Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2996 เวลาแจ้งมรรค

ตอนที่ 2996 เวลาแจ้งมรรค

ตอนที่ 2996 เวลาแจ้งมรรค

สิบปี ในลัทธิแรกกำเนิดเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย

เช่นมีผู้สืบทอดรุ่นเยาว์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเด่นผงาด ทั้งมีบุคคลรุ่นอาวุโสมากมายทะลวงระดับ

แต่ผู้เจิดจรัสที่สุดยังคงเป็นหลินฝาน

ในฐานะที่เป็นบุตรของหลินสวินหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาย่อมถูกสายตาคนนับไม่ถ้วนจับจ้อง นี่เป็นทั้งเกียรติยศที่ทำให้คนทั่วไปอิจฉา ทั้งเป็นความรับผิดชอบอย่างหนักหน่วงด้วย

หลินฝานไม่อยากมีชีวิตอยู่ภายใต้วงแสงของบิดาตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเลือกออกไปฝึกประสบการณ์ ทั้งอยากพึ่งพาพลังของตัวเองไปบุกเบิกฟ้าดินของตน

สิบปี

นับตั้งแต่หลินสวินเคลื่อนกวาดน่านฟ้าที่แปดเมื่อปีนั้น หลังจากล้มล้างสิบยักษ์ใหญ่อมตะแล้ว บนโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องใหญ่พอจะสะเทือนใต้หล้าเกิดขึ้นอีก

น่านฟ้าที่เก้าตัดเส้นทางเชื่อมต่อกับน่านฟ้าที่แปด ในช่วงเวลาที่เคราะห์แห่งยุคสมัยใกล้มาเยือนนี้ เผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นย่อมยุ่งเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น

ด้านลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานหลังจากผ่านความพ่ายแพ้ย่อยยับครั้งก่อนก็เหมือนว่าจะหายหน้าหายตาไป ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก

สำหรับสรรพสิ่งทั่วหล้าทุกอย่างคล้ายกลับไปสู่ความสงบเหมือนก่อน

แต่สำหรับสี่หอบรรพจารย์และเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าพวกนั้น ความนิ่งสงบเช่นนี้ย่อมเป็นแค่เรื่องชั่วคราว

เมื่อเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เคราะห์แห่งยุคสมัยที่จะทำลายทั่วหล้านั้นต้องมาเยือนตามกำหนดแน่!

สิบปี

ในแต่ละน่านฟ้าทั่วโลกยอดนิรันดร์ปรากฏคนรุ่นใหม่ที่เจิดจรัสมากมาย ต่างคนต่างมีชื่อเสียงสะเทือนแดนดิน ถูกผู้คนบนโลกจับตามอง

แต่สุดท้ายผู้เจิดจรัสที่สุดก็มีแค่หยิบมือ

ในหมู่คนแค่หยิบมือนี้ก็มีชื่อของซูไป๋ด้วย

เขามาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา บุกทะยานมาจากแดนใหญ่พันศึก เด่นผงาดขึ้นมาจากน่านฟ้าที่หนึ่งของโลกยอดนิรันดร์ เวลาสั้นๆ แค่สิบปีก็กรำศึกแทบทุกน่านฟ้า มีชัยเหนือศัตรูตัวฉกาจในระดับเดียวกันมากมาย ผลงานการต่อสู้โดดเด่นหล่อหลอมมาจากเลือดสีสดทั้งตัว สะเทือนคลื่นลมทั่วหล้า ไอรีนโนเวล

เผ่าจักรพรรดิอมตะนับไม่ถ้วนคิดชวนเขามาเป็นบริวารของตน ทั้งไม่รู้ว่ามีขุมอำนาจเท่าไรแค้นเขาเข้ากระดูก มองเขาเป็นหนามยอกอก

แต่ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มที่ผงาดกร้าวในช่วงสิบปีคนนี้ อาจารย์ของเขาก็คือหลินสวิน หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์แห่งลัทธิแรกกำเนิดในปัจจุบัน

โลกหล้านี้มีสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสน ปีศาจมากมาย อัจฉริยะนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้ซูไป๋โดดเด่นเป็นสง่าคนเดียวแน่

เขายังมีหนทางยาวไกลให้ก้าวเดิน

“สิบปีแล้ว ทำไมหลินสวินยังปิดด่านอีก มรรควิถีทั้งตัวเขาบรรลุขั้นสัมบูรณ์นานแล้วไม่ใช่รึ”

ลัทธิแรกกำเนิด หอแรกนภา ตู๋กูยงเอ่ยถามลอยๆ

ในที่นั้นยังมีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าแห่งลัทธิแรกกำเนิดอย่างพวกฟางเต้าผิง หยวนอู่เทียนด้วย

