’ !

“จอหงวน คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่… ไม่ใช่ว่าเจ้าประสบเคราะห์ระหว่างทางไปเสาะหาฟากฝั่งฟ้าดาราแล้วหรือ”

เสียงหนักเข้มหนึ่งดังขึ้น

“ข่าวลือจะเป็นจริงได้อย่างไร”

แววตาเสวี่ยหยาเผยความเศร้าหมอง “ตอนนี้สิ่งที่ข้านึกเสียใจที่สุด ก็คือการมุ่งหน้าไปเสาะหาฟากฝั่งฟ้าดาราในปีนั้น ไม่เช่นนั้นก็คงไม่พลาดศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในสมัยบรรพกาลนั่น…”

“ฮึ! ปีนั้นต่อให้เจ้าเข้าร่วม ก็เกรงว่าคงมีแต่ตายไร้ชีวา”

เสียงฮึเย็นชาหนึ่งดังขึ้น

“เช่นนั้นรึ”

ความเศร้าอาดูรในแววตาเสวี่ยหยาหายไป ถูกความเฉยชานั้นเข้ามาแทนอีกครั้ง

เขายกมือชี้อากาศ

ฟุ่บ!

บรรทัดหยกเขียวเลื่อมพรายเล่มหนึ่งพุ่งออกมา ตัดทำลายแหวกอากาศไปทันที

ห้วงอากาศที่ไกลออกไปถูกบรรทัดหยกเล่มนั้นตีจนทรุดลง ส่งเสียงกัมปนาทอึกทึกสนั่นหูโดยพลัน

ขณะเดียวกันเงาร่างหนึ่งคำรามเสียงอึดอัด ซวนเซโฉบพุ่งออกไป เป็นหญิงชราชุดเทาที่ก่อนหน้านี้เคยลงมือลอบโจมตีหลินสวินนั่นเอง

นางตอบสนองรวดเร็ว สองมือไขว้ตัดสลับกัน ควบรวมบัวมรรคสีทองหลายดอกไปต้านบรรทัดหยกที่ฟาดมานั่น

ตูม!

เสียงปะทะปานฟ้าถล่มดินทลายดังขึ้น ฟ้าดินมืดสลัว

พลันเห็นบรรทัดหยกสีเขียวรุกเข้าไปเหมือนผ่าลำไผ่ ตีจนหญิงชราชุดเทานั่นหัวแตกเลือดอาบ ไม่ว่านางต้านทานอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

สุดท้ายเมื่อเสียงหนักทึบหนึ่งดังขึ้น ร่างกายและพลังจิตของหญิงชราชุดเทาก็ถูกซัดระเบิดแหลกไปพร้อมกัน

ใช้เวลาเพียงชั่วขณะเท่านั้น หญิงชราชุดเทาที่มีระดับความรู้เชี่ยวชาญในมรรคาระดับจักรพรรดินี้ก็ดับสิ้น!

“คนที่มีแต่ตายไร้ชีวา… คือเจ้าต่างหาก…”

เสวี่ยหยาถอนใจเบาๆ ชุดนักพรตพลิ้วไหว สง่างามดุจหยก

………………………..

เสียงของบรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวินเพิ่งสิ้นสุด

ตูม!

รุ้งทองสายหนึ่งพาดอากาศพุ่งโฉบออกไป ชายที่สวมหมวกสูงคาดเข็มขัดคนหนึ่งเหยียบรุ้งทองเข้ามา

เขาดุจดั่งราชันจักรพรรดิก็ไม่ปาน มีมาดแห่งนายเหนือหัวมาเยือนใต้หล้า รูปร่างซูบผอม ดวงตาฉายลักษณ์ประหลาดมหามรรค

บรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลัน เรือนมรรคเหล่ามาร!

ก่อนหน้านี้ก็เป็นเขาที่เอ่ยปากวิวาทกับจักรพรรดิอสนีดับสูญ

“เฮอะ เจ้าคนที่เคยพ่ายแพ้ไปอย่างเจ้าในที่สุดก็ยอมปรากฏตัวแล้วหรือ”

จักรพรรดิอสนีดับสูญแค่นเสียงเย็น เผยแววเหยียดหยัน ต่อให้เป็นเพียงพลังจิตวิญญาณดั้งเดิมสายเดียว ยามเผชิญหน้ากับบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันกลับเห็นได้ชัดว่ากร้าวแกร่งถึงขีดสุด

“จี้เสวียน คิดจริงๆ หรือว่าพึ่งพิงคีรีดวงกมลแล้วจะสามารถทำตัวไร้ขื่อไร้แปได้”

สีหน้าบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันเย็นเยียบ “ข้าขอบอกเจ้า วันนี้พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้ของเจ้า อย่าหวังจะมีชีวิตได้อีกเลย!”

“แค่เจ้าคนเดียวน่ะหรือ”

จวินหวนถาม

“แน่นอนไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว อานุภาพแห่งมรรคกระบี่ของสหายยุทธ์จวินหวนยอดเยี่ยมเลิศล้ำ หากหมายจะจับตายปลาใหญ่อย่างเจ้า ก็ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังถึงจะใช้ได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันกล่าวราบเรียบ

น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ห้วงอากาศละแวกใกล้เคียงก็ม้วนตลบระลอกหนึ่ง พร้อมๆ กับปรากฏเงาร่างสายแล้วสายเล่าขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เงาร่างเหล่านี้รวมทั้งสิ้นเจ็ดคน มีทั้งชายหญิง ลักษณะหน้าตาถึงแม้จะต่างกัน แต่บุคลิกล้วนน่าสะพรึงคับฟ้า ดุจดั่งบรรพจารย์แห่งมหามรรค อานุภาพศักดิ์สิทธิ์ไร้จำกัด!

ทันทีที่ปรากฏตัว ฟ้าดินร้องระงม คล้ายแบกรับอานุภาพบนตัวพวกเขาไม่ไหว

ระดับจักรพรรดิบางส่วนยิ่งตัวเกร็งไปทั้งร่าง รับรู้ถึงแรงกดดัน

ควรรู้ว่าด้วยระดับของพวกเขาก็สามารถข่มทั่วหล้า อาละวาดทั่วแผ่นดิน ทว่ายามเผชิญหน้ากับเงาร่างที่ปรากฏตัวออกมาอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ กลับได้แต่แหงนมองเท่านั้น!

เนื่องจากคนเหล่านี้ล้วนเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิที่ไม่เคยปรากฏตัวบนโลกมานานปี บ้างก็มาจากหกเรือนมรรคใหญ่ บ้างก็มาจากสิบเผ่านักรบใหญ่ และบ้างก็มาจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์…

เพียงแต่สำหรับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกจวินหวน ผู่เจิน หลินสวินแล้ว คนพวกนี้ล้วนมีชื่อเรียกเดียวกันคือ…

ศัตรู!

บรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลัน รวมกับคนอื่นอีกเจ็ดคนที่ปรากฏตัวต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ในที่นั้นพลอยเปลี่ยนไปอีกครั้ง

พลังระดับนี้ล้วนสามารถกวาดล้างทั่วหล้าได้!

นัยน์ตาหลินสวินหดรัดเล็กน้อย

เขาสามารถคาดการณ์ได้ว่าการประชันหมากที่มีการวางแผนมาล่วงหน้านี้ไม่ธรรมดาหาใดเปรียบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะน่าสะพรึงปานนี้

ทอดสายตามองไป ระดับจักรพรรดิทั่วไปล้วนหม่นราศี และผู้ที่มีคุณสมบัติเอ่ยปาก แต่ละคนก็เป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เพียงแค่ย่างเท้าก็สามารถทำให้ฟ้าดาราสั่นสะเทือนได้!

ภาพเหตุการณ์ระดับนี้ เกรงว่าคงมีแต่ ‘ศึกมรรคสิบทิศ’ ในยุคดึกดำบรรพ์ กับ ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ สมัยบรรพกาลเท่านั้นที่จะเทียบรัศมีได้

กลับเห็นจวินหวนไม่ลนลานแม้แต่น้อย พูดเองเออเอง “ศิษย์พี่ผู่เจิน ตอนนี้มีเจ้าเฒ่าแปดคนที่อยากจัดการพวกเรา ข้าจัดการสามคน ท่านมาจัดการห้าคนเป็นอย่างไร”

ผู่เจินอึ้งไป กล่าวอย่างลังเล “เหตุใด… ถึงไม่แบ่งเท่ากัน”

จวินหวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ใครใช้ให้ท่านเป็นศิษย์พี่เล่า ย่อมต้องรับหน้าที่มากหน่อยอยู่แล้ว”

ถูกสายตาของจวินหวนจับจ้อง ผู่เจินได้แต่ยิ้มขื่น กล่าวเสียงงึมงำ “ดูเหมือน… จะเป็นเหตุผลข้อนี้จริงๆ”

“พวกข้าสองคนก็ช่วยได้เหมือนกัน”

ซย่าสิงเลี่ยเอ่ยปาก จักรพรรดิอสนีดับสูญที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าด้วย

จวินหวนปฏิเสธตรงๆ กล่าวสบายๆ ว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า คอยดูแลศิษย์น้องเล็กของข้าที่ทนทรมานไม่ไหวคนนี้ก็พอแล้ว”

ซย่าสิงเลี่ยและจักรพรรดิอสนีดับสูญมองหน้ากัน ทั้งคู่ก็ถือเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่เรียกลมเรียกฝนได้บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้เช่นกัน แต่ยามนี้กลับถูกดูหมิ่นกลายๆ…

ส่วนหลินสวินอึ้งค้างไปชั่วขณะ อะไรที่เรียกว่าทนทรมานไม่ไหว

เขาลอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจ ‘ศิษย์พี่จวินหวนใช่แค่ซุกซนที่ไหน คำพูดก็ช่างทำร้ายใจคนเกินไปแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดผู้อาวุโสจี้เสวียนถึงได้หลงใหลคลั่งไคล้นางปานนั้น…’

ไม่เพียงแค่พวกหลินสวิน พวกบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันหลังจากได้ยินการจัดการของจวินหวนก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง พวกเขาเคยถูกดูเบาเช่นนี้เมื่อไหร่กัน

“มิน่าคีรีดวงกมลถึงถูกทำลาย ดูท่าคงมีสาเหตุมาจากพูดจาใหญ่โตเกินไป”

บรรพจารย์จักรพรรดิที่เหมือนเด็กหนุ่ม บุคลิกเย่อหยิ่งคนหนึ่งหัวเราะหยัน

จวินหวนยื่นมือมาชี้คนผู้ นี้ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ผู่เจิน เจ้าเฒ่ากระจอกนี้มอบให้ข้าแล้วกัน อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้เขาคุกเข่าพูดประโยคนี้กับข้าอีกครั้ง”

“ได้”

ผู่เจินตอบรับอย่างรวดเร็ว

“เฮอะ ไม่รู้ดีชั่ว!”

บรรพจารย์จักรพรรดิที่เหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าอึมครึมลง

สิ่งที่ตอบเขาคือหนึ่งกระบี่ที่ไม่เกรงใจของจวินหวน ปราณกระบี่เจิดจรัสไร้สิ้นสุด งดงามยิ่งยวด มีความงามที่สะท้านจิตสะเทือนวิญญาณอย่างหนึ่ง

และก็เป็นกระบี่นี้ที่เปิดฉากการต่อสู้ในครั้งนี้

“ลงมือ!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน พวกบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันก็ลงมือพร้อมกัน

บรรพจารย์จักรพรรดิ ขอบเขตแห่งระดับจักรพรรดิที่ย้อนคืนบรรพ์

ระดับนี้สูงส่งน่าเกรงขามเกินไป อย่าว่าแต่มกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างหลินสวิน แม้แต่ระดับจักรพรรดิอย่างจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็ยังได้แต่แหงนหน้ามอง

ยามเมื่อการต่อสู้ปะทุ เงาร่างของพวกเขาก็เคลื่อนย้ายไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้าในพริบตา มีเพียงอยู่ภายใต้เวิ้งฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถปลดปล่อยอานุภาพของพวกเขาได้เต็มที่

หากสู้กันที่พื้นดิน ไม่เพียงจะขัดไม้ขัดมือ ซ้ำหายนะที่ก่อขึ้นยังใหญ่ยิ่งเกินไป ไม่ใช่ว่าใครๆ จะสามารถทนรับไหว

ศิษย์พี่ผู่เจินก็พุ่งออกไปเช่นกัน เอาจอบที่พาดบนบ่ามาถือไว้ในมือ

จอบยาวจั้งเศษ ตัวเรือนดำสนิท ลักษณะค่อนข้างหยาบหนา ดูเหมือนเปื้อนคราบสนิม แต่กลับให้ความรู้สึกขึงขังประหนึ่งหวนคืนธรรมชาติแก่ผู้คน

ยามเมื่อถืออยู่ในมือใหญ่ดุจใบพัดของผู่เจิน ทำให้อานุภาพทั้งตัวเขาเปลี่ยนไป ผิวสีทองแดงคร้ามเข้มที่เหมือนสร้างขึ้นจากทองแดงอบอวลพลังจิตวิญญาณที่แน่นหนา ประกอบกับร่างกายล่ำสันที่เหมือนเจดีย์ทองแดงก็ไม่ปานของเขา ทำให้มีกลิ่นอายกลืนกินฟ้าดิน

ยามเอ่ยว่าลงมือ ผู่เจินไม่ลังเลสักนิด เท้าเหยียบขึ้นห้วงอากาศ การโจมตีก็คือการตวัดจอบครั้งหนึ่ง ฟันใส่บรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งอย่างแรง

ตูม!

ฟ้าดินเปลี่ยนสี จอบเล่มเดียวเท่านั้น กลับดุจดั่งมองฟ้าดินเป็นท้องนา และผู่เจินก็เหมือนกำลังขุดดิน บดขยี้ห้วงอากาศเป็นผุยผง ภาพเหตุการณ์ชวนสยอง

“กลัวเจ้ารึไง”

บรรพจารย์จักรพรรดิคนนั้นสีหน้าอึมครึม ตั้งแต่ผู่เจินและจวินหวนปรากฏตัวก็เอาแต่ใช้ท่าทีสูงส่งเพิกเฉยต่อการคงอยู่ของพวกเขา ยามนี้ยิ่งลงมือหนักหน่วงโดยไม่พูดสักแอะ นี่ยั่วโทสะเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ขณะพูดเงาร่างของเขาพลันเคลื่อนขวาง ทั่วร่างห้อมล้อมด้วยตรวนเทพสีชาดเป็นเส้นๆ ร่ายระบำคลั่ง กลายเป็นขวานสีชาดเล่มหนึ่งทันควัน เข้าปะทะผู่เจิน

ปัง!

เสียงกระแทกระลอกหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหวก้องฟ้าดิน พลังจิตวิญญาณแผ่กว้างพายุกระโชก ก่อเกิดลักษณ์ประหลาดมากมายอย่างเช่นเสียงเทพมารโหยไห้ เลือดเทพสาดกระเซ็น มหามรรคร้องครวญอยู่รำไร โกลาหลทั่วแปดทิศ

เงาร่างบรรพจารย์จักรพรรดิคนนั้นซวนเซ ถอยหลังไปหลายสิบก้าว สีหน้าคล้ำเขียวสลับซีดขาว

“ข้าเป็นคนหยาบกระด้างคนหนึ่ง ทำเป็นแต่ขุดแปลงทำนา เชื่อใจแค่จอบในมือตัวเอง ในสายตาของข้า พวกเจ้าก็เหมือนวัชพืนในท้องนา จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง เจ้าคนเดียวไม่พอให้มอง เข้ามาพร้อมกันเลยเถอะ”

เมื่อโจมตีอยู่หมัด ผู่เจินก็เอ่ยปากเสียงขรึม ผิวสีทองแดงเข้มทั่วร่างพวยพุ่งพลังเทพ ตวัดจอบกระแทกเข้ามาอีกครั้ง หบายกระด้างเรียบง่ายอย่างที่สุด

“ฆ่า!”

บรรพจารย์จักรพรรดิคนอื่นๆ สั่งสมพลังเตรียมสู้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเห็นเช่นนี้สองคนในนั้นก็ไม่ลังเลสักนิด ร่วมมือกันจัดการผู่เจินทันที

ส่วนอีกห้าคนที่เหลือกลับพุ่งโจมตีไปทางจวินหวนโดยปริยาย

“ศิษย์น้องจวินหวนบอกแล้ว ให้ข้าฆ่าห้าคน เหตุใดพวกเจ้าไม่ฟังกันบ้าง”

ผู่เจินสะบัดจอบอย่างแรง เงาร่างพริบวาบ ชั่วอึดใจก็ซัดออกไปพันครั้ง ถึงกับสะเทือนการโจมตีร่วมกันของบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนได้

ขณะเดียวกันเมื่อเขาโบกมือ ก็ขัดขวางบรรพจารย์จักรพรรดิอีกสองคนที่เดิมทีพุ่งเข้าใส่จวินหวนเอาไว้

หรือกล่าวอีกนัยคือ เวลาเพียงพริบตา ผู่เจินคนเดียวเริ่มเปิดศึกกับบรรพจารย์จักรพรรดิห้าคน!

ท่าทางทรงพลังที่หนึ่งต่อกรห้า มาดที่ดูแคลนระดับจักรพรรดิทั่วหล้า สง่างามมีอานุภาพประหนึ่งเหนือฟ้าใต้หล้ามีเพียงข้าเป็นหนึ่งเช่นนั้น ทำให้ผู้คนสะท้านสะเทือน

“รนหาที่ตาย!”

“พวกสมควรตายอย่างเจ้า ช่างไม่รู้ดีชั่ว!”

ท่าทางอวดดีถึงที่สุดเช่นนี้ของผู่เจินยั่วโทสะบรรพจารย์จักรพรรดิพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง ต่างเข้าปะทะกับเขา ลงมือไม่โดยไว้ไมตรีสักนิด ทุกคนล้วนใช้ไพ่เด็ดกันทั้งสิ้น

ชั่วขณะหนึ่งกลางฟ้าดินถูกเงาร่างประดุจเทพสายแล้วาสายเล่าเติมเต็ม พาดขวางที่ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า รบพุ่งเหนือฟ้า เข่นฆ่าตรงๆ จนฟ้ามืดดินดับ สุริยันจันทราอับแสง

นี่เป็นถึงการต่อสู้กันระหว่างบรรพจารย์จักรพรรดิ!

วิชาที่ใช้ทั้งหมดล้วนเป็นวิชาลับมรรคจักรพรรดิซึ่งเรียกได้ว่าชั้นยอดทั้งสิ้น แค่คิดก็รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เย้ยฟ้าปานใด

ยามนี้ภายในเขตแคว้นแห่งนี้ที่เขาเมฆาตั้งอยู่ ล้วนถูกลูกหลง ทุกแห่งหนปรากฏภาพเหตุการณ์น่าสะพรึงที่ฟ้ามืดดินดับ ห้วงอากาศแตกสะบั้น ผืนดินใหญ่พังทลาย ตะวันร่วงจันทราหล่น

ทุกหย่อมหญ้าเกิดเสียงสายฟ้าอึงอล พลังเทพไหลพุ่ง ปั่นป่วนฟ้าดินเมฆลม!

พื้นที่หนึ่งแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิงกว้างใหญ่เสมือนโลกใหญ่แห่งหนึ่ง สรรพชีวิตมากมายอาศัยอยู่ในนี้ ยามนี้ไม่ว่าพลังปราณสูงหรือต่ำล้วนต่างตกใจจนทั่วร่างอ่อนแรง ขวัญหลุดลอย ยังนึกว่ามหาเคราะห์วันสิ้นโลกมาเยือน

พวกใจเสาะบางส่วนยิ่งถูกทำให้ผวาจนฉี่เล็ด หมดสติไปตรงๆ ทุกแห่งล้วนเป็นภาพพิบัติร้ายที่โกลาหลยิ่งยวด

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะ ‘ศึกแห่งบรรพจารย์จักรพรรดิ’ ในครั้งนี้!

……

“ศิษย์พี่ผู่เจินสมกับที่เกิดในท้องไร่ท้องนา วิธีนี้ช่างหยาบกระด้างนัก…”

จวินหวนส่งเสียงทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง นางหรี่ดวงตาเรียวชี้งดงามลง “หากไม่ออกแรงสักหน่อย เกรงว่าคงจะยืดเยื้อ ดูท่าข้าเองก็ได้แต่ต้องหยาบกระด้างสักครั้งเท่านั้นแล้ว”

ใกล้ๆ นาง พวกบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนอย่างพวกบรรพจารย์จักรพรรดิเทียนหลันลงมือกันแล้ว ปิดล้อมโจมตีนาง

และขณะพูด จวินหวนโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง

กระบี่ไร้รูปเล่มหนึ่งห้อมล้อมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ชั่วอึดใจเดียวฟ้าดินเปลี่ยนสี พลังเทพไพศาลไร้ขอบเขตพุ่งเข้าสู่กระบี่ไร้รูปเล่มนั้น

กลางห้วงอากาศว่างเปล่านั้น กลับปรากฏอักษรกระบี่มรรคเป็นสายๆ มีอักษรทองที่บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน มีอักษรจารึกที่เก่าแก่เรียบง่าย มีอักษรแห่งเทพมารที่คลุมเครือลึกลับ มีอักษรลับแรกกำเนิดที่แฝงนัยนับไม่ถ้วน…

อักษรเก่าแก่โบราณที่แตกต่างกันเหล่านี้ล้วนกลายเป็นปราณกระบี่สายหนึ่ง ประทับพลังแห่งประสวัตศาสตร์ บรรจุอานุภาพแห่งกาลเวลา ทันทีที่ปรากฏต่างรายล้อมอยู่รอบๆ กระบี่ไร้รูปสายนั้น

เพียงพริบตาเท่านั้น กระบี่ไร้รูปเล่มนี้ถึงกับดุจดั่งได้รับจิตวิญญาณ แผ่เจตเทพไร้จำกัด พุ่งไปยังนอกเก้าชั้นฟ้า สั่นคลอนฟ้าดารามากมาย!

อานุภาพระดับนี้เรียกได้ว่าหายากสะท้านโลก!

กระทั่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวงภายในอาณาเขตแคว้น ยามนี้เวลานี้ถึงกับรับรู้อย่างฉับไวถึงพลังแห่งกระบี่ที่ไพศาลเลิศล้ำสายหนึ่ง กำลังปกคลุมอยู่เหนือเวิ้งฟ้าที่ยาวไกลไร้เขตแดน!

ส่วนจวินหวนยกมือหยกเรียวขึ้น กำกระบี่ไร้รูปนั่นไว้ก่อนพุ่งขวางออกไป

สวบ!

เพียงชั่วอึดใจ ฟ้าถล่มดินทลาย สรรพชีวิตดับสูญ!

บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนอย่างพวกเทียนหลันหน้าเปลี่ยนสีกันถ้วนหน้า เข้าปะทะเต็มกำลัง

ตูม!

เสียงกัมปนาทรุนแรงดังขึ้นระลอกหนึ่ง ส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั่น ถูกประกายศักดิ์สิทธิ์และแสงมรรคน่าสะพรึงท่วมท้น ไพศาลไร้จำกัด

สามารถมองเห็นว่าบรรพจารย์จักรพรรดิที่ดุจดั่งทวยเทพก็ไม่ปานอย่างพวกเทียนหลันทั้งสามคน ภายใต้การเข่นฆ่าแห่งพลังมรรคกระบี่ของจวินหวน ถึงกับถูกกดข่มตั้งแต่เริ่ม!

“จวินหวนยังเหมือนแต่ก่อน เมื่อลงมือก็แข็งแกร่งและดุดันยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก…”

มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จี้เสวียนก็เผยสีหน้าลุ่มหลงขึ้นมาอีกครั้ง จิตใจสั่นไหว

มีเพียงระดับจักรพรรดิที่รู้ดีที่สุด คิดอยากโจมตีคนระดับเดียวกันให้พ่ายแพ้นั้นง่าย แต่อยากฆ่าคนระดับเดียวกันคนหนึ่งให้ตาย กลับยากแสนยาก

สาเหตุก็เพราะมรรควิถีของระดับจักรพรรดิบรรลุถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ ต่อให้เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณ ภายหน้าก็ยังมีหวังฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อยู่ดี

แต่ยามนี้ จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงที่ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิสามชั้นฟ้ามานานแล้ว กลับถูกพลังหมัดเดียวฆ่าอย่างง่ายดาย

นี่พิสูจน์ได้เพียงว่า พลังปราณของเจ้าของหมัดนั้นเหนือชั้นกว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงไปไกล!

มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น จึงจะมีอานุภาพบดขยี้อย่างสิ้นเชิง!

ในที่นั้นสั่นสะท้าน ล้วนถูกภาพนองเลือดนี้ทำเอาตกใจ

การประชันหมากครั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มจนบัดนี้เกิดตัวแปรขึ้นมากมาย บ้างก็อยู่เหนือความคาดหมาย บ้างก็เป็นไปตามคาด

แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงจะเป็นคนแรกที่ร่วงหล่น!

จักรพรรดิร่วงหล่น!

ในทางเดินโบราณฟ้าดาราล้วนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่สะท้านฟ้า สามารถเรียกระลอกคลื่นใหญ่โหมซัด

ยิ่งกว่านั้นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงหาใช่ระดับจักรพรรดิทั่วไป เบื้องหลังนางยังมีเรือนมรรคจักรวาลหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่หนุนอยู่!

ก็เป็นตอนนี้ที่ผู้คนต่างเห็นว่า เบื้องหน้าหลินสวินไม่รู้มีเงาร่างสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

เขาสวมรองเท้าฟาง พาดจอบเปื้อนคราบสนิมเล่มหนึ่ง ผิวดำคร้ามแดด ท่าทางหยาบกระด้าง ราวกับชาวไร่ชาวนาคนหนึ่ง

ไม่มีใครเห็นว่าเขามาจากไหน และไม่ได้สังเกตว่าเขามาได้อย่างไร เสมือนว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้น!

ลำพังเพียงแค่ท่ายืน ความรู้สึกที่ให้แก่ผู้คนก็เหมือนเสาค้ำที่ยันเวิ้งฟ้าเอาไว้ สูงตระหง่านไร้สิ้นสุด!

“ผู้สืบทอดลำดับที่สิบเอ็ดแห่งคีรีดวงกมล ผู่เจิน!”

มีคนเอ่ยเสียงต่ำเผยฐานะของผู้มาใหม่ ทำเอาในใจเหล่าจักรพรรดิในที่นั้นสะท้านไหว นึกถึงเรื่องเล่าขานเมื่อนานมาแล้วบางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

ในตำนาน เคยมีเทพมารแห่งยุคถูกผู้แข็งแกร่งที่เหมือนชาวนาคนหนึ่งฆ่าด้วยหมัดเดียว

เคยมีจักรพรรดิกระบี่เทียมฟ้าที่ทรงอิทธิพลแห่งยุค ถูกผู้แข็งแกร่งที่เหมือนชาวนาคนหนึ่งฆ่าด้วยหมัดเดียว

และเคยมีจอมจักรพรรดิมรรคธรรมที่สังขารไม่เปื่อยไม่เน่า ถูกผู้แข็งแกร่งที่เหมือนชาวนาคนหนึ่งฆ่าด้วยหมัดเดียว…

สรุปแล้วในตำนานเล่าขานเหล่านี้ แทบจะปรากฏชาวนาคนหนึ่ง รวมถึงหนึ่งหมัดที่ไร้ทัดเทียม เผด็จการจนไม่อาจขวางกั้นของเขาด้วย!

ต่อมาผู้คนถึงรู้ว่า ชายที่เหมือนชาวนาคนนั้นมาจากคีรีดวงกมล อยู่ลำดับที่สิบเอ็ด มีฉายามรรคว่าผู่เจิน!

และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั่วหล้าล้วนขนานนามให้เขาว่า ‘จักรพรรดิยอดยุทธ์’!

ยอด มาจากความสามารถของเขา

ยุทธ์ มาจากพลังหมัดของเขา

ยอดยุทธ์สองคำ สมญานามจักรพรรดิ เรียกได้ว่าชื่อเสียงสมคำเล่าลือ

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบเช่นนี้ หัวใจของหลินสวินกลับมีเสียงเยียบเย็นเจือแววอัดอั้นสายหนึ่งดังขึ้น

‘ถูกคนผู้ นี้ชิงลงมือตัดหน้าก่อนอีกแล้ว…’

มุมปากของหลินสวินกระตุกเบาๆ สายตาดูแปลกไป

ผู้ที่เอ่ยปากคือซีที่เก็บตัวอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์

ยามโดยสารยานลมกรดเหินข้ามฟ้าดารา ศิษย์พี่ผู่เจินก็เคยชิงตัดหน้าซี ใช้สามหมัดซัดสังหารภิกษุเฒ่าตู้คงจากแดนกษิติครรภ์

และก่อนหน้านี้ เดิมทีซีตั้งใจจะลงมือโจมตีฆ่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง แต่ก็ถูกผู่เจินที่มาแบบปุบปับชิงตัดหน้าก่อนอีกครั้ง

สิ่งนี้ทำให้นางอดรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย

‘ผู้อาวุโส การประชันหมากในวันนี้ตัวแปรมากมาย ย่อมต้องมีโอกาสให้ท่านลงมือแน่’

หลินสวินเอ่ยปลอบใจ

ลองคิดๆ ดูก็แปลกประหลาดยิ่ง ก่อนหน้านี้หากไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต หลินสวินไม่อยากเชิญซีลงมือเลย

ใครเลยจะเคยคาดคิด ยามนี้ซีกลับเปลี่ยนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน…

การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกยินดียิ่ง

ผู่เจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงซื่อๆ “ศิษย์น้อง ต่อไปดูเหมือนจะไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว ถ้าเช่นนั้น… เจ้าแค่ตั้งใจชมเรื่องสนุกดีหรือไม่”

ประโยคนี้ก็เรียบง่ายยิ่ง ทว่าเมื่อถึงหูเหล่าจักรพรรดิในที่นี้กลับบาดหูอย่างบอกไม่ถูก จักรพรรดิยอดยุทธ์คนนี้ดูเหมือนซื่อๆ แต่คำพูดคำจากลับบ้าระห่ำเกินไปแล้ว!