“อาจฝึกวิชาลับบางอย่างอยู่กระมัง”

เสวียนเฟยหลิงดื่มเหล้าจอกหนึ่ง “ใต้หล้าตอนนี้คงไม่มีทางปรากฏจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนิรันดร์อีก เขาปิดด่านครั้งนี้ย่อมไม่ได้ทำเพื่อทะลวงปราณแน่”

“เฮ้อ เวลาไม่คอยข้าจริงๆ”

ฟางเต้าผิงถอนใจเบาๆ

เคราะห์แห่งยุคสมัยครั้งหนึ่งถึงกับทำให้จุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนิรันดร์หายไปโดยสิ้นเชิง สำหรับเฒ่าชราที่เคี่ยวกรำพลังปราณขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มาหลายปีอย่างพวกเขา นี่เป็นข่าวร้ายที่หนักหน่วงหาใดเปรียบอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

“นับรวมทั้งหมดก็เหลือเวลาก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนแค่เก้าร้อยปี ถึงตอนนั้นโลกยอดนิรันดร์ แดนใหญ่พันศึก โลกพันจักรวาลนี้ต้องจ่อมจมแน่ เกรงว่าสรรพชีวิตบนโลก… คงไม่รู้ว่าต่อให้อายุยืนแค่ไหนก็มีชีวิตอยู่ต่อได้แค่เก้าร้อยปี…”

ตู๋กูยงกล่าวเสียงต่ำลึก

“ช่วยไม่ได้ นี่ก็คืออานุภาพยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนการดับสิ้นของยุคสมัยเคยเกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้ง ทำลายอารยธรรมยุคสมัยไปครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่โชคดีรอดจากเคราะห์แห่งยุคสมัยมาได้ สุดท้ายก็มีแค่ส่วนน้อย”

เสวียนเฟยหลิงดื่มเหล้าอีกจอก “ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่พวกเราลัทธิแรกกำเนิด คิดรอดจากเคราะห์แห่งยุคสมัยความเป็นไปได้ก็ไม่มาก”

“ไม่ใช่ว่ามีระเบียบระดับเทพแล้วทำให้ผู้ที่ไม่แจ้งมรรคนิรันดร์ต้านเคราะห์แห่งยุคสมัยได้หรอกหรือ”

ตู๋กูยงถาม

สำหรับผู้ฝึกปราณที่ต่ำกว่าระดับนิรันดร์ เมื่อเกิดการดับสิ้นของยุคสมัยจะถูกเคราะห์มรรคห้าเสื่อมโจมตี แต่หากมีระเบียบระดับเทพปกป้อง ก็มีมั่นใจได้มากขึ้นว่าจะต้านเคราะห์มรรคห้าเสื่อมได้

เสวียนเฟยหลิงกล่าวอธิบายอย่างอดทน “ระเบียบระดับเทพต้านพลังส่วนใหญ่ของเคราะห์มรรคห้าเสื่อมได้จริงดังว่า แต่จะรอดจากเคราะห์นี้ได้หรือไม่ ต้องดูวาสนาของผู้ฝึกปราณแต่ละคน”

“ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรามีระเบียบระดับเทพปกป้องยังต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงมากเช่นนี้ สำหรับสิ่งมีชีวิตมากมายในใต้หล้า พวกเขา… จะต้านทานเคราะห์นี้ได้อย่างไร”

ฟางเต้าผิงอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้

เมื่อโลกประสบเคราะห์ ใครเล่าจะหนีพ้น

พอคิดถึงว่าอารยธรรมยุคสมัยทั้งหมดและสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ทั่วหล้าจะประสบหายนะในเคราะห์แห่งยุคสมัย เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นี้ล้วนหนักใจ

“ไม่แน่เสมอไป ทุกท่านยังจำแหล่งสถานศุภโชคได้ไหม”

เสวียนเฟยหลิงพลันเอ่ยปาก “เมื่อก่อนอารยธรรมยุคสมัยมากมายที่เจอเคราะห์แห่งยุคสมัยสมัยล้วนปรากฏอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพวกเราเจอเคราะห์แห่งยุคสมัยนี้ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะมีโอกาสไปปรากฏตัวในแหล่งสถานศุภโชคเช่นกัน”

แหล่งสถานศุภโชคก็เหมือนรังมารดามหึมาหนึ่ง ภายในมีอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยกระจายอยู่ ล้วนเคยประสบเคราะห์แห่งยุคสมัยทั้งสิ้น

แต่แหล่งสถานศุภโชคกลับรักษาควันแห่งอารยธรรมยุคสมัยพวกนี้ไว้ เปรียบดั่งปกป้องเมล็ดพันธุ์หนึ่งในซากปรักหักพัง ทำให้อารยธรรมยุคสมัยที่ผ่านมาอยู่รอดในแหล่งสถานศุภโชคได้

ตู๋กูยงกล่าว “แต่แหล่งสถานศุภโชคนั้นกลายเป็นคุกแห่งหนึ่งนานแล้ว คนจากอารยธรรมยุคสมัยก่อนๆ ที่กระจายอยู่ภายในเหล่านั้น ถูกลิขิตให้ไม่อาจออกจากแหล่งสถานศุภโชคได้อีก”

ฟางเต้าผิงกล่าว “ไม่ผิด นอกเสียจากว่าวันหนึ่งผู้บงการหลังม่านของการดับสิ้นของยุคสมัยนั้นจะถูกเอาชนะ ไม่เช่นนั้นแหล่งสถานศุภโชคต้องเป็นเรือนจำแห่งหนึ่งไปตลอดแน่ ไม่เพียงกักขังอารยธรรมยุคสมัยเก่าก่อน ยังมีสรรพชีวิตในอารยธรรมยุคสมัยพวกนั้นด้วย” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

สำหรับเหล่าผู้อาวุโสอย่างพวกเขา ย่อมรู้สถานการณ์ของแหล่งสถานศุภโชคเป็นธรรมดา

“แค่ถูกกักขังเท่านั้น ขอเพียงรอดไปได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันทำลายกรงขัง”

เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าว

ตู๋กูยงกล่าวเสียงขรึม “พี่เสวียน เจ้าอย่ามองโลกแง่ดีเกินไป อารยธรรมเซียนยุทธ์ยุคก่อนแข็งแกร่งและรุ่งเรืองระดับใด แต่กลับหายวับไปในเคราะห์แห่งยุคสมัย ได้ยินว่าแม้แต่พลังต้นกำเนิดยังถูกซัดแหลก ไม่มีโอกาสปรากฏตัวในแหล่งสถานศุภโชค”

การดับสิ้นของยุคเซียนยุทธ์หมดจดเกินไป ทั้งเป็นอารยธรรมยุคสมัยหนึ่งที่เฒ่าชราอย่างพวกเขารู้ว่าไม่ได้ปรากฏในแหล่งสถานศุภโชคอีก

เสวียนเฟยหลิงฟังจบแล้วถอนใจเบาๆ พลางโบกมือกล่าว “แม้แต่ระดับนิรันดร์พวกนั้นยังจนปัญญากับเรื่องพวกนี้ พวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้หรอก”

เวลานี้เองผู้อาวุโสหอแรกนภาเถาเหลิ่งมาเยือนกะทันหัน นำม้วนหยกม้วนหนึ่งมามอบให้ “หัวหน้าหอและรองหัวหน้าหอทุกท่าน นี่คือม้วนหยกที่หัวหน้าหอหลินฝากข้ามา”

เสวียนเฟยหลิงอึ้งงัน รับม้วนหยกมาดูแล้วนัยน์ตาพลันหดรัด “เป็นไปได้อย่างไร…”

“เป็นไปได้อย่างไรอะไรกัน ให้ข้าดูหน่อย”

ตู๋กูยงที่อยู่ด้านข้างยื่นมือชิงม้วนหยกมา พิจารณาครู่หนึ่งแล้วอึ้งงันทันที “นี่…”

การตอบสนองของเขากับเสวียนเฟยหลิงดูเสียอาการ แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นต่างถูกกระตุ้น ล้วนใคร่รู้อย่างอดไม่ได้ รับม้วนหยกมาเปิดอ่านทีละคน

จากนั้นพวกเขาทุกคนล้วนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ในใจพลุ่งพล่านไม่หยุด

ผ่านไปครู่ใหญ่เสวียนเฟยหลิงจึงกล่าวทำลายความเงียบก่อน “ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร”

“น่าจะเป็นเรื่องจริง”

ฟางเต้าผิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง คล้ายจะข่มความตื่นตระหนกในใจ “เจ้าหลินสวินนี่ไม่มีทางล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้”

“ต้องเป็นเรื่องจริงแน่!”

แววตาตู๋กูยงลุกโชนกล่าวว่า “สถานการณ์เช่นนี้อาจกักขังพวกเราได้ แต่กักขังบุคคลที่ครองมรรคายอดอมตะอย่างเขาไม่ได้แน่ อย่าลืมสิ บรรพจารย์ซวีอิ่นผู้ก่อตั้งลัทธิวิญญาณยังบอกว่ามรรคาของหลินสวินถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยนั่นด้วย!”