หลินสวินยิ้มแล้ว นี่ก็คือศิษย์พี่สิบเอ็ด คำพูดก็เหมือนกับหมัดของเขา เรียบง่ายตรงไปตรงมา แต่กลับมีความเผด็จการอันไร้รูป!

“ปลาใหญ่ติดแหกลับไม่รู้ตัว ผู่เจิน ภายใต้ตาข่ายฟ้าเช่นนี้ เจ้าจะหนีรอดได้หรือ”

เสียงต่ำลึกสายหนึ่งดังขึ้น

กลางฟ้าดินจู่ๆ ก็มีไอเย็นเยียบกรีดกระดูกเพิ่มขึ้นมาวูบหนึ่ง สรรพชีวิตควบแข็ง ห้วงอากาศประหนึ่งถูกแช่แข็ง

แม้จะเป็นระดับจักรพรรดิยังตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รู้สึกถึงไอเย็นเยียบที่แทรกซึมเข้าจิตวิญญาณ

พร้อมๆ กับเสียงนั้น เงาร่างสายหนึ่งควบรวมขึ้นกลางห้วงอากาศ

คนผู้นี้รูปร่างหน้าตาดุจดั่งเด็กหนุ่ม สวมชุดนักพรต มวยผมปล่อยจอน ยามกะพริบตาเผยลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงที่ความว่างเปล่าโดยรอบดับสูญ สรรพชีวิตมอดม้วยออกมา

กฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิเป็นสายๆ กลายเป็นลักษณ์แห่งพายุ ม้วนตลบปั่นป่วนอยู่รอบกายเขา ขับเน้นจนเขาเสมือนเจ้าเหนือหัวสูงสุดมาเยือนโลก!

บรรพจารย์จักรพรรดิเฟิงถิงแห่งเรือนมรรคยุทธจักร!

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เคยเข้าร่วมศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ สร้างชื่อเสียงบารมีเกรียงไกรเอาไว้ วิชาวายุอสนีประจำกายสะเทือนเก้าชั้นฟ้า

เมื่อเขาปรากฏตัว เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นล้วนรู้สึกว่าแม้แต่สูดหายใจยังลำบาก กลิ่นอายบนตัวเขากร้าวแกร่งเกินไปจริงๆ

แต่นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

ยามบรรพจารย์จักรพรรดิเฟิงถิงปรากฏตัว ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ สายหนึ่งดังขึ้นมา

“ผู่เจิน เจ้าอย่าลืมสิ ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสมัยบรรพกาล ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู ศิษย์น้องสิบสี่จี้ซิว ศิษย์น้องยี่สิบหกอู่ฉาง ศิษย์น้องสามสิบเจ็ดเวินหลิว ศิษย์น้องสี่สิบเอ็ดกู้ชิงฉวี ศิษย์น้องสี่สิบสี่เสวียนหยวนจื่อของเจ้า… ตายอย่างไร”

ประกายแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งกระแทกพื้น กลายเป็นเงาร่างแก่ชราสายหนึ่ง สวมชุดคลุมเงิน ผมเคราพลิ้วไหว ใบหน้าแดงระเรื่อมีสง่าราศี

ในที่นั้นฮือฮาขึ้นมาอีกระลอก

เพราะชายชราคนนี้คือ ‘บรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวิน’ เฒ่าดึกดำบรรพ์เผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลซวี!

ชั่วพริบตาบรรพจารย์จักรพรรดิสองคนปรากฏตัว ร่วมกันหันหัวปลายทวนไปทางผู่เจิน ทำเอาบรรยากาศในฟ้าดินแถบนี้ตึงเครียดถึงขีดสุดในบัดดล

ระดับจักรพรรดิในที่นั้นอย่างพวกจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น มหาจักรพรรดิศิลาเมฆล้วนเห็นได้ชัดว่าหม่นแสงลงไปไม่น้อยในทันที

สีหน้าของผู่เจินฉายแววเย็นเยียบออกมา บุรุษที่เหมือนชาวนาคนนี้ เวลานี้ถึงกับถูกยั่วโทสะ!

สาเหตุก็เพราะชื่อเหล่านั้นที่บรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวินเอ่ยออกมา ล้วนเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ประสบเคราะห์ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิยุคบรรพกาล!

“รู้หรือไม่ว่าครั้งนี้ข้ามาทำไม”

เสียงของผู่เจินเข้มขรึม กลับเผยแววอำมหิต กล่าวเน้นทีละคำ “แก้แค้นในปีนั้น!”

ตูม!

บนตัวผู่เจินมีไอสังหารสะท้านฟ้าพุ่งออกมา ขณะเสื้อผ้าโบกสะบัดก็มีพลังมหามรรคไร้ขอบเขตพวยพุ่ง เขาในเวลานี้เพิ่งจะสำแดงท่วงท่าสง่างามชั้นเลิศแห่ง ‘จักรพรรดิยอดยุทธ์’ ออกมา!

“เฮอะ เช่นนั้นต้องดูว่าเจ้าผู่เจินมีความสามารถหรือไม่”

บรรพจารย์จักรพรรดิเฟิงถิงและบรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวินต่างหัวเราะ ปลาใหญ่ตัวนี้เข้ามาติดแหแล้ว ซ้ำยังบังอาจปานนี้ ช่างน่าขันไปหน่อยจริงๆ

และในเวลานี้เอง ส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นจู่ๆ ก็มีเสียงเดือดดาลตื่นตระหนกเสียงหนึ่งดังขึ้น…

“ไม่…!”

ทุกคนในที่นี้ต่างหน้าเปลี่ยนสี

ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงที่กำลังต่อสู้โรมรันกับซย่าสิงเลี่ยและจักรพรรดิอสนีดับสูญ เวลานี้กลับถูกปราณกระบี่สายหนึ่งปิดครอบ

ปราณกระบี่นั้นว่างเปล่าถึงขีดสุด อิสระยิ่งยวด ประหนึ่งความงามแห่งฟ้าดิน!

ระดับจักรพรรดิทุกคนที่ได้เห็นกระบี่นี้กับตา หัวใจล้วนกระตุกเกร็งหนักหน่วง สั่นสะท้านไปทั่วร่าง

พรวด!

ชั่วอึดใจเงาร่างของบรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงดับสลาย กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้ปราณกระบี่สายนั้น เสียงคำรามที่เจือแววหวั่นหวาดของเขายังคงก้องสะท้อนอยู่ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า

เหล่าจักรพรรดิสั่นเทิ้ม

บรรพจารย์จักรพรรดิเฟิงถิงและบรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวินต่างหน้าเปลี่ยนสี

กระบี่เดียว ฟันบรรพจารย์จักรพรรดิ!

ทั่วหล้าทั้งบนล่าง ใครกันที่ครอบครองมรรคกระบี่อันน่าสะพรึงเช่นนี้

หลินสวินยังอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ เขามองไม่เห็นการต่อสู้สะท้านโลกที่ส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั่น และยิ่งไม่อาจสัมผัสถึงความวิเศษอัศจรรย์ของกระบี่สายนั้น

แต่เขารู้ดีว่าอานุภาพของกระบี่นี้ สามารถซัดสะเทือนหมื่นกาล สะท้านจักรวาลได้อย่างสิ้นเชิง!

ใครกัน?

เวลานี้ไม่ว่าจะในที่แจ้งหรือที่ลับ จิตรับรู้และการสัมผัสมากมายล้วนกวาดเคลื่อนไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั่น

การประชันหมากครั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มจนมาถึงบัดนี้ บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงกลายเป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนแรกที่ร่วงหล่น!

ขนาดระดับจักรพรรดิยังยากจะถูกฆ่าตาย นับประสาอะไรกับระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ

ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ทอดสายตามองทั่วทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราล้วนเรียกได้ว่ามีจำนวนนับนิ้วได้!

ก็เห็นเงาร่างอรชรสายหนึ่งเดินลงมาจากกลางเวิ้งฟ้า

นางสวมอาภรณ์ลายเมฆกลีบกุหลาบสีชมพู ผมยาวดำสนิทถูกเสียบด้วยปิ่นปักผมเล่มหนึ่ง เผยดวงหน้าเลอโฉมที่งดงามถึงขั้นสามารถทำให้ฟ้าดินอับแสง

นางรูปร่างสูงเพรียว ผิวพรรณขาวผ่องเนียนนุ่มดุจหยกมันแพะ ดวงตาหงส์คมเฉี่ยวที่เจือเสน่ห์เป็นธรรมชาติสุกใสดุจดวงดารา ยามนี้สาวเท้าลงบนห้วงอากาศ ท่วงท่าที่เผยความไม่แยแสนั้นงดงามน่าตื่นตะลึง กาลเวลาหม่นแสง

ด้านหลังนางมีจักรพรรดิกระบี่ยอดมารซย่าสิงเลี่ยและจักรพรรดิอสนีดับสูญตามมาติดๆ

ซย่าสิงเลี่ยทำหน้าจนปัญญา ศึกนี้ เดิมเขาต้องการเคี่ยวกรำตนเอง ลองพยายามทะลวงระดับ กลับคาดไม่ถึงว่าจะถูกหนึ่งกระบี่ที่งดงามตราตรึงหาใดเปรียบนั่นขัดจังหวะ

จักรพรรดิอสนีดับสูญกลับมีสีหน้าลุ่มหลง ในแววตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ดีใจ และฮึกเหิม นับตั้งแต่เงาร่างอรชรที่เขาเฝ้าคะนึงหามาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดปรากฏตัว เขาก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

จนกระทั่งเงาร่างอรชรสายนั้นมาหยุดอยู่หน้าเขาเมฆา คราวนี้ทุกคนถึงดึงสติกลับมาได้ เผยสีหน้าแตกต่างกันไป

มีทั้งตกตะลึง มีทั้งสั่นสะท้าน และมีทั้งความกริ่งเกรงอยู่ลึกๆ!

หญิงคนนี้ ย่อมเป็นจวินหวน!

ยามเมื่อเห็นนางปรากฏตัว หลินสวินยังเบิกตากว้าง ในใจเกิดความคิดที่อธิบายไม่ถูกอย่างหนึ่งขึ้นมา มิน่าถึงได้ถูกจักรพรรดิอสนีดับสูญลุ่มหลงปานนี้ ศิษย์พี่จวินหวนนาง… งดงามเกินไปจริงๆ!

‘ศิษย์น้อง เจ้าอย่าโทษที่พวกข้าเพิ่งโผล่มาเอาป่านนี้ เมื่อครู่ก็แค่อยากลองดูสักหน่อย ว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยพลังของเจ้าเองจะสามารถต้านทานได้ถึงขั้นไหนกันแน่ แต่ศิษย์พี่ผู่เจินกลับร้อนใจ ห่วงว่าเจ้าจะทนทรมานไม่ไหวจึงออกมาช่วยเจ้าแต่เนิ่นๆ’

จวินหวนมองเหล่าจักรพรรดิเสมือนไร้ตัวตน ทำเพียงขยิบตาคมเฉี่ยวงดงามให้หลินสวิน ยิ้มน้อยๆ พลางสื่อจิต

หลินสวินจนคำพูดไปพักหนึ่ง ที่แท้ก็เพื่อลองภูมิของตน ถึงได้ชมเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ หรือ

ศิษย์พี่จวินหวนนี่ก็ซนเกินไปแล้ว!

แต่ครู่ต่อมาก็ได้ยินจวินหวนสื่อจิตว่า ‘ในการประชันหมากครั้งนี้ เจ้าเฒ่าที่รับมือยากอย่างแท้จริงยังไม่ปรากฏตัว อีกเดี๋ยวถ้าเห็นสถานการณ์ไม่เข้าที จะให้จี้เสวียนพาเจ้าออกไปจากที่นี่ แน่นอน นี่เป็นการเคลื่อนไหวเผื่อเหตุฉุกเฉิน การประชันหมากยังไม่สิ้นสุด ไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร’

ในใจหลินสวินครัดเคร่ง

หากพวกศิษย์พี่มีความมั่นใจเต็มปี่ยม มีหรือเตรียมลู่ทางเช่นนี้ไว้

เมื่อสันนิษฐานดังนี้ เจ้าเฒ่าที่รับมือยากอย่างแท้จริงที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดคนนั้นจะน่ากลัวปานใดกัน

จวินหวนมาแล้ว ใช้หนึ่งกระบี่สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหง กลายเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนที่สองที่ปรากฏตัวขึ้นในที่นั้น ดึงดูดความสนใจจากทุกคน

และทำให้สถานการณ์การประชันหมากครั้งนี้เปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่านขึ้นมา!

ไอสังหารไร้รูปคละคลุ้งฟ้าดินแถบนี้ กดข่มจนระดับจักรพรรดิเหล่านั้นต่างสีหน้าเคร่งขรึม

“ชั่วขณะมรรคว่างเปล่า มรรคกระบี่สุดแพรวพราว จักรพรรดิกระบี่จวินหวนแห่งคีรีดวงกมล… ชื่อเสียงสมคำล่ำลือดังคาด”

บรรพจารย์จักรพรรดิเฟิงถิงจากเรือนมรรคยุทธจักรส่งเสียงถอนหายใจเบาๆ

“นี่คือปลาใหญ่ตัวที่สองแล้ว”

จู่ๆ บรรพจารย์จักรพรรดิซวีเหวินแห่งเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลซวีก็กล่าวขึ้น “ทุกท่าน จวินหวนปรากฏตัวแล้ว พวกเจ้ายังต้องรออีกถึงเมื่อไหร่”

เสียงสะเทือนทั่วชั้นฟ้า

คำพูดของจี้เสวียนราวกับพายุมรสุม หอบม้วนกลางฟ้าดิน

ระดับจักรพรรดิบางส่วนนัยน์ตาหดรัดลง

แม้จะเดาได้แต่ต้นว่าวันนี้จะมีตัวแปรบางส่วนปรากฏ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตัวแปรนี้ดันปรากฏบนตัวหมากอย่างหลินสวินก่อนเสียได้

“ทุกคนไม่ต้องกลัว บุคคลในตำนานระดับจักรพรรดิเก้าชั้นฟ้าที่สูงส่งอย่างจักรพรรดิอสนีดับสูญ ยามนี้ก็เหลือแค่พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวเดียวเท่านั้น”

น้ำเสียงเฉยเมยไม่แยแสสายหนึ่งดังขึ้นเนิบๆ กลางฟ้าดิน เป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งที่ซ่อนตัวในเงามืดส่งเสียงออกมา

อันที่จริงก่อนหลินสวินจะเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ ก็มีเฒ่าดึกดำบรรพ์ไม่น้อยในเงามืดเอ่ยปากออกมาแล้ว

บุคคลเหล่านี้ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นยิ่งกว่าพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นที่ออกหน้าอยู่ด้วยซ้ำ

เหตุที่ยังไม่ได้เผยร่องรอยเด่นชัดอย่างแท้จริงก็ง่ายดายยิ่ง เพื่อป้องกันการอุบัติขึ้นของตัวแปรนั่นเอง!