หยวนอู่เทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น “ถ้าเช่นนั้นอีกสามเดือน พวกเราก็จะเป็นพยานของปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วน่ะสิ”

เสวียนเฟยหลิงเอ่ยเสียงขรึม “ถึงตอนนั้นค่อยดูก็รู้แล้ว ช่วงนี้พวกเราต้องช่วยเขาเก็บความลับนี้ไว้ ถ้าข่าวรั่วไหลขึ้นมา เกรงว่าคงดึงดูดความสนใจของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน รวมถึงเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้นอีก”

ทุกคนต่างพยักหน้า

จนถึงตอนนี้ในใจพวกเขายังไม่อาจนิ่งสงบ

ด้วยในม้วนหยกนั้นมีแค่ประโยคเดียว

‘หลังจากนี้สามเดือน ผู้น้อยจะแจ้งมรรคนิรันดร์ ผู้อาวุโสทุกท่านโปรดเตรียมพร้อมล่วงหน้า!’

แจ้งมรรคนิรันดร์!

ตอนนี้ใครไม่รู้บ้าง ว่าก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนจะไม่มีจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนิรันดร์ปรากฏขึ้นอีก

แต่หลินสวินกลับบอกว่าจะแจ้งมรรคนิรันดร์หลังจากนี้สามเดือน!

นี่ก็คือจุดที่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างเสวียนเฟยหลิงตกตะลึง

“หากหลินสวินจะแจ้งมรรคนิรันดร์จริง มหาเคราะห์นิรันดร์ที่ชักนำมาจะต้องส่งผลต่อพลังระเบียบระดับเทพของสำนักพวกเราแน่ ทุกท่านอย่าลืมสิ ตอนนั้นยามหัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ ด่านเคราะห์ครานั้นน่ากลัวระดับใด”

ตู๋กูยงกล่าวเสียงขรึม “ดังนั้นพวกเราต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ข้าเชื่อว่านี่ก็คือเจตนาที่หลินสวินส่งข่าวนี้มาให้พวกเรา”

ฟางเต้าผิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวซึ่งมหาเคราะห์นิรันดร์ชักนำมามากเกินไป เมื่อปรากฏย่อมดึงดูดความสนใจของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน เผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าทันทีแน่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าพวกเขาบุกมาย่อมเป็นภัยร้าย”

เสวียนเฟยหลิงกล่าว “ตอนนี้ระดับนิรันดร์พวกนั้นยังเอาตัวไม่รอด คอยระวังเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาเยือนตลอดเวลา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาคงไม่กล้าบุ่มบ่ามก่อเรื่องอีก”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องเตรียมพร้อมป้องกัน ถ้ามีระดับนิรันดร์เดิมพันชีวิตมาขวางหลินสวินแจ้งมรรคทะลวงปราณจริง พวกเราก็ต้องคิดหาวิธีรับมือ”

“แต่ตอนนี้ในสำนักพวกเราไม่มีระดับนิรันดร์ดูแลแล้ว…”

ตู๋กูยงถอนใจยาว

ประโยคเดียวทำให้คนอื่นหนักใจเช่นกัน

ครู่ใหญ่เสวียนเฟยหลิงกัดฟันตัดสินใจ “เกิดเป็นคนต้องทำให้ดีที่สุด สุดท้ายย่อมแล้วแต่ฟ้าลิขิต ข้าไม่เชื่อว่าลัทธิแรกกำเนิดที่ยิ่งใหญ่จะถูกศัตรูเหยียบย่ำ!”

สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นล้วนพยักหน้า หว่างคิ้วฉายแววเด็ดเดี่ยว

ยามหัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ ชักนำด่านเคราะห์ครั้งใหญ่มา และดึงดูดศัตรูมากมายมารุกรานเช่นกัน แต่สุดท้ายก็สลายภัยร้ายได้

ครั้งนี้หลินสวินจะแจ้งมรรคนิรันดร์ในอีกสามเดือน เฒ่าชราอย่างพวกเขาไม่เชื่อว่าครั้งนี้จะปกป้องหลินสวินไม่ได้!

ขณะเดียวกันในถ้ำสถิตแห่งหนึ่งบนเขาแรกพิสุทธิ์

หลินสวินกำลังกินอาหารพร้อมซย่าจื้อ กินด้วยกันพลางพูดคุย ดูผ่อนคลายจนเหมือนไม่มีอะไร

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1100 อ่านนิยาย


ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์

ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง

หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้

แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

Options

not work with dark mode
Reset