“ที่แท้ก็เป็นแค่พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวหนึ่ง”

สีหน้าของพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงผ่อนคลายลงมาทันที ระดับจักรพรรดิเก้าชั้นฟ้าคนหนึ่ง สามารถทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังได้

แต่หากเป็นเพียงพลังจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวเดียว…

ภัยคุกคามก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว!

จี้เสวียนเองก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ เขาอดหัวเราะไม่ได้ คำพูดเรียบง่าย “ไม่ผิด ข้าเหลือแค่พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวหนึ่งจริงๆ แต่พวกเจ้าลองเดาดูก็ได้ ว่าหากข้าสู้สุดชีวิตจะลากคนไปตายด้วยได้สักเท่าไหร่”

คนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี

น้ำเสียงเฉยเมยไม่แย่แสสายนั้นดังก้องขึ้นอีกครั้ง “น่าเสียดาย แม้เจ้าจักรพรรดิอสนีดับสูญจะสู้สุดชีวิตก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้”

“เรือนมรรคเหล่ามารเวิ่นเทียนหลัน?”

หัวคิ้วของจี้เสวียนขมวดมุ่น นัยน์ตาเจือแสงเทพน่าสยดสยอง

หลังจากนิ่งเงียบครู่หนึ่งจู่ๆ น้ำเสียงเฉยเมยไม่ยี่หระสายนั้นก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ดูท่าว่าความจำของพี่จี้เสวียนจะยังดีอยู่”

เวิ่นเทียนหลัน เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจักรพรรดิเก้าชั้นฟ้าคนหนึ่งในเรือนมรรคเหล่ามาร บุคคลเทียมฟ้าที่บรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ ได้รับขนานนามว่า ‘บรรพจารย์จักรพรรดิคลื่นฟ้า’!

“พวกที่แพ้ภายใต้น้ำมือข้า ข้าจะลืมได้อย่างไร”

จี้เสวียนหัวเราะร่า

ประโยคเดียวทำให้คนมากมายในที่นี้สูดหายใจเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน ที่แท้ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว บรรพจารย์จักรพรรดิคลื่นฟ้าเคยพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือจักรพรรดิอสนีดับสูญ!

นี่เป็นความลับครั้งใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครล่วงรู้

“เฮอะ!”

เวิ่นเทียนหลันเอ่ยปากแค่นเสียงเย็น “น่าเสียดาย เจ้าในตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติให้ข้าลงมือเลยสักนิด เจ้าลองคิดดูก่อนดีกว่าว่าจะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร!”

ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่เงาร่างของเขาก็ยังไม่ปรากฏ

“อาจารย์อาเทียนหลันพูดถูก แค่พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวเดียวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้น่าหวั่นใจ คิดอยากช่วยชีวิตเดรัจฉานน้อยนั่นยิ่งเพ้อฟันเข้าไปใหญ่!”

จักรพรรดิมารผลาญนภาจากเรือนมรรคเหล่ามารเช่นกันเอ่ยปากเสียงเย็น เรียกขวัญทุกคนให้ลงมือด้วยกัน กำจัดจี้เสวียนก่อน

จี้เสวียนนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ

วิญญาณกระบี่เย่จื่อเปล่งแสงเรืองรอง

หลินสวินสีหน้าผ่อนคลาย ต่อให้ศิษย์พี่แห่งคีรีดวงกมลเหล่านั้นไม่มา ในมือของเขา… ก็ยังมีไพ่ตายอยู่!

และในเวลานี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง…

ตำหนักสีทองที่เหมือนสร้างขึ้นจากเหล็กเทพหลังหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากฟ้ากะทันหัน กดข่มจนห้วงอากาศครวญใกล้พังทลาย อานุภาพพลุ่งพล่าน เจิดจ้าไร้ขอบเขต

สุดท้ายส่งเสียงดังปัง กระแทกใส่ผืนดินกว้างที่ห่างจากหลินสวินไม่ไกล สะเทือนจนพื้นดินล้วนสั่นโคลง ฝุ่นควันคละคลุ้ง

“ตำหนักมหามรรคเก้าฟ้า!”

เหล่าจักรพรรดิต่างนิ่วหน้า เดาออกว่าผู้มาคือใคร

ก็เห็นตำหนักสีทองนั่นย่อขนาดเล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายเหลือความสูงเพียงหนึ่งฉื่อ ลอยละล่องไปอยู่ในมือคนผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวกลางอากาศ

เงาร่างกำยำนั้นแผ่กลิ่นอายโอหังที่แข็งกร้าวทะยานฟ้า ยืนสบายๆ รอบกายปรากฏกฎเกณฑ์มหามรรคดั่งกระแสธาร

จักรพรรดิกระบี่ยอดมารซย่าสิงเลี่ย!

ชั่วขณะนี้หลินสวินเองก็จำฐานะของผู้มาใหม่ได้เช่นกัน พลันรู้สึกแปลกใจ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าบิดาของซย่าเสี่ยวฉงเข้ามาร่วมด้วยได้อย่างไร

กลับเห็นซย่าสิงเลี่ยเผยยิ้มยโสโอหังออกมา กล่าวว่า “พลังจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวเดียวของจี้เสวียนไม่พอ หากรวมกับข้าด้วยอีกคนเล่า”

“ซย่าสิงเลี่ย เจ้าไม่ใช่จากไปแล้วหรือ เหตุใดถึงยังเข้ามาพัวพันอีก”

มีคนอดถามไม่ได้

ก่อนหน้านี้ยามการเคลื่อนไหวของเขตต้องห้ามเซียนโบราณกำลังดำเนินอยู่ ซย่าสิงเลี่ยก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่ช่วงกลางจู่ๆ ก็จากไป สิ่งนี้ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าที ดังนั้นจึงถอนตัวจากไป

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาดันกลับมาเวลานี้ หนำซ้ำยังแสดงจุดยืนจะช่วยหนุนหลังหลินสวินอีก!

ซย่าสิงเลี่ยทอดถอนใจ “ช่วยไม่ได้ ข้าคนแซ่ซย่ามีเพียงลูกสาวคนเดียว แล้วลูกสาวของข้าดันทนเห็นเจ้าหนูนี่ประสบเคราะห์ไม่ได้มากที่สุด ส่วนข้าน่ะ ติดหนี้ลูกสาวมากเกินไป ตอนนี้ก็ทนเห็นลูกสาวรู้สึกอดสูไม่ได้มากที่สุด เลยได้แต่สละชีวิตมาที่นี่ มาเล่นสนุกกับทุกท่านเสียหน่อย”

ทุกคนต่างจนคำพูดไปชั่วขณะ

เพราะเหตุผลนี้ แม้แต่ชีวิตก็ไม่สนแล้ว จักรพรรดิกระบี่ยอดมารนี่เสียสติไปแล้วหรือ

หลินสวินยังรู้สึกแปลกใจไปพักหนึ่ง เขากล้าฟันธงว่ายักษ์ใหญ่แห่งยุคระดับซย่าสิงเลี่ย จะต้องดูออกว่าการเดินหมากครั้งนี้น่าสะพรึงและอันตรายปานใดอย่างแน่นอน

แต่เขาก็ยังมา!

ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับซย่าเสี่ยวฉงหรือไม่ ล้วนทำให้ในใจหลินสวินซาบซึ้งไม่สิ้น คำที่ว่าบุญคุณล้นฟ้าก็เป็นเช่นนี้เอง

“อยากรนหาที่ตายหรือ ข้าค่อนข้างสนใจตำหนักมหามรรคเก้าฟ้าหลังนี้ของเจ้าพอดี ครั้งนี้… ทิ้งชีวิตเจ้าเอาไว้ด้วยเลยเป็นอย่างไร”

เสียงแก่ชราที่ก่อนหน้านี้เคยห้ามปรามเสวียนซั่งเฉินผู้นำตระกูลเสวียนดังขึ้น

จากนั้นเงาร่างสีแดงเพลิงสายหนึ่งปรากฏ ครานี้เป็นชายสวมชุดนักพรตแดงเพลิงคนหนึ่ง ผิวพรรณขาวเนียนดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลาไร้ทัดเทียม ดวงตาสะท้อนลำแสงเพลิงน่าสะพรึง

เมื่อมองดูอย่างถี่ถ้วน กฎเกณฑ์เปลวเพลิงเป็นสายๆ ราวกับมังกรเพลิงรายล้อมอยู่รอบตัวเขา ประหนึ่งเทพที่ถือกำเนิดท่ามกลางเพลิงวิเศษ!

บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหง!

เฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งของเรือนมรรคจักรวาล มีบารมีผ่าเผยที่สามารถทำให้สรรพชีวิตทั่วหล้าสั่นสะท้าน ตำนานที่เกี่ยวข้องกับเขาย้อนไปถึงช่วงยุคดึกดำบรรพ์ได้เลยทีเดียว!

บรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นกดดันหาใดเปรียบทันที

เพราะ ณ เวลานี้ บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงเป็นพวกน่าสะพรึงคนแรกที่เดินออกจากเงามืด อย่ามองว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาท่าทางยังหนุ่ม ความจริงแล้วเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่หมื่นปี

ซย่าสิงเลี่ยสีหน้าเคร่งขรึม เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้ากับข้าห่างกันหนึ่งระดับ ทว่าข้าเพียงข้ามประตูก้าวเดียวก็สามารถทะลวงระดับได้แล้ว สามารถหยิบยืมพลังของเจ้ามาเป็นหินลับดาบได้พอดี”

กล่าวพลางทั่วร่างเขาแผ่กลิ่นอายที่สามารถสะท้านโลกออกมา มีเสียงกระบี่ครวญเหิมหาญซัดสาดออกมาจากตัวเขา

จักรพรรดิกระบี่ยอดมาร เดินทางทั่วหล้าทั้งบนล่าง ยังไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหน!

“หินลับดาบ? ไม่กลัวจะลับจนเศษเหล็กอย่างเจ้าพังพินาศหรือ”

บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงดูคล้ายเด็กหนุ่ม แต่อายุกลับแก่ชราหาใดเปรียบ กล่าวเจือแววชวนสยอง

“ยามลับดาบ หากมีข้าช่วยดับไฟเล่า”

จักรพรรดิอสนีดับสูญกล่าวเสียงเย็น

“เจ้า?”

บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงส่ายหน้า ริมฝีปากเอ่ยเพียงสองคำออกมา “ไม่ไหว!”

บรรยากาศกดดัน

ชั่วขณะนี้หลินสวินยังรู้สึกหายใจลำบาก หากไม่มีวิญญาณกระบี่เย่จื่อและจักรพรรดิอสนีดับสูญคอยช่วยเขาสลายอานุภาพจักรพรรดิน่าสะพรึงที่แทรกซึมอยู่ทุกแห่งหนนั่น เกรงว่าคงยืนหยัดไม่ไหวไปนานแล้ว

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักได้ลึกซึ้งขึ้น ว่าแม้จะก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ เข้าใกล้ระดับจักรพรรดิแบบไร้ขีดจำกัด แต่ความห่างชั้น… ก็ยังมีมากเกินไป!

ก็เหมือนฟ้ากับเหว อย่างน้อยเขาที่มีปราณกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้าก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ในชั่วขณะ

“ลองดูไหม”

สายตาของซย่าสิงเลี่ยมองไปทางจี้เสวียน

“เอาสิ”

จี้เสวียนพยักหน้า

บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงขมวดคิ้วแล้ว “พวกเจ้าสองคนลงมือ เจ้าหมอนี่ก็จะไม่มีใครคอยคุ้มกันอีก พวกเจ้าแน่ใจนะว่าจะทำเช่นนี้จริงๆ”

“อันที่จริงเจ้ากังวลว่าจะถูกพวกเราสองคนพัวพัน พานทำให้พลาดโอกาสบางอย่างไปกระมัง”

นัยน์ตาของซย่าสิงเลี่ยมีเจตจำนงต่อสู้พลุ่งพล่าน

ประโยคเดียวเปิดโปงความในใจของบรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงจนสิ้น ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นยังไม่ปรากฏตัวเขาก็โผล่หัวออกมาแล้ว ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที หากถูกรั้งตัวเอาไว้อีก ในการวางหมากตาต่อไปมีแต่จะยิ่งเสียเปรียบคนอื่นๆ

ทว่าเผชิญหน้ากับการปลุกปั่นของซย่าสิงเลี่ย ก็ทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงไม่สามารถอดทนได้

เขาเอ่ยปากเยียบเย็น “เช่นนั้นข้าก็จะสนองความต้องการของพวกเจ้า ส่งพวกเจ้าไปตามทางก่อนเอง!”

ชิ้ง!

ซย่าสิงเลี่ยเรียกกระบี่มรรคดุจหมึกเล่มหนึ่งออกมา เหยียบย่างกลางห้วงอากาศ ความท่วมท้นแห่งเจตกระบี่ สั่นคลอนธารดารา

“ขึ้นมาสู้กันสักตั้ง!”

บรรพจารย์จักรพรรดิชื่อหงแค่นเสียงเย็น โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พุ่งเหินทะยาน

ในพริบตา ทั้งคู่ก็ก็โรมรันดุเดือดอยู่บนเวิ้งฟ้า มองเห็นเพียงเปลวเพลิงไร้สิ้นสุดปะทุคลั่ง เสียงครวญกระบี่อื้ออึงดังกึกก้อง

การดวลศึกระดับจักรพรรดิเช่นนี้ หากเกิดขึ้นบนพื้นดินใหญ่ ล้วนเพียงพอจะซัดภูผาธาราแถบนี้ให้ตกสู่สภาพพินาสยับเยิน สร้างหายนะน่าสะพรึงที่ไม่อาจจินตนาการได้

ชั่วขณะนั้น สายตาของระดับจักรพรรดิไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ถูกการต่อสู้ครั้งนี้ดึงดูดไปมอง

“ข้าไปล่ะ”

จี้เสวียนมองหลินสวินอีกปราดหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขารับคำจะช่วยซย่าสิงเลี่ยลงมือ เป็นเพราะหลินสวินเคยบอกว่าการเดินหมากครั้งนี้เขายังมีไพ่เด็ดอยู่

“ผู้อาวุโสแค่สู้สุดฝีมือก็พอ”

หลินสวินพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ดี”

จี้เสวียนทะยานฟ้าออกไป เงาร่างพุ่งโฉบเข้าสู่ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า กลายเป็นฝนฟ้าคะนองไร้สิ้นสุดเดือดพล่าน

เหมือนอย่างการวัดฝีมือน่าสะพรึงที่เป็นของระดับจักรพรรดิ ทำเอาเวิ้งฟ้านั่นปั่นป่วน ผุดเผยภาพเหตุการณ์อันน่าสะพรึงฉากแล้วฉากเล่าออกมา ประหนึ่งวันสิ้นโลกใกล้มาเยือนก็ไม่ปาน

จาระดับในปัจจุบันของหลินสวิน ยากจะสอดส่องภาพเหตุการณ์เข่นฆ่าภายในนั้นได้แม้แต่น้อย แต่เพียงแค่มองดูเฉยๆ ก็ยังทำให้เขาหายใจลำบาก ตกใจสะเทือนขวัญ

ทว่าต่อมา ในใจของเขาก็ผุดความรู้สึกอันตรายสุดขีดออกมา

สวบ!

มือยักษ์สีเขียวล้วนข้างหนึ่งควบรวมกลางอาหาศ คว้าตะครุบมาทางเขา

เห็นได้ชัดว่า เจ้าของมือยักษ์หมายจะถือจังหวะสบโอกาสตอนที่จี้เสวียน ซย่าสิงเลี่ยล้วนไม่อยู่ จับกุมตัวหลินสวินเอาไว้

กระบี่ส่งเสียงครวญกระหึ่ม วิญญาณกระบี่เย่จื่อพุ่งโจมตี ปราณกระบี่ดุเดือดประหนึ่งคับฟ้า เผด็จการไร้สิ้นสุด แต่ระหว่างต้านทานฝ่ามือยักษ์สีเขียวนั้น ถึงกับถูกกดข่มจนถอยกรูดทีละน้อย เริ่มส่อแววประคับประคองไม่อยไหวอยู่รำไร

“เจ้าเดรัจฉาน เข้ามาสิ!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงที่เพ่งความสนใจที่ตัวหลินสวินมาโดยตลอดส่งเสียงหัวเราะ ยื่นมือหยกเรียวงามข้างหนึ่งออกมาแหวกห้วงอากาศคว้าตะปบไปทางหลินสวิน

“เรื่องที่จัดการได้ด้วยหมัดเดียว เหตุใดยังต้องเข้าไป”

เสียงเอื่อยเฉื่อยอู้อี้สายหนึ่งดังขึ้น

และที่เร็วยิ่งกว่าเสียงก็คือพลังหมัดสายหนึ่ง

หมัดนี้ เรียบง่ายธรรมดา ตรงไปตรงมา แต่กลับเสมือนสามารถทลายอุปสรรคกีดขวางทั้งหมด มีอานุภาพอาจองคงกระพัน พุ่งไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ

หมัดนี้ ก็เหมือนเอ่ยถามแทนหลินสวิน

ภายใต้หมัดนี้ พลังกรงเล็บของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงนั้นก็แตกกระจุยราวกับเยื่อกระดาษ เห็นได้ชัดว่าเหลือทนปานนั้น

และตัวของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็ส่งเสียงกรีดร้องสะพรึงกลัวออกมา

หมัดนี้ เผด็จการถึงขีดสุด ทำให้เจตจำนงต่อสู้ของนางพังทลาย สภาพจิตใจยับเยิน งัดใช้สิ่งที่เรียนรู้มาทั้งหมด ยังไม่สามารถต้านทานได้แม้เพียงพริบตาเดียวด้วยซ้ำ

ตูม!

พร้อมๆ กับเสียงแตกกระจุยที่อื้ออึงประหนึ่งสายฟ้า ร่างกายของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงราวกับถูกหินโม่บดขยี้ แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นละอองแสงระฟ้าระเหยหายลับไป

หมัดเดียว จักรพรรดิหญิงผู้สูงส่งคนนี้ บุคคลเทียมฟ้าที่สูงสง่าน่ายำเกรงคนหนึ่งของเรือนมรรคจักรวาล ขวัญหลุดวิญญาณกระเจิงทั้งอย่างนี้!

ทั่วลานสั่นสะท้านไปกับเรื่องนี้ด้วย

——

Manga Info

กลางหุบเขางดงามเงียบเชียบที่อยู่ห่างจากเขาเมฆาไกลแสนไกล

ยามที่เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ ภิกษุเฒ่าที่กำลังเดินหมากอยู่กับบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเด็กหนุ่ม บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับดอกบัวจู่ๆ ก็ฉายรอยยิ้มบางๆ ออกมา

“นับแต่บัดนี้ไป การเดินหมากเริ่มขึ้นแล้ว ตัวแปรก็ใกล้เข้าฉากแล้ว กระดานนี้… ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็ฯคนสุดท้ายที่สามารถวางหมากได้เหนือชั้นกว่า และรุ่นเราก็มาถูกเวลาพอดี สมกับที่ลำบากตรากตรำเฝ้ารออยู่ที่นี่”

เขาส่งเสียงทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง รอยย่นทั่วใบหน้าเจือประกายแสงที่เหมือนสลักด้วยกาลเวลาก็ไม่ปาน

“ฉานถูไม่มีทางจากไปจริงๆ เสวียนซั่งเฉินก็เป็นพวกไม่อยู่เฉย พวกเขาก็น่าจะนับเป็นสองตัวแปร แต่หากต้องการตีชิงตามไฟ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีคีบหมากตัวหนึ่งขึ้นมา กล่าวสบายๆ “ส่วนข้าไม่คิดสนใจตัวแปรอะไร และไม่สนใจคีรีดวงกมลอะไรทั้งนั้น ขอเพียงคว้ามหาสมบัติแรกกำเนิดนั่นได้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็นับว่าสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์”

เขากล่าวพลางตั้งท่าจะวางหมาก แต่มือที่อยู่กลางอากาศกลับหยุดชะงักไป

เกือบจะในเวลาเดียวกัน หัวคิ้วของภิกษุเฒ่าเลิกขึ้น กล่าวอย่างอึ้งงัน “ดูท่า… ตัวแปรจะมาก่อนเวลาเสียแล้ว ”

“ในเมื่อเป็นการประชันหมาก คิดอยากล่มกระดานย่อมต้องหาเส้นทางใหม่ ลงมือจากจุดที่อยู่เหนือคาดหมายของผู้คน”

เสียงหัวเราะเบิกบานสายหนึ่งดังขึ้น

ก็เห็น…

เงาร่างซูบผอมสายหนึ่งเดินออกมาจากไกลๆ แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ท่าทางผ่อนคลาย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น สว่างไสวดุจดวงดารา ปราศจากความมัวหมอง

พร้อมๆ กับการย่างก้าวของเขา กลางฟ้าดินดุจดั่งดวงดาวโคจร สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน ทิวทัศน์ทั้งหมดล้วนหายไปราวกับฟองสบู่

สุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่าสีดำสนิท ไร้ฟ้าไร้ดิน มีเพียงความว่างเปล่า!

หรือกล่าวได้ว่า ฟ้าดินและหุบเขาก่อนหน้านี้ล้วนแต่เกิดจากภาพมายา ทิวทัศน์ที่แท้จริงเป็นภิกษุเฒ่าและเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นนั่งวางหมากอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าสีดำมาโดยตลอด!

แต่เวลานี้เงาร่างซูบผอมสายนั้นทำลายภาพมายา สาวเท้าเดินเข้ามา การทำเช่นนี้เหมือนกับการบุกรุกโลกของอีกฝ่าย!

“หลี่เสวียนเวยแห่งคีรีดวงกมล?”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว

“นอกจากบัวเขียวที่ปลูกในแดนแรกกำเนิดด้วยมือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลอย่างเขาแล้ว บนโลกใบนี้ยังมีใครที่สามารถบุกรุก ‘โลกอาคมจักรพรรดิ’ ของเจ้ากับข้าได้ง่ายดายปานนี้อีกหรือ”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่ดุจดั่งภิกษุเฒ่าส่งเสียงทอดถอนใจออกมา “ข้าพูดถูกแล้วไหมเล่า จักรพรรดิกระบี่ฟ้าคราม? ไม่สิ หรือควรเรียกว่า ‘บรรพาจารย์กระบี่ฟ้าคราม’?”

ผู้มาก็คือหลี่เสวียนเวย!

เขาหัวเราะสบายๆ กล่าวว่า “แค่คำเรียกขานเท่านั้น ไม่เห็นใส่ใจ ที่สำคัญคือครั้งนี้ข้าคนแซ่หลี่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แค่เพราะอยากประลองหมากกับท่านทั้งสองสักกระดานเท่านั้น”

ห่างออกไปพันจั้ง หลี่เสวียนเวยยืนนิ่ง เงาร่างสูงโปร่งเหยียดตรง คิ้วตาเจือรอยยิ้ม “ใครแพ้ คนนั้นก็ทิ้งชีวิตไว้เป็นอย่างไร”

“ตัวแปรที่ยิ่งใหญ่นัก”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงทอดถอนใจ

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีก็หยัดกายขึ้น นัยน์ตาเย็นเยียบดุจสายฟ้า จับจ้องหลี่เสวียนเวยจากที่ไกลโพ้น “ได้ยินมานานแล้วว่า ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ของเจ้ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ เร้นลับไร้ขอบเขต ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”

กลิ่นอายน่าสะพรึงไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา

หลี่เสวียนเวยกล่าวยิ้มละไม “ลองดูสักครั้งก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ภิกษุ เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหมากกระดานค่อยๆ หยัดตัวขึ้น นัยน์ตาชราขุ่นมัวเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสและเจิดจ้า เงาร่างโค้งค่อมก็เปลี่ยนเป็นเหยียดตรงเช่นกัน

แม้แต่รอยย่นทั่วใบหน้ายังอันตรธานหายไป กลายเป็นผิวพรรณประหนึ่งเด็กแรกเกิด

เขาพนมสองมือ ใบหน้าขึงขัง “เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว”

ตูม!

โลกว่างเปล่าสีดำสนิทอันกว้างใหญ่ ถูกแสงธรรมและเสียงสวดอันลึกล้ำไร้สิ้นสุดเติมเต็ม ขับเน้นจนบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงดุจดั่งทวยเทพสูงสุด

หลี่เสวียนเวยยืดตัวบิดขี้เกียจคราหนึ่ง คล้ายเรียกความกระปรี้กระเปร่า ยิ้มกล่าวว่า “มาเถิด รีบตายรีบไปเกิดใหม่”

เขาเมฆา บรรยากาศเงียบสงัด

เมื่อเห็นหลินสวินสีหน้าเรียบเฉยสบายๆ ผ่อนคลายไม่ร้อนรน ถึงกับไม่เคยเผยแววกลัดกลุ้มใดๆ ออกมาสักนิด ทำให้ในใจระดับจักรพรรดิไม่น้อยต่างรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง

“ดูท่านเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คลี่ยิ้มเย็น “เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้ ต่อให้วิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นโผล่มาก็ช่วยเจ้าไว้ไม่ได้!”

วิญญาณเร่ร่อน!

เมื่อได้ยินสี่คำนี้ หลินสวินก็ตัดสินได้เรื่องหนึ่ง การช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็ฯภายนอกจริงๆ ด้วย

และตนเอง บางทีอาจกลายเป็นเหยื่อล่อชิ้นหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อล่อบรรดาศิษย์พี่จากคีรีดวงกมลเหล่านั้นออกมา!

“เจ้าเฒ่า เจ้านี่ข่มอารมณ์ไม่ไหวปานนี้ อีกเดี๋ยวเกรงว่าจะประสบเคราะห์เป็นคนแรก”

หลินสวินยังคงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นหลุดขำ คล้ายกับคร้านจะปะทะฝีปากกับหลินสวิน กล่าวตรงๆ ว่า “ส่งมหาสมบัติแรกกำเนิดและยอดศุภโชคชิ้นนั้นบนตัวเจ้าออกมา ข้าจะให้เจ้าตายสบายสักหน่อย!”

เสียงดุจสายฟ้าฟาด บีบคั้นเต็มเปี่ยม

อานุภาพระดับจักรพรรดิอันน่าสะพรึงหอบม้วน ประหนึ่งเขาถล่มคลื่นซัดโหม สั่นคลอนฟ้าดินแถบนี้

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็เหมือนชนวนระเบิด กลิ่นอายที่แต่เดิมปกคลุมในพื้นที่แถบนี้ ใช้พลังเจตจำนงจับจ้องไปยังร่างหลินสวินต่างก็เริ่มระแวดระวังขึ้นมา

เสมือนเกรงว่าหลินสวินจะถูกจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นชิงฆ่าตายก่อน!

“เจ้าพวกเศษเดนคีรีดวงกมลยังไม่ทันปรากฏตัวก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะส่งผลลุกลามหรือไร”

น้ำเสียงเรียบเฉยสายหนึ่งดังขึ้น ประณามการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น

“ถ้าจะลงมือจริงๆ เจ้าเดรัจฉานนี่ก็ควรให้เรือนมรรคจักรวาลของข้าจัดการ ผู้สืบทอดเหล่านั้นของเรือนมรรคจักรวาลของข้าจะต้องไม่ตายเปล่า!”

น้ำเสียงนิ่งขรึมอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

“จะแก่งแย่งกันตอนนี้หรือ เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเกรงใจอีก ประโยคเดียวเท่านั้น มหาสมบัติแรกกำเนิดบนตัวเจ้าหมอนี่ต้องเป็นของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้า”

“เป็นของเจ้า? เจ้าเฒ่า ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ยังคุยโวคำโตอยู่เหมือนเดิม!”

เสียงหลายเสียงดังขึ้น เปี่ยมด้วยกลิ่นอายกร้าวแกร่ง ทำเอาฟ้าดินเมฆลมแถบนี้เปลี่ยนสี

หลินสวินมองดูภาพนี้อย่างเฉยชา ในใจผุดอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก เจ้าเฒ่าพวกนี้อวดดีปานใด นี่กำลังมองเขาเป็นเหยื่อให้แก่งแย่งกันอยู่หรือ

ตูม!

ห้วงอากาศพังทลาย ซ้ำยังมีคนลงมือตรงๆ ยื่นมือยักษ์บดบังฟ้าข้างหนึ่งออกมา คว้าไปทางหลินสวิน

แต่ระหว่างทางก็ถูกมือใหญ่อื่นๆ ที่ยื่นออกมาขัดขวางเอาไว้ บังเกิดแรงปะทะสะเทือนฟ้าดิน เสียงมรรคอึงอล

“เข้ามาเถอะ!”

ท่ามกลางฝุ่นละอองคละคลุ้ง ทันใดนั้นเงาแส้สีเทาขุ่นสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน ปิดครอบลงมา เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

“แส้เร้นนภา!”

มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้น ยามเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็หยุดยั้งไม่ทันแล้ว

“เปิด!”

ก็เห็นหลินสวินไม่ขยับเขยื้อน ในเรือนผมเขากลับมีปราณกระบี่ที่เหมือนลำแสงคมสายหนึ่งพุ่งโฉบออกมา ฟันเบาๆ กลางห้วงอากาศ

เงาแส้สีเทาขุ่นสายนั้นถูกฟันออกเป็นสองท่อน สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ส่วนปราณกระบี่สายนั้นกลับกลายเป็นคนจิ๋วสามซุ่น เป็นวิญญาณกระบี่เย่จื่อนั่นเอง!

เงาร่างของเขาเล็กจ้อยถึงขีดสุด แต่เมื่อเข้าสู่สายตาของเหล่าระดับจักรพรรดิ กลับเสมือนมองเห็นอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงเด่นกลางฟ้า ลำแสงสาดหมื่นจั้ง พร่าตาไร้ทัดเทียม

“วิญญาณกระบี่!”

สถานการณ์ที่ชุลมุนแต่เดิมพลันสงบนิ่งลงทันควัน คนใหญ่คนโตมากมายต่างหรี่ตาลง คล้ายรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

มีเพียงสมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์จึงจะให้กำเนิดวิญญาณอาวุธที่แท้จริงได้ ล้ำค่าและหายากอย่างที่สุด แม้จะเป็นระดับจักรพรรดิยังมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่สามารถฟูมฟักวิญญาณอาวุธเช่นนี้ออกมาได้

“ดูท่าว่าของดีในมือเจ้าหมอนี่จะมีไม่น้อยเลย”

น้ำเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้น

ระดับจักรพรรดิมากมายยิ่งกระเหี้ยนหระหือรือ

และท่ามกลางเงามืดนั้น ยิ่งมีพลังเจตจำนงน่าสะพรึงไม่รู้เท่าไหร่กำลังสั่งสมพลังเตรียมบุก

“ข้าสงสัยมากกว่า ว่าจนป่านนี้แล้วเหตุใดวิญญาณเร่ร่อนแห่งคีรีดวงกมลพวกนั้นถึงยังไม่โผล่มาอีก…”

มีคนพูดเบาๆ ทำให้ในใจคนไม่น้อยสะท้าน

การเดินหมากครั้งนี้ เริ่มเปิดม่านตั้งแต่ตอนที่หลินสวินปรากฏตัวแล้ว

และเหตุที่พวกเขาไม่ลงมือฆ่าหลินสวินทันที ก็เพราะห่วงว่าถ้าฆ่าเหยื่อล่อแล้วจะทำให้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นหนีเตลิดไปก่อน

แต่สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว สถานการณ์ของหลินสวินยิ่งอันตรายถึงขีดสุด ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลพวกนั้นกลับยังไม่เคยปรากฏตัว นี่ทำให้พวกเขาอดระแวงขึ้นมาไม่ได้

แต่ก็มีคนที่มีที่พึ่ง ไม่นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด

เหมือนอย่างจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น เขาโบกมือคราหนึ่งอย่างไม่ลังเล เงาแส้สีเทาขุ่นสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน ปิดครอบลงมาอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของแส้เร้นนภานั่น ก็คือจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น!

วิญญาณกระบี่เย่จื่อเลือดเย็นยิ่ง ยกมือขึ้นกวาดเบาๆ ปราณกระบี่พาดขวาง ฟันใส่การโจมตีนี้

“ฮ่าๆ ให้ข้าจัดการดีกว่า วิญญาณกระบี่นี่ไม่ธรรมดา สามารถหลอมเป็นจิตแห่งศาสตรามารเชียว จะถูกพวกเจ้าเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”

เสียงหัวเราะดังลั่นสายหนึ่งดังขึ้น กลางห้วงอากาศปรากฏภูเขาใหญ่กระดูกขาวลูกหนึ่ง จักรพรรดิมารผลาญนภายืนผ่าเผยอยู่บนนั้น ฝ่ามือหนึ่งกดไปทางหลินสวินทันควัน

“เจ้าต้องการวิญญาณกระบี่นี่ ข้าต้องการชีวิตเจ้าหมอนี่!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็ลงมือเช่นกัน เรียกกะบังมังกรเพลิงออกมา พ่นฝนเพลิงมหาศาลกลายเป็นทะเลเพลิง ไหลทะลักปั่นป่วนพุ่งไปทางหลินสวิน ผลาญฟ้าทำลายดิน น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด

“เฮอะ! นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะตกลงหรือไม่!”

“เป็นเช่นนี้แหละ”

เพียงพริบตาเท่านั้นก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งแผ่คลุมลงมาประหนึ่งปิดฟ้าครอบตะวัน ซ้ำยังมีสมบัติลับบางส่วนพุ่งพาดกลางอากาศ พลังเข่นฆ่าสะท้านฟ้า

และก็เป็นชั่วขณะนี้ ด้านหน้าหลินสวินปรากฏเงาร่างกำยำหาใดเปรียบสายหนึ่ง รอบกายวิวัฒน์เป็นเส้นสายอสนีไร้จำกัด ดุจดั่งเทพอสนีบรรพกาลมาเยือนโลก

ตูม!

เขาเงื้อหมัดซัดฆ่า เจือกฎเกณฑ์อสนีไร้สิ้นสุด กัมปนาทกึกก้องแหวกเปิดห้วงอากาศ แสงอสนีสั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้า!

เพียงพริบตาโต้กลับการโจมตีที่มาจากสี่ทิศแปดทางให้สลายไป

ละอองแสงสาดพรม ยิ่งขับเน้นให้เงาร่างสายนั้นดูเหนือธรรมดา ดุจดั่งร่างแปลงแห่งมรรคอสนี เผด็จการไร้ขอบเขต!

“จักรพรรดิอสนีดับสูญ! เจ้าถึงกับยังไม่ตายหรือ”

เสียงแก่ชราที่ดูตกใจสายหนึ่งดังขึ้นกลางฟ้าดินแถบนี้

เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นต่างตกใจทันที

พวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นยิ่งหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่

จักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียน บุคคลในตำนานระดับจักรพรรดิเก้าชั้นฟ้า ตำนานที่ผู้ครอบครองมรรคอสนีไม่มีใครเทียบได้!

เผชิญหน้ากับบุคลระดับนี้ ระดับจักรพรรดิในที่นี้อย่างพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกรุ่นเด็กเลยสักนิด!

“ในคำเล่าลือ คนผู้นี้ไม่ใช่ร่วงหล่นในเขตต้องห้ามเซียนโบราณตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้วหรือ”

คนมากมายอารมณ์ปั่นป่วน ไม่อาจสงบได้

คนรุ่นเยาว์ที่ไม่สลักลสำคัญอะไรอย่างหลินสวิน กลับไม่เพียงครอบครองวิญญาณกระบี่ ข้างกายยังมีจักรพรรดิอสนีดับสูญคอยปกป้อง นี่อยู่นอกเหนือการคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง

ใครเลยจะคาดคิด แค่ต่อกรกับเจ้าตัวจ้อยคนหนึ่งเท่านั้น พวกผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นยังไม่ทันปรากฏตัว ก็เกิดระคลอกคลื่นผันผวนเช่นนี้ขึ้น

“ที่แท้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ถึงกับยังมีคนจำข้าได้อยู่”

เงาร่างของจี้เสวียนพร่างพราย อาบชโลมอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์มรรคอสนีที่โชติช่วงปะทุเดือด กล่าวเสียงเย็น “แต่ที่ข้าคิดไม่ถึงคือ… คนอย่างพวกเจ้ากลับร่วมกันลงมือกับคนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ไม่รู้สึก… ไร้ยางอายเกินไปหรือไร”

น้ำเสียงเจือแววดูถูกและเหยียดหยามอย่างไม่คิดปกปิด

——

“สามหาว!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงตวาดลั่น “อย่าคิดว่าเจ้าแซ่เสวียนแล้วสหายยุทธ์ในที่นี้จะยอมให้เจ้าสามส่วน หากเจ้ากล้าหยาบคายอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะช่วยผู้อาวุโสตระกูลเจ้าสั่งสอนเจ้าสักหน”

เสวียนจิ่วอิ้นร้องอ้อคราหนึ่งอย่างเกียจคร้าน กล่าวอย่างกระเสาะกระแสะ “ช่างเถิด ข้าจะไม่หยาบคายกับผู้อาวุโสอย่างพวกท่านที่นี่แล้ว”

กล่าวพลางเขายกเท้าตั้งท่าจะจากไป ทำเหมือนรอบกายไร้ผู้คน

“หยุดนะ!”

นัยน์ตาจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเจือแววเย็นเยียบ “ได้ยินว่าเจ้ากับหลินสวินนั่นความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาใช่หรือไม่”

เสวียนจิ่วอิ้นกลอกตาคราหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลหรอกหรือ ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ข้าจะช่วยเขาเก็บรวบรวมทรัพย์หลังศึกอยู่หน้าประตูทลายนั่น”

ท่าทางเหลาะแหละเช่นนี้ เรียกได้ว่าเสียมารยาทถึงที่สุด

และคำว่า ‘ทรัพย์หลังศึก’ สามคำนี้จากปากเขา ยิ่งกระตุ้นให้ระดับจักรพรรดิไม่น้อยหน้าสีหน้ามืดทะมึน สายตาที่มองเสวียนจิ่วอิ้นเริ่มดูไม่เป็นมิตร

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงหัวเราะอย่างเดือดจัด “เจ้าหนุ่ม กล่าวเช่นนี้ ตระกูลเสวียนของพวกเจ้าตั้งใจจะร่วมมือกับคีรีดวงกมล คบคิดทำเรื่องชั่วช้าอย่างนั้นหรือ”

ประโยคนี้ชั่วร้ายถึงขีดสุด โยนคำกล่าวโทษลงไปก่อน หากเสวียนจิ่วอิ้นรับไว้ จะต้องชักนำความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ถึงขั้นมีผลกระทบต่อตระกูลเสวียนที่อยู่เบื้องหลังของเขา

นัยน์ตาของเสวียนจิ่วอิ้นหรี่ลงน้อยๆ กล่าวว่า “อะไรที่เรียกว่าคบคิดทำเรื่องชั่วช้า ข้าเข้าใจว่านี่ท่านกำลังมีเจตนาไม่ดีหมายให้ร้ายตระกูลเสวียนของข้าได้หรือไม่ ดูท่าเรือนมรรคจักรวาลคงไม่ชอบใจตระกูลเสวียนของข้ามากสินะ…”

เป็นเด็กหนุ่มที่ร้ายกาจยิ่ง!

แววตาของระดับจักรพรรดิจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนเป็นแปลกไป

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็อึ้งไป กล่าวเสียงเย็น “ปากคอเราะราย เจ้าก็แค่คนรุ่นเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น ใครให้ความกล้ากับเจ้า ถึงได้กล้ามาพูดจาเช่นนี้กับข้า ต่อให้คนตระกูลเสวียนของพวกเจ้ามาเอง เกรงว่าก็ไม่อาจสามหาวปานนี้ด้วยซ้ำ!”

เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะแล้ว หัวเราะอย่างโอหังไร้กลัวเกรง

และพร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะสายหนึ่งก็ดังก้องขึ้นกลางฟ้าดิน ราวกับพายุมรสุมโหมกระหน่ำ ซัดสะเทือนจนฟ้าดินสั่นคลอน สรรพสิ่งต่างสะท้านไหว

เสียงหัวเราะนั้นก็โอหังไร้กลังเกรงเช่นเดียวกัน ไม่สนใจสักนิดว่าในที่นี้จะมีบุคคลน่าสะพรึงมากน้อยแค่ไหน ยโสโอหังถึงขีดสุด

พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะ เสียงกึกก้องไร้สิ้นสุดสายหนึ่งก็ดังขึ้น

“ใครให้ความกล้า? พ่อของเขาอย่างข้าให้น่ะสิ!”

ประโยคเดียวก็มีระลอกคลื่นเสียงสีทองสายหนึ่งควบรวม สุดท้ายกลายเป็นอักษรมรรคดึกดำบรรพ์สีทองอร่ามแถวหนึ่ง

แต่ละคำล้วนมีขนาดเท่าหินโม่ ไหลเวียนด้วยพลังกฎเกณฑ์น่าสะพรึง สว่างจ้าพร่าตา ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงดุจดั่งอาทิตย์ดวงน้อยที่ส่องแสงสว่างวาบแถวหนึ่ง

เหล่าจักรพรรดิต่างอดอึ้งงันไม่ได้

พร้อมๆ กับเสียงสูดหายใจสะท้านระลอกหนึ่งดังขึ้น นี่เหมือนตบหน้ากันซึ่งๆ หน้าอย่างสิ้นเชิง ซ้ำยังเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งและบ้าระห่ำหาใดเปรียบ!

ประโยคเดียวควบรวมเป็นอักษรมรรคเจิดจ้าอุบัติออกมา เสมือนกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าประโยคนี้ของเขาจองหองปานใด

ในสมองของทุกคนปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม…

ผู้นำตระกูลเสวียนคนปัจจุบัน เสวียนซั่งเฉิน!

ยักษ์ใหญ่มรรคกระบี่ที่ได้รับการเรียกขานว่า ‘บ้าบิ่น’ จากอุปนิสัยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ คนคลั่งมรรคจักรพรรดิที่อุปนิสัยดุจเหล็ก พฤติกรรมบ้าคลั่ง เย่อหยิ่งดั่งดวงสุริยัน!

อักษรหนึ่งแถวสีทองอร่ามปรากฏกลางห้วงอากาศ แสงมรรคไหลวน แม้แต่คนใหญ่คนโตบางส่วนที่ลอบสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ นี้ในเงามืดยังมีสีหน้าแปลกไป

เสวียนซั่งเฉินนี่…

ช่างบ้าระห่ำเผด็จการเต็มเปี่ยมซะจริง!

และยามนี้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็พูดไม่ออกแล้ว ร่างของนางแข็งทื่อ นัยน์ตาหดรัด บนใบหน้างามฉายแววแข็งทื่อและหวาดกลัวเต็มเปี่ยม

อักษรมรรคแถวนั้นเป็นความอัปยศอันหยาบโลนที่สุดต่อนาง เป็นการเหยียบย่ำครั้งใหญ่ที่สุดต่อศักดิ์ศรีของนางอย่างไม่ต้องสงสัย

ควรรู้ว่าบริเวณใกล้ๆ เขาเมฆานี้ กลายเป็นพื้นที่ที่ทั่วหล้าทั้งบนล่างให้ความสนใจตั้งนานแล้ว แค่เพียงลมโชยหญ้าไหวเสี้ยวเดียงของที่นี่ ยังเป็นไปได้สูงว่าอันแพร่สะพัดไปทั่วหล้าในเวลาอันสั้นที่สุด

แค่คิดก็รู้ว่าหากภาพนี้แพร่งพรายออกไป จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ปานใด

แต่จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกลับไม่กล้าเคลื่อนไหวผลีผลาม

อักษรมรรคแถวหนึ่งที่ลอยเด่นกลางห้วงอากาศนั้นก็เหมือนอานุภาพอันน่าสะพรึง พลังที่เปี่ยมล้นประหนึ่งกระบี่มรรคเล่มหนึ่งพาดอยู่ตรงลำคอของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง หากผลีผลามขยับตัว ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจคาดคิด

“ผู้อาวุโสท่านนี้ พ่อข้ามาแล้ว ท่านคิดว่าเขาสามหาวหรือไม่”

กลับเห็นเสวียนจิ่วอิ้นกล่าวพลางหัวเราะชอบใจ

เหล่าจักรพรรดิต่างหน้าเปลี่ยนสี อารมณ์ปั่นป่วน ใช่แค่สามหาวที่ไหน นี่มันสาวหาวยิ่งกว่านี้ไม่ได้เลยชัดๆ!

ทอดมองจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงที่ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ไกลๆ คนบางส่วนต่างก็อดนึกเวทนาขึ้นมาไม่ได้

ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถูกหญิงคนนั้นจากเรือนมรรคคืนกำเนิดหักหน้า อับอายขายขี้หน้าสุดขีด

และยามนี้ นางก็ถูกผู้นำตระกูลเสวียนที่แม้แต่เงาร่างยังไม่ได้ปรากฏเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอย่างโอหังไร้เกรงกลัวอีก…

จักรพรรดิหญิงแห่งเรือนมรรคจักรวาลคนหนึ่งเชียว สถานะสูงส่งปานใด แต่กลับถูกหยามเกียรติซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเรื่องนี้กระจายออกไปคงกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วหล้าเป็นแน่

นี่จะไม่ให้ผู้คนเวทนาได้ ทอดถอนใจกับเรื่องนี้อย่างไร

“พี่เสวียน เอาแค่พอดีก็พอ”

เสียงราบเรียบสายหนึ่งดังขึ้น ดุจดั่งลมหนาววูบหนึ่ง สลายอักษรมรรคสีทองที่ลอยเด่นกลางอากาศแถวนั้นออกไป

“ในเมื่อเฒ่าชราเช่นเจ้าเอ่ยปากร้องขอ เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยนางไปสักครั้ง”

เสียงทรงพลังไพศาลของเสวียนซั่งเฉินดังขึ้นอีกกครั้ง “เจ้าเด็กแสบ ไม่มีปัญญาแต่กลับชอบก่อเรื่องเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าตั้งใจจะให้บิดาช่วยเช็ดก้นให้เจ้าไปตลอดชีวิตหรือไร”

“ใครใช้ให้ข้าแซ่เสวียนกันเล่า แล้วใครใช้ให้ท่านเป็นพ่อของข้ากัน ข้าอยากปฏิเสธ… ทำได้ด้วยหรือ”

เสวียนจิ่วอิ้นไม่เพียงไม่กลัว ตรงข้ามกลับเบ้ปากอย่างจนปัญญา

เสวียนซั่งเฉินยังคงไม่ปรากฏตัว กล่าวหัวเราะดังลั่น “ความสามารถของข้าไม่รู้จักเอาอย่าง นิสัยของข้าดันเอาอย่างจนเหมือนอยู่สามส่วน ไม่เลว ออกเดินทางครั้งนี้ก็ถือว่ามีพัฒนาการอยู่บ้าง”

สวบ!

ครู่ต่อมาแสงมรรคสายหนึ่งพริบวาบ ปิดครอบเงาร่างเสวียนจิ่วอิ้นเอาไว้ พริบตาเดียวก็หายลับไปจากจุดเดิม

ตั้งแต่ต้นจนจบระดับจักรพรรดิในที่นี้ไม่มีใครขัดขวางเลยสักคน

“พี่เสวียน หน้าตาตระกูลเสวียนของพวกเจ้า พวกเรารักษาไว้ให้แล้ว หวังว่าจะเห็นคุณค่า!”

น้ำเสียงเยียบเย็นสายนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ…”

กลางฟ้าดินมีเพียงเสียงหัวเราะดังลั่นทรงพลังกว้างไกลของเสวียนซั่งเฉิน และค่อยๆ อันตรธานหายไป

จวบจนบัดนี้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถึงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั่วร่างผ่อนคลายลง เพียงแต่สีหน้าของนางกลับเห็นได้ชัดว่ามืดทะมึนและไม่น่าดูหาใดเปรียบ

ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีติดต่อกัน ทำให้นางอับอายขายขี้หน้า ข่มกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้แต่ดันไม่มีที่ให้ระบาย ทั้งตัวดูย่ำแย่ไม่น้อย

ตั้งแต่พวกหลิงเคอจื่อถูกพาตัวไป เรื่อยมาจนถึงยามนี้ที่เสวียนจิ่วอิ้นเองก็ถูกบิดาของเขาพาตัวไป แต่ละภาพเหล่านี้ล้วนถูกสายตามากมายมองดูอยู่

ถึงจะบอกว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิทั้งหมดจะไม่เคยพูดอะไร ทว่าบรรยากาศในที่นั้นกลับยิ่งกดดันขึ้นเรื่อยๆ

เพราะทุกคนต่างตระหนักได้ว่าละแวกเขาเมฆาแห่งนี้ ภายนอกเป็นพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นเป็นผู้ควบคุมดูแลทั้งหมด

แต่ในความเป็นจริง เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดไม่เคยเผยกายเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ผู้คนเกรงกลัวมากที่สุด!

ก็เหมือนยามที่บรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูปรากฏตัว ผู้ที่ส่งเสียงทัดทานจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็คือเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คนหนึ่ง

ต่อมาคนที่ส่งเสียงห้ามปรามเสวียนซั่งเฉินผู้นำตระกูลเสวียน ก็คือพวกน่าสะพรึงคนหนึ่งแห่งเรือนมรรคจักรวาล

กล่าวอย่างไม่เกินจริง เมื่อเทียบกับเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวในเงามืดเหล่านี้ ระดับจักรพรรดิในที่นี้ล้วนดูด้อยกว่าส่วนหนึ่ง

และก็เพราะเป็นเช่นนี้ ถึงทำให้สถานการณ์ในที่นี้ยิ่งกดดันและตึงเครียดมากขึ้น

“ไปเถิด”

ไท่ซูหงทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง ตัดสินใจจะถอนตัวออกก่อนที่มรสุมครั้งนี้จะมาเยือน หาไม่ถึงตอนนั้นคิดอยากหนีเกรงว่าคงไม่ทันแล้ว

เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พาพวกหลิงหงจวงที่ดูไม่ค่อยเต็มใจเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจากไป

ไม่มีใครขัดขวาง

ตรงกันข้าม การจากไปของไท่ซูหงทำให้ระดับจักรพรรดิบางส่วนยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์ว่าเรือนมรรคโลกาสวรรค์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลื่นลมครั้งนี้จริงๆ!

และยามที่ขบวนของพวกไท่ซูหงเพิ่งจากไป กลางอุโมงค์อากาศนั้นมีเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมาพร้อมๆ กับละอองแสงที่ไหลเวียนระลอกหนึ่ง

อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ ผมยาวราวกับสีหมึก หล่อเหลาเกลี้ยงเกลา กลิ่นอายรอบกายแผ่วพลิ้วดุจสายน้ำ ประหนึ่งเซียนที่จุติลงมา หลุดพ้นละโลกีย์

เป็นหลินสวินนั่นเอง!

ยามเห็นเขาปรากฏตัว ฟ้าดินราวกับเงียบสงัด ห้วงอากาศประหนึ่งแข็งค้าง

สายตาของระดับจักรพรรดิทั้งหมดลล้วนจับจ้องบนร่างเขาคนเดียว ไอสังหารน่าสะพรึงที่ไม่อาจบรรยายได้สายหนึ่งก็พลอยแผ่กว้างออกไปพร้อมกัน

เจ้าหนุ่มคนนี้ เคยใช้ฐานะของจินตู๋อีผงาดกร้าวในอาณาเขตแคว้นเมฆาดุจดั่งม้ามืด สำแดงความเด่นสง่า

เคยอวดศักดาอาละวาดในแดนลับโลกาสวรรค์ กดข่มเหล่าผู้กล้า

เคยถูกคนมองเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด เรียกความโกลาหลระลอกใหญ่

และเคยถูกคนมองฐานะออก มองเขาเป็นเหยื่อล่อ จัดวางสถานการณ์ใหญ่คับฟ้าฉากหนึ่ง เพียงเพื่อจะล่อวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลังเขาออกมา!

แต่ใครก็คาดไม่ถึง เจ้าคนที่เหมือนตัวหมากในสายตาของ ‘คนใหญ่คนโต’ อย่างพวกเขาเหล่านี้ ชื่อที่แท้จริงดันเป็นหลินสวิน คนที่เคยก่อกวนแหล่งสถานคุนหลุน เข่นฆ่าเหล่าผู้กล้าจนเลือดไหลเป็นสายน้ำ ครอบครองยอดศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์อย่างหนึ่ง!

ยิ่งไม่มีใครคาดคิด ว่าเจ้าคนที่เป็นเหมือนเหยื่อล่อเช่นนี้ กลับใช้พลังแห่งตนฆ่าจนเลือดไหลนองในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน แม้แต่มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นก็ยังถูกเขาช่วงชิงไป!

เมื่อนึกถึงเรื่องใหญ่นองเลือดมากมายที่เกิดขึ้นบนร่างเจ้าหมอนี่ ในใจระดับจักรพรรดิบางส่วนล้วนไม่อาจเยือกเย็นได้

ตัวคนเดียวกลับสามารถสู้ศึกรอบทิศ กดข่มศัตรูในระดับเดียวกัน นี่จะน่ากลัวปานใด

และในมือเขายังครอบครองมหาสมบัติแรกกำเนิด ซ้ำยังมีศุภโชคของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ หากวันหน้าปล่อยให้เขาก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ…

ทั่วหล้าฟ้าดาราแห่งนี้ ใครยังจะสามารถกดข่มเขาได้อีก

แค่คิดยังทำให้ผู้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว!

บรรยากาศกดดันเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง เหล่าจักรพรรดิต่างมีความคิดของตน แต่กลับไม่มีใครสักคนเลือกลงมือก่อน คล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง ทั้งเหมือนกับเกรงกลัวและระวังภัยอะไรด้วย

หรืออาจกล่าวว่า ในใจของพวกเขา การฆ่าหลินสวินตายไปสักคนไม่นับว่าเป็นอะไร สิ่งที่ทำให้พวกเขาสนใจอย่างแท้จริง คือคนที่อยู่เบื้องหลังหลินสวิน!

หลินสวินสีหน้านิ่งขรึม ด้านหลังของเขา อุโมงค์อากาศที่เชื่อมสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณกำลังมลายหายลับไป

เขาคนเดียว เวลานี้กลับเหมือนลูกแกะตัวหนึ่ง ถูกฝูงหมาป่าล้อมรอบ!

แต่เขากลับไม่ได้เผยท่าทีตื่นกลัวแม้แต่เสี้ยวเดียว หรือกล่าวได้ว่าเขาคาดเดาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว คาดการณ์ได้ก่อนแล้วว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

และก็เพราะเช่นนี้ ยามที่อยู่ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณเขาถึงกล้าวางใจ ฝากฝังจินเทียนเสวียนเยวี่ย เซี่ยอวี่ฮวา เหลิ่งซิวเจียสามคนนี้ให้หลิงเคอจื่อพาตัวไป

รวมถึงการปฏิเสธความช่วยเหลือของเสวียนจิ่วอิ้น ให้เขาล่วงหน้าออกไปก่อน

ทำเช่นนี้ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากไม่อยากให้ตนสร้างความลำบากให้พวกหลิงเคอจื่อ เสวียนจิ่วอิ้น

ส่วนตัวเขาเอง…

ได้เตรียมพร้อมต้อนรับมรสุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!

บรรยากาศเงียบกริบ หลินสวินยืนโดดเด่นเพียงลำพัง สายตากวาดมองระดับจักรพรรดิในที่นี้ทีละคน มองดูแววเย็นเยียบเฉยเมยที่ไม่มีปกปิดบนใบหน้าของพวกเขา

จู่ๆ ในใจก็ผุดแรงกระตุ้นอันแรงกล้าวูบหนึ่งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก…

วันหน้าหากข้าเป็นจักรพรรดิ จะต้องทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วหล้าก้มหัวศิโรราบให้ได้!

——

ท้องฟ้ามืดครึ้ม

บริเวณหมื่นลี้ใกล้เขาเมฆา บรรยากาศกดดันและตึงเครียด

ผู้แข็งแกร่งอย่างพวกหมีอู๋หยา หลิงหงจวง ตอนนี้ได้ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้ว แต่ยามนี้ก็ยังรู้สึกถึงความกดดันที่ไม่อาจลบล้าง

พวกเขาต่างรู้ดีว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิเหล่านั้นรออะไรอยู่

“เป็นภิกษุนั่น!”

ตอนที่เงาร่างของหลิงเคอจื่อเดินออกจากอุโมงค์อากาศ พลันมีคนจำได้ “เขานั่นแหละที่ช่วยหลินสวินเก็บทรัพย์หลังศึก เรียกได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคนหนึ่ง!”

ประโยคเดียวทำให้สายตาของระดับจักรพรรดิไม่เป็นมิตรขึ้นมา

“ภิกษุน้อย ส่งของมา!”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นตวาด เสียงราวกับฟ้าร้อง

หลิงเคอจื่ออุปนิสัยอ่อนโยนซื่อสัตย์และขี้ขลาดมาก ตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เอ่ยว่า “ของเหล่านั้น… ข้าให้หลินสวินไปหมดแล้ว ไม่เชื่อพวกท่านค้นตัวได้”

“พูดเช่นนี้เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของหลินสวินจริงๆ หรือ”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงสายตาราวกับสายฟ้า วาบประกายเย็นเยียบ

“ผู้สมรู้ร่วมคิดหรือ”

หลิงเคอจื่อสีหน้างุนงงเต็มประดา “ข้ากับเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เหตุใดจึงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”

“ภิกษุน้อย อย่ามาแกล้งทำมึนต่อหน้าข้า!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกล่าวโทษ “ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด แล้วเหตุใดเจ้าต้องช่วยสารเลวนั่นเก็บทรัพย์หลังศึก”

หลิงเคอจื่อสีหน้าอดสู “ข้าถูกบังคับ…”

เหล่าจักรพรรดิต่างจนคำพูดไปชั่วขณะ ภิกษุน้อยนี่ขี้ขลาดเกินไปแล้ว

“สนไปใยว่าเจ้าถูกบังคับหรือไม่ อยู่ที่นี่ก่อน รอจับสารเลวนั่นได้ค่อยคิดบัญชีกับเจ้า!” จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงสีหน้าเหลืออดเต็มประดา

“ไม่ได้ เดี๋ยวข้าก็ต้องไปแล้ว”

หลิงเคอจื่อส่ายหน้า ระหว่างนั้นในอุโมงค์อากาศด้านหลังเขาทยอยปรากฏเงาร่างของจินเทียนเสวียนเยวี่ย เซี่ยอวี่ฮวา เหลิ่งซิวเจียสามคน

“สามคนนี้เป็นพวกเดียวกับหลินสวินเหมือนภิกษุน้อยคนนั้น”

มีคนพูดเสียงเบา

กลับเห็นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงพูดอย่างเย็นชา “เช่นนั้นก็จับตัวผู้สมรู้ร่วมคิดเหล่านี้ไว้ก่อน!”

นางยื่นมือขวาออกมาคว้ากลางอากาศ

ครืน!

มือใหญ่เปลวเพลิงที่คลุมฟ้าบังตะวันควบรวมออกมา ปกคลุมไปทางพวกหลิงเคอจื่อ จินเทียนเสวียนเยวี่ย

พลังระดับจักรรพรรดิที่น่ากลัวนั่นทำให้ฟ้าดินครวญคร่ำ

กลับเห็นหลิงเคอจื่อตกใจจนหน้าเขียว ตะโกนว่า “จะตายแล้วๆ อาจารย์ ท่านอาจารย์! ท่านรีบมาสิ…”

สีหน้าของพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยเองก็เปลี่ยนไป

แม้ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้ว ทว่ายามเผชิญหน้ากับฝ่ามือนี้ ยังคงทำให้ในใจพวกเขาหวาดกลัวยิ่งยวด ร่างกายถูกอานุภาพกดดันอันน่ากลัวกักขัง

นี่ก็คือพลังระดับจักรพรรดิแท้ สามารถเหยียดหยันฟ้าดารา คุกคามทั่วฟ้า!

มองเห็นว่าพวกหลิงเคอจื่อกำลังจะประสบเคราะห์ จู่ๆ เสียงเหลืออดสายหนึ่งก็ดังขึ้น “บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ให้เจ้าหาเรื่อง เจ้ากลับไม่ฟัง เพื่ออะไรเล่า”

ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น มือใหญ่เปลวเพลิงที่ประหนึ่งปกฟ้าคลุมตะวันพลันหยุดชะงักกลางอากาศ ราวกับถูกพลังไร้รูปขวางกั้น

จากนั้นภิกษุท้องกลมมนที่ถือพัดผุพัง สวมเสื้อผ้ามอมแมมคนหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ

เขาตัวอ้วนท้วน ใบหน้ามันเยิ้ม หากไม่ใช่เพราะลำคอใส่ลูกประคำสีดำเส้นหนึ่ง คงทำให้คนสงสัยว่าเขาเป็นคนขายเนื้อคนหนึ่ง

ตอนที่ภิกษุอ้วนมอมแมมคนนี้ปรากฏตัว มือใหญ่เปลวเพลิงที่หยุดอยู่ระเบิดเป็นเสี่ยงกะทันหัน กลายเป็นละอองแสงสาดกระเซ็นทั่วฟ้า

เหล่าจักรรพรรดิในที่นั้นต่างนัยน์ตาหดรัด

“ผู้อาวุโสฉานถู!?”

ไท่ซูหงส่งเสียงตกใจ จำที่มาของอีกฝ่ายได้

ฉานถู!

บุคคลน่ากลัวที่สามารถเทียบเคียงบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่แห่งเรือนมรรคโลกาสวรรค์ได้ แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จนกระทั่งสมัยบรรพกาลเขาก็ถูกคนทั่วโลกเรียกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถู!

ชั่วขณะหนึ่งเหล่าจักรพรรดิในที่นั้นสายตาวูบไหว เห็นได้ชัดว่ารู้ดีว่าภิกษุอ้วนที่ดูสกปรกมอมแมมอย่างที่สุดคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นตัวตนที่น่ากลัวอย่างที่สุด

“สหายยุทธ์ก็จะสอดมือยุ่งเกี่ยวหรือ”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงพูดอย่างเย็นเยียบ

“เรื่องเช่นนี้ใครยุ่งเกี่ยวคนนั้นซวย พระเช่นข้ามา ก็เพื่อพาลูกศิษย์โง่เขลาของข้ากลับ ทุกคนหลีกทางให้หน่อยเป็นอย่างไร”

ภิกษุอ้วนยิ้มตาหยีเอ่ยปาก ไขมันบนใบหน้ากระเพื่อมราวกับคลื่น

สายตาของเหล่าจักรพรรดิในที่นั้นวูบไหว

“ท่าน… ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวจริงหรือ”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเอ่ยเสียงขรึม

บุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง แม้แต่เจ้าสำนักเรือนมรรคจักรวาลมาเองยังต้องนอบน้อมสามส่วน

ยิ่งไปกว่านั้นหลิงเคอจื่อเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยคนหนึ่ง ยามนี้หากล่วงเกินบรรพจารย์จักรพรรดิเพราะคนที่ไม่มีความสำคัญใดๆ ผลเสียย่อมมากกว่าผลดี

“คำพูดที่ภิกษุอย่างข้าพูด เคยคืนคำเสียที่ไหน”

ภิกษุตัวใหญ่อ้วนท้วมลูบหน้าท้องกลมๆ ของตน ยิ้มอย่างเมตตาและเป็นมิตรที่สุด

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงไม่ขวางอีก

“ไปๆๆ อย่าขวางหูขวางตาอยู่ที่นี่ พวกเราอาจารย์ศิษย์… ไม่มีวาสนาจะเข้าร่วมการแย่งชิงนี้ ทำได้แค่สะบัดก้นจากไป”

ภิกษุใหญ่เร่งรีบ

หากไม่เห็นกับตายากจะทำให้คนเชื่อว่า นี่จะเป็นตัวตนน่ากลัวระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ!

“อาจารย์ ยังมีพวกเขา”

หลิงเคอจื่อชี้พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย เซี่ยอวี่ฮวา เหลิ่งซิวเจียสามคน

ภิกษุใหญ่ปวดหัวขึ้นมาทันที ยื่นนิ้วมือหนาใหญ่จิ้มหัวโล้นของหลิงเคอจื่อคราหนึ่ง ก่นด่าว่า “ว่าแล้วเชียวว่าต้องหาเรื่องให้อาจารย์”

พูดพลางเขาหันมองไปรอบๆ “สหายยุทธ์ทุกท่านมีความเห็นอะไรหรือไม่”

“ไม่ได้ สามคนนี้ล้วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเศษเดนคีรีดวงกมลนั่น จะต้องอยู่ต่อ!”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์พูดอย่างไม่ลังเล ไอสังหารพลุ่งพล่าน ท่าทีแน่วแน่

“หืม?”

ภิกษุใหญ่เผยสีหน้าผิดคาด ไขมันบนใบหน้าสั่นไหวคล้ายได้ยินไม่ชัด “เจ้าช่วย… พูดอีกรอบได้หรือไม่”

ไท่ซูหงที่อยู่ไม่ไกลนักหัวใจสะท้าน ลอบอุทานว่าแย่แล้ว

ภิกษุใหญ่นี่ดูเหมือนเมตตาเป็นมิตร ไม่มีพิษภัย แต่เมื่อเขาโมโหขึ้นมา ทั่วหล้าบนล่างยังต้องสะเทือน!

ฉานถู ก็คือเพชฌฆาตแห่งมรรคฌาน!

จากฉายาของเขา ก็สามารถทำให้คนสัมผัสถึงความหมายที่ไม่ธรรมดาบางอย่างแล้ว

มองภิกษุใหญ่ที่สีหน้าผิดคาดเต็มประดา ไม่มีอานุภาพให้พูดถึง ทว่าในใจจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นกลับรู้สึกถึงความตึงเครียดและกดดันอย่างบอกไม่ถูก

เขาจะไม่รู้ฐานะของฉานถูได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเขากล้าพูดเช่นนี้ ย่อมต้องมีความมั่นใจอยู่แล้ว

ทว่าตอนที่จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงแก่หง่อมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ยอมล่วงเกินพญายมยังดีกว่าล่วงเกินฉานถู เจวี๋ยอิ้น เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ให้พวกสหายยุทธ์ฉานถูจากไปซะ”

เสียงล่องลอยคลุเครือ แต่กลับมีพลังมหัศจรรย์ที่กระแทกใจคนโดยตรง

สีหน้าของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นเปลี่ยนไประลอกหนึ่ง เงียบกริบไม่ปริปาก

ฉานถูตบท้องกลมมนพูดคล้ายทอดถอนใจ “ดูท่าหลังจากวันนี้ คิดอยากจะเจอพวกเฒ่าชราบางส่วนคงยากแล้ว”

เขาตวัดแขนเสื้อ ปกคลุมพวกหลิงเคอจื่อ จินเทียนเสวียนเยวี่ยเข้าไปภายในในพริบตา

“ทุกคนรักษาตัวด้วย ภายหน้า… ไม่แน่ว่าภิกษุเช่นข้าอาจจะฮึกเหิม เก็บศพให้กับทุกท่าน จุดธูปหอมเผากระดาษเซ่นไหว้สักครา”

ฉานถูยิ้มตาหยีก้าวเท้าจากไป

เพียงแต่คำพูดที่เขาทิ้งท้ายเอาไว้ กลับทำให้ทุกคนในที่นั้นขมวดคิ้ว ปากของบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูนี่ช่างร้ายกาจจริงๆ นี่กำลังสาปแช่งพวกเขาอยู่หรือ

“คำพูดนี้ของบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถู คล้ายมีความนัยอื่น…”

มีเพียงไท่ซูหงที่เอ่ยเสียงขรึม รับรู้ถึงบางอย่างที่ต่างออกไป

แต่ไม่ว่าอย่างไรการจากไปของบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูก็ทำให้ระดับจักรพรรดิมากมายลอบโล่งอก

วู้ม!

และยามนี้ ในอุโมงค์อากาศนั่นก็ปรากฏเงาร่างอีกร่าง

เด็กหนุ่มในชุดผ้าป่าน ท่าทางนักเลง แผ่กลิ่นอายเกียจคร้านทั้งตัว เป็นเสวียนจิ่วอิ้นนั่นเอง

เมื่อสังเกตเห็นว่าพลังขับเคลื่อนของพวกเฒ่าระดับจักรพรรดิปกคลุมพื้นที่แถบนี้ เขาก็หลุดขำออกมาอย่างอดไม่ได้

“คนรุ่นหลังตัวเล็กๆ อย่างข้าเสวียนจิ่วอิ้นมีความสามารถอะไร ถึงขั้นทำให้ผู้อาวุโสทุกท่านมาต้อนรับพร้อมกัน ในใจช่าง… ตกใจที่ได้รับความโปรดปราน ตื่นตระหนกไม่วางใจเลย!”

ว่าพลางเขายังประสานหมัดอย่างผ่าเผย คำนับสี่ทิศ ดูก็รู้ว่าทำลวกๆ

บรรยากาศในที่นั้นซึ่งเดิมทีตึงเครียดและอันตราย ตอนนี้กลับแปลกพิกลขึ้นมาทันที

เจ้าตัวจ้อยแซ่เสวียนนี่…

รนหาที่ตายเก่งเกินไปหรือเปล่า

——

สามวันให้หลัง

วันที่เขตต้องห้ามเซียนโบราณจะปิดม่านมาเยือนแล้ว

ข้างๆ เขาเมฆา ไท่ซูหงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์ลุกขึ้นยืน กวาดมองคนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยพูดว่า

“ถึงตอนนี้คำพูดบางอย่าง… ข้าควรพูดให้ชัดเจนก่อน”

ประโยคเดียวทำให้ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน

ไท่ซูหงเอ่ยเสียงขรึม “ผู้ร่วมมรรคที่ซุ่มอยู่ในที่มืดก็ฟังให้ดี วันนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าจะไม่เข้าร่วมด้วย ใครกล้าดึงเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าลงน้ำ ข้าไท่ซูหงจะไม่ให้อภัยเขาเป็นคนแรก!”

เสียงไม่ดังแต่กลับกังวานไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนไม่แปลกใจ

ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะบนทางเดินโบราณฟ้าดาราจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่อะไรขึ้น ท่าทีของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ชัดเจนมากมาโดยตลอด…

รักษาความเป็นกลาง!

“เริ่มเถอะ”

หลังจากไท่ซูหงแสดงจุดยืนของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ชัดแล้ว ก็เริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเลอีก

ทันใดนั้นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแห่งเรือนมรรคจักรวาล จักรพรรดิมารผลาญนภาแห่งเรือนมรรคเหล่ามาร มหาจักรพรรดิศิลาเมฆแห่งเรือนมรรคยุทธจักร จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ล้วนเดินออกมา

ขณะเดียวกันไม่ว่าจะในที่แจ้งหรือที่ลับ ทุกสายตาล้วนจ้องมองไป

“ทะยาน!”

ไท่ซูหงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ประทับมรรคที่มีประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองไหลเวียนท่วมฟ้าปรากฏออกมา บนประทับมรรคมีลายมรรคฟ้าประทานแน่นขนัดหนึ่งชั้น

เป็น ‘ประทับทองอัคคีทักษิณ’ ยอดสมบัติพิทักษ์สำนักของเรือนมรรคโลกาสวรรค์นั่นเอง!

ที่ตามมาติดๆ คือจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นเรียก ‘เตามงคลสรรพวิญญาณ’ ของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ออกมา มหาจักรพรรดิศิลาเมฆเรียก ‘กระบี่มรรคสังหารเทพ’ ของเรือนมรรคยุทธจักรออกมา จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเรียก ‘คทาสมปรารถนาแก้วเขียว’ ของเรือนมรรคจักรวาลออกมา จักรพรรดิมารผลาญนภาเรียก ‘ม้วนภาพสามพันมาร’ ของเรือนมรรคเหล่ามาร

ทุกชิ้นล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดสมบัติพิทักษ์สำนัก ที่มาน่าทึ่ง อานุภาพยิ่งน่ากลัวจนเหลือเชื่อ

ครืน…

ก็เห็นแสงสมบัติทั่วฟ้ารวมตัว พาดกวาดออกไป ฟ้าดินแถบนี้ล้วนสั่นไหว

เหนือเขาเมฆาที่มีเมฆขาวรวมตัวเป็นชั้นๆ ถูกเปิดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่เส้นหนึ่งทั้งอย่างนั้น เชื่อมสู่ส่วนลึกไกลๆ!

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น รอยแยกที่ถูกเปิดออกนั่นพลิกม้วนไม่หยุด สุดท้ายกลายเป็นเส้นทางที่เรียวยาวโปร่งแสง

มองจากไกลๆ ราวกับธารดาราสายหนึ่งปูอยู่ตรงนั้น ทอดยาวไปยังส่วนลึกอันไร้สิ้นสุด บนเส้นทางแสงประกายต่างๆ ไหลเวียน ประกายศักดิ์สิทธิ์สาดกระเซ็นดูน่าตกใจ

สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองทางออกของเส้นทางนี้

เป็นใครกันแน่ที่ช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นไป

และเป็นใครที่สังหารจนผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์กับเรือนมรรคจักรวาลแทบจะสิ้นซาก

คำตอบกำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว!

บรรยากาศในที่นั้นกดดันถึงขีดสุดในชั่วขณะนี้

คลื่นใต้น้ำไร้รูปพลุ่งพล่านกลางฟ้าดินแห่งนี้

สวบ!

ไม่นาน เมื่อปากทางออกมีละอองแสงไหลเวียน เงาร่างหนึ่งก็พุ่งออกมา

เป็นชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่ง ผิวขาวกระจ่างบุคลิกไม่ธรรมดา รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ

ทว่าพริบตาที่เขาปรากฏตัว กลับแข็งทื่อไปทั้งตัว หนังหัวชาวาบ

คนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิแท้อยู่ไม่ไกลนัก สายตาหันขวับไปจ้องเขา ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกระต่ายตัวหนึ่งถูกฝูงสิงโตหมายตา

“มหาสมบัติแรกกำเนิดถูกใครชิงไปได้”

เสียงรีบร้อนเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ราวกับนายเหนือหัวที่นั่งอยู่บนเก้าสวรรค์ อานุภาพน่ากลัว

คำถามนี้เป็นสิ่งที่ระดับจักรพรรดิทุกคนในที่นี้อยากรู้ที่สุด

ชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มชุดเทาที่เดินออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณเป็นคนแรกนั่น รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แทบจะหายใจไม่ออกและพังทลายลง

เขาถึงขั้นไม่กล้าปิดบัง ตอบไปตามจิตใต้สำนึก “หลินสวิน”

หลินสวิน?

พวกไท่ซูหงต่างอึ้งงัน จากความทรงจำของพวกเขา ในหมู่ผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยแปดคนที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ ไม่มีคนที่ชื่อหลินสวิน

“หลินสวินที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่เจ้าหนุ่มที่ป่วนแหล่งสถานคุนหลุนตอนนั้นหรอกนะ”

จู่ๆ ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งก็เอ่ยออกมา ทำให้ระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ หนังตากระตุก นึกถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่ทำให้ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราตกตะลึงเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ชายหนุ่มที่ชิงศุภโชคซึ่งมีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกล